กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562  (อ่าน 20257 ครั้ง)

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 9 ชาวนาเต็มขั้น



“อืม” ต้นกล้าครางออกมาจากลำคอเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่กดแนบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปากของตัวเอง ซึ่งคนที่กล้าทำแบบนี้กับเขาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากคนบ้าหน้ามึนที่คอยหาเรื่องมาแกล้งกันได้อยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แกล้งเอา ๆ จนเขานึกโกรธ แกล้งเอา ๆ จนบางครั้งเขาต้องเจ็บตัว แกล้งเอา ๆ จนบางครั้งนึกขำคนขี้แกล้ง แกล้งเอา ๆ เอาจนจะหวั่นไหวอยู่แล้ว แม้แต่ตอนนอนเล่นพักผ่อนก็ยังหาเรื่องมาแกล้ง แม้แต่ตอนกินข้าวก็ไม่ละเว้นที่จะแกล้งยื่นเหล้าขาวมาให้ลองหน้าตาเฉย ลองไปลองมาจนเมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนตอนนี้ยังไงล่ะ

จุ๊บ

“อื้อ ไอ้พี่เดี่ยว” ต้นกล้ารู้สึกว่าเสียงตัวเองแหบแห้งและสั่นพร่ายังไงก็ไม่รู้ เมื่อเรียกอีกคนออกมาหลังจากที่ถูกจูบเบา ๆ ไปหนึ่งที

“ครับ ว่ายังไงหืม”

“จูบอีกสิ” ต้นกล้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรถึงได้เรียกร้องไปอย่างนั้น แต่ก็พูดออกไปแล้วนี่ เอาวะในเมื่อพูดไปแล้วยังไงก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนี่หว่า ช่างมันเพราะถึงยังไงก็จะพูดอยู่ดี

“อยากให้พี่จูบต้องทำยังไงครับ” ถึงจะหลับตาอยู่แต่ต้นกล้าก็รู้ว่าอีกคนกำลังมองจ้องเขาไม่วางตา เมื่อถูกถามว่าต้องทำยังไงจึงทำปากจู๋ยื่นออกมาอย่างว่าง่าย แต่เท่านั้นมันยังไม่พอหรอกสำหรับคนอย่างต้นกล้า จะทำอะไรดี ๆ แบบนี้ทั้งที ก็ต้องทำมันให้สุดและทำให้ดีที่สุดด้วย คิดได้อย่างนั้นจึงยกสองแขนขึ้นมาโอบรอบคออีกคนอย่างถือสิทธิ์ ความอายถูกข่มไว้ภายในจนลึกสุด ๆ แทบขุดขึ้นมาไม่ได้ง่าย ๆ แล้วให้ความเรียกร้องจากใจส่วนลึกแสดงออกมาแทน

“เก่งมาก” จุ๊บ ยิ่งได้ยินเสียงชมเชยจากอีกคนแล้วตามมาด้วยรางวัลที่ถูกใจเป็นจูบหวาน ๆ ยิ่งทำให้ต้นกล้าเกิดฮึกเหิมลำพอง แต่พอไอ้พี่เดี่ยวมันก้มลงมาจูบแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว จึงให้รู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย แล้วมีหรือคนอย่างไอ้กล้ามันจะยอมเพียงเท่านี้วะ

“ทำอีก”

“หืม? ” คนตัวโตกว่าทำเสียงเหมือนฉงนฉงายในใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินต้นกล้าเรียกร้องให้จูบอีกครั้ง จึงส่งเสียงเป็นเชิงถามออกมาจากลำคอเหมือนไม่แน่ใจ และนั่นทำให้คนเมายิ่งเรียกร้องมากขึ้น เพราะคนตัวโตชักช้าเสียเวลา ความองความอายคืออะไรต้นกล้าสลัดทิ้งไปแล้ว ไม่ต้องเก็บไว้มันจะทำให้เสียเวลา ตอนนี้ต้นกล้าเมา ตอนนี้ต้นกล้ามีเหล้าย้อมใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ๆ ลงไปต้นกล้าจะดูน่ารักน่าเอ็นดูแน่นอน

“ทำอีก”

“ชอบหรือไง”

“ทำอีก”

“ถ้าทำอีกไม่ใช่แค่ภายนอกแล้วนะ”

“ทำ ๆ ทำอีกสิ อื้อ” ต้นกล้าเผยอปากรับจูบแสนหวาน ที่คนตัวโตป้อนให้เมื่อเขาเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ และเด็ดเดี่ยวก็ไม่ยอมพลาดโอกาสพิเศษที่คนตัวเล็กหยิบยื่นมาให้แน่ ชายหนุ่มประกบปากมอบจูบแสนหวานดูดดื่มให้คนที่ร้องขออย่างเต็มใจ แม้ต้นกล้าจะเมาแต่เข้ารู้ว่าคนตัวเล็กกว่าก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ต้นกล้ารู้สึกวาบหวามและตอบรับจูบนั้นด้วยการจูบตอบ เพื่อมอบความละมุนละไมผ่านเรียวลิ้นไปให้คนตัวโตแบบไม่น้อยหน้ากัน แต่ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความหวานซาบซ่านหัวใจ คนตัวโตกลับผละออกถอยห่างแล้วนั่งจ้องหน้าท่าทางอ้อยอิ่งยั่วเย้า และนั่นมันทำให้ต้นกล้ารู้สึกขัดใจเป็นยิ่งนัก จึงรั้งต้นคอของเด็ดเดี่ยวเข้ามาจูบอย่างเอาแต่ใจตัวเองและออดอ้อน

ก๊อก ๆ ๆ

จูบครั้งนี้ต้นกล้าตั้งใจจะให้เด็ดเดี่ยวประทับใจที่สุด ลิ้นเรียวถูกสอดเข้านำทางหาลิ้นร้อนที่ป้อนจูบก่อนหน้า เพื่อหวังจะประสานความหวานซ่านหัวใจให้ฉ่ำอุรา แต่

ก๊อก ๆ ๆ

แต่คราวนี้ทำไมคนตัวโตเหมือนไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทั้งที่ต้นกล้าอยากจูบแท้ ๆ ทำไมถึงยังนิ่งเฉยและไม่จูบตอบ

ก๊อก ๆ ๆ

“อื้อออ” ต้นกล้าล็อกท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้เด็ดเดี่ยวผละหนีจากจูบของเขา คิดว่าตัวเองกอดเอาไว้แน่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่านั่นยิ่งทำให้อีกคนดิ้นรน และขัดขืนเขามากยิ่งขึ้นอีก นี่ต้นกล้าอุตส่าห์เปิดโอกาสให้มาขนาดนี้แล้วนะ นี่ต้นกล้าเชียวนะที่เป็นคนเสนอจูบให้ จะกล้าปฏิเสธเหรอ ต้นกล้าคิดอย่างขัดใจ เมื่อคนที่คิดว่าอยากมอบจูบให้เอาแต่ขัดขืนเขา และพยายามผละออกห่าง

ก๊อก ๆ ๆ

“ต้นกล้าปล่อยพี่ก่อน” ยิ่งล็อกตัวเอาไว้อีกคนก็ยิ่งดิ้นยิ่งดื้อ ทำให้ต้นกล้ายิ่งอย่างเอาชนะตามนิสัย และความเอาแต่ใจของตัวเอง เลยล็อกเอาไว้แน่นด้วยแขนที่โอบรัดต้นคอ ส่วนขาทั้งสองข้างก็ตวัดขึ้นมาเกี่ยวกันพันรอบลำตัวหนา ของอีกคนอย่างเอาแต่ใจ “ไม่ปล่อยใช่มั้ย”

“ไม่ปล่อย”

“งั้นก็ดีอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนละกัน”

“ชิ” สิ้นคำขู่ต้นกล้าถูกคนตัวโตจู่โจมด้วยจูบหนัก ๆ อย่างที่เขาต้องการ จูบเอา ๆ อย่างกับต้องการสูบวิญญาณกันให้ออกจากร่าง จนต้นกล้าแทบขาดใจตายก่อนจะผละออก

“ไอ้พี่เดี่ยว อืม อื้ออ ไอ้พี่บ้า”



ก๊อก ๆ ๆ

เฮือก!!! ต้นกล้าผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพราะความตกใจ ตาที่ดูเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่กวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง เหมือนกำลังหาบางสิ่งบางอย่าง เพื่อเอามายืนยันว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าตอนนี้อยู่ในห้องของตัวเองเพียงลำพัง ต้นกล้าก็เกิดความรู้สึกโล่งอก แม้ว่ายังหายใจหอบ แม้ว่ายังดูเหนื่อย แต่เมื่อพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝัน ก็ให้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้นิด ๆ ทำไมนิด ๆ นะหรือ ก็เพราะว่าต้นกล้าจำความฝันนั้นได้อย่างชัดเจนนะสิ และมันคงจะกลายเป็นสิ่งที่ตามหลอกหลอนเขาไปอีกนานแน่ ๆ

“บรึ๋ย” ต้นกล้าสะบัดตัวเหมือนหมาสั่นขนเมื่อโดนน้ำ ราวกับว่าอยากสลัดบางสิ่งบางอย่างออกไปให้ไกลตัวด้วย “นี่เราฝันบ้าอะไรวะ” บ่นกับตัวเองแล้วเอนหลังลงนอนอีกครั้ง อดทบทวนความฝันที่ชัดเจนสมจริงสมจังไม่ได้ มันสมจริงทั้งสัมผัสจากอ้อมแขนแกร่งเกร็งที่อุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อ ทั้งความอบอุ่นจนรู้สึกถึงความร้อนผ่าวตามผิวหนัง มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน โดยเฉพาะตรงนั้น..มือเรียวเผลอยกขึ้นมาลูบริมฝีปากอิ่มได้รูปสวยของตัวเองเบา ๆ เพราะเหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกคุ้นชินบางอย่างทิ้งไว้ที่นี่ ไหนจะความร้อนผ่าวที่ยังคงวูบวาบ ๆ อยู่นี่อีก ปากสวยเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน ซึ่งเป็นเขาเองที่เรียกร้องจากใครคนนั้นอย่างเอาแต่ใจ ต้นกล้าในฝันนี่หน้าไม่อายจริง ๆ



อ๊ากกก แย่แล้ว แย่มาก ใช่มันแย่มาก ๆ นี่เราเป็นบ้าอะไรถึงได้ไปฝันเป็นตุเป็นตะแบบนั้นวะ ต้นกล้าต่อว่าตัวเองในใจมือก็ทึ้งหัวทึ้งผมไปด้วย เมื่อคิดทบทวนความฝันแสนวาบหวาม อีกใจนึกอยากตีอกชกตัวกับความฝันบ้า ๆ ที่เสมือนจริงนั่น แต่พอคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้บ้าขนาดนั้น จึงหยุดและลดมือลงจากหัว เขาลุกขึ้นนั่งนิ่ง ๆ แล้วเอาแต่ถอนหายใจเฮือก ๆ เฮือกแล้วเฮือกเล่า เหมือนกำลังข่มความรู้สึกกรุ่นโกรธให้ตัวเอง แต่นั่งอยู่ดี ๆ ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นจนขนลุกกับการกระทำในฝันที่จำได้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันก็เหมือนจริงเหลือเกินจนนึกกลัว เหมือนจริงทั้งสัมผัสแนบแน่นและความอบอุ่นที่ทาบทับ เหมือนจริงกระทั่งอ้อมแขนแข็งแกร่งที่กอดรัดอย่างอ่อนโยน มันทำให้ต้นกล้าปั่นป่วนจนอยากจะบ้าตายมันลงเดี๋ยวนี้ เหมือนจริงแม้กระทั่งความรู้สึกผ่าว ๆ ที่ริมฝีปากของเขา ที่ราวกับว่ามันมีความผิดปกตินิด ๆ เจ็บหน่อย ๆ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จนต้นกล้ากลัวที่จะจินตนาการ คนหัวแดงเม้มปากตัวเองแล้วปล่อยออกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะรำพึงออกมาเบา ๆ

“หรือว่าหลับแล้วเผลอกัดปากตัวเองวะเรา ใช่แน่ ๆ เลย” บ่นพลางเกาหัวเร็ว ๆ เพราะหงุดหงิดให้ตัวเอง และความหงุดหงิดมันก็เพิ่มระดับขึ้นมาอีกขั้น กับเสียงที่ดังขึ้นจากบานประตู

ก๊อก ๆ ๆ ‘ลูกพี่ตื่นยังคร้าบ’

“เออ ๆ ตื่นแล้ว” เสียงของไอ้จ๋าที่มาเคาะประตู ช่วยดึงให้ต้นกล้าหลุดออกมาจากห้วงความคิดวุ่นวายของตัวเอง และต้นกล้าก็นึกขอบใจมันอยู่ไม่น้อยเลยที่วันนี้มันมาเรียก หนุ่มหัวแดงขานรับแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู

“หน้าตาไม่สดชื่นเมาค้างเหรอครับลูกพี่”

“เมาที่ไหน นี่แค่พอให้เลือดสูบฉีดโว้ย”

“สุดยอดครับลูกพี่วันนี้ลงนากันอีกนะครับ วันสุดท้ายแล้วเดี๋ยวเย็นนี้ได้ฉลองอีก”

“เหรอ งั้นเดี๋ยวล้างหน้าล้างตาก่อน”

“ครับ ๆ ไอ้จ๋าจัดสำรับรอข้างล่างนะครับ กินข้าวก่อนจะได้ลงนากันเลย”

“อืม”



%%%%%%%%%%%%%



หลังจากจัดการทุกอย่างและรับประทานอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าเดินลงนามาพร้อมกับไอ้จ๋าและคนงานอีกหลายคน เมื่อถึงที่หมายหลายคนช่วยกันขนมัดกล้าที่เตรียมเอาไว้แล้ว มาวางกระจายไปทั่วแปลงนาที่ไถคราดเตรียมดินเอาไว้เรียบร้อย เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบมาปักดำ คนงานเริ่มกระจายตัวลงทำงานทันทีที่มาถึง ทั้งลงปักดำ มีบางส่วนแยกไปถอนกล้าเพื่อให้เพียงพอต่อพื้นที่ปักดำที่เหลือ ที่นาบางส่วนก็ยังไถคราดเตรียมดินไม่เสร็จ และคนงานหลายคนกำลังช่วยกันไถกันอย่างขะมักเขม้น ทุกคนทำงานอย่างรู้หน้าที่โดยไม่ต้องนัดแนะให้เสียเวลา

“ลงกันเลยมั้ยครับลูกพี่”

“นาตรงนั้นใช้รถไถใหญ่แล้วทำไมตรงนี้ถึงใช้รถไถเล็กวะจ๋า” ต้นกล้ามองรถไถคันใหญ่สองคันที่ไถกันอยู่ในแปลงนาคนละแปลง กับรถไถคันเล็กอีกสามคันที่ไถแยกกันไปอีกคนละแปลงเช่นกัน

“ก็นาแปลงนั้นมันกว้างกว่าไงครับลูกพี่ รถไถใหญ่มันเลยไถง่าย ส่วนแปลงเล็ก ๆ นั่นก็ใช้ควายเหล็กไป”

“หืม?”

“โด่วลูกพี่มาดำนาหลายวันแล้ว อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักควายเหล็กเนี่ย”

“กะก็ไอคันนี้ไงวะ” รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีนี่คือคติของต้นกล้า เมื่อไอ้จ๋ามันบอกรถไถใหญ่กับควายเหล็ก มันก็จะเป็นรถไหนไปไม่ได้นอกจากรถที่ต้นกล้าเรียกมันว่ารถไถเล็กนั่นแหละ หรือชื่อที่เป็นทางการที่ชาวบ้านร้านตลาดเขาเรียกกันว่า ‘รถไถนาเดินตาม’ พอเอามาทำงานในนาแทนควายที่ใช้ไถนาสมัยก่อน มันจึงกลายเป็นควายเหล็กของชาวบ้านด้วยประการฉะนี้

“อะนะลูกพี่นี่ก็เก่งไม่เบาเลย ใช่แล้วครับไอ้นี่แหละควายเหล็กเครื่องทุ่นแรงของควาย”

“แล้วทำไมไม่ทำขนาดของนาแต่ละแปลงให้มันเท่า ๆ กันล่ะ จะได้ไถง่าย ๆ “

“แหมลูกพี่เข้าใจถามนะ แต่..”

“แต่อะไร”

“แต่ไอ้จ๋าก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะ ๆ ๆ มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไอ้จ๋าจำความได้แล้ว ไม่เคยนึกสงสัยมาก่อนเลย “ไอ้จ๋ายิ้มหน้าจืดเมื่อตอบคำถามของคนขี้สงสัยไม่ได้

“ไงคุยอะไรกัน” พี่สอนที่เดินเข้ามาพอดีเลยถามขึ้น แล้วมองหน้าลูกพี่กับลูกน้องสลับกันไปมา

“ลูกพี่กล้าถามว่า ทำไมไม่ทำขนาดของนาแต่ละแปลงให้เท่ากันอะพี่สอน ผมเลยนึกสงกะสัยขึ้นมาเหมือนกันเลยเนี่ย”

“มึงเองก็ไม่รู้ว่างั้นเถอะ เสียแรงอยู่กับท้องไร่ท้องนามาแต่เกิดนะมึง”

“ก็มันเคยชินนี่หว่าพี่ เกิดมาก็เห็นแบบนี้แล้ว ว่าแต่ตกลงทำไมมันไม่เท่ากันวะพี่”

“...” พี่สอนถอนหายใจส่ายหัวให้ไอ้จ๋าตาก็มองหน้ามันนิ่ง มีต้นกล้ายืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ ว่าพี่สอนจะโบกหัวมันสักครั้งก่อนจะพูดอะไรหรือเปล่า

“ว่าไงล่ะพี่” แนะอยู่มาตั้งนานไอ้จ๋ามันไม่เคยอยากรู้ พอมีคนอยากรู้มันก็อยากรู้ไปกับเขาด้วยจนต้องเร่ง

“ก็สมัยก่อนที่แถวนี้มันเป็นป่า ตอนบรรพบุรุษของเรามาถางป่าถางหญ้าแถวนี้เอาเป็นที่ทำกิน ถางได้วันล่ะนิดล่ะหน่อยก็ทำคันนาขึ้นกั้นเอาไว้ เพื่อแสดงอาณาเขตว่าเป็นของตัวเองด้วย แล้วก็ถางกันต่อไปเรื่อย ๆ ได้พอเหมาะกับพื้นที่ก็ทำคันนากั้นไว้ บางแปลงที่ขนาดไม่เท่ากันก็เพื่อให้การกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น มันเลยทำให้นาแต่ละแปลงมีขนาดแตกต่างกันอย่างที่เห็น แล้วก็ต้องดูทางน้ำด้วย ถ้าเป็นนาในที่ลุ่มคันนาจะทำแนวขวางเป็นทางยาวและสูง คันมีขนาดกว้างกว่าเพื่อจะได้ต้านทานและกักเก็บน้ำเอาไว้ได้เยอะกว่า แต่ตอนนี้ก็มีทำคันนาขึ้นใหม่ให้มันเหมาะกับพื้นที่และขนาดของที่ดิน ว่าแต่ทำไมถึงได้ถามถึงขนาดของแปลงนาวะ”

“พอดีพูดเรื่องรถไถนะครับ” ต้นกล้าตอบเมื่อพี่สอนจบการอธิบายยืดยาวลงแล้ว

“ใช่แล้วพี่สอนกะลังพูดเรื่องควายเหล็กกันพอดีเลย”

“ทำไมเรียกรถไถนาว่าควายเหล็กครับพี่” ต้นกล้าถามพี่สอนที่ดูท่าว่าจะได้รู้อะไรดี ๆ กว่าถามไอ้จ๋าเยอะ แต่คนที่ตอบก็เป็นคนปากไว้อย่างมันอยู่ดี

“ก็มันมาไถนาแทนควายตัวจริงไงครับลูกพี่เลยเรียกควายเหล็ก เดี๋ยวนี้เราไม่ใช้ควายไถนาแล้วสงสารมัน แต่ไอ้จ๋าเกิดมาเขาก็ใช้ควายเหล็กกันแล้วนะครับ พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนใช้ควายช่วยไถนามันน่าสงสารมาก ถึงจะเหนื่อยแสนเหนื่อยยังไงมันก็บ่นออกมาไม่ได้ จะพักก็ไม่ได้ถ้างานยังไม่เสร็จ เพราะคนเรานี่ล่ะครับบังคับให้มันต้องทำ ทำทั้งที่เหนื่อย ๆ แต่ก็ยังต้องทนช่วยจนงานเสร็จเลย” ไอ้จ๋าตีหน้าเศร้าดูสงสารจริง ๆ พอ ๆ กับพี่สอนที่ถึงจะดูนิ่ง ๆ แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนแสงเมื่อคิดถึงความหลังครั้งเก่าแล้วเล่าให้เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ทั้งสองฟัง

“พี่เกิดทันนะ สมัยเด็ก ๆ สามสิบกว่าปีที่แล้ว ทำนาก็เอาควายนี่ล่ะช่วยตั้งแต่ไถดะเป็นขั้นตอนแรกเลย สำหรับการเริ่มเตรียมดิน จนพอจะดำถึงได้ไถแปรแล้วคราด ถึงจะปักดำได้ แล้วกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ก็ต้องใช้แรงงานควายมาช่วยทุกอย่าง คิดแล้วก็นึกสงสาร แต่ถ้าไม่ใช้ควายช่วยเราก็ไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนมาช่วยไถขนาดนี้ ก็ได้แต่นึกถึงบุญคุณของมันแล้วเลี้ยงให้ดี บางตัวไถทั้งน้ำตาไหลออกมาเลยก็มี มันคงเหนื่อยมากแต่ก็ต้องอดทนจนกว่างานจะเสร็จ ตอนนี้ดีแล้วที่ไม่ต้องใช้ควายทำนา แต่ก็ยังมีเลี้ยงเอาไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์อยู่นะ”

“ไอ้จ๋าล่ะไม่เข้าใจจริงจริ๊ง ว่าไอ้พวกชอบกินเนื้อควายนี่มันกินลงได้ยังไง คิดแล้วก็ยิ่งสงสาร”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เองเหรอครับ” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างสนใจ แอบคิดภาพตามที่พี่สอนเล่าก็ให้รู้สึกสงสารควายขึ้นมาด้วย จนสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“ควายเหล็กนี่มันพระเอกของงานชัด ๆ เลยเนอะลูกพี่” ไอ้จ๋าเสริม

“ลองไถดูมั้ยล่ะ” พี่สอนถามต้นกล้าคำพูดคำจาเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านสมรภูมิด้วยกันมาแล้วทั้งเหล้าขาวและยาดอง

“ว่าไงครับลูกพี่” ไอ้จ๋าถามเมื่อเห็นต้นกล้ามีสีหน้าลังเล

“เอ่อ จะดีเหรอ”

“ง่าย ๆ ครับลูกพี่หัดไว้ไม่เสียหาย ไอ้จ๋านี่หัดแต่เด็กซิลล์มากครับ พูดเลย” บอกแล้วมันก็ยืดอกขึ้นมาอยากภาคภูมิใจราวกับว่าสอบได้ที่หนึ่งในชั้นเรียนก็ไม่ปาน แต่คนไม่เคยอย่างต้นกล้าก็ยังมีท่าทางลังเลอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ

“งั้น”

“ลองไถดูสิ จะเป็นชาวนาเต็มตัวมันก็ต้องทำให้เป็นทุกอย่าง” ใครบอกว่าต้นกล้าอยากเป็นชาวนาวะ! บอกตอนไหนต้นกล้าไม่เคยพูดเลยเถอะ คนหัวแดงนึกค้านขึ้นในใจ เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยอยากได้ยินเท่าไหร่ ดังขึ้นด้านหลัง แม้ไม่หันกลับไปมองต้นกล้าก็รู้ดีว่ามันจะเป็นเสียงของใครไปไม่ได้นอกจาก

“ลูกพี่เดี่ยว” คนหน้ามึนมาแต่เช้าเหมือนที่บอกเอาไว้เมื่อวาน สงสัยจะเป็นคนว่างงานไม่มีอะไรให้ทำ วัน ๆ ถึงได้เอาแต่ตามมากวนประสาทชาวบ้านอยู่แบบนี้

“ว่าไง” เด็ดเดี่ยวถามย้ำลองเชิงท่าทางท้าทาย ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกางเกงยีนสีดำเก่าๆ มีผ้าขาวม้าลายตารางหลากสีสันที่ดูสดใสละลานตาคาดไว้ที่เอว พร้อมใส่รองเท้าบูตสูงถึงเข่า หมวกสานสีส้มสวมไว้บนหัว ดูเป็นชุดที่เขากันได้อย่างลงตัวพอดีกับตำแหน่งหนุ่มฮ็อตแห่งบ้านทุ่งดอกจาน คนตัวโตเดินเข้ามายืนขนาบข้างต้นกล้าอย่างนึกสนุก ที่วันนี้หาเรื่องให้คนตัวเล็กได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนได้อีกแล้ว

“มาเดี๋ยวพี่สอนขับเอง” พี่สอนเข้ามาอาสาเป็นครูให้อีกตามเคย ซึ่งดูเหมือนต้นกล้าจะปฏิเสธไม่ได้แล้ว จึงหันไปหารถไถคันใหญ่ ที่ท่าทางจะขับง่ายกว่าควายเหล็กของไอ้จ๋าอยู่มากโข เพราะถึงอย่างไรเขาก็ขับรถยนต์เป็นอยู่แล้วรถไถก็คงไม่น่าจะยากไปกว่ากัน

“ได้ครับพี่สอนงั้นผมลองคันนั้นนะ” ต้นกล้าบอกเมื่อตัดสินใจได้แล้ว แต่..

“ได้ไง นั่นน่ะง่ายจะตาย ลองนี่ดีกว่า หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวชี้ไปยังรถไถนาเดินตามอย่างนึกสนุก พลางยักคิ้วให้พร้อมท่าทางท้าทายยิ่งกว่าเดิม มือใหญ่ยกมาวางที่ไหล่ของต้นกล้าแล้วผลักเบา ๆ ไปทางรถไถนาเดินตาม เพราะรู้ว่ายังไงไอ้หัวแดงจอมรั้นอย่างต้นกล้า ก็ไม่ปฏิเสธหรือขัดออกมาให้ตัวเองเสียฟอร์มแน่นอน

“คันไหนก็ดีทั้งนั้นล่ะ มา ๆ ” พี่สอนบอกอย่างมืออาชีพ รอยยิ้มของคนแก่วัยกว่ามันทำให้ต้นกล้ารู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น จึงหันไปยกไหล่ยักคิ้วให้เด็ดเดี่ยว แล้วบอกออกไปอย่างทะนงตน

“ไม่มีปัญหาครับ” บอกแล้วก็ยิ้มอย่างหมายมั่นและมั่นใจเต็มที่ ว่าวันนี้ต้นกล้าจัดเต็มแน่นอน

“มันต้องได้อย่างนี้สิครับลูกพี่”

“ไอ้ดำ ๆ หยุดก่อนเอารถคันนี้มาลองให้กล้าหัดไถซิ” คนงานที่ชื่อดำซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อกับไอ้จ๋าหยุดรถรอ เมื่อพี่สอนเดินเข้าไปหา ตามด้วยต้นกล้าที่ถูกเด็ดเดี่ยวดันไหล่ให้เดินตามพี่สอนไปด้วยตัวเอง

“ไหวนะ”

“ลองดูครับพี่” พี่สอนถามหลังจากที่อธิบายการใช้งาน และส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถไถนาเดินตามให้ต้นกล้าที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะต้องการให้ตัวเองเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้ก่อนใช้งานจริง และต้องใช้ให้เป็นเพื่อใครบางคนจะได้ไม่มาว่าทีหลังเอาได้ ว่าเขาไม่ได้เรื่อง ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ก็ตามเถอะแต่ถ้าได้ทำต้นกล้าจะทำมันอย่างเต็มที่

“มายืนตรงนี้มา แล้วจับเอาไว้” พี่สอนขยับออกจากตำแหน่งบังคับรถเพื่อให้ต้นกล้าได้ยืนประจำที่ คนหัวแดงวางมือบนคันจับที่ตอนนี้อยู่ในระดับเอวของเขา เพื่อเตรียมพร้อม พี่สอนย้ำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ให้ต้นกล้าฟังอีกครั้ง แล้วถาม “พร้อมมั้ย”

“ครับ”

“ทำตามที่พี่บอกนั่นแหละ เดินหน้าตรงนี้ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงนี้ เบรกแบบนี้ แค่นี้จำได้นะ”

“ครับ จำได้ครับ” ต้นกล้าตอบแล้วหันไปหาไอ้จ๋าผู้เป็นลูกน้อง ที่ยืนยิ้มแฉ่งให้กำลังใจอยู่บนคันนา มีคนตัวโตยืนเท้าเอวมองมาด้วยสายตาที่ต้นกล้าเองก็เดาไม่ถูก ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่

“พร้อมแล้วก็ลุยเลย ไป” สิ้นคำบอกของพี่สอนต้นกล้าก็ใส่เกียร์เดินหน้า รถกระตุกเล็กน้อยเล่นเอาต้นกล้าตกใจแต่ก็ยังพอควบคุมได้ และเริ่มใจชื้นขึ้นเมื่อมันเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่ ควายเหล็กเพิ่มความเร็วขึ้นมาเรื่อย ๆ มีเสียงไอ้จ๋าตะโกนเชียร์ตามหลังมาเป็นระยะ

“ไปโลดลูกพี่อย่างนั้นแหละ สุดยอด เจ๋งมากครับลูกพี่ผมเอง ฮ่า ๆ ” ไถไปได้ยังไม่ถึงห้าเมตรดูเหมือนว่ารถจะวิ่งเร็วขึ้นมาอีกกว่าเดิม ต้นกล้ารู้สึกถึงความหนักและต้องสาวเท้าให้ทันกับความเร็วของรถ

“เยี่ยมไปเลยลูกพี่” รถเริ่มเคลื่อนตัวในจังหวะที่เร็วขึ้นอีก จนดูเหมือนกับว่ามันจะเกินความเร็วปกติที่ใช้ไถนาไปแล้ว ต้นกล้าพยายามจะเดินให้ทันแต่ก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะต้องเดินลุยโคลนแถมยังใส่รองเท้าบูตจึงเดินลำบาก แต่เสียงไอ้ลูกน้องคนสนิทก็ยังดังตามมาเชียร์ไม่ขาดปาก



“จะเลี้ยวแล้วลูกพี่ ระวัง” พอได้ยินเสียงไอ้จ๋าบอกจะเลี้ยวต้นกล้าจึงพึ่งนึกได้ว่าต้องเงยหน้าขึ้นมองทาง จะเลี้ยวเหรอวะ ใช่ ๆ มาใกล้ถึงคันนาแล้วนี่หว่าก็ต้องเลี้ยวหลบสิ แล้วมันเลี้ยวยังไงล่ะวะ ลองจับเลี้ยวแต่ก็หนักมากเลี้ยวไม่ได้ง่าย ๆ แน่ รถก็ยังคงความเร็วอยู่เหมือนเดิม ตายล่ะวา! ใกล้คันนาเข้าไปทุกทีแล้วรถมันจะชนคันนาหรือเปล่า ชนแล้วมันจะเป็นยังไง ทำไมมันรู้สึกหนัก ๆ อย่างนี้ แล้วตูจะเลี้ยวยังไงล่ะทีนี้ หยุด! ใช่ต้องหยุดรถก่อน หยุดเพื่อตั้งหลักก่อนดีกว่าว่ะ แต่มันหยุดตรงไหนล่ะวะ ตายห่าแล้ว! ที่พี่สอนบอกมาเมื่อกี้ดันลืมไปหมดเลยเปลี่ยนเกียร์! ใช่ ๆ เปลี่ยนเกียร์ลงเปลี่ยนตรงไหน ต้นกล้ามองคันโยกตรงหน้างง ๆ กับสิ่งที่ตัวเองพยายามขุดขึ้นมาจากความทรงจำ ทั้งที่เพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่เพราะความตื่นเต้นมันมีมากกว่า พอจับคันโยกเกียร์ที่อยู่ตรงหน้าโยกไปโยกมา เลยกลายเป็นว่ารถมันวิ่งเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม เท้าก็ก้าวตามจะไม่ทันอยู่แล้ว เพราะมันเริ่มล้าหลังจากที่ต้องเร่งให้ทันกับความเร็วของรถ ไหนจะก้อนดินที่ถูกไถขึ้นมา ไหนจะน้ำไหนจะโคลน แย่แน่ ๆ คราวนี้ต้องแย่แน่ ๆ



“เฮ้ยลูกพี่ มันเร็วไป ลดความเร็วลงครับ ลด ๆ เบรก ๆ ” ต้นกล้าไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว เพราะรถไถที่เสียงดังและตัวเองก็ไถห่างออกมาเสียไกลจากตรงที่ทุกคนยืนอยู่มาก พยายามจะบังคับรถให้ได้แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะเหมือนคันจับมันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะรถที่สั่นอย่างแรงนี่อีก แล้วจะทำยังไงต่อไปดีล่ะทีนี้ หันกลับไปมองข้างหลังก็กลัวจะเหมือนเป็นการหันไปขอความช่วยเหลือให้ได้อาย ไม่ได้หรอกแบบนั้นมันต้องเสียฟอร์มมากแน่ ๆ คนอย่างต้นกล้าต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น แต่คันนาข้างหน้าก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสิ ต้นกล้ายังไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหานี้ได้เลย เอาไงดีวะ เอายังไงดี ต้นกล้าปรึกษาตัวเอง พยายามนึกถึงทุกอย่างที่พี่สอนบอกมาก่อนหน้านี้ แต่มันก็หายไปหมดแล้วพร้อมกับความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อ๊าก ตายแน่ไอ้กล้างานนี้!

ลงๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2018 20:01:30 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


หยุดสิโว้ย!  ต้นกล้ามีอาการเลิ่กลั่ก ในใจตะโกนก้องตามองแผงบังคับตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อน ไม่รู้ว่าจะจับจะดึงตรงไหนไอ้ควายเหล็กตัวนี้มันถึงจะหยุดทำงาน

“ลูกพี่หยุดรถก่อน” เมื่อกี้พี่สอนบอกว่ามันหยุดยังไงนะไอ้ควายเหล็กเนี่ย เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หยุดสิ ๆ ทำไมไม่หยุดเอาไงดีวะ

“ลูกพี่เดี่ยวเร็ว ๆ ” คันโยกอยู่ตรงหน้าเอาไว้ทำอะไรวะ ตรงนี้คืออะไรใช่คลัทช์หรือเปล่าหว่า ถ้ากำมันจะเป็นยังไง เอาวะลองดูไม่เสียหาย “เร็วลูกพี่เดี่ยววิ่งให้ทัน” ไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันจะตะโกนอะไรของมันนักหนา ต้นกล้าคิดอย่างรำคาญเพราะเขาไม่สามารถจับใจความจากเสียงของไอ้จ๋าได้ รู้แค่ว่ามันเร่งอะไรสักอย่าง หรือว่ามันเร่งให้รีบเลี้ยวก่อนที่จะชนคันนา คงจะใช่แบบนั้นล่ะ



“หยุดรถโว้ย ลูกพี่เดี่ยววิ่งเร็ว ๆ ” มันคงตะโกนบอกให้หยุดรถนั่นแหละ แต่คันนาก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วเอาไงดี เอายังไงดี ลองยกใบไถขึ้นสิจะได้เลี้ยว ใช่ ๆ ตอนนี้ใบไถมันจมอยู่ได้ดินนี่หว่า มิน่ามันถึงได้หนักนัก ต้นกล้าบอกตัวเองแล้วก็ทำตามทันที พยายามยกที่จับขึ้นทั้งที่รถกำลังวิ่งไปอย่างเร็ว แต่มันก็หนักเหลือเกินจนกระทั่งมือไปโดนอะไรบางอย่าง ทำให้จังหวะของรถเปลี่ยนไป ทุกอย่างต่อจากนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีเวลาตั้งตัว เมื่อรองเท้าบูตที่ต้นกล้าใส่ก็ดันติดหล่มโคลนลื่น แต่รถดันหยุดกะทันหันแบบทันทีทันใด ต้นกล้าตกใจมือคว้าไปโดนอะไรอีกก็ไม่รู้ ซึ่งสถานการณ์ควรจะดีกลับกลายเป็นว่าด้านหน้าของรถที่น้ำหนักมากกว่าส่วนอื่น ได้ทิ่มลงตมพร้อม ๆ กับด้านท้ายที่ต้นกล้ากำลังจับเอาไว้แน่นยกขึ้นสูง แรงดีดมากมายนั่นทำให้เขาตัวลอย แต่เท่านั้นมันคงยังไม่เพียงพอต่อความขายหน้าของหนุ่มกรุงสุดหล่อคนนี้ เพราะหน้ารถทิ่มลงตมพร้อม ๆ เลี้ยวหมุนแบบกะทันหัน ทำให้ต้นกล้าที่ยังไม่ทันได้ยืนมั่นคงดีลอยหวือไปตามแรงเหวี่ยงและ

ปิ้วววว

ตุบ!!

ขลุก!! 

ขลุก!!

ขลุก!!

ตูม!!

                   !!!

ร่างของต้นกล้าลอยหวือเพราะแรงดีดของรถตกลงบนคันนา ดูเหมือนขาจะลงก่อนแต่ดันพลิกและเหยียบพลาดก้นจึงกระแทกแล้วกลิ้งหลุน ๆ ลงไปยังแปลงนาอีกฝั่งที่เป็นปลักตมจนตัวจมมิดโคลน!

“ต้นกล้า! ” เด็ดเดี่ยวเรียกเสียงดังเมื่อเขาวิ่งมาไม่ทันคว้ารถที่กำลังเสียการควบคุม พอหันไปจะคว้าเอาตัวอีกคนก็สุดแขนพอดี จึงได้แต่มองส่งหลานชายคุณยายประไพศรีลอยไปตกลงที่ขอบคันนา และกลิ้งหายลงไปยังอีกฝั่งอย่างไม่กล้าคิดถึงสภาพของอีกคน

“ลูกพี่! ”

“ต้นกล้า” ! เด็ดเดี่ยวกระโดดขึ้นมาบนคันนาพลางมองหาต้นกล้าไปด้วย พอขึ้นมาได้จึงเห็นว่าตรงที่ต้นกล้าตกลงมานั้นเป็นปลักโคลน ที่ควายชอบมานอนเล่นและคนหัวแดงก็กลิ้งตกลงไปพอดีเป๊ะ ราวกับถูกจับโยนลงไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือร่างร่างหนึ่งที่เปื้อนโคลนทั้งตัวกำลังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากตม ใบหน้าเปื้อนดินตมบูดบึ้งตึงไม่พอใจ ราวกับจะพ่นไฟออกมาใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้าถ้าทำได้

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวทำได้เพียงแค่ครางเรียกออกมาเบา ๆ เมื่อต้นกล้าตวัดสายตาขึ้นมามองเขาอย่างเอาเรื่อง ดีนะที่ไม่เผลอสะดุ้งให้อีกคนเห็น ทั้งที่ใจหายวาบเลือดในกายเย็นเฉียบ เมื่อเห็นสายตาของต้นกล้าที่มองมาอย่างกับจะจับเขามากินเลือดกินเนื้อให้สะใจถ้าทำได้

“ส่งมือมาพี่ช่วย”

“ไม่ต้องมายุ่งกับเรา” มือที่ยื่นออกไปรับค้างอยู่ในอากาศ เมื่ออีกคนไม่สนใจแล้วตะเกียกตะกายขึ้นมาเอง โดยการดึงหญ้าแถวนั้นเพื่อรั้งตัว “โอ๊ย”

“เจ็บตรงไหน ส่งมือมาเร็ว”

“ลูกพี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ไอ้จ๋าละล่ำละลักถามเมื่อมันวิ่งมาถึง ต้นกล้าก็กำลังพยายามกระเสือกกระสนขึ้นมาบนคันนา โดยไม่ได้สนใจมือใหญ่ที่ยื่นออกไปช่วยเหลือเลยสักนิด แต่เพราะความเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ความสูงของคันนาและความลื่นของตมที่ติดตามตัว ร่างโปร่งจึงไถลตกลงไปยังปลักตมเหมือนเดิม

“โอ๊ย”

“เจ็บตรงไหนลุกได้มั้ย ยืนขึ้นก่อน” ต้นกล้ามองหน้าเด็ดเดี่ยวที่พยายามโน้มตัวลงมาหา แล้วมองเมินไปทางอื่น เพราะคนหน้ามึนนี่แหละที่ทำให้เขาต้องเจอสภาพแบบนี้ โดนควายเหล็กดีดจนตัวลอยข้ามคันนามาตกลงตมก็แย่พออยู่แล้ว ไหนจะคนงานที่หันมามองเขาเป็นตาเดียว แบบนี้ต้นกล้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน รู้ถึงไหนมันต้องอายไปถึงนั้นแน่ ๆ มันน่าอับอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่ต้นกล้าเกิดมาเลยก็ว่าได้ “ต้นกล้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่าบอกพี่สิ”

“เราไม่เป็นไรแค่นี้เรื่องเล็ก”

“ไม่เป็นไรก็ลุกขึ้นเร็วจะนั่งเล่นขี้ตมทั้งวันหรือยังไง” บอกเพราะความเป็นห่วง แต่มันทำให้ต้นกล้าหน้าตึงอีกครั้ง ความเจ็บแปลบ ๆ บริเวณข้อเท้าเปลี่ยนมาเป็นความปวดหนึบ โดยเฉพาะเวลาขยับยิ่งเจ็บและปวดขึ้นมาก เจ็บตัวอีกแล้วสิไอ้กล้าเอ๊ย

“โอ๊ย” เป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักที่จะทำหน้านิ่งเฉยอยู่ได้เหมือนตอนแรก เพราะขยับเมื่อไหร่มันก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าอะไรก็คงเป็นเจ็บที่ใจ เพราะพอมองหน้าคนตัวโตที่พยายามยื่นมือมาช่วยดี ๆ กลับเห็นแววขบขันออกมาจากดวงตาคมคู่นั้น หน็อยไม่รู้จักไอ้กล้าซะแล้ว

“ส่งมือมาพี่ช่วย”

“ไม่ถึงขยับลงมาอีกสิเราขยับไม่ได้ มันเจ็บ” ต้นกล้าบอกเมื่อทำเป็นยื่นมือไปให้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงมือใหญ่ที่รอรับอยู่ และด้วยความเป็นห่วงเด็ดเดี่ยวจึงขยับต่ำลงมาอีกปากก็เอ่ยถามไปด้วย

“ทำไมขยับไม่ได้เจ็บตรงไหน เจ็บขาหรือเปล่า ขาแพลงใช่มั้ย เฮ้ย! “ ตูม!! เพราะความเป็นห่วงมันมีมากว่าจะคิดเป็นอื่น เด็ดเดี่ยวจึงไม่ทันได้ระวัง มือก็ยื่นส่งให้คนที่จมขี้ตมทั้งตัวตาก็มองสำรวจ คนตัวเล็กยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกับที่ยืดตัวขึ้นดึงข้อมือใหญ่ของเขาให้ตกลงไปในโคลนด้วยกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เมื่อเด็ดเดี่ยวลงมาเล่นโคลนเป็นเพื่อนกันอย่างไม่มีใครน้อยหน้าใคร แล้วไหนจะยังเอามือตัวเองที่เปื้อนไปด้วยตมนั่นป้ายไปตามเสื้อผ้าของคนหวังดีจนเลอะไปหมดด้วย

“ทำอะไรเนี่ยต้นกล้า อย่าเล่นสิ”

“คึ ๆ ๆ ” ปฏิบัติการสุดท้ายคือป้ายขี้ตมไปบนใบหน้าหล่อคมนั่นเสียจนหมดหล่อ สะใจไอ้กล้าจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมีหรือที่คนตัวโตจะยอมโดนแกล้งฝ่ายเดียว

“เปื้อนหมดเลย นี่แน”

“เฮ้ย เล่นแบบนี้ใช่มั้ย นี่แน”

“อย่าสิพอแล้ว”

“ไม่พอ อยากท้าเรา แกล้งเราดีนัก นี่ๆ โดนซะบ้าง”

“เอาแบบนี้ใช่มั้ยงั้นนี่เอาบ้าง”

“เฮ้ยแหวะมันเข้าปากนะโว้ย ไอ้พี่เดี่ยวบ้า ยี้” ต้นกล้าโวยเมื่อเด็ดเดี่ยวล็อกคอเอาไว้แล้วเอาขี้ตมมาป้าย หน้าที่เปื้อนตมอยู่แล้วยิ่งเปื้อนขึ้นไปอีก “ยี้เหม็น”

“เอาอีกมั้ย”

“พอแล้วไอ้คนหน้ามึนนี่ นี่แน” ต้นกล้าเงยหน้าขึ้นแว้ดใส่เด็ดเดี่ยวที่ยังล็อกคอเอาไว้อยู่ ใบหน้าของทั้งอยู่ใกล้จนมองเห็นปริมาณขี้ตมมากมายบนหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน แต่แล้วความใกล้ชิดก็ทำให้บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวทุย ๆ ของตันกล้า บางสิ่งบางอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อก่อนรุ่งสาง ที่ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันก็ชัดเจนราวกับได้สัมผัสของจริง

‘จูบอีกสิ’ ยิ่งคิดถึงต้นกล้าก็เหมือนยิ่งหลุดเข้าไปอยู่ในโลกความคิดของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งไปกันใหญ่จนลืมความเจ็บแปลบที่ข้อเท้า แล้วเอาแต่จ้องมองอดีตใบหน้าหล่อคร้ามแดดที่เต็มไปด้วยขี้ตม ราวกับกำลังพอกหน้าด้วยโคลนบำรุงผิวชั้นดีจากทะเลสาบเดดซีก็มิปาน

“ต้นกล้า” ยิ่งคิดถึงฝันลามกน่าอายของตัวเอง ต้นกล้าก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในความทรงจำที่ยังชัดเจน สวนกับความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ที่กำลังก่อเกิดในร่างกาย



‘ทำอีก’ มองหน้าเปื้อนตมนิ่งในหัวเรียงลำดับความฝันออกมาเป็นฉาก ๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หรี่ตามองริมฝีปากหยัก ที่มีขี้ตมติดประปรายแล้วเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อปากหยักนั่นขยับพูด เขาไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวพูดว่าอะไรเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเรียกชื่อ แต่ตอนนี้ปากหยักนั่นน่าสนใจกว่าสิ่งที่คนตัวโตพูด ในหัวก็ได้ยินแต่เสียงของตัวเองว่า ‘ทำอีก ๆ ’ ซ้ำไปซ้ำมา ตอนที่เรียกร้องจากคนตัวโตกว่าอย่างเอาแต่ใจ ดวงตาสวยดำขลับจ้องมองไม่กะพริบ เด็ดเดี่ยวที่กำลังนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นกล้า จึงเอียงคอมองแล้วขยับเข้าใกล้ แต่ยิ่งระยะห่างลดลงก็ยิ่งดูเหมือนว่า ต้นกล้าจะยิ่งล่องลอยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่เด็ดเดี่ยวตามเข้าไปไม่ถึง แม้จะรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมอยู่ก็ตาม ส่วนต้นกล้ายิ่งเห็นเด็ดเดี่ยวเอียงคอมองตอบ ก็ยิ่งขยับหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน แต่กระนั้นเสียงในหัวก็เหมือนบอกว่ามันยังไม่พอ ‘ทำอีก’ เพราะภาพฝันมันกำลังครอบงำความคิด ให้อยากทำอะไรบางอย่างเหมือนที่กำลังชัดเจนอยู่ในหัว การรับรู้ถึงสัมผัสเสมือนจริง ทำให้เกิดความต้องการอยากทดสอบ ปากสวยได้รูปเปื้อนขี้ตมเม้มเข้าหากันแน่นแล้วปล่อยออก ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วก็....

“ลูกพี่ครับ! อะ อ่า เอ่อ แหะ ๆ ๆ เป็นยังไงบ้างครับ” ไอ้จ๋าตีหน้าซื่อทำเป็นเนียนไม่รู้ไม่ชี้เมื่อมันโผล่เข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี กับที่ใบหน้าเปื้อนตมของทั้งสองกำลังจะแนบชิดกัน เล่นเอาคนเป็นลูกพี่ผงะเกือบผละออกไม่ทัน ต้นกล้าสะบัดหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติเบลอ ๆ ให้หลุดจากฝันออกมาสู่โลกแห่งความจริง แล้วหันไปมองไอ้จ๋า

“..” ไม่รู้ว่าจะชมหรือจะด่าดีที่มันโผล่มาตอนนี้ อยากจะชมที่มันช่วยเรียกให้ต้นกล้าหลุดออกมาสู่ความจริง อีกใจก็อยากด่าที่มันโผล่มาเห็นเขาตอนหมดสภาพ ต้นกล้าเป็นลูกพี่นะโว้ย มันควรจะต้องมีแต่ภาพลักษณ์ดี ๆ ให้ลูกน้องเห็นสิ

“ไอ้จ๋า”

“ครับ จะไม่ขึ้นมาเหรอครับลูกพี่ ว่าไงครับลูกพี่เดี่ยวตกลงว่าจะเล่นขี้ตมกันว่างั้นเถอะ”

“เออ ขึ้นเดี๋ยวนี้ล่ะ ปะลุกไหวมั้ย” เด็ดเดี่ยวบอกไอ้จ๋าแล้วหันมาถามต้นกล้าที่ยังนั่งจุ่มปุกไม่ขยับตัวอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยไม่ลืมช่วยพยุงอีกคนให้ลุกตามด้วย

“โอ๊ย เบา ๆ หน่อย”

“เจ็บตรงไหน”

“ข้อเท้า สงสัยแพลง”

“อ้าว ทำไมไม่บอกพี่แต่แรก”

“ก็...” เรื่องอะไรจะบอกล่ะ บอกก็ไม่ได้แกล้งสิ

“ไหวหรือเปล่าครับลูกพี่”

“ไหวแต่ช้าหน่อย”

“มาขึ้นไปบนนั้นก่อน” เด็ดเดี่ยวเอาแขนต้นกล้ามาพาดคอตัวเองแล้วช่วยพาขึ้นไปนั่งบนคันนา มีไอ้จ๋าช่วยประกบอีกข้าง

“คงแพลงตอนที่ตกลงมาแล้วก้าวพลาด”

“โอ๊ย อย่าทำสิ”

“อย่างนี้คงดำนาไม่ไหวแล้วล่ะ ไอ้จ๋าว่าลูกพี่กลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่าครับ ลูกพี่เดี่ยวให้ลูกพี่กล้าขี่หลังไปได้ไหมครับ” ไอ้จ๋าปรึกษาอย่างเป็นงานเป็นการ โดยไม่ได้ถามความสมัครใจลูกพี่ใหญ่ของมันสักคำ จนต้นกล้าที่หน้าตึง ๆ ยิ่งตึงขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินว่ามันจะให้เขาขี่หลังคนหน้ามึนกลับบ้าน

“ได้สิ” นี่ก็ตอบแบบไม่คิดก่อนเลยนะ

“ว่าไงครับลูกพี่” ไอ้จ๋าพึ่งนึกได้ว่าต้องหันมาถามลูกพี่กล้า แต่ก็นะ ดีกว่ามันไม่ถามแล้วส่งเขาขึ้นหลังอีกคนอย่างข้ามหน้าข้ามตาล่ะวะ

“รถไถนาดีดตกคันนาว่าแย่พอแล้วนะเว้ย ยังจะต้องให้ขี่หลังคนอื่นไปอีกเหรอวะ” ต้นกล้าท้วงเสียงอ่อยเพราะคงได้อายกว่านี้เป็นแน่ถ้าขี่หลังเด็ดเดี่ยวกลับบ้าน แค่คิดเฉย ๆ ใบหน้ามันก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุแล้วนะ

“ไม่เห็นไปไรเลยครับลูกพี่ อย่างที่ไอ้จ๋าเคยบอกนั่นแหละลูกพี่เดี๋ยวก็คนกันเองทั้งนั้นครับ หึ ๆ ” ไอ้จ๋าหันไปทำหน้าพยักพเยิดกับเด็ดเดี่ยวที่นั่งฟังเฉย ๆ โดยไม่มีบทพูด แต่ก็พอใจกับการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าของมันไม่น้อย “แล้วเรื่องโดนควายเหล็กดีดหลายคนก็เคยโดนมาแล้วครับตอนหัดใช้ใหม่ ๆ ไอ้จ๋าหัดครั้งแรกยังโดดดีดเลยแต่ไม่ตกคันนานะครับ ฮ่า ๆ ๆ “ไอ้จ๋าหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คิดว่าลูกพี่จะโกรธแล้วแต่กลับไม่

“เหรอ ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่โดดดีดเหรอวะ” ต้นกล้ากระตือรือร้นถามอย่างมีความหวังว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่เป็นตัวตลก

“ไม่หรอกครับลูกพี่” แล้วคนเป็นลูกพี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“พี่ว่าเราไปกันเถอะจะได้ล้างเนื้อล้างตัว”

“เราจะเดินกลับเอง” ต้นกล้าดื้อรั้นเมื่อคนตัวโตชวนกลับพร้อมกับทำท่าจะให้เขาขึ้นขี่หลัง

“เดินเองได้ยังไง ข้อเท้าแพลงแบบนี้ห้ามขยับมาก”

“นั่นสิครับลูกพี่ ขี่หลังลูกพี่เดี่ยวสบายออกเนอะ” แล้วมันก็หันไปหาแนวร่วมอย่างเด็ดเดี่ยวคนที่ลูกพี่ของมันไม่เต็มใจขี่หลังนั่นแหละ

“วันนี้อย่าดื้อเลย เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บไปกันใหญ่”

“เออ ๆ ก็ได้”

“งั้นไปครับ ลูกพี่เดี่ยวหันหลังมา” ไอ้จ๋าเป็นธุระจัดการให้ต้นกล้าจับไหล่ของมัน เมื่อต้องยืดตัวขึ้นขี่หลังเด็ดเดี่ยว คล้ายกับว่าจะทำดีเพื่อแก้ตัวที่มันมักจะเข้ามาขัดจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี ตอนที่ทั้งสองกำลังจะมีช่วงเวลาน่าประทับใจด้วยกัน



********************



“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวเรียกเมื่อทั้งสองเดินออกมาไกลจากคนอื่น ๆ ที่หันกลับไปทำงานกันหมดแล้ว

“อะ อะไร”

“กอดคอพี่ดี ๆ สิเดี๋ยวตก”

“ไม่ตกหรอกน่า”

“อย่าดื้อสิยังเจ็บอยู่นะ”

“จิ๊” ต้นกล้าสะบัดหน้าไปอีกทางแต่ก็ค่อย ๆ ยกมือที่เกาะไหล่แกร่งอยู่ในตอนแรก ขึ้นมากอดคออีกคนไว้หลวม ๆ ไม่ใช่ว่ากลัวตก แต่ทำไปเพราะมันต้องเป็นท่านั้นอยู่แล้ว เมื่อขี่หลังกันจะเอามือเอาแขนไปวางไว้ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ยกขึ้นมากอดคอกันเอาไว้แบบนี้

“ช่วงนี้ทำไมซวยจังหืมวันก่อนโน้นก็ไม่สบาย เมื่อวานก็เปลขาด วันนี้ก็ตกคันนา พี่ชักเป็นห่วงแล้วนะ”

“แล้วใครเป็นต้นเหตุล่ะ”

“เอ๊า เมื่อวานพี่ขอโทษไปแล้วไง แต่วันนี้พี่ว่าพี่ไม่เกี่ยวนะ”

“เกี่ยวทุกวันนั่นแหละ”

“อ้าว เป็นงั้นไป”

“อย่าลืมนะว่าใครเป็นคนท้าเรา” นั่นสิมีคนท้าทายมาซึ่ง ๆ หน้ากันอย่างนี้ คนที่รักศักดิ์ศรียิ่งอย่างต้นกล้าจะยอมเสียหน้าไม่รับคำท้าได้อย่างไรล่ะ

“หึ ๆ ๆ “

“เดินเร็ว ๆ หน่อยสิ”

“นี่เร็วแล้วนะ เร็วกว่านี้ก็ต้องวิ่งแล้วล่ะ ตัวเองหนักน้อยเมื่อไหร่”

“เราก็ตัวเท่านี้เถอะ อาสาให้ขี่หลังเองก็ห้ามบ่น”

“ครับ ๆ ไม่บ่นก็ไม่บ่น” เด็ดเดี่ยวว่าง่ายเพราะถึงอย่างไร เหตุการณ์เจ็บตัวที่ต้นกล้าได้รับแต่ละครั้ง ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

“ท้อหรือเปล่า” คนใจดีให้ขี่หลังถามขึ้นมาเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่ไม่รู้ทำไมต้นกล้าถึงรู้สึกอุ่นวาบลงไปถึงก้อนเนื้อที่อยู่ในส่วนลึกกลางอก หลายวันมานี้เขาเพลินกับชีวิตบ้านทุ่งบ้านนาจนเกือบลืมไปแล้วว่า ตัวเองตั้งใจเอาไว้ว่าอย่างไร แม้บางครั้งจะมีบ้างที่รู้สึกเหงาเพราะต้องอยู่คนเดียว แต่พอไอ้จ๋ามาชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอพี่สอนมาชวนไปดูไร่ดูนา ก็ทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีขึ้นมาอยู่บ้าง เพราะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่ทำเหมือนไม่เต็มใจ แต่กลับตั้งใจอย่างที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะตัวตนที่แท้จริงของต้นกล้าก็เป็นได้ ที่ลองเขาได้ทำอะไรแล้วก็จะตั้งใจทำมันให้ออกมาดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็ตาม

“ท้อหรือเปล่าที่ทั้งงานหนักแล้วยังต้องมาเจ็บตัวแทบทุกวันอย่างนี้”

“ก็..” นั่นสินะ ถ้าเป็นวันแรก ๆ ที่มาอยู่ต้นกล้าอาจจะตอบไปโดยที่ไม่ต้องคิดเลยก็ได้ว่าท้อมาก แต่ตอนนี้ วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต้นกล้าถึงได้เอาแต่นิ่งเงียบและหยุดคิด เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเด็ดเดี่ยวคนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้ววางคางเกยไหล่ของคนที่สละหลังให้ขี่ อ้อมแขนกอดกระชับยิ่งขึ้นแต่ก็ไม่รัดถึงขนาดอึดอัด จนอีกคนเผลอยิ้มออกมา ต้นกล้ารู้คำตอบดีแต่ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม เรื่องท้อมันก็มีอยู่แล้วล่ะนะ แต่ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้แทนที่จะคิดถอย กลับมีแต่อยากจะสู้อยากจะก้าวไปข้างหน้า ต้นกล้าอยากกลับกรุงเทพที่สุดนั่นคือเรื่องจริง แต่ก็ต่อเมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้นลง อยากเห็นวันที่ข้าวออกรวงสีทองอร่ามไปทั่วท้องทุ่ง แล้วลงมือเก็บเกี่ยวมันทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แค่คิดว่าเมื่อถึงวันนั้นมันคงจะเป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจที่สุด นี่คือสิ่งที่อยู่ในความตั้งใจและความมุ่งหวังของเขาตอนนี้ งานนาคืองานที่เขาเริ่มทำแบบเต็มตัวมากที่สุดกว่างานอื่น ทั้งช่วยคนงานถอนกล้าและปักดำ แถมวันนี้ยังได้ลองไถนาดูด้วย แม้มันจะล้มเหลวไม่เป็นท่าแต่ต้นกล้ากลับรู้สึกดีกับมันอยู่ลึก ๆ ในสิ่งที่ได้ทำ อาจจะเป็นเพราะเริ่มผูกพันกับท้องนา หรือเป็นเพราะเลือดในกายนั้นเป็นลูกชาวไร่ชาวนาครึ่งหนึ่งด้วย หรือจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ต้นกล้าจะอยู่ที่นี่อยู่เพื่อทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จจนได้ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ภูมิใจ พ่อกับแม่และคุณยายก็คงจะภูมิใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่เรื่องอะไรจะบอกล่ะ ชิ

“ต้นกล้า”

“อะไร”

“ยังไม่ตอบคำถามพี่เลยนะ”

“ถามว่าอะไรนะ”

“ท้อหรือเปล่าที่ต้องเจ็บตัวแทบทุกวัน ท้อบ้างมั้ยกับงานหนักแบบนี้ มันทำให้อยากทิ้งแล้วกลับกรุงเทพหรือยัง” ถามแล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่นรอฟังคำตอบ ใจก็นึกสงสารเพราะอีกคนเจ็บตัวทุกครั้งที่ลงนา หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือต้นกล้าแทบจะต้องมีเรื่องให้เจ็บตัวทุกวันเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นเท่าที่สังเกต เด็ดเดี่ยวเห็นว่าต้นกล้ามีความตั้งใจกับทุกอย่างที่ทำมาก และเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้ว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไม่อยากทำ เป็นคนที่มีความพยายามแบบในเมื่อคนอื่นทำได้ ต้นกล้าก็ต้องทำได้และพยายามจะทำมันทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจ หากมีคนช่วยสอนช่วยอธิบายต้นกล้าจะตั้งใจฟังตั้งใจเรียนรู้ จนเด็ดเดี่ยวเองยังแปลกใจ นั่นเลยทำให้ชายหนุ่มแอบเอาใจช่วยอยู่ตลอด และตอนนี้ก็รู้สึกกึ่ง ๆ มีความหวังอยู่บ้างว่าอีกคนจะต้องสู้แน่นอน

“ไม่รู้สิ”

“อ้าว ไหงเป็นแบบนั้นล่ะ” เด็ดเดี่ยวหยุดเดินแล้วหันมาถามต้นกล้า คางที่วางเกยไว้ที่ไหล่ก็ยังวางอยู่ที่เดิมไม่ได้หลบไปไหน ทำให้ความใกล้ชิดเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างปลายจมูกรั้นของคนตัวเล็กกว่าและแก้มสากของคนตัวโตกว่า โดยมีขี้ตมแห้ง ๆ ที่ติดอยู่ตามใบหน้าเป็นองค์ประกอบหลักอันโดดเด่น

“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นา “

“มีเหรอคนเราไม่รู้ว่าตัวเองท้อหรือเปล่า”

“แล้วจะถามทำไมเล่า เดินให้มันเร็ว ๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือยังไงเนี่ย เราอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว”

“อย่าพึ่งท้อนะ” เสียงที่อ่อนลงทำให้ต้นกล้าเอียงหน้ามอง ก็เห็นว่าเด็ดเดี่ยวมองตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น “สักวันหนึ่งต้นกล้าจะภูมิใจกับสิ่งที่กำลังทำ” ต้นกล้ารู้สึกว่าคำพูดธรรมดา ๆ แค่นี้สามารถทำให้เขามั่นใจขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว ว่ายังไงตัวเองก็ไม่มีทางท้อแท้จนทิ้งที่นี่ไปแน่นอน แต่เอ๊ะ ทำไมต้นกล้าถึงได้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้ล่ะ เพียงแค่ได้ยินอีกคนพูดออกมาแค่นั้น ไม่ได้การล่ะแบบนี้มันอันตรายสำหรับเขาเกินไป ทำไมต้องไปเอนเอียงกับคำพูดของคนหน้ามึนนี่ด้วย ความรู้สึกนี้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ต้นกล้ายอมให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ ไอ้ความรู้สึกดี ๆ แบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ที่คอยแต่หาเรื่องมาแกล้งกัน เพราะนั่นถือเป็นการประกาศสงครามกันไปแล้ว ริมปากได้รูปสวยหุบยิ้มลงทันที แล้วต่างฝ่ายต่างเงียบจนมาถึงบ้าน ซึ่งปัญหาต่อมาที่กำลังเกิดขึ้นนั่นก็คือ

“ห๊า จะให้เราอาบน้ำตรงนี้เนี่ยนะ”

“ถ้าไม่อาบตรงนี้แล้วจะไปอาบตรงไหน”

“เราก็ขึ้นไปอาบที่ห้องเราสิ”

“ขี้ตมได้เลอะบ้านไปหมดแน่”

“แล้วจะทำไม เราไม่ยอมอาบตรงนี้แน่นอน เราจะขึ้นไปอาบที่ห้อง”

“ขึ้นไปให้บ้านสกปรกสิ”

“สกปรกก็ทำความสะอาดสิ แค่เปื้อนขี้ตมจะเป็นไรไป”

“แล้วใครเป็นคนทำล่ะ”

“กะ ก็ ก็” ต้นกล้าให้คำตอบไม่ได้ในทันที เพราะคนที่ทำความสะอาดบ้านก็คือแม่แจ่มใจแม่ของไอ้จ๋า เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงทำให้ต้นกล้าทำหน้าไม่ถูก แต่ถ้าอาบตรงนี้เขาก็ไม่เคยชินที่จะมาอาบน้ำกลางแจ้ง เขาไม่ได้หน้ามึนเหมือนคนตัวโตนี่ที่จะแก้ผ้าอาบน้ำในที่โล่ง ๆ หน้าตาเฉยโดยไม่อาย แม้ว่าจะมีผ้าขาวม้ามานุ่งปิดส่วนที่ควรปกปิดเอาไว้อยู่ก็ตามทีเถอะ

“เห็นมั้ยตัวเองไม่ได้เป็นคนทำก็พูดง่ายสิ คิดถึงหัวใจคนทำบ้างว่าเขาจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ปกติว่าเหนื่อยแล้วมาเจอรอยเท้ารอยเปื้อนโคลนตมคงยิ่งแย่เข้าไปอีก”

“เออ ๆ รู้แล้ว” ต้นกล้าจำต้องยอมรับเหตุผล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอีกคนจะให้ทำอย่างไร ถ้าไม่ให้ขึ้นไปอาบบนบ้าน จึงถามออกไปอย่างที่ใจคิด “แล้วจะให้อาบยังไง อย่างน้อยมันก็ต้องมีผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาเปลี่ยนมั้ย”

“ก็ถอดมันหมดนี่แหละแล้วค่อยขึ้นไปเปลี่ยน”

“ห๊า ได้ไง”

“ทำไม หรือไม่กล้า”

“จะบ้าเหรอ”

“เอ้า พี่พูดจริง ไม่กล้าล่ะสิหุ่นไม่ดีก็งี้ล่ะ”

“นอกจากบ้าแล้วยังหน้ามึน ใครจะมาถอดออกหมดวะ”

“ใครจะให้ถอดหมดเล่าก็เหลือกางเกงในไว้สิ คนแถวนี้ใคร ๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ”

“โอ๊ยยิ่งไปกันใหญ่ เราจะขึ้นไปอาบบนบ้านแล้วก็..”

“แล้วก็อะไร”

“ให้เราขี่หลังขึ้นไปด้วย”

“ขี่หลังใคร”

“ขี่หลังเด็ดเดี่ยว” !

“เพื่อนเล่นเหรอ”

“โอ๊ย อะไรกันนักกันหนา”

“เรียกพี่ก่อนสิแล้วจะไปส่งถึงห้องเลย”

“ชิ”

“จะไปไม่ไป”

“เราเดินเองได้”

“เท้าแพลงไม่ควรขยับมาก แต่ถ้าอยากให้มันอักเสบหรือกระดูกแตกขึ้นมาจนต้องตัดขา แล้วกลายเป็นคนพิการก็ตามใจ” ต้นกล้าหน้าเสียเมื่อคิดตามที่เด็ดเดี่ยวบอก ไหนจะข้อเท้าของตัวเองที่ปวดขึ้นมาทุกครั้งเมื่อขยับเลยทำให้เขาเงียบไป นั่นทำให้คนตัวโตได้ทีจึงเต็มเชื้อไฟมาใส่อีก “อย่างเบา ๆ ก็ปวดไปเป็นอาทิตย์ อย่างโหด ๆ ก็อักเสบขาเน่าตัดขาเลือกเอาชอบแบบไหน”



“มันจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” ต้นกล้าตาโต

“อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นทั้งนั้นล่ะ”

“จริงเหรอเด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยว”

“จริงเหรอพี่เดี่ยว เฮ้ย” อุ๊ป พูดอะไรออกไปวะเรา ต้นกล้ารีบเอามือปิดปากตัวเองเมื่อเผลอพูดตามเด็ดเดี่ยว ซึ่งคนตัวโตเห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลั้นขำคนอ่อนไหวไหนจะยังขี้กลัวอีกขี้ระแวงอีก ต้นกล้านอกจากจะกลัวผีขี้ขึ้นสมองแล้ว ยังเป็นคนคิดมากคิดเล็กคิดน้อย เชื่อเรื่องเป็นตุเป็นตะได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“แบบนั้นแหละ ไหนพูดใหม่ซิ”

“พูดอะไร”

“นะ หรือจะอาบน้ำที่ตุ่มหลังบ้านดี”

“ไม่เอา พาเราขึ้นไปอาบบนบ้านเลย”

“งั้นก็ขอร้องพี่ดี ๆ”

“ได้คืบจะเอาศอกเลยเหรอ”

“ไม่ไปก็ได้นะ”

“พะ พี่เดี่ยวฮึ่ย” เหมือนลิ้นกับขากรรไกรมันแข็ง ไม่เคยกระดากปากที่จะเรียกคนอายุมากกว่าว่าพี่เท่าเรียกคนคนนี้เลย แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ต้นกล้าไม่รู้จริงๆ รู้แค่ว่าไม่อยากเรียกก็เท่านั้นเอง

“ครับ”

“..”

“ว่าไงครับ”

“คือ ไปส่งหน่อยสิ..นะ” สิ้นเสียงคำว่านะ เด็ดเดี่ยวก็ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ ยอมหันหลังย่อตัวให้ต้นกล้าขี่แต่โดยดีแล้วพาเดินขึ้นบ้าน ซึ่งขี้ตมขี้โคลนก็ไม่ได้เปื้อนบ้านให้สกปรก อย่างที่คนตัวโตอ้างบอกแต่แรกมากนักหรอก เพราะมันก็หยดมาแล้วตลอดทางเดินลัดทุ่งกลับมา พอมาถึงบ้านเสื้อผ้าก็เริ่มหมาดหมดแล้ว จะมีก็แต่เพียงแค่เศษดินเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเข้ามาในห้อง เด็ดเดี่ยวก็พาคนตัวเล็กเดินข้ามห้องตรงไปที่ห้องน้ำทันที เขาวางร่างโปร่งลงใกล้ฝักบัว ต้นกล้าโขยกเขยกเล็กน้อยเพราะเผลอลงน้ำหนักขาข้างที่เจ็บ

“โอ๊ย”

“ระวังสิ อย่างลงน้ำหนักที่ขาข้างนี้”

“รู้แล้ว”

“พี่ว่าแบบนี้ให้พี่อาบให้ดีกว่ามั้ย”

“บ้าเถอะไม่เอา”

“แน่ใจนะ”

“ออกไปได้แล้ว หน้ามึนอยู่ได้”

“พี่ไม่ไว้ใจเราเลย เดี๋ยวก็ทำตัวเองเจ็บอีกหรอก ให้พี่อาบให้ดีกว่า”

“นี่เราบอกว่าเราจะอาบเองเราทำได้ ออกไปเลยใครจะบ้าทำให้ตัวเองเจ็บได้เล่า”

“หึ ๆ งั้นเดี๋ยวพี่จะลงไปล้างตัวข้างล่างนะ อาบเสร็จแล้วเรียกพี่ก็แล้วกัน”

“ไปก็ไปสิ”

“ว่าแต่พี่คงต้องขอยืมเสื้อผ้าเปลี่ยนหน่อยนะ”

“กะ ก็ได้ อยู่ในตู้เลือกเอาเลย” ต้นกล้าจำต้องบอกไปอย่างนั้น เพราะจะลากสังขารออกไปหาเสื้อผ้าให้อีกคนทั้งที่ขายังเจ็บอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ ตอนนี้ก็ใช่ว่ามันจะไม่ปวด ยิ่งขยับยิ่งรู้สึกปวด ยืนนาน ๆ ก็ต้องลงน้ำหนักที่ขาอีกข้างไว้ เลยพาลจะปวดทั้งสองขาอยู่แล้ว

ลงๆๆๆๆ เลื่อนลงๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“งั้นไปล่ะ”

“ดะ เดี๋ยว”

“หืม ว่าไง”

“ผ้าเช็ดตัวอยู่ชั้นล่างสุด”

“ขอบใจนะ”

“อืม” ต้นกล้าหันหน้าหนีไปอีกทาง ทำเหมือนยุ่งอยู่กับการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตใส่ทำงานตัวนอก แต่ความจริงก็เพียงแค่ต้องการกลบเกลื่อน เพราะอยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้ามองหน้าคนตัวโตขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างนั้น ก็ดูสายตาที่คนหน้ามึนมองมาสิ ทำไมมัน ทำไมมัน ฮึ่ย ทำไมมันดูเหมือนหวาน ๆ เยิ้ม ๆ ฉ่ำ ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้วะ นี่ต้นกล้าคิดไปตามสิ่งที่เห็นนะ จริง จริ๊ง ไม่ได้มโนไปเองเลย แล้วก็นะ ถ้าจะมามองกันแบบนี้ใครทำตัวถูกก็เก่งแล้วล่ะ แต่ต้นกล้าก็ทำได้แค่บ่นในใจ พออีกคนหันหลังกำลังจะเดินออกไป สิ่งที่ควรจะพูดก็หลุดปากออกมาอย่างไม่ไว้ฟอร์มกันเลยทีเดียว ถึงจะเพียงเบา ๆ ก็ตามเถอะ “ขอบคุณที่มาส่ง”

“ไม่เป็นไรพี่ยินดี” เด็ดเดี่ยวหันมายิ้มหวานหยดให้ทั้งที่ต้นกล้าไม่เห็นหรอก เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับกระดุมเสื้อที่กว่าจะแกะได้แต่ล่ะเม็ด รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถไปเสียแล้ว ทั้งที่ก็ทำเองอยู่ทุกวันแต่ไอ้มือสั่นๆ นี่มันคืออะไรวะ

พอได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิด ต้นกล้าจึงได้หันกลับไปมองตามอย่างโล่งใจ ไม่รู้ทำไมต้องตื่นเต้นเสียขนาดนี้ด้วย แถมยังห้ามและควบคุมตัวเองไม่ได้เอาเสียเลย มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมต้องสั่น ทำไมต้องใจเต้นขนาดนี้ด้วย ก็แค่เขาให้ขี่หลังกลับมาบ้านและให้ขี่หลังขึ้นมาส่งจนถึงห้อง ตอนที่ขี่หลังก็แค่กอดคอเขา เพราะอยากให้อยู่ใกล้ ๆ กัน ตายห่า! อยากให้อยู่ใกล้ ๆ กันเหรอ นี่เราทำอะไรลงไปวะเนี่ยไอ้กล้าเอ๊ย! แต่จะว่าไปตามความจริงแล้ว พักหลังมานี้มันก็สั่นมันก็ตื่นทุกครั้ง ที่เข้าใกล้คนหน้ามึนคนนี้ตลอด เฮ้ย! ไม่ได้การล่ะ หรือเราจะคิดอะไรกับคนคนนี้เหมือนที่เขาบอกเมื่อวานวะ ไม่ได้ ไม่ได้ นั่นมันคนที่ไม่ชอบหน้ากันนะ คือคนที่เจอทีไรก็ไม่เคยญาติดีต่อกันเลย ไหนจะยังเอาแต่แกล้งกันอีก ถึงจะจูบกันแล้วก็ตามเถอะ ถึงจะเป็นคนที่ตัวเองเก็บเอาไปฝันถึงจูบของเขาแล้วก็ตามเถอะ ถึงแม้ต้นกล้าจะยอมรับว่าจูบในฝันนั้นมันหวานล้ำละมุนละไมแค่ไหน จนเขาเองต้องเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตามเถอะ ยังไงก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่ารู้สึกดี ไม่มีทาง ไม่มีทางโว้ย! มันก็แค่ความฝัน ฮึ่ย!

สลัดความฟุ้งซ่านออกจากหัวตัวเอง แล้วรีบอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดมั่นใจแล้ว จึงพึ่งนึกได้ว่าลืมบอกอีกคนให้เอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาให้ด้วย ตายล่ะวาทำยังไงดี ต้นกล้าเดินกะเผลกมาที่ประตูห้องน้ำ ค่อย ๆ แง้มบานประตูเปิดออก ห้องทั้งห้องเงียบและดูเหมือนว่าจะว่างเปล่า นั่นแสดงว่าไม่มีคนอันตรายที่หน้ามึน ๆ อยู่แถวนี้ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่ง แล้วค่อย ๆ ดันบานประตูเปิดออกให้เบาที่สุด ขาที่เจ็บก็ยังประท้วงด้วยการเริ่มปวดขึ้นมาอีกระลอก แต่ก็ต้องรีบออกไปใส่เสื้อผ้าให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีใครพรวดพราดเข้ามาจ้ะเอ๋กับชีเปลือยขาแพลง ซึ่งก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนหน้ามึนไร้มารยาทคนนั้น แต่..

“ต้นกล้า “!

“เฮ้ย” ! และความปรารถนาของต้นกล้าก็สำริดผล เมื่อคนที่เขากำลังคิดถึงเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาพอดี โดยไม่มีการเคาะหรือส่งเสียงบอกมาก่อนเลย เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ต้นกล้ารีบเอามือตะปบปิดไอ้หนูน้อยของตัวเองทันทีเหมือนเด็กขี้อาย นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักนิด กับการที่กำลังกะเผลกไปอีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งเป็นมุมแต่งตัวด้วยร่างอันเปลือยเปล่าที่มีน้ำเกาะอยู่เต็ม ที่ตรงนั้นหน้าตู้เสื้อผ้ากั้นด้วยบังตาไม้แบบบานพับอยู่ห่างไปไม่ถึงสามก้าว แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหนประตูห้องก็ถูกเปิดออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยคนหน้ามึนที่บอกว่าจะลงไปอาบน้ำข้างล่าง อาบน้ำหรือวิ่งผ่านน้ำกันทำไมมันเร็วจังวะ!

“เสะ อะ เอ่อ เสร็จหรือยัง” เด็ดเดี่ยวรู้สึกถึงความประหม่าของตัวเอง ส่วนต้นกล้านั้นยืนนิ่งค้างแข็งทื่อไปแล้ว “ยังไม่เสร็จสินะ” เสียงของเขาเบาหวิวเหมือนเจ้าตัวกำลังล่องลอย กวาดสายตามองร่างเปลือยตรงหน้า ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างไม่เกรงใจ ร่างเปลือยล่อนจ้อนที่ยืนแข็งทื่อเหมือนถูกตอกตรึงไว้ราวกับแช่แข็ง กอบมือทั้งสองข้างกุมไอ้หนูน้อยตรงกลางเป้าของตัวเอง จะน่าเกลียดไปไหมนะหากเด็ดเดี่ยวจะคิดว่ามือสองข้างนั้นมันเกะกะสายตาของเขาเสียเหลือเกิน แล้วทำไมไอ้ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาอีกแล้วล่ะเนี่ย ความรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนเลือดในกายมันฉีดพล่านปั่นป่วนไปทั้งตัว เมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าขาว ๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังท้าทาย เด็ดเดี่ยวคิดไปไกลและตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง กับใบหน้าตกใจของต้นกล้า ตาคมกวาดมองตั้งแต่ลาดไหล่เนียน ลงมาจนถึงแผ่นอกบางที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีสวยสดสะดุดตา แล้วไล่ลงมายังหน้าท้องแบนราบ หลุมสะดื้อเล็ก ๆ ที่ชายหนุ่มแอบคิดว่ามันน่ารักสมกับเจ้าตัวไม่น้อย แล้วก็ตรงนั้น อืมไรขนอ่อนที่ขึ้นบาง ๆ เรียงเป็นแนวสวยตั้งแต่ใต้สะดือไล่ลงไป ไล่ลงไป ลงไป โธ่เว้ย เอามือออกสิ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะ!

“เข้ามาทำไม”

“พี่จะเข้ามาดูว่าต้นกล้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้วออกไปได้แล้ว”

“แล้วทำไมยังไม่ใส่เสื้อผ้า”

“ก็ ก็กำลังจะใส่ออกไปก่อน”

“งั้นไปรอที่เตียงไป” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเดินเข้ามาหา

“ห๊า รอที่เตียง” ต้นกล้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจึงอุทานออกมาและรีบกะเผลกถอยทันที

“ก็เห็นเดินไม่ถนัดเดี๋ยวพี่จะหาเสื้อผ้าให้ใส่ไปรอที่เตียงก่อน”

“อะ เอ่อ” ความกระอักกระอ่วนนี้มันคือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังเป็น ยิ่งอีกคนเดินเข้ามาใกล้ร่างเปลือยเปล่ายิ่งรู้สึกเกร็ง แล้วอยู่ดี ๆ ตัวก็สั่นสะท้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไหนจะก้อนเนื้อในอกที่เต้นกระหน่ำจนกลัวว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้จะรู้สึกได้ ซึ่งนั่นมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับต้นกล้าเพียงฝ่ายเดียว เพราะเด็ดเดี่ยวเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพียงแต่ชายหนุ่มเก็บอาการได้ดีกว่า ยิ่งเห็นว่าต้นกล้าวางตัวไม่ถูกมากแค่ไหน เด็ดเดี่ยวก็ยิ่งนิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สีหน้าและท่าทางภายนอกเท่านั้นแหละที่ดูนิ่งๆ เพราะ..

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” เด็ดเดี่ยวต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าอึ้ง ๆ และสายตาที่มองต่ำของต้นกล้า เขาจึงหลุบสายตามองตาม และ และ เฮ้ย! บางสิ่งบางอย่างที่บวมเป่งและนูนคับดันเนื้อผ้าของกางเกงที่ใส่อยู่ มันทำให้เด็ดเดี่ยวพึ่งรู้สึกตัว ว่าช่วงล่างของเขานั้นมันพร้อมรบแล้ว เมื่อได้เห็นร่างขาว ๆ บวกกับจินตนาการฟุ้งซ่านที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น

“อ๊าก ไอ้คนหน้ามึน ทำไมไม่ใส่กางเกงในวะ” ดูแค่นี้ก็รู้ได้แล้วว่าคนตัวโตไม่ได้ใส่กางเกงในแน่นอน ต้นกล้าก็มีเหมือนกันนี่หว่าทำไมจะไม่รู้ล่ะ เล่นเห็นชัดเป็นลำซะขนาดนั้น

“ก็มันไม่มีนี่” ตอบหน้าตาเฉยพลางวางมือข้างหนึ่งลงที่กลางกายของตัวเอง เพื่อปิดบังสายตาและปลอบให้มันสงบ นิ่งไว้ลูกพ่ออย่าลืมว่าพ่อเป็นคนดีศรีหมู่บ้านนะเว้ย โอ๊ยน้อไอ้เดี่ยวเอ๊ย..!!

“ก็บอกให้หาเอาในตู้ทำไมไม่เอาไปใส่ให้มันครบวะ”

“มันคนละไซต์นะอย่าลืมสิ” เด็ดเดี่ยวก้มลงมองช่วงกลางกายของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ชายหนุ่มใส่กางเกงเลผ้าฝ้ายแม้เนื้อผ้าจะไม่บางแต่ก็สวมใส่สบาย และแน่นอนว่ามันสามารถเห็นส่วนอ่อนไหว ที่ตื่นตัวจนโป่งนูนภายใต้เนื้อผ้าได้อย่างชัดเจน ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดของต้นกล้าที่เขาเลือกได้ตัวที่คิดว่าใหญ่ที่สุดแล้ว ซึ่งพอได้มาใส่เสื้อผ้าของคนตัวเล็กเด็ดเดี่ยวจึงพึ่งรู้ว่าขนาดตัวจริง ๆ ของทั้งสองนั้น มันแตกต่างกันมากแค่ไหน เขาเดินเลยร่างเปลือยไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาส่งให้ต้นกล้าก่อน แล้วค่อยหันไปหาเสื้อผ้ามาให้อีกคนใส่แต่

“กางเกงในล่ะ”

“หึ ๆ นึกว่าจะไม่ใส่เหมือนกัน”

“บ้าเอ๊ยใครจะไปหน้ามึนเหมือนตัวเองเล่า”

“เอ้า เอาไปใส่” ตอนแรกก็ถามออกมาหน้าตาเฉย แต่ทำไมพอคนตัวโตยื่นกางเกงในสีขาวสะอาดมาให้ มือที่ยื่นออกไปรับมันถึงได้สั่นอย่างนั้น แล้วใบหน้าหล่อเกาหลีหรือก็ก้มลงจนคางแทบชิดอก แม้ตอนที่ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าเอาลิงน้อยมา แล้วถูกคนตัวโตชักมือหนียังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าเลยเถอะ

“เอามาดี ๆ ดิ”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะพอใจแต่ก็ยอมส่งกางเกงในให้คนตัวเล็กแต่โดยดี และเหมือนรู้ว่าอีกคนกำลังเป็นอะไรจึงบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป “เดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะเสร็จแล้วเรียกด้วย”

“ทำไมต้องเรียกล่ะ”

“หรือจะอยู่ในนี้ทั้งวัน” นั่นสินี่มันยังเช้าอยู่เลย แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย จะให้นอนอยู่ในห้องทั้งวันคงไม่ไหว คิดได้ดังนั้นต้นกล้าเลยพยักหน้าส่ง ๆ ให้คนที่ยืนรอคำตอบ ที่เมื่อได้คำตอบแล้วก็ผละเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย

พอเด็ดเดี่ยวออกไปแล้วต้นกล้าจึงรู้สึกว่าตัวเองหายใจได้โล่งขึ้น จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งชั้นในชั้นนอก แล้วทำใจอยู่นาน กว่าจะเรียกอีกคนที่คงยืนรออยู่หน้าห้องมา เพราะต้นกล้าเรียกเพียงเบา ๆ เด็ดเดี่ยวก็เปิดประตูเข้ามาได้อย่างรวดเร็วทันใจเลยในทันที เมื่อเด็ดเดี่ยวพาต้นกล้าออกมาที่มุมนั่งเล่นชานเรือนมุมโปรดก็เห็นว่าใกล้เบาะรองนั่งที่วางเรียงรายนั้นมีถังน้ำแข็งเล็ก ๆ วางเอาไว้ พร้อมกับผ้าขาวหนึ่งผืน ต้นกล้ามองงง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเมื่ออีกคนว่างร่างของเขาลงบนฟูกหมอนอิง ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเล่นไปเรื่อย แต่ถึงจะทำเป็นไม่สนก็ยังมีแก่ใจเอ่ยขอบคุณออกมาเบา ๆ อยู่นะ “ขอบคุณ”

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ โอ๊ย” ต้นกล้าตกใจกับความเย็นที่นาบบนข้อเท้าเลยดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เผลอลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่เจ็บจนร้องออกมาเสียงดัง

“ก็ประคบเย็นไงจะได้ไม่ปวดมาก” เด็ดเดี่ยวบอกพลางจัดข้อเท้าของต้นกล้าวางลงบนหมอน ที่เขาหามารองปูไว้ด้วยถุงพลาสติกกันหมอนเปียก “อยู่นิ่ง ๆ “เขาบอกเสียงเข้มเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าข้อเท้าเล็กนั่นเริ่มบวมขึ้นมาแล้ว ส่วนต้นกล้าเมื่อได้ประคบเย็น ความปวดดูเหมือนจะบรรเทาลง จึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ ให้อีกคนปรนนิบัติเสียสบายแฮ

“เสร็จแล้ว ดีขึ้นมั้ย”

“อืม”

“ยังปวดอยู่มั้ย”

“ไม่แล้ว”

“..”

“อะไร” ต้นกล้าถามพลางเอนตัวหลบ เมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“รางวัลไง พี่ทำดีขนาดนี้จะไม่มีรางวัลให้เลยหรือยังไง”

“แล้วจะเอาอะไรล่ะ” ถามออกไปหน้าซื่อ ๆ นี่แหละเพราะเด็ดเดี่ยวดูแลเป็นอย่างดี นอกจากประคบเย็นที่ข้อเท้าให้แล้วยังเอาผ้าก็อชพันไว้ให้ด้วย เลยคิดว่าอาจจะมีอะไรที่คนตัวโตอยากจะได้จากตัวเองแทนคำขอบคุณ

“หอมแก้มพี่เป็นการขอบคุณสิ เคยเห็นมั้ยในละครเวลาที่นางเอกถูกคนร้ายไล่จับตัว เลยวิ่งหนีแล้วสะดุดผ้าถุงตัวเองล้มลงหน้าคะมำข้อเท้าแพลง กำลังถอยหนีคนร้ายอยู่ดี ๆ ก็มีพระเอกอย่างพี่ก็มาช่วยได้ทันเวลา แล้วอุ้มกลับมาที่กระท่อมปลายนาของพระเอก พอพระเอกดูแลปฐมพยาบาลให้นางเอกเสร็จแล้ว พระเอกก็จะถูกนางเอกหอมแก้มเพื่อเป็นการขอบคุณ”

“อยากจะบ้าตาย เราไม่ใช่นางเอกเหอะและเราจะไม่หอมแก้ม” ต้นกล้าพยายามทำหน้าดุแต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่หรอก เพราะอดขำละครของเด็ดเดี่ยวไม่ได้ นี่มันละครเรื่องอะไรวะ ทำไมนางเอกมันถึงได้ซุ่มซ่ามอย่างนี้

“ใจร้ายเนอะ พี่ทั้งให้ขี่หลัง ทั้งพาไปอาบน้ำ ทั้งประคบ ทั้งพันผ้าให้ คงไม่มีความดีเลยสินะเนี่ย”

“ก็เอาอย่างอื่นไม่ได้หรือไงรางวัลน่ะ ให้เราหอมแก้มเนี่ยนะ อยากหอมตายล่ะ”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะอยู่ในลำคอเมื่ออีกคนทำหน้าตูมกับรางวัลที่เขาร้องขอ จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ซึ่งก็เป็นที่ต้นกล้ามากกว่าที่ทำเป็นเอาแต่สนใจโทรศัพท์ทั้งที่ปากอมยิ้ม ส่วนเด็ดเดี่ยวก็คอยสังเกตการณ์เป็นระยะ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกัน อยากจะรู้นักว่าในโทรศัพท์นั่นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา ยืดคอก็แล้วชะเง้อก็แล้วแต่ก็เห็นไม่ชัดอยู่ดี ไหนจะเกรงใจกลัวว่าอีกคนจะหาว่าเสียมารยาท เลยได้แต่นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ คิดไปเรื่อยเปื่อยจนไปถึงวันที่ต้นกล้าไม่สบาย วันนี้อีกคนก็ไม่สบาย แล้วอย่างนี้ต้นกล้าจะอ้อนเหมือนวันนั้นหรือเปล่านะ หืม! เด็ดเดี่ยวชะงักกับความคิดของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดอยากให้อีกคนอ้อน ซึ่งมันก็คงห่างไกลจากความเป็นจริงมาก เพราะตอนนี้นอกจากต้นกล้าจะไม่อ้อนแล้ว ยังดื้อแสนดื้อและไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ หวังอะไรอยู่วะไอ้เดี่ยวเอ๊ย

“เฮ่อ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจยาวออกมา จนต้นกล้าที่นั่งเล่นโทรศัพท์เงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง “เดี๋ยวพี่คงต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน พอดีต้องเข้าไปในเมือง”

“อ้าว” งงนะสินั่งอยู่ดี ๆ รอให้พูดอะไรก็ดันไม่พูด พอจะพูดดันบอกว่าจะไปแล้ว แล้วจะทิ้งให้ต้นกล้านอนอยู่บ้านคนเดียวนี่นะ มันใช่เหรอ มันเหงานะเว้ย!

“เดี๋ยวตอนเย็นพี่แวะเข้ามาดู” เหอะวันนั้นก็บอกเย็น ๆ จะแวะเข้ามาแล้วก็หายหัวไปตั้งหลายวัน นี่ก็คงหาเรื่องหายไปอีกแล้วใช่ไหม แต่ก็นะไปก็ไปสิใครจะสน คิดได้ดังนั้นต้นกล้าจึงบอกไปว่า…

“จะเข้าเมืองเหรอ ให้เราไปด้วยได้ปะ”

“จะไปทำไมเท้ายังเจ็บอยู่”

“ก็เราอยากไป”

“ไม่ต้องไปหรอก เท้าหายเจ็บเดี๋ยววันหลังพี่พาไป”

“เราอยากไปวันนี้”

“พี่ไปธุระ แล้วจะรีบกลับมา”

“เราแค่ไปเฉย ๆ น่า” เด็ดเดี่ยวส่ายหัวให้กับความรั้น ที่ดูเหมือนว่าจะผิดปกติ เพราะคนตัวเล็กอยู่ ๆ ก็อยากไปกับกับเขา ทั้งที่ทุกทีเอาแต่หลบหรือไม่ก็ไล่ตลอด

“ไปไม่ได้รออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวไอ้จ๋าคงเข้ามา”

“..” ถึงจะหน้าบูดแต่ก็พยายามทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่สนใจ ต้นกล้ายักไหล่แล้วบอก “ชิ ทำอย่างกับเราอยากไปจริง ๆ งั้นแหละ จะไปไหนก็ไปเถอะใครจะสน” ไม่ค่อยตรงกับใจหรอกแต่คนเราก็ต้องมีฟอร์มไง โดยเฉพาะคนอย่างต้นกล้าที่อุตส่าห์ขอไปด้วยแต่ยังโดนปฏิเสธ คอยดูเถอะวันหลังอย่ามาชวนก็แล้วกันจะเล่นตัวให้ดู

“เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วพี่รีบมานะครับ คงไม่เย็นมากหรอก”

“ไม่ต้องมาก็ได้ ดีซะอีกจะได้ไม่รกหูรกตาเรา” เด็ดเดี่ยวอมยิ้มเลิกคิ้วมองต้นกล้าเป็นเชิงถาม ว่าที่พูดมานี่จริงหรือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังขอตามเขาไปด้วยอยู่เลย แต่อีกคนก็หันหน้าหนีไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นวางมือใหญ่ไว้บนหัวทุย ๆ ที่ประดับด้วยผมสีแดงแล้วโยกเบา ๆ ก่อนจะบอก

“พี่ไปนะเดี๋ยวมา อ้อแล้วเท้าน่ะเอาพาดไว้บนหมอนนั่นล่ะวางไว้สูง ๆ มันจะได้ไม่บวมมาก”

“รู้แล้ว” ปัดมือใหญ่ออกจากหัวอย่างรำคาญ พอเด็ดเดี่ยวออกไปแล้วต้นกล้าจึงนอนเล่นโทรศัพท์เฝ้าบ้านอยู่คนเดียวจนเผลอหลับ โดยที่ขาก็ยังวางพาดไว้บนหมอนตามที่อีกคนบอกอย่างเชื่อฟัง

ลงๆๆๆ เลื่อนลง

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“อุ้ย พี่เดี่ยวมาหาคำแพงเหรอจ๊ะ”

“เอ่อ เปล่าครับผมมาซื้อของ”

“แหมไม่ต้องตอบตรงขนาดนั้นก็ได้ เหลือพื้นที่ไว้ให้คำแพงได้ปลื้มบ้าง”

“ผมมาเอาของที่สั่งไว้แค่นั้นเองจริง ๆ ครับ”

“อ๋อ เดี๋ยวคำแพงสั่งคนงานเอาขึ้นรถให้เลยนะจ๊ะ พี่เดี่ยวมาเหนื่อย ๆ เข้าไปนั่งในร้านดีกว่าเดี๋ยวคำแพงจะเอาเบียร์เย็น ๆ มาเปิดให้” คำแพงลูกสาวเจ้าของร้านขายอุปกรณ์การเกษตร ปุ๋ยและอาหารสัตว์ เดินเข้ามาเกาะแขนเด็ดเดี่ยวอย่างสนิทสนม ทั้งที่ชายหนุ่มพยายามแกะมือของเธอออก แต่หญิงสาวก็ยังทำเป็นมองข้าม

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะจอดรถทิ้งไว้นี่แล้วให้คนงานขนของขึ้นรถเลย พอดีจะเดินไปซื้อของเดี๋ยวกลับมาครับ”

“งั้นให้คำแพงเป็นเพื่อนนะจ๊ะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ คำแพงต้องช่วยเถ้าแก่ขายของไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ คำแพงไปได้พี่เดี่ยวรอก่อนนะเดี๋ยวคำแพงไปบอกคนงานขนของขึ้นรถให้ แล้วค่อยเดินไปพร้อมกัน” สาวคำแพงบอกแล้วรีบเดินไปหลังร้านเพื่อเรียกคนงานทันที เพราะเด็ดเดี่ยวมาสั่งของเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่พอเดินออกมาคำแพงก็ไม่เห็นชายหนุ่มรออยู่ที่เดิม “ไปไหนแล้ว พี่เดี่ยวนะพี่เดี่ยว”

“บ่นอะไรพี่คำแพง”

“ยุ่งอะไรด้วยยัยส้มเช้ง”

“ก็เห็นยืนบ่นอยู่คนเดียวนึกว่าผีเข้า”

“นี่อย่ามาปากดีไปช่วยคนงานจัดของโน่นเลยไป”

“จัดเสร็จหมดแล้ว ว่าแต่ส้มนะแล้วพี่เถอะ วัน ๆ ช่วยกันทำงานบ้าง ไม่ใช่มองหาแต่ผู้ชาย”

“ยังกะแกไม่มองเนอะนังส้มนั่งตุ๊ดจูออน”

“ตุ๊ดแล้วไงน่ารักแล้วกัน แล้วก็นะส้มไม่ได้วัน ๆ เอาแต่มองหาผู้ชายเหมือนพี่หรอก เพราะส้มมีชายเดียวในดวงใจชิ” พูดจบคนที่ถูกเรียกว่าตุ๊ดจูออนเพราะตัวขาวเหมือนผีจูออนในหนัง ก็สะบัดหน้าหนีพี่สาวเดินเข้าบ้านไป

ส่วนเด็ดเดี่ยวเมื่อคำแพงเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อสั่งให้คนงานขนของขึ้นรถ ก็รีบชิ่งหนีออกจากร้านทันที เพราะมีของอย่างอื่นที่ต้องไปหาซื้อกลับบ้านอีกหลายอย่างที่อยู่ร้านแถว ๆ นั้น พอเดินผ่านร้านขายยาสายตาก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้คิดถึงคนที่นอนเจ็บขาอยู่ที่บ้าน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลี้ยวเข้าไปถามไถ่จนได้ความ และซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วยหลายอัน พอเดินกลับมาที่ร้านของคำแพงคนงานก็จัดของขึ้นรถให้เขาเรียบร้อยพอดี ชายหนุ่มจึงเดินไปจ่ายเงินค่าของในร้าน

“ขอบใจมากนะพ่อเดี่ยวที่มาอุดหนุน วันหลังโทรมาสั่งอีกได้นะเดี๋ยวลุงจะเตรียมไว้ให้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะนะครับ” เด็ดเดี่ยวรับเงินทอนแล้วบอกลา แต่พอเดินออกมาหน้าร้านก็เจอเข้ากับสายตาตัดพ้อ กับใบหน้าบึ้งตึงของคำแพงรออยู่แล้วที่ข้างรถของเขา

“พี่เดี่ยวไม่รอคำแพง”

“เอ่อ พอดีผมรีบขอตัวก่อนนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันหลังคำแพงไปเที่ยวหาที่บ้านนะจ๊ะ”

“ไปนะครับ “เด็ดเดี่ยวไม่ได้ตอบรับแต่บอกอย่างขอไปที ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถขึ้นนั่งประจำที่แล้วขับออกไปแทบไม่ทันใจตัวเอง พอพ้นออกมาได้ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ธุระของเขายังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะมีของอีกมากมายที่ต้องหาซื้อกลับไปพร้อมกันทีเดียว จะได้ไม่ต้องเข้าอำเภอบ่อย ๆ พอซื้อของได้ครบทุกอย่างตะวันก็คล้อยลงจนจะตกดินอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงรีบบึ่งรถกลับบ้านทันที ใจห่วงอีกคนจะรอ แต่พอคิด ๆ ดูก็ได้แต่ยิ้มขำให้ตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าอีกคนรอเขาอยู่จริงหรือเปล่า

พอกลับมาถึงบ้านเด็ดเดี่ยวก็เรียกคนงานที่ไร่มาช่วยกันยกของลง ซึ่งก็มีทั้งปุ๋ยบางตัวที่จำเป็นต้องใช้ในนาข้าว สลับกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักขึ้นเอง ทั้งอาหารสัตว์ที่ใช้เลี้ยงคู่ไปกับอาหารที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ

“เร็ว ๆ มาช่วยกัน” เด็ดเดี่ยวเร่งคนงาน โดยเขาเองก็ขึ้นไปช่วยกระสอบปุ๋ยยกส่งให้คนงานอยู่บนรถด้วย

“จะรีบไปไหนพี่เดี่ยว” ดาวรุ่งถามพี่ชายเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเร่งให้คนงานรีบทำงาน

“มีธุระนิดหน่อย วันนี้กินข้าวเย็นกับพ่อก่อนเลยนะ”

“แหม ท่าทางเหมือนไปติดสาวเลยนะเนี่ย”

“สาวที่ไหนไม่มีหรอก”

“หืม แล้วทำไมหมู่นี่ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเลย ไปนั่นไปนี่ตลอด หายไปทีเป็นวัน ๆ ”

“พี่ก็ไปบ่อยเป็นปกตินั่นและ”

“จ้าคุณพี่ชาย”

“เสร็จแล้วไปก่อนนะ”

“จะไม่อาบน้ำอาบท่าก่อนหรือไง ดูสิเหงื่อออกเปียกหมดเลย เดี๋ยวสาว ๆ เหม็นเอาน้า”

“เดี๋ยวกลับมาค่อยอาบละกัน กลิ่นแบบนี้ล่ะสาว ๆ ชอบ” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วยักคิ้วเท่ ๆ ให้น้องสาว จากนั้นก็ขับรถออกไปเลย ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองรีบมากแค่ไหน เพราะนี่ก็เริ่มมืดแล้วทั้งห่วงคนขาเจ็บ ถ้าไอ้จ๋ามันยังไม่เข้ามาดูต้นกล้าจะเป็นยังไง เดินก็ไม่ได้แบบนั้นคงลำบากแย่ เดี๋ยวคุณยายประไพศรีจะว่าเอาได้ ว่าอุตส่าห์ฝากฝังให้เขาช่วยดูแล แต่กลับปล่อยให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายมีแต่เรื่องเจ็บตัว

เอี๊ยดดดดด

“ใครมาซิ่งแถวนี้วะ” ไอ้จ๋าบ่นคอก็ชะเง้อมองลงไปทางชานเรือน เมื่อได้ยินเสียงรถเบรกอย่างดัง

“ใครมาวะจ๋า”

“ไม่รู้ครับลูกพี่เดี๋ยวไอ้จ๋าเดินไปดู” ไอ้จ๋าลุกขึ้นกำลังจะเดินไปดูก็พอดีที่เด็ดเดี่ยวกระโดนขึ้นบันไดทีละสามขั้นขึ้นมาถึงก่อน “ลูกพี่เดี่ยวนั่นเอง ไปไหนมามืดค่ำครับ แหมเช้าถึงเย็นถึงเสมอต้นเสมอปลายตลอดเนาะ ไม่นานคงมีใจอ่อนกันบ้างล่ะ พูดเลย” ไอ้จ๋าถามทั้งยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางรู้ทัน

“พูดมาก” เด็ดเดี่ยวกัดฟันกระซิบบอกเบา ๆ เมื่อเห็นนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของไอ้จ๋าที่มองมายังเขา

“นั่นแน่ มาครับเข้ามาก่อน ซื้ออะไรมาล่ะนั่น มาไอ้จ๋าช่วยถือ”

“เป็นยังบ้าง ยังปวดอยู่มั้ย”

“..” ต้นกล้าเลิกคิ้วทำปากยื่นไม่ตอบคำแล้วหันเมินและมองไปอีกทาง ไม่ได้ตั้งใจจะงอนเลยจริง ๆ นะ ทั้งเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่คนตัวโตไม่ให้เข้าอำเภอด้วย ทั้งเรื่องที่อีกคนกลับมาเสียค่ำมืดจนคิดว่าจะไม่มา ต้นกล้าไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้ไม่พอใจ แค่ตอนนี้เขายังไม่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง

“ลูกพี่เดี่ยวครับ” ไอ้จ๋าที่มองลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาเรียกขึ้น ก่อนที่บรรยากาศระหว่างทั้งสอง จะทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากไปกว่านี้

“อะไร”

“ลูกประคบนี่จะเอามาประคบขาให้ลูกพี่กล้าใช่มั้ยครับ ถ้าอย่างนั้นไอ้จ๋าจะเอาไปนึ่งให้นะครับ” ไอ้จ๋าเอาลูกประคบออกมาจากถูกชูให้ดู

“ยังก่อนพรุ่งนี้เย็น ๆ ค่อยทำ ซื้อมาไว้เฉย ๆ วันนี้ประคบเย็นไปก่อน”

“อ้าวทำไมล่ะครับ” ไอ้จ๋าถามอย่างสงสัย ซึ่งมันก็ตรงกับใจของลูกพี่อีกคนที่นั่งทำหัวแดง ๆ หันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่หูผึ่งตั้งใจฟังเหตุผลทีเดียว

“ตอนนี้แผลยังใหม่อยู่ต้องประคบเย็นไปก่อน ให้เลือดมันหดตัวไม่ไหลเวียนมาก จะได้ไม่ปวดไม่บวมกว่าเก่า รอให้ผ่านไปสักยี่สิบสี่ชั่วโมงค่อยประคบร้อน มันช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดปวดด้วย เข้าใจมั้ย” เด็ดเดี่ยวพูดกับไอ้จ๋าแต่ปรายตาไปมองคนที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง

“เข้าใจครับ” เป็นไอ้จ๋าที่ตอบทั้งที่คนถามตั้งใจถามอีกคนที่นั่งฟังเงียบ ๆ แต่ก็เงียบได้ไม่นานเมื่อโทรศัพท์ของต้นกล้ามีสายเข้ามา คนตัวเล็กยิ้มร่าเมื่อกดรับการโทรแบบวิดีโอ

“ครับคุณแม่กล้าคิดถึงคุณแม่จังเลยครับ คุณยายด้วย คุณพ่อด้วยนะครับ คุณยายคร้าบ” ต้นกล้าดูร่าเริงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหน้าแม่ตัวเองอยู่ในจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด

“เป็นไงบ้างลูก”

“ดีครับ กล้าไปดำนาด้วยครับสนุกมากเลย” ต้นกล้าบอกพร้อมรอยยิ้มสดใสผิดกับหน้าตูม ๆ เมื่อสักครู่ราวกับเป็นคนละคน คำพูดคำจาก็เหมือนกับว่าเจ้าตัวสนุกจริง ๆ กับการดำนา ทั้งที่กลับมาต้องนอนซมเพราะพิษไข้อยู่หลายวัน “คุณยายเป็นยังไงบ้างครับคุณแม่”

“คุณยายก็อยู่ตรงนี้แหละลูกคุยกับคุณยายนะ”

“คุณยายกล้าคิดถึงครับ” ต้นกล้าส่งเสียงบอกอย่างใจคิดเมื่อเห็นหน้าคุณยายที่เขาแสนรัก เล่นเอาคนหนุ่มทั้งสองที่นั่งมองอยู่มองมีความสุขตามไปด้วย คนหนึ่งดีใจประสาซื่อที่ได้ยินผู้ใหญ่ที่มันเคารพรักและนับถือ ส่วนอีกคนมองด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก แต่ที่แน่ ๆ เขาเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาใจของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่จะได้รอยยิ้มแบบนี้จากต้นกล้าบ้าง

“เป็นไงบ้างลูกสนุกมั้ยทำนา”

“สนุกที่สุดเลยครับคุณยาย วันนี้กล้าได้ไถนาด้วยควายเหล็กด้วยนะครับ” แม้มันจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตามเถอะ แต่ต้นกล้าก็สามารถเอามาคุยโอ้อวดกับคุณยายได้อย่างภูมิใจ

“จริงเหรอ เก่งนี่” คุณยายถามกลับอย่างไม่อยากเชื่อแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียด เพราะเชื่อมั่นใจตัวหลานชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่แล้ว ซึ่งต้นกล้าก็โอ่เรื่องต่าง ๆ ให้คุณยายฟังอย่างภาคภูมิใจเช่นกัน แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอยากกลับกรุงเทพ หรือเรื่องที่ตัวเองไม่สบายจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อออกมาสักคำ ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็พอจะเข้าใจว่าต้นกล้าคงไม่อยากให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงมากนั่นเอง

“ไอ้จ๋าไปไหนแล้วล่ะ เจ้ากล้าอยู่กับใครลูก” พอคุณยายประไพศรีถามหาไอ้จ๋าต้นกล้าจึงหันหน้าจอไปทางมัน เพื่อให้คุยกันคุณยายได้ถนัด

“ไอ้จ๋าอยู่นี่ครับ”

“เป็นไงบ้างแก ช่วยลูกพี่ทำงาน”

“ลูกพี่ของไอ้จ๋าเก่งอยู่แล้วครับคุณยาย นี่ลูกพี่เดี่ยวก็มาช่วยทุกวันเลยนะครับ ตอนนี้ก็นั่งอยู่ด้วยกันนี่แหละ ชะ..” ไอ้จ๋าพูดยังไม่ทันได้จบประโยค ก็เหลือบไปเห็นสายตาดุ ๆ ของคนเป็นลูกพี่ใหญ่มันจึงถึงกับชะงัก คุณยายเลยได้โอกาสถามหาลูกพี่รองของมันแทน

“เหรอ ไหนล่ะมาให้ยายคุยกับพี่เขาหน่อยสิ”

“ครับ ๆ “ไอ้จ๋าจำต้องส่งโทรศัพท์ให้ลูกพี่ตัวโตของมันอย่างขัดใจ เพราะมันยังไม่ทันได้รายงานความเคลื่อนไหวอย่างเกาะติดสถานการณ์โดยละเอียด

“สวัสดีครับ”

“พ่อเดี่ยวเป็นยังไงบ้างลูก น้องดื้อมั้ย” ต้นกล้าหันขวับไปตามเสียงที่ดังออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์ทันที ที่ได้ยินคุณยายถามคนตัวโตแบบนั้น

“ไม่ดื้อเลยครับ” ตอบแล้วก็หันมายักคิ้วยิ้มให้ต้นกล้า

“โธ่คุณยายครับกล้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะครับ” ต้นกล้าขยับเข้ามานั่งติดกับเด็ดเดี่ยวเพื่อจะได้เห็นหน้าจอ เมื่อเอ่ยประท้วงคำถามของคุณยายด้วยเสียงอ้อน ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากคุณยายและคนอยู่ฝั่งกรุงเทพ ที่นั่งฟังด้วยกันขึ้นมาได้ทันทีเลยทีเดียว

“แล้วนี่เสร็จแล้วใช่มันดำนา”

“ครับเสร็จแล้ว” ต้นกล้าบอกเพราะไอ้จ๋ามันรายงานแล้ว ว่าวันนี้เร่งดำนากับคนงานจนเสร็จ ซึ่งต้นกล้าก็จำเป็นต้องตอบเหมือนกับว่าตัวเองมีส่วนร่วม เพราะหากบอกว่าตัวเองไม่ได้ไปดำนาวันนี้ อาจจะนำมาสู่ความสงสัยของคุณยายก็ได้ว่าทำไมไม่ไป แล้วเขาก็ต้องบอกถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น และนั่นอาจจะทำให้คนแก่เป็นห่วงเสียเปล่า ๆ

“เก่งมากเลยลูก แล้วพ่อเดี่ยวล่ะนาของตัวเองเรียบร้อยเหมือนกันหมดแล้วใช่มั้ย”

“เรียบร้อยหลายวันแล้วครับ”

“งั้นก็ดีเลย ยายยังไม่รู้เลยว่าทางนี้เขาจะให้ยายกลับได้เมื่อไหร่ นี่ก็ใกล้วันไปหาหมออีกแล้ว ยังไงยายฝากพ่อเดี่ยวดูแลน้องด้วยนะลูก”

“ครับคุณยายไม่ต้องห่วงทางนี้นะครับ ผมจะดูแลให้ดีเหมือนดูแลตัวเองเลยครับ”

“เจ้ากล้าล่ะ” เด็ดเดี่ยวหันหน้าจอโทรศัพท์มาทางต้นกล้า เพื่อให้คุณยายประไพศรีได้เห็นหน้าหลานชาย แถมยังยักคิ้วให้ด้วยเหมือนตัวเองนั้นเป็นต่อ และเป็นที่รักไม่แพ้กันเมื่อคุณยายบอกว่า “อย่าดื้อกับพี่เขานะเจ้ากล้ารู้มั้ย พี่เขาบอกอะไรก็ให้เชื่อฟัง เป็นเด็กดี” เป็นการเน้นย้ำให้ต้นกล้าไม่ดื้อและเชื่อฟังเด็ดเดี่ยวอย่างเดียวเลย “ยายจะพักผ่อนแล้ว ดูแลกันดี ๆ นะลูกพ่อเดี่ยวยายฝากด้วยนะ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้ล่ะ วันหลังค่อยคุยกันนะลูก”

“ครับ” ทั้งสามหนุ่มขานรับออกมาพร้อม ๆ กันแล้วคุณยายประไพศรีก็วางสายไป เด็ดเดี่ยวยิ้มกรุ้มกริ่มพอใจกับคำสั่งของคุณยายประไพศรี ที่ดูเหมือนว่าจะให้สิทธิ์เขาในการดูแลต้นกล้าอย่างเต็มที่ แต่พอหันมาเห็นใบหน้าตูม ๆ ที่บูดบึ้งของต้นกล้าก็เล่นเอาสะดุ้งกันเลยทีเดียว

“เฮ้ย “!

“ยิ้มอะไร”

“ปะ เปล่า” ไอ้จ๋าต้องมองหน้าลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาอีกแล้ว คนหนึ่งส่งสายตาน่ากลัวจ้องเขม็งราวกับกำลังจะพ่นประกายไฟออกมาฆ่ากัน ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนว่าจะกวนเสียเหลือเกิน ทั้งที่คำพูดเหมือนยอมอ่อนข้อแต่ท่าทางกลับไม่ใช่ พอโดนถามด้วยเสียงดุ ๆ เข้ม ๆ กลับทำหน้าจืดลงได้ทันที คราวนี้ไอ้จ๋ารู้แล้วว่าหน้าเจี๋ยมเจี้ยมมันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างใบหน้าของลูกพี่เดี่ยวตอนนี้นี่ยังไงล่ะ ไอ้หน้าเจี๋ยมเจี้ยมนี่ แล้วสุดท้ายจะมีใครสนใจไอ้จ๋าบ้างไหม!

“หัวเราะเยาะขำเราหรือยังไง”

“พี่เปล่า” ไอ้จ๋านั่งทำตาปริบ ๆ มองลูกพี่ทั้งสอง รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกลืมแล้วจึงค่อย ๆ กระถดตัวถอยหลังออกไปเงียบ ๆ เพราะมันไม่อยากมีส่วนร่วมกับศึกครั้งนี้ เวลาสองคนส่งสายตาเชื่อม ๆ ให้กัน มันยังนึกสนุกอยากเข้ามาแทรก แต่เวลาที่อีกคนส่งประกายไฟและความไม่พอใจออกมาอย่างนี้ มันขอเอาตัวรอดเป็นยอดดีก่อนดีกว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นศึกกรุงศรีกับพม่า หรือศึกไทยไฟท์ ศึกวันทรงชัย ศึกไหน ๆ ยังไงไอ้จ๋าก็ไม่ขอมีส่วนร่วม

“ไปไหนวะจ๋า”

“อะจึ๋ย ลูกพี่ครับไอ้จ๋า ไอ้จ๋าว่าจะ เอ่อ ไปห้องน้ำครับ อูยปวดท้องอะ” ไอ้จ๋าทำลีลาว่าปวดท้องหนักแกล้งนั่งบิดตัวอยู่เร่า ๆ และเพราะกลัวว่าลูกพี่จะไม่เชื่อ จึงแกล้งเอามือปิดก้นตัวเองประกอบเพื่อความสมจริงไปด้วย

“เออ ๆ ไปไหนก็ไปเถอะ”

“รับแซบครับลูกพี่” แล้วมันก็วิ่งปรูดไปจากแรงกดดันนั่นทันที

“แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านกลับช่องตัวเองสักทีเนี่ย”

“จะไล่พี่อีกแล้วหรือยังไง”

“พูดขนาดนี้น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าไล่”

“เอ แล้วใครน้าที่วันนี้ร้องอยากจะตามพี่ไปอยู่แหมบ ๆ”

“เราไม่ได้ร้องสักหน่อย แล้วที่ขอไปก็ไม่ใช่ว่าอยากไปด้วย เราแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”

“งั้น ถ้าขาหายแล้วเดี๋ยวไปดูไร่ดูนาพี่บ้างดีมั้ย” เด็ดเดี่ยวมีท่าทางกระตือรือร้นเมื่อเอ่ยชวน ซึ่งอยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวของต้นกล้าพอดี เพราะเขาเคยคิดสงสัยอยู่ว่าคนหน้ามึนนี่มีดีอะไร ทำไมคุณยายของเขาถึงได้ไว้ใจนักไว้ใจหนา เที่ยวได้ฝากฝังเขาไว้กับคนตัวโตนี่ตลอด ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยไปดูซะหน่อยว่าที่บ้านเป็นอย่างไร ทำไมวัน ๆ ถึงได้เอาแต่ลอยไปลอยมากวนชาวบ้านอยู่แบบนี้

“ว่าไงไปมั้ย โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่มีง่าย ๆ นะ พี่จะพาไปดูงาน”

“ชิ อย่างกับว่าเราอยากจะไปอย่างนั้นแหละ”

“แล้วจะไปมั้ย”

“ไปก็ได้”



%%%%%%%%
วันนี้ยังเปิดให้จองอยู่จ้า ใครสนใจเล่ม ต้นกล้า พี่เดี่ยว สอบถามได้ทางอินบ็อกเพจ ดาว ณ แดนดิน เลยนะคะ

จบตอนจนได้ ว่าแต่อยากจะถามจริงๆ พี่เดี่ยวขา พ่อคุณทูนหัว จะ จะ จะเข้ามาตอนนี้ทามม้ายยยยย เข้ามาก็ไม่เคาะห้องก่อน ผ้าเช็ดตงเช็ดตัวก็ไม่จัดหามาไว้ให้เขา น้องเลยกลายเป็นชีเปลือยขากะเผลกเลย คิกๆ ๆ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันค่ะ ว่างๆ ก็คอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ อยากอ่าน ชอบไม่ชอบตรงไหนบอกมาได้เลยค่ะ มันจะเป็นประโยชน์มากเพื่อดาวจะได้เอาไปปรับปรุงตัวเอง หรือทักทายกันที่เพจดาวก็ได้นะคะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ขนาดนี้แล้วเดี่ยวยังไม่รู้ใจอีกรึ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 10 ชมทุ่ง



ผ่านมาสามวันแล้วข้อเท้าของต้นกล้าดีขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวเร็วแบบนี้เห็นจะต้องยกความดีความชอบให้คนที่คอยมาดูแลเอาใจใส่ประคบร้อนให้ทุกวัน แต่จะยกให้ทั้งหมดก็ใช่ที่หรอก เพราะวันแรก ๆ ประคบไปก็อธิบายไปว่ามันทำมาจากอะไรบ้าง ต้องประคบยังไงจนไม่ไหวจะนั่งฟัง และอีกอย่างต้นกล้าเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้วต่างหาก เจ็บแค่นี้สบายมาก ไม่ใช่เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เหมือนที่คนตัวโตใสทำให้ทุกวันเช้าเย็นทั้งหมดหรอกนะ

คนอะไรก็ไม่รู้บอกงานเยอะงานยุ่งก็ยังมาได้ทุกวัน เช้าก็มาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันได้ตื่นมาโห่ ช่วยจัดแจงเอาลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วเอามาประคบให้ ทำเสร็จแล้วก็ไป หายไปทั้งวัน เย็น ๆ ก็เข้ามาทำเหมือนตอนเช้าเป๊ะ พอทำเสร็จแล้วก็กลับไม่อยู่คุยนาน ไม่กินข้าวเย็นด้วย ไม่คอยพูดจากวนประสาทเหมือนเคย เหมือนรีบทำรีบกลับแต่ก็ทำอย่างตั้งใจเป็นอย่างดี จนไอ้จ๋าตั้งข้อสังเกตอะไรของมันก็ไม่รู้ต้นกล้าไม่ได้สนใจ แต่มันก็สรุปให้ว่าเป็นห่วง

หืม เป็นห่วงเหรอ

ต้นกล้าขนลุก แต่เด็ดเดี่ยวก็เข้ามาดูแลทุกวัน เหมือนเป็นหน้าที่แล้วก็ไป ไปแล้วก็เข้ามาตามเวลาเดิมทุกวัน ส่วนคนที่ถูกกวนประสาทอยู่ตลอดก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันว่าง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ กับปากที่ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวทีหลัง เด็ดเดี่ยวทำแบบนี้ทุกวันจนต้นกล้าสามารถเดินได้เองเป็นปกติ โดยไม่ต้องโขยกเขยกให้เสียภาพพจน์ และพอเดินได้เป็นปกติคนไม่อยู่สุขอย่างต้นกล้าก็ไม่คิดว่าจะนอนงอมืองอเท้า พอเดินเหินได้สะดวกก็ออกเดินเล่น หลังจากที่เชื่อฟัง เอ๊ะ! ไม่ใช่ล่ะ หลังจากที่คิดว่าหากไม่อยากให้เด็ดเดี่ยวคอยมาวุ่นวายกับชีวิตของตัวเอง ด้วยการมาดูแลเช้าเย็นก็ต้องทำการรักษา และดูแลตัวอย่างเคร่งครัด โดยการไม่เดินหรือขยับเท้าบ่อยอย่างที่อีกคนบอก ซึ่งมันเป็นวิธีรักษาวิธีเดียวที่จะช่วยให้หายไวขึ้นเขาก็ต้องทำ ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติตามที่อีกคนบอกเลยจริง จริ๊ง

“อ๊ะ นึกว่าใครมาทำด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวนี้”

“อืม ฉันเองแล้วนี่..”

“ออกไปเดินเล่นแล้วครับ”

“หืม ทำไมปล่อยให้ออกไปเดินเล่น”

“ก็แหมลูกพี่ครับ ในเมื่อลูกพี่กล้าบอกหายดีแล้ว คิดว่าช้างที่ไหนจะมาฉุดอยู่ล่ะครับ ลำพังมดตัวเล็ก ๆ อย่างไอ้จ๋านี่เอาไม่อยู่หรอกถ้าลูกพี่กล้าจะไปซะอย่าง ว่าแต่ลูกพี่มาแต่เช้านะครับ”

“ก็มาเวลานี้ทุกวัน”

“นั่นสิ เช้าถึงเย็นแบบนี้ คิดอะไรกับคนบ้านนี้จริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย”

“..” เด็ดเดี่ยวกอดอกยืนมองไอ้จ๋าอย่างเอาเรื่อง เมื่อเขาเดินเข้ามาในบ้านแล้วมองหาเจ้าของบ้านแต่ไม่เจอใคร ไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันมาจากไหน ถึงได้มาโผล่เอาข้างหลังและทักขึ้น “แล้วลูกพี่เราเขาเดินไปทางไหน”

“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้วนิ”

“..” เด็ดเดี่ยวทำหน้าเข้มขึ้นเมื่อไอ้จ๋ามันยังลีลาไม่รีบตอบคำ เขารู้ว่ามันรู้ว่าเขาอยากรู้อะไร สายตาเจ้าเล่ห์ที่มันมามองมาและอาการยิ้มเล็กยิ้มน้อยนั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่ามันกำลังเริ่มกวนประสาทให้เขาหลุดมาดนิ่ง ๆ ของตัวเอง

“แต่งตัวมาซะหล่อแบบนี้มีสอนใช่ปะ คงไม่ได้แต่งมาเพื่อลูกพี่กล้าของไอ้จ๋าแน่เลย” ไอ้จ๋ามองเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ศีรษะที่จัดแต่งทรงผมเป็นเงาสวยเสยขึ้นเอาไว้อย่างดี เสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีกากีอ่อนผูกเนกไทลายริ้วเล็ก ๆ ดูเข้ากันได้อย่างพอดี กับกางเกงสีน้ำตาลเข้มและรองเท้าหนังสีดำในแบบที่ หล่อ มาดเข้ม และมีเสน่ห์ดึงดูดที่สุด จนไอ้จ๋าที่ว่าเป็นผู้ชายแมน ๆ ยังมองตาค้างปากห้อยน้ำลายไหลย้อยกันเลยทีเดียว

“อืม เดี๋ยวก็ไปแล้วว่าแต่จะบอกได้หรือยัง”

“แหะ ๆ เห็นเดินลงนาครับ”

“หืม ลงนาแต่เช้าขนาดนี้เนี่ยนะ”

“นั่นดิ หรือว่าไม่อยากเห็นหน้าใครบางคนหว่า”

“จริงเหรอ” บางทีเด็ดเดี่ยวก็คิดว่าต้นกล้าอาจจะเบื่อหน้าเขาอยู่เหมือนกัน เพราะเจอแต่ละทีก็ดีแต่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งใส่ แถมยังไล่กลับก็ออกบ่อย แต่ไม่รู้ทำไมมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างบอกเขาอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่ต้นกล้าทำนั้นมันไม่ได้จริงจังเลยสักนิด แม้ว่าเจ้าตัวจะทำหน้าดุ หน้าโหด หรือไม่พอใจขนาดไหน คนมองที่คิดเข้าข้างตัวเองยังไง้ยังไงก็คิดว่ามันดูไม่จริงจังอยู่ดี

“แล้วเอาไงต่อครับลูกพี่ จะออกไปเลยหรือเปล่าครับ”

“ยังว่าแต่ไม่มีเรียนหรือไงวันนี้ แต่ช่างหัวแกเถอะไปล่ะ”

“อ้าว” ไอ้จ๋าได้แต่ทำหน้าหมางง เพราะเมื่อเด็ดเดี่ยวพูดจบก็เดินไปตามเส้นทางที่พาลงนา โดยไม่ได้หันกลับมาสนใจหรือรอคำตอบของไอ้จ๋า ปล่อยให้มันยืนเหวอ ทั้งที่มันเองก็รู้อยู่แล้วว่ายังไง้ยังไง ลูกพี่เดี่ยวก็คงยังไม่ถอยกลับไปง่าย ๆ หากยังไม่ได้คุยกับคนตั้งใจที่มาหา “แหมทำฟอร์มจัดที่แท้ก็อยากไปเห็นหน้าเขาก่อนไปทำงาน” ไอ้จ๋าบ่นตามด้วยเสียงอันดังคล้าย ๆ กับว่าอยากให้คนที่รีบเดินจ้ำอ้าวลงนาได้ยินด้วย กับความรู้ทันของมันราวกับว่าไปนั่งอยู่กลางใจของชายหนุ่มผู้เป็นลูกพี่รองก็มิปาน

เช้า ๆ อากาศดี ๆ อย่างนี้เหมาะมาก สำหรับการเดินออกมาเพื่อรับเอาความบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ผ่านการสูดอากาศที่หอมทั้งกลั่นดินกลิ่นหญ้า และกลิ่นน้ำค้างที่หลงเหลือมาจากเมื่อคืน มองความเขียวชอุ่มของต้นกล้าข้าวที่ปักดำกำลังเริ่มตั้งต้นแข็งแรง เห็นแล้วให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาในใจ แค่เพียงได้เห็นว่าข้าวที่ปลูกเอาไว้เริ่มติดรากยังรู้สึกดีได้ถึงเพียงนี้ แล้วตอนที่ได้เห็นมันออกรวงแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามเต็มทุ่ง จะรู้สึกดีมากแค่ไหน ต้นกล้าคิดแบบคนไม่เคยจึงไม่รู้ว่า กว่าจะไปถึงจุดนั้นต้องรออีกนานหลายเดือนเลยทีเดียว กลิ่นน้ำค้างให้ความรู้สึกฉ่ำชื้นแต่ก็สดชื่นไม่น้อย บ้างยังเหลือเป็นหยดเกาะอยู่บนยอดหญ้าอ่อนก็อีกมาก ทำให้รองเท้าผ้าใบคู่เก่งราคาแพงที่หยิบมาใส่เปียกไปหมด แต่กระนั้นต้นกล้าก็หาได้สนใจไม่ และยังคงย่ำเท้าก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์ที่คนในเมืองอย่างเขาไม่เคยได้สัมผัสกันง่าย ๆ จนเริ่มหลงใหลกลิ่นอายของท้องทุ่งโดยไม่รู้ตัว

ต้นกล้าอยู่ในชุดเครื่องแบบชาวนาเต็มยศ โดยใส่หมวกสานสีส้มสด เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตโทนสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เสื้อใส่ทำงานมาจากไหน แต่เป็นเสื้อเชิ้ตจากแบรนด์ดังที่ต้นกล้ามีติดกระเป๋ามาด้วย แล้วนึกอยากหยิบมาใส่ เพราะเห็นคนงานหลาย ๆ คนชอบใส่กันนั่นเอง ส่วนกางเกงนั้นเป็นกางเกงยีนที่ไม่น้อยหน้ากันในเรื่องของราคาและยี่ห้อ แต่เมื่อเอามาใส่ทำงานคลุกดินคลุกโคลน มันก็กลายเป็นเพียงแค่กางเกงยีนตัวหนึ่งที่ช่วงบนยังดูดี แต่ช่วงขาตั้งแต่หัวเข่าลงมาเปื้อนไปด้วยรอยเปียก โคลนดินและดอกของหญ้าเจ้าชู้ที่เกาะติดมาอยู่ประปราย ไม่ต่างจากกางเกงราคาถูกที่ชาวบ้านเขาใส่กัน ต้นกล้าเสริมความเป็นชาวนาให้ราศีจับ ด้วยผ้าขาวม้าสีสวยที่ไอ้จ๋ามันจัดหามาให้เมื่อวันก่อน ที่เขาบอกมันว่าอยากจะได้สักผืน มันก็จัดการค้นออกมาจากตู้เก็บของ ที่คุณยายประไพศรีใช้เก็บผ้าทอและผ้าต่าง ๆ เอาไว้นั่นแหละ โดยต้นกล้าให้เหตุผลถึงเรื่องของความกลมกลืนกับคนงานคนอื่น ๆ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเด็ดเดี่ยวเอามันมาเคียนเอว แล้วมันดูเท่แปลกตาเลยนะ ไม่ใช่เลยจริงจริ๊ง…

เจ้าของใบหน้าหล่อเกาหลีเดินแบกจอบไปตามความยาวของคันนา พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางที่องอาจมาดมั่น เพราะพี่สอนได้สอนเอาไว้และต้นกล้าก็จำได้ขึ้นใจ ยามลงนาลงไร่จอบเสียมหรือมีดพร้า อย่าได้ลืมถืออย่างใดอย่างหนึ่งติดไม้ติดมือไปด้วย เผื่อจะได้ใช้งาน อย่างน้อยน้ำล้นนาจะได้เอาจอบขุดเปิดทางเพื่อปล่อยน้ำออก หรือไม่อย่างนั้นก็ขุดปิดทางน้ำถ้ามันเหลือน้อยเกินไป นาจะได้ไม่แห้งก่อนที่ข้าวจะติดราก หรือเอาไว้ขุดปู ขุดหอย ขุดหน่อไม้ ติดมือกลับไปทำเป็นของกินก็ยังได้ แต่สำหรับต้นกล้าเหตุผลเดียวที่มีจอบติดมือมา ก็เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูเป็นมืออาชีพเท่านั้นแหละ ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้เอามาใช้ตอนไหน เดินผ่านหลังบ้านเห็นมันถูกจัดเรียงสลอนอยู่บนคาน แล้วให้คิดถึงคำที่พี่สอนเคยบอก ก็เลยถือติดมือมาด้วยก็เท่านั้นเอง

เดินมาจนสุดคันนาพอรู้สึกเหนื่อยและเหงื่อซึมนิด ๆ อดีตหนุ่มกรุงที่ผันตัวเองมาเป็นชาวนา ให้คิดว่าได้ออกกำลังกายบ้างแล้ว ก็พอดีที่เขามาถึงคูกั้นน้ำ เหนือคูด้านบนนั้นเป็นบ่อปลาและปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ รอบคูเอาไว้เต็มไปหมด ทั้งมะม่วง กล้วย มะละกอ มีไผ่ต้นเล็ก ๆ ปลูกเอาไว้ด้วยแต่ก็ไม่ได้ดูรกจนน่ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย ส่วนหน้าคูนั้นเป็นที่ว่างและไม่มีน้ำขัง พื้นหญ้าอ่อนขึ้นแซมดอกหญ้าเล็ก ๆ ดูสบายตาน่านอนเล่นมองพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ ต้นกล้าค่อย ๆ ไถลตัวลงคูอย่างคล่องแคล่ว แล้วทิ้งจอบที่เริ่มหนักสำหรับเขาลงไว้ที่พื้น โดยไม่ลืมคว่ำด้านที่มีคมลงดิน แล้วนั่งแหมะลงพักเอาแรง เมื่อรู้สึกสบายตัวก็เอนหลังลงนอนเล่นมันตรงนั้นนั่นเอง

“หายไปไหนของเขานะ” เด็ดเดี่ยวบ่นเบา ๆ หลังจากที่กวาดตามองไปรอบทุ่งนาที่เพิ่งจะปักดำเสร็จไปได้ไม่กี่วัน แต่มองจนทั่วก็ไม่เห็นแม้เงาของคนที่ตั้งใจมาหา มองไปยังคูสูงจากฝั่งที่เขายืนอยู่จะเห็นบ่อปลา น้ำในบ่อใสจนเห็นตัวปลาว่ายวน มีต้นไม้ปลูกเอาไว้โดยรอบทำเป็นสวน แต่ก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วก็ต้องถอนหายใจหันหลังกลับ เพราะเขามัวโอ้เอ้หรือช้ามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถึงจะมีชั่วโมงสอนตอนช่วงสาย แต่ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ดีที่เตรียมการสอนไว้ก่อนแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ชายหนุ่มก้าวถอยจากคันนาแล้วหันหลังกลับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอคนตัวเล็กก่อนไป แต่วันนี้ช่วงบ่ายทันทีที่ว่างเขาจะรีบมา เด็ดเดี่ยวทำทุกอย่างโดยไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าทำไมตัวเขานั้นต้องทำถึงขนาดนี้ แค่ทำอย่างที่ใจอยากทำ และรู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะทำมันทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชินแค่นั้นเอง

เด็ดเดี่ยวมาถึงมหาวิทยาลัยก็จวนจะได้เวลาเข้าสอนพอดี ชายหนุ่มทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งหมดชั่วโมงสอนและปล่อยนักศึกษา เขาไม่มีสอนต่อและไม่มีงานอื่นเพราะเป็นเพียงอาจารย์พิเศษที่รับงานสอนชั่วคราว เมื่อสอนเสร็จจึงเตรียมตัวกลับทันทีตามประสาคนมีนัดกับตัวเอง แต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ

“อาจารย์ฮะ”

“เรานั่นเอง ว่าไง” เด็ดเดี่ยวหันกลับมาตามเสียงเรียก ก็เจอเข้ากับร่างบอบบางอ้อนแอ้นของออเรนจ์ ที่เดินเข้ามาหาเขา พร้อมเพื่อนผู้หญิงท่าทางก๋ากั่นอีกสองคน แตกต่างจากออเรนจ์ที่ดูจะสงบเสงี่ยมน่ารักเป็นกุลสตรีทั้งที่อยู่ในร่างชาย ถึงแม้จะดูอ้อนแอ้นบอบบางก็ตามทีเถอะ เด็ดเดี่ยวเผลอมองใบหน้าน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มนั้นอยู่ตั้งนาน จนได้ยินเสียงลูกศิษย์พูดขึ้นจึงได้รู้สึกตัว

“คือหนูตามหานายจรัสชัยไม่เจอฮะ ที่อาจารย์ให้หนูจับคู่ทำรายงานด้วย อาจารย์พอจะทราบหรือเปล่าฮะว่าหนูจะติดต่อเขาได้ยังไง”

“อ๋อ ไม่ได้ถามเบอร์กันเอาไว้หรือยังไง”

“ลืมฮะ”

“อาจารย์ก็ไม่มีเบอร์เขาหรอกนะ” ออเรนจ์หน้าหมองลง เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันล่าสุดก็พยายามตามหาคู่ทำรายงานแต่ก็ไม่เจอกันสักที เวลาไม่อยากเจอละเห็นบ่อยเหลือเกิน แต่ก็เป็นเพียงออเรนจ์นั่นแหละนะที่เห็น เพราะคนไม่สนใจใครอย่างไอ้จ๋าจะมาเห็นของสวย ๆ งาม ๆ? แบบนี้ได้อย่างไร “แต่”

“..” คำว่าแต่เรียกให้ออเรนจ์เงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวัง แล้วสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกก็ทำให้ปากเล็ก ๆ สีสดฉ่ำวาวด้วยลิปกลอสรสสตรอเบอร์รี่ ถึงกับคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างมีความหวัง

“จริงเหรอฮะอาจารย์”

“จริงสิ อาจารย์จะโกหกทำไม”

“งั้นดีเลยฮะ ขอบคุณนะฮะ”

“กลับด้วยกันมั้ยล่ะ เราเป็นลูกร้านเถ้าแก่สินใช่มั้ย”

“ใช่ฮะอาจารย์”

“พอดีอาจารย์จะแวะเอาของที่ร้านไปด้วยกันก็ได้นะ”

“จริงเหรอฮะอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นออเรนจ์ไม่เกรงใจนะฮะ พวกแกฉันกลับพร้อมอาจารย์นะ”

“แหมได้กลับกับอาจารย์สุดหล่อเกือบลืมพวกฉันนะยะนังส้ม” เพื่อนสาวหนึ่งในสองแซวออเรนจ์ที่เปลี่ยนจากสาวเรียบร้อยในคราแรก กลายเป็นกระดี๊กระด๊าขึ้นมาเลยทีเดียว เมื่ออาจารย์หนุ่มรูปหล่อชวนให้กลับด้วยกัน

“ออเรนจ์ย่ะ ไปล่ะนะพวกแก” พอร่างบอบบางวิ่งไปเปิดประตูขึ้นนั่งรถฝั่งข้างคนขับ เด็ดเดี่ยวจึงพยักหน้าให้สองสาวเพื่อนของออเรนจ์ แล้วขึ้นนั่งประจำที่ตัวเองขับรถกลับด้วยอารมณ์ที่ดูเหมือนว่าจะดีเป็นพิเศษ หึ ๆ

เกือบสามสิบนาทีจากตัวจังหวัดเข้าสู่ตัวอำเภอจนมาถึงร้านของเถ้าแก่สิน ซึ่งเป็นพ่อของออเรนจ์ เด็กสาวในร่างหนุ่มน้อยรีบเปิดประตูวิ่งเข้าร้าน โดยไม่ลืมหันมาของคุณอาจารย์หนุ่มรูปหล่อของเธอก่อน

“ขอบคุณนะฮะอาจารย์ที่ให้หนูติดรถกลับมาด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ”

“นังส้มมาด้วยกันได้ยังไง” คำแพงแว้ดใส่น้องที่พึ่งลงมาจากรถของเด็ดเดี่ยว ออเรนจ์จึงรีบวิ่งเข้าบ้านโดยไม่สนใจเสียงตวาดของพี่สาวอย่างหวงก้างของคนอื่น เมื่อคำแพงที่เห็นรถของเด็ดเดี่ยวขับเข้ามาจอดหน้าร้านพอดี เลยรีบเดินออกมาต้อนรับ ด้วยหวังจะได้ทำคะแนนและใกล้ชิดชายหนุ่ม ยิ่งเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวลงมาจากรถพร้อมความเท่ เพราะยังแต่งตัวเรียบร้อย เหมือนเมื่อตอนเช้าทุกกระเบียด ยิ่งทำให้ใจดวงน้อยของสาวคำแพงเต้นไม่เป็นส่ำ “พี่เดี่ยวไปสอนมาเหรอจ๊ะ มาเหนื่อย ๆ เข้าไปนั่งรับแอร์เย็น ๆ ในร้านดีกว่า เดี๋ยวคำแพงจะเอาเบียร์เย็น ๆ มาเปิดให้ดื่ม”

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมจะมาเอาของที่สั่งไว้แล้วจะรีบไปธุระต่อ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางปลดเนกไทจากคอตัวเองออกหลวม ๆ อย่างรำคาญ ซึ่งคำแพงมองการกระทำของเขาไม่วางตา คนอะไรแค่ท่าปลดเนกไทก็เท่ แล้วถ้าคำแพงได้ปลดกระดุมเสื้อที่เกะกะลูกกะตาออก พี่เดี่ยวของคำแพงจะเท่ขนาดไหน แค่คิดตัวคำแพงก็บิดแทบจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว แต่! ไม่ได้ยังบิดไม่ได้ เพราะพี่เดี่ยวบอกว่ามาสั่งของไว้แล้ว

“พี่เดี่ยวสั่งอะไรไว้ทำไมคำแพงไม่รู้ เดี๋ยวคำแพงเช็ดให้นะจ๊ะ มา ๆ เข้ามาก่อน” คำแพงดึงแขนเด็ดเดี่ยวแล้วเกี่ยวกอดต้นแขนที่เพียงแค่สัมผัสผ่านเนื้อผ้า ก็ให้รู้สึกถึงกล้ามเนื้อล่ำ ๆ หนั่นแน่นนั้น จนเกือบเผลอซบแก้มแนบลงไปบัดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดว่าสายตาของเถ้าแก่สินผู้เป็นพ่อกำลังจ้องมองมาพอดี คำแพงก็อยากจะลองซบอกชายในฝันให้เป็นบุญแก้มดูสักครั้ง อร้าย ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกายหาผู้ชายถูกใจไม่มี..

“มา ๆ นั่งก่อนพ่อเดี่ยว คำแพงเอาบิลไปให้คนงานขนของขึ้นรถพ่อเดี่ยวเขาทีไป” เถ้าแก่สินบอกลูกสาวคนโตเสียงจริงจัง เพราะไม่ชอบให้คำแพงทำอะไรออกนอกหน้านอกตานักจะดูไม่งาม แน่นอนล่ะว่าหากได้เด็ดเดี่ยวเป็นลูกเขย ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ก็ต้องให้มีความเหมาะสม ไม่ใช่รุกหนักเหมือนที่คำแพงกำลังทำอยู่เพราะมันดูไม่ดีเอามาก ๆ

“แหมพ่อยัยส้มเช้งมาแล้ว ทำไมไม่เรียกมันมาช่วยงาน คำแพงอยากคุยกับพี่เดี่ยวนี่”

“เอาบิลไปให้คนงาน” คำแพงทำหน้าบูดแต่ก็ต้องจำใจรับบิลของจากมือพ่อที่มองตาดุอย่างไม่พอใจ

“สวัสดีครับเถ้าแก่”

“รอบนี้ได้ของครบนะ สั่งมาวันที่ของเข้าพอดีลุงเลยส่งให้เราหมด” เถ้าแก่สินบอกพลางยื่นบิลเก็บเงินให้เด็ดเดี่ยว ที่ชายหนุ่มก็ล้วงกระเป๋าสตางค์หยิบเงินออกมาจ่ายทันที

“ครับขอบคุณมากนะครับเถ้าแก่” จากนั้นทั้งสองนั่งคุยกันอยู่สักพัก คำแพงก็เดินเข้ามาบอกว่าคนงานขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงได้โอกาสลากลับ เพราะใจเขานั้นลอยไปหาใครบางคนตั้งนานแล้ว แต่ก่อนจะได้ไปเจอหน้ายังไงก็ต้องแวะเอาของที่ซื้อไปลงไว้ที่บ้านตัวเองก่อน แล้วถึงจะได้ตามหัวใจที่รออยู่บ้านอีกหลังหนึ่งไป ซึ่งมันค่อนข้างทำให้เด็ดเดี่ยวเสียเวลา หมู่นี้ไม่รู้เป็นยังไง ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจในการทำงานเลย แต่ก็ช่างเถอะถึงจะไม่มีกะจิตกะใจ ยังไงงานทุกงานมันก็ยังออกมาดีเหมือนเดิมอยู่ล่ะนะ แค่นี้ก็ไม่โดนพ่อกำนันด่าเอาแล้วล่ะไอ้เดี่ยวเอ๊ย

“เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะพี่เดี่ยว”

“หืม?” เด็ดเดี่ยวหันมาทางเจ้าของเสียงงง ๆ

“พอดีพ่อให้คำแพงเข้าไปหาลูกค้าที่บ้านทุ่งน่ะ เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวคำแพงจะแวะไปหาที่บ้านนะจ๊ะ” คำแพงพูดจบก็ส่งสายตาหวานเชื่อมพร้อมกะพริบปริบ ๆ ให้ชายหนุ่มที่เธอหมายปอง เขายิ้มทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจให้ตามมารยาท ยังไงไปก็คงไม่เจอเพราะเด็ดเดี่ยวมีที่ไปแล้ว โดยที่เขาเองก็ไม่ได้วางแผนหลบหน้าเลยจริง ๆ นะ

พอกลับมาถึงบ้านเด็ดเดี่ยวก็ตะโกนเรียกคนงานลั่น เพื่อเร่งให้มาช่วยกันขนของลงจากรถโดยไว ส่วนตัวเองแยกขึ้นห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเก่ง คือเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีน้ำเงินเข้มเผยให้เห็นไหล่กว้าง ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายน่าซุกซบ กับกางเกงยีนตัวเก่าซีดที่ดูสะอาดและรองเท้าผ้าใบ มีผ้าขาวม้าลายตารางสีสันสดใสเคียนเอวเต็มยศ

“เสร็จยังวะ ชักช้าจริง” เด็ดเดี่ยวเดินมาเห็นว่าคนงานขนของที่อยู่ท้ายกระบะรถของเขายังไม่เสร็จก็บ่น แต่ไม่จริงจังนักแล้วเข้ามาช่วย

“แหมพี่จะรีบไปไหน” คนงานคนหนึ่งถามกลับมา

“นั่นสิ แล้วนี่ไม่ออกไปดูหมูหน่อยหรือไง” และนี่เป็นเสียงของน้องสาวที่เดินมาได้ยินเข้า จึงถามพี่ชายพร้อมส่งสายตาจับผิดเต็มที่

“อะไรปกติเราเป็นคนดูไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่แต่อยากให้ไปดูช่วยไง”

“ดูเองเถอะ พี่ไม่ว่าง”

“ไปติดสาวที่ไหนบอกมาดี ๆ ” ดาวรุ่งกระแซะถามพี่ชายแหงนเงยใบหน้ามองคนพี่ที่ตัวโตกว่ามาก ด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวที่หรี่ลงอย่างจับผิด

“สาวที่ไหนไม่มี๊ อย่ามามั่ว”

“ขอให้จริงเถอะ”

“ว่าแต่พี่แล้วเราล่ะ” เด็ดเดี่ยวย้อนถามน้องสาวกลับ “ไอ้หนุ่มนั่นเป็นยังไง”

“ไอ้หนุ่มไหน”

“ครูที่พึ่งย้ายมาใหม่ไง เขามาจีบหรือยัง”

“บ้านะสิ จีบอะไรไม่พูดด้วยแล้ว” ดาวรุ่งปึงปังออกไปเมื่อพี่ชายถามย้อนเข้าตัวเอง เด็ดเดี่ยวทันเห็นว่าใบหน้ารูปไข่ของเจ้าตัวซับสีแดงขึ้นมาระเรื่อ เมื่อเขาพูดถึงครู่หนุ่มจากต่างจังหวัดที่พึ่งย้ายมาใหม่ เด็ดเดี่ยวเคยเจอครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงต้อนรับ ส่วนดาวรุ่งน้องสาวของเขา พอเรียนจบก็เลือกสอบเข้าบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน เพราะไม่อยากไปทำงานที่ไหนไกล ๆ นอกจากจะได้อยู่ใกล้บ้านดูแลพ่อและพี่ชายแล้ว จิตสำนึกรักบ้านเกิดของเธอก็แรงไม่แพ้พ่อกำนันและพี่ชายของตัวเองเลย

“พี่ ๆ เสร็จแล้วจะออกไปเลยมั้ยเนี่ย” เสียงคนงานดังขึ้นด้านหลังเด็ดเดี่ยวจึงหันกลับไปมอง เห็นไอ้ดำที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้จ๋ายืนทำหน้าทะเล้นเช็ดเหงื่อไคลอยู่

“เออ ขอบใจไปล่ะ”

“สงสัยติดสาวอย่างที่พี่รุ่งว่าจริง ๆ ว่ะ สาวบ้านไหนอะพี่” ไอ้ดำถาม หน้าตาของมันบ่งบอกความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะนัยน์ตาของมันที่เป็นประกาย

“ก็บอกไม่มีไงวะ”

“ไม่น่าเป็นไปได้” ไอ้ดำเปรยพลางเอามือกอดอกทำท่าวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จากที่สังเกตเห็น ราวกับว่าตัวมันเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วเอามาปะติดปะต่อเหมือนกับว่านี่คือปัญหาระดับชาติ “เช้าออกบ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันได้ตื่น กว่าจะกลับก็หลังตะวันตกดินไปแล้ว บ้านก็อยู่ไม่ค่อยติดเหมือนเมื่อก่อน ผมว่าดูท่าลุงกำนันคงได้ลูกสะใภ้เร็ว ๆ นี้แน่ฮ่า ๆ อุก!” ไอ้ดำคนงานของเด็ดเดี่ยวอุทานออกมาเพราะความจุกที่โดนถีบเบา ๆ จนหงายหลังขาชี้ฟ้า โทษฐานที่ล้อเลียนลูกพี่ใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษแต่ไม่จริงจังนัก ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป



ตลอดเส้นทางเด็ดเดี่ยวไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจาก ตอนนี้ต้นกล้ากำลังทำอะไรอยู่ วันนี้ทั้งวันคนตัวเล็กจะไปไหนทำอะไรบ้าง ข้อเท้าที่วันนี้ยังไม่ได้ประคบให้จะเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลง หรือจะคิดถึงกันบ้างไหม คิดไปคิดมาจนมาถึงเรื่องที่พึ่งโดนแซวก่อนออกมาจากบ้าน หรือว่าเขาจะเป็นเอามากอย่างที่น้องสาวและไอ้ดำมันตั้งขอสังเกตเอาไว้ ก็ไม่นะ ถ้าจะว่าไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเมื่อก่อนเขาก็ไปนั่นมานี่ออกบ่อย ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เพียงแค่ตอนนี้มันบ่อยยิ่งกว่าเก่า และนานยิ่งกว่าเก่า บางทีก็หายไปทั้งวันแค่นั้นเอง ความเร็วของรถที่เร่งให้ทันใจตัวเอง พาชายหนุ่มมาถึงที่หมายได้หลังจากนั้นไม่นาน แต่เมื่อเห็นรถที่จอดอยู่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ ติดตัวหนังสือข้างรถเป็นชื่อร้านขายอุปกรณ์การเกษตรที่อยู่ในตัวอำเภอ ใจเด็ดเดี่ยวก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเหี่ยวแฟบลงไปในทันที นี่เขาอุตส่าห์รีบออกจากบ้านมา เพราะกลัวหญิงสาวจะไปดักที่บ้าน แล้ว ไยต้องมาเจอที่นี่อีกนะ ไอ้จะเลี่ยงจริง ๆ มันก็เลี่ยงก็ปัดได้ แต่เขาเองก็เป็นสุภาพบุรุษ ไอ้ครั้นจะหักหาญน้ำใจหญิงกันมากนักก็หาทำได้จะไม่งาม ทั้งที่ก็ทำอยู่ทุกทีที่เจอไม่เคยเว้น เอาตรง ๆ ก็คือรำคาญนั่นแหละไม่ต้องบรรยายให้มากความ



“นี่เป็นปุ๋ยสูตรใหม่ เหมาะจะใส่นาข้าว ใส่แล้วข้าวงามโตไว ยิ่งพึ่งดำเสร็จใหม่ ๆ นะจ้ะนี่เหมาะเลย ใส่ไปเลยไร่ละห้ากระสอบรับรองข้าวติดเร็วโตไวรวงใหญ่ได้ผลผลิตเยอะ” เด็ดเดี่ยวแทบเต้นผางเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของคำแพงเสนอขายปุ๋ยให้เจ้าของบ้าน ซึ่งถ้าใส่ตามที่หญิงสาวบอกข้าวคงได้เค็มตายพอดี หญิงสาวคงเห็นว่าเจ้าของบ้านดูท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนักนั่นแหละ เลยกะจะทำยอดขาย

“เหรอครับ” เด็ดเดี่ยวได้ยินเสียงของต้นกล้าถามเหมือนสนใจ

“ใส่ปุ๋ยให้ดินแล้วก็ต้องเพิ่มวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงพืชให้ยอดจ้ะ และนี่เลย” ปึง! เสียงเหมือนของหนักบางอย่างถูกวางลงที่แคร่อย่างแรง “วิตามินชนิดพิเศษสำหรับใช้ฉีดในนาข้าว นี่ยังใช้ฉีดในไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อยได้ด้วย เห็นว่าพึ่งดำนาเสร็จใช่มั้ยจ้ะ เอาไปเลยฉีดให้ทั่วผสมน้ำฉีดให้ชุ่ม รับรองข้าวงามติดไว้ตั้งท้องเร็ว ต้นงี้สูงท่วมหัวเลยทีเดียวล่ะเจ้าข้าเอ๋ย”

“อ่อ ครับ” เสียงต้นกล้ารับคำอย่างสนใจอีกครั้ง พลางหยิบขวดยาที่หญิงสาวบอกว่ามันเป็นวิตามินบำรุงอาหารเสริมพืชขึ้นมาอ่านฉลากข้างขวด

“แล้วนี่ค่ะคุณเอ๋ย ยาปราบศัตรูพืชจ้ะ พืชในที่นี้หมายถึงพืชที่เราปลูกนะค้า อันไหนที่เราไม่ได้ปลูกแต่มันดันงอกขึ้นมาให้ถือว่าเป็นศัตรูพืชซะให้หมด และต้องกำจัดมันจ้ะ โดยตัวนี้เลย” ปึง! “ยาปราบศัตรูพืชสูตรพิเศษชนิดเข้มข้นสำหรับฉีดได้ทุกที่ทุกเวลาที่คุณรำคาญวัชพืช”

“แล้วทำไมเราต้องฉีดมันล่ะครับ”

“อร้าย ไม่ฉีดมันก็มาแย่งอาหารของพืชที่เราปลูกไปกินหมดสิจ๊ะ แล้วปุ๋ย แล้ววิตามินที่เราให้ไปมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ นี่ไงถึงต้องกำจัดมันให้สิ้นซากซะ”

“อ๋อ” ต้นกล้าลากเสียงรับยาวพลางพยักหน้าเหมือนกำลังทำความเข้าใจ

“สนุกกันใหญ่เลยนะ” เด็ดเดี่ยวจำต้องแสดงตัวเข้ามาแทรกเมื่อเห็นต้นกล้ามีท่าทางสนใจ

“อุ้ย พี่เดี่ยวรู้ได้ยังไงว่าคำแพงอยู่นี่” คำแพงรีบลุกขึ้นมาเกาะแขนล่ำ ๆ ของเด็ดเดี่ยวอย่างดีใจจนออกนอกหน้า เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าชายหนุ่มตามมาหา

“ผมเปล่าครับ พอดีมาธุระแถวนี้” เด็ดเดี่ยวแกะมือเล็กของหญิงสาวออกจากแขนตัวเองเนียน ๆ เมื่อต้นกล้าหันมามองแล้วทำปากเบ้ส่งมาให้ก่อนจะหันไปทางอื่น

“แล้วมันจะบังเอิญมาเจอคำแพงที่นี่ได้พอดีเลยเหรอถ้า....”

“ผมมาที่นี่เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว และวันนี้ก็ไม่ได้ตามคำแพงมาเข้าใจนะครับ” เด็ดเดี่ยวพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่คำแพงจะพูดจบ พลางเหลือบสายตาไปมองคนตัวเล็ก ที่กำลังทำเป็นสนใจอ่านฉลากบนขวดยาปราบศัตรูพืช ที่หญิงสาวเพิ่งจะเสนอขายให้เหมือนสนใจนักหนา ทั้งที่หูนั้นตั้งใจฟังบทสนทนาของสองหนุ่มสาวในแบบที่เรียกว่า หูผึ่ง กันเลยทีเดียว “ขายต่อสิครับ”

“ตกลงว่าสนใจทั้งหมดเลยหรือเปล่าจ๊ะ นี่เรามีบริการส่งถึงที่เลยนะ ฟรีจ้ะส่งฟรี” คำแพงหันมาทำธุรกิจกับต้นกล้าต่อ ซึ่งโดยปกติที่เธอมามักจะเจอกับคุณยายประไพศรีนั่นทำยอดได้ไม่เท่าไหร่ แต่วันนี้มาถามหาคุณยายกลับเจอหนุ่มหล่อหน้าใส อย่างกับดาราเกาหลี ที่ถึงจะทำให้ใจของสาวคำแพงเขวไปบ้างเมื่อแรกเจอ แต่ความขาวใสสไตล์โอปป้าเกาหลีนั่น ไม่ตราตรึงใจสาวคำแพงเท่าความคมเข้มคร้ามแดดแบบผู้ชายลุย ๆ อย่างพี่เดี่ยวของเธอ คำแพงจึงกลับไปเทคะแนนในหัวใจให้พี่เดี่ยวแต่เพียงคนเดียว และยกให้เป็นที่หนึ่งเหมือนเดิม

“ผมสนใจนะครับแต่คงขอถามคนงานดูก่อน เพราะไม่รู้ว่าเขาจัดการเรื่องนี้กันยังไง” ต้นกล้าบอกปัดแบบเลี่ยง ๆ อย่างมีมารยาท เพราะหลายอย่างที่หญิงสาวโอ้อวดสรรพคุณนั้น เขาหาได้เห็นด้วยไม่ นอกจากมันจะเกินจริงมากไปแล้วเขายังไม่เห็นด้วยจากสิ่งที่หญิงสาวบอก แม้ว่าจะเป็นชาวนามือใหม่ แต่อย่างน้อย ๆ ต้นกล้าก็เคยเรียนมาล่ะนะวิชาเกษตรตอน ม.ต้น

“ว้าย เป็นเจ้าของนา ทำไมต้องไปถามคนงาน”

“เพราะผมพึ่งมาอยู่ ยังไม่รู้ว่าเขาใช้ปุ๋ยใช้ยาอะไร ยังไงถ้าสนใจผมจะให้คนงานพาเข้าไปสั่งที่ร้านนะครับ ร้านอยู่ในตัวอำเภอคนงานน่าจะรู้จักดี” เด็ดเดี่ยวยืนฟังต้นกล้าพูดเงียบ ๆ คำแพงหน้าเสียกับคำปฏิเสธ เพราะแรกเริ่มเดิมทีนั้นเห็นว่าต้นกล้ามีท่าทางสนใจ เธอก็คิดว่าจะได้หมูในอวยอยู่แล้ว แต่ทำไมพอจะปิดการขายดันจะไม่เอาเสียนี่ ขัดใจจริง ๆ





เลื่อนๆๆ ลง เลื่อนลง

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“แต่สั่งเผื่อไว้ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะให้เด็กที่ร้านมาส่งเย็นนี้เลย ช่วงนี้คนใช้ปุ๋ยใช้ยาเยอะ ของขาดมากช้าหมดก่อนน้า”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาขายให้ถึงที่เลย” ต้นกล้ายิ้มบาง ๆ ให้แม่สาวนักขาย เขาเบื่อที่จะปั้นหน้าเต็มที ปกติก็เป็นคนขี้รำคาญและไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว พอโดนลูกตื้อเลยเริ่มจะทำหน้านิ่งให้ดูหล่อ ๆ ไม่ไหว

“แต่ว่าจะไม่สั่งสักหน่อยเหรอจ๊ะ สั่งก่อนจ่ายทีหลังก็ได้นะ..” ไม้ตายสุดท้ายที่ทำให้หลายคนยอมเปลี่ยนใจมาแล้ว แต่มันไม่ได้ผลกับต้นกล้าแน่ เพราะเขาไม่ได้สนใจมันจริง ๆ

“ไม่ล่ะครับ”

“แต่ว่า..”

“ผมว่าคำแพงกลับไปก่อนดีกว่านะครับ”

“อ๊าย พี่เดี่ยวทำไมพูดแบบนี้”

“ครับ นี่ก็เย็นมาแล้วขับรถกลับค่ำ ๆ มืด ๆ จะลำบากมันอันตราย”

“พี่เดี่ยวไปส่งคำแพงก็ได้นี่จ้ะ”

“ผมไม่ว่างหรอกครับ คำแพงรีบกลับก่อนเถอะ”

“พี่เดี่ยวไล่คำแพงเหรอ คอยดูนะ ฮึ่ย” สาวคำแพงกระฟัดกระเฟียดออกไปจากตรงนั้น ซึ่งเด็ดเดี่ยวแอบเห็นต้นกล้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อลับหลังหญิงสาวที่หอบข้าวของ และอุปกรณ์การขายของเธอออกจากบ้านไปอย่างไม่พอใจ

“นึกว่าจะซื้อซะแล้ว” บอกพลางเดินมานั่งลงใกล้คนตัวเล็กที่ขยับออกห่างทันทีเช่นกัน

“ซื้อทำไม”

“ก็เห็นตั้งใจฟังเขาออกอย่างนั้น”

“ก็แค่อยากรู้”

“แล้วไม่คิดจะสั่งปุ๋ยมาใส่ข้าวหรือยังไง ไม่อยากให้ข้าวงามเหรอ”

“ถ้าต้องใส่ปุ๋ยข้าวไร่ละห้ากระสอบ ชาวนาคงได้จนกันทั้งประเทศ เพราะจ่ายค่าปุ๋ยนี่แหละ” ต้นกล้าหัวเราะขำพรืดออกมาเมื่อคิดถึงตอนที่คำแพงบอกเขา

“รู้นี่”

“เรื่องพื้น ๆ ใครจะไม่รู้”

“เก่งมาก”

“ชิ” คำว่าเก่งมากเกือบจะทำให้ต้นกล้าเผลอยิ้มออกมาแล้วนะ ดีที่เม้มปากห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน จึงแสร้งทำเป็นนิ่งแล้วมองไปทางอื่น แต่ไอ้มุมปากเจ้ากรรมนี่มันทำไมถึงได้บังคับยากจังเลยวะ ทำไมมันคอยแต่อยากจะยกขึ้นยิ้มอยู่อย่างนั้น นี่ก็เม้มไว้จนเจ็บริมฝีปากไปหมดแล้วนะเว้ย แต่เพราะเสียงอ่อนโยนของคนตัวโตตอนพูดคำว่า ‘เก่งมาก’ มันยังดังก้องอยู่ในหัวนี่ล่ะสิ ที่ทำให้ต้นกล้าอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ อันที่จริงถ้าต้นกล้าไม่ได้ใช้เวลาว่างก่อนเข้านอน เปิดอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือ เพื่ออ่านบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำเกษตร การปลูกข้าวบ้าง ก็คงหลงเชื่อและสั่งซื้อของเหล่านั้นไปแล้ว ยังดีที่เขายังรู้จักหาข้อมูลเสริมความรู้ให้ตัวเองอยู่บ้าง นอกจากการเล่นโซเซียลและถ่ายรูปลงความเคลื่อนไหว ในการเป็นชาวนาลงเฟชบุ๊คของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เริ่มมีคนสนใจและติดตามเขาอยู่มากพอสมควร



“แหะ ๆ ”

“...”

“..” ไอ้จ๋าที่โผล่มาพอดีพร้อมกับถังน้ำพลาสติกใบใหญ่ที่หิ้วอยู่ในมือหัวเราะแห้ง ๆ มันมองหน้าลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาคนนั้นทีคนนี้ทีตาปริบ ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายอย่างไร เพื่อแก้ความเก้อเป๋อเปิ่นของตัวเอง ที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเจอฉากงง ๆ ในแบบที่มันเองไม่รู้จะขัดยังไงเหมือนทุกที โดยที่ระหว่างลูกพี่ทั้งสอง คนหนึ่งหันหน้าหนีไปอีกทาง ส่วนลูกพี่อีกคนที่ตัวโตกว่าก็พยายามหันตาม

“ลูกพี่” มันเรียกเบา ๆ แล้วเว้นช่วงเพื่อชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ต้นกล้าขึ้นอีก ตาเจ้าเล่ห์มีแววสนุกซุกซนกวาดมองใบหน้าใส ๆ จนทั่วแล้วจึงเอ่ยถาม “ทำไมหน้าแดงครับ หรือว่าจะไม่สบาย”

“ฉันสบายดีโว้ย”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ นั่งเอียงตัวแบบนั้นไม่เมื่อยแย่เหรอครับ” มันหันไปเล่นเด็ดเดี่ยวที่พยายามนั่งเอียงตัวมองตามทางที่ต้นกล้ากำลังมองออกไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเขากำลังพยายามส่องดูหน้าต้นกล้าที่หันหนี ซึ่งเมื่อถูกไอ้จ๋าทักชายหนุ่มถึงได้ดึงตัวเองกลับมานั่งในท่าตรงเหมือนเดิม

“เออ ไปไหนมาวะจ๋า”

“ไอ้จ๋าไปหาปลามาครับ นี่ได้ค่อใหญ่มาตัว”

“หืม” ต้นกล้าทำเสียงเป็นคำถามในลำคอประกอบกับคิ้วที่ขมวดมุ่น เมื่อได้ยินสิ่งที่ไอ้จ๋าบอก

“นี่ไงครับลูกพี่” เมื่อเห็นต้นกล้ามีท่าทางสงสัย มันจึงเอียงถังน้ำพลาสติกที่อยู่ในมือมาให้ต้นกล้าดู

“ปลาช่อน “

“ครับลูกพี่ต้มส้มอีกเย็นนี้แซบสะแด่วแน่นอน”

“แล้วไหนค่อใหญ่ของแกวะ”

“เอ้า ก็ไอ้ดำนี่ล่ะครับลูกพี่ปลาค่อใหญ่ของชาวอีสานบ้านเรา หรือปลาช่อนที่ภาษากลางเข้าเรียกกัน”

“อ๋อเหรอ” ใบหน้าหล่อเกาหลีดูเหลอหลา แต่ก็พยักหน้ายอมรับที่ได้เรียนรู้ศัพท์คำใหม่

“หึหึหึ “ต้นกล้าอดไม่ได้ที่จะหันไปทางต้นเสียง เมื่อเด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอกับสิ่งที่เขาพึ่งจะได้รู้

“แล้วนี่ทำไมมานั่งจู๋จี๋กันเงียบ ๆ อยู่นี่ได้ล่ะครับ ไม่มีอะไรทำเหรอครับลูกพี่เดี่ยว”

“เปล่าไม่ได้จู๋จี๋ เฮ้ย “!!

“ไอ้จ๋า/ไอ้จ๋า” !!

“ฮ่า ๆ ไปละเดี๋ยวรอกินต้มปลาค่อใหญ่เด้อทั้งสองคน” ไอ้จ๋าหัวเราะร่าวิ่งออกไปแล้วถึงได้หันกลับมาตะโกนบอกลูกพี่ทั้งสองของมัน ที่ยังนั่งจับต้นชนปลายไม่ถูก กับคำพูดของไอ้จ๋าที่ทิ้งเอาไว้ให้ จู๋จี๋อย่างนั้นเหรอ บ้าที่สุดผู้ชายสองคนจะจู๋จี๋กันได้ยังไง เดี๋ยวเจออีกทีจะสั่งสอนให้น่วม ต้นกล้าคิดเข่นเขี้ยวคาดโทษไอ้จ๋าเอาไว้ในใจ แล้วหันไปมองเด็ดเดี่ยวตาขวางยิ่งกว่าผีเข้า ที่เขาก็ดูเหมือนจะตามไม่ทันคำพูดของไอ้จ๋าเหมือนกัน

“อย่ามองพี่แบบนั้นสิ”

“เราจะมอง”

“มันน่ากลัว”

“กลัวก็กลับบ้านไป”

“ยังไม่อยากกลับ”

“จะมานั่งจู๋จี๋ อุ๊ป “! ต้นกล้าแทบปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ทัน เมื่อคิดว่าที่อีกคนไม่กลับคงเพราะอยากจะนั่งจู๋จี๋กัน ทำไมปากมันถึงไวกว่าความคิดวะ

“หึ ๆ ได้มั้ยล่ะ “

“บ้าบอที่สุดไปไหนก็ไปเลย” ไม่รู้ทำไมอยู่ดี ๆ เสียงมันถึงได้แผ่วลง แถมยังไม่กล้าสบตาวิบ ๆ ที่มองมาเอาเสียดื้อ ๆ แบบนี้

“อย่าพึ่งไล่ดิเพราะพี่ไม่ไปหรอก เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรดี ๆ “

“เราไม่ไป”

“น่าไปด้วยกันหน่อย เกี่ยวกับงานนะไม่ใช่เรื่องไร้สาระ สัญญาวันนี้พี่ไม่แกล้งด้วยเอ้า”

“..” เมื่อพูดเรื่องแกล้งทำให้ต้นกล้ามองหน้าเด็ดเดี่ยวอย่างจับผิด ดวงตากลมโตสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังหาพิรุธจากอีกคน

“แน่นะ”

“ครับ ปะไปกันเถอะเดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน” เด็ดเดี่ยวลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปให้ต้นกล้า แต่คนตัวเล็กกว่ากลับมองเมินมันแล้วลุกขึ้นเอง

“จะพาเราไปไหน”

“ไปถึงเดี๋ยวรู้เอง รอแปบ” บอกแล้วเดินไปทางหลังบ้าน ไม่นานเด็ดเดี่ยวก็กลับมาพร้อมจักรยานหนึ่งคัน

“นี่คือ..” ?

“จักรยาน”

“เรารู้ แต่เอามาทำไม อย่าบอกนะว่าจะขี่เจ้านี่ไป”

“ใช่แล้ว เดี๋ยวพี่พาขี่กินลมชมวิว”

“มีคันเดียวเหรอ”

“ครับ”

“แน่ใจเหรอว่ามันจะรับน้ำหนักเราได้”

“สบายมากไม่ต้องห่วง เอ้าขึ้นมาเร็ว “ต้นกล้าคิดหนักขณะที่เดินเข้าไปใกล้ ๆ จักรยานคันเก่า ที่มีเด็ดเดี่ยวขึ้นนั่งคร่อมรอท่าพร้อมพาลุยอยู่แล้ว

“ดี ๆ นะ”

“เกาะแน่น ๆ ละกันเดี่ยวพี่พาแว๊น”

“เฮ้ย อย่าเร็ว” ต้นกล้าเผลอร้องเสียงหลง เมื่อเขาวาดขาข้ามที่ซ้อนท้ายยังไม่ทันได้นั่งลงดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็ออกแรงถีบรถให้วิ่งออกไปแล้ว จนเขาแทบคว้าจับชายเสื้อของคนตัวโตเอาไว้แทบไม่ทัน



%%%%%%%%



“แม่วันนี้ไอ้จ๋ามีของมาฝาก” ไอ้จ๋าเรียกแม่แจ่มใจเสียงดังอย่างตื่นเต้นอารมณ์ดี หลังจากที่ได้กวนอวัยวะเบื้องล่างของลูกพี่ทั้งสองมาหมาด ๆ

“อะไรของฝาก ทำไมต้องเสียงดัง”

“ของฝากของดีแม่ นี่ไง”

“โหตัวใหญ่มาเชียวจะทำอะไรกินล่ะ”

“ต้มส้มใบมะขามอ่อนนะแม่ไอ้จ๋าอยากกิน”

“เออได้ ว่าแต่มีเพื่อนมาหาแนะ”

“หืม ใครเหรอแม่” ไอ้จ๋าให้รู้สึกสงสัยเป็นยิ่งนัก จึงแสดงออกมาทางใบหน้าที่คล้าย ๆ กับหมางงเต็มที่ ตามแบบฉบับของมัน เพราะโดยส่วนใหญ่เพื่อนที่มาหาก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าจะเจอมันได้ที่ไหน แต่นี่มารอที่บ้านมันจึงนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

“อยู่คอกไก่นู่นแหนะไปดูเพื่อนไป”

“มันไปทำอะไรที่คอกไก่”

“บอกรออยู่ว่าง ๆ ชักเบื่อเลยอาสาช่วยให้ข้าวไก่น่ะ ไป ๆ เพื่อนมารอนานแล้ว” เมื่อแม่แจ่มใจรับถังปลาจากมือไอ้จ๋าและดันหลังให้มันเดินไปทางเล้าไก่ ไอ้จ๋าจำต้องไปเพื่อคลายความสงกะสัยให้ตัวเอง เห็นแต่หลังไกล ๆ ไม่รู้จะเดาว่าเป็นใครจึงก้มหน้าก้มตารีบเดินลัดแปลงผักไปหา เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาคนนั้นคือ.....

“เฮ้ย ยัยตุ๊ดเผือกมาได้ไงวะ”

“ก็นายไม่ยอมเอางานไปให้ฉันนี่ มันจะครบกำหนดแล้วนะ”

“ก็ยังไม่ครบปะ”

“แต่มันครบอาทิตย์หนึ่งที่บอกเอาไว้แล้วนะว่าเอางานมารวมกัน”

“เออ ๆ ช่างเถอะ แล้วมาได้ไง รู้จักบ้านเราได้ไงวะ”

“ฉันเก่งไง”

“เก่งตายล่ะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิจะไปไหน” ออเรนจ์ร้องถามเมื่อไอ้จ๋าสะบัดหน้าให้แล้วเดินหนีกลับไปทางตัวบ้าน

“จะอยู่ให้ไก่ขี้ใส่หัวหรือไง ให้ข้าวมันเสร็จก็มาดิ”

“ผู้ชายอะไรหยาบคาย”

“แล้ว..” ไอ้จ๋าหันกลับมามองออเรนจ์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนจะหาเรื่อง ทำให้เจ้าของร่างบอบบางเผลอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ นึกหวั่นใจพลางก้าวถอยหลัง

“อะไร”

“แล้วเธอล่ะผู้ชายแบบไหน”

“แบบไหนมันก็เรื่องของฉัน” ออเรนจ์ก้มหน้าลง เพราะคำถามและสายตาของไอ้จ๋าทำเอาคนหน้าสวยเสียความมั่นใจไปเยอะ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าไอ้จ๋าเดินไปถึงตัวบ้านแล้วจึงรีบวิ่งตามไป

“นี่นายรอด้วยสิ”

“ก็จะมาอยู่แล้วจะให้รอทำไม”

“โอ๊ยเหนื่อย นายไปไหนมาฉันมารอตั้งนานแล้วนะ”

“แล้วจะมารอทำไม เดี๋ยวไปเรียนก็เจอกันแล้ว”

“ก็ฉันกลัวนายไม่ไปนี่” ไอ้จ๋าหันกลับมามองอย่างหัวเสียเล็กน้อยที่โดนตามมาทวงงานถึงบ้าน วันนั้นก็นึกว่าอีกคนจะพูดไปอย่างนั้นเอง มันไม่คิดเลยว่าจะมาจริง ๆ

“ไม่คิดว่าจะตามมารังควานกันจริง ๆ “

“นี่ฉันไม่ได้มารังควานนะ ฉันแค่มาเอารายงาน”

“ยังไม่เสร็จ”

“ห๊า อย่ามาล้อเล่นนะนายจ๋า นอกจากที่เราแบ่งกันทำแล้ว ตอนเอามารวมกันมันยังมีเนื้อหาที่ต้องเพิ่มเข้าไปอีกเยอะเลยนะ นี่นายยังทำไม่เสร็จ มันเวรกรรมอะไรที่ฉันต้องได้มาจับคู่กับนายเนี่ย”

“ถ้าอยากให้เสร็จก็อยู่ช่วยกันทำสิ”

“แต่นี่มันส่วนของนายนะ”

“อยากมีงานส่งมั้ย”

“ก็ได้” ไอ้จ๋าแอบยิ้มเยาะในใจเมื่อมันหาทางแกล้ง ให้เจ้าของร่างขาวที่ดูบอบบางตกลงช่วยงานมันได้ “เดี๋ยวฉันเดินไปบอกพี่ก่อนนะ ฉันติดรถมากับพี่สาวน่ะ”

“แล้วตอนนี้พี่เธออยู่ไหน”

“อยู่บ้านหลังใหญ่นู้นไง” ออเรนจ์ทำปากแดง ๆ บุ้ยใบ้ไปทางบ้านไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรี ทำให้ไอ้จ๋ามองตามงง ๆ เพราะเมื่อสักครู่ที่มันแวะไป ก็ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากลูกพี่ทั้งสองของมัน แต่ด้วยความอยากรู้ว่ายัยตุ๊ดเผือกจะทำยังไงก็เลยแกล้งบอก

“เหรอ งั้นเดินไปบอกสิ”

“ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ”

“ขี้เกียจ”

“ใจร้าย ไม่เป็นสุภาพบุรุษ”

“เอ๊า อยู่ดี ๆ โดนด่าเฉยเลยเว้ย ไปก็ไปซะทีสิ”

“ชิ” ออเรนจ์เดินไปแล้วไอ้จ๋าก็ได้แต่ชะเง้อคอมองตาม แต่ก็ไม่ยอมลุกจากแคร่ตามไปจนกระทั่ง

“โอ๊ย อะไรอ่าแม่มาหยิกไอ้จ๋าทำไมเนี่ย”

“เพื่อนบอกให้พาไปทำไมไม่พากันไป”

“ก็ตอนมามันยังมาเองได้อะแม่ แล้วก็นะยัยตุ๊ดเผือกนั่นน่ะมันไม่ใช่เพื่อนของไอ้จ๋าจริง ๆ หรอก เป็นแค่เพื่อนจับคู่ทำรายงานด้วยกัน”

“อะไรไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแค่เพื่อนจับคู่ทำรายงาน มองยังไงก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดีนั่นแหละ”

“เออน่าแม่ก็ ไม่มีอะไรหรอก”

“แล้วก็เรียกเพื่อนให้มันดี ๆ หน่อย น้องเขาชื่อออเรนจ์ไม่ใช่เหรอ”

“ชื่ออะไรก็ช่างมันเถอะแม่ เรียกยาก นั่นไงมันวิ่งกลับมาแล้ว ว่าไง” ไอ้จ๋าบอกแม่แล้วหันไปถามออเรนจ์ที่วิ่งเข้ามาถึงพอดี

“จ๋า พี่เราไปแล้ว ไม่มีใครอยู่บ้านนั้นเลยสักคน รถก็ไม่มี” ออเรนจ์บอกไอ้จ๋าด้วยสีหน้าตกใจ ขอบตาเริ่มแดงอย่างน่าสงสาร

“แล้วบอกพี่เขาว่ายังไงละลูก ทำไมพี่เขาไม่มาตามเราก่อนไป”

“ก็บอกว่ามาหาเพื่อนบ้านอยู่ตรงนี้ฮะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่ให้ไอ้จ๋าไปส่งก็ได้”

“อ้าวแม่” แม่แจ่มใจส่งสายปรามไอ้จ๋าที่มันร้องประท้วง เมื่อแม่บอกจะให้มันเป็นคนไปส่ง แต่พอเหลือบไปเห็นออเรนจ์ที่น้ำใส ๆ เอ่อคลออย่างคนขวัญเสียก็พูดไม่ออก จึงได้แต่บอกเสียงอ่อย “รถไม่อยู่นะแม่อย่าลืม”

“แล้วนี่บ้านอยู่ไหนล่ะลูก”

“ในตัวอำเภอฮะ”

“เอ๊ะ ถ้าจำไม่ผิดเราเป็นลูกเถ้าแก่ร้านปุ๋ยหรือเปล่า” เมื่อเห็นออเรนจ์พยักหน้ารับไอ้จ๋ามันจึงพึ่งนึกได้ เพราะก็เคยไปซื้อของที่ร้านนี้อยู่บ้างแต่ไม่ค่อยเห็นกัน แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่สิตอนนั้นยัยนี่เกือบเดินชนมัน ไหนจะยังต้องมาจับคู่ทำรายงานส่งด้วยกันอีก แล้วยังจะมาทำท่าจำมันไม่ได้นะ ยัยตุ๊ดเผือกเอ๊ย!

ยัยตุ๊ดเผือกเอ๊ย!

“โทรหาพี่แล้วเหรอ”

“โทรแล้วฮะแต่พี่คำแพงไม่รับสาย” พูดจบปากแดง ๆ นั่นก็คอยแต่จะแบะออก เมื่อคิดถึงหน้าพี่สาวของตัวเอง ที่อ้อนวอนแทบตายกว่าจะยอมให้มาด้วยแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ที่กลับก่อนนี่ก็คงกะทิ้งเอาไว้ที่นี่ พี่คำแพงไม่เคยรักน้องคนนี้จริง ๆ พอคิดมาถึงตรงนี้หยดน้ำใส ๆ ก็ไหลตกลงมาสองแก้มอย่างน่าสงสาร

ต่อล่างเลยจ้า

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“เอ้า โดนพี่ทิ้งแค่นี้อย่าร้องสิ ไหนใครบอกจะอยู่ช่วยทำงาน”

“ก็เราโดนทิ้งจริง ๆ พี่คำแพงตั้งใจทิ้งเรานี่”

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวแม่ให้ไอ้จ๋าไปส่ง ดูเพื่อนดี ๆ นะจ๋าแม่จะเข้าสวน” แม่แจ่มใจบอกพลางลูบหลังออเรนจ์ปลอบเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไป คนที่ร้องไห้เงียบ ๆ เลยสะอึกสะอื้นออกมาอีก

“เงียบน่า “ขอบตาแดงที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำใส ๆ กับขนตายาวงอนงาม เล่นเอาใจไอ้สุภาพบุรุษหน้าดำแป้วไปเลยทีเดียว ยิ่งมองมันยิ่งให้รู้สึกสงสาร ไอ้เรื่องที่อยากกวนอยากแกล้งเลยลืมไปเสียสิ้น แหมกะจะแกล้งให้อยู่จนค่ำเลย กลับกลายเป็นว่าอีกคนถูกทิ้งเอาไว้เสียอย่างนั้น “ปะงั้นไปทำงานช่วยกัน”

“เดี๋ยว ๆ ไปทำที่ไหน” ออเรนจ์ขืนตัวเองเอาไว้ เมื่ออยู่ ๆ ไอ้จ๋าก็ชวนไปทำงานจนปรับอารมณ์ตามไม่ทัน โดยเฉพาะมือหยาบกร้านของมัน ที่คว้าหมับดึงเอาข้อมือเล็กให้เดินตามไปด้วยนี่สิ มันเล่นเอาออเรนจ์ใจเต้นโครมครามขึ้นมาทันทีเลย ดีที่หน้าแดงอยู่ก่อนแล้วเพราะร้องไห้ ไม่งั้นคงได้โดนล้อเป็นแน่แท้

“ก็ไปช่วยกันทำรายงานไง”

“ทำที่ไหน”

“เอ๊า ที่ห้องไงงานอยู่ในห้อง”

“ห้องนายเหรอ”

“เออดิ”

“!!”



%%%%%%%%%%%%





“โอ๊ย ขี่ให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”

“นี่พี่ขี่ดีที่สุดแล้วนะ ทางมันไม่ดีต่างหากล่ะ”

“แล้วทำไมต้องมาทางนี้ด้วยล่ะ”

“ก็ทางนี้มันเป็นทางลัดที่ใกล้ที่สุด”

“แล้วจะพาไปไหน”

“นั่งดี ๆ กอดเอวพี่เอาไว้เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” ไม่พูดเปล่าเด็ดเดี่ยวจับมือของต้นกล้าข้างหนึ่ง ที่จับชายเสื้อของเขามาเกี่ยวรอบเอวตัวเองหน้าตาเฉย

“วุ้ย ทำอะไรเนี่ย” ถามเมื่อดึงมือตัวเองกลับแต่มือใหญ่ก็กุมเอาไว้แน่นไม่ปล่อย

“พี่กลัวต้นกล้าตก”

“ใครจะโง่ปล่อยให้ตัวเองตกได้เล่า”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอนึกอยากแกล้งคนที่กำลังนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง แต่พอคิดว่าช่วงนี้เขาเล่นแกล้งคนตัวเล็กหนักมากไปแล้ว เลยได้แต่หยุดความคิดห่าม ๆ ของตัวเองเอาไว้ ขืนเล่นคราวนี้มีหวังต้นกล้าโกรธจนไม่มองหน้าแน่ ๆ เลย ชายหนุ่มปั่นจักรยานไปตามทางแคบที่มีหญ้าขึ้นไม่รกมาก มีรอยรถผ่านจนเกิดเป็นแนวคู่ขนานไปตลอดสาย สองข้างทางเป็นนาข้าวที่กำลังติดราก เพราะพึ่งปักดำเสร็จได้ไม่นาน มีคนตัวเล็กนั่งทำหัวแดง ๆ ซ้อนท้ายมาด้วยอย่างว่าง่าย แม้จะบ่นในบางครั้งเพราะทางที่ไม่เรียบสม่ำเสมอ ตกหลุมทีที่นั่งซ้อนท้ายเป็นเหล็ก ก็เล่นเอาเจ็บก้นอยู่ไม่น้อยเลย

ครู่หนึ่งผ่านไป เด็ดเดี่ยวก็ปั่นจักรยานมาถึงที่แห่งหนึ่ง ที่สร้างขึ้นให้เป็นเหมือนโรงเรือนมุงสังกะสี ด้านหน้าเป็นที่ว่างมีกระสอบและข้าวของต่าง ๆ วางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ อีกด้านมีกองดินกองมูลสัตว์กองไว้เป็นระยะ รอบ ๆ ปลุกกล้วยเอาไว้เป็นดงหนา ทำให้ต้นกล้าไม่ได้สังเกตเห็นโรงเรือนตรงนี้ตั้งแต่มาทีแรก

“มาที่นี่ทำไม”

“ที่นี่เป็นโรงหมักปุ๋ยของคุณยาย ยังไม่เคยมาล่ะสิ”

“อืม”

“เห็นมั้ย มาอยู่ตั้งนานแล้ว ยังมีเรื่องที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ”

“อืม”

“อยากเข้าไปดูมั้ย”

“อืม” เด็ดเดี่ยวหันมามองคนตัวเล็กที่ไม่พูดอะไรมากไปกว่า ‘อืม’ คำเดียว เพราะต้นกล้ากำลังมองสำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างสนใจ

“มานี่มา” บอกแล้วหันหลังจะเดินเข้าไปในโรงเรือน แต่ก็ต้องหันกลับมาถามคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง “อะไร”

“ไปก็เดินดี ๆ สิ”

“อ้าว พี่ก็เดินดี ๆ นะ”

“แล้วทำไมต้องจูงมือด้วย”

“อ๋อ เอ่อ” ทั้งสองคนก้มลงมองมือตัวเองต่างความรู้สึก เด็ดเดี่ยวมองมือเล็กกว่าที่อยู่ในอุ้งมือของเขา แล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอคว้ามือของต้นกล้ามากุมเอาไว้เพื่อจะจูงให้เดินไปด้วยกัน ส่วนต้นกล้ามองมือใหญ่ที่กุมมือตัวเองอยู่ ในใจให้รู้สึกแปลก ๆ รู้สึกถึงความสากระคายเพราะมือข้างนั้นมันด้านจากการทำงานหนัก มันแปลกแบบที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งที่คนตัวโตไม่ยอมปล่อยมืออย่างที่บอก แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปต่อว่า ทั้งที่มือสากยังจับมือเขาเอาไว้ไม่ปล่อยแต่ก็ยืนมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ดึงออกเอง ไม่ไหว เป็นแบบนี้ไม่ไหวแล้วโว้ย! นี่มันเล่นเอาใจดวงน้อยสับสนแล้วเต้นแปลก ๆ ไปเลยนะ เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่เราต้องทำอะไรสักอย่าง นี่คือสิ่งที่ต้นกล้าบอกตัวเอง



“ฮึ่ย ปล่อยดิ” บอกแล้วก็สะบัดมือออก ซึ่งอีกคนก็ยอมปล่อยดี ๆ ล่ะนะ แต่ทำไมเสียงต้นกล้ามันถึงได้สั่นอย่างนี้

“ร้อนเหรอ”

“นิดหน่อย”

“เหงื่อออกขนาดนี้พี่ว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ ไปนั่งพักก่อนมั้ย”

“แล้วเมื่อกี้บอกเราว่าจะพาไปดูอะไรล่ะ รีบไปดูรีบกลับดีกว่า เราอยากกลับแล้ว” บรรยากาศยามบ่ายคล้อยก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างนี้ ต้นกล้าก็ไม่ได้รู้สึกร้อนเท่าไหร่เลยนะ แถมรอบ ๆ บริเวณนี้ก็มีแต่ต้นไม้เขียวชอุ่ม มีลมเย็น ๆ พัดมาเป็นระยะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมไอ้เหงื่อบ้านี่มันถึงได้ไหลย้อยออกมามากมายขนาดนี้ มันเยอะจนเขาเองรู้สึกได้ว่ามีเหงื่อไหลซึมออกมาที่ขมับและไหลลงมาตามข้างแก้มด้วย

“เหงื่อออกเยอะมาพี่เช็ดให้” คนตัวโต รีบแกะผ้าขาวม้าที่เคียนเอวอยู่ออกมา หวังจะเช็ดเหงื่อให้ แต่ต้นกล้าเอนตัวหลบแล้วปัดมืออีกคนที่ถือผ้ายื่นมาออกทัน ก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะได้ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ในใจมาไปกว่านี้

“ไม่ต้องหรอกเราเช็ดเองได้”

“โอเค” เมื่อต้นกล้าเอาผ้าตัวเองออกมาเช็ดเหงื่อ เด็ดเดี่ยวจึงเดินนำเข้าไปดูโรงหมักปุ๋ยด้านใน ปากก็อธิบายไปด้วยว่าส่วนไหนทำอะไรยังไงบ้าง เพราะตัวเขาเองก็มีส่วนในการช่วยทำไว้อยู่ไม่น้อย ซึ่งไม่ใช่แค่ที่นี่แต่ชายหนุ่มตามพ่อไปช่วยลูกบ้านอีกหลายคน ซึ่งมันเป็นโครงการร่วมด้วยช่วยกันที่กำนันอาจหาญและลูกบ้านช่วยกันคิดขึ้นมา

“ทำไมต้องมีโรงเรือนด้วยล่ะ” ต้นกล้าคิดแล้วถามออกมาอย่างที่ตัวเองสงสัย ขณะที่ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในโรงเรือน

“อืม ถามได้ดี เพราะการทำปุ๋ยบางชนิดเราก็ต้องเก็บเอาไว้ให้พ้นจากแสงแดด มันถึงจะเก็บได้นาน แต่ถ้าเป็นพวกปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกหมักเราก็ทำข้างนอกได้ ปุ๋ยมันมีหลายสูตร พวกนี้เรียกปุ๋ยชีวภาพ” เด็ดเดี่ยวอธิบายพลางชี้ให้ต้นกล้าดู

“แล้วถังพวกนี้เอาไว้ใส่อะไร”

“นี่เป็นถังเอาไว้ใส่ปุ๋ยน้ำหมัก”

“มีปุ๋ยน้ำด้วยเหรอ นึกว่ามีแค่ปุ๋ยหมักกับปุ๋ยเคมี”

“มีสิปุ๋ยชีวภาพที่ทำจะมีปุ๋ยหมักกับน้ำหมักชีวภาพ”

“ทำไมทำหลายอย่างจังแล้วเอาไปใช้ตอนไหนอะ”

“ถ้าเป็นปุ๋ยหมักเราจะใช้ในขั้นตอนการเตรียมดินก่อนการเพาะปลูก อย่างในนาข้าวก็ใช้ตั้งแต่การไถดะ ไถแปรเลย”

“ไถดะ ไถแปรหรอ” มันคืออะไรหว่า เด็ดเดี่ยวยกยิ้มเล็กน้อยที่อีกคนมีสีหน้างง ๆ แต่ยังถามด้วยความสนใจ เพราะตอนต้นกล้ามาก็หลังจากที่คนงานผ่านขั้นตอนไถดะเตรียมดินไปเรียบร้อยแล้ว

“อืม ไถดะก็คือการไถขั้นแรกเพื่อกลบหน้าดินให้พวกวัชพืชมันตายแล้วกลายเป็นปุ๋ยไง แล้วนั่นก็ถือเป็นการตากดินไปด้วย ส่วนไถแปรก็เป็นการไถอีกรอบก่อนไถคราดเพื่อการปักดำ หลังจากไถดะเราก็มีการใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพตามอัตราส่วนด้วยนะ แล้วถึงจะฉีดด้วยน้ำหมักชีวภาพอีกที ก็ไอ้เจ้าน้ำที่อยู่ในถังพวกนี้แหละ” เด็ดเดี่ยวชี้ไปยังถังที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ “ฉีดพ่นให้ทั่วตามสูตรแล้วไถแปรดินเสร็จก็ทิ้งเอาไว้ก่อน 15 วัน เพื่อให้เจ้าจุลินทรีย์ที่อยู่ในน้ำหมักทำงาน ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือย่อยสลายพวกวัชพืช แล้วฉีดอีกรอบหนึ่งก่อนจะไถกลบให้พวกวัชพืชกลายเป็นปุ๋ยพืชสด ทิ้งไว้อีก 15 วันจากนั้นก็ไถคราดเพื่อดำนาต่อไปไง” ต้นกล้าพยักหน้าเหมือนบอกว่ากำลังทำความเข้าใจ ในหัวพยายามนึกภาพตามให้ทัน

“มันยังมีขั้นตอนใส่ปุ๋ยหลังจากปักดำอีกด้วยหลายขั้นตอน ค่อยไปทำกับคนงานจะได้เข้าใจง่ายขึ้น”

“อืม”

“ไปกันเถอะ” เด็ดเดี่ยวเอามือมาวางบนไหล่ของต้นกล้าแล้วดันให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน ต้นกล้าที่กำลังคิดทบทวนความรู้ใหม่ที่คนตัวโตบอกก็เดินออกไปเงียบ ๆ ในหัวคิดถึงแต่ขั้นตอนต่าง ๆ จนลืมไปเลยว่า ถูกอีกคนเดินกอดคอ จนเดินออกมานอกโรงเรือน ต้นกล้าถามอะไรที่สงสัยเล็กน้อย แล้วทั้งสองพากันกลับโดยเด็ดเดี่ยวทำหน้าที่ปั่นจักรยานเหมือนเดิม มีต้นกล้าซ้อนหลัง แต่..

“เราจะไปไหนกันน่ะ”

“กลับไง”

“แล้วไม่ไปทางเก่าหรือไง”

“เดี๋ยวพาไปดูอะไรดี ๆ ”

“อะไรที่ว่าดี ๆ หน้าอย่างนี้มีอะไรดี ๆ กับเขาด้วยเหรอ”

“พูดซะพี่เสียหายหมดเลย ปะเดี๋ยวก็รู้” เด็ดเดี่ยวปั่นจักรยานพาต้นกล้าลัดเลาะไปตามทางที่ค่อนข้างทุลักทุเล คนนั่งซ้อนท้ายก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยเปื่อย เพราะถึงจะเป็นฝ่ายนั่งซ้อนท้ายก็ใช่ว่าจะสบาย รถตกหลุมทีไรก้นที่นั่งอยู่บนที่นั่งเหล็กแข็ง ๆ เจ็บจนอยากกระโดดลงจากรถมันบัดเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว



%%%%%%%%%%%



“นี่แน่ใจเหรอว่านี่ห้องคนอยู่”

“เออดิ ทำไม”

“ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วนี่อะไรเนี่ย”

“เสื้อผ้า”

“ก็รู้ทำไมไม่เก็บให้มันดี ๆ ล่ะ”

“เก็บดีทำไมเสื้อผ้าใส่แล้ว”

“แล้วก็ไม่เอาไปซักล้นตะกร้าแล้วเนี่ย”

“จะบ่นทำไม หรือจะซักให้”

“ฝันไปเถอะไหนงาน”

“อะโด่นึกว่าแน่” ไอ้จ๋าเดินไปยกโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยที่มีกองงานของมันออกมาวางไว้กลางห้องแล้วนั่งลง แต่เมื่ออีกคนยังยืนนิ่งจึงเงยหน้าขึ้นถาม “แล้วเธอโทรบอกพ่อเธอหรือยังว่าอยู่ทำรายงาน”

“โทรแล้ว”

“แล้วจะยืนอีกนานมั้ย”

“ไม่มีเบาะรองนั่งเหรอ”

“ไม่มีจะนั่งก็นั่งซะที”

“ก็พื้นมันแข็งนี่เจ็บก้นนะ”

“ใคร ๆ เขาก็นั่งได้ทั้งนั้น เธอเอาก้นไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บจนนั่งไม่ได้”

“อุ้ย นายจ๋าถามอะไรแบบนั้น บ้าเหรอฉันยังไม่เคยเลยนะ” ออเรนจ์ก้มหน้างุดเมื่อบอกพลางนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ ซึ่งไอ้จ๋าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้แต่ขมวดคิ้วแล้วเหลือบมองงง ๆ ผิดกับคนตัวขาวที่รู้ถึงเพศสภาพตัวเองดี และคิดไปไกลกับคำถามกำกวมอย่างไม่ตั้งใจของไอ้จ๋ามัน

“.เอ้าหน้าแดง เป็นอะไรไปอีก.”

“เปล่า”

“มือสั่นทำไม”

“ไม่มีอะไรไหนทำถึงตรงไหนแล้ว” ออเรนจ์รีบดึงความคิดของตัวเองที่ลอยไปให้ไกลกลับมา เปลี่ยนเรื่องเมื่อยิ่งพูดยิ่งทำให้ตัวเองใจสั่นมือสั่น ทั้งที่อีกคนพูดและถามออกมาหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรแท้ ๆ แน่ล่ะสิคนอย่างไอ้จ๋าที่มันไม่เคยสนใจอะไรอย่างนี้มาก่อน มันไม่รู้หรอกว่าคำพูดของมัน จะไปสะกิดอะไรในความรู้สึกของใครบ้างหรือเปล่า ที่พูดก็พูดอย่างที่มันคิด ใครจะคิดลึกมากกว่ามันจะไปรู้ได้ยังไง

ทั้งสองนั่งทำงานช่วยกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเวลาผ่านไปแล้วนานแค่ไหน จนรู้สึกว่าแสงในห้องมันน้อยลง ไอ้จ๋าก็ทำเพียงแค่ลุกไปเปิดไฟ แล้วกลับมานั่งทำงานต่อ สองคนตั้งใจทำงานมีปรึกษากันบ้าง ยิ่งต้องคุยต้องปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด หัวของทั้งสองก็ยิ่งชิดกันมากขึ้น ตัวก็เลยต้องขยับเข้ามาใกล้กันอีกโดยปริยาย และบางสิ่งบางอย่างมันก็เริ่มรบกวนสมาธิของไอ้จ๋าให้วอกแวก มันจึงสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ เพื่อเรียกสมาธิของตัวเองกลับมา แต่ยิ่งใกล้กันกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่มันได้รับก่อนหน้านี้ยิ่งชัดเจน ยิ่งได้กลิ่นชัดเจนก็ยิ่งเอนตัวเข้าไปใกล้ เพราะความหอมของแป้งเด็กมันละมุนละไมผิดกับกลิ่นเหงื่อที่มันคุ้นชิน ทำให้ไอ้จ๋าเผลอสูดเอากลิ่นนั้นเข้าเสียเต็มปอด ซึ่งคนตัวบางที่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิด ว่าตอนนี้ไหล่ทั้งสองแนบชิดกันแล้ว

“จ๋าฉันว่าตรงนี้....” กึก! ออเรนจ์ชะงักไปเมื่อหันกลับมา แล้วเจอใบหน้าของไอ้จ๋าอยู่ชิดกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ปากสีสดอ้าออกเล็กน้อยเพราะกำลังอึ้ง ไอ้จ๋าลดสายตามันลงมองริมฝีปากสีสวยอวบอิ่ม ที่อยู่ดี ๆ ก็ทำให้มันรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างขึ้นมาเสียเฉย ๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่มันก็ยังจ้องมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน “จะ จ๋า”

“อะไร” ไอ้จ๋าหูไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม เพราะเสียงที่มันได้ยินดูเหมือนว่าจะหวานเหลือเกิน มันจึงถามกลับไปและให้เกิดความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเสียงของตัวมันเองถึงได้สั่นออกอย่างนั้น

“ขยับออกไปหน่อยสิ”

“เฮ้ย..!” ไอ้จ๋าดีดตัวออกห่างเหมือนสติสตังเพิ่งกลับมา เมื่อเห็นว่าตัวเองขยับเข้ามาใกล้เสียจนไหล่ชิดกันกับอีกคน ออเรนจ์หันหน้าไปอีกทางแอบยิ้มน้อย ๆ ออกมากับท่าทางของไอ้จ๋า ทั้งที่ในใจก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน

“นี่เธอแอบหันไปหัวเราะเยาะฉันเหรอวะ”

“เปล่า”

“ก็เห็นอยู่นี่” ไอ้จ๋าจับคางของออเรนจ์ให้หันกลับมาหาตัวเอง และพบว่าคนตัวผอมก็ยังอมยิ้มอยู่อย่างบังคับให้หยุดไม่ได้ แต่นั่นกลับทำให้ไอ้จ๋าคิดไปอีกทาง

“นี่หัวเราะขำกันอยู่หรือไง”

“เปล่านะจ๋า” คนบ้าคิดอะไรแค่อมยิ้มเว้ยไม่ได้หัวเราะขำ แค่อมยิ้มเพราะเขินแต่ก็มีขำปนด้วยอยู่นิดหน่อยนั่นแหละ แต่ก็เป็นเพราะว่า...

“เธอหัวเราะขำ”

“เปล่าฉันแค่ยิ้ม”

“แล้วยิ้มทำไม”

“ยิ้มไม่ได้เหรอ” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองใบหน้าดำกร้านแดดของไอ้จ๋า ที่เล่นเอาใจไอ้สุภาพบุรุษบ้านนาหล่นวูบไปเลยทีเดียว เพราะเหมือนกับว่ามีประจุบางอย่างลั่นเปรี๊ยะ ๆ อยู่ในอกข้างซ้าย ทำไมน่ารักจัง เฮ้ย ไม่ใช่ล่ะ!!

“ไม่ได้ เธอตั้งใจทำงานไปเลย” ไอ้จ๋าให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวอีกคนยิ่งทำให้มันรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองเริ่มจะหายใจได้ไม่ทั่วท้อง มันรีบโกยอากาศเข้าปอดยาว ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเร่งให้ตั้งใจทำงานกัน จะได้เสร็จเร็ว ๆ เพราะยิ่งนานยิ่งดูเหมือนว่ากลิ่นนั้น มันจะกระจายไปทั่วทั้งห้องอยู่แล้ว จนแม่แจ่มใจของมันเรียกให้ไปกินข้าวนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เริ่มมืดค่ำแล้ว

“ตายแล้วแม่ไอ้จ๋าลืมเอาข้าวไปส่งลูกพี่”

“ไม่ต้องแล้วแม่เอาไปให้แล้ว ส่วนลูกพี่แกก็ยังไม่กลับ”

“เอ๊ะ แล้วลูกพี่ไปไหนอะแม่ หรือไปกับลูกพี่เดี่ยว”

“คงใช่มั้ง แล้วนี่หิวหรือยังลูกมากินข้าวกันก่อนมา พ่อแกก็ยังไม่กลับเลย” แม่แจ่มใจหันไปถามออเรนจ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังไอ้จ๋า แล้วบ่นให้ลุงสมควรผู้เป็นสามี ที่ไปทำธุระตั้งแต่บ่ายยังไม่กลับมา

“เอ่อ หนู”

“แล้วจะไปส่งยัยนี่กลับบ้านยังไงล่ะแม่ พ่อก็ยังไม่กลับอะไม่มีรถไปส่งยัยเผือกนี่แน่เลย โอ๊ยแม่หยิกไอ้จ๋าทำไมอะ”

“แม่บอกให้เรียกน้องดี ๆ ” แม่แจ่มใจเรียกแทนออเรนจ์ว่าน้อง เพราะเห็นว่าตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมกว่าไอ้จ๋า ที่ทั้งถึก ทั้งตัวใหญ่กว่าเป็นไหน ๆ

“ก็มัน” ไอ้จ๋าพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของแม่มองตอบกลับมา “ยิ้มอะไร” เลยหันไปพาลกับอีกคน ที่ทำให้มันต้องโดนแม่หยิกหน้าท้องอย่างแรง

“เปล่า” ออเรนจ์อมยิ้มก้มหน้างุด

“ไป ๆ พากันไปกินข้าวกินปลาเถอะ กลับยังไงค่อยว่ากัน แล้วเราล่ะพ่อจะว่ามั้ยกลับบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ”

“พ่อไม่อยู่ฮะ ไปติดต่องานที่กรุงเทพแต่หนูโทรบอกแล้ว” ก็เพราะว่าพ่อไม่อยู่นี่แหละ ออเรนจ์ถึงได้เถลไถลอยู่ที่นี่จนมืดค่ำได้ แต่ยังไงก็บอกพ่อแล้วว่าทำงานอยู่บ้านเพื่อน เพราะกลับไปอยู่กับพี่สาวสองคนคงไม่วายโดนพี่ด่าทอผลักไส บางทีออเรนจ์ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคำแพงผู้เป็นพี่สาว ถึงได้ไม่ชอบหน้ากันนัก นี่ขนาดทิ้งน้องเอาไว้จนค่ำมืดป่านนี้ ก็ยังไม่ยอมสนใจ ไม่ติดต่อกลับมาโทรไปก็ไม่รับสาย

“เดี๋ยวไอ้จ๋าพาน้องไปกินข้าวก่อนเลยนะ แม่จะไปดูยายก่ำหน่อยเห็นว่าแกไม่สบาย”

“อ้าวเหรอแม่ งั้นรีบไปรีบกลับนะแม่”

“แม่ไปนะ คุยกันดี ๆ ล่ะ” แม่แจ่มใจไปแล้วไอ้จ๋าจึงพาออเรนจ์ไปกินข้าว ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก แต่พอกินข้าวกันอิ่มนี่สิ ถึงได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ เพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อไปดี

“นี่เธอจะเอายังไงกับชีวิตตัวเอง”

“ไม่รู้สิ”

“อ้าวไม่รู้ได้ยังไง”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน”

“เออไม่อยากกลับงั้นก็อยู่ที่นี่แหละ”

“จริงเหรอ ได้จริง ๆ นะ”

“เฮ้ย พูดเล่น” !!

ต่ออันสุดท้ายยยยยย เลื่อนลงๆๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

“ถึงยัง”

“เดี๋ยวก็ถึง”

“ใกล้ยัง”

“อีกนิด”

“ถึงยัง”

“ใกล้แล้ว”

“เมื่อไหร่จะถึง”

“ใจเย็นน่า”

“เย็นได้ไงนี่มันจะค่ำแล้วนะ จะถึงยัง”

“อีกนิด ๆ”

“โอ๊ยแบบนี้ทีหลังไม่มาด้วยแล้ว เร่งความเร็วหน่อย”

“เร็วสุดได้เท่านี้แหละ” แฮก ๆ ๆ

“เร็วอีกดิ เราอยากกลับแล้ว”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวเร่งความเร็วโดยออกแรงปั่นให้มากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ความเร็วของจักรยานคันเก่าเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มากกว่าเดิมเท่าไหร่นัก เพราะกำลังพากันปั่นขึ้นเนิน

แฮก ๆ ๆ มีเสียงหอบของสารถีดังมาเป็นระยะ ต้นกล้าจึงเอียงตัวออกไปดู ก็เห็นว่าคนตัวโตที่กำลังตั้งใจปั่นจนหน้าดำหน้าแดงอยู่นั้น มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า

“ฮ่า ๆ เร็ว ๆ เร็วอีกสิ”

“เท่านี้ก็จะแย่อยู่แล้วนะ ทางขึ้นเนินด้วย”

“เราอยากเร็วกว่านี้ ยิ่งเร็วยิ่งลมเย็น เร็ว “แน่นอนว่าต้นกล้ากำลังแกล้งเร่งให้อีกคนปั่นสุดแรง ทั้งยังโยกตัวเป็นจังหวะให้เข้ากับการปั่นของเด็ดเดี่ยว ที่ความเร็วของรถช้าลงเรื่อย ๆ พร้อมกับระดับความสูงของเนินที่เพิ่มขึ้น

“ลงไปเข็นหน่อยดิ ฮึบ ๆ ”

“เรื่องอะไร”

“งั้นก็นั่งเงียบ ๆ”

“เร็ว ๆ “ต้นกล้าเร่งแล้วโยกตัวตามจังหวะของแรงปั่น ที่เด็ดเดี่ยวต้องโยกตัวสลับซ้ายขวาเพื่อส่งกำลังไปที่ขา เมื่อเขาถีบเท้าด้วย และไม่นานชายหนุ่มก็ปั่นรถพากันขึ้นมาพ้นเนินได้ เขาจึงรู้สึกโล่ง เพราะขึ้นเนินมาได้แล้วต่อไปก็เป็นช่วงลงเนินที่ค่อนข้างทุ่นแรงให้ได้ไม่น้อยเลย และ….

“โย่ว แรงสมใจ” ต้นกล้าร้องออกมาอย่างพอใจ ปล่อยมือจากชายเสื้อของคนตัวโต แล้วยกชูขึ้นเพื่อรับลม เมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นอย่างที่เขาต้องการ เพราะกำลังลงเนินสูง ยิ่งรถวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดูเหมือนว่าคนหล่อหัวแดงจะยิ่งชอบ ยิ่งถูกใจก็ยิ่งโยกตัวแรงและรถก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเด็ดเดี่ยวเห็นว่าต้นกล้าอารมณ์ดีชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ออกมา เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ต้นกล้าไม่เคยอารมณ์ดีขนาดนี้มาก่อน ลมเย็นยามอาทิตย์ใกล้ตกดินตีหน้า พาให้รู้สึกเย็นสดชื่นไปถึงข้างใน

“ชอบมั้ย”

“ชอบ เย็นดี” เสียงกระตือรือร้นนั่นเหมือนเสียงเรียก ให้คนที่ทำหน้าที่สารถีหันกลับมายิ้มให้คนซ้อนท้าย ที่ชูแขนขึ้นเหมือนกำลังกางปีกโบยบิน ต้นกล้ายิ้มให้เมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวหันมา พร้อมรอยยิ้มทั้งตาทั้งปากและ และ และ

“เฮ้ย หันมาทำไม หันกลับไปดูทาง อ๊าก”

“เฮ้ย” !

“เบรก ๆ ๆ ”

“เบรกไม่อยู่” เด็ดเดี่ยวกำเบรกมือแล้วปรากฏว่า รถไม่ชะลอความเร็วหรือหยุดลงเลย เพราะรถเก่ามากจนเบรกขาดไปนานแล้วตัวรถเริ่มส่ายคนตัวโตพยายามควบคุมรถให้วิ่งดี ๆ แต่คนนั่งซ้อนหลังที่กำลังตื่นตกใจดันนั่งไม่อยู่สุข พยายามชะโงกหน้าออกไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อดูทาง เลยยิ่งทำให้การควบคุมรถยากยิ่งขึ้นอีก

“เบรกเด็ดเดี่ยวเบรกเดี๋ยวนี้” สิ้นคำสั่งของต้นกล้าเด็ดเดี่ยวจึงปล่อยเท้าลง ให้พื้นรองเท้าผ้าใบคู่เก่าลากกับพื้นดินซึ่งเป็นหินลูกรัง จนฝุ่นดินจากหินแดง ๆ คลุ้งกระจายเป็นทางตามหลังรถจักรยานมา เสียงพื้นรองเท้าครูดกับพื้นหินดินแดงดังก้อง ต้นกล้าเห็นเด็ดเดี่ยวทำแบบนั้นจึงทำตามบ้าง และมันก็ทำให้รถชะลอความเร็วลงได้บ้าง แต่ความเร็วของรถตอนนี้ก็ยังถือว่าเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้ง่าย ๆ อยู่ดี

“เกาะแน่น ๆ นะ”

“ทำให้มันหยุดสิ”

“กำลัง”

“เฮ้ย ข้างหน้าควายระวัง” อ๊าก!!

“เฮ้ย” !

“อ๊ากกกก” !

“โอ๊ย” รถที่ชะลอความเร็วลงมาได้พอสมควรเสียหลัก เพราะเด็ดเดี่ยวหักหลบควายสองแม่ลูก ที่เดินออกมาจากป่าข้างทางแล้วข้ามถนนมาพอดี จักรยานคัดเก่าจึงเสียหลักเพราะวิ่งมาถึงหล่มทรายด้วยความเร็ว ล้อหน้าสะบัดแล้วหยุดกะทันหันเทให้คนทั้งสองล้มลงไปในแอ่งทราย ที่อยู่ข้างทางอีกฝั่งอย่างไม่น่าดู ต้นกล้าไม่เจ็บมากเท่าไหร่ เพราะแรงเหวี่ยงทำให้ร่างของเขาพุ่งมาข้างหน้า จึงมีร่างใหญ่ของเด็ดเดี่ยวรองรับ แต่คนตัวโตนี่สิหนักกว่า เพราะพอรถเสียหลักชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะตั้งหลักไม่ทัน ร่างจึงพุ่งไปข้างหน้า แล้วใบหน้าหล่อคมคร้ามแดดนั่นก็ทิ่มลงไปที่ทรายพอดี โดยมีคนที่ตกลงมาทับนั่นแหละ ที่ช่วยส่งแรงให้ใบหน้าของชายหนุ่มจมลงไปในทรายอย่างน่าขำ

“ฮึ่ย เอาอีกแล้วนะเด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าดันตัวลุกขึ้นนั่ง บ่นพลางปัดทรายออกจากเสื้อผ้าของตัวเองด้วย แต่พอเด็ดเดี่ยวหันมาเท่านั้นล่ะ

“ฮ่า ๆ “ต้นกล้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่เก็บอาการ กับสภาพของคนตรงหน้า เมื่อเด็ดเดี่ยวหันกลับมาพร้อมกับใบหน้าสีหม่น ๆ เพราะเปื้อนทราย และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ภายในปากของคนตัวโตที่กำลังอ้าค้าง ก็เต็มไปด้วยทราย ราวกับว่าชายหนุ่มนั้นกำลังกินทรายเป็นอาหารด้วยความหิวกระหายก็ไม่ปาน

“ขำไร”

“หิวก็ไม่บอก”

“..?”

“หิวก็บอกกันดี ๆ ดิ ข้าวที่บ้านมีให้กิน ทำไมต้องไปกินทรายล่ะ ฮ่า ๆ เอิ้ก”

“เหอะไม่ต้องทำมาเป็นพูด ใครกันที่ล้มทับพี่จนหน้าทิ่มลงในทรายเนี่ย”

“มันเป็นอุบัติเหตุน่า ฮ่า ๆ”

“แหวะ” เด็ดเดี่ยวปัดทรายออกจากหน้าตาและปากของตัวเอง แต่ทรายละเอียดก็ยังเหลือติดตามหน้า รวมทั้งเส้นผมอยู่ไม่น้อย ตอนแรกก็ตกใจเป็นห่วงคนตัวเล็ก แต่พอหันมาเห็นว่าต้นกล้าไม่ได้เป็นอะไรมากแถมยังหัวเราะขำ เขาได้ก็โล่งใจ

“สองคนนั้นรถล้มเหรอ”

“ครับลุง”

“เป็นอะไรหรือเปล่าล่ะเจ็บกันมากมั้ย”

“ไม่เป็นไรครับ”

“นี่พ่อเดี่ยวลูกกำนันหรือเปล่า”

“ใช่ครับผมเอง”

“ทำไมทรายเต็มปากเลยล่ะนั่น ฮ่า ๆ “เด็ดเดี่ยวหน้าบูด เพราะลุงที่เป็นเจ้าของควายก็หัวเราะขำเขา ไม่แพ้คนที่มาด้วยกัน ชายแก่เดินตามควายของตัวเองออกจากป่ามา เลยเห็นเข้าพอดี และตอนนี้ก็หัวเราะขำชายหนุ่มอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย พอลุงคนนั้นไปแล้ว เด็ดเดี่ยวจึงหันมาหาคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ยิ่งให้เจ็บใจหนักเข้าไปอีก เพราะต้นกล้าหัวเราะขบขันจนน้ำตาไหล แต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่สะบัดหน้าไปอีกทาง แล้วลุกขึ้นพร้อมกับยกจักรยานจูงขึ้นไปตั้งไว้ข้างทางด้วย

“นี่..” ต้นกล้าสะกิดหลังอีกคนเบา ๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะว่าเสียงเรียกที่กลั้วมาด้วยความขบขัน มันเหมือนเป็นการตอกย้ำ ว่าตอนนี้เด็ดเดี่ยวกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว “เงียบให้ได้ตลอดนะ คิก ๆ ”

“เหอะ” เด็ดเดี่ยวทำเสียงไม่พอใจออกมาจากลำคอ แล้วก้มลงปัดเศษดินเศษทรายออกจากเสื้อผ้า แล้วจึงหันไปจูงจักรยานออกเดิน ต้นกล้าจึงจำต้องเดินตามอีกคนไป ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ ซึ่งความเงียบนี้คือการไม่คุยกันเลยสักคำ แต่อะไรคือการที่เด็ดเดี่ยวยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ดังขึ้นตามหลังมาเป็นระยะ พอหันกลับไปมองทางต้นเสียง ต้นกล้าก็ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นกลั้นความขำเอาไว้แล้วเสไปมองทางอื่น

“เมื่อไหร่จะถึงอะ”

“..” สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ เมื่ออีกคนไม่ตอบต้นกล้าก็รู้โดยทันที ว่าเด็ดเดี่ยวยังคงงอนอยู่ แต่แทนที่จะหยุดกลับปล่อยเสียงหัวเราะคิก ๆ ออกมาอีก จนคนที่เดินจูงจักรยานเดินนำ หันหน้ากลับมามองค้อนด้วยดวงตาเขียวปัด ต้นกล้ากลั้นความขบขันแล้วทำเป็นยิ้มหวานกลับไปให้ แต่นัยน์ตาของเขายังคงล้อเลียนอย่างเปิดเผย เด็ดเดี่ยวจึงทำได้แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและปลอบใจตัวเอง ว่าวันพระไม่มีหนเดียวและต้องได้เอาคืนอย่างสาสมแน่นอนจนกระทั่ง กึก!

“หยุดทำไม” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่ตั้งรถไว้ข้างทางแล้วเดินลงเนิน “ไปไหนอะ รอด้วยสิ”

“..”

“คนอะไรถามไม่ตอบ เอ..หรือว่าอิ่มจนพูดไม่ออก คิก ๆ ” เด็ดเดี่ยวเดินไปหยุดยืนบนสันขอบของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ พอต้นกล้าเดินมาทันก็ยังไม่หยุดล้อเลียนคนตัวโตโดยการเท้ามือลงที่หัวเข่าของตัวเองแล้วเอียงตัว เพื่อชะโงกหน้ามองคนตัวโตที่ยืนหน้านิ่ง ตาคมมองไปยังน้ำในอ่างเก็บเบื้องหน้า เด็ดเดี่ยวเหล่มองต้นกล้าด้วยหางตา แล้วนั่งแหมะลงกับพื้นข้าง ๆ นั่นเอง แต่..

คิก ๆ

“เหอะ หัวเราะไปเถอะ”

“แล้วโกรธจะอะไรล่ะเนี่ย” คึ ๆ

“เปล่านี่”

“เปล่าทำไมหน้าบึ้ง” คิก ๆ

“..”

“หันหน้ามานี่สิ” เด็ดเดี่ยวคิดว่าที่ต้นกล้าบอกให้หันหน้าไป ก็เพื่อจะดูความตลกของเขา จึงนั่งนิ่งไม่ยอมทำตามที่อีกคนบอก แต่หลังจากนั้นก็ต้องใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก เมื่อสองมือเรียวเอื้อมมาทาบที่แก้มสากเคราทั้งสองข้าง แล้วจับใบหน้าของเขาให้หันไปหา พร้อมกับที่ต้นกล้านั่งคุกเข่าลง “บอกให้หันมานี่ไง”

“..” สถานการณ์นี้เล่นเอาเด็ดเดี่ยวอึ้งจนพูดไม่ออก มือเรียวทั้งสองข้างยังแนบอยู่ที่แก้มสาก ๆ ของเขา ดวงตาคมมองอย่างไม่เข้าใจ และไม่รู้จะพูดออกมายังไงกับการกระทำของคนตัวเล็ก ที่กำลังกวาดตามองทั่วใบหน้าคมคร้ามและ...กลั้นขำ

“ช่วย ๆ “มือเรียวข้างหนึ่งเลื่อนมาจับคางคนตัวโตเอาไว้แล้วดันให้ใบหน้าคมเงยขึ้น ส่วนอีกข้างเริ่มปัดเศษดินเศษทรายที่ยังเหลืออยู่ออกให้เบา ๆ ปากได้รูปสวยเม้มเข้าหากันท่าทางดูตั้งใจ แต่ความจริงคือกำลังกลั้นเสียงหัวเราะ เพราะยังไม่สามารถหยุดขำได้ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าแววตาของคนตัวโตที่มองมา มันมีความหมายลึกซึ้งมากแค่ไหน

“อะ เรียบร้อยแล้ว” ต้นกล้าวางมือลงที่ต้นขาของตัวเอง แล้วส่งยิ้มแบบที่เด็ดเดี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อนให้ แต่ดวงตาคมคู่นั้นก็ยังไม่อาจละไปจากใบหน้าใสได้ เมื่อตาได้สบตาก็เหมือนราวกับว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่าง แผ่กระจายออกมาหมุนวนปกคลุมรอบตัวของทั้งสองเอาไว้ คนที่หยุดขำได้แล้วจึงเหมือนถูกแรงดึงดูด เรียกร้องให้จ้องมองตอบกันอยู่อย่างนั้น ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบท่ามกลางบรรยากาศดี ๆ ยามเย็น ที่แสงสุดท้ายของวันคล้อยต่ำลง และใบหน้าที่ขยับเข้าใกล้กันเรื่อย ๆ มีแสงสีส้มนวลตาอาบไล้ร่างของทั้งคู่ แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะได้แตะกันและกัน อยู่ดี ๆ ต้นกล้าก็ต้องก้มหน้างุดเมื่อรู้สึกตัว ตอนถูกมือใหญ่รั้งท้ายทอยให้เข้าหาเหมือนไม่ทันใจ

“เอ่อ” จุ๊บ..! แต่มีหรือที่เด็ดเดี่ยวจะยอม พอต้นกล้าก้มหน้าหนีก็ยังไม่วายตามมาประทับจูบจนได้ ถึงจะเป็นเพียงแค่การแตะเบา ๆ ภายนอกแล้วผละออกก็ตามเถอะ ต้นกล้าผงะเล็กน้อยหลังจากโดนสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปาก ก้อนเนื้อในอกเต้นเหมือนมีใครเอากลองศึกเข้าไปกระหน่ำตี นั่งจ้องหน้าอีกคนนิ่งเพราะกำลังไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมไม่โวยวายการกระทำอุกอาจนี้ หนำซ้ำยังไปใจเต้นแรงตามกับสิ่งที่เขาทำด้วย ต้นกล้าทำอะไรไม่ถูกแถมยังไปไม่เป็น ภาพความร้อนแรงของจูบในฝันยามค่อนรุ่ง มันหวนกลับมาในความทรงจำที่ยังชัดเจนอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้หัวใจของต้นกล้าเต้นแรงขึ้น จนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก ฮึ่ย เป็นอะไรไปวะเรา ต้นกล้าสะบัดหน้าอย่างแรง แล้วหันมามองเด็ดเดี่ยวตาขวาง แต่อีกคนเหมือนไม่ทันได้สังเกตเพราะยังยิ้มหวานอยู่

"ถอยออกไปสิ" ผลักร่างใหญ่กว่าออกด้วยแรงที่คิดว่ามีทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำให้เด็ดเดี่ยวขยับเลยด้วยซ้ำ แถมคนตัวโตยังบอกกลับด้วยเสียงอ่อนโยน

“นั่งดี ๆ สิ” ไม่พูดเปล่าแต่มือที่ยังวางอยู่บนไหล่ รั้งร่างที่ดูบางกว่าให้นั่งลงข้าง ๆ ซึ่งต้นกล้าก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเหมือนคนกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยังไม่ลืมปัดท่อนแขนใหญ่ที่พาดอยู่บนไหล่ออกด้วย

ลมเย็นที่พัดผ่านร่างช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย ต้นกล้าจึงหันหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำ แล้วยกขาชันเข่าขึ้นมากอด มีเด็ดเดี่ยวนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง ใช้สองมือยันพื้นเพื่อรับน้ำหนักตัว และไม่ลืมขยับเข้ามาใกล้ต้นกล้าแบบเนียน ๆ ตอนที่คนหัวแดงกำลังเหม่อมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า พระอาทิตย์สีส้มอมแดงที่ยอแสงลงมา กำลังลอยเด่นอยู่เหนือเหลี่ยมเขาขาดสองลูกที่หันชนกัน เพราะใกล้เวลาลับขอบฟ้าเต็มที แสงสีส้มแดงสาดไปบนพื้นน้ำที่มีคลื่นเป็นระลอกเล็ก ๆ ตามแรงลมยามเย็น คลื่นน้ำต้องแสงยามตะวันกำลังจะลาดูสวยตรึงใจไปอีกแบบ และมันช่วยให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายได้มากทีเดียว มันดูระยิบระยับและสะกดสายตาให้มองเพลิน จนลืมไปเลยว่าไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เบียดแนบชิดกัน

“คิดอะไรอยู่เหรอ”

“เปล่า”

“สวยมั้ย”

“ก็..สวยดี” ต้นกล้าตอบพลางเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก โดยไม่ลืมถ่ายรูปตัวเองในมุมต่าง ๆ เอาไว้ด้วยหลายรูป บางรูปก็ติดคนที่นั่งข้าง ๆ เข้ามาด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นความตั้งใจของอีกคนที่ทำเป็นเอียงตัวเข้ามาหากันอย่างเนียน ๆ เพราะอยากมีส่วนร่วม

“ชอบมั้ย” เด็ดเดี่ยวถามขณะที่ต้นกล้ากำลังถ่ายรูปผืนน้ำอาบไปด้วยแสงสีส้มแสงสุดท้ายของวัน

“อืม”

“ถ้าชอบเดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปเที่ยว”

“หืม เที่ยวไหน”

“ไม่บอกเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารับแต่เช้า” ต้นกล้ามองรอยยิ้มน้อย ๆ ของเด็ดเดี่ยว แล้วอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่กล้าสบตากันขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงหันกลับไปทางพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังลดตัวต่ำลงหลังสันเขาขาดช้า ๆ พร้อมกับรัศมีสีส้มอมทองที่ค่อย ๆ หดตามลงไป จนแสงสุดท้ายของวันหายไปในที่สุด

“ไปนะ”

“ก็ได้”

“งั้นกลับกันเถอะ”

“อืม” เด็ดเดี่ยวเอ่ยชวนเมื่อพระอาทิตย์ตกลงหลังสันเขาไปแล้ว ทั้งสองจึงเดินกลับมาที่จักรยาน คนตัวโตกว่าเป็นคนจูงรถ มีคนตัวเล็กกว่าเดินไปข้าง ๆ คุยกันเรื่อยเปื่อยทั้งมีสาระและไร้สาระจนถึงบ้านก็มืดสนิทพอดี

เจอกันตอนหน้านะจ๊ะ ใครอยากได้เล่ม ยังไม่จองไปจองได้นะคะ IB หาเค้าเลย เดี๋ยวจะเอาปกน่ารักๆ มาอวด คริๆๆ
 เนื้อหาที่ลงนี้เป็นเนื้อหาที่ยังไม่ได้รีไรท์นะคะ อาจจะมีเยอะๆ ไปบ้าง ต้องขออำไพด้วยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2018 20:12:38 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ



“นี่เอาจริงดิ”

“เอาจริงอะไร”

“ก็ที่ว่าจะอยู่ที่นี่ไง”

“ก็นายบอกเองว่าอยู่ได้”

“ประชดเถอะ”

“นายจ๋า ฉันจริงจังนะ แล้วถ้ากลับนายจะไปส่งฉันยังไง ไหนบอกไม่มีรถ”

“ก็รอพ่อกลับมา”

“แล้วพ่อนายจะมาตอนไหน นี่มันจะสามทุ่มแล้วนะ”

“งั้นเธอไปอาบน้ำก่อนไป”

“แต่..”

“ไม่ต้องมีแต่ ถ้าน้ำไม่อาบก็นอนข้างล่างคนเดียวละกัน” ไอ้จ๋าชี้หน้าบอกออเรนจ์ท่าทางจริงจัง

“ฉันไม่มีชุดเปลี่ยนนี่”

“วุ่นวายจริงวุ้ย” มันบ่นแล้วเดินขึ้นบ้านไป ไม่นานก็ลงมาพร้อมผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ยื่นให้

“ของใครอะ” เจ้าของร่างบอบบางรับผ้าเช็ดตัวมาแล้ว แต่ยังมองเสื้อยืดกับกางเกงบอลที่ไอ้จ๋ายื่นมาให้ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนักเมื่อเอ่ยถาม

“ของฉัน หรือรังเกียจไม่อยากใส่ก็ตามใจ”

“เปล่าซะหน่อย”

“งั้นก็รีบไปอาบโน่นห้องน้ำ” ไอ้จ๋าบุ้ยปากไปทางห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของตัวบ้าน ออเรนจ์มองตามแล้วหันกลับมามองหน้าไอ้จ๋าตาปริบ ๆ “อะไรอีก”

“พาไปหน่อยสิ”

“อย่าเรื่องมาก ไปเอง”

“ฉันกลัวนี่มันมืดนะตรงนั้น” ไอ้จ๋าถอนหายใจแรง แต่ก็ยอมเดินนำหน้าคนตัวขาวไปที่ห้องน้ำ เปิดไฟให้แล้วหันมามองหน้าอีกคนด้วยสายตาดุ

“ไปได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งไปไหนนะ รออยู่ตรงนี้นะ”

“เรื่องมากไปมั้ย”

“ก็ฉันกลัวนี่ นะจ๋านะ”

“เออ ๆ ไปเลยรีบไปอาบเดี๋ยวนี้เลย” ออเรนจ์เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองไอ้จ๋าเพื่อความแน่ใจ ว่าไอ้คนตัวดำมันยังคงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำเป็นเพื่อนไม่ไปไหน เมื่อปิดห้องน้ำเรียบร้อยโดยไม่ได้ล็อก ก็เอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าที่ไอ้จ๋าเตรียมมาให้พาดไว้ที่ราว แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกเพื่ออาบน้ำ

“จ๋า”

“อะไร”

“เปล่าเรียกดูเฉย ๆ ว่ายังอยู่มั้ย”

“รีบอาบเร็ว ๆ ยัยเผือกฉันจะได้อาบบ้าง” ไอ้จ๋าตอบรับเสียงเรียกเบา ๆ ที่ดังออกมาจากห้องน้ำอย่างหงุดหงิด เพราะไม่รู้ว่าอีกคนจะกลัวอะไรนักหนา พอเร่งให้ออเรนจ์อาบน้ำแล้วมันก็เดินออกไปจากหน้าห้องน้ำเงียบ ๆ กลับขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง ถอดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ออก แล้วนุ่งแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินลงมารออาบน้ำตามความเคยชิน

ส่วนออเรนจ์รีบอาบน้ำให้เร็วที่สุดอย่างที่อีกคนบอก ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงอาบเสร็จ แต่พอหันกลับมาจะหยิบผ้าเช็ดตัวเท่านั้นแหละ ตาสวยก็สบเข้ากับดวงตากลม ๆ ใส ๆ เล็ก ๆ ที่ปูดโปน และกำลังจ้องมองตอบกลับมาอยู่เหมือนไม่พอใจ

“กรี๊ดดดดดด จ๋าาาาา ช่วยเราด้วยยยย” ปัง!

“ยัยเผือก” !

“จ๋าช่วยด้วย ๆ ” ออเรนจ์โผเข้ากอดไอ้จ๋าแน่น เมื่อประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ใบหน้าสวยหวานซุกลงบดบี้ที่อกกว้าง ๆ แล้วเอาแต่ร้องไห้โฮตัวสั่น

“เฮ้ย อะไรเนี่ยมากอดฉันทำไมปล่อย” ไอ้จ๋าพยายามผลักร่างบอบบางออกจากตัว แต่ออเรนจ์ยิ่งดูเหมือนจะกอดไว้แน่นกว่าเดิม “ปล่อยก่อน ๆ มีอะไรพูดดี ๆ”

“ฉันกลัว”

“กลัวอะไร”

“มัน มัน ตรงนั้น “ออเรนจ์เอาแต่ฟูมฟายฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะซุกหน้าลงบดบี้กับอกกว้าง ตัวก็สั่นแต่ไม่ยอมบอกว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งไอ้จ๋าหันไปเห็นตุ๊กแกตัวเขื่อง ที่เกาะอยู่บนผนังเหนือราวที่เอาไว้พาดผ้าเช็ดตัว มันจึงได้เข้าใจสถานการณ์

“ฮ่า ๆ กลัวตุ๊กแกหรือไงยัยเผือก”

“อือ ฮือ ๆ ๆ ไล่มันไปเร็ว “ตอบออกมาทั้งที่ยังซุกใบหน้าอยู่กับอกล่ำ ๆ ของไอ้จ๋า แต่ยังไงก็ไม่ยอมผละออกไม่ยอมปล่อยลำตัวหนาของมัน แม้ว่าไอ้จ๋าจะพยายามดันให้ออกห่างแล้วก็ตาม แถมออเรนจ์ยังกอดแนบแน่นขึ้นยิ่งกว่าเก่า ราวกับกลัวว่าอีกคนจะทิ้งให้เผชิญกับเจ้าตุ๊กแกตัวปัญหาคนเดียว

“ฮึ่ย ไปสิ ไป ๆ นี่ปล่อยได้แล้วมันไปแล้ว” คนตัวบางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าที่กำลังอมยิ้มมองตอบอยู่

“ไปแล้วจริง ๆ นะ”

“จริงสิ”

“ว้าย นายจ๋าคนบ้าคนโกหก ฮือ ๆ ๆ ” เมื่อหันไปทางต้นตอที่ทำให้ตกใจกลัว ปรากฏว่าตุ๊กแกมันยังเกาะอยู่ที่เดิม ออเรนจ์จึงร้องเสียงหลง แล้วหันกลับมามุดลงที่อกล่ำ ๆ ของไอ้จ๋าอีกครั้ง มือที่กอดรัดร่างแกร่งหนั่นแน่นกล้ามเนื้อเอาไว้ ก็ทุบหลังมันไปด้วยเพราะโกรธที่โดนหลอก ไอ้จ๋าหัวเราะขำแต่ก็หันไปไล่ตุ๊กแกให้ออกไป แล้วจึงก้มลงมองคนที่กำลังกอดมันอยู่แบบเต็ม ๆ ตา ร่างเปลือยเปล่าที่ขาวนวลลออ กำลังกอดร่างล่ำสันของมันเสียแน่น น้ำลายเหนียว ๆ ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เมื่อไอ้จ๋าห้ามสายตาไม่ให้มองไปตามแผ่นหลังเนียน ที่มีหยดน้ำเกาะพราวไม่ได้ แถมยังไล่สายตาลงไปจนถึงเอวเล็กคอด และสะโพกกลมกลึงน่าสัมผัส บรึ๋ย คิดอะไรวะกู ไม่ได้ ๆ หยุดคิด ๆ มันลามกจกกะเปรต ก้นยัยนี่นะเหรอที่น่าสัมผัส บ้าน่า ไอ้จ๋าบอกตัวเองพร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ มันยกมือสั่น ๆ ขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของคนตัวผอมเพื่อดันออก แต่ออเรนจ์กลับส่ายหัวไม่ยอมแถมยังรัดร่างหนาของมันเอาไว้เสียแน่น ราวกับกลัวว่าไอ้จ๋าจะหายไปทันทีที่ปล่อยมือ

“ตุ๊กแกไปแล้ว”

“นายโกหก ฮือ ๆ ใจร้าย”

“จริง ๆ คราวนี้มันไปแล้วจริง ๆ ไม่เชื่อก็เงยหน้าขึ้นมาดูสิ “ไอ้จ๋ายกมือขึ้นมาลูบหัวเล็ก ๆ ของคนที่ซุกหน้ากับอกกว้างของมันอย่างอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงบอกจริงจังไม่มีแววล้อเล่นหรือขบขันเหมือนในตอนแรก นั่นจึงทำให้ออเรนจ์เงยหน้าขึ้นมามองไอ้จ๋า ที่ก้มหน้ามองอยู่ด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้น้ำเสียง

“จริงนะ นายอย่าโกหกนะฉันกลัวจริง ๆ นะจ๋า” ถึงไม่บอกก็รู้ว่ากลัวมากแค่ไหน เพราะดวงตาสวยที่มองตอบกลับมามีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ ตัวบาง ๆ นั่นหรือก็สั่นจนไอ้จ๋ารู้สึกได้ ซึ่งพอเห็นแววตาจริงจังของไอ้จ๋า ออเรนจ์ก็ผละออกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนที่กอดร่างไอ้จ๋าเอาไว้หลวม ๆ ก่อนจะหันไปมองผนังที่เห็นตุ๊กแกเกาะอยู่ในตอนแรก ส่วนไอ้จ๋าเมื่ออีกคนหันไปมองข้างหลัง จึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้มันได้เห็นภาพด้านหน้า ของคนที่กอดมันไม่ยอมปล่อยได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงไหล่บอบบางที่หากสัมผัสแรงไปคงกลัวว่าจะแตกหักเอาได้ง่าย ๆ ไปจนถึงหน้าอกแบนที่ไม่ราบเท่าไหร่นักเพราะมีเนื้อตรงฐานนูนขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่สะดุดตาจนทำให้ไอ้จ๋าต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อีกครั้ง ก็คงจะเป็นเม็ดทับทิมสีสดบนหน้าอกขาวนวลราวกับน้ำนมสองเม็ดนั่นแหละ ที่ทำให้มันตาโตลมหายใจสะดุด จนต้องสูดหายใจเข้ายาวลึกแล้วปล่อยออกเร็ว ๆ ไม่เป็นจังหวะ เลือดในกายดูเหมือนว่าจะสูบฉีดผิดระบบการทำงานไปแล้ว จนกลัวว่ามันจะพุ่งออกมาทางปากทางจมูกเสียให้ได้ แล้วความร้อนรุ่มที่ปั่นป่วนอยู่ในตัวนี่มันคืออะไร ไอ้จ๋าใคร่อยากรู้ยิ่งนัก มันเริ่มหายใจถี่รัวอย่างยากที่ควบคุม กับเม็ดทับทิมน่าหยิกสองเม็ดนั่น จนกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมันจึงได้รู้ตัวและตั้งสติ ก่อนที่จะได้สำรวจต่ำลงไปกว่านั้น ทั้งที่ก็เห็นแวบ ๆ แล้วตั้งแต่ตอนแรก

“ไปแล้วจริง ๆ ด้วย ขอบใจนะจ๋าที่ช่วยไล่มันไป” ไอ้จ๋าได้ยินเสียงหวาน ๆ ของออเรนจ์บอกพร้อมกับความรู้สึกว่าร่างของตัวเองถูกปล่อยจากอ้อมกอด แต่มันก็ยังคงมองหน้าอกของออเรนจ์ไม่วางตา จนกระทั่งเจ้าตัวหันกลับมาพร้อมกับค่อย ๆ ถอยออกห่าง

“จ๋า เป็นอะไร อุ๊ย” ออเรนจ์พึ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า ก็เมื่อตอนที่เห็นสายตาของไอ้จ๋ามองต่ำลงไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ จึงได้ยกมือขึ้นมาปิดบังร่างกายตัวเอง แล้วหันหลังให้ตามสัญชาตญาณ ทั้งที่อีกคนก็คงเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้ว ซึ่งไอ้จ๋ามันก็ได้เห็นชัด ๆ หมดแล้วจริง ๆ

“เอ้าเป็นอะไรไปอีกล่ะ” ที่ถามนี่ก็แก้เขินให้ตัวเองด้วยล่ะ ที่เผลอไปมองเสียจนอีกคนรู้สึกตัว

“บ้าออกไปก่อนสิ ฉันจะแต่งตัว”

“อายอะไรมีเหมือน ๆ กัน”

“หน้าด้านที่สุด”

“ฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่หนอนน้อยนั่นน่ะ มัน..”

“มันอะไร บ้า ๆ ๆ ออกไปเลยนะ คนบ้า” ออเรนจ์เต้นเร่า ๆ หันมาผลักไอ้จ๋าให้ออกจากห้องน้ำแล้วปิดประตู แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะของมันดังตามเข้ามา ตอนนี้ออเรนจ์ตัวสั่นหัวใจยังเต้นโครมคราม แม้ว่าสายตาของไอ้จ๋ามันดูจะตกตะลึงพรึงเพริด มากกว่าอารมณ์อย่างอื่นก็ตามเถอะ แต่มันก็เล่นเอาออเรนจ์เขินอายอยู่ไม่น้อยที่ถูกมองเสียขนาดนี้ เพราะสาวน้อยในร่างชายทำตัวไม่ถูก ที่อีกคนจ้องมองตรง ๆ ถึงมีอะไรอย่างที่ผู้ชายมีเหมือนกันก็ตามเถอะ ออเรนจ์รู้ตัวเองดีนี่ว่าใจของเขานั้นไม่ได้แมน ๆ เหมือนไอ้จ๋าสักหน่อย มันก็ย่อมต้องมีความเหนียมอายกันบ้างล่ะ

ไอ้จ๋าออกมาจากห้องน้ำแล้วแต่ภาพร่างกายขาว ๆ ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมและน่าตระกองกอดนั่น ยังคงติดตาของมันอยู่อย่างชัดเจน ทั้งสะบัดหน้าทั้งยีหัวทึ้งผมตัวเองก็แล้ว แต่ภาพติดตาอย่างร่างบอบบางที่ขาวนวลเนียนนั่นก็ยังไม่ยอมหายไปจากหัวมันสักที

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“อูยซี้ด เจ็บฉิบหาย” ไอ้จ๋าตบแก้มตัวเองทั้งซ้ายขวาเพื่อเรียกสติ และไล่ภาพที่ยังอยู่ในหัวออกไป แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด เพราะเรือนร่างขาวนวลเนียนน่าสัมผัสนั่น ยังลอยเข้ามาในจินตนาการของมันอยู่เหมือนเดิม และเหมือนมันจะตรึงลงไปในใจของไอ้จ๋าเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว ยืนบ่นกระปอดกระแปดให้ตัวเองอยู่ครู่เดียว คนที่อยู่ในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมา

“เอ่อ”

“..” ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดที่ตัวใหญ่กว่าขนาดของตัวเองมาก จนคอเสื้อห้อยย้อยเผยให้เห็นผิวขาว ๆ และกางเกงบอลดูไม่ค่อยสมส่วน แต่ไอ้จ๋ากลับคิดว่ามันดูน่ารักน่าทะนุถนอมเอาไว้ในอ้อมกอดมากกว่า

เพี้ยะ! เพี้ยะ! ตบหน้าตัวเองอีกสองครั้งเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะมาให้ครบถ้วน

“จ๋า เป็นอะไร ตบหน้าตัวเองทำไม”

“เออ เปล่า ๆ เสร็จแล้วเหรอ”

“อืม”

“ไปรอบนบ้านฉันจะอาบบ้าง” พูดจบไอ้จ๋าก็เดินเข้าห้องน้ำไปเลย โดยที่ทั้งสองต่างคนต่างก็ไม่กล้ามองหน้ากัน ไอ้จ๋าถอดผ้าเช็ดตัวที่พันร่างออกพาดไว้ที่ราว แล้วจ้วงตักน้ำในอ่างราดตัวเร็ว ๆ น้ำเย็นช่วยให้ความฟุ้งซ่านในหัวของมันบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง ภาพต่าง ๆ ที่ยังติดตาตรึงใจหาได้ลบเลือนไปได้ง่าย ๆ ไม่เพราะมันยังคอยผุดขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่หนักเท่าตอนแรก แต่ก็ยังดีที่มันยังสามารถทำอย่างอื่นได้บ้าง ไม่ใช่คอยคิดถึงแต่ร่างขาวราวน้ำนมน่าลูบไล้นั่นอย่างเดียว

ไอ้จ๋ารีบอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณและแปรงฟันอย่างเร่งด่วน เสร็จก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันเอวลวก ๆ หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามตัวและกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเยี่ยงบุรุษเพศ ที่พึ่งแตกพานผ่านเวลาแตกเนื้อหนุ่มมาได้ไม่กี่ปี แต่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วมันก็ต้องชะงักอยู่ตรงนั้นนั่นเอง เพราะคนที่คิดว่าขึ้นไปรอบนบ้านแล้ว ยังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิม

“อ้าว มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“ก็รอไปพร้อมกัน”

“ทำไมต้องรอไปพร้อมกัน บอกให้ไปรอบนบ้านเดี๋ยวยุงก็กัดเอาหรอก” ไอ้จ๋าว่าพลางเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งตัวมีผ้าผืนเดียวปกปิดท่อนล่าง ทำให้ออเรนจ์รีบหลบตาก้มหน้าหันไปอีกทาง

“ก็ฉันไม่กล้าขึ้นไปคนเดียวนี่”

“ก็เลยยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำ นี่คิดจะแอบดูฉันอาบน้ำหรือยังไง”

“บ้าใครจะไปคิดแบบนั้น แต่..เอ่อ” พอเงยหน้าขึ้นมาจึงได้รู้ว่าไอ้จ๋ามันมายืนเอามือเท้าเอวจังก้าอยู่ตรงหน้า ออเรนจ์ที่ตัวสูงแค่ระดับไหล่ของไอ้จ๋า สายตาจึงปะทะเข้ากับหน้าอกแกร่งน่าซบและกล้ามเนื้อแน่น ๆ ของมันเข้าพอดี แต่เท่านั้นดูเหมือนจะยังไม่พอ เพราะดวงตาหวานยังไล่ลงไปตามหน้าท้องที่ขึ้นลอนเป็นคลื่นสวย แถมประดับด้วยหยดน้ำพราว สาวน้อยในร่างหนุ่มบอบบางจึงเผลอมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา หรือจะเรียกว่ามองเสียเพลินก็อาจเป็นได้ หากไม่โดนเจ้าของร่างทักมาเสียก่อน

“เฮ้ย อะไรของเธอยัยเผือกห้ามมองนะเว้ย” ไอ้จ๋าที่ตั้งตัวตั้งสติได้แล้วแกล้งเอามือปิดหน้าอกปิดเป้าตัวเอง ผ่านผ้าเช็ดตัว ทั้งที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกอายอะไรนักหรอก ปกติวันไหนร้อน ๆ มันก็เดินถอดเสื้อโทง ๆ ได้อยู่แล้ว นี่ก็แค่แกล้งอีกคนเล่นเท่านั้นแหละ

“บ้าใครจะอยากมอง จะไปได้หรือยัง”

“ก็ไปสิ” ออเรนจ์เดินนำหน้าไอ้จ๋าขึ้นบ้าน แต่ดูเหมือนว่าปัญหามันยังไม่หมดเท่านั้นเมื่อ

“มองอะไรจะดูฉันแต่งตัวหรือไง”

“เปล่านะ”

“เปล่าก็หันไปสิ ยังอีกเดี๋ยวโชว์ซะเลยนี่”

“ว้าย” ว่าแล้วก็แกล้งทำเหมือนจะกระตุกผ้าที่มันนุ่งอยู่ออก ทั้งที่มืออีกข้างหนึ่งจับชายผ้าเอาไว้แน่นแล้ว ออเรนจ์เห็นแบบนั้นก็ร้องว้ายแล้วหันหลังให้ทันที รอยยิ้มขำปนเอ็นดูผุดขึ้นบนใบหน้าดำคล้ำแดด โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยสักนิด ว่าตอนนี้มันมองเจ้าของร่างบอบบางตรงหน้าแตกต่างจากวันแรกที่ได้เจอไปแล้ว

“หึ ๆ ๆ นึกว่าจะแน่”

“เธอนอนอยู่นี่นะ” ไอ้จ๋าบอกพลางนั่งลงข้างออเรนจ์ หลังจากที่มันแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว โดยใส่แค่กางเกงบอลตัวเดียวส่วนเสื้อกล้ามพาดไว้ที่ไหล่

“หมายความว่ายังไง แล้วนายล่ะ”

“ฉันจะไปนอนบ้านใหญ่”

“อ้าว บ้านใหญ่ไหน นายจะไม่นอนด้วยกันหรือไง”

“หืม?” ไอ้จ๋าเลิกคิ้วล้อเลียนเมื่อออเรนจ์พูดว่านอนด้วยกัน นั่นยิ่งทำให้เจ้าของร่างบอบบางทำตัวไม่ถูก

“คือ ฉันหมายความว่านายจะไปนอนที่ไหนทำไมไม่นอนบ้านตัวเอง”

“ปกติฉันนอนที่บ้านใหญ่ บ้านที่เธอมากับพี่สาวเธอนั่นแหละ”

“ไม่เอานะจ๋า นายจะให้ฉันนอนบ้านนี้คนเดียวหรือไง”

“เดี๋ยวแม่ฉันก็กลับมา”

“แล้วถ้าไม่มาล่ะ ฉันกลัวนะ”

“ไม่กลับมาเธอจะให้แม่ฉันไปนอนที่ไหนยัยส้มเน่า” ไอ้จ๋าผลักหัวเล็ก ๆ ของออเรนจ์ไม่แรงมากนัก แต่ก็เล่นเอาอีกคนตัวเอียงไปตามแรงผลักเลยทีเดียว และสุดท้ายมันก็ได้ลงบ้านมานอนบ้านหลังใหญ่ของคุณยายสักที โดยมีอีกคนเดินตามมาด้วย ออเรนจ์ที่แทบจะเกาะหลังไอ้จ๋า เพราะทางที่มันแกล้งพาเดินมาค่อนข้างมืด และดูเหมือนว่าคนตัวบางจะกลัวเสียเหลือเกิน นี่ถ้าขี่หลังมันได้ออเรนจ์คงทำไปแล้ว ตอนแรกไอ้จ๋าก็กะจะให้นอนรออยู่บ้าน แต่เอาไปเอามาเห็นปากแดง ๆ นั่นคอยแต่จะแบะออก เพราะเจ้าตัวเหมือนจะร้องไห้เพราะความกลัว และไม่กล้านอนคนเดียว แล้วยังหาว่ามันจะทอดทิ้งให้นอนเฝ้าบ้าน สุภาพบุรุษแห่งบ้านทุ่งดอกจานอย่างไอ้จ๋าตัวดำ จึงจำต้องให้อีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย อย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ปัญหามันยังไม่จบเพียงเท่านั้นหรอก เมื่อมาถึงบ้านใหญ่

“นั่นที่นอนหมอนมุ้งไปจัดการให้เรียบร้อย”

“ให้ฉันนอนตรงนี้เหรอจ๋า”

“เออ”

“แล้วนายล่ะนอนตรงไหน”

“แล้วคิดว่าฉันจะนอนไหนล่ะ”

“ยะ อย่าบอกนะว่านอนตรงนี้ด้วยกัน”

“เอ้า ให้นอนอยู่บ้านก็กลัว พอมาแล้วไม่นอนด้วยกันแล้วเธอจะให้ฉันไปนอนไหนแม่คุ้ณ”

“นายก็ไปนอนตรงแคร่นั่นสิ”

“มีมุ้งหลังเดี๋ยวนอนตรงนั้นยุงได้กัดตายพอดี อย่าเรื่องมากรีบไปจัดที่นอน อยากตามมาเองทำไม” ออเรนจ์ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยเอาที่นอนออกมาปูก่อน

“จ๋ามีหมอนใบเดียวเหรอ”

“เออ เธอหนุนไปก็แล้วกัน”

“แล้วนายล่ะ”

“ไม่ต้องถามมากรีบ ๆ ทำจะได้นอนสักทีฉันง่วง”

“อุ๊ย “ออเรนจ์ร้องออกมาเบา ๆ เมื่อพยายามยืดตัวขึ้นเกี่ยวหูมุ้งตรงตะปูที่ต้นเสา แต่มันสูงเกินไป พยายามยืดตัวขึ้นยังไงก็ไม่ถึงสักที ไอ้คนที่ยืนดูอยู่อดไม่ได้เลยเดินเข้ามาช่วยจัดการ แต่ไอ้การที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังนี่แหละ ที่ทำให้ออเรนจ์ทำตัวไม่ถูก และอุทานออกมาว่า อุ๊ย เบา ๆ แล้วก็ได้แต่ตัวสั่นยืนก้มหน้าเม้มปากอยู่อย่างนั้น

“ขึ้นไป” ไอ้จ๋าบอกเสียงดุเมื่อกางมุ้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างบอบบางมองตาปริบ ๆ แต่ก็ถลกชายมุ้งขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไป ไอ้จ๋าเดินไปปิดไฟแล้วตามเข้ามาในมุ้งเดียวกัน

“อะไร” ออเรนจ์ถามเสียงสั่น เมื่อไอ้จ๋าที่นอนหนุนแขนตัวเอง จ้องตาเขม็งผ่านความมืดสลัว เพราะมีแสงไฟจากหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้ จึงทำให้พอมองเห็นกันได้ลาง ๆ

“ฉันสิต้องถามเธอ ทำไมไม่นอนลง”

“กะ ก็ ก็ได้”

“ขยับมาอีก เดี๋ยวก็ตกหรอก” ไอ้จ๋าบอกเมื่อออเรนจ์นอนลงแล้ว แต่ก็ชิดขอบที่นอนอีกฝั่งจนกลัวว่าถ้ากลับตัวไม่ระวังคงได้มีตกเตียงกันบ้าง

“ห่มให้มันดี ๆ ซิผ้าห่มเนี่ย” ไอ้ตัวดำไม่พูดเปล่าแต่มันลุกขึ้นมาจัดผ้าห่มให้ด้วย นั่นทำให้ออเรนจ์รู้สึกอุ่นวาบ ๆ อยู่ในใจ แต่ก็ทำได้แค่ซุกหน้าลงกับหมอนเพราะรู้ว่าตัวเองคงหน้าแดงมาก และกลัวว่าไอ้จ๋ามันจะสังเกตเห็นเอาได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในมุ้งที่มืดสลัวก็ตามเถอะ

ทั้งสองต่างคนก็ต่างนอนหันหลังให้กัน ตาที่พยายามจะปิดหรือก็ยังไม่สามารถปิดมันลงได้ทั้งสองคน ไอ้จ๋าให้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองเป็นยิ่งนัก เพราะปกติแค่หัวถึงหมอนมันก็หลับเหมือนซ้อมตายไปแล้ว แต่วันนี้ทำไมแค่จะข่มเปลือกตาให้ปิดลง เพื่อให้ตัวเองได้นอนหลับพักผ่อนยังทำไม่ได้ หลับตาลงทีไรร่างบอบบางที่ขาวนวลเนียนน่าลูบไล้ ก็ลอยเข้ามาในหัวของมันทุกที นี่ไอ้จ๋าไม่ได้โรคจิตและไม่ได้คิดอกุศลอะไรเลยนะ ไม่ได้คิดเลยจริง ๆ แต่ทำไมมันลืมไม่ได้สักกะทีวะ! ส่วนออเรนจ์ก็หลับไม่ลงเช่นกัน เพราะรู้สึกถึงอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ห่างกันไม่กี่คืบ รู้สึกถึงไออุ่นจากคนตัวดำหน้ากวน แต่ก็ได้แค่นอนตัวลีบหันหลังอยู่อย่างนั้น หลับตาลงก็ทำได้แค่ปิดเปลือกตา แต่ทำไมไม่สามารถที่จะนอนหลับได้จริง ๆ สักที ต่างคนต่างคิด ต่างคิดแล้วก็ต่างนอนไม่หลับ นอนอยู่ท่านั้นเป็นชั่วโมงร่างกายมันก็ต้องมีปวดเมื่อยเป็นธรรมดา จึงหันเปลี่ยนท่าแต่ก็ดันหันมาพร้อมกันนี่สิ

“เป็นอะไร” ไอ้จ๋าถามออกมาเบา ๆ เพราะดูเหมือนออเรนจ์จะสะดุ้งเล็กน้อย ที่พลิกตัวหันมาสบตาเข้ากับมันพอดี

“เปล่า แค่นอนไม่หลับคงเพราะแปลกที่”

“นอนเถอะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคิดมากหรอก” ไอ้จ๋ามันก็พูดออกมาแบบธรรมดาและปกติมาก แต่ไม่รู้ทำไมออเรนจ์ถึงได้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอีกแล้ว คนตัวบางพยักหน้าเบา ๆ แต่ลึก ๆ ก็ซึมซับเอาความใจดีของมันไว้โดยไม่รู้ตัว ไอ้จ๋านอนมองหน้าออเรนจ์ที่หลบสายตามันนิ่ง ๆ จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ไปแล้วหลายชั่วโมง ทั้งสองจึงต่างคนต่างผล็อยหลับไป และเพราะกว่าจะหลับได้ก็ดึกมากโขแล้วนี่แหละ เช้านี้ทั้งสองจึงตื่นสายกันพอสมควร โดยที่คนตื่นเช้าเป็นปกติอย่างไอ้จ๋าเอง ยังนอนหลับอุตุไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเพราะนอนดึก หรือเพราะนอนหลับสบายจากการได้ไออุ่นของคนนอนข้าง ๆ แต่หากไอ้จ๋ายังไม่รีบตื่นเสียแต่ตอนนี้ สิ่งที่มันไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อ....เมื่อ..... เมื่อ

“ไอ้จ๋าตื่นยังวะ” ต้นกล้าที่ใครบางคนบอกจะมารับแต่เช้า เดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอนและพูดกับตัวเองเบา ๆ ลูกพี่ใหญ่หัวแดงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พอเดินเข้ามาก็ปรากฏว่ามุ้งของไอ้จ๋ายังกางอยู่เหมือนเดิม นี่แปลว่าไอ้จ๋ามันยังไม่ตื่นสินะ คนเป็นลูกพี่ให้รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติไอ้จ๋าจะเป็นคนไปปลุกเขาเสียมากกว่า แต่วันนี้ต้นกล้าตื่นแล้ว ไอ้จ๋ากลับยังนอนก้นโด่งอยู่ในมุ่ง ซึ่งเขาก็ยังไม่เห็นหรอกนะว่าก้นของมันจะโด่งจริงหรือเปล่า นี่เพียงแค่อุปมาอุปไมยเฉย ๆ ต้นกล้าคิดพลางเดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอน หวังจะปลุกมันขึ้นมารับวันใหม่ แต่พอเดินมาใกล้แล้วมองผ่านมุ้งบาง ๆ เข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ ภาพที่เห็นเล่นเอาแทบเต้นผาง เพราะมันทำให้ลูกพี่ใหญ่อย่างต้นกล้า ตกใจเสียงยิ่งกว่าเห็นไอ้จ๋านอนก้นโด่งให้ตะวันแยงเล่นเสียอีก!

“ไอ้จ๋าตื่นยังวะ” ต้นกล้าที่ใครบางคนบอกจะมารับแต่เช้า เดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอนและพูดกับตัวเองเบา ๆ ลูกพี่ใหญ่หัวแดงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พอเดินเข้ามาก็ปรากฏว่ามุ้งของไอ้จ๋ายังกางอยู่เหมือนเดิม นี่แปลว่าไอ้จ๋ามันยังไม่ตื่นสินะ คนเป็นลูกพี่ให้รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติไอ้จ๋าจะเป็นคนไปปลุกเขาเสียมากกว่า แต่วันนี้ต้นกล้าตื่นแล้ว ไอ้จ๋ากลับยังนอนก้นโด่งอยู่ในมุ่ง ซึ่งเขาก็ยังไม่เห็นหรอกนะว่าก้นของมันจะโด่งจริงหรือเปล่า นี่เพียงแค่อุปมาอุปไมยเฉย ๆ ต้นกล้าคิดพลางเดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอน หวังจะปลุกมันขึ้นมารับวันใหม่ แต่พอเดินมาใกล้แล้วมองผ่านมุ้งบาง ๆ เข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ ภาพที่เห็นเล่นเอาแทบเต้นผาง เพราะมันทำให้ลูกพี่ใหญ่อย่างต้นกล้า ตกใจเสียงยิ่งกว่าเห็นไอ้จ๋านอนก้นโด่งให้ตะวันแยงเล่นเสียอีก!

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้พี่มาแล้ว” ใช่พี่มาแล้วและพี่กำลังงงเพราะต้นกล้าไม่เคยเดินมาหาแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะมาทุกวันหรือหายไปกี่วันก็ตาม หรือว่าอีกคนจะตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยววะ

“รีบอะไร ไม่ใช่สักหน่อย” ว่าแล้วเชียว ไม่อยากสำคัญผิดเลยจริง ๆ เด็ดเดี่ยวบ่นให้ตัวเองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“แล้วมีอะไรหน้าตาตื่นมาเชียว”

“เอ่อ คือ จะว่ายังไงดีล่ะ”

“ก็ว่ามาตามตรงนั่นแหละเป็นอะไร”

“คือ..” เอาจริง ๆ ต้นกล้าก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงนั่นแหละ ทั้งคิดว่านี่มันเรื่องส่วนตัวไม่ควรก้าวก่าย แต่อีกใจก็คิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างบ้าง

“จะรู้เรื่องมั้ยล่ะเนี่ย”

“ไอ้จ๋าน่ะ”

“ไอ้จ๋าทำไม”

“มันยังไม่ตื่น”

“อืม มันต้องมีมากกว่านั้น ถ้าแค่มันยังไม่ตื่นเราคงไม่ทำหน้าตกใจอย่างนี้ หรือมันพาสาวมากก”

“เฮ้ย รู้ได้ไง” ต้นกล้าตาโตเมื่ออีกคนโพล่งออกมาแบบนั้นเหมือนกับว่ารู้เห็นเป็นใจ

“อ้าวจริงเหรอ พี่แค่ลองเดาดูดันถูกอีกเหรอ”

“อืม”

“หืม ร้ายนะมัน”

“เอาไงดี”

“ว่าแต่มันพาใครมาล่ะ”

“ไม่รู้สิเห็นนอนด้วยกันอยู่โน่น” ต้นกล้าทำปากบุ้ยใบ้ไปทางที่ไอ้จ๋านอนประจำ เด็ดเดี่ยวทำท่าครุ่นคิด เพราะปกติไอ้จ๋าก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหล โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ยิ่งไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องมีราวอะไรแบบนี้มาก่อน ถึงมันจะเป็นคนกวน ๆ เกรียน ๆ คุยสนุกหยอกเย้ากวนชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวให้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ต้องลำบากใจคิดหนักกับมัน

“ไปดูกันดีกว่า” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วทำท่าจะเดินเข้าไป แต่ต้นกล้าดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ก่อน

“เฮ้ย ไปดูทำไมเรื่องส่วนตัวของมันนะ”

“แล้วเผื่อมันเอาลูกสาวชาวบ้านมาทำมิดีมิร้ายจะทำยังไง”

“คงไม่หรอกมั้ง”

“ทำไมต้องมีมั้ง”

“ก็..”

“มันนอนด้วยกัน”

“อืม”

“ในมุ้งเดียวกัน”

“ใช่”

“กอดกัน”

“..” ต้นกล้าพยักหน้าตาโตที่เด็ดเดี่ยวสามารถคาดเดาได้ตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง

“อย่างนี้ต้องไปดูให้เห็นกับตา”

“เดี๋ยวสิ ๆ จะไปดูจริง ๆ เหรอ”

“หึ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะร้ายนัยน์ตาพราว แล้วเดินตรงไปยังที่นอนของไอ้จ๋าแบบที่เงียบที่สุด คือค่อย ๆ ก้าวเข้าไป ชายหนุ่มย่อตัวลงเล็กน้อย เหมือนกำลังจะเข้าไปขโมยอะไรสักอย่างที่ไม่ควรทำให้เกิดเสียง แม้แต่นิดก็ไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือย่องเบาเข้าไปนั่นแหละ ไม่รู้จะอธิบายอะไรมาเสียยืดยาว

Next...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวก้มดูผ่านมุ่งนอนของไอ้จ๋า โดยการจับมุ้งเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปส่องเสียติดขอบมุ้ง ต้นกล้าที่ย่องตามกันมาจึงทำตามบ้าง ไม่รู้ว่าพากันนึกสนุกอะไรกันถึงได้ลืมถามตัวเองไปว่า นี่มันเป็นการสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปหรือเปล่า พอส่องแล้วก็ต้องตาโตกับภาพที่เห็นแบบคมชัดสมจริง ทั้งที่ก็เห็นมาก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่มันไม่แจ่มแจ้งมากเท่าตอนนี้ก็เท่านั้นเอง กับภาพเบื้องหน้าที่ไอ้จ๋านอนหงายเอาแขนล่ำ ๆ ของตัวเองหนุนหัวข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อพอกันกางออก แล้วมีใบหน้าสวยหวานที่ขาวนวลเนียนสีตัดกัน พาดซบหนุนต้นแขนของมันนอนหลับตาพริ้มดูท่าทางสบาย ลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอของคนทั้งสอง เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังหลับสนิทมาก ทั้งที่ปกติไอ้จ๋านั้นเป็นคนนอนไวตื่นเช้า นี่คงเล่นเอาจนหมดแรงกันแน่ ๆ ถึงได้ไม่ยอมตื่นกันสักที หืม? เล่นเอาจนหมดแรง?! ต้นกล้าตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่ขณะที่กำลังคิดลึกอะไรแบบนั้นเพลิน ๆ ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่าคอเสื้อด้านหลังถูกกระตุก และเมื่อต้นกล้ายังเฉยเลยถูกดึงแต่ไม่แรงมากนัก นั่นจึงทำให้คนหัวแดงถอยออกมาตามแรงดึงจากคอเสื้อ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกที่จะทำแบบนี้ได้ นอกจากคนตัวโตร่วมอุดมการณ์ถ้ำมองด้วยกันนี่เอง

“ชู่ว” เด็ดเดี่ยวเอามือแตะปากทำเสียงให้ต้นกล้าที่กำลังจะอ้าปากโวยวายให้เงียบ แล้วทำปากบุ้ยใบ้เป็นการบอกให้อีกคนตามไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ ซึ่งมันหันหน้าเข้าหาที่นอนของไอ้จ๋าพอดิบพอดี

อากาศยามเช้าที่กำลังเย็นสบายช่วยให้รู้สึกดีอยู่บ้าง แม้จะตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยเต็มตาเท่าไหร่นัก เพราะกว่าจะหลับลงไปได้จริง ๆ ก็เล่นเอาดึกโข แต่พอได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิที่ปลูกเอาไว้ข้างตัวบ้านโชยเข้ามาเป็นระยะ ก็ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อยู่ไม่น้อย ไอ้จ๋าที่กำลังงัวเงียเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแบบไม่เต็มตาเท่าไหร่นัก มันรู้สึกเมื่อยขบที่ต้นแขน แต่พอจะขยับกลับทำไม่ได้อย่างต้องการเพราะมีอะไรบางอย่างทับอยู่ ใบหน้าเข้มเกรียมแดดหันไปมองข้าง ๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วกับสิ่งที่อยู่ในระยะประชิด อย่างใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเส้นผมของคนข้างกาย ที่ปะทะเข้ามายังประสาทสัมผัสของมันพร้อม ๆ กันทุกส่วน ไอ้จ๋าชะงักไปกับภาพใบหน้าขาวนวลเนียนที่เห็นระยะใกล้ มันกวาดตามองสำรวจใบหน้าสวยโดยองค์ประกอบทั้งหมด ตั้งแต่คิ้ว จมูก ริมฝีปาก คางมน สองพวงแก้มนวลปลั่ง ที่รวมกันเข้ากลายเป็นความน่ารักดูกระจุ๋มกระจิ๋มแบบปากนิดจมูกหน่อย จนมันมองไล่สายตากลับขึ้นมาถึงเปลือกตาที่ปิดสนิท แล้วให้คิดถึงดวงตากลมโตสีน้ำตาลมีประกายสวย ที่ดูเหมือนจะมีแววระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา คิดว่าถ้าได้เพ่งมองดี ๆ คงจะสวยน่าดู แต่ขณะที่กำลังคิดถึงนัยน์ตาหวานคู่นั้น อยู่ ๆ เปลือกตาบางก็เปิดขึ้นมาในทันทีทันใด แบบไม่ให้ไอ้คนที่กำลังแอบมองตั้งตัว เหมือนกับรู้ว่ามันกำลังต้องการเห็นพอดี คนหลับจึงลืมตาขึ้นมาสบตากัน

“อุ๊ย จ๋า”

“เฮ้ย ยัยเผือก”

“นายจะทำอะไรน่ะ”

“เปล่านี่”

“ก็นายนอกกอดฉันอยู่”

“เธอนั่นแหละ หันมากอดฉันเอง”

“ฉันเปล่านะ นายแหละฉวยโอกาส”

“ฉันจะฉวยทำไมไม่ได้อยากทำอะไรสักหน่อย”

“ก็นายกอดฉันอยู่”

“บอกว่าไม่ได้ทำไงดูมือเธอซะก่อนมันวางอยู่บนตัวฉัน ดูตัวเองซะก่อนจะว่าคนอื่น”

“นายทำ”

“ก็บอกว่า..”

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเถียงกันตื่นแล้วก็โผล่หัวออกมา”

“!!” ทั้งไอ้จ๋าและออเรนจ์ที่กำลังเถียงกันอยู่ในมุ้งต่างก็ตกใจตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงเข้มของเด็ดเดี่ยวดังแทรกขึ้นมา

“ลูกพี่” ไอ้จ๋าอุทานตาโตเมื่อเปิดมุ้งออกมาเห็นลูกพี่ทั้งสองนั่งจ้องมองมาทางมันเขม็ง

“อาจารย์” ออเรนจ์ก็ตาโตไม่แพ้กันเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวนั่งหน้านิ่งมองมาเขม็ง ดวงตากลมโตเหลือบไปมองหนุ่มหล่ออีกคนที่นั่งข้าง ๆ อาจารย์ก่อนจะหันไปมองไอ้จ๋าที่นั่งอยู่ข้างกัน ก็เห็นว่ามันดูเหมือนจะช็อกตาตั้งไปแล้ว

“เอ่อ”

“อธิบายมา” ต้นกล้าบอกเสียงนิ่งแต่ฟังดูจริงจังมากจนไอ้จ๋าไม่กล้าสบตา

“คือ...” เพราะไอ้จ๋าไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะความจริงไม่มีอะไรอย่างที่คิด แต่พอเห็นสายตาคาดคั้นของคนเป็นลูกพี่ อยู่ ๆ มันก็ทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น

“แกมีแฟนเหรอจ๋า” ต้นกล้ารุกเมื่อไอ้จ๋ามันยังอ้ำอึ้ง

“เฮ้ย เปล่านะครับลูกพี่ ไอ้จ๋าเปล่ามีแฟนนะครับ”

“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าพาลูกสาวเขามานอน”

“นี่มันไม่ใช่ลูกสาวนะครับลูกพี่..”

"หืม..." ต้นกล้าเลิกคิ้วสูงสีหน้าสงสัย ไม่ใช่ลูกสาวอย่างนั้นเหรอ

“เป็นลูกผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบนะไอ้จ๋า” เด็ดเดี่ยวพูดแทรกขึ้นมาเสียงนิ่งเป็นงานเป็นการ นั่นยิ่งทำให้ไอ้จ๋าและออเรนจ์ประหม่าเข้าไปใหญ่

“อาจารย์ฮะคือว่า..”

“ว่าไง แกจะรับผิดชอบยังไง” เด็ดเดี่ยวถามไอ้จ๋าเสียงเข้มหลังจากส่งสายตาปรามเหมือนบอกให้ออเรนจ์เงียบก่อน

“แล้วเราล่ะมากับไอ้จ๋าได้ยังไง พ่อแม่ไม่เป็นห่วงแย่หรือไง” ต้นกล้าหันไปถามออเรนจ์ เมื่อไอ้จ๋ามันยังนั่งเงียบกลอกตามองคนนั้นทีคนนี้ที ระหว่างเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้า

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับลูกพี่..” ไอ้จ๋าตัดสินใจพูดออกมาตามความจริงให้ลูกพี่ทั้งสองที่นั่งรอฟังมันพูดนิ่ง ๆ เด็ดเดี่ยวตีหน้าเข้มได้อย่างแนบเนียน ส่วนต้นกล้าต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เพราะใบหน้าไอ้จ๋าตอนนี้ มันเหมือนกับคนที่ไม่ได้ถ่ายท้องมาแล้วสามวันยังไงอย่างนั้นเลย

“มันเป็นอย่างนี้เองใช่มั้ย ออเรนจ์มาตามงานที่ทำด้วยกัน” ต้นกล้าถามย้ำพลางพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

“ครับลูกพี่”

“แล้วทำไมต้องมานอนกกกัน” เด็ดเดี่ยวรุก

“เฮ้ยลูกพี่เดี่ยวไอ้จ๋าไม่ได้กกกันนะครับ”

“ก็เห็นอยู่ว่านอนกอดกันในมุ้ง”

“ไอ้จ๋าก็นอนของมันดี ๆ แต่พอตื่นมาก็.. ก็..”

“เป็นสุภาพบุรุษหน่อยจ๋า” ต้นกล้าปรามไอ้จ๋าเมื่อเหลือบไปเห็นอีกคนที่นั่งตัวลีบอยู่ข้าง ๆ หน้าแดงแล้วก้มหน้าหลบตาอาย ๆ

“แต่..”

“ไม่รู้ล่ะ ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น รับผิดชอบการกระทำของแกซะ วันนี้ฉันมีธุระต้องไป” พูดจบต้นกล้าก็เดินออกไปทันทีทิ้งให้ไอ้จ๋านั่งอ้าปากหว๋อมองตามลูกพี่ไป เพราะมันพูดไม่ออก รับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ ไอ้จ๋าทำอะไรไว้วะทำไมต้องรับผิดชอบ

“หึ ๆ เอาลูกเขามานอนกอดทั้งคืน จะทำยังไงก็รีบ ๆ ทำไปล่ะ”

“เดี๋ยวครับลูกพี่กลับมาก่อน ไอ้จ๋าไม่ได้ทำอะไรนะครับลูกพี่ครับ ลูกพี่ กลับมาก่อนครับ แล้วจะให้ไอ้จ๋ารับผิดชอบยังไงเนี่ย โอย ไอ้จ๋าอยากจะบ้าตาย”

**********************

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าระเบิดเสียงหัวเราะขำออกมาเมื่อขึ้นมานั่งบนรถของเด็ดเดี่ยว ซึ่งอีกคนที่พึ่งเปิดประตูขึ้นมานั่งประจำที่คนขับก็หัวเราะพอใจไม่ต่างกัน ต้นกล้าไม่รู้หรอกนะว่าไอ้จ๋ามันได้ทำอะไรยังไงหรือเปล่า เพราะตัวเขาเองก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่แล้วยังไงล่ะ ชีวิตวัยรุ่นในสังคมเมืองที่เขาเคยเจอมามันยิ่งกว่านี้อีก ถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของไอ้จ๋ามันเล็กน้อยมากทีเดียว ที่ทำเป็นเสียงเข้มมาทั้งหมดก็เพื่อแกล้งไอ้จ๋ามันเล่นแค่นั้นแหละ เพราะเด็ดเดี่ยวเล่าแผนการของเขาตั้งแต่ที่บังคับให้ทั้งสองจับคู่ทำงานร่วมกันให้ฟังแล้ว ต้นกล้าจึงเห็นดีเห็นงามด้วย ที่จะได้แกล้งไอ้จ๋ามันคืนบ้างก็แค่นั้นเอง

ต้นกล้าคิดแค่นั้นเพราะรู้มาแค่นั้น ส่วนเด็ดเดี่ยวมันมากยิ่งกว่านั้น เพราะทุกครั้งที่เขาอยู่กับต้นกล้า โดยเฉพาะตอนกำลังเข้าโหมดซึ้งทีไร ไอ้จ๋าเป็นได้โผล่มาขัดทุกที แผนเอาคืนแค่นี้คงไม่มากเกินไป ถึงแม้ว่าจะได้ความบังเอิญมาช่วยด้วยก็ตามเถอะ ก็แน่ละสิเพราะเขากระซิบบอกกับออเรนจ์ว่ารู้จักบ้านไอ้จ๋า และตอนที่ให้น้องติดรถกลับบ้านมาด้วย ก็ถามไถ่กันเสียละเอียดยิบ ชายหนุ่มผู้เป็นอาจารย์ก็บอกทางจนเห็นภาพยิ่งกว่าติดจีพีเอสให้ขนาดนั้น ตามมาไม่ถูกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ส่วนคนที่ถูกจับคู่ให้ทำรายงานด้วยกันก็รีบมาตามงานทันทีเลยเข้าทาง

“คิก ๆ ๆ”

“ขำใหญ่เลยนะ”

“แหงละสิ เห็นหน้าไอ้จ๋ามั้ยฮ่า ๆ เห็นหน้ามันมั้ย”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอและรู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนตกใจของไอ้จ๋า มันไม่ต่างจากหมางงเท่าไหร่นัก ยิ่งตอนที่มันเจอคำถามที่ถามด้วยเสียงเข้ม ๆ แบบเอาจริงเอาจัง ยิ่งดูเหมือนมันจะกลายเป็นหมางงที่ถูกตีหัวไปด้วยเลยทีเดียว ชายหนุ่มเองก็อดขำไม่ได้กับใบหน้าที่มีทั้งความอึ้ง ความกังวล และวางตัวไม่ถูก จะพูดอะไรออกมาก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะคาตาคาหนังคาเขาเสียเหลือเกิน จนไอ้จ๋าดิ้นไปทางไหนไม่ได้ และเอาแต่นั่งทำหน้าบื้อใบ้อยู่อย่างนั้น เรียกได้ว่าทุกอย่างที่รวมเป็นใบหน้าของไอ้จ๋าตอนนั้นคือกระตุ้นต่อมฮามากที่สุด

“คิก ๆ คิดแล้วก็ขำไม่หาย ตอนที่มันโผล่หน้าออกจากมุ้งมาเจอเรา ตางี้โตกว่าไข่ห่านอีก เห็นปากมันมั้ยห้อยเลยเชียวล่ะ” เด็ดเดี่ยวนึกภาพตามก็ขำพรืดออกมาเหมือนกัน “ว่าแต่เด็กนั่นเป็นใครมาจากไหนอะ”

“เพื่อนเรียนด้วยกันนั่นแหละ”

“อืม เหรอ” จากนั้นเรื่องของไอ้จ๋าก็กลายเป็นหัวข้อสนทนากันตลอดทาง ทำให้ต้นกล้าลืมเรื่องคาใจที่จะถามว่าทำไมออเรนจ์ถึงได้เรียกเด็ดเดี่ยวว่าอาจารย์ และอีกคนจะพาไปเที่ยวที่ไหน เรื่องฮาของไอ้จ๋าทำให้ทั้งได้สองคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนเกิดบรรยากาศดี ๆ และรอยยิ้มสดใสร่าเริง ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้ไอ้จ๋า ที่ทำให้ลูกพี่ทั้งสองคุยเรื่องของมันได้ไม่มีเบื่อพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ซึ่งโดยส่วนมากก็เป็นต้นกล้านั่นแหละที่ผูกขาดการพูด ส่วนเด็ดเดี่ยวก็ได้แต่ฟังและเออออเห็นด้วย เก็บภาพรอยยิ้มของคนช่างคุยเรื่องตลกของไอ้จ๋าเอาไว้และประทับลงในใจ จนกระทั่งถึงที่หมายอีกคนก็ยังไม่หยุดคุย แถมยังขำจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล

“บ้านใครล่ะนี่” ต้นกล้าถามขึ้นหลังจากรถจอดสนิทลงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ

“บ้านพี่เอง”

“ห๊า ไหนว่าจะพาเราไปเที่ยวไง”

“ก็นี่ไงมาเที่ยวบ้านพี่” ต้นกล้าทำหน้าเซ็งออกมาตรง ๆ เมื่อทุกอย่างผิดพลาดจากสิ่งที่คิดเอาไว้ทั้งหมด ไอ้เขาหรือก็คิดว่า ไปเที่ยวที่อีกคนบอกจะเป็นการไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อย่างไปเที่ยวในเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเขานิยมไปกัน แต่นี่อะไรพามาเที่ยวบ้านตัวเอง อย่างกับว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อย่างกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นแหละ

ต้นกล้ายังนั่งนิ่งและเงียบ แต่สายตาสอดส่ายผ่านความร่มรื่นของแมกไม้ที่ปลูกเอาไว้รอบ ๆ เข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่พอ ๆ กับบ้านคุณยายของเขา เพียงแต่บ้านหลังนี้เป็นแบบครึ่งปูนชั้นล่างและครึ่งไม้ชั้นบน ส่วนบ้านคุณยายปล่อยใต้ถุนโล่งปูกระเบื้องด้านหน้าจัดเป็นมุมนั่งเล่นและมุมห้องนอนของไอ้จ๋า ปลูกไม้ดอกไม้ประดับรอบ ๆ ส่วนด้านหลังทำเป็นห้องครัว ตาสวยกวาดมองไปรอบบ้านที่เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่แล้วเอ่ยถาม

“คนไปไหนหมดอะ”

“ไม่รู้สิ”

“อ้าวไหนบอกบ้านตัวเอง คนอยู่ไม่อยู่ไม่รู้หรือยังไง”

“ก็พี่ออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้จะมีใครอยู่หรือไม่อยู่บ้างก็เลยไม่รู้”

“แล้ว บ้านนี้อยู่กับใครบ้างล่ะ”

“ก็มีพ่อพี่กับดาวรุ่ง เอ่อน้องสาวพี่เอง” อืม กำนันอาจหาญต้นกล้าก็เคยเจอแล้วล่ะนะ ส่วนน้องสาวที่ว่าก็เคยเจอแล้วเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เคยคุยด้วยหรือรู้จักกันเป็นทางการก็ตามเถอะ แถมต้นกล้ายังไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมียของอีกคนเสียด้วยสิ หวังว่าวันนี้คงไม่เจอใครนะ ต้นกล้ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย เพราะไม่คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะพามาบ้านกะทันหันแบบนี้นี่หว่า หรือว่าจะไม่ลงไปดีวะ รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ ต้นกล้ากลับบ้านตอนนี้ทันไหมใครรู้บอกที

“ปะ” แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงหรือไม่ลง เสียงของคนข้าง ๆ ก็ดังขึ้น ต้นกล้าจึงถามกลับแล้วก็ได้รู้ว่าเสียงของตัวเองนั้นมันขาดความมั่นใจไปมากกว่าปกติเยอะเลย

“ไม่ลงไปไม่ได้เหรอ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็เราไม่อยากลงไป”

“มาถึงที่แล้วน่า เดี๋ยวพี่พาไปดูไร่”

“แต่...” ยังไม่ทันได้พูดจบเด็ดเดี่ยวก็ลงจากรถไป แล้วเดินอ้อมมายังฝั่งของต้นกล้าเพื่อเปิดประตูให้อีกคนลงไปด้วยกัน

“ลงมาสิ”

“ก็ได้”

“ใครมาล่ะนั่น” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน

“ผมเองพ่อ”

“เออ ไปไหนมาแต่เช้าวะ เมื่อกี้ดาวรุ่งมันบ่นหาอยู่”

“สวัสดีครับ” ต้นกล้ายกมือไหว้พร้อมกับทักทายกำนันอาจหาญพ่อของเด็ดเดี่ยว

“ใครล่ะนี่หัวแดง ๆ อ้อลูกชายแม่นภานี่เอง ไปไหนกันมาล่ะลูก”

“เอ่อ..”

“ผมว่าจะพาต้นกล้ามารู้จักบ้านเรา แล้วเดี๋ยวจะพาไปดูไร่สักหน่อยครับพ่อ”

“เออดีมาเข้าบ้านก่อนกินอะไรกันมาหรือยังล่ะ” ได้ยินแบบนั้นเด็ดเดี่ยวก็หันมามองต้นกล้า แล้วก็เดาได้ทันทีว่าอีกคนคงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอนเพราะเช้าขนาดนี้

“ยังครับพ่อ”

“แต่..”

“ไปเถอะไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไปกินที่บ้านต้นกล้ามาหลายครั้งแล้ว วันนี้ลองอาหารบ้านพี่ดูสักวันนะครับ”

“บ๊ะ เอ็งไปตอนไหนวะไอ้เจ้าเดี่ยวทำไมข้าที่เป็นพ่อไม่รู้” พ่อกำนันที่ได้ยินลูกชายพูดพอดีจึงถามขึ้น เล่นเอาต้นกล้าไม่กล้ามองหน้าผู้สูงวัยกว่าเลย แต่ทำไมถึงต้องไม่กล้ามองด้วยล่ะ อันนั้นต้นกล้าก็ไม่รู้หรอกแต่พอคิดว่าเด็ดเดี่ยวก็ไปกินข้าวที่บ้านออกจะบ่อย และคิดถึงเรื่องที่อีกคนทำกับเขา มันเลยเหมือนกับว่าต้นกล้าไม่กล้ามองหน้าพ่อกำนันเสียอย่างนั้น เพราะความคิดมากของตัวเองแท้ ๆ หรือเพราะนี่มันคือชนักติดหลังหว่า ฮึ่ย

“ก็บ่อยเรื่อย ๆ ล่ะพ่อ”

“เออ ๆ งั้นก็มากินข้าวเช้าด้วยกันก่อนดาวรุ่งทำไว้แล้ว มาลูกมา” กำนันหันมาชวนต้นกล้าแล้วเดินนำเข้าบ้าน เด็ดเดี่ยวพยักหน้าให้แล้วเดินตามพ่อเข้าไป โดยที่คนหัวแดงก็เดินตามเข้าไปแบบมึน ๆ ใจก็ไม่อยากไปหรอก แต่ไอ้ครั้นจะยืนเฉยอยู่หน้าบ้านเห็นทีคงจะไม่เหมาะ เพราะผู้ใหญ่อุตส่าห์เชิญแล้ว ไปก็ไปวะ!

“มาลูกมา นั่งลงก่อน “กำนันอาจหาญบอกอย่างยินดี เมื่อพากันเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะที่มีสำรับกับข้าวจัดเอาไว้แล้วเรียบร้อย

“นี่ดาวรุ่งน้องสาวพี่เอง” เด็ดเดี่ยวแนะนำต้นกล้าให้รู้จักดาวรุ่ง ที่กำลังยกของกินออกมาวางไว้ที่โต๊ะเพิ่ม ต้นกล้าหันไปทางหญิงสาวส่งยิ้มแบบไม่ค่อยมั่นใจให้ เพราะพอเห็นหน้านิ่ง ๆ ของอีกคนแล้ว ทำให้เขารู้สึกประหม่ายิ่งกว่าเดิม ขนาดพ่อกำนันที่พูดคุยแบบกันเองต้นกล้ายังรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจเท่าไหร่นัก พอมาเจอสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของดาวรุ่ง เลยทำให้ต้นกล้าวางตัวไม่ค่อยถูกแต่ก็ยังเอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับ ผมต้นกล้านะครับ”





“สวัสดีค่ะ นี่เหรอพี่เดี่ยวหลานคุณยายศรีน่ะ” ดาวรุ่งทักทายกลับหน้านิ่ง แล้วหันไปถามพี่ชายที่ตอบหน้าตาเฉยพอกัน โดยไม่อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

“อืม”

“เป็นไงลูก อาหารพอจะกินได้มั้ย นี่นึ่งปลานึ่งผักกินกับแจ่วพริกสด อาหารง่าย ๆ ประสาบ้านเรา อย่างอื่นก็มีนะลูกดูเอา ๆ ชอบแบบไหนตามสบายเลยนะ เอ้านั่งลงลุย” พอได้ยินเสียงพ่อกำนันถาม ต้นกล้าจึงได้หันไปมองอาหารที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ มีปลาตัวใหญ่วางอยู่กลางถาด จัดมาอย่างสวยงามพร้อมผักนึ่งสุกอีกหลายชนิด และถ้วยน้ำพริกสองถ้วยใหญ่วางเคียงข้างถาดคนละฝั่ง และอาหารที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อทอดอีกจานใหญ่ ดูจะไม่เป็นอาหารง่าย ๆ เหมือนที่พ่อกำนันบอกมาเท่าไหร่นัก สำหรับคนทำอาหารไม่เป็นอย่างต้นกล้า ตาสวยเหลือบไปมองหน้าเด็ดเดี่ยวก่อนจะตอบ

“ได้ครับ”

“งั้นก็นั่งลงเลย ปลานึ่งข้าวเหนียวร้อน ๆ กับแจ่วนี่มันของคู่กันเลยล่ะ”

“ครับ” โต๊ะหาอาหารมีพ่อกำนันนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ ถัดมาทางขวามือคือเด็ดเดี่ยวและต้นกล้า ส่วนดาวรุ่งนั่งฝั่งตรงข้าม ทุกคนพากันเริ่มลงมือรับประทานอาหาร มีเพียงต้นกล้าที่ยังนั่งมองคนนั้นทีคนนี้ที แต่ยังไม่ลงมือหยิบจับอะไรมากิน เพราะคนที่นั่งตรงข้าม แม้จะเริ่มกินเหมือนคนอื่น ๆ แต่สายตามองมาที่คล้ายกำลังสำรวจตรวจตรา ทำให้ต้นกล้าทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ต้นกล้าถามเมื่อมั่นใจแล้วว่ากำลังถูกอีกคนจับมองอย่างไม่เป็นมิตร

“เปล่ากินสิ” ดาวรุ่งบอกพลางส่งสายตาสังเกตราวกับกำลังจับผิด เมื่อพี่ชายของเขาที่จัดแจงวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานเปล่าอีกใบมาให้แขก มาถึงก็แกะเนื้อปลาวางเอาไว้ให้อย่างเอาใจ ทั้งตักผักตักพริกแจ่วให้ ตบท้ายด้วยการจกข้าวเหนียวจากกระติบวางไว้ข้างจาน คนที่แอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ จึงได้แต่ตั้งคำถาม ว่าทำไมพี่ชายถึงได้ดูเอาอกเอาใจหลานคุณยายศรีนัก ดาวรุ่งล่ะอยากถามพี่ชายสุดที่รักเสียเหลือเกิน ว่าทำไมไม่ป้อนอีกคนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ถ้าจะทำเหมือนกับว่าต้นกล้ากินเองไม่เป็นอย่างนั้น คิดแล้วก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วแอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ

“เป็นลูกผู้ชายมันต้องกินข้าวคำใหญ่ ๆ ” กำนันอาจหาญพูดขึ้นเมื่อเห็นคำข้าวเล็ก ๆ ที่ต้นกล้าบีบสองสามครั้งก่อนจะจิ้มลงกับแจ่วอย่างไม่แน่ใจเพราะกลัวเผ็ด “อย่างนี้ลูก” กำนันจกข้าวเหนียวขึ้นมาเต็มกำมือ ปั้นสองสามครั้งแล้วจิ้มลงกับถ้วยแจ่วน้ำพริกสดตรงหน้าเน้น ๆ ก่อนจะส่งเข้าปาก ตามด้วยเนื้อปลานึ่งและผักเคียง ชายวัยกลางคนเคี้ยวอาหารในปากตุ้ย ๆ อย่างภูมิใจในความใหญ่ของคำข้าวตัวเอง ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายอย่างที่กำนันว่า จนแก้มทั้งสองพองตุงออกมาให้ดูตลก

“มันต้องอย่างนั้นแหละ” กำนันบอกทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก เมื่อเห็นต้นกล้าเพิ่มขนาดคำข้าวของตัวเอง หลังจากที่หันไปมองคำข้าวของเด็ดเดี่ยวก็เห็นว่ามีขนาดใหญ่ไม่แพ้คนเป็นพ่อ แบบนี้ต้นกล้าจะยอมได้ยังไง ว่าแล้วก็หันมาหยิบข้าวเพิ่มขนาดให้ตัวเอง เพราะไม่มีทางยอมแพ้ให้เสียฟอร์มแน่นอน!

“รู้อะไรไหมลูก” กำนันชวนต้นกล้าคุยเพราะก็พอจะรู้อยู่ ว่าลูกชายของสาวที่เขาเคยหมายปองในอดีต กำลังเกิดความประหม่ามากแค่ไหน

“ครับอะไรเหรอครับ” ต้นกล้าถามกลับอย่างสนใจ

“สมัยก่อนทำไมผู้ชายเราต้องกินข้าวคำใหญ่ ๆ”

“ครับ ทำไมล่ะครับ”

“เพราะจะได้อิ่มเร็ว ๆ แล้วรีบไปทำงานยังไงล่ะ สมัยก่อนคนเราต้องขยันเพื่อความอยู่รอดนะลูก แต่สมัยนี้อาจจะไม่ใช่เพราะมันขยันแล้วล่ะ”

“แล้วเพราะอะไรล่ะครับ” ต้นกล้าถามอย่างสนใจเมื่อพ่อกำนันเว้นจังหวะพูด

“เพราะมันตะกละ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวหัวเราะให้กับมุกตลกของพ่อกำนัน ส่วนดาวรุ่งนั่งฟังเงียบแต่สายตาจับสังเกตพี่ชายกับคนที่พาโดยไม่พูดอะไร

“เป็นอะไรดาวรุ่ง เงียบไปนะ”

“เปล่าจ้ะพ่อ” ถึงจะตอบพ่อแต่ก็ยังไม่วายเหลือบตามองคนหัวแดงที่นั่งตรงข้าม โดยมีพี่ชายสุดหล่อคอยเอาอกเอาใจหยิบนั่นหยิบนี่ให้ตลอด จนกระทั่งมื้ออาหารผ่านไปทุกคนกินอิ่มกันหมดแล้ว ดาวรุ่งที่เป็นครูสอนในโรงเรียนใกล้บ้านออกไปทำงาน ส่วนพ่อกำนันก็ออกไปธุระ ตอนนี้บ้านจึงเหลือแต่ลูกชายเจ้าของบ้านและหนุ่มหล่อเกาหลี ที่เขาพามาเที่ยวอยู่ด้วยกันสองคน

“ทำอะไรอยู่”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“งั้นไปกันเถอะ” เด็ดเดี่ยวสังเกตว่าต้นกล้าเอาแต่สนใจโทรศัพท์มาสักพักจึงถาม แต่พอเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไรก็ทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก ทั้งที่เสียมารยาทแอบดูจนเห็นล่ะนะ ว่าต้นกล้ากำลังวุ่นอยู่กับแอปพลิเคชันบางอย่าง ที่เขาเองก็ไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ต่อจากนี้ก็ไม่แน่

“ทั้งหมดนี่เลย อยากไปไหนก่อน” ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ พื้นที่กว้างไกล จนแทบจะเรียกได้ว่าสุดตาก็คงจะไม่ผิดนัก เมื่อเด็ดเดี่ยวกางแขนทั้งสองข้างออกเป็นเชิงบอกถึงอาณาบริเวณของตัวเอง

“หมายความว่ายังไง”

“ที่นาก็จากฝั่งนี้ ไปจนสุดด้านโน้นจะเป็นถนน” ต้นกล้ามองตามมือที่ชี้บอกสุดถนนด้านโน้นของคนตัวโต นั่นมันไกลเสียจนกะระยะไม่ถูก มีคนงานสองสามคนกระจายตัวทำอะไรบางอย่าง ที่สามารถมองเห็นได้อยู่ไกล ๆ

“เขาทำอะไรกันน่ะ”

“ตัดหญ้าตามคันนาไง”

“อืม แล้วทางนั้นใช่ปะ”

“ใช่อะไร”

“ก็ จิ๊”

“ใช่ของพี่หรือเปล่านะเหรอ”

“เออดิ” ต้นกล้าถามออกมาเพราะความอยากรู้ แต่ก็กระดากปากที่จะเรียกอีกคน ไม่รู้ว่าทำไม่พอจะพูดชื่อหรือเรียกพี่อย่างที่คุณยายและคนตัวโตพยายามบอกให้เรียก มันถึงได้ติดอยู่ที่ริมฝีปากทุกที แล้วก็พูดไม่ออกมันตลอด เอาจริง ๆ ก็ไม่อยากพูดเท่าไหร่นักหรอก

“ใช่สิ ตรงนั้นเป็นคลองส่งน้ำ ส่วนถัดไปนั่นเป็นบ่อเลี้ยงปลา มาทางนี้ดีกว่า” ชายหนุ่มเดินนำต้นกล้าไปทางบ่อเลี้ยงปลาขนาดพอดีเรียงกันอยู่ห้าบ่อใหญ่ ทั้งสองเดินไปบนคูสูงของบ่อปลาที่ปลูกต้นมะละกอเรียงเป็นแถว สลับกับต้นไผ่กอไม่ใหญ่มาก และต้นกล้วยที่ปลูกเอาไว้เป็นระยะ แถมยังมีผักสวนครัวพวกข่า ตะไคร้ พริก และผักต่าง ๆ ปลูกแซมทำเป็นแปลงเล็ก ๆ เอาไว้ด้วย ตามพื้นไร้วัชพืชเพราะถูกแผ้วถางไว้เป็นอย่างดี มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจีของพืชพันธุ์ที่ปลูกไว้ มันให้ความรู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ และอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย

กึก!

Next....


ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“โอ๊ย..หยุดทำไม” ต้นกล้าถามเพราะมัวแต่มองไปรอบ ๆ จึงเดินชนหลังคนตัวโตที่เดินนำหน้า แต่เดินอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเฉย ๆ เสียอย่างนั้น

“เดินดูทางหน่อยสิ”

“ก็อยากดูอย่างอื่นด้วย”

“งั้นเดินไปก่อนไป”

“ทำไมเราต้องเดินไปก่อน”

“ก็เผื่อสะดุดอะไรแถวนี้ พี่จะได้รับตัวไว้ได้ทันไง พี่เป็นพระเอกนะ หึ ๆ ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ด้วยอย่างกวนอารมณ์คนมอง

“บ้าบอเถอะเราไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นนะ” ถึงจะเถียงแต่ก็เดินนำหน้าคนตัวโตไปทันที เพราะไอ้เสียงหัวเราะโรคจิตที่ต้นกล้าไม่ชอบนั่นแหละ จึงทำให้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนหน้ามึนนานกว่านี้ ทั้งสองเดินไปบนคูสูง ซึ่งเป็นทางเดินเล็ก ๆ ระหว่างสวนที่ปลูกไม้ผลเอาไว้ เด็ดเดี่ยวก็พูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เดินผ่านไปเรื่อย บ้างก็ชี้ชวนให้กันดูนั่นดูนี่จนถึงบ่ปลาบ่อที่สาม ซึ่งอยู่ช่วงกลางระหว่างบ่ปลาทั้งหมดพอดี

“เลี้ยงปลาอะไร”

“ในบ่อนี่เหรอ ก็มีทั้งปลานิล ปลาดุก ปลาหมอ ปลาทับทิม เดี๋ยวไปดูไร่ฝั่งโน่นก่อน แล้วบ่าย ๆ เรามาลงปลากัน”

“ลงปลาคืออะไร”

“ก็จับปลามันต้องลงไปจับในบ่เลยเรียกลงปลาไง ถึงเวลาก็รู้เองแหละ เดี๋ยวพี่จะพาไปดูไร่ฝั่งโน้น เรากลับไปเอารถกันก่อนดีกว่า”

“อ้าวเดินไปก็ได้นี่”

“ได้แต่มันไกลพี่ขี้เกียจเดิน” จบ

“เป็นงั้นไป” ต้นกล้าเดินตามเด็ดเดี่ยวกลับไปยังรถที่จอดเอาไว้ไม่ไกล หนุ่มบ้านนาพาหนุ่มกรุงขับรถไปเรื่อย ๆ ภายในเขตที่ดินของตัวเอง ซึ่งเป็นไร่นาสวนผสมที่มีพื้นที่เรียกได้ว่า กว้างใหญ่ไพศาลมากทีเดียว

“มีวัวด้วยเหรอ”

“เอ้า มีสิแปลกตรงไหน นี่เป็นวัวนม”

“กะ ก็ไม่แปลก แต่ไม่คิดว่าจะเลี้ยงวัวด้วยนี่” ต้นกล้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่วัวตัวสีขาวดำฝูงใหญ่กำลังแทะเล็มหญ้าเขียว ๆ อยู่ ช่วงล่างด้านหลังของมันมีถุงใหญ่คับที่ระหว่างขาดูก็รู้ว่าเป็นเต้านม

“ควายยังมีเลย”

“อืม”

“ปะลงไปดูกัน”

“เฮ้ย” ! ต้นกล้าที่ปิดประตูรถออกไปแล้วต้องรีบปิดกลับเข้ามาโดยไว เพราะควายตัวใหญ่กำลังเดินมาที่รถฝั่งเขานั่งพอดี

“ลงมาสิ” เด็ดเดี่ยวเดินมาเปิดประตูฝั่งต้นกล้าแล้วบอกให้อีกคนลงรถ แต่พอเห็นสายตาที่ต้นกล้ามองไปยังควายสีเทาดำตัวใหญ่ จึงพอเข้าใจว่าอีกคนคงตื่นมัน “ไม่ต้องกลัวหรอก มันแค่เดินมาดูเฉย ๆ ไม่ทำอะไร”

“ใครกลัว ที่ไม่ลงเพราะมันขวางทางเราเลยเปิดประตูไม่ได้เถอะ”

“อ้าว เป็นงั้นไป หึ ๆ เอ้าขวางก็ขวาง ไป ๆ พี่ใหญ่ไป มาขวางเขาทำไมเนี่ยเดี๋ยวปั๊ดเลย” เด็ดเดี่ยวแอบยิ้มก่อนจะหันไปทางไอ้ตัวใหญ่สีเทาดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วบอกให้ถอยห่างออกไปจากรถ ซึ่งเมื่อได้ยินเด็ดเดี่ยวบอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสีเทาดำตัวโตที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ ก็ถอยหากอย่างรู้ความ ผิวสีเทาดำของมันเริ่มย่นและแห้งตามอายุที่มากพอสมควร

“เรียกใครพี่ใหญ่อะ” ต้นกล้าถามหลังจากที่กระโดดลงมาจากรถแล้ว

“นั่นไง พี่ใหญ่”

“เรียกควายว่าพี่เนี่ยนะ”

“อืม แปลกตรงไหน ก็พี่เขาตัวใหญ่แล้วเกิดก่อนพี่ด้วย”

“โหเกิดก่อนเลยเหรอ” ต้นกล้าตาโตเขาจำได้ว่าเด็ดเดี่ยวเคยบอกเขาว่าตัวเองอายุ อายุ เอ อายุเท่าไหร่วะจำไม่ได้แล้ว แต่ก็ใกล้สามสิบแล้วล่ะ เพราะจำได้ว่าเคยล้ออีกคนว่าแก่ นี่ถ้าพี่ใหญ่เกิดก่อน ก็ต้องถือว่าแก่มากแล้วแน่ ๆ “พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วอะ” เด็ดเดี่ยวยิ้มบาง ๆ กับคำถามของต้นกล้าที่เรียกพี่ตามเขาอย่างสนิทปาก ก่อนจะตอบคำถาม

“ประมาณ 28 ปีกว่า ๆ นี่แหละ พี่ใหญ่นี่แก่มากแล้วนะเห็นกันมาแต่เด็ก ที่จริงควายมีอายุโดยเฉลี่ยแล้วแค่ 25 ปีเท่านั้น แต่พี่ใหญ่นี่เขาอึดเป็นพิเศษก็เลยอยู่มาได้ขนาดนี้ ใช่มั้ยลูกพี่” เด็ดเดี่ยวพูดจบก็เดินไปลูบแผงคอของพี่ใหญ่แล้วตบปุ ๆ ลงบนกระดูกสันหลังที่ปูดโปนขึ้นมาเพราะความชรา แต่ก็ไม่แรงมากนัก ความรักใคร่ที่ส่งผ่านออกมาจากนัยน์ตาคม ทำให้คนที่สังเกตการณ์อยู่อย่างต้นกล้ารู้ได้เลย ว่าคนตัวโตกับพี่ใหญ่นั้นมีความผูกพันกันมากแค่ไหน

“แล้วมีลูกมีเมียปะ”

“หืม” เด็ดเดี่ยวพยายามกลั้นขำกับคำถามซื่อ ๆ ที่ต้นกล้าถามออกมาหน้าตาเฉย แต่มันก็ถูกของคนตัวเล็กนั่นแหละ เพราะสัตว์โลกทุกสายพันธุ์ มันก็ต้องมีการจับคู่เพื่อความดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์กันทั้งนั้น “มีสิเยอะด้วย ทั้งลูกทั้งเมีย”

“จริงอะ”

“อืมกระบือหรือควายสามารถผสมพันธุ์กันได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเลยนะ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการสืบพันธุ์ก็ควรจะมีอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ถ้าจะให้ดีที่สุดพ่อแม่พันธุ์ก็ต้องมีอายุสามปีขึ้นไปถึงจะให้ลูกที่สมบูรณ์แข็งแรงออกมา แล้วก็นะการผสมพันธุ์นั้นสามารถ..”

“พอเถอะ ๆ พูดเรื่องไรอะไรเนี่ย” ต้นกล้าตัดบทก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะพูดเรื่องอะไร ที่ทำให้เขาคิดภาพตามไปแบบนอกลูกนอกทางกว่านี้ ซึ่งมันเป็นไปเองนะ ต้นกล้าไม่ได้ลามกเลยจริง ๆ แม้ว่าคนเล่าให้ฟังจะตั้งใจพูดเข้าประเด็นเป็นพิเศษ โดยที่ต้นกล้าไม่รู้ก็ตามเถอะ เหอะ

“หึ ๆ ”

“เอาอีกละ ทำไมชอบหัวเราะแบบนี้จังวุ้ย”

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ชอบ เราไม่ชอบมันฟังเจ้าเล่ห์เกินไป”

“งั้นหัวเราะแบบไหนดีล่ะ”

“แบบไหนก็ตามใจแต่ต้องไม่ใช่ ไอ้หึ ๆ บ้าบอนี่ เข้าใจปะ”

“เข้าใจ หึ ๆ โอ๊ย! พี่ล้อเล่น”

“สักทีเถอะ” ต้นกล้าฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนของเด็ดเดี่ยวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่จะต้องตกใจแทบร้องจ๊าก เมื่อพี่ใหญ่หันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง และทำท่าจะเดินเข้ามาหาเพราะเขาทำให้เด็ดเดี่ยวเจ็บตัว “เฮ้ย อะไรนี่ อย่าเข้ามานะ”

“ฮ่า ๆ ก็ทำร้ายร่างกายพี่แบบนี้พี่ใหญ่เขาก็ไม่พอใจนะสิ”

“หยุดนะ บอกเขาหยุดสิ พี่ใหญ่หยุด” และเหมือนกับว่ามันจะฟังรู้เรื่อง เมื่อต้นกล้าบอกอย่างนั้นพี่ใหญ่ก็หยุดเดินเข้าหาเขาทันที มันหันไปมองหน้าเด็ดเดี่ยวเล็กน้อย แล้วเดินออกไปเล็มหญ้าแถว ๆ นั้น โดยไม่หันมาสนใจหนุ่มทั้งสองอีกเลย

“อยากลองขี่ควายดูมั้ย”

“อย่ามาหาเรื่องแกล้งเรา”

“เปล่าแกล้ง ก็เห็นว่าเข้ากันได้ดีกับพี่ใหญ่ ต้นกล้าบอกคำเดียวพี่ใหญ่ยังหยุดเลย นอกจากพี่ก็ไม่มีใครสั่งเขาได้ขนาดนี้เลยนะ พี่ว่าต้นกล้าน่าจะมีสัมผัสพิเศษกับควายแล้วล่ะ”

“เหอะ ไม่เอาหรอก”

“ป๊อดตลอดแหละ”

“เราไม่อยากขี่เองแหละ ขี่แล้วได้อะไร”

“ได้ความเท่ไง เห็นคนกรุงคนเมืองมาทีไรก็กลัวควายทั้งนั้น ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ปอดแหกกันจัง” ว่ายังไงนะ!? ปอดแหกอย่างนั้นเหรอ คนหน้ามึนนี่กำลังด่าตนกล้าว่าปอดแหกอย่างนั้นเหรอ เหอะ ไม่ได้ ไม่ได้ คนอย่างต้นกล้าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และไม่มีคำว่าปอดแหกอยู่ในสารบบโว้ย!

“ปอดแหกมันใช้ไม่ได้กับเราหรอกนะจะบอกให้”

“เหรอ งั้นตามมา”

“จะไปไหนอีกล่ะ” ต้นกล้าถามแต่ก็เดินตามเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปอีกทาง ทางที่คนหัวแดงพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีควายหลายตัวนอนอยู่ใต้ต้นจามจุรีเหมือนกำลังพักผ่อน “เฮ้ย นั่นตัวอะไร”

“ไหน”

“นั่นไง นอนอยู่นั่นน่ะที่สีชมพู”

“เอ้า ไม่รู้จักเหรอ”

“รู้ แต่ทำไมตัวมันเป็นสีชมพูล่ะ”

“ก็ควายเผือกมันก็ต้องเป็นสีชมพูสิ”

“เผือกไม่เป็นสีขาวเหรอ เหมือนคนเผือกอะไรงี้อะ”

“ถามได้ดีอีกแล้ว”

“อืม แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ”

“ช่างมันเถอะน่า”

“ไม่รู้ล่ะซี้”

“หึ อึกอูย” กำลังจะหัวเราะสะใจออกมาแต่โดนดีเสียก่อน เด็ดเดี่ยวเลยหยุดเสียงหัวเราะเพียงเท่านั้น แล้วเดินเข้าไปในกลุ่มควายที่นอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ ลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอ่อน เป็นกลิ่นของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงควายนับสิบตัวก็ยังรู้สึกดี ใครกันนะที่ชอบพูดว่า เหม็นกลิ่นโคลนสาบควาย ไม่รู้ความจริงยังกล้าเอาไปพูดแบบผิด ๆ ต้นกล้ามายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้แท้ ๆ กลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิดนอกจากความสดชื่น

“อยากขี่ตัวไหน”

“ขี่ไอ้เผือกได้ปะ”

“ได้สิ มันชื่อจำปี”

“ฮ่า ๆ ตัวผู้เหรอ”

“ใช่”

“รู้ได้ไงว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมียอะ”

“ก็ดูตรงนี้ไง เห็นมั้ยใต้ท้องมันนั่นน่ะ ตัวผู้จะมีน้องชายของมันอยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเมียก็..หืม เป็นอะไร” คนที่กำลังอธิบายและยกตัวอย่างฉอด ๆ หันมาทางคนถามก็ได้แต่สงสัย ที่ต้นกล้ายืนนิ่งเงียบทำตาลอกแลกกลอกไปมา นี่ถ้าเด็ดเดี่ยวมองไม่ผิด ดูเหมือนว่าใบหน้าหล่อใส่ในแบบเกาหลีของเจ้าตัว กำลังขึ้นสีระเรื่อใช่ไหมนั่น ซึ่งอันที่จริงแล้วชายหนุ่มก็เดาไม่ผิดหรอก เพราะถามเพลิน ถามไปถามมาคนหัวแดงกลับเขินกับคำถามของตัวเองเสียอย่างนั้น เพราะถามด้วยความสนใจและคิดตามเพลินจนเห็นภาพอีกแล้ว พอได้คำตอบกลับเขินมันเสียเองทั้งที่ต้นกล้าไม่ได้คิดลามกอะไรเลยนะ ไม่ได้คิดจริง จริ้ง

“เปล่า....” ลากเสียงยาวปฏิเสธแล้วหันหน้าหนีดีกว่า เพราะไอ้พี่เดี่ยวมันยังตามมาส่องและล้อเลียนไม่เลิก ไม่รู้จะอะไรนักหนา ต้นกล้าเดินเข้าหาไอ้จำปีควายเผือกหนุ่มหน้าตาดี ที่เขาบอกเด็ดเดี่ยวว่าจะขี่มันโดยลืมความกลัวไปเสียสิ้น จนมายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าควายสุดหล่อ และมีเด็ดเดี่ยวเดินตามมาไม่ห่าง

“ขึ้นสิ” สั่งเสียงเรียบแต่อีกคนกลับมองตอบกลับมาหน้าเหวอ ต้นกล้าไม่เคยขี่ควายมาก่อนแล้วจะขึ้นได้ยังไง (วะ)

“ขึ้นยังไงอะ”

“ยังไงก็ได้ขอแค่ไปนั่งบนหลังมันก็พอ”

“ชิ อยากขี่จะตายแล้ว” ต้นกล้าหันกลับมาบ่นขมุบขมิบที่คิดว่าอีกคนคงไม่ได้ยิน พร้อมกับถามตัวเองในใจว่าทำไมคนอย่าง ต้นกล้า กวินกานต์ ต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย แต่พอคิดถึงคำสบประมาทของคนตัวโตหน้ามึน มันก็ได้คำตอบที่ใช่ คนอย่างไอ้กล้าจะฆ่าก็ฆ่าแต่อย่ามาหยามกันให้เสียเชิง ต้นกล้า กวินกานต์หลานคุณยายประไพศรีฆ่าได้หยามไม่ได้โว้ย!

เมื่อยืนคิดสะระตะดีแล้วก็ได้คำตอบ ไอ้จำปีสุดหล่อมันท่าทางเชื่องจะตาย ขนาดต้นกล้ามายืนใกล้อย่างนี้มันยังเฉย แล้วแค่ขึ้นขี่หลังมันจะไปยากอะไร ต้นกล้าประเมินความสูงของไอ้จำปีคิดว่าคงกระโดดขึ้นนั่งบนหลังมันได้ไม่อยาก แต่ถ้ากระโดดขึ้นไปแล้ว เกิดไอ้จำปีมันตกใจดีดเขาตกลงมาเหมือนม้าพยศจะทำยังไง แบบนี้มีอายแน่ ดวงตาดำขลับมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนมีหลอดไฟสว่างวาบขึ้นมาในหัว ปิ๊ง!!

ต้นกล้าดึงเชือกสนตะพายไอ้จำปีเพื่อจูงควายหนุ่มรูปงาม ไปยังอีกมุมที่อยู่ไม่ไกล เพราะมันมีสิ่งทุ่นแรงที่สามารถช่วยให้เขาขึ้นหลังมันได้ง่าย ๆ จะเป็นอะไรไปได้ละก็คันนาสูง ๆ นั่นไง ตัวช่วยที่คนฉลาดปราดเปรื่องอย่างต้นกล้าเลือกใช้ในยามนี้ พอจูงกันมาถึงคันนาก็ดูเหมือนว่าไอ้จำปีมันช่างรู้งานยิ่งนัก เพราะหันด้านข้างให้ขนานกันกับคันนาได้อย่างพอดิบพอดี และในที่สุดก็ฮึบ!

“เป็นไง” ต้นกล้าวาดขานั่งคร่อมอยู่บนหลังไอ้จำปีอย่างมั่นคง แล้วหันมาทางเด็ดเดี่ยวยักคิ้วข้างเดียวให้ชายหนุ่มก่อนจะถาม เด็ดเดี่ยวมองความเปลี่ยนแปลงของต้นกล้าก็ยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ไม่ใช่การหัวเราะขำ แต่เป็นยิ้มที่มีความพึงพอใจอยู่ลึก ๆ กับรอยยิ้มอวดของคนหัวแดงบนหลังควาย ถ้าดูไม่ผิดเหมือนมันมีความภูมิใจส่งมาให้กันด้วย

“เก่งนี่”

“อ๊ะ ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใคร นี่ต้นกล้านะ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังเหมือนเป็นการฉลองชัยในความสำเร็จ เป็นความสำเร็จในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และสร้างความพอใจให้เจ้าตัวอยู่มากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเลือดลูกชาวนากว่าครึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัว หรือจะอะไรก็ตามแต่ ต้นกล้ารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำนี้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน้อยนิดสำหรับคนอื่นก็ตาม

“ตรงนั้นทำอะไรกันน่ะ” ต้นกล้าชี้มือไปทางโรงเรือนที่ปลูกเป็นแนวยาว ตั้งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร

“นั่นคอกหมู”

“ทำไมไปทำไว้ไกลขนาดนั้นล่ะ”

“หึ ๆ ก็ขี้หมูมันเหม็นไง เลยถูกเนรเทศไปไกลที่สุด” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้แล้วเกิดคำถามในใจ ว่าที่นี่เขาทำอะไรกันบ้าง เท่าที่เห็น ก็มีทั้งนาข้าว พืชไร่ที่เด็ดเดี่ยวชี้ให้ดูอยู่ไกล ๆ บ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย นี่ยังมีเลี้ยงหมูอีก แล้วเหลืออะไรที่อีกคนยังไม่ได้เลี้ยงไว้นะ

“มีม้าปะ”

“ม้าไม่มี”

“ทำไมไม่เอามาเลี้ยงให้มันครบล่ะ”

“พี่ก็อยากได้อยู่เหมือนกัน แต่เท่านี้ก็ไม่มีเวลาดูแลให้ทั่วแล้วล่ะ ยังเหลือเป็ดกับไก่นะ”

“โห มีเป็ดกับไก่อีก เอาทุกอย่างเลยนะ”

“ดาวรุ่งเขาอยากทำน่ะ”

“อ๋อ ไม่มีเวลาดูแต่ไปขลุกอยู่บ้านคนอื่นได้ทั้งวันได้นะ” อดไม่ได้ที่จะแขวะอีกคนไปบ้าง

“อันนั้นมันเป็นงานเฉพาะกิจ ไปดูทางโน้นกัน”

“หืม เดี๋ยวสิให้เราลงก่อน”

“ขี่มาก็ได้นะถ้ามันยอมเดินมา”

“เหรอ งั้นไปสิจำปีสุดหล่อไป ๆ เดินไปสิวะครับ “ต้นกล้าขยับขาตัวเองเร่งให้ไอ้จำปีเดินตามเด็ดเดี่ยวไป แต่ขยับก็แล้วกระตุกเชือกเร่งก็แล้ว ไอ้จำปีสุดหล่อมันก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมเดิน แถมมองตามเด็ดเดี่ยวแล้วก็ก้มลงเล็มหญ้าแถวนั้นหน้าตาเฉย ทั้งที่ตอนแรกยังดูท่าว่าจะรู้ความอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้ดื้อขึ้นมาได้ก็ไม่รู้ ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปก่อนแล้วหันกลับมากระตุกเชือก เร่งขยับเท้าให้ไอ้จำปีเดินตามไป แต่มันก็ยังเล็มหญ้าเฉยอยู่เหมือนเดิม “ทำไมไม่เดินไปล่ะเนี่ย ไปสิจำปีเดินสิเร็ว”

“มามั้ย” เด็ดเดี่ยวตะโกนกลับมาถาม เมื่อหันมาเห็นว่าต้นกล้ากับไอ้จำปียังอยู่ที่เดิม

“มันไม่ยอมไปน่ะ เฮ้ย” ! ต้นกล้าร้องเสียงหลง เมื่อไอ้จำปีหันรีหันขวางเหมือนตื่นตกใจ หนุ่มน้อยจับเชือกกระชับมั่น ขาทั้งสองข้างหนีบตัวไอ้จำปีแน่นเพราะกลัวตก

“จับแน่น ๆ “เด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นท่าไม่ดี เหมือนไอ้จำปีกำลังตกใจอะไรบางอย่าง พอมาถึงก็รีบจับเชือกดึงเอาไว้ ไอ้จำปีดูท่าทางสงบลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาใกล้ แต่ที่ไม่สงบกลับเป็นคนที่อยู่บนหลังควายต่างหาก

“เราจะลง ๆ เด็ดเดี่ยวเราจะลง”

“เดี๋ยว ๆ อย่าพึ่งลงอยู่นิ่ง ๆ ก่อน เกาะแน่น ๆ ”

“เราจะลงเดี๋ยวนี้ รับด้วย”

“เฮ้ย อย่าพึ่ง โอ๊ย”

!!

มันเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากที่ต้นกล้าบอกว่าจะลงก็กระโดดมาทางเด็ดเดี่ยวเลยทันที ชายหนุ่มรีบปล่อยเชือกไอ้จำปีที่ถืออยู่เพื่อมารับร่างโปร่งที่กระโดดเข้าหา เอาสองมือโอบรอบคอเขาเอาไว้ แต่จากความสูงของไอ้จำปีควายหนุ่มเต็มวัยที่ร่างกายของมันสูงเกือบสองเมตร แม้ว่าเด็ดเดี่ยวจะหันมาตั้งรับร่างของต้นกล้าเอาไว้ได้ทันพอดี แต่ก็เล่นเอาเสียหลักก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วสะดุดก้อนดินก้อนใหญ่หงายหลังลงไปเลยทีเดียว ดีที่มีพื้นหญ้านุ่มรองรับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นร่างใหญ่โตที่มีร่างโปร่งบางทับอยู่อีกชั้นคงได้เจ็บตัวไม่น้อยเลย

“โอย เจ็บนะเนี่ย”

“ก็เราบอกจะลงแล้วทำไมไม่ตั้งรับดี ๆ”

“พี่ก็บอกว่าอย่าพึ่งลงแล้วทำไมไม่ฟัง”

“ก็ไอ้จำปีมันพยศนี่”

“อืม..”

“เอ่อ..” ต้นกล้าที่เห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวก็พูดไม่ออก “เฮ้ย “ยิ่งพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองคร่อมทับอยู่บนตัวของเขา แถมยังโอบรอบคอเอาไว้แน่นยิ่งทำตัวไม่ถูก เลยรีบดันตัวเองออกจากความใกล้ชิดน่ากลัวนี้อย่างรวดเร็ว จนคนรองรับน้ำหนักนึกเสียดาย

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวใช้สองมือประสานรองเอาไว้ใต้ท้ายทอย ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นหญ้าเขียว ๆ มองคนหัวแดงที่หน้าแดงไปด้วย ต้นกล้าพยายามหลบสายตาล้อเลียนของคนตัวโตที่กำลังจ้องมอง แต่ทำไมหลบตาแล้วความร้อนวูบวาบที่แผ่ไปทั้งตัวมันยังไม่หายไปอีกนะ

“นอนเล่นหน่อยมั้ย เย็นสบายกำลังดีนะ”

“นอนคนเดียวไปเถอะ” ตอบเสียงเบาสายตาก็มองไปทางอื่นที่ไม่มีคนหน้ามึนกับรอยยิ้มล้อเลียน ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ทำไมต้องทำตัวไม่ถูก ต้นกล้าก็ไม่รู้ แต่เขาไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ฮึ่ย! บ่อยไปแล้วนะ

“งั้นไปดูไร่มั้ย หรือจะไปลงปลาเลย พี่จะได้โทรตามพวกเด็ก ๆ มาช่วยกัน”

“ไม่รู้สิ เอาไงล่ะ เด็กไหนจะมาช่วย”

“พวกไอ้ดำน่ะ กลุ่มเดียวกับไอ้จ๋านั่นแหละ เดี๋ยวโทรเรียกไอ้จ๋ามาด้วยสิ”

“เออ ว่าแต่ไอ้จ๋ามันจะจัดการเก็บเด็กนั่นยังไงนะ”

“ไม่รู้สิ หึ ๆ แต่ถ้า..”

“ถ้าอะไร”

“เปล่า”

“อย่ามาลับลมคมใน”

“เปล่าจริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก”

“แน่นะ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไปแต่ถ้าแกล้งไอ้จ๋าละก็....” ต้นกล้าเว้นจังหวะพูดเอาไว้เท่านั้นตาหรี่มองอีกคนแพรวพราวเหมือนจะคาดโทษ เล่นเอาเด็ดเดี่ยวเสียวสันหลังวาบไปเลยทีเดียว เพราะมีแผนแกล้งไอ้จ๋าอยู่พอดี หากแผนลงล็อกไอ้จ๋าตกหลุมพรางงานนี้มีเฮแน่ แต่ท่าทางเหมือนรู้ทันของไอ้หัวแดงจอมรั้นของเขามันคืออะไร จะขัดขวางแผนการของเขาหรือยังไง

“ละก็อะไร”

“เราจะร่วมด้วย คึ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวแอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ และยิ่งโล่งอกมากขึ้นไปอีกที่มีคนร่วมอุดมการณ์อย่างต้นกล้า งานนี้สนุกขึ้นอีกแน่ หึๆ ๆ

%%%%%%%%

“เสร็จหรือยังยัยส้มเน่า”

“เสร็จแล้ว”

“เสร็จแล้วก็ออกมาจะได้กลับบ้านสักที”

“เร่งจัง แล้วก็นะฉันไม่ได้ชื่อส้มเน่า” ออเรนจ์เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเป็นเสื้อเชิ้ตตัวที่เล็กที่สุดของไอ้จ๋า แต่เมื่อมาอยู่บนร่างกายบอบบางก็ถือว่าใหญ่มากอยู่ดี คนตัวบางใส่กางเกงตัวเก่าที่ใส่มาเมื่อวาน ส่วนชั้นในนั้นซักไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงสายของอีกวันก็แห้งพอดี

“จิ๊ มานี่ดิ๊”

“มีอะไรเหรอจ๋า” ไอ้จ๋าไม่ตอบแต่เดินหน้านิ่งเข้ามาติดกระดุมเม็ดบนสุด ที่ออเรนจ์เว้นเอาไว้ไม่ได้ติดตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันรู้สึกขัดหูขัดตาที่อีกคนไม่รู้จักระวังตัว ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเสื้อมันตัวใหญ่ ถ้าติดกระดุมไม่หมดผิวขาว ๆ นั่นเป็นได้ออกมาอวดสายตาชาวบ้านกันพอดี อยู่ ๆ ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะไอ้จ๋าคิดว่าถ้าจะมีใครมาจ้องมองยัยส้มเน่า ที่มันตั้งฉายาให้แบบนี้คงไม่ดีแน่ พอติดกระดุมเสื้อให้เสร็จก็จับแขนเล็กบอบบางขึ้นมาแกะกระดุมที่ข้อมือออก ก่อนจะพับแขนขึ้นให้ทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก จะได้ไม่ดูรุ่มร่ามให้รำคาญตาของมัน

“เสร็จแล้ว”

“เอ่อ ขอบใจนะ” ออเรนจ์บอกแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้ล่ะนะว่าอีกคนกำลังจ้องอยู่ และนั่นล่ะที่ทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ไหนจะการกระทำของไอ้จ๋าอีก ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้ใจดวงน้อยในอกของออเรนจ์เต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะขนาดไหน ใบหน้าหรือก็ร้อนวูบวาบไปหมด แล้วยิ่งอีกคนขยับมายืนเสียชิดโดยไม่พูดอะไรสักคำนี่อีก ยิ่งทำให้ออเรนจ์เดาใจไม่ถูก เพราะเมื่อเช้ายังต่อว่าหาว่าออเรนจ์เนียนตั้งใจมานอนกอด แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ ว่าหันไปกอดไอ้จ๋าจริง ๆ เพราะเป็นคนติดหมอนข้างมาแต่ไหนแต่ไร เวลานอนหากไม่ได้นอนกอดหมอนข้างจะนอนไม่หลับ ถึงหลับไปแล้วหากไม่มีหมอนอยู่ในอ้อมกอด ก็ต้องคว้าอะไรเข้ามากอดโดยไม่รู้ตัวตลอดอยู่ดี แค่เมื่อคืนคว้าตัวไอ้จ๋ามากอดแทนหมอนก็เท่านั้นเอง ออเรนจ์ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย มันเป็นความเคยชิน แต่ถ้าบอกไปก็คงถูกอีกคนหาว่าแก้ตัวแน่ ๆ เลย

“จ๋า มีอะไร”

“ไม่มี”

“ไม่มีก็ถอยออกไปหน่อยสิ”

“แล้วพูดทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมาห๊า จะก้มดูเป้าฉันหรือไง”

“บ้า ใครจะไปอยากดู”

“เธอไงก้มอยู่ได้ อยากดูก็บอกดี ๆ เดี๋ยวเปิดให้ดูเลยก็ได้”

“บ้า” เมื่อไอ้จ๋าทำท่าจะแอ่นตัวให้ดู ออเรนจ์จึงได้เงยหน้าขึ้นด่าแต่ไม่จริงจังนัก เอาจริง ๆ ไอ้จ๋ามันก็ไม่ได้หน้าด้านหน้ามึนอะไรนักหรอก เพียงแค่เห็นคนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้า แก้มใส ๆ นั่นก็แดงแล้วแดงอีกจนสุกปลั่งน่ามอง มันก็เลยสงเคราะห์ให้ด้วยการแกล้งจริง ๆ แบบเล่น ๆ ก็เท่านั้นแหละ ไอ้จ๋าไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ นะ ถึงแม้ว่าภาพผิวขาวราวกับน้ำนมนั่นมันยังติดตาอยู่ก็ตามเถอะ แต่ยังแกล้งได้ไม่เท่าไหร่ พี่ฮีโร่เครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงก็ทั้งส่งเสียงทั้งสั่น เป็นสัญญาณบอกให้มันรีบรับสายโดยไวก่อนที่คนโทรมาจะขบหัวเอา

“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋าทำท่าทางบอกให้ออเรนจ์เงียบเสียงก่อนจะกดรับสาย เมื่อเห็นว่าเป็นต้นกล้าที่โทรเข้ามา “ครับ .... ยังครับ ไปทำไมครับ จะดีเหรอครับลูกพี่ ....แต่ว่า...ครับ ๆ ”

“มีอะไรเหรอจ๋า” ออเรนจ์ไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ไอ้จ๋าคุยโทรศัพท์ แต่เพราะอีกคนวางสายแล้วเอาแต่จ้องใบหน้าหวานนิ่ง ๆ จึงจำต้องถามออกมา

“เธอรีบกลับบ้านใช่มั้ย”

“ก็ไม่รีบเท่าไหร่ สองสามวันนี้พ่อไม่อยู่กลับตอนไหนก็ได้”

“ต้องรีบสิ”

“ก็ฉันไม่รีบนี่ มีอะไรล่ะ”

“ฮึ่ย ทำไมไม่รีบวะ”

“ก็ฉันไม่รีบ แล้วนายล่ะมีอะไร”

“ก็ลูกพี่กล้านะสิโทรมาบอกให้ฉันไปหาที่นาลูกพี่เดี่ยว”

“นายก็ไปสิ ฉันนั่งรถสองแถวกลับเองได้”

“อย่ามาทำเป็นเก่ง ลูกพี่กล้าสั่งให้ฉันพาเธอไปด้วย”

“จะให้ฉันไปทำไม”

“ไม่รู้โว้ย”

“นายจ๋าพูดไม่เพราะเลยนะ”

“เออ ๆ แล้วจะไปมั้ย”

“ไปก็ไปสิ”

“ฮึ่ย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมพี่ใหญ่อย่างลูกพี่กล้าถึงได้สั่งให้มันพาคนตัวบางไปด้วย แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งของลูกพี่กล้ามีหรือที่ไอ้จ๋ามันจะขัดได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องหงุดหงิดที่ต้องพาอีกคนไป ทั้งที่บอกว่าไม่มีรถแล้วลูกพี่เดี่ยวยังจะส่งไอ้ดำมารับอีก พอหันมาถามยัยส้มเน่านี่นึกอยากได้คำตอบว่ารีบกลับ จะได้มีข้ออ้างกับลูกพี่ว่าทำไมไม่พาอีกคนไปด้วย แต่ยัยส้มเน่าดันบอกไม่รีบเสียนี่ ถ้าอย่างนั้นก็โทรชวนพวกไอ้ว่าวไปเป็นแนวร่วมอีกแรงท่าจะดี ว่าแล้วไอ้จ๋าก็โทรหาเพื่อนเกลอทันทีและบอกจุดประสงค์ พอวางสายไอ้ดำลูกน้องเด็ดเดี่ยวก็ขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของมัน เข้ามาจอดตรงหน้าพอดี

“ไงมึง พาลูกสาวใครมาด้วยละเนี่ย”

“ยุ่ง”

“ฮ่า ๆ มา ๆ ขึ้นมา” ไอ้ดำเรียกเพื่อนขึ้นรถแต่สายตาจับที่ร่างบอบบาง และผิวขาวนวลของออเรนจ์ไม่วางตาจนไอ้จ๋าให้รู้สึกรำคาญหัวใจยุบยิบ

“ขึ้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นออเรนจ์ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนวางตัวไม่ถูก และไม่รู้จะขึ้นนั่งยังไงหรือนั่งตรงไหน “ไม่เคยนั่งหรือไงมอ’ ไซด์น่ะ”

“เคย แต่ว่าให้นั่งตรงนี้เหรอ ฉันนั่งข้างหลังนายดีกว่า” ออเรนจ์ว่าเมื่อไอ้จ๋าทำเหมือนจะให้นั่งตรงกลางระหว่างมันกับคนขับ

“นั่งข้างหลังเดี๋ยวได้ปลิวตกพอดีผอม ๆ แบบนี้น่ะ”

“เอ้า เอาไงสองคนนี้ตกลงกันดี ๆ “ไอ้ดำบอกเมื่อเห็นสองคนตกลงกันไม่ได้สักที

“งั้นมึงลงมาก่อนไอ้ดำ เดี๋ยวกูขับเอง”

“เออเอาไป” ไอ้จ๋าขึ้นนั่งขับแทนไอ้ดำแล้วหันมามองหน้าออเรนจ์ที่ยืนทำหน้างง ๆ อยู่ที่เดิม

“ขึ้นมาสิ ไอ้ดำขึ้นรถเลยมึง”

“เออ” พูดจบไอ้ดำก็วาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายข้างหลังไอ้จ๋าทันที นั่นจึงทำให้ออเรนจ์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงนอกจากเดินไปจะขึ้นนั่งข้างหลังไอ้ดำอีกทีแต่.....

“เธอจะไปไหน มานั่งนี่” ไอ้จ๋าตบปุ ๆ ที่เบาะข้างหน้าตัวเอง ที่มันเว้นที่พอให้คนตัวเล็กอย่างออเรนจ์นั่งได้พอดี

“เอ่อ ให้เรานั่งตรงนี้เหรอจ๋า”

“เออสิ ขึ้นมาจะได้ไปสักที”

“กะ ก็ได้” ค่อย ๆ เดินตัวลีบเข้าไปนั่งข้างหน้าไอ้จ๋าอย่างตื่นเต้น เพราะเท่ากับว่าต้องอยู่ในอ้อมอกของมันโดยปริยายนะสิ งื้อ เจ้าส้มความตื่นเต้นนี้มันคืออะไร มือสั่น ๆ นี่มันคืออะไร ลมหายใจที่ผิดจังหวะนี้มันคืออะไร ก้อนเนื้อในอกที่เต้นกระหน่ำนี้มันคืออะไร ทำไมจ๋าไม่ยอมให้ไปนั่งข้างหลัง ทำไมต้องตรงนี้ข้างหน้าคนคนนี้ ออเรนจ์ไม่เข้าใจทำไมต้องมาตื่นเต้นมากมายแบบนี้ด้วย ทั้งที่นอนกอดก็เพิ่งจะนอนกอดมาแล้วทั้งคืน

ไอ้จ๋าขับรถออกตัวไปแล้วคนตัวบางก็ยังตื่นเต้นไม่หาย เพราะยังคงอยู่ในความใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าชิดใกล้ แค่นั่งข้างหน้านี่ก็เขินจนไปไม่ถูกแล้ว พอไอ้จ๋าขับรถออกไปตัวหนา ๆ ของมันก็โน้มมาข้างหน้า ซึ่งในตอนแรกออเรนจ์ก็โน้มไปทางเดียวกัน แต่พอนั่งไปได้สักพักเริ่มเมื่อยจึงต้องเอนตัวกลับมาข้างหลัง ทำให้แก้มนวลได้ใกล้ชิดกับแก้มสาก ใบหน้าคร้ามแดดเอียงเกือบแนบชิดกันกับใบหน้าขาวนวล ไอ้จ๋าเหล่ตามองคนที่นั่งไม่อยู่สุข เพราะยิ่งคนที่ยู่ในอ้อมแขนขยับตัว ก็ยิ่งทำให้ไออุ่นชัดเจนขึ้น ยิ่งเมื่อออเรนจ์เอนตัวมาข้างหลัง แผ่นหลังบางจึงแนบแผ่นอกกว้าง นั่นจึงทำให้เกิดความใกล้ชิดแบบแนบสนิทกันมากขึ้น แก้มนวลปลั่งที่อยู่ห่างกับแก้มสากกร้านไม่เกินคืบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวอีกคนที่กวนใจ ไอ้จ๋าสามารถขับรถมอเตอร์ไซด์มาถึงนาลูกพี่ได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอ้ตัวประกอบที่ถูกลืมอย่างไอ้ดำ ก็ได้แต่นั่งสังเกตการณ์เงียบ ๆ อย่างรู้งานจนถึงจุดหมายปลายทาง

***************

อุ้ย! พี่เดี่ยวพาน้องมาเปิดตัวเหรอ เจอกันตอนหน้าคร้าาาาาาาาาา

 :katai2-1: :katai5:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
มีความเปิดตัว. ส่วนจ๋าก็แหม...เหมือนจะได้เมียในเร็ววัน. 555+

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 12 ลงปลา

รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของไอ้ดำพาทั้งสามลัดเลาะไปตามทางสายเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทางลัดไปยังบ่อปลากลางนา โดยไอ้จ๋าสารถีกิตติมศักดิ์เป็นคนขับอย่างชำนาญทาง เพราะมาช่วยงานและมากินปลาบ่อย จึงรู้จักเส้นทางนี้เป็นอย่างดี ไอ้จ๋าพยายามเพ่งสมาธิอยู่ที่การขับรถอย่างเต็มที่ เพราะนอกการขับรถมอเตอร์ไซด์ ที่ต้องลัดเลาะไปตามทางริมทุ่งนา ที่สภาพของทางไม่เรียบ ทั้งเป็นหลุมเป็นเนินขึ้นลง รถตกลงไปทีก็กระเด้งกระดอนที แล้วไหนยังจะมานั่งชิดติดกันอย่างนี้คิดว่ามันจะเหลืออะไร แล้วยังต้องมารู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองที่มีคนอีกคนอยู่ในอ้อมแขนนี่อีก ถึงจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็เกิดความใกล้ชิดจนเรียกได้ว่าแนบสนิทได้เลยทีเดียว ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เข้าจมูกมาเป็นระยะ ไหนจะไออุ่นที่แผ่ออกมาให้มันสัมผัสได้ จะไม่ให้ไอ้จ๋ารู้สึกปั่นป่วนในใจมันก็ไม่ใช่คนปกติแล้วล่ะวะ

ขับรถไปก็ให้ต้องแอบเหล่ตาดูคนข้างหน้าไปด้วย เพราะอีกคนเอาแต่นั่งเงียบเอียงตัวออกด้านข้าง เหมือนกับว่ารังเกียจมันเสียเต็มประดา แต่ถึงแม้ว่าออเรนจ์จะนั่งเอียงตัวขนาดนั้น ก็ยังไปไหนไม่ได้ไกลจากความใกล้ชิดอยู่ดี และความประหม่านี้ก็หาได้เกิดขึ้นแต่เพียงกับไอ้จ๋าคนเดียวไม่ เพราะคนที่เอนกายพิงหลังแนบอกอุ่นกันอยู่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่ตื่นเต้นเกินไปจนไม่กล้าพูดออกมาก็เท่านั้นเอง

ไอ้จ๋าไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์และความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความใกล้ชิด แนบสนิทใด ๆ กับใครก็ตาม ทั้งผู้หญิง ตุ๊ด แต๋ว กะเทย เก้ง กวาง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือแม้กระทั่งผู้ชายด้วยกันเอง เฮ้ย! ผู้ชายด้วยกันอะไรวะ ไอ้จ๋าคนนี้แมนนะครับ ไอ้จ๋าคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ในใจให้ร้อนรุ่มจนแทบจะคุมไม่อยู่ ทั้งที่มันเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ หรืออาจจะรู้แต่แค่ยังกลัวที่จะฟันธงให้ตัวเองวะ แล้วในที่สุดมันก็จบลงได้สักที เมื่อไอ้ตัวล่ำหน้าดำพาทุกคนมาถึงจุดหมายปลายทาง อันเป็นบ่อปลาในสวนสวยอุดมสมบูรณ์ร่มรื่น ท่ามกลางพืชผักสวนครัวงอกงามตระการตา ราวกับว่าได้ปุ๋ยชั้นดีคุณภาพเยี่ยมที่สุดในสามโลก กอกล้วยขึ้นจนจะเรียกได้ว่าเป็นดงหนาในบางช่วง และกอไผ่ที่ปลูกสลับกันไปโดยมีลูกพี่ใหญ่ทั้งสองรออยู่

“ไงวะจ๋าจะสวีทจะอะไร ให้รู้จักเกรงใจไอ้คนข้างหลังที่นั่งทำหน้าเอ๋อรับประทานซะบ้างนะ”

“อะไรครับลูกพี่เดี่ยว พูดอะไรเนี่ยใครจะสวีทใครไม่มีหรอกครับ”

“ฮ่า ๆ อย่ามาทำหน้าซื่อไปหน่อยเลยว่ะ” เป็นครั้งแรกที่ไอ้จ๋าเห็นลูกพี่ทั้งสองของมัน พูดจาเข้ากันได้เป็นปี่กับขลุ่ย เมื่อเด็ดเดี่ยวทักทายประโยคแรกที่มันมาถึงด้วยการแซวให้อยากหงุดหงิด ต้นกล้าก็ผสมโรงตามกันมาด้วย ไอ้จ๋าแม้ว่ามันจะดูเฉย ๆ แต่ในใจก็ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ที่ต้องมียัยส้มเน่าที่เขาตั้งฉายาให้ ติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็แสดงออกมาได้แค่หน้านิ่ง ๆ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่านั้น

“มานั่งนี่มา ชื่ออะไรนะออเรนจ์เหรอ”

“ฮะ” ออเรนจ์ตอบแต่น้ำเสียงฟังแล้วรู้เลยว่าเจ้าตัวยังคงประหม่า เมื่อต้นกล้าที่ไอ้จ๋าเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ว่าอยู่ในสถานะพี่ชายที่มันรักและเคารพยกให้เป็นลูกพี่ใหญ่ หันมาถามหลังจากที่หัวเราะเสียงดังขำไอ้จ๋าเสร็จ และออเรนจ์ก็เดินเข้าไปนั่งข้างหนุ่มหล่อเกาหลีอย่างว่าง่าย

“ใครจะลง” เด็ดเดี่ยวถามรุ่นน้องทั้งสองคน

“ผมเปิดโอกาสให้ไอ้จ๋าโชว์สกิลการทำมาให้กินให้สาวดูเลยครับพี่” ไอ้ดำออกตัวก่อนพร้อมกับทำท่าพยักพเยิดไปทางสาวที่มันว่า เล่นเอาไอ้จ๋าหันขวับมามองมันตาขวางเหมือนผีเข้าทันทีเลยทีเดียว

“โชว์สกิลอะไรของมึงวะไอ้ดำ เดี๋ยวปั๊ดโบกเลยไอ้ห่านี่”

“เอ๊า มึงพาสาวมาทั้งทีมันก็ต้องสร้างความประทับใจเปล่าวะ เฟิร์สอิมเพรสชั่นน่ะ รู้จักปะ”

“พอ ๆ ไม่ต้องพูดมากใครจะลงก็ลง ช่วยกันนั่นแหละ”

“ว่าแต่ไม่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ เหรอครับพี่” เป็นไอ้ดำที่ถามขึ้นมาพร้อมทำท่าทางเปรี้ยวปาก ซึ่งก็โดนใจไอ้จ๋าไม่น้อย เพราะมันเองก็คิดจะถามอยู่เหมือนกัน

“เออนั่นดิ” และนี่ก็คือเสียงเห็นด้วยจากไอ้จ๋า

“เออ ๆ งั้นก็ไปซื้อไป ไอ้จ๋าลงปลารอก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกไอ้ว่าวตามมาใช่มั้ย”

“ครับลูกพี่”

“แล้วสองคนนั้นจะกินอะไร” เด็ดเดี่ยวหันไปถามต้นกล้า ที่นั่งคุยกับออเรนจ์อยู่บนเสื่อที่ปูไว้ใต้เงาของกล้วยกอใหญ่ ลมเย็นสบายพัดมาน่านอน

“อะไรก็ได้แต่ไม่เอาเหล้าขาวนะ”

“หึ ๆ เข็ดหรือไง”

“ไม่ได้เข็ดแต่มันร้อนเถอะ ออเรนจ์ล่ะเอาอะไร”

“เอาน้ำหวานก็ได้ฮะ” เด็ดเดี่ยวหยิบเงินออกมาให้ไอ้ดำไปซื้อเครื่องดื่มเย็น ๆ ซึ่งก็คงจะไม่พ้นเบียร์นั่นแหละ บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ จิบเบียร์เย็น ๆ คลายร้อนแกล้มด้วยปลาสด ๆ เผาสุกใหม่ ๆ มันเหมาะและเข้ากันได้ดีนักแล

“ซื้อมาให้ครบล่ะน้ำแข็งด้วยจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา อ้อ อย่าลืมแวะเอาถ่านที่บ้านมาด้วยนะ”

“ครับ ๆ “ไอ้ดำกระโดดขึ้นควบหมาญี่ปุ่นคันเก่งของมัน แล้วขับออกไปหาซื้อของตามที่ต้องการ เด็ดเดี่ยวจึงเดินเข้าไปหยิบอุปกรณ์ที่ใช้จับปลามายื่นให้ไอ้จ๋า ที่กำลังถอดเสื้อยืดออกตามด้วยรองเท้าผ้าใบคู่เก่งสุดเน่าของมัน แล้วจึงถอดกางเกงยีนตัดขาปล่อยชายลุ่ยตัวโปรดที่มันภูมิใจออกตามไปจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เก็บเสื้อผ้าทั้งหมดเอาไว้อย่างดีด้วยการจับรวมกัน แล้วม้วนเป็นก้อนให้พอเสร็จ ๆ ก่อนจะมองหาที่วาง

“เอ้า ออเรนจ์มาเก็บเสื้อผ้าไว้ให้ไอ้จ๋ามันด้วย”

“ได้ฮะ”

“เฮ้ย ลูกพี่ครับไม่ต้อง เอาคืนมาเลยเดี๋ยวไอ้จ๋าเอาไปวางไว้ตรงนั้น”

“น่า” ขณะที่ไอ้จ๋ากำลังมองหาที่วางเสื้อผ้าของมัน เด็ดเดี่ยวก็แย่งออกจากมือแล้วหันไปยื่นให้ออเรนจ์เป็นคนเก็บไว้ให้ ไอ้จ๋าได้แต่โวยวายคัดค้านแต่ไม่จริงจังนัก เพราะเสื้อผ้าของมันอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวผอมเรียบร้อยแล้ว ส่วนในมือของมันก็ได้แหหนัก ๆ มากแทน เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่ามันควรจะเริ่มจับปลามาเตรียมไว้ทำเป็นกับแกล้มได้แล้ว ไอ้จ๋าตวัดสายตามองออเรนจ์ตาเขียว ก็ได้รับใบหน้าตูม ๆ ที่ดูน่ารักกลับมา มันถือแหเดินไปที่ขอบบ่อเพื่อเตรียมหว่าน โดยมีเด็ดเดี่ยวถือถังใส่ปลาเดินตามไปด้วยอย่างรู้งาน

“ไม่ออกไปดูไอ้จ๋าทอดแหตรงนั้นล่ะ” ต้นกล้าบุ้ยใบ้ใบหน้าหันไปทางไอ้จ๋า ที่กำลังขึ้นแหเตรียมหว่าน เมื่อเห็นออเรนจ์ชะเง้อมองตามไม่วางตา “หรือว่าร้อนหน้าแดงเชียว”

“เปล่าฮะไม่ร้อนเท่าไหร่” จะให้บอกได้ยังไงว่าแอบมองตามไอ้จ๋า แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วที่หน้าแดงนี่ก็คงไม่ใช่เพราะอากาศร้อน อย่างที่คนอายุมากกว่าเดาหรอก สาวน้อยในร่างหนุ่มบอบบางรู้ตัวดีว่าอะไรเป็นอะไร ที่ทำให้เกิดความร้อนวูบวาบยากจะควบคุมอย่างนี้ แต่ครั้นจะพูดออกไปก็เกรงจะทำให้ตัวเองได้อายเปล่า ๆ แต่ใบหน้าที่ร้อนผ่าวและท่าทางขัดเขินนี้ มันช่างยากที่จะควบคุมเหลือเกินสำหรับออเรนจ์ ไหนจะร่างกายกำยำผิวสีน้ำตาลเข้ม ที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อเต็มตึงน่ามองของไอ้จ๋านั่นอีก ที่ทำให้เผลอมองเสียจนเพลิน ยิ่งตอนที่มันกำลังจะลงน้ำแล้วเล่นพันขากางเกงที่ใส่อยู่ขึ้นซะสูง ถึงจะไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ก็อดแอบมองไม่ได้อยู่ดี และปฏิกิริยาเหล่านี้ก็กำลังถูกจับตามองจากคนที่นั่งข้าง ๆ ที่ฟันธงได้ทันทีกับภาพที่เห็น จากสายตาที่เด็กผอมใช้มองไอ้จ๋า ต้นกล้าบอกได้คำเดียวว่าใช่เลย..

“โห ตัวใหญ่มากเลยว่ะจ๋า “

“อยู่แล้วครับลูกพี่” ไอ้จ๋ายิ้มรับเมื่อลูกพี่กล้าของมันลุกออกมาดูปลาที่มันทอดแหได้แล้วเอ่ยชม “ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับไม่ลองดูสักตาเหรอครับ ลองดู ๆ ทอดแหหรือหว่านแหบ้านเรานี่ วิถีชีวิตการทำมาหากินของลูกผู้ชายครับ หาได้ทั้งห้วยหนองครองบึง ทำเป็นก็ไม่มีอดตายถ้าไม่เบื่อปลาก่อนอะนะ “ไอ้จ๋าชักชวนอย่างภูมิอกภูมิใจ เมื่อเห็นว่าต้นกล้ามีท่าทางสนใจการทอดแหอยู่ไม่น้อย

“จะไหวเร้อ” และแน่นอนว่าต้องมีเสียงสบประมาทปนท้าทายตามมา เหมือนกับเป็นหน้าที่ของอีกคนที่คอยทำหน้ามึนใส่กันตลอดอย่างเด็ดเดี่ยว ลูกชายกำนันอาจหาญคนเดิม

“เหอะ ถึงเราจะไม่เคยทำ เรื่องแค่นี้มันฝึกกันได้ใช่รึเปล่าวะไอ้จ๋า”

“ใช่แล้วครับลูกพี่ มาเดี๋ยวไอ้จ๋าสาธิตให้ดู เอาแหวางไว้ตรงนี้นะครับ จับอย่างนี้ครับ แล้วก็...”

“อืม” ไอ้จ๋าเริ่มต้นการสาธิตการทอดแหอย่างถูกต้องตามวิธีการ โดยมีต้นกล้ายืนฟังอย่างตั้งใจ และสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเด็ดเดี่ยว ส่วนออเรนจ์เพิ่งจะเดินออกมาสมทบกับทุกคน เพราะเห็นว่าต้นกล้าจะฝึกทอดแหจึงอยากดูด้วย

“เอานี่ลองจับดูครับ”

“เดี๋ยว ๆ ๆ ”

“อะไร”

“จะทำทั้งอย่างนี้เหรอเดี๋ยวเสื้อผ้าเปื้อนหมดหรอก” เด็ดเดี่ยวท้วง

“งั้นถอดออกก็ได้”

“ไปถอดก่อนสิ”

“จิ๊” ต้นกล้าจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ เพราะกำลังสนุกดันถูกขัดจังหวะเสียก่อน แต่ก็ยอมเดินไปถอดเสื้อผ้าตัวนอกออก โดยไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวเดินตามหลังมาด้วย

“ถอดแต่เสื้อตัวนอกก็พอ เหลือเสื้อกล้ามเอาไว้”

“เฮ้ยตามมาทำไม แล้วทำไมต้องเหลือเสื้อกล้าม ทีไอ้จ๋ามันยังถอดหมดเหลือบ็อกเซอร์ตัวเดียวเลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่”

“ทำไมจะไม่เหมือน ผู้ชายเหมือนกันทั้งนั้น”

“อย่าดื้อกับพี่”

“นี่..”

“กะ ก็แดดมันร้อนนิ” เมื่อถูกมองด้วยสายตาเอาเรื่อง เด็ดเดี่ยวจึงบอกเสียงเบาที่พอได้ยินกันเพียงสองคน

“ไม่เห็นเป็นไรเลยดีออกคล้ำ ๆ เราจะได้ดูเข้ม เท่ด้วย”

“เท่ตายล่ะ” เด็ดเดี่ยวพึมพำออกมาเบา ๆ เมื่อคิดภาพผิวที่เคยขาวผ่องของต้นกล้า เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะถูกแดดเผา เขาเองคงเสียดายน่าดู

“หาว่าไงนะ”

“เปล่า เฮ้ยจะถอดกางเกงด้วยหรือไง”

“เอ้าจะให้ลงน้ำทั้งกางเกงขายาวรัด ๆ นี่เลยหรือไงล่ะ” ต้นกล้าก้มลงมองกางเกงยีนขาเดฟยี่ห้อดังของตัวเอง มือทั้งสองข้างค้างอยู่ที่กระดุมเพราะกำลังจะแกะออก

“ก็..งั้นไปถอดตรงโน้นลงบ่อสุดท้ายเลย เดี๋ยวพี่ไปเอาแหกับไอ้จ๋ามาให้”

“ทำไมต้องไปบ่อโน้น บ่อเดียวกันใกล้ ๆ นี่ไม่ได้หรือไง”

“แต่บ่อโน้นปลาเยอะกว่า มีโอกาสได้ง่ายกว่านะ” เด็ดเดี่ยวกระซิบกระซาบทางเลือกอันน่าสนใจ ที่เชื่อว่ายังไงต้นกล้าก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าหลานชายคนเก่งของคุณยายรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต ตามสโลแกนที่ว่า คนอย่างไอ้กล้าฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่อมีทางเลือกที่ไม่ต้องเสี่ยงให้ตัวเองเสียหน้า จึงเชื่อว่าอีกคนต้องรีบเลือกแน่นอน และ...

“จริงอะ..” เสียงของคนหัวแดงฟังดูตื่นเต้นและสนใจไม่น้อยกับทางเลือกที่ได้ยิน เพราะกำลังกังวลอยู่พอดีว่าตัวเองจะสามารถจับปลาได้หรือเปล่า

“อือฮึ”

“เคร งั้นเราจะไปทอดแหที่บ่อปลาบ่อสุดท้าย ตามมา” เมื่อได้รับคำตอบกลับมาด้วยเสียงจริงจัง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของบ่อปลาเองก็มั่นใจเช่นนั้นไม้น้อย ต้นกล้าจึงมีความหวังและวันนี้เขาไม่เสี่ยงเสียฟอร์มแน่ ๆ

“เด็กดี”

“ชิ” เด็ดเดี่ยวมองตามคนฟอร์มเยอะที่เดินเลี่ยงไปอีกทาง ซึ่งพาเดินไปยังบ่อปลาบ่อถัดไป แต่ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้นเพราะต้นกล้าเดินจนถึงบ่อสุดท้าย ตามที่ได้รับการแนะนำมาว่าปลาเยอะ จัดการถอดกางเกงแขวนห้อยเอาไว้กับกิ่งของไผ่ที่ถูกตัดแต่งเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน หนุ่มหล่อเกาหลีเหลือเพียงเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์สีขาวเนื้อบาง ยืนยิ้มพิมพ์ใจรอแหที่อีกคนกำลังถือเดินตามมา

ต่อจ้า....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“อะไรของเขาวะ ทำไมต้องไปกันสองคน”

“ไม่รู้สิ”

“ฉันไม่ได้ถามเธอ”

“เอ๊า แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะนายจ๋า ว่านายไม่ได้ถามฉัน ยืนกันอยู่สองคนนะได้ข่าว”

“เออ ๆ ไม่ต้องพูดมาก เอาปลาไปล้างยัดไส้เตรียมเผาเลยไป”

“ฮื้ม ฉันเหรอ..”

“เออดิ ฉันหามาแล้วนะ หน้าที่ต่อไปก็ต้องเป็นของเธอ อย่าบอกนะว่าทำไม่เป็น” ออเรนจ์พยักเบา ๆ แทนคำตอบ ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกหัวเสียอยู่ไม่น้อย เพราะคิดว่าจะให้ออเรนจ์จัดการเตรียมปลา ตัวมันเองจะได้ก่อไฟเผาฟืนเอาไว้รอถ่านที่ไอ้ดำกำลังไปเอามา จากนั้นจะได้ทำตามแผนขั้นต่อไปที่อยู่ในหัวของมัน หลังจากที่มองตามหลังลูกพี่เดี่ยวที่เดินมาเอาแหกับมัน และบอกว่าต้นกล้าอยากไปทอดแหที่บ่อปลาบ่อสุดท้ายแทน เหอะนะ นึกว่าไอ้จ๋าไม่รู้ล่ะสิว่าอยากอยู่กันสองคน อยากทอดแหกันสองต่อสอง งานนี้ขาดตัวขัดจังหวะดี ๆ อย่างไอ้จ๋าไป ก็เหมือนขาดอะไรสักอย่างล่ะวะ แต่เสียงใส ๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้นขัดแผนชั่วในหัวของไอ้จ๋าเสียก่อน

“ทำไม่เป็นนายก็สอนฉันบ้างสิจ๋า”

“น่าเบื่อจริง ๆ “รอยยิ้มสดใสของออเรนจ์ในตอนแรกเลือนหายไปทันที เมื่อคำว่าน่าเบื่อหลุดออกมาจากปากของไอ้จ๋า เจ้าของร่างบอบบางเม้มปากแน่น แต่ไม่นานก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทำท่าทางกระตือรือร้นออกมาก่อนจะบอก

“เดี๋ยวเราลองทำเองก็ได้ ว่าแต่...”

“ว่าแต่อะไร”

“นายอย่าทิ้งเราไว้คนเดียวนะ”

“หืม..ทำไม” ไม่ใช่ว่าเพราะอีกคนบอกว่าอย่าทิ้งเอาไว้คนเดียว ที่ทำให้ไอ้จ๋าเกิดสงสัย แต่เพราะสีหน้าที่สลดลงและแววตาเศร้า ๆ ทั้งที่พยายามทำให้ดูร่าเริงนั่นต่างหาก ที่ทำให้ไอ้จ๋าสนใจและถามออกมา

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก เอาถังปลามาสิเราจะเอาไปล้าง”

“เอาไปดิ”

“ก็ปล่อยสิ” ไอ้จ๋ายื่นถังปลามาให้แล้วแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือสักที

“บอกมาก่อนดิ ทำไมถึงกลัวฉันทิ้ง ฉันกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันนะได้ข่าว”

“กะ ก็พี่คำแพงชอบพูดบ่อย ๆ ว่าฉันน่าเบื่อ แล้วเมื่อวานเข้าก็ทิ้งฉันไว้ที่นี่ไง นายลืมแล้วเหรอ” ตาหวานที่กะพริบปริบ ๆ และมองตอบกลับมา เล่นเอาใจแกร่งกล้าของไอ้จ๋าอ่อนยวบขึ้นมาเสียเฉย ๆ น่าสงสารว่ะ น่ารักด้วย เฮ้ย! ไม่ใช่ล่ะ

“เธอก็เลยกลัวฉันทิ้งไว้ที่นี่อีกว่างั้นเถอะ โดนทิ้งสองต่อ”

“ไม่หรอก แต่ถ้ารำคาญฉันอย่างน้อยก็ไปส่งฉันที่ท่ารถสองแถวก็ยังดี ฉันจะได้กลับบ้าน” รอยยิ้มบาง ๆ นั่นไม่ได้ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกดีเลยสักนิด เพราะแววตาของออเรนจ์ไม่ได้ยิ้มด้วย แถมยังทำให้หัวใจอันเคยกร้าวแกร่งของมันกระตุกแปลก ๆ กับคำพูดของคนตัวบาง

“เออ ๆ เดี๋ยวกินเสร็จจะไปส่งให้ถึงบ้านละกัน เอาปลาไปล้างได้แล้ว ฉันจะไปก่อไฟ”

“ก็ได้” รับคำสั่งแล้วถือถังปลาไปล้างยังถังน้ำสะอาดที่เตรียมเอาไว้ แต่เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ยิ่งเรื่องงานครัวยิ่งไม่เคยจับ จึงล้างแบบเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ถนัด

“นี่เธอทำดี ๆ ระวังเงี่ยงปลาปักมือด้วย ทุบหัวมันก่อน”

“หา ทำไมต้องทุบล่ะ”

“เอ้ายัยส้มเน่า ไม่ทุบให้มันตายก่อนมันก็ดิ้นเซ่ ถามได้”

“อ๋อ ได้ ๆ ทุบหัวใช่มั้ย” ถามแล้วก็เทปลาใส่กะละมังที่กว้างกว่า หยิบท่อนไม้มาถือตาเล็งที่หัวของปลาตัวเขื่อง ที่กำลังเริ่มดิ้น แต่ครั้นจะทุบลงไปเลยก็กลัวพลาดไปโดนกะละมังพลาสติกแตก ถ้าหากทำกะละมังแตกก็คงไม่พ้นโดนไอ้คนหน้าดำนั่นบ่นอีกเป็นแน่แท้ ถ้าอย่างนั้นก็เทออกจากกะละมังก่อนคงไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะพื้นก็รองด้วยไม้อยู่แล้วคงทุบง่ายกว่าตอนปลามันอยู่ในกะละมัง คิดได้ดังนั้นก็จัดการเทสิ่งมีชีวิตออกจากกะละมัง เมื่อปลามันหลุดมาได้ก็ดิ้นรนหาทางหนี ออเรนจ์พยายามจะตีหัวปลา แต่ลงไม้ทีไรก็พลาดไปซะทุกที

“เอ้า ๆ ทำอะไรของเธอน่ะ”

“ทุบหัวมันไง ตามที่นายบอก”

“แล้วทำไมไม่จับไว้ด้วยเดี๋ยวมันก็ดิ้นลงน้ำหรอกนั่น”

“ได้ ๆ “รับคำแล้วกดตัวปลาเอาไว้ แต่พอจะตีก็ต้องเอามือออกทุกที เพราะกลัวไม้โดนมือตัวเอง ส่วนเจ้าปลาตัวเขื่องก็พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดสะบัดหางจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว

“เฮ้ย ระวังจับไว้ดิ จับมันไว้”

โป๊ก! ออเรนจ์ฟาดไม้ลงเต็มแรงแต่แทนที่จะโดนหัวปลา กลับโดนไม้กระดานที่ใช้รองพื้นเอาไว้ ทำให้แผ่นไม้มันพลิกแล้วดีดตัวปลาขึ้น ปลาที่กำลังดิ้นอยู่จึงเหมือนได้รับแรงส่งจนไปตกอยู่ริมบ่อ และชะตาของมันคงยังไม่ถึงฆาต ดิ้นอีกสองสามเฮือกเจ้าปลาดวงแข็งก็ตกลงน้ำไปเหมือนเดิม

จ๋อม!!

“อุ้ย”

“เฮ้ย ยัยส้มเน่า ทำอะไรของเธอวะ”

“เราขอโทษ”

“ฮึ่ย “ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาอย่างหัวเสีย เพราะไม่สบอารมณ์ที่ออเรนจ์ทำปลาหลุดลงน้ำไป ก็มันมีอยู่แค่ตัวเดียว ทั้งที่ตอนหว่านแหได้ปลาขึ้นมาหลายตัว แต่มันเลือกเอาเฉพาะตัวที่ใหญ่ที่สุดไว้เพียงตัวเดียว และพอดีกับที่ต้นกล้าจะลองทอดแหดูบ้าง มันจึงอยากให้ลูกพี่ของมันได้โชว์สกิลการทำมาหากินสักหน่อย ไม่คิดว่าปลาที่มันเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี จะถูกยัยตุ๊ดเผือกทำหลุดมือไปเสียได้

ในขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในเขตบ่อปลา คนหนึ่งกำลังสอนให้อีกคนเรียนรู้วิธีการหว่านแหหรือทอดแหอย่างถูกต้อง ซึ่งคนเรียนก็เรียนอย่างตั้งใจมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเหวี่ยงแหลงน้ำโดยที่ทำให้แหมันกางออกอย่างเต็มที่ได้สักที ไม่ถูกโยนลงไปเป็นก้อนพันกันก็ถูกเหวี่ยงลงเป็นม้วน โยนลงไปหลายรอบจนผ่านไปหลายนาที ตอนนี้จึงยังไม่ได้ปลากันมาสักตัว

“มันต้องอย่างนี้สิ จับตรงนี้เอาไว้ เอาส่วนนี้พาดข้อศอกข้างนี้ไว้ มือกำรวบเอาช่วงปากแหตรงโซ่นี่”

“แบบนี้เหรอ”

“ใช่ จับตรงนี้ไว้ด้วย หันหน้ามาทางนี้สิ”

“แล้วยังไงต่อ” เมื่อคนเรียนไม่ได้มุมที่ตัวเองถนัดสักที เด็ดเดี่ยวจึงได้แต่ถอยออกมายืนชั่งใจว่าจะสอนยังไงต่อ ต้นกล้าถึงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

“เอาอย่างนี้หันมานี่”

“เอาอย่างไหน เฮ้ยอะไรนี่ ทำไมต้องมายืนซ้อนหลังด้วยอะ”

“ก็มันสอนไม่ถนัดนี่ เอ้า ๆ อย่าดิ้นสิหันหน้าไปทางโน้น” เด็ดเดี่ยวยืนซ้อนด้านหลังแล้วจับต้นกล้าให้หันหน้าไปทางบ่อปลา สองมือทำงานช่วยกันโดยการจับปากแหขึ้นมาให้คนตัวเล็กกว่าในท่าที่ถนัดยิ่งขึ้น นี่ถ้ารู้ว่าสอนแบบนี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพชัดเจนกว่า เขาคงสอนกันตั้งแต่ทีแรกไปแล้ว

“พร้อมยัง”

“อืม”

“เหวี่ยงตัวแบบนี้นะ ออกแรงส่งมันด้วยสักหน่อยตอนเหวี่ยง พอได้จังหวะสุดแรงก็ปล่อยแหออกไปพร้อม ๆ กันเลยเข้าใจมั้ย” เด็ดเดี่ยวโอบรอบร่างโปร่งจากข้างหลัง โดยใช้สองมือจับมือของต้นกล้าทีละข้างเอาไว้ แล้วพาขยับไปตามท่าทางการเหวี่ยงเพื่อหว่านแหออก ความใกล้ชิดเกิดขึ้นโดยที่ต้นกล้ามัวแต่สนใจการเรียนรู้จนมองข้ามมันไป แต่คนสอนนี่สิทำไมจิตใจมันเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย...วะ!

“เอาล่ะไหนลองดูอีกทีซิ ทำตามที่พี่บอกเลยนะ”

“เค รอดูผลงานละกัน”

“อืมเอ้า1 2 3 ไปเลย” พรึ่บ!!

“เฮ้ย”

“เอ้า ทำไมไม่ปล่อยปากแหเล่า”

“ก็มันลืมนิ”

“เอาขึ้นมาทำใหม่”

“ไม่ไหวแล้วปวดแขน ทำให้เราดูหน่อยดิ สาธิตหน่อย นะๆ ดูไอ้จ๋าทำเมื่อกี้ลืมแล้ว”

“ได้ ไม่มีปัญหา รอดูก็แล้วกันพี่จะเอาปลาตัวใหญ่ ๆ มาให้ดูเป็นขวัญตา”

“โอเค” พูดจบเด็ดเดี่ยวก็ดึงเชือกแหขึ้นมาจากน้ำ แล้วยื่นให้ต้นกล้า

“ถือไว้แปบ” เดินไปถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวไม่ต่างกัน แล้วจึงเดินกลับมารับแหจากต้นกล้าถือเอาไว้ ด้วยท่าทาทะมัดทะแมง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละสายตาได้อยากยิ่งนักสำหรับต้นกล้า เมื่อมีร่างกายกำยำล่ำสันของอีกคน มาให้เห็นในระยะประชิดขนาดนี้ ต้นกล้าไม่ได้ตั้งใจเลยจริง ๆ นะ แต่ก็เผลอคิดเปรียบเทียบกับร่างกายของตัวเองจนได้ ทำไมคนอย่างไอ้กล้าไม่เกิดมามีหุ่นแบบนี้บ้างวะ จะได้ดูองอาจมาดแมนสมชายชาตรี แม้ว่าตอนนี้ต้นกล้าจะดูมาดแมนอยู่ไม่น้อยแล้วก็ตาม แถมยังหล่ออีกซะด้วย ก็นะถึงยังไงหล่อหน้าตาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งล่ะวะ แต่ถ้าได้กล้ามท้องแน่น ๆ กล้ามแขนล่ำ ๆ อย่างไอ้คนตัวโตมาเสริมบารมี ก็คงจะดูดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ฮึ่ยคิดแล้วกลุ้ม!

“เป็นอะไร”

“ปล๊าววว หว่านซะทีสิแหเนี่ย อยากเห็นฝีมือจะแย่แล้ว”

“ฮ่า ๆ ได้ไม่มีปัญหา” เด็ดเดี่ยวลากเสียงยาวล้อเลียน แต่สายตาวิบวับที่มองอีกคนนั้นมันคืออะไร เอ็นดูเหรอ..? รักใคร่เหรอ..? เอานะสรุปว่าชอบล่ะ หรือจะอะไรก็ช่างหัวมันไปก่อน เพราะสังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน ว่านัยน์หวานฉ่ำของคนตัวเล็กกว่า ไล่มองร่างกายหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของเขาไปแทบจะทุกส่วน ด้วยแววตาปนอิจฉา เหมือน ๆ จะอยากได้ แต่สำหรับเด็ดเดี่ยวแล้ว ต้นกล้าหุ่นแบบนี้ล่ะดีที่สุด เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่า.เอ่อ.....เพราะเขาชอบไงล่ะ หึ ๆ ๆ

เด็ดเดี่ยวจัดแหให้พร้อมสำหรับการหว่าน พอได้ที่แล้วก็หันมาหาต้นกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยักคิ้วให้คนที่มองตอบกลับมาหนึ่งทีแล้วหันหน้าไปหาบ่อปลา พอได้ท่าที่คิดว่าเท่ที่สุดพร้อมแล้วก็โยกตัวเพื่อเหวี่ยงแหลงน้ำทันที

หวืด

พรึ่บ

ตูม!!!

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะงอหายเมื่อคนตัวโตเหวี่ยงแหลงน้ำด้วยท่วงท่าสวยงามมีมาดทรง และแหก็กางออกเต็มที่อย่างมืออาชีพที่ชำนาญงาน จากนั้นหลานชายคุณยายประไพศรี หนุ่มหล่อเกาหลีผู้อินเทรนด์ก็ส่งคนเจ้าของแหตามลงไปติด ๆ เต็มฝ่าเท้าอย่างสะใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะงอหายเมื่อคนตัวโตเหวี่ยงแหลงน้ำด้วยท่วงท่าสวยงามมีมาดทรง และแหก็กางออกเต็มที่อย่างมืออาชีพที่ชำนาญงาน จากนั้นหลานชายคุณยายประไพศรี หนุ่มหล่อเกาหลีผู้มีความอินเทรนด์ก็ส่งคนเจ้าของแหตามลงไปติด ๆ เต็มฝ่าเท้าอย่างสะใจ

“เปล่า ๆ เราไม่ได้ผลัก”

“ได้ไงก็เห็น ๆ อยู่”

“ถีบเหอะ เต็ม ๆ อะฮ่า ๆ เราแค่ช่วยให้ลงไปจับปลาเร็ว ๆ ไงไม่ชอบเหรอ ฮ่า ๆ “ ต้นกล้ากุมท้องตัวเองหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เด็ดเดี่ยวได้แต่มองแล้วเก็บความแค้นเอาไว้ในใจรอวันเอาคืนอย่างสาสม “ได้กี่ตัวปลาน่ะเอ้าได้แล้วก็รีบขึ้นมาดิ มา ๆ ”

“เหอะ อยากได้มาเอาเองดิ”

“แหม ๆ ลงไปแล้วก็เอาขึ้นมาเผื่อเราหน่อยน่า เป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อยเด้ ฮ่า ๆ ๆ ”

“ขำนะ ช่วยหน่อยสิ” เด็ดเดี่ยวเดินลากแหมาที่ขอบบ่อ แล้วยื่นมือมาให้ต้นกล้าช่วยดึงขึ้น แต่คนฉลาดเป็นกรดเป็นด่างอย่างต้นกล้ามีหรือจะหลงกล เพราะมุขนี้เขาเองก็เคยใช้แล้วเมื่อไม่นานมานี่เอง ใครจะทันได้ลืมล่ะฮึ

“อย่าคิดจะเอาอัฐเรามาซื้อขนมเรา”

“อะไรนะ” ใบหน้าคมคร้ามแดดแสดงความมึนงงออกมาเต็มที่กับคำสุภาษิตป่วง ๆ แปลก ๆ ของคนบนบก

“คิดจะเอามุขเรามาใช้กะเราอะเด้ ไม่มีทางเราไม่หลงกลหรอก”

“พี่เปล่า แค่อยากให้ช่วยดึงขอบตลิ่งมันชันก็เห็นอยู่”

“แต่เราไม่หลงกล คิดว่าเรายื่นมือไปให้จะได้ดึงเราลงน้ำด้วยอะดิ ฝันไปเถอะ ไปล่ะนะ บ๊ายบาย รีบตามมาล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ แล้วเดินหายกลับไปทางเดิม ทิ้งให้เด็ดเดี่ยวมองตามด้วยใบหน้าอาฆาตมาดร้าย แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้คนขี้แกล้ง ทั้งที่ความจริงชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องแกล้งกลับเลยสักนิด แต่คงเป็นเพราะต้นกล้าที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องเอาคืน ก็เลยไม่ไว้ใจเมื่อบอกให้ช่วยดึง

ต้นกล้าเดินกลับมานั่งยังเสื่อที่ปูเอาไว้ อารมณ์ของเขาดีเป็นพิเศษ คิดถึงท่าตอนที่คนหน้ามึนหัวทิ่มลงบ่อปลาเมื่อไหร่ ก็ให้ขำมันฉิบหาย ขำซะจนลืมแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตัวเองที่ถอดทิ้งไว้ ลมเย็น ๆ และอารมณ์ที่ผ่อนคลายทำให้นึกอยากนอนเล่น จึงเอาแขนหนุนหัวเอนตัวลงนอนบนเสื่อสบายใจเฉิบ ไม่ไกลจากตรงนั้นไอ้จ๋ากับออเรนจ์กำลังทะเลาะอะไรกันสักอย่าง เหมือนเมื่อตอนเช้าไม่มีผิด วันนี้มันเป็นวันอะไรหนอ ทำไมใคร ๆ ก็กลายเป็นตัวตลกให้ต้นกล้าได้หัวเราะอารมณ์ดีกันทั้งนั้นเลย

“ยัยเผือก ยัยส้มเน่า ปล่อยให้ปลาตกน้ำได้ยังวะ”

“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่จ๋า ฉันขอโทษ”

“ลงไปจับมาใหม่เลย”

“แต่..”

“เอ้า สองคนตรงนั้นจะทะเลาะกันอีกนานมั้ยวะ”

“ก็ยัยนี่สิครับลูกพี่ทำปลาที่ไอ้จ๋าจับได้ตกน้ำไปแล้ว”

“เออ ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า ปลาตกแกก็ลงไปจับมาใหม่สิวะ ออเรนจ์มานี่มาอย่าไปสนใจไอ้จ๋ามัน มาอยู่กับพี่” ต้นกล้าเห็นออเรนจ์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จึงเรียกให้ออกมาอยู่ไกล ๆ จากไอ้จ๋าโดยการตบที่นั่งข้างตัวเองเพื่อเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าสาวน้อยในร่างชายบอบบางมานั่งข้างเขาเท่านั้น ออเรนจ์ล้างมือแล้วเดินอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวมานั่งพับเพียบลงข้าง ๆ ต้นกล้าอย่างว่าง่าย ทำให้ไอ้จ๋ามองตามตาขวาง แต่เมื่อหันมาเห็นสายตาเอาเรื่องของลูกพี่ มันก็หลบสายตาแทบไม่ทัน ฝากไว้ก่อนเถอะยัยส้มเน่า!

“ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับ ได้ปลาหรือเปล่า”

“ได้ดิ มีคนลงไปงมถึงกลางบ่ไม่ได้ก็ห่วยที่สุดในสามโลกแล้วว่ะ ฮ่า ๆ “ต้นกล้าพูดจบก็เหลือบไปมองเด็ดเดี่ยวที่เดินถือแหติดปลากลับมาด้วยอย่างล้อเลียน ไม่วายหัวเราะเสียงดังเป็นการตบท้ายด้วย

“โหลูกพี่เดี่ยวทุ่มเทมากเลยนะครับเนี่ยฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่มันต้องลงทุนถึงขนาดลงไปเล่นน้ำกับปลาเลยเหรอครับ ตอบไอ้จ๋าทีเถอะ สงกะสัยอะ “ได้โอกาสไอ้จ๋าไม่ลืมที่จะเกรียนใส่ลูกพี่เดี่ยวของมัน โดยมีดวงตาหวานของใครบางคนแอบมองด้วยความอิจฉาปนน้อยใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพราะไอ้จ๋าไม่เคยคุยด้วยอย่างอารมณ์ดีแบบนี้เลยสักครั้ง

“แหม อยากสร้างความประทับใจให้เขาล่ะซี้” มันยังไม่จบ ไอ้จ๋าแซวไม่เลิกพร้อมแสร้งยิ้มหัวเราะจนตาหยี๋ นี่หากมันรู้ว่าเด็ดเดี่ยวทำให้ต้นกล้าประทับใจมากแค่ไหน ตอนที่ถูกส่งลงน้ำไปเล่นกับปลา มันคงร่วมประทับใจจนน้ำตาซึมเป็นแน่แท้

“พูดมาก เอานี่ไปจัดการเลย” เด็ดเดี่ยวยื่นแหที่ยังมีปลาติดอยู่สามสี่ตัวให้ไอ้จ๋าไปแกะออก มันก็รับมาแต่โดยดีและไม่ลืมส่งสายตาล้อเลียนมาให้เป็นการตบท้าย ทำไมนะ ทำไมคู่นี้เผลอปล่อยให้อยู่ด้วยกันนานไม่ได้สักที อยู่ด้วยกันทีไรเป็นต้องมีเรื่องมาให้ขำกันตลอด

“พวกไอ้ว่าว ไอ้ดำมาพอดีให้พวกนั้นทำดีกว่าครับ” ไอ้จ๋าหันไปพยักพเยิดเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซด์ขับตรงเข้ามาสองคัน คนขับคือไอ้ดำกับไอ้ว่าวมีเพื่อนซ้อนท้ายมาอีกสองคน “เอ้า มา ๆ พวกมึงมาถึงแล้วก็ทำตัวให้มันเป็นประโยชน์” ไอ้จ๋าหันไปเรียกเพื่อนที่พึ่งจะจอดรถ

“มาช่วยกันขนของลงเลยมึง” ไอ้ดำบอกเมื่อจอดรถมอเตอร์ไซด์และตั้งขาตั้งเรียบร้อย

“ไงมึงได้ข่าวว่าพาสาวมาด้วย” ไอ้ว่าวถามสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“อย่ามั่วสาวที่ไหน”

“นั่นไง นั่งหน้าสวยอยู่นั่น แนะนำกูบ้าง” ไอ้จ้ะเอ๋ที่มาพร้อมกับไอ้ว่าวพูดขึ้น

“ไม่ธรรมดานะมึงเนี่ย” เสริมด้วยไอ้ว่านอีกคนที่มาด้วยกันก็ครบพอดีห้าหน่อรวมไอ้จ๋ากันไอ้ดำ

“ไอ้ห่านี่ นั่นมันไม่ใช่ของกู กูไม่นิยมของแปลกโว้ย”

“แปลกตรงไหนวะน่ารักขนาดนี้ มึงไม่นิยมงั้นกูจีบ” ไอ้ว่าวออกตัวแรง

“ยัยตุ๊ดเผือกนั่นน่ะนะ”

“แล้วไงแค่น่ารักก็ผ่านแล้วสำหรับกู” ป้าบ!

“สักทีเหอะมึง” ไอ้จ๋าตบหัวเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้ “ไปเตรียมปลาโน่นไปจะได้เผากูหิวแล้วเนี่ย มึงไปก่อไฟดิไอ้ว่าน” อยู่ดี ๆ ไอ้จ๋าก็ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่อยากคุยเสียอย่างนั้น จึงสั่งไอ้ว่าวไปทำปลาแทนแล้วหันไปบอกให้ไอ้ว่านก่อไฟ

“ได้ทีสั่งเอา ๆ นะมึง ไอ้ว่านเข้าไปนั่งในร่มเดี๋ยวกูก่อไฟให้เอง”

“ออกตัวแล้วสินะมึงไอ้ดำ” ไอ้จ๋าแซวไอ้ดำที่อาสาก่อไฟแทนไอ้ว่านเหมือนมันรู้เห็นอะไรบางอย่างมา

“หุบปากเลยมึง ไปนั่งเฝ้าของของมึงเหอะเดี๋ยวไอ้ว่าวคาบไปรับประทาน แล้วจะมานั่งร้องไห้เสียใจกูไม่ซื้อลูกโป่งมาปลอบนะเว้ย”

“ไอ้ห่ากูไม่ใช่เด็กจะได้ซื้อลูกโป่งมาล่อ แล้วนั่นก็ไม่ใช่ของของกูโว้ย”

“กูจะคอยดู ได้ยินคนเขาว่ากันว่า กลืนน้ำลายตัวเองที่บ้วนออกไปแล้วนี่อร่อยดีนักแล”

“ไอ้ห่า ใครบอกมึงวะน่ารังเกียจฉิบหาย” ไอ้จ้ะเอ๋บอกพร้อมทำสีหน้ารับไม่ได้ แล้วเพื่อนทั้งสี่คนก็หัวเราะขำกัน มีคนที่นั่งอยู่ในร่มไม้มองมางง ๆ

“หวัดดีครับพี่กล้า พี่เดี่ยว” สามคนที่มาใหม่ยกมือไหว้ต้นกล้า กับเด็ดเดี่ยวที่ยืนโชว์หุ่นอยู่ไม่ไกล เพราะตัวยังเปียกอยู่ ไอ้ว่าวมองต้นกล้าแล้วเหลือบมองออเรนจ์ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกพี่แนะนำคนน่ารัก แต่ต้นกล้าทำเพียงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ดูกวนอารมณ์ก่อนจะบอก

“เอ้า ใครชื่ออะไรอยากรู้จักกันถามเองโว้ยฉันไม่เกี่ยว”

“อ้าวพี่แนะนำหน่อยดีจะได้เป็นทางการ”

“โวะ ไอ้พวกนี้นิ”

“แหะ เราชื่อว่าวนะครับ ส่วนนี่ไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน ไอ้ดำ ชื่ออะไรครับคนน่ารัก”

“เราชื่อออเรนจ์” ตอบเสียงหวานพร้อมแก้มที่แดงจนสุกปลั่ง เพราะถูกชมว่าน่ารักซึ่ง ๆ หน้า นั่นจึงทำให้ได้รับสายตาไม่พอใจจากไอ้คนตัวดำ ที่มีอนาคตว่าอาจจะได้ลิ้มรสน้ำลายของตัวเอง ที่ยืนถือข้าวของพะรุงพะรังที่พวกไอ้ดำซื้อมาอยู่ด้านหลัง

“ไหนได้อะไรมาบ้าง เอาเบียร์มาดิ๊จ๋า” ต้นกล้าเรียกหาของมึนเมาจากลูกน้อง ที่เดินเอาเข้ามาประเคนให้คนเป็นลูกพี่ถึงที่ด้วยความเต็มใจ

“ครับลูกพี่ ไอ้พวกนี้แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้วโว้ย มึจะกินกันตอนไหนวะ”

“อย่าดื่มเยอะนะ”

“เราจะดื่มใครจะทำไม”

“เดี๋ยวเมาเหมือนวันนั้นอีกหรอก”

“วันนั้นมันเหล้าขาวเพราะเราไม่เคยดื่ม แต่นี่มันเบียร์เราตัวพ่อเหอะขอบอก” เด็ดเดี่ยวได้แต่ส่ายหัวกับความมั่นหน้าของไอ้หัวแดงจอมรั้น แล้วไหนจะเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ที่ใส่อยู่นี่อีก ก็เข้าใจนะว่ามีแต่ผู้ชายเหมือน ๆ กัน แต่จะว่ายังไงล่ะ ไปแต่งตัวเหมือนเดิมดีกว่าไหม

“ลุกก่อน”

“ลุกไม”

“ไปแต่งตัวดี ๆ “

“แต่งงี้ไม่เห็นเป็นไรเลยไอ้จ๋ายังไม่ใส่เสื้อด้วยซ้ำ”

“นั่นมันไอ้จ๋า นี่มันต้นกล้า”

“คิก ๆ “

ต่อข้างล่างจ้า....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“เรื่องของกู” ไอ้จ๋าปัดปอยผมที่ชี้ไม่เป็นทรงให้ออเรนจ์เพราะถูกต้นกล้ายีหัว จึงถูกไอ้จ๊ะเอ๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าเข้าให้ โดยมีไอ้ว่าวคอยเสริม จากนั้นก็พากันกินต่อ ไอ้สองคนที่ลงปลาก็ได้ปลาตัวใหญ่มาเผาเพิ่มอีกสามตัวตามสั่ง ขณะที่นั่งรอปลาก็พากันจิบเบียร์คุยกันรอไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายแก่ ๆ ออเรนจ์ก็ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านสักที

*/*/*/*/*
กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านๆๆ ถามว่ากลับยังไง นั่นซี
แบบนี้ไอ้จ๋าต้องรับบทสุภาพบุรุษไปส่งว่าที่เมียนะ

เจ้ากันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ตอนนี้เหมือนลงไม่ครบเลย จริงๆนะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
ตอนนี้เหมือนลงไม่ครบเลย จริงๆนะ
ลงไม่ครบจริงๆ ด้วย แก้ให้แล้วนะคะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

ลงเพิ่ม

“หัวเราะอะไรตัวเล็ก” ต้นกล้าหันไปทำเสียงแว้ดใส่ออเรนจ์ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขำเบา ๆ ดังออกมาจากเจ้าของร่างบอบบาง

“เปล่าฮะ”

“ลุกเร็วอย่าดื้อ”

“นี่เราไม่ได้ดื้อนะ” ต้นกล้าเหลือบมองออเรนจ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันอีกครั้ง เมื่อถูกอีกคนดุและหาว่าดื้อ ดีที่ออเรนจ์หันไปคุยกับพวกไอ้ว่าวเลยไม่มีใครสนใจ ต้นกล้าจำต้องลุกไปตามที่เด็ดเดี่ยวบอก แล้วเดินไปยังกอไผ่ที่เอาเสื้อผ้าแขวนไว้ตั้งแต่ตอนแรก

“เฮ้ยเสื้อผ้าของเรา”

“ทำไม”

“มันหายไป”

“เอาไว้ไหนล่ะ”

“แขวนไว้ตรงนี้ หายไปไหนวะ” ต้นกล้าบ่นกับตัวเองพลางมองหาไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีเสื้อผ้าของตัวเองอยู่แถวนั้น จึงหันมามองหน้าเด็ดเดี่ยวตาเขียวและจับผิดพร้อมเอาเรื่อง

“อะไรอีก”

“เอามาเลย”

“เอาอะไร”

“เสื้อผ้าเราไง ตัวเองเดินไปทีหลังแล้วไม่มีใครมาตรงนี้ เสื้อผ้าเราถ้ามันจะหายไปก็เป็นใครไปไม่ได้ที่เอาไปใช่ปะ”

“ใช่ เอ๊ย พี่เปล่านะ”

“อย่ามาแก้ตัวคิดจะเอาคืนเราล่ะซี้ เรารู้ทันหรอกเอาเสื้อผ้าเราคืนมา”

“ไม่มีพี่ไม่ได้เอาไปซ่อน”

“อย่ามาตีหน้าซื่อไม่ได้เอาไปใครจะมาเอาไป”

“นั่นสิ” เด็ดเดี่ยวทำหน้าจริงจังเพราะเขาไม่ได้เอาไปจริง ๆ และไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินมาทางนี้ด้วย “แต่พี่ไม่ได้เอาไปเพราะเสื้อผ้าพี่มันก็หายไปเหมือนกัน พี่เอาไว้ตรงนี้ดูสิว่างเปล่า” ต้นกล้ามองอย่างจับผิด แต่ก็ได้เห็นแค่แววตาจริงจังไม่มีแววล้อเล่นหรือล้อเลียนเลยสักนิด

“แล้วใครจะเอาไปเราไม่เห็นมีใครเดินมาเลย”

“แสดงว่ามันต้องเดินมาตอนที่เราไม่เห็นสิ”

“คิดว่าใคร”

“ไอ้จ๋า”

“ไม่มั้งตอนเราเดินไปยังเห็นมันทะเลาะกับออเรนจ์อยู่เลย มันจะมาเอาตอนไหน”

“ตอนที่เราไม่เห็นไง มันอาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเมื่อเช้าเราแกล้งมัน.. เดี๋ยวจะไปไหน”

“เราจะไปถามมันดู”

“ยังไม่ต้องก็ได้หรอกมั้ง รอดูท่าทีมันก่อน” เด็ดเดี่ยวบอกเหมือนไม่แน่ใจ และต้นกล้าดูไม่ผิดใช่ไหมที่อีกคนเหมือนมีอาการลังเล



“ทำไมต้องรอเราอยากใส่เสื้อผ้าแล้วเนี่ย” ต้นกล้าไม่รอฟังอะไรอีก แต่เดินกลับไปทางเก่าทันที และทันได้ยินเสียงไอ้จ๋ากับไอ้ว่าวทะเลาะกันเสียงดัง

“มึงอย่ามากวนไอ้ว่าว”

“กูเปล่า แค่กูไม่อยากให้มึงมองน้องออเรนจ์ของกูตาขวาง เหมือนปอบเข้าสิงอย่างนั้น”

“กูไม่ได้มองตาขวาง ตากูเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วก็นะยัยส้มเน่านั่นเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ตอนนี้ยังไม่เป็นแต่ก็เร็ว ๆ นี้ล่ะ มึงไม่เอาก็ควรจะส่งเสริมเพื่อนฝูงบ้างนะ”

“เหอะ เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง”

“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ไอ้จ๋ามานี่ดิ๊”

“ครับลูกพี่”

“แกเห็นเสื้อผ้าฉันหรือเปล่า” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วมุ่นมองคนเป็นลูกพี่ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะตอบออกมา

“ไม่เห็นครับ”

“ก่อนตอบคิดหน่อยโว้ย”

“เอ้า ก็ไอ้จ๋าไม่เห็นจริง ๆ นี่ครับ ลูกพี่ถอดออกตอนไหนไอ้จ๋ายังไม่รู้ด้วยเลยเนี่ย ว่าแต่ทำไมเหลือแต่เสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ล่ะครับ ได้ข่าวว่าลูกพี่เดี่ยวนะครับที่ลงน้ำ”

“ก็..โว้ยตกลงไม่เห็นใช่มั้ย”

“ครับลูกพี่ ไอ้จ๋าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างครับ แหะ ๆ ” ปากมันก็บอกว่าไม่เห็น แต่ไอ้การยิ้มแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ยิ้มเหมือนมันรู้อะไรบางอย่างมา ยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์พิกล ยิ้มเหมือนไอ้ลูกน้องตัวดีมีความโรคจิตอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาต้องระแวงเอาไว้ก่อน แต่เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้จ๋ามันไม่ได้เอาไปแล้วมันจะเป็นใครไปได้นอกจาก ยังไม่ต้องก็ได้หรอกมั้ง รอดูท่าทีมันก่อน ฮึ่ย! ต้องใช่แน่ ๆ เลย ถ้าว่าไอ้จ๋าเป็นคนเอาไปแล้วทำไมต้องให้ต้นกล้ารอก่อน แบบนี้สิมันน่าสงสัยกว่าไอ้จ๋าเป็นไหน ๆ ต้องใช่แน่ ๆ คิดได้ดังนั้นต้นกล้าก็ตีหน้าโหดเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้ง

“อะไรของเขาวะ”

“ไม่รู้โว้ย”

“เอ้า ไอ้นี่กูไม่ได้ถามมึง”

“ก็ยืนกันอยู่สองคนปะ ไม่พูดกะกูมึงจะพูดกับหมาที่ไหน”

“กูรำพึงเถอะ” พูดจบไอ้จ๋าก็เดินไปที่กองไฟ ตอนนี้มีปลาสองตัววางอยู่บนตะแกรงกำลังส่งกลิ่นหอม บ่งบอกว่าอีกไม่นานมันจะได้ที่เหมาะสำหรับแกล้มเบียร์

###p#<%%%

“อยู่ไหนวะ” ต้นกล้าเดินกลับมาที่เดิมเมื่อ มั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่บนกิ่งไผ่หายไปได้อย่างไร แต่พอกลับมาถึงที่ตรงนี้ ตัวต้นเหตุกลับหายไปด้วยเสียนี่ จึงเดินส่องหาตามพุ่มไม้แถวนั้น ส่องไปส่องมาเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่หลังกอไผ่ และมันน่าสงสัย เมื่อมันน่าสงสัยก็ต้องข้าไปดู แต่เอ๊ะ! มันเหมือนคน ใช่แล้วคนแน่ ๆ ต้นกล้าย่องเข้าไปดูใกล้ ๆ ใกล้เข้าไปอีกนิดชิดเข้าไปอีกหน่อย และแล้วก็…

“ทำอะไรน่ะ”

“ต้นกล้า” !

“ฮ๊า” !!

“เอ่อ..ต้นกล้าพี่ เฮ้ย ตายห่าแล้วกู..” ! เด็ดเดี่ยวอุทานเสียงดังเมื่อก้มลงมองสภาพของตัวเอง กางเกงยีนที่กำลังจะใส่คาอยู่ต้นขา ช่วงบนเหนือขึ้นมาจากนั้นก็ไม่มีชั้นในปกปิดส่วนสงวน เพราะมันเปียกคิดว่าไม่ใส่ไม่กี่ชั่วโมงคงไม่เป็นไร จึงหยิบกางเกงยีนมาบรรจงสวมใส่อย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันได้เก็บน้องชายเข้าที่ให้เรียบร้อย อีกคนก็ดันเข้ามาเสียก่อน

ต้นกล้ายืนอ้าปากค้างตาโต เมื่อคนที่หันมาคือคนที่เขากำลังตามหา แล้วที่ต้องอ้าปากค้างและเบิกตาโตเท่าไข่ห่านอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเจอหน้าแล้วตกตะลึงในความหล่อเหลาเอาการอะไรหรอกนะ แต่เพราะคนที่หันมากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก อะไรบางอย่างที่ยังทำอยู่แบบค้าง ๆ คา ๆ พอเขาเดินมามันก็เลยเกิดการขัดจังหวะเข้าพอดี และนั่นมันทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งลง เสียงของต้นกล้าทำให้อีกคนหมุนตัวกลับมา และพอเจ้าตัวหันมาอะไรต่อมิอะไรมันก็ปรากฏแก่สายตาอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋จัง ๆ ต้นกล้าจึงเจอเข้าเต็ม ๆ จนอ้าปากค้าง ในความใหญ่โดดเด่นสะดุดตา ดูเป็นพวงระย้าน่ามองใช่ไหมล่ะ ขนาดของพ่อคนดีศรีหมู่บ้าน!

คนกึ่งเปลือยรีบดึงกางเกงยีนขึ้นติดกระดุมแล้วรูดซิป โดยการรูดซิปนั้นต้องระวังกันมากเป็นพิเศษ เพราะปราการด่านสุดท้ายมันไม่มีแล้ว เพราะมันเปียกเขาจึงตัดสินใจไม่ใส่ เขาไม่ชอบความรู้สึกไม่สบายตัวที่ต้องใส่กางเกงยีนผ้าเนื้อหนา ทับกางเกงชั้นในที่เปียกชุ่ม ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาในใจให้ใคร ๆ เห็นใจเขาบ้าง เมื่อมีเหตุจำเป็นให้ต้องละเว้นการใส่กางเกงชั้นในในวันนี้

“งับ” ใส่กางเกงเสร็จแล้วจึงเดินมาแตะคางของต้นกล้า เพื่อดันให้ปากที่อ้าค้างงับเข้าหากัน ก่อนที่จะมีแมลงวันเข้าไปทำธุรกรรมด้านการสืบพันธุ์ ด้วยการวางไข่ไว้ภายใน เพราะปากที่อ้าค้างอยู่อย่างนั้นเสียนานเกิน

“ทะ ทำบ้าอะไรอยู่” ทำไมเสียงมันสั่นอย่างนี้วะ ต้นกล้ายืนกะพริบตาปริบ ๆ ไล่ภาพติดตาที่เห็นออกไป พลางด่าตัวเองในใจกับเสียงสั่น ๆ ที่เปล่งออกมา

“ใส่เสื้อผ้า”

“ละ แล้วเสื้อผ้าเราล่ะ”

“นี่ไงเอาไปสิ”

“ทำไมต้องแกล้งดีนักนะ”

“ก็พี่ชอบต้นกล้านี่”

“หืมว่าอะไรนะ”

“พี่บอกว่าพี่ชอบแกล้งต้นกล้าไง แต่พี่ไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปซ่อนจริง ๆ นะ เอ้าจะใส่ได้หรือยังเสื้อผ้าน่ะ” เพราะมัวแต่เหม่อนะสิเลยไม่ทันได้ฟัง เด็ดเดี่ยวที่รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกมาจึงกลับลำทัน

“เอ่อ..” ต้นกล้ายื่นมือที่ยังสั่นมารับเสื้อผ้าของตัวเอง แต่เพราะภาพเจ้าหนูน้อยที่ไม่ค่อยจะน้อยของอีกคนยังติดตา จึงยังรู้สึกตื่นในใจไม่หาย ทั้งที่ต่างก็มีเหมือนๆ กัน วันนั้นที่เห็นราง ๆ ใต้ร่มผ้า ว่ามันค่อนข้างที่จะ เอ่อ..นะค่อนข้างที่จะมีขนาดใหญ่พอสมควรแล้ว วันนี้เห็นชัด ๆ มันยิ่งกว่านั้นอีก ขนาดยังไม่ตื่นนะเนี่ย เฮ้ย! แล้วนี่เราจะมาคิดทำไมล่ะวะ ต้นกล้าสะบัดหน้าแรง ๆ เพื่อไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัวแล้วจากนั้น

พรึ่บ!

“เฮ้ย ทำอะไร”

“ยืนดี ๆ พี่จะใส่เสื้อผ้าให้”

“เราใส่เองได้น่า”

“ใส่ได้อะไรเมื่อกี้ก็ทำเสื้อผ้าหลุดมือหมด เหม่ออะไรอยู่” เด็ดเดี่ยวบอกเพราะตอนยื่นเสื้อผ้าให้ต้นกล้า ดูเหมือนคนตัวเล็กจะมือไม้อ่อนเปลี้ย จนทำเสื้อผ้าหลุดให้เขาต้องเก็บขึ้นมาใหม่

“เปล่าเหม่อซะหน่อย”

“เนอะไม่เหม่อเลย” ว่าพลางกางเสื้อเชิ้ตให้ต้นกล้าที่ให้ความร่วมมือโดยกางแขนออก แล้วสอดเข้าไปในแขนของเสื้ออย่างว่าง่าย ทั้งที่ปากยังบอกว่าใส่เองได้ “แล้วเป็นอะไรนิหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว”

“ไหนใครหน้าแดงไม่มีเหอะ เราแค่ร้อน เอากางเกงมาเราจะใส่เอง”

“หรือว่า..” เด็ดเดี่ยวไม่สนใจแต่พูดต่อทำให้ต้นกล้าขมวดคิ้ว เมื่อเขาเว้นช่วงเอาไว้แค่นั้น

“หรือว่าอะไร”

“เห็นพี่แล้วเขิน”

“ทำไมต้องเขิน”

“ก็นั่นสินะ อะใส่กางเกงดีกว่า” บอกแล้วก็ก้มลงจัดกางเกงให้ต้นกล้าที่ยอมใส่มันอย่างว่าง่าย เพราะกำลังคิดตามที่คนตัวโตบอก และมันเป็นความจริงจึงพยายามกลบเกลื่อน ต้นกล้าเกาะไหล่หนาเพื่อพยุงตัวเมื่อยกขาขึ้นมาใส่กางเกง ที่อีกคนจับให้แต่โดยดี จนเรียบร้อยแบบที่ไม่รู้ตัวแต่ก็ถือว่าให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ความแตกต่างทางด้านร่างกายของทั้งคู่นั้น ทำให้ต้นกล้าต้องแหงนหน้าขึ้นมอง เมื่อเด็ดเดี่ยวยืดตัวขึ้นจนเต็มความสูง ก็พบว่ายืนอยู่ห่างกันไม่มากนัก แถมคนตัวโตยังมีการขยับเข้ามาหาอีกก้าว ยิ่งเพิ่มความใกล้ขึ้นมาอีกขั้น และความล่องลอยนี้มันคืออะไรต้นกล้าไม่รู้ตัวเลย รู้แต่ว่าสายตาที่กำลังมองจ้องมานั้น มันทำให้เขาละสายตาไปมองทางอื่นไม่ได้เช่นกัน รู้สึกว่าไหล่ทั้งสองข้างถูกมือใหญ่ที่อบอุ่นจับเอาไว้ แต่สายตาก็ยังมองกันอยู่อย่างไม่ลดละเช่นเดิม ลมหายใจติดขัดก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ อยู่ดี ๆ ก็ให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี ๆ ก็อยากลุ้นว่าอีกคนจะทำอะไรต่อไป จนต้นกล้าอยากถามตัวเองว่าหวังอะไรอยู่

บ้า!! ใช่แล้วต้นกล้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ไปรู้สึกหวิวไหวในใจแปลก ๆ กับคนหน้ามึนนี่ เพียงแค่เด็ดเดี่ยวมองมาด้วยนัยน์ตาหวานฉ่ำมีประกายระยับ พร้อมกับปากหยักที่อมยิ้มนิด ๆ มองกันแล้วก็ได้แต่มองอยู่อย่างนั้นเหมือนกับว่าจะไม่มีใครยอมใครในการมองตา ยิ่งมองก็เหมือนถูกสะกดให้มองตอบ แล้วในที่สุดทั้งสองก็ถูกสะกดด้วยสายตาของกันและกัน ให้จ้องมองนานจนกระทั่ง ระยะห่างระหว่างกันมันลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุด....

จุ๊บ! เฮือก! ขวัญเอ๊ยขวัญมา นี่คือสัญญาณเรียกสติของต้นให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว จากการถูกเตะเบา ๆ ด้วยริมฝีปากอุ่นที่ปลายจมูกรั้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดไว้ทั้งจมูกทั้งปากของตัวเอง ส่วนมืออีกข้างดันเด็ดเดี่ยวออกห่าง แต่เหมือนอีกคนรออยู่แล้วจึงขืนตัวเอาไว้

“รอฟังนะ”

“ฟังอะไร”

“พี่มีเรื่องจะบอกต้นกล้า”

“บอกมาสิ”

“สักวัน รอก่อนแล้วพี่จะบอกทุกอย่าง” ในใจของพี่ ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าคนตัวโตจะบอกอะไร พูดมาแค่นี้ใครจะกล้าคิดต่อ หรือว่า..โอ๊ย! คงไม่ใช่หรอก อย่าคิด ๆ บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งไปคิด มันคงไม่ใช่เรื่องแกล้งกันหรอกใช่ไหม หรือว่าจะบอกรักวะ คงไม่หรอกมั้งเราสองคนเกลียดกันจะตาย เพราะเจอทีไรก็หาเรื่องแกล้งเอา ๆ ตลอด ไม่ใครก็ใครล่ะ ได้ทีเป็นแกล้งหน้าตาย..แต่ก็นะ ที่พูดแบบนี้มันก็น่าคิดไหม ต้นกล้าไม่ได้อ่อนต่อโลกซะที่ไหน แต่ถ้าให้คิดต่อ ร้อยทั้งร้อยมันก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองกันทั้งนั้นไหมวะ นี่ล่ะคือสิ่งที่ต้นกล้ากลัวจนต้องรีบผละออกจากอีกคน ไม่เข้าใจเลย ต้นกล้าไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่าทำไมต้องกลั้นใจรอฟังด้วย ทั้งที่อีกคนไม่คิดจะพูดอะไรต่ออยู่แล้ว ฮึ่ย ต้นกล้าเจ็บใจ

เมื่อดันหน้าอกกว้างออกแต่เด็ดเดี่ยวไม่ยอมปล่อย ต้นกล้าจึงเสสายตามองไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้าคมคร้ามคอยทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจสั่น แถมหัวไหล่ทั้งสองยังถูกเกาะกุมเอาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนเดิม ทำยังไงดีล่ะทีนี้ ถ้าเป็นปกติต้นกล้าต้องใช้ไม้ตายอย่างลูกถีบใช่ไหม แต่นี่มันไม่ปกติไงเพราะกำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ เลยยังตัดสินใจไม่ได้ไม่รู้จะทำแบบไหนถึงจะดี แต่ขณะที่กำลังหาทางออกให้ตัวเอง อีกคนก็...

ฟอดดด

“ฮึ้ย หอมเราไมหน้ามึนที่สุดเลยปล่อยสักทีเถอะ” ต้นกล้ากำมือแน่นอยากต่อยสักทีจริง ๆ ที่คนหน้ามึนมาฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเดินหน้าหรือหันกลับมากด่าดี แต่คนที่ถูกด่าว่าหน้ามึนกลับคิดว่าอีกคนช่างโกรธได้น่ารักอะไรอย่างนี้..เด็ดเดี่ยวเพียงแค่คิดในใจหรอกนะ เพราะถ้าพูดออกมาชายหนุ่มรู้ว่าคนตัวเล็กกว่าคงได้โวยวายจนทุ่งแตกเป็นแน่แท้ “บ้าแล้วหรือไงยิ้มคนเดียว”

“พี่เปล่า”

“ปล่อยเราสิเดี๋ยวจูบเดี๋ยวหอมอยู่ได้ เป็นเกย์ใช่มั้ยมาทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน”

“พี่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหรือเปล่า แต่..” ใช่เด็ดเดี่ยวไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไม่เป็น เท่าที่เขารู้เกย์คือผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ซึ่งเพื่อนของเขาที่มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันเองก็มี แต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยนึกชอบหรือมองผู้ชายคนไหนมาก่อน ที่มองส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมากกว่า แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นว่าจะสนใจจริง ๆ จัง ๆ จนคบหา หรือเอาจริง ๆ ชายหนุ่มไม่เคยจีบใครหรือเข้าหาใครมาก่อนด้วยซ้ำ เสียซิงครั้งแรกก็..เอ่อ ก็นะมันเป็นเรื่องของความคะนองในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียน ที่ท้าทายกันไปขึ้นครูก็เท่านั้นเอง แต่สำหรับเด็ดเดี่ยวมันยิ่งกว่านั้นขึ้นมาหน่อย เพราะสาวที่เขาขึ้นครูด้วยดันตามเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะติดใจหรือเพราะอะไร แต่พอเขาไม่เล่นด้วยไม่สานต่ออีกฝ่ายก็ล่าถอยไปในที่สุด จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจไม่อะไรกับเรื่องพวกนี้ จะมีบ้างที่ช่วยตัวเองตามธรรมชาติของผู้ชาย เด็ดเดี่ยวไม่ใช่คนลามกนะ แต่นี่มันเป็นเรื่องธรรมชาติตามความต้องการของร่างกายไหมล่ะ ที่ผู้ชายด้วยกันจะเข้าใจกันดี

ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่น่าเชื่อสำหรับชายหนุ่มวัย 27 แต่แล้วยังไงล่ะคนมันไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี เหมือนวันยังมีค่ำนั่นล่ะ จนกระทั่งได้มาเจอกับหลายชายของคุณยายประไพศรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ต้นกล้าทำให้เขารู้สึกดีที่ได้แอบมองรอยยิ้มสดใสนั่น ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ต้นกล้าก็เรียกความเอ็นดูจากชายหนุ่มได้ไม่น้อย ไหนจะท่าทีปั้นปึ่งที่แสดงให้เห็นในวันต่อมา ที่ทำให้เข้านึกอยากแกล้งนึกอยากจะอยู่ใกล้ ๆ ไม่เห็นหน้าก็คอยแต่จะห่วงว่าไอ้คนหัวแดงคนนี้ จะไปไหนหรือกำลังทำอะไร ยิ่งได้รับการฝากฝังจากผู้ใหญ่ที่นับถือ ยิ่งดูเหมือนมีอะไรที่ทำให้เกิดความใกล้ชิดลงตัว เขาเองก็ตกปากรับคำอย่างไม่ต้องคิดมากด้วยซ้ำ ทั้งที่งานตัวเองก็เยอะอยู่แล้ว จนกระทั่งได้จูบครั้งแรก ถึงจะเป็นไปเพราะอารมณ์ฉุนโกรธมากกว่าอย่างอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเล่นเอาก้อนเนื้อในอกเต้นรัวกระหน่ำเลยทีเดียว จากนั้นก็ต้องพยายามอดใจเอาไว้เรื่อยมา ที่จะไม่ทำตามใจตัวเองแบบนั้นอีก

มาถึงวันนี้เด็ดเดี่ยวรู้ว่าคงโดนเข้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ รอให้แน่ใจในตัวเองกว่านี้ก่อนเถอะ เขาจะเดินหน้าเต็มที่ ก็นะนี่ขนาดยังไม่เดินหน้าก็ยังรุกจนอีกคนแทบจะตั้งตัวไม่ได้อยู่แล้วล่ะ

“เฮ้ย...ปล่อยดิ” ต้นกล้าร้องเพราะเห็นอีกคนยืนนิ่งเหมือนกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเอง ยกมือขึ้นมาโบกไปมาจึงโดนมือใหญ่จับเอาไว้แน่น

“หรือพี่จะเป็นเกย์จริง”

“อ่าวไม่รู้สิ แต่อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้เราไม่ชอบ” ใช่ต้นกล้าไม่ชอบให้ใครมาล้อเล่นกับความรู้สึกหรอกนะ ใครจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่ามาทำให้เขาหวั่นไหวก็พอ

“พี่ไม่ได้ล้อเล่น”

“งั้นก็ปล่อยเราสักที” บอกแล้วก้มมองช่วงล่างที่มีร่างกายของอีกคนเข้ามาแนบชิด โดยที่เด็ดเดี่ยวก็รู้ตัว แต่แทนที่เมื่อรู้ตัวแล้วจะปล่อย เขากลับกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวเอวต้นกล้าแน่นขึ้นอีก จนหน้าอกแบน ๆ ของคนหัวแดงแนบชิดกับอกล่ำ ๆ แน่นเนื้อของตัวเอง

“หรือว่าพี่จะเป็นเกย์ไปแล้วจริง ๆ ”

“เป็นไม่เป็นก็ปล่อยเรา เราไม่เกี่ยว”

“ช่วยพี่พิสูจน์หน่อยสิ”

ต่อ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“ช่วยพี่พิสูจน์หน่อยสิ”

“ยังไง..อ๊ะ อื้อออ”

“อุ้ย..!”

!!!

“ออเรนจ์”

“เอ่อขอโทษฮะ” ออเรนจ์ก้มหน้างุดเมื่อเข้ามาเจอฉากเด็ดที่ไม่สมควรมีใครอื่นได้เข้ามาเห็น ต้นกล้ารีบผลักเด็ดเดี่ยวออกห่าง พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดปากตัวเอง เพราะถูกจู่โจมโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว ไอ้คนหน้ามึนที่สุดในสามโลก

“มีอะไร” เด็ดเดี่ยวถามหน้านิ่ง

“จ๋าให้มาบอกว่าปลาสุกแล้วฮะ” ไอ้จ๋าอีกแล้วสินะ ไม่มาเองก็ยังส่งคนอื่นมาแทนได้เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่นอน เด็ดเดี่ยวคาดโทษในใจแล้วพยักหน้าให้ลูกศิษย์ตัวเล็ก ที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเดินออกไปทันที

ปึก

“โอ๊ย! ตีพี่ทำไม”

“ก็มาจูบเรา”

“หึ ๆ พี่แค่อยากพิสูจน์”

“บ้าบอที่สุด” อยากจะบ้าตายมันลงตรงนี้กับความคิดของอีกคน แต่ทำอะไรไม่ได้ต้นกล้าจึงเดินหนีไปทั้งที่หน้าแดง ปากที่ถูกจูบอย่างเร่าร้อนก็เจ่อบวมขึ้นนิด ๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่หลงเคลิบเคลิ้มไปด้วยแล้วนะ แต่ทำไมมันเหมือนกับไม่มีแรงต้านทาน เหมือนร่างกายสูญเสียการควบคุม บ้าแน่ ๆ ต้นกล้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไม่รู้จะจูบอะไรนักหนาหลายครั้งแล้วนะวุ้ย ที่ทำเอาแทบอ่อนระทวย ไอ้คนหน้ามึน!

“ลูกพี่ว่าไงยัยส้มเน่า”

“เปล่า”

“เปล่าอะไร เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดี ๆ ดิ๊ทำไมหน้าแดงจังวะ” ไอ้จ๋าเชยคางออเรนจ์ให้เงยหน้ามองมัน แต่พอเห็นใบหน้าเนียนใสขึ้นริ้วแดงก็ทัก

“ไม่มีอะไร แล้วก็เลิกเรียกเค้าว่าส้มเน่าด้วย”

“ทำไมยัยส้มเน่า ยัยน้ำส้มบูดค้างปี ฉันจะเรียกแบบนี้ล่ะ หึ ๆ”

“อะแฮ่มแคก ๆ ถะ โถ..”

“มึงหยุด” ไอ้จ๋าชี้หน้าพร้อมกับสั่งเสียงเข้ม หลังจากเสียงกระแอมกระไอขัดจังหวะขึ้น และก่อนที่ไอ้ว่าวเพื่อนเกลอจะได้แสดงมารยาทไม่เหมาะสมออกมามากกว่านี้

“ฮ่า ๆ มา ๆ ออเรนจ์น้อยมานั่งนี่มา อ้าวนั่นพี่กล้ามาพอดี ปลาพร้อมเบียร์พร้อมแล้วครับพี่” ไอ้ดำเรียกออเรนจ์แล้วหันไปเห็นต้นกล้าเดินเข้ามาพอดี จึงร้องบอกพร้อมแก้วเบียร์ในมือที่ชูขึ้นอย่างเชิญชวน และคนอย่างต้นกล้า กวินกานต์ มีหรือจะปฏิเสธ

“เออ ขอบใจ” ต้นกล้ารับแก้วเบียร์ที่ไอ้ว่านยื่นมาให้ เทกรอกปากตัวเองรวดเดียวหมดแก้ว

“คอแห้งเหรอพี่มา ๆ ผมบริการเต็มที่วันนี้ เรียกใช้ไอ้ว่านได้เลย” ไอ้ว่านบอกเมื่อรับแก้วที่เหลือแค่น้ำแข็งจากต้นกล้ามารินเบียร์เพิ่มอย่างเอาใจ

“พิถีพิถันนะมึงไอ้ห่าแค่รินเบียร์เนี่ย” ไอ้ว่าวว่า

“เออสิเบียร์ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ เดี๋ยวฟองเยอะเสียรสชาติ” ไอ้ว่านบอกทั้งที่สายตาจดจ่ออยู่กับการรินเบียร์อย่างตั้งใจ

“แต่บางคนก็บอกต้องรินให้มีฟองบ้างรสชาติจะดีขึ้นนะมึง” ไอ้ดำว่า

“มันก็แล้วแต่คนชอบหรือเปล่าวะ ถ้าเบียร์เย็นจัด ๆ มันก็น่าอยู่หรอกนะ” ไอ้ว่านอวดภูมิ

“แหมรู้ดีนะมึง” ไอ้จ๋าแสยะปากแขวะเพื่อนรัก

“ใช่สิกูไม่ใช่คอเหล้าขาวอย่างมึงนี่ไอ้จ๋า”

“โอ๊ยกูอยากกราบไอ้คอเบียร์ว่ะ ไม่มีเบียร์มึงกินน้ำเปล่ามั้ย”

“ก็ไม่” แล้วเสียงหัวเราะก็ประสานกันดังขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งต้นกล้ากับออเรนจ์ที่นั่งฟังบทสนทนาของไอ้หนุ่มบ้านนาทั้งห้าคน ยังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามาสมทบ และนั่งลงข้าง ๆ ต้นกล้า ที่ออเรนจ์รีบขยับที่ให้อย่างรู้ใจโดยไม่ต้องบอก

“มา ๆ พี่ เอ้าเอาไปยกสักหน่อย ทำอะไรอยู่ตั้งนานสองนานเพิ่งมาเนี่ย” ไอ้ดำถามขณะที่รับเบียร์อีกแก้วจากไอ้ว่านนักรินมือทอง ส่งมาให้เด็ดเดี่ยวที่เพียงรับไปถือเอาไว้นิ่ง ๆ

“เอ้ายกสิครับลูกพี่ มาชนกันหน่อย” ไอ้จ๋าว่า

“เอ้าชน ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ เอิ้ก” เสียงหัวเราะดังลั่นทุ่งเมื่อทุกคนชนแก้วกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งออเรนจ์ที่ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาชนกับเขาด้วย คนตัวผอมยิ้มกว้างจนตาหยี ปลาตัวใหญ่ถูกเอามาวางกลางวงที่ปูด้วยใบตองทั้งก้านหลายก้าน และที่ขาดไม่ได้คือส้มตำถุงใหญ่ที่ไอ้ดำซื้อติดมาด้วยอีกสามถุง ก็เอามาเทแบ่งลงบนใบตองได้บรรยากาศติดดินเป็นกันเอง เพราะอุปกรณ์การกินที่ไอ้ดำมันขนมาไม่มาก จึงมีแค่ช้อนกับส้อมเอาไว้ตักกิน และจานไม่กี่ใบกับแก้วน้ำ เนื้อปลาอาหารที่ตักแบ่งมาจึงต้องใช้ใบตองรอง ซึ่งก็ให้ความรู้สึกที่เข้ากับบรรยากาศดี ๆ กลางทุ่งได้อีกแบบ

“ไม่พอก็ลงอีกนะปลา ไอ้จ๋าทำไมไม่ตากแหวะ” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อหันไปดูปลาสองตัวที่วางเผาอยู่บนตะแกรง แล้วเห็นแหที่กองอยู่ข้าง ๆ ไม่ไกลจากกองไฟ

“ไอ้ว่าวไมมึงไม่ตากแห” ไอ้จ๋าหันไปถามไอ้ว่าวเสียงดุ เพราะเป็นคนใช้แหต่อจากมัน

“แหะๆ กูลืม เดี๋ยวก็ได้ลงอีกน่าพี่” ไอ้ว่าวแก้ตัวแล้วหันไปบอกเด็ดเดี่ยว

“ลงไม่ลงใช้แล้วก็ต้องเก็บดี ๆ เครื่องมือทำมาหากิน วางทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ คนแก่คนเฒ่าว่าไว้มันจะไม่หมานเข้าใจมั้ย”

“ครับ ๆ “ไอ้ว่าวรับคำรีบลุกไปเอาแหผูกพาดกิ่งไม้ผึ่งตากเอาไว้อย่างดี แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม

“หมานคืออะไร” ต้นกล้าถามขึ้นเมื่อได้ยินศัพท์ใหม่แปลกหู ไอ้จ๋าจึงช่วยไขข้อข้องใจ

“หมานนี่เป็นภาษาอีสานบ้านเราครับลูกพี่ ความหมายในแง่ดี หมายถึง โชคดีหรือมีโชค อย่างหาปลาเนี่ย ถ้าเขาบอกว่าหาปลาได้หมานก็คือหาได้เยอะ หาเก่ง เป็นคนมือขึ้น ใช้กับเหตุการณ์อื่นคล้ายกันได้ บางคนไม่หมานหายังไงก็ไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นครับ”

“แต่ถ้าแฮกหมาน ก็ชนเลยครับพี่กล้า เอ้าชน” ทุกคนยกแก้วขึ้นมาชนกันอย่างสนุกสนานหลังจากไอ้ดำบอก

“ว่าแต่แฮกหมานมันโชคดีแบบไหนวะดำ แฮกนี่มันเป็นสัตว์เหมือนปลาหรือเปล่า”

“ฮ่า ๆ ๆ มุขหรือเปล่าพี่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” ไอ้ดำหัวเราะงอหายกับสีหน้าของต้นกล้า ที่แม้ว่ายังงงกับศัพท์ใหม่อีกคำแต่ก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาชนอย่างพร้อมเพรียงอย่างสนุกสนาน “แฮก ความหมายเดียวกันกับคำว่า แรก ครับ ถ้าเอามารวมกันจะได้ความหมายดี ๆ ถึงการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนทำอะไรก็ตามเพื่อให้เป็นสิริมงคล”

“เป็นการประเดิมครั้งแรกเพื่อสิ่งดี ๆ ที่จะตามมาอะไรประมาณนี้ครับลูกพี่ เอ้าแฮกหมานอีกสักยกซิพวกมึง หมดแก้วโว้ย” ไอ้จ๋าบอกแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นชนอีก ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ร่วมวงกันมากทีเดียว แม้ว่าวงนี้จะแฮกหมานกันแล้วหลายรอบก็ตาม

“เพลา ๆ หน่อยเดี๋ยวก็เมาหรอก” เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกเมื่อเห็นว่าต้นกล้าแฮกหมานไปหลายรอบแล้ว

“ยุ่ง”

“อ้าว” คนหวังดีทำหน้าตึงแต่ไม่จริงจังนัก เพราะเข้าใจว่าสาเหตุมาจากปริมาณแอลกอฮอล์ ที่อยู่ในร่างกายของต้นกล้ากำลังได้ที่ ส่วนเขาเองเพียงแค่จิบแก้คอแห้งเท่านั้น เพราะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ที่ดื่มปกติก็เฉพาะเวลาเข้าสังคม “กินปลาสิอร่อยนะ”

“อืม เนื้อหวานดี” เด็ดเดี่ยวยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำชมหลังจากเขาตักเนื้อปลาร้อน ๆ วางบนใบตองของต้นกล้า ซึ่งแน่นอนว่าความเอาใจใส่นี้ อยู่ในสายตาของไอ้จ๋าคู่ปรับกลาย ๆ ที่มองอยู่ และมันก็มองทุกคนอย่างทั่วถึง

“แกะกินเองไม่เป็นหรือไง” จนมาถึงออเรนจ์ เห็นว่าไอ้ว่าวเพื่อนรักของมันกำลังตักปลาให้อยู่พอดี เลยอดที่จะแขวะออกมาได้

“หืม” ออเรนจ์ช้อนตาเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าตาแป๋วเมื่อได้ยิน เพราะไม่รู้ว่าไอ้หมาหน้าดำมันว่าใคร แต่พอเห็นตาดุ ๆ ที่จ้องมองมา ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร

“ตักไม่เป็นกูตักให้ก็ได้ เรายินดีให้บริการออเรนจ์นะจ๊ะ” ไอ้ว่าวบอกแล้วหันไปทำตาเล็กตาน้อยส่อแววส่งความหมาย เพื่อสื่อใจให้ออเรนจ์ ที่กำลังประหม่า เพราะนั่งขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างไอ้จ๋าและไอ้ว่าว ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะฟาดฟันกันด้วยสายตา โดยไอ้จ๋าทำตาดุประหนึ่งว่าจะส่งสายฟ้าออกมาผ่ากระหม่อมเพื่อนเสียให้ได้ ส่วนไอ้ว่าวแค่มองตอบแบบกวน ๆ แต่ก็เล่นเอาไอ้จ๋าแทบของขึ้น เพราะความกวนไม่รู้เวลาของมันนี่แหละ ไม่รู้ทำไมมันต้องหงุดหงิดให้ได้สิน่า

“เราตักเองได้ ขอบใจนะ” ออเรนจ์หันไปบอกไอ้ว่าว ที่ตักเนื้อปลามาให้จนพูนแผ่นใบตองที่รองกิน นั่นจึงทำให้มุมปากของไอ้หมาหน้าดำอย่างไอ้จ๋ายกขึ้นเย้ยหยันเพื่อน และมันเองก็ไม่รู้ตัวหรอก เพียงแค่เห็นว่าตัวเองเป็นต่อก็แสดงความสะใจออกมาเท่านั้นเอง แต่..การกระทำของมันอยู่ในสายตาของเพื่อนอีกสามคนอย่างไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน และไอ้ดำ ที่ลอบมองดูพฤติกรรมของมันอยู่ เหมือนกำลังรวบรวมข้อมูลลับเฉพาะ หลังจากนั้นต่างคนก็พากันกินคุยเล่นกันไป จนไม่นานปลาเผาตัวใหญ่สามตัวก็เหลือแต่ก้างกับหัว

“เอาปลาอีกมั้ยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าหันไปถามเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าที่กำลังเถียงกันเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

“อิ่มกันหรือยังล่ะ ไม่อิ่มก็ลงเอาอีกเลยตามสบาย” เด็ดเดี่ยวถามกลับมองหน้ารุ่นน้องแต่ละคน ที่ดูเหมือนว่ามันจะพากันกินเก่งซะเหลือเกิน ปลาตัวใหญ่ตั้งสามตัวหมดเกลี้ยง และดูท่าพวกมันจะไม่อิ่มกันเสียด้วย

“แหะ ๆ เผาอีกสักตัวสองตัวเป็นไรพี่” เป็นไอ้ดำจอมตะกละนั่นแหละที่เสนอออกมา

“ใครจะลงรอบนี้”

“ไอ้ว่านมึงลงเลย” เป็นไอ้จ๋าสั่งเพื่อนอีกตามเคย

“มึงนี่เป็นอะไรกับไอ้ว่านมากเปล่าวะไอ้จ๋า สั่งมันจังนะ”

“หึ ๆ เพราะรู้ว่ามีหมาอย่างมึงคอยขัดไงล่ะไอ้ดำ หรือมึงจะลงแทนมัน”

“ไม่มีปัญหา”

“เฮ้ย ๆ อะไรของมึง เดี๋ยวกูลงเองก็ได้ ระดับกูแล้วเรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ โว้ย” ไอ้ว่านออกตัวแรงพลางลุกขึ้น พลางถอดเสื้อผ้าโชว์ก้างกับหุ่นผอมกะล่องของมัน เตรียมลงจับปลาอีกรอบ

“เอาตัวใหญ่ ๆ มาสักสามตัวก็พอนะมึง” ไอ้ว่าวบอก

“จัดไป” ไอ้ว่านถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงขาสั้นเดินไปหยิบแหเตรียมลงหว่าน มีไอ้ดำลุกตามไปอีกคน

“ไอ้สองคนนี้มันยังไง ๆ อยู่นะกูว่า” ไอ้ว่าวถามออกมาเมื่อสองคนที่ลุกไปอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยิน

“หึ”

“เหมือนมึงจะรู้อะไรดี ๆ”

“เปล๊า..”

“ไอ้จ๋าเสียงมึงสูง”

“เออก็เปล่าไงวะ รอดูเองเหอะ คิก ๆ ” ไอ้จ๋าหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้องอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ยอมเผยสิ่งที่รู้ออกมา ไม่พอยังหันไปพยักหน้าให้ออเรนจ์ที่นั่งข้างกันอีกด้วย

“ไหวมั้ยเนี่ย”

“ไหวเซ่ ไอ้ว่าวรินเบียร์มาอีกดิ๊”

“ครับพี่”

“พี่ว่าเรามะ..เหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ เข้าบ้านก่อนดีกว่ามั้ย” เด็ดเดี่ยวเลี่ยงคำว่าเมา เพราะรู้ดีว่าตัวพ่ออย่างต้นกล้าถ้าได้ยินคำนี้คงยิ่งจะรั้น และดื่มมากกว่าเก่า “นี่คงไปดูไร่ต่อไม่ไหวแน่ ๆ ”

“ใครล่ะชวนมาลงปลาก่อน ชิตัวเองนั่นล่ะ”

“ปะกลับกันก่อนงั้น” เมื่อเด็ดเดี่ยวกระตุกแขนต้นกล้าจึงหน้างอยิ่งกว่าเก่า

“เอามา ๆ หมดแก้วก่อนไป”

“อ้าวไปไหนครับพี่” ไอ้จ๊ะเอ๋ถามเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวยืนขึ้น

“เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวบ่าย ๆ มีธุระต่อตามสบายนะ ปลาไม่พอก็ลงอีกเลยไม่ต้องเกรงใจ” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วเดินออกไป

“แฮกหมานโว้ย ฮ่า ๆ “ต้นกล้าบอกเมื่อรับแก้วเบียร์มาจากไอ้ว่าว เสียงหัวเราะของทุกคนประสานกันดังขึ้นอีก “ไอ้ว่าวรินมาอีกเร็ว ๆ “ต้นกล้าเรียกเบียร์อีกแก้วเมื่อหันไปมองตามคนที่พึ่งเดินออก และเห็นว่าเด็ดเดี่ยวเดินไปไกลแล้ว พอได้ก็กระดกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนจะบอก

“ไปนะโว้ย เออ ไอ้จ๋าไปส่งออเรนจ์ให้ถึงบ้านด้วยนะ อย่าพากันเถลไถลล่ะ ไปนะตัวเล็ก”

“สวัสดีฮะพี่กล้า” ออเรนจ์ยกมือไหว้ต้นกล้าที่ก้มลงมายีหัวก่อนจะเดินออกไป “อุ้ย อะไรจ๋า”

“ปัดผมไง จะปล่อยให้ฟูเป็นยายเพิ้งเหรอ”

“ขอบใจ”

“อะไรวะไอ้นี่ขู่เอา ๆ นะมึง”

“นั่นสิ ออเรนจ์ของกูกลัวหมดแล้ว”

“เรื่องของกู” ไอ้จ๋าปัดปอยผมที่ชี้ไม่เป็นทรงให้ออเรนจ์เพราะถูกต้นกล้ายีหัว จึงถูกไอ้จ๊ะเอ๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าเข้าให้ โดยมีไอ้ว่าวคอยเสริม จากนั้นก็พากันกินต่อ ไอ้สองคนที่ลงปลาก็ได้ปลาตัวใหญ่มาเผาเพิ่มอีกสามตัวตามสั่ง ขณะที่นั่งรอปลาก็พากันจิบเบียร์คุยกันรอไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายแก่ ๆ ออเรนจ์ก็ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านสักที

เต็มตอนแล้วนะคะ... จ้ากันตอนต่อปายยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 13 สายแว็นซ์ใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก

ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับมาด้วยกัน ต้นกล้าก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่เด็ดเดี่ยวพูดตอนอยู่ที่บ่อปลา ที่ว่ามีเรื่องจะบอก ถึงแม้ตัวเขาจะรู้ว่าตัวเองรู้สึกหวั่น ๆ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าอีกคนจะรู้สึกตรงกันหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะยอมรับอะไรบ้า ๆ แบบนี้ ทั้งที่ตอนแรกเกลียดขี้หน้ากันจะตายไป แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก และเด็ดเดี่ยวเองก็ไม่เคยรักชอบผู้ชายมาก่อนด้วย แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเหมือนกับว่า อีกคนไม่แน่ใจในตัวเองด้วยซ้ำว่ารู้สึกยังไง ต้นกล้าพยายามจะไม่สนใจแล้วนะ แต่ทำไมคำพูดของคนตัวโตมันยังวนเวียนอยู่ในหัว และคอยแต่จะดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ แบบนี้ รอฟังเหรอ จะให้ต้นกล้ารอฟังอะไรล่ะ เรื่องตลก เรื่องขำขัน หรือเรื่องอะไร มีอะไรควรพูดออกมาตรง ๆ ดีกว่าทิ้งเอาไว้ให้คาใจหรือเปล่าวะ คนคนนี้จะเล่นอะไรกับความรู้สึกของต้นกล้าอีก โต ๆ กันแล้วนะ มีอะไรทำไมไม่รู้จักพูดดี ๆ ตรง ๆ หรือเห็นต้นกล้าเป็นเพียงแค่ตัวตลก ที่เอาไว้แกล้งเล่นสนุก ๆ นี่อุตส่าห์ญาติดีด้วยแล้วนะ ให้โอกาสมาก็หลายครั้งแล้ว ถ้าคิดจะแกล้งอะไรกันล่ะก็ อีกเป็นได้เห็นไอ้กล้าองค์ลงแน่ ๆ ว่ะ พอคิดมาถึงตรงนี้ ตาสวยก็หันขวับไปมองคนที่กำลังตั้งใจขับรถอย่างเอาเรื่อง จนเด็ดเดี่ยวสะดุ้งโหยง

“อะ อะไร”

“กำลังวางแผนแกล้งอะไรเราอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า อย่ามองพี่ในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ”

“แล้วตอนนั้นจะพูดอะไรทำไมไม่พูดออกมาให้หมด”

“ไม่มี้....แล้วนี้อย่ามองพี่ตาขวางแบบนั้นสิมันน่ากลัวนะ”

“..” ต้นกล้าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพราะเอาแต่จ้องหน้าเด็ดเดี่ยว ด้วยสายตาเค้นหาความจริง เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียให้ได้มันเดี๋ยวนี้ สายตาที่ยังคงมองอย่างกดดัน เพราะสิ่งที่คิดเองเออเอง จากการกระทำที่ผ่านมาของเด็ดเดี่ยว แต่ละอย่าง ที่คนตัวโตเคยทำกับต้นกล้าเอาไว้ ก็มีแต่แบบหนัก ๆ ทั้งนั้น ทั้งแกล้ง ทั้งเป็นต้นเหตุให้ถูกแกล้ง รวม ๆ แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้นกล้าจะเป็นอะไรยังไง มันต้องมีคนคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตลอดสิน่า ส่วนต้นกล้านั้นหากไม่เจ็บตัวก็กลายเป็นตัวตลกโดนคนอื่นหัวเราะเยาะ ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับเขากันแน่ แต่กระนั้นจนแล้วจนรอดต้นกล้าก็ยังทำใจให้โกรธจริง ๆ ไม่ได้สักทีนี่ล่ะ เจ็บใจตัวเองโว้ย!

เมื่อคุยกับเด็ดเดี่ยวไม่ได้ดังใจก็หันมาสนใจโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนี่เป็นอีกกิจวัตรหนึ่งที่ต้นกล้าใช้เวลาต่อวันกับมันอยู่นานทีเดียวในแต่ละวัน เพราะตั้งแต่ที่เขาเริ่มอัปเดตความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับการมาเป็นชาวนาชาวไร่อย่างเต็มตัว ก็มีคนเข้ามาติดตามมากมาย มีข่าวออกไปพาดหัวเสียเท่ว่า ‘หนุ่มชาวนาหล่อที่อุดรฯ ’ และลงรูปของเขาเด่นหราเห็นหน้าชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ใคร ๆ ก็ต่างหันมาสนใจความเคลื่อนไหวในแต่ละวันของต้นกล้ากัน และจำนวนคนติดตามก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลงรูปแต่ละทีมีคนเข้ามากดถูกใจให้ทีละหลายพัน รูปสวย ๆ ที่มีบรรยากาศสดชื่นสดใสของท้องทุ่ง วิถีชีวิตแบบอยู่กับธรรมชาติ โดยการพึ่งพาเทคโนโลยีให้น้อยที่สุด เป็นชีวิตในแบบที่คนเมืองหลายคนแสวงหา หรือรูปของต้นกล้าเองที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เจ้าตัวเอาลงโพตส์ลงในเฟชบุค รูปเหล่านั้นถูกแชร์กระจายต่อ ๆ กันไป มีคอมเมนต์มากมายที่ต้นกล้าก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่ส่วนมากเขาจะไม่ค่อยตอบ เพราะเหตุผลเดียวคือขี้เกียจและเสียเวลา วันนี้เขาลงรูปปลาเผาตัวใหญ่วางอยู่บนใบตอง และกองส้มตำเรียงรายอยู่รอบ ๆ ไม่ถึงห้านาทีคนกดถูกใจเป็นพัน แชร์ต่ออีกหลายร้อยและคอมเม้นอีกเพียบ!

เด็ดเดี่ยวทำท่าทางเหมือนกับว่ากำลังตั้งใจในขับรถ แต่สายตาคมของชายหนุ่มกลับแอบเหล่มองคนที่เล่นโทรศัพท์มือถือเพลิน และได้เห็นว่าต้นกล้ากำลังทำอะไร ซึ่งเขากำลังเก็บข้อมูล

“หืม ไม่ได้ไปส่งเหรอ” ฮ้าว ถามแล้วก็หาวออกมาซะจนน้ำตาไหล เมื่อคนตัวโตรถจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่พามาเมื่อเช้า

“ก็บ่ายจะออกไปดูไร่อยู่ไม่ใช่เหรอ” ต้นกล้านิ่งคิดตอนนี้ก็รู้สึกถึงความมึนในหัวอยู่ไม่น้อย เพราะเบียร์ที่ดื่มเข้าไปพอสมควรและหนังท้องที่ตึง ใจจริงก็อยากไปดูไร่ของอีกคนล่ะนะ แต่อีกใจก็เหมือนกับว่าจะขี้เกียจไม่อยากไปแล้วว่ะ แต่ถ้าหากเขาบอกว่าไม่อยากไป หรือไปไม่ไหวเพราะมึนหัว คงได้โดนคนที่นั่งรอคำตอบอยู่ข้าง ๆ กันนี้ กัดหรือแซะจนแผลเหวอะหวะเอาได้แน่ ๆ แล้วถ้าไปจะไหวหรือเปล่านี่สิคือปัญหา แต่สุดท้ายเด็ดเดี่ยวก็ส่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาให้

“ไปนอนพักในบ้านก่อนปะ เดี๋ยวสักบ่ายแก่ ๆ ค่อยออกไปจะได้ไม่ร้อน”

“งั้นไปส่งเราที่บ้านสิ”

“นอนนี่ก็ได้ครับจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา”

“แต่...”

“น่าไม่ต้องเกรงใจหรอก ทีพี่ไปนอนบ้านต้นกล้ามาก็หลายครั้งแล้ว คราวนี้มานอนบ้านพี่บ้างจะเป็นไรไปครับ” พูดจบก็ดับเครื่องยนต์ถอดกุญแจลงจากรถไปทันที โดยไม่ให้ตนกล้าได้คัดค้านปฏิเสธเอาเสียเลย แหม ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไปนอนบ้านต้นกล้ามาก็หลายครั้งแล้ว พูดอย่างกับว่าเขาชวนและเต็มใจให้ไปอย่างนั้นแหละเนอะ ต้นกล้าแอบแขวะในใจ แต่มือก็เปิดประตูตามคนตัวโตลงรถไป

เมื่อเห็นต้นกล้าลงจากรถปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เด็ดเดี่ยวก็กดล็อครถแล้วเดินนำเข้าบ้านหน้าตาระรื่น เพราะกำลังอารมณ์ดี แน่ล่ะสิก็อีกคนว่าง่ายออกปานนั้นจะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะรั้นและเถียงอยู่บ้าง แต่บอกอะไรไปก็ทำตามกันทุกอย่างล่ะนะ ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เด็กดีแถมยังน่ารักอีกด้วย หึ ๆ

“อ้าว..หายไหนของเขาแล้ววะ” ต้นกล้าสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของบ้าน ที่เห็นหลังไว ๆ เดินนำเข้ามา แล้วอยู่ดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็หายไปเสียเฉย ๆ บ้านทั้งหลังมีแต่ความเงียบจนเหมือนกับว่ามีต้นกล้าอยู่คนเดียว

“อยู่ไหนอะ”

“พี่อยู่ข้างบน” เสียงขานรับตามมาด้วยเจ้าของเสียง ที่โผล่มาแค่หน้าที่ชะโงกข้ามราวบันได

“แล้วขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้นล่ะ ลงมาดิ”

“เก็บของอยู่ ขึ้นมานี่มา” สิ้นเสียงบอกว่า ขึ้นมานี่มา ต้นกล้าก็มองไปทางบันไดที่จะพาขึ้นชั้นสองของบ้าน แต่ยังไม่ทันไดก้าวขาก็ให้คิดได้ว่า ทำไมถึงต้องทำตามที่อีกคนสั่งและเท้ากำลังจะก้าวไปก็หยุดชะงักลง ต้นกล้ายืนทำหน้าตึงอยู่อย่างนั้นเพราะขัดใจ ง่วงก็ง่วง อยากกลับก็อยากกลับ แต่จะทำยังไงได้ ถ้าร้องกลับตอนนี้มีหวังโดนอีกคนล้อไม่เลิกแน่ ต้นกล้าไม่ใช่ไอ้อ่อนหรอกนะที่แค่นี้ก็ยังทนไม่ได้ แต่ไอ้ความง่วงงุนนี่มันคืออะไร ทำไมตามันเหมือนจะปิดไม่ปิดแหล่อยู่ตลอดเวลา มีใครเป็นเหมือนต้นกล้าไหม ที่เรื่องดื่มเหล้าดื่มเบียร์นี่บางวันก็ดื่มได้ไม่มีปัญหา ดื่มหนักดื่มเยอะแค่ไหนก็ไม่มีคำว่าถอย แต่บทจะไม่ไหวดื่มลงไปไม่กี่แก้วก็เริ่มมึน หรือกินไปมาก ๆ เหมือนจะไม่เมา แต่ก็ไม่สบายตัวจนกว่าจะได้ระบายออก เอ่อ..หมายถึงอาเจียนนะ ที่ไม่สบายตัวก็จะเป็นอาการมวนท้อง ท้องไส้ปั่นป่วนไง หรือบางครั้งพอมึนแล้วก็ง่วงและต้องนอนมันเสียเดี๋ยวนั้นให้ได้ ไม่รู้ใครเป็นบ้างแต่อาการเหล่านี้เป็นกับต้นกล้าบ่อย ๆ และแก้ไม่หายสักทีสิน่า

“ต้นกล้า”

“อะไร”

“ขึ้นมานี่ก่อนมา”

“เรารออยู่ข้างล่างก็ได้”

“ขึ้นมาเถอะ ข้างล่างไม่มีใครอยู่”

“ก็ลงมาสิ”

“พี่จัดของอยู่”

“จิ๊” ด้วยความหงุดหงิดรำคาญและเบื่อที่จะต่อคำ ต้นกล้าจึงเดินขึ้นบันไดที่มีเด็ดเดี่ยวเกาะราวบันไดรออยู่ และโผล่มาแค่หัวเพื่อคุยกัน

เมื่อขึ้นมาแล้วต้นกล้าก็พบกับส่วนของห้องนั่งเล่นขนาดพอดี ซึ่งแต่งจากโถงกว้าง มีโซฟาชุดใหญ่น่านอนติดกับระเบียงหน้าบ้านของชั้นสอง ผนังบ้านฝั่งหนึ่งเป็นชั้นหนังสือ ส่วนอีกฝั่งเป็นห้องที่มีประตู 2 บานปิดสนิท ซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคนในบ้านนี้ ส่วนอีกห้องดูเหมือนจะแยกออกไปด้านหลังและเปิดประตูเอาไว้ ต้นกล้าจึงเดาว่านั่นน่าจะเป็นห้องของเด็ดเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้เดินตามไปดู เพราะจุดหมายปลายทางที่หมายตาเอาไว้แต่แรก คือโซฟาชุดใหญ่หนานุ่มน่านอนนั่นต่างหาก

เมื่อความหนานุ่มของโซฟากวักมือเรียกอยู่ไหว ๆ ต้นกล้ามีหรือจะอดใจไม่เดินเข้าไปได้ สองขาก้าวเข้าหาทิ้งตัวลงนั่ง ตอนแรกก็กะว่าจะนั่งเล่น ๆ รอนั่นแหละ แต่ไปยังไงมายังไงก็ไม่รู้ จากนั่งกลายเป็นตัวเอนลงเรื่อย ๆ จนนอนแผ่ หรืออาจจะเป็นเพราะลมเย็น ๆ จากพัดลมตัวใหญ่ติดโคมไฟสวยหรูที่ให้ความเย็นมาจากเพดาน ผสานเข้ากับลมธรรมชาติ ที่โชยมาเป็นระยะช่วยเร่งปฏิกิริยา ทำเอาต้นกล้าเคลิบเคลิ้มแล้วเผลอหลับไป



%%%%%%



เมื่อกินปลากันจนอิ่มหนำสำราญก็พอดีกับเบียร์ที่ซื้อมาหมดลง งานเลี้ยงวันนี้จึงถึงคราวเลิกรา ต่างคนก็ต่างช่วยกันเก็บกวาด เศษอาหารที่เหลือถึงไม่เยอะมากก็ถูกนำมารวบรวมใส่ถัง เพื่อเอาไปรวมกับอาหารอย่างอื่นให้หมูในฟาร์ม ซึ่งเป็นหน้าที่ของไอ้ดำ ที่แน่นอนว่ามันพยายามลากไอ้ว่าน ที่มีสีหน้าหงุดหงิดรำคาญไปด้วยกันอย่างไม่เต็มใจ ส่วนออเรนจ์ก็ได้เวลากลับบ้านสักที เพราะตอนนี้มันล่วงเข้าจนบ่ายแก่กันแล้ว

“กลับเลยมั้ย”

“ก็ได้ แต่ว่าฉันจะกลับยังไงล่ะ”

“เอ้าเธอนี่”

“ให้เราไปส่งมั้ยออเรนจ์น้อย” คำเรียกเปลี่ยนไปตามความเอ็นดูที่มีให้ เมื่อไอ้ว่าวถามแทรกขึ้นมาหลังจากไอ้จ๋าถามออเรนจ์เรื่องกลับบ้าน ซึ่งไอ้จ๋าเองมันก็ได้แต่มองคนตัวผอมเงียบ ๆ ว่าอีกคนจะว่าอย่างไรที่มีคนเสนอตัวไปส่ง

“เอ่อ..” ออเรนจ์ไม่ตอบเพราะรู้สึกเกรงใจ จึงขยับเข้ามากระตุกเสื้อด้านหลังของไอ้จ๋าแทน แต่ไอ้คนหน้าดำมันก็ยังนิ่งเฉยทั้งที่รู้ว่าคนตัวผอมกระตุกเสื้อมันทำไม

“เราว่า..”

“เป็นอะไรของเธอยัยส้มเน่านี่”

“จ๋าไปส่งเราได้มั้ยนะ ๆ ” กระซิบบอกเสียงเบาเพราะเกรงใจในความหวังดีของไอ้ว่าว

“ไปกับไอ้จ๋าไม่กลัวมันขบหัวเอาหรือไง เห็นนั่งมองตาขวางอยู่ทั้งวันอย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านเองก็ได้” ว่ากันจริง ๆ ถึงไอ้จ๋ามันจะนั่งมองตาขวางยังไง ออเรนจ์ก็ยังรู้สึกวางใจมันมากกว่าคนอื่นที่พึ่งเจอกันวันนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวจะถูกพาไปทำมิดีมิร้าย แต่ความอุ่นใจวางใจนั้นออเรนจ์สัมผัสมันได้ดีกว่าหากเป็นไอ้จ๋า เจ้าของร่างผอมบางช้อนตาขึ้นมองไอ้หมาหน้าดำที่มองตอบกลับมานิ่ง ๆ ไม่เอ่ยคำ ทำให้แอบหวั่นอยู่ไม่น้อยว่าตัวเองไปทำอะไรให้มันไม่พอใจอีกหรือเปล่า

“คือเราเกรงใจ ให้จ๋าไปส่งเราขึ้นรถสองแถวก็ได้ไม่เป็นไรหรอกว่าว”

“ก็แค่นั้น” ไอ้จ๋าบอกแล้วเดินไปหาไอ้จ๊ะเอ๋ ที่เอาแหไปเก็บแล้วเดินกลับมาพอดี ทั้งสองกระซิบกระซาบพูดคุยตกลงอะไรบางอย่างกันเล็กน้อย ก่อนจะพยักพเยิดให้กันเป็นอันเข้าใจแล้วเดินกลับมา

“มีรถสองคัน อัดสามกลับก็แล้วกัน” ไอ้จ๊ะเอ๋บอกเมื่อเดินมาหาเพื่อนคนอื่นที่ยืนรออยู่

“งั้นกูไปกับมึง” ได้ว่านรีบเสนอตัวไปกับไอ้จ๊ะเอ๋ แต่..

“มึงไปกับไอ้ดำ ไอ้ว่าว เดี๋ยวกูไปส่งไอ้จ๋ากับออเรนจ์น้อย”

“เอาแบบนั้นเหรอ” ไอ้ว่าวหันมาถามความเห็นของออเรนจ์อีกครั้ง เพราะใจก็อยากไปส่งนั่นแหละ ไม่ใช่อะไรมากหรอกแค่อยากกวนประสาทไอ้หมาบ้าปากแข็งก็เท่านั้นเอง ที่จีบที่แซวชวนคุยอยู่ทั้งวันนี่ก็สนุกเหลือเกิน ที่ได้เห็นมันคอยขัดคอแบบวางฟอร์ม และนั่งทำตาขวางเหมือนถูกผีเข้าเพราะความหวงก้างโดยไม่รู้ตัวของมัน

“ขอบใจนะว่าวที่อาสาไปส่ง เดี๋ยวเราให้จ๋าไปส่งขึ้นรถสองแถว”

“ไปได้แล้วยัยเผือก ล่ำลาอยู่นั่นแหละ” ไอ้จ๋าบอกแล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของไอ้จ๊ะเอ๋ ที่เจ้าของรถมันรออยู่แล้ว ออเรนจ์มองตามแล้วหันกลับมายิ้มให้ไอ้ว่าวที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้ ทั้งหมดจึงแยกย้ายกัน

“เดี๋ยวกลับมาจะรีบเอาไปคืน” ไอ้จ๋าบอกเมื่อขับรถมาส่งไอ้จ๊ะเอ๋ถึงหน้าบ้าน เพราะตกลงยืมรถกันไวก่อนหน้านี้แล้ว

“เออ ขับดี ๆ ล่ะมึง แล้วเจอกันใหม่นะครับคนสวย” ไอ้จ๊ะเอ๋บอกแล้วหันไปลาออเรนจ์ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

“จะนั่งไปทั้งแบบนี้หรือไง”

“แล้วจะให้เรานั่งไหนล่ะ”

“ก็ลงไปนั่งข้างหลังสิ”

“ก็ได้” ออเรนจ์ก้มหน้างุดแล้วขยับตัวลงจากรถ เพราะตอนมานั้นมากันสามคนไอ้จ๊ะเอ๋นั่งหลัง ไอ้จ๋าจึงให้ออเรนจ์มานั่งข้างหน้ามันเหมือนเมื่อเช้า แต่พอส่งไอ้จ๊ะเอ๋แล้วมันก็ไล่ให้ออเรนจ์ลงไปนั่งข้างหลังอย่างที่ควรจะเป็น

“อะไรอีกล่ะจ๋า” ไอ้จ๋ามองตาขวางอีกแล้ว และมันทำให้ออเรนจ์แทบสะดุ้งตกใจหงายหลังตกรถ กับสายตาเอาเรื่องของมัน ไม่รู้เป็นอะไรสิน่าทั้งที่เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่เลย

“นั่งไกลขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตกหรอกยัยเผือกขยับเข้ามาอีก” ถึงวันนี้ไอ้จ๋ามันจะดุไปหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมใจดวงน้อย ๆ ที่เต้นอยู่ในอกมันถึงได้สั่นไปเสียทุกครั้ง ที่ไอ้หมาบ้ามันพูดแบบนี้ออกมา ออเรนจ์คิดขณะที่ขยับเข้าไปชิดไอ้จ๋าจนตัวแทบจะติดกัน แต่ด้วยกลัวว่าไอ้หมาบ้ามันจะหันมากัดเอาอีก จึงแอบเว้นระยะห่างเอาไว้อยู่เล็กน้อย ทั้งที่นั่งติดกันคงดีกว่านี้ งื้อ..จ๋านะจ๋า

“ว้าย” ! ออเรนจ์ร้องออกมาเพราะตกใจ ที่ไอ้จ๋าออกรถไม่บอกไม่กล่าว แถมยังบิดคันเร่งให้รถกระชากออกตัวไปอย่าแรง จนร่างบอบบางหงายเงิบไม่เป็นท่า ขาก็ชี้ขึ้นมาอย่างน่าอาย ดีที่มือเรียวจับชายเสื้อของมันเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้มีตกรถให้ได้อายเป็นแน่แท้

“ตกใจหมดเลยจ๋า ขับดี ๆ หน่อยสิเรากลัวนะ”

“ก็บอกให้จับดี ๆ แล้วไง”

“..” ไม่รู้จะหงุดหงิดอะไรนักหนาจนคนตัวเล็กเลยได้แต่ก้มหน้า เพราะกลัวไอ้หมาบ้านมันขบหัวเอา และพออีกคนเอาแต่เงียบ ไอ้จ๋าเลยหันกลับมาเหลือบมองทางหางตา พอเห็นอีกคนเอาแต่นั่งก้มหน้าเลยไม่สนใจอะไรอีก แล้วหันกลับไปมองทางต่อ

ไอ้จ๋าขับรถด้วยความเร็วที่ค่อย ๆ เร่งขึ้น ต่างคนก็ต่างเงียบและยิ่งไอ้จ๋าเงียบออเรนจ์ก็ยิ่งไม่กล้าชวนคุย ยิ่งไม่ชวนคุยก็ยิ่งเกิดความเงียบระหว่างสองคนจนน่ากลัว เสียงรถดูเหมือนว่าจะดังเกินไปเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกลัวก็ยิ่งเงียบและเกร็ง แต่ไม่นานความกลัวในใจกลายเป็นความรู้สึกอย่างอื่น ที่มันเอ่อล้นท่วมท้นจนออเรนจ์เองก็บอกไม่ถูก เพราะอึ้งจนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไร เมื่อมือใหญ่ ๆ ที่ด้านและสากระคาย เพราะทำงานหนักของไอ้จ๋า เลื่อนมากุมมือเล็กที่จับชายเสื้อมันอยู่ ดึงไปให้กอดรอบเอวหนาของตัวมันเอง จากข้างซ้ายแล้วดึงไปจับเอาข้างขวามารวมกัน ตอนนี้จึงกลายเป็นว่า ออเรนจ์ต้องขยับเข้าหา จนหน้าอกแนบแผ่นหลังและกอดเอวไอ้จ๋าเอาไว้เสียแน่น เพราะถูกมือใหญ่ข้างนั้นจับไว้ไม่ยอมปล่อย ปากสวยยกขึ้นยิ้มบาง ๆ จนเจ้าตัวต้องพยายามขบและเม้มมันเอาไว้ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของไอ้หมาบ้าหน้าดำ แต่ความอิ่มเอมในใจมันมีมากเหลือเกิน มากเกินกว่าจะกลั้นความลิงโลดที่อัดแน่นอยู่ในอก การกระทำที่ไอ้จ๋าคงคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระสำหรับมัน แต่สำหรับออเรนจ์แล้ว นี่มันเหมือนกับว่า ไอ้จ๋าจับร่างบอบบางของออเรนจ์ยกขึ้น แล้วพาหมุนตัวไปรอบ ๆ บนทุ่งดอกไม้กว้างก็ไม่ปาน

งื้อออ รู้สึกดีอะจ๋า ออเรนจ์ได้แต่กรีดร้องในใจ เพราะไม่รู้จะระบายความสุขนี้ออกมาอย่างไรดี โดยที่อีกคนไม่หาว่าเป็นบ้าไปเสียก่อน ทั้งที่ไอ้คนขับรถนั่นมันไม่ได้คิดอะไร และไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำเพราะ.....

“ถ้ากอดดี ๆ แบบนี้แต่แรกก็ไม่หงายเงิบเหมือนเมื่อกี้แล้ว”

“ก็เราไม่รู้นี่ว่าจ๋าจะออกรถแรงอย่างนั้น”

“หัดจำไว้ซะบ้างคราวหลังจะได้ระวังตัว”

“จ๋าจะขับให้เรานั่งอีกเหรอ”

“เหอะ ไม่มีทาง”

“งั้นก็ไม่เห็นต้องจำเพราะเราคงไม่ได้ไปนั่งซ้อนท้ายใครอีกแล้ว”

“ปากดี นี่กลัวปลิวหรอกนะที่ให้กอดเนี่ย ผอมขนาดนี้เธอกินข้าววันละกี่คำกัน”

“ก็เยอะอยู่นะ มันไม่อ้วนเอง”

“โอ๊ย ฉันประชดหรอกยัยส้มเน่า”

“แต่ฉันอยากตอบจริง ๆ นี่”

“เออ ๆ “

“เอ๊ะจ๋า”

“อะไรอีก”

“คิวรถสองแถวอยู่ไหนเหรอ ทำไมออกจากหมูบ้านมาไกลแล้วไม่ถึงสักที”

“นี่เธอจำทางกลับบ้านตัวเองได้มั้ยเนี่ยห๊ะ”

“จำได้แต่..เราแค่สงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวรถสองแถวน่ะ”

“แล้วเธอจะไปคิวรถสองแถวทำไมวะ”

“ก็นายจะไปส่งเราขึ้นรถกลับบ้านไม่ใช่หรือไง”

“ใครบอกฉันจะให้เธอนั่งสองแถวกลับล่ะ”

“อ้าว ก็นึกว่า..”

“นั่งเงียบ ๆ เหอะน่า” ทั้งสองจบการสนทนากันเพียงเท่านี้ เพราะไอ้จ๋าหันมาโวยวายที่ออเรนจ์เอาแต่ถามนั่นถามนี่ ถามเฉย ๆ ไม่พอนะ ยังมีการยืดตัวชะโงกมาส่องดูหน้ามันอีก รถก็วิ่งเร็วกลัวจะปลิวตกก็กลัว พอไม่ถนัดก็เล่นเอาคางเล็ก ๆ แหลม ๆ นั่นวางเกยลงที่ไหล่แน่นของมันด้วยซะเลย ไอ้จ๋าที่กลัวว่ามือจะสั่นจนพากันเกิดอุบัติเหตุ เลยแกล้งโวยวายแก้ความประหม่าให้ตัวเอง ก็เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากหรอก

เสียงเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งคู่ใจของไอ้จ๊ะเอ๋ ฟังแล้วก็ให้รู้สึกเพลิดเพลินโดยเฉพาะออเรนจ์ที่พอจะเข้าใจแล้ว ว่าไอ้หมาบ้าคงจะพาไปส่งถึงที่บ้าน คนหน้าสวยเจ้าของร่างบอบบางจึงนั่งยิ้มแต้ไปตลอดทาง ผิดกับไอ้จ๋าที่ขับรถไปก็หน้าบูดหน้าบึงไป เพราะมันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกว่า เหมือนมีอะไรคับแน่นอยู่ในอก มันเหมือนมีลูกโป่งที่กำลังถูกเป่าลมเข้าไปเรื่อย ๆ และกำลังพองโตขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ในนั้น มันเหมือนจะอึดอัดแต่ก็ไม่ได้จะทำให้ตาย ซ้ำร้ายคือมันทำให้หัวใจเต้นจังหวะแปลก ๆ ไอ้หมาหน้าดำมันไม่เข้าใจตัวเองยิ่งคิดก็เลยยิ่งหงุดหงิด แต่ถึงหงุดหงิดกลับหยุดคิดไม่ได้ ยิ่งมือเล็ก ๆ ที่เกาะกอดเอวจะเผลอหลุดเมื่อไหร่ มันก็ต้องจับมาเกี่ยวกันไว้เหมือนเดิมทุกที เพราะยัยนี่น่ะ ไม่รู้หรอกว่าต้องระวังความปลอดภัยให้ตัวเองยังไง ให้นั่งกอดเอวแค่นี้ก็ยังทำดี ๆ ไม่ได้ เผลอ ๆ คงมีตกรถบ้างสักที คิดแล้วหงุดหงิดจริง ๆ

ภาพที่ผู้ชายตัวโตขับรถมอเตอร์ไซด์ และมีคนตัวเล็กที่ผอมบางนั่งซ้อนท้ายกอดเอวแน่น ดูแล้วให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น รถคันเล็กวิ่งไปในความเร็วปานกลาง สองข้างทางลาดยางขนาดสองเลนเป็นไร่มันสำปะหลัง บางช่วงเป็นไร่อ้อยและทุ่งนาที่เริ่มเขียวชอุ่ม เพราะต้นข้าวที่ปักดำเริ่มติดรากและเติบโต บางช่วงเป็นพื้นที่ป่าไม้และสวนยางพารา บางช่วงเป็นหมู่บ้านที่ถนนพาเข้าสู่ตัวอำเภอพาดผ่าน ทางดีบ้างขรุขระบ้างตามสภาพของการใช้งาน และงบประมาณที่กว่าจะมาถึงต้องจัดสรรปันส่วนให้ลงตัว

ไอ้จ๋าขับรถไปก็ให้รู้สึกอึดอัดฮึดฮัดอยู่ในใจคนเดียว แต่ออเรนจ์กลับเอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง กับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมัน ใจก็อยากคุยนะแต่ถ้ามันหันกลับมาขบหัวเอาอย่างที่ไอ้ว่าวเตือน ออเรนจ์จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า เท่านี้จ๋าก็ใจดีด้วยมากแล้วล่ะ งื้อ จ๋าอะ

ออเรนจ์นั่งปลื้มปริ่มอยู่เกือบยี่สิบนาที และแล้วในที่สุดรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งก็ขับมาจอดถึงหน้าบ้าน ซึ่งเป็นร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการเกษตรทุกอย่างและปุ๋ย

“ขอบใจนะจ๋า”

“เออ ไปล่ะ”

“อ้าว”

“อะไรอีก”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ไม่มีก็เข้าบ้านสิ”

“ก็ได้ แต่..”

“แต่อะไร”

“ขับรถกลับดี ๆ นะ”

“เออ” แล้วไอ้จ๋าก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไปจากหน้าบ้านของออเรนจ์อย่างรวดเร็ว จนนึกว่ารีบไปตามควายหาย โดยไม่หันกลับมาดู ว่าคนที่มองส่งมันยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิมและยังไม่ยอมเข้าบ้าน ถ้าหากมันหันกลับมาสักหน่อย ออเรนจ์ก็คงได้เห็นเหมือนกัน ว่าไอ้หมาหน้าดำเองมันก็ยิ้มออกมาด้วย ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย และมันน้อยมากจนตัวมันเองยังไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มก็ตามเถอะ ยังไงมันก็คือการยิ้มชัด ๆ ล่ะวะ

“จะยืนยิ้มอยู่นี่อีกนานมั้ยนังส้มเช้ง! ”

“พี่แพง”

“เออฉันเอง หายหัวเลยนะ”

“พี่แพงต่างหากที่ทิ้งส้มเอาไว้”

“ก็ฉันลืมนี่”

“แล้วโทรมาทำไมไม่ยอมรับสาย คิดบ้างหรือเปล่าว่าส้มจะเป็นยังไง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ แถมยังมีผู้ชายมาส่งอีกด้วยนะคะ ร้ายไม่เบาเลยนะแกน่ะ” ออเรนจ์น้อยใจในความไม่ทุกข์ไม่ร้อนของพี่สาวแท้ ๆ ที่น้องหายไปทั้งคืนยังเฉย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากทำหน้าบึ้งแล้วมองหน้าคำแพงอยู่อย่างนั้น “ไงได้กันแล้วสิ”

“ได้อะไร พูดจาไม่ดีเลยนะพี่แพง” คำพูดพี่สาวทำให้คิดถึงเหตุการณ์ล่อแหลมเมื่อเช้า ทั้งที่ยังไม่ถึงขั้นมากกว่านั้น แต่มันก็เล่นเอาออเรนจ์หน้าขึ้นสีได้เหมือนกัน

“ไม่ดีตรงไหนแค่บอกว่าได้กัน แกมันก็อยากกินผู้ชายจนตัวสั่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“..”

“ร้อยทั้งร้อยพวกตุ๊ดพวกแต๋วอย่างแก มันก็ต้องอยากโดนผู้ชายเอาจนตัวสั่นกันทั้งนั้นแหละ มันถึงจะอวดได้ว่าประสบความสำเร็จในการหาผัวใช่มั้ยล่ะ”

“พี่คำแพงพูดอะไรเลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะ”

“แล้วไง ไอ้นี่มันลีลาถูกใจแกมั้ย มันเปิดซิงแกใช่มั้ย แต่เอ๊ะ หรือว่าแกมั่วกับคนอื่นมาก่อนหน้ามันแล้ว ถึงได้เดินเหินท่าทางสบายเชียว ก้นคงหลวมหมดแล้วสิ” ออเรนจ์ได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกกับความคิดของพี่สาว ไม่เคยคิดว่าคำแพงจะพูดจาร้ายกาจด้วยถึงขนาดนี้

“ส้มไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยนะ”

“ทำไมแกโง่เง่าอย่างนี้ล่ะ ทำไมไม่รีบอ่อยรีบกินมันซะ”

“พี่คำแพงคิดแบบนี้ได้ยังไงนะ แล้วส้มกับจ๋าก็ไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น”

“ไม่ได้ทำอะไรกันแล้วแกจะมาเขินหน้าแดงทำไม หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น แล้วไอ้นั่นมันเป็นใคร แก้จ้องงาบพี่เดี่ยวของฉันอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ไม่พูดกับพี่แพงแล้ว” ออเรนจ์เดินเข้าบ้านในใจนึกโกรธพี่สาวที่พูดจาไม่ดีให้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ชินแล้วเพราะทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพี่เลยสักอย่าง

“นี่แกอย่ามาเดินหนีฉันนะ” คำแพงไม่ยอมจบเดินตามมาพร้อมกับทำเสียงแว้ด ๆ ใส่น้อง

“ก็พี่แพงมาว่าส้มแบบนี้ทำไมล่ะ แล้วอาจารย์เด็ดเดี่ยวก็ไม่ได้เป็นของพี่แพงสักหน่อย วันหลังซื้อแห้วมาใส่ตู่เย็นไว้บ้างก็ดีนะ”

“ซื้อมาไว้ทำไม”

“เผื่อวันไหนต้องกินจะได้มีใกล้มือหยิบง่ายไง”

“นี่แกหมายความว่าไง ทำไมฉันรู้สึกเหมือนแกกำลังว่าฉันอยู่หา แกกล้าเหรอ” คำแพงเงื้อมือขึ้นขู่น้องที่ตัวเองหาโอกาสรังแกมาแต่เล็กจนโตทุกครั้งที่ผู้เป็นพ่อเผลอ ด้วยว่าคนน้องที่เกิดมาได้ไม่ถึงเดือนแม่ก็ตายจากไป เด็กแรกเกิดไม่มีแม่ร่างกายอ่อนแอน่าสงสาร เจ้าส้มจึงกลายเป็นลูกรักของพ่อที่คอยดูแลประคบประหงมอย่างดี เพราะเห็นว่าขาดแม่ ยิ่งโตก็ยิ่งน่าทะนุถนอมเพราะถอดแบบแม่มาทุกอย่าง ทั้งหน้าตา รูปร่าง และผิวพรรณ ผิดก็แต่เป็นเพศชาย ส่วนคำแพงซึ่งโตกว่าหลายปีและได้จากทางพ่อมาเต็ม ๆ จึงได้แต่เฝ้ามองด้วยความริษยา โดยมองข้ามความรักที่พ่อมีให้ไม่น้อยหน้ากันไปเสียอย่างนั้น

“เปล่าหรอกส้มไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ถ้าอาจารย์เด็ดเดี่ยวเขามีคนรักอยู่แล้ว พี่แพงต้องกินแห้วแน่ ๆ ใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้บ้างก็ดีไง จะได้หยิบมากินทันทีที่ถึงเวลา”

“อ๊าย อีตุ๊ดเด็ก อีตุ๊ดปากเสีย ปากแกนี่มันสวนทางกับความสงบเสงี่ยมที่แสดงออกมาเลยนะ”

“พี่แพงมาว่าส้มก่อนนี่”

“แกเจ็บตัวแน่”

“คำแพง ออกบิลเก็บเงินหน่อย”

“จิ๊ มาเก็บอะไรตอนนี้”

“เอ๊า ก็ลูกค้ามาซื้อของไม่เก็บเงินจะให้เขาฟรี ๆ หรือไง”

“เออ ๆ ฝากไว้ก่อนนะแก “คำแพงรับคำหัวหน้าคนงานที่ตะโกนบอก แล้วหันมาคาดโทษน้องก่อนจะเดินเข้าหน้าร้านไป เมื่อพี่สาวเดินเข้าร้านไปแล้ว ออเรนจ์จึงเดินอ้อมไปหลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนของที่พักสร้างขึ้นมาเป็นตึกสามชั้น ถัดจากตึกด้านหลังเป็นโกดังไว้เก็บของ ใจรู้สึกหดหู่และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะทำไม่สนใจสิ่งที่พี่สาวแสดงออกมากับตัวเอง แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้เลย



ต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“ต้นกล้า อยากดูรูปพี่ตอนเด็ก ๆ มั้ย เอ๋าหลับหรือไง” เด็ดเดี่ยวเดินออกมาพร้อมกับอัลบั้มรูปเล่มใหญ่ ที่พึ่งค้นเจอตอนเอาของเข้าเก็บ จึงกะว่าจะเอาวีรกรรมตอนเด็กของตัวเองออกมาอวดให้อีกคนดูสักหน่อย แต่พอเดินออกมาคนที่คิดว่านั่งรออยู่กับกลายเป็นนอนรอเสียแล้ว ร่างสูงโปร่งเอนหลังลงนอนไม่เป็นท่าเท่าไหร่นัก เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แต่คงทนความง่วงไม่ไหว เพราะร่างกายเอียงกระเท่เร่ออกอย่างนั้น นี่หากไม่ได้หมอนอิงใบโตที่วางอยู่ข้าง ๆ สงสัยมีตกโซฟาเป็นแน่นแท้

“เหมือนเด็กเลยนะกินอิ่มแล้วก็นอนเนี่ย เด็กอนามัยเอ๊ย ของดองของเมานี่ชอบนัก” จุ๊บ บ่นเบา ๆ แล้วขโมยจูบหน้าผากมนไปทีด้วยความเอ็นดูหรอกนะ บ่นเสร็จก็จัดท่านอนให้ใหม่จะได้นอนสบาย ๆ ทุกอย่างเด็ดเดี่ยวทำอย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าทำให้ต้นกล้าตื่น งานนี้อาจมีโวย แต่แล้ว…..

“อื้ออออ อะไร”

“อ้าว ตื่นซะแล้ว”

“ก็ใช่สิทำอะไรเนี่ย ถอยไปเลยนะ” ปึก!

“โอ๊ย” ตุบ! แล้วเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ตามมา เมื่อต้นกล้าลืมตาขึ้นได้เต็มตา เห็นคนตัวโตกำลังคร่อมตัวเหนือร่างตัวเองอยู่ คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะทำมิดีมิร้าย เท้าเลยยันขึ้นอย่างว่องไวไม่ให้อีกคนได้ทันตั้งตัว เพราะทำไปตามสัญชาติญาณล้วน ๆ คนตัวโตเลยหงายหลังตกโซฟาไม่เป็นท่า แต่ดูน่าขำมากทีเดียวกับสองขาที่ชี้ฟ้าโด่เด่ และสองมือที่กุมเป้ากลางกายของตัวเอง ใบหน้าหล่อคมคายบิดเบี้ยวเหยเก “ถีบพี่ทำไม อูย จุก โอย พ่อจ๋าแม่จ๋า”

“เราไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วเมื่อกี้ทำอะไรจะลักหลับเราเหรอ”

“เปล๊า..” ลากเสียงซะยาวแล้วทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจเหมือนถูกปรักปรำ “อย่ามองพี่ในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ” ใบหน้ายังไม่คลายความบิดเบี้ยว แต่ก็ยังมีแก่ใจตอบคำถามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พลางมือก็ลูบเป้าที่โดนจู่โจมในระยะประชิดจนจุก เพื่อเป็นการปลอบน้องชายตัวเองไปด้วย

“เสียงสูง”

“เปล่าจริง ๆ ก็เราเผลอหลับไปพี่เห็นท่านอนไม่ดี กลัวไม่สบายตัวก็เลยจัดท่าให้ แล้ว...”

“แล้วอะไร” เสียงเข้ม

“ก็แค่จัดท่านอนล่ะน่า..ไม่มีอะไร”

“แค่จัดท่านอนทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นล่ะ” นี่ก็คาดคั้นไม่ยอมฟังความ ตาสวยจ้องเขม็ง แต่เมื่อเห็นอีกคนท่าทางมีพิรุธก็หรี่ตาทำท่าจับผิด

“ก็....”

“พูดดี ๆ ให้เข้าหูเราด้วยนะ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเนียนขยับเข้ามาหาต้นกล้า และนั่งติดกันจนแทบจะสิงร่าง อาการเจ็บจุกคลายลงมากแต่ก็ยังไม่หายไปหมดซะทีเดียว

“ชิดขนาดนี้นั่งตักเราเลยเถอะ

“ได้เหรอ” เด็ดเดี่ยวตาโตยิ้มตื่นเต้น ขยับเข้าหาทำท่าจะนั่งลงบนตักของต้นกล้าแบบทีเล่นทีจริง

“ประชดเถอะถอยออกไปเลย”

“ว้าพี่ดีใจจริง ๆ นะ “ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อใสบึ้งตึงเข้าไปใหญ่กับความทะเล้นของเด็ดเดี่ยว ที่ไม่เข้ากับอายุของตัวเองเอาเสียเลย

“นี่..ถามอะไรหน่อยสิ”

“อยากได้คำตอบต้องพูดดี ๆ เพราะ ๆ เรียกพี่เดี่ยวครับ ไม่ใช่นั่นนี่แบบนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กต้องพูดจาให้น่าเอ็นดู “

“มากไปมั้ย เรายี่สิบกว่าแล้วเหอะ”

“งั้นไม่ตอบ”

“อยากรู้ตายล่ะ”

“หืม แล้วจะถามอะไรพี่ล่ะ”

“ทำไมชอบทำแบบนี้กับเรานักวะ” นั่นไงก็ถามเขาอยู่ดี

“ทำแบบไหน”

“ก็..”

“หืม “

“อย่ามากวนนะเรารู้หรอกว่าแอบทำอะไรลับหลังเรา”

“เปล่า ไม่มี้..ไม่เคยทำอะไรลับหลังเลย พี่ทำต่อหน้าตลอดนั่นแหละ”

“...” ต้นกล้าขมวดคิ้วสงสัยกับสิ่งที่คนตัวโตบอก ดวงตาสวยจ้องมองคาดคั้นเอาเรื่อง

“ต่อหน้ายามหลับไง หึ ๆ “

“นั่นล่ะเราอยากรู้ ว่าทำแบบนั้นทำไม” เสียงที่เปล่งออกมาแม้จะเบามาก เหมือนคนพูดไม่ค่อยมั่นใจที่จะถามออกมา แต่เด็ดเดี่ยวก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน

“ก็ อย่างที่พี่บอกนั่นแหละ” เด็ดเดี่ยวมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็ให้คิดถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจ แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ทำไมต้นกล้าต้องมาอยากรู้ในตอนนี้ที่เขายังไม่พร้อมจะบอก แม้ว่าจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้เก็บเล็กผสมน้อย ในการเอาเปรียบหลานชายคุณยายทั้งแอบจูบแอบหอมก็ตามเถอะ แม้ว่าจะไม่เคยห้ามใจตัวเองในสิ่งที่อยากทำ ยามเข้าใกล้คนตัวเล็กก็ตามเถอะ อยากน่ารักน่าเอ็นดูเองทำไมล่ะใครจะห้ามใจได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันออกมาอย่างไรนี่สิ ไม่รู้จะเริ่มพูดคำไหนก่อนดี ใช่ที่ว่ามันอาจจะเร็ว และตอนนี้ในความรู้สึกของเขาเหมือนมันมีอะไรที่หลากหลายมาก จนทำให้ต้องมานั่งสับสนเอง แต่นั่นก็เป็นเพราะเขารู้สึกกับคนตรงหน้ามากเกินไป จนไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรให้ถูกใจคนฟังมากกว่า ไม่ใช่เพราะกลัวถูกปฏิเสธสักหน่อย

“คือ..เอ่อ..” ท่าทางอึกอักเหมือนไม่มีความมั่นใจ ทำให้ต้นกล้าคิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยผ่านมา สายตาที่ไม่มีความแน่ใจของคนตัวโต มันบอกต้นกล้าว่า นี่อาจจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ใครบางคนที่เคยทำให้ต้นกล้าหวั่นไหว และตอนนี้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่ตัดสินใจเดินจากมา คนคนนี้ก็คงจะไม่ต่างกันหรอกใช่ไหม สิ่งที่แสดงออกมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มาจนถึงวันนี้มันคืออะไร ทั้งที่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ทำไมไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าต้นกล้าแอบหวั่นไหว และดูเหมือนว่าจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเสียด้วย ส่วนอีกคนก็คงแค่สนุกไปวัน ๆ

“เฮ้อออ ช่างมันเถอะ ถือว่าเราไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันนะ กลับล่ะ” นั่นสิเหมือนคนใจง่ายเลยทั้งที่ตั้งแง่ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่พออีกคนทำดีด้วยไม่กี่ครั้งก็ถึงกลับกล้าถามคำถามอย่างนี้ออกมา มันดูง่ายเกินไปนะซึ่งคนอย่างไอ้กล้าไม่ยอมถูกมองอย่างนั้นแน่

“เดี๋ยว”

“เฮ้ย เด็ดเดี่ยวปล่อยเราจะบ้าเหรอ” ร่างที่บางกว่าถูกคนตัวโตกอดรัดเอาไว้จากข้างหลัง ต้นกล้าดิ้นขลุกขลักเพราะถูกกอดรวบแขนแนบเอาไว้กับลำตัวแน่น เมื่อตัดใจไม่เอาคำตอบเพราะกลัวสิ่งที่จะได้ยิน เลยเลือกที่จะไม่ฟังดีกว่า แต่พอลุกขึ้นจะลงไปข้างล่างเพื่อกลับบ้าน เด็ดเดี่ยวที่ไวพอกันจึงรีบรวบร่างโปร่งของต้นกล้าเอาไว้ แล้วรั้งให้นั่งลงบนตักกว้าง ขณะที่ตัวเขาเองก็ทิ้งน้ำหนักลงนั่งบนโซฟา “ปล่อยเรา ปล่อยเรานะ”

“ต้นกล้า พี่..” ต้นกล้าหยุดดิ้นรนไม่ใช่เพราะรอฟัง แต่เพราะดิ้นไปมันเหนื่อยเปล่า ๆ ท่อนแขนใหญ่โต ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแรงขนาดนี้ ยิ่งดิ้นยิ่งเหนื่อยแถมยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก “พี่ขอโทษ”

“ขอโทษทำไมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” ปากไม่ได้ตรงกับใจหรอกนะ เพราะจริง ๆ แล้วอยากจะบอกว่าผิดมหันต์เลยรู้ตัวไหมเด็ดเดี่ยว! ที่มาทำกับเราแบบนี้ ต้นกล้าได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ เพราะใครจะบอกออกมาตรง ๆ ให้เสียฟอร์มกันวะ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย นอกจากคนหน้ามึนนี่จะทำให้เขาสับสนกับความรู้สึกของตัวเองไปวัน ๆ เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ ต้นกล้าจะไปมีความสำคัญอะไรให้อีกคนต้องสนใจมากไปกว่านี้ อย่าออกตัวมากไป อย่าอ่อนไหวมากไปได้ไหมไอ้กล้าเอ๊ย!

“พี่” ถึงจะพูดไม่ออกแต่เด็ดเดี่ยวก็รวบร่างโปร่งของอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดเหมือนเดิม หัวสมองทำงานให้วุ่นเพราะคิดหาคำพูดดี ๆ มาพูดกัน แต่กระนั้นมันก็ยังพูดไม่ออก เด็ดเดี่ยวรู้ว่าหากเขาไม่พูดความในใจ อีกคนยิ่งจะคิดเองเออเองและเข้าใจผิดไปไปกันใหญ่

“ปล่อยเรา”

“ต้นกล้า”

“คือเราขอตัวกลับบ้านก่อน ส่วนเรื่องดูไร่เอาเป็นว่าวันหลังเราขอมาใหม่ก็แล้วกันนะ” ไม่ได้! เด็ดเดี่ยวร่ำร้องอยู่ในใจ ว่ายังไงก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าต้นกล้าจะมาดูไร่อะไรนั่นวันหลังไม่ได้ แต่เด็ดเดี่ยวกำลังบอกตัวเองว่า ปล่อยต้นกล้ากลับไปวันนี้โดยไม่พูดอะไรออกมาไม่ได้แน่ เพราะไอ้คนหัวรั้นจอมดื้อของเขาคนนี้คงได้คิดไปคนล่ะทาง แต่จะทำยังไงดีล่ะวะ ไอ้เดี่ยวเอ๊ยจะทำอะไรก็รีบทำสิวะ จะพูดอะไรก็รีบพูดออกมาสักที นี่เขาให้โอกาสมากขนาดนี้แล้วยังจะอ้ำอึ้งขี้ขลาดอยู่ได้ ด่าให้ตัวเองแล้วก็ได้แต่มองท้ายทอยของคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จะอ้าปากพูดก็เหมือนขากรรไกรมันฝืดและแข็งซะเหลือเกิน เขินอย่างนั้นหรือ เด็ดเดี่ยวนี่นะเขิน ปัดโธ่!

“เป็นอะไร” ต้นกล้าหันกลับมาถาม พยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจนั้นมันไม่เป็นปกติเอาเสียเลย เพราะทั้งปั่นป่วนเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องเข้าเล่นงาน อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับว่าหายใจไม่อิ่มขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น ต้นกล้าไม่รู้ว่าตัวเองทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ แต่ขอออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี่ก่อนได้หรือเปล่า

“มีอะไรก็พูด ถ้าไม่พูดก็ปล่อยเรา” ทั้งสองสบตากันอยู่อย่างนั้น เมื่อคิดว่าเด็ดเดี่ยวที่ท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักที ต้นกล้าจึงหันหลังเพื่อจะเดินลงจากบ้าน

“พี่ชอบต้นกล้า” กึก! ร่างโปร่งหยุดชะงักเหมือนกับว่ามีใครมาปิดการทำงานของร่างกาย ไม่รู้ทำไมแต่ได้ยินแล้วต้นกล้ากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เราชอบกล้านะแต่เรา....

เด็ดเดี่ยวจ้องมองนัยน์ตาสวยของต้นกล้าอย่างแน่วแน่ เมื่อตัดสินใจพูดออกมาได้สักที พูดแล้วก็ให้เข้าใจถึงมันเดี๋ยวนี้นี่เอง ว่าการยกภูเขาออกจากอกนั้นมันสบายใจยังไง ในที่สุด! ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ ก่อนที่คนคนนี้จะหลุดลอยไปจากเงื้อมือ เฮ้ย! ต้องพูดว่า ‘ก่อนที่คนคนนี้จะหลุดไปจากอ้อมแขนสิ’ แล้วทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงได้ลังเลนักนะ เด็ดเดี่ยวล่ะไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ


ส่วนใครที่สนใจเล่มนิยายกรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก  เป็นฉบับรีไรท์ อินบ็อกสอบถามได้ที่เพจนะคะ
ต่อ....คร่าาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2018 18:24:13 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เราชอบกล้านะแต่เรา.... นั่นเป็นคำพูดที่ครั้งหนึ่งใครบางคนเอ่ยออกมาได้ง่าย ๆ แล้วตอนนี้ล่ะ คำพูดของคนที่เอาแต่กลั่นแกล้งสบประมาท คนที่ทำให้เขาตั้งแง่ไม่อยากญาติดีด้วย แต่พูดออกมาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่นานมันจะซ้ำรอยเดิมหรือมันจะแตกต่าง

“อย่ามาล้อเล่นกับความรู้สึกของเราเลย”

“ต้นกล้า..”

“เราจะถือว่าเราไม่ได้ยินอะไร”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ที่พี่ไม่กล้าพูดออกมาตอนแรกก็แค่กลัวว่าต้นกล้าจะไม่คิดเหมือนพี่”

“อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจออกมาสิ เพราะมันจะทำให้คนอื่นเขาเสียความรู้สึก”

“พี่มั่นใจ”

“...”

“และมั่นใจด้วยว่าต้นกล้าก็คิดเหมือนพี่”

“เหอะ” คนตรงหน้าส่งเสียงเหมือนรำคาญออกมาจากลำคอแล้วเมินสายตามองไปทางอื่น เด็ดเดี่ยวกลัวเหลือเกินว่าต้นกล้าจะเข้าใจเขาผิดไปคนละทาง กลัวอีกคนจะคิดว่าเขาขี้ขลาด แค่นี้ก็เกือบเสียเรื่องแล้ว เพราะไม่คิดว่าต้นกล้าจะคิดมากได้ถึงขนาดนี้ คนตัวเล็กกว่าพูดถึงความมั่นใจออกมาด้วยแววตาจริงจัง แต่ถ้าเด็ดเดี่ยวมองไม่ผิดมันมีแววเศร้าหมองปนอยู่ในนั้นด้วย ทำไมกัน ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้เขาอยากรู้เหลือเกิน

“ถามตัวเองดูดี ๆ ความรู้สึกของเราไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นนะ”

“พี่ก็ไม่เคยคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแววตาจริงจัง ตอนนี้ทั้งสองยืนประจันหน้ากันนิ่ง นัยน์ตามุ่งมันของคนตัวโตจ้องสบตาสวยไม่ลดละ ระยะห่างลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าผากของคนตัวสูงกว่าก็แนบชิดหน้าผากมนของต้นกล้า ที่ยืนนิ่งรอด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อเด็ดเดี่ยวโน้มใบหน้าเข้ามา และกระซิบบอก

“พี่ไม่ล้อเล่นกับความรู้สึกของต้นกล้าหรอก เพราะมันเท่ากับว่าพี่ล้อเล่นกับความรู้สึกของตัวเองด้วย” ต้นกล้าไม่อยากเชื่อหูของตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน เขากำลังพยายามทบทวนคำพูดของเด็ดเดี่ยว ในขณะที่ท้ายทอยถูกมือใหญ่รั้งเข้าหา ริมฝีปากหยักแตะซับขบเม้มเบา ๆ แล้วจึงค่อยประกบเข้าหามอบจูบแสนหวาน เด็ดเดี่ยวป้อนจูบเนิบช้าเย้ายวน เชิญชวนให้ต้นกล้ายอมรับสัมผัสจากเขาทีละน้อยค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ต้นกล้าได้ปรับตัว และมั่นใจว่าเขาไม่ได้ต้องการเพียงล้อเล่นกับความรู้สึก รสจูบเพิ่มดีกรีความหวานละมุนขึ้นตามแรงปรารถนาของหัวใจ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี เล่นเอาต้นกล้าแทบจะตั้งตัวรับไม่ทัน เด็ดเดี่ยวส่งความหวานละมุนผ่านจูบเร่าร้อนขึ้น เพื่อยืนยันทุกความรู้สึกของเขาด้วยจูบดูดดื่มเชิญชวน เรียวลิ้นส่งความหวานฉ่ำชำแรกแทรกผ่านเข้าไปถึงทุกอณูของจิตวิญญาณ จูบดูดดื่มเพื่อให้ทั้งสองดื่มด่ำกับความรู้สึกที่เปิดรับกันและกัน แม้เด็ดเดี่ยวจะไม่ใช่ผู้ชายช่ำชองเรื่องรัก ไหนจะประสบการณ์ผ่านมาที่ไม่ได้โชกโชนนัก แต่จูบที่ทำให้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ และใส่ทุกความรู้สึกของตัวเองมาด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ มันเป็นความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีต่อกัน เพื่อแสดงออกมาให้ต้นกล้าได้สัมผัสถึงความจริงที่อัดแน่นอยู่ในใจ และมันเล่นเอาคนรับสัมผัสอย่างต้นกล้าแทบหายใจไม่ทัน จนเกือบจะขาดใจตายลงมันเดี๋ยวนี้ แน่ละสิคนมันมีใจให้เขาอยู่แล้วนี่ เจอแบบนี้อย่าว่าแต่ขี้ผึ้งที่อ่อนยามถูกไฟลนเลย รั้น ๆ ดื้อ ๆ อย่างต้นกล้าก็ไม่อาจทานทนอยู่ได้นานเหมือนกันนั่นแหละวะ!

เมื่อส่งทุกความรู้สึกมากับจูบหวานละมุนจนพอใจแล้ว เด็ดเดี่ยวก็ผละออกมาจ้องมองใบหน้าหล่อเกาหลี ที่ขึ้นริ้วแดงของต้นกล้าด้วยนัยน์ตาหวานฉ่ำ

“ไม่จูบตอบพี่เลย โอ้ย/ เฮ้ย! ” พูดจบร่างใหญ่ก็ถูกผลักออกอย่างแรง โชคดีที่เด็ดเดี่ยวล้มลงบนโซฟาจึงไม่เจ็บตัว แต่เรื่องอะไรจะยอมเสียหลักล้มลงไปคนเดียวล่ะ แน่นอนว่ามือเหนียวต้องดึงร่างของอีกคนให้ลงมาด้วยอย่างแน่นอน พอร่างสองร่างทาบทับกันโดยไม่ทันตั้งตัว เด็ดเดี่ยวเลยต้องร้องออกมาเสียงหลง เพราะถูกทับเต็ม ๆ ตัวจนเจ็บ แต่ก็ถือว่าคุ้มล่ะนะ เพราะนั่นมันหมายถึงว่า ร่างของต้นกล้าก็เกยทับอยู่บนตัวของเด็ดเดี่ยวทั้งตัวเหมือนกัน โดยมีวงแขนแกร่งกอดรัดเอาไว้แน่น เหมือนกับจะบอกบอกกลาย ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ต้นกล้าหนีหายไหนได้อีกแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ปากหยักสวยยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข เมื่อเห็นท่าทางเขินอายที่ต้นกล้าแสดงออกมา ผ่านดวงตาขวางแต่แก้มแดงก่ำ

“ใจตรงกันกับพี่ใช่มั้ยล่ะ หึ ๆ ”

“บ้าเหรอถามอะไรอย่างนั้น ปล่อยเรานะดูสิเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ เลยวุ้ย ”

“ไหนบอกไม่เด็กแล้วไง ใครล่ะพูดเมื่อกี้น่ะ”

“ปล่อยเถอะ”

“ฟังพี่นะ ที่ไม่พูดแต่แรกไม่ใช่พี่ไม่มั่นใจหรอก”

“แล้วเพราะอะไรล่ะ”

“เพราะ..”

“.หืม เห็นมั้ย สุดท้ายก็ล้อเล่นกับเราตลอด เฮ้ยอะไรอีก” ต้นกล้าร้องเสียงดังเพราะอยู่ดี ๆ ร่างกายก็ถูกจับหมุนอย่างรวดเร็ว และในที่สุดคนทั้งสองก็เปลี่ยนตำแหน่งกัน ตอนนี้ตันกล้าอยู่ข้างล่างนอนหงายราบไปกับโซฟานุ่มตัวกว้าง มีร่างใหญ่โตของเด็ดเดี่ยวคร่อมทับกักกันเอาไว้ มือทั้งสองข้างถูกเกาะกุมจนความอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาในใจ ส่วนร่างกายก็แนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยผ่านมา เพราะมีเพียงแค่เสื้อผ้าที่ขวางกั้น ใบหน้าก็อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ตาสบตาและต้นกล้านิ่งรอฟังคำกระซิบบอก

“พี่ไม่ได้ล้อเล่น แต่เป็นเพราะพี่ชอบต้นกล้ามากต่างหาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ชอบจนไม่อยากบอกแค่ว่าชอบ แต่ต้นกล้ารู้ใช่มั้ย ว่าถ้าพี่พูดออกมามากกว่านั้น ตัวต้นกล้าเองนั่นแหละจะไม่เชื่อพี่ นี่ไม่ใช่เพราะพี่ไม่กล้าพูดมันออกมานะ แต่เพราะพี่อยากให้เวลาต้นกล้าได้ปรับตัว แล้วเรียนรู้ตัวตนของพี่จนกว่าจะแน่ใจ จนกว่าต้นกล้าอยากฟังคำนั้นจากพี่จริง ๆ แล้วพี่จะบอก เข้าใจที่พี่พูดมั้ย” ต้นกล้าไม่ตอบคำแต่เม้มปากเข้าหากันเบา ๆ เขาเข้าใจสิ่งที่อีกคนบอก เพราะตั้งใจฟังทุกคำพูดที่ผ่านริมฝีปากหยักนั้นออกมา และจารจารึกมันลงไว้ในหัวใจโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อไหร่ต้นกล้าพร้อมที่จะฟัง ต้นกล้าบอกพี่ พี่จะบอกมันกับต้นกล้า คำที่พี่พร้อมจะบอกเสมอตั้งแต่นี้ต่อไป” มันยากมากที่จะให้ต้นกล้ายังคงสบตากับคนคนนี้ต่อไปได้อีก ไอ้คนหน้ามึนนี่พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ไม่รู้หรือยังไงว่ามันทำให้ต้นกล้าใจสั่นมากแค่ไหน ใจสั่นใจเต้นจนดังโครมคราม มันสั่นมันเต้นแรงมากจนกลัวว่ามันจะวายตายเอาให้ได้ หากต้องมองตากันนานมากกว่านี้ ตอนนี้การหลบตาแล้วมองไปทางอื่นจึงเป็นสิ่งเดียวที่ต้นกล้าคิดออก เพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ให้ขัดเขินเด็ดเดี่ยวจนตัวปริแตก

ท่าทางของต้นกล้าทำให้เด็ดเดี่ยวยิ้มออกมาทันทีทั้งตาทั้งปาก ที่ทำงานประสานกันได้อย่างลงตัว เพราะความเอ็นดู ความสุขที่ได้อยู่กับคนที่มีใจให้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความสุขที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้สัมผัสมัน เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ต้นกล้าหันหน้าหลบตาไปอีกทาง เผยให้เห็นแค่ซีกแก้มขาวนวลน่ากดจมูกลงไป แต่มีหรือคนที่กำลังได้ทีอย่างเด็ดเดี่ยวจะยอม เมื่อต้นกล้าเบือนหน้าหนีแก้เขิน และเพราะสองมือยังประสานกันอยู่ไม่อยากละจาก คนตัวโตจึงก้มหน้าลงเอาแก้มของตัวเองแนบที่จมูกของคนเขิน แต่ไม่ใช่เพราะเขาอยากให้อีกคนหอมแก้ม เขาเพียงต้องการดันให้ใบหน้าหล่อใสของต้นกล้า หันกลับมามองตากันเหมือนเดิมเท่านั้น ส่วนต้นกล้าจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะไม่ยิ้มปากมันก็คอยแต่จะยกขึ้นเองอย่างยากที่จะบังคับได้ คนอะไรอยู่ดี ๆ ก็เอาแก้มมาให้กันหอมแบบนี้ เป็นใครจะทนได้ไหว อยู่ดี ๆ ก็เอาแก้มตัวเองมาแนบจมูกเขาดันให้หันหน้ากลับมา มันจะไม่อะไรมากเลยถ้าไม่ใช่จังหวะที่ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าพอดี จึงรับเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบผู้ชายจากซีกแก้มของเด็ดเดี่ยวเข้าเต็ม ๆ งื้อ ไอ้คนหน้ามึนทำแบบนี้ทำไมวะ นี่มันทำให้ต้นกล้าทั้งยิ้มทั้งบึ้งในคราวเดียวเลยเชียวนะ

“รู้สึกเหมือนพี่ใช่มั้ย” ใจอ่อนระทวยกับคำถามนี้ จะว่าเด็ดเดี่ยวเห็นแก่ตัวก็ได้ที่ใช้คำถามนำแบบนี้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรที่จะทำให้ต้นกล้ามีใจให้เขามากที่สุด เด็ดเดี่ยวจะทำมัน และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือ...

การมองค้อนไม่ใช่คำตอบ ต้นกล้ามองค้อนเด็ดเดี่ยวจนตาเขียวปัดกับคำถามที่ได้ยิน ตอนนี้คนหล่อเกาหลีเริ่มบังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมาได้แล้ว เด็ดเดี่ยวจึงได้เห็นแต่ใบหน้าใสที่บูดบึ้ง ซึ่งมันทำให้คนที่กำลังกวาดตามองเพื่อเก็บรายละเอียดอยู่ นึกหมั่นเขี้ยวในใจด้วยความเอ็นดู พอหมั่นเขี้ยวมันก็ต้องก้มลงจูบหนัก ๆ เน้น ๆ ที่ริมฝีปากสวย เป็นการระบาย จุ๊บ จุ๊บ

“จะไม่จูบตอบพี่หน่อยเหรอ น้อยใจจัง” เด็ดเดี่ยวกระซิบชิดริมฝีปากแดงระเรื่อ เพราะถูกแรงกดจากปากหยักของเขากดลงสุดแรงรัก

“..” และความเงียบคือคำตอบที่เด็ดเดี่ยวได้กลับมา พร้อมกับนัยน์ตาหวานที่เอาแต่มองคางของเขาแทนการสบตา ทำไมเด็ดเดี่ยวจะไม่รู้ล่ะ ว่าต้นกล้ากำลังเขินอายมากแค่ไหน แต่การไม่ตอบไม่หือไม่อือนี่คืออะไร เป็นแบบนี้ใครก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น และเด็ดเดี่ยวเองก็ด้วย เมื่อตัดสินใจแบบเข้าข้างตัวเองแล้ว ปฏิบัติการรุกคืบก็มาถึงขั้นต่อไป

เด็ดเดี่ยวค่อย ๆ แตะริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากนุ่มของต้นกล้าอย่างแผ่วเบา ความแผ่วเบานุ่มนวลที่ทิ้งความร้อนวูบวาบไปถึงท้องน้อยให้ทุกครั้ง หลังจากที่นวลเนื้อสัมผัสกัน คนตัวโตค่อย ๆ แทะเล็มขบเม้มริมฝีปากสวยเหมือนกำลังบอกว่า นี่เป็นของพี่และพี่จะทะนุถนอมกลีบปากหวานละมุนคู่นี้ให้ดีที่สุด โดยไม่ให้บอบช้ำ แทะเล็มจนหนำใจก็เริ่มเชิญชวนโดยส่งปลายลิ้นอุ่นออกมาเรียกร้อง มันถึงเวลาแล้วที่จะลิ้มรสหวานล้ำของจูบที่ละมุนละไม ปลายลิ้นอุ่นไล้ลงที่กลางกลีบปาก คล้ายจะชำแรกแทรกเข้าหยอกเย้าแต่ก็ไม่ทำสักที สลับกับการขบเม้มและดูดึงเบา ๆ เพื่อหยอกล้อ เขาทำมันให้เป็นจังหวะที่นุ่มนวลเข้ากับความอ่อนหวาน เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ได้ เพื่อสื่อถึงความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ในหัวใจที่มีต่อกัน จนกระทั่งปากบางได้รูปสวยเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเปิดรับ นั่นล่ะคือเวลาที่เด็ดเดี่ยวรอคอย ที่จะป้อนความหวานละมุนชุ่มฉ่ำหัวใจ ผ่านจูบดูดดื่มที่ทั้งสองเรียกร้องจากกันและกัน

ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะขาดใจตายมันเดี๋ยวนี้ให้ได้ ความเต็มตื้นหอมหวานที่ได้รับเล่นงานจนหลงมัวเมา รู้สึกถึงร่างกายที่ร้อนผ่าวไปทุกอณู คนหล่อเกาหลีจูบตอบมอบความหวานละมุน ที่ได้รับกลับไปให้คนตัวโต ด้วยความหวานไม่แพ้กัน ความต่างในความรู้สึก ความกลัว ความกังวล และความกังขาใด ๆ ที่เคยมีในหัวใจ เกิดมลายหายไปหมดสิ้นเหลือไว้เพียงความไว้ใจ เชื่อใจ ที่มีให้เพียงคนคนนี้คนเดียว ต้นกล้าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่สนใจ หรือจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่ คนคนนี้คือความอบอุ่นในใจของต้นกล้า คนคนนี้คือความไว้ใจสำหรับต้นกล้า โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอมอบให้เด็ดเดี่ยวไปได้อย่างไร และตั้งแต่ตอนไหน แต่สำหรับต้นกล้าเด็ดเดี่ยวคือความรู้สึกดี ๆ ที่มาพร้อมกับความอบอุ่นและไว้ใจ ถึงแม้จะถูกแกล้งสารพัด ถึงแม้จะถูกว่าถูกสบประมาทท้าทาย แต่สิ่งที่ต้นกล้าสัมผัสได้คือความจริงใจ และความหวังดี ความจริงใจที่สายตาของเด็ดเดี่ยวไม่อาจปิดบังได้ และต้นกล้าก็เห็นมัน หรือหากต้นกล้าจะมองผิดไป ก็ขอให้นี่เป็นการเริ่มต้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยการใช้หัวใจมองและสมองคิด มากกว่าความรู้สึกแบบเด็ก ๆ เหมือนที่ผ่านมา ใช่ต้นกล้าเคยมีความรัก อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็คิดว่ามันคือความรักล่ะนะ ความรักกับผู้ชายด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับได้รู้ว่าเขาคนนั้นเพียงแค่ล้อเล่นกับความรู้สึกจึงเดินจากมา ดีที่ยังไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้ ต้นกล้าแค่เสียความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ก็ดีแล้วที่ทุกอย่างมันสิ้นสุดลง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้นกล้าตัดสินใจ มาหาประสบการณ์ในการใช้ชีวิต และเริ่มต้นใหม่ที่บ้านทุ่งดอกจานแห่งนี้

“เราชอบกล้านะ..แต่เราไม่ได้คิดที่จะคบจริงจังกับผู้ชายด้วยกันขนาดนั้น”

จูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมอบให้กันและกันยังคงหวานดูดดื่ม เด็ดเดี่ยวไม่เอาแต่ใจตัวเอง และต้นกล้าก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม วงแขนที่เป็นอิสระโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้ ราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้คนคนนี้หนีหายห่างไปไหนอีกแล้ว ขณะที่ร่างกายโปรงบางกว่าก็ถูดกอดกระชับด้วยอ้อมแขนแข็งแรงเช่นกัน สองร่างมีเพียงเสื้อผ้าเนื้อบางที่ขวางกั้น จูบยาวนานที่เหมือนกับว่ามันช่วยต่อลมหายใจ จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวเปลี่ยนจากริมฝีปากหวานฉ่ำ เลื่อนไล่แตะจูบซับสร้างความรู้สึก โดยการกดจูบทะนุถนอมไปตามลำคอระหง ความวูบวาบหวามไหวยังเกิดขึ้นจากปากอุ่น ที่นาบสัมผัสเป็นระยะ และต้นกล้ากำลังหลงระเริงไปกับมัน เหมือนริมฝีปากอุ่นมันร้อนผ่าวขึ้นทุกครั้งตามแรงอารมณ์ สัมผัสมันได้ด้วยใจร่ำร้องต้องการ แต่ทำไมอีกใจบอกให้หยุดมันลงสักที

“เมื่อไหร่ที่ต้นกล้าพร้อมที่จะฟังให้บอก พี่จะพูดมันออกมา” แล้วมันใช่เหรอที่มันจะเกินเลย ทั้งที่ตัวต้นกล้าเองยังไม่พร้อม เลย แม้การฟังสิ่งที่เด็ดเดี่ยวบอกว่าพร้อมจะบอก!

“เด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยวสิครับ”

“อื้อ พะ พอก่อนสิ”

“ไม่พอ”

“อย่าทำให้เราหงุดหงิดนะ”

“หืม ต้นกล้าหงุดหงิดแล้วจะปล้ำพี่งั้นเหรอ”

“บ้าเถอะ ใครจะไปทำอย่างนั้น พอแล้วลุกออกไปก่อนเราหนัก”

“งั้นก็” พูดจบเด็ดเดี่ยวเอียงแก้มของตัวเองให้

“อะไร”

“ทำเหมือนเมื่อกี้ไงใครน้าหอมพี่ตรงนี้”

“บ้าเถอะตัวเองเอาแก้มมาแนบจมูกเราเองนะ”

“แล้วก็ถูกหอมเข้าเต็ม ๆ เลย พี่ชอบจัง”

“เราต้องหายใจปะ”

“น่าอีกครั้งสิ มันรู้สึกดีนะ”

“ไม่ทำ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำมันสักหน่อย”

“ตอนนี้ก็ตั้งใจทำซะสิ ทำให้พี่ดีใจหน่อย”

“ไม่”

“เร็ว ๆ ไหนบอกหนัก”

“ก็แค่ขยับออกก็ไม่หนักแล้วออกไปเลย”

“หอมพี่หน่อยสิพี่อยากรู้ว่าตัวเองหอมหรือเปล่านี่ ไม่ทำก็หนักต่อไป”

“จิ๊” ฟอด

“หึ ๆ หอมมั้ย”

“ไม่เห็นจะหอมตรงไหนเลย”

“หอมจนหน้าแดงเลยดูสิเนี่ย”

“วู้ พอ ๆ ออกไปสิ” เมื่อต้นกล้าดันที่หน้าอกเด็ดเดี่ยวจึงเลื่อนตัวลงไปนอนข้าง ๆ แต่ไม่ลืมกอดร่างบางกว่าของต้นกล้าเอาไว้ด้วย

“เมื่อกี้พี่ขอโทษนะ ที่ลืมตัวไปหน่อย” เด็ดเดี่ยวเอ่ยคำขอโทษที่เผลอจูบต้นกล้าเสียนาน จนทำให้ต้นกล้าเองก็เผลอไผลไปกับเขาด้วย

“เราจะกลับแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”

“ก็ไม่เห็นต้องว่ายังไงเลย”

“แล้ว เอ่อ..” ต้นกล้าไม่รู้ว่าจะถามออกมายังไงถึงสถานะของทั้งสองตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันดีไหมหากจะถามว่าตอนนี้เป็นอะไรกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามโง่ ๆ ในความคิดของต้นกล้า หรือว่ามันกลายเป็นต้นกล้าโง่เองที่ไม่กล้าถาม แต่ใจมันก็อยากรู้เหลือเกินนี่หว่า อยากรู้แต่ไม่อยากถามแล้วจะทำยังไงดี ไอ้คนหน้ามึนนี่ถึงจะบอกออกมาเอง

“อะไร”

“เรากลับดีกว่า”

“แปบน่า กอดกันก่อนนะ”

“เหอะมีสิทธิ์อะไรมากอดเนี่ย อย่ามาเนียนให้มันมากนัก”

“สำหรับต้นกล้าพี่อาจจะไม่ได้เป็นอะไร แต่รู้มั้ยว่าสำหรับพี่ต้นกล้าเป็นคนหนึ่งที่สำคัญมาก พี่อธิบายไม่ถูกหรอกแต่ต้นกล้าทำให้ตรงนี้ของพี่รู้สึกมีพลัง” เด็ดเดี่ยวจับมือต้นกล้ามาแนบไว้ที่กลางอก ตรงที่มีก้อนเนื้อเต้นเป็นจังหวะเร็วแรงอยู่ในนั้น มันเต้นแรงมากจนเจ้าของมือเรียวที่ทาบทับอยู่ รู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน พอได้พูดออกมาแล้วก็พูดไม่หยุดสินะคนหน้ามึนคนนี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้เกิดความวูบวาบขึ้นกับต้นกล้า มันวูบ ๆ วาบ ๆ ไปทั้งตัว แล้วนี่มันคืออะไร อะไรคือความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในหัวใจของคนหัวแดงเมื่อได้ยิน มันอุ่นจนร้อนเหมือนกับตัวจะละลาย แต่กลับเป็นความร้อนที่ทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีจนหัวใจพองโต

หลังจากที่เด็ดเดี่ยวพูดอะไรเลี่ยน ๆ แบบนี้ออกมา ก็เปลี่ยนท่ามานอนตะแคงหันหน้าเข้าหา เอามือค้ำหัวตัวเองข้อศอกยันพื้นโซฟาไว้ ส่วนมืออีกข้างกอดเอาบางของต้นกล้าไม่ปล่อย เขาพูดออกมาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่วนแววตานั่นมันก็ช่างมีแต่ความมุ่งมั่น มั่นคง และดูมั่นใจเหลือเกิน มันแตกต่างกับครั้งเก่าคนก่อนตอนนานมาแล้ว ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แตกต่างมากจนทำให้เลิกคิดและลืมเรื่องเก่า ๆ เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าด้วยความรู้สึกเดียวกันล้วน ๆ
 
ต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

“เรามาเป็นคนสำคัญของกันนะ ได้มั้ย” มือเรียวถูกดึงขึ้นมากดจูบหนัก ๆ ลงที่กลางอุ้งมืออย่างอ่อนโยนเมื่อพูดจบ แต่มันเล่นเอาต้นกล้าหน้าขึ้นสีจนแทบไปไม่เป็น

“วู้...พูดอะไรออกมาเนี่ย ปล่อย ๆ ลุกก่อน”

“ตกลงก่อนสิ”

“อะไรนักหนา”

“งั้นพี่ไม่ปล่อย”

“จะปล่อยดี ๆ หรือต้องลงไปนอนที่พื้นก่อน”

“อย่าโหดกับพี่สิ เขินแล้วอารมณ์ร้ายเหรอ”

“บ้าสิใครเขิน พูดมาได้”

“ตกลง”

“..” ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย กับเด็ดเดี่ยวที่กำลังอยู่ในโหมดหวานและอ้อนอย่างนี้ จึงพยายามดันตัวเองออกจากอ้อมกอดอบอุ่น ซึ่งอีกคนก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“ยิ้มอะไร”

“อุ้ย พี่เปล่าครับ” มันไม่น่าเชื่อหรอกที่บอกว่าเปล่า เพราะเจ้าตัวยิ้มกว้างอย่างมีความสุขออกมาทั้งทางสายตา สีหน้าและริมปากอย่างนั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มทั้งสองต้องสนใจ ในเมื่อมีความสุขมันก็คือความสุข มีแล้วก็เปิดรับมันเถอะอย่าทำฟอร์ม

“งั้นเราจะลงข้างล่างแล้ว ไม่รู้จะขึ้นมาทำไมสิน่า” ว่าแล้วต้นกล้าก็ลุกจากโซฟาเดินลงบันได้ไปอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เพราะความเขินเลยนะ ไม่ใช่เลยจริง ๆ มันเป็นเพราะขึ้นมาอยู่บนบ้านคนอื่นเขานานแล้วเถอะ ต้นกล้าคิดแต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเองต้องคอยแต่จะยิ้มออกมาก็ไม่รู้สิเนี่ย

“เดี๋ยวสิรอพี่ก่อน ไม่ตอบพี่ถือว่าตกลงนะ” ต้นกล้าไม่สนใจเสียงเรียกที่ดังตามหลังมา รีบวิ่งลงบันไดจนถึงห้องโถงซึ่งเป็นห้องรับแขกชั้นล่าง แต่ยังเดินไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายขาสองข้างก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง ราวกับว่าร่างกายถูกสาปให้แข็งไป แม้ว่าคนที่นั่งอยู่โซฟารับแขกตรงหน้า จะไม่ใช่เมดูซ่าที่สบตาแล้วกลายเป็นหิน แต่ก็เล่นเอาต้นกล้ายืนอ้าปากนิ่ง ด้วยความตกใจไปเลยทีเดียว

“อ้าวพ่อ” เด็ดเดี่ยวทักพลางเดินลงมา ถือโอกาสกอดคอต้นกล้าที่ยืนค้างนิ่งเผยอปากตะลึง เหมือนตอนเห็นไอ้เดี่ยวน้อยที่บ่อปลาไม่มีผิด ส่วนกำนันอาจหาญแค่จ้องมองท่าทางสนิทสนมของชายหนุ่มทั้งสองไม่วางตา “พ่อกลับมาเมื่อไหร่”

“สักครู่” สักครู่เหรอถ้าอย่างนั้นก็ต้อง เฮ้ย! ต้นกล้าหันขวับไปมองเด็ดเดี่ยวด้วยสีหน้าตกใจ แต่อะไรคือการที่อีกคนกลับยิ้มหน้าระรื่น แถมยังมายืนกอดคอเขาอยู่ต่อหน้าลุงกำนันแบบนี้ นี่ไม่กลัว ไม่เกรง ไม่อาย ไม่สะทกสะท้านหรืออย่างไร ต้นกล้าอายนะไม่ใช่ไม่อาย ไหนจะเรื่องที่ทำด้วยกันเมื่อสักครู่นั่นอีก ถ้าลุงกำนันเดินขึ้นบ้านไปเป็นได้เห็นแน่ ๆ ล่ะ

“ปล่อย” กระซิบบอกเบา ๆ นอกจากเด็ดเดี่ยวจะไม่สนใจ เขายังรั้งให้ต้นกล้าเดินไปนั่งลงที่โซฟาอีกตัวด้วยกันหน้าตาเฉย แล้วต้นกล้ามีหรือจะยอม นอกจากจะขืนตัวเอาไว้สุดฤทธิ์ยังไม่ยอมลงนั่งข้าง ๆ กันอีกด้วย การกระทำแบบนี้มันทะแมง ๆ นะว่าไหม เหมือน ๆ จะเป็นการเปิดตัวกลาย ๆ นะถ้าคิดไม่ผิด เฮ้ย! ต้นกล้าคิดแบบนั้นได้ยังไง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ

“พ่อครับ คือ อุ๊ป” เพราะสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกำลังจะพูดออกมา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด แต่คงปล่อยให้ไอ้คนหน้ามึนพูดอะไรมากตอนนี้ไม่ได้ ต้นกล้าไม่ได้หน้ามึนเหมือนเด็ดเดี่ยวนี่ จะพูดจะทำอะไรบอกกันก่อนได้ไหม ให้ต้นกล้าได้เตรียมตัวบ้างสิ

“อย่าพูด” ต้นกล้ากระซิบบอกลอดไรฟันออกมา ตาก็ดุข่มขวัญ ส่วนเด็ดเดี่ยวได้แต่มองงง ๆ ไม่เข้าใจ

“อะไร”

“ก็จะพูดอะไรล่ะ”

“พี่จะบอกพ่อว่าจะพาต้นกล้าไปดูไร่ไง”

“อ้าวเหรอ” จนได้สินะหน้าแตกอีกจนได้ ไอ้เราก็นึกว่า...เอ่อ ช่างมันเถอะ ต้นกล้าคลายมือออกจากการล็อคคอเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ตอนที่โผเข้ามาปิดปากชายหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้ ส่งยิ้มแหยที่ดูประหม่าให้ลุงกำนันแล้วนั่งหลบตามองต่ำ ค่อย ๆ รักษาอาการหน้าแตกของตัวเองให้ดีดังเดิม

เด็ดเดี่ยวคุยอะไรกับพ่ออยู่ครู่หนึ่ง และต้นกล้ารู้สึกว่าลุงกำนันถามอะไรเขาบางอย่าง แต่คงเป็นเพราะเขาเบลอไปแล้วจึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวกระตุกมือที่กุมอยู่แล้วบอกว่าไป นั่นจึงทำให้ต้นกล้าได้สติรู้ตัว ยกมือไหว้ลาลุงกำนันแล้วเดินตามร่างสูงใหญ่ของอีกคนออกจากบ้านไป เฮ่อ โล่งแล้วสินะไอ้กล้าเอ้ย

ความเงียบสีชมพู ความเงียบที่ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันออกมา แต่เป็นความเงียบแบบที่ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างรู้สึกดี แม้ไม่ต้องมีคำพูดมากมายมาบอกกัน ต้นกล้ารู้สึกเหมือนมีฟองสบู่ลอยวนอยู่รอบตัวภายในรถ ฟองสีชมพูที่เปล่งแสงแวววาวน่ามอง แบบนี้ต้องเรียกว่าความเงียบสีชมพูมันใช่แน่แล้ว เมื่อต้นกล้ายืนยันหนักแน่นว่าจะกลับบ้าน และเอาไว้วันหลังค่อยมาดูไร่ใหม่ เด็ดเดี่ยวก็ยอมตามใจ ตอนนี้ทั้งสองจึงอยู่บนรถระหว่างทางพาไปบ้านคุณยาย ที่ต่างคนก็ต่างนั่งอมยิ้มเงียบ ๆ มาตลอดทางจนมาถึงบ้านนั่นแหละ

“ไปไหนกันมาล่ะนั่น” แม่แจ่มใจที่นั่งทำอะไรบางอย่างอยู่บนแคร่หน้าบ้านทักขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าลงมาจากรถตามด้วยเด็ดเดี่ยว

“ไปบ้านลุงกำนันมาครับ”

“แหมบอกไปบ้านพี่ก็ได้หรอก”

“เหอะ แล้วนี่น้าแจ่มทำอะไรครับ”

“เตรียมของไว้ทำบุญ เดี๋ยวอีกสองวันก็บุญเดือนเก้าแล้วใช่มั้ยพ่อเดี่ยว กำนันว่ายังไง”

“ครับใช่ครับก็คงเหมือนทุกปี”

“ให้กล้าช่วยมั้ยครับ”

“เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวเอาไปเก็บ น้าจะทำกับข้าวเย็นนี้ไว้ให้ พ่อเดี่ยวกินด้วยกันนะ”

“เอ๊ะ ไหนต้นกล้าบอกจะลองทำอาหารเองไง น้าแจ่มไม่ต้องทำไว้หรอกครับ เดี๋ยวให้ต้นกล้าทำเองก็ได้” ต้นกล้าตาโตหันขวับไปมองเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว หากไม่เกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนแคร่ ก็อยากจะตะโกนถามไอ้คนหน้ามึนนี่สักหน่อย ว่าเขาบอกตอนไหน เรื่องจะลองทำอาหารกินเอง รู้สึกว่าวันนี้คนคนนี้จะทำให้ต้นกล้าตาโตได้ทั้งวันเลยนะ

“จริงมั้ย” ยังมีการหันมาถามต้นกล้าแต่ก็ไม่ได้รอคำตอบ “น้าแจ่มไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าก็ดีเหมือนนะให้ตันกล้าลองหัดทำอาหารกินเองดู น้าแจ่มจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ตะ..”

“แรก ๆ เดี๋ยวให้พี่กับน้าแจ่มสอนก็แล้วกันนะ คราวนี้ต้นกล้าอยากกินอะไรก็ทำกินเองได้หมดเลย เห็นว่าอยากทำนะเนี่ย”

“จริงเหรอ” แม่แจ่มใจหันไปถามต้นกล้าที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างเด็ดเดี่ยว

“ตอบน้าแจ่มไปสิ เมื่อกี้ยังพูดมาตลอดทางเลยว่าอยากทำกับข้าวเป็นน่ะ” ได้โล่! ออสการ์หรืออะไรเทือกนั้น เหมาะกับเด็ดเดี่ยวตอนนี้มาก ๆ อย่างนี้ต้องส่งชื่อเข้าชิงออสการ์ประจำปี คนอะไรจะพูดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตุเป็นตะได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ต้นกล้าไม่เคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อนสักคำ

“เห็นบอกว่าเวลาน้าแจ่มกับไอ้จ๋าไม่อยู่จะได้ทำกินเองได้ครับ”

“นั่นสิน้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ งั้นถ้าอยากลองทำน้าก็จะสอน เย็นนี้จะกินอะไรดีล่ะเราปลาดีมั้ย”

“ไม่เอาดีกว่าครับเที่ยงก็ลงปลากันมาแล้ว ไอ้จ๋าก็ไป”

“เหรอถ้าอย่างนั้นก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่าอยากกินอะไร ของสดไอ้จ๋ามันก็พึ่งซื้อมาไว้”

“ดีเลยครับ งั้นเดี๋ยววันนี้ผมรับอาสาสอนต้นกล้าเอง”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วนี่ไอ้จ๋าไปไหนน้ายังไม่เห็นเลยตั้งแต่เมื่อเช้า”

“หึ ๆ สงสัยเข้าอำเภอครับ”

“เอ๊ะเข้าอำเภอเหรอ ไปทำไม”

“คงไปส่งใครบางคนครับน้าแจ่ม” ต้นกล้าพึ่งมีคิวได้พูดหลังจากที่อึ้งอยู่นาน เขาบอกพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อยมีแววสนุกสะใจ และต้องกลั้นขำเมื่อนึกถึงสีหน้าของไอ้จ๋า จนลืมเรื่องทำกับข้าวไปเลย

“ส่งใครเหรอ เพื่อนที่มาหรือเปล่า”

“ครับ หึ ๆ “

“อ่อ หนูส้มนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นน้าเอาของไปเก็บก่อน ทำกับข้าวก็ดูฟืนดูไฟกันดี ๆ นะ ขาดอะไรก็ไปเอาที่บ้าน”

“ครับให้ผมถือไปส่งมั้ย “

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง ไปล่ะ” แม่แจ่มใจเดินกลับบ้านไปแล้วพร้อมกับตะกร้าใส่ของ โดยมีเด็ดเดี่ยวมองตามจนหญิงวัยกลางคนเดินลัดสวนมะม่วงไป เขาจึงนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่แทน

“นี่”

“อะไร”

“เราบอกตอนไหนว่าจะทำกับข้าวกินเอง”

“ก็”

“ทำไมไปบอกน้าแจ่มว่าเราจะหัดทำกับข้าว เราไม่เคยพูดสักหน่อย”

“ก็พี่อยากให้ต้นกล้าทำอาหารเป็นนี่ อีกอย่างงานน้าแจ่มก็เยอะแล้ว” ข้ออ้าง! นี่มันข้ออ้างชัด ๆ แต่ต้นกล้าก็ทำได้แค่ประท้วงในใจนั่นล่ะ เพราะยังไงน้าแจ่มใจก็รับรู้ไปแล้วนี่ ว่าเขาจะทำอาหารกินเอง ว่าแต่นี่มันข้ออ้างที่เด็ดเดี่ยวหามาเพื่อจะแกล้งเขาแน่ ๆ เลย เพราะยังไงแม่แจ่มใจก็ต้องทำกับข้าวกินทุกวันอยู่แล้ว ทำเผื่อต้นกล้าหน่อยจะเป็นไรไป “หน้างอเชียว”

“ก็แกล้งเรานี่” ใบหน้าหล่อใสในแบบเกาหลีตึงจนน่ากลัว ว่ามันจะปริออก

“พี่ไม่ได้แกล้ง ไหนบอกโตแล้วแค่นี้หัดช่วยตัวเองบ้าง”

“ไหนบอกคนสำคัญ”

“ก็สำคัญไง”

“ถ้าสำคัญงั้นก็ทำให้เรากินเลย” หึ ๆ

“หืม..เกี่ยวกันเหรอ”

“ไม่อยากเกี่ยวก็กลับบ้านไปดิ”

“เอาอีกละไล่อีกละ”

“ก็หาเรื่องแกล้งตลอดทำไมวะ”

“พี่ไม่ได้แกล้ง พี่แค่..”

“..” ต้นกล้าหน้าบึ้งมองเด็ดเดี่ยวตาขวาง ที่อีกคนเว้นช่วงเอาไว้ไม่ยอมพูดต่อ

“พี่ก็แค่อยากกินอาหารจากฝีมือคนสำคัญของตัวเองไง” แววตาหวาน ๆ จากดวงตาคมคู่นั้นมันคืออะไร ต้นกล้าดูผิดไปใช่ไหมนะ แล้วฟังพูดเข้าสิ คนบ้านี่พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างหรือเปล่า คนสำคัญของตัวเอง อย่างนั้นเหรอ ต้นกล้าไปตกลงเป็นคนสำคัญของของคนตัวโตตั้งแต่ตอนไหน พูดออกมาแล้วคิดบ้างไหมว่าต้นกล้าจะเป็นยังไงที่ได้ฟัง ฮึ่ย ไอ้คนหน้ามึน รู้บ้างไหมคนฟังมันทำตัวไม่ถูกนะโว้ย!

เฮ้อ ต้นกล้าคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเสียงยาวเหมือนปลงตก ก่อนจะบอกเสียงอ่อย

“เราไมเคยทำกับข้าวนี่” มาถึงตรงนี้ต้นกล้าให้คิดถึงตอนที่คุณยายเข็ญให้เข้าครัว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

“พี่จะสอนให้ไง มานี่มาเย็นนี้อยากกินอะไร” เด็ดเดี่ยวเดินนำต้นกล้าเข้าไปทางครัว ซึ่งอยู่ส่วนหลังของบ้านที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดีไม่ดีอาจจะคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าต้นกล้าที่เป็นหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าของบ้านเองเสียด้วยซ้ำ

“มีของสดครบหมดเลยปลา หมู ไก่ ทำอะไรดี ต้มปลามั้ย”

“ปลาพึ่งกินมาเมื่อกลางวันนี้เถอะ”

“งั้นก็หมู..” ต้นกล้ายังเงียบเพราะในหัวคิดถึงเมนูหนึ่ง ที่พึ่งเคยกินไปไม่นานมานี้เอง ครั้งแรกก็ติดใจและอยากลองอีก “งั้นก็ไก่.. “

“ใช่ทำเหมือนวันนั้นนะที่บ้านไอ้จ๋า”

“อ๋อต้มไก่ใบมะขามอ่อนน่ะเหรอ ได้สิ เริ่มกันเลยมั้ยล่ะ แต่ก่อนอื่นต้องเตรียมของก่อน”

“เตรียมอะไรบ้าง”

“ก็พวกผักเครื่องปรุงไงข่าตะไคร้อะไรพวกนี้ที่ต้องไปเอาสด ๆ ในส่วนมาทำ มันถึงจะได้รสชาติดีและกลมกล่อม” เด็ดเดี่ยวหาเสียมถือติดมือเดินไปที่สวนหลังบ้าน ซึ่งไอ้จ๋าคอยดูแลรดน้ำอย่างดีไว้ตลอด ซึ่งมีผักสวนครัวทุกอย่างเอาไว้เก็บกินทั้งปี โดยมีต้นกล้าเดินตามหลังอย่างว่าง่ายจนได้ทุกอย่างครบตามที่ต้องการ

“ไปติดเตาไป เดี๋ยวพี่หุงข้าวไว้ก่อน” บอกพลางจัดการหุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้าตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนเสร็จ จึงเอาไก่ออกมาสับไว้ซึ่งเป็นไก่บ้านเนื้อดีที่ไอ้จ๋ามันทำเตรียมเอาไว้แล้ว

“อ้าว มีเตาแก้สอยู่ติดเตาถ่านทำไม”

“เผื่อแก้สหมดจะได้ทำเป็นไง นี่ถ่านเอาไม้นี่ทำเชื้อ จุดไฟใส่ถ่านจบ” เด็ดเดี่ยวชี้ที่กระสอบใส่ถ่านขมุกขมัว และกองกิ่งไม้แห้งที่จัดเอาไว้เป็นระเบียบอย่างดี เป็นการบอกให้ต้นกล้าได้ลองแสดงฝีมือของตัวเอง ส่วนคนที่ต้องลงมือทำมองอย่างไม่ค่อยมันใจเท่าไหร่ แต่ก็หยิบไม้แห้งมาหักใส่เตาจุดด้วยเชื้อไฟ พอไฟติดไม้สักหน่อยก็เอาถ่านมาใส่เตาตามอีกคน ที่ยืนจังก้ากอดอกบอกอยู่ข้าง ๆ โดยต้นกล้าใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาถ่านขึ้นมาเต็มสองมือ แล้วทิ้งลงในเตาไฟ

พรึ่บ! แต่เพราะไม่ทันได้ระวังควันไฟที่กำลังคลุ้งขึ้นมาเลยเข้าตาเสียนี่ ยกมือขึ้นมาขยี้เบา ๆ โดนควันนิดหน่อยแต่ก็เล่นเอาแสบจนน้ำตาไหลได้เลยทีเดียว

“ฮ่า ๆ ”

“ขำอะไร”

“ควันไฟเข้าตาเหรอ”

“อืม”

“นึกว่าอยากเป็นขวานฟ้าหน้าดำซะอีก”

“ทำไม”

“ก็เอามือจับถ่านมาถูหน้าตัวเองดำหมดแล้วนั่น” เด็ดเดี่ยวบอกทั้งกลั้นขำ

“อ้าวลืม ไหนดำตรงไหน” ต้นกล้าเดินเข้ามาใกล้ ๆ เด็ดเดี่ยวพลางยื่นหน้าเข้ามาหา เพื่อให้คนตัวโตได้ชี้จุดที่เปื้อนคราบดำบนใบหน้าของตัวเอง แต่พอเด็ดเดี่ยวก้มหน้าเข้ามาเท่านั้นแหละ

“นี่แน่ อุ้ยขวานฟ้าหน้าดำ ฮ่า ๆ ”

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวกัดฟันเรียก เพราะจากที่โดนฝ่ามือเปื้อนถ่านทั้งสองข้างของต้นกล้าโป๊ะเข้าเต็ม ๆ หน้าแบบนี้ ชายหนุ่มเดาได้เลยว่าใบหน้าของเขานั้น ต้องดำกินพื้นที่มากกว่าแน่นอน

“อย่า อย่าเชียวนะ อย่าคิดเอาคืนเราเชียวฮ่า ๆ ” ต้นกล้าแหงนหน้าหัวเราะงอหายอย่างสะใจ เพราะจากใบหน้าหล่อคมที่ดูคร้ามนิด ๆ จากการชอบอยู่กลางแจ้ง ตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบถ่านสีดำเป็นปื้นเต็มหน้า

“แล้วแกล้งพี่ทำไมล่ะ”

“ก็หัวเราะเยาะเรานิ ไปเลยเตรียมของเลยเราอยากเรียนทำอาหารจะแย่แล้วตอนนี้”

“ล้างหน้าก่อน”

“ทำเดี๋ยวนี้เลยเราอยากกินต้มไก่แล้ว”

“แต่..”

“น่าทำเสร็จค่อยล้างละกัน”

“อืม” เด็ดเดี่ยวยอมทำตามที่ต้นกล้าต้องการ แม้ว่าจะมีเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาเป็นระยะ เพราะคนหัวแดงหน้าเกาหลียังไม่หยุดขำ ต้นกล้าเดินไปล้างมื้อเสร็จ ก็กลับมานั่งดูคนตัวโตจัดการตั้งหมอ และใส่เครื่องเตรียมไว้อย่างคล่องแคล่ว

“ไปเก็บยอดมะขามอ่อนมาหน่อยสิ เมื่อกี้พี่ลืม”

“เก็บไหน”

“ท้ายสวน นั่นไงต้นมันน่ะเอามาเยอะหน่อยล่ะกันเผื่อไว้”

“เคร คิก ๆ ” รับคำสั่งแล้วต้นกล้าก็ลุกขึ้นจากแคร่ตัวเล็ก ที่เอามาวางไว้นั่งเวลาเตรียมอาหาร แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำไม่อยู่ เพราะพ่อครัวใหญ่ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา ตามที่ต้นกล้าต้องการ บนใบหน้าคมคร้ามยังมีคราบถ่านดำ ๆ อยู่เต็มหน้าเหมือนเดิม และนั่นมันทำให้คนหัวแดงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เด็ดเดี่ยวหันกลับมาสนใจหม้อต้มที่น้ำเริ่มร้อนมีไอลอยกรุ่น เพราะไฟในเตากำลังแรง เขาใส่ข่าอ่อนที่หั่นเป็นแว่นพอดีคำ ตะไคร้ทุบพอบุบหั่นเฉียงและมะขามเปียก คนหน้าดำผิวปากเป็นทำนองเพลงโปรดขณะที่ทำอะไรเพลิน ๆ อยู่ จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงฝีเท่าคนเดินเข้ามาใกล้จึงหันกลับไปมอง

!!!

“อะไรกันวะเนี่ย” พ่อครัวใหญ่ถามด้วยความฉงนพลางเดินเข้าไปหาต้นกล้า ที่ยืนแบกกิ่งมะขามกิ่งใหญ่เอามือปิดหน้าซีกหนึ่งเอาไว้ทั้งซีก “พี่ไม่ได้บอกให้เอามาทั้งต้นแบบนี้นะ เฮ้ย” และพอดึงมือที่ต้นกล้าเอาปิดหน้าตัวเองไว้ออก ก็ต้องร้องเสียงดังเพราะความตกใจเลยทีเดียว เพราะใบหน้าหล่อใสของต้นกล้าบัดนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณขอบตาซ้ายและริมฝีปากล่างข้างซ้ายที่เริ่มบวม

“เด็ดเดี่ยวห้ามขำ”

“พี่เปล่า ฮ่า ๆ “

“ยังอีกหน้าเราบวมใช่มั้ยฮึ่ย” ต้นกล้าสะบัดกิ่งมะขามกิ่งใหญ่ทิ้งแล้วเดินไปนั่งลงบนแคร่อย่างขัดใจ

“ไหนไปยังไงมายังไงถึงได้เป็นแบบนี้เล่าให้พี่ฟังซิ” พยายามกลั้นขำทั้งที่ทำได้ยากเหลือเกิน แต่เพื่อคนสำคัญคนนี้เด็ดเดี่ยวต้องทำให้ได้ ชายหนุ่มจึงบอกและพยายามอดกลั้นตัวเอง ไม่ให้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แต่มันก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะใครจะสามารถทำเป็นไม่ขำ คนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงอย่างต้นกล้าตอนนี้ได้ จนกระทั่งต้นกล้าเล่าออกมาว่าเขาเดินไปเก็บยอดมะขาม อย่างที่คนตัวโตบอกนั่นแหละ แต่ยอดสวย ๆ มันดันอยู่สูง ต้นกล้าอยากได้จึงต้องกระโดดเพื่อดึงกิ่งมันลงมา แต่ไม่รู้ไปคว้าท่าไหนกิ่งมะขามมันดันหักลงมาทั้งกิ่งใหญ่ และพอต้นกล้าเดินเข้าไปจะเก็บเอายอดมะขามจากกิ่งที่หัก กำลังจะก้มลงเก็บอยู่แล้วเชียวกลับถูกแตนต่อยเอาเสียก่อน จนต้องหลบหลีกเป็นพัลวัน และสุดท้ายก็เอากิ่งมะขามที่หักนั่นแหละมาไล่แตน จากนั้นจึงรีบวิ่งกลับมาบ้านแต่ไม่วายยังโดนต่อยที่ตาและปากอย่างที่เห็น

“ฮ่า ๆ ” เด็ดเดี่ยวปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เมื่อต้นกล้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจนจบ พอหันไปดูกิ่งมะขามที่อีกคนแบกมาด้วย เขายังเห็นรังแตนขี้หมารังเล็ก ๆ ติดอยู่สองรัง หันกลับมามองหน้าคนตัวเล็กกว่า ที่ตอนนี้บวมอลึ่งฉึ่งไปทั้งซีกอีกครั้งก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก แต่คำพูดยังถนอมน้ำใจ “แค่แตนขี้หมาน่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก”

“หืม ชื่อมันเหรอ ทำไมชื่อนี้ล่ะ”

“เพราะถ้าเทียบกับแต่พันธุ์อื่นแล้วมันเป็นขี้หมาไปเลยไง พิษสงไม่มาก”

“แต่เราก็เจ็บอยู่ดีนี่บวมด้วยใช่มั้ย มันปวด ๆ ” ต้นกล้าเอามือแตะตามหน้าตามตาของตัวเอง เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ ใจอยากจะได้กระจกสักบานนะ แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่รู้จะกล้าส่องดูหน้าตัวเองหรือเปล่า

“ไหนให้พี่ดูซิ”

“จะทำอะไร”

“อยู่นิ่ง ๆ “เด็ดเดี่ยวใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อใสให้แหงนหน้าขึ้น “ต้องเอาเหล็กในมันออก” บอกหลังจากพิจารณารอยที่โดนต่อยใต้ริมฝีปากล่างแล้ว

“เอาออกยังไง”

“อย่างนี้ไง”

“โอ้ย เจ็บ ๆ ” เด็ดเดี่ยวใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดลง แล้วดันตรงรอยบวมที่มีจุดแดงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง จากนั้นก็..

“อื้ออออ เฮือก จูบทำไม”

“พี่ไม่ได้จูบ แค่ดูดเอาเหล็กในแตนอออกให้”

“นี่จูบเราชัด ๆ เหอะ”

“หึ ๆ เหลืออีกที่ อยู่นิ่ง ๆ ก่อน”

“โอ้ย เบาหน่อยสิ” เด็ดเดี่ยวกดเหล็กในเหมือนที่ทำตอนแรก จากนั้นก็ดูดมันออกมาจากผิวขาวใสด้วยจูบหนัก ๆ ซึ่งเป็นการดูดเหล็กในของแตนที่ต่อยออก ตามวิธีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเด็ดเดี่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้น “พอแล้ว”

“ดีขึ้นมั้ย”

“ก็ดี แล้วเมื่อไหร่จะไปล้างหน้าล้างตาล่ะเนี่ย”

“เดี๋ยวค่อยล้าง หม้อเดือดแล้ว”

“รีบไปทำต่อสิ”

“เด็ดยอดมะขามไปล้างให้พี่หน่อยไป”

“ก็ได้ ว่าแต่มันคงไม่ต่อยเราอีกนะ”

“หึ ๆ ไม่แล้วล่ะ เร็ว ๆ หม้อเดือดกำลังได้ที่แล้วเนี่ย” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเทไก่และเครื่องปรุงที่เหลือลงในหม้อ รับยอดมะขามอ่อนที่ต้นกล้าล้างมาแล้วใส่ลงไปเป็นอย่างสุดท้ายแล้วปิดฝา

“ไปไหน”

“ห้องน้ำ” เด็ดเดี่ยวหันกลับมาสนใจหม้อต้มไก่ที่กำลังเดือดปุด ชายหนุ่มตักน้ำซุปชิมรสแล้วยิ้มอย่างพอใจ ที่ทำออกมาได้อร่อยพอดี เมื่อไก่สุกก็ยกหม้อลงจากเตา แล้วตักน้ำซุปขึ้นชิมรสอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ รสชาติต้มไก่บ้านหม้อนี้กลมกล่อมจากเครื่องที่กะได้อย่างพอดีจึงได้รสอร่อย แต่ยังเคลิบเคลิ้มกับความกลมกล่อมได้ไม่เท่าไหร่.....

อ๊าก!!!

“ต้นกล้า “เด็ดเดี่ยววางช้อนแล้ววิ่งไปตามเสียงร้องที่ดังออกมาจากทางห้องน้ำ เห็นอีกคนยืนสั่นเอามือปิดหน้าปิดตาตัวเองร้องฮือ ๆ อยู่ก็รีบเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร ร้องทำไมเป็นอะไรบอกพี่สิ”

“หน้าเรา ๆ “

“หน้าเป็นอะไรไหนเอามือออกซิ”

“ไม่ ๆ อย่าดึง”

“เอาออกก่อนพี่ดูให้”

“ไม่เอาไม่ให้ดูออกไป ออกไปอย่ามาใกล้เรา หน้าเราทำไมเป็นแบบนี้ ออกไป ๆ ”

“อย่าดื้อเปิดหน้าให้พี่ดูก่อน”

“ม่าย อ๊าก” ต้นกล้าร้องเสียงดัง เมื่อเด็ดเดี่ยวพยายามจะดึงมือที่เขาเอาปิดหน้าตัวเองออกให้ได้ แต่เพราะไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่บวมเป่งจนผิดรูป จึงเอาแต่ก้มงุดจนคางชิดอกใช้สองมือปิดไว้แน่น สภาพแบบนี้เขายังรับตัวเองไม่ได้แล้วคนอื่นจะรับได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางหรอก นอกจากจะรับไม่ได้แล้วคงขำกันกลิ้งเชียวล่ะ

“ไหนเงยขึ้นมาซิ” บอกพร้อมกับเชยคางให้ต้นกล้าเงยหน้าขึ้น “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”

“ไม่มีได้ยังไงหน้าเราบวมขนาดนี้ อย่ามาหัวเราะเยาะเรานะ” ต้นกล้าตอบเสียงกระเง้ากระงอด ยิ่งเงยหน้าขึ้นเห็นเด็ดเดี่ยวกำลังพยายามกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ยิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดขัดใจไม่สบอารมณ์

“มันก็บวมแบบนี้ตั้งแต่เดินมาแล้ว”

“ห๊ะ แล้วทำไมไม่บอกเราแต่แรก”

“ก็..”

“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวยกมือขึ้นมาเสมอหน้าอกเป็นการบ่งบอกว่ายอมจำนน แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากยิ่ง ที่จะไม่หัวเราะขำกับภาพใบหน้าบวมปูดของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่าชายหนุ่มพยายามเม้มปากตัวเองเอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้ปล่อยเสียงออกมาแล้วก็ตาม แต่มันก็ทำได้อยากยิ่งนัก จากหนุ่มหน้าตาหล่อสดใส ๆ ในแบบเกาหลีนิยม กลายเป็นแปะยิ้มครึ่งเดียว เพราะใบหน้าอีกครึ่งที่ไม่ถูกแตนต่อยยังดูปกติดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้เด็ดเดี่ยวขำได้อย่างไร ไหนจะริมฝีปากล่างที่กำลังบวมบานออกมานั่นอีก ดูยังไง้ยังไงก็น่าจูบล่ะนะปากอิ่มอวบออกอย่างนั้น

“มองอะไร” ต้นกล้าถามด้วยท่าทางและน้ำเสียงหาเรื่อง เมื่อเด็ดเดี่ยวเอาแต่มองหน้าไม่พูดอะไร “อย่ามองเรานะมันน่าเกลียด”

“น่าเกลียดที่ไหนน่ารักจะตาย ดูปากสิน่าจูบมากเลย” จุ๊บ เมื่อบอกว่าน่าจูบเด็ดเดี่ยวก็ยืนยันด้วยการก้มลงเอาปากของตัวเองไปแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างบวมบานของต้นกล้าหนึ่งทีเป็นการยืนยัน

“ไม่เอาเราไม่ให้ทำแบบนี้ออกไป”

“มา ๆ ออกมาไม่ต้องอายหรอก คนแถวนี้ใคร ๆ ก็โดนเจ้าแตนขี้หมานี่ต่อยกันทั้งนั้นล่ะ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็หายบวมแล้วน่า พี่บอกแล้วไงว่าแตนนี่มันไม่มีพิษอะไรมากมายหรอก ไม่งั้นจะได้ชื่อว่าแตนขี้หมาเหรอ เพราะมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนเรื่องขี้หมาไงล่ะ หึ ๆ ”

“หยุดขำ”

“รับแซบครับ “

“อย่างกับว่าตัวเองไม่ตลกเลยเนอะ หน้าก็ดำไม่ยอมล้าง”

“เฮ้ย ใช่แล้วงั้นถอยไปพี่ล้างหน้าก่อน ใครละบอกยังไม่ต้องล้างตั้งแต่ทีแรก ฮึ่ย จำไว้เลยนะ” เด็ดเดี่ยวคาดโทษหลังจากเหลือบมองกระจกเงา จึงได้เห็นว่าหน้าตัวเองก็ตลกมากไม่แพ้กัน กับรอยดำเป็นปื้นที่ยังหลงเหลืออยู่เต็มหน้า ยังดีล่ะนะที่มันสามารถล้างออกให้หายไปได้อย่างง่ายดาย และดีกว่าหน้าที่บวมเป่งนั่นเป็นไหน ๆ

“ฮ่า ๆ ขวานฟ้าหน้าดำ” กลับกลายเป็นว่าต้นกล้าอารมณ์ดีขึ้นได้ กับใบหน้าดำ ๆ ของเด็ดเดี่ยว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าใคร ๆ ก็โดนเจ้าแตนขี้หมานี่ต่อยได้ทั้งนั้น ต้นกล้าก็ให้รู้สึกดียิ่งขึ้น เพราะไม่ได้มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ถูกมันต่อยซะที่ไหน มันไม่ใช่เพราะความซุ่มซ่ามของต้นกล้าที่เดินไปให้มันต่อยหรอกใช่ไหม ใคร ๆ ก็มีโอกาสโดนมันต่อยได้ทั้งนั้นใช่ไหม พรุ่งนี้มันจะหายบวมแน่ ๆ ใช่ไหม แล้วถ้าไม่หายจะทำยังไง ยี้ คนหล่อรับหน้าตาตัวเองไม่ได้แล้ว ใครรู้วิธีแก้ช่วยบอกที

“หน้าดำล้างออกแล้วก็หล่อเหมือนเดิมเถอะ ดีกว่าบวมปูดล่ะ” ยังไม่วายมีเสียงบ่นดังตามหลังต้นกล้ามา แต่คนหัวแดงก็ไม่สนใจ เดินมานั่งรอที่แคร่ไม้ไผ่ตัวเดิม

“อะไรอีก”

“หอมแดงเอาทาไว้ถอนพิษ แก้บวม”

“เหรอ งั้นทาเร็ว ๆ สิ “

“อยู่นิ่ง ๆ นะ” เด็ดเดี่ยวใช้หอมแดงที่หั่นเป็นแว่น ทาลงบริเวณที่ถูกแตนต่อยบนหน้าของต้นกล้า สายตาอ่อนโยนมองด้วยความเป็นห่วงปนขำที่ไม่ใครก็ใครล่ะ ต้องยากที่จะกลั้นมันเอาไว้ได้ แต่เพื่อความสบายใจของต้นกล้า เขาก็ต้องทำให้ได้ แม้จะต้องกัดปากตัวเองไว้จนห้อเลือดไปหมดแล้วก็ตาม ใบหน้าใสบวมปูดดูไปดูมาก็น่าสงสาร เด็ดเดี่ยวจึงทาหัวหอมให้อย่างเบามือ แต่...

“อ๊าก ไอ้พี่เดี่ยว แสบตา ๆ แสบตา”

“เฮ้ย ต้นกล้า พี่ขอโทษ”

“แสบตา ๆ เอาหัวหอมมาทาตาเราทำไม”

“พี่ขอโทษ เอ้านี่เช็ดก่อน” เด็ดเดี่ยวดึงชายเสื้อยืดตัวในของตัวเอง ขึ้นมาเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเพราะความแสบ เขาก็มัวแต่คิดไปเรื่อยเปื่อยจึงทาเพลิน ทาไปใกล้ตาจนลืมว่าอีกคนอาจแสบได้

“แกล้งเรา”

“พี่เปล่าครับ พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจ”

“แล้วมีครั้งไหนที่ตั้งใจบ้างมั้ย”

“มี เอ๊ย ไม่มี”

“ออกไปไกล ๆ หน่อยดิ๊ ทำเราเจ็บตัวตลอดเลย” เดี๋ยวได้เจ็บมากกว่านี้แน่ถ้ายังทำตัวน่ารักอย่างนี้ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะ เด็ดเดี่ยวตีหน้าเศร้ารับผิด ส่งสายตาขอโทษอย่างเว้าวอน

“พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ “จุ๊บ “เพี้ยง หาย “

“จิ๊” ต้นกล้าทำเสียงขึ้นจมูกเมื่อเด็ดเดี่ยวจูบลงที่เปลือกตาบวมเพื่อปลอบใจ

“ดีขึ้นหรือยัง “ดูเหมือนต้นกล้าจะดีขึ้นแต่ก็นิดหน่อยเท่านั้น เพราะยังขยี้ตาตัวเองอยู่เป็นระยะ และมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย ดวงตาสวยแดงก่ำขึ้นทันที เด็ดเดี่ยวถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกเหลือแต่เสื้อยืดสีขาวตัวข้างในอที่ใส่อยู่ ชายหนุ่มเอาเสื้อมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างเบามือ

“อย่ามาใกล้เรา ตัวซวย”

“ถ้าไอ้จ๋ามาเห็นมันจะว่ายังไงเนี่ย”

“อย่าพูดถึงมัน”

“ทำไม”

“เดี๋ยวมันก็มาจริง ๆ หรอก มันต้องหัวเราะเยาะเราแน่ ทำยังไงดีล่ะ”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนะ”

“แต่มันหน้าเกลียดปะ ลองไปให้แตนต่อยหน้าบวมเหมือนเราดิฮึ่ย”

“งั้นรอนี่”

“ไปไหนอะ” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่เดินหายไปครู่หนึ่งก็เดินกลับมา

“อะใส่ไว้”

“หืม หมวกใช่เลยแบบนี้ล่ะที่เราต้องการ”

“ใช่นี่อีโม่งอย่างดี ช่วยอำพรางลองใส่ดูสิ” เด็ดเดี่ยวคลี่หมวกอีโม่งออกให้ต้นกล้า ที่รับไปใส่อย่างดีใจ เพราะจะได้มีอะไรช่วยบิดบังใบหน้าบวม ๆ ให้ อย่างน้อยก็ช่วงแรกแบบนี้ที่มันบวมขึ้นมาอย่างน่าเกลียด มันน่าเกลียดจนเขาเองก็ยังรับตัวเองไม่ได้ “เป็นไง”

“ก็ดี หึ ๆ “

“ก็ดีทำไมขำ ว่าแต่หมวกใคร”

“หมวกพี่เองแหละ เอาไว้ใส่ทำงาน”

“แหวะซักยังล่ะเนี่ย”

“ซักแล้วยังไม่ได้ใช้เลย เอาติดรถไว้เฉย ๆ “

“แล้วไป”

“หิวยัง”

“ยังเดี๋ยวค่อยกิน”

“งั้นไปนั่งคุยกันเล่นหลังบ้านปะ” เด็ดเดี่ยวจูงมือต้นกล้าที่ยอมเดินตามแต่โดยดี ออกไปทางหลังบ้าน ผ่านสวนครัวต้นกล้าจึงพึ่งนึกได้

“เอ๊ะ เย็นแล้วนะไอ้จ๋ายังไม่มารดน้ำผักเลย เราว่าเรารดน้ำให้ผักดีกว่าดูสิดินแห้งหมดแล้ว”

“เอาสิ” ต้นกล้าบอกเสียงอู้อี้ผ่านหมวกที่ใส่ปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง แล้วเดินไปดึงสายยางเปิดน้ำมาฉีดรดผักอย่างอารมณ์ดี และพอคิดเรื่องสนุก ๆ ขึ้นมาได้ ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นยิ่งว่าเก่า ผ่านไปครู่ใหญ่พอรดน้ำผักจนชุ่มฉ่ำดีแล้วก็...

“เฮ้ย ต้นกล้าฉีดน้ำใส่พี่ทำไมพอแล้วเปียกหมดแล้วเนี่ย”

“ฮ่า ๆ เย็นดีออกนี่แน “

“พอแล้วโอ๊ยต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวยกมือขึ้นปัดป้องหน้าตัวเองไม่ให้โดนน้ำที่ฉีดใส่ เพราะต้นกล้าตั้งใจเล่นงานใบหน้าเขาเต็ม ๆ ทั้งสองเล่นฉีดน้ำจนเปียกทั้งคู่ เสียงหัวเราปนมากับเสียงร้องด่า เมื่อต้นกล้าเสียทีโดนเด็ดเดี่ยวแย่งสายยางไปได้และเอาคืน

“พอแล้ว ๆ เรายอมแล้ว”

“ยอมแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย”

“เปียกหมดแล้วเลิกเล่นเถอะ อื้อ แฮก จูบทำไม”

“ก็บอกยอมแล้ว ๆ พี่ก็จูบสิ “

“บ้าบอที่สุด”

หึ ๆ


ขอเสียงคนเคยโดนแตนตอดแน... (ห้ามผวนคำ!!) 555
เจอกันตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีตอนไหนที่ต้นกล้าไม่เจ็บตัว  555

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
บวก1 กับตอนลงเพิ่มและต้นกล้าหน้าบวม. 555

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน


“ทำอะไรน่ะพี่เดี่ยว”

“เออดาวรุ่งมานี่ซิ ทำนี่เป็นปะ”

“โห มีการเล่นโซเซียลด้วยอะพี่เรา”

“เออ สอนพี่หน่อยสิ อันนี้ทำยังไง”

“ง่ายจะตาย ทำอย่างนี้สิ..” แล้วสองพี่น้องก็สอนกันให้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค เมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้น้องสาว เพื่อให้ดาวรุ่งช่วยสอนการใช้งานเล่นแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนชายหนุ่มแทบจะไม่สนใจหรือเสียเวลากับมัน แต่พอเห็นคนบางคนเอาแต่สนใจเล่นโทรศัพท์โดยไม่สนใจเขา เด็ดเดี่ยวเลยอยากรู้ว่าไอ้หัวแดงจอมรั้น ทำอะไรหรือเล่นอะไรบ้าง หลังจากที่พยายามลองเล่นดูด้วยตัวเองอยู่นาน ก็มีผิดบ้างถูกบ้าง แต่พอให้ดาวรุ่งสอน เด็ดเดี่ยวก็ดูเหมือนจะเล่นได้คล่องขึ้น จากนั้นก็กดค้นหาใครบางคนแล้วขอเป็นเพื่อนไป



“ง่ายแค่นี้เข้าใจปะ”

“เข้าใจแล้วขอบใจมาก”

“แล้วนี่จะไปไหนแต่เช้า”

“ไปทำอาหารเช้าให้หมาน้อยกิน”

“หื้ม..หมาน้อยที่ไหน ทำไมไม่เอามาบ้าน”

“ยังไม่ถึงเวลา “หึ ๆ เด็ดเดี่ยวเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ โดยมีดาวรุ่งมองตามพี่ชายอย่างสงสัย กับคำพูดกำกวมที่คนเป็นพี่ทิ้งเอาไว้

“เจ้าเดี่ยวไปไหนแต่เช้าล่ะนั่น”

“เห็นบอกไปทำอาหารเช้าให้หมาน้อยกินจ้ะพ่อ”

“หื้ม..หมาน้อยที่ไหนวะ”

“ไม่รู้สิ” ดาวรุ่งตอบได้เพียงเท่านั้น ไม่ใช่เพราะไม่ใส่ใจ ก็เพราะรู้มาเท่านั้นเหมือนกัน จากนั้นจึงเดินเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้พ่อและตัวเอง แต่ลึก ๆ ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าพี่ชายตัวดีแอบไปเลี้ยงหมาน้อยไว้ที่ไหน ทำไมไม่พามาเลี้ยงที่บ้าน ส่วนกำนันอาจหาญมองตามลูกสาวงง ๆ แล้วหันกลับไปมองท้ายรถลูกชายคนโตที่ขับลับโค้งไปแล้ว ในหัวได้แต่ครุ่นคิด ยิ่งเรื่องที่บังเอิญได้รู้และได้เห็นกับตามา ยิ่งทำให้กำนันคิดหนัก เฮ้อ เมื่อวานกูไม่น่ากลับมาบ้านเร็วเลยพับผ่าสิ



%%%%%%%%

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ “

“เงียบไปเลยนะเว้ย”

“เงียบยังไงไหวครับลูกพี่ฮาขนาดนี้ ฮ่า ๆ ”

“ไอ้จ๋าเงียบโว้ย” !!

“คึ ๆ “ไอ้จ๋าพยายามกลั้นขำอย่างมีจริตจะก้าน ด้วยการเอาฝ่ามือมาปิดปากตัวเอง มืออีกข้างก็กุมท้องเอาไว้มั่น เหมือนพยายามที่จะไม่หัวเราะเพื่อเอาใจลูกพี่ แต่ต้นกล้ารู้ดีว่าลึก ๆ แล้ว นอกจากจะขำไอ้จ๋ามันยังสะใจที่เห็นเขาในสภาพนี้

“แล้วไปทำอีท่าไหนแตนมันถึงได้ต่อยเอาแบบนี้ล่ะครับ จุดสำคัญซะด้วยนิ เล่นเอาหมดหล่อเลยนะครับลูกพี่ หนอยไอ้แตนชั่ว” ! เห็นไหม..? คำพูดมันก็บ่งบอกแล้วว่าสะใจมากขนาดไหน หลังจากที่เห็นหน้าลูกพี่ใหญ่ในตอนแรก ไอ้จ๋าก็มีสีหน้าตกใจและอึ้งค้างอยู่ตั้งครู่หนึ่ง ครู่หนึ่งเชียวนะ แล้วพึมพำถามคนเป็นลูกพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้ยินคำตอบเท่านั้นหละ มันก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ แบบไม่เกรงใจคนเป็นลูกพี่เอาเสียเลย เพราะนอกจากเสียงหัวเราะขบขันจนมันน้ำตาเล็ด และต้องเอามือกุมท้องตัวเองไว้แล้ว ต้นกล้าฟังไม่ผิดใช่ไหม กับความสะใจที่ปนออกมาในเสียงหัวเราะนั่น

ต้นกล้าหน้าตึงระดับสิบมองไอ้จ๋าตาขวาง มองแรง ยิ่งมองยิ่งแรง ยิ่งมันหัวเราะยิ่งมองจนตาแทบถลน แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพราะไอ้จ๋าไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากหัวเราะมากเกินไป แต่สำหรับต้นกล้าแค่นี้แกก็ผิดมากแล้วว่ะไอ้จ๋าเอ๊ย

“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่แกหายไปไหนมาวะเมื่อวาน”

“ไอ้จ๋าก็ไม่ได้ไปไหนนี่ครับลูกพี่ ไปส่งยัยส้มเน่าแล้วก็กลับมา”

“เขาชื่อออเรนจ์เรียกดี ๆ หน่อย”

“ครับ คึ ๆ ”

“นั่นแหละ ไปส่งทั้งบ่ายจนเย็นเลยเหรอวะ ทำอะไรกันมาบ้างไหนเล่ามาดิ๊” ใบหน้าที่เหลือความหล่อเพียงครึ่งเดียวดูจริงจังเมื่อตั้งคำถาม แต่คนมองก็ยังทั้งมองทั้งกลั้นขำ เพราะดูยังไงมันก็ไม่ช่วยกดดันให้ไอ้จ๋าเกรงได้เลยสักนิด

“ไม่มีครับ”

“บอกมา”

“ไม่มีครับ ไม่ได้ทำอะไร”

“แน่ใจเหรอ”

“เอ้า ทำไมไอ้จ๋าจะไม่แน่ใจล่ะครับลูกพี่วู้..ถามอะไรแปลก ๆ ” ไอ้จ๋าเกาหัวเกรียน ๆ ของมันพลางทำเสียงยาวสีหน้าจริงจังเพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่จริง ๆ แล้วย้อนถาม “ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับ หึ ๆ “

“อะไรของแกวะ หึ ๆ เนี่ย”

“ไปไหนมาทั้งบ่าย” มันชะโงกหน้าเข้ามากระซิบถามท่าทางเป็นงานเป็นการ

“ไม่ได้ไปไหนวุ้ย แกจะไปไหนมีอะไรก็รีบ ๆ ไปทำเลยไป”

“เอ๋า มีไล่อีก..ว่าแต่ว่าวันนี้ลูกพี่เดี่ยวไม่เข้ามาเหรอครับ”

“จะไปรู้กะเขาเรอะ”

“อ้าว ก็นึกว่ามีซัมติ้งกัน”

“ห๊า ซัมติ้งบ้าอะไรของแกเลอะเทอะใหญ่แล้ว ไปไหนก็ไปเลยไป”

“ฮ่า ๆ ว่าแต่หน้าลูกพี่นอกจากจะบวมแล้วยังแดงด้วยนะครับเนี่ย แพ้พิษอะไรกันแน่ครับพิษแตนหรือพิษอย่างอื่น..”

“พิษอะไรของแกวะพิษอย่างอื่น”

“ก็พิษอะไรดีน้าที่...”

“ที่อะไรวะพูดให้มันเคลีย ๆ ซิ”

“ที่หายไปทั้งบ่ายเหมือนกันอะครับลูกพี่”

“ฉันไม่ได้หายโว้ยแกอย่ามาเยอะ ก็กลับมาบ้านยังเจอน้าแจ่มอยู่เลยไม่เชื่อไปถามแม่แกดู อย่ามาทำหน้าแบบนี้นะเว้ยเดี๋ยวปั๊ดโบกหัวทิ่มไปนู่นเลย” ไอ้จ๋าเม้มปากหรี่ตามองหน้าคนเป็นลูกพี่ ด้วยท่าทางที่เหมือนไม่เชื่อคำพูดเท่าไหร่นัก เพราะลูกพี่ของมันดูเหมือนว่าจะออกอาการร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวมันก็ไม่ได้อะไรมากมาย แค่อยากแกล้งแหย่คนเป็นลูกพี่เล่น ๆ เท่านั้น

“ฮ่า ๆ ไอ้จ๋าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ไปดีกว่า” แล้วมันก็วิ่งปร๋อลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกวนประสาทคนเป็นลูกพี่ให้เริ่มหงุดหงิดเพราะไปไม่เป็นได้อย่างที่ต้องการ

เช้าวันใหม่ที่ตื่นขึ้นมา ยังไงต้นกล้าก็ไม่สามารถปิดบังใบหน้าที่บวมเป่งได้ เลยต้องปล่อยหน้าสดให้ไอ้จ๋ามันยลโฉม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้จ๋าได้หัวเราะขำไปหลายตลบ ก่อนที่จะลงเรือนไป ต้นกล้าส่องกระจกบานเล็กมือลูบ ๆ คลำ ๆ ใบหน้าของตัวเองอยู่อย่างนั้น เพราะยังรับไม่ได้ หวังว่ามันจะช่วยให้อาการบวมลดลงไปได้บ้าง นี่ไม่รู้ว่าถ้าแม่โทรมาแล้วเปิดกล้องคุยกันจะว่าอย่างไร เพราะอาการบวมยังเหลือให้เห็นได้อย่างชัดเจน ขอบตาข้างซ้ายบวมปิดจนเกือบมิดอันนี้ว่าหนักแล้ว แต่ที่ริมฝีปากล่างนี่สิ ที่บวมเฉย ๆ ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอต่อความอาย เพราะมันยังบานออกมาเหมือนกับเกิดความอวบอิ่มขั้นเต็มที่ยังไงอย่างนั้น

“สายแล้วนะทำไมยังไม่มาซักทีวะ” ครู่ใหญ่ผ่านไปต้นกล้าเดินออกมายืนเกาะลูกกรงระเบียงชานเรือน กวาดสายตามองทางเข้าบ้านพลางบ่นเบา ๆ คนเดียว เพราะคนที่หาเรื่องให้เขาต้องลงมือทำอาหารกินเอง บอกว่าวันนี้จะรีบมาแต่เช้า เพื่อมาสอนให้ต้นกล้าทำอาหารเช้าง่าย ๆ กิน และก็คงต้องสอนกันอยู่พักใหญ่แหละกว่าจะทำเองเป็น ซึ่งคนที่ไม่มีหัวด้านงานบ้านงานเรือนอย่างต้นกล้านี้ เขารู้ตัวเองดีว่าคงไปไม่รอด แม้กระทั่งคุณยายยังเคยเปรย ๆ ว่าให้เขาหัดเอาไว้บ้าง แต่ก็อย่างที่เห็นคือไม่ได้เรื่อง แต่แล้วยังไงล่ะ ใครเป็นคนหาเรื่องให้ก็คนนั้นล่ะที่ต้องรับผิดชอบ โดยการมาทำอาหารให้ต้นกล้ากินทุกวัน เมื่อแผนร้ายผุดขึ้นในหัวอย่างแยบยล มุมปากบวมเป่งก็ยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจ

“หึ ๆ เดี๋ยวได้รู้กันเหอะ”

“รู้อะไรครับลูกพี่”

“เฮ้ย มาเมื่อไหร่วะตกใจหมด”

“เมื่อได้ยินลูกพี่พูดคนเดียวนั่นแหละครับ หน้าตาบวมแล้วยังยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ คิดแผนร้ายอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”

“ไม่มีวุ้ย แผนเผินอะไรของแกวะ” ต้นกล้าปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปนั่งที่มุมนั่งเล่นมุมโปรด เพื่อให้ลมโกรกเบา ๆ รอคนมาทำมื้อเช้าให้กิน

“เดี๋ยวไอ้จ๋าจะลงนานะครับ ลูกพี่จะไปด้วยหรือเปล่า”

“หน้าบวมแบบนี้ไปคนงานหัวเราะตายเลย”

“วันนี้ไม่มีคนงานมาหรอกครับ คนงานไปที่ไร่กันหมด วันนี้ดายหญ้าอ้อยครับ”

“เหรอ แล้วเมื่อกี้แกไปไหนมาวะ”

“สวนผักหลังบ้านครับลูกพี่ แต่รอยใครไม่รู้มาเล่นน้ำจนสวนพังผักล้มเป็นแถบ ไอ้จ๋านี่ของขึ้นเลยเถอะ อย่าให้รู้นะว่าใครมาเล่นอะไรปัญญาอ่อนแถวนี้ พ่อจะจับมาฟาดก้นให้ซ่าไม่ออกเลยครับ ฮึ่ย” คิดมาแล้วไอ้จ๋าก็ให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด มันทุบกำปั้นลงกับฝ่ามืออีกข้างของตัวเองเป็นการระบายไปด้วย จนต้นกล้าสะดุ้งเฮือก!

“ระ เหรอ ใครวะเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้” ต้นกล้าหน้าเสียคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเย็น ที่ตัวเองแกล้งฉีดน้ำใส่เด็ดเดี่ยว แล้วก็ไม่กล้าสู้หน้าไอ้จ๋า ขนาดโดนมันด่ายังไม่กล้าออกปากแก้ต่างสักคำ ก็แน่ละสิชนักอันใหญ่เชียวนะที่ติดหลังอยู่ตอนนี้ ยิ่งได้ยินมันคาดโทษด้วยแววตามาดร้ายเอาเรื่อง เล่นเอาลูกพี่ใหญ่คอหดเลยทีเดียว ไอ้ครั้นจะสารภาพออกมา ก็กลัวไอ้คนขี้สงสัยอย่างไอ้จ๋าจะถามต่อ นี่จะเป็นหัวข้อใหญ่ให้มันได้ซักไซ้ต้นกล้าจนขาวสะอาดแน่ ๆ

ดีนะที่มันไม่รู้ว่าใคร ที่ไปเล่นเป็นเด็ก ๆ ในสวนเมื่อวาน

“ไอ้จ๋าไปดีกว่าครับ เดี๋ยวต้องมาช่วยแม่เตรียมของทำบุญพรุ่งนี้อีก”

“เออ” และแล้วไอ้ตัวกวนประสาทมันก็ไปได้สักที ทิ้งให้ต้นกล้าอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวอีกแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยเผื่อคนตัวโต ๆ คนนั้นมา จะได้ไม่มีหน้าแสลนของไอ้จ๋ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ส่งเสียแซวล้อเลียนให้หงุดหงิดใจ ยิ่งหากมันรู้ว่าเมื่อวานตอนบ่ายต้นกล้าไปไหนทำอะไรมาบ้าง รับรองว่าไอ้คนขี้เกรียนอย่างมันไม่มีพลาด ที่จะสัมภาษณ์สดจนพอใจมันแน่นอน

ต้นกล้าชะเง้อมองทางเสียจนคอเกือบ ๆ จะยืดยาวเป็นยีราฟอยู่แล้ว เพราะความใจร้อนกับไอ้คำว่ามาแต่เช้า ทั้งที่ตอนนี้มันก็เช้าที่สุดแล้วนะ ด้วยความเคยชินที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตบ้านนา ตอนนี้ต้นกล้าจึงเข้านอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าได้เองแล้ว โดยไม่ต้องมีไอ้จ๋ามาคอยปลุก แม้บางคืนจะนอนสะดุ้งอยู่บ้าง ในบางครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ เช่น เสียงเห่าหอนของหมาที่ดังแว่วมาแต่ไกล แต่ก็ให้รู้สึกอุ่นใจว่ามีไอ้จ๋านอนอยู่เป็นเพื่อน ถึงมันจะนอนอยู่ข้างล่างก็ตามเถอะนะ นี่ถ้ามีใครอีกคนมานอนเป็นเพื่อนบ้างจะเป็นยังไงหว่า จะดีหรือเปล่านะ น่าจะดี ๆ แต่เอ๊ะ! ไม่ดี ๆ คิดอะไรบ้าบอที่สุด! ต้นกล้าคิดคนเดียวเพลิน ๆ ในใจก็ด่าตัวเองไปด้วยเหมือนคนเป็นบ้า ขณะที่นั่งรอคอก็ชะเง้อมองทาง แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่บอกว่าจะมาแต่เช้าคนนั้นมาถึงสักที แล้วสองขาก็ดันพาตัวเองเดินออกมานอกชานโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างมันเป็นของมันไปเอง ในแบบที่เรียกว่าเป็นเอามาก พอรู้ตัวรู้ใจตัวเองแล้วเป็นแบบนี้มันสมควรหรือไม่ อันนั้นต้นกล้าไม่รู้หรอก ก็แค่ทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่พอเดินมายังไม่ทันได้เกาะลูกกรงระเบียงบ้าน ก็มีเหตุให้ต้องรีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกที่เดิมแทบไม่ทัน เพราะรถกระบะคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี เอี๊ยดดดด (เสียงเบรกที่มาพร้อมฝุ่นตลบเล็กน้อยถึงปานกลาง)

ต้นกล้าใจเต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยอมรับว่าดีใจ ใช่ดีใจทั้งที่รู้ว่ายังไงอีกคนก็ต้องมา แต่ทำไมไอ้หัวใจบ้ามันถึงอดตื่นเต้นไม่ได้นะ แล้วทำไมมันต้องคอยเอาแต่จะเต้นไม่เป็นส่ำไม่เป็นจังหวะแบบนี้ เป็นเอามาก ต้นกล้าวินิจฉัยอาการของตัวเอง ใช่นั่นแหละสิ่งที่ต้นกล้ากำลังเป็น และเป็นเอามากเกินไป สำหรับใจดวงน้อยที่สัมผัสได้ถึงความจริงจังและจริงใจ จากคำพูดที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและแววตาที่มุ่งมั่น ต้นกล้าไม่ได้ใจง่ายหรอกใช่ไหม ที่ปล่อยให้ใจเต้นแรงกับคน ๆ นี้แบบนี้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ดีชั่วช่างมันไม่ลองไม่รู้ เอาวะชีวิตคนเรามันต้องก้าวไปข้างหน้า เมื่อมีทางไปจะมาพะว้าพะวงอยู่ทำไม ตายเป็นตายเป็นไงเป็นกัน ฮึ่ม!

“เฮ้ย อะไร “ต้นกล้าร้องถามเพราะตกใจที่อยู่ดี ๆ อีกคนก็ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้ เขามัวแต่คิดอะไรเพลินเลยไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวเดินขึ้นบ้านมายืนมองอยู่เป็นครู่แล้ว

“คิดอะไรอยู่ ดูทำหน้าทำตาสิ” จุ๊บ

“โอ้ย จูบอีกแล้วนะ”

“จูบทักทายไง หึ ๆ ”

“บ้าบอคอแตก หิวแล้วนะมาช้าจริง”

“นี่พี่มาเร็วที่สุดแล้วนะ ตื่นก็มาเลยเกือบไม่ได้อาบน้ำล้างหน้าแล้วเนี่ย”

“หยี แล้วล้างแปรงฟันมาหรือเปล่าเนี่ย”

“เรียบร้อยพิสูจน์ได้”

“ไม่เอาหรอก ถอยออกไปหน่อยดิ”

“ก็พี่คิดถึง”

“อย่ามาติ้งต๊องน่า”

“หึ ๆ “ต้นกล้าก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะ ถ้าจะมานั่งยิ้มตาเยิ้มมองตากันอยู่แบบนี้ ยิ่งถูกมองมันก็ยิ่งไม่กล้าสู้หน้า แต่ยิ่งหลบก็ยิ่งเหมือนกับว่าอีกคนเอาแต่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และตามส่องอยู่ได้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ตาม

“อะไร” ต้นกล้าหันมาถามเสียงหงุดหงิด กลบเกลื่อนอาการที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ เพราะเด็ดเดี่ยวเอาแต่ยื่นหน้าตามไปทุกทางที่ต้นกล้าหันหลบ แต่พอหันกลับมาสบเข้ากับแววตาขบขัน ก็ให้ต้องนิ่งคิดอยู่เป็นครู่จึงพึ่งนึกได้ ว่าอะไรที่ทำให้คนตัวโตเม้มปากกลั้นขำจนน้ำตาเล็ดออกมา “อ๊ากกก ขำหน้าเราเหรอ บ้า บ้าที่สุดห้ามมองนะโว้ย”

“น่ารักออก”

“น่ารักตายล่ะ ปกติเราหล่อนะ นี่โดนแตนต่อยเฉย ๆ หรอก เดี๋ยวหายบวมแล้วจะหล่อกว่าเดิมให้ดู”

“ฮ่า ๆ ครับ ๆ เดี๋ยวสักพักคงหายบวมเองล่ะ เมื่อวานพี่เอาหัวหอมทาแก้พิษให้แล้ว แตนขี้หมาพิษไม่แรง “

“หวังว่ามันจะจริงนะ แล้ววันนี้จะทำอะไรให้เรากิน”

“อยากกินอะไรล่ะ หืมทำเองสิพี่มีหน้าที่สอนนะได้ข่าว”

“โห การสอนที่ดีก็ต้องสาธิตปะ”

“เอางั้นเหรอ”

“แน่นอน”

“ปะลงไปข้างล่างดีกว่า”

“เดี๋ยว ๆ ..” ต้นกล้าดึงมือตัวเองออกจากมือใหญ่ของเด็ดเดี่ยวที่จะจูงลงเรือน หันไปหยิบเอาหมวกอีโม่งที่คนตัวโตให้ไว้เมื่อวานมาใส่ แล้วดึงฮู้ดของเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ขึ้นทับอีกชั้น

“พี่ว่าไม่ต้องใส่หรอกมั้งเดี๋ยวก็บ่นร้อนอีกแล้วนี่เจอไอ้จ๋าหรือยัง”

“เจอแล้ว แล้วมันก็หัวเราะเยาะเราแล้วด้วย คอยดูนะอย่าให้ถึงวันของเราก็แล้วกัน ไอ้จ๋าก็ไอ้จ๋าเถอะ ไม่ต้องถามมากเลยไปได้แล้ว”

“หึ ๆ ๆ “เสียงหัวเราะนี้ไม่ใช่เพื่อใบหน้าบวมเป่ง แต่เพราะคิดถึงใบหน้าของไอ้จ๋า ที่มันคงจะหัวเราะขำลูกพี่ของมันอย่างสะใจ เด็ดเดี่ยวนึกสีหน้าไอ้จ๋าออกเลยล่ะ หลังจากที่มันเห็นหน้าบวม ๆ ของต้นกล้าว่ามันจะทำหน้ายังไง

“เออว่าแต่พรุ่งนี้งานบุญอะไรนะที่คุยกะน้าแจ่มเมื่อวานน่ะ”

“บุญเดือนเก้าหรือบุญข้าวประดับดินถามทำไมจะไปเหรอ”

“หมายถึงเอาข้าวไปประดับตามพื้นดินน่ะเหรอ” ต้นกล้าถามหน้าซื่อเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนตัวโตที่มองอยู่ได้ทันที

“หึ ๆ บุญข้าวประดับดิน หรือบุญเดือนเก้า เป็นประเพณีของคนอีสานบ้านเรา ที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ้าสงสัยคงต้องอธิบายยาวแน่”

“งั้นเราไม่สงสัยดีกว่าขี้เกียจฟัง”

“เอาเป็นว่ารู้แค่จะทำในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ก็พอ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งเปรต วิญญาณเร่ร่อน สัมภเวสี เพราะมีความเชื่อกันว่า ในคืนแรม 14 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่ยมบาลเปิดประตูนรก ปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติบนโลกมนุษย์ แค่คืนเดียวในรอบหนึ่งปี เราจึงจัดห่อข้าวไว้ให้ญาติ ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงพวกวิญญาณเร่ร่อน พวกเปรต สัมภเวสี ก็สามารถรับเอาได้ด้วย” เด็ดเดี่ยวอธิบายยืดยาวพลางสังเกตสีหน้าของต้นกล้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยแล้วจึงพูดต่อ

“มีการจัดอาหารเตรียมไว้ก่อนตั้งแต่วันแรม13 ค่ำแล้ว โดยจะแบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่งก็สำหรับคนในครอบครัว ส่วนหนึ่งก็แบ่งให้ญาติ ๆ ส่วนหนึ่งเตรียมเอาไปวัด อีกส่วนสุดท้ายก็ที่เอาไว้สำหรับอุทิศให้ผู้ล่วงลับนั่นล่ะ จะมีทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้ อะไรพวกนี้ล่ะเท่าที่หาได้ในพื้นที่ที่เรามี จัดใส่ใบตองทำเป็นห่อเล็ก ๆ มีหมาก พลู มวนยาสูบ จัดใส่ห่อกระทงใบตองอีกต่างหาก เอาไปวางตามโคนต้นไม้ ริมทางเดินหรือข้างกำแพงรอบ ๆ วัด แล้วแต่ละพื้นที่ก็ทำไม่เหมือนกันหรอก บางพื้นที่เวลาล่วงเข้าวันแรม 14 ค่ำก็ออกไปวางแล้ว ตั้งแต่ตอนตีหนึ่งตีสอง บางพื้นที่ก็ตีสี่สีห้าก็มี ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกเขาด้วย”

“เขานี่คือ...”

“ก็บรรดาญาติ ๆ ของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ผีเปรต สัมภเวสี ผีเร่ร่อนทั้งหลายที่พี่บอกนั่นแหละ”

“อูย...งั้นเราไม่ไปหรอกขอบาย ๆ ” ใช่สิงานแบบนี้มันถูกจริตกับต้นกล้าซะที่ไหน เมื่อต้องมีเรื่องของสิ่งลี้ลับเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเล่นเอาคนกลัวผีขั้นรุนแรงอย่างต้นกล้ากลัวจนขึ้นสมอง และใจออกตั้งแต่ได้ฟังเลยเชียวล่ะ ต้นกล้าทำหน้าไม่ถูกบอกบุญไม่รับ เพราะพอฟังแล้วก็คิดตาม คิดแล้วก็ขนลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยพาลไม่อยากคุยต่อ

“ทำไมล่ะ แค่เอาห่อข้าวไปวางไม่เห็นมีอะไรยุ่งยากเลย” เหอะไม่ยุ่งยากกะผีนะสิ เอาของไปวางให้ผีเนี่ยนะใครมันจะไม่กลัววะ ต้นกล้าคิดและจ้องหน้าเด็ดเดี่ยวเขม็ง ซึ่งอีกคนก็พอดูออกล่ะนะ ว่ามีความหวาดหวั่นแฝงอยู่ภายใน คนที่รู้และเก็บงำความเป็นมาเป็นไปอะไรดี ๆ ที่เคยเห็นจึงนึกสนุก “คืนนี้เดี๋ยวพี่พาไปกับน้าแจ่ม” !!

“..” ต้นกล้าตาโต ใบหน้าบวมเป่งทำเหมือนจะร้องไห้เมื่อฟังมาถึงตรงนี้แล้วคิดตาม ไม่น่าเลยไอ้กล้าไม่น่ามาอยากรู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ทำไมไม่ทำเป็นลืม ๆ ไปบ้างวะ ไม่รู้ว่าจะถามขึ้นมาอีกทำไม เห็นว่างานบุญก็นึกว่าจะสนุกเหมือนงานวัดที่เคยเห็นในหนัง ที่ไหนได้มีแต่..เอ่อ.. นั่นแหละ มีแต่สิ่งที่ต้นกล้าไม่อยากข้องแวะข้องเกี่ยว แล้วไหนที่คนตัวโตบอกจะพาไปด้วยนี่อีก ถามก่อนไหมว่าอยากไปหรือเปล่า ฮึ่ย! คิดแล้วก็อยากตีหัวตัวเองให้สมองกลับเลย จะได้ลืมเรื่องนี้ไปจริง ๆ

“ไปมั้ย พี่ว่าต้นกล้าน่าจะไปนะ จะได้ถือโอกาสบุญอุทิศให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว”

“ไม่ไป” ตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะได้ยินแค่นี้ก็หวั่นใจแล้ว อย่าให้ต้นกล้าต้องออกจากบ้านไปตอนตีสี่ตีห้าเลยเถอะ

“ทำไมล่ะ ไปด้วยกันสิ”

“แต่..”

“เดี๋ยวไปด้วยกัน น้าแจ่มคงเตรียมของวันนี้ล่ะ ลองถามแกดู”

“จะดีเหรอ อย่าดีกว่ามั้ง”

“ดีสิ”

“แต่..”

“ทำบุญอย่ามีแต่สิครับ เดี๋ยวญาติพี่น้องจะไม่ได้รับบุญจริง ๆ กลายเป็นผีเร่ร่อนหิวโหยขอส่วนบุญไปเรื่อยไม่รู้ด้วยนะ ทุกปีคุณยายทำปีนี้คุณยายไม่อยู่ต้นกล้าไม่ทำใครจะทำ”

“เป็นผีเร่ร่อนขอส่วนบุญเลยเหรอ”

“ประมาณนั้นครับ”

“ไม่ทำไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้หรอกมันเป็นประเพณี”

“แต่..”

“ไม่มีแต่ครับ เดี๋ยวไปกับน้าแจ่มใจพี่ไปด้วยอีกคน” ให้ตายยังไงต้นกล้าก็จะไม่ยอมไปเด็ดขาด! นี่มันวันประตูนรกเปิดนะ เป็นวันปล่อยผีเลยนะเว้ย ขนาดวันปกติต้นกล้าก็แทบสติแตกอยู่แล้ว แต่นี่อะไร นี่มันวันปล่อยผีเชียวนะ อย่าให้ต้นกล้าต้องออกไปเผชิญกับสิ่งที่อยากหลีกหนีให้ไกลเลยเถอะ จะให้ต้องนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพวันนี้ก็ยอม แต่จะให้ไปด้วยต้นกล้าขอผ่าน!

“เอาจริง ๆ เหรอ “ถามอย่างไม่แน่ใจทั้งที่ในใจบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป ต้นกล้าจะไม่ยอมลงจากบ้าน!

“กลัวอะไร”

“เปล๊า แค่ไม่อยากไปเท่านั้นและ แล้วนี่จะทำได้หรือยังอาหารน่ะ เราชักหิวแล้วนะ”

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวพึ่งนึกอะไรออกก็เมื่อตอนที่ต้นกล้าตอบเสียงสูงนี่แหละ จึงได้แต่ยิ้มออกมาบาง ๆ คิดถึงวันแรกที่เจอกัน คิดถึงร่างกายสั่น ๆ ที่กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก แล้วเอาแต่หลับตาร้องว่า กลัวแล้ว ๆ คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาบาง ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอีกคนในวันนั้นดูเหมือนจะหอมขึ้นมาในจมูกทันที ทำให้ยิ่งคิดถึง พอคิดถึงก็อดใจไม่ได้ล่ะทีนี้ อยากหอมจัง

ฟอด

“เฮ้ย มาหอมเราทำไมเนี่ย “

“หึ ๆ ก็พี่อยากหอม”

“บ้าไปแล้ว” ใช่เด็ดเดี่ยวเองก็รู้ตัวว่าเขานั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เอาแต่คิดเรื่องของคนหัวแดงคนนี้ ทำอะไรก็คิดถึง นั่งก็คิด นอนก็คิด คิดมาก คิด ๆ คิดแล้วร่ำ ๆ จะพาลให้นอนไม่หลับ ตื่นมาคนที่คิดถึงก่อนเป็นคนแรกก็คนคนนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรไปไหนมาไหน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นที่ในหัวจะมีแต่คนตัวเล็กกว่าตลอด คิดถึงร่างโปร่งบางแล้วก็อยากจะกอดใกล้ชิดคลอเคลีย คิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ส่ายหัวให้ตัวเองปลง ๆ เอ้า บ้าก็บ้าวะ แล้วถ้าจะบ้าขนาดนี้ก็ให้พ่อกำนันมาขอเลยเถอะ

“ไปเถอะ” เด็ดเดี่ยวดึงมือต้นกล้าจูงเดินไปทางครัว เริ่มการสอนทำอาหารวันแรก ซึ่งวันนี้ชายหนุ่มพาต้นกล้าทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างข้าวต้มหมู คนสอนก็ตั้งใจสอนเป็นพิเศษ ส่วนคนเรียนก็ดูเหมือนจะตั้งใจเรียนอยู่เหมือนกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาแกล้งเล่นให้สนุกได้ตลอด อย่างถูกใช้ให้สับหมูก็แกล้งทำเป็นสับมั่ว ๆ จนหมูกระเด้งกระดอนไปคนละทิศละทาง บางครั้งก็สับเบา ๆ หมูมันถึงไม่ละเอียดได้ที่สักที จนครูสอนจำเป็นต้องลงมือสอนการสับหมูด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด

“มันต้องสับแบบนี้” เด็ดเดี่ยวขยับเข้ามาสอนวิธีการสับหมู โดยยืนซ้อนด้านหลังของต้นกล้า มือข้างหนึ่งเกาะไหล่ของคนตัวเล็กกว่า ที่ส่วนสูงอยู่ในระดับจมูกของเขาพอดี จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนผมของอีกคน อืม..ชื่นใจ ส่วนมืออีกข้างกุมกระชับมือที่กำลังกำด้ามมีดช่วยเพิ่มแรงสับ มือใหญ่กระชับมือเรียวเอาไว้มั่น โดยไม่ลืมสอนการออกแรงและลงน้ำหนักให้ด้วย

"แบบนี้ทำได้มั้ย"

"ระ เราทำได้น่า"

"ได้แต่ไม่ดีเท่าที่ควรเลยต้องถึงมือพี่" ปากบอกมือที่กุมทับอีกมือก็บังคับให้สับไปด้วย ความสูงที่แตกต่างทำให้คนตัวโตกว่าต้องโน้มตัวลงมาข้างหน้า จนแผ่นอกกว้างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ แนบชิดกับแผ่นหลังของคนหัวแดง แก้มสากแนบขมับและเนื้อนวลจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ เล่นเอาฝ่ายนักเรียนหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที แล้วให้เกิดคำถามขึ้นมาถามตัวเอง ว่าคิดผิดหรือถูกกันแน่ที่แกล้งทำไม่เป็น ส่วนคนสอนก็หายใจติดขัดไม่แพ้กันหรอก แค่ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเท่านั้น ในใจก็สั่นและเต้นแรงจนแทบทะลุอกออกมาเหมือนกันนั่นแหละ

ครู่ใหญ่เลยทีเดียวกับช่วงเวลาที่ต้นกล้าหาเรื่องทำให้ใจของตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ พอหมูเริ่มได้ที่ไอ้หัวแดงจึงได้รู้สึกโล่งขึ้น เพราะเด็ดเดี่ยวปล่อยเพื่อให้ต้นกล้าไปตำเครื่องหมักหมู ซึ่งต้นกล้าก็ไม่วายแกล้งทำไม่เป็นอีกโดยการใส่กระเทียมลงทั้งหัวทั้งเปลือก บอกให้ใส่พริกไทยเม็ดก็ใส่เป็นกำ ไหนจะรากผักชีที่เด็ดเดี่ยวบอกว่าให้เอาแค่ราก แต่คนรั้นก็จับมันลงครกทั้งต้นทั้งใบ จนคนสอนต้องมาแยกมาคัดออกจากกันอีกให้เหลือพอดี ทำไปทำมาเลยกลายเป็นว่าเด็ดเดี่ยวต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่ตำเครื่องเสร็จนำมาหมักปรุงรสได้ที่แล้วปั้นลงหม้อ โดยมีคนหัดทำยืนมองตาแป๋วด้วยความพอใจ หึ ๆ แผนที่วางไว้มันได้ผลดีจริง ๆ

“ชักจะร้อน” ต้นกล้าบอกพลางถอดฮู้ดถอดหมวกอีโม่งออก

“ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องใส่” ทั้งสองคุยเล่นหัวเราะกันไปพลางช่วยกันทำข้าวต้มไป หลังจากที่ใส่เครื่องทุกอย่างก็รอให้ข้าวกับเนื้อสุก จนตอนนี้หม้อข้าวเดือดกำลังได้ที่

“อะลองชิมดูซิ”

“งั่ม อ๊าก ร้อน ๆ “

“เอ้าทำไมไม่เป่าก่อนล่ะ”

“ก็นึกว่าเป่าแล้วนี้ ฮึ่ยปากเราโดนลวกเลย “ต้นกล้าบอกหลังจากวิ่งไปคายข้าวร้อน ๆ ทิ้ง

“ไหนดูชิ” ใบหน้าบวมถูกประคองให้เงยขึ้น เพื่อดูรอยโดนข้าวต้มลวกที่ปาก เพราะต้นกล้ากำลังคิดอะไรเพลิน ๆ พอหันกลับมาเห็นช้อนชิมยื่นให้พอดี เขาที่กำลังหิวอย่างมากจึงอ้าปากงับเหยื่ออย่างรวดเร็ว จนคนป้อนดึงมือกลับไม่ทัน ผลออกมาก็อย่างที่เห็น ร้องเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกเลย

“ไม่เป็นไรมากหรอก” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อตรวจดูที่ริมฝีปากให้เรียบร้อยแล้ว แต่เอ๊ะทำไมเสียงของเขาถึงได้ติดจะสั่น ๆ อย่างนี้ ยิ่งต้นกล้าบอกด้วยเสียงอ้อน ๆ โดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันทำให้หัวใจชายหนุ่มหวิว ๆ ไหว ๆ แต่เต้นแรงและเต้นจังหวะแปลกไป

“โดนลิ้นด้วยร้อนมากตอนนี้”

“หนะ ไหน” เสียงยิ่งสั่นขึ้นกว่าเดิม เมื่อลิ้นสีชมพูออกแดงนั่นถูกแลบออกมาให้ดู น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอย่างยากลำบาก ตาคมมองเรียวลิ้นที่แลบล่อใจไม่วางตา จนกระทั่งมันถูกเก็บเข้าที่เดิมจึงได้รู้สึกตัว

“ชาแบบนี้จะกินอะไรอร่อยได้ล่ะ “

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้เป่า เดี๋ยวพี่ดูให้รับรองหายแน่”

“จะทำยังไงร้อนผ่าว ๆ อยู่เนี่ย ไม่หายง่าย ๆ หรอก ชาไปหมดแล้ว”

“หายสิ ไหนอ้าปากอีกทีซิ”



เลื่อนลงต่อเลยจ้า....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“อ้า อุ๊ป อื้อออ” เมื่อต้นกล้าเผยอปากอ้าขึ้นเด็ดเดี่ยวที่รออยู่แล้ว ก็ประกบปากตัวเองเข้ากับปากสวยทันที เพื่อส่งการเยียวยาสุดแสนพิเศษมาให้พร้อมกับเรียวลิ้นอุ่น ที่สอดแทรกเข้ามาเป็นการปลอบประโลมลิ้นเล็ก ที่ถูกลวกด้วยข้าวต้มร้อน ๆ นับวันยิ่งร้ายนี่คือสิ่งที่เด็ดเดี่ยวต่อว่าให้ตัวเอง ที่คอยแต่จะหาเรื่องแทะเล็มเก็บเล็กกินน้อยจากต้นกล้าตลอด แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อมันอดใจไม่ได้สักที ยิ่งยอมรับกับตัวเองแล้วว่ารู้สึกกับต้นกล้ายังไง ชายหนุ่มก็ยิ่งห้ามใจไม่เคยอยู่ ยิ่งได้รู้ว่าต่างคนก็มีใจตรงกัน นั่นยิ่งทำให้การห้ามตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามไปเลย เมื่อมีโอกาสแสดงความรู้สึกอย่างที่ต้องการ เด็ดเดี่ยวจึงไม่เคยคิดจะเก็บและยั้งมันไว้ได้สักที เขาอยากทำให้ต้นกล้าเห็น เขารู้สึกดีที่อีกคนก็ตอบรับมาในแนวทางเดียวกัน แม้ว่าการแสดงของต้นกล้าจะออกมาในทางตรงกันข้าม แต่ไม่รู้ล่ะเด็ดเดี่ยวจะคิดว่าต้นกล้าเต็มใจแล้วมีความรู้สึกดี ๆ กับสิ่งที่เขาทำให้ด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะปฏิเสธแต่สุดท้ายหมาน้อยก็ยอมอยู่ดี สงสัยปฏิเสธแก้เขินสินะ

เหมือนครั้งนี้ที่ต้นกล้าดูตกใจและผลักไส แต่เมื่อเด็ดเดี่ยวเชิญชวนด้วยความอ่อนหวาน ผ่านรสจูบที่ซาบซ่านและละมุน กลับกลายเป็นต้นกล้าเองที่ตอบรับสัมผัสผ่านเรียวลิ้นบาดเจ็บ ด้วยการจูบตอบและโอบกระชับต้นคอแกร่งอย่างอบอุ่น

“อืม” เสียงครางดังออกมาจากลำคอของเด็ดเดี่ยวอย่างพอใจ ชายหนุ่มกระชับร่างบางกว่าเข้าสู่อ้อมแขนแข็งแรง มือกร้านลูบไล้แผ่นหลังผ่านเสื้อตัวหนา มือข้างหนึ่งเลื่อนมาประคองท้ายทอยจัดให้ได้องศาที่เหมาะพอดี เพื่อดื่มด่ำกับความหวานที่ส่งให้กัน

“ระ เราหิว” ต้นกล้าบอกเสียงสั่นหลังจากที่เด็ดเดี่ยวถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แล้วเอาแต่จ้องหน้าสบสายตากันอยู่อย่างนั้น ซึ่งต้นกล้าจะไม่รู้สึกอะไรเลย หากแววตาที่มองมาไม่ได้เต็มไปด้วยแสงแห่งความปรารถนา มันมากจนต้นกล้าสั่นสะท้านมันบ่งบอกความต้องการจนต้นกล้ากลัว แค่นี้ก็โดนรุกหนักจนแทบจะไปไม่เป็นอยู่แล้วนะเว้ย

“งั้นกินข้าวก่อนเดี๋ยวพี่ป้อน จะเป่าให้ไม่ร้อนเลยสัญญา” เด็ดเดี่ยวบอกพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พยายามบังคับเสียงของตัวเองให้มั่นคงที่สุด แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะแรงปรารถนาภายใน มันกำลังขับเคลื่อนความต้องการเพื่อออกมาสู่ภายนอกให้เขากระทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการจากแรงขับของมัน ยิ่งคนตรงหน้ามองตอบกลับมาด้วยใบหน้าขึ้นสี และแววตาที่สะท้อนถึงความปรารถนาไม่แพ้กัน ยิ่งทำให้เลือดในตัวฉีดพล่าน แต่จะให้เด็ดเดี่ยวทำอะไรบุ่มบ่ามไปคงใช่ที่ คนที่มีความรู้สึกดี ๆ ด้วยมากขนาดนี้ เขาก็อยากถนอมรักษาความรู้สึกที่มีต่อกันให้นานที่สุด ความปรารถนาที่เกิดจากแรงขับของร่างกาย จึงถูกลดความสำคัญลง เพื่อความรู้สึกดี ๆ และการสร้างความประทับใจให้กันและกันเป็นที่หนึ่ง เด็ดเดี่ยวพยายามห้ามใจตัวเองให้ถึงที่สุด ห้ามความต้องการตามสัญชาตญาณมนุษย์ และกดมันเอาไว้ให้ลึก เมื่อไหร่ต่างคนต่างพร้อมก็เมื่อนั้นล่ะคือเวลาที่เหมาะสม เย็นไว้พ่อคนดีศรีหมู่บ้าน ท่องไว้ ๆ

“ถึงป้อนก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ ปากมันโดนลวกแล้วนี่” เสียงพึมพำเบา ๆ ที่ดังขึ้น เรียกเด็ดเดี่ยวให้หลุดออกจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง กลับมาสู่เวลาปัจจุบัน คนลิ้นโดนลวกหน้าตูมแถมยังส่งค้อนวงใหญ่จิกตาแรงมาให้อีกด้วย

“แต่พี่ป้อนรับรองอร่อยกว่าเดิมแน่”

“หาเรื่องแกล้งเราอีกล่ะสิไม่ว่า ชอบทำให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย เสร็จแล้วใช่มั้ยจะได้กิน เราหิวจะตายแล้วเนี่ย”

“เสร็จแล้วครับ มาเดี๋ยวพี่ตักให้” เด็ดเดี่ยวบอกยิ้ม ๆ เมื่อต้นกล้าหาเรื่องกลบเกลื่อนอาการหน้าร้อนวูบวาบของตัวเอง ความรู้สึกหวามไหวที่เกิดขึ้นนี้มันคืออะไรต้นกล้าก็ไม่รู้ หรือคงเพราะสายตาของคนตัวโตที่มองมา ทำให้เหมือนมีอะไรบางอย่างลอยวิบวับอยู่รอบ ๆ แล้วแตกออก จากนั้นก็กระจายตัวเป็นแสงสีชมพูดังเปรี๊ยะ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ก็เพื่อเป็นการข่มความรู้สึกแปลก ๆ ที่เจ้าตัวรู้ดีว่ามันคืออะไร พอได้รับจูบอ่อนหวานมันก็ก่อตัวเรียกร้องให้ต้นกล้าทำตามอย่างที่ใจและร่างกายต้องการ เพื่อดับความปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นเพราะคนตัวโต มันก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในกายโปร่งจนปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด ฮึ่ย! เข้าใกล้เป็นไม่ได้เลย ไอ้คนหน้ามึนนี่ทำให้ไขว้เขวได้ตลอดสิน่า ไม่ได้ ๆ ต้นกล้าต้องมั่นคงดังภูเขาขาดลูกนั้นที่เห็นลิบ ๆ อยู่ปลายนา

“ยังร้อนอยู่เลยนะ”

“ไหน เอามาเป่า” เมื่อเป่าเสร็จก็เอาช้อนมาจ่อที่ปากบาง ความบวมเพราะแตนต่อยเริ่มทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นกล้าก้มหน้าเล็กน้อย แต่สายตาเหลือบขึ้นมองคนตัวโตที่ยื่นช้อนจ่อค้างที่ปากสวย ส่งสายตามีความหมายและยิ้มเชิญชวนให้ชิม เมื่อต้นกล้ามองนิ่งยังมีการพยักหน้าให้อีกด้วย

“อ้าปากครับ”

“เรากินเองได้”

“คำนี้ให้พี่ป้อนก่อน เร็ว ๆ พี่ยกขึ้นแล้วเนี่ยเมื่อยแขนจะตายอยู่แล้ว”

“ก็ได้ เห็นแก่ที่ยกขึ้นแล้วนะ”

“ง่ำ / ลูกพี่คร้าบ” !!

“แคก ๆ ”

“แหะ ๆ ไอ้จ๋ามาผิดเวลาอีกแล้วเหรอครับ” ไอ้จ๋าถามเมื่อเห็นลูกพี่ใหญ่ของมันสะดุ้งโหยงจนตัวโยน และสำลักข้าวออกมา ทั้งที่ความจริงมันมาตั้งนานแล้วล่ะ มาเงียบ ๆ ตามแบบของมันเผื่อมีอะไรดี ๆ ให้ลุ้น แต่มาเห็นจังหวะที่ไม่ควรเข้ามาพอดี มันจึงล่าถอยไปคอยสังเกตการณ์ รอให้ได้จังหวะเหมาะเหมือนตอนนี้ไงล่ะ มันถึงได้เดินเข้ามาใหม่ เป็นยังไงล่ะครับ ไอ้จ๋ามันก็มีมารยาทนะเว้ย

“อะไร ผิดเวลาอะไรมากินข้าวนี่” ต้นกล้าบอก

“ครับ ๆ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปตักเองครับ”

“เออสิ ไม่ตักเองก็ไม่ได้กินโว้ย” เด็ดเดี่ยวกัดฟันบอกมองไอ้จ๋าตาเขียว ทั้งที่ตอนแรกก็เห็นล่ะนะว่ามันเดินมา จึงส่งสายตาสั่งให้มันถอยกลับไป แต่อะไรพอเผลอมันก็เดินกลับมาอีกเหมือนเดิม นี่มันตั้งใจกวนกันเห็น ๆ เด็ดเดี่ยวล่ะนึกอยากให้ใครสักคนเอามันไปเก็บไว้ไกล ๆ เสียจริง

“ว่าแต่วันนี้จะไปไหนกันหรือเปล่าครับ”

“จะไปไหนได้วะหน้าบวมอย่างนี้” ต้นกล้าบอกพลางตั้งข้าวเข้าปาก ในใจนึกหงุดหงิดที่ออกไปไหนไม่ได้เพราะหน้าบวม ๆ ของตัวเอง

“ครับ” ต้นกล้าเห็นนะว่าไอ้จ๋ามันกลั้นขำให้ใบหน้าของเขา “แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ ไม่มีงานมีการทำหรือไงมาเฝ้าแต่เช้าเนี่ย” สิ้นเสียงไอ้จ๋าเด็ดเดี่ยวหันมามองมันตาขวาง และได้รับกลับไปเพียงรองยิ้มเจ้าเล่ห์รู้ทัน แถมมันยังยักคิ้วกวน ๆ ส่งมาให้ด้วยหนึ่งทีอย่างรู้ทัน มันน่านักวันพระหน้าเจอกัน วันนี้อาจจะเป็นวันของมัน แต่อย่าลืมว่าวันพระไม่มีหนเดียว

“นั่งเฝ้าอะไรวะ”

“แหะ ๆ เปล่าครับลูกพี่” ไอ้จ๋าหัวเราะแห้งแก้ตัวแล้วหันไปทางลูกพี่ใหญ่ของมัน “เห็นแม่บอกลูกพี่จะทำอาหารกินเองเหรอครับ”

“เออ แน่นอน”

“ไหวหรือเปล่าล่ะครับ”

“นี่ใครวะไอ้จ๋าอย่าลืมดิ ต้นกล้า กวินกานต์ คือฉันเองนะโว้ย คิดจะทำอะไรแล้วไม่มีถอยว่ะ”

“ต้องสุดยอดอยู่แล้วครับลูกพี่”

“แน่นอน คึ ๆ ” ต้นกล้ายืดอกรับด้วยใบหน้าบวมฉุ ที่เปล่งประกายความภูมิใจในตัวเองอย่างปิดไม่มิด

“เออจ๋า คืนนี้ลูกพี่กล้าของแกเขาอยากออกไปวางข้าวประดับดินด้วย น้าแจ่มไปกี่โมง”

“เห็นว่าสักตีสี่ตีห้านี่ล่ะครับ เตรียมของไว้ตั้งแต่เย็นนี้เลยลูกพี่กล้าจะไปจริง ๆ ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะบอกแม่เตรียมของไว้ให้” เอาแล้วไงทำไมไม่จบวะ บอกว่าไม่ไปโว้ย ไม่ไป! ต้นกล้าได้แต่ตะโกนอยู่ในใจสวนทางกับสีหน้าที่ต้องพยายามทำให้เป็นปกติ และคงความมั่นใจเอาไว้ให้ดูเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม

“เอ่อ จะดีเหรอวะตีสี่ฉันตื่นที่ไหน” ต้นกล้าส่งสายตาดุค้อนเด็ดเดี่ยวแล้วหันไปบอกไอ้จ๋า

“เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกได้ครับถ้าลูกพี่อยากไป” อยากไปกับผีนะสิ เฮ้ย ใครจะอยากไปวะ แต่ต้นกล้าก็ได้แค่ตะโกนอยู่ในใจนั่นแหละ เพราะกำลังจะอ้าปากพูด เด็ดเดี่ยวก็แย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน

“อืม เห็นว่าลูกพี่เขาอยากทำบุญอุทิศให้ญาติที่ล่วงลับ กับเปรต วิญญาณเร่ร่อน สัมภเวสีผีไม่มีญาตินี่แหละ ใจดีไงบอกสงสาร หึ ๆ ” เอาเข้าไปยิ่งพูดต้นกล้ายิ่งขนลุก ตาก็มองไปรอบ ๆ ขนาดตอนนี้กลางวันยังเล่นเอาต้นกล้าเสียวสันหลังได้ขนาดนี้ แล้วคืนนี้ต้นกล้าจะเหลืออะไรให้เป็นขวัญกำลังใจ อ้าก ไอ้พี่เดี่ยว ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้ามึนมาเล่นอะไรแบบนี้วะ

ต้นกล้ามีสีหน้ายุ่งยากเมื่อมองหน้าเด็ดเดี่ยว แต่ก็แสดงอะไรออกมาไม่ได้มากนัก เพราะไอ้จ๋ามันจับตาดูอยู่ ในฐานะที่เป็นลูกพี่ ต้นกล้าจะหลุดต่อหน้าไอ้จ๋าไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ แต่คิดแล้วก็ให้นึกสงสัย ว่าทำไมสำหรับเด็ดเดี่ยวหรือไอ้จ๋า มันดูเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน กับการที่จะต้องเอาห่อข้าวออกไปให้..เอ่อ..นั่นแหละเอาออกไปวางไว้ตามทางนั่นแหละ สำหรับต้นกล้ามันน่ากลัวจนไม่อยากแม้แต่จะพูดออกมาด้วยซ้ำ นี่มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ความรู้สึกมันเป็นไปเองของมัน โดยที่ต้นกกล้าไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ แล้วนี่จะให้ออกไปกลางคืนมืด ๆ ค่ำ ๆ มันใช่แล้วหรือไง อ้าก ต้นกล้าอยากจะบ้าตายให้มันรู้แล้วรู้รอด!

“ถ้ากลัวตื่นไม่ทัน เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกเองนะครับลูกพี่”

“พี่ว่าดีเหมือนนะ หรือใครบางคนแถวนี้ป๊อด” หืม? ป๊อดงั้นเหรอ เล่นแบบนี้ได้ไงใครจะยอม นี่ไอ้กล้านะจะฆ่าก็ฆ่าเลยเถอะ แต่อย่ามาหยามอย่ามาท้ายทายกันโว้ย คิดได้ดังนั้นก็...

“ป๊อดที่ไหน แค่นั่นมันเวลานอนของเราเหอะ” ต้นกล้าเชิดหน้าคอตั้งตรงอย่างองอาจลำพอง แล้วหันไปสั่งไอ้จ๋า “ถ้าฉันไม่ตื่นแกมาปลุกก็แล้วกัน”

“รับแซบครับลูกพี่”

“ตกลงตามนี้ ให้ไอ้จ๋ามาปลุกแล้วไปวางห่อข้าวด้วยกัน”

“ด้าย.. อย่าว่าแต่เราเถอะ ตัวเองจะกล้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่ท้าแต่คนอื่นตัวเองกลับไปนอนอุตุที่บ้านหรอกนะ”

“พี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เด็ดเดี่ยวบอกอย่างมั่นใจ ก็ใช่ล่ะมันเรื่องธรรมดาสำหรับหนุ่มบ้านนาอย่างเขา ที่ผ่านพิธีกรรมนี้มาแล้วกี่ปีต่อกี่ปี แค่ปีนี้มันพิเศษหน่อยก็ตรงที่ มีใครอีกคนที่กลัวผีจนขึ้นสมองมาให้ท้าทายนี่แหละ

“จะมามั้ยล่ะกล้ามั้ย”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วนี่ ให้พี่ค้างที่นี่ยังได้เลยเถอะ” นั่นปะไร แหมมันเข้าทางจริง ๆ

“เหอะ บ้านใครบ้านมันถึงเวลาเจอกันอย่าป๊อดล่ะ” สีหน้าของต้นกล้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่นเมื่อบอก เพราะถูกดักทางเอาไว้เลยลืมความกลัวไปชั่วขณะ และตกปากรับคำ แต่พอคิดได้ก็แอบใจแป้วรู้สึกแหยง ๆ อยู่ไม่น้อย แต่แล้วยังไงล่ะ มันพลั้งปากไปแล้วนี่ จะกลับลำตอนนี้มีโดนหยามแน่ ๆ และนั่นก็ไม่ใช่วิถีของต้นกล้า กวินกานต์!

“งั้นเจอกันให้มันรู้ไปเลย”

“เอาละครับลูกพี่ทั้งสอง ไอ้จ๋าว่า...” เด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าพร้อมใจกันหันมามองไอ้จ๋า รอฟังว่ามันจะพูดอะไร แต่จนแล้วจนรอด มันก็เอาแต่มองหน้าของลูกพี่ทั้งสองสลับกันกลับไปกลับมา ด้วยท่าทางกวน ๆ จนคนที่ทนรออะไรนาน ๆ ไม่ได้อย่างต้นกล้าต้องถามออกมา

“ว่าอะไรวะ”

“แหะ ๆ รีบกินเถอะครับข้าวต้มเย็นหมดแล้ว” ต้นกล้าถลึงตาใส่ไอ้จ๋า แล้วหันมาจ้วงตักข้าวต้มเย็นชืดเข้าปากจนหมด อิ่มแล้วก็ขยับถ้วยไปตรงหน้าให้ไอ้จ๋าเป็นคนล้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวเป็นคนทำแล้ว ซึ่งไอ้คนเป็นลูกน้องมันก็ทำให้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว แม้ว่าลูกพี่จะไม่อ้างเหตุผลอันใดก็ตาม

“เดี๋ยวพี่ต้องไปธุระที่อำเภอหน่อย” เด็ดเดี่ยวบอกหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ “ไปด้วยกันมั้ย”

“ไม่”

“คิดหน่อยสิ” ดูเหมือนลูกชายคนเดียวของกำนันอาจหาญจะเปลี่ยนไปมาก เพราะดูเหมือนว่าจะไม่อยากให้หลานชายคุณยายประไพศรีอยู่ห่างตัวเอาเสียเลย

“จะให้เราไปได้ยังไงหน้าแบบนี้ จ้างให้เราก็ไม่ออกจากบ้าน” ทีวันอยากไปไม่ให้ไป เชอะ*! *

“พี่ว่ามันลดลงเยอะแล้วนะไม่บวมเท่าเมื่อเช้าแล้ว”

“หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไป”

“ไปเถอะน่า นะ”

“ไม่”

“จะไปไหนกันเหรอ” เสียงถามดังขึ้นจากด้านหลังของต้นกล้า พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นแม่แจ่มใจที่กำลังเดินเข้ามา

“น้าแจ่ม”

“ต้นกล้า! ทำไมหน้า ฮ่า ๆ อย่าบอกนะว่าโดนแตนต่อยมาน่ะ” มันเดาได้ง่าย ๆ อยู่แล้วล่ะสำหรับอาการบวม ๆ อย่างที่ต้นกล้าเป็น คนแถวนี้รู้กันทั้งนั้นว่ามันจะเกิดจากอะไร แม้แต่แม่แจ่มใจเองก็ไม่เว้นที่เห็นหน้าต้นกล้าแล้วก็อดขำไม่ได้ ดีกว่าไอ้จ๋าหน่อยที่ไม่หัวเราะเหมือนกำลังสะใจเท่านั้นเอง

“น้าแจ่มน่ะอย่าหัวเราะผมสิครับ ปกติผมหล่อนะ”

“จ้า น้าขอโทษก็มันอดขำไม่ได้นี่กัดตรงไหนไม่กัดมากัดที่หน้า สงสัยแตนมันอิจฉาในความหล่อนั่นแหละ เลยมากัดเสียหมดหล่อเลยเนอะ” แม่แจ่มใจขำแล้วเลยพูดเอาใจเสียหน่อย “แล้วว่าจะไปไหนกันล่ะ”

“ผมกำลังจะเข้าอำเภอครับ น้าแจ่มอยากได้อะไรหรือเปล่า”

“อืม พอดีเลย น้ากำลังจะมาบอกให้ไอ้จ๋าเข้าไปซื้อพวกผลไม้กับของหวานมาทำห่อข้าวอยู่เหมือนกัน”

“อะไรแม่” ไอ้จ๋าเดินออกมาพอดีได้ยินชื่อตัวเองจึงถามขึ้น

“ทำอะไรเสร็จหรือยังเข้าไปซื้อผลไม้กับของหวานที่อำเภอให้แม่หน่อย”

“ของเอามาจัดห่อข้าวใช่มั้ยแม่”

“เออ”

“ว่าแต่น้าแจ่มจะเอาห่อข้าวไปวางตอนไหนครับ” เด็ดเดี่ยวได้โอกาสถามเรื่องเวลา เล่นเอาต้นกล้ารู้สึกหวาด ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมนะ คนคนนี้ถึงไม่ทำลืมหรือปล่อยผ่านมันไปเสียบ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จริงจังตลอด โดยเฉพาะการหาเรื่องแกล้งต้นกล้า

“ตอนแรกก็ว่าจะไปสักตีห้า แต่น้ามีธุระแต่เช้า คงต้องไปสักตีหนึ่งตีสองนี่ล่ะ”

“หาตีหนึ่งตีสอง”

“ทำไมล่ะ” แม่แจ่มใจหันมาทางต้นกล้าที่อุทานออกมาเสียงดัง

“ก็..”

“ต้นกล้าอยากไปด้วยครับ อุ” เด็ดเดี่ยวร้องออกมาเบา ๆ เมื่อถูกต้นกล้าหยิกเข้าที่หลังอย่างแรงโทษฐานที่หาเรื่องให้เขาดีนัก

“งั้นก็ไปพร้อมกัน เดี๋ยวน้าจะเตรียมห่อข้าวให้”

“เอ่อ...”

“ไม่ต้องห่วงครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกเอง” ด้วยคิดว่าลูกพี่คงกลัวนอนแล้วจะตื่นมาไม่ทัน เพราะต้นกล้าบอกว่านั่นมันเป็นเวลานอนของเขา ไอ้จ๋าจึงออกตัวแรงอาสามาปลุกอย่างเต็มใจ แต่สำหรับต้นกล้าแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย! เขาอยากตะโกนออกมาดัง ๆ นัก แต่สิ่งที่ทำได้กลับตรงกันข้ามคือแค่ยืนนิ่งส่งยิ้มหน้าจืด ๆ ให้แม่แจ่มใจ และแอบคิดแค้นเด็ดเดี่ยว ที่คอยหาแต่เรื่องให้เขาเอาไว้รอเวลาเอาคืน

“ตกลงน้าแจ่มเอาผลไม้กับของหวานนะครับเดี๋ยวผมกับต้นกล้าจะซื้อมาให้”

“ใช่จ๊ะ เดี๋ยวน้าทำอย่างอื่นรอที่บ้านก็แล้วกัน”

“ครับ “แม่แจ่มใจบอกลาแล้วเดินกลับบ้าน เด็ดเดี่ยวหันมามองหน้าต้นกล้าเหมือนจะถามว่าไปกันได้หรือยัง แต่ต้นกล้ายังยืนเฉยมองตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ไปกันเลยมั้ย”

“ใครบอกเราจะไปด้วย”

“เอ้า พี่ก็ถามอยู่นี่ไง ไปกันเถอะ”

“หืม เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไป”

“ไปเถอะ ถือว่านั่งรถเล่นยังไงวันนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แบบนี้เราไปดายหญ้าอ้อยกับคนงานมีประโยชน์กว่ามั้ย”

“ไหนเมื่อเช้าลูกพี่บอกกลัวคนงานหัวเราะไงครับ” สองหนุ่มลืมไอ้จ๋าไปได้ยังไงว่ามันยังนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมมันต้องมาขัดขาต้นกกล้าด้วยวะเนี่ย

“นั่นสิ ไปกับพี่ดีกว่าอยู่บ้านคนเดียวนะ”

“ไอ้จ๋า..”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าออกไปไร่อ้อยก่อนนะครับลูกพี่” ไอ้จ๋ารีบออกตัวเมื่อต้นกล้าหันมาหามัน เหมือนกำลังต้องการแนวร่วม

“นั่นไง ไปกับพี่ดีกว่าอย่าอยู่บ้านคนเดียวเลยนะ”

“ไปกันสองต่อสองเถอะครับลูกพี่ เรื่องนี้ไอ้จ๋าจะไม่ยุ่งไปล่ะ”

“แล้วแกไม่อยากไปหาใครที่บ้านอยู่ในอำเภอหรือไงวะจ๋า” ไอ้จ๋าชะงักหันกลับมามองหน้าบวม ๆ ของลูกพี่ มันทำหน้าตึงขมวดคิ้วเอียงคอถามเสียงเข้มอย่างเอาเรื่อง

“ลูกพี่หมายถึงใครครับ”

“จะใครล่ะว้า ก็มีคนเดียวนั่นแหละที่กระเตง ๆ ไปส่งกันอยู่” ต้นกล้ากอดอกเชิดหน้า ทำท่าทางบ่งบอกให้ไอ้จ๋ามันเห็นว่าเขาก็รู้

“เหอะถ้าหมายถึงยัยส้มเน่า ผมกับยัยตุ๊ดเผือกนั่นไม่เกี่ยวกันนะครับลูกพี่”

ครืดดดดดดด พูดจบพี่ฮีโร่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของไอ้จ๋าก็สั่นขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบอกว่ามีสายเรียกเข้ามาให้มันต้องรีบเอาออกมาดู

“เบอร์ใครวะ” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ เมื่อเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ มีต้นกล้าที่แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าชะโงกเข้ามาดูด้วย

“เบอร์ใครก็รีบ ๆ รับดิวะ เขาจะได้ไม่ต้องรอนาน” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วมุ่นกับคำบอกของลูกพี่ก่อนจะกดรับสาย

“ครับ ใครนะครับ...ห๊าอะไรนี่เธอเอาเบอร์ฉันมาจากไหนวะ...” ต้นกล้าหูผึ่งอย่างสนใจเมื่อได้ยินไอ้จ๋ามันพูดออกมาแบบนี้ นั่นก็เดาได้ไม่ยาก คนหล่อเกาหลีหรี่ตาสบกับเด็ดเดี่ยวส่งสัญญาณรู้กัน แล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะขำแบบไม่มีเสียง “แล้วโทรมามีธุระอะไร ”

“ไอ้จ๋าพูดดี ๆ กับน้องเขาหน่อยสิวะ” ไอ้จ๋าหันมามองต้นกล้าที่ส่งเสียงปรามมันแทรกขึ้นมา ก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์ต่อ

“โทรมาบอกแค่เนี๊ย..เออ เออ แค่นี้นะขี้เกียจคุย”

“เฮ้ย เดี๋ยว ๆ ฉันขอคุยกับตัวเล็กหน่อย”

“ลูกพี่จะคุยอะไรครับ”

“น่าเอาโทรศัพท์มา” ไอ้จ๋าจำต้องยื่นโทรศัพท์คู่บุญเครื่องเก่าให้คนเป็นลูกพี่ใหญ่อย่างจำใจ

“ตัวเล็กวันนี้ว่างมั้ย...อืม พวกพี่กำลังจะเข้าไปซื้อของ...ใช่ ๆ ไปกันหมดนี่ล่ะ เครเจอกันนะ” เด็ดเดี่ยวยิ้มพอใจออกมาเมื่อได้ยินต้นกล้าคุยโทรศัพท์ แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการทันทีที่ไอ้จ๋ามันหันมามองอย่างรู้ทัน และมันก็แบะปากให้อย่างไม่สบอารมณ์

“ไปเตรียมตัวเข้าเมือง”

“อะไรครับ แม่ฝากลูกพี่เดี่ยวแล้วนี่ ไอ้จ๋าไม่ไปนะครับ เพราะเดี๋ยวจะไปดายหญ้าอ้อยกับคนงาน”

“ไม่ไปได้ไงฉันนัดออเรนจ์แล้ว”

“เอ้า แล้วเกี่ยวอะไรกับไอ้จ๋าล่ะครับ”

“เอ้า แกก็ต้องไปด้วยสิ”

“เมื่อกี้ไอ้จ๋าได้ยินว่าลูกพี่บอกจะไม่ไปนี่ครับ”

“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วโว้ย ปะขึ้นรถ”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวรีบตอบรับทันทีเมื่อต้นกล้าหันมาชวนขึ้นรถ “ไอ้จ๋ารับ”

“เฮ้ยอะไรกันครับลูกพี่” ไอ้จ๋าร้องถามเมื่อเด็ดเดี่ยวโยนกุญแจรถมาให้มันหน้าตาเฉย

“แกขับ”

“อ้าว เรื่องอะไรมาให้ไอ้จ๋าขับครับเนี่ยรถใครรถมันสิครับลูกพี่”

“เหอะน่ามาเร็ว ๆ ” และแล้วไอ้จ๋าก็จำต้องทำหน้าที่เป็นพลขับ อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้คิดว่าจะออกมาด้วย ทั้งสามเข้าเมืองกันโดยไอ้จ๋าทำหน้าที่พลขับ มีเด็ดเดี่ยวนั่งหน้าคู่มาด้วยกัน แต่คืออะไรเมื่อรถออกมาจากหมูบ้านมาได้ไม่นานเด็ดเดี่ยวที่ตัวโต ๆ ก็ปีนข้ามไปนั่งข้างหลังกับลูกพี่กล้าของมัน ปล่อยให้ไอ้จ๋าทำหน้าที่คนขับรถเต็มตัว

***กระซิบๆๆ พี่เดี่ยวต้นกล้า จะเปิดพรีฯ เร็วๆ นี้แล้วนะคะ ใครสนใจเล่ม เตรียมตัวไว้เด้อ รอปกมา เจอกันแน่นวลคร่าาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด