ตอนที่ ๒๘
ลลิตภัทรเพิ่งรู้ว่าชีวิตที่ไม่มีลูกเจี๊ยบมาวนเวียนมันช่างเงียบเหงาและน่าเบื่อหน่าย ชายหนุ่มใช้ชีวิตช่วงที่ลูกเจี๊ยบไปเที่ยวกับครอบครัวด้วยการลุยงานในหมู่บ้าน ได้เวลายื่นเสียภาษีที่ดินแล้วพวกเขาและกลุ่มผู้ช่วยก็วิ่งวุ่นกับการไปวัดที่ดินให้ตรงกับโฉนด ชายหนุ่มวิ่งวุ่นบ้านนู้นทีบ้านนี้ทีตากแดดจนหัวแดงก็ไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จภายในวันสองวัน ทั้งยังต้องเซ็นชื่อให้กับชาวบ้านที่มายื่นเรื่องเสียภาษีที่ดินมือเป็นระวิง
ถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านลลิตภัทรก็คิดว่าตัวเองเป็นไอดอลชื่อดังเช่นไลควานลินเป็นต้น กว่าจะหมดวันชายหนุ่มก็ลากร่างเหี่ยวๆกลับบ้าน ไม่มีกำลังใจเอาเสียเลยเพราะเจ้าตัวน้อยก็แทบจะไม่ได้ติดต่อมา
ไอ้หน้าหมาแดนดินมันพาลูกเมียไปเที่ยวทะเลที่ไหนของมันวะ กระบี่หรือเกาะตะรุเตาทำไมหายจ้อยไปกันหมด ปกติก่อนนอนถ้าไม่โทรคุยกันก็ยังไลน์หากันได้ แต่นี่อะไร ลูกเจี๊ยบทำเหมือนโลกนี้ไม่มีสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าโทรศัพท์ นี่ก็วันที่ 2 เข้าไปแล้วโทรหาก็ไม่รับสายไลน์ไปก็ไม่เปิดอ่าน ใจร้ายที่สุด
หรือลูกเจี๊ยบจะเป็นดังคำโบราณที่ว่า สามวันจากนารีเป็นอื่น นี่ยังไม่ทันจะสามวันเลยเพิ่งจะสองวัน หรือเป็นเพราะเจ้าเจี๊ยบไม่ใช่นารีหากแต่เป็นบุรุษความรักของเราจึงจืดจางไวนัก
ฮรึก...คิดแล้วเศร้า ก้อนสะอื้นที่กลั้นไว้ก็พลันไหลออกมา
เธอจะทิ้งฉันแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นก็ห้ามไม่ได้
ลลิตภัทรดึงหมอนข้างเข้ามากอดพลางร้องไห้กระซี้กระซิกเพียงคนเดียวภายในห้องนอนเย็นเฉียบของตัวเอง
“เป็นอะไรน่ะเจี๊ยบดูลุกลี้ลุกลนจังลูก”จิ๊บเอ่ยถามลูกชายที่นั่งถอนหายใจไม่ได้สนุกไปกับอาหารตรงหน้าที่ลงทุนแบกเตามานั่งย่างกันที่ชายหาดเลยซักนิด
“หนูหงุดหงิดตัวเองน่ะจ้าแม่ ลืมอะไรไม่ลืมดันลืมเอาโทรศัพท์มาด้วย”
“เจี๊ยบจะโทรหาใครล่ะลูกเอาของพ่อเค้าไปโทรก่อนก็ได้”จิ๊บออกปากหากแต่ลูกเจี๊ยบยู่ปาก จะไม่อะไรเล๊ย ทุกครั้งที่ลูกเจี๊ยบยืมโทรศัพท์พ่อกำนันมาใช้แดนดินจะยืนฟังอยู่ข้างๆด้วยราวกับกลัวว่าเขาจะเชิดเอาโทรศัพท์หนีไป ขืนเอามาโทรหาอาลอมีหวังอาลอโดนพ่อกำนันจ๋าเอาลูกซองแฝดไปยิงกรอกปากยั้นบ้านแน่ๆ
“ไม่เอาดีกว่าจ้า เดี๋ยวกลับบ้านค่อยโทรหนูแค่จะโทรหาวุ้น”
“อย่างงั้นก็ได้ลูกแต่ถ้าจะใช้ก็บอกนะเดี๋ยวแม่ขอพ่อให้”
“จ้าแม่”เจี๊ยบน้อยรับคำแม่แกนๆ ใจตอนนี้ไม่สนุกกับอาหารและท้องทะเลเสียเลยไม่เหมือนกับตอนที่ไปกับอาลอซักนิด ตอนนั้นแค่เดินคุยกันไปจนสุดหาดก็ยังสนุก นั่งมองเจ้าขากับเจ้าจอมแย่งกุ้งตัวใหญ่กันดูแม่ที่ปรนนิบัติพ่อไม่ได้ขาดตกบกพร่องใจเด็กน้อยก็ยิ่งห่อเหี่ยวไปอีก อีกตั้งสองวันกว่าจะได้กลับบ้าน สงสัยน้ำหนักเจี๊ยบคงลดแน่ๆเลยจ้าอาลอจ๋าเพราะเจี๊ยบกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความคิดถึงอาลอ
“มึงเป็นอะไรของมึงวะไอ้ลอ ทำหน้าเหมือนราหูอมจันทร์”พระลักษณ์เอ่ยทักเมื่อน้องชายทำหน้าเป็นม้าหมากรุกมาได้ 2-3 วันแล้ว ลลิตภัทรแทบจะไม่คุยเล่นกับใครเหมือนเช่นทุกวันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ข้าวเช้ากับเย็นก็เหมือนกินไปงั้นๆให้จบมื้อไปจนแม่เอ่ยบ่นอย่างหนักใจ
“ลอมันทำเหมือนตอนที่อกหักจากแม่จิ๊บอีกแล้ว”
“กูถามจริงๆ มึงไปชอบลูกบ้านไหนอยู่หรือเปล่า?”พระลักษณ์เหล่ตามองน้องชาย ลลิตภัทรทำสายตาล่อกแล่กชั่วครู่ก่อนจะทำเสียงดังกลบเกลื่อน
“ชอบเชิบะไรล่ะ โว๊ะพี่นี่ก็เดาไปเรื่อง อย่าเอานิสัยทนายมาใช้กับผมเลย ทำงานเถอะ งานเยอะชิบหายทั้งงานหลวงงานราษฎร์”ว่าพลางก็เอาบัญชีโรงสีมาดูแต่ตัวเลขทั้งหลายไม่เข้าหัวเลยซักนิด
วันที่ 5 ที่ศตายุไม่ติดต่อกลับมา จากความคิดถึงเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วง จากความเป็นห่วงกลายเป็นความไม่พอใจ จนกระทั่งวันนี้วันที่ 5 ที่เจี๊ยบไม่ติดต่อกลับมาความไม่พอใจเปลี่ยนเป็นความน้อยใจ
ไปเที่ยวมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอสนุกจนกระทั่งไม่ติดต่อกลับมาเลยซักครั้ง
ไหนบอกว่าได้อาแล้วจะไม่ทิ้งไม่ขว้างไงคะ นี่อะไรทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้
เด็กอะไรใจร้ายใจดำเหลือเกิน ลูกเจี๊ยบไม่เคยรู้เลยซักนิดว่าตอนนี้เขาเป็นยังไง เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านชายหนุ่มออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าตากแดดตากลมอย่างวันนี้ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยต้นม้ใหญ่หักโค่นแถวข้างวัดเขาและลูกบ้านผู้ชายไปช่วยกันตัดเสียเป็นนาน
ยามกินก็กินไม่ลงทุกสิ่งอย่างล้วนฝืดคอ ยามนอนก็ได้แต่นอนน้ำตาไหลตกหมอน ลลิตภัทรถูกพิษรักเล่นงานจนเสียศูนย์ไม่คิดเลยซักนิดว่าเด็กที่พร่ำพูดคำหวานจะใจร้ายได้ถึงเพียงนี้
ได้ ไม่โทรก็ไม่โทร
ไม่ตอบไลน์ก็ไม่ต้องตอบ
ลลิตภัทรหยิบมือถือมาบล็อกเบอร์ของลูกเจี๊ยบแถมบล็อกไลน์ด้วยเสร็จสรรพโทรศัพท์เครื่องหรูถูกเขวี้ยงไปไว้ตรงหัวเตียงอย่างไม่ใยดี
จะเขวี้ยงทิ้งอีก 10 เครื่องก็ได้เพราะว่ารวยมาก
ฮึ่ย!!!
รถยนต์ของแดนดินแล่นเข้าสู่ปากทางเข้าบ้านลูกเจี๊ยบอยากจะขอลงมันหน้าปากทางนั่นแหละ เด็กน้อยนั่งแทบไม่ติดเบาะ ยิ่งรถแล่นเข้าใกล้บ้านเท่าไหร่ใจก็เต้นแรงมากเท่านั้น ป่านนี้อาลอจะเป็นยังไงนะ ป่านนี้จะเป็นห่วงเจี๊ยบหรือจะงอนตุ๊บป่องไปแล้วก็ไม่รู้ ยิ่งขี้งอนขี้น้อยใจอยู่ด้วย ทันทีที่รถจอดสนิทลูกเจี๊ยบก็รีบเปิดประตูรถหิ้วกระเป๋าข้าวของราวกับนักกล้ามเพื่อจะให้มันเสร็จไวๆจากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าห้องแล้วล็อกทันที เด็กน้อยรีบเดินไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง
“บ้าจริง แบตหมด”ศตายุจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อโทรศัพท์เปิดไม่ติด เด็กน้อยค้นกระเป๋าอย่างร้อนรนหาสายชาร์จที่พกไปทะเลมาเสียบทันที ศตายุหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“เจี๊ยบลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”จิ๊บที่เห็นท่าทางรีบร้อนของลูกมาเคาะประตูเรียก ลูกเจี๊ยบรีบปรับน้ำเสียงก่อนจะตะโกนตอบออกไปเพื่อไม่ให้แม่เป็นห่วง
“ไม่ได้เป็นไรจ้าแม่หนูปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำเฉยๆจ้า”เด็กน้อยยกมือไหว้เป็นการขอโทษขอโพยแม่ที่พูดปด ลูกเจี๊ยบถอนหายใจเฮือกใหญ่ในเมื่อตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ก็ขออาบน้ำให้สดชื่นก่อนก็แล้วกัน ลูกเจี๊ยบใช้เวลาอาบน้ำประมาณ 15 นาทีก็เสร็จ สีหน้าอิดโรยจากการเดินทางฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลับมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูก็ชาร์จได้หลายเปอร์เซ็นต์จึงเปิดเครื่องแล้วรีบต่อสายถึงลลิตภัทร หากแต่ว่า
“อ่าว...”เด็กน้อยกดโทรซ้ำก็ยังไม่สามารถติดต่อได้จึงเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความหา
“ไม่อ่าน?”เกิดคำถามขึ้นมาในใจ ปกติลลิตภัทรตอบเร็วจะตาย นี่นั่งรอมาซักพักพยายามส่งทักไปเรื่อยๆก็ไม่มีการอ่านเลย
อาลอเป็นอะไรหรือเปล่า? ความรู้สึกห่วงใยตีรื้นขึ้นมาท่วมท้นหัวใจดวงน้อย ก่อนที่จะกดโทรไลน์หาลลิตภัทรเสียงแม่จิ๊บก็ร้องเรียกจากด้านนอก เมื่อออกมาก็เจอแค่แม่กับเจ้าขานั่งอยู่กับกองของฝากเพียงสองคน
“อ้าว แล้วพ่อกับเจ้าจอมล่ะจ๊ะ?”
“เอาของฝากไปให้ปู่กับย่าน่ะดึกๆคงกลับ เจี๊ยบช่วยเอาของฝากไปให้บ้านนู้นทีลูกแม่จัดใส่ถุงไว้ให้แล้ว”ไม่ต้องรอให้แม่สั่งซ้ำเจ้าเจี๊ยบรีบรวมถุงของฝากมาไว้ในมือทันทีก่อนจะวิ่งลงจากบ้านก็ไม่วายหันมาบอกแม่
“น้องอาจกลับช้าหน่อยนะจ๊ะ อยากอยู่คุยกับ อ...เอ่อ ย่าโฉมนานๆ คิดถึง”
“อย่าดึกเกินนะลูกรบกวนเค้า”ลูกเจี๊ยบรับคำแม่โดยง่ายก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปที่ศาลาริมน้ำ เรือลำเก่าวันนี้โคฟเวอร์สปีดโบ๊ทเมื่อคนพายจ้วงราวกับกำลังแข่งเรือยาวประเพณี ลูกเจี๊ยบปรับลมหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมอก่อนจะเดินไปหาย่าโฉมที่นั่งอยู่บนบ้าน เพราะตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วสำรับเพิ่งถูกเก็บสมาชิกในบ้านต่างแยกย้ายกลับบ้านไปแล้วเหลือปู่ชลิตกับย่าโฉมนั่งรับลมอยู่เพียงสองคน ทีวีกลางบ้านถูกปิดแปลว่าออีกไม่นานทั้งสองคนก็จะกลับเข้าห้องไปเอนหลังตามแบบฉบับคนแก่ตามชนบทที่เข้านอนไว
และไร้เงาของอาลอ...เด็กน้อยกวาดตามองหาคนที่สุดแสนจะคิดถึงแต่ก็ไม่เจอ เดินไปนั่งลงหน้าผู้ใหญ่ทั้งคู่ยกมือไหว้สวัสดีตามปกติที่เคยทำ ย่าโฉมยิ้มรับอย่างดีใจ
“กลับมาแล้วเหรอลูก ไปเสียหลายวัน แล้วนี่หอบอะไรมาเยอะแยะ”
“เพิ่งกลับถึงบ้านเมื่อซักพักนี่เองจ้า แม่จิ๊บให้หนูเอาของฝากมาให้ย่าโฉมจ้า”ศตายุเลื่อนถุงของฝากให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ดวงตากลมล่อกแล่กจ้องไปที่ประตูห้องของลลิตภัทรอย่างร้อนใจ
อยากไปหาใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ต้องรักษามารยาทเมื่อย่าโฉมซักถามถึงสถานที่ๆไปเที่ยว คนแก่ทั้งสองตื่นเต้นที่แดนดินพาลูกเมียขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวถึงกระบี่ เจี๊ยบเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเพราะรู้ว่าปู่ลิตกับย่าโฉมไม่เคยไป
“เอาไว้พ่อเอารูปที่ถ่ายไปล้างเดี๋ยวหนูเอามาให้ปู่กับย่าดูนะจ๊ะ ว่าแต่ อาลออยู่มั้ยจ๊ะ หนูไม่เห็นอาลอเลย”
“อ่อ ลอไม่สบายน่ะลูกข้าวปลาไม่อยากกินนอนซมอยู่ในห้อง ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นลักษณ์จะพาไปหาหมอล่ะ รายนั้นดื้อเหลือเกินจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมนิดาเลยจัดยาให้”
“ไม่สบายมากเลยเหรอจ๊ะ”ลูกเจี๊ยบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ใจตอนนี้ลอยไปหาอาลอในห้องแล้ว อยากจะไปเห้นกับตาว่าเจ็บหนักป่วยไข้ถึงเพียงไหนแต่ก็ไปไม่ได้
“ก็หนักอยู่ไปตากแดดตากลมทุกวันกลับมาข้าวปลาก็ไม่กิน ใครไปวุ่นวายมากๆก็หงุดหงิดใส่ ย่าก็ไม่รู้จะทำยังไงพ่อลอเขาหัวแข็งเหลือเกิน”ย่าโฉมบ่นอย่างอ่อนใจ ใครๆต่างก็รู้ดีว่าลลิตภัทรน่ะภายใต้ท่าทางสุภาพนั้นจริงๆเป็นคนดื้อรั้นเพียงใด อะไรที่ชายหนุ่มบอกว่าไม่เอา ไม่ยอม ไม่ทำใครก็ไม่สามารถไปบังคับได้ ยิ่งถ้าไปเซ้าซี้ชายหนุ่มก็จะดึงตึงใส่ทันที เช่นวันนี้ที่พระลักษณ์เอาข้าวต้มเข้าไปให้ลลิตภัทรก็ไม่ยอมกินบอกอยากนอนจนพี่ชายได้แต่วางถาดข้าวที่ย่าโฉมจัดเตรียมไว้ให้ทิ้งไว้บนโต๊ะ
“มันโตแล้วแม่ ชีวิตมันๆยังไม่ห่วงก็ปล่อยมันนอนตายในห้องไป รำคาญลูกตา”พระลักษณ์เอ่ยด่าหน้าห้องให้คนป่วยได้ยินแล้วไม่สนใจน้องชายจอมเอาแต่ใจอีก
อายุก็ตั้ง 32 แล้ว แต่งอแงราวเด็ก 17-18 เขาล่ะเชื่อเลย
“งั้นหนูขอเข้าไปดูอาลอหน่อยได้มั้ยจ๊ะ”
“ไปสิแต่ย่าไม่รู้นะว่าลอหลับไปหรือยัง”
“ถ้าหลับหนูจะไม่กวนนานหรอกจ้า”เด็กน้อยรีบบอกเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เข้าไปหาอาลอ
“งั้นก็ถ้าจะกลับแล้วฝากเจี๊ยบปิดไฟกลางบ้านให้ย่าด้วยนะเดี๋ยวปู่กับย่าจะเข้านอนแล้ววันนี้ร้อนเหลือเกิน”
“ได้จ้าเดี๋ยวหนูปิดให้นะจ๊ะ”เด็กน้อยรีบรับปากอย่างว่าง่าย สองสามีภรรยาจึงได้แยกกลับเข้าห้องนอนไป ศตายุรีบเดินไปที่ห้องของลลิตภัทรทันที เด็กน้อยเคาะประตูเบาๆหากแต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจึงลองบิดลูกบิดประตู เป้นเพราะย่าแมบอกกับลลิตภัทรไว้ว่าไม่ให้ล็อกเพราะเผื่อลลิตภัทรไข้ขึ้นกลางดึกจะได้เข้ามาดูได้ทัน เด็กน้อยค่อยๆเบียดตัวเข้ามาในห้อง ถาดข้าวต้มยังวางอยู่บนโต๊ะหน้าคอมพ์ส่วนตัวคนป่วยหลับสนิทอยู่บนเตียงสีหน้าแดงเพราะพิษไข้ ศตายุเดินด้วยปลายเท้าเพื่อที่ไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนคนป่วย นั่งลงตรงขอบเตียงแล้วยื่นมือไปแตะแก้มของอาลออย่างแสนคิดถึง
ตัวอาลอร้อนเหลือเกิน ไอร้อนผ่าวจากผิวกายของลลิตภัทรถ่ายทอดเข้าสู่ฝ่ามือของศตายุ เด็กน้อยลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมาพร้อมกะละมังน้ำเปิดตู้แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบแล้วบิดจนหมาด เด็กน้อยปลดกระดุมเสื้อของอาลอแล้วใช้ผ้าซับตามผิวกายแกร่งที่เคยสัมผัสจนถ้วนทั่ว ลลิตภัทรปรือตามองคนที่กำลังเช็ดตัวให้ตนเอง กระพริบตาหลายครั้งเมื่อภาพที่เห็นพร่ามัวจนมองไม่ชัด
“ใคร?”เสียงแหบแห้งเอ่ยถามพลางกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ศตายุหันไปเทน้ำจากกระบอกที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วประคองลลิตภัทรให้นั่งอยู่ในอ้อมกอดตนเองจ่อแก้วน้ำให้คนป่วยได้ดื่มได้ง่ายขึ้น
“น้องเองจ้าอาลอจ๋า”เด็กน้อยตอบกลับคำถามนั้น ร่างของคนที่อยู่ในอ้อมกอดชะงักลลิตภัทรหันไปมองหน้าคนที่ประคองตนอีกครั้ง วูบหนึ่งหัวใจตีตื้นด้วยความดีใจแต่พอนึกได้ว่าตอนนี้ตนโกรธที่อีกคนทิ้งให้รอไม่ติดต่อมาซักนิดก็ขืนตัวออกแล้วเลื่อนตัวลงนอนหันหลังให้ศตายุทันที
เข้าสู่โหมดแง่งอนอย่างเต็มรูปแบบ
พุทโธ่เอ๋ย....งอนอะไรกันล่ะเนี่ย อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วมาทำงอนตุ๊บป่องราวรุ่นราวคราวเดียวกับแก้วเจ้าจอมไปได้ ลูกเจี๊ยบน้อยได้แต่ถอนหายใจเบาๆเพราะขืนถอนหายใจแรงอาลอคงได้งอนหนักกว่าเดิมเป็นแน่แท้
อะไรกันนั่งรถกลับมาเหนื่อยๆก็อยากจะได้พูดได้คุยกันให้พอชื่นอกชื่นใจก่อนนอนให้สมกับที่คิดถึงมาหลายวัน
แต่ดูอาลอสิจ๊ะ ทำแง่งอนสะบัดสะบิ้งเสียจนน่าตี นี่ถ้าไม่เห็นว่าป่วยเจี๊ยบจะฟาดให้ซักป้าบข้อหาสะดีดสะดิ้งเกินงาม ลูกเจี๊ยบน้อยลองใช้ปลายนิ้วสะกิดแขนคนเป็นอาที่โผล่ออกมานอกผ้าห่ม แต่ลลิตภัทรทำราวโดนของร้อนสะบัดออกแล้วตวัดผ้าห่มคลุมปิดไหล่ไม่หือไม่อือไม่ไหวติงใดใดทั้งสิ้นศตายุแอบเบะปากใส่เบาๆ
หัวก็ไม่ล้านซักหน่อยแต่ทำไมขี้งอนอย่างนี้
ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งหายไปเสียหน่อย
“อาลอจ๋า...จะไม่หันมาคุยกันจริงๆเหรอจ๊ะ”ส่งเสียงถามเบาๆอย่างหยั่งเชิง ร่างร้อนผ่าวที่นอนราวกับไม่ได้ยินก็ยังคงนอนเฉย ศตายุตัดสินใจเอนตัวลงนอนซ้อนด้านหลังคนเป็นอาสวมกอดไว้หลวมๆแกล้งยื่นหน้าไปมองคนป่วยที่พอเห็นเขายื่นหน้าไปก็ทำหลับตานิ่งราวกับหลับสนิท
ขี้งอนไม่พอยังมารยาสาไถอีกด้วยเหรอจ๊ะ เห็นอยู่นะว่าหลุดยิ้ม แบบนี้ก็ง้อไม่ยากเย็นนักหรอก
“อย่างอนหนูเลย หนูไม่ได้ตั้งใจจะขาดการติดต่ออาลอเลยซักนิดนะจ๊ะ”
เช๊อะ...พูดมาได้ว่าไม่ตั้งใจ ไม่ต้องมาเสียงอ่อนเสียงหวานหรอก ไม่ใจอ่อนง่ายๆเด็ดขาด
ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉัน
ไม่รักไม่ต้องมาหวงไม่ต้องมาห่วงใยฉัน
ไม่รักไม่ต้องมาทำอะไรอะไรทั้งนั้น
เพราะใจฉันยังอ่อนแอ
ลลิตภัทรเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเมื่อศตายุเบียดร่างกายเข้ามาแนบแผ่นหลังของเขามากขึ้น เด็กน้อยกดจูบที่ท้ายทอยของคนขี้งอนเกิดเสียงจุ๊บจนคนถูกจูบถึงกับใจแกว่ง
ฉันนั้นพยายามจะตัด
แต่เธอก็พยายามจะติด
คิดบ้างไหมว่ามันผิด
ที่เธอยังมีเยื่อใย
เนื้อร้องเพลงของนักร้องสาวดูโอ้คู่ดังลอยแว่วมาในหัวของลลิตภัทรตลอด
“อาลอจ๋า”
จุ๊บ
“อาลอ..”
จุ๊บ
“หนูมาง้อแล้วไงจ๊ะ”
จุ๊บ
“หันมาคุยกันน๊า ไม่คิดถึงหนูเหรอ”
จุ๊บ
“หนูคิดถึงอาลอจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”เด็กน้อยกดจูบซ้ำๆลงบนต้นคอด้านหลังของคนแก่แสนจะขี้งอน
“หนูไม่ได้จะเมินเฉยหรือไม่รับโทรศัพท์อานะจ๊ะ แต่หนูลืมเอาโทรศัพท์ไป หนูเจ็บใจตัวเองจะแย่แล้วที่ลืมของสำคัญไปได้”
“จริงเหรอ?”น้ำเสียงแหบแห้งของคนป่วยเอ่ยถามเสียงแผ่ว ใจอ่อนยวบยิ่งกว่าขี้ผึ้ง ศตายุดีใจนักที่อาลอยอมพูดเด็กน้อยดึงร่างคนรักให้หันมาหาตน ลลิตภัทรที่หน้าตาซีดเซียวไม่ได้หลบลี้หนีหน้าหันไปอีกทางอีกแล้ว ดวงตาที่เคยคมคายนั้นบัดนี้พร่างพราวด้วยหยาดน้ำจนศตายุใจหายวูบ
อาลอไม่เคยอ่อนแอให้เขาเห็นเลยซักนิด มาตอนนี้ผู้ชายตัวโตสูงราวยักษ์ปักหลั่นกลับมานอนร้องไห้น้ำตาหยดแหมะให้เห็น ใจของคนเด็กกว่าก็เหมือนถูกบีบ เด็กน้อยเช็ดน้ำตาให้ลลิตภัทรแผ่วเบา
“จริงสิจ๊ะ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปก็อีกจังหวัดแล้ว จะวกกลับมาเอาก็คงไม่ได้ แต่หนูคิดถึงอาลอทุกวันเลยนะจ๊ะ ไปเที่ยวไม่สนุกเลย กินอะไรก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่หลับเพราะคิดถึงอาลอมากๆ”
เด็กน้อยกดจูบลงบนริมฝีปากสีซีดนั้นกดนิ่งเนิ่นนานแล้วผละออก
“พอรู้ว่าอาลอป่วยใจหนูแทบจะหล่นรีบมาหาด้วยความเป็นห่วงแต่ดูสิ แทนที่จะได้กอดได้จูบกันให้สมกับที่คิดถึงอาลอก็มาทำบึ้งตึงใส่หนู หนูเสียใจนะจ๊ะ อยากจะงอนกลับแต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้เพราะคราวนี้หนูเป็นฝ่ายผิด”
โธ่...ไอ้ลอ ไอ้โง่ หลานลืมเอาโทรศัพท์ไปมึงก็ฟูมฟายเสียเหมือนกับว่าหลานหนีตามชู้ มึงนี่มันตีตนก่อนไข้แล้วไงแง่งอนใส่หลานจนเสียเวลาที่จะได้พูดคุยกัน
โตเป็นควายแต่ช่างโง่เขลานัก
ชายหนุ่มกร่นด่าตัวเองในใจด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่ค่ะ หนูไม่ผิดเลย อางี่เง่าเอง อานึกว่าหนูไปเจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ทะเลเจอคนที่คุยเรื่องที่ชอบเหมือนกันสนุกจนลืมอา ไม่ใช่แค่หนูหรอกค่ะที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาก็เป็นเหมือนกัน เพราะไม่อยากฟุ้งซ่านอาเลยออกไปทำงานจนป่วย อาร้องไห้คิดถึงหนูทุกคืนเลยรู้มั้ยคะ”
โถ...อาลอผู้น่าสงสาร นี่ในใจของอาลอคงกลัวจะโดนหนูทิ้งมากๆเลยใช่มั้ยจ๊ะ
น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ใครมันจะไปทิ้งลง ศตายุลูบผมคนแก่กว่าเบาๆอย่างปลอบโยน ลลิตภัทรซุกใบหน้ากับอกบางที่แสนคิดถึงลูกเจี๊ยบสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่อกเสื้อของตน
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะจ๊ะ หนูก็กลับมาแล้วไง หิวข้าวมั้ยจ๊ะ ย่าโฉมบอกว่าอาลอไม่ยอมกินข้าว ดูสิกับข้าวน่ากิ๊นน่ากิน”
“ไม่มีแรง...”คนป่วยว่าอย่างอ้อนๆซ้ำยังไม่เลิกที่จะซุกไซร้นมคนเด็กกว่า
“เดี๋ยวหนูป้อนเอามั้ยจ๊ะ?”
“ไม่อยากกินข้าว”
“อ่าว...ถ้าไม่อยากกินข้าวอาลอจะกินอะไรจ๊ะเดี๋ยวหนูทำให้”
“อยากกินนม...”ไม่พูดเปล่าคนป่วยก็ดูดดึงเม็ดบัวเม็ดเล็กที่แต้มอยู่บนอกซ้ายของหลานผ่านเนื้อผ้าจนลูกเจี๊ยบสะดุ้งโหยง
มันใช่เวลามาหื่นซะที่ไหนกันเล่าตาแก่นี่
“อื้อ..”แม้อยากจะร้องห้ามแต่พอเปิดปากเสียงที่ออกก็กลายเป็นเสียงครางเล็กๆความวูบไหวทำให้กอดรัดหัวอาลอให้แนบกับอกตนเองมากขึ้น ปล่อยให้คนป่วยดูดเม้มจนอกเสื้อชุ่มน้ำลายจนพอใจลลิตภัทรก็กัดเบาๆแล้วดึงจากนั้นจึงยอมปล่อย
เขาป่วย ไม่มีแรงทำมากกว่านี้หรอก เด็กน้อยหอบแฮ่ก แก้มแดงปากแดงไปหมด พอร่างกายเป็นอิสระก็ทุบลงไปบนต้นแขนของคนป่วยเบาๆเสียทีหนึ่ง
“หื่น”
“กินนมร่างกายแข็งแรงไงคะ อาจะได้หายป่วยไวๆ”
“อยากหายป่วยไวๆอาลอต้องกินข้าวนะจ๊ะ มาจ้าลุกขึ้นนั่งนะเดี๋ยวหนูป้อนเองจ้า”เด็กน้อยกุลีกุจอประคองร่างซูบๆของอาลอให้นั่งพิงหัวเตียงเอาหมอนหนุนมารองที่หลังให้
“ข้าวไม่ร้อนแล้ว อุ่นมั้ยจ๊ะเดี๋ยวหนูลงไปอุ่นให้”เด็กน้อยทำหน้ายู่เมื่ออาหารในถาดเย็นชืดจากอากาศเย็นฉ่ำในห้องแอร์
“ไม่ต้องค่ะอากินได้ อาอยากอยู่กับหนูมากกว่า”ลลิตภัทรส่ายหน้า ตอนนี้แม้แต่ข้าวเขาก็ไม่รู้สึกหิวเลยซักนิด อยากอยู่อยากนั่งฟังเจ้าเจี๊ยบตัวน้อยๆพูดจ้อให้ฟังเสียมากกว่า ศตายุประคองถาดข้าวมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ข้าวข้าวต้มเปล่าถูกยกมาถือ กับข้าวมียำข่เค็ม กับหมูหยอง รวมทั้งผักกาดดองใส่ถ้วยเล็กๆไว้ให้ดูน่ากิน
“หนูเพิ่งรู้ว่าอาลอกินหมูหยองกับข้าวต้มด้วย”เด็กน้อยตักหมูหยองวางลงบนข้าวต้มแล้วตักข้าวใส่ช้อนจ่อมาที่ปากของอาหนุ่ม ลลิตภัทรยอมอ้าปากรับข้าวอย่างว่านอนสอนง่ายต่างจากตอนที่พระลักษณ์มาคะยั้นคะยอให้กินราวหน้ามือกับหลังตีน
นี่ถ้าพี่ชายคนรองมาเห็นคงด่าเปิดเปิงกับความสองมาตรฐานนี้ ลูกเจี๊ยบป้อนเขาสลับกับข้าวไปมาพร้อมกับเอ่ยเล่าว่าไปไหนมาบ้างตามที่ชายหนุ่มเอ่ยถาม ในประโยคมักจะแทรกคำว่าไม่สนุกเลยเพราะมัวแต่พะวงเรื่องโทรศัพท์
“หนูคิดไว้แล้วว่าอาลอต้องงอนแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าอาลอจะป่วย อาลอต้องหายไวๆนะจ๊ะ อย่าป่วยเพราะหนูอีกเลย”
“อาเป็นไข้ใจต้องให้หนูมาคอยดูแลถึงจะหายไวๆ”
“นี่ป่วยอยู่นะจ๊ะอย่ามาปากหวานเลย อ้าปาก กินข้าวเยอะๆจะได้กินยาก่อนกลับหนูจะเช็ดตัวให้อีกรอบอาลอจะได้นอนสบายๆ”ลลิตภัทรได้ยินท้ายประโยคก็ให้ใจหายชายหนุ่มจับมือที่ยื่นช้อนมาจ่อปากตัวเองไว้เกลี่ยเบาๆพอให้รู้สึกใจหวิว
“ไม่อยากให้กลับเลย...”น้ำเสียงเว้าวอนเอ่ยอ้อน ลูกเจี๊ยบใจกระตุกวูบ อยากจะใจอ่อนอยู่หรอกแต่หากไม่กลับบ้านมีหวังพ่อได้ข้างฟากมาตามถึงนี่แน่ๆ
“อย่างอแงสิจ๊ะ อาก็รู้ว่าถึงหนูอยากจะอยู่ด้วยก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวหนูก็ต้องกลับแล้วเพราะแม่สั่งไว้ว่าห้ามกลับดึก อาลอรีบกินข้าวนะจ๊ะ ไว้พรุ่งนี้พอพ่อออกจากบ้านหนูจะรีบมาหาเลยนะจ๊ะ”
“สัญญานะ?”คนป่วยร้องขอคำสัญญา
“สัญญาจ้า”ศตายุส่งยิ้มหวานให้กับลลิตภัทรที่เหมือนลดวัยไปมากโข เมื่อได้รับคำยืนยันชายหนุ่มก็กดจูบลงบนหลังมือนิ่มนั้นแล้วก็ยอมกินข้าวกินยาจนหมดเสร็จ นั่งให้ลูกเจี๊ยบเช็ดตัวทาแป้งจนหอมฟุ้ง ศตายุโน้มตัวลงจูบปากที่เริ่มมีสีขึ้นนิดหน่อยเบาๆ จุ๊บๆกันอีกพักจึงได้ลากลับ ไม่ลืมที่จะปิดไฟตามที่ย่าโฉมสั่งไว้
ภายในห้องที่ไฟปิดเหลือเพียงไฟสลัวบนหัวเตียงคนป่วยคว้าหมอนข้างที่ใช้ซับน้ำตาเสียหลายวันมากอดอย่างมีความสุข ริมฝีปากจุ๊บๆกับหมอนราวกับนั่นคือลูกเจี๊ยบที่เพิ่งจะลากลับไป
คืนนี้คงนอนหลับฝันดีไม่ต้องตื่นมานั่งหงุดหงิดกลางดึกอีกต่อไปแล้ว ไม่นานเปลือกตาสีอ่อนก็ค่อยๆปิดลงด้วยฤทธิ์ยา
มุมปากสวยยกยิ้มราวกับว่ากำลังฝันดี
อยากให้ลูกเจี๊ยบโตไวๆจังถ้าเปลี่ยนจากหมอนเป็นตัวนิ่มๆคงจะกอดอุ่นกว่านี้เยอะเลย
............................
น้อวววววววววววววววว
งอนว่ะ............
เราเชื่อว่าต้องมีคนเป็นแบบเจี๊ยบอย่างน้อย 10 คน คือเวลาเดินทางไปต่างจังหวัด เราเตรียมทุกอย่างจ้า สายชาร์จเอย หูฟังเอย พาวเวอร์แบงค์เอย แต่พอรถออกหรือไปถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว อ่าวโทรศัพท์กูล่ะ