ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
:impress3: :mew3: :katai2-1: :impress3: :mew3: :katai2-1:
เมื่อหนุ่มกรุงมาเยือนบ้านนา ความฮาจึงบังเกิด
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โลกของ
พี่เดี่ยว + ต้นกล้า
ใน
♥ กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ♥
นิยายรักใสๆ เอาใจคนอารมณ์ดี
ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเป็นกำลังใจให้ต้นกล้าหนุ่มกรุงหน้าใส มือใหม่หัดทำไร่ไถนา
ที่ฟ้าบันดาลให้มาพบรักกับลูกชายกำนันมาดเท่อย่างพี่เดี่ยว
ต้นกล้าจะบรรลุภารกิจในการทำนาทำไร่หรือจะพิชิตใจพี่เดี่ยวได้ก่อน
ต้องตามติดชีวิตของสุภาพบุรุษแห่งบ้านทุ่งดอกจาน กับเด็กรั้นของเขาแบบเรียลไทม์
#เด็กรั้นของพี่เดี่ยว
อ่านนยายเรื่องอื่นของ ดาว ณ แดนดิน
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906164#msg3906164)
ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69140.msg3922467#msg3922467)
สารบัญ
ตอนที่ 1 เยือนบ้านนา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905598#msg3905598)
ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905924#msg3905924)
ตอนที่ 3 ลองของ(เด็ด) 40% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906097#msg3906097)
ตอนที่ 3 ลองของเด็ด 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906382#msg3906382)
ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 40%] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906822#msg3906822)
ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3907101#msg3907101)
ตอนที่ 5 จูบแรก 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3907372#msg3907372)
ตอนที่ 7 ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3908821#msg3908821)
ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3909138#msg3909138)
ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3909961#msg3909961)
ตอนที่ 10 ชมทุ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3910780#msg3910780)
ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3911203#msg3911203)
ตอนที่ 12 ลงปลา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3911957#msg3911957)
ตอนที่ 12 ลงปลา(เพิ่มเนื้อหาที่ลงไม่ครบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3912105#msg3912105)
ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3913066#msg3913066)
ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน 50% (http://https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3915713#msg3915713)
ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน 100%] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3916949#msg3916949)
ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3920625#msg3920625)
ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3921510#msg3921510)
ตอนที่ 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3922666#msg3922666)
ตอนที่ 18 น้องเมาน้องน้อยใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3924159#msg3924159)
ตอนที่ 19 หลุมดักปลา 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3925222#msg3925222)
ตอนที่ 19 หลุมดักปลา 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3926929#msg3926929)
:katai4: :katai4:
๑๗. คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ[/size]
พอซื้อของได้ครบทุกอย่าง ก็พอดีลูกพี่โทรมาบอกด้วยความเป็นห่วง ว่าไม่ต้องรีบขับรถกลับ เพราะไอ้คนที่อยากกินต่อดันนับดาวจนหลับคาที่ไปแล้ว วางสายจากลูกพี่แล้วไอ้จ๋าก็ได้แต่โครงหัว มันตั้งใจจะกลับบ้านเพราะดึกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ขับรถมาจอดอยู่ตรงนี้ นั่งมองพี่ฮีโร่ร่ำ ๆ จะปาทิ้งแล้วขับรถกลับ แต่มือไม่รักดีดันกดโทรออกหน้าตาเฉย ไอ้จ๋ายังไม่ได้เตรียมคำพูดไว้เลยไม่รู้จะคุยอะไรดี
“ยังไม่นอนหรือไง”
(ยัง) เออนั่นสิ มันต่อในใจ ถามไปแล้วถึงนึกได้ว่าเป็นคำถามโง่เง่าสิ้นดี นอนแล้วเขาคงไม่รับสายหรอกมั้ง
“หิวไหม” คำถามนี้ยิ่งดูโง่กว่าคำถามแรกอีก ดึกจนป่านนี้เขาคงกินข้าวกินปลาเตรียมตัวเข้านอนกันหมดแล้ว แต่คำถามของไอ้จ๋ากลับทำให้คนตัวผอมพึ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น
(ก็..หิวอยู่นิดหนึ่ง) ตอบตามตรงแต่ไม่ตามความจริง เพราะพอนึกได้ว่ายังไม่กินอะไรความหิวก็ประดังขึ้นมาจนแสบท้อง
“อยากกินเกาเหลาไหม”
(ไม่อยากกินขี้เกียจออกไปเดี๋ยวก็นอนแล้ว แค่นี้ใช่ไหม) ยิ่งคุยไอ้จ๋ายิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งที่จุดประสงค์ของการโทรมาก็แค่อยากขอโทษ แค่พูดคำว่าขอโทษคำเดียว แต่เรื่องที่คุยกันอยู่กลับไม่ใกล้เคียงกับการขอโทษเลยสักคำ
“กินไหมล่ะ”
(หมายความว่ายังไง)
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ ไม่เข้าใจตรงไหนวะ กินไม่กิน” ออเรนจ์ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้จ๋าต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องกลับมาให้ความหวัง คนที่หวังมันก็อยากตะครุบไว้ แต่อีกใจก็กลัวเจ็บ ปลายสายเงียบมันเลยรีบบอก “ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ”
(หา! ล้อเล่นหรือเปล่า) คนอะไรนึกอยากมาทำดีด้วยก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
“ยายส้มเน่าเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง จะกินก็ออกมา”
(อือ...ก็ได้ เดี๋ยวลงไป) ความลิงโลดในใจนี้คืออะไร ออเรนจ์ไม่อยากคิดมาก ทิ้งความเสียใจความน้อยเนื้อต่ำใจ กับการกระทำของไอ้จ๋าไว้ข้างหลัง กระโดดลงจากที่นอนเปิดประตูห้องออกไป
“นายมาจริง ๆ ด้วย” ไอ้จ๋าพึ่งได้สติก็ตอนออเรนจ์ทักขึ้นนี่แหละ หลังจากที่มันยืนพิงรถเงียบ ๆ มองร่างผอมบางในชุดนอนสีขาวลายการ์ตูน ตั้งแต่ที่เจ้าตัวเดินออกจากประตูร้านมาแล้ว “มาชวนฉันไปกินเกาเหลาเนี่ยนะ”
“เปล่ามาธุระ”
“อะ อ๋อ เหรอ แล้วจะไปกินร้านไหนดี”
“ไม่ไป” อ้าว! ออเรนจ์มองไอ้จ๋า สีหน้าเหมือนกำลังถามว่า ตกลงจะเรียกมาทำไม “เออไม่ไป ฉันซื้อมาแล้วมีที่กินไหม”
“ไปกินที่ห้องก็ได้ตามมาสิ” ไอ้จ๋าอมยิ้มเดินตามร่างผอมบางเข้าไปในบ้าน ออเรนจ์แวะเอาของในครัวแล้วพากันขึ้นห้อง
“สาบานนะว่านี่ห้องคนอยู่”
“ใช่สิทำไมเหรอ”
“ทำไมมันต้องชมพูขนาดนี้วะ แล้วไอ้ตัวประหลาดนี่เอามาทำไมเยอะแยะ” ไอ้จ๋าชี้มือไปยังกองตุ๊กตาบนเตียงนอน ที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของเตียงไปเกือบครึ่ง
“นี่ไม่ใช่ตัวประหลาดนะ เขาเรียกคิตตี้นายไม่รู้จักหรือไง”
“ไม่รู้จักไม่เคยสนใจ” พูดจบก็มองกองตุ๊กตาด้วยท่าทางขยะแขยง ส่วนออเรนจ์จัดการแกะถุงเทของกินใส่ถ้วย ต่างคนต่างนั่งกินเงียบ ๆ จนกินอิ่ม เกาเหลาร้อน ๆ ทำให้รู้สึกดีและมีแรงขึ้นมาบ้าง
“เอ่อจ๋า..มองเราทำไม”
“มองคนบอกหิวนิดหน่อย” แล้วมันก็หลุดยิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่คิดว่าจะได้จากคนอย่างไอ้จ๋า พอได้มาแล้วเลยทำตัวไม่ถูก
“ก็..มันก็หิวนั่นแหละขอบใจนะที่เอามาให้กิน” อมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายให้ไอ้จ๋ามองเพลิน ด้วยสายตาที่เล่นเอาสะท้านไปถึงข้างใน ยิ่งมันใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างไว้เหมือนกำลังมันเขี้ยว ยิ่งหายใจติดขัด คนอะไรทำหน้าอย่างนี้ก็เป็นด้วย....
“ตอบแทนแซนด์วิชของเธอเมื่อเช้านี้ไง”
“ตอบแทนยังไง จ๋าไม่เห็นป้อนเราเมื่อที่เราป้อนจ๋าเลย”
“ฝันไปเถอะยายส้มเน่า! ” ไอ้จ๋าผลักหัวจนใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มหงายไปข้างหลัง สายตาจิกมองแรงแสยะปากให้ ทั้งที่น่าจะไม่พอใจ แต่ทำไมออเรนจ์หุบยิ้มไม่ได้สักที แถมยังกล้าหาญไปย้อนไอ้จ๋าให้อีก
กินอิ่มเก็บของแล้วพากันกลับมานั่งเงียบ ๆ ไอ้จ๋าไม่พูดออเรนจ์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นั่งได้ไม่นานก็เริ่มวางตัวไม่ถูก เขินก็เขินอยากชวนคุยก็อยาก แต่ก็กลัวเขารำคาญ เลยนั่งกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย จนไอ้จ๋าต้องแย่งรีโมตมากดปิดเสียเลย
ไอ้หมาหน้าดำจ้องเขม็ง “เธอมีอะไรอยากพูดกับฉันไหม”
“ก็เอ่อ...” ไอ้จ๋าไม่ชอบเลยที่หัวใจของมันเต้นแรง จนกลัวคนนั่งข้าง ๆ จะได้ยิน เมื่อคิดว่าคนตัวผอมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ที่มันได้ยินมาก่อนแล้ว แต่เป็นการพูดกับคนอื่น ไม่ใช่สารภาพกับตัวมันตรง ๆ
แต่พออีกคนไม่พูดสักที มันเลยทำท่าจะลุกขึ้น “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดกลับล่ะ”
“พูดแล้ว ๆ คือถ้าเราทำอะไรให้นายไม่ชอบใจ” ดวงตาหวานที่มีแต่แววกังวลช้อนขึ้นมองไอ้จ๋า ที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาจริงจัง “จ๋าอย่าเกลียดเราเลยนะได้ไหม ขอแค่ไม่เกลียดเราได้หรือเปล่า”
“แล้วเธอทำอะไรไม่ดี ทำไมฉันถึงต้องเกลียดเธอด้วยยายส้มเน่า! ”
“ก็..ก็เรา..เราแอบชอบจ๋า เราชอบจ๋าแต่จ๋าคงไม่ชอบคงรำคาญเรา ขอโทษ” สายตาไอ้จ๋าแข็งกร้าวกับคำสารภาพตรง ๆ คนตัวผอมก้มหน้าคางแทบชิดอก รอฟังเสียงโวยวายแต่ก็ไม่มี “แอบชอบมานานแล้วด้วย” บอกเสียงเบาเพราะกลัวไอ้หมาหน้าดำจะขบหัวเอา โทษฐานที่พูดมากจนทำให้มันรำคาญ “จ๋าคงไม่มีทางชอบเราตอบหรอก เพราะเราเป็นแบบนี้”
“แบบไหน”
“ก็แบบที่เป็นอยู่นี่ไง จ๋าชอบผู้หญิงแต่เราไม่..”
“ฉันบอกเธอแล้วหรือไงว่าไม่ชอบ..”
“ก็..” ใบหน้าสวยหวานเอียงเล็กน้อย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นดูสงสัยปนงง คิดไม่ทันคำพูดไอ้จ๋า ความเฉลียวฉลาดในยามปกติหายไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าไอ้คนหัวเกรียน “อะไรล่ะ”
“โอ๊ย ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้วะ” สีหน้าเจ้าของร่างบอบบางเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ ก็แปลตรงข้ามได้อย่างเดียวจะอะไรนักหนา”
“แล้วพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้หรือไง เรายังพูดตรง ๆ เลย” อยู่ดี ๆ ไอ้จ๋าก็ให้รู้สึกร้อนผ่าว ๆ ขึ้นมาบนใบหน้ากร้านแดด ไม่รู้เป็นอะไร ยิ่งอีกคนเอาแต่พูดแล้วจ้องหน้ารอฟังอย่างตั้งใจ มันยิ่งรู้สึกว่าความร้อนกระจายลามไปทั้งตัว
“เออ ก็ชอบนั่นแหละ” สักทีเถอะน่า!
“จะ จ๋า จริงเหรอ! ”
“เออสิ..เอ๊ะ!..เฮ้ย! ” ไอ้จ๋าตกใจจนร้องลั่น อยู่ดี ๆ คนตัวผอมก็กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก รั้งใบหน้ากร้านแดดเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ทีละข้าง จนมันได้แต่นั่งอึ้งตัวแข็งทื่อเป็นผีดิบ
ไม่เคย!
ไม่เคยมีอะไรแบบนี้!
ไม่เคยมีใครมาหอมแก้มไอ้จ๋าแบบนี้มาก่อน! แต่ตอนนี้มันเคยแล้ว มันถูกหอมแก้มแล้วทั้งสองข้างเลย รู้สึกดีชะมัด!
พากันนั่งอึ้งจนเกิดความเงียบขึ้นอีก เป็นคนตัวผอมรู้สึกตัวก่อน จึงหลบตาเม้มปากแน่นกลั้นรอยยิ้ม เพิ่งรู้สึกเขินกับการกระทำของตัวเอง ดีใจจนเกินงามเขินมากจนสั่นไปทั้งตัว ส่วนไอ้จ๋าแน่นอนว่ามันเองก็ยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว ถึงได้วนรถกลับไปหาคนที่ทิ้งไว้
“ทำไมเงียบ”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เมื่อไหร่เธอจะลงไปจากตักฉันสักที”
“อุ๊ย! ขอโทษ” กำลังลงมานั่งที่เบาะรองดี ๆ เอวบางก็ถูกรวบไว้แน่นจนเนื้อแนบเนื้อ
“ไม่ต้องแล้วเพราะฉันจะทำโทษเธอก่อน”
“ทำโทษอะไรเราไม่ได้ทำอะไรผิด..อุบ! ” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ริมฝีปากสวยก็ถูกไอ้จ๋าบดเบียดยัดเยียดริมฝีปากของมันเข้าหา บดบี้ขยี้อย่างมันเขี้ยว แต่ไม่ได้รุกล้ำเข้าสู่ความหวานฉ่ำข้างใน
“โทษฐานที่ทำให้ฉันหัวเสียมาทั้งวัน” ไอ้จ๋ากระซิบบอกชิดกลีบปากสีสดนุ่มนิ่ม หน้าผากทาบหน้าผากให้ตาสองคู่ได้สบกันในระยะประชิด
“แต่ อื้อ..” คนโดนปล้นจูบที่เพิ่งจะเสียจูบแรกเงอะงะ ไอ้จ๋ารำคาญเลยเอามือกดท้ายทอยเล็กไว้ จัดให้ได้องศาต้องการ มันจูบเอาจูบเอาจนคนตัวผอมหายใจแทบไม่ทัน
เฮือก! “จ๋า พอก่อนเราหายใจไม่ทันทำไมจูบเก่งจังเลย” ไอ้จ๋าแค่นเสียงฮึจากลำคอ อยู่ดี ๆ หัวใจของมันก็พองโตคับอก แต่แสร้งตีหน้ายักษ์กลบเกลื่อน
“เพราะเธอมันอ่อนไงล่ะยายส้มเน่า”
“ก็เราไม่เคยจูบกับใครมาก่อนนี่” ก้มหน้าเอียงอายตัวสั่นสะท้านจนไอ้จ๋านึกขำ
“ดีแล้วที่ไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แล้วอย่าให้รู้นะว่าแอบไปจูบกับคนอื่น พ่อจะหักกระดูกเล็ก ๆ นี่มาแคะขี้ฟันเสียเลย” ไอ้จ๋ากำข้อมือเล็กชูขึ้นประกอบคำขู่เข้ากับตาดุของมัน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงความหวงออกมา
“พูดอะไรน่ากลัว ปล่อยได้หรือยังอยากนั่งดี ๆ แล้ว”
“นั่งตักฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ ได้ข่าวว่าเธอขึ้นมานั่งเองโดยไม่ได้เชิญนะ”
“ตอนนี้ก็อยากลงแล้วไง”
“จะลงก็ได้ แต่ต้องตกลงคบกับฉันก่อน”
“หา! ” ออเรนจ์ตาโต คนอะไรก็ไม่รู้กลางวันทำให้ร้องไห้ กลางคืนมาทำให้ใจสั่น
“จะมาตกใจอะไรวะคบไม่คบ” ยิ่งออเรนจ์อ้ำอึ้งไอ้จ๋ายิ่งเสียงดัง ไม่ใช่อะไรตัวมันเองก็เขินไม่น้อยไปกว่ากัน คนอย่างมันเคยทำอะไรอย่างนี้กับเขาที่ไหนล่ะ “หรือจะไม่คบ เธอไม่อยากเป็นแฟนกับฉันใช่ไหม”
“ทำไมล่ะ ถ้าเราบอกไม่เป็นจ๋าคงไม่สนหรอกใช่ไหม” ออเรนจ์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้ากร้านแดด กัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ “ที่จริง..ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้จ๋ารำคาญ วันนี้เลยคิดว่าจะตัดใจไม่เจอกันอีก โอ๊ย! ”
“ปากดี” ไอ้จ๋าบีบคางเรียวกดจูบหนัก ๆ ลงที่ปากสวยแถมดูดแรง ๆ ส่งท้าย ทั้งที่มันพึ่งบอกไปว่าชอบเหมือนกัน ทั้งที่มันเพิ่งชวนมาคบกัน ไอ้จ๋าอุตส่าห์ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มาบอกว่าตัดใจไม่เจอกันอีก มันเข้าข่ายหักหน้ากันชัด ๆ แล้วมีหรือคนอย่างไอ้หมาหน้าดำมันจะยอม!
“อื้อ จ๋า”
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าหูอีกไม่งั้นโดน.. ยิ้มอะไรยายเน่า”
“เปล่า” แค่ดีใจมากจนหุบยิ้มไม่ได้เลยต่างหาก
ถึงร่างบนตักจะเบาสำหรับไอ้จ๋า แต่ถ้านั่งนาน ๆ ก็เมื่อยได้เหมือนกัน มันจึงขยับถอยพิงหลังกับเตียงนอน โดยมีร่างบอบบางนั่งคร่อมตักติดมาด้วย ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างมองตากันและกัน ความรู้สึกเต็มตื้นในใจ
“นี่เรื่องจริงใช่ไหม”
“เออ”
“อะไร เออแค่นี้เหรอ”
“แล้วจะให้ตอบอะไรล่ะ” สมเป็นไอ้หัวเกรียนจริง ๆ
“ก็..” ออเรนจ์ทาบฝ่ามืออุ่นลงกับแก้มสากทั้งสองข้างของไอ้จ๋า แนบไว้อยู่อย่างนั้น ตาสวยกวาดมองทั่วใบหน้ากร้านกวนอย่างหลงใหล ไล้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างลงที่ริมฝีปากหยักเบา ๆ แต่เล่นเอาไอ้จ๋าเสียววาบไปถึงท้องน้อย ฮึ่ม!
“ทำอะไรของเธอเนี่ย หยุด ๆ “ ก่อนที่มันจะรู้สึกไปมากกว่านี้
“จับหน้าแฟน”
“พอ ๆ ไม่ต้องลูบ” แน่ล่ะสิแค่นั่งคร่อมตักอยู่นี่ ไอ้จ๋ามันก็ร้อนวูบวาบด้วยความรู้สึกไปทั้งตัวแล้ว ไหนจะมือเล็ก ๆ นิ่ม ๆ ที่ทาบอยู่บนแก้มแล้วไล้นิ้วเบา ๆ บนริมฝีปากของมันอย่างซุกซนนี่อีก ไอ้จ๋าไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะเว้ยจะได้ไม่รู้สึกอะไร!
“อย่ามาอ่อยให้ยากเธอไม่ได้แอ้มฉันหรอก”
“ก็อยากอ่อยแฟน” เจ้าของร่างผอมนึกสนุกอยากแกล้งจึงได้กล้าพูด ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“อะไรนะพูดใหม่ซิฟังไม่ทัน”
“เปล่า” ทำไมต้องลาดเสียงยาว
“พูดใหม่สิ น้ำส้ม”
“ไม่เรียกส้มเน่าหรือไง” ไอ้จ๋าไปไม่เป็นเลยหัวเราะกลบเกลื่อน เพราะอยู่ดี ๆ ก็นึกอยากเรียกออเรนจ์ว่าน้ำส้มขึ้นมา แล้วก็ห้ามปากตัวเองไม่ทัน
“ฉันไม่ชอบชื่อออเรนจ์ ต่อไปเธอต้องเป็นน้ำส้มของฉันเข้าใจหรือเปล่า ชื่อนี้มีฉันเรียกได้คนเดียว” พออีกคนพยักหน้ารับ ไอ้คนเผด็จการมันก็ยิ้มพอใจ “ตกลงชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จริง ๆ ชื่ออะไรกันแน่ยายส้มเน่า”
“อีกละส้มเน่าอีกแล้วจ้างก็ไม่บอกหรอก”
“กวนเหรอเดี๋ยวเถอะ” ไอ้จ๋าเชยคางน้ำส้มขึ้นประกบปาก ฉกชิงความหวานละมุนผ่านการบดเบียดละเลียดจูบ ให้จังหวะเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกัน เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายเรียกร้อง ตัวมันเองใช่จะจูบเก่งมาจากไหน เอาจริง ๆ ก็ไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเหมือนกัน แค่เคยเห็นในละครทีวีมาบ้างว่าทำกันยังไง เอาปากมาแตะกันตรงไหน แต่ยังไม่เคยปฏิบัติจริง ที่ทำ ๆ อยู่นี้มันเป็นไปเองตามความเรียกร้องของหัวใจ ต่อไปคงต้องหาคลิปมาดูสักหน่อยแล้วล่ะ แต่...พี่ฮีโร่คู่ใจของมันดูคลิปไม่ได้นี่หว่า..
ต่อเด้อจ้า...
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า
(http://i63.tinypic.com/1075f1f.jpg)
ปึงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!
ไอ้จ๋ายังไม่ทันได้ลิ้มรสหวานซ่านหัวใจ กระจกรถฝั่งตรงข้ามก็ถูกทุบแรงรัวๆ จนคนทั้งสองที่อยู่ข้างในสะดุ้งเฮือก
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะอีน้องไม่รักดี”
“พี่คำแพง! “
“แกจะเข้าบ้านดีๆ หรือให้ฉันลากคอแกเข้าไปเดี่ยวนี้” คำแพงยืนเอามือเท้าเอวบอกน้องด้วยเสียงเกรี้ยวกราด เมื่อน้ำส้มออกมายืนนอกรถตามด้วยไอ้จ๋าที่ออกมายืนข้างกันเงียบๆ
“กล้าดียังไงพาผู้ชายมาพลอดรักกันหน้าบ้านอย่างนี้ ไม่มียางอายก็คิดถึงหน้าฉันกับพ่อบ้าง”
“ส้มขอโทษ”
“ผมผิดเองอย่าว่าน้ำส้ม”
“แกก็เหมือนกันทำอะไรไม่รู้จักละอายบ้างเลยนะ” หันไปชี้หน้าด่าไอ้จ๋าแล้วก็ได้แต่มองมันอ่างเดือดดาล กับสายตาที่มองตอบกลับมานิ่งๆ แม้จะไม่มีแววท้าทายแต่ไอ้จ๋าก็ดูไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของคำแพงเลยสักนิด
“มีอะไรกันเหรอ! ” เสียงเข้มดุที่ดังขึ้นเรียกให้ทุกคนหันไปมองทางเจ้าของเสียง ที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“พ่อ! ”
“ถามลูกคนโปรดของพ่อเถอะว่ามันออกมาทำอะไรค่ำ มืดๆ อยู่หน้าบ้าน” คำแพงกอดอกมองน้องและคนของน้องเหยียดๆ น้ำส้มที่ยืนก้มหน้าช้อนดวงตาขึ้นมองพ่อรู้สึกผิด
“เข้าไปคุยกกันในบ้าน” คนเป็นพ่อสั่งเสียงเฉียบขาดก็เดินเข้าบ้าน ทุกคนจึงได้แต่เดินตามหลังกันเข้ามาเงียบๆ คำแพงมีสีหน้าสะใจ แสยะยิ้มเยาะให้น้ำส้มเผื่อแผ่มาถึงไอ้จ๋าด้วย
“เอาล่ะเกิดอะไรขึ้น” ผู้เป็นพ่อถามเมื่อทุกคนเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ว คำแพงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้างพ่ออย่างอารมณ์ดี ส่วนน้ำส้มยืนเอามือประสานกันอยู่ต่อหน้าพ่อและพี่ มีไอ้จ๋ายืนอยู่ข้างๆ
“พ่อส้มข..”
“ผมขอโทษที่ทำอะไรไม่ทันคิดครับ” ไอ้จ๋ายกมือไหว้ขอโทษด้วยรู้สึกผิดจริงๆ
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ผมมาหาน้ำส้มแต่..”
“จ๋า! ”
“มาหาแล้วมันก็พากันไปนั่งพลอดรักอยู่ในรถตรงหน้าบ้านนะสิพ่อ” เมื่อทุกคนมัวแต่เรียบเรียงคำพูดกันอยู่ คำแพงจึงบอกออกมาแทน เถ้าแก่สินมองหน้าน้ำส้มที่ก้มหน้าหลบตาพ่อ สลับกับไอ้จ๋าที่มองตอบเถ้าแก่สินด้วยแววตานิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ดูหยิ่งหรืออวดดี
“ปล่อยไว้ไม่ได้นะพ่อ อีกหน่อยมันได้ใจคงทำอะไรงามหน้ามากกว่านี้แน่ๆ “เถ้าแก่สินไม่ได้สนใจในสิ่งที่ลูกสาวคนโตพูด เพราะเขาเอาแต่มอง และพิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกคนเล็กตรงหน้า ที่ถึงแม้ว่าสายตาที่มันมองตอบกลับมาจะดูนิ่ง และไม่มีแววท้าทายหรืออวดดี ยังไงในฐานะคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเป็นแบบน้ำส้ม เขาก็ต้องมองเพราะไม่พอใจและมีความหวงเป็นธรรมดา
“ว่าไง สองคนมีอะไรจะพูดมั้ย” เถ้าแก่สินถามเสียงเข้มลดสายตาลงมองที่มือขาวๆ ของน้ำส้ม ที่ตอนนี้มีมือใหญ่ของไอ้จ๋ากุมเอาไว้ไม่ปล่อย ตั้งแต่ตอนที่คำแพงเริ่มฟ้องพ่อและยุยง และมันทำให้น้ำส้มรู้สึกอบอุ่นจนลืมไปเลยว่ากำลังถูกซักถามเคร่งเครียด แต่ดูเหมือนว่าคนที่เคร่งเครียดมากที่สุดเห็นจะเป็นคำแพง ที่น้ำส้มไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวถึงได้ไม่พอใจมากขนาดนี้
“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงสั่นปล่อยมือจากไอ้จ๋าแล้วเดินเข้าไปคุกเข่านั่งลงตรงหน้าพ่อ “ส้มขอโทษ”
“ผมก็ขอโทษด้วยครับ” ไอ้จ๋าคุกเข่าลงข้างหลังของน้ำส้มแล้วยกมือไหว้ขอโทษเถ้าแก่สินอีกครั้ง “ผมผิดเองที่พาน้ำส้มทำแบบนั้น อย่าว่าน้ำส้มเลยนะครับ แต่เรา..”
“แหมออกรับแทนกันดีจริงๆ นะแกสองคนไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”
“พี่คำแพง! ” ไอ้จ๋ารู้สึกไม่ชอบคำแพงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ทิ้งน้ำส้มเอาไว้ที่บ้ายทุ่งดอกจานแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะทำให้มันได้ใกล้ชิดถึงขนาดที่น้ำส้มได้นอนค้างด้วยกันก็ตามเถอะ แต่ยังไงพี่ก็ไม่ควรทำกับน้องของตัวเองแบบนี้
“ผมกับน้ำส้มเรากำลังคบกันครับ ผมขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาบอกตั้งแต่แรก แต่เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยถึงขั้นลึกซึ้ง ถ้าพ่อไม่ว่าอะไรผมขอโอกาสคบกับน้ำส้มนะครับ”
“ใครเป็นพ่อแกวะไอ้หนุ่ม”
“เอ่อ..ครับเถ้าแก่” ไอ้จ๋าเปลี่ยนคำเรียกแทบไม่ทัน เมื่อเถ้าแก่สินย้อนถามกลับทันทีที่มันเรียกว่าพ่อ แต่ตามปกติแถวๆ บ้านหากอายุมากหรือเทียบแล้วรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อแม่ของตัวเอง คนทางนี้เขาก็เรียกกันว่าพ่อแม่ หรือพี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ได้โดยไม่ถือสา แต่ไม่ใช่ตอนนี้และเวลานี้ โดยเฉพาะสำหรับเถ้าแก่สินคนนี้ที่กำลังหวงลูก
“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงเบาเถ้าแก่สินทำเพียงละสายตาจากไอ้จ๋ามามองหน้าลูกดุๆ เพื่อปรามไม่ให้พูดขัด น้ำส้มจึงก้มหน้าหลบตาดุของพ่อที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ทั้งที่ไม่เข้าใจคนเป็นพ่อเลยสักนิด ท่าทางแบบนี้ของพ่อคืออะไรทำไม ทำไมพ่อต้องดุแบบนี้ทั้งที่....
“แกกลับไปได้แล้วไอ้หนุ่ม” เถ้าแก่สินออกปากไล่เสียงเข้ม
“แต่..”
“อย่ามายุ่งกับน้องฉันอีก” คำแพงเสริม
“พี่คำแพง! “ทุกคนหันไปมองคำแพงอย่างตกใจ แม้กระทั่งเถ้าแก่สินที่ควรจะเป็นคนพูดว่าไม่ให้มายุ่งกับลูกของตัวเอง ยังตกใจที่คำแพงพูดออกมาแบบนั้น
“ไม่ให้ผมยุ่งคงไม่ได้หรอกครับ ผมกำลังขออนุญาตเถ้าแก่เพื่อคบกับน้ำส้มนะครับ”
“แกคิดว่าแกมีดีอะไรถึงจะมาคบกับลูกของฉันไอ้หนุ่ม ลูกเต้าเหล่าใครไหนบอกมาซิ”
“พ่อกับแม่ผมไม่ใช่คนใหญ่คนโตมาจากไหนหรอกครับ ก็เป็นแค่ชาวบ้านชาวไร่ชาวนาธรรมดา ผมอยู่บ้านทุ่งดอกจานเรียนปีสุดท้ายที่..” ไอ้จ๋าบอกประวัติตัวเองเพียงสั้นๆ
“อย่าลืมนะว่าลูกฉันมันเป็นผู้ชายถึงมันจะตัวเล็กผอมบางหุ่นเหมือนผู้หญิงก็ตามเถอะ” เถ้าแก่สินเชิดหน้าขึ้นแม้จะรู้ว่าลูกเป็นแบบนี้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าส้มของพ่อนั้นชอบผู้ชาย แต่ยังไงล่ะ เขามันคนหวงลูก ยิ่งน้ำส้มคือแก้วตาดวงใจตัวแทนสุดที่รักที่จากไปเขายิ่งหวงมากยิ่งกว่าเก่า
“ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วครับว่าน้ำส้มเป็นผู้ชาย”
“แล้วยังไง แกเป็นเกย์?”
“ถ้าผมคบกับน้ำส้มแล้วกลายเป็นเกย์ก็คงต้องยอมรับครับ แต่ผมไม่เคยชอบไม่เคยมองผู้ชายคนไหนมาก่อน “
“นั่นน่าเป็นห่วงนะแกว่ามั้ย ถ้าเกิดแกเปลี่ยนใจกลับไปหาผู้หญิงลูกฉันก็เสียใจสิวะ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะความรักแบบนี้แกต้องทำความเข้าใจด้วย ฉันไม่อยากให้ลูกฉันต้องมานั่งเสียใจเพราะแกเปลี่ยนใจทีหลัง”
“ผมไม่กล้าบอกว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจในอนาคต เพราะเรากำหนดมันไม่ได้ ทุกอย่างมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผมคบกับน้ำส้มและมีน้ำส้มคนเดียว นั่นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมจริงจังกับน้ำส้มมากแค่ไหน และมันจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า”
“งั้นถ้าฉันให้แกพิสูจน์ตั้งแต่ตอนนี้แกจะทำได้หรือเปล่าล่ะ”
“ผมยอมทำเพื่อน้ำส้ม แต่บอกผมก่อนได้มั้ยครับว่าจะให้ผมทำอะไร”
“แกมีสิทธิ์ต่อรองหรือไง”
“เกิดเถ้าแก่ให้ผมพิสูจน์โดยการไม่ให้มาเจอกันอีกผมคงแย่ครับ” ไอ้จ๋าอยากเกรียนใส่เต็มทีแต่ก็พูดได้เท่านี้ เพราะต้องสำรวมและทำคะแนนกับว่าที่พ่อตา ซึ่งดูเหมือนว่ามันกำลังเจอศึกหนักทีเดียว เถ้าแก่สินนั่งจ้องหน้าไอ้จ๋าตาดุที่มันรู้ทัน ในใจคิดจะให้มันพิสูจน์ตัวเองโดยไม่ต้องเจอหน้ากันสักสามปี ดูซิว่ามันจะทนได้ไหม ที่จะไม่มองหรือมีคนอื่น และไม่เปลี่ยนใจไปจากลูกชายของตัวเอง แต่การคิดเล่นๆ ก็ต้องทิ้งไปเพราะลูกชายตัวเองก็คงแย่เหมือนกัน
“งั้นแกอยากพิสูจน์ตัวเองยังไงดีล่ะไหนเสนอมาซิเผื่อฉันสนใจ” นี่เป็นโจทย์หินสำหรับไอ้จ๋าเลยทีเดียว จะให้มันมาเสนอตัวอวดอ้างข้อดีของตัวเองก็ใช่ที่ แต่จะไม่ให้มันทำอะไรก็คงจะไม่ได้ลูกเขามาครอง เรื่องความเกรียนขี้แกล้งไอ้จ๋าไม่น้อยหน้าใคร เรื่องเรียนเรื่องงานไอ้จ๋าก็ดีเด่นจนเป็นที่ยอมรับ แต่ตอนนี้มันไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด เพราะนั่นมันอยู่ในชีวิตประจำวันปกติของมันอยู่แล้ว
“ผม...” ไอ้จ๋าเม้มปากใช้ความคิดโดยมีน้ำส้มนั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะพิสูจน์ตัวเองยังไงเถ้าแก่สินถึงจะยอมรับ
“ว่ายังไงล่ะ แค่นี้แกก็ยังคิดไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้วะ”
“ครับผมก็คิดเหมือนกัน ว่าแค่ทำให้ว่าที่พ่อตายอมรับแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรที่มันใหญ่กว่านี้ได้ยังไง”
“อวดดี! ” คำแพงที่นั่งฟังอยู่นานอดแขวะออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นพ่อผู้ใจดีนิ่งเฉยต่อคำของไอ้จ๋า ยิ่งพอได้ยินไอ้ผู้ชายหัวเกรียนมันพูดว่า ‘ว่าที่พ่อตา’ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ นี่มันจะจริงจังกันถึงขั้นนั้นเลยหรือยังไง ส่วนไอ้จ๋าเหลือบมองพี่สาวของน้ำส้มแต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะต่อปากต่อคำ เพราะมันรู้ดีว่าถ้ามันอ้าปากพูดอะไรโต้ตอบออกมา เรื่องก็คงไม่จบง่ายแน่ ดีไม่ดีอาจจะทำให้มันเสียคะแนนกับว่าที่พ่อตาเอาเลยก็เป็นได้
“ผมยืนยันคำเดิมว่ายังไงผมก็ยอมทำเพื่อน้ำส้มได้ทุกอย่าง ยกเว้นห้ามไม่ให้ผมกับน้ำส้มคบและเจอหน้ากัน”
“หึๆ แกจะเอาอย่างนั้นก็ได้ จะคบกันฉันไม่ห้ามหรอกนะ ลูกชายฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว และฉันก็รู้ว่ามันคงจะไม่หาสะใภ้เข้าบ้านแน่ๆ ล่ะ แต่..” สีหน้าของเถ้าแก่สินแสดงถึงความเจ้าเล่ห์ไม่มีปิดบัง ทำให้น้ำส้มยิ้มบางๆ ออกมาได้เมื่อพ่อพูดออกมาอย่างนั้น ด้วยเป็นลูกย่อมรู้ดีว่าลึกๆ แล้วพ่อก็ไม่ได้จะห้ามปรามอะไรมากมาย แต่การที่พ่อเอามือลูบคางเหมือนกำลังใช้ความคิดนั่นทำให้น้ำส้มหวั่นใจว่าพ่อจะมีแผนอะไรมาแกล้งหรือเปล่า
“พ่อ! ” เป็นเสียงของคำแพงที่เรียกพ่ออย่างไม่พอใจทั้งที่เถ้าแก่สินยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ “พ่อจะยอมให้มันคบกันแล้วมาทำงามหน้าอย่างนี้หรือไง” เถ้าแก่สินเพียงมองหน้าลูกสาวแต่ก็ไม่พูดอะไร ชายวัยกลางคนหันมาทางไอ้จ๋าและลูกคนเล็กของตัวเองก่อนจะพูดต่อ
“แต่แกต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่วันนี้ตอนนี้ จะคบกันก็ได้ฉันไม่ว่า”
“พ่อ/พ่อ! ” เสียงของสองพี่น้องดังขึ้นมาพร้อมๆ กันแต่ต่างความรู้สึก เสียงของน้ำส้มนั้นฟังดูตื่นเต้นเพราะเจ้าตัวกำลังดีใจ แต่เสียงของพี่สาวนอกจากจะดังอย่างตกใจแล้ว ยังมีแววไม่พอใจปนอยู่ด้วย เถ้าแก่สินไม่สนใจสองพี่น้อง แต่หันมาพูดกับไอ้จ๋าต่อ
“แต่...แกต้องหาเวลามาช่วยงานฉันที่นี่ มาเป็นคนงานให้ฉันเพื่อพิสูจน์รักแท้เป็นไง นี่ฉันให้โอกาสแกได้อยู่ใกล้ๆ ลูกฉันเชียวนะแกว่าฉันเป็นคนดีมั้ย” ถึงแม้ไอ้จ๋าจะแอบหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนมาทำงานที่นี่ แต่มันก็ยังไม่ได้ตอบรับในทันที เพราะรู้ว่าถ้าเถ้าแก่สินยังพูดไม่จบ และหากพูดแบบนี้มันต้องตามมาด้วยสิ่งที่ไอ้จ๋าไม่คาดคิดเป็นแน่แท้ มันจึงทำเพียงแค่มองตอบสายตาของเถ้าแก่สินนิ่งๆ อยู่เช่นเดิมเพื่อรอฟังเท่านั้น
“ที่เงียบนี่แสดงว่าไม่พอใจข้อเสนอของฉันหรือไง”
“เปล่าครับ ผมเพียงแต่คิดว่าข้อเสนอของเถ้าแก่คงยังไม่หมดเท่านี้ใช่มั้ยครับ” เถ้าแก่สินมองหน้าไอ้จ๋าด้วยสายตานิ่งๆ แต่ในใจกลับไม่นิ่งเหมือนท่าทางที่แสดงออกมา เมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่ดูจะฉลาดรอบคอบของไอ้หนุ่มหัวเกรียนตรงหน้า ที่ทำให้ชายวัยกลางคนต้องมองคนหนุ่มที่มาขอคบลูกชายตัวเองในมุมใหม่
“ใช่”
“ว่ามาได้เลยครับผมกำลังรอฟัง”
“ฉันให้แกคบกับลูกฉันได้”
“ครับ”
“ฉันอยากให้แกมาช่วยทำงานที่นี่บ้างถ้าว่าง”
“ได้ครับ”
“แกจะได้เจอเจ้าส้มทุกวันถ้ามาทุกวัน”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“แต่ห้ามคุยกัน! ”
“ครับ ห๊า!! ” ไอ้จ๋ารู้อยู่แล้วว่าข้อสุดท้ายต้องเป็นอะไรที่มันไม่คาดคิด หรือเป็นข้อห้ามที่ทำให้ลำบากใจอย่างนี้ มันจึงได้แต่อุทานในใจเหมือนตอนนั้น ตอนที่น้ำส้มบอกมันว่าไอ้หน้าตี๋นั่นแอบชอบคนตัวผอมมานานแล้ว มันก็อุทานในใจซะเสียงดังเลย ‘กูว่าแล้ว’ เหมือนในตอนนี้นี่แหละ เพราะมันคิดอยู่แล้วว่ายังไงข้อเสนอและข้อตกลงของเถ้าแก่ก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อด้วยเสียงกระเง้ากระงอด มีอย่างที่ไหนให้เจอหน้ากันได้ทุกวันแต่ไม่ให้พูดคุยกันนี่นะ แล้วจะเจอทำไมเจอไปเพื่ออะไร แต่ก็ได้แค่คิดเพราะรู้ดีว่าพ่อคงต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้นแน่นอน
“ว่าไงไอ้หนุ่มแกตกลงมั้ย ข้อเสนอง่ายๆ หมาอีด่างข้างบ้านยังทำได้เลย” เถ้าแก่กอดอกยืดตัวขึ้น เอนหลังพิงพนักโซฟาเล็กน้อยแล้วยักเท้าขึ้นมาไขว้ห้างกระดิกอย่างอารมณ์ดี
“ครับได้ครับ เรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ผมคงอายหมามัน และคงไม่คู่ควรกับน้ำส้มแน่ๆ ”
“จ๋า! ตกลงทำไมนี่พ่อไม่ให้เราคุยกันเลยนะ”
“เธอเงียบก่อน” น้ำส้มหน้างอที่เห็นว่าไอ้จ๋าก็ไม่มีท่าทางไม่พอใจหรือประท้วงเลยที่จะไม่ได้คุยกัน แถมยังปรามน้ำส้มแล้วหันไปยืนยันกับเถ้าแก่สินด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอีกด้วย
“ผมตกลงครับ”
“จ๋าถ้าพ่อไม่ให้เราคุยกันตลอดไปล่ะ”
“นั่นสิแกตกลงง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าเกิดว่าฉันไม่ให้แกคุยกันตลอดไปแกจะว่ายังไง อ่อแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ไปแอบคุยนะเพราะเวลาแกมา แกหรือน้ำส้มจะต้องมีคนเฝ้า! ”
“พ่อ ทำไมข้อตกลงพ่อทำยากอย่างนี้ล่ะฮะ” ในขณะที่ไอ้จ๋าเงียบไม่ได้พูดประท้วงน้ำส้มกลับโอดครวญเสียยกใหญ่ เมื่อได้ฟังข้อเสนอของพ่อ โดยมีเสียงหัวเราะสะใจของคำแพงดังขึ้นข้างๆ
“ห้ามแอบโทรหากัน ห้ามเขียนจดหมาย ห้ามส่งข้อความ ห้ามทำทุกอย่างที่สรุปออกมาแล้วเป็นการคุยกัน”
“พ่อ” น้ำส้มขอบตาแดงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ที่พ่อห้ามไปเสียทุกอย่าง แบบนี้มันไม่ต่างอะไรเลยกับการห้ามคบกัน
“ยัยส้มเน่าไม่เป็นไรน่า” ไอ้จ๋าขยับเข้ามาใกล้น้ำส้มขึ้นอีก เอาไหล่สะกิดไหล่บอบบางเบาๆ เมื่อกระซิบปลอบ เสียงปลอบที่เหมือนพูดกันแค่สองคนแต่เถ้าแก่สินก็ยังได้ยินและแอบรู้สึกไม่พอใจ ‘หนอย ไอ้หัวเกรียนบังอาจมาเรียกลูกชายคนเล็กของข้าซะเสียหายหมด ส้มเน่าเนี่ย ฮึ่ย’
“แต่เราจะไม่ได้คุยกันเลยนะจ๋า”
“ไม่นานหรอก”
“เจ้าส้มขึ้นบ้านไปข้อตกลงเริ่มแล้ว”
“พ่อ! “
“ขึ้นบ้านไปสิ แกจะขัดคำสั่งพ่อหรือไง”
“พี่คำแพง! ”
“เออ มานี่เลยสมน้ำหน้าอยากทำอะไรประเจิดประเจ้อดีนัก”
“ส้มเปล่า พ่อส้มไม่ไป”
“เจ้าส้มขึ้นบ้านไปก่อนลูก”
“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงอ่อยแล้วหันไปมองหน้าไอ้จ๋า ที่พยักหน้าเป็นการบอกว่าให้ทำตามคำสั่งพ่อ น้ำส้มที่ขัดใจอยู่แล้วเลยพาลไม่พอใจไอ้จ๋าด้วย จึงสะบัดหน้าใส่ไอ้คนหัวเกรียนแล้วเดินตามแรงดึงของพี่สาวขึ้นบ้านไป ไม่หันกลับมามองคนที่ทิ้งไว้เบื้องหลังอีกเลย
“เอาล่ะแกคงรู้คำตอบอยู่แล้วว่าระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงนานแค่ไหน”
“ครับ นานเท่าที่ผมจะสามารถทำให้เถ้าแก่พอใจและยอมรับให้ผมเรียกว่าพ่อได้” บ๊ะ! ไอ้หนุ่มนี่มันตรงประเด็นและรู้ทันจริงๆ แต่ก็นั่นล่ะ ต่อไปจะเป็นยังไงก็คงต้อรอดู เถ้าแกสินได้แต่พูดในใจขณะที่ประเมินไอ้หนุ่มตรงหน้า ที่มันกล้าทำให้ชายวัยกลางคนอย่างเขาต้องแปลกใจหลายครั้งตั้งแต่เจอหน้ากันมา นับว่ามันมีดีเหมือนที่เจ้าลูกคนเล็กคุยเอาไว้พอสมควร แต่จากนี้คงต้องดูกันใหม่ให้ดีๆ กว่านี้ว่ามันจะแน่สักแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้แกกลับไปได้แล้ว ว่างเมื่อไหร่ค่อยมา”
“ครับ” ไอ้จ๋ารับคำพร้อมกับยกมือไหว้ลา เพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้องรับแขกของบ้านมาเงียบๆ มันเปิดประตูหน้าออกมาแล้วปิดไว้ให้อย่างดี
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถไอ้จ๋าก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรง กับข้อเสนอง่ายๆ ที่ไม่รู้ว่าหากวันที่มาจริงๆ มันจะทำได้อย่างที่เถ้าแก่สินต้องการหรือเปล่า ตอนนี้ไอ้จ๋าไม่ได้ห่วงตัวเองว่าเถ้าแกจะใช้ให้ทำงานหนักอะไร เพราะหนักยังไงก็ไม่เกินแรงของมันไปได้ สิ่งที่ห่วงที่สุดคือความรู้สึกของน้ำส้มกลัวว่าอีกคนอาจจะเข้าใจผิด ไหนจะตั้งแต่วันนี้มันกับน้ำส้มจะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลยจนกว่าเถ้าแก่สินจะยอมรับ นั่นก็หมายความว่ามันจะไม่ได้อธิบายอะไรให้น้ำส้มฟังด้วย เข้าใจผิดยังไงก็คงต้องปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไปก่อน ไอ้จ๋าไม่อาจผิดสัญญาและข้อตกลงที่ทำเอาไว้กับเถ้าแก่สิน เพราะได้ออกปากรับคำไปแล้ว และมันจะไม่ยอมทำให้ตัวเองหมดความน่าเชื่อถือและเสียคะแนนจากว่าที่พ่อตาเด็ดขาด
%%%%%%%%%%%%%
เมื่อไอ้จ๋ากลับมาถึงบ้านเวลาก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว บ้านจึงเงียบเพราะเป็นเวลาที่พ่อกับแม่เข้านอนกันหมดทั้งสองคน มันจึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินไปบ้านใหญ่ ซึ่งเป็นที่นอนประจำของมันเหมือนทุกวัน บ้านหลังใหญ่มองเห็นอยู่ไม่ไกลเกินสิบก้าวเงียบสงบ ดวงไฟสว่างแต่พอให้ไม่ดูมืดมากนัก เพราะเปิดเอาไว้แค่ให้พอมองเห็นตามทางเดินเท่าที่จำเป็น ไอ้จ๋ามองสำรวจรอบๆ ตามความเคยชิน แล้วสาวเท้าตรงเข้าไปยังส่วนที่มันนอน แต่ในขณะที่กำลังเดินเข้ามายังใต้ถุนบ้านเพื่อเข้าไปยังส่วนที่นอนของตัวเองนั้น ไอ้จ๋าให้เกิดรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเป็นส่วนเกินอยู่ในบริเวณนี้
ไอ้หัวเกรียนกระพริบตาถี่เพื่อให้สายตาปรับชินกับความมืด แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยซึ่งมันรอไม่ได้ ไม้กวาดดอกหญ้าที่วางพิงอยู่ข้างเสา คือสิ่งที่ใกล้มือที่สุดที่มันพอจะนำมาใช้เป็นอาวุธได้ และไม่รอช้าไอ้จ๋าคว้าไม้กวาดขึ้นมาถือเอาไว้ในท่าที่กระชับมั่น สองเท้าค่อยๆ พาตัวเองย่องเข้าไปในความสลัวของพื้นที่คุ้นเคย แม้จะไม่มีแสงสว่างมากนักแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่เคยชินอย่างไอ้จ๋า และพอก้าวเข้ามาในส่วนของห้องมืดๆ ได้ มันก็เงื้อไม่หวาดในมือขึ้นสูงเตรียมฟาดทันที
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 26 ลงแขก
“ลงแขก เป็นประเพณีที่สื่อให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในการช่วยเหลืองานการต่างๆ ระหว่างชาวบ้าน แต่ลงแขกที่คนสมัยใหม่รู้จักมักจะเข้าใจความหมายไปในทางที่ไม่ดี ทั้งที่ในความหมายแท้จริงแล้ว การลงแขกนั้นเป็นประเพณีอันดีงามของไทยที่เราควรอนุรักษ์และรักษาเอาไว้ ซึ่งในอดีตชาวอีสานจะมีการลงแขกช่วยกันทำงานใหญ่ๆ ที่เกินกำลังของคนในครอบครัวเพื่อให้งานเสร็จเร็วๆ โดยส่วนมากก็จะมีตั้งแต่การลงแขกดำนา การลงแขกเกี่ยวข้าว ลงแขกนวดข้าวหรือตีข้าวที่ต้องใช้แรงคนมาก นี่จึงเป็นการแสดงน้ำใจที่คนในชุมชนมีให้แก่เพื่อนบ้านญาติพี่น้อง โดยไม่ได้ค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทน แต่จะมีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม และช่วยเหลือหมุนเวียนกันไป ซึ่งสังคมเกษตรมักจะเป็นสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน การลงแขกช่วยกันทำงาน จึงถือเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชนอย่างหนึ่ง เพื่อช่วยให้งานการต่างๆ เสร็จลุล่วงไปด้วยดีและรวดเร็วโดยไม่ต้องมีการว่าจ้าง
การไปช่วยเหลืองานลงแขก ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยเพื่อศึกษากันและกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในสมัยก่อนใช่ว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้น แต่ก็น้อยมากเพราะการพบปะส่วนใหญ่จะอยู่ในสายตาผู้ใหญ่คอยดูแลตลอด หากรักใคร่ชอบพอก็เข้าตามตรอกออกตามประตูให้ผู้ใหญ่รับรู้ การลงแขกทำงานจึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสกลายๆ มีการร้องเพลงเกี้ยวกัน จีบกัน และร่วมกันรับประทานอาหารที่ทางเจ้าของนาจัดเอาไว้อย่างสนุกสนาน ถือเป็นประเพณีสานสัมพันธ์อันดีงามที่เลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อสังคมสมัยใหม่ที่มีแต่การดิ้นรนเอาตัวรอดมากขึ้น ต้องการเงินมาเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตมากขึ้น ทุกวันนี้จึงแทบจะไม่ค่อยเห็นมีการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงานแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นการว่าจ้างแทน”
อ่านมาถึงตรงนี้ต้นกล้าก็ให้นึกเสียดาย ที่ประเพณีอันดีงามนี้ได้ถูกลดความสำคัญลง จนแทบเลือนหายไปหมดแล้ว เพราะจะว่ากันตามจริงตัวต้นกล้าเองก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ลงแขก’ ผิดจากความเป็นจริงไปในอีกความหมายหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะเป็นความหมายในทางไม่ดี อย่างที่ในบทความได้กล่าวเอาไว้นั่นแหละ จึงได้แต่นั่งเสียดายประเพณีดีงามที่น่าอนุรักษ์ไว้นี้ เขามองออกไปยังท้องทุ่งกว้างที่ห่มคลุมด้วยสีทองอร่ามตาของรวงข้าวจนสุดปลายนา ฝั่งนั้นมีต้นไผ่ปลูกเรียงเป็นทิวแถวที่ไอ้จ๋าบอกว่ามันเป็นไผ่หวาน หน่ออ่อนที่ได้มาจะมีรสหวานๆ นุ่มลิ้นผิดกับหน่อไม้ทั่วไปที่รสชาติขมฝาด แต่ต้นกล้ายังไม่เคยชิมสักครั้ง
“ลวกแต่พอสุก กินกับตำหมากหุ่งหรือปลาป่นอร่อยนักแลครับลูกพี่” ไอ้จ๋ามันว่าเอาไว้อย่างนั้น ต้นกล้ากวาดตามองไปตามไผ่ใบอ่อนสีเขียวลู่ไปตามลม ถัดจากแถวของกอไผ่หวานที่เรียงเป็นทิวคือคลองส่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมานาน เวลาน้ำหลากจะมีน้ำเต็มคลอง แต่เวลาที่เข้าหน้าแล้งอย่างนี้ แม้จะมีน้ำเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอสำหรับการเพาะปลูก ต้นกล้ารู้สึกตื่นเต้นไม่หายที่ได้มาสัมผัสมันกับความประทับใจของท้องไร่ท้องนาใกล้ๆ ด้วยตัวเอง ที่หากใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ไม่มีวันได้เจอแน่ คิดเล่นๆ ว่าหากจะมีการนัดกันลงแขกเกี่ยวข้าวบ้าง เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม สมัยนี้ยังจะมีใครมาอยู่อีกหรือเปล่า
“เด็ดเดี่ยว”
“พี่เดี่ยว”
“เด็ดเดี่ยว”
“พี่เดี่ยว”
“เดี๋ยวไม่คุยด้วยเลยนิ”
“โอเคๆ ครับยังไงก็ได้ แล้วเรียกพี่ทำไม” ต้นกล้าอยู่บนเปลนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ เข้าเพจก็มีแต่เรื่องเดิมๆ น่าเบื่อพักหลังมาจังไม่ค่อยอัปเดตอะไรลงไปนัก แถมยังมีข้อความต่างๆ ส่งเข้ามาหามากมาย ที่หากต้นกล้ามานั่งตอบทีล่ะคนคงใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ก็ยังมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเดิม ต้นกล้าชักจะเบื่อๆ เลย เปิดดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนนึกอยากหาข้อมูลการเกี่ยวข้าว เอาไปเอามาเลยไปเห็นบทความเรื่องการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงาน พอได้อ่านแล้วก็เลยสนใจและนึกสนุกขึ้นมา
“ว่ายังไงครับ เรียกพี่ทำไมหืม”
“เราอยากลงแขก” !!
“ห๊า! ได้ไง ลงแขกใครที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่เอานะพี่ไม่ยอมมันไม่ดีอย่าทำ” เด็ดเดี่ยวฟังยังไม่ได้จับใจความดีก็ดีดตัวขึ้นมาโวยวาย เมื่อได้ยินต้นกล้าบอกว่าอยากลงแขก เพราะเขาคิดถึงความหมายไปในทางไม่ดีที่คนสมัยนี้นำมาใช้กัน ต้นกล้าได้แต่มองหน้าเด็ดเดี่ยวงงๆ แต่พอเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของคนตัวโต ที่กำลังมองตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่ยอม พลางคิดทบทวนคำพูดของเด็ดเดี่ยวไปด้วยเลยเข้าใจ จึงได้แต่หัวเราะขำพรืดออกมา
“อ่าว หัวเราะทำไม”
“ก็คิดไปถึงไหน เราหมายถึงการลงแขกเกี่ยวข้าวหรอก”
“วู้...พี่ก็นึกว่าจะลงแขกแบบนั้น”
“แบบไหน”
“ก็..แบบที่..เอ่อ..ช่างมันเถอะ”
“แล้วคิดว่าถ้าเราลงแขกเกี่ยวข้าวจะมีคนมาช่วยหรือเปล่า”
“ก็คงมีมาบ้างอยู่นั่นแหละลองดูมั้ยล่ะ”
“ลองได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ก็เห็นเขาเขียนว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีการลงแขกแล้วนี่ มีแต่จ้างแทนแล้วหันไปลงแขกอย่างอื่น” ต้นกล้าชูโทรศัพท์มือถือเครื่องบางๆ ของตัวเองให้เด็ดเดี่ยวดู ซึ่งยังมีเนื้อหาของการลงแขกเกี่ยวข้าวเปิดค้างเอาไว้อยู่
“ลงแขกอย่างอื่นอย่างไหนล่ะ” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำนัยน์ตาวาวและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่เปิดบัง จนคนถูกถามขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ
“อย่างนั้นล่ะ”
“นั่นแน่คิดอะไรอยู่”
“คิดว่าท่าทางมันน่าสนุกเนอะ”
“ลงแขกเนี่ยนะ กับพี่สองคนสนุกกว่า”
“ลงแขกเกี่ยวข้าวโว้ย!” ถึงจะแกล้งโวยวายต้นกล้าก็อดจะยิ้มขำออกมาไม่ได้ที่เด็ดเดี่ยวพาวกเข้าการลงแขกของคนสมัยนี้จนได้ จึงพากลับมาที่ลงแขกเกี่ยวข้าวเหมือนเดิม บอกแล้วก็อมยิ้มมองกันอยู่อย่างนั้น เด็ดเดี่ยวมองตอบต้นกล้ายิ้มๆ เช่นกันเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งประกายความสนุกออกมาอย่างปิดไม่มิด ตอนนี้ทั้งสองพักเที่ยงรอลงเกี่ยวข้าวช่วงบ่าย ที่มุมสบายมุมโปรดของต้นกล้า หนุ่มหล่อเกาหลีนอนเล่นบนเปลรับลมธรรมชาติเย็นๆ ใต้ร่มไผ่เหมือนเดิม ที่คนไม่เคยนอนใกล้กอไผ่จะไม่รู้หรอกว่ามันเย็นสบายมากแค่ไหน ส่วนเด็ดเดี่ยวเหยียดขาสุดความยาวเอนหลังพิงต้นมะม่วงอยู่ใกล้ๆ กัน
กว่าจะทำลานข้าวเสร็จเวลาก็สายมากแล้ว ต้นกล้าหิวจนอยากอาละวาดไอ้ลูกน้องคนสนิท ที่มันบอกจะไปเอาข้าวมาให้กินก็ไม่มาสักที เล่นหายไปจนเกือบสิบโมงจึงได้โผล่หัวมาให้เห็น ต้นกล้านี่หิวจนไส้จะขาดเลยไม่มีอารมณ์สนใจอะไร ได้อาหารก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว โดยนั่งลงกินมันข้างลานข้าวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ นั่นแหละ ขี้ควายที่ทาเอาไว้ก็ยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าความหิวทำให้เขาลืมกลิ่นเหม็นๆ ของขี้ควายไป หรือว่ากลิ่นมันอ่อนลงเอง หรือเพราะความคุ้นชิน หรือเพราะคนที่นั่งกินด้วยกันที่คอยหาเรื่องให้ป้อนและคอยป้อนกลับ แต่หนุ่มหล่อเกาหลีที่ร้องยี้และรังเกียจในตอนแรก ก็นั่งกินข้าวได้อย่างสบายอารมณ์ทีเดียว ส่วนไอ้จ๋าเอาข้าวมาส่งลูกพี่ของมันเสร็จก็หายไปอีก เห็นบอกว่าต้องเอากับข้าวไปส่งคนงานต่อ ธุระของมันนี่ก็เยอะจริงๆ
“เอาจริงเหรอ”
“เอาดิ”
“งั้นมาเลย”
“อะไรๆ ๆ”
“อ้าวก็เมื่อกี้บอกว่าอะไรล่ะ”
“อย่าๆ อย่ามาทำตัวเนียนลามกแถวนี้”
“พี่ล้อเล่น” แต่ได้ก็ดี โว้ย! ..เด็ดเดี่ยวอยากเขกหัวตัวเอง ที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องไม่ดีไร้สาระ คิดแต่เรื่องจะเอาเปรียบคนตัวเล็กกว่า ทั้งที่ต้นกล้าให้ความใกล้ชิดและเปิดใจมากขึ้นขนาดนี้ ถอนใจให้กับความคิดของตัวเองดังๆ แล้ววางมือบนหัวที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงแล้วกดขยี้เบาๆ (?) จนอีกคนหัวสั่นหัวคลอน
ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะดูเหมือนพะวักพะวนอยู่หน่อยๆ ก็คงเป็นเพราะกังวลเรื่องผู้ใหญ่ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นและชัดเจนกว่าเมื่อก่อนมากโขเลยทีเดียว ทั้งที่เจอกันวันแรกคนตัวเล็กกว่ามีท่าทางต่อต้านและไม่ยอมรับในตัวเด็ดเดี่ยว แม้แต่อยากทำความรู้จักกันก็ไม่ค่อยจะยอม แต่วันนี้ที่ต้นกล้ารู้ใจตัวเองแล้ว ยังแสดงออกมาอย่างเต็มที่ทั้งเขินๆ อยู่นั่นแหละ ความน่ารักกระแทกโดนใจจนเด็ดเดี่ยวแทบอดไม่ไหว ที่จะดึงร่างสูงโปร่งของต้นกล้าเข้ามากอดให้สมรัก แล้วจูบปากให้หนำใจสักครั้ง ฮึ่ม มันเขี้ยว!!
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” ต้นกล้าถามเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเอาแต่นั่งสะบัดหน้าไปมา เหมือนหมาสะบัดขน
“พี่เปล่าเป็น” จะให้เด็ดเดี่ยวบอกไปได้อย่างไร ว่ากำลังสะบัดเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่เอาแต่คิดถึงร่างอุ่นๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาคืนนั้นอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อได้ใกล้ชิด ได้กอด ได้หอม จนถึงได้จูบ สัมผัสนั้นยิ่งดูเหมือนว่าจะเด่นชัดขึ้นมาในความโหยหา จนเกิดการเรียกร้องของหัวใจ ให้ดึงอีกคนมากกอดกันไว้อีกนานๆ พอคิดมาถึงตรงนี้เด็ดเดี่ยวเผลอยกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเองจนเจ็บจึงได้รู้ตัว
“อูยย ซี๊ดด เจ็บอยู่นี่หว่า”
“บ้าไปแล้ว”
“เปล่าๆ พี่ยังไม่ได้บ้า”
“คนสติดีที่ไหนมานั่งเขกหัวตัวเอง”
“อืมพี่คงสติไม่ดีอย่างที่ว่านั่นแหละ เพราะเอาแต่คิดถึงตอนที่พี่ได้กอดต้นกล้าตลอดเวลาเลย” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่นั่งทำตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร จึงแสยะยิ้มให้คนตัวโตกว่าเหมือนบอกว่ามันเลี่ยนเกินไป แถมยังส่ายหัวอย่างระอาที่พักนี้โดนอีกคนหยอดคำหวานมาตลอด แม้ในใจลึกๆ จะอดสั่นเพราะความหวั่นไหวกับคำพูดของอีกคนไม่ได้ก็ตาม ไม่อยากยอมรับเลยว่ามีบางครั้งที่ต้นกล้าเองก็เผลอคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนตัวโต และค่ำคืนที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกชื่อต้นกล้าซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกให้รู้ล่ะ แบบนี้มีหวังไอ้คนหน้ามึนได้โอกาสเอาเปรียบเขาแน่ๆ
“ถอยไป!”
“ต้นกล้า”
“ถอยไปเลย”
“แต่...”
“อย่าเข้ามานะเว้ย” ต้นกล้าบอกเสียงเข้มเพราะเห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวมันดูเปลี่ยนไป มันมีแววแปลกๆ แต่สามารถทำให้ใจดวงน้อยไหวหวั่นเอาได้ง่ายๆ ก็แล้วกัน ต้นกล้าต้องปกป้องตัวเองก่อนหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำมันจะทำให้สั่นไปมากกว่านี้ มันสั่นไหวไปทั้งตัวและร้อนวาบๆ ขึ้นมาเสียเฉยๆ จนเหมือนกับว่ามันจะทำให้ใบหน้าและร่างกายของเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยง เพราะแววตาร้ายกาจที่มีแต่ความปรารถนาคู่นั้น ที่กำลังมองเหมือนต้นกล้าเป็นของหวานชิ้นโปรด
“ใจร้ายจริงๆ ”
“อ่าว”
“ต้นกล้าใจร้ายกับพี่..”
“เอ้า อยู่ดีๆ ก็มาว่าให้กัน บ้าไปแล้ว”
“แต่ถึงจะร้ายพี่ก็จะรักอยู่ดีนะหึๆ ๆ ”
“โอ๊ย”
“ทำไมล่ะ”
“กะ ก็..เปล่าหรอก เราว่าเราไปคุยเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวกับลุงสมควรดีกว่า” ต้นกล้าต้องหลีกหนีสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เพราะคนตัวโตต้องคิดอะไรไม่ดีในแบบสัปดี้สัปดนอยู่แน่ๆ ถึงได้มองต้นกล้าเหมือนกับจะขย้ำมาเคี้ยวแล้วกลืนกินอย่างนี้ ส่วนเด็ดเดี่ยวจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้ายิ้มขำ ทั้งขำตันกล้าและขำตัวเองนี่ล่ะ เพราะไม่รู้ว่ามองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาแบบไหน อีกคนถึงได้ทำหน้าอย่างนี้ แต่แค่เห็นท่าทางของต้นกล้าเป็นแบบนี้ ใจเขามันยิ่งเต้นกระหน่ำโครมคราม จนห่วงว่ามันจะวายตายลงไปเสียก่อน แต่ใครจะไปห้ามใจได้ล่ะ ก็รักซะขนาดนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกก็คิดถึงแค่คนนี้คนเดียว
“ไม่ต้องไปหรอกอยู่นี่ล่ะ พี่ไม่มองต้นกล้าก็ได้”
“ไม่มองก็หันไปทางอื่นสิ”
“หึๆ ๆ “ต้นกล้ารู้สึกว่าตัวเองร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าจนจะลามไปทั้งตัวอยู่แล้ว เล่นจ้องซะอย่างกับไม่เคยเห็นกันมาก่อนมันเลยทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสายตานั่น แววตาแบบนั้นมันคืออะไรทำไมต้นกล้าจะไม่รู้ มองซะจนต้นกล้าคิดว่าตัวเองเป็นของหวานชิ้นโตก็ไม่ปาน นี่หากคนตัวโตน้ำลายยืดออกมา ต้นกล้าเป็นได้เผ่นอย่างไม่ต้องคิดมากเลย
“บ้าบอที่สุด” พอทำอะไรไม่ได้ก็ด่ากลบความเขินแล้วเอาหมวกมาปิดหน้าหลับตานอนมันซะเลย สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ เพราะต่างมีเรื่องให้คิด แต่กระนั้นคนตัวโตก็ไม่ลืมที่จะไกวเปลเบาๆ อย่างที่ต้นกล้าชอบ ลมเย็นๆ บรรยากาศดีๆ มีคนที่ใจปฏิพัทธ์อยู่ใกล้ๆ ทำให้ต้นกล้าแทบจะเผลอหลับไปทีเดียว
อะไรจะดีเท่าได้นอนท่ามกลางอากาศเย็นสบายและสดชื่น ที่สามารถสูดมันเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ มีใครบางคนอยู่ข้างๆ สายลมอ่อนพัดผ่านผิวหน้าว่าสดชื่นแล้ว ยังไม่เท่ากับความสุขใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ต้นกล้าแม้จะหลับตาก็สัมผัสรู้ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เปล ยังคงเคียงข้างกันอยู่ไม่ไปไหน แล้วเสียงของคนคนนั้นก็ดังแทรกเข้ามาในหัว
“ไปเดินเล่นกับพี่ดีกว่าปะ”
“เดินที่ไหน”
“แถวนี้ล่ะ”
“ไม่เอาเราขี้เกียจเดิน”
“งั้นขี่หลังพี่ไป” ต้นกล้าดึงหมวกออกจากใบหน้าลืมตามองเด็ดเดี่ยวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ เพราะใจจริงก็อยากไปเดินเล่นนั่นแหละ เมื่ออีกคนยิ้มตอบอย่างรู้ทันเลยไม่รู้จะปฏิเสธไปเพื่ออะไร ยักคิ้วให้พร้อมกับยกมือขึ้นกวักให้อีกคนหันหลังมาในท่าเตรียมพร้อม ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็รีบทำตามทันทีอย่างว่าง่าย คนที่นั่งอยู่บนเปลจึงเปลี่ยนมาเกาะอยู่บนหลังคนตัวโตเหมือนลูกลิงตัวน้อยแทน
“เอ้าเดินดีๆ หน่อย”
“นิ่งๆ สิอย่าดิ้นเดี๋ยวตกคันนา” เมื่อสองมือคล้องคอสองขาเกี่ยวเอวแน่นแล้ว ต้นกล้าก็ทิ้งแผ่นอกแนบไปกับแผ่นหลังกว้างๆ เชยคางแหลมวางที่ไหล่แกร่ง ปล่อยให้แก้มนวลแนบชิดกับผิวแก้มกร้านสากเครา ผิวพรรณเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อได้ชิดใกล้ ต้นกล้ามีหนวดบางๆ ที่ยังคงเป็นไรขนอ่อนตัดกับผิวขาวน่ามอง ผิดกับเด็ดเดี่ยวที่ทั้งหนวดทั้งเคราขึ้นดกหนาและเขาต้องโกนออกทุกวัน ไม่เช่นนั้นใบหน้าที่หล่อคมคร้ามๆ นั่นจะดูเหมือนโจรไปเลยทีเดียว คนตัวโตให้ต้นกล้าขี่หลัง โดยใช้สองแขนแกร่งเกี่ยวรองไว้ที่ต้นขาของต้นกล้าอีกที ร่างทั้งสองจึงกระชับเข้ากันแนบแน่น ชายหนุ่มเดินตรงไปตามคันนา ร้องเพลงรักหวานแนวลูกทุ่งเพลงโปรดอย่างอารมณ์ดี
บนคันนาที่ทอดยาวไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า ต้นกล้าเหมือนลูกลิงที่เกาะหลังพ่อลิงตัวใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว ท่ามกลางรวงข้าวสีทองเป็นพยาน และสายลมอ่อนๆ ที่โชยมาเป็นระยะ คันนาสูงนำพาไปสู่ทิวไผ่ที่ปลูกเรียงเว้นระยะไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดจากตรงนั้นเป็นคลองส่งน้ำมีช่วงหนึ่งที่เป็นแอ่งกว้างพอประมาณน้ำลึกที่สุดเพียงเอว และใสจนเห็นพื้นเบื้องล่าง เถาผักบุ้งนาสีแดงคล้ำเลื้อยหนีแล้งลงสู่กลางน้ำ ดอกผักบุ้งนาสีขาวแกมม่วงออกดอกแซมกับดอกบัวสีชมพูบานเย็น ตัดด้วยสีเขียวของใบดูงามตา เด็ดเดี่ยวพาลูกลิงที่เกาะหลังนั่งลงบนสันคูใต้ร่มไผ่ โดยที่คนตัวเล็กกว่าก็ยังนั่งซ้อนหลังไขว้ขารัดเอวกอดคอเขาแน่นอยู่เหมือนเดิมในท่าเดิม
“มาที่นี่ทำไมอะ”
“มาดูดอกบัว”
“ไม่เคยเห็นหรือไง”
“พี่ไม่เคยเห็นตอนอยู่กับต้นกล้าไง”
“เหอะนะ ว่าแต่นี่คือบัวที่เขาเอาไปแกงสายบัวปะ”
“แน่นอน”
“เหรอๆ งั้นเราเก็บไปแกงกันนะ ลงไปเก็บให้เราหน่อยสิเราไม่อยากเปียก”
“ได้ครับไม่มีปัญหา แต่...”
“แต่อะไร ไปๆ ลงไป” เห็นสายตาแล้วต้นกล้ารู้ทันว่าข้อแม้ของเด็ดเดี่ยวเป็นอะไรที่เขาเสียเปรียบแน่ๆ ล่ะ จึงรีบผลักอีกคนออกห่าง แต่มีหรือที่คนคิดค้ากำไรจะยอม เด็ดเดี่ยวหันกลับมารวบร่างที่ยังเกาะแจอยู่ข้างหลัง แล้วรั้งให้ต้นกล้าขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่รอให้ตั้งตัวชายหนุ่มครอบครองปากสวยสีสดๆ ที่เขาเอาแต่เฝ้ามองมาทั้งวันนั่นทันที ลิ้นร้ายของเขามันร้ายกว่าที่เคย เมื่อพยายามกวาดต้อนความหวานละมุนละไมอย่างกระหายใคร่อยาก ในแบบที่ต้นกล้าตอบโต้แทบไม่ทัน แต่กระนั้นไอ้หัวแดงจอมรั้นของเด็ดเดี่ยวก็ไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างป้อนจูบให้กันด้วยความเสน่หา หวาน หวานเหลือเกิน หวานชื่นใจจริงๆ
จุ๊บ
“ไปเก็บบัวให้เราเลยนี่แน”
“เฮ๊ย!!”
“เฮ๊ย อ๊าก เด็ดเดี่ยว” !! ต้นกล้าที่มีแผนในหัวอยู่แล้วจึงผลักเด็ดเดี่ยวออก แล้วบอกให้ไปเก็บบัวพลางยกเท้าจะยันส่ง หวังจะให้หงายหลังตกน้ำ เพื่อลงไปทำตามที่สั่งให้ทันใจ แต่คนตัวโตที่รู้ทันคว้าข้อมือของคนเจ้าเล่ห์ได้พอดี ทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำด้วยกัน
ตูม!!!
ตุบ!!
!! เฮือก
“เปียกๆ เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว อ้าว”
“ฝันร้ายเหรอครับลูกพี่?!”
“อะ ไอ้จ๋า! อะ อะไรวะ “ต้นกล้าถามทั้งที่ยังตาปรือและมีสีหน้างงๆ พลางมองไปรอบๆ หัวใจเต้นจนได้ยินเสียงดังตุบๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะจูบดูดดื่มเมื่อสักครู่ แต่มันเป็นเพราะว่าเขาที่นอนอยู่บนเปลในตอนแรก บัดนี้กลับลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแบบไม่รู้ตัว มีไอ้จ๋านั่งมองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ ท่าทางของมันเหมือนคนหงายหลังแล้วเอามือทั้งสองข้างยืนพื้นไว้ ใช่นะสิมันตั้งใจจะมาปลุกลูกพี่ใหญ่ตามคำสั่งของลูกพี่รองที่ฝากเอาไว้ แต่อะไรคือการมาถึงและได้เห็นคนเป็นลูกพี่กำลังนอนดูปากตัวเอง จ๊วบๆ อย่างเมามัน
“ลูกพี่เป็นอะไรครับ ตื่นยังนิ”
“อะไรนะ” ต้นกล้าคิดว่าตัวเองหลุดถามอะไรโง่ๆ ออกมา เพราะยังก้ำกึ่งว่าตื่นหรือยังไม่ตื่น กวาดตามองไปรอบๆ ตัว คูน้ำเมื่อกี้มันหายไปไหน คนหน้ามึนหายไปไหน มันคือความฝันอย่างนั้นหรือ แล้วจูบเมื่อกี้ก็ความฝันด้วยใช่ไหม เมื่อกี้เขาตกน้ำ แต่ทำไมเสื้อผ้าไม่เปียก นี่คือฝันกลางวันใช่ไหม บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ ฝันเฟื่องอย่างนั้นเหรอ โอ๊ย! ต้นกล้ารับตัวเองไม่ได้ เกลียดตัวเองขึ้นมาทันที
ต้นกล้ากวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง จนสายตาวกกลับมาเจอใบหน้าเกรียนๆ ของไอ้จ๋าที่มองเขาอยู่ยิ้มๆ แล้วตั้งคำถามในใจอีกครั้ง ว่าเด็ดเดี่ยวหายไปไหนทำไมถึงมีแต่ไอ้จ๋า ไอ้คนหน้ามึนตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตกน้ำไปไหน แม้จะในความฝันก็ตามเถอะ แต่มันก็เล่นเอาต้นกล้าตกใจเผลอดิ้นจนตกเปลลงมานอนคลุกฝุ่นได้เลยทีเดียว แบบนี้ต้องมีการเอาคืนเน้นๆ
“ลูกพี่มองหาลูกพี่เดี่ยวเหรอครับ” มันเป็นลูกน้องที่รู้ใจลูกพี่จริงๆ แต่ก็นั่นแหละ อย่างไอ้จ๋าคนเกรียนไม่มีใครเดาทางมันได้ถูกหรอก ดูอย่างเมื่อเช้านั่นปะไรที่มันยังหักหลังเขาได้ลงคอ ด้วยการผลักลงในลานขี้ควายน่ารังเกียจ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ต้องลงมานอนคลุกฝุ่นเพราะเปลพลิก คิดๆ แล้วต้นกล้าก็ถามตัวเองว่ายังไว้ใจมันได้อยู่หรือเปล่า
“..”
“ลูกพี่ตื่นได้แล้วนะครับเย็นมากแล้ว” ไอ้จ๋าเตือนเมื่อเห็นว่าต้นกล้ายังมีท่าทางงงๆ
“อะ เออๆ ตื่นแล้วๆ แล้วแกไปไหนมาวะ”
“ไอ้จ๋าก็อยู่แถวๆ นี่ล่ะครับ ว่าแต่..”
“ว่าแต่อะไรวะ” ทำไมไม่ชอบพูดให้มันจบๆ ไปทีเดียววะ ทำไมต้องเว้นเอาไว้ให้ถามต่อทุกทีสิน่า ต้นกล้าแอบคิดอย่างพาลๆ เพราะในใจเริ่มหงุดหงิดที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้อย่างที่บอก
“ลูกพี่ฝันว่าอะไรครับ ทำไมทำปากจ๊วบๆ เหมือนคนจูบกันเลย คิกๆ ๆ ”
“ไอ้บ้า! ใครจะไปจูบกันในฝันวะ” ร้อนตัวเห็นๆ ทั้งที่ไอ้จ๋ามันก็แค่เปรียบเทียบเฉยๆ
“เอ๊า ไอ้จ๋ายังเคย เอ๊ย! ไม่ใช่ครับ ก็ลูกพี่ทำปากเหมือนกำลังจูบกันนี่ครับ แล้วยัง...” สายตาของไอ้จ๋ามองตรงที่ใบหน้าของคนเป็นลูกพี่แล้วหรี่ลงเหมือนจับผิด ริมฝีปากเม้มแน่นแต่แบะมุมปากทั้งสองข้างลงเมื่อมันเว้นช่วงแกล้งทำเป็นหายใจ แล้วก้มลงมาหาลูกพี่ใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบ “...ยังมีเสียงจ๊วบจ๊าบให้เสียวตับเล่นอีกด้วยนะครับลูกพี่ คึๆ ๆ ”
“ใครจะไปหมกมุ่นแบบนั้นถ้าไม่ใช่แก”
“นั่นสิครับ แต่ไอ้จ๋าก็ไม่เคยจูบใครในฝันเลย นิ”
“เออนะสิ”
“ว่าแต่....” เอาอีกแล้ว ว่าแต่... อีกแล้ว อะไรของมันนักหนาวะ ต้นกล้าคิดทั้งหงุดหงิดและมองไอ้จ๋าตาขวางแต่มันก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน ต่อความไม่พอใจของลูกพี่ใหญ่เหมือนเดิม
“..?”
“ลูกพี่จะอยู่ท่านี้อีกนานมั้ยครับเปื้อนดินหมดแล้วนะ”
“เฮ้ย แล้วก็ไม่บอกแต่ทีแรกวะ” ต้นกล้ารีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าตัวเองยังนั่งแหมะอยู่ที่พื้น มือก็ปัดเศษดินเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกไปด้วย ในใจให้นึกหงุดหงิดที่ไอ้จ๋าปล่อยเขาให้นั่งคลุกดินเป็นตัวตลกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน โดยไม่บอกให้เร็วกว่านี้สักคำ เด็ดเดี่ยวก็ไม่รู้หายไหนสิปล่อยให้ต้นกล้านอนอยู่คนเดียวอยู่ได้มันน่าเจ็บใจนัก ต้นกล้าเอาแต่คิดโทษคนนั้นคนนี้ ความผิดเหล่านี้ต้องโยนให้ไกลตัวและหาทางเอาคืน
“เออ ว่าแต่ตัวเล็กเป็นไงบ้างวะ” ต้นกล้าถามขึ้นเมื่อทั้งสองเดินไปตามทางเพื่อกลับขึ้นบ้าน ส่วนไอ้จ๋ายิ้มออกมาน้อยๆ แม้ว่ากำลังมีปัญหาบางอย่าง แม้อีกคนจะโกรธแต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องให้สบายใจและโล่งอก คิดถึงแล้วก็อยากไปหาอยากเจอหน้า อยากกอด อยากจูบให้สมใจ แต่งานที่เยอะช่วงนี้ทำให้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย ไอ้จ๋าจึงได้แต่คิดถึงๆ ทุกวัน มีแอบโทรหาบ้างแต่อีกคนกลับไม่รับสาย ไอ้จ๋าคนงานยุ่งจึงคิดเอาเองง่ายๆ ว่าคงเป็นเพราะอีกคนก็งานยุ่งเหมือนกัน โดยไม่เอะใจเลยว่าทำไม่น้ำส้มไม่เคยโทรกลับมา ทั้งที่ไอ้จ๋าก็ส่งข้อความหวานๆ หาก่อนนอนทุกคืน ปล่อยให้เงียบไปเถอะเดี๋ยวเจอไอ้จ๋างอนแล้วจะไปไม่เป็น
“เฮ้ย เงียบไมวะ”
“...” ไอ้จ๋าคิดไปเพลินๆ แล้วก็เอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น คิดถึงใบหน้าของน้ำส้มตอนตกใจที่โดนมันกอดและหอม จนลูกพี่เรียกมันก็ยังเฉย ในหัวมีแต่ใบหน้าสวยเนียนใสของใครบางคนเท่านั้น
“เป็นเอามากว่ะ”
“ครับลูกพี่”
“ฉันว่าจะลงแขกเกี่ยวข้าวแกว่ามันจะเป็นยังไงวะ”
“ครับลูกพี่”
“แกว่าจะมีคนมาหรือเปล่าวะ”
“ครับลูกพี่”
“ไอ้จ๋า”
“ครับลูกพี่”
“แกจะเหยียบขี้หมาแล้วนั่น” ผลั๊วะ!!
“ครับ เฮ้ย”
ตุบ!!
“อูย..อะไรกันครับลูกพี่ ถีบไอ้จ๋าทำไมหน้าคะมำเกือบได้กินหญ้าแล้วมั้ยล่ะ” ไอ้จ๋าพ่นเศษหญ้าออกจากปากตอนนี้มันนั่งอยู่บนคันนาในท่าตะครุบอะไรบางอย่าง ที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่าตะครุบกบตะครุบหนูนั่นแหละ ตอนล้มหน้าเกรียนๆ กร้านๆ ของมันยังไถไปกับพื้นหญ้าด้วย มือข้างหนึ่งลูบก้นตัวเองตรงที่โดนลูกพี่ใหญ่ถีบด้วยความรัก ส่วนอีกข้างลูบใบหน้าตัวเองป้อยๆ เมื่อหันกลับมาแหงนมองลูกพี่ใหญ่งงๆ เหมือนกับสงสัยว่าตัวมันเองนี้ลงมานั่งที่พื้นได้อย่างไร ซึ่งคนเป็นลูกพี่นั้นก็กำลังหัวเราะขำอย่างสะใจให้จนไอ้จ๋านึกเคือง
ต่อ...