Kiss the snow
ตอนที่ 1
ห่างจากปากซอย 72 ไม่ถึง 20 เมตรคือที่ตั้งของอพาร์ทเม้นท์เก่าที่มีชื่อว่า ‘มีสุข’ เป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ปลูกสร้างมานานกว่า 15 ปีแล้ว แต่รูปแบบของอาคารภายนอกเหมือนหอพักรุ่นบุกเบิก จึงดูไม่ทันสมัย และใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่า ตั้งแต่การกั้นพื้นที่ด้วยรั้วโปร่งสูงแค่เอวโดยรอบบริเวณ ทิ้งพื้นที่โล่งด้านหน้าอาคารเป็นลานจอดรถ ส่วนตัวอาคารความสูง 5 ชั้น มีห้องให้พักอยู่ 40 ห้อง บันได 2 ด้าน คือ ด้านขวาสุดกับซ้ายสุดรับระเบียงยาวทอดตัวผ่านห้องพักชั้นละ 8 ห้อง จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง และไม่มีลิฟต์
ทุกห้องมีแผนผังแบบเดียวกันหมดคือขวามือของประตูคือหน้าต่างแบบบานเกร็ด ซ้อนด้วยเหล็กดัดและมุ้งลวด
ที่ต่างกันก็คือด้านในห้องพัก ที่เฉพาะชั้น 1 กับชั้นที่ 2 เป็นห้องพักโล่งแบบสตูดิโอ กับ 1 ห้องน้ำ แต่เจ้าของห้องสามารถกั้นม่านแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้เอง ส่วนชั้น 3 ถึง 5 มีการแบ่งเป็นห้องนอน 1 ห้องน้ำ แต่ห้องนอนก็มีพื้นที่เพียงพอแค่ให้วางเตียงกับตู้เสื้อผ้าได้เท่านั้น
ที่ชั้นล่างสุดของอพาร์ทเม้นท์ ห้องหมายเลขหนึ่งเป็นห้องของป้าละเมียดกับหลานสาวที่รับจ้างซักผ้าให้กับคนทั้งอพาร์ทเม้นท์หากอยากรู้เรื่องของคนที่นี่ให้ไปถามป้าละเมียด แกรู้ดี
อีก 7 ห้องถัดไป ล้วนแต่เป็นคนขับรถรับจ้าง ทั้งสามล้อ มอเตอร์ไซค์และแท็กซี่ เรียกว่าเป็นเพียงชั้นเดียวที่มีคนพักเต็ม แล้วบรรดาคนขับรถเหล่านี้ก็มักจะจอดรถของตัวเองไว้ที่หน้าห้องพัก และทุกคืนเราจะได้ยินเสียงคนร้องตะโกนบอกให้ดับเครื่องยนต์
ส่วนชั้นอื่น ๆ ของอพาร์ทเม้นท์นี้มีคนพักไม่ถึงครึ่ง
คนดูแลหอพักคือลุงนิยมกับป้าแจ่มจิต ทั้งคู่พักอยู่ที่บ้านไม้หลังเล็กความสูง 2 ชั้นปลูกห่างจากหอพักไม่ถึง 3 เมตร หรือจะเรียกให้ถูกก็คือห่างกันแค่ช่องจอดรถปิคอัพของลุงนิยม กับราวตากผ้าของป้าแจ่มจิตเท่านั้น
ทั้งสองคนเป็นญาติทางฝ่ายพ่อของฉันท์-ฉันท์ทัต วีนิตา ไม่ได้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ก็มีความไว้วางใจกันจนสามารถให้ทั้ง 2 คนช่วยดูแลอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ได้
ลุงนิยมเป็นผู้ชายตัวหนาหน้าดุ และพูดน้อย ส่วนป้าแจ่มจิตเป็นคนยิ้มหวาน ดังนั้นหากจะเจรจาขอผัดผ่อนค่าเช่า หรือ มีปัญหาน้ำไม่ไหล ไฟดับ กระจกหน้าต่างแตกต้องไปหาป้าแจ่มจิต เดี๋ยวป้าจะไปบอกลุงนิยมให้ไปซ่อม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลุงจะไปซ่อมให้
ป้าแจ่มจิตยิ้มหวานสมคำเล่าลือ เมื่อถามธาม-ธามัน ก้องเกียรติมนตรี ว่า ตอนนี้เรียนหนังสือหรือทำงานอยู่ ชายหนุ่มตอบไปว่าเรียนหนังสืออยู่ ป้ามองบัตรประชาชนของธามัน แล้วมองหน้าซ้ำ มองบัตรประชาชนอีกหน เมื่อธามันพูดภาษาไทยไม่ชัด
"ผมคนไทยจริง ๆ นะ แต่บังเอิญว่าครอบครัวผมพูดหลายภาษา ไป ๆ มา ๆ เลยเอาดีไม่ได้สักภาษา"
ป้าแจ่มจิตส่ายหน้า บอกว่า ยังไงภาษาไทยก็ภาษาแม่ควรพูดให้ชัด
“นี่” ป้ามองดูธามันชัด ๆ อีกครั้ง “จะดูห้องก่อนไหม” เพราะที่นี่เป็นอพาร์ทเม้นท์เก่า ดูจากหน้าตา การแต่งกายแล้วชายหนุ่มคนนี้เหมาะกับคอนโดฯหรู มากกว่าห้องพักในตึกเก่าแบบนี้
“ดูข้างนอกนี่ก็พอครับ ผมอยากได้ห้องเงียบ ๆ”
ในฐานะคนค้าขาย ป้าแนะนำห้องที่อยู่บนชั้น 5 ให้ด้วยเหตุผลที่ว่า ชั้น 5 มีแต่พนักงานออฟฟิศพักกันอยู่แค่ 3 ห้องจาก 8 ห้องจึงมีความเป็นสัดส่วนและปลอดภัยกว่าห้องที่อยู่ชั้นล่าง
"ยังหนุ่มอยู่ เดินขึ้นบันได 5 ชั้นไหวไหม"
"ไหวครับ"
ป้าแจ่มจิตอธิบายกฎระเบียบอีกหลายอย่าง แล้วสรุปว่า ระเบียบพวกนี้มีติดอยู่ที่ข้างบันได และที่ประตูห้องพักทุกห้องอยู่แล้ว
จากนั้น ธามันก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตามลุงนิยมไปที่ห้องพัก
ลุงนิยมเปิดประตูห้องแรกติดบันไดฝั่งซ้ายสุดให้ธามันดูก่อน จากนั้นก็เปิดประตูของห้องติดกันให้เลือก ข้างในห้องไม่ได้แตกต่างกัน ที่ต่างกันก็คือติดบันได กับไม่ติดบันไดเท่านั้น
ธามันเลือกห้องหมายเลข 2 ที่ไม่ได้ติดบันได
เมื่อลุงนิยมหันมาเห็นธามันกำลังมองสายโทรศัพท์บ้านที่ห้อยอยู่ใกล้กับประตูห้องนอน ก็ถามขึ้น "จะให้เอาโทรศัพท์บ้านเสียบให้ไหม"
ธามันคิดอยู่ 2 วินาทีแล้วบอก "ไม่ต้องก็ได้ครับผมมีโทรศัพท์มือถือ"
"แล้วหมอนกับฟูกล่ะ"
"อันนี้ขอด้วยนะครับ" ธามันยิ้มประจบ "ผมไม่ชอบนอนกระดาน"
"พวกของสำรองอยู่ห้องเบอร์ 4 เดี๋ยวไปเอามาให้"
แต่ธามันก็เดินตามลุงไปช่วยยกฟูกกับหมอน เพราะถึงลุงจะตัวใหญ่ ท่าทางแข็งแรง แต่เขาเองก็ยังหนุ่มอยู่ และถามว่า ในหอพักนี้มีนักศึกษาพักอยู่เยอะไหม ลุงก็เล่าแบบประหยัดคำพูดว่า มีที่ชั้น 3 อยู่ 2 ห้องเห็นว่าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อ เมื่อเดือนก่อนมีอีกคนอยู่ที่ชั้น 4 เคยพาเพื่อนมาที่ห้องแล้วโดนข้างห้องโวยวายเรื่องที่เสียงดัง ก็เลยย้ายออกไป
"อ้าว แล้วถ้าจะกินเหล้าละครับ"
"ก็กินข้างนอก พวกคนขับรถชั้น 1 กินเหล้ากันทั้งนั้น เขายังทำได้ แล้วอยู่กันมาหลายปีไม่มีปัญหา พวกนักศึกษาแต่ละคนมาอยู่กับไม่นาน แต่มีเรื่องมาตลอด"
นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดแล้ว ที่ธามันได้ยินจากลุงนิยม
จากนั้นเมื่อลุงออกไป ชายหนุ่มก็โทรศัพท์หาฐาติให้มารับ
10 นาทีถัดมาเมื่อฐาติจอดรถหรูที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ลุงนิยมก็เดินออกมาดูแล้วบ่นให้ได้ยิน
"ป้าพูดถูก พวกลูกคนรวยมีปัญหากับที่บ้าน"
เป็นคำบ่นที่ทำให้ฐาติหัวเราะร่วน เมื่อธามันเข้ามาอยู่ในรถ
"พวกผู้อาวุโส ประสบการณ์มาก นี่มองขาดจริงๆ ว่ามึงเป็นวัยรุ่นใจแตกหนีออกจากบ้าน"
"สัดเหอะ กูไม่ได้หนีออกจากบ้าน กูแค่มุ่งมั่น"
"มุ่งมั่นห่าอะไร มึงรู้จักน้องฉันท์แล้วหรือไง แล้วกับกูเนี่ย มึงคุยกับกู ตกลงกับกูสักคำไหม ว่าจะให้กูต้องเป็นหนังหน้าไฟให้มึง จู่ๆ ก็โทรศัพท์ให้กูมารับที่อพาร์ทเม้นท์ของน้องฉันท์ กูตกใจแทบช็อคตายมึงรู้ไหมเนี่ย" ฐาติบ่นยืดยาวเกินจริง จนคนฟังต้องรีบโบกมือ
"ไป ๆ รีบออกรถ พากูไปดูบ้านน้องฉันท์ก่อน แล้วค่อยไปซื้อของมาใส่ห้อง"
ฐาติออกรถตามคำสั่ง แต่ก็ไม่วายบ่น "ห่าธามโคตรจะเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจเลยมึงน่ะ ทีแรกกูคิดว่ามึงจะไปดักเขาที่หน้าโรงเรียน แต่นี่มึงกลับมาเฝ้าเขาถึงหน้าบ้าน"
"ทีแรกกูกะว่าจะไปสมัครเป็นยามหรือคนสวนที่บ้านเขาน่ะ"
"จรวยเหอะ หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ คุณชายธาม มึงดูละครมากไปแล้ว"
"ก็รู้ว่าไม่ได้ไง แล้วจะไปรอเฝ้าหน้าโรงเรียนก็ไม่ได้ด้วย ถึงต้องใช้วิธีนี้"
ฐาติจอดรถที่หน้าบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปท้ายซอย ห่างจากอพาร์ทเม้นท์หลายร้อยเมตร
ตัวบ้านความสูง 2 ชั้นหลังเล็กปลูกค่อนมาทางด้านหน้า และที่ทำให้ดูเป็นบ้านที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวก็เพราะที่ดินผืนใหญ่ทางด้านหลังซึ่งเจ้าของปลูกไม้ยืนต้นไว้ห่างกัน แต่ต้นไม้เหล่านั้น ต่างสูงใหญ่ให้ร่มเงาไปทั้งพื้นที่
พื้นที่ที่ปลูกบ้าน กับแปลงที่ดินด้านหลัง ดูแปลก ๆ คล้ายแบ่งพื้นที่เป็นคนละแปลง แต่ก็เหมือนแปลงเดียวกัน เพราะไม่มีรั้วกั้น ไม้มีแนวต้นไม้
"กี่ไร่วะเนี่ย อพาร์ทเม้นท์ประมาณ 2 ไร่ก็ว่าปลูกแบบทิ้งขว้างแล้วนะ" ฐาติกวาดตามอง "บ้านหลังนี้กะดูไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ไร่ น้องฉันท์ของมึงรวยนี่หว่า"
"บ้านที่มีคนอยู่มันต้องอย่างนี้" ธามันบอกยิ้มๆ
ฐาติเองที่ยังไม่ละสายตาจากที่ดินกว้างขวาง ถามกลับอีกคน "แล้วบ้านที่ไม่มีคนอยู่เป็นแบบไหน"
"บ้านกูไง" ธามันอธิบายต่อ "บ้านหลังใหญ่ สนามกว้าง แต่ไม่มีชีวิต"
"เขาเรียกบ้านของคนทำงาน" ฐาติหันมาเถียงด้วยประโยคมองโลกในแง่ดี "ดูบ้านแล้ว แล้วไงต่อ"
"ไปซื้อของเข้าห้องสิ"
ฐาติออกรถในทันที "แล้วมึงอยู่แค่ 2 เดือนจะซื้ออะไร พ่อคนเงินเหลือใช้"
"พวกของที่มันควรมีในห้องพักสิ อย่างแรกเลยคือผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และ ผ้าเช็ดตัว"
อีกคนหันมามองหน้า "ไม่กลับไปเอาที่บ้าน"
"ไม่ละ ขี้เกียจตอบคำถามแม่"
"แล้วที่กูต้องมาตอบคำถามแม่มึงเนี่ย มึงคิดถึงกูบ้างไหมเนี่ย"
ธามันกลั้นยิ้ม ที่อีกคนแม้จะบ่นและโวยวาย แต่สุดท้ายก็ยังตามใจอยู่เหมือนเดิม "กูแค่ไปๆ มาๆ ไม่ได้มานอนที่นี่ทุกคืน แล้วถึงกูจะกลับไปแล้ว กูก็ยังไม่คืนห้อง เพราะเดี๋ยวกูก็ต้องกลับมาอีก แต่ระหว่างนี้ กูจะให้กุญแจมึงไว้ ให้ส่งคนมาทำความสะอาดให้ด้วย"
"ตกลงมึงจ่ายค่าเช่าไปกี่เดือนวะ"
"ครึ่งปี"
"อะ จ๊าก!" ฐาติร้องตะโกน "พ่อคนเงินเหลือใช้ คราวหน้าถ้าเงินเหลือจะโยนทิ้ง ก็โยนมาทางกูได้นะ ห่าเอ้ย"
"กูไม่ได้โยนทิ้ง แต่เพราะกูมีแผนอยู่ในใจ"
"แผนจีบเด็ก ต้องลงทุนขนาดนี้เชียว" ฐาติส่ายหน้า "ห่าธาม มึงคิดอะไรของมึงวะเนี่ย ลึกลับซับซ้อน มึงทำอะไรที่มันตรงไปตรงมาอย่างชาวบ้านเขาบ้างได้ไหม"
"เอาน่า" มือใหญ่ตบไหล่คนที่กำลังขับรถ "ก็อย่างที่มึงบอกแหละ ว่าตอนนี้กูยังไม่รู้จักเขา แต่ถ้ารู้จักแล้วมีอะไรที่ไม่ใช่ กูก็หยุด"
"อ้าวสัดแล้วไหมล่ะ แค่จีบเล่น ๆ ฆ่าเวลา มึงยังลงทุนขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นรักจริงหวังแต่ง มึงจะทุ่มเทขนาดไหน มึงคงซื้อหลังติดกันกับเขาแล้วย้ายมาอยู่ใกล้กันเลยละสิท่า"
"กูไม่ได้จีบเล่นฆ่าเวลา กูแค่..." ธามันพูดยิ้ม ๆ เมื่อนึกไปถึงสีหน้าของฉันท์ และที่ดินกว้างขวางหลังบ้าน 2 ชั้นหลังนั้น "ไม่รีบร้อนในการทำความรู้จักอย่างจริงจัง"
“โหย ไม่รีบร้อน อย่างนี้ยังเรียกว่าไม่รีบร้อน” ฐาติเสียดสีด้วยคำพูดและสีหน้า "มึงเป็นคนแรกเลยนะที่แค่จะทำความรู้จักเด็กนักเรียนสักคน ต้องลงทุนขนาดนี้ คนอื่นน่ะเขาก็ไปดักหน้าโรงเรียนทั้งนั้นแหละ"
"แล้วทำไมกูต้องเหมือนใคร ไหน ๆ ก็รู้บ้าน รู้กิจการของเขาแล้วก็มารอที่นี่แหละ เพราะยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน"
ฐาติมองค้อนอีกฝ่าย "กูเบื่อลูกคนรวยนิสัยเสีย"
"อ้าวเฮ้ย เวลาเจอคนถูกใจมันต้องเดินหน้าทำคะแนนสิวะ จะมัวแต่ลีลายึกยักฟุตเวิร์คไปเรื่อยๆ พอดีหมดยก แพ้ทั้งที่ไม่ได้ออกหมัดได้ไงวะ"
ฐาติเหลือบมองญาติผู้น้อง
...ธามันมักคิดการใหญ่เพื่อให้ได้มา แล้วก็ทิ้งไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือเรื่องของคน...ถ้าเป็นเรื่องงานมันก็ดี
กับคนอื่นที่ฐาติเคยเห็น หรือเคยได้ยินมา ฐาติคิดว่าอีกฝ่ายเขาก็โอเค เพราะว่ารู้จักชื่อเสียงของธามันมาบ้าง
แต่ถ้าเป็นเด็กคนนั้น ที่เพิ่งผิดหวังมาแล้วต้องมาเจอคนแบบธามัน ถือได้ว่าเด็กคนนี้น่าสงสารมาก...
ส่วนเรื่องที่ทำให้ธามันต้องออกจากบ้าน คือปัญหาครอบครัวที่มีความรุนแรงมาก และธามันก็ไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ เว้นแต่เจ้าตัวจะพูดขึ้นมาก่อน
“ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีคอนโดฯ หรู ห้องว่างให้อยู่ตั้งมากมาย กลับต้องมาเช่าห้องพักเก่า ๆ ในอพาร์ทเม้นท์โทรม ๆ อยู่ เพื่อจีบเด็กฆ่าเวลา” ฐาติบ่นไปเรื่อยไม่รอให้ญาติผู้น้องอธิบายก็บ่นเรื่องที่ต้องซื้อของมากมายมาเข้าห้อง แต่เมื่อขนของขึ้นมาถึงชั้น 5 แล้วเห็นห้องพักกลับออกปากชื่นชม หายเหนื่อย
เพราะแม้ว่าเวลาที่ดูภายนอกจะทรุดโทรม ไม่น่าอยู่ก็จริง แต่ภายในห้องกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
"หายากนะโว้ยอพาร์ทเม้นท์ที่แบ่งห้องแบบนี้น่ะ" ฐาติวางของที่ซื้อมาไว้กลางห้องพัก แล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอน ลืมไปหมดแล้วว่าบ่นอะไรไว้เมื่อ 10 นาทีก่อน "รวมพื้นที่ทั้งห้องนี้ถึงจะเล็กกว่าห้องน้ำบ้านมึงก็จริง แต่ก็สะอาดมากเลยนะ มึงดูดิข้างนอกไม่แจ่ม แต่ข้างในแจ่มฝุด ๆ"
"ลุงนิยมแกคอยซ่อม แล้วก็ทำความสะอาดเป็นระยะ ทีแรกแกให้กูเลือกว่าจะเอาห้องนี้หรือห้องที่ติดบันได แต่กูเลือกห้องนี้"
ธามันบอกพลางจัดของเข้าที่ ไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ "เขาขายเบียร์กี่โมงนะ"
"5 โมงเย็น" ฐาติบอกขณะที่ปูที่นอน จัดเสื้อผ้าเข้าตู้ แต่เมื่อเดินออกมา ก็เห็นว่าธามันยืนอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าห้องกำลังมองลงไปที่ด้านหน้าของอพาร์ทเม้นท์ แล้วละสายตาหันกลับมามองฐาติที่เดินตามออกมา
"มึงจัดห้องเสร็จแล้วหรือ"
"เสร็จแล้วขอรับเจ้านาย เจ้านายมีอะไรให้ผู้น้อยรับใช้อีกไหมขอรับ"
"คิดว่าไม่ เดี๋ยวกูกลับบ้านไปเปลี่ยนเอารถเล็กมาคอยรับส่งน้อง แล้วคืนนี้กูนอนนี่"
ฐาติฟังแผนของธามแล้วต้องพยักหน้าให้กับตัวเอง
...ไอ้หมอนี่มันเป็นนักวางแผนจริง ๆ
"ธาม มึงชอบน้องเขาจริง ๆ หรือเปล่า"
"กูลงทุนไปขนาดนี้ มึงยังสงสัยอะไรอีกวะ"
"สงสัยสิ" ฐาติตอบตรงเสมอ "กูรู้สึกเหมือนมึงกำลังเล่นเกมอยู่ เขาเพิ่งผิดหวังมามึงก็เห็น ถ้าไม่ได้คิดจะจริงจังกับเขา ก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
"อะไรของมึงวะ" ธามันหันมามอง "มึงรู้จักเขาหรือไง"
"เคยเห็นตอนที่เขามาหาน้องแก้วตา เพื่อนเขาที่อยู่บ้านติดกับกูไง แล้วมึงก็มาอยู่เมืองไทยแค่ 2 เดือน ยังต้องไปนั่นไปนี่กับแม่ของมึงอีก แล้วพอมึงกลับไป..." พูดยังไม่ทันจะจบประโยคฐาติก็ยักไหล่ "เออจริงสินะแค่ 2 เดือนเขาคงยังไม่ทันจะชอบมึงหรอก"
"แล้วมึงจะรู้ว่า ไม่ต้องถึงเดือนนึง เขาก็จะลืมแฟนเก่าแล้วมาชอบกู ส่วนเรื่องหลังจากที่กูกลับไป มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลิกคบกันนี่หว่า"
เพราะรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี รู้จักกันมาเท่ากับอายุตัว ทำให้ฐาติมั่นใจว่าธามันจะทำให้ฉันท์ชอบได้ภายในเวลาที่บอกไว้ และก็เชื่อเช่นกันว่า หลังจากนั้น ทั้ง 2 คนก็จะต่างคนต่างแยกกันไป
...ก็วัยรุ่น จะอะไรกับความรักมากมาย...
แต่เด็กคนนั้นก็ยังน่าสงสารอยู่ดี
บ่ายจัดธามันลงมาเตร็ดเตร่อยู่แถวห้องพักชั้นล่าง เพื่อทำความรู้จักกับป้าละเมียดแห่งร้านซักรีดประจำอพาร์ทเม้นท์ เรื่อยไปจนถึงบรรดาแม่บ้านกลุ่มคนขับรถสามล้อ แท็กซี่ จนเกือบห้าโมงเย็นหนุ่มนักเรียนถึงได้เดินเข้ามาที่บ้านป้าแจ่มจิต
แม้ขั้นตอนในการเข้ามาอยู่ในวงโคจรอีกคนจะดูยุ่งยากจนเกินความจำเป็น แต่เมื่อมาถึงขั้นตอนการทำความรู้จักกลับเรียบง่าย เพราะเมื่อฉันท์มาถึงก็สวัสดีลุงกับป้าที่หน้าบ้านหลังเล็กแล้วเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีธามันเดินตามเข้าไปยิ้มทัก แล้วแนะนำตัว
"พี่ชื่อธามครับ เพิ่งมาพักวันนี้"
ฉันท์ดูงงไปชั่ววินาที ที่เห็นคนเช่าห้องพักเข้ามาแนะนำตัว "สวัสดีครับ ฉันท์ครับ"
ป้ารีบบอก "พ่อคนนี้เขานิสัยดี เห็นเดินคุยกับทุกห้องเลย"
ธามันยิ้มกว้าง แต่อีกคนยิ้มแค่มุมปาก แล้วหันไปถามลุงกับป้าว่า จะให้ไปซื้อของอะไรที่ตลาดหรือไม่ ป้าเลยจดของที่ต้องซื้อจากร้านสะดวกซื้อมาให้ ทำให้ลุงบ่น
"ฉันอยู่บ้านทั้งวันไม่ให้ไปซื้อของ พอหลานกลับมาถึงก็ใช้หลาน"
"อ้าว ก็พอดีฉันนึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อวานเจ้าฉันท์บอกว่าอยากกินยำทูน่าก็เลยว่าจะทำให้มื้อเย็นนี้” ป้าหันมาบอกกับหลานอีกที "คืนนี้พ่อกับแม่เขามีงาน เจ้าฉันท์กินข้าวกับป้าแล้วค่อยเข้าบ้านนะลูก"
"ฮะ"
ฉันท์ตอบป้าแล้วเดินออกมา ธามันก็เดินตามมาด้วย แล้วเร่งเท้าขึ้นมาเดินคู่กัน แม้ประโยคเริ่มต้นจะเป็นเรื่องทั่วไป เพราะฉันท์ไม่ได้พูดแนะนำอะไร
โดยทั่วไปเจ้าของบ้านเขามักจะแนะนำคนที่มาใหม่ว่าแถวนี้มีอะไรบ้าง เซเว่นแถวนี้มีกี่ร้าน ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยอยู่ตรงไหน หรือร้านผลไม้ราคาถูก แต่ฉันท์ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้น เพราะดูครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งธามันรู้ว่าฉันท์กำลังคิดอะไร
เมื่อฉันท์จ่ายเงินซื้อของตามที่ป้าจดมาให้ ธามันก็ช่วยถือถุง ฉันท์พูดขอบคุณจะยื้อถือไว้เองแต่เมื่อธามันรั้งถุงไว้ เด็กนักเรียนก็ปล่อยให้ถือ จากนั้นธามันก็ชวนแวะซื้อขนมโตเกียวจากรถเข็นข้างทาง
ธามันส่งขนมโตเกียวใส้รวมขนาดใหญ่พิเศษให้ฉันท์ "ชั่วโมงนี้พี่ยังเป็นคนแปลกหน้า แต่ถ้าน้องอยากรู้จักพี่บ้าง พี่ก็ยินดี" อย่าว่าแต่น้องนักเรียนจะไม่เข้าใจไอ้ประโยคน้ำเน่านี่เลย ธามันที่เป็นคนพูดก็ยังงงตัวเอง ว่าพูดอะไรออกไป
รู้แต่ว่ามันเชยมาก..
ธามันตั้งสติแนะนำตัวเองอีกครั้ง "ชื่อธามครับ พี่อยู่ที่กรุงเทพฯนี่แหละ แต่ตอนนี้เรียนอยู่อเมริกา พี่แวะกลับมาเยี่ยมญาติที่นี่ แล้วอีก 2 เดือนก็จะกลับไปเรียนต่อ"
นี่เป็นเรื่องที่ฉันท์รู้ตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้านแล้ว และเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกเครียดเพราะตนเองนิ่งเกินไป แต่เพราะยังไม่รู้ว่าควรตอบกลับกลับไปว่าอะไรก็เลยพยักหน้ารับรู้แล้วจะเดินต่อ แต่ธามันก้าวไปดักข้างหน้า
"เมื่อวันก่อน พี่เห็นน้องฉันท์ บอกตามตรงว่าพี่ชอบ ก็เลยให้เพื่อนช่วยหาให้ว่าน้องอยู่ที่ไหน พี่ก็เลยตามมา เพราะอยากรู้จัก"
หนุ่มนักเรียนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม พี่เลยต้องรีบอธิบาย
"คือ พี่รู้ว่ามันดูแปลกๆ แต่พี่อยากทำความรู้จัก ไม่ใช่ พี่อยากให้น้องฉันท์รู้จักพี่ คือ พี่อยากขอคบกับน้องฉันท์น่ะ"
เป็นการเปิดตัวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จับต้นชนปลายไม่ถูก ดูเป็นมือใหม่ที่ไม่ชำนาญเรื่องความรัก แต่ธามันรู้ว่าวิธีนี้ได้ผลดีกว่าการทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ
หนุ่มนักเรียนดูตกใจ แปลกใจแบบแปลก ๆ เพราะมีอาการหน้าแดงเรื่ออยู่วูบหนึ่งแล้วก็กลับเป็นลังเล มือขาว ๆ เกาที่ต้นคอ แล้วก็ถอนหายใจ
"น้องฉันท์ ค่อย ๆ ทำความรู้จักพี่ก่อนก็ได้"
ธามันกำลังทำตัวเป็นสินค้าตัวอย่าง ประเภททดลองใช้ก่อนสักสองเดือน ไม่พอใจยินดีคืนเงิน
"ขอโทษนะฮะ ผมยังไม่พร้อม"
นี่เป็นคำตอบที่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว "ไม่เป็นไรครับ นี่เบอร์โทรพี่ อีเมล ไอดีไลน์ อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ พร้อมเฟซบุ๊ก" มือใหญ่ส่งกระดาษชิ้นเล็กที่เตรียมมาพร้อม "เฟซบุ๊กนี่ไม่ค่อยได้อัพเดทอะไรสักเท่าไหร่ ส่วนไอดีไลน์ คิดว่าพี่กลับไปก็คงติดต่อกันไม่ได้ แต่น้องฉันท์สามารถตรวจสอบประวัติพี่ได้ทุกอย่าง ตอบทุกคำถามครับ"
คราวนี้ฉันท์ตั้งสติได้แล้ว รับกระดาษมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ พอมาถึงก็เปิดแทปเล็ต ตรวจประวัติต่อหน้าพี่ที่นั่งตัวตรงรอตอบคำถามอย่างตั้งใจ โดยมีลุงวินัยกำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ
ท่าทางคงอยากรู้ว่าสองคนนี้กำลังคุยอะไรกัน
ภาพการใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ดูไม่ค่อยหวือหวาสักเท่าไหร่ ฉันท์มองรูปและวันเวลาที่โพสต์ภาพแล้วอมยิ้มเล็ก ๆ
ธามันไม่ใช่คนที่ยึดติดกับสื่อสังคมออนไลน์ เพราะนี่คือช่องทางสำหรับการเผยแพร่สิ่งที่ตนเองอยากให้คนอื่นรู้ ซึ่งมันก็จะมีหลายอย่างที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง
"เล่าเรื่องที่ไม่มีอยู่ในสื่อสังคมให้ผมฟังดีกว่าไหมฮะ"
"เรื่องไหนล่ะ" ธามันมีท่าทีกระตือรือร้น
"เวลาว่างพี่ทำอะไร" ฉันท์เจตนาตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องที่ฉันท์ไม่ได้คิดที่จะตั้งใจฟัง แค่อยากให้เขาเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ให้วันนี้ผ่านไปโดยไม่ต้องตอบคำถามลุงกับป้า และไม่ให้วันนี้เงียบเงาจนเกินไปนัก...
....
ตอนที่เป็นเด็กมีคนบอกฉันท์อยู่บ่อยๆ ว่าเป็นคนหน้าตาดี ตอนนั้นมักยิ้มเขิน แต่พอนานไปกลับไม่รู้สึกภูมิใจ เพราะเมื่อโตขึ้นประโยคที่ตามมาหลังคำชมก็มักจะเป็นคำวิจารณ์ ว่าคนหน้าตาแบบนี้น่าจะมีนิสัยร่าเริง น่ารัก อ่อนโยน ซึ่งในความเป็นจริง ฉันท์ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ฉันท์ยิ้มง่าย พูดเพราะ แต่ยิ้มน้อย และพูดน้อย ค่อนข้างเงียบ เก็บตัว ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวทั้งหากจะมีใครพูดเรื่องส่วนตัวฉันท์ก็จะเดินหนี
ยกตัวอย่างเวลาที่เจอกับผู้ใหญ่ฉันท์จะยกมือไหว้ก่อน แต่ถ้าอีกฝ่ายถามว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง กินข้าวมาหรือยัง หรือเรียนชั้นไหนแล้ว ฉันท์ก็จะยิ้มด้วยองศาเดิมแล้วเดินหนี
คนที่ชมก็เลยมักมีประโยคต่อท้าย ว่าน่าเสียดายที่ค่อนข้างหยิ่ง
ฉันท์ก็เสียดายเหมือนกัน
เสียดายที่เสียเวลาไปกับคนที่ตัดสินคนอื่นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที
เพราะฉันท์ไม่ได้หยิ่ง แต่คิดว่าคำถามแบบนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือตอบไปแล้วคนถามก็จำไม่ได้ เจอกันวันพรุ่งนี้ก็ถามอีก แล้วจะตอบไปทำไม
....
เลิกเรียนวันนี้ มีคนมารออยู่ที่หน้าโรงเรียน
ผู้ชายคนที่เข้ามาแนะนำตัวเมื่อวาน ว่าเป็นผู้เช่าห้องคนใหม่
เป็นคนที่ใบหน้าคมเข้ม จัดว่าหล่อมาก ยิ่งด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางมั่นใจ รอยยิ้มกว้างยิ่งทำให้ดึงดูดสายตามากกว่าเดิม
ผู้ชายคนนี้แปลก เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อวานนี้ แต่กลับทำตัวสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน
ที่แปลกมากกว่าก็คือ เขาทำเหมือนกับว่า การบอกผู้ชายอีกคนว่าชอบ ขอคบหาเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ชอบก็คือชอบ ชอบแล้วก็เข้าหาทันที
คนแบบนี้ ในวันที่เขาไม่ชอบ เขาก็คงไปทันทีเหมือนกัน...
ฉันท์หยุดยืนมองคนที่กำลังโบกมือทักทายมาจากหน้าโรงเรียน
ได้ยินเสียงเพื่อน และรุ่นน้องในโรงเรียนที่หันไปถามกันว่านั่นคือใคร มารอใคร
แต่ฉันท์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะตื่นเต้นไปด้วย
คงเพราะเพิ่งเกิดเรื่องที่ไม่น่าจดจำเมื่อวันก่อน และในสมองเวลานี้ก็มีเรื่องที่กำลังคิดอยู่มากมายหลายเรื่อง
สุดท้าย หนุ่มตัวผอมก็แค่เดินผ่านไป โดยที่อีกคนเดินตามมา
"น้องฉันท์ จะไปไหน พี่จอดรถไว้ตรงโน้นแน่ะ"
ฉันท์ไม่ได้มองว่ารถจอดอยู่ที่ไหน แต่กลับเดินตรงไปที่สถานีรถไฟฟ้า
"น้องฉันท์ครับ ดีกันนะ"
คนที่เดินตามมาพูดเสียงดังฟังชัด จนเพื่อนนักเรียนคนอื่นพากันอมยิ้ม
แต่ฉันท์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น ในทางตรงข้าม ตลอดเวลา 1 วันในโรงเรียน ที่แสดงท่าทีเฉยเมยใส่คนคู่นั้น ภายในใจยิ่งนานยิ่งเหน็ดเหนื่อย ต่อให้มีใครคนหนึ่งมายืนยิ้มกว้างอยู่ข้างหน้า และพูดนั่นนี่มากมาย ใจก็ยังเหนื่อยล้า ว่างเปล่า จนกระทั่งหันไปเห็นว่าคนคู่นั้นเดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกัน ฉันท์ถึงได้หันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า
"ไปกินไอ’ติมกันไหมครับ" คนรูปหล่อถามขึ้นทันทีพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม
ฉันท์พยักหน้าง่าย ๆ แล้วเดินตามไปที่อาคารจอดรถที่อยู่อีกฝั่งของโรงเรียน
ที่จริงก็สงสัยนะ ว่าโกรธกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ทำให้พอจะรู้ว่านี่อาจเป็นแค่การเรียกร้องความสนใจ แถมนี่ยังยืนอยู่หน้าโรงเรียน ฉันท์ก็เลยต้องคล้อยตามสถานการณ์ไปก่อน
จะว่าไปอาการที่ฉันท์เป็นอยู่ตอนนี้ ทำให้ธามันนึกเป็นห่วง ว่าหากไปพบเจอกับคนไม่ดีที่คิดฉวยโอกาส จะเกิดอะไรขึ้น เพราะหนุ่มหน้าหวานคนนี้ออกอาการไม่พูดอะไรก็จริง แต่บอกให้ไปไหนก็ไป ให้ทำอะไรก็ทำ ชวนมาร้านไอศกรีมก็มา มาถึงก็นั่งมองเมนูในมือ แต่พออีกคนชี้ชวนว่า ไอศกรีมเมนูนี้น่าทาน หนุ่มน้อยก็พยักหน้าสั่งเมนูนั้นทันที หลังจากนั้นก็หันออกไปมองข้างนอกร้าน
...อาการอกหักแบบนี้มันน่าเป็นห่วง...
"น้องฉันท์ครับ วันนี้เรียนพิเศษกี่โมง"
หนุ่มหน้าหวานมีอาการสะดุ้งเมื่ออีกคนพูดขึ้นมา จากนั้นก็มองนาฬิกาข้อมือ "อีกชั่วโมงนึง"
"งั้นทานเสร็จพี่ไปส่งแล้วรอรับกลับนะครับ"
จนกระทั่งออกมาจากร้านไอศกรีม ฉันท์ถึงได้มองอีกฝ่ายเต็มตา "พี่...ชื่ออะไรนะ"
"ธามครับ"
เมื่อวานเพิ่งแนะนำตัวไป แล้วก็ได้พูดคุยกันหลายคำเหมือนกัน
...ไม่น่าจะจำไม่ได้นะ...
"พี่ธาม อย่าเสียเวลาเลยฮะ"
"ไม่เสียเวลานี่ เพราะพี่เองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ทั้งไม่มีแฟนด้วย ดังนั้นการมาตามน้องฉันท์จึงเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่าที่สุด" ธามันมั่นใจว่า มุกตลกฝืด ๆ นี้จะสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้
แต่ที่ได้มาคือยิ้มมุมปากฝืนๆ พอกัน
"พี่ธาม..."
"นะครับ พี่จะรออยู่หน้ากวดวิชา รับรองว่าเลิกเรียนออกมาจะเห็นพี่รออยู่"
....
(มีต่อครับ)