พิมพ์หน้านี้ - Kiss the Snow

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2018 19:01:24

หัวข้อ: Kiss the Snow
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2018 19:01:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7.การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
...

Kiss the snow
ความนำ

ชิรายูกิ หิมะสีขาว

ที่หมู่บ้านห่างไกลในยามหน้าหนาวมีหิมะโปรยปรายลงมา เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างดีใจออกมาช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะไว้ที่ลานกลางหมู่บ้าน
ตุ๊กตาหิมะสีขาวตัวใหญ่ ตกแต่งด้วยผลไม้เป็นดวงตา จมูก และปาก
ตุ๊กตาหิมะ เฝ้ามองดูเด็กน้อยที่แวะมาทักทาย จนถึงวันที่หิมะตกหนักจนเด็กๆ ไม่สามารถออกจากบ้านมาทักทายตุ๊กตาหิมะได้ รอจนถึงวันที่อากาศอบอุ่นมาเยือน ตุ๊กตาหิมะก็ละลายหายไป
รอจนถึงปีหน้า พวกเขาก็จะปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหม่ขึ้นมา
...แต่ไม่ใช่ตัวเดิม...

ชื่อชิรายูกิเป็นชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่มีแต่พ่อกับแม่ที่เรียกด้วยชื่อนี้ ชื่อจริงของหนุ่มคนนี้คือฉันท์ทัต วีนิตา ซึ่งทั้งครูและเพื่อน ตลอดจนญาติพี่น้อง เรียกชื่อย่อว่าฉันท์ 
การที่เป็นหนุ่มที่มีใบหน้าหวาน ทำให้ถูกทักถามว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น รอยยิ้มหวานของชิรายูกิกลายมาเป็นจุดเด่น
บ่ายวันนั้นอากาศดี พอเลิกเรียนพิเศษชิรายูกิก็ขับรถคันเล็กมาส่งแก้วตาที่เป็นเพื่อนสนิท
บ้านของแก้วตาอยู่ในซอยลึก หัวข้อสนทนาในระหว่างการเดินทางก็ยังเป็นเรื่องเดิม คือเพื่อนในห้องเรียน อาจารย์ กับการเดินทางของแก้วตาที่ไม่ได้สะดวกสบาย สุดท้ายคือเรื่องของวิพุธที่เป็นคนรักของชิรายูกิที่วันนี้ไปต่างจังหวัดกับครอบครัว ทำให้ไม่ได้ไปเรียนพิเศษด้วยกัน
ชิรายูกิจอดรถคันเล็กก่อนถึงหน้าบ้านของแก้วตาเพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้บังประตู รอจนเพื่อนเดินเข้าบ้านไปแล้วชิรายูกิจึงเลื่อนรถผ่าน เพื่อที่จะไปกลับรถด้านในซอย
แต่ตอนที่ขับรถผ่านบ้าน เหลียวมองทางขวามือเพื่อมองเพื่อน ทำให้เห็นรถอีกคันที่จอดอยู่ภายในโรงรถ ดูคุ้นตาจนหัวใจเต้นแรง จนต้องจอดรถแล้วเดินกลับมาดู
วัยรุ่นชายคนหนึ่งเดินอ้อมมาจากหลังบ้าน ส่งเสียงทักทายแก้วตา แล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่นอกรั้วบ้าน
ทำไม่ไม่คุยกันต่อ หัวข้อสนทนาเหล่านั้นกำลังน่าสนใจ
ทำไมวิพุธต้องทำหน้าตาตกใจ
ทำไมแก้วตาต้องเริ่มร้องไห้
ชิรายูกิเอียงคอมอง ยกยิ้มมุมปาก แล้วหันหลังเดินจากมา
จากนั้นทั้งคู่ก็กลายเป็นคนไม่มีตัวตนในสายตาของชิรายูกิ
ต้องเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นที่ทำให้ทุกคนเริ่มพูดกันว่า ชิรายูกิเป็นคนเย็นชา เป็นคนใจร้าย และสารพัดถ้อยคำที่จะนึกออก
แปลกที่คนถูกหลอกคือคนที่ถูกวิจารณ์
ส่วนคนหลอกลวง ได้รับการยกย่องว่ามีสิทธิ์หลอกลวง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชิรายูกิต้องร้องไห้อยู่คนเดียว เก็บข้าวของต่างๆ ที่วิพุธให้มาทิ้งถึงขยะ และลบรูปของทั้ง 2 คนออกจากโทรศัพท์
จากนั้นก็ไปเรียนด้วยสีหน้าเฉยเมย
เมื่อเวลาผ่านไป ชิรายูกิ เชื่อว่าเพราะว่าเป็นรักครั้งแรกถึงได้รู้สึกรุนแรง และฝังใจขนาดนั้น
เพียงแต่ในช่วงไม่ถึงเดือนหลังจากนั้น ยังมีอีกเรื่องที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้น
และเพราะว่ามันไม่น่าจดจำ มันถึงได้กลายเป็นเรื่องที่จดได้ไม่เคยลืม...
....

ธามัน อาณาจักรเทพเจ้า

ธามัน ก้องเกียรติมนตรี หรือธาม ไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่จบมัธยมปลาย แต่ตอนนี้กลับมาเยี่ยมครอบครัวนานถึง 2 เดือน ซึ่งว่าที่จริงสมควรใช้เวลา 2 เดือนนี้ท่องเที่ยวกับครอบครัวให้คุ้ม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่งทำให้ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ
ตอนนั้น ธามันอยู่ที่บ้านของลุง กำลังช่วยฐาติที่เป็นญาติผู้พี่จัดโต๊ะสนาม
ฐาติเกิดก่อนธามันแต่ธามันไม่เคยเรียกฐาติว่าพี่
ตอนที่พบกับชิรายูกิครั้งแรกมีฐาติญาติผู้พี่คนนี้อยู่ในเหตุการณ์ และยังคงอยู่ในเหตุการณ์ต่อไปอีกนานหลายปี
ในวันนั้น ที่บ้านหลังข้าง ๆ มีวัยรุ่นชายอยู่คนหนึ่ง ดูใบหน้าท่าทางแล้วน่าจะเป็นนักเรียนมัธยม กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว ฐาติก็ไปตะโกนชวนเขาคุย พอหนุ่มคนนี้กลับเข้าบ้าน ฐาติก็มาเล่าว่า จริง ๆ แล้วบ้านนี้มีลูกสาวชื่อแก้วตา แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ของบ้านนี้ไม่อยู่ เมื่อวันก่อนเพิ่งมาบอกว่า ฝากดูบ้านให้ด้วยเพราะลูกสาวอยู่ตามลำพัง และในฐานะเพื่อนบ้านแสนดีทำหน้าที่ดูแลบ้านเขาและลูกสาวอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทำให้ได้รู้ว่า มีหนุ่มนักเรียนมาค้างอยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อวาน
ตอนที่เล่าเรื่องสีหน้าท่าทางของฐาติดูผิดหวังอยู่หน่อย ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับว่า กำลังอกหักจากน้องสาวข้างบ้าน แต่ยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังที่เด็กหญิงแก้มใสที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก จะกลายเป็นสาวรสจัดไปในวันนี้
ธามันกับฐาติช่วยกันจัดโต๊ะสนามได้อีกครู่หนึ่งก็มีรถญี่ปุ่นคันเล็กผ่านหน้าบ้าน ฐาติก็ชะเง้อคอยาวมองตามแก้วตานักเรียนหญิงหน้าตาน่ารักเดินเข้าบ้าน หนุ่มที่อยู่ในบ้านเดินอ้อมมาจากประตูหลังบ้าน แล้วพูดทักทายกับแก้วตา
ไม่สิ...
ถ้าแค่ทักธรรมดาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่เพราะหนุ่มคนนั้นกอดเอวหญิงสาว แล้วจูบแก้ม.....
แต่มันเป็นภาพที่ธามันไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ที่พบเจอในอเมริกามันมากกว่านี้ แต่เพราะเมื่อรถเล็กแล่นผ่านหน้าบ้านไปแล้วจอดอีกครั้ง คนที่ก้าวลงมาจากรถเป็นหนุ่มตัวเล็ก ผิวขาวจัด ตากลมโต จมูกโด่งกับริมฝีปากจับจีบสวย ที่ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก
แปลภาษาท่าทางแบบนี้ ในแบบที่ธามันอยากจะแปลตามใจตัวเอง มันคือประโยคที่บอกว่า ‘คนเลวย่อมคู่กับคนเลว’
หนุ่มน้อยคนนั้นกลับไปแล้ว 2 คนที่ข้างบ้านก็กลับเข้าไปแล้ว แต่ใบหน้าของหนุ่มคนนั้นยังติดตาติดใจธามัน จะตกใจหรือเย้ยหยันก็น่ามอง ธามันสนใจถึงขนาดที่ติดสินบนให้ฐาติไปถามหาว่าหนุ่มคนนั้นเป็นใคร
ฐาติผู้แสนดีรีบจดรายการสินค้าแบรนด์เนมที่อยากได้มายื่นให้ บอกว่าเป็นค่าจ้างการทำงานชิ้นนี้ รวมกับนาฬิกาที่ผู้ว่าจ้างใส่อยู่ ธามันไม่ลังเลที่จะถอดนาฬิกาส่งให้เป็นการมัดจำ งานเลี้ยงยังไม่ทันเลิก ธามันก็ได้ข้อมูลของหนุ่มคนนี้มามากเกินพอ
สายวันถัดมาธามันถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักขนาดความสูง 5 ชั้นที่ตั้งอยู่ในซอยถัดจากบ้านของฐาติ
มีเวลาแค่ 2 เดือน ธามันต้องลุยอย่างเดียวเท่านั้น!!

.....
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2018 19:16:41
Kiss the snow
ตอนที่ 1

ห่างจากปากซอย 72 ไม่ถึง 20 เมตรคือที่ตั้งของอพาร์ทเม้นท์เก่าที่มีชื่อว่า ‘มีสุข’ เป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ปลูกสร้างมานานกว่า 15 ปีแล้ว แต่รูปแบบของอาคารภายนอกเหมือนหอพักรุ่นบุกเบิก จึงดูไม่ทันสมัย และใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่า ตั้งแต่การกั้นพื้นที่ด้วยรั้วโปร่งสูงแค่เอวโดยรอบบริเวณ ทิ้งพื้นที่โล่งด้านหน้าอาคารเป็นลานจอดรถ ส่วนตัวอาคารความสูง 5 ชั้น มีห้องให้พักอยู่ 40 ห้อง บันได 2 ด้าน คือ ด้านขวาสุดกับซ้ายสุดรับระเบียงยาวทอดตัวผ่านห้องพักชั้นละ 8 ห้อง จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง และไม่มีลิฟต์
ทุกห้องมีแผนผังแบบเดียวกันหมดคือขวามือของประตูคือหน้าต่างแบบบานเกร็ด ซ้อนด้วยเหล็กดัดและมุ้งลวด
ที่ต่างกันก็คือด้านในห้องพัก ที่เฉพาะชั้น 1 กับชั้นที่ 2 เป็นห้องพักโล่งแบบสตูดิโอ กับ 1 ห้องน้ำ แต่เจ้าของห้องสามารถกั้นม่านแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้เอง ส่วนชั้น 3 ถึง 5 มีการแบ่งเป็นห้องนอน 1 ห้องน้ำ แต่ห้องนอนก็มีพื้นที่เพียงพอแค่ให้วางเตียงกับตู้เสื้อผ้าได้เท่านั้น 
ที่ชั้นล่างสุดของอพาร์ทเม้นท์ ห้องหมายเลขหนึ่งเป็นห้องของป้าละเมียดกับหลานสาวที่รับจ้างซักผ้าให้กับคนทั้งอพาร์ทเม้นท์หากอยากรู้เรื่องของคนที่นี่ให้ไปถามป้าละเมียด แกรู้ดี
อีก 7 ห้องถัดไป ล้วนแต่เป็นคนขับรถรับจ้าง ทั้งสามล้อ มอเตอร์ไซค์และแท็กซี่ เรียกว่าเป็นเพียงชั้นเดียวที่มีคนพักเต็ม แล้วบรรดาคนขับรถเหล่านี้ก็มักจะจอดรถของตัวเองไว้ที่หน้าห้องพัก และทุกคืนเราจะได้ยินเสียงคนร้องตะโกนบอกให้ดับเครื่องยนต์
ส่วนชั้นอื่น ๆ ของอพาร์ทเม้นท์นี้มีคนพักไม่ถึงครึ่ง
คนดูแลหอพักคือลุงนิยมกับป้าแจ่มจิต ทั้งคู่พักอยู่ที่บ้านไม้หลังเล็กความสูง 2 ชั้นปลูกห่างจากหอพักไม่ถึง 3 เมตร หรือจะเรียกให้ถูกก็คือห่างกันแค่ช่องจอดรถปิคอัพของลุงนิยม กับราวตากผ้าของป้าแจ่มจิตเท่านั้น
ทั้งสองคนเป็นญาติทางฝ่ายพ่อของฉันท์-ฉันท์ทัต วีนิตา ไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ก็มีความไว้วางใจกันจนสามารถให้ทั้ง 2 คนช่วยดูแลอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ได้
ลุงนิยมเป็นผู้ชายตัวหนาหน้าดุ และพูดน้อย ส่วนป้าแจ่มจิตเป็นคนยิ้มหวาน ดังนั้นหากจะเจรจาขอผัดผ่อนค่าเช่า หรือ มีปัญหาน้ำไม่ไหล ไฟดับ กระจกหน้าต่างแตกต้องไปหาป้าแจ่มจิต เดี๋ยวป้าจะไปบอกลุงนิยมให้ไปซ่อม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลุงจะไปซ่อมให้
ป้าแจ่มจิตยิ้มหวานสมคำเล่าลือ เมื่อถามธาม-ธามัน ก้องเกียรติมนตรี ว่า ตอนนี้เรียนหนังสือหรือทำงานอยู่ ชายหนุ่มตอบไปว่าเรียนหนังสืออยู่ ป้ามองบัตรประชาชนของธามัน แล้วมองหน้าซ้ำ มองบัตรประชาชนอีกหน เมื่อธามันพูดภาษาไทยไม่ชัด
"ผมคนไทยจริง ๆ นะ แต่บังเอิญว่าครอบครัวผมพูดหลายภาษา ไป ๆ มา ๆ เลยเอาดีไม่ได้สักภาษา"
ป้าแจ่มจิตส่ายหน้า บอกว่า ยังไงภาษาไทยก็ภาษาแม่ควรพูดให้ชัด
“นี่” ป้ามองดูธามันชัด ๆ อีกครั้ง “จะดูห้องก่อนไหม” เพราะที่นี่เป็นอพาร์ทเม้นท์เก่า ดูจากหน้าตา การแต่งกายแล้วชายหนุ่มคนนี้เหมาะกับคอนโดฯหรู มากกว่าห้องพักในตึกเก่าแบบนี้
“ดูข้างนอกนี่ก็พอครับ ผมอยากได้ห้องเงียบ ๆ”
ในฐานะคนค้าขาย ป้าแนะนำห้องที่อยู่บนชั้น 5 ให้ด้วยเหตุผลที่ว่า ชั้น 5 มีแต่พนักงานออฟฟิศพักกันอยู่แค่ 3 ห้องจาก 8 ห้องจึงมีความเป็นสัดส่วนและปลอดภัยกว่าห้องที่อยู่ชั้นล่าง
"ยังหนุ่มอยู่ เดินขึ้นบันได 5 ชั้นไหวไหม"
"ไหวครับ"
ป้าแจ่มจิตอธิบายกฎระเบียบอีกหลายอย่าง แล้วสรุปว่า ระเบียบพวกนี้มีติดอยู่ที่ข้างบันได และที่ประตูห้องพักทุกห้องอยู่แล้ว
จากนั้น ธามันก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตามลุงนิยมไปที่ห้องพัก
ลุงนิยมเปิดประตูห้องแรกติดบันไดฝั่งซ้ายสุดให้ธามันดูก่อน จากนั้นก็เปิดประตูของห้องติดกันให้เลือก ข้างในห้องไม่ได้แตกต่างกัน ที่ต่างกันก็คือติดบันได กับไม่ติดบันไดเท่านั้น
ธามันเลือกห้องหมายเลข 2 ที่ไม่ได้ติดบันได
เมื่อลุงนิยมหันมาเห็นธามันกำลังมองสายโทรศัพท์บ้านที่ห้อยอยู่ใกล้กับประตูห้องนอน ก็ถามขึ้น "จะให้เอาโทรศัพท์บ้านเสียบให้ไหม"
ธามันคิดอยู่ 2 วินาทีแล้วบอก "ไม่ต้องก็ได้ครับผมมีโทรศัพท์มือถือ"
"แล้วหมอนกับฟูกล่ะ"
"อันนี้ขอด้วยนะครับ" ธามันยิ้มประจบ "ผมไม่ชอบนอนกระดาน"
"พวกของสำรองอยู่ห้องเบอร์ 4 เดี๋ยวไปเอามาให้"
แต่ธามันก็เดินตามลุงไปช่วยยกฟูกกับหมอน เพราะถึงลุงจะตัวใหญ่ ท่าทางแข็งแรง แต่เขาเองก็ยังหนุ่มอยู่ และถามว่า ในหอพักนี้มีนักศึกษาพักอยู่เยอะไหม ลุงก็เล่าแบบประหยัดคำพูดว่า มีที่ชั้น 3 อยู่ 2 ห้องเห็นว่าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อ เมื่อเดือนก่อนมีอีกคนอยู่ที่ชั้น 4 เคยพาเพื่อนมาที่ห้องแล้วโดนข้างห้องโวยวายเรื่องที่เสียงดัง ก็เลยย้ายออกไป
"อ้าว แล้วถ้าจะกินเหล้าละครับ"
"ก็กินข้างนอก พวกคนขับรถชั้น 1 กินเหล้ากันทั้งนั้น เขายังทำได้ แล้วอยู่กันมาหลายปีไม่มีปัญหา พวกนักศึกษาแต่ละคนมาอยู่กับไม่นาน แต่มีเรื่องมาตลอด"
นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดแล้ว ที่ธามันได้ยินจากลุงนิยม
จากนั้นเมื่อลุงออกไป ชายหนุ่มก็โทรศัพท์หาฐาติให้มารับ
10 นาทีถัดมาเมื่อฐาติจอดรถหรูที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ลุงนิยมก็เดินออกมาดูแล้วบ่นให้ได้ยิน
"ป้าพูดถูก พวกลูกคนรวยมีปัญหากับที่บ้าน"
เป็นคำบ่นที่ทำให้ฐาติหัวเราะร่วน เมื่อธามันเข้ามาอยู่ในรถ
"พวกผู้อาวุโส ประสบการณ์มาก นี่มองขาดจริงๆ ว่ามึงเป็นวัยรุ่นใจแตกหนีออกจากบ้าน"
"สัดเหอะ กูไม่ได้หนีออกจากบ้าน กูแค่มุ่งมั่น"
"มุ่งมั่นห่าอะไร มึงรู้จักน้องฉันท์แล้วหรือไง แล้วกับกูเนี่ย มึงคุยกับกู ตกลงกับกูสักคำไหม ว่าจะให้กูต้องเป็นหนังหน้าไฟให้มึง จู่ๆ ก็โทรศัพท์ให้กูมารับที่อพาร์ทเม้นท์ของน้องฉันท์ กูตกใจแทบช็อคตายมึงรู้ไหมเนี่ย" ฐาติบ่นยืดยาวเกินจริง จนคนฟังต้องรีบโบกมือ 
"ไป ๆ รีบออกรถ พากูไปดูบ้านน้องฉันท์ก่อน แล้วค่อยไปซื้อของมาใส่ห้อง"
ฐาติออกรถตามคำสั่ง แต่ก็ไม่วายบ่น "ห่าธามโคตรจะเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจเลยมึงน่ะ ทีแรกกูคิดว่ามึงจะไปดักเขาที่หน้าโรงเรียน แต่นี่มึงกลับมาเฝ้าเขาถึงหน้าบ้าน"
"ทีแรกกูกะว่าจะไปสมัครเป็นยามหรือคนสวนที่บ้านเขาน่ะ"
"จรวยเหอะ หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ คุณชายธาม มึงดูละครมากไปแล้ว"
"ก็รู้ว่าไม่ได้ไง แล้วจะไปรอเฝ้าหน้าโรงเรียนก็ไม่ได้ด้วย ถึงต้องใช้วิธีนี้"
ฐาติจอดรถที่หน้าบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปท้ายซอย ห่างจากอพาร์ทเม้นท์หลายร้อยเมตร
ตัวบ้านความสูง 2 ชั้นหลังเล็กปลูกค่อนมาทางด้านหน้า และที่ทำให้ดูเป็นบ้านที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวก็เพราะที่ดินผืนใหญ่ทางด้านหลังซึ่งเจ้าของปลูกไม้ยืนต้นไว้ห่างกัน แต่ต้นไม้เหล่านั้น ต่างสูงใหญ่ให้ร่มเงาไปทั้งพื้นที่
พื้นที่ที่ปลูกบ้าน กับแปลงที่ดินด้านหลัง ดูแปลก ๆ คล้ายแบ่งพื้นที่เป็นคนละแปลง แต่ก็เหมือนแปลงเดียวกัน เพราะไม่มีรั้วกั้น ไม้มีแนวต้นไม้
"กี่ไร่วะเนี่ย อพาร์ทเม้นท์ประมาณ 2 ไร่ก็ว่าปลูกแบบทิ้งขว้างแล้วนะ" ฐาติกวาดตามอง "บ้านหลังนี้กะดูไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ไร่ น้องฉันท์ของมึงรวยนี่หว่า"
"บ้านที่มีคนอยู่มันต้องอย่างนี้" ธามันบอกยิ้มๆ
ฐาติเองที่ยังไม่ละสายตาจากที่ดินกว้างขวาง ถามกลับอีกคน "แล้วบ้านที่ไม่มีคนอยู่เป็นแบบไหน"
"บ้านกูไง" ธามันอธิบายต่อ "บ้านหลังใหญ่ สนามกว้าง แต่ไม่มีชีวิต"
"เขาเรียกบ้านของคนทำงาน" ฐาติหันมาเถียงด้วยประโยคมองโลกในแง่ดี "ดูบ้านแล้ว แล้วไงต่อ"
"ไปซื้อของเข้าห้องสิ"
ฐาติออกรถในทันที "แล้วมึงอยู่แค่ 2 เดือนจะซื้ออะไร พ่อคนเงินเหลือใช้"
"พวกของที่มันควรมีในห้องพักสิ อย่างแรกเลยคือผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และ ผ้าเช็ดตัว"
อีกคนหันมามองหน้า "ไม่กลับไปเอาที่บ้าน"
"ไม่ละ ขี้เกียจตอบคำถามแม่"
"แล้วที่กูต้องมาตอบคำถามแม่มึงเนี่ย มึงคิดถึงกูบ้างไหมเนี่ย"
ธามันกลั้นยิ้ม ที่อีกคนแม้จะบ่นและโวยวาย แต่สุดท้ายก็ยังตามใจอยู่เหมือนเดิม "กูแค่ไปๆ มาๆ ไม่ได้มานอนที่นี่ทุกคืน แล้วถึงกูจะกลับไปแล้ว กูก็ยังไม่คืนห้อง เพราะเดี๋ยวกูก็ต้องกลับมาอีก แต่ระหว่างนี้ กูจะให้กุญแจมึงไว้ ให้ส่งคนมาทำความสะอาดให้ด้วย"
"ตกลงมึงจ่ายค่าเช่าไปกี่เดือนวะ"
"ครึ่งปี"
"อะ จ๊าก!" ฐาติร้องตะโกน "พ่อคนเงินเหลือใช้ คราวหน้าถ้าเงินเหลือจะโยนทิ้ง ก็โยนมาทางกูได้นะ ห่าเอ้ย"
"กูไม่ได้โยนทิ้ง แต่เพราะกูมีแผนอยู่ในใจ"
"แผนจีบเด็ก ต้องลงทุนขนาดนี้เชียว" ฐาติส่ายหน้า "ห่าธาม มึงคิดอะไรของมึงวะเนี่ย ลึกลับซับซ้อน มึงทำอะไรที่มันตรงไปตรงมาอย่างชาวบ้านเขาบ้างได้ไหม"
"เอาน่า" มือใหญ่ตบไหล่คนที่กำลังขับรถ "ก็อย่างที่มึงบอกแหละ ว่าตอนนี้กูยังไม่รู้จักเขา แต่ถ้ารู้จักแล้วมีอะไรที่ไม่ใช่ กูก็หยุด"
"อ้าวสัดแล้วไหมล่ะ แค่จีบเล่น ๆ ฆ่าเวลา มึงยังลงทุนขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นรักจริงหวังแต่ง มึงจะทุ่มเทขนาดไหน มึงคงซื้อหลังติดกันกับเขาแล้วย้ายมาอยู่ใกล้กันเลยละสิท่า"
"กูไม่ได้จีบเล่นฆ่าเวลา กูแค่..." ธามันพูดยิ้ม ๆ เมื่อนึกไปถึงสีหน้าของฉันท์ และที่ดินกว้างขวางหลังบ้าน 2 ชั้นหลังนั้น "ไม่รีบร้อนในการทำความรู้จักอย่างจริงจัง"
“โหย ไม่รีบร้อน อย่างนี้ยังเรียกว่าไม่รีบร้อน” ฐาติเสียดสีด้วยคำพูดและสีหน้า "มึงเป็นคนแรกเลยนะที่แค่จะทำความรู้จักเด็กนักเรียนสักคน ต้องลงทุนขนาดนี้ คนอื่นน่ะเขาก็ไปดักหน้าโรงเรียนทั้งนั้นแหละ"
"แล้วทำไมกูต้องเหมือนใคร ไหน ๆ ก็รู้บ้าน รู้กิจการของเขาแล้วก็มารอที่นี่แหละ เพราะยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน"
ฐาติมองค้อนอีกฝ่าย "กูเบื่อลูกคนรวยนิสัยเสีย"
"อ้าวเฮ้ย เวลาเจอคนถูกใจมันต้องเดินหน้าทำคะแนนสิวะ จะมัวแต่ลีลายึกยักฟุตเวิร์คไปเรื่อยๆ พอดีหมดยก แพ้ทั้งที่ไม่ได้ออกหมัดได้ไงวะ"
   
ฐาติเหลือบมองญาติผู้น้อง
...ธามันมักคิดการใหญ่เพื่อให้ได้มา แล้วก็ทิ้งไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือเรื่องของคน...ถ้าเป็นเรื่องงานมันก็ดี
กับคนอื่นที่ฐาติเคยเห็น หรือเคยได้ยินมา ฐาติคิดว่าอีกฝ่ายเขาก็โอเค เพราะว่ารู้จักชื่อเสียงของธามันมาบ้าง
แต่ถ้าเป็นเด็กคนนั้น ที่เพิ่งผิดหวังมาแล้วต้องมาเจอคนแบบธามัน ถือได้ว่าเด็กคนนี้น่าสงสารมาก...
ส่วนเรื่องที่ทำให้ธามันต้องออกจากบ้าน คือปัญหาครอบครัวที่มีความรุนแรงมาก และธามันก็ไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ เว้นแต่เจ้าตัวจะพูดขึ้นมาก่อน
“ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีคอนโดฯ หรู ห้องว่างให้อยู่ตั้งมากมาย กลับต้องมาเช่าห้องพักเก่า ๆ ในอพาร์ทเม้นท์โทรม ๆ อยู่ เพื่อจีบเด็กฆ่าเวลา” ฐาติบ่นไปเรื่อยไม่รอให้ญาติผู้น้องอธิบายก็บ่นเรื่องที่ต้องซื้อของมากมายมาเข้าห้อง แต่เมื่อขนของขึ้นมาถึงชั้น 5 แล้วเห็นห้องพักกลับออกปากชื่นชม หายเหนื่อย
เพราะแม้ว่าเวลาที่ดูภายนอกจะทรุดโทรม ไม่น่าอยู่ก็จริง แต่ภายในห้องกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"หายากนะโว้ยอพาร์ทเม้นท์ที่แบ่งห้องแบบนี้น่ะ" ฐาติวางของที่ซื้อมาไว้กลางห้องพัก แล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอน ลืมไปหมดแล้วว่าบ่นอะไรไว้เมื่อ 10 นาทีก่อน "รวมพื้นที่ทั้งห้องนี้ถึงจะเล็กกว่าห้องน้ำบ้านมึงก็จริง แต่ก็สะอาดมากเลยนะ มึงดูดิข้างนอกไม่แจ่ม แต่ข้างในแจ่มฝุด ๆ"
"ลุงนิยมแกคอยซ่อม แล้วก็ทำความสะอาดเป็นระยะ ทีแรกแกให้กูเลือกว่าจะเอาห้องนี้หรือห้องที่ติดบันได แต่กูเลือกห้องนี้"
ธามันบอกพลางจัดของเข้าที่ ไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ "เขาขายเบียร์กี่โมงนะ"
"5 โมงเย็น" ฐาติบอกขณะที่ปูที่นอน จัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แต่เมื่อเดินออกมา ก็เห็นว่าธามันยืนอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าห้องกำลังมองลงไปที่ด้านหน้าของอพาร์ทเม้นท์ แล้วละสายตาหันกลับมามองฐาติที่เดินตามออกมา
"มึงจัดห้องเสร็จแล้วหรือ"
"เสร็จแล้วขอรับเจ้านาย เจ้านายมีอะไรให้ผู้น้อยรับใช้อีกไหมขอรับ"
"คิดว่าไม่ เดี๋ยวกูกลับบ้านไปเปลี่ยนเอารถเล็กมาคอยรับส่งน้อง แล้วคืนนี้กูนอนนี่"
ฐาติฟังแผนของธามแล้วต้องพยักหน้าให้กับตัวเอง
...ไอ้หมอนี่มันเป็นนักวางแผนจริง ๆ
"ธาม มึงชอบน้องเขาจริง ๆ หรือเปล่า"
"กูลงทุนไปขนาดนี้ มึงยังสงสัยอะไรอีกวะ"
"สงสัยสิ" ฐาติตอบตรงเสมอ "กูรู้สึกเหมือนมึงกำลังเล่นเกมอยู่ เขาเพิ่งผิดหวังมามึงก็เห็น ถ้าไม่ได้คิดจะจริงจังกับเขา ก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
"อะไรของมึงวะ" ธามันหันมามอง "มึงรู้จักเขาหรือไง"
"เคยเห็นตอนที่เขามาหาน้องแก้วตา เพื่อนเขาที่อยู่บ้านติดกับกูไง แล้วมึงก็มาอยู่เมืองไทยแค่ 2 เดือน ยังต้องไปนั่นไปนี่กับแม่ของมึงอีก แล้วพอมึงกลับไป..." พูดยังไม่ทันจะจบประโยคฐาติก็ยักไหล่ "เออจริงสินะแค่ 2 เดือนเขาคงยังไม่ทันจะชอบมึงหรอก"
"แล้วมึงจะรู้ว่า ไม่ต้องถึงเดือนนึง เขาก็จะลืมแฟนเก่าแล้วมาชอบกู ส่วนเรื่องหลังจากที่กูกลับไป มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลิกคบกันนี่หว่า"
เพราะรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี รู้จักกันมาเท่ากับอายุตัว ทำให้ฐาติมั่นใจว่าธามันจะทำให้ฉันท์ชอบได้ภายในเวลาที่บอกไว้ และก็เชื่อเช่นกันว่า หลังจากนั้น ทั้ง 2 คนก็จะต่างคนต่างแยกกันไป
...ก็วัยรุ่น จะอะไรกับความรักมากมาย...
แต่เด็กคนนั้นก็ยังน่าสงสารอยู่ดี

บ่ายจัดธามันลงมาเตร็ดเตร่อยู่แถวห้องพักชั้นล่าง เพื่อทำความรู้จักกับป้าละเมียดแห่งร้านซักรีดประจำอพาร์ทเม้นท์ เรื่อยไปจนถึงบรรดาแม่บ้านกลุ่มคนขับรถสามล้อ แท็กซี่ จนเกือบห้าโมงเย็นหนุ่มนักเรียนถึงได้เดินเข้ามาที่บ้านป้าแจ่มจิต
แม้ขั้นตอนในการเข้ามาอยู่ในวงโคจรอีกคนจะดูยุ่งยากจนเกินความจำเป็น แต่เมื่อมาถึงขั้นตอนการทำความรู้จักกลับเรียบง่าย เพราะเมื่อฉันท์มาถึงก็สวัสดีลุงกับป้าที่หน้าบ้านหลังเล็กแล้วเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีธามันเดินตามเข้าไปยิ้มทัก แล้วแนะนำตัว
"พี่ชื่อธามครับ เพิ่งมาพักวันนี้"
ฉันท์ดูงงไปชั่ววินาที ที่เห็นคนเช่าห้องพักเข้ามาแนะนำตัว  "สวัสดีครับ ฉันท์ครับ"
ป้ารีบบอก "พ่อคนนี้เขานิสัยดี เห็นเดินคุยกับทุกห้องเลย"
ธามันยิ้มกว้าง แต่อีกคนยิ้มแค่มุมปาก แล้วหันไปถามลุงกับป้าว่า จะให้ไปซื้อของอะไรที่ตลาดหรือไม่ ป้าเลยจดของที่ต้องซื้อจากร้านสะดวกซื้อมาให้ ทำให้ลุงบ่น
"ฉันอยู่บ้านทั้งวันไม่ให้ไปซื้อของ พอหลานกลับมาถึงก็ใช้หลาน"
"อ้าว ก็พอดีฉันนึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อวานเจ้าฉันท์บอกว่าอยากกินยำทูน่าก็เลยว่าจะทำให้มื้อเย็นนี้” ป้าหันมาบอกกับหลานอีกที "คืนนี้พ่อกับแม่เขามีงาน เจ้าฉันท์กินข้าวกับป้าแล้วค่อยเข้าบ้านนะลูก"
"ฮะ"
ฉันท์ตอบป้าแล้วเดินออกมา ธามันก็เดินตามมาด้วย แล้วเร่งเท้าขึ้นมาเดินคู่กัน แม้ประโยคเริ่มต้นจะเป็นเรื่องทั่วไป เพราะฉันท์ไม่ได้พูดแนะนำอะไร
โดยทั่วไปเจ้าของบ้านเขามักจะแนะนำคนที่มาใหม่ว่าแถวนี้มีอะไรบ้าง เซเว่นแถวนี้มีกี่ร้าน ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยอยู่ตรงไหน หรือร้านผลไม้ราคาถูก แต่ฉันท์ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น เพราะดูครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งธามันรู้ว่าฉันท์กำลังคิดอะไร
เมื่อฉันท์จ่ายเงินซื้อของตามที่ป้าจดมาให้ ธามันก็ช่วยถือถุง ฉันท์พูดขอบคุณจะยื้อถือไว้เองแต่เมื่อธามันรั้งถุงไว้ เด็กนักเรียนก็ปล่อยให้ถือ จากนั้นธามันก็ชวนแวะซื้อขนมโตเกียวจากรถเข็นข้างทาง
ธามันส่งขนมโตเกียวใส้รวมขนาดใหญ่พิเศษให้ฉันท์  "ชั่วโมงนี้พี่ยังเป็นคนแปลกหน้า แต่ถ้าน้องอยากรู้จักพี่บ้าง พี่ก็ยินดี" อย่าว่าแต่น้องนักเรียนจะไม่เข้าใจไอ้ประโยคน้ำเน่านี่เลย ธามันที่เป็นคนพูดก็ยังงงตัวเอง ว่าพูดอะไรออกไป
รู้แต่ว่ามันเชยมาก..
ธามันตั้งสติแนะนำตัวเองอีกครั้ง "ชื่อธามครับ พี่อยู่ที่กรุงเทพฯนี่แหละ แต่ตอนนี้เรียนอยู่อเมริกา พี่แวะกลับมาเยี่ยมญาติที่นี่ แล้วอีก 2 เดือนก็จะกลับไปเรียนต่อ"
นี่เป็นเรื่องที่ฉันท์รู้ตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้านแล้ว และเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกเครียดเพราะตนเองนิ่งเกินไป แต่เพราะยังไม่รู้ว่าควรตอบกลับกลับไปว่าอะไรก็เลยพยักหน้ารับรู้แล้วจะเดินต่อ แต่ธามันก้าวไปดักข้างหน้า
"เมื่อวันก่อน พี่เห็นน้องฉันท์ บอกตามตรงว่าพี่ชอบ ก็เลยให้เพื่อนช่วยหาให้ว่าน้องอยู่ที่ไหน พี่ก็เลยตามมา เพราะอยากรู้จัก"
หนุ่มนักเรียนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม พี่เลยต้องรีบอธิบาย
"คือ พี่รู้ว่ามันดูแปลกๆ แต่พี่อยากทำความรู้จัก ไม่ใช่ พี่อยากให้น้องฉันท์รู้จักพี่ คือ พี่อยากขอคบกับน้องฉันท์น่ะ"
เป็นการเปิดตัวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จับต้นชนปลายไม่ถูก ดูเป็นมือใหม่ที่ไม่ชำนาญเรื่องความรัก แต่ธามันรู้ว่าวิธีนี้ได้ผลดีกว่าการทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ
หนุ่มนักเรียนดูตกใจ แปลกใจแบบแปลก ๆ เพราะมีอาการหน้าแดงเรื่ออยู่วูบหนึ่งแล้วก็กลับเป็นลังเล มือขาว ๆ เกาที่ต้นคอ แล้วก็ถอนหายใจ
"น้องฉันท์ ค่อย ๆ ทำความรู้จักพี่ก่อนก็ได้"
ธามันกำลังทำตัวเป็นสินค้าตัวอย่าง ประเภททดลองใช้ก่อนสักสองเดือน ไม่พอใจยินดีคืนเงิน
"ขอโทษนะฮะ ผมยังไม่พร้อม"
นี่เป็นคำตอบที่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว  "ไม่เป็นไรครับ นี่เบอร์โทรพี่ อีเมล ไอดีไลน์ อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ พร้อมเฟซบุ๊ก"  มือใหญ่ส่งกระดาษชิ้นเล็กที่เตรียมมาพร้อม "เฟซบุ๊กนี่ไม่ค่อยได้อัพเดทอะไรสักเท่าไหร่ ส่วนไอดีไลน์ คิดว่าพี่กลับไปก็คงติดต่อกันไม่ได้ แต่น้องฉันท์สามารถตรวจสอบประวัติพี่ได้ทุกอย่าง ตอบทุกคำถามครับ"
คราวนี้ฉันท์ตั้งสติได้แล้ว รับกระดาษมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ พอมาถึงก็เปิดแทปเล็ต ตรวจประวัติต่อหน้าพี่ที่นั่งตัวตรงรอตอบคำถามอย่างตั้งใจ โดยมีลุงวินัยกำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ
ท่าทางคงอยากรู้ว่าสองคนนี้กำลังคุยอะไรกัน
ภาพการใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ดูไม่ค่อยหวือหวาสักเท่าไหร่ ฉันท์มองรูปและวันเวลาที่โพสต์ภาพแล้วอมยิ้มเล็ก ๆ
ธามันไม่ใช่คนที่ยึดติดกับสื่อสังคมออนไลน์ เพราะนี่คือช่องทางสำหรับการเผยแพร่สิ่งที่ตนเองอยากให้คนอื่นรู้ ซึ่งมันก็จะมีหลายอย่างที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง
"เล่าเรื่องที่ไม่มีอยู่ในสื่อสังคมให้ผมฟังดีกว่าไหมฮะ"
"เรื่องไหนล่ะ" ธามันมีท่าทีกระตือรือร้น
"เวลาว่างพี่ทำอะไร" ฉันท์เจตนาตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องที่ฉันท์ไม่ได้คิดที่จะตั้งใจฟัง แค่อยากให้เขาเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ให้วันนี้ผ่านไปโดยไม่ต้องตอบคำถามลุงกับป้า และไม่ให้วันนี้เงียบเงาจนเกินไปนัก...
....
ตอนที่เป็นเด็กมีคนบอกฉันท์อยู่บ่อยๆ ว่าเป็นคนหน้าตาดี ตอนนั้นมักยิ้มเขิน แต่พอนานไปกลับไม่รู้สึกภูมิใจ เพราะเมื่อโตขึ้นประโยคที่ตามมาหลังคำชมก็มักจะเป็นคำวิจารณ์ ว่าคนหน้าตาแบบนี้น่าจะมีนิสัยร่าเริง น่ารัก อ่อนโยน ซึ่งในความเป็นจริง ฉันท์ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ฉันท์ยิ้มง่าย พูดเพราะ แต่ยิ้มน้อย และพูดน้อย ค่อนข้างเงียบ เก็บตัว ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวทั้งหากจะมีใครพูดเรื่องส่วนตัวฉันท์ก็จะเดินหนี
ยกตัวอย่างเวลาที่เจอกับผู้ใหญ่ฉันท์จะยกมือไหว้ก่อน แต่ถ้าอีกฝ่ายถามว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง กินข้าวมาหรือยัง หรือเรียนชั้นไหนแล้ว ฉันท์ก็จะยิ้มด้วยองศาเดิมแล้วเดินหนี
คนที่ชมก็เลยมักมีประโยคต่อท้าย ว่าน่าเสียดายที่ค่อนข้างหยิ่ง
ฉันท์ก็เสียดายเหมือนกัน
เสียดายที่เสียเวลาไปกับคนที่ตัดสินคนอื่นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที
เพราะฉันท์ไม่ได้หยิ่ง แต่คิดว่าคำถามแบบนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือตอบไปแล้วคนถามก็จำไม่ได้ เจอกันวันพรุ่งนี้ก็ถามอีก แล้วจะตอบไปทำไม
....
เลิกเรียนวันนี้ มีคนมารออยู่ที่หน้าโรงเรียน
ผู้ชายคนที่เข้ามาแนะนำตัวเมื่อวาน ว่าเป็นผู้เช่าห้องคนใหม่
เป็นคนที่ใบหน้าคมเข้ม จัดว่าหล่อมาก ยิ่งด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางมั่นใจ รอยยิ้มกว้างยิ่งทำให้ดึงดูดสายตามากกว่าเดิม
ผู้ชายคนนี้แปลก เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อวานนี้ แต่กลับทำตัวสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน
ที่แปลกมากกว่าก็คือ เขาทำเหมือนกับว่า การบอกผู้ชายอีกคนว่าชอบ ขอคบหาเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ชอบก็คือชอบ ชอบแล้วก็เข้าหาทันที
คนแบบนี้ ในวันที่เขาไม่ชอบ เขาก็คงไปทันทีเหมือนกัน...

ฉันท์หยุดยืนมองคนที่กำลังโบกมือทักทายมาจากหน้าโรงเรียน
ได้ยินเสียงเพื่อน และรุ่นน้องในโรงเรียนที่หันไปถามกันว่านั่นคือใคร มารอใคร
แต่ฉันท์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะตื่นเต้นไปด้วย
คงเพราะเพิ่งเกิดเรื่องที่ไม่น่าจดจำเมื่อวันก่อน และในสมองเวลานี้ก็มีเรื่องที่กำลังคิดอยู่มากมายหลายเรื่อง
สุดท้าย หนุ่มตัวผอมก็แค่เดินผ่านไป โดยที่อีกคนเดินตามมา
"น้องฉันท์ จะไปไหน พี่จอดรถไว้ตรงโน้นแน่ะ"
ฉันท์ไม่ได้มองว่ารถจอดอยู่ที่ไหน แต่กลับเดินตรงไปที่สถานีรถไฟฟ้า
"น้องฉันท์ครับ ดีกันนะ"
คนที่เดินตามมาพูดเสียงดังฟังชัด จนเพื่อนนักเรียนคนอื่นพากันอมยิ้ม
แต่ฉันท์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น ในทางตรงข้าม ตลอดเวลา 1 วันในโรงเรียน ที่แสดงท่าทีเฉยเมยใส่คนคู่นั้น  ภายในใจยิ่งนานยิ่งเหน็ดเหนื่อย ต่อให้มีใครคนหนึ่งมายืนยิ้มกว้างอยู่ข้างหน้า และพูดนั่นนี่มากมาย ใจก็ยังเหนื่อยล้า ว่างเปล่า จนกระทั่งหันไปเห็นว่าคนคู่นั้นเดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกัน ฉันท์ถึงได้หันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า
"ไปกินไอ’ติมกันไหมครับ" คนรูปหล่อถามขึ้นทันทีพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม
ฉันท์พยักหน้าง่าย ๆ แล้วเดินตามไปที่อาคารจอดรถที่อยู่อีกฝั่งของโรงเรียน
ที่จริงก็สงสัยนะ ว่าโกรธกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ทำให้พอจะรู้ว่านี่อาจเป็นแค่การเรียกร้องความสนใจ แถมนี่ยังยืนอยู่หน้าโรงเรียน ฉันท์ก็เลยต้องคล้อยตามสถานการณ์ไปก่อน
จะว่าไปอาการที่ฉันท์เป็นอยู่ตอนนี้ ทำให้ธามันนึกเป็นห่วง ว่าหากไปพบเจอกับคนไม่ดีที่คิดฉวยโอกาส จะเกิดอะไรขึ้น เพราะหนุ่มหน้าหวานคนนี้ออกอาการไม่พูดอะไรก็จริง แต่บอกให้ไปไหนก็ไป ให้ทำอะไรก็ทำ ชวนมาร้านไอศกรีมก็มา มาถึงก็นั่งมองเมนูในมือ แต่พออีกคนชี้ชวนว่า ไอศกรีมเมนูนี้น่าทาน หนุ่มน้อยก็พยักหน้าสั่งเมนูนั้นทันที หลังจากนั้นก็หันออกไปมองข้างนอกร้าน
...อาการอกหักแบบนี้มันน่าเป็นห่วง...
"น้องฉันท์ครับ วันนี้เรียนพิเศษกี่โมง"
หนุ่มหน้าหวานมีอาการสะดุ้งเมื่ออีกคนพูดขึ้นมา จากนั้นก็มองนาฬิกาข้อมือ "อีกชั่วโมงนึง"
"งั้นทานเสร็จพี่ไปส่งแล้วรอรับกลับนะครับ"
จนกระทั่งออกมาจากร้านไอศกรีม ฉันท์ถึงได้มองอีกฝ่ายเต็มตา "พี่...ชื่ออะไรนะ"
"ธามครับ"
เมื่อวานเพิ่งแนะนำตัวไป แล้วก็ได้พูดคุยกันหลายคำเหมือนกัน
...ไม่น่าจะจำไม่ได้นะ...
"พี่ธาม อย่าเสียเวลาเลยฮะ"
"ไม่เสียเวลานี่ เพราะพี่เองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ทั้งไม่มีแฟนด้วย ดังนั้นการมาตามน้องฉันท์จึงเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุด" ธามันมั่นใจว่า มุกตลกฝืด ๆ นี้จะสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้
แต่ที่ได้มาคือยิ้มมุมปากฝืนๆ พอกัน
"พี่ธาม..."
"นะครับ พี่จะรออยู่หน้ากวดวิชา รับรองว่าเลิกเรียนออกมาจะเห็นพี่รออยู่"
....

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2018 19:18:51
แล้วตอนที่เลิกเรียนออกมา ธามันยังรออยู่จริงๆ
...คนนี้ก็ดีนะ...
เมื่อตามองเห็นคนที่คอยอยู่ และใจเริ่มคิดว่าคนนี้ดี รอยยิ้มก็ตามมาเอง
แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แต่สำหรับธามันแล้ว รอยยิ้มของฉันท์เปรียบเสมือนอีกก้าวที่ไปสู่เป้าหมาย แต่รอยยิ้มนั้นก็กลับหายไปอีกครั้ง เมื่อนักเรียนชายอีกคนหนึ่งเดินตามมาเรียกไว้
ก็คนที่ธามันเห็นว่าอยู่กับแก้วตาที่บ้านหลังติดกันกับบ้านฐาตินั่นแหละ
"ฉันท์ คุยกันหน่อยได้ไหม"
ฉันท์ไม่ได้หันไปมอง ทำท่าว่าไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไร ดวงตาคู่สวยยังคงมองมาที่ธามัน
นี่เป็นอาการพื้นฐานของคนที่ยังทำใจไม่ได้
จากสถานการณ์ที่รับรู้มาตลอด ธามันเดินเข้าไปรับกระเป๋านักเรียนของฉันท์แล้วก็จับมือที่เย็นเฉียบไว้ พาเดินออกมาเฉย ๆ ปล่อยให้คนที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันท์ได้แต่ยืนมองตามหลัง

หนุ่มตัวเล็กยังคงเงียบมาตลอดทาง จนกระทั่งธามันจอดรถที่หน้าบ้าน ถึงได้หันมามองหน้า
"พี่รู้จักบ้านผมด้วย"
"ก็" ธามันหงายมือ "พี่ชอบน้องฉันท์ เพื่อให้น้องฉันท์มองพี่บ้างก็เลยไปพูดกับคนนั้น ถามคนนี้มานิดหน่อย"
"งั้น...พี่รู้เรื่องคนที่เรียกผมที่หน้าโรงเรียนวันนี้หรือเปล่าฮะ"
"พอจะรู้มาบ้าง ว่าน้องฉันท์เพิ่งจะผิดหวังมา" นายธามันไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
ฉันท์พยักหน้า "งั้น พี่ก็น่าจะเข้าใจ ว่าผมยังงง ๆ อยู่"
ธามันยิ้มอ่อนโยนแบบพี่ชายแสนดี "พี่บอกน้องฉันท์แล้ว ว่าไม่เป็นไร ระหว่างนี้พี่แค่ขอไปรับไปส่ง รับพี่ไว้พิจารณาสักคนนะครับ"
"พี่ฮะ" ฉันท์พยายามอีกครั้ง "ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลา"
"การที่เราทำความรู้จักกัน ต่อให้สุดท้ายเราเป็นพี่น้อง หรือเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้ามีคนที่เราสามารถวางใจได้เพิ่มมาอีกคน จะเป็นเรื่องเสียเวลาได้ไง" นายธามันคนนี้ก็ช่างพยายามจีบน้องฉันท์จนใกล้จะกลายเป็นคนหน้าด้านเข้าไปทุกที
"คือ...."
"นะครับ ตอนเช้า ตอนเย็น พี่ขอขับรถรับส่งพาน้องไปกินข้าว ไปเรียนพิเศษ แล้วน้องฉันท์จะวางพี่ไว้ที่ตำแหน่งไหนก็แล้วแต่น้องฉันท์นะครับ"
ดวงตาคู่สวยยังดูลังเล แต่ก็พยักหน้าตอบรับอีกครั้ง
แต่เมื่อฉันท์จะลงจากรถ ธามันก็นัดเวลาที่จะมารับตอนเช้าอีกครั้ง
แล้วฉันท์ก็พยักหน้ารับอีกครั้งเช่นกัน

ธามันนั่งยิ้มมองตามแผ่นหลังของเด็กนักเรียนที่เดินเข้าบ้านไป
"หัวอ่อนว่าง่ายกว่าที่คิด แบบนี้จีบไม่ยาก"
เสียงหัวเราะของคนที่อยู่ในรถช่างตรงข้ามกับรอยยิ้มกว้าง และน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มมองบ้านหลังเล็กในที่ดินแปลงใหญ่
ตอนแรกที่เห็นที่ดินแปลงนี้ ธามันมองเห็นที่ดินแปลงใหญ่ที่ถูกเจ้าของละทิ้ง
บ้านของฉันท์อยู่ท้ายซอยก็จริง แต่ตัวบ้านตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของถนน บ้านหลังที่อยู่ถัดขึ้นมาก็อยู่ห่างจากบ้านของฉันท์เกือบ 10 เมตร ส่วนพื้นที่หลังบ้านของฉันท์แต่ถัดจากแนวรั้วออกไปคือที่ดินว่างกับถนนที่ทอดยาว ต่อเนื่องไปสะพานข้ามคลองที่เชื่อมไปหาซอยลัดอีกฝั่งของถนน แต่ส่วนที่มองเห็นว่าเป็นที่ดินของบ้านหลังนี้คือสวนผลไม้กว้างขวาง เป็นรูปตัวยูอ้อมปิดท้ายซอยมายังอีกด้านของถนน ดังนั้นบ้านของฉันท์และบ้านหลังถัดขึ้นมาจึงไม่มีบ้านฝั่งตรงข้าม
เมื่อนั่งอยู่ในรถ ธามันมองเห็นโครงการคอนโดฯ สูงริมน้ำ ในบรรยากาสสงบเงียบ
แต่ในตอนที่หันมามองแผ่นหลังบางที่เดินเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ชายหนุ่มรู้สึกอยากรักษาบ้านหลังนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ให้คงอยู่ต่อไปนาน ๆ
ฉันท์เดินเข้าบ้านเห็นว่าพ่อยังดูโทรทัศน์ และแม่ยังอยู่ในครัว ภาพครอบครัวที่เห็นอยู่ทุกวันเช้าเย็น
"กินข้าวหรือยัง" พ่อทักขึ้นก่อน ส่วนแม่ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นก็เดินออกมาจากครัว เพื่อที่จะถามด้วยประโยคเดียวกัน
"ยังฮะ"
"งั้นไปล้างมือเลย โอกาซังอุ่นแกงจืดแป๊บเดียว" แม่หันกลับเข้าไปในครัวทันที เสร็จแล้วก็มานั่งเท้าคาง ถามและคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบวัน
นี่ก็เป็นภาพที่พบเห็นอยู่ทุกวันเหมือนกัน
ฉันท์มองแม่แล้วหันไปมองพ่อที่ถึงแม้ตาจะมองภาพในโทรทัศน์ โดยที่มีหนังสือพิมพ์วางอยู่บนตัก แต่อาการเอียงหน้ามาฟังแม่ลูกคุยกันทำให้ฉันท์ต้องอมยิ้ม
"ชิรายูกิ ไปเรียนพิเศษ มีเพื่อนใหม่บ้างหรือเปล่า" แม่มักบ่นที่ฉันท์ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่เสมอ "ชิรายูกิไม่พาเพื่อนมาบ้านเลย โอกาซังเป็นห่วงนะ"
"ใกล้จะสอบกันแล้ว เลิกเรียนก็กลับบ้านไปอ่านหนังสือสอบ เดี๋ยวสอบเสร็จจะพามาเที่ยวละกัน" ฉันท์ตอบไปทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะชวนใครมาบ้าน
ทุกครั้งที่คิดถึงเพื่อนที่โรงเรียน ก็จะคิดไปถึง 2 คนนั้น ทั้งบางครั้งใจก็ยังคิดพาลไปว่าต้องมีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันที่รู้เรื่องนี้แล้วช่วยกันปิดบัง
ฉันท์หลับตา ใช้ข้อมือกระแทกหน้าผากตัวเองเบาๆ ทำให้แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
"ปวดหัวหรือ เรียนหนักใช่ไหม ไม่ต้องเครียดนะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" แม่พูดต่อเนื่องจนพ่อต้องแทรกขึ้น
"ก็โอกาซังถามนั่น ถามนี่ไม่หยุด"
"ไม่ฮะ ไม่ใช่โอกาซังหรอกฮะ คิด...เอ่อ...เพิ่งคิดได้ว่ามีรายงานต้องส่งพรุ่งนี้น่ะฮะ"
"อ้าว" ทั้งพ่อและแม่ร้องขึ้นพร้อมกันแล้วเร่งให้รีบกินข้าวแล้วไปทำรายงาน
“ถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเครียด”
พ่อกับแม่ไม่ได้รู้เลยว่า ที่ลูกชายคนนี้เครียดอยู่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรายงานหรือเรื่องสอบเลยสักนิด
“พ่อฮะ โอกาซัง พรุ่งนี้เช้ากินข้าวต้มซี่โครงหมูกันไหม”
พ่อยิ้มกว้าง “เจ้าฉันท์จะทำหรือ”
แม่แตะแขนลูกชายเบา ๆ “ชิรายูกิโชว์ฝีมือวันเสาร์ อาทิตย์ดีกว่า พรุ่งนี้โอกาซังทำเอง”
“จะใครทำพ่อก็ชอบทั้งนั้นแหละ” พ่อหัวเราะ เพราะจะแม่หรือลูกเป็นคนทำ ก็เป็นสูตรข้าวต้มสูตรเดียวกันนั่นเอง
....
เช้าวันถัดมา ธามันก็มาจอดรถรออยู่หน้าบ้านตั้งแต่เช้า พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
"วันนี้พี่ไม่มีธุระหรือฮะ" ฉันท์ถามกว้าง ๆ
"มีครับ ส่งน้องฉันท์เสร็จแล้วพี่จะต้องไปธุระกับแม่ แต่ตอนเย็นจะกลับมารับน้องฉันท์ที่โรงเรียนทันเวลาแน่นอน" ธามันใส่ท่าทางประกอบคำพูดจนฉันท์ต้องยิ้มขำ
"ไม่ต้องมารับมาส่งกันทุกวันหรอกฮะ เราเพิ่งรู้จักกันเอง"
"ไม่ได้หรอก พี่ต้องเร่งทำคะแนนสิ"
ฉันท์หันมามอง "ทำไมล่ะฮะ พี่จะรีบไปไหนหรือฮะ" ฉันท์ลืมไปแล้วว่าเมื่อวานพี่บอกอะไรไปบ้าง
"เปล่า" ธามันโกหก "ก็เมื่อวานเราเพิ่งคุยกันไง ว่าพี่ขอได้รับได้ส่ง แต่พอพี่กลับไปถึงบ้าน พี่ก็คิดว่าเราทำความรู้จักกันช้าไปนิด"
"ฮะ" ฉันท์หันไปมองนอกรถ แล้วกลับไปนั่งเงียบๆ ถามคำตอบคำเหมือนเดิม จนกระทั่งใกล้จะถึงโรงเรียน ฉันท์ก็บอกให้จอดที่หน้าร้านถ่ายเอกสาร
“ผมต้องเอารายงานไปเย็บเล่มน่ะฮะ พี่จอดส่งผมก็พอ ไม่ต้องลงไปด้วยหรอก”
“งั้นตอนเย็นพี่มารับเหมือนเดิมนะ”
“ไม่ต้องก็ได้ฮะ”
ธามันยังคงยิ้มแบบพี่ชายใจดีอีกครั้ง

วงจรชีวิตกลับมาเหมือนเดิมในตอนที่เดินเข้าห้องเรียน แล้วเห็นคนคู่นั้น
เมื่อไหร่อาการแบบนี้จะหายไปสักทีนะ ทันทีที่เห็นทั้งสมองและหัวใจก็จะรู้สึกหนัก พาลไม่รู้จะพูดจะคุยอะไร เข้าเรียนก็ได้แต่นั่งเรียนไปตามหน้าที่ บังคับตาตัวเองไม่ให้หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียก มองไม่เห็นน้ำดื่มที่คนนั้นเอามาวางไว้ให้
สักวันสมองและหัวใจจะต้องดีกว่านี้
ฉันท์เชื่ออย่างนั้น
และเมื่อเลิกเรียน เห็นธามันมายืนรออยู่ที่หน้าโรงเรียน ฉันท์ก็คลี่ยิ้มขณะที่เดินเข้าไปหา
"หิวไหมครับ"
ฉันท์ส่ายหน้า "บอกว่าไม่ต้องมารับก็ได้"
"ก็อยากมา" ธามันตอบขณะที่แย่งกระเป๋านักเรียนไปถือให้ "วันนี้กินอะไรดี"
คนตัวเล็กอมยิ้มขณะที่ยังคงส่ายหน้าอยู่เหมือนเดิม "ไม่รู้"
"แล้วทุกวันก่อนที่จะไปเรียนน้องฉันท์จะกินอะไร"
ฉันท์มองหน้าอีกคนแล้วส่ายหน้าเป็นครั้งที่สาม "พี่กินร้านนั้นไม่ได้หรอก"
"รู้ได้ไง พี่น่ะกินง่าย กินได้ทุกอย่างเลยนะ"
"จริงหรือ"
"จริงสิ"
ฉันท์ชี้ไปที่แผงข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียน "กินอันนั้นน่ะ"
ธามันหันไปมองตามมือ "หมูปิ้งหรือ"
"ฮื่อ" คนตัวเล็กพยักหน้า "กินแล้วก็ไปเรียน เพราะเดี๋ยวถึงบ้านก็กินอีกรอบ"
ธามันมองหมูปิ้งแล้วหันมามองฉันท์ ก็รู้อยู่หรอกว่าข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียน คืออาหารจานด่วนของหลาย ๆ คน เพียงแต่ใบหน้าหวาน ๆ ของฉันท์ มันไม่เข้ากับหมูปิ้งสีเข้มนี่สักเท่าไหร่
เงียบไปนาน คนที่ถูกมองจึงถามขึ้น "กินได้ไหมฮะ"
"ได้สิ" ธามันหยิบกระเป๋าสตางค์ "ซื้อไปกินในรถละกันนะ"
ขณะที่ยืนอยู่ข้างกัน คนที่ไม่อยากรับรู้ว่ามีตัวตนอยู่ก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ "กินหมูปิ้งหรือฉันท์"
ฉันท์มองตรงไปข้างหน้าไม่ได้ตอบคำถาม
ข้อดีก็คือขณะที่ธามันจำหนุ่มคนนี้ได้ รวมถึงนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั่นด้วยแต่ไม่มีวี่แววว่าหนุ่มคนนี้จะจำธามันได้เลยสักนิด
ก็แน่ละ ตอนนั้นสถานการณ์มันคือการถูกจับได้ว่าแอบกินกันลับหลัง ใครจะมีตาไปมองผู้ชมที่ยืนอยู่ข้างบ้าน
ที่จริงธามันควรดีใจที่ทั้ง 2 คนทำแบบนั้น เพราะทำให้ตนเองสามารถเข้ามาทำความรู้จักกับน้องได้ แต่เพราะทันทีที่ 2 คนนี้เดินเข้ามาทัก น้องที่กำลังอารมณ์ดีก็กลับกลายเป็นเงียบขรึมในทันที
ธามันรู้สึกไม่ชอบ 2 คนนี้อย่างจริงจัง
.*-*-*.
กวางเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม พ่อเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์วิน ส่วนแม่ขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ใกล้กับวินแล้วก็ยังมีพี่ชายพี่สาวอีก 5 คน กวางไม่อยากโตขึ้นแล้วต้องขับรถอย่างพ่อ ส่วนเรื่องขายลูกชิ้นปิ้ง กวางชอบเฉพาะตอนเย็นที่ลูกค้ามาเข้าแถวรอซื้อของ ส่วนเวลาอื่นที่แม่นั่งเท้าคางมองลูกค้าเดินผ่านร้าน กวางไม่ชอบเลย แต่ที่ชอบมากที่สุดก็คือตอนที่พี่ฉันท์เดินผ่านร้าน ดังนั้นถ้าหลายวันผ่านไปแล้วไม่เห็นพี่ฉันท์เดินผ่านร้าน กวางจะเสนอหน้ามาหาพี่ฉันท์ที่อพาร์ทเม้นท์เสียเอง
ถ้าพี่ฉันท์อยู่ กวางก็จะถามอย่างตรงไปตรงมา
"พี่กินลูกชิ้นปิ้งไหม อยากกินผลไม้หรือเปล่า หรือจะเอาน้ำอัดลม หนูไปซื้อให้"
พี่ฉันท์คนใจดี ถึงแม้จะมีดวงตาเศร้า พูดน้อย และถึงจะไม่อยากกิน ก็จะบอกว่าอยากกิน ให้เงินให้ไปซื้อของ พอกลับมาก็แถมเงินให้อีก 5 บาทเป็นค่าเหนื่อย กวางรับเงินแน่นอนบอกเลย เพราะว่าเป็นเงินที่พี่ฉันท์ให้มา แต่ถ้าไปหาแล้วพี่ฉันท์ไม่อยู่ ลุงวินัยกับป้าแจ่มจิตจะวานให้กวางไปซื้อของน่ะหรือ
"หนูคิด 10 บาทนะ"
"อะไรของมึงวะ ทีกูคิด 10 บาท" ลุงวินัยบ่นยิ้มๆ เงื้อมะเหงก อยากเขกหัวไอ้เด็กประถมโรงเรียนกทม.คนนี้สักที
"ก็ลุงกับป้าชอบลืม พอไปซื้อมาให้ปุ๊บ หนูต้องกลับไปซื้อของอีกรอบทุกที งั้นก็คิดเลยทีเดียว จะวิ่ง 1 รอบหรือ 3 รอบหนูก็คิดราคาเดียวแหละ"
ป้าแจ่มจิตใจดี ส่งเงินให้พร้อมกับกระดาษจดของที่ต้องซื้อ "ไม่ต้องรีบนะลูก รถเยอะ อันตราย"
"จ้าาาาาาาาาาาาา" กวางรับคำ แล้วถีบรถจักรยานคันเก่งของมันไปทันที

ตั้งแต่ครั้งแรกที่กวางเจอพี่ธาม กวางก็รู้ว่าคนนี้กำลังจีบพี่ฉันท์อยู่
ก็เดินตามกันไปแบบนั้น เอาใจขนาดนั้น มองอีกคนด้วยสายตาแบบนั้น ต่อให้เป็นคนตาบอดยังรู้เลย
คนหล่อคนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เห็นว่ามีรถหรูไอ้แบบที่นั่งได้สองคนมารับ มาส่ง แต่เขากลับใช้รถคันเล็กคอยรับ-ส่งพี่ฉันท์ 
ได้ยินว่าพูดภาษาอังกฤษกับคนขับรถหรูคันนั้นด้วย แต่พี่ฉันท์บอกว่า พี่ธามเป็นคนไทย ไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก แล้วอีกไม่นานก็จะกลับไปเรียนต่อ
"กลับไป เขาก็ลืมพี่ฉันท์แล้ว" กวางบอกไปอย่างที่แม่บอกมา คนเราน่ะพอระยะทางห่าง ใจก็จะห่างไปด้วย
แต่ตอนที่พี่ฉันท์พยักหน้าซึม ๆ กวางก็ตบปากตัวเองที่พูดคำไม่ดี พี่ฉันท์คนใจดีรีบดึงมือไว้ ไม่ให้กวางตีปากตบเอง แล้วบอกว่า นั่นเป็นเรื่องธรรมดา
“ที่แม่บอกมาก็ถูกแล้ว”
"พี่ฉันท์ชอบพี่ธามไหม"
"มันเร็วไป การที่เราจะชอบใครสักคน มันต้องเริ่มที่ความไว้ใจ"
แล้วที่เมื่อครู่ซึมไปเพราะอะไร เพราะทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะต้องไปเหมือนคนก่อนหน้านี้ แต่พี่ฉันท์ก็ยังรู้สึกดีกับเขาใช่ไหม
...กวางเป็นเด็กพี่ฉันท์นะ จะไม่รู้ว่าพี่ฉันท์เพิ่งอกหักมาได้ยังไง!

...จบตอนที่1...

สารบัญเรื่อง ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3920928#msg3920928) / ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3923583#msg3923583) / ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3925960#msg3925960) / ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3928656#msg3928656) / ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3933201#msg3933201) / ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3936274#msg3936274) / ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3941834#msg3941834) /  ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3948088#msg3948088) / ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3952999#msg3952999) / ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3957809#msg3957809) / ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3962352#msg3962352) / ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3968077#msg3968077) / ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3972720#msg3972720) / ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3979241#msg3979241) / ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3984132#msg3984132) / ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3988395#msg3988395) / ตอนจบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69111.msg3990904#msg3990904)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-12-2018 12:53:09
ตามมาอ่านเรื่องใหม่
คนทำผิดก็ช่างกล้านะ ไม่อายบ้างเลย มาตื้อฉันท์อยู่ได้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 09-12-2018 14:41:49
เรื่องใหม่ ดีงามค่ะ
ตามๆๆ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 09-12-2018 20:05:22
ติดตามๆ

 :3123:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-12-2018 14:03:29

ว้ายยยย มาแล้วววน้องฉันท์กับพี่ธาม เปิดตัวกันอีกรอบ  :L1:  :L1:  เข้ามาเป็นเด็กพี่ฉันท์กับน้องกวางกันอีกรอบ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 11-12-2018 16:31:31
ขอบคุณนะคะ 
เห็นหลายวันแล้ว  เข้ามาอ่านได้นิดหนึ่ง
มาเที่ยว หาไวไฟยาก  อ่านจบแล้วเข้ามาใหม่นะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-12-2018 08:49:23
 :กอด1: ไปอ่านในเด็กดีมาเเล้วก็ตามมาทวงตอนใหม่ในนี้ด้วย 5555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 15-12-2018 11:20:40
ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านในนี้ แต่ตั้งใจแวะมาช่วยดัน อยากอ่านเรื่องนี้ต่อแล้วววว

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 15-12-2018 11:21:28
จำได้ว่าเคยลงแล้วเงียบไป  :m16:
คราวนี้คงได้อ่านต่อสมใจ  o13
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 15-12-2018 12:02:44
พี่ธามห้ามทำร้ายน้องฉันท์นะคะ   :hao5:
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 15-12-2018 19:52:33
ตอนที่ 2

ในวันที่ไม่มีเรียน และไม่มีใครอยู่บ้าน ฉันท์มักจะมาเป็นลูกมือลุงนิยมซ่อมอพาร์ทเม้นท์ เพราะที่นี่มีเรื่องให้ซ่อมได้ทุกวัน ต่อให้กลุ่มห้องพักชั้นล่างที่เป็นคนขับรถจะซ่อมเองบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วบรรดาแม่บ้านก็มักจะเรียกให้ลุงไปซ่อมพวกกลอน หรือ ก๊อกน้ำให้
ก็เรียกผ่านป้าแจ่มจิตน่ะแหละ
ถ้าเสียหายไม่มากไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ ซ่อมฟรี
แต่ถ้าต้องเปลี่ยนอะไหล่ ก็เสียแต่ค่าอะไหล่
ที่สำคัญคือลุงไม่ค่อยพูดอะไร บอกให้ซ่อมก็ซ่อม เสร็จแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้าน ต่างกับบรรดาสามีทั้งหลายที่มักจะบ่นเมีย ว่าทำไมถึงได้ทำนั่นนี่พังเสียหายอยู่ตลอด
ดังนั้นลุงนิยม จึงเป็นที่นิยมของบรรดาแม่บ้าน ทั้งในอพาร์ทเม้นท์นี้และละแวกใกล้เคียงด้วย
ส่วนธามันที่เพิ่งกลับมาหอพัก พอเห็นภาพที่ฉันท์กำลังซ่อมประตูห้องพักที่ชั้น 3 ก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่เหนือความคาดหมาย เพราะมันไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด
เด็กนักเรียน ตัวผอม ผิวขาว ตากลม ริมฝีปากอิ่ม และมือเรียว กำลังถือไขควง ที่สำคัญคือท่าทางคล่องแคล่วนั่น
น้องฉันท์มีอะไรหลายอย่างที่ขัดกับรูปร่างหน้าตา และมีความสามารถที่เหนือกว่าความคาดหมายให้พบเห็นได้ตลอด
นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของประโยคที่ผู้ใหญ่มักสอนเราว่า ‘ให้ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปอย่ารีบร้อน’
แต่ธามันรีบ!
ธามันที่เป็นชายหนุ่มตัวใหญ่ มีรูปร่างหน้าตาที่ออกจะแมนเกินร้อย ยอมรับว่ามีความสามารถในเรื่องงานช่างในระดับที่ ‘พอจะทำได้บ้าง’ แต่ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้ถือไขควงซ่อมอะไรสักอย่าง
รูปร่างหน้าตาไม่สามารถบ่งชี้ถึงความชำนาญได้เลย
ธามันเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ "เห็นบอกว่าจะมาช่วยลุงซ่อมห้อง ยังคิดว่าจะมาเป็นลูกมือเสียอีก"
ลุงนิยมที่กำลังยืนคุยอยู่กับผู้เช่าห้องอีกคน ที่เป็นชายวัยกลางคนหันมายิ้มทักธามันแล้วก็หันไปคุยกันต่อ
ส่วนคนที่กำลังซ่อม หันมายิ้มทักแต่ไม่ได้พูดอะไร ดูห่างเหินเหมือนเคย
...หลายวันแล้วนะ น่าจะคุ้นเคยกันได้แล้ว...
เมื่อฉันท์ซ่อมประตูเสร็จ ก็เดินไปดูหน้าต่าง เช็คปลั๊กไฟให้ผู้เช่าด้วย เสร็จแล้วเก็บอุปกรณ์เครื่องมือลงกล่อง
ในความคิดของธามัน การที่ฉันท์ไม่ได้หันมาถามสักคำว่าไปไหนมา ไม่พูดอะไรสักคำ คือการที่ฉันท์กำลังคิดถึงเรื่องอื่น คนอื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เวลานี้
จนเมื่อธามันเอื้อมมือไปช่วยถือกล่องอุปกรณ์ ฉันท์ถึงได้หันมามองหน้า แต่ก็แค่แวบเดียวก็หันไปบอกกับลุง ว่าซ่อมกลอนเสร็จแล้ว
ลุงบอกว่า ห้องที่ใช้เก็บของที่ชั้น 5 ที่ธามันพักอยู่ มีหน้าต่างบานหนึ่งที่ตัวล็อคไม่ค่อยดี
"ไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว แวะขึ้นไปดูสักนิด" ลุงบอกแล้วส่งกุญแจห้องให้ฉันท์ จากนั้นก็หันไปรับคำขอบคุณจากเจ้าของห้องที่ฉันท์เพิ่งซ่อมประตูให้
แต่เท่าที่ธามันแอบฟังบทสนทนาระหว่างลุงกับเจ้าของห้อง ลุงก็ยังคงเป็นคนที่พูดน้อย มีหน้าที่เพียงเสริมความเห็นของอีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อวันเวลาผ่านไปฉันท์ไม่ได้จมอยู่กับความรู้สึกผิดหวัง เพราะในเวลาที่ไม่ต้องเจอกัน ก็ยังสบายดี ไม่มีความรู้สึกอึดอัดใจ
แต่ตอนนี้ที่ไม่ได้สนใจคนที่เดินข้าง ๆ กันขึ้นมาที่ชั้น 5 ก็เพราะในสมองกำลังคิดถึงงานที่ลุงสั่งไว้ พอมาถึงหน้าห้องก็ไขกุญแจห้องเข้าไป จากนั้นก็หันไปรับกล่องเครื่องมือมาจากธามัน แล้วก็ซ่อมหน้าต่างตามที่ลุงบอก เสร็จแล้วก็สำรวจดูหน้าต่าง ประตู และปลั๊กไฟในห้อง
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เป็น 15 นาทีที่ฉันท์ไม่พูดอะไรเลยสักคำ
ธามันได้แต่ยืนกอดอกมอง จนกระทั่งฉันท์เก็บอุปกรณ์ลงกล่อง
"เสร็จแล้วหรือ"
"ฮะ" ฉันท์ตอบ แต่ไม่ได้หันมามอง
"งั้น พี่ขอยืมอุปกรณ์ไปเช็คปลั๊กไฟที่ห้องได้ไหม เมื่อคืนเสียบปลั๊กชาร์ตโทรศัพท์ แล้วเหมือนปลั๊กจะไม่ค่อยดี"
คราวนี้ฉันท์หันมามอง "ผมซ่อมให้ก็ได้ฮะ"
ธามันเข้าไปแย่งถือกล่องเครื่องมือ แล้วเดินนำออกมาหยุดยืนรออยู่นอกห้อง
"รู้หรอกน่า ว่าอพาร์ทเม้นท์ของฉันท์ แต่พี่จะรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้าให้น้องฉันท์มาซ่อมห้องให้พี่"
ฉันท์ส่ายหน้า "ไม่เป็นไรฮะ ผมทำได้"
ห้องของธามันอยู่ถัดมาเพียงไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มไขกุญแจห้องแล้วเบี่ยงตัวให้ฉันท์เข้าไปก่อน
"ปลั๊กไหนฮะ"
ธามชี้ไปที่ปลั๊กไฟในห้องนอน ฉันท์ก็เดินเข้าไปดู "ต้องยกไฟก่อนฮะ"
หนุ่มตัวเล็กวางกล่องเครื่องมือลง แล้วจะเดินกลับออกมายกไฟที่หน้าห้อง แต่กลับถูกกอดรวบไว้
ข้อมือขวาถูกจับกดล็อคอยู่ที่หลังเอว ดันให้คนตัวเล็กต้องแอ่นตัวขึ้นหา ส่วนมืออีกข้างที่เงื้อขึ้นจะผลักพี่ออก ก็ถูกจับไว้แล้วกดล็อคไว้ที่หลังเอวเหมือนกัน
ธามันใช้เพียงมือเดียวจับข้อมือผอมบางนั่นไว้
ส่วนอีกมือดันหลังคอให้เงยหน้าขึ้นรับริมฝีปากหนาที่บดจูบ
ฉันท์ลืมตาโพลง เม้มริมฝีปากแน่น พอจะยกเท้าขึ้นเตะ ก็กลับกลายเป็นถูกอุ้มจนตัวลอยมาถึงเตียง
มือที่กอดรัดเอว เปลี่ยนมากดข้อมือผอมไว้เหนือศีรษะ ร่างกายสูงใหญ่กดทับอยู่ครึ่งตัว ฉันท์เบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากที่ตามลงมาหา
แม้จะมีเสียงในลำคอที่บ่งบอกถึงการต่อต้าน แต่ฉันท์ไม่ได้ร้องโวยวาย ข่มขู่หรือร้องขอ แต่กลับร้องไห้
"ร้องไห้ทำไม"
ธามันไม่ได้คิดที่จะฉวยโอกาสมากไปกว่านี้ เพราะที่ทำลงไปก็เพราะอารมณ์ไม่ดี แบบคนที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาลกำลังถูกเมิน ก็แค่ต้องการจะแกล้งกึ่งฉวยโอกาสให้ร้องโวยวายแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
อยากให้เขาสนใจพี่ที่อยู่ตรงนี้
แต่ปรากฏว่าฉันท์กลับร้องไห้เงียบ ๆ  ทั้งกัดริมฝีปากแน่น
"ผมคิดว่าพี่จะเป็นคนดี"
เหมือนถูกค้อนทุบที่ศีรษะ ธามันนิ่งอึ้ง แล้วคลายมือออก แต่ยังคงคร่อมแขนกักอีกคนไว้
"น้องฉันท์"
ฉันท์หลับตาแน่น
"ลืมตาขึ้นมามองพี่" แต่เมื่อฉันท์ยังหลับตาทั้งยังส่ายหน้า น้ำเสียงของธามันก็เข้มมากขึ้น
ฉันท์ลืมตาขึ้น แต่ยังกัดปากตัวเองไว้
"มองเห็นพี่ไหม"
ฉันท์ไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้า
"ดี" ธามันคลายมือแล้วขยับตัวเบี่ยงออก
ฉันท์รีบลุกออกมาจากเตียง แต่ธามันยอมให้ออกมาเพียงแค่พ้นประตูห้องนอนก็คว้าต้นแขนไว้
"น้องฉันท์ เราต้องคุยกัน"
หนุ่มตัวเล็กหน้าไปทางอื่น ใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระปาดน้ำตา
"พี่อยากรู้ เวลาที่พี่อยู่ข้าง ๆ เวลาที่พี่พูดด้วย น้องฉันท์มองเห็นพี่บ้างไหม ได้ยินที่พี่พูดสักคำไหม"
ดวงตาที่น้องมองกลับมามีคำถาม ที่ทำให้ธามันรู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน
"เรารู้จักกันมานานนับสัปดาห์ ถึงน้องจะไม่ไว้ใจ ยังคงมองว่าพี่เป็นคนแปลกหน้า แต่อย่างน้อยก็ควรจะหันมามองพี่บ้าง ทำให้พี่ได้รับรู้บ้าง ว่าพี่มีตัวตนอยู่ในสายตาของน้อง ไม่ใช่แค่คนที่จะพาน้องหนีจากคนที่ไม่อยากพบหน้า"
"พี่..."
"ทำไมถึงยังรักมันอยู่ ทั้งที่มันไปมีคนอื่นแล้ว พี่คือคนที่อยู่กับน้องตอนนี้ มองเห็นพี่บ้างไหม"
ฉันท์ส่ายหน้า "ผมบอกพี่ไปแล้ว ว่าผมยังไม่พร้อม"
"ไม่พร้อมที่จะคบกับพี่ หรือยังไม่พร้อมที่จะตัดใจจากมัน น้องต้องชัดเจนกับหัวใจตนเองมากกว่านี้"
"ผม ผม"
"เวลาที่มันมาอยู่ใกล้ น้องถึงหันมามองพี่ แต่เวลาอื่น พี่ไม่มีตัวตนเลยสักนิด"
"ไม่ใช่อย่างนั้น"
"ไม่พร้อม กับไม่ยอมตัดใจน่ะมันไม่เหมือนกันนะ"
"ผม ขอโทษ"
เมื่อธามันปล่อยมือ ฉันท์ก็รีบเดินออกไปจากห้อง เห็นลุงยืนอยู่ตรงบันได คิดว่าอาจได้ยินที่พูดกันเมื่อครู่ หันมาอีกที เห็นว่าธามันถือกล่องเครื่องมือเดินตามออกมา สีหน้ายังดูโกรธที่ฉันท์เดินหนี
"อย่าคุยกันตอนที่อารมณ์ยังร้อน เพราะมันจะมีแต่คำร้าย ๆ ให้กัน"  ลุงเว้นไปนิดหนึ่ง พยักหน้าไปทางระเบียง "อีกอย่าง ที่นี่มันชั้น 5"
ธามันกับฉันท์หันมามองหน้ากัน แล้วหันไปยกมือไหว้ลุง จากนั้นก็เดินตามลุงลงมาเงียบ ๆ
เมื่อลุงรับรู้ว่าธามันกับฉันท์ไม่ได้เป็นแค่ผู้เช่ากับเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ ธามันก็ถือวิสาสะจับมือของอีกคนไว้ระหว่างที่เดินลงมาชั้นล่าง
ฉันท์หันมามองหน้า 
"ขอเวลาให้พี่ได้ทำความรู้จักกับน้องฉันท์บ้างนะ” ธามันช่วยเช็ดน้ำตาให้อีกคน
มันคือความไม่พอใจที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ที่มีจุดมุ่งหมายเพียงแค่เรียกร้องความสนใจ ไม่ได้คิดที่จะล่วงเกินไปกว่านี้ เพราะรู้ดีว่ายังเร็วเกินไป 
จากที่ธามันพูดมา ทำให้ฉันท์รู้ว่าอีกคนก็แค่น้อยใจ ไม่ได้คิดเอาเปรียบ เพราะหากคิดจะใช้กำลังบังคับก็คงทำได้ไม่ยาก
"อย่าทำอย่างเมื่อกี้อีก" ฉันท์บอก "ผมขอโทษที่ทำให้พี่รู้สึกไม่ดี แต่พี่ก็..."
"พี่ขอโทษ จะไม่ทำอีก"
ฉันท์พยักหน้า ธามันก็ย้ำคำขอโทษอีกครั้ง จนฉันท์ต้องกระตุกมือ
"พอแล้ว"
"งั้นไปกินข้าวกันไหม" ธามันรีบถามต่อทันที เพราะก็รู้เหมือนกันว่า ถ้าปล่อยให้มีช่องว่าง ฉันท์ก็จะเริ่มเงียบไปอีก
"วันนี้พ่อกับแม่อยู่บ้าน"
แปลว่า น้องต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านสินะ..
ธามันพยายามส่งสายตาบอกให้ฉันท์ชวนไปกินข้าวที่บ้าน แต่ฉันท์ยังคงลังเล จนกระทั่งลุงหันมาบอกว่าให้ไปถามป้า ว่าจะให้ไปซื้อของที่ตลาดหรือไม่
ช่วยต่อเวลาที่อยู่ใกล้กันให้นานอีกนิด ก่อนที่จะต้องพาไปส่งที่บ้านหลังท้ายซอย แต่ป้าก็บอกว่าไม่ต้องซื้ออะไร เพราะใช้เด็กกวางไปซื้อให้แล้ว
“ก็เจ้าฉันท์ต้องกลับไปกินข้าวบ้าน ป้าก็เลยให้กวางไปซื้อให้น่ะสิ เราก็กลับบ้านเถอะ พ่อกับแม่รออยู่”
ธามันรู้สึกผิดหวังอยู่หน่อย ๆ ที่วันนี้ต้องมาส่งฉันท์ที่บ้านตั้งแต่เย็น แต่พอมาถึงบ้านก็กลับยิ้มได้เพราะเมื่อจอดรถที่หน้าบ้านหลังท้ายซอยเห็นว่าพ่อกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน ธามันจึงดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้วเดินตามฉันท์ลงมาด้วย
เมื่อฉันท์ไหว้พ่อ ธามันก็ไหว้ด้วย
“สวัสดีครับ ผมชื่อธามครับ”
พ่อรับไหว้แล้วชวนคุยอยู่หน้าบ้าน
“ผมเรียนอยู่อเมริกาครับ กลับมาบ้าน 2 เดือน แต่ที่บ้านมีปัญหานิดหน่อย ผมก็เลยแยกมาเช่าอพาร์ทเม้นท์ของคุณอาในระหว่างนี้ครับ”
“อยู่คนเดียวหรือ”
“มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่เขาไป ๆ มา ๆ ครับ”
“อ้อ” ฉลอง พ่อของฉันท์พยักหน้า เพราะเข้าใจความคิดของวัยรุ่นในครอบครัวที่มีฐานะดี “ถ้ามีปัญหาอะไรก็คุยกับลุงวินัยเขานะ แกไม่ค่อยไปไหนหรอก หัวค่ำก็มาดื่มกับคนขับรถรับจ้าง แก้ว 2 แก้วก็ไปนอน”
คุยกันจนแม่มาเรียกให้เข้าไปในบ้าน เพราะอาหารเย็นพร้อมแล้ว
ธามันทำเป็นว่าจะขอตัวกลับ แต่มีหรือที่เจ้าบ้านจะยอม สุดท้ายก็เข้าบ้านไปกินอาหารเย็นด้วยกัน
“มีต้มยำ ผัดผัก กับปลาทอด ธามกินได้ไหม” แม่ถาม
ธามยิ้มกว้างเมื่อได้ยินสำเนียงแปร่งหูของแม่ “ผมกินได้ครับ”
เมื่ออิ่มจากอาหารคาวก็ปิดท้ายด้วยผลไม้ ที่เก็บจากในสวน
“ฝรั่งนี่จากสวนบ้านเราเอง” แม่บอก
ตอนที่ได้ยินแม่พูดว่า ‘สวนบ้านเราเอง’ มันเหมือนการไปกระทบกับความตั้งใจเดิมที่กำลังจางลงไป และทำให้รู้สึกละอายใจอยู่หน่อย ๆ
และในขณะที่เลี้ยวรถกลับออกมา ธามันก็ถามตัวเองอีกครั้ง ว่าแท้จริงแล้ว กำลังทำอะไรอยู่
และแท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่
เช้าวันถัดมา ธามันก็ไปจอดรถรออยู่ที่หน้าบ้านของฉันท์เหมือนเดิม
หนุ่มนักเรียนเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับฟิวเจอร์บอร์ดแบบพับ
“ทำเมื่อคืนหรือ”
“ฮะ” ฉันท์เว้นไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี แล้วก็พูดทวนคำพูดของพี่ “ทำเมื่อคืนนี้”
“แล้วต้องพรีเซนต์ด้วย หรือแค่เอาไปวางหน้าห้อง”
“พรีเซนต์ด้วยสิฮะ ได้ตั้ง 5 คะแนน”
“ตั้ง 5 คะแนนเชียวนะ เป็นแรงจูงใจคนทำงานได้ดีมาก” ธามันทำหน้าตาเบื่อหน่ายอย่างกับต้องเป็นคนพรีเซนต์งานเสียเอง “แล้วนี่เป็นงานกลุ่มหรือเดี่ยวล่ะ”
“กลุ่ม 5 คน”
“ทำ 1 คน และคนทำคือคนพรีเซนต์”
“ฮื่อ” ฉันท์พยักหน้า
“เข้าใจความรู้สึกนี้เลย”
ฉันท์หัวเราะเบา ๆ
   หนุ่มน้อยยอมรับว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดี และก็ไม่รู้ว่าหากเป็นคนอื่น ชีวิตจะดีเหมือนกับที่เป็นอยู่ในเวลานี้ไหม
ในช่วงเวลาที่ยังมึนงง มีธามันเข้ามาคอยดูแล ยอมรับว่าไม่พร้อมและหยุดเมื่อขอให้หยุด
ยังต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก 
ดังนั้นถึงธามันจะไม่เคยพาไปแนะนำกับที่บ้าน และฐาติเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ฉันท์รู้จัก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่
ทั้งเห็นว่าดีแล้วที่เขาไม่พาไป 
ไม่เคยรู้ว่าการที่ธามันไม่ได้พาไปรู้จักครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ของเขามันมีเหตุผลอื่นอีก
มาถึงคืนสุดท้ายที่ธามันจะพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ ชายหนุ่มถึงได้พูดตอนที่ฉันท์เดินมาส่งที่หน้าบ้าน
"พี่กำลังจะกลับไปอเมริกา”
น้องพยักหน้าเพราะจำได้ว่าธามันเคยบอกไว้นานแล้วว่ากลับมาบ้านช่วงวันหยุดแล้วก็จะต้องกลับไปเรียนต่อ แต่ไม่เคยบอกกำหนดวันชัดเจนว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ และไม่คิดว่าเขาจะมาบอกในวันสุดท้ายที่จะไป
“พี่รักน้องฉันท์ ต่อให้รู้ตัวดีว่าฉันท์ไม่เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันให้พี่เลยสักนิด" ธามันยิ้มเศร้า "พี่เชื่อมาตลอดว่า สักวันน้องจะตอบรับความรู้สึกของพี่"
คิ้วสวยของฉันท์ขมวดแน่น ไม่เข้าใจว่า ‘การตอบรับ’ ที่ธามันพูดถึงคือการแสดงออกแบบไหน การที่ยอมตามใจอยู่เสมอจนถึงตอนนี้ การที่พาพี่เข้าบ้าน มากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน ยังมีอะไรที่แสดงให้เห็นว่าไม่เปิดใจอีกหรือ
ท่ามกลางความทรงจำดี ๆ และรู้ว่าพี่ดูแลเอาใจใส่ มีความสม่ำเสมอ บอกว่ารัก บอกว่าหวังดี แต่การบอกว่าจะไปในวันสุดท้ายมันใช่หรือ
ฉันท์ไม่ได้พูดถ้อยคำที่อยู่ในใจเหล่านั้น
ธามันจับมือขาวของน้องไว้ "พี่จะต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว แต่อีกไม่กี่เดือนก็จะกลับมา ระหว่างนี้ฐาติจะมาดูห้อง" กลืนคำว่าหากพร้อมที่จะเปิดใจรับใครสักคนก็ขอให้คิดให้ดี เพราะไม่ได้เป็นคนใจกว้างแบบนั้น "พี่...เป็นห่วงน้องฉันท์ อย่าไปกับใครง่าย ๆ อย่าตามใจใครง่าย ๆ เพียงเพราะอยากหลบหน้าคนที่ฉันท์ไม่อยากเจอ" นิ้วมือใหญ่เกลี่ยแก้มใส แล้วก้มลงหา ริมฝีปากแตะริมฝีปากแผ่วเบาแล้วห่างออกมา "พี่รักน้องฉันท์นะครับ"
   เมื่อกลับเข้ามาถึงบ้าน ฉันท์มองดูพ่อกับแม่ที่นั่งกินผลไม้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน แล้วก็หันมาให้กำลังใจลูกชายเรื่องสอบ จากนั้นก็หันไปคุยกันเรื่องภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่กำลังจะเข้าฉาย
ในตอนที่อยู่คนเดียว ฉันท์คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียน คิดถึงพ่อกับแม่ และคิดถึงธามัน
เช้าวันถัดมา ธามันมารับฉันท์แต่เช้าเหมือนเคยและจับมือกันไว้แน่นตลอดการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน
จนเมื่อธามันจอดรถก่อนที่จะถึงหน้าโรงเรียนไม่กี่เมตร ฉันท์ก็พูดขึ้น "พ่อกับแม่เรียกผมว่าชิรายูกิ" คนตัวเล็กชะโงกหน้ามาหอมแก้มของอีกคน "อย่าลืมชิรายูกินะฮะ"
แก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด แดงไปทั้งหูจนถึงคอ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ฉันท์ก็ลงจากรถไปแล้ว ทิ้งให้ธามันต้องกลับมาทบทวนความคิด ความตั้งใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ธามันเจ้าแผนการอย่างที่ฐาติว่าไว้
จากจุดเริ่มต้นที่ความพอใจหน้าตา ท่าทีของเขาเมื่อต้องพบว่าตนเองถูกเพื่อนสนิทแย่งคนรักไป จากนั้นก็บอกกับตัวเองว่าจะจีบเล่น ๆ เพราะที่จริงแล้ว ธามันสนใจที่ดินแปลงใหญ่ของฉันท์ 
ด้วยเหตุผลของธุรกิจ จึงใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากหน่อย
มากกว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพื่อให้คนที่เพิ่งอกหัก หันมายึดพี่ไว้แน่น
จากนั้นด้วยระยะทาง และเวลาที่ต่างกัน ความสัมพันธ์ในช่วงต่อไปจึงเป็นการลดระดับความผูกพันลงไปเรื่อย ๆ จากคนรัก กลายมาเป็นพี่น้องที่ไว้วางใจกัน เพื่อที่ในวันที่เรียนจบกลับมา เขาจะตรงเข้าหาที่ดินแปลงนั้นได้โดยง่าย
แม้ว่าในช่วง 2 เดือนมานี้จะมีปัญหาอยู่เล็กน้อย เกี่ยวกับการที่ฉันท์ไม่ยอมตัดใจจากแฟนเก่าสักที ทำให้ธามันหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
รู้ตัวอีกทีก็คือต้องการให้น้องมองแต่เราคนเดียว
ยิ่งพยายามเรียกร้องความสนใจจากน้องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหลงรักน้องมากขึ้นกว่าเดิม
แผนการในช่วง 2 เดือนนี้จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียดายเวลา 2 เดือนที่ควรจะพยายามทำความรู้จักกับครอบครัวของน้องมากกว่านี้
ในตอนที่กลับมาเก็บของใช้ส่วนตัวที่อพาร์ทเม้นท์ ธามันตัดสินใจเดินไปจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้า 1 ปี พร้อมลาลุงกับป้า และบอกว่าอีกไม่กี่เดือนจะกลับมา โดยไม่ลืมที่จะบอกว่า ฐาติญาติผู้พี่ ที่เคยพบกับลุงกับป้ามาแล้วหลายครั้ง จะเป็นคนแวะมาทำความสะอาดห้องพักเป็นระยะ
….
เด็กชายกวางนักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนกทม.ใช้นิ้วมือเปื้อนขนมจิ้มแขนเสื้อสะอาดของคนที่ยืนอยู่ตรงชั้นล่างของบันไดหอพัก
"น้าทำ'ไร"
คนที่ถูกเรียกว่าน้าถึงกับสะดุ้ง หันมามองเด็กชายตัวเปี๊ยกที่ทำหน้าตามีแต่เครื่องหมายคำถาม
"อะไร" ฐาติทำขู่ แต่เด็กน้อยไม่เห็นจะกลัว
"ก็น้าอะ ทำ'ไรอยู่ น้ามาทำห้องแฟนพี่ฉันท์ไม่ใช่หรือ"
"ทำเสร็จแล้ว กำลังจะกลับ"
"แล้วขนของลงมาด้วยทำไม"
"ธามจะคืนห้องแล้ว" ที่จริงฐาติ ถามอีกฝ่ายเรื่องคืนห้องมาหลายครั้ง แม้ธามันยังไม่ตกลง แต่ก็ถือวิสาสะทยอยเก็บของออกมาทีละเล็กทีละน้อย
เด็กน้อยทำตาแดงๆ "พี่ฉันท์โดนทิ้งอีกแล้วหรือ"
"พี่ฉันท์ของมึงต่างหากที่ทิ้งธาม เขามีแฟนใหม่แล้ว มึงไม่เห็นหรือไง"
เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย "นั่นเพื่อนพี่ฉันท์ น้ามองยังไงว่าเขาเป็นแฟนกัน"
"มึงนี่มันใสซื่อไปไหม" ฐาติหมั่นไส้ "ภาษากายของเพื่อนกับแฟนน่ะมันต่างกัน"
กวางเกาหัวเกรียน "น้ามาจากยุคไหนอ้ะ แล้วถ้าพี่ธามรักพี่ฉันท์จริง ทำไมเขาไม่แย่งกลับมาล่ะ"
ฐาติส่ายหน้า "ลูกผู้ชาย ต้องมีศักดิ์ศรีโว้ย ห่างกันไม่กี่วันก็ควงคนใหม่แล้วแบบนี้ เขาเรียกคนโลเล"
"อ้อ.." ไอ้ตัวเล็กชี้หน้าคนที่ตัวโตกว่า "ที่แท้น้าก็คือคนที่ยุให้เขาเลิกกัน บาปนะน้า"
"วะ ไอ้นี่" ฐาติอยากเขกหัวเด็กรู้มาก "มึงต้องเรียงลำดับว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะพี่มึงเขาเปลี่ยนใจไปแล้ว จะให้อีกคนเหมือนเดิมไปเพื่ออะไร" พูดไปก็คิดว่าไอ้ตัวเล็กนี่มันจะเข้าใจอะไรไหม "เดี๋ยวโตขึ้นมา มึงก็จะเข้าใจ"
"โห ประโยคมาตรฐานนี่หว่า แม่หนูก็บอกปัดงี้เหมือนกันแหละ"
"ก็มันจริง กูอธิบายไป มึงก็นึกภาพไม่ออก แต่อีกสัก 2-3 ปี มึงก็จะเข้าใจ ความรักของวัยรุ่น ผ่านเข้ามา แล้วก็จากไป จนกว่าจะเจอคนที่ไม่อยากจากกันไปไหนไกลน่ะแหละ"
พออธิบายแบบนี้ ไอ้ตัวเล็กก็หรี่ตา "แล้วน้าเจอหรือยัง"
"เฮ่ย.." ฐาติโบกมือ ชะโงกหน้าไปมอง เห็นว่าฉันท์กับคนที่พามาเข้าไปในบ้านแล้ว ถึงได้ขนของเข้าไปใส่ในรถ เด็กน้อยเดินตามมาด้วย
ดวงตาวาวมองรถคันสวย "น้า ขอจับหน่อยได้ไหม"
ฐาติหัวเราะ "ตามสบาย อย่าให้มันเป็นรอยก็แล้วกัน ค่าทำสีมันแพง"
"โหววววว"
นิ้วมือเล็ก ๆ แตะที่รถแต่เพราะนิ้วมือเลอะขนมทำให้รถเป็นรอย จะเอาเสื้อเช็ดรอยเปื้อน แต่เสื้อที่ใส่อยู่ ก็ไม่ได้สะอาดกว่ากันสักเท่าไหร่ ดวงตากลม ๆ หันมามอง
"หนูทำเปื้อนแล้ว"
"เปื้อนแค่นี้ เช็ดก็ออกแล้ว ชื่ออะไรน่ะเรา"
"กวาง"
ฐาติหันไปรื้อของในรถ หยิบกล่องขนมออกมา "กินไหม"
กวางพยักหน้า ยกมือไหว้ขอบคุณ
"บ้านอยู่ไหน"
"อยู่ชุมชนเพิ่มพูน” ที่นั่นคือชุมชนจัดสรรขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลังตลาดที่มีชื่อเดียวกันคือตลาดเพิ่มพูนห่างจากปากซอยนี้ไปไม่ถึง 500 เมตร แต่มีซอยแยกที่ช่วยลัดระยะทางจากซอยนี้ไปถึงชุมชน จากนั้นจึงเป็นตลาด ทำให้กวางใช้เวลาเดินทางระหว่างอพาร์ทเม้นท์กับบ้านไม่ถึง 10 นาที “พ่อหนูขับมอ'ไซค์วิน แม่ขายลูกชิ้นอยู่ปากซอยนี้" เพราะซอยนี้มีทั้งหอพักและอพาร์ทเม้นท์ 3 หลัง ถึงปากซอยนี้ไม่มีตลาด แต่ก็มีแผงลอยร้านค้าคึกคัก
"อ้อ.." ฐาติพยักหน้า ส่งเงินให้อีกร้อย "เป็นเด็กดี อย่าสูบบุหรี่ กินเหล้า เล่นยาละ"
กวางแกะกล่องขนม "ถ้าเป็นเด็กดีแล้วน้าจะให้รางวัลปะล่ะ"
"เออ เจอกันอีกเมื่อไหร่ มึงมาทวงรางวัลได้เลย"
"แล้วน้าจะมาอีกเมื่อไหร่"
"เดือนหน้า ธามจ่ายค่าห้องไว้เป็นปี แต่กูยังต้องมาดูให้อยู่ดี"
"ไหนบอกว่าจะคืนห้อง"
"จะ คืน ห้อง" ไอ้เด็กนี่ความจำมันดีว่ะ "รอให้ครบตามจำนวนเงินที่จ่ายล่วงหน้า ก็หยุดแล้ว ไม่เช่าต่อ เข้าใจไหมไอ้ตัวเปี๊ยก"
กวางพยักหน้า ยิ้มแก้มตุ่ยด้วยขนมที่เต็มแก้ม

เมื่อกลับมาถึงอเมริกา สิ่งแรกที่ทำก็คือการส่งเมลเล่าเรื่องราวการเดินทางให้ฉันท์ฟัง แนบด้วยภาพถ่าย ทีแรกก็อยากใช้ช่องทางอื่นในการสื่อสารอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเวลาที่ต่างกัน มันอาจกลายเป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของอีกคน จึงเลือกที่จะส่งเมล ส่งไปแล้วนั่งรออีกพักใหญ่น้องยังไม่ตอบกลับมา ก็ลุกไปทำอย่างอื่น อีกหลายชั่วโมงถัดมา จึงมีสัญญาณเรียกว่ามีเมลเข้ามา
ฉันท์ตอบกลับพร้อมภาพถ่ายของตนเองเช่นกัน
เมลฉบับต่อไปธามันส่งรูปที่ถ่ายคู่กับแม่ไปให้ดู ฉันท์ก็ตอบกลับมา แล้วแนบรูปที่ถ่ายกับแม่
เมื่ออยู่ห่างไกลกัน ทำไมถึงได้มีคำถามเพิ่มขึ้นมากมาย และมีอีกหลายเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง การพิมพ์เมลจากโทรศัพท์เริ่มไม่ถนัด ต้องเปลี่ยนมาพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ เพราะข้อความยาวหลายบรรทัด และภาพถ่ายอีกหลายภาพ
เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานข้ามเดือนธามันก็เริ่มเรียนหนัก เหมือนกับที่ฉันท์ก็เริ่มสอบ ข้อความเริ่มสั้นลง ภาพถ่ายหายไป
ยังไม่ทันจะถึงสามเดือน ฐาติก็ส่งข้อความพร้อมภาพของฉันท์มาให้
เป็นภาพที่ทำให้ธามันต้องนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วถามตัวเอง ว่าควรหยุดเท่านี้หรือเดินต่อไป....

ฉันท์ที่ไม่รู้เรื่องภาพและข้อความที่ฐาติส่งไปให้ธามัน รู้เพียงว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จากที่ธามันเคยเล่าเรื่องราวมากมาย แต่วันหนึ่งก็กลับกลายเป็นการตอบข้อความที่สั้นกระชับ จนกระทั่งเมื่อส่งเมลไปแล้ว ต้องรออีกนานหลายวันจึงมีข้อความตอบกลับมา
และในวันหนึ่ง ฉันท์ก็หยุดส่งข้อความ ได้แต่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ดับลง แล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ

...เป็นการเข้ามาในชีวิตและจากไปที่ช่างรวดเร็วเหมือนกับเป็นเพียงความฝัน ที่เมื่อลืมตาตื่น ก็พบว่า ยังคงใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่พบเจอในแต่ละวัน
แต่ก็ยังต้องกลับมาคุยกับตัวเองอยู่ภายในใจ
โอบกอดตัวเองไว้ในเวลาหนาว
และเดินอยู่คนเดียว เหมือนเดิม...

เวลายังคงเดินหน้าต่อไป
ฉันท์สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังได้สำเร็จ ได้เรียนในคณะที่ดี มีเพื่อนทั้งหญิงและชาย ขณะที่เพื่อนคนแรกและเพื่อนสนิทตลอดเวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัยคือต้อม เจนจบ คนที่พูดทักคำแรกว่า “นามสกุลมึงเหมือนเจ้าของตลาดเพิ่มทรัพย์เลยว่ะ”
ฉันท์ยิ้ม
“ยิ้มนี่แปลว่ามึงเป็นเจ้าของตลาดหรือเปล่า”
“เปล่า”
“ครอบครัวมึงเป็นเจ้าของตลาดหรือเปล่า”
“เปล่า”
“โอเค งั้นกูจะเป็นเพื่อนมึง”
“อ้าว ถ้ากูเป็นเจ้าของตลาด มึงจะไม่เป็นเพื่อนกับกูหรือไง”
“เออ กูกลัวผู้มีอิทธิพล”
ฉันท์พยักหน้า ขณะที่หัวเราะ “กูก็กลัวเหมือนกัน”
คนจะเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องแนะนำตัวมาก แค่มีบางเรื่องที่มันไปทางเดียวกันได้ ความแตกต่างที่เหลือมันก็ไม่เป็นปัญหา
นอกจากนี้ต้อมยังมีความสามารถพิเศษในการ ‘มองเห็น’ ว่าใครกำลังแอบชอบฉันท์อยู่ รวมถึง ‘มองเห็น’ ความแตกต่างของฉันท์จากคนอื่น ในแบบที่ฉันท์เองก็เพิ่งรู้ว่าตนเองเป็นแบบนั้น

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 15-12-2018 19:54:01
(ต่อครับ)

ฉันท์ครองตำแหน่งเจ้าชายหิมะตั้งแต่สัปดาห์แรกในรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยการทักทายแบบที่เรียกว่า ‘ยิ้มของเจ้าชายหิมะ’ ที่ทำให้เจ้าตัวดูหยิ่ง แต่เมื่อพูดคุยกันไปถึงได้รู้ว่า นั่นก็เป็นเพียงวิธียิ้มแบบหนึ่งในหลายร้อยแบบที่เราทุกคนต่างก็มีเหมือนกัน 
เพียงแต่ยิ้มแบบนี้ของฉันท์ช่างเป็นเอกลักษณ์
ฉันท์ยืนยันกับต้อมว่า ถูกตำหนิเรื่องรอยยิ้มแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก มีแต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยที่กลับชอบรอยยิ้มแบบนั้น
“ออกจะเป็นเอกลักษณ์” ต้อมบอก “เวลาที่มึงยิ้มแบบนี้ มันชวนให้รู้สึกลึกลับ ร้ายกาจ”
ฉันท์หัวเราะเบา ๆ ขณะที่คิดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่ก่อนหน้านี้
เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เตือนตัวเอง ว่าอย่าเชื่อคำพูดหวาน ๆ และอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ
ผ่านจากเรื่องยิ้มของเจ้าชายหิมะไป ถือว่าฉันท์มีนิสัยที่เข้ากับทุกคนได้ง่าย เพื่อนหลายคนเคยไปกินข้าวที่บ้านป้าแจ่มจิตกันมาแล้ว
ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่ฉันท์ไม่รู้ตัวเลยว่า ฐาตินำเรื่องนี้ไปบอกกับธามันอย่างไร
เทอมแรกยังไม่ผ่านไป ก็มีสาวรุ่นพี่เข้ามาสารภาพว่าชอบ ต้อมเลิกคิ้วสูงทันทีเพราะรู้ว่า ‘ไม่ใช่’
แต่ฉันท์ไม่ได้ปฏิเสธเธอ แล้วมันก็จบลงในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เมื่อสาวรุ่นพี่บอกกับชายหนุ่มตรงไปตรงมาว่า ‘ฉันท์เป็นเจ้าชายหิมะอย่างที่ทุกคนบอกกัน’
หญิงสาวให้คำอธิบายไว้แบบนั้น ซึ่งนั่นคงเป็นเจ้าชายหิมะในแบบที่ไม่ค่อยดีนัก
แบบที่คนที่รู้จักกันแบบผิวเผินนำมาตัดสินกัน
ต่อมามีหนุ่มต่างคณะอีกคนหนึ่งมาชวนฉันท์ไปดูหนังและกินข้าว แล้วฉันท์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งคราวนี้ต้อมเห็นว่า ‘น่าจะใช่’ แต่ปรากฏว่าอีก 1 เดือนถัดมา อีกฝ่ายโทรมาขอยกเลิกนัด แล้วฉันท์มีรอยยิ้มแบบเจ้าชายหิมะปรากฏขึ้น
“เขาบอกเลิกมึงหรือ”
“คงเร็ว ๆ นี้แหละ”
“อ้าว...” ต้อมค่อนข้างผิดหวัง ไม่แน่ใจว่าผิดหวังที่หนุ่มคนนั้นจากไปเร็วมาก หรือว่าผิดหวังที่เพื่อนไม่ได้สนใจที่หนุ่มคนนั้นจากไป
แต่ฉันท์รู้ตัวว่า ไม่ได้ปฏิเสธคำสารภาพรัก แต่การแสดงออกกับคนที่มาสารภาพหลังจากนั้นต่างหากที่มันชัดเจนเสียจนเพื่อนทุกคนรู้ เพราะฉันท์ไม่เคยมีความเห็น และตามใจอีกฝ่ายอยู่เสมอ อย่างหนุ่มคนหลังสุดที่ไปกินข้าวด้วยกัน 2 ครั้ง พอวันที่ 3 ก็ปล่อยให้รออยู่ 2 ชั่วโมง ฉันท์ก็รอและไม่บ่นสักคำ หรือต่อให้เห็นต่อหน้าเวลาที่ใกล้ชิดกับผู้หญิงหรือหนุ่มคนอื่น ฉันท์ก็เฉย ไม่เคยตัดพ้อต่อว่า
แทนที่อีกฝ่ายจะมองว่าฉันท์เป็นคนดี กลับกล่าวหาว่าฉันท์ไม่มีใจ
“ถ้ามีใจให้กันบ้าง ก็น่าจะเป็นห่วงถามสักคำว่าทำไมสาย หรือไม่อยากให้ไปใกล้ชิดกับคนอื่นต่อหน้า” ชายหนุ่มคนนี้ให้เหตุผลไว้
ฉันท์เองก็เพิ่งรู้ว่าการตามใจ ที่แท้คือไม่มีใจ
“กูเป็นอย่างนั้นหรือ” ฉันท์ถามเพื่อน
“ไว้ถ้ามีคนมาจีบมึงอีก มึงก็สนใจเขาบ้างสิวะ” เมื่อเพื่อนคิดตาม ต้อมก็เตือน “แต่ถ้าไม่มีใจก็บอกเขาไปตามตรงแต่แรกดีกว่า อย่าพยักหน้ายอมรับง่าย ๆ มันทำให้เสียเวลาด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย”
“กูก็ไม่ได้อยากทำให้เขาเสียเวลา แต่เพราะกูเข้าใจความรู้สึกของคนที่ชอบใครสักคนมาก ๆจนเก็บไว้ในใจไม่ไหว ต้องเดินเข้าไปบอกเขา”
“มึงเคยสารภาพรักกับใครหรือไง”
ฉันท์ส่ายหน้า เพราะไม่เคย
เพราะมัวแต่ฝังตัวเองอยู่ในความรู้สึกของตนเอง
ปล่อยวันเวลาที่ควรจะทำอะไรสักอย่างผ่านไป แล้วก็กลับมาคิดเสียดายช่วงเวลาว่างเปล่าเหล่านั้น...นั่นคือความรู้สึกที่ฉันท์เข้าใจเป็นอย่างดี
เมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังคิด ต้อมก็ยักไหล่ “บางทีมันอาจจะเป็นแค่ ชอบหน้าตาของใครคนหนึ่งแล้วก็ลองสารภาพดู ถึงจะรู้ว่านิสัยไม่เหมือนหน้าตา แต่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ฉันท์ดูไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “อันชอบหน้าตาน่ะโอเคนะ เข้าใจได้ ผิดหวังที่หน้าตาไม่สอดคล้องกับนิสัยจริง ๆ อันนี้ก็โดนว่าอยู่บ่อยๆ แต่ตรงประโยคที่บอกว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนี่แรงไปนิดนะ”
ต้อมทำเสียงจิ๊กจั๊ก “เจ้าชายครับ โลกนี้กว้างใหญ่ ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากครับ”
คนตัวเล็กหันไปมองท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป ยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่ไม่รู้ และทำให้รู้สึกคาใจ
คนที่เข้ามาบอกว่าชอบ แล้วก็จากไปในวันที่เราแน่ใจว่าชอบเขาเหมือนกัน
หรือเขาก็เป็นอีกคน ที่จากไปเพราะผิดหวังที่หน้าตากับนิสัยของเรามันไม่ได้ไปทางเดียวกัน

ชีวิตในมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ชีวิตส่วนตัวกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนฉันท์ตั้งรับไม่ทัน
ภาพที่เห็นเจนตาตั้งแต่จำความได้ ที่พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันเสมอ แต่มาวันหนึ่งแม่ก็กลับมาพูดว่า หย่าจากพ่อแล้ว และกำลังจะกลับไปญี่ปุ่น
"หมายความว่าไงฮะ โอกาซังหย่ากับพ่อแล้วก็กำลังจะกลับไป แล้วมาบอกผม"
"โอกาซังขอโทษที่ตัดสินใจแบบเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ แต่โอกาซังกับพ่อของชิรายูกิคุยกันมาตั้งแต่ชิรายูกิเรียนมัธยม เราพยายามปรับตัว แต่สุดท้ายเราต่างก็ฝืนใจกันต่อไปไม่ไหว โอกาซังจะขอให้ชิรายูกิไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยกัน แต่พ่อของชิรายูกิไม่ยอม เขาจะยอมหย่าให้ก็ต่อเมื่อชิรายูกิอยู่ที่นี่กับเขา"

นั่นแสดงว่าคนที่ต้องการหย่าคือโอกาซังสินะ....

ฉันท์เลือกที่จะทำความเข้าใจความรักของพ่อกับแม่ จากมุมมองของตัวเองที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันถูกต้องหรือไม่
จนกระทั่งในวันที่ยืนมองดูแม่ลากกระเป๋าเดินทางผ่านไปทางช่องผู้โดยสารขาออก ฉันท์จึงแน่ใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
เป็นอีกครั้งที่ฉันท์หันกลับไปมองช่วงเวลาที่ว่างเปล่าที่มันเกิดขึ้น
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้เลย...
แต่ถึงอย่างนั้นทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ฉันท์ก็ยังจะคาดหวังว่าจะเห็นแม่ยืนอยู่ในครัว และพ่อกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
หรือไม่ทั้ง 2 คนก็กำลังเดินออกกำลังกายอยู่ในสวนผลไม้หลังบ้าน
แต่ความจริงที่พบเจอ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอยู่นั่นเอง
ภาพที่เห็นหลังจากวันนั้นก็คือ พ่อเมาหลับอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์บ้าง หรือไม่ก็จะหายไปครั้งละหลายวัน
เริ่มจากการดื่มเหล้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต่อไปถึงการเล่นพนัน
จนมาถึงวันที่พ่อเริ่มมีร่องรอยฟกช้ำกลับมาบ้าน และของมีค่าหลายอย่างหายไป ป้าแจ่มจิตก็ชวนให้ฉันท์ย้ายออกมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังเล็ก ข้างตึกอพาร์ทเม้นท์ แต่ฉันท์ห่วงพ่อ ก็เลยไป ๆ มา ๆ ดูแลทั้ง 2 บ้านอยู่เหมือนเดิม
"ตอนสมัยวัยรุ่นพ่อของเจ้าฉันท์ก็ทั้งเหล้า ทั้งพนัน ทั้งยาเสพติด จนอยู่เมืองไทยไม่ได้ต้องไปญี่ปุ่น ไปเจอกับแม่ของเจ้าฉันท์ถึงได้ขยันทำงานเก็บเงินพากันกลับมาเมืองไทย"
ป้าเล่าเรื่องที่พ่อเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพราะได้พบกับแม่ เรื่องนี้ฉันท์ได้ยินได้ฟังมาหลายครั้งพร้อมบทสรุปจากป้า ว่าความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี
พ่อที่อยู่ในความทรงจำของฉันท์ ก็เป็นอย่างนั้น
แต่ป้าบอกว่า พ่อในวันนี้ คือพ่อคนเดิมในช่วงเวลาก่อนที่จะพบกับแม่
"ที่เก็บเงินจนมีบ้าน มีอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าแบบนี้ได้ ก็เพราะแม่ของเจ้าฉันท์ พ่อเขาต้องการสร้างครอบครัวที่มั่นคง แล้วนี่ถ้าเกิดไปติดการพนันหนักขึ้น แล้วเอาบ้าน เอาอพาร์ทเม้นท์ไปจำนอง เราก็คงหมดตัว"
"บ้านเป็นชื่อฉันท์" ฉันท์บอก "แม่โอนให้ตอนก่อนที่จะไป"
"พ่อเขารู้หรือเปล่า" ป้าถาม
"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตั้งแต่วันที่แม่มาบอกว่าจะหย่า พ่อก็เริ่มเมาแล้ว"
"งั้นก็แสดงว่าฉลองเขาเหลือแต่อพาร์ทเม้นท์นี้สินะ"
ฉันท์บอกอีก "รถทั้ง 2 คันเป็นชื่อพ่อ"
ป้าหวังว่าผีพนันที่สิงพ่ออยู่ในเวลานี้จะไม่เอาไปหมดทั้งอพาร์ทเม้นท์และรถ แต่ลุงยังไม่ค่อยไว้ใจ 
"เราต่างก็รู้ดีว่าฉลองคนเดิมน่ะเป็นอย่างไร ดื้อรั้นและหยิ่งขนาดไหน พี่น้องของเขาเองก็...” ลุงถอนหายใจ “เจ้าฉันท์ตั้งใจเรียนให้จบแล้วก็ทำงานดีกว่า"

ฉันท์มองลุงกับป้า ขณะที่ในใจกำลังคิดว่าทำไมลุงกับป้าต้องเป็นห่วงกังวลไปไกลมากนัก
นั่นเพราะฉันท์ไม่ได้รู้จักพ่อในแง่มุมที่ลุงกับป้ารู้จัก
และเมื่อมองไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดรอยร้าวตั้งแต่เมื่อไหร่ จนมารู้ตัวอีกที ก็คือทั้งสองคนหย่ากันด้วยแล้ว ฉันท์ก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก
แต่ถ้าเรียกว่าชีวิตช่วงนี้เป็นช่วงตกต่ำ มันก็ยังไม่ถึงที่สุด
ยังคงมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ ในแต่ละวัน
ญาติฝ่ายพ่อเรียกให้ไปหาและคุยเกี่ยวกับพ่อ เพื่อที่จะย้ำว่า หากเป็นไปได้ก็ให้พ่อโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ มาเป็นชื่อของฉันท์ก่อนที่จะไม่เหลืออะไร
ฉันท์รู้ว่าทุกคนหวังดี และเข้าใจความกังวลของพวกเขา แต่นั่นคือพ่อ ฉันท์ไม่สามารถพูดอย่างนั้นกับพ่อได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ฉันท์หยิบหนังสือเล่มบางออกมาอ่าน ด้วยเหตุผลที่ว่า หน้าปกคือรูปการ์ตูนลายเส้นชัดเจนเรียบง่าย และนี่คือหนังสือแปลญี่ปุ่น
การเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ อาจมาจากความคิดถึงแม่ที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจ เรื่องราวในหนังสือ ‘8 พลัง เสกหนึ่งวันธรรมดากลายเป็นวันพิเศษ’ ไหลซึมเข้าสู่สมอง และหัวใจของฉันท์อย่างช้า ๆ

...คนที่เราได้พบเจอนั้น คือคนที่เราพบเจอเพราะเราต้องได้พบเจอ...

"ท่าทางหนังสือเล่มนี้จะสนุกมาก" คนที่นั่งข้าง ๆ เป็นหนุ่มตี๋ตาชั้นเดียวเรียวยาว ยกแขนขึ้นมาพาดพนักเก้าอี้ตัวที่ฉันท์นั่งอยู่ ทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในหนังสือหันไปมอง
"ฮื่อ อ่านง่ายดี"
"เรียกตั้งหลายครั้ง จนมานั่งข้าง ๆ ยังไม่รู้ตัวเลย" คนที่นั่งข้าง ๆ บ่นไม่จริงจัง "หิวหรือยัง ไปหาอะไรกินแถวทองหล่อไหม"
"ทองหล่อไกลบ้านมึงไปหรือเปล่า"
"ไม่ไกลหรอก ถ้ามึงไปด้วย" ต้อมทำตาหวานเชื่อม แต่ฉันท์แค่ยิ้มไม่เปิดปาก ทั้งชี้ให้หันกลับไปมองทางด้านหลัง
"มีคนอยากไปด้วยอีกหลายคนเลย ชวนสิ"
ข้างหลังต้อมคือรุ่นน้อง ที่มีทั้งสาวและหนุ่มหวานที่กำลังส่งสายตามาให้
"อ๋า" ต้อมทำเสียงแปลก ๆ แล้วหันมาหาฉันท์ "คนเขาตั้งใจชวน กลับโยนไปให้คนอื่นเสียได้ ทำอย่างกับเราเป็นหนังสือในห้องสมุดงั้นแหละ"
ฉันท์ลุกขึ้น หยิบหนังสือมายื่นที่เค้าท์เตอร์บรรณารักษ์ ส่วนต้อมส่งยิ้มให้อาจารย์บรรณารักษ์ แล้วออกไปยืนรออยู่นอกห้องสมุด
อาจารย์ที่โต๊ะบรรณารักษ์ตอนนี้ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ดูท่าจะมีอายุมากกว่ากันไม่กี่ปี องค์ประกอบบนใบหน้าบางอย่างชวนให้นึกถึงคนที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน
ทันทีที่ใจรู้สึกว่าคิดถึง ฉันท์ก็หันไปมองทางอื่น เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง
รู้ตัวว่าคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามมองหน้าปกหนังสือแล้วก็จับตามอง
ไม่ชอบสายตาสำรวจอาการแบบนี้เลย
แต่อาจารย์บรรณารักษ์ยังไม่ส่งหนังสือให้ จนฉันท์หันไปมอง แต่วิธีการมองของฉันท์ก็ยังคงเป็นการตวัดสายตามองผ่านไปทางอื่น
"มองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ จะถูกเข้าใจผิดได้นะ"
ฉันท์ยอมรับว่าวิธีการมองแบบนี้ไม่สุภาพ "ขอโทษครับ"
"ผมเหมือนคนที่ทำให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไง"
ประโยคนี้ทำให้ฉันท์หันกลับไปมองอีกคนอย่างเต็มตา "ไม่หรอกครับ"
เมื่ออีกคนยิ้มที่มุมปาก ฉันท์ก็อธิบายต่อ "ตอนแรกผมคิดว่าเหมือน แต่ตอนนี้คิดว่าคุณไม่เหมือนเขาหรอก"
อาจารย์บรรณารักษ์หยิบกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก เขียนชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ สอดไว้ในหนังสือ
"อย่างนั้นผมก็ยังมีโอกาสสินะ" มือใหญ่ส่งหนังสือคืนมาให้ "ผมยังไม่มีใคร และผมชอบคุณ ไม่ว่าคุณจะชอบผมหรือไม่ ก็โทรมาคุยกับผมได้เสมอนะครับ"
เพราะเป็นประโยคก้ำกึ่ง ระหว่างการบอกรัก กับการขอเป็นเพื่อนคุย ฉันท์ถึงได้เลิกคิ้วขึ้นสูง อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ
"ผมชื่อทีม ธนวัฒน์ ผมเห็นคุณมาตั้งแต่คุณเข้าเรียน ที่จริงเราพบกันมาแล้วหลายครั้ง แต่ผมเห็นว่าคุณมีคนที่คุยอยู่เรื่อย ๆ" แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เน้นคำว่าเรื่อย ๆ แต่ฉันท์ก็รู้สึกเสียดอยู่ในอก "รอจนมาถึงวันนี้ที่คุณอยู่ปี 4 ถึงมีโอกาสที่จะได้คุยกัน แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่คุณพูดตอบผม จะขอคบกันเลยมันก็ยังไงอยู่ เลยขอโอกาสที่ผมจะได้คุยกับคุณมากขึ้น"
"หมายถึง คุณเคยทักผมแล้วผมไม่ตอบหรือ" ฉันท์ออกจะงุนงง
ธนวัฒน์พยักหน้ายิ้ม ๆ ท่าทางอารมณ์ดี ไม่ได้ถือสาความไม่มีมารยาทของฉันท์ แต่ฉันท์ยิ่งรู้สึกผิด
"ขอโทษครับ"
"ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ คุณเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา"
มาถึงตอนนี้ ฉันท์รู้ตัวแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องตัดบทสนทนา "ผมเป็นอย่างนั้นแหละ ขอบคุณที่มองผม แต่ผมไม่พร้อมที่จะคบกับใคร"
"เพราะคนนี้หรือ" มือใหญ่ชี้ไปที่หนังสือ
"ผมคิดอะไรหลายเรื่องครับ"
"งั้นเราก็มีเรื่องให้คุยกับหลายเรื่องสินะ" ธนวัฒน์ยิ้มกว้างเปลี่ยนคำเรียกตัวเองในทันที "พี่ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ถ้าต้องการคนคุยด้วยก็โทรมา"
มีนักศึกษาที่เดินเข้ามาต่อแถวเพื่อยืมหนังสือ ฉันท์หันไปมองแล้วหันมายุติการสนทนาด้วยการรับหนังสือ โดยที่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันท์ถึงได้หยิบกระดาษแผ่นเล็กที่แนบอยู่ในหนังสือออกมาดู แล้วใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะ
หวังว่าจะไม่ต้องมีเหตุการณ์อะไรที่จะต้องหยิบมันออกมา
.*-*-*.
ฐาติยังคงมาทำความสะอาดห้องพักของธามันเดือนละครั้งในวันที่เลิกงานเร็ว แต่เจตนาที่จะไม่มาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพราะรถยนต์คันที่ใช้ประจำค่อนข้างสะดุดตาคนอื่น
เวลาเกือบ 4 ปี ตอนนี้ห้องของธามันเหลือเพียงที่นอน ตู้เสื้อผ้า กับพัดลมอีก 1 ตัว
เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะขนงานมานั่งทำที่นี่
หรือไม่ก็ย้ายมานอนที่นี่เสียเลย
แต่พอเหลียวทองรอบห้อง...ไม่ได้ว่ะ มันอึดอัด มันเก่า มันโทรม มันทำไมไม่ลิฟท์ มันไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นส่วนตัว ยิ่งหน้าต่างบานเกร็ดแบบแฟล็ตเก่า ๆ นี่ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ
แต่ที่มาก็เพราะสงสารไอ้คนที่มันจ่ายค่าห้องให้เขาไว้นานเป็นปีแต่ได้อยู่จริงแค่ 2 เดือน แล้วก็ยังคงคอยถามถึงอีกคนอยู่ตลอด
ฐาติก็เลยต้องจำใจมาทำความสะอาดห้อง เปิดหน้าต่างห้อง เปิดพัดลมให้อากาศถ่ายเท ปัดกวาดอีกสัก 10 นาที จากนั้นก็ปิดห้อง แล้วก็ลงมาโอ้เอ้อยู่แถวบันไดชั้นล่างของตึก
ตอนแรก ๆ เด็กนักเรียนหัวเกรียนคนนั้นมันมารอ แต่หลังจากนั้นฐาติก็ต้องเป็นฝ่ายมารอ ครึ่งชั่วโมงบ้าง 1 ชั่วโมงบ้าง พอซื้อโทรศัพท์ให้ใช้ จะได้ไว้คอยถามว่าถึงไหนแล้ว แต่เด็กนักเรียนกลับปิดเครื่องเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ฝากแม่ไว้ เพราะกลัวไปทำหายที่โรงเรียน
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
อย่างวันนี้ โทรบอกกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ว่าจะมาที่ห้อง ระบุเวลาไว้ด้วย แต่ตอนนี้ก็สายไปแล้วครึ่งชั่วโมง รถจักรยานคันเดิมถึงได้เลี้ยวเข้ามาที่อพาร์ทเม้นท์
"อะไรของมึงวะเนี่ย ไปมองสาวที่ไหนอยู่ จะเอาของฝากไหม" ฐาติเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ขณะที่อีกคนจอดรถจักรยานพรืด แล้วยกมือไหว้
"โห น้าเจอหน้าก็ให้พรกันเลยนะ ไหนอะ เสื้อใหม่อะ"
เสื้อที่ธามันส่งมาให้ฐาติ และฝากมาให้กวางอีกต่อหนึ่ง
"มึงรายงานมาก่อน แล้วเสื้อถึงจะไป"
กวางเล่าเรื่องของฉันท์ในช่วงหลายวันมานี้ "พี่เขาไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเอง แต่เรื่องคนที่เขาคุยด้วย ก็มีเรื่อย ๆ อย่างที่น้ารู้น่ะแหละ"
ฐาติส่ายหน้า ส่งถุงใส่เสื้อให้
"แล้วมึงไม่ได้เล่นยาแน่นะ"
"ไม่อะ เดี๋ยวอดได้ของฝาก" กวางยิ้มกว้าง
"เออดี" ฐาติบอก แล้วจะเดินผ่านไป กวางก็เรียกไว้
"น้า"
"อะไร"
"พี่ธามน่ะ เขายังตัดใจไม่ได้ใช่ไหม"
คราวนี้ฐาติถอนหายใจ "คงอย่างนั้น"
"หนูว่า พี่ฉันท์ก็เหมือนกัน"
"มึงอย่ามาเข้าข้าง ก็เห็นกันอยู่"
"เรื่องที่อยู่ในใจ มันอาจไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นก็ได้นะ"
"แหม คมนะมึง" ฐาติหมั่นไส้ เขกหัวไปที
"น้าบอกเอง ว่าอีกสัก 2-3 ปีหนูจะเข้าใจ"
"เออ ดูกันไปยาว ๆ ละกัน ชีวิตคนมันหนังเรื่องยาว ต้องดูกันไปยาว ๆ"
กวางทำปากยื่น แล้วเปลี่ยนเป็นร้องโวยวายเมื่อถูกดึงแก้ม
“เจ็บนะ”
“ทำปากยื่นปากยาวนะมึง”
กวางจับแก้มตัวเอง “น้าถามแค่เนี้ยะ”
“เออ”
“ถามแค่นี้ หนูก็ได้กำไรน่ะสิ”
ฐาติหัวเราะพลางโบกมือ “เออ เอาเหอะ นานๆ ที”
กวางยิ้มแป้น มองถุงเสื้อที่มีเสื้ออยู่หลายตัว และมีขนมอีก 1 กล่อง ตอนที่กลับมาถึงบ้าน กวางแกะเสื้อออกมาดูมีเสื้อผู้ชายตัวใหญ่อยู่ 3 ตัวสำหรับพ่อกับพี่ชาย แต่ไม่มีเสื้อตัวเล็กขนาดที่กวางจะใส่ได้ ก็เลยเอาเสื้อไปให้บรรดาคนตัวใหญ่ในบ้าน แต่เอาขนมมาแบ่งกับแม่และพี่สาว พี่สะใภ้

..จบตอนที่ 2...

พี่จ๋าขอกำลังใจเป็นรีพลายได้ไหมจ๊ะ เขียนเสร็จแล้วไม่มีใครคุยด้วยมันเหงานะจ๊ะ

MyTeaMeJive
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 15-12-2018 21:09:30
ขอบคุณค่ะ
งานเขียนของไจฟ์ที ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว
เห็นชื่อเรื่องหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้ดึงดูดพอ
แต่มาสะดุดใจตรงชื่อคนแต่ง เกือบพลาดไป

ขอบคุณที่ยังมีผลงานเขียนออกมาให้อ่านอยู่ตลอดๆ
อย่าเพิ่งท้อใจที่คนรีพลายน้อยน๊าาา
 :3123:   :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 15-12-2018 21:55:53
อ่านจบแล้วขอเมนท์อีกรอบ

จากชื่อเรื่อง คิดว่ามาแนวแฟนตาซีเหมือนเรื่องก่อนที่จบไป
เรื่องนี้.. อ่านจบ อารมณ์แบบ เฮ้ยยย ชอบบบบ เย็นชาสินะ
ถึงเป็น เจ้าชายหิมะ  ...

มีบางช่วงบางตอน ทำให้คิดถึงคีย์น้อยของเฮียซาโต้

ดีงาม ขอบคุณอีกครั้ง  :L2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 15-12-2018 22:11:18
แปะๆ เดี๋ยวตามให้ทันก่อน อิอิ
  :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่ 1 (8/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 16-12-2018 11:07:47
ตกลงว่าฐาติเป็นกามเทพหรือบ่างช่างยุ   :angry2:
ธามกับฉันท์จะเลิกกันก็เพราะฐาตินี่แหล่ะ  :m16:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 16-12-2018 15:13:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-12-2018 20:28:57
แตกแยกเพราะฐาติหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-12-2018 10:04:36

โอ้ยยยยยยยยย เย็นชาแบบนี้ ชินเลยชินเวอร์ชั่นนี้เลย เย็นชาเก็บอารมณ์ คิดถึงเลย  :กอด1:


ว่าแต่มาตอนที่ 2 นี่ อิพี่ธามคบเพื่อผลประโยชน์ซะงั้น ใช้กลลวงมาทำให้รัก :m16:


ต้องขอบคุณอิตาฐาติที่ทำให้น้องฉันท์รู้สึกเร็วขึ้นจะได้ไม่ถลำลึกไปกับเกมส์ของอิพี่มากกว่านี้ ชิชะ


ขอแช่งให้หลงน้องหัวปักหัวปำ และน้องก็ไม่รัก ชิชะ




หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 19-12-2018 20:35:55

"จากที่ธามันเคยเล่าเรื่องราวมากมาย แต่วันหนึ่งก็กลับกลายเป็นการตอบข้อความที่สั้นกระชับ จนกระทั่งเมื่อส่งเมลไปแล้ว ต้องรออีกนานหลายวันจึงมีข้อความตอบกลับมา
และในวันหนึ่ง ฉันท์ก็หยุดส่งข้อความ ได้แต่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ดับลง แล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ "

โทษใครดี.. คนส่งข่าว หรือคนรับสาส์น
กลับมาหาวันไหน น้องฉันท์มอบรอยยิ้มหิมะให้เย็นจนชาไปเลยนะ



หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-12-2018 15:54:52
รอตอนต่อไปจ้า :L1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 20-12-2018 18:15:37
มารอน้องฉันท์
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 20-12-2018 18:20:11
 :sad4: ธามและฉันท์ไม่เจ้าใจกันเลยเหมือนต่างคนต่างกั้นความรู้สึกยิ่งมีฐาติมาป่วนยิ่งไปกันใหญ่ รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 20-12-2018 22:40:10
ฉันท์อย่าไปสนใจอีตาธามันเลยลูกคนที่อยากได้ผลประโยชน์จากหนูเราต้องเป็นเจ้าชายหิมะควบคู่ไปกับราชินีหิมะด้วยไปอยู่ญี่ปุ่นกับโอก้าซังดีกว่า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-12-2018 09:48:08

อ่านอีกรอบนี่ ไม่ธรรมดาเด้อออ น้องฉันท์เรา มีมาให้เลือกมากมายเด้อ 55555    o13  o13

เอาเลยลูก ลองเปิดใจดู อาจดีกว่ามาทุกข์ใจ  :katai3:  (นี่ขนาดไม่รู้ว่าอิตาพี่ธามแย่จริงหรือเปล่านะ 555555 )


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-12-2018 15:41:31
เอาล่ะมีคนคล้ายธามเข้ามาอีก
ไหนจะเรื่องพ่ออีก หนูลูก  :hao5:
ต้องมีเหตุให้ได้ขายที่แน่ๆเลย  :ling2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 22-12-2018 14:03:29
น้องฉันท์ลูกกก จะมาอีกวันไหนนน รออออ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-12-2018 14:21:18
 :z10: มาหาน้องฉันท์ตอนใหม่
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่2 (15/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-12-2018 14:41:43

  มารอแล้วจ้า ฮึบ ฮึบ ฮึบ

 :กอด1:  :กอด1:

หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-12-2018 19:26:47
ตอนที่ 3

ตอนที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อีกฝ่ายทักทายฉันท์ก็ยังจำไม่ได้ ตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเคยพบเจอกันตอนไหน เมื่อไหร่ก็ยังนึกไม่ออก แต่เมื่อได้คุยกันสักครั้งหนึ่ง ฉันท์ก็มองเห็นธนวัฒน์ อาจารย์บรรณารักษ์คนนั้นคอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ อย่างที่เจ้าตัวบอกไว้
สำหรับฉันท์แล้ว เมื่อทักมาก็ตอบกลับไป และยังมีกำแพงสูงกั้นกลาง
แต่ธนวัฒน์ที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ใช้วิธีแวะเวียนมาพบเจอแบบสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นเคย จนวันหนึ่งก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนบอกว่าขอยืมโทรศัพท์ ฉันท์ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ อีกคนก็กดโทรฯ เข้าเครื่องของตัวเอง แล้วบอกว่า เย็นนี้จะโทรหา
มาถึงตอนนี้ ฉันท์ก็จะได้รับข้อความหวานทุกเช้า และได้ยินคำพูดนอนหลับฝันดีก่อนนอนทุกคืน
อาจมีคำถามว่าอาจารย์ธนวัฒน์คนนี้อาจมีคนที่คบหาพูดคุยอยู่อีกคน หรือหลายคน แต่ฉันท์ก็เจตนาเว้นช่องว่างในคำตอบนั้นไว้ 
ก็เหมือนกับทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ที่ฉันท์จะเว้นช่องว่างนี้ไว้เสมอ
รู้จักกันเฉพาะในยามพบเจอกัน ส่วนในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกฝ่ายจะทำอะไร ฉันท์ไม่เคยถามถึง
หลายคนถึงบอกว่าฉันท์ไม่มีใจ แต่ธนวัฒน์กลับรู้สึกท้าทาย และต้องการเข้ามาอยู่ในโลกของฉันท์

นับจากวันที่ทักกันที่ห้องสมุดเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนฉันท์ก็บอกกับธนวัฒน์ด้วยคำเดิมอีกครั้ง
“อาจารย์ครับ ผมขอบอกกับอาจารย์ตามตรง ว่าผมไม่พร้อม”
ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง “ก็คุยกัน ทำความรู้จักกันแบบคนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน คนที่ชอบหนังสือเหมือนกันได้ไหม”
“แบบนั้นมันก็ได้ครับ” ฉันท์ย้ำ “แต่ถ้าอาจารย์ต้องการมากกว่านั้น ผมไม่อยากให้เสียเวลา”
“อย่าคิดมากน่า” ชายหนุ่มเข้าใจ “เรายังมีเวลาคุยกันอีกตั้งมาก”
“คุยกันเท่านั้นนะครับ”
“คุยกันเหมือนที่ผ่านมา ได้ใช่ไหม”
ฉันท์พยักหน้า “ก็ได้ครับ”
“งั้นเสาร์นี้ไปดูหนังกับพี่นะ”
เมื่อฉันท์เงียบ ธนวัฒน์ก็รุกต่อ “น้องฉันท์ยังไปดูหนังกับเพื่อนได้เลยใช่ไหม แต่ทำไมถึงได้ปฏิเสธพี่ตลอด”
ในชีวิต มีอยู่หนึ่งคนที่เรียกว่า ‘น้องฉันท์’ แต่ในเวลานี้เขาอยู่ไกลมาก
“ก็ได้ครับ”
ฉันท์ตอบรับไปดูหนังกับธนวัฒน์โดยที่คาดไม่ถึงว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปไกล
....
"มึงตกลงที่จะคบกับอาจารย์ธนวัฒน์จริง ๆ หรือวะ" ต้อมถามขึ้นทันทีที่เจอกันในห้องเรียนตอนเช้าวันจันทร์
"แค่คุยกัน" ฉันท์ตอบไปตามตรง ทำให้ต้อมหัวเราะ
"อะไรของมึงเนี่ย เจ้าชายฉันท์ทัต ไปเดทกันมาเมื่อวันเสาร์ไม่ใช่หรือไง"
"รู้ได้ไง"
"โห" ต้อมทำหน้าตาบิดเบี้ยว "มีคนเห็นมึงเดินกับอาจารย์น่ะสิ กูยังคิดว่ามึงเห็นจากทวิตแล้วเสียอีก"
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่หรอก ยังไม่ได้เข้าทวีตเลย"
"ยังมาทำหน้างงใส่กูอีก นี่เขารีทวีตกันกระหน่ำเลยมึง"
ฉันท์ยังคงทำหน้าตาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งคำถามต่อ ต้อมก็เลยเล่าถึงเรื่องที่ทุกคนวิจารณ์กัน แต่คนที่ตกเป็นเป้าหมายของการวิจารณ์กลับไม่เข้าใจ
"กูเพิ่งไปกับเขาครั้งแรกเองนะ ก็พูดกันไปไกลแล้ว อีกอย่าง....."
เมื่อฉันท์เงียบ ต้อมก็เร่งให้เพื่อนพูดต่อ
"อีกอย่างอะไร"
"อีกอย่างมึงก็รู้ ว่ากูไม่เคยคบกับใครได้นาน พอเขารู้ว่ากูเป็นคนยังไง เดี๋ยวเขาก็ไป คุยกันไปแบบนี้แหละดีแล้ว"
“คุยกันเฉย ๆ จิงดิ”
“จริง” ฉันท์ยืนยัน
ต้อมที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากรู้เรื่องหุบปากเหมือนไล่งับอากาศ แล้วขยับนั่งตัวตรง จากนั้นก็กลับหันมามองหน้าเพื่อนตัวเล็กอีกครั้ง
"งั้นไม่ต้องไปสนใจมนุษย์โซเชี่ยลนั่นก็ได้ เอาที่ตัวตนของมึงกับอาจารย์เนี่ย มีอะไรที่ไม่คลิ๊กกันหรือไง"
"กูจะไปรู้หรือไง เพิ่งคุยกันเอง"
"เออนั่นสินะ" ต้อมนึกได้ ก็ที่ผ่าน ๆ มาเห็นว่าเดินเข้ามาสารภาพรัก วันถัดมาก็ทำตัวติดกันเสียแล้ว แต่คราวนี้ ดูห่าง ๆ ขนาดไปเดทกันแล้ว ต้อมที่ประกาศตัวเป็นเพื่อนสนิทยังมารู้จากไอจีของคนอื่นที่ส่งต่อ ๆ กันมาเลย
"เขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องอย่างคนก่อน ๆ บทสรุปมันคงไม่เหมือนกันหรอกน่า แล้วมึงเองก็ดูเฉย ๆ นี่หว่า จะมาก็มา จะไปก็ไป"
ฉันท์ยิ้มมุมปาก ขนาดเพื่อนกันก็ยังสรุปท่าทีของฉันท์ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ต้องเป็นฝ่ายฟังคำตัดสินของคนที่เข้ามาบอกรัก ว่าไม่ได้ดี และไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง แล้วก็จากไป
ใจคน จะไม่รู้สึกได้อย่างไร
แต่ที่ไม่ฟูมฟาย เพราะรู้ดีเช่นกันว่า มันไม่มีประโยชน์ คนที่เขาจะไป ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด เขาก็ยังไปอยู่ดี
ขณะที่ 2 หนุ่มกำลังคุยกันอยู่ แป้งเพื่อนสาวแท้ในกลุ่มก็เดินเข้ามาทักทายด้วยเรื่องการไปเดทกับอาจารย์ห้องสมุด ตามมาด้วยเพื่อนอีกหลายคนที่ทยอยเข้าห้องเรียนมา ก็รุมถามคำถามเดียวกันจนทำให้ฉันท์สงสัย
"อะไรกันเนี่ย"
"ไม่ต้องมาอะไรเลย" แป้งตีที่ต้นแขนผอม ๆ ของฉันท์ "นั่งเรียนอยู่ข้างกันแท้ ๆ ฉันกลับไปเห็นจากทวิตเตอร์คนอื่นว่าแกไปเดทกับอาจารย์"
“มีคนดึงไปลงเฟซ ลงบล็อคกอสซิปแล้วด้วย” เพื่อนสาวอีกคนยื่นโทรศัพท์ให้ฉันท์ดู
นี่มันอะไรกัน
“แฟนคลับอาจารย์หรือ”
จากที่อ่านความเห็นสรุปได้แบบนั้น คือวิจารณ์ว่าหนุ่มหน้าสวยคนนี้เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย และอาจารย์บรรณารักษ์คือคนล่าสุด
มีสาว ๆ หลายคนไม่ชอบฉันท์เอามาก ๆ
ต้อมอาสา “กูช่วยตอบให้นะ”
“ตอบว่า...” แป้งถาม
“สวยเลือกได้ จบป้ะ”
“อย่าเลย ไม่ต้องไปตอบอะไรเขาหรอก อย่าประชดแบบนั้นด้วย” ฉันท์รีบห้าม “โลกของกูไม่ได้อยู่ในโทรศัพท์ เขาอยากว่าอะไรก็ช่างเขาเหอะ”
“โห พ่อพระ” เพื่อนหนุ่มสาวหลายคนประสานเสียงพร้อมกัน
“ไม่ใช่โว้ย” ฉันท์เถียง “แต่คนที่เขาตัดสินเราไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบอกเขาว่าความจริงคืออะไร เสียเวลาเปล่า ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
"เดี๋ยวนะ" กอล์ฟ เพื่อนอีกคนท้วงขึ้นเมื่อนึกได้ "เขาเคยเข้ามาทักฉันท์ตอนที่พวกเรานั่งอยู่หน้าตึกด้วยกันไม่ใช่หรือ"
"ใช่แต่นั่นมันนานเป็นเดือนแล้ว"
"แล้วไอ้ฉันท์ก็แอบไปรับนัดเขา แอบไปเที่ยวกับเขา โดยไม่ผ่านการพิจารณาของพวกเราอีกแล้ว" นิดหน่อยเพื่อนสาวที่รูปร่างอ้วนกลมทำเสียงหนัก ๆ เหมือนเป็นความผิดร้ายแรง
"ก็ แค่คุยกัน มันไม่ใช่อย่างนั้น" ฉันท์อยากเถียง แต่กลับยิ้มให้กับเพื่อนที่ช่างแสดงความเห็นได้ต่อเนื่องกันไม่หยุด
"แต่ถ้าแกจะมีแฟนมันก็ดีนะ แต่เวลาแกโดนทิ้งกลับมาน่ะ เพื่อนเครียดนะ" นิดหน่อยบอก "แล้วนี่ทำไมต้องคุยกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ด้วย"
"ไม่ได้คิดจะหลบซ่อนอะไร” บอกไปหลายครั้งแล้วว่ายังไม่พร้อม
"เออ ใช่" แป้งหันไปหากลุ่มเพื่อนสาวทั้งหลาย "มีระเบียบมหาลัยห้ามอาจารย์กับศิษย์คบกันหรือเปล่า"
“คุยกัน” ฉันท์เถียง
“เออ คุยกัน” แป้งหันมาค้อน
"ไอ้ฉันท์ไม่ได้เรียนวิชาห้องสมุดนี่" กอล์ฟบอก "แล้วเราก็เหลืออีกเดือนเดียวก็จะจบแล้วด้วย" เพื่อนตาตี่หันมาให้กำลังใจ "คุยกับผู้ใหญ่อาจดีกว่าคุยกับคนอายุใกล้กันก็ได้นะ"
ฉันท์มองเพื่อน ๆ แล้วก็ส่ายหน้า ทำให้ต้อมทำหน้าที่บอกกับเพื่อนทุกคน
"ฉันท์มันเชื่อว่า ถ้าเขารู้จักตัวตนของมันแล้วเขาก็จะไป"
"อ้าว" เพื่อนทุกคนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็ช่วยกันสรุป "ฉันท์แม่งกลายเป็นพวกมองความรักในแง่ลบไปเสียแล้ว"
"ไม่ถึงขนาดนั้น กูก็แค่ยอมรับว่าเป็นพวกหน้าตากับนิสัยไปคนละทาง จนคนอื่นรับไม่ได้"
"ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย" แป้งช่วยให้กำลังใจ "อย่าคิดอะไรแบบนั้น อาจารย์ธนวัฒน์อาจไม่ใช่คนที่มาชอบแกเพราะหน้าตาก็ได้"
ฉันท์ยิ้มให้แป้ง ขณะที่นิดหน่อยช่วยเสริมด้วยท่าทางเว่อร์เกินจริง "ก็เวลาที่อีกฝ่ายจะเลิก แกก็ช่วยแสดงท่าทีแบบ ทำไม อะไร ยังไง ผมทำอะไรผิด ผมจะแก้ไข อะไรแบบนั้นไม่ได้หรือไง"
แป้งรีบพยักหน้า "เออใช่ เท่าที่แอบดูมานะ" เพื่อนร่วมห้องพากันร้องแซวเสียงดัง จนแป้งต้องหันไปโวย "พวกแกก็แอบดูอยู่ด้วยกันน่ะแหละ แล้วจะว่ากันเองทำไม" เพื่อนสาวหันมาหาฉันท์อีกที "เขาอาจมาบอกเลิก เพราะหวังให้แกง้อก็ได้ แต่นี่ทุกคนเลยนะ พอเขาบอกว่าจะไป แกก็พยักหน้าตามใจเหมือนตอนที่เขามาขอคบด้วยทุกที"
คำตอบของฉันท์เรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
"ถ้าเขาจะไป ไม่ว่าจะพูด หรือไม่พูด เขาก็ไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้มันหยุดแค่คำว่าคุยนี่แหละดีแล้ว"
นิดหน่อยชี้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ “แต่ถ้าแค่เริ่มคุยกันแล้วเจอแบบนี้ มันก็ยากที่จะพัฒนาไปมากกว่าคำว่าคุยกันจริง ๆ แหละ”
ฉันท์หันไปมองอาจารย์ที่ปรึกษาที่เดินเข้ามาในห้องเรียน ปัดภาพเก่า ๆ ออกไปจากสายตา ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
....
เลิกเรียนวันนี้ ฉันท์เดินไปห้องสมุดเพื่อทำรายงาน ธนวัฒน์เดินเข้ามาหาแล้ววางหนังสือเล่มเล็กทางขวามือขณะที่นั่งลง "หนังสือเพิ่งมาใหม่ จะยืมไหม"
ฉันท์มองหน้าปกหนังสือ และมองชื่อคนเขียน เป็นหนังสือคำคมให้กำลังใจ ที่รวบรวมโดยนักธุรกิจชื่อดัง
"ขอบคุณครับ"
แต่ธนวัฒน์กลับชวนคุยต่อ "ที่จริงใกล้สอบแล้ว น้องฉันท์ต้องเร่งทำงานส่งอาจารย์หรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ"
ธนวัฒน์พลอยยิ้มตามไปด้วย "วันนี้ขับรถมาหรือเปล่า"
ฉันท์พยักหน้า ทำให้ชายหนุ่มผิดหวัง "แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้ไปส่งน้องฉันท์ที่บ้าน"
"ก็..." ฉันท์อมยิ้ม หันไปเขียนแผนที่ใส่กระดาษแผ่นเล็กแล้วส่งให้ "เลิกงานแล้ว แวะไปกินข้าวที่นี่ก็ได้นะครับ"
เมื่อเห็นว่าคนรับมีท่าทีดีใจฉันท์ก็บอก “อย่าเพิ่งรีบดีใจ กับข้าวธรรมดาอาจไม่ถูกปากพี่ก็ได้”
“ถ้าน้องฉันท์ว่าอร่อย พี่ก็ว่าอร่อยน่ะแหละ”
ฉันท์ยิ้มอ่อนสรุปบทสนทนาด้วยการพูดถึงหนังสืออีกเล่มที่จะเอามาประกอบการทำรายงาน จากนั้นก็ขอตัวลุกไปหาหนังสือ
ธนวัฒน์มองตามแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไป เมื่อหันกลับมาเห็นว่าเพื่อน ๆ ของฉันท์กำลังมองดูอยู่ก็ส่งยิ้มให้กับทุกคนจากนั้นก็ลุกกลับไปประจำที่หลังเค้าน์เตอร์
เมื่อจะออกจากมหาวิทยาลัย ฉันท์โทรศัพท์ไปบอกป้า ว่าเย็นนี้อาจมีสมาชิกไปกินข้าวเย็นด้วยอีกหนึ่งคน จะซื้อกับข้าวสำเร็จรูปจากปากซอยเข้าไป
“เผื่อไว้ ถ้าเขามาเราค่อยเอามาอุ่น แต่ถ้าไม่มาเราก็เก็บไว้วันพรุ่งนี้”
“ขี้เหนียวนะเรา” ป้าพูดขำ ๆ
หลังหกโมงเย็นเพียงเล็กน้อยธนวัฒน์ก็มาจอดรถที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ฉันท์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมารับ
"คิดว่าจะมาไม่ถูกเสียอีก"
ธนวัฒน์ส่งตะกร้าผลไม้ให้ "เข้าซอยมานิดเดียวแบบนี้หาง่าย” ชายหนุ่มลดเสียงลงท่าทางลึกลับ “มีเรื่องเซอร์ไพรซ์จะบอก"
ฉันท์ยิ้มรอฟังคำเซอร์ไพรซ์ของอีกคน
"อพาร์ทเม้นท์ของน้องฉันท์ อยู่ไม่ไกลจากบ้านพี่"
ฉันท์มีสีหน้าประหลาดใจอย่างที่อีกคนบอกไว้ "จริงหรือครับ"
ธนวัฒน์พยักหน้ายืนยัน ฉันท์ก็เบี่ยงตัวให้เดินคู่กันเข้าไปในบ้านหลังเล็กข้างอพาร์ทเม้นท์
“ลุงครับ ป้าครับนี่พี่ทีมครับ”
ลุงกับป้ารับไหว้แล้วถามไถ่เรื่องทั่วไป อย่างบ้านอยู่ที่ไหน รู้จักกับฉันท์ได้อย่างไร ทำงานอยู่ที่ไหน แล้วพอธนวัฒน์บอกว่า เป็นอาจารย์บรรณารักษ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ฉันท์เรียนอยู่ป้าก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ชวนกินอาหารเย็นพร้อมกัน
“กับข้าวง่าย ๆ นะกินได้ไหม”
“ได้ครับ”
ธนวัฒน์กินง่ายสมกับที่เจ้าตัวบอก ผัดพริกผักบุ้ง กับแกงจืดตำลึงก็อร่อยจนต้องขอเพิ่มข้าวจานที่ 2 ทำให้ป้าหน้าบานยิ้มไม่หุบ
“นี่ไม่เคยมีใครขอเพิ่มข้าวอย่างนี้มานานแล้วนะ”
ธนวัฒน์หันไปมองฉันท์ที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะหันมาตอบเอาใจป้า “แต่กับข้าววันนี้อร่อยมากเลยนะครับ ผมไม่เคยกินที่ไหนอร่อยอย่างนี้มาก่อน ถ้าจะขอมารบกวนมื้อเย็นบ่อย ๆ จะได้ไหมครับ”
“ได้สิ” ป้าตอบทันที “ถ้าทำกับข้าวแล้วมีคนกินเยอะ ๆ อย่างนี้มาทุกวันเลยก็ได้ คนทำกับข้าวชอบ”
“ครับ” ธนวัฒน์หันไปถามฉันท์ “น้องฉันท์อนุญาตไหม”
ฉันท์แค่ยิ้มมุมปาก ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองธนวัฒน์เลยด้วยซ้ำ
อาการแบบนี้ หลายคนตีความว่าฉันท์ไม่ค่อยเต็มใจให้มาทุกวันสักเท่าไหร่ ที่ไม่ได้พูดอะไรเพราะป้าเป็นคนออกปากชวน ซึ่งธนวัฒน์ก็ควรตีความแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ธนวัฒน์ตีความไปในทางตรงข้าม
หลังอาหาร ธนวัฒน์ยังอยู่คุยกับป้าจนเกือบ 2 ทุ่มฉันท์ก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า จะขอกลับบ้าน เพราะมีรายงานที่ต้องทำ
“อ้าว น้องฉันท์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ”
“ไม่ครับ ผมอยู่กับพ่ออีกหลังหนึ่ง ถ้าพี่จะคุยกับป้าเรื่องการทำอาหาร...”
ฉันท์ต้องการหาเรื่องหนีกลับบ้าน แต่ธนวัฒน์มองว่าหึง
ซึ่งมันตลกมากในสายตาของลุงวินัยคนที่รู้จักหลานชายคนนี้ดีที่สุด
“โธ่ น้องฉันท์ เห็นนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าจะหึงเหมือนกันนะเรา”
น้องฉันท์เลิกคิ้วสูงข้างหนึ่ง ทั้งยกยิ้มมุมปาก
ธนวัฒน์หันไปลาลุงกับป้าพร้อมบอกว่าแล้วจะมากินข้าวเย็นด้วยบ่อย ๆ จากนั้นฉันท์ก็เดินไปส่งที่รถ
เมื่อฉันท์เดินกลับมาที่บ้านมองหน้าลุงวินัย ลุงก็พูดทันทีโดยที่ไม่ต้องถาม
“ไอ้คนนี้มันตีความหมายอะไรเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด”
“แต่ฉันว่าหน้าตาเขาดูคุ้น ๆนะ” ป้าพูดขึ้นมา แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ส่วนคนที่นึกออกหันมามองหน้าหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาหยิบกุญแจรถ พอหลานจะกลับก็ทำทีเป็นเดินตามมาด้วย
“ที่ว่าเขาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเดียวกันมันก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว จะสอนเราหรือไม่สอนมันก็ไม่เหมาะ รอให้เรียนจบแล้วค่อยคุยกันจะดีกว่า แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองที่อย่าเอาเขามาแทนที่คนไกล”
“ผมไม่ได้เอาเขามาแทนที่นะฮะ”
“แล้วเราชอบเขาหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า ก็เหมือนกับทุกครั้งที่พาใครมาบ้านแล้วลุงถามแบบนี้ ฉันท์ก็จะตอบแบบเดิม
“ไม่ชอบเขา ก็ปฏิเสธเขาให้มันเด็ดขาดไม่ดีกว่าหรือไง ทำแบบนี้สักวันเจอคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เราจะเดือดร้อน”
“เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว สักพักเขาก็จะรู้เองแหละฮะ ว่าผมไม่ได้ชอบเขา”
“ไปคิดแทนเขาแบบนั้นมันไม่ถูก” ลุงวินัยย้ำ “ยิ่งกับคนที่ปากหวาน หลงตัวเองแบบนี้ ค่อย ๆ ห่างออกมาก็แล้วกัน”
...
จากมุมบันไดของอาคารที่พักความสูง 5 ชั้น ฐาติที่ยังคงมาทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 5 ให้กับธามันเดือนละครั้ง มองตามหลังคนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วได้แต่ส่ายหน้า
ข้อความจากเมลที่ส่งไปถึงคนไกล ก็ยังเหมือนเดิม คือแนะนำให้คืนห้อง แล้วก็เริ่มต้นกับคนใหม่อย่างจริงจัง
จนถึงวันถัดมา เพื่อนสนิทและญาติสนิท 2 คนนี้ถึงได้คุยกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
"แค่ให้ไปดูห้องเดือนละครั้ง เบื่อแล้วหรือไง" ธามันถามกลั้วหัวเราะ
"4 ปีแล้วนะ มึงจะฝังใจอะไรนักหนาวะ เขามีคนใหม่พามาบ้านไม่เคยซ้ำหน้า"
รู้จักกันแค่ 2 เดือน ห่างกันไป 4 ปี ธามันยังอยู่ที่เดิม รักน้องฉันท์ของมันอยู่เหมือนเดิม
ธามันยอมรับว่า ครั้งแรกที่ฐาติเล่าเรื่องคนใหม่ของฉันท์นั้นเขาเสียใจมาก จากนั้นก็คิดว่า เพราะตนเองอยู่ไกลและไม่ได้ให้สัญญา ไม่ได้ขอให้เขาคอย ทั้งตนเองยังเป็นฝ่ายที่ผิดคำพูดเพราะไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย ดังนั้น แม้จะได้รับรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป แต่ก็กลับมามีความหวังอยู่เสมอ
พอเห็นสีหน้าคนที่อยู่ไกลเจื่อนลง ฐาติที่มักจะเปลี่ยนเรื่องชวนคุยกลับพูดย้ำให้ธามันคืนห้อง
"คนนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นหรือไง" ญาติผู้น้องถาม
"คนนี้คือพี่ทีม ธนวัฒน์"
ชื่อที่ทำให้ธามันนิ่งอึ้ง
"กูรู้ว่ามึงเจ็บ ถึงได้ไม่ค่อยอยากบอกว่าเห็นเขาไปไหนมาไหนกับใครบ้าง” บางทีฐาติก็พูดเกินจริง “แต่พอเป็นคนนี้ กูขอบอกกับมึงเลยนะ ว่าประเด็นมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่อีกคนที่เขาพามาบ้าน มึงคิดดูกรุงเทพฯ มีคนเกือบ 6 ล้าน 5 แสนคน กลับมาเจอกันได้ กูว่าแม่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”
“เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่น้องเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ อยู่มาหลายปี แต่พอน้องใกล้จบกลับเข้าถึงตัว มันต้องมีอะไรแน่ ๆ” ฐาติจริงจังมาก “เรื่องหาคำตอบนี้ยกให้เป็นหน้าที่กูเอง แต่ตอนนี้มึงต้องคืนห้องไปก่อน ไม่ให้มีชื่อมึงอยู่ในบันทึกผู้เช่า ขอเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ กูจะบอกกับมึงทุกอย่าง"
ธามันยังคงนิ่งคิดอีกชั่วครู่แล้วพยักหน้า
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ธนวัฒน์ไม่ใช่คนอื่น ทั้งฐาติ และธามันรู้จักผู้ชายคนนี้ดีในระดับหนึ่ง จึงรู้สึกหวาดระแวงว่าการที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันท์ในเวลานี้ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
และในวันที่เขาจะไป ฉันท์อาจต้องเจ็บ
ธามันคาดหวังว่าเขาจะสามารถกลับไปเมืองไทยได้ทันเวลา ก่อนที่ฉันท์ต้องเจ็บ
...
ฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกาด้วยความกระสับกระส่าย จนเมื่อเด็กนักเรียนผมสั้นเกรียนถีบรถจักรยานเลี้ยวเข้ามาในเขตอพาร์ทเม้นท์ก็ยกมือเท้าเอวโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปเป็นปี กวางมีแต่เพียงความสูงกับเค้าโครงหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่สีผิวยังคงออกสีน้ำผึ้ง และดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความสนุกสนานร่าเริงอยู่เหมือนเดิม
"สายมาก นี่คิดว่าถ้าอีก 5 นาทียังไม่มา กูจะไปแล้ว"
"โห น้าอะ" กวางยกมือไหว้ "หนูก็บอกแล้วไง ว่ามีกิจกรรมที่โรงเรียน นี่ก็รีบที่สุดแล้ว"
"เออ นี่กูคืนห้องแล้วนะ"
กวางดูงง ๆ แต่ก็พยักหน้า "คืนห้องจนได้สินะ" มือเล็กหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้ "อะ งั้นหนูคืนโทรศัพท์น้า"
ฐาติซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้กวางเพราะเบื่อที่ต้องรอนาน หัวข้อที่สนทนาคือวันนี้จะไปที่หอพักเวลานั้น เวลานี้ แล้วก็วางสายไป ก็อยากชวนคุยเรื่องอื่นอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ากวางไม่ชวนคุยต่อฐาติก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดี
"เก็บไว้ เผื่อมีอะไรก็โทรหา"
"มีอะไรล่ะน้า"
"ก็เออแหละ เผื่อไว้" ฐาติอยากมะเหงกไอ้คนทำหน้าตากวน ๆ สักครั้ง "ถึงจะคืนห้อง แต่ยังมีธุระแถวนี้เหมือนเดิม"
"ต้องรายงานเรื่องของพี่ฉันท์ใช่ปะล่ะ"
ฐาติหันไปมองที่บ้านหลังเล็ก "ถ้าเผื่อเขาถาม"
"ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่เล่าสินะ"
"ทางนี้เขาเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว เราก็เห็นกันอยู่"
"แล้วพี่ธามเขาไม่คบใครเลยเหรอ"
"เขาก็พยายาม"
แต่พอฐาติโบกมือขณะที่จะเดินไปที่รถ กวางก็ท้วงขึ้น "แล้วนี่ตกลงน้าเร่งให้หนูรีบมาหาทำไมเนี่ย"
"ก็จะบอกว่า คืนห้องแล้ว"
"แบบนั้น น้าโทรบอกก็ได้ไม่ใช่หรือไง เพราะน้าก็ไม่เอาโทรศัพท์คืน"
"กูเป็นมนุษย์โบราณไง ชอบการสื่อสารแบบเห็นหน้า"
กวางเกาหัวแกรกๆ "น้า"
"เออ"
"น้าอยากกินไอติมไหม มีร้านไอติมตรงหัวมุมถนน" กวางยิ้มระรื่น
"ตรงไหนวะ" ฐาติหันไปมองรถที่ตอนนี้มีสมบัติชิ้นสุดท้ายของธามันจากห้องพักอยู่ที่เบาะหลัง "มีที่จอดรถไหม"
"มันจะมีได้ไงเล่า น้าซ้อนรถหนูไปดีกว่า กินเสร็จหนูพามาส่ง"
ที่จริงฐาติสนใจร้านนั้น แต่พอมาคิดอีกทีก็จำเป็นต้องปฏิเสธ
"ไว้วันหน้าดีกว่า ถ้ากูผ่านมาแล้วค่อยไปกิน" มือใหญ่หยิบเงินจากกระเป๋า ส่งให้ 500 บาท "พาเพื่อนไปกินสิ"
ตอนที่ขับรถผ่านร้านไอศกรีมเปิดใหม่ตรงหัวมุมถนน ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่จอดรถ
...แล้วมีที่จอดรถตรงไหน ใกล้ ๆ ร้านนี้บ้างวะ...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-12-2018 19:29:13
(ต่อครับ)

ก่อนที่ฉันท์จะสอบปลายภาคและจบการศึกษาเพียงไม่กี่วัน ธนวัฒน์ก็บอกข่าวว่ากำลังจะลาออกจากงานที่มหาวิทยาลัย
"ได้งานใหม่หรือฮะ หรือจะเรียนต่อ"
"เป็นงานบริษัทของครอบครัวทางพ่อน่ะ ผลัดเขามาหลายปีจนคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว" ธนวัฒน์พูดยิ้ม ๆ "เห็นว่าน้องฉันท์ก็กำลังจะจบ พี่ไปทำก่อน แล้วเดี๋ยวพอน้องเรียนจบจะได้ดึงไปทำงานด้วยกัน"
ฉันท์ส่ายหน้าทันที "ไม่ดีหรอกฮะ เส้นสายแบบนั้นน่ะ แล้วผมก็ยังมีอพาร์ทเม้นท์ที่ต้องดูแล"
อายุขนาดนี้ ฉันท์ย่อมต้องมีแผนการในอนาคตอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่การเป็นพนักงานบริษัท หรือรับราชการกินเงินเดือน เพียงแต่การที่เป็นคนไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ทำให้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ธนวัฒน์ยังไม่รู้
จะว่าไปฉันท์ก็แทบไม่เคยรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัวของธนวัฒน์
ไม่ใช่สิ ที่จริงธนวัฒน์เคยชวนไปกินข้าวที่บ้านหลายครั้ง แต่ฉันท์ปฏิเสธ เพราะไม่มีความรู้สึกว่าอยากรู้จักกันมากไปกว่านี้ ฉันท์อาจพาไปกินข้าวกับลุงและป้า แต่ไม่เคยพาไปที่บ้านท้ายซอยหลังนั้น
บางทีฉันท์ก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมถึงได้ปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น เรื่องอกหัก รักแล้วเลิกตามประสาวัยรุ่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
เป็นวัยรุ่น รักแล้วเลิกต้องลืมให้ไว้ เดินต่อให้เร็วที่สุด เพราะช่วงเวลาในการเป็นวัยรุ่นมันสั้น
เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ได้คิดว่าจะไม่พอใจเพื่อนสมัยเรียนมัธยมคู่นั้นแล้ว ไม่ได้รู้สึกมึนงงไม่เลิก ไม่ได้สนใจถ้อยคำต่อว่าในวันที่ต้องแยกจากคนที่คบหาในเวลาต่อมา
แต่น่าจะเป็นเพราะคำถามเกี่ยวกับธามัน และเรื่องของพ่อกับแม่ที่มีผลต่อการกระทำในวันนี้
ยอมรับว่ายังมีคำถามที่ไม่กล้าถาม
ยอมรับว่าที่ไม่คิดจะพาใครไปบ้าน ก็เพราะกังวลว่าเขาอาจไปพบพ่อที่กำลังจะออกไปบ่อน หรือไม่ก็กลับมาจากบ่อนในสภาพบาดเจ็บจากการถูกซ้อม
หรือต่อให้เปิดประตูเข้าบ้านไป แล้วพบกับบ้านที่ว่างเปล่า ก็ไม่อยากให้เขาเห็นอยู่ดี
เบื่อที่ถูกตัดสินว่า ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นั่นเอง
....
2 วันถัดจากการสอบเทอมสุดท้ายจบลง ในตอนที่ฉันท์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน แม่ที่ไม่ได้พบกันมานานกว่า 4 ปีกลับมาพร้อมกับน้องชายอายุประมาณ 3 ขวบอีกหนึ่งคน
ตอนที่เห็นแม่ ฉันท์รู้สึกว่ามีพายุหิมะที่หมุนวนอยู่รอบตัวและเพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ

คืนก่อนหน้านั้น ฉันท์ไปงานเลี้ยงกับเพื่อน ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ยังมีอาการปวดหัวเมาค้าง  ส่วนพ่อยังไม่กลับมาบ้านเหมือนเคย ฉันท์จึงกินยาแล้วนอนพักอยู่ครู่หนึ่งก็ออกมารดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน
ตอนนั้นป้าแจ่มจิตกับแม่เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง
เมื่อฉันท์ยกมือไหว้ แม่ก็แนะนำ “ชิรายูกิ นี่คือจิโระ น้องชายของชิรายูกิ”
ดวงตาและสีผิวที่รับมาจากแม่เหมือนกัน ต่างกันที่จิโระมีคิ้วหนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นน้องชาย
เด็กตัวเล็กค้อมตัวทำมุม 90 องศาตรงเป๊ะ ฉันท์ตอบรับด้วยการแตะที่ไหล่เล็ก ๆ นั่นแล้วชวนให้เข้าไปนั่งคุยกันในบ้าน 
ชายหนุ่มเดินไปต้มชาให้แม่ แต่ทำน้ำแดงโซดาให้กับน้องชายกับป้า
จิโระเดินมาเกาะขอบโต๊ะมองว่าพี่ชายกำลังทำอะไร 2 คนพี่น้องคุยกันด้วยสายตาและภาษามือ เมื่อฉันท์หันไปหยิบถุงมันฝรั่ง แล้วเขย่า เชิงถามว่าจะกินไหม จิโระตากลมยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง ขอให้พี่ชายตัดถุงขนมให้
แม่กับป้าย่อมไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นแขก ถึงได้เดินตามมาคุยกันในครัว
“ชิรายูกิเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูแลบ้านได้ดีมาก”
ฉันท์ส่ายหน้า “ผมก็แค่ทำความสะอาด แต่ที่จริง...” ฉันท์หันไปมองจุดที่เคยมีโทรทัศน์ และเครื่องเสียงวางอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว “มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม”
“เดือดร้อนเรื่องเงินหรือ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ เงินเก็บที่พ่อกับโอกาซังให้ไว้เผื่อให้ผมเรียนหนังสือน่ะ ยังมีเหลืออยู่ แต่อันนี้...พ่อน่ะฮะ”
แม่ถอนหายใจยาว “ชิรายูกิ ไปอยู่ญี่ปุ่นกับโอกาซังนะ”
แสดงว่าป้าต้องเล่าเรื่องราวหลายอย่างให้แม่ฟังแล้ว...ก็ดีเพราะฉันท์รู้สึกลำบากใจที่จะเล่า
แต่เดี๋ยวนะ...“อะ อะไรนะฮะ”
"โอกาซังอยากมารับชิรายูกิกลับตั้งนานแล้ว แต่คุณพี่" แม่หมายถึงป้า "บอกว่าชิรายูกิมีความตั้งใจมากที่จะเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย อยากให้เรียนจบก่อน ตอนนี้ชิรายูกิก็เรียนจบแล้ว แล้วพ่อเขาเป็นอย่างนี้ โอกาซังก็เลย...อยากให้ชิรายูกิไปอยู่ด้วยกัน"
"ทำไมถึงคิดเอาเองฝ่ายเดียวอย่างนี้ละฮะ" อาการปวดหัวข้างเดียวจู่ ๆ ก็เกิดขึ้นและกำลังรบกวนการคิดและพูด "แล้วมาบอกกันในทันทีแบบนี้มันออกจะเกินไป ไม่คิดบ้างหรือไง ว่าผมก็อาจจะมีเรื่องที่อยากทำ ทั้งต้องดูแลอพาร์ทเม้นท์นี้อีก ที่สำคัญคือคุณลุงไม่สบายนะฮะ" ดวงตากลม ๆ ของฉันท์ หันไปมองเด็กตัวเล็กที่นั่งมองผู้ใหญ่ที่กำลังคุยกัน
แต่แม่หันไปมองป้าแจ่มจิต “คุณพี่ผู้ชายไม่สบายหรือคะ”
ป้าพยักหน้า “เพิ่งไปตรวจมาเมื่ออาทิตย์ก่อน”
“เป็นอะไรคะ”
“มะเร็งลำไส้ ระยะสองแล้ว”
แม่ค้อมตัวลงขอโทษ “ขอโทษด้วยนะคะ เพราะไม่ทราบมาก่อนจึงตัดสินใจแบบนี้”
“เราเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ไม่ต้องขอโทษอะไรกันหรอก หมอนัดตรวจ นัดรักษาแล้ว”
"ขอโทษจริง ๆ นะคะ ทั้งที่คุณพี่ทั้ง 2 คนดูแลชิรายูกิเป็นอย่างดีมาตลอด ดิฉันก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่โน่น ก็คิดอยู่ตลอดว่าทำไมถึงไม่พาชิรายูกิไปด้วย ต่อมาก็มีจิโระ ยิ่งอยากให้อยู่ด้วยกัน คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ญี่ปุ่นน่าจะดีกว่า จึงรอจนจิโระแข็งแรงดีถึงได้ขึ้นเครื่องบินมารับชิรายูกิด้วยกัน แล้วก็อยากเจอกัน อยากเห็นหน้าลูก ไม่อยากโทรศัพท์คุยกันเพราะอาจทำให้เข้าใจกันผิด”
ฉันท์หันไปมองเด็กชายตัวน้อยเต็มตา คิ้วสวยขมวดมุ่น
4 ปีของฝั่งนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แล้วทางฝ่ายของแม่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อะไรที่ทำให้แม่จากไป ต้องอยู่ที่นั่น แล้วกลับมารับเราไปอยู่ด้วย
“ขอโทษที่พูดจาเอาแต่ใจฮะ”
“ไม่เป็นไร โอกาซังเข้าใจ”
ป้าตอบแทนแม่ "ตอนที่กลับไป โอกาซังของเราเขาไปรู้จักกับผู้ชาย พอตั้งท้องผู้ชายก็ทิ้งไป ต้องอยู่ตามลำพัง ป้าชวนกลับมา เขาก็กลัวพ่อของเรา ถ้าฉันท์จะไปอยู่ญี่ปุ่น ป้าก็ว่าดีเหมือนกัน"
ผู้หญิงญี่ปุ่นทิ้งครอบครัวมาอยู่เมืองไทย แต่ก็หย่าร้างกลับไปญี่ปุ่น ครอบครัวทางนั้นคงไม่ยอมรับ มองว่าเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากความดื้อรั้น แม่ถึงต้องอยู่ตามลำพังแล้วคบหากับผู้ชายคนหนึ่งจนตั้งท้อง แล้วเขาก็จากไป ช่วงเวลาที่ผ่านมา แม่คงต้องอยู่อย่างยากลำบากมากทีเดียว
อีกเรื่องก็คือ ขณะที่ฉันท์กลับจมอยู่กับโลกส่วนตัวและเอาแต่คิดว่าถูกแม่ปิดบังเรื่องราวมากมาย และหันหลังให้นั้น แท้ที่จริงแม่ติดต่อกับป้าอยู่ตลอดเวลา
"ผมไม่เข้าใจ" ฉันท์มองมือตัวเอง แล้วมองหน้าเด็กชายตัวน้อย "ตอนที่โอกาซังจะไป โอกาซังบอกว่าพ่อไม่ยอมหย่าถ้าจะเอาผมไปด้วย แต่เมื่อพบว่าการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมันยาก อยู่ที่นี่โอกาซังก็กลัวพ่อ แล้วจะพาผมไปญี่ปุ่นในตอนนี้มัน...ผมคงจะไปกับโอกาซังไม่ได้" แต่ถ้าไม่ไปด้วย แม่ก็อาจต้องใช้ชีวิตยากลำบากมากกว่าเดิม
ฉันท์มองแม่ที่ผ่ายผอมลงไปกว่าเดิมและดูเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้คิดเกี่ยงที่จะต้องทำงานเลี้ยงดูแม่และน้องชายต่างพ่อ เพียงแต่ถ้าคิดเรื่องการใช้ชีวิตแบบนั้น ในที่ที่ไม่คุ้นเคยทั้งไม่มีใครยอมรับ ถ้าแม่กับน้องจะกลับอยู่ที่นี่มันไม่ง่ายกว่าหรือ
"ผมหาบ้านหรือคอนโดฯให้โอกาซังอยู่กับจิโระคุงที่นี่ได้นะฮะ ผมเลี้ยงทั้ง 2 คนได้ แล้วจิโระคุงก็ยังไม่ถึงช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน ถ้าไม่อยากบอกพ่อก็ไม่ต้องบอก เขาเองก็ไม่ค่อยกลับบ้าน ทำอย่างนี้ผมก็ยังดูแลลุงกับป้าได้ด้วยนะฮะ"
"ชิรายูกิ"
แม้จะตัดสินใจมาแล้ว แต่เมื่อฉันท์เสนอว่าจะดูแลแม่กับน้องและทุกคน แม่ก็รู้สึกภูมิใจ และยอมรับว่าการพาฉันท์ไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยกันเป็นเรื่องที่ไม่ดี
แม่หันไปพยักหน้ากับจิโระ ถามว่าอยากอยู่กับพี่ชายไหม
จิโระพยักหน้าเร็วๆ เดินไปหาฉันท์ “โอนิซัง”
แต่ความสุขเล็ก ๆ นี้กลับมีเวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะมันจบลงเมื่อรถญี่ปุ่นคันเล็กมาจอดที่หน้าบ้าน
แม่หันมามองฉันท์กับป้าที่บอกว่า ตอนนี้พ่อใช้รถคันเดิมของฉันท์ที่เคยขับไปเรียน ส่วนรถที่พ่อใช้ประจำ พ่อขายไปหลายเดือนแล้ว
แม่นั่งหลังตรงกำมือแน่น เม้มริมฝีปากสนิท
ฉันท์รู้ว่าแม่โกรธที่พ่อใช้รถของฉันท์ ในความเป็นญี่ปุ่นของแม่ แม่มักจะเกรงใจทุกคน แสดงความขอบคุณทุกคน และเห็นว่าการใช้ของส่วนตัวของผู้อื่นแบบนี้เป็นเรื่องเสียมารยาท ต่อให้เป็นรถยนต์ของลูกก็ตาม
"โอกาซัง ไม่เป็นไรหรอกฮะ ผมไม่ได้ใช้"
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในบ้านแม่ก็เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน "ขอคุยด้วยนะคะ"
พ่อยักไหล่ ดวงตาแดงก่ำ ขอบตาคล้ำอย่างคนที่อดนอน ทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับแม่ ตวัดสายตามองจิโระเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้ามองมือตนเอง

ป้ามองพ่อกับแม่แล้วหันมากวักมือเรียกฉันท์กับน้องให้ออกไปรอที่หน้าบ้าน ต่างก็คิดเหมือนกันว่า การพูดคุยครั้งนี้ไม่น่าไว้ใจ ถึงที่ผ่านมาจะไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นว่าพ่อกับแม่เคยทะเลาะกันหรือใช้กำลังรุนแรง แต่ถ้าเรื่องมาถึงขั้นที่หย่าร้างกัน แล้วแม่ก็กลัวพ่อจนไม่กล้ากลับมาอยู่เมืองไทย
จากที่ทั้ง 3 คนยืนรออยู่ยังได้ยินเสียงพูดคุยกัน มองเห็นว่าพ่อพูดกับแม่ทั้งที่ยังก้มหน้า ขณะที่แม่ก็ยังพูดเบาๆ เหมือนที่ผ่านมา
การเริ่มบทสนทนาด้วยการถามว่าสบายดีไหม ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฟังดูแล้วมีแนวโน้มที่ดี เมื่อรถเข็นขายผลไม้ผ่านมาหน้าบ้าน น้องชายกระตุกมือของฉันท์ชี้ไปที่รถเข็น ฉันท์ก็ลุกขึ้นยืน แต่เมื่อหันกลับไปมองในบ้าน เห็นพ่อกำลังเดินนำแม่ขึ้นบันไดไปข้างบน
...อาจขึ้นไปเอาของบางอย่าง แต่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ อยากเดินตามขึ้นไปดู แต่เมื่อหันมาเห็นจิโระทำหน้าตาอยากกินผลไม้ ฉันท์ก็จูงมือน้องไปที่รถเข็น
"ปะป๊ะยะ" จิโระ ชี้ที่มะละกอ
"เอามะละกอ 2 ชิ้นครับ" ฉันท์บอกพ่อค้าผลไม้ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานหลายปี
"ซุยขะ"
ฉันท์ยิ้ม หันไปบอกพ่อค้าว่าเอาแตงโมด้วย พ่อค้าชมว่าเด็กผู้ชายญี่ปุ่นหน้าตาเหมือนตุ๊กตา จิโระยิ้มรับอย่างกับเข้าใจคำชม ทั้งที่ไม่เข้าใจสักคำ
ขณะที่กำลังจ่ายเงิน เสียงปืนก็ดังขึ้นจากในบ้าน
ฉันท์อุ้มน้องส่งให้ป้าแล้วบอกให้รออยู่ที่นี่ ขณะที่ตัวเองรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เมื่อก้าวผ่านประตูได้ยินเสียงปืนนัดที่สอง และเมื่อมาถึงประตูห้องนอนที่เปิดกว้าง พ่อกำลังกอดแม่ไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งถือปืนจ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นคือเสียงปืนนัดที่สาม.....

กวางเป็นหนึ่งในไทยมุงหน้าบ้านของฉันท์ พ่อกับแม่ และพี่ ๆ ก็มาช่วยมุงอยู่สักพักก็พากันกลับไป เพราะต้องไปวิ่งรถ ต้องไปขายของ แต่สั่งไว้ว่าตอนค่ำกวางต้องกลับบ้านไปเล่าให้ทุกคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น กวางก็เลยเดินเข้าไปหาฉันท์ เพื่อช่วยดูแลจิโระ ระหว่างที่ฉันท์คุยกับตำรวจ ได้ยินแว่วๆ ว่าฉันท์คือคนที่เห็นเหตุการณ์ ส่วนป้าแจ่มจิต กับจิโระอยู่กับคนขายผลไม้ที่หน้าบ้าน
สำหรับกวางแล้ว สามารถบรรยายเหตุการณ์นี้ได้ว่า ‘น่ากลัวมาก’
แต่ฉันท์คือคนที่เห็นเหตุการณ์ เป็นคนที่เข้าไปกอดพ่อกับแม่ร้องไห้ แล้วตะโกนบอกป้าว่าอย่าพาน้องขึ้นไปข้างบน บอกให้โทรเรียกตำรวจ และเขาอยู่ในที่นั่นตามลำพังจนกระทั่งมูลนิธิ ตำรวจ และก็ใครต่อใครที่ตามมากับตำรวจ
กวางบรรยายความรู้สึกของฉันท์ไม่ถูก
รู้แต่ว่า ‘ไม่ควรปล่อยให้พี่ฉันท์อยู่คนเดียวอย่างเด็ดขาด’
ฐาติโทรมาหากวางที่ตอนนั้นกำลังอุ้มจิโระอยู่
"หนูอยู่บ้านพี่ฉันท์ น้าจะให้ทำอะไร" ตอนนี้หนูอาจจะเสียงสั่นไปหน่อย แต่หนูก็รู้หน้าที่นะ
"เออ อยู่ที่นั่นก็ดีแล้ว กูได้ยินข่าวทางวิทยุ กำลังจะบอกให้ไปดูให้หน่อย"
"มีทั้งตำรวจ ทั้งกู้ภัย มีนักข่าวด้วย" กวางรายงาน
"แล้วพี่มึงเป็นไงบ้าง"
"ตกใจดิ คนขาวอยู่แล้วตอนนี้หน้าซี้ดซีด ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่ตัวสั่นมาก เขาตอบคำถามตำรวจคนหนึ่งอยู่ ลุงก็ตอบคำถามกับตำรวจอีกคน ส่วนป้านั่งเป็นลมอยู่ตรงนี้เนี่ย หนูเลยดูทั้งป้าทั้งน้อง”
“น้องที่ไหน" 
กวางได้ยินเสียงฐาติหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าฉันท์ตกใจมาก เสียงคนที่ข้าง ๆ ตอบมาว่า ขอให้กวางช่วยดูทุกคนให้ก่อน
คนนั้นมีน้ำเสียงใหญ่ และดุมาก ไม่ใจดี และไม่ตลกอย่างน้า
"ไม่บอกหนูก็ต้องมาดูอยู่แล้ว" กวางพูดแทรกทั้งที่ฐาติยังไม่ได้สั่ง จากนั้นค่อยตอบคำถาม "แม่พี่ฉันท์กลับมาจากญี่ปุ่นพาน้องมาด้วยชื่อจิโระ แม่จะพาพี่ฉันท์กลับไปอยู่ด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะตกลงอะไร พ่อ...ลุงฉลองพ่อพี่ฉันท์น่ะ เขาก็กลับมาพอดี แม่ก็เลยขอคุยกับพ่อ แต่พ่อพาขึ้นไปบนห้องไม่ถึงนาที ก็ได้ยินเสียงปืน" อันนี้สรุปอย่างสั้นที่สุดแล้ว ก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี่นา เล่าเท่าที่มั่นใจก็พอ
ฐาติหันไปรายงานให้คนข้าง ๆ ฟังอีกครั้ง
เสียงของคนที่อยู่ข้าง ๆ สั่งงานบางอย่าง ที่ทำให้กวางยังต้องเผลอพยักหน้ารับทราบไปด้วย
..ก็เขาดุจะตาย ไม่ทำตามจะโดนหักคอไหม...
กวางกดวางสายโทรศัพท์ รอจนตำรวจ และกู้ภัย กลับไปพร้อมกับนักข่าว ถึงได้อุ้มจิโระเดินไปคุยกับฉันท์
"พี่ฉันท์ รับคนเลี้ยงเด็กไหม"
"หือ..." ฉันท์ดูงง ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ตัดกับใบหน้าขาวซีด ถ้าเป็นคนอื่นคงดูน่ากลัว แต่พอเป็นฉันท์ยิ่งให้ความรู้สึกว่า คนนี้เหมือนแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
"จากนี้พี่คงมีเรื่องยุ่งอยู่ทุกวัน ตอนเย็นโรงเรียนเลิก กับเสาร์ อาทิตย์แล้วก็ปิดเทอม ให้หนูจะมาเลี้ยงน้องนะ หนูทำข้าวเด็กเป็น ทำงานบ้านก็เป็น พี่ไม่ต้องให้เงินหนูหรอก หนูอยากทำ"
กวางยิ้มจริงใจที่สุดในชีวิต ขณะที่อีกคนยิ้มเศร้า แล้วโอบกวางกับจิโระเข้ามากอดไว้ด้วยกัน
"ขอบใจมากนะ"
กวางรู้สึกว่ามีหยดน้ำตาอุ่น ๆ ตกกระทบที่ไหล่
ไม่มีเสียงสะอื้น
ไม่มีคำพูด
การร้องไห้ที่ไม่มีเสียง ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้นะ....

...จบตอนที่ 3...
พี่จ๋าอ่านจบแล้วอย่าเงียบนัก คนเขียนรู้สึกเสียขวัญ
มาคุยกันนะ นะ นะ

น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 22-12-2018 21:52:32
สงสารน้องฉันท์  งื้ออออออ   น้องต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงจะทนไหว
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-12-2018 22:12:53
ใจหาย ปุ๊บปั๊บมาก สมควรแล้วที่แม่กลัวพ่อ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 22-12-2018 23:06:34
แงๆๆๆ ตอนนี้เศร้าจัง...สงสารน้องฉันท์  :m15:
ธามรีบกลับมาดูน้องเถอะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2018 23:12:19
อ่านแล้วมานั่งกังวลกับทุกตอนเลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-12-2018 06:17:36
ฉันท์เอ้ยย ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้
ความสุขมักผ่านไปไว แต่มันไวไป
วันนี้ พรุ่งนี้ ห่างกันนิดเดียวเอง
สงสารน้อง แล้วจะทำยังไงต่อไป
โชคดีที่น้องไม่ได้เป็นคนหัวอ่อน แค่ไม่ค่อยอธิบาย
และชอบคิดไปเองว่าคนอื่นจะเข้าใจสิ่งที่แสดงออก

ธาม ตอนเข้ามา มาแบบมีเป้าหมาย
อยู่ๆ ไป ธามคิดบวกมากขึ้น คิดถึงน้องมากขึ้น
จนตอนนี้ 4 ปีแล้ว ธามกลับมาแล้ว
หวังว่าจะมาช่วยน้องนะ คงไม่มาซ้ำให้เจ็บกว่าเดิม

กวางน่าเอ็นดู ฐาติกวนประสาทมาก
เอาใจช่วยฉันท์นะคะ ให้รอดพ้นจากมารทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 23-12-2018 11:26:18
โธ่ น้องฉันท์
แรกๆ ขัดใจกับความเฉยๆ ของน้อง แต่ตอนนี้สงสารน้องมาก
พี่ธามอยู่ไหน กลับมาดูแลน้องหน่อย ตอนนี้อยากให้น้องมีใครสักคนเป็นที่พึ่งพิง  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 23-12-2018 12:56:10
 :sad4: มีแต่เรื่องเข้ามาไม่ได้หยุดเลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-12-2018 13:17:09
นิ่งๆเนียนๆแต่เสียขวัญแรง ฮรือออออออออออออ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-12-2018 08:40:25


 :ling3:  น้องต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงจะผ่านเรื่องแย่ๆ นี้ไปได้

เรื่องครอบครัวก็หนักหนา เรื่องคนเข้ามาหาก็มีแต่คนที่ดูเหมือนมีเบื้องหลังทั้งนั้น

กลัวแต่น้องจะยิ่งปิดกั้นความรู้สึกตัวเองมากกว่าเดิม

  :ling1: 
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 24-12-2018 09:30:04
ทำไมเกลียดฐาติจังว่ะเรา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-12-2018 14:41:58
โอยยยยยยยยยยยยยยย คนที่เข้ามาหาก็น่ากลัว
กลับมาเร็วๆได้มั้ยนายธามัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 26-12-2018 20:57:38
ความสุขผ่านไปเร็วจริงๆ แค่ 5 นาทีเท่านั้น
สงสารทั้งน้องฉันท์และจิโระ ...เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 27-12-2018 19:43:12
หวังว่าจะกลับมาก่อนน้องจะเจ็บ อย่างที่ตั้งใจนะคนพี่
มาให้เห็นความเป็นไปของน้องเอง อย่าฟังคนอื่น
ตอนนี้น้องน่าสงสารพอแล้ว   :sad11:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 27-12-2018 21:08:16
เปิดเรื่องใหม่แล้ววว ตัวละครอายุห่างกันทีไรชุ่มชื่นหัวใจทุกที ช่วงนี้ก็รันทดชีวิตไปก่อนนะฉันท์ เดี๋ยวพี่ก็กลับมาแล้วฮะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-12-2018 05:25:55
สงสารน้องฉันท์  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: huoan ที่ 29-12-2018 01:40:38
เนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆ โอย อยากอ่านต่อแล้ว
ฐาติเลี้ยงต้อยใช่ไหม รู้สึกอยากปลอบฉันท์เลย
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-12-2018 18:40:39
ตอนที่ 4

กวางคนเดิม คือพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในตอนที่พวกปล่อยกู้กับคนทวงหนี้มาหาฉันท์ที่ศาลาวัด
อันนี้เห็นจริง ๆ ไม่ได้ฟังคนโน้นคนนี้เขาเล่าแล้วมาสรุปให้น้าฟังนะ
คนพวกนั้นมากันตั้งแต่ตอนก่อนที่จะรดน้ำศพพ่อกับแม่ของพี่ฉันท์ แต่ลุงรองของพี่ฉันท์เข้าไปบอกกับพวกเขาว่า ขอให้รดน้ำศพเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกัน
คือบทสนทนาตรงนี้ค่อนข้างยาว เพราะเจ้าหนี้ไม่ยอม ต้องการคุยเดี๋ยวนี้ แต่ลุงก็รับรองว่าไม่ได้คิดหนีไปไหน ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าพี่ฉันท์เป็นใคร อยู่ที่ไหน ขอให้รออีกครู่เดียวเท่านั้น
“ทุกคนก็รู้กันมาตลอด ว่าเจ้าฉันท์ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไร แล้วเขาเป็นคนยังไง”

ฉันท์รู้มานานว่าพ่อเล่นพนัน รู้ว่ามีหนี้ แต่ไม่เคยถามและพ่อก็ไม่เคยบอกอะไรให้ชัดเจน มักบอกปัดไปว่าพ่อจัดการได้ แล้วเขาก็ขายของหลายอย่างในบ้านที่ก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเขาเอาไปใช้หนี้ หรือเอาไปต่อทุนเพื่อเล่นการพนัน
แต่ความกังวลมันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหันออกไปมองที่ด้านนอกของศาลาแล้วเห็นคนในกลุ่มเจ้าหนี้ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ลุงรองบอกว่า คนพวกนี้กลัวอิทธิพลของตลาดในระดับหนึ่งแล้วเขาก็อยากได้เงินคืน ที่ต้องพากันยกพวกมามากก็เพื่อต้องการคำยืนยันว่า เราจะพยายามหาเงินมาใช้เงินคืนพวกเขา
ฉันท์ไม่รู้ว่าต้องพูดกับพวกเขาอย่างไร แล้วจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
แต่ต้องทำให้ได้!
ระหว่างนั้นที่ด้านหลังศาลากำลังมีการซุบซิบกันอย่างเมามันชนิดไม่เกรงใจคนที่นอนอยู่ในโลง
ที่จริงทุกคนในที่นี้รู้และได้ยินกันมาตลอด ว่าใครทำอะไรไว้ที่ไหน รวมถึงรู้ว่าฉันท์ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง
นี่เป็นเพราะการที่ฉันท์เป็นคนที่อยู่แต่ในโลกของเขาเอง ไม่ค่อยคุยกับใคร เขามีบุคลิกบางอย่างที่ต่อให้มือ 1 เรื่องนินทาอย่างแม่ของเด็กกวางยังไม่อยากบอกกับเขาว่าพ่อของเขาทำอะไรไว้บ้าง
...หนูถึงบอกไง ว่าพี่ฉันท์น่ะ น่าสงสารมากถึงมากที่สุด
หลังรดน้ำศพเสร็จ ก็ได้เวลาที่ฉันท์ต้องไปคุยกับขบวนการเงินกู้ ปรากฏว่าลุงรองต้องไปคุยกับเจ้าอาวาสพอดี จึงฝากลุงวินัยที่อ่อนอาวุโสกว่ากันแค่ปีเดียวให้คอยช่วยเรื่องที่จะคุยกับเจ้าหนี้ แต่ฉันท์กลับขอให้ลุงวินัยอยู่ดูแลป้ากับจิโระ
ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน นั่นมันพวกทวงหนี้นะพี่ฉันท์!
ลุงวินัยไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่เมื่อพี่ฉันท์ยืนยัน ลุงก็บอกว่าจะคอยดูอยู่ใกล้ ๆ
“พวกเขามาก็เพราะว่าอยากได้เงิน ไม่ได้อยากได้ชีวิตของใคร เราต้องยืนยันกับพวกเขาว่า จะพยายามหาเงินมาใช้หนี้ แต่ถ้าไม่ไหวก็แค่ยกมือเรียก”
ลุงวินัยให้คำแนะนำแบบเดียวกับลุงรอง แต่ตอนที่พี่ฉันท์ยืนยันว่า สามารถจัดการได้ใบหน้าของคนพูดน่ะไม่มีสีเลือดเลยสักนิด
หนูเดา (เอาเอง) ว่านี่ต้องเป็นเพราะเขาไม่รู้จักคนพวกนี้ หนูก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จะเดินตามไปด้วย แต่แม่ก็รีบมาดึงมือไว้ บอกว่า ให้รอดูอยู่ใกล้ ๆ จะดีกว่า
แม่หนูน่ะ ทั้งที่เขาเป็นลูกหนี้มืออาชีพ แต่ก็กลับพูดเหมือนกับลุงทั้ง 2 คนในเรื่องที่ว่าเจ้าหนี้เหล่านี้อยากได้เงิน แต่แม่อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้ากวางหรือคนอื่น ๆ เดินตามไปเป็นขบวนใหญ่ อาจทำให้เจ้าหนี้ คิดว่าเรากำลังจะเบี้ยวหนี้ แล้วก็กลายเป็นการทะเลาะกัน หรืออาจหนักกว่านั้นถึงขั้นลงมือต่อกัน ทีนี้ละเรื่องใหญ่

กวางหันไปมองคนที่อยู่ในศาลา นอกจากกวางกับแม่ที่คอยระวังหลังให้พี่ฉันท์อยู่ตอนนี้ ก็เห็นพวกแม่ครัวกำลังป้องปากนินทา ลุงวินัยทำหน้าที่โบกพัดให้ป้าที่เป็นลมไปอีกรอบ โดยมีจิโระนอนหนุนตักอยู่
ส่วนญาติทางฝั่งพ่อของฉันท์ที่มารดน้ำศพ ตอนนี้หายไปทางไหนกันไม่รู้
พวกเขาตัดฉลองพ่อของฉันท์ออกจากตระกูลมานานกว่า 20 ปีแล้วก็จริง แต่คนตายไปแล้วก็แล้วไปยังไงก็ไม่กลับมา ทำไมไม่ห่วงคนเป็นสักนิด
ใจร้ายชะมัด!
กวางตั้งใจว่าจะขอดูสถานการณ์อีกนิด ถ้าไม่ค่อยดีค่อยกด S.O.S
การถูกเจ้าหนี้หลายคนรุมล้อมและพูดต่อเนื่องกันเพื่อให้ฉันท์จ่ายหนี้แทนพ่อ ไม่ต่างอะไรกับสายลมแรงที่พัดหมุนอยู่รอบตัว ไม่เปิดโอกาสให้มองหาหลักยึด
ฉันท์รู้ว่าพ่อมีหนี้ธนาคารที่กู้มาซ่อมอพาร์ทเม้นท์ที่ฉันท์จะต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนนี้ต่อจากพ่อ แต่ตอนนี้ยังมีหนี้นอกระบบอีกหลายเจ้า ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วเป็นจำนวนที่สูงเกินเงินในบัญชีที่ฉันท์มีอยู่ไปหลายเท่า ต้องรวบรวมเงินค่าเช่าอีกกี่ปีถึงจะพอใช้หนี้ได้หมด
“ผมจะรวบรวมเงินมาทยอยใช้คืนทุกคน”
เมื่อชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบนอกเริ่มพูดจาข่มขู่หลายคำ ฉันท์ก็รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน
ที่ผ่านมาฉันท์มักคิดถึงแต่ตนเอง แต่จากนี้ไป จะทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว
ดวงตากลมมองใบกู้เงินที่ระบุชื่อของพ่อเป็นผู้กู้ เลือกใบที่มีเงินต้นน้อยที่สุดขึ้นมา แล้วถามว่า จนถึงปัจจุบันหนี้จำนวนนี้มีเท่าไหร่ เมื่อเจ้าหนี้บอกยอดหนี้ในจำนวนเกือบแสน ชายหนุ่มก็พยักหน้า “อันนี้ผมพอจะจ่ายได้ก่อน พรุ่งนี้ตอนบ่ายผมจะเอาเงินไปให้ที่ร้านนะครับ”
คนที่จะได้เงินคืนก่อนย่อมพอใจ ส่วนคนอื่น ๆ ยังไม่ค่อยพอใจ
“ผมจะรวบรวมเงินทยอยคืนทั้งหมด แต่ผมเพิ่งรู้จริง ๆ ว่ามีหนี้ส่วนนี้ด้วย รับรองว่าจะหามาคืนแน่นอนครับ”
เป็นการให้คำมั่นทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร
ควรทำอะไรก่อน แล้วลำดับต่อไปคืออะไร
หลังจากที่เจ้าหนี้กลับไปแล้ว ฉันท์เดินกลับไปนั่งกอดเข่าอยู่มุมของศาลา มองด้านหลังโลงศพที่วางอยู่คู่กัน
การไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาญาติพี่น้องฝ่ายพ่อเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ถึงฉันท์จะไม่รู้เรื่องหนี้ แต่เรื่องความขัดแย้งในกลุ่มคนนามสกุลเดียวกัน ฉันท์รู้ทุกอย่าง เพราะมันคือความขัดแย้งแตกหักในแบบที่เรียกว่าไม่เผาผีกันอย่างที่เห็นในวันนี้
พายุนี้รุนแรงเกินไปจนไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรดี
สิ่งที่ควรทำเวลาที่เราเจอกับพายุรุนแรง ก็คือการหาที่กำบังใช่ไหม ถ้าหลบอยู่ตรงนี้รอให้พายุผ่านไป เราค่อยออกไปก็ได้
แต่ถ้าพายุนี้ไม่พัดผ่านไป เราจะหลบอยู่อย่างนี้ตลอดไปก็คงไม่ได้
หรือถ้าถูกพายุพัดพาจนหายไป ลุง ป้า กับจิโระจะทำอย่างไร
คนพวกนั้นก็คงไปหาทั้ง 3 คนเอาใบกู้เงินพวกนั้นให้ดู พูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้าย หากไม่เอาเงินให้เขาตามกำหนดเวลาที่บอก
พวกเขาไม่มีใคร จิโระไม่มีใครอีกแล้ว
ต้องทำอย่างไร
คนที่ร้องไห้ไม่มีเสียงมันส่งผลต่อความรู้สึกของคนที่แอบมองอย่างจริงจัง
....
ศาลาถัดไปเป็นศาลาว่าง กวางเหลียวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ถึงได้กดโทรศัพท์หาฐาติ แต่ทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย น้ำตาก็ร่วงพรู “น้า มาช่วยพี่ฉันท์หน่อย” กวางสะอึกสะอื้นมาตามสายจนฐาติใจเสีย
“พี่ฉันท์ของมึงเป็นอะไร”
“มีเจ้าหนี้มา มากันเยอะเลย ไม่มีใครเข้าไปช่วยพี่ฉันท์สักคน” รวมถึงหนูที่โดนแม่ดึงไว้ให้อยู่ในศาลา แต่ละคนทำเป็นพูดดี แต่สุดท้ายก็เอาตัวรอดกันหมด “น้า พี่ฉันท์ไม่มีใครเลย น้าต้องมาช่วยพี่ฉันท์ เขาร้องไห้ด้วย ร้องเยอะมาก ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่กับศพพ่อกับแม่ของเขา เขายังไม่ร้องไห้เยอะอย่างนี้เลย ” กวางเองก็พูดโทรศัพท์ไปร้องไห้ไป
“เจ้าหนี้หรือ เดี๋ยวกูโทรกลับนะ”
“แล้วน้าจะช่วยพี่ฉันท์ไหมเนี่ย” กวางโวยวาย
“เออ!” ฐาติกระแทกเสียง “ถึงมึงจะไม่บอก ก็ต้องมีอีกคนบอกให้ข้าไปอยู่ดี”
“แล้วทำไมต้องเดี๋ยวโทรกลับ”
“กูก็ต้องถามเขาก่อนสิวะ ว่าจะให้ทำยังไง”
กวางปาดน้ำตาที่มาพร้อมกับน้ำมูก “บอกเขาด้วยนะ ว่าพี่ฉันท์น่าสงสารมาก เขาไม่มีใครแล้ว ช่วยพี่ฉันท์ด้วยนะ”
ฐาติวางสายโทรศัพท์จากกวางแล้วโทรหาคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อครู่

ในคืนแรกของการสวดศพ
ระหว่างที่พายุหิมะที่หมุนวนอยู่รอบตัวยังไม่ลดแรงลม กวางย่องไปหาคนที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หลังโลงศพ คุกเข่าลงข้าง ๆแล้วเรียกเบา ๆ
“พี่ฉันท์”
ฉันท์ปาดน้ำตาหันมาหากวาง แต่เมื่อจะถามว่ามีอะไร กลับไม่มีเสียงออกมา
“มีคนมาหา”
คนตัวผอมบางเกาะผนังเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน แต่พอจะออกไปข้างนอกทันที กวางก็ท้วงขึ้น “หนูว่าพี่ไปล้างหน้าก่อนดีกว่า”
“อืม”
ถึงจะล้างหน้าแล้ว แต่กวางก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ฉันท์ออกไปหาคนที่มาได้ง่าย ๆ บังคับให้ดื่มน้ำหวานอีกแก้ว แล้วก็กำชับว่า “พี่ฉันท์ต้องไม่เงียบเฉย หรือคิดว่าสามารถแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองรู้ไหม” ญาติเยอะเสียเปล่า พอถึงเวลาพากันหายไปไหนไม่รู้แบบนี้ เวลาเจอที่ปรึกษาดี ๆ ก็ต้องยึดไว้ให้แน่น
เมื่อฉันท์หันมามอง กวางก็ตบปากตัวเอง “หนูจำคนอื่นเขามาพูดน่ะ”
ฉันท์ยิ้มเศร้าจับไหล่ของกวางเบา ๆ “ขอบใจมาก”
ชายหนุ่มรูปร่างหนา สวมแว่นตาที่ชื่อฐาตินั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกของศาลา นั่งมองเจ้าเด็กนักเรียนที่เจ้ากี้การให้ลูกพี่ทำนั่นทำนี่มาพักใหญ่กว่าที่จะส่งตัวลูกพี่มาให้
เด็กนี่แม่งโคตรแสบซ่า เจ้ากี้เจ้าการ
แถมตอนที่เดินตามฉันท์มาด้วย ยังมีการส่งสายตาดุ ๆมาให้ด้วย
โอ้ย กูละกลัวมึงจะตายอยู่แล้ว
ฐาติรับไหว้ฉันท์แล้วพยักหน้าเดินนำออกไปคุยที่ด้านนอก
ออกมาห่างจากไอ้เด็กนั่นก่อน ไม่งั้นจะเสียเรื่อง
ฉันท์ลอบสังเกตสีหน้า ท่าทางของคนที่เดินนำไปก่อนแล้วหยุดเดิน ทั้งหันไปมองทางอื่นก็พอจะรู้ว่า เขาไม่ได้เต็มใจที่จะมา
“จำผมได้ไหม”
“ได้ฮะ” ฉันท์ตอบไปว่าจำได้ว่าเป็นเพื่อนของธามัน ที่มาดูแลห้องพักให้นานหลายปี
ฐาติพยักหน้าแล้วเข้าเรื่องที่ต้องมาในวันนี้
ปัจจุบันฐาติทำงานอยู่ที่สำนักงานทนายความ เห็นว่ากำลังมีเรื่องเดือดร้อนอยู่ มีข้อกฏหมายหลายข้อที่ควรรู้ไว้ และเรื่องที่ควรทำก่อนในเวลานี้ ลำดับต่อไป จนถึงเรื่องที่ไม่ควรลืม
ฉันท์นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขารู้มาจากไหนว่ากำลังเดือดร้อน แต่ก็พยายามจำเรื่องที่ฐาติบอกมาให้ได้มากที่สุด
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปชายหนุ่มสวมแว่นตาก็ส่งนามบัตรให้
“ถ้าจะไปติดต่อราชการ หรือมีปัญหาอะไรก็โทรหาได้”
ฉันท์มองนามบัตรแล้วบอกด้วยความเกรงใจ “ขอบคุณที่กรุณาสละเวลามาในวันนี้นะฮะ แต่ผมไม่มีเงิน คงไม่สามารถจ้างทนายได้”
"ฉันขอค่าจ้างเป็นการที่เธอต้องเก็บเรื่องที่เราติดต่อกันเป็นความลับ แต่ถ้ามีคนรู้ว่าเราติดต่อกันฉันถึงจะคิดเงิน"
เมื่อฉันท์มีท่าทีสงสัย ฐาติก็พูดต่อ
"มีคนใช้ให้ฉันทำเรื่องนี้น่ะ เขาเอง ก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ"
ฉันท์กัดริมฝีปาก เมื่อมองนามสกุลของฐาติ ก็รู้ว่าคนที่ใช้ฐาติมาคือใคร "พี่เขา...สบายดีหรือเปล่าฮะ"
ฐาติยิ้มมุมปาก "ก็ดี เท่าที่คนแบบมันจะดีได้ละนะ" คนสวมแว่นไม่ได้พูดคุยต่อ แต่จบบทสนทนาด้วยการหันหลังให้แล้วเดินจากไป
ที่ผ่านมา ฉันท์ไม่ชอบการตัดบทสนทนาแล้วหันหลังให้กันแบบนี้เลย เพราะมันคือการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ในครั้งนี้ ตอนที่มองแผ่นหลังของฐาติที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ฉันท์กลับรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง
ฉันท์มองเห็นใครอีกคน ที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุยกันมานานแล้ว
เขากลับมาแล้วสินะ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันท์เปิดเมลเก่า ๆ ขึ้นมาอ่าน มองดูภาพถ่ายที่เก็บใส่โฟลเดอร์ไว้ แล้วนั่งยิ้มทั้งน้ำตา จนจิโระขยับเข้ามาดูด้วยคน
เด็กน้อยอ่านภาษาไทยไม่ได้ แต่พอเห็นรูปก็มีความเห็น
“ฮันซะมุ”
“ฮันซะมุ handsome น่ะหรือ ก็ใช่นะเขาฮันซะมุ”
“ดันยุ”
“ไม่ใช่หรอกเขาไม่ใช่ดารา เขาเป็น...” ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ  “วาการาไน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำอะไรอยู่”
“โอกาซัง...”
ฉันท์ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะตอบน้องชายว่าอย่างไรดี
พอเห็นว่าพี่ชายเงียบไป จิโระก็หันมามองพี่ชาย เห็นว่าดวงตาแดงก่ำมีหยดน้ำตาอาบแก้ม เด็กชายตัวน้อยหันมากอดพี่ชายไว้
2 คนพี่น้องกอดกันร้องไห้เงียบ ๆ จนหลับไป
...
โดยทั่วไปการเสียชีวิตในลักษณะนี้จะไม่สวดศพหลายวัน และจะเผาอย่างรวดเร็ว แต่ฉันท์ขอให้สวดศพจนครบ 7 วันเพื่อรอตา ยาย และน้าสาว น้าชายที่ต้องเดินทางมาจากญี่ปุ่น เสร็จงานพวกเขาขอรับอัฐิส่วนหนึ่งของแม่กลับไป และไม่มีใครคัดค้านการที่ฉันท์ขอจิโระไว้
ระหว่างงานศพ ฉันท์กับน้องย้ายไปนอนที่บ้านพักหลังเล็กของลุงวินัยกับป้าแจ่มจิต ส่วนบ้านที่เกิดเหตุถูกปิดไว้หลายวัน หลังจากที่ทำบุญบ้านแล้วถึงได้พากันย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยกันทั้งหมด 
มีคนงานที่ตลาดมาเรียกให้ฉันท์ไปคุยกับพี่เอื้อยที่เป็นผู้จัดการตลาดอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เธอไม่ได้มาที่บ้าน
ก็เหมือนกับญาติพี่น้องคนอื่น ๆ
ส่วนที่บ้าน ตั้งแต่ทำบุญบ้าน จนถึงทำบุญเมื่อครบ 15 วัน ครบ 30 วัน นอกจากลุงทั้ง 2 คนแล้วก็ยังมีย่าใหญ่ที่เป็นแม่แท้ ๆ ของพ่อที่มางาน
ปู่กับย่าเริ่มทำตลาดหลังจากที่แต่งงานกัน มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความดุร้ายของทั้งคู่เพื่อที่จะควบคุมกิจการ แต่วันนี้ย่าเป็นคนแก่อายุมากกว่า 90 ปีที่หลงลืมเป็นบางเวลา ในตอนที่มาทำบุญที่บ้านนี้ยังต้องให้หลานชายหลานสาวพามา
ย่าลูบผมของฉันท์บอกว่าเสียใจมากที่ไม่ได้มางานศพ เพราะไม่รู้เลยว่า ลูกชายคนเล็กกับลูกสะใภ้ตายแล้ว ทั้งเป็นการตายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นครอบครัว
คนนามสกุลวีนิตาไม่เคยมีใครที่ฆ่าตัวตาย
ย่ายังเสียใจมากที่ในบรรดาลูก หลานจนถึงเหลนจำนวนนับร้อยคน พ่อของฉันท์จะเหลือเพียงลุงรองกับลุงวินัย เพียง 2 คนที่มาช่วยฉันท์จัดงานศพให้พ่อ
ฉันท์บอกกับย่าว่าพวกเขามารดน้ำศพแล้ว และเข้าใจว่าทำไมทุกคนจึงทำเช่นนี้
เพราะเข้าใจจึงไม่ได้เก็บมาเป็นความทุกข์ใจ เพราะในเวลาเดียวกันยังต้องวุ่นวายจัดการเรื่องราวหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องของพ่อ แม่ และจิโระ
ต้องไปติดต่อกับหน่วยงานราชการมากมายเรื่อง ต้องทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ ต้องไปทำเรื่องขอเป็นผู้ปกครองจิโระตามกฎหมาย ต้องติดต่อญาติพี่น้องที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อแจ้งเรื่องของแม่ และขอเอกสารมากมาย
แน่นอนว่ายังมีเรื่องการหาเงินไปใช้หนี้ของพ่อด้วย
ยุ่งวุ่นวายเกินกว่าที่จะมาสนใจความไม่พอใจเหล่านั้น
แต่ในวันถัดมาหลังจากทำบุญครบ 30 วันฉันท์ก็เก็บผลไม้จากในสวนหลังบ้าน แล้วจูงมือจิโระเอาผลไม้ไปให้ญาติที่อยู่บ้านใกล้กันที่สุดก่อน จากนั้นในวันถัดมาก็เอาไปให้ญาติหลังถัดไป
ฉันท์ไม่พูดเรื่องพ่อกับแม่ ไม่พูดเรื่องเงินที่เป็นหนี้ บอกสั้น ๆ ว่าผลไม้ในสวนมีมากจึงเก็บมาฝากจากนั้นก็ขอตัวไปติดต่อธุระต่าง ๆ
ทำเหมือนแม่ ในเวลาที่พ่อมีปากเสียงกับพี่น้องของเขา
ฉันท์ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ แต่วันนี้ ตอนที่เก็บผลไม้เรียงใส่ตะกร้า แล้วนำไปมอบให้พวกเขา สิ่งสำคัญอยู่ตรงสีหน้าของพวกเขาในยามที่รับของจากเรา
แม่เคยบอกว่า ถึงพ่อจะโกรธเกลียดกับพี่น้องของเขามากขนาดไหน แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกและทำเหมือนพ่อ ขณะที่พ่อเองก็ไม่เคยห้ามแม่กับฉันท์เอาผลไม้ในสวนไปให้ญาติพี่น้องรอบบ้าน
ยังเคยขับรถไปส่งที่หน้าบ้านแล้วจอดรถรอด้วยซ้ำ 
เลือดของพ่อกับแม่ที่อยู่ตัวร้องบอกว่า พายุมันต้องเบาบางแล้วสงบลง หรือถ้าพายุนั้นจะกลับมาใหม่เราก็ต้องมีความพร้อมมากกว่าเดิม
....
ในร้านกาแฟใกล้กับสำนักงานทนายความ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มจิบกาแฟรสขม ขณะที่ฟังชายหนุ่มในเสื้อแขนยาวสีขาวไทค์ดำ รูปร่างหนา และสวมแว่นตา บรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีมานี้ จนมาถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องออกมานั่งคุยกันที่นี่
เวลาที่ผ่านไป ทำให้ธามันเปลี่ยนจากหนุ่มวัยรุ่นอเมริกันสไตล์ กลายมาเป็น 1 ในผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ขณะที่ฐาติซึ่งเป็นญาติผู้พี่เลือกที่จะออกมาทำงานในบริษัททนายความของพี่ชาย ที่ก็ยังแตกออกเป็นบริษัททนายความและสำนักงานนักสืบ
เป็นการแตกเครือข่ายการทำงานที่เน้นการทำงานสนับสนุนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว
การแตกแขนงงานในลักษณะนี้ ช่วยให้ธุรกิจเคลื่อนตัวได้ดีกว่าการผูกรวมทั้งหมดไว้ด้วยกัน
งานของฐาติช่างสอดคล้องกับนิสัยส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องทั้งหมดที่ฐาติเล่าให้ฟัง หลายเรื่องธามันรู้อยู่แล้ว ทั้งหลายเรื่องยังเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ตอนนี้ขอนั่งฟังเงียบ ๆ จนกระทั่งฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกาแล้วเปลี่ยนไปนั่งอีกโต๊ะ
จากตำแหน่งที่นั่งนี้ บังคับให้คนที่เพิ่งเข้ามาในร้าน ต้องนั่งหันหลังให้กับธามัน โดยมีพุ่มไม้และแผงไม้บังตากั้นอยู่
ฉันท์ยกมือไหว้ฐาติก่อนที่จะนั่งลง ท่าทีของผู้ที่อาวุโสกว่ายังคงเหมือนเดิมคือการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่เพราะไม่อยากขัดใจคนที่สั่งมา ทำให้ฉันท์ยิ่งเกรงใจ แต่เพราะตนเองก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใคร ถึงได้แต่นั่งตัวลีบรายงานไปทีละเรื่อง
"เรื่องของจิโระ เรียบร้อยแล้วฮะ พอน้าที่ญี่ปุ่นส่งเอกสารมาให้ผมก็รีบไปยื่นเรื่องตามที่คุณแนะนำมา"
"ดี" ฐาติบอกสั้น ๆ มีการทำงานมากมายที่อยู่เบื้องหลัง แต่ฐาติไม่คิดจะทวงบุญคุณ เพราะมีเรื่องร้อนรออยู่ "แล้วเรื่องพวกทวงหนี้ล่ะ สรุปว่ายอดเงินมันเท่าไหร่กันแน่"
โดยทั่วไปเมื่อลูกหนี้ตาย มูลหนี้ย่อมหายไป แต่เจ้าหนี้นอกระบบที่พ่อฉันท์ไปกู้ยืมมา ไม่รู้จักกฎหมายข้อนี้
ฉันท์บอกจำนวนเงินต้น รวมดอกเบี้ยไปตามตรง "ผมคุยกับลุงกับป้า คิดว่าเราจะขายบ้าน เอาอพาร์ทเม้นท์ไว้ เพราะอย่างน้อยเราก็ยังมีอาชีพ แล้วคนที่อยู่ที่นั่นเขาก็อยู่มานาน แต่ผมไปคุยกับคนที่คุณฐาติแนะนำมา เขาประเมินราคาแล้วบอกว่าอพาร์ทเม้นท์ได้ราคาดีกว่า ทำให้ผมยังไม่แน่ใจ"
เพราะอพาร์ทเม้นท์อยู่ค่อนไปทางปากซอยและใกล้ตลาด ย่อมได้ราคาดีกว่าบ้านที่อยู่ท้ายซอย
"ยังมีอีกคนอยากซื้ออพาร์ทเม้นท์ของเธอ"
ที่จริงแล้วคนนี้อยากซื้อบ้าน ต่อมาก็อยากได้อพาร์ทเม้นท์ แล้วก็มาบังคับให้ทำโน่นนี่เพราะอยากได้ตัวเจ้าของบ้านด้วย จากนั้นก็เกิดละอายใจอะไรไม่ทราบได้ ให้หาคนมาทำทีว่าสนใจอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นก็เปลี่ยนใจอีกหนลงมาเล่นเอง บอกว่าอยากได้อพาร์ทเม้นท์มาทำคอนโดฯ
บอกตามตรงว่าการที่คนออกคำสั่งสั่งงานกลับไปกลับมา เดี่ยวงานงอก เดี๋ยวงานหาย ทำให้คนรับคำสั่งอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
"ฮะ" ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ เมื่อคิดว่าถ้าขายอพาร์ทเม้นท์แล้วต่อไปทุกคนจะมีรายได้จากไหน
"ถ้าเธอไม่รีบตัดสินใจ อีกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หนี้ของพ่อเธอมันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หนี้บ่อน เงินกู้นอกระบบมันเป็นอย่างนี้ โตแบบก้าวกระโดด"
ฉันท์ก้มหน้ามองมือตัวเอง ขณะที่ฐาติมองผ่านไปทางด้านหลังของฉันท์ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นพยักหน้าเร่งให้ฐาติพูดต่อ
"เธอต้องการเงินไปใช้หนี้นะ แล้วลุงก็เป็นมะเร็ง ต้องใช้เงินมากเหมือนกัน"
หยดน้ำตาตกกระทบหลังมือที่กำแน่นอยู่บนหน้าขา
ทั้งที่คิดอยู่แล้วว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องขายสมบัติที่พ่อกับแม่ช่วยกันสร้างขึ้น แต่นั่นก็คือการย้ำว่าเป็นลูกชายที่ไม่ได้ความ
"คนที่ซื้อเขาได้อยากอพาร์ทเม้นท์ เพราะจะทำคอนโดฯ ส่วนบ้านน่ะ ทีแรกเขาก็คิดอยู่ว่า จะซื้อเพื่อจะปลูกอยู่เองแต่จากที่คำนวนมา ขายแค่อพาร์ทเม้นท์อย่างเดียวก็เกินพอแล้ว”
ฉันท์เงยหน้าขึ้นมอง พลางเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
ตอนแรกที่คุยกันยังคิดว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ผูกธุรกิจไว้กับสำนักงานทนายความของฐาติ แต่พอพูดว่าอยากได้บ้านเพื่ออยู่เอง ฉันท์ก็คิดว่าอาจเป็นธามัน
"เอาอย่างนี้ เธอตั้งราคาของทั้ง 2 แปลงอ้างอิงจากราคาประเมินไว้ก่อน ถ้าเธออยากได้มากกว่านั้นก็บวกไว้ ถ้าตัวเลขไม่มากมายเกินไป ฉันคิดว่า คนซื้อเขาก็คงไม่ได้คิดจะต่อรอง"
หนี้ของพ่อไม่ได้มากขนาดนั้น แล้วเรื่องบ้าน..ตกลงอย่างไรกันแน่
"แต่แปลงบ้านน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณฐาติคิดนะฮะ"
“อ้าว ก็ไหนตอนแรกอยากขายบ้าน เอาอพาร์ทเม้นท์ไว้”
“ใช่ฮะ เพราะผมคิดว่าจะเป็นคนอื่น”
ฐาติเลิกคิ้วสูง
ถ้าเป็นคนอื่น ฉันท์ก็คงขายให้ ‘ตามความเป็นจริง’ แต่ถ้าเป็นคนที่คิดไว้ การที่เขาจะซื้อบ้าน อาจเพราะมีความเข้าใจผิดบางอย่าง 
ฉันท์อธิบายถึงเงื่อนไขและข้อตกลงเกี่ยวกับบ้านท้ายซอยที่มีมาตั้งแต่ก่อนที่ฉันท์จะเกิด ขณะที่ฐาติฟังไปก็ลอบสังเกตสัญญาณจากคนที่นั่งด้านหลังไปพลาง
"งั้นขอฉันกลับไปคุยกับคนที่จะซื้อบ้านก่อน คือเรื่องอยากได้น่ะเขาก็อยากได้ละนะ" คนด้านหลังฉันท์พยักหน้าให้ความมั่นใจ "แต่ถ้ามันมีเงื่อนไขอะไรแบบนี้ เธอเองก็ต้องไปคุยกับคนที่เขาถือโฉนด รวมถึงลุงกับป้าด้วยใช่ไหม”
"คุณจะเอาเอกสารเมื่อไหร่ฮะ"
ฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกา "เธอกลับบ้านไปคุยกันก่อน แล้วก็เตรียมเอกสารไว้ เสร็จเมื่อไหร่โทรมาบอก" เพราะทางนี้น่ะไม่มีปัญหา
คือถ้าลองมีปัญหาหรือเปลี่ยนใจอีกรอบจะให้พี่รัฐฐามาจัดการเองแล้ว ไอ้ฐาติจะหนีไปบวช!
ฉันท์หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจดรายการสิ่งที่ต้องทำตามที่ฐาติบอก จากนั้นก็ยกมือไหว้ แล้วลากลับไป
ฐาติมองธามันที่นั่งอยู่ด้านหลัง แล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองเพดานร้าน จากนั้นก็ลุกออกจากร้าน อีกอึดใจหนึ่งธามันจึงลุกตามออกมา

คืนนั้นขณะที่กวางกำลังสอน ก.ไก่ให้จิโระ ฉันท์ก็เดินออกมาข้างนอกบ้าน นั่งมองหมายเลขโทรศัพท์เบอร์เดิมที่เคยใช้โทรหาธามันเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนใจโทรหาฐาติ
“ขอโทษที่รบกวนเวลานี้นะครับ เรื่องที่จะซื้อขายอพาร์ทเม้นท์กับบ้านน่ะฮะ ถ้าคนที่ซื้อไม่ใช่พี่ธาม ผมขายอพาร์ทเม้นท์ ไม่ขายบ้าน ถ้าเป็นพี่ธาม ผมตกลงขายอพาร์ทเม้นท์ให้ ส่วนเรื่องบ้าน ผมมีเงื่อนไข...”
....
กองการจัดการทั่วไป เป็นห้องทำงานกวางที่จัดโต๊ะทำงานเข้าหาโต๊ะประชุมตัวใหญ่กลางห้อง
นี่เป็นแผนกการทำงานที่มีคนอยู่เกือบ 50 คนแบ่งงานรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด และพร้อมจะระดมกำลังเข้ามาช่วยกันทำงาน ไปจนถึงพร้อมที่จะเป็นกำลังเสริมให้กับทุกทีมในบริษัท
ยกเว้นลงมือก่อสร้าง
ท้ายห้องทำงานใหญ่ ยังมีห้องทำงานใหญ่ระบุชื่อผู้จัดการกองอยู่ที่หน้าประตู ติดกันคือห้องทำงานเล็ก ๆ อีกห้องด้วยกระจกใส ไม่มีชื่อและตำแหน่งของคนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนี้ คนที่ทำงานในห้องนี้ก็มีอยู่คนเดียว บนโต๊ะก็ไม่มีทั้งชื่อและตำแหน่งเหมือนกัน
ไม่มีรูปภาพ โล่ หรือป้ายประกาศเกียรติคุณสักใบในห้องนี้
แต่คนทั้งบริษัทรู้ว่าที่นี่คือห้องทำงานของใคร เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน พนักงานหลายคนเริ่มเก็บงานบนโต๊ะเตรียมตัวเลิกงาน แต่เจ้าของห้องทำงานก็ยังก้มหน้าอยู่กับแฟ้มรายงานบนโต๊ะ
เลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องหันไปมองคนในห้องอยู่หลายครั้ง ยังไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหว ก็เริ่มทำใจว่าเย็นนี้คงได้ทำงานล่วงเวลาอีกเหมือนเคย
ห้องทำงานเล็กแคบขนาดที่วางโต๊ะทำงานหนึ่งชุด กับคอมพิวเตอร์ มีตู้สูงติดผนังด้านหน้า และหลังของโต๊ะทำงาน ก็จะเหลือทางเดินแคบ ๆ ให้เบี่ยงตัวเดินเข้ามาที่โต๊ะได้ ก็ทั้งเล็กและแคบ ขนาดที่ฐาติเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง ยังไม่ทันจะเคาะประตูเจ้าของห้องที่ชื่อธามันก็โบกมือให้เข้ามา เปิดประตูแล้วก้าวตรงเข้ามาเพียง 2 ก้าวก็คือเก้าอี้อีกตัวที่ฐาติจะต้องนั่งลงแล้ว
"คุณดอกเตอร์ธามัน  ก้องเกียรติมนตรี ผู้ช่วยผู้จัดการขอรับ"
ธามันเอียงหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วหัวเราะในลำคอ "อารมณ์ดีแล้วหรือ"
“กูประชดนี่แปลว่ากูอารมณ์ดีหรือ”
ธามันพยักหน้า
"ก็เด็กมึงมันน่ารำคาญ ทำกูอารมณ์เสีย" ฐาติพูดถึงเรื่องเมื่อเที่ยงวันก่อน ซึ่งที่จริงแล้วเขารำคาญคนสั่งงานมากกว่า แต่เพราะคนสั่งงานจ่ายเงินงามมาก จึงหันไปบ่นอีกคนที่ตั้งแต่คุยกันมา ยังไม่เคยเถียงสักคำ
ลืมไปว่าคนที่หลงน้องจนโงหัวไม่ขึ้นจะต้องปกป้องน้องในทันที
"อย่าไปว่าเขาแบบนั้น"
"เออ" ฐาติกระแทกเสียง "เด็กโลกสวย หัวอ่อน น่าสงสาร แม่ง..." สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะเสียดสีอีกคำ ธามันมีสีหน้าเรียบตึงแล้วถามต่อ
"ทำไมมึงอารมณ์ดี"
"เขากลับไปรวบรวมเอกสารแล้ว ส่วนเช็คเงินสดของมึงก็อยู่กับกูแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาไปจัดการให้ทั้งหมด นี่ถ้าเจรจาซื้อที่ของที่อื่นง่ายอย่างนี้นะ บริษัทเราจะรวยกว่านี้อีก 100 เท่า" ที่อารมณ์ดีก็เพราะเรื่องราวเสร็จลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง
แต่ฐาติยังบ่นเรื่องการทำงานของทั้ง 2 บริษัทอีกหลายคำแล้วสรุปจบด้วยการปัดมือ
"กลับมาที่เรื่องเงินตามเช็คที่มึงเซ็นมาให้กูเนี่ย คุณนายแม่ของท่านผู้ช่วยผู้จัดการเห็นชอบแล้วแน่นะ เงินตั้งหลายล้าน"
"กูเอาเงินมรดกของกูมาใช้ก่อนน่ะ แล้วมีที่กูเล่นหุ้นอยู่ด้วย"
"อ้าวเหี้ยแล้ว เงินมึง แต่ใช้ชื่อบริษัทไปทำโครงการ"
ธามันเคยพูดถึงเรื่องนี้เมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนหน้า แล้วก็เงียบไป ยังคิดว่าได้รับการสนับสนุนจากกรรมการบริหารเพราะใช้ชื่อบริษัทเสียอีก
“มีพี่ ๆ ที่บ้านใหญ่ร่วมอยู่ในกองทุนของมึงด้วยไหม”
ธามันพยักหน้า "กูต้องรายงานผลการทำงานผ่านกรรมการบริหารด้วย"
ฐาติเคาะที่ขมับ "คนนั้นก็ต้องรู้แน่"
...ขณะที่คนนี้เพิ่งรู้! ทำไมถึงได้มีเจ้านายเอาแต่ใจแบบนี้!

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่3 (22/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-12-2018 18:50:05
(ต่อครับ)

"เขาต้องรู้อยู่แล้วในสักวันหนึ่ง แล้วว่าที่จริง ไอ้การที่เราทำอะไรก็พูดโยงไปหาเขาตลอด มันทำให้เขาคิดว่าเรากลัว"
"กูรู้ว่ามึงไม่กลัว แต่เขาคือคนที่แตะแล้วสะเทือนทั้งแผ่นดิน" ฐาติยังคงลงท้ายด้วยการเสียดสีเหมือนเคย "ทำไมทุกคนต้องเกรงใจเขาขนาดนี้ด้วยวะ"
เรากำลังพูดถึง ทีม-ธนวัฒน์คนนั้น
คนที่เป็นพี่ชายต่างมารดาของ ธาม-ธามัน
ที่จริงทุกคนเกรงใจพ่อและแม่ของธามันเป็นหลักด้วยความเป็นผู้ใหญ่ และมีทรัพย์สินมากที่สุดในกลุ่ม และเกรงใจธนวัฒน์เพราะเขามีคุณลักษณะบางอย่างที่ทำให้ต้องเกรงใจ
ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงหันมากดดันการทำงานของธามัน
…แต่กดดันแล้วช่วยทั้งเงินทุน และสนับสนุนกันแบบลับ ๆ แบบนี้ก็ถือว่ายังสามารถคุยกันได้

เรื่องในครอบครัวของธามัน เป็นเรื่องกอสซิปสุดหรรษาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้
ตอนที่ธนวัฒน์ยังไม่ได้เข้ามาทำงานที่บริษัท เรื่องนี้ออกแนวเมียน้อยผู้มั่งมีตามราวีเมียหลวงผู้ต่ำต้อย แต่พอธนวัฒน์เข้ามาทำงาน เรื่องก็พลิกเป็นเมียหลวงเดินฮัมเพลง ‘ฉันหวง ฉันมาทวงของฉันคืน’ ตามหลังลูกชายเข้ามาในบริษัท จากนั้นเมียน้อยก็ตอบกลับนิ่ม ๆ ด้วยการส่งลูกชายที่จบการศึกษาแบบอลังการตั้งแต่เกียรตินิยมปริญญาตรี ตามมาด้วยดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำเข้ามาทำงาน
อันนั้นมันเรื่องกอสซิป แต่ข้อเท็จจริงแล้วนี่ไม่ใช่เมียหลวงVSเมียน้อยอะไรหรอก มันเป็นเรื่องของการละเลยทางกฎหมายและจริยธรรมล้วนๆ
อะ-งง-ละ-สิ
ธนาเลี้ยงดูแม่ของธนวัฒน์ แบบไม่มีตัวตน ไม่มีทะเบียนสมรส แต่รับรองบุตร จนกระทั่งเขาสมรสกับเยาวเรศลูกสาวมหาเศรษฐีระดับท็อปเทนของเอเชีย และจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง
1 เดือนถัดมาหลังงานแต่งงานแบบอลังการ หญิงคนหนึ่งจูงมือเด็กชายเดินเข้าบ้านในบ้านหลังใหญ่ และบอกกับเยาวเรศอย่างน่าสงสารว่าเธอกับลูกคือใคร พร้อมแสดงหลักฐานการรับรองบุตร
นี่มันเป็นละครชีวิตที่ทำให้ขาเม้าท์ต้องเกาะขอบเวทีติดตาม และวิจารณ์กันอย่างสนุกปาก ทั้งรอวันที่จะเห็นการปะทะของพี่น้องต่างแม่คู่นี้
ตอนที่ยังเป็นเด็ก ธามันก็เคยปะทะกับธนวัฒน์ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ผล ทั้งยังทำให้ศัตรูในที่ลับได้ประโยชน์ ธามันก็เดินเกมใหม่
2 พี่น้องพัฒนาทักษะของการชิงดีชิงเด่นไปตามช่วงอายุ พร้อมไปกับการเฝ้าระวังศัตรูในที่ลับคนนั้น
เมื่อช่วงชีวิตมาถึงการทำงานในบริษัทของครอบครัวที่เป็นบริษัทใหญ่ มีกลุ่มผู้บริหารที่เรียกว่าคณะกรรมการบริหารซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเครือญาติเดียวกันนี่แหละ และต่างก็รอให้ใครก็ตามในกลุ่มเดียวกันล้มลงไป
ในบริษัทใหญ่ ธามันอาจดูเหมือนว่าตัวคนเดียว แต่ถ้ามองไปที่บริษัทลูก ธามันก็มีพวกที่เข้มแข็งอยู่กลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในกลุ่มนั้นคือฐาติ คนที่มานั่งมองธามันทำงานอยู่ในเวลานี้
เมื่อเห็นว่าธามันยังก้มหน้าตรวจรายงานข้างหน้า ฐาติก็มองผ่านออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานที่อยู่ด้านซ้ายมือของธามันเพื่อลอบสังเกตอาการของญาติผู้น้อง   
"เมื่อวานพี่ทีมไปกินข้าวที่บ้านเด็กมึง"
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
มือใหญ่ที่จับปากกาอยู่กระตุกเล็กน้อย แต่ใบหน้าคมเข้มยังก้มหน้าอยู่กับเอกสาร ผ่านไปหลายวินาทีสายตาก็ยังอยู่ที่เดิม สุดท้ายก็คือการผ่อนลมหายใจ แล้วเลื่อนมือตรวจข้อความต่อไป
"ธามมึง ตั้งหลายปีแล้ว"
"กูรู้แล้ว"
"มึงจะเสียเวลาไปหลายปี เพื่อคนที่มึงครอบครองไม่ได้ไปเพื่ออะไร” ฐาติพูดตรง “เขาเป็นผู้ชาย แล้วยังเป็นผู้ชายที่เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย จนมาถึงพี่ทีม”
ธามันเงยหน้าขึ้นมามอง  "กูเข้าใจที่มึงอึดอัดใจ แต่มึงช่วยเขาดูเอกสาร กับติดต่อราชการอีกนิดเดียว โอนที่ โอนเงิน ดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครไปรบกวนเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว"
"ไม่มีอะไรได้ยังไง” ฐาติสัญญาว่าจะพยายามครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องชนกับพี่ทีมในงานกูไม่เกี่ยง แต่เด็กมึงน่ะเขาเป็นอื่นไปแล้ว มึงจะยื้อเขากลับมาเพื่ออะไร ยิ่งคนนั้นเป็นพี่ทีมด้วยแล้ว ต่อให้มึงได้เด็กมึงคืนมา มึงก็ยังขาดทุนอยู่ดี”
“เขาไม่ใช่ของรางวัลให้ต้องแย่งกัน แล้วกูก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยเป็นอื่น ที่เขาให้เงื่อนไขเรื่องบ้านมาแบบนั้น มันก็บอกอยู่แล้ว”
“เขาโลเล ไม่มั่นคง”
ธามันส่ายหน้า “เขาเป็นของกูมาตั้งแต่แรก แล้วกูก็ไม่สนด้วยว่าใครจะพูดยังไง”
1 ในคนที่อยู่ในกลุ่มของคนที่พูดก็คือฐาตินี่แหละ
ฐาติแพ้อีกครั้ง...
“หลังจากนี้ ถ้ามึงจะใช้กูทำอะไรก็ใช้มาเถอะ” กูละเบื่อ "มึงงานเยอะ เขาก็ปัญหามากถ้าปล่อยไปมีหวังปัญหาพันคอพวกมึง 2 คนจนตายน่ะแหละ กูขอแค่บ่นนิดบ่นหน่อย"
แต่ฐาติไม่เคยบ่นนิดหน่อย ในเมื่อบ่นเรื่องฉันท์แล้วธามันไม่พอใจ ก็เปลี่ยนไปบ่นเรื่องการติดต่องานราชการ เรื่องระบบงานในบริษัทใหญ่ ธามันก็ตามใจปล่อยให้บ่นไปเรื่อย จนกระทั่งตรวจงานเสร็จ เซ็นงาน แล้วถือแฟ้มออกมาให้กองเลขาฯ ที่อยู่หน้าห้อง ฐาติก็วนกลับมาหาเรื่องโครงการก่อสร้างคอนโดฯ
"มึงบอกพวกกรรมการบริหารว่าไง เขาถึงยอมให้มึงใช้ชื่อบริษัท"
"กูบอกเขาว่า นี่คืองานทดสอบของกู ถ้างานออกมาดีมีกำไร ถือว่ากูผ่านงาน"
ฐาติทำท่าเอียงคอ สีหน้าบอกว่าไม่เข้าใจ ขณะที่ยกมือขวาโบกไปมา "แล้วนี่ไม่ใช่บริษัทของตระกูลท่านพ่อและท่านแม่ของคุณธามันหรือขอรับ"
พ่อของธามันก็อาของฐาตินั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะพูดไปเพื่ออะไร
"บริษัทมีกรรมการบริหาร เครือญาติเต็มบริษัท กูต้องพิสูจน์ตัวเอง"
ต้องพิสูจน์ว่า ธามันเหนือกว่าธนวัฒน์ในทุกทาง!
"เออ ตามใจมึงเหอะ" ฐาติหันไปมองนอกหน้าต่างอีกรอบ ยังไม่ยอมเข้าเรื่องง่าย ๆ
"เจอหนี้อีกก้อนหรือไง" ธามันเดา
ฐาติพยักหน้า ยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ เพราะถึงจะถ่วงเวลาโยกโย้อยู่นาน พอจะพูดขึ้นมาจริงๆก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อน เพราะหนี้ของนายฉลอง วีนิตาช่างซับซ้อน
"ที่สำนักงานกูตอนนี้ ต้องเอาคนครึ่งหนึ่งมาทำเรื่องให้เด็กมึง รับรองว่ากูคิดเงินมึงทุกสตางค์"
"เชิญครับ" ธามันยิ้มไม่เปิดปาก ขณะที่มองเอกสารและภาพถ่ายในมือ
"อันนี้น่าจะเป็นเจ้าสุดท้ายแล้ว เป็นหนี้นอกระบบที่เขากู้มาซ่อมอพาร์ทเม้นท์เมื่อปีก่อน"
แม้จะหันหน้าเข้าหาบ่อนพนัน แต่พ่อของฉันท์ก็ยังคงดูแลอพาร์ทเม้นท์อยู่ ฐาติยืนยันว่าเมื่อปีที่แล้วมีการซ่อมอพาร์ทเม้นท์และทาสีใหม่จริง
เมื่อมาคิดว่า ต้องขายสมบัติของพ่อแม่ที่ประคับประคองกันมานานหลายปีเพื่อใช้หนี้เหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าปวดใจ ธามันจำแผ่นหลังสั่นไหวในตอนที่น้องกำลังร้องไห้ได้ดี
"ทบไปทบมาก็เป็นล้านได้เหมือนกัน"
เคยสงสัยกันว่าทำไมเจ้าหนี้ถึงใจดีนัก
คำตอบที่ได้อยู่ตรงข้ามกับคำว่าใจดี
สำหรับเจ้าหนี้ประเภทมืออาชีพ พวกเขารู้ว่านายฉลองมีเงิน มีทรัพย์สิน และอยู่ในครอบครัวเศรษฐี ถึงจะประกาศตัดขาดกัน แต่เลือดย่อมต้องข้นกว่าน้ำ ย่าใหญ่เจ้าของตลาดเพิ่มทรัพย์ จะปล่อยให้ลูกชายคนเล็กถูกเจ้าหนี้ตามเก็บได้อย่างไร
ส่วนเจ้าหนี้รายย่อยที่มีอยู่หลายเจ้าก็เพราะนายฉลองกู้ยืมแต่ละเจ้าด้วยเงินต้นหลักหมื่น หลายคนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะได้เงินคืน แต่เขากลับปล่อยให้ดอกเบี้ยทบเงินต้นไปเรื่อย ๆ  พอนำมารวมกันหลายเจ้ามันถึงกลายเป็นเงินจำนวนมาก
ใครจะไปคิดว่า ผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้
"เมื่อเที่ยงวันวานน่ะ กูก็แค่พูดขู่เด็กมึงไป แต่พอเข้าไปบริษัทเท่านั้นแหละของจริงมาเลย เสมียนกูเดินยิ้มเหงือกบานเห็นมาแต่ไกล บอกพี่ยังมีอีก 1 เจ้า วันนี้พอทำเล่มเสร็จกูก็เอามาให้มึงก่อน เพราะพรุ่งนี้กูจะได้เอาไปให้เด็กมึงด้วย เห็นแล้วจะเป็นลมตายห่าเลยหรือเปล่าไม่รู้ ยิ่งเจอก็ยิ่งซีดลงไปเรื่อย ๆ"
แต่ตอนนี้ธามันคือคนที่กำลังเครียดเหมือนกับเป็นหนี้ของตนเอง จนฐาตินึกกังวล
...หรือเพราะกูพูดเหน็บพ่อตามึงไปหลายคำ หรือกูยังไม่เลิกว่าแฟนมึง หรือเพราะกูพูดตรงไป
...เออ ช่างเหอะ กูพูดไปแล้วนี่
ถ้ามึงชอบคนมีหนี้ มึงก็ต้องช่วยเขารับภาระหนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา
"มึงไม่เผื่อว่าเด็กมึงเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากพี่ทีมเลยหรือวะ"
"ไม่" ธามันแน่ใจ "เขาไม่เล่าความทุกข์ให้ใครฟัง" คนตัวใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้สูง "นิสัยเหมือนกันทั้งพ่อ แม่ ลูก"
ตอนที่ยืนอยู่ข้างกัน ธามันไม่เคยเข้าใจนิสัยแบบนี้ แต่พอมองดูอยู่ห่าง ๆ ถึงได้เข้าใจ
ตอนที่ยืนอยู่ข้างกันรีบด่วนตัดสินเขาว่าปิดกั้นตนเอง และเมินเฉย แต่เมื่อมองดูอยู่ห่าง ๆ จึงเข้าใจว่าที่แท้ฉันท์ทัตเป็นคนเกรงใจคนอื่น และไม่ต้องการเป็นภาระของใคร
ฐาติหัวเราะเสียงแปลก ๆ ในลำคอ "อันที่จริง มีอีกเรื่องที่กูมีลางสังหรณ์แต่ยังไม่มีใครว่างพอที่จะไปตามเรื่องให้"
"อะไรของมึง"
"เออ ข้ามไปก่อน"
"อะไรของมึง" ธามันถามย้ำ
"กูมีลางสังหรณ์ว่า อีกไม่นานมึงจะได้เด็กมึงกลับมา ทั้งที่ส่วนตัวกูแล้ว กูเห็นว่าระดับมึงน่ะหาได้ดีกว่านี้กี่เท่าก็ยังได้"
ธามันส่ายหน้าแก้ต่างให้ฉันท์ตามคาด "อย่าไปว่าเขาแบบนั้น เพราะตัวกูเอง จะในอดีตหรือตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรนัก คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก”
...จนกระทั่งฉันท์บอกชื่อจริงว่าชื่อ ชิรายูกิ
ความพิเศษของชื่อที่มีแต่แม่คนเดียวที่เรียกชื่อนี้
กว่าจะรู้ตัว ว่าขณะที่เราไม่จริงจัง อีกฝ่ายกลับจริงใจกับเรามากที่สุด
"เขาพากูเข้าบ้าน ทำความรู้จักคนในครอบครัวเขา ส่วนกู ทั้งที่โฆษณาไปตั้งมากมาย บอกว่ากูจริงใจ แต่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับกูเลย แม้แต่มึงเขาก็เจอมึงผ่าน ๆ" ธามันส่ายหน้าแล้วตัดบท เพราะรู้ว่าฐาติไม่ค่อยอยากทำเรื่องนี้สักเท่าไหร่ "กูคงจะไม่กวนเวลาของมึงมากนัก ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ทีม"
ธามันขอให้ฐาติที่อยู่ทางนี้ช่วยดูแลฉันท์ แต่ฐาติไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ในทางตรงข้ามกลับคอยมองจากที่ไกล ๆ พอเห็นว่าฉันท์พาเพื่อนกลับมาบ้านก็รีบบอก ว่าน้องมีแฟนใหม่แล้ว แนะนำให้คืนห้องและตัดใจ
คนเป็นทนายและนักสืบไม่ควรจะมีนิสัยแบบนี้ แต่ฐาติจะมีท่าทีอย่างนี้กับฉันท์เท่านั้น ถึงตอนแรกจะรู้สึกสงสารที่ต้องมาเป็นคนที่ธามันจีบเล่น ๆ แต่พอธามันไม่อยู่ได้ไม่กี่วันแล้วเห็นว่าฉันท์พาคนมาบ้าน จะเพื่อนจริงอย่างที่เด็กกวางบอกหรือไม่ฐาติก็ไม่สนใจ รีบบอกให้ธามันตัดใจ
ยิ่งธามันมีท่าทีผิดหวัง ฐาติก็ยิ่งพาลใส่ฉันท์ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
จนกระทั่งมาเห็นว่าธนวัฒน์มาหาฉันท์ที่บ้าน ก็รู้สึกสงสัยในใจว่า พี่กับน้องอาจมีสเปคคนที่ชอบแบบเดียวกัน
ในเมื่อธามันชอบฉันท์ ถ้าธนวัฒน์มาพบเจอฉันท์ก็น่าจะชอบเหมือนกัน
แล้วมันก็จริง แถมยังทำตัวติดหนึบเหมือนกันอีกต่างหาก
แต่ในฐานะที่อยู่ทีมธามันมาตั้งแต่ต้น แถมเงินดี มันก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป
กวาดอคติทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันท์ทัตออกไป ฐาติปรับสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเป็นคนละคน
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคน ๆ นี้” หมายถึงทีม-ธนวัฒน์ “ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ หลายปีมานี้ทั้งมึงทั้งกูฝึกการรับมือกับเขามาไม่น้อย แต่ถ้าคราวนี้ ดึงเอาเด็กมึงมาเกี่ยวด้วยแบบนี้มันก็ไม่แฟร์"
ใช่แล้ว ฐาติกำลังเปลี่ยนขั้วอีกหน...
การจัดการกับธนวัฒน์คืองานถนัด และมักได้รับความร่วมมือจากกลุ่มพี่น้องในรุ่นเดียวกันด้วยดีเป็นอย่างยิ่ง
ธามันพยักหน้าแล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา
"นามสกุลเจ้าหนี้ที่บ่อนมีอยู่คนหนึ่ง เหมือนเพื่อนที่ตอนนี้ทำผับอยู่ เดี๋ยวค่ำ ๆ จะลองโทรหา ถ้านัดได้ มึงไปกับกูไหม"
"พรุ่งนี้กูขึ้นศาลเช้า"
"ยังไม่ได้นัดเลย อาจเป็นพรุ่งนี้ แต่คงไม่ใช่ศุกร์เสาร์หรอก คนเยอะ"
"เออ งั้นนัดได้แล้วบอกมา แต่กูแนะนำให้มึงคุยกับเพื่อนมึงให้เข้าใจก่อน ว่าจะติดต่อเรื่องอะไร แต่กูไม่แนะนำให้มึงไปคุยกับเจ้าหนี้ เพราะมันก็คือการเอาบริษัทพ่วงเข้าไปด้วย กูจัดการเองอย่างเดิมดีกว่า”
จากระดับของหนี้ที่ฉันท์ต้องรับแทนพ่อ ทำให้ธามันเป็นกังวลมาก ว่าจะถูกแก๊งค์ทวงหนี้ทำร้าย หลังจากที่สืบไปจนพบเจ้าหนี้บ่อนคนที่ว่า ฐาติก็นัดเจ้าของบ่อนออกมาคุยธุรกิจที่ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร ฝ่ายของฐาติมีคนติดตามมาด้วย 2 คนฝ่ายของเจ้าของบ่อนมาอีก 3 คน แต่ตอนที่คุยกัน ฝ่ายผู้ติดตามแยกไปนั่งอีกโต๊ะ
เรื่องจากปากของเจ้าของบ่อน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของเจ้าหนี้มืออาชีพ ตรงตามเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาทุกอย่าง
“อ๋อ เด็กคนนั้นน่ะหรือ เราส่งคนไปคุยกับมันตั้งแต่งานศพแล้ว” เสี่ยเจ้าของบ่อนพนันบอก “ที่จริงเรื่องมันยาวมาตั้งแต่รุ่นพ่อมันแล้ว พ่อมันเสียหนัก ๆ ก็กลับไปขายของเอาเงินมาจ่าย ตอนที่หนี้ขึ้นไปเป็นหลักแสน มันก็ขายรถ จากนั้นหนี้ก็กลับมาเป็นแสนอีก แต่ทุกคนเห็นอยู่ไง ว่ามันมีของ แต่มันบอกว่ายังไม่ได้กลับบ้านเลย ไม่หนีแน่นอน ปรากฏว่า มันไม่ได้มีแต่หนี้บ่อนนี้แห่งเดียวน่ะสิ ยังมีที่นั่นที่นี่ รายเล็กรายใหญ่ บางเจ้าคิดดอกรายวัน ตอนที่คิดเงินออกมา เด็กนั่นหน้าซีด แต่ก็ยืนยันว่าจะจ่ายคืนให้แน่นอน ก็คงขายอพาร์ทเม้นท์นั่นมาใช้หนี้น่ะแหละ”
ฐาติที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างสีดำกับสีขาวไม่แปลกใจกับการเสแสร้งทำเป็นใจกว้างของเจ้าของบ่อน ทั้งไม่พูดท้วงเรี่องข้อกฎหมาย ที่ลูกไม่ต้องมารับภาระหนี้ต่อจากพ่อด้วย
ถึงจะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าเวลาไหนควรพูดอะไร
“เขาขายอพาร์ทเม้นท์เพื่อจะเอามาใช้หนี้จริง ๆ” ฐาติบอก  “อย่างนี้พวกเราจะได้ทำสัญญาได้สักที”
“ขายเท่าไหร่” เจ้าหนี้อยากรู้
“ไม่เท่าไหร่หรอก ตึกเก่า แล้วยังมีค่าใช้จ่ายให้คนเช่าเดิมอีก”
เจ้าหนี้หัวเราะร่วน “เค็มเหมือนกันนี่หว่า”
“ไม่ได้เรียกเค็ม แต่เขาเรียกทำธุรกิจ พอเขาบอกตามตรงเรื่องหนี้บ่อน เราก็ต้องตรวจสอบก่อน”
“จะเรียกว่ามันซื่อได้ไหมนะ”
“เด็กไม่รู้จักโลกก็อย่างนี้แหละ”
เจ้าของบ่อนหัวเราะ เด็กแบบนี้แหละคือเหยื่อที่โลกมืดชอบนัก!
....
หลังจากที่ฐาติส่งเทปเสียงไปได้ไม่ถึง 10 นาทีธามันก็โทรกลับมา “ทำไมมึงไม่บอกไปว่า กำลังหาเงินอยู่ อย่าไปยุ่งกับน้อง”
“อ้าวเหี้ย” ฐาติด่าสวน ธามันที่คิดแล้วด่าทันทีแบบนี้ย่อมดีกว่าธามันเวลาที่คิดอะไรอยู่เงียบ ๆ “กูเป็นทนาย นั่นเป็นเจ้าของบ่อน นัดเขาออกมากินข้าวยังต้องให้ของขวัญให้ค่าเสียเวลาเขาอีก จะไปพูดขู่เขาแบบนั้นได้ไหม”
“เออ ขอโทษกูใจร้อน” จากนั้นก็พูดต่อ “แล้วมึงว่าน้องโลกสวย”
ไอ้นี่ก็แม่ง แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย
“ก็โลกสวยจริงไหมเล่า อยู่ในโลกสวยงามที่พ่อแม่สร้างไว้ พอมันพังทลายลงก็ทำอะไรไม่ถูก แล้วนี่มึงก็จะมาสร้างโลกสวย ๆ อีกใบให้เขาอยู่อีก”
“ใช่” ธามันยอมรับตามตรง “กูเป็นคนสร้างเอง เขาไม่ได้ขอ เพราะงั้นมึงห้ามพูดถึงเขาในแง่นั้น แล้วเขาเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
“คร้าบบบ เจ้านาย” ฐาติรับคำสั่งแต่หัวเราะร่วน
เด็กตาเศร้าคนนั้นมีอะไรดี ธามันถึงได้รักมานานและทุ่มให้สุดตัวขนาดนี้
...
ฉันท์เสร็จจากธุระที่สำนักงานการไฟฟ้าตั้งแต่ตอนสาย ก็มาหาลุงรองที่บ้าน ตามที่ลุงให้หลานชายคนหนึ่งไปบอกตั้งแต่เมื่อวันก่อน ว่าให้แวะมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญจะให้ไปจัดการ
พอฉันท์มาถึงลุงก็ถามเรื่องราวทั่วไป และการตามใช้หนี้ให้พ่อว่าไปถึงไหนแล้ว ฉันท์ก็บอกไปว่า ใช้หนี้รายสุดท้ายไปแล้ว
“คิดว่ารายนี้น่าจะเป็นรายสุดท้ายจริง ๆละครับ”
ลุงรองถอนหายใจ พลางพยักหน้า
พี่เอื้อยจอดรถกระบะคันเก่งหน้าบ้านลุงแล้วเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางแมนสุด ๆ เหมือนเคย พอทักทายน้องชายเสร็จ ก็หันไปพยักหน้ากับลุง ลุงลุกไปจุดธูปดอกเดียวปักไว้ที่กระถางต้นไม้นอกบ้าน จากนั้นก็เดินมาหยิบซองเอกสารส่งให้

ฉันท์ขับรถคันเล็กผ่านอพาร์ทเม้นท์เข้าไปที่บ้านท้ายซอย ถือซองเอกสารสีน้ำตาลลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนที่เคยเป็นที่เกิดเหตุ
“พ่อ โอกาซัง ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว พักผ่อนเถอะครับ ขอบคุณมากครับ”
...
เมื่อกลับมาถึงบ้านวันนี้ ต้อม-เพื่อนดวงตาเรียวยาว กำลังรับหน้าที่เลี้ยงจิโระ น้องชายของฉันท์อยู่ที่บ้านหลังเล็กในเขตอพาร์ทเม้นท์  เพราะป้าพาลุงไปโรงพยาบาล ส่วนกวางก็ไปโรงเรียน
"ขอบใจนะต้อม" ฉันท์พูดขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน "กินอะไรหรือยัง"
"กินแล้ว แถวนี้ของกินอุดมสมบูรณ์" แต่ต้อมก็รับห่อผัดซีอิ๊วไปเทใส่จาน "มึงกินหรือยัง กูเทให้มึงละกันนะ"
"ขอบใจมาก" ฉันท์ล้างมือ แล้วเดินไปดูจิโระที่นอนหลับอยู่ในกล่องกระดาษใบใหญ่
ป้าบอกว่า นี่เป็นวิธีการเลี้ยงเด็กอ่อนเหมือนตอนที่แม่เลี้ยงฉันท์ เพราะสามารถลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่เด็กนอนหลับได้ดีกว่าการให้นอนในเปลหรือเตียง
จิโระ 3 ขวบแล้ว จะว่าไปก็โตเกินกว่าที่จะนอนแบบนี้ แต่ป้ายืนยันว่าให้นอนแบบนี้ไปก่อน เพราะฉันท์ก็นอนแบบนี้จนกระทั่งเข้าโรงเรียน
"เลี้ยงโคตรง่ายเลยว่ะ บอกให้กินก็กิน ส่งของเล่นให้ก็เล่น พอง่วงก็เดินมาชี้ที่กล่อง จะขอนอน ภาษาโบราณเขาเรียกว่ารู้อยู่"
ฉันท์พยักหน้าเห็นด้วย "เขาคงรู้ว่า แม่ไม่อยู่เอาใจเขาแล้ว"
หนุ่มตัวเล็กหันมารับจานผัดซีอิ๊ว จากเพื่อน แล้วเดินไปนั่งกินอยู่ใกล้ ๆ
"เกรงใจมึงว่ะ ต้องให้มาเฝ้าน้องหลายหนแล้ว"
"เฮ้ย ไม่เป็นไร กูเริ่มงานที่บริษัทเดือนหน้า แต่ถ้ากูเริ่มทดลองงาน ใครจะดูน้อง เอาไปฝากเนิร์สเซอรี่ไหม ไม่งั้นก็ลองโทรหาแป้ง หรือเพื่อนคนอื่นแวะมาดูให้แป๊บเดียว"
"รอดูสถานการณ์ดีกว่า เพราะกูก็ไม่ได้ติดต่อราชการหรืออะไรทุกวัน"
"แล้วจบเรื่องหรือยัง" สีหน้าท่าทางของต้อมดูเหนื่อยแทน "มันอะไรนักหนาวะ"
"มันหลายเรื่องน่ะ เกือบทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่กูก็เพิ่งรู้ เพิ่งเคยไปติดต่อเป็นครั้งแรก เลยมั่วไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ดีที่มีคนที่เขารู้ บอกว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง ต้องจัดตารางทำไปทีละเรื่อง"
"เออ ว่าจะถามหลายหนแล้ว" ต้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ขณะที่ฉันท์กลัวว่าจะถูกถามว่าคนที่ให้คำแนะนำคือใคร แต่ต้อมกลับถามเรื่องตากับยายที่ญี่ปุ่น
“เขาชวนมึงกับน้องไปอยู่ญี่ปุ่นไหม โกรธพ่อมึงหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่ได้ชวน ส่วนเรื่องโกรธพ่อหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้พูดอะไร”
“แต่เขายอมรับว่ามึงเป็นหลานใช่ไหม”
“รับสิ”
“เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ”
ลูกสาวทั้งคนต้องมาจากไปในลักษณะนั้นย่อมต้องเสียใจมากอยู่แล้ว แต่โดยพื้นฐานนิสัยของครอบครัวที่ญี่ปุ่น ที่ถูกสอนมาว่าการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอย่างรุนแรงนั้นเป็นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ฉันท์จึงไม่ค่อยแปลกใจเห็นตากับยายนั่งนิ่งอยู่ในงานศพ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักพวกเขาก็คงมองว่าเป็นความเมินเฉยไม่สนใจ
ถ้าไม่สนใจพวกเขาคงไม่พากันทั้งครอบครัวอย่างนี้ และเพราะรู้ว่าฉันท์ไม่เหลือใคร เขาถึงได้มอบจิโระให้อยู่กับฉันท์
เป็นของขวัญจากแม่ ที่อยากให้ฉันท์รักษาไว้

‘โอกาซังมีความตั้งใจที่จะมอบของขวัญนี้ให้ชิรายูกิคุงมาตั้งแต่แรก ชิรายูกิคุงเองก็รู้ใช่ไหม’ โอะบะซังบอกไว้ ‘จะอย่างไรทั้งชิรายูกิคุงและจิโระคุงก็เป็นหลาน ถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทาง แต่โลกมันเปลี่ยนไป การเดินทางสั้นลง มาหาโอะบะซังได้ตลอด อย่าทำเหมือนกับโอกาซังของชิรายูกิคุงนะ’

"หลายเรื่องกูก็เพิ่งมารู้ทีหลัง เพราะป้าเพิ่งเล่าให้ฟัง ตั้งแต่แรก แม่กูก็ดื้อรั้นจะแต่งกับพ่อแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าพ่อมีปัญหาหลายอย่าง พอเขาหย่ากลับไป ก็พยายามที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว ตอนที่พาจิโระมารับกูไปอยู่ด้วย เขาก็บอกกับโอะบะซัง คุณน้าผู้หญิงไว้คนเดียวว่าจะมาเมืองไทย ตอนที่กูแจ้งข่าวคุณน้าผู้หญิงตกใจมาก ก็แบบคนญี่ปุ่นน่ะ" ฉันท์นึกถึงน้ำเสียงของน้าในวันนั้น "ไม่ได้เอะอะโวยวาย แต่เงียบไปเลย แล้วก็บอกว่า เขาจะทำอะไรบ้าง เราต้องทำอะไรบ้าง จนถึงวันเผาเขาก็มากัน แล้วนี่เขาก็ส่งเอกสาร ส่งข้าวของ ของจิโระมาให้ มีของเล่นใหม่ ๆ มาด้วย"
"แล้วของแม่มึงล่ะ"
"กูไม่ได้ขออะไร"
"อ้าว..."
"กูมีทุกอย่างที่เป็นของแม่อยู่แล้ว คุณตากับคุณยายก็คงอยากให้ลูกสาวของเขาอยู่กับเขาเหมือนกัน"
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ฉันท์รับนิสัยนี้ของแม่มาแบบเต็ม ๆ
ต้อมหันไปมองจิโระที่นอนหลับอยู่ในกล่องแล้วพยักหน้ารับรู้
"มึงเป็นพี่ที่ดีนะ กูดูมาตั้งแต่ตอนงานศพแล้ว เหมือนเขาจะรอให้มึงพูดว่าจะไม่เอาจิโระ แต่มึงก็อยู่กับน้องตลอด เขาก็เลยไม่ได้พูดอะไร"
"ที่จริงเขาพูดนะ" ฉันท์หันมายิ้มกับเพื่อน "น้าผู้หญิงน่ะ เขาบอกอ้อม ๆ ว่า ถ้าอยากกลับไปอยู่ญี่ปุ่น หรือถ้าอยากไปเรียนต่อก็ติดต่อเขาได้ แต่คุณตากับคุณยาย แล้วก็คุณน้าผู้ชาย เขาค่อนข้างใจแข็ง" ภาษาญี่ปุ่นน่าจะเรียกว่าควบคุมตนเอง รักษามารยาท แต่ภาษาไทยน่าจะเรียกว่าใจแข็งนี่แหละใกล้เคียงที่สุดแล้ว
“แต่เขาก็มากัน” ต้อมให้กำลังใจ “เขาอาจเห็นว่า ในเมื่อคุณน้าผู้หญิงเป็นคนติดต่อกับแม่ แล้วก็มึงมาตลอด ก็เลยยกให้คุยไปคนเดียวเลย”
“ก็คงเป็นอย่างนั้น”
"ในครอบครัวหนึ่งก็ต้องมีคนแบบนี้แหละ มันคือความสมดุล"
ฉันท์กินผัดซีอิ๊วคำสุดท้าย แล้วลุกไปล้างจาน "แล้วมึงล่ะ ยังไม่มีงานทำก็ออกมาอยู่คอนโดฯ คนเดียวเสียแล้ว"
ต้อมยักไหล่ "ยังไงก็ต้องออกมาอยู่แล้ว ถ้ามัวแต่คิดไม่ลงมือทำ เมื่อไหร่จะออกมาได้"
"แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะ มึงยังไม่มีงานทำนะ"
"กูมีป๋าเลี้ยง" ต้อมพูดแล้วยักคิ้ว ทำให้ฉันท์ต้องยิ้มขำแล้วส่ายหน้า
"มึงก็พูดเป็นเล่นไป กูเป็นห่วงมึงนะ ยิ่งเรื่องเงินเนี่ย ทั้งที่กูพอจะรู้ว่าเขากู้เงินมาทำอพาร์ทเม้นท์ แต่พอถึงวันที่เขาไม่อยู่ กูถึงเพิ่งรู้ตัว ว่าใช้ชีวิตมา 20 กว่าปีโดยที่ไม่รู้อะไร บางทีก็ยังคิดไปว่า ที่เขาหย่ากันเพราะเรื่องเงินด้วยหรือเปล่า"
"แล้วเรื่องเงินหรือเปล่าล่ะ"
ฉันท์ส่ายหน้า "กูไม่รู้"
ไม่เคยรู้อะไรเลย มีชีวิตอยู่ในโลกที่พ่อ แม่ ลุง กับป้าทำให้ทุกอย่าง ปกป้องไว้ทุกอย่าง
"ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำไป" ต้อมให้กำลังใจ "แล้ววันนี้มึงก็ไปทำเรื่องบ้านคนเดียวหรือ พี่เขาไม่ได้ไปกับมึงหรือไง"
"พี่เขาต้องทำงาน" ฉันท์ตอบแล้วกดโทรศัพท์ "มึงพูดแล้วกูเพิ่งนึกได้ว่า เขาบอกให้โทรหา ตั้งแต่ตอนที่ทำเรื่องเสร็จ"
เมื่อกดโทรออก มีเสียงเรียกสายเพียงครั้งเดียวอีกคนก็กดรับสาย
ต้อมลุกเดินไปดูจิโระ ระหว่างที่ฉันท์กำลังคุยโทรศัพท์ ได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ตอนที่ฉันท์เล่าเรื่องการติดต่อราชการวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ลุงกับป้ายังไม่กลับมาโรงพยาบาล ส่วนที่บ้านก็มีต้อมมาดูจิโระให้ 

ต้อมอยู่รอจนกระทั่งลุงกับป้ากลับมาจากโรงพยาบาล แล้วฉันท์พาลุงไปอาบน้ำ จากนั้นก็พาไปนอนพัก ถึงได้ขอตัวกลับ
"จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็โทรหากูได้ตลอดเวลานะ"
เมื่อเหลือกัน 2 คนป้าหลาน ฉันท์ถึงได้หันมาคุยกับป้า เปิดสมุดเล่มเล็กที่จดรายการสิ่งที่ต้องจัดการ และกำหนดนัดต่าง ๆ ตั้งแต่การบอกกับผู้ที่พักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ เรื่องที่ลุงต้องเปลี่ยนไปใช้ยาที่มีราคาแพงกว่าเดิม และอีกหลายเรื่องราว
มือผอมของฉันท์จับมือของป้าไว้
"ป้าเอง ก็ต้องตรวจสุขภาพเหมือนกันนะฮะ"
"อย่าเพิ่งเลย เกิดเจอว่าเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน เจ้าฉันท์ก็เหลือตัวคนเดียว"
"ไม่หรอกฮะ ถ้าตรวจเจอป้าก็จะได้รักษา แล้วพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันต่อไปอีกนานๆ ถ้าไม่ไปตรวจแล้วป้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นั่นต่างหากที่ฉันท์จะเหลือตัวคนเดียวจริงๆ"

…จบตอนที่ 4...
มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะ สลับกันแก้ไขอยู่นาน ยิ่งแก้ไข แต่ละตอนก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ
คิดเห็นอย่างไรบอกกันนะครับ
ขอบคุณมากครับ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 30-12-2018 19:58:13
อ่านจบ โกรธ ....

โกรธพ่อของฉันท์ ทำไมเห็นแก่ตัวเพียงนี้

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: huoan ที่ 30-12-2018 23:07:30
อยากรู้เงื่อนไขที่ฉันท์เสนอให้กับธามันแล้ว
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 31-12-2018 00:04:01
ทำไมคนพี่ถึงไม่มาปรากฏตัวว่าจะคอยอยู่ข้างๆ น้อง คอยเป็นกำลังใจ คอยเป็นที่พึ่ง
คนน้องเขาก็คงรออยู่เหมือนกัน มัวแต่กลบอยู่ในมุมมืด ระวังพี่ทีมเขาทำคะแนนนำไปไกลนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-12-2018 02:35:54
ต้องใช้สติและความใส่ใจอ่านพอสมควร
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-12-2018 03:03:35
หวังว่าจะได้กลับมาเจอกันเร็วๆนี้ TT
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 31-12-2018 03:11:37
สงสารฉันท์ มารู้ตัวว่าตัวเองต้องอยู่ลำบาก
ก็ตอนผ่านมาจนไม่เหลือใครแล้ว
แถมน้องไม่รู้อะไรเลย โดนข่มขู่ยังไงก็ได้
แบบยอมจ่ายหมด ให้หมดไปเลยน่ะ
ดีที่ธามันคิดจริงจัง ไม่งั้นฉันท์อาจหนักกว่านี้

แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ ทำให้ฉันท์รู้ว่าจะต้องทำอะไรมากขึ้น
ไม่อยู่กับตัวเอง หรือไม่อะไรก็ได้จนเกินไปแล้ว

ฉันท์มีเงื่อนไขอะไรนะ แล้วได้ซองอะไรมาจากลุงรอง

ธามันคือที่สุดแล้วค่ะตอนนี้ ฐาติคือกวนประสาทมาก
ต้อมมีใครเลี้ยงหรอ พามาแนะนำสิ 5555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-12-2018 08:07:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 31-12-2018 09:18:49
ตอนนี้ช่วยไขปมว่าทำไมฉันท์ถึงเป็นคนนิสัยแบบนี้ได้ดีมากเลยค่ะ ตลอดเวลาที่อ่านมาลืมนึกไปเลยว่าฉันท์เติบโตมากับแม่ที่เป็นคนญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจะเก็บอารมณ์ความรู้สึก ขี้เกรงใจไปทั้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยังไงก็จะรอวันที่พี่กับน้องได้กลับมาเจอกันพูดคุยกันใช้เวลาด้วยกันะคะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-12-2018 11:26:31
ปัญหาท่วมท้น ถล่มใส่ฉันท์
น้องก็แบกรับแบบสงบไป
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 31-12-2018 12:10:09
อ่านไปก็ซับน้ำตาไป...สงสารน้อง  :monkeysad:
ทำไมพี่ธามยังไม่ยอมออกมาปลอบน้องฟระ  :angry2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 31-12-2018 21:09:45
สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 02-01-2019 19:20:41
ขอให้มรสุมผ่านไปเร็วๆนะน้องฉันท์  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-01-2019 00:47:40
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องใหม่

รู้สึกว่าสำนวนการเขียนพัฒนาขึ้นตลอด ให้ความรู้สึกลื่นไหล เล่าเรื่องเห็นภาพ อ่านสนุกขึ้นทุกเรื่องที่ตามอ่านมา

ชื่นชมค่ะ 

เรื่องนี้สนุกมาก อ่านสี่ตอนรวด เอาใจช่วยน้องฉันท์กับพี่ธาม
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: @PurPle SuN@ ที่ 05-01-2019 22:10:27
มาช้าไปหน่อย แต่มาแล้วนะค้าบบบบบ

เดี๋ยวย้อนอ่านก่อน จะมาคุยด้วยอีกทีนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-01-2019 16:23:56

 :serius2:  :serius2:

เอาจริงนะตอนนี้ มันแบบใจต้องเกินคำว่าเข้มแข็ง
ความหม่นหมองที่ผ่านมาเหมือนเป็นเรื่องฝุ่นเล็กๆที่เหมือนแค่มาเกาะผิวแค่ล้างมันก็ออก
มันไม่โหดร้ายเท่ากับตอนนี้จริงๆ ต้องมารับรู้มาเจอพ่อกับแม่ตายในบ้านแบบนี้
มองไปถึงว่าแล้วจิโระคุงล่ะ เด็กคนนี้ต้องเคว้งขนาดไหน  :mew6:


แต่ฐาตินี่นะ ขอให้หลงรักน้องกวางสักทีเห้อออ จะหัวเราะให้ดังไปถึงพระจันทร์ นี่ไม่เข้าใจนิสัยของฐาติ เลยจริงๆ

นอกจากพี่และเพื่อนคนนี้ ก็ตามมาด้วยพ่อของน้องที่โกรธในตอนนี้ที่สุด

 :m16:  :m16:


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 09-01-2019 19:39:21
พี่ธามมาหาน้องเถอะ สงสารน้อง
ให้เพื่อนออกหน้า เมื่อไรจะได้เจอกัน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 10-01-2019 16:01:44
อ่านตอนแรกไม่ชอบธามเพราะความไม่จริงจังในท่าทางไม่จริงจังนั่นไม่น่าคบหาเลยซักนิด
แต่ก็มาสะดุดความคิดที่ฉันท์บอกว่าคนอื่นชอบตัดสินฉันท์ว่าหยิ่งทั้งๆที่เพิ่งได้คุยกันแค่นาทีเดียวก็ทำให้คิดใหม่(แต่ยังไม่คิดได้)
จนมาตอนนี้ที่ธามคอยช่วยเหลือน้องด้วยความหวังดีอย่างจริงใจ(นี่ล่ะคือความจริงจังที่มองหาตอนแรก)ก็ประทับใจในตัวธามมากขึ้นและยิ่งมากขึ้นไปอีกกับการที่ยังมั่นคงทั้งๆที่มีคนอย่างฐาติคอยเป่าหูไม่เว้นวัน อันนี้คือนับถือใจเลย
นายสอบผ่านบทพระเอกในใจเราแล้วธามัน555555555

ตอนนี้เป็นตอนที่เข้าใจในตัวน้องฉันท์เพิ่มขึ้นมากโข ก็ยังสงสัยว่าคนอะไรโดนเทไปตั้งเท่าไหร่ทำไมยังนิ่งได้ขนาดนั้น
ก็เลยคิดว่าเพราะไม่ชอบก็เลยไม่เสียใจ
แต่คนเราก็ต่างกันสินะมันอยู่ที่พื้นฐานการเลี้ยงดูจริงๆ
แค่ไม่แสดงออกว่าเสียใจใช่ว่าจะไม่เสียใจ อยากดึงน้องมากอดแน่นๆจัง

เรื่องพ่อฉลองในความคิดเรานะอาจจะเพราะพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวอ่ะแล้วแบบมันจะมีอีโก้เล็กๆของคนที่ทำหน้าที่นี้อ่ะว่าปัญหาทุกอย่างเราจัดการได้อยู่แล้วไม่ต้องบอกไม่ต้องปรึกษาใคร
แต่พอมาวันนึงก็ระเบิดตูม

อืมมมมมมมมมนี่เราอินมากจริงๆนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-01-2019 11:12:57

   แวะมาดูเด็กๆ ในวันเด็ก  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่4 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 12-01-2019 19:31:17
มารอ ❤️❤️
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-01-2019 20:09:03
ตอนที่5

“หนูไม่ชอบพี่ทีม” ไอ้เด็กแก่นพูดทั้งที่ขนมโตเกียวเต็มปาก
“กลืนก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้” ฐาติส่ายหน้า “มึงไม่ชอบเขาเรื่องอะไร”
เด็กแก่นกลืนขนม ยกแก้วน้ำแดงขึ้นมาดูดอึกใหญ่แล้วค่อยพูด “หนูว่าเขาขี้ประจบ คนขี้ประจบคบไม่ได้ แม่บอก”
“เขาประจบใคร”
“ลุงกับป้าไง แล้วก็กำลังประจบจิโระด้วย แต่จิโระเป็นเด็กดีรู้ทันก็เลยไม่ชอบพี่ทีม ดังนั้นการที่หนูที่เป็นเด็กดีเหมือนกันไม่ชอบพี่ทีมจึงถูกต้องแล้ว”
เป็นบทสนทนาที่จะมึนงงอะไรขนาดนี้ “มึงจะไม่ชอบเขา ไม่เห็นต้องไปอ้างเด็ก 3 ขวบ”
กวางยัดขนมโตเกียวไส้หวานทั้งชิ้นเข้าปาก เคี้ยว 2 คำก็กลืนลงคอ “เด็ก ๆอ้ะใสซื่อบริสุทธิ์ น้าไม่รู้หรือไง”
“แล้วจิโระชอบใคร”
“ก็โอนิซัง” กวางทำเสียงเล็กๆ พูดไม่ชัดทั้งญี่ปุ่นและไทยแบบจิโระ ทำให้ฐาติหัวเราะอารมณ์ดี
“แสดงว่าโอนิซังเป็นคนดีละสิ”
“ถูกต้อง ๆๆๆๆ” กวางรัวคำว่าต้องถี่ยิบ “เขาเป็นคนดีที่ถูกคนนั้นคนนี้คิดเอาเองมาตลอด”
“ยังไงของมึงอีกละเนี่ย วันนี้พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“เนี่ย” กวางบ่น “น้าก็เหมือนกัน น้าไม่ชอบพี่ฉันท์ ทั้งที่ก็เห็นมาตลอดว่าเขาไม่ได้ทำอะไร แต่น้าก็คิดเอาเองแล้วก็ไม่ชอบเขา”
“วะไอ้นี่” แต่ก็เออ จริงของมัน ฐาติไม่ชอบหนุ่มตาโศกคนนั้น ยุให้ธามันเลิกสนใจมานับครั้งไม่ถ้วน “แต่กูไม่ได้คิดเอาเอง กูไม่ชอบคนไม่มั่นคง คบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย”
“แล้วใครมั่นคง พี่ธามละสิ”
“ใช่” โห ไอ้เด็กนี่แม่งแสบ
“น้า” กวางทำหน้าตาประจบ “ขอตังค์ซื้อขนมอีก 20 บาทได้ไหม หนูยังไม่อิ่มเลย”
...
ต้อมแวะซื้ออาหารมื้อเย็นจากซุปเปอร์มาร์เก็ตหน้าคอนโดฯ ที่จะต้องอุ่นซ้ำอีกครั้งในตอนค่ำ
6 โมงเศษ เสียงกริ่งหน้าประตูห้องก็ดังขึ้น ตามมาด้วยคนที่กดกริ่งเปิดประตูห้องเข้ามาเอง
"กลับมาแล้วหรือครับ"
"อือ" คนที่มาถึงพยักหน้า ถอดรองเท้าให้ต้อมเข้าไปเก็บไว้ในตู้ เมื่อหันมาเห็นว่าต้อมมีรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า ก็ถามด้วยน้ำเสียงห้วน "ยิ้มอะไร"
ต้อมเคยชินกับน้ำเสียงนี้ "ดีใจที่พี่มา จะดื่มเบียร์เลยไหมครับ"
"ดี" มือใหญ่รูดไทค์ แล้วเอนตัวลงนั่งเหยียดขาที่โซฟาเบด กวาดตามองไปรอบหัองพักขนาด 1 ห้องนอน 60 ตารางเมตร ที่เขาเป็นคนจ่าย แต่คนที่พักอยู่ที่นี่คือต้อม
หนุ่มตาเรียวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน แล้วส่งเบียร์ให้ จากนั้นก็บีบนวดขา
"เหนื่อยไหมครับ เดี๋ยวผมเตรียมน้ำอุ่นให้นะครับ"
"เดี๋ยวก่อน"
"ครับ"
"ไปหาน้องฉันท์ทำไม"
คนที่กำลังยิ้มหวาน ชะงักมือเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็บีบนวดต่อ "ป้าพาลุงไปทำคีโม ฉันท์ไปทำธุระเรื่องบ้าน เด็กที่ช่วยเลี้ยงจิโระก็ไปเรียน"
"อาสาไปเอง หรือน้องฉันท์ขอให้ไป"
"ฉันท์ขอให้ไปช่วยสิครับ ผมรู้หรอกน่า ว่าพื้นที่ของผมอยู่ตรงไหน"
คนที่จิบเบียร์กระแทกเสียงในลำคอ "คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง ว่าเธอมีเจตนาอะไรซ่อนอยู่"
ต้อมก้มหน้าซ่อนความรู้สึก ขณะที่อีกคนพูดต่อไป
"ถ้าไม่ติดประชุม ฉันต้องไปกับเขาอยู่แล้ว งานบริษัทนี่ประชุมกันทั้งวันแทบกระดิกไปไหนไม่ได้เลย ไม่ได้เจอน้องฉันท์มาหลายวันแล้ว"
"ผมจะไปเตรียมน้ำอุ่นนะครับ"
"ทำไม ฟังไม่ได้หรือไง" น้ำเสียงแข็งกระด้างที่กระแทกใส่หน้า ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายอยู่กับฉันท์ ต่อให้ในเวลาที่พูดถึงน้ำเสียงก็ยังอ่อนโยน
"ฟังได้ครับ ผมทราบว่าพี่เป็นห่วงฉันท์ แต่พี่ดื่มเบียร์ใกล้หมดแล้ว ไปอาบน้ำแล้วมาทานอาหารดีกว่าครับ"
ชายหนุ่มพยักหน้าส่ง ๆ เชิงไล่ให้ไปเตรียมน้ำอุ่น แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
ในตอนที่ต้อมเปิดประตูห้องน้ำไปเตรียมน้ำอุ่น ยังได้ยินเสียงพูดคุย
"พี่เพิ่งถึงบ้าน พรุ่งนี้น้องฉันท์ต้องไปติดต่ออะไรอีกหรือเปล่า ไม่มีก็ดีแล้ว แต่ถ้าจะไปไหนบอกพี่ก็ดี เผื่อพี่ขับรถไปให้ไง งานบริษัทจะมีอะไร ตอกบัตรเข้างาน แล้วก็รอเวลาตอกบัตรเลิกงาน"
เสียงหัวเราะด้วยความสุขทำให้ต้อมเม้มริมฝีปากแน่น เผื่อความเจ็บที่หัวใจจะย้ายมาอยู่ที่ริมฝีปาก
เตรียมน้ำเสร็จ ก็ก้าวเดินออกมา คนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่หันมาชี้หน้า เชิงสั่งว่าห้ามพูดห้ามส่งเสียง ต้อมได้แต่พยักหน้า ถือผ้าขนหนูยืนรอจนกระทั่งวางสาย เขาถึงได้มาหยิบผ้าขนหนูไปจากมือ
ภาพที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ยังสว่างอยู่เป็นภาพคู่ของธนวัฒน์และฉันท์ทัต ...
....
ฉันท์กับป้าออกไปพูดคุยกับผู้เช่าที่อพาร์ทเม้นท์ด้วยตัวเอง เริ่มจากการเดินบอกร้านซักรีดของป้าละเมียดว่าขายอพาร์ทเม้นท์หลังนี้แล้ว
ป้าละเมียดงงและตกใจไปชั่วครู่ เพราะแม้จะรู้ว่าฉันท์ต้องหาเงินใช้หนี้ของพ่อ แต่ก็ไม่คิดว่าจะขายแหล่งรายได้ของตนเอง ส่วนหลานสาวป้าละเมียดหยุดมือที่กำลังทำงานรีบออกไปเรียกบรรดาแม่บ้านคนขับรถมาฟังพร้อมกัน
"ลูกค้าที่เขาส่งผ้าซัก ไม่ได้มีแค่ที่ตึกนี้ แต่ยังมีหอพักและอพาร์ทเม้นท์ใกล้เคียงอีก 2 หลังด้วย ต้องหาที่พักแถวนี้"
ในฐานะที่อยู่กันมานานฉันท์พอจะเดาใจป้าละเมียดออก "ผมจะไปคุยกับเขาดูนะฮะ ว่ามีห้องว่างไหม"
"แต่แหม ค่าห้องแพงกว่าที่นี่ทั้งนั้น"
ก็จริงอย่างที่ป้าละเมียดว่า เพราะอพาร์ทเม้นท์นี้เป็นตึกเก่า ค่าห้องจึงมีราคาถูก
"เธอก็พักที่นี่ไปก่อน" ป้าแจ่มจิตเจรจาแบบคนใจเย็น หันไปบอกกับคนอื่น ๆ ที่ขยับเข้ามาล้อมวงฟังด้วยกัน "ทุกคนเลยนะ หลังจากนี้เราจะไม่เก็บค่าเช่า แต่คิดค่าน้ำค่าไฟเหมือนเดิม พร้อมจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น"
"นี่แสดงว่าขายได้แพงละสิ" แม่บ้านคนหนึ่งถามขึ้น
ป้าแจ่มจิตถอนหายใจ ทำให้ป้าละเมียดเริ่มเดา "โดนกดราคามาใช่ไหม แล้วทำไมถึงขาย"
"หนี้สินไม่ใช่น้อย ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ฉลองเขาพูดกับพวกเจ้าหนี้ไว้แบบไหน พวกเธอก็คงเห็นแล้วว่าเมื่อตอนงานศพ มีคนหน้าตาน่ากลัวมาคุยกับเจ้าฉันท์ที่งาน อย่างเรานะเป็นหนี้ใครสักคนก็เครียดนอนไม่หลับแล้ว"
ป้าละเมียดและบรรดาแม่บ้านพยักหน้าถี่ยิบ ทั้งที่ในกลุ่มนี้ถ้าไม่เป็นหนี้ร้านค้า ก็เป็นหนี้นอกระบบ
“ญาติทางฝั่งพ่อเขาไม่ช่วยจริง ๆ หรือ”
“มันก็เกินกำลังเขาน่ะแหละ เราก็รู้กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร” บรรดาแม่บ้านต่างส่งเสียงเข้าใจกันตามประสาคนวงใน “คนที่มีอาชีพปล่อยกู้เขาให้ยืมเพราะเห็นนามสกุล แต่ถ้าพี่น้องมาช่วยใช้หนี้ให้ แล้วฉลองยังไม่หยุดเล่น ต่อให้มีอีก 10 ตลาดก็คงไม่เหลือ”
บรรดาผู้ฟังพยักหน้าเห็นด้วย
"หนี้ธนาคารฉันท์ก็ต้องไปคุยเรื่องประนอมหนี้ แต่พอพูดถึงหนี้นอกระบบ หนี้บ่อนมันก็เกินกว่าเราจะควบคุมได้"
"หนี้บ่อนเยอะมากไหม" แม่บ้านคนหนึ่งถามขึ้นบ้าง คือพอจะรู้มาบ้าง แต่ต้องการคำยืนยันไง
ป้าแจ่มจิตพยักหน้า “ก็เยอะอยู่เหมือนกัน”
"ลุงก็ป่วยอีก"
"มีค่าใช้จ่ายรออยู่ไม่น้อยเลย"
แต่ละคนพูดกันคนละประโยคสองประโยค ที่ออกไปในทางแสดงความเห็นใจ สาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่ได้พักฟรีไปจนกว่าจะย้ายออกนี่แหละ
"แล้วสรุปว่า เขาจะเริ่มมารื้อถอนที่นี่เมื่อไหร่"
"คนที่ซื้อเขาบอกมาว่า เขาจะแจ้งมาอีกครั้งครับ เพราะทางเขาเองก็ต้องไปเสนอแผนงาน แผนลงทุนอะไรของเขาเหมือนกัน"
"คือสรุปว่า จะรื้อแน่นอน แต่รื้อเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วเราจะเตรียมตัวอย่างไร"
ฉันท์รับรู้ความกังวลของทุกคน "อย่างนั้นผมจะบอกกับเขาว่า ถ้าจะมารื้อเมื่อไหร่ ก็ขอให้บอกล่วงหน้าสัก 1 เดือนนะฮะ แต่ภายใน 1 เดือนนี้ ผมจะเปิดขายเลหลังพวกข้าวของเครื่องใช้ในห้องที่ไม่มีคนอยู่ ตอนที่ยกลงมา ถ้าเห็นว่าอันไหนที่ใหม่กว่าอันที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็มาเปลี่ยนเอาไปใช้ได้นะฮะ เพราะเหลือจากขายเลหลัง เราก็จะยกให้มูลนิธิไป"
ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันของบรรดาแม่บ้าน หลานสาวป้าละเมียดก็พูดขึ้นมาว่า
"ฉันท์ทำบุญใหญ่ให้พ่อกับแม่เลยนะเนี่ย"
ฉันท์พยักหน้า "เขาตายแบบนั้น และทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ไว้ เขาก็คงเป็นทุกข์มาก ผมอยากทำให้เขารู้ว่า เขาไม่ได้ติดค้างอะไรคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทุกคนจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้"
บรรดาแม่บ้าน กล่าวชื่นชม สลับกับการแสดงความเป็นห่วงอยู่อีกครู่หนึ่งก็แยกย้ายกลับไป
แต่พอค่ำลงบรรดาสามีที่เป็นคนขับรถรับจ้างกลับมา บรรยากาศการพูดคุยก็เป็นไปอีกแบบ เพราะแต่ละคนเดินเข้ามาหาที่บ้านหลังเล็กของป้าแจ่มจิต แล้วล้อมวงนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน
"ที่ขายอพาร์ทเม้นท์ ก็เพราะเดือดร้อนไม่ใช่หรือไง แล้วมาลดแลกแจกแถมแบบนี้ มันดีแล้วหรือฉันท์" ลุงคนขับแท็กซี่เกรงใจ
"เข้าใจนะว่าทำบุญ แต่ทำบุญมันต้องไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน"
"หรือมีแผนพัฒนาบ้านหลังใน"
"หลังนั้นก็ขายด้วยเหมือนกันครับ" ฉันท์บอก
ลุงคนขับแท็กซี่คิดตาม "งั้นคงขายแปลงนั้นได้มาก"
“ถามจริงเถอะ พ่อเราเขาเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่กันแน่ ถึงได้ต้องขายทุกอย่าง”
ฉันท์ส่ายหน้า ลำพังการขายอพาร์ทเม้นท์นี้ก็สามารถใช้หนี้ได้ทั้งหมดแล้ว แต่ยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีก
 "บ้านเก่ากับที่ดินว่างเปล่าที่ไม่เคยพัฒนาอะไร คนซื้อต้องถมที่เยอะเหมือนกัน"
"ที่แปลงหลังบ้านมันมีปัญหามาตลอดตั้งแต่ปู่เพิ่มของเจ้าฉันท์ ที่เขาบอกว่าจะยกให้พ่อฉลอง” ที่เป็นลูกชายคนเล็ก “แต่สุดท้ายก็กลับแบ่งโอนให้ลุงเอก” เป็นลูกชายคนโต ซึ่งคุมกิจการทั้งหมดในปัจจุบัน “ทั้งที่แปลงบ้านพ่อฉลองเขาก็อยู่ตรงนั้น ทำให้พี่น้องทะเลาะกันมาเป็นปี ๆ เจ้าฉันท์ก็เลยอยากขายแปลงบ้านของเรา” ป้าบอกไปตามที่ฉันท์บอกกับป้าไว้เรื่องขายบ้าน
ซึ่งมันก็เป็นความจริง...แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
“เขาว่ากันว่า วิญญาณคนฆ่าตัวตายนี่ไม่ไปไหน จะวนเวียนฆ่าตัวตายอยู่ซ้ำ ๆ ไปอีกนานเท่านาน นี่ก็น่าจะยังอยู่ที่บ้านนะ” ลุงสามล้อท้วงขึ้น “ถ้าตกลงจะขายจริง ๆ ยังต้องมีเรื่องให้ทำอีกเยอะ ไม่อย่างนั้นขายไม่ได้ หรือขายได้ก็อยู่ไม่ได้”
หลังจากนั้นวงสนทนาก็เปลี่ยนไปที่กรณีตัวอย่างอีกหลายเรื่อง จนลุงแท็กซี่ต้องพากลับมาที่เรื่องที่คุยค้างไว้
“ขายบ้านแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนกัน”
“คุยกันว่าจะไปลงทุนเปิดห้องแถวค้าขาย แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้น่ะ ลุงไม่สบาย แล้วมีหลานเล็กมาอีกคน” ป้าปัดผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบมืออาชีพ “เราเกรงใจทุกคนมาก อยู่ด้วยกันมานาน และอยากขอโทษทุกคนด้วย"
"หนี้นอกระบบมันก็งี้แหละ ดอกเบี้ยโตวันโตคืน" ลุงสามล้อรู้ดี "นี่ถ้ามันรู้ว่าขายแล้ว ระวังมันจะบุกไปทวงถึงบ้านนะ"
"เออใช่" เมียคนขับสามล้อสนับสนุน
ไปๆ มาๆ การที่จะต้องพากันย้ายออกไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่น่ากังวลใจเท่ากับประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณและแก๊งค์ทวงหนี้
....
"อะไรนะ! มึงขายทั้งหมดนี่ไปในราคาประเมิน แม่งอย่างนี้มันไม่เรียกว่าการค้าขายแล้ว นี่มันเผาบ้านตัวเองชัดๆ" ต้อมเสียงดังใส่ฉันท์ จนกวางต้องเข้ามาอุ้มจิโระออกไปเล่นในห้องข้าง ๆ เพราะไม่อยากให้เด็กได้ยินเวลาคนทะเลาะกัน แต่ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยถ้าเกิดเรื่องราวมันลุกลามจะได้เข้ามาห้ามได้ทัน
ทุกครั้งที่เห็นพี่ต้อมมาหาพี่ฉันท์ เขาก็คุยกันดี จนอาจเรียกได้ว่า ‘มุ้งมิ้ง’ จนทำให้น้าเข้าใจผิดว่าคิดว่า พี่ต้อมเป็นแฟนพี่ฉันท์
นี่เป็นครั้งแรกที่โมโหขนาดนี้
แต่ถึงพี่ฉันท์จะขายถูกไปจริงๆ อย่างที่ว่า แต่เขาก็ต้องมีเหตุผลของเขาไม่ใช่หรือไง ‘กวางทีมพี่ฉันท์’ ได้ยินพี่ 2 คนคุยกันเรื่องการขายอพาร์ทเม้นท์ ขายบ้านมาตลอด แต่ไม่เห็นว่าพี่ต้อมจะท้วงว่าอะไร จนกระทั่งโอนให้คนอื่นเขาไปแล้วถึงมาโวยวาย พิลึกมนุษย์!
"ราคาประเมินน่ะ มันจะต่ำกว่าที่เขาซื้อขายกันจริงมากกว่า 1 ใน 4 ยิ่งเขาจะเอาไปพัฒนาแบบนี้ยิ่งได้ราคาดีมึงไม่รู้หรือไง" แต่ที่พี่ต้อมพูดมาก็ถูกนะ
"รู้" ฉันท์ลากเสียง "แต่กูต้องรีบรวบรวมเงินไปใช้หนี้นอกของพ่อก่อน พวกเจ้าหนี้ตามไปถึงงานศพ พอมีคนเขามาเจรจาขอซื้อกูก็ไม่อยากถ่วงเวลาออกไป มึงก็เห็นว่าที่นี่มีทั้งเด็ก คนแก่ คนป่วย ถ้าเจ้าหนี้มันมาถึงบ้านจะทำยังไง อีกอย่าง คนซื้อเขาก็ไม่ได้เร่งให้คนเช่าอพาร์ทเม้นท์ต้องย้ายออกในทันทีด้วย"
ต้อมยังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง "กูไม่ได้ห่วงผู้เช่าของมึง แต่มึงค้าขายขาดทุนมหาศาล แล้วมึงคุยกับพี่ทีมหรือยัง"
พอฉันท์ส่ายหน้า ต้อมก็สงบลงในทันที
หนุ่มตี๋นั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม แล้วยื่นหน้ามาถามซ้ำ "เขาไม่รู้อะไรเลยหรือ"
ฉันท์ส่ายหน้าอีกครั้ง "กูเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นานแถมเขายังเป็นคนมีเงิน ถ้าพูดเรื่องเงินกับเขา เดี๋ยวเขาจะคิดว่าอยากได้เงินของเขา"
ดวงตายาวเรียวมองไปทางกวางที่กำลังเล่นอยู่กับจิโระ แต่ก็คอยหันมามองฉันท์กับต้อมเป็นระยะ "ก็จริงของมึง" จากนั้นก็ถามต่อ "ตกลงคือ เขาซื้อแล้ว โอนแล้ว แต่เรายังอยู่ต่อไปได้ทั้ง 2 หลังเลยน่ะหรือ"
ฉันท์พยักหน้า
"ทำไมใจดีนักวะ"
กวางกลับคิดในใจ...ทำไมพี่ต้อมมีคำถามเยอะนักวะ นี่ขนาดไม่ใช่เรื่องของตัวเองยังขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองจะขนาดไหน
เงียบไปยังไม่ถึงนาทีต้อมก็เสนอความเห็นอีก "แล้วเรื่องการาจเซลนี่มึงจัดการไปถึงไหนแล้ว กูช่วยติดต่อมูลนิธิให้นะ แต่ของให้มูลนิธิน่าจะคัดที่ดี ๆ สักหน่อย ของที่สภาพมันแย่มาก เราแจ้งกทม.มารับไปได้"
ฉันท์เห็นด้วยกับต้อมทุกอย่าง จากนั้นประเด็นก็เปลี่ยนไปที่ เรื่องการย้ายไปอยู่ห้องแถว
“มึงจะค้าขายหรือ” ต้อมหันไปมองจิโระ และห้องนอนของลุง “เอาจริงดิ”
“คุยกันกับกวางว่า จะเอาเงินไปเซ้งห้องแถวเปิดร้านขายของกัน แต่ยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวเพราะต้องดูทำเลกันก่อน จะได้เป็นทั้งที่พักดูแลลุงกับป้าได้ แล้วก็เป็นอาชีพเราด้วย"
"ก็ดี" ต้อมเห็นด้วยกับเพื่อน "มึงน่ะมีอะไรในใจ ก็บอก ๆ ออกมาบ้าง กูจะได้ช่วยคิด"
คนตาเรียวช่วยเพื่อนจัดการทุกเรื่องอย่างจริงจังด้วยบรรยากาศ ‘มุ้งมิ้ง’ อีกครั้งจนทำให้กวางกลอกตามองบน
...
หลังจากที่เด็กแสบที่เรียกตัวเองว่า ‘กวางทีมพี่ฉันท์’ วางสายไปนานเกือบ 2 ชั่วโมง ฐาติก็รับโทรศัพท์จากฉันท์ที่โทรมาถามว่าถ้าจะเก็บของออกมาทำการาจเซลได้หรือไม่
ฐาติวางท่าว่าไม่รู้เรื่องอะไร ซักถามอีก 2-3 คำถามแล้วก็อนุญาตไป เพราะรู้ว่าธามันต้องอนุญาตอยู่แล้ว แต่ฐาติกลับไปสงสัยต้อมเพื่อนของฉันท์คนนั้นมากขึ้น จนต้องให้นักสืบประจำสำนักงานช่วยหาข้อมูลให้นิดหน่อย
รายงานที่มาวางอยู่บนโต๊ะทำงานในบ่ายวันถัดมาทำให้ฐาติต้องนัดธามันออกมาคุยกันที่ร้านอาหารช่วงค่ำ
"คุณพี่ธนวัฒน์ของพวกเราไม่ธรรมดา เขาไม่เคยธรรมดา และไม่มีวันที่จะธรรมดาไปได้" ฐาติเริ่มเรื่อง ขณะที่ส่งรายงานให้ธามัน
"เรารู้กันมาตลอดว่าเขาเลี้ยงเด็กนักเรียนหญิง ควงนักศึกษาหญิง มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย" หนุ่มตัวหนาสวมแว่น ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ "พอเบื่อก็แยกทางกันไป”
ธามันดูรูปนักศึกษาในแฟ้มรายงาน ขณะที่ฐาติเล่าเรื่องต่อ
..แน่นอนว่าต้องไม่มีเรื่องที่ฐาติเคยจัดให้ต้อมอยู่ในกลุ่มคนที่เป็นมากกว่าเพื่อนของฉันท์ทัต แล้วก็นำมาเป็นข้ออ้างให้ธามันเลิกกับน้องฉันท์
"ในกลุ่มเด็กเลี้ยงของเขา มีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชาย เป็นคนที่เขาเลี้ยงแบบหลบซ่อนไว้มานานหลายปี เป็นคนที่อยู่มานานที่สุด และเช่าคอนโดฯ ห้องใหญ่ให้อยู่ตอนที่หนุ่มคนนี้เรียนอยู่ปี 4 คนผู้นั้นคือนายเจนจบ หรือต้อม เพื่อนรักของนายฉันท์ทัต เด็กนายธามันนั่นเอง"
ธามันมีสีหน้าคิดหนัก
"ในข่าวร้ายเรื่องเพื่อนรักหักหลัง ยังมีข่าวดีก็คือ ดูเหมือนว่า ต้อมนี่แหละคือคนที่สกัดผู้หญิงของคุณพี่ทีมที่พยายามจะเข้ามาหาน้องของมึง" ฐาติขยับตัวเล่าเรื่องใหม่ตั้งแต่แรก "อย่างนี้นะ ตอนที่ยังทำงานอยู่มหาวิทยาลัยเขาเลี้ยงนักศึกษาหญิงอยู่ 2 คนก่อนที่จะคบกับฉันท์ คือก็เปลี่ยน ๆ ไป พอเลิกกับคนนี้ ก็รับคนนั้นไปเรื่อยแต่จำนวนจะอยู่เท่านี้” ชัดเจนว่าไม่จริงจัง “เลี้ยงแบบถูกต้องตามหลักของเสี่ยใหญ่ เช่าคอนโดฯให้อยู่ ให้รถไว้ใช้ด้วย แต่มาถึงตอนที่น้องมึงเขาอยู่ปี 4 คุณพี่ทีมเริ่มขอนัดเดทน้องมึง แต่ตอนนั้นเขามีหญิงอยู่คนหนึ่งอยู่มหา’ลัยเดียวกันกับน้องมึงชื่อโบว์  ส่วนอีกคนอยู่มหา’ลัยเอกชนชื่อจุ๊บแจง พอโบว์รู้ว่าน้องมึงไปเที่ยวกับคุณพี่ทีม เธอก็ประกาศตัว”
“ประกาศตัวหรือ” ธามันเครียดอย่างจริงจัง
“ก็บอกกับทุกคนว่าเธอคือแฟนตัวจริงของคุณพี่ทีม”
“แต่น้องไม่เคยตอบโต้”
“ไม่เคย” และทำให้ฐาติสงสัยมาตลอด ว่าเจ้าตัวเคยรู้เรื่องอะไรบ้างไหม เคยสนใจอะไรบ้างไหม จนเมื่อเวลาผ่านไปถึงได้เข้าใจว่า เพราะปัญหาของตัวเขาเองมีมากจนไม่สนใจเรื่องไม่จริงเหล่านั้น “ว่าที่จริงข้อความโซเชี่ยลเนี่ยมึงก็รู้อยู่แล้วว่ามันมั่วมากกว่าจริง”
หนุ่มคนตัวใหญ่ลูบหน้าตัวเองแรง ๆ แล้วพยักหน้าให้ญาติผู้พี่เล่าต่อ
“โบว์มาหาน้องมึงถึงคณะ แต่ไม่เจอเพราะถูกต้อมสกัดไว้ แล้วต้อมก็บอกคุณพี่ทีม ทำให้เขาสลัดนักศึกษาหญิงคนนั้นทันที"
"รู้ได้ไงว่า ต้อมตัดเส้นทาง แล้วก็เป็นคนบอกเรื่องกับคุณทีม"
“เพราะเพื่อนของโบว์เล่าให้นักสืบของกูฟังจนหมดเปลือกน่ะสิ” สีหน้าคนรายงานตอนนี้สนุกมาก “เธอเล่าให้นักสืบฟังเป็นฉาก ๆ ว่าต้อมพาน้องมึงหลบไปทางอื่นบ้าง เข้ามาสกัดตรง ๆ กับทีมดักตบก็มี ทีนี้พอโบว์โดนเขี่ยตกกระป๋อง แล้วรู้ว่าต้อมได้ย้ายเข้าไปอยูในห้องคอนโดฯ หลังเดิมของเธอ เรื่องมันก็เลยยิ่งตื่นเต้นเร้าใจ เพราะพวกนางยกแก๊งค์ไปจัดการต้อม”
...โหดของจริงนะเนี่ย
“เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ทีนี้ก็เลยรู้กันหมด” ฐาติสรุป
“แต่น้องก็ยังไม่รู้เรื่องเพื่อนกับคุณทีม”
“มึงคิดว่าคนที่ปิดกั้นตัวเองแบบนั้น จะรู้เรื่องชาวบ้านไหม ขนาดพ่อของเขาทำอะไร คนรู้กันทั้งตลาด แต่เขาก็ยังไม่รู้เลย”
ถึงได้บอกว่า คนนิสัยแบบนี้บางทีก็น่ารำคาญ แต่บางทีก็น่าสงสาร
“แล้วที่มึงบอกว่าต้อมอยู่กับพี่ทีมมานานที่สุด”
“ใช่ พี่ทีมเลี้ยงคนนี้มาตั้งแต่อยู่ปี 1 แต่ไม่ได้ให้ห้องไม่ได้ให้รถใช้อย่างที่เขาให้คนอื่น เวลาจะใช้บริการก็เรียกไปโรงแรม จนกระทั่งช่วยสกัดนักศึกษาหญิงคนนั้น เขาถึงกลายมาเป็นเบอร์ 1”
ในภาษาของคนวงในเรียกเด็กแบบต้อมว่า 'ของฟรี' ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงด้วยซ้ำ
"สร้างผลงานเพื่อเลื่อนขั้นหรือ"
“มีความมุ่งมั่นและอดทน จนกูสงสัยว่าไอ้คุณพี่ทีมมันมีอะไรดีวะ นอกจากสายเปย์”
“อาจดีตรงที่เป็นสายเปย์นี่แหละ” ธามันคิด “ทำไมต้อมถึงไม่ขวางพี่ทีม ไม่หวงเพื่อน ตอนที่เขาเข้ามาหาน้องตอนที่น้องอยู่ปี 4”
“อะ อ้าว เจ้านายครับ รู้จักหลักการ ซ้อใหญ่จัดหาไหมครับ”
ธามันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
ฐาติหัวเราะในลำคอ "ต้อมใช้หลักการนี้เพื่อประกาศตัวว่าเป็นเบอร์ 1 ควบคุมบ้านเล็กบ้านน้อยของคุณพี่ทีม ในเมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องให้อยู่ในการดูแล หลักการนี้คุ้นใช่ไหมครับ”
“อืม” คุ้นจริงอย่างที่ว่ามา “คุณทีมรู้จักต้อมมาตั้งแต่ปี 1 เขาก็น่าจะรู้จักน้องด้วยเหมือนกัน แต่ที่เพิ่งมาจีบตอนปี 4 แสดงว่าต้องมีสาเหตุ”
“เขาอาจรู้เรื่องครอบครัวใหญ่ หรือรู้เรื่องที่ดิน หรือไม่ก็เพระรู้ว่ามึงชอบคนนี้”
“ถ้าเขารู้ว่ากูชอบน้อง เขาต้องเอาไปบอกพ่อว่ากูเป็นเกย์ แล้วยุให้พ่อลงโทษ เอาไปบอกพวกกรรมการบริหารทำให้กูเสียเครดิต”
ข้อนี้ฐาติเห็นด้วย แต่...
“ตอนนั้นมึงเดินตามน้องอยู่แค่ 2 เดือนแล้วก็ห่างกันไป แต่ถ้าเป็นตอนที่น้องอยู่มหาวิทยาลัย แล้วมึง 2 คนยังคบกันอยู่นั่นค่อยน่าเอาไปฟ้อง”
...เขาต้องการอะไรจากฉันท์ทัตกันนะ
ฐาติพักเรื่องที่ยังไม่รู้คำตอบไว้ก่อน เปลี่ยนมาพูดเรื่องที่พอจะอ้างป็นผลงานได้
"ตั้งแต่วันที่คุณพี่ทีมตอบรับว่าจะเข้ามาทำบริษัท กูก็ให้เด็กเริ่มเก็บไฟล์ประวัติของเขาแล้ว"
ธามันเลิกคิ้วสูง ฐาติกลับหัวเราะเจ้าเล่ห์
"เผื่อไว้ใช้ฟ้องร้องไง คิดเล่น ๆ ว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด จะเอาไฟล์นี้ไปขายให้ฝ่ายตรงข้ามเขา"
คราวนี้ธามันถึงกับยิ้มได้ "มึงนี่มันแค้นฝังหุ่น"
"เขาทำพี่ณภัทรเจ็บสาหัสนะมึง พวกเราพี่น้องรวมถึงมึงด้วยต่างก็เคยถูกลงโทษเพราะเขามาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกูต้องเอาคืน" พอเห็นว่าธามันหัวเราะได้ฐาติก็เพิ่มความจริงจังในเรื่องที่เล่า "ข้อมูลที่เก็บไว้ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ก็คือเรื่องงาน ไม่ค่อยลงเรื่องส่วนตัว” เพราะมันอาจกระทบกับบรรดารุ่นพ่อที่มีพฤติกรรมเดียวกัน ก็เลยเน้นไปที่งานเป็นหลัก “แต่พอมีข้อสงสัยเกี่ยวกับต้อมแล้วเรื่องมันกลับมาลงล็อคกับพี่ทีม กูถึงมีเล่มเอามาให้มึงเร็วขนาดนี้"
เรื่องในรายงาน มีกระดาษแผ่นเดียว แต่มีรูปหลายใบ ส่วนใหญ่คือรูปที่ถ่ายเมื่อคืนนี้
"อีกอย่างที่ใจร้อนรีบเอามาให้มึง ก็เพราะว่า เด็กมึงเขาขออนุญาตทำการาจเซล ขายพวกเครื่องนอน ที่เหลือเขาจะเอาไปบริจาค"
"ก็ให้เขาทำไป" ธามันบอก
ฐาติทำหน้าตาเหมือนจะบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าฐาติจะตัดสินใจแบบนี้
ธามันถามต่อว่าจะขายวันไหน จากนั้นก็จดบันทึกตารางเวลาแล้วโทรหาฝ่ายกองงานก่อสร้างเพื่อนัดไปดูบ้านที่จะให้ซ่อม
ฐาติเอนหลังพิงพนัก กอดอก นั่งยิ้มมองธามันจัดการเรื่องราวต่าง ๆ จนเสร็จก็ถามขึ้นว่า
"ให้ไปด้วยไหม"
"ไม่มีมึงก็ไม่สนุก" ธามันยิ้มกว้าง หันไปยกมือสั่งเบียร์เพิ่ม

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-01-2019 20:10:17
(ต่อครับ)

ทั้งฐาติและธามันย่อมต้องคุ้นเคยกับหลักการของคนที่อยู่หลังบ้าน เพราะปู่ของพวกเขาก็มีภรรยาหลายคน กลุ่มรุ่นพ่อ 3 คนจึงเป็นพี่น้องต่างมารดา และถือค่านิยมมีภรรยาหลายคนเหมือนผู้เป็นบิดาซึ่งส่งผลกระทบมาถึงคนรุ่นที่ 3 แบบเต็ม ๆ
ปัญหาระหว่างธนวัฒน์กับธามัน เกิดขึ้นเพราะการที่นายธนาเลี้ยงดูผู้หญิงหลายคน แต่ก็มีเพียงใจแม่ของธนวัฒน์คนเดียวที่มีลูก ในตอนที่ธนวัฒน์เกิด เธอคิดว่าเธอจะได้เป็นเมียแต่ง แต่เขาก็จดทะเบียนรับรองบุตรเท่านั้น จนกระทั่งเธอมารู้ว่าเขาแต่งงาน จดทะเบียนกับเยาวเรศหญิงสาวที่มีทรัพย์สินมหาศาลติดตัวมาด้วย
ธนาตัดขาดกับผู้หญิงทุกคน แต่ยังส่งเสียเลี้ยงดูเธอกับธนวัฒน์เรื่อยมา
เยาวเรศมารู้เรื่องเหล่านี้ ก็หลังจากที่งานแต่งงานผ่านพ้นไปแล้ว จึงขอให้สามีรับธนวัฒน์มาอยู่ด้วยกัน โดยให้สัญญาว่าจะส่งเสียเลี้ยงดูให้เหมือนลูกของเธอเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อเด็ก 2 คนมีความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เยาวเรศมักจะบอกธามัน 'ยอมถอย' ให้กับพี่ชายอยู่เสมอ ทำให้ธามันเก็บกดความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนธนัชพ่อของฐาติเองก็มีเมีย 5 คนหลายคนและมีลูก 6 คน แต่พี่น้องฝายฐาติไม่ได้มีการแข่งขันที่รุนแรงเคร่งเครียดแบบอีกบ้าน แต่ลูกบ้านนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ใช้ชีวิตแบบคนในรุ่นปู่และรุ่นพ่อในทุกเรื่อง
บ้านนี้มีเพียงรัฐฐาพี่ชายแม่เดียวกันกับฐาติที่แต่งงาน นอกนั้นแล้วโสด มีทั้งที่โสดเพราะยังไม่ได้แต่งงาน และโสดสนิท
พี่รัฐฐายังเป็นคนที่เมื่อจบเนติบัณฑิตก็แยกตัวออกไปเปิดสำนักงานทนายความ โดยมีฐาติเป็นผู้ช่วย คดีความหลัก ๆ ของสำนักงานก็เป็นของ ‘บริษัทก้องเกียรติกิจการ’ นี่แหละไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่ถึงอย่างนั้น พี่น้องทั้ง 6 คนก็รักกันดี เพราะอยู่ภายใต้การดูแลของแม่ใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน ขณะที่พี่ณภัทร พี่สาวคนโตที่ยังเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ใหญ่ก็มีอายุห่างจากน้อง ๆ ทุกคนอยู่หลายปี
เธอยังเป็นคนที่เข้าไปขอพ่อและแม่ใหญ่ด้วยตัวเอง ว่าอยากให้รับน้อง ๆ มาอยู่บ้านเดียวกัน ส่วนณกมล กับ ฐาลัส ที่เป็นน้องสาวและน้องชายลำดับสุดท้าย เป็นคนละแม่ก็จริง แต่แม่ของณกมลมีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนแม่ฐาลัสเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่เขาอายุ 2 ขวบ
อีกคนคือฐาวรา เป็นลูกของแม่รอง แต่คนนี้เกิดปีเดียวกับพี่รัฐฐา เป็นคนเดียวของตระกูลนี้ ที่รับราชการ แม่รองก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน
ที่บ้านนี้จึงเหลือเพียงแม่ใหญ่กับแม่ของฐาติเท่านั้น และแม่ของฐาตินี่แหละที่เป็นผู้นำในเรื่องการเชื่อฟังแม่ใหญ่
พอแม่ 2 คนไม่ขัดแย้งกัน พี่น้องบ้านนี้ก็รักกันดีไปด้วย ทั้งยังเผื่อแผ่ความรักไปถึงธามันด้วยอีกคน
ส่วนเรื่องที่พี่น้องทุกคนมองว่าธนวัฒน์เป็นศัตรูร่วมนี่มันมีสาเหตุ
ในกลุ่มรุ่นลูกของตระกูลนี้ ต่างรู้ว่าธนวัฒน์ 'ไม่ธรรมดา' เหตุการณ์ร้ายแรงหลายครั้งมักจะมีเขาเป็นสาเหตุ แล้วเขาก็คือคนที่ลอยนวล รวมถึงเหตุร้ายแรงที่สุด
ตอนนั้นพี่ณภัทรกำลังเตรียมตัวจะไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ ส่วนธามันจบม.3 กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกัน ทั้ง 2 ครอบครัวจึงพากันไปเที่ยวที่บ้านพักชายทะเล
ดึกคืนนั้น เด็ก ๆ พากันออกไปเที่ยวกลางคืน ขาไปพี่ณภัทรเป็นคนขับ แต่ขากลับ ธนวัฒน์ที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยขออาสาเป็นคนขับรถ ระหว่างทางรถประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ ธนวัฒน์ที่เป็นคนขับบอกว่ามีรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้า แต่ฐาติและธามัน มั่นใจว่าไม่มีรถคันไหนตัดหน้าทั้งนั้น
แต่ลักษณะการชนที่เอาฝั่งด้านข้างคนขับอัดเข้าไปเต็ม ๆ ทำให้พี่ณภัทรบาดเจ็บหนัก และมีบาดแผลที่ใบหน้า
แม่ใหญ่ลงโทษทุกคนด้วยการหักเงินเดือนคนละครึ่งเดือน  เพราะรถคันนั้นเป็นรถของณภัทรแต่กลับให้ธนวัฒน์เป็นคนขับ ทั้งในเวลานั้นมีคนอยู่ในรถตั้งหลายคนแต่กลับไม่มีใครเตือนเรื่องขับรถเร็ว
พี่ณภัทรต้องทำกายภาพ และศัลยกรรม จากนั้นก็เรียนต่อที่เมืองไทย
ส่วนธามันออกเดินทางไปเรียนต่างประเทศตามกำหนดที่วางไว้
ธนวัฒน์ขอกลับไปอยู่กับแม่ที่แท้จริงของเขา โดยอ้างว่ารู้สึกเสียใจที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้น เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ปฏิเสธที่จะทำงานในบริษัทของครอบครัว ไม่รับความช่วยเหลือใด ๆ จนกระทั่งธามันใกล้จบการศึกษาและมีกำหนดกลับประเทศ ธนวัฒน์จึงกลับมาทำงานในบริษัท
ละครฉากนี้มีความยาวหลายตอน นักแสดงเหน็ดเหนื่อยเพราะใช้เวลาหลายปี แต่เรียกคะแนนสงสารจากผู้ใหญ่ได้อย่างท่วมท้น
มันอาจดูไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่ ที่คนในรุ่นที่ 3 รวม 11 คนร่วมมือกันจัดการธนวัฒน์ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูสิ่งที่ธนวัฒน์ทำลงไป ทุกคนเห็นว่า นี่มันยังน้อยเกินไป!
...
กวางจ้องมองคนเล่าเรื่องด้วยดวงตาใสแป๋ว "น้ามองโลกในแง่ร้าย"
ฐาติเงื้อมะเหงกค้างท่าทางหมั่นไส้อีกฝ่าย "น้อยหน่อยเหอะ กูไม่ได้ฟังเรื่องของเขาแล้วเอามาตัดสิน แต่ทุกอย่างคือเจอกับตัวเองมาทั้งนั้น"
กวางยังส่ายหน้า "ทำไมคนรวยถึงชอบทำอะไรให้มันซับซ้อน คนจนนะถ้ามีปัญหากันก็ชี้หน้าด่ากันไปเลย ไม่เคลียร์ให้จบมันก็ค้างคากันไปตลอดงี้แหละ"
ฐาติหัวเราะ "ที่จริง ไอ้เรื่องที่มันค้างคากันมาตั้งแต่เกิดอาจมาถึงตอนเคลียร์ให้จบแล้วก็ได้"
กวางตักไอศครีมคำใหญ่ใส่ปาก "พี่ธามจะจัดละสิ"
"เออ"
"งั้นน้ากับพี่ ๆน้อง ๆ ก็กำลังยืมดาบชื่อพี่ธามฆ่าคนชื่อพี่ทีม"
"วะ" ฐาติหัวเราะร่วน "ไอ้นี่มันฉลาดโว้ย แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าดาบที่ชื่อพี่ธามอะไรเนี่ยแม่งใช้งานคนอื่นคุ้มเกินราคา"
"น้า" กวางทำตาออดอ้อน "ขอไอ’ติมอีกถ้วยนะ"
...
บรรยากาศที่อพาร์ทเม้นท์มีสุขดูวุ่นวายกันมาตั้งแต่ช่วงเช้าเมื่อคนงานเข้ามาช่วยกันย้ายของจากห้องพักที่ไม่มีคนพักออกมาวางเรียงที่ลานจอดรถด้านหน้า
กวางหันมาถามฉันท์ “คนงานจากบริษัทที่เขาจะซื้ออพาร์ทเม้นท์น่ะหรือพี่”
“ใช่”
“ดีเหมือนกันเนอะ เสื้อยืดมีชื่อบริษัทมาด้วย”
“จะได้รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนไง แล้วเราก็กันขโมยได้ด้วย”
“จริงเหรอ” นักเรียนชี้ไปที่ไทยมุง และยังมีผู้เช่าอพาร์ทเม้นท์อีกหลายคนที่พากันมาเลือกดูของ
พี่ชายของกวางเข้ามาถามฉันท์
“อันนี้ขายหมดเลยหรือ”
“ครับ”
“เบาะนอนนี่ขาย 50 บาทจริง ๆ หรือ”
“ครับ”
“มันยังดีอยู่เลยนะ” พี่ชายกวางถามซ้ำจนน้องชายต้องบอก
“เห็นว่าถูกก็ซื้อไปเหอะ เพราะของที่เหลือจากขาย พี่เขาจะยกให้มูลนิธิ”
“จริงหรือ”
“จริงดิ นี่เป็นคนย้ำคิดย้ำทำตั้งกะเมื่อไหร่เนี่ย”
ฉันท์หัวเราะ “จริง ไปเลือกเลย” หันมาบอกนักเรียน “กวางเอากระดาษไปเขียนชื่อพี่แล้วเอาไปติดไว้ที่ของนะ แล้วพอช่างยกตู้เตียงลงมาหมดแล้ว พี่ต้อมเขาจะได้เปิดให้เข้ามาเลือกซื้อของ”
“ได้เลย”
กวางวิ่งนำพี่ชายไปหาต้อมที่กำลังเดินบอกไทยมุง ว่าของที่เอาลงมาขายในวันนี้เป็นของราคาต่ำกว่าทุนที่แพงสุดคือเตียงนอนกับตู้ที่มีราคาเพียง 100 บาทนอกนั้นจะมีราคาถูกลงไปอีก แต่ก็เตือนว่า อย่าเห็นแก่ของถูกเพราะถ้าซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้งานหรือต้องเอาไปกองทิ้งอยู่นอกบ้านอาจกลายเป็นสาเหตุที่ต้องทะเลาะกับข้างบ้านต่อไปอีก
จากนั้นก็บอกว่าของที่ขนย้ายลงมายังไม่หมด แต่จากที่เห็นในตอนนี้ถ้ามีชิ้นไหนที่ถูกใจก็บอกกันไว้ก่อนได้ จะเขียนชื่อไปติดจองให้
โต๊ะ ตู้ เตียง ผ้าม่าน ซิงค์ห้องน้ำ กลอนประตู หน้าต่าง สารพัดข้าวของที่ทยอยขนลงมา
ฉันท์เอาหน้ากากอนามัยลายแมวน้อยใส่ให้กับจิโระ “ฝุ่นเยอะ ใส่ไว้ก่อนนะ” ตามมาด้วยหมวกสีเหลืองสดใสที่คุณน้าจากญี่ปุ่นส่งมาให้
“ฮับ”
รถเข็นผลไม้เจ้าประจำผ่านมา แวะถามว่าจะเอาผลไม้อะไรไหม จิโระรีบบอก
“ซุยขะ”
“ซุยขะคืออะไรนะ” ฉันท์ถามขณะที่อุ้มน้องไปเลือกผลไม้
จิโระขมวดคิ้วจ้องมองแตงโมในตู้อยู่อึดใจแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ทำตาโตเมื่อนึกออก “แทง-โม”
“เก่งมาก” ฉันท์ชมน้องชาย “เราจะซื้ออะไรไว้ให้พี่ต้อม กับกวางดีนะ”
“ซุยขะ แทง-โม ซุยขะ แทง-โม” จิโระชู 3 นิ้ว
“ก็ได้ เอาแตงโม 3 ชิ้นครับ กับสับปะรด แล้วก็มะม่วง”
จิโระมองปากของพี่ชายแล้วพูดตาม “ซับ-ปะ-หลด หมะ-หมวง”
“ไปนัปปุหรุ สับปะรด มังโง มะม่วง”
มือเล็ก ๆ จับใบหน้าพี่ชาย “ซับ ซับ”
“สับ”
“สับ”
“ใช่แล้ว”
2 คนพี่น้องสอนภาษาไทยกันอยู่หน้ารถเข็นผลไม้ทุกวันระหว่างรอผลไม้ ช่วยเรียกลูกค้าได้ดี จนคนขายผลไม้อารมณ์ดีแถมมะพร้าวอ่อนให้อีกลูก
“โคะโคะนัทสึ”
“มะพร้าว”
“เออ ชื่อเรียกผลไม้จะคล้ายภาษาอังกฤษนะ” ลูกค้าอีกคนตั้งข้อสังเกต “จำง่ายดี”
จิโระชอบผลไม้มาก พอดื่มน้ำมะพร้าวเสร็จก็ชี้ให้พี่ชายแกะเนื้อมะพร้าว
“เข้าบ้านไปเอาช้อนขูดดีกว่า” ฉันท์บอก แต่ก่อนที่จะอุ้มน้องเข้าบ้าน ยังหันไปบอกกับพ่อค้าว่า ตอนบ่ายถ้าของไม่หมดก็แวะมาอีกที เพราะว่ารถมูลนิธิจะมาตอนบ่าย จะได้เหมาที่เหลือให้คนงานไป จากนั้นก็อุ้มน้องกลับเข้ามาในบ้าน
“กินผลไม้กันครับ” ฉันท์บอกลุงกับป้านั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
ป้าเห็นจิโระกอดมะพร้าวอ่อนกลับมา ก็ลุกเข้าไปในครัวหยิบช้อนสั้นมาให้
“กินง่าย อยู่ง่ายจริงลูก”
“อื้ม” จิโระพยักหน้ารับคำชม
“ไม่อื้มกับคุณป้าสิ ต้องพูดว่าไงนะ”
“ฮับ”
“เก่งมาก”   
ลุงวินัยมองฉันท์ที่ป้อนมะพร้าวอ่อนให้น้องชาย
ฉันท์ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จากคนที่ทำทุกอย่างตามที่ผู้ใหญ่บอก กลายมาเป็นคนที่เดินนำไปข้างหน้าในแบบของเขา ไม่ต้องหวือหวา แต่ขยับไปช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพราะคนที่เขาต้องดูแล มีทั้งเด็ก คนแก่ และคนป่วย
ฉันท์หันมามองลุง
“อย่าถอนหายใจสิฮะ กินมะม่วงดีกว่า”
แต่จิโระจิ้มสับปะรดส่งให้ลุง
“ไม่ใช่ ต้องมังโงะ มะม่วง”
จิโระหันไปรับมะม่วงจากพี่ชายแล้วส่งให้ลุง
“ขอบใจมาก”
“อื้ม ฮับ”
ป้าพูดขึ้นมา “ดีจริงที่เรามีจิโระ”
เมื่อป้อนมะพร้าวอ่อนให้น้องชายเสร็จ ฉันท์จะออกไปช่วยขายของ แต่จิโระก็ร้องตามไปด้วย
ต้อมหันมาเห็น 2 พี่น้องก็โวยวาย
“ออกมาทำไมเนี่ย กลับเข้าบ้านไปเลย ทั้งฝุ่นทั้งแดด”
“ใช่ ๆ” กวางสนับสนุน “เชื่อคุณแม่ต้อมเลยนะทั้งพี่ทั้งน้อง”
“ขอดูนิดเดียวเอง” พอฉันท์พูด จิโระก็พูดตามด้วยสำเนียงญี่ปุ่น
“ดูว นิด เดว เอง”
“อยู่กับพี่แล้วพูดเก่งจริง” ต้อมชม แล้วหันไปตอบคำถามช่างรับเหมา ที่มาขอเหมาพวกกลอนประตูหน้าต่าง และลูกบิดประตูไปทั้งหมด
ต้อมหันมาถามเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ แต่ฉันท์ก็พยักหน้าบอกให้เพื่อนจัดการไปเลย
“มึงไว้ใจกูมากเกินไปละ เกิดกูยกให้เขาเปล่า ๆ ทำไง”
ฉันท์หัวเราะ “ก็แล้วแต่มึงเลยไง ถือเสียว่าเป็นของมึงเองเลย”
หนุ่มลูกครึ่งพูดโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคนคิดมาก หันไปบอกผู้รับเหมา “มาดูของก่อนดีกว่าพี่ แล้วค่อยตกลงราคากัน”
ที่บอกว่าให้ถือเสียว่าเป็นของกูน่ะ จริงหรือเปล่า

...จบตอนที่5...
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 12-01-2019 20:23:19
มาแล้วว
เดี๋ยวไปอ่านก่อนค่อยมาเมนท์
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 13-01-2019 18:19:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 13-01-2019 18:58:03
กอดๆน้องฉันท์
ตอนนี้มีน้องให้ต้องดูแลแล้ว สู้ๆนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 13-01-2019 20:13:14
ชอบจริงๆเรื่องที่มีเด็กเนี่ยะ5555555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-01-2019 20:44:09
 :กอด1: โอ๋ๆนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-01-2019 21:32:56

 :mew5: คนที่อยู่ให้กำลังใจรอบตัวน้อง ไว้ใจไม่ได้น้องจากเด็กกวาง จริงๆ
 
ปัญหาก็รุมเร้าไม่เลิก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-01-2019 00:06:04
หูยยยย

มันร้ายยยยยยย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 14-01-2019 08:07:47
เหมือนประโยคสุดท้ายต้อมจะหมายถึงพี่ทีม ก็เอาไปเลยจ้า ปัดตัวน่ารำคาญออกไปจากตัวน้องฉันท์เร็ว ๆ พี่ธามจะได้มีที่ทางของตัวเองซะที
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-01-2019 13:15:23
สงสารฉันท์จริง ๆ อะไรจะรุมเร้าขนาดนั้น เป็นกำลังใจให้นะ

อ้อ มะเร็งระยะที่ 2 นี่รักษาหายได้นะลุงวินัยและทุกคนอย่าท้อ สู้ ๆ

 :mew2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-01-2019 14:35:35
ขนาดเพื่อนยังมีนอกมีใน
ฉันท์ดูคนดีๆนะลูก TT
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 15-01-2019 19:30:20
สนุกค่า  รออ่านตอนใหม่อยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-01-2019 09:45:12
พยายามจำชื่อพี่น้องฐาติอยู่ 555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 17-01-2019 06:47:14
ต้อมอาจจะไม่ได้หมายถึงกลอนประตูและถ้าใช่ต้อมก็เอาไปเลยเถอะค่ะ ไอ้พี่ธีมนั่นน่ะ

ขอแผนผังเครือญาติของธามด้วยค่ะ สับสน5555555555555555555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 17-01-2019 19:01:09
น้องฉันท์ต้องเข็มแข็งมากๆนะ หลายเรื่องหลายราวเหลือเกินนน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 18-01-2019 10:00:22

 แวะมารอเด็กๆจ้า   :L2:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-01-2019 21:59:17
ฉันท์มองโลกเยอะขึ้น และใส่ใจคนที่ควรได้รับ
ฉันท์ฉลาดนะ แต่ไม่ค่อยแสดงออก จนเหมือนไม่สนใจ

จิโระน่ารัก ทำพี่ฉันท์สดใสขึ้นเยอะเลย

กวางก็คือเด็กฉลาดและเซี้ยวมากค่ะ

ธามกับฐาติ วางแผนมาแน่นมาก หวังว่าจะล้มทีมได้นะ

ต้อมเป็นคนดี แต่จริงใจกับฉันท์จริงไหม
บางครั้งความรักก็ทำลายความเป็นเพื่อนได้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่5 (12/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-01-2019 22:18:36
 :katai5: มารอจ้ะ
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-01-2019 20:54:33
ตอนที่ 6

เมื่อรถของมูลนิธิมาถึงในตอนบ่าย ก็เหลือแต่เตียงนอนกับตู้เสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิตรวจรายการของบริจาคอีกรอบก่อน แล้วให้คนงานช่วยกันยกของบริจาคขึ้นรถ 6 ล้อ
ระหว่างนั้นรถเข็นขายผลไม้กลับมา ฉันท์จึงเหมาผลไม้ที่เหลือ และให้เงินกวางไปซื้อน้ำขวดเพื่อให้เจ้าหน้าที่และคนงานดื่มในระหว่างการเดินทางกลับ
เมื่อเห็นว่างานตรงนี้ใกล้เสร็จสิ้นต้อมก็เดินเข้ามาบอก “เย็นมากแล้ว กูพาลุงกับป้ากลับไปอาบน้ำกินข้าวที่บ้านก่อนนะ”
“ได้ ขอบใจมากนะต้อม”
“เออ ไม่เป็นไร มึงเป็นบอกให้กูจัดการเหมือนเป็นของกูเองไง”
ฉันท์กอดไหล่เพื่อน “ขอบใจมาก”
ต้อมตอบรับคำขอบใจด้วยการขยี้ผมยุ่งเพื่อนด้วยท่าทาง ‘มุ้งมิ้ง’ เหมือนเคย จากนั้นก็พาลุงกับป้าขึ้นรถกระบะคันเดิมของลุงแล้วขับออกไป
“อ้อ ใช่ ว่าจะถามอยู่ ว่าพี่ต้อมจอดรถไว้ตรงไหน ที่แท้ก็ไม่ได้เอารถมานี่เอง” กวางพูดเองตอบเอง
ฉันท์อุ้มจิโระขึ้นมา เพื่อไม่ให้ขวางทางคนทำงาน
“เวลามาที่นี่ เขาก็ไม่ค่อยได้เอารถมาอยู่แล้ว เพราะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างสะดวกกว่า”
กวางหันมาเสนอความเห็น “หนูให้เบอร์พี่ชายหนูกับพี่ต้อมดีไหม เผื่อได้ลูกค้าประจำแบบอูเบอร์ไง”
“อูเบอร์มันผิดกฎหมาย” ฉันท์บอกแล้วพยักหน้าไปทางคนงานของมูลนิธิที่กำลังช่วยกันยกของขึ้นรถ “ทำงานไวมาก”
“งั้นเรียกว่าลูกค้าประจำก็ได้ ที่วินเขาก็มีแบบนี้หลายคนนะพี่ ไปรับถึงหน้าบ้านเลย” กวางเล่าเรื่องของพี่ชายไปเรื่อยแล้วพอหันมาเห็นว่าจิโระมีเหงื่อก็ถามต่อ “ร้อนไหม”
จิโระส่ายหน้า “ไม่ รอน”  นอกจากจะเป็นคำศัพท์ง่ายๆ นี่ยังเป็นคำถามที่จะถูกถามวันละอย่างน้อย 1 ครั้งมาตลอด 3 เดือน เด็กน้อยฟังรู้เรื่อง พูดเข้าใจอยู่แล้ว
“จะกลับบ้านก่อนไหมล่ะ” กวางเซ้าซี้ จะชวนกลับบ้าน จิโระเลยหันไปกอดคอพี่ชายไว้พลางส่ายหน้า
ก่อนที่คนงานจะยกตู้เสื้อผ้าใบสุดท้าย รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีขาวคันใหญ่เข้ามาจอด เมื่อเห็นคนที่ลงมาจากรถ ฉันท์ก็ต้องทำตาโตด้วยความประหลาดใจ และดีใจ
"ใค" จิโระอายุ 3 ขวบถามขึ้น
"เจ้าของคนใหม่ของที่นี่ไง" ฉันท์บอกกับน้อง “โอนเนอร์ซัง”
รูปร่างสูงใหญ่จนผิดตา เป็นผู้ใหญ่และเป็นคนทำงานอย่างแท้จริง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายนอก จะมีผลให้ภายในใจเปลี่ยนแปลงไปด้วยไหม...

"สวัสดีครับ" ฉันท์ไหว้อีกฝ่ายก่อนทั้งไม่กล้ามองสบตา กลับมองผ่านไปที่คนที่อยู่ด้านหลัง ฐาติกับชายอีกคนท่าทางเหมือนนายช่าง "นี่จิโระครับ" จิโระยกมือไหว้ตามฉันท์
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้ายกมือรับไหว้ แล้วจับศีรษะเล็กๆ ของจิโระ "ฉันมีเรื่องที่อยากคุย...ลุงกับป้าอยู่ไหม"
"ลุงกับป้ากลับไปพักที่บ้านหลังในแล้วครับ" ฉันท์บอก ยังคงหลีกเลี่ยงการสบตาด้วยการหันไปหาแนะนำอีกคน "กวางพี่เลี้ยงของจิโระ"
ธามันรับไหว้
"แล้วหลังนี้ไม่มีคนอยู่แล้วหรือ"
“ไม่มีคนอยู่แล้วครับ ลุงไม่สบายมากเราเลยย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังท้ายซอย" ฉันท์เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
"อย่างนั้นกลับไปคุยกันต่อที่บ้านดีกว่า"
ธามันพูดจบแล้วเดินไปทันที
“เดี๋ยวครับ”
ธามันหยุดแต่ไม่ได้หันมามอง
“ผมต้องดูคนงานของมูลนิธิย้ายของ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า แต่กลับเดินไปที่รถแล้วขับออกไป ฉันท์ยังเป็นห่วงการทำงานทางนี้รีบโทรไปบอกต้อมว่าเจ้าของบ้านคนใหม่กำลังไปที่บ้านให้ช่วยดูแลให้สักครู่หนึ่ง
เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิที่ยืนอยู่ด้วยกันได้ยินการสนทนา จึงเอารายการสิ่งของต่าง ๆ มาให้ฉันท์เซ็นชื่อรับรองก่อน ส่วนป้าละเมียดร้านซักรีดที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก็อาสาว่าจะดูแลต่อ
ที่ผ่านมาป้าละเมียดก็เป็นคนที่คอยช่วยดูแลทุกคนอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ป้ายิ่งดีกว่าเดิมเพราะฉันท์ช่วยหาห้องเช่าห้องใหม่ให้ เป็นห้องชั้นล่างของอพาร์ทเม้นท์อีกหลังที่มีค่าเช่าแพงกว่า แต่ฉันท์ขอช่วยจ่ายส่วนเกินให้ ป้าละเมียดกับหลานสาวก็เลยถือเป็นข้อตกลงร่วมที่จะมาช่วยจัดการเรื่องซักรีด และช่วยดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้ในระหว่างนี้

ตัวบ้านที่ฉันท์พักอยู่ไม่ได้กว้างขวาง ห้องนอนที่พ่อกับแม่เคยอยู่ตอนนี้เป็นห้องว่าง ไม่มีเครื่องเรือนสักชิ้น ตามคำแนะนำที่ว่ามีคนฆ่าตัวตายในห้องนี้ คนที่ฆ่าตัวตายจะยังอยู่ที่นี่ จึงควรนำของใช้ของเขาทั้งหมดไปเผาไม่ควรเอาไปบริจาค และจุดธูปบอกให้ไปสู่สุคติ
    ฉันท์ จิโระ และกวางนอนห้องเดียวกันที่ห้องเดิมของฉันท์ ส่วนลุงกับป้าใช้ห้องนอนเล็กที่ชั้นล่าง
ที่ไม่มีใครไปนอนห้องใหญ่ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะฉันท์นอนห้องเดิม จิโระขอนอนห้องเดียวกับฉันท์ กวางก็เลยนอนห้องเดียวกันไปโดยปริยาย
ส่วนลุงกับป้าไม่อยากขึ้นบันได อีกอย่างก็คือความรู้สึกที่ว่า ตนเองไม่ใช่เจ้าของบ้านจะให้ไปนอนห้องใหญ่กว่าเจ้าของบ้านได้อย่างไร
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ป้าก็ให้ลุงไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองมาเตรียมน้ำผัก พอลุงอาบน้ำเสร็จก็ออกมาดื่มได้พอดี ส่วนป้าเปลี่ยนไปอาบน้ำ
ต้อมหุงข้าว และเตรียมกับข้าวรอไว้ ระหว่างนั้นฉันท์โทรศัพท์เข้ามาบอก ว่าเจ้าของบ้านคนใหม่กำลังไปที่บ้าน ลุงกับป้าก็เลยพากันออกมานั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน
เมื่อรถคันใหญ่จอดที่หน้าบ้าน ชายหนุ่มตัวใหญ่ 3 คนลงมาจากรถและถือข้าวของมากมายลงมาด้วย
กระเช้าผลไม้ ถุงขนม และช่อดอกไม้
ธามันยังเหมือนเดิม เมื่อเข้ามาในเขตบ้านก็ยกมือไหว้ลุงกับป้าทันที
“คุณลุงคุณป้าสบายดีไหมครับ”
“ก็เรื่อย ๆ น่ะแหละจ้ะ” ป้ารับไหว้
“ของฝากครับ”
ลุงกับป้ารับของมา แต่ก็ยังวางไว้ที่แคร่ไม้หน้าบ้านนั่นเอง ส่วนธามันหันไปแนะนำอีก 2 คนที่มาด้วยกัน คือฐาติ และนายช่าง จากนั้นก็ขอโทษที่ไม่ได้มางานศพพ่อกับแม่ของฉันท์ก่อนหน้านี้
ผู้ใหญ่ทั้ง 2 คนพยักหน้า “เจอกับเจ้าฉันท์แล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“ไม่ต้องคิดมาก ถึงตัวไม่อยู่ แต่ก็ส่งคนมาคอยดูแลอยู่ตลอดแล้วนี่” ลุงชี้ไปที่ฐาติที่หัวเราะเก้อๆ “ขอบคุณที่ช่วยดูแลกันอยู่ห่าง ๆ มาตลอด”
ป้าหันไปมองหน้าสามีที่ท่าทางจะรู้อะไรหลายอย่าง แต่บางเรื่องควรเก็บไว้ซักถามกันส่วนตัว
“กับฐาตินี่คุ้นเคยกันดี” ป้าบอก “มาดูห้องให้ธามันอยู่นานหลายปี”
“ทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว” ลุงชม
ป้าช่วยเสริม “ธามเองก็เหมือนกัน ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนไปจากวัยรุ่น กลายเป็นผู้ใหญ่ แต่ทางนี้ยังดูเหมือนเด็กมัธยมอยู่เหมือนเดิม"
   จากนั้นลุงก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องของธามันเมื่อหลายปีก่อน และแม้ว่าป้าจะชวนเข้าไปคุยกันต่อในบ้าน แต่ธามันยังไม่ยอมขยับไปไหนรอจนกระทั่งรถคันเล็กของฉันท์เข้ามาจอดต่อท้ายรถของธามัน ชายหนุ่มถึงได้ถอดรองเท้าและเดินเข้าบ้าน ส่วนอีก 2 คนช่วยกันถือของเดินตามมา
พอฉันท์จอดรถ กวางก็รีบวิ่งลงมาจากรถก่อน ทั่งวิ่งผ่านทุกคนตรงเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมน้ำดื่มให้แขก แต่จากหน้าต่างห้องครัวยังมองเห็นต้อมที่เดินเลี่ยงมากดโทรศัพท์ ในใจก็อยากรู้ว่าเขาโทรหาใคร แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสได้ฟังผู้ใหญ่คุยกัน ก็เลยรีบยกน้ำดื่มออกมาให้แขกก่อน
จากนั้นก็นั่งพิงกรอบประตูครัวฟังเขาคุยกัน
รีบมาก รีบสุด ๆ เพื่อที่จะมาฟังเจ้าของบ้านคนใหม่คุยกับลุงกับป้า
มื้อนี้ต้อมเตรียมอาหารไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างวางอยู่บนโต๊ะ แต่พอทั้งหมดเดินตามกันเข้ามาในบ้าน ฉันท์ก็เดินต่อเข้ามาในครัวแล้วเตรียมทำหมูทอดเพิ่มอีกอย่าง จากนั้นก็ใช้กวางไปซื้อข้าวกล้องหุงสำเร็จมาเพิ่ม
กวางทำท่าไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไหร่ เพราะอยากฟังเขาคุยกัน
“เพราะเป็นพี่ฉันท์นะเนี่ย ถึงได้ไป” กวางบ่นกะปอดกะแปด แล้วรีบวิ่งออกทางประตูครัววนกลับไปทางหน้าบ้านขี่จักรยานไปตลาดอย่างรวดเร็ว
บทสนทนาจนถึงตอนนี้ก็ยังดูไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไหร่ เพราะธามันยังคงสอบถามเรื่องอาการป่วยของลุง การรักษาพยาบาล และสุขภาพของป้า จนกระทั่งกวางกลับมาจากตลาดเรื่องราวถึงได้มาถึงตอนที่เกี่ยวกับการซื้อขายอพาร์ทเม้่นท์และบ้าน รวมถึงการขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกันไปก่อน
“เดิมผมตั้งใจจะซื้ออพาร์ทเม้นท์มาทำโครงการคอนโดฯ แต่ก็อย่างที่ทราบว่า ผมชอบอิสระไม่อยากอยู่บ้าน” ตอนนั้นถึงได้ออกจากบ้านมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ “พอรู้ว่าที่นี่มีปัญหาหลายเรื่อง ผมก็เลยอยากได้บ้านนี้ด้วย แต่ถ้าอยู่คนเดียว ก็คงไม่เรียกว่าบ้าน” ธามันกำลังขอร้องลุงกับป้า “ตอนนั้นลุงกับป้ารู้ว่าผมมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้ไล่ผมไป ซึ่งถ้าทำอย่างนั้น ผมก็คงไม่ได้เป็นธามันอย่างวันนี้ แล้วในวันนี้ที่ผมพอจะมีกำลังที่ดูแลลุงกับป้าได้ ก็ขอให้ผมได้ตอบแทนความเมตตานั้นบ้าง กรุณาอย่าย้ายออกเลยนะครับ"
กวางที่แอบฟังเขาคุยกันจากมุมเสาได้ฟังประโยคนี้ยังต้องเคลิ้ม แล้วป้าแจ่มจิตจะเหลือรึ
“ปัญหาในตอนนั้นมันยังอยู่หรือไง” ลุงถามขึ้น
“ครับ”
ลุงกับป้ารู้ว่าธามันเป็นคนรวย แต่ครอบครัวของเขาก็คงมีปัญหาอยู่มากพอตัว ถึงได้คิดแต่จะออกจากบ้านอยู่ตลอดเวลา
ที่จริงลุงกับป้าก็ไม่ได้อยากย้ายไปไหนตามประสาคนที่ดูแลที่นี่มาตลอด เมื่อธามันขอให้อยู่ต่อ ทั้ง 2 คนรวมถึงกวางจึงหันมามองฉันท์ที่กำลังวางจานหมูทอดบนโต๊ะกินข้าว
ธามันก็หันมามองฉันท์เหมือนกัน
สีหน้าของฉันท์ตอนที่พยักหน้ายอมรับว่าจะไม่ย้ายออกไป ดูไม่ค่อยแน่ใจอย่างชัดเจน จากนั้นธามันจึงขออนุญาตให้นายช่างสำรวจบ้านเพื่อวางแผนซ่อมแซม
ต้อมหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง
“แต่ตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เปลี่ยนมาคุยกันต่อที่โต๊ะอาหารได้ไหมครับ ปล่อยให้ฉันท์พานายช่างดูบ้าน”
ฉันท์เดินไปหานายช่างบอกว่าจะพาไปดูบ้าน ทำให้จิโระวิ่งตามพี่ชายมาด้วย
“เดี๋ยวสิ จิโระต้องกินข้าวแล้วนะ” กวางบอก
“ไม่” จิโระจับชายเสื้อของพี่ชายไว้แน่น ร้องขอให้พาไปด้วย
“ไม่ได้ไปข้างนอก เดินวน ๆ อยู่ในบ้านนี่แหละ” ฉันท์ยกน้องขึ้นมาอุ้ม จิโระก็เลยกอดคอพี่ชายไว้แน่น
“โอนี”
“ก็ได้ ไปด้วยกันนะ” ฉันท์พาน้องไปเดินดูบ้านด้วยกัน
กวางรีบเอาถ้วยข้าวของจิโระมาเก็บในตู้แล้วเดินตามฉันท์ไปด้วยอีกคน
“ร้องตามไปซะทุกที่เหอะ” เด็กนักเรียนทำบ่น “ยาแปะยี่ห้อจิโระใช้ดีใช้ทน”
จิโระชะโงกหน้ามามองกวาง “ยา แปะ”
“ยาแปะยี่ห้อจิโระ”
“จิโระ ไม่ไจ้ ยาแปะ”
“จิโระน่ะแหละยาแปะ”
“ไม่”
“จิโระ”
มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากโต๊ะอาหาร กวางที่กำลังทะเลาะกับเด็ก 3 ขวบเงียบทันที
ฉันท์หันมามองคนที่โต๊ะอาหาร
ฐาติหันไปบอกลุงกับป้า “ขอโทษครับพอดีผมเจ็บคอน่ะครับ”
บทสนทนาที่โต๊ะก็ไม่มีอะไรมาก เพราะลุงกับป้าค่อนข้างเกรงใจเจ้าของบ้านคนใหม่ ก็ถามไถ่ว่าชอบกินอะไร อยากให้เตรียมอะไรให้เป็นพิเศษหรือไม่ จะได้เตรียมไว้
แต่ดูไปแล้ว เจ้าของบ้านคนใหม่น่าจะชอบหมูทอด เพราะเห็นกินอยู่อย่างเดียว
เกือบครึ่งชั่วโมง การสำรวจบ้านจึงเสร็จสิ้น ทั้ง 4 คนกินอาหารเสร็จแล้วก็ย้ายที่มานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกด้านหน้า กวางก็เลยเก็บโต๊ะอาหารและทำความสะอาด
นายช่างกลับมาสรุปให้ธามันฟังว่าจะต้องซ่อมอะไรบ้าง และขออนุญาตให้คนงานก่อสร้างพักที่บ้านหลังเดิมของลุงกับป้าที่ข้างอพาร์ทเม้นท์
"ดีแล้ว" ป้าแจ่มจิตบอก "บอกให้เขาพักกันตามสบายเลยนะ ว่าแต่บ้านมันไม่หลังเล็กเกินไปหรือ"
“อยู่ได้ครับเพราะช่วงแรกยังเป็นช่วงรื้อถอน แล้วก็จะปรับที่ มีคนงานไม่มาก” 
ลุงถามธามันด้วยความกังวล "ถามจริงๆ ธามกล้านอนห้องใหญ่ของพ่อกับแม่เขาหรือ เขาฆ่าตัวตายที่ห้องนั้นนะ" ถึงจะทำบุญ ทำทุกอย่างที่พระและทุกคนแนะนำมาแล้วก็เถอะ
ธามันส่ายหน้า "ผมไม่ได้คิดร้ายอะไรนี่ครับ"
...ผมกลับมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าผมมีความจริงใจต่อชิรายูกิ ได้โปรดให้โอกาสผมด้วยนะครับ...
"มันก็จริง" ลุงบอก "เราเองก็ทำบุญ ใส่บาตรอยู่ตลอด" ลุงพูดแล้วถอนหายใจยาว
ป้าหันไปจับมือฉันท์ไว้ แต่พูดกับธามัน "อยู่ด้วยกันหลายคนมันก็อุ่นใจดี แต่ที่บ้านของธามเขาไม่ว่าอะไรหรือ ซื้อบ้านเราไปแล้ว แต่ยังให้เราอยู่ด้วย"
"ผมขอให้อยู่ด้วยกันต่างหาก ถ้าผมมาซื้อบ้านแล้วทำให้ลุงกับป้าต้องไปอยู่ลำบาก พ่อกับแม่ของฉันท์คงไม่ให้ผมนอนสบายอยู่ในบ้านนี้แน่ ๆ"
กวางหลุดหัวเราะร่วน เมื่อเห็นตลกหน้าตายของธามัน พาให้ทุกคนหัวเราะตามไปด้วย
เว้นแต่ฐาติที่หางตากระตุก
...มันใช่เวลาไหม ขำให้ตายไปเลย ไอ้เด็กแก่น!
ธามันยังมีเรื่องที่ต้องขออนุญาตอีกหลายเรื่อง “ต้องขออนุญาตกั้นรั้วรอบบ้านกับแปลงสวนนะครับ ผมจะให้พวกแผนกทำสวนเขาเอาคนงานมาตัดแต่งกิ่ง แล้วก็ปรับพื้นที่ แต่จะให้มาวันเสาร์-อาทิตย์หลังจากที่ซ่อมบ้านเสร็จแล้ว จะได้ไม่รบกวน”
“แล้วเขานอนที่ไหนกัน” ป้าถามด้วยความเป็นห่วง เพราะบ้านเล็ก ๆ หลังนั้นไม่น่าจะพอให้คนงานพักอาศัยได้มากกว่า 5 คน
“ฝ่ายทำสวนเขาเช้าไปเย็นกลับครับเพราะบางคนเขามีงานประจำอยู่ ส่วนบ้านตรงอพาร์ทเม้นท์จะเป็นพวกคนงานก่อสร้างครับ”
“เมื่อก่อนพ่อของฉันท์เขาก็เคยว่าจ้างคนงานมาทำสวน แต่พอเลิกกับแม่เขา ก็เลิกจ้างไป” ป้าบอก
และก่อนที่ป้าจะเริ่มการเล่าเรื่องในอดีต กวางก็ขัดขึ้น
“ป้าจ๋า เย็นมากแล้วนะจ๊ะ”
ป้าหันมาค้อนเด็กรู้ทัน ส่วนธามันก็รีบบอก “ถ้าไม่เตือนผมก็จะลืมเรื่องงานเลี้ยงค่ำนี้ไปแล้วเหมือนกัน”
“เห็นป้ะ หนูน่ะมีประโยชน์”
“ป้า ป้ะ ปะ” จิโระพยายามเลียนแบบสำนวนของกวาง
“กวาง เรานี่มันชอบนำน้องพูดเพี้ยน” ป้าหันมาดุเด็ก ๆ แล้วหันไปออกตัวกับเจ้าของใหม่ “ออกจะวุ่นวายไปสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ” แบบนี้แหละที่เรียกว่าครอบครัว “วันนี้ต้องขอโทษที่ต้องกลับก่อนนะครับ แล้วจะมาทานอาหารฝีมือคุณป้าอีกแน่นอนครับ”
ผิดละ หมูทอดที่กินน่ะ พี่ฉันท์เป็นคนทำ ใคร ๆก็รู้ จริงป้ะ
ธามันให้สัญญาเป็นข้อที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่กวางยกมือขอพูดอีกประโยค
“ว่าไง” ป้าหันมา “มีความเห็นทุกเรื่องสิเราเนี่ย”
“ป้าไม่ได้ทำกับข้าวมานานแล้ว”
“เราทำหรือไง” ธามันถาม
กวางชี้ไปที่ฉันท์ “เปล่า วันนี้พี่ต้อมเป็นคนทำ แต่วันอื่นพี่ฉันท์จะทำ วันนี้พี่ฉันท์ทำหมูทอด หนูเป็นคนช่วยแล้วก็เลี้ยงน้อง”
ไม่รู้ว่าเจตนาหรือลืมจริง แต่พอเห็นพี่ฉันท์ที่ไม่พูดท้วงว่าความจริงคืออะไรแล้วรู้สึกอยากพูดแทนเขา อยากบอกว่าความจริงคืออะไร
หนูรู้ว่าเสียมารยาทที่ขัดผู้ใหญ่ แต่เพราะเขาคือแฟนเก่าของพี่ฉันท์...มีอะไรบางอย่างที่บอกว่าหนูควรพูด
ป้าพยักหน้าไปทางฉันท์กำลังอุ้มจิโระอยู่
“เห็นอยู่ว่าฉันท์อุ้มจิโระอยู่ตลอดก็ยังจะกล้าบอกว่าเราเลี้ยงน้องนะเรา”
“ก็แหม...”
“กวางขยันมากครับ” ฉันท์รอมชอม
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ยังมีรถเบนซ์สีดำคันใหญ่เข้ามาเข้ามาจอดหน้าบ้าน คนที่ลงมาจากรถคือธนวัฒน์
ชายหนุ่มทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้ง 2 แล้วหันมารับไหว้ฉันท์กับน้อง จากนั้นก็หันไปหาธามัน
บรรยากาศเปลี่ยนไปเมื่อ 2 คนนี้ยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ธนวัฒน์กำลังยิ้มกว้างทักทาย
"ทำไมถึงมาเจอกับธามที่นี่" ธนวัฒน์หันไปบอกกับลุงและป้ารวมถึงฉันท์ "ธามเป็นน้องชายผมเอง"
ทั้ง 3 คนมีสีหน้าประหลาดใจมาก
"ธามมีธุระอะไรที่นี่หรือ"
"ธามเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์คนใหม่ รวมถึงบ้านนี้ด้วย" ฐาติเป็นคนตอบ
"อ้อ ที่บอกว่าจะซื้อเอามาทำคอนโดฯ ใหม่ใช่ไหม" ธนวัฒน์แสดงความเป็นผู้รู้ ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ซึ่งแปลกมากที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าธามันซื้ออพาร์ทเม้นท์และบ้านของฉันท์
คนฟังที่นึกสงสัยหันไปมองหน้ากัน แต่คนอวดก็ยังคงอวดต่อไป ว่าธามันเป็นผู้จัดการโครงการใหม่ของบริษัท เล่าว่าโครงการนี้กรรมการบริหารไม่ค่อยให้การสนับสนุนมากนัก แต่ในฐานะพี่ชายก็ให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับน้องชายมาตลอด
จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยคำพูดที่เป็นการแสดงความปรารถนาดี "ต้องบอกว่า นี่เป็นโครงการวัดดวงของธามเลยนะครับ ถ้าผลงานออกมาดี คณะกรรมการบริหารพอใจเขาก็จะได้รับการยอมรับจากทุกคนในบริษัท แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงข้าม ต่อให้ผมสนับสนุนอย่างไรธามก็คงจะอยู่ยากสักหน่อย"
ธนวัฒน์คิดหวังทำคะแนนว่า ตนเองเป็นผู้บริหารที่อยู่ในระดับสูงกว่าน้องชาย และให้กำลังใจธามันในการสร้างผลงาน แต่สำหรับลุงกับป้าที่เห็นคนมามาก รู้สึกเห็นใจธามันมากกว่าเดิม
“พี่น้องกันยิ่งควรต้องช่วยกัน”
พี่น้องที่แตกแยก ขัดขวาง ใส่ร้ายกันเอง มีแต่เดินหน้าไปสู่ความสูญเสีย
เป็นความเห็นแบบผู้ใหญ่ที่ธนวัฒน์ยิ้มรับ และให้คำมั่นว่าจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว จากนั้นก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องบ้าน "ธามซื้อบ้านแล้วอย่างนี้ ทุกคนจะย้ายไปอยู่ที่ไหนกันครับ"
"ไม่ได้ไปไหนหรอก" ลุงตอบ "ผมป่วย ป้าเขาก็เหนื่อยมาก แล้วเราเองก็หาโรงเรียนให้จิโระใกล้ ๆ นี่ ก็เลยขอธามเขาอยู่ต่ออีกหน่อย"
ธนวัฒน์หันไปมองหน้าธามัน แต่ถามลุง "นี่ขายบ้านไปโดยที่ยังไม่ได้เตรียมว่าจะย้ายไปไหนเลยหรือ”
“เรื่องมันปุบปับน่ะ”
"อ้อ ครับ" ธนวัฒน์ยิ้มกว้างทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่รู้แล้วว่าลุงอารมณ์ไม่ค่อยดีเมื่อพูดเรื่องนี้ จึงหันมาหาน้องชาย "จะกลับแล้วไม่ใช่หรือ คุณลุงไม่สบายต้องนอนพักมาก ๆ"
ธามัน ฐาติ และนายช่างไหว้ลาลุงกับป้าอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับออกมา
พอรถคันใหญ่เคลื่อนออกไป ต้อมก็สะกิดข้อศอกฉันท์ “กูก็กลับเลยดีกว่าว่ะ”
“อ้าว”
ฉันท์ได้พูดแค่นั้นเพราะเพื่อนหันไปไหว้ลาลุงกับป้า และธนวัฒน์
“หนูเรียกมอ’ไซค์พี่ชายมารับพี่ให้นะ” กวางรีบบอกก่อนที่ต้อมจะกลับออกไป
ต้อมพยักหน้าตอบรับ กวางก็ขอโทรศัพท์ของต้อมนั่นแหละมาโทร แล้วบอกว่านั่นเป็นเบอร์พี่ชาย ถ้าจะให้ไปรับ-ส่งใกล้ ๆ ก็เรียกใช้ได้
ขณะที่กวางชวนต้อมคุยระหว่างรอรถมอเตอร์ไซค์พี่ชาย คนอื่นๆ พากันเดินกลับเข้าไปในบ้านไปพูดคุยกันต่อ
ฉันท์เข้าไปในครัว เตรียมน้ำมาให้ธนวัฒน์ จากนั้นก็กลับเข้าไปอุ่นอาหารเย็นให้จิโระ ข้าวผัดหมูสับแบบง่าย ๆ ที่ทำให้จิโระถือช้อนส้อมนั่งรอที่โต๊ะอาหารอย่างเรียบร้อย
กวางที่ส่งต้อมขึ้นรถพี่ชายไปแล้วเดินกลับเข้าบ้านแล้วมองคนที่อยู่ในครัว สลับกับคนที่กำลังคุยอวดกับลุงและป้า เกี่ยวกับประวัติครอบครัวและโครงการคอนโดฯ ของธามัน
กวางมีเรื่องที่อยากรู้...เอ่อ สงสัยเยอะมาก
ที่จริงก็สงสัยมาตลอดแหละ ว่าทำไมพี่ฉันท์ไม่เห็นเหมือนคนอื่นที่เวลาแฟนมาหาจะทำตัวติดกับแฟนตลอดเวลา
แต่คนนี้เขาจะแยกมาอยู่กับน้อง หรือไม่ก็ไปทำนั่นนี่ตลอด
กวางถึงได้เถียงน้ามาตลอดไง ว่าที่เห็นว่าคบกันน่ะ แท้จริงแล้วไม่ใช่หรอก แต่พูดทีไร น้าก็ว่ายังเด็กอยู่ทุกครั้งไป
“2 คนเป็นพี่น้องกันจริงหรือ” นั่นคือประโยคบอกเล่า ไม่ใช่คำถาม “ตอนที่เจอทีแรกก็ว่าดูคุ้น ไม่คิดว่าจะเป็นพี่น้องกัน”
ธนวัฒน์ตอบตามตรง เพราะนี่เป็นหัวข้อที่เรียกคะแนนสงสารได้อย่างท่วมท้นมาตลอด “คนละแม่กันครับ ตอนผมเกิดก็ใช้นามสกุลเดียวกับธาม แต่มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นผมก็เลยเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่ครับ”
“โอ้....”
เพราะป้าทำเสียงแปลก ๆ ธนวัฒน์เลยรีบอธิบายต่อ “เปลี่ยนตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็กน่ะครับ ไม่ใช่เพราะผมไปทำผิดอะไร”
“อ้อ แล้วไป” ป้าหัวเราะเก้อ ๆ “คิดว่าหนีอะไรมา”
“ไม่ใช่ครับ”
“ส่วนธามก็ใช้นามสกุลพ่อ พี่น้องใช้คนละนามสกุลมันก็แปลกอยู่เหมือนกัน”
ธนวัฒน์เดินหน้าแสดงความจริงใจต่อไป “หลังจากที่ผมเกิดได้ไม่นาน พ่อก็ไปแต่งงานกับแม่ของธามน่ะครับ”
“เรื่องของผู้ใหญ่ เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่เราพี่น้องรักกันดีก็พอแล้ว ยิ่งถ้าการทำงานมันต้องแข่งขันกันขนาดนี้ พี่น้องยิ่งต้องให้กำลังใจกัน”
“ครับ ในชั้นลูก ๆ ของ 3 บ้าน ก็มีแต่ผมคนเดียวที่ไม่ได้ใช้นามสกุลก้องเกียรติมนตรี เรียนจบก็ไปทำงานอยู่มหาวิทยาลัย เพราะไม่แน่ใจว่าคนอื่น ๆ จะคิดอย่างไร จนกระทั่งธามใกล้จะเรียนจบ พ่อก็ให้คนมาเรียกผมไปคุยเรื่องงานที่บริษัท อยากให้ผมช่วยสนับสนุนธาม เขาเป็นคนเก่งก็จริง แต่ไปอยู่เมืองนอกนานหลายปี ไม่มีพรรคพวกทางนี้ คนทำงานใหญ่ต้องมีพรรคพวก”
“มันก็จริง” ลุงหมายถึงประโยคสุดท้าย
“อย่างฉันท์กับจิโระนี่ก็คนละพ่อ แต่ก็เข้ากันได้ดี” ป้าเล่าไปเรื่อยๆ “2 คนพี่น้องนี่ห่างกันได้แป๊บเดียวก็ตามหากันแล้ว”
“ป้า” ลุงเรียกภรรยา “จะ 2 ทุ่มครึ่งแล้ว”
ป้านึกขึ้นได้ ทั้งรู้สึกขอบใจสามีที่ตัดบทเรื่องนี้สักที “เออจริง มัวแต่คุยเพลิน”
“ผมช่วยพาคุณลุงไปพักเองครับ” ธนวัฒน์อาสาพยุงลุงไปห้องน้ำ จากนั้นก็พาเข้านอนที่ห้องนอนชั้นล่าง
ฉันท์หันมาถามจิโระว่าง่วงหรือยัง “เนะมุอิ ง่วงนอนไหม”
น้องชายส่ายหน้า “ไม่ ฮับ”
กวางมาสะกิดถาม “พี่ฉันท์สอนหนูพูดภาษาญี่ปุ่นมั่งสิ”
“พี่ก็ได้เป็นคำ ๆ แบบเด็ก ๆ เหมือนกันน่ะแหละ”
“แม่พี่ไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นกับพี่หรือ” เมื่อกี้นี้ได้ยินว่าพูดเรื่องนี้กันนิดหน่อย แต่กวางอยากรู้มากกว่านั้น
“ตอนเด็ก ๆ โอกาซัง แม่พี่น่ะเขายังพูดไทยไม่เก่ง เขาก็สอนไทยคำญี่ปุ่นคำแบบนี้แหละ แล้วพอเขาคุ้น ก็ไม่ค่อยได้พูดแล้ว ยกเว้นแต่ตอนที่นึกภาษาไทยไม่ทันก็พูดภาษาญี่ปุ่นมาเป็นชุด ฟังไม่รู้เรื่องสักคำ” ฉันท์พูดแล้วหัวเราะ
เข้าใจละ “พี่ก็เลยสอนจิโระแบบเดียวกัน”
“แต่จิโระเพิ่ง 3 ขวบสอนง่ายยิ่งช่างพูดแบบนี้ด้วยนะ เดี๋ยวพอเข้าโรงเรียนก็พูดไทยคล่องแล้ว”
กวางไม่เห็นด้วยกับตรงประโยคแรกสักเท่าไหร่ “3 ขวบพูดได้ประมาณนี้ หนูว่าพูดไม่เก่งหรอก” ยิ่งถ้ามาเทียบกับหนูนะ หนูนำหน้าจิโระไปไกลหลายกิโลละพี่ “แต่เขาจำเก่ง 3 ขวบ รู้เยอะ ทำอะไรเองได้ตั้งเยอะ” อันนี้หนูยอมรับว่าหนูสู้จิโระอายุ 3 ขวบไม่ได้

ฉันท์อุ่นนมสดก่อนนอนให้จิโระเสร็จ ธนวัฒน์ก็ออกมาจากห้องนอนของลุงพอดี
“จิโระดื่มนมหรือ”
“ฮับ”
“ขอพี่คุยกับพี่ฉันท์สักครู่ได้ไหม”
จิโระหันมามองตามพี่ชายที่ลุกขึ้นมาแตะไหล่กวางเชิงบอกให้ช่วยดูน้อง
...
โครงการคอนโดฯของธามันเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขและเดินหน้าไปด้วยการก้าวข้ามอุปสรรคไปทีละเรื่อง ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะต้องการให้โครงการนี้เป็นบททดสอบความสามารถ หลังจากที่นำเสนอโครงการต่อกรรมการชุดเล็กได้ 3 เดือน ชายหนุ่มก็เสนอตัวว่าจะขอลงทุนช่วงแรกด้วยการใช้เงินส่วนตัว แต่ขอเครดิตชื่อบริษัทเพื่อทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารเพิ่มเติม เพราะเป็นโครงการแบบมีจำนวนยูนิตไม่มากนัก มีอาคารเพียงหลังเดียวกับอาคารจอดรถที่เชื่อมต่อกัน ขนาดของห้องกว้างขวางกว่าคอนโดฯหลายแห่งในละแวกเดียวกัน ซึ่งผิดไปจากทุกโครงการของบริษัทก้องเกียรติกิจการ
และที่ธนวัฒน์บอกว่า พ่อขอให้มาช่วยสนับสนุนการทำงานของน้องชายนั้น แท้จริงแล้วเขาไม่เคยสนับสนุนการทำงานของธามัน
สิ่งที่ธนวัฒน์ทำมาตลอดก็คือ การหาเหตุปัดโครงการนี้ไปจากโต๊ะประชุมอยู่บ่อย ๆ ตอนแรกก็บอกว่าโครงการไม่มีความคืบหน้า ต่อมาก็บอกว่า โครงการไม่มีที่ตั้งที่ชัดเจน
ธนุส-กรรมการบริหารของบริษัท ลูกชายคนโตของธนดล-ประธานบริษัท รู้ทันการกระทำของธนวัฒน์มาตลอด ทั้งเคยคุยกับธามันเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
มีเรื่องในวงเล็บตรงนี้อยู่เล็กน้อย เกี่ยวกับความลับที่พี่น้องร่วมปู่คนเดียวกันคู่นี้ทำความตกลงกันไว้ 
มันเป็นความลับแบบที่ทุกคนรู้กันว่า ‘พี่ธนุสเขาช่วยธาม’ แต่ช่วยแบบไหน ไม่เคยมีใครกล้าถามพี่ใหญ่กันสักคน
รู้แต่ว่า บางทีพี่ธนุสก็พยักหน้ายอมให้ธนวัฒน์เอาแฟ้มรายงานของธามันกลับไป แต่บางครั้งก็แค่กระแอมเบา ๆ เลขาฯ ของที่ประชุมก็ต้องรีบเอากลับมาวางไว้บนโต๊ะประชุมเหมือนเดิม
ธนวัฒน์เองก็มีความเกรงใจพี่ชายคนนี้อยู่มาก ถ้าธนุสมีสีหน้าเรียบเฉย ถ้อยคำโฆษณาของชายหนุ่มก็จะออกไปในทำนองที่ว่า
‘ธามต้องการพิสูจน์ความสามารถว่าทำได้มากกว่าเรียนหนังสือ ลำพังสร้างบ้านหลังหนึ่งยังต้องใช้คนมากมาย นี่เขาพยายามที่จะทำเองตามลำพัง เตรียมงานมาหลายเดือนยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก...ผมว่า เราไม่ควรกดดันการทำงานของเขานะครับ คอยให้กำลังใจและมองอยู่ห่าง ๆ ก็พอ’ 
มันเป็นคำพูดสวยงามที่มีความหมายคือ ‘อย่าเสียเวลาให้กับโครงการของธามัน’
แต่ถ้าธนุสเปิดแฟ้มรายงานนั้น ก็แปลว่าทุกคนต้องอ่านแฟ้มเช่นกัน...จบนะ
ในกลุ่มของพี่น้องรุ่นที่ 3 ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 10 คนธนวัฒน์คือคนที่อีก 9 คนรู้กันเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-01-2019 20:59:49
(ต่อครับ)

กลุ่มลูกทั้ง 4 คนของธนดล ที่ประกอบไปด้วย ธนุส ทัตพงศ์ ทวี และธารา ที่ต่างก็มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในบริษัท คอยให้ความช่วยเหลือธามันในทางลับตั้งแต่การเงินทุน และคนทำงาน ที่ต่างก็กำชับกันอย่างเด็ดขาดว่า ห้ามบอกใครว่ากำลังทำงานให้ธามัน
ดังนั้นที่ธามันบอกว่าได้เงินสนับสนุนจากแม่ และขายหุ้นของตัวเอง มันจึงเป็นส่วนหนึ่งของความจริงทั้งหมด
เวลาพนักงานในบริษัทจะออกไปไซด์งาน ก็บอกกว้าง ๆ ว่าไปไซด์งาน ไม่ต้องขยายความว่าไซด์งานของธามัน
แต่นี่เป็นโครงการที่ใช้เครดิตบริษัท ในวันหนึ่งธนวัฒน์ก็ต้องรู้ แต่จะให้รู้เมื่อไหร่ธามันจะบอกเอง
ที่จริงธนวัฒน์เคยเห็นธามันคุยกับพนักงานแผนกต่าง ๆ มาหลายครั้ง แต่พอมาดูในรายงานที่สรุปออกมา ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรคืบหน้า จนถึงการประชุมเมื่อ 2 วันก่อน ที่มีเอกสารแนบท้ายมาด้วย ทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติ
...ก็ติดต่อกับน้องฉันท์อยู่ทุกวัน ถึงตอนที่ไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ก็จะมีต้อมคอยจับตามองอยู่
แต่ธนวัฒน์ยังเข้าข้างและคิดแทนฉันท์ทัต ว่าไม่ได้รู้เรื่องความขัดแย้ง และการแข่งขันภายในครอบครัวใหญ่ เมื่อเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาก็ขายสมบัติที่มีอยู่เท่านั้นเอง
แน่ใจว่าต้องเป็นการเคลื่อนไหวของทางฝั่งคนที่เคยมีนามสกุลเดียวกัน จัดการแบบรวบรัดตอนที่ตามบิดาไปดูโครงการที่อินเดีย
เมื่อกลับมา และเข้าร่วมการประชุมถึงได้รู้ว่าธามันซื้อที่ดินได้แล้ว แต่ระบุว่ามีเนื้อที่ 2 ไร่ และนี่คือที่ดินของฉันท์ทัต 
แน่ใจว่าบรรดาพี่น้องทำเป็นยกย่องให้ทำหน้าที่เอาใจผู้ใหญ่ทั้ง 3 คนที่กุมอำนาจทั้งในบริษัทและครอบครัวไว้ แต่แท้จริงกลับเคลื่อนไหวกันอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้น้องชายคนโปรดของพวกเขาเดินหน้าโครงการต่อไป
ธนวัฒน์นึกดูหมิ่นพี่น้องเหล่านี้
...ความสามัคคีของพวกเขาคือภาพลวงตา
เพราะทุกคนต่างก็มีปัญหา มีจุดอ่อน จึงเลือกที่จะทำตามที่ธนุสพี่ชายคนโตของครอบครัวเห็นว่าดี
เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือเงินและมันสมองของธามัน
ธนวัฒน์จึงไม่เคยเสียเวลาโทษตนเองที่อ่อนประสบการณ์ในเชิงธุรกิจ และไม่ได้ให้เวลากับการพิจารณาข้อด้อยของตนเอง
ในทางตรงข้ามเขาคิดเข้าข้างตนเองว่าช่วงที่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย ธามันเองก็อยู่ต่างประเทศเหมือนกัน
เขายังคงเชื่อมั่นว่า แม้จะไม่ได้รวยและไม่มีใยปริญญายาวเป็นหางว่าอย่าธามัน แต่มีความสามารถ และมีผลงานที่เหนือกว่า
ลืมไปว่าธามันคือคนที่เรียนมาทางนี้ ฝึกงานทางนี้ เติบโตมากับธุรกิจนี้ รู้จักคนในสายงานนี้...ยิ่งจบการศึกษามาหลายสาขาก็ยิ่งทำให้รู้จักคนเยอะขึ้น

ธนวัฒน์รู้ว่าฉันท์ต้องรับภาระหนี้ต่อจากพ่อเพราะป้าหลุดปากพูดออกมาในวันหนึ่ง และพอป้ารู้ว่าฉันท์ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับธนวัฒน์ ป้าก็เลี่ยงไม่ตอบคำถาม พอจะหันไปถามฉันท์ ฉันท์ก็ยอมรับว่ามีหนี้ แต่ไม่เคยบอกจำนวนที่ชัดเจน พอให้ต้อมมาสอบถามก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าเรื่องที่รู้อยู่แล้ว
ตอนที่ทราบว่าฉันท์ขายอพาร์ทเม้นท์ให้ธามัน ก็โทรมาพูดคุยกันแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าขายจริงเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงิน และรู้สึกเกรงใจจึงไม่เคยเล่าปัญหาของตนเองให้ฟัง
ตอนนั้นถามแค่ว่า ขายที่แล้วหรือ ฉันท์ก็ตอบว่าจริง ธนวัฒน์ก็กลับไปคิดเรื่องแผนการในลำดับต่อไปที่จะขัดขวางโครงการนี้แบบที่ตนเองจะได้หน้า และไม่ทำให้บริษัทเสียหาย
คนที่ให้มาเฝ้าน้องอยู่ห่าง ๆ รายงานให้ฟังอยู่ทุกวันว่าน้องติดต่อกับใครบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อธามันมาที่บ้าน คนที่เฝ้าน้องจะไม่รู้เรื่อง และกลายเป็นต้อมที่เป็นคนโทรไปบอกว่า ตอนนี้ธามัน ฐาติ และนายช่างมาถึงบ้านแล้ว!
เรื่องจะจัดการในบริษัท และลูกน้องของตนเองอย่างไรเอาไว้ก่อน ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าคือเรื่องของน้องฉันท์!
“ตกลงเรื่องหนี้ของน้องฉันท์นี่มันยังไงกัน ทำไมไม่เล่าให้พี่ฟัง”
“พี่มีงานยุ่งอยู่แล้ว เรื่องทางนี้ผมพอจะจัดการเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฮะ”
“หนี้มากถึงขนาดที่ต้องขายอพาร์ทเม้นท์ และบ้านด้วยนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะน้องฉันท์” แต่ธนวัฒน์เห็นเพียงการซื้อขายอพาร์ทเม้นท์ 2 ไร่นั่นเท่านั้น
“เรายังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยน่ะครับ”
“ธามซื้อทั้ง 2 แปลงเลยหรือ”
“ครับ”
“แล้วน้องฉันท์รู้จักเขาได้อย่างไร” นี่แหละคือเรื่องที่ตอนได้ยินก็ร้อนใจ พอได้เห็นกับตาตนเองก็ยิ่งไม่ชอบใจ
“เขาเคยมาพักที่อพาร์ทเม้นท์เมื่อหลายปีก่อน ก็รู้จักกันตอนนั้น”
“แล้วก็ติดต่อกันมาตลอดใช่ไหม”
ฉันท์เงียบไปนานกว่าครั้งแรก “ไม่ได้มีเหตุอะไรให้ต้องติดต่อกันนี่ครับ”
“ไม่ติดต่อกัน แล้วทำไมถึงมาซื้อที่ของน้องฉันท์”
ฉันท์ไม่ชอบน้ำเสียงและถ้อยคำที่ธนวัฒน์ใช้ จึงนิ่งเงียบ ส่วนอีกฝ่ายยิ่งพูดก็ยิ่งห้วนขึ้นเรื่อย ๆ
“วันก่อนที่พี่โทรมาถาม น้องฉันท์บอกว่าขายอพาร์ทเม้นท์ แต่พอมาวันนี้ ธามกลับมาถึงบ้านแล้ว ทั้งยังเตรียมช่างมาซ่อมบ้านด้วย ทำไมถึงได้ปิดบังพี่”
"ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องปิดบังอะไร แล้วตั้งแต่ตอนที่รู้เรื่องหนี้สิน ผมก็คิดมาตลอดว่าหลังจากการใช้หนี้แล้วเราจะทำอะไรต่อ เราต้องมีอาชีพ มีรายได้เพื่อที่จะดูแลทุกคน ผมก็คิดว่าเราต้องหาตึกแถวเพื่อค้าขาย แถวนี้ก็พอมีอยู่ แต่ก็เริ่มต้นมากกว่า 10 ล้านทั้งนั้น แล้วการค้าก็ต้องลงทุน ส่วนลุงก็ต้องทำคีโม ต้องดูแลรักษาอีกนาน พอคำนวนดูแล้ว ผลมันก็ออกมาอย่างนี้"
"ก็นั่นไง เพราะมีปัญหาไม่บอกพี่ น้องฉันท์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายอะไรสักอย่าง หรือถ้าอยากจะเปิดร้านก็แค่บอกพี่มา”
ฉันท์ปฏิเสธทันที "ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ ที่ผ่านมาพี่ก็ช่วยเหลือพวกเรามาตลอด อีกอย่างผมก็ตกลงไปแล้ว"
"เราคบกันอยู่แท้ ๆ แต่น้องฉันท์กลับทำแบบนี้..." ธนวัฒน์ไม่ปิดความน้อยใจนี้เลยสักนิด
"ขอโทษครับ ผมรู้สึกเกรงใจ เพราะเงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย แล้วเรื่องที่พี่บอกว่าเราคบกันอยู่นั่นน่ะ เราคุยกันหลายครั้งแล้วนะครับ"
เราไม่ได้กำลังคบกัน ฉันท์เชื่อว่าตนเองมีความชัดเจนมากพอว่าวางธนวัฒน์ไว้ที่สถานะอะไร
"ก็ได้" ธนวัฒน์ยอมถอยครึ่งก้าว แต่ก็ยังอารมณ์ไม่ค่อยดี "เราคุยกันมาตั้งนาน น้องฉันท์กลับไม่ไว้ใจให้พี่ช่วยแบ่งเบาภาระ ไม่ให้พี่ช่วยแก้ปัญหา"
ฉันท์จับมือของธนวัฒน์ให้ "พี่ช่วยดูแลพวกเราทุกคนอยู่แล้ว ทั้งที่พี่มีงานยุ่ง" หนุ่มตัวเล็กนึกได้ "ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ตั้งแต่มาถึงพี่ได้แต่ดื่มน้ำ พี่ทานอะไรมาแล้วหรือยัง”
“ยังหรอก เลิกงานก็มาหา แต่กลับมาเจอธามที่นี่ ก็เลยลืมไปเลย”
ฉันท์ก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน แต่วันนี้มีแขกเพิ่มมา 3 คน ซึ่งดูก็รู้ว่ายังกินข้าวไม่อิ่มกันทั้ง 3 คน
...ที่บอกว่าจะไปงานต่อ อาจพากันไปแวะกินอาหารก่อนไปงานก็ได้
“...น้องฉันท์” ธนวัฒน์เรียกเสียงดังกว่าเดิม “มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ...กำลังคิดว่าจะเข้าไปเจียวไข่ให้พี่หรือจะออกไปกินที่ตลาดปากซอยกันดี น่ะครับ”
“ลุงนอนแล้ว ออกไปกินที่ตลาดก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่กลับมาส่ง”
“ครับ”
ฉันท์เดินเข้ามาบอกกวางว่าจะออกไปกินข้าวฝากให้ดูแลจิโระด้วย แล้วจะซื้อบะหมี่มาฝาก จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเงินแล้วออกไป
ป้าเดินตามมามอง แล้วหันมาบอกกับกวาง
"เจ้าฉันท์เคยคบกับธามเมื่อหลายปีก่อน”
เรื่องนี้กวาง-ทีมพี่ฉันท์รู้อยู่แล้ว “ป้าว่าพี่ทีมจะรู้ไหม”
“น่าจะรู้นะ” ก็เขาเป็นพี่น้องกันนี่ “เพราะว่าเจ้าฉันท์ขายอพาร์ทเม้นท์ให้แฟนเก่า ที่เป็นน้องชายของตัวเอง เขาถึงได้ไม่พอใจ”
กวางย่นจมูก เพราะฟังที่ป้าพูดแล้วชวนให้คิดว่าผู้ชาย 2 คนนี้เข้ามาหาพี่ฉันท์เพราะอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ หลังนั้น
“นี่เขารู้หรือยังนะว่าพี่ธามจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน”
เท่าที่พูดกันเมื่อครู่เป็นเรื่องที่ธามันให้นายช่างมาซ่อมบ้าน แล้วทุกคนในบ้านนี้ยังไม่ต้องย้ายออก ไป
“พูดกันถึงขนาดนี้ น่าจะสรุปเอาเองได้ แล้วเรื่องอะไรในบ้านก็อย่าเที่ยวไปบอกเขาล่ะ”
กวางปีนเกลียวทันที “อย่ามาว่าหนูเลย ป้าแหละคุยกับเขาอยู่คนเดียว ถ้าเขาจะมีปัญหาก็เพราะป้าแหละ” หลานเกาจมูก “พี่ทีมนี่เขาแปลกๆ นะป้า เหมือนเขารู้ทุกอย่าง แต่หลายๆ ครั้งเขาก็ไม่รู้อะไรเลย”
ป้าหันมามองคนตั้งข้อสังเกต “หรือเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้”
กวางเห็นด้วย
ป้าคิดถึงเรื่องที่ธามันกลับมาจากต่างประเทศแล้วแทนที่จะได้อยู่บ้านตนเอง กลับต้องมาพักที่อพาร์ทเม้นท์เมื่อหลายปีก่อน รวมถึงปัญหาครอบครัวของพี่น้องต่างแม่ที่ธนวัฒน์เล่ามาก็รู้สึกเป็นห่วงหลานชายที่ต้องมาเป็นคนกลางในเรื่องนี้
“จะยังไงก็เถอะ ไม่ชอบเวลาที่ทีมทำท่า ทำเสียงแบบนี้กับเจ้าฉันท์เลย เห็นแล้วอึดอัด เมื่อกี้น่าจะให้เราตามไปด้วย”
กวางอาสาทันที “หนูขี่จักรยานตามไปก็ได้ ฟอร์มว่าไปซื้อบะหมี่ให้ป้า เสร็จแล้วรับพี่ฉันท์กลับมาเลยดีไหม”
“เออดี จัดไป”
...
"น้า ๆ ตอนที่น้ากลับไปแล้ว พี่ทีมอาละวาดใส่พี่ฉันท์ด้วยแหละ" กวางมันก็พูดเกินไป ธนวัฒน์หงุดหงิดและเสียงดัง ลีลาเยอะ แต่ไม่ใช่อาละวาดแน่นอน “เออ หรือไม่ได้อาละวาดหว่า"
"อะไรของมึงวะ ไอ้กวาง จะยังไงกันแน่" ฐาติกลั้นหัวเราะ
"ก็เห็นแต่คุณพี่ทีมเขาพูดเยอะแยะใส่พี่ฉันท์ ส่วนพี่ฉันท์ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ อดทนชะมัด" แต่ที่จริงฉันท์พูดไปหลายคำอยู่เหมือนกัน "เป็นหนูนะ ด่าคำเดียวเลย เสือก!"
"ไอ้กวางมึงด่าใคร" ทั้งที่รู้ว่ากวางกำลังด่าใคร แต่มันก็สนุกดีที่ได้กวนเด็กคนนี้
"ด่าคุณพี่เขาสิ ใครจะด่าพี่ฉันท์" กวางรู้ทัน ไม่ยอมรับมุกฐาติ
“เออ มึงอย่ามาด่ากูละกัน” ฐาติถามต่อ "แล้วเรื่องที่เขาว่าลูกพี่มึง มันเรื่องอะไร"
"เรื่องที่ขายอพาร์ทเม้นท์กับบ้านน่ะสิ จะมีเรื่องอะไรอีก วันก่อนก็มีญาติมาโวยวายกับพี่ฉันท์เหมือนกัน แต่เขาก็ตอบไปคล้ายกับที่ตอบพี่ทีม แล้วก็ปล่อยให้เขาพูดจนพอใจ พอเหนื่อยคนพวกนั้นก็กลับไป"
"แล้วลุงเป็นไง"
"ตอนนั้นลุงนอนอยู่ที่แคร่ริมคลองไม่ได้ยินอะไรหรอก พยายามกันไม่ให้ลุงรู้ เดี๋ยวจะอาการทรุด พี่ฉันท์บอก อย่าบ่น อย่าพูดอะไรให้ลุงไม่สบายใจ กลัวจะทรุด"
"มึงก็เล่นตลกให้ลุงดูสิ"
"นั่นมันหน้าที่หนูอยู่แล้ว บ้านเนี้ยะ ถ้าไม่มีหนูกับจิโระนะ ไม่มีใครได้หัวเราะกันหรอก"
ฐาติก็ยอมรับเหมือนกันว่า ในแต่ละวัน มีแต่เด็กคนนี้ที่ทำให้หัวเราะได้อย่างสบายใจ 
"อย่ามัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของเขาจนลืมเรื่องเรียนของตัวล่ะ"
"ไม่ลืมหรอก น้าก็อย่าวุ่นวายกับเรื่องคนนั้น คนนี้จะลืมเรื่องของตัวเองด้วยละกัน" กวางย้อนให้ทันที
....
ธนวัฒน์กลับมาที่ห้องคอนโดฯ หลังสองทุ่มเหมือนเคย ต้อมไม่ได้เตรียมอาหารค่ำไว้ให้ เพราะรู้ว่าธนวัฒน์จะต้องกินมาจากที่บ้านฉันท์แล้ว
รวมถึงรู้ว่าประโยคแรกที่ธนวัฒน์พูดขึ้นมาก็คือคำถามเกี่ยวกับฉันท์
"ทำไมไม่บอกเรื่องที่น้องฉันท์ขายบ้านให้ธาม"
"ผมก็เพิ่งรู้ ฉันท์ไม่เคยบอกอะไร"
"แน่นะ" ธนวัฒน์คาดคั้น ทั้งแววตาและน้ำเสียง ช่างตรงข้ามกับเวลาที่อยู่กับฉันท์
"ครับ ฉันท์ไม่ค่อยเล่าอะไร อย่างเรื่องของคุณธาม ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้"
ธนวัฒน์ตวัดสายตามองผ่านต้อมแล้วไปนั่งเหยียดขาพาดโต๊ะในห้องรับแขก ต้อมส่งกระป๋องเบียร์เย็น ๆ ให้แล้วนั่งลงข้าง ๆ
"จากที่เขาคุยกัน คุณธามเคยมาตามรับตามส่งฉันท์ตอนสมัยมัธยม แล้วก็แยกกันไป พอเห็นว่ากลับมาอีกครั้งก็ยังแปลกใจ"
ธนวัฒน์จิบเบียร์ ขณะที่หันไปมองนอกหน้าต่าง
"คุณ ทราบเรื่องที่พวกเขาเคยคบกันแล้วหรือครับ"
ธนวัฒน์ตอบรับด้วยเสียงในลำคอ ทำให้ต้อมเงียบลงเพราะไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไรต่อไป
ดวงตาคมของธนวัฒน์หันมามองหนุ่มตาเรียว "เธอเห็นธามเพิ่งไปที่บ้านเป็นครั้งแรกหรือ"
"ครับ"
ธนวัฒน์ยกเบียร์ขึ้นดื่ม "ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น"
ต้อมเล่าว่า ธามันไปที่อพาร์ทเม้นท์ตอนที่ต้อมพาลุงและป้ากลับมาถึงบ้านแล้ว ฉันท์โทรมาบอกว่า เจ้าของคนใหม่กำลังไปบ้าน เพราะอยากคุยกับลุงและป้า
ธามันซื้อบ้านนี้ก็จริง แต่ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกันไปก่อน
“ฟังดูเหมือนมีปัญหาทางบ้านเลยครับ”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก จิบเบียร์อีกอึกใหญ่ แล้วลุกขึ้นเมื่อจะเดินผ่านไป ต้อมก็หันไปคว้ากอดแขนไว้
“คุณทีมครับ”
คนที่มีอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนหันมาลูบศีรษะ "มีรองเท้าแบรนด์ดังที่อยากได้อยู่ไม่ใช่หรือ"
ต้อมเงยหน้าขึ้นมองอีกคนแล้วยิ้มกว้าง
...ขอแค่คุณพอใจ
ขอแค่คุณมีความสุข
ผมก็มีความสุขอย่างที่สุดแล้ว...

...จบตอนที่6...

ต้องการแผนผังพี่น้องของฐาติจริงหรือ แปะไว้ก่อนนะฮะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-01-2019 23:05:45
 o13
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-01-2019 23:12:32
พี่ทีมเป็นคนที่ใคร ๆ ก็รักเนอะ 
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 21-01-2019 11:15:45
มาแล้วๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 21-01-2019 21:47:11
เหนื่อยเนาะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-01-2019 16:51:15
น้องฉันท์สู้ๆ

พี่ธามสู้ๆ

จิโรนู้ๆ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 23-01-2019 02:20:34
งืมๆๆๆ ปกติอ่านนิยายของทั้ง 2 คนก็ไม่ค่อยเครียด หรือระแวงอะไรนะ อ่านชิวๆ มาตลอด
แต่เรื่องนี้นี่บอกไม่ถูกเลย แอบเกร็งนิดนิดแฮะ

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-01-2019 16:34:24


 :katai1:  :katai1: ภาวนาให้ต้อมเป็นคนดีกว่าที่คิดไว้ หวังว่าจะรู้ว่าควรหยุดตอนไหนที่จะไม่ทำร้ายฉันท์

ส่วนคนพี่ ไม่รู้ซิก็ยังให้ความรู้สึกว่าไม่คู่ควรที่น้องจะฝากชีวิตไว้เลย

จากความชัดเจนตั้งแต่แรกจนหายไปถึงตอนนี้มันยังไม่ทำให้เรารู้สึกว่าพี่อยากกลับมาจริงจัง

แต่ว่า ลุงดูเหมือนจะรู้อะไรๆมากมายจริงๆนั่นแหล่ะ

รอตอนต่อไปค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-01-2019 21:49:43
ต้อมเป็นตัวละครที่เป็นปริศนา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 24-01-2019 22:00:37
 :mew3: ทีม กวาง-น้า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 24-01-2019 22:10:32
ทีมไปต่อไม่ถูกเลยสิ คนพี่กับคนน้องเค้าผูกพันกันเหนียวแน่นมาก เธอแทรกเข้ามาไม่ได้หรอกนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 25-01-2019 00:39:02
จริงๆแล้วต้อมก็น่าสงสารนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-01-2019 01:22:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 26-01-2019 16:35:27
แปะก่อน ค่อยตามเก็บ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-01-2019 03:15:39
ฉันท์น่าสงสารนะ คนรอบข้างเข้าหาแต่ละคน
ไม่หวังผล ก็หวังอะไรไม่รู้ แล้วต้อมอีกคน ไม่น่าเลย
ฉันท์ชัดเจนนะ ว่าไม่ได้คิดอะไร และไม่ได้คบใคร
แค่คนรู้จัก ที่คุยกันได้มากขึ้น คุ้นเคยมากขึ้น
อย่าทำเนียนเลยทีม ไม่งาม

ธามมาดูแลน้องแล้ว หวังว่าจะช่วยน้องได้จริงนะ
แถมมีหน่วยหนุนด้วย กวางเป็นเด็กฉลาด 5555

ทีมร้ายขนาดนี้ ต้อมยังยอม ก็คงร้ายพอกัน
แล้วที่พูดย้ำว่า ให้ทำเหมือนของตัวเอง คือต้องการอะไร


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 29-01-2019 09:29:14
มาแปะไว้  เพิ่งจำรหัสผ่านได้ 
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-01-2019 11:29:55
หมดคำพูดกับต้อมใจนึงก็สงสารนะแต่สิ่งที่ทำกับฉันท์ไว้ก็สมควรละอ่ะ
รำคาญคนอย่างทีมอ่ะ ไม่จริงใจ เอาดีเข้าตัวอีก  :m31:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-01-2019 10:57:58


มารอจ้า  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่6 (20/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-02-2019 08:18:40


         :call:  เรามานั่งรอ 



หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-02-2019 19:26:17
ตอนที่ 7

หนูรู้ว่าไม่มีใครอยากถามความเห็นของเด็ก แต่หนูอยากบอก
ตั้งแต่วันแรกที่คุณพี่ทีม-ธนวัฒน์ มาหาพี่ฉันท์ที่บ้านลุงวินัย หนูก็รายงานเรื่องของเขาให้น้าฟังมาโดยตลอด เคยบอกไปด้วยซ้ำว่าหนูไม่ค่อยชอบที่เขาประจบป้า ไม่ชอบที่เขาชอบพูดเหมือนทุกคนในโลกเป็นหนี้บุญคุณเขา
คุยเรื่องของเขาเยอะเอาการอยู่เหมือนกัน ทั้งยังค่อนไปทางที่หนูไม่ชอบเขามาก ๆ เลยด้วยแต่น้าก็ไม่เคยบอกว่าเขาเป็นใคร
เออ จริงสิ ตอนที่น้าเห็นเขามาหาพี่ฉันท์ครั้งแรก น้าดูเครียดแล้วก็บอกว่าคราวนี้พี่ธามจะต้องตัดใจจากพี่ฉันท์ให้ได้สักที
ตอนนั้นหนูไม่ได้คิดเอะใจอะไร เพราะน้าก็มักจะสนับสนุนให้พี่ธามเลิกกับพี่ฉันท์อยู่แล้ว แต่มันคนละเรื่องกับที่น้าใช้ให้หนูทำงานโดยที่ไม่ได้บอกเรื่องสำคัญกับหนู หนูไม่พอใจมาก! 
เพราะถ้าหนูเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป จะเสียหายขนาดไหน
แต่ไอ้ความไม่รู้ของหนูเนี่ย เป็นเรื่องจิ๋วไปเลยถ้ามาเทียบกับพี่ฉันท์
เขาเป็นแกนกลางของเรื่องนี้แท้ ๆ แล้วเขารู้เรื่องอะไรกับใครบ้างไหม
เหนื่อยจริง ๆ บอกเลย
...
หัวข้อธนวัฒน์กับธามเป็นพี่น้องกันอยู่ในความสนใจของบ้านท้ายซอยอยู่หลายวัน ทุกครั้งที่พูดถึงก็มักจะมีความแปลกใจว่าทั้ง 2 คนเป็นพี่น้องที่ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกันเลยสักนิด
“ตอนที่เจอกันครั้งแรกพี่ฉันท์รู้สึกคุ้น ๆ บ้างไหม”
ฉันท์นึกถึงตอนที่เจอธนวัฒน์ครั้งแรกที่ห้องสมุด “ก็รู้สึกว่าคุ้น”
“แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นพี่น้องกัน หรือรู้จักกัน”
ฉันท์ส่ายหน้า
“หนูก็ไม่คิดเหมือนกัน แล้วเขาคนละนามสกุลจริงๆ หรือพี่”
ฉันท์เล่าเรื่องของธนวัฒน์และธามันที่พอจะรู้มาบ้าง “เขาคนละแม่กันน่ะ แล้วมีปัญหาในครอบครัว พี่ทีมก็เลยเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่ตั้งแต่เด็ก”
ที่จริงเรื่องของตระกูลใหญ่แบบนี้ พอจะหาประวัติอ่านเอาได้จากในกูเกิ้ล แต่หนุ่มตาโศกคนนี้กลับไม่เคยคิดที่จะไปหาอ่าน
ตอนที่พี่กลับไปอเมริกาใหม่ ๆ ก็เคยค้นข้อมูลทำให้รู้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่รวยมาก จำไม่ได้สักคนว่าใครเป็นใคร รู้แต่ว่าทุกคนคือคนที่ประสบความสำเร็จ  แล้วพอขาดการติดต่อกันไป ก็คือการปิดกั้นการรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่ไปในที่สุด
บอกตัวเองว่าถึงจะอยากรู้ความเป็นไปของพี่ แต่จะรู้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาคือคนที่เดินจากไปแล้ว...โดยที่ไม่ได้บอกลากันสักคำ...
    พอเห็นว่าฉันท์ดูซึมไปกวางก็ถามต่อ “แล้วเขาเป็นพี่น้องแบบต้องอิจฉากัน แข่งขันกันด้วยป้ะ”
“ไม่รู้สิ”
“แล้วตอนนี้พี่ทีมเปลี่ยนกลับมาใช้นามสกุลเดียวกับพ่อของเขาหรือยัง”
“ยัง”
ธนวัฒน์ นามสกุล ต่อจันทรา เหมือนแม่ของเขา ส่วนธามัน นามสกุล ก้องเกียรติมนตรี
กวางอยากถามอีกหลายเรื่อง นี่ไม่ใช่ถามเพื่อเอาไปเล่าต่อ แต่เพราะความอยากรู้ล้วน ๆ ป้าก็เดินออกมาจากห้องนอน แล้วพาเปลี่ยนเรื่องเสียนี่
“เจ้าฉันท์อยู่ตรงนี้หรือลูก ได้ยินแต่เสียงกวางมันพูดอยู่คนเดียว”
“ใครพูดคนเดียวกัน” หนูย้อน หลังจากที่ส่ายหน้าให้กับความไม่รู้ของพี่ฉันท์
“ก็เราน่ะสิที่พูดคนเดียว” ป้าจิ้มหน้าผากของกวางแบบขำ ๆ “แล้วทำไมวันนี้เลิกเรียนเร็ว”
...
กวางเรียนอยู่ม.4 แล้ว ตามตารางเลิกเรียนช้ากว่าม.ต้น แต่กิจกรรมของโรงเรียนก็เยอะขึ้น พอเลิกเรียนก็จะรีบกลับมาช่วยงานบ้าน
ทื่จริงกวางไม่ค่อยอยากจะเรียนต่อ ม.4 สักเท่าไหร่ แต่พี่ฉันท์คือคนที่บอกว่าให้เรียนต่อ เป็นคนไปซื้อใบสมัครมาให้ แล้วก็พาไปสมัครสอบ พอสอบได้กวางก็เลยได้เรียนต่อ
ง่าย ๆ แบบนี้แหละ
ส่วนน้าน่ะหรือ ไม่เห็นจะมีความเห็นว่าหนูควรเรียนต่อ หรือว่าควรทำงาน
เรื่องนี้ทั้งน้า รวมถึงพ่อกับแม่หนูพูดเหมือนกัน คือให้มาถามพี่ฉันท์ แต่พอหนูสอบได้ น้าคือคนที่ให้เงินไปจ่ายค่าธรรมเนียมและอะไรอีกมากมาย
ตรงนี้อาจจะงงนิดนึงนะ น้าจ่ายเงินแต่ให้หนูแล้วสั่งให้บอกกับพี่ฉันท์ว่า แม่เป็นคนให้เงินมา แล้วถ้าแม่ถามเรื่องเงินก็ให้บอกว่าพี่ฉันท์เป็นคนจ่าย
ตอนที่แม่มาขอบคุณพี่ฉันท์ เขาก็แค่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
มีเสียงเล็ก ๆ ในหัวของหนูที่ร้องขึ้นมาว่า พี่ฉันท์รู้ๆๆๆ แต่ในเมื่อเขาไม่พูด ไม่ถาม หนูก็ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
กวางน้อยแสนดีกลายเป็นเด็กที่พูดโกหกเยอะมากก็เพราะน้านี่แหละ
ส่วนเรื่องเงินเดือนพี่ฉันท์จ่ายเหมือนเดิม น้าก็ให้เงินอยู่ทุกเดือนเหมือนกัน แต่บอกว่าเป็นค่าโทรศัพท์ ทำให้หนูไม่ต้องขอเงินแม่ ทั้งยังมีเงินให้แม่ได้เดือนละ 1 พันด้วย
แม่คุยอวดไปทั่วอย่างกับหนูให้แม่เดือนละหมื่น
หนูควรจะรู้สึกดีใจมากใช่ไหม ก็ใช่นะ หนูดีใจ แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าดีใจมาก เพราะว่ามีชื่อของหนูอยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้นของพี่ฉันท์
ก็เล่มที่เขาเริ่มเขียนตั้งแต่งานศพพ่อกับแม่เขาน่ะ
เขาจะเขียนว่าวันไหนต้องทำอะไรบ้าง ไปติดต่อใคร จัดการเรื่องไหน เรื่องบ้าน เรื่องลุง เรื่องป้า เรื่องจิโระ เรื่องของญาติฝั่งพ่อเขา แล้วยังมีเรื่องของหนูเข้าไปอีก
หนูเป็นลูกจ้าง หนูคือผู้ช่วยของพี่ฉันท์  ไม่ใช่อีกหนึ่งคนที่พี่ฉันท์ต้องดูแล
ในสมุดเล่มนั้นจดเรื่องที่เขาต้องทำให้กับทุกคนรอบตัวของเขา แต่ไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่จะเขียนว่าจะทำให้ตัวเอง ไม่มีแบบที่เขียนว่า ‘วันนี้ไม่มีนัด วันนี้วันหยุด จะไปเที่ยวละนะ’ ไม่มีเลย...
...
“กวาง เป็นอะไร” ป้าเรียก “คิดอะไรอยู่”
“คิดถึงรายงานน่ะสิ” หนูโกหก อย่าโกรธหนูนะ
“ให้พี่ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร” กวางโบกมือ “เดี๋ยวก็คิดหัวข้อออกเองแหละ ตะกี๋ป้าถามว่าอะไรนะ”
“ถามว่าทำไมเลิกเรียนเร็ว”
“ไม่เร็วหรอก หนูก็เลิกตามปกติน่ะแหละ แต่วันนี้ไม่ได้เข้าชมรม เพราะพวกอาจารย์เขาไปงานตอนเย็นกัน”
“เออดี” ป้าเดินมาถึงครัวเห็นฉันท์กำลังเตรียมอาหารเย็น ถามว่าวันนี้มีอะไรกินบ้าง
ฉันท์ยังไม่ทันจะตอบ จิโระที่ตื่นนอนแล้วลุกขึ้นยืนในกล่องพลางร้องเรียกพี่ชาย
“โอนี”
“อ้าว ตื่นแล้ว” ฉันท์รีบล้างมือไปอุ้มน้องออกมา แต่กวางตามมารับน้องพาไปห้องน้ำ
ป้าหันไปคุยกับฉันท์ที่กลับมาทำกับข้าวต่อ “ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว” แต่กวางอยู่ใกล้ฉันท์ตลอดทำให้ป้าไม่มีโอกาสได้ถามสักที “ตอนที่ธามมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เราเมื่อหลายปีก่อนน่ะ เจ้าฉันท์ออกไปกินข้าวกับเขาบ่อยไหม”
“ตอนเย็นพี่เขามารับไปเรียนพิเศษ” ฉันท์บอก “ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียน ไปกินในรถเกือบทุกวัน แต่ก็มีที่กินไอ’ติมบ้างเหมือนกันฮะ”
“แล้วเจ้าฉันท์รู้ไหมว่าเขาชอบกินอะไร”
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่รู้หรอกฮะ ผมกินอะไรเขาก็กินอย่างนั้น” หลานสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าฮะ”
“ก็จะต้องอยู่บ้านเดียวกันแล้วนี่ อยากรู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร ตอนนั้นที่ถามไป เขาก็บอกว่ากินอะไรก็ได้ แต่สังเกตว่ามื้อนั้น กินแต่หมูทอดน้ำปลาอยู่อย่างเดียว ยังคิดว่านั่นของโปรดเขา หรือเพราะว่าเขากินอย่างอื่นไม่ได้ ก็เลยต้องจำใจกินหมูทอด”
ฉันท์ชะงักมือที่กำลังยัดใส้หมูสับลงในหมึกกล้วย
...จำใจเลยหรือ
“เดี๋ยวถ้าเขามากินข้าวอีก เราก็ค่อยถามเขาแล้วกันนะฮะ”
“อืม...”
กวางล้างหน้าล้างตัวให้จิโระเสร็จแล้ว เด็กน้อยก็รีบวิ่งมาปีนเก้าอี้ดูพี่ชายทำกับข้าว
“อิขะ”
“หมึกหลอด”
“มึก”
“หมึก”
“มึก”
“หมึกหลอด”
“มึก ลอด”
การออกเสียงภาษาไทยของจิโระมันช่างยากเย็น ถัดจากหมึกหลอดก็ชี้ไปที่หมูบด
“มู โบะ”
“ใช่ แกงจืดหมึกยัดไส้หมูสับ ชอบไหม”
“จ้อบ” จิโระยิ้มหน้าบาน
“ชอบอะไร พูดดิ๊” กวางแกล้งน้อง แต่จิโระกลับย้อนถาม
“กวัง พูด ดิ๊”
“จิโระพูดดิ๊”
“กวัง แก้ง น้อง” จิโระหันมาฟ้อง
“โห” กวางทำปากยื่น “อย่างอื่นพูดไม่ชัด ทีฟ้องละชัดเชียะ”
“ขอบคุณ” จิโระค้อมตัวขอบคุณกวางด้วยความสุภาพ ทำให้ป้าหัวเราะเสียงดัง
“ชวนกันคุย เดี๋ยวก็พูดเก่งเอง แต่กวางอย่าสอนอะไรที่ไม่ดีกับน้องนะลูก พอเข้าโรงเรียนก็ต้องไปเรียนรู้อะไรแปลก ๆ มาจากเพื่อน นั่นก็มากเกินพอแล้ว อย่าให้ต้องมารู้จากที่บ้านอีกเลย” ป้าสอนเสร็จแล้วก็บอกว่าจะไปเรียกลุงให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตัว พาออกไปเดินเล่นในสวนแล้วกลับมารอกินข้าวเย็นด้วยกัน
....
ด้านหลังของลานจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทใหญ่ เป็นส่วนของห้องเก็บเครื่องมือช่างอาคาร และช่างซ่อมรถยนต์ของบริษัท ช่างซ่อมคนหนึ่งอัดบุหรี่เข้าปอด จากนั้นก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกระบะทรายแล้วเดินไปดูเครื่องยนต์รถตู้ส่งของคันเก่า ถัดไปมีช่างอีก 2 คนกำลังยืนคุยกันเรื่องสั่งซื้ออะไหล่ของรถสองแถวรับ-ส่งคนงาน  มีเสียงเปิดประตูห้องเก็บของดังขึ้นทำให้ทั้ง 3 คนหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นช่างซ่อมอาคาร 2 คนถือกล่องเครื่องมือกับบันไดออกมา คนที่อยู่ด้านนอกก็หันมาทำงานต่อไป
ถัดมาอีกครู่หนึ่ง ประตูลิฟท์เปิดออก ธนวัฒน์ก้าวออกมา ช่างซ่อมอาคารรีบเข้ามารายงาน “มากันครบแล้ว รออยู่ด้านในครับนาย”
ชายหนุ่มพยักหน้าผลักเปิดประตูห้องเก็บของเข้าไปด้านใน เดินผ่านชั้นวางเครื่องมือไปจนสุดทางเจอประตูอีกบาน ยังไม่ทันจะเปิดประตูเสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ธนวัฒน์มีสีหน้าเบื่อหน่ายเมื่อกดรับ แต่เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดไปได้ประโยคเดียวก็ต้องเดินถอยห่างออกมาจากประตูขณะที่สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม
....
บริษัทในเครือตระกูลของธามันแห่งนี้เป็นบริษัทใหญ่ ที่มีบริษัทย่อยแตกเครือข่ายสาขาการทำงานออกไปหลากหลาย
ภายในอาคารความสูงหลายสิบชั้น เป็นที่ตั้งของหลายบริษัทในเครือ มีพนักงานนับพันคน แต่หากต้องการหลีกเลี่ยงใครสักคน กลับยากกว่าที่คิด
ก่อนที่จะเดินเข้าห้องประชุมในช่วงเช้า ธามันก็พบว่าธนวัฒน์ก็มายืนรออยู่ที่หน้าห้องประชุมแล้ว
"รู้จักกับน้องฉันท์ตั้งแต่เมื่อไหร่"
นี่คือคำถามซึ่งธนวัฒน์รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เมื่อเริ่มต้นด้วยการทำเป็นไม่รู้ ทางนี้ก็สามารถตอบกลับไปด้วยการทำเป็นไม่รู้ได้เหมือนกัน
"ตอนที่กลับมางานบ้านฐาติเมื่อหลายปีก่อน ผมเคยไปเช่าอพาร์ทเม้นท์ของเขาอยู่"
การที่ไม่ว่าจะถามใครก็ตาม แล้วทุกคนให้คำตอบที่เหมือนกัน ทำให้ธนวัฒน์รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย
"แล้วพอกลับไปเรียนต่อก็ยังติดต่อกันมาตลอดหรือไง”
“ไม่ได้ติดต่อแล้วครับ”
เมื่อเห็นสีหน้าพอใจของธนวัฒน์ น้องชายก็ต้องหันไปมองทางอื่น
“พวกเราคบกันมานาน น้องฉันท์ไม่เคยพูดถึงนาย”
แม้ธามันจะหันไปมองทางอื่น แต่สีหน้าแววตาที่เหมือนกินยาขมทำให้ธนวัฒน์แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นถูกต้อง จึงพูดต่อไป “จนมาเห็นนายที่บ้านของเขา ดูไปแล้ว ทุกคนดูเกรงใจ ลำบากใจที่นายไปที่นั่น”
ธนวัฒน์พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อธามันนิ่งเงียบ
เมื่ออีกฝ่ายแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ธนวัฒน์ก็ให้รางวัล
   “แล้วไปไงมาไงถึงได้ไปซื้อบ้านเขา"
ธนวัฒน์ชอบฉันท์ทัตคือความจริง เมื่อเห็นบ้านหลังเล็กบนที่ดินผืนใหญ่ เขาก็ต้องการบ้านหลังนั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ต้องการถึงขนาดที่จะต้องลงมือไปแย่งชิงเพื่อให้ได้มา
ก็นั่นคือบ้านของน้องฉันท์ หากวันหนึ่งน้องฉันท์ใจอ่อนยอมคบหากัน จะอย่างไรก็ต้องเป็นของตนอยู่ดี
ธนวัฒน์รอได้...
ดังนั้นในตอนที่รู้ว่าฉันท์ขายอพาร์ทเม้นท์ให้ธามัน ธนวัฒน์ก็แค่บ่นนิดหน่อย แต่พอเห็นว่าขายบ้านให้ด้วย ความไม่พอใจถึงได้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่แสดงอารมณ์ไม่ดีกับฉันท์ ส่วนต้อม ที่ธนวัฒน์กำหนดไว้ว่าต้องเป็นคนที่รู้เรื่องของฉันท์ทัตมากที่สุดก็ถูก ‘ตำหนิ’ มากหน่อย
"ตอนที่คุยกันเรื่องซื้อขายอพาร์ทเม้นท์ แล้วเขาเล่าว่ากำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ไม่ได้บอกจำนวนเงินที่แน่นอน ผมก็ถามไปถึงเรื่องบ้านด้วย”
"ที่จริง นายอยากได้อพาร์ทเม้นหรือบ้านของเขากันแน่ ตามโครงการที่นายพูดมาตลอดก็คือซื้ออพาร์ทเม้นท์เก่ามาทำคอนโดฯ ไม่ใช่หรือ"
"อพาร์ทเม้นท์ครับ”
“แต่ก็ซื้อมาทั้ง 2 แปลงโดยที่ไม่ได้แตะเงินบริษัท”
ทำไมการที่ได้เกิดเป็นนายธามัน ถึงได้มีคนเห็นด้วยและสนับสนุนในทุกเรื่องที่ทำอยู่เสมอ
“โครงการแรกของผมไม่ใช่โครงการใหญ่ ก็เลยพอจะหาผู้สนับสนุนเรื่องเงินทุนได้บ้าง”
“ไปกู้มาจากไหน”
ธามันหัวเราะเบา ๆ “คุณทีมครับ จากเงื่อนไขที่คุณเป็นคนกำหนดเอง ผมจะหาแหล่งเงินกู้ได้จากที่ไหนถ้าไม่ใช่แม่ผม”
การเอ่ยถึงมารดาผู้มั่งคั่งเท่ากับการกระทืบลงไปที่ปมเขื่องในใจของธนวัฒน์
“นั่นสินะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้ามึนตึงเรียบเฉย “แหล่งเงินกู้รายใหญ่”
“ตอนนี้แม่กลายมาเป็นเจ้าหนี้ผมแล้ว ผมก็ต้องรายงานความคืบหน้าของการทำงานกับเขาเหมือนกับที่รายงานเข้าที่ประชุมของบริษัท”
นี่ก็เป็นอีกเงื่อนไขที่ธนวัฒน์กำหนดขึ้นมา เพื่อหวังสร้างความยุ่งยากให้กับธามัน แต่เมื่อโครงการเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น นี่กลับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ธนวัฒน์เสียเปรียบ
“หมายความว่ารายงานการทำงานให้คุณน้าเยาวเรศฟัง แต่ไม่รายงานกับทางบริษัทหรือไง” ธนวัฒน์เปลี่ยนเรื่องทันที “นายทำโครงการโดยใช้ชื่อบริษัทอยู่นะ หัดทำอะไรให้มันโปร่งใส นายต้องส่งความคืบหน้าการทำงานเป็นระยะ อย่าลืมสิ”
“ผมบอกว่า ผมรายงานกับแม่ แล้วก็รายงานเข้าที่บริษัทด้วย”
ธามันไม่เคยลืมเรื่องการส่งรายงานความคืบหน้าเป็นรายเดือนเข้าที่ประชุมเหมือนกับทุกโครงการของบริษัท แต่ที่ไม่ถึงมือกรรมการก็เพราะธนวัฒน์สรุปรายงานในเวลา 1 นาทีว่าโครงการนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แล้วเสนอแฟ้มโครงการต่อไปให้กรรมการพิจารณา
ที่จริงหากเจอสถานการณ์นี้ธามันควรใช้ความพยายามในห้องประชุมเพื่อบรรยายว่าโครงการไปถึงไหนแล้ว แต่ก็มักจะไม่ได้ทำอะไร ส่วใหญ่แล้วจะยิ้มอยู่เฉย ๆ ต่อให้ถูกตำหนิซึ่งหน้าเรื่องที่โครงการไม่ขยับไปไหน และถูกเปรียบเทียบกับโครงการอื่น ๆ ก็ตาม
เหมือนในตอนนี้ ที่ธามันกำลังยิ้ม “ที่จริงโครงการยังแทบไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยนะครับ ผมเพิ่งได้ที่ดินมา 1 แปลงเท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าคุณทีมกำลังไม่พอใจอะไรกันแน่”
โครงการ บ้าน หรือการที่เขาไปพบกับน้องฉันท์...ชิรายูกิแล้ว
หรือทั้ง 3 อย่าง
คนที่เป็นพี่ชายถอนหายใจ 2 มือล้วงกระเป๋า หันไปมองพนักงานกองเลขาฯ ถือแฟ้มเอกสารที่จะใช้ในการประชุมเดินมาทางนี้ ค้อมตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องประชุม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่พอใจอะไรกันแน่ อาจเพราะฉันกำลังกังวลอยู่”
ธามันเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ฉันไม่ใช่นักธุรกิจ บวกลบต้นทุนกำไรไม่เก่งอย่างนาย แต่เพราะว่ารู้จักน้องฉันท์ตั้งแต่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ก็พอจะรู้ว่าครอบครัวของเขามีปัญหา การเข้าไปฉวยโอกาสซื้อที่ดินจากเขาแบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่”
ธามันหัวเราะไม่มีเสียงเพราะถ้อยคำเหล่านี้เข้าหูของบรรดากรรมการบริหารของบริษัทรวมถึงนายธนา บิดาของเขาเองที่เดินมาถึงหน้าห้องประชุมพอดี
ทุกอย่างช่างเหมาะเจาะพอดิบพอดีไปเสียทุกอย่าง
การประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ธนวัฒน์ซักถามเรื่องที่ดินอย่างที่คาดไว้ ส่วนคนอื่นไม่มีใครถามอะไร แต่เมื่อการประชุมจบลง ธนาก็เรียกธามันให้ไปคุยกันต่อที่ห้องทำงาน ซึ่งแน่นอนว่าธนวัฒน์จะต้องตามเข้าไป ‘ช่วย’ น้องชายชี้แจงกับบิดาตามแบบของคนดี
การซื้อที่ดินมาทำโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัททำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ธนาอยู่ในธุรกิจมานานรู้จักการใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อสร้างความได้เปรียบในการประมูลโครงการสำคัญ
แต่เขาเห็นว่าเป็นการแข่งขันที่เหมือนกับการชกมวย ที่นักมวยจะที่ขึ้นเวทีชกกับนักมวยในรุ่นน้ำหนักเดียวกัน เมื่อได้ยินว่าลูกชายคนเล็กฉวยโอกาสซื้อที่ดินจากคนรู้จักที่กำลังเดือดร้อนก็รู้สึกไม่สบายใจ
คนอยู่ในแวดวงธุรกิจใช่ว่าจะรู้จักแต่หาแต่ผลประโยชน์
และเพราะว่าธนาเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้ เขาถึงได้เป็นห่วงและดูแลธนวัฒน์กับแม่มาโดยตลอด ทั้งสนับสนุนให้ทำงานอย่างเต็มที่ไว้ใจให้ทำงานอยู่ใกล้ตัวจนทำให้ใคร ๆ ก็เชื่อว่าเขาวางใจให้ลูกชายคนโตสานต่องานในบริษัท
เขาเคยบอกกับพี่ชายทั้ง 2 คนไปว่าเขารู้สึกติดค้างแม่ลูกคู่นี้ เพราะในช่วงที่รับธนวัฒน์มาอยู่ด้วยกันก็เห็นแล้วว่า ลูกชายคนโตเข้ากับพี่น้องคนอื่นไม่ได้เลย มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นทุกคนมักชี้ไปที่ธนวัฒน์ว่าเป็นสาเหตุ
หลังจากที่ธามันไปเรียนต่อต่างประเทศ ธนวัฒน์ก็ขอกลับไปอยู่กับแม่ พอเรียนจบก็ยังไปทำงานอื่นเสียหลายปีจนกระทั่งธามันใกล้จะกลับมาถึงได้ยอมกลับมา
ธนาเชื่อว่าเป็นเพราะตนเองไม่ได้ให้ความยุติธรรมต่อธนวัฒน์กับแม่ของเขา
ทุกเรื่องในอดีต และเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ธนามักกล่าวโทษตนเองอยู่เสมอ
ในห้องทำงานของผู้เป็นบิดา ลูกชายทั้ง 2 คนนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ตกลงธามได้ที่ดินมาอย่างไร” บิดาถามขึ้น
ธามันบอกกับบิดาเหมือนกับที่บอกกับธนวัฒน์ก่อนหน้านี้
บิดาเปิดดูแฟ้มรายงานที่ธามันเสนอเข้าที่ประชุมวันนี้อีกครั้ง “ธามซื้อมาถูกมากเลยนะ”
“ผมซื้อราคาประเมิน”
แต่ราคานี้ต่ำกว่าราคาประเมิน แสดงว่าคนขายกำลังเดือดร้อนมาก
“ธาม เราทำธุรกิจก็จริง แต่การซื้อขายยังไงก็ให้มันสมน้ำสมเนื้อ ถ้าเป็นกรณีที่ขายที่ดินทำกินผืนสุดท้าย ไปกดราคาเขาแบบนี้มันก็...”
“พ่อถามลุงธนดลหรือยัง”
ตอนประชุม ธนวัฒน์เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องราคาที่ซื้อมาถูกมาก แล้วธามันบอกว่าเป็นเพราะซื้อกับเจ้าของโดยตรง กรรมการหลายคนสนับสนุนว่าดีแล้ว ประธานบริษัทอย่างลุงธนดลก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่ธนาผู้เป็นพ่อของเขาดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่
“พ่อน่าจะให้คุณมิตรไปกับธามตอนที่เจรจาซื้อขายที่ดิน” ธนาบ่น “ทีมรู้จักกับเจ้าของด้วยใช่ไหม”
“ครับ” ธนวัฒน์ช่างเป็นลูกชายแสนดีรู้ใจบิดา “ตอนเรียนหนังสือเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดครับ ค่อนข้างเงียบ ต่อมาได้ข่าวว่าพ่อแม่เสียชีวิตแล้วทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ไว้”
“เขากำลังเดือดร้อนใช่ไหม” ธนาพอจะรู้มาคร่าวๆ
ธนวัฒน์ตอบ “นอกจากหนี้ก้อนใหญ่ ยังมีน้องเล็ก 3 ขวบคนหนึ่งแล้วลุงก็เป็นมะเร็ง เขามีรายได้จากอพาร์ทเม้นท์หลังนั้นเพียงแห่งเดียว”
“ที่จริงเขายังหนุ่มอยู่ ใช้หนี้แล้วก็น่าจะมีเงินเหลือไปค้าขายได้” บิดาให้ความเห็น “แล้วนึกยังไงถึงได้ไปซื้อบ้านเขาด้วย”
“บ้านนั่น ผมจะอยู่เองครับ”
ธนามองหน้าลูกชายคนเล็กแล้วพยักหน้าช้าๆ ...อย่างนี้เอง...
“แม่เรา เขารู้เรื่องนี้ไหม”
“ยังไม่ได้บอกครับ”
แต่เชื่อเถอะภายใน 5 นาทีหลังจากที่การพูดคุยครั้งนี้จบลง คุณเยาวเรศจะต้องรู้แน่นอน
“ให้ใครออกแบบ”
“ผมทำเอง”
ธนาเลิกคิ้วมองลูกชายคนเล็กแล้วยกยิ้มมุมปากขณะที่พยักหน้าอีกครั้ง
“มีอะไรก็ไปปรึกษาคุณปกรณ์นะ ไหน ๆ เขาก็คุมโครงการคอนโดฯให้เราแล้ว”
เป็นคำอนุมัติอย่างเป็นทางการที่เป็นการส่งสัญญาณด้วยว่า ต่อจากนี้โครงการคอนโดฯของธามันจะขึ้นมาอยู่บนโต๊ะประชุมอย่างสม่ำเสมอ จะต้องไม่มีคำว่าไม่มีความคืบหน้ามาให้ได้ยินอีก
ธนวัฒน์ออกจะผิดหวังอยู่หน่อย ๆ ที่บิดาเปลี่ยนจากการตำหนิเรื่องที่ธามันไปกดราคาซื้อขายที่ดินมาจากคนที่กำลังเดือดร้อนไปเป็นเรื่องที่ธามันกำลังจะปลูกบ้านหลังใหม่
ในทางตรงข้ามบิดาค่อนข้างพอใจด้วยซ้ำเมื่อธามันบอกว่าออกแบบบ้านหลังนี้เอง
“อย่างนี้ก็ต้องแบ่งคนงานคอนโดฯ มาสร้างบ้านในเวลาเดียวกันน่ะสิครับ”
“ปกติก็ต้องหมุนคนงานอยู่แล้ว”
“แต่กรณีนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของธามนะครับ พนักงานในบริษัทอาจมองว่าธามใช้คนงานของบริษัทมาทำงานให้”
ธนาบอกให้ลูกชายคนโตใจเย็นลง “พ่อเข้าใจที่ทีมเป็นห่วงนะ”
การใช้คนงานของบริษัทมาปลูกบ้านซ่อมบ้านของผู้บริหารเป็นเรื่องกึ่งสวัสดิการกึ่งสิทธิพิเศษ เพราะเจ้าของบ้านจะต้องรับจ่ายค่าวัสดุก่อสร้าง แต่ค่าจ้างค่าแรงของคนออกแบบ พนักงาน นายช่าง คนงานก็ได้รับค่าจ้างตามปกติจากบริษัท
“ธามไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์อะไรที่มากไปกว่าคนอื่นเลย พ่อเองตอนที่ซ่อมบ้านก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน”
ธามันพูดขึ้นบ้าง “เพื่อความสบายใจ ผมจะอยู่ในฐานะลูกค้าก็ได้ครับ”
“ได้อย่างไร”
“ผมว่าดีนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องคอยรายงานความคืบหน้าเรื่องซ่อมบ้านให้บริษัทฟังด้วย” ธามันทำหน้าตาใสซื่อ
ธนาไม่ได้อยากรู้เรื่องความคืบหน้าพวกนั้น เพียงคิดว่าเมื่อเป็นสิทธิ์ในฐานะผู้บริหารก็ควรรับไว้
ส่วนธนวัฒน์ไม่ได้สนใจอยากรู้เรื่องความคืบหน้าเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าสามารถสร้างความยุ่งยากให้กับธามันได้เขาก็จะทำ เพราะมาถึงขั้นนี้เขารู้แล้วว่า เยาวเรศแม่ของธามันที่เงินลูกชายมาทำโครงการ แต่ลูกชายกลับผันเงินส่วนหนึ่งไปซื้อบ้านด้วย
ธนวัฒน์คำนวนในใจ เยาวเรศเป็นคนใจอ่อน การเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวผ่านทางเธอไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่ควรใช้วิธีนี้บ่อย เพราะเธอจะต้องเลือกปกป้องลูกชายอยู่แล้ว
ที่จริงธนวัฒน์ยังมีอีกทางที่สามารถนำมาใช้ทำลายธามันได้
แต่หนทางนั้นอาจทำให้ฉันท์ทัตต้องเดือดร้อนไปด้วย
ธนารู้ดีว่าลูกชาย 2 คนนี้มีการแข่งขันกันรุนแรง การพูดชมเชยคนหนึ่งมักทำให้อีกคนหนึ่งไม่พอใจ
แต่วิธีการแสดงออกว่าไม่พอใจของทั้ง 2 คนนี้ต่างกัน
ธนวัฒน์จะเลือกเวลาที่ตามลำพังพ่อลูกเพื่อกล่าวถ้อยคำที่เป็นการตอกย้ำโดยอ้อมว่าเขาเป็นพี่ชายที่ด้อยกว่าน้องชายในทุกๆ ทาง
ส่วนธามันมักจะเอะอะโวยวาย
แต่ตอนนี้ธนวัฒน์มีทักษะการพูดกล่าวโทษพ่อโดยอ้อมที่เชี่ยวชาญขึ้น
ส่วนธามันเก็บงำความคิด ความรู้สึก แล้วก้าวไปสู่จุดหมายอย่างเงียบ ๆ
ในฐานะพ่อ เขารู้ว่าธนวัฒน์ไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังความสำเร็จในทางธุรกิจ
และในฐานะนักธุรกิจเขามองว่าธามันร้ายกาจกว่าพี่ชายหลายเท่า
“ไม่จำเป็นที่จะต้องขัดแย้งกัน หรือคิดระแวงแทนคนอื่นที่เราไม่รู้จักเขา” ธนามองลูกชายทั้ง 2 คน “ทุกอย่างมีกฎระเบียบอยู่แล้ว ทำไปตามนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น...” ธามันถาม
“พ่ออยากรู้ความคืบหน้าทั้งเรื่องโครงการคอนโดฯ และบ้านของธามด้วย ต้องมีรายงานความคืบหน้ามาทุกเดือน เรื่องคอนโดฯ เอาเข้าห้องประชุม ส่วนเรื่องบ้านพ่ออยากรู้เป็นการส่วนตัว”
แต่ก่อนที่จะเลิกงานในวันนั้นเองที่ธนาก็ได้รู้ว่าบ้านของฉันท์มีเนื้อที่มากกว่าพื้นที่ที่จะใช้ก่อสร้างคอนโดฯเสียอีก ทั้งธามันก็ยังซื้อมาในราคาที่ถูกเหมือนได้เปล่า ทำให้ธนาต้องมาหาลูกชายคนเล็กถึงห้องทำงาน
แน่นอนว่าต้องมีธนวัฒน์เดินตามมาด้วย
“ธาม คิดอะไรอยู่ บ้านหลังนั้นที่ดินมากกว่า 7 ไร่เชียวนะ”
เพียงประโยคเดียวธามันก็รู้แล้วว่า พ่อได้ข้อมูลนี้มาจากใคร ถ้าธนวัฒน์พูดเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่คุยกับบิดาหลังการประชุมช่วงเช้าเสร็จน่าจะดีกว่านี้ จะได้คุยรอบเดียวให้จบ ๆ ไป แต่การแอบบอกข้อมูลลับหลังแบบนี้ก็ไม่เสียหายสักเท่าไหร่
“ที่ดินแปลงนั้นไม่ได้มีเนื้อที่ 7 ไร่”
ธนานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แสดงว่ายังต้องการคำตอบเพิ่มเติม
“ตัวบ้านเขาจริง ๆ ประมาณ 120 ตารางวา ที่ดินส่วนที่เหลือเป็นที่ดินที่มีเงื่อนไข”
    “เงื่อนไขแบบไหน”
“ห้ามขาย”
“พ่อแม่ของเขาหรือ ก็ตายไปแล้วนี่” เมื่อถูกลูกชายคนเล็กมองหน้า คนเป็นพ่อก็รีบยกมือ “พ่อไม่ได้อยากได้ที่ตรงนั้น เพียงแต่รู้สึกสงสัยว่า ทำไมธามถึงเอาโครงการลงที่แปลงเล็กแทนที่จะเป็นแปลงใหญ่ ถึงแปลงใหญ่จะอยู่ท้ายซอยก็เถอะ” แต่ปรากฏว่าที่ดินแปลงนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยินมา“ธามคิดอะไรแปลก ๆ อยู่เสมอจนบางทีพ่อก็ตามไม่ทัน”
“ไม่ได้ซับซ้อนอะไร” นี่คือความจริง “ผมเสนอโครงการบนที่ดินแปลงเล็ก แล้วมาเจออพาร์ทเม้นท์ที่เจ้าของเขากำลังเดือดร้อน ตอนที่กำลังคุยกัน จำได้ว่าเขามีที่ดินอีกแปลงอยู่ท้ายซอย ก็เลยถามถึง ปรากฏว่าเขาขายผมก็เลยซื้อ เพราะอยากปลูกบ้านก็เท่านั้นเอง”
“ไม่ได้คิดวางแผนเรื่องบ้านไว้ก่อนหรือ”
“ผมมีแผนเรื่องที่อยากจะปลูกบ้านอยู่เองมาร่วม 20 ปีพ่อก็รู้” ใช่ธนารู้เรื่องนี้ดี “แต่บังเอิญได้บ้านที่อยู่ท้ายซอยหลังนี้”
ธนวัฒน์ไม่เชื่อคำพูดของน้องชายเลยสักนิด เพราะมีแต่ความบังเอิญซ่อนอยู่ทุกประโยค
ธามันเป็นนักวางแผน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
“แล้วเขาไปซื้อทาวน์เฮ้าส์อยู่หรือไง เห็นว่ามีทั้งเด็กและคนป่วย”
“ไม่ได้ย้ายไปไหน” ธามันตอบยิ้มๆ “ก็พ่อบอกเองว่ามีทั้งเด็ก และคนป่วย จะให้เขาย้ายไปได้ไง ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น”
พ่อนิ่งไปครู่หนึ่ง “ตอนที่ธามไปอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ของเขา เขาดีกับธามมากเลยใช่ไหม”
ธามันพยักหน้า
“งั้นก็ดีแล้ว” พ่อลุกขึ้นยืน “ที่เหลือก็รายงานตามระเบียบบริษัทก็พอ”
“ครับ”
ธนาเป็นพ่อแบบนี้ เขามักแสดงออกว่าวางใจลูกชายคนโต แล้วควบคุมลูกชายคนเล็ก แต่แท้จริงเขาคอยจับตาลูกชายคนโต แล้วปล่อยให้ลูกชายคนเล็กทำในสิ่งที่อยากทำ
ลูกชายทั้ง 2 คนไปจนถึงภรรยา และคนอื่นในบริษัทไม่มีใครรู้ความคิดนี้ จึงมักจะพูดลับหลังว่าธนาลำเอียงและคอยสนับสนุนแต่ลูกชายคนโต
....
(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-02-2019 19:27:36
(ต่อครับ)

และในค่ำวันนั้นเมื่อธามันกลับไปถึงบ้านเขาก็ต้องรายงานเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟังอีกรอบ
“ที่แม่สนับสนุนเรื่องโครงการ มันคนละเรื่องกับการที่ธามจริงจังกับเด็กคนนั้นนะ” เยาวเรศเชื่อมาตลอดว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาย-ชายเป็นแค่เรื่องสนุกแบบประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นานลูกชายคนนี้ก็จะเปลี่ยนไปควงกับสาวสวยที่เพียบพร้อมด้วยฐานะ และมีชื่อเสียง
“อะไรทำให้แม่คิดไปไกลขนาดนั้น ผมแค่ซื้อบ้านเก่า เพราะอยากปลูกบ้านอยู่เอง”
“แม่รู้นะว่าธามต้องการจะทำอะไร”
“ผมซื้ออพาร์ทเม้นท์เก่ามาทุบทำคอนโดฯ มันก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องซื้อบ้านนี่มันก็เรื่องหนึ่ง” ไม่ค่อยอยากยกพ่อมาอ้างสักเท่าไหร่ เอาไว้ถึงเวลาคับขันค่อยพูดออกมาแล้วกัน “บ้านหลังเล็กเนื้อที่ไม่เท่าไหร่ อยู่ติดสวน ถัดไปก็เป็นคลอง บรรยากาศดีมาก ผมชอบ”
“แต่เด็กนั่นกับครอบครัวยังอยู่”
การที่เรียกน้องด้วยคำนี้แสดงว่า เยาวเรศต้องรู้เรื่องที่เกี่ยวกับน้องมาแล้ว
“ครับ พ่อแม่เขาตายที่นั่น ลุงป่วย ป้าก็อายุมาก แล้วยังมีน้องชายเล็ก ๆ อีก แม่จะใจร้ายไล่เขาออกบ้านได้หรือครับ”
“แต่เราทำสัญญาซื้อขาย เราไม่ได้ทำมูลนิธิ”
เวลาที่คนเราโมโหไม่พอใจ พอโต้เถียงกันไปมักจะมีคำพูดที่ไม่น่าฟังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ผมจะไปอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว พวกเขาอยู่ที่นั่น คอยดูแลบ้านให้ผมไงครับ”
“ก็ให้คนงานของบริษัทไปดูแลก็ได้”
“บ้านนั้นมีคนฆ่าตัวตาย ยังจะมีคนงานที่ไหนอยากไปทำครับ”
ทุกคำทุกประโยคที่เยาวเรศยกขึ้นมาเพื่อให้ลูกชายเปลี่ยนใจ กลายเป็นถูกลูกชายปัดออกไปทั้งหมด
“แล้วทำไมต้องแยกไปด้วย”
ธามันตอบคำถามกึ่งตัดพ้อของแม่ด้วยการส่ายหน้า
“แล้วจะย้ายไปเมื่อไหร่”
“เมื่อซ่อมบ้านเสร็จแล้วครับ ตอนนี้ยังไม่ไปถึงไหนเลย”
....
หกโมงแล้ว ลุงกับป้านั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน ขณะที่คนงานซ่อมบ้านกำลังเก็บของเตรียมกลับไปพักที่บ้านหลังเดิมที่ลุงกับป้าเคยอยู่ ฉันท์ตักแกงป่ากระดูกอ่อนใส่กล่องให้คนงานเป็นกับข้าวมื้อเย็น
“ทานแกงป่ากระดูกอ่อนได้ไหมครับ”
“ได้ครับ คุณฉันท์ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อพวกเราทุกวันอย่างนี้ได้ครับ” คนที่งานที่มีอาวุโสที่สุดบอกขอบคุณ และรับกล่องกับข้าวมื้อเย็น 
เรื่องของเรื่องคือในวันแรกที่คนงาน 5 คนมาทำงานที่เริ่มจากการซ่อมห้องนอนชั้นบนก่อน ขณะที่ฉันท์ทำอาหารกลางวันให้ทุกคนในบ้านแล้วมีคนงานคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ‘หอมก๋วยเตี๋ยวไก่’ ฉันท์ก็เลยเพิ่มปริมาณอาหารขึ้นมาอีกเท่าตัวเพื่อเลี้ยงคนงานทั้งหมด พอช่วงบ่ายหัวหน้าคนงานมาตรวจงานแล้วรู้เข้าก็เลยมาบอกขอบคุณ แต่ก็ขอว่าไม่ต้องเตรียมอาหารกลางวันให้ เพราะคนงานเหล่านี้ทำงานหนัก กินเก่งมาก หากให้ฉันท์ต้องมาเตรียมอาหารกลางวันให้อีก จะกลายเป็นภาระไป
“ไม่ได้เป็นภาระอะไรเลยนะครับ เพราะผมก็ต้องเตรียมให้ทุกคนอยู่แล้ว”
คำว่าภาระมันออกจะเกินไปในความรู้สึกของฉันท์
“ผมเข้าใจครับ เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ที่ไปทำก็มักจะเลี้ยงคนงานด้วย เพราะเมตตา คนงานจะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ แต่เขากินเก่งครับ บางทีได้แค่ครึ่งกระเพาะแต่ก็เกรงใจไม่กล้าขอเพิ่ม อีกอย่างเขาชอบอาหารที่มันรสจัดหน่อยน่ะครับ”
พอเห็นว่าฉันท์ทำท่าจะอธิบายว่า เขาก็ทำอาหารรสจัดได้ หัวหน้าคนงานก็อธิบายต่อ “อีกเรื่องคือ การทำบ้านคุณธามนี่จะพิเศษหน่อยครับ”
“ยังไงครับ”
“คุณธนา คุณพ่อของคุณธามน่ะครับ พอรู้ว่าคุณธามให้คนงานมาปรับปรุงบ้านเก่า แล้วในบ้านยังมีทั้งคนป่วย ทั้งเด็กเล็ก ก็สั่งเด็ดขาดว่าต้องระวังให้มาก อย่าทำอะไรที่เป็นการรบกวน”
“ไม่ได้รบกวนอะไรนี่ครับ”
ประโยคก่อนก็ว่าภาระ ประโยคถัดมาก็ว่ารบกวน
“นะครับ ถือเสียว่าสงสารผมเถอะ”
“งั้นถ้าผมจะทำกับข้าวมื้อเย็นเผื่อคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...เรื่องนี้”
“ถ้าผมไม่ทำอะไรให้คนงานเลย ผมก็คงโดนลุงกับป้าว่าเอาได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นการซ่อมบ้านฟรี ๆ”
“ไม่ฟรีนะครับ คุณธามไม่ยอมใช้สวัสดิการบริษัท คือจะอธิบายยังไงดี” หัวหน้าคนงานช่างเล่า “คุณธามเป็นผู้บริหารบริษัท กรณีจะซ่อมแซม ต่อเติม จะต้องจ่ายค่าวัสดุเอง ส่วนค่าแรงคนงานบริษัทจ่ายให้ แต่บ้านนี้ คุณธามขอเป็นผู้ว่าจ้างช่างรับเหมาของบริษัท”
“แปลว่าคุณธามจ่ายทุกอย่างเลยหรือ”
“ครับ”
ฉันท์ลดเสียงเบาลง “มีปัญหาอะไรหรือครับ”
หัวหน้าคนงานอยากบอก แต่เพราะเคยพบกับธนวัฒน์ที่บ้านนี้ จึงบอกกว้างๆ “มันเป็นเรื่องภายในกลุ่มผู้บริหารของบริษัทน่ะครับ” ก็พี่น้องและเครือญาติของธามันทั้งนั้น “คุณธามต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง”
คนหนุ่มกว่าขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ อย่างนั้นก็ถือเสียว่าพบกันครึ่งทาง ผมทำมื้อเย็นให้วันละ 1 อย่างจนกว่าจะทำบ้านเสร็จ เวลาที่คุณธามมาถาม ผมจะได้มีเรื่องไว้รายงานว่า ผมก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน”
ขณะที่กำลังหัวเราะ หัวหน้าคนงานแอบสรุปในใจว่าทั้งธามันและฉันท์ทัตมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือการเป็นคนที่เมื่อตั้งใจว่าจะทำอะไร ก็จะพยายามทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้ได้
การซ่อมบ้านเป็นไปอย่างระมัดระวังจริง ๆ ไม่ได้เปิดเพลงเสียงดัง ไม่ตะโกนคุยกัน แบ่งงานกันทำในแต่ละห้อง เวลาที่จะต้องตอกค้อนตอกตะปูก็จะมาชะโงกหน้ามองดูว่าลุง หรือจิโระหลับอยู่หรือเปล่า ถ้าหลับอยู่ก็จะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก่อน และรอวันที่ลุงต้องไปหาหมอ ถึงจะเข้ามาทาสี
ดังนั้นการซ่อมบ้านของธามันหลังนี้จึงมีความคืบหน้าไปช้ามาก ทั้งที่มีคนงานหลายคน ช้าจนกระทั่งลุงต้องออกปากว่าไม่ต้องเกรงใจ เพราะว่าลุงซ่อมอพาร์ทเม้นท์มานานกว่า 10 ปีเข้าใจเรื่องเสียงดัง เรื่องกลิ่นสี กลิ่นน้ำยาอะไรต่างๆ ขอให้ทำงานไปตามขั้นตอน
แต่เพราะคนออกคำสั่งแรกคือธามัน คนงานตอบรับคำสั่งของลุงก็จริงแต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งของธามันเหมือนเดิม
เมื่อการซ่อมห้องนอนใหญ่เสร็จ ธามันก็โทรศัพท์มาหาลุง เพื่อขออนุญาตให้คนงานขนย้ายเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวเข้ามาที่บ้าน
“ธามเป็นเจ้าของบ้านนะ จะต้องมาขออนุญาตทำไม” ลุงทำเป็นพูดนั่นพูดนี่ทั้งที่ยิ้มกว้าง พอวางสายโทรศัพท์ก็มาบอกฉันท์เรื่องที่จะมีรถขนของของธามันมาที่บ้าน
การจัดห้องนอนไม่เท่าไหร่ แต่ในกลุ่มของใช้ส่วนตัวที่ยกมา ยังมีโต๊ะทำงานอีกหนึ่งตัวที่ธามันขอให้วางไว้ที่ห้องรับแขกชั้นล่าง ซึ่งหมายความว่าทุกคนก็ต้องช่วยกันจัดห้องนี้กันใหม่ ป้าจึงพาจิโระออกไปเล่นอยู่ในสวน ปล่อยให้ลุงกับฉันท์ช่วยคนงานจัดบ้าน
ขณะที่กำลังยืนมองคนงานช่วยกันจัดบ้าน ลุงก็พูดขึ้น
“ที่จริงถ้าจะทำงานที่บ้าน น่าจะไปปรับปรุงบ้านหลังเดิม ตรงอพาร์ทเม้นท์น่าจะเหมาะกว่าเพราะจะได้คุมงานด้วย”
ลุงคงลืมไปว่าตอนนี้บ้านหลังนั้นมีคนงานก่อสร้างพักอยู่
“ที่ตรงนั้นต้องรื้อถอน แล้วก็ปรับพื้นที่ ระหว่างนั้นเขาถึงจะทำออฟฟิศเล็ก ๆ กับห้องตัวอย่าง คงจะย้ายออฟฟิศตอนนั้นน่ะฮะ” ฉันท์เดา
“แล้วพอคอนโดฯเสร็จ เขาก็ต้องรื้อออฟฟิศนั่นใช่ไหม”
“ครับ”
“อย่างนั้นเราก็ต้องยกโต๊ะนี่กลับมาบ้านอีกรอบ หรือทำออฟฟิศเล็ก ๆ ที่ตึกคอนโดฯเลย”
พอฉันท์ส่ายหน้าเพราะไม่รู้ ลุงก็ขมวดคิ้วแน่น “ไม่ได้คุยกันหรือ”
ฉันท์ส่ายหน้าอีกครั้ง
เมื่อคนงานทั้งกลุ่มขนย้ายและซ่อมบ้านกลับไปหมดแล้ว ฉันท์ก็ขึ้นไปทำความสะอาดห้องชั้นบนอีกรอบ ป้าเดินขึ้นมาดู
“เจ้าฉันท์ พวกเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่ในกระเป๋าพวกนั้นทำไง เอาออกมาดีไหมลูก”
“ผมทำเองครับ”
“ไม่เป็นไร ป้าช่วย ลุงกับจิโระหลับแล้ว”
“คงจะเหนื่อย ป้าเองก็พักก่อนก็ได้ครับ”
ป้าบอกว่าไม่เป็นไร ช่วยรื้อของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาจัดเรียงไว้ในห้องน้ำ และที่โต๊ะกระจกในห้องนอน ขณะที่ฉันท์เรียงเสื้อผ้าใส่ตู้ ครู่เดียวก็เสร็จอย่างที่ป้าบอก
ตอนที่กำลังกินข้าวเย็นพร้อมหน้า ป้าก็คุยกับลุง “เขาจะอยู่ได้จริง ๆ หรือบ้านเราหลังเล็กแค่นี้”
“เขาก็ให้คนงานขนของมาขนาดนี้แล้วนี่” ลุงบอก
“อาจมาพักเป็นบางวันเหมือนตอนก่อนนี้ก็ได้ หรือเฉพาะทำโครงการ เพราะเขาก็มีบ้านของเขาอยู่แล้ว”
“อืม” ลุงวินัยเป็นคนพูดน้อย “แล้วตอนที่เขามาวันนั้น ทำไมไม่ถามเขาล่ะ”
“ถามแล้วนะ” ป้าหันมาถามฉันท์ “ใช่ไหมเจ้าฉันท์ ป้าว่าป้าก็ถามเขานะ แต่เขาก็บอกแค่ว่าจะขอมาอยู่ด้วยคน ไม่ได้พูดเรื่องเวลา”
เวลาที่คุยกับลุงจะชัดเจนว่าธามันคือเจ้าของ เราคือผู้อาศัย แต่ทำไมเวลาที่คุยกับป้ามักรู้สึกว่า ธามันมาขออาศัยอยู่ด้วยทุกที
“ซ่อมบ้านแล้ว ขนของมาแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่เขาสิ เขาเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่แล้ว” ลุงเตือน
ฉันท์เหลือบตามองลุงแล้วหันไปมองป้า
“เออ นั่นสินะ เจ้าฉันท์ขายบ้านให้เขาแล้ว ป้าก็ลืมเรื่องนี้เสียเรื่อย”
ฉันท์เอื้อมมือไปจับมือของป้าไว้
“ป้าเข้าใจลูก แต่แก่แล้วบางเรื่องก็หลงลืมไปอย่างนั้นเอง”
จิโระลงจากเก้าอี้ของตัวเองแล้วมาปีนขึ้นตักของพี่ชาย อ้อนให้กอด
“โอนี”
“นี่ก็อีกคน พาไปเข้าเรียนอนุบาลน่าจะดีกว่า เดี๋ยว 6 ขวบต้องเข้าป.1 แล้วมันจะปรับตัวไม่ทัน”
“อย่าเพิ่งเลยครับ” ฉันท์บอก
“หนูก็เข้าเรียนตอนป.1 เหมือนกันนะ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” หนูจำเป็นต้องท้วงขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะพากันลืมว่าหนูก็อยู่บ้านนี้
ป้าหันมาค้อน “มันไม่เหมือนกัน เราน่ะมันรู้มาก ช่วยเหลือตัวเองได้ดี อยู่ที่ไหนกับใครเขาก็ได้”
“จิโระก็เหมือนกันแหละ ให้พี่ฉันท์สอนอยู่ที่บ้านเหมือนโฮมสคูลก็ได้นี่นา”
“โฮมสคูลเขาก็ต้องมีการวัดผลเหมือนกัน” ลุงบอก “ไม่ต้องรีบหรอก จิโระเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้ไม่เท่าไหร่ ให้เวลาเขาปรับตัว แล้วก็มั่นใจว่าเราจะดูแลเขาอย่างเต็มที่สำคัญกว่า”
ความเห็นของคนพูดน้อยกลายเป็นบทสรุป
3 ทุ่มลุงกับป้าเข้านอน ฉันท์ก็พาจิโระเข้านอนเหมือนกัน แต่พอน้องหลับไปแล้ว คนพี่กลับลงมานั่งดูโทรทัศน์อยู่กับกวาง ทั้งที่มักจะนอนพร้อมน้องอยู่เสมอ
เกือบ 4 ทุ่มฉันท์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นนอน ละครโทรทัศน์ที่กำลังดูอยู่ก็ไม่เห็นว่ามันจะสนุกตรงไหน หันไปทีไรก็มีแต่ฉากกินข้าว ไม่ก็นางเอกล้มลงมาทับพระเอกแล้วตกตะลึงมองหน้ากัน ฉากแบบนี้คนดูคงชอบ แต่ไม่ใช่พี่ฉันท์ เพราะเขาไม่มีสีหน้าท่าทางอะไรที่บอกว่าชอบ แต่ก็ยังดูอยู่
น่าจะดูโทรทัศน์ ไม่ใช่ดูละคร
กวางที่กำลังนอนทำการบ้านถามขึ้น “พี่ฉันท์รอพี่ธามหรือ”
ฉันท์ไม่ได้ตอบ แต่มองผ่านหน้าต่างออกไปไกล

วันถัดมาพี่ฉันท์ก็ยังมองออกไปทางหน้าบ้านอยู่บ่อย ๆ เหมือนเมื่อวันก่อน
เขาไม่พูดอะไร สีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่รู้สึกอะไร
...เจ้าชายหิมะ...เคยได้ยินพี่ต้อมเรียกพี่ฉันท์แบบนี้
พี่ฉันท์ไม่ยอมเข้านอนสักที แล้วกวางวัยรุ่นรักดีจะนอนได้ไง ที่กำลังหาวนอนอยู่ตอนนี้ก็ง่วงจริง ไม่ได้แกล้ง เหมือนตอนที่หลับไปเลยเนี่ยก็หลับจริง ตอนที่พี่ฉันท์มาปลุกให้ขึ้นไปนอนเลยรู้สึกว่าเสียฟอร์มชะมัด
“กวางขึ้นไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จะปิดบ้านเอง”
กวางหันไปมองนาฬิกา อีกไม่ถึง 10 นาทีจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ก็เลยลุกขึ้นมาปิดบ้าน แล้วบอกพี่ฉันท์ว่า
“เที่ยงคืนแล้ว”
อยากบอกว่า พี่ธามคงไม่มาแล้วแต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะไม่อยากให้พี่ฉันท์ผิดหวัง แต่ถึงจะไม่พูดอะไร ก็รู้ว่าพี่ฉันท์กำลังรอ และผิดหวังอยู่ดี เพราะเขาเดินตามหนูขึ้นมาที่ห้องนอน แล้วก็ยังหันไปมองนอกบ้านว่าจะมีรถเข้ามาจอดหน้าบ้านหรือเปล่า
ดังนั้น เช้าวันมาสิ่งแรกที่กวางทำเป็นสิ่งแรกเมื่อถึงโรงเรียนก็คือ...
“น้า ทำไมพี่ธามไม่กลับบ้าน”
“อ้าว อะไรของมึง กูจะรู้ไหมเล่า”
ตอนที่รับโทรศัพท์เด็กกวาง ฐาติขับรถไปศาลยังไม่พ้นปากซอยบ้านเลย เด็กนักเรียนไปถึงโรงเรียนแล้วหรือ
“น้าไม่รู้แล้วใครจะรู้”
“ก็กูไม่รู้” ฐาติขำมากกว่าโมโห “ถามอย่างกับเป็นเมียเขา”
“ใครเมียใคร น้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย”
“กูไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แล้วเดี๋ยวนะ พี่ธามของมึงไม่กลับบ้านไหน”
คำตอบนี้มีบางอย่างผิดปกติ “พี่ธามมีกี่บ้าน”
“บ้านเดียวสิ พี่ธามมึงเป็นเบบี๋ ยังอยู่กับแม่พอใจป้ะ”
กวางหัวเราะคิก “อะไรมาป้ง มาป้ะ ไม่เข้ากับน้าเลยจะ 30 อยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว”
“ก็ป้ะตามมึงแหละ แล้วกูยังไม่ 30 โว้ย ถ้ากู 30 พี่ธามมึงก็ 30 เหมือนกันแหละ เพราะกูเกิดก่อนไม่กี่เดือนเอง”
“โหย หน้าตาน้าล้ำหน้าพี่ธามไปหลายป้ายรถเมล์ละ”
“ตกลงมึงจะโทรมาถามเรื่องพี่ธามไม่กลับบ้าน หรือเรื่องหน้ากูกันแน่”
“เออใช่ จะถามเรื่องไม่กลับบ้าน”
“บ้านไหน”
“ก็บ้านนี้อ้ะ บ้านพี่ฉันท์เนี่ย”
“ย้ายของเข้าไปแล้วหรือไง”
“ย้ายแล้ว เสื้อผ้า โต๊ะทำงานก็มาแล้ว แต่ตัวไม่เห็นจะมาสักที เมื่อคืนนี้พี่ฉันท์รอจนเที่ยงคืน แล้วพอพี่ฉันท์รอหนูก็เลยต้องรอไปด้วย ถ้าวันนี้หนูหลับในห้องเรียนหนูจะโทษน้า”
“อ้าว ไอ้นี่” ฐาติร้องอ้าวเป็นครั้งที่ 2 งงสิ ริจะคบเด็กแต่ไม่เคยตามความคิดเด็กทันเลยสักที “จะมาโทษอะไรกูอีก”
“แล้วจะให้หนูโทษพี่ฉันท์หรือไง ไม่มีทาง โทษพี่ธามก็ไม่ได้ด้วย เพราะถ้าพี่ฉันท์รู้เขาจะเสียใจ เพราะงั้นก็ต้องโทษน้า”
รถมอเตอร์ไซค์แม่บ้านวิ่งแซงขวาไป ด้านหลังเสื้อคนขับสกรีนคำว่า ‘อะไรก็กู’ ทำให้ฐาติหัวเราะ “เออตามใจมึงเหอะ” 
“น้า พี่ธามย้ายของมาแล้ว แต่ทำไมตัวเขายังไม่มาล่ะ”
“ยังเจรจากับแม่เขาไม่ลงตัวน่ะ” ปัญหาเดียวของพี่ธามของมึง
“แม่พี่ธามไม่อยากให้พี่ธามมาอยู่กับพี่ฉันท์หรือไง”
“อันนี้ไม่รู้ว่ะ แต่เขามีลูกคนเดียว ก็คงอยากให้ธามอยู่กับเขาแหละ”
“หนูถามว่า แม่เขาไม่อยากให้พี่ธามมาอยู่กับพี่ฉันท์หรือไง ไม่ได้ถามว่าแม่เขาอยากให้พี่ธามอยู่กับเขาคืออยู่กับแม่หรือเปล่า” น้างงอะไรเนี่ย
“ก็บอกว่าไม่รู้” ทำไมน้ำเสียงมันคาดคั้นบังคับกันขนาดนี้วะ
“อ้อ เข้าใจละ แม่พี่ธามไม่รู้เรื่องพี่ฉันท์”
“อือ” ที่จริงพ่อแม่ของธามันรู้เรื่องฉันท์แล้ว
กวางถอนหายใจมาทางโทรศัพท์ “งั้น...เออน้าจะทำไงก็แล้วแต่น้าละกัน แต่ช่วยทำให้พี่ธามรู้ว่าพี่ฉันท์รออยู่ได้ป้ะ”
“ทำไง”
“ลืมไป น้าไม่ทำงานฟรี ๆนี่หว่า”
ไอ้เด็กนี่มันกำลังมองเราเป็นฐาติหน้าเงินอยู่หรือเปล่าวะ
“เอางี้ น้าจะทำไงก็แล้วแต่น้าละกัน แต่ถ้าเขามาเมื่อไหร่หนูจะให้น้าเลี้ยงข้าวหมูกรอบ”
“ห๊ะ อะไรนะ”
“ข้าวหมูกรอบ ต่อด้วยลอดช่อง แล้วก็สายไหมด้วยก็ได้”
“ใครเลี้ยง”
“น้าเลี้ยงสิ หนูยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลยนะ จะเลี้ยงน้าได้ไง”
...เฮ้อ...

...จบตอนที่7...
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-02-2019 20:18:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-02-2019 21:16:53
ชอบกวางเด็กแสบ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 05-02-2019 21:53:45
พี่ธาม น้องรออยู่  :katai5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-02-2019 22:16:40
ตามเด็กทันไหมน้า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 05-02-2019 22:43:09
เอาคุณพี่ทีมออกไปที ลำไย  :katai1:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-02-2019 23:23:50
555 มีกวางคือดี ฮาไปหลายขุม
มีที่ไหนบอกว่าจะเลี้ยง แต่ให้เค้าจ่าย

ธามเอ้ย รีบมานะ ฉันท์จะเป็นแพนด้าแล้ว
เอ็นดูฉันท์ คือน้องสนใจคนรอบข้างนะ
แต่จะเลือกสนใจคนที่ควรสนใจ

พ่อธามก็ย้อนแย้ง จะชงพี่หรือเชียร์น้อง ก็ยำรวมมาก
ทีมคือตัวร้ายที่พ่อยังต้องระวังน่ะ คิดดูว่าขนาดไหน
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-02-2019 08:34:04

นี่ตอนแรกจัดให้อิตาทีมเป็นแค่แมงหวี่แมงวันที่มาคอยตามให้รำคาญ แต่มาตอนนี้ เยอะล่ะ

 แม้กระทั่งพ่อตัวเองยังดูออกมีปมแต่ไม่มีกึ๋นพอ ได้แต่หวัง(อีกแล้ว) จะไม่มีอะไรร้ายแรงไปมากจนถึงกับทำให้ต้องมีคนตาย

   ว่าแต่ขอลงเรือกวางเด็กพี่ฉันท์กับน้าล่ะ  :katai2-1:


 
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 06-02-2019 14:58:09
 :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 06-02-2019 21:04:31
เอ็นดูกวาง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: @PurPle SuN@ ที่ 10-02-2019 15:31:13
อ่านไปก็ลุ้นไป มันจะยังไงเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 12-02-2019 08:56:05
รักน้องฉันท์ เอ็นดูน้องกวาง   :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-02-2019 04:21:41
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-02-2019 12:24:58
กวางไม่ทันคนแก่เลยลูก
นายทีมนี่ร้ายจัง  :m16:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-02-2019 20:03:32
รอออ


คิดถึงจิโร๊ะแล้ว


พี่ธามน้องฉันมายัง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 19-02-2019 10:12:33
มารอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่7 (5/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-02-2019 12:11:29
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 23-02-2019 17:30:49
ตอนที่ 8

ไฟถนนหน้าบ้านส่องสว่างตั้งแต่ 6 โมงเย็น ลุงกับป้าเดินเล่นอยู่ในสวนอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมงก็กลับเข้าบ้านไปล้างเนื้อล้างตัว ส่วนฉันท์กับจิโระเอาผลไม้ในสวนไปให้อาที่อยู่บ้านถัดขึ้นมา 2 หลัง ดังนั้นตอนที่มีรถคันใหญ่แล่นผ่านหน้าบ้านเข้าไปในซอย คนในบ้านจึงคาดเดากันว่าเจ้าของรถคันนี้น่าจะมาธุระที่บ้านฉันท์ที่อยู่ท้ายซอย 2 คนพี่น้องจึงลาอาเจ้าของบ้าน เดินจูงมือกันกลับมา
ตอนที่เห็นรถคันใหญ่จอดอยู่หน้าบ้าน มันรู้สึกอิจฉาแบบแปลกๆ
รอเขามาตั้งหลายวันต้องดีใจอยู่แล้วที่เขามา แต่ก็มีความอิจฉาเจือปนอยู่ด้วย
ชีวิตที่เป็นอิสระ รู้จักโลกกว้างใหญ่นี่มันเป็นอย่างไรนะ...
ตอนที่เดินเข้าบ้านมาแล้วเห็นเขากำลังคุยอยู่กับลุงและป้าก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้หันมาทักทาย ไม่ได้หันมามอง แต่กลับไปรับไหว้และทักทายจิโระ ทั้งบอกว่ามีตุ๊กตาแมวตัวใหญ่มาฝาก
น้องชายเงยหน้ามองพี่ชายเพื่อขออนุญาต พอพี่ชายพยักหน้าก็เดินเข้าไปรับตุ๊กตา
“ทานข้าวมาหรือยังครับ” ฉันท์ถาม
“ยัง” ธามันตอบสั้นๆ ไม่ได้หันมามองหน้าเหมือนเดิม
ฉันท์กดความรู้สึกน้อยใจ เดินเข้าครัวไปอุ่นต้มยำไก่ แล้วทำผัดพริกหยวกใส่ตับหมูเพิ่มมาอีกอย่าง จิโระอุ้มตุ๊กตาแมวเดินมาหาพี่ชาย บอกว่าอยากกินข้าวด้วย ทั้งที่เพิ่งกินไปพร้อมลุงกับป้าก่อนที่จะออกไปบ้านอา
“ตลอด ๆ” กวางทำปากยื่นแซวเด็ก
จิโระหันไปทำเสียงเลียนแบบทันที “ตอด ตอด”
“ไม่ใช่ ตะ-หลอด”
“ไม่ไจ้ ตะ-หลอด”
กวางส่ายหน้า “ตะ-หลอด”
จิโระส่ายหน้าด้วย “ตะ-หลอด”
ฉันท์แบ่งตับหมูมาทอดให้น้องชายใส่ถ้วยข้าวเล็ก ๆ พร้อมด้วยแครอทหั่นชิ้นแยกใส่ถ้วยอีกใบ จากนั้นจึงทำผัดพริกหยวกให้ธามัน
แต่ตอนที่ตักผัดพริกใส่จาน ธามันก็ลุกมานั่งรออยู่ที่โต๊ะในครัวแล้ว
“กินอะไรครับ” ยังคงให้ความสนใจพูดคุยกับน้องชายอยู่เหมือนเดิม
“ตับ มู ทอด ฮับ”
“แล้วของพี่ล่ะ”
จิโระชี้ไปจานผัดพริก “มู เผ็ด”
“ผัดพริกหยวกกับตับหมูครับ” ฉันท์บอกน้อง
“ผัด พิก ยวก กาบ ตาบ มู”
กวางขมวดคิ้ว “เพิ่งรู้ว่าภาษาไทยมันยากก็ตอนที่สอนจิโระนี่แหละ”
“กวังไม่เก่ง”
“อะระ”
“โอนี กวัง พูด ไม่ จั๊ด”
“ตัวเองแหละพูดไม่ชัด แต่เวลาฟ้องเนี่ยเก่งนัก”
“จิโระเก่ง”
“กวางเก่ง จิโระไม่เก่ง”
กวางทำปากยื่นเถียงกับจิโระ แต่พอฉันท์วางถ้วยต้มยำแล้วหันไปตักข้าวให้ธามัน การโต้เถียงก็เลยหยุดลงเพราะกวางไปรินน้ำเย็นให้ทั้งธามันและจิโระ
จิโระรอจนธามันจับช้อนส้อมก็จับช้อนของตนเอง “ขอบคุณโอนี จะทานให้อะ-หร่อย นะ-ฮับ” จากนั้นก็กินข้าวไปพร้อมกับธามัน
ลุงกับป้ากินข้าวแล้วด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ยังลุกตามมานั่งคุยที่โต๊ะกินข้าวด้วย
“ธามปีนี้อายุเท่าไหร่นะ” ป้าถามขึ้น
“27 ครับ”
...
งั้นน้าก็อายุ 27 เหมือนกัน พี่ฉันท์ 22 หนูอายุ 16 จิโระ 3 ขวบ  แต่ทำไมบางทีหนูว่าจิโระฉลาดกว่าน้าเสียอีกนะ
...
“ตอนนั้นที่กลับมาเรียนจบปริญญาตรีแล้วสินะ”
“จบแล้วครับ ผมฝึกงานอยู่กับบริษัทอสังหาฯ ทางนั้นแล้วถูกเรียกกลับมา แต่ผมขอกลับไปฝึกงานต่อแล้วก็เรียนต่อจนจบอีก 2 ใบ”
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแรงฮึดอยากเอาชนะก็คงทำไม่ได้
ฉันท์ที่ฟังเขาคุยกันรับรู้ว่าช่วงที่หายไป ธามันกำลังเรียนหนักอยู่จริง ๆ
ป้าพยักหน้า “พอจบก็ทำงานที่นี่ต่อเลย”
“ครับ”
“ป้าคิดว่าลูกคนรวยนี่จะเรียนไปเที่ยวไปเสียอีก”
ธามันยิ้ม “ที่จริงแล้วทั้งพ่อ ทั้งผมเป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
เป็นคำพูดถ่อมตนที่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะแบบไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ธามันกล่าวย้ำว่าเป็นความจริง
“เอาเถอะ” ป้าพูดกลั้วหัวเราะ “อย่างนั้นก็ทำงานเต็มที่ไม่ต้องห่วงเรื่องที่บ้าน พวกเราจะดูแล รักษาให้เป็นอย่างดี”
“ขอบคุณครับ” ธามันบอกกับป้าแล้วหันไปหาจิโระ “อร่อยไหม”
จิโระพยักหน้า ตักข้าวคำเล็กป้อนธามัน
“ร่อย มะ”
“อร่อยครับ”
ทั้งธามันและจิโระเป็นคนที่กินข้าวเกลี้ยงจานและไม่ขอเติมข้าวเหมือนกันทั้งคู่ พอกินอิ่มก็พากันไปเดินเล่นที่หน้าบ้าน แล้วกลับเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ปกติจิโระจะติดเจ้าฉันท์มาก ไปไหนไปด้วย พอมาเจอธามกลับไปกับเขาได้” ป้าตั้งข้อสังเกต
“ติดพี่ธามหรือติดตุ๊กตาตัวใหม่ ป้าดูดี ๆ เหอะ” กวางเถียง
“เรานี่มัน” ป้าส่ายหน้าให้กับความเห็นของกวาง
ฉันท์หันไปมองกล่องของเล่นที่คุณน้าที่ญี่ปุ่นส่งมาให้ กับยังมีหนังสือและสมุดภาพภาษาญี่ปุ่น ก็เห็นว่าจิโระมักจะเทออกมานั่งเล่นอยู่ทุกวัน ตอนไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ก็ไม่เห็นว่าจะเคยชี้บอกว่าอยากได้ตุ๊กตานุ่มนิ่มขนฟูแบบนั้น
ที่ติดธามันคงไม่ใช่เพราะตุ๊กตา ไม่ใช่ของขวัญที่เขาให้ แต่อาจเพราะเคยเห็นธามันจากภาพที่พี่ชายดูอยู่บ่อย ๆ
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ธามันก็ไปเอาแฟ้มงานจากในรถมานั่งทำงานต่อที่โต๊ะ ลุงกับป้าดูโทรทัศน์อีกครู่หนึ่งจึงขอไปเข้านอน จิโระก็ขอให้ฉันท์พาขึ้นนอนบ้าง ทำให้เหลือแต่กวางที่อยู่กับธามัน

ในห้องนอนที่นอนด้วยกัน 3 คนเจ้าตัวเล็กนอนหนุนแขนพี่ชายที่อ่านหนังสือนิทานเล่มใหญ่ให้ฟัง
จิโระมองดูรูปในนิทานแล้วชี้ถามภาษาไทย
"โชโช ผีเสื้อ"
"ผี เจื้อ" จิโระออกเสียงตามช้า ๆ
ประตูห้องนอนเปิดออก คนที่เห็นว่านั่งทำงานอยู่เมื่อครู่เข้ามานอนอีกด้านของจิโระ ฉันท์ขยับหนังสือให้ดูด้วยกัน
เป็นนิทานที่ต้องอ่านช้ากว่าปกติหลายเท่า เพราะคนฟังตัวเล็กไม่ถนัดภาษาไทย แต่ก็ตั้งใจฟังและถามไปเรื่อย แถมพออ่านไปแล้วย่อหน้าหนึ่ง คนฟังยังขอให้อ่านให้ฟังอีกรอบ ฉันท์ก็ตามใจอ่านให้ฟังอีกรอบ จนกระทั่งจิโระขยับตัวซุกหน้ากับอกพี่แล้วหลับไป ฉันท์ก็ขยับตัวช้า ๆ เปลี่ยนหมอนข้างใบเล็กให้กอด ห่มผ้าให้น้องแล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองพี่ที่ขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองมาเหมือนกัน
มีเรื่องที่อยากถาม อยากคุยมากมาย
แต่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องราวในอดีตไม่ได้.....
"พี่...ผม ขอโทษ"
"ออกไปคุยข้างนอกดีกว่า เดี๋ยวน้องตื่น" ธามันบอก แล้วลุกออกมารอที่หน้าห้อง
ฉันท์เดินตามไปยืนอยู่ข้างหน้าของพี่
"ขอโทษพี่เรื่องอะไร"
“เรื่องที่ทำให้พี่ไม่ตอบเมลผม และทำให้เราห่างกัน”
“ทั้งหมดเพราะเราห่างกัน และพี่ไม่เคยโทษชิรายูกิ”
ฉันท์เงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อที่เคยบอกพี่ไปเมื่อนานมาแล้ว
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอโทษเข้าใจไหม”
“แต่ว่า...” ฉันท์ลังเลที่จะพูดต่อ
2 มือใหญ่ประคองใบหน้าเล็ก ๆ ของฉันท์
“ในช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เวลาเปลี่ยนไป เราก็เปลี่ยนไป เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเรื่องให้ต้องคิดและรับผิดชอบมากขึ้น”
ฉันท์จับข้อมือพี่ไว้ “พี่มีคนที่คบอยู่หรือฮะ”
“ไม่มี”
“ผมก็ไม่มี” ฉันท์รีบบอก พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง คนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของตนเองก็เก้อเขิน “ขอโทษที่ผมพูดเร็วไป มันเป็นเพราะผมกลับมาคิดถึงเรื่องที่พี่เคยบอกกับผม ผมก็รู้สึกว่า ผมทำไม่ดีกับพี่ไว้เยอะเหมือนกัน แล้วพี่คงเจอใครที่โน่น พี่จึงเลิกกับผม”
“พี่ไม่เคยพิมพ์เมล หรือพูดคำนั้นนะ”
“ก็...”
“พี่จะถือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนที่พี่ไม่ได้อยู่ดูแลชิรายูกิ เป็นประสบการณ์ที่เราต่างก็ต้องเรียนรู้ แต่ตอนนี้พี่มาอยู่ที่นี่แล้ว พี่ให้ชิรายูกิเป็นคนตัดสินใจ ว่าเราจะคบกัน หรือเราจะเป็นแค่คนที่อยู่บ้านเดียวกัน”
ฉันท์หันไปมองทางประตูห้องนอนที่จิโระกำลังหลับสบาย
“ผมมีเรื่องที่อยากบอกกับพี่เยอะมาก”
“อย่างนั้นก็ลงไปข้างล่างเถอะ”
ฉันท์เดินตามพี่ลงไปข้างล่างด้วยความร้อนใจ และร้อนตัว เพราะมีความรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าพี่รู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้จากฐาติ ที่เห็นว่ามาดูแลห้องพักของพี่อยู่นานหลายปี
ตอนที่ฐาติมาบอกคืนห้อง ฉันท์คิดว่าอาจเป็นเพราะธามันจะไม่กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว หรือไม่ก็แต่งงาน แต่เมื่อได้รู้ว่าธนวัฒน์กับธามันเป็นพี่น้องกัน ฉันท์ก็นึกขึ้นได้ว่าฐาติมาบอกคืนห้องหลังจากที่ธนวัฒน์มาหาได้ไม่นานนัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันท์รู้ใจตัวเอง เหมือนกับที่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับตนเอง แต่ไม่เคยสนใจ
เว้นก็แต่พี่เพียงคนเดียวที่ทำได้แค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ
เพราะในใจมีแต่คำว่า ไม่อยากให้พี่เป็นอีกคนที่คิดเหมือนคนอื่น
...
ก็อย่างที่บอกว่าบ้านหลังนี้มันเล็ก จะคุยกันที่หน้าห้องนอน หรือลงมาคุยกันข้างล่างกวางก็ได้ยินอยู่ดี
ยกเว้นแต่ออกมานั่งคุยกันที่แคร่ไม้ใต้ต้นคูณที่ปลูกคู่กันอยู่ข้างบ้าน ต่อให้เกาะขอบหน้าต่างแอบฟังยังไงก็ไม่ได้ยิน
แย่จริง...
...
ในมุมของธามัน ช่วงเวลาที่ห่างกันไปมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จะบอกว่าไม่ได้ติดใจกับเรื่องราวเหล่านั้นมันก็ไม่ถูก โดยเฉพาะการที่ต้องรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น และเห็นภาพของคนที่แวะเวียนมาหาน้อง ที่ฐาติส่งมาให้ดูด้วยเจตนาชัดเจนว่าต้องการตอกย้ำเพื่อให้ตัดใจ และไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นให้ได้เสียที
แต่ทำไม่ได้
เจ็บมาก แต่ก็ยังเป็นห่วงมาก
จะกี่คนที่เข้ามาทำความรู้จัก แต่เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังในที่พักก็ยังมีแต่คำถามว่าชิรายูกิสบายดีไหม มีความสุขจริงหรือ ยิ่งเมื่อกลับมาได้รับรู้เรื่องมากขึ้นก็ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อที่จะไม่มาหา
ลำพังเหตุผลที่ฐาติย้ำอยู่ทุกวันว่าคุณทีมกับน้องคบหากันอยู่ก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ต้องตัดใจ
แต่ทำไม่ได้
แม้ในตอนที่เข้ามาทำความรู้จักครั้งแรกจะมีเจตนาเพื่อหลบเลี่ยงปัญหาในครอบครัว เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ทั้งที่น้องก็แสดงออกและพูดอย่างชัดเจนว่ายังไม่พร้อม
แต่ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากที่สุด คือรอยยิ้มเย็นที่ไม่เหมือนใคร
เวลา 2 เดือนทำให้เราสามารถรักใครคนหนึ่งจนหมดใจได้จริงหรือ
รักถึงขนาดที่วางเขาเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต เปลี่ยนแปลงตนเอง และวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ถึงวันที่มีความพร้อมมากกว่านี้
คำว่าพร้อมของธามันไม่ได้เป็นแค่คำพูดเลื่อนลอย
เพราะการที่มีนามสกุลก้องเกียรติมนตรี และเติบโตอยู่ในบริษัทก้องเกียรติกิจการ การจับมือผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาในครอบครัว จะต้องถูกต่อต้านอย่างรุนแรงแน่นอน
แต่จะให้คบกันแบบหลบซ่อน รู้กันอยู่ 2 คนนั่นก็ไม่ใช่ธามัน
พี่น้องทุกคนก็รู้เรื่องที่ธามันได้ทั้งชายและหญิง ทั้งเชื่อว่า สุดท้ายธามันก็ต้องแต่งงานและมีครอบครัว เหมือนกับการที่คนรุ่นปู่และพ่อจะมีหลายบ้าน แต่สุดท้ายเขาก็จะเลือกเพียงหนึ่ง
ธามันรู้จักพวกเขาดีว่า หากเลือกคนที่พวกเขาไม่ต้องการ คน ๆ นั้นจะมีจุดจบอย่างไร
ดังนั้นหนทางเดียวที่จะได้อยู่ด้วยกันก็คือต้องเป็นคนที่มีความสามารถในระดับที่สามารถนำไปใช้ต่อรองกับครอบครัวได้
ปัญหาต่อมาก็คือ ธามันเชื่อฐาติ และเชื่อว่า ธนวัฒน์ชอบน้องจริง ๆ ถึงได้ปกปิดความรู้สึกและหลบซ่อนคนสำคัญที่สุดไว้แบบนั้น
...ก็เพื่อให้รอดพ้นจากอิทธิพลของครอบครัว
เพราะธนวัฒน์คือคนที่รู้ดีที่สุดว่าครอบครัวจะจัดการคนที่พวกเขาไม่ต้องการอย่างไร
...แล้วความรู้สึกของน้องเป็นอย่างไร...
ถึงจะบอกกับฐาติว่าใจของน้องเป็นของตนเอง แต่ในมุมหนึ่งของหัวใจก็ยังมีความกังวล
คุณทีมเป็นคนช่างเอาใจ น้องอาจยกใจให้เขาไปแล้ว
ดังนั้น ธามันจึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพบเจอ
แต่ตอนที่ได้พบกันในครั้งแรกธามันก็เริ่มไม่ค่อยสนใจเรื่องที่บอกกับตนเอง ไม่ค่อยฟังคำเตือนของฐาติ และไม่กังวลเรื่องท่าทีของธนวัฒน์สักเท่าไหร่ ยิ่งไม่สนใจด้วยว่าพ่อกับแม่จะมีความเห็นเกี่ยวกับความรักของตนเองแบบไหน
เมื่อใกล้จะกลับไปเป็นธามันคนเดิม ก็ต้องเตือนตนเองว่าให้ช้าลง

ไม่สนใจใครเลยก็ได้ แต่ต้องสนใจความรู้สึกของน้องให้มากกว่าเดิม 
ถ้าน้องตอบว่าคบหากับคุณทีมอยู่ พร้อมที่จะแย่งชิงคืนมาหรือไม่

ฉันท์ใช้ผ้าผืนเก่าปัดฝุ่นที่แคร่ไม้ก่อนบอกให้ธามันนั่ง 
“ตอนที่เจอคุณฐาติที่วัดนี่คือพี่กลับมาแล้วใช่ไหมฮะ”
ธามันพยักหน้า
เขากลับมาเมืองไทยหลังจากที่ธนวัฒน์เข้าทำงานที่บริษัทได้ 1 เดือน พอกลับมาก็เจอกับศึกภายในบริษัทและในบ้านที่เข้ามาหาพร้อม ๆกัน จนถึงวันที่ฐาติโทรมาบอกว่ามีเจ้าหนี้ไปหาฉันท์ที่วัด ก็ต้องถามตนเองเป็นครั้งที่ร้อย ว่าพร้อมที่จะแย่งน้องมาจากพี่ชายต่างมารดาแล้วหรือยัง สามารถปกป้องเขาจากคนในครอบครัวของตนเองได้ไหม...
ธามันในเวลานั้นปากพูดว่ามั่นใจ แต่ในใจไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยสักนิด
“ผมรบกวนคุณฐาติหลายอย่างเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาได้ค่าจ้าง”
“เขามาดูห้องให้พี่ตลอด ทำให้ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งพี่จะกลับมา แล้วเราก็น่าจะได้คุยกัน พอมาวันหนึ่งป้าบอกว่า เขามาคืนห้อง ผมก็คิดว่าพี่คงไม่กลับมาแล้ว หรือไม่ก็แต่งงาน”
ธามันส่ายหน้า “พี่อยากมาหาตั้งแต่ตอนที่กลับมา แต่ติดที่เรื่องคุณทีม ก็เลยคิดว่าพี่ควรจัดการเรื่องของตัวเองก่อน ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ ตอนที่ฐาติมาหาชิรายูกิที่วัดตอนนั้นพี่ก็มาด้วย” แต่เพราะยังไม่แน่ใจในหลายเรื่อง “ก็ได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ จนมาถึงตอนที่เจรจาซื้อขายที่ดินก็คิดว่า ชิรายูกิไม่น่าจะเป็นอย่างที่ได้ยินมา”
ไม่น่าจะเป็นแฟนกับคุณทีม

วันนั้นฉันท์เพิ่งเจอกับกลุ่มเจ้าหนี้ของพ่อ ถ้าต้องมาเจอสถานการณ์ที่แฟนเก่าเดินเข้าศาลามาไหว้ศพพ่อกับแม่ ขณะที่แฟนใหม่นั่งอยู่ในงาน ซึ่งยังปรากฏว่าทั้ง 2 คนเป็นพี่น้องกัน คนที่จะยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมก็คือฉันท์
ที่จริงตอนที่มาถึงที่วัดธามันกำลังจะลงจากรถมาพร้อมกับฐาติอยู่แล้ว แต่สายของสำนักงานทนายความฐาติบอกว่าเห็นคนงานของบริษัทอยู่ใกล้ ๆ อาจเป็นคนที่ธนวัฒน์สั่งให้มาคอยตามดูฉันท์
“คุณทีมให้คนคอยตามน้องแล้วทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องเจ้าหนี้” ธามันสงสัย
“อาจรู้ แต่คนแบบนั้นเดาใจยาก ว่าคิดอะไรอยู่” ฐาติตอบ “แต่ถ้าเขาให้คนงานเข้ามาช่วยน้อง พวกผู้ใหญ่ก็จะต้องรู้เรื่องที่เขาตามน้อง” คนสวมแว่นเหลียวมองซ้ายขวา “แล้วนี่กูจะเข้าไปยังไงไม่ให้คนของพี่ทีมเห็นกู”
ความเห็นของฐาติมีช่องว่างให้สงสัย
แต่ถ้าจะมองย้อนไปที่เรื่องในอดีตของธนวัฒน์
ธามันก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น!
สถานการณ์ในวันนั้น ฐาติให้สายของสำนักงานหลอกคนของธนวัฒน์ไปอีกทาง จากนั้นจึงได้เข้าไปหาฉันท์ที่ศาลาวัด เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรื่องราวต่าง ๆและให้นามบัตรไว้ด้วย
ส่วนธามันจำเป็นต้องกลับไปอยู่ในจุดที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ นานหลายเดือน

“วันที่ทำการาจเซลพี่ไม่พูดกับผมเลย ถึงจะพูดกับผมแต่ก็ไม่มองหน้า จนกระทั่งรู้ว่าพี่กับพี่ทีมเป็นพี่น้องกันก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้พี่ส่งคุณฐาติมาเป็นคนกลาง แล้วก็มาคิดว่า พี่คงมีครอบครัวแล้วแน่ ๆ ก็คงลำบากใจถ้าจะพบหรือพูดกับผม”
จะบอกได้อย่างไรว่า ตั้งแต่ที่การาจเซลจนมาถึงที่บ้านไม่ได้พูดอะไร ไม่กล้ามองหน้าเขาก็เพราะว่าต้อมอยู่ที่นี่
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้อมเห็นหรือได้ยิน มันจะต้องไปถึงธนวัฒน์ในที่สุด
ดังนั้นการพบกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการมันถึงได้ออกมาเป็นความห่างเหินแบบนั้น
แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่า ถึงเวลาที่ควรจะต้องเดินหน้า ธามันก็หยุดคิดมากและสนใจเฉพาะคนที่อยู่ข้างกันในเวลานี้เท่านั้น
“พี่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะพี่ไม่เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใครนอกจากชิรายูกิ”
ฉันท์หันไปมองหน้าคนที่กล่าวประโยคหวานได้โดยที่มีเพียงรอยยิ้มอ่อน
“เอ่อ...หลายปีมานี้พี่ไม่...เอ่อ...พี่ออกจะสมบูรณ์แบบ”
“พี่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ไม่ใช่น้อยนะ อย่างเรื่องเอาแต่ใจ แล้วก็มีปัญหาส่วนตัวอยู่มาก”
ฉันท์ไม่ได้คิดว่าธามันเป็นคนเอาแต่ใจ แต่เรื่องปัญหาส่วนตัวยอมรับว่าพอจะมองเห็นมานานแล้ว
“ไปอยู่ทางนั้นคนเดียว พี่ไม่รู้สึกเหงาหรืออยากคบใครเลยหรือฮะ”
“ยอมรับว่าตอนที่...” รู้ว่าฉันท์มีคนอื่น “เราห่างกัน พี่ก็มีนัดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้อยากสานต่อ” ไม่น่าจะเรียกว่าการคบหา น่าเรียกว่าแค่คนที่ผ่านมาในคืนหนึ่งแล้วก็แยกย้ายกันไปเท่านั้น “แล้วชิรายูกิล่ะ”
“ผม...ไม่รู้”
ธามันยิ้ม “ตอบเหมือนเดิมเลย” ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ตอบแบบนี้
“มันเหมือนผมกำลังแก้ตัว หรือกำลังปัดให้เรื่องมันผ่านไป แต่เรื่องนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ไม่รู้ว่าเขามองเห็นอะไรในตัวผม ถึงมาบอกว่าชอบ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า วันหนึ่งเขาก็ต้องไปอยู่ดี พอบอกไปก็ถูกต่อว่า แล้วสุดท้ายก็เหมือนกันหมด”
“กับพี่ก็คิดแบบนี้เหมือนกันละสิ”
ฉันท์พยักหน้า ยอมรับว่าความผิดหวังและการปิดกั้นตนเองในวันเก่า ๆ กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง “ก็ตอนนั้นผมเพิ่งถูกทิ้งมา แล้วมาเจอพี่แค่ไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็มามีเรื่องของพ่อกับแม่อีก ทั้งที่เห็นว่ารักกันดี แต่สุดท้ายก็ต้องจากกัน”
ดวงตาเศร้าก้มลงมองมือของตัวเอง “ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมก็คิดว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจะมีใครหรือไม่มีใคร แต่ถ้าคนหนึ่งหมดรัก หรือคิดจะไป เพียงแค่หนึ่งในสองคนปล่อยมือ ต่อให้อีกคนหนึ่งพยายามมากมายสักเท่าไหร่ มือที่คลายออกไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับมาทำให้มือของเราอุ่นได้เหมือนเดิมอีกต่อไป”
ธามันจับมือผอมของน้องไว้ทั้งประกบด้วย 2 มือของตนเอง เอาวางไว้ที่หน้าขา น้องนิ่งไปเล็กน้อยเหลือบตามองมือพี่
“อุ่นเหมือนเดิมไหม”
ฉันท์ไม่ตอบ “ผมแค่อยากบอกกับพี่ว่า ผมรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ แต่อาจจะพูดไม่เก่ง หรือแสดงความรู้สึกตัวเองไม่ดีนัก ถ้าพี่จะให้เราเป็นแค่ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกัน ผมก็ยอมรับนะฮะ”
“เรื่องของเมื่อหลายปีก่อนปล่อยให้มันผ่านไป เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกสักครั้งดีไหม”
“แต่ผมทำไม่ดีนะฮะ ทั้งตอนที่พี่อยู่ จนถึงพี่ไป ผม...” ฉันท์ในสายตาของคนอื่นคือคนที่ไม่มั่นคง
“พี่เองก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ ปาร์ตี้ เมา ผู้หญิง ผู้ชาย ชิรายูกิโกรธไหม”
ฉันท์มีสีหน้าคาดไม่ถึง
“หน้าตาแบบนี้แปลว่าอะไร”
“ตกใจ”
“ตกใจมากเลยสินะ”
“ฮะ” ฉันท์ยังอยู่ในอาการงง “คนจบดอกเตอร์เขารู้จักปาร์ตี้ด้วยหรือฮะ”
“ก็...มีบ้าง”
“ว้าววววว ยอดไปเลย” น้ำเสียงชื่นชมสุดๆ จนธามันไม่มั่นใจในตนเอง คิดว่าน้องจะโกรธ หรือน้อยใจ แต่กลับชื่นชมเสียนี่
“ชิรายูกิ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ”
ฉันท์พยักหน้า “รู้สึกสิฮะ พี่นี่ยอดเยี่ยมสุดๆไปเลย” 
“ไม่หึง ไม่โกรธพี่บ้างเลยหรือ”
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่หรอกฮะ พี่ไม่รู้ตัวหรือ ว่าพี่น่ะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แล้วพี่ก็ต้องสร้างเครือข่ายสังคมของพี่ ถ้าพี่จะคบใครผมว่าก็เหมาะสมแล้ว ผมถึงคิดว่าพี่คงจะอยู่อเมริกา หรือไม่ก็แต่งงาน”
แต่ทำไมพี่ไม่ค่อยโอเคกับการที่ชิรายูกิคบกับคนอื่นนะ
“แต่ถึงผมจะยอมรับอย่างนั้น ผมก็คิดอยู่ตลอดว่า หากพี่กลับมาแล้วพี่ไม่ได้มีใครอยู่ก็น่าจะดี แต่พอคิดอย่างนี้ทีไร ผมก็จะเถียงตัวเองทุกทีว่าเป็นไปไม่ได้ คนสมบูรณ์พร้อมเขาต้องไม่อยู่คนเดียวแน่ ๆ” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เลิกคิด พี่คือคนที่จากไปแล้ว
“พี่ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม ดังนั้นพี่จึงอยู่คนเดียว”
ฉันท์มีความสงสัย “ทั้งที่นั่งอยู่กับเพื่อนทั้งกลุ่ม หรือกินข้าวอยู่กับคนที่เพิ่งบอกว่าชอบเรา แต่ก็ยังรู้สึกว่าเหงาอยู่ดี”
ธามันยอมรับ
ฉันท์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เล่าเรื่องในอีกส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าฐาติจะไม่ได้เล่าให้พี่ฟัง
“หลังจากที่พี่กลับไปได้ไม่กี่วัน เพื่อนผมคนหนึ่งแวะมากินข้าวที่บ้าน ลุงดุผมว่า อย่ามีใครเพราะความเหงา เพราะไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย ผมบอกกับลุงว่าเขาเป็นเพื่อนจริง ๆ ต่อมาก็มีคนมาบอกว่าชอบ ผมก็เออ คบก็ได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ข้างในใจมันเงียบมาก เวลาที่ลุงกับป้าถาม ผมก็บอกว่าเพื่อน แต่ละคนคุยกันได้ไม่นานเขาก็ไป” แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มักจะถามตนเองอยู่เสมอว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความเหงา หรือเพราะปฏิเสธไม่เป็น หรือเพราะไม่มีหัวใจกันแน่
“ชิรายูกิ”
“ฮะ” น้องกระพริบตาหันมามอง หลังจากที่พูดในเรื่องที่ค้างคาจนหมด ชิรายูกิก็เริ่มกลับไปอยู่ในความคิดของตนเองอีกครั้ง
ธามันลูบแผ่นหลังบาง
เข้าใจ และรักในตัวตนของเขา ไม่ใช่บังคับให้เขาเป็นคนแบบที่เราต้องการ
ปัญหาของฉันท์คือการที่เขาไม่พูด ไม่ชี้แจงในเวลาที่ถูกเข้าใจผิด แสดงออกว่าเขาไม่สนใจ ทั้งที่ในใจมีแต่ความกังวล
“เรามาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน พบเจออะไรมามากมาย โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ แล้วก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมายในวันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆไป พี่ไม่ได้ขอให้ชิรายูกิลืมเรื่องที่ผ่านมา แต่ถ้าชิรายูกิพร้อม ก็ขอให้พี่เป็น 1 ในคนที่เลือกได้ไหม”
ฉันท์คลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณที่พี่กลับมา และเราได้คุยกัน แต่ว่าเวลาที่พี่พูดว่าจะเป็นทางเลือกน่ะ ผมว่ามันไม่ค่อยเข้ากับปัจจุบันสักเท่าไหร่”
ธามันเลิกคิ้วสูง ดวงตาที่สะท้อนแสงไฟ ส่องประกาย
ฉันท์ชี้ไปรอบ ๆ “ทั้งหมดนี้ ที่พี่ให้มา ผมต่างหากคือคนที่ต้องขอให้พี่รับผมไว้พิจารณา”
ประกายในดวงตาหายไปธามันหัวเราะแต่ไม่มีเสียง
เมื่อถึงวันที่ชิรายูกิรู้ความจริง ก็จะรู้เช่นกันว่าสิ่งที่พี่บอกไปนั้นถูกต้องแล้ว
    “โอนี...”
เสียงของจิโระเรียกหาพี่ชายจากในบ้าน ทำให้ฉันท์ลุกขึ้นแล้วหันไปมองหาในทันที เห็นกวางกำลังอุ้มจิโระอยู่ตรงหน้าต่าง
“โอนี”
“จิโระตื่น ร้องหาพี่ฉันท์น่ะครับ” กวางบอกท่าทางเกรงใจเพราะเห็นว่าพี่กำลังคุยกันอยูุ่่
ฉันท์รีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปหาจิโระ แต่ไม่ลืมที่จะหันมาเรียก “พี่กลับเข้าบ้านกัน”
ธามันเดินตามมา
เรายังมีเวลาคุยกันอีกมาก
พอเข้ามาในบ้าน จิโระก็กางแขนให้พี่ชายอุ้มทันที 
“โอนี”
ธามันก้มลงหาคนที่งัวเงียอยู่ที่ไหล่ของพี่ชาย “ขอโทษนะจิโระ ที่พี่คุยกับโอนีของจิโระคุงนานไปหน่อย”
จิโระพลิกหน้าหนีไปอีกทาง
“อ้าวโดนงอนเสียแล้ว”
ฉันท์หันมาหาธามัน ยังไม่ทันจะบอกขอโทษ ชายหนุ่มก็รีบบอกขึ้นก่อน
“พาน้องไปนอนก่อนเถอะ พี่ทำงานอีกครู่ก็จะขึ้นนอนแล้วเหมือนกัน”
ธามันเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทำงานอยู่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็บอกกวางที่กำลังดูโทรทัศน์ว่าให้ปิดบ้าน
บ้านหลังแค่นี้เดินปิดประตู หน้าต่าง ดึงปลั๊กไฟ ไม่ถึง 2 นาทีก็เสร็จแล้ว กวางเดินมายืนรอธามันที่กำลังเก็บคอมพิวเตอร์และเอกสารใส่กระเป๋า จากนั้นก็เดินตามหลังขึ้นบ้าน

กวางรู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นครูแม่บ้านดูแลหอพัก
...แต่กวางไม่เคยเป็นครู และไม่เคยดูแลหอพัก...
แต่คนที่เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าเดินเข้านอนใหญ่ของตัวเองไปแล้ว กลับเข้ามาที่ห้องนอนเล็ก ฉันท์ขยับตัวขึ้นนั่งหันมามอง แต่ธามันกลับมาพยักหน้าให้กวางย้ายที่นอน
ห๊ะ อะไรนะ!
บนเตียงคือจิโระที่นอนติดฝาผนังห้องด้านหนึ่งกับฉันท์ กวางนอนหน้าเตียงฝั่งฉันท์ แต่ธามันชี้ว่าจะนอนตรงนี้ แล้วให้กวางย้ายไปนอนปลายเตียง
กวางตกใจนิดหน่อย แต่ก็รีบทำตามคำสั่งทันที แต่ฉันท์ขยับจะค้าน ธามันก็ใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากพยักหน้าไปทางจิโระที่กำลังนอนหลับสบาย แล้วเดินเข้ามาปูที่นอนหน้าเตียง วางหมอนวางผ้าห่ม แล้วเดินกลับมาปิดไฟ
มองเห็นดวงตาของคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียงที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ธามันมานอนห้องนี้ แต่ธามันเดินเข้ามากดไหล่ให้นอนลง ทั้งห่มผ้าให้ จากนั้นก็ถึงได้นอนลงที่พื้น
....
น้าจะคิดว่ายังไงก็เรื่องของน้าเหอะ แต่ในความเห็นของหนูนะ พี่ธามน่ะทุ่มสุดตัวสุดหัวใจเพื่อพี่ฉันท์แน่นอน
พี่ฉันท์เขาก็ชอบพี่ธามอยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นหนูถึงชอบแบบนี้ หนูชอบเวลาที่พี่ฉันท์มีความสุข ชอบเวลาที่เขายิ้ม ชอบมากที่สุด
...
ฐาติเดินเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของ ‘ก้องเกียรติกิจการ’ ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 5 ตรงเข้าไปที่ห้องทำงานเล็กๆ ของธามัน โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องเคาะประตูห้อง
“เกือบเที่ยงสวัสดิ์ครับเจ้านาย”
ธามันเงยหน้าขึ้นมามอง “วันนี้ศาลเลิกเร็วนะ”
“คดีเช้าตกลงกันได้เร็ว เลยมีเวลาเข้ามารายงานผล”
“โทรมารายงานก็ได้” ธามันเซ็นชื่อลงท้ายจดหมายในแฟ้มหนา แล้วเลื่อนอีกแฟ้มเข้ามา ตรวจรายงานด้วยการอ่านทุกตัวอักษรเหมือนเคย
“โทรมาก็ไม่เห็นหน้ากัน ไม่เป็นการรบกวนกัน”
ธามันหัวเราะ “งั้นรอลงไปกินมื้อเที่ยง จะได้เป็นการรบกวนกันแบบเต็มรูปแบบดีไหม”
“ดีครับ”
ฐาติที่เป็นทนายความไม่เคยรู้สึกคุ้นเคยกับการรอคอยดร.ธามันอ่านเอกสารอย่างละเอียดทุกตัวอักษรก่อนเซ็นชื่อเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าจะบอกลูกความอยู่บ่อย ๆ ว่าต้องอ่านเอกสารก่อนลงลายมือชื่ออยู่เสมอก็ตาม
แต่ละเอียดขนาดนี้มันก็เกินไปนะเจ้านาย

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 23-02-2019 17:32:42
(ต่อครับ)

กองเอกสารบนโต๊ะของธามันจะแยกออกเป็น 2 กองคือฉบับที่ผ่านแล้วกับกองที่ต้องให้กลับไปแก้ไข ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จแล้ว ก็จะถือเอาออกมาให้หัวหน้ากองเลขาฯ ที่หน้าห้องทำงานไปจัดการต่อ แต่ตอนนี้พนักงานทั้งห้องต่างก็พักกลางวันกันหมดแล้ว บางคนกินข้าวอยู่ในห้องกาแฟที่อยู่ติดกับระเบียง และอีกหลายคนจะลงไปกินที่ร้านอาหารใกล้เคียง
งานบริหารงานทั่วไปแบบที่ทำอยู่ หลายหน่วยงานและบริษัทจะเรียกว่างานธุรการ ซึ่งที่นี่ก็มีส่วนที่เรียกว่าธุรการและขึ้นตรงกับธามันเหมือนกัน แต่งานที่แท้จริงของเขาครอบคลุมไปไกลกว่านั้น
ในตอนที่เดินออกมาที่หน้าลิฟท์ด้วยกัน ฐาติพยักหน้าไปทางห้องทำงานใหญ่ ก่อนแสดงความเห็น
“กูว่าบรรดาคนทำงานกองเลขาฯ ทั้งหมดคงไม่ชอบมึงสักเท่าไหร่ เพราะมึงเป๊ะมาก แต่เพราะคนแบบมึงทำให้พวกผู้ใหญ่สบายใจ ส่วนคนที่ต้องถือหนังสือที่ผ่านมือมึงออกไปติดต่อราชการ หรือบริษัทอื่นเขาจะรักมึงมาก” ฐาติหันกลับมาทางญาติผู้น้อง “กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบงานตรงนี้ แต่ขอแสดงความเห็นสักนิด ว่ามึงเหมาะกับงานนี้ เข้าใจไหม”
ธามันหัวเราะ ขณะที่กดลิฟท์
ลิฟท์ทางฝั่งขวามือเลื่อนขึ้นมาหยุดแล้วเปิดออก ธนาเดินนำออกมาก่อน ตามมาด้วยธนวัฒน์และเลขาฯ ส่วนตัวที่ถือกระเป๋าเอกสารตามออกมา
ธนาเป็นฝ่ายที่ทักขึ้น “เพิ่งจะลงไปกินข้าวกันหรือ”
“ครับ” ธามันตอบ 
ขณะที่ฐาติกดลิฟท์ค้างไว้แล้วถามโดยมารยาท ว่าทานมื้อเที่ยงแล้วหรือยัง ธนาก็ตอบว่าทานเข้ามาแล้ว จากนั้นก็เดินนำกลับไปที่ห้องทำงาน
ก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลงฐาติหันไปนินทากับธามัน แบบที่เจตนาให้ธนวัฒน์และเลขาฯ ได้ยิน
“แบบนี้ดีแล้วหรือ”
“ดีแล้ว เหมาะกับเขาดี”
ธนวัฒน์หันมามองประตูลิฟท์ที่ปิดลง
ถึงจะเป็นคำถามและคำตอบที่ไม่มีประธานในประโยค แต่ก็เดาได้ว่าหมายถึงใคร และคำตอบของธามันก็ทำให้ธนวัฒน์รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย
ชายหนุ่มยักไหล่แล้วเดินตามบิดากลับไปที่ห้องทำงาน

ร้านอาหารใกล้ที่ทำงานช่วงเที่ยงช่างเป็นอะไรที่เกินคำบรรยาย ไม่ว่าจะร้านไหนก็เต็มทั้งนั้น
“มึงมีประชุมบ่ายหรือเปล่า” ฐาติหันมาถาม แต่ชี้ไปที่ร้านกาแฟ “กินกาแฟดีกว่า กูต้องการคาเฟอีนเข้มข้น”
“กูต้องประชุมบ่ายสองกับทีมออกแบบ”
“งานน้องมึงหรือไง” น้องมึงที่ฐาติพูดถึงย่อมหมายถึงฉันท์ทัตอยู่แล้ว
“เปล่าของพี่ทวีน่ะ” ทวีเป็นลูกชายคนเล็กในกลุ่มลูกชายบ้านใหญ่ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของบริษัท
ธามันเดินตามฐาติเข้าไปในร้าน สั่งกาแฟกับเบอร์เกอร์และสลัด จ่ายเงินแล้วยืนรออาหาร จากนั้นก็เลือกที่นั่งด้านในเพื่อคุยกัน
“มึงดูแลเอกสารให้พี่ทวีด้วยหรือ”
“กูดูของพี่ทั้ง 3 คนนั่นแหละ” ก่อนนี้ดูงานทั้งในส่วนของธนัชที่เป็นบิดาของฐาติ และธนาบิดาของตนเอง แต่ตอนนี้ขยายเข้าไปถึงงานของกลุ่มบ้านใหญ่แล้ว
“สรุปคือตอนนี้ไม่มีเอกสารสำคัญของทีมไหนในก้องเกียรติกิจการที่รอดพ้นสายตา ดร.ธามัน”
ที่ฐาติพูดมาย่อมเกินเลยความจริงไปหลายเท่าตัว แต่เมื่อคู่หูเล่นใหญ่ ธามันก็เล่นตาม
“อืม”
ฐาติหัวเราะเสียงแปลกขณะที่กัดเบอร์เกอร์แซลมอนคำใหญ่
“ทำไม”
ญาติผู้พี่เคี้ยวอย่างละเอียดก่อนกลืน “ก่อนที่มึงจะมา งานที่มึงทำอยู่ลุงใหญ่ใช้คนทำงาน 5 คนแต่ตอนนี้มึงคุมคนเดียว”
“5 คนนั้นยังอยู่ กองเลขาฯ เขาก็ส่งเรื่องมาตามขั้นตอน”
ขั้นตอนอะไรเล่า ก็เห็นอยู่ว่ากองเลขาฯ ส่งงานเอกสารทั้งหมดเข้าห้องดร.ธามันแทนที่จะส่งให้ทั้ง 5 คนเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะเป็นคำสั่งที่บรรดาพี่ ๆ บ้านใหญ่เขาสั่งการมาเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นคนนี้
ฐาติหัวเราะในลำคอจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง จนธามันต้องชี้หน้า
“ก็ได้ ไม่หัวเราะแล้ว เพราะกูเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพี่ทีมตามติดพ่อมึงเป็นขี้ปลาทอง แล้วมึงถึงบอกว่าเขาเหมาะสม เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นได้แค่ขี้ปลาทอง ขณะที่มึงคือหมาป่าที่กำลังสร้างฝูงใหม่นี่เอง”
ธามันส่ายหน้าให้กับคำเปรียบเทียบนี้ “ฝูงใหม่ภายใต้อัลฟ่าเหนืออัลฟ่าแบบลุงธนดล แถมอัลฟ่าพวกนั้นก็ยังมีจำนวนอีกเป็นสิบ กูจะเป็นอะไรได้นอกจากเบต้า”
“อย่ามาถ่อมตัว กูรู้ว่ามึงแกล้งทำเป็นเบต้าให้ฝูงของลุงใหญ่” หมายถึงธนดล เฉพาะกลุ่มนี้ก็เหนื่อยแล้ว แล้วยังมี “ฝูงของพ่อกูกับพี่ฐวรา มาจนถึงฝูงของพ่อมึงเอง คิดตามทฤษฎีกูเอง ภายใน 1 ปีทุกคนจะรู้ว่า ที่แท้มึงคืออัลฟ่า” คนสวมแว่นทำเสียงจุ๊ๆ “เรื่องนี้ไม่ใช่โชค แต่คือฝีมือล้วนๆ นะครับ”
ภายใน 1 ปีงั้นหรือ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นก่อน...
ธามันโบกมือ “ตกลงมึงมาเฝ้ากูแต่ก่อนเที่ยงเพื่อจะมาอวยกันเนี่ยนะ”
“อวยเป็นงานรอง” ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งอยากแกล้ง “งานหลักคือจะมาบอกว่าน้องมึงเคลียร์หนี้จบแล้ว”
ตั้งแต่เจอกันที่ห้องทำงานจนมาถึงการอวยกันซึ่งหน้าไปหลายประโยค ธามันยกยิ้มก็จริง แต่หว่างคิ้วและดวงตาก็ยังมีความกังวลให้เห็นอยู่โดยตลอด จนเมื่อพูดถึงหนุ่มตาโศกคนนั้นปลดหนี้ทั้งหมด ถึงได้เห็นประกายของความยินดีปรากฏขึ้น
“ตั้งแต่ตอนที่คุยกับเจ้าหนี้ กูให้ไอ้ปราบกับไอ้เขตไปกับน้องมึงตลอด จนถึงตอนไปใช้หนี้ เขาก็จัดการหมดเรียบร้อย จะหนี้ธนาคาร หนี้บ่อน หนี้นอก หมดจดสมกับเป็นคุณหนูลูกครึ่งญี่ปุ่น”
“เกี่ยวอะไรกับลูกครึ่งญี่ปุ่น” เมื่อถามไปธามันก็นึกขึ้นมาได้ว่า ฉันท์มีนิสัยเกรงใจคนอื่นเหมือนกับแม่ของเขา
“ก็ความเคร่งครัดจนกลายเป็นการทำให้ตัวเองไม่มีความสุขแบบนั้นไง” ฐาติส่ายหน้า “พวกเจ้าหนี้รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ถึงได้ให้พ่อเขากู้แบบไม่มีลิมิตแบบนั้น”
เวลาที่คุยกันแล้วฐาติพยายามจะชี้ข้อด้อยของน้องอยู่ตลอดแบบนี้มันทำให้รู้สึกอึดอัดใจ
เพราะธามันไม่เคยคิดว่านั่นเป็นข้อด้อย 
“น้องฝากมาขอบคุณมึงด้วยที่ช่วยเขาไว้หลายอย่าง”
ฐาติปัดมือ “แล้วมึงบอกเขาหรือเปล่า ว่ากูไม่ได้ช่วยฟรี”
“บอก”
“สัด” ฐาติพูดเสียงดัง “นาน ๆ ทีจะมีคนขอบคุณกู มึงก็ช่วยอวยกูสักนิดไม่ได้”
“กูไม่ต้องอวยมึง เขาก็พูดขอบคุณอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ลูกน้องมึงไม่ได้บอกหรือไง”
“บอก แต่เวลาที่พวกมันบอกมา มันคนละอารมณ์กับเวลาที่มึงบอกนี่ พวกมันบอกก็งั้น ๆ แหละ แต่เวลาที่มึงบอก มันเหมือนกับว่า เขาแสดงความขอบคุณกูด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างท่วมท้น”
ธามันทำหน้าตาพิกล “กูว่า กูก็พูดธรรมดานะ”
“เพราะมึงพูดเหมือนไม่ค่อยชอบ เหมือนจะหึงหน่อย ๆ เวลาที่เขาขอบใจกูไง กูก็เลยคิดว่า เขาต้องซาบซึ้งใจมากแน่ ๆ” ฐาติอารมณ์ดีมากเวลาไล่ต้อนธามัน
พอเห็นว่าฐาติพูดถึงน้องดีขึ้น ธามันก็ผ่อนคลายลง
“เล่าต่อได้หรือยัง”
“ได้” ฐาติเล่าต่อ “ไอ้ปราบมันเล่าความซื่อของเด็กมึงให้ฟังด้วย เขาถามกับเจ้าหนี้ว่า ทราบไหมว่าพ่อของเขายังติดเงินใครอีกเขาจะได้ไปใช้หนี้ให้พ่อ หรือไม่ก็รบกวนตรวจสอบอีกครั้งด้วยนะครับว่าคิดดอกเบี้ยครบแล้ว เขาใช้หนี้หมดแล้วจริง ๆ” หนุ่มสวมแว่นหัวเราะเหนื่อย ๆ ตรงข้ามกับธามันที่ดูภูมิใจอย่างออกนอกหน้า “ฝากไปสอนเขาหน่อยเหอะ ว่าอย่าได้เที่ยวไปพูดอย่างนี้กับมิจฉาชีพ จะโดนหลอกจนหมดตัว ไอ้ที่ขายที่ไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
“แต่ก็ไม่ได้ถูกฉวยโอกาสไม่ใช่หรือ”
“ก็เพราะเด็กกูขึงหน้าขู่อยู่ตลอดน่ะสิ” ฐาติลดเสียงลงเมื่อจะพูดต่อไป “มิน่าเขาถึงได้ไม่เคยระแวงเรื่องคุณทีมกับต้อมเลย”
ธามันตั้งข้อสังเกต “เพราะ 2 คนนั่นก็พยายามปิดด้วย”
“จะปิดยังไง ก็คนใกล้ตัว ถ้าใส่ใจ ยังไงก็ต้องเห็น”
“แต่เพราะเขาไม่ใส่ใจ”
ฐาติที่กำลังจะเถียงรู้ว่าประโยคนี้ของธามันถูกต้อง ถ้าพูดต่อตนเองจะเสียเปรียบก็เลยเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วมึงคิดจะบอกเรื่องเพื่อนของเขาไหม”
“ไม่หรอก ตราบใดที่ไม่ได้เอาเรื่องเสียหายมาให้”
มันก็จริง “แล้วตกลงที่ดินแปลงใน มึงจะปลูกบ้านอยู่เองจริงหรือ แล้วเอาแบบให้น้องดูหรือยัง”
“ยังเลย เมื่อวานกลับไปก็ดึกแล้ว จิโระเข้านอนแล้ว ถ้าตื่นขึ้นมาเขาจะร้องหาพี่ชาย”
ฐาติยก 2 มือขึ้นเตรียมพร้อมเก็บข้อมูลความเปลี่ยนแปลงอีกก้าวของดร.ธามันเต็มที่
“ขอคำอธิบายด้วยครับ”
“ปกติลุงกับป้า แล้วก็จิโระจะเข้านอนประมาณ 3 ทุ่ม แต่จิโระติดพี่มากถ้าชิ...น้องไม่ได้นอนด้วยเขาก็จะงอแงตื่นขึ้นมาเรียกหา”
“หมายความว่าพี่ชายของจิโระเขา...” สีหน้าท่าทางอยากรู้มาก
“เหี้ย คิดไปไกลแล้ว” ธามันขำให้กับความพยายามจับผิดทุกคำพูด “เวลากูกลับบ้าน เขาเป็นเจ้าของบ้านก็จะมาดูแล ถูกไหม เขาจะอุ่นกับข้าวให้”
“เขาทำเองตลอด ไม่ยอมให้เด็กกวางทำ หรือเด็กกวางไม่ยอมทำ”
“แล้วเด็กกวางบอกกับมึงว่าไง” ธามันสวนทันที สีหน้าตอนเลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่งมันช่างรบกวนความสามารถในการคิด วิเคราะห์ของคู่สนทนาเป็นอย่างมาก
“มันฟ้องว่ามึงไปแย่งที่นอนของมันน่ะสิ”
“แล้วมึงจะมาตั้งคำถามให้เขาเสียหายเพื่ออะไรวะ”
“มันก็...แบบ รายละเอียดไง มันขาดรายละเอียดไปเยอะ กูประมวลผลไม่ถูก” แก้ตัวกันน้ำขุ่นมาก
ธามันส่ายหน้า จิ้มมะเขือเทศและอกไก่ในจานสลัด
“ลงทุนลงแรงไปขนาดนี้ได้แค่นอนหน้าเตียง เชื่อเขาเลยดร.ธามัน”
“ใจเย็นหน่อย ทั้งกู ทั้งเขาไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว แล้วกูก็ไม่ต้องเร่งรีบไปไหน มีเวลาอีกมากที่จะทำให้เขาเชื่อใจ”
ฐาติทำหน้าตาเหม็นเบื่อ “มึงพูดอย่างกับเขาเป็นเทวดา” แต่พอเห็นสีหน้าเรียบตึงของคู่สนทนาก็รีบแก้ไข “โอเค กูพูดผิด แค่อยากบอกว่า มึงพูดเหมือนเขาอยู่สูงกว่ามึงมากแล้วเขามีตัวเลือกเยอะแยะ แต่เอาจริง ๆ ตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีใครนอกจากมึง”
ธามันรวบช้อนส้อม “มึงคือคนที่บอกกับกูเองว่า เขามีคนนั้นคนนี้เข้ามาคุยอยู่ตลอด”
“แล้วมึงไม่มีหรือไง” ฐาติเถียง
“กูไม่ได้มีบุคลิกเป็นมิตรกับผู้อื่นมึงก็เห็นอยู่ ทั้งไม่ใช่สายเปย์ ไม่ชอบเอาใจใคร จะมีใครทนได้”
ฐาติพยักหน้า ธามันไม่เปย์ แต่ทุ่มหมดหน้าตักทั้งไประดมทุนมาจากแม่ จากพี่ ๆ บ้านใหญ่ ไม่ชอบเอาใจใครแต่ยอมนอนหน้าเตียงอยู่ทุกคืน
มีหนุ่มตาโศกคนนั้นเพียงคนดียวที่ธามันทำถึงขนาดนี้
รอยยิ้มและความเป็นมิตรของธามันเลือนหายไปตามวันเวลาที่ผ่านไป จนมีเพียงเวลาที่อยู่กับฉันท์เท่านั้นที่ธามันคนเดิมจะกลับมา
“เขารู้ตัวไหม ว่ามีแต่เขาคนเดียวที่มึงทุ่มเทให้ขนาดนี้”
ธามันส่ายหน้า “มันไม่ใช่เรื่องที่ควรบอก”
ข้อนี้ฐาติเห็นด้วย “ไม่ควรบอก เพราะดูเป็นการหวังผลอย่างชัดเจน เสี่ยงจะถูกเข้าใจผิดในภายหลัง”
ธามันชี้หน้า เพื่อยอมรับว่าที่ฐาติพูดมานั้นถูกต้องแล้ว
“คนนี้จริง ๆ หรือวะ”
“โหยมึง จนถึงขนาดนี้จะมาถามเพื่อ?”
“ก็เพราะขนาดนี้ไง ไปเจอคนมาค่อนโลก แต่กลับมาหาคนที่เจอกัน 2 เดือนเมื่อ 4 ปีก่อน แถมยังอาจทำให้คนที่สนับสนุนมึงตอนนี้หันหลังให้ง่าย ๆ ด้วย” ฐาติเช็ดปาก ยกแก้วกาแฟ แล้วตบท้ายด้วยน้ำเย็น “ที่บ้านมึงไม่ยอมรับเขาอยู่แล้ว”
เรื่องไม่ยอมรับนี่คุยกันมาเป็นร้อยรอบ มาจนถึงวันนี้ฐาติไม่ได้คิดให้ธามันเปลี่ยนใจ เพราะธามันกำลังพยายามทำทุกทางให้ที่บ้านไม่ต่อต้านน้องรุนแรงมากนัก
ธามันลุกออกมาก่อน ระหว่างที่เดินกลับมาด้วยกัน ก็ให้คำยืนยันกับฐาติว่าไม่ได้หลงลืมเรื่องความแค้นของฐาติและบรรดาพี่น้อง
“แต่ทุกอย่างมันต้องคิดให้ดี จะเอาแต่อารมณ์ไม่ได้ เพราะมันจะมีผลต่อการทำงานของบริษัท ต้องให้มันชัดเจนว่าเขาพ้นออกไปจากที่นี่ด้วยเหตุเฉพาะตัวจริงๆ”
ฐาติกลับกังวลแทนธามัน “กูก็ไม่ได้คิดเร่งอะไรมึงหรอกนะ แต่เพราะว่าพ่อมึงไว้ใจเขามากขึ้นเรื่อย ๆ”
“กูรู้” ธามันกอดไหล่ญาติผู้พี่เดินกลับไปที่สำนักงานทนายความของพี่รัฐฐา ที่ตั้งอยู่ใกล้กัน “มึงเองก็เป็นทนายรู้ดีว่าขอบเขตมันอยู่ที่ไหน มึงไม่ลืม กูเองก็ไม่เคยลืม”
เมื่อเข้ามาในสำนักงาน บรรดาพนักงานที่ยังอยู่ในห้องครัวด้านหลังชะโงกหน้ามามอง พอเห็นว่าเป็นธามันกับฐาติก็ยกมือไหว้แล้วกลับเข้าไปในครัวเหมือนเดิม
“เด็กกวางคนนั้นเป็นเด็กดี”
ฐาติหัวเราะ “แสบชิบหาย”
“พื้นฐานเขาเป็นเด็กดี แต่เพราะเขาโตมากับสังคมแบบนั้น มันก็ต้องมีความแสบในการเอาตัวรอด แต่เพราะมาเจอมึง เจอน้องเขาถึงได้ดี”
ข้อนี้ฐาติก็พอจะรู้อยู่ สภาพแวดล้อมของกวางที่สลัมหลังตลาด คือยาเสพติด การพนัน และการวิวาท “มีอะไรหรือไงถึงพูดถึงเด็กกวาง”
“เขาไม่เด็กแล้วนะ ม.ปลายแล้ว”
“แล้ว...”
ธามันหันมามองยิ้มๆ “มึงเชื่อเรื่องที่เขาว่า ถ้าคนนี้เป็นของมึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะเป็นของมึงเสมอไหม”
หนุ่มแว่นหัวเราะเหมือนกำลังเอาลมกระแทกหน้าอกตัวเอง
ไม่รู้ว่าแกล้งทำเป็นไม่สนใจ หรือไม่สนใจจริง ๆ แต่ธามันหันออกไปมองคนที่กำลังเดินสวนกันที่ด้านหน้าสำนักงานทนายความ
“ต่อให้พบเจอคนมากมายสักแค่ไหนถ้าเขาไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ต่อให้อยู่กันคนละซีกโลกก็จะมาพบเจอกันอยู่ดี”
ฐาติกลอกตามองบน “เขาอยู่ของเขาเฉย ๆ มึงคือคนที่ไปมาครึ่งโลกแล้วเจตนาเข้าไปหาเขา ไม่ได้บังเอิญสักหน่อย”
“นั่นสินะ ทำไมต้องทุรนทุรายอยากเจอเขานัก” ดวงตาคมหันมามองฐาติ “เวลาที่คิดถึงเขาก็ทำให้ยิ้มได้ และทั้งที่กำลังอารมณ์ไม่ดี แต่พอเขาโทรมาก็อารมณ์ดี”
   หนุ่มแว่นชี้หน้า ถึงที่พูดมาเหมือนจะพูดถึงฉันท์ แต่เพราะไอ้ดวงตาคม ๆ ที่มองมาเหมือนรู้ทันนั่นแหละที่ทำให้รู้ตัว ว่า 2 ประโยคสุดท้ายกำลังหมายถึงใคร
ไอ้หมอนี่แหละตัวร้าย!

...จบตอนที่ 8...
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-02-2019 18:52:49
 :pig4: คิดถึง​มาก​มาย​
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-02-2019 19:34:18
เป็นงัยล่ะ ฐาติ


โดนพี่ธามต้อน


จนมุมล่ะซิ


เสี้ยมเรื่องน้องฉันท์


กับพี่ธามจนเขาแทบเลิกกัน


ดีที่พี่ธามไม่ไขว่เขวเหลาะแหละ


รักน้องฉันท์มั่นคง


เราไม่ยกลูกกวางคนเก๋าให้ง่ายๆหรอก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-02-2019 20:04:14
แนะๆ ใครคนนั้นของฐาติ

ผิดนิดนึง

สถานการณ์ในวันนั้น ฐาติให้สายของสำนักงานหลอกคนของฐาติ ธนวัฒน์ ไปอีกทาง จากนั้นจึงได้เข้าไปหาฉันท์ที่ศาลาวัด เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรื่องราวต่าง ๆและให้นามบัตรไว้ด้วย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-02-2019 23:48:22
รู้ทันกันมากเด้อสองพี่น้อง  o13
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 24-02-2019 00:24:25
คู่พี่ก็พูดน้อยทั้งคู่ ส่วนคู่น้าก็พูดมากทั้งคู่
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 24-02-2019 08:29:19
ธามันคือมือชงอันดับหนึ่ง 
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 24-02-2019 19:23:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 24-02-2019 23:03:26
สวัสดีคุณไจฟ์น้องทีค่า
เราห่างหายจากเล้าไปซะนานเลย
ช่วงนี้เด็กๆสอบกันละ ค่อยมีเวลาได้เข้ามาหน่อย

ตามอ่านจนครบ 8 ตอนรวดเดียวเลย
ชอบความมั่นคงและมุ่งมั่นของพี่ธามมากๆๆ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-02-2019 20:20:47
ฐาติเหมือนโดนเอาคืนหลายดอกแล้วไหม
ไปแหย่คนน้องเองเนาะ ช่วยไม่ได้
ทำไมธามแอบร้าย 5555

ธามเอ็นดูและรักฉันท์มาก แต่ไม่อยากกระตุกต่อมคนอื่น
ชอบความมั่นคงนี้จังเลย พยายามเพื่อน้องมากด้วย

ฉันท์น่ารักเนาะ สนใจเฉพาะเรื่อง และให้ความสำคัญกับพี่เสมอ
แต่อะไรคือไปถามเจ้าหนี้ว่ามีเงินค้างอีกไหม กลัวจ่ายไม่หมด เอ็นดู
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-02-2019 09:56:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-03-2019 11:17:50

 :laugh:  :laugh:  :laugh: ฐาติมีคนเอาคืนแล้วววววววววว  :katai3:  :katai3:  :katai3:



ว่าแต่เอ็นดูจิโระจัง  :กอด1:


รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 04-03-2019 12:16:49
โอนนี่ กับ จิโร๊ะ



มาหรือยัง



คิดถึงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-03-2019 05:06:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 07-03-2019 19:36:07
คิดถึงจิโระะะะะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-03-2019 19:51:01
 :katai5: รออยู่นะจ้ะ
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-03-2019 18:40:25
ตอนที่ 9

เช้าวันเสาร์ ธนวัฒน์นัดฉันท์ทัตออกมาพบกันที่สวนสาธารณะที่อยู่เยื้องกับปากซอยบ้านของฉันท์ ตอนที่มาถึงก็เห็นว่าพาจิโระมาขี่รถจักรยานรออยู่ก่อนแล้ว
“มานานแล้วหรือ” ธนวัฒน์ทักทายพร้อมรับไหว้ฉันท์และจิโระ
“เพิ่งมาถึงครับ”
จิโระรินกาแฟร้อนจากกระติกน้ำส่งให้กับธนวัฒน์จากนั้นก็ส่งกล่องแซนด์วิชให้
“ขอบใจมากนะ”   
“อื้ม ฮับ”
“พี่มีงานยุ่งตลอดเลยไม่ได้มาหา น้องฉันท์กับจิโระเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉันท์มองธนวัฒน์ด้วยความสงสัย เพราะถึงจะไม่ได้มาหา แต่ก็โทรมาหาทุกวันอย่างสม่ำเสมอ และก็มักถามเรื่องเดิม ๆ จนทำให้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องรบกวนในใจ ดังนั้นเมื่อนัดให้ออกมาหาฉันท์จึงรับนัด และพาน้องออกมารอด้วยกัน
“พวกเราสบายดี พี่ทีมมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
ธนวัฒน์ยอมรับ “ก็คนทำงานน่ะ ก็เลยมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ต้องคิดอยู่ตลอด”
“พี่ชอบงานที่ทำอยู่ไหมครับ”
“ชอบสิ”
แต่เพราะธนวัฒน์ตอบมาแค่ 2 คำฉันท์ที่ป้อนคำถามไป 2 ข้อติดกันก็ยิ่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อเพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท เห็นนักวิ่งที่วิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าไปก็เลยช่วยเปลี่ยนเรื่อง
“พี่เคยมาออกกำลังกายที่นี่ไหมครับ”
“ไม่เคยเลย”
ฉันท์มองธนวัฒน์แล้วหันไปมองจิโระที่กำลังวนรถจักรยานกลับมาหา
“พี่ทีมครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ธนวัฒน์ยกมือขึ้นเพื่อที่จะแตะไหล่ของฉันท์ แต่กลับลดมือลงมาวางไว้ที่หน้าขาของตนเองเหมือนเดิม
“น้องฉันท์ยังมีแผนจะเปิดร้านอยู่หรือเปล่า”
ฉันท์พยักหน้า “ครับ คิดว่าจะเปิดร้านข้าวต้มกระดูกหมูกัน”
ธนวัฒน์ไม่สามารถนึกภาพของฉันท์ทัตที่สวมผ้ากันเปื้อน ทำข้าวต้มกระดูกหมูแล้วรับเงินจากลูกค้า
“ที่ไหน”
“ตึกแถวหน้าตลาดน่ะครับ ขายเช้ามืดกับช่วงหัวค่ำ จะได้มีเวลาพาลุงไปหาหมอแล้วก็ดูแลจิโระด้วย”
“คุยกับ...ธามหรือยัง”
ฉันท์ส่ายหน้า
“ทำไมล่ะ”
“พี่ธามเขามีงานยุ่งตลอด แล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรนี่ครับ”
“แสดงว่าถ้าถามก็จะบอก”
“ครับ พี่ ๆ มีเรื่องให้ต้องคิด มีงานให้ต้องรับผิดชอบมากอยู่แล้ว ถ้าผมบอกไปโดยที่ไม่ได้ถูกถามก่อน ก็ดูจะเป็นการรบกวนมากเกินไป”
ฟังผิวเผินเหมือนฉันท์วางพี่ ๆ ทั้ง 2 คนไว้ตำแหน่งที่เท่ากัน แต่ธนวัฒน์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่เท่ากัน
“ธามมีงานยุ่งมากเลยหรือ”
“ครับ กลับบ้านดึกทุกวัน แล้วก็ยังเอางานกลับมาทำที่บ้านเสมอด้วย วันนี้ก็ยังต้องไปพบกับลูกค้า” ฉันท์แตะนิ้วที่คางของตนเอง “ไม่แน่ใจว่าเป็นลูกค้า หรือใคร บอกแต่ว่าจะออกไปคุยงานน่ะครับ”
“เขาทุ่มเทให้กับคอนโดฯ นี้มาก”
ฉันท์ไม่แน่ใจ “คงจะเป็นอย่างนั้น”
“ธามไม่ได้เล่าอะไรเลยหรือ”
เป็นอีกครั้งที่ฉันท์ส่ายหน้า “พี่เขากลับมาดึก ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันนักหรอกครับ”
ธามันมาอยู่ที่บ้านหลังนี้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่ค่อยได้คุยกับฉันท์งั้นหรือ
ฟังดูไม่ค่อยเหมือนธามันที่เป็นคนใจร้อนและอวดดีคนนั้นสักเท่าไหร่
“แล้วจะเริ่มทุบอพาร์ทเม้นเมื่อไหร่ เห็นย้ายออกหมดแล้วนี่”
“เห็นช่างคนที่มาซ่อมบ้านบอกว่าประมาณอาทิตย์หน้าครับ ทุบแล้วยังต้องปรับพื้นที่อีกหลายเดือน ระหว่างนี้เขาต้องหาที่กว้าง ๆ ทำที่พักคนงานให้ได้ก่อน”
“อันนี้คุยกับช่างคนที่มาซ่อมบ้านหรือ”
“ครับ”
ฉันท์มองคนที่มีสีหน้าครุ่นคิด
“เป็นห่วงพี่ธามหรือครับ”
คำถามนี้ทำให้ธนวัฒน์ยิ้มได้เป็นครั้งแรก “ธามเก่งและมีผู้ช่วยที่ดีจนไม่ต้องให้พี่มาคอยเป็นห่วงเขาหรอกน้องฉันท์”
ฉันท์ทำเหมือนจะแสดงความเห็นคัดค้านแต่ก็ไม่แน่ใจ
หลังจากที่รู้จักกันมาได้ระยะหนึ่ง ธนวัฒน์ก็เริ่มคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้
“กำลังจะพูดว่าอะไร”
“กำลังจะพูดว่า พี่น้องกันถ้าเป็นห่วงแล้วพูดออกไปว่าเป็นห่วง หรือให้กำลังใจกัน ก็น่าจะดีกว่าเก็บเงียบไม่ใช่หรือครับ”
“พี่กับธามไม่ได้...เป็นพี่น้องที่สนิทกันขนาดนั้น”
“อ่า...” ฉันท์ทำเสียงแปลกๆ “ขอโทษนะครับ ที่เสียมารยาทแสดงความเห็นไปโดยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้โกรธอะไรหรอก ธามเข้ากับพี่น้องทุกคนได้ดี ยกเว้นพี่นี่แหละ มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่มีผลมาถึงเรา” เมื่อหันไปมองดวงตาของอีกฝ่ายก็รู้ได้ว่าธามันไม่ได้เล่าอะไร แต่ธนวัฒน์ก็ไม่คิดที่จะเล่าเรื่องนี้เหมือนกัน
“ได้เจอพวกทีมงานกับผู้ช่วยของธามบ้างหรือเปล่า”
“เจอแต่นายช่างคนที่มาซ่อมบ้านน่ะครับ” แล้วคุณฐาตินี่นับเป็นทีมงานของพี่ธามด้วยหรือเปล่านะ
“เขาไม่ได้นัดมาคุยงานกันที่บ้านหรือ”
ฉันท์ส่ายหน้า ไม่อยากพูดซ้ำประโยคเดิมเป็นครั้งที่ 3
“ธามทำโครงการนี้โดยที่พวกผู้บริหารมาจนถึงพ่อไม่ได้รู้อะไรเลย รู้อีกทีคือเขาซื้อที่ดินไปแล้ว”
ฉันท์เถียงในใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ใหญ่จะไม่รู้
“ตอนที่มารู้ทีหลังว่าเขาซื้อดินแปลงในด้วย พ่อถึงกับต้องเดินมาถามเขาถึงห้องทำงาน ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมเอาที่ดินแปลงเล็กมาทำโครงการ แต่เอาแปลงใหญ่ไว้อยู่เอง”
ฉันท์ยังคงทำหน้าที่รับฟังอย่างตั้งใจ
“เรื่องงานในบริษัทนั่นช่างเถอะ ในฐานะที่พี่เป็นพี่ชายก็มีหน้าที่คอยจัดการเรื่องที่เขาทิ้งไว้อยู่แล้ว พี่แค่อยากบอกให้น้องฉันท์รู้ว่าธามเป็นคนที่เอาแต่ใจ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจใคร ไม่อยากอยู่บ้านก็ย้ายออกมา แทนที่จะไปฝึกงานกับบริษัทครอบครัวก็กลับไม่ทำ ดื้อรั้นจะไปฝึกงานบริษัทของรุ่นพี่ พออยากทำโครงการก็ไปขอเงินแม่เขามาทำ ไม่สนเลยว่าพ่อจะเดือดร้อน พี่เองก็ต้องคอยชี้แจงกับกรรมการคนอื่นอยู่ตลอด แล้วนี่น้องฉันท์ต้องมาอยู่บ้านเดียวกับคนเอาแต่ใจแบบนี้ มันเท่ากับเป็นการเพิ่มปัญหาเข้ามาอีก” ธนวัฒน์ส่ายหน้า “ไม่พูดแล้วดีกว่า จะยิ่งทำให้ไม่สบายใจมากกว่าเดิม แต่ถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับธามก็ปรึกษาพี่ได้นะ”
หนุ่มตัวผอมรู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 พี่น้องคู่นี้ไม่ได้ราบรื่น
“ส่วนเรื่องที่น้องฉันท์มีแผนที่จะค้าขาย เราก็ไปคุยกับเจ้าของตึก จะเซ้งหรือเช่าก็ทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราว จะได้ปรับปรุงซ่อมแซม”
“ผม...ซื้อห้องแถวนั้นไว้แล้วครับ”
ธนวัฒน์มีท่าทีประหลาดใจ เพราะคนที่ให้คอยตามฉันท์ไม่เคยรายงานว่าฉันท์ไปดูห้องแถวที่ไหน
“แต่ยังไม่ได้ซ่อมหรือปรับปรุงร้านเลยครับ”
ร้านนั้นคนเช่าเดิมหมดสัญญาไปเป็นปี สภาพโดยทั่วไปก็เลยทั้งสกปรกและทรุดโทรม หลังจากที่ธามันโอนเงินงวดแรกมาให้ ฉันท์ก็ไปซื้อห้องแถวนี้ไว้ ตั้งใจว่าใช้หนี้หมดค่อยมาปรับปรุงซ่อมแซม และซื้อของเข้าร้าน แต่ปรากฏว่าธามันมาคุยกับลุงและป้าเรื่องที่จะย้ายเข้ามา ฉันท์ก็เลยพักความตั้งใจนี้ไว้ก่อน
“แต่เขาไม่รู้เรื่องตึกแถวใช่ไหม”
“ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้เรื่องซื้อตึกแถวหรือเปล่า แต่ผมไม่เคยคุยเรื่องที่ผมอยากทำร้านข้าวต้ม มันดูเป็นความฝันที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรสักเท่าไหร่”
ธนวัฒน์ลูบศีรษะเล็ก ๆ “ความฝันมันไม่มีมวล ไม่มีน้ำหนัก วัดขนาดไม่ได้และเท่าที่พี่รู้ ทุกคนที่มีความฝันแล้วเดินไปตามความฝันมักเป็นคนที่มีความโดดเด่นออกมาจากคนที่ไม่มีความฝันอะไรเลย”
ฉันท์หัวเราะเบา ๆ “ผมกำลังคิดถึงตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษาที่เข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด”
ธนวัฒน์ยิ้มตามแล้วหันไปถามจิโระ “เหนื่อยหรือยัง”
พอถูกเรียก จิโระถึงเข้ามาดื่มน้ำจากนั้นก็ไปขี่จักรยานต่อ
ฉันท์มีความรู้สึกว่า การที่ธนวัฒน์นัดมาคุยในครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับตัวของฉันท์กับธามัน แต่น้ำหนักของความเป็นกังวลน่าจะเทมาทางฉันท์
และพอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
ฉันท์กับจิโระกลับมาถึงบ้านตอนใกล้เที่ยงโดยแวะซื้อราดหน้าเข้ามาฝากทุกคนที่บ้าน พอกินอาหารกลางวันเสร็จก็อาบน้ำล้างตัวให้จิโระพาไปนอนกลางวัน
“อยากนอนกลางวันนอกกล่องไหม”
จิโระส่ายหน้า “ฮันซามุซังไป ทาม งัน ท้าง วัน เลวย รือ”
“ก็คงอย่างนั้นแหละ” ฉันท์ตบก้นน้องเบา ๆ เพื่อกล่อมนอน “คิดถึงฮันซามุซังแล้วหรือ”
น้องชายตัวน้อยส่ายหน้า “ไม่ไจ้ เวลาฮันซามุไม่อยู่ โอนี เส้า วันนี้ ตวอน เท่ คุยกับ โคนน้าน ก่อไม่ ก่อ คิด น่ะ คิด ตา หลอด”
ฉันท์หัวเราะน้องชาย “เขาเป็นอาจารย์ เวลาคุยกับเขาเราก็ต้องสุภาพสิ แล้วเราก็ต้องคิดก่อนพูดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
คิ้วบางของจิโระขมวดแน่น ถึงจะเพิ่งรู้จักภาษาไทยได้ไม่กี่เดือน แต่ก็พอจะรู้ว่า สุภาพ กับการคิดเยอะ ระวังทุกคำพูดของพี่ชายน่ะมันไม่เหมือนกัน
“วาน นี่ ฮันซามุซัง กับ ไม๊”
พี่ชายไม่ค่อยอยากให้น้องชายต้องรอ แต่ถ้าพูดแบบนั้นกับเด็กมันก็ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่
“มีอะไรจะบอกกับฮันซามุซังหรือ”
น้องชายยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง พลิกตัวหนีไปอีกทาง
“แน่ะ มีเรื่องปิดบังกันเสียแล้ว” ฉันท์หัวเราะอารมณ์ดี
กวางรอจนจิโระหลับไปแล้ว ถึงได้เข้ามาบอกฉันท์ว่าป้าละเมียดเอาชุดของธามันมาส่งให้แล้ว
“แต่ว่า...พี่ฉันท์มาดูก่อนเหอะ”
ฉันท์เดินตามไปดูพบว่ากางเกงผ้าเนื้อดีของธามันตัวหนึ่งมีรอยเส้นสีขาวที่เกิดจากการใช้ไฟแรงเกินไป
กวางมองสีหน้าของฉันท์ที่เริ่มซีดก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
“ละออเอามาส่งหรือ” ละออคือหลานสาวอีกคนของป้าละเมียดที่เพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วัน
“ใช่พี่ นางคงเป็นคนรีดตัวนี้ด้วยแหละ ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นป้า”
ฉันท์พับกางเกงใส่ถุง บอกกับกวางว่าจะออกไปข้างนอกฝากดูจิโระให้ด้วย จากนั้นก็ขับรถมาที่ห้างสรรพสินค้าตรงไปที่ร้านแบรนด์เดียวกับกางเกงขายาวของธามัน
“ขอสีเดียวกันขนาดเดียวกันเลยนะครับ”
หลังจากที่ได้กางเกงมาแล้วก็ต้องเอาไปซัก แต่ฉันท์ไม่กล้าถือกลับไปให้ป้าละเมียดจัดการให้แล้ว ต้องเลือกร้านที่อยู่ในชั้นใต้ดินของห้างเดียวกัน
ถึงจะเป็นกางเกงแค่ 1 ตัว แต่ก็ต้องเป็นไปตามคิว ฉันท์จึงต้องมารับกางเกงในวันพรุ่งนี้
ชายหนุ่มเก็บใบนัดรับกางเกงใส่กระเป๋าแล้วเดินถือกางเกงตัวเดิมกลับออกมา พอมาถึงบ้านก็เอาแขวนเก็บไว้ในตู้ เสร็จแล้วก็รีบมาทำกับข้าวให้ทุกคนในบ้าน
ตอนที่ธามันกลับมา ฉันท์ก็อยากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็รอจนกระทั่งธามันกินอาหารเย็นเสร็จแล้วและออกมาเดินเล่นที่หน้าบ้านอยู่กับจิโระ ถึงได้บอก
“ขอโทษด้วยนะครับ กางเกงที่ส่งไปซักรีดมีตัวหนึ่ง เสียหายจากการใช้ไฟแรง ผมไปซื้อตัวใหม่ยี่ห้อเดิมให้แล้ว แต่ร้านซักรีดนัดให้ไปรับของบ่ายวันพรุ่งนี้ครับ”
“ไปซื้อกางเกงที่ไหนหรือ”
“ที่ห้างใกล้ ๆนี่น่ะครับ”
“อย่างนั้นวันพรุ่งนี้เราไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วไปรับกางเกงดีไหม”
ฉันท์ยิ้มกว้าง “ครับ” จากนั้นก็หันไปถามจิโระ “พรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน”
“อื้ม ฮับ”
เดินเล่นต่ออีกครู่หนึ่ง ก็กลับเข้าบ้าน ธามันก็หันมาถามว่ากางเกงตัวไหน ฉันท์ก็เลยเดินนำขึ้นไปบนห้อง แล้วหยิบออกมาให้ดู
ธามันเห็นแล้วหัวเราะ “แค่นี้เอง”
“ไม่ได้นะครับ พี่เป็นผู้บริหารแล้ว จะให้ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยไม่ได้”
“เรียบร้อยเป็นพิเศษเฉพาะเวลาอยู่กับผู้ใหญ่เท่านั้นแหละ”
“ก็นั่นไงครับ ผมถึงรีบไปซื้อตัวใหม่ ดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่คงไม่ต้องไปที่บริษัท”
“ชิรายูกิ” มือใหญ่จับศีรษะเล็ก “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก”
“ต้องจริงจังสิครับ พี่ทุ่มเทกับการทำงานมากขนาดนี้ จะให้มีความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”
ธามันโอบกอดคนกังวลไว้
“ทีแรกคิดว่าจะลองเปิดหาในอินเทอร์เน็ตดูว่ามีวิธีแก้ไขไหม แต่กลัวว่าจะยิ่งทำให้แย่ลง ก็เลยลองไปดูที่ร้านก่อนว่ามีไหม”
“มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกพี่อีกไหม”
ฉันท์เงยหน้ามองพี่
“สัญญาก่อนว่าจะฟังให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินผมนะ”
“นั่นขึ้นอยู่กับคำชี้แจง”
ฉันท์จูงมือพี่ไปนั่งข้างกันที่พื้นห้อง แล้วเล่าเรื่องที่พาจิโระออกไปหาธนวัฒน์ที่สวนสาธารณะ
ต่อให้ธามันไม่ได้แสดงสีหน้ามากมายนัก แต่การที่เขาส่ายหน้าครั้งหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดค้านอะไรออกมา ก็ทำให้ฉันท์รู้ว่าธามันไม่พอใจ
“ตอนที่ผมพูดขึ้นมาว่า หากเขาเป็นห่วงพี่ เขาก็น่าจะบอกกับพี่เพราะว่าเป็นพี่น้องกัน แล้วเขาบอกว่าพี่ 2 คนไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ผมก็เลยรู้ตัว ว่าอาจทำให้พี่ต้องเดือดร้อน...ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ได้คิดอะไรให้มันรอบคอบ” แถมหลังจากนั้นธนวัฒน์ยังพูดอะไรอีกหลายคำที่ทำให้ฉันท์ต้องปิดปากให้สนิทกว่าเดิม
ธามันรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหอมหน้าผาก “ไม่พูดคำว่าขอโทษได้ไหม เพราะพี่ไม่เคยโทษชิรายูกิ”
“แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจ”
“ถ้าเรื่องของพี่ทำให้ชิรายูกิไม่สบายใจ พี่ต่างหากที่ต้องเป็นคนขอโทษ”
ฉันท์พยายามจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับธามัน แต่อีกฝ่ายก็กลับหอมที่ขมับอีกครั้ง
“พี่ฮะ เขาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้พี่เครียดเรื่องงานด้วยใช่ไหมฮะ”
“การแข่งขันระหว่างพี่น้องน่ะ”
นี่เป็นเรื่องที่ฉันท์เข้าใจ “ครอบครัวทางฝั่งพ่อผมก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ผมก็เลยพอจะเดาได้ว่าการแข่งขันระหว่างพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน มันจะเรื้อรังไปเรื่อย ๆ จากคนรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง” เมื่อธามันเลิกคิ้วสูง ฉันท์ก็ชี้ไปที่สวนหลังบ้าน “หลักฐานก็เห็น ๆ กันอยู่”
ธามันหัวเราะอารมณ์ดี
...นั่นสินะทุกอย่างมันเห็นกันอยู่จนไม่อยากพูดถึง จากนั้นก็พูดเรื่องร้านข้าวต้ม “พรุ่งนี้พาพี่ไปห้องแถวที่ชิรายูกิซื้อไว้ได้ไหม”
ฉันท์ยิ้มกว้าง “ได้ฮะ” ที่จริงจะพาไปตอนนี้เลยก็ยังได้ ร้านอยู่แถวหน้าปากซอยนี่เอง
“ชิรายูกิ”
“ฮะ”
“พี่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่” ฉันท์คงจะหัวเราะถ้าคนพูดไม่ได้กำลังเครียด และประหม่า คนตัวใหญ่ที่เมื่อครู่กลับมาเป็นคนมือไวอีกครั้งจู่ ๆ ก็หายใจเข้าลึก ๆ จนเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดที่ขมับแล้วหยดลงปลายคาง “พี่อยากรู้ว่า พี่เป็น...คนสำคัญของชิรายูกิหรือเปล่า”
ฉันท์พยักหน้า
“อย่างนั้นถ้าจะออกไปข้างนอก ช่วยบอกพี่หน่อยได้ไหม พี่เป็นห่วง”
มือขาวช่วยเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพี่ รู้ว่าคำว่าออกไปข้างนอกหมายถึงอะไร “ตอนที่พี่ทีมโทรมามันหลังจากที่พี่เพิ่งออกจากบ้านไปได้ครึ่งชั่วโมง ผมเดาว่าพี่อาจกำลังขับรถ หลังจากนั้นก็ทำงาน ก็เลยไม่อยากรบกวน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าพี่เป็นพี่น้องที่ไม่ได้สนิทกัน ก็คิดเอาเองว่า เดี๋ยวค่อยบอกทีหลังก็ได้ แต่ต่อไปจะบอกทุกครั้งนะฮะ”
ธามันจับมือผอม ๆ ไว้ แต่พอเชยคางสวยขึ้นมาหา ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังนั้น
“ว่าไง” ฉันท์ลุกไปเปิดประตูทันที
กวางเอา 2 มือปิดตา “ป้าละเมียดมา”
“คงมาเรื่องกางเกงพี่น่ะ”
เพราะท่าทางแปลก ๆ ของกวางทำให้ฉันท์รู้สึกเก้อเขิน
“พี่ลงไปด้วย”
ป้าละเมียดมาขอโทษเรื่องกางเกงจริง ๆ และเสนอจะชดใช้ให้ แต่ธามันบอกว่าไม่เป็นไร “ผมได้กางเกงใหม่อีกตัวหนึ่งแล้ว ขอบคุณมากครับ”
เพราะรอยยิ้มพระเอกเต็มขั้นทำให้ป้าถึงกับยิ้มเขินกลับไป
ฉันท์ยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นโค้งหันมาบอกกับธามัน “ป้าหลงรักพี่แล้ว ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวคนไหนก็จะไม่มีทางได้แตะกางเกงของพี่แน่ ๆ” 
เช้าวันอาทิตย์ฉันท์ลงมาเตรียมของใส่บาตรที่หน้าบ้าน เมื่อเข้าบ้านมาเห็นว่าธามันตื่นนอนลงมาแล้ว จึงมาทำข้าวต้ม
“วันนี้ไม่ได้ไปทำงานจะรีบตื่นนอนทำไมละฮะ”
“ไม่ได้รีบหรอก นี่ถือว่าสายมากแล้ว” นาฬิกาที่ฝาผนังบอกเวลา 6.30 น. “ปกติต้องตื่นเช้ากว่านี้นะ”
ฉันท์ยิ้มหวาน
“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
ฉันท์รีบปฏิเสธบอกว่าอยากให้รอชิมข้าวต้ม “รอสักครู่นะฮะ”
แต่เพราะจิโระตื่นนอนพอดี แล้วเรียกหาพี่ชายทันที ฉันท์จึงฝากให้ธามันช่วยดูแลน้องให้ก่อน
“งั้นหนูขึ้นไปทำความสะอาดห้องแล้วก็เก็บผ้าปูที่นอนลงมาซักเลยนะ” กวางไม่รอฟังคำตอบจากฉันท์ก็รีบวิ่งนำธามันขึ้นไปหาจิโระก่อนแล้ว
ไม่ถึง 15 นาทีถัดมา จิโระที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมกับธามัน ลุง และป้าก็มาพร้อมกันที่โต๊ะกินข้าว
“หอมมาก” ธามันพูดชม
“อร่อยมากด้วย” ป้าบอก
จากน้ำซุปช้อนแรก มาถึงข้าวต้มและซี่โครงอ่อน พี่ยังไม่ยอมแสดงความเห็น ฉันท์ลุ้นจนเผลอกัดเล็บ
ธามันเอื้อมมือไปดึงข้อมือผอมไว้  “อร่อยมาก”
พ่อครัวดีใจมาก “ผมจะขายข้าวต้มซี่โครงอ่อนนะ”
พี่พยักหน้าสนับสนุนยิ่งเมื่อเห็นว่าพ่อครัวดีใจก็ถามต่อ “น้ำซุบคล้ายอาหารญี่ปุ่นหน่อยๆ”
“ผมใส่มิโซะ กับซอสปรุงรสสูตรของโอกาซัง” ฉันท์ยิ้มด้วยความภูมิใจ “พ่อชอบข้าวต้มของโอกาซังมาก ต่อให้กินอาทิตย์ละ 5 วันก็ยังต้องขอเติมทุกครั้ง”
“จิโระ ก่อ เติม” เด็กน้อยอวดถ้วยข้าวต้มที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง
กวางที่กำลังมองคนที่กำลังทำตาหวานใส่พ่อครัว รู้สึกว่าถูกขัดจังหวะดูฉากรักหวานสะท้านโลกหันมาทำปากยื่นใส่น้องเล็ก “ถ้วยข้าวต้มเท่าผลส้มยังจะมาอวด”
จิโระหันมามองหน้าพี่ชาย ฉันท์ก็เลยช่วยแปล “มิกัน ส้ม”
“โถ้ย ขาว นี่ ยัย กว่า มิกัน”
ป้าแจ่มจิตโบกมือบอกว่าไม่ต้องไปสนเด็ก 2 คนเถียงกัน แล้วบอกกับธามัน “ฉันท์เคยพูดเรื่องอยากเปิดร้านอาหารกับแม่มาตั้งแต่เด็ก แต่ลุงอ้ายที่เป็นลูกคนโตของปู่เขาน่ะไม่เห็นด้วย ทีนี้เขาเป็นผู้ใหญ่ พอบอกว่าไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ ก็พูดตาม”
ป้าพยายามจะอธิบาย “ธามเข้าใจการสืบมรดกของตระกูลวีนิตาของเจ้าฉันท์ไหม”
ธามันส่ายหน้า ป้าที่ชอบเล่าเรื่อง ก็เลยอธิบายยาว “รุ่นเทียดเขาน่ะมีเมียหลายคนมีลูกหลายคน พอเวลาจะตายก็ยกมรดกให้กับลูกคนแรกของเมียแรก บอกให้เอาไปทำมาหากินเลี้ยงน้อง ๆ หรือจัดสรรให้ คือไอ้สมัยนั้นมันก็ไม่มีทะเบียนสมรส ไม่มีกฎหมายเรื่องสินสมรสอะไรแบบนั้นไง ถ้าพี่เป็นคนดีเขาก็แบ่งกันไป แต่บ้านนี้พี่คนโตกอดไว้จนตาย เขาถือว่าเขาเป็นคนที่ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา เอาไปเช่าบ้าง ขายแปลงนี้ ไปซื้ออีก 2 แปลงตรงโน้น แบบนี้ พอมาถึงทวดเขาก็สั่งเสียไว้เหมือนกับบรรพบุรุษ ทีนี้เขาจัดการแบบนี้ 2 รุ่นแล้วไง พอมาถึงปู่ของเจ้าฉันท์ที่เป็นรุ่นที่ 3 ก็มีความรู้สึกว่าทั้งหมดนี้คือของพวกเขา แต่พอป่วยหนักใกล้จะตายถึงได้แบ่ง ก็ยังคงอยู่ในกลุ่มลูกเมียแรก ส่วนฉลองพ่อของเจ้าฉันท์เขาก็ลูกเมียแรกแต่ถูกตามใจแล้วก็เกเรอยู่มาก ที่ทุกแปลงที่ปู่สั่งไว้มันถึงได้ติดเงื่อนไข ว่าถ้าอยากได้เขาจะต้องซื้อจากพี่ชายคนโต”
ลุงวินัยเองก็นับว่าเป็นลูกหลานของตระกูลนี้ และอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้รับมรดกอะไร เพราะอยู่ในกลุ่มของเมียรอง แต่ด้วยความที่เลี้ยงพ่อของฉันท์มาตั้งแต่เล็กจึงมีความเคารพนับถือกัน เมื่อจะมาทำอพาร์ทเม้นท์ก็ชวนมาทำงานด้วย และวางใจให้ดูแลทุกอย่าง
“ถึงจะซื้อมา แต่สุดท้ายก็ต้องขายไปอยู่ดี” ฉันท์ตอบแบบไม่มีอารมณ์ขัน แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามจิโระว่าจะเติมไหม
จิโระที่ฟังออกเป็นบางคำสรุปจากท่าทีของพี่ชายก็รู้ว่า เรื่องที่ตอนแรกเหมือนจะดี เพราะฮันซะมุซังพูดชมพี่ชาย แต่ตอนสุดท้ายต้องไม่ดีแน่ ๆ เพราะพี่ชายไม่ได้ยิ้ม
“เจ้าฉันท์ เรานี่” ป้าดุเบาๆ
“ลูกผู้ชายน่ะ ต้องทำให้ทรัพย์สินมันงอกเงย ดูแลทุกคนให้มีความสุข”
“ตอนนี้ทุกคนก็มีความสุขนะ” ธามันหันมาถามจิโระ “มีข้าวต้มอร่อย ๆ ในมื้อเช้า ก็มีความสุขที่สุดแล้ว จริงไหม”
“อื้ม ฮับ” จิโระพยักหน้าเห็นด้วยทันที
กวางก็พลอยพยักหน้ายืนยันไปด้วย “หนูก็ได้เรียนต่อด้วย ดีสุด ๆ”
ฉันท์คลี่ยิ้มแล้วหัวเราะขำเบา ๆ

พอถึงตอนสาย จิโระกำลังหลับอยู่ ฉันท์ก็พาธามันไปดูห้องแถวที่ซื้อไว้
ห้องแถวหน้ากว้าง 3 เมตรความสูง 3 ชั้น ตั้งอยู่ห่างจากปากซอยบ้านแค่ประมาณ 200 เมตร ธามันยืนเท้าเอวมองระยะห่างจากตลาดที่เป็นซอยถัดไปทางฝั่งขวามือ กับฝั่งที่เป็นปากซอยบ้านแล้วต้องผิวปากหวือ
ตรงนี้มันทำเลทองชัดๆ
ฉันท์ชี้บอก “ตลาดกับชุมชนด้านหลังเป็นกงสีของบ้านใหญ่ คุณย่าใหญ่คุมบัญชี แต่ตึกแถวนี้เป็นของพี่เอื้อยครับ”
“พี่เอื้อยเป็นลูกสาวลุงคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ชิรายูกิจะทำร้านข้าวต้มใช่ไหม”
ฉันท์พยักหน้า ส่งหน้ากากอนามัยให้ธามันแล้วหันไปไขกุญแจเปิดประตูสแตนเลสที่ถูกสนิมกัดกินจนผุกร่อน
“ใช่ฮะ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว ตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ พอมาถึงตอนนี้ ผมขายอพาร์ทเม้นท์ให้พี่ได้ กลับไปคุยกับพี่เอื้อย เขาก็ขายให้”
ธามันไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เพราะเมื่อเปิดประตูห้องแล้วได้กลิ่นเหม็นอับพุ่งตรงเข้ามาหาทันที แต่ก็เดินตามฉันท์ขึ้นไปดูห้องต่าง ๆ ทั้ง 3 ชั้นแล้วกลับออกมาคุยกันต่อที่ด้านหน้าห้องแถว
“ถ้าจากราคาที่บอกมา แสดงว่าพี่เขาก็สนับสนุนเราอยู่เหมือนกันนะ เพราะถ้าเป็นทำเลแบบนี้ เขาปล่อยเช่าดีกว่าขายขาด แล้วนี่ยังให้ราคาถูกมากด้วย”
“ห้องนี้ไม่มีคนเช่ามานานกว่าหนึ่งปีแล้วครับ เดิมเป็นร้านขายเสื้อผ้ามือ 2 ค้างค่าเช่ามา 2 เดือนแล้วก็เก็บของทิ้งตึกไป ไม่จ่ายค่าเช่า พี่เขาก็เลยไปแจ้งความตามตัวตนเจอ ต่อมาก็ติดป้ายให้เช่า แต่พี่เขาคิดค่าเช่าแพงเดือนละ 2 หมื่น ห้องก็เลยว่างมาตลอด”
ระหว่างที่ฉันท์กำลังปิดประตูห้องแถว คนตัวใหญ่กำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกง มองร้านที่อยู่ติดกันซ้ายขวา ด้านหนึ่งเป็นร้านข้าวมันไก่ ส่วนอีกร้านเป็นร้านทำผมที่เช่าเฉพาะหน้าร้านชั้นล่าง
“ที่พี่เขาขายให้ชิรายูกิในราคาถูก ก็เพราะว่าชิรายูกิจะเอามาลงทุนทำการค้าเขาก็เลยสนับสนุน”
ป้าอาจมองเห็นความไม่ยุติธรรมอยู่ในเบื้องหลังคำสั่งของบรรพบุรุษ เพราะคิดว่าในเมื่อนี่คือสิทธิ์ที่สมควรได้แล้วทำไมยังต้องซื้อ
แต่ธามันมองเห็นเจตนาที่แฝงอยู่ในคำสั่งนั้น
“เขากังวลว่าพ่อของชิรายูกิจะเอาไปขายเสียหมด”
“พี่เอื้อยก็บอกแบบนี้แหละ ตอนที่ผมไปคุยเรื่องห้องนี้ ก็ได้คุยกันเกี่ยวกับการเก็งกำไร เขาบอกว่า ผ่านไปตรงไหนเจอที่แปลงสวย ๆ ก็ซื้อเก็บไว้เก็งกำไร นี่เขายังจ้องอยู่ว่าคอนโดฯพี่เปิดจองเมื่อไหร่ เขาจะมาจองไว้ เดี๋ยวจะให้เช่าต่อ”
“แล้วชิรายูกิจะจองด้วยไหม”
คุยกันอยู่ดี ๆ ฉันท์ก็เกรงใจกันเสียดื้อ ๆ “รอให้ลูกค้าจองทำเลที่ดี ๆ ไปก่อนดีกว่าฮะ”
ธามันหัวเราะ “งั้นต้องรออีกหลายเดือนเพื่อปรับพื้นที่ก่อน ระหว่างนี้ชิรายูกิไปคุยกับพี่เอื้อยนะ ว่าเราจะขอซื้อห้องที่เป็นร้านทำผมด้วย”
ฉันท์ทำตาโตหันไปมองร้านทำผมร้านข้าง ๆ
“ซื้อไว้ ยังไม่ต้องให้เขาย้ายออก หาที่ตั้งหน้าร้านให้เขาก่อน ทำเหมือนตอนร้านป้าละเมียดน่ะ เพราะอีกหน่อยคอนโดฯขึ้น เขาจะได้ลูกค้าเพิ่ม” มือใหญ่ชี้ไปรอบ ๆ “ตรงนี้จอแจ เราต้องหาที่จอดรถมอร์เตอร์ไซค์ให้ลูกค้า”
“ห้องนี้ทำร้าน อีกห้องทำที่จอดรถ แต่ห้องข้างบนจะว่างถึง 4 ห้องเลยนะพี่”
“ไม่ว่างหรอก เพราะชั้น 3 เป็นห้องพักคนงาน ส่วนชั้น 2 พี่จะเอาผนังออก”
“พี่ฮะ แค่ข้าวต้มเองนะฮะ ที่จริงผมเช่าแค่หน้าร้านอย่างเดียวก็พอ”
“แต่ชิรายูกิซื้อมาทั้งตึก”
“ตอนนั้นผมคิดเผื่อว่าเราจะอยู่ที่เดิมไม่ได้ ก็เลยจะพากันมาอยู่ที่นี่ทั้งหมดต่างหาก”
“แต่ยังไงเราก็ต้องคิดเรื่องที่จอดรถลูกค้าด้วย รถเก๋งจอดในตลาดได้ รถมอเตอร์ไซค์จอดไกลไม่ได้”
ธามันแอบอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าฉันท์มีสีหน้าคิดหนัก
“ลองไปคุยกับพี่สาวดูก่อน ส่วนเรื่องห้องชั้นบนของตึกหนึ่งเราเผื่อเป็นห้องเก็บของ ชั้นสามห้องพักคนงาน ส่วนอีกตึก เราเอาชั้น 2 กับชั้น 3 ให้เช่าได้ ร้านทำผมย้ายขึ้นไปชั้น 2 ก็ได้ อย่างร้านซักรีดเขาก็ต้องการดาดฟ้า”
“ผมไม่ค่อยสบายใจเวลาที่ต้องไปคุยกับเขาเรื่องให้ย้ายออกเลย” ฉันท์เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และรู้ดีว่ามันไม่สนุกเลยสักนิด เวลาที่บอกให้คนที่ดีกับเรามาตลอดย้ายออกไปจากบ้านของเรา
“เราจะชดใช้เรื่องการยกเลิกสัญญาก่อนเวลาตามที่กฎหมายกำหนด”
“แต่คนนะฮะ ความรู้สึกผูกพันมันเอากฎหมายหรือเงินมาจัดการไม่ได้หรอก”
ธามันยอมถอยลงมาครึ่งก้าว “งั้นลองไปคุยขอซื้อจากพี่สาวก่อน ไม่ต้องให้ร้านทำผมย้ายออก ให้เขาอยู่ต่อไปจนหมดสัญญา”
“ถ้าเขาไม่มีสัญญา”
“เราก็รอจนกว่าเขาจะเลิกทำ ถึงตอนนั้น เราค่อยปรับปรุงดีไหม” ธามันมองไปรอบ ๆ ขณะที่เดินกลับมาที่ลานจอดรถในตลาด “เรื่องทำการค้า ที่จอดรถก็สำคัญนะ ร้านค้า ร้านอาหารมีอยู่ทั่วไปให้เลือก ต่อให้อร่อยขนาดไหน ถูกขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีที่จอดรถ หรือโดนล็อคล้อเข้าสักครั้ง เขาก็ไปร้านอื่นแล้ว”
เมื่อสตาร์ทรถธามันก็หันมาชวน “ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว พาพี่ไปไหว้พ่อกับแม่ได้ไหม”
ฉันท์พยักหน้า
“พี่ควรลงจากรถไปจุดธูปไหว้ท่าน ตั้งแต่ตอนที่ท่านอยู่ที่ศาลาในวันนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะไม่พร้อมจะเจอคุณทีม ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าคุณทีมถามว่ามาทำไม กลัวได้ยินเขาประกาศว่า ชิรายูกิคือแฟนเขา”
ดวงตากลมหันมามอง
“มองแบบนี้ไม่เชื่อใช่ไหม”
“เชื่อสิ” ฉันท์พูดยิ้ม ๆ “ถึงมันจะไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ก็ตาม” และไม่คิดว่าธามันจะสารภาพตรง ๆ แบบนี้
ตลอดทางจากร้านไปจนถึงวัด ทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรกันมากจนกระทั่งมายืนอยู่หน้าแผ่นป้ายพ่อกับแม่ก็เห็นว่าธามันพนมมือบอกกับพ่อแม่อยู่นาน

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่8 (23/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-03-2019 19:00:16
(ต่อครับ)

แต่ตอนที่จะกลับออกมา เจอกับญาติผู้ใหญ่หลายคนที่มาทำบุญที่วัดและกำลังจะกลับ ฉันท์จึงแนะนำธามันกับทุกคน จากนั้นป้าคนหนึ่งก็ชวนให้มาร่วมงานทำบุญที่ตลาดในเดือนหน้า
ธามันรับปากว่าจะมาทำช่วยงานอย่างแน่นอน
จนกระทั่งกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ธามันถึงได้ชวนคุยเรื่องร้านต่อ
“คิดไว้หรือยังว่าจะขายข้าวต้ม ราคาถ้วยละเท่าไหร่”
ฉันท์คิดอยู่วินาทีเดียว “30 บาท”
“ใส่เครื่องแบบเมื่อเช้าน่ะนะ”
ฉันท์พยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ถ้วยขนาดนั้น ปริมาณหมูและเครื่องแบบนั้นน่ะนะ” ธามันไม่อยากเชื่อ
“ใช่” พี่จะถามย้ำทำไมให้ใจเสียนะ
“ชิรายูกิไม่ได้มีต้นทุนแค่ของที่เอามาทำข้าวต้มนะ ยังมีต้นทุนของที่ซื้อเข้าร้าน ทั้งถ้วยชาม โต๊ะเก้าอี้ ของที่หมดไปอย่างค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าไฟ รายจ่ายประจำอย่างค่าจ้างคนงาน ประกันสังคมให้ลูกจ้าง แล้วก็พวกภาษีป้าย ภาษีอะไรอื่นๆ อีก”
“...”   
ธามันเคาะนิ้วกับพวงมาลัย ควรจัดเล็กเชอร์สัก 5 นาทีให้คนจบบริหารฯที่อยากเปิดร้านฟังดีไหมนะ
ในหลักสูตรที่เรียนมาไม่มีเรื่องนี้หรือ 
“ผมแค่อยากทำข้าวต้ม”
“ก็ทำข้าวต้มไง ไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ” แต่พี่กำลังเครียด “ถ้าจะขาย 30 ก็ต้องลดปริมาณจากเมื่อเช้าลงมาครึ่งหนึ่ง ขายแบบ 2 ราคาก็ได้ 30 กับ 50”
“โหพี่ ใครเขาจะกินข้าวต้มหมูร้านห้องแถวถ้วยละ 50 กัน”
“ถ้ามันอร่อยถูกปากเขา กินถ้วยละ 30 ไม่อิ่ม เขาก็สั่งถ้วยใหญ่” ธามันยังมีไอเดียมานำเสนอ “ลองสูตรข้าวต้มทะเล กับข้าวต้มไก่ด้วยสิ ลูกค้าจะได้มีให้เลือกหลาย ๆ อย่าง”
ฉันท์ทำแก้มพอง “ถ้วยละ 50 บาทเชียวหรือแพงจัง”
“ชิรายูกิเคยกินข้าวจานละมากกว่า 50 บาทไหม”
ฉันท์พยักหน้า
“แล้วรู้สึกว่ามันแพงไหม”
“ก็ รู้สึกว่ามันแพง แต่ก็กิน”
“เพราะอะไรล่ะ”
“เพราะอยู่กับเพื่อน เพราะไม่ได้ใช้เงินตัวเอง เพราะไม่อยากไปกินร้านที่คนเยอะ ๆ ขี้เกียจรอคิว” นิ้วสวยแตะที่คางขณะที่กำลังคิด “อ้อ...เพราะมันคือข้าวผัดปู”
“ข้าวผัดปูจานที่มีราคาแพงที่สุดที่เคยกินคือเท่าไหร่ แบบที่จ่ายเองนะ”
“250”
“อร่อยไหม”
ฉันท์พยักหน้าเร็ว ๆ “แต่นั่นเป็นปูแบบมีก้ามใหญ่ ๆ วางข้าง ๆ มาด้วยนะฮะ ไม่ใช่ข้าวต้มซี่โครงอ่อนแบบนี้”
“แล้วคิดว่าข้าวผัดปูก้ามใหญ่นั่นต้นทุนเท่าไหร่”
ฉันท์นิ่งคิดตาม ธามันก็รุกต่อ “เข้าใจนะ ว่าอยากให้คนอื่น ๆ ได้กินข้าวต้มอร่อยสูตรของแม่ แต่ถ้าอยากให้คนได้กินไปนาน ๆ เพราะเราไม่เจ๊งไปเสียก่อน ก็ต้องคำนวนราคาที่เหมาะสม”
คนตัวเล็กพยักหน้า
“ไม่ต้องเครียดหรอกน่า เดี๋ยวเราต้องซ่อมร้านกันก่อน ยังมีเวลาคำนวนเหลือเฟือ”
เงียบไปครู่หนึ่งฉันท์ก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียงเหงาหงอย “ผมอยากทำข้าวต้มอร่อย ๆ ให้คนอื่นได้กินแล้วมีความสุขแบบเวลาที่ทุกคนในบ้านได้กิน ไม่อยากขายแพง คำนวนแค่พอให้จ่ายค่าแรงกำไรนิดหน่อยก็พอได้ไหมฮะ”
“เอางั้นหรือ”
“ของขายในร้านใกล้ตลาด จะไปตั้งราคาเหมือนในห้างได้ไง ลูกค้าแถวนี้พี่ก็เห็นอยู่ เขาไม่ใช่คนที่พร้อมจะจ่ายแพงเพื่อของอร่อย เขาต้องการของราคาถูก อิ่มและอร่อย”
“แต่ชิรายูกิมีต้นทุน มีรายจ่าย”
“ก็แค่พออยู่ได้ก็พอ เรื่องเงินหมุนน่ะผมมีพันธบัตร กับลงทุนพวกกองทุนรวมไว้ แล้วก็มีหุ้นอยู่นิดหน่อยเพราะเพิ่งลงทุนไป หรือถ้าไม่พอยังมีอยู่อีกนิดหน่อยผมไปเก็งราคาที่ดินเอาก็ได้ แต่ไม่ขายข้าวต้มแพง”
“เดี๋ยวนะ” ธามันยกมือข้างซ้ายขึ้น “กองทุนรวมกับหุ้นนี่ยังไง”
“คุณฐาติแนะนำไว้ฮะ ผมก็เลยไปคุยกับกองทุน”
ธามันเข้าใจแล้ว ว่าทำไมทั้ง ๆ ที่ฐาติแสดงออกมาตลอดว่าไม่ค่อยชอบน้องสักเท่าไหร่ แต่กลับสรุปว่าน้องเป็นคนว่าง่าย บอกให้ทำอะไรก็ทำตาม
“พี่”
“อืม”
“ช่างที่ซ่อมบ้านเราน่ะ ของบริษัทพี่ใช่ไหม ถ้าให้เขามาทำที่ร้านด้วยจะแพงมากไหมครับ”
ธามันนึกถึงสภาพในร้าน “ไม่น่าจะแพงเหมือนทำบ้านและน่าจะเร็วกว่าด้วย เพราะไม่มีคนพักอยู่ ช่างจะทำงานได้เร็วกว่า”
แต่ฉันท์ยังมีคำเตือน “ห้ามพี่ช่วยผมเรื่องเงินทำร้านนะ”
ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองคนรู้ทัน
“พี่ช่วยผมหลายอย่างแล้ว แต่เรื่องร้าน ผมจะเขียนแบบคร่าว ๆ ให้พี่ดูก่อนว่าผมอยากได้แบบไหน แล้วให้พี่ช่วยดูนะฮะ”
“ชิรายูกิ จ่ายค่าแรง พี่จ่ายค่าวัสดุโอเคไหม”
ฉันท์ขยับจะค้าน พี่ก็ท้วง “แบ่งกันไง”
“ผมเอาเปรียบมากไป”
“เดี๋ยวก็จะมีพวกของใช้ในร้านอีกไง”
“ตกลงฮะ แต่เดี๋ยวนะ ผมลืมอะไรไป อ้อ” น้องนึกออกแล้ว “พี่ใช้สิทธิ์ผู้บริหารไม่ต้องเสียค่าแรงนี่”
แปลว่าน้องไม่ต้องจ่ายเงิน
“เราตกลงกันแล้วนะ ชิรายูกิ” พี่ทำเสียงเข้ม “เราตกลงกันแล้ว”
ทั้งที่ไม่ค่อยชอบข้อตกลงนี้สักเท่าไหร่ แต่น้องก็ต้องยอมรับ “พี่จ่ายเยอะไปแล้ว”
“แต่มันเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน เดี๋ยวก็ได้ทุนคืนมา”
น้องนิ่งคิด ถ้าต้องคืนทุนให้พี่ด้วย “ที่จริงเงินที่พี่ให้มา ยังมีอยู่อีกนะฮะ”
“เอาไปซื้อที่ดินแปลงเล็ก ๆ แล้วทำบ้านเช่ากันดีไหม” บอกแล้วเรื่องให้คิดโครงการอะไรแบบนี้ ดร.ธามันถนัดมาก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน คราวนี้กวางอาบน้ำแต่งตัวหล่อ นั่งรออยู่กับจิโระที่หน้าบ้านแล้ว
“โอ้โห เราจะไปห้างกันตอน 11 โมง ตอนนี้ยังไม่ทันจะ 10 โมงเลยนะ”
“จิโระน่ะสิ” กวางบุ้ยปากไปที่น้องเล็กของบ้าน “พอพี่ฉันท์ออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตื่น แล้วบอกให้หนูอาบน้ำแต่งตัวเลย”
“แล้วเรากินข้าวเช้าหรือยัง”
กวางทำหน้ามุ่ย ฉันท์ก็เลยบอก “งั้นก็ไปกินข้าวก่อนเถอะ”
“โอนี ไป เท่ว กัน” จิโระบอก
“ให้กวางกินข้าวก่อน”
กวางพยักหน้าเร็ว ๆ แล้วรีบเข้าบ้านไปกินข้าวอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็คุยกันต่อ
ธามันหันมาชวนเด็กน้อย “เอาไว้เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหม” 
ฉันท์หันมาบอกน้อง “อุมิ ทะเล”
“ไป ๆ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ วันนี้เราจะไปห้างเอากางเกงให้ฮันซะมุซังก่อนไง”
ธามันหัวเราะ “ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ฮันซะมุซังที่ชิรายูกิกับจิโระพูดถึงนี่ หมายถึงพี่ใช่ไหม”
ฉันท์หน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีขณะที่พยักหน้า
“แปลว่าอะไร”
“ฮันซะมุ ก็ Handsome ไง”
“ชิรายูกิบอกกับน้องให้เรียกแบบนี้หรือ”
“ไม่ใช่นะ จิโระเรียกพี่แบบนี้ก่อน บางทีคำนี้ในภาษาญี่ปุ่นจะหมายถึงคนที่หล่อแบบเนี๊ยบ หรู สำอางค์ แต่ไม่แน่ใจว่าจิโระหมายความแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะยังมีอีกหลายคำที่เขาใช้กันเวลาจะชมผู้ชาย คนญี่ปุ่นไม่ค่อยชมเรื่องหน้าตา มักชมว่า แต่งตัวดี เท่ดี นิสัยดีแบบนั้นมากกว่า”
ธามันเลิกคิ้วสูงทั้งยิ้มล้อเลียน
“ผมไม่ได้เป็นคนชมพี่สักหน่อย จะยิ้มแบบนั้นทำไม” ทั้งที่อธิบายไปแล้วว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นใช้คำนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเขินอยู่ดี
“แล้วชิรายูกิคิดว่าพี่ฮันซะมุไหม”
ฉันท์ส่ายหน้า “พี่น่ะ อีโอะโตะโคะ”
จิโระหันมามองหน้าพี่ชายแล้วหัวเราะคิก ทำให้ธามันต้องหันไปถาม “แปลว่าอะไร”
“ห้ามบอกนะจิโระ”
จิโระยิ่งหัวเราะเสียงดังเมื่อฉันท์อุ้มพาเดินหนีแล้วธามันตามมาแย่งจิโระไปอุ้มได้สำเร็จ เพราะทันทีที่ธามันแตะที่เอวกลม ๆ น้องเล็กก็โผมาหาเสียดื้อ ๆ
มือเล็ก ๆ ป้องข้างหูธามันขณะที่กระซิบบอกคำแปล
สายตาหวานเชื่อมที่ธามันมองมาที่คนหน้าแดงในตอนที่ฟังคำแปลจากจิโระยิ่งทำให้ฉันท์เขินหนักกว่าเดิม
นั่นเป็นคำที่ไม่เคยใช้เรียกใครมาก่อน แต่ในตอนที่ถูกถามก็กลับคิดถึงคำนี้แล้วบอกออกไปทันที พอมาถึงตอนนี้ก็เลยยิ่งทำอะไรไม่ถูก
“ขอบใจมากนะ เดี๋ยวไปถึงห้างพี่จะเลี้ยงไอติมถ้วยใหญ่ ๆ ดีไหม”
“อย่ามาสอนน้องให้ชอบสินบน รางวัลนะ” ฉันท์ท้วง
“แต่กรณีนี้สมควรได้รับรางวัลจริง ๆ นี่นา” ธามันยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกาย
คนตัวผอมเถียงสู้ไม่ได้จะหนีเข้าบ้าน ธามันก็อุ้มจิโระตามมา
“สู้ไม่ได้แล้วหนีด้วย”
“ใครบอก ผมจะเตรียมข้าวผัดกับซุปมื้อเที่ยงไว้ให้ลุงกับป้าต่างหาก”
“อ้อ...” ธามันหันไปพยักหน้ากับจิโระ

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันท์พาจิโระมาที่ห้างสรรพสินค้า เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มมักจะมาซื้อของตามลำพังที่ซูเปอร์ขนาดใหญ่ แล้วซื้อขนมมาฝากน้อง ส่วนของเล่น เสื้อผ้า และของใช้น้าผู้หญิงจะส่งมาให้ตลอด แต่จิโระที่ดูงง ๆ กับคนมากมายในห้างก็ไม่ได้ร้องว่าอยากได้อะไร พี่ชายจูงมือเดินไปทางไหนก็เดินตามไปด้วยดี จนกระทั่งมาหยุดยืนมองตุ๊กตาขนฟู แล้วหญิงสาวคนหนึ่งกับเพื่อนของเธออีก 2 คนเดินเข้ามาหาแล้วทัก
“ฉันท์ทัต”
“ครับ” ฉันท์หันไปมองด้วยสีหน้าสงสัย
“เธอคือคนที่มีหน้าตาตรงข้ามกับพฤติกรรมอย่างที่เขาว่าจริงๆ”

...จบตอนที่9...
โพสอิทแผ่นแรกของเรื่องนี้ ชิรายูกิเป็นเจ้าชายน้ำแข็งจริงๆ และธามจะเหนื่อยกว่านี้สัก 100 เท่าในการตามจีบ แต่ผมท้วงว่า บุคลิกใกล้กับชินของเมเรมากเกิน เรา (ช่างกล้าเหมารวมเนอะผมเนี่ย) ก็เลยปรับนิสัยของชิรายูกิลงมาเป็นหิมะที่อยู่ใน snow globe
(https://www.img.in.th/images/e7321125d73534ab1f398abec3be84eb.jpg)
ส่วนธามันที่แปลว่าอาณาจักรของเทพเจ้าอันนี้จะให้ทำมาหากินอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากก่อสร้าง  :z2:
ที่จริงอยากคุยท้ายเรื่องมาก แต่เพราะเรื่องที่อยากเล่ามักไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่อง จึงรู้สึกเกรงใจ (ร่างชิรายูกิลงแพร๊พนึง)
ขอบคุณที่ติดตามครับ
นัมจากับปาป้าไจไจ่ไจ้ไจ๊ไจ๋
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-03-2019 19:42:49
อ้าว ถึงกับงงและไปต่อไม่เป็น ผู้หญิงโผล่มาจากไหน
มาว่ากันแบบนี้ได้หรอ รู้จักกันหรอ

น่ารัก ชอบความน้องพี่ของธามกับฉันท์ เอ็นดู
ชอบที่ฉันท์เป็นตัวเองตอนอยู่กับธาม มีความงอแงเบาๆ
เปิดเผยตัวเองเยอะขึ้น และทำตัวน่าฟัดมาก

ธามยอมน้องมากเลย และก็เอ็นดูน้องมากด้วย
ชอบความเข้าใจและอ่อนให้ของธามที่มีกับน้อง

จิโระน่ารักมาก ติดทั้งฉันท์ และมีธามตามมา
ตลกกวาง ฉลาดไม่มีใครเกินล่ะคนนี้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2019 20:29:09
ชิรายูกิดูสดใสขึ้นมากเลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 09-03-2019 21:37:27
คนพี่ก็เริ่มรุกคืบเข้าไปเป็นส่วนนึงของครอบครัวแบบเนียนๆ

คนน้องก็เริ่มเปิดใจกล้าบอกกล้าปรึกษา

จิโร๊ะจะได้มีพี่เขยที่พึ่งได้เข้ามาดูแล

กวางก็จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

ลุงกับป้าก็จะได้สบายใจหายห่วง

เพราะความมั่นคงและจริงใจ

ของพี่ธามันนั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้ว

ขอให้อุปสรรคหายไปให้หมด

โดยเฉพาะอีพวกที่เข้ามาทักและพูดจากับฉันไม่ดี

พี่ธามันต้องจัดการให้เด็ดขาดหรือ

แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทให้พวกนางเลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 09-03-2019 23:34:08
ตอนนี้ชิรายูกิน่ารักม๊ากกกกกกกก
ดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้น แล้วก็เปิดใจให้พี่ธามมากขึ้นด้วย
อ่านไปก็ลุ้นไปว่าจะบอกพี่ธามเรื่องออกไปเจอทีมกับเรื่องซื้อตึกหรือเปล่า
กลัวพี่ธามรู้ทีหลังแล้วจะน้อยใจ อิอิ

ปล. ดีใจที่น้องระวังคำพูดกับทีมมากขึ้นด้วย
นี่ก็ชอบมาหลอกถาม+ใส่ร้ายพี่ธามกับน้อง เกลียดจริงๆ  :z6:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-03-2019 00:54:59
เดินเข้ามาว่ากันอย่างนี้ก็ได้เหรอ แต่คงเป็นคนจากในมหาลัยมั้ย?
ดร.ธามันคือวางแผนเก่งมาก สมกับเป็นนักลงทุน 5555555555555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 10-03-2019 12:56:58
ตอนนี้พี่ธามมันน่ารัก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-03-2019 13:20:15
ใครล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 18-03-2019 14:50:07


ตอนนี้มันแลดูเป็นครอบครัวแบบพ่อ แม่ ลูก ที่อบอุ๊นอบอุ่นอ่ะ   :mew1:  :mew1:

แต่น้องมั่นคงกับพี่น่าดูเลยนะทั้งๆที่พี่เค้าห่างไปนาน

เอาเถ่อะต่อไปเราก็จะได้เห็นคนพี่ทำคะแนนต่อไปล่ะ




หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-03-2019 16:48:17
รอ

อยู่

นะ

จ๊ะ

หาย

ไป

ใหน

รอ

ดู

ว่า

ใคร

มัน

กล้า

มา

ว่า

ฉันท์

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-03-2019 17:04:39
มารอจ้ะมารอ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 18-03-2019 22:36:13
ชอบมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
แต่ช่วงแรกข้อมูลเยอะมาก 555 อ่านไปขมวดคิ้วไป จำไม่เก่งค่ะ
ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว รอตอนต่อไปนะคะ แบบว่ากำลังมันส์เลยค่ะ  :hao7:
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 20-03-2019 02:52:32
 :pig4:  ไม่ค่อยได้ัเข้าเล้ามาเท่าไหร่ แต่เข้ามาก็มาอ่านเรื่องนี้เลย  ชอบค่ะ โดยเฉพาะน้องจิโระ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่9 (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-03-2019 10:27:52


จิโระจังงงงง


พี่มารอแล้วววววววว  :mew1:




หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-03-2019 19:07:19
ตอนที่ 10

ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หน้าร้านกิ๊ฟช็อป ที่ฉันท์ จิโระ กวาง และธามันกำลังยืนมองตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ด้วยกัน มีหญิงสาว 3 คนตรงเข้ามาทัก
“ฉันท์ทัต”
“ครับ” ฉันท์หันไปมองด้วยสีหน้าสงสัย
“เธอคือคนที่มีหน้าตาตรงข้ามกับพฤติกรรมอย่างที่เขาว่าจริง ๆ”
ฉันท์เองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงรู้ว่า ‘ใคร’ คือคนที่ทำให้หญิงสาวคนนี้เข้ามาพูดประโยคแบบนี้กับตนเองในที่สาธารณะ
เรื่องที่มีคนพูดว่าหน้าตากับนิสัยไปคนละทางก็มีอยู่บ่อย ๆ แต่พอเป็นผู้หญิง และเป็นคนแปลกหน้าพูดแบบนี้ ก็คิดว่า ถ้าต้นเรื่องไม่ใช่พี่ทีมก็คือพี่ธาม
แต่เพราะพี่ธามยืนอยู่ตรงนี้ ฉันท์ก็เลยคิดว่าคืออีกคนหนึ่ง
ดวงตาสวยหันไปมองทางอื่น ขณะที่หญิงสาวเข้ามายืนอยู่ด้านหน้า
    “เธอเป็นอะไรกับคุณทีม”
...ใช่จริง ๆ
ฉันท์หันมาหาหญิงสาวขณะที่ยกยิ้มมุมปาก แล้วเดินจูงจิโระเดินไปดูของที่ร้านต่อไป แต่หญิงสาวอีก 2 คนเดินเข้ามาดักหน้า ทำให้กลายเป็นว่าพวกเธอ 3 คนกำลังล้อมฉันท์อยู่
“นี่ ไม่ได้ยินที่ถามหรือไง”
“โดยมารยาทคุณทั้ง 3 คนควรแนะนำตัวเองก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น” ธามันแทรกเข้ามา “พวกคุณเองก็เป็นคนที่...เอ่อ หน้าตากับนิสัยไปทางเดียวกัน คือแย่มากพอ ๆ กัน และถ้าคุณไม่หยุดแสดงนิสัยแย่มากแบบนี้ ผมจะเรียกตำรวจ”
แน่นอนว่าในยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นผู้สื่อข่าวได้ จะมีใครบางคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพ
“พี่สาวครับ ผมว่าภายใน 2 นาทีถัดจากนี้พี่สาวจะต้องดังมากแน่ ๆ” กวางชี้ไปที่คนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป
“นี่...” ทั้ง 3 คนหันมามองหน้ากันจากนั้นก็เดินหนีไปอีกทาง
ฉันท์หันมาถามจิโระว่าหิวหรือยัง จากนั้นหันไปถามกวาง ว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่นไหม
...หนูเปลี่ยนอารมณ์ตามพี่ฉันท์ไม่ทันบอกตามตรง ก็เลยพยักหน้าไปก่อน
“ไปกินอาหารญี่ปุ่นกันนะฮะ” ฉันท์หันมาถามธามันเป็นคนสุดท้าย
ฉันท์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงทั้ง 3 คนและไม่พูดถึงธนวัฒน์ คนที่เป็นสาเหตุ
สิ่งที่อยู่ในความสนใจก็คือจิโระ ธามันและกวางเท่านั้น เมื่อกินมื้อเที่ยงเสร็จก็ไปรับกางเกงของธามันจากนั้นก็กลับบ้าน
แต่ยิ่งฉันท์ทำเป็นไม่สนใจ ทั้งธามันและกวางกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะกวาง
...
‘SOS!! มีหญิงมาดักตบพี่ฉันท์ที่ห้าง ถามว่าพี่ฉันท์เป็นอะไรกับคุณทีม’

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งหมดช่วยกันถือของเข้าไปในบ้าน ส่วนลุงเพิ่งนอนหลับไปได้ครู่หนึ่ง ป้าก็เลยฝากให้ช่วยดูลุง เพราะจะไปช่วยงานงานที่บ้านญาติ
“มีคนมาว่าขนมกล้วย ขนมตาลไว้ เลยจะไปช่วยเขาสักหน่อย” ป้าหันมาบอกกวาง “พาน้องไปอาบน้ำแล้วจะได้นอน”
แต่พอป้าคล้อยหลังออกไปธามันก็ชวนฉันท์ไปคุยในสวนหลังบ้าน
ฉันท์เดินตามธามันเข้าไปในสวนโดยดี
ตั้งแต่ธามันย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน สวนหลังบ้านที่รกครึ้มก็สะอาดกว่าเดิมจนผิดตา เพราะคนงานกำจัดวัชพืช และย้ายต้นไม้ที่แห้งตายออกไป ตอนนี้สวนผลไม้ของพ่อจึงเหลือเพียงมะม่วง ชมพู่ แล้วก็ฝรั่งเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น
ธามันเดินนำไปที่แคร่ไม้ตัวใหม่ที่คนงานเพิ่งยกเข้ามาเมื่อวันก่อน
“เคยบอกพี่ทีมหรือเปล่า”
ฉันท์เหลือบตามองคนถามแล้วส่ายหน้า
“เขาควรจะรู้ว่าคนของเขามารบกวนชิรายูกิ”
“แต่ถ้าทำแบบนั้น มันอาจทำให้เขาเข้าใจผิดมากขึ้น”
คนที่กำลังไม่สบายใจต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม
“ในส่วนที่มันเกี่ยวกับพี่ทีม ผมก็พูดกับเขาไปแล้วหลายครั้ง แต่ถ้าผู้หญิงของเขายังคิดอย่างนี้อยู่อีก ก็ควรกลับไปแก้ที่พี่ทีม แต่จะให้ผมพูดเหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอ ผมก็คิดว่ามันออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย”
ธามันมองสีหน้าคนพูดคำว่าน่าเบื่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
...ชิรายูกิไม่พอใจพี่ทีม และก็ไม่อยากพูดถึง แต่เมื่อพี่ถาม เขาก็ตอบ และพยายามที่จะตอบโดยไม่แสดงความรู้สึกออกมา ในแง่หนึ่งมันก็ดีที่เขาไม่เอะอะโวยวาย แต่สำหรับในครอบครัวที่เก็บงำปัญหาต่างๆ ไว้กับตัว ครอบครัวที่มีใครบางคนฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ไม่น่าไว้ใจ จะว่าบังคับกันหรือสอดรู้เรื่องของเขาก็ได้ แต่จะต้องให้เขาพูดความรู้สึกออกมาบ้าง...
“เพราะไม่ได้คิดอะไร ก็เลยไม่สนใจ แต่ถ้าเกิดเขาเตรียมน้ำกรดหรือใช้อาวุธขึ้นมานั่นก็อันตรายมากเลยนะ”
“แบบนั้นแสดงว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าผมจะต้องไปที่นั่น” ความเป็นห่วงของธามันทำให้ฉันท์ยิ้มได้ “ขอบคุณที่พี่เป็นห่วงนะฮะ ผมจะระมัดระวังกว่าเดิม แต่ผมจะไม่ยอมเก็บตัวอยู่กับบ้านเพราะผู้หญิงของพี่ทีมแน่ๆ เขาไม่ได้...” เขาไม่ได้สำคัญกับผมขนาดนั้น ฉันท์ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ดวงตาที่มองพี่บอกแบบนั้น
ให้ตายเถอะมันแบบ...โคตรชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเสียอีก
พี่กำมือขึ้นมาป้องปากกันเสียงกระแอม “พี่รับรองว่า พี่จะไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้กับชิรายูกิอย่างแน่นอน”
ฉันท์หัวเราะเสียงใส “พูดขึ้นมาแล้วก็ทำให้นึกขึ้นได้ ว่าเรากำลังจะเปิดร้านข้าวต้มกัน จะมีแฟนคลับพี่ทีมตามไปถามหาผมที่ร้านไหม”
ธามันเหยียดมุมปากแทนคำตอบว่า ‘ก็ลองดู’
การที่ตัวห่างจากกันนานหลายปีแล้วกลับมาพบกันอีกครั้ง แม้จะมีความกังวลแฝงตัวอยู่ แต่กลับทำให้ต่างฝ่ายต่างอ่านภาษาที่อยู่ในสีหน้า แววตา แม้กระทั่งการขยับมือของอีกฝ่ายได้ดี
“ชิรายูกิรู้เรื่องพี่ทีมมานานแล้วหรือ”
“ก็ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยน่ะแหละฮะ” ถ้าเป็นคนอื่น หรือแม้แต่เพื่อนชวนคุยประเด็นนี้ฉันท์มักไม่ค่อยแสดงความเห็นแต่เพราะเป็นธามันฉันท์รู้สึกวางใจทำให้เมื่อถามก็ตอบได้เรื่อย ๆ
เรื่อย ๆแบบต้องถามถึงจะบอกออกมาน่ะ
“แสดงว่ารู้จักพี่ทีมมานานแล้วหรือ” ทำไมไม่รู้เรื่องคุณทีมกับต้อม
“ก็รู้ว่าอาจารย์บรรณารักษ์ของหอสมุดกลางคนหนึ่งเลี้ยงนักศึกษาน่ะฮะ เรื่องกอสซิปแบบนี้มีอยู่ทั่วไป แต่ผมไม่ได้สนใจ ตอนนั้นมันแบบลอยๆ”
“อาการเหมือนตอนอยู่กับพี่ไหม”
“ผมโดนติดเครื่องหมายไร้หัวใจอยู่ที่หน้าผากนี่” มือสวยชี้ที่หน้าผาก “ในช่วงเวลาหนึ่งผมคิดว่าเพราะผมไม่เชื่อเรื่องความรัก ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเลิกกันไปอยู่ดี ไม่ว่าจะเริ่มต้นแบบไหน ไม่ว่าจะทำยังไงผลสุดท้ายมันก็เหมือนเดิม ผมบอกทุกคนว่าผมไม่พร้อม แล้วพอสุดท้ายผมก็คือคนที่โดนต่อว่า แต่ตอนที่เรียนปี 4 หลังจากที่พี่ทีมทักผมในห้องสมุด แล้วก็แนะนำหนังสือหลายเล่มให้อ่าน จนถึงในงานศพของพ่อกับแม่ แล้วเห็นคุณฐาติเดินเข้ามา ผมก็เริ่มสงสัยตัวเอง แล้วพอได้เจอกับพี่อีกครั้ง ผมก็รู้แล้วว่า ผมคิดอะไรอยู่”
ธามันยักคิ้วข้างเดียวท่าทางเจ้าชู้สุด ๆ จนฉันท์เก้อ
“คนอื่นเขาจริงจังนะ”
“ก็ดีแล้วนี่ พี่รักคนจริงจัง”
ดวงตากลมโตมองพี่ ใบหน้าแดงเรื่อ
“พี่รักชิรายูกิ” ธามันพูดย้ำ “นี่ถ้าไม่มีกวาง กับจิโระแอบมองมาจากในบ้าน พี่จูบชิรายูกิไปแล้วจริง ๆ นะ”
ฉันท์ใช้หลังมือปิดปากแล้วหัวเราะเสียงดัง
“อ้าว คนอื่นเขาจริงจังนะ” พี่เลียนแบบคำพูด “หัวเราะอะไรนักหนา”
ฉันท์ส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน “อย่างนั้นก็กลับเข้าบ้านกันดีกว่าฮะ จิโระจะได้นอนกลางวันสักที”
แต่ปรากฏว่าวันนี้จิโระไม่ได้นอนในกล่อง แต่ขอนอนเบาะเด็กแล้วอ้อนให้พี่ชายนอนกล่อม
“คงหวงพี่น่ะแหละ” หนูรู้เพราะหนูแอบดูอยู่ เอ้ย ไม่ใช่ เพราะหนูเป็นเอฟซีพี่ฉันท์

ตอนที่ป้ากลับมาปรากฏว่าเห็นฉันท์นอนหลับอยู่ข้างๆ จิโระ ขณะที่ธามันนั่งเขียนงานอยู่ที่โต๊ะ และกวางกำลังถูบ้านอยู่ที่ชั้นบน
“ถึงว่าทำไมบ้านเงียบจริง”
พอป้าทักขึ้นมา ฉันท์ก็เลยตื่นนอนลุกขึ้นมานั่งงง ๆ แล้วรีบมารับขนมที่มือป้าเข้าไปในครัว
“ขนมกล้วย กับขนมตาล ชอบขนมหวานไหม” ป้าถามคนที่เงยหน้าจากงานขึ้นมามองตามคนที่เข้าไปในครัว
“กินได้ครับ”
ฉันท์ที่กำลังจะแกะขนมใส่จาน เหลือบตามองพี่แล้วหันไปเสียบกระติกน้ำร้อน จากนั้นก็รีบไปเข้าห้องน้ำ
“ดูรีบ ดูลุกลนนะวันนี้” ป้าเดาขำ ๆ “คงเก้อเพราะเผลอหลับไปข้างน้อง ฉันท์ไม่เคยนอนกลางวันเลยนะ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนก็ไม่นอนแล้ว ครูอนุบาลบอกเพื่อนนอนฉันท์ก็นอน แต่นอนมองเพดาน นอนเล่นตุ๊กตาผ้าอยู่คนเดียว”
ขณะที่ป้าเล่าเรื่องของฉันท์ในวัยเด็กให้ธามันฟัง ฉันท์ที่ออกมาจากห้องน้ำก็มาชงชาให้พี่ แล้วถามว่ามื้อเย็นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม
ธามันกำลังจะส่ายหน้า แต่ก็นึกขึ้นมาได้  “ต้มอะไรสักอย่างที่ใส่ปลาสลิดน่ะ”
“น้ำข้นหรือน้ำใสฮะ” ฉันท์ถามยิ้มๆ
“น้ำใส แต่ใส่พริกเผา กับพริกขี้หนูสดด้วยนะ แบบนี้เขาเรียกน้ำใสหรือเปล่า”
ไม่มีใครตอบว่าที่ถูกเรียกว่าน้ำใสหรือน้ำข้น และชื่อของอาหารที่ธามันพูดมาคืออะไร
แต่ถึงจะไม่บอกอะไร ความใส่ใจของน้องก็ทำให้พี่ยิ้มกว้าง
กวางมาจากไหนไม่รู้แต่มายืนเตรียมพร้อมอยู่หลังฉันท์ ส่งกระดาษให้จดว่าจะต้องซื้อของอะไรบ้าง
ระหว่างที่ฉันท์ให้ไปจดรายการที่จะต้องซื้อของ ธามันก็ลุกไปหยิบเงินมาให้กวาง แต่ฉันท์รีบท้วงไว้ “ที่พี่ให้มายังมีเหลืออยู่อีกตั้งเยอะเลยฮะ”
แต่กวางรีบหันไปยกมือไหว้อย่างสวยงามแล้วรับแบงค์พันมาจากธามัน
...ถ้าครูส่งหนูไปประกวดมารยาทงามตอนรับเงิน หนูต้องได้รางวัลอันดับ 1 ของประเทศไทยอย่างแน่นยอน หนูมั่นใจ..
“พี่ดื่มเบียร์หรือเปล่าครับ” กวางถาม
ธามันหันมามองหน้าฉันท์
“สีเขียว เอามาแพคเดียวก็พอ” ฉันท์บอก
“ยังไม่ 5 โมงเย็นเลยไม่ใช่หรือ” ธามันท้วงแล้วนึกขึ้นได้ว่า ซื้อร้านทั่วไปก็ได้ “แพคเดียวก็พอ”
แล้วพอกวางขี่รถจักรยานออกไปซื้อของ ป้าได้ยินเสียงลุงตื่นแล้ว จึงเข้าไปดูในห้อง
“พี่ทำอะไรอยู่ฮะ” ตั้งแต่กลับเข้าบ้านมาก็เห็นว่าธามันขีดเขียนงานนี้จนหลับไปข้างจิโระ ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเห็นว่าเขียนอยู่
ธามันยิ้มไม่เปิดปาก
“ยิ้มแบบนี้แปลว่าอะไร ผมอยากรู้นะ”
“เดี๋ยวก็ได้รู้”
ฉันท์ที่กำลังจะก้าวไปหาหยุดชะงักเท้าแล้วส่ายหน้า “เดี๋ยวก็ได้รู้ใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นฝากดูน้องก่อนนะฮะ ผมจะเอาผ้าที่กวางรีดเสร็จแล้วขึ้นไปเก็บ”
ธามันยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเค จากนั้นก็หันไปเขียนงานต่อ
“กินขนมกับดื่มชาด้วยนะฮะ”
“ครับผม”
พอกลับลงมาอีกครั้งธามันก็จัดการของว่างมื้อบ่ายหมดตามที่รับปากไว้จริง ๆ ฉันท์เก็บถ้วยชามไปล้างแล้วเดินมาขยับผ้าห่มให้จิโระ
“วันนี้กว่าจะได้นอนก็บ่ายจัดแล้ว ถ้า 5 โมงยังไม่ตื่นคงต้องปลุก”
แต่ปรากฏว่า หลังจากที่กวางกลับมาจากซื้อของที่ตลาดได้ไม่ถึง 10 นาทีจิโระก็ตื่นนอนแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“โอนี”
“คำแรกที่ตื่นนอนของเขาหล่ะ” กวางบอกแล้วเดินเข้ามาหาน้อง “โอนีแกะหัวหอมอยู่ จิโระไปห้องน้ำกับกวางนะ”
จิโระชะเง้อมองเข้าไปในครัว
“ไปล้างหน้า ไปฉี่ก่อน แล้วมากินขนมตาล”
เด็กน้อยว่าง่ายจูงมือไปกับกวางเสร็จแล้วก็ปีนเก้าอี้ขึ้นไปกินขนมและมองดูฉันท์เตรียมทำกับข้าว
บ้านอื่นเขาคงไม่ต้องเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นกันตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง แต่เพราะบ้านนี้มีคนป่วยและฉันท์อยากให้น้องกินมื้อเย็นเสร็จก่อน 6 โมงเย็นจึงเตรียมอาหารเร็ว
“กินเสร็จแล้วออกไปขี่รถจักรยานกับคุณปู่ คุณย่านะ”
“ฮับ” จิโระรับคำ แต่พอกินเสร็จก็เดินมาหาธามัน “ฮันซามุซัง ไปขี่จัก กะ ยัน กัน”
“ฮันซามุซังทำงานอยู่ครับ” ฉันท์บอก
จิโระหันมามองหน้าพี่ชายแล้วก็หันไปมองหน้าธามัน
“จิโระคุง เดี๋ยวโอนีเตรียมของเสร็จจะออกไปเดินเล่นด้วยนะ”
จิโระยิ้มแป้นพยักหน้า แล้วออกไปขี่จักรยานรอพี่ชาย อีกไม่ถึง 10 นาทีถัดมาฉันท์ก็เดินตามออกมา จากนั้นก็เป็นธามัน
“อ้าว ทำงานเสร็จแล้วหรือ” ฉันท์หันมาถาม
“ยังหรอก ก็เห็นว่าออกมาอยู่นอกบ้านกันหมด ก็เลยอยากออกมาด้วย”
...
หนูยังไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าตั้งแต่ตอนที่ฉันท์นอนอยู่ข้างๆ จิโระ แล้วพี่ธามที่กำลังขีดเขียนอะไรลงในกระดาษน่ะ เขาทำงานแบบมองพี่ฉันท์ 1 นาที แล้วก็เขียนงาน 1 นาที จนหนูคิดว่าเขากำลังวาดรูปพี่ฉันท์อยู่ แต่ไม่ใช่เลยเขาเขียนอย่างอื่น
แล้วพอเขาเดินตามออกมาหน้าบ้านตอนนี้นะ เขาก็ยืนมองพี่ฉันท์ตาหวานเชื่อม แล้วพอพี่ฉันท์หันไปมองเขาก็จะทำเป็นหันไปมองจิโระบ้าง มองลุงกับป้าบ้าง พอพี่ฉันท์หันไปทางอื่นเขาก็จะหันมามองพี่ฉันท์
มองจนหนูสงสัยว่า ตอนกลางคืนที่เขานอนอยู่ที่หน้าเตียงเนี่ย เขาก็เอาแต่มองพี่ฉันท์แบบนี้ตลอดคืนด้วยหรือเปล่า
หนูรู้ว่าน้าไม่เคยมีอาการแบบนี้
เพราะงี้หนูถึงได้เล่าอย่างเดียว ไม่ถามความเห็นไง เพราะถามไปน้าก็ไม่เข้าใจหรอก
...
เมื่ออาหารเย็นผ่านไป ทุกคนก็ขยับมารวมกันนั่งดูซีรีส์พร้อมหน้ากันหน้าโทรทัศน์
ตอนที่ลุงกับป้าอยู่กัน 2 คนมักเปิดวิทยุฟังเพลงสมัยป้ายังสาว ไม่ค่อยดูโทรทัศน์แต่พอมีจิโระก็เปลี่ยนมาเปิดโทรทัศน์ช่วงหลังอาหารเย็น ดูการ์ตูนหรือซีรีส์สำหรับเด็ก เพื่อให้จิโระฟังภาษาอังกฤษและภาษาไทย
ธามันดูโทรทัศน์อยู่ได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มองหน้าจอโทรศัพท์จากนั้นก็ลุกออกไปคุยโทรศัพท์ที่หน้าบ้าน ครู่หนึ่งก็มีรถจักรยานยนต์มาจอด ฉันท์ลุกมาดูเห็นว่า เป็นน้อยหน่าลูกน้องคนหนึ่งของฐาติที่จะไปกับฉันท์เวลาที่เอาเงินไปใช้เจ้าหนี้ แต่ตอนนี้เขาเอาดอกไม้มาส่งให้ธามัน
เมื่อน้อยหน่าออกรถกลับออกไป ธามันก็หันมาหาคนที่ยืนมองมาจากในบ้านแล้วยกดอกไม้ขึ้นสูง
ฉันท์เดินยิ้มเขิน ๆ ลงมาหา
แต่ธามันส่งม้วนกระดาษที่เขียนมาทั้งบ่ายให้ก่อน
“แบบสวน และบ้านของชิรายูกิ”
กระดาษนี้มี 2 แผ่น เป็นแบบร่างคร่าว ๆ ประกอบไปด้วยภาพวาด และข้อความ
แผ่นแรกคือบ้านหลังเดิม บนเนื้อที่เดิม แต่ที่แตกต่างก็คือการกั้นแผงรั้วกับพื้นที่ที่เป็นสวน และการวางแปลนสวนผลไม้ ทั้งมะม่วง ชมพู่ กล้วย ขนุน สารพัดไม้ยืนต้นตามที่คนเขียนจะนึกออก 
ส่วนอีกแผ่น คือภาพแบบแปลนที่ใช้พื้นที่ทั้งหมด โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ชั้น
ชั้นนอกหรือลานจอดรถที่ด้านหน้าซึ่งเป็นจุดที่ยืนอยู่ในเวลานี้  บ้านพักคนงาน และสวน
ลึกเข้าไปอีกชั้นคือบ้านพัก 3 หลังที่ปลูกล้อมสระบัวที่มีศาลาอยู่ริมน้ำจากสระบัวมีลำคลองเล็กๆ เชื่อมต่อผ่านประตูน้ำออกไปยังสวนผลไม้ ทอดตัวลดเลี้ยวไปรอบสวน
“ชอบไหม”
ฉันท์พยักหน้า
“อันนี้เพิ่งเขียนคร่าว ๆ แก้ไขได้ตลอดนะ ต่อให้นายช่างส่งงานแล้ว มีปัญหาเกิดขึ้นก็ยังแก้ไขได้” คนเขียนแบบให้ความมั่นใจ “ถ้าคุณลุงที่บ้านใหญ่เขาไม่ขายที่ตรงนี้ให้ เราก็จะทำบ้านนี้ตามแบบแรก แต่ถ้าเขาขายพี่จะค่อย ๆ ทำแบบที่ 2 มันอาจนานหน่อย เพราะเราจะต้องขุดบ่อกับปลูกบ้านหลังที่อยู่ด้านในสุดก่อน พอเราย้ายไปก็ค่อยรื้อหลังนี้ แล้วปลูกอีก 2 หลัง ให้ลุงกับป้า แล้วก็จิโระได้”
ฉันท์เงยหน้ามองพี่ ที่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ส่งช่อดอกไม้ให้ “ขอให้พี่ได้อยู่กับชิรายูกิ สัญญาว่าจะไม่ไปไหน จะอยู่ด้วยกัน ดูแลชิรายูกิตลอดไป”
นี่เป็นช่วงเวลาที่ดี และฉันท์ก็ไม่อยากทำลายมันด้วยการไม่พูดอะไรเลย แต่ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี รู้แต่ว่าหัวใจเต้นแรงมาก และก็กำลังร้องไห้ ตอนที่รับช่อดอกไม้มาแล้วหยดน้ำตาตกกระทบกลีบกุหลาบสีแดงยังกังวลว่าจะเป็นสัญญาณอะไรที่ไม่ดีหรือเปล่า แต่ธามันยังไม่จบพิธีการง่าย ๆ เพราะชายหนุ่มหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดกล่องให้ฉันท์มองดูก่อน ในนั้นมีกำไลหางช้างประดับด้วยเงินอยู่ 1 วง
“สวยจัง แล้วของพี่ละฮะ”
ธามัน สวมกำไลให้ฉันท์
“ตอนแรกก็คิดว่าจะใส่เหมือนกัน แต่ตอนที่ลองใส่กำไลแล้วเขียนงาน ปรากฎว่ามันกระแทกโต๊ะ ไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่ก็เลยสั่งมาอันเดียว”
“แล้ว ทำไมถึงเลือกแบบนี้”
“ก็ช้างไง หนักแน่นดี”
ฉันท์หัวเราะอารมณ์ดี ไม่อยากเชื่อว่าดร.ธามัน จะสนใจเครื่องรางของขลัง
“ตอนแรกอยากได้กำไลมงคล แล้วมีคนแนะนำกำไลหางช้าง พี่ก็เลยคิดว่าดีเหมือนกันหนักแน่นมั่นคง แต่พอไปหาข้อมูลก็ได้รู้ว่า กำไลหางช้างช่วยปัดเป่าเรื่องร้ายออกไปได้”
“ขอบคุณมากฮะ” ฉันท์เงยหน้ามองพี่ “กวางกับจิโระกำลังมองเราอยู่ใช่ไหมฮะ”
ธามันพยักหน้า “ยังมีลุงกับป้า แล้วเจ้าน้อยหน่าลูกน้องฐาติด้วย”
ฉันท์ยิ้มยิงฟัน “พี่ฝากคุณฐาติซื้อดอกไม้กับกำไลหรือฮะ”
“เปล่า พี่โทรไปสั่งจองกับช่าง แล้วให้เขาประดับเงินเพิ่มเติม พอทำเสร็จก็ให้เขาส่งของมาให้ที่สำนักงานทนายความ พี่ก็เลยให้ฐาติช่วยสั่งดอกไม้ให้ด้วย จะขอเป็นแฟนกันทั้งทีก็ควรมีสัญลักษณ์บางอย่างกันสักหน่อย”
“งั้นเราควรหันไปโบกมือให้น้อยหน่า แล้วก็เข้าบ้านไปรายงานผลให้อีก 4 คนฟังใช่ไหมฮะ”
ธามันเห็นด้วยอยู่แล้ว หันไปโบกมือบอกกับน้อยหน่า จากนั้นก็จูงมือฉันท์เดินเข้ามาในบ้าน จิโระตรงเข้ามาจับข้อมือข้างที่มีกำไล
“สวย จัง”
ธามันยักคิ้ว
ลุงกวักมือเรียกฉันท์ให้เข้าไปหา พอได้เห็นกำไลใกล้ๆ ก็หันมาถามธามัน “ช่างทำพิธีมาถูกต้องหรือเปล่า”
“ถูกต้องครับ”
เพราะไม่ใช่นักสะสม จึงต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับกำไลนี้อีกเล็กน้อย ทำให้ได้รู้ว่าต้องมีขั้นตอนของพิธีการ และการขอขมาก่อน
“ผมหาข้อมูลมาพักใหญ่ ๆ แล้วแต่ไม่มีวันว่างพอที่จะไปสุรินทร์เลยครับ จนพี่ชายคนหนึ่งเขาจะไปสุรินทร์ก็เลยให้เขาช่วยดูให้ แล้วก็โทรไปสั่งจองน่ะครับ”
“ต้องรอนานเลยสิ”
“นานครับ”
ลุงเดาต่อ “แสดงว่าจองไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะย้ายมาละสิ”
“ครับ” ที่ฐาติบอกว่าธามันคือนักวางแผนมันคือเรื่องจริง
ฉันท์เปลี่ยนมาเล่นโดมิโน่กับจิโระ ขณะที่ฟังลุงกับธามันคุยกัน
ฟังไปฟังมาชักเริ่มกังวล
เข้าใจว่าควรใส่กำไลที่พี่ให้มาไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าต้องทำงานบ้านโดยที่ใส่กำไลนี้ไว้ด้วย คงไม่ดีสักเท่าไหร่
เดี๋ยวคืนนี้ค่อยถามพี่แล้วกันว่าขอใส่กล่องไว้ได้ไหม
*-*-*
ในห้องประชุมช่วงเช้าวันนี้คือการพูดคุยกันในกลุ่มครอบครัวเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน 50 ไร่ในย่านรังสิตซึ่งบริษัทเพิ่งชนะการประมูลทรัพย์สินที่ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดมาได้เมื่อวันก่อน
ถึงหัวข้อจะบอกว่าเป็นการประชุมคร่าว ๆ แต่ทุกอย่างในห้องนี้เป็นเรื่องจริงจังมาก
และถึงจะบอกว่าเพิ่งประมูลได้ แต่ในฐานะบริษัทใหญ่ ย่อมมีแผนการทำงานล่วงหน้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าร่วมการประมูลแล้วว่า ‘ถ้าก้องเกียรติกิจการ’ ชนะการประมูล แล้วจะจัดการที่ดินแปลงนี้อย่างไร
และเนื่องจากพื้นที่นี้ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงงาน ที่สำคัญคือยังมีคอนโดฯ ใกล้เคียงกันอีกหลายแห่งที่ขายไม่หมด ทำให้ต้องหาจุดขายเพิ่มเติม
ฟิตเนส สระว่ายน้ำ ที่จอดรถ ที่ไหนก็มีเหมือนกัน
ระหว่างที่ฟังพี่ชายพี่สาวช่วยกันระดมความเห็น ว่าโครงการนี้จะสร้างความแตกต่างจากโครงการอื่นอย่างไรบ้าง ธามันมองภาพตำแหน่งที่ตั้งของคอนโดฯ สภาพแวดล้อม แล้วนึกถึงความฝันของน้อง
“ทำแคนทีนเล็ก ๆ ที่ส่วนหนึ่งของโรงจอดรถชั้นล่างของอาคารด้านหน้าดีไหมครับ” จากหางตาเห็นว่าทุกคนในห้องหันมาฟัง “ตรงนี้มีทั้งโรงงาน และมหาวิทยาลัย ประกอบกับห้องพักในอาคารหน้าจะเป็นห้องสตูดิโอ คนงานของเราเองก็มีเป็นร้อย แทนที่เราจะให้เขากระจัดกระจายกันไป เราทำแคนทีนเล็กๆ ที่นี่ เปิดเป็นรอบเช้า เที่ยง และค่ำ มีทั้งอาหารถาด และอาหารตามสั่ง เน้นไปที่ราคาถูกและเร็ว”
“จากคอนโดฯ มันจะกลายเป็นหอพักน่ะสิ” ธนวัฒน์โต้แย้ง ความคิดนี้ไม่ต่างอะไรกับแคนทีนในมหาวิทยาลัย “เรามีส่วนที่เป็นร้านอาหาร ร้านค้าอยู่แล้วทุกตึก จะมาทำแคนทีนตัดรายได้ลูกค้าของเราเองทำไม”
ธามันยิ้มแบบพระเอกผู้มีคุณธรรม “ลูกค้าที่มีทางเลือก เขาก็เลือกในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าเขาไม่เลือกแคนทีน แต่จะเลือกร้านค้าอื่น ๆ นั่นก็ดีแล้วนี่ครับ แต่ผมกำลังนึกถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนทำงานแบบที่แชร์ค่าเช่าห้องกัน และก็แม่บ้าน คนงานของเราเอง ผมว่ามันได้บรรยากาศแบบที่เป็นกันเอง เราเองก็ได้ดูแลพนักงานของเราด้วย”
“ลูกค้าเขาอาจไม่ชอบที่ต้องมากินอาหารในห้องเดียวกับพนักงานคอนโดฯ ก็ได้นะ” ธนวัฒน์กำลังโต้แย้งแบบถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ
“ห้องอาหารกลางจะเป็นโรงพยาบาล ศาล หรือที่ไหนเขาก็กินด้วยกัน แต่เขามักจะแบ่งห้องให้เจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ได้สิทธิ์ก่อน แต่ของเราเปลี่ยนเป็นให้ลูกค้าได้สิทธิ์พิเศษกว่าพนักงานสิ” ณภัทรพี่สาวคนโตของบ้านกลาง หรือครอบครัวใหญ่มากของฐาติ มาเข้าร่วมประชุมด้วย เธอแสดงความเห็นสนับสนุนธามันก่อนที่ธนวัฒน์จะแทรกเข้ามาอีก
ธารา น้องสาวคนเล็กของบ้านใหญ่ช่วยเสริม “แคนทีนต้องปิดซ่อมเป็นระยะด้วยเพราะมันคือส่วนกลางที่เราใช้งานกันตลอด” หญิงสาวหันมาถามความเห็นคนเริ่มต้น “ธามอยากให้เปิดเป็นรอบใช่ไหม แล้วถ้านักศึกษาหรือคนทำงานเอางานลงมาทำในแคนทีน เราก็ต้องขอให้เขาย้ายออกระหว่างที่เราทำความสะอาดสินะ”
ทวีพี่ชายคนที่ 3 ของธาราในฐานะเจ้าของโครงการ สังเกตเห็นสีหน้ามึนตึงของธนวัฒน์ก็สะกิดเตือนธาราไม่ให้เข้าข้างน้องชายคนเล็กสุดในห้องนี้ไว้
“พี่ขอรับฟังความเห็นก่อนนะ อันนี้ยังไม่เคาะ”
“ทราบค่ะว่ายังไม่เคาะ เพราะธารากำลังคิดว่าอยากให้มีฟิตเนส โยคะด้วย”
“อันนั้นหาลูกค้ามาลงเถอะ” พี่ชายคนรองถัดจากณภัทร บ้านกลางแนะนำ
ธามันเสนอ “แคนทีนก็ให้ร้านอาหารมาลงเหมือนกัน อาหารจะได้ไม่น่าเบื่อ”
“น่าสนุก” ทวี ปล่อยให้ทุกคนช่วยกันเสนอความเห็นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสรุป “ทุกอย่างที่เสนอมา พี่ขอจดไว้ก่อนนะ และเหมือนเดิมคือต้องเอาไปเสนอคณะกรรมการก่อน” ที่บอกว่าคณะกรรมการ แต่แท้จริงก็คือ ธนดล ธนัช และ ธนา ผู้กุมอำนาจบริหารของก้องเกียรติกิจการนั่นเอง
และเมื่อพี่น้องส่วนใหญ่แสดงความเห็น ธนวัฒน์ก็ไม่มีความเห็น ไม่ต้องเอ่ยปากคัดค้าน เพราะยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ...ธามันจะเสียเวลาโดยที่ธนวัฒน์ไม่ต้องทำอะไรเลย 
เมื่อออกมาจากห้องประชุมธนวัฒน์เดินตามธามันมาจนถึงห้องทำงาน
“เรื่องแคนทีนน่ะ นายไปเอาความคิดนี้มาจากไหน” ธนวัฒน์กล่าวทันทีที่ปิดประตูห้อง
ธามันหันมามองพี่ชายร่วมบิดาเดียวกัน แล้วนึกถึงความผูกพันระหว่างฉันท์กับจิโระ
“ชิ...น้องฉันท์น่ะครับ”
“ก็คิดอยู่” ธนวัฒน์พูดเหมือนกำลังบ่นกับตัวเอง ขณะที่นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามธามัน
“ทำไมคุณทีมถึงคิดว่าน้องฉันท์ให้ไอเดียนี้กับผม”
“ฉันไม่คิดว่าเขาให้ไอเดียนายหรอก เขาจะไม่เข้ามาในพื้นที่ของนายถ้านายไม่บอกให้เขาเข้ามา” ธนวัฒน์เป็นคนที่รู้จัก ‘น้องฉันท์’ เป็นอย่างดีจริง ๆ “ที่คิดว่าน่าจะเป็นน้องฉันท์ก็เพราะมันเป็นความเรียบง่ายแบบที่แทบจะไม่มีกำไรนั่นต่างหาก”
ธนวัฒน์ชี้ไปรอบ ๆ “ที่นี่ทำอะไรเพื่อสังคมแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“แต่คุณทีมก็ค้านผม”
“ก็มันไม่ใช่แนวธุรกิจของก้องเกียรติกิจการ”
ธามันชักสงสัย “วันนี้คุณทีมมาแปลก”
“ฉันแค่อยากให้แน่ใจว่า ไอเดียของนายมาจากไหน”
ธามันพยักหน้า “น้องฉันท์”
“อืม แล้วนายรู้เรื่องที่เขาอยากเปิดร้านข้าวต้มหรือเปล่า”
“รู้ครับ เมื่อวันอาทิตย์เพิ่งไปดูร้านกันมา เดี๋ยวพอซ่อมบ้านเสร็จก็ให้ช่างชุดเดียวกันไปซ่อมร้านต่อ”
“ซ่อมบ้านยังไม่เสร็จอีกหรือ”
“ยังครับ” ธามันตอบขณะที่หันไปบอกกับเลขาฯ ว่าไม่ต้องสั่งอาหารกลางวันให้ แต่หันมาถามพี่ชายว่าจะกินอะไร ธนวัฒน์ก็ตอบว่าไม่เหมือนกัน
รอจนเลขาฯ ห่างออกไปแล้ว 2 พี่น้องถึงได้คุยกันต่อ
“บ้านไม่เคยซ่อม น้องฉันท์ซ่อมแต่อพาร์ทเม้นท์กับบ้านของลุง แต่ไม่เคยซ่อมหลังนี้เลย”
ตอนแรกซ่อมแซมแค่พอให้ธามันเข้ามาอยู่ แต่พอเข้ามาอยู่แล้วเดินดูรอบบ้าน ธามันก็เครียดหนัก เรียกช่างมาจัดการซ่อมชุดใหญ่เปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่หลังคา เหล็กดัด มุ้งลวด ติดฉนวนกันความร้อน ซ่อมห้องน้ำ ห้องครัว จนถึงก๊อกน้ำ งบประมาณในการซ่อมบ้านบานปลายด้วยฝีมือของธามันเอง
เมื่อเข้าในบ้านไม่มีใครได้ยินเสียงธามันบ่นสักคำ แต่ตอนที่ออกมาคุยกับนายช่างข้างนอกบ้าน ธามันจุกจิกจู้จี้จนนายช่างปาดเหงื่อ
“คิดว่าอีกนานไหมกว่าจะซ่อมบ้านเสร็จ”
“สักครึ่งเดือนครับ”
“ก็ดี” ธนวัฒน์พูดแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
“คุณทีมกังวลอะไรอยู่ครับ”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-03-2019 19:09:12
(ต่อครับ)

ธนวัฒน์พูดเสียงเบาลง “การที่นายย้ายไปอยู่บ้านนั้นกับน้องฉันท์ ทำให้พวกเขากำลังจับตา”
พี่ชายคนนี้ไมได้ห่วงน้องชายของตัวเอง แต่ห่วงอีกคนหนึ่งอยู่ต่างหาก “ฉันนัดคุยกับน้องฉันท์” เพื่อหวังถ่วงเวลาดึงความสนใจและแรงกดดันที่อาจเกิดขึ้นกับฉันท์ให้ห่างออกไปอีกนิด
ตอนที่กำลังคุยกันในตอนนั้น คิดว่าตนเองเหนือกว่าเพราะรู้บางสิ่งบางอย่างที่ธามันไม่รู้ แต่ในตอนที่ฉันท์กับจิโระกลับบ้านไปแล้ว มาจนถึงในห้องประชุมวันนี้ ทำให้ธนวัฒน์คิดว่า สิ่งที่รู้มันไม่ได้สำคัญเลยสักนิด เพราะในเวลาเดียวกัน ธามันก็ปิดเรื่องราวความขัดแย้งในครอบครัวไม่ให้น้องฉันท์ได้รับรู้เหมือนกัน
“เขาดูมีความสุขดีเวลาที่พูดถึงนาย”
แต่การที่ธามันมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขเวลานี้ก็ทำให้ธนวัฒน์ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
“แต่ก้องเกียรติกิจการจะทำให้เขาไม่มีความสุข นายไม่...” พี่ชายพูดแล้วก็ถอนหายใจ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“ผมทราบครับว่าผมซ่อนเขาไว้ตลอดไปไม่ได้ คุ้มครองเขาไม่ได้ตลอดเวลา แต่ผมก็อยากให้ทุกคนยอมรับเขา”
ธนวัฒน์ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้”
“ผมจะพยายามครับ”
“แล้วนายก็ยังย้ายไปบ้านนั้นเร็วเกินไป”
“แต่มันถึงเวลาที่ผมควรต้องเข้าไป น้องอยู่ในครอบครัวใหญ่ก็จริง แต่คุณทีมก็เห็นแล้วว่า ในตอนที่พ่อของเขามีปัญหามีใครช่วยพวกเขาสักคนไหม มาถึงงานศพไม่มีใครช่วยรับเป็นเจ้าภาพแม้แต่คืนเดียว ผมไม่สามารถเป็นอีกคนที่ปล่อยเขาไว้แบบนั้น และถ้าผมไม่เข้าไปผมก็อาจกลายเป็นอีกคนที่สร้างปัญหาให้เขา เพราะผมซื้อที่ดินของเขาแล้ว”
“แต่ตอนนั้นนายดูเฉยๆ กับเขา”
“เพราะผมไม่แน่ใจเรื่องคุณทีมกับน้อง ถึงได้ส่งฐาติเข้าไปก่อน แต่หลังจากนั้นได้คุยกัน ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น”
“เข้าใจกันแล้วก็ดี” ธนวัฒน์หันออกไปมองนอกหน้าต่าง
ธนวัฒน์ไม่ได้ตัดใจ แต่เพราะไม่ต้องการเป็นอีก 1 ปัญหาในชีวิตของฉันท์ เขาอาจเป็นคนร้ายกาจกับพี่น้องของตนเอง แต่เขารักน้องฉันท์จริง ๆ
ก้องเกียรติกิจการยอมรับเรื่องการมีหลายบ้าน หรือหากจะมีประสบการณ์กับเพศเดียวกันก็ไม่ติดใจ แต่ต้องไม่ใช่การคบหาอย่างจริงจังแบบที่ธามันย้ายไปอยู่กับฉันท์ทัต
“ฉันไม่อยากแนะนำให้นายหาผู้หญิงสักคนมาบังหน้า เพราะถ้าทำอย่างนั้นน้องฉันท์ต้องเสียใจมากแน่ๆ”
ทุกคำที่เขาพูดแสดงความจริงใจ แต่กำลังทำให้น้องชายรู้สึกปวดใจ...อยู่หน่อยๆ
ธามันพูด “เมื่อเที่ยงวันอาทิตย์ ตอนที่เราเดินอยู่ในห้าง มีผู้หญิง 3 คนเข้ามาพูดกับน้องฉันท์” แค่เริ่มเรื่องธนวัฒน์ก็ขมวดคิ้ว ธามันก็เลยเปิดโทรศัพท์หารูป แล้วเลื่อนให้ดู “น้องไม่ได้โกรธ แต่ผมเชื่อว่าเขาอาย เพราะมีทั้งผม จิโระ และเจ้ากวางอยู่ด้วย ตอนที่กลับมาถึงบ้าน เขาบอกว่า เขารู้เรื่องคุณทีมอยู่แล้วก็เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กังวลว่าในตอนที่เปิดร้านอาจมีใครไปรบกวนที่ร้าน”
“ขอฉันคุยกับน้องฉันท์ได้ไหม” ธนวัฒน์ขออนุญาต
“ได้ แต่ผมต้องอยู่ด้วย” ธามันตอบทันที
“ทำไม ไม่มั่นใจในตัวเองหรือไง”
ธามันยกยิ้มมุมปากในแบบที่ธนวัฒน์เกลียดที่สุด “เรื่องของผมกับน้อง ไม่ต้องใช้ความมั่นใจหรอกครับ เราต่างก็รู้ใจตัวเองดี ว่าเรามีกันและกันมาตลอด แต่ที่ขออยู่ด้วยตอนที่คุยกันก็เพราะ...” ธามันชี้ไปที่นอกห้อง เห็นธาราและเลขาฯ ส่วนตัวอีก 3 คนเดินผ่านห้องทำงานไปและโบกมือทักทาย “ผมรู้ว่าคุณทีมหวังดีกับน้องตลอดมา และเรากำลังคุยเรื่องเดียวกัน”
ที่หน้าห้องทำงานของธามันไม่มีใครอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าที่คุณทีมต้องการคุยกับน้อง ก็เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ ว่าน้องสนิทกับพวกเราทั้ง 2 คน หรืออาจจะ 3 เพราะรวมฐาติด้วย” ก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ผมขอบคุณมาก แต่ผมจะไม่ให้น้องมีจุดจบเหมือนคุณโจ”
ธนวัฒน์มองหน้าน้องชายด้วยความตกใจ “ธาม เรื่องโจน่ะ” สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ผมขอโทษที่พูดถึงเขา” นี่คือแผลเป็นในหัวใจของพี่ชายต่างแม่คนนี้ และคือเงาหม่นสีเทาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำหลาย ๆอย่าง
“นายรู้เรื่องเขาด้วยหรือ”
ธามันพยักหน้า “พวกเราเรียนโรงเรียนมัธยมที่เดียวกันนะครับ แล้วยิ่งตอนที่เกิดเรื่องขึ้น แม่ของผมต้องเอาเรื่องนี้มาขู่ผมอยู่แล้ว ว่าอย่าทำผิดพลาดเหมือนคุณทีม”
ธนวัฒน์เหยียดยิ้ม เขาถูกตราหน้าว่าเป็นความผิดพลาดอยู่เสมอในทุกเรื่อง แต่เขาก็ทำให้พวกก้องเกียรติมนตรีทุกคนต้องชดใช้ให้กับเขา
“ตอนแรกผมไม่ได้สนใจอะไรเลย นานหลายปีทีเดียวกว่าที่จะรู้ว่าคุณโจ...ไม่อยู่แล้ว แต่ในระหว่างนั้นผมสนิทกับอยู่กับฐาติ ต้องมาเจอเหตุบังเอิญที่ต้องทำให้ถูกลงโทษอยู่บ่อยๆ ผมก็เกลียดคุณทีมอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นพอมาเกิดเรื่องกับพี่ณภัทร ผมก็ยิ่งไม่ชอบคุณทีม จนกระทั่งวันหนึ่งแม่รู้ว่าผมไปคอยรับส่งน้องที่หน้าโรงเรียน เขาถึงหลุดปากออกมาว่า อยากให้น้องต้องพบกับจุดจบเหมือนคุณโจหรือไง ผมถึงได้ย้อนกลับไปค้นหา ไปคิดถึงเรื่องที่มันเกิดในช่วงหลายปีมานี้ ทำให้เข้าใจได้ว่าคุณทีมทำอย่างนั้นทำไม แต่ตอนนั้นผมเลือกที่จะหนีปัญหา แล้วก็ค่อย ๆเรียนรู้ว่าผมหนีมันไปไม่ได้ ตราบใดที่ผมยังเป็นก้องเกียรติมนตรีอยู่”
“ฐาติรู้เรื่องของโจหรือเปล่า”
“ผมไม่แน่ใจเพราะไม่เคยพูดถึง ฐาติกับพี่น้องของเขาสนใจแค่เรื่องที่คุณทีมทำกับพี่ณภัทรเท่านั้น”
“แล้วนายก็เป็น 1 ในคนที่ช่วยพวกเขาจัดการกับฉันเพราะเรื่องนั้นมาตลอด”
น้องชายเป็นลูกผู้ชายมากพอที่จะพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่ธนวัฒน์ก็รู้อยู่แล้ว
“ผมชอบการแข่งขันที่เท่าเทียม ผมไม่พูดเรื่องคุณโจกับใครอยู่แล้ว และผมก็ขอบคุณที่คุณทีมดูแลน้องเป็นอย่างดี”
“นายไม่คิดหรือว่าฉันจะ...”
“ผมเชื่อใจน้อง”
ธนวัฒน์ถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันเห็นน้องฉันท์ตั้งแต่เขาเรียนปี 1 ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร เพราะนักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ได้ปักชื่อนามสกุลเหมือนอยู่โรงเรียน แต่เห็นว่าเขาค่อนข้างปิดตัวเอง เขารับนัดคนอื่นก็จริง แต่มันจะแบบผ่าน ๆ ไป จนมาเห็นชื่อของเขาในบัตร เห็นนามสกุล ถึงได้ไปค้นข้อมูลดู เขาอยู่ในกลุ่มทายาทของเศรษฐีที่ดินเชียวนะ แต่พอคุยกันไปถึงได้รู้อะไรหลายอย่าง รวมถึงเรื่องของนายด้วย ยังคิดอยู่ตลอดว่า นายแยกกันไปก็ดีอยู่แล้ว”
“คุณทีมต้องการแค่ที่ดินของน้องหรือครับ”
“มันก็...” ธนวัฒน์หงายมือ “ก็อยากได้ทั้งที่ดิน ทั้งเขาน่ะแหละ แต่เขาเห็นฉันเป็นอาจารย์บรรณารักษ์ห้องสมุดมาตลอด”
นี่เป็นการเปิดใจที่เหนือความคาดหมายมาก
“ฉันชอบเขา แต่เขาไม่ได้ชอบฉัน รู้ว่าควรจะจบตั้งแต่ตอนที่เขาปฏิเสธ” ธนวัฒน์หันออกไปมองนอกห้องเห็นว่าพนักงานหลายคนกำลังทยอยกลับเข้ามาในห้องทำงาน “ฉันไม่เคยเฝ้ามองใครนานเท่าเขา ไม่เคยต้องตามจีบ และตัดใจแบบเขา สุดท้ายฉันยังต้องมาพูดกับคนที่ไม่ควรจะพูดด้วยมากที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวกับเขาเสียอีก ที่ผ่านมาฉันยังคิดอยู่ว่านายอยากได้ที่ดินของเขา แต่พอเห็นสิ่งที่นายทำให้เขาและท่าทีของเขาเอง ฉันก็...”
ช่วงเวลาที่ธามันไม่อยู่ก็เหมือนกับนาฬิกาของฉันท์หยุดเดิน และมันเพิ่งกลับมาเดินหน้าไปอีกครั้งเมื่อธามันกลับมา
“เรื่องนัดคุยกับน้อง ผมจะนัดให้อีกทีนะครับ ช่วงนี้เขาต้องจัดการอะไรหลายอย่าง แล้วผมจะรบกวนคุณทีมเรื่องเพื่อนของเขาด้วย”
“เพื่อน”
“ครับ เพื่อนของเขาน่ะ ผมว่าเพื่อนกันเวลาทำงานแล้วจะห่างออกไปเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่บอกให้เขาแวะมาคุยกับน้องบ้างก็ได้”
“นายรู้” ...ว่าต้อมคือคนของฉัน
“ก็เหมือนกับที่คุณทีมรู้เรื่องผมน่ะแหละครับ และคิดว่าน้องก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่เขาไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง”
ธนวัฒน์ไม่อยากพูดเรื่องของโจและต้อม จึงลุกขึ้นยืนเพื่อสรุปจบ
“นัดวันเวลามาแล้วกัน”
ธามันหัวเราะเบา ๆ เมื่อคิดว่า ถ้าเป็นฐาติก็คงจะแกล้งถามว่า นัดเรื่องไหน
ธนวัฒน์เดินไปเปิดประตูห้องทำงานแล้วถึงได้หันมาบอกกับธามันอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แข่งขันกันอย่างเท่าเทียมในเรื่องงานถ้านายพลาดเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนแรกที่เหยียบนาย”
“ผมรู้” ธามันตอบพลางยักคิ้วในแบบที่ธนวัฒน์เกลียดที่สุดอีกครั้ง
....
ธนวัฒน์เคาะประตูเพียงครั้งเดียว ประตูห้องก็เปิดออก ชายหนุ่มดวงตายาวเรียวเปิดประตูห้องพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คุณทีมเหนื่อยไหมครับ นั่งพักแล้วดื่มเบียร์เย็น ๆ ก่อนดีไหมครับ” ต้อมรับเสื้อสูทของธนวัฒน์ไปแขวน จากนั้นก็รีบไปหยิบเบียร์จากตู้เย็นมาส่งให้ และเมื่อธนวัฒน์นั่งลงที่โซฟาเบด ก็รีบตามเข้ามาถอดรองเท้าถุงเท้า
เป็นเวลา 4 ปีแล้วตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้าห้องโรงแรมด้วยกัน จนถึงวันนี้ที่ได้อยู่ในคอนโดฯหรู หนุ่มเชื้อสายจีนดวงตายาวเรียวคนนี้ก็ยังดูแลปรนนิบัติโดยไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนเดิม และทำให้เขากลายคนที่ธนวัฒน์มักนำไปเปรียบเทียบกับหญิงสาวคนอื่น ๆอยู่เสมอ
“วันนี้ผมซื้อหมูย่างบาร์บีคิวมาด้วย รับแกล้มเบียร์ดีไหมครับ”
ธนวัฒน์พยักหน้า มองตามคนที่เอาหมูย่างออกมาจากกล่องโฟมแล้วอุ่นในไมโครเวฟ จากนั้นก็เอามาจัดเรียงใหม่
“มานั่งคุยกันหน่อยสิ”
ดวงตายาวเรียวเหลือบมองผู้ที่ออกคำสั่ง ถือจานหมูย่างมาวางลงที่โต๊ะเล็กข้างมือของธนวัฒน์ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กอีกตัว
“งานใหม่เป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ”
“เข้ากับเพื่อนในที่ทำงานได้ไหม”
“พอได้ครับ”
ต้อมก้มหน้า 2 มือที่ประสานกันอยู่บนตักสั่นไหวเล็กน้อยด้วยความเครียด 
“ก็ดีแล้ว” ธนวัฒน์จิบเบียร์ “4 ปีมานี้เรามีความสุขดีหรือเปล่า”
ต้อมไม่เคยคบหาใคร และไม่เคยรู้ว่าเวลาที่ธนวัฒน์จะยุติการเลี้ยงดูใครสักคนเขาจะพูดอะไรบ้าง แต่เดาได้ว่า คำขึ้นต้นก็คงจะคล้าย ๆกับแบบนี้
“ผมมีความสุขดีครับ”
“แล้วมีคนที่ชอบหรือยัง”
ดวงตาที่ช้อนมองแดงเรื่อ ริมฝีปากเม้มสนิท
ธนวัฒน์จับที่ศีรษะเล็กรั้งเข้ามากอด จูบที่หน้าผากสวย แล้วส่งนามบัตรให้
“โครงการคอนโดฯ ใกล้ที่ทำงานของเรามีห้องชุด 2 ห้องนอน 70 ตารางเมตรที่ขายไม่หมด แวะไปดูว่าชอบไหม ถ้าชอบจะได้ให้คนงานเข้าไปตกแต่ง”
ต้อมที่เงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกทั้งดีใจและโล่งอกในเวลาเดียวกัน
“เป็นคนทำงานแล้วจะให้อยู่แบบ 40 ตารางเมตรได้ไง”
“ขอบคุณมากครับ”
“แล้วไปหาน้องฉันท์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่วันที่การาจเซลวันนั้นน่ะครับ แต่ก็โทรคุยกันเรื่อย ๆ นะครับ”
ธนวัฒน์พยักหน้า “แวะไปดูน้องฉันท์หน่อย แล้วถ้ามีคนจากก้องเกียรติกิจการไปหาเขา ก็บอกฉันด้วย”
“ผมถามได้ไหมครับ”
“จะถามอะไร”
“อยากให้ผมเอ่อ...ช่วยกันพวกเขา หรือยังไงครับ”
ธนวัฒน์ส่ายหน้า “โทรมาบอกก็พอ ที่เหลือก็แล้วแต่น้องฉันท์”
“ผมไม่ต้องคอยกันคุณธามันให้ห่างจากฉันท์ทัตหรือครับ”
“เขาอยู่บ้านเดียวกันแล้ว เราจะไปกันอะไรเขาได้อีก” ถึงจะชอบมากขนาดไหน แต่ถ้าอีกฝ่ายเลือกแล้วธนวัฒน์ก็ไม่คิดที่จะไปยื้อแย่ง บอกกับตนเองว่ายังมีคนโสดอีกมากมายที่จะไม่สร้างปัญหาให้ในเวลาที่ต้องการสลัดทิ้ง
มีโทรศัพท์เรียกเข้า ธนวัฒน์แค่เหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วบอกให้ต้อมรับสาย
ทุกครั้งที่บอกให้รับสายจะหมายถึงการตัดขาดกับคนที่โทรมา ต้อมกดรับสาย ฟังอีกฝ่ายพูด จากนั้นก็บอกคนที่โทรมาด้วยประโยคที่รวบรัดชัดเจน
ธนวัฒน์จิบเบียร์ขณะที่มองต้อมคุยโทรศัพท์ จากนั้นก็บอกให้ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ด้วย
ต้อมตัดบทคู่สนทนาแล้ววางสายในทันที
ธนวัฒน์มองตามหลังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง รอยยิ้มอ่อนปรากฏอยู่ที่ริมฝีปาก ยกเบียร์ดื่มรวดเดียวแล้วเดินตามมาที่ห้องน้ำ

...จบตอนที่10...

มาเล่าเรื่องกำไลหางช้างกัน ที่มาเริ่มจากพี่ไจฟ์คิดถึงคำว่า เครื่องรางที่เป็นเครื่องประดับแล้วผู้ชายใส่ได้ แล้วก็มาหยุดที่กำไลเพราะผมว่านี่น่าจะเข้ากับฉันท์ทัตที่สุด แล้วเมื่อย้อนกลับไปดูเรื่องอื่น ๆที่เขียนมา ก็รู้สึกว่าฉันท์เป็นคนแรกที่ได้รับของออกแนวเครื่องรางของขลัง
อย่างชินได้ต่างหูรูปดาว แบรนด์เนม (วิบวับ โคตรอิชชี่อ้ะ)
ชุนได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพราะพ่อรวย พี่ชายรวย ลุงทอมก็โคตรรวย
เฟื่องได้อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์อีกมากมาย เพราะคุณพี่ดอกเตอร์แกโอนให้หมด
แล้วฟางคนซื่อได้อะไร ไม่ได้อะไรเลยนี่หว่า น้าตาลทำไมงกอย่างงี๊ๆๆๆๆ
โอเค กลับมาที่กำไลหางช้างนะ ดูเหมือนจะเป็นของที่หาซื้อได้ง่ายพิมพ์ในเว็บก็หาเจอ ทำไมของพี่ธามต้องสั่งจอง เพราะตอนที่หาข้อมูลตอนนั้น มีกำไลหางช้างที่สวยมากๆ และเอามาเป็นต้นแบบ เป็นของวัดหนึ่ง ที่เขาต้องจองน่ะสิ แต่พอจะเอารูปมาประกอบ ก็คิดว่าเราจะพูดถึงชื่อวัด จะเอารูปมาประกอบดีไหมหว่า เกิดเขาไม่ชอบใจอะไรขึ้นมา เรื่องมันจะไปกันใหญ่ ก็เลยตัดข้อความเหล่านั้นออกไป และไม่ใส่รูปครับ

น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-03-2019 20:09:42
ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 22-03-2019 20:16:10
พี่ธามน้องฉันท์น่่ารัก  :impress2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 22-03-2019 22:03:44
โล่งใจที่พี่ทีมยอมปล่อยมือจากน้องฉันท์
ดีใจกับต้อมที่ในที่สุดพี่ทีมก็เห็นความดี ความรัก ความภักดีของต้อมแล้ว
แล้วก็ปลื้มใจมากกกกกกก ที่พี่ธามกับพี่ทีมได้ปรับความเข้าใจกันซักที
สุดท้าย ฟินนนนนนน กับน้องฉันท์ด้วยนะจ้ะที่พี่ธามมาคุกเข่าขอแต่งงาน อิอิ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-03-2019 22:50:48
คุณทีมไม่ร้ายค่ะคุณ

ต้อมก็ไม่ร้ายค่ะ

งั้นคนที่ร้ายคือ

ยัยคึณนายแม่ของพี่ธาม

กับนามสกุลของพวกเขาเหรอ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-03-2019 05:58:08
โอยยยย ใจละลายมากค่ะ ชอบการแสดงออกของน้อง

เอ็นดูฉันท์มากเลยค่ะ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ทำกับพี่คนเดียว
เค้าเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม ไม่มีตอบตกลง แต่เข้าใจได้เนาะ
ฉันท์น่ารักมาก น้องเอาใจใส่ ดูแล และเข้าใจ

ธามทำได้ดีนะรอบนี้ มีเซอร์ไพรส์ให้น้องยิ้มแก้มปริ
และพูดถึงน้อง คิดถึงน้อง เข้าใจและดูแลจิตใจได้ดี

ยกนี้ ทีมทำดี คิดดี ที่ไม่ยึดติดและไม่แย่งชิง
เห็นความจริงใจเยอะขึ้น แล้วคุยกับต้อมแบบนี้
จะออกมาดีใช่ไหม ดูอารมณ์ดี
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-03-2019 11:27:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 23-03-2019 14:22:34
แอบดองไว้ เดี๋ยวตามหลายตอนเลย
 :3123:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-03-2019 16:40:06


หวายยยย จำไม่ได้ว่าเผลอว่าอะไรคุณธนวัฒน์ไว้มั่ง 555555555555555


ว่าแต่อุปสรรคต่อจากนี้แลดูรุนแรงจังใส่เครื่องรางป้องกันตัวแบบนี้นี่คือป้องกันมนค์ดำ รึเปล่านี่

ว่าแต่แอบเม้าท์ช่วงตัวหนังสือสีเขียวๆ ว่าจริงๆควรหาของขลังไปฝากคอสสักหลายๆอย่างด้วย
คงดีต่อใจคอสจนต้องมีตอนพิเศษมาอีกตอนก็น่าจะดี  o18 
แล้วคีย์น้อยเรานี่ได้อะไรมั่งหว่า จำไม่ได้เลย  o22 ต้องไปรื้อความจำอีกรอบ



ขอบคุณค่ารอคอยตอนต่อไปเน้อ






หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-03-2019 02:22:45
ใครคือเดอะลาสบอสกันแน่
แม่ธามเหรอ  :ling2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 29-03-2019 20:11:17
รักน้องฉัน์ แต่แอบปัญใจให้กวาง :mew3:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 01-04-2019 11:28:32

ฮึบ - ฮึบ จะเปลี่ยนหน้ายังน๊อ


คิดถึงน้องแล้ววววววว


 :กอด1:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-04-2019 22:20:35
รอจิโระอยู่นะ

กับโอนนิซัง

เมื่อไรจะมา

คิดถึงพี่ธาม

คิดถึงน้องฉัน

และที่สำคัญ

รอบนี้คุณพี่ชายพี่ธามด้วยนะเออ

แต่จะให้ดี คุณนายแม่พี่ธาม

อย่าโผล่หน้าออกมาเลยจะดีที่สุด
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-04-2019 12:48:39
 :katai2-1: :L2: :L2:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-04-2019 15:22:22



ก๊อกๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


ไม่ได้เข้ามากดดันนักเขียนอันใด เพียงแต่อยากแวะมาบอกว่า


คิดถึงน้องงงงงงงงงงงงแล้วจ้า


เตรียมขนมกับน้ำไว้พร้อมแล้ว

ตอนต่อไปต่อให้หนักหน่วงแบบไหน แต่ขนมจะเยียวยาเราเอง

 :mew1:










หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่10 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-04-2019 18:17:01
คิดถึงแล้วจ้า
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 06-04-2019 20:16:13
ตอนที่ 11

ตอนที่กวางขี่รถจักรยานกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าพี่ต้อมเพื่อนพี่ฉันท์กำลังปอกส้มให้ลุงกับป้าอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน
เด็กนักเรียนพลิกข้อมือนาฬิกาทันที จากนั้นถึงได้ยกมือไหว้ทั้ง 3 คน
“หนูมีกิจกรรม”
ป้าหันไปบอกกับต้อม ว่านี่เป็นประโยคที่กวางพูดทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้านหลัง 5 โมงครึ่ง จากนั้นก็หันมาเร่ง
“ไม่ต้องมาอ้างนั่นอ้างนี่รีบไปช่วยเจ้าฉันท์เร็ว ๆเลยใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”
กวางรีบเข้าบ้านไปช่วยฉันท์จัดโต๊ะอาหารและเตรียมอาหารเย็นให้จิโระ
“ทัม หมั่ย กวัง จ๊า”  จิโระถาม
“ที่โรงเรียนเขามีกิจกรรม”
“กิจ กัม คือ อารัย กวัง เม ทู้ก วัน”
จิโระพูดเก่ง ถามเก่ง บางทีกวางก็เบื่อจะตอบ แต่พี่ฉันท์บอกว่าอย่าเบื่อที่จะตอบคำถามหรือคุยกับน้อง เพราะน้องจะได้พูดไทยชัดขึ้น เวลาไปโรงเรียนจะได้ใม่ถูกเพื่อล้อ
ตอนเรียนอนุบาลน่ะไม่มีใครเขาล้อเลียนกันหรอกพี่ฉันท์ ต้องรอชั้นประถมก่อนแล้วมันก็จะพัฒนาความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้ารอดสายตาครูมันก็จะท้าทายให้เราเล่นแรงขึ้น และขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการกับเรื่องพวกนี้อย่างไร จะหนี สู้ หรือเฉย ๆ
แต่พูดไปพี่ฉันท์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ดังนั้นกวางจึงรับหน้าที่เตรียมความพร้อมให้กับจิโระในการรับมือกับเพื่อน ๆ ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นแบบไหน
...ไงล่าววว เจอวิชาการของกวางน้อยศิษย์พี่ฉันท์เข้าไป อึ้งละสิ
พออาหารเย็นพร้อม ฉันท์ก็เดินไปเรียกลุง ป้ากับต้อมเข้ามากินข้าวพร้อมกัน แต่พอทุกคนอิ่มแล้ว ตอนที่กำลังเก็บโต๊ะทำความสะอาด ต้อมถึงได้มากระซิบถามว่าปกติธามันจะกลับมากี่โมง
“ไม่แน่นอนหรอกสองทุ่ม สามทุ่ม บางทีก็ไปงานเลี้ยงคุยกับลูกค้ากลับมาเที่ยงคืน”
ต้อมพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงระดับเดิม
“ขอกูคุยกับมึงหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ”
และประโยคแรกที่ต้อมพูดขึ้นเมื่อนั่งลงที่แคร่ใต้ต้นไม่ใหญ่หน้าบ้านก็คือ “กูรู้จักกับคุณทีม”
คิดไม่ถึงว่าฉันท์จะพยักหน้ายอมรับง่าย ๆ
“มึง ไม่ว่าอะไรหรือ”
“จะว่าอะไรล่ะ” รู้จักกันก็ดีแล้วนี่
“มึงเพิ่งรู้ว่ากูรู้จักเขา หรือรู้มานานแล้ว”
“เราควรต้องนิยามคำว่ารู้จักก่อนที่จะเคลียร์กันไหม” ฉันท์พูดทั้งยิ้มกว้าง ต้อมก็เลยเสียงดัง
“เหี้ย กูเครียดนะ มึงยังมาทำตลก”
“ก็แล้วมึงจะเครียดทำไม”
“เพราะถ้ามึงรู้ความจริง มึงอาจเกลียดกูก็ได้”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยเกลียดใคร”
อันนี้จริง ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาฉันท์ทัตไม่เคยเกลียดใคร ดังนั้นต้อมจึงไม่อยากเป็นคนแรกที่ถูกเกลียด แต่ดูท่าแล้วคงต้องย้อนไปเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่เรียนปี 1
“กูรู้จักคุณทีมมาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ปี 1 กูชอบเขาแต่เขามองมึงอยู่”
ตอนนั้นธนวัฒน์ยังมองฉันท์ทัตอยู่ห่าง ๆ
ฉันท์พยักหน้า “อ๋อ”
“อ๋ออะไร”
“อ๋อ ก็คือมึงชอบเขาก่อน แล้วจีบเขาไง”
“กูจีบเขาก่อน” ต้อมยอมรับ “แต่ตอนนั้นเขามีผู้หญิงอยู่ 3 คนแล้ว” คือจำนวนจะเพิ่มขึ้น ลดลง บางช่วงเหลืออยู่คนเดียวก็มี มากถึง 4 คนก็มี
ฉันท์ทัตดูไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่
“ไม่น่าจะเรียกว่าคนรักหรือแฟน แต่น่าจะเรียกว่าเด็กเลี้ยง แล้วกูก็เป็นหนึ่งในนั้น หน้าที่หลัก ๆ ก็คือคอยกันไม่ให้ผู้หญิงคนอื่น ๆ มารบกวนมึง”
ฉันท์ทัตเอียงคอเพราะมีคำถาม “แปลก ๆนะ”
“ยังไง”
“ถ้าตอนปี 1 กูยังไม่รู้จักเขาเลยนะ แล้วจะมาคอยกันเพื่ออะไร”
“ก็เอาเป็นว่าเขาสั่งแบบนั้น” ต้อมอธิบาย “กูเองก็ไม่รู้ว่าเขาเริ่มใช้ข้อบังคับนี้กับทุกคนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนที่คุยกัน เขาบอกว่า อย่าให้มึงรู้ว่ากูเป็นอะไรกับเขา ถ้ามึงรู้เมื่อไหร่ก็คือจบทุกอย่าง”
ฉันท์ยังคงมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อที่ต้อมเล่ามา
“ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเขาจะจีบมึง อยากมีภาพที่ดีกับมึง” แต่ก็ไม่เห็นว่าธนวัฒน์จะเข้าหาฉันท์สักที “จากนั้นถึงได้รู้ว่าเขาก็บอกกับผู้หญิงคนอื่นของเขาเหมือนกัน แล้วเขาก็เลิกกับคนที่จ้างเด็กแว้นมาปล่อยลมยางรถมึงที่มหาวิทยาลัยจริง ๆ”
ฉันท์นึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเรียนปี 2 ในวันนั้นออก เพราะก็ได้ต้อมมาช่วยเปลี่ยนยางให้แล้วก็ไปที่ร้านซ่อมยางด้วยกัน
...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ...
“แต่กูเพิ่งคุยกับเขาครั้งแรกก็ตอนปี 4 แล้วนะ”
“เพราะงั้นมึงถึงได้คิดว่าเขาไม่ได้ชอบมึงจริง ๆ ใช่ไหม”
“อืม เขาชอบกู รู้จักกู แต่อยู่กับมึงมาตั้งแต่พวกเราอยู่ปี 1” ฉันท์มักเลือกใช้ถ้อยคำที่สวยงามอยู่เสมอ ขนาดจะประชดก็ยังใช้คำสวยงาม 
“แต่เขาชอบมึงจริงๆ เวลาอยู่ด้วยกันก็มักถามถึงมึงอยู่เสมอ แล้วมาตอนที่มึงเริ่มคุยกับเขาแล้วน่ะ เวลามึงโทรมาหา เขาจะดีใจมาก”
ฉันท์ทัตโอบไหล่เพื่อนไว้
“ตอนที่เขารู้ว่าคุณธามย้ายมาอยู่กับมึงแล้ว ทีแรกเขาก็โกรธนะ จากนั้นเขาก็ดูกังวล ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้”
“เขาทำร้ายมึงหรือเปล่า” เพื่อนเป็นห่วง
“ไม่เท่าไหร่หรอก” ต้อมบอกปัด
นั่นเป็นครั้งแรกที่ธนวัฒน์ลงมืออย่างรุนแรง และกล่าวโทษที่ต้อมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย  ต้อมยอมรับความผิดนั้นแต่โดยดี แต่ไม่สามารถห้ามความน้อยใจเอาไว้ได้ในตอนที่ต้องลงไปซื้อยากลับมาทำแผลให้ตนเอง และต้องหยุดงานไป 2 วัน ทั้งหลังจากนั้นธนวัฒน์ก็ไม่ติดต่อกลับมา ต้อมเองก็ไม่กล้าโทรหา หลายวันผ่านไปก็เริ่มเก็บของในห้อง เพราะคิดว่าคงถูกบอกเลิก
แล้วเขาจะให้ผู้หญิงคนไหนของเขามาบอกให้เราเก็บของออกไปจากห้อง...
แต่แล้วธนวัฒน์ก็กลับมา “เมื่อวันก่อนเขาบอกว่าผู้หญิงของเขามาทักมึง แล้วบอกให้กูมาดูแลมึงด้วยว่าเป็นไงบ้าง”
ฉันท์ทัตยิ่งดูมีคำถามมากกว่าเดิม “ยังไงเขาก็แปลกอยู่ดี”
แต่ต้อมไม่เห็นว่าแปลก เพราะธนวัฒน์ไม่เคยจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง
“ฉันท์ ที่กูมาเพราะอยากรู้ว่ามึงเป็นไงบ้าง”
“กูไม่ได้เป็นอะไร แค่สงสัยที่เขาทำอะไรแปลก ๆ” เหมือนมีความลับที่เล่าไม่ได้
“เขาชอบมึงก็ต้องอยากรู้ว่ามึงเป็นไง”
“แล้วทำไมเขาไม่มาถามเอง” ฉันท์อธิบาย “เขาอยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงที่คนของเขามาหาเรื่องกู แต่เขากลับให้มึงมาถาม ทั้งที่ผ่านมาเขาสั่งให้มึงรักษาความลับระหว่างมึงกับเขาไว้ แล้วมึงเองก็รักษาความลับนี้ไว้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ผู้หญิง 3 คนนั้นสำคัญมากเลยหรือ”
“3 คนหรือ”
ฉันท์ส่ายหน้า “น่าจะเป็นคนที่ทักคนเดียว แต่อีก 2 คนเป็นเพื่อน แต่ท่าทางก็พร้อมจะหาเรื่องมาก”
“นั่นก็พอที่จะเป็นห่วงแล้วไม่ใช่หรือ” ต้อมถามกลับ
“เป็นห่วงมากจนเปิดเผยความลับเรื่องมึง”
“เรื่องความลับของกูกับเขา กูคิดว่า น่าจะเป็นเพราะเขาเห็นว่ามันถึงเวลา ในเมื่อคุณธามย้ายมาอยู่กับมึง กูเองก็เรียนจบแล้ว”
ฉันท์มีคำถามในใจ ที่คิดว่าจะไปถามธามันในภายหลัง
“ตั้งแต่แรกมากูรู้สึกเหมือนเขาชอบมึงและกลัวว่าจะชอบมึงมากกว่าเดิม เขาถึงทำอะไรที่มันไม่เป็นเหตุเป็นผลแบบนี้”
ฉันท์ทักส่ายหน้า “ถ้ากูบอกตามตรงมึงจะโกรธกูไหม”
“บอกว่า...”
“กูไม่สนใจว่าเขาคิดกับกูยังไง ไอ้ที่กูพูดเรื่องที่สงสัยอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องการให้เขามาบอกกับกูด้วยตัวเอง เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ เวลาอยู่ด้วยกันเขาเป็นผู้ใหญ่มาก” ฉันท์ย้ำ “แต่พอเฉลยออกมา กลับกลายเป็นว่า เขาทำอะไรหลายอย่างที่มันขัดแย้งกันเอง”
เพื่อนตัวสูงไม่มีความเห็น
“อีกอย่าง กูอยากขอโทษมึงมากกว่าที่ไม่เคยสังเกตไม่ระแคะระคายอะไรเลย ทำให้มึงต้องมาฟังเขาคุยกับกู นั่นมันต้องเป็นความรู้สึกที่แย่มากแน่ ๆ”
เพื่อนแค่ยักไหล่ “ก็เจ็บเอาการ แต่พอเขาวางสายจากมึงเขามักจะอารมณ์ดี”
“ต้อม มึงนะ” ฉันท์ทัตไม่สนใจธนวัฒน์เลยสักนิด “มึงชอบเขาขนาดนี้เลยหรือ”
ต้อมพยักหน้า “แปลกใจไหม”
“แปลกใจสิ รักเขาแล้วต้องยอมตามใจเขาขนาดนี้เลยหรือ มึงทำใจได้ยังไงเวลาที่เขาไปหาคนอื่นน่ะ”
“ตอนแรกที่รู้ก็เจ็บอยู่เหมือนกัน กูก็คิดเหมือนคนอื่น ๆ นะ ว่ากูจะเป็นคนสุดท้ายของเขา แต่ก็ไม่ใช่ คิดว่าในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้า ก็ต้องไปให้สุด”
“มึงไม่ได้แข่งกีฬานะ” 
“แต่กูเริ่มนับหนึ่งไปแล้ว กูรู้แค่ว่ากูอยากได้ผู้ชายคนนี้ ก็เลยยอมทุกอย่าง” ต่อให้ไม่ได้หัวใจก็ยอม “ที่ผ่านมาเด็กของเขามีแต่ผู้หญิง มีแต่กูนี่แหละที่เป็นผู้ชาย เขาเองก็มักจะนัดให้กูไปรอเขาที่โรงแรม” อย่าหวังว่าจะไปเดินเที่ยว หรือกินข้าวพบเจอคนอื่น “เหมือนเขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ จนมาถึงตอนเขาเช่าคอนโดฯ ให้อยู่ให้รถไว้ใช้ กูก็เพิ่มระดับของการหลอกตัวเองว่าเป็นเมียเก็บของเขา”
    “รถนั่นเขาก็ให้มาด้วยละสิ” นิ้วมือสวยชี้ไปที่รถยุโรปคันเล็กที่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน
“อืม”
“สัดเหอะ” อยู่ดี ๆ ฉันท์ทัตก็ด่าแบบยิ้ม ๆ “อย่างงี้มึงก็ไม่ได้ใช้เงินเดือนเลยน่ะสิ”
“ใช้สิสัด” ต้อมปาดท้ายทอยเพื่อนไปที “เขามีเด็กเลี้ยงตั้งหลายคนจ่ายให้คนละ 2 ถึง 3 หมื่นต่อเดือน เดี๋ยวคนนั้นอยากได้นั่น คนนี้อยากได้นี่” ดังนั้นต้อมจึงเลือกเป็นคนที่ไม่ได้เรียกร้องอะไร ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เรียกร้อง ไม่สร้างความวุ่นวายใจให้ ทำให้ธนวัฒน์มีแต่ความสบายใจอยู่เสมอ และกลายเป็นคนที่อยู่กับธนวัฒน์ได้นานที่สุด
“สรุปคือมึงอยู่กับเขาเพื่ออะไร”
“ก็เพื่อให้ได้อยู่กับเขาไง” ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาสรุปได้แค่คำนี้จริง ๆ
ฉันท์ทัตส่ายหน้าน้ำตาซึม “มึงนะ”
“คำสารภาพของกูจบลงแล้ว ทีนี้ก็เข้าเรื่องต่อไป” ขยับตัวนั่งหลังตรง ท่าทางจริงจัง “มึงไม่ต้องกังวลเรื่องคนที่จะเข้ามาหามึงเพราะเรื่องคุณทีม”
ฉันท์ทัตเลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่ง “ทำไมต้องกังวล”
“มึงไม่กลัวพวกนางมาดักตบมึงหรือไง”
คนตัวเล็กส่ายหน้า “ก็กูไม่ได้อะไรกับพี่ทีมนี่”
แต่ที่ได้ยินมาเหมือนคุณทีมจะห่วงว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะไประรานฉันท์ที่ร้านข้าวต้ม
“ไม่ได้อะไรกับเขา แต่นางพวกนั้นมันเชื่อว่ามีไง เพราะคุณทีมมักกำชับว่าห้ามมายุ่งวุ่นวายกับมึง” และต่อให้ฉันท์เรียนจบออกมาแล้ว พวกนางก็ต้องรู้จัก “หน้าจอโทรศัพท์เขา ในโทรศัพท์เขามีแต่รูปมึง ยังไงนางพวกนั้นก็ต้องกลับไปหาข้อมูลเรื่องของมึงอยู่แล้ว”
ต้อมเป็นเพื่อน รู้ทุกอย่างมาตั้งแต่แรก เวลาที่ได้ยินธนวัฒน์คุยโทรศัพท์กับฉันท์ ยังรู้สึกปวดใจ แล้วผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไร
ต้อมส่ายหน้า “มึงเคยดูโทรศัพท์เขาบ้างไหม”
“เฮ้ย ทำได้ไง เสียมารยาท” ฉันท์ทัตตอบทันที
“แล้วเคยดูโทรศัพท์คุณธามหรือเปล่า”
คราวนี้ยิ้มแหย “อยากดูเหมือนกัน แต่ไม่เคยดูหรอก”
คุยกันอีกสักพักหันไปมองในบ้านเห็นจิโระเกาะขอบหน้าต่างมองมา ฉันท์ทัตก็เลยจะสรุปเรื่อง
“แล้ววันนี้ไม่ต้องรีบกลับไปรอเขาที่ห้องหรือไง”
ต้อมส่ายหน้า “วันนี้กูบอกว่าจะมาหามึง เขาก็เลยจะไปหาเด็กอีกคน”
“อีกคน” พอพูดออกไปแล้วให้ความรู้สึกว่าตัวเองดูโง่ชมัด
“เด็กใหม่น่ะเพิ่งได้มาสักสองอาทิตย์” เป็นช่วงที่ธนวัฒน์หายไป “เห็นว่ามีโมเดลลิ่งแนะนำมา เป็นเด็ก ม.5 หน้าตาดีอยากเป็นดารา หาเสี่ยเลี้ยง”
“เด็กจัง”
“แต่แบบนี้ไม่ผูกมัดไง อย่างมาก 2 เดือนก็จะมีเสี่ยอีกคนมารับไป”
นี่ยิ่งทำให้รู้สึกโง่กว่าเดิม “นั่นเป็นโลกที่กูไม่รู้จัก อยากเป็นดาราก็ไปเรียนการแสดงสิ”
“โอ้วววว เจ้าชายครับ” ต้อมหัวเราะเสียงดังขณะที่ลุกขึ้นยืน “เจ้าชายไม่สมควรทำความรู้จักกับโลกตอแหลทางฝั่งนี้นะครับ อยู่ในโลกที่มีแต่คุณธามกับจิโระ กับลุงป้าของเจ้าชายน่ะดีอยู่แล้ว”
ฉันท์อ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างแล้วเปลี่ยนใจ
“มึงจะพูดอะไร พูดมาเลยนะ กูเพื่อนมึง” ต้อมร้อนตัว
“จะบอกว่า ถ้ามึงไม่สบายใจในโลกที่มึงอยู่ มึงก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับกูก็ได้ แต่มึงคงไม่มาเพราะมึงรักเขา”
ต้อมกอดไหล่เพื่อนไว้ “วันหนึ่งกูต้องมาอยู่ฝั่งเดียวกับมึงแน่นอน เด็กเลี้ยงน่ะมันมีอายุของมันเอง พอไม่สด ไม่สวยงาม เขาก็ไปหาคนใหม่ ที่มันสด แล้วก็สวยงาม”
ฉันท์ทัตยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นกูไม่อวยพรนะ อยากให้มึงมาอยู่ฝั่งเดียวกับกูเร็ว ๆ อยากให้มึงได้รับความรักที่ไม่ต้องแบ่งให้ใคร”
และในตอนที่ธามันกลับมาถึงบ้าน คำแรกที่ฉันท์ทัตบอกก็คือ “วันนี้ต้อมมาหา”
ธามันพยักหน้า พอเดินนำเข้ามาในบ้านหันไปเห็นว่ากวางยังไม่เข้านอน ก็ขอน้ำเย็น เพราะเรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว
“วันนี้ผมเพิ่งรู้เรื่องของพี่ทีมกับต้อม” ฉันท์เอียงคอมองหน้าอีกคนแล้วก็เข้าใจ “พี่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้บอกผม”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเราก็ต้องรู้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด”
กวางหันขวับมามองหน้าธามันทันที ทำปากยื่นแล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ
“ต้อมบอกว่าพี่ทีมให้มาคุยเรื่องที่คนของเขาเข้ามาทักผมที่ห้าง” เรื่องนั้นมีแต่ธามันกับกวางที่รู้เรื่อง
ธามันดื่มน้ำเย็นไปครึ่งก้วแล้วเรียกกวางเข้ามาหา แต่หันมาถามกับน้องตามตรง “รู้เรื่องของกวางไหม”
“ผมเห็นกวางคุยกับคุณฐาติมาตั้งนานแล้ว” ฉันท์บอก “และรู้สึกขอบคุณคุณฐาติกับพี่ด้วยที่ให้กวางมาอยู่กับผม แต่พอวันนี้พี่ทีมให้ต้อมมาหาอีกก็เลยรู้สึกแปลก ๆ ว่าทำไมทุกคนถึงได้เป็นห่วงผมนัก”
ธามันหันไปพยักหน้ากับกวางที่กลอกตามองบน
“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ”
“โอเค ไว้เราคุยเรื่องนั้นทีหลัง ตอนนี้เราควรจะคุยเรื่องของคุณทีมกับต้อมและฐาติกันก่อน”
กวางไปรินน้ำเย็นอีกแก้วให้ฉันท์ เติมน้ำเย็นให้ธามันแล้วรีบนั่งลง
“บอกก่อนนะกวาง ว่านี่เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจความเป็นฐาติ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปพูด ไปปรับเปลี่ยนอะไรเขา”
กวางพยักหน้าเข้าใจ...อันนี้เข้าใจจริงๆ เพราะพี่ธามย้ำหลายครั้งแล้ว
“ตอนที่คุณทีมเรียนมัธยม เขาเคยมีคนรักเป็นผู้ชายชื่อคุณโจ เป็นเพื่อนในห้องเรียนเดียวกัน บรรดาพี่น้องผู้ชายที่เรียนโรงเรียนเดียวกันก็เห็น แต่พวกเราทำกับเขาเหมือนเขาเป็นคนนอกของครอบครัวมาตลอด ทุกคนรู้แต่ไม่ได้คิดที่จะเอาไปพูด จนมาถึงงานเลี้ยงวันเกิดของคุณทีม เขาพาเพื่อน ๆ มาที่บ้าน ในกลุ่มนั้นมีคุณโจอยู่ด้วย”
ธามันหยุดอธิบายเพิ่มเติมกับฉันท์และกวางก่อน “ลุงธนัชพ่อของฐาติมีลูก 6 คนโดยมีพี่ณภัทรเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน เธอดูแลน้อง ๆ ทุกคนรวมถึงพี่ด้วย ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วเธอก็เหมือนแม่อีกคนของพวกเรา”
ทั้ง 2 คนพยักหน้า
“แล้วในงานเลี้ยงวันเกิดของคุณทีม ที่เขาพาคุณโจมาด้วยเนี่ยเขากะจะเปิดตัวหรือไงครับ” กวางถาม
“ไม่รู้หรอว่าเขาคิดอะไร เพราะความที่เราหันหลังให้เขามาตลอด ไม่ชอบกันก็ไม่สนใจ เขาพาใครมาก็เรื่องของเขา”
“โคตรจะผู้ชาย” กวางทำปากยื่นอีกครั้ง
ธามันหัวเราะ จากนั้นก็เล่าต่อ “ที่จริงในงานน่ะมีเพื่อนของคุณทีมหลายคน แต่เขาแสดงออกกับคนนี้พิเศษมาก อาจเพราะยังอายุน้อย ไม่เข้าใจว่าครอบครัวที่แข่งขันกันสูงมากแบบก้องเกียรติมนตรี จะเห็นเป็นจุดอ่อนที่เอามาใช้โจมตีกันในภายหลัง”
ธามันหันไปมองคนที่หน้าซีดในทันที แล้วเอื้อมไปจับมือไว้
“ในห้องจัดเลี้ยง เขากับเพื่อนก็ร้องเพลงเล่นเกมกันไป เราคนที่ไม่ชอบกัน ก็ทำเป็นรักกันดีต่อหน้าพ่อ ๆ จากนั้นก็หลบออกมานั่งเล่นเกมกันอยู่อีกห้องหนึ่ง” คนเล่าเรื่องหันไปหากวาง “เรื่องนี้พี่กับพี่น้องหลายคนได้ยินกับหูตัวเอง คุณเพียงใจที่เป็นแม่ของคุณทีมเขาถามขึ้นมาในวงสนทนาของพวกผู้หญิงว่า เด็กผู้ชายที่อยู่กับคุณทีมน่ะเป็นใคร แล้วพี่ณภัทรเป็นคนตอบ แล้วบอกว่าได้ยินมาจากพวกคนรับใช้คุยกันอีกที จากนั้นเรื่องมันก็ตึงเครียด เมื่อมีคนพูดขึ้นมาว่าลูกชายคนโตของนายธนาเป็นเกย์”
กวางให้ความเห็น “รู้ไหม ยิ่งพี่ธามตัดรายละเอียดออกไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งชัดเจนว่ามันต้องไม่ใช่บทสนทนา หรือการแสดงความเห็นธรรมดาแน่นอน” มันต้องจิกกัดกันแบบเจ็บแสบได้เลือด แล้วมันต้องมีประโยคร้ายกาจประเภทเห็นอยู่กับตาขนาดนั้นยังจะถามให้ได้อะไร แล้วคุณเพียงใจคนนั้นต้องกลับไปเกรี้ยวกราดเอากับลูกชายแน่ ๆ
“มันไม่น่าจำสักเท่าไหร่” ยอมรับกันตามตรง “พี่เองตอนนั้นก็รู้แต่ว่าไม่ชอบคุณทีม ไม่ได้สนใจอะไร รู้แต่ว่าทุกคนน่ารำคาญ เวลาแม่พี่มาถามพี่ก็เดินหนี ไม่เข้าใจว่าจะไปยุ่งไปอยากรู้เรื่องของเขาทำไม หลังจากนั้นก็ไม่เห็นคุณโจอีก”
ผู้ฟังทั้ง 2 คนส่งเสียงอุทานอย่างเหนือความคาดหมาย
“ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็หันมาเอาใจคุณทีม ถึงขั้นหาผู้หญิงให้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงดูผู้หญิง เขาเองก็รับไว้จนมาเป็นคุณทีมในวันนี้”
“ทั้งที่ตอนนั้นเขาเรียนมัธยมน่ะนะ” กวางถาม
“ใช่”
“แล้วพี่ถูกกดดันอะไรด้วยหรือเปล่าฮะ”
“ก็แค่ถูกเตือนว่าอย่ามีแฟนเป็นผู้ชาย อย่าทำตัวอย่างคุณทีม” มือใหญ่ที่จับมือผอมบางไว้เพิ่มน้ำหนักขึ้น “เรามีวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ตอนต่อไปนี้พี่อยากให้ฟังให้จบก่อน”
“ฮะ”
“วันหนึ่งพวกเราทั้ง 3 บ้านไปเที่ยวด้วยกัน คุณทีมขับรถของพี่ณภัทร ในรถก็มีทั้งพี่ ทั้งฐาติแล้วก็พี่ชายอีก 2 คนของฐาติอยู่ด้วย”
“เขาไม่ถูกกันนี่แล้วทำไมยอมให้ขับรถ” กวางท้วง แต่ธามันไม่ตอบ
“เราเกิดอุบัติเหตุรถเสียหลัก พี่ณภัทรที่นั่งข้างคนขับบาดเจ็บสาหัส เพราะเป็นฝั่งที่รถอัดเข้ากับต้นไม้ เขาต้องรักษาต่อเนื่องจนไปเรียนต่อไม่ได้ ส่วนคนอื่น ๆ บาดเจ็บเล็กน้อย พี่เองพออาการดีขึ้นก็ไปเรียนต่อคนเดียว”
“แบบนี้มัน...” คนเจ้าคำถามนึกคำพูดไม่ออก
“กลุ่มพี่น้องของฐาติโกรธมากเพราะรู้ว่าคุณทีมเจตนา และยังคิดแค้นคุณทีมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ส่วนคุณทีมหลังจากวันนั้น เขาก็กลับไปอยู่บ้านเขา พอเรียนจบไปทำงานที่มหาวิทยาลัย จนพี่เรียนจบเขาถึงได้กลับมาที่บริษัท ก่อนที่พี่จะกลับมา”
ผู้ฟังถอนหายใจพร้อมกัน
“พี่เพิ่งรู้เรื่องคุณโจก็ตอนที่กลับมาเมืองไทยเมื่อ 4 ปีก่อน” มาถึงเรื่องที่เกี่ยวกับน้อง และอยากให้น้องเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี “แม่พี่รู้ว่าพี่หนีออกมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ของน้อง แล้วเขาพูดถึงคุณโจขึ้นมา พี่ถึงได้รู้ว่าคุณโจไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนหรือหนีไปไหน แต่ที่จริงแล้วเขาฆ่าตัวตาย”
คนฟังทั้ง 2 คนตกใจ ฉันท์ที่หน้าซีดอยู่แล้วซีดลงไปมากกว่าเดิม
เรื่องและภาพของพ่อกับแม่ย้อนกลับมาเตือน จนธามันต้องหยุดเล่า รอจนฉันท์พยักหน้าก็เล่าต่อ
“เราไม่รู้ และไม่มีวันเข้าใจว่าเขาต้องพบเจอกับอะไรขนาดไหน ถึงได้ฆ่าตัวตาย แต่พอมองย้อนกลับไป พี่ก็คิดว่าทุกคนรวมถึงตัวพี่เองที่ทำเกินไป ตอนนั้นคุณทีมกับคุณโจยังเป็นนักเรียนมัธยมด้วยกันทั้งคู่ ในอนาคตพวกเขาอาจพบเจอใครใหม่แล้วแยกกันไป รักตอนเรียนมัธยมมันมักจบลงแบบนั้น” มือที่จับมือน้องไว้ยังไม่คลายออก “แต่พี่ไม่อยากให้เรื่องของพี่กับชิรายูกิจบลงแบบนั้น ก็ต้องหาทางให้เราได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่จากที่คุยกับต้อมในวันนี้ ผมว่าฝั่งพี่ทีมเขาก็ลดความแรงลงไปเยอะแล้ว เขาห่วงแค่ว่าบ้านเล็ก ๆ ของเขาจะมาทำร้ายผมหรือเปล่า ต้อมเองก็น่าสงสารเหมือนกัน” ฉันท์บอก “เหลือแต่คุณฐาติ ถ้ารู้ว่าความคิดของพี่เปลี่ยนไปก็คงจะโกรธ”
“เอาเป็นว่าเข้าใจความคิดของเขา ว่าเรื่องมันยาวนานมาหลายปี แล้วที่จริงพี่ก็เข้าข้างฐาติอยู่หน่อย ๆ ว่าคุณทีมทำเกินไป”
ทั้งที่ธามันสรุปจบแล้ว แต่กวางยังไม่อยากให้จบ
“หนูว่าน้าเขาไม่เคยลดความไม่ชอบคุณทีมลงเลยนะ เพราะตั้งแต่แรกมาน้าเขาก็อยากให้พี่ ๆ เลิกกันอยู่แล้ว ยิ่งเวลาที่เห็นคุณทีมมาที่นี่เขาก็จะแบบ...” กวางทำเสียงฮึดฮัด “ทำไมธามยังชอบฉันท์อยู่ได้นะ ดูสิ เขาคบคนอื่นไปตั้งนานแล้ว”
ฉันท์หันไปส่ายหน้ากับธามันในทันที
“ผมเปล่า”
ธามันยิ้มขำ “พี่เข้าใจ แต่อยากให้รู้ว่าต่อไปชิรายูกิอาจต้องพบเจอกับอะไร ก็ขอให้เชื่อพี่ เหมือนที่พี่เชื่อชิรายูกิ”
“ฮะ” ฉันท์ไม่สนใจยิ้มกว้างของเจ้ากวาง “แต่พี่จะคุยกับคุณฐาติยังไง”
“ไม่คุย” ธามันหันมาบอกกวาง “พี่ณภัทรมีบุญคุณกับพวกเขาทุกคน ถ้าไม่มีพี่ณภัทรพี่น้องทั้ง 6 คนก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วเรื่องคุณโจเนี่ย ถ้าไม่ได้ออกจากปากคนที่ทำเรื่องนี้เอง ฐาติก็คงไม่ยอมรับ”
ฉันท์ที่มีสีหน้าดีขึ้นเอียงคอมองธามัน “สำนวนที่ว่าศัตรูคือคนที่รู้จักเราดีที่สุดเป็นอย่างนี้เอง”
“คุณทีมน่ะศัตรู แล้วน้าก็เป็นศัตรูด้วยหรือไง” กวางถาม
“ถ้าจะเป็นก็คงจะกับพี่คนเดียวน่ะแหละ” ฉันท์รีบยกมือ “ถึงผมจะเฉื่อย แต่ผมก็รู้ตัวนะ ถ้ามีคนไม่ชอบผมน่ะ”
กวางชี้พี่ 2 คนพร้อมกับยิ้มกว้าง “รู้แล้ว 2 คนนี้มีนิสัยเหมือนกันเป๊ะก็ตรงที่ถ้าไม่ชอบ ก็จะไม่สนใจ”
“จะสนใจทำไมโลกนี้มีคนตั้งกี่ล้านล้านคน” ธามันบอกด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“อันนี้ไม่เหมือนแล้ว” ฉันท์ออกตัว “เพราะถ้าไม่ได้ชอบเขา หรือเขาไม่ได้ชอบผมก็ห่าง ๆ ออกมาดีกว่าเขาจะได้ไม่ต้องรำคาญเวลาที่มีผมอยู่ใกล้ ๆ”
“แล้วทำไมยังรับนัดคุณทีม ทั้งที่ไม่ได้ชอบเขา” ธามันแกล้งทำสีหน้าจริงจัง
“พี่อ้ะ” ฉันท์หน้าตาเหรอหรา “เคลียร์ไปแล้วไม่ใช่หรือ”
กวางหัวเราะคิกคักรีบวิ่งไปเก็บหนังสือเรียน
“เคลียร์แล้ว แต่เวลาพูดถึงเขาขึ้นมาแล้วมันทำให้อารมณ์ไม่ดี แล้วนี่เขายังให้ต้อมมาคอยเฝ้าอีก มันชักยังไงกัน ติดกล้องวงจรปิดในบ้านดีไหม” ธามันทำบ่น
กวางได้แต่แอบหัวเราะคนที่กำลังแกล้งคนรักอย่างจริงจัง
...พี่ฉันท์นี่อ่อนจริง ๆให้ตายเหอะ

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 06-04-2019 20:17:55
(ต่อครับ)

ตารางเวลาในแต่ละวันของธามันยาวนานเกินกว่าวันละ 24 ชั่วโมง ทั้ง 1 สัปดาห์ก็ดูจะมากกว่า 7 วัน
ทุกวันจะออกไปทำงานแต่เช้า มากกว่า 3 วันใน 1 สัปดาห์จะมีงานเลี้ยง งานแต่งงาน และการแสดงความยินดี เช้าเสาร์คือไปออกรอบเล่นกอล์ฟ บางครั้งมีแถมช่วงค่ำไปเล่นเทนนิส
แต่จะว่าไปเรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวกับพี่ธาม  ไอ้กวางน้อยไม่มีสิทธิ์มาบ่นอะไร เพราะตั้งแต่อาหารเช้า ยันรอเปิดประตูบ้านตอนเที่ยงคืน พี่ฉันท์ขวัญใจกวางน้อยเขาจะเป็นคนจัดการทั้งหมด
"พี่ธามนะ ไม่เคยมีความเห็นอะไรเลยนะ พี่ฉันท์ทำอะไรให้กิน ก็กินได้ทั้งหมดขนาดมีอยู่วันนึง ชงกาแฟแล้วลืมใส่น้ำตาล เขายังแค่จิบนิดนึงแล้วกินต่อ พี่ฉันท์เห็นเขาหยุดชะงักก็นึกขึ้นได้ จะชงให้ใหม่แต่พี่เขาก็บอกว่าเขากินได้"
"ที่บ้านนั้นไม่มีใครกินกาแฟหรือ" ฐาติถาม
"ไม่เลย" กวางส่ายหน้าแล้วเล่าเรื่องของคนที่บ้านต่อ "ลุงเคยกินตอนหนุ่ม ๆ แล้วก็เลิกไป พี่ฉันท์ดื่มชาตอนบ่าย ส่วนจิโระดื่มนม”
ฐาติเกาหน้าผากตัวเอง แต่ก็ปล่อยให้เจ้าเด็กนักเรียนโม้ไปกินไอศกรีมของชอบของมันต่อไป
“ตอนที่พี่ธามย้ายเข้ามานะ วันแรกพี่ฉันท์เขาก็รีดเสื้อให้ เสื้อเขาเนี๊ยบมาอยู่แล้วใช่ป้ะน้า แต่ย้ายไปย้ายมาจะยับหน่อย ๆ ไง พี่ฉันท์เอามารีดให้ แต่พอเอาไปแขวน ป้าจะเดินมาดู นี่ตรงนี้ไม่เรียบ ตรงนี้ไม่เนี๊ยบ" กวางทำท่าจิกนิ้วได้เหมือนป้าแจ่มจิตมาก
"แล้วทำไมมึงไม่ทำเอง หรือไม่ก็ส่งซักรีด"
"เหอะ" กวางทำปากยื่น "หนูได้ทำเสื้อเขาเสียหายหมดละสิไม่ว่า แต่พี่ธามมาอยู่ได้สักอาทิตย์เขาก็ส่งซักรีด ปรากฏว่านี่เลย หลานสาวคุณป้านักซักรีดแห่งซอย 72 รีดกางเกงพี่ธามดเป็นรอยขาวเลยครับ”
“รอยขาว?”
“ก็เวลาที่เราใช้ไฟแรงเกินแล้วมันจะเป็นรอยขาว ๆ ตรงจีบกางเกงน่ะสิ” กวางขมวดคิ้วมอง “น้าไม่เคยรีดผ้าแหง”
“เออ ไม่เคยหรอก”
“น้าไม่รู้หรอกว่าน้าพลาดอะไรดี ๆ ไปมากขนาดไหน”
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
เด็กนักเรียนทำหน้าตาเหนือกว่าผู้ฟังเป็นอย่างมาก “ช่าย การทำงานบ้านได้จัดการเรื่องของทุกคนในบ้าน และของตัวเราเอง ให้ทุกคนมีเสื้อผ้าสะอาดใส่ มีอาหารอร่อยกิน คือภารกิจสำคัญของความเป็นผู้ใหญ่”
ฐาติหัวเราะเสียงดัง “มึงเป็นผู้ใหญ่แล้วละสิ”
“อะ แน่นอน หนูดูแลทุกคนเลยนะ เอ๊ะ เดี๋ยวสิ เมื่อกี้หนูเล่าเรื่องกางเกงพี่ธามใช่ไหม แล้วน้ามาชวนคุยเปลี่ยนเรื่องทำไมเนี่ย”
“อ้าว กูผิดอีก” กูเปลี่ยนเรื่องตรงไหนวะ
“ก็เออสิครับ คุยกันอยู่ 2 คนนี่นา” 
ฐาติโบกมือ “เออ กูผิดเอง มึงอยากพูดอะไรก็พูดมา” ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ นอกจากธามันแล้วก็มีเจ้าเด็กนี่แหละที่ขัดใจไม่ค่อยได้
“ดีมาก” นักเรียนตากลมหัวเราะอิอิก่อนที่จะเล่าเรื่องต่อ “พอกางเกงพี่ธามเขามีรอยช้ะ พี่ฉันท์เขาก็รีบไปห้าง ไปหาจนได้กางเกงแบบเดียวกัน แต่ร้านซักรีดในห้างเขานัดให้ไปรับของวันถัดไป หนูกับจิโระก็เลยได้ไปเดินห้างด้วย”
“อ้อ จะคุยว่าได้ไปเดินห้างกับพี่ฉันท์ว่างั้น”
“น้าอ้ะ บอกว่าอย่าขัดคอไง แต่มันจริง” หน้าตาระรื่นมาก “จิโระน่ารักนะน้า ไม่งอแงอยากได้อะไรเลย หรือเพราะที่ญี่ปุ่นมีของน่ารักมากกว่าบ้านเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่ฉันท์เขาเดินจูงมือไปทางไหนก็ไป แต่ทีนี้เดิน ๆ อยู่มีผู้หญิง 3 คนเข้ามาทักถามว่าฉันท์ทัตหรือเปล่า แล้วก็พูดไม่ดีกับพี่ฉันท์ด้วย หนูกับพี่ธามก็เลยไล่ไป”
เอ๊ะ ตรงนี้ส่ง S.O.S ไปบอกน้าแล้วนี่หว่า ทำไมน้าดูเหมือนลืมไปแล้ว
คนแก่ก็เงี้ยะ...
“พี่ฉันท์ของมึงรู้จักเขาไหม”
มือเล็กๆ เคาะที่คางมน “ไม่รู้อ้ะ ไม่เห็นเขาพูดอะไรกับ 3 คนนั้น”
“แล้วเขามาทักทำไม”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนที่กลับออกมาถึงบ้าน พี่ธามกับพี่ฉันท์ออกไปคุยกันตั้งนาน”
“ผู้หญิงหรือ อายุประมาณคนทำงานหรือนักศึกษา”
“น่าจะนักศึกษานะ อึ๋ม ๆหน่อย” กวางทำมือขยายคำว่าอึ๋ม
ฐาติรู้แล้วว่า หญิงสาวกลุ่มนี้เป็นใคร
“พี่ฉันท์ของมึงเขาคงตกใจน่ะ ตอนที่เจอกับพวกทวงหนี้เขาก็เป็นแบบนี้”
กวางมองหน้าคนที่จิบกาแฟหลังแสดงความเห็น
“อะไร”
“เปล่า เพิ่งนึกได้ว่าน้ามาเจอพี่ฉันท์ตอนงานศพ ทั้งที่แอบมองเขามาตั้งหลายปี”
“พูดให้มันดี ๆหน่อย” ไอ้เด็กนี่จู่ ๆก็พูดจาไม่เข้าหู “กูไม่ได้แอบมองเขา แต่เป็นเพราะธามจ้างให้ทำหรอก”
ไอ้เด็กนี่กลับทำหน้าตาพิกล “นั่นยิ่งแย่กว่าเดิมเสียอีก”
“ก็มันจริง ถ้าไม่ใช่เพราะธามจ้างให้ทำ เรื่องอะไรกูจะต้องไปที่อพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ นั่น”
และเพราะไปที่นั่นถึงได้เจอกับไอ้เด็กกวนประสาทคนนี้ไง
“เหอะ น้าไม่รู้หรอกว่าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ นั่นค่าห้องถูกสุดในละแวกนั้น ถึงตอนที่พ่อพี่ฉันท์มีปัญหาเรื่องเงินเขาก็ไม่คิดจะขึ้นค่าห้อง ลุงกับป้าที่เป็นคนดูแล ก็ดูแลทุกคนจริง ๆ ตอนที่พี่ฉันท์ไปบอกว่าจะขายตึกนะ ทีแรกทุกคนก็ตกใจ จากนั้นก็พากันเป็นห่วง”
“แล้วบรรดาญาติพี่น้องเขาล่ะ”
“เขาก็อยู่แถวนี้แหละ” กวางชี้ไปรอบ ๆ “จะมีก็ลุงรองที่บ้านอยู่ซอยฝั่งตรงข้ามโน้นที่เขาแวะมาหาบ้าง ส่วนคนอื่น ๆ มีแต่โทรมาเรียกให้พี่ฉันท์ไปหา เขาไม่อยากมาบ้านนี้เพราะเขากลัวผีพ่อพี่ฉันท์น่ะ” เด็กมัธยมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผู้ใหญ่อย่างเปิดเผย “ตระกูลพี่ฉันท์นี่ถ้าจะให้นินทาคงต้องเขียนแฟมิลี่ทรี”
“รู้จักแฟมิลี่ทรีกับเขาเหมือนกันนะเรา”
“น้า หนูอยู่มัธยมแล้วนะไม่รู้จักได้ไง”
“เออ เล่าต่อ”
“ก็อย่างที่รู้อะ ว่าตอนที่พ่อเขาอยู่เขาเกเร ปู่ก็กลัวว่าจะผลาญสมบัติหมดก็ไม่ยกอะไรให้เลย พวกพี่ ๆ ของเขาก็แบ่งกันไป แล้วพอเขามีปัญหาทุกคนก็หันหลังให้ ลุงรองก็ช่วยไม่ไหว เพราะเขาก็อยู่ในกลุ่มลูกเมียรองมาตั้งแต่...” กวางทำมือไม้ยุ่งเหยิง “เอาเป็นว่าพ่อของเขาเองก็ไม่ได้สมบัติ ไม่ได้กินเงินกงสีทำงานราชการจนเกษียณ บ้านที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ก็รับมรดกต่อกันมา”
..นินทา เอ่อ คุยเรื่องของฉันท์ทัตกับเจ้าเด็กนี่มา 4 ปี แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องญาติพี่น้องของฉันท์ทัตสักเท่าไหร่ บอกว่าเป็นพวกคนรวยไร้น้ำใจ ห่วงแต่เงินของตนเองจนไม่เข้ามาช่วยตอนที่ลำบาก ในทางตรงข้ามแทบจะทุกครั้งที่เจอกันเจ้าเด็กนี่มักจะพูดขอบคุณว่าถ้าไม่ได้น้าช่วยไว้ พี่ฉันท์ก็คงจะแย่กว่านี้ เวลาที่ได้ยินแล้วมันทำให้มีกำลังใจที่จะเสือก เอ่อ ช่วยธามันดูแลน้องฉันท์ของมันต่อไป
“สรุปคือลุงรองนี่เขาก็ไม่ได้ช่วยเหมือนกัน”
“ตอนงานศพ น้าเห็นพวกเขาที่มางานไหมล่ะ มาขอขมา มาฟังสวดศพ มาช่วยงานแล้วก็กลับ พ่อกับแม่หนูบอกตลอดแหละว่าคนรวยก๊กนี้แปลก กับคนอื่นไปช่วยเขาได้ เลี้ยงเขาได้ นี่คนในสายหลักของครอบครัวแท้ ๆ ถึงตอนอยู่จะเป็นยังไง แต่ตอนตายก็ต้องมาช่วยกัน แต่นี่เขาจะช่วยเป็นเจ้าภาพสักคืนยังไม่ทำ”
“เขาคงกลัวถูกโยงกับเรื่องหนี้สินของพ่อฉันท์มากกว่า” ก็เจ้าหนี้มารอตั้งแต่รดน้ำศพอย่างนั้น
“คนทำตลาดก็มีอิทธิพลในระดับหนึ่งนะน้า”
ฐาตินิ่งคิด “บางทีพ่อฉันท์กับพี่น้องเขาคงขัดแย้งกันหนัก แล้วจากที่ฟังมา ทางนี้ก็ทิฐิเอาเรื่องเก็บปัญหาทุกอย่างไว้กับตัว อย่าเพิ่งรีบไปสรุปวิจารณ์อะไรเลย เพราะเท่าที่เห็นฉันท์ก็ดูไม่มีปัญหาอะไรกับญาติพี่น้องคนอื่น ยังเข้าได้ทุกบ้านนี่นา”
กวางพยักหน้า “ช่าย วันนี้ก็เอากล้วยกับชมพู่ในสวนไปให้...ลำดับญาติยังไงดีหว่า”
“พี่ฉันท์ของมึงเรียกเขาว่ายังไงก็เรียกตามนั้นแหละ”
“งั้นก็ปู่” เล่าเยอะต้องจิบน้ำสักหน่อย “แต่พวกเขาไม่ค่อยจะมาหาพี่ฉันท์ที่บ้านกันนะ จะโทรมาบอกให้ไปหา”
“ก็พี่ฉันท์มึงเด็กกว่าเขา แล้วที่เล่า ๆ มานี่ดูแต่ละคนมีอายุแล้วทั้งนั้น”
“ก็จริง” กวางเห็นด้วย “แต่ไหน ๆ ก็นินทาแล้วนะ นินทาต่ออีกนิดเหอะ คนบ้านลุงเอกที่เป็นเจ้าของตลาดนี่น่าเพลียที่สุดแล้ว”
“คนนี้คุมมรดกส่วนใหญ่ใช่ไหม”
“ใช่ ย่าของพี่ฉันท์ก็ยังอยู่กับเขา แก่มากแล้วบางทีก็หลงลืม”
“เขาจำฉันท์ได้ไหม”
กวางเอียงคอ “บางทีก็เรียกผิดนะ เรียกยูกิ”
“ยูกิ”
“แม่พี่ฉันท์ไง พ่อเขาชื่อฉลอง แต่พี่ฉันท์เหมือนแม่มากกว่า ก็เรียกชื่อแม่”
“อ้อ เออใช่ ลืมไป” มัวแต่กำลังคิดบางอย่าง “ตลาด ตึกแถว แล้วก็บ้านเช่าหลังตลาดนั่นของเขาทั้งหมดเลยใช่ไหม”
“ใช่ มีมากกว่านี้นะ เห็นว่ามีที่ดิน มีคอนโดฯ อะไรอีกไม่รู้ รู้แต่รวยอยู่บ้านเดียว” เจ้าเด็กแสบทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ลุงเอกมีลูก 3 คนคือพี่อ้าย พี่เอื้อย แล้วก็พี่เอม แต่คนที่เป็นมือขวาของพ่อคือพี่เอื้อย เพราะพี่อ้ายเขาได้เมียเป็นเจ้าของร้านทองอยู่แถวรังสิต ก็แยกออกไป ส่วนพี่เอมได้ผัวเป็นตำรวจอยู่นครพนมก็ย้ายไปอยู่กับผัว”
“พี่เอื้อยไม่มีแฟนหรือ”
“นางเป็นมือขวาให้พ่อแม่ของนาง ทั้งคุมตลาด คุมห้องแถว ห้องเช่า คุมคนงาน คุมบัญชีให้พ่อ น้าคิดว่านางจะมองผู้ชายแบบไหน”
“มึงอย่ามาถามเรื่องเดาใจผู้หญิง นั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้ว”
“ที่จริงก็ไม่เชิงว่านางจะทำคนเดียวหรอก เพราะลุงเอกก็ยังอยู่ ลุงแต้มที่เป็นน้องคนรองก็ยังอยู่ เขาก็มาช่วยคุมพวกคนงานในตลาดอยู่ด้วย”
คุยเรื่องครอบครัวฉันท์สมควรต้องเขียนแฟมิลี่ทรีจริง ๆ แต่ก็สรุปได้ว่าที่ผ่านมาลูกคนโตของบ้านใหญ่คุมเบ็ดเสร็จ แต่พอมาถึงรุ่นปัจจุบัน ลูกคนโตไม่ต้องการคุมตลาด จึงส่งงานให้กับน้องสาวคนรอง แต่น้องสาวคนรองกำลังคนไม่พอต้องได้แรงหนุนจากน้องชายคนที่ 2 ของพ่อ
แล้วพ่อของฉันท์อยู่ตรงไหน
“อยู่ที่ 5 เอก แต้ม ต่อ เกียรติ ฉลอง แต่ลุงต่อแยกไปทำตลาดนัดแถวกระทรวง ทำตลาดห้องแอร์ ไม่ได้มาอะไรกับตลาดนี้ คนที่ชื่อเกียรติถูกยิงตายตั้งแต่เรียน ม.3 ส่วนพ่อพี่ฉันท์ก็อย่างที่รู้กันอยู่” 
เรื่องยิงกันในวงการตลาดสดนี่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาหรือไงนะ
ฐาติถอนหายใจยาว ธามันรู้ตัวไหมนี่ว่าได้เมียแบบไหน
ถึงฉันท์จะดูใส และมีโลกส่วนตัวสูงแต่ก็ต้องได้นิสัยแบบนักเลงหน่อย ๆ มาบ้างละวะ
จู่ ๆ กวางก็วกมาถาม “แล้วน้ารวยป้ะ”
“ถ้ารวยจะมารับจ้างธามทำไม”
กวางหัวเราะร่วน “น่าสงสารจริง”
“ต่อไปกูต้องให้มึงเลี้ยงแล้ว”
กวางชะงักไปชั่วอึดใจแล้วพยักหน้ายิ้มกว้างไม่ได้พูดอะไร ตักไอศกรีมคำสุดท้ายแล้วบอก “งั้นวันนี้น้าเลี้ยงไอติมหนูเป็นวันสุดท้ายแล้วกันนะ”
“อ้าว เฮ้ย”
กวางยกนิ้วชี้ขึ้น “อย่าเพิ่งตกใจ เพราะตอนนี้พี่ธามให้เงินเดือนหนูตรง ๆ แล้ว น้าไม่ต้องจ่ายให้หนูละ”
ใจหายว่ะ ใจหายจริง ๆ นะ แม่งเอ้ย ธามแม่งทำงี้ได้ไงวะ แม่งต้องคุยกันเยอะว่ะงานนี้
“แล้วไปเอาเงินเขาทำไม”
“ก่อนนี้เขาก็จ่ายเงินเดือนให้หนูไม่ใช่หรือไง”
“เปล่า กูนี่ กูจ่ายเองทั้งนั้นแหละ เงินเดือนมึง ค่าเทอมกูก็จ่าย” เคยบอกไปนานแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้ ก็ส่งเงินให้กับมืออยู่ทุกเดือน หรือเด็กนี่จะเชื่อจริงจังว่าฐาติเป็นคนหน้าเงิน รับเงินค่าจ้างจากธามแล้วมาแบ่งจ่ายให้น่ะ
แม่งเอ้ย ยังมีภาพดี ๆ อยู่ในสมองของไอ้เด็กนี่บ้างไหมวะ
“แต่เดือนนี้เขาจ่ายให้หนูแล้วอ้ะ” กวางทำแก้มพอง “เขาให้ค่าใช้จ่ายในบ้านกับพี่ฉันท์ แล้วพี่ฉันท์ก็แบ่งมาจ่ายให้หนู ก็ถือว่าเขาจ่ายเหมือนกัน”
“ช่างเหอะ สรุปว่าไม่ต้องรับเงินเขาละกัน รายจ่ายธามมันเยอะแล้ว”
กวางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “พี่ธามน่ะนะ”
“เออ” มือใหญ่ตบโต๊ะ “ห้ามรับเงินจากเขา จะอะไรก็ห้ามหมด จะค่าเทอม กิจกรรม สมุด ดินสออะไรนั่นด้วย”
“น้า สมุดดินสอนั่นเบิกได้”
“ก็เออ ไม่รู้โว้ย แม่ง ธามแม่งทำงี้ได้ไงวะ แล้วนี่คิดหรือยังว่าจบมัธยมแล้วจะยังไงต่อ”
“ให้เรียนต่อหรือ”
“เรียนต่อสิ จะต่อวิชาชีพ หรือวิชาการอะไรก็เรียนเถอะ มึงจะเลี้ยงจิโระไปจนเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยหรือไง”
“น้า” กวางเลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่ง
“เออ”
“หวงเหรอ”

ตั้งแต่ธามันย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับฉันท์ทัต หน้าที่ของฐาติก็เหลือเพียงการจัดการงานด้านกฎหมายให้กับหนุ่มคนนั้นตามที่ธามันบอกให้ทำ แล้วทำไมยังนัดเจ้าเด็กนี่มานั่งนินทาพี่ธามกับพี่ฉันท์อยู่ทุกอาทิตย์เหมือนเดิมก็ไม่รู้
ฐาติไม่รู้
ไม่อยากรู้
หรือกลัวที่จะรู้ก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน

....จบตอนที่ 11...

กวางนี่มันแสบจริง ๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: aha_aha ที่ 06-04-2019 21:04:00
โอ้ยยยยย รักเด็กกวางงงง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2019 21:26:11
มีความสุขที่ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-04-2019 02:55:36
จอดเลยคำถามเดียว 555555555555555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 07-04-2019 09:31:26
เจอความหนูกวางเข้าไปนานๆ

พี่ทนายฐาติก็ไปไม่เป็นเหมือนกันแหละ

เจ้าวางแผนเจ้าความคิดนัก

เจอเด็กแสบเข้าไป

หลงเด็กเลยน่ะสิ

555555555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 07-04-2019 11:28:37
มีความกวางงง แสบแต่น่าร้าก :hao3:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-04-2019 17:23:18
ิอิอิ ...กวางแทงใจดำฐาติแล้ว
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 09-04-2019 10:37:03
สงสารคุณทีมกับคุณโจ ตอนนั้นพี่ณภัทรก็ทำเกินไปจริงๆ
แต่คุณทีมก็เอาคืนแล้ว อยากให้เลิกแล้วต่อกันไป ทั้งบ้านฐาติทั้งคุณทีมไม่อยากให้เอาคืนกันไปมาอีก

ชิรายูกิคนซื่อ น่ารักจริงๆ พี่ธามก็อย่าแกล้งน้องนัก

ส่วนกวางเด็กแสบนี่ มันน่าจับดึงให้แก้มยืดดดดดดดดด 55555
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 10-04-2019 01:57:54
พัวพันกันยุ่งเหยิงมากเลย ไม่รู้ใครเริ่มก่อน
แต่ทีมเจ็บตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม แต่เป็นบ้านรองก็เจ็บปวดแล้ว
แล้วบ้านนั้นเค้าทำคนตายไปคนหนึ่ง เค้าไม่รู้สึกอะไรกันหรอ

ชอบความเปิดเผยของฉันท์กับพี่จังเลยค่ะ
มีอะไรก็คิดถึงพี่ จะคุยกับพี่ เรื่องนี้ไม่พลาด
ชอบฟีลนี้มาก เพราะพี่สำคัญ

ธามชัดเจนดี บอกน้องให้รู้ตัวและเตรียมใจ
แต่แกล้งน้องทำไม น้องยิ่งระแวงอยู่

5555 จบไหมฐาติ ไม่จุกเนาะ เอ็นดู
ชอบกวางค่ะ เป็นเด็กดี ฉลาด และรักพี่ฉันท์มาก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-04-2019 15:30:28

:katai2-1: 

:katai2-1:

กวางมากินไอศกรีมกะป้ามา

 :katai2-1:

 :katai2-1:

ตอนนี้เหมือนฐาติจะโดนเอาคืนเบาๆ แต่ทำไมเราสะใจล่ะนี่   :hao3:  :hao3:



หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-04-2019 09:38:03

 :katai2-1:  :katai2-1: ชอบความหลักแหลมของเจ้ากวางสุด ๆ   :katai2-1:  :katai2-1:


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-04-2019 01:13:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-04-2019 19:29:28
 :katai5: มารอจ้ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่11 (6/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 25-04-2019 20:51:24
มารอน้องกวาง
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 25-04-2019 20:52:34
ตอนที่ 12

ในวันที่ธามันย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับฉันท์ได้ครบ 2 เดือน นอกจากการซ่อมบ้านจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังรวมถึงการปรับปรุงสวนที่ล้อมรอบบ้านด้วย
ธามันเริ่มการทำงานส่วนนี้ด้วยการให้คนงานแผนกสวนของบริษัทมาทำรั้วแบ่งเขตบ้านกับสวน จากนั้นก็จัดการถางหญ้า และย้ายต้นที่ตายแล้วออกไป ปิดท้ายด้วยการเก็บกวาด และตัดกิ่งให้เรียบร้อยสวยงาม 
ระหว่างนั้น ฉันท์โทรไปหาคนงานที่เคยมาทำสวนให้พ่อ ว่ายังต้องการกลับมาทำสวนอีกหรือไม่ แต่ตอนนี้คนงานมีงานประจำแล้ว จึงขอมาทำเป็นรายวันและทำเฉพาะในวันหยุด
เรียกว่าสัปดาห์แรกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่จิโระก็ยังสนุกไปกับบรรดาคนงานคนสวนจากบริษัทของธามัน แต่หลังจากนั้นงานในสวนก็ค่อนข้างนิ่ง เพราะเพราะยังไม่มีการลงต้นไม้ใหม่
ส่วนการซ่อมร้านข้าวต้ม ต้องเลื่อนออกไปอีกประมาณ 3 เดือนเมื่อฉันท์ได้ยินว่าโครงการคอนโดฯ อีกแห่งต้องการคนงานเพิ่มเติม จึงขอให้คนงานที่จะมาทำร้านไปช่วยงานหลักของบริษัทก่อน ธามันอธิบายว่างานซ่อมร้านไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ขอคนงานมาสัก 3 คนก็น่าจะได้ แต่เพราะนี่คือฉันท์คนที่มีความเกรงใจคนอื่นในระดับสูงมาก จึงขอเลื่อนเวลาซ่อมร้านของตนเองออกไปก่อน
ในขณะที่ชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เรื่องราวในครอบครัวใหญ่ที่เพิกเฉยมานานก็เข้ามาย้ำเตือนว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันท์ก็ไม่สามารถหนีจากพวกเขาได้
ตลาดเพิ่มทรัพย์กำลังจะมีการทำบุญใหญ่ประจำปี จัดในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปีมานานกว่า 30 ปีแล้ว ทำให้งานนี้นับเป็นการจัดงานรวมญาติครั้งใหญ่ของตระกูลวีนิตา
ตรุษจีน เชงเม้ง นั่นก็เรื่องหนึ่ง คนที่แยกครอบครัวออกไปแล้ว หรือกลุ่มที่อยู่ในสายรองเขาก็จะแยกไปหาผู้ใหญ่ในครอบครัวของเขา แต่ในวันนี้คือวันแรกของการเริ่มต้นทำตลาด ปู่เพิ่มจึงกำหนดให้ทุกคนมาร่วมทำบุญด้วยกัน
ในตอนที่ปู่ยังอยู่ ลูกหลานที่มางานทำบุญจึงพร้อมหน้าหนาแน่น ด้วยความรู้สึกที่ว่าตลาดแห่งนี้เลี้ยงดูพวกเราทุกคน แต่พอปู่จากไป ความแบ่งแยกเป็นสายหลัก สายรอง บ้านไกล บ้านใกล้ก็ชัดเจนขึ้น จนมาในปีหลัง ๆ คนที่มาทำบุญจะมีแต่กลุ่มที่ยังพักอยู่ในละแวกใกล้เคียง กับพวกพ่อค้า แม่ค้าในตลาด นักธุรกิจ และญาติของ ‘ป้าเกศ’
มองตามหน้างาน คนที่เป็นแม่งานนี้คือพี่เอื้อย แต่แม่งานตัวจริงคือเกศรีหรือ ‘ป้าเกศ’ เมียของลุงเอก เธอยังเป็นตัวจริงเรื่องการคุมการเงิน และการบริหารกิจการตลาดเพิ่มทรัพย์ แม้ว่าโดยปกติจะทำหน้าที่สะใภ้ใหญ่ดูแลย่าอยู่ที่บ้าน แต่งตัวสวยงาม สะอาด และในรอบ 1 ปีเธอจะมาปรากฏตัวที่ตลาดสักหนึ่งครั้งก็คือวันทำบุญก็ตาม 
เธอเป็นสายบุญ เธอเป็นคนดี
เธอมีมือซ้าย มือขวาคอยจัดการกับพ่อค้า แม่ค้าที่ค้างค่าเช่า เธอมีเจ๊ใหญ่ เจ๊เล็กเป็นเครือข่ายสาขาเก็บค่าเช่าบ้านพัก ห้องแถว บรรดานักเลงคุมตลาดเกรงใจเธอมากกว่าลุงเอกเจ้าของตลาดตัวจริงเสียอีก และเธอคือคนที่ให้คำแนะนำกับพ่อสามีว่า ‘ฉลองทำเป็นแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว สักวันคงได้กลายเป็นอาชญากร ทางที่ดีคือควรป้องกัน ถ้าเขาไปทำร้ายใครจะได้ไม่เดือดร้อนมาถึงครอบครัว และอย่าเพิ่งให้เขามีสิทธิ์อะไรในกองมรดก’
ที่มันแย่กว่านั้นก็คือพอฉลองรู้เรื่องนี้ก็ยังทำตัวพาลเกเรจนญาติระอา และหนีไปญี่ปุ่น ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างที่เรารู้กัน
ฉันท์รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก และทุกครั้งที่มาช่วยทำความสะอาดสำนักงานเพื่อเตรียมทำบุญก็มักจะมายืนอยู่ที่ด้านหน้าของฝาผนังที่มีรูปของบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวในสายหลัก หรือเมียรอง ลุงเอกก็มีความสามารถไปรวบรวมมา ทำให้บนฝาผนังนี้มีทั้งรูปของคนชรา คนหนุ่มสาว และเด็ก
หากเจ้ากวางต้องการจะอธิบาย Family Tree ให้น้าฐาติฟัง แนะนำให้พาน้ามาที่ห้องนี้ สามารถบรรยายให้เข้าใจได้โดยง่าย
แต่ที่นี่ไม่มีรูปของพ่อและแม่ของฉันท์
“โอนีจัง โคะนีใค”
“คนนี้คือคุณย่า โอบะซัง” สำหรับฉันท์แล้วทุกคนในที่นี้คือญาติฝ่ายพ่อ แต่ฉันท์ก็ไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าถูกกีดกันเป็นคนอื่นจึงบอกกับน้องแบบนี้
“โคะ นี”
“คนนี้”
“โคน นี๋”
“คุณย่า”
“คุณย่า”
“เก่งมาก”
ฉันท์หอมแก้มยุ้ยของน้องชาย แล้วช่วยกันเช็ดถูทำความสะอาดต่อไป เพราะอีก 2 วันก็จะถึงวันงาน พอ 5 โมงเย็น 2 คนพี่น้องก็กลับบ้าน แต่พอถึงวันถัดมา ที่เป็นช่วงก่อนวันงานเพียงวันเดียว ธามันก็ขับรถคันใหญ่ไปรับ 2 พี่น้องที่ตลาดเล่นเอาคนที่มาช่วยเตรียมงานพากันประหลาดใจ
ในช่วงเย็นตลาดวาย เหลือแต่พวกร้านข้าวแกง และก๋วยเตี๋ยวที่อยู่รอบนอก แต่ถ้าเข้ามาด้านใน บรรยากาศในตลาดวันนี้คึกคักผิดกับทุกวัน เพราะคณะลิเกกำลังตั้งโรงลิเกตรงลานจอดรถหลังตลาด และมีคนงานกำลังตั้งเต็นท์ยาวตลอดแนวหน้าห้องแถวที่ตั้งของสำนักงานตลาด
ธามันที่ขับรถคันใหญ่มาถึงตลาดกับงง ไม่รู้ว่าต้องจอดรถที่ไหน พอถามยาม ยามก็บอกว่าก็จอดตรงนี้แหละจะดูให้เอง แต่วันนี้คงออกตั๋วค่าจอดรถให้ไม่ได้ ธามันยิ้มขำเพราะรู้ทัน หลังจากที่จอดรถเสร็จก็มาส่งเงินให้ 100 บาทแล้วเดินไปที่สำนักงานตลาด 
ห้องแถวส่วนที่ล้อมลานจอดรถเป็นอาคารที่ปลูกต่อเนื่องนับสิบห้องแล้วเว้นวรรคเป็นถนน ตรง 3 ห้องหัวแถวที่ติดป้ายสำนักงาน เป็นห้องที่สามารถมองเห็นได้ทั้งตัวตลาด ลานจอดรถ และส่วนที่เป็นห้องแถว ช่างเป็นตำแหน่งของห้องที่ดีมากจริง ๆ
ธามันเดินผ่านคนงานหลายคนกำลังช่วยกันประกอบเต็นท์ผ้าใบ เข้าไปข้างในสำนักงานเห็นผู้อาวุโสหลายคนกำลังช่วยกันจัดชุดของแห้งใส่บาตร ทั้งหมดหันมามองในทันทีที่ธามันเดินเข้ามาแล้วไหว้ทุกคน จากนั้นก็ถามหาฉันท์กับจิโระ
อาของฉันท์คนหนึ่งชี้บอกว่าฉันท์ขึ้นไปช่วยลุงรองจัดห้องที่จะเลี้ยงพระที่ชั้น 2 แล้วบอกให้ขึ้นไปหาได้เลย ธามันก็ขึ้นไปตามที่บอก
ตึกแถวขนาด 3 ห้องติดต่อกันพอเจาะผนังโล่งทั้งหมดก็ดูกว้างขวางดี แต่ที่โดดเด่นก็คือผนังห้องด้านหนึ่งมีรูปภาพบรรพบุรุษติดอยู่เรียงราย ที่ด้านหน้าคือโต๊ะไม้ตัวยาววางต่อกันพอดีกับความกว้างของผนัง ฉันท์ที่กำลังจัดผ้าปูโต๊ะหันมามองคนที่เดินขึ้นมาแล้วหันไปแนะนำ “ลุงรองครับ นี่คุณธามครับ”
ธามันจำลุงรองของฉันท์คนนี้ได้ เพราะมาช่วยในงานศพของพ่อและแม่ของฉันท์ตั้งแต่แรก แต่เขายกให้ลุงวินัยที่อยู่กับฉันท์เป็นคนออกหน้า
ธามันเข้าใจเรื่องความเกรงใจและให้เกียรติกัน ทั้งพอจะรับรู้สถานะของฉันท์ในครอบครัวใหญ่มาบ้าง แต่อาการแตกร้าวของฉันท์ในวันนั้นมันพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่สามารถปกป้องหลานชายได้เลย
ลึกลงไปในใจธามันยังมีความรู้สึกไม่พอใจ และไม่ค่อยไว้ใจพวกเขา
ลุงรองรับไหว้แล้วหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง “อ้าว 6 โมงเย็นแล้วหรือ ขอโทษทีวันนี้ดึงตัวไว้เสียเย็น ไม่ได้มองนาฬิกาเลย”
“ผมมาช่วยทำงานครับ” ธามันรีบบอก “จะให้ยกโต๊ะ หรือเช็ดถูอะไรก็ทำได้นะครับ”
ดูรูปร่างก็เชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เกี่ยงงานอะไร แต่งานทำความสะอาดที่เหลืออยู่เอาไว้ให้พวกคนงานทำจะดีกว่า 
ธามันเหมือนจะอ่านความคิดของลุงได้ พอหันไปเห็นอาถือถังน้ำกับไม้ถูกพื้นขึ้นมา ก็อาสาเข้าไปช่วย
จิโระเดินมาหาธามัน “ฮันซะมุซัง รุไหม่ ลุงรองกาบจิโระ จือ เมือน กัน”
“เหมือนกันยังไงครับ”
“โอนีบอกว่า รองคือ Second ที่สอง จิโระแปลว่า Second Son ลูกชาย คน ที่ สอง มืน เหมื่อน เมือน กั่น”
“ที่สองกับลูกชายคนที่ 2 ไม่เหมือนกันสักหน่อย” อาหันมาแกล้งเด็กน้อย
“เมือน สิ เมือน เพราะ เพราะอะไรนะโอนี” จิโระหันไปถามพี่ชาย
โอนีไม่รู้ว่าจะตอบน้องชายว่าอย่างไรก็หันไปถามอา “ถามอาสิ”
จิโระเปลี่ยนไปถามอา อาก็แกล้งให้มาถามโอนี สุดท้ายธามคือคนที่ช่วยน้อง
“ก่อนคำว่าที่สองจะมีคำอื่นอยู่ อย่างจิโระ คือลูกชายคนที่สอง สรุปก็คือเหมือนกันครับ”
จิโระพยักหน้าหงึกหงักเหมือนคำพูดทุกคำของฮันซามุซังเป็นของตนเอง
ธามันหันไปถามลุงรองกับอา “สรุปแบบนี้ได้ไหมครับ”
อายอมแพ้เพื่อเห็นแก่ความสงบในครอบครัว ส่วนลุงรองหัวเราะ “เอาที่สบายใจเถอะ วันนี้เดินบอกคนเขาไปทั่วว่าจิโระคือ Second Son เนี่ย”
“คงอยากเป็นเหมือนลุงรอง” ธามันบอก 
“เหมือนก็ดี” ฉันท์เข้ามาช่วย “ใช่ไหม”
“อื้ม”
อาให้กำลังใจ “เด็ก 3 ขวบ 3 ภาษาถึงบางทีจะมั่ว ๆไปบ้าง แต่พูดได้ขนาดนี้ถือว่าฉลาดมากเลยนะ”
“อันนี้ผลงานเจ้ากวางเขา ชวนคุย ชวนทะเลาะกันทั้งวันจิโระก็เลยพูดเก่ง” ฉันท์ยิ้มกว้าง “ต้องไม่ล้อเลียน ไม่บอกว่าพูดผิด ให้พูดใหม่ เพราะจะยิ่งทำให้ไม่พูด”
แต่ธามันอดไม่ได้ที่จะช่วยเสริม “ฉันท์เองก็มักเล่าเรื่อง หรืออ่านหนังสือให้น้องฟังตลอดด้วยครับ”
ระหว่างทำงานกันต่อ ลุงรองก็เล่าเรื่องของฉันท์ให้ฟัง “ตอนเล็ก ๆ เจ้าฉันท์ก็ไม่ค่อยพูดเพราะพ่อกับแม่ พูดไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ ปนกันไปหมด ก็ถูกพวกพี่ ๆ น้อง ๆ เขาน่ะแหละล้อเลียน เลยกลายเป็นเงียบ แล้วพอมาวันหนึ่งก็เลิกพูดภาษาญี่ปุ่นไปเลย น่าเสียดาย”
“สอนน้องด้วยประสบการณ์ตรงนี่เอง” ธามันพูดยิ้ม ๆ แต่พอหันไปเห็นว่าฉันท์กำลังหรี่ตามองมาทางนี้ก็เลยรีบขยายความ “สรุปความคิดของพี่เฉย ๆ ไม่ได้ล้อเลียน”
“ดีมาก”
หลังจากเสียงหัวเราะ และการลงความเห็นว่าธามันมีแนวโน้มที่ดีในการเป็นผู้นำครอบครัวที่รู้จักเชื่อฟัง ลุงรองก็เล่าต่อ “ยูกิแม่ของเขาก็ชอบอ่านหนังสือ แล้วเขามีมนุษยสัมพันธ์ดีบ้านไหนมีงานก็พาลูกชายไปตลอด ส่วนฉลองน่ะ ทั้งที่รู้กันทั่วว่ามีปัญหากับพี่น้อง แต่ถ้าเมียกับลูกจะมาช่วยงาน เขาก็จะขับรถมาส่งแล้วพองานเลิกก็มารับ”
“โตน นี่ โอนีไปกับจิโระ” ที่จริงจิโระฟังทันไม่ถึงครึ่ง แต่ใช้วิธีเดาเอาจากคำศัพท์ที่ฟังรู้เรื่อง
“ถูกต้อง ตอนนี้โอนีไปกับจิโระทุกบ้านเลย”
“ทู้ก บ้าน โลย”
ลุงหันมาถามความเห็นธามัน “เจ้าฉันท์เองก็พูดเก่งขึ้นด้วยใช่ไหม”
“ครับ ก่อนนี้ยิ้มเก่ง ตอนนี้พูดเก่งขึ้นแล้ว เพราะต้องสอนน้อง”
จิโระกระตุกมือพี่ชายให้ช่วยแปลที่ธามันพูด เด็กน้อยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปบอกลุงหน้าตาเฉย “ฮันซะมุซัง โชม โอนีทุก ยัง และ ย๊าไป สนจัย”
“อ้าว” ธามันทำหน้าตาผิดหวัง ขณะที่ผู้ใหญ่พากันหัวเราะ “คุยกันอยู่ดี ๆ ก็ไม่สนใจกันเสียแล้ว”
“ไม่สนจัย” จิโระกอดแขนพี่ชายไว้แน่น
“มาหวงโอนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” อาแกล้งแหย่
    “ไม่สนจัย” จิโระยืนยัน
ระหว่างที่ปล่อยให้จิโระอยู่กับพี่ชาย และอา ลุงรองก็หันมาถามธามันอย่างจริงจังว่ามาที่ตลาดบ่อยหรือไม่ ชายหนุ่มบอกว่าได้แต่ขับรถผ่าน แต่เคยพบกับญาติผู้ใหญ่หลายคนตอนที่ไปวัด ลุงจึงเตือนฉันท์ว่า ตอนทำบุญพรุ่งนี้ก็พาธามันไปไหว้ย่าใหญ่ และลุงเอก ทั้งเชื่อลุงอีก 3 คนก็คงจะพาครอบครัวมาด้วย
“พวกเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อเจ้าฉันท์ เจอพวกเขาแล้ว ก็จะได้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไม 3 คนพ่อแม่ลูกถึงได้เป็นแบบนั้น” ลุงหันไปมองเด็กน้อยทั้งรู้สึกเกรงใจบรรพบุรุษที่อยู่ในรูปชั้นบนของสำนักงาน จึงชวนให้ธามันแวะไปกินเหล้าด้วยกันที่บ้าน
เมื่อทำความสะอาดอีกรอบเสร็จก็ปิดห้องกันแมว และแมลงเข้ามาในห้องจากนั้นก็ลงมาที่ชั้นล่าง ปรากฏว่าเหลือคนงานอยู่ 2 คนที่รออยู่และบอกว่าบ้านใหญ่เอาแกงเขียวหวานกับปลาทอดมาให้บ้านของเจ้าฉันท์ กับบ้านลุงรอง
“แล้วคนที่มาฝากไว้ไปไหนเสียล่ะ” ลุงถามแบบที่ไม่ได้ต้องการคำตอบขณะที่เดินไปดูของที่บ้านใหญ่ฝากไว้
นอกจากอาหารคาว ก็มีขนมหวานและผลไม้ด้วย “จิโระกับธามกินแกงเผ็ดได้ไหม”
“ไม่ได้/ได้ครับ” 2 คนตอบพร้อมกัน แต่ไม่เหมือนกัน
อาขยี้ผมเด็กน้อยขณะที่บอกว่าเดี๋ยวไปดูที่บ้านใหญ่ให้ว่ามีแกงจืดไหม
“ไม่เป็นไรครับ จิโระกินปลาทอดได้”
“เด็ก ๆ ต้องกินอาหารให้ครบหมู่สิ จะกินอย่างเดียวได้ไง” ลุงหันไปบอกอา “ไปดูกับข้าวที่บ้านใหญ่แล้วขี่รถตามไปให้ที่บ้านเลยก็ได้ ไม่ต้องรอกัน” จากนั้นก็หันมาบอกกับฉันท์ “พรุ่งนี้มาเช้าหน่อย เพราะใส่บาตรตอนตี 5 ครึ่งเสร็จแล้วจะทำบุญเช้าต่อเลยนะ”
บ้านใหญ่ที่เป็นบ้านแม่งานหลักอยู่ในซอยที่ถัดไปจากตลาด หรือห่างจากซอยบ้านของฉันท์อยู่ 2 ซอยแต่ตอนที่ธามันกำลังถอยรถเข้าบ้าน อาก็จอดรถมอเตอร์ไซค์ส่งปิ่นโตให้ 2 เถา กวางที่มาเปิดประตูให้รีบเข้ามาขอบคุณ รับของ แล้ววิ่งตื๋อเข้าไปในบ้าน
...เรื่องรับของเก็บของนี่หนูถนัดมากเลยนะ บอกเลย 
“อาจะกลับไปนอนเฝ้าที่สำนักงานหรือฮะ” ฉันท์ที่ลงจากรถก่อน เดินมาถาม
อาพยักหน้า แต่หันมาหัวเราะจิโระที่หลับสนิทจนธามันต้องอุ้มออกมาจากรถ “วันนี้นอนไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง”
“เดี๋ยวจับอาบน้ำก็คงตื่น” ธามันบอกง่าย ๆ ทำให้ฉันท์หันมามองหน้า
“โหดจัง”
แต่จิโระงัวเงียขยี้ตาหันมาบอกพี่ชาย
“โอนี หิวแล้ว”
อาเลยโบกมือไล่ “ไปเข้าบ้านไปอาบน้ำ กินข้าว จะได้รีบเข้านอนพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
ในห้องนอนเล็กของฉันท์ ตำแหน่งที่นอนยังคงเหมือนเดิม
จิโระนอนด้านในติดผนัง ฉันท์นอนด้านนอก ส่วนธามันนอนหน้าเตียงใกล้ฉัน ส่วนกวางนอนปลายเตียงยังได้ยินเสียง 2 คนคุยกันเบา ๆ
“พี่ พรุ่งนี้น่ะ พี่คงได้เจอย่ากับลุง แล้วก็ญาติผู้ใหญ่หลายคน ถ้าเขา...”
ธามันลุกขึ้นมากระชับผ้าห่มให้คนที่นอนบนเตียง แล้วจับมือผอม ๆ ของฉันท์ขึ้นมาพลิกจูบที่หลังมือ
กวางไม่ได้ยินว่าทั้ง 2 คนคุยอะไรกันต่อ แต่เห็นธามันลูบผมของฉันท์เบา ๆ เหมือนกำลังสัมผัสแก้วบาง ๆ ที่จะแตกร้าวถ้าเขาลงน้ำหนักมือมากเกินไป
กวางหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตื่นนอนเพราะฉันท์มาสะกิดปลุกตอนตี 4
ตอนตี 4 นี่ฉันท์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว และธามันกำลังใช้ห้องน้ำอยู่ กวางก็เลยลุกมาเก็บที่นอน พอธามันอาบน้ำเสร็จก็อุ้มจิโระไปอาบน้ำแต่งตัว
แต่งตัวให้จิโระเสร็จก็คือทุกคนในบ้านพร้อมกันหมดแล้ว
“กวัง ไม่ไป รึ” จิโระถาม
“เดี๋ยวกวางจะขี่รถตามไป”
กวางส่งทุกคนออกจากบ้านแล้วถึงได้กลับไปเก็บห้องนอนทั้ง 2 ห้อง แล้วค่อยมาอาบน้ำแต่งตัว ไม่ลืมหยิบปิ่นโตไปคืนที่บ้านใหญ่ จากนั้นค่อยตามมาที่ตลาด
ตอนที่มาถึงก็เป็นไปตามคาด  ธามันอยู่ในกลุ่มของบ้านลุงเอก แน่นอนว่าลุงเอกต้องยืนอยู่หัวขบวน ถัดมาคือย่าใหญ่ที่เป็นคนเดียวที่นั่งรอพระ ข้าง ๆ คือเกศรี ถัดไปคือลูกชายลูกสาวทั้ง 3 ส่วนเขยกับสะใภ้ยืนอยู่ด้านหลัง ที่แปลกคือตอนนี้พี่เอื้อยกำลังคุยกับธามัน
ส่วนฉันท์กับจิโระแยกไปนั่งอยู่ในกลุ่มบ้านของลุงรอง โดยฉันท์กำลังช่วยป้าจัดของ ส่วนจิโระนั่งอยู่กับอา
ก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกทีสิน่า
กวางเดินตรงไปหาจิโระ ที่กำลังพูดอวดพี่ชายตามสไตล์เด็ก 3 ภาษาพาเพลิน แต่เพราะว่าไม่มีพี่ชายกับกวางอยู่ใกล้ ๆ คอยช่วย แต่ละคำมันจึงเข้าใจได้ยากกว่าเคย
“ฮันซะมุ ทำงัน มั่ก ๆ  กับ มาถูงบ้าน จิโระ ก็ sleep แลว weekend ก็ไปทัม งัน แล้ว ก่อ ไป นัย มัย รุ” คนฟังลุ้นกันจนเหนื่อยกว่าเด็กน้อยจะพูดจบ
“แล้วเราทำอะไรบ้างล่ะวัน ๆ น่ะ”
จิโระส่ายหน้า “เลน โอนี บ่อก ว่า ปาย เลน กาบ กวัง ปัย”
คนฟังเห็นว่ากวางมาพอดีก็เลยชี้ “นี่ไงกวางมาแล้ว”
“มา เรว จัง”
“ก็รีบไง ก็เลยมาเร็ว”
กวางพูดทวนให้จิโระพูดซ้ำ ภาษาของจิโระก็เลยเริ่มเข้าที่เข้าทาง
เพิ่ง 3 ขวบพูดไม่หยุดขนาดนี้ อีกสัก 5 ปีกวางน้อยคงต้องเอาสำลีอุดหูละมั๊งเนี่ย..
แต่พอพระมาถึงกวางก็อุ้มน้องไปหาฉันท์ขณะที่ธามันก็เดินกลับมาหาฉันท์เหมือนกัน
ผู้ชมอย่างเจ้ากวางก็ยิ้มหน้าบานไปสิครับท่าน
หลังจากใส่บาตรก็แยกย้ายกันกินอาหารเช้าระหว่างรอลุงเอกกับน้องชาย 2 คนของเขาคุยกับเจ้าอาวาส
“พี่ดื่มกาแฟกับปาท่องโก๋ไหมฮะ” ฉันท์หันไปถาม
ธามันบอกว่าขอน้ำเย็นดีกว่า แต่พอฉันท์ขยับตัวจะลุกไปหยิบน้ำเย็นกวางก็ยื่นมาให้ทั้งถาดที่มีทั้งน้ำเย็น โอวัลติน และกาแฟ
“เอากาแฟไปให้คนอื่นเถอะกวาง อย่าลืมไปดูลุงกับป้าด้วย” ฉันท์บอกขณะที่ส่งน้ำให้ธามัน และส่งโอวัลตินให้จิโระ ส่วนธามันก็หยิบน้ำส่งให้ฉันท์
กวางแอบค้อนเบา ๆ ก่อนตอบ “โห คู่นั้นเขาสบายละ ยังไม่ทันใส่บาตรป้าก็จัดน้ำเต้าหู้ให้ลุงก่อนแล้ว” หันมาถามจิโระ “กินโจ๊กปลาไหม เดี๋ยวพระสวดแล้วกินไม่ได้นะ ต้องรอนาน”
จิโระเอียงคอหันมาหาพี่ชายแล้วส่ายหน้า ฉันท์เลยบอกให้ตักมาแค่ถ้วยเล็ก ๆ ก็พอ แต่จิโระกินโจ๊กได้คำเดียวก็มองหน้าพี่ชายอีกรอบแล้วส่ายหน้า ฉันท์ลองชิมดูแล้วทำหน้าแหย
“เดี๋ยวโอนีไปปรุงให้นะ”
แต่กวางมีข้อเสนอที่ดีกว่า “หนูพาจิโระไปกินข้าวมันไก่ทอดที่ซุ้มข้างนอกได้ไหม กินเสร็จหนูพากลับมาส่ง”
พอฉันท์พยักหน้า ธามันก็ขยับตัวส่งเงินให้ 200 บาท กวางรีบรับมาก่อนที่จะยกมือไหว้แล้วรีบจูงมือน้องออกไปทันที
“ให้เยอะจัง”
“ก็เผื่อไว้ก่อนไง” ธามันยิ้มกว้าง “หิวไหม”
“ไม่ฮะ พี่จะเอากาแฟสดหรือเปล่า ผมเดินไปเซเว่นตรงริมถนนให้”
คนตัวเล็กรู้ใจว่าการที่ธามันไม่ดื่มกาแฟที่กวางเอามาให้ ก็เพราะมันคือกาแฟผงที่ชงกับนมข้นหวาน แต่ธามันดื่มกาแฟสด กับนมสดไม่ใส่น้ำตาล เป็นลาเต้แบบเข้มข้นมาก
ชายหนุ่มลืมตัวจะยกมือขึ้นลูบผมน้องด้วยความเคยชิน แต่สะดุดสายตาของคนรอบข้างก็เลยต้องเก็บมือ
“เดี๋ยวกลับไปกินกาแฟที่บ้านก็ได้”
“ไม่เดี๋ยวหรอกฮะ” ฉันท์ยิ้มจนดวงตาพราว “พิธีไทย พิธีจีนกว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงน่ะฮะ”
เมื่อละสายตาจากน้องมองผ่านไปทางด้านหลังเห็นนักธุรกิจและนักการเมืองหลายคนที่รู้จักกันก็มาในงานทำบุญครั้งนี้ด้วย
ฉันท์หันไปมองตามสายตาของธามันแล้วหันมาบอก “ไปทักสิฮะ”
แต่ธามันคิดว่าไม่ค่อยน่าเหมาะสมสักเท่าไหร่ ฉันท์ก็เลยบอกซ้ำ “แขกจะได้ไม่เก้อ”
“แล้วถ้าเขาถามว่าพี่เป็นใครจะให้ตอบว่ายังไง” สายตาของธามันมีความแพรวพราวอยู่สูงมาก จนฉันท์ต้องกำชับ
“บอกว่าบ้านพี่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็มีโครงการคอนโดฯอยู่ซอยถัดขึ้นไป ก็มาผูกมิตรไงฮะ”
ชายหนุ่มผิดหวังเล็กน้อย “ทางการจริง”
แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ลุกไปช่วยรับแขกตามที่น้องบอก ผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีกลุ่มนักธุรกิจก็มีสมาชิกจำนวนเพิ่มขึ้น หัวข้อของการพูดคุยก็เป็นเรื่องทั่วไป อาทิ พักอยู่ที่ไหน และความไม่คุ้นเคยกับงานเช้า
หลังการทำบุญเลี้ยงพระเช้าเสร็จ เพื่อนนักธุรกิจของธามันก็ลาเจ้าภาพกลับไปก่อน จากนั้นจึงเป็นพิธีจีน ของเซ่นไหว้มากมายถูกยกขึ้นมาวางเรียงรายที่ด้านหน้าของผนังห้องที่เต็มไปด้วยภาพบรรพบุรุษ ทุกคนจึงออกมารออยู่ที่นอกของสำนักงาน แต่ในช่วงระหว่างรอนี้เองที่ธามันตกอยู่ในกลุ่มลุงทั้ง 3 คนของธามันที่พูดคุยด้วยเรื่องทั่วไปจากนั้นจึงมาที่เรื่องของโครงการคอนโดฯ
พวกเขาไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของพวกเขา แต่เมื่อได้มาแล้วสิ่งนั้นจะต้องคุ้มค่า รวมถึงคนด้วย
ธามันก็ไม่ได้ตีราคาตัวเองไว้สูงเกินจริง แต่เชื่อมั่นว่าตนเองคุ้มราคาที่สุดแล้ว
และขณะที่ธามันกำลังเครียดอยู่กับการพูดคุยกับผู้ใหญ่ ฉันท์ก็กำลังคุยอยู่กับอาเรื่องร้านข้าวต้ม เพราะเห็นว่ามีคนงานเข้าไปกั้นพื้นที่เพื่อเตรียมซ่อม
“แค่เตรียมฮะ เพราะต้องรอคิวคนงาน”
“เจ้าฉันท์ทำเองเลย” อาสาวคนหนึ่งบอก “ตอนอพาร์ทเม้นท์เราก็ซ่อมเองอยู่แล้วนี่”
“มันไม่เหมือนกันนะฮะอา”
เมื่อพิธีจีนเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา ธามันก็เดินยิ้มกลับมาหาฉันท์ที่ยืนรออยู่
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าสอบปากเปล่าผ่านฉลุย” อาหันมาแกล้งแหย่ ส่วนฉันท์หัวเราะเบา ๆ
“ยิ้มให้กำลังใจตัวเองต่างหากละครับอา” ชายหนุ่มทำตลกแล้วเปลี่ยนเรื่อง “พิธีจีนเราอยู่ข้างนอกได้หรือครับ”
“ได้สิ อยู่รอให้ดูคนเยอะ ๆ แบบนี้แหละ” พิธีการของจีนมีมากมายจึงไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจ “ปกติเคยเห็นแต่เทกระจาดใช่ไหม”
“ครับ ที่ศาลเจ้า”
การพูดคุยกับอาไม่ต้องแสดงความรอบรู้อะไร เพราะอาบอกแค่ “คนจีนไหว้บรรพบุรุษตอนตรุษจีนกับสารทจีน แต่ที่ตลาดเพิ่มวันครบรอบวันตายของปู่เพิ่มคือวันนี้ ส่วนตรุษจีนกับวันสารท ถ้าไม่ว่าง ลางานไม่ได้ หรือมีนัดไว้ก่อนหน้าจะไม่มาก็ไม่เป็นไรหรอก”
ก้องเกียรติมนตรีมีสมาชิกเชื้อสายจีนอยู่ในครอบครัว แต่ธามันไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับประเพณีนอกจากการทำไปตามที่ผู้ใหญ่บอก
ส่วนประเพณีช่วงก่อนเริ่มต้นการทำโครงการแต่ละแห่งจะเป็นประเพณีพราหมณ์ กับพุทธ
สรุปคือธามันไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนี้มากพอที่จะทำคะแนนในเรื่องนี้ ได้แต่ฟังอารองเล่าไปเรื่อย ๆ
...เป็นช่วงเวลาที่ดร.ธามันโกรธตัวเองชมัด
กวางที่พาจิโระไปห้องน้ำเรียบร้อยก็พากลับมาส่ง “โอนี กวัง บ่อก ว่า มีลีเก”
ฉันท์เช็ดมือให้น้อง “จิโระอยากดูลิเกไหม”
“อื้ม”
พี่สาวที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาชวน  “เจ้าฉันท์ ค่ำนี้พาจิโระกับธามมาดูลิเกด้วยสิ”
“ลิเกมีตอนกลางคืนนะ” ฉันท์หันมาชวนน้องชาย
จิโระอยากรู้ว่าลิเกคืออะไรก็รีบพยักหน้าทันที วินาทีนี้บอกอะไรมาก็พยักหน้ายอมรับหมดแหละ

คนงานหลังบ้านแอบนินทากันว่า ในวันที่ทุกคนในตระกูลมากันพร้อมหน้า ถ้าจะจัดอันดับคนสวยที่สุดในตระกูลกลับต้องยกให้เจ้าฉันท์ลูกชายคนเดียวของนายฉลอง ลูกชายคนเล็กที่ถูกตัดออกจากครอบครัวตั้งแต่อายุ 14 ปีคนนั้น แถมวันนี้เจ้าฉันท์ยังพาแฟนที่เป็นผู้ชายมาด้วย ตอนที่พาแฟนไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ พวกผู้ใหญ่ก็มีท่าทางพอใจเขยคนนี้ เพราะเห็นรั้งไว้ให้อยู่ข้าง ๆ คอยหันมาชวนคุยตลอด และเห็นว่าเข้ากันได้ดี ทั้งยังช่วยรับแขกผู้ใหญ่ และนักการเมืองด้วย
ครอบครัวเจ้าของตลาดน่ะ ขอเพียงมีเงิน และทำให้เขารวยขึ้นเขาก็ชอบอยู่แล้ว
คงลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว
งานทุกอย่างจบลงก่อนเที่ยง เมื่อลูกหลานแต่ละคนทยอยเข้าไปลาย่าใหญ่ ฉันท์เข้าไปพร้อมกับจิโระและธามัน
“ยูกิ” ฉันท์เงยหน้ารับคำเรียกนั้น “ถึงฉลองจะไม่ใช่คนดีนัก แต่เขาก็รักเธอมากเลยนะ”
ฉันท์จับมือเหี่ยวย่นแนบแก้ม กราบย่าอีกครั้งแล้วถอยออกมา
เมื่อออกมาที่ด้านหน้า จิโระเขย่ามือของพี่ชายเบา ๆ “โอนี”
ฉันท์ก้มลงอุ้มน้องชายขึ้นมา
“รอลุงกับป้าก่อนนะ”
จิโระพยักหน้าแล้วหันมากอดคอพี่ชายไว้
“โอบะซัง เรียกโอนีเป็นโอกาซัง”
“โอบะซังอายุมากแล้ว บางทีก็จำสลับกัน”
“แต่โอบะซังก็มาบ้านเรา” จิโระหมายถึงตอนที่ทำบุญครบรอบวันตายของพ่อกับแม่
“โอบะซังรักโอกาซังมาก แล้วก็เสียใจที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น” และยังทำใจไม่ได้ “ที่ผ่านมาเวลาที่โอกาซังทำขนมหรือเอาของฝากจากญี่ปุ่นไปให้ ท่านก็จะพูดขอบใจ และให้กำลังใจอยู่เสมอ”
“โอนีก็ให้เหมือนกัน”
ฉันท์พยักหน้า “เพราะนั่นคือโอบะซังไง”
จิโระไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแท้ ๆ ที่เป็นชาวญี่ปุ่นอยู่เลย แต่ที่บ้านมีรูปของพ่อฉลอง ที่ทุกคนบอกว่านี่คือพ่อของโอนี ซึ่งไม่ใช่พ่อของจิโระ
จิโระไม่เข้าใจ...
“โอบะซังบ่อก ว่า พ่อมั่ยดี ขาว เขาโก่ดพ่อหรือ โอบะซังที่ญี่ปุ่นก็โก่ดโอกาซังเมือนกัน โอกาซังเคยพาจิโระไปถูงบั้น ยืนรออยู่ตั้งนาน มืน มาย ม่าย ไม่มีคนมาเปิดประตู ก็เลยมาหาโอนี”
พี่ชายหอมแก้มใส น้ำเสียงสั่นเครือเมื่อนึกภาพตามที่จิโระเล่า ในตอนที่แม่พาน้องไปหาคุณตากับคุณยายแต่ไม่มีใครต้อนรับ
 “ดีแล้วไง เพราะทำให้โอกาซังพาจิโระมาหาโอนี พวกเราถึงได้อยู่ด้วยกัน”
“โอนีจัง มีโคนพืด พู อืม” เด็กน้อยส่ายหน้าพยายามพูดให้ชัด “เขาพูดว่าพ่อไม่ดีลายโคน เลย”
มันคือสัญชาติญาณของมนุษย์หรือไงนะ เวลาที่มีคนพูดดี ๆ เกี่ยวกับเรา เรามักไม่ค่อยรู้ แต่ถ้าพูดเรื่องแย่ ๆ เมื่อไหร่เรามักจะรู้
ขนาดจิโระที่มีความสามารถในการฟังภาษาไทยแบบรู้ 1 คำ เดา 1 คำก็ยังรู้ว่ามีคนพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพ่อ
“โอกาซังสอนเสมอว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรมันก็คือความรู้สึกของเขา แต่ความรู้สึกของเรา เราจะต้องจัดการให้ดีไม่ให้ความรู้สึกไม่ดีพวกนั้นเข้ามาอยู่ในใจของเรา” ดูสีหน้าของน้องก็พอจะรู้ว่ามีหลายคำในประโยคนี้ที่น้องยังไม่ค่อยเข้าใจ “เขาไม่พอใจเรามันเรื่องของเขา แต่เราไม่ควรมีความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นกับเขา”
“อ่า...” จิโระพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา”
“มันก็เรื่องของเขา และเรายิ่งควรต้องทำดีกับเขาให้มาก”
“จิโระรักโอนีจัง” น้องถูไถคางกับไหล่ของพี่ชาย
“โอนีก็รักจิโระคุงเหมือนกัน”
ธามันลูบด้านหลังศีรษะของฉันท์ทัตเบา ๆ ทำให้โดนน้องเล็กที่กำลังงอแงชี้ที่ผมตัวเอง
“นี่ด้วย นี่ นี่”
ธามันยิ้มกว้าง ขณะที่เปลี่ยนไปลูบผมจิโระ ทำให้เจ้าตัวพอใจมาก

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 25-04-2019 20:53:42
(ต่อครับ)

ครู่หนึ่งลุงกับป้าที่ลาย่าเสร็จแล้วก็ตามออกมาทั้ง 5 คนกลับมายังไม่ทันจะถึงรถ กวางก็วิ่งตามมาถามว่า จะเอาแกงจากบ้านใหญ่ไหม
ฉันท์หันไปมองธามัน “พี่ถือเรื่องกินข้าวบ้านงานหรือเปล่า” ตั้งแต่มาถึงเห็นธามันดื่มแต่น้ำเปล่า
“ไม่หรอก”
“เอามาแค่มื้อเที่ยงนี้ก็พอ” ฉันท์บอก
กวางยิ้มร่า “งั้นไปรอที่บ้านได้เลย เดี๋ยวกวางน้อยจะจัดการให้เอง”
ขาไปกวางขี่รถจักรยานไป แต่ขากลับกวางเอาจักรยานใส่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เพราะพี่เอื้อยให้คนงานเอาอาหารหลายอย่างมาให้ ทั้งที่กวางบอกไปแล้วว่า พี่ฉันท์บอกว่าแค่เที่ยงก็พอ
ฉันท์เป็นคนออกไปช่วยถือของเข้ามาในบ้าน  พอรถพ่วงข้างกลับออกไปกวางก็รีบบอก “อันนี้หนูไปตักจากที่บ้านใหญ่ ไม่ได้เอาที่ตลาด รับรองว่าสะอาด”
“อ้าว เราเข้าบ้านนั้นได้หรือ” ป้าถาม
“ได้สิ คนงานที่บ้านใหญ่น่ะ เขามาบอกว่าคุณเอื้อยให้ไปเอากับข้าวกับขนมที่บ้านใหญ่ หนูก็เลยไปตักใส่กล่องใส่ปิ่นโตมาเองเลย ขากลับเขาก็มาส่งเนี่ย”
ป้านิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วหันมาถามฉันท์ “ที่ห้องชั้น 2 สำนักงานน่ะมีรูปพ่อเราหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า แล้วหันไปมองจิโระที่ตาใสแป๋วมองเขาคุยกัน
ส่วนลุงลูบผมจิโระแล้วชวนกันไปเล่นโดมิโน จิโระก็จูงมือลุงไปทันที
ณ จุดจุดนี้ ลุงที่เป็น 1 ในคนที่ใช้นามสกุลวินีตายังไม่ถือสาและจริงจังเท่ากับป้าที่เป็นสะใภ้
ธามันก็เลยชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “หิวกันหรือยังครับ จะได้อุ่นกับข้าว”
เป็นประโยคที่ทำให้ธามันกลายเป็นจุดรวมสายตาในทันที
“นี่ทำเป็นจริง ๆนะ”
ทุกคนยังเงียบ
“ไม่เชื่อใช่ไหม งั้นเดี๋ยวจัดการเอง”
ธามันถกแขนเสื้อท่าทางขึงขัง ฉันท์ก็เลยเข้ามาดึงมือให้ขึ้นไปอาบน้ำ
“ทั้งร้อน ทั้งเมื่อยกันมาครึ่งวันแล้ว พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าสัก 11 โมงครึ่งพี่มา...อุ่นกับข้าวก็ยังทัน”
“นี่ไม่เชื่อหรือไง” ธามันพลิกข้อมือเปลี่ยนเป็นจับข้อมือฉันท์ดึงให้ตามขึ้นไปด้วยกันแบบเนียน ๆ
“เชื่อสิ” ฉันท์ที่ถูกดึงขึ้นมาถึงข้างบนลดเสียงลง “แล้วจะดึงมือมาทำไม ผมจะอาบน้ำให้จิโระ”
“หนูทำเอง” กวางตะโกนขึ้นมา แล้วก็ได้ยินเสียงลุงกับป้าดุขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ว่าจะพูดทำไม
“กวาง พาน้องไปล้างตัวก่อนเลย ป้ารอห้องน้ำอยู่”
ฉันท์หน้าแดงไปถึงหู ขณะที่ธามันหัวเราะไม่มีเสียง
“พี่อ้ะ” ฉันท์ผลักเอวธามันเบา ๆ
เมื่อเข้ามาในห้องนอนเล็ก ธามันก็เปิดเครื่องปรับอากาศเป็นอย่างแรก
“มีอะไรหรือฮะ”
“ถ้าไม่อยากบอกก็บอกพี่ตามตรงนะ ว่าไม่อยากบอก”
“จะถามเรื่องพ่อหรือฮะ”
แสดงว่าธามันก็ได้ยินคนพูดนินทาลับหลังเหมือนกันสินะ
ธามันพยักหน้า “เรื่องที่ทำให้ไม่มีรูปพ่อกับแม่อยู่ที่สำนักงาน และการที่พวกเขาไม่มางานศพพ่อใช่ไหม”
ฉันท์พยักหน้าเดินไปนั่งกอดเข่าหน้าเตียง “ตอนที่พ่ออายุ 13 เขาไปมีเรื่องกับวัยรุ่นอีกกลุ่ม ยกพวกตีกันแล้วลุงเกียรติพี่ชายคนที่ถัดขึ้นไปจากเขาน่ะฮะ เป็นคนที่ไปตามพ่อออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่ฝั่งธนฯ แต่ลุงเกียรติถูกยิงตาย ต่อมาตอนอายุ 14 พ่อไปอยู่กับพวกรถซิ่ง วันหนึ่งตำรวจมาจับตัวถึงบ้าน เพราะถูกชี้ตัวว่าอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นที่ไปก่อเหตุรุมโทรมแล้วก็ใช้ยาเสพติดด้วย ปู่ก็เลยประกาศตัดเขาออกจากครอบครัว แล้วก็สั่งห้ามทุกคนให้ใครช่วยเหลือ แล้วพออีก 3 เดือนถัดมาเขาออกมาจากสถานพินิจ เอารายงานการสอบสวนมาติดไว้ที่หน้าบ้าน ยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำผิด”
แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
ปู่ก็ยังไม่ยอมให้เขาเข้าบ้านอยู่ดี เขาก็เลยไปอยู่กับเพื่อน ตอนนั้นลุงรองรับราชการอยู่ต่างจังหวัด ให้ลุงวินัยมาตามหาแล้วรับพ่อไปอยู่ด้วยกัน พอปู่รู้ก็ส่งคนตามไปจนถึงที่ เพื่อย้ำคำสั่งที่ว่าห้ามให้ใครช่วยเหลือ หลังจากนั้นพ่อก็เลยไปญี่ปุ่น” 
รู้ว่าเรื่องที่น้องสรุปมาให้ฟังยังไม่ถึงตอนจบ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจที่มันเอ่อท้นขึ้นมาทำให้ต้องดึงน้องเข้ามากอด แล้วก้มลงจูบหน้าผาก
“ชิรายูกิ”
คนที่จากไปแล้วก็คือจากไปแล้ว แต่รู้สึกเป็นห่วงคนที่อยู่ในอ้อมแขนสุดหัวใจ
“หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แล้วชิรายูกิยังเข้มแข็ง ทั้งยังสอนให้จิโระก้าวข้ามความโกรธ ความไม่พอใจแบบนั้น ทำให้พี่ภูมิใจในตัวชิรายูกิมากเลยนะ”
ฉันท์ช้อนตาขึ้นมองพี่แล้วส่ายหน้าทั้งหัวเราะเบา ๆ “สอนก็เรื่องหนึ่ง ทำให้เหมือนกับที่สอนน้องก็เรื่องหนึ่ง แต่เจตนาที่แท้จริงนั่นต่างหากที่สำคัญ”
น่าสนใจมากขึ้นทุกทีสิน่า
ทั้งที่ชิรายูกิไม่ได้พูดอะไร แต่การที่เขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นแบบที่ไม่ได้เห็นมานานมาก ยิ่งทำให้ธามันเป็นห่วงมากกว่าเดิม
 ...ที่โอกาซังสอนว่า เขาจะคิดกับเรายังไงก็ช่างเขา สำคัญคือเราต้องไม่ยอมให้ความโกรธ เกลียด ไม่พอใจเข้ามาอยู่ในใจเรา แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมได้ยินแต่คนพูดกันว่าพ่อไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ โอกาซังพาผมไปช่วยงานทุกบ้าน แต่ไม่เคยมีใครช่วยเราสักคน แม้แต่ในงานศพพ่อกับแม่ เพราะเขากลัวว่าผมจะยืมเงินเขาไปใช้หนี้ กลัวว่าจะต้องมาเลี้ยงดูผมกับน้อง แต่ในวันที่ผมขายอพาร์ทเม้นท์ให้พี่ ลุงเอกให้คนมาตามผมไปคุยที่บ้านใหญ่ ว่าได้เงินเท่าไหร่ การทำดีกับคนที่ร้ายกับเราได้ผลตอบแทนที่คุ้มมาก สีหน้าแววตา ท่าทางประดักประเดิด ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จะทำเป็นพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แค่บอกว่าขอบใจมากเฉย ๆ หรือจะแก้ตัวว่าทำไมถึงไม่ไปเผาพ่อผม มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีทั้งนั้น...
ดวงตากลมคู่นั้นหันมามองพี่ตรง ๆ “ผมไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่พี่คิดหรอกฮะ...พี่ยังรักผมอยู่ไหม”
ธามันกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ก้มลงจูบผมนิ่ม
ตนเองก็มีชีวิตอยู่ด้วยการแข่งขันเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ต้องเจอกับเสียงนินทา และความลำบากใจเมื่อต้องยืนอยู่บนทางแยกระหว่างฐาติกับธนวัฒน์
“ชิรายูกิไม่ได้เป็นคนไม่ดี อย่าคิดโทษตัวเองแบบนั้น และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็รักชิรายูกิเสมอ”
น้องเงยหน้าขึ้นมองพี่ “ตอนที่มาที่วัดพร้อมกับคุณฐาติวันนั้น นอกจากเรื่องพี่ทีมแล้ว ยังมีเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่า”
“นั่นคือเหตุผลหลัก” และก็เคยสารภาพไปแล้ว แต่มันยังมีส่วนขยายที่ไม่ได้เล่าให้ฟังอีกนิดหน่อย “เพราะว่าวันถัดมาพี่ต้องไปไซด์งานที่มาเลเซีย กลัวว่าถ้ามาเจอกัน 1 วันแล้วหายไปจะกลายเป็นทิ้งระเบิดเรื่องคุณทีมไว้หรือเปล่า”
เหตุผลของพี่ก็มีอยู่เท่านี้ แต่ที่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากก็เพราะรู้ว่าคนในตระกูลก้องเกียรติมนตรีไม่ธรรมดา
น้องหรี่ตามองพี่แล้วพยักหน้าช้า ๆ ความซับซ้อนของความผูกพันกับความโกรธที่ฝังรากลึกอยู่ในแต่ละครอบครัวถึงจะมีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกัน แต่ก็มีผลต่อการกระทำของทุกคนในครอบครัว
“พี่ว่าพี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ”
“ฮะ”
แต่ก่อนที่ธามันจะผละออกไปกลับหันมาจูบน้องอีกครั้ง
“ที่เคยแยกไป ทำให้ต้องอยู่ตามลำพังถือเป็นความผิดที่พี่ยอมรับผิดทุกอย่าง แต่สัญญาว่าต่อไปจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชิรายูกิ ขอแค่บอกให้พี่รู้บ้าง เพราะถ้าให้พี่คิดเอาเอง พี่อาจกลายเป็นกาวตราช้างก็ได้”
ฉันท์หลุดหัวเราะคิก “พอแล้ว ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่หรอก”
“แกล้งอำหรือ”
“ฮื่อ ทั้งคุณฐาติ ทั้งพี่ทีมก็บอกอยู่ตลอด ผมเองก็เห็นอยู่ทุกวันว่าพี่ทำงานเยอะมาก แล้วเรื่องที่พี่แยกไป ก็เพราะไปเรียนนี่นา” และฉันท์เข้าใจเรื่องที่ธามันพร้อมที่จะถอยออกจากเรื่องนี้ หากฉันท์คบหาอยู่กับธนวัฒน์จริง ๆ “ไปอาบน้ำเถอะฮะ เดี๋ยวผมจะลงไปเตรียมอุ่นกับข้าว”
ธามันอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นบน แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องนอนใหญ่ ขณะที่ฉันท์ลงมาอุ่นกับข้าว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก” ป้าเดินมาถาม
ฉันท์หันไปมองทางห้องน้ำ เห็นว่าจิโระยังอาบน้ำอยู่ “พี่กับจิโระได้ยินคนพูดเรื่องเกี่ยวกับพ่อ เขาก็พยายามให้กำลังใจ”
ป้าถอนหายใจ “ชาวบ้าน มีปากแต่ไม่มีสมองเลยไม่รู้จักคิดก่อนพูด” หลังจากบ่นผสมด่าญาติฝ่ายสามีจนพอใจ ก็ลดเสียงลง “ลูกไม่เคยไปเที่ยวตามลำพังกับธามเลยใช่ไหม”
ตั้งแต่กลับมาก็ไม่เคยจริง ๆ
“เดี๋ยวก็จะเปิดร้านข้าวต้มกันแล้ว คงจะยุ่งอีกนาน ระหว่างนี้ถ้ามีเวลาว่างตรงกันก็นัดไปพักผ่อน ไม่ต้องห่วงจิโระหรอก”
ฉันท์ไม่แน่ใจ “จะลองถามดูนะฮะ มีอะไรหรือเปล่าฮะ”
ป้าจิ๊ปาก “เขาเป็นห่วง แต่พอจะคุยกันถ้าไม่ออกไปหน้าบ้าน ก็ต้องพาขึ้นไปข้างบนแบบนี้ เป็นเพราะเราไม่มีความเป็นส่วนตัวให้เขา อย่าลืมว่าครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ที่เขามาอยู่กับเราเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเอาแต่ใจ แต่เพราะเขารักเรา และเขาไม่ชอบคนไปยุ่งวุ่นวายชี้นำอะไรเขา ตอนนี้เจ้าฉันท์กับธามต่างก็อยู่ในวัยทำงาน ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงิน แต่เราต้องไม่ลืมที่จะเอาใจใส่ความรู้สึกของเขา” ป้าพยักหน้าไปทางดอกไม้ในแจกัน “ตั้งแต่เขาคุกเข่าขอเป็นแฟนวันนั้น เราเคยให้อะไรเขาหรือยัง”
ฉันท์ส่ายหน้า
ป้ากลอกตา 1 รอบแล้วถอนหายใจเบาๆ

...จบตอนที่ 12...
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 25-04-2019 22:59:28
สงสารน้องจัง กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมาเยอะแยะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-04-2019 23:44:41
ปู่ใจร้ายเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-04-2019 10:38:12

นี่คือปัญหาของครอบครัวใหญ่จริง ลำพังพี่น้องน่ะไม่เท่าไหร่เพราะว่ายังไงก็สายเลือด
แต่หากเมื่อไหร่ที่มีเขยหรือสะใภ้เข้ามาถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้ามาร้ายนี่แหล่ะที่ทำให้ลูกปืนมันราคาถูก

แต่ตอนนี้ต้อง  :L1:  ให้คุณป้าเลยค่า
แต่แอบสงสัยนิดหนึ่งค่ะ คุณป้าคะเราว่าถ้าจิโระรู้ว่าพี่ๆจะหนีไปเที่ยวมีแผนรับมือยังไงคะ ^++++^


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-04-2019 11:52:26
คุณป้าคะ 5555555555555
น่าสนใจจริงๆน่ะแหละฉันท์น่ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 26-04-2019 14:51:09
กลัวใจฐาติสุด ถ้าเกิดวันนึง ธามพยามเปลี่ยนใจหรือชักจูงให้เขามองคุณทีมใหม่ แล้วจะโกรธจนกลายเป็นหันมาเอาเรื่องธามแทน

หวังว่าจะไม่นะ

เป็นกำลังใจให้ คนเขียนคนโพสจ้า

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-04-2019 20:19:08
ครอบครัวใหญ่ มีเงินมีผลประโยชน์เป็นตัวแปร เลยยิ่งยุ่ง

ฉันท์ต้องให้พี่นะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-04-2019 12:43:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-04-2019 15:22:53
กราบป้า

ป้าคือสาววายที่แท้จริง

ถึงน้องฉันท์กับจิโร๊ะ

จะกำพร้าพ่อ แม่

แต่หนูมีลุงมีป้าที่น่ารักแบบนี้ก็ดีแล้ว

ยิ่งตอนนี้มีพี่ธามมาดูแลแบบเต็มตัว

หนูไม่ต้องกลัวอะไร แล้วนะ

ฝั่งบ้านน้องหมดปัญหาแล้ว

ฝั่งบ้านพี่ที่ดูเหมือนจะมีสงครามใหญ่

จะข้ามผ่านปัญหาไปได้ง่ายๆใหมน๊ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 30-04-2019 01:14:44
ท่ามกลางความไม่ปกติ และหน่วงนิดนึง
ก็ยังมีความหวานแอบแฝงอยู่ไม่จาง

ชอบความเอาใจใส่ดูแลของธามฉันท์
ธามไม่ทิ้งความรู้สึกเล็กน้อยของน้องเลย
ฉันท์ก็มองพี่ออก รู้ใจพี่ตลอดเวลา

ชอบความคุณป้า ที่กระตุ้นฉันท์ให้เวลาพี่บ้าง

กวางเป็นเด็กบ้าบอ ที่ตลก และฉลาดร้ายมาก

เอ็นดูจิโระ เถียงเก่ง งอแงเก่ง และอ้อนพี่ชายเก่ง

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 30-04-2019 20:22:09
ยิ่งอ่านยิ่งไม่ชอบบ้านใหญ่ของน้อง โดนเฉพาะเมียลุงเอก ยังกะเป็นพิไล กลัวคนมาแย่งสมบัติ
ชิรายูกิเข้มแข็งมากจริงๆ ที่ผ่านอะไรๆ มาได้ถึงวันนี้
จิโระซังน่ารักน่าชังมากกกกกกก พวกป้าๆอาๆเขาไม่หลงแย่รึ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-05-2019 14:22:03


 ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ


เรามานั่งรอว่าพี่จะพาน้องไปเที่ยว2 คนได้หรือเปล่า


เรื่องอื่นๆ ตอนนี้ตราบใดที่พี่อยู่กับน้องเราไม่กลัวแล้วว 555555

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่12 (25/4/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-05-2019 17:15:28
รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ

รอ
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-05-2019 21:08:33
ตอนที่ 13

อาหารและขนมที่กวางเอามาจากบ้านงานยังอุ่นอยู่ แต่เพื่ออนามัยที่ดี ฉันท์ก็นำมาอุ่นซ้ำทั้งหมดอีกครั้ง โดยมีธามันเป็นลูกมือคอยช่วยล้างปิ่นโตและกล่องใส่อาหาร แต่คราบความมันที่ค้างอยู่ทำให้ต้องล้างซ้ำอยู่หลายรอบ
“ขอไปค้นกูเกิ้ลหาวิธีล้างกล่องกับปิ่นโตก่อนได้ไหม”
“พี่ต้องใช้ทิชชู่เช็ดก่อน หรือใช้น้ำเย็น”
คนตัวใหญ่ทำเป็นบ่น “รู้ว่าทำยังไง ก็ยังปล่อยให้เราล้างอยู่ตั้งหลายรอบ”
“ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวผมทำเอง” ฉันท์หันไปจัดผักสด แต่พอแกงเดือดได้ที่จะหันไปหยิบถ้วย ผู้ช่วยก็รีบหยิบถ้วยมาถือรอไว้
“วางดีกว่าฮะน้ำแกงร้อน จะลวกมือเอา”
ธามันยังคงเป็นผู้ที่เชื่อฟังเป็นอย่างดีเหมือนเคย แต่ฉันท์ชะงักมือเอียงหน้ามองพี่
“พี่ทำไม่เป็นจริง ๆหรือ”
“จริง”
ฉันท์นิ่วหน้าแล้วก็ส่ายหน้า เพราะไม่เชื่อ ระหว่างที่กำลังตักแกงใส่ถ้วยก็เล่าเรื่องหนึ่ง
“ผมมีน้าผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ชื่อน้าสาว เธอเป็นผู้หญิงเก่ง คุมโรงงานทำน้ำพริกมีคนงานมากกว่าสิบคน แต่เวลาเธอจะไปไหนมาไหน สามีจะคอยดูแลตลอด ขนาดจะไปกินข้าวกับเพื่อน สามียังขับรถไปส่งแล้วก็ไปรับ เวลาห่างกันก็จะคอยโทรถาม ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ จนตอนนี้เขาก็ยังดูแลกันแบบนี้ จำได้ว่ามีญาติ ๆ ฝั่งผมนี่แหละนินทาเขาว่า น้าเขยเจ้าชู้เลยทำดีกับเมียกลบเกลื่อนหรือเปล่า”
ธามันส่งเสียงประท้วงในลำคอพอให้คนเล่าได้อมยิ้มเล็ก ๆ แล้วเล่าต่อ
“แต่ที่จริงแล้วน้าเขยเขาไม่เคยมีใคร” ”
ธามันพยักหน้าเหมือนกับว่านี่คือเรื่องเล่าของตนเอง
“แล้วก็ชาวบ้านอีกน่ะแหละที่บอกว่า เขาอาจกลัวญาติฝั่งเมียก็เป็นได้”
คราวนี้ธามันส่ายหน้าทั้งส่งเสียงคัดค้านอีกครั้ง
“น้าสาวบอกว่า ชาวบ้านไม่รู้อะไรก็พูดไปเรื่อย แต่แท้จริงแล้วน้าเขาใช้เทคนิคของชีวิตคู่”
ธามันหัวเราะเบาๆ เมื่อฉันท์พูดต่อ
“ซึ่งนั่นก็คือ...แกล้งโง่ให้ถูกเวลา”
“ก็เผื่อจะดูมุ้งมิ้งขึ้นมาบ้างไง”
ฉันท์คลี่ยิ้มกว้าง ที่ธามันอินกับเรื่องเล่านี้อย่างจริงจัง “แล้วพี่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้หรือไง”
“เหมือนกับที่ชิรายูกิรู้ทันพี่นั่นแหละ” น้องพยักหน้าอย่างเก้อเขิน พี่ก็ลดเสียงพูดให้เบาลงไปอีก “พี่ไม่มีศัพท์เทคนิคอะไรแบบนั้น ไม่รู้เรื่องเคล็ดลับหรือคู่มืออะไร รู้แต่ว่าเมื่อรักเขาแล้วก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด”
มือสวยชะงักไปเสี้ยววินาที ขณะที่แก้มใสแดงเรื่อมาจนถึงลำคอขาว ธามันก็ยิ่งไล่ต้อน
“ถึงจะรู้ว่าเขาเข้มแข็ง แต่เพราะรัก ก็จะรู้สึกไม่ค่อยวางใจ อยากดูแล อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถ้าทำให้รู้สึกอึดอัดใจ หรือไม่สบายใจก็บอกพี่”
“เป็นคำพูดที่ไม่เห็นจะเข้ากับพี่สักเท่าไหร่” จะเข้าหรือไม่เข้ากับพี่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าน้องเขินมาก
ธามันรู้สึกอยากจิ้มแก้มแดงเรื่อนั่นมาก แต่เกรงใจลุงกับป้า และจิโระก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ
กวางที่เก็บเสื้อผ้าของลุงกับป้าและจิโระไปซักตากเรียบร้อย เดินกลับมามาในบ้าน เห็นลุงกับจิโระเล่นโดมิโนอยู่ด้วยกันก็ถามขึ้น 
“ทำไมยังไม่มีใครหิวกันเลยล่ะ” กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งเสียขนาดนี้
“โอนี กวัง เหวแลว” จิโระหันไปบอกพี่ชายทันที
“อ้าว งั้นก็มากินข้าวสิ” ฉันท์เรียก “กินข้าวเที่ยงพร้อมกับจิโระเลยดีไหม”
พี่ฉันท์ไม่ถือสาเรื่องที่หนูจะกินก่อน หรือว่ากินพร้อมกันกับทุกคน แต่เวลาที่พี่ธามอยู่ด้วยน่ะมันไม่เหมือนกัน ถึงเขาจะดูใจดี แต่เขาก็มีออร่าบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเกรงใจ
ถึงจะนานหลายเดือนแล้ว แต่หนูยังจำน้ำเสียงดุๆ ของเขาตอนที่ได้ยินจากโทรศัพท์ของน้าได้นะ
ป้ารู้ว่าทุกคนในบ้านยังมีความเกรงใจธามันอยู่ก็เลยเรียกทุกคนมากินข้าวเที่ยงพร้อมกัน
“อยู่กันพร้อมหน้าทั้งที เราก็กินข้าวพร้อมกันเสียเลยดีไหม”
“หนูอุ่นเอง” กวางยกมือแล้วรีบวิ่งมาที่ครัว แต่ฉันท์บอกว่าอุ่นเสร็จแล้ว
“กวางมาช่วยพี่เตรียมโต๊ะดีกว่า”
กวางกับฉันท์ช่วยกันจัดโต๊ะ เตรียมน้ำดื่ม จิโระก็เก็บของเล่นแล้วจูงมือลุงมาที่โต๊ะกินข้าว
“จิโระคุงเก่งมากเลย” พี่ชายหันไปชม
“อื้ม” จิโระยืดอกรับคำชมทันที
“ถ่อมตัวบ้างก็ได้” กวางแซว จิโระก็เลยหันไปถามพี่ชายว่าหมายความว่าอะไร
ฉันท์อธิบายกับน้องว่า หมายถึงการแสดงความขอบคุณด้วยการพูดว่า เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น
“แต จิโระ เกง นี่นา” จิโระเถียง “โอนี บอก วา จิโระเกง”
“ถ้าจิโระเก่ง กวางก็เก่งเหมือนกัน” กวางไม่ยอมแพ้
“คัยบอกว่ากวังเกง”
“พี่ของกวางไงบอกว่ากวางเก่ง”
“ยัง นั่น ก่อ ถวก แล่ว” จิโระสรุป
“ช่าย ใครที่ไหนบอกว่าเราไม่เก่งก็ช่าง แต่ถ้าพี่บอกว่าเราเก่งแล้ว ก็คือตามนั้นแหละ”
“ช่าย ชาย ช่าย” จิโระเริ่มการเทียบเสียงวรรณยุคอีกครั้ง
“เอ้าคนเก่ง 2 คนนั่งลงแล้วกินข้าวได้แล้ว” จากนั้นป้าก็หันมาเรียกธามัน “มากินข้าวพร้อมกันเถอะ อย่ามัวแต่หัวเราะจิโระกับกวางอยู่เลย”
แต่พอหันมาที่โต๊ะปรากฏว่า จิโระย้ายไปนั่งท้ายโต๊ะ ซ้ายมือคือกวาง ถัดมาเป็นที่นั่งของฉันท์ และธามันอยู่หัวโต๊ะ ส่วนอีกด้านคือลุงกับป้า
ปกติลุงจะเป็นคนที่นั่งในตำแหน่งที่จิโระนั่งอยู่
“ทำไมจิโระไปนั่งตรงนั้นล่ะ” ฉันท์ถามเพราะจิโระมักนั่งติดกับพี่ชายเสมอ
“จิโระ เกง ” จิโระบอก
ลุงช่วยตอบข้อสงสัย “นั่งตามนี้แหละดีแล้ว”
ธามันค้อมศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณลุงที่สละที่นั่งของหัวหน้าครอบครัว แต่ยังไม่ทันจะพูดขอบคุณ  ทั้งจิโระกับกวางก็พากันต้อง ‘อ๋า’ ขึ้นมาพร้อมๆกัน
“อ๋าอะไรกัน ตัวตลก 2 คนนี้” ป้าบอกทั้งรอยยิ้ม
จิโระหันไปชี้กวาง “ตัว ตอหลก”
“จิโระต่างหากตัวตลก”
“ตอหลก ตา ตะหลก”
“เห็นป้ะ สอนคำแบบนี้อะจะพูดเร็ว ป้ากับพี่ฉันท์ไม่เชื่อหนู” กวางแย่งเอาความดีความชอบ
“ป้ะ ป้ะ ป้า ป้ะ”
“นั่นไง คำนี้มาอีกแล้ว” ป้าหันไปโบกมือเพื่อบอกกับธามันว่าไม่ต้องมากธรรมเนียมอะไร เพราะมันไม่เคยสำเร็จ ยิ่งเวลาที่จิโระอยู่กับกวางก็จะพากันออกนอกเรื่องไปตลอด
“วันนี้จิโระดีดมาก”
“ดี ดีด ดี ดีด”
“โอย จิโระป้าเวียนหัวแล้วลูก”
“กวัง เอายาดม ป้า ไม่ซา บัยแหล่ว”
กวางรีบวิ่งไปหยิบยาดมมาวางข้างมือป้าอย่างว่องไว
“ยาดมครับ ป้าอย่าเพิ่งรีบร้อนเป็นอะไรไป ช่วยอยู่หัวเราะกันไปนาน ๆ”
ป้ากุมขมับ ขณะที่ธามันหัวเราะเสียงดัง

หลังมื้อเที่ยง ลุงกับป้าแยกไปเอนหลังในห้องนอนชั้นล่าง ส่วนจิโระนอนกลางวัน แต่ตอนนี้ไม่ได้นอนในกล่องแล้ว เปลี่ยนมาเป็นเบาะเด็กที่มีมุ้งครอบอย่างเรียบร้อย 
ส่วนฉันท์กับกวางแบ่งงานกันทำ ธามันที่ไม่คอยได้อยู่บ้านสักเท่าไหร่เป็นลูกมือฉันท์ทำความสะอาดห้องครัวครู่เดียวก็เรียบร้อย
"เมื่อเช้าตื่นเช้ามาก ไม่นอนพักสักหน่อยหรือ" ธามันแกล้งชี้ไปที่รอยคล้ำใต้ตา
ฉันท์หน้าตาเหรอหรา รีบวิ่งไปส่องกระจกในห้องน้ำ ที่กวางกำลังทำความสะอาดอยู่
"ไม่เห็นจะมีเลย" ฉันท์เถียงแล้วหันมาถามความเห็นของกวางว่ามีรอยคล้ำไหม
บางทีหนูก็ไม่ค่อยเข้าใจคนมีความรักสักเท่าไหร่นะ
"พี่ธามเขาอยากให้พี่ฉันท์นอนพักไง"
"ก็ไม่ได้ง่วงนอนนี่"
"นอนเหอะ เดี๋ยวหนูล้างห้องน้ำเสร็จจะขอไปหาแม่ แล้วก็ไปตลาดต่อ พี่จะให้หนูซื้ออะไรบ้างจดไว้เลยนะ"
“แบบนี้ไม่เรียกว่าขอนะ" ธามันทำเสียงเข้มมาจากด้านหลังของฉันท์
"อ่า..." เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ แบบที่ไม่ผ่านคลื่นความถี่ ขนาดฉันท์ยังได้แต่ทำตาปริบๆ "ล้างห้องน้ำเสร็จแล้ว ขออนุญาตไปหาแม่นะครับ"
"อืม" ธามันพยักหน้า เดินไปที่โต๊ะทำงาน ฉันท์ก็เดินตามมา
"พี่ฮะ คือ..."
ธามันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่ชี้ไปที่ว่างข้างที่นอนของจิโระ
ฉันท์พยักหน้าแล้วเดินไปหยิบหมอนใบเล็กมานอนข้างน้อง
กวางที่แอบมองออกมาจากขอบประตูห้องน้ำเห็นว่าธามันกำลังยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุขมากที่ได้แกล้งคนอื่น
คนหล่อและรวยนี่ร้ายกาจกว่าที่คิด

ฉันท์หลับไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ตื่น แต่พอพลิกตัวมาอีกฝั่งก็พบว่าธามันกำลังหลับอยู่ข้าง ๆ และลืมตาขึ้นมาทันที
“กวางเพิ่งออกไป พี่ปิดบ้านแล้ว ชิรายูกิหลับต่ออีกหน่อยก็ได้”
“แล้วพี่ตื่นทำไมล่ะ”
“ก็ชิรายูกิตื่นไง”
“พี่ง่วงหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่ แต่บ้านเงียบมาก เห็นคนนอนสบายอยู่ 2 คนใกล้ ๆ ก็เลยนอน”
ฉันท์ยิ้มหวาน ขยับตัวซุกหน้าลงกับไหล่หนา แล้วหลับตาลง ธามันก้มหน้าลงหอมผมนิ่มแล้วหลับตาลงเช่นกัน
แต่พอได้ยินเสียงรถจักรยานของกวางจอดที่หน้าบ้าน ฉันท์ก็พลิกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับธามันอีกครั้ง
ธามันลุกไปเปิดประตูให้กวาง ส่วนฉันท์รีบไปล้างหน้า พอออกมาจากห้องน้ำกวางก็เลยถาม
“ร้องไห้หรือครับ”
“หืม” ทั้งฉันท์และธามันทำเสียงสงสัยพร้อมกัน
“ก็พี่ฉันท์ล้างหน้า หนูก็เลยสงสัย ถามว่าร้องไห้หรือครับ” กวางอธิบาย
“ล้างหน้าเพราะนอนเพิ่งตื่นต่างหาก เรานี่ถามอะไรแปลก ๆ”
กวางทำปากยื่น มองตามธามันที่เดินสวนเข้าไปในห้องน้ำ
“พี่ออกไปปิคนิคที่สวนกับพี่ธามไหม หนูช่วยจัดตะกร้า” เมื่อฉันท์หันไปมองจิโระ หันมาอีกทีกวางก็กำลังหยิบกล่องข้าวออกมาวางกับขนมปังแถว  แล้วหันไปกดเครื่องต้มกาแฟร้อนอัตโนมัติ
“ยังไม่ได้บอกว่าจะออกไปเลยนะ”
“แต่หนูแนะนำให้ออกไป พี่ 2 คนไม่ค่อยได้คุยกัน หรือได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง คุณพี่ผู้ชายเขาจะเครียดเอา” กวางบุ้ยปากไปทางห้องน้ำแล้วหลบให้ฉันท์เข้ามาทำแซนด์วิช
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ป้าก็เพิ่งพูดเรื่องคล้ายกัน
มันก็จริง พี่มีชีวิตอิสระ และเป็นตัวของตัวเองมาตลอด จู่ ๆวันหนึ่งมีครอบครัวที่มีทั้ง เด็ก คนป่วย และคนชรา ไม่เคยได้อยู่กันตามลำพัง
อย่างวันนี้ก็พอจะมองเห็นว่าพี่ชะงักมือที่อาจจะลูบผม หรือจับมืออยู่หลายครั้ง แน่ใจว่าเป็นเพราะไม่ได้อยู่ตามลำพัง
แล้วพี่เครียดหรือเปล่า...
เมื่อพี่ออกมาจากห้องน้ำกลิ่นกาแฟก็หอมไปทั้งบ้านแล้ว
“ทำอะไรกันอยู่”
กวางเป็นคนตอบ “พี่ฉันท์จะชวนพี่ธามไปปิคนิกในสวนไงครับ”
พี่ตามใจอยู่แล้ว “แล้วเก็บเสื่อไว้ที่ไหน”
“หนูไปหยิบเอง” กวางรีบวิ่งไปหยิบเสื่อพับมาจากในตู้ด้านหลังโต๊ะทำงานของธามัน แล้วมาส่งให้
ฉันท์ทำแซนด์วิชทูน่าเสร็จก็เรียงใส่กล่อง ตามมาด้วยผลไม้ และกาแฟใส่กระติก แล้วชวนกันเดินไปที่สวนผลไม้หลังบ้าน
รั้วไม้ระแนงความสูงแค่เอวกั้นแบ่งพื้นที่ระหว่างบ้านกับสวนที่โอบล้อมอยู่ น้องเปิดประตูแล้วหันไปมองพี่ที่เดินตามมา
"ยิ้มอะไร" พี่ถาม
น้องยิ้มกว้างกว่าเดิม "กำลังคิดว่า พี่เดินข้ามประตูบานนี้ได้สบาย ๆ"
พี่ไม่ได้เดินข้าม แต่ยักคิ้วแล้วเดินตามมา มือหนึ่งหอบเสื่อ อีกมือถือตระกร้า ส่วนน้องถือหนังสือเล่มที่พี่อ่านค้างอยู่ แล้วยังมีพัดกับหมอนใบเล็กให้พี่ด้วย
"ตรงใต้ต้นจำปีขาวคู่กับแก้วเจ้าจอมใกล้ริมน้ำจะร่มแล้วก็เย็นกว่าที่อื่น ไปนั่งตรงนั้นกันนะฮะ"
หนุ่มตัวเล็กเดินข้ามร่องน้ำซึ่งแห้งขอด "ที่ตรงนี้เป็นที่รับน้ำ เวลาน้ำท่วมก็ลงมาที่นี่ แล้วไหลลงคลองหลังบ้าน ตัวบ้านของเราก็เลยต้องปลูกสูงกว่าบ้านอื่น”
พี่พยักหน้า บ้านที่ปลูกริมคลองคือจุดรับน้ำโดยธรรมชาติ การก่อสร้างริมน้ำจึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง
ตอนที่เห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน พี่มองเห็นโครงการใหญ่ที่นี่ แต่ต่อมาก็มักจะมองเห็นแต่บ้านที่อยู่ด้วยกันกับน้องเท่านั้น
“เราประหยัดค่าน้ำรดน้ำในสวนไปได้เยอะเลย" นิ้วมือสวยชี้ไปที่ถังเก็บน้ำความสูง 3 เมตรที่ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ในสวน "เวลาฝนตกก็เปิดฝารับน้ำ เวลาน้ำท่วมก็สูบเข้าไปเก็บไว้ถังที่พ่อทาสีแดงไว้ แต่วันก่อนคนงานที่มาทำสวนบอกว่า เหลือน้ำอยู่ไม่ถึงครึ่งถัง ผมมักจะคิดว่าตอนที่แม่ไม่อยู่พ่อก็ไม่สนใจอะไร แต่มาถึงตอนนี้ มีหลายคนช่วยกันเตือนผมอ้อม ๆว่า ผมนั่นแหละที่ไม่สนใจอะไรเลย"
ธามันให้กำลังใจ "เวลา 4 ปียังมีน้ำเหลืออยู่อีกครึ่งถังจาก 10 ถังก็นับว่ายังดีที่เหลืออยู่นะ"
"ผมหมายความว่า ต้นไม้ในสวนนี้อยู่กันอย่างตามมีตามเกิดมานานถึง 4 ปีต่างหาก" น้องเถียง "พี่อ้ะตามใจผมเกินไปแล้ว"
เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นรูปตัวยู จึงมีแนวรั้วติดต่อกับบ้านหลายหลัง ซึ่งบางหลังก็เป็นบ้านญาติ และบ้านคนอื่น เว้นแต่ส่วนหลังบ้านที่เป็นที่ดินว่างเปล่า และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของ ‘วีนิตา’
ที่ดินส่วนปลายที่ติดลำคลองตอนนี้ถูกกั้นด้วยทางเดินเลียบคลองความก้าวประมาณ 1 เมตรทอดแนวยาวตลอดลำคลอง พ่อจึงให้คนงานมาสร้างรั้วโปร่งกั้นพื้นที่ไว้ ที่ติดกับแนวรั้วคือต้นไม้ใหญ่
เมื่อเห็นว่าพี่หยุดยืนมอง ฉันท์ก็พูดขึ้นเอง
“มันดูไม่ค่อยเข้ากันใช่ไหมฮะ”
พี่เห็นด้วย
“พ่อก็ไม่ได้อยากทำรั้วตรงนี้หรอกนะฮะ แต่ถ้ามีคนเดินผ่านสวนเรา แล้วลัดเข้าไปในซอยมันจะเป็นอันตรายกับคนอื่นด้วย”
“เห็นแล้วมีความรู้สึกอยากจัดสวนใหม่” ดร.ธามัน กำลังคันมือเป็นอย่างยิ่ง
“เขียนแบบไว้ก่อนก็ได้ฮะ ที่ตรงนี้...มันยังมีปัญหาอยู่”
พี่ปูเสื่อใต้ต้นแก้วเจ้าจอม ถอดรองเท้า แล้วนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่ หันหน้าไปทางลำคลองน้องก็ทำตาม
ตอนที่ถือตะกร้าเดินตามน้องเข้าไปในสวน ภาพในความคิดยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม อยากจะทำสวนสวย อยากปลูกบ้านตรงนั้น ทำบ่อปลาตรงนี้
แต่ถ้ามีทางเดินคั่นแบบนี้ ก็ควรจัดสวนด้านในให้โปร่งขึ้น
ธามันไม่สามารถบังคับสมองของตนเองให้หยุดคิดแบบบ้านแบบสวนที่จะทำให้น้องได้เลย
เฉพาะแค่ที่คิดไว้ตั้งแต่เดินเข้ามาในสวนวันนี้ก็น่าจะมากกว่า 10 แบบแล้วนะ
"ตอนนี้สวนยังรกมากอยู่เลย" น้องออกตัว
“ก็ค่อย ๆ ทำไป คนงานสวนคนนี้เขาก็ขยันดีนี่”
คุยเรื่องสวนกันอีกครู่หนึ่งน้องก็เปลี่ยนเรื่อง
"พี่ว่าญาติผมเยอะไหม"
"เยอะ เหนือความคาดหมายมาก" พี่ตอบตามตรง เปลี่ยนมานอนหนุนตักน้อง ทำให้ดวงตาสวยหันไปมองทางตำแหน่งของบ้านที่ตั้งอยู่ในทันที
ว่าแต่พี่ว่าเกรงใจสายตาคนรอบตัว น้องเองก็เกรงใจเหมือนกัน
แต่เพราะตอนนี้อยู่ห่างจากตัวบ้านมากอยู่เหมือนกัน ทั้งยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะมองเห็นคนที่อยู่ในบ้าน มือใหญ่จึงแตะแก้มใสให้หันกลับมา
“ร้อนไหม”
“ไม่ฮะ” น้องโบกพัดในมือ “พี่นอนอีกนิดก็ได้นะ”
“ก็นอนอยู่นี่ไง มีชิรายูกิพัดให้ด้วย สบายจริง ๆ”
น้องยิ้มกว้าง แล้วนึกขึ้นได้ “พี่เครียดหรือเปล่า”
“เรื่องงานน่ะหรือ ก็มีบ้าง” มีงานอะไรที่ไม่เครียดบ้าง
“แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ ทำให้พี่ไม่มีความสุขหรือเปล่า”
“ไม่ถึงกับไม่มีความสุขหรอกนะ แต่ทำไมรู้สึกว่าคำถามนี้ชิรายูกิรับคนอื่นมาถามพี่นะ” เพราะน้องจะไม่ถาม แต่จะนั่งอยู่ข้างกัน เพราะเขารู้ว่าความสุขของพี่คือการที่มีน้องอยู่ข้าง ๆ
แล้วก็ตามคาด เพราะน้องหัวเราะเบา ๆ ชี้ไปที่บ้าน “ป้ากับกวางน่ะ ผลัดกันมาถามคนละรอบ บอกว่าเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง”
พี่พยักหน้า เข้าใจความหมายแฝงในประโยคนี้แล้ว มือใหญ่ยกขึ้นเกลี่ยแก้มใส
“ก็ยังอยากกอดอยู่เสมอ ยิ่งเวลาที่อยู่ใกล้กันแล้วชิรายูกิใจลอยคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก็รู้สึกอยากกอด อยากทำให้รู้ว่าพี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความต้องการให้น้องหันมามองพี่บ้างก็ยังคงอยู่
น้องยิ้มหวานยอมรับว่าตนเองมีเรื่องกังวลมากมายที่เก็บไว้ในใจ จนทำให้พี่กังวลไปด้วย “ไว้เราไปเที่ยวด้วยกันนะฮะ”
พี่ใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากน้องแล้วมาแตะที่ริมฝีปากตนเอง

จากหน้าต่างบ้าน กวางต้องซูมภาพแบบสุด ๆ ไปที่ 2 คนเพื่อถ่ายภาพ แล้วก็กดส่งภาพนั้น ได้ยินเสียงป้าเปิดประตูห้องนอน พร้อมกับจิโระลุกขึ้นนั่งแล้วเรียกหาพี่ชายในทันที
“จิโระเอ้ย จะนอน จะตื่นก็เรียกหาแต่พี่ชาย แล้วจะไปโรงเรียนกับเขาได้ไหม” ป้าบ่นขณะที่เดินไปเก็บมุ้งของหลาน “ลุกไปห้องน้ำก่อน แล้วค่อยไปหาโอนี”
จิโระเดินไปหากวางพาไปเข้าห้องน้ำ ป้าก็มายืนข้างหน้าต่างตรงที่กวางยืนอยู่เมื่อครู่ พอจิโระออกมาจากห้องน้ำ ป้าก็หันมาชวน “จิโระปั้นบัวลอยกับป้าดีกว่าไหมลูก”
“โอนี ไป ไน” จิโระเดินมาเกาะขอบหน้าต่างมองหาพี่ชาย พอเห็นว่าอยู่ในสวนก็ร้องเรียกเสียงดัง
“โอนีกำลังคุยอยู่กับพี่ธาม เราไม่ควรเข้าไปขัดคนที่กำลังคุยกันรู้ไหม”
จิโระทำปากยื่น ไม่ค่อยอยากเชื่อฟังที่ป้าเตือนสักเท่าไหร่ กวางก็เลยชวนมาทำขนม
“มาทำขนมด้วยกันดีกว่า เสร็จแล้วก็นั่งรถโอนีเอาขนมไปให้ย่ากัน”
“ยา โคน เมือ เจ๊า หรือ” จิโระถาม “เขา เรียกโอนี ชือ โอกาซัง โดย”
แม้ว่าป้าจะไม่ค่อยชอบญาติฝ่ายสามี แต่อาการหลงลืมของย่าในเรื่องนี้ต้องถือเป็นข้อยกเว้น ระหว่างที่ช่วยกันปั้นเม็ดบัวลอยอยู่ด้วยกัน ป้าก็เลยเล่าเรื่องที่ย่ามีความเมตตาต่อแม่ของ 2 พี่น้องให้ฟัง
แต่ทำขนมยังไม่ทันจะเสร็จ ฉันท์กับธามันก็กลับเข้าบ้านแล้ว จิโระรีบวิ่งไปหาพี่ชาย ชวนกันเอาขนมไปฝากย่า ส่วนธามันล้างหน้าล้างมือเสร็จถึงได้เดินไปดูโทรศัพท์ มีสายเรียกเข้าที่ไม่ได้กดรับอยู่ 3 สายจาก 3 คน ชายหนุ่มจึงทำมือบอกว่าจะออกไปโทรศัพท์ที่ด้านนอกบ้าน
ธามันโทรศัพท์อยู่นาน จนป้าตักขนมแบ่งใส่กล่องหลายใบ ถึงได้เดินกลับเข้ามา ทั้งช่วยถือกล่องขนมไปให้กับบ้านข้างเคียง
เมื่อเดินอยู่ข้างกัน ความไม่สบายใจของอีกคนก็ยิ่งชัดเจน ต่อให้ต่างคนต่างก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องราวในใจก็ตาม
คืนนั้นธามันทำงานอยู่จนดึกเหมือนเคย ทั้งยังขึ้นนอนทีหลังเจ้ากวางเสียอีก แต่เมื่อล้มตัวลงนอนที่หน้าเตียงทีเดิมฉันท์ก็พลิกตัวหันมามอง
“พี่” ฉันท์เรียกเบาๆ
“ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก”  มือใหญ่เกลี่ยผมที่หน้าผากแล้วก้มลงจูบ “นอนได้แล้ว”
“พี่”
“ว่าไง”
“ผมจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด อยากให้พี่ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงผม แล้วก็...ผมอยู่ที่นี่”
ธามันก้มลงจูบแก้ม “ชิรายูกิ รักนะ”
*-*-*-*
ในที่ทำงานวันนี้ไม่มีประชุมเช้า แต่ธามันต้องเตรียมเอกสารประมูลงานที่ต้องนำเข้าที่ประชุมในช่วงบ่าย ชายหนุ่มตรวจงานทุกตัวอักษรเหมือนเคย แต่พอ 10 โมงเศษ ธนวัฒน์ก็เดินมาตามธามันถึงห้องทำงาน บอกว่าให้ไปคุยที่ห้องทำงานของบิดา
แค่เรียกให้ไปคุย โทรศัพท์มาเรียกก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเดินมาตามด้วยตนเอง ธามันหันไปสั่งงานไว้กับลูกน้องแล้วเดินคู่กันมากับธนวัฒน์ เมื่อพ้นออกมาจากแผนก ธนวัฒน์พูดเตือน
“อย่าวู่วาม”
นั่นคงเป็นคำเตือนแบบคนที่ไม่เคยหวังดีต่อกันสักเท่าไหร่พอจะให้กันได้

ผู้ที่รออยู่ในห้องทำงานนอกจากธนาผู้เป็นบิดา ยังมีเยาวเรศมารดาของธามัน ณภัทรพี่สาวคนโตของฐาติและธาราน้องสาวคนเล็กของบ้านใหญ่
ทั้ง 3 คนนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องทำงาน
สาเหตุที่ทำให้ธนวัฒน์ต้องพูดเตือนก็เพราะอย่างนี้เอง
เมื่อธามันเข้ามาก็หันไปไหว้แม่ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานของธนา ส่วนธนวัฒน์นั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว
“โครงการคอนโดฯ ของธามไปถึงไหนแล้ว” มารดาถามขึ้นก่อน
ใช้เวลากับการตอบคำถามเรื่องโครงการไปประมาณ 10 นาที มารดาก็พูดถึงงานเลี้ยงวันเกิดของอลิซบุตรสาวของจอห์น ถัง นักธุรกิจใหญ่เชื้อสายฮ่องกง ซึ่งร่วมทุนกับก้องเกียรติกิจการทำโครงการที่พักอาศัยในต่างประเทศมาหลายโครงการ ขณะนี้กำลังมีโครงการร่วมกันอยู่ที่เชียงราย จอห์นเดินทางมาติดตามโครงการใหญ่ที่เชียงรายได้ 2 เดือนแล้ว อลิซจึงเดินทางตามมาหาบิดา
เธอเดินทางมาเมืองไทยหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ธารารับหน้าที่ดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ แต่เมื่อธามันกลับมา หน้าที่นี้ก็ตกมาอยู่ที่เขามาโดยตลอด
วันเกิดที่แท้จริงของอลิซคืออีก 2 เดือนข้างหน้า แต่มันคือช่วงเวลาที่อลิซจะกลับไปฮ่องกง และไม่แน่ว่าจอห์นจะเดินทางไปที่ไหนอีก ดังนั้นเมื่อพ่อลูกได้มาพบกันที่เมืองไทย จอห์นจึงคิดจะจัดงานเลี้ยง ‘เล็ก ๆ’ ให้กับลูกสาว
เรื่องอื่นน่ะจอห์นมีคนเตรียมงานให้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องการไปเดินช้อปปิ้งหรือกินอาหารเย็นกับอลิซ ทุกคนก็ลงความเห็นว่าควรจะเป็นหน้าที่ของธามัน แต่ในทางปฏิบัติ ธามันมักเกี่ยงให้ธนวัฒน์ไปทำหน้าที่นี้แทนมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ธนวัฒน์ไม่ได้สนใจความยุ่งยากของธามันอยู่แล้ว และไม่ได้อยากรู้จักกับอลิซ แต่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็เพราะไม่ต้องการเห็น ‘น้องฉันท์’ เป็นกังวลในเรื่องการสานสัมพันธ์แบบนี้ 
"เราตกลงกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องที่ธามจะต้องคอยดูแลคุณหนูอลิซ" มารดาเพิ่มความจริงจังมากขึ้น "ธามบอกกับแม่ว่า เมื่อวันอาทิตย์ธามมีงานสำคัญมาก เราถึงต้องไปรบกวนให้ทีมไปดูแลคุณหนูอลิซไปเลือกซื้อของที่จะใช้ในงาน” รวมถึงเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องใส่คู่กันด้วย “แต่แม่เพิ่งรู้ว่าธามไปงานทำบุญที่ตลาดนั่น นั่นคืองานสำคัญมากเลยหรือ"
ธามันมองมารดา แล้วหันไปมองพี่สาวอีก 2 คนที่ทำหน้าที่รับฟังเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีความเห็นอะไรถึงได้พูดขึ้น
"คอนโดฯอยู่ใกล้ตลาด ผมไปงานทำบุญเพื่อผูกมิตรกับชุมชนนั้นก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ"
"ผูกมิตรกับชุมชนเสร็จตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน ก็ควรจะมาทำหน้าที่ของตัวเองสิ นี่กลับไปนั่ง ๆนอน ๆ อยู่บ้านหลังนั้นทั้งวัน ปล่อยให้พี่ชายมาวุ่นวายดูแลผู้หญิงของตัวเอง"
เพราะณภัทรเป็นคนพูดประโยคนี้  ธนวัฒน์จึงพูดแย้ง "สำหรับผม การดูแลคุณหนูอลิซไม่ถือว่าเป็นการทำหน้าที่แทนธาม ทั้งไม่คิดว่าเป็นเรื่องวุ่นวาย"
ณภัทรและธาราขึงตาใส่ธนวัฒน์ จากนั้นณภัทรก็สะบัดหน้าหันไปมองทางอื่นไม่ต่อคำกับธนวัฒน์ แต่ธาราทำเหมือนพูดกับตัวเอง
“คิดจะแย่งผู้หญิงของน้องชายตัวเองละสิ”
ที่ธามันไม่อธิบายคำว่า ‘ผู้หญิงของธามัน’ ที่แม่และพี่สาวหมายถึงอลิซ ไม่ได้แปลว่ายอมรับ แต่เพราะรำคาญที่จะต้องชี้แจงในเรื่องเดิม ๆ 
ณภัทรกับธาราตามเยาวเรศมาคุยกับธามันในฐานะผู้สนับสนุนให้ธามันตกลงคบหากับอลิซ แต่เพราะรู้นิสัยของธนวัฒน์จึงไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้า และรู้สึกขัดหูขัดตาไม่พอใจที่ธนวัฒน์ไม่ยอมออกไปจากห้องทำงานของธนาสักที
ตอนที่เยาวเรศขอให้ธนวัฒน์ไปเรียกธามันมาหา ก็ยังคิดว่าคนที่มักสวมหน้ากากเป็นคนดี จะไปเรียกคะแนนนิยมจากกรรมการคนอื่นด้วยการไปเตรียมงานประชุมต่อจากธามัน หลังจากที่ได้หน้าจากเรื่องที่ไปช่วยดูแลอลิซเมื่อวันอาทิตย์แล้วจอห์นนี่กลับมาพูดชมกับธนาว่าลูกชายคนโตเป็นคนช่างเอาใจ
จู่ ๆ ธามันจะมาส่งอลิซลูกสาวนักธุรกิจพันล้านให้กับธนวัฒน์ง่าย ๆ แล้วไปคบหาจริงจังกับเด็กหนุ่มคนนั้นแบบนี้ไม่ได้!
    ณภัทรและธารามีแผนสำรองรออยู่
"ธามดูแลคุณหนูอลิซมาตลอด ถ้าจะต้องมีงานอะไรที่ทำให้ไปกับเธอไม่ได้ ก็ควรเป็นงานสำคัญจริง ๆ"
ธนวัฒน์แย้งอีกครั้ง “คนที่ดูแลมาตลอดคือธาราต่างหาก”
มารดาของธามันพูดต่อ “จอห์นนี่ เป็นคู่ธุรกิจที่สำคัญของเรา และเขาพอใจธามัน นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด” ไม่หรอกตอนนี้จอห์นนี่กำลังปลื้มธนวัฒน์มากกว่าธามัน
เลขาฯ ของธนาเคาะประตูห้องทำงานใหญ่อีกครั้ง จากนั้นฐาติก็เข้ามาในห้อง ยกมือไหว้ทุกคนแล้วนั่งลง

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-05-2019 21:10:09
(ต่อครับ)

ธามันถอนหายใจชนิดที่ทุกคนในห้องนี้ต่างก็ได้ยินกันชัดเจน ทำให้มารดาที่กำลังจะพูดต่อหยูดชะงัก แต่ธามันก็กลับหันไปผายมือให้พูดต่อ ทำให้แต่ละคนหันไปมองหน้ากัน
แต่ในขณะที่ 5 คนในห้องกำลังลังเล มีเพียงธนาที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้รอดูท่าทีของลูกชายคนเล็ก
"พูดต่อสิครับ ผมรอฟังอยู่"
"ธาม" มารดาดุ
"ที่นี่เป็นที่ทำงาน และเราก็มีงานสำคัญรออยู่ เข้าเรื่องเร็วหน่อยก็ดีครับ"
ก่อนที่เยาวเรศจะพูดขึ้นอีก ธนวัฒน์ก็พูดขึ้น "ถ้าเป็นเรื่องของคุณหนูอลิซ"
"ผมขออนุญาตดูแลคุณหนูอลิซเอง" ฐาติแทรกขึ้นมา "ทั้งธามและคุณทีมต่างก็มีงานยุ่ง ถ้าไม่ว่าอะไรผมขออนุญาตครับ"
ธามันหันไปมองหน้าณภัทร พี่สาวคนโตของบ้านฐาติ รู้สึกว่าถ้าในที่นี้ไม่มีมารดาอยู่ด้วยก็น่าจะพูดคุยกันได้ง่ายกว่านี้
"ในเมื่อที่นี่มี 2 คนที่พร้อมจะดูแลคุณหนูอลิซ ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ"
เมื่อธามันปัดปัญหาให้พ้นตัวและขยับจะลุกขึ้น คนที่ผิดหวังคือธนา
"แม่ไม่เห็นด้วย" เยาวเรศคัดค้าน โดยมีธาราให้การสนับสนุน
"ธามดูแลคุณหนูอลิซในฐานะอะไร จะมาเปลี่ยนเป็นคนนั้นคนนี้ได้อย่างไร จอห์นนี่ต้องไม่พอใจแน่ๆ"
จอห์นนี่พอใจธามัน ทุกคนในครอบครัวก็พอใจเหมือนกันตราบใดที่ไม่ใช่ธนวัฒน์แต่จะให้เป็นฐาติก็ดูไม่น่าจะเหมาะสม
"ไม่ถามคุณหนูอลิซดูก่อนละครับ ว่าอยากให้ใครดูแล" ฐาติพูดทีเล่นทีจริง "เขาอาจไม่ชอบผู้ใหญ่แบบคุณทีม ไม่ชอบคนพูดน้อยแบบธาม แต่ชอบคนร่าเริงแบบผมก็ได้"
ธามันชัดเจนมาตั้งแต่วันแรกที่รับหน้าที่นี้ว่าดูแลอลิซภายในกรอบของการทำงานเท่านั้น ด้วยเหตุผลอะไรทุกคนในครอบครัวรู้ดี แต่ถ้าธามันไม่ประกาศออกมาก่อน ก็ไม่มีใครในครอบครัวเริ่มต้นพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
เยาวเรศหันไปมองณภัทร และธารา ไม่ค่อยพอใจทั้งคู่สักเท่าไหร่ ที่เรียกฐาติมาที่นี่ในวันนี้
ลำพังให้ธามันเลิกกับ 'เด็กคนนั้น' และกันธนวัฒน์ออกไปจากอลิซก็ยากพออยู่แล้ว นี่ยังจะมีฐาติเข้ามาเพิ่มอีกคน
หรือเธอควรกลับไปตกลงกับณภัทร และธาราใหม่อีกรอบ
ความคิดยังไม่จบลง เพียงใจแม่ของธนวัฒน์ก็เดินเข้าห้องทำงานมาอีกคน
ธามันลุกขึ้นทันที
"ผมมีงานรออยู่ คุยกันไปแล้วกันนะครับ"
"เดี๋ยว" คราวนี้เยาวเรศไม่ยอม "ธามต้องไปงานเลี้ยงกับคุณหนูอลิซวันศุกร์นี้"
ธามันหันไปมองธนวัฒน์ และฐาติ "คุณทีม กับฐาติโอเคไหม"
"ไม่/ไม่" คนที่อยู่ตรงข้ามกันมาตลอด กลับมาสามัคคีกันได้ในเวลานี้
"น่าเกลียดจริง" ธาราพูดขึ้น "ถ้าจอห์นนี่รู้เรื่องที่เราคุยกันวันนี้เขาจะรู้สึกยังไง คุณหนูอลิซใช่ว่าจะไม่มีทางเลือกอื่น พวกเธอกลับทำเหมือนเขาเป็นของเล่น"
"ผมไม่ได้มาเล่น ๆ นะครับ งานนี้ผมเอาจริง"
ฐาติพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย แต่ธามันที่มีงานรออยู่พลิกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง
"ผมอยากคุยด้วยอยู่หรอกนะ แต่งานที่รออยู่ก็สำคัญมาก หลังประชุมเย็นนี้ ถ้าไม่ติดธุระอะไร คุณทีมกับฐาติมาหาผมที่ห้องด้วย"
นี่คือคำสั่ง เพราะเมื่อพูดจบ ธามันก็เดินออกไปในทันที
ฐาติเจอท่าทีแบบนี้ของธามันมาแล้วหลายครั้ง แต่กับธนวัฒน์ที่เพิ่งโดนเป็นครั้งแรกก็ยังลืมตัวพยักหน้ารับคำสั่ง
"อะไรกัน พอพี่เข้ามา ลูกชายของเธอก็ออกไป" เพียงใจหันมาหาเยาวเรศ
"เรื่องเดิม ๆ น่ะครับ ธามไม่ยินดีกับการคลุมถุงชน" ธนวัฒน์พูดจาได้น่าหมั่นไส้เหมือนเคย และก็เป็นอีกครั้ง ที่คำพูดของเขาจุดชนวนคำพูดเสียดสีระหว่างผู้หญิง 4 คนในห้องทำงานใหญ่ของธนา
ก่อนหน้านี้ก็อยากจับคู่ธามันกับลูกสาวเศรษฐีสักคนอยู่แล้ว แต่เมื่อรู้ว่าธามันทุ่มเทให้กับ ‘เด็กนั่น’ ก็ยิ่งร้อนใจต้องการแยกทั้ง 2 คนออกจากกันให้เร็วที่สุด
*-*-*
หลังการประชุมในช่วงบ่ายก็เกือบ 5 โมงเย็นผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายทั้ง 2 คนกลับต้องเดินมาที่ห้องทำงานเล็กแคบตามคำสั่งของน้องชาย
"เมื่อไหร่มึงจะย้ายห้องทำงานวะ" ฐาติเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาก็บ่นก่อน "นี่ถ้าแม่ ๆ กับพี่สาวเข้ามาด้วย ห้องคงระเบิด"
ธามันไม่พูดอะไร รีบเก็บงานบนโต๊ะแล้วชวนให้ออกไปข้างนอกด้วยกัน
"อ้าว" ฐาติหันไปมองหน้าธนวัฒน์
"พี่ณภัทรนัดอลิซมาบริษัท"
พอธามันเฉลย ฐาติก็สบถออกมาคำหนึ่งแล้วดึงมือธนวัฒน์ให้เดินนำออกมาก่อน
เมื่อ 3 หนุ่มลงลิฟท์ไปแล้ว ณภัทรกับธาราก็ก้าวออกมาจากลิฟท์พร้อมกับหญิงสาวสวยจัดอีกคน

มันถึงเวลาที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอลิซให้ชัดเจน
ทั้ง 3 คนขับรถตามกันไปจนถึงสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ที่สุด 
"เราจะคุยกันแบบพี่น้องหรือศัตรู" ธามันเริ่มขึ้นก่อน ขณะที่ทั้ง 3 คนยืนหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม
ธนวัฒน์ทำเสียงขึ้นจมูก ขณะที่ฐาติหงายมือ
"แล้วแต่สถานการณ์ มาจนถึงขนาดนี้แล้วนี่"
ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คนในเวลานี้สามารถสรุปได้ว่า ใกล้ชิดแบบพี่น้อง และเกลียดกันแบบพี่น้องที่ต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว
ธามันพยักหน้า แล้วพูดอีกครั้งเหมือนกับที่อยู่ในห้องทำงานของบิดา "ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้ชอบอลิซ แต่เรื่องวันนี้มันอะไร"
"ฉันจีบเขาอยู่" ธนวัฒน์บอก
"แล้วต้อมล่ะ" ธามันถามธนวัฒน์ แล้วหันมาหาฐาติ "มึงเองก็มีกวาง จะทิ้งคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เพราะเจอลูกสาวเศรษฐีหรือไง"
ฐาติยักไหล่ เหมือนจะบอกว่า ถ้าได้ก็เอา
ซึ่งเป็นคำตอบที่ทั้งธามันและธนวัฒน์ไม่ชอบเลย
ธามันกอดอกมองฐาติ "กวางเชื่อฟังมึงทุกอย่าง ทำตามที่มึงบอกมาตลอด รวมถึงการถ่ายรูปกูกับน้อง ส่งไปให้มึง แล้วมึงเอาไปให้พี่ณภัทรให้เขามาเล่นงานกู เรื่องที่มึงเล่นงานกูแบบนี้กูไม่ติดใจ แต่มึงตอบแทนเด็กคนนั้นด้วยการทำแบบนี้ไม่ได้"
ฐาติอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าธามันจะรู้เรื่องรูป
"กูเห็นพวกเขา 3 คนมานั่งอยู่ด้วยกันในห้องพ่อ กูก็พอจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือมึง” เมื่ออีกคนยังไม่ชี้แจง ธามันก็ใส่ฐาติต่อ “เรื่องอลิซน่ะ กูก็แค่ตามใจเขาไปเรื่อย เขาก็เจอคนมาเยอะ เห็นว่ากูเฉย ๆ ทำอะไรเป็นทางการ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่ากูไม่ได้คิดอะไร ถ้าเขาเจอคนที่ดีกว่าเขาก็ไปเอง กูถึงสลับให้คุณทีมไปช่วยดูแลเขาเป็นระยะ แล้วกูจะถูกแม่ ถูกพี่ ๆ บ่น แต่เขาก็ไม่เคยแท็กทีมกันมากดดันกันแบบนี้ แต่นี่เป็นเพราะกูหยุดอยู่บ้านกับน้อง ในวันเดียวกับที่คุณทีมไปดูแลอลิซแล้วจอห์นนี่พอใจคุณทีม”
ธนวัฒน์ที่กอดอกฟังเงียบๆ พูดขึ้น
“น้องฉันท์รู้เรื่องอลิซหรือยัง”
“ยังครับ”
พี่ชายขมวดคิ้ว “ถ้าเขาถามก็บอกไปตามตรงว่าเป็นเรื่องธุรกิจ”
“ครับ” น้องชายเห็นด้วย
พี่ชายตั้งข้อสงสัยต่อ “เขาอยากให้เราทะเลาะกันหรือ ตอนนี้พวกเราก็ทะเลาะกันอยู่แล้วนี่”
หนุ่มแว่นหันไปมองธนวัฒน์แล้วหันมามองธามัน ไม่ชอบใจบรรยากาศพี่น้องรักกันอย่างที่เห็นอยู่ข้างหน้า
"ใช่ตอนนี้เราทะเลาะกันอยู่” ฐาติหันมาหาธามัน “ที่กูเข้ามายุ่งเรื่องอลิซก็เพราะกูไม่พอใจที่มึงทรยศกู" ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห "มึงบอกแล้วว่าจะช่วยกูแก้แค้นให้พี่ณภัทร แต่ตอนนี้มึงกลับหันไปจับมือกับศัตรูของกูและพี่น้อง"
"เราก็แค่มีเป้าหมายบางอย่างที่เหมือนกัน” ธนวัฒน์พูดขึ้น รู้ตัวดีว่า ฐาติจัดให้ตนเองเป็นศัตรูคนสำคัญ
“เป้าหมายอะไร” ฐาติหันมาซัก
“เป้าหมายคือ เรื่องยังขัดแย้งกันอยู่ก็ขัดแย้งกันต่อไป แต่พวกเรามีความเห็นพ้องกันว่า น้องฉันท์จะต้องไม่มีจุดจบเหมือนโจ”
มีรถจักรยานยนต์หลายคันเข้ามาจอดใกล้ ๆ จากนั้นก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งมี 2 คนเดินอ้อมไปทางด้านหลังของฐาติ ส่วนอีกกลุ่ม 3 คน เดินมาอยู่ทางด้านหลังของธนวัฒน์
ธามันถอนหายใจ “ตกลงมีแต่กู เอ่อ ผมที่ไม่มีลูกน้องหรือไง”
ฐาติทำเสียงจิ๊จ๊ะ “มึงนี่น่าสงสารจริง ๆ กลับไปนี่มึงไปคัดลูกน้องมาจากพวกคนงานก่อสร้างของมึงมาคอยเดินตามสัก 2 -3 คนนะ” คนสวมแว่นหันไปบอกลูกน้อง “มึงไปซื้อเบียร์มาสักโหลสิ ท่าทางจะเรื่องยาวละวันนี้”
ลูกน้องของฐาติรับคำสั่งแล้วรีบไปซื้อของทันที
ชายหนุ่มทั้ง 3 คนเดินไปหาที่นั่งในสวนสาธารณะ บรรดาลูกน้องของทั้ง 2 ฝ่ายก็เลยแยกย้ายกันนั่งอยู่ห่าง ๆ
ฐาติมองลูกน้องของธนวัฒน์แล้วหันมาถามลูกพี่ด้วยความเคารพเหมือนตอนที่เจอกันในเวลาทั่วไป “คุณทีมมีความลับเยอะมาก ผุดขึ้นมาได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมด”
ธนวัฒน์ยกยิ้มมุมปาก ฐาติก็เลยพูดต่อ “ถ้าคุณทีมคิดจะจัดการพี่ณภัทรกับธาราก็ไม่น่าจะยาก”
ระดับนี้แล้วไม่ต้องจ้างมือปืน หรือจัดฉากฆ่าตัวตายแต่ทำให้เป็นอุบัติเหตุก็พอ
“ในช่วงหนึ่งฉันคิดอย่างนั้น แต่ตอนที่เห็นสีหน้าของพวกนายเวลาที่เจอฉัน มันให้ความรู้สึกที่ดีมากกว่า”
ฐาติกลอกตามองบน หลังจากที่เกริ่นนำเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นก็กลับมาที่เรื่องที่อยากรู้...เอิ่ม...เรื่องที่คุยค้างไว้
“เมื่อกี้ที่พูดถึงโจ โจไหนครับ เพื่อนคุณทีมตอนมัธยมน่ะหรือ”
ธนวัฒน์พยักหน้าแล้วเล่าเรื่องโจ เพื่อยืนยันว่าความร่วมมือกันของ 2 พี่น้องในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าธามันหักหลังฐาติและพี่น้อง
ฐาติรับฟังแล้วหันไปมองหน้าธามันเป็นระยะ ยอมรับว่าเชื่อสนิทใจว่าฉันท์ทัตอาจต้องพบกับชะตากรรมแบบที่โจต้องพบเจอ
ลูกน้องที่ให้ไปซื้อเบียร์กลับมาแล้ว วางถุงลงข้างหน้าเจ้านาย เจ้านายแบ่งให้พี่น้องก่อน จากนั้นจึงส่งให้กับลูกน้องตามจำนวนคน
“คุณทีมก็เลยแค้นพี่ณภัทร” ฐาติยักไหล่ “พี่สาวผมผิดในส่วนหนึ่งก็จริง แต่...”
“ไม่ต้องรีบร้อนทำความเข้าใจเรื่องของโจก็ได้ ฉันยังอยากเห็นสีหน้าหงุดหงิดของพวกนายต่ออีกหน่อย”
ธามันจิบเบียร์ฟังพี่ชาย 2 คนคุยกัน คนหนึ่งเหมือนนักเลงคุมบ่อนโผงผางตรงไปตรงมา อีกคนเหมือนเซียนพนันที่จะเปิดไพ่เฉพาะใบที่เล็งแล้วว่าจะได้ประโยชน์เท่านั้น
ฐาติทำสีหน้าเบื่อหน่าย ท่าทางใกล้จะแพ้เซียนพนันเต็มที
“มึงส่งรูปกูกับน้องให้พี่ณภัทร หรือเขาเรียกเอาจากมึง”
“กูส่งให้เขาเอง” เวลาที่ฐาติทำตัวเป็นหัวหน้านักเลงนี่ดูไม่ค่อยน่าคบหาสักเท่าไหร่ “กูบอกแล้วว่ากูไม่อยากให้คุณทีมได้อลิซไป” บวกกับพื้นฐานดั้งเดิมของฐาติที่ไม่สนับสนุนให้ธามันคบกับฉันท์ทัต
“ก็ไม่เคยอยากได้”
ถ้าอลิซมาได้ยิน 3 หนุ่มพูดถึงเธอแบบนี้คงบอกให้บิดาถอนทุนกลับฮ่องกงแน่ๆ
“ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณโจ ที่รู้ก็คือจอห์นนี่อยากได้ธามเป็นลูกเขย แต่คุณทีมคือคนที่ไปเที่ยวกับอลิซ ก็เข้าใจว่าคุณทีมแย่ง”
“ถูกครึ่งเดียว” ธามันเฉลย
พี่ชายทั้ง 2 คนรู้ดีว่าธามมั่นคงอยู่กับฉันท์ทัต เมื่อต้องไปเดินตามผู้หญิงอื่นมันเท่ากับการทรมานให้ต้องตายอย่างช้า ๆ และคงอึดอัดใจมากถึงขนาดที่ไปขอให้ธนวัฒน์มาช่วย “น้องเจออะไรที่แย่ ๆ มาเยอะ กูไม่อยากเป็นอีก 1 เรื่องแย่ ๆ ของเขา”
ฐาตินึกภาพตอนที่กำลังเดินจูงมือ...ไม่สิ ธามันไม่มีทางจับมือกับคนอื่น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นกลุ่มคนที่อยากแยกธามันออกจากฉันท์ทัต จึงต้องเร่งเวลาลงมือ
“มึงมันพ่อบ้านกลัวเมียชัด ๆ” หนุ่มแว่นรู้สึกหมั่นไส้ เพราะตอนแรกคือ ทั้ง 3 มาคุยเรื่องอลิซ จากนั้นก็เป็นเรื่องคุณโจ แต่พอวิเคราะห์ภาพรวม กลายเป็นว่ากำลังคุยเรื่องของฉันท์ทัตอยู่ต่างหาก
ฐาติจิบเบียร์กลบเกลื่อน “ตกลงเพราะจอห์นนี่อยากได้ธามเป็นเขย หรือ เพราะอลิซอยากได้ธามเป็นผัว”
ธนวัฒน์ตอบ “อลิซ” ดวงตาสีเข้มจัดมองตรงไปข้างหน้า เป็นการเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลันที่ทำให้น้องชายทั้ง 2 คนเงียบไป
“แต่ถ้าฐาติชอบอลิซ อยากจีบเขาก็บอกกันตามตรง ไม่ต้องทำเป็นซ้อนแผนอะไร”
“ผมเปล่า พวกพี่ณภัทรต่างหาก” ฐาติหรี่ตาสังเกตท่าทีฝ่ายตรงข้าม “แผนการนี้ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน ที่เขาบอกผมก็คือตามนั้นแหละ เขาบอกมาเหมือนกับที่คุณธามบอก ก็คืออลิซชอบธาม แต่ธามปฏิเสธอย่างชัดเจน แล้วพอคุณทีมจีบอลิซ เขาก็เลยเอาผมมาจีบอลิซอีกคน ถ้าผมกับคุณทีมขัดแย้งกัน ธามต้องเลือกเข้าข้างผมอยู่แล้ว จากนั้นจอห์นนี่ยื่นคำขาดให้ธามกับอลิซแต่งงานกันเพื่อสลายความขัดแย้งในครอบครัว แต่ในเวลาเดียวกัน...”
“เขาจะไปหาน้องฉันท์” ธนวัฒน์สรุป
“เวลาผ่านไป พวกเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงแผนการให้เข้ากับสมัยก็ได้” ฐาติเปิดเบียร์อีกกระป๋อง “คุณทีมคิดจะจีบอลิซจริง ๆบ้างไหม”
“เป้าหมายของฉันไม่ใช่การแต่งงานกับใครสักคน”
พฤติกรรมที่ผ่านมาของธนวัฒน์เป็นแบบนั้น
“แล้วคิดจะหยุดอยู่ที่ใครสักคนไหม”
ธนวัฒน์เลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่เปิดไพ่ที่ฐาติเรียก
เมื่อเขาไม่เปิดไพ่ ฐาติก็เรียกไพ่ใบใหม่ “อย่างนั้นพวกเราควรต้องแย่งกันจีบอลิซ แล้วก็ทะเลาะกัน”
คำว่า ‘เรา’ ในที่นี่ย่อมไม่ได้รวมธามัน แต่ธามันก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยที่ฐาติจะเข้ามาร่วมในแผนการนี้
“ไม่แน่นะ เขาอาจชอบกูมากกว่ามึง”
ธามันยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ ขณะที่ธนวัฒน์หัวเราะเสียงต่ำจมอยู่ในลำคอ

...จบตอนที่13...
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-05-2019 21:44:25
 :z3:

อะไรมันจะแผนซ้อนแผนซ้อนแผนกันขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 10-05-2019 21:52:09
เนี่ยยย ฐาติ ที่กลัว มันเกิดขึ้นจริง ยังดีที่คุยกันได้

คุยกันดี บอกน้องด้วยนะพี่ธาม
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-05-2019 22:54:23
ชวนปวดหัวดีแท้​  :mew5: ญาติ​เยอะ​ก็งี้แหละ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-05-2019 23:58:29
อย่าลืมบอกน้องงงงงงง
แต่ทั้งฐาติทั้งธนวัฒน์นี่แบบ  :fire:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 11-05-2019 06:23:17
เสือ

สิงห์

กระทิง

แรด

น้องฉัมท์

จะสู้เขาใหวใหม

พี่ธามมั่นคงเข้าใว้

ตาลุงฐาติอย่ามาหลอกกวางเล่นๆนะ

คุณทีมก็จิงใจกับต้อมด้วยอย่ามาเล่นๆ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-05-2019 15:44:26


ห่อจิโระแล้ววิ่งเอากลับมาบ้านได้ไหม  :mew1:


แต่ .... คุณฐาติคะ เจ้าแสบกวางต้องเอาคืนคุณจนคุณคิดไม่ถึงแน่ค่ะ เตรียมตัวไว้  :m31:  :m31:





หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-05-2019 02:37:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 12-05-2019 09:10:49
 :L2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-05-2019 15:50:02
ฝึกความซับซ้อนและสงสัยในตัวคุณ 5555

ธามฉันท์น่ารักมาก ใส่ใจกันดี ดูแลเปิดใจกันเยอะขึ้น
เอ็นดูความสามภาษาของจิโระ และความหวงพี่ของน้อง
ตลกกวาง คือรู้ดีเหลือเกิน ฉลาดมาก ชอบความกวาง
ไม่มีกวาง ฉันท์ก็ไม่มีคนวัยใกล้กันให้พูดคุย

เอิ่มมม แม่ธามต้องการอะไร ไม่เลิกไม่รา แล้วพ่อค่อยส่องอะไรคะ
ต้องการให้ธามออกตัวแบบไหนหรอ บางทีมากไป ธามก็ยิ่งเฉยนะคะ

บ้านใหญ่สุดยอดเลยเนาะ ฝั่งฉันท์ เค้ายังไม่ขนาดนี้เลย
แต่ฝั่งธามคือตัวร้ายที่ไม่ได้มีแค่ในนิยาย

หวังว่าฐาติจะช่วยให้ดีขึ้นนะ ที่พูดกันไป ฐาติคงเข้าใจ
ว่าทำไมธามถึงญาติดีกับทีมแล้วบ้าง
แต่ธามอาจต้องระวังคนบ้านใหญ่มาบุกหาน้องนะ
บอกน้องให้รู้ไว้บ้าง จะได้ตั้งตัวทัน เตรียมใจได้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-05-2019 22:34:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 14-05-2019 12:06:13
บ้านพี่ธามยุ่งเหยิงดีแท้
ยังดีนะเนี่ยที่ 3 คนนี้ได้มาคุยกัน โดยเฉพาะฐาติกับธามอ่ะ ไม่อยากให้ผิดใจกันเลย
พี่ธามอย่าลืมบอกน้องฉันท์ด้วยนะ กลัวน้องจะรู้จากคนอื่นซะก่อน
ไม่อยากให้น้องเสียใจอ่า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 25-05-2019 21:54:18
มารอน้องกวาง
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-05-2019 22:06:13
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-06-2019 17:17:49
 :katai5:
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่ 14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 02-06-2019 20:08:05
ตอนที่ 14

ฉันท์ไม่เคยอ่านข่าวสังคม และยิ่งไม่ใช่นักท่องเว็บ ดังนั้นการพูดคุยกับพี่เอื้อยที่สำนักงานของตลาด ฉันท์จึงไม่ได้รู้จักชื่อของใครหลายคนในข่าวสังคมที่เอื้อยพูดถึง
“ผมรู้จักชื่อพ่อแม่ของพี่ธาม รวมถึงพี่ชายของเขาทั้ง 2 คนที่พี่เอื้อยพูดถึง แต่ไม่รู้จักคนอื่นครับ”
“เขายังไม่เคยพาแกไปบ้านใช่ไหม”
ฉันท์ยอมรับ
“สรุปคือพวกแกอยู่ด้วยกัน โดยที่ฝั่งนั้นเขาไม่เห็นด้วยละสิ”
“พวกเขาเกลียดเกย์”
“เข้าใจแล้ว” เอื้อยพยักหน้าช้าๆ แล้วหันไปเปิดหน้าเว็บข่าวสังคมจากโทรศัพท์ จากนั้นก็เลื่อนให้ฉันท์ดู
ภาพข่าวที่เห็นเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของบุตรสาวนักธุรกิจฮ่องกงที่มีการร่วมโครงการกับบริษัทก้องเกียรติกิจการ ซึ่งฉันท์คิดว่า...
‘พี่ก็หล่อเหมือนเคย ทั้งที่เป็นงานตอนกลางคืน’
เอื้อยถามนำ “แกคิดว่ายังไง”
ฉันท์เข้าใจแล้วว่าพี่สาวต้องการบอกอะไร “ถ้าแค่เรื่องนี้ ผมไม่คิดอะไรหรอกครับ”
“ทางนั้นเขากำลังจับคู่ผัวแกกับผู้หญิงคนนี้” เอื้อยเป็นห่วง “ไม่กลัวหรือไง”
2 มือกำแน่นขึ้น แต่สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อน “ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดที่จะไม่กลัวหรอกครับ แต่ทุกอย่างมันขึ้นกับพี่เขา”
“ถ้าเขาเลือกที่จะทำตามที่ครอบครัวเขาชี้นำ แกก็จะยอมเลิกหรือไง”
“ก็ถ้าเขาตัดสินใจอย่างนั้น แล้วผมพยายามจะรั้งเขาไว้ ก็มีแต่จะทำให้ทุกคนไม่สบายใจด้วยกันทั้งหมด”
ถ้าน้องชายตัดสินใจแบบนี้... “งั้นก็แล้วแต่แกแล้วกัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พี่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าถ้าพวกเขามาหาแก แกจะต้องไม่เจอกับพวกเขาตามลำพัง ต้องบอกพี่ด้วย เพราะแค่ลุงกับป้าน่ะ จัดการคนแบบนี้ไม่ไหวหรอก” เมื่อเห็นว่าน้องชายหัวเราะ เอื้อยก็ยิ่งขู่ “แกมันไม่รู้อะไรเสียแล้ว พวกมนุษย์แม่นักจัดการชีวิตลูกแบบนี้ งานที่พวกเขาถนัดที่สุดก็คือทำให้ลูกเลิกกับคนรัก”
ในตอนที่ธามันกลับมาบ้านในตอนค่ำ ฉันท์ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ถามเรื่องข่าวพวกนั้น ไม่มีใครรู้ว่าฉันท์มีเรื่องรบกวนใจ แต่พี่รู้แทบจะในทันทีที่เห็นน้องมาเปิดประตูโรงรถให้
“ชิรายูกิ ไม่อะไรหรือเปล่า”
น้องหันมาเลิกคิ้วสูง “ไม่นี่ฮะ”
    “ชิรายูกิ” น้ำเสียงนั้นเข้มงวดมากจนน้องต้องหนีสายตาไปทางอื่น
“ไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ฮะ”
“ชิรายูกิ”
ฉันท์หันมามองหน้าพี่ ยิ้มอ่อนแล้วเดินนำเข้าบ้าน
...น่ากลัวนะเนี่ย คิดไปคิดมาก็มีอยู่เรื่องเดียวที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องยิ้มแบบนั้น
ที่จริงก็อยากรอคุยกันในเวลาที่อยู่ตามลำพังอยู่เหมือนกัน แต่เพราะรอยยิ้มแบบนี้แท้ ๆ ที่ทำให้รอไม่ได้
“ชิรายูกิ ไม่มีอะไรจริง ๆนะ”
“เข้าบ้านเถอะฮะ คุยกันระหว่างที่กินข้าวก็ได้”
แต่ธามันก็เล่าเรื่องให้ทุกคนฟังก่อนที่จะกินข้าวต้มมื้อดึก
“พี่ทั้ง 3 คนแย่มาก” น้องสรุป ทั้งป้าและกวางที่นั่งฟังจากหน้าโทรทัศน์ก็พยักหน้าเห็นด้วย “เขาเป็นผู้หญิงนะฮะ แล้วพ่อเขาก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ขนาดนั้น”
“ก็เพราะปฏิเสธไปตามตรงไม่ได้ไง แล้ววันนี้ต้อมมาหาน้องหรือยัง” พี่เปลี่ยนเรื่องทันทีที่น้องไม่มีคำถาม
“ต้อมโทรมาคุยเรื่องข่าวแล้วฮะ ทั้งต้อมแล้วก็พี่เอื้อยดูเป็นห่วงผมมาก ผมเข้าใจ ว่าทำไมทุกคนถึงเป็นห่วง”
พี่เลื่อนมือมาจับมือของน้องไว้
แม้จะไม่มีคำพูด แต่ราวกับได้ยินถ้อยคำนับพันนับหมื่นคำที่บอกว่าเป็นห่วง
การที่ต้องตกอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
การที่ลุงรอง และพี่เอื้อยฝืนกฎเหล็กของครอบครัว
การที่ลุงกับป้าย้ายมาอยู่ด้วยกัน
การที่พี่อยู่ตรงนี้ และร้อนใจ อยากอธิบายเรื่องข่าวให้เข้าใจ
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น...
“ผมจะไม่ฆ่าตัวตาย” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
จิโระผละจากกวางเดินมาหาพี่ชาย ยกมือขึ้นสูงเพื่อให้พี่อุ้มนั่งตัก พอพี่อุ้มขึ้นมาก็โผเข้ามากอดคอพี่ไว้แน่น
“อย่ากลัวไปเลย สัญญาแล้วนี่นา ว่าจะอยู่ด้วยกัน”
“อื้ม” จิโระยังไม่ยอมคลายมือออก คางกลม ๆ ยังแนบอยู่ที่ไหล่
ฉันท์มองพี่ และทุก ๆ คน “คุณฐาติน่ะฮะ เขาเคยบอกไว้ว่า ให้ค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่อง ทำทีละอย่าง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
ธามันหัวเราะเบา ๆ ขณะที่กวางมีสีหน้าไม่เชื่อคำนี้สักเท่าไหร่
“จริง ๆนะ” ฉันท์บอกกับกวาง
“ถ้าบอกว่าพี่ธามเป็นคนพูดประโยคนี้ยังจะน่าเชื่อเสียมากกว่า” กวางเถียง
ฉันท์หันมาหาพี่ “พี่บอกคุณฐาติให้มาบอกผมอย่างนี้หรือเปล่า”
“บอกมัน...บอกฐาติน่ะแหละ” พี่พูดชัด ๆ “มั่วตลอด”
“ว่าแล้ว....” กวางลากเสียง จิโระก็เลยออกเสียงตามที่กวางพูด
“ว่ะ แหล่ว แลว แล้ว...”
“โธ่ เจ้ากวางนะ เริ่มต้นมาก็ดีอยู่แล้วเชียว” ป้าบ่น
....
พื้นที่ที่เคยเป็นอพาร์ทเม้นท์ ตอนนี้กลายเป็นที่โล่ง และถมสูงกว่าพื้นถนน ทั้งกั้นรั้วรอบ พร้อมด้วยป้ายชื่อบริษัทก้องเกียรติกิจการ
คนงาน 3 คนเริ่มเข้ามาปรับปรุงร้านข้าวต้ม หลังการตกแต่งร้านก็จะเป็นการซื้อของเข้าร้าน ทำให้คาดว่าจะสามารถเปิดร้านได้ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ระหว่างนี้ ฉันท์กับป้าช่วยกันทำแกงเผ็ด กับมัสมั่นหม้อใหญ่วันละ 2 หม้อไปฝากขายที่ร้านข้าวแกงในตลาด คิดราคากันง่าย ๆ ด้วยราคาเหมา ไม่ต้องไปยืนขายเอง
บ่ายวันนี้ฉันท์ขับรถเอาแกงไปส่งที่ตลาด ตอนที่ขับรถกลับมา เห็นรถคันใหญ่จอดอยู่ที่หน้าบ้านกับคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านท้ายซอย
สตรีสูงวัยเพียงคนเดียวในกลุ่ม ซึ่งต่อให้มองจากระยะไกลก็สามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นคุณเยาวเรศแม่ของพี่
สตรีที่ดูอาวุโสในลำดับต่อมาและดูมีอายุใกล้เคียงกับธนวัฒน์ การที่เธอสวมรองเท้าส้นแบน และถือไม้เท้า ทำให้เดาได้น่าจะเป็นคุณณภัทร สตรีที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของพี่ พี่ทีม และคุณฐาติ
อย่างนั้นหญิงสาวอีกคนที่มีอายุใกล้เคียงกับธามัน น่าจะเป็นธาราลูกสาวคนเล็กของธนดล คนนี้น่าจะชื่อธารา ซึ่งพี่ไม่ค่อยได้พูดถึงเธอสักเท่าไหร่
ทั้ง 3 คนไม่ได้มองบ้านหลังเล็กที่อยู่ทางซ้ายมือของพวกเขา จากทิศทางที่พวกเขามอง คือที่ดินผืนใหญ่ด้านหลังแนวรั้วไม้ที่กั้นปิดท้ายซอยจากฝั่งซ้าย แล้วอ้อมมาฝั่้งขวา
ที่ดินที่ทอดยาวไปถึงชายคลองด้านหลัง...
ป้าเปิดประตูบ้านออกมาทักทั้ง 3 คนจากนั้นก็ชี้มาทางรถฉันท์ที่กำลังแล่นเข้ามาหา
ริมฝีปากสวยขยับยกยิ้มขึ้นช้า ๆ ขณะที่ขับรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน แล้วลงมาทักทายทั้ง 3 คน
“สวัสดีครับ”
“เธอคือฉันท์ทัตหรือ”
“ครับ” ฉันท์ตอนรับแล้วแนะนำจิโระที่จับชายเสื้อพี่ชายไว้แน่น “นี่คือจิโระ น้องชายผมเอง ส่วนทางนั้นคือลุงกับป้าครับเข้าไปคุยในบ้านก่อนดีไหมครับ”
เยาวเรศพยักหน้า และเดินตามฉันท์เข้าไปในบ้าน ส่วนป้าเดินเลยเข้าไปเตรียมน้ำดื่มมาให้กับทั้ง 3 คน ขณะที่ลุงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
ดวงตาของทั้ง 3 คนหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของธามที่วางอยู่ในบ้าน
“เธอทำอะไร” ธาราถามขึ้น “หมายถึงอาชีพน่ะ”
“ทำแกงไปฝากขายที่ตลาดครับ”
หญิงสาวเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่เยาวเรศขัดขึ้นก่อน
“ธาม...พักที่นี่หรือ”
“ครับ” มือสวยชี้ไปที่ชั้นบน “พี่นอนห้องใหญ่”
“ขึ้นไปดูได้ไหม” เยาวเรศถาม
ฉันท์คลี่ยิ้มสวย “ได้สิครับ” ฉันท์หันไปบอกจิโระให้อยู่กับป้า ส่วนตัวเองเดินนำขึ้นไปที่ชั้นบน
เยาวเรศกวาดตามองไปรอบห้องที่ฉันท์บอกว่าคือห้องนอนใหญ่ จากที่ประเมินด้วยสายตา ห้องนี้มีขนาดเพียง 1 ใน 6 ของห้องนอนธามันในบ้านของเธอ
“แล้วเธอ...”
“ผมนอนกับน้อง แล้วก็พี่เลี้ยงของน้องที่ห้องเดิมของผม” คำตอบนี้เต็มไปด้วยอาการหัวเราะที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น
ฉันท์เดินนำไปที่ห้องนอนเล็ก
ห้องนอนสะอาดเรียบร้อย หนังสือเด็ก 2 เล่มวางอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียงนอน หมอน ผ้าห่มพับเรียบร้อย ที่นอนเรียบตึง ไม่มีตุ๊กตาสักตัวในห้องนี้
“มีใครเป็นภูมิแพ้หรือไง” ธาราถามขึ้น
“ไม่มีครับ” ฉันท์ตอบ หันไปมองตามสายตาของหญิงสาว “ผมไม่สะสมพวกตุ๊กตาหรือหมอน น้องผมก็ไม่เล่นเหมือนกัน”
“สะอาดมาก”
“ขอบคุณครับ” 
เมื่อประเมินจากลักษณะการตกแต่งห้อง และการที่มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กอยู่ในบ้าน ทำให้เยาวเรศคิดว่าเรื่องนี้ยังมีหนทางแก้ไข
“ออกไปคุยกันที่หน้าบ้านดีกว่า” เธอรู้สึกอึดอัด ไม่ชอบ ไม่พอใจเมื่อต้องอยู่ในบ้านหลังนี้
ฉันท์เดินนำสตรีทั้ง 3 คนลงมาด้านล่าง เห็นลุงกับป้า และจิโระพากันออกไปในสวน ช่วยกันเลือกเก็บผลไม้จัดใส่ตะกร้า
“ขอบคุณที่ท่านให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนพี่เรื่องการซื้ออพาร์ทเม้นท์ของผม ทำให้ผมมีเงินใช้หนี้จนหมด”
เยาวเรศรู้ว่าลูกชายคิดโครงการใหญ่ จึงสนับสนุน แต่ไม่คิดว่าลูกชายจะยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูงแบบนี้
“ธามเป็นคนมั่นใจในตนเอง คิดแล้วลงมือทำทันที เดิมก็เป็นคนดื้อรั้นอยู่แล้ว แต่ตอนที่เขากลับมาจากอเมริกาครั้งนี้เขาก็ยิ่งพูดยากมากกว่าเดิม ฉันไม่ขัดใจเขาหรอกนะเรื่องที่คิดโครงการใหญ่” ไม่ขัดเรื่องการทำงาน แต่ไม่ชอบใจเรื่องการมาอยู่ที่นี่ “แต่เรื่องที่ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกนี่ไม่เห็นด้วย เพราะเขาไม่ยอมบอกว่าจะย้ายไปไหน ขนาดฐาติก็ยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหน ทำให้ทะเลาะกันจนถึงวันที่เขาย้ายออกมา”
ฉันท์ขมวดคิ้ว ฐาติต้องรู้ว่าพี่ย้ายมาที่นี่ และพี่ก็ไม่ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดกับมารดา ฉันท์ไม่รู้ว่าในกลุ่มนี้ใครบอกอะไรกับใครไว้บ้าง บางทีเรื่องนี้อาจมีบางอย่างที่เป็นความลับ
“ตอนแรกยังคิดว่าจะไปอยู่คอนโดฯ ที่อยู่ใกล้กับโครงการนี้ พอรู้ว่าไม่ใช่ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ฉันก็มองเห็นแต่ปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า”
ลำพังเยาวเรศเพียงคนเดียวอาจทำให้ฉันท์ทัตหวั่นไหว แต่เมื่อมองไปยังณภัทร ก็เข้าใจว่าทำไมธนวัฒน์ถึงได้ไม่ชอบพี่สาวคนนี้
เธอเป็นพี่สาวคนโตที่มักจัดการ และควบคุมเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเอง จึงไม่ค่อยชอบใจวิธีการ ‘พูดดีๆ’ แบบที่เยาวเรศกำลังพูดอยู่
ในเบื้องต้นนี้เธอมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับเอื้อยพี่สาวคนที่คุมตลาดเพิ่มทรัพย์
“เธอ และครอบครัวของเธอเป็นคนดีนะ เรื่องที่เคยดูแลกันในช่วงก่อนหน้านี้จนมาถึงการที่เธอขายที่ดินให้ธามทำโครงการเพื่อพิสูจน์ตัวเองฉันรู้สึกขอบใจมาก แต่เรื่องบางอย่าง เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันจะส่งผลต่อธามอย่างไร” มารดาของธามันยังพูดต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทาง ‘ขอความเห็นใจ’
ฉันท์มีรอยยิ้มจาง ๆ ฟังอีกฝ่ายพูดประโยคปลายเปิดที่ให้คิดต่อเอาเอง
“ก้องเกียรติกิจการเป็นบริษัทใหญ่ ลำพังการเรียนจบปริญญาเอกยังไม่เพียงพอ เขาต้องแข่งขันกับพี่น้องของเขาเอง ธามยังต้องทำให้คณะกรรมการ ผู้ถือหุ้นให้ความเชื่อถือ ต้องไม่ทำให้พ่อของเขาผิดหวัง พ่อของเขาวางความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา ธามต้องเป็นที่หนึ่ง ความผิดพลาดไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหนก็สามารถเอามาใช้โจมตีกันได้ทั้งนั้น” คนเป็นแม่พูดช้า ๆ “ธามตั้งใจกับโครงการนี้มากขนาดไหน เธอก็เห็นอยู่ ตอนนี้โครงการเริ่มต้นนับหนึ่งไปแล้ว และมีเพียงความสำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ทุกคนจะยอมรับ จากที่เห็นก็รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ฉันหวังว่าเธอจะรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร”
“ทีมกับธามเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ทีมพยายามสกัดธามในทุกทาง” ณภัทรพูดขึ้น “เขาทำได้ทุกอย่าง และจะไม่มีทางปล่อยจุดอ่อนของธามแน่ ๆ”
“เธอคงจะรู้มาบ้างใช่ไหมว่า คุณทีมเป็นคนแบบไหน” ธาราถามแบบที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ
ฉันท์ยิ้มไม่เปิดปากขณะที่พยักหน้า
“เพราะอย่างนั้น ถ้าเธอหวังดีกับธาม เธอก็ควรคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้”
เยาวเรศพูดต่อ “เรื่องราวมันซับซ้อน แตะลงไปตรงไหนก็พร้อมที่จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ทุกเรื่อง  เราจึงไม่อยากให้มีปมประเด็นอะไรขึ้นมาอีก”
คนเป็นมารดาสามารถพูดจาอ้อมค้อมต่อไปได้อีกนานหลายนาที ถ้าลุงกับป้า และจิโระไม่ถือตะกร้าผลไม้เล็กๆ มาทางนี้
“ตอนที่พวกเรามีปัญหาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็ได้พี่ธาม คุณทีม รวมถึงคุณฐาติเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้ง 3 คนเป็นผู้ที่บุญคุณกับพวกเรามากครับ” ฉันท์รับกระเช้าผลไม้จากป้าส่งให้กับเยาวเรศ “ขอบคุณที่กรุณาให้พวกเขามาคอยดูแลพวกเราครับ”
ทั้ง 3 คนกลับไปแล้วหลังจากที่พูดมากมาย แต่สรุปใจความสำคัญได้แค่ประโยคเดียว คือฉันท์ทัตคือข้อด้อยของธามัน
เกือบ 10 นาทีถัดมา เอื้อยก็จอดรถกระบะคันเก่งของเธอที่หน้าบ้าน แล้วยืนเท้าเอวตะโกนเรียกฉันท์ให้ออกมาคุยกันที่หน้าบ้าน
“ไม่เข้ามาคุยกันในบ้านหรือพี่” ฉันท์ยิ้มกว้าง
“ไอ้บ้า” ดวงตาของหญิงสาวไม่กล้าเหลือบขึ้นไปมองที่ชั้นบน “แกก็รู้ว่าฉันกลัวอา เข้าเรื่องเลยดีกว่า” ที่ผ่านมา ถ้าพี่สาวคนนี้มีธุระอะไรก็จะโทรมาเรียกให้ฉันท์แวะไปหาที่ตลาด แต่วันนี้เธอออกไปธุระข้างนอก พอรู้ว่ามีคนมาหาฉันท์ถึงบ้านก็เลยรีบกลับมา แต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี
ฉันท์รู้ว่าทำไมญาติพี่น้องหลายคนถึงไม่กล้าเข้าบ้าน และไม่กล้ามาบ้านนี้
เพราะพวกเขากลัวพ่อ
คนที่ตอนอยู่ไม่ชอบกัน ไม่เคยให้อภัย ไม่เคยทำดีต่อกัน ไม่เคยมีใครมาหาพ่อที่บ้าน
วันที่ยังพอขออโหสิกรรมหน้าโลงศพได้ พวกเขาก็ระแวงว่าฉันท์จะไปยืมเงิน และกลัวว่าจะทำให้ป้าเกศรีไม่พอใจ
พอมาถึงวันนี้ ที่ฉันท์ขายทรัพย์สินของพ่อเพื่อที่จะเคลียร์หนี้สินทั้งหมด พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะมาบ้านนี้
ที่จริงตั้งแต่พ่อตายไปไม่เคยมีใครพบเห็นวิญญาณของพ่อ ไม่เคยมีใครฝันว่าพ่อไปเข้าฝันใครเลยสักครั้ง แต่ทุกคนก็ยังกลัวอยู่ดี
ทุกคนในบ้านนี้ไม่มีใครเคยเห็น ธามันที่ใช้ห้องนอนพ่อนอกจากจะไม่เคยเจอ ยังไม่เคยรู้สึกว่าพ่ออยู่ในห้องนั้นด้วยซ้ำ
เพราะธามันไม่ได้รู้สึกว่าติดค้างอะไรกับพ่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปคือความจริงใจที่อยากช่วยให้ทุกคนมีความสุข แต่กับบรรดาญาติพี่น้องของตนเองเหล่านี้ สำนึกในใจกำลังหลอกหลอนใจของพวกเขา
ฉันท์มักรู้สึกว่า ลุงรองกับพี่เอื้อยน่าจะอยู่ในกลุ่มยกเว้นคือไม่กลัวพ่อ แต่นับจากวันที่ลุงรองเรียกให้ไปหาที่บ้าน ตอนนั้น ก็พบว่าลุงรองจะออกไปทางดูอยู่ห่าง ๆแบบลูกผู้ชาย เรื่องที่ฝากให้ทำก็ทำแล้ว ที่ฝากให้ดูแลอย่างไรก็ทำให้ตามนั้น ถือว่าไม่ติดค้างอะไรกัน แต่การที่เวลามีเรื่องอะไรจะบอกให้ลูกหรือหลานมาเรียกให้ไปหา ก็เพราะเกรงใจลุงวินัยที่ป่วยอยู่กับบ้านนี้ยังมีเด็กเล็ก การที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอาจไปรบกวนเวลาพักผ่อน
คือต้องเข้าใจว่าลุงรองอยู่ในวัยเกษียณแล้วนะ ก็อาจจะมีเรื่องคิดเป็นห่วงมากสักหน่อย
แต่พี่เอื้อยนี่กลัวพ่อของฉันท์อย่างชัดเจน
อย่างนั้นมารดากับพี่สาว 2 คนของพี่ก็คงกลัวพ่อเหมือนกัน พวกเธอถึงได้ออกมาคุยข้างหน้าบ้านนี่แทนที่จะคุยกันในบ้าน
“ญาติทางผัวแกมาอาละวาดอะไรหรือเปล่า” พี่เอื้อยไม่อ้อมค้อม
“ไม่หรอก” ฉันท์ส่ายหน้า “เขามาดูว่าลูกชายเขาอยู่ยังไงน่ะ  แล้วก็คงรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่พูดอะไรไม่ค่อยเต็มปากเพราะอยากได้ที่แปลงใหญ่”
หญิงสาวมีสีหน้าเหยียดหยาม “เขาบอกตรง ๆเลยหรือ”
“ตอนที่ผมมา เห็นเขากำลังยืนดูที่ เข้าบ้านไปไม่ถึง 5 นาทีออกมาก็ยังมองแต่ที่สวน”
“เขาจะรู้ตัวไหมเนี่ย ความโลภของเขากำลังจะทำให้ลูกชายสุดที่รักราคาตก”
“ลูกชายเขาเป็นดอกเตอร์จากอเมริกานะพี่ ราคาไม่ตกง่าย ๆหรอก”
เอื้อยใช้คางชี้หน้าน้องชาย “แล้วแกล่ะ เป็นนายกระจอกหรือไง” ช่างเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว “อย่าดูถูกตัวเอง แล้วแกก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”
พี่สาวชี้ที่ตัวเองและชี้ไปในบ้าน ที่อีก 3 คนกำลังยืนมองมา
“ก่อนนี้ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่เอาตัวรอด เพราะไม่อยากมีปัญหากับแม่ จนทำให้แกโดดเดี่ยวในวันที่แกต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด แต่พอเห็นแกสู้ไม่ถอย ทำทุกทางเพื่อดูแลน้องชาย และลุงกับป้า เดินเข้าไปหานักเลงคุมบ่อนเพื่อใช้หนี้ให้พ่อแบบนั้น คนแบบนายฉันท์ทัตที่เคยลอยอยู่บนฟ้า วันนี้กลับทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ทำแกงหม้อไปฝากขาย ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นพี่ที่แย่มาก”
“ผมเข้าใจ” เข้าใจจริงๆ “ผมลอยอยู่บนฟ้ามาตลอด ถึงจะรู้ว่ามีปัญหา แต่ก็ทำตัวอยู่เหนือปัญหา อย่าโทษตัวเองเลยฮะ ผมรู้ว่าพี่ก็พยายามช่วยเหลือผมมาตลอด”
พี่สาวตบไหล่น้องชายเบาๆ “แกเปลี่ยนไปเยอะ ในทางที่ดีด้วย พ่อกับแม่ของแกต้องภูมิใจในตัวแกมากแน่ ๆ”
เอื้อยกลับไปแล้ว ฉันท์จึงเดินเข้าบ้าน
รอยยิ้มจางๆ ยังคงอยู่
ลุงกับป้ามีท่าทางเหมือนมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นลุงที่พูดขึ้นมาว่า “ดีแล้ว”

จากนั้นวงจรชีวิตในรอบ 1 วันก็ดำเนินต่อไปตามปกติ จนกระทั่งพี่กลับมาถึงบ้านในตอนเกือบ 3 ทุ่ม ซึ่งมีเพียงจิโระเข้านอนไปแล้ว 
“ชิรายูกิ เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่ถามทันทีที่เปิดประตูลงมาจากรถ
ฉันท์ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรแต่เดินนำเข้าไปในบ้าน
ลุงกับป้าหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็สะกิดให้กวางขึ้นไปอยู่กับจิโระ แล้วหันมาบอกว่า จะเข้านอนแล้ว ขอให้คุยกันดีๆ
บรรยากาศรอบตัวช่างน่ากลัวมาก
ระหว่างที่พี่ไปล้างหน้าล้างมือ ฉันท์ก็ทำเกี๊ยวน้ำให้พี่ เตรียมน้ำดื่ม จากนั้นก็เดินไปปิดบ้าน
“ชิรายูกิ พี่เพิ่งรู้ว่าแม่กับพี่ณภัทร กับพี่ธารามาบ้าน ตอนที่กำลังขับรถกลับมาบ้านนี่เอง”
น้องเงยหน้าขึ้นมองพี่ เลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่ง
“จริงๆ” พี่เรียบเรียงลำดับเวลาอีกรอบ “พรุ่งนี้ 2 พ่อลูกเขาจะกลับฮ่องกง วันนี้ก็เลยมีงานเลี้ยง พอ 2 ทุ่มพี่ก็กลับมาก่อน ตอนที่กำลังขับรถกลับมานี่แหละ ฐาติเพิ่งโทรมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น”
น้องใช้ 2 มือเท้าคางมองหน้าอีกฝ่าย
ออกจากงาน 2 ทุ่มตามเวลาปกติและถึงบ้านในเวลาปกติ ร้อนใจและแสดงความเป็นห่วงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ยังต้องการอะไรจากคนนี้อีกหรือฉันท์ทัต
“กำลังสงสัยว่าทำไมถึงเป็นฐาติใช่ไหม มันก็ต่อเนื่องจากการที่จู่ๆ ฐาติก็เดินเข้ามาบอกว่าจะจีบอลิซนั่นแหละ พี่ไม่เคยปิดเรื่องของน้องกับแม่มาตั้งแต่แรก แต่เขาไปถามรายละเอียดจากฐาติ เพราะเราสนิทกัน แต่เรื่องในวันนี้ฐาติได้รับคำสั่งมาว่า ให้บอกพี่ตอนที่พี่ออกมาจากงานแล้ว”
น้องหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าแล้วชี้บอกให้พี่กินเกี๊ยวกุ้ง
เวลาที่ยาวนานเปลี่ยนแปลงทุกคนจนไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่ ที่มาวันหนึ่ง พี่ พี่ทีม และคุณฐาติจะต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้
แต่จากท่าทางของพี่ที่ดูไม่ค่อยสนใจจะเดินไปตามทางที่ทุกคนบอกไว้ ดูท่าฝ่ายนั้นคงเหนื่อยใจไม่น้อยเลย
“พี่ไม่เคยปิดเรื่องผม แต่ทำไมพี่ถึงไม่เคยพาผมไปพบกับครอบครัวพี่” ที่จริงก็ไม่ได้อยากพบหรอกนะ แต่พอพวกเขามาถึงที่แล้วแสดงท่าทีว่า รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้ มันรู้สึกเสียเปรียบ และอยากพาลเกเรใส่คนกลางให้หนัก “ยิ่งคุณฐาติ กับพี่ทีมรายงานพวกเขาละเอียดจนเหมือนพวกเขากินข้าวร่วมโต๊ะกับ...ผมแบบนี้”
กวางที่แอบฟังอยู่ข้างบนรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ จึงกลับลงมาใหม่
“พี่ฉันท์”
“ไม่มีอะไรหรอกกวาง พี่ต้องเคลียร์กับคุณธามันให้เข้าใจน่ะ”
“แต่หนูคือคนที่รายงานเรื่องพี่ให้น้าฟังนะ”
ธามช่วยอธิบาย “ฐาติทำตามคำสั่งพี่อีกทีหนึ่ง มันเริ่มจากพี่กลับไปแล้ว แต่ยังอยากรู้ความเคลื่อนไหวของทางนี้ แต่เรื่องที่เขาเอาไปบอกทางบ้านพี่กับพี่ณภัทรด้วยนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ธามันบอก
กวางเม้มปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ จนฉันท์ต้องช่วยย้ำ “เดี๋ยวขอถามทางนี้ให้แน่ใจก่อน ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับกวาง พี่จะบอก แต่ตอนนี้ช่วยไปอยู่กับจิโระก่อนนะ”
กวางยอมกลับขึ้นไปข้างบน รอจนได้ยินเสียงปิดประตู น้องถึงได้หันมาหาพี่

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่ 14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 02-06-2019 20:14:12
(ต่อครับ)

“ว่าไง ทำไมถึงไม่เคยพาไป”
“มันหลายๆ เรื่องน่ะ ข้อแรกเลยก็คือพี่ไม่อยากพาชิรายูกิไปดูพวกเขาทะเลาะกัน”
เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายไปเล็กน้อย
ทุกคนดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็อืม...ดูหรู ดูดี มีวุฒิภาวะ น่าจะอยู่ในระดับไม่พอใจ แล้วก็เชือดเฉือนกันนิ่มๆ ไม่น่าจะถึงขั้นทะเลาะกัน
“เฉพาะในบ้านพี่ก่อนนะ แม่พี่กับแม่พี่ทีม ปกติเขาก็อยู่กันคนละบ้าน แต่ถ้าเจอกันเขาจะพูดจาเสียดสี เหน็บแนมกันตลอดเวลา ถ้ามีคุณทีมหรือพี่ณภัทร กับธาราเข้ามา จากที่พูดจาเสียดสีกัน ก็จะกลายเป็นขัดแย้งกันหนัก จุดอ่อนของอีกฝ่ายจะถูกยกขึ้นมาย้ำไปย้ำมาจนน่าเบื่อ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นน่ารำคาญ บรรยากาศที่บ้านพี่ออกไปในทางแข่งกันเป็นที่ 1 ไม่ใช่การดูแลกันและกันแบบ...” พี่ชี้ไปที่ห้องนอนของลุงกับป้า “ไม่เหมือนเลยสักนิด หรือตอนก่อนหน้านั้นที่พี่แอบมองตามน้องเข้ามาในบ้าน เห็นพ่อกับแม่ของน้องในช่วงก่อนหน้านั้น ก็ยิ่งห่างกันไกล”
จากที่เจอกันในวันนี้ ไม่สามารถตัดสินได้ว่า ทั้ง 3 คนจะแรงอย่างที่พี่ว่าเลยสักนิด
“ก่อนที่พี่จะย้ายออกมาทั้ง 2 ครั้ง พี่ทะเลาะกับพวกเขาด้วยใช่ไหม”
“ไม่ถึงกับทะเลาะนะ” พี่ต้องเป็นคนดีที่สุดในสายตาของน้องเสมอ “เพราะถ้าบรรยากาศไม่ค่อยดีพี่ก็หลบแล้ว”
น้องหัวเราะเบาๆ ไม่ค่อยอยากยอมรับเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้จริงๆ
ยังมีเรื่องราวของคุณโจ ทุกครั้งที่จะพูดชื่อนี้ออกมา จะรู้สึกเกรงใจและสงสารทุกครั้งไป
“แม่พี่ทีมไปเจอกับคุณโจใช่ไหม แล้วเขาไปกับใคร”
พี่ไม่แน่ใจ “นอกจากแม่พี่ทีมก็น่าจะมีพี่ณภัทร ไม่คิดว่าธาราจะไปด้วยเพราะตอนนั้น เรายังเด็ก ธารา ฐาติ กับพี่เกิดปีเดียวกัน น่าจะเป็นญาติคนอื่น”
“แม่พี่ทีมกับพี่ณภัทร เขา...อยู่....” น้องพอจะเดาได้ “พี่ณภัทรพูด หรือยั่วยุให้แม่พี่ทีมจัดการคุณโจสินะ” ผู้หญิงคนนี้ควรเจอกับพี่เอื้อยสักหน “พี่ก็เลยเป็นกังวลเรื่องที่พวกเขาจะมาที่นี่ใช่ไหมฮะ แต่ที่จริงพี่ณภัทรกับพี่ธาราไม่ค่อยได้พูดอะไรนะฮะ เพราะว่าลุงกับป้าแล้วก็จิโระคอยอยู่ใกล้ๆ ตลอด ได้ยินที่คุยกัน พวกเขาก็เลยพอจะเมตตาผมอยู่บ้าง แต่ผมว่าเขาสนใจที่ดินมากกว่า”
“นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง” พี่พูดต่อ “พี่ไม่อยากให้เขาพูดเรื่องที่ดินกับน้องด้วย” แต่มาถึงตอนนี้ทุกคนกลับมาทำให้น้องรู้ทุกเรื่องที่ไม่อยากให้รู้   
“เขาพูดเรื่องที่ดินกับพี่บ่อยหรือ”
“ก็พูดมาตั้งแต่ตอนที่พี่ขอยืมเงินเขามาหมุนซื้อที่นั่นแหละ ผ่านมาหลายเดือนก็ยังพูดอยู่เลย”
“ทั้งพ่อและแม่เลยหรือ”
พี่ยอมรับ
น้องนิ่งคิดตาม “เขารู้...ทั้งหมดหรือเปล่า”
“คิดว่าอาจไม่ทั้งหมด แต่ก็น่าจะรู้มาเยอะ เขาถึงได้เพิ่งมาในวันนี้”
ที่ไม่ได้คิดจะเข้ามาขัดขวางตั้งแต่แรกเพราะไม่อยากให้เกิดการต่อต้านเหมือนในคราวธนวัฒน์ ซึ่งถ้าเป็นธามันอาจรุนแรงกว่า เพราะธามันมีความดื้อรั้นและเชื่อมั่นในตนเองมากกว่า
ในตอนแรกที่เยาวเรศได้ยินเรื่องของฉันท์ทัต หนุ่มคนนี้ยังเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่อยู่ในโลกที่พ่อกับแม่สร้างขึ้น จากนั้นโลกก็พังทลายลง กลายเป็นคนที่มีแต่หนี้สินท่วมตัว จนกระทั่งไม่นานมานี้เองที่เรื่องราวอีกส่วนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
นายฉันท์ทัต ไม่ใช่คนที่มีแต่หนี้ แต่ยังมีที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา มีทั้งห้องแถว ห้องเช่าในคอนโดฯ ที่พ่อฝากให้ลุงรองช่วยดูแล
ถ้าไม่ทำอย่างนี้ นายฉลองก็คงไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกชาย
ทั้งลุงรองและพี่เอื้อยอยากบอกเรื่องนี้กับฉันท์มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่อยากให้ป้าแจ่มจิตรู้เรื่อง การปล่อยให้นางแสดงความกังวล หรือไม่พอใจเป็นระยะ คือการส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังพวกเจ้าหนี้ นักเลงบ่อนที่มักจะมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้านของฉันท์ ว่าฉันท์กำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขปัญหา
นอกจากพวกเจ้าหนี้นอกระบบแล้ว ยังมีคนที่ฐาติ กับธนวัฒน์ส่งคอยดูแลฉันท์อยู่ห่าง ๆด้วย แต่เพราะลุงกับพี่เอื้อยไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คือใคร จึงเตือนให้ฉันท์ระมัดระวังและรีบเคลียร์หนี้สินออกไปให้เร็วที่สุด
ทั้ง 2 คนไม่ได้เป็นคนใจแข็งมากนัก พอเห็นฉันท์เป็นทุกข์จากการขายอพาร์ทเม้นท์ก็ต้องเรียกให้ฉันท์ไปหาที่บ้านลุงรองและบอกความลับที่เก็บซ่อนไว้
ฉันท์รวบรวมเงินไปโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดมาเป็นชื่อของตนเอง ซึ่งเมื่อมาถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฐาติในการสืบหาทรัพย์สินที่มีอยู่ในครอบครอง และสรุปเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังให้เยาวเรศฟัง
เรื่องราวเหล่านี้ ทำให้คนที่ต้องการกีดกันฉันท์ออกไปจากชีวิตของธามันถึงกับลังเล
การกดดันต่อฉันท์ทัตอาจหมายถึงการสร้างปัญหากับกลุ่มเครือของตลาดเพิ่มทรัพย์
เป็นกลุ่มคนที่เหมือนกองทัพมด ไม่ได้เป็นช้างตัวใหญ่แบบก้องเกียรติมนตรี แต่ก็เป็นกลุ่มที่นักการเมืองท้องถิ่นยังเกรงใจ ตำรวจที่โยกย้ายเข้าไปในพื้นที่ต้องขอความร่วมมือ 
และสำหรับเยาวเรศ ก็ไม่เชิงว่าจะอยากได้ทรัพย์สินอะไรของนายฉันท์ทัต วีนิตาเขาหรอกนะ แต่ถ้าเราจะสามารถตกลงผลประโยชน์อะไรบางอย่างได้ก็น่าจะดีกว่าไหม
อนาคตเป็นเรื่องข้างหน้า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ จอห์นนี่ และอลิซลูกสาวต่างก็พอใจธามัน แต่ธามันชัดเจนว่า ไม่ได้สนใจลูกสาวของจอห์นนี่เลยสักนิด ทั้งเสียมารยาทส่งต่อหญิงสาวให้พี่ชายที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญไปดูแล
เด็กผู้ชายคนนั้น ก็เป็นอย่างที่ฐาติบอกทุกคำ คือภายนอกเหมือนจะเป็นคนหัวอ่อน โลกสวย และว่าง่าย แต่แท้จริงคือดื้อเงียบ ไม่สนใจใคร
“ตอนที่อยู่อเมริกา พี่เคยให้เพื่อนที่เก่งคอมพิวเตอร์ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของชิรายูกิ ก็เลยทำให้ได้รู้ว่า พ่อของน้องมีอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวม ขณะที่ฐาติก็บอกว่าน้องคบกับคุณทีม” น้องขยับตัวจะเถียงว่านี่เป็นเรื่องที่พูดกันหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่ พี่ก็รีบแก้ไข “รู้จักกับคุณทีม มีหลายเรื่องให้ต้องระวังและไม่อยากให้เข้าใจผิด พี่ก็เลยไม่กล้ากลับมาหา ได้แต่มองอยู่ห่างๆ จนมาถึงงานศพ เห็นว่าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ ก็ยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งพี่เข้าไปซื้ออพาร์ทเม้นท์ ก็เห็นเขายังเฉยกัน พอน้องใช้หนี้หมดแล้ว ถึงได้เห็นว่าไปโอนกรรมสิทธิ์”
พี่มีแหล่งข้อมูลอื่นนอกจากฐาติ และฐาติไม่เคยรู้เรื่องนี้ ถึงได้พูดไปจากน้อง
..ก้องเกียรติมนตรีนี่เขาเป็นครอบครัวแบบไหนกันนะ
“แล้วพี่ล่ะ คิดยังไง”
“แบบไหน”
“พี่ย้ายเข้ามาหลังจากที่ผมโอนกรรมสิทธิ์ได้ไม่กี่วัน เพราะอะไร”
“เพราะแน่ใจว่า คุณทีมไม่ใช่แฟนน้องแน่นอน” พี่รีบยกมือ “ก็ตอนนั้นยังไม่แน่ใจไง เหตุผลที่มาขออยู่ด้วยมีเรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ แต่พอมาอยู่ด้วยกัน เห็น...” ชี้ไปที่ห้องลุงกับป้า “ก็เลยคิดว่า เขาคงยังไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นน้องก็คงมีเหตุผลส่วนตัว”
“พี่คิดว่ากลับมาหาผมเร็วเกินไปจริงหรือเปล่า”
“อันนี้ต้องแยกจากเรื่องคุณทีมแล้วนะ ถึงปัจจัยทุกอย่างจะเหมือนกันก็เถอะ แต่อันนี้คือเจตนาแรกสุดเลยตั้งแต่ตอนที่กลับไปเรียนต่อ คืออยากกลับมาหาน้องแบบพระเอกหล่อๆน่ะ”
ฉันท์หัวเราะคิก ไหนใครบอกว่าพี่เป็นคนเคร่งเครียดจริงจัง อยากให้มาได้ยินคำสารภาพของเขาตอนนี้จริงๆ เลย
“อยากขับรถคันใหญ่ เท่ๆ มารับน้องไปดูห้องทำงานใหญ่ มีป้ายชื่อ ดร.ธามัน ก้องเกียรติมนตรี กรรมการผู้จัดการติดอยู่ที่หน้าประตูห้อง มีบ้านกลางสวนให้น้องอยู่ พาไปเรือนั่งยอร์ช เที่ยวทะเลอันดามัน หรือซื้อตั๋วเฟิร์สคลาส นอนโรงแรมห้าดาวไปทัวร์ยุโรป อะไรแบบนี้ไง”
ยิ่งเห็นว่าน้องหัวเราะมีความสุข พี่ก็ยิ่งฟุ้งไปกันใหญ่
“พอรู้ว่าคุณทีมไม่ใช่แฟน พี่ก็ไม่อยากรอ แทนที่จะเป็นพระเอกระดับ 100 ล้านเลยเป็นได้แค่พระรอง 20 ล้าน”
“ตอนนี้ 20 ล้าน แต่ถ้าขยันขนาดนี้ ผมว่า 100 ล้านก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“ยังให้พี่เป็นพระเอกของชิรายูกิอยู่ใช่ไหม”
ฉันท์จูบหน้าผากของพี่ “ถ้าไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใครได้อีก”
“จริงนะ”
“จริงสิ”
“งั้นก็ยิ้มได้”
“ยิ้มหรือ”
“อื้ม ยิ้มกว้าง ๆด้วย เพราะผมรู้ว่าพี่มีความตั้งใจมาก ทำให้ผมดีใจมากที่เห็นพวกเขาที่นี่” น้องตีที่มือพี่เบาๆ “พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้ว จนถึงวันนี้เขาถึงได้มา แสดงว่าพี่ต้องเป็นคนสำคัญของพวกเขามากๆ และเขารู้สึกว่ามีความเสี่ยงบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาถึงต้องการมาประเมินผมด้วยตาตนเอง”
“แล้วยังอยากให้พี่พาไปหาพวกเขาไหม”
น้องเอียงคอคิด “พี่ว่าทำแบบนั้นแล้วจะดูเป็นเด็กๆ ชอบประชดประชันไปสักหน่อยไหม รู้ว่าเขาไม่ชอบยังจะไปเสนอหน้า แต่ใจผมน่ะ ก็ยังอยากไปแนะนำตัว อยากให้เขารู้ว่าผมพร้อมที่จะสนับสนุนพี่ ไม่ใช่ข้ดด้อยของดร.ธามัน ก้องเกียรติมนตรี และไม่เป็นภาระของก้องเกียรติกิจการด้วย”
พี่ยิ้มกว้างหน้าบานจนน้องหันมาเอานิ้วจิ้มแก้ม “ดร.ธามันฮะ ไม่รักษาฟอร์มเลย”
พี่พลิกหน้าจูบฝ่ามือน้อง “ไม่เรียกฟอร์ม เขาเรียกว่าอาวุธ เอาไว้จัดการคนอื่น แต่กับคนรักต้องจริงใจเท่านั้น”
น้องทำปากยื่น “ก่อนนี้มีคนไม่ยอมมองหน้าผมด้วยนะ”
“ใคร ไหนบอกมาสิ ไอ้หมอนั่นมั่นโง่ ทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ เสียฟอร์มด้วย น่าอายมาก ไม่เข้าท่าเลยสักนิด”
น้องหัวเราะอยู่นาน จนกระทั่งพี่หันไปมองนาฬิกาเห็นว่าเกือบ 4 ทุ่มแล้ว
“ขอแค่เชื่อพี่ว่าพี่จะจัดการเรื่องนี้เอง”
พอน้องขยับตัวจะลุกขึ้น พี่ก็จับข้อมือไว้เพื่อขอคำยืนยัน
“อย่ากังวลไปเลยฮะ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“จริงหรือ” พี่ยังเหลือความกังวลว่าพวกเขาพูดอะไรกับน้อง
มันจะเต็มไปด้วยคำเสียดสี ดูหมิ่นและข่มขู่แบบที่ทำให้คุณโจเคยต้องฆ่าตัวตายหรือเปล่า
“แม่ กับพี่สาวของพี่ เขาแค่พูดกว้างๆ ว่าผมควรรู้ว่าต้องทำยังไง ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงอะไร บางทีอาจเป็นเพราะตอนนั้น คนที่ไปเจอกับคุณโจ คือแม่ของพี่ทีม เขาคงกังวลเรื่องภายในครอบครัวมากก็เลยใช้คำที่มันรุนแรงมากกว่าตอนที่แม่ของพี่มาคุยกับผม”
ถ้าลำพังแค่พูดก็คงไม่ถึงขนาดต้องฆ่าตัวตาย ยังมีเรื่องอีกมากที่น้องไม่รู้ และพี่ก็รู้สึกละอายเกินกว่าที่จะบอกออกมาทั้งหมด
ทำได้เพียงจับมือของน้องไว้แน่น
“ผมพาเขาขึ้นไปดูที่ห้อง บอกว่าเราไม่ได้นอนห้องเดียวกัน บอกว่า พี่ พี่ทีม และคุณฐาติมีบุญคุญกับพวกเรา” แตะหลังมือพี่เบา ๆ “กินเกี๊ยวเถอะฮะ เสร็จแล้วจะได้อาบน้ำนอน ตอนนี้ดึกมากแล้ว”
“ชิรายูกิ”
“ฮะ”
“ถ้า...วันหนึ่ง ชิรายูกิคิดว่าพี่ไม่คู่ควรก็...”
“พี่มีส่วนร่วมกับการที่คุณโจต้องฆ่าตัวตายหรือฮะ”
พี่ลูบหน้าตัวเอง ทำให้อีกคนรู้สึกใจเสียที่ถามตรงเกินไป
“ไม่ต้องตอบก็ได้ฮะ”
พี่ยกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่เพราะพี่ไม่แน่ใจ ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก เป็นพี่น้องต่างแม่ ที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้ของรางวัลจากพ่อมากกว่าอีกคนหนึ่ง ทำให้แม่มีความสุข พวกเราเรียนโรงเรียนเดียวกัน เห็นเขาไปไหนมาไหนกับคุณโจ บางทีพี่อาจพูดหรือทำอะไรให้แม่ของคุณทีมรู้ แล้วยังเรื่องของพี่ณภัทรอีก ทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ก็ยังคิดแต่จะเอาตัวรอด”
น้องขยับเข้าหาพี่ ประคองใบหน้าพี่ไว้ แล้วจูบที่หน้าผาก ลงมาที่ปลายจมูก และริมฝีปาก
“พี่พูดเองว่าตอนนั้นยังเด็ก แต่จากที่โอกาซังสอนผมมา ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้ในสถานการณ์ของพี่ได้ไหม” พี่รอฟัง “โอกาซังสอนว่า กับคนที่ร้ายกับเรา เราต้องดีกับเขาให้มาก แก้แค้นเขาด้วยการทำให้เขาละอายใจ ส่วนคนที่ดีกับเรา เรายิ่งต้องดีกับเขาเป็นเท่าตัว เพื่อแสดงความขอบคุณ”
ชิรายูกิก็ไม่ได้ใสซื่อเสียทีเดียวหรอกนะ
“แล้วชิรายูกิจัดให้พี่อยู่ในกลุ่มไหน”
“ถ้าผมไม่มีพี่ ผมก็คงติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะต่อไปอีกนาน ผมจะไม่ปล่อยมือพี่แน่นอน ต่อให้พี่คิดจะคลายมือจากผม ผมก็จะเอาเชือกผูกมือของเราไว้ด้วยกัน”
พี่โอบเอวน้องเข้ามาใกล้ แล้วจูบริมฝีปากสวย
“แต่ยังมีเรื่องที่ผมขอร้อง พี่ต้องไปคุยกับพี่ทีม พี่ณภัทร และคุณฐาติ ผมจะไปด้วย” พี่เลิกคิ้วสูง “ผมอยากให้เขารู้ว่า ผมเป็นคนของพี่”
พี่พยักหน้า หอมแก้มใสของน้องฟอดใหญ่
“ช่วยนัดวันก่อนเปิดร้านนะฮะ”
พี่แกล้งกลอกตาล้อเลียน “ชิรายูกินะ ขอหวานต่ออีกสัก 5 นาทีก็ไม่ได้”
น้องหัวเราะร่วนลุกขึ้นจากตัก “ดึกมากแล้ว ไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้วฮะ” 
“เดี๋ยวก่อน”
“ฮะ”
“นอกจาก 3 คนนั้นแล้วยังอยากไปเจอพ่อกับแม่ของพี่อยู่หรือเปล่า”
น้องเครียดขึ้นมาในทันที ตอนที่พยักหน้ายอมรับยังเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง

...จบตอนที่14...

อีก 3 ตอนก็จะจบแล้ว เพราะเรื่องนี้มี 17 ตอน
เร็วจังเนอะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดครับ
น้ำชาครับ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่13 (10/5/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 02-06-2019 21:07:50
  :pig4:

นับวันรอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-06-2019 11:11:58


เป็นไงล่า น้องก็มีดีเย๊อะแยะ   :z2:  :z2:


ว่าแต่น้องงงงงงตอนนี้ทำไมอาหารมันเย๊อะแยะ จนน้ำลายไหลตามเลยอ่ะ   :katai2-1:


ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปเช่นเดิม





หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-06-2019 12:28:07
เห็นเงียบๆใช่ว่าน้องไม่รู้อะไรนา​ คนเขาดูออกนะคะคุณ​ผู้หญิงทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 04-06-2019 20:41:24
ใกล้จะจบแล้วเหรอ ใจหายจัง รอติดตามค่า
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-06-2019 22:02:51
แหม อ่านงงๆกับความเยอะอยู่พักใหญ่
ทั้งตัวละครเยอะ เรื่องเยอะ ความลับเยอะ
มาคลายเอาตอนนี้ กลายเป็นน้องฉันท์เก่งใช่ย่อย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-06-2019 01:18:39
น้องแบบเก่งมาก
ดูรอบคอบอ่ะ แบบคิดอะไรเป็นขั้นเป็นตอน
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-06-2019 22:34:35
จับมือกันแข็งแกร่งขึ้นทุก ๆ วัน
อ่อนโยนต่อกันและกันขึ้นทุกวัน
รักมากกว่าเดิมทุกวัน
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝน ต้นหนาว ที่ 06-06-2019 18:36:55
สุดยอดดดดดดดดด สนุกมากๆๆๆๆๆ เพิ่งได้มาอ่าน ดีมากๆๆๆๆ ชอบมากๆๆๆๆๆ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 07-06-2019 12:14:52
ยิ่งอ่านยิ่งรักน้องฉันท์มากขึ้นทุกวันๆ
อ่อนนอกแข็งใน มีเหตุผล ไม่คิดเองเออเอง รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีมากอ่ะ
กับคนอ่อนกว่าที่ต้องดูแลก็เข้มแข็ง เป็นที่พึ่งได้
กับคนแข็งกว่าที่ต้องพึ่งพิงก็นุ่มนวล เหมือนสายน้ำไหลเย็นไว้ให้พักใจ
ร้ากกกกกกกกกกกกกก  :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-06-2019 22:46:59
อยากให้พี่เอื้อยได้พบปะสนทนากับพี่ณภัทรจังเลย :a11:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-06-2019 08:57:35
ชอบในความซับซ้อนนี้ ที่ฉันท์มองออก และพร้อมสู้
น้องเข้มแข็งและมั่นคงขึ้นเยอะ เพราะเปิดโลก เปิดใจด้วย
เอ็นดูความมุ้งมิ้งของพี่กับน้อง อะไรก็จุ๊บก็จุ๊บนะฉันท์

ธามดูออก แม่นเหมือนจับวาง เดาน้องได้ไม่มากไม่น้อย
ชอบตรงนี้แหละ ที่สำคัญ ธามไม่โกหกน้อง

ฉันท์พร้อมลุยแล้วนะ ทุกคนเตรียมตัวเลย

ขอบคุณญาติฉันท์บางคนที่ไม่ทิ้งกันไป
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-06-2019 11:25:27


ก๊อกๆๆๆ แวะมาทักทายจิโระคุง คิดถึงงงงงงงงง   :กอด1:  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 16-06-2019 16:22:45
รออออ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-06-2019 20:51:25
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 19-06-2019 01:00:48
คิดถึงแล้ว
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่14 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 19-06-2019 07:20:10
พี่ขายของจิโร๊ะอ่ะไม่อ่อนนะจ๊ะ

น้องร้ายพอตัวจ้ะ

เรื่องจะยอมแพ้เหมือนรักคร้งแรกอ่ะน้องไม่ยอมหรอก
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่15 (20/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-06-2019 19:07:09
ตอนที่ 15

จิโระเห็นพี่ชายเตรียมตัวออกจากบ้านไปพร้อมกับธามันและกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กก็เริ่มใจไม่ดี ทั้งที่พี่ชายก็ทำความเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่จัดกระเป๋าเดินทางเมื่อวานนี้ ว่าต้องไปธุระ แล้วจะกลับมาในวันถัดไป ระหว่างนี้จะโทรศัพท์มาหาเป็นระยะ จิโระพยักหน้าทำความเข้าใจ แต่พอเห็นธามันถือกระเป๋าไปใส่รถก็เริ่มหน้าเสีย
“โอนี...”
พี่ชายอยากเปลี่ยนใจอยู่บ้านกับน้อง แต่วันนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าการไปเที่ยวด้วยกันก็คือการที่ต้องไปไหว้พ่อและแม่ของธามัน
นี่เป็นเรื่องที่สมควรจัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะต้องกังวลเรื่องนี้ไปตลอด
ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน...
ก็โตๆ กันแล้วนะ รู้ว่าความหมายของการไปเที่ยวด้วยกันคืออะไร พี่เองก็ต้องจัดตารางงานใหม่ และจองที่พักเรียบร้อย แล้วถ้าตอนนี้จะมาบอกว่าไม่ไป เพราะห่วงจิโระ หรืออยากพาจิโระไปด้วย มันก็ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
“ถ้าโอนีคุยธุระเสร็จจะรีบโทรมาหาจิโระ และจะรีบกลับมาหาจิโระทันทีเลยนะ”
“โอนี” ดวงตาของเด็กน้อยมีหยดน้ำปริ่มขอบตา
“ถ้าจิโระร้องไห้ โอนีก็จะต้องเป็นห่วงจิโระมากๆ ทั้งที่ตอนนี้จิโระมีทั้งคุณลุง คุณป้า กวาง และก็ยังมีโอกาซัง กับคุณพ่อที่คอยมองลงมาจากสวรรค์อีก” พี่ชายเช็ดน้ำตาให้น้อง “โอนีไปแค่คืนเดียวเองก็กลับมาแล้วนะ”
“โอนีไปฮันนีมูนกับฮันซามุซัง แล้วจะมีน้องอีกคน จิโระไม่อยากมีน้องนี่นา”
“ห๊ะ” พี่ชายตกใจ
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าความคิดทำลายความซาบซึ้งนี้มาจากไหน
“กวาง” ป้าเหนื่อยใจมาก “สอนอะไรเนี่ย”
กวางประสานมือท่าทางสำนึกผิดในคำพูดของตนเองแบบ...ไม่ค่อยจริงใจสักเท่าไหร่
เรื่องที่กวางบอกจิโระน่ะมันคือความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะฉันท์ต้องไปที่อื่นก่อนไปฮัน...เอิ่ม...ไปพักผ่อนกับพี่
แต่ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้กับเด็กอายุเกือบ 4 ขวบฉันท์ก็ไม่รู้จะอธิบายกับน้องชายอย่างไร ต้องหันไปหาพี่ให้ช่วยอธิบาย
ธามันก็อธิบายง่ายๆ แบบผู้ชายแมน ๆ คุยกัน “จิโระเป็นน้องที่โอนีกับพี่ภาคภูมิใจ และรักมากจนไม่อยากได้น้องอีกคนแล้ว”
จิโระมองหน้าธามันแล้วหันมามองหน้าพี่ชายจากนั้นก็พยักหน้า “ไปฮันนีมูน ให้ สะหนุก นะฮับ”
ที่จริงจิโระยังคงเป็นเด็กที่เข้าอะไรง่ายๆ นะ...ถ้าไม่ถูกเจ้ากวางใส่ข้อมูลอะไรที่มันแปลกๆ ลงไป
พอขึ้นรถได้พี่ก็หัวเราะอารมณ์ดี ขณะที่น้องหน้าแดง บทสนทนาที่ทำให้อารมณ์ดีมีไปจนถึงบ้านของธามัน
บ้านหลังใหญ่รูปแบบสมัยใหม่ แบบมีสนามหญ้ากว้าง
ธามันถือตะกร้าผลไม้เดินนำฉันท์ที่ถือกล่องของขวัญกล่องใหญ่เข้าไปในบ้าน
เวลานั้น ธนากำลังดูรายการกอล์ฟทางโทรทัศน์ ขณะที่เยาวเรศกำลังใช้สมาร์ทโฟนตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามอง ลูกชายกับฉันท์ที่เดินเข้ามาหาแล้ววางฝากลงที่โต๊ะประดับมุกด้านหน้า “พ่อครับ แม่ครับ นี่คือฉันท์ทัต วีนิตา คนรักของผมเองครับ”
ผู้ใหญ่ทั้ง 2 คนรับไหว้อย่างงงๆ แล้วหันไปมองหน้ากัน
คนแรกที่ลูกชายพามาบ้านไหว้พ่อแม่
คนแรกที่ลูกชายแนะนำว่าคือคนรัก
คือผู้ชาย
คนที่มารดาพูดมากกว่า 10 ครั้งว่าแม่พอรับได้ หากให้เป็นคนในบ้านเล็ก แบบที่ธนวัฒน์เลี้ยงนักศึกษา
เพราะธามันต้องแต่งงานกับสตรีในครอบครัวนักธุรกิจ หรือจะเป็นดาราคนมีชื่อเสียงในสาขาอื่นก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงเป็นคนที่จะทำให้ผลประโยชน์ืของครอบครัวเพิ่มพูน
แต่สุดท้ายธามันก็ยังคงพาหนุ่มคนนี้มาแนะนำ
ธามันชี้บอกให้น้องนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนตนเองนั่งบนที่เท้าแขน
“เมื่อวันก่อนแม่พาพี่ณภัทร กับธารามาหาน้องที่บ้าน ผมว่ามันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะแม่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าอยากพบน้องก็บอกผมสิ เพราะผมน่ะอยากพาน้องมาหาพ่อกับแม่ตั้งนานแล้ว”
เยาวเรศเวลาที่อยู่กับสามีช่างดูเป็นสตรีบอบบาง เหมาะที่จะถูกรังแกเป็นอย่างมาก เธอขยับตัวมาเกาะแขนสามีไว้เพื่อหวังเป็นที่พึ่ง
ฉันท์เลิกคิ้วสูง แล้วยิ้มที่มุมปาก ขณะที่ธามันส่ายหน้า 
“พ่อกับแม่รู้เรื่องของเขาจากคนอื่นมาตลอด วันนี้ผมพามาให้ถามแล้ว อยากรู้อะไรก็ถามเลยครับ”
ฟังลูกชายตัวดีพูดแล้ว อารมณ์ของพ่อเริ่มค่อนไปทางความไม่พอใจ
การที่ธามันพาหนุ่มคนนี้มาที่บ้าน ก็เพราะไม่พอใจที่มารดาไปหาถึงบ้านเช่นนั้นหรือ
“เราคุยกันว่าการที่ท่านไปถึงที่บ้าน อาจเพราะมีความกังวลหลายเรื่อง แต่เราแทบไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ผมเองตอนนั้นก็เครียดมาก ไม่รู้ว่าพูดหรือทำอะไรผิดไปหรือเปล่า และไม่ว่าท่านยังติดใจเรื่องอะไรอยู่ ผมก็พร้อมที่จะชี้แจง” น้องเป็นทางการมากจนพี่ยังแปลกใจ
ความเชื่อดั้งเดิมของเยาวเรศที่มีต่อฉันท์ทัต คือหนุ่มคนนี้เป็นคนดื้อเงียบ และ ‘จืดชืด’ แต่ในเวลานี้ดูเคร่งเครียดและเป็นทางการมาก
หรือธามันจะไปเล่าอะไรไว้ ทำให้หนุ่มคนนี้คิดว่าพ่อกับแม่เป็นคนดุ และน่ากลัว
เยาวเรศไม่เคยเล่าให้สามีฟังว่าพูดจาอะไรกับธามันไปบ้าง ในช่วงก่อนที่ลูกชายเพียงคนเดียวจะย้ายออกไป แต่ก็ใช่ว่าคนเป็นสามีจะเดาไม่ออก ดังนั้นเวลาที่พบกันในที่ทำงาน ธนาจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะพูดย้ำหรือบังคับให้กลับบ้าน อย่างมากก็บอกว่าให้กลับมากินข้าวเย็นที่บ้านบ้าง
คนเป็นพ่อเชื่อว่า ธามันที่มีนิสัยขี้รำคาญ จะไม่ทนกับผู้ชายที่มีนิสัยเหมือนผู้หญิง จะไม่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต
เป้าหมายของธามันคืออะไร
คือการเป็นที่ยอมรับของก้องเกียรติมนตรี
แล้วฉันท์ทัตคนนี้สามารถสนับสนุนธามันให้ไปได้ไกลขนาดไหน 
เขาเหมือน...คนหนุ่มที่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่าตำแหน่งของตนเองอยู่ตรงไหน ถ้าธามันไม่พามา เขาก็จะไม่มีวันเดินเข้ามาแนะนำตัวอย่างเด็ดขาด
การเริ่มต้นทำความรู้จักกันในแบบทางการก็ดีเหมือนกัน
“ทำไมถึงคิดว่าเราจะยอมรับ” เมื่อธามันขยับจะตอบ พ่อก็พยักหน้าไปทางฉันท์ทัต “ฉันถามเธอ”
“เพราะพวกเรารักพี่ธามเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้อยากให้ท่านยอมรับผมในฐานะคนรักของพี่นะครับ ผมอยากให้ท่านยอมรับผมแบบที่ผมเป็นรุ่นน้องคนหนึ่งของพี่มากกว่า ผมรู้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับการคบหากันแบบเรา และถ้าผมดึงดัน ก็จะทำให้ท่านและพี่ต้องลำบากใจ ผมขอแค่นี้ครับ”
ธนามองมือขาวที่บีบเข่าทั้ง 2 ข้างตลอดเวลาที่พูดอย่างเป็นการเป็นงาน
ถ้าเด็กคนนี้เป็นหลานชาย หรือเป็นพนักงานในบริษัทก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน น่าเสียดายที่เขาคือคนที่ธามันทุ่มเทให้ และมันกลายเป็นแง่มุมส่วนตัวที่เอามาขยายจนสร้างความเสียหายในภายหลัง
“คนไม่ได้ตัดสินกันด้วยเรื่องที่อยู่ในใจ แต่เราตัดสินกันด้วยการกระทำ คนที่รู้ว่าธามันอยู่กับเธอ จะเอาเรื่องนี้ไปขยายความ ขณะที่ก้องเกียรติกิจการเป็นบริษัทใหญ่ เราอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  มีคณะกรรมการบริหาร 8 ใน 11 คนเป็นคนที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม เขาไม่ทนกับข่าวกอสซิป ไม่ยอมรับความผิดพลาด”
“ผมว่าท่านให้ความสำคัญกับผมมากเกินไป เพราะผมเป็นเพียงคนที่ต้องพึ่งพาพี่เป็นอย่างมาก ตอนที่ผมลำบากที่สุด ผมมีแต่พี่ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”
“แล้วพี่น้องของเธอไปไหนกัน เพราะเขารู้ว่าเธอเป็นคนที่มีแต่ปัญหาที่มันเกินเยียวยาใช่ไหม แล้วพอธามไปช่วยเหลือ เธอก็รับคว้าเขาไว้ ดึงเขาลงไปหาเธอสินะ” เยาวเรศด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ครับ ผมมีปัญหามาก และผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
“เท่าที่รู้มาก็คือ เธอรู้จักกับทีม เขาไม่บอกอะไรเธอเลยหรือไง” เยาวเรศไม่เปิดช่องให้ฉันท์พูดจบประโยคเลยสักครั้ง จนแม้แต่ธนายังเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
“ผมไม่เคยคุยกับพี่ทีมเรื่องปัญหาของผม”
“เพราะเธอรอธามละสิ”
ฉันท์นิ่งคิดแล้วพยักหน้า “ครับ ผมรอพี่กลับมา”
เมื่อเห็นว่าธามันยิ้มได้กับคำตอบนี้ ธนาก็รู้ว่าภรรยาพลาด จึงพากลับมาที่เรื่องเดิม
“ธามเคยมีประสบการณ์กับเกย์มาบ้างในตอนที่อยู่อเมริกา ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”
ถึงพี่จะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ตรงๆ แต่น้องพอจะคาดเดาได้ ก็เลยยิ้มรับ
เยาวเรศแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “เธอเองก็คบหากับใครหลายคน ทั้งหญิงและชาย ก็คงมีประสบการณ์มาไม่น้อยสินะ”
อาการของคนที่โดนด่าจนหน้าชาเป็นแบบนี้เอง
“ใครๆ เขาก็รู้ว่าคนที่เป็นแบบเธอน่ะ ใช้ชีวิตได้มั่วขนาดไหน”
ฉันท์เงยหน้าขึ้นมองเยาวเรศ ขณะที่ธามันพูดท้วง
“แม่ครับ”
ฉันท์แตะที่เข่าพี่ คลี่ยิ้มแข็งเกร็ง
“ผมทำหลายเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำให้หลายคนเสียเวลาและทำให้เข้าใจผิด มีอีกหลายเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขมันได้อย่างไร รู้แต่ว่าในวันที่ผมมีปัญหาที่สุด พี่คือคนที่เข้ามาช่วยผมไว้ และเพิ่งได้มารู้ทีหลังว่าคุณคือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ” ฉันท์ทัตไหว้ขอบคุณแม่ของธามัน “ผมขอโทษที่เสียมารยาท ไม่ได้มาขอบคุณตั้งแต่ที่รู้เรื่อง”
เยาวเรศยักไหล่ ไม่ได้อธิบายความจริง และปล่อยให้ฉันท์รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเธออยู่เช่นนั้น
“ฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนแบบเธอจะมีมารยาทอะไรหรอก”
“ปัญหาในครอบครัวใหญ่ ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า มันหนักหนาขนาดไหน และมันเกินกำลังที่จะแก้ไข แต่กำลังใจจากคนในบ้านเดียวกันสำคัญที่สุด การที่คุณสนับสนุนให้พี่ได้ทำงานใหญ่ ส่งผลดีมาถึงผมด้วย ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณท่านมากครับ” ฉันท์พยายามประคองรอยยิ้มของตนเองให้คงอยู่ “พี่เคยบอกไว้ว่าในครอบครัวของแต่ละคนต่างก็มีความซับซ้อน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนยอมรับ”
แต่ตอนนี้ความอดทนของธามันใกล้หมดลง
“พ่อแม่ครับ ผมก็แค่อยากอยู่กับน้อง เรื่องที่คนเขากอสซิบอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย เรื่องของผม เราคุยกันไปแล้ว ส่วนเรื่องของน้อง ถ้าแม่เชื่อคำคนนินทามากกว่าสิ่งที่แม่เห็น ก็แล้วแต่แม่ครับ แต่ผมว่า ลำพังในบริษัทเราเนี่ย ตั้งแต่ซีอีโอ” ลุงใหญ่ “ลงมาจนถึงกรรมการบริษัท” รวมถึงพ่อด้วย “ก็น่าจะมากเกินกว่าที่เขาจะมาสนใจคนตำแหน่งเล็ก ๆ อย่างผมนะครับ” ธามันยก 2 มือ “ผมไม่สนับสนุนเรื่องแบล็คเมลนะครับ แต่จากการใช้ชีวิตของผมกับน้องทุกวันนี้ ผมว่าเรามีเรื่องอื่นให้เขาสนใจมากกว่าเรื่องนั้น”
“ธาม” มารดากังวลมาก
“แม่ครับ คนพูดถึงคนอื่นลับหลังกันเป็นปกติ และมันก็ปกติที่จะเป็นเรื่องไม่จริงและสร้างความเสียหายให้เขา เพื่อหวังกลบเรื่องไม่ดีของคนพูด” ธามันหันไปมองพ่อ “มันไม่เกี่ยวกับเพศเลยสักนิด ปัญหาครอบครัวน่ะ จะเพศไหนก็พบเจอปัญหา ถ้าใครสักคนสร้างปัญหา หรือเอาปัญหาเข้าบ้าน ที่พ่อกับแม่กังวล ผมกับน้องก็กังวล แต่ผมกังวลเรื่องความรู้สึกของพ่อกับแม่มากกว่าคนอื่น ผมถึงขอแยกออกไป ถ้าจะมีใครว่าอะไร ก็บอกกับเขาไปว่าผมไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อและแม่แล้ว”
“เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นนะธาม” เยาวเรศ
“แม่ก็อย่าคิดให้มันยากสิครับ ผมไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้าจะเป็นอย่างไร ผมรู้แต่ว่าผมรักคนนี้มาตลอด ต่อให้อยู่ห่างกัน ไม่เจอกันนาน แทนที่ความรู้สึกจะจางลง กลับยิ่งรักเขามากกว่าเดิม” ธามไม่ค่อยอยากซ้ำเติมจุดอ่อนเรื่องนี้ของมารดาสักเท่าไหร่ จะโต้เถียงกันมากมายขนาดไหนก็ไม่เคยพูดออกมา เพราะรู้ว่ามารดาเสียใจ “พ่ออยู่กับแม่ของคุณทีมมาก่อนเรา เคยมีสักวันไหมที่แม่วางใจว่าพ่อรักเราจริง ๆ สามารถหยุดคิดและบอกให้ผมต้องอยู่เหนือคุณทีมได้ไหม ถ้าผมแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนแล้วยังอยู่กับน้อง ก็หมายความว่าจะต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเหมือนแม่ พ่อเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังคงรู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมต่อผู้หญิง 2 คนและลูกทั้ง 2 คน”
เยาวเรศหน้าเจื่อนลง ไม่กล้าหันไปสบตาสามี
“นี่คือสิ่งที่ผมเห็นอยู่ทุกวัน จนผมเบื่อและเลือกที่จะทำในสิ่งที่แม่ตำหนิว่าผมหนีปัญหา ผมไม่ได้หนี แต่ผมรำคาญ” พ่อรู้นิสัยนี้ของธามเป็นอย่างดี “นี่ไม่ใช่ปัญหาของผม มันเป็นเรื่องที่ผมทำอะไรไม่ได้ และผมก็ไม่อยากอยู่กับปัญหาโลกแตกแบบนี้”
ธามันลุกขึ้นยืนและดึงมือฉันท์ให้ลุกขึ้นด้วย
“พวกเราอยู่บ้านเดียวกันแล้ว อย่าแยกเราเลยครับ”
ฉันท์เอียงคอสงสัย เวลาที่เราจะขอร้องใคร เราควรคุกเข่า หรือนั่งในระดับที่ต่ำกว่าคนที่เราไปขอร้องไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้พี่กลับยืนขึ้น และการที่เขาเป็นคนตัวสูงมาก ก็เลยยิ่งทำให้ดูเป็นการข่มขู่
และจากนิสัยของพี่ ถ้าตอนนี้ฉันท์ใช้การอ้อนวอน คุกเข่าลงเพื่อขอคบกับพี่ อาจยิ่งทำให้พี่ไม่พอใจ กลายเป็นยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในครอบครัว
แต่นี่คือพ่อกับแม่นะ
“ท่านครับ ผมไม่ได้มาแย่งชิงพี่ ไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้กับครอบครัวและธุรกิจ เพราะผมรู้ว่าทั้งหมดนี้มีความสำคัญกับพี่มาก ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน” หนุ่มตัวเล็กย้ำด้วยความเป็นกังวล “อย่าแยกพวกเราเลยครับ”
เยาวเรศลุกขึ้นยืน “แต่ถ้าเมื่อไหร่ธามพบคนที่ดีกว่าเธอ”
แค่ได้ยินเงื่อนไขนี้ ฉันท์ก็รู้สึกปวดใจ “ผม...จะไม่รั้งพี่ไว้”
“เธอพูดเองนะ เมื่อถึงเวลาก็ต้องทำให้ได้”
“ครับ”
น้องรับคำแต่พี่กำลังเบื่อมาก
“สรุปคือที่ผมพูดมา แม่ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม ถึงได้ถามแบบนี้”
เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการที่ไม่มีรอยยิ้ม และฉันท์ไม่สามารถจินตนาการภาพตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัวของพี่ได้เลย
แต่นี่คือพ่อกับแม่ของพี่ต่อให้ต่างก็รู้จักเรื่องของอีกฝ่ายผ่านเรื่องเล่าของบุคคลที่ 2 ยังเป็นคนแปลกหน้าที่เราสมควรทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น
ที่ขอให้พี่พามาในวันนี้ก็เพราะอยากทำความรู้จัก เพื่อขอให้ยอมรับ ไม่ใช่การมาเพื่อแสดงความดื้อรั้น  ไม่ได้มาเพื่อทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น
ยิ่งคุย สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วเราควรเปลี่ยนไปคุยเรื่องไหนที่จะสามารถลดความตึงเครียดนี้ลงได้บ้าง
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอด”
ธนาประหลาดใจแต่ก็พยักหน้าให้ถามได้
“เรื่องอาหารน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าพี่ชอบกินอะ...ไร” ท้ายเสียงแผ่วลงด้วยความเก้อเขิน “เคยถามว่าอยากกินอะไร เขาก็มักบอกว่า อะไรก็ได้ กินได้ทุกอย่าง แล้วเขากินได้หมดก็จริง แต่บางทีผมก็สงสัย...”
“สงสัยว่า...”
“เขาเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย อย่างนี้จริงๆ หรือครับ” หรือเพราะไม่เคยกินอาหารแบบนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันอร่อยและแปลก
“ยังไงล่ะ” เยาวเรศมีรอยยิ้มแบบเหนือกว่า
“เขาเป็นนักเรียนนอก แล้วก็มีเงินด้วย ตอนที่เขามาเช่าอพาร์ทเม้นท์จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าตั้งหลายเดือน ดูแล้วไม่น่าจะกินกับข้าวพื้นบ้านได้”
“ปลาช่อนทอดน้ำปลาอร่อยมาก” ธามันอวด
“เขา ค่อนข้างเลี้ยงง่ายมากไปสักหน่อย” ฉันท์แตะข้อศอกพี่เชิงบอกว่าอย่าเพิ่งอวด “ในบ้านเรามีทั้งเด็ก คนป่วย และคนชรา เวลาผมทำอาหารก็ทำตามวัยและสุขภาพ บางทีป้า หรือ จิโระน้องชายผมน่ะครับ จะบอกว่าวันนี้อยากกินอะไร เหลือแต่พี่นี่แหละครับที่ไม่เคยบอก”
เยาวเรศมีสีหน้าท่าทางไม่ค่อยอยากบอกสักเท่าไหร่  แต่พอเห็นสีหน้าของสามีกับลูกชายที่กำลังกลั้นหัวเราะก็รู้สึกขำตามไปด้วย เลยบอกไปตามตรง “เขาไม่กินอาหารค้าง ข้ามมื้อ ไม่กินอาหารเหลือจากใคร ไม่ชอบกินอาหารตามร้าน หรือโรงอาหาร ถ้าไม่มีให้เลือกก็กินได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็จะเลือกกินอาหารทำใหม่ที่บ้าน”
ต้องทำใหม่ และที่บ้านด้วย
“งั้นอาหารแบบที่เขาเดลิเวอรี่ก็ไม่กินใช่ไหมครับ”
“อย่าสั่งมาเชียวนะ ต่อให้เป็นของโรงแรมดังก็ไม่กิน” เยาวเรศบอก
ฉันท์นึกขึ้นได้ “วันทำบุญที่ตลาดพี่ดื่มแต่น้ำเปล่า” แม่พยักหน้าเชิงบอกว่าถูกต้องแล้ว ลูกชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ “แต่ตอนกลับมาถึงบ้านก็กินกับข้าวที่ตักแบ่งมาจากงานได้นี่”
“ก็เพราะมื้อนั้นมีแต่แบบนั้นไง” พี่เฉลย
น้องมีสีหน้าขอโทษพี่อยู่ชั่ววินาที แล้วหันไปหาแม่
“เอาแต่ใจสินะครับ”
“ใช่” แม่ตอบ ส่วนพ่อหัวเราะเบา ๆพลางพยักหน้า
ฉันท์หันไปหาพี่เมื่อเข้าใจแล้ว “มิน่า 3 ทุ่มก็ยังกลับมากินข้าวบ้าน บางวันมีแค่ผัดผักบุ้งก็กินได้”
ไม่เกี่ยงรสชาติ และวัตถุดิบ ขอเพียงทำใหม่ให้นายธามัน ก้องเกียรติมนตรีก็พอ
เยาวเรศขยับตัวเมื่อได้ยินอาหารมื้อค่ำของลูกชาย “ผัดผักบุ้งหรือ”
“ครับ วันนั้นพี่บอกว่าไปงานเลี้ยง กลับมา 4 ทุ่ม ผมก็คิดว่าเขากินข้าวมาแล้วเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ แต่พอเขาเข้าบ้านมาก็บอกทันทีว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย หิวมาก แล้วในครัววันนั้นเหลือแต่ผักบุ้งกับหมูสับ จะออกไปเก็บมะละกอในสวนมาผัดไข่ให้ ก็ไม่เอา บอกว่ามืดแล้ว ผัดผักบุ้งก็พอ”
เยาวเรศรู้ว่าลูกชายกินอาหารแบบนี้ได้ แต่ในฐานะแม่ก็ยังเป็นห่วงไม่ได้ “มื้อนั้นมื้อเดียวหรือยังมีวันอื่นอีก”
“มื้อนั้นมื้อเดียวครับ” น้องรู้สึกผิดในใจ พ่อแม่เขาตามใจและเลี้ยงดีมาขนาดนี้ แต่พออยู่กับเราต้องกินผัดผักบุ้ง “หลังจากนั้นผมจะเตรียมเครื่องไว้ทำอาหารมื้อดึกอย่างข้าวต้มกุ้ง หรือเส้นหมี่ลูกชิ้น เวลาพี่กลับมาก็จะถามว่ากินอะไรมาหรือยัง เขาตอบว่ายังถึงจะทำ แต่ก็บอกว่ายังทุกที ยังคิดอยู่ว่า ทำไมไม่กินข้าวเย็น กลับมากินมื้อดึกทุกวัน ตอนนี้รู้แล้ว”
“เมื่อคืนกินสปาเก็ตตี้ซอสหมู” พี่อวดขึ้นมาอีกครั้ง
“3 ทุ่มกินแล้วก็นอนน่ะนะ” พ่อท้วงขึ้น “ดื่มเหล้า แล้วมาสปาเก็ตตี้ก่อนนอน ถึงจะหนุ่มอยู่ก็ต้องระวังกระเพาะ ลำไส้ตัวเองบ้าง”
“ไม่นะ กินเสร็จก็เดินอยู่ในบ้านสัก 10 นาที หรือไม่ก็ออกไปปัดๆ รถแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำนอน” แต่ที่จริงมันคือการเดินตามน้องเก็บบ้าน แล้วก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่างหาก “ไม่ได้นอนทันทีครับ”
ไม่น่าเชื่อว่าการคุยเรื่องอาหารมื้อค่ำของพี่จะสามารถพลิกบรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ให้กลับมาเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ จนกระทั่งเกือบ 11 โมงพี่ก็บอกว่า จะกลับแล้ว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็จางหายไปทันที
“จะกลับไปบ้านหลังนั้นหรือ” เยาวเรศถาม
“ครับ”
“ธาม ยอมได้หรือ ถ้าลุงธนดลจะให้ความวางใจทีม หรือฐาติ ขึ้นมาเป็นกรรมการบริษัท ขณะที่ดร.ธามันยังเป็นเพียงผู้ช่วยผู้จัดการน่ะ” เยาวเรศท้วงขึ้น
“แม่ครับ 2 คนนั้นน่ะ...” พี่หันไปมองพ่อแล้วเปลี่ยนคำตอบที่ต้องตอบแม่ “พวกเขามีความชำนาญบางอย่างที่ผมทำไม่ได้ แต่บางอย่างที่ผมทำได้ พวกเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
“ธาม อย่าดื้อรั้นได้ไหมก้องเกียรติกิจการไม่ได้มีพวกเธออยู่ 3 คนเขาสามารถหาคนมาแทนที่ในสิ่งที่พวกเธอทำไม่ได้ คนที่จะไม่ทำให้พวกเขาถูกหัวเราะเยาะ หรือเสียดสีว่ามีลูกหลานเป็น...”
“แล้วผมยังเป็นลูกของแม่อยู่ไหมครับ”
“ธาม”
“พี่” ฉันท์กระตุกแขนเสื้อของพี่ 
“แม่ครับ ผมไม่อยากพูดซ้ำ” พี่หันไปหาพ่อ “เชื่อเถอะครับ แม่พูดประโยคนี้หลายครั้งมากจนผมขี้เกียจจะนับ พอแม่เริ่มพูดคำแรกผมก็รู้แล้วว่าคำต่อไปคืออะไร ผมไม่ได้ต้องการที่จะไปหาน้องในวันที่ผมยังขัดแย้งกับแม่ไม่จบแบบนี้หรอกครับ แต่ยอมรับว่าผมอยากย้ายออกจากบ้านนี้มาตลอด และเพราะว่าผมเป็นคนฉวยโอกาส เพราะเขาไม่มีใคร ผมจึงเสนอตัวไปอยู่กับเขาเอง แม่จะไปตรวจสอบซ้ำเรื่องนี้กับใครก็ได้ ฐาติ คุณทีม หรือจะเป็นนายช่างที่ไปซ่อมบ้าน น้องไม่ได้ชวนผมสักคำ ผมคือคนที่ขอไปอยู่ด้วย”
“ธาม” พ่อเตือน
ตอนนี้พี่ไม่ได้โกรธหัวฟัดหัวเหลี่ยงแล้ว แต่พูดทุกคำด้วยความเบื่อหน่ายและรำคาญอย่างสุดๆ
“แล้วไอ้เรื่องทั้งหลายที่แม่รู้ แม่คิดว่าลุงทั้ง 2 คนไม่รู้หรือครับ แต่เขาไม่เคยเรียกผมไปคุย ไม่ว่าจะเพราะอะไร สำหรับผมแล้วไม่คุยก็คือไม่มีความเห็น และไม่ว่าเขาหรือญาติพี่น้องคนอื่นจะคิดเรื่องคนรักของผมอย่างไร ผมไม่ได้สนใจมากไปว่าความรู้สึกของพ่อกับแม่ เพราะสุดท้ายแล้วผมกับน้องก็แค่อยู่ด้วยกัน ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้”
พี่พูดจบก็ยกมือไหว้ลาพ่อกับแม่แล้วเดินนำออกมา ทำให้น้องต้องวิ่งตามมาดึงแขนไว้
“พี่ อย่าทำอย่างนี้สิ พี่พาผมมาหาพ่อกับแม่ เพื่อที่จะทำแบบนี้หรือฮะ”
“ธาม”  แม่เรียกขณะที่เดินตามมา
ฉันท์หันไปหาพ่อกับแม่ แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนพี่ “ผมขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ ทั้งหมดนี้อาจเพราะผมคิดอะไรง่ายเกินไป คิดว่าหากได้พูดคุยกัน เราอาจเข้าใจกันได้ ว่าผมไม่ได้ต้องการแยกพี่มาจากท่าน ผมมองเรื่องนี้จากประสบการณ์ของผมเอง ในครอบครัวของผม พ่อผมมีปัญหากับพี่น้องของเขามาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิด แต่แม่ก็บอกอยู่เสมอว่านั่นคือปัญหาของพ่อกับพี่น้องของเขา แต่ผมเป็นหลานผมต้องทำดีกับทุกคน มาถึงพ่อกับแม่ผมเอง ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่า เขามีปัญหาอะไรกัน เพราะพ่อมักบอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ผมมีหน้าที่เรียนหนังสือ รู้ตัวอีกทีก็คือพวกเขาหย่ากัน ผ่านไปหลายปีแม่กลับมารับผมไปอยู่ด้วย ในวันเดียวกันนั้นเองที่ผมรู้ว่าผมมีน้องชาย แล้วผมก็เสียพ่อกับแม่ไป  ผมตกอยู่ในความกลัวตั้งนาน มีแต่พี่คนเดียวที่เข้ามาช่วยจนผมผ่านมาได้” ยิ่งพูดน้ำเสียงก็สั่นจากนั้นหยดน้ำตาก็ร่วงเผาะ “ในตอนที่ทั้งหมดยังสามารถพูดคุยกันได้ ก็คุยกันเถอะฮะ อย่าปล่อยให้เวลานี้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
ธามันกับฉันท์ทัตถูกเลี้ยงดูมาต่างกันจนเหมือนโลกคู่ขนาน
“แต่ธามก็ไม่ได้เลือกจะทำในสิ่งที่ฉันพูด” เยาวเรศเน้นคำ
“แม่เองก็ไม่เคยฟังในสิ่งที่ผมพูดเหมือนกัน” พี่พูดแล้วถอนหายใจแรงๆ “ผมอาจยังไม่เป็นที่ 1 ในสายตาของแม่ แต่แม่ลองถามพ่อ หรือลุงทั้ง 2 คนดูก็ได้ ว่าผมกับคุณทีม ใครเหนือกว่า ในกลุ่มคนทำงานรุ่นเดียวกันต่อให้คนรุ่นก่อนผมขึ้นไป 4 รุ่นด้วยก็ได้ ผมอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ ถ้ามีห้องทำงานใหญ่ โต๊ะตัวใหญ่ แล้วต้องเดินตามพ่อทั้งวันแบบนั้นก็ไม่ใช่ผมแล้ว”
พ่อส่ายหน้าโบกมือไล่ เพราะรู้สึกเห็นด้วยที่การพูดคุยเรื่องนี้กับเยาวเรศมักจะวนกลับมาที่เดิมเสมอ “เออ จะกลับแล้วใช่ไหม กลับไปเหอะ ทางนี้พ่อจัดการเอง”
ธามนึกขึ้นได้ “เรากำลังจะไปเที่ยวทะเลกัน พรุ่งนี้พ่อไปเล่นกอล์ฟกับกลุ่มสระบุรีด้วยนะ”
“เออ”
“คุณคะ” เยาวเรศหันมาหาสามี เพราะตามพ่อลูกคู่นี้ไม่ทัน
น้องก็เหมือนกัน
อารมณ์การสนทนาของบ้านนี้ โดยเฉพาะพี่กับพ่อเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะ วิ่งออกจากสถานีช้าๆ ไต่ทำความสูงเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาขนานกับพื้นดิน ไต่ทำความสูงม้วนตีลังกา  2 รอบแล้วก็พุ่งเข้าจอดที่ชานชาลาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อธนวัฒน์เลี้ยวรถเข้ามาในบ้าน เยาวเรศก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ฉันท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย...จะแข่งขัน หรือจะไม่ชอบกัน ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องแสดงอาการแบบนั้น
เธอกำลังแสดงละครให้ใครดูหรือ
ธามันและฉันท์ยกมือไหว้ธนวัฒน์ที่รับไหว้พร้อมกับถาม “จะเที่ยงอยู่แล้ว ยังไม่ออกเดินทางกันอีกหรือ”
“ทีมไปด้วยหรือ” เยาวเรศถาม
“ไม่เชิงว่าไปด้วยหรอกครับ เพราะพักคนละที่ แต่ที่ผมมาก็เพราะแม่บอกว่าธามพาแฟนมาแนะนำกับพ่อแม่” คุณทีมดูเป็นพี่ชายแสนดี ที่มีความเข้าใจน้องชายอย่างแท้จริง “ราบรื่นดีใช่ไหม”
ธามันยักไหล่ “ไม่ค่อยเท่าไหร่ “ คนตัวใหญ่ชี้มาที่คนที่ยังมีรอยน้ำตา
ธนวัฒน์มีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อหันไปหาเยาวเรศ “พวกเขารอกันมาตั้งหลายปีกว่าจะได้มาอยู่ด้วยกัน ไม่ชอบแม่ผมก็ไม่ควรเดินตามรอยแม่ผม ส่วนผู้หญิงที่เสแสร้งเป็นแม่พระ แต่แท้จริงเป็นพวกยุแยงให้คนแตกกัน ไม่ต้องทำอะไรมาก คนแบบนี้เห็นว่าเรามีความสุขเดี๋ยวก็เส้นเลือดสมองแตกตายไปเอง”
ธนวัฒน์หันมาบอกให้ทั้งคู่ออกเดินทาง

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 20-06-2019 19:08:20
(ต่อครับ)

“ทีม นี่มันยังไงกันเนี่ย” ก็ไม่ได้ถึงกับว่าจะไม่เข้าใจที่ธนวัฒน์พูดมาว่าหมายถึงใคร แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับตนเองเยาวเรศยังไม่อยากยอมรับการกระทำของตนเอง
ธนวัฒน์พูดอย่างชัดเจน “ผม และธามด้วย เราจะไม่ยอมให้เรื่องที่เกิดกับโจต้องมาเกิดกับน้องฉันท์ครับ”
ธามันหันมามองน้องที่ยิ่งหน้าซีดหนักลงไปกว่าเดิมแล้วชวนกันออกเดินทาง ปล่อยให้ธนวัฒน์รับหน้าที่พูดคุยกับแม่ต่อไป
แต่ในตอนที่พี่เลี้ยวรถออกจากบ้าน ฉันท์ก็หันกลับไปมองรั้วบ้าน จนสุดแนวรั้วถึงได้หันกลับมามองไปด้านหน้า
“แม่พี่ทีมคงไม่ได้อยากให้พี่ทีมมาเพื่อช่วยเราแน่ๆ”
พี่หัวเราะเบาๆ ขณะที่ส่ายหน้า น้องก็เลยพยักหน้าล้อเลียน “เข้าใจแล้วว่า ทำไมพี่ถึงบอกว่า บ้านพี่มีแต่เรื่องขัดแย้งกัน”
เข้าใจแล้วว่าจุดยืนของธนวัฒน์มีเพียงทำอย่างไรก็ได้ที่มันสวนทางกับความต้องการของทุกคน
ขณะที่ธามันจะยอมรับตราบเท่าที่พูดกันดีๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่การสนทนามีคำสั่ง มีคำประชดประชันเขาจะเดินหนี
“เป็นพ่อแม่พวกพี่นี่ไม่ง่ายเลย” น้องพูดขำๆ “พวกเขาไม่ได้เกลียดเกย์ ไม่ได้เกลียดผม แต่เพราะพวกเขารักพี่มากจึงก็เลยเป็นห่วงว่าพี่จะต้องอยู่กับสายตาและการวิพากษ์วิจารณ์ไปตลอดต่างหาก”
พี่ส่ายหน้า “ตอนพี่อยู่คอลเลจพี่เคยไป...ค้างห้องเพื่อนที่เป็นเกย์ แม่ถึงกับบินไปอยู่อเมริกากับพี่เดือนหนึ่ง เพื่อที่จะชวนพี่ไปงานสมาคม แนะนำให้รู้จักกับลูกสาวของนักธุรกิจ นักการเมืองหลายคนที่เรียนอยู่อเมริกาตอนนั้น”
“ตั้งแต่คอลเลจ มัธยมน่ะนะ” น้องทำปากยื่น “ตอนเป็นเรื่องของตัวเอง คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอเป็นพี่ทำไมรู้สึกแปลกๆ”
“แปลกแบบไหน”
“ก็แบบ อืม...คนเขาฮอตจริง”
“ไม่หรอก พี่ไม่ได้คบกับใคร”
“โห แบบนั้นแหละที่เรียกว่าฮอต” น้องค้านเสียงดัง “ใครๆ ก็มาจีบพี่น่ะเรียกว่าฮอต แต่ถ้าพี่จีบเรื่อยเปื่อย คบทีละหลายๆคนจะเรียกอีกอย่าง”
พี่ทำตาขวาง “ไม่ใช่ทั้ง 2 ประเภทน่ะแหละ มีแต่เพื่อน”
น้องกำลังอยากรู้เรื่องต่อ “แล้วพี่โอเคกับคนที่แม่แนะนำไหมฮะ”
“ไม่”
“ไม่น่าถามเลย” น้องพูดเบาๆ เพราะพอจะเดาได้อยู่แล้ว “แล้วพี่ทำไง”
“ก็ไม่ทำไง บอกให้ไปก็ไป แต่ไม่สานต่อ”
“แบบเดียวกับคุณอลิซใช่ไหมฮะ”
“ก็มันจะมีกี่วิธีกันล่ะ ที่เราจะปฏิเสธได้โดยไม่ทำให้ผู้หญิงเขารู้สึกไม่ดี” ขออภัยดร.ธามันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้
น้องเห็นด้วย “แล้วแม่พูดออกมาตรงๆ เลยหรือเปล่าฮะ ว่าอยากให้คบผู้หญิง”
“ไม่ตรงขนาดนั้น ตอนแรกเขาก็จะแนะนำว่า ให้พาไปเที่ยว พอเห็นว่าพี่เฉยๆ เขาก็บอกว่า พ่อแม่ของแต่ละคนทำธุรกิจอะไร ถ้าแต่งงานไปแล้วมีลูกด้วยกัน ธุรกิจจะมั่นคง ถ้าจะไม่สานต่องานในก้องเกียรติกิจการก็ได้”
แต่งงานและมีลูก...เรื่องที่ผู้ชายทำไม่ได้
น้องพยักหน้า “พ่อแม่ที่รักลูกมากๆ นี่เป็นเหมือนกันหมด เขาจะไม่พูดกับเราตรงๆ”
พี่เหลือบตามองคนที่มีสีหน้าเศร้าหมองลง น้องก็เลยอธิบาย
“ไม่ถึงขนาดเกลียด แต่เขาไม่อยากให้ลูกเป็นเกย์เท่านั้นแหละ” น้องเปลี่ยนมาให้กำลังใจพี่ “ถึงพ่อแม่พี่เขาจะไม่อยากยอมรับผม แต่เขาก็ไม่ได้ไล่ผมออกจากบ้าน...นั่นก็พอแล้ว”
“รู้สึกใจไม่ค่อยดีนะเนี่ย กลัวประโยคต่อไปจะเป็นการขอเลิก”
“บ้าหรือ” น้องเสียงดังทำแก้มพอง “เขารู้ว่าหลายปีมานี้ผม ครอบครัวผมเป็นไง นอกจากผมจะเป็นผู้ชาย ผมยังไม่ได้รวยร้อยล้าน รวมๆแล้ว เขาไม่ได้พูดให้ผมเลิกกับพี่เลยนะ ไม่ได้ตำหนิว่าผมไปหลอกอะไรพี่ด้วย”
“เพราะพี่บอกว่าพี่คือคนที่เข้าหาน้องก่อนต่างหากไง”
“เพราะเขารักพี่มาก” และทำให้คิดถึงพ่อกับโอกาซังมาก
พี่พูดเหมือนอ่านใจน้องได้ “พ่อกับแม่ของชิรายูกิก็มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน”
“แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่อธิบายให้ผมฟังแล้ว ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่พี่ยังสามารถรับฟังเขาได้”
“ก็ฟังมาตลอดน่ะแหละ แต่ปลายทางของคำพูดของเขามันเหมือนเดิม มันก็เลยน่าเบื่อไปหน่อย”
เพื่อไม่ให้พี่เบื่อที่จะคุยกับน้องไปอีกคน น้องก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย “นี่ เรื่องบ้านน่ะ ที่จริงคือผมเป็นคนเสนอเงื่อนไขนะ”
“เราแลกเปลี่ยนข้อตกลงกันต่างหาก”
“ก็ใช่” น้องเสียงอ่อย
พี่ยกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้า
“ตั้งแต่จำความได้พี่ก็อยู่กับเงื่อนไขมากมายมาโดยตลอด” บางอย่างมันก็คือความท้าทาย แต่หลายอย่างมันน่าเบื่อ
“ดูเผินๆ เหมือนพี่เป็นคนชอบแข่งขัน อยากเอาชนะ แต่จริงๆ แล้วต่อให้อยากชนะมากขนาดไหน แต่ถ้าเงื่อนไขเยอะแยะพี่จะเท”
“เฉพาะเรื่องในครอบครัวเท่านั้นแหละ”
“เพราะมันเป็นเรื่องที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้”
“เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปแก้ไข เราก็ใช้ชีวิตของเราไป”
“สรุปดื้อๆ เลยหรือ” น้องหัวเราะร่วน พาให้พี่หัวเราะตาม

...จบตอนที่15...
 ใกล้จบแล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-06-2019 20:37:21
ใจเสียหมด​ นึกว่าน้องจะเครียดดราม้าหนัก​ แต่นี้เล่นพากันเทกันแบบดื้อๆเลย​ 5555
คุณแม่เอ้ย​ คิดอะไรได้บ้างไหมหนอ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-06-2019 14:04:44
คิดถึงเสมอนะคะ น้องน้ำชา กะ  คุณไจฟ์
ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลย  ขอเวลาตามเก็บ
เดี๋ยวไล่อ่านทัน  จะเข้ามาใหม่นะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 21-06-2019 17:38:05
ปัญหาแต่ละบ้าน โอ๊ยยยย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-06-2019 07:50:23
ปัญหาภายใน เรื้อรัง แก้ยาก ความคิดถูกตีกรอบ
ธามเลยเลือกที่จะเดินออกมา มากกว่าที่จะพาน้องเข้าไป

ฉันท์น่ารัก น้องก็ไม่อยากให้พี่มีปัญหากับคนที่รัก
แต่กลายเป็นถึงจะมีปัญหา พี่ก็จบลงแบบปล่อยผ่าน 5555

เอ็นดูฉันท์ ตอบจิโระยังไงล่ะ โดนพี่แหย่เลยคนเรา
อยากตามไปฮันนีมูนด้วยแล้วค่ะ พี่ชายรับปากแล้ว
ไม่มีน้องเพิ่มนะ จิโระสบายใจได้ กวางเพ้อไปเอง  :hao3:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-06-2019 09:05:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-06-2019 09:40:41

เป็นการพบกันที่เหมือนจะไม่เครียดแต่ก็เครียดนะเอาจริง
คุณแม่นี่คือขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้หรือยังไง  :เฮ้อ:

ว่าแต่อยากจะขอโทษคุณทีมอีกสักรอบจังมีปกป้องน้องออกหน้าด้วย กลายเป็นตัวร้ายที่น่ารักไปเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 28-06-2019 06:52:14
ติดตามจ้า ไม่เคยผิดหวัง สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-06-2019 08:03:00
คนบ้านพี่ธาม

คนบ้านพี่ทีม

ตลกอ่ะ

ดูแล้วไม่มีใครมีความสุข

ในหัวสมองมีแต่แผนการและธุรกิจ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2019 03:25:17
 :katai5: มารอจ้ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-07-2019 11:19:31


ก๊อก ๆ ๆ คิดถึงจ้า  :mew1:  :mew1:


หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนที่15 (2/6/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 08-07-2019 14:58:46
พึ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้อ่านตอนที่ 15 เพราะหัวกระทู้ไม่ได้เปลี่ยนวันที่อะน้ำชา
ยังคิดเลยว่ารอบนี้นานจัง  :hao3:

แต่ก็อยากให้มาอีกเร็วๆ นะ รอๆ

หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-07-2019 19:02:07
ตอนที่16

ทั้งที่ป้าย้ำนักย้ำหนา ว่าเวลาที่อยู่กับพี่เราควรทำตัวร่าเริง แต่ฉันท์ก็มักลืมตัวไปคิดถึงคำพูดของแม่ และคำพูดที่พี่เอื้อยเคยบอกไว้
ก็บรรดาเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วและแก้ไขอะไรไม่ได้เหล่านั้น
และก็ยังมีข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริงเหล่านั้น
พ่อตอบโต้ความเกลียดชังด้วยความเกลียดชัง แต่ฉันท์เป็นลูกแม่จึงตอบโต้ด้วยการทำความดีกับคนที่เกลียดเรา
แต่เมื่ออีกฝ่ายคือแม่ของพี่ ทุกคำพูดของแม่คือความจริง คือครอบครัว และคือธุรกิจ
หากวันหนึ่งแม่ยื่นคำขาดให้พี่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง เราจะทำอย่างไรต่อไป
จะเป็นตุ๊กตาหิมะตัวหนึ่งที่ยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อรอวันละลายไปอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
เมื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องพักชั้น 40 ของโรงแรมหรูมองเส้นขอบฟ้าจดบรรจบของทะเลกับท้องฟ้า ฉันท์ก็พูดขึ้น
“ถึงผมจะบอกตัวเองอยู่ตลอดว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่ แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ไปชอบคนอื่น ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น” ดวงตาคู่สวยหันมามองคนที่หยุดรื้อของออกจากกระเป๋า แล้วเดินเข้ามากอดเอวไว้หลวม ๆ
จมูกคมก้มลงหอมขมับน้อง
“นี่คือเรื่องที่คิดมาครึ่งวันหรือเปล่า”
ฉันท์ทำหน้ายู่ “หลายเรื่องฮะ แต่ลังเลว่าควรบอกกับพี่ตามตรงดีไหม จะทำให้ผมดูเป็นคนใจแคบหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมา คำนี้มันตรงกับใจผมที่สุดแล้ว ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ พี่รับได้ไหม”
“อย่างนั้นพี่คงใจแคบเหมือนกัน เพราะพี่ก็ไม่อยากให้ฉันท์ไปชอบคนอื่น หรือแต่งงานกับคนอื่นเหมือนกัน”
“ห๊ะ ผมน่ะนะ” ถึงขนาดนี้แล้วนายฉันท์ทัตจะไปชอบใครที่ไหนได้อีก 
“ใช่สิ” พี่ทำหน้าตาจริงจัง ดึงคางสวยให้เงยขึ้นมารับจูบ “พี่รักขนาดนี้ ไม่อยากให้น้องไปชอบคนอื่นเลย”
ฉันท์หันมาโอบกอดรอบคอพี่ ดวงตาคู่สวยยิ้มพราว
“พี่ฮะ พี่คิดว่ายังมีใครที่เขาจะชอบคนแบบผมอยู่อีกหรือฮะ”
“พี่ไง” ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
เรื่องนี้รู้อยู่แล้วนี่นา “ผมหมายถึงคนอื่น”
“คนอื่นก็ไม่ได้ ห้ามตั้งคำถามถึงด้วย พี่น่ะทั้งใจแคบ ทั้งเห็นแก่ตัวมากเวลาที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้อง”
ฉันท์จูบคางสวย “ขอบคุณฮะ” แต่ถ้าทั้ง 2 คนหวงกันขนาดหนักอย่างที่พูดคงได้พากันอดตายกันทั้งคู่
“ขอผมไปอาบน้ำก่อนนะฮะ”
พี่จูบอีกครั้งแล้วปล่อยให้น้องไปอาบน้ำ พอน้องอาบน้ำเสร็จถึงได้อาบน้ำต่อ แต่พออกมาปรากฏว่าน้องหลับไปแล้ว
คนตัวใหญ่แทรกตัวใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเพื่อที่จะนอนมองหน้าคนที่กำลังหลับสบาย
จะว่าไปที่นอนวันนี้นุ่มสบาย แต่ฉันท์หลับไปได้สักครึ่งชั่วโมงก็ลืมตาขึ้นมามองคนที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ
“ทำไมนอนแป๊บเดียว พี่เพิ่งจะเปิดโน๊ตบุ๊กทำงานได้ไม่ถึง 5 นาที”
พี่นั่งพิงหัวเตียงวางโน๊ตบุ๊กไว้บนผ้าห่ม เปิดไฟล์งานอยู่ และก็กำลังมองมา
“พี่ก็ทำงานไปสิฮะ” น้องหันไปมองนาฬิกา “รอสัก 4 โมงครึ่งเราค่อยไปเดินเล่นกันก็ได้”
“ดูหนังไหม” พี่ชวน แล้วหยิบรีโมทเปิดโทรทัศน์ให้ จากนั้นก็ทำงานต่อ
คู่รักคนอื่น ๆ เขาเป็นแบบนี้ไหม กว่าจะได้มาเที่ยวด้วยกันช่างยากเย็น แต่พอมาถึงคนหนึ่งนอนดูโทรทัศน์ อีกคนนั่งทำงาน แล้วพอสี่โมงครึ่งก็ชวนกันลงมาเดินเล่น ซึ่งเป็นการเดินที่จริงจังมาก ตั้งแต่ชายหาดไปจนถึงตลาดเพื่อกินข้าว เสร็จแล้วก็กลับมาโรงแรมเพื่อดื่มเบียร์ด้วยกันต่อ
เปิดหน้าต่างห้องพัก สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงนอนระหว่างที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ด้วยกัน
“เพิ่งเคยเห็นว่าชิรายูกิดื่ม”
“ผมดื่มครั้งสุดท้ายคือฉลองจบการศึกษา ตื่นขึ้นมาเมาค้างปวดหัวมาก...” แล้วมันก็คือวันที่พ่อกับแม่จากไป แต่สาเหตุที่ไม่ได้ดื่มเลยก็เพราะต้องดูน้อง
“อย่างนั้นพี่ก็ไม่ควรพากลับมาดื่มอีกรอบ”
นี่รู้สึกผิดจริง ๆ นะเพราะน้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่ดูขัดแย้งกันมากดีที่สั่งเบียร์แค่ 4 ขวด พี่เลยแย่งดื่มไป 3 เหลือให้น้องขวดเดียว
“พี่ขี้หวง” น้องพูดนิ่ง ๆ ทำให้เดาได้ยากว่าหมายถึงเบียร์หรือน้อง
แต่ ณ จุด ๆ นี้พี่โมเมว่าหมายถึงน้อง
คนตัวโตยักไหล่เก็บขวดเบียร์เปล่าออกไปวางไว้หน้าห้อง ส่วนน้องเดินตามไปห้องน้ำ พอเปิดประตูออกมาเห็นพี่ยืนรออยู่
“ทำไมพี่ยังไม่นอน”
“ต้องแปรงฟันก่อนนอนไง”
น้องหัวเราะเบา ๆ พยักหน้าให้มาแปรงฟันอยู่ด้วยกัน
ตอนที่ต่างคนต่างมองอีกฝ่ายผ่านกระจกในห้องน้ำรับรู้ได้เลยว่าอีกคนก็ประหม่าไม่แพ้กัน เพียงแต่พี่เก็บอาการได้ดีกว่า ส่วนน้องเริ่มจากแก้มขึ้นสีแดงเรื่อ จากนั้นลามขึ้นไปถึงหู และลงมาที่อก
ยิ่งบอกตัวเองว่าให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติ
มีแต่ความตั้งใจที่มากเกินไป ยิ่งยืนอยู่ข้างกัน ยิ่งรู้สึกว่าน้องตัวเกร็ง
ดวงตาสีสวยที่เหลือบมองพี่มีแต่ความกังวล
ตอนที่กลับมายืนอยู่หน้าเตียง น้องก็สารภาพตามตรง
“พี่ ผมเครียด” มือผอมบางเย็นเฉียบจับที่ข้อศอกตนเอง ทั้งยังรู้สึกว่าคางสั่น
พี่เดินกลับไปปิดไฟในห้องนอน แล้วเดินกลับมาหา “ดีขึ้นไหม”
“นิดหน่อย” น้องออกตัว “ผมผิดปกติไหม” ก็เราอยู่บ้านเดียวกันมาตั้งนาน จูบกันตั้งหลายครั้ง ยังเป็นแบบนี้อีก
“ไม่หรอก” แต่พอพี่จะก้มลงจูบน้องก็แตะอกพี่ไว้
น้องทำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูด ทำให้พี่สงสัย
“ถ้าไม่พร้อม พี่รอได้นะ”
น้องจับข้อมือพี่ไว้ “ผมพยายามจะไม่เครียด ก็กลับไปนึกถึงที่...เขาพูดเกี่ยวกับผมขึ้นมา ก็เลยสับสนนิดหน่อย”
“หลับตา”
น้องทำตามอย่างว่าง่าย พี่ก้มลงจูบที่หน้าผากสวย เปลือกตา แก้มอิ่ม ปลายจมูกลงมาถึงริมฝีปาก
ปลายนิ้วที่แตะคาง ลากลงมาที่ลำคอ ไหล่แล้วโอบเอวบางไว้ แล้วกลับมาดูดเม้มที่ริมฝีปาก
น้องเผยอริมฝีปากรับ
เราเคยจูบกันมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่พี่จูบในเวลานี้ทำให้จูบทุกครั้งที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องล้อเล่น
เมื่อเอนตัวลงนอนแล้วพี่คร่อมตัวตามลงมาจูบ ดวงตาหวานเชื่อมที่มองมาทำให้น้องหลบตาไปทางอื่น
“ชิรายูกิ”
“ฮะ”
พี่จูบที่ริมฝีปากอีกครั้งแล้วเรียกชื่ออีกหนพอขานรับพี่ก็จูบแก้มทำให้น้องหัวเราะ
ทั้งดวงตาและรอยยิ้มของพี่ในเวลานี้หวานเชื่อมจนรู้สึกเขิน
“อะไรกัน”
“รักมากไง ”
น้องหลบสายตาลงมาปลายคางพี่พลางพยักหน้า ทำให้พี่แตะปลายคางให้หันมารับจูบหวาน
ไม่ว่าจะจูบกันสักกี่ครั้ง ทุกครั้งก็ไม่เคยเหมือนเดิม
ริมฝีปากพี่จูบไล่ลงมาตามแนวลำคอ มือบางที่จับไหล่พี่อยู่สั่นไหวจนพี่ต้องจับมือประสานไว้ แล้วพลิกจูบหลังมือ
ดวงตาที่เชื่อมประสานเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“ผมรักพี่”
ความรักที่อ่อนโยน ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายรับการเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่รีบร้อน
สัมผัสร่างกายที่ชวนให้หลงใหล ชื่นชมกับทุกสิ่งที่เป็น
มือใหญ่รั้งขาเรียวให้เหนี่ยวเอวไว้แน่นขณะที่ขยับสะโพกสอดใส่ ลมหายใจอุ่นร้อน หยาดเหงื่อผุดพราวที่หน้าผาก ประสานเสียงหอบหายใจ ปลดปล่อยความรักและความต้องการ
2 มือเรียวประคองใบหน้าพี่ ประสานดวงตาขณะที่เอ่ยถ้อยคำ
“พี่...”
“ชิรายูกิเป็นของพี่ ไม่เคยเป็นของใคร เพราะฉะนั้นอย่าสนใจคำพูดของใคร”
น้องปลดปล่อยด้วยคำพูดที่แสดงความเชื่อมั่นนั้น
ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
พี่อุ้มน้องไปล้างตัวทำความสะอาดแล้วกลับมาสวมกางเกงนอนให้ จากนั้นก็ลงนอนข้างกัน น้องขยับตัวเข้ามานอนหนุนแขน พี่ก็หันมาสวมกอดไว้
“เจ็บไหม” เพราะนี่คือครั้งแรกของน้อง
น้องซุกหน้าลงกับอกพี่ ขณะที่ส่ายหน้า
พี่ก้มลงหอมผมนิ่ม
“ขอบคุณที่กลับมาฮะ”
“หัวใจของพี่อยู่ที่นี่ พี่ต้องกลับมาสิ”
ฉันท์เงยหน้าขึ้นรับจูบหวานของพี่
“จะว่าพี่หลงตัวเองก็ได้นะ แต่พี่ก็มีความเชื่อมาตลอดว่าชิรายูกิรอพี่ แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบที่แม่กับคนอื่นเขาพูดกัน หรือถ้าจะเป็นพี่ก็ไม่ติดใจอะไร” น้องเงยหน้าขึ้นมองทันที “นี่ไง เขาถึงบอกว่าถ้าพูดทุกอย่างที่คิดแล้วมันอาจทำให้ยุ่งยากกว่าเดิม”
“ผมน่ะ พอมาถึงจุดหนึ่งก็เริ่มไม่เข้าใจตัวเองแล้วว่า ทำไมถึงได้เก็บทุกอย่างมาคิดมากขนาดนี้”
พี่ก้มลงจูบอีกครั้ง
ชิรายูกิมักทำเป็นไม่สนใจใคร แต่แท้จริงเขาสนใจทุกคน
ทำเป็นไม่คิด แต่แท้จริงแล้วคิดมาก
ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นแบบนั้น
“ถึงตอนที่รู้จักกันช่วงแรกจะเป็นเวลาที่ไม่นาน แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันทุกวันก็เห็นว่าชิรายูกิไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
น้องถึงได้จำ และคิดกังวลทุกคำพูดของพ่อกับแม่อยู่ตลอดเวลา และจากนิสัย เป็นไม่ได้เลยที่น้องจะเถียงแม่กลับไปในเวลานั้น ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แม่พูด
และถึงจะอยู่ตามลำพังกับพี่ เขาก็ไม่มีทางที่จะพูดกับพี่อย่างตรง ๆ ว่า ‘ผมเวอร์จิ้นอยู่นะ’ และยิ่งไม่จูงมือพี่ขึ้นเตียงแล้วบอกว่า ‘ผมไม่ได้เป็นอย่างที่แม่พูด พี่พิสูจน์ได้เลย’
“ชิรายูกิ อย่าเก็บถ้อยคำที่ไม่ได้เป็นความจริงมาทำให้ตัวเราเองไม่มีความสุข” 
ฉันท์ไม่ยอมรับว่าทุกคำที่พี่พูดคือคำที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นด้วยการซุกหน้าลงกับอกกว้างแล้วหลับตา
“ชิรายูกิ”
“ฮะ”
“การที่พี่ทำงานเยอะ มีปัญหาในครอบครัวเยอะ ไม่ได้แปลว่าพี่ไม่อยากเป็นที่ชิรายูกิคิดถึงเป็นคนแรกเวลาที่มีปัญหานะ”
“ผมรู้” น้องยังไม่ยอมเงยหน้าจากอกกว้าง
“เราจะแก้ปัญหาไปด้วยกันโอเคไหม”
น้องเงยหน้าขึ้นมองพี่ “โอเคฮะ”
ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะไม่เลือกการหลบหนีอย่างแม่ และจะไม่ฆ่าตัวตายอย่างพ่อ
เจ้าชายหิมะที่ไหนจะฆ่าตัวตาย...
...
หลังจากที่ได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้วกลับมาบ้าน เห็นว่าทุกคนในบ้านสนใจกับขนมและของฝากก็ทำให้ฉันท์รู้สึกผิดน้อยลงที่ไปเที่ยวกันตามลำพัง 2 คน
“แล้วเสาร์หน้าวันเกิดจิโระอยากไปเที่ยวไหน” พี่ชายถามน้องขณะที่แกะห่อขนม
“Zoo” จิโระบอก
ฉันท์หันไปถามธาม “กรุงเทพฯมีสวนสัตว์ไหมฮะ”
“มีสิ” กวางตอบ “แต่ออกไปใกล้ ๆ แถวสุพรรณฯ หรือ ปทุมฯก็ดีนะพี่”
“โรงเรียนเคยพาไปใช่ไหม” ป้าทาย
“ถูกต้องละคร้าบ” กวางเสียงดัง ทำให้จิโระทำเสียงเลียนแบบ
“ค้าบ คาบ ค๊าบบบบบ”
ธามันหันมาพยักหน้ากับฉันท์ แล้วบอกให้จิโระเลือกว่าจะไปที่ไหน แต่จิโระจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ไหนน่าเที่ยว ฉันท์เลยต้องเปิดอินเทอร์เน็ตให้เลือก
ระหว่างที่ยังตกลงกันไม่ได้ ฉันท์กลับขึ้นมาที่ห้องพบว่าของใช้ส่วนตัวของฉันท์ทั้งหมด ย้ายไปอยู่ที่ห้องนอนใหญ่หมดแล้ว
“อันนี้พี่ไม่รู้เรื่องนะ” ธามันรีบออกตัว “แต่พี่เห็นด้วยกับการย้ายห้อง”
ฉันท์หน้าแดงจัด รู้สึกประหม่าทำอะไรไม่ถูก
“ผมคิดว่าไว้รอย้ายทีเดียวตอนที่ทำบ้านใหม่ ไม่คิดว่า...”
“เราก็มานอนห้องเดียวกันกับจิโระเหมือนเดิมก็ได้”
ฉันท์เหลือบตามองพี่แล้วพยักหน้า
“พยักหน้านี่แปลว่า...”
“มาถึงขั้นนี้แล้วนี่ฮะ” มายึกยักทำตัวไม่แน่นอน กลับไปกลับมา จะทำให้พี่ต้องเป็นกังวลตามไปด้วย
ระหว่างที่รื้อของออกมาจากกระเป๋าและแยกผ้าไปซัก ฉันท์ก็เรียบเรียงความคิดของตนเอง
“ผมคิดเยอะ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ได้ต้องดูแลใคร พอมีจิโระก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าทำแบบนี้จะดีกับน้องหรือเปล่า ลุงกับป้าจะพอใจไหม จะทำให้ใครลำบากหรือเปล่า จะเกี่ยงให้พี่ตัดสินใจให้ตลอด ก็กลัวพี่รำคาญ”
ธามันก็ไม่เคยดูแลเด็ก 3 ขวบเหมือนกัน “เรื่องลุงกับป้าไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องการตัดสินใจเกี่ยวกับจิโระพี่ว่า เราช่วยกันดีไหม แต่ไม่อยากแนะนำให้อ่านคู่มือสักเท่าไหร่”
ฉันท์หันมามองหน้าพี่ “แสดงว่าเคยอ่าน”
“อ่านสิ หนังสือ บทความ เว็บบล็อก”
“แล้วทำไมสรุปว่า ไม่อยากแนะนำให้อ่านละฮะ”
“เพราะมันเป็นไม่ได้ในทางปฏิบัติน่ะสิ”
ฉันท์มีสีหน้าทึ่งจัดเมื่อพี่สวมบทนักวิชาการ
“ทุกทฤษฎี หรือกฎหมายนี่มันจะมีลักษณะเหมือนแกนกลาง แล้วมีวิธีปฏิบัติ มีปัจจัยเข้ามากระทบ เป็นเหมือนสายน้ำที่จะไหลไปตามเส้นทาง แล้วมีปัจจัยที่ทำให้ปรับเปลี่ยนสถานะไปได้ แต่การเลี้ยงเด็กนี่มันแบบ ตัวแปรมันเยอะมาก มากสุด ๆ ไม่สามารถกำหนด ควบคุม หรือคาดการณ์อะไรได้เลย”
โอ้ย! ดร.ธามัน ที่สุดของความเป็นวิชาการในสามโลก!
ฉันท์คลี่ยิ้มแล้วหัวเราะเสียงดังจนจิโระวิ่งขึ้นมาหา แล้วเปิดประตูห้องเข้ามาดู
“โอนี หัวเราะ อะ ลัย”
“ฮันซามุบอกว่า เลี้ยงจิโระยากมาก”
จิโระไม่เห็นด้วย “คัย ก็บ่อก ว่าจิโระเป็นเด็กดี เลี้ยงง่าย”
...คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่บ้างละนะ ดร.ธามัน
กวางที่รออยู่หน้าห้องชะโงกเข้ามาเรียก “จิโระ ลงไปข้างล่างกันเหอะ”
“ไม่” จิโระหันไปกอดคอพี่ชายไว้ทันที
ธามันตามใจ เพราะรู้ว่าจิโระติดพี่ชายมาก จึงหันไปบอกกวางว่าให้จิโระอยู่กับฉันท์ก่อน
“งั้นหนูเก็บผ้าลงไปซักนะ”
ที่จิโระตามขึ้นมาบนห้องนอนก็เพราะจะบอกพี่ชายว่าเลือกได้แล้วว่าจะไปเที่ยวไหน
จิโระเลือกไปเที่ยวสวนสนุก ซึ่งลุงกับป้ารีบบอกว่าไปเที่ยวด้วยไม่ไหว ขอเตรียมอาหารและขนมมื้อค่ำไว้ให้ทุกคนจะดีกว่า ฉันท์จึงโทรไปชวนต้อมและธนวัฒน์ แต่ธนวัฒน์ยังไม่รับปากว่าจะมาได้หรือไม่ ส่วนต้อมหอบกล่องของขวัญมาให้จิโระตั้งแต่เช้า
แต่สวนสนุกไม่ได้เปิดแต่เช้า ดังนั้นหมดจึงรออยู่ที่บ้านเพื่อรอเวลาที่สวนสนุกใกล้เปิดค่อยออกเดินทาง แต่ในขณะที่จิโระกำลังเล่นรถไฟอยู่กับกวางตรงหน้าโทรทัศน์  ฉันท์ก็สะกิดเพื่อนไปคุยกันข้างนอกบ้าน
“พี่ทีมไปไหน”
“ไปญี่ปุ่นกับเด็กใหม่”
ฉันท์ดึงมือเพื่อนไปนั่งที่แคร่ยาวใต้ต้นไม้ ท่าทีเป็นกังวลมากจนต้อมต้องเป็นฝ่ายให้กำลังใจเพื่อน
“ต้อม มึงนะ”
“กูไม่เป็นไรจริง ๆ เขาก็เป็นอย่างนี้มาตลอด”
“งั้นกูไม่ห่วงเรื่องนั้นก็ได้ แล้วมึงตรวจเลือดบ้างหรือเปล่า”
ต้อมหัวเราะเบา ๆ “ตรวจทุก 3 เดือน คุณทีมก็เหมือนกัน เขาป้องกันตัวเองตลอด”
“แล้วมึงรู้เรื่องคุณโจ หรือเปล่า”
“เพิ่งรู้หลังจากที่คุณธามย้ายมาอยู่กับมึง”
ฉันท์พยักหน้า ขณะที่ต้อมพูดต่อ “เขารักคุณโจมาก ถึงตอนนี้เขาก็ยังรักอยู่ อาจมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจที่ไม่สามารถปกป้องคนรักได้ เขาถึงพยายามให้กูคอยดูมึงกับน้อง” เพื่อนดวงตาเรียวใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อน “ไม่ต้องมาคิดแทนกูเลยนะ กูอยากมาเจอมึง มาดูจิโระอยู่แล้ว อีกอย่างตั้งแต่แรกมา กูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงไม่มีใจให้เขา มีแต่เขาที่คิดอยู่ฝ่ายเดียว”
ความเป็นเพื่อน และความเป็นเจ้าชายหิมะแบบฉันท์ทัต ทำให้ต้อมไม่คิดมาก
“พอได้ฟังเรื่องคุณโจ กูก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงใช้ชีวิตแบบนี้” ต้อมหันมาหาเพื่อน “แล้วพอนึกถึงมึง กูก็คิดว่าคนในครอบครัวใหญ่ ๆ นี่แม่งเยอะว่ะ”
เพื่อนตัวเล็กถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะพ่อแม่ของต้อมพอเกษียณการทำงานก็ย้ายครอบครัวกลับไปอยู่เชียงใหม่ได้ 4 เดือนแล้ว ส่วนต้อมพอเรียนจบก็ย้ายออกมาอยู่คอนโดฯ ตามลำพัง
ในตอนที่เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยกัน ฉันท์ก็พูดขึ้น “สงกรานต์ หรือตอนที่มึงกลับบ้านครั้งต่อไป กูกับจิโระตามไปเที่ยวบ้านมึงได้ไหม”
“ได้” ต้อมหันมาจิ้มหน้าผากเพื่อนอีกที “ร้านมึงจะเปิดอยู่อาทิตย์หน้า มึงคงมีเวลาไปเที่ยวบ้านกูหรอกนะ”
“มันต้องมีเวลาอยู่แล้ว”
จิโระวิ่งมาหาพี่ชายพร้อมยกแขนให้อุ้มตั้งแต่หน้าประตู “โอนี จะ ปัย ไน”
“ไปบ้านพี่ต้อม แต่ยังอีกหลายเดือนข้างหน้า จิโระไปเที่ยวด้วยกันนะ”
“ไป ๆ”
กวางรีบเสนอ “หนูไปด้วยนะ หนูไม่เคยไปเที่ยวเชียงใหม่”
เห็นคุยกันเรื่องจะไปเชียงใหม่อย่างเป็นงานเป็นการ ธามันคนที่มีงานเยอะกว่าเพื่อนก็ถามขึ้น “ต้อมจะกลับบ้านเมื่อไหร่”
“สงกรานต์ครับ”
หลังจากที่ฟังแผนการเที่ยวของคู่พี่น้อง ป้าก็บ่น “อีกตั้งหลายเดือน” แต่ลุงกับป้าไม่ได้ไปเที่ยวด้วยนะ “ไว้กุมภาฯปีหน้าค่อยคุยกันก็ยังทัน วันนี้ไปเที่ยวฉลองวันเกิดจิโระ แล้วกลับมากินเค้ก”
จิโระฟังทันแค่ไม่กี่คำ “ปัย เท่ว เค้ก”
กวางพยักหน้าเหนื่อยใจ “ป้าพูดยาว 3 กิโล จิโระเก็บก้อนกรวดข้างทางได้ 3 เม็ด”
“โอนี กวัง แก้ง” จิโระหันมากอดพี่ชายทันที
กว่าจะออกจากบ้านได้ก็ 11 โมงทำให้สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนจะเข้าไปในสวนสนุกก็คือต้องแวะกินมื้อเที่ยงกันก่อน จากนั้นทั้ง 5 คนคือธามัน ฉันท์ ต้อม กวางและจิโระ เจ้าของวันเกิดจึงพากันเที่ยวสวนสนุก
เพราะนี่คือวันเกิดจิโระครบ 4 ขวบทั้งหมดจึงเริ่มต้นด้วยการไปดูสวนสัตว์ก่อน แล้วค่อยมาเล่นเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็ก ไล่ไปจนครบ เว้นพวกรถไฟเหาะ ไวกิ้งพวกนั้นไปได้เลยเพราะถึงกวางกับต้อมจะอยากเล่นมาก แต่จิโระก็ร้องตามตลอดเพราะอยากเล่นเหมือนกัน ทำให้ต้องข้ามไปที่เครื่องเล่นที่มี ‘ความสนุก’ ลดลงมา แล้วมาปิดท้ายที่บ้านผีสิง หลังจากที่ธามันพิจารณาแล้วเห็นว่า ‘ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่’ 
จิโระที่ไม่เคยดูหนังผีมาก่อน ให้ความเห็นเมื่อเห็นโครงกระดูกรอต้อนรับอยู่หน้าบ้านผีสิงว่า “แบ่บนี้ เรียก พี รือ ฮับ” แล้วก็ไม่ได้กลัวผีสักตัว อาจมีสะดุ้งเวลาที่ผีโผล่ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ร้องกลัวอะไร อีก 4 คนก็ออกอาการจิตแข็งพอกัน
พอออกมาข้างนอกกวางถึงกับบ่น “กลับบ้านไปดูพี่มากยังจะน่ากลัวกว่าเลย”
“พี่ มั่ก เปน คัย”
“พี่มากเป็นหนัง เดี๋ยวถึงบ้านจะเปิดให้ดู”
“อื้ม”
“น้องพี่ฉันท์จริง ๆ นิ่งมาก” ต้อมชื่นชม
“ก็ไม่เห็นจะน่ากลัว” ฉันท์ตอบจริงใจมาก อาจเพราะรู้อยู่แล้วถึงได้ไม่กลัว
แต่จำได้ว่าตอนที่อายุเท่า ๆกับจิโระนี่ยังกลัวจนไม่กล้าเล่นบ้านผีสิงนะ
เกือบ 5 โมงเย็นทั้งหมดพักกินของว่างก่อนกลับบ้าน จิโระร้องขอว่าอยากเล่นม้าหมุนอีกรอบ
ฉันท์ตามใจจูงมือน้องไปเล่นเครื่องเล่นกันอยู่ 2 คน
ธามันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป แล้วส่งรูปนั้นให้กวางเอาไปอัดใส่กรอบรูป
...
รูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของดร.ธามันสร้างหัวข้อกอสซิปเรื่องใหม่
‘ดร.ธามันมีเมียมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่”
‘ลูกยังเล็กอยู่ แต่หน้าตาน่ารักมาก เหมือนคนญี่ปุ่นเลย’
‘แม่เขาก็สวยนะ’
‘สวยแปลกๆ ไม่ชายไม่หญิง’
‘แต่เขาสวยดีนะ’
‘แต่ก็ยังสงสัย ว่ามีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นมีใครเคยพูดถึง’
‘ตอนงานเลี้ยงบริษัทก็ไม่เคยพามา’
‘ใครกันนะ’

ฐาติที่เดินเข้ามาในบริษัทยังได้ยินคำพูดเหล่านี้ มีหรือที่บรรดา ‘เจ้านาย’ คนอื่นจะไม่ได้ยิน
ชายหนุ่มเคาะประตูห้องทำงานของธามันเพียงครั้งเดียวก็เปิดประตูเข้ามาเลย
ธามันวางรูปนั้นบนโต๊ะทำงานโดยให้หันหน้าเข้าหาตนเอง พอฐาติแกล้งชะโงกหน้าไปมองรูปเจ้าของก็รีบบอก
“ที่ไปเที่ยววันเกิดจิโระเมื่อวันเสาร์ไง”
“อ้อ แล้วมึงเรียกกูมาทำไม”
ธามันเปิดลิ้นชักหยิบซองบางใส่เช็คเงินสดมาส่งให้ “ที่ลืมทวงเงินนี่เพราะงานยุ่งหรือเพราะมัวแต่เอาใจผู้หญิง”
ญาติผู้พี่มีพิรุธชัดเจนเพราะหันไปมองทางอื่นไม่ยอมตอบคำถามนี้ ธามันจึงเปลี่ยนไปที่เรื่องต่อไป
“อาทิตย์นี้น้องเปิดร้านข้าวต้มแล้ว เลี้ยงพระทำบุญเช้า เปิดขายตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มมึงแวะไปด้วยนะ”
ก่อนที่ฐาติจะอิดออดตามนิสัย ธามันก็ย้ำอีกที “กูบอกให้มึงมา แล้วถ้าจะพาใครมาด้วย ก็ช่วยคิดด้วยว่าควรพามาไหม”
“กูรู้หรอกน่า” ฐาติตอบแล้วลุกขึ้นก็พอดีกับธนวัฒน์เปิดประตูห้องเข้ามา
ห้องทำงานแคบๆ ของดร.ธามันอยู่ในสภาพใกล้ระเบิด เมื่อคนตัวใหญ่ 3 คนอยู่ในห้องเดียวกัน
“วันอาทิตย์นี้น้องฉันท์ทำบุญเปิดร้านหรือ”
“ครับ”
ธามันตอบ แต่ธนวัฒน์หันไปถามฐาติ “ไปหรือเปล่า”
“ก็...”
“อย่าพาคนนั้นไป” คำสั่งของธนวัฒน์ชัดเจนกว่าธามัน
ฐาติรับคำสั่งของทั้ง 2 คนและไปช่วยงานทำบุญตั้งแต่เช้า
ส่วนต้อมถือตระกร้าดอกไม้มีชื่อของธนวัฒน์มาตั้งแต่เช้าเหมือนกัน
ซึ่งที่จริงแล้วการจัดงานทั้งหมด มีลุงรองกับลุงวินัยเป็นพ่องานจัดการทุกอย่าง ขณะที่ทีมงาน...เป็นทีมงานที่ใหญ่มาก
นายฉันท์ทัตวันนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อวันงานศพของพ่อกับแม่เหมือนดำกับขาว
ส่วนสถานการณ์โดยทั่วไปก็แตกต่างจากเดิมมากเหมือนกัน
ถ้ามองว่าย่าใหญ่ กับลุงเอกมาทำบุญเช้าจะถือว่านี่คือยิ่งใหญ่แล้ว วันนี้ยังมีเกศรีป้าสะใภ้ที่คนเข้ารู้กันทั้งตลาดว่าเกลียดพ่อของฉันท์มาก
พอเธอมาก็จะมีเพื่อนของเธอตามมาด้วย พ่วงด้วยลูกน้องคนสนิทอีกกลุ่มที่มายืนอยู่หน้าร้าน
แต่วันนี้เธอแทบไม่ห่างจากธามัน
ซึ่งธามันก็แทบไม่ห่างจากฉันท์ทัต
ภาพที่ออกมามันก็เลยสะท้อนความคิดของเธอค่อนข้างชัดเจน
แต่เพราะเธอคือเกศรี วีนิตา ถึงจะรู้ทันความคิดของเธอ แต่ใครจะกล้าวิจารณ์
บรรยากาศงานวันนี้มันแปลกแบบที่ไม่รู้จะใช้คำพูดอธิบายอย่างไร คือญาติทางฝั่งของธามันเขาไม่มาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ยอมรับ แต่คนที่มาอย่างฐาติก็ไม่ได้ร่าเริงเหมือนทุกครั้ง ขณะที่ต้อมก็ไปช่วยอยู่ในครัว
และพอหลังจากที่ทำบุญเช้าเสร็จ ลุงเอกก็บอกให้ฉันท์ตามไปหาที่สำนักงานตลาดในตอนเที่ยง
วิธีการของลุงเอกคล้ายกับตอนที่ฉันท์ไปบ้านลุงรองในวันนั้น คือลุงเดินไปจุดธูปบอกกับบรรพบุรุษที่เรียงรายอยู่เต็มฝาผนังห้องทำงาน จากนั้นก็หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลซองใหญ่ออกมา
“ที่ดินแปลงริมน้ำ”
“แต่ผมยังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อนะครับ”
“เจ้าฉันท์รู้จักการครอบครองปรปักษ์ไหม”
หลานชายเกาหน้าผาก “ก็คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยิน”
ลุงเอกหัวเราะ “เอาเถอะ ที่ตรงนี้มันเป็นของเจ้าฉันท์มาหลายปีแล้ว ลุงมีหน้าที่แค่ถือโฉนด กับต้องไปเสียภาษีให้กทม.”
มีตัวตนเล็กๆ ที่อยู่ในสมองของฉันท์ร้องขึ้นมาว่า ลุงอย่าเพิ่งใส่ข้อมูลอะไรลงมาในสมองตอนนี้ได้ไหม แต่เจ้าตัวตนเล็กๆ ในสมองคงร้องตะโกนเสียงดังไปหน่อย เพราะลุงส่ายหน้าแล้วเดินไปเรียกธามันที่รออยู่ข้างล่างให้ขึ้นมาที่ห้องทำงาน จากนั้นก็พูดใหม่อีกรอบ
“ครับ” ธามันยิ้มแบบที่ชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
“กลับไปก็ช่วยอธิบายกฎหมายให้เจ้าฉันท์ฟังอีกทีแล้วกัน”
“ครับ”
“ถ้าวันจันทร์ไม่มีอะไร ปิดร้านรอบเช้าแล้วไปที่ดินกับลุงเลยก็ได้ จะได้โอนให้เรียบร้อย”
ลุงเล่าเรื่องที่มีหลายอย่างไม่ตรงกับที่ป้าแจ่มจิตเคยเล่าให้ฟัง
ทั้งปู่และย่าต่างมีความเห็นว่าที่ดินแปลงนี้คือที่ดินแปลงที่ดีที่สุดที่มีอยู่ พวกเขาเตรียมที่ดินแปลงนี้ไว้ให้ลูกชายคนเล็ก โดยให้พี่ชายคนโตดูแล และห้ามบอกกับเจ้าตัวว่ามีสมบัติอีกชิ้น จนกว่าจะแน่ใจว่าฉลองจะตัดขาดจากอบายมุขเหล่านั้น
เป็นวิธีการเก็บความลับเหมือนกับที่พ่อเก็บความลับจากฉันท์
    “ฉลองดื้อรั้น ยอมหักไม่ยอมงอ ปู่เจ้าฉันท์ถึงได้ขายที่ดินแปลงเล็กติดกับแปลงใหญ่ให้ปลูกบ้าน เงินที่ขายที่ได้ยังอยู่กับลุง จะโอนคืนให้เจ้าฉันท์พร้อมดอกเบี้ย”
ส่วนฉันท์ทัตมีนิสัยออกมาทางยูกิผู้เป็นแม่ และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการพนัน ปู่จึงสั่งให้ลุงใหญ่เก็บที่ดินแปลงนี้ไว้ให้ฉันท์
เมื่อเรื่องเล่าในส่วนนี้จบลง ลุงก็ขยับตัวจะบอกให้ทั้ง 2 คนกลับไปร้านได้เพราะว่าจะบ่ายแล้ว เกศรีถึงได้มา พร้อมกับพี่เอื้อย
“อ้าว ได้ยินว่านัดหลานมาคุยตอนบ่ายไม่ใช่หรือคะ”
ธามันเป็นคนหันไปตอบ “พอดีจิโระกินมื้อเที่ยงเร็ว เราก็เลยฝากน้องไว้แล้วรีบมาก่อนน่ะครับ”
“คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ”
ลุงพยักหน้า “นัดไปที่ดินกันพรุ่งนี้เลย”
เกศรีพูดต่อ “พ่อของเธอน่ะเกเรจนยากที่จะเชื่อได้ว่า เขาจะไม่เอาสมบัติที่มีอยู่ไปขาย” ซึ่งในความจริงพ่อก็ไม่เคยขาย มีแต่ซื้อมาเพิ่ม พร้อมไปกับการสะสมหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ปู่เพิ่มน่ะเขามองเห็นถึงได้สั่งไว้ว่าให้ยกให้เจ้าฉันท์ ทางนี้ก็คิดจะโอนให้ตั้งแต่เรียนจบ แต่ก็ติดเรื่องนั้นเรื่องนี้มาตลอด พอเจ้าเอื้อยเขาบอกว่าซื้อห้องแถวก็เตรียมจะโอนให้แล้ว” นางพูดยิ้มๆ “แต่ก็ไม่เห็นว่าจะซ่อม จะทำอะไรสักที ก็ยังสงสัยอยู่ รอจนแน่ใจว่าเปิดร้านก็คิดว่าตอนนี้เหมาะสมที่สุด”
เธอเป็นคนที่มีลักษณะการพูดแบบ ‘หวังดีประสงค์ร้าย’ และเต็มไปด้วยการแสดงอำนาจที่เหนือกว่าทำให้ธามันรู้สึกยกย่องเธออยู่ลึกๆ
ไม่มีใครในตระกูลก้องเกียรติมนตรีที่มีวิธีการพูดแบบนี้
เมื่อเดินกลับจากตลาดมาที่ร้านเพื่อเตรียมขายของในตอนเย็น ฉันท์ก็ทักขึ้นมา
“ดูเหมือนพี่จะนับถือป้าเกศรีนะฮะ”
“ใช่” พี่ยอมรับ “คนแบบที่ทั้งรู้ว่าเขาร้าย แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะทุกอย่างที่เขาพูดมามันถูกทุกอย่างแบบนี้ ทำให้เราพัฒนาขึ้น”
ฉันท์กลอกตาล้อเลียน ทำให้พี่หัวเราะ
“เขาพูดมาตั้งเยอะ สรุปคือที่โอนให้เพราะผมเปิดร้าน ถ้าไม่เปิดร้านเขาก็ไม่โอน”
“แต่ผลลัพท์ที่ออกมามันดีกับเราใช่ไหม”
น้องยอมรับ “แต่เขาก็ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก”
“ถ้าบอกให้ทำ มันก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่แท้จริงของเราน่ะสิ”
“มันก็จริงนะ” น้องยอมรับในที่สุด ทุกอย่างคือความจริงที่ ‘เคยทำให้เจ็บปวด’ แต่วันนี้ทำให้รู้สึกว่าคือป้ายเตือนว่าอย่าทำในสิ่งเหล่านี้ เมื่อมาถึงหน้าร้าน ‘ข้าวต้มโชยุ’ จิโระก็วิ่งมาให้อุ้ม “โอนี มาแล้ว”
ฉันท์หอมแก้มน้องชายแล้วหันมาหาธามัน “วันนี้เปิดร้าน พรุ่งนี้ไปที่ดิน เดือนหน้าคอนโดฯมีงาน สงสัยต้องกลับไปจดรายการสิ่งที่ต้องทำไว้ในสมุดแบบที่คุณฐาติเคยสอนอีกรอบ”
ฐาติที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยิน ก็หันมาย้ำ “จดไว้ให้เป็นนิสัย” 
ฉันท์พยักหน้าขณะที่มองคนงานที่กำลังช่วยกันจัดโต๊ะ เก้าอี้ และหน้าร้าน
“ผมว่าช่วงเวลา 1 เดือนมานี้ เวลาผ่านไปเร็วมาก”
ต้อมอดไม่ได้ที่จะแซวขึ้นมา “เขาเรียกชีวิตคนทำงานครับเจ้าชายหิมะ”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-07-2019 19:05:28
(ต่อครับ)
“ทำไมพี่ต้อมเรียกพี่ฉันท์ว่าเจ้าชายหิมะ” กวางถาม เรื่องเครียดเรื่องจริงจังตกไป เราเน้นเรื่องที่สามารถเอาไปหัวเราะกันได้ในภายหลัง
“ฉันท์มีรอยยิ้มแบบเย็นชาสุดๆ อยู่แบบหนึ่ง แล้วมีนิสัยที่ทุกคนเห็นว่า นิ่งมาก เฉยมาก ไม่ได้หยิ่งนะ แต่ใครจะมาใครจะไปเขาก็เฉยๆ บรรยายยากว่ะ”
กวางไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยเห็นฉันท์ในแง่มุมนั้น แต่ธามันกับฐาติเคยเห็น
คนตัวใหญ่ 2 คนหันมามองหน้ากัน ฐาติชี้หน้าธามันแล้วหัวเราะ “กูนึกออกแล้ว ยิ้มแบบที่ที่ทำให้มึงจิกใช้กูมาตลอด 5 ปี”
“เล่ามาเลย” กวางร้องโวยวาย โดยมีจิโระส่งเสียงสนับสนุน
“เล่า เลย เลย เล่า เลา”
ฐาตินั่งลงที่เก้าอี้ที่คนงานเพิ่งจัดเสร็จ บรรดาสมาชิก รวมถึงคนงานเข้ามารุมล้อม ขณะที่ฉันท์กับธามัน เดินมาหมักหมู หั่นผักที่เตรียมขาย แต่ยังได้ยินเสียงของฐาติชัดเจน
“ตอนนั้นที่บ้านกู...เอ่อ บ้านพี่มีงาน” จิโระซึ่งเล็กสุดในที่นี้เรียกฐาติว่าพี่ ดังนั้นก็เรียกแทนตัวเองว่าพี่แล้วกัน
“กำลังช่วยกันจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ที่สนามหญ้าบ้านบ้าน เห็นรถคันเล็กแล่นผ่านหน้าบ้าน แล้วเห็นพี่ฉันท์ลงมาจากรถ แล้วเขาก็ยิ้มให้คนไม่ดี 2 คนที่อยู่บ้านที่ติดกับบ้านพี่”
เรียกตัวเองว่าพี่กับเด็ก 4 ขวบนี่มันตะขิดตะขวงใจยังไงไม่รู้
“แน่ใจนะว่าบ้านหลังติดกัน ไม่ใช่บ้านหลังนี้” กวางแซว ทำให้ฐาติโวยกลับ
“หลังนั้นสิ ตอนนั้นยังไม่รู้จักกับคนในบ้านนี้สักคน” ก่อนที่กวางจะพาออกนอกเรื่อง ฐาติก็พูดต่อ “พี่ธามของพวกมึง เจอรอยยิ้มนั้นเข้าไปถึงกับอยู่เฉยไม่ได้ สั่งให้กู...เอ่อ พี่ไปหาชื่อที่อยู่ของน้อง แล้วก็หนีออกจากบ้านมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ของน้องเลย”
“โห แก่แดดมั่ก” จิโระบอก
ฉันท์สะดุ้งรีบบอกให้น้องขอโทษ จิโระก็บอกขอโทษ แม้ว่าทุกคนรวมถึงตัวธามันเองจะเห็นด้วยกับคำ ๆนี้ก็ตาม
อันที่จริงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกปวดใจ ฐาติก็เล่าข้ามไปเหลือไว้เพียงคำสั่งต่างๆ ที่ธามันใช้ให้ฐาติทำ เน้นย้ำไปที่ภารกิจการเฝ้าจับตามองและรายงานความเคลื่อนไหวส่งไปให้
เรื่องเล่าจบลงเมื่อลุงกับป้าเอาขนมหวานมาส่ง และรับจิโระกับกวางกลับบ้าน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ฐาติก็ขอตัวกลับเหมือนกัน
ในร้านที่เหลือกันอยู่ 5 คน กินมื้อเย็นพร้อมกันก่อนที่จะเปิดร้าน
“พี่จะกลับไปพักก่อนก็ได้นะฮะ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทาง”
“กลับไปก็ไม่ได้พักหรอกเพราะเป็นห่วงทางนี้” ธามันพูดขณะที่ตักปลาทอดให้น้อง “กินเยอะๆ”
“ผมเลิกงานแล้วจะมาช่วยที่ร้านนะครับ” ต้อมอาสา
“อย่าเลย วันนี้ก็ใช้งานมึงตั้งแต่เช้า” ฉันท์เกรงใจ
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ตอนกลางวันก็ยังได้หลับอยู่ข้างจิโระตั้งนาน มึงกับคุณธามต่างหากที่วันนี้ไม่ได้พักเลย”
ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จนเมื่อเปิดร้าน ลูกค้าทยอยเข้าร้านไม่ขาดสาย พอ 2 ทุ่มเศษก็ต้องปิดร้านเพราะขายหมด
ธามันก็มาสอนฉันท์เรื่องการจดบัญชีรายรับ-รายจ่าย และย้ำเตือนว่าให้ทำเท่าที่ทำไหว
“ไม่อย่างนั้นเงินที่หามาได้ จะกลายเป็นค่าหมอ ค่ายาไปเสียหมด”
ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำสิ่งเดียวที่ต้อมเห็นก็คือการอยู่เคียงข้างกัน ดูแลกันและกัน
มิน่า เขาถึงได้บอกว่า ถ้าเจอคนที่ใช่จงอย่าปล่อยเขาไปโดยง่าย
ร้านข้าวต้มเปิดรอบเช้าตั้งแต่ตี 5-9 โมงเช้า และรอบเย็นเปิด 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม พอฉันท์จะต้องไปที่ดินก็ฝากจิโระไว้กับป้า พอเสร็จเรื่องก็มารับ แต่ป้าบอกให้นอนพักสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยไปร้านก็ยังทัน
ประมาณบ่ายสามทั้งหมดจึงกลับมาร้านเพื่อเตรียมของ
พอต้อมมาถึงร้าน ก็รีบสวมผ้ากันเปื้อนจะช่วยงาน ฉันท์จึงบอกให้ไปกินข้าวก่อนก็ได้ แต่ต้อมเกี่ยงว่า กว่าจะมาถึงก็ทุ่มกว่าแล้ว อีกไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ได้เวลาปิดร้าน 
ซึ่งก็เป็นคืนที่ 2 ติดต่อกันที่พอ 2 ทุ่มเศษของที่เตรียมไว้ก็หมดลง
ตอนที่ฉันท์นั่งลงคิดบัญชี ต้อมก็ทำไข่เจียว ต้มยำกุ้ง กับผัดผักมาวางให้ โดยมีกวางเป็นผู้ช่วยแล้วช่วยยกมาวาง จิโระก็ขยับเข้ามากินข้าวไปพลางมองพี่ชายไปพลาง
“กินก่อนก็ได้” ต้อมบอก
“แป๊บเดียว จดไว้ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำต่อที่บ้าน”
ต้อมพยักหน้าแล้วหันมาหากวาง “เออ แล้วทำไมวันนี้มึงมา 6 โมง” ที่ตกลงกันไว้คือเมื่อเลิกเรียนกวางจะมารับจิโระกลับบ้าน
กวางเหลือบตามองฉันท์ที่เก็บสมุดบัญชีแล้วเลื่อนจานข้าวเข้ามา
“น้านัดหนูออกไปคุย หนูก็ไปรอ แล้วเขาก็บอกว่าธุระยังไม่เสร็จ หนูเห็นว่า 6 โมงแล้วก็เลยกลับมา”
ต้อมลดเสียงลง “โรงเรียนเลิกกี่โมง”
“3 โมงครึ่ง”
ฉันท์ถอนหายใจ ลูบผมทรงนักเรียนของกวางเบาๆ “กินข้าวกันเถอะ”
มันเป็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง และกวางก็คงรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นถึงได้มีท่าทีแบบนี้
กวางมีเรื่องที่อยากพูด แต่เพราะตรงนี้มีจิโระ แล้วใกล้กันก็มีคนงานที่กำลังกินข้าวอยู่จึงได้แต่เก็บคำพูดทั้งหมดไว้ก่อน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กวางพาจิโระไปอาบน้ำก่อน ขณะที่ลุงกับป้าคุยกับฉันท์เกี่ยวกับตารางเวลา และอาจต้องมีการจ้างคนงานเพิ่ม แต่ถ้ารายจ่ายเพิ่มก็ต้องหารายรับเพิ่ม
น้าโทรศัพท์มา กวางทำมือบอกฉันท์แล้วออกมาพูดโทรศัพท์ข้างนอก
“วันนี้ไปรับจิโระกี่โมง” น้าถาม
“ไปถึงก็ 6 โมงกว่าแล้ว ลูกค้ากำลังแน่นจิโระยังไม่อยากกลับ หนูก็เลยอยู่ช่วยที่ร้านจนเก็บของแล้วก็กลับบ้านมาพร้อมกัน วันนี้พี่ต้อมมาถึงร้านหลังหนูแป๊บเดียวเอง”
“กวาง...”
“น้า...จะไปแล้วใช่ไหม”
“ขอโทษ” เสียงของน้าสั่นเครือ
เวลาเกือบ 5 ปี คุยกันมานับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงน้าเป็นแบบนี้
“ไม่ต้องขอโทษหรอก หนูรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องของน้ากับหนู ไม่มีวันเป็นเหมือนพี่ธามกับพี่ฉันท์ แล้วหนูก็ไม่อยากเป็นเหมือนคุณทีมกับพี่ต้อมด้วย”
เสียงสะอื้นเบา ๆของผู้ชายคนที่ร่าเริง ปากจัดแทรกมาให้ได้ยิน
“น้า ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่ มึงนั่นแหละ กู เป็น ห่วง” การพูดพร้อมกับกดเสียงสะอื้นทำให้คำพูดบางคำก็ไม่ชัดเจน
“ไม่ต้องห่วงหนูหรอก หนูเพิ่ง 16 ยังมีชีวิตอีกยาวไกล”
“กวาง” ฐาติหายใจเข้าลึกๆ “น้า ขอ ขอส่งเราเรียนต่อได้ไหม โทรศัพท์นั่นก็ไม่ต้องเอามาคืน” โทรศัพท์นี้เดิมเป็นชื่อของฐาติ แต่เปลี่ยนเป็นชื่อของกวางเมื่อตอนที่อายุได้ 15 ปี “แล้วถ้ามีอะไร หมายถึง ถ้าต้องการความช่วยเหลือ หรืออะไร ก็ บอก ได้”
“หนูว่า มันจะไม่ดีกับแฟนของน้า”
“ธามกับฉันท์มันมีรายจ่ายเยอะแล้ว”
“น้า หนูไม่เป็นไร หนูจะเรียนหนังสือ ไม่เล่นยา คบเพื่อนที่ดี วันหนึ่งหนูจะมีงานทำ มีอนาคตที่ดี น้าเองก็ต้องมีความสุข มีครอบครัวที่ดี”
“กวาง...”
“รักเขา ดูแลเขาให้ดีๆ นะ”
...
ฐาติกดวางโทรศัพท์ แล้วเงยหน้ามองทองฟ้าในเวลากลางคืน หญิงสาวชาวจีนเดินมาเรียก ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินตามกลับเข้าไปในบ้าน
...
กวางนั่งอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านก็คิดว่าฉันท์จะตามให้กลับเข้าไปข้างใน แต่กลับเดินมานั่งลงข้าง ๆ กอดไหล่ไว้
“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่รู้จักกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกใคร” กวางพูดขึ้น “ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเรื่องของคุณอลิซหนูก็คิดอยู่ว่าต้องมีวันนี้ ขนาดคิดเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอน้าบอกมามันก็...ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่”
กวางเอนตัวพิงไหล่บางของฉันท์ แต่พอหยดน้ำตาจะไหลลงมาเปียกเสื้อ ก็ขยับตัวตรง “หนูจะทำเสื้อพี่เลอะ”
“ไม่เป็นไร เสื้อมันเลอะ ก็เอาไปซัก”
กวางหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกว่าดึกมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงฉันท์ก็ต้องตื่นนอนเพื่อไปเตรียมของขาย
“หนูยังเป็นวัยรุ่น ยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ” บอกพลางดึงมือฉันท์ให้ลุกขึ้น “เข้าบ้านกันเถอะพี่”
ธามันโทรศัพท์มาคุยกันก่อนนอน ถามไถ่เรื่องทั่วไป เน้นไปที่เรื่องร้านและบอกให้พักผ่อนเยอะ ๆ ฉันท์ตัดสินใจว่าจะยังไม่เล่าเรื่องของกวางให้ฟัง
บางทีเขาอาจรู้แล้ว 
แต่ถ้ายังไม่รู้ กลับมาก็คงรู้
ตอนที่กดวางสายจากพี่ เป็นช่วงเวลาที่ฉันท์รู้สึกว่า หลายวันมานี้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่คิดย้อนกลับไปแล้วจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้นาฬิกาเริ่มเดินช้าลงจนรู้สึกถึงพายุลูกหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงขึ้น
...
ร้านข้าวต้มรอบเย็นเปิดร้านตรงตามเวลา และจิโระก็ยังไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกวางเหมือนเดิม ทำให้กวางต้องกลับบ้านไปดูแลลุงกับป้าก่อน แล้วจะกลับมารับจิโระตอน 2 ทุ่มครึ่ง
วันนี้ร้านข้าวต้มคนแน่นตั้งแต่เปิดร้าน จนฉันท์ต้องเรียกกวางมาช่วยขายของ ส่วนจิโระขอไปเล่นกับจุ๊บแจงลูกสาวร้านขายยาตั้งแต่ก่อน 1 ทุ่ม พอฉันท์ตักข้าวต้มชามสุดท้ายก็บอกกับกวางว่าให้ช่วยเก็บร้าน ส่วนตนเองจะไปรับจิโระ
แต่พอมาถึงที่ร้านขายยา แม่ของจุ๊บแจงบอกว่าเมื่อสักครู่มีคนมารับจิโระไปแล้ว
ร้านข้าวต้มห่างจากร้านขายยาแต่ 3 ห้อง ตนเองก็ขายของอยู่หน้าร้านทำไมจึงไม่เห็นคนที่มารับจิโระ
ฉันท์ขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
ระหว่างนั้นเองที่ฉันท์มองกลับไปทางปากซอย 72 มีรถตู้สีดำคุ้นตาเพิ่งเข้ามาจอด
ฉันท์เดินไปที่รถตู้คันนั้น และถึงจะไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็รู้ว่าแม่ของจุ๊บแจงกำลังเดินไปที่ร้านข้าวต้ม
เมื่อไปถึงคนขับรถตู้เลื่อนเปิดประตูที่นั่งด้านหลัง ณภัทร ก้องเกียรติมนตรี นั่งอยู่ด้านใน
“จิโระอยู่ที่ไหนครับ”
“ขึ้นรถมาสิ”
ฉันท์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง
เมื่อก้าวเข้าไปนั่งอยู่ในรถ ประตูก็ปิดลง
“ผม...ต้องทำอะไรครับ”
ณภัทรทำเสียงขึ้นจมูกก่อนที่จะเปิดกระติกน้ำชา
กลิ่นใบชาหอม ๆ แทนที่จะทำให้ผ่อนคลาย กลับยิ่งตึงเครียดมากกว่าเดิม
ฉันท์อดทนรอให้เธอพูด ขณะที่คิดในใจว่าจิโระจะต้องไม่เป็นไร เพราะเป้าหมายของเธอคือตนเอง ไม่ใช่จิโระ
ผ่านไปหลายนาทีณภัทรจึงพูดขึ้น “เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกดูหมิ่นอีกคน “คุณอาเยาวเรศพูดกับเธอหลายครั้ง ตอนที่มาคุยกับเธอที่บ้าน ก็น่าจะรู้ตัวถอยห่างออกไป แต่เธอก็ยังไปถึงบ้านของธาม ทั้งที่พูดว่าขอแค่ได้อยู่ด้วยกันเงียบๆ แต่ก็ยังมีรูปของเธออยู่บนโต๊ะทำงานของธาม ทำให้คนในบริษัทเอาไปพูดกัน”
รูปอะไร..
“ในเมื่อเธอเป็นคนดื้อด้าน และไม่รู้จักคิด ก็จะพูดกับเธออย่างตรงไปตรงมา ว่าออกไปจากชีวิตของธาม เพราะฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะรวยมาจากไหน ใครจะยอมรับ หรือไม่ยอมรับเธอยังไง จะรักจริงหรือแค่อยากเอาชนะ”
“เดี๋ยวนะครับ เอาชนะอะไร”
“ก็เอาชนะแม่ของธาม เอาชนะพวกเราน่ะสิ” ณภัทรหันกลับมามอง “เธอมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว อยากได้คนแบบไหนก็สามารถหามาได้ แล้วทำไมถึงต้องเป็นธาม เพราะพวกเราคัดค้านใช่ไหม อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ทันความคิดของเธอนะ”
ฉันท์ไม่เข้าใจ “ผมกับพี่ธามรักกัน”
ณภัทรถอนหายใจ “รักเขาก็ควรส่งเสริมให้เขาประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ดึงให้ลงต่ำมาอยู่กับเธอ ต้องอยู่กับคำคนนินทา”
หนุ่มตัวเล็กผ่อนลมหายใจ บอกกับตัวเองว่า ถ้อยคำที่แรงกว่านี้ก็เคยได้ยินมาแล้ว
“ผมอยากให้คุณคืนน้องชายของผม”
“ก็ต้องออกไปจากชีวิตของธามไง!”
“ตอนที่คุณคุยกับคุณโจ คุณก็บอกเขาแบบนี้หรือเปล่าฮะ”
ณภัทรสะบัดหน้าหันกลับไปมองข้างหน้า
คุณโจที่ยังเรียนมัธยม มีพี่ทีมเป็นรักแรก ถ้าต้องมาได้ยินประโยคแบบนี้ มันก็เป็นไปได้ที่จะตัดสินใจแบบนั้น
แต่ฉันท์เป็นคนทำงานแล้ว  รู้จักคน รู้จักชีวิตในระดับหนึ่ง ยังต้องดูแลทั้งเด็ก คนแก่ คนป่วย แถมด้วยลูกน้องอีกหลายคน ถึงจะรู้สึกเจ็บ แต่ไม่ได้ทำให้ต้องคิดทำร้ายตนเอง
“ผมไม่ทราบเรื่องรูปที่คุณพูด และผมก็อยู่ของผมแบบนี้ ที่ไปหาคุณแม่พี่ธามในวันนั้น ก็เพื่อไปยืนยันว่าผมไม่ได้ต้องการทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และเพื่อขอบคุณ” จากที่นั่งอยู่ในรถตู้ ยังมองเห็นรถมอเตอร์ไซค์หลายคันมาจอดที่หน้าร้าน คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในร้าน และอีกหลายคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป “ผมไม่เข้าใจเรื่องอยากเอาชนะอะไรที่คุณบอก ผมรู้แต่ว่า เพราะเรารักกันและอยากอยู่ด้วยกัน เราจึงอยู่ด้วยกัน ผมไม่ได้บังคับให้พี่มาอยู่ด้วย และพี่ก็ไม่ได้บังคับผมให้อยู่กับเขา”
“ที่เธอพูดมานั่นแหละที่อยากเอาชนะ”
“เรียกว่าเรารักกันและอยากอยู่ด้วยกันต่างหากครับ” ก่อนที่จะทำให้ณภัทรโกรธไปมากกว่านี้ ฉันท์ต้องกลับเข้ามาที่เรื่องของจิโระอีกครั้ง “ผมทราบดีว่าครอบครัวพี่ไม่ยอมรับ ผมจึงไม่ได้ไปหาอีก ผมไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไร เอาน้องของผมไปทำไม”
ณภัทรหันมามองหน้าฉันท์ตรง ๆ “บอกเลิกกับธาม แล้วไปญี่ปุ่นสัก 1 เดือน พรุ่งนี้ 6 โมงเย็นฉันจะให้คนพาน้องของเธอไปส่งให้ที่สนามบิน”
ห่วงน้องก็ห่วง แต่ชั่ววินาทีหนึ่งฉันท์ก็รู้สึกเหนื่อยใจ เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีความเชื่อว่าเธอสามารถกำหนดได้ทุกอย่างแม้แต่ตารางการบิน
“ผมว่าผมขอเบอร์คุณไว้ก่อนดีไหมครับ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ฉันท์รีบกดวางสายโทรศัพท์ “เผื่อว่าผมจองเที่ยวบินไม่ได้”
ณภัทรหงุดหงิดที่ฉันท์ไม่ได้มีท่าทีร้อนใจกับการที่น้องชายหายไปสักเท่าไหร่
ฉันท์เรียงลำดับความสำคัญและจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ไปตามนั้น
“อันที่จริง ทางคุณตาคุณยายที่ญี่ปุ่นก็บอกให้พาน้องกลับไปเยี่ยม แต่ก็มัวแต่ผัดผ่อนไปเรื่อย เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ณภัทรคว้าโทรศัพท์จากมือของฉันท์ ซึ่งตอนนี้กลับไปปิดล็อกหน้าจออัตโนมัติแล้ว
“รหัสหน้าจอล่ะ” หญิงสาวถาม
ฉันท์กดรหัสเปิดหน้าจอ หญิงสาวก็บอกเบอร์ให้ฉันท์กดตาม
แต่ประตูรถตู้เปิดออกตั้งแต่ฉันท์ยังพิมพ์บันทึกชื่อไม่เสร็จ
คนที่เปิดประตูรถตู้คือนายตำรวจคนหนึ่ง
“คุณฉันท์ทัต และคุณณภัทรใช่ไหมครับ”
ฉันท์พยักหน้าว่าใช่ แต่ณภัทรปิดปากเงียบ
ด้านหลังของนายตำรวจยังมีลุงรอง กับพี่ชาย ทั้งคู่เรียกให้ฉันท์ลงจากรถ แล้วปล่อยให้นายตำรวจพูดกับณภัทร
“เจ้าเอื้อยกับเด็กที่ตลาดพาจิโระไปที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนกวางกลับบ้านไปบอกข่าวลุงกับป้า แต่เจ้าฉันท์ต้องไปโรงพักแจ้งความเรื่องที่เขาลักพาจิโระแล้วค่อยตามไปโรงพยาบาล”
“จิโระเป็นอะไรไหมฮะ”
“เจ้าเอื้อยบอกแต่ว่าตอนที่ไปรับ เขาหลับอยู่ แต่ตำรวจเขาแนะนำว่ายังไงก็ต้องไปตรวจร่างกายก่อน เห็นว่าเพราะเป็นเด็กก็จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสังคมอะไรไปดูด้วย”
เมื่อหันไปที่รถตู้ ณภัทรยังไม่ยอมลงจากรถขณะที่มีคนมามุงดูเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ 
ลุงรองจึงชวนให้ฉันท์ไปแจ้งความที่โรงพัก ระหว่างทางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะทั้ง 2 ร้านอยู่ใกล้กัน กวางจึงเห็นตั้งแต่ตอนที่ฉันท์เดินไปตามจิโระ จนกระทั่งเห็นว่าขึ้นรถตู้ไปจึงโทรไปหาธามัน แต่ไม่สามารถโทรหาฉันท์ได้เพราะฉันท์โทรหาเอื้อยที่บันทึกเสียงสนทนาไว้
แล้วเอื้อยก็ใช้อีกเบอร์โทรหาลุงรองให้ตามหารถอีกคันที่คาดว่าจะพาจิโระไป
การหารถคันนี้ง่ายกว่าที่คิด ด้วยสาเหตุผลเดียวนั่นคือ ‘ธารา’
ธาราอยู่ในกลุ่มลูกของลุงธนดล ซึ่งมีธนุส เป็นพี่ชายคนโต เขาคือคนที่สนับสนุนธามันอย่างเต็มที่ ส่วนตัวของเธอเองแม้จะรู้ว่าผู้ใหญ่หลายคนเกลียดเกย์ เธอเองก็ไม่ชอบ แต่เมื่อรู้ว่า ธามันมีคนรักเป็นผู้ชายเหมือนกัน เธอกลับเฉยๆ ทั้งไม่ไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านฉันท์ทัต
ตอนที่มาเจอ 2 พี่น้องที่บ้านเธอไม่ค่อยชอบใจที่ธามันต้องมาอยู่ในบ้านหลังเล็ก กับครอบครัวที่มีท่าทีจะพึ่งพิงธามันเป็นหลัก
ฉันท์ทัตดูเป็นคนที่ระวังตัวเกินไป เครียดเกินไป คิดมากเกินไป
แต่จิโระไม่ใช่ เด็กน้อยน่ารัก สดใส และเมื่อมาพบอีกครั้งในวันนี้เขาก็จำเธอได้ทันที และเดินตามมาขึ้นรถแล้วถามเธอว่ากินอะไรมาหรือยัง ชักชวนให้เธอไปกินข้าวต้มฝีมือพี่ชาย เมื่อเลื่อนรถออกไปเด็กน้อยมีความเป็นกังวล เธอจึงบอกให้ย้ายรถไปที่ฝั่งตรงข้ามเพื่อให้เด็กน้อยเห็นพี่ชายในร้าน
และเธอเองก็ยังเห็นรถของณภัทร
จนกระทั่งจิโระหลับไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ให้เลื่อนรถ แต่ยังคงนั่งมองอยู่เช่นนั้น
ธารารู้เรื่องของโจ และเธอก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่มาในวันนี้ก็เพราะเธอไม่อยากขัดใจณภัทร
ถ้าเธอไม่มารับจิโระเอง แล้วณภัทรให้คนอื่นมารับจิโระ คน ๆนั้นอาจไม่ได้แค่ชวนคุยกันให้กินขนมผสมยานอนหลับแบบนี้
แต่เพราะจิโระหลับสนิทเกินไป เธอจึงรู้สึกร้อนใจ 
เธอเห็นฉันท์เข้าไปในรถของณภัทรแล้ว และเห็นคนขับรถมอร์เตอร์ไซค์มาที่ร้าน รู้ตัวอีกทีก็คือมีตำรวจมาเคาะประตูรถ เมื่อเธอเปิดประตู ตำรวจก็พูดขึ้น “ขอความกรุณา อย่าเสียงดัง เพราะอีกคนที่อยู่ในรถคันนั้นอาจเป็นอันตราย ขอเชิญไปคุยกันที่โรงพักครับ”
ธารารู้จักณภัทร รู้ว่าใจร้าย แต่ก็ไม่มีอาวุธจึงไม่น่าจะทำร้ายฉันท์ได้
หญิงสาวท่าทางเข้มแข็งอีกคนก็แทรกตัวเข้ามาอุ้มจิโระออกไป  “เอ่อ เดี๋ยว จิโระน่ะ”
หญิงสาวคนนั้นหันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่พอใจมากจนธาราไม่กล้าพูดต่อ
เมื่อธาราก้าวลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พาเธอไปขึ้นรถอีกคันในทันที
จนเมื่ออยู่ในรถตำรวจแล้วเธอจึงนึกได้ว่า ต้องโทรหารัฐฐา พี่ชายคนที่เป็นเจ้าของสำนักงานทนายความ
แต่เมื่อเขารับสายเธอก็กลับร้องไห้อย่างเสียขวัญ
คนที่มาเห็นสภาพของเธอตอนที่เดินขึ้นโรงพักคงคิดว่าเธอคือคนที่ถูกลักพาตัว ไม่ใช่จิโระ
หลังจากที่ธาราถูกกักตัวไว้ในห้องพนักงานสอบสวน ฉันท์ก็เดินขึ้นโรงพักเพื่อแจ้งความ และให้หลักฐานเป็นไฟล์เสียงการพูดคุยกับณภัทรในรถ ที่พี่เอื้อยบันทึกไว้ แล้วเพิ่งส่งมาให้ 
จากนั้นต้อมก็มาถึง และบอกว่า กวางโทรไปหาธามัน ซึ่งอยู่กับธนวัฒน์ที่หัวหิน ธนวัฒน์จึงบอกให้ต้อมมาอยู่กับฉันท์ และให้กวางอยู่ดูแลลุงกับป้า
ส่วนลุงเอกมาพร้อมกับทนายความของตลาด ขณะที่กำลังพูดคุยกับฉันท์ที่แจ้งความเสร็จแล้วผู้กำกับ สน.ก็มาถึง ทั้ง 3 คนและลุงรองจึงแยกไปคุยในห้องทำงาน
จากนั้นก็เป็นรัฐฐาที่รับไหว้ฉันท์ แล้วเดินเข้าไปในห้องสอบสวนเพื่อคุยกับณภัทร และฐาติที่เดินเข้าไปนั่งคุยอยู่ในห้องของธารา แต่เมื่อตำรวจควบคุมตัวณภัทรมาถึงโดยที่มีเยาวเรศแม่ของธามันมาด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุดแล้ว 
ลูกน้องคนหนึ่งของพี่เอื้อยเดินเข้ามาอธิบายให้ฟังว่า หลังจากที่ฉันท์แยกมาที่โรงพัก ณภัทรไม่ยอมลงมาจากรถ จนตำรวจบอกว่าให้โทรศัพท์หาคนในครอบครัว หรือทนายความก็ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมโทร จู่ ๆ ก็มีรถคันใหญ่มาจอด คนที่ลงมาจากรถคือเยาวเรศแม่ของธามัน เธอพูดไม่กี่คำ ณภัทรก็ยอมลงจากรถและมาที่โรงพัก
ณภัทรกับธาราอยู่กันคนละห้อง รัฐฐาออกมาจากห้องของธาราแล้วมาอยู่กับณภัทร
ต้อมพูดขึ้น “นี่ต้องเป็นคืนที่แต่ละคนโทรศัพท์กันเป็นไฟ”
ทั้งที่พอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ แต่บรรยากาศตอนนี้ตึงเครียดเกินไป พี่ชายจึงหันมาชวนต้อมคุยเพื่อฆ่าเวลา
“กวางโทรไปหาคุณธาม แต่ตอนนั้นมีคุณทีมอยู่ด้วย คุณทีมก็เลยให้ผมมาอยู่กับฉันท์ ส่วนพ่อของเขาก็คงเดาใจได้ว่า หลานสาวของเขาคนนี้จะต้องไม่กล้าโทรหาพ่อแม่หรือว่าทนายแน่ๆ ก็เลยให้เมียมาดู แต่คงคุยกันนาน กว่าที่เธอจะยอมมา”
“ถ้าลำพังหลานสาวของเขาเล่นงานเจ้าฉันท์คนเดียว เขาคงไม่ถึงขนาดให้เมียมา เพราะว่ามันเท่ากับการยอมรับกลาย ๆ แต่นี่เพราะว่าอีกคนคือจิโระ” พี่ชายพูดขึ้นแล้วถอนหายใจ “เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนชอบบงการคนอื่นขนาดนี้”
พอต้อมซักว่าทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น พี่ชายก็อธิบายต่อ
“คนที่ไม่ชอบเกย์นี่คือเขาไม่ชอบเลย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ชอบ แต่นี่เขาไม่ได้อะไรกับคนอื่น แต่มาบังคับให้น้องชายเลิกกับเจ้าฉันท์ แต่น้องชายไม่เชื่อฟัง ก็เลยมาบังคับที่เจ้าฉันท์”
ต้อมเหลือบตามองเพื่อนแวบหนึ่ง “ที่จริงเขาเคยทำอะไรคล้าย ๆ แบบนี้มาก่อน”
พี่ชายหันมามองหน้าฉันท์ที่นิ่งเงียบ
โทรศัพท์จากพี่เอื้อยโทรมา พอฉันท์วางสายพี่ชายก็ถาม
“จิโระไม่เป็นไรแล้วฮะ แต่ก็ยังอยากได้ชื่อยาที่เขาให้น้อง”
พี่ชายพยักหน้า ตบเข่าของฉันท์เบา ๆ แล้วลุกไปคุยกับตำรวจ
“ถ้าได้ชื่อยาแล้ว เราก็ไปดูจิโระกันเถอะ” ต้อมชวน
ฉันท์ไม่ได้หันมามองหน้าเพื่อน “มึงกลัวจะเจอคุณณภัทรหรือ”
“ไม่เจอได้น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือไง อีกอย่างที่นี่ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจเขาแล้ว”
หนุ่มตัวเล็กพยักหน้า แต่ไม่ขยับ “กูอยากเจอพวกเขา ทุกคน พร้อมกัน ก่อนที่จะไปหาน้อง”
พี่ชายได้ยินก็เดินไปบอกตำรวจอีกรอบ แต่ได้รับคำตอบว่า ณภัทรยังไม่ยอมพูดอะไร ส่วนธาราก็บอกว่าไม่รู้ชื่อยา เพราะพี่สาวให้มาแล้วเธอก็เอาใส่เครื่องดื่มไปจนหมด
ฉันท์พยักหน้าบอกว่าไม่เป็นไร “เดี๋ยวก็รู้ครับ รออีกครู่เดียว”
ทั้ง 2 คนที่นั่งอยู่ด้วยกันที่แถวเก้าอี้ห้องร้อยเวร ต่างก็ไม่เคยเห็นฉันท์เป็นแบบนี้ แต่เข้าใจความรู้สึกโกรธที่เกิดขึ้น
ความโกรธของฉันท์เหมือนกับการต้มน้ำแข็ง ที่จะละลายน้ำแข็งให้กลายเป็นน้ำ จากนั้นก็จะกลายเป็นน้ำเดือด

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-07-2019 19:07:09
(ต่อครับ)

เกือบตี 1 ธามัน ธนวัฒน์และธนาจึงมาถึง
เยาวเรศออกมาจากห้องที่สอบปากคำณภัทร ส่งสัญญาณบอกสามีด้วยการส่ายหน้า
ฉันท์หน้าซีดมาก มือผอมสั่นจนควบคุมไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำเมื่อลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปหา
“น้อง” ธามันจะก้าวเข้ามาหา แต่ฉันท์ชี้บอกให้หยุดอยู่ตรงนั้น
“อยู่ในกลุ่มญาติพี่น้องของพี่แบบนั้นเหมาะสมกว่าทางนี้”
ทุกคนบนโรงพักเงียบกริบ
“เรียก 2 คนนั้นออกมา” ฉันท์สั่ง “ผมจะพูดครั้งเดียว”
เมื่อทุกคนออกมาพร้อมหน้า ฉันท์ก็ถามณภัทรอย่างตรงไปตรงมา “เอายาอะไรให้น้องผมกิน”
ณภัทรเงียบทั้งหันไปมองทางอื่น ฉันท์ก็หันไปหาธามัน “ถามพี่สาวของคุณ ก่อนที่เธอจะต้องเข้าคุกในข้อหาพยายามฆ่า ถาม! เขาเอาอะไรให้น้องผมกิน!”
หลายชั่วโมงที่ณภัทรไม่ยอมพูดอะไร ทั้งแน่ใจว่ารัฐฐาจะต้องให้คำแนะนำประเภทอย่าเพิ่งพูดอะไร หรือไม่ก็ขอไปให้การในชั้นศาล แต่ฉันท์ไม่อยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อ
“ผมแจ้งความแล้ว คุณเงียบได้ แต่ผมไม่รอแล้ว! หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ และเราอยู่ในยุคที่ใคร ๆก็เป็นผู้สื่อข่าวได้ เชื่อว่าอีกไม่นานนักข่าวก็คงจะมา ผลกระทบที่เกิดตามมาคงเดาได้ โดยเฉพาะการที่บริษัทคุณอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมหวังว่าพวกเขาจะไม่ตามไปขุดคุ้ยว่า คุณเคยทำอะไรไว้ อาชญากรรมที่คุณทำ สร้างความเสียหายมากกว่าการที่มีน้องชายเป็นเกย์เสียอีก”
เยาวเรศเดินไปจับมือณภัทรไว้ “ณภัทร บอกเถอะนะ เรื่องอื่นเราค่อยพูดกันทีหลัง เด็กคนนั้นตัวนิดเดียวเอง”
ตอนที่อยู่ในห้องสอบสวนเธอไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน แต่การที่ถูกเรียกออกมาแบบนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิด หญิงสาวหันไปพูดเบา ๆ กับเยาวเรศให้เป็นคนบอกทุกคน พี่ชายรีบโทรไปบอกกับพี่เอื้อยที่โรงพยาบาล
ฉันท์หันมาหาธามัน “ไหนพี่บอกว่าจะปกป้องดูแลพวกเรา ไม่ให้ใครมาทำร้ายเราได้อีก” ฉันท์รู้ว่าธามันไม่ผิดเลยสักนิด “ก่อนที่จะพูดออกมาน่ะ คิดก่อนหรือเปล่า ว่ามันเป็นไปไม่ได้! หรือว่าการพูดอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองดูดี เพื่อให้ได้ผลประโยชน์แบบนี้!” มือที่สั่นไหวชี้ไปที่ณภัทร “มันอยู่ในสายเลือด! ถ้าพี่ยังเคลียร์ครอบครัวตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องตามผมมา ผมมีคนใจร้ายอยู่ในชีวิตผมมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องหามาเพิ่มอีก” คนตัวผอมโงนเงนพร้อมที่จะล้มลงไปทุกเมื่อจนต้อมเข้ามาจับแขนไว้ หันไปหาณภัทร “ผมไม่สนว่าอะไรทำให้คุณเกลียดผม แต่หลังจากนี้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะครับ อยู่ในห้องขัง รอพนักงานสอบสวนเขาพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ แต่บอกย้ำกับคุณตำรวจอีกครั้งนะครับ จิโระน่ะแค่ 4 ขวบ แล้วคน ๆ นี้เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนี้เป็นครั้งแรก คุณไปค้นประวัติได้”  ฉันท์หันมาหาธนวัฒน์ “ไปดูให้ดีเถอะว่าถัดจากคุณโจแล้วยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่า”
คำขู่ของฉันท์ได้ผล เพราะณภัทรสวนขึ้นมาทันที “ไม่นะ มีแค่โจ กับเด็กคนนี้”
ธนวัฒน์พยักหน้า “ขอบใจมากน้องฉันท์ ไปหาจิโระเถอะ ทางนี้พี่จัดการต่อเอง”
ลุงรองตบไล่ฉันท์เบา ๆ แต่พยักหน้าให้ลูกชายพาฉันท์ไปหาจิโระ
นับจำนวนคนบนโรงพักฝ่ายของฉันท์เหลือเพียง 3 คนน้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน แต่ฉันท์เชื่อว่าทั้ง 3 คนจะให้ความเป็นธรรมต่อคุณโจ และจิโระได้
เมื่อเข้ามาอยู่ในรถ ฉันท์เอนตัวลงพิงกระจกหน้าต่างรถด้วยความอ่อนแรง และเมื่อเขาไปในห้องผู้ป่วยพิเศษเด็ก ฉันท์ก็ตรงเข้าไปหาจิโระที่หลับสนิทแล้วจับมือน้องข้างที่ไม่ได้ให้น้ำเกลือ 
พี่เอื้อยบอกเล่าอาการทั่วไปของจิโระ ว่าหลับสนิทและคาดว่าจะหลับอย่างนี้ไปจนถึงบ่ายวันพรุ่งนี้
ต้อมขยับเก้าอี้ไปด้านหลังคนที่กำลังร้องไห้
“พูดออกมาบ้างก็ได้นะ อย่างที่มึงพูดที่โรงพักไง”
ฉันท์ส่ายหน้า แต่ต้อมก็บอกว่า การเก็บทุกอย่างไว้ในใจอาจทำให้เจ็บป่วยเอาได้
เห็นฉันท์ร้องไห้ไม่หยุด พี่ชายก็เลยช่วยผ่อนคลายบรรยากาศ “เมื่อกี้นี้ที่โรงพัก เจ้าฉันท์พูดอยู่ประโยค ผมมีคนใจร้ายอยู่ในชีวิตผมมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องหามาเพิ่มอีก ได้ยินแล้วเหมือนทุกคนบนโรงพักโดนหมัดเข้าปลายคางกันถ้วนหน้า”
ฉันท์ปาดน้ำตา แล้วขอโทษ “ผมกำลังโกรธ พูดออกไปโดยไม่คิด”
“แต่มันคือความจริง” พี่ชายบอก “เจ้าเอื้อยนี่ก็ด้วย คนใจร้าย”
พี่เอื้อยยอมรับ “หนูมีความจำเป็นหรอก พี่ก็รู้ว่าแม่หนูน่ะ...”
“ผมเข้าใจครับ เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ผมควรขอบคุณทุกคน ที่มีส่วนช่วยเหลือจนพบจิโระได้เร็วมาก แต่กลับพูดไม่คิด ขอโทษครับ”
“พี่ก็เข้าใจเจ้าฉันท์เหมือนกัน และดีใจที่พูดออกมา” พี่ชายบอก “มันคือความจริง แล้วทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรไว้ พอเกิดเรื่องกับจิโระ ทุกคนถึงได้พยายามช่วยกันเต็มที่ ขนาดลุงเอกยังมาเอง”
“พ่อเขาเป็นเจ้าของตลาด เป็นคนคุมย่านนี้ แต่มาเกิดเรื่องกับหลาน เขาก็ยอมไม่ได้อยู่แล้ว”
“ผมเป็นพี่ที่แย่จริง ๆ น้องอยู่ห่างออกไปแค่ 3 ห้องเท่านั้นยังไม่รู้เรื่องเลย” ฉันท์ร้องไห้ต่ออีกรอบ ทำให้ทั้งเพื่อนและพี่ช่วยกันปลอบ “ผมต่อว่าทุกคน แทนที่จะพูดขอบคุณ แล้วก็ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า ผมต่างหากที่เป็นคนผิด”
พี่เอื้อยหันไปตีพี่ชาย “เพราะพี่เลย เจ้าฉันท์ร้องหนักกว่าเดิมอีก”
ต้อมแอบส่งข้อความบางอย่างไปทางโทรศัพท์ เสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาบอกเพื่อน “จะโทษตัวเอง หรือจะโทษใครตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วทั้งนั้นแหละ มึงควรนอนพักแล้วก็ทำตัวให้สดชื่นดีกว่าไหม เพราะเวลาที่จิโระตื่นขึ้นมา มึงคือคนที่ต้องบอกเขาว่า เขากินขนมไม่สะอาดทำให้วูบไป หรือจะบอกอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เขาถูกคนทำร้ายน่ะ แล้วก็ต้องสอนเขาว่าต่อไปจะกินอะไรต้องระวัง”
“ใช่” พี่เอื้อยเห็นด้วย “ถ้าจิโระตื่นขึ้นมา แล้วเห็นเจ้าฉันท์หน้าซีด ตาบวม บอกอะไรไปจิโระจะเชื่อไหม”
“มานอนที่เบาะยาวนี่ไหม” พี่ชายช่วยอีกแรง
“ไม่เป็นไรฮะ ผมอยู่ตรงนี้ได้”
พี่เอื้อยทวนคำพูดของหมออีกรอบ และให้กำลังใจ “แกคิดดูสิ ถ้าจิโระอาการหนักก็ต้องอยู่ไอซียูใช่ไหม แต่นี่มาอยู่ห้องพิเศษ ก็แสดงว่า ไม่ต้องถึงขนาดที่แพทย์จะต้องจับตามองตลอดเวลา”
ที่จริงพี่เอื้อยเป็นคนไปขอกับแพทย์ให้ย้ายห้องออกมาจากไอซียูได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนหน้าที่ฉันท์จะมาถึงนี่เอง ตอนแรกก็ยังกังวลอยู่ว่าจะทำให้ฝ่ายณภัทรที่ทำร้ายจิโระได้เปรียบในทางคดี แต่พอมาเห็นว่าน้องชายร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่มาถึง ก็คิดว่าเรื่องคดีอะไรก็ช่างเถอะ คนทางนี้อาการแย่ลงเรื่อย ๆ จนน่าเป็นห่วง
เมื่อพยาบาลเข้ามาวัดไข้ วัดความดัน ได้ยินเองว่าจิโระไม่เป็นไรฉันท์ก็หยุดร้องไห้ แต่ยังไม่ยอมห่างจากเตียงของน้อง
ฉันท์หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็คือตอนที่พยาบาลเข้ามาวัดไข้จิโระ พี่ชาย พี่เอื้อยและต้อมกลับไปแล้ว เหลือเพียงธามันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยาบาล ที่กำลังบอกว่าให้จับน้องพลิกตัวบ้างก็ได้
พี่ดูเหนื่อย และเครียด แต่ก็ยังหล่อมากเหมือนดิม ในขณะที่ทางนี้เหมือนกำลังจะมีไข้
ยังไม่ทันจะพูดอะไร พี่ก็เดินมาแตะที่หน้าผากแล้วขอยาแก้ไข้จากพยาบาล
เพราะรู้ว่าสภาพของตัวเองเริ่มแย่ ฉันท์ลุกไปล้างหน้า เข้าห้องน้ำแล้วกลับออกมากินยา
“ร้องไห้จนตาบวม เป็นไข้” พี่จูงให้น้องมานอนที่โซฟาตัวยาว “นอนพักที่โซฟาเถอะ”
“ไม่ฮะ ผมอยากดูจิโระ”
“ชิรายูกิไม่สบาย แล้วจะดูจิโระได้ยังไง”
2 คนนั่งลงที่โซฟาตัวยาว ธามันก็ดึงให้ฉันท์เอนตัวเข้ามาพิงอก นั่งอยู่เงียบ ๆ อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ฉันท์จึงพูดขึ้น
“พี่เอื้อยส่งข้อความมาบอกเป็นระยะว่าจิโระไม่เป็นไรแล้วผมก็เบาใจ แต่เพราะว่าผมอยู่บนโรงพัก เห็นว่าทั้งที่หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เขาก็ยังไม่ยอมรับผิด ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาทำผิด พอเห็นพี่เดินขึ้นมา ผมก็สติแตก เสียงดังใส่พี่ ผมขอโทษ” ไม่รอให้พี่อธิบาย ฉันท์ก็พูดต่อทั้งที่เริ่มมีน้ำตา “ผมกลัวว่าจิโระจะจากไปเหมือนพ่อกับโอกาซัง กลัวว่าเขาจะจากไปโดยที่ไม่ได้บอกลากัน”
พี่เช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม
“ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เป็นไรแล้ว แต่ก็ยังกลัว” และตอนนี้ก็ร้องไห้อีกแล้ว ฉันท์หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ตำรวจให้ประกันตัวใช่ไหมฮะ”
ธามันพยักหน้ารับ
เรื่องที่โรงพักสำหรับคืนนี้จบลง แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากที่รอให้ไปสะสาง
“ยังต้องมาพบพนักงานสอบสวนอีกหลายครั้ง”
“เขาไม่บอกพี่ให้มาบอกผมถอนแจ้งความหรือฮะ”
“ความผิดอาญา ลุงเอกไม่ยอม” บรรยากาศที่โรงพักหลังจากที่ฉันท์กลับมาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเมื่อฉันท์ทิ้งความไม่พอใจไว้ ทั้งลุงเอกและธนวัฒน์ก็ ‘เล่นงาน’ ณภัทรแบบตรงไปตรงมาชนิดที่ต่อให้มีผู้ใหญ่ฝ่ายตนเองถึง 3 คนพร้อมทนายความก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มาก
‘ในคลิปพูดขู่เจ้าฉันท์ไม่หยุด ทีเวลาอย่างนี้จะมาทำเงียบให้มันเสียเวลาไปทำไม สงสัยคงอยากเป็นข่าวจริง ๆ’ ลุงเอกบอกไว้
“แล้วพี่คิดว่าผมควรทำไง”
ธามันหันไปจูบหน้าผากสวย “รอดูจิโระก่อน ว่าตื่นขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไรเราค่อยตัดสินใจอีกที ถ้าชิรายูกิอยากดำเนินคดีเขาต่อ เราก็อยู่เฉย ๆ แต่ถ้าจะถอนแจ้งความก็รอจนถึงที่เขาต้องมาพบพนักงานสอบสวนครั้งหน้า เราค่อยไปถอนแจ้งความ”
ฉันท์มองจิโระที่หลับสนิทแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“ก่อนนี้เขาพูดเรื่องรูปด้วย มันยังไงกันฮะ”
ธามันบอกความจริงว่าเป็นรูปที่ถ่ายเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกันเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งใส่กรอบรูปเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงาน
ฉันท์หลับตาลง ถอนหายใจยาว เมื่อมารวมกับเรื่องที่อลิซตกลงใจเลือกฐาติ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมณภัทรถึงต้องลงมือในเวลานี้ ทั้งที่ไม่มีความพร้อม
“เพราะพี่ไม่รอบคอบ ขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้”
ฉันท์ส่ายหน้าอีกครั้ง “ช่วง 1 เดือนมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่างเกิดขึ้น และก็มีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปเร็วมาก จนเมื่อนึกย้อนกลับไป ผมแทบจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้เลย หวังว่าหลังจากนี้ โลกของผมจะหมุนไปช้า ๆ เหมือนเดิม”
เช้ามืด กวางเคาะประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเด็กแล้วเปิดประตูเข้ามา เห็นฉันท์นอนหลับอยู่โซฟาตัวยาว ขณะที่ธามันนั่งหลับอยู่ที่โซฟาเดี่ยว และขยับตัวตื่นทันที
“ผมมาเปลี่ยนเฝ้าจิโระ ให้พี่ 2 คนกลับบ้านไปพัก แล้วเที่ยงค่อยมาใหม่”
“แล้วเราไม่ต้องไปโรงเรียนหรือไง”
กวางส่ายหน้า
“ไปโรงเรียนเถอะ หมอบอกว่าจิโระน่าจะตื่นตอนบ่าย  กวางมาตอนนั้นดีกว่า” ธามันบอก “ชิรายูกิเพิ่งหลับ พี่ยังไม่อยากปลุก”
“งั้นผมกลับไปเปลี่ยนชุดนักเรียน แล้วเอาเสื้อพี่ 2 คนมาให้พี่เปลี่ยนดีไหมครับ”
ธามันพยักหน้าเห็นด้วยตามที่กวางบอก แต่พอดีกับที่ฉันท์ขยับตัว คนตัวใหญ่หันไปลูบผมนิ่มเบาๆ “ไม่มีอะไร หลับอีกนิดเถอะ”
แล้วฉันท์ก็หลับต่อไปอย่างง่ายดาย

...จบตอนที่16...
ตอนหน้าจบแล้วนะจ๊ะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-07-2019 20:38:55
เป็นตอนที่พีคมากค่ะ หลังจากที่น้องต้องเจอเรื่องร้ายแรงมาเยอะแล้ว
คิดว่าจะไม่มีดราม่าอะไรที่น้องจะผ่านไปไม่ได้อีก แต่สุดท้าย ก็มีคนเริ่ม

ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงจิตใจหยาบขนาดนี้นะ ต้องขนาดไหนหรอ
ถึงเดือดร้อน และออกอาการหนักแบบนี้ ทำเด็กตัวเล็กนิดเดียว
ยาที่ให้กิน ไม่ใช่แค่ยานอนหลับใช่ไหม หรือหลับแบบไหน

ถ้าตัวเองเป็นฉันท์ จะไม่ยอมความใดๆ ไม่ใช่เพื่อความแค้น
แต่คือความเป็นจริงที่คุณต้องยอมรับว่า โลกไม่ได้อยู่ใต้น้ำมือคุณ
และคุณกำลังอาจจะฆ่าใครอีกคนเพิ่มขึ้น ทั้งทีเด็กไม่ได้รู้อะไรเลย

เปิดตอนมาก็แฮปปี้ดีมาก พี่ทำให้น้องหายเครียดได้บ้าง
ทำให้ฉันท์หัวเราะสุดเสียง แต่บนความสุขต้องมีความทุกข์หรอ
ให้ฉันท์ทัตมีความสุขอย่างจริงจังสักทีค่ะ
ธามก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนนะ ทำไมถึงเดือดร้อนแทน

อึ้งเลยตอนที่ฉันท์ห้ามพี่เข้าใกล้และว่าให้พี่ด้วยความรู้สึกและอารมณ์
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าจิโระเกิดเป็นอะไรร้ายแรงไป ใครจะชดใช้

ธามไม่เคือง แถมยังมาดูแล อยู่เคียงข้างให้น้องได้พักพิง น่าเอ็นดูฉันท์
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 08-07-2019 20:48:58
 :pig4:

ยาวสมกับการรอคอย อ้าว ! ท้ายเรื่องเครียดเลย

รอเรื่องราวตอนต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้น้องฉันท์ครับ

 :L2: เยี่ยมจิโระด้วย ต่อไปอย่ากินของอะไรจากคนแปลกหน้านะลูก

 :m31:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 08-07-2019 20:53:34
คนไม่สำนึกก็ไม่สำนึกจริงๆนะ

เข็มแข้งทั้งพี่ทั้งน้องนะ จับมือกันไว้ให้แน่นๆนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2019 23:11:20
รู้สึกว่าเป็นคืนที่ยาวนานมาก​ พยายามอ่านแล้วก็ทำความเข้าใจ​ในหลายๆเรื่อง​ สงสารจิโระจับใจ​ คนอะไรใจร้ายขนาดนี้แม้แต่เด็กตัวเล็ก​ๆ​ก็ยังเอามาเป็นเครื่องมือ​ได้
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-07-2019 00:03:45
พีคมาก
ลืมตัวละครสำคัญตัวแสบไปเลย โผล่มาอีกที รังแกกระทั่งเด็ก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-07-2019 00:53:50
คนนิ่งอย่างชิรายูกิโมโหได้ขนาดนั้นก็เหลือเชื่อแล้ว
แต่ก็สมกับเป็นชิรายูกิ
น้องกวาง  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 09-07-2019 09:43:56
โอ๊ยยยยยยยยย พี่ณภัทรทำไมใจร้ายแบบนี้  :m31:  :m31:
จิโระเพิ่งจะ 4 ขวบเอง ตัวเล็กแค่นั้น ก็สมควรแล้วที่ชิรายูกิจะโกรธมากขนาดนั้นอ่ะนะ
หลังจากนี้อยากให้บ้านใหญ่ฝั่งพี่ธามคิดได้ซักที ว่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมันสำคัญกว่าธุรกิจ การชิงดีชิงเด่น หน้าตา หรืออะไรๆภายนอก
หวังว่าชิรายูกิจะได้โลกที่หมุนช้าๆ สงบๆ แบบเดิมกลับคืนมาเร็วๆ

สุดท้าย อยากกอดกวางแน่นๆ :กอด1: ไม่เป็นไรนะ หนูตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ยื้อเอาไว้ ไม่งั้นจะเจ็บกว่านี้
หนูเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง มีน้ำใจ และเข้าใจโลกมากๆๆๆๆ ขอให้หนูมีชีวิตที่ดี ได้เจอคนดีๆ มีอนาคตที่ดีนะ

ปล. กวางคือตัวละครที่เราชอบที่สุดของเรื่องนี้เลย เกิดมาขาด แต่ใฝ่ดี ทัศนคติในการดำเนินชีวิตดี ละมีความกวน ทะลึ่ง ทะเล้นหน่อยๆ โอ๊ยยยยยย รักน้องงงงงงง เอาใจช่วยน้องให้มีอนาคตที่สดใส
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-07-2019 15:17:21

:m16: อารมณ์ตอนที่อ่านตอนนี้จบ แบบร้องเฮ้ยยยยยยยยย เลยนะ

 การกระทำของณภัทรนี่มันโคตรเห็นแก่ตัวและก็น่ารังเกียจที่สุด

คือที่บอกว่าน่ารักเกียจนี่อ่านมาแล้วรู้สึกได้อย่างเดียวว่าเก่งแต่กับเด็ก
ตั้งแต่เรื่องโจจนมาถึงเรื่องจิโระการใช้เด็กตัวเล็กๆมาเป็นเครื่องมือมันสิ้นคิดมากกกกก
อยากให้อยู่ในคุกให้เข็ดค่ะ แก่แล้วแบบนั้นดูซิว่าจะเก่งไปได้อีกนานแค่ไหน  :beat:

ส่วนอีกคนคุณธารา แค่บอกว่าไม่อยากขัดใจณภัทรเลยเป็นคนที่ไปรับจิโระมาเอง อันนี้ก็ควรโดนไปด้วยกันค่ะ
อะไรคือการที่รู้ว่าอีกคนทำผิดแต่ไม่ห้ามหรือหาทางบอกคนอื่นที่สามารถจัดการได้ในเมื่อตัวเองคิดไม่ได้ ก็ควรค่ะ
ควรไปอยู่ในคุกด้วยกัน  :m16:


และคนสุดท้าย  อิคุณฐาติค่ะ :z6:  :z6: อันนี้คือแทนความรู้สึก อะไรคือการมาทำเหมือนน้องกวางของอิป้าคนนี้เป็นของเล่น
จำไว้นะคะน้องจะต้องมีคนที่ดีที่สุดมารักน้องและดีกว่าอิน้าแก่ๆคนนี้แน่นอน



สารภาพ ตอนนี้อ่านแล้วร้องให้เลย ใจหนึ่งก็ยังไม่อยากให้จบเลย  :ling1:





หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-07-2019 08:14:33
อ่านจบตอนนี้แล้วมีหลายอารมณ์มาก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 11-07-2019 17:23:51
หาคนมาดูแลกวางด่วน  ไม่เอาฐานติ  ให้ไปนอนกอดเงินไกลไป๊
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 11-07-2019 22:46:52
ลักพาตัว​ กักขังหน่วงเหนี่ยว​ พยายามฆ่านี่ถึงถอนแจ้งความแล้วบอกว่าเข้าใจผิดแต่นี่เป็นคดีอาญายอมความมิได้ไม่ใช่เหรอ​  ถึงน้องจะไม่ตาย​ แต่อาจมีผลต่อสภาพจิตใจ​ทั้งยังเป็นการกระทำที่มีการไตร่ตรองไว้ก่อน​​ ยังไงก็ต้องขึ้นศาล​ เพราะมีหลักฐานและจำเลยหลุดจากปากเองว่ากระทำจริง​ ถึงจะกลับคำให้การแต่ถือว่าคดีมีมูล​ ถ้าไม่วิ่งอัยการหนักๆ​ เพื่อล้มสำนวน​ ยังไง​ตำรวจก็ต้องถือหางข้างเจ้าของตลาดอิทธิพลอยู่แล้ว​ ก็ต้องมาลุ้นกันว่าเส้นใครจะใหญ่กว่ากัน... เจอทนายเก่งๆ​ คุณพี่สาวมีสิทธิ์จำคุก​ตลอดชีวิตอ่ะเราว่า​ ติดจริงสัก​10-20ปี​น้อยไปแต่ก็สะใจ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 12-07-2019 10:07:23
โอ๊ย

จิโร๊ะ

ปลอดภัยนะลูก

หนูปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 12-07-2019 21:11:09
หลากหลายอารมณ์มากในตอนนี้ :hao5:

น้องกวางเข้มแข็งนะลูก หนูต้องได้เจอคนที่ดีแน่ๆ

จิโระน่าสงสาร เพราะไว้ใจถึงได้ขึ้นรถไปด้วย

นภัทรคนเห็นแก่ตัวต้องได้รับกรรมที่ทำไว้กับทุกคนนะ

สุดท้าย หวังให้น้องฉันท์ได้อยู่บนโลกที่หมุนช้าๆ ซักที :3123:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 17-07-2019 23:13:47
ฮึบๆๆ เข้ามาปูเสื่อรอ  :katai5:  :katai5:
คิดถึงชิรายูกิแล้ววววววววว
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 18-07-2019 17:17:12
 :katai5:

ถ้าลงจบแล้ว จะอ่านซ้ำอีก ชอบทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนก่อนจบ(8/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 19-07-2019 03:11:45
 :mew6:
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-07-2019 18:57:11
ตอนจบ...

คำขอของฉันท์ที่อยากให้ชีวิตหลังจากนี้ดำเนินไปช้าๆ ไม่ค่อยจะเป็นไปตามที่ขอสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่จิโระตื่นแล้ว ตำรวจก็ต้องมาสอบปากคำ ฉันท์จึงต้องขอคุยกับตำรวจและนักสังคมสงเคราะห์ก่อนว่าตั้งใจจะบอกกับน้องว่าอย่างไร จากนั้นคุณตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบจึงมาพร้อมกับนักสังคมสงเคราะห์ และมีฉันท์ฟังอยู่ด้วย
จิโระเล่าว่า พี่สาวของฮันซามุซังที่มาคุยกับโอนีเมื่อหลายวันก่อน มารับที่บ้านจุ๊บแจง บอกว่าฮันซามุซังไม่อยู่พี่สาวก็เลยมารับกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลเพราะจิโระอยากกลับบ้านพร้อมกับโอนี พี่สาวจึงชวนกินขนมอยู่ด้วยกันในรถ
พี่สาวใจดี ชวนคุยว่า จิโระช่วยโอนีทำอะไรบ้าง เพราะเห็นโอนีทำงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา จิโระก็เล่าไปว่า ก็แค่ช่วยล้างผัก ปอกกระเทียมอยู่ในครัวหลังร้าน ไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะว่ายังตัวเล็ก แต่ได้ยินโอนีกับฮันซามุคุยกันว่าอาจต้องจ้างคนงานเพิ่ม
จิโระเป็นเด็กช่างพูด และพยายามเล่าทุกอย่างที่รู้ให้ผู้ใหญ่ฟัง
หลังจากการพูดคุย ฉันท์ให้กวางอยู่กับจิโระ ส่วนตนเองเดินตามออกมายืนคุยที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ทั้ง 2 คนชมว่าจิโระเป็นเด็กฉลาดเกินอายุ อาจเพราะเขาพบเจอเรื่องราวมามาก ส่วนเรื่องที่จะไม่บอกว่าเขาถูกผู้ใหญ่วางยานอนหลับ แต่จะสอนเรื่องให้เพิ่มความระมัดระวังในการกินอาหารให้มากกว่าเดิมนั้นเห็นด้วย
จากนั้นตำรวจก็บอกความคืบหน้าในเรื่องของคดี “จากที่คุยกับแพทย์และจิโระ เรื่องนี้ค่อนข้างไปทางทำร้ายร่างกายเพราะว่าจิโระไม่ได้มีอาการหนัก และไม่แสดงอาการข้างเคียง”
ฉันท์พยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทั้ง 2 คนจึงบอกว่าเมื่อทำสำนวนเสร็จจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไป
หนุ่มตัวเล็กเดินขึ้นบันไดช้า ๆ จนถึงชั้นผู้ป่วยพิเศษเด็ก แล้วนั่งอยู่ที่โซฟาใกล้กับห้องพักพยาบาล จนกระทั่งกวางกับจิโระเดินมาเรียก
“โอนี โลง ปัย เดิน เลน ที ซา หนัม ได้ไหม”
    ฉันท์พยักหน้า ตามใจเดินจูงมือน้องชายลงไปเดินเล่นที่สนามอยู่เกือบ 1 ชั่วโมงจึงกลับขึ้นมาที่ห้อง เมื่อแพทย์มาตรวจเห็นว่าจิโระฟื้นตัวได้เร็วก็บอกว่าคืนนี้นอนที่โรงพยาบาลอีก 1 คืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน
เมื่อธามันรู้ว่าจิโระจะออกจากโรงพยาบาลก็รีบลางาน แต่ฉันท์บอกว่าสามารถจัดการเองได้ ทั้งในช่วงเย็นจะกลับไปเตรียมของที่ร้านเพื่อเปิดร้านในเช้าวันถัดไป
ธามันรับรู้และยอมทำตามที่ฉันท์บอก แต่ขอนอนเฝ้าทั้ง 2 คนอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนคืนก่อน ๆ เช้าก็ไปทำงาน แต่พอ 10 โมงก็กลับมาอีกรอบ พร้อมด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ของทั้งคู่
“จิโระ เปลี่ยนเสื้อกัน จะได้กลับบ้าน”
พอฮันซามุซังบอก จิโระก็ลุกขึ้นยืนให้เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ให้ทันที
“ฝ่ายการเงินยังไม่โทรขึ้นมาบอกค่าใช้จ่ายเลยฮะ”
“พี่จัดการแล้ว”
ฉันท์ไหว้ขอบคุณ แต่ธามันรับไหว้ด้วยการดึงมากอดไว้ แล้วจูบหน้าผาก ทำให้จิโระหัวเราะคิกคัก
ฉันท์แก้เก้อด้วยการบิดเนื้อที่เอวหนาไปครั้งหนึ่งแล้วหันไปเก็บของในห้องพัก
“เจบ เจบ” จิโระล้อเลียน
“เจ็บสิ” ธามันทำหน้าตาหน้าสงสารขณะที่ใส่เสื้อให้จิโระ 
“เจบ เจบ”
ฉันท์ทำหน้าตาขึงขังใส่น้อง แต่เวลานี้มีฮันซามุซังที่มักตามใจอยู่เสมอ ให้ดุอย่างไรก็ยังหัวเราะมีความสุข ทั้งเดินมาลาแพทย์ พยาบาลด้วยตนเอง ไม่ยอมนั่งรถเข็น
ฉันท์ควรดีใจที่น้องแข็งแรงและร่าเริงเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
ความกลัวว่าน้องจะหายไป ใช่ว่าจะลบล้างไปได้ง่าย ๆ
หลังจากที่พาจิโระกลับมาบ้าน ก็กลับไปที่ร้าน เขียนป้ายรับคนงานเพิ่มอีก 2 คน แล้วมาเตรียมข้าวต้มขายรอบเย็นวันนี้
ระหว่างที่กำลังเตรียมของอยู่ ธามันก็ถือหม้อดินใส่ขนมหวานของวันนี้เข้ามาที่ร้าน
“ขนมหวานวันนี้ลอดช่องน้ำกะทิ ป้าทำน้ำกะทิไว้เยอะ บอกว่าให้มาซื้อเผือกที่ตลาดเอามาต้มแป๊บเดียวก็เสร็จ”
ฉันท์พยักหน้า มองตามพี่ที่เดินไปหยิบโถแก้วสำหรับใส่ขนมหวาน “ยกให้พี่จัดการนะฮะ อย่าลืมสั่งน้ำแข็งป่น”
“ได้เลย”
ธามันหยิบกระดาษ ปากกามาเตรียมจดของที่ต้องสั่งเพิ่ม ไม่ลืมที่จะถามน้องว่า จะสั่งของเพิ่มด้วยหรือไม่ จากนั้นก็โทรศัพท์เรียกรถจักรยานยนต์รับจ้างมารับไปซื้อของ
คืนที่เกิดเรื่องมัวแต่วุ่นวายก็เลยไม่ได้โทรไปยกเลิกของสด เมื่อร้านค้าเอาของมาส่งฉันท์จึงบอกให้ เขียวกับสม เด็กลูกจ้างทั้ง 2 คนที่ร้านรับไว้แล้วเก็บของทั้งหมดใส่ในตู้แช่ ส่วนผักสดอย่างต้นหอมผักชี ฉันท์ให้เอาไปแจกร้านข้าง ๆ รอวันที่จะเปิดร้านค่อยสั่งของใหม่ มาขายให้ลูกค้า
และตั้งแต่ตอนที่แพทย์บอกให้จิโระออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันท์ก็โทรมาบอกทั้ง 2 คนให้เตรียมเปิดร้าน
ร้านข้าวต้มที่ปิดไปนานหลายวัน เปิดร้านตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง และปิดร้านก่อนเวลาเพราะของหมดเหมือนเคย ตอนที่ฉันท์กำลังทำบัญชี ส่วนพี่กำลังเก็บของปิดร้าน ฉันท์ก็ได้ลูกจ้างเพิ่มมาอีก 2 คน คนหนึ่งชื่อเพ้งเคยทำงานคาร์แคร์ แต่เจ้าของคาร์แคร์เลิกกิจการไปแล้ว ก็เลยต้องมาหางานทำใหม่ และคนนี้มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของกวาง ส่วนอีกคนชื่อเอ๋ซึ่งออกสาวมากหน่อย
“มีห้องพักที่ชั้น 3 และ 4 เขียวกับสมเขาอยู่ที่ชั้น 3 แล้ว เพ้งกับเอ๋จะย้ายมาอยู่ที่นี่ หรือจะไปกลับก็ได้ ถ้าจะมาอยู่พรุ่งนี้พี่จะไปซื้อพวกที่นอน ตู้เสื้อผ้ามาให้”
เพ้งมีที่พักอยู่ในชุมชนหลังตลาดอยู่แล้ว ไม่ได้อะไรมากมายกับการเดินทาง แต่เอ๋ยังไม่ตัดสินใจ
“เอ๋อยู่ชั้น 4 สิ ส่วนเพ้ง ถ้าวันไหนจะนอนนี่ ก็มานอนห้องกูได้” เขียวเสนอ เพราะอยากได้เพื่อนร่วมงานเพิ่ม
ทั้ง 2 คนตกลงตามนั้น และอยู่ช่วยเก็บของจนเสร็จก็กลับไป
ฉันท์ปิดร้าน ทั้งย้ำให้คนที่นอนเฝ้าหน้าร้าน ว่าให้ล็อกกุญแจให้ดี
ระหว่างที่เดินกลับมาที่รถฉันท์ก็พยายามนึก “ลืมอะไรหรือเปล่านะ เตรียมเงินจ่ายค่าของที่ค้างไว้แล้ว แล้วยังมีอะไรอีก”
พี่ช่วยนึก “ประกันสังคมของคนงาน”
“อ้อ ใช่” น้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกไว้ก่อน “ดีเหมือนกัน ที่ได้คนงานคนไทยทั้งหมด”
“ระวังเรื่องเบิกล่วงหน้าแล้วหนีหายไว้สักนิดก็ดี” พี่เตือน
“ยังมีอีกเรื่อง” น้องบอก “ต้องติดกล้องวงจรปิดในร้านด้วยนะฮะ”
“ได้ครับ” พี่รับทราบคำสั่ง
เมื่อกลับมาถึงบ้านจิโระยังไม่อมนอน เพราะเชื่อว่าพี่ชายต้องกลับมาถึงบ้านก่อน 3 ทุ่มครึ่งเหมือนเคย แต่วันนี้กลับมาถึงก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว
“โอนี ช้า”
“วันนี้มีลูกจ้างมาใหม่อีก 2 คนก็เลยต้องคุยกันนาน” ฉันท์อุ้มจิโระเดินเข้าบ้าน แล้วบอกกับกวางว่าเพ้งที่มาสมัครงานในวันนี้เป็นญาติกับกวาง
“อ๋อ...” กวางลากเสียงยาวแล้วเล่าประวัติของเพ้งให้ฟังจนกระทั่งฉันท์จะพาจิโระไปนอน กวางก็ยังเล่าอยู่จนป้าแซว
“นี่เรากำลังช่วยรับรองให้เพ้งได้งานทำหรือต้องตกงานกันแน่”
“ได้งานสิป้า” กวางบอก
...
จิโระที่รอพี่อยู่นาน หลับไปในทันทีที่หัวถึงหมอน ทำให้คืนนี้ไม่ต้องมีนิทานก่อนนอน ดังนั้นตอนที่ฉันท์กลับมาที่ห้องนอน พี่จึงเพิ่งจะออกจากห้องน้ำ เมื่อเดินสวนกันพี่ก้มลงหอมแก้มทำให้โดนผลักที่เอวเบา ๆ
“ดุจัง”
น้องทำหน้ายู่รีบเข้าไปอาบน้ำสระผม พอออกมาก็เห็นว่าพี่กำลังนั่งทำงานอยู่บนที่นอน
“บอกแล้วว่าไม่ต้องหยุดงานก็ได้” น้องเช็ดผม แล้วใช้ไดร์เป่าผมอีกรอบ เสร็จแล้วก็เดินมานอนอยู่ข้างๆ
พี่ปิดโน๊ตบุ๊คปิดไฟแล้วเลื่อนตัวลงนอน น้องก็ขยับมานอนหนุนแขน
“พี่ฮะ”
“อืม” พี่ขยับตัวหอมหน้าผาก
“พรุ่งนี้จะไปถอนแจ้งความ ไม่เรียกค่าชดเชยหรือค่ารักษาอะไรจากเขาด้วย แล้วก็จะสอนทั้ง 4 คนให้ทำข้าวต้มและช่วยกันดูแล คุมร้าน เผื่อถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกจะได้ไม่ต้องปิดร้าน”
“ร้านเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วัน อย่าเพิ่งปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเลย”
“ฮะ”
“ชิรายูกิ”
“ฮะ”
“คิดอะไรอยู่”
“ก็คิดไปเรื่อยน่ะฮะ”
“จะไปไหน” นี่เป็นการคาดเดา ที่จู่ ๆ พี่ก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมา ไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรทั้งสิ้น
น้องขยับตัวซุกหน้ากับอกพี่
“ไม่ว่าจะไปไหน ก็ต้องไปด้วยกัน”
“ผม...รู้สึกตัวว่าเป็นพี่ที่ไม่ดี ยังทำได้ไม่ดีพอ”
“พี่เองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบาง “ชิรายูกิรู้สึกตัวว่าดูแลจิโระได้ไม่ดีพอจึงจะพาจิโระไปที่ไหนสักที่ พี่เองก็คิดว่าพี่ดูแลชิรายูกิได้ไม่ดีพอเหมือนกัน แต่ตอนนี้พี่ยังคิดไม่ออกว่าจะพาชิรายูกิไปไหน รู้แต่ว่าพี่จะไม่ยอมปล่อยมือ”
“ไม่ได้จะปล่อยมือสักหน่อย แต่คิดขึ้นมาว่า อยากพาจิโระไปญี่ปุ่น”
พี่จับมือผอมขึ้นมาจูบที่ปลายนิ้ว “ได้ ไปญี่ปุ่นกัน”
“พี่หยุดงานบ่อยเกินไปแล้ว”
“อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ถ้ามีอินเทอร์เน็ต”
น้องหัวเราะทั้งน้ำตา ดร.ธามันนี่เอาแต่ใจมาก แล้วก็ดื้อสุด ๆ ไปเลย

ฉันท์ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำขอโทษ หรือว่าขอบใจจากณภัทร เพราะรู้ว่าเธอไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปคือความผิด แต่การที่เธอเงียบหายไปหลังจากนั้น ทำให้คิดว่าการไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
...
ในวันหนึ่งขณะที่ฉันท์กำลังเตรียมเปิดร้าน ก็พบว่ามีเพื่อนเก่ามายืนรออยู่
“ฉันท์”
ฉันท์นิ่งไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ “วิพุธ”
วิพุธในวันนี้ดูแตกต่างจากสมัยเรียนมัธยมอย่างสิ้นเชิง
แม้ในวันก่อนจะจากกันด้วยการทิ้งแผลไว้ในใจ แต่เมื่อมาพบเจอกันอีกครั้ง ฉันท์ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายังติดค้างต่อกัน ตรงข้ามกับวิพุธที่ดูอึกอักลังเลอยู่ตลอดเวลาทั้งที่เป็นฝ่ายมารอ
“เราขับรถผ่านร้านอยู่ทุกวัน แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นร้านของฉันท์ วันนี้ก็เลยแวะมา...หา”
ฉันท์ยิ้มรับ “สบายดีไหม”
“สบายดี แล้วฉันท์ล่ะ”
“ดีมาก”
“เรา...อยากบอกกับฉันท์ว่าเราขอโทษ”
ฉันท์รับคำขอโทษนั้น “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ยังมีอะไรอีกมากมายให้ต้องเจอ เตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่า”
แต่วิพุธยังมีเรื่องที่อยากบอกอีก “เรา แยกกับแก้วตาตั้งแต่ตอนที่จบม.6 แล้วก็ไม่ได้คบกับใครอีกเลย เราคิดถึง...”
“อีกครู่ร้านก็จะเปิดแล้ว กินข้าวต้มก่อนไหม” ฉันท์บอกรายการอาหาร
“ฉันท์ คือเรา...”
ฉันท์ยิ้มจนตาเป็นประกาย “จำพี่คนที่มารับเราหน้าโรงเรียน แล้วก็ที่โรงเรียนกวดวิชาได้ไหม”
วิพุธทำตาโตเมื่อนึกออก “ไม่อยากเชื่อเลย พี่คนนั้นน่ะนะ”
คนตัวเล็กยิ้มกว้าง จนวิพุธต้องถอนหายใจ “มิน่า...แต่ก็ดีใจด้วย”
ฉันท์ชวนให้วิพุธกินข้าวต้มก่อน
“เราคิดว่าฉันท์ทำไปเพราะประชด บางทีก็สงสัยว่าตอนนี้ฉันท์เป็นไงบ้าง”
“เราไม่ได้ประชด พี่เขาดูแลเราดีมาก”
ฉันท์ยิ้มกว้าง ขณะที่วิพุธชี้ไปรอบร้านข้าวต้ม เชิงถามว่า ‘ร้านข้าวต้มนี่น่ะหรือ ที่เรียกว่าดูแลดี’
“วิพุธ เราเป็นผู้ชาย เราไม่ต้องการให้ใครมาหาเลี้ยง ร้านข้าวต้มคือความฝันของเรา เราอยากทำร้าน พี่เขาก็ให้เงินมาซื้อห้องแถว ให้เงินมาลงทุน หาช่างมาทำร้านให้ สอนเราทำบัญชี สอนเราเรื่องการดูแลลูกน้องในร้าน แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง เลิกงานก็ยังมาช่วยเราขายของ ตามใจกันขนาดนี้ ดีไหมล่ะ”
ฉันท์ทัตคนที่วิพุธรู้จัก เป็นคุณหนูที่อยู่ในหอคอยงาช้าง ไม่เคยต้องทำอะไรเอง ไม่เคยรู้เลยว่าชอบค้าขาย แต่หากว่าในวันนี้ฉันท์ได้ทำในสิ่งที่ต้องการโดยมีคนรักสนับสนุนเต็มที่แบบนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ผู้ชายคนนั้นดีจริง
“สั่งข้าวต้มได้หรือยัง” ฉันท์ถามอีกครั้ง
วิพุธสั่งข้าวต้ม กับเครื่องดื่มแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะด้านใน
5 โมงเย็นเปิดร้าน ลูกค้าทยอยเข้าร้าน วิพุธมองดูพ่อครัวและเจ้าของร้านที่มีรอยยิ้มกว้างต้อนรับลูกค้าตลอดเวลา
จากที่เห็น สรุปได้ว่านี่คือความสุขของฉันท์ทัต อย่างแท้จริง
ข้าวต้มถ้วยใหญ่ต่อด้วยขนมหวานผ่านไป วิพุธก็เรียกเก็บเงิน แต่ฉันท์เดินมาบอก “วันนี้เราเลี้ยง”
“อย่าเลย”
“เอาไว้ครั้งต่อไป ที่วิพุธมากินข้าวต้มอีก เราจะคิดเงิน”
วิพุธให้สัญญาว่าจะกลับมากินข้าวต้มอีกอย่างแน่นอน
ที่ตลกก็คือประมาณ 6 โมงเย็นเศษพี่ก็กลับมาร้าน ถือว่าเป็นการกลับมาร้านเร็วกว่าปกติ ทั้งยังมาในแบบที่พร้อมสำหรับการทำงาน เสื้อทำงานแขนยาวพับถึงศอกเรียบร้อย พอมาถึงก็เดินดุ่มไปหลังร้าน กลับมาอีกทีคือใส่ผ้ากันเปื้อนมาแล้ว
“พี่ กินข้าวก่อนไหมฮะ”
พี่ส่ายหน้า แต่ไม่ยอมพูด ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ พอมองไปทางลูกน้องทั้ง 4 คนตั้งแต่ในร้านไปจนถึงคนที่อยู่ในครัวต่างก็หลบตากันวูบ
ฉันท์อมยิ้ม “ลูกน้องโทรไปรายงานละสิ”
พี่ก้มหน้าก้มตา รับใบรายการที่ลูกค้าสั่งมาส่งให้น้องแล้วเดินไปคิดเงินอีกโต๊ะ เสร็จแล้วก็เดินมาช่วยที่หน้าเตา
ไม่พูดไม่จา...
วันนี้ร้านปิดก่อน 3 ทุ่มเล็กน้อยเพราะมีลูกจ้างเพิ่มขึ้น เตรียมของเพิ่มขึ้น แต่ฉันท์ก็ต้องใช้เวลาในการทำบัญชีนานขึ้น
2 คนในครัวล้างถ้วยชามเสร็จแล้ว 2 คนที่เก็บโต๊ะ ล้างพื้นก็เสร็จแล้ว ก็กลับขึ้นไปห้องพัก แต่ฉันท์ยังมองบัญชี แล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่
“รายรับเยอะขึ้นนะ แต่พอมาหักทุนของวันนี้ เหลือเท่าเดิม” จากนั้นก็หัวเราะ “ค้าขายเก่งเหลือเชื่อเลยฉันท์ทัต”
พี่ถอนหายใจยังไม่ทันจะพูดอะไร ทั้ง 2 คนก็ต้องหันกลับไปมองเพ้ง คนงานที่เพิ่งกลับขึ้นห้องไปไม่ถึง 10 นาทีแต่ตอนนี้ถือหมอนและผ้าห่มเดินผ่านทั้ง 2 คนไปยกเตียงผ้าใบออกมากางเตรียมจะนอน
“คืนนี้ผมอยู่เวรรับของที่รถเข็นเอามาส่งตอนตี 3 ครึ่ง” ญาติผู้พี่ของกวางพูดพลางยักคิ้วข้างหนึ่ง
“อ้อ ขอโทษที” ฉันท์เก็บของเก็บเงินใส่กล่องล็อคกุญแจเรียบร้อย แล้วเดินตามพี่ออกมา เพ้งก็ตามมาปิดประตูและล็อคกุญแจจากด้านใน
น้องส่งกล่องเงินให้พี่เป็นคนถือ ส่วนตัวเองถือสมุดบัญชี
พอเข้ามาอยู่ในรถน้องก็พูดขึ้น “วันนี้วิพุธมา”
พี่ส่งเสียงฮึอีกครั้ง ทำให้น้องต้องอมยิ้มจนเจ็บแก้ม “เขาบอกว่า ขับรถผ่านร้านแล้วเห็น ก็เลยแวะมาหา มาขอโทษ”
คนขับรถหน้าตาบึ้งตึงไม่แสดงความเห็น
“ถามว่าสบายดีไหม ผมบอกว่าสบายดี พี่ดูแลผมเป็นอย่างดี ผมอยากทำร้านข้าวต้ม ก็ให้เงินมาทำร้าน คอยสอนทุกเรื่อง ดูแลเป็นอย่างดี” ฉันท์มองคนที่ยังทำหน้าเรียบตึงอยู่เหมือนเดิม “ที่จริงผมก็อยากจะคุยอวดอีกสักหน่อยแต่ใกล้จะ 5 โมงเย็นต้องเปิดร้านก็เลยชวนเขากินข้าวต้มก่อน”
พี่ส่งเสียงฮึอีกครั้ง
น้องเอียงคอมอง “ที่รีบกลับมาไม่ใช่เรื่องนี้หรือฮะ” ไม่ตอบ “งั้นเรื่องอะไรล่ะ”
สำหรับคนที่พูดไม่เก่งอย่างฉันท์ พูดคนเดียวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยอะแล้ว ดังนั้นแม้จะรู้สึกสนุกที่พี่ออกอาการหึงหวง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มขำไปจนถึงบ้าน
วันนี้กลับมาถึงบ้านดึกเกินไปจริง ๆ เพราะว่ากวางพาจิโระเข้าห้องนอนไปแล้ว แต่พอเห็นพี่ชายเปิดประตูห้องเข้ามาดูก็ลืมตาลุกขึ้นนั่ง
“จิโระ พี่กลับมาแล้ว”
“โอนี กลับบ้านดึก มั่ก”
“ใช่” พี่ชายจับน้องลงนอน แล้วกระชับผ้าห่ม “วันนี้พี่ทำบัญชีเสร็จช้าน่ะ”
“ป้าบ่อก ว่า ต่อ ปัย โอนี จะ กลับ ช้า แบ่บ นี่ ถุก วัน”
“ไม่ทุกวันหรอก ถ้าขายหมดเร็ว ทำบัญชีเสร็จเร็ว ก็ได้กลับบ้านเร็ว”
“จิโระ หยักไปชู่ ช่วยโอนี แต มั่ย มี คัย พาไป”
“จิโระ มีหน้าที่สำคัญที่บ้านหลายอย่างแล้ว ทั้งดูแลลุงกับป้า ทำขนมอีก” พี่ชายลูบผมน้องเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับ “ถ้าไปช่วยที่ร้านตอนเย็นอีก จะเหนื่อยเกินไป”
“จิโระ มั่ย เนือย”
“โอนีดูที่ร้าน จิโระดูที่บ้านไง แบ่งกัน แล้วจิโระก็ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนด้วย”
2 พี่น้องหันไปมองคนที่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาดู
“อาบน้ำเสร็จแล้วหรือฮะ”
พี่พยักหน้าเดินเข้ามาหา “คุยอะไรกัน ดึกแล้ว โอนีต้องตื่นเช้าไปเตรียมของที่ร้านนะ”
“จิโระ หยักไป ช่วยโอนีที่ร้าน”
“ตอนเย็นน่ะหรือ”
จิโระพยักหน้า
“แล้วใครจะดูแลลุงกับป้าล่ะ การดูแลลุงกับป้า ก็เป็นการช่วยโอนีทำงานเหมือนกัน”
ดูท่าพี่ธามจะพูดเร็วเกินไป ต้องอธิบายซ้ำ “พี่เองก็ช่วยอะไรโอนีไม่ได้มากเพราะทำงานกว่าจะมาถึงร้านก็ 3 ทุ่ม 4 ทุ่มแล้ว โอนีต้องดูแลทุกคนที่บ้านนี้ แล้วก็ต้องทำงานด้วยแต่โอนีมีคนเดียวต้องทำไงดี” เด็กน้อยทำปากยื่น แสดงว่าคิดตามที่พี่พูดทันแล้ว “ก็ต้องมีจิโระมาช่วยใช่ไหม ไม่อย่างนั้นโอนีก็จะต้องห่วงลุงกับป้าที่บ้านตลอด จิโระเป็นคนสำคัญมากนะ”
“จิโระ หยัก ยู กับ โอนี”
“โอนีก็อยากอยู่กับจิโระ โอนี” พี่ชายบอก
บรรยากาศใกล้จะซึ้ง แต่จิโระหันไปฟ้องฮันซามุซัง “โอนี บ่อกว่า จิโระต้องเตรียมไปโรงเรียน”
“นั่นยิ่งดีเลย เรียนหนังสือ เขียนหนังสือให้เก่ง คิดเลขเก่ง ๆ จะได้มาช่วยโอนีทำบัญชี”
จิโระหัวเราะคิก “โอนี บอก ทำบัญชีช้า”
“ใช่” มือใหญ่ลูบผมเส้นบาง “โอนีทำบัญชีเสร็จช้ามาก คิดแล้วคิดอีก ทำให้จิโระต้องรอโอนีกลับมาเลยทำให้นอนดึกทั้ง 2 คน ตอนนี้โอนีได้นอนนิดเดียว ก็ต้องไปร้านอีกแล้ว”
จิโระหลับตาลงทันที “จิโระ นอนแล่ว โอนี ปัยนอน”
พี่ชายก้มลงจูบหน้าผากน้องชาย “หลับฝันดีนะครับ”
แต่พออกมามาหน้าห้อง ฉันท์ก็แยกไปอาบน้ำ ขณะที่พี่ลงไปทำงานอีกครู่หนึ่งก็กลับขึ้นมา แทรกตัวลงนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
น้องพลิกกลับมาหาแล้วขยับตัวนอนหนุนแขน
มือใหญ่เกลี่ยแก้มใส แล้วช้อนคางให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ 
ยิ่งน้องตามใจ พี่ก็ยิ่งเอาแต่ใจ
ยิ่งน้องอ่อนไหว พี่ก็ยิ่งรุกไล่
ไอร้อนจากผิวกาย เจือปนอยู่ในเสียงหอบหายใจแผ่วเบา
“พี่...รักผมไหม”
พี่ตอบด้วยจูบหนัก ๆ ที่ริมฝีปาก มือใหญ่บีบเคล้นยอดอกบาง เลื่อนลงมาหาแก่นกายอุ่น
“พี่...” น้องครางขยับสะโพกรับมือ “จูบผม”
ไม่ต้องให้สั่งซ้ำ พี่จูบย้ำ บอกรักน้องชัดเจนมากกว่าคำพูดใด ๆ
...
หลังจากนั้นวิพุธก็แวะมาซื้อข้าวต้มที่ร้านอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอพี่เลยสักครั้ง และพี่ก็จะขึงหน้าเรียบตึงไม่พูดไม่จานานเป็นชั่วโมงเสียทุกครั้งไป
สายสืบเขาดีจริง ๆ
“พี่จะหึงทำไมกัน” น้องถาม
พี่ทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า เรื่องแค่นี้ทำไมต้องถาม จนน้องต้องดึงเสื้อให้หันมาคุยกัน
“พี่เป็นแบบนี้ทุกครั้งผมเริ่มไม่ตลกแล้วนะ”
“อ้อ...” พี่ลากเสียงพลางพยักหน้า
“ตอนแรกผมก็คิดว่าตลกดี แต่พี่งอนนานขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่สบายใจ”
พี่ก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่างอนไม่มีเหตุผล รู้ทั้งรู้ แต่ก็งอน ก็ยังคิดมาก 
ภาพของน้องในตอนที่นั่งอยู่ข้างกัน แต่ดวงตาเหม่อมองไปไกลยังติดตา
ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน แต่พอได้ยินว่าแฟนเก่าของน้องมาที่ร้าน ใจมันก็ร้อนด้วยไฟของความระแวง เพราะเขาคือรักแรก เป็นถ่านไฟเก่าที่อาจหวนคืนมา
“พี่...ผมต้องทำยังไง พี่ถึงจะเชื่อใจ”
“ชิรายูกิรักเขา”
“ไม่ใช่นะ ผมรักพี่”
“ทั้งที่เขาทำไม่ดี แต่เพราะชิรายูกิรักเขา พอเขากลับมาก็พูดดี”
“ก็เพราะว่าเรื่องมันนานแล้วไง แยกจากกันไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันไปตลอดชีวิตสักหน่อย”
“อ้อ...”
“ผมรักพี่ ผมอยู่กับพี่ตรงนี้ ผมไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย”
“พี่คิดอยู่ตลอดว่า พี่คือคนที่พาปัญหามาให้ชิรายูกิ ทั้งแม่ทั้งพี่สาวก็ทำร้ายชิรายูกิกับจิโระ” คนตัวใหญ่พูดแล้วนั่งลงบนเตียง หันหน้าหนีไปทางอื่น
น้องจับไหล่พี่ให้หันมามอง
“แต่พี่ก็พาพวกเราก็ผ่านทุกอย่างไปด้วยกันไงฮะ”
“ทั้งคุณทีม แม่ พี่ณภัทร ธารา”
“เพราะพี่ช่วยพวกเราไงฮะ ถ้าไม่มีพี่ ผมก็คงไม่มาถึงวันนี้”
“ถึงไม่มีพี่ ชิรายูกิก็ทำได้อยู่แล้ว”
“ไม่นะฮะ ผมทำไม่ได้” จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลพราก “เพราะว่าเป็นพี่ ผม ถึงทำได้ พี่สำคัญกับผมมากนะฮะ”
พี่หันมากอดคนที่กำลังร้องไห้
“พี่โทษตัวเองว่าเอาปัญหามาให้ผม แล้วผมล่ะ ถ้าไม่มีผม พี่ก็คงเป็นกรรมการบริหารของบริษัทไปแล้ว”
พี่จูบแก้ม “ถ้าไม่มีชิรายูกิ พี่ก็จะไม่กลับมาเมืองไทย”
น้องดันไหล่พี่เบา ๆ เพื่อเว้นช่องว่าง
...แบบนี้มันก็เกินไปสักหน่อย
“ผมรู้ว่าพี่ดื้อ แต่ถึงขนาดที่คิดว่าจะไม่กลับมานี่...ถ้าพี่โกรธผม พี่ก็จะไปแล้วไม่กลับมาหรือเปล่า”
เอาละสิ เจอคนคิดมากตัวจริงเข้าไป ทำไงล่ะทีนี้
“พี่...”
“เออ เลิกหึงก็ได้” มัวแต่หึงจนลืมไปเลยว่า ชิรายูกิเป็นคนที่สนใจความรู้สึกของคนรอบตัวมากขนาดไหน
“หึงหน่อย ๆ ก็ดีนะ ภูมิใจดีว่าพี่หึง แต่งอนไม่พูดด้วยเป็นชั่วโมงนี่ผมชักเครียด”
พี่หันไปมองนาฬิกาเห็นว่าดึกมากแล้ว น้องได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปเตรียมของ จึงดึงมือให้นอนก่อน แล้วตัวเองเดินไปปิดไฟ แล้วกลับมานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
“นอนเถอะ”
“พี่...”
“พี่หึงเพราะพี่รู้ตัวว่าคนนั้นเขาดีกว่าพี่”
“วิพุธน่ะนะดีกว่า ยังมีใครที่ไหนที่ดีกว่าพี่อีกหรือฮะ”
แม้จะอยู่ในความมืดสลัว แต่ก็ยังเห็นคนที่นอนหนุนแขนอย่างชัดเจน
“ชิรายูกิ เรานี่มัน...” พี่ก้มลงจูบที่ปลายจมูก
“ผมรักพี่นะฮะ อ้อ ผมรักพี่คนเดียว ไม่มีคนอื่น”
พี่ยิ้มกว้างกอดฟัดน้องจนต้องเตือนกันว่าดึกมากแล้ว
“เดี๋ยวตอนตี 4 พี่ต้องไปช่วยผมที่ร้านเลยนะ แบบนี้น่ะ”
“ได้เลย” พี่บอกแล้วหอมแก้มใสแรง ๆ อีกครั้ง

พอมาคิดอีกที คนที่ทำงานหนักมากก็คือพี่ เพราะทั้งงานบริษัท และงานที่ร้าน แถมช่วงนี้กำลังปรับปรุงสวนเตรียมพื้นที่เพื่อปลูกบ้านในสวนตามแบบที่น้องเป็นคนเลือกจากแบบบ้านและสวนมากกว่า 10 แบบที่พี่เขียนมา
คือถ้าไม่เลือกออกมาสักแบบหนึ่ง ก็คาดว่าพี่จะเขียนไปเรื่อย ๆ
ตกลงกันว่า บ้านหลังใหม่ จะอยู่บนเนื้อที่ทางฝั่งซ้าย เยื้องไปทางด้านหลังของบ้านหลังเดิม เพราะเราจะไม่รื้อบ้านออก แต่จะปรับให้เป็นที่ทำงาน
เป็นทั้งที่ทำงานของพี่ และเป็นครัวทำขนมหวานไปส่งที่ร้าน และที่เก็บผลไม้จากสวน...ที่คาดว่าอีก 2 ปีถึงจะสวยงามพอให้เอาไปวางขายได้
นี่ไม่นับรวมงานรีโนเวทห้องคอนโดฯ ของน้องที่ยังไม่มีผู้เช่า
ดร.ธามันใช้เวลา 24 ชั่วโมงได้อย่างคุ้มค่า
วันเสาร์หลังขายรอบเช้าเสร็จ ฉันท์จดรายการของที่ต้องซื้อเพิ่มระหว่างรอร้านข้าวสารมาส่งของ พี่กลับเดินเข้าร้านมาก่อน
“อ้าว ไปเล่นกอล์ฟไม่ใช่หรือฮะ”
พี่พยักหน้า “มีคนมาบอกขายห้องแถว 2 ห้อง ที่เมืองนนท์ไปดูกันไหมใกล้ ๆ เผื่อรีโนเวทได้”
น้องยิ้มกว้างลุกไปทำน้ำเย็นมาให้พี่ “อันนี้ดีกว่าไม่ต้องลงทุน มีญาติทางฝั่งสะใภ้คนโตของลุงเอก เขาอยากได้ช่างไปทำสำนักงาน”
“ก็ต้องทำตามที่เขาสั่งน่ะสิ”
น้องพยักหน้า
“งั้นไม่ทำ”
“อ้าว...”
“งานแบบนั้นปวดหัวมาก ทำคนเดียวไม่ได้ แนะนำให้เขาไปว่าจ้างบริษัทรับเหมาออกแบบเลยดีกว่า”
“โห...” เชื่อเขาเลยจริงๆ
“จริง ยิ่งเป็นคนรู้จักกันแบบนี้ มีอยู่ 2 ทางคือเราขาดทุน กับไม่คุยกันหลังจากนี้”
น้องได้แต่กะพริบตา
ถ้าเป็นช่างคนอื่นผลลัพธ์คงไม่รุนแรงขนาดนี้
“งั้นพี่พอจะแนะนำช่างให้ได้ไหมฮะ”
พี่ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เอากระดาษจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ช่างรับเหมา 2 รายมาให้เลือก แต่พอฉันท์เอาไปส่งให้พี่เอื้อย พี่สาวก็ถาม
“ทำไมผัวแกไม่ทำเองล่ะ”
“เขาไม่มีคนงานก่อสร้าง ที่ร้านเนี่ยเขาออกแบบเอง ใช้ช่างของบริษัท” เป็นบริษัทย่อยที่แยกออกมาเพื่อรับงานที่มีขนาดเล็กลง “เสียแต่ค่าวัสดุก่อสร้าง แต่อันนี้งานนอก ถ้าใช้ช่างของบริษัทจะค่อนข้างแพงกลัวจะผิดใจกัน ก็เลยแนะนำเจ้าอื่น”
“คิดว่าจะได้ราคาพิเศษ”
ฉันท์ส่ายหน้า “ตอนที่จะทำร้านข้าวต้ม ตอนแรกผมไม่รู้ก็รีบบอกเขาก่อนเลยว่าผมจ่ายทั้งหมดเองนะ แต่พอเขาบอกราคามา ก็นั่นแหละ รบกวนเขาเหมือนเดิม”
“เขาจ่ายครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม”
พี่สาวรู้ทัน น้องชายก็ยอมรับตามตรง
“อย่างนี้พี่คิดว่าเขาจะไปเจรจากับฝ่ายบริการลูกค้า เพื่อขอราคาพิเศษให้ญาติของญาติของญาติเราไหม”
“เออ จริง” ขนาดงานตัวเองเขายังจ่ายเต็ม “แต่ถ้าไม่เอาราคาญาติ เอาราคาปกตินี่ประมาณเท่าไหร่”
ฉันท์บอกไปตามประสบการณ์ตรง “เขาจะดูว่างานพี่เร่งมากไหม ถ้าเร่งมากเขาต้องเพิ่มคนงาน แล้วแต่ละคนไม่ใช่ค่าจ้างขั้นต่ำ ของเขามากกว่า 500 บางคนวันละ 1,000 ก็มีแล้วแต่งาน แล้วมีคนคุมงาน มีค่าวัสดุคิดทุกอย่างที่จะต้องใช้ แต่เขาจะบวกเพิ่มอีกเท่าไหร่นี่ไม่รู้”
“ตอนทำที่ร้านเจ้าฉันท์มันเท่าไหร่”
ฉันท์บอกราคาไป พี่สาวทำตาโตร้องเสียงดัง “โหย แกร๊ แพงกว่าผู้รับเหมาแถวนี้เกือบ 3 เท่าแน่ะ”
“ก็ถึงบอกไง ว่าผมกลัวว่าจะมาทะเลาะกันทีหลัง”
“ถึงพี่จะคิดว่าต้องซ่อมห้องแถวทั้งหลัง ทำทุกชั้น ทุกอย่าง แต่ราคานี้ก็เอาเรื่อง”
“ตอนแรกที่คุยกันผมอยากทำร้านข้าวต้มเล็ก ๆ พี่ก็รู้ ว่าร้านค้าถ้าทำสวยมาก ลูกค้าก็ไม่เข้าเพราะเขากลัวว่าของที่ขายจะแพง พี่ธามเขาก็ไปเขียนแบบ ไปคุยกับช่าง แล้วดูตอนที่ทำเสร็จพี่เห็นตอนที่เขาทำเสร็จแล้วไหม”
“เออ เห็น สวยดี”
“พี่เอื้อยฮะ”

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-07-2019 19:05:55
(ต่อครับ)

พี่สาวหัวเราะที่ได้แกล้งน้องชาย “ก็เพราะเขาเห็น เขาชอบ เขาถึงได้แนะนำกันมาไง” พี่เอื้อยเคาะโต๊ะทำงาน “เอางี้ พี่จะบอกกับเขาไปตามที่เจ้าฉันท์บอกมา เอา 2 เบอร์นี้ให้เขาไปด้วย แต่ถ้าเขาสู้ ก็ตามนี้”
ฉันท์รีบยกมือ “เดี๋ยวนะพี่ นี่เป็นการจ้างบริษัทรับเหมาในเครือ มารับเหมาตกแต่งบริษัท ไม่ใช่การจ้างพี่ธามนะ”
“ที่ร้านกับที่บ้านเจ้าฉันท์นี่คุณธามเขาทำเองใช่ไหม”
“ใช่ แต่อันนี้เขาทำเองอยู่เอง มันไม่เหมือนกับงานของญาติของญาติของญาตินะพี่”
“แกพูดเหมือนไม่อยากให้จ้างผัวแกมาทำ”
“เขาไม่ทำอยู่แล้ว” ฉันท์ทำปากยื่น ที่เห็นว่าขยันทำงาน ก็เพราะมันเป็นงานที่เขาเลือกเอง แต่งานที่เริ่มต้นด้วยคำว่าไม่แบบนี้ มันจะไปต่อได้ยากสักหน่อย
“พี่ว่า ที่จริงเขาอยากให้คุณธามเป็นคนทำเพราะอยากอวด ไม่ใช่ว่าจ้างบริษัทยักษ์ใหญ่นั่นมาทำ”
“ถ้าให้บริษัทเขาทำงานกันไป แล้วให้พี่ธามแวะไปดูบ้าง จะพอไหวไหมพี่”
“มันก็...” พี่เอื้อยไม่แน่ใจ “ถ้าจะเอาแค่อยากอวด ว่ามีญาติเก่ง หล่อ และรวยก็คงได้แหละ”
ฉันท์หัวเราะ ทำให้พี่สาวหัวเราะตามไปด้วย แล้วสรุปว่า จะกลับไปถามทางนั้นก่อนว่า ตกลงหรือไม่
ปรากฏว่าญาติทางฝั่งนั้นเขายังคงยืนยันที่จะให้ธามันรับงานนี้เช่นเดิม ธามันก็รับงานมาทำโดยมานั่งเขียนแบบอยู่ที่ชั้นลอยของร้าน ในช่วงหลังบ่าย 3
ชั้นลอยนี้ เดิมตั้งใจให้เป็นที่เลี้ยงจิโระในตอนกลางวัน ห้องนี้จึงทำไว้อย่างดี มีกระจกหน้าต่างบานใหญ่แบบเลื่อนเปิด-ปิด กับมีตู้เก็บของเล่น เครื่องนอนกลางวัน อินเตอร์คอม เครื่องปรับอากาศ กับมีโต๊ะทำงาน ที่เป็นโต๊ะไม้แบบเดียวกับโต๊ะในร้าน แต่ว่าตัวใหญ่กว่า 
ต้องโทษที่เป็นคนทำงานไว พี่แก้แบบอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ ก็ส่งแบบให้ฝ่ายช่างไปทำงานต่อ จากนั้นพี่ก็แวะไปดูแค่วันละครั้งก่อน 5 โมงเย็นที่เป็นเวลาเลิกงาน  แล้วก็ถือโอกาสกลับมาร้านข้าวต้มช่วยน้องขายของ
ฉันท์รู้สึกชื่นชมการบริหารเวลาของพี่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะนานกว่า 1 เดือนแล้วที่พี่ไม่ได้ไปงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ ไม่ได้พบกับลูกค้าที่สนามกอล์ฟ ไม่ไปดูโครงการทั้งต่างจังหวัดและที่ต่างประเทศ
“มันจะไม่ดีกับงานพี่นะฮะ”
พี่นิ่งไปครู่หนึ่ง “เขายังไม่ได้ขอโทษ ไม่ลาออกก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“อ้อ...” เข้าใจละ “ผมไม่ได้ลืมที่เขาทำร้ายจิโระหรอกนะฮะ แต่คิดว่า เขาเป็นคนละคนกัน คนที่ทำร้ายคือคนหนึ่ง แต่ถ้าพี่เกเรคนที่จะลำบากใจคือพ่อกับแม่ของพี่นะฮะ”
พี่ทำเสียงฮึแบบที่ไม่ได้ยินมาหลายวันอีกครั้ง ทำให้น้องหัวเราะขำ “อะไรเนี่ย พูดนิดพูดหน่อยก็งอนอีกละ”
“พอเดินเข้าบริษัทแล้วเห็นเขาทำท่าไม่ทุกข์ร้อน แล้วทำให้อารมณ์เสีย”
“พี่ไม่คิดหรือฮะ ว่าการที่เขาทำท่าไม่ทุกข์ร้อนแล้วเราอารมณ์เสีย มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น”
“เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก” พี่อธิบาย “ธาราน่ะรู้สึกผิด แต่ไม่กล้ามาที่นี่คนเดียว เคยไปชวนฐาติให้พามา แต่ฐาติก็ไม่กล้ามาสู้หน้าน้องแล้วเหมือนกัน แล้วพอจะไปหาคุณทีมก็โดนด่ากลับมา”
ฉันท์หัวเราะเมื่อนึกถึงภาพตอนทั้ง 2 คนโดนธนวัฒน์ดุ
“แล้วทำไมพี่ไม่พามา”
“ก็...” พี่ยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ต้องทิ้งเวลาให้สำนึกผิดอีกนิด”
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วอีกคนล่ะฮะ”
คนนี้พี่ส่ายหน้าก่อนที่จะตอบ “เขาไม่คิดว่าที่ทำไปมันผิด ไม่ว่าจะเรื่องของคุณโจ และจิโระ เหมือนในสมองของเขามันไม่มีส่วนที่เรียกว่าจริยธรรม ตอนนี้คุณทีมกำลังบีบให้เขาขายหุ้นที่ถือไว้ คิดว่าไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็คงจะขายแล้ว”
“คุณฐาติก็ช่วยด้วยใช่ไหม”
พี่ยอมรับ “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะช่วยกัน”
“พวกเขามีลูกน้อง คุณทีมมีความแค้นฝังลึก ส่วนคุณฐาติมีความต้องการไถ่ความผิด พวกเขาอาจร่วมมือกันเรื่องคุณณภัทร”
ถ้าณภัทรขายหุ้นให้กับธนวัฒน์ จะทำให้เธอเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ 3 ที่ไม่มีหุ้นในบริษัท และจะทำให้ธนวัฒน์ถือหุ้นเท่ากับธนุสพี่ชายใหญ่ของครอบครัว
ขายหุ้นก็ได้เงิน ณภัทรไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่เธอกำลังทำให้ทุกคนในครอบครัวเสียหน้า!
“แล้วพวกผู้ใหญ่ว่าไงฮะ”
“ลุงธนดลเขาก็ไม่ค่อยพอใจพี่ณภัทรที่มาชักจูงให้ธาราไปทำอย่างนั้น แต่คิดว่าหลังจากนี้เขาคงเจรจาซื้อคืนหุ้นจากคุณทีมมาบางส่วนเพื่อให้บ้านใหญ่ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเหมือนเดิม”
“พี่ทีมโขกราคาแน่ ๆ”
พี่ยักคิ้ว ยิ้มเหยียด เป็นสีหน้าที่บ่งบอกว่า จะทำเช่นนั้นเหมือนกันหากมีโอกาส
...
วันนี้ลุงกับป้าไปหาหมอที่โรงพยาบาล ฉันท์จ้างหลานสาวคนหนึ่งของป้าละเมียดร้านซักรีดให้ไปช่วยดูแลที่โรงพยาบาล ส่วนจิโระต้องมาอยู่ที่ร้านตั้งแต่เช้า
หลัง 9 โมงเช้า เก็บร้านช่วงเช้าเสร็จ 2 คนพี่น้องก็ขึ้นไปนอนหลับอยู่ที่ชั้นลอย พอสัก 11 โมงคนงานก็ทยอยกันลงมาช่วยเตรียมมื้อเที่ยง เสร็จแล้วก็ทำขนมหวาน 3 อย่าง สาคูเปียก ครองแครงน้ำกะทิ กับกล้วยบวชชี
ระหว่างที่ทำ เอ๋เดินไปเขียนรายการขนมหวานขึ้นกระดานไว้ ฉันท์ร้องบอกว่าให้แกะป้ายที่บอกขายคอนโดฯ แถวพญาไทออกไปด้วย
“ขายได้แล้วหรือพี่”
“ที่ไปโอนเมื่อวานไง ลืมบอกให้เอาออก”
“โห พี่นี่จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด” เพ้งชื่นชม
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี แต่ที่ขายได้ก็เพราะพี่ธามเขามาซ่อม มาตกแต่งจนน่าอยู่ ก่อนที่จะมีรายรับจะต้องมีรายจ่ายก่อนเสมอ”
เพ้งพูดต่อขณะที่ผสมแป้งทำตัวครองแครง “ได้ยินแถวบ้านคุยกันว่า พี่ธามไปทำออฟฟิศให้ญาติทางพี่เอื้อย ยังทำไม่ทันจะเสร็จเลย ก็พากันชมว่าสวยแล้ว”
“จริงหรือ” ฉันท์หัวเราะ หันมาบอกกับจิโระที่นั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันว่าทุกคนชมว่าฮันซามุเก่งมาก 
จิโระเห็นด้วย “ฮันซามุซัง ทำนั่น นี ไม ยุด ทำ ลาย หยั่ง”
บ่าย 2 โมงเศษหลานสาวป้าละเมียดมาบอกว่า ส่งลุงกับป้าเข้าบ้านแล้ว แต่กวางกลับขอกลับช้าเพราะต้องทำงานกลุ่มอยู่ที่โรงเรียน ดังนั้นก่อนที่จะถึง 5 โมงเย็นเพียงเล็กน้อย ต้อมก็กระหืดกระหอบมาถึงร้าน แต่ก็เป็นไปตามคาดเพราะจิโระไม่ยอมกลับบ้านกับต้อม
“งั้นจิโระขึ้นไปเล่นในห้องข้างบนดีไหม” ต้อมชวน
จิโระงอแงจนเปิดร้าน 5 โมงเย็น แล้วเห็นว่าลูกค้าเยอะมาก ถึงได้ยอมขึ้นไปเล่นคนเดียวอยู่บนห้อง
 5 โมงครึ่งธามันจึงมาถึง ก็ไม่สามารถพาจิโระกลับบ้านได้เหมือนกัน รอจนเกือบ 6 โมงกวางกลับมา จิโระจึงหมดข้ออ้างที่จะไม่กลับบ้าน
จิโระกับกวางคล้อยหลังไปได้ไม่ถึง 5 นาที ธนวัฒน์ ก็มาพร้อมกับธนา เยาวเรศ และธารา
แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่โต๊ะเต็ม ฉันท์จึงหันไปบอกต้อมว่าจัดโต๊ะในห้องชั้นลอยให้กับทั้ง 4 คน
เอ๋ขึ้นมาช่วยต้อมจัดโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของธามัน เปลี่ยนเป็นโต๊ะอาหาร
เยาวเรศมองไปรอบห้องแล้วถาม
“ห้องนี้เป็นห้องพักกลางวันหรือ”
ต้อมบอกตามที่เห็น “ตอนกลางวันคุณธามเอางานมาทำที่นี่แล้วก็เลี้ยงน้องไปด้วยครับ ส่วนฉันท์ทำขนมอยู่ข้างล่าง”
เยาวเรศหันไปมองหน้ากับธาราไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อนั่งลงต้อมบอกรายการอาหาร ทั้ง 4 คนก็สั่งอาหารและเครื่องดื่ม ต้อมบอกว่ามีอินเตอร์คอมอยู่ใกล้ประตู หากต้องการอะไร ให้กดเรียกหรือสั่งได้เลย เพราะมีอินเตอร์คอมอีกตัวอยู่ตรงฉันท์ที่หน้าร้าน และมีอีกตัวอยู่ในครัว
เอ๋จัดเครื่องดื่มขึ้นมาให้ก่อน แล้วก็กลับลงไปปล่อยให้ทั้ง 4 คนอยู่ตามลำพังที่ห้องชั้นลอย
“ห้องข้างบนนี่ทำอะไร” เยาวเรศถาม
“เป็นห้องเก็บของกับห้องพักคนงานน่ะครับ” ธนวัฒน์ตอบ
เยาวเรศนั่งมองลูกชายกับชายหนุ่มอีกคนที่ช่วยกันขายของแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่
“แม่ไม่ได้เลี้ยงธามให้ต้องมาลำบากขายข้าวต้มทีละถ้วย ในห้องแถวหน้าตลาด ต้องอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ นั่นแล้วก็ต้องมาเลี้ยงเด็กแบบนี้”
ธาราพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าคนที่มีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ “หนูกำลังจะพูดอยู่เชียว ว่าพี่ธามดูมีความสุขดีจัง”
“ธารา” น้ำเสียงของอาสะใภ้ไม่ค่อยเห็นด้วย
“หนูเชื่อมาตลอดว่าพี่ธามเขาไม่ชอบสังคม เพราะเขาไม่ค่อยยิ้ม เวลาไปงานเลี้ยงหรือต้องดูแลลูกค้า เขาก็ค่อนข้างนิ่ง แต่พอมาถึงตอนนี้ หนูถึงเพิ่งรู้ว่าเขาชอบแบบนี้มากกว่า หรืออาจเพราะว่าเขาอยู่กับคนที่รักเขาในแบบที่เขาเป็น”
“เธอพูดอย่างกับเคยมีแฟน”
ธาราหัวเราะเมื่อหันมาหาอาสะใภ้ “หนูไม่เคยมีแฟน แต่ก็พอจะเห็นอยู่ว่า เวลาคนมีความรักแล้วจะเปลี่ยนไป ที่จริงตั้งแต่ตอนที่หนูอยู่ในรถตู้กับจิโระวันนั้น ฟังเรื่องที่จิโระเล่าถึงพี่ชายของเขากับฮันซามุซังแล้วก็คิดว่า แบบนี้เองพี่ธามถึงได้รักเขา”
ต้อมยกถาดข้าวต้ม 4 ถ้วย พร้อมไข่ลวก 4 ฟองขึ้นมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
ธนวัฒน์มองไข่ลวกแล้วพูดขึ้น “พ่อต้องคุมคลอเรสเตอรอล”
ต้อมเก็บไข่ลวกคืนมา 1 ฟองแล้วมองดูข้าวต้มปลาของพ่อลังเลว่าจะเก็บคืนไปดีไหม
“พ่อกินปลาทะเลได้” ธนวัฒน์บอก
ต้อมพยักหน้า แต่ก็ลงมาบอกธามกับฉันท์ จากนั้นฉันท์ก็ปล่อยให้ธามดูแลหน้าร้าน
“ข้าวต้มอร่อยมาก” พ่อชมไม่หยุด “มิน่าเขาถึงคิดเปิดร้าน ฝีมือดีจริงๆ”
ธาราช่วยเสริม “ข้าวต้มซี่โครงหมูของเขาก็อร่อยนะคะ ทีแรกยังคิดว่าต้องแทะแบบเล้งเสียอีก”
2 คนอาหลานอร่อยกับข้าวต้มมื้อนี้มาก เยาวเรศเองก็เห็นว่าข้าวต้มกุ้งของเธออร่อย เธอไม่ได้ดูถูกอาชีพนี้ ใครคนอื่นจะทำอะไรก็ช่างเขา เธอไม่มีความเห็น แต่ลูกชายคนเดียวของเธอต้องมายืนอยู่หน้าเตาแบบนี้มันยากที่จะทำใจ
ก็เหมือนกับเรื่องที่เขาเลือกแฟน เลือกที่จะออกจากบ้าน
ถ้าเป็นคนอื่น หรือต่อให้เป็นธนวัฒน์เธอไม่มีความเห็น แต่พอเป็นธามเธอกลับไม่เห็นด้วย
ต้อมยกของหวานขึ้นมาเสิร์ฟ ปรากฏว่าเป็นสาคูใส่น้ำเชื่อม กับน้ำแข็งป่น 2 ถ้วย อีก 2 ถ้วยเป็นกล้วยบวชชีกับครองแครงน้ำกะทิ
พ่อมองดูของหวานแล้วยิ้ม “ของพ่อต้องเป็นน้ำเชื่อมนี่แน่ๆ”
ธาราเกี่ยงกล้วยบวชชีให้ธนวัฒน์ “หนูเลือกครองแครงนะคะ ไม่ได้กินนานมากแล้ว”
“ก็เธอกลัวอ้วน” เยาวเรศบอก
ธามันเดินขึ้นมา สวนกับต้อมที่เก็บถ้วยข้าวต้มลงไป
“อร่อยไหมครับ”
“อร่อยมาก” พ่อบอก “นี่ถ้าไม่ติดว่าค่ำแล้ว พ่อจะต้องขออีกถ้วยแน่ๆ”
“แล้วคลอเรสเตอรอลพ่อ เป็นไงบ้าง”
“เกินอยู่นิดหน่อย บังเอิญว่าวันก่อนที่จะไปตรวจพ่อดื่มไปหลายแก้ว”
ธามันส่ายหน้า เดาได้ว่าคงไม่ได้เกินแค่นิดหน่อย
“ตัวเล็ก...จิโระกลับไปนานแล้วหรือ” ธาราถามบ้าง
“กลับไปก่อนที่จะมาได้ไม่กี่นาที วันนี้พี่พามาส่งไว้ที่นี่ตั้งแต่ 7 โมงเช้า”
“ยังไงกันล่ะ นี่เราต้องทำไปเสียทุกอย่างเลยหรือธาม” เยาวเรศซัก
“แน่นอนสิครับ ถ้าไม่ใช่ผมทำแล้วจะให้ใครทำ” ธามันทำเป็นอวด “น้องต้องออกมาเตรียมของตั้งแต่ตี 4 จะให้พาจิโระออกมาด้วยได้ยังไง”
“ธาม เล่าดี ๆ” พ่อดุ
“วันนี้ลุงกับป้าเขาไปโรงพยาบาลกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ส่วนเจ้ากวางพี่เลี้ยงเขาก็ต้องไปเรียน ผมกับจิโระ 2 คนก็เลยออกมาพร้อมกัน ผมมากินข้าวเช้าก่อนไปทำงาน แล้วจิโระก็อยู่กับพี่เขาจนกวางเลิกเรียนมารับกลับบ้าน” นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว
“ถ้าลุงกับป้าอยู่ จิโระก็อยู่บ้านใช่ไหม”
“ก็ไม่แน่หรอก เขาติดพี่ชายมาก ถ้ารู้ว่ากวางหรือผมจะมาร้านก็ชอบขอตามออกมาด้วย”
“เขามีกันอยู่ 2 คนพี่น้องนี่นา” ธาราเหลือบตามองพี่ชายแล้วบอกตามตรง “พี่ธาม ขอหนูคุยกับฉันท์ทัตได้ไหม”
ธามันชะเง้อมองลงไปที่หน้าร้าน เห็นว่ายังมีลูกค้าอยู่ก็กดอินเตอร์คอมบอกให้เขียวมาช่วยต้อมดูหน้าร้าน ระหว่างที่ฉันท์ขึ้นมาข้างบนนี้
เมื่อฉันท์ขึ้นมา ธาราก็ลุกมาหาแล้วบอกว่าขอโทษและขอบคุณที่ถอนแจ้งความ ฉันท์ก็ตอบรับทันที “ครับ”
ลำพังคำพูดคำเดียวอาจให้ความหมายที่คลุมเครือ แต่ฉันท์มีรอยยิ้มจริงใจ ที่มันชัดเจนว่าเขาไม่ได้เก็บมาคิด
ง่ายเสียจนธาราต้องถามย้ำ “เธอไม่โกรธแล้วหรือ”
“คุณเป็นน้องของพี่” แปลว่าถ้าไม่ใช่น้องของพี่เรื่องนี้จะต้องยืดเยื้ออีกนาน “ข้าวต้มอร่อยไหมครับ”
พ่อเป็นคนตอบ “อร่อยมาก”
ฉันท์ยิ้มและไม่ได้ตอบคำถามอื่น ๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น ปล่อยให้ธามันเป็นคนตอบ พอมีลูกค้าเข้าร้านก็ขอตัวลงไปที่หน้าร้าน
แม่พูดขึ้น “เขายิ้มก็จริง แต่เขายังโกรธอยู่”
ธามหันไปถามแม่ “ถ้ามีคนมาวางยาผม ขังผมไว้ในรถ แม่จะยกโทษให้ง่าย ๆไหม” แม่ไม่ยอมปล่อยคนนั้นให้ผ่านไปง่าย ๆ อยู่แล้ว
“บุคลิกเขาแปลก ๆ ดูเหมือนเป็นคนหัวอ่อน พูดง่าย แต่ที่จริงไม่ใช่เลย ดูตอนที่อาละวาดใส่ธามที่โรงพักวันนั้นสิ”
“แต่สุดท้ายเขาก็ไปถอนแจ้งความใช่ไหมละครับ” ธนวัฒน์ช่วยตอบ จากนั้นก็ลุกขึ้น “เสร็จเรื่องแล้วก็กลับกันเถอะครับ”
   ที่หน้าร้าน พี่ชายเลิกงานก็แวะมาที่เอาข้าวต้มไปให้ลุง แต่ในฐานะคนกันเองต้องรอให้ฉันท์ทำให้ลูกค้าก่อน
“รอเดี๋ยวนะพี่” ฉันท์บอก
“ไม่เป็นไร เจ้าฉันท์ขายของก่อนเหอะ พ่อเขารอได้” พี่ชายบอกแล้วคว้าผ้าไปเช็ดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไป
“พี่ครับ พี่แย่งงานผมแล้ว” เอ๋ทำหน้างอ ทำให้พี่ชายหัวเราะ
ธามเดินนำอีก 4 คนลงมาจากชั้นลอย พอเห็นพี่ชายอยู่ก็ยกมือไหว้
พี่ชายรับไหว้แล้วหันไปไหว้พ่อกับแม่ของธามด้วย แต่พอเห็นธาราอยู่ในกลุ่มก็หันไปมองหน้าฉันท์แต่ไม่ได้พูดอะไร เดินสวนเข้าไปทางหลังร้านเพื่อล้างมือ
“คุ้น ๆ นะ” เยาวเรศทัก
“พี่ชายของฉันท์ คนที่เจอที่โรงพักไง” พ่อบอก
“เขาเป็นครูหรือ” เพราะพี่ชายใส่เครื่องแบบสีกากี
“แม่ นั่นเข็มรูปสิงห์เขาอยู่กระทรวงมหาดไทย ถ้าเป็นครู ต้องเป็นเข็มเสมาธรรมจักร”
เยาวเรศยักไหล่ เพราะไม่ได้ให้ความสนใจถึงขนาดนั้น
ธนาหันไปบอกกับฉันท์ “เราจะกลับแล้ว”
ทั้งฉันท์และต้อม ต่างพูดขอบคุณ และยกมือไหว้พร้อมกัน
ธารามีอายุมากกว่า 2 หนุ่มก็รับไหว้ตามไปด้วย แต่ธนวัฒน์ที่เดินตามหลังออกมา หยุดถามต้อม
“เอารถมาหรือเปล่า”
ต้อมหันไปมองเยาวเรศกับธาราที่หยุดฟัง ก่อนที่จะหันมาตอบธนวัฒน์ “เปล่าครับ”
“เอาไว้ที่ทำงานหรือที่คอนโดฯ”
ต้อมลดเสียงเบาลง “คอนโดฯ ครับ ผมนั่งมอ’ไซค์วินมา” เพราะจะรีบมารับจิโระกลับบ้าน ก่อนที่จะเปิดร้านรอบบ่าย
ธนวัฒน์พยักหน้า “เดี๋ยวกลับมารับ”
คนพูดพูดจบก็เดินไป แต่ต้อมยังมีสีหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นอะไร”
ต้อมหันมากระซิบกับเพื่อน “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขาจะมารับกูเนี่ย”
ฉันท์หัวเราะ “ดีใจละสิ”
“เออ” ต้อมบอก
เพื่อนสนิทคุยกันแต่ก็ทำงานไปด้วย ส่วนพี่ชายเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับกล้วยบวชชีใส่กล่องพลาสติกกลม
“กล้วยที่สวนหรือเจ้าฉันท์”
“มีทั้งที่สวนแล้วก็ที่เอามาส่งน่ะพี่ นี่ผมทำเมื่อบ่ายแล้วตักแบ่งไว้ก่อน พี่ให้ลุงใส่บาตรตอนเช้าได้นะ”
พี่ชายบอกขอบใจ แล้วส่งเงินค่าอาหาร
เพ้งเอากระดาษจดรายการอาหารของลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน มาส่งให้แล้วบอก
“พี่เขาคงไม่อยากเจอญาติพี่ธาม เข้าไปล้างมือที่หลังร้านเสร็จแล้วก็มาถามผมว่าทำงานเป็นไงบ้าง พอหันมาเห็นว่าเขากลับไปกันแล้วถึงได้เดินออกมา”
ฉันท์เอียงตัวกระซิบกับต้อมขณะที่พยักหน้าไปทางธามัน “นิสัยคล้ายกันเลยว่าไหม”
เพื่อความปลอดภัย...ต้อมเลือกที่จะหัวเราะไว้ก่อน
ธามันอธิบายสั้น ๆ “ถ้าเขามีปัญหากับพี่ เขาก็ต้องมาเคลียร์กับพี่ ไม่ใช่ไปลงคนที่อ่อนแอที่สุด”
เพ้งสนับสนุนคำพูดของธามัน
ฉันท์กับต้อมปล่อยให้เขาคุยกันไป พอเครื่องทะเลหมดก็บอกให้เอ๋มายกหม้อที่หมดแล้วเข้าไปให้สมที่หลังครัว
“มึงกินข้าวเลยไหม เดี๋ยวพี่ทีมมารับ”
ต้อมพยักหน้า “กูจะไปเจียวไข่ กับผัดผักไว้ให้มึงเลยแล้วกัน”
“เฮ้ย” ธามันลืมตัวหันไปเฮ้ยกับต้อม “นั่นมันหน้าที่พี่”
ต้อมหันมาทำตาโตใส่เพื่อน “เดี๋ยวนี้มึงลามปามใช้คุณธามทำกับข้าวเลยหรือ”
“ทำอร่อยด้วย เดี๋ยวทำให้กิน” ธามันอวด “พี่ทำยำไข่เจียวกรอบอร่อยนะ ชิรายูกิเพิ่งสอนเมื่อวาน”
ฉันท์พยักหน้า “พี่ทำมื้อค่ำเลยก็ได้ นี่เครื่องข้าวต้มไก่ก็หมดแล้ว เหลือซี่โครงหมูไม่ถึง 5 ถ้วย”
เอ๋เข้ามาเก็บของหน้าร้านลูกค้ากลุ่มสุดท้าย 2 คนก็เดินเข้ามา
“เหลือแต่ซี่โครงหมูนะครับ”
ลูกค้าพยักหน้า แล้วสั่งอาหาร “นี่ขนาดมาเร็วกว่าเมื่อวาน ยังได้กินถ้วยสุดท้าย”
“เธอน่าจะเตรียมของเพิ่มนะ”
ลูกค้าอีกโต๊ะถามว่ายังพอมีอีก 2 ถุงหรือไม่ ฉันท์บอกว่ามี พอทำชุดนี้เสร็จก็ยกหน้าร้านให้เอ๋กับเพ้งเก็บของ ส่วนตัวเองเดินมาคิดเงินค่าข้าวต้มแล้วมานั่งจดรายการของที่จะสั่งซื้อ และกลายเป็นกินข้าวพร้อมกับต้อมและพี่
ธนวัฒน์มารับต้อมตอน 2 ทุ่มเศษขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันเก็บร้าน ล้างพื้นทำความสะอาด
ลูกน้องทั้ง 4 คนทำงานพอเริ่มแบ่งงานกันลงตัวทำให้งานเสร็จอย่างรวดเร็ว 3 หนุ่มขอออกไปซื้อเหล้ามากินที่ห้องชั้นบน ทำให้แต่เอ๋ที่ต้องอยู่เวรเฝ้าร้านคืนนี้บ่น
“เพ้งนะ ทีแรกก็ทำเป็นอยากกลับไปนอนที่บ้าน แต่พอได้คืนสองคืนก็บอกว่านอนห้องนี้สบายกว่า เพราะเงียบ แต่ที่จริงเพราะว่ามีเพื่อนกินเหล้าต่างหาก”
“แล้วเรากินไหม” ธามันถาม
“กิน” เอ๋ยอมรับ “แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ได้กินเยอะอะไร กลัวตื่นไม่ทันตี 4”
เวลาทำงานเอ๋ไม่ค่อยคุย แต่ตอนนี้กลับคุยได้เรื่อย ๆ จน 3 หนุ่มกลับมา ฉันท์ก็บอกทั้ง 4 คน ว่าถ้าทำงานด้วยกันครบ 3 เดือนจะไปทำเรื่องประกันสังคมให้ ส่วนถ้าจะหยุดงานไปเที่ยว หรือจะลาป่วย มีธุระไปไหนก็บอกกันได้
“ต่อให้จะลาออก ได้งานใหม่ก็บอกกัน อย่าหายไปเฉย ๆ เพราะคนเห็นกันอยู่ทุกวัน อยู่ดี ๆ มาหายไปมันเป็นห่วง”
ทำบัญชีเสร็จ เก็บร้าน เดินกลับมาขึ้นรถคันเล็กของฉันท์เพื่อกลับบ้าน
ในตอนที่พี่ขับรถผ่านที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอพาร์ทเม้นท์มีสุข
ฉันท์มองที่ดินโล่งล้อมรอบไปด้วยแนวแผงเล็กกั้นสูง ติดป้าย ที่มีข้อความบอกว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของก้องเกียรติกิจการ...
“คิดว่าตอนนี้ชีวิตช้าลงหรือยัง” พี่ถาม
น้องยอมรับ “ผมว่าผมเหมาะกับชีวิตที่ไหลไปช้า ๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นแบบนี้มากกว่า”
พี่หัวเราะ “มันก็ต้องมีช่วงเร่ง ช่วงที่มันสะดุดบ้าง เป็นการบริหารหัวใจ”
“อันนั้นก็เข้าใจอยู่หรอกฮะ แต่พอเวลาที่มีอะไรเข้ามา มักจะมาทีละหลายเรื่อง เหมือนพายุ จัดการไม่ทัน” น้องคิดถึงคนที่เคยสอนให้จัดการปัญหาต่างๆ ไปทีละเรื่อง “คุณฐาติเป็นไงบ้างฮะ”
“ก็ดี”
น้องหันมามอง “ทำไมคำตอบสั้นจัง ทะเลาะกันหรือฮะ”
“ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก มันเองก็วางตัวไม่ถูกเพราะพี่ณภัทรเป็นพี่สาวพ่อเดียวกัน แต่มันก็เหมือนพี่น่ะ พอรู้เรื่องคุณโจ รู้ว่าเขาหลบหนีความผิดยังไง ก็รู้สึกไม่สนิทใจ" ทั้งยังระแวงว่าเขาจะทำร้ายน้อง แล้วสุดท้ายเขาก็ลงมือจริง ๆ
“แล้วฐาติก็คบหาอยู่กับอลิซ ทำให้พี่ณภัทรพูดไปทั่วว่า เป็นเพราะเขาเป็นคนแนะนำ”
“ก็มันเป็นความจริง”
“เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง” พี่บอก “ฐาติมันจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ก็ได้ แต่ที่เข้ามาเพราะมันไม่พอใจที่พี่ไม่ได้ค้านคุณทีม คุณทีมเองก็ไม่ได้เล่นงานพี่ในที่ประชุมหนักเหมือนก่อน ถึงต่อมาจะรู้ความจริง ก็กลายเป็นว่าอลิซเขามีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงาน”
น้องรีบยกมือ “ไม่ต้องเล่านะฮะ”
พี่หัวเราะเบา ๆ “ชีวิตคนมันซับซ้อน มีเรื่องที่ผิดไปจากที่เราวางแผนไว้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา”
รถมาจอดหน้าบ้าน
“แต่ผมเชื่อว่า กวางจะมีความสุขมากกว่าเดิม มีความรักแบบเท่าเทียมกัน แล้วก็ไม่ต้องหลบซ่อนใครอีก”
“แน่นอน”
 น้องลงไปเปิดประตูให้พี่ถอยรถเข้าไปจอด ยืนรอพี่เดินมาหาเพื่อที่เดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน
“ผมไม่ได้มีแผนอะไรมากมายนัก อยากแค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดเท่านั้นเอง”
พี่ส่ายหน้าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ “พี่ว่าชิรายูกิมีแผนจะทำอะไรอีกเยอะแยะเลยนะ” มือใหญ่ชี้ไปรอบ ๆ “บ้าน สวน ร้าน รีโนเวทคอนโดฯ อ้อ เรายังไม่ได้ไปญี่ปุ่นกันเลย”
“ฮันซามุซังฮะ”
“ครับ”
“คนละเรื่องกันฮะ”
“ก็มันคือความจริง”
พอน้องส่งค้อนให้ พี่ก็ประคองกอดเอวพาเข้าบ้าน
“ปะ ดึกมากแล้ว จิโระคุงรออยู่”
...จบ...
บทส่งท้าย

โอซากาเดือนกุมภาพันธ์มีหิมะตกประปราย 2 คนที่เดินจับมือไปด้วยกันช้า ๆ 
“ชิรายูกิ แปลว่าหิมะสีขาว แต่ที่บ้านเกิดของแม่ในโอซากา มีหิมะตกไม่มากนัก พอสาย ๆ ก็ละลายหมด”
เหมือนทุกเรื่องราวในชีวิตที่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งก็จะผ่านไป
“ตุ๊กตาหิมะที่ปั้นขึ้นมาในปีนี้ไม่ใช่ตุ๊กตาหิมะตัวเดิมที่ปั้นขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว และหิมะในปีหน้าก็จะเป็นอีกตัวหนึ่ง พอคิดแบบนี้แล้วมันเศร้าจัง”
“แล้วชิรายูกิยังเหมือนเดิมไหม” คนที่อยู่ข้างกันหันมาถาม
“ไม่นะ ผมในปีที่แล้วเป็นคนละคนกับปีนี้ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทำให้ผมก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ผมในวันนี้เป็นคนละคนกับเมื่อปีที่แล้ว ฮันซามุซังก็เหมือนกัน”
ฮันซามุซังถอนหายใจ เบ้ปาก จนคนที่ตัวเล็กกว่าหัวเราะ
“ตอนฟังที่ชิรายูกิพูด ไม่รู้สึกว่าแก่ แต่พอพูดถึงพี่ทำไมถึงรู้สึกว่าพี่แก่มาก”
“ถ้าฮันซามุแก่ ผมก็แก่ด้วยแหละ”
ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ทั้งคู่นั่งลงที่เก้าอี้ริมแม่น้ำ มองผิวน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง
พี่จับมือน้องซุกในเสื้อตัวหนา “ชีวิตที่ไหลไปช้า ๆ เป็นอย่างนี้เอง”
ถ้าน้องไม่ใช้วิธี ‘บังคับ’ ด้วยการบอกว่าโทรนัดครอบครัวที่ญี่ปุ่นไว้แล้วว่าจะมาหา พี่ก็คงไม่ได้หยุดงานมาพักผ่อน
และเพราะว่าตั้งแต่มาถึงก็มีหิมะตกปรอย ๆ แบบนี้ทุกวันทำให้คุณยายไม่อนุญาตให้จิโระออกมาข้างนอก จนกว่าหิมะจะหยุดตก แต่กลับแนะนำให้ทั้ง 2 คนออกมาดูหิมะตกที่ริมแม่น้ำ
“หิมะที่อเมริกาสวยเหมือนที่นี่ไหม”
พี่ละสายตาจากทิวทัศน์รอบ ๆ มาอยู่ที่คนที่นั่งข้างกัน “ไม่หรอก”
“เพราะคนเยอะหรือฮะ”
“เพราะตอนนั้นไม่มีน้อง” แล้วก็มีชีวิตที่รีบเร่ง แข่งขันอยู่ตลอด จนไม่มีเวลาได้นั่งชมความงามแบบในเวลานี้
“คราวหน้าไปฮอกไกโดกันไหมฮะ อยากไปที่ที่มีหิมะหนา ๆ”
พี่ก้มลงจูบหน้าผากคนที่เสนอสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป
“แต่ถ้าอยากดูซากุระต้องเป็นเดือนมีนาคม”
ชิรายูกิเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ได้เป็นหิมะที่ให้ความรู้สึกหม่นหมอง แต่เป็นหิมะที่ให้ความรู้สึกกระตือรือร้น รอคอยช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาเยือน
“ไอชิเตะรุโยะ รักนะ ซึตโตะ โซบะ นิ อิไต้ อยากอยู่ข้างกันตลอดไป”
คนถูกบอกรักกะพริบตากลมโต “ไปหัดมาจากไหนเนี่ย ตกใจเลย”
“คำตอบล่ะ”
“ตกลงครับ ตกลงมาตั้งนานแล้ว”
“ก็ถามไง เผื่อคำตอบจะเปลี่ยน”
“ไม่เปลี่ยน ไอชิเตะรุโยะ”

...จบ...
พล็อตเรื่องนี้เกิดขึ้นจากตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ตอนขึ้นโครงเรื่องขนาด A4 ทั้งการดำเนินเรื่อง และตอนจบจะ So Onion แต่พอมาเขียน แล้วนึกถึงตอนไปเที่ยวด้วยกัน ความ So Onion มันก็จางลงไป...เยอะมาก
ขอบคุณที่กรุณาติดตามและให้คำแนะนำนะครับ
พบกันใหม่ เมื่อเคลียร์งานเสร็จ และเขียนเรื่องใหม่จบ
ใช่ครับ ยังเขียนเรื่องอยู่ แวะไปคุยกันได้ที่เฟซบุ๊กเพจนะครับ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: aha_aha ที่ 19-07-2019 20:17:40
ตื่นเต้น ลุ้น เครียด ขำ ยิ่ม เศร้า หัวเราะ.. เรื่องนี้มีครบรสเลย ถึงเรื่องจะค่อยๆเปนค่อยๆไป แต่ก็สนุกน่าติดตามมากๆค่ะ ชอบกวางอยากเห็นน้องมีความสุข สงสารต้อมแต่คิดว่าคงยิ้มได้จากนี้ ^^ น้องกับพี่ก็น่ารัก อยู่กันแบบเข้าอกเข้าใจมาก ที่สำคัญจิโระน่ารักมากกกกก ชอบภาษาไทยแบบเจแปนสไตล์มากค่า

ที่สำคัญคือขอบคุณคนแต่งที่อฝแต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านกันและจะเป็นกำลังใจให้เรื่องต่อๆไปคร่า ^^
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-07-2019 21:03:05
เป็นภาพจำที่ดีค่ะ เริ่มต้นด้วยรักและจบลงด้วยรัก

ฉันท์น่ารักเสมอ และยิ่งออกอาการมากขึ้น ตอนมีพี่
ตอนอยู่กับพี่ น้องเป็นตัวเอง เปิดเผยตัวตนมากขึ้น
มีความขี้เล่น ช่างอ้อน และเอาใจเก่ง ทำตัวน่าเอ็นดูได้ดี
ดูได้จากตอนที่ขำธามหึง และชอบที่ธามหึง
และถึงจะชอบ แต่ก็แอบเครียดที่พี่งอนนาน 5555

ธามทำได้ดีมาก เป็นตัวเอง มีความชัดเจน
ไม่ว่าจะกับน้อง หรือกับครอบครัว ญาติ
กับน้อง ธามทุ่มเท ดูแล เอาใจใส่ ไม่ทิ้ง
เข้าใจในสิ่งที่น้องทำ และใจเย็นกับน้องมาก
ส่วนครอบครัวกับญาติ ก็เข้าสถานการณ์ที่บีบคั้นนะ
ไม่แปลกที่ธามจะไม่ต้องรอให้ยอมรับ แค่รับรู้ก็พอ

เอ็นดูกวาง แต่น้องกำลังโต ยังต้องเจออะไรอีกมาก
ดีที่ฐาติมาเจอ และมาเคลียร์ให้มันจบ ไม่ค้างคา
ต่างคนต่างจะได้แยกย้าย และไปต่อ

ทีมมีความเปลี่ยนไป มารับต้อม คือจะเปิดใจหรือเปล่านะ

จิโระน่ารักมากค่ะ มีความน่าเอ็นดู มีความงอแง
และเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดคิด ฉลาดพูด เข้าใจกับสิ่งที่ต้องทำ

ถึงก่อนหน้านี้จะดูไม่ค่อยมั่นคง ฉันท์อาจจะปิดตัวมาก
แต่ตอนนี้ความเรียบเรื่อยก็ดีขึ้น อารมณ์ ความรู้สึกก็ชัดเจน
ทั้งธาม ทั้งฉันท์ ได้บอกกันให้รู้ ทำความเข้าใจกัน
ชอบโมเมนท์แบบนี้มากค่ะ ตอนที่เค้าอยู่ด้วยกัน คุยกัน สวีทกัน
มันดูเป็นครอบครัว คนรัก และกำลังใจสำคัญ

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้
ยังไม่อยากให้จบเลย ยังอยากเห็นจิโระเข้าโรงเรียน
ยังอยากเห็นกวางมีคนมาจีบ และเห็นพี่กับน้องไปสวีทกันทุกทริป
ขอตอนพิเศษอีกนิดก็ได้นะคะ 55555

ขอบคุณอีกครั้ง และเป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 19-07-2019 21:54:03
คุณนักเขียนคะ

คุณออกแบบตัวละครได้มีมิติดีมาก​
ไม่แบน​ สมเหตุสมผล​ ยกเว้นตอนแรก​ ตอนนั้นถ้าไม่ติดว่าลงมาหลายตอนแล้ว  เราอาจเลิกอ่านได้​ เพราะพระเอกนายเอกดูการ์ตูน​ปนนิยายไปหน่อย

คือนายเอกเหมือนเกิดผิดยุค​ ผิดที่​
แต่พอผ่านสัก​1​ ถึง​ 2​ บท​ ความเข้มข้นจึงบังเกิด​ ทำให้เราติดตามแล้วรอจนถึงบทส่งท้าย

ขอบคุณ​สำหรับงานเขียนชิ้นนี้​ อ่านแล้วนึกถึงงานของ​ คุณปิยะพร​ ศักดิ์เกษม​ อย่าง​ ดอกไม้ในป่าหนาว​ ที่ตอนนี้จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว​ แต่จำความหนืดๆ​ ช่วงต้น​ที่ปูเรื่อง​ อ่านแล้วจะอึดอัดๆ​ แต่สุดท้ายสนุกดี​ อาศัยอ่านหัว​ กลาง​ ท้าย​ พอเช็คว่าดีถึงกลับมาอ่านตั้งแต่ต้น​จนจบใหม่ ไม่งั้นคงเลิกอ่านเหมือนกัน555

แต่ที่จะบอกคือ​ เราคิดว่ามันดีระดับนั้น​จริงๆ

และถ้ามีการโหวตรางวัลตัวละครที่มีมิติที่สุด​ เราจะโหวตให้เรื่องนี้และคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 19-07-2019 22:40:28
กำลังใจของกันและกัน

จิโระอยากช่วยพี่คือน่ารัก
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-07-2019 23:13:08
มันหลากหลายอารมณ์​ความรู้สึก​มากเหวี่ยง​ไป​เหวี่ยง​มาจนไม่รู้ตะเอาตอนไหนมาระบาย​ ได้แต่ดีใจที่ทุกคนมีความสุข
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-07-2019 23:57:30
เป็นเรื่องที่ตัวละครเพียบ เรื่องราวครอบครัวมีความสลับซับซ้อน บางครั้งบางตอนมีงง
มีความสมจริงในมุมความรู้สึก ที่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรไปก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตามมา

เป็นอีกเรื่องชอบมาก
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-07-2019 07:30:50
 :L2: ขอบคุณคนเขียนที่มีนิยายดี ๆ มาให้อ่าน

มีความสบับซับซ้อนตามสไตล์ของคนเขียน แต่ก็สนุก

และจะรอเรื่องต่อไปครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-07-2019 14:35:01
ตรึงใจสุดๆ

รักทุกตัวระคร

จะมีภาคต่อของจิโระใหม

น้องน้อยต้องเติบโตมาเป็นสุภาพบุรุษที่สมบูรณ์

ทั้งร่างกายและจิตใจแน่ๆ

คุณธรรม จริยธรรม มนุษยธรรม น้องต้องเป็น คนดีมากๆแน่เลย
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: uniko ที่ 20-07-2019 18:37:09
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ ค่ะ  :pig4:
เอ็นดูจิโระ อยากไปช่วยเลี้ยงน้องเลยทีเดียว

ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้าย รู้สึกใจหายเหมือนกัน
เป็นกำลังใจให้คุณน้ำชา เขียนเรื่องต่อไปนะคะ
รอติดตามค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-07-2019 19:01:37
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-07-2019 03:19:35
คือดีมาก  :hao5: :hao5:
เห็นเขาอยุ่ด้วยกันทำอะไรด้วยกัน มันก็แค่นี้แหละ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 21-07-2019 12:37:29
จบแล้วววววววววว
จิโระน่ารักมากๆ เป็นเด็กดีจริงๆ ตัวแค่นี้ รู้จักอยากแบ่งเบาภาระโอนีแล้ว
ชอบตอนพี่ธามหึง น่ารักดี ไม่คิดว่าพี่ธามจะมีมุมแบบนี้ด้วยนะเนี่ย อิอิ


ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะคุณไจฟ์น้องที  :pig4:
จะรอติดตามเรื่องต่อไปค่ะ  :3123:  :3123:  :3123:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: ayo ที่ 22-07-2019 15:33:17
แอบอ่านงานมาทุกเรื่องเลยค่ะ แล้วก็นับว่าเป็นนักเขียนในดวงใจ
ไม่มีอะไรอ่านก็วนๆอ่านเรื่องเก่าๆไป บางวันที่เหนื่อยงานก็ได้ยิ้มกับงานเขียนของคุณนี่แหละ^_^
พอเห็นเรื่อยนี้ในห้องจบแล้วก็ไม่ลังเลที่จะกดอ่าน
แรกๆยอมรับว่าขมวดคิ้วใส่หนู ชิรายูกิของพี่ธามันมากหน่อย เพราะไม่ค่อยปลื้มที่ไม่มีใจแต่ก็ไม่ปฏิเสธไปตรง
แต่พอพี่กลับมาแล้วน้องดีขึ้น มันน่ารักอ่านไปก็ยิ้มไป
ครอบครัวพี่ธามันนี่น่าปวดหัว ครอบครัวชิรายูกิก็น่าหมั่นไส้ มีเจ้ากวางที่บางทีก็อยากมอบโล่ห์ขอบใจนะกวางที่พุดแทนใจพี่ให้
สนุกมากค่ะ ก็ยังคงชื่นชอบงานเขียนของคุณเสมอ ต่อไปจะคอมเม้นให้มากขึ้นนะคะเพื่อเป็นกำลังใจ
สุดท้ายนี้ก็ยังอยากรู้ว่าต้อมจะสมหวังในรักข้างเดียวไหม..... :mew3:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-07-2019 15:54:25
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: adnrak ที่ 23-07-2019 22:37:07
ชอบฮันซามุซัง
ชอบโอนี
รักจิโร๊ะ
กเอ็นดูวาง  นางน่าสงสาร
แต่ดีแล้วที่ไม่ได้คู่ฐาติ 
กวางควรจะได้คนดีกว่านี้

ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน

หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-07-2019 10:26:07

:katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1: ก็ใจหายนะกับการที่มาถึงตอนจบของเรื่อง

ความรับผิดชอบที่น้องต้องแบกรับมามันสาหัสนะ แต่มาตอนท้ายสัมผัสได้ว่าชีวิตน้องมีความสุขที่แท้จริง จริงๆแล้ว

จิโระก็เป็นเด็กดีมาก สมกับที่น้องดูแลมา

กวางก็เชื่อฟังและไม่ทำตัวมีปัญหา สมกับที่น้องไว้วางใจ

ทุกๆคนที่น้องคอยเอาใจใส่ ทุกคนไม่สร้างปัญหาให้เลย

และแน่นอน ที่น้องผ่านมาได้ขนาดนี้ก็ต้องยอมรับในความรักความมั่นคงของพี่

และยิ่งได้มาอยู่ด้วยกันความเอาใจใส่กันและกันที่ต่างคนมอบให้กันมันทำให้ที่ผ่านมากลายเป็นอุปสรรคเล็กๆไปเลย

ขอบคุณทั้งคุณไจฟ์และน้ำชาจ้าที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านตลอดๆ

 :pig4:  :pig4:




หัวข้อ: Re: Kiss the Snow ตอนจบ (19/7/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 25-07-2019 19:11:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 14-08-2019 14:06:40
ทำไมรู้สึกหลายปมยังไม่คลาย

แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหล่ะมั๊งเนอะ

รักทั้งคู่ ขอบคุณมากนะครับ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 15-08-2019 13:43:57
เรื่องดีที่มีกวางกับจิโระ ถึงตอนหลังๆจะสงสารกวางมากๆก็เถอะ ความสดใสมันสู่ความหม่นของชีวิตฉันท์ไม่ได้เลย เฮ้ออออออออ
เรื่องนี้มันเรียบง่ายเพราะเล่าผ่านมุมมองที่เรียบๆเรื่อยๆ
ขอบคุณคนเขียนมากๆน้าาาา ไอเลิ้บบบบ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:06:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Kiss the Snow
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 11-09-2020 04:03:03
ไม่ว่ากี่ปีๆ นิยาย  ไจฟ์ ที ก็ยังสนุกเหมือนเดิม
ห่างจากนิยายไปทำงานหนักมา 2-3 ปีได้ 
พอกลับมาอ่านนิยาย ต้องหาชื่อ ไจฟ์ ที คนแรก
สนุก ครบรส เหมือนเดิมค่ะ