พิมพ์หน้านี้ - กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: AlittleStarWr ที่ 29-10-2018 13:35:22

หัวข้อ: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 29-10-2018 13:35:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


:impress3: :mew3: :katai2-1: :impress3: :mew3: :katai2-1:


 
เมื่อหนุ่มกรุงมาเยือนบ้านนา ความฮาจึงบังเกิด

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โลกของ

พี่เดี่ยว + ต้นกล้า

ใน

♥ กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ♥

 

นิยายรักใสๆ เอาใจคนอารมณ์ดี

 

ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเป็นกำลังใจให้ต้นกล้าหนุ่มกรุงหน้าใส มือใหม่หัดทำไร่ไถนา
ที่ฟ้าบันดาลให้มาพบรักกับลูกชายกำนันมาดเท่อย่างพี่เดี่ยว
ต้นกล้าจะบรรลุภารกิจในการทำนาทำไร่หรือจะพิชิตใจพี่เดี่ยวได้ก่อน
ต้องตามติดชีวิตของสุภาพบุรุษแห่งบ้านทุ่งดอกจาน กับเด็กรั้นของเขาแบบเรียลไทม์
 

 

#เด็กรั้นของพี่เดี่ยว


อ่านนยายเรื่องอื่นของ ดาว ณ แดนดิน
 เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906164#msg3906164)
ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69140.msg3922467#msg3922467)

สารบัญ

ตอนที่ 1 เยือนบ้านนา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905598#msg3905598)
ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905924#msg3905924)
ตอนที่ 3 ลองของ(เด็ด) 40% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906097#msg3906097)
ตอนที่ 3 ลองของเด็ด 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906382#msg3906382)
ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 40%] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3906822#msg3906822)
ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3907101#msg3907101)
ตอนที่ 5 จูบแรก 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3907372#msg3907372)
ตอนที่ 7 ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3908821#msg3908821)
ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3909138#msg3909138)
ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3909961#msg3909961)
ตอนที่ 10 ชมทุ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3910780#msg3910780)
ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3911203#msg3911203)
ตอนที่ 12 ลงปลา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3911957#msg3911957)
ตอนที่ 12 ลงปลา(เพิ่มเนื้อหาที่ลงไม่ครบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3912105#msg3912105)
ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3913066#msg3913066)
ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน 50% (http://https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3915713#msg3915713)
ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน 100%] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3916949#msg3916949)
ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3920625#msg3920625)
ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3921510#msg3921510)
ตอนที่ 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3922666#msg3922666)
ตอนที่ 18 น้องเมาน้องน้อยใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3924159#msg3924159)
ตอนที่ 19 หลุมดักปลา 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3925222#msg3925222)
ตอนที่ 19 หลุมดักปลา 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3926929#msg3926929)


 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่1 เยือนบ้านนา]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 29-10-2018 13:45:00
ตอนที่ 1 เยือนบ้านนา



บ่ายแก่ ๆ ของวันที่อากาศร้อนระอุทะลุเดือดปรอทแทบแตก ณ สนามบินนานาชาติจังหวัดอุดรธานี หนุ่มน้อยหน้ามนคนหล่อหน้าใสจากเมืองบางกอก กำลังเดินลากกระเป๋าออกมาจากทางออก พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่โดยสารมาในเที่ยวบินเดียวกัน สายตาของเขาสอดซ้ายส่ายขวา มองหาคนที่จะมารับไปบ้านคุณยาย คุณแม่ของเขาบอกไว้แล้ว ว่าคุณยายจะให้เพื่อนในวัยเด็ก ที่ไม่ได้เจอกันนานสิบกว่าปีเป็นคนมารับ สิบกว่าปีที่แล้วเขาเองก็เพิ่งจะสิบขวบยังไม่เต็มดีด้วยซ้ำ เด็กนั่นก็ห้าหกขวบเอง ป่านนี้หน้าตามันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ รูปถ่ายสักใบก็ไม่มี ให้รูปเซลฟี่สักรูปมาก็ได้ สมัยนี้การถ่ายรูปง่ายจะตายไป ใคร ๆ ก็มีกล้องในโทรศัพท์มือถือกันทั้งนั้น



แต่นี่..มันไม่มีอะไรสักอย่าง!

ปัดโธ่เว้ย! เพราะไม่มีอะไรสักอย่างนี่แหละ ที่ทำให้คนหล่อไม่สบอารมณ์ พอไม่สบอารมณ์คนหล่อก็ได้แต่หงุดหงิดใจ แต่เท่าที่ทำได้ก็เพียงขมุบขมิบปากบ่น เพราะคนหล่อยังต้องรักษาภาพพจน์



ต้นกล้า กวินกานต์ เกียรติสกุลเกรียงไกร เดินมายังประตูทางเข้าออกด้านหน้าอาคารด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เขามาที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ เพื่อมาดูแลไร่นาของผู้เป็นยาย แต่เขาไม่อยากมา! แทบจะบอกได้ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่มา แต่ถ้าต้นกล้าไม่มาผู้เป็นยายจะไม่ยอมจากบ้านไปอยู่กรุงเทพ อย่างที่คุณแม่ของเขาตั้งใจไว้ ว่าจะพาไปรักษาตัวจากโรคประจำตัวคนแก่ที่เป็นอยู่ การไปอยู่กรุงเทพที่มีหมอเฉพาะทาง และอุปกรณ์การแพทย์ครบครัน เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของการรักษา แต่มันติดตรงที่ว่าคุณยายต้องการคนที่รักและไว้ใจที่สุด ให้มาดูแลงานไร่งานนาแทน หวยจึงมาออกที่ต้นกล้าหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ผู้ไม่เคยสนใจไร่นาคนนี้ไง



แต่จะว่าไปมันก็แค่ชั่วคราวเองเท่านั้นแหละ ยังไงการมาอยู่ที่นี่ของต้นกล้า จะเป็นการอยู่แบบชั่วคราวเท่านั้น!

ต้นกล้าไม่มีวันมาจมอยู่บ้านนอกบ้านนา ที่ล้าหลังห่างไกลความเจริญอย่างนี้ไปตลอดแน่นอน!



นั่นคือปณิธานอันแน่วแน่ของต้นกล้า จากนั้นเขาก็ตกลงรับปากผู้เป็นยายและพ่อกับแม่ เพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นมา และตอนนี้ก็ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว จะเหลือก็แต่มองหาคนที่จะมารับ และไปให้ถึงบ้านของคุณยายสักที

อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว อะไร ๆ ก็ไม่เป็นใจสำหรับการเดินทางครั้งนี้สักอย่าง เหมือนกับว่าเขาไม่ควรมา เหมือนกับมันไม่ใช่ นับตั้งแต่ตอนล่ำลาคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ยังออกไปไม่พ้นปากซอยบ้าน รถยุโรปคันหรูราคาแพงแยงหูแทบดับดันมาเสีย เป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่ไม่สวยเอาเสียเลย ต้นกล้าจึงเลือกขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินแทนที่จะรอลุงคนขับรถกลับไปเอารถคันใหม่ที่บ้านไปส่ง



ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายดันเข้ามาแทรก พอขึ้นแท็กซี่ได้ปัญหาต่อมาคือแอร์ในรถดันไม่เย็น คนขับหรือก็เอาแต่จ้องหน้าหล่อ ๆ ของเขา ผ่านกระจกมองหลัง จ้องเอา ๆ มองเอา ๆ อย่างกับว่าหลงเสน่ห์ในความหล่อเหลาของต้นกล้าอย่างไรอย่างนั้น ก็รู้ล่ะนะว่าตัวเขามันหล่อเหลาเอาการเอางานเป็นพิเศษ หล่อแบบไม่บันยะบันยัง หล่อแบบไม่คิดจะปรึกษาไม่เกรงใจใคร หล่ออินเทรนด์ใส ๆ ในแบบเกาหลีที่กำลังนิยม



แต่! ถ้าจะจ้องขนาดนี้มันก็เสียมารยาทไปนะพี่ เป็นสาวสวยหน่อยไอ้กล้าจะไม่บ่นสักคำหรอกนะพูดเลย



ต้นกล้าทั้งร้อนทั้งหงุดหงิด ที่ถูกคนขับนั่งจ้องผ่านกระจกมองหลัง พอถูกจ้องนาน ๆ ก็ให้รู้สึกไม่ชอบมาพากล พาลให้ระแวงว่าจะถูกแท็กซี่พาไปปล้นกลางทางหรือเปล่า ได้แต่นั่งมองหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง กว่าจะฝ่ามรสุมรถติดเป็นแถวยาว กว่าคนขับจะพาลัดเลี้ยวจนขึ้นทางด่วนได้ เล่นเอาเสียเวลาไปมากโข ต้นกล้าแทบอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ ให้สาวแตกไปเลย แต่โชคดีที่มาถึงสนามบินเสียก่อน



ถึงสนามบินเหลือเวลาไม่มากสำหรับการเช็กอิน ต้นกล้ารีบแทบตายเพราะกลัวไม่ทัน ได้แต่ขมุบขมิบปากบ่นด้วยอารมณ์หงุดหงิด เพราะคนหล่อยังต้องระวังรักษาภาพพจน์ ถ้ารถไม่เสีย ถ้าแท็กซี่ไม่พาอ้อม ถ้ารถไม่ติด

โธ่โว้ย!

ถ้าสารพัดปัญหาเหล่านี้ไม่เกิด ก็คงไม่ต้องหงุดหงิดจนใบหน้าหล่อ ๆ เสียรูปอย่างนี้หรอก ไม่รู้ว่าได้ตีนกาเพิ่มมาด้วยหรือเปล่า ทำไมมันต้องมาเกิดขึ้นในวันนี้ ต้นกล้าได้แต่โวยวายระบายความโกรธอยู่ในใจคนเดียว จนในที่สุดเครื่องบินเหินขึ้นฟ้าพามาถึงปลายทางอย่างปลอดภัยได้สักที

ขณะเดินออกมามองหาคนมารับ ต้นกล้าหันซ้ายแลขวาก็แล้ว หันขวาแลซ้ายก็แล้ว ยังมองไม่เห็นใครที่เขาพอจะรู้จัก หรือพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างเลย เมื่อเช้าคุณแม่บอกว่าคุณยายจะให้ไอ้จ๋า ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กเป็นคนมารับ



ให้ตายเถอะไอ้จ๋า! ผู้ชายอะไรชื่อจ๋าวะ เพื่อนเล่นเหรอ? ไอ้จ๋ามันก็แค่ลูกน้องที่คอยเดินตามเขาต้อย ๆ ตอนมาเที่ยวบ้านคุณยายเท่านั้นล่ะ ใช่เพื่อนเขาเสียที่ไหนกันเล่า

“เฮ้อ ไหนล่ะวะคนมารับ อย่าบอกนะว่าต้องนั่งรออีกเนี่ย” ต้นกล้ากวาดตามองไปทั่วแต่ไม่รู้สึกคุ้นหน้าใครสักคน “เบอร์ติดต่อก็ไม่มี” บ่นแล้วก็เดินวนไปวนมาในอาคารผู้โดยสารนั่นแหละ จนความหงุดหงิดพุ่งมาถึงขั้นสูงสุด ตอนนี้ต้นกล้าโมโหมากจนจะเรียกว่าเลือดขึ้นหน้าเลยก็ว่าได้ แต่ก็ต้องเก็บอารมณ์อยากเกรี้ยวกราดไว้ให้มิด เพราะที่นี่เป็นที่สาธารณะ หนุ่มหล่อผู้สุดแสนจะสมบูรณ์แบบอย่างเขา ต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้ให้เป็นมั่นเหมาะ เรียกได้ว่าจะทำอะไรก็ต้องเกรงใจหน้าตาหล่อ ๆ ของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก



ต้นกล้าเดินวนไปวนมาในอาคารหลายรอบแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของคนมารับ จึงเดินออกมานั่งเก้าอี้ที่ตั้งไว้ด้านหน้าอาคาร เป็นที่จอดรถชั่วคราวสำหรับรถรับส่งผู้โดยสาร ตอนนี้เขาหงุดหงิดที่สุด ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหทั้งร้อน เหงื่อก็ไหลไคลก็ย้อย เสื้อเชิ้ตราคาแพงที่สวมทับเสื้อยืดยี่ห้อดังอีกตัวเปียกชุ่ม ยิ่งนั่งยิ่งร้อน ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเดินก็ยิ่งทำให้ร้อนกว่าเก่า ต้นกล้าอยากพาล อยากอาละวาด อยากเกรี้ยวกราด เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ร่ำ ๆ จะตีตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่พอคิดถึงหน้าคุณยายต้นกล้าก็ทำไม่ลง



“ฮึ ร้อนวุ้ย” นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นใครที่มีท่าทีว่าเป็นคนมารับ บ่นแล้วก็ลุกขึ้นยืน กระชับเป้หลังที่เริ่มหนักไว้ที่ไหล่ มืออีกข้างลากกระเป๋าใบสวยราคาแพงเดินเข้าไปในอาคาร ที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นชุ่มฉ่ำใจ



ต้นกล้าเดินจนไปถึงร้านกาแฟ สายตาพลันไปสบตาเข้ากับผู้ชายหน้าตาเด๋อด๋าคนหนึ่งที่มองเขาอยู่ คุ้นหน้าแฮะ ต้นกล้าคิดในใจ พลางสังเกตชายตรงหน้า ที่ใส่กางเกงยีนเก่า ๆ ขาด ๆ กับเสื้อยืดลายมัดย้อมเปิ่น ๆ สีสันฉูดฉาด แต่ถึงจะคุ้นต้นกล้าต้องทำเป็นหยิ่งและเชิดเข้าไว้ เพราะดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นตากันแดดสีดำอันโต คนที่ถูกมองจึงไม่สังเกตเห็น ว่ากำลังมีคนหล่อ ๆ มองอยู่เหมือนกัน ต้นกล้าเดินผ่านไอ้เสื้อยืดลายมัดย้อมสีสดเข้าไปในร้าน สั่งกาแฟปั่นเย็น ๆ มากินดับอารมณ์ ไม่สนใจหันไปมองใคร ที่มองตามต้นกล้าจนคอแทบเคล็ดอีกเลย

*********************



ฝ่ายไอ้จ๋า พอขับรถมาถึงสนามบิน ครั้นจะไปจอดด้านหน้าที่จอดรถรับส่งได้ชั่วคราว ก็มีรถจอดเรียงติดกันเป็นพืด มันเลยรีบขับอ้อมไปที่ลานจอดรถ แต่วันนี้มันเป็นวันรวมญาติอะไรของใครไม่ทราบครับ ทำไมที่จอดรถในสนามบินอุดรธานีที่กว้างใหญ่อยู่แล้ว มันถึงได้เต็มแน่นไปหมดอย่างนี้ ไอ้จ๋าวนรถหลายรอบทั่วลานจอดรถกว้าง ๆ แต่ก็ไม่มีที่ว่างให้มันได้จอดเลย รถเยอะมากจนบางคนต้องจอดซ้อนคันขวางทางเอาดื้อ ๆ ไอ้จ๋าขับรถอ้อมไปอ้อมมาเสียเวลานานโข จนมาได้ที่จอดเสียไกลสุดกู่ แต่พอเหลือบดูนาฬิกาในรถเท่านั้น มันต้องร้องจ๊ากตกใจแทบสิ้นสติ เพราะเลยเวลาที่ลูกพี่กล้าคนเก่งของมันมาถึงเกือบสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว..!!



“ตายห่า! เอ๊ย! ตายแน่กูงานนี้ ลูกพี่คงคอยจนเหงือกแห้งไปแล้วแน่ ๆ ” ไอ้จ๋าอุทานออกมาเสียงดังลั่นรถ จากความทรงจำในวัยเด็กที่ยังชัดเจน เมื่อครั้งเดินตามก้นลูกพี่ต้อย ๆ คอยเป็นเบ้รองมือรองเท้ารับใช้ใกล้ชิด ลูกพี่ที่แสนเก่งกาจ ฉลาดน่ารักน่านับถือ จนถึงตอนนี้ไอ้จ๋ายังรักและเคารพบูชาลูกพี่มิเสื่อมคลาย แต่ด้วยรู้จักนิสัยเอาแต่ใจขี้หงุดหงิดของคนเป็นลูกพี่ดี ไอ้จ๋าคิดว่าลูกพี่ต้องวีนแตกแหกกระจุยเป็นแน่แท้กับความล่าช้าของมัน



วิ่งเป็นหมาหอบแดดเข้ามาในอาคารผู้โดยสาร ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของคนแถวนั้นทันที แต่มีหรือคนอย่างมันจะสน ไอ้จ๋ารีบเดินวนหาลูกพี่อยู่หลายรอบ จนลิ้นจะห้อยเป็นหมาหอบแดดอีกรอบอยู่แล้ว ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววของลูกพี่ เดินไปเดินมาให้เกิดรู้สึกคอแห้ง อยากได้น้ำมากลั้วคอสักหน่อย ผ่านร้านกาแฟนึกเปรี้ยวปากอยากกินอะไรเย็น ๆ สักแก้ว



‘เอาวะเดินหาตั้งนานไม่เจอขอจิบน้ำเย็น ๆ สักหน่อยเถอะ’ คิดได้ดังนั้นไอ้จ๋าเดินตรงไปยังร้านกาแฟ แล้วสั่งกาแฟเย็นหนึ่งแก้วมากินทันที พอได้กาแฟจากคนขายและจ่ายค่ากาแฟที่แสนแพงไปแล้ว ไอ้จ๋าให้นึกเสียดายเงินร้อยกว่าบาทนั้นเป็นยิ่งนักเพราะ...

กินแถวบ้านแก้วล่ะยี่สิบเองนะโว้ย!

คิดไปพลางมือก็ยกแก้วขึ้นดูดจากหลอดโฮกใหญ่ อ่า..รสชาติกลมกล่อมหอมอร่อยชื่นใจ กว่าแก้วล่ะยี่สิบหลายเท่า เอาเถอะ..ไอ้จ๋าคิดในใจว่าไม่ได้กินทุกวันหรอก นาน ๆ กินทีคงไม่เป็นไร พอคิดได้ดังนั้นมันจึงยิ้มกริ่มให้กับรสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้น นึกปลอบตัวเองในใจแล้วนั่งลงตรงที่นั่งสำหรับลูกค้าหน้าร้านกาแฟนั่นเอง



เสพรสชาติที่มาพร้อมความหอมกรุ่นละมุนละไมลิ้น ของกาแฟสดแสนแพงได้ไม่กี่คำ สายตาของไอ้จ๋าก็เหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยหน้าหล่อ รูปร่างหรือก็สูง ขาว ยาว ดี เอ๊ย! สูงยาวเข่าดีคนหนึ่ง กำลังเดินตรงเข้ามาในร้านที่มันนั่งอยู่ ใบหน้าหล่อ ๆ คางเรียว ๆ ผิวขาว ๆ ใส ๆ ของใครคนนั้น ประดับด้วยแว่นตาดำอันโตสุดเท่ จมูกที่โผล่แทรกกรอบแว่นขึ้นมาดูโด่งและรั้นนิด ๆ น่าดึงเล่น รับกับปากอิ่มเป็นกลีบหยักสวยสีชมพูเกือบแดงได้พอดีเป๊ะ! แต่สิ่งที่ทำให้ใครคนนั้นโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด เห็นจะเป็นเส้นผมสีแดงสดใสที่ถูกจัดทรงเอาไว้อย่างหล่อ เห็นมาแต่ไกล



แต่เอ๊ะ! อ๊ะ! เอ่อ นี่มันผู้ชายแน่หรือไรไอ้จ๋าเกิดฉงน ทำไมมันดูเหมือนจะหล่อและเหมือนจะสวยไปพร้อมกันแบบนี้ ตัวหรือก็ขาวจนนึกว่ากินผงซักผ้ากับน้ำยาฟอกขาวเข้าไป ขาวสว่างเจิดจ้าเปล่งประกายจนไอ้จ๋าตาพร่าไปหมด

ไอ้จ๋ามองตาค้าง แต่มือยังยกแก้วกาแฟขึ้นดูด

ดาราเกาหลี! ดาราเกาหลีแน่ ๆ นี่มันดาราเกาหลีชัด ๆ ไอ้จ๋าคิดถึงละครเกาหลีที่มันเคยดูผ่าน ๆ พระเอกหน้าหล่อ ๆ หวาน ๆ ขาว ๆ ตี๋ ๆ และมีดั้งโด่งเป็นสันคมสวยงานแบบนี้ล่ะใช่เลย นี่มัน...

โอป้า!!

ถึงจะอยู่บ้านนอกบ้านนา แต่คนอย่างไอ้จ๋าก็รู้จักอปป้านะโว้ย

ไอ้จ๋ายังคงมองเพลิน มันมองจนอึ้งค้างพลางคิดในใจ ไอ้หน้าหล่อสวยนี่มันทำบุญด้วยอะไร ทำไมถึงได้เกิดมามีรูปเป็นทรัพย์นับกระบุงโกยเช่นนี้ ไอ้จ๋าใคร่อยากไปทำบ้าง เพราะตัวมันนั้นเกิดมาก็ดำเป็นเหนี่ยงนิลอย่างที่เห็น



ไอ้จ๋าคิดบ้าอยู่คนเดียวเพลิน ๆ เขาคนนั้นก็เดินมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้ามัน เพียงชั่วครู่ก็เบี่ยงตัวเข้าไปในร้านกาแฟ เล่นเอาไอ้จ๋าได้แต่มองตามงง ๆ จนเขาคนนั้นเดินไปหาพนักงาน มันจึงหันกลับมาเหมือนเดิม ดูดกาแฟเย็นจนชุ่มฉ่ำหนำอุราแล้วนั่นแหละจึ่งนึกได้ ราวกับมีคนมาเปิดสวิตช์ไฟในหัวให้สว่างจ้า



“เออวะ กูนี่โง่จริงแท้เพิ่งนึกได้ คุณยายท่านเขียนเบอร์โทรลูกพี่ให้มาด้วยนี่หว่า ว่าแต่เอาไว้ไหนละวา” มันบ่นให้ตัวเองอยู่คนเดียวแล้วรีบลุกขึ้นยืน สองมือคลำไปตามกระเป๋ากางเกงยีนขาเดฟเก่า ๆ เน่า ๆ ขาด ๆ ที่ดูเซอร์อย่างมีสไตล์ของมัน ทั้งกระเป๋าหน้ากระเป๋าหลัง แล้วล้วงเอาสิ่งของต่าง ๆ ออกมาจนหมด ทั้งเศษเหรียญ ทั้งธนบัตรใบละยี่สิบยับย่น ทั้งโทรศัพท์มือถือซัมซุงฮีโร่เครื่องเก่าคู่ใจ และสุดท้ายคือเศษกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ยับ ๆ ใบหนึ่ง



นั่นแหละเบอร์โทรลูกพี่กล้าของมัน อารามดีใจทำให้มือไม้สั่น ไอ้จ๋ารีบคลี่เศษกระดาษออก กดตัวเลขสิบหลักบนพี่ฮีโร่ทันทีไม่รีรอ ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูฟังสัญญาณรอสาย มืออีกข้างก็กวาดเศษต่าง ๆ ที่วางเกลื่อนบนโต๊ะเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม เดินออกจากร้านกาแฟไป



เมื่อรู้สึกถึงการสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ต้นกล้ารีบล้วงออกมาดูเบอร์โทรเข้า เป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร สาว ๆ มากมายตามล่าหาเบอร์ของเขา แล้วโทรเข้ามาหาแบบนี้เป็นประจำ ชั่งใจเพียงนิดเดียวก็สไลด์หน้าจอยกเครื่องขึ้นแนบหูรับสาย

“ครับ” ทำเสียงหล่อส่งไปทักทายทั้งที่ในใจยังหงุดหงิด แต่เมื่อคิดว่าอาจเป็นสาว ๆ โทรมา กล่องเสียงก็ทำงานของมันเองโดยอัตโนมัติ

“ลูกพี่กล้าใช่ไหมครับนั่น โอ๊ยดีใจจริง ๆ ลูกพี่ครับ ลูกพี่อยู่ไหนครับ”  หืออะไรวะไม่ใช่สาวโทรมาเหรอ

“ใคร” คำเดียวสั้น ๆ ถามไปเมื่อไม่ใช่เสียงหวาน ๆ ของหญิงสาวโทรมาจีบเหมือนทุกครั้ง ขณะเดียวกันพนักงานก็ยื่นแก้วกาแฟเย็นมาให้ ต้นกล้าจ่ายเงินสองร้อยบาทแล้วเดินออกมาจากร้าน โดยไม่รอเงินทอน ท่าทางของเขาทุลักทุเลน่าดู ทั้งเป้ใบเล็กที่ใส่เครื่องคอมฯ สะพายอยู่ข้างหลัง มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู มืออีกข้างถือแก้วกาแฟพร้อมลากกระเป๋าเดินทาง

“ลูกพี่ครับ จำจ๋าได้หรือเปล่าจ๋ามารับแล้วครับ” เสียงของมันตื่นเต้น แต่นั่นกลับทำให้ความหงุดหงิดกลับมาเยือนต้นกล้าอีกแล้ว

“เออ แล้วอยู่ไหน”

“อยู่สนามบินแล้วครับลูกพี่ จ๋าหาลูกพี่ตั้งนานลูกพี่อยู่ไหนครับ”

“เออ อยู่ตรงนี้แหละหันหลังมาซิ” พูดจบก็ตัดสายทันที



ไอ้จ๋าหันซ้ายหันขวา และแล้วก็เจอะเข้ากับหนุ่มหล่อเกาหลี อปป้าที่มันเคยมองจนตะลึง ตอนนี้ยิ่งตะลึงค้างหนักเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าตะลึงในความหล่อของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า หรือเพราะเพิ่งจะรู้ว่านี่แหละคือลูกพี่ที่เคารพรัก เป็นคนนี้จริง ๆ หรือ ไอ้จ๋าให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจ เพราะลูกพี่ที่มันจินตนาการไว้จากที่เคยเจอกันเมื่อวัยเยาว์ กับลูกพี่ตัวจริงที่มันเห็นตอนนี้ช่าง..แตกต่างกันเหลือเกิน



ต้นกล้าดันแว่นกันแดดขึ้นไปคาดไว้บนศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อปนหวานน่ามองชัดเจนขึ้น แต่ดวงตาคมกลมโตดำขลับที่จ้องไปยังไอ้จ๋า กลับมีแววน่ากลัวจนคนถูกจ้องขนหัวลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ



“ละ ลูกพี่กล้า สะ สวัสดีครับ” ไอ้จ๋าทักทายเสียงติดอ่างหลังจากที่มันคิดสะระตะเรียบเรียง และจัดระเบียบความเป็นมาเป็นไปของลูกพี่ที่มันเคยเจอในอดีต กับลูกพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันตอนนี้ และสรุปได้แล้วว่าคงเป็นเพราะกาลเวลา ที่ผ่านมาเนิ่นนานนั่นเอง ที่เปลี่ยนลูกพี่ของมันจากความน่ารัก กลายมาเป็นความหล่อเหลาเอาการขั้นสุด หล่อลากจนแทบสะดุดหัวทิ่มดิน ถึงจะไม่แน่ใจในคราแรก แต่แววตาเยี่ยงนี้มิใช่ใครที่ไหนได้อีกแล้ว นอกจากลูกพี่ต้นกล้าสุดรักสุดบูชาของไอ้จ๋านี่เอง



“จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหมวะ” เสียงเข้ม ๆ กระชากถามอย่างหัวเสีย ปลุกไอ้จ๋าให้หลุดจากภวังค์ แล้วรีบเข้าไปคว้าที่ลากกระเป๋ากับเป้บนหลังลูกพี่มาถือไว้ ที่จริงต้นกล้าจำไอ้จ๋าได้ตั้งแต่เจอมันอยู่ร้านกาแฟแล้ว อาจจะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก แต่เพราะอารมณ์เขายังไม่คงที่เลยไม่อยากทักถามมัน



“ไปแล้วครับลูกพี่ ปะๆ ไปบ้านคุณยายกันจ๋าขอโทษนะที่มาช้า” ไอ้จ๋ารีบบอกขอโทษขอโพยพร้อมกับลากกระเป๋า พาลูกพี่เดินออกไปลานจอดรถ ต้นกล้ารู้สึกเหมือนถูกอะไรสะกิดหัวใจยิก ๆ กับคำว่าจ๋า ที่มันใช้แทนตัว ทำไมมันต้องลากเสียงอ่อนเสียงหวานเสียขนาดนั้นต้นกล้าไม่เข้าใจ



ไอ้จ๋าหน้าระรื่นเดินนำลูกพี่ไปที่ทางออก แต่พอมาถึงหน้าประตูจึ่งนึกได้ ว่าตัวมันนั้นจอดรถไว้เสียไกลสุดกู่ มันเอากระเป๋าสัมภาระของลูกพี่วางไว้ตรงเก้าอี้ข้างทางออกหันมาบอกความ

“ลูกพี่นั่งรอที่เก้าอี้ตรงนี้แปบนะครับ เดี๋ยวจ๋าไปเอารถก่อนแล้วจะรีบมารับ” ไอ้จ๋าหันไปบอกด้วยเสียงมุ้งมิ้งนุ่มนิ่ม มันยิ้มจนตาหยีผิดกับคนเป็นลูกพี่ที่ยืนทำหน้าพะอืดพะอม

“ลูกพี่เป็นอะไรไปครับ จ๋าพูดอะไรผิดไปฮึ” ไอ้จ๋าเป็นงุนงงสงสัยยิ่งนัก นึกหวั่นกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรให้ลูกพี่ไม่พอใจอีกหรือเปล่า

“กะ แกอย่าแทนตัวเองว่าจ๋าอีกนะ มันจะอ้วกรู้ไหม” ต้นกล้าเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอถึงกับพูดติดอ่าง ท่าทางหนุ่มหล่อเหมือนจะคายของเก่าออกมา อีกทั้งขนแขนก็พากันลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“อ้าว ลูกพี่ครับ ก็จ๋าชื่อจ๋าจะให้แทนว่าไงล่ะครับ”

“แทนด้วยอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่จ๋าหวานแหววแต๋วแตกของแกเนี่ย” ไอ้จ๋าเต้นผางกับคำว่าหวานแหววแต๋วแตก มันยกมือขึ้นยันอากาศเบื้องหน้าเป็นพัลวัน ยืนยันว่าตัวเองไม่แต๋วไม่ตุ๊ด

“ไม่ใช่นะลูกพี่ไอ้จ๋าไม่แต๋วนะครับ ไอ้จ๋าแมนเต็มร้อยนะเฮ้ย หล่อ ๆ อย่างไอ้จ๋าจะแต๋วได้ไงเล่า”

“เออ ๆ ไม่แต๋วก็ไม่แต๋ว แต่อย่าเรียกตัวเองว่าจ๋าแบบนี้อีกก็พอมันจะอ้วกเว้ย ไปเลยไปเอารถมาฉันอยากไปจากที่นี่เต็มทีแล้ว”

“ครับลูกพี่ จ๋าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

“ไอ้จ๋าเดี๋ยวเหอะ!” ต้นกล้าได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดแล้วให้รู้สึกขนลุก ถ้ามันจะมาคุยกับเขาแล้วบอกจ๋าอย่างนั้นจ๋าอย่างนี้ต้นกล้ารับไม่ได้แน่ เป็นหญิงสาวหรือเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพราน่าทะนุถนอมว่าไปอย่าง แต่ดูมันสิตัวก็ใหญ่แถมยังดำ แบบนี้เขาจะไปหวานลงได้อย่างไร

คล้อยหลังไอ้จ๋าไปแล้ว ต้นกล้าเลื่อนแว่นกันแดดลงมาสวมแล้วนั่งกอดอกยกขาขึ้นไขว่ห้างรอ

5 นาทีผ่านไปไอ้จ๋ามันยังไม่โผล่ รถคันแล้วคันเล่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ไม่ใช่คันที่ไอ้จ๋าขับมาสักคัน เพราะไม่มีใครจอดตรงหน้าต้นกล้าเลยสักคน อากาศหรือก็แสนจะร้อนอบอ้าว อารมณ์คนเป็นลูกพี่จึงเริ่มปะทุปุ ๆ อยากเกรี้ยวกราด

“มันเอารถไปจอดที่ไหนของมันวะ” และแล้วเวลา 20 นาทีก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก คนรอนั้นรอจนเบื่อ คนรอที่หงุดหงิดง่ายเพราะไม่ชอบรออะไรนาน ๆ คนรอที่ใจร้อนขี้โวยวายผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายรอบ จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง รถกระบะสี่ประตูขับเคลื่อนสี่ล้อสัญชาติญี่ปุ่นฝุ่นเกาะเขรอะ ก็เข้ามาจอดเทียบแทบเท้า ต้นกล้าหันไปมองอย่างเข่นเขี้ยว ไอ้จ๋ารีบเปิดประตูรถวิ่งลงมายกกระเป๋าของลูกพี่ขึ้นไปวางไว้บนกระบะด้านหลังรถทันที

“เฮ้ย เป้เอาไว้ข้างใน” ต้นกล้าตะโกนบอกเมื่อไอ้จ๋ากำลังจะยกกระเป๋าเป้ใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา ไปวางไว้กับกระเป๋าลากใบใหญ่ที่กระบะท้ายรถ

“ครับ ๆ เรียบร้อยแล้วครับลูกพี่ ปะเดี๋ยวจ๋าจะพากลับบ้าน” มันบอกพลางหันไปอีกทางเพื่อจะเดินไปประจำที่นั่งคนขับแต่

ป้าบ! “โอ๊ย” เสียงไอ้จ๋าร้องอย่างตกใจและเจ็บปวด เพราะโดนโบกที่หน้าผากไปหนึ่งที “ลูกพี่ตีจ๋าทำไมอะครับ” มันถามหน้าซื่อ เล่นเอาคนเป็นลูกพี่อยากเพิ่มระดับความเกรี้ยวกราดขึ้นเป็นอีกเท่าตัว

“บอกว่าอย่าแทนตัวว่าจ๋าจำได้ไหม เดี๋ยวปั๊ดอีกสักทีหรอก”

“แหะ ครับลูกพี่ จ๋า เอ๊ย กระผมลืมไป” เพราะความเคยชิน ไอ้จ๋าเกือบเผลอหลุดปากเรียกคำแทนตัวเองด้วยชื่อออกมาอีก ดีที่เปลี่ยนทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนโบกหัวไปอีกหนึ่งทีเบา ๆ จนหน้าคะมำเป็นแน่แท้

“เออ อย่าลืมบ่อยละกันคนฟังมันจะอ้วก”

“อะไรของเค้าก็ไม่รู้ชื่อไอ้จ๋าออกจะน่ารักน่าเรียก เนอะจ๋าเนอะ” ไอ้จ๋าบ่นตามหลังลูกพี่ที่ขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

“ไอ้จ๋า!”

“ครับ ๆ ไปเดี๋ยวนี้ครับลูกพี่ แหม” แล้วมันก็วิ่งปุเลง ๆ ไปฝั่งคนขับ เปิดประตูรถขึ้นนั่งประจำที่เข้าเกียร์รถแล้วขับออกไปด้วยความยินดียิ่ง ที่วันนี้มีโอกาสได้เจอลูกพี่ที่มันทั้งรักและเคารพอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี

ต้นกล้าอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้มานั่งตากแอร์เย็น ๆ ภายในรถ ไอ้จ๋าก็ขับรถไปยิ้มไปหันมามองลูกพี่บ้างเป็นบางครั้ง มันเปิดเพลงหมอลำในรถเบา ๆ ทำเสียงฮึมฮัมตามจังหวะไปด้วยอย่างมีความสุข

“ตรงกลับบ้านกันเลยนะครับลูกพี่”

“อือ”

“ลูกพี่หิวหรือเปล่าครับ อยากกินอะไรบอกไอ้จ๋ามาเลยเดี๋ยวไอ้จ๋าจัดให้” ไอ้จ๋ามันยังคุยเจื้อยแจ้วโดยไม่ได้สังเกตอีกคน ที่ตอนนี้อารมณ์กำลังปะทุขึ้นมาอีกแล้วเพราะเริ่มรำคาญ

“....”

“เนี่ยตั้งแต่ลูกพี่ไป ไอ้จ๋าก็รอการกลับมาของลูกพี่ทุกวัน วันนี้ไอ้จ๋าดีใจจริง ๆ ครับที่ลูกพี่กลับมา” ไอ้จ๋าพล่ามไปยิ้มไปทั้งที่ต้นกล้ายังนั่งนิ่ง ใจจริงเขาอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า ไอ้จ๋ายังเรียกแทนตัวด้วยชื่อมันเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นมาหน่อยที่มันเติมคำว่า “ไอ้” นำหน้าชื่อด้วย ต้นกล้าจึงไม่รู้สึกขนลุกเหมือนตอนแรก

“...”

“ลูกพี่อยู่นาน ๆ นะครับ อย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ”

“...”

“ลูกพี่อยากไปเที่ยวไหนเดี๋ยวไอ้จ๋าพาทัวร์ แถวนี้ไอ้จ๋ารู้จักหมดครับ หรือว่าละ...อ้าว” ไอ้จ๋าที่เห็นว่าลูกพี่ของมันเงียบผิดปกติเลยหันมามอง พบว่าคนเป็นลูกพี่ปรับเบาะให้เอนลงและดันหลับไปเสียแล้ว ปัดโธ่!

“เฮ้อ ลูกพี่นะลูกพี่ หลับซะแล้วปล่อยให้ไอ้จ๋าฝอยคนเดียวอยู่ตั้งนาน” ไอ้จ๋าบ่นตามประสามันแล้วก็หันไปขับรถสนใจทางข้างหน้า ปากก็ร้องเพลงหมอลำคลอเพลงที่มันเปิดเบา ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

***************



“ลูกพี่ตื่นครับตื่น ถึงแล้วครับ”

“อือ ถึงแล้วเหรอ” ต้นกล้างัวเงียตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาโพล้เพล้จวนมืดเต็มที

“ถึงแล้วครับลูกพี่ เวลคัมทูบ้านทุ่งดอกจาน ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงบ้านคุณยายอย่างปลอดภัยแล้วครับ” ต้นกล้าได้แต่ส่ายหัวกับความทะเล้นของมันพลางเปิดประตูลงจากรถ “ลูกพี่ขึ้นบ้านเลยนะครับ เดี๋ยวจ๋า เอ๊ย! เดี๋ยวไอ้จ๋าจะยกกระเป๋าตามขึ้นไปให้เอง” มันเปลี่ยนคำแทนตัวแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาเหวี่ยง ๆ ของลูกพี่ที่ตวัดมอง ไอ้จ๋ายิ้มแหยโบกมือบอกให้ลูกพี่เดินขึ้นบ้านไปก่อน ส่วนตัวมันนั้นเดินไปเปิดประตูด้านหลังดึงเอาเป้สะพายของลูกพี่ขึ้นพาดไหล่ ปิดประตูรถแล้วเดินไปยกกระเป๋าลากใบใหญ่อีกใบที่กระบะหลัง เดินหน้าระรื่นตามลูกพี่ของมันขึ้นเรือนไป

บ้านคุณยายเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ยกพื้นสูงตามสไตล์อีสานคลาสสิก แบ่งพื้นที่ใต้ถุนบ้านเป็นสัดส่วนให้เหมาะแก่การใช้งาน มีต้นไม้ปลูกอยู่ในบริเวณกว้างของบ้านทั้งไม้ยืนต้นและไม้ผล อย่างมะม่วง ขนุน และไม้ดอกไม้ประดับอีกเพียบจนดูร่มรื่นน่าอยู่

“น้ำเย็น ๆ ครับลูกพี่” ไอ้จ๋ายื่นกระบวยตักน้ำมาตรงหน้าลูกพี่ของมัน ยิ้มแฉ่งให้จนตาหยี

“แล้วคุณยายล่ะ”

ไอ้จ๋าสะดุ้งโหยงเหมือนเพิ่งนึกได้ ตายห่าลืมบอกลูกพี่ “วันนี้คุณยายไม่อยู่ครับ”

“อ้าว คุณยายไปไหน แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกเนี่ยหา ถ้าไม่ถามคงเงียบไปเลยใช่ไหม”

“คุณยายไปจำศีลที่วัดครับลูกพี่ วันนี้วันพระใหญ่” ไอ้จ๋ายิ้มแหยขอลุแก่โทษที่บกพร่องไม่รายงานแต่แรก วันนี้เป็นวันพระคนเฒ่าคนแก่คนใจฝักใฝ่ในการปฏิบัติธรรม จะพากันไปถือศีลสวดมนต์ทำวัตรเย็นกัน

ได้ยินอย่างนั้นต้นกล้าได้แต่ส่ายหน้าเอือม ๆ

“ลูกพี่หิวหรือยังครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะไปหาอะไรที่บ้านมาให้กินเป็นมื้อเย็นดีกว่าแม่คงทำไว้ให้แล้วล่ะ รอก่อนนะครับเดี๋ยวไอ้จ๋ามา” มันประจบ พอลูกพี่พยักหน้าส่ง ๆ ให้ก็วิ่งปุเลง ๆ กระโดดลงเรือนตรงไปบ้านตัวเองที่อยู่ไม่ไกลกัน จัดการตักกับข้าวหลายอย่างที่แม่ทำไว้ใส่ปิ่นโตเถาใหญ่อย่างเร่งรีบ

“แม่ลูกพี่กล้ามาถึงแล้วนะ” ปากก็ตะโกนบอกแม่แจ่มใจซึ่งเป็นแม่ของมัน ที่กำลังวุ่นอยู่กับแปลงผักสวนครัวหลังบ้านไปด้วย

“เออ หาข้าวหาปลาไปให้กันกินให้เรียบร้อย ฉันทำไว้แล้วอยู่ในครัวนั่นแหละ”

“กำลังตักอยู่นี่ล่ะจ้ะแม่”

“เออดูแลกันดี ๆ ล่ะ” แหมลูกพี่ทั้งคนไม่ต้องย้ำจ๋าก็ดูแลอย่างดีปะแม่ มันทำได้เพียงเถียงในใจ ขืนอ้าปากพูดไปสิจะโดนมะเหงกลงหัวเอา
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 1 เยือนบ้านนา]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 29-10-2018 13:49:33
[ต่อจ้า]

“ไอ้จ๋ามาแล้วครับลูกพี่” เสียงมาก่อนตัวขณะวิ่งขึ้นบันไดโครม ๆ เห็นต้นกล้านอนเล่นอยู่ตรงเก้าอี้มันจึงเดินเข้าไปหา วางปิ่นโตเถาใหญ่ไว้ตรงหน้าลูกพี่ของมัน

“ลูกพี่จะกินตอนนี้เลยไหมครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะไปเอาจานมาใส่ให้” ว่าพลางกำลังจะลุกไปหยิบจานในครัวมาใส่กับข้าว แต่ต้นกล้าที่หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว พอได้กลิ่นอาหารออกมาจากปิ่นโต คนขี้เกียจรอรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วนั่งลงที่พื้นทันที

“ไม่ต้องหรอก กินมันอย่างนี้แหละฉันหิวจะตายอยู่แล้ว กินด้วยกันสิจะไปไหน”

“ไปเอาช้อนครับ ยังไม่มีช้อน” บอกแล้วไอ้จ๋าจึงลุกไปเอาช้อนในครัวมาให้ลูกพี่ของมัน แล้วทำท่าจะลุกออกไปอีก

“มากินด้วยกัน” ต้นกล้าย้ำ

“ไม่เป็นไรครับลูกพี่ เดี๋ยวลูกพี่กินอิ่มแล้วไอ้จ๋าค่อยกินทีหลังก็ได้” ต้นกล้าชะงักกับท่าทางใสซื่อเจียมเนื้อเจียมตัวของไอ้จ๋า แต่ก็เพียงนิดเดียวแล้วตีหน้านิ่งเป็นปกติ

“มากินด้วยกันนี่แหละ ฉันไม่ชอบนั่งกินข้าวคนเดียว” ต้นกล้าก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจ ผิดกับไอ้จ๋าที่ดีใจยิ้มไม่หุบ ที่ลูกพี่ของมันให้ความเป็นกันเองกับมันมากมายขนาดนี้

“แล้วคุณยายจะกลับมาเมื่อไหร่”

“คงพรุ่งนี้ตอนสาย ๆ ครับ” ไอ้จ๋าตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก “คืนนี้ลูกพี่นอนคนเดียวได้ไหมครับ หรือจะให้ไอ้จ๋ามานอนเป็นเพื่อน” ต้นกล้านิ่งคิด ในหัวเริ่มกังวลถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้เกิดอาการขนลุกซู่ เพราะกลัวจนขึ้นสมองแต่ก็ต้องเงียบไว้ หากไอ้จ๋ารู้มันอาจจะหัวเราะเยาะเอาได้ ต้นกล้านี้ใคร ต้นกล้าคนนี้คือลูกพี่นะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาจะหลุดต่อหน้าไอ้จ๋าซึ่งเป็นแค่ลูกน้องเดินตามตูดต้อย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!

“ปกติแม่ก็มานอนกับคุณยายทุกวัน วันนี้คุณยายไม่อยู่เดี๋ยวไอ้จ๋ามานอนหน้าห้องก็ได้นะครับลูกพี่” ไอ้จ๋าอาสาด้วยความเป็นห่วงยิ่ง เพราะยังไม่ลืมภาพบางภาพของลูกพี่ในอดีต และนั่นทำให้คนเป็นลูกพี่แอบใจชื้นขึ้นมานิด ๆ พลางคิดว่าเดี๋ยวจะแกล้งทำเป็นรำคาญสักหน่อย แล้วค่อยเนียนตามใจมันก็แล้วกัน ถ้ามันอยากนอนเฝ้าหน้าห้องนักละก็

“ฉันโตแล้วนะโว้ย ไม่จำเป็นต้องมีใครมานอนเป็นเพื่อนหรอก”

มันตบเข่าฉาดชอบใจ “แหม ลูกพี่ของไอ้จ๋ายอดเยี่ยมกระเทียมดองจริง ๆ ครับ นี่ขนาดคืนนี้คืนศีลใหญ่ซะด้วยนะครับ (*คืนวันพระใหญ่) เขาว่ากันว่าคืนศีลใหญ่เนี่ย ภูตผีวิญญาณเร่ร่อนจะออกมาขอรับส่วนบุญ แต่ลูกพี่กล้าไม่กลัว แสดงว่าลูกพี่เจ๋งที่สุดแล้วครับ” ไอ้จ๋ายังชื่นชมไม่หยุดปาก ลูกพี่ของมันสุดยอดไปเสียทุกเรื่อง อย่างที่มันเทิดทูนบูชา



ไอ้จ๋าไม่รู้ตัวเลย ว่าได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไปสะกิดต่อมกลัวผีขึ้นสมองของคนเป็นลูกพี่เข้าแล้ว ความปลื้มปีติทำให้มันไม่ทันสังเกตคนเป็นลูกพี่ ที่ตอนนี้หน้าเริ่มซีดและแหยง หวาดระแวงสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น ในหัวเริ่มจินตนาการถึงอะไรบางอย่างที่อาจจะอยู่รอบตัว ดวงตากลมโตที่ปกติมีประกายสุกใสปานลูกแก้วล้ำค่า กวาดมองไปรอบตัวอย่างหวาดหวั่น ความมั่นใจอย่างที่ปากบอกแทบไม่มีเหลือ

แต่...คนอย่างต้นกล้าฆ่าได้หยามไม่ได้! จะให้ไอ้จ๋ามารู้จุดอ่อนนี้ของตัวเองนั้นไม่มีทาง! ต้นกล้ายอมไม่ได้เด็ดขาด!

“แต่ถ้าแกจะ...”

“ไอ้จ๋า ๆ ไอ้จ๋าโว้ย” เสียงเรียกดังมาจากใต้ถุนบ้าน หยุดความคิดชื่นชมของไอ้จ๋าที่มีต่อลูกพี่ของมันไปชั่วขณะ และหยุดจินตนาการเรื่องลี้ลับในหัวต้นกล้าไปได้ชั่วคราว ทั้งที่คนเป็นลูกพี่กำลังจะบอกว่า ‘แต่ถ้าแกจะมาก็ตามใจแกก็แล้วกัน’ เป็นการอนุญาตให้ไอ้จ๋ามานอนเป็นเพื่อนอย่างที่มันต้องการ แต่ก็ดันมีเสียงเรียกจากข้างล่างขัดขึ้นก่อน

“เสียงใครเรียกวะ” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ ชะเง้อคอมองไปทางบันไดบ้าน

“ไอ้จ๋าโว้ย อยู่นี่หรือเปล่าวะ”

“อ้าว พี่สอนเองเหรอมีอะไรวะพี่” ไอ้จ๋าร้องตอบไปเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนมาเรียก เมื่อลุกขึ้นเดินไปเกาะลูกกรงระเบียงชานเรือน

“เออ โอ๊ยเหนื่อยให้กูวิ่งหาตั้งนานไอ้ห่านี่”

“อ้าว วิ่งหาฉันทำไมล่ะพี่ มีอะไร” ไอ้จ๋าซักไซ้ธุระต่ออย่างจริงจังลืมลูกพี่ของมันไปชั่วคราว

“เออ อีนวลเมียกูมันบอกเจ็บท้องเหมือนจะคลอด มึงช่วยขับรถไปส่งมันที่โรงบาลที” พี่สอนบอกทั้งที่ยังหายใจไม่ทัน ทั้งเหนื่อยเพราะวิ่งตามหาไอ้จ๋าให้วุ่น ทั้งตื่นเต้นที่จะได้เป็นพ่อคน

“อ้าวเหรอ แย่แล้ว ทำไมไม่รีบบอกล่ะพี่หอบเป็นหมาตายแดดอยู่ได้”

“เดี๋ยวเถอะไอ้ห่านี่ ลามปามใหญ่แล้วมึงเร็ว ๆ กูรีบ” พี่สอนตำหนิ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนจะโบกหลังมือลงตรงกระหม่อมมัน “ยังไม่แย่เท่าไหร่ว่ะ นวลมันบอกแค่เจ็บนิดหน่อยแบบเตือน ๆ คงยังไม่คลอดเร็ว ๆ นี้ ที่จริงหมอบอกอีกสามวันโน่นกำหนดคลอด แต่ตอนนี้รีบไปก่อนก็ดีให้หมอดูก่อนเพื่อความมั่นใจ” ไอ้จ๋าทำหน้าเอือมไม่จริงจังนัก กับความตื่นเต้นของว่าที่คุณพ่อ ทั้งที่ท้องนี้เป็นลูกคนที่ 4 เข้าไปแล้ว!

“แล้วคุณยายล่ะ คุณยายอยู่ไหมกูจะขออนุญาตคุณยายสักหน่อย” พี่สอนถามหาคุณยาย เพราะรถที่จะให้ไอ้จ๋าขับไปส่งเป็นรถคุณยายนั่นเอง

“คุณยายไปจำศีลพี่.. “

“อ้าวเหรอ งั้นไปกันเถอะค่อยบอกวันหลังก็แล้วกัน”

“เฮ้ยเดี๋ยว ๆ พี่สอนเดี๋ยว” ไอ้จ๋ารั้งแขนตัวเองไว้ แล้วหันไปหาคนเป็นลูกพี่ที่นั่งเอ๋อรับประทานไม่มีบทพูด ปากยังเคี้ยวข้าวกร้วม ๆ ใบหน้าหล่อใสดูคล้ายหมางง

“เอ่อ ลูกพี่ ไอ้จ๋าต้องพาพี่นวลเมียพี่สอนเข้าเมืองนะ คงไม่ได้นอนเฝ้าหน้าห้องลูกพี่แล้วล่ะครับ” ไอ้จ๋ารีบบอกลูกพี่ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดที่มันมีอีเว้นท์เข้ามากะทันหัน

“หา เอ่อ อ๋อไม่เป็นไร ๆ แกจะคลอดก็รีบ ๆ ไปเถอะไป”

“ว้ายไอ้จ๋าไม่ได้จะคลอดครับลูกพี่” ไอ้จ๋าเต้นผางกรี๊ดแทบสาวแตก

“เออ ๆ นั่นแหละ “

“อ้าวไอ้จ๋า นี่คุณหนูต้นกล้าใช่ไหม คุณหนูมาถึงเมื่อไหร่ทำไมมึงไม่บอกวะไอ้ห่านี่” พี่สอนที่เพิ่งสังเกตเห็นหนุ่มหล่อหน้าใส กับเส้นผมสีสดนั่งอยู่บนบ้านหันไปตำหนิไอ้จ๋า แล้วหันไปหาต้นกล้าอีกครั้งด้วยความแปลกใจ หลานคุณยายโตขึ้นแล้วเปลี่ยนไปมาก

“สวัสดีครับคุณต้นกล้า” พี่สอนทักทายต้นกล้าพลางยกมือไหว้

“ครับ สวัสดีครับพี่ ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ครับ แล้วก็อย่าเรียกคุณหนูเลยนะครับ” ต้นกล้ายกมือรับไหว้แทบไม่ทันทั้งเกรงใจเพราะดูเหมือนพี่สอนแก่กว่าหลายปี

“ก็เอ่อ ลืมไงพี่ รีบไปเถอะเดี๋ยวพี่นวลมันจะรอ” ไอ้จ๋าบอกแล้วดึงแขนพี่สอนวิ่งลงเรือนไปทันที โดยไม่ได้หันมาดูลูกพี่ที่นั่งทำหน้าเหวอเหมือนหมาเดินชนกำแพงเลยแม้แต่น้อย



พอไอ้จ๋ากับพี่สอนไปแล้ว ต้นกล้านั่งกินข้าวคนเดียวต่อแบบหงอย ๆ กินเสร็จเก็บปิ่นโตวางไว้บนโต๊ะตรงห้องรับแขก เริ่มสำรวจรอบบ้านที่เคยคุ้น บ้านที่เคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก สภาพบ้านยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บ้านไม้หลังใหญ่ที่สงบร่มรื่นเย็นสบาย มีแต่กลิ่นอายความอบอุ่นของคุณยายผู้ใจดี บ้านดูสะอาดสะอ้าน เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้นกล้ารู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำนอนพัก จึงเก็บกระเป๋าเดินไปทางห้องที่เป็นห้องนอนเดิมของตัวเอง



ไฟในห้องเปิดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่ว ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เตียงนอนขนาดห้าฟุตมีฟูกหนานุ่มปูทับด้วยชุดผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด ของในห้องทุกอย่างยังวางอยู่ที่เดิม และห้องก็ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านเช่นเดิม ต้นกล้ายกยิ้มเมื่อคิดถึงคุณยาย ที่คงจะให้ใครสักคนเข้ามาทำความสะอาด รอการมาเยือนของหลานสุดที่รัก แต่ตอนนี้คุณยายไม่อยู่บ้าน คุณยายเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือชาวบ้านและชอบทำบุญ แล้วคืนนี้คุณยายก็ไปถือศีลที่วัด



วันนี้วันศีลใหญ่ครับลูกพี่...

ลมโชยเข้ามาทางหน้าต่างวูบหนึ่ง ต้นกล้ารู้สึกสดชื่น มองออกไปข้างนอกก็มีแต่ความมืด

วันนี้วันพระใหญ่ และ...

พึ่บ!!

ต้นกล้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อทั้งห้องมืดสนิท นี่ไฟฟ้าดับหรือไง แต่..!

เฮ้ย! วันนี้มันวันพระใหญ่อย่างที่ไอ้จ๋ามันบอก วันพระใหญ่! ..วันพระใหญ่เป็นวันอะไรนะ

ไอ้จ๋ามันว่าวันพระใหญ่เป็นวันที่..?? ..!!

ตายห่าแล้ว!! คืนนี้คืนวันพระใหญ่ ต้นกล้าต้องอยู่คนเดียวในคืนวันพระใหญ่ แล้วจะนอนหลับลงไปได้อย่างไรในคืนวันพระใหญ่ที่น่ากลัว!



รอยยิ้มสดใสยามคิดถึงคุณยายหายไป ใบหน้าหล่อใสเริ่มไร้เลือดฝาดลงเรื่อย ๆ ต้นกล้ากลับมากังวลเรื่องคืนวันพระใหญ่หวาดหวั่นหัวใจหนัก มองไปรอบห้องที่เงียบสงัดก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง เพราะมันมืดตึ๊ดตื๋อไปหมดเพราะตายังไม่ชินกับความมืด



เสียงลมหวีดหวิวดังมาเป็นระยะ การอยู่คนเดียวลำพังในบ้านหลังใหญ่ไฟเพิ่งดับ เวลาเงียบมันเงียบมากจนวังเวง รู้สึกหวิว ๆ จนสยิวไปหมด ขนหัวหรือก็ลุกซู่ทั้งที่ไม่ทันได้ทำอะไร และ และนั่น..เสียงนั้นที่ดังมากับสายลม

โฮ่ง ๆ โฮ่ง ๆ โห้ว...

เสียงหอนโหยหวนของหมารับกันเป็นทอดได้จังหวะ ทำคนกลัวผีใจกระตุกวาบตาเบิกโพลงตัวเกร็งขึ้นมาทันที ต้นกล้าเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขนบนหัวและตามตัวพร้อมใจกันลุกพรึ่บจนผิวเป็นตุ่ม สองมือกำหูกระเป๋าแน่นมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กร้อนรน ทั้งที่มองยังไงก็ไม่เห็นเพราะมันมืด!

โฮ่งโฮ่งโฮ่งโห้ว...

!!

โฮ่งโฮ่งโฮ่งโห้ว...

!!

เสียงหอนโหยหวนลากยาว ยังดังเข้ามาในโสตประสาทของคนกลัวผีขี้ขึ้นสมอง มือไม้จากที่เกร็งในตอนแรกเริ่มอ่อนแรงสั่นระริก กระเป๋าที่ถืออยู่ค่อย ๆ หลุดร่วงลงจากมือ ช้าไม่ได้แล้ว!



ต้นกล้ารีบโกยโดยไม่สนใจว่าชนอะไรในห้องบ้าง เพื่อกระโดดขึ้นไปบนเตียงนอนที่เล็งไว้ในตอนแรก คว้าหมอนได้ก็เอามากอดนั่งตัวสั่นงันงกอยู่กลางเตียง กวาดตามองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง แม้จะมองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน ร่างโปร่งสะท้านคางสั่นจนฟันกระทบกึก ๆ ราวกับอยู่ในอุณหภูมิที่หนาวเหน็บสุดขั้ว ใบหน้าหล่อเกาหลีบิดเบี้ยวเหยเก ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดบิดเบ้เหมือนกำลังจะร้องไห้ หมดสิ้นซึ่งความหล่อเหลาที่เก๊กเก็บภาพลักษณ์มาตลอดทั้งวัน

โฮ่งโฮ่งโฮ่งโห้ว

อ๊าก



เสียงหอนดังตามมาอีกระรอก จากนั้นเหมือนมีเสียงคนดังแว่วตามมาด้วยให้รู้สึกสยดสยอง ต้นกล้าทนไม่ไหวรีบลนลานคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมกายมิด ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า นอนขดสั่นอยู่บนเตียงอย่างสิ้นท่า

“พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วย สาธุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นะโมตัสสะ ธรรม ธัมโม ฮือ ๆ ” คนขี้กลัวพยายามสวดมนต์เท่าที่สมองอันตื่นเต้น และตื่นตระหนกตกใจจะนึกได้เพราะกลัวจนลนลาน ทำให้ลืมบทสวดมนต์ที่ถูกต้องไปเลย งานนี้ตายแน่ต้นกล้าเอ๊ย!



รถกระบะสี่ประตูสีขาวป้ายแดงใหม่เอี่ยม ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้หลังใหญ่ เมื่อประตูรถเปิดออกชายหนุ่มร่างสูงสง่าดูสมส่วนหย่อนขาลงมาจากรถ ใบหน้าหล่อคมคร้ามแดดอย่างคนที่อยู่กลางแจ้งตลอดของเขานั้น เป็นที่ฝันใฝ่หมายปองของสาว ๆ ทั้งหลาย ทั้งในตำบล อำเภอ จนเกือบจะทั้งจังหวัดตัวเอง และจังหวัดใกล้เคียง



ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนบ้านที่มืดสนิทเพราะไฟดับ ลมแรงมากตอนที่เขาขับรถมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน นั่นบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงเทกระหน่ำลงมา ร่างสูงสง่าสาวเท้าไปที่บันได ท่ามกลางเศษฝุ่นเศษใบไม้ปลิวให้ว่อน เขาพยายามมองฝ่าความมืดขึ้นไปบนบ้าน แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างต้องการ ‘หรือคุณยายจะเขานอนแล้ว’

“คุณยายครับ” ส่งเสียงเรียกไปก่อนเพราะนี่ยังหัวค่ำ ไฟเพิ่งดับไม่นานคุณยายอาจจะยังไม่นอน แต่บนบ้านก็ยังเงียบไร้เสียงตอบกลับมา

“คุณยายครับผมเดี่ยวนะครับ คุณยายนอนหรือยังครับ” เด็ดเดี่ยว ตรัยรัตนาร้องถาม แต่ถ้าไม่นับเสียงลมเสียงยอดไม้ที่โดนลมพัดแล้ว ทุกอย่างภายในบ้านยังเงียบกริบ คิดว่าคุณยายคงหลับไปแล้วชายหนุ่มเลยไม่อยากรบกวน แต่ขณะกำลังจะถอยกลับลงบันไดไป หูพลันได้ยินเสียงดังตุบมาจากข้างบน ตอนแรกชายหนุ่มไม่แน่ใจนึกว่าตัวเองหูแว่ว แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงโครมเหมือนอะไรบางอย่างล้มกระแทกพื้น นั่นทำให้เขาชะงักเท้าหันกลับไปมองบนบ้านอย่างเป็นห่วง ใจกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงชราเจ้าของบ้าน



ปกติคุณยายประไพศรีจะมีแม่แจ่มใจแม่ของไอ้จ๋า หรือไม่ก็ตัวไอ้จ๋าเองมานอนเป็นเพื่อน แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะตอนนี้ไอ้จ๋ามันไม่อยู่ เขาเองเพิ่งสวนทางกับมันตอบกลับจากอำเภอ ถึงไฟฟ้าจะดับแต่ปกติเวลานี้หญิงชรายังไม่น่าจะเข้านอน และแม่แจ่มใจก็น่าจะมาอยู่ด้วยเหมือนทุกวัน หรือถ้าเข้านอนแล้วก็น่าจะจุดตะเกียงไว้บ้างเพื่อให้ความสว่างพอมองเห็น หรือเสียงที่ดังขึ้นจะเกิดจากสิ่งไม่ชอบมาพากล

หรือจะเป็นขโมย?

เมื่อคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เด็ดเดี่ยวจึงเปลี่ยนใจ หันกลับขึ้นบ้านเดินย่องเงียบ ๆ ไปทางต้นเสียงที่ได้ยิน



เพราะนับถือคุณยายเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง เด็ดเดี่ยวจึงแวะเวียนมาบ่อย ๆ และรู้จักบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี สองเท้าค่อย ๆ ก้าวไปทางห้องด้านในอันเป็นที่มาของเสียง เขานึกโล่งใจ เพราะเป็นคนละทางกับห้องของคุณยายเจ้าของบ้าน สายตาที่ชินกับความมืดสอดส่ายมองรอบตัวหาความผิดปกติ เด็ดเดี่ยวไม่กล้าเรียกคุณยาย เพราะกลัวว่าหากเป็นหัวขโมย มันอาจจะได้ยินและไหวตัวหนีทัน เขาเดินมาจนถึงห้องสุดท้าย ประตูห้องปิดไม่สนิท ชายหนุ่มได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างดิ้นขลุกขลักอยู่ข้างใน จึงเอื้อมมือไปแง้มบานประตูให้เปิดออกอย่างเบามือ

[ยังไม่จบเด้อ]
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 1 เยือนบ้านนา]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 29-10-2018 13:51:50
[ต่อสุดท้าย (โอ้ยยาว)]

ในห้องมืดสลัว สายตาที่ชินกับความมืดสามารถมองเห็นเงาตะคุ่มของอะไรบางอย่าง วางระเกะระกะอยู่บนพื้น มันคงค้นบ้านเป็นการใหญ่ เด็ดเดี่ยวย่องเข้าเข้าไปยืนอยู่กลางห้องกวาดตามองไปรอบ ๆ บนเตียงนอนมีเงาตะคุ่มของอะไรบางอย่าง ที่ขยับหยุกหยิกใต้ผ้าห่ม พลันไฟในห้องสว่างวาบขึ้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้นึกสงสัยจนคิ้วขมวด กระเป๋าเดินทางแบบลากใบใหญ่ล้มลงนอนแอ้งแม้งอยู่กลางห้อง เก้าอี้นั่งเล่นล้มหงายไปอีกทาง ใกล้ ๆ กันมีกระเป๋าเป้อีกใบวางทิ้งไว้ แต่บนเตียงนั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่กำลังสั่นงันงกใต้ผ้าห่มผืนใหญ่



เด็ดเดี่ยวย่องไปที่เตียง รูปร่างที่เห็นบ่งบอกว่ามีคนอยู่ในนั้นแน่นอน อาจเป็นหัวขโมยที่แอบเข้ามาลักของ แต่ทำไมมันไปนอนตัวสั่นเอาผ้าห่มคลุมโปง เขานึกสงสัยแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาคำตอบ เพราะสิ่งที่ต้องทำคือจับขโมยให้ได้ก่อนค่อยสอบสวน



เมื่อมั่นใจว่าก้อนผ้าห่มที่สั่นอยู่บนเตียงมีคนอยู่ในนั้น และคงเป็นคนที่ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก น่าจะตัวเล็กกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ กะขนาดคู่ต่อสู้ว่าคงพอสูสีกัน เขาจับชายผ้าห่มแน่นและไม่รอช้า เด็ดเดี่ยวกระชากผ้าออกไป เผยให้เห็นร่างของใครคนหนึ่งที่นอนคุดคู้ตัวสั่นอยู่บนเตียง

พึ่บ!!

“อ๊าก...กลัวแล้ว ๆ ” เสียงตื่นตระหนกของคนบนเตียงดังขึ้นทันทีที่ผ้าห่มอันเป็นที่พึ่งสุดท้าย ถูกกระชากออกอย่างแรง ภาพที่เด็ดเดี่ยวเห็นคือหนุ่มน้อยที่มีเส้นผมสีแดงเพลิงคนหนึ่ง นอนขดตัวงอเป็นกุ้งสุกตะแคงหันหน้ามาทางเขา สองมือสั่นพนมไว้ปากพร่ำร้องว่ากลัวแล้ว ๆ อย่างกับคนเห็นผี!



เด็ดเดี่ยวอยากหัวเราะขำกับภาพที่เห็น แต่เจ้านี่มันหัวขโมย และเขาต้องรีบจับขโมยให้คุณยาย ก่อนที่มันจะฉวยโอกาสหนีไป คิดได้ดังนั้นจึงกระโจนขึ้นไปบนเตียง ล็อกตัวของคนที่นอนหลับตาฟูมฟายอย่างหวาดกลัวไว้แน่น

“อ๊าก ปล่อย” เมื่อถูกปล้ำกอด คนกลัวผียิ่งคิดไปไกล แต่กลับไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดู ว่าบัดนี้ห้องทั้งห้องสว่างจ้าเพราะไฟมาแล้ว และที่กอดรัดตัวของเขาอยู่ตอนนี้ก็คนเป็น ๆ หาใช่ผีอย่างที่คิด ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาดูไม่พอ ยังยกมือขึ้นปิดใบหน้าไว้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้ตัวเองเห็นผีจะ ๆ ตา



เด็ดเดี่ยวปล้ำกอดคนที่คิดว่าเป็นหัวขโมยไว้อย่างแนบแน่น คนกลัวผีดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด คนจับขโมยพลิกร่างโปร่งให้หันหน้ามาหา กอดล็อกเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง จนร่างของเจ้าหัวขโมยขี้กลัวขึ้นมานั่งเกยอยู่บนตักอย่างชิดใกล้

“ปละ ปล่อย ปล่อยผมเถอะครับ ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถอะ...นะ อย่ามาทำอะไรกันเลยนะครับ” คนกลัวผีบอกเสียงสั่น ทั้งหลับตาดิ้นรนจะหนี คนจับขโมยงุนงงสงสัย ตอนนี้ใบหน้าคมคร้ามกับใบหน้าขาวใสห่างกันแค่คืบ คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผีเอียงคอ กวาดตามองวงหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความกลัว

“กลัวแล้วครับ กลัวแล้ว พรุ่งนี้ผมจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้นะครับคุณผี ฮือ ๆ ” คนขี้กลัวยังหลับตาพร่ำบอกติดสินบนผีเสียงสั่น ส่วนคนโดนยัดเยียดให้รับบทผีเริ่มจับใจความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังกอดรัดร่างอุ่นแน่นไม่ยอมปล่อย

ที่แท้ก็กลัวผีนี่เอง

“อย่าดิ้น” เด็ดเดี่ยวยิ้มมุมปาก หลังจากกระซิบบอกข้างหูหัวขโมยขี้กลัว เขากำลังนึกสนุก คนขี้กลัวยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนกอดแน่น ยิ่งกอดแน่นก็ยิ่งหายใจลำบาก พอหายใจลำบากเลยต้องสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ นั่นทำให้พอมีสติขึ้นมาบ้าง แม้ร่างกายยังสั่น แต่มือที่ปิดหน้าตัวเองก็เปลี่ยนมาเกาะไหล่กว้างของผีอย่างลืมตัว ต้นกล้าทำทั้งที่ยังหลับตา แต่ไม่รู้ว่าคนกลัวนั้นกลัวแบบไหน ทำไมถึงตบมือเบา ๆ ไปตามไหล่ของผีเหมือนกำลังสำรวจ



ไหล่ผีนี่กว้างดีแฮะ ผีเหมือนจะมีกล้ามแน่น ๆ ด้วย...



“ผะ ผี ผีหลอก! ผีคุยกับผม...ฮือ ๆ ” คนกลัวผีพูดโดยไม่ยอมลืมตา ร่างกายสั่นงันงกลนลานขัดขืนจนหลุดจากอ้อมกอดของผีได้ กระถดกายถอยห่าง ใบหน้าขาวใสที่เคยหล่อเหลาบิดเบี้ยวเหยเก แต่สุดท้ายร่างของคนกลัวผีก็ถูกรั้งขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผีตัวใหญ่ อย่างเต็มก้นเหมือนเดิม

“บอกว่าอย่าดิ้นไงเดี๋ยวพ่อหักคอทิ้งเลยนี่” ได้ผลชะงัดนักแล เพราะสิ้นเสียงกระซิบสั่งข้างหู คนกลัวผีก็หยุดดิ้นลงในปัจจุบันทันที

“อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผมกลัวแล้วครับ คุณ คุณผี!” นั่นปะไรล่ะ เด็ดเดี่ยวนึกในใจว่าเด็กนี่ต้องคิดว่าเขาเป็นผีแน่นอน

“ตั้งสติดี ๆ แล้วลืมตาขึ้น” เด็ดเดี่ยวแกล้งสั่งเสียงเข้ม กลั้นเสียงหัวเราะขำคนกลัวผีที่นั่งบนตัก รู้สึกคล้ายกับว่ามีความเอ็นดูด้วยนิด ๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าใสชัดเจน

“มะ ไม่ อย่ามาหลอกหลอนผมเลย นะคุณผีนะ ปะ ไปที่ชอบ ๆ เถอะนะ นะครับ” คนขี้กลัวพยายามพูดออกมาให้เป็นคำอย่างยากลำบาก เพราะความกลัวที่มากกว่าความกลัวครั้งไหน ๆ เข้าครอบงำสติ ต้นกล้าคิดไปเองว่าได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของผีเข้าให้แล้ว มือสั่น ๆ จึงยกขึ้นประนมไหว้อย่างอ้อนวอน “สงสารผมเถอะ นะครับ”

แต่คนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผีกลับหัวเราะขำเสียอย่างนั้น

“ฮา”

เอ๊ะ!! ผีหัวเราะ! ผีหัวเราะเยาะเราหรือนี่ ต้นกล้าที่ยังตัวสั่นเพราะความกลัวแอบคิดในใจเบา ๆ กลัวผีได้ยิน แต่คิ้วที่ขมวดมุ่นนั้นบอกผีได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าตัวกำลังเกิดความสงสัย

“จะลืมตาขึ้นมาคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง” เด็ดเดี่ยวบอกทั้งที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ตอนนี้เขากลั้นขำจนน้ำตาแทบเล็ดอยู่แล้ว

“มะ ไม่เอาครับคุณผี ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะครับ ผะ ผมไม่อยากคุยเราไม่มีเรื่องต้องคุยกันหรอก...นะครับเชื่อผมสิ” เชื่อเขาเลย! คนกลัวผีรีบปฏิเสธเสียงรัวเร็วติด ๆ ขัด ๆ แต่ยังคงความสุภาพอ่อนน้อมดั่งคุยกับญาติผู้ใหญ่

“ลืมตาขึ้นมาคุย!” ผีสั่งเสียงเข้มเล่นเอาคนกลัวผีสะดุ้งเฮือก แต่กระนั้นยังหลับตาแน่นแน่วแน่ในปณิธาน หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ยอมให้ตัวเองได้ยลโฉมผี!

“มะ ไม่ครับผมกลัว คุณผีปล่อยผมไปเถอะนะ นะครับ” คนกลัวผียังละล่ำละลักบอก ตัวหรือก็ยังสั่นไม่หาย ใบหน้าหล่อใสเริ่มบิดเบี้ยวเหยเก ปากเริ่มเบ้ออกเหมือนจะร้องไห้เข้าไปทุกที ที่อ้อมแขนแกร่งของคุณผีรัดแน่นไม่ยอมคลาย

“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามมาก่อน” ผีกระซิบให้ข้อเสนอชิดแก้มนวลปลั่งอย่างอดใจไม่ไหว หรือเอาจริง ๆ คนถูกปรักปรำให้เป็นผีไม่รู้ตัวเสียมากกว่า เพราะกำลังสนุกกับการแกล้ง และเพลินกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยเข้าจมูก

“คะ คำถามเหรอ คำถามอะไรครับ” ใบหน้าฉงนของคนกลัวผีคลายความบิดเบี้ยว และนั่นมันดูน่ารักจับตาผีตัวโตที่โอบกอด แก้มใสนวลเนียนมีเลือดฝาด ปากรูปกระจับหยักสวยแดงระเรื่อ จมูกโด่งรั้นเป็นสันงามรับคิ้วโก่ง ทั้งหมดนั้นทำเอาผีมองค้างไปเกือบสามวิฯ

“มาทำอะไรที่นี่”

“คะ คือผม เป็นหลานเจ้าของบ้านครับ”

“โกหกให้ตอบใหม่บอกความจริง”

“จริง ๆ นะครับผมชื่อต้นกล้าเป็นหลานคุณยายประไพศรีครับ” คนกลัวผียืนยันหนักแน่น เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกเต้นโครมคราม จนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาข้างนอก

“ไม่ใช่มาขโมยของหรือไง”

“ผมเปล่านะ ผมเป็นหลานคุณยายประไพศรีจริง ๆ หลานสุดรักสุดหวงหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว” คนกลัวผียืนยันหนักแน่นมือที่ประนมอยู่สั่นพั่บ ๆ กลัวผีไม่เชื่อ ในใจเริ่มฉุนจนเกือบลืมว่าตัวเองกำลังโดนผีหลอก และถูกกอดรัดอยู่ ส่วนผีเริ่มเอะใจ เพราะเคยได้ยินคุณยายเล่าเรื่องหลานชายคนเดียวที่อยู่กรุงเทพให้ฟังบ่อย ๆ สังเกตหน้าตาผิวพรรณก็ดูดีมีราศีจับ ดูน่ารักน่าใคร่อยู่พอสมควร หรือนี่จะเป็นหลานชายของคุณยายจริง ๆ



คิดได้ดังนั้น คุณผีก็คลายวงแขนที่โอบรัดแน่นออก ดันร่างโปร่งลงจากตัก (อย่างเสียดาย) แล้วกระโดดลงไปยืนข้างเตียง เพ่งมองหนุ่มน้อยที่นั่งตัวสั่นให้เต็มตา

“ไปสู่ที่ชอบ ๆ เถอะนะครับ สาธุ”

“พอแล้วลืมตาขึ้นมาดูได้แล้ว”

“หา! ผียังไม่ไปอีกเหรอเนี่ย!”

“ผีที่ไหนไม่มีหรอก” คนกลัวไม่ยอมรับรู้ความจริงสักทีเลยชักจะขำไม่ออก

“ฮึอย่ามาหลอกกันนะ”

“ลืมตาขึ้นมาดูก่อนสิ” คนกลัวผีต้องทำใจอยู่เป็นครู่ จึงค่อย ๆ ปรือตาขึ้นทีล่ะข้างช้า ๆ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ จนคนที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผีได้แต่ส่ายหน้า ต้นกล้าต้องปรับการมองเห็นให้ชินกับแสงภายในห้องก่อน



ภาพที่ปรากฏชัดเจนแก่สายตาอยู่ตรงหน้า คือผู้ชายตัวโตเต็มวัยหนุ่ม ร่างกายสูงสง่ายืนจังก้าเอามือกอดอกอยู่ข้างเตียง บุรุษหนุ่มคนนั้นหน้าตาหล่อคมคายอย่างไทยแท้ ผิวของเขาสีน้ำผึ้งออกเข้มเหมือนคนที่อยู่กลางแจ้งตลอด ไหล่กว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเข้มตัวนั้นคงจะอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามตึงแน่น ช่วงลำตัวคงยาวทีเดียว ดูจากชายเสื้อที่ถูกยัดเข้าไว้ในกางเกงอย่างเรียบร้อย สะโพกแกร่งไม่สอบลีบเหมือนชายทั่วไป ช่วงขายาวบ่งบอกว่าชายคนนี้เป็นคนตัวสูง และคงจะสูงกว่าต้นกล้าอยู่มากเลยแน่ ๆ



แต่..!! ทำไมเราต้องมาพิจารณารูปร่างของผู้ชายคนนี้ด้วยวะเนี่ย เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ คิดมาถึงตรงนี้ต้นกล้าก็สะดุ้งเอาดื้อ ๆ กับความคิดของตัวเอง



“เฮ้ย!!” และร้องออกมาเสียงดัง เพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าควรตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน “คุณเป็นใครเนี่ย ขึ้นมาบ้านคนอื่นค่ำ ๆ มืด ๆ แบบนี้ได้ยังไง มาขโมยของหรือเปล่า” คำถามแรกออกมาจากปากคนกลัวผีที่ตอนนี้หายกลัวแล้ว แต่คนที่เขาคิดว่าเป็นผีในตอนแรก กลับกลายเป็นขโมยไปเสียอย่างนั้น

“อ้าว เมื่อกี้หาว่าเป็นผีตอนนี้จะให้เป็นขโมยด้วยหรือไง”

“นะ นี่คุณอย่าบอกนะว่าเมื่อกี้...” ต้นกล้าพูดไม่ออก คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ตอนถูกผู้ชายคนนี้โอบกอดเสียแนบแน่น จนเกือบขาดใจตายกลายเป็นผีไปเสียเอง ไหนจะตอนที่ดิ้นรนจนขึ้นไปนั่งบนตักเขานั่นอีก

ตายห่า! ไอ้กล้าแย่แล้ว!

“หึ ๆ ” ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ เหมือนสะใจกับอะไรบางอย่าง แต่ต้นกล้าคิดว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย ที่หยามหยันสภาพของต้นกล้าเอง ใบหน้าหล่อใสในแบบเกาหลีที่บูดบึ้งอยู่แล้ว จึงยิ่งบึ้งตึงเข้าไปใหญ่

“หัวเราะเยาะเหรอก็คนเค้ากลัวนี่” ต่อว่าเสียงกระเง้ากระงอดไม่รู้ตัว ทั้งที่ไม่รู้จักอีกฝ่ายด้วยซ้ำ “แล้วนี่จะจ้องผมอีกนานไหมคุณ” นั่นจึงทำให้เด็ดเดี่ยวรู้สึกตัว ว่าเผลอมองหน้าคนขี้กลัวนานไปแล้ว เขารีบมองไปทางอื่น แอบสงสัยว่าผู้ชายอะไรทำไมหน้าตาถึงได้น่ารักน่าชังเสียจริง แต่เสียงแหง่ว ๆ ของคนตรงหน้าก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน เด็ดเดี่ยวส่ายหัวไล่ความคิดแปลก ๆ เดินออกมาจากห้องนั้น โดยไม่สนใจคนที่นั่งเอ๋ออยู่บนเตียงเลย

“อ่าว อะไรของเขาวะ” ต้นกล้ามองตามแผ่นหลังกว้างงง ๆ คนอะไรมองหน้ากันจนเสียมารยาท พอโดนว่าเข้าหน่อยก็เดินหนีไปเฉยเลย

แต่เอ๊ะ! ถ้านั่นเป็นหัวขโมยล่ะ มันอาจจะฉวยโอกาสหนีตอนนี้ก็ได้ใช่ไหม ไม่ได้การล่ะ คิดว่าขึ้นมาขโมยของบนบ้านคนอื่นแล้วจะเดินหนีไปง่าย ๆ ได้สินะ ไม่มีทาง! ต้นกล้าไม่มีวันปล่อยขโมยให้ลอยนวลหรอก ฮึ่ม!!

คิดได้ดังนั้น ต้นกล้าจึงรีบกระโดดลงจากเตียง วิ่งตามคนที่เขาคิดว่าเป็นหัวขโมยออกมาจากห้องทันที

“เดี๋ยวหยุดก่อน” ต้นกล้าตะโกนบอกไล่หลัง แต่คนที่เดินนำกลับทำท่าทางเหมือนไม่ได้ยิน และเดินตรงดิ่งไปทางบันไดบ้าน กำลังจะลงบันไดไปแล้ว แต่คนตัวเล็กกว่ากระโดดเข้ามารวบร่างหนาไว้จากด้านหลัง ขายาวจึงต้องหยุดชะงักทันที

“คิดจะหนีหรือไงเจ้าหัวขโมย!” เอากับเขาสิ ตอนแรกก็ให้เป็นผี ตอนนี้จะให้เป็นขโมยนี่นะ!

“เปล่าไม่ได้หนี” เด็ดเดี่ยวยกยิ้มมุมปาก รู้สึกเอ็นดูคนที่กำลังกอดรัดร่างของเขาจากด้านหลัง แผ่นอกอุ่น ๆ แนบชิดแผ่นหลังกว้าง เจ้าของแผ่นหลังรู้สึกแปลก ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมหายใจสะดุดขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างนี้ เด็ดเดี่ยวไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ

“แล้วเรียกทำไมไม่หยุด” ต้นกล้าเพิ่มแรงรัดร่างเขย่งเท้าขึ้นจนคางเกยบนไหล่บึกบึน หน้าอกหน้าใจบดเบียดแผ่นหลังแกร่งอย่างลืมตัว เท้าสองข้างปักหลักเขย่งยืนอย่างตั้งมั่น กันไม่ให้หัวขโมยกระโจนหนี คนตัวเตี้ยกว่าชะโงกหน้าเข้าไปชิดแก้มคนในอ้อมกอด จนได้กลิ่นกายเฉพาะตัวของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เข้าเต็ม ๆ

อืม..กลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นโคโลญหอมอ่อน ๆ เป็นธรรมชาติดีนะ โอ๊ย! มันใช่เวลาไหมต้นกล้า!

“ก็ไม่มีอะไรนี่”

“ไม่มีอะไรงั้นเหรอ ขึ้นมาบ้านคนอื่นค่ำ ๆ มืด ๆ บอกไม่มีอะไรได้ไงอย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจ”

“พี่ไม่ใช่ขโมยนะครับ”

“ไม่ใช่แล้วขึ้นมาบนบ้านคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ทำไม” ต้นกล้ารีบสวนกลับจนลืมฉุกคิด ว่าอีกคนใช้คำเรียกแทนตัวเองว่าพี่ และยังพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มไพเราะน่าฟัง

“พี่แค่มาหาคุณยาย”

“คุณยายไม่อยู่ไปวัด”

“อ๋อ อยู่บ้านคนเดียวเหรอมิน่าถึงได้นอนแต่หัวค่ำ คลุมโปงซะด้วยคงหนาวมากสินะสั่นเป็นเจ้าเข้าเชียว”

“...!”

“หึ ๆ แล้วนี่จะกอดกันอย่างนี้อีกนานไหมครับ” เด็ดเดี่ยวถามเสียงเข้ม แต่คนฟังรู้สึกเหมือนกำลังโดนล้อ จึงรีบปล่อยมือที่โอบรัดร่างสูงใหญ่นั้นทันที คนตัวโตแอบเสียดายนิด ๆ แต่ก็อดขำไม่ได้ เมื่อหันมาเห็นอีกคนหลบสายตาเชิดหน้าไปมองทางอื่น ไหนจะท่าทางถือตัวเมื่อยกมือขึ้นมากอดอกนั่นอีก หรือนี่กำลังเขินอยู่รึเปล่าวะ?

“ไม่ใช่ขโมยแน่นะ”

“ไม่ใช่สาบานเลย”

“แล้วทำไมต้องมาหาคุณยายเวลานี้”

“ก็มาเวลานี้บ่อย ๆ มาคุยเล่นบ้าง ทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนคุณยายบ้าง เห็นอยู่คนเดียวลูกหลานไม่สนใจก็กลัวจะเหงา” คนเป็นหลานเริ่มร้อนตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ชิใครบอกลูกหลานไม่สนใจ ไม่สนใจจะมาอยู่นี่ได้ไงล่ะ”

“อือ” สั้น ๆ จากคนคนตัวโต แต่คิ้วเข้มที่เลิกขึ้นพร้อมกับปากที่แบะออกน้อย ๆ พลางยกสองมือขึ้นกอดอก มองด้วยแววตากวน ๆ การพยักหน้าช้า ๆ เหมือนรับรู้แต่ไม่เชื่อถือ แค่นี้ก็เล่นเอาต้นกล้าเกือบเต้นผางไม่พอใจ มันหมายความว่ายังไง ทำหน้าแบบนี้มองแบบนี้มันหมายความว่ายังไงไหนพูด!

“ถ้าไม่ใช่ขโมยก็กลับไปได้แล้ว วันนี้คุณยายไม่อยู่”

“ไล่แขกไม่มีมารยาท” ตัวเองขึ้นบ้านคนอื่นมาหน้าตาเฉยมารยาทงามนักสิ ต้นกล้าได้แต่คิดในใจหรอกนะ

“แขกไม่ได้รับเชิญ” เด็ดเดี่ยวส่ายหน้าเหมือนอ่อนอกอ่อนใจ กำลังจะผละลงบันไดอยู่แล้วแต่….

“เดี๋ยว” เขาเลิกคิ้วขึ้นแทนการถามว่ามีอะไร

“ชื่ออะไรพรุ่งนี้เช้าคุณยายกลับมาจะได้บอกถูก” หลอกถามชื่อเอาไว้ถามคุณยาย ถ้าคุณยายไม่รู้จักจะแจ้งตำรวจมาจับเสียเลย หึ ๆ

“อยากรู้เหรอ”

“เปล่าซะหน่อย”

“เปล่าแล้วถามทำไม” คนตัวโตยิ้มกริ่มเขาเริ่มสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำ

“ก็บอกแล้วไงว่าจะได้บอกคุณยายถูก” ต้นกล้าบอกเสียงหงุดหงิด ยิ่งหันมาเจอสีหน้ากวนๆ ของคนตรงหน้า อารมณ์อยากเหวี่ยงอยากวีนยิ่งปะทุหนักขึ้นเป็นเท่าตัว

“เด็ดเดี่ยว” สองคำสั้น ๆ แต่น้ำเสียงฟังก็รู้ว่าเขาภูมิใจแค่ไหนกับชื่อตัวเอง

“หือ นี่ชื่อคนเหรอ”

“ใช่ บอกคุณยายนะว่าพี่เดี่ยวมาหา” พูดจบก็เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่สนใจต้นกล้าที่กำลังเดือดปุด ๆ เพราะรู้เท่าทัน ว่าคนชอบกวนจะให้ต้นกล้าเรียกว่าพี่หน้าตาเฉย ‘บอกคุณยายนะว่าพี่เดี่ยวมาหา’ ใครมันจะไปเรียกพี่ลงวะ!



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

อ่านแล้วไม่ขออะไรมากนะคะ ขอเม้นสักเม้นสองสามเม้นพอเป็นกระสาย  มันช่วยให้คนเขียนรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป ฮือๆๆ น่าสงสาร
 :katai4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 11:26:55
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง

เป็นเช้าที่สดใสท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้ที่ปลูกไว้รอบ ๆ ชาวบ้านต่างคงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะได้นอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืน ตื่นมาก็มีอากาศบริสุทธิ์ให้ได้สูดเข้าสู่ร่างกายเต็มปอด ผิดกับคนกลัวผีขี้ขึ้นสมองที่นั่งหวาดระแวงอยู่ทั้งคืน หลังจากชายหนุ่มผู้มาเยือนในความมืด พร้อมสายลมและเสียงหมาหอนกลับไปแล้ว หนุ่มน้อยหน้ามนคนหล่อหน้าใสหลานชายเจ้าของบ้าน ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เลยตลอดคืน เพราะความหวาดระแวงกังวลใจในสิ่งลี้ลับ ที่จินตนาการไว้มันยังตามมาหลอกหลอน

ถามว่าเคยเห็นผีจริง ๆ สักครั้งบ้างหรือยังนั้น ต้นกล้าตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่เคยแน่นอน! แล้วทำไมกลัว นั่นสิทำไมถึงกลัว? คำถามข้อนี้ต้นกล้าไม่สามารถให้คำตอบได้ กลัวก็คือกลัว มันฝังอยู่ในหัว มันจะมาอยู่ในห้วงความคิด และกัดกินหัวใจเสมอ เมื่อสถานที่และสถานการณ์แวดล้อมเป็นใจ ยิ่งมีความมืดเข้ามาเป็นหนึ่งตัวแปรสำคัญ แล้วตามมาด้วยเสียงหมาหอนโหยหวนตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา ยิ่งเร้าใจให้สั่นกระตุกจนขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนถูกผลักให้ตกลงสู่หลุมดำมืด ความหวาดกลัวเพิ่มเป็นทบเท่าทวี แล้วต้นกล้าจะทำอะไรได้นอกจากนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นทั้งคืน

ต้นกล้าเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพสะโหลสะเหลอิดโรย ใบหน้าสดใสกระจ่างตาที่ไอ้จ๋ามันชื่นชม ดูโทรมลงไปโข เพราะเจ้าตัวอดนอนมาเกือบทั้งคืน ขอบใต้ตาคู่นั้นดำคล้ำเป็นวงปานแพนด้าเข้าสิง ดวงตาโรยเหมือนจะหลับไม่หลับแหล่ แต่กระนั้นก็พยายามลืมตาขึ้นมองทางที่กำลังเดิน ต้นกล้าเพิ่งเผลอหลับไปตอนแสงแรกของวันโผล่มาให้เห็นรำไรอยู่ปลายทุ่ง วิสัยของคนกลัวผีก็เป็นเช่นนี้แล เชื่อว่าผีจะออกมาหลอกหลอนเฉพาะตอนกลางคืน มีความมืดนำทาง กลางวันจึงได้วางใจว่าไม่มีผีแน่ ๆ พอแสงอาทิตย์สาดส่องขอบฟ้า ต้นกล้าจึงผล็อยหลับไปทันที แต่นิทราแสนสุขอยู่ด้วยเพียงไม่นาน คนกลัวผีจนขี้หดตดหายพลันต้องสะดุ้งตื่น เพราะเสียงที่ชำแรกเข้ามาในโสตประสาท มันดังกังวานจนนอนต่อไม่ได้ ต้นกล้าหงุดหงิดพลิกกายไปมา แต่เหมือนบรรดาพี่โต้งทั้งหลาย ที่เป็นนาฬิกาปลุกจากธรรมชาติยังไม่พอใจ เหมือนจะรู้ว่ายังมีคนนอนอุตุอยู่ตรงนี้ พี่โต้งเหล่านั้นจึงต่างพร้อมใจประสานเสียงขันแข่งกันเป็นทอด จนดังระงมไปทั้งทุ่ง เช้านี้จึงเป็นวันใหม่ที่แสนโหดร้ายของต้นกล้าเสียจริง ๆ

พอเดินออกมาถึงมุมนั่งเล่นชานเรือน ต้นกล้าทรุดร่างร่อแร่ลงบนเก้าอี้หวายบุนวม ที่วางไว้มุมหนึ่งของชานบ้าน มุมนี้เป็นมุมโล่งสงบร่มรื่นใต้หลังคาสูง ลมพัดมาเอื่อย ๆ ให้รู้สึกเย็นสบาย พยายามปรือหนังตาหนักอึ้งขึ้นแล้วมองไปรอบบ้าน แต่ก็อยากยิ่งนักสำหรับคนอดนอนมาทั้งคืน ยิ่งมาเจอสายลมอ่อนเย็น ๆ ยามเช้า และอากาศที่สุดแสนจะสดชื่น ยิ่งยากจะฝืนหนังตาไม่ให้ปิดลง ตอนนี้คุณยายยังไม่กลับมาจากวัด ถ้าอย่างนั้นต้นกล้าจะนอนเล่นรอคุณยายตรงนี้ก็แล้วกัน

ไอ้จ๋าลงจากรถได้ก็เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี ตรงดิ่งไปถอดรองเท้าข้างบันไดขึ้นบ้านไปอย่างคุ้นเคย สองตาสอดส่ายไปมามองหาคน

“เอ หรือว่ายังไม่ตื่นวะ” มันบ่นแล้วทำท่าเดินย่องเบา เพราะจะได้ไม่เป็นการรบกวนหากลูกพี่ยังไม่ตื่น แต่ยังไม่ทันได้ไปเรียกถึงห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นคนเป็นลูกพี่นอนหลับอุตุ ดูท่าทางสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้หวาย คิดว่าลูกพี่คงตื่นนานแล้วจนออกมานอนเล่นข้างนอกห้องแน่ ๆ ไอ้จ๋าไม่รอช้าตรงดิ่งเข้าไปหาทันที

“ทำไมมานอนตรงนี้วะเนี่ย” มันบ่นเบา ๆ เพราะเกรงเสียงจะดังรบกวนจนทำลูกพี่ตื่น แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้มันตะวันสายโด่งแล้ว ไหนจะต้องไปรับคุณยายที่วัดอีก ลูกพี่จะไปด้วยหรือไม่นั้นมันเองก็ไม่รู้ คิดพลางเพ่งพิศใบหน้าหล่อเหลาที่ดูจิ้มลิ้ม..? น่ารัก...? ยามหลับยังเห็นความขาวใสมีออร่า ของใบหน้าที่รับและเข้ากันได้อย่างพอดีกับผมสีแดงเงางาม มันเป็นสีแดงที่ดูไม่จัดจ้านแสบจี๊ดจ๊าดน่าเกลียด ถ้าเป็นไอ้จ๋าทำออกมาแล้วจะดูดีแบบนี้บ้างไหมหนอ อยากหล่ออยากดูดีแบบลูกพี่ แต่พอคิดถึงผิวดำ ๆ หน้ากร้าน ๆ เกรียมแดดของตัวเอง ก็ให้เกิดความห่อเหี่ยวใจในบัดดล คิดสภาพตัวเองที่หน้าดำ ๆ แล้วหัวแดง ๆ คงหล่อพิลึกกึกกือ หล่อเกินมนุษย์มนาจนใคร ๆ คงอดยิ้มไม่ได้ ถ้ายิ้มเพราะปลื้มปริ่มในความหล่อไอ้จ๋ายังพอทน มันกลัวแต่ว่าคนจะยิ้มเพราะความตลกขบขันเสียมากกว่า คิดไปคิดมาก็ได้แต่ปลง และตัดใจจากการอยากให้ผมมีสี ดึงสติตัวเองกลับมาที่คนเป็นลูกพี่ แอบมองแล้วก็ได้แต่ชื่นชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ให้กับความสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างของลูกพี่ต้นกล้า ผู้เป็นต้นแบบของมันมาตลอด

ไอดอลของไอ้จ๋า

“ลูกพี่ครับ ลูกพี่” ไอ้จ๋าตัดสินใจปลุกต้นกล้า เพราะเห็นว่าสายโด่งจนตะวันแยงก้นแล้ว แต่คนโดนปลุกที่เพิ่งได้หลับจริง ๆ และกำลังหลับลึกจึงยังคงนิ่งไม่ไหวติงแม้มีเสียงรบกวน

“ลูกพี่กล้าครับ ลูกพี่ ๆ ” ไอ้จ๋าเรียกเสียงดังขึ้นเขย่าแขนลูกพี่เบา ๆ แต่ต้นกล้าเพียงแค่ส่งเสียงครางฮือ ๆ เคี้ยวปากหยับ ๆ แล้วหลับต่อ

“ลูกพี่ ไอ้จ๋าเองนะครับ ตื่นครับตื่นไปรับคุณยายที่วัดกัน”

“อือ” นอกจากจะไม่ยอมตื่นแล้ว ยังส่งเสียงออกมาอย่างรำคาญ และขยับตัวพลิกหนีไปอีกทางหันหลังให้ไอ้จ๋าเสียดื้อ ๆ

“อ้าว” ไอ้จ๋ามันตื่นเช้าทุกวันจนเป็นนิสัย เลยไม่เข้าใจว่าลูกพี่ของมันจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือ ทำไมถึงได้ปลุกไม่ยอมตื่น มันลุกขึ้นชะโงกหน้าข้ามตัวไปส่องดูให้รู้ชัด ว่าคนเป็นลูกพี่นั้นหลับจริงหรือแค่แกล้งนอน

“ทำอะไรไอ้จ๋า” เฮือก! “ลูกพี่เดี่ยวมาเงียบ ๆ ตกใจหมดเลยครับ” จริงที่ไอ้จ๋าตกใจจนเนื้อเต้น สองมือยกขึ้นมาประสานทาบไว้กลางอกตรงตำแหน่งหัวใจ แกล้งทำเป็นมีจริตในแบบของมัน ซึ่งบอกเลยว่าเป็นอะไรที่น่าหมั่นไส้มาก พอเห็นว่าเป็นเด็ดเดี่ยวลูกพี่ที่มันรักและเคารพอีกคนจึงนั่งแปะลงที่เดิม

“เออ ฉันเอง ว่าแต่แกกำลังทำอะไรอยู่วะ”

“ก็ลูกพี่กล้านะสิครับปลุกไม่ยอมตื่นเลย นี่ไอ้จ๋าว่าจะชวนไปรับคุณยายที่วัดด้วยกัน” คนหลับรำคาญเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ ขยับพลิกตัวกลับมานอนหงายเหมือนเดิม ขาสองข้างอ้าแบะออกอย่างเปิดเผย ส่งเสียงอืออาเหมือนรำคาญแต่ไม่ยอมตื่น

“ลูกพี่ครับ ลูกพี่”

“อือ อะไรกันนักกันหนาคนจะนอน งึ่ม ๆ ” คนตัวโตที่ยืนมองอยู่ได้แต่ส่ายหัว ทำสีหน้าเหมือนกำลังบอกไอ้จ๋าว่าไม่ได้เรื่อง!

“แบบนี้นี่นะจะมาอยู่ดูแลที่นี่แทนคุณยาย ท่าจะไม่ไหวล่ะมั้ง” ไอ้จ๋าละอยากเถียงแทนลูกพี่ใหญ่ แต่ก็เถียงไม่ออก “เดี๋ยวฉันจะไปรับคุณยายที่วัดให้เอง”

ลูกพี่รองนั้นออกไปนานแล้ว แต่ไอ้จ๋ายังไม่สามารถทำให้ลูกพี่ใหญ่ตื่นขึ้นมารับอรุณรุ่งที่สดใสได้ มันนั่งพับเพียบด้วยหมดปัญญาอยู่ข้างเก้าอี้หวายตัวยาว ที่ลูกพี่กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างแสนสุข ต้นกล้ากำลังนอนหลับอย่างสบายใจ แต่อีกไม่นานเขาจะสะดุ้งตื่น เพราะคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมชะตากรรมเมื่อคืน กำลังจะใช้ไม้ตายขั้นสุดท้ายของมันมาปลุกลูกพี่จอมขี้เซา!

“ลูกพี่ครับ!”

“เฮ้ย!” ต้นกล้าสะดุ้งโหยงเมื่อไอ้จ๋ามันตะโกนเรียกสุดแรงเกิด ร่างสูงโปร่งกระเด้งขึ้นนั่งทันที กับเสียงราวลำโพงแตกของมัน “เกิดอะไรขึ้นวะ ใครตาย”

“เอ่อ ไม่มีใครตายครับลูกพี่” ไอ้จ๋ายิ้มแหยจนตาหยีหลังตอบคำถาม

“แล้วตะโกนทำไมตกอกตกใจหมด” ต้นกล้าเอ็ดคนเป็นลูกน้อง นั่งหอบเอามือคลำหน้าอกตรงที่มีก้อนเนื้อเต้นตุบ ๆ อยู่ข้างใน มันเต้นแรงมากจนกลัวจะกระเด้งหลุดออกมาข้างนอก

“ก็จ๋า เอ๊ยไอ้จ๋าเห็นว่ามันสายจนตะวันแยงก้นลูกพี่แล้วนี่ครับ เลยปลุก เดี๋ยวคุณยายก็กลับมาจากวัดแล้วนะครับ”

“ฮ้าว เออฉันยังง่วงอยู่เลยว่ะ แล้วคุณยายจะกลับยังไงวะ” ต้นกล้าอ้าปากกว้างหาวจนน้ำตาไหลซึมหางตา

“ก็ที่ไอ้จ๋าปลุกลูกพี่นี่ล่ะครับว่าจะชวนไปรับคุณยายด้วยกัน”

“เออ”

“อ้าวลูกพี่ ลูกพี่ครับ ลูกพี่” ไอ้จ๋ารนเมื่อเห็นต้นกล้าหลับตาเอนตัวลงนอนอีก มันเขย่าแขนขาว ๆ ของคนเป็นลูกพี่พร้อมกับละล่ำละลักถาม “ลูกพี่เป็นอะไรครับจะนอนอีกเหรอ ไม่สบายหรือเปล่าครับลูกพี่”

“ขอนอนต่ออีกนิดหนึ่งน่า” ต้นกล้าพึมพำบอกเสียงยานคางทั้งที่ยังหลับตา แต่ต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งโดยพลันเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้.. “ไอ้จ๋า!”

“ครับลูกพี่”

“ต้องไปรับคุณยายตอนไหนวะ”

“ตอนนี้ล่ะครับ แต่เราไม่ต้องไปครับมีคนไปรับแทนแล้ว”

“คนไปรับแทน ใครวะ”

“ลูกพี่เดี่ยวครับ” บอกคุณยายนะว่าพี่เดี่ยวมาหา ต้นกล้ากำลังจะถามว่าลูกพี่เดี่ยวเป็นใคร พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว เลยนั่งมองหน้าไอ้จ๋าเงียบ ๆ “แล้วนี่ลูกพี่ยังจะนอนต่ออีกหรือครับ”

“เออสิ ง่วงจะตายอยู่แล้ว” ต้นกล้ายืนยันด้วยการเอนตัวลงนอน ท่าทางอย่างนี้กระตุ้นต่อมสงสัยของไอ้จ๋าได้ดีนัก

“อ้าวเมื่อคืนก็นอนทั้งคืนแล้วนี่ครับ”

“นอนที่ไหนกันฉันแทบไม่ได้นอนเลยนะ อย่ากวน”

“แล้วทำไมไม่นอนล่ะครับลูกพี่”

“ก็มันกลัวนี่ กลัวจนนอนไม่หลับเคยเป็นไหม” เสียงของต้นกล้าดังเพียงงึมงำจนไอ้จ๋าฟังไม่ได้ศัพท์มันเลยถามต่อ

“อะไรนะครับลูกพี่ ทำไมลูกพี่นอนไม่หลับนะครับ”

“ก็คนมันกะ...เฮ้ย!” ต้นกล้าเพิ่งนึกได้ว่าเกือบเผยความลับให้ไอ้จ๋าฟัง หนุ่มหล่อหัวแดงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอีกรอบจนไอ้จ๋าตกใจ จากที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ยาว มันหงายหลังก้นจ้ำเบ้าขาชี้ฟ้าจนน่าขันให้ฟันหัก แต่ดีที่มันเอาแขนสองข้างยันด้านหลังได้ทันจึงรอด แต่ไอ้จ๋ามันก็คอไอ้จ๋า ท่าทางเปิ่น ๆ ของมันทำอะไรก็ตลกอยู่ดี

“อะไรอ่าครับลูกพี่ ลุกขึ้นมาปุบปับไอ้จ๋าตกใจหมด” ไอ้จ๋าว่าพลางเปลี่ยนท่ากลับมานั่งพับเพียบเรียบแต้แหมะลงกับพื้นข้างลูกพี่เหมือนเดิม

“เอ่อ..ไม่มีอะไร แค่แปลกที่เลยนอนไม่ค่อยหลับ”

“เหรอครับ” มันพยักหน้าท่าทางบ่งบอกว่าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นลูกพี่ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีไหมครับจะได้สดชื่น เดี๋ยวไอ้จ๋าจะไปเตรียมสำรับกับข้าวไว้รอ” ไอ้จ๋าพาซื่อแนะนำลูกพี่ให้ไปอาบน้ำ โดยที่ไม่รู้ว่าทั้งคืนจนถึงบัดนี้ คนเป็นลูกพี่นั้นยังนอนได้ไม่ถึงสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

“เออ” ตอบได้เท่านั้นก่อนจะเดินเข้าห้องเพื่ออาบน้ำ ตามที่ไอ้คนเป็นลูกน้องมันแนะนำ ตอนนี้หัวสมองของเขามันทำงานช้าไปหมด คิดอะไรไม่ออก ไม่อยากต่อปากต่อคำกับไอ้จ๋า เพราะกลัวว่าจะเบลอจนเผลอเผยความลับให้มันรู้ ถ้ามันรู้ต้นกล้าต้องเสียฟอร์มมากแน่ ๆ จึงยอมไม่ได้เด็ดขาด ต้นกล้าเป็นลูกพี่จะยอมให้ไอ้จ๋ารู้จุดอ่อนได้อย่างไร!

อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ต้นกล้าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เปิดประตูก้าวออกมาหน้าห้อง ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาแว่ว ๆ เสียงหัวเราะดังประสานกันตามมา หนึ่งในนั้นเป็นเสียงที่ต้นกล้าคุ้นเคยดี

“คุณยายครับ” เสียงเรียกลากยาวอย่างดีใจของต้นกล้าดังขึ้น ตามมาด้วยร่างที่โถมเข้ากอดหญิงชราอย่างรักใคร่คิดถึง

“เจ้ากล้า” ต้นกล้าหอมแก้มซ้ายแก้มขวาของหญิงชราแล้วกอดนางเอาไว้แน่น เพื่อออดอ้อนตามประสาหลานคนเดียว และเป็นหลานคนโปรด คุณยายตบหลังแล้วลูบเบา ๆ เอ็นดู

“กล้าคิดถึงคุณยายจังเลยครับ”

“ไม่ต้องมาอ้อนเลยเรา เป็นยังไงบ้างหลับสบายไหมเมื่อคืน” คุณยายดักคออย่างรู้ทันพลางผลักหลานออก คนถูกถามหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“หลับสบายครับคุณยาย บรรยากาศดี้ดี อากาศก็ดีกว่ากรุงเทพเยอะเลยครับ” คำตอบที่สวนทางกับความจริงเพื่อเอาใจคุณยายเท่านั้น ต้นกล้าตอบแล้วเหลือบไปเห็นอีกคน ที่นั่งมองนิ่ง ๆ จากเก้าอี้ตัวตรงข้าม

เฮ้ยมาได้ไง! เกือบไปแล้ว ต้นกล้าเกือบสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามที่เขาจำได้ว่าเจอเมื่อคืน ดีที่เก็บอาการได้ทัน

“คุณ”

“เป็นอะไรหรือเจ้ากล้า ทำไมมองพี่เขาอย่างนั้นรู้จักกันแล้วใช่ไหม”

“เอ่อ เปล่าเป็นอะไรครับคุณยายแล้วกล้าก็ไม่..”

“เมื่อคืนผมแวะมาเลยเจอน้องแล้วครับคุณยาย” พูดตัดหน้ากันไม่พอยังมาขี้ตู่เรียกต้นกล้าว่าน้อง พูดแล้วก็ตีหน้าใสซื่อนั่งนิ่ง ไม่รับรู้ถึงสายตาขุ่นขวางจิกกัดที่จ้องมอง กระนั้นต้นกล้าก็ยังสังเกตเห็นล่ะนะ ว่าคิ้วเข้มข้างหนึ่งของเขาคนนั้นขยับขึ้นอย่างกวนอารมณ์

ฮึ่ย ต้นกล้าเจ็บใจ!

“เหรอพ่อเดี่ยว ดีแล้วล่ะยายขอบใจนะที่แวะเข้ามา” คุณยายผู้ไม่รู้ถึงความไม่พอใจของหลานชาย เอ่ยขอบใจเสียยกใหญ่ นางยิ้มอ่อนโยนก่อนจะพูดบางอย่าง ที่ทำให้ต้นกล้ารีบหันไปมองคุณยายคอแทบเคล็ด “ถ้าอย่างนั้นยายถือโอกาสฝากน้องด้วยนะพ่อเดี่ยว”

โอ้ว! ต้นกล้าตาโตคิดว่าตัวเองคงฟังผิด แต่ทำไมเสียงคุณยายยังเจื้อยแจ้วอยู่ในแนวเดิม

“อีกไม่กี่วันพ่อกับแม่เจ้ากล้าจะมารับยายไปกรุงเทพแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าจะพาไปหามดหาหมอยายก็ไม่ไปหรอก เขาบอกหมอทางนั้นเก่ง เป็นหมอเฉพาะทางเฉพาะที่อะไรของเขานี่แหละ” โธ่คุณยาย! หลานชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว อย่าเที่ยวเอาไปฝากใครต่อใครอย่างนี้สิครับ! ต้นกล้าทำได้เพียงโอดครวญร่ำร้องในใจ แต่เพราะแย้งคุณยายไม่ได้ เลยได้แต่จิกตามองคนรับฝากที่นั่งทำหน้าระรื่น

“ครับคุณยายไม่ต้องห่วงทางนี้นะครับ ผมจะช่วยดูให้อีกแรง” นั่นก็รับคำหน้าตาเฉย แต่ทำไมไม่มีใครถามต้นกล้าสักคำ ว่าต้องการแบบนี้หรือเปล่า ยิ่งคนตัวโตเน้นคำว่า “ดู” แล้วปรายตามอง ยิ่งทำให้ต้นกล้าไม่พอใจมากกว่าเก่า แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะไม่พอใจต้นกล้าก็ทำได้แค่หน้านิ่งเหมือนไม่มีความเห็นขัดแย้ง

“ยายไม่อยู่มีอะไรก็ปรึกษา มีปัญหาก็ถามพี่เดี่ยวเขานะเจ้ากล้า”

“คะ ครับ” ต้นกล้ารับคำเสียงเบาไม่กล้าสบตาคุณยาย เพราะเขาไม่คิดจะญาติดีกับคนขี้ตู่ที่มาเรียกเขาว่าน้องหน้าตาเฉยนั่นอยู่แล้ว

“ลูกพี่ครับ ไอ้จ๋ามาแล้ว” เสียงไอ้จ๋าดังขึ้นก่อนตัวจะมาถึง ทำให้ทุกคนหันไปมองที่มันกันหมดอย่างพร้อมเพรียง “อะ อ้าวคุณยายมาแล้วเหรอครับ ลูกพี่เดี่ยวก็อยู่เหรอนี่ แหะ ๆ ” ไอ้จ๋าหัวเราะเสียงแห้ง เพิ่งเห็นว่าทุกคนนั่งหน้าสลอนอยู่ด้วยกันหมด และมองมาที่มันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะสายตาพิฆาตของคุณยายที่มองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ตะโกนซะลั่นบ้านเลยนะจ๋า อยู่กันแค่นี้เอง”

“ก็แหม จ๋านึกว่าคุณยายยังไม่กลับจากวัดนี่ครับ” ไอ้จ๋าแก้ตัวเสียงอ่อยแถมยังทำตาละห้อยจนคุณยายนึกขำ “นึกว่าลูกพี่เดี่ยวยังไม่พามาซะอีก”

“แล้วแกทำไมไม่ไปรับฉัน นั่นมันหน้าที่แกไม่ใช่เรอะ”

“ไอ้จ๋าขอโทษครับ แต่ไอ้จ๋าไม่ได้ตื่นสาย ไม่ได้จะไม่ไปรับคุณยายนะครับ ไอ้จ๋าแค่...” ไอ้จ๋าบอกได้เพียงเท่านั้นก็ไปต่อไม่เป็น มันได้แต่อ้ำอึ้งแล้วหันไปหาลูกพี่ใหญ่อย่างต้นกล้า เพื่อหวังจะให้ช่วย แต่คนเป็นลูกพี่ใหญ่กลับมองเมินไปทางอื่น แบบนี้ไอ้จ๋าตายแน่ตายแน่ไอ้จ๋า มันแทบจะร้องออกมาเป็นเพลงได้ เมื่อคิดว่าต้องโดนคุณยายดุแน่งานนี้

“เอาล่ะ ๆ แล้วนั่นหอบอะไรมาเยอะแยะ”

“อ๋อ อาหารเช้าครับ ไอ้จ๋าไปเอามาจากบ้านแม่ทำไว้ มีน้ำพริกปลาทูของชอบคุณยายด้วยครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปเตรียมให้ก่อน” ไอ้จ๋าเอาใจเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนดุ หลังจากลูกพี่ต้นกล้าของมันเข้าห้องไปอาบน้ำ มันก็รีบลงเรือนวิ่งกลับบ้านเพื่อเตรียมสำรับกับข้าวอย่างรู้หน้าที่

มีต่อนะจ๊ะ.. :mew3:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 11:28:51
.....

แขกไม่ได้รับเชิญที่ร่วมวงกินข้าว ไม่ได้สร้างความพึงใจให้แม้แต่น้อย นิดเดียวก็ไม่มี แต่ต้นกล้าทำได้เพียงเงียบแล้วแอบมองเขม่น คนที่ยิ่งมองยิ่งเห็นออร่าหล่อเหลาคมคาย ผิวสีน้ำผึ้งเข้ม ๆ หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าสีแทนนั่น ยิ่งทำให้คนคนนี้ดูดีมีเสน่ห์เข้าไปใหญ่ ผิดกับผิวขาว ๆ ของต้นกล้า ที่ถึงแม้ว่ามันจะดูเนียนใส แต่ตอนนี้เจ้าตัวชักไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผิวแทนมันดูเป็นลูกผู้ชายแมน ๆ มากกว่า ต้นกล้าได้ความขาวมาจากทางพ่อที่มีเชื้อสายจีน แต่ก็ไม่ได้ขาวซีดจนไม่น่ามอง เพราะเชื้อจากทางแม่ก็แรงดีอยู่พอตัว

คุณยายดูจะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ พูดคุยจ้อถูกคอไม่หยุด บางทีต้นกล้าต้องหันไปมองไอ้จ๋าตาปริบ ๆ คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จนนึกว่าลืมหลานชายตัวเองไปแล้ว ต้นกล้าให้รู้สึกขวางหูขวางตาเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าเก่าเป็นกองเท่าตัว

“เข้าใจไหมเจ้ากล้า” มัวแต่คิดหมั่นไส้แขกไม่ได้รับเชิญ เลยไม่ได้ฟังเรื่องที่ทั้งสองคุยกันบ้าง พอคุณยายหันมาถาม เจ้าหลานหัวแก้วหัวแหวนจึงไม่รู้เรื่องและไม่รู้จะตอบยังไง

“อะ เอ่อ อ๋อ เข้าใจครับคุณยาย”

“งั้นก็ดีแล้ว อย่างนี้ยายก็ค่อยเบาใจได้หน่อย มีอะไรก็ถามพี่เขาให้พี่เขาสอนงานให้ แล้วอย่าดื้อล่ะ ยายฝากเจ้ากล้าด้วยนะพ่อเดี่ยว”

“หา คุณยายว่าอะไรนะครับ!” ดูจากการที่คุณยายพูดไปยิ้มไปก็รู้ว่าคงพอใจไม่น้อย ที่ได้ฝากฝังหลายชายตัวดีกับคนที่ไว้ใจได้ แต่คนเป็นหลานนี่สิแทบจะตีลังกากลับหลัง

“นี่ฟังยายพูดบ้างไหม ไม่รู้ล่ะยังไงก็รับปากยายแล้วนะ ว่าจะเชื่อฟังพี่เขาตอนที่ยายไม่อยู่ ยายให้ไปเรียนรู้งานกับพี่เขา มีอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจก็ถามพี่เดี่ยวเขาเอาเข้าใจไหม”

เชื่อฟัง! เชื่อฟัง! รับปากยายแล้วให้ต้นกล้าเชื่อฟัง..พี่เขา! พี่เขาไม่ใช่พี่เรา ปัดโธ่! ให้ต้นกล้าเชื่อฟังคนคนนี้นี่นะ คุณยายคิดอะไรอยู่ต้นกล้าอยากรู้นัก

“เอ่อ แต่คุณยายครับกล้าว่า..”

“ว่าอะไร พี่เขาเก่งงานให้พี่เขาช่วยดูแลให้อีกแรงยายถึงจะสบายใจ”

“กล้าเกรงใจเขานี่ครับ”

“เขาไหนกัน ยายขอสั่งให้เรียกพี่เขาว่าพี่เดี่ยวเดี๋ยวนี้เลย” คุณยายยิ้มเหมือนกำลังสนุก แต่สายตากลับดุและมองอย่างรู้เท่าทัน ว่าต้นกล้าต้องดื้อไม่ยอมทำตาม “ดีไหมพ่อเดี่ยว”

“ดีครับคุณยาย” ตอบหน้าระรื่น! นี่คงอยากให้เขาเรียกพี่จนตัวสั่น คอยดูเถอะอย่าให้ถึงทีเราก็แล้วกัน! ต้นกล้าขมุบขมิบปากล้อเลียนคำพูดเด็ดเดี่ยว นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ดวงตาดำขลับกลมโตมองชายหนุ่มเจ้าของร่างใหญ่จนตาเขียวปัด คนถูกมองก็ใช่จะไม่รู้ตัว แต่ก็ทำเพียงแค่ยิ้มกริ่มรับกวน ๆ รู้ว่าคนตัวเล็กกว่าไม่ชอบใจสักนิด ที่ต้องเรียกว่าพี่

“เรียกลูกพี่เดี่ยวเหมือนไอ้จ๋าก็ได้ครับลูกพี่กล้า” ไอ้จ๋าที่เงียบเป็นตัวประกอบอยู่นานเสริมขึ้น นั่นยิ่งทำให้ต้นกล้าขัดใจจนอยากขบหัวมันสักที เกือบชักสีหน้าไม่พอใจไปแล้ว ดีที่เหลือบไปเห็นคุณยายกำลังมองมาที่ตัวเองเข้าเสียก่อน จึงได้แต่ถีบขาไอ้จ๋าอยู่ใต้โต๊ะกินข้าว กระนั้นมันยังส่งยิ้มกว้างทำหน้าทะเล้นให้หน้าตาเฉย

” จากนี้ไปต้องเรียกพี่เขาว่าพี่เดี่ยวเท่านั้นเข้าใจไหมเจ้ากล้า เพราะคนกันเองทั้งนั้น จริงไหมลูก” คุณยายประไพศรีกำชับต้นกล้าเสียงเข้ม แล้วหันไปเออออกับเด็ดเดี่ยวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างพยักหน้ารับเป็นมั่นเหมาะ

” ครับ” ตอบรับคำเดียวด้วยเสียงหนักแน่นให้คุณยายได้มั่นใจ แต่ยังไม่พอเท่านั้นหรอกนะ เพราะเด็ดเดี่ยวยังหันมายักคิ้วหลิ่วตา แสยะยิ้มอย่างเป็นต่อให้ต้นกล้า ตอนคุณยายหันไปสนใจน้ำพริกปลาทูอาหารจานโปรด ต้นกล้าทำได้แค่แอบหงุดหงิด จนด้วยข้อโต้แย้งใด ๆ ต่อคุณยาย เขาผิดเองที่ไม่ตั้งใจฟังทั้งสองคุยกัน เลยดันไปเผลอตกปากรับคำเสียอย่างนั้น

ต้นกล้าให้เกิดความสงสัย ว่าชายหนุ่มคนนี้มีอะไรมาคุยนักหนา เพราะเขาเองก็อยากจะอยู่กับคุณยายสองคนบ้าง อยากกอดอยากออดอ้อนคุณยายให้หายคิดถึง แต่ไม่อยากให้บุคคลที่สามมีส่วนร่วม นั่งมองนั่งคิดเลยพาลหงุดหงิดขัดใจ สายตามองคุณยายกับผู้ชายตัวโตคนนั้นนั่งคุยกันอย่างออกรส คุยเรื่องนั้นแล้วก็คุยเรื่องนี้มากมายจนต้นกล้าจำไม่หมด โดยเฉพาะเรื่องเรือกสวนไร่นา ราคาสินค้าเกษตร ปุ๋ย ยา หญ้า วัชพืช การขนส่ง ตลาด อ้อย น้ำตาล พ่อค้า แม่ค้า มันสำปะหลัง แรงงาน ยา ปุ๋ย คนงาน น้ำ ฝน ฟ้า อากาศ หน้าแล้ง หน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว ควาย ราคาน้ำมัน รถไถ อ้อย มันสำปะหลัง รถอีแต๋น ปุ๋ย ยา ราคาที่ดิน

โอ๊ย! ต้นกล้าปวดหัว คุยกันเรื่องที่เขาไม่เข้าใจไม่พอ ยังมีการหันมาถามความเห็นด้วย คนหล่อจากเมืองกรุงก็ได้แต่เออออห่อหมกกับคุณยายไปบ้าง ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยสักนิด ยิ่งเห็นอีตาแขกไม่ได้รับเชิญ ส่งสายตาเหมือนท้าทายแกมดูถูกมาให้ยิ่งเจ็บใจ เพราะต้นกล้าไม่รู้จะตอบคุณยายไปว่าอย่างไร พอตอบไม่ได้คุณยายก็แค่ยิ้มเอ็นดู และกำชับให้ต้นกล้าปรึกษา’ พี่เดี่ยว’ หากมีปัญหา แต่อีตาพี่เดี่ยวนี่ทำไมเหมือนจะเยาะเย้ย อย่างกับว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นวะ!

‘คุณยายนะคุณยายอะไร ๆ ก็พี่เดี่ยว ๆ ต้นกล้าล่ะนึกหมั่นไส้จริง ๆ เชียวคุณยายใครวะ!

ต้นกล้าจะไม่ทน

“ไปไหนเจ้ากล้า” ใจต้นกล้าอยากตอบว่า จะไปให้พ้นหน้าใครบางคนที่มองมาแล้วทำให้หงุดหงิด แต่ความเป็นจริงนะหรือ

“เอ่อ กล้าจะไปเดินเล่นดูสวนแถวนี้สักหน่อยครับคุณยาย สูดอากาศครับ”

“เหรอ งั้นให้พี่เดี่ยวเขาไปเป็นเพื่อนสิ ยายจะได้เอนหลังสักหน่อย พ่อเดี่ยววันนี้ว่างทั้งวันใช่ไหมลูก”

“ว่างครับ คุณยายพักผ่อนเถอะครับเดี๋ยวผมดูแลน้องเอง” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงอ่อนแต่นัยน์ตากลับวาวโรจน์ เมื่อเหลือบไปเห็นต้นกล้าจีบปากจีบคอพูดไม่มีเสียง ล้อเลียนคำพูดที่เขาบอกคุณยาย คนล้อเลียนยังทำท่าเหมือนอาเจียนออกมา ตอนพูดถึงคำว่าน้อง คุณยายไม่เห็นเพราะหันหลังให้ แต่เด็ดเดี่ยวนั้นเห็นเต็ม ๆ

“ให้ผมพาคุณยายขึ้นบ้านก่อนนะครับ” ต้นกล้าเห็นเด็ดเดี่ยวประคองคุณยาย กลัวน้อยหน้าเลยรีบวิ่งเข้าแทรกกลาง เนียนปัดมือใหญ่ออกจากตัวคุณยายเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

“กล้าพาไปนะครับคุณยาย ปะเดินครับเดิน” บอกแล้วหันกลับไปยิ้มเยาะคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง เหมือนจะบอกว่าคิดจะเอาหน้าคนเดียวล่ะไม่มีทาง! เด็ดเดี่ยวยิ้มพลางส่ายหน้าเบา ๆ ความรู้สึกเอ็นดูเบ่งบานขึ้นในใจ

หือ? เขานี่นะรู้สึกเอ็นดูหลานชายคุณยาย บ้าไปแล้วไอ้เดี่ยว!

ส่งคุณยายยังมุมโปรด แล้วแอบย่องลงบันไดเดินหลบไปทางหลังบ้าน เลี่ยงคนที่รออยู่ศาลาหน้าบ้านได้อย่างหวุดหวิด เรื่องอะไรจะยอมให้คนคนนั้นตามมาสร้างความรำคาญใจให้ล่ะ ไม่มีทางหรอก!

ต้นกล้าชมสวนชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย อารมณ์ดีจนผิวปากฮัมเพลงเบา ๆ เดินให้สายลมอ่อนโลมไล้ผิวหน้าเล่น จนมาถึงลานข้าวเก่าที่มีฟางกองสุมไว้ไม่มาก อีกมุมของลานมีกอไผ่กอใหญ่ให้ร่มเงา และนั่น! ลานใต้กอไผ่ เปลญวนผูกโยงไว้แกว่งไกวเบา ๆ ไปกับสายลม เหมือนกำลังกวักมือเรียกให้คนอดนอนเข้าไปเอนกายลงตรงนั้น

ต้นกล้าเหมือนต้องมนต์สะกดของเปลญวนและสายลม สองขาเดินลิ่วไปยังเปลน้อย จับสะบัดสองสามครั้งแล้วเหนี่ยวตัวขึ้นนอน เปลน้อยไกวตามน้ำหนัก ลมเย็นหอบเอาความหอมสดชื่นจากไอดินกลิ่นท้องทุ่ง คละเคล้ากลิ่นหญ้าอ่อนและฟางแห้ง หอมละมุนในแบบที่คนเมืองไม่เคยสัมผัส เป็นกลิ่นหอมของธรรมชาติ ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงลมพัดใบไผ่เป็นทำนองเพลงหวานหูขับกล่อม เวลาผ่านไปไม่นานคนหิวกระหายการนอน ก็จมดิ่งสู่ห้วงลึกของนิทรา

รอจนเบื่อไม่เห็นคนไปส่งคุณยายลงเรือนมาสักที เด็ดเดี่ยวชะเง้อมองบนบ้านก็แล้ว มองหาตามใต้ถุนบ้านก็แล้ว แต่ไม่มีวี่แววของต้นกล้า รู้สึกว่าบ้านเงียบ ๆ คิดว่าคนไปส่งคุณยาย คงแอบหนีไปเดินเล่นคนเดียวแล้วกระมัง ชายหนุ่มนึกขำพฤติกรรมแสนเด็ก ปากบางแต่ได้รูปหยักสวยยกยิ้มน้อย ๆ อันเป็นเสน่ห์ที่สาว ๆ เห็นแล้วแทบละลายไปทั้งตำบล ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยจากเมืองกรุงไม่ชอบหน้า แค่เขาไม่รู้ว่าเหตุผลมันคืออะไร แต่เอาเถอะ เด็ดเดี่ยวจะทำเป็นไม่สนใจก็แล้วกัน ในเมื่อคุณยายฝากฝังเจ้าหลานหัวแก้วหัวแหวนให้เขาช่วยดูแล เขาก็จะช่วยดูแลให้อย่างดีที่สุด คิดเสียว่าเห็นแก่คุณยายประไพศรีที่รักและเคารพก็แล้วกัน

สองขายาวก้าวไปทางหลังบ้าน ซึ่งเป็นทางออกไปสู่สวนที่มีทั้งผักสวนครัว และผลไม้หลายชนิดปลูกไว้ ถัดจากสวนไปเป็นทุ่งนาหลายร้อยไร่ของคุณยาย คิดว่าต้นกล้าคงออกมาทางนี้ ถ้าต้องการหลบหน้า

เด็ดเดี่ยวเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีหล่อคมคายแบบไทยแท้ ตัวสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร รูปร่างดูมาดแมนสมส่วนไปทุกส่วนสัด ด้วยเรือนร่างสมชายชาตรี ที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย และกรำงานไร่งานนามาตลอด ผิวสีน้ำผึ้งเข้มจากการทำงานกลางแจ้ง ยิ่งขับให้เจ้าตัวมีเสน่ห์ที่ดูลึกล้ำ จนสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งตำบลและอำเภอ ลามไปถึงจังหวัดหลงใหลใฝ่ฝันหา ทุกอย่างที่ประกอบเป็นเขา เด็ดเดี่ยว ตรัยรัตนา ลูกชายคนเดียวของกำนันอาจหาญ ตรัยรัตนา ช่างสมบูรณ์แบบลงตัว เกินหน้าเกินตาหนุ่มบ้านนาธรรมดาทั่วไป

เด็ดเดี่ยวเดินลัดเลาะมาตามสวน กำลังจะโผล่พ้นหัวทุ่งและเลี้ยวลงนา แต่ตาดันเหลือบไปเห็นใครบางคนนอนสบายอยู่บนเปลญวนใต้ร่มไผ่เข้าเสียก่อน เขาสาวเท้าเข้าไปหาเงียบ ๆ ยืนกอดอกพินิจมองใบหน้าเนียนผ่อง ล้อมกรอบด้วยผมสั้นสีแดง ส่งให้ผิวแก้มขาวใสดูน่ามองยิ่งขึ้น คนที่หลับอยู่บนเปลถึงจะเป็นผู้ชาย แต่ผิวหน้าใสกว่าหน้าของนกแก้วสาวสวยประจำหมู่บ้าน ที่ครองตำแหน่งเทพีปั้นข้าวเหนียว จากงานประจำปีของตำบลปีนี้เสียอีก!

เขามองเพลินจนลืมว่าที่กำลังมองอยู่นั้น คือ ผู้ชาย! ไม่เคยมองผู้ชายคนไหนแบบละเอียดถี่ถ้วนอย่างนี้มาก่อน คิ้วเข้มพอประมาณแต่โก่งสวยได้รูป เปลือกตาปิดสนิทประดับด้วยขนตางอนดกหนา ทำให้คิดถึงดวงตาดำขลับกลมโตดูมีเสน่ห์ จนสามารถสะกดคนที่ได้สบตา ให้เผลอจ้องมองเพลิน อันนี้เคยเกิดขึ้นกับเด็ดเดี่ยวมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ตัว เพราะมักจะถูกจิกมองขวาง ๆ เหมือนไม่พอใจ จมูกรั้นคมเป็นสันพอดีกับดั้งโด่งสวย เสริมให้ใบหน้าใสดูสะดุดตา รับกับริมฝีปากอิ่มหยักเป็นกระจับสีชมพูเกือบแดง

พอไล่สายตามาถึงริมฝีปากของคนหลับ เด็ดเดี่ยวก็เผลอเม้มปากเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เห็นแล้วให้นึกมันเขี้ยวขึ้นมาเสียเฉย ๆ ยิ่งนึกถึงยามเจ้าของปากสวยอ้าปากพูด หรือแย้มยิ้มยิ่งเพลิน ในหัวมีคำเพียงคำเดียวเดียวลอยไปลอยมา

น่ากัด!

หือ? ถึงตรงนี้เด็ดเดี่ยวสะดุดกับความคิดประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว บ้าไปแล้ว!

สองเท้าย่องเข้าประชิดเปลญวนโน้มตัวลงดูใกล้ ๆ ยิ่งก้มเข้ามาใกล้ก็ยิ่งได้เห็น ความหล่อนำความน่ารัก ผิวพรรณผ่องใสจนน่าสัมผัส ความน่าชัง น่าหยิก น่าแกล้ง น่าหยิกน่าหยอก มารวมไว้ที่นี่ทั้งหมด คนแอบดูยิ้มน้อย ๆ ยามพิศใบหน้านวล เด็ดเดี่ยวไม่เคยมองว่าผู้ชายคนไหนน่ารักอย่างนี้มาก่อน แพขนตาเริ่มขยับกะพริบปริบ ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในท่าเดิม โน้มตัวลงจนใบหน้าคมอยู่เหนือใบหน้าใส เปลือกตาคู่นั้นกะพริบปริบ ๆ อีกสองสามครั้ง แล้วในที่สุดเจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นเต็มตื่น เผยให้คนมองได้เห็นนัยน์ตาสีดำขลับแวววาวปานลูกแก้วใส

“เฮ้ย!!” ต้นกล้าตกใจแล้วเผลอเด้งตัวขึ้นจากเปล และนั่น

“โอ๊ย! / โอ๊ย!” เสียงร้องเพราะความเจ็บของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน เพราะการเด้งตัวลุกขึ้นอย่างทันทีทันใดของคนบนเปล ทำให้หัวแข็ง ๆ ชนเข้ากับครึ่งปากครึ่งจมูกของคนที่กำลังก้มลงมาหาเข้าอย่างจัง

“ทำบ้าอะไรเนี่ย”

“..” เด็ดเดี่ยวยืนเอามือกุมปากกุมจมูกไว้ ทำท่าทางอึกอักแต่พูดตอบไม่ได้ เพราะโดนหัวแข็ง ๆ ของต้นกล้ากระแทกเข้าเต็ม ๆ เจ็บจนน้ำตาเล็ด

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะกำลังจะทำอะไร” คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เฮ้ย ละ เลือด!” ต้นกล้าชี้มือสั่น ๆ ไปที่หน้าเด็ดเดี่ยว “เป็นอะไรคุณ เลือดคุณออกเต็มเลย” ความบาดหมางที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน ถูกลืมไปชั่วคราว คนถูกถามเอามือออกจากจมูกมาดู ไม่ได้ตกใจกับเลือดที่เต็มฝ่ามือไปหมด แต่คนที่ยืนดูทำหน้าสยดสยองแทน แล้วยังเผลอชะเง้อคอมองตามเหมือนเป็นห่วง

“นี่คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าเอานี่ปิดไว้ก่อน เดี๋ยวไปเอาน้ำแข็งที่บ้านประคบเลือดก็หยุดไหล เร็ว ๆ สิปิดไว้แล้วตามมา” ต้นกล้าล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมา เอื้อมมือรั้งคอคนตัวสูงกดท้ายทอยให้ก้มลง เอาผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ไม่พอ ยังโปะผ้าผืนน้อยวางไว้บนจมูกห้ามเลือกให้ด้วย เด็ดเดี่ยวมองการกระทำอย่างมีน้ำใจของต้นกล้าเงียบ ๆ ทั้งที่ตอนแรกต้นกล้ายังมีท่าทีไม่ชอบเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้พอเห็นได้รับบาดเจ็บจนเลือดออก กลับมีน้ำใจช่วยเหลือ เขาเอาผ้าที่ปิดจมูกมาดู แล้วมองหน้าตาน่ารักของคนตรงหน้าสลับกัน

“เอ้า อะไรอีกละเอาผ้าออกทำไมปิดไว้สิ”

“...”

“ยังอีกยังจะมองหน้าอีก เลือดไหลออกมาแล้วนั่นเห็นไหม ปิด ๆ ”

“อุ๊บ!” เด็ดเดี่ยวพูดไม่ออก เมื่อผ้าถูกต้นกล้าดันกลับมาปิดปากปิดจมูกเหมือนเดิม แต่เขาก็เอาผ้าออกอีก

“อ้าว เอาออกอีกแล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลเลยทำไมดื้อจังวะ”

“ก็มันหายใจไม่ออกนี่” ตอบอู้อี้เพราะเอานิ้วบีบจมูกตัวเองไว้แทน

“เออ ตามใจละกัน” แล้วหันหลังเดินกลับเรือนไปเลย

“อ้าว เดี๋ยวสิ” เด็ดเดี่ยววิ่งไปขวางหน้าต้นกล้าไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ “ทำคนอื่นเจ็บจนเลือดออกแล้วจะเดินหนีไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ”

“ใครทำอะไร มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก” ปฏิเสธหน้าตาย เชิดเข้าไว้ ต้นกล้าบอกตัวเอง

“อุบัติเหตุอะไร นี่แกล้งกันชัด ๆ เลือดตกยางออกถึงขนาดนี้”

“ก็ใครใช้ให้ก้มมาใกล้เราขนาดนั้นล่ะ” เมินแล้วเดินเลี่ยงไป ต้นกล้าจะไม่มีวันยอมรับความผิดไม่ได้ตั้งใจนี้เด็ดขาด

“ไม่ได้อยากใกล้หรอกนะ แค่จะดูหน้าคนขี้เกียจให้ชัด ๆ ” น้ำเสียงของเด็ดเดี่ยวเหมือนพูดเปรยออกมา แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนถูกสบประมาท

“ใครขี้เกียจกันแน่วัน ๆ ไม่เห็นทำอะไรนอกจากมาอยู่บ้านคนอื่นทั้งวัน”

“มาคุยธุระแล้วก็ได้รับการฝากฝังให้ดูแลเด็กดื้อไง” ต้นกล้าหันขวับกลับมาอย่างไม่พอใจ เด็กดื้อนี่หมายถึงตัวเขาหรือ แล้วใครต้องการการดูแล ใครบอกใครพูดตอนไหนเมื่อไหร่ไม่ทราบ!

“ใครเด็กดื้อ”

ต่อนะจ๊ะ... :mew3:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 2 ฝากปลาย่าง]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 11:32:10


.... ต่อ 3

“ยืนอยู่สองคนแค่นี้ ไอ้จ๋าล่ะมั้ง”

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ผมไม่ได้ต้องการคนดูแล เพราะผมยี่สิบสองแล้วไม่ใช่เด็ก” ว่าจบต้นกล้าก็เดินหนีไปทันที แต่อีกคนยังไม่ละความพยายามที่จะตามตอแย

“ไม่เด็กเหรอ ถ้าไม่เด็กงั้นก็กลับมาคุยกันดี ๆ ก่อนสิ”

“รู้ตัวว่าตัวเองแก่ล่ะสิถึงมองคนอื่นเด็ก ฮ่า ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะขำเสียงดัง เดินลัดเลาะตามทางไปเรื่อย ๆ โดยไม่หันกลับมามองคนที่เอาผ้าเช็ดหน้าของเขาอุดจมูกเดินตามหลังเลย

“แก่ที่ไหนยี่สิบเจ็ดเองสดใหม่ และกรอบได้ที่เคี้ยวเพลินรับประกัน”

“..”

“นี่ไม่คิดจะขอโทษกันสักคำบ้างรึไง”

“...”

“เฮ้อเด็กจริง ๆ แหละ” ต้นกล้าหันขวับกลับมามองตาเขียว ปากอิ่มสีชมพูเกือบแดงเม้มเข้าหากันแน่นจนจะเป็นเส้นตรง แววตาอาฆาตมาดร้ายที่มองเด็ดเดี่ยว เหมือนจะกระโดดกัดคอกันเดี๋ยวนี้ถ้าทำได้ แต่คนถูกมองยังยิ้มยั่วกวนโมโห นึกสำราญใจที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเกาหลีบึ้งตึง

“....”

“โตป่านนี้ยังกลัวผีอยู่อีกเหรอ ไม่เด็กจริงอะ”

กึก!!

ได้ผล! คนหล่อหยุดเท้าชะงักกึกกัดฟันกรอด โมโหคนตัวโตและเข่นเขี้ยวเขาอยู่ในใจ ที่ไม่รู้นึกสนุกอะไรถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ใคร ไหนใครกลัวผีไม่ทราบครับ”

“ใครก็ไม่รู้สิกลัวผีจนไม่หลับไม่นอนทั้งคืน”

“...” อ๊าก ไอ้บ้า ไอ้ตาแก่นี่รู้ได้ยังไงว่าเรากลัวจนไม่หลับไม่นอนทั้งคืน หรือว่าเมื่อคืนที่บอกว่ากลับบ้านแต่ไม่ได้กลับ แล้วมาแอบดูเราวะ ไอ้ตาแก่โรคจิต แต่..! ไม่ได้ ๆ คนอย่างต้นกล้าจะยอมรับไม่ได้ ว่าที่ไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะกลัวผี ยังไงไอ้ตาแก่โรคจิตนี่ก็ไม่มีทางรู้จริง ๆ หรอก ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็ตามเถอะ ที่พูดนี่ก็คงเดาเอาล้วน ๆ ต้นกล้าไม่ยอมรับซะอย่างใครจะทำอะไรได้ล่ะวะ ไอ้ตาแก่โรคจิตเอ๊ย...! ต้นกล้าคิดสรุปให้ตัวเองเสร็จสรรพแล้วเชิดหน้าหยิ่ง

“มั่วแล้วเหอะ”

“กลัวผีก็น่าจะบอกนะเมื่อคืนพี่จะได้อยู่เป็นเพื่อน” เล่นปมเดิมเพราะมั่นใจว่าตัวเองเดาถูก ทั้งที่ก็ถูกของเขานั่นล่ะ แต่เรื่องอะไรต้นกล้าจะยอมรับวะ

“กลัวที่ไหนไม่ได้กลัวสักหน่อย ที่นอนไม่หลับเพราะแปลกที่ต่างหาก”

“จริงเหรอ” คนตัวโตลากเสียงยาวบ่งบอกว่าไม่เชื่อถือ แถมยังมีการเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างท้าทาย “เอาเถอะ ถ้าไม่กลัวผีเดี๋ยววันหลังเราไปพิสูจน์กัน” แค่คิดจะแกล้งพูดเล่น ๆ แต่คนฟังกลับจริงจังเสียอย่างนั้น ต้นกล้าชักสีหน้าใส่คนตัวสูงที่ไม่ยอมลดละเลยกับเรื่องผีๆ จี้อยู่ได้

“บ้าแล้วว่างนักก็ไปคนเดียวเถอะ ไร้สาระจริง ๆ คนโรคจิต”

“เจ้ากล้า!” เสียงดุปานสายฟ้าฟาดดังก้องมา ทำให้ทั้งสองหันขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกันทันที

“ฮะ ครับ คุณยาย” ต้นกล้าตอบรับเสียงสั่น พลางเดินเข้าไปหาคุณยายแบบงง ๆ ที่ต่อปากต่อคำเพลินจนเดินมาถึงบ้านไม่รู้ตัว

“ตามยายมานี่ทั้งสองคน” คุณยายหันหลังกลับขึ้นบ้านโดยไม่มองหน้าต้นกล้าเลย ทั้งสองได้แต่เดินตามเงียบ ๆ คนหนึ่งหวั่นใจกลัวคุณยายโกรธ อีกคนเดินไปกุมจมูกไปท่าทางสบาย ๆ ไร้ความทุกข์ร้อน

“ขอโทษพี่เขาซะเจ้ากล้า” คุณยายบอกเสียงเรียบ สีหน้านิ่ง ๆ แต่ดวงตากลับดุและดูเอาเรื่อง ทำให้คนเป็นหลานรู้ได้ทันที ว่าคุณยายประไพศรีนั้นโกรธมากแค่ไหน

ต้นกล้านั่งพับเพียบบนพื้นข้างเก้าอี้หวายของคุณยาย ส่วนเด็ดเดี่ยวนั่งบนเก้าอี้อีกตัวด้านข้าง ที่คุณยายชี้มือบอกให้เขานั่งลงเอง

“เอ่อ คือ กล้าทำอะไรผิดทำไมต้องโทษเขาด้วยครับ” นี่แหละต้นกล้าของแท้ รู้ตัวว่าผิดแต่ก็ยังเฉไฉไม่ยอมรับ

“คิดว่ายายไม่ได้ยินที่เราพูดกับพี่เขาหรือไง”

“เอ่อ กล้าแค่..”

“เจ้ากล้า ยายบอกให้ขอโทษพี่เขาไง”

“ขอโทษ” บอกแต่กลับไม่หันไปมองคนที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ เพราะความหมั่นไส้ล้วน ๆ

“ทีหลังยายห้ามพูดไม่ดีกับพี่เขาอีกเด็ดขาด” ต้นกล้าทำหน้างอปากยื่น ก้มหน้าก้มตามองเท้าคุณยายนิ่งในใจวางแผนเอาคืน เจอกันแค่วันเดียวทำให้เขาโดนคุณยายดุได้ ต้องเอาคืนให้สาสมแก่ใจแน่นอน ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกเขาว่าไอ้กล้า!

“เจ้ากล้า” คุณยายเรียกเสียงเข้ม คนเป็นหลานยังก้มหน้าเงียบไม่ตอบรับ “ยายห้ามพูดไม่ดีแบบนี้กับพี่เขาอีกเข้าใจไหม”

“เข้าใจครับคุณยาย กล้าไปได้หรือยังครับ”

“แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา ถึงกับเลือดตกยางออกล่ะลูก” คุณยายไม่ตอบคำหลานในไส้ จัดการต้นกล้าเรียบร้อยแล้วถึงได้หันไปหาหลานอีกคน ที่ตอนนี้ยังนั่งเอาผ้าปิดจมูกหายใจทางปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำอยู่ เลือดบางส่วนที่ติดอยู่ตามหน้าและมือเริ่มแห้งกรัง ส่วนในโพรงจมูกไม่รู้ว่าหยุดไหลหรือยัง

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปเจ้ากล้า” คนได้จังหวะที่คิดว่ายายไม่สนใจกำลังจะคลานหนี เป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเข้มคุณยายเรียกไว้

“กล้าไม่เกี่ยวนะครับคุณยาย” รีบออกตัวไว้ก่อนนั่นจึงบ่งบอกว่าเจ้าหลานชายกำลังร้อนตัว

“ไม่เกี่ยวเรื่องอะไร”

“กะ ก็ เอ่อ”

“แสดงว่าเราต้องมีส่วนที่ทำให้พี่เขาได้เลือดใช่ไหม”

“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ” เด็ดเดี่ยวที่นั่งเงียบอยู่นานบอกคุณยายเสียงอู้อี้ เอาผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดออกมาดู ผ้าผืนน้อยสีฟ้าอ่อนนั้นเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ จนดูน่ากลัว

“นั่นสิครับคุณยาย เขาไม่เป็นไรหรอก” ได้ทีต้องรีบเสริม แต่เห็นสายตาดุของคุณยายเข้า ต้นกล้าให้รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีเปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทัน “คือพี่เดี่ยวเขาไม่เป็นอะไรมากหรอกครับคุณยาย เนอะพี่เดี่ยวเนอะ” ยิ้มเสแสร้งถูกแสดงออกมา ต้นกล้าหันไปพยักพเยิดหาแนวร่วมที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เด็ดเดี่ยวได้แต่พยักหน้ารับ แต่สายตาคู่นั้นกลับมีความหมายว่าฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวจะมาคิดบัญชีทีหลัง ต้นกล้ายักคิ้วตอบอย่างยินดี

“แล้วทำไมพี่เขาถึงได้เลือดตกยางออกอย่างนั้นล่ะ ว่าไงพ่อเดี่ยว” คุณยายจับผิดหลานแล้วหันไปคาดคั้นกับอีกคน พลางยกมือขึ้นดึงมือของเด็ดเดี่ยวออกดูแผล

“มันเป็นอุบัติเหตุครับ ผมไม่เป็นไร”

“เจ้ากล้าไปเอาผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบ แล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้พี่เขาหน่อยไป”

“คุณยายครับ ทำไมต้องเป็นกล้าล่ะ” ประท้วงทันที

“เพราะยายสั่งจ้ะลูก” มาแนวนี้ต้นกล้าทำได้แค่เดินไปหาของตามที่บอก ซ้ำยังต้องพยายามเก็บท่าทางกระฟัดกระเฟียดให้มิด หากไม่อยากถูกคุณยายดุอีก ได้ของแล้วยังต้องเป็นคนลงมือเอาน้ำแข็งประคบ และเช็ดทำความสะอาดให้ด้วย เพราะจะให้คุณยายทำก็กระไรอยู่

“โอ๊ย!”

“อะไรอีกเจ้ากล้าทำพี่เขาร้องลั่นบ้านเลย”

“เปล่านะครับคุณยาย อยู่ดี ๆ เขากะ เอ่อ พี่เดียวก็ร้องขึ้นมาเองกล้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ต้นกล้ารีบแก้ตัว พอหันมาทางอีกคนจึงรู้ว่าแกล้งร้องให้ถูกดุ ต้นกล้ากัดฟันกรอด ส่งสายตาบอกว่าฝากไว้ก่อนเป็นครั้งที่สองของวัน ทีใครทีมันก็แล้วกันวะวันพระไม่มีหนเดียว คนตัวโตยักคิ้วกวนให้ต้นกล้าโมโห ด้วยความหมั่นไส้ต้นกล้าเลยกดผ้าห่อน้ำแข็งลงที่จมูกแรง ๆ ไปอีกที

“โอ๊ย!” เด็ดเดี่ยวร้องเสียงหลงแต่คราวนี้ชายหนุ่มเจ็บจริง และได้แต่เอามือลูบจมูกตัวเองส่งสายตาอาฆาตกลับ

“อุ้ยเจ็บหรือครับพี่เดี่ยว ขอโทษนะครับที่ผมมือหนักไปหน่อย คือแบบมันไม่เคยทำให้ใครมาก่อนไงครับ เลยพลั้งมือ” ทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนสำนึกผิด ทั้งที่ปากยิ้มเยาะ ต้นกล้าหันหลังให้ คุณยายเลยไม่เห็นสีหน้าของหลานชายตัวแสบ คิดว่าเจ้าหลานตัวดีไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ

“ระวังสิเจ้ากล้า” คุณยายปรามเบา ๆ

“ครับคุณยาย” ต้นกล้ารับคำแต่ไม่ได้หันไปมองคุณยาย เพราะกำลังยิ้มเยาะคนตัวโตกว่า มือเรียวสวยจับผ้าห่อน้ำแข็งประคบให้แบบไม่เต็มใจ ด้วยการจิ้มลงเร็ว ๆ อย่างขอไปที

เพราะเป็นคนรักความสะอาดมาก ต้นกล้าจึงยืดตัวโน้มเข้าไปใกล้ ตั้งอกตั้งใจบรรจงเช็ดคราบเลือด เกิดความใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเป่ารด คนตัวโตชะงักมองใบหน้าหล่อใส ๆ ในแบบเกาหลี แก้มเนียนใสขึ้นสีระเรื่อมีเลือดฝาด กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ ที่นาสิกประสาทได้รับ เตือนให้ย้อนนึกไปถึงสัมผัสแรกเมื่อคืนก่อน กลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เคยสัมผัสจากใครที่ไหนมาก่อนให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

..แต่ทำไมใจของเขากลับเต้นแรง!

ตาสบตาจะเรียกว่าอาการตะลึงหรือตกอยู่ในภวังค์ดี แต่พอทั้งสองได้มองตากัน มันเหมือนมีแรงบางอย่างดึงดูด ให้ตาสองคู่ไม่อาจเมินผ่าน ตาจ้องตาชิดใกล้หลงลืมสิ่งรอบตัว ลืมแม้กระทั่งผู้สูงวัยที่นั่งมองเหตุการณ์เงียบ ๆ หญิงชราแอบยิ้มพึงใจ เพราะอยากให้ทั้งสองญาติดีกันอยู่แล้ว จึงไม่เอ่ยคำหรือทำสิ่งใดขัด ทั้งเด็ดเดี่ยวและต้นกล้าเลยเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง โลกที่มีกันเพียงสองคน มือกำผ้าผืนเล็กไล่เช็ดไปตามใบหน้าคมคายนิ่งค้าง มือเจ้าของใบหน้ายกมือขึ้นมากุมมือบางอย่างเลื่อนลอย สองมือกระชับกันแผ่วเบาจนกระทั่ง...

“ไอ้จ๋ามาแล้วครับมาพร้อมของอร่อย ๆ หลายอย่างเลย แหะ ๆ อุ้ย! อุบ!” มันคือไอ้จ๋าผู้มาพังโลกเสมือนฝันของสองหนุ่ม โลกที่อยู่ในสายตาของผู้สูงวัยแก่ประสบการณ์ที่นั่งสังเกตเงียบ ๆ มันร้องตกใจเมื่อเห็นอะไรเข้าเต็มตา รีบยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนจะเผลอร้องให้เสียเรื่อง ลูกพี่ทั้งสองผละออกจากกันแทบไม่ทัน ต่างคนต่างหันไปคนละทางทำตัวไม่ถูก

“ทำอะไรกันอยู่ครับลูกพี่” ไอ้จ๋ามั่นใจว่าตัวเองเห็นฉากเด็ด แต่แกล้งตีหน้าเซ่อถาม นัยน์ตาของมันนั้นแพรวพราวเจ้าเล่ห์ แอบคิดว่าถ้าลูกพี่ทั้งสองของมันสปาร์คกันขึ้นมาจริง จะขอเชียร์สุดใจขาดดิ้นเลยเชียวล่ะ

หรือไอ้จ๋ามันจะเป็นหนุ่มวายตัวพ่อ!!

“ไม่มีอะไร” เด็ดเดี่ยวตอบเสียงนิ่ง ทั้งยังงงว่าตัวเองเผลอทำอะไรลงไป ไอ้จ๋าตีหน้าทะเล้นหันไปมองลูกพี่กล้าของมัน แล้วส่งสายตาแปลก ๆ ให้ แต่คนเป็นลูกพี่ที่ตอนนี้แก้มเนียนใสซับสีเลือดจาง ๆ กลับตีหน้านิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปทางอื่น

ว่ากันจริง ๆ แล้วก็เพราะทำตัวไม่ถูกนั่นล่ะ ต้นกล้างงกับตัวเองว่าทำอะไรอย่างนั้นไปได้อย่างไร นั่งมองตากันนี่นะ ปัดโธ่!

“อะไรของแกจ๋า” เสียงคุณยายเปรียบเสมือนระฆังช่วยชีวิตลูกพี่ทั้งสอง ที่กำลังถูกไอ้จ๋าต้อนด้วยสายตาทะเล้น และคำถามสู่รู้ไร้เดียงสา

“อ้าว คุณยายอยู่ด้วยเหรอครับไอ้จ๋าไม่ทันเห็น นึกว่าเอนหลังอยู่ซะอีก”

“อยู่สิ” น้ำเสียงและสายตาของคุณยายที่มองไอ้จ๋า เหมือนกำลังบอกว่ารู้ทันว่ามันคิดอะไรอยู่

“นี่ใกล้เที่ยงแล้วหิวกันหรือยังครับ” มันเปลี่ยนเรื่องชูปิ่นโตเถาใหญ่กับตะกร้าผักผลไม้ ที่ถือมาเป็นปกติเหมือนทุกวันให้ดู

“รู้สึกว่าเพิ่งกินไปไม่นานนี่เองนะ นี่แกหิวอีกแล้วเหรอ” คุณยายถามเหมือนจะต่อว่าที่ไอ้จ๋ามันกินบ่อย ใจจริงก็เอ็นดูมันนั่นแหละ ถึงจะกินจุแต่มันก็ไม่อ้วนกับเขาสักที เวลางานมันก็เอาการเอางานดีไม่มีบ่น ให้มันกินจุยังไงคุณยายก็เลี้ยงไหว

“แหม คุณยายนี่มันสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วนะครับอย่างน้อยพระก็ฉันเพลแล้วล่ะ” ไอ้จ๋ายิ้มทะเล้นกับคำพูดของตัวเอง แต่ก็ยังถามอย่างเป็นห่วง “คุณยายจะกินเลยหรือเปล่าครับ ไอ้จ๋าจะได้ไปจัดเตรียมไว้ให้เลย ลูกพี่กล้าลูกพี่เดี่ยวว่าไงครับ” ถามคุณยายแล้วเผื่อแผ่ไปหาลูกพี่ทั้งสอง ตามประสาคนมีน้ำใจมากล้น “เดี๋ยวกินกันเสร็จไอ้จ๋าจะได้เอากับข้าวไปส่งคนงานด้วยครับ”

“งั้นก็ไปเถอะ ปิ่นโตก็เอาไปวางไว้ก่อนฉันยังไม่หิว เจ้ากล้ากับพ่อเดี่ยวหิวหรือยังลูก จะกินก่อนยายก็ได้นะ”

“กล้าก็ยังไม่หิวครับคุณยาย”

“ผมก็เหมือนกันครับ”

“ถ้าอย่างนั้นไอ้จ๋าเอาปิ่นโตไปเก็บในครัว แล้วจะเลยออกไปไร่ละนะครับ”

“เดี๋ยวฉันไปด้วย” ต้นกล้าออกตัว เพราะไม่อยากเห็นหน้าแขกไม่ได้รับเชิญ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับสักที

“จริงเหรอครับลูกพี่ งั้นดีเลยครับรอไอ้จ๋าแปบนะครับ” ไอ้จ๋าก็วิ่งเอาปิ่นโตพร้อมตะกร้าผักเข้าไปเก็บในครัวอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งกลับออกมา

“เจ้ากล้าจะเข้าไร่กับไอ้จ๋ามันจริง ๆ รึไงลูก”

“ครับคุณยาย ออกไปดูไร่สักหน่อยก็ดีกล้าอยากไป”

“ขยันจริงนะเรามาให้ยายหอมแก้มที” เอ่ยชมหลานชายหัวแก้วหัวแหวน พลางสองมือประคองใบหน้าหล่อใสมาฟัดหอมแก้มฟอดใหญ่ หอมจนพอใจแล้วจึงคลายอ้อมกอดออก หันมาหาอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ “แล้วพ่อเดี่ยวล่ะลูก จะไปดูไร่แปลงใกล้ ๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปพร้อมน้องเลยหรือเปล่า”

อะไรนะ! อีตาพี่เดี่ยวบ้านี่จะไปด้วยเหรอ ต้นกล้าไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอมอย่ารับนะ อย่าเด็ดขาดเชียว

“ครับคุณยาย ออกไปพร้อมกันก็ดีเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งน้องเอง” โว้ยใครจะไปด้วยวะ

“เอ่อ มะ...”

“งั้นยายฝากน้องด้วยนะลูกมีอะไรก็บอกกัน น้องยังไม่รู้อะไรเรื่องไร่เรื่องนาเท่าไหร่” ต้นกล้าทั้งจุก ทั้งแน่น ทั้งแค้น ทั้งเสียดหัวใจ จนคิดหาคำพูดปฏิเสธไม่ทัน เพราะคุณยายแทรกขึ้นมาก่อน มิวายฝากฝังหลานรักกับเขา โดยไม่สนใจใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของต้นกล้าเลยสักนิดเดียว นิดเดียวก็ไม่มี ต้นกล้าเจ็บใจ!

“ครับคุณยาย” เจ้าของร่างสูงรับปากใบหน้ายิ้มละไม คงได้สนุกกันล่ะงานนี้

“งั้นก็ไปกันเถอะครับลูกพี่”

คุณยายหันไปทำตาเขียวใส่ไอ้จ๋า “แกน่ะ รีบล่วงหน้าไปก่อนเลยจ๋า ไปถึงก็ได้เวลาคนงานพักกินข้าวพอดี”

“จริงด้วยสิ งั้นไอ้จ๋าล่วงหน้าไปก่อนละกัน เจอกันที่ไร่นะครับลูกพี่” มันวิ่งปร๋อลงเรือนไปทันที ต้นกล้ากำลังจะอ้าปากเรียกไว้เป็นไม่ทัน ได้แต่เก็บปากเก็บคำหน้าง้ำหน้างอ เพราะอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง เด็ดเดี่ยวเห็นแล้วยิ้มเอ็นดูไม่รู้ตัว สายตาหรือก็อ่อนโยนจนต้นกล้าขนลุก เลยคิดแบบพาล ๆ ว่ากำลังถูกยิ้มเยาะเลยเชิดใส่เสียอย่างนั้น

“กล้าไปก่อนนะครับคุณยาย” ต้นกล้าหอมแก้มคุณยายซ้ายขวาแล้วเดินลงเรือนไป เด็ดเดี่ยวจึงลาคุณยายบ้าง

“ผมไปนะครับคุณยาย เดี๋ยวดูไร่เสร็จจะพาน้องมาส่ง”

“ขับรถดี ๆ นะลูก”

**********

“จะไปทั้งอย่างนี้ใช่ไหม” เด็ดเดี่ยวถามมองคนตัวเล็กกว่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดที่ต้นกล้าใส่ไม่เหมาะนักสำหรับการออกไร่ ตอนตะวันตรงหัวอย่างนี้

“มองจนเสียมารยาท”

“แน่ใจนะว่าจะไปทั้งอย่างนี้” ต้นกล้ายักไหล่ให้อย่างไม่ยี่หระ พลางทำหน้าพยักพเยิดให้อีกคนปลดล็อกรถจะได้ไปสักที เด็ดเดี่ยวก็กวนไม่แพ้กัน พอเห็นอีกฝ่ายยืนยันเขาก็ยักไหล่บ้าง กดรีโมทรถแล้วขึ้นประจำที่นั่งคนขับ พอคนต้นกล้าขึ้นมานั่งพร้อมแล้ว ก็ขับรถออกไปไร่ด้วยอารมณ์ที่ดีเป็นพิเศษ

...........................................................
ได้เลือดเลย 5555
เจอกันตอนหน้าค่ะ  :t2: :m10:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 3 ลองของ (เด็ด) 40%]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 21:48:05
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 3 ลองของ (เด็ด)

เด็ดเดี่ยวจอดรถข้างทางหน้าแปลงมันสำปะหลัง คว้าหมวกปีกกว้างทรงคาวบอยที่วางอยู่บนเบาะหลังมาสวมที่หัว แล้วเปิดประตูลงมายืนข้างรถ หนุ่มบ้านนามองฝ่าเปลวแดดร้อนระอุยามเที่ยงวันเข้าไปในไร่ ที่คนงานกำลังพากันทยอยเดินไปยังลานดินใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หลายต้นให้ร่มเงาเย็นสบาย ใช้เป็นที่นั่งพักเที่ยงและรับประทานอาหารร่วมกัน

“เอ้า ลงมาสักทีสิ”

“ทำไมแดดมันแรงอย่างนี้วะ” ต้นกล้ารำพึงออกมาเบา ๆ คิดว่าอีกคนคงไม่ได้ยิน แต่เด็ดเดี่ยวก็ยังได้ยิน แถมได้ยินชัดเจนเลย

“แดดแค่นี้ไม่ตายหรอกน่าไหนว่าอยากมาดูไร่ มาถึงแล้วก็ลงมาดูให้สมอยาก หึ ๆ ” นี่มันสบประมาทกันชัด ๆ แล้วคนอย่างต้นกล้ามีหรือจะยอม

ลงก็ได้วะ! คิดได้ดังนั้น มือเรียวสวยผิวขาวใสที่ไม่เคยทำงานหนัก เอื้อมเปิดประตูรถออกไป แต่แล้วคนหล่อหน้าใสก็แทบผงะกับไอแดดที่แผ่เข้ามาเลียผิว

“ร้อนอะไรอย่างนี้วะเนี่ย” ต้นกล้าบ่นพึมพำพลางหยิบแว่นกันแดดจากกระเป๋าเสื้อออกมาสวม กระโดดลงจากรถด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่อยากดูไร่

“บ่นอะไร”

“เปล่าซะหน่อย”

“แล้วนั่นจะไปไหน”

“ก็ไปดูไร่ไงถามได้” ตอบเสียงดังฟังชัดทั้งที่ไม่ได้หันกลับไปมองคนถามด้วยซ้ำ ขาหรือก็ยังก้าวเดินต่อไปไม่หยุด ใบหน้าหล่อใสเชิดขึ้น ตามองตรงผ่านเลนส์แว่นตากันแดดสีดำอันโต

“ไปทางนี้ต่างหาก” อ้าว! ร่างสูงโปร่งชะงักหันกลับหลังมามองเอาเรื่อง เด็ดเดี่ยวใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ข้ามไหล่ของตัวเองไปด้านหลัง ซึ่งมันตรงข้ามกับทางที่ต้นกล้ากำลังเดินไป หนุ่มบ้านนากลั้นขำที่หนุ่มกรุงทำเป็นรู้ดีอวดเก่ง ทั้งที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ไร่ตัวเองด้วยซ้ำ

คนอยากดูไร่เดินกลับมาอย่างไว้ฟอร์ม ทั้งที่ฟอร์มมันเสียไปหมดแล้ว “แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะจะแกล้งกันหรือไง”

“แล้วทำไมไม่ถามล่ะ หึ ๆ ” ต้นกล้าหน้าตึงเมินเสียงหัวเราะบาดหูมุ่งตรงเข้าไร่ พอเดินผ่านหน้าคนตัวโตกว่า หมวกปีกทรงคาวบอยอย่างเท่ใบเก่งของไอ้หนุ่มบ้านทุ่ง ถูกวางลงบนหัวทุยที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงสวย

“ใส่ไว้แดดมันแรง” เจ้าของหมวกบอก เพราะต้นกล้าหันมามองตาขวางกำลังจะถอดมันออก “ไม่ร้อนหรือไง” แต่เพราะแดดที่กำลังแผดเผาต้นกล้าชั่งใจเพียงครู่ จึงยอมใส่แต่โดยดี

“ขอบใจ” ต้นกล้าสะบัดหน้าเดินหนีไปหน้าตาเฉย เจ้าของหมวกเผลอยิ้มเอ็นดูหันกลับไปเปิดประตูรถด้านหลัง หยิบผ้าขาวม้ามาเคียนเอวผูกไว้หลวม ๆ หมวกสานสีส้มแสบตาถูกหยิบมาวางไว้บนหัว แล้วเดินตามไป

“เห็นยอดเขียว ๆ ปนน้ำตาลนั่นไหม มันคือต้นมันสำปะหลัง ตรงนั้นเป็นที่ดินของคุณยายทั้งหมดเลยนะรู้หรือเปล่า” ต้นกล้ากวาดตามองผืนดินกว้างไกลสีเขียวชอุ่มแซมน้ำตาล ที่ปกคลุมด้วยต้นมันสำปะหลังขึ้นสูงประมาณเข่า ยอดมันดูเงาวาวยามต้องแสงแดด ไร่มันกินพื้นที่กว้างไกลเกือบสุดตา มองเห็นพืชชนิดอื่น ๆ ที่ปลูกอยู่อีกแปลงแยกกันไป

“...” ต้นกล้าเดินเงียบไม่ตอบคำไม่พูดจากับคนตัวโต แต่ตายังสำรวจตามเสียงบอกเล่าของคนที่เดินตามหลัง

“ส่วนที่เห็นลิบ ๆ นั่นเป็นไร่อ้อย อีกไม่กี่เดือนก็ตัดส่งโรงงานได้แล้ว หวังว่าคงอยู่ถึงเวลานั้นนะ จะได้ลองตัดอ้อยดูบ้าง หึ ๆ ” ทั้งน้ำเสียงที่บอกและการหัวเราะส่งท้ายประโยค มันทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกท้าทายอีกแล้ว ต้นกล้าไม่ค่อยพอใจคนตัวโตเท่าไหร่นัก แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำให้มากความ เพราะกำลังทึ่งในความกว้างใหญ่ไพศาลของที่ดินคุณยาย ไหนจะยังมีเปลวแดดตอนเที่ยงวันที่กำลังแผดเผา เวลานี้หนุ่มกรุงร้อนจนแทบละลาย เหงื่อออกจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด

“แล้วไร่อ้อยนี่ของคุณยายด้วยหรือเปล่า”

“ใช่” เด็ดเดี่ยวตอบสั้น ๆ แล้วหันไปมองอีกทางต้นกล้าหันตาม “ส่วนถัดไปนั้นเป็นไร่ของพี่ ถัดจากไร่แปลงนั้นเป็นทุ่งหญ้าเอาไว้เลี้ยงวัว มีฟาร์มหมูกับฟาร์มไก่ไข่ด้วย แต่อยู่ถัดไปเพราะใกล้แหล่งน้ำกว่า” คนบอกก็พูดไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้ได้เลย ว่าเขาภูมิใจในสิ่งที่กำลังพูดถึงมากขนาดไหน

แต่เอ๊ะ! แล้วเด็ดเดี่ยวจะมาสาธยายเรื่องที่ทาง และฟาร์มของตัวเองให้เขาฟังทำไม ต้นกล้าไม่ได้อยากรู้สักหน่อย คิดได้ดังนั้น ต้นกล้าเบ้ให้แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ ไม่ซักถาม มือจับสาบเสื้อตรงหน้าอกดึงเร็ว ๆ ไล่ความร้อน พลางใช้มืออีกข้างปาดเหงื่อออกจากใบหน้าไปด้วย

“มาทางนี้แวะไปดูคนงานก่อน กำลังพักเที่ยงพอดี” เด็ดเดี่ยวจับข้อศอกต้นกล้ารั้งไว้ไม่ให้เดินต่อ พอคนตัวเล็กกว่าหันกลับมา เขาจึงได้เห็นว่าแก้มใสนั้นแดงสุกปลั่งจนน่าหยิก เพราะไอร้อนของแดด ต้นกล้าสะบัดแขนออกอย่างไว้ตัว ริมฝีปากบางสวยเม้มแน่นไม่ชอบใจที่อีกคนแตะเนื้อต้องตัว โดยลืมไปว่าคืนที่ผ่านนั้นเด็ดเดี่ยวทำมากว่าแตะเสียอีก

“ทำไมต้องไปด้วยล่ะ พักเที่ยงก็พักกันไปสิ” เพราะที่จริงแล้วอยากหนีแดดกลับบ้านไปอ้อนคุณยาย และกินข้าวเที่ยงที่บ้านมากกว่า

“ถ้าจะมาดูแลที่นี่แทนคุณยายก็ควรไป อย่างน้อยทำความรู้จักกับคนงานไว้บ้างก็ดี หรือถ้าคิดว่าสู้แดดไม่ไหว จะกลับไปนอนตีพุงตากแอร์เย็น ๆ ที่กรุงเทพเลยก็ได้นะ แต่อย่างนี้เขาคงเรียก....”

“กรุณาพูดให้มันดี ๆ นะครับ ใครบอกไม่ไหว เรายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยเหอะ มาถึงนี่แล้วกลับไปให้เสียเที่ยวก็ไม่ใช่ไอ้กล้าแล้วคุ้ณ” ต้นกล้าเดาได้เลย ว่าคำไหนที่เด็ดเดี่ยวจะพูดให้ตัวเอง แต่เรื่องอะไรจะยอมให้ไอ้หนุ่มบ้านนอกนี่มาสบประมาทเอาได้ง่าย ๆ สองขายาวก้าวฉับ ๆ ไปยังซุ้มพักกินข้าวใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ไม่เหลียวหลัง

ไอ้จ๋ากำลังกุลีกุจอ ช่วยพวกผู้หญิงตักแบ่งกับข้าวใส่จานมาวางกระจายไปบนเสื่อ ปากมันก็พูดคุยหยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่คนนั้นคนนี้ไปทั่ว สร้างเสียงหัวเราะสนุกสนานครึกครื้น แถมยังมีเสียงเพลงหมอลำสลับกับเสียงนักจัดรายการ ดังออกมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก ที่ตั้งไว้ตรงไหนสักแห่งในบริเวณนั้น เสียงเพลงคลอบรรยากาศบ้านทุ่งบ้านนาได้อารมณ์สุนทรีย์ไปอีกแบบ แต่กลิ่นเหงื่อเหม็น ๆ ที่โชยเข้าจมูกเป็นระยะ ก็เล่นเอาต้นกล้าต้องเบ้หน้าหันหนีเลยทีเดียว

“ลูกพี่กล้ามา ๆ มากินข้าวด้วยกันครับ” ไอ้จ๋าเป็นปลื้มที่เห็นลูกพี่ออกไร่ รีบกุลีกุจอเปิดทางลากเสื่ออีกผืนมาปูให้ลูกพี่นั่งพักเหนื่อย “นั่งก่อนครับลูกพี่ ลมเย็น ๆ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกันนะครับ”

ต้นกล้าไม่ตอบคำ แต่ทรุดร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ จนเสื้อผ้าเปียกลงบนเสื่อที่ไอ้จ๋ามันลากมาปูให้ เร่งพัดหมวกในมือให้ตัวเองดับร้อนไปพลาง

“ท่าทางร้อนน่าดูเลยนะครับลูกพี่ นี่ครับน้ำเย็น ๆ ” ไอ้จ๋าพล่ามพลางส่งขวดน้ำเย็นมาให้ ทั้งที่คนเป็นลูกพี่ไม่ได้ตอบอะไรสักคำ มันยังคุยคนเดียวได้เป็นเรื่องเป็นราว “เสื้อลูกพี่เปียกไปหมดเลย” มันว่ายิ้ม ๆ ก็ใช่นะสิ ทั้งชีวิตคิดว่าคนอย่างต้นกล้าจะเคยเจอแดดมากขนาดนี้มาก่อนหรือ ไม่รู้จะแดดอะไรนักหนา ร้อนอย่างกับอยู่ในเตาอบ!

“นี่ลูกพี่กล้าหลานคุณยายนะสา”

“สวัสดีจ้ะ” ต้นกล้ายกมือรับไหว้แทบไม่ทัน เมื่อสาทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ ในมือยังถือสากที่ใช้ตำส้มตำอยู่ “กินส้มตำด้วยกันนะจ๊ะ” สาบอกพลางตักส้มตำใส่จาน แล้วเอามาวางไว้บนเสื่อตรงหน้าหนุ่มกรุง

ต้นกล้ามองไปยังหญิงสาวที่คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้จ๋า ก็ได้รับรอยยิ้มสดใสตอบกลับมา แม้หน้าตาของหล่อนจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผิวหน้าคล้ำเพราะแดดเผา แต่ก็ยังดูมีเลือดฝาดและความผ่องแผ้วของผิวสาวแรกรุ่นให้เห็นอยู่ ผมที่เปียกชื้นไปทั้งหัวถูกมัดรวบไว้ข้างหลังลวก ๆ มีปอยผมตกระข้างแก้มบ้างเล็กน้อย รอยยิ้มของหล่อนนั้นเป็นมิตร จนต้นกล้ารู้สึกเกรงใจจึงพยักหน้ารับและยิ้มบาง ๆ ตอบ

“ลูกพี่กินได้ใช่ไหมครับ” พอได้ยินไอ้จ๋าถาม ต้นกล้าเหล่มองไปยังจานอาหาร คนหล่อนิ่วหน้าเล็กน้อยกับสิ่งที่เห็น ไอ้จ๋าบอกว่านี่คือส้มตำ ส่วนประกอบที่เป็นสีแดง ๆ มันคือพริกล่ะนั่นต้นกล้ามั่นใจ มะเขือเทศก็ด้วย มะนาวฝานเสี้ยวนั่นดูเหมือนมันจะถูกบีบบี้เอาน้ำออกจนแบน เส้นขาว ๆ นั่นก็คงจะเป็นเส้นมะละกอ แล้วก็มีเปลือกของลูกอะไรก็ไม่รู้สีเขียว ๆ ปนอยู่ด้วย มีลูกเกลี้ยง ๆ รี ๆ สีเหลืองอ่อนไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ลักษณะเหมือนไข่ไก่อีกหนึ่งลูก แต่ผิวของมันไม่เรียบเท่าไรนัก วางประดับอยู่อีกมุมของจาน แล้วนั่นตรงนั้นมีปลาด้วย แต่ท่าทางคงไม่ไหวเพราะนี่มันต้องเป็นปลาที่เน่าแล้วแน่ ๆ ต้นกล้าสังเกตจากลักษณะตัวปลาที่ดูอ่อนนิ่ม ช่วงท้องเปื่อย ผิวหรือก็เกลี้ยง ๆ จึงฟันธงได้เลยว่าปลามันเน่าแล้ว! แต่ทำไมยังเอามาทำอาหารกินอยู่นะ แล้วนั่นอีก ทำไมน้ำส้มตำมันถึงได้เป็นสีดำ ๆ คล้ำ ๆ น่าเกลียดแบบนั้น

หากจะพูดถึงส้มตำต้นกล้าก็เคยกินมาบ้างเหมือนกัน แต่น้ำของมันจะเป็นสีออกแดงนิด ๆ และใสดูน่ากินกว่า นอกจากเส้นมะละกอ มะเขือเทศ มะนาว ก็จะมีกุ้งแห้งมีถั่วลิสงคั่วตำหยาบกับเครื่องปรุง ที่ดูยังไงก็น่ากินกว่าไอ้ส้มตำที่วางอยู่ตรงหน้าตอนนี้เป็นร้อยเท่า!

“ฝีมือตำส้มตำของสานี่อร่อยที่สุดเลยครับลูกพี่ลองชิมดู ไข่เจียวก็มี นี่ปลาแห้งย่างกับแจ่วครับ แกงหน่อไม้ก็มีป้าเขียวกำลังแกงอยู่ เดี๋ยวแกงเสร็จไอ้จ๋าจะไปตักมาให้”

“เอ่อ...” ต้นกล้าพูดไม่ออก จะปฏิเสธก็เกรงใจสาวเจ้าที่นั่งยิ้มจนตาหยี เขาแค่ต้องการมาดูที่ดูไร่ของคุณยาย ว่าทำอะไรปลูกอะไรอยู่บ้าง ไม่คิดว่าจะต้องมานั่งร่วมวงกินข้าวกับคนงาน คิดไปพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จมูกได้กลิ่นอาหารรสเลิศของไอ้จ๋า ซ้ำยังมีกลิ่นเหงื่อไคลลอยมาเป็นระยะ ต้นกล้าเหม็นและรังเกียจไม่อยากร่วมวง แต่จะปฏิเสธยังไงดี จะบอกว่าไม่หิวท้องก็ดันประท้วงโครกครากขึ้นมาเสียได้

คนหล่อดึงสายตากลับมามองอาหารตรงหน้าอีกครั้ง โดยมีไอ้จ๋าและสามือตำส้มตำมองตามยิ้ม ๆ เอาวะถ้าจะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ยังไงอาหารอื่นก็ยังมีไข่เจียวกับปลาแห้งย่างล่ะนะ แต่กับส้มตำสูตรนี้ต้นกล้าคงกินเข้าไปไม่ไหว แค่หน้าตามันก็ไม่ผ่านแล้ว ไหนจะกลิ่นแรงที่เตะจมูกตั้งแต่ยกมาเสิร์ฟนั่นอีก มันแรงมากจนไม่คิดว่าจะกินลงไปได้

ต้นกล้าฟันธง!

“นี่ครับลูกพี่ข้าวเหนียวเข้ากันดีนักแล หรือจะเอาข้าวสวยก็มีนะครับ” ไอ้คนร่าเริงขี้เล่นมันยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปเรื่อย แต่จากน้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่ามันภูมิใจเสนอเมนูเหล่านี้มากแค่ไหน

“ลองชิมดูจ้ะ ไม่เผ็ดหรอก” อีน้องสาของไอ้จ๋าสำทับมาอีกที เมื่อเห็นคุณหนูต้นกล้ายังนิ่งไม่ยอมแตะต้องอาหารตรงหน้า ทำท่าทางสองจิตสองใจ

“ลงมือเลยครับลูกพี่ อร่อยมากไอ้จ๋าคอนเฟิร์ม นี่ ๆ มีทีเด็ดด้วยครับ ได้ข้าวเหนียวร้อน ๆ มาจิ้มรับรองลูกพี่จะแซบจนลืมกรุง” ปากพูดไปมือมันก็ใช้ช้อนคนส้มตำในจานไป เผยให้เห็นปลาหมักไหตัวงามเต็มตา มันยิ้มกริ่มแก้มปริปากแทบฉีกถึงใบหู เขี่ยปลาร้าทั้งตัวให้ลูกพี่ดูเป็นขวัญตา

“เอ่อ..กินได้เหรอวะจ๋า ท่าทางปลามันยังไม่สุกนะนั่น” สีหน้าแหยง ๆ ดูก็รู้ว่าไม่มั่นใจ ทั้งที่ท้องก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าต้องการอาหารมาเติมเต็ม แต่ยังไม่กล้าตักของกินที่อยู่ตรงหน้าเข้าปาก

“นี่คือเมนูเด็ดเลยล่ะครับลูกพี่ ยังไม่สุกแต่ผ่านการหมักมาอย่างพิถีพิถัน รับประกันความแซบโดยแม่แจ่มใจของไอ้จ๋าครับ อร่อยชัวร์”

“แต่...”

“หรือถ้าลูกพี่อยากกินสุก เดี๋ยววันหลังไอ้จ๋าจะเอาตัวใหญ่ ๆ มาทำให้กินครับ ไอ้จ๋ามีสูตรเด็ด!” ทั้งสีหน้าและท่าทางของไอ้จ๋าดูจริงจัง เพราะอยากให้ลูกพี่เห็นว่าเมนูของมันนั้นเด็ดจริง ๆ “เนี่ยเอาปลาร้าตัวใหญ่ ๆ มาล้างดี ๆ แล้ววางลงบนใบตองโรยผงชูรสเพิ่มความนัว ทุบกระเทียมสักกลีบสองกลีบ หอมแดงสักสองสามหัวลงไป ตามด้วยพริกสดสักสองสามเม็ด แล้วห่อใบตองสองชั้นเอาไปหมกย่างบนไฟ พอสุกได้ที่ล่ะก็ อื้อฮือ” ไอ้จ๋าร่ายยาวถึงหมกปลาร้าเมนูเด็ดอีกเมนูของมัน มีน้องสาสาวน้อยคนงานคอยพยักหน้าเอออวยเห็นด้วย กับสูตรที่มันพล่ามบอกน้ำเกือบท่วมทุ่ง ไม่พอยังออกท่วงท่าประกอบดูเป็นจริงเป็นจัง จนต้นกล้าเองก็เผลอพยักหน้าคล้อยตาม แต่ก็นึกภาพอะไรไม่ออกอยู่ดี มีแต่กลิ่นแรง ๆ นี่แหละที่โชยมาเรื่อย ๆ จนติดจมูก

“พอแล้วจ๋าพูดมาแล้วอยากกินขึ้นมาเลย กินข้าวกันเถอะจ้ะนี่น้ำล้างมือ” สาบอกและเตือนให้เริ่มลงมือกินข้าวกัน คนงานคนอื่นทยอยมานั่งล้อมวงและเริ่มกินกันแล้ว

“เอ่อ อือ ได้สิ” ต้นกล้าเอื้อมมือไปหยิบปลาแห้งย่างขึ้นมากำลังจะส่งเข้าปาก

แต่...

“ถ้าไม่ไหวจะกลับไปกินในร้านอาหารดี ๆ ที่กรุงเทพก็ได้นะ” นั่นปะไรโดนอีกแล้วกู! เสียงที่ดังแทรกขึ้นมากลางวงสนทนา เรียกให้ทั้งสามคนหันไปมอง เท่าที่ยืนฟังและสังเกตการณ์มาได้สักครู่ เด็ดเดี่ยวพอจะสรุปใจความได้ว่า คุณหนูต้นกล้านั้นไม่รู้จักส้มตำอีสานบ้านเราเลยไม่กล้ากิน

คำพูดไม่กี่คำแต่เหมือนถูกคนคนนี้ตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ต้นกล้าจิกตาแบะปากให้เด็ดเดี่ยว แล้วเมินหน้าไปยังจานอาหาร ทำท่ายักไหล่ให้อย่างไม่ใส่ใจ มือหยิบปลาแห้งย่างยัดเข้าปากเคี้ยวกร้วม ๆ

อืม กรอบอร่อยดีเหมือนกันนี่หว่า หอมกลิ่นปลาแห้งขึ้นจมูกเลย

“กินข้าวกันเถอะพี่ อะนี่น้ำล้างมือก่อนนะจ๊ะ” เด็ดเดี่ยวเพียงพยักหน้า รับขันน้ำมาเทล้างมือจนสะอาด เช็ดมือกับผ้าขาวม้าที่ผูกเอวแล้วนั่งลงกินข้าวด้วยกัน

“ลูกพี่นี่ครับข้าวเหนียวร้อน ๆ กินกับปลาแห้ง” ไอ้จ๋ารู้สึกถึงบรรยากาศแปลก ๆ รีบแทรกขึ้น พลางยกกระติบข้าวมาวางตรงหน้าลูกพี่ใหญ่

ต้นกล้าเหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ แล้วให้เกิดขัดใจยิ่ง เด็ดเดี่ยวทำเหมือนสาธิตวิธีการกินให้ดูกลาย ๆ แบบไม่ได้ร้องขอ ด้วยการปั้นข้าวเหนียวคำใหญ่จุ่มลงในจานส้มตำ ใช้หัวแม่มือหนีบเส้นมะละกอเปิบเข้าปาก ตามด้วยปลาแห้งย่างอีกสองตัวเคี้ยวตุ้ย ๆ หยิบไข่เจียวชิ้นใหญ่เข้าปากอีกคำ จนสองข้างแก้มโป่งนูน มันดูตลกแต่ต้นกล้ากลับไม่ขำ เพราะนั่นมันเหมือนถูกข่มกลาย ๆ

หันกลับมามองของกินในมือตัวเองให้รู้สึกถึงความอ่อนด้อย สำหรับข้าวคำเล็ก ๆ กับปลาแห้งทีละตัว แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ ว่าปณิธานอันแน่วแน่ของคนอย่างต้นกล้า ฆ่าได้แต่อย่าหยามหรือท้าทายให้เจ็บใจเล่น อาหารแค่นี้ทำไมเขาจะกินไม่ได้ ใครจะอ่อนขนาดนั้นวะ!

คิดได้ดังนั้นคนหล่อจากบางกอก จกข้าวเหนียวคำใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ปั้นเป็นก้อนอย่างหมายมาด ดวงตาดำขลับสบมองตาคมของเด็ดเดี่ยวไม่ลดละ ได้คำข้าวแน่นพอก็จุ่มจิ้มลงจานส้มตำ ใช้นิ้วหัวแม่มือเปิบคีบอาหารมาคำใหญ่ไม่ให้น้อยหน้า ส่งคำข้าวพร้อมส้มตำเข้าปากอย่างมีมาด ตาจ้องหน้าชายหนุ่มข้างกาย ยักคิ้วข้างเดียวส่งให้อย่างกวนอารมณ์ ปากเคี้ยวเนิบ ๆ แสยะยิ้มด้วยใจผยอง ยืดอกว่าตัวเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

แต่ไอ้จ๋าที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ นี่สิ มองคนเป็นลูกพี่จนตาเหลือก

โอ้วลูกพี่ของกู!

*********************
เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 3 ลองของ (เด็ด) 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 31-10-2018 17:33:49

ต้นกล้าเคี้ยวอาหารในปากไปได้ไม่เท่าไหร่ ใบหน้าเสแสร้งพริ้มสุขกับรสชาติเริ่มเปลี่ยน เหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังเคี้ยว เพราะมันอ่อนนุ่มออกเค็ม รสชาติปะแล่มแปลก ๆ และมีก้าง สัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวหน่วงตีขึ้นโพรงจมูก ความพะอืดพะอมขมขื่นแน่นคอจนอยากคายทิ้ง แต่พอเหลือบไปเห็นรอยยิ้มเยาะของคนตัวโตกว่า จำต้องเปลี่ยนสีหน้า ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่กินช่างแสนอร่อยโอชาเหลือเกิน

ไอ้จ๋ามองอย่างเป็นห่วง เพราะสิ่งที่ลูกพี่เพิ่งจะเปิบเข้าไปนั้น มัน..คือปลาร้าทั้งตัว!

“เป็นไงบ้างลูกพี่อร่อยไหมครับ” คนเป็นลูกพี่พยักหน้าหงึกหงักเพราะอาหารยังเต็มปาก ยกนิ้วโป้งขึ้นบอกให้รู้ว่ามันเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย ทั้งที่ความรู้สึกจริง ๆ ตรงข้าม อยากคายทิ้งแทบแย่แล้ว

“โอ้โฮ ไอ้จ๋านี่นับถือลูกพี่จริง ๆ ยอมเลยครับ กินปลาร้าทั้งตัวได้นี่ลูกพี่กล้าสุดยอดมากครับ” ต้นกล้าชะงักค้างกึกหยุดเคี้ยว ตาเหลือกถลนจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า

ปลาร้า!

ปลาร้าทั้งตัว!

ปลาร้าทั้งตัวอย่างนั้นเหรอ..? !

ที่กินอยู่นี่มันคือปลาร้าทั้งตัวเชียวเหรอ! อ๊าก!

ใบหน้าหล่อใสบิดเบี้ยวทรมานจนลืมมาด อาหารคำนั้นยังอมอยู่ในปากแต่ไม่ได้เคี้ยวต่อ หลานคุณยายไม่กล้ากลืนแม้กระทั่งน้ำลายลงคอ เมื่อถึงขีดสุดของความอดทนจนทนไม่ไหว ต้นกล้าลุกขึ้นจากวงกินข้าวแล้วหันหลังออกวิ่ง คายสิ่งที่อยู่ในปากขว้างทิ้งไม่ไยดี หูเจ้ากรรมยังแว่วได้ยินเสียงหัวเราะสะใจของเด็ดเดี่ยวดังตามหลังมา

ฝากไว้ก่อนเถอะอย่าให้ถึงทีไอ้กล้าก็แล้วกัน!

ต้นกล้าวิ่งมาหยุดใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง อาศัยลำต้นแข็งแรงช่วยพยุงร่างที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน อาหารคำนั้นแม้จะคายทิ้งไปหมดแล้ว แต่ยังรู้สึกถึงรสชาติและกลิ่นติดจมูก ทำไมหนุ่มหล่อมาดดีมีออร่าเช่นเขา ต้องมาตกระกำลำบากกลางไร่กลางนาอย่างนี้ แดดหรือก็ร้อนระอุเสียยิ่งกว่าอยู่กลางทะเลทราย เกิดอยู่ ๆ ไปแล้วต้องมาเจออาหารแบบนี้ทุกวันมันจะไหวหรือ ต้นกล้าหลับตาลงระงับอาการพะอืดพะอม พยายามสูดลมหายใจเข้าแล้วปล่อยออกช้า ๆ เป็นจังหวะ จนรู้สึกโล่งจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ดวงตากลมโตจับอยู่กับขวดน้ำเย็นตรงหน้า ที่ใครบางคนยื่นมาให้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง รับขวดน้ำที่เปิดฝาไว้ให้แล้วมากรอกเข้าปาก กลั้วล้างภายในปากจนพอใจแล้วจึงบ้วนทิ้ง ยกขวดกรอกน้ำเข้าปากไปอีกอึกใหญ่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาหยิ่งในศักดิ์ศรีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมองข้ามความเอื้ออารีจากคนข้าง ๆ แม้แววตาของเด็ดเดี่ยวจะยังเจือความขบขันอยู่ก็ตามเถอะ ต้นกล้าจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน

“ดีขึ้นหรือยัง” น้ำเสียงฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความห่วงใย ทั้งที่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่คอยถากถางสบประมาทคนนี้ มีหรือที่จะห่วงต้นกล้าจริง ไม่มีทาง!

ต้นกล้าหันขวับไปทางต้นเสียง พลันใจดวงน้อยเกิดสั่นสะท้าน เพราะใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ ตาสวยสบเข้ากับตาคมสีสนิมเหล็ก ที่แววตาแฝงนัยแปลก ๆ ยากเข้าใจ ต้นกล้ามองอย่างค้นหาทั้งเกิดคำถาม จะมองกันทำไม ทำไมต้องมองไม่หลบตา คนตัวโตไม่หลบตามีหรือคนอย่างต้นกล้าจะยอมหลบ เอาไปเอามาเลยกลายเป็นว่าทั้งสองยืนจ้องตากันนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง...

“เฮ้ย!” ต้นกล้าร้องเสียงดัง เมื่อรู้สึกตัวว่านัยน์ตาคมที่กำลังมองอยู่เริ่มสั่นระริก ส่อแววซุกซนขี้เล่น มุมปากเด็ดเดี่ยวยกขึ้นยิ้มน้อย ๆ เพราะกลั้นขำ ทำให้ต้นกล้ารู้สึกตัว ว่าเผลอมองนัยน์ตาคมนานเกินไปแล้ว ยกมือสองข้างขึ้นผลักอกแข็งแกร่งของคนตัวโตออกห่างอย่างแรง ร่างสูงหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นหญ้าสองขาชี้ฟ้าโด่เด่ดูน่าขัน

“โอ๊ย!”

“ฮ่า ๆ สม” ไม่รู้สึกผิดไม่พอ ต้นกล้ายังหัวเราะชอบใจเหมือนเด็กน้อย ที่เห็นเด็ดเดี่ยวเสียหลักเพราะฝีมือตัวเอง ดีใจที่ได้เอาคืนเสียบ้าง

“ทำคุณบูชาโทษจริง ๆ ” เด็ดเดี่ยวนั่งจ้องคนที่ยืนค้ำหัวด้วยอารมณ์แค้นแปลก ๆ ทั้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากกัดให้จมเนื้อ แต่อีกใจก็เหมือนจะเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

ต้นกล้ายังลอยหน้าลอยตาแบะปากให้ ไม่ได้เกรงต่อสายตาแค้นเคือง ที่คนตัวสูงกำลังมองตอบเลยสักนิด ซ้ำนัยน์ตาหวานคู่นั้นยังดูซุกซนและท้าทาย การยักคิ้วหลิ่วตาแบบกวน ๆ ของต้นกล้า และสีหน้าระรื่นผิดกับตอนแรก เด็ดเดี่ยวเห็นแล้วได้แต่นึกเข่นเขี้ยวอยากเคี้ยวให้แหลกไป แต่เท่าที่ทำได้ตอนนี้คือทดไว้ในใจรอโอกาสเอาคืน

“คนกำลังกินข้าวอร่อย ๆ มาทำให้เสียบรรยากาศจริง ๆ ไปกลับไปกินข้าวต่อ”

“ไม่ไปไม่กิน”

“แค่นี้ทำเป็นอ่อน” เพราะรู้ว่าคนตรงหน้านั้นชอบเอาชนะมากแค่ไหน เลยอยากแกล้งให้หลานคุณยายเดือดดาลเล่น

“อะไรใครอ่อน ใครทำอะไร”

“ก็ใครล่ะที่ทำเหมือนรังเกียจของกินที่ทุกคนกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อย วิ่งหนีออกมาจากวงข้าว นี่อ้วกด้วยใช่ไหมหึ ๆ ” โมเมขี้ตู่เอาเอง! ต้นกล้าไม่ได้อ้วกสักหน่อย แค่เกือบ ๆ เท่านั้น แต่เสียงหัวเราะแบบนี้นี่มัน ฮึ่ม! มันน่ารำคาญใจจริง ๆ ทำไมคนคนนี้ต้องหัวเราะแบบนี้ใส่หน้าเขาด้วย ต้นกล้าได้ยินแล้วรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ มันอธิบายไม่ถูก มันเหมือนเสียงหัวเราะของคนที่เหนือกว่า มันเป็นเสียงหัวเราะของคนที่เป็นต่อ ทั้งที่ตัวต้นกล้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนคนนี้เลยสักนิด!

“ก็ไม่ได้รังเกียจแต่จะกินเข้าไปได้ยังไง กลิ่นยังกะปลาเน่า”

“ไม่ใช่ปลาเน่าเขาเรียกปลาร้า” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงเรียบ แต่สีหน้ากับอาการกลั้นยิ้มนั้นมันคืออะไร ทำไมต้นกล้าเห็นแล้วหงุดหงิดเหลือเกิน ฮึ่ย!

“จะปลาอะไรก็ช่างอยากกินก็กินไปคนเดียวสิ เราไม่กิน”

“ที่นี่ไม่มีอาหารให้เลือกกินนักหรอกนะ เขากินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อนกิน ถ้าจะอยู่ที่นี่ให้ได้ก็ต้องหัดเรียนรู้ไว้บ้าง”

“แต่เราไม่อยากกินปลาร้า!”

“ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน” อ้าว! ตอนแรกที่จะให้กินเหมือน ๆ ชาวบ้านนั้นก็ดูจริงจังอยู่หรอก แต่พอยืนยันว่ายังไงก็ไม่กินกลับยอมง่าย ๆ หน้าตาเฉย ซ้ำยังเดินหนีไปเหมือนได้พูดอะไรก่อนหน้านั้นอีก

ใครไม่งงต้นกล้างง

“อะไรอีก”

“เหอะ” คำเดียวแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างแสนงอน จะผิดหรือเปล่านะ ที่เด็ดเดี่ยวกลับมองกิริยาของหนุ่มน้อยตรงหน้าว่ามันช่างน่ารักน่าง้อเสียเหลือเกิน ตายล่ะ! ทำไมมองผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักได้วะไอ้เดี่ยว ถึงต้นกล้าจะหน้าหวานในแบบหล่อปนหวาน ที่มองแล้วรู้สึกแปลก ๆ และอยากมองบ่อย ๆ ก็ตามเถอะ!

“งอนเป็นตุ๊ดไปได้!” ใจคิดไปอีกอย่างแต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นอีกอย่าง ที่ค่อนข้างรุนแรงแสลงหูคนฟังจนรับไม่ได้ มันไม่ใช่คำง้อหวานหูน่าฟังอย่างที่เด็ดเดี่ยวคิดเอาไว้

“เราไม่ใช่ตุ๊ด!”

“ไม่ใช่ตุ๊ดแล้วทำไมงอนอย่างกับผู้หญิงครับน้อง” ต้นกล้าตวัดสายตามองขวางแล้วเดินหนีไปอีกทางไม่พูดอะไรด้วยสักคำ

“นั่นจะไปไหนน่ะ เสียมารยาทนะคุยกันอยู่ดี ๆ แล้วเดินหนีหน้าตาเฉยอย่างนี้น่ะ” เสียงชายหนุ่มต่อว่าตามหลังมา แต่คนตัวเล็กกว่าก็หาได้สนใจไม่ สองเท้ายังเดินมุ่งหน้าออกไปยังปากทางเข้าไร่อย่างมั่นคง “คนอุตส่าห์เป็นห่วงเอาน้ำมาให้ขอบคุณสักคำนี่ไม่มีเลย” สิ้นคำของเด็ดเดี่ยวร่างสูงโปร่งของคนหล่อหน้าใสจากเมืองกรุงหยุดกึกทันที เล่นเอาคนที่จ้ำเดินเพื่อตามให้ทันเกือบชนหลังเข้าให้

“เมื่อกี้ว่าไงนะ”

“เปล่านี่”

“อะไรตัวเองเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อกี้เองลืมแล้วหรือไง”

“อ๋อ ก็บอกที่เอาน้ำมาให้ไง ขอบคุณกันสักคำนี่ไม่มีหรอกแถมยังเดินหนีพี่อีกต่างหาก ไม่มีมารยาทเลย” เฉไฉไปอีกทางได้อย่างหน้าตาย ทั้งที่ไม่กล้าสบตาคนตัวเล็กที่กำลังจ้องมองจับผิด

เด็ดเดี่ยวพลาด! เข้ารู้ว่าตัวเองพลาด ยกนี้ต้นกล้าชนะใส ๆ อย่างไม่รู้ตัวเลย

“เดี๋ยว ๆ มันมีอีกอย่างที่พูดออกมาด้วยเมื่อกี้บอกว่าไงนะ พูดทั้งประโยคที่พูดตอนแรกใหม่ซิ” ดึงไหล่คนตัวสูงกว่าให้หันมาหาอย่างเอาเรื่อง เด็ดเดี่ยวหันมาแต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับดวงตาหวานของต้นกล้าอยู่ดี “ว่าไง”

“เปล๊า” เสียงสูงขึ้นมาทันที แต่จะบอกได้ยังไงว่าเผลอพูดคำว่าเป็นห่วง ออกมาให้คนตัวเล็กกว่าได้ยินเข้า ถึงอยู่ดี ๆ จะรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาเองก็ตามเถอะ เขาไม่มีทางบอกให้คนที่แสนดื้อรั้นถือตัวคนนี้ได้ฟังอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด

“ถ้าฟังไม่มีผิดมันมะ...”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า หูไม่ดีหรือไง จะกลับแล้วใช่ไหม” เด็ดเดี่ยวรีบพูดแทรกก่อนที่คนตัวเล็กจะทวนคำพูดของเขาออกมาให้ได้อาย เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ถามในสิ่งที่คิดว่าต้นกล้าต้องการ “จะกลับแล้วก็ไปขึ้นรถเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ต้นกล้าเปิดประตูรถแล้วรีบกระโดดลงไปทันที ตั้งแต่รถยังจอดไม่สนิทดีด้วยซ้ำ คนหล่อรีบวิ่งขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ เพราะรถตู้คนหรูที่จอดอยู่อีกมุมของลานหน้าบ้าน บ่งบอกว่าบุพการีที่รักยิ่ง ได้เดินทางจากกรุงเทพมาถึงแล้ว

“คุณแม่ครับต้นกล้ามาแล้ว สวัสดีครับคนสวย” ร่างสูงโปร่งถลาเข้าหาอ้อมกอดของคุณนภากานต์ผู้เป็นแม่ แล้วผละออกพนมมือไว้ที่อกอย่างสวยงาม ฟัดหอมแก้มเนียนไปหลายฟอด ก่อนจะหันไปหาคุณกวินผู้เป็นพ่อและยกมือไหว้กล่าวทักทาย “สวัสดีครับคุณพ่อไหนบอกอีกสองสามวันถึงจะมา ทำไมมาวันนี้ได้ครับ”

“ก็แม่เรานะสิ ทนคิดถึงไม่ไหวเลยตัดสินใจมาวันนี้ซะเลย แล้วนี่ไปซนที่ไหนมาเจ้ากล้า” คุณพ่อทักทายลูกชายคนเดียวราวกับต้นกล้าอายุยังไม่ถึงสิบขวบยังไงอย่างนั้น

“กล้าเปล่าซนนะครับโตป่านนี้แล้วใครจะมาซนอยู่ได้ แค่ออกไปดูไร่ให้คุณยายเท่านั้นเอง” คนหล่อบอกด้วยเสียงกระเง้ากระงอดพลางวาดวงแขนกอดคอพ่ออย่างสนิทสนม ราวกับเป็นเพื่อนกัน เพราะเป็นลูกคนเดียวจึงเป็นเรื่องปกติของครอบครัวนี้ เมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมหกรรมการอ้อนการโอ๋ลูกจึงเกิดขึ้น แต่ถึงจะได้รับการเลี้ยงดูแบบประคบประหงมจากทั้งบิดามารดา ต้นกล้าก็เป็นเด็กดี น่ารัก และไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง

“ดีแล้วรู้หน้าที่ตัวเองแบบนี้แม่เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” คุณพ่อพอใจที่ได้รู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีรู้จักเอาการเอางาน รู้จักสนใจไร่นา และที่สำคัญรู้หน้าที่ว่าตัวเองต้องมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร ผู้ใหญ่ทั้งสามแอบมองสบตายิ้มกันมีแววภูมิใจ

“นี่เจ้ากล้ายังไม่เจอแม่แจ่มใจ แม่ของไอ้จ๋าใช่ไหม” คุณยายที่นั่งเงียบอยู่ถามขึ้น “นี่ไงแม่แจ่มใจที่ทำกับข้าวมาให้เรากินน่ะ” คุณยายหันไปทางแม่แจ่มใจ ต้นกล้าจึงรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อมสวยงาม

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก ได้ยินแต่ไอ้จ๋ามันคุยถึงลูกพี่คนเก่งทั้งวัน นี่ถ้ามันทำอะไรให้รำคาญใจน้าฝากหนูกล้าสั่งสอนมันด้วยนะ ไอ้จ๋ามันคนพูดมาก”

“ครับ ไม่เป็นไรครับ” ต้นกล้าตอบกลับส่งยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่า ไม่อยากบอกว่าเขาเองก็แอบรำคาญเวลาที่ไอ้จ๋ามันพูดมากอยู่เหมือนกัน แต่หนูกล้าที่แม่แจ่มใจเรียกนี่ ต้นกล้าได้ยินแล้วรู้สึกขัด ๆ หูยังไงก็ไม่รู้

“เอ๊ะ นั่นพ่อเดี่ยวนี่ มาขึ้นมาก่อนลูก” คุณยายที่ชะโงกหน้าไปทางชานเรือนเรียกบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่กำลังตัดสินใจว่าจะเดินตามคนตัวเล็กหรือจะกลับไปก่อนดี เมื่อเห็นต้นกล้าวิ่งขึ้นเรือนมาอย่างรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวก็รีบตามมา แต่พอมาเห็นภาพครอบครัวอันอบอุ่นพร้อมหน้า เลยคิดว่าควรจะถอยกลับไปก่อนดีกว่า เพราะไม่อยากให้คนตัวเล็กอารมณ์เสีย แต่ขณะกำลังจะหันหลังกลับ คุณยายก็หันมาเห็นเขาเข้าพอดี

เด็ดเดี่ยวเดินเข้าไปนั่ง ถ่วงท่าของบุรุษหนุ่มบ้านนาร่างสูงใหญ่ ที่ดูแข็งแกร่งและสง่าผ่าเผย มีความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็ดูนอบน้อมสุภาพอ่อนโยน

“นั่งลงกินน้ำเย็น ๆ ก่อนลูก นี่พ่อกับแม่ของเจ้ากล้าเขา” คุณยายตบเบา ๆ ลงบนเก้าอี้หวายข้างตัว เจ้าของร่างสูงจึงเดินค้อมตัวเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย

“สวัสดีครับ”

“นี่พ่อเดี่ยว ลูกชายคนโตกำนันอาจหาญไง”

“นี่ลูกพี่หาญเหรอแม่ โตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะลูก” คุณนภากานต์พูดกับแม่ตัวเอง แล้วหันมาทางเด็ดเดี่ยวส่งยิ้มหวานให้ ไม่สนใจนัยน์ตาขุ่นขวางของคุณกวินผู้เป็นสามี

“เอ่อ ครับ” เด็ดเดี่ยวเผลอมองรอยยิ้มของคุณนภากานต์เพลิน จนเกือบลืมตอบ หญิงวัย 45 ปี ที่รูปร่างหน้าตาดูอ่อนกว่าอายุจริงมาก โครงหน้าเรียวและใบหน้าสวยหวานของต้นกล้า ก็คงจะได้มาจากแม่สินะ ผิวหรือก็ขาวผ่องนวลเนียนดูสุขภาพดี เหมือนคนที่ดูแลรักษาตัวเองอยู่เสมอ เขามองอย่างชื่นชม แต่เมื่อสายตาคมกวาดมองไปถึงชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน กลับปะทะเข้ากับรังสีความน่าเกรงขามก็เปล่งออกมา เด็ดเดี่ยวรู้สึกเกรงและเคารพอยู่ในที ยิ่งเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคู่นั้นที่ดูดุจนน่ากลัว แตกต่างจากเวลาที่มองคนเป็นลูกที่อยู่ในอ้อมกอดลิบลับ

“ก็ได้พ่อเดี่ยวนี่แหละ มาช่วยดูแลงานหลายอย่างให้ เป็นคนหนุ่มที่ขยันขันแข็งน่าชื่นชมจริง ๆ ” คุณยายเอ่ยชมเด็ดเดี่ยวอย่างรักใคร่เอ็นดูหันมายิ้มให้ด้วย “บ้านไหนได้ไปเป็นเขยคงโชคดีมากเลยล่ะ”

ใคร ๆ ก็ชมเด็ดเดี่ยวทำนองนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกว่าหัวใจพองโตเท่าครั้งนี้ เพราะนอกจากจะเป็นคำชมของคุณยายประไพศรีที่เคารพรักแล้ว ยังมีสายตาหมั่นไส้แกมเหยียดจากใครบางคนเหลือบมองมาด้วย เด็ดเดี่ยวจะโมเมเอาเองก็แล้วกันว่าเจ้าของสายตานั้นกำลังอิจฉา

“อาต้องขอบใจพ่อเดี่ยวมากนะจ๊ะที่ช่วยดูแลคุณยาย” คุณนภากานต์เอ่ยเสียงหวานกับชายหนุ่ม เลยถูกคุณกวินผู้เป็นสามีปรายตามองค้อนไปหนึ่งวง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ชอบมาคุยกับคุณยายบ่อย ๆ ”

“แล้วนี่ไปไหนกันมาล่ะ”

“พาน้องออกไปดูไร่มันมาครับ” คุณนภาหันไปมองคุณยาย สองหญิงต่างวัยยิ้มพอใจกับคำที่เด็ดเดี่ยวใช้เรียกแทนเจ้าตัวดี น้ำเสียงหรือก็แสนอ่อนโยน แต่คุณกวินผู้หวงลูกตวัดมองด้วยตาแข็ง ๆ เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“แล้วพ่อกำนันล่ะ สบายดีไหม”

“ก็สบายดีครับ วันนี้..”

“แหมน้องนภาไหนบอกคิดถึงเจ้ากล้า บ่นคิดถึงทำไมไม่คุยกับลูกเลยล่ะ”

“แหมคุณพี่คะ ลูกก็อยู่นี่คุยเมื่อไหร่ก็ได้นี่คะ จริงไหมลูก”

“ไม่เอาครับกล้าก็อยากคุยกับคุณแม่เหมือนกันนะครับ” ต้นกล้าหันมากอดแม่แน่น ทำเป็นซุกหน้าเข้าหาแต่แอบเบ้ปากให้คนตัวโตอย่างล้อเลียน เด็ดเดี่ยวเพียงส่งยิ้มบาง ๆ มาให้คนดื้อรั้นไม่ถือสา

“ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับคุณยาย คุณอาทั้งสองครับ”

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอพ่อเดี่ยว ไม่อยู่กินข้าวเย็นกับยายก่อนล่ะลูก”

“น่าจะ..”

“เจ้ากล้า!” กำลังจะพูดว่า น่าจะกลับตั้งนานแล้ว แต่โดนคุณยายเรียกดักคอเอาไว้ด้วยเสียงดุเหมือนรู้ทัน ต้นกล้าเลยได้แต่เงียบและแอบทำสายตาไม่พอใจให้เด็ดเดี่ยว ที่รู้สึกขำมากกว่าถือสา

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับคุณยาย พอดีจะแวะเข้าไปที่ฟาร์มด้วยเลยอยู่นานไม่ได้” เด็ดเดี่ยวบอกเหตุผล ทางบ้านของชายหนุ่มเอง ก็ทำการเกษตรมากมายหลายอย่าง ทั้งงานไร่งานนาและยังมีฟาร์มไก่ฟาร์มหมูอีก งานทั้งหมดรับผิดชอบร่วมกันกับน้องสาว มีกำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อคอยช่วยดูแล แต่กำลังหลักก็คือเขาคนเดียว

“ว่าง ๆ ก็แวะมาได้ตลอดนะพ่อเดี่ยว” คุณนภาบอกแล้วหันไปยิ้มกับคุณยายประไพศรีผู้เป็นแม่

“ขับรถดี ๆ นะลูก” คุณยายกำชับเสียงอ่อน ต้นกล้าเหลือบไปมองคนตัวโต แถมแบะปากให้ด้วยอย่างหมั่นไส้

“ผมลาล่ะครับ” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสาม ลุกขึ้นเดินค้อมหลังออกจากตรงนั้นไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงที่ทำให้เขาต้องหยุดเดินและหันไปมอง

“เจ้ากล้าลงไปส่งพี่เขาหน่อยสิ”

“อ้าว เกี่ยวอะไรกันล่ะครับคุณแม่”

“ไหนบอกพี่เขาพาไปดูไร่ พอจะกลับเราก็ควรมีน้ำใจเดินไปส่งพี่เขาที่รถหน่อยไม่ใช่หรือไง”

“เห็นบอกมานี่บ่อยคงจะชินแล้ว ไม่ต้องลงไปส่งก็ได้หรอกมั้ง” คุณกวินที่นั่งฟังเงียบ ๆ มานานเอ่ยขึ้นช่วยลูกชาย ที่ดูก็รู้ว่าไม่อยากทำหน้าที่นี้เท่าไหร่นัก

“ไม่ได้หรอกค่ะคุณพี่ เราควรมีน้ำใจกับคนที่เขามีน้ำใจกับเราสิคะ เข้าใจไหมลูก” คุณนภาเอ่ยขัดสามีแล้วหันมาถามต้นกล้า พลางดันตัวลูกชายให้ออกจากอ้อมกอด หนุ่มน้อยยิ่งทำหน้ามุ่ยเขาไปใหญ่

“เอ่อ..”

“ไปสิเจ้ากล้ารออะไรอีก หรือจะให้ยายไปเอง” เด็ดเดี่ยวกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่คุณยายพูดแทรกขึ้นมาก่อนเสียงเข้ม จนคนเป็นหลานไม่กล้าขัด ต้นกล้าผละออกจากอกคุณนภา เดินหน้าบึ้งตึงไปทางบันไดเรือน นำชายหนุ่มลงไปก่อน

“ผมลาล่ะครับคุณยายคุณอาทั้งสอง”

ต้นกล้าเดินมารอที่รถด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ จนเจ้าของรถนึกขำในใจ นี่คงฝืนตัวเองมาก ที่ต้องลงมาส่งแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขาตามคำสั่งของคุณยายและคุณนภา

“กลับล่ะ ขอบใจนะที่ลงมาส่ง”

“ชิ ทีหลังไม่ต้องมาให้เห็นหน้ายิ่งดี”

“หา อะไรนะ” เด็ดเดี่ยวเปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่คนขับแกล้งไม่ได้ยิน ใจนึกอยากกวนอารมณ์คนเล่นก่อนกลับ

“บอกว่าวันหลังไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกได้ยิ่งดี!” ต้นกล้าบอกเสียงดังฟังชัด แต่คนฟังหน้ามึนกลับตีหน้านิ่ง แต่สายตาแวววาวจนน่าหมั่นไส้

“อือ ถ้าพี่ไม่เข้ามาอย่ามานั่งคิดถึงก็แล้วกัน” พูดจบยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างกวนประสาท ต้นกล้ากัดฟันแน่นใกล้หมดความอดทน สำคัญตัวเองผิดไปแล้ว หน้าอย่างนี้คงมีคนคิดถึงอยู่หรอก แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่ต้นกล้าแน่นอน

ฝันไปเถอะ!

“พี่กลับนะครับเด็กน้อย” เด็ดเดี่ยวยื่นมือออกมาวางบนหัวแดง ๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้างรถ แล้วโยกพร้อมกับขยี้เส้นผมไม่แรงมากนัก แค่โยกนิดโยกหน่อยจนหัวสั่นหัวคลอนอย่างเอ็นดู แล้วขับรถออกไปทันที ต้นกล้าได้แต่ยืนอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลยไม่ทันได้โวยวายที่ถูกกระทำเหมือนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

เด็ดเดี่ยวขับรถไปยิ้มไปอย่างไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นึกแปลกใจกับอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้เจอต้นกล้า โดยไม่รู้ว่าชีวิตของเขาหลังจากนี้ ยิ่งจะมีสิ่งที่ทำให้แปลกใจมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เสียอีก

/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/
สงสารต้นกล้าาาา  :hao5: :m15: :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 3 ลองของ (เด็ด) 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-11-2018 08:43:05
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่ 40% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 01-11-2018 21:40:22
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า

เริ่มวันใหม่กับท้องฟ้าครึ้ม ๆ เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งจะมาหยุดเอาตอนค่อนรุ่งนี่เอง บรรยากาศแบบนี้ช่วยให้ต้นกล้าหลับสบายจนถึงเช้า คนเพิ่งตื่นนอนบิดร่างกายพลิกไปซ้ายทีขวาทีอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นมารับวันใหม่แบบเต็มตื่น ดวงตาดำขลับสุกใสมีแววสวยส่องประกายระยับ เพราะได้หลับสนิทมาทั้งคืน

ผ่านไปสามวันแล้วตั้งแต่วันที่ต้นกล้าออกไปดูไร่มันกับเด็ดเดี่ยว เป็นสามวันที่หนุ่มหัวแดงมีความสุขมาก เพราะไม่มีคนตัวโตหน้ามึน ๆ โผล่มาทำอะไรให้รำคาญใจจนลืมไปเลย

นอนกลิ้งไปกลิ้งมาครู่ใหญ่ก็ได้เวลาเคลื่อนตัวลงจากเตียง เพราะตะวันขึ้นจนสายโด่ง จะให้นอนต่อต้นกล้าก็ทำไม่ไหว มันตื่นเต็มตาหลังจากได้นอนเต็มอิ่ม ร่างกายจึงค่อนข้างกระฉับกระเฉง และกระหายการเคลื่อนไหว คน (ที่คิดตัวเอง) หล่อที่สุด ลากสังขารลุกขึ้นจากที่นอนเดินเข้าห้องน้ำ จัดการกับกิจวัตรประจำวันทุกอย่างจนเสร็จ แล้วเดินออกจากห้องนอนมา

“กู้ดมอร์นิ่งครับคุณยาย” เห็นคุณยายกำลังเอกเขนกบนเก้าอี้หวายตัวโปรด ต้นกล้าปรี่เข้าไปหาหน้าระรื่น

“ตื่นแต่เช้าเลยนะเจ้ากล้า” คุณยายอ้าแขนรับ ให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนได้เข้าไปกอดไปออดอ้อน

“ครับคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ล่ะครับตื่นหรือยัง” ฟอด ถามเสร็จก็หอมแก้มคุณยายไปหนึ่งที เป็นการปิดท้าย

“แม่เขาทำมื้อเช้าอยู่ในครัวกับแม่แจ่มใจน่ะ ส่วนพ่อเราลงไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านแต่เช้าแล้ว” คุณยายผู้ใจดีบอกพลางเอามือลูบหัวหลานชายอย่างเอ็นดู “แล้วเราล่ะไม่ไปช่วยในครัวเขาหน่อยหรือไง” คุณยายก็ช่างถามในสิ่งที่คนเป็นหลานหนักใจยิ่ง

“โอยไม่ไหวจริง ๆ ครับคุณยาย ให้กล้าทำอย่างอื่นแทนเถอะนะครับ” ปกติต้นกล้าก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะตัวเองมีหน้าที่รอกินอย่างเดียว จึงได้แต่โอดครวญทีเล่นทีจริง

“มีเสน่ห์ปลายจวักติดตัวบ้างก็ดีนะเจ้ากล้า มันจะ...”

“ไม่เอาครับคุณยาย ขืนต้นกล้าเข้าครัวไฟได้ไหม้บ้านพอดี แล้วอะไรคือเสน่ห์ปลายจวัก เขาเอาไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ใช่หรือไงครับ” คุณยายพูดยังไม่ทันได้จบคำดี ต้นกล้าก็รีบประท้วงขึ้นก่อน เรื่องงานเรือนงานครัวนี้ต้นกล้าไม่เอาด้วยจริง ๆ คุณยายเลยได้แต่ส่ายหัว เพราะอยู่ที่นี่ถึงจะมีแม่แจ่มใจเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินให้ แต่อย่างน้อยต้นกล้าก็ควรจะรู้จักทำอาหารง่าย ๆ ให้ตัวเอง เผื่อไม่มีใครอยู่จะได้ไม่ต้องลำบาก

“แล้วคุณยายไม่ไปเดินเล่นบ้างเหรอครับ ปะกล้าพาไปนะครับ”

“เออแหนะถนัดจริง ๆ นะเอาใจคนแก่งั้นก็ไปสิ” ว่าแล้วคุณยายก็เตรียมตัวลุกขึ้น มีหลานชายหัวแก้วหัวแหวนสุดรักสุดใคร่ คอยประคอง

“ใช่ฮะเรื่องแบบนี้กล้าเก่ง ปะค่อย ๆ เดินนะครับ” ต้นกล้าประคองคุณยายลงมาเดินเล่นแถวสวนหน้าบ้าน ยอดหญ้าเปียกชุ่มเพราะฝนตก กำลังชมนกชมไม้ชมสวนเพลิน ๆ ประสายายหลาน รถกระบะสองตอนคันใหญ่ ก็ขับเข้ามาในบริเวณบ้านจอดลงใต้ต้นมะม่วงพอดี

“นั่นรถพ่อกำนันนี่” พอคนที่อยู่บนรถเปิดประตูลงมา ก็เป็นจริงอย่างที่คุณยายบอก กำนันอาจหาญลงรถมาจากที่นั่งข้างคนขับ ท่าทางสง่าผ่าเผยและน่าเกรงขาม นั่นเองเป็นต้นแบบที่ลูกชายอย่างเด็ดเดี่ยว ถอดมาจากคนเป็นพ่อทุกกระเบียด เด็ดเดี่ยวทำหน้าที่คนขับรถตามลงมาทีหลัง ทั้งสองมองเห็นคุณยายและคุณหลานจึงส่งยิ้มให้มาแต่ไกล

“สวัสดีครับคุณป้า” กำนันอาจหาญเอ่ยทักทายคุณยายประไพศรี เมื่อเดินมาถึงก่อนตามด้วยเด็ดเดี่ยว

“สวัสดีครับคุณยาย” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างอ่อนน้อม แล้วค่อยหันมายิ้มหล่อทักทายคนตัวเล็กกว่า แต่คนหล่อจากบางกอกกลับสะบัดหน้าหันหนี จนผมแดง ๆ นั่นสะบัดตาม ต้นกล้าเมินไปทางอื่นทำเป็นไม่เห็น คนตัวสูงจึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ ให้เพราะคุณยายกำลังมองอยู่ เขาทำเหมือนไม่ถือสาว่าอะไรแต่ในใจคิดแผนเอาคืน นี่อุตส่าห์หายไปตั้งสามวันเชียวนะ ไม่คิดถึงกันบ้างหรืออย่างไร รู้ไหมว่าเขาเองยังเผลอคิดถึงเจ้าตัวแสบอยู่เลยในบางครั้ง ความนุ่มละมุนของผมแดง ๆ ที่เขาได้สัมผัสวันนั้น ยังเหมือนติดอยู่ที่มือจนถึงวันนี้

“ผมได้ข่าวว่าน้องนภากลับมาบ้านเลยแวะมาเยี่ยมครับ” กำนันอาจหาญบอกจุดประสงค์ของการมา น้ำเสียงเมื่อเอ่ยชื่อคุณแม่ของต้นกล้าฟังแล้วช่างนุ่มนวลเสียเหลือเกิน

“อ๋อ ใช่จ้ะ มาได้สองสามวันแล้วล่ะ ตอนนี้แม่นภาทำอาหารเช้าอยู่เดี๋ยวก็คงเสร็จ พอดีล่ะพ่อกำนันมาจะได้กินข้าวเช้าด้วยกันเลยนะ” คุณยายบอกแล้วหันไปหาหลานตัวเองสะกิดบอก “เจ้ากล้านี่พ่อกำนันของพี่เดี่ยวเขาไง”

“สวัสดีครับคุณลุง” ต้นกล้ายกมือไหว้ทักทาย กำนันอาจหาญรับไหว้พลางพิจารณาใบหน้าหล่อปนหวาน เผลอคิดถึงวันเก่า เมื่อเห็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับใครบางคน ที่กำนันเคยคิดว่าหลงใหลได้ปลื้มเป็นยิ่งนัก ผิดก็แต่ที่ว่าใบหน้านี้อยู่ในแบบของผู้ชายเท่านั้นเอง

“นี่คงเป็นลูกของน้องนภาสินะครับ” กำนันเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางมือลงบนหัวทุย ที่ปกคลุมไปด้วยผมหนาเส้นเล็กซอยสั้น และทำสีแดงเข้มอย่างนึกเอ็นดู เจ้าของหัวแดง ๆ ก็ได้แต่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

“ใช่ นี่ต้นกล้าลูกชายคนเดียวของแม่นภาเขา”

“ได้เค้าหน้าแม่มาหมดเลยนะครับเนี่ย หน้าหวานเชียว” ใคร ๆ ก็บอกว่าต้นกล้าหน้าหวาน บางคนก็บอกหล่อปนหวานแต่ต้นกล้าอยากให้บอกแค่หล่อเฉย ๆ ก็พอ สาว ๆ ก็กรี๊ดในความหล่อของต้นกล้าทั้งนั้น ทำไมผู้ใหญ่ถึงได้เอาแต่บอกว่าเขาหน้าหวานกันนะ คนหล่อชักไม่สบอารมณ์

“ไปไหนกันมาแต่เช้าล่ะพ่อเดี่ยว หายหน้าไปหลายวันไม่แวะมาคุยกับยายเลยนะ” คุณยายหันไปถามเด็ดเดี่ยว เมื่อนึกได้ว่าชายหนุ่มไม่แวะมาคุยกับนางได้สองสามวันแล้ว

“พอดีมีงานที่ไร่ครับ ต้องเข้าอำเภอทุกวันด้วยช่วงนี้ผมเลยยุ่ง ๆ ” เด็ดเดี่ยวตอบแต่สายตาแอบชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ข้างคุณยาย ที่ยังทำเฉยไม่สนใจการมาของเขาสักนิด การที่เด็ดเดี่ยวหายหน้าไปอาจจะเข้าทางต้นกล้าเพราะไม่มีใครคอยกวน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จากนี้ไปเขาจะมาที่นี่ให้บ่อยขึ้น

“หัวหมุนเลยสิแล้วเมื่อไหร่จะหาคนมาช่วยละ พ่อกำนันไม่อยากได้ลูกสะใภ้แย่แล้วเหรอ หมายตาใครไว้บอกนะเดี๋ยวยายจะไปขอให้เอง” คุณยายประไพศรีนั้นบอกยิ้ม ๆ หันไปพยักพเยิดกับกำนันอาจหาญ แต่คนถูกถามกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาเฉย ๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็น เจอคำถามทำนองนี้มาก็เยอะแต่ไม่เคยรู้สึกแปลก ๆ อย่างนี้มาก่อน ช่วงนี้เด็ดเดี่ยวชักรู้สึกแปลก ๆ บ่อยเกินไปแล้ว

หนุ่มบ้านทุ่งแก้ความประหม่าด้วยการทำเหมือนกระแอมกระไอแล้วจึงตอบ

“ยังไม่หมายตาใครครับ” อดเหลือบมองหนุ่มกรุงที่ยืนอยู่ข้างคุณยายไม่ได้ ไม่รู้ทำไมต้องมอง อยู่ดี ๆ ก็อยากเห็นว่าอีกคนจะทำสีหน้าอย่างไรกับคำตอบของเขา

“ให้มันได้อย่างนั้นสิ เดี๋ยวเสียชื่อเสือร้ายอย่างกำนันอาจหาญหมดนะ สมัยหนุ่มพ่อกำนันใช่ย่อยที่ไหน”

“แหมคุณป้าครับ สมัยนั้นผมก็พอตัวนะครับ” แล้วเรื่องราวสมัยหนุ่ม ๆ ของกำนันอาจหาญก็ถูกหยิบมาเป็นหัวข้อสนทนาอีกเป็นครู่ จนเห็นว่าคุณยายประไพศรียืนนานแล้วนั่นแหละ เด็ดเดี่ยวจึงบอก

“คุณยายยืนนานแล้วเมื่อยหรือเปล่าครับ มาเดี๋ยวผมพาไปนั่งใต้ถุนเรือนตรงนั้นดีกว่า”

“ไปนั่งคุยกันตรงนั้นก็ดีเหมือนกันนะ มาพ่อกำนันมา” คุณยายเดินเข้าไปใต้ถุนเรือน ต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวคอยพยุงคนละข้างแข่งกันเอาใจ

“กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะพ่อกำนัน ถ้ายังเดี๋ยวกินด้วยกันนะ แม่นภาเขากำลังทำอยู่คงใกล้เสร็จแล้วล่ะ” เพราะเป็นคนกันเองที่ไปมาหาสู่กันเสมอ กำนันอาจหาญก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ออกจากบ้านกับลูกชายมาทำธุระช่วยชาวบ้านก็ตั้งแต่เช้าตรู่ ข้าวปลาหรือจะทันได้กิน

“เดี๋ยวว่าจะกลับไปกินที่บ้านครับ ป่านนี้ดาวรุ่งมันคงทำอะไรไว้รอแล้ว”

“นี่ก็สายมากแล้วนะพ่อกำนัน กินด้วยกันที่นี่ก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ พ่อเดี่ยวนี่ก็เหมือนลูกเหมือนหลาน จะไปจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ วันนี้กินด้วยกันที่นี่นะลูก” ชายหนุ่มเพียงยิ้มรับแต่พอมองเลยไปยังหลานชายตัวดีของคุณยาย กลับได้รับการเบ้ปากหน้าบึ้งตาขวางให้เสียอย่างนั้น

“ได้ยินเสียงคุยกันดังเข้าไปถึงในครัว นึกว่าใครมาที่แท้ก็พี่หาญนี่เอง” เสียงหวานดังขึ้นก่อนตัวจะเดินเข้ามาถึง และนั่นทำให้คนที่ได้รับการเอ่ยทักหัวใจพองโต รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“น้องนภา” กำนันหันไปส่งยิ้มหวานทักทายอดีตสาวงามประจำหมู่บ้าน ที่เขาเคยหลงใหลได้ปลื้มหมายปอง “สวัสดีจ้ะ น้องนภาสบายหรือเปล่า ยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“สบายดีจ้ะ แล้วพี่กำนันล่ะเป็นยังไงบ้าง ยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเหมือนกันนะ”

“พี่สบายดี” กำนันยิ้มค้างใจเผลอคิดไปถึงสมัยยังรุ่นหนุ่ม ที่ตามจีบนภากานต์เอาเป็นเอาตาย ทำทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะใจสาวเจ้าให้ได้ แม้จะมีไอ้หนุ่มบ้านเดียวกันและต่างบ้านมาเป็นคู่แข่งอีกหลายคน หนุ่มน้อยอาจหาญลูกชายผู้ใหญ่บ้านมีหรือจะกลัวเกรง แต่เขาคงไม่ใช่พระเอกตัวจริงของเรื่อง จึงพ่ายแพ้ให้กับหนุ่มกรุงผู้ได้ใจดอกฟ้าไปครอง ตัวเขาเองก็เจอพิษรักแรกพบจนไปไหนไม่รอด

อารมณ์ที่กำลังเคลิ้มเมื่อรำลึกถึงความหลังพลันสะดุดหยุดชะงักกึก เมื่อเจ้าของตัวจริงเสียงจริงของอดีตสาวงามมายืนข้าง ๆ วาดท่อนแขนโอบไหล่อย่างถือสิทธิ์

“นึกว่าใครแกเองเหรออาจหาญ” คุณกวินทัก หลังจากยืนสังเกตการณ์และแอบฟังอยู่เป็นครู่ จนเห็นไอ้กำนันบ้านนอกจ้องมองภรรยาของเขาผ่านนัยน์ตาหวานเชื่อมหยดย้อย มันดูหยาดเยิ้มชวนฝันเกินพอดีจนอดหมั่นไส้ไม่ได้ ต้องเดินเข้ามาประกาศศักดา ว่าข้านี่แหละพระเอกตัวจริง!

“ใช่ฉันเองกำนันอาจหาญ ตรัยรัตนาแห่งบ้านทุ่งดอกจาน สบายดีไหมกวิน” กำนันทักทายกลับ ต่างคนต่างเขม่นและข่มกันอยู่ในที ตามองตาไม่มีใครยอมใคร คุณนภามองหนุ่มใหญ่ทั้งสองสลับกันไปมา ให้รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ กี่ปีต่อกี่ปีสองคนนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ยอมลงรอยและเขม่นใส่กันยังไง ก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้นทุกทีที่เจอหน้า แม้ไม่ได้แสดงออกเต็มที่ว่าเกลียดกัน แต่วาจาที่ใช้สนทนาจิกกัดนั้น พอจะบอกได้ว่าทั้งสองไม่ค่อยอยากจะมองหน้ากันเท่าไหร่นัก

“สบายดี”

“พ่อกวินมาก็ดีแล้ว ไป ไปกินข้าวเช้ากัน” คุณยายประไพศรีตัดบท อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมูที่แม่แจ่มใจกำลังตักแบ่งใส่ถ้วยสำหรับทุกคน คุณกวินไม่ยอมห่างคุณนภาผู้เป็นภรรยา เมื่อกำนันอาจหาญทำท่าจะเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างเมียรัก ก็เดินเข้ามานั่งแทรกกลางระหว่างทั้งสองหน้าตาเฉย

“เจ้ากล้ามานั่งข้างยายตรงนี้มา” เพราะเห็นว่าต้นกล้ายังไม่รู้จะนั่งลงตรงไหนจึงจัดแจงที่นั่งให้เสียเลยจนลงตัว “พ่อเดี่ยวมานั่งข้างน้องนี่ลูก นั่งลงตรงนี้”

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวันนี้ มันคุกรุ่นแปลก ๆ โดยเฉพาะทางฝั่งของสองหนุ่มใหญ่ที่นั่งเขม่นกัน ส่วนต้นกล้านั่งระหว่างคุณยายกับเด็ดเดี่ยว จำต้องฟังเรื่องที่ทั้งสองคุย และคอยเออออไปด้วยเมื่อถูกถามความเห็น คนหล่อไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่หรอก ที่คุณยายแสดงความชอบอกชอบใจไอ้หนุ่มบ้านทุ่ง จนเกินหน้าเกินตาหลานตัวจริง โดยเฉพาะความเก่งรอบด้านของเด็ดเดี่ยว และย้ำให้ดูพี่เขาเป็นตัวอย่าง ยิ่งทำให้ต้นกล้าไม่ชอบหน้าอีกคนเข้าไปใหญ่ แต่เท่าที่ทำได้ก็แค่เก็บไว้ในใจแบบเซ็ง ๆ

ยิ่งคุยเด็ดเดี่ยวยิ่งยิ้มกว้างต้นกล้าก็ยิ่งหมั่นไส้ ทั้งเบะปากล้อเลียนคำพูด ทั้งส่งสายตาจิกค้อนจนปวดเบ้าตาไปหมด พอทำอะไรไม่ได้ก็หันมาก้มหน้าก้มตากิน แต่เพียงไม่กี่คำก็วงช้อนลงยกน้ำขึ้นดื่ม

“เจ้ากล้า อิ่มแล้วหรือไง”

“ครับ กล้ากินไม่ค่อยลงเท่าไหร่มันฝืด ๆ คอยังไงก็ไม่รู้ครับคุณยาย” พูดจบก็ปรายตามองคนที่นั่งอีกข้าง ๆ เหมือนจะบอกว่าเพราะเด็ดเดี่ยวนั่นแหละ เลยทำให้ต้นกล้าไม่เจริญอาหาร

“ก็ว่าจะกลับพรุ่งนี้แต่เช้าล่ะจ้ะพี่หาญ” แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ หูแว่วได้ยินเสียงคุณนภาคุยกับกำนันอาจหาญดังแทรกเข้ามาก่อน

“อะไรนะครับคุณแม่”

“แม่เพิ่งบอกลุงกำนันไปจ้ะว่าพรุ่งนี้พ่อกับแม่จะกลับกรุงเทพแล้ว”

“กลับพรุ่งนี้! ทำไมกลับเร็วจังเลยครับกล้ายังไม่หายคิดถึงเลย”

“ต้องรีบพาคุณยายไปหาหมอไงลูก แม่ไม่อยากรอ เผื่อมีอะไรจะได้รักษาทันจริงไหมคะคุณพี่”

“จริงที่สุดจ้ะ” คุณกวินรีบเอาหน้าตอบเห็นด้วยทันที ปากแสยะยิ้มโปรยไปถึงอีกคนที่นั่งตาร้อนอยู่ข้าง ๆ

พอคิดว่าต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว ต้นกล้าเลยสีหน้าหม่นลง ทั้งที่ในใจก็เป็นห่วงคุณยายอยู่ไม่น้อย อยากงอแงเอาแต่ใจก็ทำไม่ได้ เพราะใครบางคนกำลังจับตามอง

“เจ้ากล้าก็อยู่ดูแลที่นี่แทนคุณยายนะ” คุณกวินย้ำใจจริงอยากกลับกรุงเทพมันตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ ไอ้กำนันบ้านนอกจะได้ไม่ต้องมาวอแวกับดอกฟ้าของเขาอีก

“ครับคุณพ่อ”

“ยังไงยายฝากพ่อเดี่ยวด้วยก็แล้วกัน วันไหนว่าง ๆ ก็แวะมาดูน้องบ้างนะลูก”

“ครับคุณยาย” เขายิ้มกว้างอย่างเต็มใจ แต่พอเหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ ก็เจอเข้ากับสายตาดุไม่พอใจ เล่นเอาเด็ดเดี่ยวเกือบสะดุ้ง ดีที่ยั้งตัวไว้ทัน

เด็ดเดี่ยวยักคิ้วยียวนท่าทางกวนอารมณ์ จนต้นกล้าต้องเม้มปากแน่น ทั้งที่อยากด่าอยากเกรี้ยวกราดใส่ใจแทบขาด

“กล้าอยู่ได้ครับคุณยาย ไม่ต้องรบกวนคนอึ...ไม่รบกวนพี่เดี่ยวหรอกครับ แหะ ๆ ” ท้ายประโยคต้นกล้าพูดด้วยเสียงแผ่ว หัวเราะแก้เก้อแต่พอน่ารัก เพื่อไม่ให้คุณยายที่รู้ทันเจ้าหลานตัวดีคาดโทษ

“แค่พ่อเดี่ยวรับปากยายก็เบาใจแล้ว ขอบใจนะลูก”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” ตาสวยคู่นั้นตวัดมองขวางทันทีที่เขาพูดจบ เด็ดเดี่ยวเพียงยิ้มมุมปาก รู้ทั้งรู้ว่าต้นกล้าไม่ชอบ แต่ยิ่งไม่ชอบยิ่งจะหาเรื่องพูดบ่อย ๆ



“คุณยายครับ กล้าขอตัวนะครับ”

“จะไปไหนล่ะ”

“ไปเดินเล่นท้ายสวนครับ เห็นคนงานเขาทำอะไรกันอยู่ไม่รู้ก้ม ๆ เงย ๆ แต่เช้า เลยว่าจะไปดูสักหน่อย”

“คงจะถอนกล้าเตรียมดำนากันล่ะมั้ง” คุณยายบอกเห็นเป็นเรื่องปกติ ผิดกับคนเป็นหลานที่สีหน้าแปลกใจ

“เหรอครับคุณยาย แล้วทำไมต้องดำล่ะครับ ทำสีอื่นไม่ได้เหรอ กล้าเห็นเขียวกันอยู่เต็มทุ่ง!” เด็ดเดี่ยวเกือบหลุดขำพรืดแล้ว ดีที่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน กระนั้นตาสวยยังตวัดมองขวางขุ่นไม่พอใจอยู่ดี ต้นกล้าพาซื่อถามคุณยายเพราะไม่รู้จริง ๆ แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มขำปนเอ็นดูจากผู้ใหญ่ทุกคน

“ทำนามันก็ต้องมีปักมีดำสิลูก ไม่ใช่สีดำสีแดงอะไรหรอกมันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการปลูกข้าว” กำนันอาจหาญไขข้อข้องใจให้ “อยากลองดำนาดูไหมล่ะ”

“น่าสนใจมากครับ แต่จะไหวเหรอครับ ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย” เป็นเพียงคำตอบสร้างภาพที่ตอบไปอย่างนั้นเอง ต้นกล้าไม่คิดว่าตัวเองจะสนใจนักหรอก แม้จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างแต่ก็เพียงน้อยนิด นิดเดียวจริง ๆ

“คนเราทุกคนมันก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละลูกเอ๊ย ลองดูไม่เสียหายหรอก เกษตรกรรมมันเป็นอาชีพหลักของคนไทยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลุงนี่ภูมิใจจริง ๆ ที่เกิดมาเป็นชาวไร่ชาวนา แค่มีที่ดินทำกิน จะมากจะน้อยลองว่าไม่เกียจคร้านก็ไม่มีคำว่าอดตายหรอกลูกจำไว้นะ” ว่าแล้วก็ยิ้มภูมิใจโปรยให้ทุกคน คุณยายและคุณนภาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แม้แต่คู่ปรับอย่างคุณกวินยังมีแววตายอมรับอยู่ในทีกับคำพูดของกำนัน

เด็ดเดี่ยวยิ้มภาคภูมิใจในตัวพ่อผู้เป็นต้นแบบของเขา ซึ่งถ้าจะเรียกให้เข้ากับยุคสมัยก็ต้องบอกว่า กำนันอาจหาญนี่แหละคือไอดอลเพียงคนเดียวของเด็ดเดี่ยว ทุกคนรู้ว่ากำนันอาจหาญนั้นไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาธรรมดา ปริญญาตรีรัฐศาสตร์การปกครอง พ่วงด้วยปริญญาโทรัฐประสานศาสตร์อีกใบ นี่ร่ำ ๆ จะต่อปริญญาเอกอีกสักใบอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่คิดว่าจะหนักจนเกินไป แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยคุยโวโอ้อวดเบ่งทับใครในดีกรีของตัวเอง เป็นกำนันก็มีแต่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อต่อชาวบ้าน พัฒนาบ้านเกิดและหมู่บ้านในความดูแลอย่างทั่วถึง จนผู้คนรักใคร่นับหน้าถือตากันทั้งนั้น

กำนันส่งเสียงข้ามโต๊ะสั่งลูกชาย “ไอ้เดี่ยวพาน้องไปดูเขาทำงานหน่อยไป”

“มะ...”

“ได้ครับ” คนตัวเล็กกว่าหันขวับไปทางเด็ดเดี่ยว เพราะอยากไปเดินเล่นคนเดียว ที่ทำเป็นสนใจการทำนาก็แค่ข้ออ้าง แต่อีกคนกลับลอยหน้าลอยตารับคำ ไม่สนใจปฏิกิริยาของต้นกล้า มุมปากหรือก็ยกยิ้มน้อย ๆ ที่เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังสนุกกับการแกล้ง

หนุ่มหัวแดงเดินหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ มือถือไม้ฟาดซ้ายทีขวาทีไปตามยอดหญ้าข้างทางเป็นการระบาย โดยมีคนหน้ามึนเดินตามหลังมาด้วยอย่างกับเงาตามตัว

ฮึ่ม! อยากเดินชมนกชมไม้คนเดียวสักหน่อยก็ไม่ได้ บ่น ๆ ตอนนี้ต้นกล้าทำได้แค่บ่น แถมยังต้องบ่นเบา ๆ อีกด้วย

“บ่นอะไรงึมงำคนเดียว” เด็ดเดี่ยวทำลายความเงียบ ทั้งที่เดินตามมาตั้งนานไม่ยักจะพูดอะไร

“ยุ่ง” แล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเดินตามไปเงียบ ๆ ช่วงสายของวันแดดไม่แรงมากนัก ต้นกล้าก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ได้มีอารมณ์มองบรรยากาศรอบตัวเลยจนกระทั่ง...

“เฮ้ย!” หยุดตัวเองแทบไม่ทัน ต้นกล้าเกือบจะเดินตกลงไปในหนองน้ำข้างหน้าอยู่แล้ว ทำไมคันนาที่เดินมาดี ๆ ทางเดินดันขาดไปเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ทำให้ร่างที่จ้ำเดินมาเร็วๆ หยุดกึกลงแบบทันทีทันใดจนเสียการทรงตัว หนุ่มหัวแดงยืนโงนเงนกำลังจะตกมิตกแหล่ ก็พอดีที่ข้อมือถูกคนที่เดินตามหลังมาคว้าไว้ได้ทัน

“ฮึ้บ” ปึก! “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อรั้งแขนคนตัวเล็กกว่า ที่ยืนหมิ่นเหม่ริมคันนาไว้ได้ทัน แต่พอเห็นว่าต้นกล้ายังยักแย่ยักยันตั้งหลักไม่ได้ จึงกระชากกลับมาหาตัวเอง แต่ร่างบาง ๆ นั่นดันปลิวหวือเข้ามาชนหน้าอกกว้างอย่างจัง

“เฮ้ย! “ต้นกล้ายกมือคว้าต้นคอคนตัวสูงไว้เพื่อพยุงตัว แต่ด้วยน้ำหนักที่ทิ้งลงมาทั้งหมด เด็ดเดี่ยวถึงกับเซไปข้างหลัง เขาตวัดแขนเกี่ยวเอวบาง ขาแข็งแรงยันพื้นทรงตัว เลยกลายเป็นว่าตอนนี้สองหนุ่มยืนโอบกันอยู่กลางทุ่ง

“นี่ปล่อยนะโว้ยไอ้คนหน้ามึน” ต้นกล้ารีบผลักอกล่ำ ๆ ออกห่างจ้องเด็ดเดี่ยวตาดุ สองข้างแก้มซับสีแดงระเรื่อ

“อ้าว ก็เห็นอยู่ว่าใครกอดใครก่อนยังจะมาว่าพี่อีกเหรอ”

“ฉวยโอกาสล่ะสิไม่ว่า”

“คนที่มากอดพี่ก่อนหรือเปล่าที่ฉวยโอกาส แอบคิดอะไรกับพี่ใช่ไหมเนี่ย”

“บ้าเถอะ” ใครจะไปคิดลง

เด็ดเดี่ยวอมยิ้มมองคนแสนรั้นที่กำลังเชิดหน้าหยิ่งอย่างมันเขี้ยว อุตส่าห์แหย่ขนาดนี้แล้ว มีไหมที่จะพูดกันดี ๆ บ้าง

“เฮ้อ เด็กจริงอะไรจริงว่ะ” บ่นพึมพำคนเดียวแล้วหันหน้าไปทางอื่น รู้ว่าพูดแบบนี้ต้นกล้าอาจมีของขึ้นได้แต่กลับผิดคาด นอกจากต้นกล้าจะไม่ตอบโต้ ยังสะบัดหน้าหันกลับไปทางเดิมจะเดินหนี แต่...

"อ้ากกกก"!! ร่างสูงโปร่งผงะถอยหลังเพราะความตกใจ เมื่อหันมาเจอเข้ากับจมูกใหญ่ ๆ ดำ ๆ มีน้ำเหนียวเหนอะเอ่อคลอจนเปียกแฉะ มันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีเขาโค้งโง้งยาว มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกแทบชนเข้ากับใบหน้าหล่อ ๆ ของต้นกล้า

จากการผงะถอยอย่างรวดเร็ว แม้จะชนเข้ากับร่างแข็งแกร่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง แต่ด้วยความตกใจ ขาของต้นกล้าก็ยังก้าวไม่หยุด ทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวก้าวถอยไปด้วย แต่ตรงที่ทั้งสองยืนอยู่นี้เป็นเพียงคันนา พื้นที่ทางเดินไม่ได้กว้างขนาดที่จะก้าวสะเปะสะปะตามใจได้ พอก้าวถอยหลังเร็ว ๆ ไม่ได้ดูทาง จึงทำให้เท้าเหยียบพลาดและเสียหลัก แต่ก่อนที่คนตัวสูงจะหงายหลังตกลงไป มือดันไปคว้าเกี่ยวเอาเอวบางของต้นกล้าติดลงมาด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าทั้งสองตกลงไปในท้องนา ด้วยกันจนขาชี้ฟ้าโด่เด่

ตูม!!

หนุ่มหล่อเกาหลีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง เพราะร่างกายถูกสวมกอดจากด้านหลัง จึงกลายเป็นว่า ตอนนี้ต้นกล้านอนหงายอยู่บนตัวของเด็ดเดี่ยว ที่จมลงไปในโคลนทั้งตัว พอคนกอดยอมปล่อยเอวบางนั่นแหละ ต้นกล้าจึงได้ตะเกียงจะกายลงจากร่างหนา และนั่งจุ่มปุกจมโคลนเหม็นอยู่ตรงนั้นอย่างเจ็บใจ

“ยี้เหม็นแหวะ เปียกไปหมดเพราะนายคนเดียวเลย” ต้นกล้ายกมือที่เปื้อนโคลนขึ้นมาดม พบว่ามันเหม็นมากจนแทบจะอาเจียนออกมา เหลือบมองคนที่ทำให้ตกลงมาด้วยกัน ก็ได้เห็นใบหน้าที่กำลังกลั้นขำอย่างน่าหมั่นไส้

ไม่รอช้าให้เสียเวลา ต้นกล้าป้ายมือที่มีแต่โคลนลงไปโปะบนใบหน้าคมคร้ามแดดของเด็ดเดี่ยว จนใบหน้าหล่อคมคายเลอะดินโคลนเละ ๆ เต็มไปหมด

“นี่แน่”

“อ้าว เล่นอะไรเนี่ย แค่นี้ก็เลอะไปหมดแล้วนะ”

“ดีสมน้ำหน้าอยากซุ่มซ่ามทำไม” ว่าพลางพยุงตัวลุกขึ้นจากปลักโคลน แต่มันช่างยากลำบากจริง ๆ เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรให้ดึงรั้งตัวขึ้นไปได้เลย นอกจากโคลนลื่น ๆ จนเจ้าของร่างโปร่งหมดความพยายาม นั่งแหมะลงในขี้ตมเหมือนเดิม ทุ่งนาที่ทั้งสองตกลงมาเป็นหล่มปลัก ที่ควายตัวใหญ่ชอบมานอนเกลือกกลิ้งเล่น บริเวณนี้จึงเป็นแอ่งที่ลึกพอสมควร และยังเต็มไปด้วยโคลนดินเหนียวที่หนืดมาก จนเหมือนมีแรงดูดอยู่ข้างล่าง

เด็ดเดี่ยวหัวเราะชอบใจที่เห็นต้นกล้าหน้างอเป็นจวักเพราะปีนขึ้นไม่ได้ ต้นกล้าตวัดสายตามองกลับตาเขียว จนเด็ดเดี่ยวนหุบยิ้มแทบไม่ทัน

ทั้งที่ไม่ใช่ต้นเหตุ ยังโดนต่อว่าทางสายตาจิกกัด แต่ไม่รู้ทำไมถึงยอมลงให้เจ้าหนุ่มตัวหัวแดงจากเมืองกรุงคนนี้ทุกที เด็ดเดี่ยวคิดพลางลุกจากปลักโคลน ปีนขึ้นไปนั่งบนคันนาอย่างง่ายดาย เขามองไอ้ตัวมีเขาที่ร่างกายของมันเต็มไปด้วยโคลนดิน ต้นเหตุที่ทำให้ต้นกล้าตกใจ ตอนนี้กำลังเล็มหญ้าบนคันนาตามประสา ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วยเลยสักนิด ชายหนุ่มลากสายตากลับมามองคนที่ยังจมอยู่ในโคลนเหม็น ใบหน้าหล่อใสเปื้อนโคลนข้างแก้มซ้าย ผมสีแดงกับผิวขาว ๆ ทำให้ภาพของต้นกล้าดูสว่างไสว แต่ยังไงมันก็ดูไม่เข้ากันสักนิดกับโคลนดินเหนียวสีเทาดำ ที่ร่างกายของต้นกล้าฝังอยู่ในนั้นเสียครึ่งตัว

เด็ดเดี่ยวนั่งมองเพลินแล้วเผลอยิ้มออกมา โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มและสายตาของตัวเองมันแปลกไป ทั้งที่คนอยู่ในปลักยังมองค้อนตาขวาง

ต้นกล้าพยายามจะขึ้นจากปลัก สองมือเล็กคว้าต้นหญ้าแถวนั้นเพื่อรั้งตัว แต่เหมือนมันจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อหญ้าที่คว้ามาได้เท่าไหร่ก็หลุดขาดติดมือมาเท่านั้น คนหน้ามึนนั่นยังปืนขึ้นไปได้ง่าย ๆ แล้วทำไมต้นกล้าจะทำบ้างไม่ได้ เหลือบตามองอีกคนอย่างไม่พอใจ เด็ดเดี่ยวก็มองตอบกลับมาอย่างท้าทายเสียด้วย ต้นกล้าสาวมือกำหญ้าข้างปลักโคลนมาเต็มกำมือ แต่เมื่อเหนี่ยวตัวจะลุกขึ้น หญ้ามันก็ขาดติดมือมาหมดเหมือนเดิม เล่นเอาแทบหงายหลังให้ได้อายอีกรอบ

แล้วจะทำยังไงดีคิดสิวะไอ้กล้า คิดหาวิธีสิ มันต้องมีสักทางล่ะน่า คิด ๆ และคิด แล้ววิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดออกตอนนี้ก็คือ...

“ช่วยดึงหน่อยสิ” ต้นกล้าบอกเสียงเบากะพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าตาน่าสงสารก่อนจะหันมองไปทางอื่น เพราะไม่กล้าสบตากับคนตัวโตตรง ๆ นานกว่านี้

“หา ว่าอะไรนะ”

“ทำเป็นไม่ได้ยินเหรอ”

“อ้าว แล้วบอกพี่ว่าอะไรล่ะครับ พี่ไม่ได้ยินจริง ๆ สงสัยขี้ตมเข้าหู” มือใหญ่นั่นยกขึ้นทำท่าทางแคะหูตัวเองประกอบด้วยเพื่อความน่าเชื่อถือ

“จิ๊” ต้นกล้าจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด รู้ว่าโดนแกล้งแน่ ๆ เพราะคนคนนี้หูดีจะตายไป ตอนเดินมาต้นกล้าพูดเบา ๆ คนเดียวยังได้ยิน ทีตอนนี้จะไม่ได้ยินได้อย่างไร พอเหลือบมองหน้าก็ได้รับเพียงรอยยิ้มใส ๆ เสแสร้งแกล้งตีหน้าตาย สายตาหรือก็ซื่อบริสุทธิ์จนเกินงาม

ฮึ่ม! ต้นกล้าให้รู้สึกขัดใจเป็นยิ่งนัก ที่จะต้องมาเสียฟอร์มขอความช่วยเหลือจากเด็ดเดี่ยว แต่นี่มันถึงคราวจำเป็นจริง ๆ ฟอร์มที่ถือมานานจึงต้องยอมลดมันลงบ้าง


“ดึงขึ้น...หน่อยสิ”

*******
โดนอีกแล้วเจ้ากล้า 555
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ คู่ปรับเก่า 40% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 01-11-2018 21:43:46
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ คู่ปรับเก่า 40% ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 02-11-2018 12:53:59
น่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 02-11-2018 20:42:24
“ดึงขึ้น...หน่อยสิ” ท้ายเสียงอ่อนลง สายตาอ้อนนิด ๆ อย่างน่าสงสารถูกส่งไปให้อีกคน โดยที่ต้นกล้าเองก็ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ทั้งที่คิดว่าตัวเองทำหน้านิ่ง ๆ แล้วนะ แต่กลับทำให้คนมองคิดว่ามันช่างน่ารักน่าสงสารเสียเหลือเกิน

เฮ้ย! คิดอะไรอยู่วะไอ้เดี่ยวนี่มันผู้ชายนะ แถมยังดื้อรั้นออกอย่างนี้จะน่ารักได้ยังไงกัน! เขาด่าตัวเองในใจ ทำไมชอบเผลอคิดอะไรแปลก ๆ กับคนหัวแดงอย่างนี้ คิดแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้เลยยื่นมือไปให้จับ ดึงหลานชายคุณยายขึ้นมานั่งข้างกันบนคันนา

“อะไรอีกล่ะ”

“เปล่า” ต้นกล้าสะบัดเสียงตอบหันหน้าหนีไปอีกทาง ที่ไม่มีใบหน้าหล่อคมเปื้อนโคลนดิน ที่แม้เจ้าตัวเช็ดออกไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมองเห็นเค้าของความหล่อเหลา ที่ต้นกล้ามองทีไรให้รู้สึกตงิดในใจแปลก ๆ

คราแรกที่ต้นกล้าหันมาเห็นเจ้าตัวดำใกล้ ๆ มันก็ตกใจละนะ แต่ตอนนี้กลับนั่งมองมันเล็มหญ้าเสียเพลิน เพราะยังไงก็ดีกว่ามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นไหน ๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่ต้นกล้าได้เห็นควายตัวจริงในระยะใกล้ขนาดนี้ เห็นแล้วความคิดพิเรนทร์ผุดขึ้นในสมอง ถ้าได้ลองขี่มันดูจะเป็นยังไง ต้นกล้าไม่เคยทำอะไรแผลง ๆ แนวนี้มาก่อน แต่ขณะกำลังนั่งคิดเรื่องขี่ควายเพลิน คนข้างกายกลับผุดลุกขึ้นยืนรวดเร็วไม่บอกกล่าว

“ไปกันเถอะ”

“ไปไหน” คนตัวโตกว่ายืนจังก้าตรงหน้า ขณะที่ต้นกล้ากำลังคิดถึงฉากขี่ควายเพลิน ๆ คิดไปได้ยังไงวะ ว่าตัวเองนั่งขี่ควายกับคนบ้าหน้ามึนนี่ บ้าไปกันใหญ่แล้วไอ้กล้าเอ๊ย!

“ไปล้างตัวสิมีแต่โคลน เหม็นก็เหม็นชอบหรือไง” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำเสียงดังกลบเกลื่อนความคิดบ้า ๆ ในหัว ความคิดบ้า ๆ ที่มีหนุ่มน้อยตรงหน้าคนนี้อยู่ในนั้นตลอดเวลา คิดไปได้ยังนะ ว่ารู้สึกดีที่ได้ตกน้ำตกโคลนกับคนตัวเล็กกว่า บ้าไปแล้วไอ้เดี่ยวเอ๊ยใครจะชอบเล่นขี้ตมวะ!

เด็ดเดี่ยวดึงความคิดของตัวเองกลับมาที่ปัจจุบัน แล้วออกเดินนำไปทางหนองน้ำใกล้ ๆ ต้นกล้าเดินตามไปเงียบ ๆ ร่างกายเริ่มมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ เดี๋ยวคันตรงหลัง เดี๋ยวก็คันตรงต้นขา ประเดี๋ยวมาคันที่ต้นคอ คันตรงโน้นแล้วก็คันตรงนี้ ตามองมือเกาไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่กำลังเริ่มคันยุบยับจนต้องหยุดเดินเพื่อเกาให้สะใจ

“ทำไมมันคันอย่างนี้ล่ะ คัน ๆ ” ปากบ่นไปมือก็เกาไปตามตัวทั้งแขนและขา พอต้นกล้าถอดเสื้อแขนยาวที่ใส่คลุมเสื้อยืดออก ปรากฏรอยแดงจากการเกาเต็มแขนไปหมด

“เป็นอะไรไปอีก”

“ไม่รู้สิแต่คันไปหมดเลย” ปากตอบแต่มือยังไม่หยุดเกา จนผิวขาว ๆ ที่โผล่พ้นร่มผ้าแดงไปหมดแล้ว ยังไม่พอยังล้วงเข้าไปเกาในเสื้อในกางเกงอีกด้วย

“คันก็รีบมาจะได้ไปล้างตัว”

“ไปล้างที่บ้านดีกว่าจะได้อาบน้ำด้วยเลย”

“ล้างโคลนออกก่อนค่อยไปอาบน้ำ”

“ไม่เอา เราจะไปล้างที่บ้าน”

“ก็บอกให้ล้างโคลนดินที่ติดตามตัวออกก่อนไง ค่อยกลับไปล้างที่บ้านอีกที” ต่างฝ่ายต่างก็จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร เพียงแต่คนตัวเล็กจ้องไปเกาไปด้วยอย่างเมามัน

“ก็ไปล้างที่บ้านทีเดียวเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” ยกนี้ต้นกล้าต้องชนะ

“งั้นก็ตามใจ อยากไปล้างที่บ้านก็ไปคนเดียวเถอะ”

“เหอะ คนบ้า” อ่อนใจกับคนดื้อ เด็ดเดี่ยวจึงปล่อยให้ต้นกล้าที่อยากกลับไปล้างตัวที่บ้าน เดินกลับคนเดียว ตัวเขามุ่งหน้าไปยังหนองน้ำกว้าง ส่วนต้นกล้ายังยืนอยู่ที่เดิม ตามองคนตัวโตที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ มือยังล้วงเกาไปตามตัว

รู้สึกคันแปลก ๆ แปลบ ๆ บริเวณต้นขาด้านในเหนือหัวเข่า ต้นกล้ายกขาข้างนั้นขึ้นมาเกาโดยไม่ดู เกาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เลยล้วงมือเข้าไปเกาในกางเกง สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ ชื้น ๆ ลื่น ๆ จึงถลกขากางเกงขึ้นจะได้เกาให้ถนัด แต่พอต้นกล้าเห็นต้นเหตุแห่งความคันเท่านั้นแหละ

อ้ากกกกกกกก!!!

“ต้นกล้าเป็นอะไร!” เด็ดเดี่ยวได้ยินต้นกล้าร้องเสียงหลง จึงรีบวิ่งกลับมาหาทันที และสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คนตัวเล็กกว่ากระโดดกอดคอเขาเอาขาเกี่ยวสะโพกไว้แน่น เหมือนเจ้าตัวกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง ในใจอยากจะรู้สึกดี แต่อาการของต้นกล้ามันไม่ใช่ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่ทำให้ต้นกล้าตกใจมาก ถึงได้กระโดดกอดคอเขาแน่นแล้วสะบัดขาแรง ๆ ไปมาอย่างนี้

“เดี๋ยวก่อน ๆ ต้นกล้าเป็นอะไรบอกพี่ก่อนครับ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางแกะคนตัวเล็กออกจากตัว (อย่างเสียดาย) ไปด้วย

“มัน ๆ ที่ขา เอาออก เอามันออกไป เร็ว ๆ เด็ดเดี่ยว!” เพราะความขยะแขยงแทบพูดไม่เป็นภาษา ขาหรือก็ยังไม่ยอมหยุดสะบัด เด็ดเดี่ยวจำต้องนั่งลงทั้งที่คนตัวเล็กกว่ายังเกาะแน่น ต้นกล้าเลยได้นั่งบนตักโดยปริยาย จับขาที่สะบัดอย่างเอาเป็นเอาตายของต้นกล้าขึ้นมาดู พอถลกขากางเกงที่ยาวเลยเข่าขึ้นเท่านั้นแหละ ก็เจอเข้ากับตัวต้นเหตุที่ทำให้คนหล่อต้องแหกปากร้องเสียลั่นทุ่ง

ตัวต้นเหตุที่ว่านั้นคือปลิงควายโตเต็มที่อวบอ้วนสีดำมะเมื่อม เกาะดูดเลือดอยู่บนเนื้อขาว ๆ อย่างสบายอารมณ์ เด็ดเดี่ยวเคยเห็นแต่ผู้หญิงมีอาการขยะแขยงเจ้าสัตว์ดูดเลือดชนิดนี้ นี่เป็นผู้ชายแท้ ๆ ต้นกล้าร้องจนสาวแตกไปได้ยังไง

“หึ ๆ ” เขาหัวเราะขำคนดื้อที่กำลังสิ้นฤทธิ์ มือยีหัวเบา ๆ นึกเอ็นดู

“เอามันออกไป” เด็ดเดี่ยวไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยสักนิด ใช่สิตัวเองไม่โดนก็ไม่รู้สึกหรอก โอ๊ย ต้นกล้าละขนลุก! “เอ้า เอามันออกไปเร็ว ๆ สิ เอามันออกไปให้หน่อย” ต้นกล้ายังสะบัดขาเร่า ๆ อย่างขยะแขยง ปากละล่ำละลักบอกทั้งที่อีกคนยังเฉยไม่ทำอะไรสักอย่าง “จะรอให้มันดูดเลือดเราจนหมดตัวเลยหรือไง ดึงออกสิ ดึงออก ๆ ” เสียงต้นกล้าร้อนรนสองมือเกาะที่แขนล่ำ ๆ ของเด็ดเดี่ยว ดึงไปที่ขาข้างที่มีปลิงควายตัวใหญ่กำลังเกาะดูดเลือดอยู่ แต่อีกคนกลับนั่งขำเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรอยู่เช่นเดิม

“ใจเย็นน่า” ใครมันจะไปเย็นไหว! ต้นกล้าค้อนให้เมื่อเด็ดเดี่ยวบอกด้วยท่าทีสบาย ปากอมยิ้มนัยน์ตากรุ้มกริ่ม ทั้งที่อยากปล่อยเสียงหัวเราะให้ลั่นเต็มที

ต้นกล้าไม่เคยเจออะไรที่น่าขยะแขยงในระยะประชิด ไม่เคยมีตัวอะไรที่น่าเกลียดอย่างนี้ เกาะตามร่างกายมาก่อนในชีวิต แต่นี่มันไม่ใช่แค่เกาะอยู่บนตัวเฉย ๆ มันยังดูดกินเลือดของเขาด้วย จะให้ต้นกล้าทำหน้ายังไงถ้าไม่แหกปากร้อง

“อ๊าก เอาออกไป เด็ดเดี่ยวเอามันออกไปที” น้ำเสียงเหมือนคนจะร้องไห้เข้าไปทุกทีอยู่แล้ว

“ร้องอะไรนักหนาแค่ปลิงนะ” เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็ดเดี่ยว กับชีวิตที่ต้องอยู่กับท้องไร่ท้องนามาตั้งแต่เกิด นี่มันก็แค่ปลิงตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

“ไม่ได้โดนกัดนี่ก็พูดได้สิ บ้าเอ๊ย”

“เอ็งเหรอไอ้เดี่ยว แล้วนั่นใครเป็นอะไรวะ ร้องลั่นทุ่งจนวัวควายตื่นหมดแล้ว” ลุงคนงานร้องถามขณะเดินเข้ามาหา พลางจุดไฟที่ปลายมวนยาสูบในมือไปด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกลุง ว่าแต่ยาสูบมวนนี้ผมขอได้ไหม”

“เออ เอ็งอยากสูบหรือไง เอานี่มวนเอาใหม่สิ” ลุงคนงานบอกพลางล้วงเอาห่อยาเส้นในย่ามที่สะพายออกมาให้ แต่ต้นกล้าที่ยังนั่งอยู่บนตักเด็ดเดี่ยวไม่ได้คิดไปเองหรอกใช่ไหม ว่าลุงคนงานมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ

“ขอมวนที่ลุงกำลังจะสูบนั่นแหละครับ ผมจะจัดการกับเจ้านี่” เด็ดเดี่ยวชี้ให้ดูเจ้าตัวอ้วนดำบนขาต้นกล้า ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น ในหัวคิดว่าคนตัวโตคงถ่วงเวลาให้ปลิงได้ดูดเลือดนาน ๆ จนเลือดหมดตัวเพื่อแกล้งเล่นแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!

“ตัวใหญ่เชียวนะมึง นี่เอาไปสิ” ลุงคนงานยื่นมวนยาสูบที่เพิ่งจุดไฟให้ เด็ดเดี่ยวจึงเอาปลายที่ติดไฟจิ้มไปบนตัวปลิง พอไฟที่ปลายมวนทำท่าจะดับ ก็ยกขึ้นมาดูดทีแล้วจิ้มต่อ แต่เพราะเด็ดเดี่ยวไม่ชอบสูบบุหรี่ ดูดแล้วจึงปล่อยควันทิ้งไม่ยอมให้ควันพิษเข้าสู่ปอด ทำอยู่แบบนั้นอีกไม่กี่ครั้ง เจ้าดำอวบอ้วนตัวร้ายจึงหลุดออกจากผิวขาว ๆ ตกลงไปด่าวดิ้นบนพื้น

“มาข้าจัดการเอง เอ็งพากันไปล้างแผลไปเดี๋ยวจะติดเชื้อเสียก่อน” ลุงคนงานบอกพลางใช้ไม้แหลมที่หามา เสียบไปตรงกลางลำตัวปลิง เจ้าอ้วนดำพยายามยืดตัวหนีแต่ก็เป็นไปไม่ได้ มันจึงได้แต่ด่าวดิ้นอย่างทรมาน ชายแก่มองด้วยแววตาเรียบเฉยเพราะจำต้องปลิดชีวิตมัน ขืนปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ เกิดมาขยายพันธุ์อยู่ในนา พวกคนงานหญิงคงไม่เป็นอันทำงานกันล่ะคราวนี้

“ไปเถอะ” เด็ดเดี่ยวบอกต้นกล้า มือก็ช่วยพยุงคนตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้น ที่ขายังมีเลือดไหลออกมาจากปากแผลด้วยเล็กน้อย ส่วนคนถูกกัดยังขนลุกเพราะความขยะแขยงไม่หาย รีบลุกขึ้นทันทีไม่มีอิดออด

วันซวย! วันซวยจริง ๆ วันนี้มันเป็นวันซวยที่สุดของไอ้กล้า ตั้งแต่ออกจากบ้านเดินอยู่ดี ๆ ก็เกือบเดินตกน้ำ ไหนจะยังเจอควายเอาจมูกใหญ่ ๆ น่าเกลียดเข้ามาทักทาย แล้วยังมาตกคันนาจมบ่โคลนโดนปลิงกัดเข้าให้อีก ไม่เรียกวันซวยจะเรียกมันว่าวันสุดหรรษาหรืออย่างไร ต้นกล้าไม่ขำ! ตามตัวหรือก็ยังมีอาการคันยุบยับอยู่ ซวยซ้ำซวยซ้อนมันลงไปไม่มีที่สิ้นสุด

ต้นกล้าบ่นในใจ ขารีบจ้ำเดินให้ถึงเรือนโดยเร็ว จะได้อาบน้ำล้างตัวล้างแผลสักที ไอ้ปลิงนี่ก็ไม่รู้จะมีพิษอะไรตกค้างอยู่อีกหรือเปล่า คิดไปก็ให้เกิดความหงุดหงิด ชีวิตที่นี่มันไม่เหมาะกับคนหล่อมาดดีอย่างต้นกล้าเอาเสียเลย ยิ่งคิดยิ่งเห็นยิ่งมั่นใจ ว่านี่มันไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเขา แต่จะให้เผ่นกลับไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ เพราะได้รับปากผู้ใหญ่เอาไว้แล้ว ยังไงปัญหานี้ต้องมีการวางแผนกันใหม่ ต้นกล้าไม่ยอมอยู่กับท้องนาท้องไร่ เปื้อนดินเปื้อนกลิ่นสาบควายอย่างนี้ตลอดไปหรอก

“อะไรกันน่ะ เกิดอะไรขึ้น” เสียงดุ ๆ ของคุณกวินดังมาก่อนจะเห็นตัว เมื่อต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวเดินมาถึงบ้าน กับเนื้อตัวเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยโคลน

“คุณพ่อครับ”

“ทำไมตัวเปื้อนโคลนเต็มไปหมดเลยล่ะลูกหือ” คุณกวินถามพลางเดินเข้ามาหาแต่ก็ต้องผงะไป เพราะกลิ่นสาบโคลนที่เหม็นตลบแตะจมูกเข้าอย่างจัง แถมกลิ่นยังคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หนุ่มใหญ่ยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกทันที

“ยี้ เหม็นลูกเหม็น แหวะ”

“ตายแล้ว! ไปเล่นอะไรกันมาเนี่ย” เสียงติดตลกของคุณนภาดังตามมา เมื่อได้ยินสามีร้องทักเลยเดินออกมาดู “เจ้ากล้าไปเล่นขี้ตมที่ไหนมาลูกกลิ่นตลบไปทั้งบ้านเชียว ฮ่า ๆ ” คุณนภาหัวเราะเสียงดังกลบมาดคุณนาย อดีตสาวบ้านนาที่ไม่เคยลืมบ้านเกิดอย่างเธอนั้น ไม่ได้รู้สึกแปลกหรือรังเกียจกลิ่นท้องทุ่งแบบนี้เลยสักนิด พอได้กลิ่นเหม็น ๆ ของโคลนที่ติดมากับลูกชายและเด็ดเดี่ยวที่เดินตามมา เธอกลับเห็นเป็นเรื่องตลกและหัวเราะชอบใจ

“ว่าไงพ่อเดี่ยว ไปเล่นน้ำโคลนกันมาหรือไงลูก”

“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับคุณอา ผมว่าให้น้องไปอาบน้ำล้างตัวก่อนดีกว่าครับ จะได้ทำแผล” เด็ดเดี่ยวบอกคุณนภา สองมือจับไหล่ทั้งสองข้างของต้นกล้าจากด้านหลัง ดันให้เดินไปทางตุ่มน้ำเพื่อล้างมือล้างเท้าก่อนขึ้นไปอาบน้ำบนบ้าน

“ล้างแผลเหรอ แผลอะไรตรงไหนให้พ่อดูซิ” คุณกวินปัดมือของเด็ดเดี่ยวออกจากไหล่ต้นกล้า แล้วจับลูกชายหมุนตัวเพื่อหาแผลที่ว่า

“แผลที่ขาครับคุณพ่อกล้าถูกปลิงกัด” ต้นกล้าตอบเสียงกระเง้ากระงอดอ้อนผู้เป็นบิดา คนตัวเล็กทำหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเก่า ให้รู้ว่าไม่สบอารมณ์

“ไหนล่ะเจ็บไหมลูก” คุณกวินลืมความเหม็นของโคลนไปแล้ว เพราะความเป็นห่วงลูกนั้นมีมากกว่า หนุ่มใหญ่ก้มลงไปดูแผลที่ขาของต้นกล้าอย่างเป็นห่วง ก็นะลูกคนเดียวเลี้ยงมาอย่างดียุงไม่ให้ไต่ เหลือบไรริ้นก็ไม่เคยให้ตอม แต่ดันมาโดนปลิงกัดเสียได้ มันก็น่าเจ็บใจอยู่ไม่ใช่น้อย

“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วครับ แต่กล้าคันไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย”

“ไปอาบน้ำไปลูก เดี๋ยวจะได้มาล้างแผล” คุณนภาไล่ให้ลูกชายคนเดียวของเธอขึ้นไปอาบน้ำ โดยมีคุณพ่อเดินตามกันขึ้นไปด้วย เธอจึงหันมาหาเด็ดเดี่ยวที่เละไม่แพ้กัน “พ่อเดี่ยวก็อาบน้ำที่นี่ล่ะนะ เดี๋ยวอาจะไปหาเสื้อผ้ากับของใช้มาให้”

“ครับ ขอบคุณครับคุณอา”

ต่อเลยจ้า....
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 4 คู่ปรับเก่า 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 02-11-2018 20:45:05
ชายหนุ่มยืนรอครู่หนึ่งคุณนภาก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำ ที่มีทั้งสบู่ ยาสระผม ผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน เขายกมือไหว้ก่อนรับของมา แล้วเดินอ้อมไปด้านหลังตัวบ้าน ที่มีตุ่มรองน้ำไว้ใช้ตั้งอยู่หลายใบ ตามที่คุณนภาบอก

เด็ดเดี่ยวนุ่งเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียว ตอนนี้สถานการณ์จำเป็นบีบบังคับ ถึงจะไม่ชินกับการอาบน้ำในที่โล่งแจ้งไม่มีรั้วรอบขอบกั้น แต่เขาก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายตัวเองเป็นอย่างดี ล้างเนื้อล้างตัวฟอกสบู่นกแก้วเสียหอมกรุ่น กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสบู่ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ขจรขจายไปทั่วบริเวณ มันหอมเสียจนกลิ่นสาบโคลนไม่อาจเกาะติดต่อไปได้

หลังจากขัดสีฉวีวรรณ ล้างคราบโคลนดินกลิ่นตมออกจนสะอาดเอี่ยมอ่อง และแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าก็ออกมานอนเกลือกกลิ้งเล่นอยู่บนเตียง สายลมอ่อนโชยเข้ามาทางหน้าต่าง พาเอากลิ่นหอมสดชื่นเข้ามาด้วย กลิ่นหอมแปลกทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ต้นกล้ามั่นใจว่าไม่ใช่กลิ่นที่เกิดจากธรรมชาติแน่นอน และนั่นเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย เจ้าของร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียง เดินตามกลิ่นจนมาหยุดข้างหน้าต่าง ม่านผืนบางสีขาวถูกแยกออกกว้าง ให้ลมผ่านเข้ามาได้เต็มที่ กลิ่นหอม ๆ ชัดเจนมากขึ้น คนขี้สงสัยกวาดตามองหาที่มาของมัน แต่ตาเจ้ากรรมดันไปปะทะเข้ากับร่างกายสูงใหญ่ล่ำสันเข้าเสียก่อน

ต้นกล้าไม่รู้ว่านั่นแหละคือที่มาของกลิ่นหอมที่ดึงดูด เพราะสายตาถูกร่างกายที่สูงเกินมาตรฐานชายไทยหยุดไว้ ร่างนั้นทำหัวใจต้นกล้าสะดุดจนเต้นผิดจังหวะ ความสูงสง่าสมส่วนอันประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเรียงมัดสวยพอดี มันดูสวยงามตามแบบชายชาตรีที่มีเสน่ห์เป็นธรรมชาติ ร่างที่เต็มไปด้วยฟองสบู่สีขาว เมื่อเทน้ำราดลงมาชะล้างออก เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งเข้มชัดประจักตา ผิวเปียก ๆ เต็มไปด้วยหยดน้ำ มันดูแพรวพราวยามเคลื่อนไหว เพราะหยดน้ำกระทบกับแสงแดดที่ส่องลงมา

คนหัวแดงที่กำลังแอบอยู่หลังม่าน ไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้ ต้นกล้าเก็บรายละเอียดร่างกายนั้นอยู่เป็นนาน สำรวจตั้งแต่ใบหน้าคมสันแบบไทยแท้ ลงมาตามลำคอแกร่ง ลาดไหล่กว้างดูบึกบึนแข็งแรง กล้ามเนื้อหน้าอกแน่นไปจนถึงหน้าท้องที่เกร็งขมวดจนเป็นลอนคลื่น และต่ำกว่านั้นมันคือผ้าขาวม้าสีขาวผืนเดียว ที่เจ้าของร่างสูงนุ่งเตี่ยวอย่างหมิ่นเหม่ พอเนื้อผ้าเปียกน้ำลู่แนบเนื้อ ต้นกล้าก็แทบจะเห็นเขาเปลือยเปล่าจริง ๆ

ดวงตาดำขลับมองตามช่วงขายาวแข็งแกร่ง ที่ยกขึ้นพาดขอบกะละมังใบใหญ่ เจ้าของร่างสูงลูบไล้สบู่ถูตั้งแต่ปลายเท้า ขัดวนขึ้นมาตามท่อนขา จนหยุดที่โคนขาช่วงบน ที่เขาขัดถูมันนานเป็นพิเศษ แถมยังล้วงเข้าไปในส่วนที่ถูกปิดบังด้วยผ้าเตี่ยว เพื่อทำความสะอาดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น แล้วจึงสลับยกขาอีกข้างขึ้นมาถูเหมือนกัน ลูบไล้วนเวียนอยู่เป็นครู่ จึงถูขึ้นไปตามลำตัวช่วงบน เด็ดเดี่ยวไม่เร่งไม่ร้อนแต่ก็ไม่อ้อยอิ่งพิถีพิถัน คนที่ยืนอยู่หลังม่านก็มองสรีระล่ำ ๆ นั่นเสียเพลิน

ที่มองเพลินไม่ใช่เหตุผลอื่นใดหรอก นอกจากว่าต้นกล้ากำลังอิจฉาและเกิดคำถาม ว่าทำไมผู้ชายอย่างไอ้กล้าไม่มีร่างกายหนา ๆ ล่ำ ๆ แบบนี้บ้าง ต้นกล้าไม่ได้คิดเป็นอื่นเลยจริง ๆ (คนถ้ำมองเสียงสูง)

พอขัดสีฉวีวรรณจนมั่นใจว่าสะอาดเอี่ยมอ่องผ่องแผ้ว เด็ดเดี่ยวจ้วงขันใบใหญ่ตักน้ำราดหัวราดตัว เพื่อล้างฟองแชมพูและสบู่ออก มือข้างหนึ่งถือขันตักน้ำเทราด ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้ไปตามหน้าตาเนื้อตัว ตั้งแต่กล้ามเนื้อแน่น ๆ หน้าอกวนไปทั่วร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งกลางกายที่ซ่อนไว้ภายใต้ผ้าขาวม้าผืนเล็ก จนมั่นใจว่าสะอาดสะอ้านหมดจดดีแล้วนั่นล่ะ จึงทิ้งขันลงในตุ่ม ใช้สองมือลูบน้ำที่เกาะอยู่บนใบหน้าออก ผมสั้นถูกเสยขึ้นเปิดเผยใบหน้าหล่อคมคร้ามสะดุดตา

รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง ชายหนุ่มหันไปตามสัญชาตญาณ ตาคมจึงประสานเข้ากับดวงตาดำขลับกลมโต ของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างเข้าอย่างจัง คนแอบดูที่ดูเพลินไม่ทันระวังตัว จึงถูกจับได้คาหนังคาเขา ต้นกล้าสะดุ้งตกใจจนตาโตเท่าไข่ห่าน ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งกระหน่ำเต้นแรงกว่าเก่า จนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอกตอนนี้เสียให้ได้

นอกจากจะไม่มีท่าทางเขินอายให้เห็น เด็ดเดี่ยวผู้ตกเป็นเป้าสายตายังส่งยิ้มหล่อ แถมยักคิ้วข้างเดียวกวน ๆ อย่างที่ชอบทำส่งให้ด้วย คนหัวแดงได้แต่กัดฟันกรอดแล้วผละจากหน้าต่างไป เลือดในตัวดูเหมือนจะฉีดพล่านปั่นป่วนไม่หยุด ใบหน้าที่ร้อนผ่าวหรือก็คงแดงแล้วแดงอีกอย่างกับไฟกะพริบ ความร้อนวูบวาบโจมตีตั้งแต่ที่เห็นตอนแรก จนถึงตอนนี้มันก็ยังเล่นงานเขาอยู่ จนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งภาพแบบชัดเจนที่ได้เห็นยังติดตา แล้วยังมาถูกจับได้ว่าแอบมองอีก ป่านนี้คงถูกใครคนนั้นหัวเราะเยาะขบขันกันไปแล้วเป็นแน่แท้

โธ่ไอ้กล้าเอ๊ย!

“ไปยังไงมายังไงถึงได้เละกลับมาล่ะพ่อเดี่ยว” คุณยายถามทันทีที่เด็ดเดี่ยวเดินค้อมตัวเข้ามา และนั่งลงตรงเก้าอี้หวายตัวที่เขานั่งประจำเวลามาบ้านนี้

“ตกคันนาครับคุณยาย”

“เพราะเจ้ากล้าอีกล่ะสิ ยายรู้พ่อเดี่ยวน่ะไม่ใช่คนซุ่มซ่ามขนาดนั้นหรอกจริงไหม”

“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ น้องตกใจเพราะหันไปเจอควาย เลยถอยหลังมาชนผมจนตกปลักด้วยกัน” ขณะที่เล่ามุมปากของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มขึ้นจาง ๆ ในหัวย้อนคิดไปถึงช่วงเวลานั้น ที่ร่างสูงโปร่งน่าทะนุถนอม ถอยมาชนอกกว้างเข้าอย่างจัง จนเป็นเขาเองที่ไม่ทันตั้งตัว เซถอยหลังและก้าวพลาดตกลงไปในโคลนตม แถมยังคว้าเอาหลานคุณยายที่เป็นตัวต้นเหตุลงไปด้วย

เสียงหัวเราะชอบใจของคุณยายดังขึ้น ดึงความคิดเด็ดเดี่ยวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน หญิงสูงวัยหัวเราะท่าทางมีความสุข ที่ได้ฟังวีรกรรมของหลานคนโปรด เหมือนได้ฟังเรื่องตลกขบขันก็ไม่ปาน

“คุณยายครับ” เสียงต้นกล้าเรียกมาก่อนตัว เพราะได้ยินคุณยายหัวเราะดังลั่น เลยสงสัยว่ากำลังคุยอะไรกับใครอยู่ ทำไมถึงหัวเราะชอบใจได้ขนาดนั้น สองขาพาร่างสูงโปร่งเดินออกมาดูโดยลืมคิดไป ว่าอาจจะเป็นคนที่ต้นกล้าไม่อยากเจอหน้า แต่กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาจนถึงมุมที่คุณยาย และเด็ดเดี่ยวนั่งคุยกันแล้ว

“เจ้ากล้ามาพอดี มานั่งนี่กับยายมา” ต้นกล้าเหล่ตามองเด็ดเดี่ยวเล็กน้อยแล้วเมิน จำต้องเดินไปนั่งข้างคุณยายอย่างเลี่ยงไม่ได้

“พี่เขากำลังเล่าเรื่องที่เราตกคันนาให้ยายฟังอยู่”

“มันเป็นอุบัติเหตุต่างหากล่ะครับ” ต้นกล้าบอกเสียงแง่งอนเพราะคุณยายยังไม่หยุดขำ เหลือบไปมองเด็ดเดี่ยวนั่งอมยิ้มอยู่ พาลคิดว่าอีกคนยิ้มเยาะเลยยิ่งไม่พอใจ ต้นกล้านั่งทำหน้าตูมจนคุณยายหยุดหัวเราะ แล้วหันมามองหน้าเขายิ้ม ๆ

“คุณยายหยุดหัวเราะเยาะต้นกล้าเลยนะครับ”

“ก็เราซุ่มซ่ามเองนี่เจ้ากล้า จริงไหมพ่อเดี่ยว” คุณยายยังไม่หยุดขำ ซ้ำยังหันมาหาแนวร่วมอย่างเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มรับ เลยถูกคนตัวเล็กกว่ามองตาขวาง

“ล้างแผลที่ขาหรือยัง” เด็ดเดี่ยวโน้มตัวกระซิบถามเบา ๆ ต้นกล้ามองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ว่าน้ำเสียงของคนตัวสูงมันฟังนุ่มหู เหมือนห่วงใยกันจริง ๆ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก คนคนนี้ที่ดีแต่แกล้งจะมาห่วงใยต้นกล้าได้อย่างไร

“อะ เอ่อ ยังเลย” ต้นกล้ากัดปากล่างหันมองไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้าที่ทำให้เกิดความสับสน ใบหน้าที่ทำให้รู้สึกประหม่าทุกทีที่มอง ไหนจะยังมีภาพติดตาตอนเด็ดเดี่ยวอาบน้ำ คิดขึ้นมาทีไรให้รู้สึกสั่นไหวในใจแปลก ๆ แต่เด็ดเดี่ยวกลับคิดว่าต้นกล้าคงยังโกรธอยู่ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ที่ต่างคนต่างเผลอใช้ความคิด คุณยายอมยิ้มนั่งมองหนุ่มรุ่นหลานทั้งสอง ด้วยสายตาที่แปลกไป

“แผลอะไร เจ้ากล้าเป็นอะไร”

“น้องถูกปลิงกัดครับ” เด็ดเดี่ยวตอบแทนต้นกล้าที่เอาแต่กัดปากตัวเองจนลืมตอบคำถาม “ถ้ายังไม่ได้ล้างแผลเดี๋ยวพี่ทำให้ คุณยายครับมีชุดล้างแผลหรือเปล่าครับ”

“มีลูกมี เจ้ากล้าไปหยิบชุดล้างแผลในตู้ยามาให้พี่เขาไป” คุณยายหันไปบอกต้นกล้าที่ลุกขึ้นทำตามอย่างว่าง่าย คนตัวเล็กไม่มีปากเสียงดื้อรั้นเหมือนเคย ทำให้คุณยายแปลกใจพอสมควร เด็ดเดี่ยวเองก็อดแปลกใจไม่ได้ แต่ทำเพียงแค่มองตามหลัง แล้วเผลอยิ้ม

“เอาขามาให้พี่ดูแผลหน่อยครับ” เขาบอกพลางรับกล่องปฐมพยาบาลที่ต้นกล้ายื่นให้ แต่เจ้าของขายังนั่งเฉย ตกอยู่ในความคิดสับสน ไม่รู้จะโกรธ จะงอน จะเขินหรืออะไรดี แต่ทำไมอีตาบ้านี่ต้องท้ายด้วยคำว่า ‘ครับ’ ทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างนี้ด้วย

“เจ้ากล้าเปิดแผลให้พี่เขาหน่อยดูสิจะได้ทำความสะอาด”

“หา อะไรนะครับคุณยาย”

“เปิดแผลให้พี่เขาดูหน่อยจะได้ทำความสะอาด”

“เอ่อ ไม่ต้องก็ได้มั้งครับคุณยาย ตอนอาบน้ำกล้าเอาสบู่ล้างแล้ว”

“ยังไงก็ต้องล้างอีกทีนะครับ เดี๋ยวติดเชื้อขึ้นมาจะแย่เอา” เด็ดเดี่ยวสำทับอย่างเป็นห่วง ซึ่งคุณยายก็เห็นด้วย

“นั่นสิ ไหนหันมาให้ยายดูแผลหน่อย” พอคุณยายบอกเสียงดุคนเป็นหลานเลยทำได้แค่ค่อย ๆ พับขากางเกงเลตัวโปรดขึ้น เผยให้เห็นแผลเล็ก ๆ บนต้นขาด้านใน เด็ดเดี่ยวใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดปากแผล วนจากข้างในออกมาข้างนอก แล้วเปลี่ยนสำลีชุบแอลกอฮอล์ใหม่ ทำอย่างนั้นอยู่สองสามรอบจึงทายาฆ่าเชื้อแล้วปิดแผลไว้อย่างดี

“เสร็จแล้วใช่ไหมลูก ขอบใจนะพ่อเดี่ยวที่ช่วยดูแลน้อง”

“ไม่เป็นไรครับผมยินดี” คุณยายมองเด็ดเดี่ยวยิ้ม ๆ แต่พอหันมาทางต้นกล้ากลับทำตาดุ และเจ้าหลานตัวดีก็เข้าใจได้ทันทีว่าคุณยายต้องการสื่ออะไร แต่ก็ยังฮึดฮัดเพราะในใจไม่อยากทำ

“เจ้ากล้า” คุณยายเสียงดุขึ้นทั้งที่ปากยังยิ้ม แต่ตานั้นแทบจะทำให้ต้นกล้าร่างแหลกเป็นเสี่ยง ก็รู้ล่ะนะว่าคนเป็นหลานไม่ชอบหน้าคนตัวโตนี่เท่าไหร่ แค่คุณยายไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มารยาทที่ดีเมื่อเขาช่วยเหลือเราก็ควรจะขอบคุณ นั่นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วไม่ใช่หรือ คุณยายไม่ได้บอกออกมาแต่ใช้สายตาบังคับอยู่ในที

“ขอบคุณครับ...พี่เดี่ยว” ต้นกล้าจำต้องบอกขอบคุณ ท้ายประโยคเสียงแผ่วไปเล็กน้อย เพราะตาดุของคุณยายยังจ้องไม่เลิก แม้กำลังยิ้มหวาน แต่ต้นกล้ารู้ดียิ่งกว่าใครว่าคุณยายเอาจริง

...........

“ผมเห็นจะต้องลากลับแล้วนะครับคุณยาย” เด็ดเดี่ยวเอ่ยขึ้นหลังจากที่คุยกันไปได้พักใหญ่ ซึ่งคนตัวเล็กหันมามองเขาทันที แล้วขยับพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘น่าจะกลับตั้งนานแล้ว’ โดยที่คุณยายไม่เห็น ชายหนุ่มทำตาดุแต่ยกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ เพราะแผนที่อยู่ในใจรู้ว่ายังไงมันต้องสำเร็จ!

“เห็นแม่นภาบอกพรุ่งนี้คงเข้ากรุงเทพแต่เช้า ถ้าไม่ได้เจอกันอีกยายฝากพ่อเดี่ยวตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ”

“ครับคุณยายไม่ต้องห่วง”

“ได้ยินแบบนี้ยายก็เบาใจ แล้วจะกลับยังไงเมื่อเช้ามากับพ่อกำนันนี่ เจ้ากล้าขับรถไปส่งพี่เขาที่บ้านหน่อยสิ”

“เรื่องอะไรล่ะครับคุณยาย กล้าไม่รู้จักทางนะครับ”

“เดี๋ยวไปแล้วก็รู้จักเองแหละใกล้แค่นี้”

“ทำไมไม่เรียกไอ้จ๋าล่ะครับคุณยาย เดี๋ยวกล้าไปตามมาให้ก็ได้”

“วันนี้ไอ้จ๋ามันไปเรียน” ถึงจะเป๋อ ๆ เปิ่น ๆ ไปบ้าง เพราะเป็นคนบ้านนอกมองโลกในแง่ดี มีชีวีอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง แต่ไอ้จ๋าก็สนใจเรียนหนังสือหนังหา และมันก็เรียนได้ดีทีเดียว โดยเลือกเรียนด้านการเกษตรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏในตัวจังหวัด ปีนี้มันเรียนเป็นปีสุดท้ายแล้ว

“อ้าว” ต้นกล้าตอบได้เท่านั้นก่อนจะทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง นี่เขาต้องจำใจไปส่งคนหน้ามึนจริง ๆ ใช่ไหม

“หรือจะให้ยายไปส่งล่ะ” นี่ล่ะไม้ตายของคุณยาย ไม้สุดท้ายที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ และเข้าแผนเด็ดเดี่ยวพอดี

“ก็ได้ครับ” ต้นกล้าลุกขึ้นเดินปึงปังไปหยิบกุญแจรถ แล้วเดินกลับมาหาคนทั้งสอง มีสายตาดุของคุณยายมองตามทุกฝีก้าว “จะกลับก็ลุกซะทีสิ” ต้นกล้าพูดกับเด็ดเดี่ยวอย่างไม่พอใจ จนคุณยายต้องมองมาด้วยสายตาดุ แต่ก็ยังทำเฉยเพื่อบอกให้คุณยายรู้ว่าเขาไม่ชอบใจจริง ๆ ส่วนคุณยายก็ทำเฉยและมองผ่านอย่างรู้ทันเช่นกัน

“ผมลาล่ะครับคุณยาย”

***********
ต้นกล้า เป็นนายเอกที่เละเทะจริงๆ
น่าสงสารเนอะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 5 จูบแรก 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-11-2018 15:15:13
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 5 จูบแรก

ต้นกล้าขับรถไปเรื่อย ๆ ตามทางที่เด็ดเดี่ยวบอก แต่ยิ่งขับไปก็ยิ่งห่างจากเขตชุมชน สองข้างทางมีแต่ไร่แต่นา บางช่วงเห็นพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกไว้เขียวขจี บางช่วงเป็นที่นามีน้ำเจิ่งนองไปทั่ว คนงานทำงานอยู่กลางทุ่งประปราย บ้างก้ม ๆ เงย ๆ กับต้นข้าวเขียว ๆ บ้างไถนาด้วยรถไถเล็ก บางช่วงก็เริ่มเป็นป่าเป็นเนิน ต้นกล้าขับรถไปก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ไม่ยอมถามให้เสียฟอร์ม บ้านคนหน้ามึนอาจจะอยู่ในป่าในเขาก็เป็นได้ ไหนคุณยายบอกว่าอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่วะ นี่ต้นกล้าขับรถออกมาตั้งนานแล้วทำไมมันยังไม่ถึงสักที!

ต้นกล้าสรุปได้ว่า เด็ดเดี่ยวคือคนป่าดี ๆ นี่เอง มิน่าถึงทำตัวไม่มีมารยาทจนน่ารำคาญ แม้จะเว้นคุณยายไว้คนหนึ่งก็ตามเถอะ แต่ต้นกล้านั้นรำคาญมาก เจอไม่กี่วันสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้สารพัด ไปไหนมาไหนด้วยนำความซวยมาให้ตลอด วางตัวดีแค่ต่อหน้าคุณยายเท่านั้น อะไรที่เป็นคนคนนี้มันแย่ไปหมดทุกอย่าง ต้นกล้าคิดไปแอบด่าในใจไปด้วย ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมาเป็นบางครั้ง บางทีเผลอกำพวงมาลัยรถแน่น เพราะคิดถึงตอนที่ถูกคนตัวโตแกล้ง คิดไปคิดมาเผลอทุบกำปั้นลงบนพวงมาลัยรถอย่างแรง จนคนนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ สะดุ้ง

“ฮึ” ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดใจ! ต้นกล้าหงุดหงิด! หันขวับไปมองคนข้าง ๆ ตาขวาง อารมณ์ขุ่นกรุ่นโกรธนั้นมาเต็ม จนเด็ดเดี่ยวแอบหวั่น เพราะต้นกล้าท่าทางราวกับจะกระโดดงับหัว คิดว่าคนตัวเล็กกว่าโกรธที่แอบมอง ชายหนุ่มเลยทำตัวไม่ถูก

แค่เผลอแอบมองกันมันต้องโกรธจนตาขวาง อย่างกับโดนปอบเข้าสิงเลยหรือไง?

“มองอะไร!”

“เปล่านี่” ทำไมต้องเสียงสั่นขนาดนั้นวะเรา คนอย่างเด็ดเดี่ยวไม่เคยกลัวใครที่ไหนเลยนะเว้ย แต่นี่คงเป็นเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขานั่นแหละ ว่าแอบมองใบหน้าหล่อใส ๆ ในแบบเกาหลีของคนหัวแดง เด็ดเดี่ยวรีบปฏิเสธไป ทั้งที่สายตาลอกแลกส่อพิรุธ พอทำตัวไม่ถูกเลยหันหน้ามองออกนอกรถมันเสียเลย

“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าจ้องเรา”

“เปล่า” เด็ดเดี่ยวห้ามตัวเองไม่ทันที่จะไม่เสียงสูง เลยตอบเฉไฉไปทางอื่น “ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นบ่นงึมงำคนเดียวเหมือนบ้า เลยกำลังประเมินว่าจะชวนไปโรงพยาบาลก่อนดีไหม”

“หมายความว่ายังไงวะครับ หา” ต้นกล้าสะบัดหน้าหันมาถามเด็ดเดี่ยวเสียงอันดังพร้อมมีเรื่องเต็มที่ ลืมไปว่าตัวเองนั้นกำลังขับรถอยู่ ด้วยความเร็วพอสมควร ยิ่งโกรธความเร็วมันยิ่งไต่ระดับเพิ่มขึ้นตามอารมณ์

“เฮ้ย ๆ รถสวนมา” ต้นกล้าตกใจรีบบังคับพวงมาลัยรถให้ตรงทาง หวุดหวิดเกือบจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียแล้ว ตั้งแต่เจอคนคนนี้ทำไมต้นกล้าถึงได้ซวยตลอดอย่างนี้วะครับ

“ตัวซวย” ตามองทางปากก็บ่นพึมพำต่อว่า แต่เด็ดเดี่ยวยังทำเฉย เพราะผ่านไปแค่ไม่กี่นาที หน้ามันจึงยังไม่หายมึน เหมือนที่ต้นกล้าว่านั่นแหละ มีความสุขจริง ๆ ที่ได้แกล้งคนเล่น หึ ๆ

“เลี้ยวซ้าย!”

เอี๊ยด กึก !!

“นี่”

“อะไร”

“ทำไมไม่บอกก่อนล่วงหน้า เห็นไหมเกือบเบรกไม่ทันเนี่ย” ต้นกล้าเหยียบเบรกจนตัวโก่งหัวแทบจะโขกกับพวงมาลัยรถ

“ขอโทษครับ พี่พึ่งนึกได้”

“จิ๊ บ้าที่สุด” ต้นกล้าสบถไม่ปิดบังความหงุดหงิด คนคนนี้ไม่มีอะไรให้เขาต้องเกรงใจ ไม่พอใจต้นกล้าจะแสดงออกมาให้หมด

“ถ้าไม่อยากถอยก็ขับตรงไปอีก”

“โวะ แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ”

“พี่ก็บอกอยู่นี่ไงครับ”

“ฮึ่ม” ใบหน้าหล่อน่ารักบึ้งตึงขั้นสุด มือเข้าเกียร์ขับรถออกไปตามที่เด็ดเดี่ยวบอก ส่วนคนหน้ามึนนั้นเพียงปรับเบาะเอนลงนอนในท่าที่สบายกว่าเดิม ยกมือขึ้นกอดอกเหยียดขาจนสุดความยาวผิวปากอารมณ์ดี

“อย่าลืมเลี้ยวนะครับ”

“ทางไหนล่ะ”

“ซ้ายไงครับ เหมือนที่พี่บอกเมื่อกี้”

“ไหนที่เลี้ยวไม่เห็นมีทางให้เลี้ยวเลย”

“ข้างหน้าโน่น มันใกล้ถึงแล้วพี่บอกไว้ก่อนจะได้เตรียมตัวไงครับ หึ ๆ ”

“..” ต้นกล้ากัดฟันกรอด ถึงไม่ได้หันไปมองคนตัวโตก็รู้ว่าอีกคนกำลังยิ้มขำ เลยได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หยุด ลมหายใจหอบถี่ความโกรธกรุ่นหงุดหงิดพุ่งสูง

โว้ย! ทางเลี้ยวมันอีกตั้งไกล มาบอกอะไรไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ไอ้คนหน้ามึนนี่มันกวนอยู่ใช่ไหมใครก็ได้บอกต้นกล้าที

“เลี้ยว ๆ ซ้ายนะซ้าย” เสียงบอกดังมาจากเบาะที่นั่งข้าง ๆ แต่ต้นกล้าไม่หันไปมอง คนหงุดหงิดทำปากยื่นปากยาวตั้งหน้าตั้งตาขับรถ พอถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้ายตามที่บอก หวังว่าคงถึงบ้านคนหน้ามึนนี่สักทีนะ จะได้หมดภาระรุงรัง

ถนนเป็นทางลูกรังปูด้วยหินดินแดง บางช่วงเป็นแอ่งน้ำตื้น ๆ และบ่อโคลน ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเห็นป่าทึบอยู่ไกล ๆ คนหัวแดงยังขับรถตรงไปเรื่อย ๆ โดยไม่เอ่ยปากถามอะไรสักคำ คนตัวโตอมยิ้มมองอยู่รู้เท่าทันความคิด ว่าต้นกล้าคงอยากถามอะไรบ้างตามประสาคนช่างจ้อ แต่เพราะกลัวจะเสียฟอร์มจึงได้แต่ขับรถไปเงียบ ๆ

ต้นกล้าขับรถไปด้วยใจหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อไหร่จะถึงบ้านไอ้คนหน้ามึนนี่สักทีวะ ยิ่งขับทางยิ่งลึกเข้าไปในป่าที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ เหลือบไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างนึกหวั่น แต่ถึงจะมองอีกคนอย่างไม่ไว้ใจ ก็ยังคงเชิดหน้ารักษาฟอร์มเอาไว้เป็นแม่นมั่น ทั้งที่ในหัวนั้นเกิดคำถาม ว่านี่ตูจะถูกหลอกมาฆ่าหมกป่าหรือเปล่าวะเนี่ย!

“เลี้ยวขวาข้างหน้านั่น ไปอีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” เด็ดเดี่ยวบอกทำลายความเงียบระหว่างทั้งสอง

เฮ้อ..ถึงสักทีสินะ ต้นกล้าคิดในใจอย่างโล่งอก เพราะถ้าไกลกว่านี้คงจำทางกลับไม่ได้แน่ แค่นี้ก็เข้าป่าเข้าพงมาไกลมากแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าหลานตัวดีของคุณยายกังวลที่สุด กลัวตอนขากลับจะจำทางไม่ได้นะสิ คนบ้าอะไรทำไมต้องเข้ามาอยู่ในป่าไกลขนาดนี้วะ!

ทางที่เด็ดเดี่ยวบอกให้ต้นกล้าขับรถเข้ามาเป็นทางดินเล็ก ๆ ที่ปกคลุมด้วยหญ้าดูรกตา บนพื้นหญ้าเห็นเป็นเส้นสองเส้นคู่ขนานกันไป บ่งบอกว่ามีรถสัญจรอยู่บ้างจนเป็นทางให้เห็น ทางหินแดงที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นว่าแย่แล้ว ทางดินตรงนี้ยิ่งแย่ไปใหญ่ ไหนจะแอ่งน้ำแอ่งโคลนที่ต้องขับรถลุยลงไปอีก หวังว่ามันคงไม่ลึกมากจนทำให้รถติดหล่มหรอกนะ

ขับมาได้สักพักคนตัวโตก็บอกให้จอด แต่พอรถจอดสนิทแล้วทำไมไม่ลงจากรถไปสักที ร้อนถึงคนขับที่ต้องหันมามองอย่างหงุดหงิด

“เอ้า ถึงแล้วก็ลงไปสักทีสิ” โว้ย!

“ว้าไล่อีกแล้วเหรอยังไม่ถึงเลยนะ” อ้าว! ยังไม่ถึงทำไมบอกให้จอดวะ เจ้าหลานตัวดีของคุณยายหน้าเหวอ ชักเริ่มไม่พอใจแล้วนะโว้ย! ความไม่พอใจทั้งหมดถูกแสดงออกมาทางสีหน้า ต้นกล้ากำลังจะพ่นไฟใส่คนข้าง ๆ ได้อยู่แล้ว

“นี่ยังไม่ถึงอีกเหรอ ยังไม่ถึงแล้วบอกให้จอดทำไมหา”

“ก็จอดชมวิวไงดูสิวิวสวยออก ต้นไม้ก็ขึ้นจนเขียวขจีเชียว ดอกไม้ป่าก็มีนะชอบไหมสวย ๆ ทั้งนั้นหอมด้วย” บอกมาตรง ๆ เลยว่าแค่อยากกวน ต้นกล้าจะพยายามเข้าใจ!

“ถ้าอยากชมวิวนักก็ลงไปชมคนเดียวเลยไป” ต้นกล้าไล่เด็ดเดี่ยวไม่เก็บอารมณ์ ไม่รักษามารยาทแล้วตอนนี้ คนบ้านี่จะเล่นอะไรอีกวะ

“น่าไปดูด้วยกันก่อน สวยนะเนี่ยแถวกรุงเทพไม่มีหรอกแบบนี้น่ะ” เด็ดเดี่ยวส่งสายตาวิบวับกวน ๆ ให้ ดวงตาคมมองคนตัวเล็กกว่าที่ส่งเสียงไล่อย่างรำคาญ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกดี ก็คนตัวเล็กหัวแดงนี่มันน่าแกล้งน้อยเมื่อไหร่ ท่าทางงอน ๆ ตอนไม่ได้ดั่งใจ เห็นแล้วน่ารักน่ามองจะตาย

หือ! น่ารัก! ...?

“ลงไปเลยนะ” ถ้ายังไม่ถึงต้นกล้าก็จะไม่ไปส่งแล้ว อยากไปไหนยังไงก็ตามสบายเลยไอ้คนบ้า คิดพลางกัดฟันกรอดไปพลาง ตาจิกมองคนตรงหน้าอย่างกับจะงับหัวเข้าให้ถ้าทำได้

“ลงไปด้วยกันก่อนพี่มีอะไรให้ดูครับ” หน้ามึน!

“ไม่ลง เราไม่อยากดู” ตากลมโตมองคนหน้ามึน ที่ไม่ยอมลงจากรถไปสักที ในใจวางแผนแกล้งคืน อยากลงไปดูอะไรก็ลงไปเถอะรีบลงไปเลย แล้วอย่าหวังจะได้ขึ้นมาบนรถคันนี้อีก

วางแผนในใจแล้วเผลอยกมุมปากเหมือนจะยิ้ม ที่ต้องบอกว่าเป็นการแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จะถูกกว่า หลานชายจอมเฮี้ยวของคุณยายประไพศรี เหลือบตามองอีกคนด้วยสายตาวาว ในหัวมีแต่เรื่องสนุกไว้เอาคืน เดี๋ยวเจอฤทธิ์ไอ้กล้าแล้วจะรู้สึก โฮะ ๆ

“น่าลงไปดูนิดหนึ่งพี่อยากอวด” เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างจนหน้าบาน แน่นอนคนมองคิดว่ามันเป็นยิ้มที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

ต้นกล้าไม่ยอมลงจากรถ ไม่มองหน้าเด็ดเดี่ยว คนตัวเล็กปรับเปลี่ยนกลบเกลื่อนสีหน้าเจ้าเล่ห์ไว้ แล้วทำเป็นหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา ปากบางได้รูปเม้มแน่นจนจะเป็นเส้นตรง ขณะที่แอบบ่นในใจว่าคนอะไรน่าเบื่อชะมัด วุ่นวายก็ปานนั้น นี่ยังจะมาบังคับให้เขาลงไปดูอะไรก็ไม่รู้

ฮึ่ม คนหล่อใกล้โมโหจริง ๆ แล้วนะโว้ย!

เฮ้อ ต้นกล้าถอนใจเฮือกใหญ่เป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ถ้าเด็ดเดี่ยวไม่ยอมลงรถไปเห็นทีต้องจัดการด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด คิดแล้วก็หันขวับไปมองคนข้าง ๆ ทันทีทันใดแต่..

“เฮ้ย/เฮ้ย” !! สองหนุ่มร้องเสียงหลงขึ้นพร้อมกัน ต้นกล้าหันไปเป็นจังหวะเดียวกันพอดีกับที่เด็ดเดี่ยวกำลังโน้มตัวชะโงกหน้าเข้ามาหา

“บ้า จะทำอะไรน่ะ”

“แล้วบ่นอะไรงึมงำคนเดียวครับ อยู่กันตั้งสองคนพูดคนเดียวเหมือนผีบ้าทำไม”

“เปล่านี่จะลงก็ลงสักทีสิ แล้วทำไมต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ด้วยเนี่ย ถอยออกไปเลย” ฝ่ามือนุ่มยกขึ้นดันใบหน้าหล่อคมคายคร้ามแดดให้ออกห่าง “ลงไปได้แล้ว”

“ไม่ได้อยากเอาหน้าเข้าไปใกล้สักหน่อยครับ พี่แค่จะเอานี่” เด็ดเดี่ยวชูสิ่งที่อยู่ในมือให้คนตัวเล็กดูอย่างเป็นต่อ คิ้วเข้มข้างหนึ่งที่ยกขึ้นพร้อมรอยยิ้มหล่อร้ายเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนมองนึกฉุนหนักจนควันแทบออกหู

พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเด็ดเดี่ยว ต้นกล้าจึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าเครื่องยนต์รถนั้นเงียบไปแล้ว เพราะคนหน้ามึนดับเครื่องดึงกุญแจออก แล้วเอามาแกว่งโชว์อย่างท้าทายอยู่นี่ไง ต้นกล้าหน้าแดงเพราะความโกรธจนแทบอยากพ่นไฟ

บ้าบอที่สุด! ใช่นี่มันบ้าบอที่สุดแล้วในชีวิตต้นกล้า

“เอาไปทำไมเอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย” ต้นกล้าตะโกนเสียงดังก้องรถ พยายามไขว่คว้าเอากุญแจรถในมือของเด็ดเดี่ยวคืน แต่คนหน้ามึนมีหรือจะยอมให้ง่าย ๆ

“อยากได้ก็ตามลงมาเอาสิ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเอื้อมมือจะเปิดประตูลงจากรถ ต้นกล้าเห็นอย่างนั้นจึงยืดตัวพยายามคว้าเอากุญแจ แต่เพราะไม่ทันระวังเลยพลาดไปคว้าได้เพียงข้อมือของเด็ดเดี่ยว ที่สะบัดแขนหลบเบา ๆ

“เอาคืนมานะ” ต้นกล้าไม่ยอมแพ้สองมื้อคว้าสะเปะสะปะ คนหนึ่งไม่ยอมอีกคนก็นึกสนุก ภายในพื้นที่คับแคบจึงเกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันที

“พี่ไม่ให้ครับ อยากได้ลงไปเอาข้างล่างหึ ๆ ”

“เอามานะโว้ยคนบ้า คนหน้ามึนเดี๋ยวต่อยให้เลยนิ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะชอบใจ ส่วนต้นกล้าพยายามจะแย่งกุญแจจากมือเขาให้ได้ จึงต้องโก้งโค้งจนเกือบจะข้ามมาฝั่งที่เขานั่งเต็มตัวอยู่แล้ว กัดไม่ปล่อยจริง ๆ

“เอาคืนมาเดี๋ยวนี้ไอ้บ้านนอก!” เด็ดเดี่ยวชะงักกึกกับคำด่าไม่รื่นหู ต้นกล้าเองก็หยุดชะงักเช่นกัน ที่พลั้งปากออกไปด้วยรู้ว่าไม่สมควร โดยไม่สนเลยว่าใบหน้าตัวเองนั้นห่างจากใบหน้าคมคายไม่ถึงคืบ

มันเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อความสนุกในแววตาเด็ดเดี่ยวหายไป ต้นกล้าก็ถูกคว้าท้ายทอยรั้งเข้ามาประกบปาก รู้ว่ากำลังจะถูกทำอะไรจึงเม้มปากแน่น ไม่ยอมให้เด็ดเดี่ยวส่งลิ้นรุกล้ำเข้ามาง่าย ๆ สองมือยกขึ้นดันหน้าอกแกร่ง แต่ระหว่างคนที่แข็งแรงอย่างเด็ดเดี่ยว กับคนที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างต้นกล้า มันเห็นได้ชัดว่าแรงใครมากกว่ากัน ซ้ำต้นกล้ายังอยู่ในท่าไม่ถนัด จึงเสียเปรียบเขาทุกทาง

เด็ดเดี่ยวได้แต่บดขยี้ขบเม้มแค่ภายนอก จนต้นกล้าแสบร้อนไปทั่ว เขาคำรามในลำคออย่างขัดใจ มือแข็งแรงราวคีมเหล็กที่ล็อกท้ายทอยเพิ่มแรงบีบ ต้นกล้าเจ็บจนเผลออ้าปากร้อง เปิดโอกาสให้ลิ้นร้ายของคนบังคับจูบเข้าควานหาความหวานฉ่ำภายใน

ต้นกล้าตาโต ใจเต้นรัวราวกับกลองที่ถูกกระหน่ำตีก่อนออกศึก มือข้างหนึ่งยันพนักพิงเบาะประคองตัว ส่วนอีกข้างระดมกำปั้นประท้วงทุบหนัก ๆ ไปตามร่างล่ำสันโดนทั้งหัวทั้งตัว แถมด้วยการจิกดึงทึ้งกลุ่มผมเข้าให้ด้วย

พอได้บดขยี้ริมฝีปากแดง ๆ จนหนำใจ เด็ดเดี่ยวก็ปล่อยให้ต้นกล้าเป็นอิสระ ใช่ว่าไม่พอใจที่ถูกด่าว่าเป็นไอ้บ้านนอก เขาออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าขาวผ่องกับริมฝีปากสีแดงสดที่แอบมองอยู่หลายครั้ง และกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายโปร่งบางกว่านั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นบ้าหลงลืมตัว เผลอทำอะไรไม่สมควร..

..แต่พอนึกได้เด็ดเดี่ยวก็ต้องตกใจกับการกระทำของตัวเอง แทบจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ

เฮ้ย!! ที่จูบไปนั่นมันผู้ชายด้วยกันนี่หว่า ไอ้เดี่ยว ไอ้บ้า มึงทำอะไรลงปายยยย!!

ทันทีที่หลุดพ้นจากพันธนาการได้ มือข้างถนัดก็ฟาดกำปั้นไปที่ใบหน้าคมคาย ของคนที่บังอาจมาปล้นจูบไม่ยั้งแรง ต้นกล้าหายใจหอบ ไม่รู้หอบเพราะออกแรงฟาดกำปั้น หรือหอบเพราะจูบจาบจ้วงเอาแต่ใจ แต่กำปั้นหนัก ๆ ก็เรียกสติเด็ดเดี่ยวให้กลับมาได้ทันที ใบหน้าหล่อคร้ามหันไปตามแรงตบด้วยกำปั้น รู้สึกได้ถึงความเจ็บหนึบหนักจนแก้มชา มันสาสมแล้วกับสิ่งที่เขาทำลงไป ส่วนหลานคุณยายได้แต่เอาหลังมือเช็ดปากตัวเองแรง ๆ จนปากที่แดงอยู่แล้วแดงยิ่งกว่าเก่า เช็ดไปก็ให้นึกโกรธและเจ็บใจ เงื้อกำปั้นขึ้นกำลังจะฟาดลงอีก เพื่อเรียกสติคนหน้ามึนสักหน่อย แต่ถูกเด็ดเดี่ยวจับข้อมือไว้เสียก่อน ต้นกล้ายกมืออีกข้างขึ้นทันที แต่ก็ถูกเด็ดเดี่ยวจับเอาไว้ทันทีเหมือนกัน

“ปล่อยนะโว้ย!” ทั้งโกรธ ทั้งโมโหที่ถูกบังคับจูบ นี่มันเป็นจูบแรกของต้นกล้าเชียวนะ กับคนที่เคยคบหาเขายังอุตส่าห์เลี่ยงมาได้ ไม่ยอมจูบกับใครเพื่อเก็บไว้ให้คนที่เป็นตัวจริงคนเดียว แล้วทำไมถึงได้เสียมันไปง่าย ๆ อย่างนี้!

“รู้ไหมทำไมพี่จูบ” เด็ดเดี่ยวรั้งต้นกล้าเข้ามาใกล้อีก กระซิบถามแต่ไม่รอคำตอบ “พี่ไม่โกรธหรอกนะถ้าต้นกล้าจะว่าพี่บ้านนอกคอกนา” ต้นกล้าไม่ตอบคำ แต่ตวัดสายตาแข็งกร้าวสบตากับเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ “เพราะมันเป็นเรื่องจริง” เสียงโทนราบเรียบบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้โกรธจริง ๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นแววตาน่ากลัวออกปานนั้น ตวัดมองมาทีเล่นเอาต้นกล้าใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

“ที่พี่โกรธเพราะต้นกล้าพูดไม่เพราะ พี่ไม่ชอบนะครับ” ชิ! ต้นกล้าหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ชอบแล้วมันถึงขั้นต้องจูบกันเลยหรือ!

“เข้าใจพี่ไหม”

ภายนอกนิ่งแต่ใจเด็ดเดี่ยวกำลังสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ลืมตัวจนจับต้นกล้ามาจูบเอาดื้อ ๆ เขาเพิ่งจูบปากดูดดื่มกับผู้ชายด้วยกันไป อาจจะใช้เวลาไม่นาน แต่ยังรู้สึกได้ถึงความหวานละมุนจับใจ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกัน หากได้ชิมความหวานนานกว่านี้ มันจะหวานชื่นใจมากขนาดไหน..

เฮ้ย! คิดบ้าอะไรวะไอ้เดี่ยว!

เด็ดเดี่ยวสะดุ้งกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว แปลกใจในสิ่งที่กระทำพอ ๆ กับแปลกใจคนตัวเล็กตรงหน้า ที่ดูยังไงมองมุมไหน หลานคุณยายก็ผู้ชายแมนๆ คนหนึ่ง ถึงจะเอาแต่ใจและทำตัวเหมือนเด็กขี้โวยวายไปบ้างก็ตามเถอะ หรือเขาจะเบี่ยงเบนไปแล้ววะเนี่ย ถึงได้รู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายด้วยกัน!

“ปล่อยเราแล้วลงจากรถไปเดี๋ยวนี้” เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำข้อมือสองข้างของต้นกล้าไว้แน่น ก็ตอนได้ยินเสียงดุที่ช่วยปลุกให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน คนตัวเล็กกว่าพยายามข่มอารมณ์โกรธกรุ่น แล้วพูดออกมาด้วยเสียงนิ่ง ๆ จนคนฟังชักจะหงอ

“ปล่อยมือแล้วลงไป!”

“เอ่อ..พี่”

“ลงไป! แล้วมือนี่ก็ปล่อยสักที”

“ต้นกล้าครับ คือพี่...” เด็ดเดี่ยวเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รู้ว่าตัวเองทำเกินไป อยากขอโทษแต่ดันพูดไม่ออก

“บอกให้ลงไปไง ลงไปเดี๋ยวนี้ ไอ้คนหน้ามึน ลงไปจากรถเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย”

ใจเด็ดเดี่ยวนั้น อยากรั้งร่างต้นกล้าเข้ามากอดแน่น ๆ แล้วเอ่ยขอโทษ แต่เกรงจะทำให้อีกคนพาลโกรธไปมากกว่านี้ ใจหนึ่งก็ยังงง ๆ สับสนแปลก ๆ ถึงปกติจะไม่ค่อยสนใจผู้หญิงเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่เคยมีจิตพิศวาส หรือรู้สึกชอบผู้ชายมาก่อน

“ลงไปสิวะ” เพราะผิดเต็มประตูเด็ดเดี่ยวจึงค่อย ๆ หย่อนขาลงจากรถ อยากเอ่ยขอโทษสักครั้งก่อนจาก แต่ทำได้แค่อ้ำอึ้ง ไม่รู้ความกล้าความมั่นใจหายไปไหนหมด สุดท้ายเลยถูกทิ้งให้ยืนเคว้งคว้างกลางป่าคนเดียว
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 5 จูบแรก 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-11-2018 15:17:00
สองขายาวก้าวไปยังธรรมชาติเบื้องหน้า ลัดเลาะป่าสู่ลำธารสายเล็ก จมูกสูดรับกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ป่าที่อบอวลรอบตัวพาให้ใจสงบ ที่ดินบริเวณนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเด็ดเดี่ยว ที่อนุรักษ์ไว้ให้คงความเป็นป่าธรรมชาติ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่รกจนน่ากลัว ฝั่งที่เป็นด้านหน้ามีทางเดินลงมาลำธาร เป็นท่าน้ำเล็ก ๆ แต่แข็งแรงทำขึ้นจากไม้ ท่าน้ำกินพื้นที่ลงมาในแอ่งกว้างกลางน้ำ บัวสายสีบานเย็นกระจายเต็มแอ่ง แซมด้วยพืชน้ำอื่น ๆ ที่ขึ้นประปราย

เด็ดเดี่ยวเดินตัดข้ามลำธารขึ้นไปยังตลิ่งอีกด้าน ที่ทำบันไดหินไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ไต่ไปบนต้นไม้ใหญ่ที่เอนตัวไปตามแนวตลิ่ง จนถึงบ้านหลังกะทัดรัดน่าอยู่ตามประสาคนใช้ชีวิตพอเพียง รอบตัวบ้านมีระเบียงติดลูกกรงทำจากกิ่งไม้ เปิดเข้าไปข้างในจะเป็นห้องเดี่ยว มีข้าวของเครื่องใช้บางส่วน ที่หามาไว้ใช้เผื่อเวลามานอนเล่น เปิดหน้าต่างบานเล็กแล้วปัดกวาดปูเสื่อ เอาหมอนออกมาวางล้มตัวลงนอน ในหัวยังวนเวียนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ริมฝีปากยังร้อนวูบวาบอยู่จนกระทั่งตอนนี้ แต่ท่ามกลางลมเย็น ๆ และบรรยากาศดี ๆ ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป

****************

ถึงไม่มั่นใจว่าตัวเองจำทางกลับบ้านได้ ต้นกล้าก็ยังขับรถออกมาด้วยความเร็ว เพราะหวังจะไปให้ไกลจากใครคนนั้น ใบหน้าใสเครียดขรึม เพราะตั้งใจจดจ่ออยู่กับเส้นทาง หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียวเหมือนบ้า ไม่อยากคิดแต่ดันหยุดไม่ได้ พอเผลอคิดก็ยกมือขึ้นมาถูปากตัวเองแรง ๆ ไปด้วย เพราะยังรู้สึกได้ถึงความร้อนวูบวาบ คิดไปคิดมาอารมณ์ขึ้นก็ทุบพวงมาลัยรถเป็นการระบาย ต้นกล้าขับรถไปทั้งด่าทั้งบ่น ทั้งเอามือเช็ดปากตัวเองไปตลอดทาง หวังว่าความวูบวาบบ้า ๆ นี้ มันจะหายไปหรือบรรเทาเบาบางลงบ้าง สุดท้ายกลับพบว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ยิ่งเช็ดยิ่งเจ็บใจ เช็ดจนปากเจ็บแดงเจ่อไปหมดแล้ว ความรู้สึกนั้นมันยังไม่ยอมหายไปสักที

“ไอ้บ้า ไอ้คนบ้า โว้ย บ้าบอที่สุด!” ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด แต่ทั้งที่หงุดหงิดทำไมหยุดคิดไม่ได้ ถูปากตัวเองไปแล้วกี่ครั้งยังไม่หนำใจ ยังถู ๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง..

เอี๊ยดดดด!!! ปึก!!! อูย

“เจ็บ ซี๊ดโอย เจ็บ ๆ ” ต้นกล้าจิกสายตาอาฆาตแค้นมองตามหมาพันธุ์พื้นบ้านตัวผอม ที่วิ่งตัดหน้ารถกะทันหัน จนต้องเบรกตัวโก่ง ปากสวยกระแทกเข้ากับพวงมาลัยจัง ๆ ตอนนี้มันจึงทั้งบวมทั้งแดง แถมยังมีรอยเขียวจาง ๆ ขึ้นมาระหว่างปากกับจมูกเป็นของแถม

“โว้ย ทำไมวันซวยมันไม่จบไม่สิ้นอย่างนี้วะ ฮึ่ม” สองมือจับมั่นที่พวงมาลัยแล้วเขย่าอย่างแรง ตามความคุกรุ่นของอารมณ์ ต้นกล้าร้องตะโกนอยู่ในรถคนเดียว ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ไม่มีวันไหนที่ต้นกล้าไม่ต้องหงุดหงิด โดยเฉพาะเวลาเจอคนตัวโตยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดขึ้นอีกหลายสิบเท่า!

ต้นกล้าขับรถมาตามทางเก่า แต่ก็ต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจมากเป็นพิเศษ เพราะระยะทางตอนขาไปนั้นไกลพอสมควร เกิดหลงทางขึ้นมาคงยุ่ง แต่ก็โล่งใจเมื่อขับมาเจอป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้าน ถึงตรงนี้เขาก็จำทางได้แล้ว ดีที่ไม่ขับหลงไปทางอื่นก่อน

ต้นกล้าเครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบระเบิด

“ฮึ่ม ไอ้คนบ้า ไอ้คนเลว ไอ้คนฉวยโอกาสหน้ามึน อูย” ขับรถไปด่าไป เผลอกัดปากตัวเองโดนรอยช้ำทำเอาเจ็บจนน้ำตาเล็ด

กลับมาถึงบ้านต้นกล้าหลบอยู่ในห้องไม่พูดไม่จากับใคร จนเป็นที่ผิดสังเกตของพ่อกับแม่และคุณยาย ปกติต้นกล้าจะร่าเริงแจ่มใส ชอบพูดชอบคุยเล่นหัว แต่พอกลับมาจากไปส่งเด็ดเดี่ยว ก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียวท่าทางแปลกไป

“ต้นกล้าทำอะไรอยู่ลูก” คุณนภาทำหน้าที่เป็นตัวแทนทุกคนเข้ามาถามไถ่ เธอเคาะประตูห้องเรียกลูกชายแต่ข้างในยังเงียบ จึงเคาะอีกสองสามครั้งแล้วถาม “ต้นกล้านอนหรือเปล่าลูก แม่จะลงสวนไปด้วยไหม”

“ครับ คุณแม่”

“ทำอะไรอยู่ลูกแม่เรียกตั้งนาน เอ๊ะปากไปโดนอะไรมาน่ะ” คุณนภาถามพลางยื่นมือมาแตะริมฝีปากที่บวมช้ำอย่างเป็นห่วง

“หมาวิ่งตัดหน้ารถ กล้าเลยได้จูบกับพวงมาลัยครับคุณแม่ แหะ ๆ ” ดีนะที่ไม่เผลอปากบอกแม่ว่าจูบกับใครบางคน

“ขับรถเร็วล่ะสิ แล้วมีที่ไหนเจ็บอีกบ้างไหม”

“ไม่มีแล้วครับกล้าไม่ได้ขับเร็ว แถมยังรัดเข็มขัดด้วย”

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่”

“กล้าหลับครับ” ต้นกล้าตอบเสียงเบาหลบสายตาคนเป็นแม่เพราะกำลังโกหก จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่ามัวแต่นั่งหงุดหงิดคิดแค้น คนปล้นจูบแรกจนลืมสิ่งรอบกายไปหมด

“อ้าว แม่ปลุกเหรอเนี่ยโทษทีนะจ๊ะ พอดีแม่จะลงสวนไปด้วยกันไหม”

“แล้วคุณยายล่ะครับ”

“คุณยายเอนหลังอยู่ซุ้มชานบ้านจ้ะ”

“นั้นกล้าขออยู่เป็นเพื่อนคุณยายดีกว่าครับคุณแม่” คนหล่อใสสไตล์น่ารักอาสาอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย เพราะยังอารมณ์ไม่ดี จึงคิดว่าตัวเองก็คงไม่มีกะจิตกะใจไปชื่นชมธรรมชาติ แม้จะเป็นธรรมชาติที่สวนหลังบ้านก็ตามเถอะ!

“งั้นแม่ไปก่อนนะ”

“ครับเดี๋ยวกล้าจะเดินออกไปหาคุณยายนะครับ ขอล้างหน้าก่อน”

“จ้ะ” คุณนภาบอกเท่านั้นแล้วเดินออกไป ต้นกล้ามองตามคุณแม่ในใจครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง คนหล่อหน้าใสก็ตัดสินใจได้ เดินกลับเข้าไปในห้องแล้วล้างหน้าล้างตา โดยเฉพาะบริเวณปากถูกถูแล้วถูอีก ค่อยออกมาหาคุณยายด้วยสีหน้าระรื่น

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ต้นกล้าใช้เวลาที่คุณนภาและคุณกวินลงสวนอยู่กับคุณยาย เขาพูดคุยหัวเราะและนวดไปตามตัวให้คุณยายอย่างเอาอกเอาใจ

“ดีลูกดี ตรงนั้นแหละกำลังดีเลย”

“คุณยายปวดตรงไหนอีกครับ บอกกล้ามาเลยเดี๋ยวมือเทวดาสุดหล่อจะคลายเส้นให้”

“เออ ตรงนั้นแหละลูกดีแล้ว พ่อเทวดาน้อยของยาย” คุณยายพริ้มตาหลับลงอย่างสบายตัว “นวดเก่งนะเรา”

“แน่นอนอยู่แล้วครับ เอ่อ...ว่าแต่...” นอกจากอยากนวดให้คุณยายรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ต้นกล้ามีเรื่องอยากจะขอคุณยาย จึงเอาใจคนแก่มากกว่าปกติ ทั้งที่ปกติก็มากอยู่แล้ว

“ว่าแต่อะไรล่ะ”

“คือต้นกล้าว่า...” ต้นกล้ายังไม่แน่ใจในสิ่งที่เขากำลังจะขอ ไม่รู้คุณยายจะว่าอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าบอกออกไปตรง ๆ “กล้า...เอ่อ”

“อะไรล่ะเจ้ากล้า มีอะไรบอกยายมาตรง ๆ ”

“คือกล้า อยาก…” จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าพอจะพูดออกมา จะให้ต้นกล้าบอกง่าย ๆ ได้อย่างไร ว่าเขานั้นไม่อยากอยู่บ้านนอกบ้านนานี้แล้ว จะขอกลับกรุงเทพพร้อมคุณพ่อคุณแม่และพาคุณยายไปด้วย ต้นกล้าตัดสินใจแล้ว เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเหมาะกับเขาสักอย่าง มันไม่ใช่ที่ของต้นกล้า เขาไม่ชอบความบ้านนอกบ้านนา ไหนจะกลิ่นสาบโคลนกลิ่นสาบทุ่ง กลิ่นเหม็นเหงื่อไคลไอความร้อนที่ระอุ หรือแม้กระทั่งอาหารแปลก ๆ ที่ไม่เคยกิน และไม่น่ากิน

นี่มันไม่ใช่! มันไม่ใช่ต้นกล้า! ต้นกล้าอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้นกล้าจะไม่ทน!

“อยากอะไรเจ้ากล้า เดี๋ยวยายจะให้แม่แจ่มใจเขาทำให้กิน”

“เปล่าครับกล้าไม่ได้อยากกินอะไร ไม่ได้หมายถึงของกินแบบนั้น” ก้มหน้าตอบในใจให้รู้สึกหวิว ๆ ปนละอาย จนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา ด้วยเพราะความตั้งใจจริงแต่แรกถูกทำลายลงไปหมดแล้ว ถึงจะเคยรับปากคุณยายแต่ตอนนี้ต้นกล้าอยากคืนคำ

“แล้วที่ว่าอยากน่ะมันอยากอะไรล่ะลูก” คุณยายยังข้องใจจึงถามไม่หยุด ใบหน้าชราบ่งบอกว่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง จนคิ้วนางขมวดมุ่น

“กล้า..อยากกลับกรุงเทพกับคุณยาย พร้อมคุณพ่อคุณแม่พรุ่งนี้ครับ” เจ้าหลานตัวดีตัดสินใจเอ่ยออกมาเสียงเบา คุณยายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็พอเข้าใจได้ ว่าหลานชายนั้นไม่เคยลำบากตรากตรำกับท้องไร่ท้องนาอย่างนี้มาก่อน สมกับเป็น พ่อเทวดาของยาย เมื่อมองเห็นความลำบากอยู่ตรงหน้าก็คงจะรู้สึกท้อใจ

“ทำไมล่ะลูก”

“ก็กล้าไม่อยากอยู่แล้ว กล้า...ไม่ชอบ”

“ปอดแล้วหรือไง” ไม่ใช่เสียงของคุณยายผู้ใจดี แต่เป็นเสียงถามอย่างสบประมาทที่แทรกขึ้นของผู้มาใหม่ เล่นเอาคนอยากกลับกรุงเทพหันขวับไปมองคอแทบเคล็ด

ต้นกล้าเบิกตากว้าง ฟันขบเข้าหากันแล้วเม้มปากแน่นอย่างเคียดแค้น ยิ่งคนตัวโตเดินเข้ามาใกล้ ภาพตอนอยู่ในรถกลางป่ายิ่งชัดเจนในความคิด ใบหน้าหล่อใสในแบบเกาหลีเริ่มบิดเบี้ยว นัยน์ตาจริงจังมุ่งมั่นการแก้แค้น รู้สึกถึงความคับแค้นแน่นในอกขึ้นมาเสียยกใหญ่ ใบหน้าขาวใสขึ้นริ้วแดงไม่รู้เพราะโกรธมาก หรือเพราะเกิดความรู้สึกอย่างอื่นกันแน่ แต่ในหัวตอนนี้มีแต่ภาพฝันร้าย ที่ตัวเองถูกรั้งไปประกบปากรับจูบดูดดื่มจนใจสั่น!

ฮึย! ทำไม ทำไมต้องคิดถึงวะ ทำไมต้องมายืนอยู่ตรงนี้ มาได้ยังไง ทำไมยังตามาหลอกมาหลอนกันอยู่อีกวะเนี่ย

ต่อ..
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 5 จูบแรก 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-11-2018 15:19:17
“พ่อเดี่ยวนี่เอง” เสียงคุณยายทักทายแทรกลึกเข้าไปในห้วงความคิด ตันกล้าเขารู้สึกตัวขยับเข้าไปหาคุณยาย เชิดหน้าให้คนมาใหม่

“ครับคุณยาย ขอโทษที่กลับมารบกวนคุณยายอีกนะครับ”

“ไม่เป็นไร ๆ คนกันเองอย่าคิดมาก รบกงรบกวนอะไรล่ะลูก ดีเสียอีกยายจะได้มีเพื่อนคุยหลาย ๆ คน เข้ามาก่อนมา” คุณยายพยักหน้ารับไหว้เด็ดเดี่ยวปฏิเสธความเกรงใจ มือเหี่ยวย่นยกขึ้นกวักเรียกคนมาใหม่ให้นั่งคุยกัน

“อุตส่าห์ไปส่งแล้วย้อนกลับมาทำไมอีก ไม่มีที่ไปแล้วหรือไง” ต้นกล้าถามเสียงลอดไรฟัน เพราะความกรุ่นโกรธยังระอุอยู่มาก โดยลืมไปเลยว่าคุณยายก็อยู่ด้วย และ..

“เจ้ากล้า พูดกับพี่เขาอย่างนั้นได้ยังไง” เสียงดุของคุณยายเรียกสติคนเป็นหลานให้กลับมาสู่ตัว ถือว่าเป็นคนโปรดของคุณยายสินะถึงได้ยิ้มระรื่น

ต้นกล้าค่อนขอดในใจแล้วแบะปากที่ยังบวมเจ่อให้ นั่นทำให้เด็ดเดี่ยวพึ่งสังเกตเห็น ว่าริมฝีปากสีระเรื่อของคนตัวเล็กกว่ามีรอยเขียวช้ำ รู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว

นี่เขาจูบรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ ปากสวยถึงได้ช้ำมากขนาดนี้!

“ไอ้จ๋าชวนลูกพี่เดี่ยวมาเองครับ” เสียงไอ้จ๋าดังแทรกขึ้นเพราะมันเดินตามเด็ดเดี่ยวมาติด ๆ “ไอ้จ๋ากลับมาจากในเมือง เห็นลูกพี่เดี่ยวเดินโต๋เต๋อยู่ข้างทางเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านไม่มีที่ไป เลยชวนขึ้นรถมาด้วยครับ แหะ ๆ ” มันบอกหน้าซื่อตาใสตบท้ายด้วยการหัวเราะแห้ง ๆ ทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรน่าขำสักนิด ซ้ำยังสาธยายจนเด็ดเดี่ยวเสียภาพพจน์ เด็กหนีออกจากบ้านนี่นะ เขาแค่เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแค่นั้นเอง ลูกชายกำนันส่ายหัวให้กับคำรายงานของไอ้จ๋า ที่คลานเข้ามานั่งข้าง ๆ

พอได้นอนคิดเงียบ ๆ คนเดียว เห็นว่าตัวเองทำกับคนตัวเล็กกว่าเกินไป เด็ดเดี่ยวเลยอยากตามมาขอโทษ จึงเดินย้อนกลับออกมาทางเก่า เพื่อออกมายังถนนเส้นเดิม คิดว่าจะขอติดรถใครสักคนให้มาส่งบ้านคุณยาย แล้วฟ้าก็เป็นใจส่งไอ้จ๋ามาพอดี เมื่อรถกระบะตอนเดียวคันเก่าฝุ่นเกาะเขรอะ อันเป็นรถประจำตำแหน่งของมัน วิ่งมาด้วยความเร็วเกินเพศสภาพภายนอก จอดลงข้างทางรับเขามาด้วยกัน

“เมื่อกี้กำลังคุยอะไรกันอยู่ครับ” ไอ้จ๋าถามพลางคลานเข้ามานั่งพับเพียบเรียบแต้ ข้างเก้าอีกหวายตัวยาวของคุณยาย อันเป็นที่นั่งประจำของมัน จะได้หยิบจับอะไรให้คุณยายได้ง่ายเมื่อถูกใช้สอย

คำถามของไอ้จ๋าทำให้ต้นกล้าตกเป็นเป้าสายตาทันที จึงเลือกเมินมองไปอีกทาง เด็ดเดี่ยวคิดว่าต้นกล้าคงยังโกรธเรื่องจูบ แต่ความจริงที่ต้นกล้าไม่อยากมองหน้ามึน ๆ นี่ เพราะว่ามองทีไรมันพาลแต่จะให้รู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า และรู้สึกร้อนผ่าว ๆ ที่กลีบปากยังไงก็ไม่รู้

“ถ้าฉันไม่อยู่แกจะดูแลที่นี่ไหวไหมจ๋า”

“ที่คุณยายจะไปกรุงเทพน่ะเหรอครับ” ใบหน้าทะเล้นของไอ้จ๋าดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงของมันก็หนักแน่นเมื่อตอบคำถาม “ไหวสิครับคุณยายยังไงก็มีลูกพี่กล้าอยู่ด้วยทั้งคน”

“แล้วถ้าลูกพี่ตัวดีของแกไม่อยู่อีกคนล่ะจะว่ายังไง”

“อ้าว!” ไอ้จ๋าหันขวับไปมองลูกพี่ใหญ่ของมันทันทีด้วยสีหน้ามีคำถาม คิ้วขมวดมุ่นแทบชิดกัน “ทำไมล่ะครับลูกพี่ ลูกพี่จะไปกะคุณยายด้วยเหรอครับ”

“เขาไม่อยู่หรอกก็คงจะไปกันหมดนี่แหละ คงต้องเป็นหน้าที่แกแล้วนะจ๋า ฉันไว้ใจแกกับพ่อแม่แกที่สุด” คุณยายบอกด้วยเสียงที่อ่อนลงเหมือนกำลังน้อยใจ จนคนฟังทั้งสามรู้สึกได้ “ว่าแต่แกจะไหวหรือเปล่าทั้งงานไร่งานนา ทั้งเรียนหนังสือ” ถามแล้วเอื้อมมือลูบหัวไอ้จ๋าอย่างเอ็นดู นอกจากต้นกล้าที่เป็นหลานในไส้ ก็มีไอ้จ๋าที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กจนโตนี่แหละ ที่เป็นหลานในไส้อีกคน ถ้าไม่มีลูกมีหลานเป็นทายาทโดยตรง มรดกทั้งหมดเห็นทีจะไม่พ้นยกให้ไอ้จ๋ามันคนเดียว คิดว่ามันคงดูแลแทนได้ ถึงมันจะซื่อแต่มันก็ไม่ได้โง่จึงไว้เนื้อเชื่อใจ คนอย่างไอ้จ๋ามันเอาตัวรอดได้สบาย

“ไหวสิครับคุณยายไม่ต้องห่วงหรอกไอ้จ๋าทำได้คนงานก็มี” ไอ้จ๋ารับคำเป็นมั่นเหมาะให้คุณยายสบายใจ ทั้งที่ลึก ๆ แอบเสียดายที่จะไม่ได้ลุยงานนางานไร่กับลูกพี่ใหญ่ของมัน

“แล้วคนที่เขาบอกว่าจะอยู่ดูแลแทนล่ะครับคุณยาย” เด็ดเดี่ยวพูดขึ้นหลังจากสบตากับคุณยายเหมือนรู้กันเป็นนัยอะไรสักอย่าง

“เขาคงไม่อยากอยู่แล้วล่ะเห็นบอกอยากกลับพร้อมกันพรุ่งนี้” คุณยายตอบเสียงเครือจนคนเป็นหลานแท้ ๆ ได้ยินก็เริ่มใจเสีย แต่ยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้มั่น ต้นกล้าเชิดหน้าหยิ่งพยายามเก็บอาการหวั่นไหว หากไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเด็ดเดี่ยวอยู่ด้วย ป่านนี้เขาคงเข้าไปกอดอ้อนคุณยายไม่ให้น้อยใจแล้ว

“แย่จังเลยนะครับคุณยาย ที่พูด ๆ ไว้คงแค่ราคาคุยไปอย่างนั้นเองใช่ไหมครับ” ต้นกล้ารู้ว่าถูกถากถาง แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรทั้งที่ในใจคิดหนัก สงสารคุณยายที่ต้องผิดหวังในตัวเขา อีกใจเริ่มหงุดหงิดที่โดนสบประมาท

“คนกรุงก็อย่างนี้ล่ะครับไม่มีความอดทนหรอก นี่ถ้าคุณยายจะขายที่ทั้งหมดแล้วย้ายไปอยู่กรุงเทพเลย บอกได้นะครับผมจะรับซื้อให้ทั้งหมดเลย” อวดรวย! ต้นกล้านึกหมั่นไส้เด็ดเดี่ยว จึงปรายหางตามองคนตัวโตแล้วเหยียดปากหมิ่น ๆ

“เข้าท่าดีนะพ่อเดี่ยว เก็บไว้ก็คงไม่มีใครทำขายทิ้งมันเลยดีกว่าจริงไหมจ๋า”

“ถึงจะเสียดาย แต่ก็แล้วแต่คุณยายครับ” ไอ้จ๋าให้รู้สึกใจหาย สีหน้าของคุณยายกับลูกพี่เดี่ยวจริงจังกันเหลือเกิน

ต้นกล้ามองคุณยายทีมองไอ้จ๋าที แต่เลี่ยงที่จะมองหน้ามึน ๆ ของคนตัวโต ได้ยินคุณยายบอกจะขายที่ทั้งหมด อันเป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ ทำไมต้นกล้ารู้สึกไม่ดีทั้งที่ไม่อยากอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่ได้นึกชอบ ไม่มีความรู้สึกผูกพัน ไม่นึกอยากได้อยากเป็นเจ้าของ แต่กลับรู้สึกผิดและใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“ว่าไงเจ้ากล้าขายที่นี่ให้พ่อเดี่ยวเขาท่าจะดีนะ ว่าแต่ยายคงไม่เรียกราคาให้แพงนักหรอก ขายให้คนกันเองนะพ่อเดี่ยวนะ” คุณยายหันไปหาเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มก็ยิ้มร่าเออออห่อหมก ท่ามกลางสายตาอีกสองคู่ที่มองต่างความรู้สึก “งั้นยายว่าเรามาคุยเรื่องราคากันไว้ดีกว่า”

“ก็ถ้าคนไร้ความสามารถเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเขาเห็นด้วยที่จะขาย ผมก็ไม่มีปัญหาหรอกครับคุณยาย ขายเท่าไหร่ก็จะซื้อ” อวดรวย! พูดจาแบบนี้จะให้ความหมายเป็นอื่นไปได้อย่างไร ถ้าไม่หมายถึงต้นกล้า พูดจาอวดรวยไม่เข้าหูไม่พอ ยังมองกันอย่างท้าทาย แล้วคนอย่างไอ้กล้านี่นะจะยอมให้คนอื่นมาหยามเล่นได้ง่าย ๆ

“กล้าไม่ให้ขายนะครับคุณยาย ถ้าคุณตารู้เข้าต้องโกรธมากแน่ ๆ ”

“ตาแกเสียไปหลายปีแล้วเขาไม่ว่าหรอกเจ้ากล้า แล้วถ้าไม่ขายใครจะดูให้ยายล่ะ ยายก็แก่แล้วดูไม่ไหวหรอก นี่ไอ้จ๋ามันก็ยุ่งเรื่องเรียน ใกล้จบแล้วด้วยใช่ไหมจ๋า” คุณยายหาข้ออ้างแต่ไอ้จ๋ามันพาซื่อ

“ไม่เป็นไรครับไอ้จ๋าสบายมากเพราะเทอมนี้ก็จบแล้ว ไม่ต้องห่วงครับคุณยายไม่ไหวไอ้จ๋าจะเหมาทำให้หมด เรื่องเรียนก็ไม่มีปัญหาไอ้จ๋ามันเรียนเก่งคุณยายก็รู้” ใช่เรื่องไอ้จ๋าเรียนเก่งคุณยายนั้นรู้ดีแต่นี่ไม่ใช่ประเด็น!

คุณยายส่งสายตาดุปรามไม่ให้มันพูดมาก จนคนโดนปรามสะดุ้งโหย่ง

“กล้าจะทำให้คุณยายเองครับ!” ต้นกล้าบอกน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง กลัวตัวเองเสียฟอร์มจนลืมเรื่องที่ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้สิ้น “คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง แล้วก็ห้ามขายที่นี่นะครับ” ต้นกล้าขยับเข้าไปหาคุณยายประจบเอาใจ รู้สึกผิดที่ทำให้คุณยายรู้สึกไม่ดี สองแขนจึงโอบกอดร่างหญิงชราแน่น

ทั้งที่กอดและซบแก้มอยู่กับไหล่คุณยาย ต้นกล้ายังเหลือบมองเด็ดเดี่ยว ปากบวมเจ่อแสยะยิ้มเยาะอวดดี ก็ให้มันรู้ไปสิว่าคนอย่างต้นกล้าจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เหมือนที่คนตัวโตว่าจริง ๆ ถึงจะมาจากเมืองกรุงแต่เขาก็มีเลือดชาวนาจากแม่อยู่ครึ่งหนึ่ง ยังไงก็ต้องลองสู้กันดูสักตั้งล่ะวะ คนอย่างไอ้กล้าฆ่าได้หยามไม่ได้โว้ย!

“ได้ยินอย่างนี้ยายก็มีความสุขแล้วละลูก” คุณยายหอมแก้มหลานชายฟอดใหญ่แล้วกอดไว้แน่น อีกมือลูบหัวเบา ๆ ต้นกล้าสบตาเด็ดเดี่ยวเย้ยหยัน คิดจะฮุบที่ดินของคุณยายนะฝันไปเถอะ ถึงอยากซื้อแต่ต้นกล้าไม่มีวันยอมให้คุณยายขายแน่นอน

คนที่ถูกตราหน้าว่าหน้ามึนอมยิ้มสมใจ เหลือบมองคุณยายที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วยิ้มรู้กัน เป็นอันว่าแผนที่ไม่ได้วางกันไว้ล่วงหน้า สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์!

*****************

เช้าวันใหม่ คุณนภากับไอ้จ๋ากำลังช่วยกันจัดของขึ้นรถเตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพ ถึงมันจะเศร้าใจที่คุณยายจะต้องไปแล้ว แต่ไอ้จ๋าก็ดีใจที่ลูกพี่กล้าของมันยังอยู่ที่นี่ มือมันจัดข้าวจัดของปากมันก็พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยไม่หยุด จนคุณยายประไพศรีต้องปราม ไม่นานมันก็หาหัวข้อใหม่ขึ้นมาพูดอีกจนได้ แต่ก็โดนใครสักคนที่อยู่ตรงนั้นขัดอีกเป็นที่ตลกขบขันของทุกคน

“เรียงดี ๆ วางชิด ๆ กันจะได้เป็นระเบียบมีที่เก็บของเพิ่มอีก”

“ครับ” ไอ้จ๋ารับคำมือก็จัดของไปด้วย ทั้งกระเป๋าใบใหญ่ ลังใส่ผลหมากรากไม้และชะลอมของฝาก

“ป้านภาครับว่าง ๆ ไอ้จ๋าขอไปเที่ยวกรุงเทพบ้างนะครับ” ตัวไอ้จ๋าเองยังไม่เคยไปเห็นเมืองฟ้าอมรแห่งนั้นเลยสักครั้งตั้งแต่เกิด พอพูดถึงกรุงเทพมันเลยออกจะตื่นเต้นอยู่สักหน่อย “ไอ้จ๋าอยากไปเห็นกรุงเทพสักครั้ง ว่ามันจะสวยโสภาน่าอยู่ขนาดไหน”

“ได้สิ อยากไปเมื่อไหร่บอกป้าก็แล้วกัน”

“อย่าไปเลยจ๋าเอ๊ย มันจะหลงแสงสีเปล่า ๆ ” คุณยายปรามไอ้จ๋าไม่จริงจังนัก มีคุณกวินนั่งหัวเราะขำอยู่ข้าง ๆ

“โธ่คุณยายครับไอ้จ๋าก็อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้างไรบ้าง ได้ไปดูไปเห็นจะได้เอามาคุยกับพวกไอ้ดำไอ้ว่าวมัน ว่าครั้งหนึ่งไอ้จ๋าก็เคยไปเหยียบเมืองกรุงเมืองหลวงกะเขามาแล้ว ใช่ว่าไอ้จ๋าจะไปหาแต่แสงสีนะครับ”

“คุยอะไรกันอยู่ครับคุณยาย” ต้นกล้าถามเดินเข้ามากอดคุณยายประจบประแจง

“ก็ไอ้จ๋านะสิ ริอ่านอยากไปเที่ยวกรุงเทพกะเขาด้วย” คุณยายบอกคนในอ้อมกอด พลางยกมือขึ้นมาขยี้กลุ่มผมสีแดงของต้นกล้าอย่างเอ็นดู “ยายว่ามันคงไม่ไหวหรอกได้หลงทางก่อนพอดี” ว่าจบคุณยายก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอารมณ์ดี ไอจ๋าได้แต่มองค้อนปะหลับปะเหลือก ทำปากจู๋ให้ก่อนหันไปทำงานต่อ

“จะไปจริงเหรอวะ”

“โธ่ลูกพี่ครับ ไอ้จ๋าแค่อยากไปดูเฉย ๆ แหละ ว่ากรุงเทพมันจะเหมือนอย่างที่คนเขาคุยกันหรือเปล่า ยังไงไอ้จ๋าก็ไม่ทิ้งบ้านเกิดหรอก ไอ้จ๋ามันสำนึกรักบ้านเกิดมากนะครับ นี่พูดเลย”

“เอ็งแน่ใจเหรอวะจ๋าสาวเมืองกรุงนะ สวย ๆ ทั้งนั้นนะเว้ย ขาวสวยหมวยเอ็กซ์เซ็กสะบึ้มนี่เยอะเลย ขี้คร้านแกไปเห็นแล้วจะไม่อยากกลับ” คุณกวินเสริมแล้วหัวเราะเสียงดังจนคุณนภาหันมามองตาดุ เล่นเอาหนุ่มใหญ่แทบสะดุ้ง

“โธ่คุณลุงครับ สาวที่ไหนจะมองคนอย่างไอ้จ๋าล่ะครับ ใจจริงไอ้จ๋าแค่อยากไปส่งคุณยาย การเที่ยวเมืองกรุงก็แค่ผลพลอยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จะได้ไม่เสียเที่ยวไงครับ” ไอ้จ๋าชูคอบอกมีมาดทรง ตัวมันนั้นแสนจะภูมิอกภูมิใจในตัวเอง ที่ได้เกิดเป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนาที่นี่อยู่แล้ว การไปเห็นบ้านเห็นเมืองใหญ่ ๆ แค่ไปหาประสบการณ์

“คุณนี่พูดอะไรก็ไม่รู้ จะไปเรียนที่นั่นเลยก็ได้นะจ๋า”

“ไม่เอาหรอกครับไอ้จ๋าเรียนที่บ้านนี่แหละ เลิกเรียนมาจะได้ดูไร่ดูนาให้คุณยายด้วย”

“พอแล้ว ๆ ไปขนของขึ้นรถไป”

“ครับ”

“ไอ้จ๋าถึงมันจะขาด ๆ ล้น ๆ ก็วางใจมันได้นะ อายุแค่นี้รับผิดชอบงานได้ทุกอย่าง ยายไม่อยู่เจ้ากล้าวางใจไอ้จ๋าได้นะลูก” คุณยายมองตามไอ้จ๋าวิ่งขึ้นเรือนพลางส่ายหน้าตามหลังมัน

“คุณยายครับกล้าก็รับผิดชอบได้น่า” เจ้าหลานตัวดีแค่พูดเอาใจคุณยายเท่านั้นแหละ จริง ๆ แล้วยังหวั่นกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่หากว่าด้วยเรื่องของศักดิ์ศรีที่แม้มันจะกินเข้าไปไม่ได้ เป็นตายยังไงก็ต้นกล้าไม่ยอมให้ใครมาหยาม โดยเฉพาะคนหน้ามึน ๆ คนนั้น!

“ยายจะคอยดู” คุณยายกระชับอ้อมแขนรัดร่างหลานชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างแสนรัก หวังว่าการตัดสินใจให้ต้นกล้ามาอยู่บ้านทุ่งดอกจานครั้งนี้ จะเปลี่ยนเจ้าหลานตัวแสบไปในทางที่ดีขึ้น ถึงต้นกล้าจะเป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นงานไร่งานนาบ้างคงจะดีไม่น้อย

“เชื่อมือต้นกล้าได้เลยครับคุณยาย” แม้งานที่ต้องรับผิดชอบจะเป็นงานไม่ถนัด และไม่เคยทำมาก่อน แต่เพราะเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะคำสบประมาท ต้นกล้าจึงคิดจะลองดูสักตั้ง ความสำเร็จอยู่ที่ไหนความพยายามอยู่ที่นั่น นี่คือคติประตัวของต้นกล้า เพราะคนเรามันต้องมองเห็นความสำเร็จรออยู่สิ มันถึงจะมีความพยายามที่จะก้าวเดินไปหา

ต้นกล้าหมายมาดในความคิดของตัวเอง แต่ความรู้สึกฮึกเหิมล้นปรี่ที่ลอยฟูฟ่องอยู่ในใจ กลับโดนสกัดให้หล่นวูบลงสู่พื้นดิน ราวกับเชือกที่แขวนความฮึดสู้ขาดสะบั้นลง เมื่อเสียงของคุณยายดังแทรกเข้ามาในความคิด

“นั่นรถพ่อเดี่ยวใช่ไหมเจ้ากล้าดูให้ยายหน่อยสิใช่รถพี่เขาไหมลูก” ต้นกล้าไม่รู้ว่าทำไมคุณยายประไพศรี ถึงได้ปลื้มอกปลื้มใจกับคนหน้ามึนคนนี้นัก หากคุณยายเป็นสาวรุ่นอันนั้นคงเข้าใจได้ไม่อยาก เพราะคนคนนี้ก็หน้าตาดีน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ..หือ?

ต้นกล้าชะงักกับความคิดตัวเอง รีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่าหน้าตาพอดูได้ก็แล้วกัน แต่นี่คุณยายของเขาชรามากแล้ว เรื่องนั้นจึงตัดทิ้งไปได้เลย แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคุณยายถึงได้ดูตื่นเต้นเหลือเกิน ที่เห็นคนหน้ามึน หรือว่า...เฮ้ย ปึก!

“โอ๊ย!”

“เป็นอะไรเจ้ากล้า” คุณยายหันมาถามเพราะอยู่ดี ๆ ต้นกล้าก็ยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองอย่างแรง แล้วร้องออกมาเสียงดัง ก็จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่เป็นการลงโทษตัวเอง ที่มีความคิดบ้า ๆ แบบนั้นในหัว

“เปล่าครับคุณยาย”

พอหันกลับมาอีกทีรถกระบะสี่ประตูสีขาว ก็วิ่งเข้ามาจอดในมุมหนึ่งของลานหน้าบาน เด็ดเดี่ยวในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขนเสื้อเหนือข้อศอก เก็บชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนสีซีดขนาดพอดีตัว ที่อวดความแข็งแกร่งของร่างกายให้เห็นได้อย่างชัดเจน ช่วงขายาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับเจ้าตัวที่ส่งรอยยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงซี่สวย ราวกับเขาเป็นนายแบบโฆษณายาสีฟันก็ไม่ปาน

“สวัสดีครับ” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน แล้วหันมายิ้มให้ต้นกล้าที่ยืนหน้าตึงอยู่ข้างหลังคุณยาย

“จ้า ไปไหนมาล่ะลูก”

“ผมตั้งใจมาส่งคุณยายครับ”

“อ๋อ ขอบใจนะลูกนี่ก็จัดของเสร็จพอดี เดี๋ยวคงออกเดินทางกันได้แล้วใช่ไหมพ่อกวิน” คุณยายประไพศรีบอกเด็ดเดี่ยว แล้วหันไปถามความพร้อมจากลูกเขยที่เพียงหันมาพยักหน้าตอบรับ

“ครับ”

“คุณอาครับพ่อกำนันฝากของมาให้ด้วย นี่ครับ” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วหันกลับไปเปิดประตูตอนหลังของรถ เพื่อหยิบของฝากที่รับหน้าที่เอามาให้คุณนภาถึงมือ กำนันอาจหาญอยากเอามาให้ด้วยตัวเองแต่ติดธุระ เลยต้องฝากให้ลูกชายมาเป็นตัวแทน

“ขอบใจจ้ะ ฝากอะไรมาเยอะแยะล่ะนี่”

“เอามานี่” ได้ยินว่ากำนันอาจหาญฝากของมาให้ศรีภรรยา คุณกวินไม่พอใจเดินมารับของตัดหน้า ก่อนที่คุณนภาจะยื่นมือออกไปเอา เด็ดเดี่ยวทำหน้าไม่ถูกเลยได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่พอเหลือบไปเห็นรอยยิ้มเยาะ ที่ยกขึ้นทางมุมปากสวยของคนหัวแดง ใบหน้าหล่อคมคร้ามก็กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม แถมยังยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยให้ต้นกล้าเป็นการทักทาย

“มาพ่อเดี่ยวเข้าไปคุยกับยายตรงโน้นก่อนไปดีกว่า” คุณยายประไพศรีชวน หันไปเกี่ยวแขนหลานชายหัวแก้วหัวแหวนให้เดินเข้าไปด้วยกัน เหมือนรู้ทันว่าต้นกล้ากำลังหาทางชิ่งหนี

คุณยายประไพศรีผูกขาดการคุยกับเด็ดเดี่ยวเพียงสองคน โดยมีต้นกล้านั่งทำหน้าเนือยอยู่ข้าง ๆ จะเลี่ยงออกไปก็ไม่ได้ เพราะขยับตัวเมื่อไหร่ คุณยายเป็นได้หันมองดึงเขาเข้าสู่บทสนทนาด้วยทุกที ใบหน้าหล่อใสในแบบเกาหลีเลยบึ้งตึงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาที่ต้องจากกันมาถึง

“จัดของเสร็จแล้วจ้ะแม่” คุณนภาเป็นคนเดินมาบอก

“ยายคงต้องไปจริง ๆ แล้วสินะใจหายจัง” คุณยายประไพศรีหันมาบอกหลานชายที่เกาะแขน เอียงแก้มซบลงบนไหล่อบอุ่นของนาง

“ต้นกล้าไม่อยากให้คุณยายไปเลยครับ” คุณยายยิ้ม ยามอยากออดอยากอ้อนต้นกล้ามักแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นเต็ม ๆ เสมอ

“จ้ะ ดูแลบ้านดี ๆ นะลูก ดูแลคนงานด้วย ทำอย่างที่ยายบอกไว้นั่นแหละ”

“ครับคุณยาย” ต้นกล้าอ้อนคุณยายประไพศรีก่อนจาก ทั้งกอดทั้งหอมแก้มซ้ายขวา เท่านั้นเหมือนจะไม่หนำใจ จึงกอดแล้วกอดอีกอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายซบลงตรงไหล่นางกอดไว้แน่น จนคุณยายต้องจับหลานชายให้ถอยห่าง

“พอแล้วเจ้ากล้าเดี๋ยวยายก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี”

“กล้าไม่อยากให้คุณยายไปนี่ครับ” น้ำเสียงและใบหน้าเหมือนเด็กอ้อนอยากได้ของเล่น แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ต้นกล้าลืมว่ามีบุคคลที่ไม่ควรได้เห็นช่วงเวลาแบบนี้ของเขาอยู่ด้วย แต่ในเมื่อเขาลืมไปแล้ว คนคนนั้นเลยได้มีส่วนร่วมในการเฝ้ามอง

“ไว้ยายจะรีบกลับมา”

“ครับ”

“ยายฝากดูน้องด้วยนะพ่อเดี่ยว”

“..”

“พ่อเดี่ยว!”

“หา ครับ ๆ ”

“เป็นอะไรไปลูก”

“เอ่อ เปล่าครับคุณยายว่ายังไงนะครับ” ใช่มันไม่มีอะไรหรอก เด็ดเดี่ยวจะไม่เป็นอะไรเลย หากเขาไม่เอาแต่เฝ้ามองทุกอิริยาบถ ที่คนตัวเล็กปฏิบัติต่อคุณยาย ทั้งกอดทั้งหอมแก้มซ้ายขวาทั้งซบไหล่ มองเพลินจนเผลอคิดไปว่า ถ้าอีกคนมาทำแบบนั้นกับตัวเองจะรู้สึกดีมากแค่ไหน มองจนเผลอไผลคิดไปไกล หากไม่มีเสียงคุณยายเรียกเขาก็คงไม่รู้สึกตัว

“ยายฝากน้องด้วย”

“ได้ครับคุณยายไม่ต้องห่วงนะครับ”

“กล้าดูแลตัวเองได้ครับ ไม่เห็นต้องฝากฝังกับคนอื่นเลย”

“ยายเป็นห่วงนี่ ยังไงถ้าพ่อเดี่ยวว่าง ๆ ก็แวะมาบ้างนะลูกถือว่ายายขอ”

“ได้ครับ” คุณยายไม่ขอเด็ดเดี่ยวก็ยินดีมา

“แล้วก็...”

“ครับคุณยายมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“คือน้อง..” สุดท้ายนางก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ช่างเถอะคงไม่เป็นไรหรอก ว่าง ๆ พ่อเดี่ยวก็แวะมาบ้างก็แล้วกัน”

“ครับ ถ้าว่างผมจะเข้ามาดูให้ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“ขอบใจจ้ะ”

“ไปเถอะจ้ะแม่สายมากแล้ว” ต้นกล้าช่วยพยุงคุณยายประไพศรีให้ลุกขึ้น แล้วพากันเดินออกไปยังลานหน้าบ้าน ที่รถตู้คันใหญ่สีดำเงางามเปิดประตูรออยู่ ไอ้จ๋ายืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างประตูรถ

***************

“ลูกพี่ครับ”

“...”

“ลูกพี่ครับ”

“..”

“ลูกพี่กล้าครับ!”

“อะไร” ต้นกล้าหันกลับมาตามที่ไอ้จ๋ามันเรียก เพราะเอาแต่ใจลอยมองส่งจนรถตู้คันใหญ่จนลับตา

“วันนี้เราจะทำอะไรกันก่อนดีครับ”

“ก็ อ่า เอ่อ มีอะไรให้ทำบ้างล่ะ”

“ก็มีงานในนากับที่ไร่มันที่ยังไม่เสร็จ แต่ที่ไร่ก็เหลือไม่เยอะครับ ไอ้จ๋าแบ่งคนงานไปช่วยแล้วจะเอาให้เสร็จวันนี้เลย”

“อ๋อเหรอ แล้วแกว่าฉันควรจะไปช่วยทางไหนก่อนดี”

“ลูกพี่ไปดำนาไหมล่ะครับ คนเยอะสนุกดีนะครับ” ดำนา! ต้นกล้าก็นึกสนุกอยู่หรอก แต่พอคิดถึงไอ้ตัวอ้วนดำที่เกาะขาวันนั้น ก็ให้รู้สึกขยะแขยงจนขนลุก!

“ว่าไงครับลูกพี่”

“เอาเป็นว่าวันนี้ฉันไปดูไร่มันดีกว่าว่ะ”

“อ๋อ..เอาอย่างนั้นเหรอครับ ตามใจลูกพี่ก็แล้วกันครับ” ต้นกล้าพยักหน้าเออออ ไม่มีทางบอกหรอก ว่าเพราะอะไรถึงไม่อยากไปดำนา โดยเฉพาะตอนที่มีคนตัวโตหน้ามึนยืนฟังอยู่ ฝันไปเถอะว่าจะได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากเขา ถ้าขั้นตอนการปักดำเป็นไปตามที่กำนันอาจหาญบอก ต้นกล้าไม่เอาด้วยแน่ ๆ ที่จะต้องลุยน้ำลุยโคลน ถ้าเจอไอ้ตัวอ้วนดำมากัดเข้าให้ ต้นกล้าคงได้แหกปากลั่นทุ่งอีกเป็นแน่แท้ แบบนั้นมันต้องเสียฟอร์มมากแน่และต้นกล้าจะไม่ยอม!

“อ้าวลูกพี่เดี่ยวยังอยู่เหรอครับ แหมไอ้จ๋าลืมไปเลยนะเนี่ยแหะ ๆ ” ไอ้จ๋าทักเมื่อหันมาเห็นเด็ดเดี่ยวยืนกอดอกจังก้าเท่ ๆ ฟังมันคุยกับต้นกล้าอยู่

“เออ”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวจะทำอะไรครับวันนี้”

“ว่าง มีอะไรให้ช่วยก็บอก” เด็ดเดี่ยวว่างเสมอเพื่อจะได้มีโอกาสแกล้งใครบางคน ที่เขาเพิ่งจะยักคิ้วข้างเดียวให้ไปสองจึ๊ก

“งั้นดีเลยครับ ถ้าลูกพี่เดี่ยวจะกรุณาช่วยออกไปดูไร่มันกับลูกพี่กล้าได้ไหมล่ะครับ”

“ได้สิ/ไม่ต้อง!”

“อ้าว” คำตอบที่สวนทาง ทำไอ้จ๋าหน้าเกือบหงาย

ต้นกล้าปรามเสียงดุ “อย่าไปไหว้วานคนอื่นแบบนั้นสิวะจ๋า มันไม่ดีนะเว้ย”

“เออนั่นสินะงั้นไอ้จ๋าไม่รบกวนล่ะครับลูกพี่ขอโทษครับ” มันยกมือไหว้เด็ดเดี่ยวปลก ๆ ขอโทษขอโพย

เด็ดเดี่ยวหันไปแย้งต้นกล้า “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะ เพราะคุณยายก็ฝากที่นี่ไว้กับพี่เหมือนกัน”

“เราไม่มีพี่ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นน้องใคร”

“ตายห่า!” สองหนุ่มหันขวับไปทางไอ้จ๋า มันร้องเสียงหลงขัดสองทัพใหญ่ ที่กำลังจะเริ่มเปิดศึกด้วยคำอุทานเสียงดัง จนลูกพี่ทั้งสองอ้าปากค้าง

“อะไรวะ”

“ไอ้จ๋าต้องรีบลงนาแล้วครับลูกพี่ พ่อบอกว่าส่งคุณยายแล้วให้รีบลงไปดูน้ำที่ปล่อยเข้านาฝั่งโน่นแหนะ ไอ้จ๋าไปนะครับเดี๋ยวน้ำจะล้น ตาย ๆ ลืมไปได้ไงวะ”

“เฮ้ย! ไอ้จ๋าเดี๋ยวสิ อะไรของมันวะ” ต้นกล้าเรียกแต่ไอ้จ๋ามันโกยแนบไม่เหลียวหลัง คนเรียกจึงได้แต่อ้าปากค้างถอนหายใจยาว มองตามจนมันวิ่งลับโค้ง แต่พอหันกลับมาก็ต้องผงะถอยแทบไม่ทัน

“เฮ้ย อะไรวะ!”

“หึ ๆ จะไปรึยัง”

“จะไปไหนก็ไปสิ”

“ตามมา”

“...” เด็ดเดี่ยวเดินผ่านหน้าต้นกล้า ไปทางรถกระบะสี่ประตูสีขาวที่จอดไว้ไม่ไกล โดยมีคนหัวแดงยืนมอง ปากสีสดที่หายเจ่อแล้วแบะออกเหยียด ๆ โดยไม่ได้ก้าวขาตามไปอย่างที่อีกคนบอกแม้แต่ก้าวเดียว

“จะไปหรือไม่ไป” แทนที่จะตอบคำถามดี ๆ ต้นกล้าแบะปากยักไหล่ให้ เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าไม่มีทาง

ไม่มีทางเดินตามก้นคนหน้ามึนต้อย ๆ

ต้นกล้าเดินผิวปากขึ้นเรือน ตรงดิ่งไปที่เก้าอี้ยาวตัวโปรดของคุณยาย ตอนนี้คุณยายไม่อยู่ต้นกล้าจะถือโอกาสครอบครองมันเอง ล้มตัวลงนอนช้า ๆ ท่าทางเกียจคร้านแต่อารมณ์นั้นดีเป็นพิเศษ เพราะยกนี้ต้นกล้าชนะขาด คนหัวแดงอมยิ้มหลับตาพริ้มลง ลมเย็นพัดมากระทบผิวให้รู้สึกสบายทั้งกายใจ ไม่นานก็ผล็อยหลับไปอย่างสุขี

เด็ดเดี่ยวมองตามหลังต้นกล้า อ่อนใจในความอยากเอาชนะโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้ม จนขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยรถแล้ว ยังยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนเป็นบ้า..

เฮ้ย! พอรู้ตัวแล้วหุบยิ้มแทบไม่ทัน ใบหน้าหล่อคร้ามคมสันเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง นิ่งได้ไม่นานคิ้วเข้มกลับขมวดมุ่น ในหัวคิดว่าตัวเองควรกลับบ้านไปแต่ใจช่างไม่รักดี จะกลับไปได้อย่างไรในเมื่อรับปากคุณยายไว้เป็นมั่นเหมาะ คุณยายไปยังไม่ทันพ้นหมู่บ้านดีด้วยซ้ำ จะละเลยต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายมันก็ไม่ใช่เด็ดเดี่ยวคนนี้แล้ว

สายลมอ่อนยามสายของวันพัดมาเอื่อย ๆ กล่อมคนหลับให้ยิ่งหลับสบายขึ้น แต่เพราะเป็นกลางวันที่แสงส่องสว่าง ถึงจะนอนสบายแค่ไหนไม่นานก็รู้สึกตัว เปลือกตาบางปรือเปิดขึ้นช้า ๆ กะพริบปริบ ๆ ปรับการมองเห็น ตาสวยยังสะลึมสะลือเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม แต่พอขยับพลิกตัวนอนตะแคงเป็นต้องชะงักไปกับภาพเบื้องหน้า

ข้างเก้าอี้ยาวที่ต้นกล้าใช้นอนเล่นจนงีบหลับ คือร่างกายสูงใหญ่ของคนหน้ามึน ที่นอนเหยียดยาวประสานมือไว้บนอก ตาที่เคยมองกันด้วยแววแปลก ๆ หลับพริ้มดูไร้พิษสง สันจมูกคมอย่างไทยแท้โด่งสูงเป็นธรรมชาติ

และ...ริมฝีปากบางหยักได้รูปที่..

ต้นกล้าให้รู้สึกวูบวาบผะผ่าวตามใบหน้าขึ้นมาเสียเฉย ๆ โดยเฉพาะริมฝีปากที่เผลอเม้มแน่น รู้สึกเหมือนวันเสียจูบแรก เหมือนเพิ่งถูกคนหน้ามึนจูบไปหยก ๆ ต้นกล้าโกรธ โกรธมากจนไม่อยากญาติดีกัน แต่นอกจากโกรธแล้วยังใจเต้นแรงแทบคุมไม่อยู่

หลับสบายเลยสินะ

พอวาดขาจะลงจากเก้าอี้ ถึงพึ่งสังเกตคนหลับชัด ๆ ว่าคงเอนตัวลงนอนบนพื้นแข็ง ๆ เลยไม่มีแม้แต่เบาะหรือผ้าปูรองหลัง หมอนสักใบก็ไม่หยิบมาหนุน ทั้งที่บนเก้าอีกรอบตัวมีหมอนอิงไว้หนุนยามนอนเล่นตั้งหลายใบ

“เหอะ” ต้นกล้าแบะปากให้คนหลับ ทั้งที่ความจริงจะปลุกก็ได้แต่กลับไม่ทำ แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะ ไม่มีใครรู้ว่าต้นกล้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ไม่ปลุกเด็ดเดี่ยว หนำซ้ำพอลุกขึ้นแล้ว กำลังจะก้าวขาข้ามร่างใหญ่โตที่นอนขวางดันชะงัก

“เฮ้อ” ถอดหายใจยาวแล้วกลอกตามองบน แต่ก็เอื้อมมือไปหยิบหมอนที่ตัวเองใช้หนุนนอนมาถือไว้ ตอนนี้ร่างสมส่วนตามมาตรฐานชายไทย ที่ยังไงก็ตัวเล็กกว่าลูกชายกำนันอาจหาญ กำลังยืนจังก้าคร่อมร่างที่นอนราบไปกับพื้น ในมือมีหมอนใบขนาดพอดีน่าหนุนสบายถือไว้

ต้นกล้าแทบกลั้นหายใจ ขณะค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งทั้งที่ยังคร่อมร่างหนาอยู่อย่างนั้น เข่าข้างหนึ่งยันไว้ที่พื้นส่วนอีกข้างยกขึ้น วางหมอนลงข้างศีรษะคนหลับ มืออีกข้างสอดรองท้ายทอยยกขึ้น ดันหมอนใบนุ่มเข้าไปรอง แต่ขณะที่กำลังวางศีรษะเด็ดเดี่ยวลงกับหมอน พลันดวงตาที่ปิดสนิทก็ดันเปิดขึ้นมาโดยไม่บอกกล่าว

“ลูกพี่!!”



o.O

***********
 :mew1: :mew1: จูบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 5 จูบแรก 100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 04-11-2018 14:32:04
อุ๊บ!!!!  จูบสอง คริๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 6 แค่นอนเล่น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-11-2018 19:12:15


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 6 แค่นอนเล่นน่า

ไอ้จ๋าหนุ่มบ้านนาเลือดใหม่ไฟแรง ที่มาพร้อมความใสซื่อบริสุทธิ์ แต่แอบซ่อนความฉลาดรู้คิดไว้อย่างแนบเนียน บางทีมันก็ซ่อนเนียนจนดูซื่อเกินไป แต่เรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง ไอ้จ๋าก็ไม่เป็นสองรองใครทั้งนั้น วันนี้หลังจากรีบวิ่งออกไปปิดทางระบายน้ำเข้านา มันก็ช่วยคนงานทำอะไรไปตามเรื่อง จนกระทั่งคนงานอีกส่วนที่แบ่งไปช่วยงานที่ไร่กลับมา มันจึงได้โอกาสถามหาลูกพี่ที่รักและเคารพของมัน แต่...

“อ้าวพี่สอนมาไมนิ งานที่ไร่เสร็จแล้วหรือไง”

“เออสิ นี่ว่าจะมาช่วยงานทางนี้ต่อ วันนี้มีอะไรให้กูทำบ้าง”

“โน่นเลยพี่ไปช่วยสาว ๆ ถอนกล้าก่อนไปพรุ่งนี้จะได้เริ่มดำสักที”

“เออ”

“เดี๋ยว ๆ พี่ แล้วลูกพี่กล้าล่ะพี่สอนเห็นลูกพี่กล้าปะ”

“หลานคุณยายนะเหรอ วันนี้ยังไม่เห็นเลยว่ะ”

“เฮ้ย! เป็นไปได้ไงวะพี่ วันนี้ลูกพี่กล้าบอกจะไปดูไร่มันนิ พี่ไม่เห็นจริงเหรอวะ”

“เออสิกูจะโกหกมึงทำไม” พี่สอนยกมือเท้าเอว ชักเริ่มฉุน

“ไม่ได้การล่ะ แต่เอ๊ะ หรือว่าพี่ไม่ไปทำงานวะ” ปึก! “โอ๊ยตายห่า!”

“ไม่ไปทำงานบ้านมึงสิไอ้ห่านี่ เล่นอะไรของมึงวะ” โดนพี่สอนโบกไปหนึ่งไม่ยั้งแรง ไอ้จ๋าได้แต่ลูบหัวป้อย ๆ มันคิดได้อย่างไรว่าคนงานรุ่นใหญ่อย่างพี่สอนจะอู้งาน

“ก็ลูกพี่กล้านะสิบอกจะไปดูไร่มัน ส่วนพี่บอกไม่เห็นไปใช่ไหมล่ะ” ไอ้จ๋าขยายความ มือยังลูบหัวบรรเทาความเจ็บ จากความเกรียนของตัวมันเองไม่หยุด

“เออ กูก็บอกอยู่เมื่อกี้ เดี๋ยวปั๊ดทวนความจำให้อีกสักทีหรอก” พี่สอนบอกพร้อมกับยกมือที่ทำเป็นรูปมะเหงกขึ้น ไอ้จ๋าหดคอหลบแทบไม่ทัน

“เปล่าพี่เปล่า ผมไม่ได้ลืม แต่ลูกพี่กล้าบอกไว้ว่าจะไปไร่มัน แล้วทำไม่พี่ไม่เห็นวะ”

“ไม่เห็นก็แปลว่าไม่ได้ไปไงวะ”

“เหรอ เฮ้ย! หรือว่า”

“อะไรของมึงอีกไอ้ห่านี่”

“หรือว่าลูกพี่หลงทางไปที่อื่นแล้ววะพี่สอน”

“กูไม่รู้ แต่กูยังไม่เห็นคุณต้นกล้าไปที่ไร่ ตกลงมึงจะเอายังไงกับกู”

“ตายห่า!”

“ฮ่วย อะไรของมึงอีก”

“แล้วลูกพี่จะไปไหนได้ล่ะพี่สอน”

“ถามกูแล้วจะให้กูไปถามใคร เดี๋ยวโบกให้อีกทีดีไหม คุณเขาโตแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ”

“แต่ลูกพี่ยังไม่ค่อยรู้จักแถวนี้ดีนะพี่สอน ไอ้ผมก็กลัวหลงไปทางอื่นเนาะ”

“งั้นมึงก็ลองไปดูเขาก่อน”

“ดูที่ไหนก่อนดีวะพี่”

“โอ๊ยไอ้จ๋า นี่มึงกำลังกวนตีนกูอยู่ใช่ไหม จะไปไหนก็รีบไปเลยกูจะทำงาน เดี๋ยวปั๊ดอีกสักทีดีไหมเผื่อมึงจะคิดอะไรออก” พี่สอนยกเท้าขึ้นจะไล่เตะ มันเลยวิ่งหนีหางจุกตูดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจ

ไอ้จ๋าเลือกเดินมาดูที่บ้านก่อน และมันต้องพบกับความแปลกใจ เพราะบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ แต่รถกลับจอดที่เดิม พอเดินมาหน้าบ้านรถเด็ดเดี่ยวก็ยังจอดที่เดิมไม่ไปไหน เลยยิ่งทำให้มันแปลกใจเข้าไปใหญ่ล่ะคราวนี้

ไอ้จ๋าให้รู้สึกงุนงงสงสัยหนัก จนเกิดปุจฉาขึ้นมาแก่ตัวเอง ว่าหากรถอยู่แล้วคนหายไปไหนวะ ทำไมบ้านช่องมันถึงได้เงียบเชียบเหมือนป่าช้าอย่างนี้

เฮ้ย! ไม่ใช่ล่ะ ทำไมบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่อย่างนี้ ปกติหากสองคนนั้นอยู่ใกล้กัน อย่างน้อยต้องมีเสียงต่อล้อต่อเถียงเล็ดลอดให้ได้ยิน ด้วยว่าลูกพี่ทั้งสองมักจะกัดกัน เอ๊ย! ด้วยว่าลูกพี่ทั้งสองมักจะต่อปากต่อคำจิกกัดอยู่ตลอด ลองถ้าอยู่ใกล้กันมันต้องได้ยินเสียงทะเลาะบ้างสิน่า แต่นี่มันไม่ปกติเพราะเงียบเกินไป แบบนี้มันกระตุ้นต่อมสงสัยใคร่รู้ของไอ้จ๋าขึ้นมาทันที

สองเท้าพาร่างล่ำสันขึ้นบันไดบ้านทีละสองขั้นอย่างแผ่วเบา ด้วยคิดว่าจะย่องขึ้นมาส่องแค่พ้นหัวบันได แล้วจะรีบกลับลงไปตามหาที่อื่นต่อ แต่พอเห็นภาพบนบ้านชัดแก่สายตา ไอ้จ๋าที่คิดจะกระโดดลงเรือนแทบยกขาไม่ขึ้น เพราะตรงหน้ามันตอนนี้ ลูกพี่กล้ากำลังหย่อนขาลงจากเก้าอี้นอนเล่น มายืนจังก้าคร่อมร่างลูกพี่เดี่ยว ที่นอนราบแผ่หลาไปกับพื้นเหมือนคนสลบไม่ได้สติ

“หรือว่าก่อนหน้าเรามาลูกพี่สองคนทะเลาะกัน แล้วลูกพี่เดี่ยวเสียทีลูกพี่กล้า เลยถูกน็อกสลบกลางอากาศจนมีสภาพอย่างนี้วะ” ไอ้จ๋ามีแนวลูกกรงราวบันไดเป็นที่หลบ เริ่มมโนภาพตามรูปการที่เห็น พอหันไปดูอีกทีลูกพี่กล้าก็หยิบหมอนใบโตขึ้นมาถือแล้ว

“นี่โกรธจนถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันเลยหรือไงวะลูกพี่กู” มันมโนได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วเริ่มไม่สบายใจ เห็นลูกพี่กล้ากระชับหมอนในมือแน่น ภาพหนังฆาตกรรมที่เคยดูก็ผุดขึ้นมาในหัว สองคนนี้ไม่ถูกกันนั่นเรื่องจริง ต้นกล้าอาจอยากฆ่าเด็ดเดี่ยวเพื่อตัดรำคาญ ด้วยการเอาหมอนปิดจมูกให้หายใจไม่ออก และตายในที่สุด!

“ตายห่า! ไม่ได้การล่ะ ไอ้จ๋าจะปล่อยให้ลูกพี่กล้ากลายเป็นฆาตกรโรคจิตไปไม่ได้ ถึงไม่พอใจยังไงก็ไม่น่าถึงขั้นต้องฆ่าปิดปากกันเลย” มันรำพึงในใจ พลันต้องตาเหลือกโพลง เมื่อหันไปดูอีกทีเป็นตอนที่ต้นกล้ากำลังย่อตัวลง ก้มหน้าเข้าไปใกล้เด็ดเดี่ยว ไอ้จ๋าคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะงานนี้ต้องการพระเอกอย่างมัน

ช้าไม่ได้แล้ว ไอ้จ๋ารีบก้าวขึ้นบันไดทีล่ะสามขั้น วิ่งผ่านประตูชานบ้านแหกปากร้องเรียกสุดเสียง

“ลูกพี่! “เฮือก! “อย่าครับ ลูกพี่อย่าทำครับ”

“ไอ้จ๋า!” ต้นกล้าหันกลับมาตามเสียงเรียก เลยพลอยอุทานเรียกชื่อมันออกมาด้วย หลังจากชะงักอยู่ได้เพียงครู่เดียวตอนเด็ดเดี่ยวลืมตาขึ้น

เด็ดเดี่ยวขยับตัวขึ้นนั่งเหยียดขาสองข้างตรง สองมือยันพื้นเอนตัวไปด้านหลัง มีต้นกล้าที่ตกใจเลยเผลอนั่งลงบนหน้าท้องแน่น ๆ ของเขาเต็มก้น ลูกพี่ทั้งสองกำลังตกอยู่ในความตะลึง เพราะการโผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของไอ้จ๋า จึงไม่มีใครสนใจท่านั่งอันล่อแหลม แม้จะหันหน้าเข้าหากัน แต่ทั้งเด็ดเดี่ยวและต้นกล้าต่างพร้อมใจกันหันไปมองไอ้จ๋าเป็นจุดเดียว

“ลูกพี่จะทำอะไรครับ อย่าทำนะครับอย่าทำเลยไอ้จ๋าขอร้อง “ไอ้จ๋าเหนื่อยจนเข่าอ่อน จึงทรุดตัวนั่งพับเพียบเรียบแต้ไม่ไกลจากลูกพี่ ปากหรือก็อ้อนวอนให้ต้นกล้าละเว้นความตั้งใจทำในสิ่งที่มันมโน

“อะ อะไรของแกวะจ๋า”

“ก็ลูกพี่กล้าจะทำอะไรลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ “

“เปล่านะโว้ย ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” รีบปฏิเสธแล้วหันกลับไปมองเด็ดเดี่ยว ไม่พอยังยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบคอคนตัวโต แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันว่าเขาไม่ได้จะทำอะไรในแบบที่มันคิดสักอย่าง ไม่ว่ามันคิดอะไรอยู่ก็ตาม

“แล้วลูกพี่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะครับนั่น” ฮิ ๆ ท้ายประโยคคำถามของไอ้จ๋านั้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ แต่เหมือนลูกพี่ทั้งสองยังไม่รู้ตัว พอมันถามเลยหันมองหน้ากัน แล้วงงไปตาม ๆ กัน

“เปล่าเว้ยไม่ได้ทำอะไรแค่นอนเล่น” ต้นกล้าเป็นคนให้คำตอบ ส่วนเด็ดเดี่ยวยังทำตัวเป็นเบาะรองนั่งชั้นดี

“นอนเล่น? นอนตอนนี้มันใช่เหรอครับ”

“เออ”

“แล้วทำไมไม่นอนบนที่นอนดี ๆ ล่ะครับ”

“ก็ตรงนี้ลมมันเย็นดีนี่หว่า เนอะ” ต้นกล้าหันมาหาแนวร่วมอย่างเด็ดเดี่ยวที่พยักหน้ารับเนียน ๆ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“หรือว่านอนบนตัวกันมันสบายกว่าล่ะครับลูกพี่”

“อะไรของแกวะนอนบนตัวกัน” ต้นกล้ายังไม่รู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่บนตัวเด็ดเดี่ยวในท่าล่อแหลม แถมยังกอดคอเขาเสียแนบชิด ที่ถามเสียงแข็งเพราะไอ้จ๋ามันหัวเราะคิกคักน่ารำคาญ แต่พอหันมาดูตามที่ไอ้ลูกน้องมันปุจฉาทิ้งความคาใจให้ ก็ต้องตกอกตกใจจนกระโดดออกแทบไม่ทัน

“เฮ้ยนี่! “ต้นกล้ามือสั่นปากสั่น แต่ต้องพยายามควบคุมตัวเอง เพราะไอ้จ๋ามันจับตาดูอยู่ ส่วนอีกคนก็เอาแต่อมยิ้มแววตากรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ “ฉวยโอกาสอีกแล้วนะโว้ย”

“อะไร พี่เปล่านะ”

“เปล่าอะไรก็เห็นกันอยู่”

“แล้วใครขึ้นมานั่งบนตัวพี่ล่ะครับ แบบนี้จะมาว่าพี่ฉวยโอกาสได้ยังไง เรานั่นแหละฉวยโอกาสมานั่งบนตัวพี่เอง แต่ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือผู้ชายด้วยกันวิน ๆ ครับ” พูดจบยังมีการยักคิ้วสองจึ๊กพร้อมหลิ่วตาให้ต้นกล้าเจ็บใจเล่นด้วย

“เชิญวินไปคนเดียวเหอะเราไม่เอาด้วยหรอก กลับไปได้แล้วเจ้าของบ้านไล่แล้ว”

“เดี๋ยวครับลูกพี่เดี๋ยว ทั้งสองคนเลยนะครับหยุดก่อน ๆ “ไอ้จ๋าวางมาดสุขุมนุ่มลึกให้ดูน่าเชื่อถือ มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีสลับกัน มันต้องห้ามทัพก่อนที่อะไรจะแย่ไปกว่านี้ “เท่าที่ฟังเนี่ยไอ้จ๋าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะครับ แต่ที่ไอ้จ๋ารู้และเห็นก็คือ ลูกพี่กล้ากำลังจะ...”

“กำลังจะอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นโว้ย” ต้นกล้าร้อนตัวกลัวไอ้จ๋าจะพูดให้เสียหน้าเสียฟอร์ม จึงรีบแทรกขึ้นขัดไม่ให้มันพูดจบ ส่วนเด็ดเดี่ยวรู้อยู่แล้วว่าต้นกล้ากำลังทำอะไร เพราะเขาตื่นพอดีตอนที่ร่างกายถูกสัมผัส จมูกได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ เฉพาะตัว จึงรู้ได้โดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมาดู ว่าใครกำลังทำใจดีแบบนี้ให้

“ครับ ๆ ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ แล้วทำไมลูกพี่ไม่ออกไปไร่มันล่ะครับ” ไอ้จ๋าไม่ต่อความยาวสาวความยืด เพราะสีหน้าลูกพี่เริ่มไม่สบอารมณ์ อีกทั้งใบหน้าหล่อใส ๆ นั้นเริ่มแดงเป็นริ้วขึ้นเรื่อย ๆ มันจึงเข้าใจว่าลูกพี่ใหญ่กำลังโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ไม่ใช่เพราะกำลังจนมุมหรือเขินอายเลยสักนิด นิดเดียวก็ไม่คิดเลย

“เออว่ะเดี๋ยวฉันออกไปไร่มันดีกว่า”

“ไม่ต้องไปแล้วครับลูกพี่ งานเสร็จหมดแล้ว”

“อ้าวเหรอ ว้าแย่จัง”

“แย่อะไรล่ะครับลูกพี่ ดีสิจะได้เกณฑ์คนงานมาช่วยงานที่นาได้เต็มที่ ทางนี้จะได้เสร็จเร็ว ๆ ด้วยไงครับ”

“เหรอ เออ งั้น..ดีก็ดีเนอะว่าไหม”

“หึ ๆ ” ขวับ! ต้นกล้าหันขวับมาทางต้นเสียงทันที ที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ดเดี่ยว เสียงที่ได้ยินแล้วขัดใจที่สุด

“ขำอะไร”

“เปล่า”

“เราได้ยิน”

“เหรอ แล้วคิดว่าพี่ขำอะไรล่ะ”

“จะไปรู้เหรอ จิต ๆ แบบนี้ไม่มีใครเดาใจถูกหรอก”

“ฮ่า ๆ จิต ๆ นี่ลูกพี่กล้าหมายถึงโรคจิตหรือเปล่าครับ” ไอ้จ๋าขำหน้าตาย

“ไอ้จ๋าพูดตรงไปแล้วนะเว้ย มันทำร้ายจิตใจคนแก่รู้ไหม แต่ก็..ใช่อย่างที่แกว่านั่นแหละ ฮ่า ๆ “แล้วลูกพี่กับลูกน้องก็หัวเราะรับกันเสียงขรม เด็ดเดี่ยวทำได้แค่นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำอะไรไม่ได้ ถูกลูกพี่กับลูกน้องหัวเราะเยาะเย้ย ข่มคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขาจนโต้ไม่ออก

“ไปดีกว่า”

“ไปไหน”

“นั่นแน่ไม่อยากให้ลูกพี่เดี่ยวไปหรือครับลูกพี่กล้า”

“เฮ้ย เปล่าเว้ยเปล่า จะไปไหนก็ไปสิ” ต้นกล้ากลับลำแทบไม่ทัน เพราะดันปากไวไปถาม เลยเป็นโอกาสให้ไอ้จ๋ามันได้แซวอีกจนได้

“แล้วลูกพี่เดี่ยวจะไปไหนล่ะครับ”

“คงต้องกลับว่ะ”

“อ้าว แล้วไม่ลงนาด้วยกันเหรอครับ” คำถามนี้ทำให้เด็ดเดี่ยวหยุดคิดนิดหนึ่ง

“ไม่ดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มาช่วยละกัน”

“ไม่ต้องก็ได้ ขอบใจ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาแต่เช้านะครับ”

“ชิ บอกไม่ต้องไง”

“น่าคนกันเองครับลูกพี่” ไอ้จ่าพาซื่อ (อีกแล้ว) “ลูกพี่เดี่ยวใจดีมาช่วยประจำครับเป็นเรื่องปกติ ไม่มาสิแปลก”

“อย่ามัวแต่นอนเพลินจนไม่ได้ลงไปช่วยเขาล่ะ” เด็ดเดี่ยวโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูต้นกล้า แล้วเดินยิ้มกริ่มเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะใบหูเล็ก ๆ ขาว ๆ นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีอย่างที่เขาตั้งใจ

อะ ไอ้คนหน้ามึน!

“ปะลูกพี่ลงนากันครับ”

“เอ่อ ลงตอนนี้เหรอวะจ๋า”

“ครับ ไม่ลงตอนนี้แล้วจะลงตอนไหน คนงานคงพักเที่ยงเสร็จแล้วล่ะครับ”

“อะ เออ งั้นไปก็ไป”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปหยิบหมวกกับเสื้อแขนยาวมาให้ครับ”

“เออ” แม้ขยาดไอ้ตัวอ้วนดำและไม่ชอบโคลนตม แต่ต้นกล้าต้องรักษาฟอร์มตัวเองสุดชีวิต จะยอมให้ใครบางคนสบประมาท ว่าเขานั้นมันไก่อ่อนปอดแหกไม่ได้เด็ดขาด!

“ไอ้จ๋า อ้าวต้นกล้า เห็นไอ้จ๋าหรือเปล่า” แม่แจ่มใจที่เรียกหาลูกชายทักขึ้น เมื่อเดินขึ้นมาบ้านมาเห็นต้นกล้ายืนอยู่คนเดียว

“ไอ้จ๋าไปเอาของครับน้าแจ่มใจมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พอดีน้าว่าจะให้มันเข้าไปซื้อของในอำเภอให้หน่อย”

“มีอะไรแม่”

“มาพอดีเลย เข้าไปซื้อของในอำเภอให้แม่หน่อย”

“เอาอะไรบ้างล่ะ จ๋าก็ไม่ได้ลงนาอีกสิบ่ายนี้”

“เออไม่ต้องลงก็ได้หรอก คนงานที่ไร่มาช่วยแล้ว”

“จ้ะ ๆ เอ่อ ลูกพี่ลงนาคนเดียวได้นะครับ” ไอ้จ๋ารับปากแม่แล้วหันมาทางลูกพี่ ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ราวกับกลัวว่าลูกพี่ของมันจะเหงาหากต้องเดินลงนาคนเดียว

“เออ จ๋าให้ฉันไปในเมืองด้วยคนได้ไหมวะ พอดีอยากซื้ออะไรนิดหน่อย” เป็นครั้งแรกที่ต้นกล้าอยากยิ้มให้ไอ้จ๋ามันจริง ๆ

“อ๋อ ลูกพี่จะซื้อของเหรอครับ เอาอะไรสั่งมาเดี๋ยวไอ้จ๋าซื้อมาให้ก็ได้ครับ”

“นั่นสิให้ไอ้จ๋ามันซื้อมาให้ก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปหรอก” แม่ลูกคู่นี้ช่างไม่เข้าใจต้นกล้าเสียจริง ๆ

“เอ่อ คือพอดีผมอยากไปดูด้วยน่ะครับน้าแจ่ม จะได้รู้ทางเผื่อวันไหนไปคนเดียวจะได้ไปถูก”

“อ๋อ เอาอย่างนั้นเหรอ งั้นก็ดูแลกันดี ๆ ขับรถระวังด้วย”

“ลูกพี่ทั้งคนนะแม่ ไอ้จ๋าถวายชีวิต”

“ไปได้แล้ว”

“ไปล่ะนะแม่”

“เออ รีบไปรีบกลับ อย่าพากันเถลไถลล่ะ”

“รู้แล้วแม่”

“เดี๋ยว ๆ นี่รายการของที่จะซื้อ หามาให้ครบด้วยนี่เงิน”

พอขึ้นมานั่งบนรถ ต้นกล้าแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายังทำใจไม่ได้ที่จะต้องลงนาไปลุยขี้โคลนขี้ตม ไหนจะยังมีกลิ่นที่เหม็นตลบอบอวล และอาการคันยุบยับตามร่างกายนั่นอีก แค่คิดต้นกล้าก็นึกรังเกียจแล้ว

“ถึงแล้วครับลูกพี่จะซื้ออะไรครับ”

“แกรีบไปซื้อของที่แม่สั่งเถอะ เดี๋ยวฉันจะเดินดูอะไรรออยู่แถวนี้”

“งั้นเดี๋ยวไอ้จ๋ามานะครับลูกพี่” มันบอกแล้ววิ่งข้ามถนนเข้าไปในตลาดสดฝั่งตรงข้าม ต้นกล้าจึงมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา เห็นร้านสะดวกซื้อให้รู้สึกคอแห้ง สองขาจึงพาร่างที่มีใบหน้าหล่อใสในแบบหนุ่มเกาหลี อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นประจำตัว ไปยังจุดหมายทันที

ท่ามกลางสายตาของพนักงาน ที่มองต้นกล้าราวกับว่าตกตะลึงในความหล่อ เหมือนได้เห็นซุป’ ตาร์คนดังหรือเซเลบตัวพ่อก็ไม่ปาน แต่มีหรือหนุ่มมั่นที่เคยชินกันการตกเป็นเป้าสายตาอย่างต้นกล้าจะสนใจ เดินเข้าไปเลือกของที่ต้องการ มาจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินหน้านิ่งหยิ่งเชิดออกจากร้านอย่างไว้ฟอร์ม แต่ยังเดินไม่ทันถึงที่หมาย ตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นรถคันหนึ่ง วิ่งเข้ามาจอดยังถนนฝั่งตรงข้ามเข้าพอดี

รถกระบะสี่ประตูสีขาวป้ายแดง!

พอเจ้าของรถเปิดประตูลงมาช่วยหญิงสาวคนหนึ่งถือของ ต้นกล้าจึงได้แน่ใจว่าเป็นรถของใครคนนั้นจริง ๆ คนหน้ามึนที่บอกว่าว่างทั้งวัน แต่ก็หนีมาก่อนจะได้ทำงาน ที่แท้ก็มีนัดกับสาวนี่เอง หรือนี่จะเป็นเมียวะ! โถ ๆ ที่แท้ก็แอบมีลูกมีเมียแล้ว แต่ยังทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย น่าสงสารผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ ที่มีผัวแบบไอ้พี่เดี่ยว!

ต้นกล้ายืนคิดไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวขนของช่วยเมีย? ในความคิดของเขาเสร็จ และขับรถออกจากตรงนั้นไปแล้ว ก็ยังมองตามจนรถวิ่งลับไปจากสายตา

“ลูกพี่ครับ”

“เฮ้ย อะไรของแกไอ้จ๋า เรียกซะเสียงดัง”

“ก็ไอ้จ๋าเรียกลูกพี่ตั้งหลายครั้งไม่เห็นได้ยิน มองอะไรอยู่หรือครับ”

“อ๋อ เปล่ามองอะไรเว้ยได้ของครบหรือยัง”

“ของสดครบแล้วครับ เดี๋ยวไปซื้ออย่างอื่นอีกสองสามอย่างก็เสร็จ” ทั้งสองเดินกลับมาที่รถ ตนกล้าสังเกตเห็นว่าที่กระบะด้านหลังมีข้าวของหลายอย่างวางอยู่เต็มไปหมด

“อะไรเยอะแยะวะนั่น”

“ก็ของไว้ทำอาหารให้คนงานนั่นแหละครับลูกพี่ ช่วงนี้มีงานทุกวัน คุณยายก็ให้ทำอาหารเลี้ยงคนงานด้วยตลอด”

“แล้วใครเป็นคนทำวะ”

“ก็แม่แจ่มใจของไอ้จ๋ายังไงล่ะครับ”

“ทำคนเดียวเหรอ”

“ครับ”

“โอ้โฮ ทำวันละกี่อย่างวะเหนื่อยแย่เลย” เห็นของที่ซื้อไปแล้วคิดถึงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ อย่างแม่แจ่มใจ ต้นกล้าก็ให้รู้สึกทึ่งขึ้นมาเสียเฉย ๆ ทำคนเดียวเนี่ยนะ!

“ไม่เยอะหรอกครับลูกพี่ เพราะหลัก ๆ ก็ทำแค่มื้อเที่ยง ส่วนเช้ากับเย็นคนงานก็ทำกินบ้านใครบ้านมันอยู่แล้ว”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

“แล้วคนงานมาจากไหนล่ะ”

“ก็ชาวบ้านแถวนี้ล่ะครับ”

“อือ ดีนะ”

“ครับลูกพี่ก็ดี แหะ ๆ ” ไอ้จ๋าได้แต่ยิ้มหน้าเป็นกลับไปให้ลูกพี่ เพราะดูเหมือนว่าบทสนทนาจะจบลงแล้ว ต้นกล้าเดินไปขึ้นรถ มันจึงต้องวิ่งตามลูกพี่ขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้วไปซื้อของต่อ

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปซื้ออะไหล่รถไถนาแป๊บหนึ่งนะครับลูกพี่” ต้นกล้าเพียงพยักหน้ารับ จากนั้นมันก็ผิวปากเดินข้ามถนนเข้าร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้านใหญ่ประจำอำเภอ สั่งของกับคนขายแล้วยืนรออยู่หน้าร้าน ตาก็ดูนั่นดูนี่ของมันไปเรื่อยจนกระทั่ง..

“อุ้ย!”

“อะไร”

“เปล่า”

“เปล่าเหรอเมื่อกี้เดินชนไม่ขอโทษยังจะบอกว่าเปล่าอีก”

“เอ่อ ขอโทษก็แล้วกัน”

“แล้วกันได้ยังไงถ้าไม่บอกจะขอโทษไหม”

“ก็ ก็ขอโทษแล้วไง”

“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!” ไอ้จ๋าว่าไม่สบอารมณ์ ทั้งที่มันเองไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกคนก็แค่เกือบ ๆ จะชนเท่านั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูตกใจจนเกินเหตุ เลยให้นึกอยากจะแกล้งขึ้นมาเฉย ๆ เด็กผู้ชายแต่ใบหน้าเรียวขาวใสสวยหวาน ดวงตาหรือก็กลมโตบ้องแบ้วเข้ากับขนตายาวงอน ร่างกายอ้อนแอ้นบอบบางเหมือนจะปลิวไปตามลม

“ของที่สั่งได้แล้ว”

“เท่าไหร่ครับพี่”

“500 พอดี”

“นี่ครับ” พอได้ของที่ต้องการไอ้จ๋าก็เดินออกจากร้าน โดยไม่หันไปแลคนที่ยืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ เพราะกลัวความดุของมันสักนิด คนที่ยืนตัวสั่นหัวใจยังเต้นแรง แก้มหรือก็แดงลามไปจนถึงใบหู ดวงตาสวยมองตามรถคันใหญ่สีดำวิ่งไกลออกไปเรื่อย ๆ จนลับสายตา

“เจ้าส้มมาช่วยพ่อทำบัญชีหน่อยลูก”

“ฮะพ่อ”

**********************

“ตอนอยู่ตลาดสดไอ้จ๋าเจอลูกพี่เดี่ยวด้วยครับ”

“แล้วไงไม่เห็นอยากรู้ว่ะ”

“อ๋อ แหะ ๆ เหรอครับ” ไอ้จ๋าไปต่อไม่เป็น หาเรื่องมาชวนคุยแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวข้อที่ลูกพี่ของมันไม่อยากคุย

“คนไม่ได้เรื่องพรรค์นั้น”

“หือ อะไรนะครับลูกพี่”

“เปล่า ๆ ฉันพูดคนเดียวโว้ย”

“แหมพูดคนเดียวก็เป็นนะครับ พูดกับไอ้จ๋าก็ได้ครับลูกพี่ จะได้ไม่เหมือนคนบ้า อิอิอิ”

“นี่แกว่าฉันบ้าเหรอวะจ๋า”

“เฮ้ยเปล่าครับเปล่าไอ้จ๋าแค่เปรียบเทียบ”

“แล้วมากับใครล่ะ”

“หา! “โอ๊ยไอ้จ๋าตามไม่ทันโว้ย มันไม่กล้าพูดออกมาหรอก ทำได้แค่บ่นเบา ๆ ในใจ ที่อยู่ ๆ ต้นกล้าก็ถามขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย “มากับดาวรุ่งครับ”

“เมียสินะ”

“หือ เมียใครเหรอครับ”

“คนที่มาด้วยนั่นน่ะ”

“ไม่ใช่ครับ ดาวรุ่งเป็นน้องสาวลูกพี่เดี่ยวครับ” เคร้ง!! อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัว มันดังก้องเหมือนแก้วหรือสิ่งเปราะบางตกจากที่สูงกระแทกพื้นแล้วแตกกระจาย เป็นต้นกำเนิดเสียงที่ดังกังวานแต่ไม่น่าฟัง

ต้นกล้าเปิดประตูรถลงไปยืนมองสำรวจรอบบ้านไม้สองชั้น ใต้ถุนโล่งปูด้วยกระเบื้องลายสวย มีแคร่ตัวใหญ่ตั้งไว้ ด้านหลังเป็นห้องก่อด้วยอิฐบล็อกฉาบปูนอย่างดีทาสีขาวครีม ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องครัว พื้นที่รอบบ้านดูสะอาดตา ด้านข้างฝั่งหนึ่งของบ้านเป็นสวนครัวที่ปลูกผักไว้เต็ม ล้อมด้วยตาข่ายเชือกเขียวป้องกันไม่ให้ไก่เข้าไปกินผัก ส่วนอีกด้านเป็นส่วนมะม่วง

“บ้านใครวะ”

“เอ๋าลูกพี่นี่บ้านไอ้จ๋าไงครับ”

“อ้าวเหรอ เออ ๆ ขอโทษทีว่ะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับลูกพี่ จะว่าไปแล้วลูกพี่ยังไม่เคยมาบ้านไอ้จ๋าเลยเนอะ”

“เออ ใช่ ฉันก็ลืมถาม”

“แต่เดินลัดไปตรงนั้นก็เป็นบ้านคุณยายแล้วนะครับลูกพี่ นึกออกหรือเปล่าเนี่ย”

“อ้าวเหรอ ทำไมไม่บอกแต่แรกวะ”

“แหะ ๆ ไอ้จ๋าลืมครับ” บ้านสองหลังอยู่ในอาณาเขตที่ดินผืนเดียวกันกั้นด้วยสวน มีทางเข้าคนละทางและอยู่คนละมุม แต่สามารถเดินลัดสวนหากันได้ ที่ทางกว้างขวางเล่นเอาคนที่ไม่สนใจอะไรอย่างต้นกล้างงเป็นไก่โดนน็อกไปเลย

ต่อข้างล่างเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 6 แค่นอนเล่น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-11-2018 19:14:19
“มากันแล้วเหรอ” เสียงแม่แจ่มใจดังมาก่อนร่างของหญิงวัยกลางคนจะเดินออกมาจากหลังบ้าน “เป็นยังไงบ้างได้อะไรกันมาบ้าง”

“ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันซื้ออะไรมาบ้างครับเยอะมาก เต็มท้ายรถเลยครับ”

“แล้วได้ของครบไหมล่ะ”

“ครบก็แล้วกันจ้ะแม่”

“งั้นขนลงมาเลย”

“เดี๋ยวผมช่วยครับ” ต้นกล้าบอกเมื่อแม่แจ่มใจสั่งให้ไอ้จ๋าขนของลงจากรถ ทั้งสามจึงช่วยกันขนของที่เต็มท้ายรถลงจนหมด

“เย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมกล้าเดี๋ยวน้าจะทำให้”

“อะไรก็ได้ครับ ผมกินได้หมด” ต้นกล้าบอกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เมื่อนึกได้ว่าตัวเขานั้นไม่สามารถกินอาหารทุกอย่าง เหมือนกับคนที่นี่เขากินกัน “แต่..”

“แต่อะไร”

“ไม่เอาปลาร้าที่เป็นตัว ๆ นะครับ” บอกแล้วยิ้มแหยง ๆ เหมือนกับว่าเขานั้นเข็ดขยาดมันมากเหลือเกินเมนูนี้

“ได้สิปกติอาหารที่ใส่ปลาร้าเขาก็ไม่ใส่ไปทั้งตัวหรอกนะ จะต้มเอาแต่น้ำมากกว่า”

“อ๋อ เหรอครับ แต่ว่ายังไงผมขอเลี่ยงดีกว่าครับน้าแจ่ม”

“แม่ไม่ถามไอ้จ๋าบ้างล่ะ นึกอยากกินลาบหมูอยู่เนี่ย”

“แกก็อยากกินทุกอย่างนั่นแหละ ฉันไม่ถามหรอก”

“โด่ว นี่ลูกนะแม่”

“เออ ๆ จะออกไปดูคนงานไหม”

“เดี๋ยวเอารถไปเก็บว่าจะออกไปแล้วแม่ ไปเถอะครับลูกพี่” พอต้นกล้าขึ้นมานั่งประจำที่แล้ว ไอ้จ๋าก็ขับอ้อมไปอีกทางซึ่งเป็นประตูใหญ่ทางเข้า เอารถไปเก็บแล้วค่อยเดินลัดสวนหลังบ้านออกไปยังทุ่งนา

บรรยากาศยามบ่ายคล้อยที่กำลังจะเข้าสู่ยามเย็น เป็นบรรยากาศดี ๆ ที่คนในเมืองไม่ค่อยได้สัมผัสกันนัก กับสายลมธรรมชาติให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นสบายตัว สายลมอ่อนหอบเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้ามาให้สูดเข้าปอด อาทิตย์อ่อนแสงราแรงความระอุ เหลือไว้เพียงความชุ่มของเหงื่อชโลมร่างรับลมโชยผ่านจนเย็นสบายตัว แมลงปออันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ และอากาศที่สะอาดสดชื่นบินให้ว่อน ต้นกล้าตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว จนลืมความขุ่นข้องหมองมัวในใจ จมูกสูดเอาอากาศเข้าปอดเต็มที่ ใจอยากนอนแผ่หลามันลงตรงนี้หากทำได้

“สดชื่นดีว่ะ”

“แน่นอนครับลูกพี่”

“แล้วนี่เราต้องไปดำนาหรือเปล่าวะจ๋า”

“คงไม่ต้องแล้วครับลูกพี่ เย็นปานนี้คนงานคงเก็บของเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว”

“อ๋อ แล้วเราออกมาทำไม”

“ก็มาดูความเรียบร้อยทั่วไปนี่แหละครับ ไม่มีอะไรมากหรอก”

“อือ” ทั้งสองเดินคุยกันตามประสาลูกพี่ ที่มีลูกน้องผู้ชำนาญการคอยแนะนำงานที่ต้องทำ ความสดชื่นของบรรยากาศรอบตัว ช่วยให้ต้นกล้าลืมเรื่องราววุ่นวายในใจ เดินไปบนคันนาคุยกันเรื่อย ๆ ไอ้จ๋านำทางต้นกล้าเดินตาม ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศดี ๆ ยามเย็น กบเขียดเริ่มส่งเสียงร้องแข่งกันระงม กล่อมท้องทุ่งให้ครื้นเครง ประสานกับเสียงจิ้งหรีดเรไร

ต้นกล้าทรุดตัวลงนั่งกลางคันนากว้าง ใต้เงามะม่วงต้นใหญ่ ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นภูเขาขาดสองลูก หันหน้าชนกันดูแปลกตาจนมองเพลิน

ครืน ๆ ครืน ๆ

“ฝนตกแน่คืนนี้” ต้นกล้าได้ยินเสียงฟ้าร้องตามมาด้วยเสียงบ่นของไอ้จ๋า แต่ตาของเขายังจับอยู่ที่ภูเขาขาดสองลูก เหมือนมันมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เขาเฝ้าดู ยิ่งท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัวเมฆลอยต่ำ ตัดกับเขาลูกใหญ่ดูทะมึนยิ่งน่ามอง “ลูกพี่กลับกันเถอะครับเดี๋ยวฝนตกลงมาก่อนถึงบ้าน”

“เสร็จแล้วเหรอ”

“เรียบร้อยครับ”

“เอองั้นก็กลับ”

“เปียกหมดเลยนิ” ไอ้จ๋าบ่นไม่จริงจังนักเมื่อทั้งสองวิ่งตากฝนเข้ามาที่ใต้ถุนบ้านใหญ่

“ดูท่าตกทั้งคืนแน่ว่ะ”

“ไอ้จ๋าว่าลูกพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย”

“เออดีเหมือนกัน เฮ้ย แล้วนั่นแกจะไปไหน”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปดูว่าวันนี้แม่ทำอะไรให้กิน จะเอามาให้ลูกพี่ไว้เลย เผื่อฝนตกหนักกว่านี้ไฟดับมาจะได้ไม่ยุ่งยากครับ”

“อ๋อ เออเอาตามที่แกว่านั่นล่ะ เออเดี๋ยว” ต้นกล้ากำลังจะขึ้นบ้านแต่นึกอะไรบางอย่างได้ก่อนจึงเรียกไว้ ไอ้จ๋าที่กำลังจะวิ่งออกไปต้องหยุดกะทันหันแทบหัวทิ่มพื้น

“ครับลูกพี่”

“แกก็อย่าลืมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ เปียกเหมือนกันเลยเดี๋ยวไม่สบาย”

“ไอ้จ๋าสบายอยู่แล้วลูกพี่ ฝนแค่นี้ทำอะไรมันไม่ได้หรอกครับ ไปล่ะเดี๋ยวมา” พูดจบมันก็วิ่งตากฝนลัดสวนไป ต้นกล้าเปิดไฟไว้ แล้วเดินขึ้นบ้านทั้งที่ตัวเปียก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ได้แต่นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องรอเวลา ไม่นานไอ้จ๋าก็มาเคาะประตูเรียก พร้อมกลิ่นหอมของอาหารเย็น

“มีลาบหมูด้วยนะครับ แหมแม่นะแม่นึกว่าจะไม่ทำให้กินซะแล้ว อาหารแบบนี้ลูกพี่กินได้ไหมครับ” ไอ้จ๋าบ่นให้แม่ด้วยความปลาบปลื้ม แล้วหันไปถามลูกพี่ของมันอย่างห่วงใย

“อะไรลาบหมูนี่เหรอ ใส่ปลาร้าไหมวะ”

“เฮ้ย ลาบหมูที่ไหนเขาใส่ปลาร้าครับลูกพี่” ท้ายเสียงสูงเพราะไอ้จ๋าอ่อนใจกับคนเป็นลูกพี่ ที่ดูท่าว่าคงกลัวปลาร้าขึ้นสมอง

“ก็นั่นสิที่นี่ใส่ไหมล่ะ” ไอ้จ๋าส่ายหัวปฏิเสธเอาเป็นเอาตาย “เออ ๆ กินได้ ๆ ” ก็ว่าอยู่ลาบหมูใครเขาใส่ปลาร้า ถึงต้นกล้าจะทำกับข้าวไม่เป็นก็รู้หรอก ที่ถามแค่จะกวนไอ้จ๋ามันเล่น ๆ เท่านั้น แต่มันดันคิดจริงจังนี่สิจึงถึงกับเต้นผางที่ได้ยิน ลูกพี่ใหญ่กับลูกน้องคนสนิทนั่งกินข้าวเงียบ ๆ ข้างนอกฝนก็ยังเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย มีเสียงฟ้าร้องสลับกับฟ้าแลบมาเป็นระยะ

*****************

“มายืนทำมิวสิกวิดีโออะไรอยู่ตรงนี้”

“ออกมาทำไมเข้าบ้านไป”

“พ่อให้มาตามไปกินข้าว เดี๋ยวไฟดับมืดมาจะยุ่งยากอีก”

“เออ เดี๋ยวตามไป”

“ว่าแต่พี่เถอะ มายืนคิดถึงใครอยู่นี่อ่า”

“ยุ่ง”

“นั่นแน่ แสดงว่าคิดถึงใครบางคนอยู่จริง ๆ ด้วย สาวบ้านไหนจ๊ะ”

“ไม่มีสาวบ้านไหนทั้งนั้นล่ะ เข้าบ้านเลยเดี๋ยวตามไป”

“ฝนตกแบบนี้ได้บรรยากาศดีเนอะว่าปะ”

“บรรยากาศอะไร”

“ก็บรรยากาศในการคิดถึงใครบางคนนะสิ”

“เข้าบ้านไปเลย เดี๋ยวเถอะ” เด็ดเดี่ยวไล่เพราะยิ่งคุยนานยิ่งเหมือนดาวรุ่งจะรู้ทัน แม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ถูกที่เขากำลังคิดถึงใครบางคนอยู่

ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวผ่านช่วงไหล่พิงลงกับเสา ตามองฝ่าสายฝนไปยังความมืดในสวน คิดถึงเจ้าของร่างสูงโปร่ง ที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฝนตกค่ำมืดแล้วไอ้จ๋ามันหาข้าวปลามาให้ลูกพี่ของมันกินหรือยัง มุมปากหยักได้รูปของหนุ่มบ้านนาใบหน้าหล่อคมยกยิ้ม ยามคิดถึงวันแรกที่เจอกัน

“ฮั่นแน่ยิ้มอะไรคนเดียวอ่า”

“เฮ้ยอะไรวะดาวรุ่ง เข้าบ้านไป” เด็ดเดี่ยวสะดุ้งเมื่อน้องสาวที่คิดว่าเข้าบ้านไปแล้ว กระโดดเข้ามาทัก ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอยิ้มออกมาตอนไหน

“เข้าบ้านไปเลย ออกมาโดนไอฝนเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“ไปด้วยกันสิ”

“เฮ้อ ไปก็ไป” สองพี่น้องเกี่ยวแขนกันเดินเข้าบ้าน ฝนด้านนอกยังโปรยปรายไม่หยุดหย่อน เด็ดเดี่ยวได้แต่หวังว่าใครบางคนคงนอนหลับสบายตลอดค่ำคืน คิดแบบนั้นโดยไม่เผื่อใจไว้บ้างเลย ว่าใครคนนั้นอาจจะอยู่ในมุมตรงข้ามกับความคิดของเขาสิ้นเชิง

พรึ่บ!!!

“เฮ้ย!” ต้นกล้าร้องเสียงดัง เพราะนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ดี ๆ ไฟก็ดับลงเสียดื้อ ๆ รอบกายมืดสนิทมีเพียงแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ให้ความสว่าง แต่ก็น้อยนิดเหลือเกิน เพราะใจอยากให้มันสว่างไปทั้งบ้านเลยด้วยซ้ำ

“มันจะมาดับอะไรกันตอนนี้วะ ฮึ่ม” ว่าเสียงแผ่วพลางขยับไปชิดหัวเตียง ใจเริ่มหวาดระแวง ความรู้สึกกลัวเริ่มก่อนตัวจนขนหัวลุก เมื่อความมืดปกคลุมรอบกาย มโนภาพในหัวก็เริ่มทำงาน

“ไอ้จ๋า ทำอะไรของมันอยู่วะ ทำไมมันไม่กลับมาสักที”

เสียงฟ้าคำรามสนั่นทุ่งก้องมาแต่ไกล เล่นเอาใจต้นกล้าเต้นรัว ไม่ใช่ว่ากลัวเสียงฟ้าเสียงฝน ต้นกล้าไม่เคยกลัวสักนิด นอกจากสิ่งลี้ลับที่ไม่เคยรู้ว่ามันมีจริงหรือเรื่องโกหก แต่จะสัมผัสมันได้ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด กลัวจนขนหัวลุกแก้ไม่เคยหาย หรือจะว่ากันไปตามจริงแล้ว ไม่รู้ว่ามันมีวิธีแก้บ้างหรือไม่ จึงได้กลายเป็นคนกลัวผีขี้ขึ้นสมองจนถึงทุกวันนี้ไง

ต้นกล้าหายใจถี่จนแผ่นอกกระเพื่อม เหตุใดพระเจ้าส่งให้เขามาเกิดเป็นคนเพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา การศึกษาก็ดี พ่อแม่หรือก็ออกจะมั่งมีมั่งคั่งทั้งสมบัติพัสถานที่หาไว้ให้ แต่ทำม้ายทำไมต้องให้ต้นกล้าเกิดมาเป็นคนกลัวผีด้วย พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมกับคนหล่อเอาเสียเลย

เปรี้ยง!! ครืน ๆ

อ๊าก เหมือนพระเจ้าจะตอบรับคำตัดพ้อ ด้วยการส่งเสียงคำรามสนั่นเปรี้ยงลงมา ตามด้วยแสงสว่างวาบแปลบปลาบ ปิดท้ายด้วยเสียงคำรามครืน ๆ ข่มขู่ให้ขวัญกระเจิง

“อะไรกันนักกันหนาว้า” พรึ่บ! “เฮ้ยอะไรอีกล่ะ!” ต้นกล้าเป็นต้องร้องเสียงหลงตกใจจนโทรศัพท์ที่ถืออยู่หลุดมือ เพราะหน้าจอของมันหรี่ลงเกือบมืด พอหยิบขึ้นมาดูปรากฏว่า..

5% แบตเตอรี่

โปรดเชื่อมต่อสายชาร์จ!

เวรกรรม! นี่มันวันซวยอีกวันหรือยังไง

“มันจะมาหมดอะไรตอนนี้วะแบตโทรศัพท์ อ้าก” ต้นกล้าได้แต่กรีดร้องมือกำโทรศัพท์แน่น พยายามเปิดให้หน้าจอสว่าง ๆ เหมือนเดิม แต่ด้วยพลังงานอันน้อยนิดนั่น เครื่องจึงไม่ตอบสนองและในที่สุดมันก็ตายสนิท!

เปรี้ยง!! ครืน!! คราวนี้เสียงฟ้าร้องตามมาด้วยฟ้าแลบสว่างวาบ เสียงคำรามยาวครืน ๆ คนจิตใจอ่อนไหวที่นั่งกอดผ้าห่มอยู่บนเตียงยากจะทานทน เพราะฟ้าแลบขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ให้รู้สึกราวกับว่าสิ่งรอบข้างมันมีการเคลื่อนไหวเมื่อนั้น ทั้งเงาวูบวาบพลิ้วไหว ทั้งข้าวของที่ตั้งอยู่มันดูเป็นเงาตะคุ่ม ๆ แปลก ๆ ยิ่งแสงมันวาบบ่อยเท่าไหร่ใจดวงน้อยยิ่งเต้นรัว ว่าจะไม่มองมันก็อดไม่ได้ ต้นกล้าได้แต่สัญญากับตัวเอง ว่าพรุ่งนี้เช้าอะไรที่ทำให้เกิดเงาตะคุ่มพวกนี้ เขาจะขนออกไปทิ้งข้างนอกเสียให้หมด

**********************

แสงยามเช้าสาดสีส้มทองส่องมาจากขอบฟ้า พระอาทิตย์ดวงโตค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาเพื่อปลุกมวลมนุษยชาติ และสรรพสิ่งบนโลกให้ตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณของวันใหม่ ชาวไร่ชาวนาตื่นเช้าเป็นกิจวัตรเริ่มออกทำงาน แม่บ้านหุงหาอาหารสำหรับมื้อเช้าให้พร้อม และหนึ่งมนุษย์ขี้กลัวที่กว่าจะได้นอนก็เมื่อตอนค่อนรุ่ง แต่......

“ลูกพี่ครับ” ไอ้จ๋าตะโกนเรียกเสียงดัง ตามด้วยการเคาะประตูไปสองสามที

“เอ๊ะหรือว่ายังไม่ตื่นหว่า” พอข้างในยังเงียบมันก็ปรึกษาตัวเองแล้วเพิ่มแรงเคาะ แต่ผลคือความเงียบไร้เสียงตอบรับใด ๆ

“สงสัยจะยังไม่ตื่นจริง ๆ ” มันไขข้อข้องใจให้ตัวเองแล้วย่องลงเรือน ส่วนลูกพี่ค่อยมาปลุกทีหลัง

ไอ้จ๋ารีบจัดการงานกิจวัตรประจำวันยามเช้า รวมถึงให้อาหารเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้ สวนผักของแม่วันนี้ไม่ต้องรดน้ำ เพราะฝนตกทั้งคืน ไม่ลืมร้องทักแม่แจ่มใจที่กำลังวุ่นวายกับการหุงหาอาหาร เสร็จจากงานที่บ้านมันถึงวิ่งไปสวนอีกแปลงหลังบ้านใหญ่ ซึ่งตรงกับห้องนอนของลูกพี่พอดี

ไอ้จ๋าทำงานคล่องแคล่วว่องไว พรวนดินถอนหญ้าไปปากก็ตะโกนร้องเพลงหมอลำไปด้วย เสียงร้องของมันประสานกับเสียงไก่ขันรับกันมาเป็นทอด ตั้งแต่หัวบ้านยันท้ายบ้าน นั่นทำให้คนที่กำลังนอนหลับสบาย ต้องตื่นขึ้นมารับอรุณของวันใหม่ด้วยความหงุดหงิด

“อะไรกันนักกันหนาแต่เช้าวะ!” งัวเงียลุกขึ้นนั่งอย่างไม่พอใจ เสียงไอ้จ๋าล่ะนะต้นกล้าจำได้ แต่ทำไมมันต้องมาร้องอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ของมันตอนนี้ด้วย

“โอ๊ย” หมอนใบนุ่มถูกดึงมาปิดทับหัวทับหู แต่เสียงนั้นยังตามมาหลอกหลอน และการจะหลับได้อีกครั้งคงใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงใหญ่มาก แต่สำหรับหนุ่มหล่อเกาหลีตี๋อินเทรนด์อย่างต้นกล้า มันแย่กว่านั้น....

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ เป็นเสียงเคาะประตูในจังหวะพอดี ๆ ไม่ช้าไม่เร็ว ไม่รัวและไม่เร่งรีบ

“ลูกพี่ครับ” ไอ้จ๋าลากเสียงเรียกยาวแล้วจึงนึกได้ “เอ๊ะ ตื่นหรือยังวะ”

“อะไรวะ” ต้นกล้าเปิดประตูออกมาถามทั้งที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

“อ้าว ลูกพี่พึ่งตื่นเหรอครับหลับสบายหรือเปล่า ไอ้จ๋ามากวนเหรอเนี่ย ยังไงจะกลับไปนอนต่อก็ได้นะครับ”

สาบานได้ไหมว่ามันไม่ได้แกล้ง!

ไอ้จ๋าพล่ามยาวตามหลังลูกพี่ ที่เดินล่องลอยครึ่งหลับครึ่งตื่นตรงไปยังมุมนั่งเล่น ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวเหมือนหมดแรง ขอบตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้า ทั้งหงุดหงิดคิดพาล ปลุกแล้วค่อยถามอย่างนี้อย่าถามเลย

“เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือไงครับ” มันเห็นใบหน้าลูกพี่ตึง ๆ จึงทำใจดีสู้เสือถาม

“เออ”

“แหมฝนตกทั้งคืนออกจะนอนสบาย ไอ้จ๋ายังหลับยาวถึงเช้าเลยครับ” ต้นกล้าอยากจะบอกนักว่าสบายกับผีนะสิ แต่ก็เกรงใจสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น จึงไม่ขอพาดพิงถึง ได้แต่นอนหลับตาส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ “แล้วนี่ลูกพี่จะลงนาไหวหรือเปล่าครับเนี่ย”

“ไหวสิ! ”

“เฮ้ยมาทำไม!”

“อ้าว ลูกพี่เดี่ยวไปไหนมาแต่เช้านิ” พอเห็นว่าเป็นใครมาหา ไอ้จ๋ามันจึงยิ้มทักทายหน้าระรื่น ผิดกับต้นกล้าที่ดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงของอีกคนดังแทรกขึ้น ก่อนที่เขาจะได้ตอบคำไอ้จ๋า ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยว สวนกันไปคนละทางแน่นอน

“มาดูคนสันหลังยาว”

“ใครเหรอครับลูกพี่”

“แล้วใครล่ะมีไหมแถวนี้”

“ไม่มีครับ”

“แน่ใจนะว่าไม่มีใครยังมัวงอแงไม่อยากตื่น จะนอนอยู่ทั้งที่ตะวันสายโด่งจนแยงก้นแล้ว” ไอ้จ๋ามันคนซื่อ พอได้ยินเด็ดเดี่ยวบอกอย่างนั้น ก็เหลือบไปมองลูกพี่ใหญ่อย่างห้ามตัวเองไม่ทัน และสิ่งที่มันได้รับกลับมาก็คือสายตาดุ ๆ ที่จ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ โทษฐานที่ทำหน้าตายไม่รู้เท่าทันว่าเด็ดเดี่ยวกำลังกัดใคร

“แหะ ๆ แล้วนี่ลูกพี่ไปไหนมาครับเช้าถึงเย็นถึงเลยน้า เอ๊ย! มาแต่เช้าเลยนะครับ คิก ๆ ”

“ทางผ่านเลยแวะมา”

“ทีหลังไม่ต้องแวะก็ได้นะอย่าลำบาก” ต้นกล้าบอกแล้วเบ้ปากให้ด้วย

“คนแก่อุตส่าห์ฝากฝังหลานไว้ เพื่อความสบายใจของคุณยายพี่เลยต้องเสียสละเวลาแวะมาสักหน่อย”

“อ๋อ” ไอ้จ๋าลากเสียงยาวพยักหน้าช้า ๆ แทนการบอกว่ามันเข้าใจจุดประสงค์อย่างแจ่มแจ้ง

“เดี๋ยวสาย ๆ จะมีคนงานที่ไร่มาลงดำนาช่วยนะ”

“ดีเลยครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะได้บอกแม่ทำอาหารเลี้ยงคนงานเพิ่ม”

“ว่าแต่ลูกพี่ของแกเถอะวะจ๋า เขาจะไปดำนาหรือเปล่าวันนี้”

“ก็ต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว จริงไหมครับลูกพี่” ไอ้จ๋าตอบรับแทนลูกพี่ใหญ่ของมันอย่างมั่นใจ แล้วค่อยหันไปถามเจ้าตัว จึงได้รับสายตาดุตอบกลับมา ต้นกล้าหน้าตึงไม่สบอารมณ์ อยากส่งค้อนใส่ไอ้จ๋าให้ตาคว่ำ ที่เสนอหน้าตอบไม่ปรึกษากันสักคำ

“ทำหน้าแบบนี้นี่นะ จะลงดำนาดูป๊อด ๆ ปอด ๆ นะจ๋าลูกพี่แกน่ะ หรือขี้เกียจ”

“ใครป๊อดครับคุณเด็ดเดี่ยว เรายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ และแน่นอนว่าเราต้องลงดำนาอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่ของเรา งานของเราที่รับปากคุณยายเอาไว้แล้ว ที่นี่นาของยายเราคนอื่นไม่เกี่ยว” ต้นกล้าบอกอย่างมาดมั่นไม่ลืมยืดอกเชิดหน้าโทรม ๆ ประกอบ แต่ไอ้จ๋ามันกลับไม่เข้าใจ

“ลูกพี่เดี่ยวก็คนกันเองครับลูกพี่กล้า”

เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างยักคิ้วให้ต้นกล้าด้วยหนึ่งครั้งถ้วน “ถูกต้องเลยว่ะจ๋า”

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย”

“เปล่าครับไอ้จ๋าอยู่ตรงกลาง”

“เอาล่ะ ๆ ไอ้จ๋าไปเตรียมตัวไปสายแล้วเนี่ย ส่วนใครอ่อนจะนอนรออยู่บ้านก็นอนไป ไม่มีใครว่าหรอกเพราะเป็นถึงหลานเจ้าของนา” เด็ดเดี่ยวพูดจบคนที่ถูกกระทบกระเทียบก็แสยะปากให้ หากต้นกล้ากระโดดขบหัวคนชอบสบประมาทได้คงทำไปแล้ว ตาคล้ำ ๆ เพราะนอนไม่เต็มอิ่มตวัดมองคนตัวโตอย่างเอาเรื่อง

“ไหนใครอ่อนวะจ๋า เฮ้อ เบื่อคนไปดีกว่า”

“ไปไหนครับลูกพี่”

“ล้างหน้าแปรงฟันไง”

“แล้วตกลงลูกพี่จะลงดำนาหรือเปล่าครับวันนี้”

“ลงสิวะ เดี๋ยวคนบางคนจะหาว่าอ่อน นี่ใครวะจ๋า นี่ไอ้กล้านะโว้ยตื่นมาก็แข็งโด่ทุกเช้าอยู่แล้ว”

“ฮ่า ๆ สุดยอดเลยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าสรรเสริญตามมาด้วยเสียงหัวเราะลั่น ชอบใจคำพูดสองแง่สองง่ามของลูกพี่ ที่ช่างถูกใจลูกผู้ชายอย่างมันเสียจริง ๆ

ต้นกล้ายืดอกอย่างองอาจ เดินเข้าห้องไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย เด็ดเดี่ยวมองตามส่ายหน้าอ่อนใจ และแน่นอนว่ามันต้องมีความเอ็นดูปนอยู่ในนั้นด้วย แต่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกหากไอ้จ๋าไม่บอกให้เอาบุญ

“แหม” ไอ้จ๋าลากเสียงยาวทำตาเล็กตาน้อยจนเด็ดเดี่ยวขนลุก “อะไรจะมองจนตาออกแสงขนาดนั้นละครับลูกพี่ เอ็นดูลูกพี่กล้าหรือไง” นั่นปะไร ใครว่ามันซื่อจนเซ่อนั้นเห็นจะคิดผิด ไม่มีอะไรหลุดรอดจากสายตาช่างสังเกตของมันได้หรอก

“อะไรของแก”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะไปบอกแม่ทำอาหารไว้เลี้ยงคนงานเพิ่มดีกว่า ว่าแต่ลูกพี่เถอะจะทำอะไร”

“อยู่แถวนี้ล่ะ รอดูคนเก่งว่าจะไปได้สักกี่น้ำ”

“นั่นแน่...”

“อะไรของแกอีกวะ”

“อยากรอเขาก็บอกมาเหอะ” ไอ้จ๋าพูดพลางบุ้ยใบ้ใบหน้าไปทางห้องของต้นกล้าอย่างรู้เท่าทัน “อย่ามาลับลมคมในยังไงก็ไม่มีอะไรรอดพ้นไปจากเรดาห์ไอ้จ๋าไปได้หรอกครับลูกพี่ ไอ้จ๋ารู้ไอ้จ๋าเห็น” พูดจบยังคิ้วหลิ่วตาให้ลูกพี่รองไปหนึ่งที ด้วยมั่นใจว่าตัวเองรู้เท่าทัน แต่กระนั้นเด็ดเดี่ยวก็ยังเก็บอาการของตัวเองได้เป็นอย่างดี

“จะไปไหนก็ไปเลยไป เดี๋ยวเจอกันที่นา” ลูกพี่รองบอกเสียงเรียบ

“รับแซบครับ” ไอ้จ๋าตะเบ๊ะให้เด็ดเดี่ยวแล้ววิ่งลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะโดนไล่เตะก้นแบบหยอก ๆ จนหัวทิ่มพื้นเอา หลังจากที่มันล้อลูกพี่ตัวโตจนเป็นที่พอใจของมันแล้ว จึงต้องรีบไปทำธุระของตัวเอง และหาข้าวหาน้ำมาให้ลูกพี่ใหญ่กินให้อิ่มหนำสำราญ ก่อนจะลงไปใช้แรงงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน

*************************

“จิ๊”

“เป็นอะไร”

“จะมาเดินตามทำไมล่ะ”

“ไม่ได้จะมาเดินตาม แต่พอดีว่าพี่จะลงนาแล้วต้นกล้าเดินอยู่ข้างหน้าพี่เอง”

“เหอะ” ต้นกล้าเดินไปหาวไปตลอดทาง จนหวุดหวิดจะตกคันนาก็หลายครั้ง ยังดีที่มีคนตัวโตเดินตามหลังคอยช่วยดึงแขนดึงไหล่ บางครั้งหนักเข้าก็เล่นเกี่ยวเอวรั้งไว้ก่อนจะตกน้ำตกโคลน ทั้งเดินทั้งต่อล้อต่อเถียงไม่หยุดจนต้นกล้าตาสว่าง

“ไหวปะเนี่ย” เด็ดเดี่ยวสังเกตเห็นว่าต้นกล้ามีท่าทางวูบ ๆ ลอย ๆ เหมือนคนไม่ได้นอนพักผ่อนมาทั้งคืน

“ไหวสิ”

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”

“หลับสบายดี”

“แน่ใจนะ”

“เอ๊ะ ทำไมเราจะต้องไม่แน่ใจ” ก็เพราะดูหน้าดูตาก็รู้แล้วนะสิว่าคงไม่ได้นอนทั้งคืน แถมเมื่อคืนไฟยังดับถึงเช้า เด็ดเดี่ยวไม่คิดว่าคนกลัวผีขึ้นสมองอย่างต้นกล้า จะข่มตาให้หลับลงได้ง่าย ๆ ทั้งที่ถามอย่างจับผิดแต่ใจก็อดห่วงไม่ได้

“แล้วแน่ใจเหรอว่าวันนี้จะทำงานได้”

“เราทำได้”

“ให้มันจริง”

“เหอะ”

ต้นกล้าตอบแล้วเอาแต่จ้ำเดินไปข้างหน้า จนถึงแปลงนาที่ไถคราดไว้อย่างดี คนงานเริ่มทยอยลงยืนเรียงหน้ากระดานหันเข้าหาคันนา อันเป็นจุดเริ่มต้นในการปักดำถอยหลัง กะระยะห่างระหว่างกันให้พอดีกางแขนออกกว้าง ๆ ในอ้อมแขนข้างหนึ่งโอบอุ้มมัดกล้า ราวกับเป็นของรักล้ำค่าต้องทะนุถนอม แล้วพากันก้มหน้าลงทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน บ้างถือมัดกล้าไปวางกระจายตามจุดต่าง ๆ จุดละสองสามมัด เพื่อให้คนงานที่ดำนาถอยหลังมาได้หยิบใช้อย่างสะดวก บ้างก็หาบมัดกล้าที่เอาเสียบด้วยไม้ไผ่ยาวเหลาปลายแหลม หรือที่เรียกว่า “หลาว” มาวางให้ ทุกคนทำงานแบ่งหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็ง มีเสียงเพลงลูกทุ่งจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าดังกล่อมทุ่ง บ้างร้องเพลงบ้างคุยกันไปด้วยตามประสา บ่งบอกว่าทุกคนกำลังมีความสุขกับการทำงานจนต้นกล้ามองเพลิน

“เมื่อไหร่จะลงมา” ต้นกล้าหลุดออกจากภวังค์ความคิด ตาสวยหลุบมองต่ำลงที่ต้นเสียง เด็ดเดี่ยวยืนอยู่ในนาพร้อมมัดกล้าในอ้อมแขนเตรียมลุยงาน ส่วนต้นกล้ายังยืนอยู่บนคันนาท่าทางพร้อมแล้ว แต่ก็ยังไม่ลงทำงานสักที ตอนนี้จึงดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะสูงกว่าคนตัวโตชั่วคราว

“ลงเลยเหรอ”

“อือ ลงมานี่มาเดี๋ยวพี่สอน”

“ชิ เราทำเป็นหรอก”

“เหรอ ทำเป็นงั้นก็ลงมาทำให้พี่ดูหน่อยครับ” ถึงในใจจะนึกรังเกียจไม่อยากเปื้อนตม แต่ก็แสดงออกมาไม่ได้ ต้นกล้าจึงค่อย ๆ หย่อนเท้าที่ใส่ถุงเท้ายาวถึงหัวเข่าลงไปในนา เหมือนจะเสียหลักเล็กน้อยแต่ก็ทรงตัวได้ เงยหน้าขึ้นเห็นอีกคนยังมองอยู่ จึงเบ้หน้ายักไหล่ให้ แทนการบอกกลาย ๆ ว่าแค่นี้ไม่มีปัญหา เด็ดเดี่ยวส่ายหน้าให้กับความรั้นและความอวดเก่ง ทิ้งสายตาท้าทายไว้ให้ก่อนจะเดินไปทำงาน แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้มลงปักดำ...

ตุบ!

“โอ๊ย!” ตุบ ๆ แล้วฝูงโคลนก็ถูกปามาใส่หลังเด็ดเดี่ยวรัว ๆ จนต้องหันกลับไปมองต้นเหตุ ที่กำลังลอยหน้าลอยตาอารมณ์ดี

“หึ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเยาะเสียงต่ำ ในขณะที่คนงานบางคนก็หัวเราะขำเสียงดังไม่เกรงใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหนุ่มหล่อประจำตำบลมีขี้โคลนติดเต็มแผ่นหลัง เด็ดเดี่ยวได้แต่มองด้วยสายตาคาดโทษ หากไม่มีคนงานอยู่เป็นสิบแบบนี้ คนตัวเล็กเป็นไม่พ้นจมขี้ตมแน่นอน

พอคนอื่น ๆ รวมทั้งเด็ดเดี่ยวหันไปทำงาน ต้นกล้าก็คงต้องทำบ้าง ไม่ใช่นึกขยันอะไร แต่เขาไม่มีวันยอมให้ใครมาสบประมาทตราหน้าว่าไม่ได้เรื่อง เหลือบมองคนงานที่อยู่ข้าง ๆ แล้วหันซ้ายหันขวา กล้ามัดหนึ่งวางอยู่ข้างหลังนี่เอง จึงหยิบมากอดกระชับมั่นในอ้อมแขน คนอื่นแค่หอบประคองไว้ให้ง่ายต่อการถอดไปปักดำ แต่สำหรับต้นกล้าและครั้งแรกในการดำนา มัดกล้าถูกกอดแนบอกราวกับเป็นของรักก็มิปาน

“ใส่กี่ต้นวะเนี่ย” หันไปมองคนอื่นก็มีแต่ดึงต้นข้าวออกมา แล้วเสียบลงดินอย่างว่องไว ไม่มีใครนับจำนวนสักคน แต่คงไม่ได้ปักลงไปต้นเดียวแน่นอน ต้นกล้าหันมาจะลองทำบ้าง แต่พอคลี่กล้าข้าวในมัดออก ใบหน้าหล่อเกาหลีเป็นต้องเบ้บิดเบี้ยวเพราะกลิ่นเหม็นหน่วงที่โชยออกมา ค่อย ๆ ดึงต้นข้าวออกทีละต้น นึกห่วงมือเรียวสวยที่ต้องมาคลุกตมคลุกโคลน ครั้นจะหาถุงมือมาใส่ก็กลัวจะดูไม่เป็นมืออาชีพ เพราะคนอื่นไม่มีใครใส่ถุงมือดำนาสักคน

ต้นกล้าทำทีเดินเข้าไปเพื่อทำงานบ้าง มัดกล้าในอ้อมแขนถูกกอดกระชับอกยามก้มหน้าลงสู่ดิน แต่แทนที่จะปักดำกลับดึงต้นข้าวที่เขาปักไว้แล้วขึ้นมา

“ลูกพี่”

“อะ อะไรวะ”

“แหะ ๆ ไหวนะครับ”

“เออสิ”

“แล้วนี่อะไรครับ ลูกพี่ดึงมันขึ้นมาทำไมล่ะครับ” ดูท่าตอนนี้ไอ้จ๋ามันจะฉลาดและรู้ใจต้นกล้าทีเดียว ว่าไม่ต้องการให้ใครรู้หรือสนใจในสิ่งที่เขากำลังทำ โดยเฉพาะคนตัวโตหน้ามึน ที่กำลังก้มหน้าก้มตาดำนาถัดจากคนงานไปอีกสองคน มันถึงได้กระซิบถาม

“คือ..เขาใส่ไปกี่ต้นวะตอนปลูกน่ะ” คนเป็นลูกพี่ก็ต้องรักษาฟอร์มยิ่งชีพด้วยการกระซิบกลับ

“อ๋อ..ก็กะเอาครับสักประมาณเท่านี้ ไม่ต้องนับให้เสียเวลา” ไอ้จ๋าดึงกล้าข้าวออกมาให้ดู แต่พอเห็นลูกพี่กอดมัดกล้าเสียแน่นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“แล้วก็ไอ้นี่เนี่ย ลูกพี่ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ก็ได้ มัดกล้านะครับไม่ใช่เมีย”

“อ้าวเหรอวะ เออ ๆ แล้วจะกอดยังไงล่ะฉันกลัวมันตกนี่”

“เอาวางไว้อย่างนี้ก็พอครับ” ไอ้จ๋าหยิบกล้าอีกมัดขึ้นมาสาธิตวิธีจับให้ดู โดยประคองมัดกล้าวางไว้บนท่อนแขน หันส่วนที่เป็นรากออกด้านนอก แบ่งกล้าส่วนหนึ่งออกมากำไว้ด้วยมือข้างเดียวกัน จะได้ง่ายต่อการกะจำนวนตอนดึงไปปักดำ

ต้นกล้าหัดทำตาม ความรังเกียจโคลนตมแทนที่ด้วยความตื่นเต้นลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก การดำนาที่เคยคิดว่ายากกลับง่าย เมื่อได้รับการอธิบายและสาธิตอย่างถูกวิธี ปักต้นข้าวกลุ่มแรกลงในดินยืนดูผลงานด้วยใจพองฟู แต่ไม่นานความลิงโลดนั้นพลันต้องวูบหาย เมื่อไอ้จ๋ามันร้องทักออกมา

“ลอย! “

“อ้าว”

“ต้องปักให้ลึกกว่านี้ครับ กะให้รากมันอยู่ในดินสักหน่อย มันจะได้ไม่ลอย”

“จะไปรู้เหรอวะจุ่มมือลงไปมันก็เละ ๆ เหลว ๆ เหมือนกันหมด”

ไอ้จ๋ายิ้มให้กำลังใจลูกพี่ของมัน “ไหนลองใหม่ครับ”

“เออ ก็ได้” อะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย ต้นกล้าปักต้นข้าวลงไปใหม่ คราวนี้ไม่ลอยหนุ่มน้อยหัวแดงจึงยิ้มออกมาได้ เย่! จุดพลุ..

“งานดีมาก จัดอีกเลยครับลูกพี่ สวยงามอย่างนี้จัดยาว ๆ ไปเลยครับ” ไอ้จ๋าปะเหลาะชมยักคิ้วยกนิ้วเชียร์ให้ทำต่อ

ต้นกล้าเริ่มสนุก “อะเคร่”

เลื่อนลงๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 6 แค่นอนเล่น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-11-2018 19:14:54
เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต้องยอมรับ ว่ามันทำให้รู้สึกดีและเพลิดเพลินไม่น้อย กับการดำนาครั้งแรกในชีวิต ต้นกล้าตื่นเต้นจนลืมเรื่องไอ้อ้วนดำ และความรังเกียจที่มีก่อนหน้านี้ บางครั้งคลี่ต้นข้าวออกจากมัด เห็นไส้เดือนตกลงมายังแค่ยิ้มขำ ราวกับความรู้สึกไม่ดีต่าง ๆ ที่มีก่อนหน้านั้น ถูกกดลงไปในตมพร้อมต้นข้าวที่ปักดำ

“ท่าทางสนุกนะ หึ ๆ ” หันกลับไปมองคนตัวโตแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนนี้ต้นกล้าไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาทั้งเหนื่อยทั้งร้อน เหงื่อก็ออกจนเสื้อเปียกชุ่มไปหมด ร่างกายปวดเมื่อยแทบไม่อยากขยับ “พักเที่ยงก่อน”

ต้นกล้าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเป็นกันเองมากขึ้น หลังจากอิ่มหนำกับมื้อเที่ยงแล้ว คนงานเริ่มทยอยลงทำงานรอบบ่าย ต้นกล้าอยากอิดออดเพราะปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่เห็นสายตาท้าทายจากลูกชายกำนันเลยต้องฮึดสู้ คราวนี้ต้นกล้าดำนาได้คล่องกว่าเดิม

“ไหวไหมครับลูกพี่”

“ไหวสิ”

“แน่นะครับ”

“เออ” ไอ้จ๋าจ้องหน้าลูกพี่เขม็ง เพราะใบหน้าที่เคยขาวใสมีเลือดฝาด ทั้งแดงก่ำและชุ่มไปด้วยเหงื่อ เส้นผมสีแดงสวยใต้หมวกสานสีส้มเปียกลู่ ความเหนื่อยล้าอยู่ในสีหน้าและแววตาชัดเจน

ครู่ใหญ่ผ่านไปไอ้จ๋าจึงมาบอก “พอแล้วครับลูกพี่”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ที่เหลือให้คนงานจัดการต่อก็ได้ครับ ไอ้จ๋าว่าลูกพี่กลับบ้านไปพักก่อนดีกว่าฝนจะตกแล้วครับ เมื่อวานลูกพี่ก็ตากฝนวันนี้ก็ตากแดดทั้งวันอีกเดี๋ยวไม่สบาย” เห็นสีหน้าจริงจังเป็นการเป็นงานของไอ้จ๋า ต้นกล้าจึงเหลือบไปมองคู่กรณีตัวโต ที่กำลังก้มหน้าก้มตาปักดำไม่สนใจใคร พยักหน้าให้ไอ้จ๋าแล้วปักกล้ากำสุดท้ายในมือลงดินก่อนเดินขึ้นไปล้างตัว

“ไง”

“ไม่ไง”

“สนุกใช่ไหม”

“เออ” ต้นกล้าตอบเพียงเท่านั้นก็เดินหนี เพราะรู้ว่าอีกคนตั้งใจมาหาเรื่อง เด็ดเดี่ยวเดินตามเงียบ ๆ สังเกตท่าทางต้นกล้าไปด้วย

“เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยใช่ไหมนี่”

“รู้ได้ไง”

“ดูขอบตาสิคล้ำเป็นหมีแพนด้าออกอย่างนั้น”

“จิ๊”

“แล้วเมื่อคืนไฟก็ดับด้วย”

“ไฟดับแล้วไง”

“ไฟดับใครบางคนก็... หึ ๆ ”

“ยุ่งไรด้วยเล่า”

“พี่เป็นห่วง”

“ห่วงตัวเองเถอะ” พูดจบต้นกล้าก็เบ้ปากให้คนที่บอกว่าห่วงแล้วเบือนหน้าหนี เขาเหนื่อยจนไม่อยากต่อปากต่อคำ จึงเดินจ้ำอ้าวกลับไปทางเรือนคุณยายไม่หันหลัง

“เดินดี ๆ สิ” เด็ดเดี่ยวปรามเสียงเข้ม เพราะต้นกล้าสะดุดจนเกือบล้ม แต่ทรงตัวไว้ได้เองเลยไม่ต้องกลิ้งลงไปให้ได้อาย

“จิ๊ จะกลับเลยใช่ไหม”

“ช่วยงานทั้งวันจะไม่ให้นั่งพักเหนื่อยดื่มน้ำก่อนหรือไงครับ ขอน้ำเย็น ๆ ให้พี่สักแก้วหน่อยสิ”

“นี่เห็นว่ามาช่วยงานหรอกนะ” ต้นกล้ายื่นแก้วเปล่ามาตรงหน้าเด็ดเดี่ยว พอเขาถือแก้วไว้ก็รินน้ำให้จนล้นแก้วอย่างประชดประชัน

“เย็นชื่นใจ” เด็ดเดี่ยวหน้าระรื่น

“ชิ” ต้นกล้าเองก็หิวน้ำเหมือนกันจึงยกขวดในมือขึ้นกรอกปาก แต่ก็ต้องนิ่วหน้าตอนกลืนน้ำเย็นลงไปอึกใหญ่เพราะเจ็บคอ

“เป็นอะไรอีก”

“เปล่า”

“เจ็บคอเหรอ”

“จิ๊ ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม”

“เอ้า ก็พี่อยากรู้นี่ไหนมาดูซิ”

“เฮ้ย จะทำอะไร” ต้นกล้าเอนตัวหลบเมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นหลังมือมาจะแตะตรงหน้าผาก

“อยู่เฉย ๆ หน่อย”

“ไม่อยู่จะทำอะไรปล่อยเรานะ” ต้นกล้าไม่ยอมจึงถูกคว้าท้ายทอยรวบกอดคอไว้ เด็ดเดี่ยวยืนส่วนต้นกล้ายังนั่งอยู่บนแคร่ ใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำจึงกดแนบลงกับหน้าท้องแน่น ๆ คนหัวแดงได้แต่แหงนหน้ามองตาปริบ ๆ เพราะความเหนื่อยความปวดเมื่อยและความเพลีย ทำให้ไม่อยากขยับอีกแล้ว

“ตัวร้อนจี๋เลย” เด็ดเดี่ยวพึมพำเบา ๆ แตะหลังมือไปตามหน้าผากข้างแก้มนิ่มและลำคอ ผลออกมาเป็นอย่างที่เขาสงสัยแต่แรก ที่เห็นใบหน้าขาวใสของต้นกล้าแดงก่ำจนผิดปกติ

“ปล่อยเรานะเว้ย”

“ไปล้างมือล้างเท้าก่อน ไม่ต้องอาบน้ำนะเช็ดตัวเอาเดี๋ยวไข้ขึ้น”

“เราไม่ได้เป็นอะไร”

“ไม่เป็นได้ไง ตัวร้อนขนาดนี้เป็นไข้แล้วเนี่ย”

“เราไม่ได้เป็นอะไรและเราจะอาบน้ำ” ต้นกล้าประกาศเสียงแข็ง

เด็ดเดี่ยวก็บอกเสียงดุเช่นกัน “อย่าดื้อกับพี่”

“ยุ่งไรด้วย”

“เมื่อวานตากฝนใช่ไหม แล้วเมื่อคืนไฟก็ดับพี่ว่าต้นกล้าคงไม่ได้นอนทั้งคืนแน่ วันนี้ทำงานตากแดดทั้งวันอีก แบบนี้ไม่ต้องสงสัยเลยถ้าไข้จะขึ้น”

ต้นกล้ารู้ตัวดีว่าโดนไข้เล่นงานเข้าแล้วแน่ ๆ แต่ยังไม่อยากยอมรับ เพราะไม่อยากให้คนตัวโตหาว่าเขาอ่อนจริง อย่างที่สบประมาทไว้ คนอย่างต้นกล้ายอมรับไม่ได้หรอก ไปทำงานวันแรกกลับมาบ้านเป็นไข้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!

“เราสบายดี แค่แดดร้อนเถอะ”

“เหรอแล้วทำไมตัวร้อน เสียงเริ่มแหบแล้วด้วย”

“จิ๊”

“ไปล้างมือล้างเท้าแล้วขึ้นไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าไป”

“ไม่เอาเราจะอาบน้ำ เราไม่ได้เป็นอะไร”

“อย่าดื้อ ตัวร้อนขนาดนี้ห้ามอาบ”

“เราจะอาบ”

“เช็ดตัว”

“เราไม่เช็ด”

“ดื้อ”

“เหอะ”

“ไม่ห่วงตัวเองเหรอ”

“ห่วงนักก็มาเช็ดให้เราดิ”

“ได้ มานี่”

“เฮ้ย!” เพราะความรั้นและไม่ยอมลง จึงทำให้ต้นกล้าหลุดคำพูดท้าทายอย่างไม่ตั้งใจ ผลสุดท้ายก็ถูกคนตัวโตกว่าลากเข้ามาใต้ถุนบ้าน แล้วจับให้นั่งลงที่เก้าอี้จนได้

“รออยู่นี่เดี่ยวพี่ไปเอาผ้ากับน้ำมาทำให้”

“ไม่ต้อง”

“ต้องสิเราเองไม่ใช่เหรอที่อยากให้พี่ทำให้”

“เปล่าซะหน่อยโว้ย”

“แล้วใครพูดเมื่อกี้”

“ก็...ชิ เราจะทำเอง”

“เช็ดตัวนะ”

“เออสิ”

“งั้นก็รีบไปทำ”

“แล้วเมื่อไหร่จะกลับ”

“อะไร ไล่อีกแล้ว”

“ก็เราจะได้ขึ้นบ้านสักทีไง แขกยังไม่กลับจะให้ไปก็เสียมารยาทปะ”

“ก็ได้เดี๋ยวพี่มาใหม่ แต่มาแล้วถ้าไม่ทำอย่างที่พูดนะ..” เด็ดเดี่ยวจ้องตาดุ

“นะอะไร ไม่ต้องมานะเถอะ”

“ถ้าพี่กลับมาแล้วยังไม่ทำตามที่บอกระวังตัวไว้เลย” เด็ดเดี่ยวชี้หน้าคาดโทษ มองหน้าต้นกล้าตาดุเป็นการทิ้งท้าย ก่อนเดินตรงไปยังรถของเขาแล้วขับออกไป

“ชิ ดีแต่สั่ง” ยิ่งคิดว่าถูกสั่งต้นกล้ายิ่งต่อต้าน ด้วยการอาบน้ำจนตัวหอมฟุ้ง แล้วมานอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง ไม่นานฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ต้นกล้าทั้งที่เหนื่อยและเพลียแต่ก็ยังไม่ยอมนอน “ชิ ไม่อยากมาก็เห็นต้องบอกว่าจะมาเลย ดีตกมันทั้งคืนเลยนะฝน คนบางคนจะได้ไม่ต้องมากวนใจเรา!”



%%%%%%%%%%%%%

เจอกันตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่7ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:34:23
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 7 ดื้ออย่าอ้อน (ใจมันสั่น)



หยาดฝนโปรยปรายนั้นจะเหมาะใช้เรียกสายฝนที่ตกลงมาเรื่อย ๆ ให้บรรยากาศเย็นสบายแบบโรแมนติกกำลังดี แต่สถานการณ์ฝนตกที่บ้านทุ่งดอกจานตอนนี้ มันยิ่งกว่าหยาดฝนโปรยปราย เพราะมันตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาเอาเสียเลย คนเป็นไข้ที่อาการไข้เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ นอนซมเพราะพิษของมันอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น แต่บรรยากาศยามฝนตกฟ้าปิดและมืดครึ้มแบบนี้ จะบอกว่าเที่ยงคืนแล้วคงจะน่าเชื่อกว่า ต้นกล้านอนห่มผ้ามิดปิดต้นคอ ในห้องมืดสลัวมีแสงจากฟ้าแลบสว่างวาบขึ้นมาเป็นครั้งคราว หูแว่วเหมือนได้ยินเสียงเรียกแทรกเสียงสายฝนและฟ้าร้องเข้ามา แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่มีอะไร นั่นจึงทำให้ต้นกล้าเริ่มจะนึกหวั่นใจ คิดว่าตัวเองคงจะเริ่มเบลอจากพิษไข้เข้าให้เสียแล้ว

ตั้งแต่เล็กจนโตต้นกล้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเดียวดายขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะเวลาป่วยไข้ต้องมีพ่อกับแม่ดูแลไม่ห่าง แต่ตอนนี้ช่างอยู่ไกลกันเหลือเกิน อีกทั้งพ่อกับแม่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นไข้ไม่สบาย ในห้องก็มืดลง ๆ ทุกที หูแว่วเหมือนได้ยินเสียงคนอีกแล้ว แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงฝนและเสียงฟ้าร้องคำราม ต้นกล้าไม่ชอบบรรยากาศมืดๆ แบบนี้เลย แต่ก็ไม่มีแรงลุกขึ้นไปเปิดไฟ จึงได้แต่นอนภาวนาให้มีใครมาสักที ทั้งไอ้จ๋า ทั้งใครอีกคนที่บอกจะเข้ามาหา ทำไมพากันเงียบหายไปหมด นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ รอ แต่จนแล้วจนรอดก็มีแต่เสียงฝนเสียงฟ้าคะนองลงมา ไม่มีหยุดหย่อน ที่ตอบรับคำภาวนาของเขา เสียงเปรี้ยงดังก้องกระหึ่มตามมาด้วยแสงสว่างวาบแปลบปลาบ เป็นแสงที่วาบขึ้นมาเพียงแวบเดียวและหายไปทันที แต่มันเล่นเอาคนที่นอนสั่นอยู่บนเตียงถึงกับเลือดในกายเย็นเฉียบ ตาค้างมองบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่อยู่หน้าประตู

เปรี้ยง!

“อ๊ากกกกกก” ต้นกล้าร้องเสียงหลงก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ จนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก เมื่อเห็นเงาดำทะมึนตอนฟ้าแลบ สองมือกระชับมั่นกำผ้าห่มแน่นดึงขึ้นมาคลุมหัว แล้วเอาแต่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในนั้น

“ต้นกล้า! ”

“ออกไป ๆ ”

“ต้นกล้า นี่พี่เอง”

“ไม่เอาออกไป ๆ ”

“ต้นกล้า พี่เองพี่เดี่ยวไง ดูดี ๆ ” ร่างที่ดิ้นเอาเป็นเอาตายอยู่ในผ้าห่ม ถูกกอดเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงและอบอุ่น ของคนที่พึ่งมาถึง เด็ดเดี่ยวร้องเรียกอยู่ข้างล่างเป็นนาน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงได้เดินขึ้นมาดูบนบ้าน เรียกเท่าไหร่ต้นกล้าก็ยังเงียบ สองขาจึงเดินมายังทางที่รู้ว่าเป็นห้องของอีกคน เรียกก็แล้วเคาะประตูก็แล้ว ในห้องยังคงความเงียบเหมือนเดิมจึงตัดสินใจเปิดเข้ามา และดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะเบลอจนจำไม่ได้ แล้วคิดว่าเขาเป็นอะไรอย่างอื่นที่คนหัวแดงไม่อยากเจอ



“ต้นกล้าฟังพี่สิหยุดดิ้นก่อน นี่พี่เองไม่ใช่ผี” กึก ร่างในผ้าห่มหยุดนิ่งอย่างที่อีกคนบอก ตอนนี้คนในก้อนผ้าห่มถูกรั้งเข้ามาแนบชิดในอกอุ่น ช่วงที่เป็นหัวกลม ๆ ซบลงที่กลางอกแกร่งมีมือใหญ่ลูบไปมาผ่านผ้าห่มอย่างอ่อนโยน “ชู่ เงียบ ๆ ไม่มีอะไรแล้วพี่มาแล้ว” พรึ่บ!!

“ปล่อยเรา” เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยนอกจากจะหยุดดิ้นแล้ว ต้นกล้ายังโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม หนุ่มหัวแดงจ้องหน้าเด็ดเดี่ยวผ่านความสลัวภายในห้องเขม็ง แต่ส่วนอื่นของร่างกายยังอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาที่พันเอาไว้จนกลมเช่นเดิม

“เอ๊ะ ทำไมไข้ไม่ลด” เด็ดเดี่ยวไม่สนใจที่ต้นกล้าบอก แต่เอาหลังมือมาอังที่หน้าผากเพื่อวัดไข้

“เราดีขึ้นแล้ว” แม้เสียงที่บอกจะแหบแห้งเหลือเกิน แต่ก็ยังรั้นไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยไข้เสียทีเดียว

“ดื้อจริง ๆ นอนลงดี ๆ ก่อนเดี๋ยวพี่จะไปเปิดไฟ” ทั้งห้องสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อคนตัวโตเดินไปกดเปิดไฟ และเหมือนคนที่อยู่บนเตียงเองก็หลับไปทันทีเช่นกัน เด็ดเดี่ยวเดินมาวัดไข้ต้นกล้าปรากฏว่า ต้นกล้าตัวร้อนยิ่งกว่าเดิม จึงเดินออกไปเอาของที่เขาเตรียมมาด้วย ที่วางเอาไว้ข้างนอกก่อนเข้ามา

“ต้นกล้า กินอะไรหรือยัง”

“..”

“อย่าพึ่งนอน”

“อื้อออ อะไรจานอนเงียบ ๆ หน่อยเซ่”

“ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน”

“ไม่เอาจะนอน ไม่กินข้าวไม่กินยา”

“อย่าดื้อสิไม่กินยาจะหายมั้ย”

“อย่าดุเซ่”

“ลุกขึ้นมาดี ๆ ก่อน” ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่อีกคนก็หาได้ทำตามไม่ เมื่อเห็นว่าต้นกล้าจะเอาแต่นอนท่าเดียว โดยไม่ยอมลุกขึ้นมากินข้าวกินยาอย่างที่บอก เด็ดเดี่ยวจึงจับให้คนตัวเล็กลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบหมอนสองใบมาวางซ้อนหลังให้ “ไม่สบายแล้วยังจะรั้นอีกนะ”

“ดีแต่ว่าคนอื่นนั่นแหละ”

“โอเค ๆ ไม่ว่าก็ได้แต่ต้องกินข้าว นี่พี่เอาข้ามต้มหมูมาให้อร่อยมากเลย” ชายหนุ่มยกปิ่นโตเถาใหญ่ที่ภายในบรรจุข้าวต้มร้อน ๆ เอาไว้ให้ต้นกล้าดู เป็นข้าวต้มฝีมือน้องสาวที่เขาไปบังคับให้ดาวรุ่งทำเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเอามาให้คนป่วยโดยเฉพาะ ดาวรุ่งมีบ่นๆ พี่ชายแต่ก็ยอมทำให้สุดฝีมือ เด็ดเดี่ยวเอาปิ่นโตออกจากเถาเอาช้อนคนสองสามทีแล้วตักมาเป่าเบา ๆ สองฟู่แล้วยื่นไปตรงหน้าคนป่วย

“อ้าปากสิ”

“เป่าหรือยัง”

“เป่าแล้วไม่ร้อนหรอก”

“อืม อ้ำ โอ้ย ร้อน ร้อน ” ต้นกล้าร้องเสียงหลงคายข้าวในปากออกมาทันที ซึ่งคนป้อนก็แบมือรับเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะเลอะที่นอน เพราะเคยโดนอาหารร้อน ๆ ลวกปาก แล้วทำให้เข็ดจนมาถึงทุกวันนี้ เวลาจะกินอะไรร้อน ๆ ต้นกล้าจึงห่วงมากจนต้องระวังตัวตลอด “ไหนว่าเป่าแล้วไง”

“มันไม่ได้ร้อนขนาดนั้นนะ”

“ก็เราร้อน นี่ถ้าแม่ทำให้เหมือนทุกทีคงไม่เป็นอย่างนี้หรอก คนไม่ได้เรื่อง” คนป่วยเริ่มงอแงซึ่งเป็นผลพวงมาจากร่างกายที่ไม่สบาย จึงทำให้คนที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว อัพเลเวลความเอาแต่ใจขึ้นไปอีกแบบเต็มสูบ

“อ้าว”

“...” แม้ใบหน้าหล่อเกาหลีนั่นจะดูอิดโรยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่แววตาเอาเรื่องที่กำลังจ้องมองตอบมา บอกเด็ดเดี่ยวได้เป็นอย่างดี ว่าต้นกล้าภาคไม่สบายนี่ดูจะรับมือยากกว่าภาคปกติมากทีเดียว ทั้งที่แค่ภาคปกติก็เล่นเอาปวดหัวไม่ใช่น้อยแล้ว

“เฮ้อออ” ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะเบื่อหน่ายหรอกนะ เพียงแค่คิดว่าต้องหาทางรับมือเอาไว้ให้ดี ๆ ก็เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องมาเฮ้อเลยนะ เป่าใหม่ดิเราจะกิน” เด็ดเดี่ยวใช้กระดาษชำระเช็ดมือที่มีเศษอาหารที่ต้นกล้าคายออก แล้วหันมาตักข้าวต้มเป่าอีกครั้ง เป่าจนคิดว่าน่าจะได้ที่พอดีแล้วก็เอามาแตะ ๆ กับริมฝีปากตัวเองเพื่อวัดความร้อน ก่อนจะเอาไปจ่อปากได้รูปหยักสวยของอีกคน

“เอ้า เป่าแล้ว”

“ไหน ยังร้อน ๆ อยู่เลยอยากให้เราปากพองนักใช่มั้ยล่ะ หาเรื่องแกล้งอีกละสิ” ต้นกล้าก็ทำเหมือนที่คนตัวโตทำ โดยการโน้มตัวให้ริมฝีปากของตัวเองมาแตะเบาๆ ที่ช้อนข้าวเพื่อวัดความร้อน เมื่อยังรู้สึกว่าข้าวร้อนอยู่จึงไม่ยอมกิน เดือดร้อนคนที่อาสาป้อนต้องเอาข้าวคำนั้นกลับมาเป่าอีกจนเย็นกันเลยทีเดียว

“อร่อยมั้ย” ที่ถามไม่ใช่อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง แต่เพราะรู้ว่าอีกคนกำลังเอาแต่ใจตัวเอง จึงถามเพื่อเอาใจก็เท่านั้น

“เจ็บคอ” ต้นกล้าค่อย ๆ กลืนข้าวทั้งยังนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ “พะ พอแล้วไม่เอาแล้ว”

“อะไรคำเดียวนี่นะ อีกนิดสิ”

“ก็มันไม่อยากกินนี่”

“ไหนเมื่อกี้บอกจะกินพี่อุตส่าห์เป่าให้จนเย็นแล้ว กินหน่อยจะได้มีแรง กินรองท้องก่อนกินยาด้วย”

“ก็เราไม่อยากกินจะมาบังคับทำไม”

“อย่าดื้อได้มั้ย”

“ก็../ ลูกพี่! ” ไอ้จ๋าเอาข้าวมาส่งตามหน้าที่ พอขึ้นมาจะจัดสำรับกับข้าวก็ได้ยินเสียงคนเถียงกันเบา ๆ จึงเดินมาดู “ลูกพี่เป็นอะไรไปครับ” สองตาดำขลับของมันกรอกไปมามองสลับคนนั้นทีคนนี้ที ระหว่างเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าอย่างสงสัยใคร่รู้

“ไข้ขึ้น” เป็นเด็ดเดี่ยวที่ตอบแทนเพราะต้นกล้าเจ็บคอจนไม่อยากพูด แถมยังมีข้าวคำใหญ่ที่คนตัวโตบังคับป้อน ที่เขายังอมมันเอาไว้ในปาก คนเจ็บเลยได้แต่เงียบปล่อยให้อีกคนพูดแทน

“แล้วนี่” เป็นอีกครั้งที่สายตาของไอ้จ๋ามองสลับลูกพี่ทั้งสองของมันไปมา แล้วมาหยุดลงที่ช้อนในมือของเด็ดเดี่ยว “โหลูกพี่อ่า มีป้อนข้าวด้วยว่ะ” ไอ้จ๋ายักคิ้วหลิ่วตาท่าทางแพรวพราวเมื่อแซวลูกพี่ทั้งสอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจ

“แล้วแกล่ะทำไมเพิ่งมา” กว่าจะพูดออกมาได้ช่างยากลำบากนัก แต่ก็เค้นเสียงออกมาจนเต็มประโยคล่ะนะสำหรับต้นกล้า

“ไอ้จ๋าขอโทษนะครับลูกพี่ที่มาช้า พอดีไปเปิดทางน้ำอยู่ฝนตกหนักอย่างนี้ต้องระบายน้ำออกจากนาบ้างครับเดี่ยวน้ำมาแรงๆ คันนาส่วนที่ทำขึ้นมาใหม่มันจะขาดเอาได้ ต้นข้าวที่ดำไว้วันนี้ด้วยครับ น้ำท่วมเดี๋ยวมันจะลอย” ต้นกล้ากวาดตามองได้จ๋าที่ดูเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่มาแล้ว แต่หัวมันยังเปียก ๆ อยู่แล้วบอก

“เออ ไม่เป็นไร”

“เดี๋ยวอีกหน่อยไอ้จ๋าต้องออกไปดูอีกนะครับ ดึก ๆ คงกลับลูกพี่อยู่ได้นะครับ” เหอะยังจะมาทำเป็นพูด เมื่อคืนก็ปล่อยให้เราอยู่คนเดียว ต้นกล้าบ่นในใจเพราะยังไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันมานอนอยู่ใต้ถุนบ้านทุกวัน

“ไม่เป็นไรหรอกจ๋า เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนต้นกล้าเอง นี่ไข้ยังไม่ลดกินข้าวกินยาเสร็จคงต้องเช็ดตัวด้วย”

“งั้นไอ้จ๋าฝากด้วยนะครับลูกพี่เดี่ยว เดี๋ยวต้องรีบไปแล้วพี่สอนแกรออยู่”

“เราอยู่คนเดียวได้เถอะ” ตาที่หันมาถลึงใส่คนตัวโตมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่ออกจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำในสายตาคนมอง น่าเอ็นดูจนชักอยากแกล้งแรง ๆ

“ให้ลูกพี่เดี่ยวอยู่เป็นเพื่อนนั่นแหละครับ จะได้มีคนดูแล ฮิ ๆ ” ทำไมต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าเสียงหัวเราะของไอ้จ๋ามันฟังดูเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้ แต่เพราะความไม่สบายตัวจึงทำให้เขาสนใจอย่างอื่นได้ไม่นาน “ไอ้จ๋าไปแล้วแล้วนะครับ ดูแลกันดี ๆ นะคร้าบ”

“ไม่ต้องห่วง” เด็ดเดี่ยวบอก เมื่อไอ้จ๋ามากระซิบบอกเขาก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมปิดประตูให้ด้วยเสียดิบดีทั้งที่เด็ดเดี่ยวไม่ได้ปิดด้วยซ้ำตอนที่เขาเข้ามา

“กินต่ออีกนิดนะ”

“ไม่อยากกิน”

“อีกนิดหนึ่งนี่พี่อุตส่าห์เป่าให้แล้วนะเนี่ย” ต้นกล้าหน้างอเมื่อมองตอบคนที่กำลังจ่อช้อนที่ริมฝีปากของเขา ไม่อยากกินเพราะกลืนทีไรก็เจ็บคอ แต่ไอ้คำที่บอกว่าพี่อุตส่าห์เป่าให้นี่ละ มันทำให้ใจอ่อนเพราะคิดถึงเสียงของแม่เวลาที่เขาไม่สบาย คุณนภาก็จะหลอกล่อให้ต้นกล้ากินข้าวเยอะ ๆ ด้วยคำพูดคล้าย ๆ แบบนี้ทุกที “เร็วสิ อ้าปาก”

“อืม” ต้นกล้าอ้าปากรับข้าวต้มที่อีกคนป้อนได้อีกสองสามคำ ก็เบ้หน้าแล้วหันหนีไม่ยอมกินอีก จากนั้นเด็ดเดี่ยวก็รุกคืบเข้าสู่ภารกิจต่อไปทันที

“ยา”

“ไม่กินไม่ได้เหรอ” มองยาสองเม็ดในมือของคนตัวโตที่แบอยู่ตรงหน้าก็ถามออกมาเสียงเบา เพราะเม็ดยาที่ค่อนข้างเม็ดใหญ่แถมยังมีลักษณะยาวรีนั่น ทำให้คนที่กำลังเจ็บคอเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาได้เลยทีเดียว ยาอะไรหว่า

“เป็นเด็กหรือไงต้องบังคับให้กินข้าวกินยาเวลาไม่สบายเนี่ยห๊า” เด็ดเดี่ยวว่าเสียงเข้มติดดุเมื่อต้นกล้างอแงจะไม่ยอมกินยาซะอย่างนั้น

“ก็มันเจ็บคอ ดูสิยาอะไรเม็ดก็ใหญ่ ยาวก็ยาว”

“ยาแก้ไข้ไง”

“ทุกทีเห็นเม็ดกลม ๆ “ถึงเสียงจะแหบแต่ก็ยังเถียง ตาหรือก็หรี่ปรือจะหลับไม่หลับแหล่อยู่แล้ว แต่ก็ยังรวบรวมกำลังมาเถียงอย่างไม่มียอมลดละ

“นี่แก้ไข้แก้เจ็บคอด้วย กินไม่เกินสามเม็ดก็หายแล้ว”

“จริงเหรอ”

“พี่จะโกหกทำไมล่ะ”

“แต่ตอนนี้เราเจ็บคอมากกลืนน้ำลายยังเจ็บเลยจะกลืนยาได้ยังไง”

“ทนนิดเดียว”

“ก็มันเจ็บนี่ เม็ดใหญ่ขนาดนี้กลืนลงไปมีเจ็บแน่ใคร ๆ ก็รู้”

“เหรอ พี่ไม่เห็นเคยรู้เลย” พูดจบแล้วก็ต้องกัดปากตัวเองกลั้นขำ แต่ยังไงก็อดไม่ได้จึงทำเพียงอมยิ้ม กับคนช่างหาทางเลี่ยงการกินยา

“จริง” ทำเสียงจริงจังเพื่อยืนยันสิ่งที่กำลังพูด เมื่อคนตัวโตมีท่าทางชั่งใจต้นกล้าก็เหมือนมีความหวัง ว่าคงไม่ต้องกินยาเม็ดใหญ่แบบนี้

“งั้นเอานี่ถือไว้” เด็ดเดี่ยววางยาเม็ดเล็กลงบนฝ่ามือของต้นกล้าที่แบรอ ส่วนเม็ดยาว ๆ รี ๆ ที่อีกคนบอกเม็ดใหญ่ไปไม่อยากกลืน เขาหยิบมันมาจับมั่นด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างแล้วหักครึ่ง “อะไม่ใหญ่แล้วคราวนี้กินได้แล้วนะ”

“เจ็บคอ” เสียงก็แหบแล้วยังจะประท้วงอีก

“แล้วที่พูด ๆ อยู่นี่ไม่เจ็บหรือไง”

“ก็เจ็บแต่ตอนกลืนมันต้องเจ็บกว่านี้”

“เฮ้อ”

“ทำเสียงแบบนี้เบื่อหรือไง”

“เปล่าหรอก ให้พี่ป้อนมั้ย”

“ยังกะมันจะไม่เจ็บ”

“ลองดูมั้ยล่ะ พี่ป้อนคงไม่เจ็บมาก”

“..” ต้นกล้าเหลือบมองเด็ดเดี่ยวเหมือนกำลังชั่งใจ เมื่อได้ยินว่าอีกคนจะป้อนแบบไม่เจ็บมาก และเกิดความสงสัยขึ้นมาพร้อม ๆ กันว่าเขาจะมีเทคนิคและวิธีป้อนยาอย่างไรให้กลืนลงคอไปได้ง่าย ๆ

“ตกลงจะกินเองหรือให้ป้อน”

“ถ้าไม่เจ็บก็ป้อนดิ มา” เพราะเวลาไม่สบายก็อ้อนให้แม่เอาอกเอาใจ และทำนั่นทำนี่ให้ตลอดทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ ป้อนยา พออีกคนถามแบบนี้จึงตอบแบบไม่คิดก่อนเลย เพราะเข้าทางเดิมของตัวเองพอดี

“แน่ใจนะ หึๆ ”

“มาสิเอายามา นี่เรายอมกินแล้วนะ” พอเห็นต้นกล้าอ้าปากรอ เด็ดเดี่ยวอมยิ้มแล้วกัดด้านในริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ เพื่อกลั้นขำ เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำอุ่นที่เขาผสมเอาไว้แล้วยกยาในมือขึ้น แต่แทนที่จะป้อนเข้าปากคนที่อ้ารออยู่ กลับตบเม็ดยาทั้งหมดเข้าปากตัวเองแล้วกรอกน้ำตามคำใหญ่อมไว้ รั้งทายทอยของคนที่นั่งตาปรืออ้าปากหวอเข้าหาตัว ประกบปากป้อนยาตามวิธีของตัวเอง

“อื้อออ” เด็ดเดี่ยวทำทุกขั้นตอนนี้อย่างรวดเร็ว และปากเล็ก ๆ ที่อ้ารออยู่นั่นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทีเดียว เพราะเจ้าตัวกำลังอึ้งตกใจกับการกระทำของเขาจึงไม่ทันได้ระวังตัว เผลอกลืนสิ่งที่อีกคนป้อนให้ด้วยปากเหมือนเด็กว่าง่าย แต่เด็ดเดี่ยวก็ต้องผละออกห่างอย่างสุดแสนเสียดาย เพราะคนป่วยยังมีสัญชาตญาณการป้องกันตัว ด้วยการยกมือขึ้นดันไหล่กว้างเอาไว้แล้วผลักออกห่าง



“อี๋..ขม แหวะ” คนตัวเล็กกว่าพยายามจะคายยาออกมาทางเก่า แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่คิด เพราะยาถูกกลืนลงคอไปเรียบร้อยแล้ว เหลือไว้แต่ความขมปร่าที่ติดในลำคอกับคนลิ้น และความรู้สึกวูบวาบแปลก ๆ จากสัมผัสที่เกิดขึ้น ทั้งที่ร่างกายก็ร้อนผ่าวเพราะพิษไข้อยู่แล้ว เจออย่างนี้ต้นกล้ารู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนยิ่งกว่าเก่า จนเลือดในตัวแทบจะเดือดได้อยู่แล้ว แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดการบดเบียดกันของริมฝีปากทั้งสองไปแล้ว คนป่วยนั่งตัวเกร็งในหัวกำลังทบทวนตัวเอง ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาได้กินยาโดยที่มีอีกคนป้อน และก็ได้คำตอบทั้งที่ไม่อยากยอมรับ ว่าอีกคนใช้วิธีป้อนยาอย่างไรถึงได้ไม่เจ็บคอ แน่ล่ะสิป้อนแบบนี้มันเล่นเอาต้นกล้าตกใจจนลืมความเจ็บไปเลย แล้วมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่ อยากประท้วงที่อีกคนทำจาบจ้วง อยากด่าแต่แรงจะอ้าปากก็แทบไม่มีอยู่แล้ว อะไรกัน? นี่มันอะไรกัน? ทำไมหน้าใส ๆ หล่อ ๆ แบบเกาหลีของเขาถึงได้ร้อนวูบวาบรุนแรงอย่างนี้ ทำไมเขาต้องก้มลงจนคางจะชิดหน้าอกอยู่แล้ว ต้นกล้าไม่เข้าใจตัวเอง ไม่ได้สินี่มันไม่ใช้ต้นกล้า คนอย่างต้นกล้าจะมาประหม่าอะไรกับแค่ถูกป้อนยา เพราะปกติเวลาไม่สบายก็มีคนคอยป้อนนั่นป้อนนี่ให้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าวันนี้มันจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ก็ตามเถอะ เพราะคนป้อนไม่ใช่คนเดิม และก็ เอ่อ..วิธีการป้อนก็ไม่เหมือนเดิมด้วย แม้มันจะทำให้ต้นกล้ารู้สึกหวิว ๆ ไหว ๆ ในใจแปลก ๆ จะบอกว่าหงุดหงิดไม่พอใจก็ไม่ใช่ แต่จะให้ฟันธงว่ามันทำให้เขาใจเต้นและรู้สึกดีก็ไม่เชิง เอายังไงล่ะทีนี้ ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้ามึนทำไมทำอะไรร้ายกาจแบบนี้ ทำกับต้นกล้าในเวลาไม่สบายแบบนี้ได้อย่างไร คนกำลังป่วยจะเอาแรงที่ไหนไปต่อว่า แค่จะทำตัวให้ปกติยังยากเลย ฮึ่ย!



อ๊ากก นี่มันอะไรกัน นี่มันไม่ใช่ต้นกล้าหนุ่มหล่อมาดแมนสุดแสนแฮนด์ซั่ม ที่มีแต่คนให้ความสนใจเลยสักนิด ที่จะมานั่งทำตัวไม่ถูกอย่างนี้ ไอ้คนหน้ามึนนี่ทำเกินไปแล้ว นี่มันครั้งที่สองแล้ว ครั้งที่สองเชียวนะที่คน ๆ นี้ทำการอุกอาจเยี่ยงนี้ ต้นกล้าทนไม่ไหวแล้ว ต้นกล้าจะไม่ทน ต้นกล้าต้องสั่งสอน ฮึ่ย!


ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่7ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:35:57


พอเงยหน้าขึ้นมา ต้นกล้าก็สบเข้ากับดวงตาคมที่มองอยู่ก่อนแล้วอย่างเดาความคิดไม่ถูก แต่ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกว่าแววตานั้นมันช่างดูวิบวับเหมือนมีนัยแปลก ๆ เหมือนอยากจะบอกหรือพูดอะไร แต่ทำไมถึงได้เอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้นล่ะ อมเอาไว้ทำไม หรือที่อยากจะบอกคือคำเยาะเย้ยใช่ไหม สะใจที่ได้แกล้งกันอย่างนี้ใช่ไหมไหนบอกมาซิ



ต้นกล้าจ้องอีกคนตาดุปากเม้มจนจะเป็นเส้นตรง สองมือหรือก็กำแน่น ในหัวคิดว่ากำปั้นตัวเองถูกยกขึ้นมาตะบันใบหน้าคมคร้ามนั่นแล้ว แต่ความเป็นจริงทำไมมันยังวางแหมะอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ หรือเพราะในใจที่วูบไหวพาให้มือที่กำแน่นไม่มีแรงยกขึ้นเอาเสียดื้อ ๆ จึงได้แต่นั่งมองนิ่งเหมือนคนทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้น ส่วนคนตัวโตกลับอยู่ในมุมมองที่สลับกัน เพราะเอามองนิ่งมองนานมองเผลอ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอมยิ้มอยู่ เด็ดเดี่ยวอยากถามใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำอะไรอย่างนั้นลงไปได้อย่างไร แต่ความปริ่มที่อยู่ข้างในมันเหมือนล้นปรี่จนพูดไม่ออก ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันก่อนเถอะวะ



“เอานี่กินน้ำอีกนิด” ยื่นน้ำมาให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ใจของชายหนุ่มนั้นก็เต้นโครมครามจนแทบทะลุอกอจากอก คน ๆ นี้ทำหน้าตายได้นิ่งสนิทในสายตาของคนป่วย ทั้งที่ความจริงตรงกันข้าม ต้นกล้ารับน้ำมาดื่มล้างปาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำอุ่น ๆ ที่อีกคนให้ดื่มหรือเพราะสายตาคู่นั้น ร่างกายที่ร้อนอยู่แล้วมันถึงได้ร้อนผ่าวแบบวูบวาบ ๆ ขึ้นมาอีก ทั้งที่อยากโวยวายอะไรออกมาบ้างแต่ก็ไม่มีแรงพอ แถมหัวใจของเขามันเหมือนกำลังขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ก้อนเนื้อก้อนนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ จังหวะของมันกระหน่ำรัวโครม ๆ จนน่ากลัว มือน้อยก็สั่นงันงกจนเกือบจะทำแก้วน้ำหลุด ปากสั่นตาก็ปรือจนไม่กล้ามองหน้าอีกคนที่กำลังอมยิ้มมองมา อยากเอากำปั้นฟาดใบหน้าคร้ามแดดที่ดูทะเล้น ๆ นั่น แต่ก็ยังก้ำกึ่งว่าจะทำหรือไม่ทำ ใจหนึ่งอยากทำแต่อีกใจก็เหมือนไม่รักดี เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเบือนหน้าไปทางอื่น ที่ไม่ต้องเห็นใบหน้าของคนตัวโต ไม่ไหวแล้วโว้ยนอนดีกว่า คิดได้ดังนั้นคนป่วยจึงค่อย ๆ เอนตัวลงนอนหันหลังให้อย่างไม่อยากฝืนแรงตัวเองอีกแล้ว



เด็ดเดี่ยวเห็นต้นกล้าเอนตัวลงก็ช่วยพยุงและจัดท่าให้นอนสบายขึ้น ดึงหมอนใบนุ่มมาวางรองใต้ศีรษะแล้วจับให้ต้นกล้าหันมานอนหงายดี ๆ ทั้งทีเจ้าตัวพยายามแล้วที่จะนอนตะแคงข้างหันหลังให้ ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงมาห่มให้ด้วยจนมิดลำคอ



“จะไปไหน” มือที่ส่งไอร้อนออกมาผ่าว ๆ คว้ามือใหญ่เอาไว้เมื่อเด็ดเดี่ยวทำท่าจะลุกขึ้น

“พี่จะเอาของไปเก็บ”

“ห้ามไป”

“เดี๋ยวพี่มา”

“ห้ามไป”

“เดี๋ยวเอาน้ำมาไว้ให้อีก จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ จะได้ดีขึ้น”

“ห้ามไป”

เปรี้ยง!! ครืน ฟ้าพิโรธลงมาดังสนั่นจนให้รู้สึกถึงความเลื่อนลั่นของพื้นพสุธา คนป่วยสะดุ้งเฮือกตกใจเสียงบอกจึงพยายามให้ฟังดูจริงจัง และเข้มขึ้นกว่าเก่า แต่มันก็ยังฟังดูแหบแห้งและโรยแรงสำหรับเด็ดเดี่ยวอยู่ดี ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้าให้คนที่จะลืมตาไม่ไหวแล้วแต่ยังฝืน

“ครับ ๆ แต่ต้องเช็ดตัวนะ “

“ห้ามไป” เสียงบอกแผ่ว ๆ ดังออกมาจากริมฝีปากบางขึ้นรูปสวย พร้อมกับดวงตาของคนป่วยที่ค่อย ๆ ปิดลง ต้นกล้าหลับไปแล้วทั้งที่มือเรียวยังจับมือใหญ่เอาไว้แน่น เด็ดเดี่ยวได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง ให้กับหลานชายคนเดียวของคุณยายประไพศรี ที่ยามไม่สบายคงถูกประคบประหงมจนเคยตัว ถึงได้เอาแต่ใจตัวเองแบบขั้นสุดอย่างนี้ และไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกอยากดูแล ทั้งที่อีกคนเอาแต่ใจตัวเองมากเหลือเกิน ภาพปากบาง ๆ ได้รูปสวยนั่นสั่งให้เขาเป่าข้าวต้มให้เย็นก่อนป้อนลอยขึ้นมาในความคิด ภาพต้นกล้าทำปากเจ่อแล้วเอามาแตะที่ข้าวต้มในช้อน เพื่อวัดว่ามันเย็นได้ที่หรือยัง หรือภาพที่คนตัวเล็กอ้าปากรอให้เข้าป้อนยา ภาพความเอาแต่ใจต่าง ๆ ของต้นกล้าที่วันนี้ออดอ้อนให้เขาทำนั่นทำนี่ให้ ราวกับเป็นคนละคนกับยามปกติ ที่ทำให้เด็ดเดี่ยวอดคิดถึงไม่ได้ คิดแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเข้ายาวลึกกับความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างเอ่อล้นและท่วมท้นอยู่ในอก อะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน กับการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่ชอบมาคอยวนเวียนใกล้ ๆ คอยมาต่อล้อต่อเถียงแอบมอง คอยจับตาดูว่าอีกคนจะทำอะไรยังไง ซ้ำยังอยากดูแลชิดใกล้เอาใจไม่ให้ห่าง และที่ทำให้เขาแปลกใจในตัวเองมากถึงมากที่สุดนั่นก็คือ วิธีการป้อนยาที่เขาไม่เคยคิดว่าจะป้อนใครแบบนี้มาก่อน แต่กลับทำกับต้นกล้าได้หน้าตาเฉย ทำไปเหมือนคนไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ เฮ้อ



“ต้นกล้า” เสียงอ่อนโยนที่ใช้เรียกฟังแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ หากเจ้าของชื่อมีสติรับรู้คงอาจจะปลื้มไปเป็นเดือนกระมัง....แต่

“..”

“ต้นกล้า” แม้เสียงเรียกจะฟังแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนมากแค่ไหน แต่คนป่วยก็ไม่ได้รับรู้เลย เด็ดเดี่ยวได้ความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ ใบหน้าหล่อคมคร้ามแดดจึงก้มลงกระซิบบอกแทบชิดแก้มนวล “เดี๋ยวพี่จะเช็ดตัวให้นะ”

เขาไปเตรียมผ้ากับน้ำอุ่นเพื่อมาเช็ดตัวให้คนป่วย แล้วนั่งลงตรงที่นอนข้างต้นกล้านั่นเอง ผ้าห่มถูกดึงออกเผยให้เห็นร่างที่นอนขดตัวอยู่ข้างใน กระดุมเสื้อนอนถูกแกะออกทีละเม็ดจนหมด เด็ดเดี่ยวแยกสาบเสื้อคนป่วยออกเผยให้เห็นแผ่นอกบางที่มีกล้ามเนื้อเพียงน้อยนิดประดับ และผิวขาว ๆ ใต้ร่มผ้าดูเนียนละเอียดน่าสัมผัส ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่นบิดหมาดถูกเช็ดเบา ๆ ตั้งแต่ใบหน้าหล่อเกาหลีที่มีผิวเนียนใส ไล่ลงมาตามลำคอขาวสู่แผ่นอกแบนราบเหมือนผู้ชายทั่วไป ไม่ได้ล่ำสันขึ้นกล้ามเป็นมัด ๆ เหมือนของเด็ดเดี่ยว ที่ออกกำลังกายดูแลตัวเองมาเป็นอย่างดี



จากแผ่นอกไปจนถึงแขนทั้งสองข้างที่ชายหนุ่มตั้งใจบรรจงเช็ดให้อย่างอ่อนโยน ช่วงขาที่เขาทำได้เพียงถลกกางเกงนอนขาสั้นใส่สบายขึ้นแล้วเช็ดไปตามเรียวขาขาวให้อย่างเบามือ เด็ดเดี่ยวจับร่างสูงโปร่งที่นอนเหยียดยาวพลิกให้นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาตัวเอง แล้วค่อย ๆ คลี่ผ้าที่บิดน้ำพอหมาดไว้เช็ดให้เบา ๆ แต่ยังไม่ทันได้เช็ดให้ทั่ว มือที่กำลังทำงานอย่างตั้งใจพลันต้องหยุดชะงักลง

“พอแล้วครับ มันหนาว” เสียงสั่น ๆ แหบ ๆ ของคนป่วยดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับวงแขนเรียวที่เกี่ยวเอวหนาเอาไว้ แต่ที่ทำให้ใจของคนดูแลเต้นไม่เป็นจังหวะ ก็ตรงที่คนป่วยไม่ได้เกี่ยวเอวเขาไว้เฉย ๆ แต่ยังกอดรวบด้วยสองแขนแล้วรั้งตัวเองขึ้นมานอนก่ายเกยบนตักกว้างนี่สิ ที่ทำให้เด็ดเดี่ยวต้องชะงักค้าง จนเหมือนกับว่าตัวแข็งทื่อไปแล้ว

“กล้าหนาวครับคุณแม่ พอแล้วครับ” คนป่วยเสียงแหบพึมพำละเมออะไรออกมาก็ไม่รู้ เด็ดเดี่ยวไม่เข้าใจเพราะอีกคนไม่ได้พูดเปล่า แต่ยังเอาหน้ามุดเข้ามาที่หน้าท้องแกร่งของเขา มุดแล้วถูไถไปมาเหมือนลูกแมวน้อยกำลังออดอ้อน เพื่อหาที่พึ่งพิงอยู่อย่างนั้น มันทำให้ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เลือดในกายปั่นป่วน เกิดมาไม่เคยมีใครมาอ้อนขนาดนี้ เมื่อเจอเข้าจัง ๆ เลยไปไม่เป็น

และเมื่อได้ที่อุ่น ๆ ก็เหมือนกับว่าคนไข้จะสงบลงได้อีกรอบ เพราะคนที่บอกว่าหนาวนอกจากจะกอดเอวหนาเอาไว้แน่นแล้ว เจ้าของเอวยังรีบเช็ดหลังให้จนเสร็จ แล้วจัดเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมให้ดังเดิม ทั้งที่อีกคนยังนอนเกยตัก ถึงมันอาจจะเป็นการฉวยโอกาสอย่างที่คนหัวแดงเคยปรามาสไว้ แต่ทุกครั้งก็เป็นต้นกล้าเองที่เริ่มต้นก่อน เด็ดเดี่ยวก็เพียงแค่ปล่อยเลยตามเลยเท่านั้นเอง มือหนาอบอุ่นลูบเบา ๆ ที่กลุ่มผมนิ่ม ที่แม้วันนี้มันจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อแต่ก็ยังได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจของคนตัวโต ว่าทำไมถึงได้ให้ความสนใจใส่ใจผู้ชายด้วยกันได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ชายมาชอบแต่เป็นเพราะเขาเองที่ไม่เคยเหลียวแลหรือสนใจ ส่วนเพื่อนที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันนั้นก็มีอยู่หลายคน นั่นจึงทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสามารถมีใจให้ผู้ชายได้ก็เท่านั้นเอง

เด็ดเดี่ยวบอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ อะไรทำแล้วรู้สึกดีก็ทำไป แค่ทำอย่างที่ใจต้องการแล้วไม่เดือดร้อนใคร ไม่เป็นภาระต่อสังคมเหมือนที่พ่อกำนันพร่ำสอนมาตลอดก็พอแล้ว คิดได้ดังนั้นก็เหมือนอะไรบางอย่างที่กังขาอยู่ในอกถูกปลดปล่อยไปหมดสิ้น ร่างโปร่งบางที่นอนเกยตักถูกจับให้นอนลงที่นอนดี ๆ เพื่อให้คนป่วยนอนสบาย แต่ต้นกล้าก็คือต้นกล้าที่ดื้ออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ายามตื่นหรือหลับ และตอนนี้ก็เช่นกันที่กอดเด็ดเดี่ยวเอาไว้เสียแน่น พอเขาแกะมือออกก็ขู่ฟ่อ ๆ ในลำคอ แถมยังทำท่าฟืดฟาดอย่างไม่พอใจ และขยับเข้ามากอดเอาไว้เหมือนเดิม แล้วคนอย่างเด็ดเดี่ยวที่แอบใจอ่อนกับไอ้หัวแดงจอมรั้นอยู่บ่อย ๆ นี่จะทำอะไรได้ นอกจากล้มตัวลงนอนให้คนเอาแต่ใจกอดซบอยู่อย่างนั้นทั้งคืน

ฝนด้านนอกยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แต่ลดความกระหน่ำระห่ำรุนแรงลงไปมาก ความพิโรธสะเทือนเลื่อนลั่นหยุดไปแล้ว เหลือเอาไว้เพียงหยาดฝนที่รดรินโปรยลงมาบาง ๆ ขับกล่อมให้สองร่างที่กกกอดใต้ผ้าห่มอุ่น ได้นอนหลับสบายในแสงไฟสีส้มสลัวอ่อนแรงเทียน



*************************



แสงยามเช้าอันสดใสหลังฝนที่เทลงมาทั้งคืน สาดส่องผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่าง เข้ามาแยงตรงพอดีกับตาของคนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง หลังจากที่ได้หลับไปแบบเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน ตาสวยก็ปรือเปิดขึ้นรับแสงแรกของวันใหม่

“อืม” เสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากลำคอระหงของคนป่วย ที่อาการดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกเพลียอยู่ไม่น้อย ตาสวยลืมตื่นขึ้นมาเต็มตากวาดมองไปรอบตัว ห้องทั้งห้องเงียบเพราะมีเพียงเขาคนเดียว และถ้าจะว่าไปแล้วมันดูเหมือนว่าบ้านทั้งหลังจะเงียบเชียบเหมือนไม่มีคนอยู่เลยสักคน ต้นกล้าจำได้ว่าเมื่อคืนคนที่เขาตราหน้าเอาไว้ว่าหน้ามึนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน พอตื่นมาในตอนเช้าอีกคนก็หายไปแล้ว

ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนที่นอน เอนหลังพิงหัวเตียงแล้วมองไปรอบห้องอีกครั้ง ไม่มีร่องรอยของใครอีกคนนอกจากถุงยาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และเหยือกน้ำพร้อมแก้ววางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง พอขยับตัวก็ให้รู้สึกถึงความเจ็บตามกล้ามเนื้อ และความอ่อนเพลียของร่างกายที่ยังมีอยู่มาก กล้ามเนื้อที่เจ็บก็คงจะเป็นเพราะการดำนาเมื่อวาน ที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ และเกร็งตัวยามปักดำ ต้นกล้าเซเล็กน้อยเมื่อลุกขึ้นจากที่นอน แต่ก็ยังตั้งตัวได้และเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ทำทุกอย่างเสร็จแล้วจึงออกมาจากห้อง เดินไปยังมุมประจำที่ชอบมานอนเล่น

“ตื่นแล้วเหรอ” ยังไม่ทันได้ทรุดตัวลงนั่งเสียงคุ้นเคยดังทักทายขึ้นด้านหลัง ต้นกล้าที่แรงน้อยนิดค่อย ๆ หันกลับไปมอง แต่ไม่ตอบคำ “ออกมาทำไม ทำไมไม่นอนรออยู่ในห้อง”

“...” แต่ต้นกล้ายังเงียบอยู่เหมือนเดิม เพราะยังไม่อยากคุยหรืออยากพูดอะไรแออกมาทั้งนั้น ยอมรับว่ารู้สึกไม่พอใจที่ตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร ทั้งที่จำได้ว่าก่อนหลับไปไม่ได้อยู่คนเดียว ด้วยความไม่สบายตัวจากอาการไข้ที่ยังไม่หายดี ความเอาแต่ใจเลยพาลให้โกรธอีกคนแบบไม่มีเหตุผลเสียอย่างนั้น ที่เด็ดเดี่ยวไม่เฝ้าเขาเอาไว้เหมือนอย่างที่บอก ต้นกล้าจำได้ล่ะนะว่าก่อนหลับไปนั้นได้บอกอีกคนว่าห้ามไปไหน ถึงจะบอกแกมบังคับก็ตามเถอะ ยังไงเมื่อมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ต้องอยู่ให้ตลอดเวลาสิ มันอาจจะดูเด็กไป มันอาจจะฟังดูขัดเพราะในเวลาปกติ ต้นกล้าก็มีแต่ไล่เขาไปไกล ๆ แต่จะอย่างไรก็ช่างเมื่อตื่นขึ้นมาต้นกล้าต้องไม่อยู่คนเดียว เขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะไม่เปลี่ยน

“กินข้าวต้มก่อนนะ” ต้นกล้าพึ่งสังเกตเห็นว่าคนตัวโตถือถ้วยข้าวต้มมาด้วย ก็ตอนที่เด็ดเดี่ยวว่างมันลงที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยหน้าเก้าอี้ยาวนี่เอง

“ไอ้จ๋าล่ะ”

“หืม ถามหาไอ้จ๋าทำไม” คิ้วเข้มขมวดขึ้นทันทีเหมือนกับกำลังไม่พอใจ

“ก็มันเป็นคนของเรา ถามหามันก็ถูกแล้วนี่”

“ไอ้จ๋าพาคนงานไปดำนาแล้ว คงกะให้เสร็จภายในวันสองวันนี้แหละ”

“อ้าว”

“อะไร”

“เปล่า..กี่โมงแล้ว”

“เก้ากว่า ๆ จะสิบอยู่แล้วกินข้าวซะ” โต๊ะญี่ปุ่นถูกยกมาตั้งตรงหน้าต้นกล้าที่นั่งมองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เด็ดเดี่ยวไม่รู้ว่าอีกคนไม่สบอารมณ์เพราะอะไร หรืออาจจะเพราะยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ก็ได้ วันนี้เขาจะขอสงบศึกกันสักวันก็แล้วกัน “ดีขึ้นหรือยัง”

“หายแล้วเถอะ”

“หายที่ไหนตัวยังอุ่น ๆ อยู่เลย รีบกินข้าวซะจะได้กินยาแล้วนอนพัก” เด็ดเดี่ยววัดไข้โดยใช้หลังมือแตะเบา ๆ ไปตรงหน้าผาก และข้างแก้มนิ่มของต้นกล้าที่ไม่ได้หันหลบหรือปัดมือเขาออกเหมือนเมื่อวาน ไม่รู้เป็นเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่ซ่านขึ้นมาในใจเมื่อถูกมือใหญ่กระด้างสัมผัส หรือเป็นเพราะร่างกายยังไม่ค่อยมีแรงเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่นัก ต้นกล้าเหนื่อยเกินไปที่จะมาต่อปากต่อคำด้วย จึงใช้ความเงียบแทนคำตอบ ถามก็ตอบบ้างแต่ทีล่ะคำเพราะคอก็ยังเจ็บอยู่

“เอ้า กินสิ”

“ร้อน”

“เฮ้อ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจยาว แล้วยกถ้วยข้าวต้มที่มีไอลอยกรุ่นขึ้นเป่าลมไล่ความร้อน เพราะยังไงต้นกล้าก็ไม่ยอมกินแน่นอนหากมันยังร้อนอยู่อย่างนี้ “เดี๋ยว ๆ อย่าพึ่งนอนนะกินข้าวก่อน” ชายหนุ่มรีบบอกทันทีที่เห็นต้นกล้าเอนตัวลงนอนไปตามความยาวของเก้าอี้หวายตัวโปรด เพราะเริ่มรู้สึกไม่ดีและเหมือนจะมีอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาด้วย

“ก็มันยังกินไม่ได้”

“เดี๋ยวก็กินได้แล้วนี่ไง” เด็ดเดี่ยวตักข้าวต้มมาจ่อที่ปากบางได้รูป ต้นกล้าจึงยืดตัวขึ้นมานิดหน่อยเพื่อเอาปากจ่อช้อนที่ยื่นมาแต่ยังไม่ยอมอ้าปากรับ

“ร้อน”

“แค่นี่เองไม่เห็นร้อน”

“เราจะนอนรอ”

“หืม?” แววตาซุกซนของคนตัวโตหรี่มองเหมือนกำลังล้อเลียนคำพูดของต้นกล้า ที่บอกว่าจะนอน แต่คนเอาแต่ใจไม่ทันสังเกตจึงได้แต่เร่งให้คนตัวโตทำตามที่ตัวเองต้องการ

“อะไรเล่าเป่าดิ”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะขำคนนิสัยเด็กหัวแดงแล้วเป่าไล่ความร้อนของข้าวต้มให้ ครู่หนึ่งข้าวเย็นได้ที่จึงยื่นกลับมาให้คนป่วย แต่ต้นกล้าก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นนั่ง แถมยังจ้องใบหน้าคมคร้ามของเด็ดเดี่ยวเขม็ง แต่แววตาคู่นั้นอ่อนลงมากทีเดียว “อะไร ลุกขึ้นมากินดี ๆ ”

“...”

“หรือจะให้พี่ป้อน”

“...” ปากบาง ๆ ยื่นออกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก เด็ดเดี่ยวคิดว่าคนเอาแต่ใจคงหาเรื่องให้เขาป้อนเหมือนเมื่อคืนแน่ ถึงได้เอาแต่นอนมองเขานิ่ง ๆ และเงียบอยู่อย่างนั้น นี่ถ้าเป็นไข้แล้วจะน่ารักแบบนี้ก็อยากให้เป็นหลาย ๆ วันแต่ลดความรั้นลงมาบ้างก็ดี

“จะให้พี่ป้อนใช้มั้ย ได้สิแต่ป้อนเหมือนตอนกินยานะ”

“บ้าใครจะให้ป้อนกันเล่า ข้าวมันเย็นหรือยังเถอะ” บอกเสียงกระฟัดกระเฟียดแต่ทำไมไม่กล้าสบตา อันนั้นต้นกล้าก็ไม่รู้กับตัวเองเหมือนกัน อยู่ดี ๆ ก็เกิดเถียงกับตัวเอง ทั้งอยากให้มีใครสักคนมาเอาใจ ซึ่งคนที่อยู่ด้วยก็มีแค่คนคนนี้ ในหัวคิดว่าไม่อยากพูดเหมือนจะให้เด็ดเดี่ยวทำนั่นทำนี่ให้ และทำไมห้ามความต้องการและปากของตัวเองไม่ทัน มันคงเป็นเป็นคนเคยชิน ใช่แน่ ๆ นี่เป็นเพราะว่าต้นกล้าเคยชิน ยามเมื่อไม่สบายใคร ๆ ก็มาห้อมล้อมดูแลและเอาใจเขา ต้นกล้าเลยเคยตัวและตอนนี้ก็เช่นกัน ที่จะต้องมีคนเอาใจแม้ว่าจะเป็นคนที่คอยผลักไล่ไสส่งมาตลอดก็เถอะ

ต่อค่ะ.....
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่7ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:36:37


“อุ่นๆ พอกินได้”

“ไม่เอา เป่าให้มันเย็น ๆ ”

“ถ้าไม่ลุกขึ้นมากินดี ๆ งั้นพี่ป้อนนะ”

“ไม่ เราจะกินเอง”

“ก็ลุกมากินสินี่มันเย็นแล้วเนี่ย” ร่างที่ดูบางกว่าพยายามลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังรู้สึกปวดไปตามแขนตามขาอยู่มาก ตามเนื้อตามตัวก็ให้รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ปนปวด ๆ แบบบรรยายไม่ถูก หรือแบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าสะบัดร้อนวะบัดหนาวเวลาคนเราไม่สบาย

เมื่อเห็นอีกคนลุกขึ้นนั่งเด็ดเดี่ยวจึงขยับถ้วยข้าวเข้าไปให้ใกล้ ๆ ต้นกล้าตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้งก็กลืนอย่างยากลำบาก เพราะอาการเจ็บคอดูเหมือนจะยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร ทั้งที่ข้าวเด็ดเดี่ยวก็นำไปต้มให้จนเละแล้ว ซึ่งไอ้จ๋าเป็นคนไปบอกแม่แจ่มใจทำมาให้แต่เช้า แต่พอเอามาเด็ดเดี่ยวเห็นว่ามันเป็นข้าวต้มข้าวสวยที่ยังดูเป็นเม็ด ๆ อยู่ รู้ว่าอีกคนคงกลืนลำบอกเขาจึงเอาไปตั้งไฟเคี่ยวให้ใหม่จนข้าวเละเป็นโจ๊กแทน แต่พอเอามาให้กินก็ยังกลืนด้วยความลำบากเหมือนเดิม

“อะไรพอแล้วเหรอ” เด็ดเดี่ยวถามเมื่อต้นกล้าผลักถ้วยข้าวออกห่าง

“อิ่ม”

“สามคำเนี่ยนะ”

“อิ่ม”

“กินอีกนิด”

“พอแล้ว”

“มาอีกนิดเดียวเดี๋ยวพี่ป้อน กินข้าวรองท้องน้อยอย่างนี้กินยาแก้ไขลงไปเดียวมวนท้องแย่ ยาจะกัดกระเพาะเอา”

“เราไม่อยากกินนี่ มันเจ็บคอนะ”

“แล้วมันจะหายมั้ยห๊า ข้าวกินนิดเดียวเนี่ย ยาก็ไม่อยากกิน” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวด้วยดวงตาสั่น ๆ หัวเริ่มปวดร่างกายเริ่มร้อน ๆ รุม ๆ ขึ้นมาอีกเพราะบริเวณนี้ลมโกรกตลอด อาการไข้ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่มานั่งตากลมจึงทำให้ไข้เริ่มกลับ

“ดุเรา”

“ก็ดื้อ”

“ดื้อก็ไม่ต้องสนใจสิ”

“เฮ้อ”

“ถอนหายใจแบบนี้เบื่อเหรอ”

“..”

“เบื่อก็ไม่ต้องสนใจสิ ปล่อยให้เราอยู่คนเดียว”

“อะไรเนี่ย เป็นอะไรไปอีก” เด็ดเดี่ยวถามพลางขยับตัวเข้ามาใกล้ เมื่อสังเกตเห็นว่าผิวขาว ๆ ของต้นกล้าเริ่มขึ้นริ้วแดงไปทั่วโดยเฉพาะขอบตากับแก้มใส แต่ริมฝีปากสวยที่เคยขึ้นสีชมพูระเรื่อยน่ามอง ตอนนี้กลับซีดแห้งผากและแตกสะเก็ด

“ไม่ต้องมาใกล้” ต้นกล้าถอยหนีเมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นมือมาจะวัดไข้เขาอีก

“อย่าดื้อกับพี่นะต้นกล้า! ” ตาดุ ๆ ที่จ้องมองกับเสียงเข้ม ๆ ทำให้คนป่วยที่ดื้อรันเอาแต่ใจหยุดนิ่งแบบชะงักกึก และยอมให้คนตัวโตวัดไข้แต่โดยดี คนเป็นไข้นี่เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า

“ทำไมตัวร้อนขนาดนี้นี่ เป็นเพราะมานั่งตากลมแน่ ๆ เลยลุกขึ้นเลยเดี๋ยวพี่จะพากลับไปนอนในห้อง”

“เราจะนอนนี่” ตาสวยพยายามปรือเปิดขึ้นมองอีกคนแต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เมื่ออยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่ามันหนักอึ้งขึ้นมาในทันทีทันใดเสียอย่างนั้น

“ไหวมั้ย กินยาก่อน เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้” ความเงียบคือตอบทั้งที่เจ้าตัวก็ยังนอนทำตาปรือ ๆ อยู่อย่างนั้น ตอนนี้ต้นกล้าไม่มีแรงจะตอบโต้แล้ว จึงได้แต่นอนนิ่งไม่ตอบคำ ยกแขนสองข้างขึ้นมากอดตัวเอง นั่นจึงทำให้เด็ดเดี่ยวได้เห็นว่าอีกคนขนลุกเป็นตุ่มเต็มแขน นี่แสดงว่าหนาวมากสินะแต่ทำไมไม่บอกกันสักคำ ตัวก็ร้อนทั้งที่หนาวสั้นแบบนี้ไม่รู้จะมารั้นกับเขาทำไม

“ลุก”

“ม่าย”

“ดื้อแบบนี้คงต้องพาไปหาหมอแล้วล่ะมั้งเนี่ย”

“ม่ายไป”

“งั้นก็เข้าไปนอนในห้อง”

“ม่าย”

“ดื้อใช่มั้ยงั้นมานี่เลย”

“เฮ้ย” !! ต้นกล้าร้องเสียงหลงเมื่อถูกคนตัวโตอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิง เท่าที่แรงยังมีจึงดีดขาทั้งสองข้างเพื่อประท้วง มืออ่อนแรงก็ไม่อยู่สุขเพราะพยายามจะทุบอีกคนเป็นพัลวัน “ปล่อยเราจะมาอุ้มทำไมเนี่ย”

“ดื้อเอง ต้องเจอแบบนี้” ปากพูดไปสองขาก็เดินตรงไปยังห้องนอนของคนตัวเล็กที่พยายามดิ้นขลุกขลัก ขาเรียวดีดสลับกันไปมาแต่ก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะถูกล็อกแน่นที่ช่วงหัวเข่า

“ไม่ปล่อยเราจะต่อย ปล่อย”

“ทำไมตัวเบาอย่างนี้เนี่ย”

“ปล่อยเรา ๆ “

“เอ้าปล่อยก็ปล่อย” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อวางอีกคนลงบนเตียงนุ่มอย่างเบามือ ต้นกล้าได้แต่จิกตาจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจที่อยู่ ๆ ก็อุ้มกันขึ้นมาในท่าสาวแตกแบบนั้น แต่ยิ่งมองใจที่หวิว ๆ อยู่แล้วมันก็ยิ่งสั่นเข้าไปอีก เมื่อคนตัวโตวางเขาลงแล้วยังคร่อมตัวเอาไว้ จ้องตากันนิ่งอยู่โดยไม่ยอมขยับไปไหนสักที

“อะ อะไร”

“..”

“ปล่อยแล้วก็ขยับออกไปเซ่”

“..” ดวงตาของต้นกล้าสั่นไหวก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ ผิดกับสภาพร่างกายภายนอกที่แทบจะไม่มีแรงขืน เมื่อบอกอะไรไปคนตัวโตก็ไม่ทำตาม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนแถมยังมองตอบกลับมา ด้วยแววตาที่เล่นเอาต้นกล้าทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนหรือวางตัวอย่างไร ลมหายใจก็แรงขึ้น ๆ เหมือนจะตื่นเต้นแต่ก็ไม่เชิง ทำไมต้องทำสายตาแบบนี้ มองเหมือนต้นกล้าเป็นเด็กสามขวบ ต้นกล้าไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนแล้ว ไมรู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี ทำไมเวลาถูกคนตัวโตจ้องมองแบบนี้ต้นกล้าถึงได้ไปไม่เป็นตลอด ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายสายมั่นอย่างต้นกล้า จะต้องมานั่งรู้สึกประหม่าเพราะสายตาคมของตรงหน้า

“ถอย” ใช้ฝ่ามือร้อนผ่าวดันหน้าผากของคนตัวโตออก เมื่อรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าของตัวเอง และคนที่เอาแขนค้ำยันที่นอนคร่อมทับอยู่ด้านบนลดลงเรื่อย ๆ

“หึ ๆ ”

“ขำไร”

“เปล่า” พยายามตอบแบบหน้านิ่งที่สุดแล้วนะ แต่มุมปากมันก็ยังยกยิ้มขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ กับท่าทางขัดเขินของคนป่วย “กินยาก่อน” บอกพลางเอื้อมมือไปที่ถุงยา จัดยาชุดเดิมเหมือนเมื่อคืนให้คนตัวเล็ก ต้นกล้าเห็นเม็ดยาแล้วก็ได้แต่เบ้หน้าใส่นั่นยิ่งทำให้คนดูแลยิ่งยิ้มไม่หุบ เพราะทั้งขำและเอ็นดู เป็นไข้แบบนี้ก็ดีถึงจะดื้อแต่ก็อ้อนได้น่ารัก ดีกว่ายามปกติที่เอาแต่ปากร้ายใส่กัน เด็ดเดี่ยวคิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เหลือบตามองใบหน้าหล่อเกาหลีไม่ลืมหักยาเม็ดใหญ่สุดที่ยาว ๆ รี ๆ ให้ด้วยอย่างเอาใจใส่ ยาทั้งหมดถูกยื่นมาจ่อตรงหน้า แต่คนป่วยกลับมองนิ่ง

“..”

“หรือจะให้พี่ป้อนเหมือนเมื่อคืนอีก ติดใจใช่มั้ยล่ะ”

“บ้าบอที่สุด”

“หึ ๆ “ต้นกล้ารับยามาแล้วหยิบเข้าปากเม็ดเดี่ยวแล้วถึงยกน้ำดื่มตาม

“ทำไมไม่กินพร้อมกันทีเดียวเลย”

“เจ็บคอ”

“เฮ้อ ตามใจ”

“ชิ” มองค้อนอีกคนแล้วจัดการยาที่เหลือเหมือนเดิม โดยหยิบยาเข้าปากทีละเม็ดแล้วดื่มน้ำตาม กินยาหมดก็ล้มตัวลงนอนทันทีเพราะตาของเขามันจะปิดอยู่แล้ว แต่เหมือนกับว่ายังไม่ทันได้หลับดีนัก ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมายุกยิกอยู่แถวหน้าอก

“ทำอะไร” ถามด้วยเสียแหบแห้ง เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นว่าเด็ดเดี่ยวกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่กับหน้าอกตัวเอง

“แกะกระดุม”

“แกะทะ ทำไม”

“จะถอดเสื้อให้”

“ฮึ้ย ไม่ถอดนะ”

“น่าถอดออก”

“ไม่เอาไม่ถอด”

“ไม่ถอดแล้วพี่จะเช็ดตัวให้ได้ยังไง ถอดก่อน”

“ก็ไม่ต้องเช็ดดิ”

“เช็ดตัวจะได้ช่วยลดไข้อีกทาง”

“ไม่ถอด”

“ดื้ออีกแล้วนะ รู้อย่างนี้รอให้หลับสนิทเหมือนเมื่อคืนซะก็ดีหรอก”

“อะไรนะ ว่าอะไรนะ”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ถ้าไม่เช็ดตัวก็ไปหาหมอ”

“ไม่ไปหาหมอ”

“นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอาแล้วมันจะหายเมื่อไหร่”

“ทำไมต้องดุ”

“ไม่ดุก็งอแงอยู่แบบนี้”

“ใครงอแง”

“ยังจะมาถามอีก”

“เราจะทำเอง”

“แรงจะขยับตัวยังไม่มี”

“เราทำได้”

“อย่าอวดเก่ง”

“ชิ ตัวเองเก่งตายล่ะ”

“พลิกตัวซิ”

“เฮ้ยอะไรไรเนี่ย” เพราะขณะที่โต้เถียงกันมือของเด็ดเดี่ยวก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่ใช้ผ้าเช็ดไปตามเนื้อตัวให้คนดื้อรั้นไปด้วย จนเสร็จจึงบอกให้คนตัวเล็กพลิกตัวจะได้เช็ดที่หลังให้ต่อ

“ใกล้เสร็จแล้ว อย่าหาเรื่องงอแง”

“เราไม่ได้งอแง”

“พูดได้นะ”

“เหอะ” สุดท้ายต้นกล้าก็ต้องยอมให้เด็ดเดี่ยวเช็ดตัวให้จนเสร็จ ทั้งที่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก ที่ต้องนอนนิ่งให้อีกคนทำอะไรต่อมิอะไรกับร่างกายของเขาอย่างนี้ ถึงจะเป็นแค่การเช็คตัวเพื่อลดไข้ให้ก็ตามทีเถอะ นี่ถ้าต้นกล้ารู้ว่าตัวเองนอนกอดอีกคนทั้งคืนไม่รู้จะแถว่าอย่างไร

“เสร็จแล้ว”

“แล้วจะไปไหน”

“เอาผ้าไปเก็บไง”

“กลับมามั้ย”

“อยากให้กลับมามั้ยล่ะ”

“ไม่อยากมาก็ตามใจสิ ใครจะสน”

“หึ ๆ ” เด็กหนอเด็ก เด็ดเดี่ยวลุกขึ้นพร้อมยกกะละมังใบเล็กที่เขาใส่น้ำออกไปด้วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่เอาน้ำออกไปเทในห้องน้ำภายในห้องนอนของต้นกล้านั่นแหละ เก็บของเสร็จก็กลับออกมา

“กลับมาทำไม”

“ก็ใครบอกตามใจ”

“..” ต้นกล้าหน้าตึงเงียบปากไม่ต่อคำ เขาทำตัวไม่ถูกทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ชอบหน้า แต่ด้วยไม่สบายตัว ด้วยความเอาแต่ใจที่ติดนิสัยมาแต่เด็ก เลยเผลอ้อนเผลอทำตัวเอาแต่ใจกับคนตัวโตกว่าอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ก็คนมันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรนี่เนอะ ไม่สบายก็แค่อยากให้มีคนมาดูแลมาเอาใจเท่านั้นเอง

“นอนได้แล้ว”

“..”

“เอ้า หลับตาสิ” พอจะปล่อยให้นอนดี ๆ ต้นกล้ากลับไม่อยากนอนมันเสียอย่างนั้น และเอาแต่จ้องหน้าเด็ดเดี่ยวนิ่ง ๆ ซึ่งเขาก็จ้องตอบอย่างไม่ลดละเช่นกัน “นอนเดี๋ยวตื่นมาคงดีขึ้น”

“ถ้าหลับแล้วห้ามไปไหนนะ” อยู่ดี ๆ ก็บอกออกมาอย่างคนเอาแต่ใจตัวเอง ฝืนตาที่กำลังจะปิดแหล่มิปิดแหล่เพราะฤทธิ์ยาและพิษไข้เอาไว้ เพื่อรอฟังคำตอบ

“พี่ไม่ไปไหนหรอกนอนซะ” นั่นแหละตาสวยจึงค่อย ๆ ปิดลงเมื่อได้รับคำยืนยันที่มาพร้อมสัมผัสอุ่น ๆ ผ่านเส้นผมสีแดงสะดุดตาจากมือใหญ่ ที่ลูบหัวให้อย่างปลอบใจเมื่อบอก เปลือกตาบางของคนป่วยปิดลงราวกับเป็นการตัดสัญญาณ อย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถบังคับฝืนมันไว้ได้แล้ว ก่อนหลับไปต้นกล้าบอกตัวเองว่าไม่ได้อ้อนคนตัวโต แต่ที่ทำออกมานั้นเป็นเพราะความเคยชิน เวลาไม่สบายเขาไม่อยากนอนอยู่คนเดียว จนมันกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจและแก้ไม่หายสักที กับการที่ต้องมีคนคอยนั่งเฝ้าเวลาเป็นไข้หรือไม่สบาย และตอนนี้มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าหากเป็นไอ้จ๋า ต้นกล้าจะอายแค่ไหนเมื่อหายไข้ เพราะไอ้ลูกน้องตัวดีคงไม่ปล่อยผ่าน โดยไม่เก็บเอามาแซวเขาให้ได้อายเล่นเป็นแน่

“ลูกพี่เดี่ยว”

“ว่าไง งานเป็นยังไงบ้างวะ”

“ลูกพี่กล้าอะครับ?”

“หลับ”

“แล้วนี่”

“อะไร”

"ทำไมไม่ไปนั่งเฝ้าในห้องล่ะครับ”

“ออกมาคุยโทรศัพท์”

“ระวังตื่นมาไม่เห็นใครจะโดนวีนนะครับลูกพี่ เดี๋ยวจะหาว่าไอ้จ๋ามันไม่เตือน”

“หืม?” เด็ดเดี่ยวยังสงสัยแต่ไม่ทันได้ถามอะไร ไอ้จ๋ามันก็ตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

“อะนี่ครับข้าวเที่ยง เดี๋ยวไอ้จ๋าจะออกไปดูคนงานต่อ ฝากด้วยนะครับลูกพี่ พรุ่งนี้นาแปลงนี้เสร็จไอ้จ๋าก็ไม่รบกวนแล้ว”

“อืม ไม่เป็นไร” ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไรและหน้าตาก็เฉยๆ แต่ในใจเขานั้นมันยินดีมากที่ได้ดูแล เด็ดเดี่ยวอยากบอกเหลือเกินว่าไม่ได้รบกวนอะไรเขาเลยสักนิด เพราะอยากอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงได้อย่างอยู่แบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาด้วยรู้ว่าไอ้จ๋ามันต้องต้อนเขาจนมุมแน่

“งั่นไอ้จ๋าไปนะครับ ฝากลูกพี่กล้าด้วยนะครับ” เด็ดเดี่ยวมองส่งไอ้จ๋าลงเรือนไปแล้ว จึงได้กลับเข้าไปในห้องของคนไข้อีกครั้ง เจ้าของใบหน้าหล่อใสสไตล์เกาหลียังหลับตาพริ้มลมหายใจสม่ำเสมอ เด็ดเดี่ยวพึ่งจะได้สังเกตว่าผิวแก้มของต้นกล้าเนียนละเอียดและขาวใสมากทีเดียว คิ้วได้รูปพาดเฉียงได้องศารับกับแพขนตาสีดำสนิทหนาพอประมาณ ขนตาดูยาวแต่ไม่งอนอ่อนช้อยเหมือนผู้หญิง จมูกโด่งรั้นเหมือนนิสัยของเจ้าตัว ริมฝีปากบางหยักสวยดูเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ รับกันได้อย่างพอดีกับไรหนวดอ่อนเส้นเล็กๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติราวพึ่งกับแตกเนื้อหนุ่ม เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่เคยโกนมันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ผิดกับตัวเขาที่ใบหน้าช่วงล่างดกเต็มไปด้วยหนวดเครา ที่ต้องโกนมันออกทุกเช้า เพราะไม่อย่างนั้นมันจะดูรกจนน่ากลัว ทั้งที่หลายคนบอกว่ามันทำให้ใบหน้าคมคายของเขาดูน่ามองไปอีกแบบ แต่สำหรับเด็ดเดี่ยวแล้วชอบให้ใบหน้าของตัวเองเกลี้ยงเกลามากกว่า

ยิ่งพิศยิ่งเผลอยิ่งมองยิ่งเพลินและไม่รู้ตัว ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จนกระทั้งดวงตาที่ปิดสนิทในคราแรกค่อย ๆ เปิดขึ้นมาก็พอดีกับที่ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ แต่คนที่เพิ่งลืมตาตื่นนั้นยังดูเหมือนมึนงง จนลืมที่จะโวยวายเหมือนที่เคย

“ตื่นแล้วเหรอ” คำถามแรกที่ได้ยินมันอ่อนโยน จนฟังแล้วให้ความรูสึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ขณะที่เด็ดเดี่ยวค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ในใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับการกระทำของตัวเอง ที่ทำไปแบบก้ำกึ่งว่ารู้ตัวกับไม่รู้ตัว รู้แค่ว่าอยากจะทำและอยากจะมองหน้าอีกคนให้ใกล้ชิด แล้วอยู่ดี ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เคยได้สัมผัสในวันแรกที่เจอกัน ก็เหมือนลอยเข้ามาแตะจมูก เชิญชวนดึงดูดให้เข้าหาเพื่อสัมผัสกันให้มากยิ่งขึ้น จนกระทั่งตาสวยเปิดขึ้นมาขัดจังหวะ นั่นแหละสติจึงกลับมาอยู่กับตัว

“อืม”

“หิวมั้ย” ต้นกล้าส่ายหัวเป็นคำตอบ เพราะตอนนี้เขาคอแห้งมากจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าหล่อคมคร้ามแดดอยู่ใกล้ ๆ แทนที่จะโวยวายกลับรู้สึกอุ่นใจ ที่คนตัวโตอยู่อยู่เฝ้าไม่หนีห่างไปไหนไกล

“น้ำ” เสียงแผ่ว ๆ หลุดออกมาเพื่อบอกถึงสิ่งที่ต้องการ เด็ดเดี่ยวไม่รอช้ารีบพยุงร่างโปร่งบางที่ไม่มีแรงให้ลุกขึ้นนั่ง หยิบหมอนมารองหลังให้สองใบ แล้วจึงหันไปหยิบน้ำอุ่นที่เตรียมไว้มาให้อีกคนได้ดื่ม พอได้จิบน้ำอุ่น ๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังเพลีย ๆ อยู่ ต้นกล้าจึงนั่งเอนหลังลงแล้วหลับตานิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น ครู่หนึ่งคนที่จับตาดูอยู่ตลอดเวลาจึงถามขึ้น

“หิวมั้ย” ต้นกล้าคิดว่าตัวเองคงเบลอเพราะพิษไข้ เมื่อได้ยินเสียงถามที่ฟังดูอ่อนโยน จนไม่น่าจะเป็นเสียงของคนที่คอยเอาแต่กล่าววาจาสบประมาทท้าทาย แต่มันก็ใช่เพราะเขาไม่ได้เป็นไข้จนพร่ำเพ้อละเมอไร้สาระ รู้ว่าคนที่นั่งเฝ้าอยู่นี่เป็นใคร เพียงแค่ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้เท่านั้นเอง จากคนที่คอยแต่จะกวนให้อารมณ์ขุ่นมัว กลายเป็นคนที่ต้องคอยมาดูแลทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำเลยสักนิด ต้นกล้าคิดแล้วซึมซับเอาบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในหัวใจโดยที่ไม่รู้ตัว

“กินข้าวสักหน่อยนะ ไอ้จ๋ามันพึ่งเอามาให้” บอกพลางยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาให้ต้นกล้าดู คนตัวเล็กเบ้หน้าแล้วหันหนีไปอีกทางกับความซ้ำซากจำเจ “อ้าว”

“ไม่มีข้าวไข่เจียวเหรอ”

“ไม่มี มีแต่ข้าวต้มนี่ล่ะ”

“เราอยากกินข้าวไข่เจียว”

“หายค่อยกิน วันนี้กินข้าวต้มไปก่อนกลืนง่ายจะได้ไม่เจ็บคอ”

“เราอยากกินข้าวไข่เจียว” ต้นกล้ายังยืนยันความต้องการเดิม เพราะร่างกายเริ่มดีขึ้นหลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เมื่อตื่นมาจึงนึกอยากกินของโปรดของตัวเอง “อยากกินจริง ๆ นะ” คำว่านะที่ลงท้ายนั่นดูเหมือนจะเป็นน้ำกรดชั้นดีที่กัดกร่อนได้อย่างยอดเยี่ยม ตาคมสบตาหวานดูสิใครจะแพ้ใครจะชนะ คนอ้อนก็ทำออกมาเหมือนไม่รู้ตัวด้วยเหตุผลของความเจ็บไข้ คนดูแลจึงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจำยอม

“งั้นรอก่อนเดี๋ยวพี่ไปทำให้”

“นานมั้ย”

“เจียวไข่คงไม่ต้องใช้เวลาเป็นวันหรอก รออยู่นี่ล่ะเดี๋ยวมา”

“หึ ๆ ” เสียงหัวเราะแหบ ๆ อย่างสะใจหลุดออกมาจากลำคอของคนป่วยเบา ๆ เมื่อเด็ดเดี่ยวเดินออกจากห้องเพื่อไปเจียวไข่ เพราะคนเอาแต่ใจตัวเองงอแงอยากกินของที่ไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอยากกินจริง ๆ หรืออยากแกล้ง แต่เมื่อคนตัวโตเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากได้รูป พร้อมดวงตาที่เป็นประกายสมใจทันที

ต้นกล้าลุกขึ้นจากที่นอนบิดตัวไปมาเบา ๆ ไล่ความเมื่อยขบ ถึงจะรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากแล้ว อาการวูบ ๆ โหวง ๆ ก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อยเลย แต่กระนั้นก็ยังลุกเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง แล้วออกมานั่งเล่นนอนเล่นรอที่เตียง เบื่อๆ จึงหยิบโทรศัพท์มาเช็คนั่นตรวจนี่ไปเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลา ไม่นานไข่เจียวหอม ๆ พร้อมข้าวต้มที่อีกคนเอาลงไปอุ่นให้ ก็ถูกจัดวางเคียงคู่กันมาบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยที่เด็ดเดี่ยวยกเข้ามาวางไว้หน้าเตียง และยังมีกับข้าวอีกสองอย่างและข้าวสวยอีกหนึ่งจานจัดวางมาด้วยกัน

“มากินข้าวก่อนมาจะได้กินยา”

“กินแล้วออกไปข้างนอกได้มั้ย”

“ยังไม่หายดี กินแล้วนอนพักอีกสักนิด”

“เราหายดีแล้ว”

“ไหนดูสิไข้ลดหรือยัง” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วแนบหลังมือลงที่หน้าผากมนของต้นกล้า จากนั้นก็แตะไปตามแก้มลงไปถึงลำคอจนทั่ว ซึ่งกว่าต้นกล้าจะรู้ตัวว่าเผลอนั่งนิ่งให้อีกคนวัดไข้อยู่เฉย ๆ ก็เมื่อตอนเด็ดเดี่ยววางมือลงบนหัว แล้วจับโยกเบา ๆ นั่นแหละ ต้นกล้าถึงได้ปัดมือใหญ่ ๆ นั่นออกจากหัวตัวเอง

“นั่นของพี่” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อต้นกล้าหยิบจานข้าวสวยไปวางตรงหน้าตัวเอง แล้วยกถ้วยข้าวต้มมาวางไว้ให้เขาแทน

“ก็บอกแล้วว่าเราอยากกินข้าวไข่เจียว”

“เฮ้อ ตามใจ” คนหัวแดงแอบยิ้มพอใจเพราะดูเหมือนว่าวันนี้ชัยชนะมันจะเป็นของเขาทุกยก ตั้งแต่บอกว่าอยากกินข้าวไข่เจียวก็ได้กิน ถึงแม้ว่าอีกคนจะตักข้าวต้มมาให้ แต่พอยืนยันว่ายังไงก็จะกินข้าวสวยเด็ดเดี่ยวก็ยังก็ยอม ไม่มีอะไรจะสนุกไปมากกว่านี้อีกแล้วจนกระทั่ง

“อึก โอ๊ย” ต้นกล้าหน้านิ่วเหยเก เมื่อตักข้าวพร้อมไข่เจียวกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเข้าปากคำใหญ่ เคี้ยวไปได้ไม่กี่ทีก็รีบกลืนลงคอ แต่คอเจ้ากำที่ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นแล้วกลับเจ็บจนเจ้าตัวเผลอนิ่วหน้าร้องออกมาอย่างทรมาน

“เป็นอะไรยังเจ็บคออยู่หรือไง”

“เจ็บคอ ๆ น้ำ ๆ ขอน้ำ” เมื่อได้จิบน้ำอุ่นลงไปกลั้วลำคอที่แห้งฝืดก็ให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แต่พอหยิบช้อนขึ้นมาจะกินต่อก็ให้รู้สึกแหยง เพราะความเจ็บที่ยังรู้สึกได้ในลำคอ ถึงแม้คนที่นั่งตรงข้ามจะกำลังจับตามองอยู่ แต่คนกลัวเจ็บต้องจำใจวางช้อนลงอย่างเสียไม่ได้

“คราวนี้คงหยุดดื้อได้แล้วสินะ”

“ใครดื้อ” ต้นกล้าสะบัดหน้าหนีอีกคนที่จ้องมองเขาตาดุ ใช่แล้ว สายตาของเด็ดเดี่ยวที่มองต้นกล้ามันดุจนเขารู้สึกกลัว แต่อะไรคือการที่มุมปากหยักนั่นยกขึ้นมายิ้มเหมือนกำลังสะใจ ต้นกล้าเห็นแล้วให้รู้สึกหงุดหงิดจนไม่อยากมอง เด็ดเดี่ยวเปลี่ยนเอาข้าวสวยกลับคืนมา แล้วเอาถ้วยข้าวต้มไปวางไว้ให้แทน ต้นกล้าจำเป็นต้องกินข้าวต้มกับไข่เจียวแทนข้าวสวย เพราะเมื่ออาการไข้ดีขึ้นร่างกายเริ่มฟื้นตัว ก็ย่อมต้องการอาหารมาเติมเต็มเป็นธรรมดา ทั้งสองต่างก็นั่งกินข้าวกันเงียบ ๆ เด็ดเดี่ยวเหลือบตามองคนตัวเล็กบ้างในบางครั้ง แต่ต้นกล้าเอาแต่หลบสายตาจนกระทั่งกินอิ่ม คนตัวโตไม่ลืมหน้าที่ตัวเองโดยการบังคับให้ต้นกล้ากินยาอีกชุดแล้วค่อยนอนพัก

ต่อค่ะ....
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่7ดื้ออย่าอ้อน(ใจมันสั่น) 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:38:41

ตกบ่ายต้นกล้าเอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง ส่วนเด็ดเดี่ยวก็เอาแต่นั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมนั่งเล่นตรงชานเรือน พอต้นกล้าถามก็บอกแค่ว่าทำงาน และพอเห็นว่าอีกคนนั่งทำงานด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ต้นกล้าที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงาน และตัวของเด็ดเดี่ยวเลยนอกจากเป็นคนสนิทของคุณยาย และเป็นลูกชายของกำนันอาจหาญ จึงเอาแต่มองอยู่ห่าง ๆ อย่างหมั่นไส้ ไม่นานก็ถอยกลับเข้าไปตั้งหลักที่ห้องตัวเอง โดยไม่ลืมส่งค้อนปะหลับปะเหลือกให้อีกคนไปด้วยอย่างไม่พอใจ ถึงแม้คนโดนค้อนจะไม่รู้และไม่เห็นก็ตามเถอะ

“เดี๋ยวพี่ต้องออกไปธุระก่อนนะ”

“ธุ..” ต้นกล้าเกือบหลุดปากถามออกมาแล้วว่าธุระอะไร ดีที่ยั้งปากของตัวเองเอาไว้ได้ทัน จึงทำแค่เหลือบตาขึ้นมองเด็ดเดี่ยวนิ่ง ๆ ทั้งที่ใจก็อยากรู้เต็มแก่ ไหนรับปากจะดูแลแต่สุดท้ายก็ผิดคำพูดสินะ

“ไม่รู้จะเสร็จตอนไหน”

“ใครอยากรู้” บอกแล้วก็ทำเป็นไม่สนทั้งที่ในใจนั้นอยากรู้เต็มแก่ว่าอีกคนจะไปทำอะไรที่ไหน

“ถ้างั้น ...” ต้นกล้าเหลือบมองคนที่พูดไม่จบ เพราะตั้งใจเว้นช่วงเอาไว้เหมือนดึงความสนใจของเขาและมันก็ได้ผล

“อะไร”

“งั้นพี่ไปล่ะ”

“แล้ว..”

“หืม?”

“ช่างเถอะจะไปไหนไม่เห็นเกี่ยวกัน”

“อืม”

“..” ต้นกล้ามองเมินไปทางอื่น ลึก ๆ แล้วก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบที่เด็ดเดี่ยวจะไปธุระ เขาก็คงต้องมีงานมีการของตัวเอง จะให้มานั่งเฝ้านอนเฝ้าคนป่วยอยู่อย่างนี้ตลอดก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงไม่อยากให้ไปแต่ต้นกล้ายังต้องรักษาฟอร์มโดยทำเป็นเมินเฉย แต่เอ๊ะ*! ทำไมเราต้องไม่อยากให้เขาไปด้วยวะ* ต้นกล้าถามตัวเองแล้วสลัดความคิดฟุ้งซ่านแปลก ๆ นี้ออกจากหัว ก่อนจะเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูอีกครั้ง ทั้งสองต่างคนต่างมองตากันเงียบ ๆ

“เย็น ๆ เดี๋ยวพี่แวะมา” ตัวเด็ดเดี่ยวเองก็ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่ด้วยนี่เป็นธุระสำคัญที่พ่อกำนันพึ่งโทรมาบอก และเห็นว่าต้นกล้าดีขึ้นมากแล้ว ชายหนุ่มจึงตกปากรับคำว่าจะไปจัดการให้ เขาหันหลังกลับช้า ๆ เห็นทางหางตาว่าคนหัวแดงบนเตียงขยับตัวขึ้นนั่ง แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองเพราะกลัวว่าตัวเองนั่นแหละที่จะหาเรื่องไม่ยอมไป

“ขอบคุณ” เสียงแหบแห้งไม่ดังมากนัก แต่คนที่กำลังจะก้าวขาออกไปจากห้องกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน และจากเสี้ยวหน้าคมของเด็ดเดี่ยวที่ต้นกล้าสามารถมองเห็นได้เล็กน้อยนั่น เขาเห็นชายหนุ่มยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนที่ขาจะก้าวออกไป

เด็ดเดี่ยวดวงตาเปล่งประกายเดินอมยิ้มออกจากห้องนอนของต้นกล้าไป ทิ้งให้คนตัวเล็กกว่านั่งกัดริมฝีปากแน่นกับสิ่งที่หากเขาไม่ยอมบอกกับคนตัวโตกว่า ก็คงรู้สึกไม่ดีกับตัวเองเท่าไหร่นัก แต่พอได้พูดแล้วกลับเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่ทำตัวไม่ถูก ยังดีที่เด็ดเดี่ยวไม่ได้หันกลับมามอง ไม่อย่างนั้นต้นกล้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าทำตายังไง เพราะแค่คำพูดคำเดียวที่คิดว่าสมควรจะพูดมันออกมา ก็ทำให้ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับร่างกายของเขานั้น กำลังจะปริแตกออกจากกันเสียเดี๋ยวนี้มันให้ได้

หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายประไพศรี ใช้เวลาอยู่คนเดียวโดยทั้งนอนเล่นโทรศัพท์ ดูทีวี บ้างก็เผลอหลับไป บ้างก็ลุกขึ้นมานั่งบ่นอยู่คนเดียว จนกระทั่งตกเย็นคนที่บอกว่าไปทำธุระก็ยังไม่โผล่หน้ากลับมาสักที คิดไปก็ถามตัวเองไปด้วยว่าเขาจะกลับมาหาทำไม คิดไปคิดมาก็ค้านกับตัวเองว่าอีกคนบอกจะมาดูแล คิดไปคิดมาก็บอกกับตัวเองว่าอีกคนรับปากจะอยู่เป็นเพื่อน แต่ธุระอาจจะไม่เสร็จหรือเขาอาจจะไม่อยากเข้ามาอีกก็ได้ ตัวเองก็ใช่ว่าจะญาติดีกับเขา ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ต้นกล้าจึงสลัดความฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง แล้วเดินออกมานอนเล่นที่มุมโปรดชานเรือน

“อ้าว ลูกพี่มาพอดีเลย”

“งานวันนี้เป็นยังไงบ้างวะจ๋า”

“เรียบร้อยดีครับลูกพี่ พรุ่งนี้นาแปลงนี้ก็เสร็จ คงต้องพักรอกล้าอีกสักสามสี่วัน ถึงจะได้ดำในส่วนที่เหลือ”

“ทำไมต้องรอล่ะ”

“ก็กล้ามันยังไม่โตเหมาะพอปักดำนี่ครับ อีกสามสี่วันน่าจะได้ที่พอดี ลูกพี่ก็คงหายดีแล้วนะครับจะได้ลงนาด้วยกัน”

“อืม แล้ว...”

“ครับลูกพี่”

“เปล่าช่างมันเถอะ”

“พรุ่งนี้ไอ้จ๋าไม่อยู่นะครับ”

“อ้าวแกจะไปไหน”

“จันทร์ - ศุกร์ไอ้จ๋ามีเรียนครับ แต่ไปเช้ากลับเย็นทุกวัน”

“อ๋อเหรอ”

“ลูกพี่อยู่คนเดียวไม่เป็นไรนะครับ”

“เออ แล้วจะเป็นไรวะ”

“แหะ ๆ เปล่าครับไอ้จ๋าแค่กลัวลูกพี่เบื่อเท่านั้นเอง” ใช่นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ไอ้จ๋ามันรู้สึกกังวลยิ่งนัก เพราะรู้มาว่าคนที่เคยชินกับการอาศัยอยู่ในเมืองนั้น จะไม่ค่อยชอบอยู่เฉย ๆ และไม่ชอบอยู่กับความเงียบสงบได้นาน เพราะสิ่งล่อตาล่อใจมันมีอยู่เยอะที่ไปก็เยอะ พอมีเวลาว่าง ๆ ก็มักจะชักชวนกันไปนั่นมานี่ เมื่อต้องอยู่คนเดียวเงียบ ๆ กับท้องไร่ท้องนาอย่างนี้ไอ้จ๋าเลยห่วงว่าลูกพี่มันจะเบื่อแล้วพาลทิ้งไป

“เบื่อก็หาอะไรทำแถวนี้ล่ะ”

“ยังไงก็เดินลงไปดูนาบ้างก็ได้ครับ”

“อืม”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปดูก่อนว่าวันนี้แม่ทำอะไรให้กิน เดี๋ยวมานะครับ”

“เออ” พอไอ้จ๋าไปแล้วต้นกล้าก็มีเพียงความเงียบรอบตัวเป็นเพื่อน นอนเล่นจนเบื่อไม่รู้จะทำอะไร จึงคิดว่าลงไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างล่างท่าจะดีไม่น้อย เพราะนี่ก็นอนอยู่บนบ้านมาทั้งวันแล้ว คิดได้ดังนั้นก็เห็นด้วยกับตัวเอง จึงลุกขึ้นแล้วเดินลงเรือนไป

หญ้าอ่อนเขียวขจีสลับกับดอกหญ้าดอกเล็ก ๆ ที่มีทั้งสีม่วง สีขาวและสีเหลือง ดูสดใสเพราะมันได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอจากฝนที่ตกลงมาทุกวัน ทำให้ต้นกล้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มาก สองเท้าก้าวเดินย่ำไปบนหญ้าสั้น ๆ ที่ให้ความรู้สึกนุ่มเท้าเมื่อก้าวเหยียบลงไป ลมบาง ๆ หอบเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้ามาด้วย ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายใจ ต้นกล้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้สูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด แม้จะมีอาการเพลียอยู่บ้างแต่ก็รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงของตัวเองที่กำลังกลับคืนมา หนุ่มหล่อเกาหลีเดินเล่นรอบบ้านผ่านสวนสวยที่ถูกปลูกแต่งเอาไว้ โดยไม่เน้นจัดให้เป็นรูปแบบเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าของสวนอย่างคุณยายประไพศรีเน้นที่การปลูกไม้มงคล และต้นไม้ส่วนใหญ่ก็มีคนนำมาฝากทั้งนั้น จึงหาที่ปลูกรอบบ้านตามความเหมาะสม หากเป็นไม้กระถางก็จัดตั้งเอาไว้ให้ดูเป็นระเบียบและไม่ให้รกจนเกินไป เดินผ่านสวนครัวที่รดน้ำจนชุ่ม นี่คงเป็นฝีมือของไอ้จ๋า ที่ต้นกล้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาทำเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน เห็นแปลงผักเขียว ๆ เรียงกันเป็นระเบียบก็คิดเอาไว้ในใจ ว่ารอให้หายดีก่อนแล้วจะลองมาทำบ้าง ต้นกล้าหมายมั่นอย่างตั้งใจ ก่อนจะเดินผ่านไปเรื่อย ๆ อ้อมไปด้านหลังของตัวบ้าน

ตุ่มใส่น้ำตั้งเรียงรายอยู่หลังบ้าน เป็นที่ที่เด็ดเดี่ยวเคยมาอาบในวันที่ทั้งสองตกโคลน ต้นกล้ายืนมองตุ่มสามสี่ใบให้คิดถึงวันที่ผ่านมา ใบหน้าหล่อใสขึ้นสีระเรื่อเกิดความรู้สึกร้อนผ่าว ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งภาพที่อีกคนถลกผ้าข้าวม้าขึ้นสูงถึงต้นขาล่ำสัน เผยให้เห็นช่วงขายาวดูแข็งแกร่งตอนลูบไล้เพื่อถูสบู่ ยิ่งให้รู้สึกร้อนวูบวาบเล่นเอาแทบเป็นลมล้มทั้งยืน เพราะภาพเหล่านั้นมันติดตาชัดเจนอยู่ในหัว ยิ่งกว่าดูหนังระบบ HD ที่ใคร ๆ ก็บอกว่าคมชัดที่สุดนั่นอีก สะบัดหน้าสองสามทีไล่ความฟุ้งซ่านของตัวเอง แล้วเดินผ่านจุดนั้นอ้อมมาทางหลังครัวจนมาโผล่อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน เดินแค่นี้ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยพอสมควรแล้วสำหรับคนพึ่งฟื้นไข้ จึงเดินเข้าครัวหาน้ำเย็น ๆ ดื่ม

“ลูกพี่ครับไอ้จ๋ามาแล้ว วันนี้แม่ทำแต่ของโปรดลูกพี่ทั้งนั้นเลยครับ” ไอ้จ๋าเดินเข้ามาพร้อมปิ่นโตเถาใหญ่และตะกร้าหวายใส่ของเช่นเดิม ปากร้องทักคนเป็นลูกพี่ที่เดินออกมาพร้อมขวดน้ำ ด้วยน้ำเสียงร่าเริงและอารมณ์ดีในแบบของมัน “หิวหรือยังครับ”

“ยังหรอกเดี๋ยวค่อยกิน”

“ครับ ๆ แล้วนี่ลูกพี่ไปไหนมาครับ “

“เดินเล่นแถวนี้ล่ะ” ต้นกล้าตอบพลางเดินมานั่งลงที่แคร่ไม้ตัวกว้างตั้งอยู่มุมหนึ่งของใต้ถุนเรือน

“ยังไม่หายดีมาเดินตากลม ระวังไข้กลับอีกนะครับลูกพี่”

“ฉันไม่เป็นไรโว้ย ว่าแต่นี่มันที่นอนหมอนมุ้งของใครล่ะเนี่ย” ต้นกล้าชี้ไปยังที่นอนแบบพับตอนขนาดนอนได้คนเดียว วางทับเอาไว้ด้วยหมอนผ้าห่ม ที่พับอย่างเป็นระเบียบทับด้วยมุ้งที่ม้วนเอาไว้อย่างดี

“เอ้า ก็ของไอ้จ๋านี่ล่ะครับลูกพี่”

“แล้วทำไมเอามาไว้ตรงนี้ล่ะ”

“ก็ไอ้จ๋านอนตรงนี้นี่ครับ”

“ห๊า อะไรนอนตรงนี้”

“เอ๊า ไอ้จ๋าก็คนอนตรงนี้ประจำที่ทุกคืนอยู่แล้วเป็นปกตินะครับ”

“หระ เหรอวะ..”

“ครับ”

“ทุกคืน?”

“ทุกคืนแต่ไหนแต่ไรไม่มีวันหยุดครับ”

“..” ต้นกล้าได้ยินไอ้จ๋าตอบเสียงดังฟังชัดหนักแน่นแบบนั้น ก็ให้รู้สึกว่าเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังดิ้นอยู่ในท้อง บางสิ่งบางอย่างที่กำลังหมุนวนจุกแน่นคับแค้นขึ้นมาตีบตันอยู่ที่คอหอยของเขา หนอยไอ้จ๋ามันนอนอยู่ตรงนี้ทุกคืน แต่ดันไม่เคยบอกกล่าวอะไรสักคำ แล้วปล่อยให้เขานอนผวาคนเดียวจนแทบไม่เป็นอันหลับอันนอนมาหลายคืน แบบนี้มันน่าโบกสักทีดีไหม

“แต่เอ๊ะ ที่จริงไอ้จ๋ายังไม่เคยบอกลูกพี่เลย ไอ้จ๋าขอโทษก็แล้วกันนะครับ” เหมือนมันรู้ว่าต้นกล้ากำลังคิดอะไร ไอ้จ๋ายิ้มหน้าจืดเมื่อมันพึ่งนึกได้ว่ายังไม่เคยบอกต้นกล้าเลย ว่ามันมานอนเฝ้าบ้านอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะไปไหนกลับมืดค่ำดึกดื่นยังไงก็ต้องมา เพราะตรงนี้กลายเป็นห้องนอนของมันไปแล้ว ซึ่งต้นกล้าเองเมื่อได้ยินคำขอโทษก็ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันนึกด่าไอ้จ๋าอยู่ในใจ จะต่อว่าออกมาตรง ๆ ก็ไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดที่สุดแสนจะจริงใจของไอ้คนซื่อ

“ลูกพี่”

“..”

“ลูกพี่ครับ”

“..”

“ลูกพี่กล้าครับ! ”

“อะไร”

“ทำไมเงียบครับ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“แต่หน้าลูกพี่เหมือนกำลังอยากฆ่าใครเลยนะครับ”

“เหรอ เออคงใช่ว่ะ”

“มันเป็นใครครับเดี๋ยวไอ้จ๋าจะเรียกมันมาปรับทัศนคติเอง”

“..” ต้นกล้าไม่ตอบคำถามของไอ้จ๋าที่ถามมาเสียงเข้มดูเอาจริงเอาจัง หากมันได้รู้ว่าตัวมันเองนั่นแหละ ที่เขาอยากจะฆ่าให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้ มันจะทำหน้ายังไง แหมพูดมาได้ว่ามานอนทุกคืน ทั้งที่มานอนทุกคืนเชียวนะ แต่ทำไมมันไม่เคยบอกกันสักคำ ปล่อยให้ต้นกล้าหวาดผวาจนไม่เป็นอันหลับอันนอน ตั้งแต่คุณยายและพ่อกับแม่ไป จะมีวันไหนได้นอนเต็มอิ่มบ้างนอกจากเมื่อคืน อย่างน้อยหากได้รู้ว่ามีใครอีกคนนอนอยู่ร่วมบ้าน ถึงแม้จะนอนอยู่แค่ที่มุมพักผ่อนใต้ถุนของบ้านก็ตามเถอะ ยังไงถ้าได้รู้ว่าไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว อย่างน้อยต้นกล้าก็ยังพออุ่นใจ แต่นี่อะไรถ้าไม่มาเห็นหรือถ้าไม่ถามมันมันคงไม่ยอมบอก เจ็บใจ เจ็บใจจริง ๆ เจ็บใจไอ้จ๋าจริง ๆ ฮึ่ย!

ต้นกล้าชักสีหน้า เพราะยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเห็นไอ้จ๋าทำหน้าไร้เดียงสาดวงตาใสซื่อ ความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท้าพันทวี ราวกับว่ามันกำลังแกล้งกวนเขาให้เสียอารมณ์ จึงคิดว่าจะเดินหนีไปสงบสติอารมณ์ก่อนจะดีกว่า

“ลูกพี่จะไปไหนครับ”

“เดินเล่นแถวนี้ล่ะ”

“งั้นเดี๋ยวไอ้จ๋า จัดสำรับรอบนบ้านนะครับ”

“อืม”

ต้นกล้าเดินเล่นไปรอบ ๆ บ้านเป็นรอบที่สาม และไอ้จ๋ามันก็มาตามให้ไปกินข้าเป็นรอบที่สามด้วยเหมือนกัน แต่ดูเหมือนต้นกล้าจะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ทั้งที่เริ่มรู้สึกมวนท้องเพราะหิวนิด ๆ แต่ก็ยังเดินเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง ทำหน้าเคร่งเพ่งสายตาใส่ต้นไม่ใบหญ้าแถวนั้นอยู่ โดยไม่สนใจไอ้จ๋าที่มันได้แต่เรียกแล้วเรียกอีกเลย

“ลูกพี่ครับ เย็นมากแล้วนะครับ กินข้าวเถอะครับจะได้กินยา”

“เดี๋ยวน่า กินยาอะไรฉันหายแล้วโว้ย”

“ถึงหายก็ต้องกินยาต่ออีกหน่อยครับ ให้มันหายขาด”

“หายแล้วก็หายเลยสิวะ จะมากินยาต่อทำไมใครบอกแก”

“ลูกพี่เดี่ยวครับ” เสียงตอบหนักแน่นมั่นใจเล่นเอาต้นกล้าหันมาจ้องหน้าไอ้จ๋าเขม็ง แต่ในหัวนึกถึงคนที่มันอ้างถึง ใช่สิ เย็นๆ เดี๋ยวพี่จะแวะมา นี่มันก็เย็นมากแล้ว ทำไมยังไม่เห็นหัวคนหน้ามึนมาวะ เราเริ่มจะหิวแล้วนะเว้ย แต่เอ๊ะ แล้วเราจะไปหงุดหงิดทำไม ต้นกล้าฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างนั้นก็เดินขึ้นบ้าน โดยมีไอ้จ๋าวิ่งตามไปอย่างรู้หน้าที่แม้จะยังงง

“ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาสิวะใครจะสน”

“อะไรนะครับลูกพี่”

“เออ เปล่าว่ะ” ต้นกล้าบอกปัดเมื่อไอ้จ๋าที่เดินตามหลังต้อย ๆ ถามถึงสิ่งที่เขาเผลอบ่นออกมาและมันได้ยินไม่ชัด จะให้ต้นบอกมันไปได้อย่างไร ว่าไอ้ที่เดินรอบบ้านเสียสามรอบนี่ ก็เพราะกำลังหาเรื่องโอ้เอ้อยู่แถวนี้ จะได้มองเห็นก่อนใครหากรถกระบะสี่ประตูสีขาวคันนั้นแล่นเข้ามา ต้นกล้าไม่ได้รอหรอกนะ เพียงแต่อีกคนบอกว่าจะแวะมาตอนเย็นก็เท่านั้นเอง

“กินข้าวกันครับลูกพี่” ไอ้จ๋าเดินนำไปที่โต๊ะกินข้าวที่มันจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมเหยือกน้ำและแก้วสองใบ ข้าง ๆ แก้วมีถ้วยใบเล็ก ๆ สำหรับใส่เม็ดยาวางอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ายาเม็ดใหญ่ ๆ ยาว ๆ รี ๆ นั้นถูกหักครึ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่เอ๊ะ! ไอ้จ๋ามันรู้ได้ยังไงวะว่าต้องหักเม็ดยา

ต้นกล้าเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างฝา แล้วมองออกไปยังความมืดที่เริ่มโรยตัวปกคลุมรอบบ้าน มีแสงสว่างที่ช่วยให้มองเห็นมาจากหลอดไฟที่ติดเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ห่างกันได้ระยะพอดี อากาศยามหัวค่ำเย็นชื้นเล็กน้อยสำหรับคนที่พึ่งฟื้นไข้ ต้นกล้าเดินมานั่งลงตรงข้ามไอ้จ๋ากวาดตามองอาหาร ในหัวคิดไปถึงใครอีกคนที่ไปทำธุระอะไรนั่น แล้วก็ถอนหายใจ

“ไม่รักษาคำพูด” บ่นพึมพำพลางนั่งลงและก็พอดีตาเหลือบไปเห็นหน้าไอ้ลูกน้องคนสนิท ที่นั่งมองหน้าเขานิ่ง ๆ แววตาสงสัยใคร่รู้ “มีอะไร”

“ลูกพี่พูดคนเดียวอีกแล้วเหรอครับ”

“อะ เออ”

“พูดกับไอ้จ๋าบ้างก็นะครับ แหะ ๆ ” ไอ้จ๋ายิ้มหน้าจืดให้ลูกพี่ของมัน ที่นับวันยิ่งชอบพูดคนเดียวบ่อย ๆ จนอาการน่าเป็นห่วง

“กินเถอะ” ทั้งสองนั่งกินข้าวด้วยกันมีคุยกันบ้างเล็กน้อย ต้นกล้าที่อาการดีขึ้นมากแล้ว จึงกินอาหารคล่องคอขึ้นจนกระทั่งอิ่ม

“นี่ยาครับ ลูกพี่เดี่ยวบอกว่าต้องให้ลูกพี่กล้ากินให้ครบครับ หักมาแล้วเรียบร้อยจะได้กลืนง่ายตามที่ลูกพี่เดี่ยวสั่งไว้ก่อนไปเด๊ะ” หนอยไม่อยู่ยังจะมาบังคับอีกนะ ต้นกล้าทำท่าไม่พอใจเมื่อหยิบเม็ดยามาจากถ้วยเล็ก ๆ ในมือของไอ้จ๋า แต่ก็ต้องจำใจกลืนมันลงไป เพราะมันกำลังมองอยู่ด้วยสายตาชื่นชมแกมเป็นห่วง ต้นกล้าไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของไอ้จ๋า หรือแสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็นได้ แม้ต้องกินถึงสามรอบ เพราะต้องกินเข้าไปทีล่ะเม็ดก็ตามเถอะ เหตุผลง่ายเพราะเจ็บคอ ไม่ใช่เพราะว่าต้นกล้าเป็นคนกินยายากเหมือนเด็ก และไม่ชอบกินยาเลยจริง จริ๊งงงง



####################
แอบกระซิบนิดหนึ่งนะคะ ตอนนี้ กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก กำลังเปิดจอง ใครสนใจเล่ม สอบถามได้ทางอินบ็อกเลยนะคะ

ดอกทองกวาว ทางอีสานจะเรียน ดอกจาน และเป็นที่มาของชื่อ บ้านทุ่งดอกจาน นั่นเอง ดอกไม่สีส้มๆ ที่มองแล้วสบายตา ทำให้คิดถึงบ้านนาและท้องทุ่งนา ตอนนี้ไม่ค่อยฮาแต่น่าจะฟิน  อยากให้เรื่องนี้เป็นนิยายรักใสๆ ในความหื่นของน้องกล้าที่จำไม่ลืมว่าพี่เดี่ยวมันอาบน้ำท่าไหนบ้าง กล้าไม่หื่นนะ กล้าไม่หื่น ไม่ได้ตั้งใจดู ไม่ได้ตั้งใจจำเอาไว้ จริง จริ๊งงงงงงงง

ขอบคุณที่ยังติดตามกันมาตลอดนะคะ แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ

ดาว ณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:28:57
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 8 ฉ่ำรักในกองฟาง 



กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง

“เอาล่ะครับรายละเอียดทั้งหมดสำหรับวันนี้มีเท่านี้ ส่วนงานที่ให้ไว้เมื่อต้นชั่วโมงหวังว่าทุกคนจะส่งทันภายในกำหนดนะครับ”

“โหย อาจารย์คะ ยืดเวลาส่งออกไปอีกไม่ได้เหรอคะ นะคะอาจารย์”

“นั่นสิครับอาจารย์ขอส่งเดือนหน้านะครับ”

“ขอเวลาทำนานๆ นะคะอาจารย์หาข้อมูลเยอะเกิน” และอีกเยอะแยะมากมายที่เหล่านักศึกษาต่างส่งเสียงต่อรอง เมื่ออาจารย์หนุ่มย้ำเรื่องกำหนดการส่งรายงานชิ้นสำคัญ

“สองอาทิตย์นี่ก็ถือว่าเยอะแล้วครับ ถ้าหนึ่งเดือนคงชนกับช่วงใกล้สอบพอดี พวกคุณจะไม่มีเวลาอ่านหนังสือนะครับ”

“มีสิคะอาจารย์”

“ใช่ครับ มีแน่นอน”

“ตามนั้นนะครับส่งงานภายในสองอาทิตย์นี้ ใครส่งหลังจากนั้นผมไม่ตรวจ!” อาจารย์หนุ่มบอกเสียงเฉียบขาด ขัดกับท่าทางนิ่งๆ ที่ดูใจดี เขายกข้อมือที่มีนาฬิกาเรือนเท่ใส่อยู่ขึ้นมาดู แล้วบอกบรรดานักศึกษาที่กำลังโอดครวญเรื่องรายงาน “เอาล่ะครับวันนี้พอแค่นี้ เจอกันชั่วโมงหน้าหวังว่าทุกคนคงพร้อมสำหรับสอบย่อยนะครับ” รอยยิ้มอบอุ่นถูกโปรยไปให้นักศึกษา ที่พากันยกมือไหว้ลาแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทยอยออกจากห้องเรียน บ้างก็บ่นที่อาจารย์สั่งงานแต่ก็บ่นไม่จริงจังกันเท่าไหร่นัก อาจารย์หนุ่มหันมาเก็บเอกสารและสื่อการสอนของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวกลับ สำหรับวันนี้เขาหมดชั่วโมงสอนแล้ว

“อาจารย์ฮะ หนูยังไม่มีคู่จิ้น เอ๊ย คู่ทำรายงานเลยฮะ” อาจารย์หนุ่มหันมาทางต้นเสียง ก็เจอเข้ากันลูกศิษย์หนุ่มน้อยตัวขาวหุ่นผอมเพรียวใช้คำแทนตัวว่าหนู คำพูดคำจาบ่งบอกเพศสภาพ แต่ดูก็รู้ว่าค่อนข้างเป็นคนขี้อายทีเดียว

“หืม ทำไมยังไม่ได้ล่ะครับ คนอื่นๆ เขาก็ได้คู่กันไปหมดแล้วนี่”

“ก็พอดีว่า เอ่อ...”

“เดี๋ยวครับเดี๋ยว มีใครที่ยังไม่มีคู่ทำรายงานอีกไหมครับ” อาจารย์หนุ่มผู้ใจดีตะโตนถามตามหลังนักศึกษา ที่กำลังพากันเดินออกจากห้องเรียน

“ครับผมก็ยังไม่มีคู่ทำรายงานครับอาจารย์”

“งั้นเธอจับคู่กับนายจรัสชัยนะ”

“อี๊ไม่เอาฮะหนูไม่จับคู่กับจรัสชัยฮะอาจารย์”

“ทำไม จับคู่กับจรัสชัยคนนี้มันเป็นยังไง” จรัสชัยหันไปถามอย่างเอาเรื่อง เมื่ออีกคนทำท่าเหมือนกับว่ารังเกียจ ไม่ต้องการที่จะจับคู่ทำรายงานกับตัวเอง

“ฉันไม่คู่กับนายนะ”

“อยากคู่ด้วยตายล่ะ”

“ชิ หนูไม่ทำงานกับนายจรัสชัยนะฮะอาจารย์”

“ผมก็ไม่เอายัยตุ๊ดเผือกนี่ครับอาจารย์”

“นี่นายตอตะโก”

“ยัยตุ๊ดเผือก”

“ตอตะโก”

“ตุ๊ดเผือก”

“พอๆ หยุดทะเลาะกันแล้วไปปรึกษาแบ่งงานกันซะ”

“อาจารย์ฮะหนูไม่จับคู่กับเขา”

“อยากจับคู่ด้วยตายล่ะ”

“นาย..”

“หยุด” ฝ่ายอาจารย์ถึงกับต้องห้ามทัพเสียงเข้ม เพราะถ้าปล่อยให้ทั้งสองคนเถียงกันอยู่อย่างนี้คงไม่ได้บทสรุป และวันนี้คงไม่ได้ไปไหนกันแน่ๆ และพอได้ยินอาจารย์ห้ามทัพทั้งสองก็สะบัดหน้าหนีไปคนละทาง ฝ่ายอาจารย์เห็นแบบนั้นก็อมยิ้มกลั้นขำ พร้อมกับแผนร้ายในหัวที่ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ “เอาล่ะเธอสองคนจับคู่ทำงานด้วยกันก็แล้วกัน”

“แต่/แต่”

“ไม่มีแต่ เพราะอาจารย์ให้หาคู่กันเองตั้งแต่ต้นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่หา ตอนนี้เธอสองคนก็ต่างไม่มีคู่ก็พอดี งั้นก็จิ้นกันซะ เอ๊ยไปแบ่งงานกันทำได้แล้ว”

“อาจารย์ฮะ/อาจารย์ครับ”

“ถ้าตอนส่งงานทำกับคนอื่นมา เธอสองคนกับเพื่อนที่ไปจับคู่ด้วยจะถูกหักคะแนน” หึๆ คนเป็นอาจารย์แอบยิ้มร้ายในใจ นึกภาพสีหน้าของทั้งสองออกเลย แม้จะทำเป็นง่วนอยู่กับการจัดของ

“อาจารย์ใจร้าย”

“นั่นสิครับทำไมต้องบังคับจับคู่ยัยตุ๊ดนี่ด้วย”

“มันเหมาะแล้วน่า”

“อาจารย์อ่า”

“ไปได้แล้วครับ”

“งั้นหนูไปก่อนนะฮะอาจารย์ ชิ” คนถูกเรียกว่าตุ๊ดเผือกเนื่องจากเนื้อตัวที่ขาวผ่องเป็นยองใย ไหว้ลาอาจารย์หนุ่ม แล้วหันไปส่งค้อนให้คู่จิ้นหมาดๆ ของตัวเอง ก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเดินออกจากห้องไป

“โธ่ทำไมอาจารย์ใจร้ายให้ผมจับคู่กับยัยนั่นล่ะครับ” จรัสชัยถามขึ้นเมื่อนักศึกษาคนอื่นเดินออกจากห้องกันไปหมดแล้ว

“จับๆ ไปเถอะ เหมาะสมดีออก หึๆ ” เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็สะบัดหน้าให้อาจารย์หนุ่มงอนๆ แล้วหันหน้าหนี ก้าวออกจากห้องตามคู่จิ้นหมาดๆ ไป เพื่อปรึกษาแบ่งงานกัน แต่...

“เดี๋ยวก่อน”

“ครับ”

“แล้ว...” อาจารย์หนุ่มในเครื่องแต่งกายสุภาพที่ดูมั่นใจคราแรก ตอนนี้กลับออกอาการที่บ่งบอกถึงความประหม่า เมื่อเรียกลูกศิษย์หน้าทะเล้นเอาไว้ เพราะอยากถามถึงเรื่องที่กำลังอยากรู้

“…” คนถูกเรียกมองตอบด้วยสีหน้าสงสัย ตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์แทบไม่กะพริบ พอเห็นอาจารย์หนุ่มมาดนิ่งมีท่าทางอ้ำอึ้ง จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมาสักที ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้ แต่ยังคงสวมหน้ากากไร้เดียงสาทำตาใสซื่อ เมื่อคนเป็นอาจารย์ยังไม่ยอมพูดสิ่งที่ตั้งใจสักที จึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“นั่นน่ะ เป็นยังไงบ้าง” อาจารย์หนุ่มมาดนิ่งถามขณะกำลังแกล้งทำเป็นเก็บของ ไม่ยอมสบตาลูกศิษย์ และไอ้ลูกศิษย์ตัวแสบเลยถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้ ตามองตามมืออาจารย์ที่ทำเป็นยุ่ง อย่างล้อเลียนแล้วถามกลับ

“นั่นไหนครับ”

“คนที่เป็นไข้อยู่บ้านดีขึ้นหรือยัง”

“หายดีแล้วครับ เห็นวันนี้จะลงดำนาเลยฝากพี่สอนช่วยดู”

“อืม”

“ถ้าห่วงก็รีบกลับไปดูสิครับลูกพี่ วันนี้หมดชั่วโมงสอนแล้วไม่ใช่รึไง ฮิๆ ” จรัสชัยหรือไอ้จ๋าทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ ไว้ให้คนเป็นอาจารย์เพียงเท่านั้น ก็รีบเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าก่อนหน้านี้จะกัดกันกับยัยตุ๊ดเผือกเอาเป็นเอาตาย แต่พอเห็นท่าทางของลูกพี่รองแล้วมันก็นึกขำ เด็ดเดี่ยวเก็บของเสร็จพอดีจึงเดินตามออกไป และทันได้เห็นไอ้จ๋ากับคู่จิ้นของมันกำลังกัดกัน เอ๊ย กำลังปรึกษาเรื่องงานกันอยู่หน้าดำหน้าแดง ชายหนุ่มหันไปมองเล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มมีเลศนัย เหมือนส่งกำลังใจให้ทั้งที่สองคนนั้นไม่เห็น แล้วเดินผ่านไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าตึกเรียน

ชายหนุ่มขับรถมุ่งหน้าออกนอกตัวเมืองตรงกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี วันนี้หมดเวลาสอนเพียงเท่านี้ และที่ทำให้อารมณ์ดียิ่งกว่า ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของอาทิตย์นี้ที่เขามีสอน เด็ดเดี่ยวเป็นอาจารย์พิเศษ ที่รับสอนเฉพาะรายวิชาเท่านั้น ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่บรรจุเข้าสอนประจำ และเทอมนี้เขาสอนเพียงวิชาเดียว อาทิตย์หนึ่งจึงสอนแค่สามวัน และเป็นสามวันที่ค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย ทั้งวิ่งสอนหนังสือ ทั้งวิ่งทำธุระให้กำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อ ที่ช่วงนี้ก็ธุระเยอะไม่แพ้กันทั้งงานประชุมต่างๆ ทั้งเด็ดเดี่ยวต้องติดต่อเรื่องเกี่ยวกับผลผลิตจากไร่ และยังมีงานอื่นของตัวเองอีกด้วย จึงทำให้สองสามวันมานี้กว่าจะถึงบ้านในแต่ละวัน ก็ปาเข้าไปค่ำมืดแล้ว และยังเป็นสองสามวันที่เขาไม่ได้เจอไอ้หัวแดงจอมรั้นเลย ตั้งแต่วันที่ไปเฝ้าไข้

บางครั้งเด็ดเดี่ยวก็อดคิดไม่ได้ ว่าตัวเองกลายเป็นพวกถ้ำมองไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่บอกต้นกล้าว่าจะเข้ามาหาตอนเย็นๆ แต่กลับปลีกตัวออกไปไหนไม่ได้เลย เมื่อทำธุระให้พ่อกำนันเสร็จแล้ว คนเป็นพ่อได้รับเชิญให้ไปกล่าวอวยพรงานแต่งงานของคนรู้จัก ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง และเขาก็ถูกพ่อบังคับกลายๆ ให้ไปด้วยกัน กว่าจะเสร็จกว่าจะได้กลับก็ค่ำมืดดึกดื่น แต่กระนั้นส่งพ่อกลับบ้านแล้ว ชายหนุ่มยังมีแก่ใจวนรถขับออกมา เพื่อจอดซุ่มดูอยู่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรี นั่งมองไปยังตัวบ้านที่เจ้าของบ้านคงจะเข้านอนไปแล้ว ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองเป็นเอามาก แต่มันก็ห้ามไม่ได้ เพราะไม่เห็นหน้าขอเห็นแค่หลังคาบ้านก็ยังดี รอยยิ้มจางเผยออกมา เมื่อคิดมาถึงการกระทำของตัวเองในช่วงสองสามวันมานี้ แม้ไม่ได้เข้าไปคุยไปหาต้นกล้า ด้วยว่าเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่ก็ยังขับรถผ่านมาทางนี้เพื่อจอดดูลาดเลาหน้าบ้านทุกคืน วันนี้เสร็จธุระเร็ว เลยกะว่าจะแวะคุยกับอีกคนให้หายคิดถึงสักหน่อย

หืม! คิดถึงอย่างนั้นหรือ? แค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดีอย่างนั้นหรือ เกิดอะไรขึ้นกับกูวะ!

************************

“นี่ของนาย”

“อะไรทำไมของฉันเยอะกว่า”

“นี่ก็แบ่งกันคนล่ะครึ่งแล้วนะ ทำให้เสร็จภายในอาทิตย์หน้าแล้วเอามาให้ฉัน”

“แล้วทำไมต้องทำตามคำสั่งเธอด้วยยัยตุ๊ดเผือก”

“เพราะเราจับคู่กันไงนายตอตะโก” พูดจบก็สะบัดหน้าให้คนที่เรียกว่าตอตะโก เพราะผิวดำคล้ำแดด สองขาเตรียมเดินออกไปจากตรงนั้น

“เดี๋ยวๆ ” ไอ้จ๋ารั้งข้อมือเล็กๆ ผอมๆ ของยัยตุ๊ดเผือกไว้ แต่มันคงดึงแรงไปหน่อย ร่างผอมบางเลยถึงกับซวนเซทีเดียว

“โอ๊ย อะไรอีก เรียกดีๆ ก็ได้ทำไมต้องดึง ปล่อยเลยนะ”

“อยากจับตายล่ะ”

“โอ๊ย” ไอ้จ๋าบอกพลางสะบัดข้อมือเล็กที่มันยืดเอาไว้ ให้ออกจากมือตัวเองอย่างแรง จนคนที่มันเรียกว่ายัยตุ๊ดเผือกร้องเสียงหลงกันเลยทีเดียว “มาจับมือเค้าทำไมล่ะ แล้วทำไมไม่ปล่อยดีๆ ทำไมต้องสะบัดแรงขนาดนี้มันเจ็บนะรู้ไหม แรงควาย คนบ้านี่”

“พอ! เงียบ!” ปากบางๆ สีแดงระเรื่อมันวาวเพราะชโลมด้วยลิปกรอสจนชุ่มฉ่ำ หุบฉับลงทันทีที่ไอ้จ๋าสั่งเสียงเข้ม พร้อมกับมือที่ยกขึ้นมาชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง “เธอชื่ออะไร”

“ชิ” ปากบางแบะออกเมื่อสะบัดหน้าหันไปทางอื่น

“เออสะบัดให้คอเคล็ดกันไปข้างหนึ่งเลยก็ดี” ไอ้จ๋าส่งเสริมเมื่อถูกสะบัดหน้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนอีกคนก็ไม่สนใจตอบคำถาม ยืนก้มหน้าลูบข้อมือตัวเองที่ขึ้นริ้วแดงป้อยๆ เพราะยังไม่หายเจ็บ ไอ้จ๋ามองตามมือเรียวที่ลูบแขนตัวเอง สิ่งที่เห็น เล่นเอาใจสุภาพบุรุษบ้านนาของมัน เกิดแป้วลงไปโขทีเดียว

นี่มันเผลอทำรุนแรง กับ กับ..? .

ไอ้จ๋ามองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จะจำกัดความว่าอย่างไรดี ไอ้ครั้นจะเรียกออกมาเหมือนตอนแรกก็ชักพูดไม่ออกแล้ว เพราะดูท่าทางอ้อนแอ้นอ่อนช้อยอรชร เหมือนกุลสตรีที่แม่พับรีดมาอย่างประณีต แต่พอคิดถึงตอนที่อีกคนอ้าปากพูดต่อว่าออกมา มันก็แทบลืมความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเองเลยในทันที

“เธอชื่ออะไร” คราวนี้ไอ้จ๋ามันเอามือกอดอกยืนจังก้าถามอย่างเอาเรื่อง โดยไม่เอะใจเลยว่าทำไมอีกคนถึงรู้ชื่อของมัน ตอนนี้ไม่รู้จะเรียกว่าหงุดหงิดหรือโมโหดี เพราะแทนที่จะตอบคำถาม คนตัวผอมบางกลับเอาแต่ทำหน้างอปากยื่น ราวกับเป็นคนรักที่ถูกมันขัดใจก็ไม่ปาน

“นี่” ไอ้จ๋าเสียงเข้มขึ้น “ชื่ออะไรนะเราน่ะ”

“ออเรนจ์”

“ห๊า อะไรนะ” ไอ้จ๋าตาโตเพราะไม่คิดว่าจะมีคนชื่อแบบนี้

“ออเรนจ์ไงชื่อฉัน” ยัยตุ๊ดเผือกตอบชัดถ้อยชัดคำ

“นี่ชื่อพ่อแม่ตั้งให้เหรอ ทำไมไม่รู้จักหาชื่อที่มันเรียกง่ายๆ หน่อยวะ”

“อย่ามาว่าเค้านะใครจะไปชื่อเฉิ่มเหมือนนายกัน”

“ชื่อจ๋าไม่ได้ชื่อเฉิ่ม “

“เออ นั่นล่ะผู้ชายอะไรชื่อจ๋า แหวะ”

“ชื่อตัวเองดีตายล่ะ”

“ดีสิ ออเรนจ์ แปลว่าส้ม ส้มที่มีทั้งรสเปรี้ยวรสหวานชิมแล้วจะติดใจ แต่นายคงไม่มีบุญได้ชิม”

“อ้วก”

“ไม่เป็นสุภาพบุรุษ”

“เป็นเฉพาะบุคคลเถอะ สำหรับเธอยกเว้นละกัน”

“ชิ คนบ้านี่”

“ตกลงว่าอาทิตย์หน้าเอางานมารวมกัน”

“ใช่ ถ้านายเบี้ยวนะฉันจะตามให้ถึงบ้านเลยคอยดู” ออเรนจ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“โอ๊ยอย่าไปรังควานกันเลยแม่คุ้ณ...เจอแค่นี้ก็เกินพอแล้ว”

“บ้าปากไม่ดีเดี๋ยวเถอะ”

“ไปล่ะ”

“อย่าลืมนะ”

“เออ” นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ไอ้จ๋ากับออเรนจ์ได้คุยกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้สนใจกันอีกเลย แม้จะมีวิชาที่ต้องเรียนด้วยกัน หรือจะเรียกให้ถูกก็เป็นไอ้จ๋าเอง ที่มันไม่เคยสนใจถามไถ่ มาเรียนก็ตั้งใจเรียน พอเรียนเสร็จมันก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะมีงานมากมายรออยู่ จึงไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครมากนัก เพื่อนที่เรียนด้วยกันที่พอสนิทก็มีอยู่ แต่ส่วนมากก็อย่างที่เห็นคือต่างคนต่างไป และเป็นไอ้จ๋าที่ไม่สนใจใครนอกจากเรียนแล้วรีบกลับบ้าน แต่งานที่ได้รับมอบหมายนี่แหละ ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวชักนำหายนะ (ในความคิดไอ้จ๋า) เข้ามาหามันโดยไม่รู้ตัว

*************************

สายลมยามเย็นพัดมาพาให้ใจสดชื่น หลังจากที่ลุยงานมาทั้งวันก็ได้เวลาเลิกงานสักที วันนี้อะไรหลายอย่างดีขึ้น และนับว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดี แม้จะเล่นเอามือเอาสวยๆ พองจนเจ็บ ตามร่างกายหรือก็ปวดเมื่อยไปหมด และต้องป่วยนอนซมไปสองสามวันก่อนหน้านั้นก็เถอะ แต่ต้นกล้าก็ได้พี่สอนเป็นคนช่วยแนะนำ และสอนสั่งเกี่ยวกับการงานต่างๆ ที่ทำให้เขาเข้าใจอะไรหลายอย่างได้ดีมากยิ่งขึ้น และนำมาต่อยอดจากที่ไอ้จ๋ามันพูดพล่ามเอาไว้ได้อีกเยอะ และถึงแม้ว่าทำงานมันเล่นเอาเหนื่อยไม่น้อย แต่กลับทำให้ต้นกล้ารู้สึกเพลินได้โดยไม่รู้ตัว ความรังเกียจไม่ชอบใจในตอนแรก ถูกแทนที่ด้วยประสบการณ์ใหม่ที่ดูเหมือนว่า จะทำให้ต้นกล้าตื่นเต้นและเกิดความท้าทายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ายิ่งงานหนักและเหนื่อย ยิ่งอยากจะรีบทำให้มันเสร็จเร็วๆ มากกว่ามัวแต่นั่งท้อเหนื่อยและเดียดฉันท์ ทุกอย่างรอบตัวทำให้ต้นกล้าเริ่มที่จะปรับตัวให้กลมกลืน เหมือนมีมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดใจให้ต้นกล้าอยากอยู่ตรงนี้ ท่ามกลางกลางท้องนาและธรรมชาติ พี่สอนนี่สอนดีสมชื่อจริงๆ สอนเข้าใจง่ายและยังสอนหลายอย่าง แถมยังสอนสนุกเป็นกันเองจนต้นกล้าลดความเกร็ง และรู้สึกสนิทใจมากขึ้น พี่สอนสอนดีจนต้นกล้านึกเกรงใจในความเอาใจใส่ สอนด้วยความภูมิใจในสิ่งที่กำลังสอน และสิ่งที่เขาเป็น จนต้นกล้ารู้สึกภูมิใจไปด้วย เมื่อได้ปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ พอคิดมาถึงตรงนี้ไอ้หัวแดงจอมรั้น ที่ใครบางคนแอบเรียกลับหลังก็ยิ้มออกมาน้อยๆ คิดถึงเมื่อเช้าที่เขาลงมาถึงนา โดยมีพี่สอนเดินมาเป็นเพื่อน ปากก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังเรื่อยเปื่อย ซึ่งส่วนมากก็เป็นเรื่องงานไร่งานนา ว่าแต่ละอย่างมีอะไรต้องทำยังไงบ้าง

ต้นกล้าคิดอะไรไปเพลินๆ สองขาก้าวเดินไปตามคันนา เบื้องหน้าเป็นทางเดินพากลับสู่บ้านหลังไม้ใหญ่อันอบอุ่น เมื่อยู่พร้อมหน้า ทิ้งท้องทุ่งนาที่ทำงานกรำแดดมาทั้งวันเอาไว้เบื้องหลัง แต่การกลับไปอยู่คนเดียวก็ให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวไม่น้อย เมื่อเดินผ่านลานไผ่ที่เคยมานอนเล่น จึงคิดว่าแวะพักข้างทางก่อนคงไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังดีกว่ากลับไปอยู่คนเดียว ไอ้จ๋าเองก็คงยังไม่กลับจากในเมือง คิดได้ดังนั้น ต้นกล้าจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังลานโล่ง ที่โอบล้อมด้วยซุ้มกอไผ่และต้นมะม่วง เขาเคยแวะมานอนเล่นในเช้าวันแรกที่มาถึง เปลญวนอันเดิมยังผูกไว้ที่เดิม เหมือนรอการกลับมาของต้นกล้าอยู่เสมอ ทั้งที่ไม่รู้ว่าใครเอามาผูกเอาไว้ แต่ตอนนี้ต้นกล้าขอแสดงความเป็นเจ้าของมันแต่เพียงผู้เดียวก็แล้วกัน สองขาพาร่างอันเหนื่อยล้าเพราะผ่านการดำนามาทั้งวัน เดินตรงเข้าหาเปล ความผ่อนคลายสบายอารมณ์ลอยอยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงที่หมาย สองขาก็พลันต้องหยุดชะงักลงเอาดื้อๆ เมื่อภาพบางภาพในวันเก่าผุดขึ้นมาในหัว ภาพที่ตัวเองกำลังนอนเล่นเพลินๆ แล้วมีใครอีกคนมาด้อมๆ มองๆ ก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้ๆ เล่นเอาต้นกล้าสะดุ้งตกใจ จนทำให้อีกคนเลือดโชกเต็มหน้านั่นเอง

“คึๆ ” นึกขำใครบางคนที่ทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือ จนตัวเองต้องเจ็บตัวถึงเลือดตกยางออก แต่พลันปากสวยก็ต้องหุบยิ้มลงทันที แล้วกวาดตามองรอบๆ ตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความคิดถึงหรือเพราะความหวาดระแวง หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ต้นกล้ายืนชะงักนิ่งไม่กล้าเดินเข้าหาจุดหมาย อย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ในตอนแรก ดวงตากลมโตมองไปรอบบริเวณอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าหวังจะได้เจอใคร หรือกลัวว่าจะมีใครบางคนตามมากวนให้เสียอารมณ์ แต่พอสำรวจแล้วไม่เห็นมีคนอยู่แถวนี้ จึงได้เดินเข้าไปวาดขาข้ามเปลญวน ก้มลงจับชายเปลทั้งสองข้างแยกออกจากกัน แล้วหย่อนก้นนั่งเอนตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์ เจ้าของใบหน้าหล่อใสสไตล์เกาหลียันขากับพื้นให้เปลไกว จากนั้นจึงยกขาขึ้นมาไขว้กันนอนหลับตาพริ้ม เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังออกมาจากลำคออย่างคนอารมณ์ดี สายลมยามเย็นพัดมาเป็นระยะให้ความรู้สึกสบายตัว พอเปลจะหยุดก็เอาเท้าลงมายันทีให้เปลมันแกว่งเบาๆ ไกวไปไกวมาจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้รู้สึกเหมือนเปลที่ไกวอยู่ชนกับอะไรบางอย่าง ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่มีจึงลืมตาขึ้นมาดู

“เฮ้ย” !

“สบายจังนะ”

“แน่นอน” บอกแล้วก็เมินหน้ามองไปทางอื่น เหมือนไม่อยากเห็นหน้าใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างเปล อันเป็นตัวต้นเหตุทำให้มันไกวได้ไม่เต็มที่ เพราะชนเข้ากับต้นขาของคนคนนี้นั่นเอง คนที่บอกจะมาหาก็หายหัวไปตั้งหลายวัน!

“คุยกันก็หันมากมองหน้ากันหน่อยสิครับ”

“...”

“เอ๋า เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“...” เฉย เพราะไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรด้วยจริงๆ เวลานี้ต้นกล้ากำลังพยายามทำให้ตัวเองชินกับการอยู่คนเดียว เมื่ออีกคนมาหาจึงแสดงออกว่าไม่อยากเห็นหน้า ทั้งที่ลึกๆ ก็แอบดีใจที่เขามาจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง เพราะกลัวว่าคนตัวโตจะสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปาก ที่ยากจะบังคับไม่ให้มันยกขึ้นมาได้ แล้วความขุ่นข้องหมองใจที่เคยไม่ชอบหน้ากัน มันหายไปไหนหมดล่ะเจ้ากล้าเอ๊ย!

“นี่ดำนามาเหรอเนี่ย” ถามเมื่อกวาดตามองสารรูปของคนนอนบนเปล ที่เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยคราบโคลนและขี้ตม ถุงเท้าใส่ดำนาที่ยาวถึงเข่ายังไม่ถอดออก เด็ดเดี่ยวไม่ละความพยายาม ถึงแม้อีกคนจะไม่ยอมหันมาพูดด้วยดีๆ ก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะหาเรื่องมาคุย ความเปลี่ยนแปลงของต้นกล้าในวันนี้ กับต้นกล้าในวันแรกที่มาถึงบ้านทุ่งดอกจาน ดูแปลกตาไปมากจนเขาเผลอยิ้มอย่างพอใจไม่รู้ตัว ต้นกล้าที่นอนอยู่บนเปลตอนนี้ ผิดแผกไปจากหนุ่มสำอางที่เขาเห็นในวันแรกราวกับคนละคน

“...”

“เสร็จงานแล้วทำไมไม่ขึ้นบ้านล่ะ จะได้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว” นั่นสิ หากเป็นวันก่อนต้นกล้าคงไม่รีรอ ที่จะรีบไปอาบน้ำล้างคราบไคลสาปโคลนนี่ออกจากตัว แต่ทำไมวันนี้เขาถึงได้ไม่คิดแบบนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายที่เหนื่อยล้าได้สัมผัสกับลมเย็นๆ พาให้ชื่นใจ เลยลืมเรื่องการอาบน้ำชำระร่างกายไปเสียสนิท

“...”

“นี่ดำนาทั้งวันเลยใช่ไหม”

“....”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะ เห็นมาวันแรกๆ แทบไม่อยากลงนาลงตม”

“...”

“ดูวันนี้สิโคลนเต็มตัว อย่างกับ.....อย่างกับอะไนดีนะ”

“...” ถึงขนาดเว้นคำพูดเอาไว้ เพื่อเรียกร้องความอยากรู้อยากเห็นของคนฟัง แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจ เด็ดเดี่ยวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัวไปมาให้คนเอาแต่ใจตัวเอง ยิ่งตอนไม่สบายนี่ยิ่งเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่เด็ดเดี่ยวก็ไม่บ่นหรอกนะเรื่องนั้น เพราะเขาเองก็แอบชอบอยู่เหมือนกันกับความน่ารักขี้อ้อนแบบนี้

“หืม นี่จะไม่คุยกันจริงๆ เหรอ โกรธอะไรให้พี่อีกล่ะ”

ต้นกล้าหลับตาท่าทางสบายอารมณ์ “สำคัญนักนี่”

“อ้าว”

“หลบไปดิ๊ เราจะไกวเปล”

“หรือโกรธที่พี่ไม่ได้เข้ามาหลายวัน”

“โอ๊ยจะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ได้สนใจเลย หลีกๆ หลีกทาง”

“จริงเหรอ”

“ที่ถามนี่จะเอายังไงไหนพูดดีๆ ซิ”

“ก็ไม่เอายังไง พี่แค่มาดูว่าเป็นไงบ้าง แวะมาคุยด้วยเฉยๆ “วันที่บอกจะมาไม่เห็นมา แล้วก็หายไปตั้งหลายวัน อยู่ๆ นึกอยากจะมาก็มาอย่างนี้เหรอ ต้นกล้าเหลือบมองใบหน้าคมคร้าม แล้วแสยะปากบอกให้รู้ว่าเขาไม่ชอบใจ

“ไม่ต้องแวะหรอก ที่นี่ไม่มีใครอยากคุยด้วย”

“อืม ก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือน” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด พลางพยักหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังทำความเข้าใจในความไม่เป็นที่ตอนรับของตัวเอง

“เหรอ ถ้าคิดเองเป็นแล้วก็ไม่ต้องรอให้บอกสิ หลีกหน่อยเราจะไกวเปล” ต้นกล้าเอาเท้ายันพื้นให้เปลไกวไปชนกับต้นขาแข็งแรงของคนที่ยืนข้างๆ เป็นการบอกว่าคนตัวโตกำลังขวางทางเขาอยู่ ซึ่งเด็ดเดี่ยวเองก็รู้ล่ะนะ และที่ยืนตรงนี้ก็เพราะตั้งใจกวนคนนอนนั่นล่ะ

ต่อจ้า....
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:30:10


“หึๆ ”

“โรคจิตหรือไง หลีกซะทีสิ”

“มาพี่ไกวให้” เด็ดเดี่ยวไม่สนที่ถูกไล่ แต่ขยับถอยออกไปอีกเล็กน้อย สองมือรวบเชือกที่ใช้ผูกหูเปลเข้ากับไผ่ต้นใหญ่กำเอาไว้แน่น แล้วเริ่มไกว

“ไม่ต้อง!” วืด...

“น่าเดี๋ยวสนุก” วืด...

“อย่าไกว” ต้นกล้าปรามเสียงเข้มสองมือกำขอบเปลแน่น เมื่ออีกคนไกวแรงจนเปลลอยขึ้นสูงกว่าเดิมเรื่อยๆ

“ฮ่าๆ ” วืด...

“เฮ้ย มันเร็วไป” ...

“สนุกไหม” วืด...

“พอๆ มันสูงไป” วืด...

“ฮ่าๆ ” วืด...

“พอๆ อ๊ากกก พอเดี๋ยวนี้” วืด...

“เอาเร็วกว่านี้ใช่ไหม” แต่ละประโยคสั้นๆ ที่ทั้งสองพูดกันมันตามมาด้วยเปลที่ถูกไกวแรงขึ้นและเร็วเรื่อยๆ เมื่อความเร็วของเปลเพิ่มขึ้นความสูงก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย ต้นกล้าถูกเหวี่ยงจนแทบเวียนหัว จึงร้องเสียงหลงเพราะระดับของเปลมันสูงขึ้นมากจนน่าตกใจ

“ม่าย หยุดเดี๋ยวนี้” วืด...

“ฮาๆ ”

“หยุดไอ้พี่เดี่ยว หยุดโว้ย หยุด” วืด... “อ๊ากกกก” ปิ้ว... ตุบ! แอก!!

“เฮ้ย! “เด็ดเดี่ยวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นร่างของของต้นกล้าลอยไปตามแรงเหวี่ยง ที่เขาเป็นคนทำมันเองอย่างคะนองมือ เพราะเชือกที่ผูกหูเปลอีกด้านขาด ร่างของคนบนเปลจึงลอยละลิ่วไปหล่นตุบจมลงบนกองฟาง ส่วนคนที่เหลือแค่เชือกกับเปลในมือยืนแข็งทื่อตาค้างกับผลงานตัวเอง หลังจากที่อุทานออกมาคำเดียวปากก็ทำได้แค่อ้าพะงาบๆ อยู่อย่างนั้น และกว่าจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตอนได้ยินเสียงสบถเสียงด่าลั่นออกมาจากกองฟางนั่นล่ะ

“ไอ้คนบ้า ไอ้บ้า ไอ้คนหน้ามึน ไอ้บ้า บ้าบอที่สุด ปัดโธ่เว้ย อ๊าก” และเศษฟางที่ลอยกระจายคลุ้งในอากาศ จากการระบายอารมณ์ของคนที่ถูกเหวี่ยง บอกได้เป็นอย่างดีว่าชีวิตของเด็ดเดี่ยวอาจจะกำลังไม่ปลอดภัย และนั่นมันเหมือนเป็นสัญญาณเรียกให้เจ้าของผลงานได้รู้สึกตัว

“ต้นกล้า!” เด็ดเดี่ยวได้สติวิ่งไปยังฟางกองโต ที่ต้นกล้าลอยมาตกได้พอดิบพอดีด้วยความเป็นห่วง เพราะต้นกล้าหล่นหายเข้าไปในนั้นจนฟางท่วมมิดหัว สองมือตะกุยตะกายเศษฟางออกอย่างร้อนรน จนมันกระจายว่อน เพื่อหาตัวหลานชายของคุณยายประไพศรี ในใจได้แต่หวังว่าอีกคนคงไม่เจ็บตัวหรือเป็นอะไรมากนัก โชคดีหล่นลงมาบนกองฟางนุ่ม

“เป็นยังไงบ้างเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เด็ดเดี่ยวคุ้ยจนเจอร่างสูงโปร่งที่อยู่ลึกในกองฟาง พยายามดึงออกมาอย่างทุลักทุเล ส่วนต้นกล้าที่กำลังโมโหสุดขีดก็ไม่ยอมให้อีกคนช่วยดีๆ เพราะทั้งดิ้นทั้งถีบอีกคนออกห่าง

ตุบ!

“โอ๊ย ถีบพี่ทำไม”

“ปล่อยเรา”

“มาพี่ช่วย”

“ปล่อยเราโว้ย ปล่อยเราไอ้คนบ้า”

“อย่าดิ้น เฮ้ย”

“โอ๊ย” เพราะพื้นที่ยืนก็เป็นฟางนุ่มๆ พอเด็ดเดี่ยวตะกุยฟางออกจนเจอตัวต้นกล้าก็รวบกอดเอาไว้ หวังจะช่วยรั้งให้ลุกขึ้น แต่ความอ่อนนุ่มของฟางที่ทับถมหลายชั้น เหยียบลงไปมันก็ไม่มีความมั่นคง เลยเสียหลักล้มกลิ้งมาด้วยกัน

“ทำอะไรวะ”

“ก็จะช่วย ฮ่าๆ ” พอหันมาบอกเด็ดเดี่ยวก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ในอ้อมกอดตอนนี้ นอกจากหน้าตาจะบึ้งตึงแล้ว ผมแดงๆ นั่นยังยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แถมยังเต็มไปด้วยเศษฟางข้าว ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน และต้นกล้าก็เห็น แต่ตอนนี้เขาหัวเราะไม่ออก เพราะความโกรธมันมีมากกว่า

“ไม่ขำนะโว้ย ปล่อยเรา”

“พี่มาช่วย”

“มาช่วยหรือมาทับนี่ลุกออกสิมันหนักนะ”

“เอ่อ ขอโทษ” เด็ดเดี่ยวหน้าเจื่อนลงเพราะจากที่คิดว่าจะมาช่วยอีกคน แต่ตอนนี้กลับนอนคร่อมทับร่างโปรงบางกว่าแถมยังกอดเอาไว้เสียแน่น

“ขอโทษก็ปล่อยเราสิทับอยู่ได้มันหนัก”

“เปล่า ขอโทษที่ไกวเปลแรงน่ะ หึๆ ”

“ทีตอนทำไม่คิด” ต้นกล้าหัวใจแทบวายกับการกระทำของเด็ดเดี่ยว ได้แต่พยายามระงับความฉุนโกรธที่มันพุงขึ้นจนแทบระเบิด ยิ่งเห็นเจ้าของใบหน้าคมคร้ามแดดพูดคำว่าขอโทษ ทั้งที่อมยิ้มยิ่งหงุดหงิดและโมโห หน้าใสจึงตึงฉับโดยไม่ต้องฉีดโบท็อกกันเลยทีเดียว ส่วนเด็ดเดี่ยวพอเห็นแบบนั้น ก็หุบยิ้มเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังดูจริงใจขึ้นมาทันที

“ขอโทษ” ใบหน้าหล่อเกาหลีที่ขาวใสขึ้นสีระเรื่อ เป็นเพราะว่าทำงานกลางแดดร้อนๆ มาทั้งวันหรอกนะ ไม่ใช่เป็นเพราะคนที่นอนคร่อมทับอยู่บนตัว และกำลังจ้องมองดวงตากลมโตสีดำขลับของเขาเลยจริงๆ ไม่ใช่เพราะอีกคนเงียบ แล้วเอาแต่กวาดตามองไปทั่วใบหน้าของต้นกล้าในระยะประชิด หลังจากที่บอกขอโทษออกมาด้วยเสียงนุ่มและอ่อนโยน แถมมือยังช่วยเก็บเศษฟางข้าว ที่มันติดอยู่ตามหน้าตามผมออกให้ด้วย มันไม่ใช่เพราะการกระทำเหล่านี้ของเด็ดเดี่ยวเลยจริง จริ๊ง

“ขอโทษก็ขยับไปสักทีมันหนัก แล้วอย่าหวังว่าครั้งนี้เราจะยกโทษให้”

“พูดเหมือนที่ผ่านมาพี่เคยทำให้ต้นกล้าโกรธอย่างนั้นแหละ” หนอยถามมาได้หน้าตาเฉย ต้นหล้าขบริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างขัดใจ เมื่อเด็ดเดี่ยวพูดออกมาแบบนั้น เหมือนไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง แล้วไหนจะการที่แกล้งถามแต่ยังไม่ยอมขยับตัวลงไปตามที่บอกนี่ด้วยอีก เนียนจริงๆ ไอ้คนหน้ามึน!

“เหอะพูดมาได้เนอะ ปล่อยเลยๆ “ต้นกล้าดิ้นเพื่อให้หลุดจากการถูกทับ แต่คนที่กำลังทับด้วยร่างกายที่ใหญ่โตกว่า กลับรู้สึกถึงแต่ร่างกายที่กำลังแนบชิดกัน คนโกรธนั้นไม่ได้สนใจอะไร นอกจากจะต้องพาตัวเองให้หลุดไปจากคนหน้ามึนคนนี้ นี่มันอะไร หายไปตั้งหลายวันบทจะมาก็มาเอาดื้อๆ แถมยังจะมาแกล้งให้เขาเจ็บตัว ถึงจะตกลงมาบนกองฟางนิ่มๆ ที่ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ก็เถอะนะ เอาเป็นว่ามันเจ็บก็แล้วกัน เจ็บใจไง!

เด็ดเดี่ยวเล่นแรงจนคนขวัญอ่อนอย่างต้นกล้า ต้องตกใจร้องแทบไม่เป็นภาษา แต่คืออะไรกับการที่ไม่สำนึกผิดอย่างที่ได้เอ่ยปากขอโทษ แล้วยังมีหน้ามากวาดสายตามองหน้าเขาไปทั่วอย่างนี้ นี่ไม่รู้หรืออย่างไรว่าแววตาแบบนั้น มันทำให้คนโดนจ้องทำตัวไม่ถูก เหมือนกับถูกดวงตาแวววาวคู่นั้นสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งรอ แล้วจ้องมองตอบ ตาสบตากับความห่าง ที่ห่างแค่สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นเป่ารดผิวเนื้อ รู้ไหมว่ามันทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วไหนจะระยะห่างที่ค่อยๆ ลดสั้นลงเรื่อยๆ จนความอึ้งค้างเปลี่ยนเป็นความสงสัย เมื่อสายตาคมที่สบตาละไปมองต่ำกว่า แล้วจับจ้องที่ริมฝีปากสวยสีแดงเรื่อฉ่ำวาว จากการที่เจ้าตัวเผลอเม้มแล้วแลบลิ้นออกมาเลียโดยไม่รู้ตัว นั่นยิ่งทำให้คนมองใจสั่น ความรู้สึกถูกสะกิดจนสะท้านไปหมด

ต้นกล้าพยายามบังคับจังหวะการหายใจเข้าออกของตัวเอง ให้อยู่ในระดับที่ปกติ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากเหลือเกิน เพราะความชิดใกล้ที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าอีกคนตั้งใจหรือไม่ รู้สึกถึงความอุ่นของเนื้อที่แนบเนื้อ ตั้งแต่หน้าอกลงไปจนทำอะไรไม่ถูก ในหัวบอกว่าอย่าอยู่นิ่งๆ แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ ทำไมร่างกายเขาถึงได้ดื้อแพ่งไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว ใจดวงน้อยสั่นไหวกับระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆ มือสองข้างที่กำแน่นดันไหล่กว้างของอีกคนไว้เริ่มออกแรงขืน

“ชู่..อยู่นิ่งๆ ก่อน”

“จะ..”

“เงียบก่อน” ต้นกล้าเงียบตามที่คนตัวโตบอกไม่ใช่ทำตามคำสั่ง แต่เป็นเพราะแววตาที่สบมองให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น ที่มันซึมซับเข้าสู่ส่วนลึกในใจนั้นต่างหาก ทำให้คนที่เคยเอาแต่ดื้อรั้นในยามปกติ ยอมเงียบปากและอยู่นิ่งๆ ต้นกล้าสบตามองตอบด้วยความสนใจ ว่าคนตัวโตจะทำอย่างไรต่อ

มือใหญ่ปัดเศษฟางชิ้นเล็กๆ ที่อยู่บนแก้มนวลแดงระเรื่อยออกให้อย่างเบามือ ต้นกล้าใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น เมื่อคนที่ทาบทับอยู่บนตัวหลุบตาลงมองต่ำที่ปากสวย ซึ่งนั่นมันเหมือนเป็นการกระตุ้นความรู้สึก และเลือดในกายให้สูบฉีดได้ดียิ่งนักสำหรับเด็ดเดี่ยว ยิ่งคนตัวเล็กกว่าหยุดดิ้นหยุดถามอย่างว่าง่าย เหมือนให้ความร่วมมือ เขาก็ยิ่งดูเหมือนได้ใจ ลดระยะห่างระหว่างใบหน้าลงอีก ด้วยการก้มลงหวังจะชิมกลีบปากสวยสีระเรื่อตรงหน้า อย่างที่ใจเรียกร้อง แต่ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะได้แนบชิดกับกลีบปากสวย ทุกอย่างพลันหยุดนิ่ง ร่างโปร่งภายใต้การกักกันสะดุ้งแรง..

“ลูกพี่” !!

“ลูกพี่กล้าคร้าบ”

“แถวนี้ไม่มีหรอกไอ้จ๋า กล้าขึ้นนาก่อนกูอีก”

“ไม่มีแล้วลูกพี่จะหายไปไหนเล่าพี่สอน ที่บ้านก็ไม่มีนะ”

“นั่นกูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูเห็นกล้าเดินกลับเรือนแล้วนะมึง”

“ก็ที่เรือนไม่มีอะพี่”

“แล้วจะหายไปไหนได้ล่ะวะ”

“นั่นสิ เอ๊ะใครมันบังอาจทำเปลไอ้จ๋าขาดวะเนี่ย” ไอ้จ๋าเดินไปที่เศษเปลขาดถูกทิ้งไว้บนพื้น นี่เป็นเปลที่มันเองเป็นคนหามาผูกไว้ เผื่อเวลาหลบมานอนเล่นเพลินๆ หรือมานอนเฝ้าข้าวหลังเก็บมารวมกันที่ลาน

“ก็เปลมันเก่าแล้วมีคนมานอนมันก็ต้องขาดเป็นธรรมดา ขาดแล้วก็หาอันใหม่มาผูกก็ได้”

“ได้ไงล่ะพี่สอน นี่มันของรักของหวงไอ้จ๋าเลยนะเว้ยพี่”

“เออ แล้วไงล่ะก็มันขาดไปแล้วมึงจะอะไรนักหนา”

“แล้วใครทำขาดวะพี่”

“ถามกูแล้วมึงจะให้กูไปถามใครไอ้ห่านี่ เดินมาด้วยกัน”

“เอ๋าก็เผื่อพี่รู้เนาะ ไม่ไหวเลยไอ้จ๋าไม่อยู่วันเดียวลูกพี่ก็หายเปลก็ขาด ที่นี่ไม่มีไอ้จ๋าสักวันไม่ได้เลยใช้ไหมวะพี่สอน วุ่นวายไปหมดเลยเนี่ย”

สอนแบะปากนึกอยากเขกหัวไอ้จ๋าแรงๆ สักที “แหมมึงนี่ก็ช่างเป็นคนสำคัญจริงๆ เลยเนาะ ไอ้ผีบ้า”

“คอยดูนะรู้ว่าใครมันทำเปลไอ้จ๋าขาดจะสั่งสอนให้จำยันชาติหน้าเลยว่ะ”

“ไปเลยไป ไปตามหาลูกพี่มึงต่อเลย”

“ฮ่าๆ ไปแล้วๆ ” ไอ้จ๋าหัวเราะร่าเสียงดังเมื่อถูกพี่สอนถีบก้นงามๆ ของมันไปหนึ่งที ข้อหากวนเกินคน เมื่อไอ้จ๋าเดินออกไปแล้วพี่สอนก็เดินตามไปบ้าง พลางส่ายหัวให้ความเกรียนของมันอย่างอ่อนใจ

“อื้อ” เมื่อไอ้ตัวขัดจังหวะออกไปแล้ว คนที่ถูกบังคับให้เงียบด้วยการปิดปากด้วยมือใหญ่ก็เริ่มดิ้น เพื่อให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการร้อนๆ นี้ เพราะทั้งสองยังอยู่ในท่าเดิมที่ร่างกายใหญ่โตกว่าทาบทับคร่อมบนร่างโปร่ง แขนข้างหนึ่งของเด็ดเดี่ยวยังสอดรองใต้แผ่นหลังของต้นกล้า และกอดกระชับเอาไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างก็ปิดปากสวยเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา

เด็ดเดี่ยวทิ้งศีรษะลงข้างๆ หันหน้าเข้าหาต้นกล้า จมูกโด่งจึงอยู่ข้างแก้มใสเพื่อตอกย้ำความชิดใกล้ มันชิดมากจนอีกคนนอนตัวแข็งทื่อ ความจริงแล้วต้นกล้าเองก็ไม่คิดจะส่งเสียง หรือเรียกสองคนนั่นให้รู้หรอก ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน เพราะถ้าไอ้จ๋าหรือใครอื่นมาเห็นเขากับเด็ดเดี่ยวในสภาพนี้ คงได้เป็นเรื่องให้คุยยาวแน่นอน แต่ทั้งสองร่างที่น้ำหนักรวมกันแล้วก็ร่วมร้อยกว่ากิโลนั่น ช่วยได้เป็นอย่างดี เพราะมันจมลงไปในกองฟางเสียลึก และยิ่งก่อนหน้านี้ที่ต้นกล้าดิ้นเอาเป็นเอาตาย ยิ่งทำให้ทั้งสองจมลงไปในกองฟางมากยิ่งขึ้นจนมองไม่เห็น เพราะฟางบางส่วนทับเอาไว้ท่วม แบบนี้ถ้าไม่ส่งเสียงบอกว่ามีคนอยู่ หรือไม่เดินเข้ามาแหวกฟางออกดูก็ไม่มีใครรู้ใครเห็นว่ามีคนอยู่แน่นอน

“ปล่อยเราสิ” ต้นกล้ากระซิบบอก เพราะถูกทาบทับจึงไม่รู้ว่าสองคนนั่นเดินไปไกลแค่ไหนแล้ว กลัวว่าหากทำเสียงดังคนอื่นจะได้ยิน แล้วรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้กับคนบ้านี่ ส่วนเด็ดเดี่ยวได้ยินเสียงดุนั่นแทนที่จะทำตามกลับยังนิ่งเฉย หรือว่าเขาจะไม่ได้ยินมันกันแน่ หรืออาจจะได้ยินแต่ไม่สนใจ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด และความรู้สึกบางอย่าง ที่สรุปแล้วคือไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพราะความใกล้ชิดที่ได้สัมผัสไออุ่นจากร่างในอ้อมแขน ทำให้เขาตกอยู่ในห้วงความภวังค์เบลอๆ ไหนจะกลิ่นอ่อนๆ ที่หอมละมุนอันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของต้นกล้า ปนมากับกลิ่นเหงื่อนั่นอีก ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกไป เหมือนมีอะไรบางอย่างมาเร้าให้อยากฟัดแก้มใสนั่นให้สมใจสักที

“เด็ดเดี่ยว” เฮือก! เสียงดุๆ ทำให้เจ้าของชื่อหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเองได้สักที เพราะต้นกล้าเรียกเขาด้วยชื่อเต็มอย่างเอาเรื่อง ทั้งที่ไม่เคยเรียกแบบนี้มาก่อน ยิ่งทำให้เด็ดเดี่ยวทำอะไรไม่ถูก เพราะต้นกล้ามองเขาตาเขียวปัด

“อะไร” ยังจะมาถามหน้าตาเฉยอีก ต้นกล้าจึงจ้องอีกคนเขม็งกัดฟันเอาไว้อย่างข่มความโกรธ ที่เริ่มกรุ่นขึ้นมาในใจ

“ปล่อยเราสิโว้ย” อึดอัดเพราะรับน้ำหนักของเด็ดเดี่ยวนานเกินไป จึงต้องบอกเสียงแข็ง พร้อมกับดันร่างกายหนาหนักออกจากตัว ความอดทนที่มีน้อยนิดหมดสิ้นลงทันที เด็ดเดี่ยวทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ยอมพลิกตัวนอนหงาย พลางปัดเศษฟางที่ถมทับอยู่ออกจากหน้าตัวเองด้วย

“นี่”

“อะไรอีก”

“แขนด้วยเอาออกไป” ใช่เด็ดเดี่ยวพลิกตัวนอนหงายไปแล้ว แต่แขนที่สอดอยู่ใต้ลำตัวของต้นกล้าก็ยังอยู่ที่เดิม แต่ถึงจะได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวยังทำเป็นนอนมองท้องฟ้าหน้าตาเฉย

“ฟ้าสวยเนอะ” นั่นเห็นไหมว่าเด็ดเดี่ยวทำเป็นเนียนได้ตลอด พูดออกมาได้หน้าตาเฉยยังไม่พอ ท่อนแขนที่ถูกทับอยู่ตรงแผ่นหลัง ยังขยับขึ้นมารองที่ท้ายทอยของต้นกล้าให้เนียนเข้าไปอีก จนได้องศาที่เหมาะพอดี และเหมือนกับว่าคนที่ถูกยัดเยียดท่อนแขนให้นอนหนุนรู้สึกสบาย จนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านั้นบอกให้เขาเอาแขนออก คนหนึ่งนอนเอาแขนข้างหนึ่งรองใต้ศีรษะตัวเอง ส่วนแขนอีกข้างกางให้อีกคนนอนหนุน เพื่อมองท้องฟ้าสดใสด้วยกันในกองฟาง

“..”

“อยู่กรุงเทพเคยนอนมองฟ้ายามเย็นสวยๆ แบบนี้บ้างหรือเปล่า”

“...” ต้นกล้าเงียบไม่คุยด้วยแต่สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่ประดับด้วยเมฆก้อนใหญ่สลับบางช่วง ที่ยังดูปลอดโปร่งสดใสอยู่พอสมควร แต่ท้องฟ้าแบบนี้แหละบอกได้เป็นอย่างดีว่าค่ำนี้มีฝนแน่นอน

“สวยนะว่าไหม” พูดจบเด็ดเดี่ยวก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กลั้นเอาไว้แล้วค่อยๆ ปล่อยออกมา เหมือนกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แสนสดชื่น ต้นกล้าหันมามองเสี้ยวหน้าของคนที่นอนยิ้มตามองฟ้าอยู่ข้างๆ แล้วหันกลับไปมองยังท้องฟ้าเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างเห็นด้วย แต่ก็ยังไม่ตอบคำหรือคุยกับเด็ดเดี่ยว ที่ดูเหมือนว่าจะพูดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน

“..”

“คิดว่าตัวเองจะเป็นชาวไร่ชาวนาได้จริงๆ หรือเปล่า”

“...”

“งานหนักแบบนี้จะทนได้ไหม”

“...”

“วันนี้ดำนาช่วยคนงานทั้งวันเลยเหรอ”

“..”

“เหนื่อยหรือเปล่าครับ”

“...”

“อะ อ้าว” เด็ดเดี่ยวพลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางต้นกล้า แต่ดูเหมือนว่าอีกคนคงไม่รอ เพราะคงถูกลมยามเย็นและอากาศสดชื่นกล่อมจนหลับไปแล้ว ชายหนุ่มมองด้วยแววตาอ่อนโยนและยิ้มออกมาบางๆ นี่คงจะเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน พอได้ที่สบายเลยหลับไปง่ายดายแบบนี้

เด็ดเดี่ยวนอนมองเสี้ยวหน้าขาวใสเงียบๆ ใบหน้าที่มองมุมไหนก็ไม่เคยเบื่อ แก้มใสที่จับสีแดงระเรื่อเพราะคงจะอยู่กลางแดดมาทั้งวัน ดึงดูดสายตาจนแทบไม่อยากหันไปมองทางอื่น เสี้ยวหน้าหล่อใสมองยังไงก็ไม่มีเบื่อ ยิ่งมองยิ่งเพลินยิ่งมองยิ่งหลงจมอยู่กับความรู้สึกสับสนของตัวเอง เขายังไม่รู้ตัวว่ามันคืออะไร คิดว่าขอแค่ได้มองก็พอ แต่ครั้นจะนอนเฝ้าและมองมากไปกว่านี้ก็คงไม่ได้ เพราะฟ้าเริ่มมืดและครึ้มเข้ามาแล้ว ถ้ายังโอ้เอ้อยู่อย่างนี้เป็นได้เปียกจนจับไข้อีกเป็นแน่แท้ เด็ดเดี่ยวตัดสินใจว่าเขาควรจะปลุกต้นกล้าได้แล้ว แต่เมื่อเห็นอีกคนกำลังนอนสบาย กับลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ ก็ให้เกิดอยากนอนมองคนหลับอยู่อย่างนี้ไปนานๆ ฟ้านี่ก็ช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ชายหนุ่มได้แต่แอบบ่นให้ฟ้าอยู่ในใจ ที่ไม่รู้ว่าจะรีบมืดรีบครึ้มมาไล่กันเร็วอย่างนี้ทำไมนักหนา ขอเวลาอีกสักหน่อยไม่ได้หรือไงคนกำลังมีความสุขนะครับ

ใช่สำหรับเวลาแห่งความสุขของคนเรามักจะมาเร็ว และมักจะจากไปเร็วเสมอ คิดมาถึงตรงนี้เด็ดเดี่ยวก็เผลอยิ้มออกมาคนเดียวอีกแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกมีความสุขแบบนี้ แค่นอนมองหน้าเท่านั้นเอง แต่เวลาดีๆ อย่างนี้มันมักจะสั้นและฟ้าก็ไม่เป็นใจ เด็ดเดี่ยวจ้องมองแก้มใสของอีกคน สลับกับกวาดตามองไปทั่ววงหน้าของคนหลับ แล้วกลับมาที่แก้มใสข้างนั้นอีกครั้งอย่างชั่งใจ เขากำลังชั่งใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาลังเล หรืออาจจะเพราะสับสน หรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ตอนนี้เขาอยากทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจากนั้น...

ฟอด เขากลายเป็นหัวขโมย ที่แตะปลายจมูกลงบนแก้มใสเพียงเบาๆ เพราะกลัวเจ้าของแก้มจะตื่นมาโวยวาย แต่ก็รอดตัวไป เพราะสัมผัสนั้นผิวแผ่วอ่อนโยนมาก จนไม่สามารถปลุกให้ต้นกล้าที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันตื่นได้

“ต้นกล้า” รู้สึกอยู่นะว่าเสียงของตัวเองมันอ่อนโยนมากแค่ไหนเมื่อเอ่ยเรียก

“ต้นกล้า” แต่พอเรียกอีกครั้งเสียงมันก็ยังเป็นโทนเดิมอย่างไม่ตั้งใจอยู่ดี และยังคงเรียกชื่อเล่นของของอีกคนแบบเต็มๆ เหมือนเดิมด้วย ไม่รู้ทำไมแต่ได้เรียกแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีทุกครั้ง แม้ว่าคนถูกเรียกจะโกรธอยู่ก็ตามเถอะ “ต้นกล้า”

“อืม”

“ตื่นเถอะฝนจะตกแล้ว”

“อืม” ถึงจะส่งเสียงตอบรับออกมาจากลำคอ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น ไม่ได้การล่ะมองไปทางภูเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ มันมืดมาแล้ว ทางนั้นฝนคงเริ่มลงและอีกไม่นานทางนี้ก็คงไม่ต่างกัน

“ต้นกล้า ฝนจะตกแล้วนะตื่นได้แล้วนอนตอนนี้เดี๋ยวปวดหัว”

“โอย อะไรกันนักกันหนา เฮ้ย ทำอะไร “

“ก็ปลุก กลับบ้านกัน”

“แล้วมันต้องเอาหน้ามาใกล้กันขนาดนี้เลยหรือไง”

“ก็ เอ่อ”

“ถอยไปดิ”

“ก็หนุนแขนพี่อยู่ให้ถอยได้ยังไงล่ะ “นั่นทำให้ต้นกล้าลุกขึ้นนั่งมองค้อนคนตัวโตกว่าจนตาเขียว มือก็เกายุกยิกไปตามคอตามแขน ทำให้เด็ดเดี่ยวต้องลุกตาม ท่ามกลางฟางข้าวที่กระจัดกระจายเกลื่อน สองหนุ่มนั่งอยู่ตรงกลางของกองฟางเห็นเพียงช่วงตัวตั้งแต่หน้าอกขึ้นไป ส่วนช่วงล่างยังอยู่ใต้ฟางนุ่มเหมือนเดิม ฉากหลังเป็นภูเขาขาดที่หันชนกัน ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาครึ้มฟ้าครึ้มฝน

ต้นกล้าพยามยามลุกขึ้นจากกองฟางโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่เพราะความนุ่มของฟางที่กองจนสูง จึงทำให้เดินได้ไม่มั่นคง จนต้องไถลตัวลงมาแทน และอีกคนก็ไม่ต่างกัน เมื่อมายืนบนพื้นได้ดีๆ คนตัวโตช่วยปัดเศษฟางที่เกาะตามตัวออกให้ ต้นกล้าจึงได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเด็ดเดี่ยว ที่วันนี้ชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีอ่อน ปลดกระดุมจนถึงกลางอกให้เห็นขอบเสื้อกล้ามที่ใส่อยู่ข้างใน กางเกงสแล็คสีเข้มดูเข้าชุดกันพร้อมทั้งรองเท้าหนังอย่างดีสีดำเป็นเงา ดูสุภาพทันสมัย ขัดกับทุกวันที่ชายหนุ่มแต่งตัวปอนๆ ธรรมดาด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนเก่าๆ กับรองเท้าผ้าใบราวกับเป็นคนละคน

“อะไร”

“เปล่า”

“เปล่าอะไรมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดอะไรกับพี่หรือเปล่า”

“บ้าเหรอใครจะไปคิดลง” ต้นกล้าต่อกว่ากลบเกลื่อนที่เผลอมองเด็ดเดี่ยวจนเพลิน เพราะไม่เคยเห็นเขาแต่งตัวแบบนี้มาก่อน นี่หายไปหลายวันพอกลับมาทีการแต่งตัวเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนเลย แต่ทำไมความหน้ามึนไม่เปลี่ยนไปด้วยล่ะ

“ว้าเสียดายเห็นมองตาเป็นมันนึกว่าเพราะพี่หล่อ”

“แหวะ หลงตัวเองที่สุด”

“เอ๊า พูดความจริงรับไม่ได้อีก ฮ่าๆ ” มันก็เป็นความจริงนั่นแหละที่ว่าเด็ดเดี่ยวเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี จนเรียกหล่อและมีเสน่ห์เลยก็ว่าได้ กับใบหน้าที่ดูคมคายแบบไทยๆ ผสมกับผิวสีน้ำผึ้งคล้ำแดดเพราะอยู่กลางแจ้งตลอด ยิ่งทำให้ดูมาดเข้มขึ้น แต่เวลายิ้มกลับดูอ่อนโยนใจดี จนทำให้ใครที่ได้เห็นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเลยทีเดียว หากไม่ติดอคติในใจก็คงยอมรับได้ไม่ยาก และนั่นก็ไม่ใช่กับต้นกล้าแน่นอน สองหนุ่มจ้องกันราวกับกำลังทำสงครามทางสายตา คนหนึ่งสีหน้าและสายตาเหยียดให้คนหลงตัวเอง ส่วนอีกคนที่ภูมิใจในความหล่อจ้องมองตอบกลับด้วยสายตาและสีหน้ากวนอารมณ์ โดยที่ไม่ได้พากันสนใจสิ่งรอบตัวเลย จนกระทั้ง ซ่า

“เฮ้ย ฝนตก”

“หลบฝนก่อน”

“หลบไหนล่ะ”

“ใต้ต้นไม้”

“หลบไหนก็เปียกอยู่ดีถ้าจะตกแบบนี้ พี่ว่าเรารีบวิ่งกลับบ้านเลยดีกว่า”

“งั้นก็ไปสิ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกมากางกันฝนให้ต้นกล้า ที่วิ่งเข้ามาหลบทันทีด้วยเหมือนกัน เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าจะกลับ ทั้งสองก็วิ่งฝ่าสายฝนที่ยังตกไม่แรงมากกลับบ้านไปทันที โดยเด็ดเดี่ยวกางเสื้อตัวใหญ่ออก มีร่างบางของต้นกล้าซุกอยู่ใต้วงแขน แล้วพากันวิ่งไปตามทางไม่นานก็ถึง แต่กระนั้นทั้งสองก็เปียกอยู่ดี

“อูยหนาว”

“เปียกหมดเลย” เด็ดเดี่ยวเอื้อมมือไปปัดปอยผมเปียกๆ ที่ระอยู่ข้างแก้มออกให้ต้นกล้า ที่กำลังวุ่นอยู่กับการถอดรองเท้าถุงเท้า และเสื้อแขนยาวใส่ทำงาน จึงไม่ทันได้หลบมือหวังดีของอีกคน “รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเดี๋ยวจะไม่สบายอีก”

“...” ต้นกล้าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมัวแต่ยืนจ้องหน้าสบตากับดวงตาคม ที่มองตอบมาที่เขาอย่างห่วงใย แม้จะเปียกด้วยกันทั้งคู่ แต่อีกคนก็ยังมีแก่ใจมาคิดถึงเขาก่อน ตั้งแต่ถอดเสื้อออกมากางกันฝนให้ ไหนจะช่วยซับน้ำที่อยู่ตามหน้าตามตัวออกให้อีก ด้วยเสื้อตัวเดิมนั่นแหละ ไหนจะมาถึงแล้วยังบอกให้รีบไปอาบน้ำด้วยกลัวว่าจะไม่สบาย ตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่โดนฝน ตัวเองก็เปียกด้วยเหมือนกันทำไมไม่รีบกลับไปอาบน้ำด้วยล่ะ

“อะไร” เด็ดเดี่ยวถามเมื่อรู้สึกตัวว่าอีกคนกำลังจ้องมองเขาอยู่

“เปล่า”

“อ้าว อีกแล้วนะมีอะไรบอกพี่มาเลย”

“ก็เปล่าไง แล้วจะเอายังไงนี่จะกลับไปอาบน้ำเลยหรือยังไง”

“ไล่อีกแล้ว”

“รู้ตัวว่าไม่เป็นที่ต้องการก็ไปได้แล้วมั้ง”

“งั้นพี่กลับล่ะ”

“หืม” ต้นกล้าเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามด้วยความแปลกใจ เพราะปกติคนตัวโตต้องหาเรื่องยื้อไม่ยอม แต่นี่อะไรคือการยอมกลับไปง่ายๆ ทั้งที่ต้นกล้าเองเป็นคนบอกให้เขากลับไปแท้ๆ แต่ก็ยังไม่วายสงสัยเอง และแล้วความสงสัยก็หายไปทันทีเมื่ออีกคนพูดขึ้น

“พรุ่งนี้เจอกันแต่เช้านะ”

“ห๊า ไม่ตะ...”

“ลูกพี่คร้าบ”

“ไอ้จ๋า”

“ไปไหนกันมาไอ้จ๋าหาซะทั่วไม่เจอ” พอเห็นลูกพี่ไอ้จ๋าก็ยิ้มร่าเดินเข้ามาหา พลางสะบัดร่มในมือไล่น้ำออกไปด้วย ตอนนี้ฝนตกแต่ไม่แรงมาก

“แสดงว่าหายังไม่ทั่วจริงๆ สิถึงไม่เจอ”

“แต่ไอ้จ๋าหาทุกที่แล้วนี่ครับ ทำไมไม่เห็นลูกพี่เลย แล้วนี่ลูกพี่เดี่ยวมาเมื่อไหร่ล่ะครับ ไปแอบอยู่ไหนกันมาเปียกทั้งคู่เลย”

“อยู่...”

“อยู่แถวนี้ล่ะ ฝนตกมันก็เปียกเป็นเรื่องธรรมดาจะสงสัยอะไรนักหนาวะ” ต้นกล้าตัดบทก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะทันได้พูดอะไรออกมา ที่มันอาจจะทำให้เขาได้อาย

“หืม อะไรกันครับลูกพี่ ไอ้จ๋ายังไม่ได้บอกว่าสงสัยอะไรเลยนะครับ”

“อะ อ้าว เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ เย็นนี้มีอะไรกินบ้างวะหิวจะตายแล้วเนี่ย”

“ต้มไก่ครับลูกพี่ นี่ไอ้จ๋าพึ่งเชือดให้แม่ไปสองตัวทำเสร็จมาเมื่อกี้ เดี๋ยวลูกพี่เดี่ยวรอกินด้วยกันนะครับอย่าพึ่งกลับ” ต้นกล้าหาเรื่องกลบเกลื่อนอาการร้อนตัวของตัวเอง เพราะกลัวไอ้จ๋ามันจะซักไซ้เรื่องที่ตามหาเขาไม่เจอ แต่กลับกลายเป็นว่ามันดันชวนอีกคนให้รอกินข้าวเย็นด้วยกันนี่สิ ที่ขัดใจคนหัวแดงยิ่งนัก และยิ่งขัดใจขึ้นไปอีกเมื่อมันอ้างคนอื่นๆ เพื่อโน้มน้าวให้คนหน้ามึนตัดสินใจอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน

“พี่สอนกับคนงานผู้ชายสามสี่คนกำลังนั่งจิบกันอยู่ที่บ้านรอต้มไก่ เดี๋ยวไปด้วยกัน ลูกพี่กล้าจะไปด้วยกันหรือให้ไอ้จ๋าเอามาส่งครับ”

“ลองไปกินกับคนงานบ้างก็ดีนะ อุตส่าห์ทำงานมาด้วยกันทั้งวัน” เด็ดเดี่ยวเสริมที่ไอ้จ๋ามันบอกทันที เหมือนมีเรื่องสนุกรออยู่ “หรือยังรังเกียจพวกคนงาน”

“รังเกียจอะไรพูดให้มันดีๆ หน่อย คนงานก็คนนะแล้วเป็นคนงานของเราด้วย พูดแบบนี้ใครได้ยินก็เข้าใจเราผิดได้สิ” ต้นกล้าหน้าตึงที่เด็ดเดี่ยวพูดดักคอเขาแบบนี้ แถมยังว่าเขารังเกียจคนงาน ซึ่งจากที่ทำงานมาด้วยกันทำให้เขาเริ่มสนิทกับคนงานมากขึ้น พอได้ยินเด็ดเดี่ยวพูดแบบนี้ต้นกล้าเลยไม่ค่อยพอใจ

“นั่นสิครับลูกพี่เดี่ยว ลูกพี่กล้าจะรังเกียจคนงานของตัวเองได้ยังไงเนอะลูกพี่เนอะ ว่าแต่ตกลงวันนี้ไปกินข้าวที่บ้านไอ้จ๋ากับพวกคนงานก็แล้วกันนะครับ” ไอ้จ๋าพยักพเยิดเข้าข้างลูกพี่ใหญ่ของมันอย่างออกนอกหน้าทันที แต่พอเห็นเด็ดเดี่ยวอมยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์มันก็ได้แต่มองอย่างสงสัย

ต่ออีก เลื่อนลงๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:37:39
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปอาบน้ำก่อนละกันนะ”

“ครับๆ อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวลูกพี่ตามไปที่บ้านเลยนะครับ ไอ้จ๋าจะไปช่วยแม่ทำต้มไก่รอ”

“อืม”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ ไปพร้อมกันเลยไหม” พอไอ้จ๋าหันมาถาม เด็ดเดี่ยวก็เหลือบไปมองตามหลังต้นกล้าที่เดินขึ้นเรือนไป แต่ยังไม่ทันได้ให้คำตอบ ไอ้คนสาระแนรู้ทันมันก็ดักคอขึ้นมาก่อน “นั่นแน่อยากรอเขาอะดี๊ ไม่ต้องรอหรอกครับ ลูกพี่กล้ารับปากว่าจะไปยังไงก็ต้องไป เดี๋ยวก็เจอกันที่บ้านไอ้จ๋าน่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วมันอย่างไหนล่ะครับไอ้จ๋าชักสงกะสัยซะแล้วว่ะคึๆ ”

“คือ...” เด็ดเดี่ยวไม่คิดว่าไอ้จ๋ามันจะมาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยไม่รู้จะตอบมันว่าอย่างไร ไอ้ครั้นจะบอกว่าอยากรอต้นกล้า ก็ดูเหมือนว่าไอ้จ๋ามันจะเตรียมตัวล้อชุดใหญ่เอาไว้แล้ว “ทางไปบ้านแกน่ะ”

“ครับลูกพี่ใกล้แค่นี้เอง”

“มันมืดไง เดี๋ยวฉันรอเดินไปเป็นเพื่อนต้นกล้าดีกว่า”

“อ๋อ ใช่ๆ ครับทางไปบ้านไอ้จ๋ามันมืดนิดเดียวตรงแถวต้นมะม่วงเอง เดี๋ยวลูกพี่กล้าจะหาย ลูกพี่ก็รอไปพร้อมกันเลยนะครับไอ้จ๋าไปล่ะ” พูดจบได้จ๋าก็วิ่งออกไปจากใต้ถุนบ้านพร้อมกับร่มในมือที่กางขึ้น เด็ดเดี่ยวได้ยินเสียงมันหัวเราะร่าไปตลอดทาง ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว เพราะทำอะไรมันไม่ได้ นั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่รออีกคนที่เดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำ จนผ่านไปครู่ใหญ่ ต้นกล้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงเรือน กลิ่นหอมฟุ้งนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง

“ไม่คิดจะเรียกกันเลยนะ”

“อ้าว ก็นึกว่าไปพร้อมไอ้จ๋าแล้วนี่” ต้นกล้าพยายามปิดบังอาการตกใจของตัวเองเอาไว้ให้มิดที่สุด เพราะตอนออกจากห้องมารู้สึกว่าบ้านมันเงียบ อะไรๆ ที่อยู่ในหัวก็ชักจะเริ่มทำงานเหมือนทุกที แต่พอลงมาเจอเด็ดเดี่ยวนั่งรออยู่จึงให้รู้สึกโล่งใจ ถึงจะทำให้ตกใจก่อนก็ตามเถอะ ดีเหมือนกันเพราะยังนึกหวั่นอยู่ว่าจะเดินไปบ้านไอ้จ๋าคนเดียวได้อย่างไร ทางเดินไปนะมันน่าเดินน้อยซะเมื่อไหร่ ยิ่งช่วงที่มีต้นมะม่วงที่แสงไฟส่องเข้าไปไม่ถึงยิ่งมืดที่สุด และนั่นมันยิ่ง..น่ากลัว แต่ให้หวั่นใจยังไงต้นกล้าก็คือต้นกล้า ที่ฟอร์มต้องมาแบบดีไว้ก่อน กลัวแค่ไหนก็ต้องฝ่าฟันไปให้สุด จะได้ไม่ต้องตอบคำถาม ที่อาจจะทำให้ตัวเองจนมุมและอับอาย

“ก็พี่รอไปพร้อมกัน”

คำตอบทำให้ใจที่อยู่ในอกมันชื้นขึ้น แต่ข้างนอกคือท่าทางหยิ่งทะนงและอวดเก่ง ต้นกล้ายักไหล่ “ไม่เห็นต้องมารอเลย”

“ช่างเถอะจะไปหรือยัง”

“แล้วจะไปอย่างนี้หรือไง”

“หืม ทำไมล่ะ” เด็ดเดี่ยวก้มลองมองตัวเอง เมื่อต้นกล้ามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพราะเสื้อผ้าที่ใส่โดนฝนจนเปียกชื้น แถมตอนนี้เสื้อก็ยังเป็นเสื้อกล้ามอีก ส่วนเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่ถอดเอามาบังฝนเด็ดเดี่ยวเอาไปผึ่งไว้แล้ว

“ก็..ไม่หนาวหรือไงฝนก็ตกชุดก็เปียกแถมเสื้อก็ใส่เสื้อกล้ามอีก”

“ห่วงพี่เหรอ”

“เปล่าเถอะ”

“แล้วถามทำไมล่ะ”

“จิ๊”

“เอาเถอะๆ ในรถมีเสื้อคลุมอยู่เดี๋ยวเราแวะเอาก่อนไปบ้านไอ้จ๋าละกัน”

“เอ้าก็ไปเอาสิเกี่ยวไรด้วยล่ะ”

“เกี่ยวสิร่มมีอันเดียวต้องไปพร้อมกัน”

“เฮ้อ” ต้นกล้าขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่ออีกคนหยิบร่มคันใหญ่ออกมากาง แล้วหันมาพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าไปได้แล้ว ทั้งสองแวะที่รถของเด็ดเดี่ยวที่จอดอยู่หน้าบ้านเพื่อเอาเสื้อคลุม โดยชายหนุ่มถอดเสื้อกล้ามที่เปียกชื้นทิ้งไว้ แล้วใส่แต่เสื้อตัวนอกก่อนจะพากันเดินไปบ้านไอ้จ๋า เมื่อผ่านช่วงที่มีต้นมะม่วงใบหนาปลูกเอาไว้เป็นสวน บริเวณนั้นแสงไฟส่องเข้ามาไม่ถึงและมืดพอสมควร จนต้นกล้านึกกลัว ถึงจะทำเป็นไม่พอใจอีกคนมากแค่ไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนกลัวผีขี้ขึ้นสมองแอบอุ่นใจ ที่มีคนตัวโตกว่าเดินมาเป็นเพื่อน จนกระทั่งมาโผล่เอาตรงด้านข้างของตัวบ้าน ต้นกล้าจึงโล่งใจรีบวิ่งออกจากร่มเข้าบ้านไปก่อนทันที

“มากันแล้วเหรอครับ มาๆ นั่งเลยครับ ไอ้จ๋าเสร็จยังวะคุณกล้ามาแล้ว” พี่สอนเห็นต้นกล้าวิ่งเข้ามาก็เรียกให้นั่งด้วยกันแล้วตะโกนถามไอ้จ๋า ถึงอาหารที่กำลังทำ “มาๆ เดี่ยวมานั่งด้วยกัน”

“พี่เดี่ยวเอาซะหน่อยแก้หนาว” คนงานที่ทำหน้าที่รินเหล้ายื่นแก้วใบเล็ก ที่รินเหล้าขาวเอาไว้เกือบเต็มให้เด็ดเดี่ยว เขารับมาถือเอาไว้ พร้อมกับแก้วน้ำเย็นที่ยื่นมาให้อีกแก้วเพื่อดื่มด้วยกัน

“เอาสักหน่อยไหม” เด็ดเดี่ยวหันมาหาต้นกล้าที่กำลังมองเขาอยู่

“อะไร”

“เหล้าขาวอยากลองไหม” เด็ดเดี่ยวยื่นแก้วเหล้ามาให้ต้นกล้าที่มองแบบแหยงๆ

“ยกเลยพี่เดี๋ยวผมรินให้ใหม่” คนงานที่รินเหล้าให้เด็ดเดี่ยวบอก ชายหนุ่มจึงยกแก้วเล็กขึ้นกรอกปากตัวเอง ใบหน้าหล่อคร้ามแดดเหยเกเมื่อเหล้ารสร้อนแรงไหลลงคอ จากนั้นก็ยกน้ำเย็นกรอกตามดับความแรงของเหล้า ต้นกล้าได้แต่มองและเบ้หน้าตาม เพราะจากกลิ่นฉุนของมันนั้นก็พอจะบอกได้ล่ะนะ ว่าเป็นเหล้าที่แรงมากแค่ไหน

“นี่ครับคุณกล้า” คนงานคนเดิมรินเหล้าใส่แก้วใบใหม่ส่งให้ต้นกล้าที่รับมาแบบมึนๆ

“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้” ต้นกล้าบอกเบาๆ ซึ่งเขาพยายามบอกคนงานทุกคนแล้ว ว่าไม่ต้องเรียกคุณอะไรทั้งนั้น หลายคนทำตามแต่หลายคนก็ยังเรียกเพราะเคยชิน

“ครับถ้าอย่างนั้นเรียกพี่ละกัน ยกเลยเลยครับพี่”

“อะ เออ ก็ได้” ต้นกล้ามองน้ำใสๆ ในแก้วที่ถืออยู่อย่างชั่งใจ ขึ้นชื่อว่าเหล้านั้นเขาก็เคยกันมาแล้วล่ะนะ เป็นเหล้าสีพวกมียี่ห้อที่หลายๆ คนรู้จักคุ้นเคยกันดี แต่เหล้าขาวสี่สิบดีกรีแบบนี้ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกจริงๆ ที่จะได้ลิ้มลอง

“ยกสิ” เด็ดเดี่ยวที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ เร่งให้ต้นกล้าดื่ม เพราะเห็นอีกคนมองเหล้าในแก้วแล้วมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เหมือนกำลังชั่งใจ นั่นเลยทำให้คนอื่นนั่งลุ้นไปตามๆ กัน พอใครๆ ก็เอาแต่มองมาที่เขาเหมือนกำลังเชียร์แบบนั้น ต้นกล้าจะทำยังไงได้นอกจากยกกรอก

“อึก อ่า” ยกเหล้ากรอกลงคอรวดเดียวเหมือนที่เห็นเด็ดเดี่ยวทำ แต่สำหรับคอที่ไม่เคยอย่างต้นกล้า ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่ทำให้ทรมานมากทีเดียว เมื่อกลืนเหล้ารสชาติบาดคอลงไปเกือบครึ่งแก้ว ก็ให้รู้สึกเหมือนกลืนน้ำมันติดไฟลงไปยังไงอย่างนั้น เพราะมันร้อนตั้งแต่ปากผ่านลำคอลงไปถึงในท้องจนรู้สึกได้ กลิ่นเหล้าหรือก็ฉุนจนขึ้นจมูก

อ๊าก! ต้นกล้าอยากร้องออกมาดังๆ แต่ฟอร์มที่ยังต้องรักษาเอาไว้มันคำคออยู่ จึงได้แต่นั่งทำหน้านิ่วบิดเบี้ยวเหยเก ซึ่งอันนี้ไม่แปลก เพราะหันไปมองใครที่ยกเหล้าขึ้นดื่มก็เป็นแบบนี้กันทุกคน

“นี่ดื่มน้ำตามด้วย” เด็ดเดี่ยวเห็นต้นกล้าทำหน้าผะอืดผะอม เลยยื่นแก้วน้ำเย็นที่ถืออยู่มาให้ และต้นกล้าก็รีบรับไปดื่มทันที เฮือก!! เกือบแย่ซะแล้วเรา ต้นกล้าได้แต่คิดในใจ แต่จะให้แสดงอาการออกมากกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนมีคนกำลังจับตามองอยู่ เหมือนกำลังรอเยาะเย้ยสบประมาทว่าอ่อน ว่าด้อยกว่า และนั่นทำให้ต้นกล้ายอมไม่ได้เด็ดขาด

“มาแล้วครับๆ ต้มไก่สูตรพิเศษฝีมือแม่แจ่มใจที่ใครๆ เฝ้ารอ แถมด้วยลาบไก่เดี๋ยวไอ้จ๋ายกมาบริการถึงที่” ไอ้จ๋าเดินออกมาพร้อมกับหม้อใบใหญ่ไอลอยฟุ้งขึ้นเต็มปากหม้อ

“อะมึงยกสักหน่อย” ไอ้จ๋าวางหม้อต้มไก่ลงที่มุมแคร่แล้วหันไปรับแก้วเหล้าที่ยื่นมาให้

“อย่ากินให้มันมากนักไอ้จ๋า มึงด้วยไอ้ว่าว เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านกินเหล้ากินยากันนะพวกมึงเนี่ย” ลุงสมควรพ่อของไอ้จ๋าที่เดินเข้ามาพอดีปรามลูกชายกับเพื่อนเสียงเข้ม

“แหมพ่อ นิดๆ หน่อยๆ น่า แล้วก็นะไอ้จ๋านี่ไม่เล็กแล้วนะพ่อ” ไอ้จ๋ายืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เมื่อบอกพ่อว่ามันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ซึ่งก็ต้องยอมรับกับร่างกายได้สัดส่วน ที่อาจจะสูงไม่เท่าเด็ดเดี่ยวลูกพี่รองของมัน แต่ก็ได้มาตรฐานชายไทยอยู่นะ

“เออๆ ไม่ต้องมาเถียง นี่คงหิวกันแย่แล้วสิมาๆ เข้ามาพ่อเดี่ยวนั่งลง “ลุงสมควรหันไปเรียกเด็ดเดี่ยวที่ยืนอยู่ข้างต้นกล้า ให้เข้ามานั่งล้อมวงกันดีๆ จากนั้นชายวัยกลางคนจึงหันไปถามคนหัวแดงที่นั่งอยู่บนแคร่ “ไหวไหมลูก”

“สบายมากครับ” คำตอบของต้นกล้าค่อนข้างสวนทางกับสีหน้าของตัวเอง แต่ลุงสมควรก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพราะใครกินเหล้าขาวลงไป เป็นได้หยีหน้าหยีตากันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้าขาวใสของต้นกล้า มันขึ้นสีแดงเพราะฤทธิ์เหล้าด้วยก็เท่านั้นเอง

“เอามาๆ แม่มึงล่ะไอ้จ๋า ยกมาหมดหรือยังกับข้าวกับปลาน่ะ”

“ยังพ่อ แม่ทำลาบอยู่เดี๋ยวไปดูก่อน” ไอ้จ๋าตอบพลางตักต้มไก่แจกจ่ายเสร็จพอดี มันจึงวางทัพพีลง แล้วเดินเข้าไปดูแม่ที่ยังทำลาบไก่อยู่ในครัว ไม่นานก็ออกมาพร้อมหม้ออีกใบบรรจุลาบไก่กลิ่นหอมน่ากิน

ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน ทั้งลุงสมควรและแม่แจ่มใจ พ่อกับแม่ของไอ้จ๋าที่นั่งข้างกัน ถัดจากแม่แจ่มใจเป็น ต้นกล้า เด็ดเดี่ยว ไอ้จ๋า พี่สอน ไอ้ว่าวและคนงานชายอีกสามคน ทั้งหมดนั่งกินกันไปเรื่อยๆ มีคุยกันบ้างสนุกสนานเฮฮา เด็ดเดี่ยวคอยหันมามองต้นกล้าอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ไอ้ว่าวมันรินเหล้าขาวส่งมาให้ ซึ่งต้นกล้าเองก็แทบจะไม่ปฏิเสธเลย เพียงแต่ยกช้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

“เป็นยังไงบ้างอร่อยไหม”

“อร่อยครับน้าแจ่ม” ต้นกล้าตอบเมื่อแม่แจ่มใจที่หันมาถาม ขณะที่กำลังจะตักลาบไก่เข้าปาก ลุงสมควรที่นั่งถัดจากแม่แจ่มใจจึงชะโงกหน้ามาบอก พลางขยับถ้วยต้มไก่มาใกล้ต้นกล้าด้วย

“นี่ต้มไก่ซดร้อนๆ อร่อยโล่งคอ”

“ครับ ขอบคุณครับ” ต้นกล้ายิ้มรับแต่ยังจดๆ จ้องๆ ถ้วยต้มไก่ไม่กล้าตัก เขาเองก็อยากชิมอยู่เหมือนกัน แต่ติดตรงหน้าตาของมัน ที่ไม่เห็นเหมือนกับต้มยำไก่แบบที่เคยกินจึงยังไม่กล้าเสี่ยง

“เอานี่ชิมดูก่อน” เป็นเด็ดเดี่ยวที่ตักต้มไก่ให้ต้นกล้า เพราะรู้ว่าอีกคนคงกำลังคิดว่ามันคือต้มไก่แบบไหน และมันใส่อะไรลงไปบ้าง “นี่เป็นต้มไก่บ้านดีกว่าไก่ที่ขายตามท้องตลาดตรงที่เป็นไก่เลี้ยงเอง ไม่มีสารเร่งโตเหมือนไก่ตามฟาร์ม เนื้อก็อร่อยกว่า”

“เหรอ แล้วใส่อะไรบ้างทำไมมันรกเหมือนป่าเลย” เด็ดเดี่ยวหลุดขำไม่มีเสียง กับคำเปรียบเทียบที่ต้นกล้ากระซิบบอก ว่าต้มไก่ในถ้วยรกเหมือนป่า ซึ่งอันที่จริงเขาก็แอบเห็นด้วยกับคนหัวแดงอยู่เหมือนกันนะ เพราะไอ้จ๋ามันเล่นใส่ยอดมะขามอ่อนมาเสียเต็มหม้อ อีกทั้งข่าตะไคร้ก็เอาใส่มาอย่างจัดเต็มจนหอมฟุ้ง

“นี่มันใบมะขามอ่อนให้รสเปรี้ยว ขาวๆ เป็นแว่นกลมๆ นี่ข่าอ่อนลองดูอร่อย” เด็ดเดี่ยวตักชิ้นไก่ให้ต้นกล้าตามด้วยข่าอ่อนและน้ำซุปพร้อม ให้อีกคนได้ลองชิม กับรสชาติกลมกล่อมที่ออกเปรี้ยวนิดๆ แต่ใครๆ ก็ติดใจ “แล้วพวกนี้ก็คงรู้จักนะ นี่ตะไคร้ มะเขือเทศ”

“แล้วนี่อะไร” ต้นกล้าเขี่ยก้อนสีน้ำตาลเปื่อยๆ ยุ่ยๆ ออกมาแล้วถาม

“อันนี้มะขามเปียก”

“เหรอ ทำไมใส่ทั้งยอดมะขาม ทั้งมะขามเปียกเลยล่ะ”

“จะได้เปรี้ยวถึงใจไง” แคกๆ

“สำลักเหรอไอ้จ๋า”

“เปล่าจ้ะพ่อ แค่อยากไอ” ไอ้จ๋าที่นั่งถัดจากเด็ดเดี่ยวและแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ดีๆ ให้นึกอยากขัด มันจึงแกล้งไอออกมา

“มึงนี่ก็แปลกนะจ๋าแค่อยากไอกูก็พึ่งเคยได้ยิน” พี่สอนว่าไอ้จ๋าแล้วก็หัวเราะขำกับคนงาน ส่วนเด็ดเดี่ยวรู้ดีว่าทำไมไอ้จ๋ามันถึงอยากจะไอออกมา จึงได้แต่เหลือบไปมองต้นกล้าที่กำลังอร่อยกับต้มไก่ เขาเลยไม่ได้พูดอะไรอีก ต้นกล้าลองชิมต้มไก่ที่ใครๆ ก็รับรองความอร่อยแล้วก็ให้รู้สึกชอบ มื้อนี้จึงดูเหมือนว่าเขาจะเจริญอาหารมากทีเดียว กินไปคุยกันเฮฮาไป บ้างก็ยกเหล้าขาวตามน้ำไปด้วย ต้มไก่ในถ้วยนั้นเติมเป็นรอบที่สามแล้ว ความกันเองประสาชาวบ้านเริ่มกลืนหนุ่มกรุงเข้าเป็นพวกเดียวกันอย่างแนบเนียน โดยไม่ทันได้มีใครสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว ที่คนเจ้าสำอางจากเมืองหลวงอย่างต้นกล้า สามารถปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้เร็วกว่าที่ผู้ใหญ่เคยเป็นห่วง

“เดี่ยวลุงขึ้นบ้านก่อนตามสบายเลยนะ ไอ้จ๋าดูด้วย”

“จ้ะพ่อ” พออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ลุงสมควรก็หันมาบอกต้นกล้าและทุกคน แล้วหันไปกำชับไอ้จ๋า ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป ไม่นานแม่แจ่มใจก็ตามขึ้นไปอีกคน ตอนนี้จึงเหลือแต่คนวัยไล่เลี่ยที่คุยกันถูกคอ

“ไหวหรือเปล่า”

“ไหวดิ”

“นี่ครับพี่กล้า” เป็นไอ้ว่าวเอาแก้วของต้นกล้าไปรินเหล้าให้ใหม่ แล้วยื่นกลับมา คนหัวแดงจึงรับแก้วเหล้ามาถือเอาไว้ แล้วมองหน้ายักคิ้วให้เด็ดเดี่ยวอย่างท้าทาย เพราะอีกคนคอยแต่ถามว่าไหวไหมๆ อยู่ตลอด จนเริ่มรำคาญ

“แล้วนั่นน้ำอะไรวะแดงๆ “ต้นกล้าที่เริ่มกรึ่มๆ เหลือบไปเห็นแก้วเหล้าอีกใบ ที่ในนั้นมีน้ำสีแดงอยู่เกือบค่อนแก้วจึงถาม

“อ๋อ นี่ยาดองครับ”

“หืม ยาดองเหรอ”

“ลองไหมพี่เสือสิบเอ็ดตัว” ใช่สิต้นกล้าเคยได้ยินว่ามันเป็นเหล้าที่เอามาดองกับยาสมุนไพร แต่ไม่เคยลองดื่มมาก่อน และด้วยความคะนอง

“จัดมา” บอกแล้วยกแก้วที่ถืออยู่ขึ้นดื่มรวดเดียว ยื่นแก้วเปล่ากลับไปให้ไอ้ว่าวรินยาดองมาลองดู

“ต้นกล้า”

“จิ๊” ต้นกล้าจี๊ปากเพราะเด็ดเดี่ยวเรียกเสียงเข้มเพื่อปรามเขา

“นี่ครับ” ต้นกล้ายกแก้วยาดองขึ้นหมุนดูท่ามกลางทุกคนที่ต่างมองลุ้นๆ น้ำใสสีแดงสดดูสวยเจิดจ้าบาดตาในแสงไฟ แต่รสชาติจะเป็นอย่างไรต้อง...

“อึก อ่า” ยกแก้วขึ้นกรอกปากกลื่นลงคอแล้วให้รู้สึกว่า กลิ่นของมันนั้นไม่ฉุนเท่าเหล้าขาวที่ยังไม่ได้ดอง รสชาติหรือนุ่มกว่าเหมือนจะหวานด้วยนิดๆ แต่ก็ยังบาดคออยู่ดี ต้นกล้านิ่วหน้าเหยเกเล็กน้อยรับรสที่พึ่งกลืนลงไป

“รสชาติเป็นยังไงบ้างครับลูกพี่” ไอ้จ๋าที่เผลอลุ้นไปด้วยเอ่ยถามขึ้นเมื่อต้นกล้าวางแก้วลง แต่คนเป็นลูกพี่ยังไม่คลายอาการนิ่วหน้า ไม่ใช่ว่ารสมันยังไม่จางแต่เป็นเพราะว่าความมึนมันเริ่มตีขึ้นมา นี่จึงทำให้ต้นกล้าชักจะไปไม่เป็น แต่ก็ยังฝืนตอบตามฟอร์ม

“รสชาติดี”

“ดีงั้นจัดอีก”

“พอๆ “เด็ดเดี่ยวปรามเสียงเข้มนั่นทำให้ไอ้จ๋ากับไอ้ว่าวเกรงใจอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่เกรงและไม่สนใจเสียงเข้มนั้นต่างหากที่เรียกร้อง

“ไหนเอามาอีกดิ๊”

“พอแล้วต้นกล้า”

“เราจะกิน”

“เฮ้อ” ถอนหายใจยาวออกมาไม่ใช่เพราะต้นกล้าดื้อรั้น แต่เพราะเป็นเขาเองที่คิดผิด เด็ดเดี่ยวรู้ว่าถ้ามามันต้องมีเหล้า และเหล้าที่คนงานดื่มก็ไม่พ้นไปจากเหล้าขาวแน่ ชายหนุ่มคิดว่าต้นกล้าคงไม่สู้เลยกะจะแกล้งท้าให้ดื่มเล่นๆ สักแก้วสองแก้ว แต่ที่ไหนได้เห็นดื่มยากๆ แบบนั้น ก็ยังดื่มกับคนงานไปเรื่อยๆ แล้วไหนยังตอนนี้ที่ต้นกล้ายกเอาๆ เมื่อเจอยาดอง ปล่อยไปได้เมาหัวทิ่มแน่

“ไอ้ว่าวรินมาอีกดิ๊”

“จัดไปคร้าบพี่”

******************

“โอย อึก”

“เป็นไงแบบนี้จะหายซ่าไปกี่วันดีเนี่ยห๊า” เด็ดเดี่ยวว่าอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับสภาพของต้นกล้า ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเมาอย่างสมบูรณ์

คนเมาพยายามปรือตาขึ้นมองทางต้นเสียง “อารายวะ ดุฉิบ”

“เดินดีๆ “

“ก็ดีแล้วนี่งาย” ทั้งที่พูดแทบจะไม่เป็นคำอยู่แล้ว แต่ต้นกล้าก็ไม่ลดละที่จะเถียง จนเด็ดเดี่ยวถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เฮ้อ คราวหลังห้ามเลยนะ”

“ห้ามอาราย”

“ห้ามดื่มเหล้าไง ดูซิเนี่ยพี่บอกไม่ฟังดื่มจนเมาไม่รู้เรื่อง”

“เหอะ อึก คราย อึก มาวไม่รู้เรื่องหว่า”

“ยังจะมาถามอีกนะ”

“ก็คุยกานอยู่เนี่ยอึก ม่ายรู้เรื่องโตรงหนายบอกดิ” ต้นกล้าหยุดเดินแล้วหันมาปรือตาเพ่งมองเด็ดเดี่ยว ที่ช่วยพยุงเดินมาในความมืด ขณะที่ทั้งสองเดินกลับไปที่บ้านไม้หลังใหญ่

“อืม” เด็ดเดี่ยวยอมใจ เพราะบอกหรือว่าอะไรออกไป ต้นกล้าก็เถียงกลับมาเหมือนคุยรู้เรื่องกันทุกคำ แต่เสียงยานคางนี่สิมันน่าเป็นห่วง เพราะมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าต้นกล้านั้นเมามากแค่ไหน ถึงจะยังพอเดินได้แบบเซๆ แต่ก็ต้องคอยประคองมาตลอดทาง ดีที่ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้วจึงไม่ทุลักทุเลเท่าไหร่ แต่พื้นเฉอะแฉะนั่นก็เล่นเอาเปื้อนกันไปไม่น้อย

พอกินไปได้สักพักใหญ่ต่างคนก็ต่างได้ที่ พี่สอนและคนงานก็เริ่มกรึ่มๆ กันแล้ว จึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน ส่วนไอ้จ๋าไอ้ว่าวที่ไม่ได้ดื่มมากเพราะยังอยู่ในวัยเรียนช่วยกันเก็บกวาด เด็ดเดี่ยวจึงอาสาพาต้นกล้ากลับบ้านมาก่อน แต่อีกคนก็เอาแต่พูดบ่นนั่นบ่นนี่มาตลอดทาง

“เฮ้อ”

“ถอนหายจายทามมายห๊ะ”

“เปล่า เดินดีๆ จะไปไหนล่ะนั่นมาทางนี้ “ต้นกล้าจะเดินเลี้ยวไปอีกทางเด็ดเดี่ยวเลยดึงเอาไว้ ตอนนี้จึงดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังยื้อยุดกันอยู่ในความมืดสลัว

ต้นกล้าเดินหน้าไปสามก้าวพอถูกดึงก็ถอยมาอีกสองก้าว “โอ้ยปายหนายยุ่งรายด้วย ปล่อยเด้”

“ปล่อยเดี๋ยวก็ล้มกลิ้งเดินดีๆ หน่อย “

“เรา อึก ปวดฉี่โว้ย จาปายปล่อยน้ำเสีย” พูดจบก็สะบัดอีกคนออกแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดิน ร่างก็โงนเงนเหมือนจะล้มลง เด็ดเดี่ยวจึงโอบเอวประคองร่างสูงโปร่งของต้นกล้าเอาไว้ “ปล่อยเราเด้ เด็ด เดี่ยว”

“ไปๆ จะไปฉี่ก็ไปเดี๋ยวพี่พาไป”

“อึก ม่ายหวายแล้วจาราด”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งราดยังไม่ถอดกางเกงเลย”

“อ้าวเหรอ แปบงั้น “ถึงจะเดินโซซัดโซเซแต่ยังไงก็ยังไม่ล้ม เพราะมีอ้อมแขนแข็งแรงของคนตัวโตคอยรั้งเอาไว้ จนถึงพุ่มไม้ได้ที่เหมาะ เด็ดเดี่ยวจับให้ต้นกล้าที่กำลังวุ่นกับซิปกางเกงยืนดีๆ ขณะที่คนหัวแดงจับน้องตัวเองออกมาปล่อยน้ำเสียอย่างที่บอก เด็ดเดี่ยวยืนประคองตาก็แอบเหล่มองข้างล่าง แต่เพราะพากันยืนหันหลังให้แสงไฟที่มาจากตัวบ้าน ชายหนุ่มจึงไม่เห็นอะไรได้ชัดเจนนัก เลยเหลือบขึ้นไปมองบนฟ้าแทนอย่างสุภาพบุรุษหนุ่มบ้านนาอย่างเขาพึงกระทำ

“เรียบร้อย”

“งั้นก็เดิน”

“เดี๋ยวๆ รูดซิปยังว้า ให้เก็บน้องรูดซิปก่อนเด้” ต้นกล้าบอกทีเล่นที่จริง

“ก็ทำสิ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความอ่อนอกอ่อนใจกับคนเมาเต็มที

“อ๊าก” !!

“อะไร”

“รูดแล้วนี่หว่า ฮ่าๆ “

“..”

“ทามมายทามหน้าอย่างน้าน้อ” ต้นกล้าหัวเราะชอบใจเมื่อหันมาเห็นลางๆ ว่าเด็ดเดี่ยวทำหน้าตกใจที่เขาแกล้งร้องออกมา แน่ล่ะสิเพราะพอต้นกล้าบอกว่าจะรูดซิปเก็บน้อง แล้วก็ร้องออกมาซะเสียงดังลั่น คนมีน้องเหมือนกันมันก็ย่อมคิดไปไกล เพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพน้องของคนเมา กลัวจะถูกซิปรูดบาดเอาเป็นธรรมดา ที่ไหนได้กลายเป็นว่าต้นกล้าแกล้งร้องเท่านั้นเอง แต่ปัญหาของทั้งสองยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อมาถึงบ้าน

“อย่าดึงแขนเด้”

“ไม่ดึงแล้วจะขึ้นบ้านยังไง หรือจะให้พี่อุ้ม”

“เราไหวน่า”

“ปากบอกเราไหวๆ นี่ถ้าพี่ไม่จับไว้ก็แทบจะคลานแล้วนะ”

“หนายครายบอกให้จับ ไม่มี้ม่ายมี เราจะเดินเองหลีกปายชิ” ต้นกล้าเมาแต่คุยรู้เรื่องทุกคำ แถมยังอวดเก่งผลักเด็ดเดี่ยวออก ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่บนเชิงบันได้บ้าน ซึ่งเด็ดเดี่ยวกำลังลำบากใจและเป็นห่วง กลัวว่าอีกคนจะหงายหลังตกลงไป แต่พอจะเข้าไปช่วยดันถูกสะบัดออกอย่างไม่ไยดี

“ดื้อที่หนึ่ง”

“ช่าย” แนะไม่ปฏิเสธอีกด้วย

“เฮ้ยๆ “อุก! เด็ดเดี่ยวเข้าไปรองร่างของต้นกล้าเอาไว้ได้พอดี ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะหงายหลังตกลงมา และนั่นมันทำให้ชายหนุ่มหมดความอดทน จับร่างโปร่งบางหันหน้ากลับมาแล้วแบกพาดบ่าขึ้นเรือนทันที เฮ้อ ทำแบบนี้แต่แรกก็ไม่ต้องไปยื้อยุดกันอยู่ตรงบันไดแล้วล่ะ

“ปล่อยเรา อึก ปล่อยๆ ” และคนเมาที่เหมือนมีสติแต่ไม่มีสติมีหรือจะยอมให้แบกง่ายๆ ต้นกล้าทั้งดิ้นทั้งตีขา มือก็ปัดป่ายสะเปะสะปะ พร้อมกับปากที่ร้องโวยวายให้ปล่อย จนถึงจุดหมายคือห้องนอนของเจ้าตัว เด็ดเดี่ยวเปิดเข้ามาอย่างคุ้นชิน แล้ววางร่างปวกเปียกของคนเมาลงกลางเตียง

“อึก”

“เมาจนสะอึกยังว่าตัวเองไม่เมา”

“ขี้บ่น “คนตัวโตกว่าได้แต่ส่ายหน้าให้อย่างอ่อนใจ มือก็จัดท่านอนให้คนเมาดีๆ แล้วไปหาน้ำกับผ้ามาเช็ดตัวให้

“อื้ออะไรอีก”

“อยู่นิ่งๆ พี่จะเช็ดตัวให้”

“ม่ายอาวไม่อยากเช็ด”

“อย่าดื้อ”

“อย่าดุเด้ อึก” เด็ดเดี่ยวรีบเช็ดตัวให้ต้นกล้าที่สะอึกจนอกกระตุก และนอนดิ้นกระสับกระส่ายเหมือนไม่สบายตัว จนกระทั่งอีกคนพยายามจะลุกขึ้น

“จะไปไหน”

“อึก ปล่อย”

“นอนดีๆ “

“จาอ้วก”

“อ้าว งั้นมานี่เลย” ร่างเล็กกว่าถูกรั้งให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินเร็วๆ ไปยังห้องน้ำ และเมื่อถึงชักโครกต้นกล้าก็อาเจียนออกมาจนแทบหมดใส่หมดพุง

“น้ำ ขอน้ำ”

“รออยู่นี่เดี๋ยวพี่มา” เด็ดเดี่ยววิ่งออกมาเอาขวดน้ำกลับไปให้ต้นกล้า ที่รับไปดื่มล้างปากเกือบครึ่งขวด “หมดหรือยัง”

“หืม อารายหมด”

“อ้วกออกมาหมดยัง”

“ม่ายรู้”

“สบายตัวหรือยัง ยังพะอืดพะอมอยู่ไหม”

“มั้ง” คนมเตอบแล้วยิ้มเหมือนกำลังสนุก แต่อีกคนส่ายหัวยังไงสภาพนี้ก็ไม่น่าสนุกด้วยหรอก

“งั้นก็ล้วงคอ”

“ไม่เอาปล่อยไม่ล้วง”

“อ้วกออกมาให้หมดจะได้สบายท้อง”

“ไม่เอาเสียดายต้มไก่” เด็ดเดี่ยวที่น่าเคร่งกับคนเมาหลุดขำกับคำตอบ ชายหนุ่มต้องส่ายหัวเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้

“เดี๋ยวก็ไปอ้วกเลอะที่นอน อ้วกออกมา”

“หมดแล้วๆ ”

“แน่นะ”

เลื่อนต่อค่ะ ย้าว ยาว

หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 8 ฉ่ำรักในกองฟาง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:38:13
“แน่นอน อึก”

“งั้นกินน้ำอีกนิด”

“อิ่มแล้ว”

“บ้วนปาก”

“อืม” ต้นกล้าทำตามอย่างว่าง่าย พอกรอกน้ำเข้าปากก็บ้วนทิ้งแล้วดันขวดน้ำออกห่างจากตัวทันที ที่เด็ดเดี่ยวทำท่าเหมือนจะป้อนให้อีก

“ทีหลังห้ามเลยนะถ้าเมาแล้วเป็นแบบนี้”

“...”

“นี่ถ้าคุณยายรู้เข้าจะว่ายังไง”

“...”

“ไม่น่าปล่อยให้กินเยอะขนาดนี้เลย”

ครอก ฟี้

“อ้าว” เด็ดเดี่ยวพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะรู้สึกเหมือนว่าต้นกล้าทิ้งน้ำหนักตัวมาที่เขากับขาที่ลากพื้น พอหันมาดูอีกทีปรากฏว่าต้นกล้าหลับไปเสียแล้ว เฮ้อ

ชายหนุ่มช้อนอุ้มคนเมาขึ้นในท่าเจ้าหญิง ทำให้ดูเหมือนว่าต้นกล้าตัวเล็กลงไปอีก คนเมาคอพับคออ่อนซบลงที่อกกว้าง เหมือนกำลังได้ที่เหมาะแก่การนอน ร่างถูกวางลงบนที่นอนอย่างเบามือ เด็ดเดี่ยวจัดการลอกคราบถอดเสื้อผ้าต้นกล้าออก จนเหลือแต่ชั้นในสีขาวตัวบางติดตัวเพียงชิ้นเดียว คนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องถูกจับพลิกไปมาตามใจคนทำ ไม่นานก็เช็ดตัวเสร็จ ตอนแรกก็เหมือนะจะไม่มีอะไร แต่ร่างขาวๆ ดูเกลี้ยงเกลาของคนที่นอนหลับตาพริ้มไม่รับรู้อะไรนี่สิ มันทำไมถึงได้กวนใจเขายิ่งนัก อยู่ดีๆ ก็ให้รู้สึกอยากสัมผัส อยู่ดีๆ มือมันก็อยากลูบไล้ไปตามโนมเนื้อนวลเอาเสียเฉยๆ อยู่ดีๆ มันก็ไม่อยากละสายตาและจากไปไหน ยิ่งมองนานก็ยิ่งอยากจะมองอยู่อย่างนั้น ยิ่งเห็นร่างที่ประดับไปด้วยกล้ามเนื้อสมตัวแต่ไม่ได้ล่ำสัน ยิ่งทำให้เลือดในกายพลุ่งพล่านสูบฉีด หายใจเข้าเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่าอากาศจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลมหายใจจึงเริ่มถี่กระชั้นยิ่งขึ้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายอยากอยู่ใกล้อยากสัมผัส กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ก้มลงคร่อมร่างโปร่งเอาไว้เสียครึ่งตัว ศอกข้างหนึ่งยันที่นอนเพื่อรองรับน้ำหนัก ส่วนมืออีกข้างปัดปอยผมออกจากใบหน้าใส ดวงตาคมกวาดมองทั่วใบหน้าหล่อเกาหลีอย่างชิดใกล้ จนมาหยุดตรงริมฝีปากที่ดูเหมือนกำลังรอ และเรียกร้องให้เชยชิม เด็ดเดี่ยวหายใจติดขัด ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง ตอนนี้มันยิ่งทำให้เขาทรมาน กับบางความรู้สึกที่กำลังกดดันออกมาจากภายใน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือตามใจตัวเองซะ แต่ใจอีกฝ่ายหนึ่งกลับบอกว่าให้หักห้ามความต้องการ ใส่เสื้อผ้าให้คนเมาแล้วกลับบ้านไปนอน เด็ดเดี่ยวไม่รู้ว่าอย่างไหนมันจะดีกว่ากัน แต่ชายหนุ่มก็เป็นเพียงแค่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความรู้สึกมีความต้องการ และคนเรามักจะทำตามใจปรารถนาของตัวเองเมื่อมีโอกาส

ริมฝีปากอุ่นๆ จูบลงบนกลีบปากสวยสีสดกดนิ่งเนิ่นนาน ขบเม้มเน้นย้ำมุมปากซ้ายขวา แล้วกลับมาที่กลีบบนล่าง ทำสลับไปมาเป็นครู่จนพอใจจึงผละออก โดยไม่ลืมเก็บเกี่ยวกลิ่นอ่อนๆ หอมชื่นใจที่แก้มนวลทั้งสองข้าง แล้วจูะบเน้นย้ำเหมือนอยากตีตราจับจอง ลงบนหน้าผากมนของคนหลับ จูบอบอุ่นเอ็นดูพยายามส่งผ่านความรู้สึก ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่ชัดเจน จูบที่ทำเพราะเสียงเรียกร้องจากภายในทั้งที่ตัวเขาเองยังสับสน แต่ก็อยากทำลงไปตามที่ใจต้องการ ทำไมเขาถึงอยากทำอย่างนี้กับต้นกล้า นี่คือสิ่งที่เด็ดเดี่ยวเฝ้าถามตัวเอง และเขาต้องถอนหายใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กว่าจะใส่เสื้อผ้าให้คนหลับได้ครบทุกชิ้น เพราะนวลเนื้อเนียนละเอียดที่ท้าทายสายตาให้ส่งมือไปสัมผัส มันคอยแต่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกกวักมือเรียก และมีเสียงบางอย่างที่กำลังบอกออกมาจากส่วนลึกภายในใจ ให้ยื่นมือออกไปสัมผัสชิดใกล้อย่างที่ต้องการ แต่ความรู้สึกอีกส่วนกลับบอกว่ามันไม่ใช่ ที่เขาจะฉวยโอกาสยามอีกคนหลับเพราะความเมามาย และที่สำคัญคือ เขาเองนั่นแหละที่จะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ยิ่งหากเด็ดเดี่ยวทำแบบนั้นแล้วต้นกล้ามารู้ทีหลัง อีกคนคงโวยวายเสียบ้านแตก เด็ดเดี่ยวอยากเห็นแก่ตัว อยากฉวยโอกาส แต่หากทำลงไปจริงๆ คงมองหน้ากันไม่ติด มันไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว แต่คงจะรวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือกันด้วย โดยเฉพาะคนที่คอยเอาแต่ตั้งแง่ใส่กันแต่แรกอย่างต้นกล้า ที่คงจะไม่มองหน้าเขาอีกเลยเป็นแน่แท้ ความรู้สึกดีๆ แบบนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครได้ง่ายๆ ยิ่งความรู้สึกที่มันออกมาจากคนที่จริงจัง กับเรื่องละเอียดอ่อนอย่างเด็ดเดี่ยว ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่ร่างขาวเนียนนั่นก็ทำเอาสุภาพบุรุษบ้านนาอย่างเขาเขวไปได้มากเลยทีเดียว

ก่อนที่อะไรๆ มันจะทำให้เขาไขว้เขวไปมากกว่านี้ เด็ดเดี่ยวเลือกชุดที่สวมใส่สบายมาให้ต้นกล้า ชายหนุ่มต้องหักห้ามความต้องการ ที่อยากทำอะไรแบบเอาแต่ใจตัวเอง แต่แค่แทะเล็มภายนอกแอบขโมยจูบขโมยหอมแก้มบ้าง คงไม่เกินไปนักหรอกใช่ไหม คิดแล้วจูบอีกทีก็ดีเหมือนกัน จูบแล้วก็หอม หอมแล้วก็จูบอยู่อย่างนั้น ทำเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อที่จะทำ จนร่ำๆ จะคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วจึงได้หยุด และผละออกห่างอย่างแสนเสียดาย ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงมาห่มคลุมให้อบอุ่น ถึงแม้ฝนจะหยุดไปแล้วแต่บรรยากาศก็ยังเป็นใจ ไม่ใช่ล่ะ! ถึงแม้ฝนจะหยุดตกไปแล้วแต่บรรยากาศก็ยังเย็นอยู่พอสมควร ขืนนอนไม่ห่มผ้าเดี๋ยวเป็นได้จับไข้กันอีกแน่ๆ

ห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ได้แต่ทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน ถึงแม่จะหักห้ามใจไม่ก้มลงไปขโมยจูบคนหลับ แต่มือไม่รักดีกลับไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมันยังเอาแต่ไล้อยู่ที่แก้มนิ่มเพื่อสัมผัสความอุ่นของเนื้อนวล ไม่รู้ว่าวันนี้เขาถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้ง และตอนนี้เขายังทำมันอยู่ และการถอนหายใจครั้งล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อพบว่าตัวเองนั้น..ชอบต้นกล้ามากเหลือเกิน เด็ดเดี่ยวได้ข้อสรุปให้ตัวเองแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อตัดสินใจได้ว่าเขาต้องกลับบ้านไปสักที แต่ก่อนจะได้ลุกขึ้น..

“ไอ้พี่เดี่ยว อืม อื้อ ไอ้พี่บ้า” ถึงเสียงจะแหบแห้งระโหย แต่ก็ชัดเจนจนคนที่กำลังจะลุกขึ้นจากเตียงนอนหยุดชะงัก เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งต้นกล้าก็ยังหลับตาพริ้ม เหมือนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพูดละเมออะไรออกมา นี่คงจะเจ็บแค้นมาตั้งแต่ตอนที่เขาไกวเปลให้จนขาดสินะ ถึงได้เก็บเอามาละเมออย่างนี้ ชายหนุ่มยิ้มอ่อนให้คนหลับและสุดท้ายก็อดใจไม่ได้ โน้มตัวลงไปกดจูบที่ปากสวยแผ่วเบา จากนั้นจึงผละไปทิ้งจูบอุ่นๆ ลงที่กลางหน้าผาก ก่อนจะผละห่างออกอย่างตัดใจ วันนี้เขาเอาเปรียบคนตัวเล็กกว่ามากเหลือเกิน เอาเปรียบอย่างคนฉวยโอกาสไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ แอบเอาเปรียบทั้งที่รู้ว่าอีกคนต้องไม่ชอบใจแน่ เด็ดเดี่ยวรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ มันไม่ใช่การกระทำของคนที่รัก และเอ็นดูกันเหมือนพี่น้องธรรมดา เขารู้ตัวดีแต่ก็ยังทำมันลงไป ทั้งที่ไม่เคยมองไม่เคยมีความคิดแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน นี่มันคงหมายความว่า ความรู้สึก ความชอบ และรสนิยมของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม หรือว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่รู้ตัว หรือเพราะเป็นคนคนนี้ ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาจึงได้เผยออกมา ตอนนี้เด็ดเดี่ยวไม่รู้ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เขายังไม่อยากรับรู้หรือตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ทั้งที่การกระทำของเขามันบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว หรือนี่มันเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบที่น่าตกใจเท่านั้น เมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จึงลุกขึ้นเดินไปปิดไฟ เปิดประตูแล้วออกจากห้องไป พร้อมหัวใจที่เต็มไปด้วยความสับสน



%%%%%%%%%%%
ขออนุญาตกระซิบๆ ตอนนี้ กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ยังเปิดจองอยู่ ถึง วันที่ 10 นี้นะคะ ใครอยากได้เล่มต้นกล้าพี่เดียวไปนอนกอด ติดต่อดาวที่อินบ็อกเพจ ดาว ณ แดนดินได้เลยนะคะ หรือจะเข้าไปจองที่โพสปักหมุดในเพจก็ได้เช่นกันค่ะ หนังสือมี 2 เล่มจบ จำนวน 30 ตอน +ตอนพิเศษอีก 4 ตอนคร่าาาา
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:08:17

กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 9 ชาวนาเต็มขั้น



“อืม” ต้นกล้าครางออกมาจากลำคอเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่กดแนบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปากของตัวเอง ซึ่งคนที่กล้าทำแบบนี้กับเขาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากคนบ้าหน้ามึนที่คอยหาเรื่องมาแกล้งกันได้อยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แกล้งเอา ๆ จนเขานึกโกรธ แกล้งเอา ๆ จนบางครั้งเขาต้องเจ็บตัว แกล้งเอา ๆ จนบางครั้งนึกขำคนขี้แกล้ง แกล้งเอา ๆ เอาจนจะหวั่นไหวอยู่แล้ว แม้แต่ตอนนอนเล่นพักผ่อนก็ยังหาเรื่องมาแกล้ง แม้แต่ตอนกินข้าวก็ไม่ละเว้นที่จะแกล้งยื่นเหล้าขาวมาให้ลองหน้าตาเฉย ลองไปลองมาจนเมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนตอนนี้ยังไงล่ะ

จุ๊บ

“อื้อ ไอ้พี่เดี่ยว” ต้นกล้ารู้สึกว่าเสียงตัวเองแหบแห้งและสั่นพร่ายังไงก็ไม่รู้ เมื่อเรียกอีกคนออกมาหลังจากที่ถูกจูบเบา ๆ ไปหนึ่งที

“ครับ ว่ายังไงหืม”

“จูบอีกสิ” ต้นกล้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรถึงได้เรียกร้องไปอย่างนั้น แต่ก็พูดออกไปแล้วนี่ เอาวะในเมื่อพูดไปแล้วยังไงก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนี่หว่า ช่างมันเพราะถึงยังไงก็จะพูดอยู่ดี

“อยากให้พี่จูบต้องทำยังไงครับ” ถึงจะหลับตาอยู่แต่ต้นกล้าก็รู้ว่าอีกคนกำลังมองจ้องเขาไม่วางตา เมื่อถูกถามว่าต้องทำยังไงจึงทำปากจู๋ยื่นออกมาอย่างว่าง่าย แต่เท่านั้นมันยังไม่พอหรอกสำหรับคนอย่างต้นกล้า จะทำอะไรดี ๆ แบบนี้ทั้งที ก็ต้องทำมันให้สุดและทำให้ดีที่สุดด้วย คิดได้อย่างนั้นจึงยกสองแขนขึ้นมาโอบรอบคออีกคนอย่างถือสิทธิ์ ความอายถูกข่มไว้ภายในจนลึกสุด ๆ แทบขุดขึ้นมาไม่ได้ง่าย ๆ แล้วให้ความเรียกร้องจากใจส่วนลึกแสดงออกมาแทน

“เก่งมาก” จุ๊บ ยิ่งได้ยินเสียงชมเชยจากอีกคนแล้วตามมาด้วยรางวัลที่ถูกใจเป็นจูบหวาน ๆ ยิ่งทำให้ต้นกล้าเกิดฮึกเหิมลำพอง แต่พอไอ้พี่เดี่ยวมันก้มลงมาจูบแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว จึงให้รู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย แล้วมีหรือคนอย่างไอ้กล้ามันจะยอมเพียงเท่านี้วะ

“ทำอีก”

“หืม? ” คนตัวโตกว่าทำเสียงเหมือนฉงนฉงายในใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินต้นกล้าเรียกร้องให้จูบอีกครั้ง จึงส่งเสียงเป็นเชิงถามออกมาจากลำคอเหมือนไม่แน่ใจ และนั่นทำให้คนเมายิ่งเรียกร้องมากขึ้น เพราะคนตัวโตชักช้าเสียเวลา ความองความอายคืออะไรต้นกล้าสลัดทิ้งไปแล้ว ไม่ต้องเก็บไว้มันจะทำให้เสียเวลา ตอนนี้ต้นกล้าเมา ตอนนี้ต้นกล้ามีเหล้าย้อมใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ๆ ลงไปต้นกล้าจะดูน่ารักน่าเอ็นดูแน่นอน

“ทำอีก”

“ชอบหรือไง”

“ทำอีก”

“ถ้าทำอีกไม่ใช่แค่ภายนอกแล้วนะ”

“ทำ ๆ ทำอีกสิ อื้อ” ต้นกล้าเผยอปากรับจูบแสนหวาน ที่คนตัวโตป้อนให้เมื่อเขาเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ และเด็ดเดี่ยวก็ไม่ยอมพลาดโอกาสพิเศษที่คนตัวเล็กหยิบยื่นมาให้แน่ ชายหนุ่มประกบปากมอบจูบแสนหวานดูดดื่มให้คนที่ร้องขออย่างเต็มใจ แม้ต้นกล้าจะเมาแต่เข้ารู้ว่าคนตัวเล็กกว่าก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ต้นกล้ารู้สึกวาบหวามและตอบรับจูบนั้นด้วยการจูบตอบ เพื่อมอบความละมุนละไมผ่านเรียวลิ้นไปให้คนตัวโตแบบไม่น้อยหน้ากัน แต่ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความหวานซาบซ่านหัวใจ คนตัวโตกลับผละออกถอยห่างแล้วนั่งจ้องหน้าท่าทางอ้อยอิ่งยั่วเย้า และนั่นมันทำให้ต้นกล้ารู้สึกขัดใจเป็นยิ่งนัก จึงรั้งต้นคอของเด็ดเดี่ยวเข้ามาจูบอย่างเอาแต่ใจตัวเองและออดอ้อน

ก๊อก ๆ ๆ

จูบครั้งนี้ต้นกล้าตั้งใจจะให้เด็ดเดี่ยวประทับใจที่สุด ลิ้นเรียวถูกสอดเข้านำทางหาลิ้นร้อนที่ป้อนจูบก่อนหน้า เพื่อหวังจะประสานความหวานซ่านหัวใจให้ฉ่ำอุรา แต่

ก๊อก ๆ ๆ

แต่คราวนี้ทำไมคนตัวโตเหมือนไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทั้งที่ต้นกล้าอยากจูบแท้ ๆ ทำไมถึงยังนิ่งเฉยและไม่จูบตอบ

ก๊อก ๆ ๆ

“อื้อออ” ต้นกล้าล็อกท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้เด็ดเดี่ยวผละหนีจากจูบของเขา คิดว่าตัวเองกอดเอาไว้แน่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่านั่นยิ่งทำให้อีกคนดิ้นรน และขัดขืนเขามากยิ่งขึ้นอีก นี่ต้นกล้าอุตส่าห์เปิดโอกาสให้มาขนาดนี้แล้วนะ นี่ต้นกล้าเชียวนะที่เป็นคนเสนอจูบให้ จะกล้าปฏิเสธเหรอ ต้นกล้าคิดอย่างขัดใจ เมื่อคนที่คิดว่าอยากมอบจูบให้เอาแต่ขัดขืนเขา และพยายามผละออกห่าง

ก๊อก ๆ ๆ

“ต้นกล้าปล่อยพี่ก่อน” ยิ่งล็อกตัวเอาไว้อีกคนก็ยิ่งดิ้นยิ่งดื้อ ทำให้ต้นกล้ายิ่งอย่างเอาชนะตามนิสัย และความเอาแต่ใจของตัวเอง เลยล็อกเอาไว้แน่นด้วยแขนที่โอบรัดต้นคอ ส่วนขาทั้งสองข้างก็ตวัดขึ้นมาเกี่ยวกันพันรอบลำตัวหนา ของอีกคนอย่างเอาแต่ใจ “ไม่ปล่อยใช่มั้ย”

“ไม่ปล่อย”

“งั้นก็ดีอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนละกัน”

“ชิ” สิ้นคำขู่ต้นกล้าถูกคนตัวโตจู่โจมด้วยจูบหนัก ๆ อย่างที่เขาต้องการ จูบเอา ๆ อย่างกับต้องการสูบวิญญาณกันให้ออกจากร่าง จนต้นกล้าแทบขาดใจตายก่อนจะผละออก

“ไอ้พี่เดี่ยว อืม อื้ออ ไอ้พี่บ้า”



ก๊อก ๆ ๆ

เฮือก!!! ต้นกล้าผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงเพราะความตกใจ ตาที่ดูเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่กวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง เหมือนกำลังหาบางสิ่งบางอย่าง เพื่อเอามายืนยันว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าตอนนี้อยู่ในห้องของตัวเองเพียงลำพัง ต้นกล้าก็เกิดความรู้สึกโล่งอก แม้ว่ายังหายใจหอบ แม้ว่ายังดูเหนื่อย แต่เมื่อพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝัน ก็ให้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้นิด ๆ ทำไมนิด ๆ นะหรือ ก็เพราะว่าต้นกล้าจำความฝันนั้นได้อย่างชัดเจนนะสิ และมันคงจะกลายเป็นสิ่งที่ตามหลอกหลอนเขาไปอีกนานแน่ ๆ

“บรึ๋ย” ต้นกล้าสะบัดตัวเหมือนหมาสั่นขนเมื่อโดนน้ำ ราวกับว่าอยากสลัดบางสิ่งบางอย่างออกไปให้ไกลตัวด้วย “นี่เราฝันบ้าอะไรวะ” บ่นกับตัวเองแล้วเอนหลังลงนอนอีกครั้ง อดทบทวนความฝันที่ชัดเจนสมจริงสมจังไม่ได้ มันสมจริงทั้งสัมผัสจากอ้อมแขนแกร่งเกร็งที่อุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อ ทั้งความอบอุ่นจนรู้สึกถึงความร้อนผ่าวตามผิวหนัง มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน โดยเฉพาะตรงนั้น..มือเรียวเผลอยกขึ้นมาลูบริมฝีปากอิ่มได้รูปสวยของตัวเองเบา ๆ เพราะเหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกคุ้นชินบางอย่างทิ้งไว้ที่นี่ ไหนจะความร้อนผ่าวที่ยังคงวูบวาบ ๆ อยู่นี่อีก ปากสวยเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน ซึ่งเป็นเขาเองที่เรียกร้องจากใครคนนั้นอย่างเอาแต่ใจ ต้นกล้าในฝันนี่หน้าไม่อายจริง ๆ



อ๊ากกก แย่แล้ว แย่มาก ใช่มันแย่มาก ๆ นี่เราเป็นบ้าอะไรถึงได้ไปฝันเป็นตุเป็นตะแบบนั้นวะ ต้นกล้าต่อว่าตัวเองในใจมือก็ทึ้งหัวทึ้งผมไปด้วย เมื่อคิดทบทวนความฝันแสนวาบหวาม อีกใจนึกอยากตีอกชกตัวกับความฝันบ้า ๆ ที่เสมือนจริงนั่น แต่พอคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้บ้าขนาดนั้น จึงหยุดและลดมือลงจากหัว เขาลุกขึ้นนั่งนิ่ง ๆ แล้วเอาแต่ถอนหายใจเฮือก ๆ เฮือกแล้วเฮือกเล่า เหมือนกำลังข่มความรู้สึกกรุ่นโกรธให้ตัวเอง แต่นั่งอยู่ดี ๆ ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นจนขนลุกกับการกระทำในฝันที่จำได้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันก็เหมือนจริงเหลือเกินจนนึกกลัว เหมือนจริงทั้งสัมผัสแนบแน่นและความอบอุ่นที่ทาบทับ เหมือนจริงกระทั่งอ้อมแขนแข็งแกร่งที่กอดรัดอย่างอ่อนโยน มันทำให้ต้นกล้าปั่นป่วนจนอยากจะบ้าตายมันลงเดี๋ยวนี้ เหมือนจริงแม้กระทั่งความรู้สึกผ่าว ๆ ที่ริมฝีปากของเขา ที่ราวกับว่ามันมีความผิดปกตินิด ๆ เจ็บหน่อย ๆ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จนต้นกล้ากลัวที่จะจินตนาการ คนหัวแดงเม้มปากตัวเองแล้วปล่อยออกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะรำพึงออกมาเบา ๆ

“หรือว่าหลับแล้วเผลอกัดปากตัวเองวะเรา ใช่แน่ ๆ เลย” บ่นพลางเกาหัวเร็ว ๆ เพราะหงุดหงิดให้ตัวเอง และความหงุดหงิดมันก็เพิ่มระดับขึ้นมาอีกขั้น กับเสียงที่ดังขึ้นจากบานประตู

ก๊อก ๆ ๆ ‘ลูกพี่ตื่นยังคร้าบ’

“เออ ๆ ตื่นแล้ว” เสียงของไอ้จ๋าที่มาเคาะประตู ช่วยดึงให้ต้นกล้าหลุดออกมาจากห้วงความคิดวุ่นวายของตัวเอง และต้นกล้าก็นึกขอบใจมันอยู่ไม่น้อยเลยที่วันนี้มันมาเรียก หนุ่มหัวแดงขานรับแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู

“หน้าตาไม่สดชื่นเมาค้างเหรอครับลูกพี่”

“เมาที่ไหน นี่แค่พอให้เลือดสูบฉีดโว้ย”

“สุดยอดครับลูกพี่วันนี้ลงนากันอีกนะครับ วันสุดท้ายแล้วเดี๋ยวเย็นนี้ได้ฉลองอีก”

“เหรอ งั้นเดี๋ยวล้างหน้าล้างตาก่อน”

“ครับ ๆ ไอ้จ๋าจัดสำรับรอข้างล่างนะครับ กินข้าวก่อนจะได้ลงนากันเลย”

“อืม”



%%%%%%%%%%%%%



หลังจากจัดการทุกอย่างและรับประทานอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าเดินลงนามาพร้อมกับไอ้จ๋าและคนงานอีกหลายคน เมื่อถึงที่หมายหลายคนช่วยกันขนมัดกล้าที่เตรียมเอาไว้แล้ว มาวางกระจายไปทั่วแปลงนาที่ไถคราดเตรียมดินเอาไว้เรียบร้อย เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบมาปักดำ คนงานเริ่มกระจายตัวลงทำงานทันทีที่มาถึง ทั้งลงปักดำ มีบางส่วนแยกไปถอนกล้าเพื่อให้เพียงพอต่อพื้นที่ปักดำที่เหลือ ที่นาบางส่วนก็ยังไถคราดเตรียมดินไม่เสร็จ และคนงานหลายคนกำลังช่วยกันไถกันอย่างขะมักเขม้น ทุกคนทำงานอย่างรู้หน้าที่โดยไม่ต้องนัดแนะให้เสียเวลา

“ลงกันเลยมั้ยครับลูกพี่”

“นาตรงนั้นใช้รถไถใหญ่แล้วทำไมตรงนี้ถึงใช้รถไถเล็กวะจ๋า” ต้นกล้ามองรถไถคันใหญ่สองคันที่ไถกันอยู่ในแปลงนาคนละแปลง กับรถไถคันเล็กอีกสามคันที่ไถแยกกันไปอีกคนละแปลงเช่นกัน

“ก็นาแปลงนั้นมันกว้างกว่าไงครับลูกพี่ รถไถใหญ่มันเลยไถง่าย ส่วนแปลงเล็ก ๆ นั่นก็ใช้ควายเหล็กไป”

“หืม?”

“โด่วลูกพี่มาดำนาหลายวันแล้ว อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักควายเหล็กเนี่ย”

“กะก็ไอคันนี้ไงวะ” รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีนี่คือคติของต้นกล้า เมื่อไอ้จ๋ามันบอกรถไถใหญ่กับควายเหล็ก มันก็จะเป็นรถไหนไปไม่ได้นอกจากรถที่ต้นกล้าเรียกมันว่ารถไถเล็กนั่นแหละ หรือชื่อที่เป็นทางการที่ชาวบ้านร้านตลาดเขาเรียกกันว่า ‘รถไถนาเดินตาม’ พอเอามาทำงานในนาแทนควายที่ใช้ไถนาสมัยก่อน มันจึงกลายเป็นควายเหล็กของชาวบ้านด้วยประการฉะนี้

“อะนะลูกพี่นี่ก็เก่งไม่เบาเลย ใช่แล้วครับไอ้นี่แหละควายเหล็กเครื่องทุ่นแรงของควาย”

“แล้วทำไมไม่ทำขนาดของนาแต่ละแปลงให้มันเท่า ๆ กันล่ะ จะได้ไถง่าย ๆ “

“แหมลูกพี่เข้าใจถามนะ แต่..”

“แต่อะไร”

“แต่ไอ้จ๋าก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะ ๆ ๆ มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไอ้จ๋าจำความได้แล้ว ไม่เคยนึกสงสัยมาก่อนเลย “ไอ้จ๋ายิ้มหน้าจืดเมื่อตอบคำถามของคนขี้สงสัยไม่ได้

“ไงคุยอะไรกัน” พี่สอนที่เดินเข้ามาพอดีเลยถามขึ้น แล้วมองหน้าลูกพี่กับลูกน้องสลับกันไปมา

“ลูกพี่กล้าถามว่า ทำไมไม่ทำขนาดของนาแต่ละแปลงให้เท่ากันอะพี่สอน ผมเลยนึกสงกะสัยขึ้นมาเหมือนกันเลยเนี่ย”

“มึงเองก็ไม่รู้ว่างั้นเถอะ เสียแรงอยู่กับท้องไร่ท้องนามาแต่เกิดนะมึง”

“ก็มันเคยชินนี่หว่าพี่ เกิดมาก็เห็นแบบนี้แล้ว ว่าแต่ตกลงทำไมมันไม่เท่ากันวะพี่”

“...” พี่สอนถอนหายใจส่ายหัวให้ไอ้จ๋าตาก็มองหน้ามันนิ่ง มีต้นกล้ายืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ ว่าพี่สอนจะโบกหัวมันสักครั้งก่อนจะพูดอะไรหรือเปล่า

“ว่าไงล่ะพี่” แนะอยู่มาตั้งนานไอ้จ๋ามันไม่เคยอยากรู้ พอมีคนอยากรู้มันก็อยากรู้ไปกับเขาด้วยจนต้องเร่ง

“ก็สมัยก่อนที่แถวนี้มันเป็นป่า ตอนบรรพบุรุษของเรามาถางป่าถางหญ้าแถวนี้เอาเป็นที่ทำกิน ถางได้วันล่ะนิดล่ะหน่อยก็ทำคันนาขึ้นกั้นเอาไว้ เพื่อแสดงอาณาเขตว่าเป็นของตัวเองด้วย แล้วก็ถางกันต่อไปเรื่อย ๆ ได้พอเหมาะกับพื้นที่ก็ทำคันนากั้นไว้ บางแปลงที่ขนาดไม่เท่ากันก็เพื่อให้การกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น มันเลยทำให้นาแต่ละแปลงมีขนาดแตกต่างกันอย่างที่เห็น แล้วก็ต้องดูทางน้ำด้วย ถ้าเป็นนาในที่ลุ่มคันนาจะทำแนวขวางเป็นทางยาวและสูง คันมีขนาดกว้างกว่าเพื่อจะได้ต้านทานและกักเก็บน้ำเอาไว้ได้เยอะกว่า แต่ตอนนี้ก็มีทำคันนาขึ้นใหม่ให้มันเหมาะกับพื้นที่และขนาดของที่ดิน ว่าแต่ทำไมถึงได้ถามถึงขนาดของแปลงนาวะ”

“พอดีพูดเรื่องรถไถนะครับ” ต้นกล้าตอบเมื่อพี่สอนจบการอธิบายยืดยาวลงแล้ว

“ใช่แล้วพี่สอนกะลังพูดเรื่องควายเหล็กกันพอดีเลย”

“ทำไมเรียกรถไถนาว่าควายเหล็กครับพี่” ต้นกล้าถามพี่สอนที่ดูท่าว่าจะได้รู้อะไรดี ๆ กว่าถามไอ้จ๋าเยอะ แต่คนที่ตอบก็เป็นคนปากไว้อย่างมันอยู่ดี

“ก็มันมาไถนาแทนควายตัวจริงไงครับลูกพี่เลยเรียกควายเหล็ก เดี๋ยวนี้เราไม่ใช้ควายไถนาแล้วสงสารมัน แต่ไอ้จ๋าเกิดมาเขาก็ใช้ควายเหล็กกันแล้วนะครับ พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนใช้ควายช่วยไถนามันน่าสงสารมาก ถึงจะเหนื่อยแสนเหนื่อยยังไงมันก็บ่นออกมาไม่ได้ จะพักก็ไม่ได้ถ้างานยังไม่เสร็จ เพราะคนเรานี่ล่ะครับบังคับให้มันต้องทำ ทำทั้งที่เหนื่อย ๆ แต่ก็ยังต้องทนช่วยจนงานเสร็จเลย” ไอ้จ๋าตีหน้าเศร้าดูสงสารจริง ๆ พอ ๆ กับพี่สอนที่ถึงจะดูนิ่ง ๆ แต่แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนแสงเมื่อคิดถึงความหลังครั้งเก่าแล้วเล่าให้เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ทั้งสองฟัง

“พี่เกิดทันนะ สมัยเด็ก ๆ สามสิบกว่าปีที่แล้ว ทำนาก็เอาควายนี่ล่ะช่วยตั้งแต่ไถดะเป็นขั้นตอนแรกเลย สำหรับการเริ่มเตรียมดิน จนพอจะดำถึงได้ไถแปรแล้วคราด ถึงจะปักดำได้ แล้วกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ก็ต้องใช้แรงงานควายมาช่วยทุกอย่าง คิดแล้วก็นึกสงสาร แต่ถ้าไม่ใช้ควายช่วยเราก็ไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนมาช่วยไถขนาดนี้ ก็ได้แต่นึกถึงบุญคุณของมันแล้วเลี้ยงให้ดี บางตัวไถทั้งน้ำตาไหลออกมาเลยก็มี มันคงเหนื่อยมากแต่ก็ต้องอดทนจนกว่างานจะเสร็จ ตอนนี้ดีแล้วที่ไม่ต้องใช้ควายทำนา แต่ก็ยังมีเลี้ยงเอาไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์อยู่นะ”

“ไอ้จ๋าล่ะไม่เข้าใจจริงจริ๊ง ว่าไอ้พวกชอบกินเนื้อควายนี่มันกินลงได้ยังไง คิดแล้วก็ยิ่งสงสาร”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เองเหรอครับ” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างสนใจ แอบคิดภาพตามที่พี่สอนเล่าก็ให้รู้สึกสงสารควายขึ้นมาด้วย จนสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“ควายเหล็กนี่มันพระเอกของงานชัด ๆ เลยเนอะลูกพี่” ไอ้จ๋าเสริม

“ลองไถดูมั้ยล่ะ” พี่สอนถามต้นกล้าคำพูดคำจาเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านสมรภูมิด้วยกันมาแล้วทั้งเหล้าขาวและยาดอง

“ว่าไงครับลูกพี่” ไอ้จ๋าถามเมื่อเห็นต้นกล้ามีสีหน้าลังเล

“เอ่อ จะดีเหรอ”

“ง่าย ๆ ครับลูกพี่หัดไว้ไม่เสียหาย ไอ้จ๋านี่หัดแต่เด็กซิลล์มากครับ พูดเลย” บอกแล้วมันก็ยืดอกขึ้นมาอยากภาคภูมิใจราวกับว่าสอบได้ที่หนึ่งในชั้นเรียนก็ไม่ปาน แต่คนไม่เคยอย่างต้นกล้าก็ยังมีท่าทางลังเลอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ

“งั้น”

“ลองไถดูสิ จะเป็นชาวนาเต็มตัวมันก็ต้องทำให้เป็นทุกอย่าง” ใครบอกว่าต้นกล้าอยากเป็นชาวนาวะ! บอกตอนไหนต้นกล้าไม่เคยพูดเลยเถอะ คนหัวแดงนึกค้านขึ้นในใจ เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยอยากได้ยินเท่าไหร่ ดังขึ้นด้านหลัง แม้ไม่หันกลับไปมองต้นกล้าก็รู้ดีว่ามันจะเป็นเสียงของใครไปไม่ได้นอกจาก

“ลูกพี่เดี่ยว” คนหน้ามึนมาแต่เช้าเหมือนที่บอกเอาไว้เมื่อวาน สงสัยจะเป็นคนว่างงานไม่มีอะไรให้ทำ วัน ๆ ถึงได้เอาแต่ตามมากวนประสาทชาวบ้านอยู่แบบนี้

“ว่าไง” เด็ดเดี่ยวถามย้ำลองเชิงท่าทางท้าทาย ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกางเกงยีนสีดำเก่าๆ มีผ้าขาวม้าลายตารางหลากสีสันที่ดูสดใสละลานตาคาดไว้ที่เอว พร้อมใส่รองเท้าบูตสูงถึงเข่า หมวกสานสีส้มสวมไว้บนหัว ดูเป็นชุดที่เขากันได้อย่างลงตัวพอดีกับตำแหน่งหนุ่มฮ็อตแห่งบ้านทุ่งดอกจาน คนตัวโตเดินเข้ามายืนขนาบข้างต้นกล้าอย่างนึกสนุก ที่วันนี้หาเรื่องให้คนตัวเล็กได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนได้อีกแล้ว

“มาเดี๋ยวพี่สอนขับเอง” พี่สอนเข้ามาอาสาเป็นครูให้อีกตามเคย ซึ่งดูเหมือนต้นกล้าจะปฏิเสธไม่ได้แล้ว จึงหันไปหารถไถคันใหญ่ ที่ท่าทางจะขับง่ายกว่าควายเหล็กของไอ้จ๋าอยู่มากโข เพราะถึงอย่างไรเขาก็ขับรถยนต์เป็นอยู่แล้วรถไถก็คงไม่น่าจะยากไปกว่ากัน

“ได้ครับพี่สอนงั้นผมลองคันนั้นนะ” ต้นกล้าบอกเมื่อตัดสินใจได้แล้ว แต่..

“ได้ไง นั่นน่ะง่ายจะตาย ลองนี่ดีกว่า หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวชี้ไปยังรถไถนาเดินตามอย่างนึกสนุก พลางยักคิ้วให้พร้อมท่าทางท้าทายยิ่งกว่าเดิม มือใหญ่ยกมาวางที่ไหล่ของต้นกล้าแล้วผลักเบา ๆ ไปทางรถไถนาเดินตาม เพราะรู้ว่ายังไงไอ้หัวแดงจอมรั้นอย่างต้นกล้า ก็ไม่ปฏิเสธหรือขัดออกมาให้ตัวเองเสียฟอร์มแน่นอน

“คันไหนก็ดีทั้งนั้นล่ะ มา ๆ ” พี่สอนบอกอย่างมืออาชีพ รอยยิ้มของคนแก่วัยกว่ามันทำให้ต้นกล้ารู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น จึงหันไปยกไหล่ยักคิ้วให้เด็ดเดี่ยว แล้วบอกออกไปอย่างทะนงตน

“ไม่มีปัญหาครับ” บอกแล้วก็ยิ้มอย่างหมายมั่นและมั่นใจเต็มที่ ว่าวันนี้ต้นกล้าจัดเต็มแน่นอน

“มันต้องได้อย่างนี้สิครับลูกพี่”

“ไอ้ดำ ๆ หยุดก่อนเอารถคันนี้มาลองให้กล้าหัดไถซิ” คนงานที่ชื่อดำซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อกับไอ้จ๋าหยุดรถรอ เมื่อพี่สอนเดินเข้าไปหา ตามด้วยต้นกล้าที่ถูกเด็ดเดี่ยวดันไหล่ให้เดินตามพี่สอนไปด้วยตัวเอง

“ไหวนะ”

“ลองดูครับพี่” พี่สอนถามหลังจากที่อธิบายการใช้งาน และส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถไถนาเดินตามให้ต้นกล้าที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะต้องการให้ตัวเองเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้ก่อนใช้งานจริง และต้องใช้ให้เป็นเพื่อใครบางคนจะได้ไม่มาว่าทีหลังเอาได้ ว่าเขาไม่ได้เรื่อง ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ก็ตามเถอะแต่ถ้าได้ทำต้นกล้าจะทำมันอย่างเต็มที่

“มายืนตรงนี้มา แล้วจับเอาไว้” พี่สอนขยับออกจากตำแหน่งบังคับรถเพื่อให้ต้นกล้าได้ยืนประจำที่ คนหัวแดงวางมือบนคันจับที่ตอนนี้อยู่ในระดับเอวของเขา เพื่อเตรียมพร้อม พี่สอนย้ำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ให้ต้นกล้าฟังอีกครั้ง แล้วถาม “พร้อมมั้ย”

“ครับ”

“ทำตามที่พี่บอกนั่นแหละ เดินหน้าตรงนี้ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงนี้ เบรกแบบนี้ แค่นี้จำได้นะ”

“ครับ จำได้ครับ” ต้นกล้าตอบแล้วหันไปหาไอ้จ๋าผู้เป็นลูกน้อง ที่ยืนยิ้มแฉ่งให้กำลังใจอยู่บนคันนา มีคนตัวโตยืนเท้าเอวมองมาด้วยสายตาที่ต้นกล้าเองก็เดาไม่ถูก ว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่

“พร้อมแล้วก็ลุยเลย ไป” สิ้นคำบอกของพี่สอนต้นกล้าก็ใส่เกียร์เดินหน้า รถกระตุกเล็กน้อยเล่นเอาต้นกล้าตกใจแต่ก็ยังพอควบคุมได้ และเริ่มใจชื้นขึ้นเมื่อมันเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่ ควายเหล็กเพิ่มความเร็วขึ้นมาเรื่อย ๆ มีเสียงไอ้จ๋าตะโกนเชียร์ตามหลังมาเป็นระยะ

“ไปโลดลูกพี่อย่างนั้นแหละ สุดยอด เจ๋งมากครับลูกพี่ผมเอง ฮ่า ๆ ” ไถไปได้ยังไม่ถึงห้าเมตรดูเหมือนว่ารถจะวิ่งเร็วขึ้นมาอีกกว่าเดิม ต้นกล้ารู้สึกถึงความหนักและต้องสาวเท้าให้ทันกับความเร็วของรถ

“เยี่ยมไปเลยลูกพี่” รถเริ่มเคลื่อนตัวในจังหวะที่เร็วขึ้นอีก จนดูเหมือนกับว่ามันจะเกินความเร็วปกติที่ใช้ไถนาไปแล้ว ต้นกล้าพยายามจะเดินให้ทันแต่ก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะต้องเดินลุยโคลนแถมยังใส่รองเท้าบูตจึงเดินลำบาก แต่เสียงไอ้ลูกน้องคนสนิทก็ยังดังตามมาเชียร์ไม่ขาดปาก



“จะเลี้ยวแล้วลูกพี่ ระวัง” พอได้ยินเสียงไอ้จ๋าบอกจะเลี้ยวต้นกล้าจึงพึ่งนึกได้ว่าต้องเงยหน้าขึ้นมองทาง จะเลี้ยวเหรอวะ ใช่ ๆ มาใกล้ถึงคันนาแล้วนี่หว่าก็ต้องเลี้ยวหลบสิ แล้วมันเลี้ยวยังไงล่ะวะ ลองจับเลี้ยวแต่ก็หนักมากเลี้ยวไม่ได้ง่าย ๆ แน่ รถก็ยังคงความเร็วอยู่เหมือนเดิม ตายล่ะวา! ใกล้คันนาเข้าไปทุกทีแล้วรถมันจะชนคันนาหรือเปล่า ชนแล้วมันจะเป็นยังไง ทำไมมันรู้สึกหนัก ๆ อย่างนี้ แล้วตูจะเลี้ยวยังไงล่ะทีนี้ หยุด! ใช่ต้องหยุดรถก่อน หยุดเพื่อตั้งหลักก่อนดีกว่าว่ะ แต่มันหยุดตรงไหนล่ะวะ ตายห่าแล้ว! ที่พี่สอนบอกมาเมื่อกี้ดันลืมไปหมดเลยเปลี่ยนเกียร์! ใช่ ๆ เปลี่ยนเกียร์ลงเปลี่ยนตรงไหน ต้นกล้ามองคันโยกตรงหน้างง ๆ กับสิ่งที่ตัวเองพยายามขุดขึ้นมาจากความทรงจำ ทั้งที่เพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่เพราะความตื่นเต้นมันมีมากกว่า พอจับคันโยกเกียร์ที่อยู่ตรงหน้าโยกไปโยกมา เลยกลายเป็นว่ารถมันวิ่งเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม เท้าก็ก้าวตามจะไม่ทันอยู่แล้ว เพราะมันเริ่มล้าหลังจากที่ต้องเร่งให้ทันกับความเร็วของรถ ไหนจะก้อนดินที่ถูกไถขึ้นมา ไหนจะน้ำไหนจะโคลน แย่แน่ ๆ คราวนี้ต้องแย่แน่ ๆ



“เฮ้ยลูกพี่ มันเร็วไป ลดความเร็วลงครับ ลด ๆ เบรก ๆ ” ต้นกล้าไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว เพราะรถไถที่เสียงดังและตัวเองก็ไถห่างออกมาเสียไกลจากตรงที่ทุกคนยืนอยู่มาก พยายามจะบังคับรถให้ได้แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะเหมือนคันจับมันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะรถที่สั่นอย่างแรงนี่อีก แล้วจะทำยังไงต่อไปดีล่ะทีนี้ หันกลับไปมองข้างหลังก็กลัวจะเหมือนเป็นการหันไปขอความช่วยเหลือให้ได้อาย ไม่ได้หรอกแบบนั้นมันต้องเสียฟอร์มมากแน่ ๆ คนอย่างต้นกล้าต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น แต่คันนาข้างหน้าก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสิ ต้นกล้ายังไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหานี้ได้เลย เอาไงดีวะ เอายังไงดี ต้นกล้าปรึกษาตัวเอง พยายามนึกถึงทุกอย่างที่พี่สอนบอกมาก่อนหน้านี้ แต่มันก็หายไปหมดแล้วพร้อมกับความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อ๊าก ตายแน่ไอ้กล้างานนี้!

ลงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:09:32


หยุดสิโว้ย!  ต้นกล้ามีอาการเลิ่กลั่ก ในใจตะโกนก้องตามองแผงบังคับตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อน ไม่รู้ว่าจะจับจะดึงตรงไหนไอ้ควายเหล็กตัวนี้มันถึงจะหยุดทำงาน

“ลูกพี่หยุดรถก่อน” เมื่อกี้พี่สอนบอกว่ามันหยุดยังไงนะไอ้ควายเหล็กเนี่ย เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หยุดสิ ๆ ทำไมไม่หยุดเอาไงดีวะ

“ลูกพี่เดี่ยวเร็ว ๆ ” คันโยกอยู่ตรงหน้าเอาไว้ทำอะไรวะ ตรงนี้คืออะไรใช่คลัทช์หรือเปล่าหว่า ถ้ากำมันจะเป็นยังไง เอาวะลองดูไม่เสียหาย “เร็วลูกพี่เดี่ยววิ่งให้ทัน” ไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันจะตะโกนอะไรของมันนักหนา ต้นกล้าคิดอย่างรำคาญเพราะเขาไม่สามารถจับใจความจากเสียงของไอ้จ๋าได้ รู้แค่ว่ามันเร่งอะไรสักอย่าง หรือว่ามันเร่งให้รีบเลี้ยวก่อนที่จะชนคันนา คงจะใช่แบบนั้นล่ะ



“หยุดรถโว้ย ลูกพี่เดี่ยววิ่งเร็ว ๆ ” มันคงตะโกนบอกให้หยุดรถนั่นแหละ แต่คันนาก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วเอาไงดี เอายังไงดี ลองยกใบไถขึ้นสิจะได้เลี้ยว ใช่ ๆ ตอนนี้ใบไถมันจมอยู่ได้ดินนี่หว่า มิน่ามันถึงได้หนักนัก ต้นกล้าบอกตัวเองแล้วก็ทำตามทันที พยายามยกที่จับขึ้นทั้งที่รถกำลังวิ่งไปอย่างเร็ว แต่มันก็หนักเหลือเกินจนกระทั่งมือไปโดนอะไรบางอย่าง ทำให้จังหวะของรถเปลี่ยนไป ทุกอย่างต่อจากนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีเวลาตั้งตัว เมื่อรองเท้าบูตที่ต้นกล้าใส่ก็ดันติดหล่มโคลนลื่น แต่รถดันหยุดกะทันหันแบบทันทีทันใด ต้นกล้าตกใจมือคว้าไปโดนอะไรอีกก็ไม่รู้ ซึ่งสถานการณ์ควรจะดีกลับกลายเป็นว่าด้านหน้าของรถที่น้ำหนักมากกว่าส่วนอื่น ได้ทิ่มลงตมพร้อม ๆ กับด้านท้ายที่ต้นกล้ากำลังจับเอาไว้แน่นยกขึ้นสูง แรงดีดมากมายนั่นทำให้เขาตัวลอย แต่เท่านั้นมันคงยังไม่เพียงพอต่อความขายหน้าของหนุ่มกรุงสุดหล่อคนนี้ เพราะหน้ารถทิ่มลงตมพร้อม ๆ เลี้ยวหมุนแบบกะทันหัน ทำให้ต้นกล้าที่ยังไม่ทันได้ยืนมั่นคงดีลอยหวือไปตามแรงเหวี่ยงและ

ปิ้วววว

ตุบ!!

ขลุก!! 

ขลุก!!

ขลุก!!

ตูม!!

                   !!!

ร่างของต้นกล้าลอยหวือเพราะแรงดีดของรถตกลงบนคันนา ดูเหมือนขาจะลงก่อนแต่ดันพลิกและเหยียบพลาดก้นจึงกระแทกแล้วกลิ้งหลุน ๆ ลงไปยังแปลงนาอีกฝั่งที่เป็นปลักตมจนตัวจมมิดโคลน!

“ต้นกล้า! ” เด็ดเดี่ยวเรียกเสียงดังเมื่อเขาวิ่งมาไม่ทันคว้ารถที่กำลังเสียการควบคุม พอหันไปจะคว้าเอาตัวอีกคนก็สุดแขนพอดี จึงได้แต่มองส่งหลานชายคุณยายประไพศรีลอยไปตกลงที่ขอบคันนา และกลิ้งหายลงไปยังอีกฝั่งอย่างไม่กล้าคิดถึงสภาพของอีกคน

“ลูกพี่! ”

“ต้นกล้า” ! เด็ดเดี่ยวกระโดดขึ้นมาบนคันนาพลางมองหาต้นกล้าไปด้วย พอขึ้นมาได้จึงเห็นว่าตรงที่ต้นกล้าตกลงมานั้นเป็นปลักโคลน ที่ควายชอบมานอนเล่นและคนหัวแดงก็กลิ้งตกลงไปพอดีเป๊ะ ราวกับถูกจับโยนลงไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือร่างร่างหนึ่งที่เปื้อนโคลนทั้งตัวกำลังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากตม ใบหน้าเปื้อนดินตมบูดบึ้งตึงไม่พอใจ ราวกับจะพ่นไฟออกมาใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้าถ้าทำได้

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวทำได้เพียงแค่ครางเรียกออกมาเบา ๆ เมื่อต้นกล้าตวัดสายตาขึ้นมามองเขาอย่างเอาเรื่อง ดีนะที่ไม่เผลอสะดุ้งให้อีกคนเห็น ทั้งที่ใจหายวาบเลือดในกายเย็นเฉียบ เมื่อเห็นสายตาของต้นกล้าที่มองมาอย่างกับจะจับเขามากินเลือดกินเนื้อให้สะใจถ้าทำได้

“ส่งมือมาพี่ช่วย”

“ไม่ต้องมายุ่งกับเรา” มือที่ยื่นออกไปรับค้างอยู่ในอากาศ เมื่ออีกคนไม่สนใจแล้วตะเกียกตะกายขึ้นมาเอง โดยการดึงหญ้าแถวนั้นเพื่อรั้งตัว “โอ๊ย”

“เจ็บตรงไหน ส่งมือมาเร็ว”

“ลูกพี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ไอ้จ๋าละล่ำละลักถามเมื่อมันวิ่งมาถึง ต้นกล้าก็กำลังพยายามกระเสือกกระสนขึ้นมาบนคันนา โดยไม่ได้สนใจมือใหญ่ที่ยื่นออกไปช่วยเหลือเลยสักนิด แต่เพราะความเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ความสูงของคันนาและความลื่นของตมที่ติดตามตัว ร่างโปร่งจึงไถลตกลงไปยังปลักตมเหมือนเดิม

“โอ๊ย”

“เจ็บตรงไหนลุกได้มั้ย ยืนขึ้นก่อน” ต้นกล้ามองหน้าเด็ดเดี่ยวที่พยายามโน้มตัวลงมาหา แล้วมองเมินไปทางอื่น เพราะคนหน้ามึนนี่แหละที่ทำให้เขาต้องเจอสภาพแบบนี้ โดนควายเหล็กดีดจนตัวลอยข้ามคันนามาตกลงตมก็แย่พออยู่แล้ว ไหนจะคนงานที่หันมามองเขาเป็นตาเดียว แบบนี้ต้นกล้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน รู้ถึงไหนมันต้องอายไปถึงนั้นแน่ ๆ มันน่าอับอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่ต้นกล้าเกิดมาเลยก็ว่าได้ “ต้นกล้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่าบอกพี่สิ”

“เราไม่เป็นไรแค่นี้เรื่องเล็ก”

“ไม่เป็นไรก็ลุกขึ้นเร็วจะนั่งเล่นขี้ตมทั้งวันหรือยังไง” บอกเพราะความเป็นห่วง แต่มันทำให้ต้นกล้าหน้าตึงอีกครั้ง ความเจ็บแปลบ ๆ บริเวณข้อเท้าเปลี่ยนมาเป็นความปวดหนึบ โดยเฉพาะเวลาขยับยิ่งเจ็บและปวดขึ้นมาก เจ็บตัวอีกแล้วสิไอ้กล้าเอ๊ย

“โอ๊ย” เป็นเรื่องที่ยากยิ่งนักที่จะทำหน้านิ่งเฉยอยู่ได้เหมือนตอนแรก เพราะขยับเมื่อไหร่มันก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าอะไรก็คงเป็นเจ็บที่ใจ เพราะพอมองหน้าคนตัวโตที่พยายามยื่นมือมาช่วยดี ๆ กลับเห็นแววขบขันออกมาจากดวงตาคมคู่นั้น หน็อยไม่รู้จักไอ้กล้าซะแล้ว

“ส่งมือมาพี่ช่วย”

“ไม่ถึงขยับลงมาอีกสิเราขยับไม่ได้ มันเจ็บ” ต้นกล้าบอกเมื่อทำเป็นยื่นมือไปให้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงมือใหญ่ที่รอรับอยู่ และด้วยความเป็นห่วงเด็ดเดี่ยวจึงขยับต่ำลงมาอีกปากก็เอ่ยถามไปด้วย

“ทำไมขยับไม่ได้เจ็บตรงไหน เจ็บขาหรือเปล่า ขาแพลงใช่มั้ย เฮ้ย! “ ตูม!! เพราะความเป็นห่วงมันมีมากว่าจะคิดเป็นอื่น เด็ดเดี่ยวจึงไม่ทันได้ระวัง มือก็ยื่นส่งให้คนที่จมขี้ตมทั้งตัวตาก็มองสำรวจ คนตัวเล็กยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกับที่ยืดตัวขึ้นดึงข้อมือใหญ่ของเขาให้ตกลงไปในโคลนด้วยกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ เมื่อเด็ดเดี่ยวลงมาเล่นโคลนเป็นเพื่อนกันอย่างไม่มีใครน้อยหน้าใคร แล้วไหนจะยังเอามือตัวเองที่เปื้อนไปด้วยตมนั่นป้ายไปตามเสื้อผ้าของคนหวังดีจนเลอะไปหมดด้วย

“ทำอะไรเนี่ยต้นกล้า อย่าเล่นสิ”

“คึ ๆ ๆ ” ปฏิบัติการสุดท้ายคือป้ายขี้ตมไปบนใบหน้าหล่อคมนั่นเสียจนหมดหล่อ สะใจไอ้กล้าจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมีหรือที่คนตัวโตจะยอมโดนแกล้งฝ่ายเดียว

“เปื้อนหมดเลย นี่แน”

“เฮ้ย เล่นแบบนี้ใช่มั้ย นี่แน”

“อย่าสิพอแล้ว”

“ไม่พอ อยากท้าเรา แกล้งเราดีนัก นี่ๆ โดนซะบ้าง”

“เอาแบบนี้ใช่มั้ยงั้นนี่เอาบ้าง”

“เฮ้ยแหวะมันเข้าปากนะโว้ย ไอ้พี่เดี่ยวบ้า ยี้” ต้นกล้าโวยเมื่อเด็ดเดี่ยวล็อกคอเอาไว้แล้วเอาขี้ตมมาป้าย หน้าที่เปื้อนตมอยู่แล้วยิ่งเปื้อนขึ้นไปอีก “ยี้เหม็น”

“เอาอีกมั้ย”

“พอแล้วไอ้คนหน้ามึนนี่ นี่แน” ต้นกล้าเงยหน้าขึ้นแว้ดใส่เด็ดเดี่ยวที่ยังล็อกคอเอาไว้อยู่ ใบหน้าของทั้งอยู่ใกล้จนมองเห็นปริมาณขี้ตมมากมายบนหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน แต่แล้วความใกล้ชิดก็ทำให้บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวทุย ๆ ของตันกล้า บางสิ่งบางอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อก่อนรุ่งสาง ที่ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันก็ชัดเจนราวกับได้สัมผัสของจริง

‘จูบอีกสิ’ ยิ่งคิดถึงต้นกล้าก็เหมือนยิ่งหลุดเข้าไปอยู่ในโลกความคิดของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งไปกันใหญ่จนลืมความเจ็บแปลบที่ข้อเท้า แล้วเอาแต่จ้องมองอดีตใบหน้าหล่อคร้ามแดดที่เต็มไปด้วยขี้ตม ราวกับกำลังพอกหน้าด้วยโคลนบำรุงผิวชั้นดีจากทะเลสาบเดดซีก็มิปาน

“ต้นกล้า” ยิ่งคิดถึงฝันลามกน่าอายของตัวเอง ต้นกล้าก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในความทรงจำที่ยังชัดเจน สวนกับความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ที่กำลังก่อเกิดในร่างกาย



‘ทำอีก’ มองหน้าเปื้อนตมนิ่งในหัวเรียงลำดับความฝันออกมาเป็นฉาก ๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หรี่ตามองริมฝีปากหยัก ที่มีขี้ตมติดประปรายแล้วเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อปากหยักนั่นขยับพูด เขาไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวพูดว่าอะไรเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเรียกชื่อ แต่ตอนนี้ปากหยักนั่นน่าสนใจกว่าสิ่งที่คนตัวโตพูด ในหัวก็ได้ยินแต่เสียงของตัวเองว่า ‘ทำอีก ๆ ’ ซ้ำไปซ้ำมา ตอนที่เรียกร้องจากคนตัวโตกว่าอย่างเอาแต่ใจ ดวงตาสวยดำขลับจ้องมองไม่กะพริบ เด็ดเดี่ยวที่กำลังนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นกล้า จึงเอียงคอมองแล้วขยับเข้าใกล้ แต่ยิ่งระยะห่างลดลงก็ยิ่งดูเหมือนว่า ต้นกล้าจะยิ่งล่องลอยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่เด็ดเดี่ยวตามเข้าไปไม่ถึง แม้จะรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมอยู่ก็ตาม ส่วนต้นกล้ายิ่งเห็นเด็ดเดี่ยวเอียงคอมองตอบ ก็ยิ่งขยับหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน แต่กระนั้นเสียงในหัวก็เหมือนบอกว่ามันยังไม่พอ ‘ทำอีก’ เพราะภาพฝันมันกำลังครอบงำความคิด ให้อยากทำอะไรบางอย่างเหมือนที่กำลังชัดเจนอยู่ในหัว การรับรู้ถึงสัมผัสเสมือนจริง ทำให้เกิดความต้องการอยากทดสอบ ปากสวยได้รูปเปื้อนขี้ตมเม้มเข้าหากันแน่นแล้วปล่อยออก ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วก็....

“ลูกพี่ครับ! อะ อ่า เอ่อ แหะ ๆ ๆ เป็นยังไงบ้างครับ” ไอ้จ๋าตีหน้าซื่อทำเป็นเนียนไม่รู้ไม่ชี้เมื่อมันโผล่เข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี กับที่ใบหน้าเปื้อนตมของทั้งสองกำลังจะแนบชิดกัน เล่นเอาคนเป็นลูกพี่ผงะเกือบผละออกไม่ทัน ต้นกล้าสะบัดหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติเบลอ ๆ ให้หลุดจากฝันออกมาสู่โลกแห่งความจริง แล้วหันไปมองไอ้จ๋า

“..” ไม่รู้ว่าจะชมหรือจะด่าดีที่มันโผล่มาตอนนี้ อยากจะชมที่มันช่วยเรียกให้ต้นกล้าหลุดออกมาสู่ความจริง อีกใจก็อยากด่าที่มันโผล่มาเห็นเขาตอนหมดสภาพ ต้นกล้าเป็นลูกพี่นะโว้ย มันควรจะต้องมีแต่ภาพลักษณ์ดี ๆ ให้ลูกน้องเห็นสิ

“ไอ้จ๋า”

“ครับ จะไม่ขึ้นมาเหรอครับลูกพี่ ว่าไงครับลูกพี่เดี่ยวตกลงว่าจะเล่นขี้ตมกันว่างั้นเถอะ”

“เออ ขึ้นเดี๋ยวนี้ล่ะ ปะลุกไหวมั้ย” เด็ดเดี่ยวบอกไอ้จ๋าแล้วหันมาถามต้นกล้าที่ยังนั่งจุ่มปุกไม่ขยับตัวอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยไม่ลืมช่วยพยุงอีกคนให้ลุกตามด้วย

“โอ๊ย เบา ๆ หน่อย”

“เจ็บตรงไหน”

“ข้อเท้า สงสัยแพลง”

“อ้าว ทำไมไม่บอกพี่แต่แรก”

“ก็...” เรื่องอะไรจะบอกล่ะ บอกก็ไม่ได้แกล้งสิ

“ไหวหรือเปล่าครับลูกพี่”

“ไหวแต่ช้าหน่อย”

“มาขึ้นไปบนนั้นก่อน” เด็ดเดี่ยวเอาแขนต้นกล้ามาพาดคอตัวเองแล้วช่วยพาขึ้นไปนั่งบนคันนา มีไอ้จ๋าช่วยประกบอีกข้าง

“คงแพลงตอนที่ตกลงมาแล้วก้าวพลาด”

“โอ๊ย อย่าทำสิ”

“อย่างนี้คงดำนาไม่ไหวแล้วล่ะ ไอ้จ๋าว่าลูกพี่กลับไปพักที่บ้านก่อนดีกว่าครับ ลูกพี่เดี่ยวให้ลูกพี่กล้าขี่หลังไปได้ไหมครับ” ไอ้จ๋าปรึกษาอย่างเป็นงานเป็นการ โดยไม่ได้ถามความสมัครใจลูกพี่ใหญ่ของมันสักคำ จนต้นกล้าที่หน้าตึง ๆ ยิ่งตึงขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินว่ามันจะให้เขาขี่หลังคนหน้ามึนกลับบ้าน

“ได้สิ” นี่ก็ตอบแบบไม่คิดก่อนเลยนะ

“ว่าไงครับลูกพี่” ไอ้จ๋าพึ่งนึกได้ว่าต้องหันมาถามลูกพี่กล้า แต่ก็นะ ดีกว่ามันไม่ถามแล้วส่งเขาขึ้นหลังอีกคนอย่างข้ามหน้าข้ามตาล่ะวะ

“รถไถนาดีดตกคันนาว่าแย่พอแล้วนะเว้ย ยังจะต้องให้ขี่หลังคนอื่นไปอีกเหรอวะ” ต้นกล้าท้วงเสียงอ่อยเพราะคงได้อายกว่านี้เป็นแน่ถ้าขี่หลังเด็ดเดี่ยวกลับบ้าน แค่คิดเฉย ๆ ใบหน้ามันก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุแล้วนะ

“ไม่เห็นไปไรเลยครับลูกพี่ อย่างที่ไอ้จ๋าเคยบอกนั่นแหละลูกพี่เดี๋ยวก็คนกันเองทั้งนั้นครับ หึ ๆ ” ไอ้จ๋าหันไปทำหน้าพยักพเยิดกับเด็ดเดี่ยวที่นั่งฟังเฉย ๆ โดยไม่มีบทพูด แต่ก็พอใจกับการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าของมันไม่น้อย “แล้วเรื่องโดนควายเหล็กดีดหลายคนก็เคยโดนมาแล้วครับตอนหัดใช้ใหม่ ๆ ไอ้จ๋าหัดครั้งแรกยังโดดดีดเลยแต่ไม่ตกคันนานะครับ ฮ่า ๆ ๆ “ไอ้จ๋าหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คิดว่าลูกพี่จะโกรธแล้วแต่กลับไม่

“เหรอ ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่โดดดีดเหรอวะ” ต้นกล้ากระตือรือร้นถามอย่างมีความหวังว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่เป็นตัวตลก

“ไม่หรอกครับลูกพี่” แล้วคนเป็นลูกพี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“พี่ว่าเราไปกันเถอะจะได้ล้างเนื้อล้างตัว”

“เราจะเดินกลับเอง” ต้นกล้าดื้อรั้นเมื่อคนตัวโตชวนกลับพร้อมกับทำท่าจะให้เขาขึ้นขี่หลัง

“เดินเองได้ยังไง ข้อเท้าแพลงแบบนี้ห้ามขยับมาก”

“นั่นสิครับลูกพี่ ขี่หลังลูกพี่เดี่ยวสบายออกเนอะ” แล้วมันก็หันไปหาแนวร่วมอย่างเด็ดเดี่ยวคนที่ลูกพี่ของมันไม่เต็มใจขี่หลังนั่นแหละ

“วันนี้อย่าดื้อเลย เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บไปกันใหญ่”

“เออ ๆ ก็ได้”

“งั้นไปครับ ลูกพี่เดี่ยวหันหลังมา” ไอ้จ๋าเป็นธุระจัดการให้ต้นกล้าจับไหล่ของมัน เมื่อต้องยืดตัวขึ้นขี่หลังเด็ดเดี่ยว คล้ายกับว่าจะทำดีเพื่อแก้ตัวที่มันมักจะเข้ามาขัดจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี ตอนที่ทั้งสองกำลังจะมีช่วงเวลาน่าประทับใจด้วยกัน



********************



“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวเรียกเมื่อทั้งสองเดินออกมาไกลจากคนอื่น ๆ ที่หันกลับไปทำงานกันหมดแล้ว

“อะ อะไร”

“กอดคอพี่ดี ๆ สิเดี๋ยวตก”

“ไม่ตกหรอกน่า”

“อย่าดื้อสิยังเจ็บอยู่นะ”

“จิ๊” ต้นกล้าสะบัดหน้าไปอีกทางแต่ก็ค่อย ๆ ยกมือที่เกาะไหล่แกร่งอยู่ในตอนแรก ขึ้นมากอดคออีกคนไว้หลวม ๆ ไม่ใช่ว่ากลัวตก แต่ทำไปเพราะมันต้องเป็นท่านั้นอยู่แล้ว เมื่อขี่หลังกันจะเอามือเอาแขนไปวางไว้ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ยกขึ้นมากอดคอกันเอาไว้แบบนี้

“ช่วงนี้ทำไมซวยจังหืมวันก่อนโน้นก็ไม่สบาย เมื่อวานก็เปลขาด วันนี้ก็ตกคันนา พี่ชักเป็นห่วงแล้วนะ”

“แล้วใครเป็นต้นเหตุล่ะ”

“เอ๊า เมื่อวานพี่ขอโทษไปแล้วไง แต่วันนี้พี่ว่าพี่ไม่เกี่ยวนะ”

“เกี่ยวทุกวันนั่นแหละ”

“อ้าว เป็นงั้นไป”

“อย่าลืมนะว่าใครเป็นคนท้าเรา” นั่นสิมีคนท้าทายมาซึ่ง ๆ หน้ากันอย่างนี้ คนที่รักศักดิ์ศรียิ่งอย่างต้นกล้าจะยอมเสียหน้าไม่รับคำท้าได้อย่างไรล่ะ

“หึ ๆ ๆ “

“เดินเร็ว ๆ หน่อยสิ”

“นี่เร็วแล้วนะ เร็วกว่านี้ก็ต้องวิ่งแล้วล่ะ ตัวเองหนักน้อยเมื่อไหร่”

“เราก็ตัวเท่านี้เถอะ อาสาให้ขี่หลังเองก็ห้ามบ่น”

“ครับ ๆ ไม่บ่นก็ไม่บ่น” เด็ดเดี่ยวว่าง่ายเพราะถึงอย่างไร เหตุการณ์เจ็บตัวที่ต้นกล้าได้รับแต่ละครั้ง ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

“ท้อหรือเปล่า” คนใจดีให้ขี่หลังถามขึ้นมาเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่ไม่รู้ทำไมต้นกล้าถึงรู้สึกอุ่นวาบลงไปถึงก้อนเนื้อที่อยู่ในส่วนลึกกลางอก หลายวันมานี้เขาเพลินกับชีวิตบ้านทุ่งบ้านนาจนเกือบลืมไปแล้วว่า ตัวเองตั้งใจเอาไว้ว่าอย่างไร แม้บางครั้งจะมีบ้างที่รู้สึกเหงาเพราะต้องอยู่คนเดียว แต่พอไอ้จ๋ามาชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอพี่สอนมาชวนไปดูไร่ดูนา ก็ทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีขึ้นมาอยู่บ้าง เพราะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่ทำเหมือนไม่เต็มใจ แต่กลับตั้งใจอย่างที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะตัวตนที่แท้จริงของต้นกล้าก็เป็นได้ ที่ลองเขาได้ทำอะไรแล้วก็จะตั้งใจทำมันให้ออกมาดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็ตาม

“ท้อหรือเปล่าที่ทั้งงานหนักแล้วยังต้องมาเจ็บตัวแทบทุกวันอย่างนี้”

“ก็..” นั่นสินะ ถ้าเป็นวันแรก ๆ ที่มาอยู่ต้นกล้าอาจจะตอบไปโดยที่ไม่ต้องคิดเลยก็ได้ว่าท้อมาก แต่ตอนนี้ วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต้นกล้าถึงได้เอาแต่นิ่งเงียบและหยุดคิด เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเด็ดเดี่ยวคนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้ววางคางเกยไหล่ของคนที่สละหลังให้ขี่ อ้อมแขนกอดกระชับยิ่งขึ้นแต่ก็ไม่รัดถึงขนาดอึดอัด จนอีกคนเผลอยิ้มออกมา ต้นกล้ารู้คำตอบดีแต่ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม เรื่องท้อมันก็มีอยู่แล้วล่ะนะ แต่ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้แทนที่จะคิดถอย กลับมีแต่อยากจะสู้อยากจะก้าวไปข้างหน้า ต้นกล้าอยากกลับกรุงเทพที่สุดนั่นคือเรื่องจริง แต่ก็ต่อเมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้นลง อยากเห็นวันที่ข้าวออกรวงสีทองอร่ามไปทั่วท้องทุ่ง แล้วลงมือเก็บเกี่ยวมันทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แค่คิดว่าเมื่อถึงวันนั้นมันคงจะเป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจที่สุด นี่คือสิ่งที่อยู่ในความตั้งใจและความมุ่งหวังของเขาตอนนี้ งานนาคืองานที่เขาเริ่มทำแบบเต็มตัวมากที่สุดกว่างานอื่น ทั้งช่วยคนงานถอนกล้าและปักดำ แถมวันนี้ยังได้ลองไถนาดูด้วย แม้มันจะล้มเหลวไม่เป็นท่าแต่ต้นกล้ากลับรู้สึกดีกับมันอยู่ลึก ๆ ในสิ่งที่ได้ทำ อาจจะเป็นเพราะเริ่มผูกพันกับท้องนา หรือเป็นเพราะเลือดในกายนั้นเป็นลูกชาวไร่ชาวนาครึ่งหนึ่งด้วย หรือจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ต้นกล้าจะอยู่ที่นี่อยู่เพื่อทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จจนได้ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ภูมิใจ พ่อกับแม่และคุณยายก็คงจะภูมิใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่เรื่องอะไรจะบอกล่ะ ชิ

“ต้นกล้า”

“อะไร”

“ยังไม่ตอบคำถามพี่เลยนะ”

“ถามว่าอะไรนะ”

“ท้อหรือเปล่าที่ต้องเจ็บตัวแทบทุกวัน ท้อบ้างมั้ยกับงานหนักแบบนี้ มันทำให้อยากทิ้งแล้วกลับกรุงเทพหรือยัง” ถามแล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่นรอฟังคำตอบ ใจก็นึกสงสารเพราะอีกคนเจ็บตัวทุกครั้งที่ลงนา หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือต้นกล้าแทบจะต้องมีเรื่องให้เจ็บตัวทุกวันเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นเท่าที่สังเกต เด็ดเดี่ยวเห็นว่าต้นกล้ามีความตั้งใจกับทุกอย่างที่ทำมาก และเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้ว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไม่อยากทำ เป็นคนที่มีความพยายามแบบในเมื่อคนอื่นทำได้ ต้นกล้าก็ต้องทำได้และพยายามจะทำมันทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยการศึกษาทำความเข้าใจ หากมีคนช่วยสอนช่วยอธิบายต้นกล้าจะตั้งใจฟังตั้งใจเรียนรู้ จนเด็ดเดี่ยวเองยังแปลกใจ นั่นเลยทำให้ชายหนุ่มแอบเอาใจช่วยอยู่ตลอด และตอนนี้ก็รู้สึกกึ่ง ๆ มีความหวังอยู่บ้างว่าอีกคนจะต้องสู้แน่นอน

“ไม่รู้สิ”

“อ้าว ไหงเป็นแบบนั้นล่ะ” เด็ดเดี่ยวหยุดเดินแล้วหันมาถามต้นกล้า คางที่วางเกยไว้ที่ไหล่ก็ยังวางอยู่ที่เดิมไม่ได้หลบไปไหน ทำให้ความใกล้ชิดเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างปลายจมูกรั้นของคนตัวเล็กกว่าและแก้มสากของคนตัวโตกว่า โดยมีขี้ตมแห้ง ๆ ที่ติดอยู่ตามใบหน้าเป็นองค์ประกอบหลักอันโดดเด่น

“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นา “

“มีเหรอคนเราไม่รู้ว่าตัวเองท้อหรือเปล่า”

“แล้วจะถามทำไมเล่า เดินให้มันเร็ว ๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือยังไงเนี่ย เราอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว”

“อย่าพึ่งท้อนะ” เสียงที่อ่อนลงทำให้ต้นกล้าเอียงหน้ามอง ก็เห็นว่าเด็ดเดี่ยวมองตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น “สักวันหนึ่งต้นกล้าจะภูมิใจกับสิ่งที่กำลังทำ” ต้นกล้ารู้สึกว่าคำพูดธรรมดา ๆ แค่นี้สามารถทำให้เขามั่นใจขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว ว่ายังไงตัวเองก็ไม่มีทางท้อแท้จนทิ้งที่นี่ไปแน่นอน แต่เอ๊ะ ทำไมต้นกล้าถึงได้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้ล่ะ เพียงแค่ได้ยินอีกคนพูดออกมาแค่นั้น ไม่ได้การล่ะแบบนี้มันอันตรายสำหรับเขาเกินไป ทำไมต้องไปเอนเอียงกับคำพูดของคนหน้ามึนนี่ด้วย ความรู้สึกนี้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ต้นกล้ายอมให้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ ไอ้ความรู้สึกดี ๆ แบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ที่คอยแต่หาเรื่องมาแกล้งกัน เพราะนั่นถือเป็นการประกาศสงครามกันไปแล้ว ริมปากได้รูปสวยหุบยิ้มลงทันที แล้วต่างฝ่ายต่างเงียบจนมาถึงบ้าน ซึ่งปัญหาต่อมาที่กำลังเกิดขึ้นนั่นก็คือ

“ห๊า จะให้เราอาบน้ำตรงนี้เนี่ยนะ”

“ถ้าไม่อาบตรงนี้แล้วจะไปอาบตรงไหน”

“เราก็ขึ้นไปอาบที่ห้องเราสิ”

“ขี้ตมได้เลอะบ้านไปหมดแน่”

“แล้วจะทำไม เราไม่ยอมอาบตรงนี้แน่นอน เราจะขึ้นไปอาบที่ห้อง”

“ขึ้นไปให้บ้านสกปรกสิ”

“สกปรกก็ทำความสะอาดสิ แค่เปื้อนขี้ตมจะเป็นไรไป”

“แล้วใครเป็นคนทำล่ะ”

“กะ ก็ ก็” ต้นกล้าให้คำตอบไม่ได้ในทันที เพราะคนที่ทำความสะอาดบ้านก็คือแม่แจ่มใจแม่ของไอ้จ๋า เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงทำให้ต้นกล้าทำหน้าไม่ถูก แต่ถ้าอาบตรงนี้เขาก็ไม่เคยชินที่จะมาอาบน้ำกลางแจ้ง เขาไม่ได้หน้ามึนเหมือนคนตัวโตนี่ที่จะแก้ผ้าอาบน้ำในที่โล่ง ๆ หน้าตาเฉยโดยไม่อาย แม้ว่าจะมีผ้าขาวม้ามานุ่งปิดส่วนที่ควรปกปิดเอาไว้อยู่ก็ตามทีเถอะ

“เห็นมั้ยตัวเองไม่ได้เป็นคนทำก็พูดง่ายสิ คิดถึงหัวใจคนทำบ้างว่าเขาจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ปกติว่าเหนื่อยแล้วมาเจอรอยเท้ารอยเปื้อนโคลนตมคงยิ่งแย่เข้าไปอีก”

“เออ ๆ รู้แล้ว” ต้นกล้าจำต้องยอมรับเหตุผล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอีกคนจะให้ทำอย่างไร ถ้าไม่ให้ขึ้นไปอาบบนบ้าน จึงถามออกไปอย่างที่ใจคิด “แล้วจะให้อาบยังไง อย่างน้อยมันก็ต้องมีผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาเปลี่ยนมั้ย”

“ก็ถอดมันหมดนี่แหละแล้วค่อยขึ้นไปเปลี่ยน”

“ห๊า ได้ไง”

“ทำไม หรือไม่กล้า”

“จะบ้าเหรอ”

“เอ้า พี่พูดจริง ไม่กล้าล่ะสิหุ่นไม่ดีก็งี้ล่ะ”

“นอกจากบ้าแล้วยังหน้ามึน ใครจะมาถอดออกหมดวะ”

“ใครจะให้ถอดหมดเล่าก็เหลือกางเกงในไว้สิ คนแถวนี้ใคร ๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ”

“โอ๊ยยิ่งไปกันใหญ่ เราจะขึ้นไปอาบบนบ้านแล้วก็..”

“แล้วก็อะไร”

“ให้เราขี่หลังขึ้นไปด้วย”

“ขี่หลังใคร”

“ขี่หลังเด็ดเดี่ยว” !

“เพื่อนเล่นเหรอ”

“โอ๊ย อะไรกันนักกันหนา”

“เรียกพี่ก่อนสิแล้วจะไปส่งถึงห้องเลย”

“ชิ”

“จะไปไม่ไป”

“เราเดินเองได้”

“เท้าแพลงไม่ควรขยับมาก แต่ถ้าอยากให้มันอักเสบหรือกระดูกแตกขึ้นมาจนต้องตัดขา แล้วกลายเป็นคนพิการก็ตามใจ” ต้นกล้าหน้าเสียเมื่อคิดตามที่เด็ดเดี่ยวบอก ไหนจะข้อเท้าของตัวเองที่ปวดขึ้นมาทุกครั้งเมื่อขยับเลยทำให้เขาเงียบไป นั่นทำให้คนตัวโตได้ทีจึงเต็มเชื้อไฟมาใส่อีก “อย่างเบา ๆ ก็ปวดไปเป็นอาทิตย์ อย่างโหด ๆ ก็อักเสบขาเน่าตัดขาเลือกเอาชอบแบบไหน”



“มันจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” ต้นกล้าตาโต

“อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นทั้งนั้นล่ะ”

“จริงเหรอเด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยว”

“จริงเหรอพี่เดี่ยว เฮ้ย” อุ๊ป พูดอะไรออกไปวะเรา ต้นกล้ารีบเอามือปิดปากตัวเองเมื่อเผลอพูดตามเด็ดเดี่ยว ซึ่งคนตัวโตเห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลั้นขำคนอ่อนไหวไหนจะยังขี้กลัวอีกขี้ระแวงอีก ต้นกล้านอกจากจะกลัวผีขี้ขึ้นสมองแล้ว ยังเป็นคนคิดมากคิดเล็กคิดน้อย เชื่อเรื่องเป็นตุเป็นตะได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“แบบนั้นแหละ ไหนพูดใหม่ซิ”

“พูดอะไร”

“นะ หรือจะอาบน้ำที่ตุ่มหลังบ้านดี”

“ไม่เอา พาเราขึ้นไปอาบบนบ้านเลย”

“งั้นก็ขอร้องพี่ดี ๆ”

“ได้คืบจะเอาศอกเลยเหรอ”

“ไม่ไปก็ได้นะ”

“พะ พี่เดี่ยวฮึ่ย” เหมือนลิ้นกับขากรรไกรมันแข็ง ไม่เคยกระดากปากที่จะเรียกคนอายุมากกว่าว่าพี่เท่าเรียกคนคนนี้เลย แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ต้นกล้าไม่รู้จริงๆ รู้แค่ว่าไม่อยากเรียกก็เท่านั้นเอง

“ครับ”

“..”

“ว่าไงครับ”

“คือ ไปส่งหน่อยสิ..นะ” สิ้นเสียงคำว่านะ เด็ดเดี่ยวก็ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ ยอมหันหลังย่อตัวให้ต้นกล้าขี่แต่โดยดีแล้วพาเดินขึ้นบ้าน ซึ่งขี้ตมขี้โคลนก็ไม่ได้เปื้อนบ้านให้สกปรก อย่างที่คนตัวโตอ้างบอกแต่แรกมากนักหรอก เพราะมันก็หยดมาแล้วตลอดทางเดินลัดทุ่งกลับมา พอมาถึงบ้านเสื้อผ้าก็เริ่มหมาดหมดแล้ว จะมีก็แต่เพียงแค่เศษดินเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเข้ามาในห้อง เด็ดเดี่ยวก็พาคนตัวเล็กเดินข้ามห้องตรงไปที่ห้องน้ำทันที เขาวางร่างโปร่งลงใกล้ฝักบัว ต้นกล้าโขยกเขยกเล็กน้อยเพราะเผลอลงน้ำหนักขาข้างที่เจ็บ

“โอ๊ย”

“ระวังสิ อย่างลงน้ำหนักที่ขาข้างนี้”

“รู้แล้ว”

“พี่ว่าแบบนี้ให้พี่อาบให้ดีกว่ามั้ย”

“บ้าเถอะไม่เอา”

“แน่ใจนะ”

“ออกไปได้แล้ว หน้ามึนอยู่ได้”

“พี่ไม่ไว้ใจเราเลย เดี๋ยวก็ทำตัวเองเจ็บอีกหรอก ให้พี่อาบให้ดีกว่า”

“นี่เราบอกว่าเราจะอาบเองเราทำได้ ออกไปเลยใครจะบ้าทำให้ตัวเองเจ็บได้เล่า”

“หึ ๆ งั้นเดี๋ยวพี่จะลงไปล้างตัวข้างล่างนะ อาบเสร็จแล้วเรียกพี่ก็แล้วกัน”

“ไปก็ไปสิ”

“ว่าแต่พี่คงต้องขอยืมเสื้อผ้าเปลี่ยนหน่อยนะ”

“กะ ก็ได้ อยู่ในตู้เลือกเอาเลย” ต้นกล้าจำต้องบอกไปอย่างนั้น เพราะจะลากสังขารออกไปหาเสื้อผ้าให้อีกคนทั้งที่ขายังเจ็บอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ ตอนนี้ก็ใช่ว่ามันจะไม่ปวด ยิ่งขยับยิ่งรู้สึกปวด ยืนนาน ๆ ก็ต้องลงน้ำหนักที่ขาอีกข้างไว้ เลยพาลจะปวดทั้งสองขาอยู่แล้ว

ลงๆๆๆๆ เลื่อนลงๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:24:15


“งั้นไปล่ะ”

“ดะ เดี๋ยว”

“หืม ว่าไง”

“ผ้าเช็ดตัวอยู่ชั้นล่างสุด”

“ขอบใจนะ”

“อืม” ต้นกล้าหันหน้าหนีไปอีกทาง ทำเหมือนยุ่งอยู่กับการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตใส่ทำงานตัวนอก แต่ความจริงก็เพียงแค่ต้องการกลบเกลื่อน เพราะอยู่ดี ๆ ก็ไม่กล้ามองหน้าคนตัวโตขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างนั้น ก็ดูสายตาที่คนหน้ามึนมองมาสิ ทำไมมัน ทำไมมัน ฮึ่ย ทำไมมันดูเหมือนหวาน ๆ เยิ้ม ๆ ฉ่ำ ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้วะ นี่ต้นกล้าคิดไปตามสิ่งที่เห็นนะ จริง จริ๊ง ไม่ได้มโนไปเองเลย แล้วก็นะ ถ้าจะมามองกันแบบนี้ใครทำตัวถูกก็เก่งแล้วล่ะ แต่ต้นกล้าก็ทำได้แค่บ่นในใจ พออีกคนหันหลังกำลังจะเดินออกไป สิ่งที่ควรจะพูดก็หลุดปากออกมาอย่างไม่ไว้ฟอร์มกันเลยทีเดียว ถึงจะเพียงเบา ๆ ก็ตามเถอะ “ขอบคุณที่มาส่ง”

“ไม่เป็นไรพี่ยินดี” เด็ดเดี่ยวหันมายิ้มหวานหยดให้ทั้งที่ต้นกล้าไม่เห็นหรอก เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับกระดุมเสื้อที่กว่าจะแกะได้แต่ล่ะเม็ด รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถไปเสียแล้ว ทั้งที่ก็ทำเองอยู่ทุกวันแต่ไอ้มือสั่นๆ นี่มันคืออะไรวะ

พอได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิด ต้นกล้าจึงได้หันกลับไปมองตามอย่างโล่งใจ ไม่รู้ทำไมต้องตื่นเต้นเสียขนาดนี้ด้วย แถมยังห้ามและควบคุมตัวเองไม่ได้เอาเสียเลย มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมต้องสั่น ทำไมต้องใจเต้นขนาดนี้ด้วย ก็แค่เขาให้ขี่หลังกลับมาบ้านและให้ขี่หลังขึ้นมาส่งจนถึงห้อง ตอนที่ขี่หลังก็แค่กอดคอเขา เพราะอยากให้อยู่ใกล้ ๆ กัน ตายห่า! อยากให้อยู่ใกล้ ๆ กันเหรอ นี่เราทำอะไรลงไปวะเนี่ยไอ้กล้าเอ๊ย! แต่จะว่าไปตามความจริงแล้ว พักหลังมานี้มันก็สั่นมันก็ตื่นทุกครั้ง ที่เข้าใกล้คนหน้ามึนคนนี้ตลอด เฮ้ย! ไม่ได้การล่ะ หรือเราจะคิดอะไรกับคนคนนี้เหมือนที่เขาบอกเมื่อวานวะ ไม่ได้ ไม่ได้ นั่นมันคนที่ไม่ชอบหน้ากันนะ คือคนที่เจอทีไรก็ไม่เคยญาติดีต่อกันเลย ไหนจะยังเอาแต่แกล้งกันอีก ถึงจะจูบกันแล้วก็ตามเถอะ ถึงจะเป็นคนที่ตัวเองเก็บเอาไปฝันถึงจูบของเขาแล้วก็ตามเถอะ ถึงแม้ต้นกล้าจะยอมรับว่าจูบในฝันนั้นมันหวานล้ำละมุนละไมแค่ไหน จนเขาเองต้องเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตามเถอะ ยังไงก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่ารู้สึกดี ไม่มีทาง ไม่มีทางโว้ย! มันก็แค่ความฝัน ฮึ่ย!

สลัดความฟุ้งซ่านออกจากหัวตัวเอง แล้วรีบอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดมั่นใจแล้ว จึงพึ่งนึกได้ว่าลืมบอกอีกคนให้เอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาให้ด้วย ตายล่ะวาทำยังไงดี ต้นกล้าเดินกะเผลกมาที่ประตูห้องน้ำ ค่อย ๆ แง้มบานประตูเปิดออก ห้องทั้งห้องเงียบและดูเหมือนว่าจะว่างเปล่า นั่นแสดงว่าไม่มีคนอันตรายที่หน้ามึน ๆ อยู่แถวนี้ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่ง แล้วค่อย ๆ ดันบานประตูเปิดออกให้เบาที่สุด ขาที่เจ็บก็ยังประท้วงด้วยการเริ่มปวดขึ้นมาอีกระลอก แต่ก็ต้องรีบออกไปใส่เสื้อผ้าให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีใครพรวดพราดเข้ามาจ้ะเอ๋กับชีเปลือยขาแพลง ซึ่งก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนหน้ามึนไร้มารยาทคนนั้น แต่..

“ต้นกล้า “!

“เฮ้ย” ! และความปรารถนาของต้นกล้าก็สำริดผล เมื่อคนที่เขากำลังคิดถึงเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาพอดี โดยไม่มีการเคาะหรือส่งเสียงบอกมาก่อนเลย เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ต้นกล้ารีบเอามือตะปบปิดไอ้หนูน้อยของตัวเองทันทีเหมือนเด็กขี้อาย นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักนิด กับการที่กำลังกะเผลกไปอีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งเป็นมุมแต่งตัวด้วยร่างอันเปลือยเปล่าที่มีน้ำเกาะอยู่เต็ม ที่ตรงนั้นหน้าตู้เสื้อผ้ากั้นด้วยบังตาไม้แบบบานพับอยู่ห่างไปไม่ถึงสามก้าว แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหนประตูห้องก็ถูกเปิดออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยคนหน้ามึนที่บอกว่าจะลงไปอาบน้ำข้างล่าง อาบน้ำหรือวิ่งผ่านน้ำกันทำไมมันเร็วจังวะ!

“เสะ อะ เอ่อ เสร็จหรือยัง” เด็ดเดี่ยวรู้สึกถึงความประหม่าของตัวเอง ส่วนต้นกล้านั้นยืนนิ่งค้างแข็งทื่อไปแล้ว “ยังไม่เสร็จสินะ” เสียงของเขาเบาหวิวเหมือนเจ้าตัวกำลังล่องลอย กวาดสายตามองร่างเปลือยตรงหน้า ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างไม่เกรงใจ ร่างเปลือยล่อนจ้อนที่ยืนแข็งทื่อเหมือนถูกตอกตรึงไว้ราวกับแช่แข็ง กอบมือทั้งสองข้างกุมไอ้หนูน้อยตรงกลางเป้าของตัวเอง จะน่าเกลียดไปไหมนะหากเด็ดเดี่ยวจะคิดว่ามือสองข้างนั้นมันเกะกะสายตาของเขาเสียเหลือเกิน แล้วทำไมไอ้ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาอีกแล้วล่ะเนี่ย ความรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนเลือดในกายมันฉีดพล่านปั่นป่วนไปทั้งตัว เมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าขาว ๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังท้าทาย เด็ดเดี่ยวคิดไปไกลและตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง กับใบหน้าตกใจของต้นกล้า ตาคมกวาดมองตั้งแต่ลาดไหล่เนียน ลงมาจนถึงแผ่นอกบางที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีสวยสดสะดุดตา แล้วไล่ลงมายังหน้าท้องแบนราบ หลุมสะดื้อเล็ก ๆ ที่ชายหนุ่มแอบคิดว่ามันน่ารักสมกับเจ้าตัวไม่น้อย แล้วก็ตรงนั้น อืมไรขนอ่อนที่ขึ้นบาง ๆ เรียงเป็นแนวสวยตั้งแต่ใต้สะดือไล่ลงไป ไล่ลงไป ลงไป โธ่เว้ย เอามือออกสิ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะ!

“เข้ามาทำไม”

“พี่จะเข้ามาดูว่าต้นกล้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้วออกไปได้แล้ว”

“แล้วทำไมยังไม่ใส่เสื้อผ้า”

“ก็ ก็กำลังจะใส่ออกไปก่อน”

“งั้นไปรอที่เตียงไป” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเดินเข้ามาหา

“ห๊า รอที่เตียง” ต้นกล้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจึงอุทานออกมาและรีบกะเผลกถอยทันที

“ก็เห็นเดินไม่ถนัดเดี๋ยวพี่จะหาเสื้อผ้าให้ใส่ไปรอที่เตียงก่อน”

“อะ เอ่อ” ความกระอักกระอ่วนนี้มันคือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังเป็น ยิ่งอีกคนเดินเข้ามาใกล้ร่างเปลือยเปล่ายิ่งรู้สึกเกร็ง แล้วอยู่ดี ๆ ตัวก็สั่นสะท้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไหนจะก้อนเนื้อในอกที่เต้นกระหน่ำจนกลัวว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้จะรู้สึกได้ ซึ่งนั่นมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับต้นกล้าเพียงฝ่ายเดียว เพราะเด็ดเดี่ยวเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพียงแต่ชายหนุ่มเก็บอาการได้ดีกว่า ยิ่งเห็นว่าต้นกล้าวางตัวไม่ถูกมากแค่ไหน เด็ดเดี่ยวก็ยิ่งนิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สีหน้าและท่าทางภายนอกเท่านั้นแหละที่ดูนิ่งๆ เพราะ..

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” เด็ดเดี่ยวต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าอึ้ง ๆ และสายตาที่มองต่ำของต้นกล้า เขาจึงหลุบสายตามองตาม และ และ เฮ้ย! บางสิ่งบางอย่างที่บวมเป่งและนูนคับดันเนื้อผ้าของกางเกงที่ใส่อยู่ มันทำให้เด็ดเดี่ยวพึ่งรู้สึกตัว ว่าช่วงล่างของเขานั้นมันพร้อมรบแล้ว เมื่อได้เห็นร่างขาว ๆ บวกกับจินตนาการฟุ้งซ่านที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น

“อ๊าก ไอ้คนหน้ามึน ทำไมไม่ใส่กางเกงในวะ” ดูแค่นี้ก็รู้ได้แล้วว่าคนตัวโตไม่ได้ใส่กางเกงในแน่นอน ต้นกล้าก็มีเหมือนกันนี่หว่าทำไมจะไม่รู้ล่ะ เล่นเห็นชัดเป็นลำซะขนาดนั้น

“ก็มันไม่มีนี่” ตอบหน้าตาเฉยพลางวางมือข้างหนึ่งลงที่กลางกายของตัวเอง เพื่อปิดบังสายตาและปลอบให้มันสงบ นิ่งไว้ลูกพ่ออย่าลืมว่าพ่อเป็นคนดีศรีหมู่บ้านนะเว้ย โอ๊ยน้อไอ้เดี่ยวเอ๊ย..!!

“ก็บอกให้หาเอาในตู้ทำไมไม่เอาไปใส่ให้มันครบวะ”

“มันคนละไซต์นะอย่าลืมสิ” เด็ดเดี่ยวก้มลงมองช่วงกลางกายของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ชายหนุ่มใส่กางเกงเลผ้าฝ้ายแม้เนื้อผ้าจะไม่บางแต่ก็สวมใส่สบาย และแน่นอนว่ามันสามารถเห็นส่วนอ่อนไหว ที่ตื่นตัวจนโป่งนูนภายใต้เนื้อผ้าได้อย่างชัดเจน ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดของต้นกล้าที่เขาเลือกได้ตัวที่คิดว่าใหญ่ที่สุดแล้ว ซึ่งพอได้มาใส่เสื้อผ้าของคนตัวเล็กเด็ดเดี่ยวจึงพึ่งรู้ว่าขนาดตัวจริง ๆ ของทั้งสองนั้น มันแตกต่างกันมากแค่ไหน เขาเดินเลยร่างเปลือยไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาส่งให้ต้นกล้าก่อน แล้วค่อยหันไปหาเสื้อผ้ามาให้อีกคนใส่แต่

“กางเกงในล่ะ”

“หึ ๆ นึกว่าจะไม่ใส่เหมือนกัน”

“บ้าเอ๊ยใครจะไปหน้ามึนเหมือนตัวเองเล่า”

“เอ้า เอาไปใส่” ตอนแรกก็ถามออกมาหน้าตาเฉย แต่ทำไมพอคนตัวโตยื่นกางเกงในสีขาวสะอาดมาให้ มือที่ยื่นออกไปรับมันถึงได้สั่นอย่างนั้น แล้วใบหน้าหล่อเกาหลีหรือก็ก้มลงจนคางแทบชิดอก แม้ตอนที่ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าเอาลิงน้อยมา แล้วถูกคนตัวโตชักมือหนียังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาต่อว่าเลยเถอะ

“เอามาดี ๆ ดิ”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะพอใจแต่ก็ยอมส่งกางเกงในให้คนตัวเล็กแต่โดยดี และเหมือนรู้ว่าอีกคนกำลังเป็นอะไรจึงบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป “เดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะเสร็จแล้วเรียกด้วย”

“ทำไมต้องเรียกล่ะ”

“หรือจะอยู่ในนี้ทั้งวัน” นั่นสินี่มันยังเช้าอยู่เลย แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย จะให้นอนอยู่ในห้องทั้งวันคงไม่ไหว คิดได้ดังนั้นต้นกล้าเลยพยักหน้าส่ง ๆ ให้คนที่ยืนรอคำตอบ ที่เมื่อได้คำตอบแล้วก็ผละเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย

พอเด็ดเดี่ยวออกไปแล้วต้นกล้าจึงรู้สึกว่าตัวเองหายใจได้โล่งขึ้น จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งชั้นในชั้นนอก แล้วทำใจอยู่นาน กว่าจะเรียกอีกคนที่คงยืนรออยู่หน้าห้องมา เพราะต้นกล้าเรียกเพียงเบา ๆ เด็ดเดี่ยวก็เปิดประตูเข้ามาได้อย่างรวดเร็วทันใจเลยในทันที เมื่อเด็ดเดี่ยวพาต้นกล้าออกมาที่มุมนั่งเล่นชานเรือนมุมโปรดก็เห็นว่าใกล้เบาะรองนั่งที่วางเรียงรายนั้นมีถังน้ำแข็งเล็ก ๆ วางเอาไว้ พร้อมกับผ้าขาวหนึ่งผืน ต้นกล้ามองงง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเมื่ออีกคนว่างร่างของเขาลงบนฟูกหมอนอิง ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเล่นไปเรื่อย แต่ถึงจะทำเป็นไม่สนก็ยังมีแก่ใจเอ่ยขอบคุณออกมาเบา ๆ อยู่นะ “ขอบคุณ”

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ โอ๊ย” ต้นกล้าตกใจกับความเย็นที่นาบบนข้อเท้าเลยดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เผลอลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่เจ็บจนร้องออกมาเสียงดัง

“ก็ประคบเย็นไงจะได้ไม่ปวดมาก” เด็ดเดี่ยวบอกพลางจัดข้อเท้าของต้นกล้าวางลงบนหมอน ที่เขาหามารองปูไว้ด้วยถุงพลาสติกกันหมอนเปียก “อยู่นิ่ง ๆ “เขาบอกเสียงเข้มเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าข้อเท้าเล็กนั่นเริ่มบวมขึ้นมาแล้ว ส่วนต้นกล้าเมื่อได้ประคบเย็น ความปวดดูเหมือนจะบรรเทาลง จึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ ให้อีกคนปรนนิบัติเสียสบายแฮ

“เสร็จแล้ว ดีขึ้นมั้ย”

“อืม”

“ยังปวดอยู่มั้ย”

“ไม่แล้ว”

“..”

“อะไร” ต้นกล้าถามพลางเอนตัวหลบ เมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“รางวัลไง พี่ทำดีขนาดนี้จะไม่มีรางวัลให้เลยหรือยังไง”

“แล้วจะเอาอะไรล่ะ” ถามออกไปหน้าซื่อ ๆ นี่แหละเพราะเด็ดเดี่ยวดูแลเป็นอย่างดี นอกจากประคบเย็นที่ข้อเท้าให้แล้วยังเอาผ้าก็อชพันไว้ให้ด้วย เลยคิดว่าอาจจะมีอะไรที่คนตัวโตอยากจะได้จากตัวเองแทนคำขอบคุณ

“หอมแก้มพี่เป็นการขอบคุณสิ เคยเห็นมั้ยในละครเวลาที่นางเอกถูกคนร้ายไล่จับตัว เลยวิ่งหนีแล้วสะดุดผ้าถุงตัวเองล้มลงหน้าคะมำข้อเท้าแพลง กำลังถอยหนีคนร้ายอยู่ดี ๆ ก็มีพระเอกอย่างพี่ก็มาช่วยได้ทันเวลา แล้วอุ้มกลับมาที่กระท่อมปลายนาของพระเอก พอพระเอกดูแลปฐมพยาบาลให้นางเอกเสร็จแล้ว พระเอกก็จะถูกนางเอกหอมแก้มเพื่อเป็นการขอบคุณ”

“อยากจะบ้าตาย เราไม่ใช่นางเอกเหอะและเราจะไม่หอมแก้ม” ต้นกล้าพยายามทำหน้าดุแต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่หรอก เพราะอดขำละครของเด็ดเดี่ยวไม่ได้ นี่มันละครเรื่องอะไรวะ ทำไมนางเอกมันถึงได้ซุ่มซ่ามอย่างนี้

“ใจร้ายเนอะ พี่ทั้งให้ขี่หลัง ทั้งพาไปอาบน้ำ ทั้งประคบ ทั้งพันผ้าให้ คงไม่มีความดีเลยสินะเนี่ย”

“ก็เอาอย่างอื่นไม่ได้หรือไงรางวัลน่ะ ให้เราหอมแก้มเนี่ยนะ อยากหอมตายล่ะ”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะอยู่ในลำคอเมื่ออีกคนทำหน้าตูมกับรางวัลที่เขาร้องขอ จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ซึ่งก็เป็นที่ต้นกล้ามากกว่าที่ทำเป็นเอาแต่สนใจโทรศัพท์ทั้งที่ปากอมยิ้ม ส่วนเด็ดเดี่ยวก็คอยสังเกตการณ์เป็นระยะ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกัน อยากจะรู้นักว่าในโทรศัพท์นั่นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา ยืดคอก็แล้วชะเง้อก็แล้วแต่ก็เห็นไม่ชัดอยู่ดี ไหนจะเกรงใจกลัวว่าอีกคนจะหาว่าเสียมารยาท เลยได้แต่นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ คิดไปเรื่อยเปื่อยจนไปถึงวันที่ต้นกล้าไม่สบาย วันนี้อีกคนก็ไม่สบาย แล้วอย่างนี้ต้นกล้าจะอ้อนเหมือนวันนั้นหรือเปล่านะ หืม! เด็ดเดี่ยวชะงักกับความคิดของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดอยากให้อีกคนอ้อน ซึ่งมันก็คงห่างไกลจากความเป็นจริงมาก เพราะตอนนี้นอกจากต้นกล้าจะไม่อ้อนแล้ว ยังดื้อแสนดื้อและไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ หวังอะไรอยู่วะไอ้เดี่ยวเอ๊ย

“เฮ่อ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจยาวออกมา จนต้นกล้าที่นั่งเล่นโทรศัพท์เงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง “เดี๋ยวพี่คงต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน พอดีต้องเข้าไปในเมือง”

“อ้าว” งงนะสินั่งอยู่ดี ๆ รอให้พูดอะไรก็ดันไม่พูด พอจะพูดดันบอกว่าจะไปแล้ว แล้วจะทิ้งให้ต้นกล้านอนอยู่บ้านคนเดียวนี่นะ มันใช่เหรอ มันเหงานะเว้ย!

“เดี๋ยวตอนเย็นพี่แวะเข้ามาดู” เหอะวันนั้นก็บอกเย็น ๆ จะแวะเข้ามาแล้วก็หายหัวไปตั้งหลายวัน นี่ก็คงหาเรื่องหายไปอีกแล้วใช่ไหม แต่ก็นะไปก็ไปสิใครจะสน คิดได้ดังนั้นต้นกล้าจึงบอกไปว่า…

“จะเข้าเมืองเหรอ ให้เราไปด้วยได้ปะ”

“จะไปทำไมเท้ายังเจ็บอยู่”

“ก็เราอยากไป”

“ไม่ต้องไปหรอก เท้าหายเจ็บเดี๋ยววันหลังพี่พาไป”

“เราอยากไปวันนี้”

“พี่ไปธุระ แล้วจะรีบกลับมา”

“เราแค่ไปเฉย ๆ น่า” เด็ดเดี่ยวส่ายหัวให้กับความรั้น ที่ดูเหมือนว่าจะผิดปกติ เพราะคนตัวเล็กอยู่ ๆ ก็อยากไปกับกับเขา ทั้งที่ทุกทีเอาแต่หลบหรือไม่ก็ไล่ตลอด

“ไปไม่ได้รออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวไอ้จ๋าคงเข้ามา”

“..” ถึงจะหน้าบูดแต่ก็พยายามทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่สนใจ ต้นกล้ายักไหล่แล้วบอก “ชิ ทำอย่างกับเราอยากไปจริง ๆ งั้นแหละ จะไปไหนก็ไปเถอะใครจะสน” ไม่ค่อยตรงกับใจหรอกแต่คนเราก็ต้องมีฟอร์มไง โดยเฉพาะคนอย่างต้นกล้าที่อุตส่าห์ขอไปด้วยแต่ยังโดนปฏิเสธ คอยดูเถอะวันหลังอย่ามาชวนก็แล้วกันจะเล่นตัวให้ดู

“เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วพี่รีบมานะครับ คงไม่เย็นมากหรอก”

“ไม่ต้องมาก็ได้ ดีซะอีกจะได้ไม่รกหูรกตาเรา” เด็ดเดี่ยวอมยิ้มเลิกคิ้วมองต้นกล้าเป็นเชิงถาม ว่าที่พูดมานี่จริงหรือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังขอตามเขาไปด้วยอยู่เลย แต่อีกคนก็หันหน้าหนีไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นวางมือใหญ่ไว้บนหัวทุย ๆ ที่ประดับด้วยผมสีแดงแล้วโยกเบา ๆ ก่อนจะบอก

“พี่ไปนะเดี๋ยวมา อ้อแล้วเท้าน่ะเอาพาดไว้บนหมอนนั่นล่ะวางไว้สูง ๆ มันจะได้ไม่บวมมาก”

“รู้แล้ว” ปัดมือใหญ่ออกจากหัวอย่างรำคาญ พอเด็ดเดี่ยวออกไปแล้วต้นกล้าจึงนอนเล่นโทรศัพท์เฝ้าบ้านอยู่คนเดียวจนเผลอหลับ โดยที่ขาก็ยังวางพาดไว้บนหมอนตามที่อีกคนบอกอย่างเชื่อฟัง

 ลงๆๆๆ เลื่อนลง
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:25:41


“อุ้ย พี่เดี่ยวมาหาคำแพงเหรอจ๊ะ”

“เอ่อ เปล่าครับผมมาซื้อของ”

“แหมไม่ต้องตอบตรงขนาดนั้นก็ได้ เหลือพื้นที่ไว้ให้คำแพงได้ปลื้มบ้าง”

“ผมมาเอาของที่สั่งไว้แค่นั้นเองจริง ๆ ครับ”

“อ๋อ เดี๋ยวคำแพงสั่งคนงานเอาขึ้นรถให้เลยนะจ๊ะ พี่เดี่ยวมาเหนื่อย ๆ เข้าไปนั่งในร้านดีกว่าเดี๋ยวคำแพงจะเอาเบียร์เย็น ๆ มาเปิดให้” คำแพงลูกสาวเจ้าของร้านขายอุปกรณ์การเกษตร ปุ๋ยและอาหารสัตว์ เดินเข้ามาเกาะแขนเด็ดเดี่ยวอย่างสนิทสนม ทั้งที่ชายหนุ่มพยายามแกะมือของเธอออก แต่หญิงสาวก็ยังทำเป็นมองข้าม

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะจอดรถทิ้งไว้นี่แล้วให้คนงานขนของขึ้นรถเลย พอดีจะเดินไปซื้อของเดี๋ยวกลับมาครับ”

“งั้นให้คำแพงเป็นเพื่อนนะจ๊ะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ คำแพงต้องช่วยเถ้าแก่ขายของไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ คำแพงไปได้พี่เดี่ยวรอก่อนนะเดี๋ยวคำแพงไปบอกคนงานขนของขึ้นรถให้ แล้วค่อยเดินไปพร้อมกัน” สาวคำแพงบอกแล้วรีบเดินไปหลังร้านเพื่อเรียกคนงานทันที เพราะเด็ดเดี่ยวมาสั่งของเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่พอเดินออกมาคำแพงก็ไม่เห็นชายหนุ่มรออยู่ที่เดิม “ไปไหนแล้ว พี่เดี่ยวนะพี่เดี่ยว”

“บ่นอะไรพี่คำแพง”

“ยุ่งอะไรด้วยยัยส้มเช้ง”

“ก็เห็นยืนบ่นอยู่คนเดียวนึกว่าผีเข้า”

“นี่อย่ามาปากดีไปช่วยคนงานจัดของโน่นเลยไป”

“จัดเสร็จหมดแล้ว ว่าแต่ส้มนะแล้วพี่เถอะ วัน ๆ ช่วยกันทำงานบ้าง ไม่ใช่มองหาแต่ผู้ชาย”

“ยังกะแกไม่มองเนอะนังส้มนั่งตุ๊ดจูออน”

“ตุ๊ดแล้วไงน่ารักแล้วกัน แล้วก็นะส้มไม่ได้วัน ๆ เอาแต่มองหาผู้ชายเหมือนพี่หรอก เพราะส้มมีชายเดียวในดวงใจชิ” พูดจบคนที่ถูกเรียกว่าตุ๊ดจูออนเพราะตัวขาวเหมือนผีจูออนในหนัง ก็สะบัดหน้าหนีพี่สาวเดินเข้าบ้านไป

ส่วนเด็ดเดี่ยวเมื่อคำแพงเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อสั่งให้คนงานขนของขึ้นรถ ก็รีบชิ่งหนีออกจากร้านทันที เพราะมีของอย่างอื่นที่ต้องไปหาซื้อกลับบ้านอีกหลายอย่างที่อยู่ร้านแถว ๆ นั้น พอเดินผ่านร้านขายยาสายตาก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง ทำให้คิดถึงคนที่นอนเจ็บขาอยู่ที่บ้าน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลี้ยวเข้าไปถามไถ่จนได้ความ และซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วยหลายอัน พอเดินกลับมาที่ร้านของคำแพงคนงานก็จัดของขึ้นรถให้เขาเรียบร้อยพอดี ชายหนุ่มจึงเดินไปจ่ายเงินค่าของในร้าน

“ขอบใจมากนะพ่อเดี่ยวที่มาอุดหนุน วันหลังโทรมาสั่งอีกได้นะเดี๋ยวลุงจะเตรียมไว้ให้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะนะครับ” เด็ดเดี่ยวรับเงินทอนแล้วบอกลา แต่พอเดินออกมาหน้าร้านก็เจอเข้ากับสายตาตัดพ้อ กับใบหน้าบึ้งตึงของคำแพงรออยู่แล้วที่ข้างรถของเขา

“พี่เดี่ยวไม่รอคำแพง”

“เอ่อ พอดีผมรีบขอตัวก่อนนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันหลังคำแพงไปเที่ยวหาที่บ้านนะจ๊ะ”

“ไปนะครับ “เด็ดเดี่ยวไม่ได้ตอบรับแต่บอกอย่างขอไปที ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถขึ้นนั่งประจำที่แล้วขับออกไปแทบไม่ทันใจตัวเอง พอพ้นออกมาได้ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ธุระของเขายังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะมีของอีกมากมายที่ต้องหาซื้อกลับไปพร้อมกันทีเดียว จะได้ไม่ต้องเข้าอำเภอบ่อย ๆ พอซื้อของได้ครบทุกอย่างตะวันก็คล้อยลงจนจะตกดินอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงรีบบึ่งรถกลับบ้านทันที ใจห่วงอีกคนจะรอ แต่พอคิด ๆ ดูก็ได้แต่ยิ้มขำให้ตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าอีกคนรอเขาอยู่จริงหรือเปล่า

พอกลับมาถึงบ้านเด็ดเดี่ยวก็เรียกคนงานที่ไร่มาช่วยกันยกของลง ซึ่งก็มีทั้งปุ๋ยบางตัวที่จำเป็นต้องใช้ในนาข้าว สลับกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักขึ้นเอง ทั้งอาหารสัตว์ที่ใช้เลี้ยงคู่ไปกับอาหารที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ

“เร็ว ๆ มาช่วยกัน” เด็ดเดี่ยวเร่งคนงาน โดยเขาเองก็ขึ้นไปช่วยกระสอบปุ๋ยยกส่งให้คนงานอยู่บนรถด้วย

“จะรีบไปไหนพี่เดี่ยว” ดาวรุ่งถามพี่ชายเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเร่งให้คนงานรีบทำงาน

“มีธุระนิดหน่อย วันนี้กินข้าวเย็นกับพ่อก่อนเลยนะ”

“แหม ท่าทางเหมือนไปติดสาวเลยนะเนี่ย”

“สาวที่ไหนไม่มีหรอก”

“หืม แล้วทำไมหมู่นี่ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเลย ไปนั่นไปนี่ตลอด หายไปทีเป็นวัน ๆ ”

“พี่ก็ไปบ่อยเป็นปกตินั่นและ”

“จ้าคุณพี่ชาย”

“เสร็จแล้วไปก่อนนะ”

“จะไม่อาบน้ำอาบท่าก่อนหรือไง ดูสิเหงื่อออกเปียกหมดเลย เดี๋ยวสาว ๆ เหม็นเอาน้า”

“เดี๋ยวกลับมาค่อยอาบละกัน กลิ่นแบบนี้ล่ะสาว ๆ ชอบ” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วยักคิ้วเท่ ๆ ให้น้องสาว จากนั้นก็ขับรถออกไปเลย ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองรีบมากแค่ไหน เพราะนี่ก็เริ่มมืดแล้วทั้งห่วงคนขาเจ็บ ถ้าไอ้จ๋ามันยังไม่เข้ามาดูต้นกล้าจะเป็นยังไง เดินก็ไม่ได้แบบนั้นคงลำบากแย่ เดี๋ยวคุณยายประไพศรีจะว่าเอาได้ ว่าอุตส่าห์ฝากฝังให้เขาช่วยดูแล แต่กลับปล่อยให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายมีแต่เรื่องเจ็บตัว

เอี๊ยดดดดด

“ใครมาซิ่งแถวนี้วะ” ไอ้จ๋าบ่นคอก็ชะเง้อมองลงไปทางชานเรือน เมื่อได้ยินเสียงรถเบรกอย่างดัง

“ใครมาวะจ๋า”

“ไม่รู้ครับลูกพี่เดี๋ยวไอ้จ๋าเดินไปดู” ไอ้จ๋าลุกขึ้นกำลังจะเดินไปดูก็พอดีที่เด็ดเดี่ยวกระโดนขึ้นบันไดทีละสามขั้นขึ้นมาถึงก่อน “ลูกพี่เดี่ยวนั่นเอง ไปไหนมามืดค่ำครับ แหมเช้าถึงเย็นถึงเสมอต้นเสมอปลายตลอดเนาะ ไม่นานคงมีใจอ่อนกันบ้างล่ะ พูดเลย” ไอ้จ๋าถามทั้งยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางรู้ทัน

“พูดมาก” เด็ดเดี่ยวกัดฟันกระซิบบอกเบา ๆ เมื่อเห็นนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของไอ้จ๋าที่มองมายังเขา

“นั่นแน่ มาครับเข้ามาก่อน ซื้ออะไรมาล่ะนั่น มาไอ้จ๋าช่วยถือ”

“เป็นยังบ้าง ยังปวดอยู่มั้ย”

“..” ต้นกล้าเลิกคิ้วทำปากยื่นไม่ตอบคำแล้วหันเมินและมองไปอีกทาง ไม่ได้ตั้งใจจะงอนเลยจริง ๆ นะ ทั้งเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่คนตัวโตไม่ให้เข้าอำเภอด้วย ทั้งเรื่องที่อีกคนกลับมาเสียค่ำมืดจนคิดว่าจะไม่มา ต้นกล้าไม่ได้คิดอะไรและไม่ได้ไม่พอใจ แค่ตอนนี้เขายังไม่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง

“ลูกพี่เดี่ยวครับ” ไอ้จ๋าที่มองลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาเรียกขึ้น ก่อนที่บรรยากาศระหว่างทั้งสอง จะทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากไปกว่านี้

“อะไร”

“ลูกประคบนี่จะเอามาประคบขาให้ลูกพี่กล้าใช่มั้ยครับ ถ้าอย่างนั้นไอ้จ๋าจะเอาไปนึ่งให้นะครับ” ไอ้จ๋าเอาลูกประคบออกมาจากถูกชูให้ดู

“ยังก่อนพรุ่งนี้เย็น ๆ ค่อยทำ ซื้อมาไว้เฉย ๆ วันนี้ประคบเย็นไปก่อน”

“อ้าวทำไมล่ะครับ” ไอ้จ๋าถามอย่างสงสัย ซึ่งมันก็ตรงกับใจของลูกพี่อีกคนที่นั่งทำหัวแดง ๆ หันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่หูผึ่งตั้งใจฟังเหตุผลทีเดียว

“ตอนนี้แผลยังใหม่อยู่ต้องประคบเย็นไปก่อน ให้เลือดมันหดตัวไม่ไหลเวียนมาก จะได้ไม่ปวดไม่บวมกว่าเก่า รอให้ผ่านไปสักยี่สิบสี่ชั่วโมงค่อยประคบร้อน มันช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดปวดด้วย เข้าใจมั้ย” เด็ดเดี่ยวพูดกับไอ้จ๋าแต่ปรายตาไปมองคนที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง

“เข้าใจครับ” เป็นไอ้จ๋าที่ตอบทั้งที่คนถามตั้งใจถามอีกคนที่นั่งฟังเงียบ ๆ แต่ก็เงียบได้ไม่นานเมื่อโทรศัพท์ของต้นกล้ามีสายเข้ามา คนตัวเล็กยิ้มร่าเมื่อกดรับการโทรแบบวิดีโอ

“ครับคุณแม่กล้าคิดถึงคุณแม่จังเลยครับ คุณยายด้วย คุณพ่อด้วยนะครับ คุณยายคร้าบ” ต้นกล้าดูร่าเริงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหน้าแม่ตัวเองอยู่ในจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด

“เป็นไงบ้างลูก”

“ดีครับ กล้าไปดำนาด้วยครับสนุกมากเลย” ต้นกล้าบอกพร้อมรอยยิ้มสดใสผิดกับหน้าตูม ๆ เมื่อสักครู่ราวกับเป็นคนละคน คำพูดคำจาก็เหมือนกับว่าเจ้าตัวสนุกจริง ๆ กับการดำนา ทั้งที่กลับมาต้องนอนซมเพราะพิษไข้อยู่หลายวัน “คุณยายเป็นยังไงบ้างครับคุณแม่”

“คุณยายก็อยู่ตรงนี้แหละลูกคุยกับคุณยายนะ”

“คุณยายกล้าคิดถึงครับ” ต้นกล้าส่งเสียงบอกอย่างใจคิดเมื่อเห็นหน้าคุณยายที่เขาแสนรัก เล่นเอาคนหนุ่มทั้งสองที่นั่งมองอยู่มองมีความสุขตามไปด้วย คนหนึ่งดีใจประสาซื่อที่ได้ยินผู้ใหญ่ที่มันเคารพรักและนับถือ ส่วนอีกคนมองด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก แต่ที่แน่ ๆ เขาเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาใจของตัวเอง ว่าเมื่อไหร่จะได้รอยยิ้มแบบนี้จากต้นกล้าบ้าง

“เป็นไงบ้างลูกสนุกมั้ยทำนา”

“สนุกที่สุดเลยครับคุณยาย วันนี้กล้าได้ไถนาด้วยควายเหล็กด้วยนะครับ” แม้มันจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตามเถอะ แต่ต้นกล้าก็สามารถเอามาคุยโอ้อวดกับคุณยายได้อย่างภูมิใจ

“จริงเหรอ เก่งนี่” คุณยายถามกลับอย่างไม่อยากเชื่อแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียด เพราะเชื่อมั่นใจตัวหลานชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่แล้ว ซึ่งต้นกล้าก็โอ่เรื่องต่าง ๆ ให้คุณยายฟังอย่างภาคภูมิใจเช่นกัน แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอยากกลับกรุงเทพ หรือเรื่องที่ตัวเองไม่สบายจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อออกมาสักคำ ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็พอจะเข้าใจว่าต้นกล้าคงไม่อยากให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงมากนั่นเอง

“ไอ้จ๋าไปไหนแล้วล่ะ เจ้ากล้าอยู่กับใครลูก” พอคุณยายประไพศรีถามหาไอ้จ๋าต้นกล้าจึงหันหน้าจอไปทางมัน เพื่อให้คุยกันคุณยายได้ถนัด

“ไอ้จ๋าอยู่นี่ครับ”

“เป็นไงบ้างแก ช่วยลูกพี่ทำงาน”

“ลูกพี่ของไอ้จ๋าเก่งอยู่แล้วครับคุณยาย นี่ลูกพี่เดี่ยวก็มาช่วยทุกวันเลยนะครับ ตอนนี้ก็นั่งอยู่ด้วยกันนี่แหละ ชะ..” ไอ้จ๋าพูดยังไม่ทันได้จบประโยค ก็เหลือบไปเห็นสายตาดุ ๆ ของคนเป็นลูกพี่ใหญ่มันจึงถึงกับชะงัก คุณยายเลยได้โอกาสถามหาลูกพี่รองของมันแทน

“เหรอ ไหนล่ะมาให้ยายคุยกับพี่เขาหน่อยสิ”

“ครับ ๆ “ไอ้จ๋าจำต้องส่งโทรศัพท์ให้ลูกพี่ตัวโตของมันอย่างขัดใจ เพราะมันยังไม่ทันได้รายงานความเคลื่อนไหวอย่างเกาะติดสถานการณ์โดยละเอียด

“สวัสดีครับ”

“พ่อเดี่ยวเป็นยังไงบ้างลูก น้องดื้อมั้ย” ต้นกล้าหันขวับไปตามเสียงที่ดังออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์ทันที ที่ได้ยินคุณยายถามคนตัวโตแบบนั้น

“ไม่ดื้อเลยครับ” ตอบแล้วก็หันมายักคิ้วยิ้มให้ต้นกล้า

“โธ่คุณยายครับกล้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะครับ” ต้นกล้าขยับเข้ามานั่งติดกับเด็ดเดี่ยวเพื่อจะได้เห็นหน้าจอ เมื่อเอ่ยประท้วงคำถามของคุณยายด้วยเสียงอ้อน ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากคุณยายและคนอยู่ฝั่งกรุงเทพ ที่นั่งฟังด้วยกันขึ้นมาได้ทันทีเลยทีเดียว

“แล้วนี่เสร็จแล้วใช่มันดำนา”

“ครับเสร็จแล้ว” ต้นกล้าบอกเพราะไอ้จ๋ามันรายงานแล้ว ว่าวันนี้เร่งดำนากับคนงานจนเสร็จ ซึ่งต้นกล้าก็จำเป็นต้องตอบเหมือนกับว่าตัวเองมีส่วนร่วม เพราะหากบอกว่าตัวเองไม่ได้ไปดำนาวันนี้ อาจจะนำมาสู่ความสงสัยของคุณยายก็ได้ว่าทำไมไม่ไป แล้วเขาก็ต้องบอกถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น และนั่นอาจจะทำให้คนแก่เป็นห่วงเสียเปล่า ๆ

“เก่งมากเลยลูก แล้วพ่อเดี่ยวล่ะนาของตัวเองเรียบร้อยเหมือนกันหมดแล้วใช่มั้ย”

“เรียบร้อยหลายวันแล้วครับ”

“งั้นก็ดีเลย ยายยังไม่รู้เลยว่าทางนี้เขาจะให้ยายกลับได้เมื่อไหร่ นี่ก็ใกล้วันไปหาหมออีกแล้ว ยังไงยายฝากพ่อเดี่ยวดูแลน้องด้วยนะลูก”

“ครับคุณยายไม่ต้องห่วงทางนี้นะครับ ผมจะดูแลให้ดีเหมือนดูแลตัวเองเลยครับ”

“เจ้ากล้าล่ะ” เด็ดเดี่ยวหันหน้าจอโทรศัพท์มาทางต้นกล้า เพื่อให้คุณยายประไพศรีได้เห็นหน้าหลานชาย แถมยังยักคิ้วให้ด้วยเหมือนตัวเองนั้นเป็นต่อ และเป็นที่รักไม่แพ้กันเมื่อคุณยายบอกว่า “อย่าดื้อกับพี่เขานะเจ้ากล้ารู้มั้ย พี่เขาบอกอะไรก็ให้เชื่อฟัง เป็นเด็กดี” เป็นการเน้นย้ำให้ต้นกล้าไม่ดื้อและเชื่อฟังเด็ดเดี่ยวอย่างเดียวเลย “ยายจะพักผ่อนแล้ว ดูแลกันดี ๆ นะลูกพ่อเดี่ยวยายฝากด้วยนะ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้ล่ะ วันหลังค่อยคุยกันนะลูก”

“ครับ” ทั้งสามหนุ่มขานรับออกมาพร้อม ๆ กันแล้วคุณยายประไพศรีก็วางสายไป เด็ดเดี่ยวยิ้มกรุ้มกริ่มพอใจกับคำสั่งของคุณยายประไพศรี ที่ดูเหมือนว่าจะให้สิทธิ์เขาในการดูแลต้นกล้าอย่างเต็มที่ แต่พอหันมาเห็นใบหน้าตูม ๆ ที่บูดบึ้งของต้นกล้าก็เล่นเอาสะดุ้งกันเลยทีเดียว

“เฮ้ย “!

“ยิ้มอะไร”

“ปะ เปล่า” ไอ้จ๋าต้องมองหน้าลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาอีกแล้ว คนหนึ่งส่งสายตาน่ากลัวจ้องเขม็งราวกับกำลังจะพ่นประกายไฟออกมาฆ่ากัน ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนว่าจะกวนเสียเหลือเกิน ทั้งที่คำพูดเหมือนยอมอ่อนข้อแต่ท่าทางกลับไม่ใช่ พอโดนถามด้วยเสียงดุ ๆ เข้ม ๆ กลับทำหน้าจืดลงได้ทันที คราวนี้ไอ้จ๋ารู้แล้วว่าหน้าเจี๋ยมเจี้ยมมันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างใบหน้าของลูกพี่เดี่ยวตอนนี้นี่ยังไงล่ะ ไอ้หน้าเจี๋ยมเจี้ยมนี่ แล้วสุดท้ายจะมีใครสนใจไอ้จ๋าบ้างไหม!

“หัวเราะเยาะขำเราหรือยังไง”

“พี่เปล่า” ไอ้จ๋านั่งทำตาปริบ ๆ มองลูกพี่ทั้งสอง รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกลืมแล้วจึงค่อย ๆ กระถดตัวถอยหลังออกไปเงียบ ๆ เพราะมันไม่อยากมีส่วนร่วมกับศึกครั้งนี้ เวลาสองคนส่งสายตาเชื่อม ๆ ให้กัน มันยังนึกสนุกอยากเข้ามาแทรก แต่เวลาที่อีกคนส่งประกายไฟและความไม่พอใจออกมาอย่างนี้ มันขอเอาตัวรอดเป็นยอดดีก่อนดีกว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นศึกกรุงศรีกับพม่า หรือศึกไทยไฟท์ ศึกวันทรงชัย ศึกไหน ๆ ยังไงไอ้จ๋าก็ไม่ขอมีส่วนร่วม

“ไปไหนวะจ๋า”

“อะจึ๋ย ลูกพี่ครับไอ้จ๋า ไอ้จ๋าว่าจะ เอ่อ ไปห้องน้ำครับ อูยปวดท้องอะ” ไอ้จ๋าทำลีลาว่าปวดท้องหนักแกล้งนั่งบิดตัวอยู่เร่า ๆ และเพราะกลัวว่าลูกพี่จะไม่เชื่อ จึงแกล้งเอามือปิดก้นตัวเองประกอบเพื่อความสมจริงไปด้วย

“เออ ๆ ไปไหนก็ไปเถอะ”

“รับแซบครับลูกพี่” แล้วมันก็วิ่งปรูดไปจากแรงกดดันนั่นทันที

“แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านกลับช่องตัวเองสักทีเนี่ย”

“จะไล่พี่อีกแล้วหรือยังไง”

“พูดขนาดนี้น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าไล่”

“เอ แล้วใครน้าที่วันนี้ร้องอยากจะตามพี่ไปอยู่แหมบ ๆ”

“เราไม่ได้ร้องสักหน่อย แล้วที่ขอไปก็ไม่ใช่ว่าอยากไปด้วย เราแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”

“งั้น ถ้าขาหายแล้วเดี๋ยวไปดูไร่ดูนาพี่บ้างดีมั้ย” เด็ดเดี่ยวมีท่าทางกระตือรือร้นเมื่อเอ่ยชวน ซึ่งอยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวของต้นกล้าพอดี เพราะเขาเคยคิดสงสัยอยู่ว่าคนหน้ามึนนี่มีดีอะไร ทำไมคุณยายของเขาถึงได้ไว้ใจนักไว้ใจหนา เที่ยวได้ฝากฝังเขาไว้กับคนตัวโตนี่ตลอด ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยไปดูซะหน่อยว่าที่บ้านเป็นอย่างไร ทำไมวัน ๆ ถึงได้เอาแต่ลอยไปลอยมากวนชาวบ้านอยู่แบบนี้

“ว่าไงไปมั้ย โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่มีง่าย ๆ นะ พี่จะพาไปดูงาน”

“ชิ อย่างกับว่าเราอยากจะไปอย่างนั้นแหละ”

“แล้วจะไปมั้ย”

“ไปก็ได้”



%%%%%%%%
วันนี้ยังเปิดให้จองอยู่จ้า ใครสนใจเล่ม ต้นกล้า พี่เดี่ยว สอบถามได้ทางอินบ็อกเพจ ดาว ณ แดนดิน เลยนะคะ

จบตอนจนได้ ว่าแต่อยากจะถามจริงๆ พี่เดี่ยวขา พ่อคุณทูนหัว จะ จะ จะเข้ามาตอนนี้ทามม้ายยยยย เข้ามาก็ไม่เคาะห้องก่อน ผ้าเช็ดตงเช็ดตัวก็ไม่จัดหามาไว้ให้เขา น้องเลยกลายเป็นชีเปลือยขากะเผลกเลย คิกๆ ๆ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันค่ะ ว่างๆ ก็คอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ อยากอ่าน ชอบไม่ชอบตรงไหนบอกมาได้เลยค่ะ มันจะเป็นประโยชน์มากเพื่อดาวจะได้เอาไปปรับปรุงตัวเอง หรือทักทายกันที่เพจดาวก็ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 9 ชาวนาเต็มขั้น 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 12-11-2018 04:59:01
ขนาดนี้แล้วเดี่ยวยังไม่รู้ใจอีกรึ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 10 ชมทุ่ง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 20:03:55
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 10 ชมทุ่ง



ผ่านมาสามวันแล้วข้อเท้าของต้นกล้าดีขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวเร็วแบบนี้เห็นจะต้องยกความดีความชอบให้คนที่คอยมาดูแลเอาใจใส่ประคบร้อนให้ทุกวัน แต่จะยกให้ทั้งหมดก็ใช่ที่หรอก เพราะวันแรก ๆ ประคบไปก็อธิบายไปว่ามันทำมาจากอะไรบ้าง ต้องประคบยังไงจนไม่ไหวจะนั่งฟัง และอีกอย่างต้นกล้าเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้วต่างหาก เจ็บแค่นี้สบายมาก ไม่ใช่เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เหมือนที่คนตัวโตใสทำให้ทุกวันเช้าเย็นทั้งหมดหรอกนะ

คนอะไรก็ไม่รู้บอกงานเยอะงานยุ่งก็ยังมาได้ทุกวัน เช้าก็มาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันได้ตื่นมาโห่ ช่วยจัดแจงเอาลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วเอามาประคบให้ ทำเสร็จแล้วก็ไป หายไปทั้งวัน เย็น ๆ ก็เข้ามาทำเหมือนตอนเช้าเป๊ะ พอทำเสร็จแล้วก็กลับไม่อยู่คุยนาน ไม่กินข้าวเย็นด้วย ไม่คอยพูดจากวนประสาทเหมือนเคย เหมือนรีบทำรีบกลับแต่ก็ทำอย่างตั้งใจเป็นอย่างดี จนไอ้จ๋าตั้งข้อสังเกตอะไรของมันก็ไม่รู้ต้นกล้าไม่ได้สนใจ แต่มันก็สรุปให้ว่าเป็นห่วง

หืม เป็นห่วงเหรอ

ต้นกล้าขนลุก แต่เด็ดเดี่ยวก็เข้ามาดูแลทุกวัน เหมือนเป็นหน้าที่แล้วก็ไป ไปแล้วก็เข้ามาตามเวลาเดิมทุกวัน ส่วนคนที่ถูกกวนประสาทอยู่ตลอดก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันว่าง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ กับปากที่ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวทีหลัง เด็ดเดี่ยวทำแบบนี้ทุกวันจนต้นกล้าสามารถเดินได้เองเป็นปกติ โดยไม่ต้องโขยกเขยกให้เสียภาพพจน์ และพอเดินได้เป็นปกติคนไม่อยู่สุขอย่างต้นกล้าก็ไม่คิดว่าจะนอนงอมืองอเท้า พอเดินเหินได้สะดวกก็ออกเดินเล่น หลังจากที่เชื่อฟัง เอ๊ะ! ไม่ใช่ล่ะ หลังจากที่คิดว่าหากไม่อยากให้เด็ดเดี่ยวคอยมาวุ่นวายกับชีวิตของตัวเอง ด้วยการมาดูแลเช้าเย็นก็ต้องทำการรักษา และดูแลตัวอย่างเคร่งครัด โดยการไม่เดินหรือขยับเท้าบ่อยอย่างที่อีกคนบอก ซึ่งมันเป็นวิธีรักษาวิธีเดียวที่จะช่วยให้หายไวขึ้นเขาก็ต้องทำ ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติตามที่อีกคนบอกเลยจริง จริ๊ง

“อ๊ะ นึกว่าใครมาทำด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวนี้”

“อืม ฉันเองแล้วนี่..”

“ออกไปเดินเล่นแล้วครับ”

“หืม ทำไมปล่อยให้ออกไปเดินเล่น”

“ก็แหมลูกพี่ครับ ในเมื่อลูกพี่กล้าบอกหายดีแล้ว คิดว่าช้างที่ไหนจะมาฉุดอยู่ล่ะครับ ลำพังมดตัวเล็ก ๆ อย่างไอ้จ๋านี่เอาไม่อยู่หรอกถ้าลูกพี่กล้าจะไปซะอย่าง ว่าแต่ลูกพี่มาแต่เช้านะครับ”

“ก็มาเวลานี้ทุกวัน”

“นั่นสิ เช้าถึงเย็นแบบนี้ คิดอะไรกับคนบ้านนี้จริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย”

“..” เด็ดเดี่ยวกอดอกยืนมองไอ้จ๋าอย่างเอาเรื่อง เมื่อเขาเดินเข้ามาในบ้านแล้วมองหาเจ้าของบ้านแต่ไม่เจอใคร ไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันมาจากไหน ถึงได้มาโผล่เอาข้างหลังและทักขึ้น “แล้วลูกพี่เราเขาเดินไปทางไหน”

“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้วนิ”

“..” เด็ดเดี่ยวทำหน้าเข้มขึ้นเมื่อไอ้จ๋ามันยังลีลาไม่รีบตอบคำ เขารู้ว่ามันรู้ว่าเขาอยากรู้อะไร สายตาเจ้าเล่ห์ที่มันมามองมาและอาการยิ้มเล็กยิ้มน้อยนั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่ามันกำลังเริ่มกวนประสาทให้เขาหลุดมาดนิ่ง ๆ ของตัวเอง

“แต่งตัวมาซะหล่อแบบนี้มีสอนใช่ปะ คงไม่ได้แต่งมาเพื่อลูกพี่กล้าของไอ้จ๋าแน่เลย” ไอ้จ๋ามองเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ศีรษะที่จัดแต่งทรงผมเป็นเงาสวยเสยขึ้นเอาไว้อย่างดี เสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีกากีอ่อนผูกเนกไทลายริ้วเล็ก ๆ ดูเข้ากันได้อย่างพอดี กับกางเกงสีน้ำตาลเข้มและรองเท้าหนังสีดำในแบบที่ หล่อ มาดเข้ม และมีเสน่ห์ดึงดูดที่สุด จนไอ้จ๋าที่ว่าเป็นผู้ชายแมน ๆ ยังมองตาค้างปากห้อยน้ำลายไหลย้อยกันเลยทีเดียว

“อืม เดี๋ยวก็ไปแล้วว่าแต่จะบอกได้หรือยัง”

“แหะ ๆ เห็นเดินลงนาครับ”

“หืม ลงนาแต่เช้าขนาดนี้เนี่ยนะ”

“นั่นดิ หรือว่าไม่อยากเห็นหน้าใครบางคนหว่า”

“จริงเหรอ” บางทีเด็ดเดี่ยวก็คิดว่าต้นกล้าอาจจะเบื่อหน้าเขาอยู่เหมือนกัน เพราะเจอแต่ละทีก็ดีแต่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งใส่ แถมยังไล่กลับก็ออกบ่อย แต่ไม่รู้ทำไมมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างบอกเขาอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่ต้นกล้าทำนั้นมันไม่ได้จริงจังเลยสักนิด แม้ว่าเจ้าตัวจะทำหน้าดุ หน้าโหด หรือไม่พอใจขนาดไหน คนมองที่คิดเข้าข้างตัวเองยังไง้ยังไงก็คิดว่ามันดูไม่จริงจังอยู่ดี

“แล้วเอาไงต่อครับลูกพี่ จะออกไปเลยหรือเปล่าครับ”

“ยังว่าแต่ไม่มีเรียนหรือไงวันนี้ แต่ช่างหัวแกเถอะไปล่ะ”

“อ้าว” ไอ้จ๋าได้แต่ทำหน้าหมางง เพราะเมื่อเด็ดเดี่ยวพูดจบก็เดินไปตามเส้นทางที่พาลงนา โดยไม่ได้หันกลับมาสนใจหรือรอคำตอบของไอ้จ๋า ปล่อยให้มันยืนเหวอ ทั้งที่มันเองก็รู้อยู่แล้วว่ายังไง้ยังไง ลูกพี่เดี่ยวก็คงยังไม่ถอยกลับไปง่าย ๆ หากยังไม่ได้คุยกับคนตั้งใจที่มาหา “แหมทำฟอร์มจัดที่แท้ก็อยากไปเห็นหน้าเขาก่อนไปทำงาน” ไอ้จ๋าบ่นตามด้วยเสียงอันดังคล้าย ๆ กับว่าอยากให้คนที่รีบเดินจ้ำอ้าวลงนาได้ยินด้วย กับความรู้ทันของมันราวกับว่าไปนั่งอยู่กลางใจของชายหนุ่มผู้เป็นลูกพี่รองก็มิปาน

เช้า ๆ อากาศดี ๆ อย่างนี้เหมาะมาก สำหรับการเดินออกมาเพื่อรับเอาความบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ผ่านการสูดอากาศที่หอมทั้งกลั่นดินกลิ่นหญ้า และกลิ่นน้ำค้างที่หลงเหลือมาจากเมื่อคืน มองความเขียวชอุ่มของต้นกล้าข้าวที่ปักดำกำลังเริ่มตั้งต้นแข็งแรง เห็นแล้วให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาในใจ แค่เพียงได้เห็นว่าข้าวที่ปลูกเอาไว้เริ่มติดรากยังรู้สึกดีได้ถึงเพียงนี้ แล้วตอนที่ได้เห็นมันออกรวงแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามเต็มทุ่ง จะรู้สึกดีมากแค่ไหน ต้นกล้าคิดแบบคนไม่เคยจึงไม่รู้ว่า กว่าจะไปถึงจุดนั้นต้องรออีกนานหลายเดือนเลยทีเดียว กลิ่นน้ำค้างให้ความรู้สึกฉ่ำชื้นแต่ก็สดชื่นไม่น้อย บ้างยังเหลือเป็นหยดเกาะอยู่บนยอดหญ้าอ่อนก็อีกมาก ทำให้รองเท้าผ้าใบคู่เก่งราคาแพงที่หยิบมาใส่เปียกไปหมด แต่กระนั้นต้นกล้าก็หาได้สนใจไม่ และยังคงย่ำเท้าก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์ที่คนในเมืองอย่างเขาไม่เคยได้สัมผัสกันง่าย ๆ จนเริ่มหลงใหลกลิ่นอายของท้องทุ่งโดยไม่รู้ตัว

ต้นกล้าอยู่ในชุดเครื่องแบบชาวนาเต็มยศ โดยใส่หมวกสานสีส้มสด เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตโทนสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เสื้อใส่ทำงานมาจากไหน แต่เป็นเสื้อเชิ้ตจากแบรนด์ดังที่ต้นกล้ามีติดกระเป๋ามาด้วย แล้วนึกอยากหยิบมาใส่ เพราะเห็นคนงานหลาย ๆ คนชอบใส่กันนั่นเอง ส่วนกางเกงนั้นเป็นกางเกงยีนที่ไม่น้อยหน้ากันในเรื่องของราคาและยี่ห้อ แต่เมื่อเอามาใส่ทำงานคลุกดินคลุกโคลน มันก็กลายเป็นเพียงแค่กางเกงยีนตัวหนึ่งที่ช่วงบนยังดูดี แต่ช่วงขาตั้งแต่หัวเข่าลงมาเปื้อนไปด้วยรอยเปียก โคลนดินและดอกของหญ้าเจ้าชู้ที่เกาะติดมาอยู่ประปราย ไม่ต่างจากกางเกงราคาถูกที่ชาวบ้านเขาใส่กัน ต้นกล้าเสริมความเป็นชาวนาให้ราศีจับ ด้วยผ้าขาวม้าสีสวยที่ไอ้จ๋ามันจัดหามาให้เมื่อวันก่อน ที่เขาบอกมันว่าอยากจะได้สักผืน มันก็จัดการค้นออกมาจากตู้เก็บของ ที่คุณยายประไพศรีใช้เก็บผ้าทอและผ้าต่าง ๆ เอาไว้นั่นแหละ โดยต้นกล้าให้เหตุผลถึงเรื่องของความกลมกลืนกับคนงานคนอื่น ๆ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเด็ดเดี่ยวเอามันมาเคียนเอว แล้วมันดูเท่แปลกตาเลยนะ ไม่ใช่เลยจริงจริ๊ง…

เจ้าของใบหน้าหล่อเกาหลีเดินแบกจอบไปตามความยาวของคันนา พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางที่องอาจมาดมั่น เพราะพี่สอนได้สอนเอาไว้และต้นกล้าก็จำได้ขึ้นใจ ยามลงนาลงไร่จอบเสียมหรือมีดพร้า อย่าได้ลืมถืออย่างใดอย่างหนึ่งติดไม้ติดมือไปด้วย เผื่อจะได้ใช้งาน อย่างน้อยน้ำล้นนาจะได้เอาจอบขุดเปิดทางเพื่อปล่อยน้ำออก หรือไม่อย่างนั้นก็ขุดปิดทางน้ำถ้ามันเหลือน้อยเกินไป นาจะได้ไม่แห้งก่อนที่ข้าวจะติดราก หรือเอาไว้ขุดปู ขุดหอย ขุดหน่อไม้ ติดมือกลับไปทำเป็นของกินก็ยังได้ แต่สำหรับต้นกล้าเหตุผลเดียวที่มีจอบติดมือมา ก็เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูเป็นมืออาชีพเท่านั้นแหละ ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้เอามาใช้ตอนไหน เดินผ่านหลังบ้านเห็นมันถูกจัดเรียงสลอนอยู่บนคาน แล้วให้คิดถึงคำที่พี่สอนเคยบอก ก็เลยถือติดมือมาด้วยก็เท่านั้นเอง

เดินมาจนสุดคันนาพอรู้สึกเหนื่อยและเหงื่อซึมนิด ๆ อดีตหนุ่มกรุงที่ผันตัวเองมาเป็นชาวนา ให้คิดว่าได้ออกกำลังกายบ้างแล้ว ก็พอดีที่เขามาถึงคูกั้นน้ำ เหนือคูด้านบนนั้นเป็นบ่อปลาและปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ รอบคูเอาไว้เต็มไปหมด ทั้งมะม่วง กล้วย มะละกอ มีไผ่ต้นเล็ก ๆ ปลูกเอาไว้ด้วยแต่ก็ไม่ได้ดูรกจนน่ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย ส่วนหน้าคูนั้นเป็นที่ว่างและไม่มีน้ำขัง พื้นหญ้าอ่อนขึ้นแซมดอกหญ้าเล็ก ๆ ดูสบายตาน่านอนเล่นมองพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ ต้นกล้าค่อย ๆ ไถลตัวลงคูอย่างคล่องแคล่ว แล้วทิ้งจอบที่เริ่มหนักสำหรับเขาลงไว้ที่พื้น โดยไม่ลืมคว่ำด้านที่มีคมลงดิน แล้วนั่งแหมะลงพักเอาแรง เมื่อรู้สึกสบายตัวก็เอนหลังลงนอนเล่นมันตรงนั้นนั่นเอง

“หายไปไหนของเขานะ” เด็ดเดี่ยวบ่นเบา ๆ หลังจากที่กวาดตามองไปรอบทุ่งนาที่เพิ่งจะปักดำเสร็จไปได้ไม่กี่วัน แต่มองจนทั่วก็ไม่เห็นแม้เงาของคนที่ตั้งใจมาหา มองไปยังคูสูงจากฝั่งที่เขายืนอยู่จะเห็นบ่อปลา น้ำในบ่อใสจนเห็นตัวปลาว่ายวน มีต้นไม้ปลูกเอาไว้โดยรอบทำเป็นสวน แต่ก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วก็ต้องถอนหายใจหันหลังกลับ เพราะเขามัวโอ้เอ้หรือช้ามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถึงจะมีชั่วโมงสอนตอนช่วงสาย แต่ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ดีที่เตรียมการสอนไว้ก่อนแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ชายหนุ่มก้าวถอยจากคันนาแล้วหันหลังกลับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอคนตัวเล็กก่อนไป แต่วันนี้ช่วงบ่ายทันทีที่ว่างเขาจะรีบมา เด็ดเดี่ยวทำทุกอย่างโดยไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าทำไมตัวเขานั้นต้องทำถึงขนาดนี้ แค่ทำอย่างที่ใจอยากทำ และรู้สึกว่าช่วงนี้เขาจะทำมันทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชินแค่นั้นเอง

เด็ดเดี่ยวมาถึงมหาวิทยาลัยก็จวนจะได้เวลาเข้าสอนพอดี ชายหนุ่มทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งหมดชั่วโมงสอนและปล่อยนักศึกษา เขาไม่มีสอนต่อและไม่มีงานอื่นเพราะเป็นเพียงอาจารย์พิเศษที่รับงานสอนชั่วคราว เมื่อสอนเสร็จจึงเตรียมตัวกลับทันทีตามประสาคนมีนัดกับตัวเอง แต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ

“อาจารย์ฮะ”

“เรานั่นเอง ว่าไง” เด็ดเดี่ยวหันกลับมาตามเสียงเรียก ก็เจอเข้ากับร่างบอบบางอ้อนแอ้นของออเรนจ์ ที่เดินเข้ามาหาเขา พร้อมเพื่อนผู้หญิงท่าทางก๋ากั่นอีกสองคน แตกต่างจากออเรนจ์ที่ดูจะสงบเสงี่ยมน่ารักเป็นกุลสตรีทั้งที่อยู่ในร่างชาย ถึงแม้จะดูอ้อนแอ้นบอบบางก็ตามทีเถอะ เด็ดเดี่ยวเผลอมองใบหน้าน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มนั้นอยู่ตั้งนาน จนได้ยินเสียงลูกศิษย์พูดขึ้นจึงได้รู้สึกตัว

“คือหนูตามหานายจรัสชัยไม่เจอฮะ ที่อาจารย์ให้หนูจับคู่ทำรายงานด้วย อาจารย์พอจะทราบหรือเปล่าฮะว่าหนูจะติดต่อเขาได้ยังไง”

“อ๋อ ไม่ได้ถามเบอร์กันเอาไว้หรือยังไง”

“ลืมฮะ”

“อาจารย์ก็ไม่มีเบอร์เขาหรอกนะ” ออเรนจ์หน้าหมองลง เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันล่าสุดก็พยายามตามหาคู่ทำรายงานแต่ก็ไม่เจอกันสักที เวลาไม่อยากเจอละเห็นบ่อยเหลือเกิน แต่ก็เป็นเพียงออเรนจ์นั่นแหละนะที่เห็น เพราะคนไม่สนใจใครอย่างไอ้จ๋าจะมาเห็นของสวย ๆ งาม ๆ? แบบนี้ได้อย่างไร “แต่”

“..” คำว่าแต่เรียกให้ออเรนจ์เงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวัง แล้วสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกก็ทำให้ปากเล็ก ๆ สีสดฉ่ำวาวด้วยลิปกลอสรสสตรอเบอร์รี่ ถึงกับคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างมีความหวัง

“จริงเหรอฮะอาจารย์”

“จริงสิ อาจารย์จะโกหกทำไม”

“งั้นดีเลยฮะ ขอบคุณนะฮะ”

“กลับด้วยกันมั้ยล่ะ เราเป็นลูกร้านเถ้าแก่สินใช่มั้ย”

“ใช่ฮะอาจารย์”

“พอดีอาจารย์จะแวะเอาของที่ร้านไปด้วยกันก็ได้นะ”

“จริงเหรอฮะอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นออเรนจ์ไม่เกรงใจนะฮะ พวกแกฉันกลับพร้อมอาจารย์นะ”

“แหมได้กลับกับอาจารย์สุดหล่อเกือบลืมพวกฉันนะยะนังส้ม” เพื่อนสาวหนึ่งในสองแซวออเรนจ์ที่เปลี่ยนจากสาวเรียบร้อยในคราแรก กลายเป็นกระดี๊กระด๊าขึ้นมาเลยทีเดียว เมื่ออาจารย์หนุ่มรูปหล่อชวนให้กลับด้วยกัน

“ออเรนจ์ย่ะ ไปล่ะนะพวกแก” พอร่างบอบบางวิ่งไปเปิดประตูขึ้นนั่งรถฝั่งข้างคนขับ เด็ดเดี่ยวจึงพยักหน้าให้สองสาวเพื่อนของออเรนจ์ แล้วขึ้นนั่งประจำที่ตัวเองขับรถกลับด้วยอารมณ์ที่ดูเหมือนว่าจะดีเป็นพิเศษ หึ ๆ

เกือบสามสิบนาทีจากตัวจังหวัดเข้าสู่ตัวอำเภอจนมาถึงร้านของเถ้าแก่สิน ซึ่งเป็นพ่อของออเรนจ์ เด็กสาวในร่างหนุ่มน้อยรีบเปิดประตูวิ่งเข้าร้าน โดยไม่ลืมหันมาของคุณอาจารย์หนุ่มรูปหล่อของเธอก่อน

“ขอบคุณนะฮะอาจารย์ที่ให้หนูติดรถกลับมาด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ”

“นังส้มมาด้วยกันได้ยังไง” คำแพงแว้ดใส่น้องที่พึ่งลงมาจากรถของเด็ดเดี่ยว ออเรนจ์จึงรีบวิ่งเข้าบ้านโดยไม่สนใจเสียงตวาดของพี่สาวอย่างหวงก้างของคนอื่น เมื่อคำแพงที่เห็นรถของเด็ดเดี่ยวขับเข้ามาจอดหน้าร้านพอดี เลยรีบเดินออกมาต้อนรับ ด้วยหวังจะได้ทำคะแนนและใกล้ชิดชายหนุ่ม ยิ่งเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวลงมาจากรถพร้อมความเท่ เพราะยังแต่งตัวเรียบร้อย เหมือนเมื่อตอนเช้าทุกกระเบียด ยิ่งทำให้ใจดวงน้อยของสาวคำแพงเต้นไม่เป็นส่ำ “พี่เดี่ยวไปสอนมาเหรอจ๊ะ มาเหนื่อย ๆ เข้าไปนั่งรับแอร์เย็น ๆ ในร้านดีกว่า เดี๋ยวคำแพงจะเอาเบียร์เย็น ๆ มาเปิดให้ดื่ม”

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมจะมาเอาของที่สั่งไว้แล้วจะรีบไปธุระต่อ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางปลดเนกไทจากคอตัวเองออกหลวม ๆ อย่างรำคาญ ซึ่งคำแพงมองการกระทำของเขาไม่วางตา คนอะไรแค่ท่าปลดเนกไทก็เท่ แล้วถ้าคำแพงได้ปลดกระดุมเสื้อที่เกะกะลูกกะตาออก พี่เดี่ยวของคำแพงจะเท่ขนาดไหน แค่คิดตัวคำแพงก็บิดแทบจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว แต่! ไม่ได้ยังบิดไม่ได้ เพราะพี่เดี่ยวบอกว่ามาสั่งของไว้แล้ว

“พี่เดี่ยวสั่งอะไรไว้ทำไมคำแพงไม่รู้ เดี๋ยวคำแพงเช็ดให้นะจ๊ะ มา ๆ เข้ามาก่อน” คำแพงดึงแขนเด็ดเดี่ยวแล้วเกี่ยวกอดต้นแขนที่เพียงแค่สัมผัสผ่านเนื้อผ้า ก็ให้รู้สึกถึงกล้ามเนื้อล่ำ ๆ หนั่นแน่นนั้น จนเกือบเผลอซบแก้มแนบลงไปบัดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดว่าสายตาของเถ้าแก่สินผู้เป็นพ่อกำลังจ้องมองมาพอดี คำแพงก็อยากจะลองซบอกชายในฝันให้เป็นบุญแก้มดูสักครั้ง อร้าย ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกายหาผู้ชายถูกใจไม่มี..

“มา ๆ นั่งก่อนพ่อเดี่ยว คำแพงเอาบิลไปให้คนงานขนของขึ้นรถพ่อเดี่ยวเขาทีไป” เถ้าแก่สินบอกลูกสาวคนโตเสียงจริงจัง เพราะไม่ชอบให้คำแพงทำอะไรออกนอกหน้านอกตานักจะดูไม่งาม แน่นอนล่ะว่าหากได้เด็ดเดี่ยวเป็นลูกเขย ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ก็ต้องให้มีความเหมาะสม ไม่ใช่รุกหนักเหมือนที่คำแพงกำลังทำอยู่เพราะมันดูไม่ดีเอามาก ๆ

“แหมพ่อยัยส้มเช้งมาแล้ว ทำไมไม่เรียกมันมาช่วยงาน คำแพงอยากคุยกับพี่เดี่ยวนี่”

“เอาบิลไปให้คนงาน” คำแพงทำหน้าบูดแต่ก็ต้องจำใจรับบิลของจากมือพ่อที่มองตาดุอย่างไม่พอใจ

“สวัสดีครับเถ้าแก่”

“รอบนี้ได้ของครบนะ สั่งมาวันที่ของเข้าพอดีลุงเลยส่งให้เราหมด” เถ้าแก่สินบอกพลางยื่นบิลเก็บเงินให้เด็ดเดี่ยว ที่ชายหนุ่มก็ล้วงกระเป๋าสตางค์หยิบเงินออกมาจ่ายทันที

“ครับขอบคุณมากนะครับเถ้าแก่” จากนั้นทั้งสองนั่งคุยกันอยู่สักพัก คำแพงก็เดินเข้ามาบอกว่าคนงานขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงได้โอกาสลากลับ เพราะใจเขานั้นลอยไปหาใครบางคนตั้งนานแล้ว แต่ก่อนจะได้ไปเจอหน้ายังไงก็ต้องแวะเอาของที่ซื้อไปลงไว้ที่บ้านตัวเองก่อน แล้วถึงจะได้ตามหัวใจที่รออยู่บ้านอีกหลังหนึ่งไป ซึ่งมันค่อนข้างทำให้เด็ดเดี่ยวเสียเวลา หมู่นี้ไม่รู้เป็นยังไง ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจในการทำงานเลย แต่ก็ช่างเถอะถึงจะไม่มีกะจิตกะใจ ยังไงงานทุกงานมันก็ยังออกมาดีเหมือนเดิมอยู่ล่ะนะ แค่นี้ก็ไม่โดนพ่อกำนันด่าเอาแล้วล่ะไอ้เดี่ยวเอ๊ย

“เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะพี่เดี่ยว”

“หืม?” เด็ดเดี่ยวหันมาทางเจ้าของเสียงงง ๆ

“พอดีพ่อให้คำแพงเข้าไปหาลูกค้าที่บ้านทุ่งน่ะ เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวคำแพงจะแวะไปหาที่บ้านนะจ๊ะ” คำแพงพูดจบก็ส่งสายตาหวานเชื่อมพร้อมกะพริบปริบ ๆ ให้ชายหนุ่มที่เธอหมายปอง เขายิ้มทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจให้ตามมารยาท ยังไงไปก็คงไม่เจอเพราะเด็ดเดี่ยวมีที่ไปแล้ว โดยที่เขาเองก็ไม่ได้วางแผนหลบหน้าเลยจริง ๆ นะ

พอกลับมาถึงบ้านเด็ดเดี่ยวก็ตะโกนเรียกคนงานลั่น เพื่อเร่งให้มาช่วยกันขนของลงจากรถโดยไว ส่วนตัวเองแยกขึ้นห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเก่ง คือเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีน้ำเงินเข้มเผยให้เห็นไหล่กว้าง ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายน่าซุกซบ กับกางเกงยีนตัวเก่าซีดที่ดูสะอาดและรองเท้าผ้าใบ มีผ้าขาวม้าลายตารางสีสันสดใสเคียนเอวเต็มยศ

“เสร็จยังวะ ชักช้าจริง” เด็ดเดี่ยวเดินมาเห็นว่าคนงานขนของที่อยู่ท้ายกระบะรถของเขายังไม่เสร็จก็บ่น แต่ไม่จริงจังนักแล้วเข้ามาช่วย

“แหมพี่จะรีบไปไหน” คนงานคนหนึ่งถามกลับมา

“นั่นสิ แล้วนี่ไม่ออกไปดูหมูหน่อยหรือไง” และนี่เป็นเสียงของน้องสาวที่เดินมาได้ยินเข้า จึงถามพี่ชายพร้อมส่งสายตาจับผิดเต็มที่

“อะไรปกติเราเป็นคนดูไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่แต่อยากให้ไปดูช่วยไง”

“ดูเองเถอะ พี่ไม่ว่าง”

“ไปติดสาวที่ไหนบอกมาดี ๆ ” ดาวรุ่งกระแซะถามพี่ชายแหงนเงยใบหน้ามองคนพี่ที่ตัวโตกว่ามาก ด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวที่หรี่ลงอย่างจับผิด

“สาวที่ไหนไม่มี๊ อย่ามามั่ว”

“ขอให้จริงเถอะ”

“ว่าแต่พี่แล้วเราล่ะ” เด็ดเดี่ยวย้อนถามน้องสาวกลับ “ไอ้หนุ่มนั่นเป็นยังไง”

“ไอ้หนุ่มไหน”

“ครูที่พึ่งย้ายมาใหม่ไง เขามาจีบหรือยัง”

“บ้านะสิ จีบอะไรไม่พูดด้วยแล้ว” ดาวรุ่งปึงปังออกไปเมื่อพี่ชายถามย้อนเข้าตัวเอง เด็ดเดี่ยวทันเห็นว่าใบหน้ารูปไข่ของเจ้าตัวซับสีแดงขึ้นมาระเรื่อ เมื่อเขาพูดถึงครู่หนุ่มจากต่างจังหวัดที่พึ่งย้ายมาใหม่ เด็ดเดี่ยวเคยเจอครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงต้อนรับ ส่วนดาวรุ่งน้องสาวของเขา พอเรียนจบก็เลือกสอบเข้าบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน เพราะไม่อยากไปทำงานที่ไหนไกล ๆ นอกจากจะได้อยู่ใกล้บ้านดูแลพ่อและพี่ชายแล้ว จิตสำนึกรักบ้านเกิดของเธอก็แรงไม่แพ้พ่อกำนันและพี่ชายของตัวเองเลย

“พี่ ๆ เสร็จแล้วจะออกไปเลยมั้ยเนี่ย” เสียงคนงานดังขึ้นด้านหลังเด็ดเดี่ยวจึงหันกลับไปมอง เห็นไอ้ดำที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้จ๋ายืนทำหน้าทะเล้นเช็ดเหงื่อไคลอยู่

“เออ ขอบใจไปล่ะ”

“สงสัยติดสาวอย่างที่พี่รุ่งว่าจริง ๆ ว่ะ สาวบ้านไหนอะพี่” ไอ้ดำถาม หน้าตาของมันบ่งบอกความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะนัยน์ตาของมันที่เป็นประกาย

“ก็บอกไม่มีไงวะ”

“ไม่น่าเป็นไปได้” ไอ้ดำเปรยพลางเอามือกอดอกทำท่าวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จากที่สังเกตเห็น ราวกับว่าตัวมันเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วเอามาปะติดปะต่อเหมือนกับว่านี่คือปัญหาระดับชาติ “เช้าออกบ้านตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันได้ตื่น กว่าจะกลับก็หลังตะวันตกดินไปแล้ว บ้านก็อยู่ไม่ค่อยติดเหมือนเมื่อก่อน ผมว่าดูท่าลุงกำนันคงได้ลูกสะใภ้เร็ว ๆ นี้แน่ฮ่า ๆ อุก!” ไอ้ดำคนงานของเด็ดเดี่ยวอุทานออกมาเพราะความจุกที่โดนถีบเบา ๆ จนหงายหลังขาชี้ฟ้า โทษฐานที่ล้อเลียนลูกพี่ใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษแต่ไม่จริงจังนัก ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป



ตลอดเส้นทางเด็ดเดี่ยวไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจาก ตอนนี้ต้นกล้ากำลังทำอะไรอยู่ วันนี้ทั้งวันคนตัวเล็กจะไปไหนทำอะไรบ้าง ข้อเท้าที่วันนี้ยังไม่ได้ประคบให้จะเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลง หรือจะคิดถึงกันบ้างไหม คิดไปคิดมาจนมาถึงเรื่องที่พึ่งโดนแซวก่อนออกมาจากบ้าน หรือว่าเขาจะเป็นเอามากอย่างที่น้องสาวและไอ้ดำมันตั้งขอสังเกตเอาไว้ ก็ไม่นะ ถ้าจะว่าไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเมื่อก่อนเขาก็ไปนั่นมานี่ออกบ่อย ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เพียงแค่ตอนนี้มันบ่อยยิ่งกว่าเก่า และนานยิ่งกว่าเก่า บางทีก็หายไปทั้งวันแค่นั้นเอง ความเร็วของรถที่เร่งให้ทันใจตัวเอง พาชายหนุ่มมาถึงที่หมายได้หลังจากนั้นไม่นาน แต่เมื่อเห็นรถที่จอดอยู่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ ติดตัวหนังสือข้างรถเป็นชื่อร้านขายอุปกรณ์การเกษตรที่อยู่ในตัวอำเภอ ใจเด็ดเดี่ยวก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเหี่ยวแฟบลงไปในทันที นี่เขาอุตส่าห์รีบออกจากบ้านมา เพราะกลัวหญิงสาวจะไปดักที่บ้าน แล้ว ไยต้องมาเจอที่นี่อีกนะ ไอ้จะเลี่ยงจริง ๆ มันก็เลี่ยงก็ปัดได้ แต่เขาเองก็เป็นสุภาพบุรุษ ไอ้ครั้นจะหักหาญน้ำใจหญิงกันมากนักก็หาทำได้จะไม่งาม ทั้งที่ก็ทำอยู่ทุกทีที่เจอไม่เคยเว้น เอาตรง ๆ ก็คือรำคาญนั่นแหละไม่ต้องบรรยายให้มากความ



“นี่เป็นปุ๋ยสูตรใหม่ เหมาะจะใส่นาข้าว ใส่แล้วข้าวงามโตไว ยิ่งพึ่งดำเสร็จใหม่ ๆ นะจ้ะนี่เหมาะเลย ใส่ไปเลยไร่ละห้ากระสอบรับรองข้าวติดเร็วโตไวรวงใหญ่ได้ผลผลิตเยอะ” เด็ดเดี่ยวแทบเต้นผางเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของคำแพงเสนอขายปุ๋ยให้เจ้าของบ้าน ซึ่งถ้าใส่ตามที่หญิงสาวบอกข้าวคงได้เค็มตายพอดี หญิงสาวคงเห็นว่าเจ้าของบ้านดูท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนักนั่นแหละ เลยกะจะทำยอดขาย

“เหรอครับ” เด็ดเดี่ยวได้ยินเสียงของต้นกล้าถามเหมือนสนใจ

“ใส่ปุ๋ยให้ดินแล้วก็ต้องเพิ่มวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงพืชให้ยอดจ้ะ และนี่เลย” ปึง! เสียงเหมือนของหนักบางอย่างถูกวางลงที่แคร่อย่างแรง “วิตามินชนิดพิเศษสำหรับใช้ฉีดในนาข้าว นี่ยังใช้ฉีดในไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อยได้ด้วย เห็นว่าพึ่งดำนาเสร็จใช่มั้ยจ้ะ เอาไปเลยฉีดให้ทั่วผสมน้ำฉีดให้ชุ่ม รับรองข้าวงามติดไว้ตั้งท้องเร็ว ต้นงี้สูงท่วมหัวเลยทีเดียวล่ะเจ้าข้าเอ๋ย”

“อ่อ ครับ” เสียงต้นกล้ารับคำอย่างสนใจอีกครั้ง พลางหยิบขวดยาที่หญิงสาวบอกว่ามันเป็นวิตามินบำรุงอาหารเสริมพืชขึ้นมาอ่านฉลากข้างขวด

“แล้วนี่ค่ะคุณเอ๋ย ยาปราบศัตรูพืชจ้ะ พืชในที่นี้หมายถึงพืชที่เราปลูกนะค้า อันไหนที่เราไม่ได้ปลูกแต่มันดันงอกขึ้นมาให้ถือว่าเป็นศัตรูพืชซะให้หมด และต้องกำจัดมันจ้ะ โดยตัวนี้เลย” ปึง! “ยาปราบศัตรูพืชสูตรพิเศษชนิดเข้มข้นสำหรับฉีดได้ทุกที่ทุกเวลาที่คุณรำคาญวัชพืช”

“แล้วทำไมเราต้องฉีดมันล่ะครับ”

“อร้าย ไม่ฉีดมันก็มาแย่งอาหารของพืชที่เราปลูกไปกินหมดสิจ๊ะ แล้วปุ๋ย แล้ววิตามินที่เราให้ไปมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ นี่ไงถึงต้องกำจัดมันให้สิ้นซากซะ”

“อ๋อ” ต้นกล้าลากเสียงรับยาวพลางพยักหน้าเหมือนกำลังทำความเข้าใจ

“สนุกกันใหญ่เลยนะ” เด็ดเดี่ยวจำต้องแสดงตัวเข้ามาแทรกเมื่อเห็นต้นกล้ามีท่าทางสนใจ

“อุ้ย พี่เดี่ยวรู้ได้ยังไงว่าคำแพงอยู่นี่” คำแพงรีบลุกขึ้นมาเกาะแขนล่ำ ๆ ของเด็ดเดี่ยวอย่างดีใจจนออกนอกหน้า เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าชายหนุ่มตามมาหา

“ผมเปล่าครับ พอดีมาธุระแถวนี้” เด็ดเดี่ยวแกะมือเล็กของหญิงสาวออกจากแขนตัวเองเนียน ๆ เมื่อต้นกล้าหันมามองแล้วทำปากเบ้ส่งมาให้ก่อนจะหันไปทางอื่น

“แล้วมันจะบังเอิญมาเจอคำแพงที่นี่ได้พอดีเลยเหรอถ้า....”

“ผมมาที่นี่เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว และวันนี้ก็ไม่ได้ตามคำแพงมาเข้าใจนะครับ” เด็ดเดี่ยวพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่คำแพงจะพูดจบ พลางเหลือบสายตาไปมองคนตัวเล็ก ที่กำลังทำเป็นสนใจอ่านฉลากบนขวดยาปราบศัตรูพืช ที่หญิงสาวเพิ่งจะเสนอขายให้เหมือนสนใจนักหนา ทั้งที่หูนั้นตั้งใจฟังบทสนทนาของสองหนุ่มสาวในแบบที่เรียกว่า หูผึ่ง กันเลยทีเดียว “ขายต่อสิครับ”

“ตกลงว่าสนใจทั้งหมดเลยหรือเปล่าจ๊ะ นี่เรามีบริการส่งถึงที่เลยนะ ฟรีจ้ะส่งฟรี” คำแพงหันมาทำธุรกิจกับต้นกล้าต่อ ซึ่งโดยปกติที่เธอมามักจะเจอกับคุณยายประไพศรีนั่นทำยอดได้ไม่เท่าไหร่ แต่วันนี้มาถามหาคุณยายกลับเจอหนุ่มหล่อหน้าใส อย่างกับดาราเกาหลี ที่ถึงจะทำให้ใจของสาวคำแพงเขวไปบ้างเมื่อแรกเจอ แต่ความขาวใสสไตล์โอปป้าเกาหลีนั่น ไม่ตราตรึงใจสาวคำแพงเท่าความคมเข้มคร้ามแดดแบบผู้ชายลุย ๆ อย่างพี่เดี่ยวของเธอ คำแพงจึงกลับไปเทคะแนนในหัวใจให้พี่เดี่ยวแต่เพียงคนเดียว และยกให้เป็นที่หนึ่งเหมือนเดิม

“ผมสนใจนะครับแต่คงขอถามคนงานดูก่อน เพราะไม่รู้ว่าเขาจัดการเรื่องนี้กันยังไง” ต้นกล้าบอกปัดแบบเลี่ยง ๆ อย่างมีมารยาท เพราะหลายอย่างที่หญิงสาวโอ้อวดสรรพคุณนั้น เขาหาได้เห็นด้วยไม่ นอกจากมันจะเกินจริงมากไปแล้วเขายังไม่เห็นด้วยจากสิ่งที่หญิงสาวบอก แม้ว่าจะเป็นชาวนามือใหม่ แต่อย่างน้อย ๆ ต้นกล้าก็เคยเรียนมาล่ะนะวิชาเกษตรตอน ม.ต้น

“ว้าย เป็นเจ้าของนา ทำไมต้องไปถามคนงาน”

“เพราะผมพึ่งมาอยู่ ยังไม่รู้ว่าเขาใช้ปุ๋ยใช้ยาอะไร ยังไงถ้าสนใจผมจะให้คนงานพาเข้าไปสั่งที่ร้านนะครับ ร้านอยู่ในตัวอำเภอคนงานน่าจะรู้จักดี” เด็ดเดี่ยวยืนฟังต้นกล้าพูดเงียบ ๆ คำแพงหน้าเสียกับคำปฏิเสธ เพราะแรกเริ่มเดิมทีนั้นเห็นว่าต้นกล้ามีท่าทางสนใจ เธอก็คิดว่าจะได้หมูในอวยอยู่แล้ว แต่ทำไมพอจะปิดการขายดันจะไม่เอาเสียนี่ ขัดใจจริง ๆ





เลื่อนๆๆ ลง เลื่อนลง
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 10 ชมทุ่ง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 20:06:01


“แต่สั่งเผื่อไว้ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะให้เด็กที่ร้านมาส่งเย็นนี้เลย ช่วงนี้คนใช้ปุ๋ยใช้ยาเยอะ ของขาดมากช้าหมดก่อนน้า”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาขายให้ถึงที่เลย” ต้นกล้ายิ้มบาง ๆ ให้แม่สาวนักขาย เขาเบื่อที่จะปั้นหน้าเต็มที ปกติก็เป็นคนขี้รำคาญและไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว พอโดนลูกตื้อเลยเริ่มจะทำหน้านิ่งให้ดูหล่อ ๆ ไม่ไหว

“แต่ว่าจะไม่สั่งสักหน่อยเหรอจ๊ะ สั่งก่อนจ่ายทีหลังก็ได้นะ..” ไม้ตายสุดท้ายที่ทำให้หลายคนยอมเปลี่ยนใจมาแล้ว แต่มันไม่ได้ผลกับต้นกล้าแน่ เพราะเขาไม่ได้สนใจมันจริง ๆ

“ไม่ล่ะครับ”

“แต่ว่า..”

“ผมว่าคำแพงกลับไปก่อนดีกว่านะครับ”

“อ๊าย พี่เดี่ยวทำไมพูดแบบนี้”

“ครับ นี่ก็เย็นมาแล้วขับรถกลับค่ำ ๆ มืด ๆ จะลำบากมันอันตราย”

“พี่เดี่ยวไปส่งคำแพงก็ได้นี่จ้ะ”

“ผมไม่ว่างหรอกครับ คำแพงรีบกลับก่อนเถอะ”

“พี่เดี่ยวไล่คำแพงเหรอ คอยดูนะ ฮึ่ย” สาวคำแพงกระฟัดกระเฟียดออกไปจากตรงนั้น ซึ่งเด็ดเดี่ยวแอบเห็นต้นกล้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อลับหลังหญิงสาวที่หอบข้าวของ และอุปกรณ์การขายของเธอออกจากบ้านไปอย่างไม่พอใจ

“นึกว่าจะซื้อซะแล้ว” บอกพลางเดินมานั่งลงใกล้คนตัวเล็กที่ขยับออกห่างทันทีเช่นกัน

“ซื้อทำไม”

“ก็เห็นตั้งใจฟังเขาออกอย่างนั้น”

“ก็แค่อยากรู้”

“แล้วไม่คิดจะสั่งปุ๋ยมาใส่ข้าวหรือยังไง ไม่อยากให้ข้าวงามเหรอ”

“ถ้าต้องใส่ปุ๋ยข้าวไร่ละห้ากระสอบ ชาวนาคงได้จนกันทั้งประเทศ เพราะจ่ายค่าปุ๋ยนี่แหละ” ต้นกล้าหัวเราะขำพรืดออกมาเมื่อคิดถึงตอนที่คำแพงบอกเขา

“รู้นี่”

“เรื่องพื้น ๆ ใครจะไม่รู้”

“เก่งมาก”

“ชิ” คำว่าเก่งมากเกือบจะทำให้ต้นกล้าเผลอยิ้มออกมาแล้วนะ ดีที่เม้มปากห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน จึงแสร้งทำเป็นนิ่งแล้วมองไปทางอื่น แต่ไอ้มุมปากเจ้ากรรมนี่มันทำไมถึงได้บังคับยากจังเลยวะ ทำไมมันคอยแต่อยากจะยกขึ้นยิ้มอยู่อย่างนั้น นี่ก็เม้มไว้จนเจ็บริมฝีปากไปหมดแล้วนะเว้ย แต่เพราะเสียงอ่อนโยนของคนตัวโตตอนพูดคำว่า ‘เก่งมาก’ มันยังดังก้องอยู่ในหัวนี่ล่ะสิ ที่ทำให้ต้นกล้าอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ อันที่จริงถ้าต้นกล้าไม่ได้ใช้เวลาว่างก่อนเข้านอน เปิดอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือ เพื่ออ่านบทความต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำเกษตร การปลูกข้าวบ้าง ก็คงหลงเชื่อและสั่งซื้อของเหล่านั้นไปแล้ว ยังดีที่เขายังรู้จักหาข้อมูลเสริมความรู้ให้ตัวเองอยู่บ้าง นอกจากการเล่นโซเซียลและถ่ายรูปลงความเคลื่อนไหว ในการเป็นชาวนาลงเฟชบุ๊คของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เริ่มมีคนสนใจและติดตามเขาอยู่มากพอสมควร



“แหะ ๆ ”

“...”

“..” ไอ้จ๋าที่โผล่มาพอดีพร้อมกับถังน้ำพลาสติกใบใหญ่ที่หิ้วอยู่ในมือหัวเราะแห้ง ๆ มันมองหน้าลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาคนนั้นทีคนนี้ทีตาปริบ ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายอย่างไร เพื่อแก้ความเก้อเป๋อเปิ่นของตัวเอง ที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเจอฉากงง ๆ ในแบบที่มันเองไม่รู้จะขัดยังไงเหมือนทุกที โดยที่ระหว่างลูกพี่ทั้งสอง คนหนึ่งหันหน้าหนีไปอีกทาง ส่วนลูกพี่อีกคนที่ตัวโตกว่าก็พยายามหันตาม

“ลูกพี่” มันเรียกเบา ๆ แล้วเว้นช่วงเพื่อชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ต้นกล้าขึ้นอีก ตาเจ้าเล่ห์มีแววสนุกซุกซนกวาดมองใบหน้าใส ๆ จนทั่วแล้วจึงเอ่ยถาม “ทำไมหน้าแดงครับ หรือว่าจะไม่สบาย”

“ฉันสบายดีโว้ย”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ นั่งเอียงตัวแบบนั้นไม่เมื่อยแย่เหรอครับ” มันหันไปเล่นเด็ดเดี่ยวที่พยายามนั่งเอียงตัวมองตามทางที่ต้นกล้ากำลังมองออกไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเขากำลังพยายามส่องดูหน้าต้นกล้าที่หันหนี ซึ่งเมื่อถูกไอ้จ๋าทักชายหนุ่มถึงได้ดึงตัวเองกลับมานั่งในท่าตรงเหมือนเดิม

“เออ ไปไหนมาวะจ๋า”

“ไอ้จ๋าไปหาปลามาครับ นี่ได้ค่อใหญ่มาตัว”

“หืม” ต้นกล้าทำเสียงเป็นคำถามในลำคอประกอบกับคิ้วที่ขมวดมุ่น เมื่อได้ยินสิ่งที่ไอ้จ๋าบอก

“นี่ไงครับลูกพี่” เมื่อเห็นต้นกล้ามีท่าทางสงสัย มันจึงเอียงถังน้ำพลาสติกที่อยู่ในมือมาให้ต้นกล้าดู

“ปลาช่อน “

“ครับลูกพี่ต้มส้มอีกเย็นนี้แซบสะแด่วแน่นอน”

“แล้วไหนค่อใหญ่ของแกวะ”

“เอ้า ก็ไอ้ดำนี่ล่ะครับลูกพี่ปลาค่อใหญ่ของชาวอีสานบ้านเรา หรือปลาช่อนที่ภาษากลางเข้าเรียกกัน”

“อ๋อเหรอ” ใบหน้าหล่อเกาหลีดูเหลอหลา แต่ก็พยักหน้ายอมรับที่ได้เรียนรู้ศัพท์คำใหม่

“หึหึหึ “ต้นกล้าอดไม่ได้ที่จะหันไปทางต้นเสียง เมื่อเด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอกับสิ่งที่เขาพึ่งจะได้รู้

“แล้วนี่ทำไมมานั่งจู๋จี๋กันเงียบ ๆ อยู่นี่ได้ล่ะครับ ไม่มีอะไรทำเหรอครับลูกพี่เดี่ยว”

“เปล่าไม่ได้จู๋จี๋ เฮ้ย “!!

“ไอ้จ๋า/ไอ้จ๋า” !!

“ฮ่า ๆ ไปละเดี๋ยวรอกินต้มปลาค่อใหญ่เด้อทั้งสองคน” ไอ้จ๋าหัวเราะร่าวิ่งออกไปแล้วถึงได้หันกลับมาตะโกนบอกลูกพี่ทั้งสองของมัน ที่ยังนั่งจับต้นชนปลายไม่ถูก กับคำพูดของไอ้จ๋าที่ทิ้งเอาไว้ให้ จู๋จี๋อย่างนั้นเหรอ บ้าที่สุดผู้ชายสองคนจะจู๋จี๋กันได้ยังไง เดี๋ยวเจออีกทีจะสั่งสอนให้น่วม ต้นกล้าคิดเข่นเขี้ยวคาดโทษไอ้จ๋าเอาไว้ในใจ แล้วหันไปมองเด็ดเดี่ยวตาขวางยิ่งกว่าผีเข้า ที่เขาก็ดูเหมือนจะตามไม่ทันคำพูดของไอ้จ๋าเหมือนกัน

“อย่ามองพี่แบบนั้นสิ”

“เราจะมอง”

“มันน่ากลัว”

“กลัวก็กลับบ้านไป”

“ยังไม่อยากกลับ”

“จะมานั่งจู๋จี๋ อุ๊ป “! ต้นกล้าแทบปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ทัน เมื่อคิดว่าที่อีกคนไม่กลับคงเพราะอยากจะนั่งจู๋จี๋กัน ทำไมปากมันถึงไวกว่าความคิดวะ

“หึ ๆ ได้มั้ยล่ะ “

“บ้าบอที่สุดไปไหนก็ไปเลย” ไม่รู้ทำไมอยู่ดี ๆ เสียงมันถึงได้แผ่วลง แถมยังไม่กล้าสบตาวิบ ๆ ที่มองมาเอาเสียดื้อ ๆ แบบนี้

“อย่าพึ่งไล่ดิเพราะพี่ไม่ไปหรอก เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรดี ๆ “

“เราไม่ไป”

“น่าไปด้วยกันหน่อย เกี่ยวกับงานนะไม่ใช่เรื่องไร้สาระ สัญญาวันนี้พี่ไม่แกล้งด้วยเอ้า”

“..” เมื่อพูดเรื่องแกล้งทำให้ต้นกล้ามองหน้าเด็ดเดี่ยวอย่างจับผิด ดวงตากลมโตสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังหาพิรุธจากอีกคน

“แน่นะ”

“ครับ ปะไปกันเถอะเดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน” เด็ดเดี่ยวลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปให้ต้นกล้า แต่คนตัวเล็กกว่ากลับมองเมินมันแล้วลุกขึ้นเอง

“จะพาเราไปไหน”

“ไปถึงเดี๋ยวรู้เอง รอแปบ” บอกแล้วเดินไปทางหลังบ้าน ไม่นานเด็ดเดี่ยวก็กลับมาพร้อมจักรยานหนึ่งคัน

“นี่คือ..” ?

“จักรยาน”

“เรารู้ แต่เอามาทำไม อย่าบอกนะว่าจะขี่เจ้านี่ไป”

“ใช่แล้ว เดี๋ยวพี่พาขี่กินลมชมวิว”

“มีคันเดียวเหรอ”

“ครับ”

“แน่ใจเหรอว่ามันจะรับน้ำหนักเราได้”

“สบายมากไม่ต้องห่วง เอ้าขึ้นมาเร็ว “ต้นกล้าคิดหนักขณะที่เดินเข้าไปใกล้ ๆ จักรยานคันเก่า ที่มีเด็ดเดี่ยวขึ้นนั่งคร่อมรอท่าพร้อมพาลุยอยู่แล้ว

“ดี ๆ นะ”

“เกาะแน่น ๆ ละกันเดี่ยวพี่พาแว๊น”

“เฮ้ย อย่าเร็ว” ต้นกล้าเผลอร้องเสียงหลง เมื่อเขาวาดขาข้ามที่ซ้อนท้ายยังไม่ทันได้นั่งลงดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็ออกแรงถีบรถให้วิ่งออกไปแล้ว จนเขาแทบคว้าจับชายเสื้อของคนตัวโตเอาไว้แทบไม่ทัน



%%%%%%%%



“แม่วันนี้ไอ้จ๋ามีของมาฝาก” ไอ้จ๋าเรียกแม่แจ่มใจเสียงดังอย่างตื่นเต้นอารมณ์ดี หลังจากที่ได้กวนอวัยวะเบื้องล่างของลูกพี่ทั้งสองมาหมาด ๆ

“อะไรของฝาก ทำไมต้องเสียงดัง”

“ของฝากของดีแม่ นี่ไง”

“โหตัวใหญ่มาเชียวจะทำอะไรกินล่ะ”

“ต้มส้มใบมะขามอ่อนนะแม่ไอ้จ๋าอยากกิน”

“เออได้ ว่าแต่มีเพื่อนมาหาแนะ”

“หืม ใครเหรอแม่” ไอ้จ๋าให้รู้สึกสงสัยเป็นยิ่งนัก จึงแสดงออกมาทางใบหน้าที่คล้าย ๆ กับหมางงเต็มที่ ตามแบบฉบับของมัน เพราะโดยส่วนใหญ่เพื่อนที่มาหาก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าจะเจอมันได้ที่ไหน แต่นี่มารอที่บ้านมันจึงนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

“อยู่คอกไก่นู่นแหนะไปดูเพื่อนไป”

“มันไปทำอะไรที่คอกไก่”

“บอกรออยู่ว่าง ๆ ชักเบื่อเลยอาสาช่วยให้ข้าวไก่น่ะ ไป ๆ เพื่อนมารอนานแล้ว” เมื่อแม่แจ่มใจรับถังปลาจากมือไอ้จ๋าและดันหลังให้มันเดินไปทางเล้าไก่ ไอ้จ๋าจำต้องไปเพื่อคลายความสงกะสัยให้ตัวเอง เห็นแต่หลังไกล ๆ ไม่รู้จะเดาว่าเป็นใครจึงก้มหน้าก้มตารีบเดินลัดแปลงผักไปหา เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาคนนั้นคือ.....

“เฮ้ย ยัยตุ๊ดเผือกมาได้ไงวะ”

“ก็นายไม่ยอมเอางานไปให้ฉันนี่ มันจะครบกำหนดแล้วนะ”

“ก็ยังไม่ครบปะ”

“แต่มันครบอาทิตย์หนึ่งที่บอกเอาไว้แล้วนะว่าเอางานมารวมกัน”

“เออ ๆ ช่างเถอะ แล้วมาได้ไง รู้จักบ้านเราได้ไงวะ”

“ฉันเก่งไง”

“เก่งตายล่ะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิจะไปไหน” ออเรนจ์ร้องถามเมื่อไอ้จ๋าสะบัดหน้าให้แล้วเดินหนีกลับไปทางตัวบ้าน

“จะอยู่ให้ไก่ขี้ใส่หัวหรือไง ให้ข้าวมันเสร็จก็มาดิ”

“ผู้ชายอะไรหยาบคาย”

“แล้ว..” ไอ้จ๋าหันกลับมามองออเรนจ์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนจะหาเรื่อง ทำให้เจ้าของร่างบอบบางเผลอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ นึกหวั่นใจพลางก้าวถอยหลัง

“อะไร”

“แล้วเธอล่ะผู้ชายแบบไหน”

“แบบไหนมันก็เรื่องของฉัน” ออเรนจ์ก้มหน้าลง เพราะคำถามและสายตาของไอ้จ๋าทำเอาคนหน้าสวยเสียความมั่นใจไปเยอะ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าไอ้จ๋าเดินไปถึงตัวบ้านแล้วจึงรีบวิ่งตามไป

“นี่นายรอด้วยสิ”

“ก็จะมาอยู่แล้วจะให้รอทำไม”

“โอ๊ยเหนื่อย นายไปไหนมาฉันมารอตั้งนานแล้วนะ”

“แล้วจะมารอทำไม เดี๋ยวไปเรียนก็เจอกันแล้ว”

“ก็ฉันกลัวนายไม่ไปนี่” ไอ้จ๋าหันกลับมามองอย่างหัวเสียเล็กน้อยที่โดนตามมาทวงงานถึงบ้าน วันนั้นก็นึกว่าอีกคนจะพูดไปอย่างนั้นเอง มันไม่คิดเลยว่าจะมาจริง ๆ

“ไม่คิดว่าจะตามมารังควานกันจริง ๆ “

“นี่ฉันไม่ได้มารังควานนะ ฉันแค่มาเอารายงาน”

“ยังไม่เสร็จ”

“ห๊า อย่ามาล้อเล่นนะนายจ๋า นอกจากที่เราแบ่งกันทำแล้ว ตอนเอามารวมกันมันยังมีเนื้อหาที่ต้องเพิ่มเข้าไปอีกเยอะเลยนะ นี่นายยังทำไม่เสร็จ มันเวรกรรมอะไรที่ฉันต้องได้มาจับคู่กับนายเนี่ย”

“ถ้าอยากให้เสร็จก็อยู่ช่วยกันทำสิ”

“แต่นี่มันส่วนของนายนะ”

“อยากมีงานส่งมั้ย”

“ก็ได้” ไอ้จ๋าแอบยิ้มเยาะในใจเมื่อมันหาทางแกล้ง ให้เจ้าของร่างขาวที่ดูบอบบางตกลงช่วยงานมันได้ “เดี๋ยวฉันเดินไปบอกพี่ก่อนนะ ฉันติดรถมากับพี่สาวน่ะ”

“แล้วตอนนี้พี่เธออยู่ไหน”

“อยู่บ้านหลังใหญ่นู้นไง” ออเรนจ์ทำปากแดง ๆ บุ้ยใบ้ไปทางบ้านไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรี ทำให้ไอ้จ๋ามองตามงง ๆ เพราะเมื่อสักครู่ที่มันแวะไป ก็ไม่เห็นมีใครอื่นนอกจากลูกพี่ทั้งสองของมัน แต่ด้วยความอยากรู้ว่ายัยตุ๊ดเผือกจะทำยังไงก็เลยแกล้งบอก

“เหรอ งั้นเดินไปบอกสิ”

“ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ”

“ขี้เกียจ”

“ใจร้าย ไม่เป็นสุภาพบุรุษ”

“เอ๊า อยู่ดี ๆ โดนด่าเฉยเลยเว้ย ไปก็ไปซะทีสิ”

“ชิ” ออเรนจ์เดินไปแล้วไอ้จ๋าก็ได้แต่ชะเง้อคอมองตาม แต่ก็ไม่ยอมลุกจากแคร่ตามไปจนกระทั่ง

“โอ๊ย อะไรอ่าแม่มาหยิกไอ้จ๋าทำไมเนี่ย”

“เพื่อนบอกให้พาไปทำไมไม่พากันไป”

“ก็ตอนมามันยังมาเองได้อะแม่ แล้วก็นะยัยตุ๊ดเผือกนั่นน่ะมันไม่ใช่เพื่อนของไอ้จ๋าจริง ๆ หรอก เป็นแค่เพื่อนจับคู่ทำรายงานด้วยกัน”

“อะไรไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแค่เพื่อนจับคู่ทำรายงาน มองยังไงก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดีนั่นแหละ”

“เออน่าแม่ก็ ไม่มีอะไรหรอก”

“แล้วก็เรียกเพื่อนให้มันดี ๆ หน่อย น้องเขาชื่อออเรนจ์ไม่ใช่เหรอ”

“ชื่ออะไรก็ช่างมันเถอะแม่ เรียกยาก นั่นไงมันวิ่งกลับมาแล้ว ว่าไง” ไอ้จ๋าบอกแม่แล้วหันไปถามออเรนจ์ที่วิ่งเข้ามาถึงพอดี

“จ๋า พี่เราไปแล้ว ไม่มีใครอยู่บ้านนั้นเลยสักคน รถก็ไม่มี” ออเรนจ์บอกไอ้จ๋าด้วยสีหน้าตกใจ ขอบตาเริ่มแดงอย่างน่าสงสาร

“แล้วบอกพี่เขาว่ายังไงละลูก ทำไมพี่เขาไม่มาตามเราก่อนไป”

“ก็บอกว่ามาหาเพื่อนบ้านอยู่ตรงนี้ฮะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่ให้ไอ้จ๋าไปส่งก็ได้”

“อ้าวแม่” แม่แจ่มใจส่งสายปรามไอ้จ๋าที่มันร้องประท้วง เมื่อแม่บอกจะให้มันเป็นคนไปส่ง แต่พอเหลือบไปเห็นออเรนจ์ที่น้ำใส ๆ เอ่อคลออย่างคนขวัญเสียก็พูดไม่ออก จึงได้แต่บอกเสียงอ่อย “รถไม่อยู่นะแม่อย่าลืม”

“แล้วนี่บ้านอยู่ไหนล่ะลูก”

“ในตัวอำเภอฮะ”

“เอ๊ะ ถ้าจำไม่ผิดเราเป็นลูกเถ้าแก่ร้านปุ๋ยหรือเปล่า” เมื่อเห็นออเรนจ์พยักหน้ารับไอ้จ๋ามันจึงพึ่งนึกได้ เพราะก็เคยไปซื้อของที่ร้านนี้อยู่บ้างแต่ไม่ค่อยเห็นกัน แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่สิตอนนั้นยัยนี่เกือบเดินชนมัน ไหนจะยังต้องมาจับคู่ทำรายงานส่งด้วยกันอีก แล้วยังจะมาทำท่าจำมันไม่ได้นะ ยัยตุ๊ดเผือกเอ๊ย!

ยัยตุ๊ดเผือกเอ๊ย!

“โทรหาพี่แล้วเหรอ”

“โทรแล้วฮะแต่พี่คำแพงไม่รับสาย” พูดจบปากแดง ๆ นั่นก็คอยแต่จะแบะออก เมื่อคิดถึงหน้าพี่สาวของตัวเอง ที่อ้อนวอนแทบตายกว่าจะยอมให้มาด้วยแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ที่กลับก่อนนี่ก็คงกะทิ้งเอาไว้ที่นี่ พี่คำแพงไม่เคยรักน้องคนนี้จริง ๆ พอคิดมาถึงตรงนี้หยดน้ำใส ๆ ก็ไหลตกลงมาสองแก้มอย่างน่าสงสาร

ต่อล่างเลยจ้า
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 10 ชมทุ่ง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 20:06:58


“เอ้า โดนพี่ทิ้งแค่นี้อย่าร้องสิ ไหนใครบอกจะอยู่ช่วยทำงาน”

“ก็เราโดนทิ้งจริง ๆ พี่คำแพงตั้งใจทิ้งเรานี่”

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวแม่ให้ไอ้จ๋าไปส่ง ดูเพื่อนดี ๆ นะจ๋าแม่จะเข้าสวน” แม่แจ่มใจบอกพลางลูบหลังออเรนจ์ปลอบเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไป คนที่ร้องไห้เงียบ ๆ เลยสะอึกสะอื้นออกมาอีก

“เงียบน่า “ขอบตาแดงที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำใส ๆ กับขนตายาวงอนงาม เล่นเอาใจไอ้สุภาพบุรุษหน้าดำแป้วไปเลยทีเดียว ยิ่งมองมันยิ่งให้รู้สึกสงสาร ไอ้เรื่องที่อยากกวนอยากแกล้งเลยลืมไปเสียสิ้น แหมกะจะแกล้งให้อยู่จนค่ำเลย กลับกลายเป็นว่าอีกคนถูกทิ้งเอาไว้เสียอย่างนั้น “ปะงั้นไปทำงานช่วยกัน”

“เดี๋ยว ๆ ไปทำที่ไหน” ออเรนจ์ขืนตัวเองเอาไว้ เมื่ออยู่ ๆ ไอ้จ๋าก็ชวนไปทำงานจนปรับอารมณ์ตามไม่ทัน โดยเฉพาะมือหยาบกร้านของมัน ที่คว้าหมับดึงเอาข้อมือเล็กให้เดินตามไปด้วยนี่สิ มันเล่นเอาออเรนจ์ใจเต้นโครมครามขึ้นมาทันทีเลย ดีที่หน้าแดงอยู่ก่อนแล้วเพราะร้องไห้ ไม่งั้นคงได้โดนล้อเป็นแน่แท้

“ก็ไปช่วยกันทำรายงานไง”

“ทำที่ไหน”

“เอ๊า ที่ห้องไงงานอยู่ในห้อง”

“ห้องนายเหรอ”

“เออดิ”

“!!”



%%%%%%%%%%%%





“โอ๊ย ขี่ให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”

“นี่พี่ขี่ดีที่สุดแล้วนะ ทางมันไม่ดีต่างหากล่ะ”

“แล้วทำไมต้องมาทางนี้ด้วยล่ะ”

“ก็ทางนี้มันเป็นทางลัดที่ใกล้ที่สุด”

“แล้วจะพาไปไหน”

“นั่งดี ๆ กอดเอวพี่เอาไว้เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” ไม่พูดเปล่าเด็ดเดี่ยวจับมือของต้นกล้าข้างหนึ่ง ที่จับชายเสื้อของเขามาเกี่ยวรอบเอวตัวเองหน้าตาเฉย

“วุ้ย ทำอะไรเนี่ย” ถามเมื่อดึงมือตัวเองกลับแต่มือใหญ่ก็กุมเอาไว้แน่นไม่ปล่อย

“พี่กลัวต้นกล้าตก”

“ใครจะโง่ปล่อยให้ตัวเองตกได้เล่า”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอนึกอยากแกล้งคนที่กำลังนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง แต่พอคิดว่าช่วงนี้เขาเล่นแกล้งคนตัวเล็กหนักมากไปแล้ว เลยได้แต่หยุดความคิดห่าม ๆ ของตัวเองเอาไว้ ขืนเล่นคราวนี้มีหวังต้นกล้าโกรธจนไม่มองหน้าแน่ ๆ เลย ชายหนุ่มปั่นจักรยานไปตามทางแคบที่มีหญ้าขึ้นไม่รกมาก มีรอยรถผ่านจนเกิดเป็นแนวคู่ขนานไปตลอดสาย สองข้างทางเป็นนาข้าวที่กำลังติดราก เพราะพึ่งปักดำเสร็จได้ไม่นาน มีคนตัวเล็กนั่งทำหัวแดง ๆ ซ้อนท้ายมาด้วยอย่างว่าง่าย แม้จะบ่นในบางครั้งเพราะทางที่ไม่เรียบสม่ำเสมอ ตกหลุมทีที่นั่งซ้อนท้ายเป็นเหล็ก ก็เล่นเอาเจ็บก้นอยู่ไม่น้อยเลย

ครู่หนึ่งผ่านไป เด็ดเดี่ยวก็ปั่นจักรยานมาถึงที่แห่งหนึ่ง ที่สร้างขึ้นให้เป็นเหมือนโรงเรือนมุงสังกะสี ด้านหน้าเป็นที่ว่างมีกระสอบและข้าวของต่าง ๆ วางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ อีกด้านมีกองดินกองมูลสัตว์กองไว้เป็นระยะ รอบ ๆ ปลุกกล้วยเอาไว้เป็นดงหนา ทำให้ต้นกล้าไม่ได้สังเกตเห็นโรงเรือนตรงนี้ตั้งแต่มาทีแรก

“มาที่นี่ทำไม”

“ที่นี่เป็นโรงหมักปุ๋ยของคุณยาย ยังไม่เคยมาล่ะสิ”

“อืม”

“เห็นมั้ย มาอยู่ตั้งนานแล้ว ยังมีเรื่องที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ”

“อืม”

“อยากเข้าไปดูมั้ย”

“อืม” เด็ดเดี่ยวหันมามองคนตัวเล็กที่ไม่พูดอะไรมากไปกว่า ‘อืม’ คำเดียว เพราะต้นกล้ากำลังมองสำรวจรอบ ๆ บริเวณอย่างสนใจ

“มานี่มา” บอกแล้วหันหลังจะเดินเข้าไปในโรงเรือน แต่ก็ต้องหันกลับมาถามคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง “อะไร”

“ไปก็เดินดี ๆ สิ”

“อ้าว พี่ก็เดินดี ๆ นะ”

“แล้วทำไมต้องจูงมือด้วย”

“อ๋อ เอ่อ” ทั้งสองคนก้มลงมองมือตัวเองต่างความรู้สึก เด็ดเดี่ยวมองมือเล็กกว่าที่อยู่ในอุ้งมือของเขา แล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอคว้ามือของต้นกล้ามากุมเอาไว้เพื่อจะจูงให้เดินไปด้วยกัน ส่วนต้นกล้ามองมือใหญ่ที่กุมมือตัวเองอยู่ ในใจให้รู้สึกแปลก ๆ รู้สึกถึงความสากระคายเพราะมือข้างนั้นมันด้านจากการทำงานหนัก มันแปลกแบบที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งที่คนตัวโตไม่ยอมปล่อยมืออย่างที่บอก แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปต่อว่า ทั้งที่มือสากยังจับมือเขาเอาไว้ไม่ปล่อยแต่ก็ยืนมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ดึงออกเอง ไม่ไหว เป็นแบบนี้ไม่ไหวแล้วโว้ย! นี่มันเล่นเอาใจดวงน้อยสับสนแล้วเต้นแปลก ๆ ไปเลยนะ เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่เราต้องทำอะไรสักอย่าง นี่คือสิ่งที่ต้นกล้าบอกตัวเอง



“ฮึ่ย ปล่อยดิ” บอกแล้วก็สะบัดมือออก ซึ่งอีกคนก็ยอมปล่อยดี ๆ ล่ะนะ แต่ทำไมเสียงต้นกล้ามันถึงได้สั่นอย่างนี้

“ร้อนเหรอ”

“นิดหน่อย”

“เหงื่อออกขนาดนี้พี่ว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ ไปนั่งพักก่อนมั้ย”

“แล้วเมื่อกี้บอกเราว่าจะพาไปดูอะไรล่ะ รีบไปดูรีบกลับดีกว่า เราอยากกลับแล้ว” บรรยากาศยามบ่ายคล้อยก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างนี้ ต้นกล้าก็ไม่ได้รู้สึกร้อนเท่าไหร่เลยนะ แถมรอบ ๆ บริเวณนี้ก็มีแต่ต้นไม้เขียวชอุ่ม มีลมเย็น ๆ พัดมาเป็นระยะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมไอ้เหงื่อบ้านี่มันถึงได้ไหลย้อยออกมามากมายขนาดนี้ มันเยอะจนเขาเองรู้สึกได้ว่ามีเหงื่อไหลซึมออกมาที่ขมับและไหลลงมาตามข้างแก้มด้วย

“เหงื่อออกเยอะมาพี่เช็ดให้” คนตัวโต รีบแกะผ้าขาวม้าที่เคียนเอวอยู่ออกมา หวังจะเช็ดเหงื่อให้ แต่ต้นกล้าเอนตัวหลบแล้วปัดมืออีกคนที่ถือผ้ายื่นมาออกทัน ก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะได้ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ในใจมาไปกว่านี้

“ไม่ต้องหรอกเราเช็ดเองได้”

“โอเค” เมื่อต้นกล้าเอาผ้าตัวเองออกมาเช็ดเหงื่อ เด็ดเดี่ยวจึงเดินนำเข้าไปดูโรงหมักปุ๋ยด้านใน ปากก็อธิบายไปด้วยว่าส่วนไหนทำอะไรยังไงบ้าง เพราะตัวเขาเองก็มีส่วนในการช่วยทำไว้อยู่ไม่น้อย ซึ่งไม่ใช่แค่ที่นี่แต่ชายหนุ่มตามพ่อไปช่วยลูกบ้านอีกหลายคน ซึ่งมันเป็นโครงการร่วมด้วยช่วยกันที่กำนันอาจหาญและลูกบ้านช่วยกันคิดขึ้นมา

“ทำไมต้องมีโรงเรือนด้วยล่ะ” ต้นกล้าคิดแล้วถามออกมาอย่างที่ตัวเองสงสัย ขณะที่ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในโรงเรือน

“อืม ถามได้ดี เพราะการทำปุ๋ยบางชนิดเราก็ต้องเก็บเอาไว้ให้พ้นจากแสงแดด มันถึงจะเก็บได้นาน แต่ถ้าเป็นพวกปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกหมักเราก็ทำข้างนอกได้ ปุ๋ยมันมีหลายสูตร พวกนี้เรียกปุ๋ยชีวภาพ” เด็ดเดี่ยวอธิบายพลางชี้ให้ต้นกล้าดู

“แล้วถังพวกนี้เอาไว้ใส่อะไร”

“นี่เป็นถังเอาไว้ใส่ปุ๋ยน้ำหมัก”

“มีปุ๋ยน้ำด้วยเหรอ นึกว่ามีแค่ปุ๋ยหมักกับปุ๋ยเคมี”

“มีสิปุ๋ยชีวภาพที่ทำจะมีปุ๋ยหมักกับน้ำหมักชีวภาพ”

“ทำไมทำหลายอย่างจังแล้วเอาไปใช้ตอนไหนอะ”

“ถ้าเป็นปุ๋ยหมักเราจะใช้ในขั้นตอนการเตรียมดินก่อนการเพาะปลูก อย่างในนาข้าวก็ใช้ตั้งแต่การไถดะ ไถแปรเลย”

“ไถดะ ไถแปรหรอ” มันคืออะไรหว่า เด็ดเดี่ยวยกยิ้มเล็กน้อยที่อีกคนมีสีหน้างง ๆ แต่ยังถามด้วยความสนใจ เพราะตอนต้นกล้ามาก็หลังจากที่คนงานผ่านขั้นตอนไถดะเตรียมดินไปเรียบร้อยแล้ว

“อืม ไถดะก็คือการไถขั้นแรกเพื่อกลบหน้าดินให้พวกวัชพืชมันตายแล้วกลายเป็นปุ๋ยไง แล้วนั่นก็ถือเป็นการตากดินไปด้วย ส่วนไถแปรก็เป็นการไถอีกรอบก่อนไถคราดเพื่อการปักดำ หลังจากไถดะเราก็มีการใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพตามอัตราส่วนด้วยนะ แล้วถึงจะฉีดด้วยน้ำหมักชีวภาพอีกที ก็ไอ้เจ้าน้ำที่อยู่ในถังพวกนี้แหละ” เด็ดเดี่ยวชี้ไปยังถังที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ “ฉีดพ่นให้ทั่วตามสูตรแล้วไถแปรดินเสร็จก็ทิ้งเอาไว้ก่อน 15 วัน เพื่อให้เจ้าจุลินทรีย์ที่อยู่ในน้ำหมักทำงาน ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือย่อยสลายพวกวัชพืช แล้วฉีดอีกรอบหนึ่งก่อนจะไถกลบให้พวกวัชพืชกลายเป็นปุ๋ยพืชสด ทิ้งไว้อีก 15 วันจากนั้นก็ไถคราดเพื่อดำนาต่อไปไง” ต้นกล้าพยักหน้าเหมือนบอกว่ากำลังทำความเข้าใจ ในหัวพยายามนึกภาพตามให้ทัน

“มันยังมีขั้นตอนใส่ปุ๋ยหลังจากปักดำอีกด้วยหลายขั้นตอน ค่อยไปทำกับคนงานจะได้เข้าใจง่ายขึ้น”

“อืม”

“ไปกันเถอะ” เด็ดเดี่ยวเอามือมาวางบนไหล่ของต้นกล้าแล้วดันให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน ต้นกล้าที่กำลังคิดทบทวนความรู้ใหม่ที่คนตัวโตบอกก็เดินออกไปเงียบ ๆ ในหัวคิดถึงแต่ขั้นตอนต่าง ๆ จนลืมไปเลยว่า ถูกอีกคนเดินกอดคอ จนเดินออกมานอกโรงเรือน ต้นกล้าถามอะไรที่สงสัยเล็กน้อย แล้วทั้งสองพากันกลับโดยเด็ดเดี่ยวทำหน้าที่ปั่นจักรยานเหมือนเดิม มีต้นกล้าซ้อนหลัง แต่..

“เราจะไปไหนกันน่ะ”

“กลับไง”

“แล้วไม่ไปทางเก่าหรือไง”

“เดี๋ยวพาไปดูอะไรดี ๆ ”

“อะไรที่ว่าดี ๆ หน้าอย่างนี้มีอะไรดี ๆ กับเขาด้วยเหรอ”

“พูดซะพี่เสียหายหมดเลย ปะเดี๋ยวก็รู้” เด็ดเดี่ยวปั่นจักรยานพาต้นกล้าลัดเลาะไปตามทางที่ค่อนข้างทุลักทุเล คนนั่งซ้อนท้ายก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยเปื่อย เพราะถึงจะเป็นฝ่ายนั่งซ้อนท้ายก็ใช่ว่าจะสบาย รถตกหลุมทีไรก้นที่นั่งอยู่บนที่นั่งเหล็กแข็ง ๆ เจ็บจนอยากกระโดดลงจากรถมันบัดเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว



%%%%%%%%%%%



“นี่แน่ใจเหรอว่านี่ห้องคนอยู่”

“เออดิ ทำไม”

“ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วนี่อะไรเนี่ย”

“เสื้อผ้า”

“ก็รู้ทำไมไม่เก็บให้มันดี ๆ ล่ะ”

“เก็บดีทำไมเสื้อผ้าใส่แล้ว”

“แล้วก็ไม่เอาไปซักล้นตะกร้าแล้วเนี่ย”

“จะบ่นทำไม หรือจะซักให้”

“ฝันไปเถอะไหนงาน”

“อะโด่นึกว่าแน่” ไอ้จ๋าเดินไปยกโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยที่มีกองงานของมันออกมาวางไว้กลางห้องแล้วนั่งลง แต่เมื่ออีกคนยังยืนนิ่งจึงเงยหน้าขึ้นถาม “แล้วเธอโทรบอกพ่อเธอหรือยังว่าอยู่ทำรายงาน”

“โทรแล้ว”

“แล้วจะยืนอีกนานมั้ย”

“ไม่มีเบาะรองนั่งเหรอ”

“ไม่มีจะนั่งก็นั่งซะที”

“ก็พื้นมันแข็งนี่เจ็บก้นนะ”

“ใคร ๆ เขาก็นั่งได้ทั้งนั้น เธอเอาก้นไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บจนนั่งไม่ได้”

“อุ้ย นายจ๋าถามอะไรแบบนั้น บ้าเหรอฉันยังไม่เคยเลยนะ” ออเรนจ์ก้มหน้างุดเมื่อบอกพลางนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ ซึ่งไอ้จ๋าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้แต่ขมวดคิ้วแล้วเหลือบมองงง ๆ ผิดกับคนตัวขาวที่รู้ถึงเพศสภาพตัวเองดี และคิดไปไกลกับคำถามกำกวมอย่างไม่ตั้งใจของไอ้จ๋ามัน

“.เอ้าหน้าแดง เป็นอะไรไปอีก.”

“เปล่า”

“มือสั่นทำไม”

“ไม่มีอะไรไหนทำถึงตรงไหนแล้ว” ออเรนจ์รีบดึงความคิดของตัวเองที่ลอยไปให้ไกลกลับมา เปลี่ยนเรื่องเมื่อยิ่งพูดยิ่งทำให้ตัวเองใจสั่นมือสั่น ทั้งที่อีกคนพูดและถามออกมาหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรแท้ ๆ แน่ล่ะสิคนอย่างไอ้จ๋าที่มันไม่เคยสนใจอะไรอย่างนี้มาก่อน มันไม่รู้หรอกว่าคำพูดของมัน จะไปสะกิดอะไรในความรู้สึกของใครบ้างหรือเปล่า ที่พูดก็พูดอย่างที่มันคิด ใครจะคิดลึกมากกว่ามันจะไปรู้ได้ยังไง

ทั้งสองนั่งทำงานช่วยกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเวลาผ่านไปแล้วนานแค่ไหน จนรู้สึกว่าแสงในห้องมันน้อยลง ไอ้จ๋าก็ทำเพียงแค่ลุกไปเปิดไฟ แล้วกลับมานั่งทำงานต่อ สองคนตั้งใจทำงานมีปรึกษากันบ้าง ยิ่งต้องคุยต้องปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด หัวของทั้งสองก็ยิ่งชิดกันมากขึ้น ตัวก็เลยต้องขยับเข้ามาใกล้กันอีกโดยปริยาย และบางสิ่งบางอย่างมันก็เริ่มรบกวนสมาธิของไอ้จ๋าให้วอกแวก มันจึงสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ เพื่อเรียกสมาธิของตัวเองกลับมา แต่ยิ่งใกล้กันกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่มันได้รับก่อนหน้านี้ยิ่งชัดเจน ยิ่งได้กลิ่นชัดเจนก็ยิ่งเอนตัวเข้าไปใกล้ เพราะความหอมของแป้งเด็กมันละมุนละไมผิดกับกลิ่นเหงื่อที่มันคุ้นชิน ทำให้ไอ้จ๋าเผลอสูดเอากลิ่นนั้นเข้าเสียเต็มปอด ซึ่งคนตัวบางที่กำลังตั้งใจทำงานก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิด ว่าตอนนี้ไหล่ทั้งสองแนบชิดกันแล้ว

“จ๋าฉันว่าตรงนี้....” กึก! ออเรนจ์ชะงักไปเมื่อหันกลับมา แล้วเจอใบหน้าของไอ้จ๋าอยู่ชิดกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ปากสีสดอ้าออกเล็กน้อยเพราะกำลังอึ้ง ไอ้จ๋าลดสายตามันลงมองริมฝีปากสีสวยอวบอิ่ม ที่อยู่ดี ๆ ก็ทำให้มันรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างขึ้นมาเสียเฉย ๆ ด้วยความมันเขี้ยว แต่มันก็ยังจ้องมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน “จะ จ๋า”

“อะไร” ไอ้จ๋าหูไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม เพราะเสียงที่มันได้ยินดูเหมือนว่าจะหวานเหลือเกิน มันจึงถามกลับไปและให้เกิดความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเสียงของตัวมันเองถึงได้สั่นออกอย่างนั้น

“ขยับออกไปหน่อยสิ”

“เฮ้ย..!” ไอ้จ๋าดีดตัวออกห่างเหมือนสติสตังเพิ่งกลับมา เมื่อเห็นว่าตัวเองขยับเข้ามาใกล้เสียจนไหล่ชิดกันกับอีกคน ออเรนจ์หันหน้าไปอีกทางแอบยิ้มน้อย ๆ ออกมากับท่าทางของไอ้จ๋า ทั้งที่ในใจก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน

“นี่เธอแอบหันไปหัวเราะเยาะฉันเหรอวะ”

“เปล่า”

“ก็เห็นอยู่นี่” ไอ้จ๋าจับคางของออเรนจ์ให้หันกลับมาหาตัวเอง และพบว่าคนตัวผอมก็ยังอมยิ้มอยู่อย่างบังคับให้หยุดไม่ได้ แต่นั่นกลับทำให้ไอ้จ๋าคิดไปอีกทาง

“นี่หัวเราะขำกันอยู่หรือไง”

“เปล่านะจ๋า” คนบ้าคิดอะไรแค่อมยิ้มเว้ยไม่ได้หัวเราะขำ แค่อมยิ้มเพราะเขินแต่ก็มีขำปนด้วยอยู่นิดหน่อยนั่นแหละ แต่ก็เป็นเพราะว่า...

“เธอหัวเราะขำ”

“เปล่าฉันแค่ยิ้ม”

“แล้วยิ้มทำไม”

“ยิ้มไม่ได้เหรอ” ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองใบหน้าดำกร้านแดดของไอ้จ๋า ที่เล่นเอาใจไอ้สุภาพบุรุษบ้านนาหล่นวูบไปเลยทีเดียว เพราะเหมือนกับว่ามีประจุบางอย่างลั่นเปรี๊ยะ ๆ อยู่ในอกข้างซ้าย ทำไมน่ารักจัง เฮ้ย ไม่ใช่ล่ะ!!

“ไม่ได้ เธอตั้งใจทำงานไปเลย” ไอ้จ๋าให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวอีกคนยิ่งทำให้มันรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองเริ่มจะหายใจได้ไม่ทั่วท้อง มันรีบโกยอากาศเข้าปอดยาว ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเร่งให้ตั้งใจทำงานกัน จะได้เสร็จเร็ว ๆ เพราะยิ่งนานยิ่งดูเหมือนว่ากลิ่นนั้น มันจะกระจายไปทั่วทั้งห้องอยู่แล้ว จนแม่แจ่มใจของมันเรียกให้ไปกินข้าวนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เริ่มมืดค่ำแล้ว

“ตายแล้วแม่ไอ้จ๋าลืมเอาข้าวไปส่งลูกพี่”

“ไม่ต้องแล้วแม่เอาไปให้แล้ว ส่วนลูกพี่แกก็ยังไม่กลับ”

“เอ๊ะ แล้วลูกพี่ไปไหนอะแม่ หรือไปกับลูกพี่เดี่ยว”

“คงใช่มั้ง แล้วนี่หิวหรือยังลูกมากินข้าวกันก่อนมา พ่อแกก็ยังไม่กลับเลย” แม่แจ่มใจหันไปถามออเรนจ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังไอ้จ๋า แล้วบ่นให้ลุงสมควรผู้เป็นสามี ที่ไปทำธุระตั้งแต่บ่ายยังไม่กลับมา

“เอ่อ หนู”

“แล้วจะไปส่งยัยนี่กลับบ้านยังไงล่ะแม่ พ่อก็ยังไม่กลับอะไม่มีรถไปส่งยัยเผือกนี่แน่เลย โอ๊ยแม่หยิกไอ้จ๋าทำไมอะ”

“แม่บอกให้เรียกน้องดี ๆ ” แม่แจ่มใจเรียกแทนออเรนจ์ว่าน้อง เพราะเห็นว่าตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมกว่าไอ้จ๋า ที่ทั้งถึก ทั้งตัวใหญ่กว่าเป็นไหน ๆ

“ก็มัน” ไอ้จ๋าพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของแม่มองตอบกลับมา “ยิ้มอะไร” เลยหันไปพาลกับอีกคน ที่ทำให้มันต้องโดนแม่หยิกหน้าท้องอย่างแรง

“เปล่า” ออเรนจ์อมยิ้มก้มหน้างุด

“ไป ๆ พากันไปกินข้าวกินปลาเถอะ กลับยังไงค่อยว่ากัน แล้วเราล่ะพ่อจะว่ามั้ยกลับบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ”

“พ่อไม่อยู่ฮะ ไปติดต่องานที่กรุงเทพแต่หนูโทรบอกแล้ว” ก็เพราะว่าพ่อไม่อยู่นี่แหละ ออเรนจ์ถึงได้เถลไถลอยู่ที่นี่จนมืดค่ำได้ แต่ยังไงก็บอกพ่อแล้วว่าทำงานอยู่บ้านเพื่อน เพราะกลับไปอยู่กับพี่สาวสองคนคงไม่วายโดนพี่ด่าทอผลักไส บางทีออเรนจ์ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคำแพงผู้เป็นพี่สาว ถึงได้ไม่ชอบหน้ากันนัก นี่ขนาดทิ้งน้องเอาไว้จนค่ำมืดป่านนี้ ก็ยังไม่ยอมสนใจ ไม่ติดต่อกลับมาโทรไปก็ไม่รับสาย

“เดี๋ยวไอ้จ๋าพาน้องไปกินข้าวก่อนเลยนะ แม่จะไปดูยายก่ำหน่อยเห็นว่าแกไม่สบาย”

“อ้าวเหรอแม่ งั้นรีบไปรีบกลับนะแม่”

“แม่ไปนะ คุยกันดี ๆ ล่ะ” แม่แจ่มใจไปแล้วไอ้จ๋าจึงพาออเรนจ์ไปกินข้าว ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก แต่พอกินข้าวกันอิ่มนี่สิ ถึงได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ เพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อไปดี

“นี่เธอจะเอายังไงกับชีวิตตัวเอง”

“ไม่รู้สิ”

“อ้าวไม่รู้ได้ยังไง”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน”

“เออไม่อยากกลับงั้นก็อยู่ที่นี่แหละ”

“จริงเหรอ ได้จริง ๆ นะ”

“เฮ้ย พูดเล่น” !!

ต่ออันสุดท้ายยยยยย เลื่อนลงๆๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องยาว} กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 10 ชมทุ่ง 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 20:08:56

“ถึงยัง”

“เดี๋ยวก็ถึง”

“ใกล้ยัง”

“อีกนิด”

“ถึงยัง”

“ใกล้แล้ว”

“เมื่อไหร่จะถึง”

“ใจเย็นน่า”

“เย็นได้ไงนี่มันจะค่ำแล้วนะ จะถึงยัง”

“อีกนิด ๆ”

“โอ๊ยแบบนี้ทีหลังไม่มาด้วยแล้ว เร่งความเร็วหน่อย”

“เร็วสุดได้เท่านี้แหละ” แฮก ๆ ๆ

“เร็วอีกดิ เราอยากกลับแล้ว”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวเร่งความเร็วโดยออกแรงปั่นให้มากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ความเร็วของจักรยานคันเก่าเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มากกว่าเดิมเท่าไหร่นัก เพราะกำลังพากันปั่นขึ้นเนิน

แฮก ๆ ๆ มีเสียงหอบของสารถีดังมาเป็นระยะ ต้นกล้าจึงเอียงตัวออกไปดู ก็เห็นว่าคนตัวโตที่กำลังตั้งใจปั่นจนหน้าดำหน้าแดงอยู่นั้น มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า

“ฮ่า ๆ เร็ว ๆ เร็วอีกสิ”

“เท่านี้ก็จะแย่อยู่แล้วนะ ทางขึ้นเนินด้วย”

“เราอยากเร็วกว่านี้ ยิ่งเร็วยิ่งลมเย็น เร็ว “แน่นอนว่าต้นกล้ากำลังแกล้งเร่งให้อีกคนปั่นสุดแรง ทั้งยังโยกตัวเป็นจังหวะให้เข้ากับการปั่นของเด็ดเดี่ยว ที่ความเร็วของรถช้าลงเรื่อย ๆ พร้อมกับระดับความสูงของเนินที่เพิ่มขึ้น

“ลงไปเข็นหน่อยดิ ฮึบ ๆ ”

“เรื่องอะไร”

“งั้นก็นั่งเงียบ ๆ”

“เร็ว ๆ “ต้นกล้าเร่งแล้วโยกตัวตามจังหวะของแรงปั่น ที่เด็ดเดี่ยวต้องโยกตัวสลับซ้ายขวาเพื่อส่งกำลังไปที่ขา เมื่อเขาถีบเท้าด้วย และไม่นานชายหนุ่มก็ปั่นรถพากันขึ้นมาพ้นเนินได้ เขาจึงรู้สึกโล่ง เพราะขึ้นเนินมาได้แล้วต่อไปก็เป็นช่วงลงเนินที่ค่อนข้างทุ่นแรงให้ได้ไม่น้อยเลย และ….

“โย่ว แรงสมใจ” ต้นกล้าร้องออกมาอย่างพอใจ ปล่อยมือจากชายเสื้อของคนตัวโต แล้วยกชูขึ้นเพื่อรับลม เมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นอย่างที่เขาต้องการ เพราะกำลังลงเนินสูง ยิ่งรถวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดูเหมือนว่าคนหล่อหัวแดงจะยิ่งชอบ ยิ่งถูกใจก็ยิ่งโยกตัวแรงและรถก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเด็ดเดี่ยวเห็นว่าต้นกล้าอารมณ์ดีชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ออกมา เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ต้นกล้าไม่เคยอารมณ์ดีขนาดนี้มาก่อน ลมเย็นยามอาทิตย์ใกล้ตกดินตีหน้า พาให้รู้สึกเย็นสดชื่นไปถึงข้างใน

“ชอบมั้ย”

“ชอบ เย็นดี” เสียงกระตือรือร้นนั่นเหมือนเสียงเรียก ให้คนที่ทำหน้าที่สารถีหันกลับมายิ้มให้คนซ้อนท้าย ที่ชูแขนขึ้นเหมือนกำลังกางปีกโบยบิน ต้นกล้ายิ้มให้เมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวหันมา พร้อมรอยยิ้มทั้งตาทั้งปากและ และ และ

“เฮ้ย หันมาทำไม หันกลับไปดูทาง อ๊าก”

“เฮ้ย” !

“เบรก ๆ ๆ ”

“เบรกไม่อยู่” เด็ดเดี่ยวกำเบรกมือแล้วปรากฏว่า รถไม่ชะลอความเร็วหรือหยุดลงเลย เพราะรถเก่ามากจนเบรกขาดไปนานแล้วตัวรถเริ่มส่ายคนตัวโตพยายามควบคุมรถให้วิ่งดี ๆ แต่คนนั่งซ้อนหลังที่กำลังตื่นตกใจดันนั่งไม่อยู่สุข พยายามชะโงกหน้าออกไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อดูทาง เลยยิ่งทำให้การควบคุมรถยากยิ่งขึ้นอีก

“เบรกเด็ดเดี่ยวเบรกเดี๋ยวนี้” สิ้นคำสั่งของต้นกล้าเด็ดเดี่ยวจึงปล่อยเท้าลง ให้พื้นรองเท้าผ้าใบคู่เก่าลากกับพื้นดินซึ่งเป็นหินลูกรัง จนฝุ่นดินจากหินแดง ๆ คลุ้งกระจายเป็นทางตามหลังรถจักรยานมา เสียงพื้นรองเท้าครูดกับพื้นหินดินแดงดังก้อง ต้นกล้าเห็นเด็ดเดี่ยวทำแบบนั้นจึงทำตามบ้าง และมันก็ทำให้รถชะลอความเร็วลงได้บ้าง แต่ความเร็วของรถตอนนี้ก็ยังถือว่าเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้ง่าย ๆ อยู่ดี

“เกาะแน่น ๆ นะ”

“ทำให้มันหยุดสิ”

“กำลัง”

“เฮ้ย ข้างหน้าควายระวัง” อ๊าก!!

“เฮ้ย” !

“อ๊ากกกก” !

“โอ๊ย” รถที่ชะลอความเร็วลงมาได้พอสมควรเสียหลัก เพราะเด็ดเดี่ยวหักหลบควายสองแม่ลูก ที่เดินออกมาจากป่าข้างทางแล้วข้ามถนนมาพอดี จักรยานคัดเก่าจึงเสียหลักเพราะวิ่งมาถึงหล่มทรายด้วยความเร็ว ล้อหน้าสะบัดแล้วหยุดกะทันหันเทให้คนทั้งสองล้มลงไปในแอ่งทราย ที่อยู่ข้างทางอีกฝั่งอย่างไม่น่าดู ต้นกล้าไม่เจ็บมากเท่าไหร่ เพราะแรงเหวี่ยงทำให้ร่างของเขาพุ่งมาข้างหน้า จึงมีร่างใหญ่ของเด็ดเดี่ยวรองรับ แต่คนตัวโตนี่สิหนักกว่า เพราะพอรถเสียหลักชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะตั้งหลักไม่ทัน ร่างจึงพุ่งไปข้างหน้า แล้วใบหน้าหล่อคมคร้ามแดดนั่นก็ทิ่มลงไปที่ทรายพอดี โดยมีคนที่ตกลงมาทับนั่นแหละ ที่ช่วยส่งแรงให้ใบหน้าของชายหนุ่มจมลงไปในทรายอย่างน่าขำ

“ฮึ่ย เอาอีกแล้วนะเด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าดันตัวลุกขึ้นนั่ง บ่นพลางปัดทรายออกจากเสื้อผ้าของตัวเองด้วย แต่พอเด็ดเดี่ยวหันมาเท่านั้นล่ะ

“ฮ่า ๆ “ต้นกล้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่เก็บอาการ กับสภาพของคนตรงหน้า เมื่อเด็ดเดี่ยวหันกลับมาพร้อมกับใบหน้าสีหม่น ๆ เพราะเปื้อนทราย และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ภายในปากของคนตัวโตที่กำลังอ้าค้าง ก็เต็มไปด้วยทราย ราวกับว่าชายหนุ่มนั้นกำลังกินทรายเป็นอาหารด้วยความหิวกระหายก็ไม่ปาน

“ขำไร”

“หิวก็ไม่บอก”

“..?”

“หิวก็บอกกันดี ๆ ดิ ข้าวที่บ้านมีให้กิน ทำไมต้องไปกินทรายล่ะ ฮ่า ๆ เอิ้ก”

“เหอะไม่ต้องทำมาเป็นพูด ใครกันที่ล้มทับพี่จนหน้าทิ่มลงในทรายเนี่ย”

“มันเป็นอุบัติเหตุน่า ฮ่า ๆ”

“แหวะ” เด็ดเดี่ยวปัดทรายออกจากหน้าตาและปากของตัวเอง แต่ทรายละเอียดก็ยังเหลือติดตามหน้า รวมทั้งเส้นผมอยู่ไม่น้อย ตอนแรกก็ตกใจเป็นห่วงคนตัวเล็ก แต่พอหันมาเห็นว่าต้นกล้าไม่ได้เป็นอะไรมากแถมยังหัวเราะขำ เขาได้ก็โล่งใจ

“สองคนนั้นรถล้มเหรอ”

“ครับลุง”

“เป็นอะไรหรือเปล่าล่ะเจ็บกันมากมั้ย”

“ไม่เป็นไรครับ”

“นี่พ่อเดี่ยวลูกกำนันหรือเปล่า”

“ใช่ครับผมเอง”

“ทำไมทรายเต็มปากเลยล่ะนั่น ฮ่า ๆ “เด็ดเดี่ยวหน้าบูด เพราะลุงที่เป็นเจ้าของควายก็หัวเราะขำเขา ไม่แพ้คนที่มาด้วยกัน ชายแก่เดินตามควายของตัวเองออกจากป่ามา เลยเห็นเข้าพอดี และตอนนี้ก็หัวเราะขำชายหนุ่มอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจกันบ้างเลย พอลุงคนนั้นไปแล้ว เด็ดเดี่ยวจึงหันมาหาคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ยิ่งให้เจ็บใจหนักเข้าไปอีก เพราะต้นกล้าหัวเราะขบขันจนน้ำตาไหล แต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่สะบัดหน้าไปอีกทาง แล้วลุกขึ้นพร้อมกับยกจักรยานจูงขึ้นไปตั้งไว้ข้างทางด้วย

“นี่..” ต้นกล้าสะกิดหลังอีกคนเบา ๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะว่าเสียงเรียกที่กลั้วมาด้วยความขบขัน มันเหมือนเป็นการตอกย้ำ ว่าตอนนี้เด็ดเดี่ยวกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว “เงียบให้ได้ตลอดนะ คิก ๆ ”

“เหอะ” เด็ดเดี่ยวทำเสียงไม่พอใจออกมาจากลำคอ แล้วก้มลงปัดเศษดินเศษทรายออกจากเสื้อผ้า แล้วจึงหันไปจูงจักรยานออกเดิน ต้นกล้าจึงจำต้องเดินตามอีกคนไป ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ ซึ่งความเงียบนี้คือการไม่คุยกันเลยสักคำ แต่อะไรคือการที่เด็ดเดี่ยวยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ดังขึ้นตามหลังมาเป็นระยะ พอหันกลับไปมองทางต้นเสียง ต้นกล้าก็ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นกลั้นความขำเอาไว้แล้วเสไปมองทางอื่น

“เมื่อไหร่จะถึงอะ”

“..” สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ เมื่ออีกคนไม่ตอบต้นกล้าก็รู้โดยทันที ว่าเด็ดเดี่ยวยังคงงอนอยู่ แต่แทนที่จะหยุดกลับปล่อยเสียงหัวเราะคิก ๆ ออกมาอีก จนคนที่เดินจูงจักรยานเดินนำ หันหน้ากลับมามองค้อนด้วยดวงตาเขียวปัด ต้นกล้ากลั้นความขบขันแล้วทำเป็นยิ้มหวานกลับไปให้ แต่นัยน์ตาของเขายังคงล้อเลียนอย่างเปิดเผย เด็ดเดี่ยวจึงทำได้แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและปลอบใจตัวเอง ว่าวันพระไม่มีหนเดียวและต้องได้เอาคืนอย่างสาสมแน่นอนจนกระทั่ง กึก!

“หยุดทำไม” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่ตั้งรถไว้ข้างทางแล้วเดินลงเนิน “ไปไหนอะ รอด้วยสิ”

“..”

“คนอะไรถามไม่ตอบ เอ..หรือว่าอิ่มจนพูดไม่ออก คิก ๆ ” เด็ดเดี่ยวเดินไปหยุดยืนบนสันขอบของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ พอต้นกล้าเดินมาทันก็ยังไม่หยุดล้อเลียนคนตัวโตโดยการเท้ามือลงที่หัวเข่าของตัวเองแล้วเอียงตัว เพื่อชะโงกหน้ามองคนตัวโตที่ยืนหน้านิ่ง ตาคมมองไปยังน้ำในอ่างเก็บเบื้องหน้า เด็ดเดี่ยวเหล่มองต้นกล้าด้วยหางตา แล้วนั่งแหมะลงกับพื้นข้าง ๆ นั่นเอง แต่..

คิก ๆ

“เหอะ หัวเราะไปเถอะ”

“แล้วโกรธจะอะไรล่ะเนี่ย” คึ ๆ

“เปล่านี่”

“เปล่าทำไมหน้าบึ้ง” คิก ๆ

“..”

“หันหน้ามานี่สิ” เด็ดเดี่ยวคิดว่าที่ต้นกล้าบอกให้หันหน้าไป ก็เพื่อจะดูความตลกของเขา จึงนั่งนิ่งไม่ยอมทำตามที่อีกคนบอก แต่หลังจากนั้นก็ต้องใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก เมื่อสองมือเรียวเอื้อมมาทาบที่แก้มสากเคราทั้งสองข้าง แล้วจับใบหน้าของเขาให้หันไปหา พร้อมกับที่ต้นกล้านั่งคุกเข่าลง “บอกให้หันมานี่ไง”

“..” สถานการณ์นี้เล่นเอาเด็ดเดี่ยวอึ้งจนพูดไม่ออก มือเรียวทั้งสองข้างยังแนบอยู่ที่แก้มสาก ๆ ของเขา ดวงตาคมมองอย่างไม่เข้าใจ และไม่รู้จะพูดออกมายังไงกับการกระทำของคนตัวเล็ก ที่กำลังกวาดตามองทั่วใบหน้าคมคร้ามและ...กลั้นขำ

“ช่วย ๆ “มือเรียวข้างหนึ่งเลื่อนมาจับคางคนตัวโตเอาไว้แล้วดันให้ใบหน้าคมเงยขึ้น ส่วนอีกข้างเริ่มปัดเศษดินเศษทรายที่ยังเหลืออยู่ออกให้เบา ๆ ปากได้รูปสวยเม้มเข้าหากันท่าทางดูตั้งใจ แต่ความจริงคือกำลังกลั้นเสียงหัวเราะ เพราะยังไม่สามารถหยุดขำได้ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าแววตาของคนตัวโตที่มองมา มันมีความหมายลึกซึ้งมากแค่ไหน

“อะ เรียบร้อยแล้ว” ต้นกล้าวางมือลงที่ต้นขาของตัวเอง แล้วส่งยิ้มแบบที่เด็ดเดี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อนให้ แต่ดวงตาคมคู่นั้นก็ยังไม่อาจละไปจากใบหน้าใสได้ เมื่อตาได้สบตาก็เหมือนราวกับว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่าง แผ่กระจายออกมาหมุนวนปกคลุมรอบตัวของทั้งสองเอาไว้ คนที่หยุดขำได้แล้วจึงเหมือนถูกแรงดึงดูด เรียกร้องให้จ้องมองตอบกันอยู่อย่างนั้น ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบท่ามกลางบรรยากาศดี ๆ ยามเย็น ที่แสงสุดท้ายของวันคล้อยต่ำลง และใบหน้าที่ขยับเข้าใกล้กันเรื่อย ๆ มีแสงสีส้มนวลตาอาบไล้ร่างของทั้งคู่ แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะได้แตะกันและกัน อยู่ดี ๆ ต้นกล้าก็ต้องก้มหน้างุดเมื่อรู้สึกตัว ตอนถูกมือใหญ่รั้งท้ายทอยให้เข้าหาเหมือนไม่ทันใจ

“เอ่อ” จุ๊บ..! แต่มีหรือที่เด็ดเดี่ยวจะยอม พอต้นกล้าก้มหน้าหนีก็ยังไม่วายตามมาประทับจูบจนได้ ถึงจะเป็นเพียงแค่การแตะเบา ๆ ภายนอกแล้วผละออกก็ตามเถอะ ต้นกล้าผงะเล็กน้อยหลังจากโดนสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปาก ก้อนเนื้อในอกเต้นเหมือนมีใครเอากลองศึกเข้าไปกระหน่ำตี นั่งจ้องหน้าอีกคนนิ่งเพราะกำลังไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมไม่โวยวายการกระทำอุกอาจนี้ หนำซ้ำยังไปใจเต้นแรงตามกับสิ่งที่เขาทำด้วย ต้นกล้าทำอะไรไม่ถูกแถมยังไปไม่เป็น ภาพความร้อนแรงของจูบในฝันยามค่อนรุ่ง มันหวนกลับมาในความทรงจำที่ยังชัดเจนอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้หัวใจของต้นกล้าเต้นแรงขึ้น จนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก ฮึ่ย เป็นอะไรไปวะเรา ต้นกล้าสะบัดหน้าอย่างแรง แล้วหันมามองเด็ดเดี่ยวตาขวาง แต่อีกคนเหมือนไม่ทันได้สังเกตเพราะยังยิ้มหวานอยู่

"ถอยออกไปสิ" ผลักร่างใหญ่กว่าออกด้วยแรงที่คิดว่ามีทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำให้เด็ดเดี่ยวขยับเลยด้วยซ้ำ แถมคนตัวโตยังบอกกลับด้วยเสียงอ่อนโยน

“นั่งดี ๆ สิ” ไม่พูดเปล่าแต่มือที่ยังวางอยู่บนไหล่ รั้งร่างที่ดูบางกว่าให้นั่งลงข้าง ๆ ซึ่งต้นกล้าก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเหมือนคนกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยังไม่ลืมปัดท่อนแขนใหญ่ที่พาดอยู่บนไหล่ออกด้วย

ลมเย็นที่พัดผ่านร่างช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย ต้นกล้าจึงหันหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำ แล้วยกขาชันเข่าขึ้นมากอด มีเด็ดเดี่ยวนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง ใช้สองมือยันพื้นเพื่อรับน้ำหนักตัว และไม่ลืมขยับเข้ามาใกล้ต้นกล้าแบบเนียน ๆ ตอนที่คนหัวแดงกำลังเหม่อมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า พระอาทิตย์สีส้มอมแดงที่ยอแสงลงมา กำลังลอยเด่นอยู่เหนือเหลี่ยมเขาขาดสองลูกที่หันชนกัน เพราะใกล้เวลาลับขอบฟ้าเต็มที แสงสีส้มแดงสาดไปบนพื้นน้ำที่มีคลื่นเป็นระลอกเล็ก ๆ ตามแรงลมยามเย็น คลื่นน้ำต้องแสงยามตะวันกำลังจะลาดูสวยตรึงใจไปอีกแบบ และมันช่วยให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายได้มากทีเดียว มันดูระยิบระยับและสะกดสายตาให้มองเพลิน จนลืมไปเลยว่าไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เบียดแนบชิดกัน

“คิดอะไรอยู่เหรอ”

“เปล่า”

“สวยมั้ย”

“ก็..สวยดี” ต้นกล้าตอบพลางเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก โดยไม่ลืมถ่ายรูปตัวเองในมุมต่าง ๆ เอาไว้ด้วยหลายรูป บางรูปก็ติดคนที่นั่งข้าง ๆ เข้ามาด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นความตั้งใจของอีกคนที่ทำเป็นเอียงตัวเข้ามาหากันอย่างเนียน ๆ เพราะอยากมีส่วนร่วม

“ชอบมั้ย” เด็ดเดี่ยวถามขณะที่ต้นกล้ากำลังถ่ายรูปผืนน้ำอาบไปด้วยแสงสีส้มแสงสุดท้ายของวัน

“อืม”

“ถ้าชอบเดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปเที่ยว”

“หืม เที่ยวไหน”

“ไม่บอกเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารับแต่เช้า” ต้นกล้ามองรอยยิ้มน้อย ๆ ของเด็ดเดี่ยว แล้วอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่กล้าสบตากันขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงหันกลับไปทางพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังลดตัวต่ำลงหลังสันเขาขาดช้า ๆ พร้อมกับรัศมีสีส้มอมทองที่ค่อย ๆ หดตามลงไป จนแสงสุดท้ายของวันหายไปในที่สุด

“ไปนะ”

“ก็ได้”

“งั้นกลับกันเถอะ”

“อืม” เด็ดเดี่ยวเอ่ยชวนเมื่อพระอาทิตย์ตกลงหลังสันเขาไปแล้ว ทั้งสองจึงเดินกลับมาที่จักรยาน คนตัวโตกว่าเป็นคนจูงรถ มีคนตัวเล็กกว่าเดินไปข้าง ๆ คุยกันเรื่อยเปื่อยทั้งมีสาระและไร้สาระจนถึงบ้านก็มืดสนิทพอดี

เจอกันตอนหน้านะจ๊ะ ใครอยากได้เล่ม ยังไม่จองไปจองได้นะคะ IB หาเค้าเลย เดี๋ยวจะเอาปกน่ารักๆ มาอวด คริๆๆ
 เนื้อหาที่ลงนี้เป็นเนื้อหาที่ยังไม่ได้รีไรท์นะคะ อาจจะมีเยอะๆ ไปบ้าง ต้องขออำไพด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 19:59:54
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ



“นี่เอาจริงดิ”

“เอาจริงอะไร”

“ก็ที่ว่าจะอยู่ที่นี่ไง”

“ก็นายบอกเองว่าอยู่ได้”

“ประชดเถอะ”

“นายจ๋า ฉันจริงจังนะ แล้วถ้ากลับนายจะไปส่งฉันยังไง ไหนบอกไม่มีรถ”

“ก็รอพ่อกลับมา”

“แล้วพ่อนายจะมาตอนไหน นี่มันจะสามทุ่มแล้วนะ”

“งั้นเธอไปอาบน้ำก่อนไป”

“แต่..”

“ไม่ต้องมีแต่ ถ้าน้ำไม่อาบก็นอนข้างล่างคนเดียวละกัน” ไอ้จ๋าชี้หน้าบอกออเรนจ์ท่าทางจริงจัง

“ฉันไม่มีชุดเปลี่ยนนี่”

“วุ่นวายจริงวุ้ย” มันบ่นแล้วเดินขึ้นบ้านไป ไม่นานก็ลงมาพร้อมผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ยื่นให้

“ของใครอะ” เจ้าของร่างบอบบางรับผ้าเช็ดตัวมาแล้ว แต่ยังมองเสื้อยืดกับกางเกงบอลที่ไอ้จ๋ายื่นมาให้ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนักเมื่อเอ่ยถาม

“ของฉัน หรือรังเกียจไม่อยากใส่ก็ตามใจ”

“เปล่าซะหน่อย”

“งั้นก็รีบไปอาบโน่นห้องน้ำ” ไอ้จ๋าบุ้ยปากไปทางห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของตัวบ้าน ออเรนจ์มองตามแล้วหันกลับมามองหน้าไอ้จ๋าตาปริบ ๆ “อะไรอีก”

“พาไปหน่อยสิ”

“อย่าเรื่องมาก ไปเอง”

“ฉันกลัวนี่มันมืดนะตรงนั้น” ไอ้จ๋าถอนหายใจแรง แต่ก็ยอมเดินนำหน้าคนตัวขาวไปที่ห้องน้ำ เปิดไฟให้แล้วหันมามองหน้าอีกคนด้วยสายตาดุ

“ไปได้แล้ว”

“อย่าเพิ่งไปไหนนะ รออยู่ตรงนี้นะ”

“เรื่องมากไปมั้ย”

“ก็ฉันกลัวนี่ นะจ๋านะ”

“เออ ๆ ไปเลยรีบไปอาบเดี๋ยวนี้เลย” ออเรนจ์เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองไอ้จ๋าเพื่อความแน่ใจ ว่าไอ้คนตัวดำมันยังคงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำเป็นเพื่อนไม่ไปไหน เมื่อปิดห้องน้ำเรียบร้อยโดยไม่ได้ล็อก ก็เอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าที่ไอ้จ๋าเตรียมมาให้พาดไว้ที่ราว แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกเพื่ออาบน้ำ

“จ๋า”

“อะไร”

“เปล่าเรียกดูเฉย ๆ ว่ายังอยู่มั้ย”

“รีบอาบเร็ว ๆ ยัยเผือกฉันจะได้อาบบ้าง” ไอ้จ๋าตอบรับเสียงเรียกเบา ๆ ที่ดังออกมาจากห้องน้ำอย่างหงุดหงิด เพราะไม่รู้ว่าอีกคนจะกลัวอะไรนักหนา พอเร่งให้ออเรนจ์อาบน้ำแล้วมันก็เดินออกไปจากหน้าห้องน้ำเงียบ ๆ กลับขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง ถอดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ออก แล้วนุ่งแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินลงมารออาบน้ำตามความเคยชิน

ส่วนออเรนจ์รีบอาบน้ำให้เร็วที่สุดอย่างที่อีกคนบอก ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่จึงอาบเสร็จ แต่พอหันกลับมาจะหยิบผ้าเช็ดตัวเท่านั้นแหละ ตาสวยก็สบเข้ากับดวงตากลม ๆ ใส ๆ เล็ก ๆ ที่ปูดโปน และกำลังจ้องมองตอบกลับมาอยู่เหมือนไม่พอใจ

“กรี๊ดดดดดด จ๋าาาาา ช่วยเราด้วยยยย” ปัง!

“ยัยเผือก” !

“จ๋าช่วยด้วย ๆ ” ออเรนจ์โผเข้ากอดไอ้จ๋าแน่น เมื่อประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ใบหน้าสวยหวานซุกลงบดบี้ที่อกกว้าง ๆ แล้วเอาแต่ร้องไห้โฮตัวสั่น

“เฮ้ย อะไรเนี่ยมากอดฉันทำไมปล่อย” ไอ้จ๋าพยายามผลักร่างบอบบางออกจากตัว แต่ออเรนจ์ยิ่งดูเหมือนจะกอดไว้แน่นกว่าเดิม “ปล่อยก่อน ๆ มีอะไรพูดดี ๆ”

“ฉันกลัว”

“กลัวอะไร”

“มัน มัน ตรงนั้น “ออเรนจ์เอาแต่ฟูมฟายฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะซุกหน้าลงบดบี้กับอกกว้าง ตัวก็สั่นแต่ไม่ยอมบอกว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งไอ้จ๋าหันไปเห็นตุ๊กแกตัวเขื่อง ที่เกาะอยู่บนผนังเหนือราวที่เอาไว้พาดผ้าเช็ดตัว มันจึงได้เข้าใจสถานการณ์

“ฮ่า ๆ กลัวตุ๊กแกหรือไงยัยเผือก”

“อือ ฮือ ๆ ๆ ไล่มันไปเร็ว “ตอบออกมาทั้งที่ยังซุกใบหน้าอยู่กับอกล่ำ ๆ ของไอ้จ๋า แต่ยังไงก็ไม่ยอมผละออกไม่ยอมปล่อยลำตัวหนาของมัน แม้ว่าไอ้จ๋าจะพยายามดันให้ออกห่างแล้วก็ตาม แถมออเรนจ์ยังกอดแนบแน่นขึ้นยิ่งกว่าเก่า ราวกับกลัวว่าอีกคนจะทิ้งให้เผชิญกับเจ้าตุ๊กแกตัวปัญหาคนเดียว

“ฮึ่ย ไปสิ ไป ๆ นี่ปล่อยได้แล้วมันไปแล้ว” คนตัวบางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าที่กำลังอมยิ้มมองตอบอยู่

“ไปแล้วจริง ๆ นะ”

“จริงสิ”

“ว้าย นายจ๋าคนบ้าคนโกหก ฮือ ๆ ๆ ” เมื่อหันไปทางต้นตอที่ทำให้ตกใจกลัว ปรากฏว่าตุ๊กแกมันยังเกาะอยู่ที่เดิม ออเรนจ์จึงร้องเสียงหลง แล้วหันกลับมามุดลงที่อกล่ำ ๆ ของไอ้จ๋าอีกครั้ง มือที่กอดรัดร่างแกร่งหนั่นแน่นกล้ามเนื้อเอาไว้ ก็ทุบหลังมันไปด้วยเพราะโกรธที่โดนหลอก ไอ้จ๋าหัวเราะขำแต่ก็หันไปไล่ตุ๊กแกให้ออกไป แล้วจึงก้มลงมองคนที่กำลังกอดมันอยู่แบบเต็ม ๆ ตา ร่างเปลือยเปล่าที่ขาวนวลลออ กำลังกอดร่างล่ำสันของมันเสียแน่น น้ำลายเหนียว ๆ ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เมื่อไอ้จ๋าห้ามสายตาไม่ให้มองไปตามแผ่นหลังเนียน ที่มีหยดน้ำเกาะพราวไม่ได้ แถมยังไล่สายตาลงไปจนถึงเอวเล็กคอด และสะโพกกลมกลึงน่าสัมผัส บรึ๋ย คิดอะไรวะกู ไม่ได้ ๆ หยุดคิด ๆ มันลามกจกกะเปรต ก้นยัยนี่นะเหรอที่น่าสัมผัส บ้าน่า ไอ้จ๋าบอกตัวเองพร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ มันยกมือสั่น ๆ ขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของคนตัวผอมเพื่อดันออก แต่ออเรนจ์กลับส่ายหัวไม่ยอมแถมยังรัดร่างหนาของมันเอาไว้เสียแน่น ราวกับกลัวว่าไอ้จ๋าจะหายไปทันทีที่ปล่อยมือ

“ตุ๊กแกไปแล้ว”

“นายโกหก ฮือ ๆ ใจร้าย”

“จริง ๆ คราวนี้มันไปแล้วจริง ๆ ไม่เชื่อก็เงยหน้าขึ้นมาดูสิ “ไอ้จ๋ายกมือขึ้นมาลูบหัวเล็ก ๆ ของคนที่ซุกหน้ากับอกกว้างของมันอย่างอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงบอกจริงจังไม่มีแววล้อเล่นหรือขบขันเหมือนในตอนแรก นั่นจึงทำให้ออเรนจ์เงยหน้าขึ้นมามองไอ้จ๋า ที่ก้มหน้ามองอยู่ด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้น้ำเสียง

“จริงนะ นายอย่าโกหกนะฉันกลัวจริง ๆ นะจ๋า” ถึงไม่บอกก็รู้ว่ากลัวมากแค่ไหน เพราะดวงตาสวยที่มองตอบกลับมามีน้ำใส ๆ เอ่อคลอ ตัวบาง ๆ นั่นหรือก็สั่นจนไอ้จ๋ารู้สึกได้ ซึ่งพอเห็นแววตาจริงจังของไอ้จ๋า ออเรนจ์ก็ผละออกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนที่กอดร่างไอ้จ๋าเอาไว้หลวม ๆ ก่อนจะหันไปมองผนังที่เห็นตุ๊กแกเกาะอยู่ในตอนแรก ส่วนไอ้จ๋าเมื่ออีกคนหันไปมองข้างหลัง จึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้มันได้เห็นภาพด้านหน้า ของคนที่กอดมันไม่ยอมปล่อยได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงไหล่บอบบางที่หากสัมผัสแรงไปคงกลัวว่าจะแตกหักเอาได้ง่าย ๆ ไปจนถึงหน้าอกแบนที่ไม่ราบเท่าไหร่นักเพราะมีเนื้อตรงฐานนูนขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่สะดุดตาจนทำให้ไอ้จ๋าต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อีกครั้ง ก็คงจะเป็นเม็ดทับทิมสีสดบนหน้าอกขาวนวลราวกับน้ำนมสองเม็ดนั่นแหละ ที่ทำให้มันตาโตลมหายใจสะดุด จนต้องสูดหายใจเข้ายาวลึกแล้วปล่อยออกเร็ว ๆ ไม่เป็นจังหวะ เลือดในกายดูเหมือนว่าจะสูบฉีดผิดระบบการทำงานไปแล้ว จนกลัวว่ามันจะพุ่งออกมาทางปากทางจมูกเสียให้ได้ แล้วความร้อนรุ่มที่ปั่นป่วนอยู่ในตัวนี่มันคืออะไร ไอ้จ๋าใคร่อยากรู้ยิ่งนัก มันเริ่มหายใจถี่รัวอย่างยากที่ควบคุม กับเม็ดทับทิมน่าหยิกสองเม็ดนั่น จนกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมันจึงได้รู้ตัวและตั้งสติ ก่อนที่จะได้สำรวจต่ำลงไปกว่านั้น ทั้งที่ก็เห็นแวบ ๆ แล้วตั้งแต่ตอนแรก

“ไปแล้วจริง ๆ ด้วย ขอบใจนะจ๋าที่ช่วยไล่มันไป” ไอ้จ๋าได้ยินเสียงหวาน ๆ ของออเรนจ์บอกพร้อมกับความรู้สึกว่าร่างของตัวเองถูกปล่อยจากอ้อมกอด แต่มันก็ยังคงมองหน้าอกของออเรนจ์ไม่วางตา จนกระทั่งเจ้าตัวหันกลับมาพร้อมกับค่อย ๆ ถอยออกห่าง

“จ๋า เป็นอะไร อุ๊ย” ออเรนจ์พึ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า ก็เมื่อตอนที่เห็นสายตาของไอ้จ๋ามองต่ำลงไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ จึงได้ยกมือขึ้นมาปิดบังร่างกายตัวเอง แล้วหันหลังให้ตามสัญชาตญาณ ทั้งที่อีกคนก็คงเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมดแล้ว ซึ่งไอ้จ๋ามันก็ได้เห็นชัด ๆ หมดแล้วจริง ๆ

“เอ้าเป็นอะไรไปอีกล่ะ” ที่ถามนี่ก็แก้เขินให้ตัวเองด้วยล่ะ ที่เผลอไปมองเสียจนอีกคนรู้สึกตัว

“บ้าออกไปก่อนสิ ฉันจะแต่งตัว”

“อายอะไรมีเหมือน ๆ กัน”

“หน้าด้านที่สุด”

“ฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่หนอนน้อยนั่นน่ะ มัน..”

“มันอะไร บ้า ๆ ๆ ออกไปเลยนะ คนบ้า” ออเรนจ์เต้นเร่า ๆ หันมาผลักไอ้จ๋าให้ออกจากห้องน้ำแล้วปิดประตู แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะของมันดังตามเข้ามา ตอนนี้ออเรนจ์ตัวสั่นหัวใจยังเต้นโครมคราม แม้ว่าสายตาของไอ้จ๋ามันดูจะตกตะลึงพรึงเพริด มากกว่าอารมณ์อย่างอื่นก็ตามเถอะ แต่มันก็เล่นเอาออเรนจ์เขินอายอยู่ไม่น้อยที่ถูกมองเสียขนาดนี้ เพราะสาวน้อยในร่างชายทำตัวไม่ถูก ที่อีกคนจ้องมองตรง ๆ ถึงมีอะไรอย่างที่ผู้ชายมีเหมือนกันก็ตามเถอะ ออเรนจ์รู้ตัวเองดีนี่ว่าใจของเขานั้นไม่ได้แมน ๆ เหมือนไอ้จ๋าสักหน่อย มันก็ย่อมต้องมีความเหนียมอายกันบ้างล่ะ

ไอ้จ๋าออกมาจากห้องน้ำแล้วแต่ภาพร่างกายขาว ๆ ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมและน่าตระกองกอดนั่น ยังคงติดตาของมันอยู่อย่างชัดเจน ทั้งสะบัดหน้าทั้งยีหัวทึ้งผมตัวเองก็แล้ว แต่ภาพติดตาอย่างร่างบอบบางที่ขาวนวลเนียนนั่นก็ยังไม่ยอมหายไปจากหัวมันสักที

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“อูยซี้ด เจ็บฉิบหาย” ไอ้จ๋าตบแก้มตัวเองทั้งซ้ายขวาเพื่อเรียกสติ และไล่ภาพที่ยังอยู่ในหัวออกไป แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเลยสักนิด เพราะเรือนร่างขาวนวลเนียนน่าสัมผัสนั่น ยังลอยเข้ามาในจินตนาการของมันอยู่เหมือนเดิม และเหมือนมันจะตรึงลงไปในใจของไอ้จ๋าเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว ยืนบ่นกระปอดกระแปดให้ตัวเองอยู่ครู่เดียว คนที่อยู่ในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมา

“เอ่อ”

“..” ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดที่ตัวใหญ่กว่าขนาดของตัวเองมาก จนคอเสื้อห้อยย้อยเผยให้เห็นผิวขาว ๆ และกางเกงบอลดูไม่ค่อยสมส่วน แต่ไอ้จ๋ากลับคิดว่ามันดูน่ารักน่าทะนุถนอมเอาไว้ในอ้อมกอดมากกว่า

เพี้ยะ! เพี้ยะ! ตบหน้าตัวเองอีกสองครั้งเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะมาให้ครบถ้วน

“จ๋า เป็นอะไร ตบหน้าตัวเองทำไม”

“เออ เปล่า ๆ เสร็จแล้วเหรอ”

“อืม”

“ไปรอบนบ้านฉันจะอาบบ้าง” พูดจบไอ้จ๋าก็เดินเข้าห้องน้ำไปเลย โดยที่ทั้งสองต่างคนต่างก็ไม่กล้ามองหน้ากัน ไอ้จ๋าถอดผ้าเช็ดตัวที่พันร่างออกพาดไว้ที่ราว แล้วจ้วงตักน้ำในอ่างราดตัวเร็ว ๆ น้ำเย็นช่วยให้ความฟุ้งซ่านในหัวของมันบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง ภาพต่าง ๆ ที่ยังติดตาตรึงใจหาได้ลบเลือนไปได้ง่าย ๆ ไม่เพราะมันยังคอยผุดขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่หนักเท่าตอนแรก แต่ก็ยังดีที่มันยังสามารถทำอย่างอื่นได้บ้าง ไม่ใช่คอยคิดถึงแต่ร่างขาวราวน้ำนมน่าลูบไล้นั่นอย่างเดียว

ไอ้จ๋ารีบอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณและแปรงฟันอย่างเร่งด่วน เสร็จก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันเอวลวก ๆ หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ตามตัวและกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเยี่ยงบุรุษเพศ ที่พึ่งแตกพานผ่านเวลาแตกเนื้อหนุ่มมาได้ไม่กี่ปี แต่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วมันก็ต้องชะงักอยู่ตรงนั้นนั่นเอง เพราะคนที่คิดว่าขึ้นไปรอบนบ้านแล้ว ยังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิม

“อ้าว มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“ก็รอไปพร้อมกัน”

“ทำไมต้องรอไปพร้อมกัน บอกให้ไปรอบนบ้านเดี๋ยวยุงก็กัดเอาหรอก” ไอ้จ๋าว่าพลางเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งตัวมีผ้าผืนเดียวปกปิดท่อนล่าง ทำให้ออเรนจ์รีบหลบตาก้มหน้าหันไปอีกทาง

“ก็ฉันไม่กล้าขึ้นไปคนเดียวนี่”

“ก็เลยยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำ นี่คิดจะแอบดูฉันอาบน้ำหรือยังไง”

“บ้าใครจะไปคิดแบบนั้น แต่..เอ่อ” พอเงยหน้าขึ้นมาจึงได้รู้ว่าไอ้จ๋ามันมายืนเอามือเท้าเอวจังก้าอยู่ตรงหน้า ออเรนจ์ที่ตัวสูงแค่ระดับไหล่ของไอ้จ๋า สายตาจึงปะทะเข้ากับหน้าอกแกร่งน่าซบและกล้ามเนื้อแน่น ๆ ของมันเข้าพอดี แต่เท่านั้นดูเหมือนจะยังไม่พอ เพราะดวงตาหวานยังไล่ลงไปตามหน้าท้องที่ขึ้นลอนเป็นคลื่นสวย แถมประดับด้วยหยดน้ำพราว สาวน้อยในร่างหนุ่มบอบบางจึงเผลอมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา หรือจะเรียกว่ามองเสียเพลินก็อาจเป็นได้ หากไม่โดนเจ้าของร่างทักมาเสียก่อน

“เฮ้ย อะไรของเธอยัยเผือกห้ามมองนะเว้ย” ไอ้จ๋าที่ตั้งตัวตั้งสติได้แล้วแกล้งเอามือปิดหน้าอกปิดเป้าตัวเอง ผ่านผ้าเช็ดตัว ทั้งที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกอายอะไรนักหรอก ปกติวันไหนร้อน ๆ มันก็เดินถอดเสื้อโทง ๆ ได้อยู่แล้ว นี่ก็แค่แกล้งอีกคนเล่นเท่านั้นแหละ

“บ้าใครจะอยากมอง จะไปได้หรือยัง”

“ก็ไปสิ” ออเรนจ์เดินนำหน้าไอ้จ๋าขึ้นบ้าน แต่ดูเหมือนว่าปัญหามันยังไม่หมดเท่านั้นเมื่อ

“มองอะไรจะดูฉันแต่งตัวหรือไง”

“เปล่านะ”

“เปล่าก็หันไปสิ ยังอีกเดี๋ยวโชว์ซะเลยนี่”

“ว้าย” ว่าแล้วก็แกล้งทำเหมือนจะกระตุกผ้าที่มันนุ่งอยู่ออก ทั้งที่มืออีกข้างหนึ่งจับชายผ้าเอาไว้แน่นแล้ว ออเรนจ์เห็นแบบนั้นก็ร้องว้ายแล้วหันหลังให้ทันที รอยยิ้มขำปนเอ็นดูผุดขึ้นบนใบหน้าดำคล้ำแดด โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยสักนิด ว่าตอนนี้มันมองเจ้าของร่างบอบบางตรงหน้าแตกต่างจากวันแรกที่ได้เจอไปแล้ว

“หึ ๆ ๆ นึกว่าจะแน่”

“เธอนอนอยู่นี่นะ” ไอ้จ๋าบอกพลางนั่งลงข้างออเรนจ์ หลังจากที่มันแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว โดยใส่แค่กางเกงบอลตัวเดียวส่วนเสื้อกล้ามพาดไว้ที่ไหล่

“หมายความว่ายังไง แล้วนายล่ะ”

“ฉันจะไปนอนบ้านใหญ่”

“อ้าว บ้านใหญ่ไหน นายจะไม่นอนด้วยกันหรือไง”

“หืม?” ไอ้จ๋าเลิกคิ้วล้อเลียนเมื่อออเรนจ์พูดว่านอนด้วยกัน นั่นยิ่งทำให้เจ้าของร่างบอบบางทำตัวไม่ถูก

“คือ ฉันหมายความว่านายจะไปนอนที่ไหนทำไมไม่นอนบ้านตัวเอง”

“ปกติฉันนอนที่บ้านใหญ่ บ้านที่เธอมากับพี่สาวเธอนั่นแหละ”

“ไม่เอานะจ๋า นายจะให้ฉันนอนบ้านนี้คนเดียวหรือไง”

“เดี๋ยวแม่ฉันก็กลับมา”

“แล้วถ้าไม่มาล่ะ ฉันกลัวนะ”

“ไม่กลับมาเธอจะให้แม่ฉันไปนอนที่ไหนยัยส้มเน่า” ไอ้จ๋าผลักหัวเล็ก ๆ ของออเรนจ์ไม่แรงมากนัก แต่ก็เล่นเอาอีกคนตัวเอียงไปตามแรงผลักเลยทีเดียว และสุดท้ายมันก็ได้ลงบ้านมานอนบ้านหลังใหญ่ของคุณยายสักที โดยมีอีกคนเดินตามมาด้วย ออเรนจ์ที่แทบจะเกาะหลังไอ้จ๋า เพราะทางที่มันแกล้งพาเดินมาค่อนข้างมืด และดูเหมือนว่าคนตัวบางจะกลัวเสียเหลือเกิน นี่ถ้าขี่หลังมันได้ออเรนจ์คงทำไปแล้ว ตอนแรกไอ้จ๋าก็กะจะให้นอนรออยู่บ้าน แต่เอาไปเอามาเห็นปากแดง ๆ นั่นคอยแต่จะแบะออก เพราะเจ้าตัวเหมือนจะร้องไห้เพราะความกลัว และไม่กล้านอนคนเดียว แล้วยังหาว่ามันจะทอดทิ้งให้นอนเฝ้าบ้าน สุภาพบุรุษแห่งบ้านทุ่งดอกจานอย่างไอ้จ๋าตัวดำ จึงจำต้องให้อีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย อย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ปัญหามันยังไม่จบเพียงเท่านั้นหรอก เมื่อมาถึงบ้านใหญ่

“นั่นที่นอนหมอนมุ้งไปจัดการให้เรียบร้อย”

“ให้ฉันนอนตรงนี้เหรอจ๋า”

“เออ”

“แล้วนายล่ะนอนตรงไหน”

“แล้วคิดว่าฉันจะนอนไหนล่ะ”

“ยะ อย่าบอกนะว่านอนตรงนี้ด้วยกัน”

“เอ้า ให้นอนอยู่บ้านก็กลัว พอมาแล้วไม่นอนด้วยกันแล้วเธอจะให้ฉันไปนอนไหนแม่คุ้ณ”

“นายก็ไปนอนตรงแคร่นั่นสิ”

“มีมุ้งหลังเดี๋ยวนอนตรงนั้นยุงได้กัดตายพอดี อย่าเรื่องมากรีบไปจัดที่นอน อยากตามมาเองทำไม” ออเรนจ์ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยเอาที่นอนออกมาปูก่อน

“จ๋ามีหมอนใบเดียวเหรอ”

“เออ เธอหนุนไปก็แล้วกัน”

“แล้วนายล่ะ”

“ไม่ต้องถามมากรีบ ๆ ทำจะได้นอนสักทีฉันง่วง”

“อุ๊ย “ออเรนจ์ร้องออกมาเบา ๆ เมื่อพยายามยืดตัวขึ้นเกี่ยวหูมุ้งตรงตะปูที่ต้นเสา แต่มันสูงเกินไป พยายามยืดตัวขึ้นยังไงก็ไม่ถึงสักที ไอ้คนที่ยืนดูอยู่อดไม่ได้เลยเดินเข้ามาช่วยจัดการ แต่ไอ้การที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังนี่แหละ ที่ทำให้ออเรนจ์ทำตัวไม่ถูก และอุทานออกมาว่า อุ๊ย เบา ๆ แล้วก็ได้แต่ตัวสั่นยืนก้มหน้าเม้มปากอยู่อย่างนั้น

“ขึ้นไป” ไอ้จ๋าบอกเสียงดุเมื่อกางมุ้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างบอบบางมองตาปริบ ๆ แต่ก็ถลกชายมุ้งขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไป ไอ้จ๋าเดินไปปิดไฟแล้วตามเข้ามาในมุ้งเดียวกัน

“อะไร” ออเรนจ์ถามเสียงสั่น เมื่อไอ้จ๋าที่นอนหนุนแขนตัวเอง จ้องตาเขม็งผ่านความมืดสลัว เพราะมีแสงไฟจากหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้ จึงทำให้พอมองเห็นกันได้ลาง ๆ

“ฉันสิต้องถามเธอ ทำไมไม่นอนลง”

“กะ ก็ ก็ได้”

“ขยับมาอีก เดี๋ยวก็ตกหรอก” ไอ้จ๋าบอกเมื่อออเรนจ์นอนลงแล้ว แต่ก็ชิดขอบที่นอนอีกฝั่งจนกลัวว่าถ้ากลับตัวไม่ระวังคงได้มีตกเตียงกันบ้าง

“ห่มให้มันดี ๆ ซิผ้าห่มเนี่ย” ไอ้ตัวดำไม่พูดเปล่าแต่มันลุกขึ้นมาจัดผ้าห่มให้ด้วย นั่นทำให้ออเรนจ์รู้สึกอุ่นวาบ ๆ อยู่ในใจ แต่ก็ทำได้แค่ซุกหน้าลงกับหมอนเพราะรู้ว่าตัวเองคงหน้าแดงมาก และกลัวว่าไอ้จ๋ามันจะสังเกตเห็นเอาได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในมุ้งที่มืดสลัวก็ตามเถอะ

ทั้งสองต่างคนก็ต่างนอนหันหลังให้กัน ตาที่พยายามจะปิดหรือก็ยังไม่สามารถปิดมันลงได้ทั้งสองคน ไอ้จ๋าให้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองเป็นยิ่งนัก เพราะปกติแค่หัวถึงหมอนมันก็หลับเหมือนซ้อมตายไปแล้ว แต่วันนี้ทำไมแค่จะข่มเปลือกตาให้ปิดลง เพื่อให้ตัวเองได้นอนหลับพักผ่อนยังทำไม่ได้ หลับตาลงทีไรร่างบอบบางที่ขาวนวลเนียนน่าลูบไล้ ก็ลอยเข้ามาในหัวของมันทุกที นี่ไอ้จ๋าไม่ได้โรคจิตและไม่ได้คิดอกุศลอะไรเลยนะ ไม่ได้คิดเลยจริง ๆ แต่ทำไมมันลืมไม่ได้สักกะทีวะ! ส่วนออเรนจ์ก็หลับไม่ลงเช่นกัน เพราะรู้สึกถึงอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ห่างกันไม่กี่คืบ รู้สึกถึงไออุ่นจากคนตัวดำหน้ากวน แต่ก็ได้แค่นอนตัวลีบหันหลังอยู่อย่างนั้น หลับตาลงก็ทำได้แค่ปิดเปลือกตา แต่ทำไมไม่สามารถที่จะนอนหลับได้จริง ๆ สักที ต่างคนต่างคิด ต่างคิดแล้วก็ต่างนอนไม่หลับ นอนอยู่ท่านั้นเป็นชั่วโมงร่างกายมันก็ต้องมีปวดเมื่อยเป็นธรรมดา จึงหันเปลี่ยนท่าแต่ก็ดันหันมาพร้อมกันนี่สิ

“เป็นอะไร” ไอ้จ๋าถามออกมาเบา ๆ เพราะดูเหมือนออเรนจ์จะสะดุ้งเล็กน้อย ที่พลิกตัวหันมาสบตาเข้ากับมันพอดี

“เปล่า แค่นอนไม่หลับคงเพราะแปลกที่”

“นอนเถอะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องคิดมากหรอก” ไอ้จ๋ามันก็พูดออกมาแบบธรรมดาและปกติมาก แต่ไม่รู้ทำไมออเรนจ์ถึงได้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอีกแล้ว คนตัวบางพยักหน้าเบา ๆ แต่ลึก ๆ ก็ซึมซับเอาความใจดีของมันไว้โดยไม่รู้ตัว ไอ้จ๋านอนมองหน้าออเรนจ์ที่หลบสายตามันนิ่ง ๆ จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ไปแล้วหลายชั่วโมง ทั้งสองจึงต่างคนต่างผล็อยหลับไป และเพราะกว่าจะหลับได้ก็ดึกมากโขแล้วนี่แหละ เช้านี้ทั้งสองจึงตื่นสายกันพอสมควร โดยที่คนตื่นเช้าเป็นปกติอย่างไอ้จ๋าเอง ยังนอนหลับอุตุไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเพราะนอนดึก หรือเพราะนอนหลับสบายจากการได้ไออุ่นของคนนอนข้าง ๆ แต่หากไอ้จ๋ายังไม่รีบตื่นเสียแต่ตอนนี้ สิ่งที่มันไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อ....เมื่อ..... เมื่อ

“ไอ้จ๋าตื่นยังวะ” ต้นกล้าที่ใครบางคนบอกจะมารับแต่เช้า เดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอนและพูดกับตัวเองเบา ๆ ลูกพี่ใหญ่หัวแดงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พอเดินเข้ามาก็ปรากฏว่ามุ้งของไอ้จ๋ายังกางอยู่เหมือนเดิม นี่แปลว่าไอ้จ๋ามันยังไม่ตื่นสินะ คนเป็นลูกพี่ให้รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติไอ้จ๋าจะเป็นคนไปปลุกเขาเสียมากกว่า แต่วันนี้ต้นกล้าตื่นแล้ว ไอ้จ๋ากลับยังนอนก้นโด่งอยู่ในมุ่ง ซึ่งเขาก็ยังไม่เห็นหรอกนะว่าก้นของมันจะโด่งจริงหรือเปล่า นี่เพียงแค่อุปมาอุปไมยเฉย ๆ ต้นกล้าคิดพลางเดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอน หวังจะปลุกมันขึ้นมารับวันใหม่ แต่พอเดินมาใกล้แล้วมองผ่านมุ้งบาง ๆ เข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ ภาพที่เห็นเล่นเอาแทบเต้นผาง เพราะมันทำให้ลูกพี่ใหญ่อย่างต้นกล้า ตกใจเสียงยิ่งกว่าเห็นไอ้จ๋านอนก้นโด่งให้ตะวันแยงเล่นเสียอีก!

“ไอ้จ๋าตื่นยังวะ” ต้นกล้าที่ใครบางคนบอกจะมารับแต่เช้า เดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอนและพูดกับตัวเองเบา ๆ ลูกพี่ใหญ่หัวแดงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พอเดินเข้ามาก็ปรากฏว่ามุ้งของไอ้จ๋ายังกางอยู่เหมือนเดิม นี่แปลว่าไอ้จ๋ามันยังไม่ตื่นสินะ คนเป็นลูกพี่ให้รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติไอ้จ๋าจะเป็นคนไปปลุกเขาเสียมากกว่า แต่วันนี้ต้นกล้าตื่นแล้ว ไอ้จ๋ากลับยังนอนก้นโด่งอยู่ในมุ่ง ซึ่งเขาก็ยังไม่เห็นหรอกนะว่าก้นของมันจะโด่งจริงหรือเปล่า นี่เพียงแค่อุปมาอุปไมยเฉย ๆ ต้นกล้าคิดพลางเดินเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอน หวังจะปลุกมันขึ้นมารับวันใหม่ แต่พอเดินมาใกล้แล้วมองผ่านมุ้งบาง ๆ เข้าไปข้างในเท่านั้นแหละ ภาพที่เห็นเล่นเอาแทบเต้นผาง เพราะมันทำให้ลูกพี่ใหญ่อย่างต้นกล้า ตกใจเสียงยิ่งกว่าเห็นไอ้จ๋านอนก้นโด่งให้ตะวันแยงเล่นเสียอีก!

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้พี่มาแล้ว” ใช่พี่มาแล้วและพี่กำลังงงเพราะต้นกล้าไม่เคยเดินมาหาแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะมาทุกวันหรือหายไปกี่วันก็ตาม หรือว่าอีกคนจะตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยววะ

“รีบอะไร ไม่ใช่สักหน่อย” ว่าแล้วเชียว ไม่อยากสำคัญผิดเลยจริง ๆ เด็ดเดี่ยวบ่นให้ตัวเองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“แล้วมีอะไรหน้าตาตื่นมาเชียว”

“เอ่อ คือ จะว่ายังไงดีล่ะ”

“ก็ว่ามาตามตรงนั่นแหละเป็นอะไร”

“คือ..” เอาจริง ๆ ต้นกล้าก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงนั่นแหละ ทั้งคิดว่านี่มันเรื่องส่วนตัวไม่ควรก้าวก่าย แต่อีกใจก็คิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างบ้าง

“จะรู้เรื่องมั้ยล่ะเนี่ย”

“ไอ้จ๋าน่ะ”

“ไอ้จ๋าทำไม”

“มันยังไม่ตื่น”

“อืม มันต้องมีมากกว่านั้น ถ้าแค่มันยังไม่ตื่นเราคงไม่ทำหน้าตกใจอย่างนี้ หรือมันพาสาวมากก”

“เฮ้ย รู้ได้ไง” ต้นกล้าตาโตเมื่ออีกคนโพล่งออกมาแบบนั้นเหมือนกับว่ารู้เห็นเป็นใจ

“อ้าวจริงเหรอ พี่แค่ลองเดาดูดันถูกอีกเหรอ”

“อืม”

“หืม ร้ายนะมัน”

“เอาไงดี”

“ว่าแต่มันพาใครมาล่ะ”

“ไม่รู้สิเห็นนอนด้วยกันอยู่โน่น” ต้นกล้าทำปากบุ้ยใบ้ไปทางที่ไอ้จ๋านอนประจำ เด็ดเดี่ยวทำท่าครุ่นคิด เพราะปกติไอ้จ๋าก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหล โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ยิ่งไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องมีราวอะไรแบบนี้มาก่อน ถึงมันจะเป็นคนกวน ๆ เกรียน ๆ คุยสนุกหยอกเย้ากวนชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวให้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ต้องลำบากใจคิดหนักกับมัน

“ไปดูกันดีกว่า” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วทำท่าจะเดินเข้าไป แต่ต้นกล้าดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ก่อน

“เฮ้ย ไปดูทำไมเรื่องส่วนตัวของมันนะ”

“แล้วเผื่อมันเอาลูกสาวชาวบ้านมาทำมิดีมิร้ายจะทำยังไง”

“คงไม่หรอกมั้ง”

“ทำไมต้องมีมั้ง”

“ก็..”

“มันนอนด้วยกัน”

“อืม”

“ในมุ้งเดียวกัน”

“ใช่”

“กอดกัน”

“..” ต้นกล้าพยักหน้าตาโตที่เด็ดเดี่ยวสามารถคาดเดาได้ตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง

“อย่างนี้ต้องไปดูให้เห็นกับตา”

“เดี๋ยวสิ ๆ จะไปดูจริง ๆ เหรอ”

“หึ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะร้ายนัยน์ตาพราว แล้วเดินตรงไปยังที่นอนของไอ้จ๋าแบบที่เงียบที่สุด คือค่อย ๆ ก้าวเข้าไป ชายหนุ่มย่อตัวลงเล็กน้อย เหมือนกำลังจะเข้าไปขโมยอะไรสักอย่างที่ไม่ควรทำให้เกิดเสียง แม้แต่นิดก็ไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือย่องเบาเข้าไปนั่นแหละ ไม่รู้จะอธิบายอะไรมาเสียยืดยาว

Next...

หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 20:02:39


เมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวก้มดูผ่านมุ่งนอนของไอ้จ๋า โดยการจับมุ้งเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปส่องเสียติดขอบมุ้ง ต้นกล้าที่ย่องตามกันมาจึงทำตามบ้าง ไม่รู้ว่าพากันนึกสนุกอะไรกันถึงได้ลืมถามตัวเองไปว่า นี่มันเป็นการสอดรู้สอดเห็นมากเกินไปหรือเปล่า พอส่องแล้วก็ต้องตาโตกับภาพที่เห็นแบบคมชัดสมจริง ทั้งที่ก็เห็นมาก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่มันไม่แจ่มแจ้งมากเท่าตอนนี้ก็เท่านั้นเอง กับภาพเบื้องหน้าที่ไอ้จ๋านอนหงายเอาแขนล่ำ ๆ ของตัวเองหนุนหัวข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อพอกันกางออก แล้วมีใบหน้าสวยหวานที่ขาวนวลเนียนสีตัดกัน พาดซบหนุนต้นแขนของมันนอนหลับตาพริ้มดูท่าทางสบาย ลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอของคนทั้งสอง เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังหลับสนิทมาก ทั้งที่ปกติไอ้จ๋านั้นเป็นคนนอนไวตื่นเช้า นี่คงเล่นเอาจนหมดแรงกันแน่ ๆ ถึงได้ไม่ยอมตื่นกันสักที หืม? เล่นเอาจนหมดแรง?! ต้นกล้าตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่ขณะที่กำลังคิดลึกอะไรแบบนั้นเพลิน ๆ ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่าคอเสื้อด้านหลังถูกกระตุก และเมื่อต้นกล้ายังเฉยเลยถูกดึงแต่ไม่แรงมากนัก นั่นจึงทำให้คนหัวแดงถอยออกมาตามแรงดึงจากคอเสื้อ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกที่จะทำแบบนี้ได้ นอกจากคนตัวโตร่วมอุดมการณ์ถ้ำมองด้วยกันนี่เอง

“ชู่ว” เด็ดเดี่ยวเอามือแตะปากทำเสียงให้ต้นกล้าที่กำลังจะอ้าปากโวยวายให้เงียบ แล้วทำปากบุ้ยใบ้เป็นการบอกให้อีกคนตามไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ ซึ่งมันหันหน้าเข้าหาที่นอนของไอ้จ๋าพอดิบพอดี

อากาศยามเช้าที่กำลังเย็นสบายช่วยให้รู้สึกดีอยู่บ้าง แม้จะตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยเต็มตาเท่าไหร่นัก เพราะกว่าจะหลับลงไปได้จริง ๆ ก็เล่นเอาดึกโข แต่พอได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกมะลิที่ปลูกเอาไว้ข้างตัวบ้านโชยเข้ามาเป็นระยะ ก็ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อยู่ไม่น้อย ไอ้จ๋าที่กำลังงัวเงียเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแบบไม่เต็มตาเท่าไหร่นัก มันรู้สึกเมื่อยขบที่ต้นแขน แต่พอจะขยับกลับทำไม่ได้อย่างต้องการเพราะมีอะไรบางอย่างทับอยู่ ใบหน้าเข้มเกรียมแดดหันไปมองข้าง ๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วกับสิ่งที่อยู่ในระยะประชิด อย่างใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเส้นผมของคนข้างกาย ที่ปะทะเข้ามายังประสาทสัมผัสของมันพร้อม ๆ กันทุกส่วน ไอ้จ๋าชะงักไปกับภาพใบหน้าขาวนวลเนียนที่เห็นระยะใกล้ มันกวาดตามองสำรวจใบหน้าสวยโดยองค์ประกอบทั้งหมด ตั้งแต่คิ้ว จมูก ริมฝีปาก คางมน สองพวงแก้มนวลปลั่ง ที่รวมกันเข้ากลายเป็นความน่ารักดูกระจุ๋มกระจิ๋มแบบปากนิดจมูกหน่อย จนมันมองไล่สายตากลับขึ้นมาถึงเปลือกตาที่ปิดสนิท แล้วให้คิดถึงดวงตากลมโตสีน้ำตาลมีประกายสวย ที่ดูเหมือนจะมีแววระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา คิดว่าถ้าได้เพ่งมองดี ๆ คงจะสวยน่าดู แต่ขณะที่กำลังคิดถึงนัยน์ตาหวานคู่นั้น อยู่ ๆ เปลือกตาบางก็เปิดขึ้นมาในทันทีทันใด แบบไม่ให้ไอ้คนที่กำลังแอบมองตั้งตัว เหมือนกับรู้ว่ามันกำลังต้องการเห็นพอดี คนหลับจึงลืมตาขึ้นมาสบตากัน

“อุ๊ย จ๋า”

“เฮ้ย ยัยเผือก”

“นายจะทำอะไรน่ะ”

“เปล่านี่”

“ก็นายนอกกอดฉันอยู่”

“เธอนั่นแหละ หันมากอดฉันเอง”

“ฉันเปล่านะ นายแหละฉวยโอกาส”

“ฉันจะฉวยทำไมไม่ได้อยากทำอะไรสักหน่อย”

“ก็นายกอดฉันอยู่”

“บอกว่าไม่ได้ทำไงดูมือเธอซะก่อนมันวางอยู่บนตัวฉัน ดูตัวเองซะก่อนจะว่าคนอื่น”

“นายทำ”

“ก็บอกว่า..”

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเถียงกันตื่นแล้วก็โผล่หัวออกมา”

“!!” ทั้งไอ้จ๋าและออเรนจ์ที่กำลังเถียงกันอยู่ในมุ้งต่างก็ตกใจตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงเข้มของเด็ดเดี่ยวดังแทรกขึ้นมา

“ลูกพี่” ไอ้จ๋าอุทานตาโตเมื่อเปิดมุ้งออกมาเห็นลูกพี่ทั้งสองนั่งจ้องมองมาทางมันเขม็ง

“อาจารย์” ออเรนจ์ก็ตาโตไม่แพ้กันเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวนั่งหน้านิ่งมองมาเขม็ง ดวงตากลมโตเหลือบไปมองหนุ่มหล่ออีกคนที่นั่งข้าง ๆ อาจารย์ก่อนจะหันไปมองไอ้จ๋าที่นั่งอยู่ข้างกัน ก็เห็นว่ามันดูเหมือนจะช็อกตาตั้งไปแล้ว

“เอ่อ”

“อธิบายมา” ต้นกล้าบอกเสียงนิ่งแต่ฟังดูจริงจังมากจนไอ้จ๋าไม่กล้าสบตา

“คือ...” เพราะไอ้จ๋าไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะความจริงไม่มีอะไรอย่างที่คิด แต่พอเห็นสายตาคาดคั้นของคนเป็นลูกพี่ อยู่ ๆ มันก็ทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น

“แกมีแฟนเหรอจ๋า” ต้นกล้ารุกเมื่อไอ้จ๋ามันยังอ้ำอึ้ง

“เฮ้ย เปล่านะครับลูกพี่ ไอ้จ๋าเปล่ามีแฟนนะครับ”

“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าพาลูกสาวเขามานอน”

“นี่มันไม่ใช่ลูกสาวนะครับลูกพี่..”

"หืม..." ต้นกล้าเลิกคิ้วสูงสีหน้าสงสัย ไม่ใช่ลูกสาวอย่างนั้นเหรอ

“เป็นลูกผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบนะไอ้จ๋า” เด็ดเดี่ยวพูดแทรกขึ้นมาเสียงนิ่งเป็นงานเป็นการ นั่นยิ่งทำให้ไอ้จ๋าและออเรนจ์ประหม่าเข้าไปใหญ่

“อาจารย์ฮะคือว่า..”

“ว่าไง แกจะรับผิดชอบยังไง” เด็ดเดี่ยวถามไอ้จ๋าเสียงเข้มหลังจากส่งสายตาปรามเหมือนบอกให้ออเรนจ์เงียบก่อน

“แล้วเราล่ะมากับไอ้จ๋าได้ยังไง พ่อแม่ไม่เป็นห่วงแย่หรือไง” ต้นกล้าหันไปถามออเรนจ์ เมื่อไอ้จ๋ามันยังนั่งเงียบกลอกตามองคนนั้นทีคนนี้ที ระหว่างเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้า

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับลูกพี่..” ไอ้จ๋าตัดสินใจพูดออกมาตามความจริงให้ลูกพี่ทั้งสองที่นั่งรอฟังมันพูดนิ่ง ๆ เด็ดเดี่ยวตีหน้าเข้มได้อย่างแนบเนียน ส่วนต้นกล้าต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เพราะใบหน้าไอ้จ๋าตอนนี้ มันเหมือนกับคนที่ไม่ได้ถ่ายท้องมาแล้วสามวันยังไงอย่างนั้นเลย

“มันเป็นอย่างนี้เองใช่มั้ย ออเรนจ์มาตามงานที่ทำด้วยกัน” ต้นกล้าถามย้ำพลางพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

“ครับลูกพี่”

“แล้วทำไมต้องมานอนกกกัน” เด็ดเดี่ยวรุก

“เฮ้ยลูกพี่เดี่ยวไอ้จ๋าไม่ได้กกกันนะครับ”

“ก็เห็นอยู่ว่านอนกอดกันในมุ้ง”

“ไอ้จ๋าก็นอนของมันดี ๆ แต่พอตื่นมาก็.. ก็..”

“เป็นสุภาพบุรุษหน่อยจ๋า” ต้นกล้าปรามไอ้จ๋าเมื่อเหลือบไปเห็นอีกคนที่นั่งตัวลีบอยู่ข้าง ๆ หน้าแดงแล้วก้มหน้าหลบตาอาย ๆ

“แต่..”

“ไม่รู้ล่ะ ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น รับผิดชอบการกระทำของแกซะ วันนี้ฉันมีธุระต้องไป” พูดจบต้นกล้าก็เดินออกไปทันทีทิ้งให้ไอ้จ๋านั่งอ้าปากหว๋อมองตามลูกพี่ไป เพราะมันพูดไม่ออก รับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ ไอ้จ๋าทำอะไรไว้วะทำไมต้องรับผิดชอบ

“หึ ๆ เอาลูกเขามานอนกอดทั้งคืน จะทำยังไงก็รีบ ๆ ทำไปล่ะ”

“เดี๋ยวครับลูกพี่กลับมาก่อน ไอ้จ๋าไม่ได้ทำอะไรนะครับลูกพี่ครับ ลูกพี่ กลับมาก่อนครับ แล้วจะให้ไอ้จ๋ารับผิดชอบยังไงเนี่ย โอย ไอ้จ๋าอยากจะบ้าตาย”

**********************

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าระเบิดเสียงหัวเราะขำออกมาเมื่อขึ้นมานั่งบนรถของเด็ดเดี่ยว ซึ่งอีกคนที่พึ่งเปิดประตูขึ้นมานั่งประจำที่คนขับก็หัวเราะพอใจไม่ต่างกัน ต้นกล้าไม่รู้หรอกนะว่าไอ้จ๋ามันได้ทำอะไรยังไงหรือเปล่า เพราะตัวเขาเองก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ามันอาจจะดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่แล้วยังไงล่ะ ชีวิตวัยรุ่นในสังคมเมืองที่เขาเคยเจอมามันยิ่งกว่านี้อีก ถ้าเทียบกันแล้ว เรื่องของไอ้จ๋ามันเล็กน้อยมากทีเดียว ที่ทำเป็นเสียงเข้มมาทั้งหมดก็เพื่อแกล้งไอ้จ๋ามันเล่นแค่นั้นแหละ เพราะเด็ดเดี่ยวเล่าแผนการของเขาตั้งแต่ที่บังคับให้ทั้งสองจับคู่ทำงานร่วมกันให้ฟังแล้ว ต้นกล้าจึงเห็นดีเห็นงามด้วย ที่จะได้แกล้งไอ้จ๋ามันคืนบ้างก็แค่นั้นเอง

ต้นกล้าคิดแค่นั้นเพราะรู้มาแค่นั้น ส่วนเด็ดเดี่ยวมันมากยิ่งกว่านั้น เพราะทุกครั้งที่เขาอยู่กับต้นกล้า โดยเฉพาะตอนกำลังเข้าโหมดซึ้งทีไร ไอ้จ๋าเป็นได้โผล่มาขัดทุกที แผนเอาคืนแค่นี้คงไม่มากเกินไป ถึงแม้ว่าจะได้ความบังเอิญมาช่วยด้วยก็ตามเถอะ ก็แน่ละสิเพราะเขากระซิบบอกกับออเรนจ์ว่ารู้จักบ้านไอ้จ๋า และตอนที่ให้น้องติดรถกลับบ้านมาด้วย ก็ถามไถ่กันเสียละเอียดยิบ ชายหนุ่มผู้เป็นอาจารย์ก็บอกทางจนเห็นภาพยิ่งกว่าติดจีพีเอสให้ขนาดนั้น ตามมาไม่ถูกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ส่วนคนที่ถูกจับคู่ให้ทำรายงานด้วยกันก็รีบมาตามงานทันทีเลยเข้าทาง

“คิก ๆ ๆ”

“ขำใหญ่เลยนะ”

“แหงละสิ เห็นหน้าไอ้จ๋ามั้ยฮ่า ๆ เห็นหน้ามันมั้ย”

“หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะในลำคอและรู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนตกใจของไอ้จ๋า มันไม่ต่างจากหมางงเท่าไหร่นัก ยิ่งตอนที่มันเจอคำถามที่ถามด้วยเสียงเข้ม ๆ แบบเอาจริงเอาจัง ยิ่งดูเหมือนมันจะกลายเป็นหมางงที่ถูกตีหัวไปด้วยเลยทีเดียว ชายหนุ่มเองก็อดขำไม่ได้กับใบหน้าที่มีทั้งความอึ้ง ความกังวล และวางตัวไม่ถูก จะพูดอะไรออกมาก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะคาตาคาหนังคาเขาเสียเหลือเกิน จนไอ้จ๋าดิ้นไปทางไหนไม่ได้ และเอาแต่นั่งทำหน้าบื้อใบ้อยู่อย่างนั้น เรียกได้ว่าทุกอย่างที่รวมเป็นใบหน้าของไอ้จ๋าตอนนั้นคือกระตุ้นต่อมฮามากที่สุด

“คิก ๆ คิดแล้วก็ขำไม่หาย ตอนที่มันโผล่หน้าออกจากมุ้งมาเจอเรา ตางี้โตกว่าไข่ห่านอีก เห็นปากมันมั้ยห้อยเลยเชียวล่ะ” เด็ดเดี่ยวนึกภาพตามก็ขำพรืดออกมาเหมือนกัน “ว่าแต่เด็กนั่นเป็นใครมาจากไหนอะ”

“เพื่อนเรียนด้วยกันนั่นแหละ”

“อืม เหรอ” จากนั้นเรื่องของไอ้จ๋าก็กลายเป็นหัวข้อสนทนากันตลอดทาง ทำให้ต้นกล้าลืมเรื่องคาใจที่จะถามว่าทำไมออเรนจ์ถึงได้เรียกเด็ดเดี่ยวว่าอาจารย์ และอีกคนจะพาไปเที่ยวที่ไหน เรื่องฮาของไอ้จ๋าทำให้ทั้งได้สองคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนเกิดบรรยากาศดี ๆ และรอยยิ้มสดใสร่าเริง ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้ไอ้จ๋า ที่ทำให้ลูกพี่ทั้งสองคุยเรื่องของมันได้ไม่มีเบื่อพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ซึ่งโดยส่วนมากก็เป็นต้นกล้านั่นแหละที่ผูกขาดการพูด ส่วนเด็ดเดี่ยวก็ได้แต่ฟังและเออออเห็นด้วย เก็บภาพรอยยิ้มของคนช่างคุยเรื่องตลกของไอ้จ๋าเอาไว้และประทับลงในใจ จนกระทั่งถึงที่หมายอีกคนก็ยังไม่หยุดคุย แถมยังขำจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล

“บ้านใครล่ะนี่” ต้นกล้าถามขึ้นหลังจากรถจอดสนิทลงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ

“บ้านพี่เอง”

“ห๊า ไหนว่าจะพาเราไปเที่ยวไง”

“ก็นี่ไงมาเที่ยวบ้านพี่” ต้นกล้าทำหน้าเซ็งออกมาตรง ๆ เมื่อทุกอย่างผิดพลาดจากสิ่งที่คิดเอาไว้ทั้งหมด ไอ้เขาหรือก็คิดว่า ไปเที่ยวที่อีกคนบอกจะเป็นการไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อย่างไปเที่ยวในเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเขานิยมไปกัน แต่นี่อะไรพามาเที่ยวบ้านตัวเอง อย่างกับว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อย่างกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นแหละ

ต้นกล้ายังนั่งนิ่งและเงียบ แต่สายตาสอดส่ายผ่านความร่มรื่นของแมกไม้ที่ปลูกเอาไว้รอบ ๆ เข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่พอ ๆ กับบ้านคุณยายของเขา เพียงแต่บ้านหลังนี้เป็นแบบครึ่งปูนชั้นล่างและครึ่งไม้ชั้นบน ส่วนบ้านคุณยายปล่อยใต้ถุนโล่งปูกระเบื้องด้านหน้าจัดเป็นมุมนั่งเล่นและมุมห้องนอนของไอ้จ๋า ปลูกไม้ดอกไม้ประดับรอบ ๆ ส่วนด้านหลังทำเป็นห้องครัว ตาสวยกวาดมองไปรอบบ้านที่เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่แล้วเอ่ยถาม

“คนไปไหนหมดอะ”

“ไม่รู้สิ”

“อ้าวไหนบอกบ้านตัวเอง คนอยู่ไม่อยู่ไม่รู้หรือยังไง”

“ก็พี่ออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้จะมีใครอยู่หรือไม่อยู่บ้างก็เลยไม่รู้”

“แล้ว บ้านนี้อยู่กับใครบ้างล่ะ”

“ก็มีพ่อพี่กับดาวรุ่ง เอ่อน้องสาวพี่เอง” อืม กำนันอาจหาญต้นกล้าก็เคยเจอแล้วล่ะนะ ส่วนน้องสาวที่ว่าก็เคยเจอแล้วเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เคยคุยด้วยหรือรู้จักกันเป็นทางการก็ตามเถอะ แถมต้นกล้ายังไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมียของอีกคนเสียด้วยสิ หวังว่าวันนี้คงไม่เจอใครนะ ต้นกล้ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย เพราะไม่คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะพามาบ้านกะทันหันแบบนี้นี่หว่า หรือว่าจะไม่ลงไปดีวะ รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ ต้นกล้ากลับบ้านตอนนี้ทันไหมใครรู้บอกที

“ปะ” แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงหรือไม่ลง เสียงของคนข้าง ๆ ก็ดังขึ้น ต้นกล้าจึงถามกลับแล้วก็ได้รู้ว่าเสียงของตัวเองนั้นมันขาดความมั่นใจไปมากกว่าปกติเยอะเลย

“ไม่ลงไปไม่ได้เหรอ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็เราไม่อยากลงไป”

“มาถึงที่แล้วน่า เดี๋ยวพี่พาไปดูไร่”

“แต่...” ยังไม่ทันได้พูดจบเด็ดเดี่ยวก็ลงจากรถไป แล้วเดินอ้อมมายังฝั่งของต้นกล้าเพื่อเปิดประตูให้อีกคนลงไปด้วยกัน

“ลงมาสิ”

“ก็ได้”

“ใครมาล่ะนั่น” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน

“ผมเองพ่อ”

“เออ ไปไหนมาแต่เช้าวะ เมื่อกี้ดาวรุ่งมันบ่นหาอยู่”

“สวัสดีครับ” ต้นกล้ายกมือไหว้พร้อมกับทักทายกำนันอาจหาญพ่อของเด็ดเดี่ยว

“ใครล่ะนี่หัวแดง ๆ อ้อลูกชายแม่นภานี่เอง ไปไหนกันมาล่ะลูก”

“เอ่อ..”

“ผมว่าจะพาต้นกล้ามารู้จักบ้านเรา แล้วเดี๋ยวจะพาไปดูไร่สักหน่อยครับพ่อ”

“เออดีมาเข้าบ้านก่อนกินอะไรกันมาหรือยังล่ะ” ได้ยินแบบนั้นเด็ดเดี่ยวก็หันมามองต้นกล้า แล้วก็เดาได้ทันทีว่าอีกคนคงยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอนเพราะเช้าขนาดนี้

“ยังครับพ่อ”

“แต่..”

“ไปเถอะไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไปกินที่บ้านต้นกล้ามาหลายครั้งแล้ว วันนี้ลองอาหารบ้านพี่ดูสักวันนะครับ”

“บ๊ะ เอ็งไปตอนไหนวะไอ้เจ้าเดี่ยวทำไมข้าที่เป็นพ่อไม่รู้” พ่อกำนันที่ได้ยินลูกชายพูดพอดีจึงถามขึ้น เล่นเอาต้นกล้าไม่กล้ามองหน้าผู้สูงวัยกว่าเลย แต่ทำไมถึงต้องไม่กล้ามองด้วยล่ะ อันนั้นต้นกล้าก็ไม่รู้หรอกแต่พอคิดว่าเด็ดเดี่ยวก็ไปกินข้าวที่บ้านออกจะบ่อย และคิดถึงเรื่องที่อีกคนทำกับเขา มันเลยเหมือนกับว่าต้นกล้าไม่กล้ามองหน้าพ่อกำนันเสียอย่างนั้น เพราะความคิดมากของตัวเองแท้ ๆ หรือเพราะนี่มันคือชนักติดหลังหว่า ฮึ่ย

“ก็บ่อยเรื่อย ๆ ล่ะพ่อ”

“เออ ๆ งั้นก็มากินข้าวเช้าด้วยกันก่อนดาวรุ่งทำไว้แล้ว มาลูกมา” กำนันหันมาชวนต้นกล้าแล้วเดินนำเข้าบ้าน เด็ดเดี่ยวพยักหน้าให้แล้วเดินตามพ่อเข้าไป โดยที่คนหัวแดงก็เดินตามเข้าไปแบบมึน ๆ ใจก็ไม่อยากไปหรอก แต่ไอ้ครั้นจะยืนเฉยอยู่หน้าบ้านเห็นทีคงจะไม่เหมาะ เพราะผู้ใหญ่อุตส่าห์เชิญแล้ว ไปก็ไปวะ!

“มาลูกมา นั่งลงก่อน “กำนันอาจหาญบอกอย่างยินดี เมื่อพากันเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะที่มีสำรับกับข้าวจัดเอาไว้แล้วเรียบร้อย

“นี่ดาวรุ่งน้องสาวพี่เอง” เด็ดเดี่ยวแนะนำต้นกล้าให้รู้จักดาวรุ่ง ที่กำลังยกของกินออกมาวางไว้ที่โต๊ะเพิ่ม ต้นกล้าหันไปทางหญิงสาวส่งยิ้มแบบไม่ค่อยมั่นใจให้ เพราะพอเห็นหน้านิ่ง ๆ ของอีกคนแล้ว ทำให้เขารู้สึกประหม่ายิ่งกว่าเดิม ขนาดพ่อกำนันที่พูดคุยแบบกันเองต้นกล้ายังรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจเท่าไหร่นัก พอมาเจอสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรของดาวรุ่ง เลยทำให้ต้นกล้าวางตัวไม่ค่อยถูกแต่ก็ยังเอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับ ผมต้นกล้านะครับ”





“สวัสดีค่ะ นี่เหรอพี่เดี่ยวหลานคุณยายศรีน่ะ” ดาวรุ่งทักทายกลับหน้านิ่ง แล้วหันไปถามพี่ชายที่ตอบหน้าตาเฉยพอกัน โดยไม่อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น

“อืม”

“เป็นไงลูก อาหารพอจะกินได้มั้ย นี่นึ่งปลานึ่งผักกินกับแจ่วพริกสด อาหารง่าย ๆ ประสาบ้านเรา อย่างอื่นก็มีนะลูกดูเอา ๆ ชอบแบบไหนตามสบายเลยนะ เอ้านั่งลงลุย” พอได้ยินเสียงพ่อกำนันถาม ต้นกล้าจึงได้หันไปมองอาหารที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ มีปลาตัวใหญ่วางอยู่กลางถาด จัดมาอย่างสวยงามพร้อมผักนึ่งสุกอีกหลายชนิด และถ้วยน้ำพริกสองถ้วยใหญ่วางเคียงข้างถาดคนละฝั่ง และอาหารที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อทอดอีกจานใหญ่ ดูจะไม่เป็นอาหารง่าย ๆ เหมือนที่พ่อกำนันบอกมาเท่าไหร่นัก สำหรับคนทำอาหารไม่เป็นอย่างต้นกล้า ตาสวยเหลือบไปมองหน้าเด็ดเดี่ยวก่อนจะตอบ

“ได้ครับ”

“งั้นก็นั่งลงเลย ปลานึ่งข้าวเหนียวร้อน ๆ กับแจ่วนี่มันของคู่กันเลยล่ะ”

“ครับ” โต๊ะหาอาหารมีพ่อกำนันนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ ถัดมาทางขวามือคือเด็ดเดี่ยวและต้นกล้า ส่วนดาวรุ่งนั่งฝั่งตรงข้าม ทุกคนพากันเริ่มลงมือรับประทานอาหาร มีเพียงต้นกล้าที่ยังนั่งมองคนนั้นทีคนนี้ที แต่ยังไม่ลงมือหยิบจับอะไรมากิน เพราะคนที่นั่งตรงข้าม แม้จะเริ่มกินเหมือนคนอื่น ๆ แต่สายตามองมาที่คล้ายกำลังสำรวจตรวจตรา ทำให้ต้นกล้าทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ต้นกล้าถามเมื่อมั่นใจแล้วว่ากำลังถูกอีกคนจับมองอย่างไม่เป็นมิตร

“เปล่ากินสิ” ดาวรุ่งบอกพลางส่งสายตาสังเกตราวกับกำลังจับผิด เมื่อพี่ชายของเขาที่จัดแจงวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานเปล่าอีกใบมาให้แขก มาถึงก็แกะเนื้อปลาวางเอาไว้ให้อย่างเอาใจ ทั้งตักผักตักพริกแจ่วให้ ตบท้ายด้วยการจกข้าวเหนียวจากกระติบวางไว้ข้างจาน คนที่แอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ จึงได้แต่ตั้งคำถาม ว่าทำไมพี่ชายถึงได้ดูเอาอกเอาใจหลานคุณยายศรีนัก ดาวรุ่งล่ะอยากถามพี่ชายสุดที่รักเสียเหลือเกิน ว่าทำไมไม่ป้อนอีกคนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ถ้าจะทำเหมือนกับว่าต้นกล้ากินเองไม่เป็นอย่างนั้น คิดแล้วก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วแอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ

“เป็นลูกผู้ชายมันต้องกินข้าวคำใหญ่ ๆ ” กำนันอาจหาญพูดขึ้นเมื่อเห็นคำข้าวเล็ก ๆ ที่ต้นกล้าบีบสองสามครั้งก่อนจะจิ้มลงกับแจ่วอย่างไม่แน่ใจเพราะกลัวเผ็ด “อย่างนี้ลูก” กำนันจกข้าวเหนียวขึ้นมาเต็มกำมือ ปั้นสองสามครั้งแล้วจิ้มลงกับถ้วยแจ่วน้ำพริกสดตรงหน้าเน้น ๆ ก่อนจะส่งเข้าปาก ตามด้วยเนื้อปลานึ่งและผักเคียง ชายวัยกลางคนเคี้ยวอาหารในปากตุ้ย ๆ อย่างภูมิใจในความใหญ่ของคำข้าวตัวเอง ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายอย่างที่กำนันว่า จนแก้มทั้งสองพองตุงออกมาให้ดูตลก

“มันต้องอย่างนั้นแหละ” กำนันบอกทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก เมื่อเห็นต้นกล้าเพิ่มขนาดคำข้าวของตัวเอง หลังจากที่หันไปมองคำข้าวของเด็ดเดี่ยวก็เห็นว่ามีขนาดใหญ่ไม่แพ้คนเป็นพ่อ แบบนี้ต้นกล้าจะยอมได้ยังไง ว่าแล้วก็หันมาหยิบข้าวเพิ่มขนาดให้ตัวเอง เพราะไม่มีทางยอมแพ้ให้เสียฟอร์มแน่นอน!

“รู้อะไรไหมลูก” กำนันชวนต้นกล้าคุยเพราะก็พอจะรู้อยู่ ว่าลูกชายของสาวที่เขาเคยหมายปองในอดีต กำลังเกิดความประหม่ามากแค่ไหน

“ครับอะไรเหรอครับ” ต้นกล้าถามกลับอย่างสนใจ

“สมัยก่อนทำไมผู้ชายเราต้องกินข้าวคำใหญ่ ๆ”

“ครับ ทำไมล่ะครับ”

“เพราะจะได้อิ่มเร็ว ๆ แล้วรีบไปทำงานยังไงล่ะ สมัยก่อนคนเราต้องขยันเพื่อความอยู่รอดนะลูก แต่สมัยนี้อาจจะไม่ใช่เพราะมันขยันแล้วล่ะ”

“แล้วเพราะอะไรล่ะครับ” ต้นกล้าถามอย่างสนใจเมื่อพ่อกำนันเว้นจังหวะพูด

“เพราะมันตะกละ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวหัวเราะให้กับมุกตลกของพ่อกำนัน ส่วนดาวรุ่งนั่งฟังเงียบแต่สายตาจับสังเกตพี่ชายกับคนที่พาโดยไม่พูดอะไร

“เป็นอะไรดาวรุ่ง เงียบไปนะ”

“เปล่าจ้ะพ่อ” ถึงจะตอบพ่อแต่ก็ยังไม่วายเหลือบตามองคนหัวแดงที่นั่งตรงข้าม โดยมีพี่ชายสุดหล่อคอยเอาอกเอาใจหยิบนั่นหยิบนี่ให้ตลอด จนกระทั่งมื้ออาหารผ่านไปทุกคนกินอิ่มกันหมดแล้ว ดาวรุ่งที่เป็นครูสอนในโรงเรียนใกล้บ้านออกไปทำงาน ส่วนพ่อกำนันก็ออกไปธุระ ตอนนี้บ้านจึงเหลือแต่ลูกชายเจ้าของบ้านและหนุ่มหล่อเกาหลี ที่เขาพามาเที่ยวอยู่ด้วยกันสองคน

“ทำอะไรอยู่”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“งั้นไปกันเถอะ” เด็ดเดี่ยวสังเกตว่าต้นกล้าเอาแต่สนใจโทรศัพท์มาสักพักจึงถาม แต่พอเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไรก็ทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก ทั้งที่เสียมารยาทแอบดูจนเห็นล่ะนะ ว่าต้นกล้ากำลังวุ่นอยู่กับแอปพลิเคชันบางอย่าง ที่เขาเองก็ไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ต่อจากนี้ก็ไม่แน่

“ทั้งหมดนี่เลย อยากไปไหนก่อน” ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ พื้นที่กว้างไกล จนแทบจะเรียกได้ว่าสุดตาก็คงจะไม่ผิดนัก เมื่อเด็ดเดี่ยวกางแขนทั้งสองข้างออกเป็นเชิงบอกถึงอาณาบริเวณของตัวเอง

“หมายความว่ายังไง”

“ที่นาก็จากฝั่งนี้ ไปจนสุดด้านโน้นจะเป็นถนน” ต้นกล้ามองตามมือที่ชี้บอกสุดถนนด้านโน้นของคนตัวโต นั่นมันไกลเสียจนกะระยะไม่ถูก มีคนงานสองสามคนกระจายตัวทำอะไรบางอย่าง ที่สามารถมองเห็นได้อยู่ไกล ๆ

“เขาทำอะไรกันน่ะ”

“ตัดหญ้าตามคันนาไง”

“อืม แล้วทางนั้นใช่ปะ”

“ใช่อะไร”

“ก็ จิ๊”

“ใช่ของพี่หรือเปล่านะเหรอ”

“เออดิ” ต้นกล้าถามออกมาเพราะความอยากรู้ แต่ก็กระดากปากที่จะเรียกอีกคน ไม่รู้ว่าทำไม่พอจะพูดชื่อหรือเรียกพี่อย่างที่คุณยายและคนตัวโตพยายามบอกให้เรียก มันถึงได้ติดอยู่ที่ริมฝีปากทุกที แล้วก็พูดไม่ออกมันตลอด เอาจริง ๆ ก็ไม่อยากพูดเท่าไหร่นักหรอก

“ใช่สิ ตรงนั้นเป็นคลองส่งน้ำ ส่วนถัดไปนั่นเป็นบ่อเลี้ยงปลา มาทางนี้ดีกว่า” ชายหนุ่มเดินนำต้นกล้าไปทางบ่อเลี้ยงปลาขนาดพอดีเรียงกันอยู่ห้าบ่อใหญ่ ทั้งสองเดินไปบนคูสูงของบ่อปลาที่ปลูกต้นมะละกอเรียงเป็นแถว สลับกับต้นไผ่กอไม่ใหญ่มาก และต้นกล้วยที่ปลูกเอาไว้เป็นระยะ แถมยังมีผักสวนครัวพวกข่า ตะไคร้ พริก และผักต่าง ๆ ปลูกแซมทำเป็นแปลงเล็ก ๆ เอาไว้ด้วย ตามพื้นไร้วัชพืชเพราะถูกแผ้วถางไว้เป็นอย่างดี มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวขจีของพืชพันธุ์ที่ปลูกไว้ มันให้ความรู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ และอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย

กึก!

Next....

หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 20:04:18


“โอ๊ย..หยุดทำไม” ต้นกล้าถามเพราะมัวแต่มองไปรอบ ๆ จึงเดินชนหลังคนตัวโตที่เดินนำหน้า แต่เดินอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเฉย ๆ เสียอย่างนั้น

“เดินดูทางหน่อยสิ”

“ก็อยากดูอย่างอื่นด้วย”

“งั้นเดินไปก่อนไป”

“ทำไมเราต้องเดินไปก่อน”

“ก็เผื่อสะดุดอะไรแถวนี้ พี่จะได้รับตัวไว้ได้ทันไง พี่เป็นพระเอกนะ หึ ๆ ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ด้วยอย่างกวนอารมณ์คนมอง

“บ้าบอเถอะเราไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นนะ” ถึงจะเถียงแต่ก็เดินนำหน้าคนตัวโตไปทันที เพราะไอ้เสียงหัวเราะโรคจิตที่ต้นกล้าไม่ชอบนั่นแหละ จึงทำให้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนหน้ามึนนานกว่านี้ ทั้งสองเดินไปบนคูสูง ซึ่งเป็นทางเดินเล็ก ๆ ระหว่างสวนที่ปลูกไม้ผลเอาไว้ เด็ดเดี่ยวก็พูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เดินผ่านไปเรื่อย บ้างก็ชี้ชวนให้กันดูนั่นดูนี่จนถึงบ่ปลาบ่อที่สาม ซึ่งอยู่ช่วงกลางระหว่างบ่ปลาทั้งหมดพอดี

“เลี้ยงปลาอะไร”

“ในบ่อนี่เหรอ ก็มีทั้งปลานิล ปลาดุก ปลาหมอ ปลาทับทิม เดี๋ยวไปดูไร่ฝั่งโน่นก่อน แล้วบ่าย ๆ เรามาลงปลากัน”

“ลงปลาคืออะไร”

“ก็จับปลามันต้องลงไปจับในบ่เลยเรียกลงปลาไง ถึงเวลาก็รู้เองแหละ เดี๋ยวพี่จะพาไปดูไร่ฝั่งโน้น เรากลับไปเอารถกันก่อนดีกว่า”

“อ้าวเดินไปก็ได้นี่”

“ได้แต่มันไกลพี่ขี้เกียจเดิน” จบ

“เป็นงั้นไป” ต้นกล้าเดินตามเด็ดเดี่ยวกลับไปยังรถที่จอดเอาไว้ไม่ไกล หนุ่มบ้านนาพาหนุ่มกรุงขับรถไปเรื่อย ๆ ภายในเขตที่ดินของตัวเอง ซึ่งเป็นไร่นาสวนผสมที่มีพื้นที่เรียกได้ว่า กว้างใหญ่ไพศาลมากทีเดียว

“มีวัวด้วยเหรอ”

“เอ้า มีสิแปลกตรงไหน นี่เป็นวัวนม”

“กะ ก็ไม่แปลก แต่ไม่คิดว่าจะเลี้ยงวัวด้วยนี่” ต้นกล้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่วัวตัวสีขาวดำฝูงใหญ่กำลังแทะเล็มหญ้าเขียว ๆ อยู่ ช่วงล่างด้านหลังของมันมีถุงใหญ่คับที่ระหว่างขาดูก็รู้ว่าเป็นเต้านม

“ควายยังมีเลย”

“อืม”

“ปะลงไปดูกัน”

“เฮ้ย” ! ต้นกล้าที่ปิดประตูรถออกไปแล้วต้องรีบปิดกลับเข้ามาโดยไว เพราะควายตัวใหญ่กำลังเดินมาที่รถฝั่งเขานั่งพอดี

“ลงมาสิ” เด็ดเดี่ยวเดินมาเปิดประตูฝั่งต้นกล้าแล้วบอกให้อีกคนลงรถ แต่พอเห็นสายตาที่ต้นกล้ามองไปยังควายสีเทาดำตัวใหญ่ จึงพอเข้าใจว่าอีกคนคงตื่นมัน “ไม่ต้องกลัวหรอก มันแค่เดินมาดูเฉย ๆ ไม่ทำอะไร”

“ใครกลัว ที่ไม่ลงเพราะมันขวางทางเราเลยเปิดประตูไม่ได้เถอะ”

“อ้าว เป็นงั้นไป หึ ๆ เอ้าขวางก็ขวาง ไป ๆ พี่ใหญ่ไป มาขวางเขาทำไมเนี่ยเดี๋ยวปั๊ดเลย” เด็ดเดี่ยวแอบยิ้มก่อนจะหันไปทางไอ้ตัวใหญ่สีเทาดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วบอกให้ถอยห่างออกไปจากรถ ซึ่งเมื่อได้ยินเด็ดเดี่ยวบอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสีเทาดำตัวโตที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ ก็ถอยหากอย่างรู้ความ ผิวสีเทาดำของมันเริ่มย่นและแห้งตามอายุที่มากพอสมควร

“เรียกใครพี่ใหญ่อะ” ต้นกล้าถามหลังจากที่กระโดดลงมาจากรถแล้ว

“นั่นไง พี่ใหญ่”

“เรียกควายว่าพี่เนี่ยนะ”

“อืม แปลกตรงไหน ก็พี่เขาตัวใหญ่แล้วเกิดก่อนพี่ด้วย”

“โหเกิดก่อนเลยเหรอ” ต้นกล้าตาโตเขาจำได้ว่าเด็ดเดี่ยวเคยบอกเขาว่าตัวเองอายุ อายุ เอ อายุเท่าไหร่วะจำไม่ได้แล้ว แต่ก็ใกล้สามสิบแล้วล่ะ เพราะจำได้ว่าเคยล้ออีกคนว่าแก่ นี่ถ้าพี่ใหญ่เกิดก่อน ก็ต้องถือว่าแก่มากแล้วแน่ ๆ “พี่เขาอายุเท่าไหร่แล้วอะ” เด็ดเดี่ยวยิ้มบาง ๆ กับคำถามของต้นกล้าที่เรียกพี่ตามเขาอย่างสนิทปาก ก่อนจะตอบคำถาม

“ประมาณ 28 ปีกว่า ๆ นี่แหละ พี่ใหญ่นี่แก่มากแล้วนะเห็นกันมาแต่เด็ก ที่จริงควายมีอายุโดยเฉลี่ยแล้วแค่ 25 ปีเท่านั้น แต่พี่ใหญ่นี่เขาอึดเป็นพิเศษก็เลยอยู่มาได้ขนาดนี้ ใช่มั้ยลูกพี่” เด็ดเดี่ยวพูดจบก็เดินไปลูบแผงคอของพี่ใหญ่แล้วตบปุ ๆ ลงบนกระดูกสันหลังที่ปูดโปนขึ้นมาเพราะความชรา แต่ก็ไม่แรงมากนัก ความรักใคร่ที่ส่งผ่านออกมาจากนัยน์ตาคม ทำให้คนที่สังเกตการณ์อยู่อย่างต้นกล้ารู้ได้เลย ว่าคนตัวโตกับพี่ใหญ่นั้นมีความผูกพันกันมากแค่ไหน

“แล้วมีลูกมีเมียปะ”

“หืม” เด็ดเดี่ยวพยายามกลั้นขำกับคำถามซื่อ ๆ ที่ต้นกล้าถามออกมาหน้าตาเฉย แต่มันก็ถูกของคนตัวเล็กนั่นแหละ เพราะสัตว์โลกทุกสายพันธุ์ มันก็ต้องมีการจับคู่เพื่อความดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์กันทั้งนั้น “มีสิเยอะด้วย ทั้งลูกทั้งเมีย”

“จริงอะ”

“อืมกระบือหรือควายสามารถผสมพันธุ์กันได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเลยนะ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการสืบพันธุ์ก็ควรจะมีอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ถ้าจะให้ดีที่สุดพ่อแม่พันธุ์ก็ต้องมีอายุสามปีขึ้นไปถึงจะให้ลูกที่สมบูรณ์แข็งแรงออกมา แล้วก็นะการผสมพันธุ์นั้นสามารถ..”

“พอเถอะ ๆ พูดเรื่องไรอะไรเนี่ย” ต้นกล้าตัดบทก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะพูดเรื่องอะไร ที่ทำให้เขาคิดภาพตามไปแบบนอกลูกนอกทางกว่านี้ ซึ่งมันเป็นไปเองนะ ต้นกล้าไม่ได้ลามกเลยจริง ๆ แม้ว่าคนเล่าให้ฟังจะตั้งใจพูดเข้าประเด็นเป็นพิเศษ โดยที่ต้นกล้าไม่รู้ก็ตามเถอะ เหอะ

“หึ ๆ ”

“เอาอีกละ ทำไมชอบหัวเราะแบบนี้จังวุ้ย”

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ชอบ เราไม่ชอบมันฟังเจ้าเล่ห์เกินไป”

“งั้นหัวเราะแบบไหนดีล่ะ”

“แบบไหนก็ตามใจแต่ต้องไม่ใช่ ไอ้หึ ๆ บ้าบอนี่ เข้าใจปะ”

“เข้าใจ หึ ๆ โอ๊ย! พี่ล้อเล่น”

“สักทีเถอะ” ต้นกล้าฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนของเด็ดเดี่ยวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่จะต้องตกใจแทบร้องจ๊าก เมื่อพี่ใหญ่หันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง และทำท่าจะเดินเข้ามาหาเพราะเขาทำให้เด็ดเดี่ยวเจ็บตัว “เฮ้ย อะไรนี่ อย่าเข้ามานะ”

“ฮ่า ๆ ก็ทำร้ายร่างกายพี่แบบนี้พี่ใหญ่เขาก็ไม่พอใจนะสิ”

“หยุดนะ บอกเขาหยุดสิ พี่ใหญ่หยุด” และเหมือนกับว่ามันจะฟังรู้เรื่อง เมื่อต้นกล้าบอกอย่างนั้นพี่ใหญ่ก็หยุดเดินเข้าหาเขาทันที มันหันไปมองหน้าเด็ดเดี่ยวเล็กน้อย แล้วเดินออกไปเล็มหญ้าแถว ๆ นั้น โดยไม่หันมาสนใจหนุ่มทั้งสองอีกเลย

“อยากลองขี่ควายดูมั้ย”

“อย่ามาหาเรื่องแกล้งเรา”

“เปล่าแกล้ง ก็เห็นว่าเข้ากันได้ดีกับพี่ใหญ่ ต้นกล้าบอกคำเดียวพี่ใหญ่ยังหยุดเลย นอกจากพี่ก็ไม่มีใครสั่งเขาได้ขนาดนี้เลยนะ พี่ว่าต้นกล้าน่าจะมีสัมผัสพิเศษกับควายแล้วล่ะ”

“เหอะ ไม่เอาหรอก”

“ป๊อดตลอดแหละ”

“เราไม่อยากขี่เองแหละ ขี่แล้วได้อะไร”

“ได้ความเท่ไง เห็นคนกรุงคนเมืองมาทีไรก็กลัวควายทั้งนั้น ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ปอดแหกกันจัง” ว่ายังไงนะ!? ปอดแหกอย่างนั้นเหรอ คนหน้ามึนนี่กำลังด่าตนกล้าว่าปอดแหกอย่างนั้นเหรอ เหอะ ไม่ได้ ไม่ได้ คนอย่างต้นกล้าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และไม่มีคำว่าปอดแหกอยู่ในสารบบโว้ย!

“ปอดแหกมันใช้ไม่ได้กับเราหรอกนะจะบอกให้”

“เหรอ งั้นตามมา”

“จะไปไหนอีกล่ะ” ต้นกล้าถามแต่ก็เดินตามเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปอีกทาง ทางที่คนหัวแดงพึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีควายหลายตัวนอนอยู่ใต้ต้นจามจุรีเหมือนกำลังพักผ่อน “เฮ้ย นั่นตัวอะไร”

“ไหน”

“นั่นไง นอนอยู่นั่นน่ะที่สีชมพู”

“เอ้า ไม่รู้จักเหรอ”

“รู้ แต่ทำไมตัวมันเป็นสีชมพูล่ะ”

“ก็ควายเผือกมันก็ต้องเป็นสีชมพูสิ”

“เผือกไม่เป็นสีขาวเหรอ เหมือนคนเผือกอะไรงี้อะ”

“ถามได้ดีอีกแล้ว”

“อืม แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ”

“ช่างมันเถอะน่า”

“ไม่รู้ล่ะซี้”

“หึ อึกอูย” กำลังจะหัวเราะสะใจออกมาแต่โดนดีเสียก่อน เด็ดเดี่ยวเลยหยุดเสียงหัวเราะเพียงเท่านั้น แล้วเดินเข้าไปในกลุ่มควายที่นอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ ลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมกลิ่นดินกลิ่นหญ้าอ่อน เป็นกลิ่นของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกถึงความสดชื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงควายนับสิบตัวก็ยังรู้สึกดี ใครกันนะที่ชอบพูดว่า เหม็นกลิ่นโคลนสาบควาย ไม่รู้ความจริงยังกล้าเอาไปพูดแบบผิด ๆ ต้นกล้ามายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้แท้ ๆ กลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิดนอกจากความสดชื่น

“อยากขี่ตัวไหน”

“ขี่ไอ้เผือกได้ปะ”

“ได้สิ มันชื่อจำปี”

“ฮ่า ๆ ตัวผู้เหรอ”

“ใช่”

“รู้ได้ไงว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมียอะ”

“ก็ดูตรงนี้ไง เห็นมั้ยใต้ท้องมันนั่นน่ะ ตัวผู้จะมีน้องชายของมันอยู่ตรงนี้ ส่วนตัวเมียก็..หืม เป็นอะไร” คนที่กำลังอธิบายและยกตัวอย่างฉอด ๆ หันมาทางคนถามก็ได้แต่สงสัย ที่ต้นกล้ายืนนิ่งเงียบทำตาลอกแลกกลอกไปมา นี่ถ้าเด็ดเดี่ยวมองไม่ผิด ดูเหมือนว่าใบหน้าหล่อใส่ในแบบเกาหลีของเจ้าตัว กำลังขึ้นสีระเรื่อใช่ไหมนั่น ซึ่งอันที่จริงแล้วชายหนุ่มก็เดาไม่ผิดหรอก เพราะถามเพลิน ถามไปถามมาคนหัวแดงกลับเขินกับคำถามของตัวเองเสียอย่างนั้น เพราะถามด้วยความสนใจและคิดตามเพลินจนเห็นภาพอีกแล้ว พอได้คำตอบกลับเขินมันเสียเองทั้งที่ต้นกล้าไม่ได้คิดลามกอะไรเลยนะ ไม่ได้คิดจริง จริ้ง

“เปล่า....” ลากเสียงยาวปฏิเสธแล้วหันหน้าหนีดีกว่า เพราะไอ้พี่เดี่ยวมันยังตามมาส่องและล้อเลียนไม่เลิก ไม่รู้จะอะไรนักหนา ต้นกล้าเดินเข้าหาไอ้จำปีควายเผือกหนุ่มหน้าตาดี ที่เขาบอกเด็ดเดี่ยวว่าจะขี่มันโดยลืมความกลัวไปเสียสิ้น จนมายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าควายสุดหล่อ และมีเด็ดเดี่ยวเดินตามมาไม่ห่าง

“ขึ้นสิ” สั่งเสียงเรียบแต่อีกคนกลับมองตอบกลับมาหน้าเหวอ ต้นกล้าไม่เคยขี่ควายมาก่อนแล้วจะขึ้นได้ยังไง (วะ)

“ขึ้นยังไงอะ”

“ยังไงก็ได้ขอแค่ไปนั่งบนหลังมันก็พอ”

“ชิ อยากขี่จะตายแล้ว” ต้นกล้าหันกลับมาบ่นขมุบขมิบที่คิดว่าอีกคนคงไม่ได้ยิน พร้อมกับถามตัวเองในใจว่าทำไมคนอย่าง ต้นกล้า กวินกานต์ ต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วย แต่พอคิดถึงคำสบประมาทของคนตัวโตหน้ามึน มันก็ได้คำตอบที่ใช่ คนอย่างไอ้กล้าจะฆ่าก็ฆ่าแต่อย่ามาหยามกันให้เสียเชิง ต้นกล้า กวินกานต์หลานคุณยายประไพศรีฆ่าได้หยามไม่ได้โว้ย!

เมื่อยืนคิดสะระตะดีแล้วก็ได้คำตอบ ไอ้จำปีสุดหล่อมันท่าทางเชื่องจะตาย ขนาดต้นกล้ามายืนใกล้อย่างนี้มันยังเฉย แล้วแค่ขึ้นขี่หลังมันจะไปยากอะไร ต้นกล้าประเมินความสูงของไอ้จำปีคิดว่าคงกระโดดขึ้นนั่งบนหลังมันได้ไม่อยาก แต่ถ้ากระโดดขึ้นไปแล้ว เกิดไอ้จำปีมันตกใจดีดเขาตกลงมาเหมือนม้าพยศจะทำยังไง แบบนี้มีอายแน่ ดวงตาดำขลับมองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนมีหลอดไฟสว่างวาบขึ้นมาในหัว ปิ๊ง!!

ต้นกล้าดึงเชือกสนตะพายไอ้จำปีเพื่อจูงควายหนุ่มรูปงาม ไปยังอีกมุมที่อยู่ไม่ไกล เพราะมันมีสิ่งทุ่นแรงที่สามารถช่วยให้เขาขึ้นหลังมันได้ง่าย ๆ จะเป็นอะไรไปได้ละก็คันนาสูง ๆ นั่นไง ตัวช่วยที่คนฉลาดปราดเปรื่องอย่างต้นกล้าเลือกใช้ในยามนี้ พอจูงกันมาถึงคันนาก็ดูเหมือนว่าไอ้จำปีมันช่างรู้งานยิ่งนัก เพราะหันด้านข้างให้ขนานกันกับคันนาได้อย่างพอดิบพอดี และในที่สุดก็ฮึบ!

“เป็นไง” ต้นกล้าวาดขานั่งคร่อมอยู่บนหลังไอ้จำปีอย่างมั่นคง แล้วหันมาทางเด็ดเดี่ยวยักคิ้วข้างเดียวให้ชายหนุ่มก่อนจะถาม เด็ดเดี่ยวมองความเปลี่ยนแปลงของต้นกล้าก็ยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ไม่ใช่การหัวเราะขำ แต่เป็นยิ้มที่มีความพึงพอใจอยู่ลึก ๆ กับรอยยิ้มอวดของคนหัวแดงบนหลังควาย ถ้าดูไม่ผิดเหมือนมันมีความภูมิใจส่งมาให้กันด้วย

“เก่งนี่”

“อ๊ะ ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใคร นี่ต้นกล้านะ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังเหมือนเป็นการฉลองชัยในความสำเร็จ เป็นความสำเร็จในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และสร้างความพอใจให้เจ้าตัวอยู่มากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเลือดลูกชาวนากว่าครึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัว หรือจะอะไรก็ตามแต่ ต้นกล้ารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำนี้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน้อยนิดสำหรับคนอื่นก็ตาม

“ตรงนั้นทำอะไรกันน่ะ” ต้นกล้าชี้มือไปทางโรงเรือนที่ปลูกเป็นแนวยาว ตั้งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร

“นั่นคอกหมู”

“ทำไมไปทำไว้ไกลขนาดนั้นล่ะ”

“หึ ๆ ก็ขี้หมูมันเหม็นไง เลยถูกเนรเทศไปไกลที่สุด” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้แล้วเกิดคำถามในใจ ว่าที่นี่เขาทำอะไรกันบ้าง เท่าที่เห็น ก็มีทั้งนาข้าว พืชไร่ที่เด็ดเดี่ยวชี้ให้ดูอยู่ไกล ๆ บ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย นี่ยังมีเลี้ยงหมูอีก แล้วเหลืออะไรที่อีกคนยังไม่ได้เลี้ยงไว้นะ

“มีม้าปะ”

“ม้าไม่มี”

“ทำไมไม่เอามาเลี้ยงให้มันครบล่ะ”

“พี่ก็อยากได้อยู่เหมือนกัน แต่เท่านี้ก็ไม่มีเวลาดูแลให้ทั่วแล้วล่ะ ยังเหลือเป็ดกับไก่นะ”

“โห มีเป็ดกับไก่อีก เอาทุกอย่างเลยนะ”

“ดาวรุ่งเขาอยากทำน่ะ”

“อ๋อ ไม่มีเวลาดูแต่ไปขลุกอยู่บ้านคนอื่นได้ทั้งวันได้นะ” อดไม่ได้ที่จะแขวะอีกคนไปบ้าง

“อันนั้นมันเป็นงานเฉพาะกิจ ไปดูทางโน้นกัน”

“หืม เดี๋ยวสิให้เราลงก่อน”

“ขี่มาก็ได้นะถ้ามันยอมเดินมา”

“เหรอ งั้นไปสิจำปีสุดหล่อไป ๆ เดินไปสิวะครับ “ต้นกล้าขยับขาตัวเองเร่งให้ไอ้จำปีเดินตามเด็ดเดี่ยวไป แต่ขยับก็แล้วกระตุกเชือกเร่งก็แล้ว ไอ้จำปีสุดหล่อมันก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมเดิน แถมมองตามเด็ดเดี่ยวแล้วก็ก้มลงเล็มหญ้าแถวนั้นหน้าตาเฉย ทั้งที่ตอนแรกยังดูท่าว่าจะรู้ความอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้ดื้อขึ้นมาได้ก็ไม่รู้ ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่เดินนำไปก่อนแล้วหันกลับมากระตุกเชือก เร่งขยับเท้าให้ไอ้จำปีเดินตามไป แต่มันก็ยังเล็มหญ้าเฉยอยู่เหมือนเดิม “ทำไมไม่เดินไปล่ะเนี่ย ไปสิจำปีเดินสิเร็ว”

“มามั้ย” เด็ดเดี่ยวตะโกนกลับมาถาม เมื่อหันมาเห็นว่าต้นกล้ากับไอ้จำปียังอยู่ที่เดิม

“มันไม่ยอมไปน่ะ เฮ้ย” ! ต้นกล้าร้องเสียงหลง เมื่อไอ้จำปีหันรีหันขวางเหมือนตื่นตกใจ หนุ่มน้อยจับเชือกกระชับมั่น ขาทั้งสองข้างหนีบตัวไอ้จำปีแน่นเพราะกลัวตก

“จับแน่น ๆ “เด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นท่าไม่ดี เหมือนไอ้จำปีกำลังตกใจอะไรบางอย่าง พอมาถึงก็รีบจับเชือกดึงเอาไว้ ไอ้จำปีดูท่าทางสงบลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเด็ดเดี่ยววิ่งเข้ามาใกล้ แต่ที่ไม่สงบกลับเป็นคนที่อยู่บนหลังควายต่างหาก

“เราจะลง ๆ เด็ดเดี่ยวเราจะลง”

“เดี๋ยว ๆ อย่าพึ่งลงอยู่นิ่ง ๆ ก่อน เกาะแน่น ๆ ”

“เราจะลงเดี๋ยวนี้ รับด้วย”

“เฮ้ย อย่าพึ่ง โอ๊ย”

!!

มันเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากที่ต้นกล้าบอกว่าจะลงก็กระโดดมาทางเด็ดเดี่ยวเลยทันที ชายหนุ่มรีบปล่อยเชือกไอ้จำปีที่ถืออยู่เพื่อมารับร่างโปร่งที่กระโดดเข้าหา เอาสองมือโอบรอบคอเขาเอาไว้ แต่จากความสูงของไอ้จำปีควายหนุ่มเต็มวัยที่ร่างกายของมันสูงเกือบสองเมตร แม้ว่าเด็ดเดี่ยวจะหันมาตั้งรับร่างของต้นกล้าเอาไว้ได้ทันพอดี แต่ก็เล่นเอาเสียหลักก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วสะดุดก้อนดินก้อนใหญ่หงายหลังลงไปเลยทีเดียว ดีที่มีพื้นหญ้านุ่มรองรับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นร่างใหญ่โตที่มีร่างโปร่งบางทับอยู่อีกชั้นคงได้เจ็บตัวไม่น้อยเลย

“โอย เจ็บนะเนี่ย”

“ก็เราบอกจะลงแล้วทำไมไม่ตั้งรับดี ๆ”

“พี่ก็บอกว่าอย่าพึ่งลงแล้วทำไมไม่ฟัง”

“ก็ไอ้จำปีมันพยศนี่”

“อืม..”

“เอ่อ..” ต้นกล้าที่เห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวก็พูดไม่ออก “เฮ้ย “ยิ่งพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองคร่อมทับอยู่บนตัวของเขา แถมยังโอบรอบคอเอาไว้แน่นยิ่งทำตัวไม่ถูก เลยรีบดันตัวเองออกจากความใกล้ชิดน่ากลัวนี้อย่างรวดเร็ว จนคนรองรับน้ำหนักนึกเสียดาย

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวใช้สองมือประสานรองเอาไว้ใต้ท้ายทอย ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นหญ้าเขียว ๆ มองคนหัวแดงที่หน้าแดงไปด้วย ต้นกล้าพยายามหลบสายตาล้อเลียนของคนตัวโตที่กำลังจ้องมอง แต่ทำไมหลบตาแล้วความร้อนวูบวาบที่แผ่ไปทั้งตัวมันยังไม่หายไปอีกนะ

“นอนเล่นหน่อยมั้ย เย็นสบายกำลังดีนะ”

“นอนคนเดียวไปเถอะ” ตอบเสียงเบาสายตาก็มองไปทางอื่นที่ไม่มีคนหน้ามึนกับรอยยิ้มล้อเลียน ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ทำไมต้องทำตัวไม่ถูก ต้นกล้าก็ไม่รู้ แต่เขาไม่ชอบเลยที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ฮึ่ย! บ่อยไปแล้วนะ

“งั้นไปดูไร่มั้ย หรือจะไปลงปลาเลย พี่จะได้โทรตามพวกเด็ก ๆ มาช่วยกัน”

“ไม่รู้สิ เอาไงล่ะ เด็กไหนจะมาช่วย”

“พวกไอ้ดำน่ะ กลุ่มเดียวกับไอ้จ๋านั่นแหละ เดี๋ยวโทรเรียกไอ้จ๋ามาด้วยสิ”

“เออ ว่าแต่ไอ้จ๋ามันจะจัดการเก็บเด็กนั่นยังไงนะ”

“ไม่รู้สิ หึ ๆ แต่ถ้า..”

“ถ้าอะไร”

“เปล่า”

“อย่ามาลับลมคมใน”

“เปล่าจริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก”

“แน่นะ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไปแต่ถ้าแกล้งไอ้จ๋าละก็....” ต้นกล้าเว้นจังหวะพูดเอาไว้เท่านั้นตาหรี่มองอีกคนแพรวพราวเหมือนจะคาดโทษ เล่นเอาเด็ดเดี่ยวเสียวสันหลังวาบไปเลยทีเดียว เพราะมีแผนแกล้งไอ้จ๋าอยู่พอดี หากแผนลงล็อกไอ้จ๋าตกหลุมพรางงานนี้มีเฮแน่ แต่ท่าทางเหมือนรู้ทันของไอ้หัวแดงจอมรั้นของเขามันคืออะไร จะขัดขวางแผนการของเขาหรือยังไง

“ละก็อะไร”

“เราจะร่วมด้วย คึ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวแอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ และยิ่งโล่งอกมากขึ้นไปอีกที่มีคนร่วมอุดมการณ์อย่างต้นกล้า งานนี้สนุกขึ้นอีกแน่ หึๆ ๆ

%%%%%%%%

“เสร็จหรือยังยัยส้มเน่า”

“เสร็จแล้ว”

“เสร็จแล้วก็ออกมาจะได้กลับบ้านสักที”

“เร่งจัง แล้วก็นะฉันไม่ได้ชื่อส้มเน่า” ออเรนจ์เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเป็นเสื้อเชิ้ตตัวที่เล็กที่สุดของไอ้จ๋า แต่เมื่อมาอยู่บนร่างกายบอบบางก็ถือว่าใหญ่มากอยู่ดี คนตัวบางใส่กางเกงตัวเก่าที่ใส่มาเมื่อวาน ส่วนชั้นในนั้นซักไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงสายของอีกวันก็แห้งพอดี

“จิ๊ มานี่ดิ๊”

“มีอะไรเหรอจ๋า” ไอ้จ๋าไม่ตอบแต่เดินหน้านิ่งเข้ามาติดกระดุมเม็ดบนสุด ที่ออเรนจ์เว้นเอาไว้ไม่ได้ติดตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันรู้สึกขัดหูขัดตาที่อีกคนไม่รู้จักระวังตัว ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเสื้อมันตัวใหญ่ ถ้าติดกระดุมไม่หมดผิวขาว ๆ นั่นเป็นได้ออกมาอวดสายตาชาวบ้านกันพอดี อยู่ ๆ ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะไอ้จ๋าคิดว่าถ้าจะมีใครมาจ้องมองยัยส้มเน่า ที่มันตั้งฉายาให้แบบนี้คงไม่ดีแน่ พอติดกระดุมเสื้อให้เสร็จก็จับแขนเล็กบอบบางขึ้นมาแกะกระดุมที่ข้อมือออก ก่อนจะพับแขนขึ้นให้ทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก จะได้ไม่ดูรุ่มร่ามให้รำคาญตาของมัน

“เสร็จแล้ว”

“เอ่อ ขอบใจนะ” ออเรนจ์บอกแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รู้ล่ะนะว่าอีกคนกำลังจ้องอยู่ และนั่นล่ะที่ทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ไหนจะการกระทำของไอ้จ๋าอีก ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้ใจดวงน้อยในอกของออเรนจ์เต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะขนาดไหน ใบหน้าหรือก็ร้อนวูบวาบไปหมด แล้วยิ่งอีกคนขยับมายืนเสียชิดโดยไม่พูดอะไรสักคำนี่อีก ยิ่งทำให้ออเรนจ์เดาใจไม่ถูก เพราะเมื่อเช้ายังต่อว่าหาว่าออเรนจ์เนียนตั้งใจมานอนกอด แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ ว่าหันไปกอดไอ้จ๋าจริง ๆ เพราะเป็นคนติดหมอนข้างมาแต่ไหนแต่ไร เวลานอนหากไม่ได้นอนกอดหมอนข้างจะนอนไม่หลับ ถึงหลับไปแล้วหากไม่มีหมอนอยู่ในอ้อมกอด ก็ต้องคว้าอะไรเข้ามากอดโดยไม่รู้ตัวตลอดอยู่ดี แค่เมื่อคืนคว้าตัวไอ้จ๋ามากอดแทนหมอนก็เท่านั้นเอง ออเรนจ์ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย มันเป็นความเคยชิน แต่ถ้าบอกไปก็คงถูกอีกคนหาว่าแก้ตัวแน่ ๆ เลย

“จ๋า มีอะไร”

“ไม่มี”

“ไม่มีก็ถอยออกไปหน่อยสิ”

“แล้วพูดทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมาห๊า จะก้มดูเป้าฉันหรือไง”

“บ้า ใครจะไปอยากดู”

“เธอไงก้มอยู่ได้ อยากดูก็บอกดี ๆ เดี๋ยวเปิดให้ดูเลยก็ได้”

“บ้า” เมื่อไอ้จ๋าทำท่าจะแอ่นตัวให้ดู ออเรนจ์จึงได้เงยหน้าขึ้นด่าแต่ไม่จริงจังนัก เอาจริง ๆ ไอ้จ๋ามันก็ไม่ได้หน้าด้านหน้ามึนอะไรนักหรอก เพียงแค่เห็นคนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้า แก้มใส ๆ นั่นก็แดงแล้วแดงอีกจนสุกปลั่งน่ามอง มันก็เลยสงเคราะห์ให้ด้วยการแกล้งจริง ๆ แบบเล่น ๆ ก็เท่านั้นแหละ ไอ้จ๋าไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ นะ ถึงแม้ว่าภาพผิวขาวราวกับน้ำนมนั่นมันยังติดตาอยู่ก็ตามเถอะ แต่ยังแกล้งได้ไม่เท่าไหร่ พี่ฮีโร่เครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงก็ทั้งส่งเสียงทั้งสั่น เป็นสัญญาณบอกให้มันรีบรับสายโดยไวก่อนที่คนโทรมาจะขบหัวเอา

“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋าทำท่าทางบอกให้ออเรนจ์เงียบเสียงก่อนจะกดรับสาย เมื่อเห็นว่าเป็นต้นกล้าที่โทรเข้ามา “ครับ .... ยังครับ ไปทำไมครับ จะดีเหรอครับลูกพี่ ....แต่ว่า...ครับ ๆ ”

“มีอะไรเหรอจ๋า” ออเรนจ์ไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ไอ้จ๋าคุยโทรศัพท์ แต่เพราะอีกคนวางสายแล้วเอาแต่จ้องใบหน้าหวานนิ่ง ๆ จึงจำต้องถามออกมา

“เธอรีบกลับบ้านใช่มั้ย”

“ก็ไม่รีบเท่าไหร่ สองสามวันนี้พ่อไม่อยู่กลับตอนไหนก็ได้”

“ต้องรีบสิ”

“ก็ฉันไม่รีบนี่ มีอะไรล่ะ”

“ฮึ่ย ทำไมไม่รีบวะ”

“ก็ฉันไม่รีบ แล้วนายล่ะมีอะไร”

“ก็ลูกพี่กล้านะสิโทรมาบอกให้ฉันไปหาที่นาลูกพี่เดี่ยว”

“นายก็ไปสิ ฉันนั่งรถสองแถวกลับเองได้”

“อย่ามาทำเป็นเก่ง ลูกพี่กล้าสั่งให้ฉันพาเธอไปด้วย”

“จะให้ฉันไปทำไม”

“ไม่รู้โว้ย”

“นายจ๋าพูดไม่เพราะเลยนะ”

“เออ ๆ แล้วจะไปมั้ย”

“ไปก็ไปสิ”

“ฮึ่ย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมพี่ใหญ่อย่างลูกพี่กล้าถึงได้สั่งให้มันพาคนตัวบางไปด้วย แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งของลูกพี่กล้ามีหรือที่ไอ้จ๋ามันจะขัดได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องหงุดหงิดที่ต้องพาอีกคนไป ทั้งที่บอกว่าไม่มีรถแล้วลูกพี่เดี่ยวยังจะส่งไอ้ดำมารับอีก พอหันมาถามยัยส้มเน่านี่นึกอยากได้คำตอบว่ารีบกลับ จะได้มีข้ออ้างกับลูกพี่ว่าทำไมไม่พาอีกคนไปด้วย แต่ยัยส้มเน่าดันบอกไม่รีบเสียนี่ ถ้าอย่างนั้นก็โทรชวนพวกไอ้ว่าวไปเป็นแนวร่วมอีกแรงท่าจะดี ว่าแล้วไอ้จ๋าก็โทรหาเพื่อนเกลอทันทีและบอกจุดประสงค์ พอวางสายไอ้ดำลูกน้องเด็ดเดี่ยวก็ขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของมัน เข้ามาจอดตรงหน้าพอดี

“ไงมึง พาลูกสาวใครมาด้วยละเนี่ย”

“ยุ่ง”

“ฮ่า ๆ มา ๆ ขึ้นมา” ไอ้ดำเรียกเพื่อนขึ้นรถแต่สายตาจับที่ร่างบอบบาง และผิวขาวนวลของออเรนจ์ไม่วางตาจนไอ้จ๋าให้รู้สึกรำคาญหัวใจยุบยิบ

“ขึ้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นออเรนจ์ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนวางตัวไม่ถูก และไม่รู้จะขึ้นนั่งยังไงหรือนั่งตรงไหน “ไม่เคยนั่งหรือไงมอ’ ไซด์น่ะ”

“เคย แต่ว่าให้นั่งตรงนี้เหรอ ฉันนั่งข้างหลังนายดีกว่า” ออเรนจ์ว่าเมื่อไอ้จ๋าทำเหมือนจะให้นั่งตรงกลางระหว่างมันกับคนขับ

“นั่งข้างหลังเดี๋ยวได้ปลิวตกพอดีผอม ๆ แบบนี้น่ะ”

“เอ้า เอาไงสองคนนี้ตกลงกันดี ๆ “ไอ้ดำบอกเมื่อเห็นสองคนตกลงกันไม่ได้สักที

“งั้นมึงลงมาก่อนไอ้ดำ เดี๋ยวกูขับเอง”

“เออเอาไป” ไอ้จ๋าขึ้นนั่งขับแทนไอ้ดำแล้วหันมามองหน้าออเรนจ์ที่ยืนทำหน้างง ๆ อยู่ที่เดิม

“ขึ้นมาสิ ไอ้ดำขึ้นรถเลยมึง”

“เออ” พูดจบไอ้ดำก็วาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายข้างหลังไอ้จ๋าทันที นั่นจึงทำให้ออเรนจ์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงนอกจากเดินไปจะขึ้นนั่งข้างหลังไอ้ดำอีกทีแต่.....

“เธอจะไปไหน มานั่งนี่” ไอ้จ๋าตบปุ ๆ ที่เบาะข้างหน้าตัวเอง ที่มันเว้นที่พอให้คนตัวเล็กอย่างออเรนจ์นั่งได้พอดี

“เอ่อ ให้เรานั่งตรงนี้เหรอจ๋า”

“เออสิ ขึ้นมาจะได้ไปสักที”

“กะ ก็ได้” ค่อย ๆ เดินตัวลีบเข้าไปนั่งข้างหน้าไอ้จ๋าอย่างตื่นเต้น เพราะเท่ากับว่าต้องอยู่ในอ้อมอกของมันโดยปริยายนะสิ งื้อ เจ้าส้มความตื่นเต้นนี้มันคืออะไร มือสั่น ๆ นี่มันคืออะไร ลมหายใจที่ผิดจังหวะนี้มันคืออะไร ก้อนเนื้อในอกที่เต้นกระหน่ำนี้มันคืออะไร ทำไมจ๋าไม่ยอมให้ไปนั่งข้างหลัง ทำไมต้องตรงนี้ข้างหน้าคนคนนี้ ออเรนจ์ไม่เข้าใจทำไมต้องมาตื่นเต้นมากมายแบบนี้ด้วย ทั้งที่นอนกอดก็เพิ่งจะนอนกอดมาแล้วทั้งคืน

ไอ้จ๋าขับรถออกตัวไปแล้วคนตัวบางก็ยังตื่นเต้นไม่หาย เพราะยังคงอยู่ในความใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าชิดใกล้ แค่นั่งข้างหน้านี่ก็เขินจนไปไม่ถูกแล้ว พอไอ้จ๋าขับรถออกไปตัวหนา ๆ ของมันก็โน้มมาข้างหน้า ซึ่งในตอนแรกออเรนจ์ก็โน้มไปทางเดียวกัน แต่พอนั่งไปได้สักพักเริ่มเมื่อยจึงต้องเอนตัวกลับมาข้างหลัง ทำให้แก้มนวลได้ใกล้ชิดกับแก้มสาก ใบหน้าคร้ามแดดเอียงเกือบแนบชิดกันกับใบหน้าขาวนวล ไอ้จ๋าเหล่ตามองคนที่นั่งไม่อยู่สุข เพราะยิ่งคนที่ยู่ในอ้อมแขนขยับตัว ก็ยิ่งทำให้ไออุ่นชัดเจนขึ้น ยิ่งเมื่อออเรนจ์เอนตัวมาข้างหลัง แผ่นหลังบางจึงแนบแผ่นอกกว้าง นั่นจึงทำให้เกิดความใกล้ชิดแบบแนบสนิทกันมากขึ้น แก้มนวลปลั่งที่อยู่ห่างกับแก้มสากกร้านไม่เกินคืบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวอีกคนที่กวนใจ ไอ้จ๋าสามารถขับรถมอเตอร์ไซด์มาถึงนาลูกพี่ได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ส่วนไอ้ตัวประกอบที่ถูกลืมอย่างไอ้ดำ ก็ได้แต่นั่งสังเกตการณ์เงียบ ๆ อย่างรู้งานจนถึงจุดหมายปลายทาง

***************

อุ้ย! พี่เดี่ยวพาน้องมาเปิดตัวเหรอ เจอกันตอนหน้าคร้าาาาาาาาาา

 :katai2-1: :katai5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 11 เหตุเกิดที่ห้องน้ำ 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-11-2018 05:10:55
มีความเปิดตัว. ส่วนจ๋าก็แหม...เหมือนจะได้เมียในเร็ววัน. 555+
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-11-2018 21:05:10


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 12 ลงปลา

รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของไอ้ดำพาทั้งสามลัดเลาะไปตามทางสายเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทางลัดไปยังบ่อปลากลางนา โดยไอ้จ๋าสารถีกิตติมศักดิ์เป็นคนขับอย่างชำนาญทาง เพราะมาช่วยงานและมากินปลาบ่อย จึงรู้จักเส้นทางนี้เป็นอย่างดี ไอ้จ๋าพยายามเพ่งสมาธิอยู่ที่การขับรถอย่างเต็มที่ เพราะนอกการขับรถมอเตอร์ไซด์ ที่ต้องลัดเลาะไปตามทางริมทุ่งนา ที่สภาพของทางไม่เรียบ ทั้งเป็นหลุมเป็นเนินขึ้นลง รถตกลงไปทีก็กระเด้งกระดอนที แล้วไหนยังจะมานั่งชิดติดกันอย่างนี้คิดว่ามันจะเหลืออะไร แล้วยังต้องมารู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองที่มีคนอีกคนอยู่ในอ้อมแขนนี่อีก ถึงจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็เกิดความใกล้ชิดจนเรียกได้ว่าแนบสนิทได้เลยทีเดียว ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เข้าจมูกมาเป็นระยะ ไหนจะไออุ่นที่แผ่ออกมาให้มันสัมผัสได้ จะไม่ให้ไอ้จ๋ารู้สึกปั่นป่วนในใจมันก็ไม่ใช่คนปกติแล้วล่ะวะ

ขับรถไปก็ให้ต้องแอบเหล่ตาดูคนข้างหน้าไปด้วย เพราะอีกคนเอาแต่นั่งเงียบเอียงตัวออกด้านข้าง เหมือนกับว่ารังเกียจมันเสียเต็มประดา แต่ถึงแม้ว่าออเรนจ์จะนั่งเอียงตัวขนาดนั้น ก็ยังไปไหนไม่ได้ไกลจากความใกล้ชิดอยู่ดี และความประหม่านี้ก็หาได้เกิดขึ้นแต่เพียงกับไอ้จ๋าคนเดียวไม่ เพราะคนที่เอนกายพิงหลังแนบอกอุ่นกันอยู่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่ตื่นเต้นเกินไปจนไม่กล้าพูดออกมาก็เท่านั้นเอง

ไอ้จ๋าไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์และความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความใกล้ชิด แนบสนิทใด ๆ กับใครก็ตาม ทั้งผู้หญิง ตุ๊ด แต๋ว กะเทย เก้ง กวาง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือแม้กระทั่งผู้ชายด้วยกันเอง เฮ้ย! ผู้ชายด้วยกันอะไรวะ ไอ้จ๋าคนนี้แมนนะครับ ไอ้จ๋าคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ในใจให้ร้อนรุ่มจนแทบจะคุมไม่อยู่ ทั้งที่มันเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ หรืออาจจะรู้แต่แค่ยังกลัวที่จะฟันธงให้ตัวเองวะ แล้วในที่สุดมันก็จบลงได้สักที เมื่อไอ้ตัวล่ำหน้าดำพาทุกคนมาถึงจุดหมายปลายทาง อันเป็นบ่อปลาในสวนสวยอุดมสมบูรณ์ร่มรื่น ท่ามกลางพืชผักสวนครัวงอกงามตระการตา ราวกับว่าได้ปุ๋ยชั้นดีคุณภาพเยี่ยมที่สุดในสามโลก กอกล้วยขึ้นจนจะเรียกได้ว่าเป็นดงหนาในบางช่วง และกอไผ่ที่ปลูกสลับกันไปโดยมีลูกพี่ใหญ่ทั้งสองรออยู่

“ไงวะจ๋าจะสวีทจะอะไร ให้รู้จักเกรงใจไอ้คนข้างหลังที่นั่งทำหน้าเอ๋อรับประทานซะบ้างนะ”

“อะไรครับลูกพี่เดี่ยว พูดอะไรเนี่ยใครจะสวีทใครไม่มีหรอกครับ”

“ฮ่า ๆ อย่ามาทำหน้าซื่อไปหน่อยเลยว่ะ” เป็นครั้งแรกที่ไอ้จ๋าเห็นลูกพี่ทั้งสองของมัน พูดจาเข้ากันได้เป็นปี่กับขลุ่ย เมื่อเด็ดเดี่ยวทักทายประโยคแรกที่มันมาถึงด้วยการแซวให้อยากหงุดหงิด ต้นกล้าก็ผสมโรงตามกันมาด้วย ไอ้จ๋าแม้ว่ามันจะดูเฉย ๆ แต่ในใจก็ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ที่ต้องมียัยส้มเน่าที่เขาตั้งฉายาให้ ติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็แสดงออกมาได้แค่หน้านิ่ง ๆ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่านั้น

“มานั่งนี่มา ชื่ออะไรนะออเรนจ์เหรอ”

“ฮะ” ออเรนจ์ตอบแต่น้ำเสียงฟังแล้วรู้เลยว่าเจ้าตัวยังคงประหม่า เมื่อต้นกล้าที่ไอ้จ๋าเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ว่าอยู่ในสถานะพี่ชายที่มันรักและเคารพยกให้เป็นลูกพี่ใหญ่ หันมาถามหลังจากที่หัวเราะเสียงดังขำไอ้จ๋าเสร็จ และออเรนจ์ก็เดินเข้าไปนั่งข้างหนุ่มหล่อเกาหลีอย่างว่าง่าย

“ใครจะลง” เด็ดเดี่ยวถามรุ่นน้องทั้งสองคน

“ผมเปิดโอกาสให้ไอ้จ๋าโชว์สกิลการทำมาให้กินให้สาวดูเลยครับพี่” ไอ้ดำออกตัวก่อนพร้อมกับทำท่าพยักพเยิดไปทางสาวที่มันว่า เล่นเอาไอ้จ๋าหันขวับมามองมันตาขวางเหมือนผีเข้าทันทีเลยทีเดียว

“โชว์สกิลอะไรของมึงวะไอ้ดำ เดี๋ยวปั๊ดโบกเลยไอ้ห่านี่”

“เอ๊า มึงพาสาวมาทั้งทีมันก็ต้องสร้างความประทับใจเปล่าวะ เฟิร์สอิมเพรสชั่นน่ะ รู้จักปะ”

“พอ ๆ ไม่ต้องพูดมากใครจะลงก็ลง ช่วยกันนั่นแหละ”

“ว่าแต่ไม่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ เหรอครับพี่” เป็นไอ้ดำที่ถามขึ้นมาพร้อมทำท่าทางเปรี้ยวปาก ซึ่งก็โดนใจไอ้จ๋าไม่น้อย เพราะมันเองก็คิดจะถามอยู่เหมือนกัน

“เออนั่นดิ” และนี่ก็คือเสียงเห็นด้วยจากไอ้จ๋า

“เออ ๆ งั้นก็ไปซื้อไป ไอ้จ๋าลงปลารอก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกไอ้ว่าวตามมาใช่มั้ย”

“ครับลูกพี่”

“แล้วสองคนนั้นจะกินอะไร” เด็ดเดี่ยวหันไปถามต้นกล้า ที่นั่งคุยกับออเรนจ์อยู่บนเสื่อที่ปูไว้ใต้เงาของกล้วยกอใหญ่ ลมเย็นสบายพัดมาน่านอน

“อะไรก็ได้แต่ไม่เอาเหล้าขาวนะ”

“หึ ๆ เข็ดหรือไง”

“ไม่ได้เข็ดแต่มันร้อนเถอะ ออเรนจ์ล่ะเอาอะไร”

“เอาน้ำหวานก็ได้ฮะ” เด็ดเดี่ยวหยิบเงินออกมาให้ไอ้ดำไปซื้อเครื่องดื่มเย็น ๆ ซึ่งก็คงจะไม่พ้นเบียร์นั่นแหละ บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ จิบเบียร์เย็น ๆ คลายร้อนแกล้มด้วยปลาสด ๆ เผาสุกใหม่ ๆ มันเหมาะและเข้ากันได้ดีนักแล

“ซื้อมาให้ครบล่ะน้ำแข็งด้วยจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา อ้อ อย่าลืมแวะเอาถ่านที่บ้านมาด้วยนะ”

“ครับ ๆ “ไอ้ดำกระโดดขึ้นควบหมาญี่ปุ่นคันเก่งของมัน แล้วขับออกไปหาซื้อของตามที่ต้องการ เด็ดเดี่ยวจึงเดินเข้าไปหยิบอุปกรณ์ที่ใช้จับปลามายื่นให้ไอ้จ๋า ที่กำลังถอดเสื้อยืดออกตามด้วยรองเท้าผ้าใบคู่เก่งสุดเน่าของมัน แล้วจึงถอดกางเกงยีนตัดขาปล่อยชายลุ่ยตัวโปรดที่มันภูมิใจออกตามไปจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เก็บเสื้อผ้าทั้งหมดเอาไว้อย่างดีด้วยการจับรวมกัน แล้วม้วนเป็นก้อนให้พอเสร็จ ๆ ก่อนจะมองหาที่วาง

“เอ้า ออเรนจ์มาเก็บเสื้อผ้าไว้ให้ไอ้จ๋ามันด้วย”

“ได้ฮะ”

“เฮ้ย ลูกพี่ครับไม่ต้อง เอาคืนมาเลยเดี๋ยวไอ้จ๋าเอาไปวางไว้ตรงนั้น”

“น่า” ขณะที่ไอ้จ๋ากำลังมองหาที่วางเสื้อผ้าของมัน เด็ดเดี่ยวก็แย่งออกจากมือแล้วหันไปยื่นให้ออเรนจ์เป็นคนเก็บไว้ให้ ไอ้จ๋าได้แต่โวยวายคัดค้านแต่ไม่จริงจังนัก เพราะเสื้อผ้าของมันอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวผอมเรียบร้อยแล้ว ส่วนในมือของมันก็ได้แหหนัก ๆ มากแทน เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่ามันควรจะเริ่มจับปลามาเตรียมไว้ทำเป็นกับแกล้มได้แล้ว ไอ้จ๋าตวัดสายตามองออเรนจ์ตาเขียว ก็ได้รับใบหน้าตูม ๆ ที่ดูน่ารักกลับมา มันถือแหเดินไปที่ขอบบ่อเพื่อเตรียมหว่าน โดยมีเด็ดเดี่ยวถือถังใส่ปลาเดินตามไปด้วยอย่างรู้งาน

“ไม่ออกไปดูไอ้จ๋าทอดแหตรงนั้นล่ะ” ต้นกล้าบุ้ยใบ้ใบหน้าหันไปทางไอ้จ๋า ที่กำลังขึ้นแหเตรียมหว่าน เมื่อเห็นออเรนจ์ชะเง้อมองตามไม่วางตา “หรือว่าร้อนหน้าแดงเชียว”

“เปล่าฮะไม่ร้อนเท่าไหร่” จะให้บอกได้ยังไงว่าแอบมองตามไอ้จ๋า แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วที่หน้าแดงนี่ก็คงไม่ใช่เพราะอากาศร้อน อย่างที่คนอายุมากกว่าเดาหรอก สาวน้อยในร่างหนุ่มบอบบางรู้ตัวดีว่าอะไรเป็นอะไร ที่ทำให้เกิดความร้อนวูบวาบยากจะควบคุมอย่างนี้ แต่ครั้นจะพูดออกไปก็เกรงจะทำให้ตัวเองได้อายเปล่า ๆ แต่ใบหน้าที่ร้อนผ่าวและท่าทางขัดเขินนี้ มันช่างยากที่จะควบคุมเหลือเกินสำหรับออเรนจ์ ไหนจะร่างกายกำยำผิวสีน้ำตาลเข้ม ที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อเต็มตึงน่ามองของไอ้จ๋านั่นอีก ที่ทำให้เผลอมองเสียจนเพลิน ยิ่งตอนที่มันกำลังจะลงน้ำแล้วเล่นพันขากางเกงที่ใส่อยู่ขึ้นซะสูง ถึงจะไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ก็อดแอบมองไม่ได้อยู่ดี และปฏิกิริยาเหล่านี้ก็กำลังถูกจับตามองจากคนที่นั่งข้าง ๆ ที่ฟันธงได้ทันทีกับภาพที่เห็น จากสายตาที่เด็กผอมใช้มองไอ้จ๋า ต้นกล้าบอกได้คำเดียวว่าใช่เลย..

“โห ตัวใหญ่มากเลยว่ะจ๋า “

“อยู่แล้วครับลูกพี่” ไอ้จ๋ายิ้มรับเมื่อลูกพี่กล้าของมันลุกออกมาดูปลาที่มันทอดแหได้แล้วเอ่ยชม “ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับไม่ลองดูสักตาเหรอครับ ลองดู ๆ ทอดแหหรือหว่านแหบ้านเรานี่ วิถีชีวิตการทำมาหากินของลูกผู้ชายครับ หาได้ทั้งห้วยหนองครองบึง ทำเป็นก็ไม่มีอดตายถ้าไม่เบื่อปลาก่อนอะนะ “ไอ้จ๋าชักชวนอย่างภูมิอกภูมิใจ เมื่อเห็นว่าต้นกล้ามีท่าทางสนใจการทอดแหอยู่ไม่น้อย

“จะไหวเร้อ” และแน่นอนว่าต้องมีเสียงสบประมาทปนท้าทายตามมา เหมือนกับเป็นหน้าที่ของอีกคนที่คอยทำหน้ามึนใส่กันตลอดอย่างเด็ดเดี่ยว ลูกชายกำนันอาจหาญคนเดิม

“เหอะ ถึงเราจะไม่เคยทำ เรื่องแค่นี้มันฝึกกันได้ใช่รึเปล่าวะไอ้จ๋า”

“ใช่แล้วครับลูกพี่ มาเดี๋ยวไอ้จ๋าสาธิตให้ดู เอาแหวางไว้ตรงนี้นะครับ จับอย่างนี้ครับ แล้วก็...”

“อืม” ไอ้จ๋าเริ่มต้นการสาธิตการทอดแหอย่างถูกต้องตามวิธีการ โดยมีต้นกล้ายืนฟังอย่างตั้งใจ และสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเด็ดเดี่ยว ส่วนออเรนจ์เพิ่งจะเดินออกมาสมทบกับทุกคน เพราะเห็นว่าต้นกล้าจะฝึกทอดแหจึงอยากดูด้วย

“เอานี่ลองจับดูครับ”

“เดี๋ยว ๆ ๆ ”

“อะไร”

“จะทำทั้งอย่างนี้เหรอเดี๋ยวเสื้อผ้าเปื้อนหมดหรอก” เด็ดเดี่ยวท้วง

“งั้นถอดออกก็ได้”

“ไปถอดก่อนสิ”

“จิ๊” ต้นกล้าจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ เพราะกำลังสนุกดันถูกขัดจังหวะเสียก่อน แต่ก็ยอมเดินไปถอดเสื้อผ้าตัวนอกออก โดยไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวเดินตามหลังมาด้วย

“ถอดแต่เสื้อตัวนอกก็พอ เหลือเสื้อกล้ามเอาไว้”

“เฮ้ยตามมาทำไม แล้วทำไมต้องเหลือเสื้อกล้าม ทีไอ้จ๋ามันยังถอดหมดเหลือบ็อกเซอร์ตัวเดียวเลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่”

“ทำไมจะไม่เหมือน ผู้ชายเหมือนกันทั้งนั้น”

“อย่าดื้อกับพี่”

“นี่..”

“กะ ก็แดดมันร้อนนิ” เมื่อถูกมองด้วยสายตาเอาเรื่อง เด็ดเดี่ยวจึงบอกเสียงเบาที่พอได้ยินกันเพียงสองคน

“ไม่เห็นเป็นไรเลยดีออกคล้ำ ๆ เราจะได้ดูเข้ม เท่ด้วย”

“เท่ตายล่ะ” เด็ดเดี่ยวพึมพำออกมาเบา ๆ เมื่อคิดภาพผิวที่เคยขาวผ่องของต้นกล้า เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะถูกแดดเผา เขาเองคงเสียดายน่าดู

“หาว่าไงนะ”

“เปล่า เฮ้ยจะถอดกางเกงด้วยหรือไง”

“เอ้าจะให้ลงน้ำทั้งกางเกงขายาวรัด ๆ นี่เลยหรือไงล่ะ” ต้นกล้าก้มลงมองกางเกงยีนขาเดฟยี่ห้อดังของตัวเอง มือทั้งสองข้างค้างอยู่ที่กระดุมเพราะกำลังจะแกะออก

“ก็..งั้นไปถอดตรงโน้นลงบ่อสุดท้ายเลย เดี๋ยวพี่ไปเอาแหกับไอ้จ๋ามาให้”

“ทำไมต้องไปบ่อโน้น บ่อเดียวกันใกล้ ๆ นี่ไม่ได้หรือไง”

“แต่บ่อโน้นปลาเยอะกว่า มีโอกาสได้ง่ายกว่านะ” เด็ดเดี่ยวกระซิบกระซาบทางเลือกอันน่าสนใจ ที่เชื่อว่ายังไงต้นกล้าก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าหลานชายคนเก่งของคุณยายรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต ตามสโลแกนที่ว่า คนอย่างไอ้กล้าฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่อมีทางเลือกที่ไม่ต้องเสี่ยงให้ตัวเองเสียหน้า จึงเชื่อว่าอีกคนต้องรีบเลือกแน่นอน และ...

“จริงอะ..” เสียงของคนหัวแดงฟังดูตื่นเต้นและสนใจไม่น้อยกับทางเลือกที่ได้ยิน เพราะกำลังกังวลอยู่พอดีว่าตัวเองจะสามารถจับปลาได้หรือเปล่า

“อือฮึ”

“เคร งั้นเราจะไปทอดแหที่บ่อปลาบ่อสุดท้าย ตามมา” เมื่อได้รับคำตอบกลับมาด้วยเสียงจริงจัง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของบ่อปลาเองก็มั่นใจเช่นนั้นไม้น้อย ต้นกล้าจึงมีความหวังและวันนี้เขาไม่เสี่ยงเสียฟอร์มแน่ ๆ

“เด็กดี”

“ชิ” เด็ดเดี่ยวมองตามคนฟอร์มเยอะที่เดินเลี่ยงไปอีกทาง ซึ่งพาเดินไปยังบ่อปลาบ่อถัดไป แต่ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้นเพราะต้นกล้าเดินจนถึงบ่อสุดท้าย ตามที่ได้รับการแนะนำมาว่าปลาเยอะ จัดการถอดกางเกงแขวนห้อยเอาไว้กับกิ่งของไผ่ที่ถูกตัดแต่งเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน หนุ่มหล่อเกาหลีเหลือเพียงเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์สีขาวเนื้อบาง ยืนยิ้มพิมพ์ใจรอแหที่อีกคนกำลังถือเดินตามมา

ต่อจ้า....
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-11-2018 21:06:12


“อะไรของเขาวะ ทำไมต้องไปกันสองคน”

“ไม่รู้สิ”

“ฉันไม่ได้ถามเธอ”

“เอ๊า แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะนายจ๋า ว่านายไม่ได้ถามฉัน ยืนกันอยู่สองคนนะได้ข่าว”

“เออ ๆ ไม่ต้องพูดมาก เอาปลาไปล้างยัดไส้เตรียมเผาเลยไป”

“ฮื้ม ฉันเหรอ..”

“เออดิ ฉันหามาแล้วนะ หน้าที่ต่อไปก็ต้องเป็นของเธอ อย่าบอกนะว่าทำไม่เป็น” ออเรนจ์พยักเบา ๆ แทนคำตอบ ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกหัวเสียอยู่ไม่น้อย เพราะคิดว่าจะให้ออเรนจ์จัดการเตรียมปลา ตัวมันเองจะได้ก่อไฟเผาฟืนเอาไว้รอถ่านที่ไอ้ดำกำลังไปเอามา จากนั้นจะได้ทำตามแผนขั้นต่อไปที่อยู่ในหัวของมัน หลังจากที่มองตามหลังลูกพี่เดี่ยวที่เดินมาเอาแหกับมัน และบอกว่าต้นกล้าอยากไปทอดแหที่บ่อปลาบ่อสุดท้ายแทน เหอะนะ นึกว่าไอ้จ๋าไม่รู้ล่ะสิว่าอยากอยู่กันสองคน อยากทอดแหกันสองต่อสอง งานนี้ขาดตัวขัดจังหวะดี ๆ อย่างไอ้จ๋าไป ก็เหมือนขาดอะไรสักอย่างล่ะวะ แต่เสียงใส ๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้นขัดแผนชั่วในหัวของไอ้จ๋าเสียก่อน

“ทำไม่เป็นนายก็สอนฉันบ้างสิจ๋า”

“น่าเบื่อจริง ๆ “รอยยิ้มสดใสของออเรนจ์ในตอนแรกเลือนหายไปทันที เมื่อคำว่าน่าเบื่อหลุดออกมาจากปากของไอ้จ๋า เจ้าของร่างบอบบางเม้มปากแน่น แต่ไม่นานก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทำท่าทางกระตือรือร้นออกมาก่อนจะบอก

“เดี๋ยวเราลองทำเองก็ได้ ว่าแต่...”

“ว่าแต่อะไร”

“นายอย่าทิ้งเราไว้คนเดียวนะ”

“หืม..ทำไม” ไม่ใช่ว่าเพราะอีกคนบอกว่าอย่าทิ้งเอาไว้คนเดียว ที่ทำให้ไอ้จ๋าเกิดสงสัย แต่เพราะสีหน้าที่สลดลงและแววตาเศร้า ๆ ทั้งที่พยายามทำให้ดูร่าเริงนั่นต่างหาก ที่ทำให้ไอ้จ๋าสนใจและถามออกมา

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก เอาถังปลามาสิเราจะเอาไปล้าง”

“เอาไปดิ”

“ก็ปล่อยสิ” ไอ้จ๋ายื่นถังปลามาให้แล้วแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือสักที

“บอกมาก่อนดิ ทำไมถึงกลัวฉันทิ้ง ฉันกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันนะได้ข่าว”

“กะ ก็พี่คำแพงชอบพูดบ่อย ๆ ว่าฉันน่าเบื่อ แล้วเมื่อวานเข้าก็ทิ้งฉันไว้ที่นี่ไง นายลืมแล้วเหรอ” ตาหวานที่กะพริบปริบ ๆ และมองตอบกลับมา เล่นเอาใจแกร่งกล้าของไอ้จ๋าอ่อนยวบขึ้นมาเสียเฉย ๆ น่าสงสารว่ะ น่ารักด้วย เฮ้ย! ไม่ใช่ล่ะ

“เธอก็เลยกลัวฉันทิ้งไว้ที่นี่อีกว่างั้นเถอะ โดนทิ้งสองต่อ”

“ไม่หรอก แต่ถ้ารำคาญฉันอย่างน้อยก็ไปส่งฉันที่ท่ารถสองแถวก็ยังดี ฉันจะได้กลับบ้าน” รอยยิ้มบาง ๆ นั่นไม่ได้ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกดีเลยสักนิด เพราะแววตาของออเรนจ์ไม่ได้ยิ้มด้วย แถมยังทำให้หัวใจอันเคยกร้าวแกร่งของมันกระตุกแปลก ๆ กับคำพูดของคนตัวบาง

“เออ ๆ เดี๋ยวกินเสร็จจะไปส่งให้ถึงบ้านละกัน เอาปลาไปล้างได้แล้ว ฉันจะไปก่อไฟ”

“ก็ได้” รับคำสั่งแล้วถือถังปลาไปล้างยังถังน้ำสะอาดที่เตรียมเอาไว้ แต่เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ยิ่งเรื่องงานครัวยิ่งไม่เคยจับ จึงล้างแบบเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ถนัด

“นี่เธอทำดี ๆ ระวังเงี่ยงปลาปักมือด้วย ทุบหัวมันก่อน”

“หา ทำไมต้องทุบล่ะ”

“เอ้ายัยส้มเน่า ไม่ทุบให้มันตายก่อนมันก็ดิ้นเซ่ ถามได้”

“อ๋อ ได้ ๆ ทุบหัวใช่มั้ย” ถามแล้วก็เทปลาใส่กะละมังที่กว้างกว่า หยิบท่อนไม้มาถือตาเล็งที่หัวของปลาตัวเขื่อง ที่กำลังเริ่มดิ้น แต่ครั้นจะทุบลงไปเลยก็กลัวพลาดไปโดนกะละมังพลาสติกแตก ถ้าหากทำกะละมังแตกก็คงไม่พ้นโดนไอ้คนหน้าดำนั่นบ่นอีกเป็นแน่แท้ ถ้าอย่างนั้นก็เทออกจากกะละมังก่อนคงไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะพื้นก็รองด้วยไม้อยู่แล้วคงทุบง่ายกว่าตอนปลามันอยู่ในกะละมัง คิดได้ดังนั้นก็จัดการเทสิ่งมีชีวิตออกจากกะละมัง เมื่อปลามันหลุดมาได้ก็ดิ้นรนหาทางหนี ออเรนจ์พยายามจะตีหัวปลา แต่ลงไม้ทีไรก็พลาดไปซะทุกที

“เอ้า ๆ ทำอะไรของเธอน่ะ”

“ทุบหัวมันไง ตามที่นายบอก”

“แล้วทำไมไม่จับไว้ด้วยเดี๋ยวมันก็ดิ้นลงน้ำหรอกนั่น”

“ได้ ๆ “รับคำแล้วกดตัวปลาเอาไว้ แต่พอจะตีก็ต้องเอามือออกทุกที เพราะกลัวไม้โดนมือตัวเอง ส่วนเจ้าปลาตัวเขื่องก็พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดสะบัดหางจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว

“เฮ้ย ระวังจับไว้ดิ จับมันไว้”

โป๊ก! ออเรนจ์ฟาดไม้ลงเต็มแรงแต่แทนที่จะโดนหัวปลา กลับโดนไม้กระดานที่ใช้รองพื้นเอาไว้ ทำให้แผ่นไม้มันพลิกแล้วดีดตัวปลาขึ้น ปลาที่กำลังดิ้นอยู่จึงเหมือนได้รับแรงส่งจนไปตกอยู่ริมบ่อ และชะตาของมันคงยังไม่ถึงฆาต ดิ้นอีกสองสามเฮือกเจ้าปลาดวงแข็งก็ตกลงน้ำไปเหมือนเดิม

จ๋อม!!

“อุ้ย”

“เฮ้ย ยัยส้มเน่า ทำอะไรของเธอวะ”

“เราขอโทษ”

“ฮึ่ย “ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาอย่างหัวเสีย เพราะไม่สบอารมณ์ที่ออเรนจ์ทำปลาหลุดลงน้ำไป ก็มันมีอยู่แค่ตัวเดียว ทั้งที่ตอนหว่านแหได้ปลาขึ้นมาหลายตัว แต่มันเลือกเอาเฉพาะตัวที่ใหญ่ที่สุดไว้เพียงตัวเดียว และพอดีกับที่ต้นกล้าจะลองทอดแหดูบ้าง มันจึงอยากให้ลูกพี่ของมันได้โชว์สกิลการทำมาหากินสักหน่อย ไม่คิดว่าปลาที่มันเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี จะถูกยัยตุ๊ดเผือกทำหลุดมือไปเสียได้

ในขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในเขตบ่อปลา คนหนึ่งกำลังสอนให้อีกคนเรียนรู้วิธีการหว่านแหหรือทอดแหอย่างถูกต้อง ซึ่งคนเรียนก็เรียนอย่างตั้งใจมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเหวี่ยงแหลงน้ำโดยที่ทำให้แหมันกางออกอย่างเต็มที่ได้สักที ไม่ถูกโยนลงไปเป็นก้อนพันกันก็ถูกเหวี่ยงลงเป็นม้วน โยนลงไปหลายรอบจนผ่านไปหลายนาที ตอนนี้จึงยังไม่ได้ปลากันมาสักตัว

“มันต้องอย่างนี้สิ จับตรงนี้เอาไว้ เอาส่วนนี้พาดข้อศอกข้างนี้ไว้ มือกำรวบเอาช่วงปากแหตรงโซ่นี่”

“แบบนี้เหรอ”

“ใช่ จับตรงนี้ไว้ด้วย หันหน้ามาทางนี้สิ”

“แล้วยังไงต่อ” เมื่อคนเรียนไม่ได้มุมที่ตัวเองถนัดสักที เด็ดเดี่ยวจึงได้แต่ถอยออกมายืนชั่งใจว่าจะสอนยังไงต่อ ต้นกล้าถึงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

“เอาอย่างนี้หันมานี่”

“เอาอย่างไหน เฮ้ยอะไรนี่ ทำไมต้องมายืนซ้อนหลังด้วยอะ”

“ก็มันสอนไม่ถนัดนี่ เอ้า ๆ อย่าดิ้นสิหันหน้าไปทางโน้น” เด็ดเดี่ยวยืนซ้อนด้านหลังแล้วจับต้นกล้าให้หันหน้าไปทางบ่อปลา สองมือทำงานช่วยกันโดยการจับปากแหขึ้นมาให้คนตัวเล็กกว่าในท่าที่ถนัดยิ่งขึ้น นี่ถ้ารู้ว่าสอนแบบนี้ทำให้เข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพชัดเจนกว่า เขาคงสอนกันตั้งแต่ทีแรกไปแล้ว

“พร้อมยัง”

“อืม”

“เหวี่ยงตัวแบบนี้นะ ออกแรงส่งมันด้วยสักหน่อยตอนเหวี่ยง พอได้จังหวะสุดแรงก็ปล่อยแหออกไปพร้อม ๆ กันเลยเข้าใจมั้ย” เด็ดเดี่ยวโอบรอบร่างโปร่งจากข้างหลัง โดยใช้สองมือจับมือของต้นกล้าทีละข้างเอาไว้ แล้วพาขยับไปตามท่าทางการเหวี่ยงเพื่อหว่านแหออก ความใกล้ชิดเกิดขึ้นโดยที่ต้นกล้ามัวแต่สนใจการเรียนรู้จนมองข้ามมันไป แต่คนสอนนี่สิทำไมจิตใจมันเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย...วะ!

“เอาล่ะไหนลองดูอีกทีซิ ทำตามที่พี่บอกเลยนะ”

“เค รอดูผลงานละกัน”

“อืมเอ้า1 2 3 ไปเลย” พรึ่บ!!

“เฮ้ย”

“เอ้า ทำไมไม่ปล่อยปากแหเล่า”

“ก็มันลืมนิ”

“เอาขึ้นมาทำใหม่”

“ไม่ไหวแล้วปวดแขน ทำให้เราดูหน่อยดิ สาธิตหน่อย นะๆ ดูไอ้จ๋าทำเมื่อกี้ลืมแล้ว”

“ได้ ไม่มีปัญหา รอดูก็แล้วกันพี่จะเอาปลาตัวใหญ่ ๆ มาให้ดูเป็นขวัญตา”

“โอเค” พูดจบเด็ดเดี่ยวก็ดึงเชือกแหขึ้นมาจากน้ำ แล้วยื่นให้ต้นกล้า

“ถือไว้แปบ” เดินไปถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวไม่ต่างกัน แล้วจึงเดินกลับมารับแหจากต้นกล้าถือเอาไว้ ด้วยท่าทาทะมัดทะแมง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละสายตาได้อยากยิ่งนักสำหรับต้นกล้า เมื่อมีร่างกายกำยำล่ำสันของอีกคน มาให้เห็นในระยะประชิดขนาดนี้ ต้นกล้าไม่ได้ตั้งใจเลยจริง ๆ นะ แต่ก็เผลอคิดเปรียบเทียบกับร่างกายของตัวเองจนได้ ทำไมคนอย่างไอ้กล้าไม่เกิดมามีหุ่นแบบนี้บ้างวะ จะได้ดูองอาจมาดแมนสมชายชาตรี แม้ว่าตอนนี้ต้นกล้าจะดูมาดแมนอยู่ไม่น้อยแล้วก็ตาม แถมยังหล่ออีกซะด้วย ก็นะถึงยังไงหล่อหน้าตาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งล่ะวะ แต่ถ้าได้กล้ามท้องแน่น ๆ กล้ามแขนล่ำ ๆ อย่างไอ้คนตัวโตมาเสริมบารมี ก็คงจะดูดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ฮึ่ยคิดแล้วกลุ้ม!

“เป็นอะไร”

“ปล๊าววว หว่านซะทีสิแหเนี่ย อยากเห็นฝีมือจะแย่แล้ว”

“ฮ่า ๆ ได้ไม่มีปัญหา” เด็ดเดี่ยวลากเสียงยาวล้อเลียน แต่สายตาวิบวับที่มองอีกคนนั้นมันคืออะไร เอ็นดูเหรอ..? รักใคร่เหรอ..? เอานะสรุปว่าชอบล่ะ หรือจะอะไรก็ช่างหัวมันไปก่อน เพราะสังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน ว่านัยน์หวานฉ่ำของคนตัวเล็กกว่า ไล่มองร่างกายหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของเขาไปแทบจะทุกส่วน ด้วยแววตาปนอิจฉา เหมือน ๆ จะอยากได้ แต่สำหรับเด็ดเดี่ยวแล้ว ต้นกล้าหุ่นแบบนี้ล่ะดีที่สุด เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่า.เอ่อ.....เพราะเขาชอบไงล่ะ หึ ๆ ๆ

เด็ดเดี่ยวจัดแหให้พร้อมสำหรับการหว่าน พอได้ที่แล้วก็หันมาหาต้นกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยักคิ้วให้คนที่มองตอบกลับมาหนึ่งทีแล้วหันหน้าไปหาบ่อปลา พอได้ท่าที่คิดว่าเท่ที่สุดพร้อมแล้วก็โยกตัวเพื่อเหวี่ยงแหลงน้ำทันที

หวืด

พรึ่บ

ตูม!!!

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะงอหายเมื่อคนตัวโตเหวี่ยงแหลงน้ำด้วยท่วงท่าสวยงามมีมาดทรง และแหก็กางออกเต็มที่อย่างมืออาชีพที่ชำนาญงาน จากนั้นหลานชายคุณยายประไพศรี หนุ่มหล่อเกาหลีผู้อินเทรนด์ก็ส่งคนเจ้าของแหตามลงไปติด ๆ เต็มฝ่าเท้าอย่างสะใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะงอหายเมื่อคนตัวโตเหวี่ยงแหลงน้ำด้วยท่วงท่าสวยงามมีมาดทรง และแหก็กางออกเต็มที่อย่างมืออาชีพที่ชำนาญงาน จากนั้นหลานชายคุณยายประไพศรี หนุ่มหล่อเกาหลีผู้มีความอินเทรนด์ก็ส่งคนเจ้าของแหตามลงไปติด ๆ เต็มฝ่าเท้าอย่างสะใจ

“เปล่า ๆ เราไม่ได้ผลัก”

“ได้ไงก็เห็น ๆ อยู่”

“ถีบเหอะ เต็ม ๆ อะฮ่า ๆ เราแค่ช่วยให้ลงไปจับปลาเร็ว ๆ ไงไม่ชอบเหรอ ฮ่า ๆ “ ต้นกล้ากุมท้องตัวเองหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เด็ดเดี่ยวได้แต่มองแล้วเก็บความแค้นเอาไว้ในใจรอวันเอาคืนอย่างสาสม “ได้กี่ตัวปลาน่ะเอ้าได้แล้วก็รีบขึ้นมาดิ มา ๆ ”

“เหอะ อยากได้มาเอาเองดิ”

“แหม ๆ ลงไปแล้วก็เอาขึ้นมาเผื่อเราหน่อยน่า เป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อยเด้ ฮ่า ๆ ๆ ”

“ขำนะ ช่วยหน่อยสิ” เด็ดเดี่ยวเดินลากแหมาที่ขอบบ่อ แล้วยื่นมือมาให้ต้นกล้าช่วยดึงขึ้น แต่คนฉลาดเป็นกรดเป็นด่างอย่างต้นกล้ามีหรือจะหลงกล เพราะมุขนี้เขาเองก็เคยใช้แล้วเมื่อไม่นานมานี่เอง ใครจะทันได้ลืมล่ะฮึ

“อย่าคิดจะเอาอัฐเรามาซื้อขนมเรา”

“อะไรนะ” ใบหน้าคมคร้ามแดดแสดงความมึนงงออกมาเต็มที่กับคำสุภาษิตป่วง ๆ แปลก ๆ ของคนบนบก

“คิดจะเอามุขเรามาใช้กะเราอะเด้ ไม่มีทางเราไม่หลงกลหรอก”

“พี่เปล่า แค่อยากให้ช่วยดึงขอบตลิ่งมันชันก็เห็นอยู่”

“แต่เราไม่หลงกล คิดว่าเรายื่นมือไปให้จะได้ดึงเราลงน้ำด้วยอะดิ ฝันไปเถอะ ไปล่ะนะ บ๊ายบาย รีบตามมาล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ แล้วเดินหายกลับไปทางเดิม ทิ้งให้เด็ดเดี่ยวมองตามด้วยใบหน้าอาฆาตมาดร้าย แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้คนขี้แกล้ง ทั้งที่ความจริงชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องแกล้งกลับเลยสักนิด แต่คงเป็นเพราะต้นกล้าที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องเอาคืน ก็เลยไม่ไว้ใจเมื่อบอกให้ช่วยดึง

ต้นกล้าเดินกลับมานั่งยังเสื่อที่ปูเอาไว้ อารมณ์ของเขาดีเป็นพิเศษ คิดถึงท่าตอนที่คนหน้ามึนหัวทิ่มลงบ่อปลาเมื่อไหร่ ก็ให้ขำมันฉิบหาย ขำซะจนลืมแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตัวเองที่ถอดทิ้งไว้ ลมเย็น ๆ และอารมณ์ที่ผ่อนคลายทำให้นึกอยากนอนเล่น จึงเอาแขนหนุนหัวเอนตัวลงนอนบนเสื่อสบายใจเฉิบ ไม่ไกลจากตรงนั้นไอ้จ๋ากับออเรนจ์กำลังทะเลาะอะไรกันสักอย่าง เหมือนเมื่อตอนเช้าไม่มีผิด วันนี้มันเป็นวันอะไรหนอ ทำไมใคร ๆ ก็กลายเป็นตัวตลกให้ต้นกล้าได้หัวเราะอารมณ์ดีกันทั้งนั้นเลย

“ยัยเผือก ยัยส้มเน่า ปล่อยให้ปลาตกน้ำได้ยังวะ”

“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่จ๋า ฉันขอโทษ”

“ลงไปจับมาใหม่เลย”

“แต่..”

“เอ้า สองคนตรงนั้นจะทะเลาะกันอีกนานมั้ยวะ”

“ก็ยัยนี่สิครับลูกพี่ทำปลาที่ไอ้จ๋าจับได้ตกน้ำไปแล้ว”

“เออ ๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า ปลาตกแกก็ลงไปจับมาใหม่สิวะ ออเรนจ์มานี่มาอย่าไปสนใจไอ้จ๋ามัน มาอยู่กับพี่” ต้นกล้าเห็นออเรนจ์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จึงเรียกให้ออกมาอยู่ไกล ๆ จากไอ้จ๋าโดยการตบที่นั่งข้างตัวเองเพื่อเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าสาวน้อยในร่างชายบอบบางมานั่งข้างเขาเท่านั้น ออเรนจ์ล้างมือแล้วเดินอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวมานั่งพับเพียบลงข้าง ๆ ต้นกล้าอย่างว่าง่าย ทำให้ไอ้จ๋ามองตามตาขวาง แต่เมื่อหันมาเห็นสายตาเอาเรื่องของลูกพี่ มันก็หลบสายตาแทบไม่ทัน ฝากไว้ก่อนเถอะยัยส้มเน่า!

“ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับ ได้ปลาหรือเปล่า”

“ได้ดิ มีคนลงไปงมถึงกลางบ่ไม่ได้ก็ห่วยที่สุดในสามโลกแล้วว่ะ ฮ่า ๆ “ต้นกล้าพูดจบก็เหลือบไปมองเด็ดเดี่ยวที่เดินถือแหติดปลากลับมาด้วยอย่างล้อเลียน ไม่วายหัวเราะเสียงดังเป็นการตบท้ายด้วย

“โหลูกพี่เดี่ยวทุ่มเทมากเลยนะครับเนี่ยฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่มันต้องลงทุนถึงขนาดลงไปเล่นน้ำกับปลาเลยเหรอครับ ตอบไอ้จ๋าทีเถอะ สงกะสัยอะ “ได้โอกาสไอ้จ๋าไม่ลืมที่จะเกรียนใส่ลูกพี่เดี่ยวของมัน โดยมีดวงตาหวานของใครบางคนแอบมองด้วยความอิจฉาปนน้อยใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพราะไอ้จ๋าไม่เคยคุยด้วยอย่างอารมณ์ดีแบบนี้เลยสักครั้ง

“แหม อยากสร้างความประทับใจให้เขาล่ะซี้” มันยังไม่จบ ไอ้จ๋าแซวไม่เลิกพร้อมแสร้งยิ้มหัวเราะจนตาหยี๋ นี่หากมันรู้ว่าเด็ดเดี่ยวทำให้ต้นกล้าประทับใจมากแค่ไหน ตอนที่ถูกส่งลงน้ำไปเล่นกับปลา มันคงร่วมประทับใจจนน้ำตาซึมเป็นแน่แท้

“พูดมาก เอานี่ไปจัดการเลย” เด็ดเดี่ยวยื่นแหที่ยังมีปลาติดอยู่สามสี่ตัวให้ไอ้จ๋าไปแกะออก มันก็รับมาแต่โดยดีและไม่ลืมส่งสายตาล้อเลียนมาให้เป็นการตบท้าย ทำไมนะ ทำไมคู่นี้เผลอปล่อยให้อยู่ด้วยกันนานไม่ได้สักที อยู่ด้วยกันทีไรเป็นต้องมีเรื่องมาให้ขำกันตลอด

“พวกไอ้ว่าว ไอ้ดำมาพอดีให้พวกนั้นทำดีกว่าครับ” ไอ้จ๋าหันไปพยักพเยิดเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซด์ขับตรงเข้ามาสองคัน คนขับคือไอ้ดำกับไอ้ว่าวมีเพื่อนซ้อนท้ายมาอีกสองคน “เอ้า มา ๆ พวกมึงมาถึงแล้วก็ทำตัวให้มันเป็นประโยชน์” ไอ้จ๋าหันไปเรียกเพื่อนที่พึ่งจะจอดรถ

“มาช่วยกันขนของลงเลยมึง” ไอ้ดำบอกเมื่อจอดรถมอเตอร์ไซด์และตั้งขาตั้งเรียบร้อย

“ไงมึงได้ข่าวว่าพาสาวมาด้วย” ไอ้ว่าวถามสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“อย่ามั่วสาวที่ไหน”

“นั่นไง นั่งหน้าสวยอยู่นั่น แนะนำกูบ้าง” ไอ้จ้ะเอ๋ที่มาพร้อมกับไอ้ว่าวพูดขึ้น

“ไม่ธรรมดานะมึงเนี่ย” เสริมด้วยไอ้ว่านอีกคนที่มาด้วยกันก็ครบพอดีห้าหน่อรวมไอ้จ๋ากันไอ้ดำ

“ไอ้ห่านี่ นั่นมันไม่ใช่ของกู กูไม่นิยมของแปลกโว้ย”

“แปลกตรงไหนวะน่ารักขนาดนี้ มึงไม่นิยมงั้นกูจีบ” ไอ้ว่าวออกตัวแรง

“ยัยตุ๊ดเผือกนั่นน่ะนะ”

“แล้วไงแค่น่ารักก็ผ่านแล้วสำหรับกู” ป้าบ!

“สักทีเหอะมึง” ไอ้จ๋าตบหัวเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้ “ไปเตรียมปลาโน่นไปจะได้เผากูหิวแล้วเนี่ย มึงไปก่อไฟดิไอ้ว่าน” อยู่ดี ๆ ไอ้จ๋าก็ให้รู้สึกหงุดหงิดไม่อยากคุยเสียอย่างนั้น จึงสั่งไอ้ว่าวไปทำปลาแทนแล้วหันไปบอกให้ไอ้ว่านก่อไฟ

“ได้ทีสั่งเอา ๆ นะมึง ไอ้ว่านเข้าไปนั่งในร่มเดี๋ยวกูก่อไฟให้เอง”

“ออกตัวแล้วสินะมึงไอ้ดำ” ไอ้จ๋าแซวไอ้ดำที่อาสาก่อไฟแทนไอ้ว่านเหมือนมันรู้เห็นอะไรบางอย่างมา

“หุบปากเลยมึง ไปนั่งเฝ้าของของมึงเหอะเดี๋ยวไอ้ว่าวคาบไปรับประทาน แล้วจะมานั่งร้องไห้เสียใจกูไม่ซื้อลูกโป่งมาปลอบนะเว้ย”

“ไอ้ห่ากูไม่ใช่เด็กจะได้ซื้อลูกโป่งมาล่อ แล้วนั่นก็ไม่ใช่ของของกูโว้ย”

“กูจะคอยดู ได้ยินคนเขาว่ากันว่า กลืนน้ำลายตัวเองที่บ้วนออกไปแล้วนี่อร่อยดีนักแล”

“ไอ้ห่า ใครบอกมึงวะน่ารังเกียจฉิบหาย” ไอ้จ้ะเอ๋บอกพร้อมทำสีหน้ารับไม่ได้ แล้วเพื่อนทั้งสี่คนก็หัวเราะขำกัน มีคนที่นั่งอยู่ในร่มไม้มองมางง ๆ

“หวัดดีครับพี่กล้า พี่เดี่ยว” สามคนที่มาใหม่ยกมือไหว้ต้นกล้า กับเด็ดเดี่ยวที่ยืนโชว์หุ่นอยู่ไม่ไกล เพราะตัวยังเปียกอยู่ ไอ้ว่าวมองต้นกล้าแล้วเหลือบมองออเรนจ์ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกพี่แนะนำคนน่ารัก แต่ต้นกล้าทำเพียงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ดูกวนอารมณ์ก่อนจะบอก

“เอ้า ใครชื่ออะไรอยากรู้จักกันถามเองโว้ยฉันไม่เกี่ยว”

“อ้าวพี่แนะนำหน่อยดีจะได้เป็นทางการ”

“โวะ ไอ้พวกนี้นิ”

“แหะ เราชื่อว่าวนะครับ ส่วนนี่ไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน ไอ้ดำ ชื่ออะไรครับคนน่ารัก”

“เราชื่อออเรนจ์” ตอบเสียงหวานพร้อมแก้มที่แดงจนสุกปลั่ง เพราะถูกชมว่าน่ารักซึ่ง ๆ หน้า นั่นจึงทำให้ได้รับสายตาไม่พอใจจากไอ้คนตัวดำ ที่มีอนาคตว่าอาจจะได้ลิ้มรสน้ำลายของตัวเอง ที่ยืนถือข้าวของพะรุงพะรังที่พวกไอ้ดำซื้อมาอยู่ด้านหลัง

“ไหนได้อะไรมาบ้าง เอาเบียร์มาดิ๊จ๋า” ต้นกล้าเรียกหาของมึนเมาจากลูกน้อง ที่เดินเอาเข้ามาประเคนให้คนเป็นลูกพี่ถึงที่ด้วยความเต็มใจ

“ครับลูกพี่ ไอ้พวกนี้แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้วโว้ย มึจะกินกันตอนไหนวะ”

“อย่าดื่มเยอะนะ”

“เราจะดื่มใครจะทำไม”

“เดี๋ยวเมาเหมือนวันนั้นอีกหรอก”

“วันนั้นมันเหล้าขาวเพราะเราไม่เคยดื่ม แต่นี่มันเบียร์เราตัวพ่อเหอะขอบอก” เด็ดเดี่ยวได้แต่ส่ายหัวกับความมั่นหน้าของไอ้หัวแดงจอมรั้น แล้วไหนจะเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ที่ใส่อยู่นี่อีก ก็เข้าใจนะว่ามีแต่ผู้ชายเหมือน ๆ กัน แต่จะว่ายังไงล่ะ ไปแต่งตัวเหมือนเดิมดีกว่าไหม

“ลุกก่อน”

“ลุกไม”

“ไปแต่งตัวดี ๆ “

“แต่งงี้ไม่เห็นเป็นไรเลยไอ้จ๋ายังไม่ใส่เสื้อด้วยซ้ำ”

“นั่นมันไอ้จ๋า นี่มันต้นกล้า”

“คิก ๆ “

ต่อข้างล่างจ้า....
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-11-2018 21:08:57


“เรื่องของกู” ไอ้จ๋าปัดปอยผมที่ชี้ไม่เป็นทรงให้ออเรนจ์เพราะถูกต้นกล้ายีหัว จึงถูกไอ้จ๊ะเอ๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าเข้าให้ โดยมีไอ้ว่าวคอยเสริม จากนั้นก็พากันกินต่อ ไอ้สองคนที่ลงปลาก็ได้ปลาตัวใหญ่มาเผาเพิ่มอีกสามตัวตามสั่ง ขณะที่นั่งรอปลาก็พากันจิบเบียร์คุยกันรอไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายแก่ ๆ ออเรนจ์ก็ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านสักที

*/*/*/*/*
กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านๆๆ ถามว่ากลับยังไง นั่นซี
แบบนี้ไอ้จ๋าต้องรับบทสุภาพบุรุษไปส่งว่าที่เมียนะ

เจ้ากันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 16-11-2018 04:54:31
ตอนนี้เหมือนลงไม่ครบเลย จริงๆนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 16-11-2018 07:40:44
ตอนนี้เหมือนลงไม่ครบเลย จริงๆนะ
ลงไม่ครบจริงๆ ด้วย แก้ให้แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 16-11-2018 07:43:44

ลงเพิ่ม

“หัวเราะอะไรตัวเล็ก” ต้นกล้าหันไปทำเสียงแว้ดใส่ออเรนจ์ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขำเบา ๆ ดังออกมาจากเจ้าของร่างบอบบาง

“เปล่าฮะ”

“ลุกเร็วอย่าดื้อ”

“นี่เราไม่ได้ดื้อนะ” ต้นกล้าเหลือบมองออเรนจ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันอีกครั้ง เมื่อถูกอีกคนดุและหาว่าดื้อ ดีที่ออเรนจ์หันไปคุยกับพวกไอ้ว่าวเลยไม่มีใครสนใจ ต้นกล้าจำต้องลุกไปตามที่เด็ดเดี่ยวบอก แล้วเดินไปยังกอไผ่ที่เอาเสื้อผ้าแขวนไว้ตั้งแต่ตอนแรก

“เฮ้ยเสื้อผ้าของเรา”

“ทำไม”

“มันหายไป”

“เอาไว้ไหนล่ะ”

“แขวนไว้ตรงนี้ หายไปไหนวะ” ต้นกล้าบ่นกับตัวเองพลางมองหาไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีเสื้อผ้าของตัวเองอยู่แถวนั้น จึงหันมามองหน้าเด็ดเดี่ยวตาเขียวและจับผิดพร้อมเอาเรื่อง

“อะไรอีก”

“เอามาเลย”

“เอาอะไร”

“เสื้อผ้าเราไง ตัวเองเดินไปทีหลังแล้วไม่มีใครมาตรงนี้ เสื้อผ้าเราถ้ามันจะหายไปก็เป็นใครไปไม่ได้ที่เอาไปใช่ปะ”

“ใช่ เอ๊ย พี่เปล่านะ”

“อย่ามาแก้ตัวคิดจะเอาคืนเราล่ะซี้ เรารู้ทันหรอกเอาเสื้อผ้าเราคืนมา”

“ไม่มีพี่ไม่ได้เอาไปซ่อน”

“อย่ามาตีหน้าซื่อไม่ได้เอาไปใครจะมาเอาไป”

“นั่นสิ” เด็ดเดี่ยวทำหน้าจริงจังเพราะเขาไม่ได้เอาไปจริง ๆ และไม่ทันสังเกตว่ามีใครเดินมาทางนี้ด้วย “แต่พี่ไม่ได้เอาไปเพราะเสื้อผ้าพี่มันก็หายไปเหมือนกัน พี่เอาไว้ตรงนี้ดูสิว่างเปล่า” ต้นกล้ามองอย่างจับผิด แต่ก็ได้เห็นแค่แววตาจริงจังไม่มีแววล้อเล่นหรือล้อเลียนเลยสักนิด

“แล้วใครจะเอาไปเราไม่เห็นมีใครเดินมาเลย”

“แสดงว่ามันต้องเดินมาตอนที่เราไม่เห็นสิ”

“คิดว่าใคร”

“ไอ้จ๋า”

“ไม่มั้งตอนเราเดินไปยังเห็นมันทะเลาะกับออเรนจ์อยู่เลย มันจะมาเอาตอนไหน”

“ตอนที่เราไม่เห็นไง มันอาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเมื่อเช้าเราแกล้งมัน.. เดี๋ยวจะไปไหน”

“เราจะไปถามมันดู”

“ยังไม่ต้องก็ได้หรอกมั้ง รอดูท่าทีมันก่อน” เด็ดเดี่ยวบอกเหมือนไม่แน่ใจ และต้นกล้าดูไม่ผิดใช่ไหมที่อีกคนเหมือนมีอาการลังเล



“ทำไมต้องรอเราอยากใส่เสื้อผ้าแล้วเนี่ย” ต้นกล้าไม่รอฟังอะไรอีก แต่เดินกลับไปทางเก่าทันที และทันได้ยินเสียงไอ้จ๋ากับไอ้ว่าวทะเลาะกันเสียงดัง

“มึงอย่ามากวนไอ้ว่าว”

“กูเปล่า แค่กูไม่อยากให้มึงมองน้องออเรนจ์ของกูตาขวาง เหมือนปอบเข้าสิงอย่างนั้น”

“กูไม่ได้มองตาขวาง ตากูเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วก็นะยัยส้มเน่านั่นเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ตอนนี้ยังไม่เป็นแต่ก็เร็ว ๆ นี้ล่ะ มึงไม่เอาก็ควรจะส่งเสริมเพื่อนฝูงบ้างนะ”

“เหอะ เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง”

“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ไอ้จ๋ามานี่ดิ๊”

“ครับลูกพี่”

“แกเห็นเสื้อผ้าฉันหรือเปล่า” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วมุ่นมองคนเป็นลูกพี่ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะตอบออกมา

“ไม่เห็นครับ”

“ก่อนตอบคิดหน่อยโว้ย”

“เอ้า ก็ไอ้จ๋าไม่เห็นจริง ๆ นี่ครับ ลูกพี่ถอดออกตอนไหนไอ้จ๋ายังไม่รู้ด้วยเลยเนี่ย ว่าแต่ทำไมเหลือแต่เสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ล่ะครับ ได้ข่าวว่าลูกพี่เดี่ยวนะครับที่ลงน้ำ”

“ก็..โว้ยตกลงไม่เห็นใช่มั้ย”

“ครับลูกพี่ ไอ้จ๋าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างครับ แหะ ๆ ” ปากมันก็บอกว่าไม่เห็น แต่ไอ้การยิ้มแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ยิ้มเหมือนมันรู้อะไรบางอย่างมา ยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์พิกล ยิ้มเหมือนไอ้ลูกน้องตัวดีมีความโรคจิตอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาต้องระแวงเอาไว้ก่อน แต่เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้จ๋ามันไม่ได้เอาไปแล้วมันจะเป็นใครไปได้นอกจาก ยังไม่ต้องก็ได้หรอกมั้ง รอดูท่าทีมันก่อน ฮึ่ย! ต้องใช่แน่ ๆ เลย ถ้าว่าไอ้จ๋าเป็นคนเอาไปแล้วทำไมต้องให้ต้นกล้ารอก่อน แบบนี้สิมันน่าสงสัยกว่าไอ้จ๋าเป็นไหน ๆ ต้องใช่แน่ ๆ คิดได้ดังนั้นต้นกล้าก็ตีหน้าโหดเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้ง

“อะไรของเขาวะ”

“ไม่รู้โว้ย”

“เอ้า ไอ้นี่กูไม่ได้ถามมึง”

“ก็ยืนกันอยู่สองคนปะ ไม่พูดกะกูมึงจะพูดกับหมาที่ไหน”

“กูรำพึงเถอะ” พูดจบไอ้จ๋าก็เดินไปที่กองไฟ ตอนนี้มีปลาสองตัววางอยู่บนตะแกรงกำลังส่งกลิ่นหอม บ่งบอกว่าอีกไม่นานมันจะได้ที่เหมาะสำหรับแกล้มเบียร์

###p#<%%%

“อยู่ไหนวะ” ต้นกล้าเดินกลับมาที่เดิมเมื่อ มั่นใจแล้วว่าเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่บนกิ่งไผ่หายไปได้อย่างไร แต่พอกลับมาถึงที่ตรงนี้ ตัวต้นเหตุกลับหายไปด้วยเสียนี่ จึงเดินส่องหาตามพุ่มไม้แถวนั้น ส่องไปส่องมาเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่หลังกอไผ่ และมันน่าสงสัย เมื่อมันน่าสงสัยก็ต้องข้าไปดู แต่เอ๊ะ! มันเหมือนคน ใช่แล้วคนแน่ ๆ ต้นกล้าย่องเข้าไปดูใกล้ ๆ ใกล้เข้าไปอีกนิดชิดเข้าไปอีกหน่อย และแล้วก็…

“ทำอะไรน่ะ”

“ต้นกล้า” !

“ฮ๊า” !!

“เอ่อ..ต้นกล้าพี่ เฮ้ย ตายห่าแล้วกู..” ! เด็ดเดี่ยวอุทานเสียงดังเมื่อก้มลงมองสภาพของตัวเอง กางเกงยีนที่กำลังจะใส่คาอยู่ต้นขา ช่วงบนเหนือขึ้นมาจากนั้นก็ไม่มีชั้นในปกปิดส่วนสงวน เพราะมันเปียกคิดว่าไม่ใส่ไม่กี่ชั่วโมงคงไม่เป็นไร จึงหยิบกางเกงยีนมาบรรจงสวมใส่อย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันได้เก็บน้องชายเข้าที่ให้เรียบร้อย อีกคนก็ดันเข้ามาเสียก่อน

ต้นกล้ายืนอ้าปากค้างตาโต เมื่อคนที่หันมาคือคนที่เขากำลังตามหา แล้วที่ต้องอ้าปากค้างและเบิกตาโตเท่าไข่ห่านอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเจอหน้าแล้วตกตะลึงในความหล่อเหลาเอาการอะไรหรอกนะ แต่เพราะคนที่หันมากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก อะไรบางอย่างที่ยังทำอยู่แบบค้าง ๆ คา ๆ พอเขาเดินมามันก็เลยเกิดการขัดจังหวะเข้าพอดี และนั่นมันทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งลง เสียงของต้นกล้าทำให้อีกคนหมุนตัวกลับมา และพอเจ้าตัวหันมาอะไรต่อมิอะไรมันก็ปรากฏแก่สายตาอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋จัง ๆ ต้นกล้าจึงเจอเข้าเต็ม ๆ จนอ้าปากค้าง ในความใหญ่โดดเด่นสะดุดตา ดูเป็นพวงระย้าน่ามองใช่ไหมล่ะ ขนาดของพ่อคนดีศรีหมู่บ้าน!

คนกึ่งเปลือยรีบดึงกางเกงยีนขึ้นติดกระดุมแล้วรูดซิป โดยการรูดซิปนั้นต้องระวังกันมากเป็นพิเศษ เพราะปราการด่านสุดท้ายมันไม่มีแล้ว เพราะมันเปียกเขาจึงตัดสินใจไม่ใส่ เขาไม่ชอบความรู้สึกไม่สบายตัวที่ต้องใส่กางเกงยีนผ้าเนื้อหนา ทับกางเกงชั้นในที่เปียกชุ่ม ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาในใจให้ใคร ๆ เห็นใจเขาบ้าง เมื่อมีเหตุจำเป็นให้ต้องละเว้นการใส่กางเกงชั้นในในวันนี้

“งับ” ใส่กางเกงเสร็จแล้วจึงเดินมาแตะคางของต้นกล้า เพื่อดันให้ปากที่อ้าค้างงับเข้าหากัน ก่อนที่จะมีแมลงวันเข้าไปทำธุรกรรมด้านการสืบพันธุ์ ด้วยการวางไข่ไว้ภายใน เพราะปากที่อ้าค้างอยู่อย่างนั้นเสียนานเกิน

“ทะ ทำบ้าอะไรอยู่” ทำไมเสียงมันสั่นอย่างนี้วะ ต้นกล้ายืนกะพริบตาปริบ ๆ ไล่ภาพติดตาที่เห็นออกไป พลางด่าตัวเองในใจกับเสียงสั่น ๆ ที่เปล่งออกมา

“ใส่เสื้อผ้า”

“ละ แล้วเสื้อผ้าเราล่ะ”

“นี่ไงเอาไปสิ”

“ทำไมต้องแกล้งดีนักนะ”

“ก็พี่ชอบต้นกล้านี่”

“หืมว่าอะไรนะ”

“พี่บอกว่าพี่ชอบแกล้งต้นกล้าไง แต่พี่ไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปซ่อนจริง ๆ นะ เอ้าจะใส่ได้หรือยังเสื้อผ้าน่ะ” เพราะมัวแต่เหม่อนะสิเลยไม่ทันได้ฟัง เด็ดเดี่ยวที่รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกมาจึงกลับลำทัน

“เอ่อ..” ต้นกล้ายื่นมือที่ยังสั่นมารับเสื้อผ้าของตัวเอง แต่เพราะภาพเจ้าหนูน้อยที่ไม่ค่อยจะน้อยของอีกคนยังติดตา จึงยังรู้สึกตื่นในใจไม่หาย ทั้งที่ต่างก็มีเหมือนๆ กัน วันนั้นที่เห็นราง ๆ ใต้ร่มผ้า ว่ามันค่อนข้างที่จะ เอ่อ..นะค่อนข้างที่จะมีขนาดใหญ่พอสมควรแล้ว วันนี้เห็นชัด ๆ มันยิ่งกว่านั้นอีก ขนาดยังไม่ตื่นนะเนี่ย เฮ้ย! แล้วนี่เราจะมาคิดทำไมล่ะวะ ต้นกล้าสะบัดหน้าแรง ๆ เพื่อไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัวแล้วจากนั้น

พรึ่บ!

“เฮ้ย ทำอะไร”

“ยืนดี ๆ พี่จะใส่เสื้อผ้าให้”

“เราใส่เองได้น่า”

“ใส่ได้อะไรเมื่อกี้ก็ทำเสื้อผ้าหลุดมือหมด เหม่ออะไรอยู่” เด็ดเดี่ยวบอกเพราะตอนยื่นเสื้อผ้าให้ต้นกล้า ดูเหมือนคนตัวเล็กจะมือไม้อ่อนเปลี้ย จนทำเสื้อผ้าหลุดให้เขาต้องเก็บขึ้นมาใหม่

“เปล่าเหม่อซะหน่อย”

“เนอะไม่เหม่อเลย” ว่าพลางกางเสื้อเชิ้ตให้ต้นกล้าที่ให้ความร่วมมือโดยกางแขนออก แล้วสอดเข้าไปในแขนของเสื้ออย่างว่าง่าย ทั้งที่ปากยังบอกว่าใส่เองได้ “แล้วเป็นอะไรนิหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว”

“ไหนใครหน้าแดงไม่มีเหอะ เราแค่ร้อน เอากางเกงมาเราจะใส่เอง”

“หรือว่า..” เด็ดเดี่ยวไม่สนใจแต่พูดต่อทำให้ต้นกล้าขมวดคิ้ว เมื่อเขาเว้นช่วงเอาไว้แค่นั้น

“หรือว่าอะไร”

“เห็นพี่แล้วเขิน”

“ทำไมต้องเขิน”

“ก็นั่นสินะ อะใส่กางเกงดีกว่า” บอกแล้วก็ก้มลงจัดกางเกงให้ต้นกล้าที่ยอมใส่มันอย่างว่าง่าย เพราะกำลังคิดตามที่คนตัวโตบอก และมันเป็นความจริงจึงพยายามกลบเกลื่อน ต้นกล้าเกาะไหล่หนาเพื่อพยุงตัวเมื่อยกขาขึ้นมาใส่กางเกง ที่อีกคนจับให้แต่โดยดี จนเรียบร้อยแบบที่ไม่รู้ตัวแต่ก็ถือว่าให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ความแตกต่างทางด้านร่างกายของทั้งคู่นั้น ทำให้ต้นกล้าต้องแหงนหน้าขึ้นมอง เมื่อเด็ดเดี่ยวยืดตัวขึ้นจนเต็มความสูง ก็พบว่ายืนอยู่ห่างกันไม่มากนัก แถมคนตัวโตยังมีการขยับเข้ามาหาอีกก้าว ยิ่งเพิ่มความใกล้ขึ้นมาอีกขั้น และความล่องลอยนี้มันคืออะไรต้นกล้าไม่รู้ตัวเลย รู้แต่ว่าสายตาที่กำลังมองจ้องมานั้น มันทำให้เขาละสายตาไปมองทางอื่นไม่ได้เช่นกัน รู้สึกว่าไหล่ทั้งสองข้างถูกมือใหญ่ที่อบอุ่นจับเอาไว้ แต่สายตาก็ยังมองกันอยู่อย่างไม่ลดละเช่นเดิม ลมหายใจติดขัดก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ อยู่ดี ๆ ก็ให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี ๆ ก็อยากลุ้นว่าอีกคนจะทำอะไรต่อไป จนต้นกล้าอยากถามตัวเองว่าหวังอะไรอยู่

บ้า!! ใช่แล้วต้นกล้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่ไปรู้สึกหวิวไหวในใจแปลก ๆ กับคนหน้ามึนนี่ เพียงแค่เด็ดเดี่ยวมองมาด้วยนัยน์ตาหวานฉ่ำมีประกายระยับ พร้อมกับปากหยักที่อมยิ้มนิด ๆ มองกันแล้วก็ได้แต่มองอยู่อย่างนั้นเหมือนกับว่าจะไม่มีใครยอมใครในการมองตา ยิ่งมองก็เหมือนถูกสะกดให้มองตอบ แล้วในที่สุดทั้งสองก็ถูกสะกดด้วยสายตาของกันและกัน ให้จ้องมองนานจนกระทั่ง ระยะห่างระหว่างกันมันลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุด....

จุ๊บ! เฮือก! ขวัญเอ๊ยขวัญมา นี่คือสัญญาณเรียกสติของต้นให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว จากการถูกเตะเบา ๆ ด้วยริมฝีปากอุ่นที่ปลายจมูกรั้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดไว้ทั้งจมูกทั้งปากของตัวเอง ส่วนมืออีกข้างดันเด็ดเดี่ยวออกห่าง แต่เหมือนอีกคนรออยู่แล้วจึงขืนตัวเอาไว้

“รอฟังนะ”

“ฟังอะไร”

“พี่มีเรื่องจะบอกต้นกล้า”

“บอกมาสิ”

“สักวัน รอก่อนแล้วพี่จะบอกทุกอย่าง” ในใจของพี่ ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าคนตัวโตจะบอกอะไร พูดมาแค่นี้ใครจะกล้าคิดต่อ หรือว่า..โอ๊ย! คงไม่ใช่หรอก อย่าคิด ๆ บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งไปคิด มันคงไม่ใช่เรื่องแกล้งกันหรอกใช่ไหม หรือว่าจะบอกรักวะ คงไม่หรอกมั้งเราสองคนเกลียดกันจะตาย เพราะเจอทีไรก็หาเรื่องแกล้งเอา ๆ ตลอด ไม่ใครก็ใครล่ะ ได้ทีเป็นแกล้งหน้าตาย..แต่ก็นะ ที่พูดแบบนี้มันก็น่าคิดไหม ต้นกล้าไม่ได้อ่อนต่อโลกซะที่ไหน แต่ถ้าให้คิดต่อ ร้อยทั้งร้อยมันก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองกันทั้งนั้นไหมวะ นี่ล่ะคือสิ่งที่ต้นกล้ากลัวจนต้องรีบผละออกจากอีกคน ไม่เข้าใจเลย ต้นกล้าไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่าทำไมต้องกลั้นใจรอฟังด้วย ทั้งที่อีกคนไม่คิดจะพูดอะไรต่ออยู่แล้ว ฮึ่ย ต้นกล้าเจ็บใจ

เมื่อดันหน้าอกกว้างออกแต่เด็ดเดี่ยวไม่ยอมปล่อย ต้นกล้าจึงเสสายตามองไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้าคมคร้ามคอยทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจสั่น แถมหัวไหล่ทั้งสองยังถูกเกาะกุมเอาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนเดิม ทำยังไงดีล่ะทีนี้ ถ้าเป็นปกติต้นกล้าต้องใช้ไม้ตายอย่างลูกถีบใช่ไหม แต่นี่มันไม่ปกติไงเพราะกำลังทำตัวไม่ถูกอยู่ เลยยังตัดสินใจไม่ได้ไม่รู้จะทำแบบไหนถึงจะดี แต่ขณะที่กำลังหาทางออกให้ตัวเอง อีกคนก็...

ฟอดดด

“ฮึ้ย หอมเราไมหน้ามึนที่สุดเลยปล่อยสักทีเถอะ” ต้นกล้ากำมือแน่นอยากต่อยสักทีจริง ๆ ที่คนหน้ามึนมาฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเดินหน้าหรือหันกลับมากด่าดี แต่คนที่ถูกด่าว่าหน้ามึนกลับคิดว่าอีกคนช่างโกรธได้น่ารักอะไรอย่างนี้..เด็ดเดี่ยวเพียงแค่คิดในใจหรอกนะ เพราะถ้าพูดออกมาชายหนุ่มรู้ว่าคนตัวเล็กกว่าคงได้โวยวายจนทุ่งแตกเป็นแน่แท้ “บ้าแล้วหรือไงยิ้มคนเดียว”

“พี่เปล่า”

“ปล่อยเราสิเดี๋ยวจูบเดี๋ยวหอมอยู่ได้ เป็นเกย์ใช่มั้ยมาทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน”

“พี่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหรือเปล่า แต่..” ใช่เด็ดเดี่ยวไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไม่เป็น เท่าที่เขารู้เกย์คือผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ซึ่งเพื่อนของเขาที่มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันเองก็มี แต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยนึกชอบหรือมองผู้ชายคนไหนมาก่อน ที่มองส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมากกว่า แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นว่าจะสนใจจริง ๆ จัง ๆ จนคบหา หรือเอาจริง ๆ ชายหนุ่มไม่เคยจีบใครหรือเข้าหาใครมาก่อนด้วยซ้ำ เสียซิงครั้งแรกก็..เอ่อ ก็นะมันเป็นเรื่องของความคะนองในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียน ที่ท้าทายกันไปขึ้นครูก็เท่านั้นเอง แต่สำหรับเด็ดเดี่ยวมันยิ่งกว่านั้นขึ้นมาหน่อย เพราะสาวที่เขาขึ้นครูด้วยดันตามเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะติดใจหรือเพราะอะไร แต่พอเขาไม่เล่นด้วยไม่สานต่ออีกฝ่ายก็ล่าถอยไปในที่สุด จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจไม่อะไรกับเรื่องพวกนี้ จะมีบ้างที่ช่วยตัวเองตามธรรมชาติของผู้ชาย เด็ดเดี่ยวไม่ใช่คนลามกนะ แต่นี่มันเป็นเรื่องธรรมชาติตามความต้องการของร่างกายไหมล่ะ ที่ผู้ชายด้วยกันจะเข้าใจกันดี

ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่น่าเชื่อสำหรับชายหนุ่มวัย 27 แต่แล้วยังไงล่ะคนมันไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี เหมือนวันยังมีค่ำนั่นล่ะ จนกระทั่งได้มาเจอกับหลายชายของคุณยายประไพศรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ต้นกล้าทำให้เขารู้สึกดีที่ได้แอบมองรอยยิ้มสดใสนั่น ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ต้นกล้าก็เรียกความเอ็นดูจากชายหนุ่มได้ไม่น้อย ไหนจะท่าทีปั้นปึ่งที่แสดงให้เห็นในวันต่อมา ที่ทำให้เข้านึกอยากแกล้งนึกอยากจะอยู่ใกล้ ๆ ไม่เห็นหน้าก็คอยแต่จะห่วงว่าไอ้คนหัวแดงคนนี้ จะไปไหนหรือกำลังทำอะไร ยิ่งได้รับการฝากฝังจากผู้ใหญ่ที่นับถือ ยิ่งดูเหมือนมีอะไรที่ทำให้เกิดความใกล้ชิดลงตัว เขาเองก็ตกปากรับคำอย่างไม่ต้องคิดมากด้วยซ้ำ ทั้งที่งานตัวเองก็เยอะอยู่แล้ว จนกระทั่งได้จูบครั้งแรก ถึงจะเป็นไปเพราะอารมณ์ฉุนโกรธมากกว่าอย่างอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเล่นเอาก้อนเนื้อในอกเต้นรัวกระหน่ำเลยทีเดียว จากนั้นก็ต้องพยายามอดใจเอาไว้เรื่อยมา ที่จะไม่ทำตามใจตัวเองแบบนั้นอีก

มาถึงวันนี้เด็ดเดี่ยวรู้ว่าคงโดนเข้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ รอให้แน่ใจในตัวเองกว่านี้ก่อนเถอะ เขาจะเดินหน้าเต็มที่ ก็นะนี่ขนาดยังไม่เดินหน้าก็ยังรุกจนอีกคนแทบจะตั้งตัวไม่ได้อยู่แล้วล่ะ

“เฮ้ย...ปล่อยดิ” ต้นกล้าร้องเพราะเห็นอีกคนยืนนิ่งเหมือนกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเอง ยกมือขึ้นมาโบกไปมาจึงโดนมือใหญ่จับเอาไว้แน่น

“หรือพี่จะเป็นเกย์จริง”

“อ่าวไม่รู้สิ แต่อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้เราไม่ชอบ” ใช่ต้นกล้าไม่ชอบให้ใครมาล้อเล่นกับความรู้สึกหรอกนะ ใครจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่ามาทำให้เขาหวั่นไหวก็พอ

“พี่ไม่ได้ล้อเล่น”

“งั้นก็ปล่อยเราสักที” บอกแล้วก้มมองช่วงล่างที่มีร่างกายของอีกคนเข้ามาแนบชิด โดยที่เด็ดเดี่ยวก็รู้ตัว แต่แทนที่เมื่อรู้ตัวแล้วจะปล่อย เขากลับกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวเอวต้นกล้าแน่นขึ้นอีก จนหน้าอกแบน ๆ ของคนหัวแดงแนบชิดกับอกล่ำ ๆ แน่นเนื้อของตัวเอง

“หรือว่าพี่จะเป็นเกย์ไปแล้วจริง ๆ ”

“เป็นไม่เป็นก็ปล่อยเรา เราไม่เกี่ยว”

“ช่วยพี่พิสูจน์หน่อยสิ”

 ต่อ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา 100% อัพแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 16-11-2018 07:44:55



“ช่วยพี่พิสูจน์หน่อยสิ”

“ยังไง..อ๊ะ อื้อออ”

“อุ้ย..!”

!!!

“ออเรนจ์”

“เอ่อขอโทษฮะ” ออเรนจ์ก้มหน้างุดเมื่อเข้ามาเจอฉากเด็ดที่ไม่สมควรมีใครอื่นได้เข้ามาเห็น ต้นกล้ารีบผลักเด็ดเดี่ยวออกห่าง พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดปากตัวเอง เพราะถูกจู่โจมโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว ไอ้คนหน้ามึนที่สุดในสามโลก

“มีอะไร” เด็ดเดี่ยวถามหน้านิ่ง

“จ๋าให้มาบอกว่าปลาสุกแล้วฮะ” ไอ้จ๋าอีกแล้วสินะ ไม่มาเองก็ยังส่งคนอื่นมาแทนได้เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่นอน เด็ดเดี่ยวคาดโทษในใจแล้วพยักหน้าให้ลูกศิษย์ตัวเล็ก ที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเดินออกไปทันที

ปึก

“โอ๊ย! ตีพี่ทำไม”

“ก็มาจูบเรา”

“หึ ๆ พี่แค่อยากพิสูจน์”

“บ้าบอที่สุด” อยากจะบ้าตายมันลงตรงนี้กับความคิดของอีกคน แต่ทำอะไรไม่ได้ต้นกล้าจึงเดินหนีไปทั้งที่หน้าแดง ปากที่ถูกจูบอย่างเร่าร้อนก็เจ่อบวมขึ้นนิด ๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่หลงเคลิบเคลิ้มไปด้วยแล้วนะ แต่ทำไมมันเหมือนกับไม่มีแรงต้านทาน เหมือนร่างกายสูญเสียการควบคุม บ้าแน่ ๆ ต้นกล้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไม่รู้จะจูบอะไรนักหนาหลายครั้งแล้วนะวุ้ย ที่ทำเอาแทบอ่อนระทวย ไอ้คนหน้ามึน!

“ลูกพี่ว่าไงยัยส้มเน่า”

“เปล่า”

“เปล่าอะไร เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดี ๆ ดิ๊ทำไมหน้าแดงจังวะ” ไอ้จ๋าเชยคางออเรนจ์ให้เงยหน้ามองมัน แต่พอเห็นใบหน้าเนียนใสขึ้นริ้วแดงก็ทัก

“ไม่มีอะไร แล้วก็เลิกเรียกเค้าว่าส้มเน่าด้วย”

“ทำไมยัยส้มเน่า ยัยน้ำส้มบูดค้างปี ฉันจะเรียกแบบนี้ล่ะ หึ ๆ”

“อะแฮ่มแคก ๆ ถะ โถ..”

“มึงหยุด” ไอ้จ๋าชี้หน้าพร้อมกับสั่งเสียงเข้ม หลังจากเสียงกระแอมกระไอขัดจังหวะขึ้น และก่อนที่ไอ้ว่าวเพื่อนเกลอจะได้แสดงมารยาทไม่เหมาะสมออกมามากกว่านี้

“ฮ่า ๆ มา ๆ ออเรนจ์น้อยมานั่งนี่มา อ้าวนั่นพี่กล้ามาพอดี ปลาพร้อมเบียร์พร้อมแล้วครับพี่” ไอ้ดำเรียกออเรนจ์แล้วหันไปเห็นต้นกล้าเดินเข้ามาพอดี จึงร้องบอกพร้อมแก้วเบียร์ในมือที่ชูขึ้นอย่างเชิญชวน และคนอย่างต้นกล้า กวินกานต์ มีหรือจะปฏิเสธ

“เออ ขอบใจ” ต้นกล้ารับแก้วเบียร์ที่ไอ้ว่านยื่นมาให้ เทกรอกปากตัวเองรวดเดียวหมดแก้ว

“คอแห้งเหรอพี่มา ๆ ผมบริการเต็มที่วันนี้ เรียกใช้ไอ้ว่านได้เลย” ไอ้ว่านบอกเมื่อรับแก้วที่เหลือแค่น้ำแข็งจากต้นกล้ามารินเบียร์เพิ่มอย่างเอาใจ

“พิถีพิถันนะมึงไอ้ห่าแค่รินเบียร์เนี่ย” ไอ้ว่าวว่า

“เออสิเบียร์ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ เดี๋ยวฟองเยอะเสียรสชาติ” ไอ้ว่านบอกทั้งที่สายตาจดจ่ออยู่กับการรินเบียร์อย่างตั้งใจ

“แต่บางคนก็บอกต้องรินให้มีฟองบ้างรสชาติจะดีขึ้นนะมึง” ไอ้ดำว่า

“มันก็แล้วแต่คนชอบหรือเปล่าวะ ถ้าเบียร์เย็นจัด ๆ มันก็น่าอยู่หรอกนะ” ไอ้ว่านอวดภูมิ

“แหมรู้ดีนะมึง” ไอ้จ๋าแสยะปากแขวะเพื่อนรัก

“ใช่สิกูไม่ใช่คอเหล้าขาวอย่างมึงนี่ไอ้จ๋า”

“โอ๊ยกูอยากกราบไอ้คอเบียร์ว่ะ ไม่มีเบียร์มึงกินน้ำเปล่ามั้ย”

“ก็ไม่” แล้วเสียงหัวเราะก็ประสานกันดังขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งต้นกล้ากับออเรนจ์ที่นั่งฟังบทสนทนาของไอ้หนุ่มบ้านนาทั้งห้าคน ยังอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามาสมทบ และนั่งลงข้าง ๆ ต้นกล้า ที่ออเรนจ์รีบขยับที่ให้อย่างรู้ใจโดยไม่ต้องบอก

“มา ๆ พี่ เอ้าเอาไปยกสักหน่อย ทำอะไรอยู่ตั้งนานสองนานเพิ่งมาเนี่ย” ไอ้ดำถามขณะที่รับเบียร์อีกแก้วจากไอ้ว่านนักรินมือทอง ส่งมาให้เด็ดเดี่ยวที่เพียงรับไปถือเอาไว้นิ่ง ๆ

“เอ้ายกสิครับลูกพี่ มาชนกันหน่อย” ไอ้จ๋าว่า

“เอ้าชน ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ เอิ้ก” เสียงหัวเราะดังลั่นทุ่งเมื่อทุกคนชนแก้วกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งออเรนจ์ที่ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาชนกับเขาด้วย คนตัวผอมยิ้มกว้างจนตาหยี ปลาตัวใหญ่ถูกเอามาวางกลางวงที่ปูด้วยใบตองทั้งก้านหลายก้าน และที่ขาดไม่ได้คือส้มตำถุงใหญ่ที่ไอ้ดำซื้อติดมาด้วยอีกสามถุง ก็เอามาเทแบ่งลงบนใบตองได้บรรยากาศติดดินเป็นกันเอง เพราะอุปกรณ์การกินที่ไอ้ดำมันขนมาไม่มาก จึงมีแค่ช้อนกับส้อมเอาไว้ตักกิน และจานไม่กี่ใบกับแก้วน้ำ เนื้อปลาอาหารที่ตักแบ่งมาจึงต้องใช้ใบตองรอง ซึ่งก็ให้ความรู้สึกที่เข้ากับบรรยากาศดี ๆ กลางทุ่งได้อีกแบบ

“ไม่พอก็ลงอีกนะปลา ไอ้จ๋าทำไมไม่ตากแหวะ” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อหันไปดูปลาสองตัวที่วางเผาอยู่บนตะแกรง แล้วเห็นแหที่กองอยู่ข้าง ๆ ไม่ไกลจากกองไฟ

“ไอ้ว่าวไมมึงไม่ตากแห” ไอ้จ๋าหันไปถามไอ้ว่าวเสียงดุ เพราะเป็นคนใช้แหต่อจากมัน

“แหะๆ กูลืม เดี๋ยวก็ได้ลงอีกน่าพี่” ไอ้ว่าวแก้ตัวแล้วหันไปบอกเด็ดเดี่ยว

“ลงไม่ลงใช้แล้วก็ต้องเก็บดี ๆ เครื่องมือทำมาหากิน วางทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ คนแก่คนเฒ่าว่าไว้มันจะไม่หมานเข้าใจมั้ย”

“ครับ ๆ “ไอ้ว่าวรับคำรีบลุกไปเอาแหผูกพาดกิ่งไม้ผึ่งตากเอาไว้อย่างดี แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม

“หมานคืออะไร” ต้นกล้าถามขึ้นเมื่อได้ยินศัพท์ใหม่แปลกหู ไอ้จ๋าจึงช่วยไขข้อข้องใจ

“หมานนี่เป็นภาษาอีสานบ้านเราครับลูกพี่ ความหมายในแง่ดี หมายถึง โชคดีหรือมีโชค อย่างหาปลาเนี่ย ถ้าเขาบอกว่าหาปลาได้หมานก็คือหาได้เยอะ หาเก่ง เป็นคนมือขึ้น ใช้กับเหตุการณ์อื่นคล้ายกันได้ บางคนไม่หมานหายังไงก็ไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นครับ”

“แต่ถ้าแฮกหมาน ก็ชนเลยครับพี่กล้า เอ้าชน” ทุกคนยกแก้วขึ้นมาชนกันอย่างสนุกสนานหลังจากไอ้ดำบอก

“ว่าแต่แฮกหมานมันโชคดีแบบไหนวะดำ แฮกนี่มันเป็นสัตว์เหมือนปลาหรือเปล่า”

“ฮ่า ๆ ๆ มุขหรือเปล่าพี่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” ไอ้ดำหัวเราะงอหายกับสีหน้าของต้นกล้า ที่แม้ว่ายังงงกับศัพท์ใหม่อีกคำแต่ก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาชนอย่างพร้อมเพรียงอย่างสนุกสนาน “แฮก ความหมายเดียวกันกับคำว่า แรก ครับ ถ้าเอามารวมกันจะได้ความหมายดี ๆ ถึงการเอาฤกษ์เอาชัยก่อนทำอะไรก็ตามเพื่อให้เป็นสิริมงคล”

“เป็นการประเดิมครั้งแรกเพื่อสิ่งดี ๆ ที่จะตามมาอะไรประมาณนี้ครับลูกพี่ เอ้าแฮกหมานอีกสักยกซิพวกมึง หมดแก้วโว้ย” ไอ้จ๋าบอกแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นชนอีก ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ร่วมวงกันมากทีเดียว แม้ว่าวงนี้จะแฮกหมานกันแล้วหลายรอบก็ตาม

“เพลา ๆ หน่อยเดี๋ยวก็เมาหรอก” เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกเมื่อเห็นว่าต้นกล้าแฮกหมานไปหลายรอบแล้ว

“ยุ่ง”

“อ้าว” คนหวังดีทำหน้าตึงแต่ไม่จริงจังนัก เพราะเข้าใจว่าสาเหตุมาจากปริมาณแอลกอฮอล์ ที่อยู่ในร่างกายของต้นกล้ากำลังได้ที่ ส่วนเขาเองเพียงแค่จิบแก้คอแห้งเท่านั้น เพราะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ที่ดื่มปกติก็เฉพาะเวลาเข้าสังคม “กินปลาสิอร่อยนะ”

“อืม เนื้อหวานดี” เด็ดเดี่ยวยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำชมหลังจากเขาตักเนื้อปลาร้อน ๆ วางบนใบตองของต้นกล้า ซึ่งแน่นอนว่าความเอาใจใส่นี้ อยู่ในสายตาของไอ้จ๋าคู่ปรับกลาย ๆ ที่มองอยู่ และมันก็มองทุกคนอย่างทั่วถึง

“แกะกินเองไม่เป็นหรือไง” จนมาถึงออเรนจ์ เห็นว่าไอ้ว่าวเพื่อนรักของมันกำลังตักปลาให้อยู่พอดี เลยอดที่จะแขวะออกมาได้

“หืม” ออเรนจ์ช้อนตาเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋าตาแป๋วเมื่อได้ยิน เพราะไม่รู้ว่าไอ้หมาหน้าดำมันว่าใคร แต่พอเห็นตาดุ ๆ ที่จ้องมองมา ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร

“ตักไม่เป็นกูตักให้ก็ได้ เรายินดีให้บริการออเรนจ์นะจ๊ะ” ไอ้ว่าวบอกแล้วหันไปทำตาเล็กตาน้อยส่อแววส่งความหมาย เพื่อสื่อใจให้ออเรนจ์ ที่กำลังประหม่า เพราะนั่งขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างไอ้จ๋าและไอ้ว่าว ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะฟาดฟันกันด้วยสายตา โดยไอ้จ๋าทำตาดุประหนึ่งว่าจะส่งสายฟ้าออกมาผ่ากระหม่อมเพื่อนเสียให้ได้ ส่วนไอ้ว่าวแค่มองตอบแบบกวน ๆ แต่ก็เล่นเอาไอ้จ๋าแทบของขึ้น เพราะความกวนไม่รู้เวลาของมันนี่แหละ ไม่รู้ทำไมมันต้องหงุดหงิดให้ได้สิน่า

“เราตักเองได้ ขอบใจนะ” ออเรนจ์หันไปบอกไอ้ว่าว ที่ตักเนื้อปลามาให้จนพูนแผ่นใบตองที่รองกิน นั่นจึงทำให้มุมปากของไอ้หมาหน้าดำอย่างไอ้จ๋ายกขึ้นเย้ยหยันเพื่อน และมันเองก็ไม่รู้ตัวหรอก เพียงแค่เห็นว่าตัวเองเป็นต่อก็แสดงความสะใจออกมาเท่านั้นเอง แต่..การกระทำของมันอยู่ในสายตาของเพื่อนอีกสามคนอย่างไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน และไอ้ดำ ที่ลอบมองดูพฤติกรรมของมันอยู่ เหมือนกำลังรวบรวมข้อมูลลับเฉพาะ หลังจากนั้นต่างคนก็พากันกินคุยเล่นกันไป จนไม่นานปลาเผาตัวใหญ่สามตัวก็เหลือแต่ก้างกับหัว

“เอาปลาอีกมั้ยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าหันไปถามเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าที่กำลังเถียงกันเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

“อิ่มกันหรือยังล่ะ ไม่อิ่มก็ลงเอาอีกเลยตามสบาย” เด็ดเดี่ยวถามกลับมองหน้ารุ่นน้องแต่ละคน ที่ดูเหมือนว่ามันจะพากันกินเก่งซะเหลือเกิน ปลาตัวใหญ่ตั้งสามตัวหมดเกลี้ยง และดูท่าพวกมันจะไม่อิ่มกันเสียด้วย

“แหะ ๆ เผาอีกสักตัวสองตัวเป็นไรพี่” เป็นไอ้ดำจอมตะกละนั่นแหละที่เสนอออกมา

“ใครจะลงรอบนี้”

“ไอ้ว่านมึงลงเลย” เป็นไอ้จ๋าสั่งเพื่อนอีกตามเคย

“มึงนี่เป็นอะไรกับไอ้ว่านมากเปล่าวะไอ้จ๋า สั่งมันจังนะ”

“หึ ๆ เพราะรู้ว่ามีหมาอย่างมึงคอยขัดไงล่ะไอ้ดำ หรือมึงจะลงแทนมัน”

“ไม่มีปัญหา”

“เฮ้ย ๆ อะไรของมึง เดี๋ยวกูลงเองก็ได้ ระดับกูแล้วเรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ โว้ย” ไอ้ว่านออกตัวแรงพลางลุกขึ้น พลางถอดเสื้อผ้าโชว์ก้างกับหุ่นผอมกะล่องของมัน เตรียมลงจับปลาอีกรอบ

“เอาตัวใหญ่ ๆ มาสักสามตัวก็พอนะมึง” ไอ้ว่าวบอก

“จัดไป” ไอ้ว่านถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงขาสั้นเดินไปหยิบแหเตรียมลงหว่าน มีไอ้ดำลุกตามไปอีกคน

“ไอ้สองคนนี้มันยังไง ๆ อยู่นะกูว่า” ไอ้ว่าวถามออกมาเมื่อสองคนที่ลุกไปอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยิน

“หึ”

“เหมือนมึงจะรู้อะไรดี ๆ”

“เปล๊า..”

“ไอ้จ๋าเสียงมึงสูง”

“เออก็เปล่าไงวะ รอดูเองเหอะ คิก ๆ ” ไอ้จ๋าหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้องอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ยอมเผยสิ่งที่รู้ออกมา ไม่พอยังหันไปพยักหน้าให้ออเรนจ์ที่นั่งข้างกันอีกด้วย

“ไหวมั้ยเนี่ย”

“ไหวเซ่ ไอ้ว่าวรินเบียร์มาอีกดิ๊”

“ครับพี่”

“พี่ว่าเรามะ..เหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ เข้าบ้านก่อนดีกว่ามั้ย” เด็ดเดี่ยวเลี่ยงคำว่าเมา เพราะรู้ดีว่าตัวพ่ออย่างต้นกล้าถ้าได้ยินคำนี้คงยิ่งจะรั้น และดื่มมากกว่าเก่า “นี่คงไปดูไร่ต่อไม่ไหวแน่ ๆ ”

“ใครล่ะชวนมาลงปลาก่อน ชิตัวเองนั่นล่ะ”

“ปะกลับกันก่อนงั้น” เมื่อเด็ดเดี่ยวกระตุกแขนต้นกล้าจึงหน้างอยิ่งกว่าเก่า

“เอามา ๆ หมดแก้วก่อนไป”

“อ้าวไปไหนครับพี่” ไอ้จ๊ะเอ๋ถามเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวยืนขึ้น

“เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวบ่าย ๆ มีธุระต่อตามสบายนะ ปลาไม่พอก็ลงอีกเลยไม่ต้องเกรงใจ” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วเดินออกไป

“แฮกหมานโว้ย ฮ่า ๆ “ต้นกล้าบอกเมื่อรับแก้วเบียร์มาจากไอ้ว่าว เสียงหัวเราะของทุกคนประสานกันดังขึ้นอีก “ไอ้ว่าวรินมาอีกเร็ว ๆ “ต้นกล้าเรียกเบียร์อีกแก้วเมื่อหันไปมองตามคนที่พึ่งเดินออก และเห็นว่าเด็ดเดี่ยวเดินไปไกลแล้ว พอได้ก็กระดกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนจะบอก

“ไปนะโว้ย เออ ไอ้จ๋าไปส่งออเรนจ์ให้ถึงบ้านด้วยนะ อย่าพากันเถลไถลล่ะ ไปนะตัวเล็ก”

“สวัสดีฮะพี่กล้า” ออเรนจ์ยกมือไหว้ต้นกล้าที่ก้มลงมายีหัวก่อนจะเดินออกไป “อุ้ย อะไรจ๋า”

“ปัดผมไง จะปล่อยให้ฟูเป็นยายเพิ้งเหรอ”

“ขอบใจ”

“อะไรวะไอ้นี่ขู่เอา ๆ นะมึง”

“นั่นสิ ออเรนจ์ของกูกลัวหมดแล้ว”

“เรื่องของกู” ไอ้จ๋าปัดปอยผมที่ชี้ไม่เป็นทรงให้ออเรนจ์เพราะถูกต้นกล้ายีหัว จึงถูกไอ้จ๊ะเอ๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าเข้าให้ โดยมีไอ้ว่าวคอยเสริม จากนั้นก็พากันกินต่อ ไอ้สองคนที่ลงปลาก็ได้ปลาตัวใหญ่มาเผาเพิ่มอีกสามตัวตามสั่ง ขณะที่นั่งรอปลาก็พากันจิบเบียร์คุยกันรอไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายแก่ ๆ ออเรนจ์ก็ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านสักที

เต็มตอนแล้วนะคะ... จ้ากันตอนต่อปายยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 12 ลงปลา ลงเพิ่มแล้ว ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-11-2018 01:55:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก50% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 18-11-2018 18:14:42


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 13 สายแว็นซ์ใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก

ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับมาด้วยกัน ต้นกล้าก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่เด็ดเดี่ยวพูดตอนอยู่ที่บ่อปลา ที่ว่ามีเรื่องจะบอก ถึงแม้ตัวเขาจะรู้ว่าตัวเองรู้สึกหวั่น ๆ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าอีกคนจะรู้สึกตรงกันหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะยอมรับอะไรบ้า ๆ แบบนี้ ทั้งที่ตอนแรกเกลียดขี้หน้ากันจะตายไป แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก และเด็ดเดี่ยวเองก็ไม่เคยรักชอบผู้ชายมาก่อนด้วย แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเหมือนกับว่า อีกคนไม่แน่ใจในตัวเองด้วยซ้ำว่ารู้สึกยังไง ต้นกล้าพยายามจะไม่สนใจแล้วนะ แต่ทำไมคำพูดของคนตัวโตมันยังวนเวียนอยู่ในหัว และคอยแต่จะดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ แบบนี้ รอฟังเหรอ จะให้ต้นกล้ารอฟังอะไรล่ะ เรื่องตลก เรื่องขำขัน หรือเรื่องอะไร มีอะไรควรพูดออกมาตรง ๆ ดีกว่าทิ้งเอาไว้ให้คาใจหรือเปล่าวะ คนคนนี้จะเล่นอะไรกับความรู้สึกของต้นกล้าอีก โต ๆ กันแล้วนะ มีอะไรทำไมไม่รู้จักพูดดี ๆ ตรง ๆ หรือเห็นต้นกล้าเป็นเพียงแค่ตัวตลก ที่เอาไว้แกล้งเล่นสนุก ๆ นี่อุตส่าห์ญาติดีด้วยแล้วนะ ให้โอกาสมาก็หลายครั้งแล้ว ถ้าคิดจะแกล้งอะไรกันล่ะก็ อีกเป็นได้เห็นไอ้กล้าองค์ลงแน่ ๆ ว่ะ พอคิดมาถึงตรงนี้ ตาสวยก็หันขวับไปมองคนที่กำลังตั้งใจขับรถอย่างเอาเรื่อง จนเด็ดเดี่ยวสะดุ้งโหยง

“อะ อะไร”

“กำลังวางแผนแกล้งอะไรเราอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า อย่ามองพี่ในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ”

“แล้วตอนนั้นจะพูดอะไรทำไมไม่พูดออกมาให้หมด”

“ไม่มี้....แล้วนี้อย่ามองพี่ตาขวางแบบนั้นสิมันน่ากลัวนะ”

“..” ต้นกล้าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพราะเอาแต่จ้องหน้าเด็ดเดี่ยว ด้วยสายตาเค้นหาความจริง เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียให้ได้มันเดี๋ยวนี้ สายตาที่ยังคงมองอย่างกดดัน เพราะสิ่งที่คิดเองเออเอง จากการกระทำที่ผ่านมาของเด็ดเดี่ยว แต่ละอย่าง ที่คนตัวโตเคยทำกับต้นกล้าเอาไว้ ก็มีแต่แบบหนัก ๆ ทั้งนั้น ทั้งแกล้ง ทั้งเป็นต้นเหตุให้ถูกแกล้ง รวม ๆ แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือต้นกล้าจะเป็นอะไรยังไง มันต้องมีคนคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตลอดสิน่า ส่วนต้นกล้านั้นหากไม่เจ็บตัวก็กลายเป็นตัวตลกโดนคนอื่นหัวเราะเยาะ ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับเขากันแน่ แต่กระนั้นจนแล้วจนรอดต้นกล้าก็ยังทำใจให้โกรธจริง ๆ ไม่ได้สักทีนี่ล่ะ เจ็บใจตัวเองโว้ย!

เมื่อคุยกับเด็ดเดี่ยวไม่ได้ดังใจก็หันมาสนใจโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนี่เป็นอีกกิจวัตรหนึ่งที่ต้นกล้าใช้เวลาต่อวันกับมันอยู่นานทีเดียวในแต่ละวัน เพราะตั้งแต่ที่เขาเริ่มอัปเดตความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับการมาเป็นชาวนาชาวไร่อย่างเต็มตัว ก็มีคนเข้ามาติดตามมากมาย มีข่าวออกไปพาดหัวเสียเท่ว่า ‘หนุ่มชาวนาหล่อที่อุดรฯ ’ และลงรูปของเขาเด่นหราเห็นหน้าชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ใคร ๆ ก็ต่างหันมาสนใจความเคลื่อนไหวในแต่ละวันของต้นกล้ากัน และจำนวนคนติดตามก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลงรูปแต่ละทีมีคนเข้ามากดถูกใจให้ทีละหลายพัน รูปสวย ๆ ที่มีบรรยากาศสดชื่นสดใสของท้องทุ่ง วิถีชีวิตแบบอยู่กับธรรมชาติ โดยการพึ่งพาเทคโนโลยีให้น้อยที่สุด เป็นชีวิตในแบบที่คนเมืองหลายคนแสวงหา หรือรูปของต้นกล้าเองที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เจ้าตัวเอาลงโพตส์ลงในเฟชบุค รูปเหล่านั้นถูกแชร์กระจายต่อ ๆ กันไป มีคอมเมนต์มากมายที่ต้นกล้าก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่ส่วนมากเขาจะไม่ค่อยตอบ เพราะเหตุผลเดียวคือขี้เกียจและเสียเวลา วันนี้เขาลงรูปปลาเผาตัวใหญ่วางอยู่บนใบตอง และกองส้มตำเรียงรายอยู่รอบ ๆ ไม่ถึงห้านาทีคนกดถูกใจเป็นพัน แชร์ต่ออีกหลายร้อยและคอมเม้นอีกเพียบ!

เด็ดเดี่ยวทำท่าทางเหมือนกับว่ากำลังตั้งใจในขับรถ แต่สายตาคมของชายหนุ่มกลับแอบเหล่มองคนที่เล่นโทรศัพท์มือถือเพลิน และได้เห็นว่าต้นกล้ากำลังทำอะไร ซึ่งเขากำลังเก็บข้อมูล

“หืม ไม่ได้ไปส่งเหรอ” ฮ้าว ถามแล้วก็หาวออกมาซะจนน้ำตาไหล เมื่อคนตัวโตรถจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่พามาเมื่อเช้า

“ก็บ่ายจะออกไปดูไร่อยู่ไม่ใช่เหรอ” ต้นกล้านิ่งคิดตอนนี้ก็รู้สึกถึงความมึนในหัวอยู่ไม่น้อย เพราะเบียร์ที่ดื่มเข้าไปพอสมควรและหนังท้องที่ตึง ใจจริงก็อยากไปดูไร่ของอีกคนล่ะนะ แต่อีกใจก็เหมือนกับว่าจะขี้เกียจไม่อยากไปแล้วว่ะ แต่ถ้าหากเขาบอกว่าไม่อยากไป หรือไปไม่ไหวเพราะมึนหัว คงได้โดนคนที่นั่งรอคำตอบอยู่ข้าง ๆ กันนี้ กัดหรือแซะจนแผลเหวอะหวะเอาได้แน่ ๆ แล้วถ้าไปจะไหวหรือเปล่านี่สิคือปัญหา แต่สุดท้ายเด็ดเดี่ยวก็ส่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาให้

“ไปนอนพักในบ้านก่อนปะ เดี๋ยวสักบ่ายแก่ ๆ ค่อยออกไปจะได้ไม่ร้อน”

“งั้นไปส่งเราที่บ้านสิ”

“นอนนี่ก็ได้ครับจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา”

“แต่...”

“น่าไม่ต้องเกรงใจหรอก ทีพี่ไปนอนบ้านต้นกล้ามาก็หลายครั้งแล้ว คราวนี้มานอนบ้านพี่บ้างจะเป็นไรไปครับ” พูดจบก็ดับเครื่องยนต์ถอดกุญแจลงจากรถไปทันที โดยไม่ให้ตนกล้าได้คัดค้านปฏิเสธเอาเสียเลย แหม ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ไปนอนบ้านต้นกล้ามาก็หลายครั้งแล้ว พูดอย่างกับว่าเขาชวนและเต็มใจให้ไปอย่างนั้นแหละเนอะ ต้นกล้าแอบแขวะในใจ แต่มือก็เปิดประตูตามคนตัวโตลงรถไป

เมื่อเห็นต้นกล้าลงจากรถปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เด็ดเดี่ยวก็กดล็อครถแล้วเดินนำเข้าบ้านหน้าตาระรื่น เพราะกำลังอารมณ์ดี แน่ล่ะสิก็อีกคนว่าง่ายออกปานนั้นจะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะรั้นและเถียงอยู่บ้าง แต่บอกอะไรไปก็ทำตามกันทุกอย่างล่ะนะ ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เด็กดีแถมยังน่ารักอีกด้วย หึ ๆ

“อ้าว..หายไหนของเขาแล้ววะ” ต้นกล้าสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของบ้าน ที่เห็นหลังไว ๆ เดินนำเข้ามา แล้วอยู่ดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็หายไปเสียเฉย ๆ บ้านทั้งหลังมีแต่ความเงียบจนเหมือนกับว่ามีต้นกล้าอยู่คนเดียว

“อยู่ไหนอะ”

“พี่อยู่ข้างบน” เสียงขานรับตามมาด้วยเจ้าของเสียง ที่โผล่มาแค่หน้าที่ชะโงกข้ามราวบันได

“แล้วขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้นล่ะ ลงมาดิ”

“เก็บของอยู่ ขึ้นมานี่มา” สิ้นเสียงบอกว่า ขึ้นมานี่มา ต้นกล้าก็มองไปทางบันไดที่จะพาขึ้นชั้นสองของบ้าน แต่ยังไม่ทันไดก้าวขาก็ให้คิดได้ว่า ทำไมถึงต้องทำตามที่อีกคนสั่งและเท้ากำลังจะก้าวไปก็หยุดชะงักลง ต้นกล้ายืนทำหน้าตึงอยู่อย่างนั้นเพราะขัดใจ ง่วงก็ง่วง อยากกลับก็อยากกลับ แต่จะทำยังไงได้ ถ้าร้องกลับตอนนี้มีหวังโดนอีกคนล้อไม่เลิกแน่ ต้นกล้าไม่ใช่ไอ้อ่อนหรอกนะที่แค่นี้ก็ยังทนไม่ได้ แต่ไอ้ความง่วงงุนนี่มันคืออะไร ทำไมตามันเหมือนจะปิดไม่ปิดแหล่อยู่ตลอดเวลา มีใครเป็นเหมือนต้นกล้าไหม ที่เรื่องดื่มเหล้าดื่มเบียร์นี่บางวันก็ดื่มได้ไม่มีปัญหา ดื่มหนักดื่มเยอะแค่ไหนก็ไม่มีคำว่าถอย แต่บทจะไม่ไหวดื่มลงไปไม่กี่แก้วก็เริ่มมึน หรือกินไปมาก ๆ เหมือนจะไม่เมา แต่ก็ไม่สบายตัวจนกว่าจะได้ระบายออก เอ่อ..หมายถึงอาเจียนนะ ที่ไม่สบายตัวก็จะเป็นอาการมวนท้อง ท้องไส้ปั่นป่วนไง หรือบางครั้งพอมึนแล้วก็ง่วงและต้องนอนมันเสียเดี๋ยวนั้นให้ได้ ไม่รู้ใครเป็นบ้างแต่อาการเหล่านี้เป็นกับต้นกล้าบ่อย ๆ และแก้ไม่หายสักทีสิน่า

“ต้นกล้า”

“อะไร”

“ขึ้นมานี่ก่อนมา”

“เรารออยู่ข้างล่างก็ได้”

“ขึ้นมาเถอะ ข้างล่างไม่มีใครอยู่”

“ก็ลงมาสิ”

“พี่จัดของอยู่”

“จิ๊” ด้วยความหงุดหงิดรำคาญและเบื่อที่จะต่อคำ ต้นกล้าจึงเดินขึ้นบันไดที่มีเด็ดเดี่ยวเกาะราวบันไดรออยู่ และโผล่มาแค่หัวเพื่อคุยกัน

เมื่อขึ้นมาแล้วต้นกล้าก็พบกับส่วนของห้องนั่งเล่นขนาดพอดี ซึ่งแต่งจากโถงกว้าง มีโซฟาชุดใหญ่น่านอนติดกับระเบียงหน้าบ้านของชั้นสอง ผนังบ้านฝั่งหนึ่งเป็นชั้นหนังสือ ส่วนอีกฝั่งเป็นห้องที่มีประตู 2 บานปิดสนิท ซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคนในบ้านนี้ ส่วนอีกห้องดูเหมือนจะแยกออกไปด้านหลังและเปิดประตูเอาไว้ ต้นกล้าจึงเดาว่านั่นน่าจะเป็นห้องของเด็ดเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้เดินตามไปดู เพราะจุดหมายปลายทางที่หมายตาเอาไว้แต่แรก คือโซฟาชุดใหญ่หนานุ่มน่านอนนั่นต่างหาก

เมื่อความหนานุ่มของโซฟากวักมือเรียกอยู่ไหว ๆ ต้นกล้ามีหรือจะอดใจไม่เดินเข้าไปได้ สองขาก้าวเข้าหาทิ้งตัวลงนั่ง ตอนแรกก็กะว่าจะนั่งเล่น ๆ รอนั่นแหละ แต่ไปยังไงมายังไงก็ไม่รู้ จากนั่งกลายเป็นตัวเอนลงเรื่อย ๆ จนนอนแผ่ หรืออาจจะเป็นเพราะลมเย็น ๆ จากพัดลมตัวใหญ่ติดโคมไฟสวยหรูที่ให้ความเย็นมาจากเพดาน ผสานเข้ากับลมธรรมชาติ ที่โชยมาเป็นระยะช่วยเร่งปฏิกิริยา ทำเอาต้นกล้าเคลิบเคลิ้มแล้วเผลอหลับไป



%%%%%%



เมื่อกินปลากันจนอิ่มหนำสำราญก็พอดีกับเบียร์ที่ซื้อมาหมดลง งานเลี้ยงวันนี้จึงถึงคราวเลิกรา ต่างคนก็ต่างช่วยกันเก็บกวาด เศษอาหารที่เหลือถึงไม่เยอะมากก็ถูกนำมารวบรวมใส่ถัง เพื่อเอาไปรวมกับอาหารอย่างอื่นให้หมูในฟาร์ม ซึ่งเป็นหน้าที่ของไอ้ดำ ที่แน่นอนว่ามันพยายามลากไอ้ว่าน ที่มีสีหน้าหงุดหงิดรำคาญไปด้วยกันอย่างไม่เต็มใจ ส่วนออเรนจ์ก็ได้เวลากลับบ้านสักที เพราะตอนนี้มันล่วงเข้าจนบ่ายแก่กันแล้ว

“กลับเลยมั้ย”

“ก็ได้ แต่ว่าฉันจะกลับยังไงล่ะ”

“เอ้าเธอนี่”

“ให้เราไปส่งมั้ยออเรนจ์น้อย” คำเรียกเปลี่ยนไปตามความเอ็นดูที่มีให้ เมื่อไอ้ว่าวถามแทรกขึ้นมาหลังจากไอ้จ๋าถามออเรนจ์เรื่องกลับบ้าน ซึ่งไอ้จ๋าเองมันก็ได้แต่มองคนตัวผอมเงียบ ๆ ว่าอีกคนจะว่าอย่างไรที่มีคนเสนอตัวไปส่ง

“เอ่อ..” ออเรนจ์ไม่ตอบเพราะรู้สึกเกรงใจ จึงขยับเข้ามากระตุกเสื้อด้านหลังของไอ้จ๋าแทน แต่ไอ้คนหน้าดำมันก็ยังนิ่งเฉยทั้งที่รู้ว่าคนตัวผอมกระตุกเสื้อมันทำไม

“เราว่า..”

“เป็นอะไรของเธอยัยส้มเน่านี่”

“จ๋าไปส่งเราได้มั้ยนะ ๆ ” กระซิบบอกเสียงเบาเพราะเกรงใจในความหวังดีของไอ้ว่าว

“ไปกับไอ้จ๋าไม่กลัวมันขบหัวเอาหรือไง เห็นนั่งมองตาขวางอยู่ทั้งวันอย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านเองก็ได้” ว่ากันจริง ๆ ถึงไอ้จ๋ามันจะนั่งมองตาขวางยังไง ออเรนจ์ก็ยังรู้สึกวางใจมันมากกว่าคนอื่นที่พึ่งเจอกันวันนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวจะถูกพาไปทำมิดีมิร้าย แต่ความอุ่นใจวางใจนั้นออเรนจ์สัมผัสมันได้ดีกว่าหากเป็นไอ้จ๋า เจ้าของร่างผอมบางช้อนตาขึ้นมองไอ้หมาหน้าดำที่มองตอบกลับมานิ่ง ๆ ไม่เอ่ยคำ ทำให้แอบหวั่นอยู่ไม่น้อยว่าตัวเองไปทำอะไรให้มันไม่พอใจอีกหรือเปล่า

“คือเราเกรงใจ ให้จ๋าไปส่งเราขึ้นรถสองแถวก็ได้ไม่เป็นไรหรอกว่าว”

“ก็แค่นั้น” ไอ้จ๋าบอกแล้วเดินไปหาไอ้จ๊ะเอ๋ ที่เอาแหไปเก็บแล้วเดินกลับมาพอดี ทั้งสองกระซิบกระซาบพูดคุยตกลงอะไรบางอย่างกันเล็กน้อย ก่อนจะพยักพเยิดให้กันเป็นอันเข้าใจแล้วเดินกลับมา

“มีรถสองคัน อัดสามกลับก็แล้วกัน” ไอ้จ๊ะเอ๋บอกเมื่อเดินมาหาเพื่อนคนอื่นที่ยืนรออยู่

“งั้นกูไปกับมึง” ได้ว่านรีบเสนอตัวไปกับไอ้จ๊ะเอ๋ แต่..

“มึงไปกับไอ้ดำ ไอ้ว่าว เดี๋ยวกูไปส่งไอ้จ๋ากับออเรนจ์น้อย”

“เอาแบบนั้นเหรอ” ไอ้ว่าวหันมาถามความเห็นของออเรนจ์อีกครั้ง เพราะใจก็อยากไปส่งนั่นแหละ ไม่ใช่อะไรมากหรอกแค่อยากกวนประสาทไอ้หมาบ้าปากแข็งก็เท่านั้นเอง ที่จีบที่แซวชวนคุยอยู่ทั้งวันนี่ก็สนุกเหลือเกิน ที่ได้เห็นมันคอยขัดคอแบบวางฟอร์ม และนั่งทำตาขวางเหมือนถูกผีเข้าเพราะความหวงก้างโดยไม่รู้ตัวของมัน

“ขอบใจนะว่าวที่อาสาไปส่ง เดี๋ยวเราให้จ๋าไปส่งขึ้นรถสองแถว”

“ไปได้แล้วยัยเผือก ล่ำลาอยู่นั่นแหละ” ไอ้จ๋าบอกแล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของไอ้จ๊ะเอ๋ ที่เจ้าของรถมันรออยู่แล้ว ออเรนจ์มองตามแล้วหันกลับมายิ้มให้ไอ้ว่าวที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้ ทั้งหมดจึงแยกย้ายกัน

“เดี๋ยวกลับมาจะรีบเอาไปคืน” ไอ้จ๋าบอกเมื่อขับรถมาส่งไอ้จ๊ะเอ๋ถึงหน้าบ้าน เพราะตกลงยืมรถกันไวก่อนหน้านี้แล้ว

“เออ ขับดี ๆ ล่ะมึง แล้วเจอกันใหม่นะครับคนสวย” ไอ้จ๊ะเอ๋บอกแล้วหันไปลาออเรนจ์ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

“จะนั่งไปทั้งแบบนี้หรือไง”

“แล้วจะให้เรานั่งไหนล่ะ”

“ก็ลงไปนั่งข้างหลังสิ”

“ก็ได้” ออเรนจ์ก้มหน้างุดแล้วขยับตัวลงจากรถ เพราะตอนมานั้นมากันสามคนไอ้จ๊ะเอ๋นั่งหลัง ไอ้จ๋าจึงให้ออเรนจ์มานั่งข้างหน้ามันเหมือนเมื่อเช้า แต่พอส่งไอ้จ๊ะเอ๋แล้วมันก็ไล่ให้ออเรนจ์ลงไปนั่งข้างหลังอย่างที่ควรจะเป็น

“อะไรอีกล่ะจ๋า” ไอ้จ๋ามองตาขวางอีกแล้ว และมันทำให้ออเรนจ์แทบสะดุ้งตกใจหงายหลังตกรถ กับสายตาเอาเรื่องของมัน ไม่รู้เป็นอะไรสิน่าทั้งที่เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่เลย

“นั่งไกลขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตกหรอกยัยเผือกขยับเข้ามาอีก” ถึงวันนี้ไอ้จ๋ามันจะดุไปหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมใจดวงน้อย ๆ ที่เต้นอยู่ในอกมันถึงได้สั่นไปเสียทุกครั้ง ที่ไอ้หมาบ้ามันพูดแบบนี้ออกมา ออเรนจ์คิดขณะที่ขยับเข้าไปชิดไอ้จ๋าจนตัวแทบจะติดกัน แต่ด้วยกลัวว่าไอ้หมาบ้ามันจะหันมากัดเอาอีก จึงแอบเว้นระยะห่างเอาไว้อยู่เล็กน้อย ทั้งที่นั่งติดกันคงดีกว่านี้ งื้อ..จ๋านะจ๋า

“ว้าย” ! ออเรนจ์ร้องออกมาเพราะตกใจ ที่ไอ้จ๋าออกรถไม่บอกไม่กล่าว แถมยังบิดคันเร่งให้รถกระชากออกตัวไปอย่าแรง จนร่างบอบบางหงายเงิบไม่เป็นท่า ขาก็ชี้ขึ้นมาอย่างน่าอาย ดีที่มือเรียวจับชายเสื้อของมันเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้มีตกรถให้ได้อายเป็นแน่แท้

“ตกใจหมดเลยจ๋า ขับดี ๆ หน่อยสิเรากลัวนะ”

“ก็บอกให้จับดี ๆ แล้วไง”

“..” ไม่รู้จะหงุดหงิดอะไรนักหนาจนคนตัวเล็กเลยได้แต่ก้มหน้า เพราะกลัวไอ้หมาบ้านมันขบหัวเอา และพออีกคนเอาแต่เงียบ ไอ้จ๋าเลยหันกลับมาเหลือบมองทางหางตา พอเห็นอีกคนเอาแต่นั่งก้มหน้าเลยไม่สนใจอะไรอีก แล้วหันกลับไปมองทางต่อ

ไอ้จ๋าขับรถด้วยความเร็วที่ค่อย ๆ เร่งขึ้น ต่างคนก็ต่างเงียบและยิ่งไอ้จ๋าเงียบออเรนจ์ก็ยิ่งไม่กล้าชวนคุย ยิ่งไม่ชวนคุยก็ยิ่งเกิดความเงียบระหว่างสองคนจนน่ากลัว เสียงรถดูเหมือนว่าจะดังเกินไปเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกลัวก็ยิ่งเงียบและเกร็ง แต่ไม่นานความกลัวในใจกลายเป็นความรู้สึกอย่างอื่น ที่มันเอ่อล้นท่วมท้นจนออเรนจ์เองก็บอกไม่ถูก เพราะอึ้งจนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไร เมื่อมือใหญ่ ๆ ที่ด้านและสากระคาย เพราะทำงานหนักของไอ้จ๋า เลื่อนมากุมมือเล็กที่จับชายเสื้อมันอยู่ ดึงไปให้กอดรอบเอวหนาของตัวมันเอง จากข้างซ้ายแล้วดึงไปจับเอาข้างขวามารวมกัน ตอนนี้จึงกลายเป็นว่า ออเรนจ์ต้องขยับเข้าหา จนหน้าอกแนบแผ่นหลังและกอดเอวไอ้จ๋าเอาไว้เสียแน่น เพราะถูกมือใหญ่ข้างนั้นจับไว้ไม่ยอมปล่อย ปากสวยยกขึ้นยิ้มบาง ๆ จนเจ้าตัวต้องพยายามขบและเม้มมันเอาไว้ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของไอ้หมาบ้าหน้าดำ แต่ความอิ่มเอมในใจมันมีมากเหลือเกิน มากเกินกว่าจะกลั้นความลิงโลดที่อัดแน่นอยู่ในอก การกระทำที่ไอ้จ๋าคงคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระสำหรับมัน แต่สำหรับออเรนจ์แล้ว นี่มันเหมือนกับว่า ไอ้จ๋าจับร่างบอบบางของออเรนจ์ยกขึ้น แล้วพาหมุนตัวไปรอบ ๆ บนทุ่งดอกไม้กว้างก็ไม่ปาน

งื้อออ รู้สึกดีอะจ๋า ออเรนจ์ได้แต่กรีดร้องในใจ เพราะไม่รู้จะระบายความสุขนี้ออกมาอย่างไรดี โดยที่อีกคนไม่หาว่าเป็นบ้าไปเสียก่อน ทั้งที่ไอ้คนขับรถนั่นมันไม่ได้คิดอะไร และไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำเพราะ.....

“ถ้ากอดดี ๆ แบบนี้แต่แรกก็ไม่หงายเงิบเหมือนเมื่อกี้แล้ว”

“ก็เราไม่รู้นี่ว่าจ๋าจะออกรถแรงอย่างนั้น”

“หัดจำไว้ซะบ้างคราวหลังจะได้ระวังตัว”

“จ๋าจะขับให้เรานั่งอีกเหรอ”

“เหอะ ไม่มีทาง”

“งั้นก็ไม่เห็นต้องจำเพราะเราคงไม่ได้ไปนั่งซ้อนท้ายใครอีกแล้ว”

“ปากดี นี่กลัวปลิวหรอกนะที่ให้กอดเนี่ย ผอมขนาดนี้เธอกินข้าววันละกี่คำกัน”

“ก็เยอะอยู่นะ มันไม่อ้วนเอง”

“โอ๊ย ฉันประชดหรอกยัยส้มเน่า”

“แต่ฉันอยากตอบจริง ๆ นี่”

“เออ ๆ “

“เอ๊ะจ๋า”

“อะไรอีก”

“คิวรถสองแถวอยู่ไหนเหรอ ทำไมออกจากหมูบ้านมาไกลแล้วไม่ถึงสักที”

“นี่เธอจำทางกลับบ้านตัวเองได้มั้ยเนี่ยห๊ะ”

“จำได้แต่..เราแค่สงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวรถสองแถวน่ะ”

“แล้วเธอจะไปคิวรถสองแถวทำไมวะ”

“ก็นายจะไปส่งเราขึ้นรถกลับบ้านไม่ใช่หรือไง”

“ใครบอกฉันจะให้เธอนั่งสองแถวกลับล่ะ”

“อ้าว ก็นึกว่า..”

“นั่งเงียบ ๆ เหอะน่า” ทั้งสองจบการสนทนากันเพียงเท่านี้ เพราะไอ้จ๋าหันมาโวยวายที่ออเรนจ์เอาแต่ถามนั่นถามนี่ ถามเฉย ๆ ไม่พอนะ ยังมีการยืดตัวชะโงกมาส่องดูหน้ามันอีก รถก็วิ่งเร็วกลัวจะปลิวตกก็กลัว พอไม่ถนัดก็เล่นเอาคางเล็ก ๆ แหลม ๆ นั่นวางเกยลงที่ไหล่แน่นของมันด้วยซะเลย ไอ้จ๋าที่กลัวว่ามือจะสั่นจนพากันเกิดอุบัติเหตุ เลยแกล้งโวยวายแก้ความประหม่าให้ตัวเอง ก็เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากหรอก

เสียงเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซด์คันเก่งคู่ใจของไอ้จ๊ะเอ๋ ฟังแล้วก็ให้รู้สึกเพลิดเพลินโดยเฉพาะออเรนจ์ที่พอจะเข้าใจแล้ว ว่าไอ้หมาบ้าคงจะพาไปส่งถึงที่บ้าน คนหน้าสวยเจ้าของร่างบอบบางจึงนั่งยิ้มแต้ไปตลอดทาง ผิดกับไอ้จ๋าที่ขับรถไปก็หน้าบูดหน้าบึงไป เพราะมันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกว่า เหมือนมีอะไรคับแน่นอยู่ในอก มันเหมือนมีลูกโป่งที่กำลังถูกเป่าลมเข้าไปเรื่อย ๆ และกำลังพองโตขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ในนั้น มันเหมือนจะอึดอัดแต่ก็ไม่ได้จะทำให้ตาย ซ้ำร้ายคือมันทำให้หัวใจเต้นจังหวะแปลก ๆ ไอ้หมาหน้าดำมันไม่เข้าใจตัวเองยิ่งคิดก็เลยยิ่งหงุดหงิด แต่ถึงหงุดหงิดกลับหยุดคิดไม่ได้ ยิ่งมือเล็ก ๆ ที่เกาะกอดเอวจะเผลอหลุดเมื่อไหร่ มันก็ต้องจับมาเกี่ยวกันไว้เหมือนเดิมทุกที เพราะยัยนี่น่ะ ไม่รู้หรอกว่าต้องระวังความปลอดภัยให้ตัวเองยังไง ให้นั่งกอดเอวแค่นี้ก็ยังทำดี ๆ ไม่ได้ เผลอ ๆ คงมีตกรถบ้างสักที คิดแล้วหงุดหงิดจริง ๆ

ภาพที่ผู้ชายตัวโตขับรถมอเตอร์ไซด์ และมีคนตัวเล็กที่ผอมบางนั่งซ้อนท้ายกอดเอวแน่น ดูแล้วให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น รถคันเล็กวิ่งไปในความเร็วปานกลาง สองข้างทางลาดยางขนาดสองเลนเป็นไร่มันสำปะหลัง บางช่วงเป็นไร่อ้อยและทุ่งนาที่เริ่มเขียวชอุ่ม เพราะต้นข้าวที่ปักดำเริ่มติดรากและเติบโต บางช่วงเป็นพื้นที่ป่าไม้และสวนยางพารา บางช่วงเป็นหมู่บ้านที่ถนนพาเข้าสู่ตัวอำเภอพาดผ่าน ทางดีบ้างขรุขระบ้างตามสภาพของการใช้งาน และงบประมาณที่กว่าจะมาถึงต้องจัดสรรปันส่วนให้ลงตัว

ไอ้จ๋าขับรถไปก็ให้รู้สึกอึดอัดฮึดฮัดอยู่ในใจคนเดียว แต่ออเรนจ์กลับเอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง กับการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของมัน ใจก็อยากคุยนะแต่ถ้ามันหันกลับมาขบหัวเอาอย่างที่ไอ้ว่าวเตือน ออเรนจ์จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า เท่านี้จ๋าก็ใจดีด้วยมากแล้วล่ะ งื้อ จ๋าอะ

ออเรนจ์นั่งปลื้มปริ่มอยู่เกือบยี่สิบนาที และแล้วในที่สุดรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งก็ขับมาจอดถึงหน้าบ้าน ซึ่งเป็นร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการเกษตรทุกอย่างและปุ๋ย

“ขอบใจนะจ๋า”

“เออ ไปล่ะ”

“อ้าว”

“อะไรอีก”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ไม่มีก็เข้าบ้านสิ”

“ก็ได้ แต่..”

“แต่อะไร”

“ขับรถกลับดี ๆ นะ”

“เออ” แล้วไอ้จ๋าก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไปจากหน้าบ้านของออเรนจ์อย่างรวดเร็ว จนนึกว่ารีบไปตามควายหาย โดยไม่หันกลับมาดู ว่าคนที่มองส่งมันยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิมและยังไม่ยอมเข้าบ้าน ถ้าหากมันหันกลับมาสักหน่อย ออเรนจ์ก็คงได้เห็นเหมือนกัน ว่าไอ้หมาหน้าดำเองมันก็ยิ้มออกมาด้วย ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่ทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย และมันน้อยมากจนตัวมันเองยังไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มก็ตามเถอะ ยังไงมันก็คือการยิ้มชัด ๆ ล่ะวะ

“จะยืนยิ้มอยู่นี่อีกนานมั้ยนังส้มเช้ง! ”

“พี่แพง”

“เออฉันเอง หายหัวเลยนะ”

“พี่แพงต่างหากที่ทิ้งส้มเอาไว้”

“ก็ฉันลืมนี่”

“แล้วโทรมาทำไมไม่ยอมรับสาย คิดบ้างหรือเปล่าว่าส้มจะเป็นยังไง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ แถมยังมีผู้ชายมาส่งอีกด้วยนะคะ ร้ายไม่เบาเลยนะแกน่ะ” ออเรนจ์น้อยใจในความไม่ทุกข์ไม่ร้อนของพี่สาวแท้ ๆ ที่น้องหายไปทั้งคืนยังเฉย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากทำหน้าบึ้งแล้วมองหน้าคำแพงอยู่อย่างนั้น “ไงได้กันแล้วสิ”

“ได้อะไร พูดจาไม่ดีเลยนะพี่แพง” คำพูดพี่สาวทำให้คิดถึงเหตุการณ์ล่อแหลมเมื่อเช้า ทั้งที่ยังไม่ถึงขั้นมากกว่านั้น แต่มันก็เล่นเอาออเรนจ์หน้าขึ้นสีได้เหมือนกัน

“ไม่ดีตรงไหนแค่บอกว่าได้กัน แกมันก็อยากกินผู้ชายจนตัวสั่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“..”

“ร้อยทั้งร้อยพวกตุ๊ดพวกแต๋วอย่างแก มันก็ต้องอยากโดนผู้ชายเอาจนตัวสั่นกันทั้งนั้นแหละ มันถึงจะอวดได้ว่าประสบความสำเร็จในการหาผัวใช่มั้ยล่ะ”

“พี่คำแพงพูดอะไรเลอะเทอะไปใหญ่แล้วนะ”

“แล้วไง ไอ้นี่มันลีลาถูกใจแกมั้ย มันเปิดซิงแกใช่มั้ย แต่เอ๊ะ หรือว่าแกมั่วกับคนอื่นมาก่อนหน้ามันแล้ว ถึงได้เดินเหินท่าทางสบายเชียว ก้นคงหลวมหมดแล้วสิ” ออเรนจ์ได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกกับความคิดของพี่สาว ไม่เคยคิดว่าคำแพงจะพูดจาร้ายกาจด้วยถึงขนาดนี้

“ส้มไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยนะ”

“ทำไมแกโง่เง่าอย่างนี้ล่ะ ทำไมไม่รีบอ่อยรีบกินมันซะ”

“พี่คำแพงคิดแบบนี้ได้ยังไงนะ แล้วส้มกับจ๋าก็ไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น”

“ไม่ได้ทำอะไรกันแล้วแกจะมาเขินหน้าแดงทำไม หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น แล้วไอ้นั่นมันเป็นใคร แก้จ้องงาบพี่เดี่ยวของฉันอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ไม่พูดกับพี่แพงแล้ว” ออเรนจ์เดินเข้าบ้านในใจนึกโกรธพี่สาวที่พูดจาไม่ดีให้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ชินแล้วเพราะทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพี่เลยสักอย่าง

“นี่แกอย่ามาเดินหนีฉันนะ” คำแพงไม่ยอมจบเดินตามมาพร้อมกับทำเสียงแว้ด ๆ ใส่น้อง

“ก็พี่แพงมาว่าส้มแบบนี้ทำไมล่ะ แล้วอาจารย์เด็ดเดี่ยวก็ไม่ได้เป็นของพี่แพงสักหน่อย วันหลังซื้อแห้วมาใส่ตู่เย็นไว้บ้างก็ดีนะ”

“ซื้อมาไว้ทำไม”

“เผื่อวันไหนต้องกินจะได้มีใกล้มือหยิบง่ายไง”

“นี่แกหมายความว่าไง ทำไมฉันรู้สึกเหมือนแกกำลังว่าฉันอยู่หา แกกล้าเหรอ” คำแพงเงื้อมือขึ้นขู่น้องที่ตัวเองหาโอกาสรังแกมาแต่เล็กจนโตทุกครั้งที่ผู้เป็นพ่อเผลอ ด้วยว่าคนน้องที่เกิดมาได้ไม่ถึงเดือนแม่ก็ตายจากไป เด็กแรกเกิดไม่มีแม่ร่างกายอ่อนแอน่าสงสาร เจ้าส้มจึงกลายเป็นลูกรักของพ่อที่คอยดูแลประคบประหงมอย่างดี เพราะเห็นว่าขาดแม่ ยิ่งโตก็ยิ่งน่าทะนุถนอมเพราะถอดแบบแม่มาทุกอย่าง ทั้งหน้าตา รูปร่าง และผิวพรรณ ผิดก็แต่เป็นเพศชาย ส่วนคำแพงซึ่งโตกว่าหลายปีและได้จากทางพ่อมาเต็ม ๆ จึงได้แต่เฝ้ามองด้วยความริษยา โดยมองข้ามความรักที่พ่อมีให้ไม่น้อยหน้ากันไปเสียอย่างนั้น

“เปล่าหรอกส้มไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ถ้าอาจารย์เด็ดเดี่ยวเขามีคนรักอยู่แล้ว พี่แพงต้องกินแห้วแน่ ๆ ใช่มั้ยล่ะ ดังนั้นซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้บ้างก็ดีไง จะได้หยิบมากินทันทีที่ถึงเวลา”

“อ๊าย อีตุ๊ดเด็ก อีตุ๊ดปากเสีย ปากแกนี่มันสวนทางกับความสงบเสงี่ยมที่แสดงออกมาเลยนะ”

“พี่แพงมาว่าส้มก่อนนี่”

“แกเจ็บตัวแน่”

“คำแพง ออกบิลเก็บเงินหน่อย”

“จิ๊ มาเก็บอะไรตอนนี้”

“เอ๊า ก็ลูกค้ามาซื้อของไม่เก็บเงินจะให้เขาฟรี ๆ หรือไง”

“เออ ๆ ฝากไว้ก่อนนะแก “คำแพงรับคำหัวหน้าคนงานที่ตะโกนบอก แล้วหันมาคาดโทษน้องก่อนจะเดินเข้าหน้าร้านไป เมื่อพี่สาวเดินเข้าร้านไปแล้ว ออเรนจ์จึงเดินอ้อมไปหลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนของที่พักสร้างขึ้นมาเป็นตึกสามชั้น ถัดจากตึกด้านหลังเป็นโกดังไว้เก็บของ ใจรู้สึกหดหู่และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ถึงจะทำไม่สนใจสิ่งที่พี่สาวแสดงออกมากับตัวเอง แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้เลย



ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก [ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก50% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 18-11-2018 18:17:24
“ต้นกล้า อยากดูรูปพี่ตอนเด็ก ๆ มั้ย เอ๋าหลับหรือไง” เด็ดเดี่ยวเดินออกมาพร้อมกับอัลบั้มรูปเล่มใหญ่ ที่พึ่งค้นเจอตอนเอาของเข้าเก็บ จึงกะว่าจะเอาวีรกรรมตอนเด็กของตัวเองออกมาอวดให้อีกคนดูสักหน่อย แต่พอเดินออกมาคนที่คิดว่านั่งรออยู่กับกลายเป็นนอนรอเสียแล้ว ร่างสูงโปร่งเอนหลังลงนอนไม่เป็นท่าเท่าไหร่นัก เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แต่คงทนความง่วงไม่ไหว เพราะร่างกายเอียงกระเท่เร่ออกอย่างนั้น นี่หากไม่ได้หมอนอิงใบโตที่วางอยู่ข้าง ๆ สงสัยมีตกโซฟาเป็นแน่นแท้

“เหมือนเด็กเลยนะกินอิ่มแล้วก็นอนเนี่ย เด็กอนามัยเอ๊ย ของดองของเมานี่ชอบนัก” จุ๊บ บ่นเบา ๆ แล้วขโมยจูบหน้าผากมนไปทีด้วยความเอ็นดูหรอกนะ บ่นเสร็จก็จัดท่านอนให้ใหม่จะได้นอนสบาย ๆ ทุกอย่างเด็ดเดี่ยวทำอย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าทำให้ต้นกล้าตื่น งานนี้อาจมีโวย แต่แล้ว…..

“อื้ออออ อะไร”

“อ้าว ตื่นซะแล้ว”

“ก็ใช่สิทำอะไรเนี่ย ถอยไปเลยนะ” ปึก!

“โอ๊ย” ตุบ! แล้วเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ตามมา เมื่อต้นกล้าลืมตาขึ้นได้เต็มตา เห็นคนตัวโตกำลังคร่อมตัวเหนือร่างตัวเองอยู่ คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะทำมิดีมิร้าย เท้าเลยยันขึ้นอย่างว่องไวไม่ให้อีกคนได้ทันตั้งตัว เพราะทำไปตามสัญชาติญาณล้วน ๆ คนตัวโตเลยหงายหลังตกโซฟาไม่เป็นท่า แต่ดูน่าขำมากทีเดียวกับสองขาที่ชี้ฟ้าโด่เด่ และสองมือที่กุมเป้ากลางกายของตัวเอง ใบหน้าหล่อคมคายบิดเบี้ยวเหยเก “ถีบพี่ทำไม อูย จุก โอย พ่อจ๋าแม่จ๋า”

“เราไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วเมื่อกี้ทำอะไรจะลักหลับเราเหรอ”

“เปล๊า..” ลากเสียงซะยาวแล้วทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจเหมือนถูกปรักปรำ “อย่ามองพี่ในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ” ใบหน้ายังไม่คลายความบิดเบี้ยว แต่ก็ยังมีแก่ใจตอบคำถามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ พลางมือก็ลูบเป้าที่โดนจู่โจมในระยะประชิดจนจุก เพื่อเป็นการปลอบน้องชายตัวเองไปด้วย

“เสียงสูง”

“เปล่าจริง ๆ ก็เราเผลอหลับไปพี่เห็นท่านอนไม่ดี กลัวไม่สบายตัวก็เลยจัดท่าให้ แล้ว...”

“แล้วอะไร” เสียงเข้ม

“ก็แค่จัดท่านอนล่ะน่า..ไม่มีอะไร”

“แค่จัดท่านอนทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นล่ะ” นี่ก็คาดคั้นไม่ยอมฟังความ ตาสวยจ้องเขม็ง แต่เมื่อเห็นอีกคนท่าทางมีพิรุธก็หรี่ตาทำท่าจับผิด

“ก็....”

“พูดดี ๆ ให้เข้าหูเราด้วยนะ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเนียนขยับเข้ามาหาต้นกล้า และนั่งติดกันจนแทบจะสิงร่าง อาการเจ็บจุกคลายลงมากแต่ก็ยังไม่หายไปหมดซะทีเดียว

“ชิดขนาดนี้นั่งตักเราเลยเถอะ

“ได้เหรอ” เด็ดเดี่ยวตาโตยิ้มตื่นเต้น ขยับเข้าหาทำท่าจะนั่งลงบนตักของต้นกล้าแบบทีเล่นทีจริง

“ประชดเถอะถอยออกไปเลย”

“ว้าพี่ดีใจจริง ๆ นะ “ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อใสบึ้งตึงเข้าไปใหญ่กับความทะเล้นของเด็ดเดี่ยว ที่ไม่เข้ากับอายุของตัวเองเอาเสียเลย

“นี่..ถามอะไรหน่อยสิ”

“อยากได้คำตอบต้องพูดดี ๆ เพราะ ๆ เรียกพี่เดี่ยวครับ ไม่ใช่นั่นนี่แบบนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กต้องพูดจาให้น่าเอ็นดู “

“มากไปมั้ย เรายี่สิบกว่าแล้วเหอะ”

“งั้นไม่ตอบ”

“อยากรู้ตายล่ะ”

“หืม แล้วจะถามอะไรพี่ล่ะ”

“ทำไมชอบทำแบบนี้กับเรานักวะ” นั่นไงก็ถามเขาอยู่ดี

“ทำแบบไหน”

“ก็..”

“หืม “

“อย่ามากวนนะเรารู้หรอกว่าแอบทำอะไรลับหลังเรา”

“เปล่า ไม่มี้..ไม่เคยทำอะไรลับหลังเลย พี่ทำต่อหน้าตลอดนั่นแหละ”

“...” ต้นกล้าขมวดคิ้วสงสัยกับสิ่งที่คนตัวโตบอก ดวงตาสวยจ้องมองคาดคั้นเอาเรื่อง

“ต่อหน้ายามหลับไง หึ ๆ “

“นั่นล่ะเราอยากรู้ ว่าทำแบบนั้นทำไม” เสียงที่เปล่งออกมาแม้จะเบามาก เหมือนคนพูดไม่ค่อยมั่นใจที่จะถามออกมา แต่เด็ดเดี่ยวก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน

“ก็ อย่างที่พี่บอกนั่นแหละ” เด็ดเดี่ยวมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็ให้คิดถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจ แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ทำไมต้นกล้าต้องมาอยากรู้ในตอนนี้ที่เขายังไม่พร้อมจะบอก แม้ว่าจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้เก็บเล็กผสมน้อย ในการเอาเปรียบหลานชายคุณยายทั้งแอบจูบแอบหอมก็ตามเถอะ แม้ว่าจะไม่เคยห้ามใจตัวเองในสิ่งที่อยากทำ ยามเข้าใกล้คนตัวเล็กก็ตามเถอะ อยากน่ารักน่าเอ็นดูเองทำไมล่ะใครจะห้ามใจได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันออกมาอย่างไรนี่สิ ไม่รู้จะเริ่มพูดคำไหนก่อนดี ใช่ที่ว่ามันอาจจะเร็ว และตอนนี้ในความรู้สึกของเขาเหมือนมันมีอะไรที่หลากหลายมาก จนทำให้ต้องมานั่งสับสนเอง แต่นั่นก็เป็นเพราะเขารู้สึกกับคนตรงหน้ามากเกินไป จนไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรให้ถูกใจคนฟังมากกว่า ไม่ใช่เพราะกลัวถูกปฏิเสธสักหน่อย

“คือ..เอ่อ..” ท่าทางอึกอักเหมือนไม่มีความมั่นใจ ทำให้ต้นกล้าคิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยผ่านมา สายตาที่ไม่มีความแน่ใจของคนตัวโต มันบอกต้นกล้าว่า นี่อาจจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ใครบางคนที่เคยทำให้ต้นกล้าหวั่นไหว และตอนนี้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่ตัดสินใจเดินจากมา คนคนนี้ก็คงจะไม่ต่างกันหรอกใช่ไหม สิ่งที่แสดงออกมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มาจนถึงวันนี้มันคืออะไร ทั้งที่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ทำไมไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าต้นกล้าแอบหวั่นไหว และดูเหมือนว่าจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเสียด้วย ส่วนอีกคนก็คงแค่สนุกไปวัน ๆ

“เฮ้อออ ช่างมันเถอะ ถือว่าเราไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันนะ กลับล่ะ” นั่นสิเหมือนคนใจง่ายเลยทั้งที่ตั้งแง่ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่พออีกคนทำดีด้วยไม่กี่ครั้งก็ถึงกลับกล้าถามคำถามอย่างนี้ออกมา มันดูง่ายเกินไปนะซึ่งคนอย่างไอ้กล้าไม่ยอมถูกมองอย่างนั้นแน่

“เดี๋ยว”

“เฮ้ย เด็ดเดี่ยวปล่อยเราจะบ้าเหรอ” ร่างที่บางกว่าถูกคนตัวโตกอดรัดเอาไว้จากข้างหลัง ต้นกล้าดิ้นขลุกขลักเพราะถูกกอดรวบแขนแนบเอาไว้กับลำตัวแน่น เมื่อตัดใจไม่เอาคำตอบเพราะกลัวสิ่งที่จะได้ยิน เลยเลือกที่จะไม่ฟังดีกว่า แต่พอลุกขึ้นจะลงไปข้างล่างเพื่อกลับบ้าน เด็ดเดี่ยวที่ไวพอกันจึงรีบรวบร่างโปร่งของต้นกล้าเอาไว้ แล้วรั้งให้นั่งลงบนตักกว้าง ขณะที่ตัวเขาเองก็ทิ้งน้ำหนักลงนั่งบนโซฟา “ปล่อยเรา ปล่อยเรานะ”

“ต้นกล้า พี่..” ต้นกล้าหยุดดิ้นรนไม่ใช่เพราะรอฟัง แต่เพราะดิ้นไปมันเหนื่อยเปล่า ๆ ท่อนแขนใหญ่โต ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแรงขนาดนี้ ยิ่งดิ้นยิ่งเหนื่อยแถมยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก “พี่ขอโทษ”

“ขอโทษทำไมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” ปากไม่ได้ตรงกับใจหรอกนะ เพราะจริง ๆ แล้วอยากจะบอกว่าผิดมหันต์เลยรู้ตัวไหมเด็ดเดี่ยว! ที่มาทำกับเราแบบนี้ ต้นกล้าได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ เพราะใครจะบอกออกมาตรง ๆ ให้เสียฟอร์มกันวะ ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย นอกจากคนหน้ามึนนี่จะทำให้เขาสับสนกับความรู้สึกของตัวเองไปวัน ๆ เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ ต้นกล้าจะไปมีความสำคัญอะไรให้อีกคนต้องสนใจมากไปกว่านี้ อย่าออกตัวมากไป อย่าอ่อนไหวมากไปได้ไหมไอ้กล้าเอ๊ย!

“พี่” ถึงจะพูดไม่ออกแต่เด็ดเดี่ยวก็รวบร่างโปร่งของอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดเหมือนเดิม หัวสมองทำงานให้วุ่นเพราะคิดหาคำพูดดี ๆ มาพูดกัน แต่กระนั้นมันก็ยังพูดไม่ออก เด็ดเดี่ยวรู้ว่าหากเขาไม่พูดความในใจ อีกคนยิ่งจะคิดเองเออเองและเข้าใจผิดไปไปกันใหญ่

“ปล่อยเรา”

“ต้นกล้า”

“คือเราขอตัวกลับบ้านก่อน ส่วนเรื่องดูไร่เอาเป็นว่าวันหลังเราขอมาใหม่ก็แล้วกันนะ” ไม่ได้! เด็ดเดี่ยวร่ำร้องอยู่ในใจ ว่ายังไงก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าต้นกล้าจะมาดูไร่อะไรนั่นวันหลังไม่ได้ แต่เด็ดเดี่ยวกำลังบอกตัวเองว่า ปล่อยต้นกล้ากลับไปวันนี้โดยไม่พูดอะไรออกมาไม่ได้แน่ เพราะไอ้คนหัวรั้นจอมดื้อของเขาคนนี้คงได้คิดไปคนล่ะทาง แต่จะทำยังไงดีล่ะวะ ไอ้เดี่ยวเอ๊ยจะทำอะไรก็รีบทำสิวะ จะพูดอะไรก็รีบพูดออกมาสักที นี่เขาให้โอกาสมากขนาดนี้แล้วยังจะอ้ำอึ้งขี้ขลาดอยู่ได้ ด่าให้ตัวเองแล้วก็ได้แต่มองท้ายทอยของคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จะอ้าปากพูดก็เหมือนขากรรไกรมันฝืดและแข็งซะเหลือเกิน เขินอย่างนั้นหรือ เด็ดเดี่ยวนี่นะเขิน ปัดโธ่!

“เป็นอะไร” ต้นกล้าหันกลับมาถาม พยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจนั้นมันไม่เป็นปกติเอาเสียเลย เพราะทั้งปั่นป่วนเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องเข้าเล่นงาน อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับว่าหายใจไม่อิ่มขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น ต้นกล้าไม่รู้ว่าตัวเองทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ แต่ขอออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี่ก่อนได้หรือเปล่า

“มีอะไรก็พูด ถ้าไม่พูดก็ปล่อยเรา” ทั้งสองสบตากันอยู่อย่างนั้น เมื่อคิดว่าเด็ดเดี่ยวที่ท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักที ต้นกล้าจึงหันหลังเพื่อจะเดินลงจากบ้าน

“พี่ชอบต้นกล้า” กึก! ร่างโปร่งหยุดชะงักเหมือนกับว่ามีใครมาปิดการทำงานของร่างกาย ไม่รู้ทำไมแต่ได้ยินแล้วต้นกล้ากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เราชอบกล้านะแต่เรา....

เด็ดเดี่ยวจ้องมองนัยน์ตาสวยของต้นกล้าอย่างแน่วแน่ เมื่อตัดสินใจพูดออกมาได้สักที พูดแล้วก็ให้เข้าใจถึงมันเดี๋ยวนี้นี่เอง ว่าการยกภูเขาออกจากอกนั้นมันสบายใจยังไง ในที่สุด! ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ ก่อนที่คนคนนี้จะหลุดลอยไปจากเงื้อมือ เฮ้ย! ต้องพูดว่า ‘ก่อนที่คนคนนี้จะหลุดไปจากอ้อมแขนสิ’ แล้วทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงได้ลังเลนักนะ เด็ดเดี่ยวล่ะไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ

 
ส่วนใครที่สนใจเล่มนิยายกรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก  เป็นฉบับรีไรท์ อินบ็อกสอบถามได้ที่เพจนะคะ
ต่อ....คร่าาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก[ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 18-11-2018 18:20:02


เราชอบกล้านะแต่เรา.... นั่นเป็นคำพูดที่ครั้งหนึ่งใครบางคนเอ่ยออกมาได้ง่าย ๆ แล้วตอนนี้ล่ะ คำพูดของคนที่เอาแต่กลั่นแกล้งสบประมาท คนที่ทำให้เขาตั้งแง่ไม่อยากญาติดีด้วย แต่พูดออกมาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่นานมันจะซ้ำรอยเดิมหรือมันจะแตกต่าง

“อย่ามาล้อเล่นกับความรู้สึกของเราเลย”

“ต้นกล้า..”

“เราจะถือว่าเราไม่ได้ยินอะไร”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ที่พี่ไม่กล้าพูดออกมาตอนแรกก็แค่กลัวว่าต้นกล้าจะไม่คิดเหมือนพี่”

“อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจออกมาสิ เพราะมันจะทำให้คนอื่นเขาเสียความรู้สึก”

“พี่มั่นใจ”

“...”

“และมั่นใจด้วยว่าต้นกล้าก็คิดเหมือนพี่”

“เหอะ” คนตรงหน้าส่งเสียงเหมือนรำคาญออกมาจากลำคอแล้วเมินสายตามองไปทางอื่น เด็ดเดี่ยวกลัวเหลือเกินว่าต้นกล้าจะเข้าใจเขาผิดไปคนละทาง กลัวอีกคนจะคิดว่าเขาขี้ขลาด แค่นี้ก็เกือบเสียเรื่องแล้ว เพราะไม่คิดว่าต้นกล้าจะคิดมากได้ถึงขนาดนี้ คนตัวเล็กกว่าพูดถึงความมั่นใจออกมาด้วยแววตาจริงจัง แต่ถ้าเด็ดเดี่ยวมองไม่ผิดมันมีแววเศร้าหมองปนอยู่ในนั้นด้วย ทำไมกัน ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้เขาอยากรู้เหลือเกิน

“ถามตัวเองดูดี ๆ ความรู้สึกของเราไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นนะ”

“พี่ก็ไม่เคยคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแววตาจริงจัง ตอนนี้ทั้งสองยืนประจันหน้ากันนิ่ง นัยน์ตามุ่งมันของคนตัวโตจ้องสบตาสวยไม่ลดละ ระยะห่างลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดหน้าผากของคนตัวสูงกว่าก็แนบชิดหน้าผากมนของต้นกล้า ที่ยืนนิ่งรอด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อเด็ดเดี่ยวโน้มใบหน้าเข้ามา และกระซิบบอก

“พี่ไม่ล้อเล่นกับความรู้สึกของต้นกล้าหรอก เพราะมันเท่ากับว่าพี่ล้อเล่นกับความรู้สึกของตัวเองด้วย” ต้นกล้าไม่อยากเชื่อหูของตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน เขากำลังพยายามทบทวนคำพูดของเด็ดเดี่ยว ในขณะที่ท้ายทอยถูกมือใหญ่รั้งเข้าหา ริมฝีปากหยักแตะซับขบเม้มเบา ๆ แล้วจึงค่อยประกบเข้าหามอบจูบแสนหวาน เด็ดเดี่ยวป้อนจูบเนิบช้าเย้ายวน เชิญชวนให้ต้นกล้ายอมรับสัมผัสจากเขาทีละน้อยค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ต้นกล้าได้ปรับตัว และมั่นใจว่าเขาไม่ได้ต้องการเพียงล้อเล่นกับความรู้สึก รสจูบเพิ่มดีกรีความหวานละมุนขึ้นตามแรงปรารถนาของหัวใจ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี เล่นเอาต้นกล้าแทบจะตั้งตัวรับไม่ทัน เด็ดเดี่ยวส่งความหวานละมุนผ่านจูบเร่าร้อนขึ้น เพื่อยืนยันทุกความรู้สึกของเขาด้วยจูบดูดดื่มเชิญชวน เรียวลิ้นส่งความหวานฉ่ำชำแรกแทรกผ่านเข้าไปถึงทุกอณูของจิตวิญญาณ จูบดูดดื่มเพื่อให้ทั้งสองดื่มด่ำกับความรู้สึกที่เปิดรับกันและกัน แม้เด็ดเดี่ยวจะไม่ใช่ผู้ชายช่ำชองเรื่องรัก ไหนจะประสบการณ์ผ่านมาที่ไม่ได้โชกโชนนัก แต่จูบที่ทำให้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ และใส่ทุกความรู้สึกของตัวเองมาด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ มันเป็นความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีต่อกัน เพื่อแสดงออกมาให้ต้นกล้าได้สัมผัสถึงความจริงที่อัดแน่นอยู่ในใจ และมันเล่นเอาคนรับสัมผัสอย่างต้นกล้าแทบหายใจไม่ทัน จนเกือบจะขาดใจตายลงมันเดี๋ยวนี้ แน่ละสิคนมันมีใจให้เขาอยู่แล้วนี่ เจอแบบนี้อย่าว่าแต่ขี้ผึ้งที่อ่อนยามถูกไฟลนเลย รั้น ๆ ดื้อ ๆ อย่างต้นกล้าก็ไม่อาจทานทนอยู่ได้นานเหมือนกันนั่นแหละวะ!

เมื่อส่งทุกความรู้สึกมากับจูบหวานละมุนจนพอใจแล้ว เด็ดเดี่ยวก็ผละออกมาจ้องมองใบหน้าหล่อเกาหลี ที่ขึ้นริ้วแดงของต้นกล้าด้วยนัยน์ตาหวานฉ่ำ

“ไม่จูบตอบพี่เลย โอ้ย/ เฮ้ย! ” พูดจบร่างใหญ่ก็ถูกผลักออกอย่างแรง โชคดีที่เด็ดเดี่ยวล้มลงบนโซฟาจึงไม่เจ็บตัว แต่เรื่องอะไรจะยอมเสียหลักล้มลงไปคนเดียวล่ะ แน่นอนว่ามือเหนียวต้องดึงร่างของอีกคนให้ลงมาด้วยอย่างแน่นอน พอร่างสองร่างทาบทับกันโดยไม่ทันตั้งตัว เด็ดเดี่ยวเลยต้องร้องออกมาเสียงหลง เพราะถูกทับเต็ม ๆ ตัวจนเจ็บ แต่ก็ถือว่าคุ้มล่ะนะ เพราะนั่นมันหมายถึงว่า ร่างของต้นกล้าก็เกยทับอยู่บนตัวของเด็ดเดี่ยวทั้งตัวเหมือนกัน โดยมีวงแขนแกร่งกอดรัดเอาไว้แน่น เหมือนกับจะบอกบอกกลาย ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ต้นกล้าหนีหายไหนได้อีกแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ปากหยักสวยยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข เมื่อเห็นท่าทางเขินอายที่ต้นกล้าแสดงออกมา ผ่านดวงตาขวางแต่แก้มแดงก่ำ

“ใจตรงกันกับพี่ใช่มั้ยล่ะ หึ ๆ ”

“บ้าเหรอถามอะไรอย่างนั้น ปล่อยเรานะดูสิเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ เลยวุ้ย ”

“ไหนบอกไม่เด็กแล้วไง ใครล่ะพูดเมื่อกี้น่ะ”

“ปล่อยเถอะ”

“ฟังพี่นะ ที่ไม่พูดแต่แรกไม่ใช่พี่ไม่มั่นใจหรอก”

“แล้วเพราะอะไรล่ะ”

“เพราะ..”

“.หืม เห็นมั้ย สุดท้ายก็ล้อเล่นกับเราตลอด เฮ้ยอะไรอีก” ต้นกล้าร้องเสียงดังเพราะอยู่ดี ๆ ร่างกายก็ถูกจับหมุนอย่างรวดเร็ว และในที่สุดคนทั้งสองก็เปลี่ยนตำแหน่งกัน ตอนนี้ตันกล้าอยู่ข้างล่างนอนหงายราบไปกับโซฟานุ่มตัวกว้าง มีร่างใหญ่โตของเด็ดเดี่ยวคร่อมทับกักกันเอาไว้ มือทั้งสองข้างถูกเกาะกุมจนความอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาในใจ ส่วนร่างกายก็แนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยผ่านมา เพราะมีเพียงแค่เสื้อผ้าที่ขวางกั้น ใบหน้าก็อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ตาสบตาและต้นกล้านิ่งรอฟังคำกระซิบบอก

“พี่ไม่ได้ล้อเล่น แต่เป็นเพราะพี่ชอบต้นกล้ามากต่างหาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ชอบจนไม่อยากบอกแค่ว่าชอบ แต่ต้นกล้ารู้ใช่มั้ย ว่าถ้าพี่พูดออกมามากกว่านั้น ตัวต้นกล้าเองนั่นแหละจะไม่เชื่อพี่ นี่ไม่ใช่เพราะพี่ไม่กล้าพูดมันออกมานะ แต่เพราะพี่อยากให้เวลาต้นกล้าได้ปรับตัว แล้วเรียนรู้ตัวตนของพี่จนกว่าจะแน่ใจ จนกว่าต้นกล้าอยากฟังคำนั้นจากพี่จริง ๆ แล้วพี่จะบอก เข้าใจที่พี่พูดมั้ย” ต้นกล้าไม่ตอบคำแต่เม้มปากเข้าหากันเบา ๆ เขาเข้าใจสิ่งที่อีกคนบอก เพราะตั้งใจฟังทุกคำพูดที่ผ่านริมฝีปากหยักนั้นออกมา และจารจารึกมันลงไว้ในหัวใจโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อไหร่ต้นกล้าพร้อมที่จะฟัง ต้นกล้าบอกพี่ พี่จะบอกมันกับต้นกล้า คำที่พี่พร้อมจะบอกเสมอตั้งแต่นี้ต่อไป” มันยากมากที่จะให้ต้นกล้ายังคงสบตากับคนคนนี้ต่อไปได้อีก ไอ้คนหน้ามึนนี่พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ไม่รู้หรือยังไงว่ามันทำให้ต้นกล้าใจสั่นมากแค่ไหน ใจสั่นใจเต้นจนดังโครมคราม มันสั่นมันเต้นแรงมากจนกลัวว่ามันจะวายตายเอาให้ได้ หากต้องมองตากันนานมากกว่านี้ ตอนนี้การหลบตาแล้วมองไปทางอื่นจึงเป็นสิ่งเดียวที่ต้นกล้าคิดออก เพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ให้ขัดเขินเด็ดเดี่ยวจนตัวปริแตก

ท่าทางของต้นกล้าทำให้เด็ดเดี่ยวยิ้มออกมาทันทีทั้งตาทั้งปาก ที่ทำงานประสานกันได้อย่างลงตัว เพราะความเอ็นดู ความสุขที่ได้อยู่กับคนที่มีใจให้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความสุขที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้สัมผัสมัน เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ต้นกล้าหันหน้าหลบตาไปอีกทาง เผยให้เห็นแค่ซีกแก้มขาวนวลน่ากดจมูกลงไป แต่มีหรือคนที่กำลังได้ทีอย่างเด็ดเดี่ยวจะยอม เมื่อต้นกล้าเบือนหน้าหนีแก้เขิน และเพราะสองมือยังประสานกันอยู่ไม่อยากละจาก คนตัวโตจึงก้มหน้าลงเอาแก้มของตัวเองแนบที่จมูกของคนเขิน แต่ไม่ใช่เพราะเขาอยากให้อีกคนหอมแก้ม เขาเพียงต้องการดันให้ใบหน้าหล่อใสของต้นกล้า หันกลับมามองตากันเหมือนเดิมเท่านั้น ส่วนต้นกล้าจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะไม่ยิ้มปากมันก็คอยแต่จะยกขึ้นเองอย่างยากที่จะบังคับได้ คนอะไรอยู่ดี ๆ ก็เอาแก้มมาให้กันหอมแบบนี้ เป็นใครจะทนได้ไหว อยู่ดี ๆ ก็เอาแก้มตัวเองมาแนบจมูกเขาดันให้หันหน้ากลับมา มันจะไม่อะไรมากเลยถ้าไม่ใช่จังหวะที่ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าพอดี จึงรับเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบผู้ชายจากซีกแก้มของเด็ดเดี่ยวเข้าเต็ม ๆ งื้อ ไอ้คนหน้ามึนทำแบบนี้ทำไมวะ นี่มันทำให้ต้นกล้าทั้งยิ้มทั้งบึ้งในคราวเดียวเลยเชียวนะ

“รู้สึกเหมือนพี่ใช่มั้ย” ใจอ่อนระทวยกับคำถามนี้ จะว่าเด็ดเดี่ยวเห็นแก่ตัวก็ได้ที่ใช้คำถามนำแบบนี้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรที่จะทำให้ต้นกล้ามีใจให้เขามากที่สุด เด็ดเดี่ยวจะทำมัน และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือ...

การมองค้อนไม่ใช่คำตอบ ต้นกล้ามองค้อนเด็ดเดี่ยวจนตาเขียวปัดกับคำถามที่ได้ยิน ตอนนี้คนหล่อเกาหลีเริ่มบังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมาได้แล้ว เด็ดเดี่ยวจึงได้เห็นแต่ใบหน้าใสที่บูดบึ้ง ซึ่งมันทำให้คนที่กำลังกวาดตามองเพื่อเก็บรายละเอียดอยู่ นึกหมั่นเขี้ยวในใจด้วยความเอ็นดู พอหมั่นเขี้ยวมันก็ต้องก้มลงจูบหนัก ๆ เน้น ๆ ที่ริมฝีปากสวย เป็นการระบาย จุ๊บ จุ๊บ

“จะไม่จูบตอบพี่หน่อยเหรอ น้อยใจจัง” เด็ดเดี่ยวกระซิบชิดริมฝีปากแดงระเรื่อ เพราะถูกแรงกดจากปากหยักของเขากดลงสุดแรงรัก

“..” และความเงียบคือคำตอบที่เด็ดเดี่ยวได้กลับมา พร้อมกับนัยน์ตาหวานที่เอาแต่มองคางของเขาแทนการสบตา ทำไมเด็ดเดี่ยวจะไม่รู้ล่ะ ว่าต้นกล้ากำลังเขินอายมากแค่ไหน แต่การไม่ตอบไม่หือไม่อือนี่คืออะไร เป็นแบบนี้ใครก็ต้องคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น และเด็ดเดี่ยวเองก็ด้วย เมื่อตัดสินใจแบบเข้าข้างตัวเองแล้ว ปฏิบัติการรุกคืบก็มาถึงขั้นต่อไป

เด็ดเดี่ยวค่อย ๆ แตะริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากนุ่มของต้นกล้าอย่างแผ่วเบา ความแผ่วเบานุ่มนวลที่ทิ้งความร้อนวูบวาบไปถึงท้องน้อยให้ทุกครั้ง หลังจากที่นวลเนื้อสัมผัสกัน คนตัวโตค่อย ๆ แทะเล็มขบเม้มริมฝีปากสวยเหมือนกำลังบอกว่า นี่เป็นของพี่และพี่จะทะนุถนอมกลีบปากหวานละมุนคู่นี้ให้ดีที่สุด โดยไม่ให้บอบช้ำ แทะเล็มจนหนำใจก็เริ่มเชิญชวนโดยส่งปลายลิ้นอุ่นออกมาเรียกร้อง มันถึงเวลาแล้วที่จะลิ้มรสหวานล้ำของจูบที่ละมุนละไม ปลายลิ้นอุ่นไล้ลงที่กลางกลีบปาก คล้ายจะชำแรกแทรกเข้าหยอกเย้าแต่ก็ไม่ทำสักที สลับกับการขบเม้มและดูดึงเบา ๆ เพื่อหยอกล้อ เขาทำมันให้เป็นจังหวะที่นุ่มนวลเข้ากับความอ่อนหวาน เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ได้ เพื่อสื่อถึงความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ในหัวใจที่มีต่อกัน จนกระทั่งปากบางได้รูปสวยเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังเปิดรับ นั่นล่ะคือเวลาที่เด็ดเดี่ยวรอคอย ที่จะป้อนความหวานละมุนชุ่มฉ่ำหัวใจ ผ่านจูบดูดดื่มที่ทั้งสองเรียกร้องจากกันและกัน

ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะขาดใจตายมันเดี๋ยวนี้ให้ได้ ความเต็มตื้นหอมหวานที่ได้รับเล่นงานจนหลงมัวเมา รู้สึกถึงร่างกายที่ร้อนผ่าวไปทุกอณู คนหล่อเกาหลีจูบตอบมอบความหวานละมุน ที่ได้รับกลับไปให้คนตัวโต ด้วยความหวานไม่แพ้กัน ความต่างในความรู้สึก ความกลัว ความกังวล และความกังขาใด ๆ ที่เคยมีในหัวใจ เกิดมลายหายไปหมดสิ้นเหลือไว้เพียงความไว้ใจ เชื่อใจ ที่มีให้เพียงคนคนนี้คนเดียว ต้นกล้าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่สนใจ หรือจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่ คนคนนี้คือความอบอุ่นในใจของต้นกล้า คนคนนี้คือความไว้ใจสำหรับต้นกล้า โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอมอบให้เด็ดเดี่ยวไปได้อย่างไร และตั้งแต่ตอนไหน แต่สำหรับต้นกล้าเด็ดเดี่ยวคือความรู้สึกดี ๆ ที่มาพร้อมกับความอบอุ่นและไว้ใจ ถึงแม้จะถูกแกล้งสารพัด ถึงแม้จะถูกว่าถูกสบประมาทท้าทาย แต่สิ่งที่ต้นกล้าสัมผัสได้คือความจริงใจ และความหวังดี ความจริงใจที่สายตาของเด็ดเดี่ยวไม่อาจปิดบังได้ และต้นกล้าก็เห็นมัน หรือหากต้นกล้าจะมองผิดไป ก็ขอให้นี่เป็นการเริ่มต้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยการใช้หัวใจมองและสมองคิด มากกว่าความรู้สึกแบบเด็ก ๆ เหมือนที่ผ่านมา ใช่ต้นกล้าเคยมีความรัก อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็คิดว่ามันคือความรักล่ะนะ ความรักกับผู้ชายด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับได้รู้ว่าเขาคนนั้นเพียงแค่ล้อเล่นกับความรู้สึกจึงเดินจากมา ดีที่ยังไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้ ต้นกล้าแค่เสียความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ก็ดีแล้วที่ทุกอย่างมันสิ้นสุดลง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้นกล้าตัดสินใจ มาหาประสบการณ์ในการใช้ชีวิต และเริ่มต้นใหม่ที่บ้านทุ่งดอกจานแห่งนี้

“เราชอบกล้านะ..แต่เราไม่ได้คิดที่จะคบจริงจังกับผู้ชายด้วยกันขนาดนั้น”

จูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมอบให้กันและกันยังคงหวานดูดดื่ม เด็ดเดี่ยวไม่เอาแต่ใจตัวเอง และต้นกล้าก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม วงแขนที่เป็นอิสระโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้ ราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้คนคนนี้หนีหายห่างไปไหนอีกแล้ว ขณะที่ร่างกายโปรงบางกว่าก็ถูดกอดกระชับด้วยอ้อมแขนแข็งแรงเช่นกัน สองร่างมีเพียงเสื้อผ้าเนื้อบางที่ขวางกั้น จูบยาวนานที่เหมือนกับว่ามันช่วยต่อลมหายใจ จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวเปลี่ยนจากริมฝีปากหวานฉ่ำ เลื่อนไล่แตะจูบซับสร้างความรู้สึก โดยการกดจูบทะนุถนอมไปตามลำคอระหง ความวูบวาบหวามไหวยังเกิดขึ้นจากปากอุ่น ที่นาบสัมผัสเป็นระยะ และต้นกล้ากำลังหลงระเริงไปกับมัน เหมือนริมฝีปากอุ่นมันร้อนผ่าวขึ้นทุกครั้งตามแรงอารมณ์ สัมผัสมันได้ด้วยใจร่ำร้องต้องการ แต่ทำไมอีกใจบอกให้หยุดมันลงสักที

“เมื่อไหร่ที่ต้นกล้าพร้อมที่จะฟังให้บอก พี่จะพูดมันออกมา” แล้วมันใช่เหรอที่มันจะเกินเลย ทั้งที่ตัวต้นกล้าเองยังไม่พร้อม เลย แม้การฟังสิ่งที่เด็ดเดี่ยวบอกว่าพร้อมจะบอก!

“เด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยวสิครับ”

“อื้อ พะ พอก่อนสิ”

“ไม่พอ”

“อย่าทำให้เราหงุดหงิดนะ”

“หืม ต้นกล้าหงุดหงิดแล้วจะปล้ำพี่งั้นเหรอ”

“บ้าเถอะ ใครจะไปทำอย่างนั้น พอแล้วลุกออกไปก่อนเราหนัก”

“งั้นก็” พูดจบเด็ดเดี่ยวเอียงแก้มของตัวเองให้

“อะไร”

“ทำเหมือนเมื่อกี้ไงใครน้าหอมพี่ตรงนี้”

“บ้าเถอะตัวเองเอาแก้มมาแนบจมูกเราเองนะ”

“แล้วก็ถูกหอมเข้าเต็ม ๆ เลย พี่ชอบจัง”

“เราต้องหายใจปะ”

“น่าอีกครั้งสิ มันรู้สึกดีนะ”

“ไม่ทำ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำมันสักหน่อย”

“ตอนนี้ก็ตั้งใจทำซะสิ ทำให้พี่ดีใจหน่อย”

“ไม่”

“เร็ว ๆ ไหนบอกหนัก”

“ก็แค่ขยับออกก็ไม่หนักแล้วออกไปเลย”

“หอมพี่หน่อยสิพี่อยากรู้ว่าตัวเองหอมหรือเปล่านี่ ไม่ทำก็หนักต่อไป”

“จิ๊” ฟอด

“หึ ๆ หอมมั้ย”

“ไม่เห็นจะหอมตรงไหนเลย”

“หอมจนหน้าแดงเลยดูสิเนี่ย”

“วู้ พอ ๆ ออกไปสิ” เมื่อต้นกล้าดันที่หน้าอกเด็ดเดี่ยวจึงเลื่อนตัวลงไปนอนข้าง ๆ แต่ไม่ลืมกอดร่างบางกว่าของต้นกล้าเอาไว้ด้วย

“เมื่อกี้พี่ขอโทษนะ ที่ลืมตัวไปหน่อย” เด็ดเดี่ยวเอ่ยคำขอโทษที่เผลอจูบต้นกล้าเสียนาน จนทำให้ต้นกล้าเองก็เผลอไผลไปกับเขาด้วย

“เราจะกลับแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”

“ก็ไม่เห็นต้องว่ายังไงเลย”

“แล้ว เอ่อ..” ต้นกล้าไม่รู้ว่าจะถามออกมายังไงถึงสถานะของทั้งสองตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันดีไหมหากจะถามว่าตอนนี้เป็นอะไรกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามโง่ ๆ ในความคิดของต้นกล้า หรือว่ามันกลายเป็นต้นกล้าโง่เองที่ไม่กล้าถาม แต่ใจมันก็อยากรู้เหลือเกินนี่หว่า อยากรู้แต่ไม่อยากถามแล้วจะทำยังไงดี ไอ้คนหน้ามึนนี่ถึงจะบอกออกมาเอง

“อะไร”

“เรากลับดีกว่า”

“แปบน่า กอดกันก่อนนะ”

“เหอะมีสิทธิ์อะไรมากอดเนี่ย อย่ามาเนียนให้มันมากนัก”

“สำหรับต้นกล้าพี่อาจจะไม่ได้เป็นอะไร แต่รู้มั้ยว่าสำหรับพี่ต้นกล้าเป็นคนหนึ่งที่สำคัญมาก พี่อธิบายไม่ถูกหรอกแต่ต้นกล้าทำให้ตรงนี้ของพี่รู้สึกมีพลัง” เด็ดเดี่ยวจับมือต้นกล้ามาแนบไว้ที่กลางอก ตรงที่มีก้อนเนื้อเต้นเป็นจังหวะเร็วแรงอยู่ในนั้น มันเต้นแรงมากจนเจ้าของมือเรียวที่ทาบทับอยู่ รู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน พอได้พูดออกมาแล้วก็พูดไม่หยุดสินะคนหน้ามึนคนนี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้เกิดความวูบวาบขึ้นกับต้นกล้า มันวูบ ๆ วาบ ๆ ไปทั้งตัว แล้วนี่มันคืออะไร อะไรคือความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในหัวใจของคนหัวแดงเมื่อได้ยิน มันอุ่นจนร้อนเหมือนกับตัวจะละลาย แต่กลับเป็นความร้อนที่ทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีจนหัวใจพองโต

หลังจากที่เด็ดเดี่ยวพูดอะไรเลี่ยน ๆ แบบนี้ออกมา ก็เปลี่ยนท่ามานอนตะแคงหันหน้าเข้าหา เอามือค้ำหัวตัวเองข้อศอกยันพื้นโซฟาไว้ ส่วนมืออีกข้างกอดเอาบางของต้นกล้าไม่ปล่อย เขาพูดออกมาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่วนแววตานั่นมันก็ช่างมีแต่ความมุ่งมั่น มั่นคง และดูมั่นใจเหลือเกิน มันแตกต่างกับครั้งเก่าคนก่อนตอนนานมาแล้ว ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แตกต่างมากจนทำให้เลิกคิดและลืมเรื่องเก่า ๆ เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าด้วยความรู้สึกเดียวกันล้วน ๆ
 
ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก[ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 18-11-2018 18:22:01

“เรามาเป็นคนสำคัญของกันนะ ได้มั้ย” มือเรียวถูกดึงขึ้นมากดจูบหนัก ๆ ลงที่กลางอุ้งมืออย่างอ่อนโยนเมื่อพูดจบ แต่มันเล่นเอาต้นกล้าหน้าขึ้นสีจนแทบไปไม่เป็น

“วู้...พูดอะไรออกมาเนี่ย ปล่อย ๆ ลุกก่อน”

“ตกลงก่อนสิ”

“อะไรนักหนา”

“งั้นพี่ไม่ปล่อย”

“จะปล่อยดี ๆ หรือต้องลงไปนอนที่พื้นก่อน”

“อย่าโหดกับพี่สิ เขินแล้วอารมณ์ร้ายเหรอ”

“บ้าสิใครเขิน พูดมาได้”

“ตกลง”

“..” ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย กับเด็ดเดี่ยวที่กำลังอยู่ในโหมดหวานและอ้อนอย่างนี้ จึงพยายามดันตัวเองออกจากอ้อมกอดอบอุ่น ซึ่งอีกคนก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“ยิ้มอะไร”

“อุ้ย พี่เปล่าครับ” มันไม่น่าเชื่อหรอกที่บอกว่าเปล่า เพราะเจ้าตัวยิ้มกว้างอย่างมีความสุขออกมาทั้งทางสายตา สีหน้าและริมปากอย่างนั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มทั้งสองต้องสนใจ ในเมื่อมีความสุขมันก็คือความสุข มีแล้วก็เปิดรับมันเถอะอย่าทำฟอร์ม

“งั้นเราจะลงข้างล่างแล้ว ไม่รู้จะขึ้นมาทำไมสิน่า” ว่าแล้วต้นกล้าก็ลุกจากโซฟาเดินลงบันได้ไปอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เพราะความเขินเลยนะ ไม่ใช่เลยจริง ๆ มันเป็นเพราะขึ้นมาอยู่บนบ้านคนอื่นเขานานแล้วเถอะ ต้นกล้าคิดแต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเองต้องคอยแต่จะยิ้มออกมาก็ไม่รู้สิเนี่ย

“เดี๋ยวสิรอพี่ก่อน ไม่ตอบพี่ถือว่าตกลงนะ” ต้นกล้าไม่สนใจเสียงเรียกที่ดังตามหลังมา รีบวิ่งลงบันไดจนถึงห้องโถงซึ่งเป็นห้องรับแขกชั้นล่าง แต่ยังเดินไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายขาสองข้างก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง ราวกับว่าร่างกายถูกสาปให้แข็งไป แม้ว่าคนที่นั่งอยู่โซฟารับแขกตรงหน้า จะไม่ใช่เมดูซ่าที่สบตาแล้วกลายเป็นหิน แต่ก็เล่นเอาต้นกล้ายืนอ้าปากนิ่ง ด้วยความตกใจไปเลยทีเดียว

“อ้าวพ่อ” เด็ดเดี่ยวทักพลางเดินลงมา ถือโอกาสกอดคอต้นกล้าที่ยืนค้างนิ่งเผยอปากตะลึง เหมือนตอนเห็นไอ้เดี่ยวน้อยที่บ่อปลาไม่มีผิด ส่วนกำนันอาจหาญแค่จ้องมองท่าทางสนิทสนมของชายหนุ่มทั้งสองไม่วางตา “พ่อกลับมาเมื่อไหร่”

“สักครู่” สักครู่เหรอถ้าอย่างนั้นก็ต้อง เฮ้ย! ต้นกล้าหันขวับไปมองเด็ดเดี่ยวด้วยสีหน้าตกใจ แต่อะไรคือการที่อีกคนกลับยิ้มหน้าระรื่น แถมยังมายืนกอดคอเขาอยู่ต่อหน้าลุงกำนันแบบนี้ นี่ไม่กลัว ไม่เกรง ไม่อาย ไม่สะทกสะท้านหรืออย่างไร ต้นกล้าอายนะไม่ใช่ไม่อาย ไหนจะเรื่องที่ทำด้วยกันเมื่อสักครู่นั่นอีก ถ้าลุงกำนันเดินขึ้นบ้านไปเป็นได้เห็นแน่ ๆ ล่ะ

“ปล่อย” กระซิบบอกเบา ๆ นอกจากเด็ดเดี่ยวจะไม่สนใจ เขายังรั้งให้ต้นกล้าเดินไปนั่งลงที่โซฟาอีกตัวด้วยกันหน้าตาเฉย แล้วต้นกล้ามีหรือจะยอม นอกจากจะขืนตัวเอาไว้สุดฤทธิ์ยังไม่ยอมลงนั่งข้าง ๆ กันอีกด้วย การกระทำแบบนี้มันทะแมง ๆ นะว่าไหม เหมือน ๆ จะเป็นการเปิดตัวกลาย ๆ นะถ้าคิดไม่ผิด เฮ้ย! ต้นกล้าคิดแบบนั้นได้ยังไง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ

“พ่อครับ คือ อุ๊ป” เพราะสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกำลังจะพูดออกมา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด แต่คงปล่อยให้ไอ้คนหน้ามึนพูดอะไรมากตอนนี้ไม่ได้ ต้นกล้าไม่ได้หน้ามึนเหมือนเด็ดเดี่ยวนี่ จะพูดจะทำอะไรบอกกันก่อนได้ไหม ให้ต้นกล้าได้เตรียมตัวบ้างสิ

“อย่าพูด” ต้นกล้ากระซิบบอกลอดไรฟันออกมา ตาก็ดุข่มขวัญ ส่วนเด็ดเดี่ยวได้แต่มองงง ๆ ไม่เข้าใจ

“อะไร”

“ก็จะพูดอะไรล่ะ”

“พี่จะบอกพ่อว่าจะพาต้นกล้าไปดูไร่ไง”

“อ้าวเหรอ” จนได้สินะหน้าแตกอีกจนได้ ไอ้เราก็นึกว่า...เอ่อ ช่างมันเถอะ ต้นกล้าคลายมือออกจากการล็อคคอเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ตอนที่โผเข้ามาปิดปากชายหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้ ส่งยิ้มแหยที่ดูประหม่าให้ลุงกำนันแล้วนั่งหลบตามองต่ำ ค่อย ๆ รักษาอาการหน้าแตกของตัวเองให้ดีดังเดิม

เด็ดเดี่ยวคุยอะไรกับพ่ออยู่ครู่หนึ่ง และต้นกล้ารู้สึกว่าลุงกำนันถามอะไรเขาบางอย่าง แต่คงเป็นเพราะเขาเบลอไปแล้วจึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวกระตุกมือที่กุมอยู่แล้วบอกว่าไป นั่นจึงทำให้ต้นกล้าได้สติรู้ตัว ยกมือไหว้ลาลุงกำนันแล้วเดินตามร่างสูงใหญ่ของอีกคนออกจากบ้านไป เฮ่อ โล่งแล้วสินะไอ้กล้าเอ้ย

ความเงียบสีชมพู ความเงียบที่ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันออกมา แต่เป็นความเงียบแบบที่ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างรู้สึกดี แม้ไม่ต้องมีคำพูดมากมายมาบอกกัน ต้นกล้ารู้สึกเหมือนมีฟองสบู่ลอยวนอยู่รอบตัวภายในรถ ฟองสีชมพูที่เปล่งแสงแวววาวน่ามอง แบบนี้ต้องเรียกว่าความเงียบสีชมพูมันใช่แน่แล้ว เมื่อต้นกล้ายืนยันหนักแน่นว่าจะกลับบ้าน และเอาไว้วันหลังค่อยมาดูไร่ใหม่ เด็ดเดี่ยวก็ยอมตามใจ ตอนนี้ทั้งสองจึงอยู่บนรถระหว่างทางพาไปบ้านคุณยาย ที่ต่างคนก็ต่างนั่งอมยิ้มเงียบ ๆ มาตลอดทางจนมาถึงบ้านนั่นแหละ

“ไปไหนกันมาล่ะนั่น” แม่แจ่มใจที่นั่งทำอะไรบางอย่างอยู่บนแคร่หน้าบ้านทักขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าลงมาจากรถตามด้วยเด็ดเดี่ยว

“ไปบ้านลุงกำนันมาครับ”

“แหมบอกไปบ้านพี่ก็ได้หรอก”

“เหอะ แล้วนี่น้าแจ่มทำอะไรครับ”

“เตรียมของไว้ทำบุญ เดี๋ยวอีกสองวันก็บุญเดือนเก้าแล้วใช่มั้ยพ่อเดี่ยว กำนันว่ายังไง”

“ครับใช่ครับก็คงเหมือนทุกปี”

“ให้กล้าช่วยมั้ยครับ”

“เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวเอาไปเก็บ น้าจะทำกับข้าวเย็นนี้ไว้ให้ พ่อเดี่ยวกินด้วยกันนะ”

“เอ๊ะ ไหนต้นกล้าบอกจะลองทำอาหารเองไง น้าแจ่มไม่ต้องทำไว้หรอกครับ เดี๋ยวให้ต้นกล้าทำเองก็ได้” ต้นกล้าตาโตหันขวับไปมองเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว หากไม่เกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนแคร่ ก็อยากจะตะโกนถามไอ้คนหน้ามึนนี่สักหน่อย ว่าเขาบอกตอนไหน เรื่องจะลองทำอาหารกินเอง รู้สึกว่าวันนี้คนคนนี้จะทำให้ต้นกล้าตาโตได้ทั้งวันเลยนะ

“จริงมั้ย” ยังมีการหันมาถามต้นกล้าแต่ก็ไม่ได้รอคำตอบ “น้าแจ่มไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าก็ดีเหมือนนะให้ตันกล้าลองหัดทำอาหารกินเองดู น้าแจ่มจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ตะ..”

“แรก ๆ เดี๋ยวให้พี่กับน้าแจ่มสอนก็แล้วกันนะ คราวนี้ต้นกล้าอยากกินอะไรก็ทำกินเองได้หมดเลย เห็นว่าอยากทำนะเนี่ย”

“จริงเหรอ” แม่แจ่มใจหันไปถามต้นกล้าที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างเด็ดเดี่ยว

“ตอบน้าแจ่มไปสิ เมื่อกี้ยังพูดมาตลอดทางเลยว่าอยากทำกับข้าวเป็นน่ะ” ได้โล่! ออสการ์หรืออะไรเทือกนั้น เหมาะกับเด็ดเดี่ยวตอนนี้มาก ๆ อย่างนี้ต้องส่งชื่อเข้าชิงออสการ์ประจำปี คนอะไรจะพูดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตุเป็นตะได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ต้นกล้าไม่เคยพูดอะไรทำนองนี้มาก่อนสักคำ

“เห็นบอกว่าเวลาน้าแจ่มกับไอ้จ๋าไม่อยู่จะได้ทำกินเองได้ครับ”

“นั่นสิน้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ งั้นถ้าอยากลองทำน้าก็จะสอน เย็นนี้จะกินอะไรดีล่ะเราปลาดีมั้ย”

“ไม่เอาดีกว่าครับเที่ยงก็ลงปลากันมาแล้ว ไอ้จ๋าก็ไป”

“เหรอถ้าอย่างนั้นก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่าอยากกินอะไร ของสดไอ้จ๋ามันก็พึ่งซื้อมาไว้”

“ดีเลยครับ งั้นเดี๋ยววันนี้ผมรับอาสาสอนต้นกล้าเอง”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วนี่ไอ้จ๋าไปไหนน้ายังไม่เห็นเลยตั้งแต่เมื่อเช้า”

“หึ ๆ สงสัยเข้าอำเภอครับ”

“เอ๊ะเข้าอำเภอเหรอ ไปทำไม”

“คงไปส่งใครบางคนครับน้าแจ่ม” ต้นกล้าพึ่งมีคิวได้พูดหลังจากที่อึ้งอยู่นาน เขาบอกพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อยมีแววสนุกสะใจ และต้องกลั้นขำเมื่อนึกถึงสีหน้าของไอ้จ๋า จนลืมเรื่องทำกับข้าวไปเลย

“ส่งใครเหรอ เพื่อนที่มาหรือเปล่า”

“ครับ หึ ๆ “

“อ่อ หนูส้มนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นน้าเอาของไปเก็บก่อน ทำกับข้าวก็ดูฟืนดูไฟกันดี ๆ นะ ขาดอะไรก็ไปเอาที่บ้าน”

“ครับให้ผมถือไปส่งมั้ย “

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เอง ไปล่ะ” แม่แจ่มใจเดินกลับบ้านไปแล้วพร้อมกับตะกร้าใส่ของ โดยมีเด็ดเดี่ยวมองตามจนหญิงวัยกลางคนเดินลัดสวนมะม่วงไป เขาจึงนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่แทน

“นี่”

“อะไร”

“เราบอกตอนไหนว่าจะทำกับข้าวกินเอง”

“ก็”

“ทำไมไปบอกน้าแจ่มว่าเราจะหัดทำกับข้าว เราไม่เคยพูดสักหน่อย”

“ก็พี่อยากให้ต้นกล้าทำอาหารเป็นนี่ อีกอย่างงานน้าแจ่มก็เยอะแล้ว” ข้ออ้าง! นี่มันข้ออ้างชัด ๆ แต่ต้นกล้าก็ทำได้แค่ประท้วงในใจนั่นล่ะ เพราะยังไงน้าแจ่มใจก็รับรู้ไปแล้วนี่ ว่าเขาจะทำอาหารกินเอง ว่าแต่นี่มันข้ออ้างที่เด็ดเดี่ยวหามาเพื่อจะแกล้งเขาแน่ ๆ เลย เพราะยังไงแม่แจ่มใจก็ต้องทำกับข้าวกินทุกวันอยู่แล้ว ทำเผื่อต้นกล้าหน่อยจะเป็นไรไป “หน้างอเชียว”

“ก็แกล้งเรานี่” ใบหน้าหล่อใสในแบบเกาหลีตึงจนน่ากลัว ว่ามันจะปริออก

“พี่ไม่ได้แกล้ง ไหนบอกโตแล้วแค่นี้หัดช่วยตัวเองบ้าง”

“ไหนบอกคนสำคัญ”

“ก็สำคัญไง”

“ถ้าสำคัญงั้นก็ทำให้เรากินเลย” หึ ๆ

“หืม..เกี่ยวกันเหรอ”

“ไม่อยากเกี่ยวก็กลับบ้านไปดิ”

“เอาอีกละไล่อีกละ”

“ก็หาเรื่องแกล้งตลอดทำไมวะ”

“พี่ไม่ได้แกล้ง พี่แค่..”

“..” ต้นกล้าหน้าบึ้งมองเด็ดเดี่ยวตาขวาง ที่อีกคนเว้นช่วงเอาไว้ไม่ยอมพูดต่อ

“พี่ก็แค่อยากกินอาหารจากฝีมือคนสำคัญของตัวเองไง” แววตาหวาน ๆ จากดวงตาคมคู่นั้นมันคืออะไร ต้นกล้าดูผิดไปใช่ไหมนะ แล้วฟังพูดเข้าสิ คนบ้านี่พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างหรือเปล่า คนสำคัญของตัวเอง อย่างนั้นเหรอ ต้นกล้าไปตกลงเป็นคนสำคัญของของคนตัวโตตั้งแต่ตอนไหน พูดออกมาแล้วคิดบ้างไหมว่าต้นกล้าจะเป็นยังไงที่ได้ฟัง ฮึ่ย ไอ้คนหน้ามึน รู้บ้างไหมคนฟังมันทำตัวไม่ถูกนะโว้ย!

เฮ้อ ต้นกล้าคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเสียงยาวเหมือนปลงตก ก่อนจะบอกเสียงอ่อย

“เราไมเคยทำกับข้าวนี่” มาถึงตรงนี้ต้นกล้าให้คิดถึงตอนที่คุณยายเข็ญให้เข้าครัว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

“พี่จะสอนให้ไง มานี่มาเย็นนี้อยากกินอะไร” เด็ดเดี่ยวเดินนำต้นกล้าเข้าไปทางครัว ซึ่งอยู่ส่วนหลังของบ้านที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดีไม่ดีอาจจะคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าต้นกล้าที่เป็นหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าของบ้านเองเสียด้วยซ้ำ

“มีของสดครบหมดเลยปลา หมู ไก่ ทำอะไรดี ต้มปลามั้ย”

“ปลาพึ่งกินมาเมื่อกลางวันนี้เถอะ”

“งั้นก็หมู..” ต้นกล้ายังเงียบเพราะในหัวคิดถึงเมนูหนึ่ง ที่พึ่งเคยกินไปไม่นานมานี้เอง ครั้งแรกก็ติดใจและอยากลองอีก “งั้นก็ไก่.. “

“ใช่ทำเหมือนวันนั้นนะที่บ้านไอ้จ๋า”

“อ๋อต้มไก่ใบมะขามอ่อนน่ะเหรอ ได้สิ เริ่มกันเลยมั้ยล่ะ แต่ก่อนอื่นต้องเตรียมของก่อน”

“เตรียมอะไรบ้าง”

“ก็พวกผักเครื่องปรุงไงข่าตะไคร้อะไรพวกนี้ที่ต้องไปเอาสด ๆ ในส่วนมาทำ มันถึงจะได้รสชาติดีและกลมกล่อม” เด็ดเดี่ยวหาเสียมถือติดมือเดินไปที่สวนหลังบ้าน ซึ่งไอ้จ๋าคอยดูแลรดน้ำอย่างดีไว้ตลอด ซึ่งมีผักสวนครัวทุกอย่างเอาไว้เก็บกินทั้งปี โดยมีต้นกล้าเดินตามหลังอย่างว่าง่ายจนได้ทุกอย่างครบตามที่ต้องการ

“ไปติดเตาไป เดี๋ยวพี่หุงข้าวไว้ก่อน” บอกพลางจัดการหุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้าตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนเสร็จ จึงเอาไก่ออกมาสับไว้ซึ่งเป็นไก่บ้านเนื้อดีที่ไอ้จ๋ามันทำเตรียมเอาไว้แล้ว

“อ้าว มีเตาแก้สอยู่ติดเตาถ่านทำไม”

“เผื่อแก้สหมดจะได้ทำเป็นไง นี่ถ่านเอาไม้นี่ทำเชื้อ จุดไฟใส่ถ่านจบ” เด็ดเดี่ยวชี้ที่กระสอบใส่ถ่านขมุกขมัว และกองกิ่งไม้แห้งที่จัดเอาไว้เป็นระเบียบอย่างดี เป็นการบอกให้ต้นกล้าได้ลองแสดงฝีมือของตัวเอง ส่วนคนที่ต้องลงมือทำมองอย่างไม่ค่อยมันใจเท่าไหร่ แต่ก็หยิบไม้แห้งมาหักใส่เตาจุดด้วยเชื้อไฟ พอไฟติดไม้สักหน่อยก็เอาถ่านมาใส่เตาตามอีกคน ที่ยืนจังก้ากอดอกบอกอยู่ข้าง ๆ โดยต้นกล้าใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาถ่านขึ้นมาเต็มสองมือ แล้วทิ้งลงในเตาไฟ

พรึ่บ! แต่เพราะไม่ทันได้ระวังควันไฟที่กำลังคลุ้งขึ้นมาเลยเข้าตาเสียนี่ ยกมือขึ้นมาขยี้เบา ๆ โดนควันนิดหน่อยแต่ก็เล่นเอาแสบจนน้ำตาไหลได้เลยทีเดียว

“ฮ่า ๆ ”

“ขำอะไร”

“ควันไฟเข้าตาเหรอ”

“อืม”

“นึกว่าอยากเป็นขวานฟ้าหน้าดำซะอีก”

“ทำไม”

“ก็เอามือจับถ่านมาถูหน้าตัวเองดำหมดแล้วนั่น” เด็ดเดี่ยวบอกทั้งกลั้นขำ

“อ้าวลืม ไหนดำตรงไหน” ต้นกล้าเดินเข้ามาใกล้ ๆ เด็ดเดี่ยวพลางยื่นหน้าเข้ามาหา เพื่อให้คนตัวโตได้ชี้จุดที่เปื้อนคราบดำบนใบหน้าของตัวเอง แต่พอเด็ดเดี่ยวก้มหน้าเข้ามาเท่านั้นแหละ

“นี่แน่ อุ้ยขวานฟ้าหน้าดำ ฮ่า ๆ ”

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวกัดฟันเรียก เพราะจากที่โดนฝ่ามือเปื้อนถ่านทั้งสองข้างของต้นกล้าโป๊ะเข้าเต็ม ๆ หน้าแบบนี้ ชายหนุ่มเดาได้เลยว่าใบหน้าของเขานั้น ต้องดำกินพื้นที่มากกว่าแน่นอน

“อย่า อย่าเชียวนะ อย่าคิดเอาคืนเราเชียวฮ่า ๆ ” ต้นกล้าแหงนหน้าหัวเราะงอหายอย่างสะใจ เพราะจากใบหน้าหล่อคมที่ดูคร้ามนิด ๆ จากการชอบอยู่กลางแจ้ง ตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบถ่านสีดำเป็นปื้นเต็มหน้า

“แล้วแกล้งพี่ทำไมล่ะ”

“ก็หัวเราะเยาะเรานิ ไปเลยเตรียมของเลยเราอยากเรียนทำอาหารจะแย่แล้วตอนนี้”

“ล้างหน้าก่อน”

“ทำเดี๋ยวนี้เลยเราอยากกินต้มไก่แล้ว”

“แต่..”

“น่าทำเสร็จค่อยล้างละกัน”

“อืม” เด็ดเดี่ยวยอมทำตามที่ต้นกล้าต้องการ แม้ว่าจะมีเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาเป็นระยะ เพราะคนหัวแดงหน้าเกาหลียังไม่หยุดขำ ต้นกล้าเดินไปล้างมื้อเสร็จ ก็กลับมานั่งดูคนตัวโตจัดการตั้งหมอ และใส่เครื่องเตรียมไว้อย่างคล่องแคล่ว

“ไปเก็บยอดมะขามอ่อนมาหน่อยสิ เมื่อกี้พี่ลืม”

“เก็บไหน”

“ท้ายสวน นั่นไงต้นมันน่ะเอามาเยอะหน่อยล่ะกันเผื่อไว้”

“เคร คิก ๆ ” รับคำสั่งแล้วต้นกล้าก็ลุกขึ้นจากแคร่ตัวเล็ก ที่เอามาวางไว้นั่งเวลาเตรียมอาหาร แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำไม่อยู่ เพราะพ่อครัวใหญ่ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา ตามที่ต้นกล้าต้องการ บนใบหน้าคมคร้ามยังมีคราบถ่านดำ ๆ อยู่เต็มหน้าเหมือนเดิม และนั่นมันทำให้คนหัวแดงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก[ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 18-11-2018 18:22:29



เด็ดเดี่ยวหันกลับมาสนใจหม้อต้มที่น้ำเริ่มร้อนมีไอลอยกรุ่น เพราะไฟในเตากำลังแรง เขาใส่ข่าอ่อนที่หั่นเป็นแว่นพอดีคำ ตะไคร้ทุบพอบุบหั่นเฉียงและมะขามเปียก คนหน้าดำผิวปากเป็นทำนองเพลงโปรดขณะที่ทำอะไรเพลิน ๆ อยู่ จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงฝีเท่าคนเดินเข้ามาใกล้จึงหันกลับไปมอง

!!!

“อะไรกันวะเนี่ย” พ่อครัวใหญ่ถามด้วยความฉงนพลางเดินเข้าไปหาต้นกล้า ที่ยืนแบกกิ่งมะขามกิ่งใหญ่เอามือปิดหน้าซีกหนึ่งเอาไว้ทั้งซีก “พี่ไม่ได้บอกให้เอามาทั้งต้นแบบนี้นะ เฮ้ย” และพอดึงมือที่ต้นกล้าเอาปิดหน้าตัวเองไว้ออก ก็ต้องร้องเสียงดังเพราะความตกใจเลยทีเดียว เพราะใบหน้าหล่อใสของต้นกล้าบัดนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณขอบตาซ้ายและริมฝีปากล่างข้างซ้ายที่เริ่มบวม

“เด็ดเดี่ยวห้ามขำ”

“พี่เปล่า ฮ่า ๆ “

“ยังอีกหน้าเราบวมใช่มั้ยฮึ่ย” ต้นกล้าสะบัดกิ่งมะขามกิ่งใหญ่ทิ้งแล้วเดินไปนั่งลงบนแคร่อย่างขัดใจ

“ไหนไปยังไงมายังไงถึงได้เป็นแบบนี้เล่าให้พี่ฟังซิ” พยายามกลั้นขำทั้งที่ทำได้ยากเหลือเกิน แต่เพื่อคนสำคัญคนนี้เด็ดเดี่ยวต้องทำให้ได้ ชายหนุ่มจึงบอกและพยายามอดกลั้นตัวเอง ไม่ให้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แต่มันก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะใครจะสามารถทำเป็นไม่ขำ คนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงอย่างต้นกล้าตอนนี้ได้ จนกระทั่งต้นกล้าเล่าออกมาว่าเขาเดินไปเก็บยอดมะขาม อย่างที่คนตัวโตบอกนั่นแหละ แต่ยอดสวย ๆ มันดันอยู่สูง ต้นกล้าอยากได้จึงต้องกระโดดเพื่อดึงกิ่งมันลงมา แต่ไม่รู้ไปคว้าท่าไหนกิ่งมะขามมันดันหักลงมาทั้งกิ่งใหญ่ และพอต้นกล้าเดินเข้าไปจะเก็บเอายอดมะขามจากกิ่งที่หัก กำลังจะก้มลงเก็บอยู่แล้วเชียวกลับถูกแตนต่อยเอาเสียก่อน จนต้องหลบหลีกเป็นพัลวัน และสุดท้ายก็เอากิ่งมะขามที่หักนั่นแหละมาไล่แตน จากนั้นจึงรีบวิ่งกลับมาบ้านแต่ไม่วายยังโดนต่อยที่ตาและปากอย่างที่เห็น

“ฮ่า ๆ ” เด็ดเดี่ยวปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เมื่อต้นกล้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจนจบ พอหันไปดูกิ่งมะขามที่อีกคนแบกมาด้วย เขายังเห็นรังแตนขี้หมารังเล็ก ๆ ติดอยู่สองรัง หันกลับมามองหน้าคนตัวเล็กกว่า ที่ตอนนี้บวมอลึ่งฉึ่งไปทั้งซีกอีกครั้งก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก แต่คำพูดยังถนอมน้ำใจ “แค่แตนขี้หมาน่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก”

“หืม ชื่อมันเหรอ ทำไมชื่อนี้ล่ะ”

“เพราะถ้าเทียบกับแต่พันธุ์อื่นแล้วมันเป็นขี้หมาไปเลยไง พิษสงไม่มาก”

“แต่เราก็เจ็บอยู่ดีนี่บวมด้วยใช่มั้ย มันปวด ๆ ” ต้นกล้าเอามือแตะตามหน้าตามตาของตัวเอง เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ ใจอยากจะได้กระจกสักบานนะ แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่รู้จะกล้าส่องดูหน้าตัวเองหรือเปล่า

“ไหนให้พี่ดูซิ”

“จะทำอะไร”

“อยู่นิ่ง ๆ “เด็ดเดี่ยวใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อใสให้แหงนหน้าขึ้น “ต้องเอาเหล็กในมันออก” บอกหลังจากพิจารณารอยที่โดนต่อยใต้ริมฝีปากล่างแล้ว

“เอาออกยังไง”

“อย่างนี้ไง”

“โอ้ย เจ็บ ๆ ” เด็ดเดี่ยวใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดลง แล้วดันตรงรอยบวมที่มีจุดแดงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง จากนั้นก็..

“อื้ออออ เฮือก จูบทำไม”

“พี่ไม่ได้จูบ แค่ดูดเอาเหล็กในแตนอออกให้”

“นี่จูบเราชัด ๆ เหอะ”

“หึ ๆ เหลืออีกที่ อยู่นิ่ง ๆ ก่อน”

“โอ้ย เบาหน่อยสิ” เด็ดเดี่ยวกดเหล็กในเหมือนที่ทำตอนแรก จากนั้นก็ดูดมันออกมาจากผิวขาวใสด้วยจูบหนัก ๆ ซึ่งเป็นการดูดเหล็กในของแตนที่ต่อยออก ตามวิธีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเด็ดเดี่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้น “พอแล้ว”

“ดีขึ้นมั้ย”

“ก็ดี แล้วเมื่อไหร่จะไปล้างหน้าล้างตาล่ะเนี่ย”

“เดี๋ยวค่อยล้าง หม้อเดือดแล้ว”

“รีบไปทำต่อสิ”

“เด็ดยอดมะขามไปล้างให้พี่หน่อยไป”

“ก็ได้ ว่าแต่มันคงไม่ต่อยเราอีกนะ”

“หึ ๆ ไม่แล้วล่ะ เร็ว ๆ หม้อเดือดกำลังได้ที่แล้วเนี่ย” เด็ดเดี่ยวบอกพลางเทไก่และเครื่องปรุงที่เหลือลงในหม้อ รับยอดมะขามอ่อนที่ต้นกล้าล้างมาแล้วใส่ลงไปเป็นอย่างสุดท้ายแล้วปิดฝา

“ไปไหน”

“ห้องน้ำ” เด็ดเดี่ยวหันกลับมาสนใจหม้อต้มไก่ที่กำลังเดือดปุด ชายหนุ่มตักน้ำซุปชิมรสแล้วยิ้มอย่างพอใจ ที่ทำออกมาได้อร่อยพอดี เมื่อไก่สุกก็ยกหม้อลงจากเตา แล้วตักน้ำซุปขึ้นชิมรสอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ รสชาติต้มไก่บ้านหม้อนี้กลมกล่อมจากเครื่องที่กะได้อย่างพอดีจึงได้รสอร่อย แต่ยังเคลิบเคลิ้มกับความกลมกล่อมได้ไม่เท่าไหร่.....

อ๊าก!!!

“ต้นกล้า “เด็ดเดี่ยววางช้อนแล้ววิ่งไปตามเสียงร้องที่ดังออกมาจากทางห้องน้ำ เห็นอีกคนยืนสั่นเอามือปิดหน้าปิดตาตัวเองร้องฮือ ๆ อยู่ก็รีบเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร ร้องทำไมเป็นอะไรบอกพี่สิ”

“หน้าเรา ๆ “

“หน้าเป็นอะไรไหนเอามือออกซิ”

“ไม่ ๆ อย่าดึง”

“เอาออกก่อนพี่ดูให้”

“ไม่เอาไม่ให้ดูออกไป ออกไปอย่ามาใกล้เรา หน้าเราทำไมเป็นแบบนี้ ออกไป ๆ ”

“อย่าดื้อเปิดหน้าให้พี่ดูก่อน”

“ม่าย อ๊าก” ต้นกล้าร้องเสียงดัง เมื่อเด็ดเดี่ยวพยายามจะดึงมือที่เขาเอาปิดหน้าตัวเองออกให้ได้ แต่เพราะไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่บวมเป่งจนผิดรูป จึงเอาแต่ก้มงุดจนคางชิดอกใช้สองมือปิดไว้แน่น สภาพแบบนี้เขายังรับตัวเองไม่ได้แล้วคนอื่นจะรับได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางหรอก นอกจากจะรับไม่ได้แล้วคงขำกันกลิ้งเชียวล่ะ

“ไหนเงยขึ้นมาซิ” บอกพร้อมกับเชยคางให้ต้นกล้าเงยหน้าขึ้น “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”

“ไม่มีได้ยังไงหน้าเราบวมขนาดนี้ อย่ามาหัวเราะเยาะเรานะ” ต้นกล้าตอบเสียงกระเง้ากระงอด ยิ่งเงยหน้าขึ้นเห็นเด็ดเดี่ยวกำลังพยายามกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ยิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดขัดใจไม่สบอารมณ์

“มันก็บวมแบบนี้ตั้งแต่เดินมาแล้ว”

“ห๊ะ แล้วทำไมไม่บอกเราแต่แรก”

“ก็..”

“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวยกมือขึ้นมาเสมอหน้าอกเป็นการบ่งบอกว่ายอมจำนน แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบากยิ่ง ที่จะไม่หัวเราะขำกับภาพใบหน้าบวมปูดของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ว่าชายหนุ่มพยายามเม้มปากตัวเองเอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้ปล่อยเสียงออกมาแล้วก็ตาม แต่มันก็ทำได้อยากยิ่งนัก จากหนุ่มหน้าตาหล่อสดใส ๆ ในแบบเกาหลีนิยม กลายเป็นแปะยิ้มครึ่งเดียว เพราะใบหน้าอีกครึ่งที่ไม่ถูกแตนต่อยยังดูปกติดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้เด็ดเดี่ยวขำได้อย่างไร ไหนจะริมฝีปากล่างที่กำลังบวมบานออกมานั่นอีก ดูยังไง้ยังไงก็น่าจูบล่ะนะปากอิ่มอวบออกอย่างนั้น

“มองอะไร” ต้นกล้าถามด้วยท่าทางและน้ำเสียงหาเรื่อง เมื่อเด็ดเดี่ยวเอาแต่มองหน้าไม่พูดอะไร “อย่ามองเรานะมันน่าเกลียด”

“น่าเกลียดที่ไหนน่ารักจะตาย ดูปากสิน่าจูบมากเลย” จุ๊บ เมื่อบอกว่าน่าจูบเด็ดเดี่ยวก็ยืนยันด้วยการก้มลงเอาปากของตัวเองไปแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างบวมบานของต้นกล้าหนึ่งทีเป็นการยืนยัน

“ไม่เอาเราไม่ให้ทำแบบนี้ออกไป”

“มา ๆ ออกมาไม่ต้องอายหรอก คนแถวนี้ใคร ๆ ก็โดนเจ้าแตนขี้หมานี่ต่อยกันทั้งนั้นล่ะ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็หายบวมแล้วน่า พี่บอกแล้วไงว่าแตนนี่มันไม่มีพิษอะไรมากมายหรอก ไม่งั้นจะได้ชื่อว่าแตนขี้หมาเหรอ เพราะมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนเรื่องขี้หมาไงล่ะ หึ ๆ ”

“หยุดขำ”

“รับแซบครับ “

“อย่างกับว่าตัวเองไม่ตลกเลยเนอะ หน้าก็ดำไม่ยอมล้าง”

“เฮ้ย ใช่แล้วงั้นถอยไปพี่ล้างหน้าก่อน ใครละบอกยังไม่ต้องล้างตั้งแต่ทีแรก ฮึ่ย จำไว้เลยนะ” เด็ดเดี่ยวคาดโทษหลังจากเหลือบมองกระจกเงา จึงได้เห็นว่าหน้าตัวเองก็ตลกมากไม่แพ้กัน กับรอยดำเป็นปื้นที่ยังหลงเหลืออยู่เต็มหน้า ยังดีล่ะนะที่มันสามารถล้างออกให้หายไปได้อย่างง่ายดาย และดีกว่าหน้าที่บวมเป่งนั่นเป็นไหน ๆ

“ฮ่า ๆ ขวานฟ้าหน้าดำ” กลับกลายเป็นว่าต้นกล้าอารมณ์ดีขึ้นได้ กับใบหน้าดำ ๆ ของเด็ดเดี่ยว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าใคร ๆ ก็โดนเจ้าแตนขี้หมานี่ต่อยได้ทั้งนั้น ต้นกล้าก็ให้รู้สึกดียิ่งขึ้น เพราะไม่ได้มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ถูกมันต่อยซะที่ไหน มันไม่ใช่เพราะความซุ่มซ่ามของต้นกล้าที่เดินไปให้มันต่อยหรอกใช่ไหม ใคร ๆ ก็มีโอกาสโดนมันต่อยได้ทั้งนั้นใช่ไหม พรุ่งนี้มันจะหายบวมแน่ ๆ ใช่ไหม แล้วถ้าไม่หายจะทำยังไง ยี้ คนหล่อรับหน้าตาตัวเองไม่ได้แล้ว ใครรู้วิธีแก้ช่วยบอกที

“หน้าดำล้างออกแล้วก็หล่อเหมือนเดิมเถอะ ดีกว่าบวมปูดล่ะ” ยังไม่วายมีเสียงบ่นดังตามหลังต้นกล้ามา แต่คนหัวแดงก็ไม่สนใจ เดินมานั่งรอที่แคร่ไม้ไผ่ตัวเดิม

“อะไรอีก”

“หอมแดงเอาทาไว้ถอนพิษ แก้บวม”

“เหรอ งั้นทาเร็ว ๆ สิ “

“อยู่นิ่ง ๆ นะ” เด็ดเดี่ยวใช้หอมแดงที่หั่นเป็นแว่น ทาลงบริเวณที่ถูกแตนต่อยบนหน้าของต้นกล้า สายตาอ่อนโยนมองด้วยความเป็นห่วงปนขำที่ไม่ใครก็ใครล่ะ ต้องยากที่จะกลั้นมันเอาไว้ได้ แต่เพื่อความสบายใจของต้นกล้า เขาก็ต้องทำให้ได้ แม้จะต้องกัดปากตัวเองไว้จนห้อเลือดไปหมดแล้วก็ตาม ใบหน้าใสบวมปูดดูไปดูมาก็น่าสงสาร เด็ดเดี่ยวจึงทาหัวหอมให้อย่างเบามือ แต่...

“อ๊าก ไอ้พี่เดี่ยว แสบตา ๆ แสบตา”

“เฮ้ย ต้นกล้า พี่ขอโทษ”

“แสบตา ๆ เอาหัวหอมมาทาตาเราทำไม”

“พี่ขอโทษ เอ้านี่เช็ดก่อน” เด็ดเดี่ยวดึงชายเสื้อยืดตัวในของตัวเอง ขึ้นมาเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเพราะความแสบ เขาก็มัวแต่คิดไปเรื่อยเปื่อยจึงทาเพลิน ทาไปใกล้ตาจนลืมว่าอีกคนอาจแสบได้

“แกล้งเรา”

“พี่เปล่าครับ พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจ”

“แล้วมีครั้งไหนที่ตั้งใจบ้างมั้ย”

“มี เอ๊ย ไม่มี”

“ออกไปไกล ๆ หน่อยดิ๊ ทำเราเจ็บตัวตลอดเลย” เดี๋ยวได้เจ็บมากกว่านี้แน่ถ้ายังทำตัวน่ารักอย่างนี้ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะ เด็ดเดี่ยวตีหน้าเศร้ารับผิด ส่งสายตาขอโทษอย่างเว้าวอน

“พี่ขอโทษพี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ “จุ๊บ “เพี้ยง หาย “

“จิ๊” ต้นกล้าทำเสียงขึ้นจมูกเมื่อเด็ดเดี่ยวจูบลงที่เปลือกตาบวมเพื่อปลอบใจ

“ดีขึ้นหรือยัง “ดูเหมือนต้นกล้าจะดีขึ้นแต่ก็นิดหน่อยเท่านั้น เพราะยังขยี้ตาตัวเองอยู่เป็นระยะ และมีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย ดวงตาสวยแดงก่ำขึ้นทันที เด็ดเดี่ยวถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกเหลือแต่เสื้อยืดสีขาวตัวข้างในอที่ใส่อยู่ ชายหนุ่มเอาเสื้อมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างเบามือ

“อย่ามาใกล้เรา ตัวซวย”

“ถ้าไอ้จ๋ามาเห็นมันจะว่ายังไงเนี่ย”

“อย่าพูดถึงมัน”

“ทำไม”

“เดี๋ยวมันก็มาจริง ๆ หรอก มันต้องหัวเราะเยาะเราแน่ ทำยังไงดีล่ะ”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนะ”

“แต่มันหน้าเกลียดปะ ลองไปให้แตนต่อยหน้าบวมเหมือนเราดิฮึ่ย”

“งั้นรอนี่”

“ไปไหนอะ” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่เดินหายไปครู่หนึ่งก็เดินกลับมา

“อะใส่ไว้”

“หืม หมวกใช่เลยแบบนี้ล่ะที่เราต้องการ”

“ใช่นี่อีโม่งอย่างดี ช่วยอำพรางลองใส่ดูสิ” เด็ดเดี่ยวคลี่หมวกอีโม่งออกให้ต้นกล้า ที่รับไปใส่อย่างดีใจ เพราะจะได้มีอะไรช่วยบิดบังใบหน้าบวม ๆ ให้ อย่างน้อยก็ช่วงแรกแบบนี้ที่มันบวมขึ้นมาอย่างน่าเกลียด มันน่าเกลียดจนเขาเองก็ยังรับตัวเองไม่ได้ “เป็นไง”

“ก็ดี หึ ๆ “

“ก็ดีทำไมขำ ว่าแต่หมวกใคร”

“หมวกพี่เองแหละ เอาไว้ใส่ทำงาน”

“แหวะซักยังล่ะเนี่ย”

“ซักแล้วยังไม่ได้ใช้เลย เอาติดรถไว้เฉย ๆ “

“แล้วไป”

“หิวยัง”

“ยังเดี๋ยวค่อยกิน”

“งั้นไปนั่งคุยกันเล่นหลังบ้านปะ” เด็ดเดี่ยวจูงมือต้นกล้าที่ยอมเดินตามแต่โดยดี ออกไปทางหลังบ้าน ผ่านสวนครัวต้นกล้าจึงพึ่งนึกได้

“เอ๊ะ เย็นแล้วนะไอ้จ๋ายังไม่มารดน้ำผักเลย เราว่าเรารดน้ำให้ผักดีกว่าดูสิดินแห้งหมดแล้ว”

“เอาสิ” ต้นกล้าบอกเสียงอู้อี้ผ่านหมวกที่ใส่ปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง แล้วเดินไปดึงสายยางเปิดน้ำมาฉีดรดผักอย่างอารมณ์ดี และพอคิดเรื่องสนุก ๆ ขึ้นมาได้ ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นยิ่งว่าเก่า ผ่านไปครู่ใหญ่พอรดน้ำผักจนชุ่มฉ่ำดีแล้วก็...

“เฮ้ย ต้นกล้าฉีดน้ำใส่พี่ทำไมพอแล้วเปียกหมดแล้วเนี่ย”

“ฮ่า ๆ เย็นดีออกนี่แน “

“พอแล้วโอ๊ยต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวยกมือขึ้นปัดป้องหน้าตัวเองไม่ให้โดนน้ำที่ฉีดใส่ เพราะต้นกล้าตั้งใจเล่นงานใบหน้าเขาเต็ม ๆ ทั้งสองเล่นฉีดน้ำจนเปียกทั้งคู่ เสียงหัวเราปนมากับเสียงร้องด่า เมื่อต้นกล้าเสียทีโดนเด็ดเดี่ยวแย่งสายยางไปได้และเอาคืน

“พอแล้ว ๆ เรายอมแล้ว”

“ยอมแล้วจริง ๆ ใช่มั้ย”

“เปียกหมดแล้วเลิกเล่นเถอะ อื้อ แฮก จูบทำไม”

“ก็บอกยอมแล้ว ๆ พี่ก็จูบสิ “

“บ้าบอที่สุด”

หึ ๆ


ขอเสียงคนเคยโดนแตนตอดแน... (ห้ามผวนคำ!!) 555
เจอกันตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก[ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-11-2018 21:46:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีตอนไหนที่ต้นกล้าไม่เจ็บตัว  555
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว] กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก[ตอนที่ 13 สายแว๊นใจสั่นกับไอ้หนุ่มสายรุก100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 19-11-2018 12:17:48
บวก1 กับตอนลงเพิ่มและต้นกล้าหน้าบวม. 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน50% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-11-2018 22:39:27
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน


“ทำอะไรน่ะพี่เดี่ยว”

“เออดาวรุ่งมานี่ซิ ทำนี่เป็นปะ”

“โห มีการเล่นโซเซียลด้วยอะพี่เรา”

“เออ สอนพี่หน่อยสิ อันนี้ทำยังไง”

“ง่ายจะตาย ทำอย่างนี้สิ..” แล้วสองพี่น้องก็สอนกันให้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค เมื่อเด็ดเดี่ยวยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้น้องสาว เพื่อให้ดาวรุ่งช่วยสอนการใช้งานเล่นแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนชายหนุ่มแทบจะไม่สนใจหรือเสียเวลากับมัน แต่พอเห็นคนบางคนเอาแต่สนใจเล่นโทรศัพท์โดยไม่สนใจเขา เด็ดเดี่ยวเลยอยากรู้ว่าไอ้หัวแดงจอมรั้น ทำอะไรหรือเล่นอะไรบ้าง หลังจากที่พยายามลองเล่นดูด้วยตัวเองอยู่นาน ก็มีผิดบ้างถูกบ้าง แต่พอให้ดาวรุ่งสอน เด็ดเดี่ยวก็ดูเหมือนจะเล่นได้คล่องขึ้น จากนั้นก็กดค้นหาใครบางคนแล้วขอเป็นเพื่อนไป



“ง่ายแค่นี้เข้าใจปะ”

“เข้าใจแล้วขอบใจมาก”

“แล้วนี่จะไปไหนแต่เช้า”

“ไปทำอาหารเช้าให้หมาน้อยกิน”

“หื้ม..หมาน้อยที่ไหน ทำไมไม่เอามาบ้าน”

“ยังไม่ถึงเวลา “หึ ๆ เด็ดเดี่ยวเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ โดยมีดาวรุ่งมองตามพี่ชายอย่างสงสัย กับคำพูดกำกวมที่คนเป็นพี่ทิ้งเอาไว้

“เจ้าเดี่ยวไปไหนแต่เช้าล่ะนั่น”

“เห็นบอกไปทำอาหารเช้าให้หมาน้อยกินจ้ะพ่อ”

“หื้ม..หมาน้อยที่ไหนวะ”

“ไม่รู้สิ” ดาวรุ่งตอบได้เพียงเท่านั้น ไม่ใช่เพราะไม่ใส่ใจ ก็เพราะรู้มาเท่านั้นเหมือนกัน จากนั้นจึงเดินเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้พ่อและตัวเอง แต่ลึก ๆ ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าพี่ชายตัวดีแอบไปเลี้ยงหมาน้อยไว้ที่ไหน ทำไมไม่พามาเลี้ยงที่บ้าน ส่วนกำนันอาจหาญมองตามลูกสาวงง ๆ แล้วหันกลับไปมองท้ายรถลูกชายคนโตที่ขับลับโค้งไปแล้ว ในหัวได้แต่ครุ่นคิด ยิ่งเรื่องที่บังเอิญได้รู้และได้เห็นกับตามา ยิ่งทำให้กำนันคิดหนัก เฮ้อ เมื่อวานกูไม่น่ากลับมาบ้านเร็วเลยพับผ่าสิ



%%%%%%%%

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ “

“เงียบไปเลยนะเว้ย”

“เงียบยังไงไหวครับลูกพี่ฮาขนาดนี้ ฮ่า ๆ ”

“ไอ้จ๋าเงียบโว้ย” !!

“คึ ๆ “ไอ้จ๋าพยายามกลั้นขำอย่างมีจริตจะก้าน ด้วยการเอาฝ่ามือมาปิดปากตัวเอง มืออีกข้างก็กุมท้องเอาไว้มั่น เหมือนพยายามที่จะไม่หัวเราะเพื่อเอาใจลูกพี่ แต่ต้นกล้ารู้ดีว่าลึก ๆ แล้ว นอกจากจะขำไอ้จ๋ามันยังสะใจที่เห็นเขาในสภาพนี้

“แล้วไปทำอีท่าไหนแตนมันถึงได้ต่อยเอาแบบนี้ล่ะครับ จุดสำคัญซะด้วยนิ เล่นเอาหมดหล่อเลยนะครับลูกพี่ หนอยไอ้แตนชั่ว” ! เห็นไหม..? คำพูดมันก็บ่งบอกแล้วว่าสะใจมากขนาดไหน หลังจากที่เห็นหน้าลูกพี่ใหญ่ในตอนแรก ไอ้จ๋าก็มีสีหน้าตกใจและอึ้งค้างอยู่ตั้งครู่หนึ่ง ครู่หนึ่งเชียวนะ แล้วพึมพำถามคนเป็นลูกพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้ยินคำตอบเท่านั้นหละ มันก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ แบบไม่เกรงใจคนเป็นลูกพี่เอาเสียเลย เพราะนอกจากเสียงหัวเราะขบขันจนมันน้ำตาเล็ด และต้องเอามือกุมท้องตัวเองไว้แล้ว ต้นกล้าฟังไม่ผิดใช่ไหม กับความสะใจที่ปนออกมาในเสียงหัวเราะนั่น

ต้นกล้าหน้าตึงระดับสิบมองไอ้จ๋าตาขวาง มองแรง ยิ่งมองยิ่งแรง ยิ่งมันหัวเราะยิ่งมองจนตาแทบถลน แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ เพราะไอ้จ๋าไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากหัวเราะมากเกินไป แต่สำหรับต้นกล้าแค่นี้แกก็ผิดมากแล้วว่ะไอ้จ๋าเอ๊ย

“เออ ช่างมันเถอะ ว่าแต่แกหายไปไหนมาวะเมื่อวาน”

“ไอ้จ๋าก็ไม่ได้ไปไหนนี่ครับลูกพี่ ไปส่งยัยส้มเน่าแล้วก็กลับมา”

“เขาชื่อออเรนจ์เรียกดี ๆ หน่อย”

“ครับ คึ ๆ ”

“นั่นแหละ ไปส่งทั้งบ่ายจนเย็นเลยเหรอวะ ทำอะไรกันมาบ้างไหนเล่ามาดิ๊” ใบหน้าที่เหลือความหล่อเพียงครึ่งเดียวดูจริงจังเมื่อตั้งคำถาม แต่คนมองก็ยังทั้งมองทั้งกลั้นขำ เพราะดูยังไงมันก็ไม่ช่วยกดดันให้ไอ้จ๋าเกรงได้เลยสักนิด

“ไม่มีครับ”

“บอกมา”

“ไม่มีครับ ไม่ได้ทำอะไร”

“แน่ใจเหรอ”

“เอ้า ทำไมไอ้จ๋าจะไม่แน่ใจล่ะครับลูกพี่วู้..ถามอะไรแปลก ๆ ” ไอ้จ๋าเกาหัวเกรียน ๆ ของมันพลางทำเสียงยาวสีหน้าจริงจังเพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่จริง ๆ แล้วย้อนถาม “ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับ หึ ๆ “

“อะไรของแกวะ หึ ๆ เนี่ย”

“ไปไหนมาทั้งบ่าย” มันชะโงกหน้าเข้ามากระซิบถามท่าทางเป็นงานเป็นการ

“ไม่ได้ไปไหนวุ้ย แกจะไปไหนมีอะไรก็รีบ ๆ ไปทำเลยไป”

“เอ๋า มีไล่อีก..ว่าแต่ว่าวันนี้ลูกพี่เดี่ยวไม่เข้ามาเหรอครับ”

“จะไปรู้กะเขาเรอะ”

“อ้าว ก็นึกว่ามีซัมติ้งกัน”

“ห๊า ซัมติ้งบ้าอะไรของแกเลอะเทอะใหญ่แล้ว ไปไหนก็ไปเลยไป”

“ฮ่า ๆ ว่าแต่หน้าลูกพี่นอกจากจะบวมแล้วยังแดงด้วยนะครับเนี่ย แพ้พิษอะไรกันแน่ครับพิษแตนหรือพิษอย่างอื่น..”

“พิษอะไรของแกวะพิษอย่างอื่น”

“ก็พิษอะไรดีน้าที่...”

“ที่อะไรวะพูดให้มันเคลีย ๆ ซิ”

“ที่หายไปทั้งบ่ายเหมือนกันอะครับลูกพี่”

“ฉันไม่ได้หายโว้ยแกอย่ามาเยอะ ก็กลับมาบ้านยังเจอน้าแจ่มอยู่เลยไม่เชื่อไปถามแม่แกดู อย่ามาทำหน้าแบบนี้นะเว้ยเดี๋ยวปั๊ดโบกหัวทิ่มไปนู่นเลย” ไอ้จ๋าเม้มปากหรี่ตามองหน้าคนเป็นลูกพี่ ด้วยท่าทางที่เหมือนไม่เชื่อคำพูดเท่าไหร่นัก เพราะลูกพี่ของมันดูเหมือนว่าจะออกอาการร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ตัวมันก็ไม่ได้อะไรมากมาย แค่อยากแกล้งแหย่คนเป็นลูกพี่เล่น ๆ เท่านั้น

“ฮ่า ๆ ไอ้จ๋าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ไปดีกว่า” แล้วมันก็วิ่งปร๋อลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกวนประสาทคนเป็นลูกพี่ให้เริ่มหงุดหงิดเพราะไปไม่เป็นได้อย่างที่ต้องการ

เช้าวันใหม่ที่ตื่นขึ้นมา ยังไงต้นกล้าก็ไม่สามารถปิดบังใบหน้าที่บวมเป่งได้ เลยต้องปล่อยหน้าสดให้ไอ้จ๋ามันยลโฉม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไอ้จ๋าได้หัวเราะขำไปหลายตลบ ก่อนที่จะลงเรือนไป ต้นกล้าส่องกระจกบานเล็กมือลูบ ๆ คลำ ๆ ใบหน้าของตัวเองอยู่อย่างนั้น เพราะยังรับไม่ได้ หวังว่ามันจะช่วยให้อาการบวมลดลงไปได้บ้าง นี่ไม่รู้ว่าถ้าแม่โทรมาแล้วเปิดกล้องคุยกันจะว่าอย่างไร เพราะอาการบวมยังเหลือให้เห็นได้อย่างชัดเจน ขอบตาข้างซ้ายบวมปิดจนเกือบมิดอันนี้ว่าหนักแล้ว แต่ที่ริมฝีปากล่างนี่สิ ที่บวมเฉย ๆ ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอต่อความอาย เพราะมันยังบานออกมาเหมือนกับเกิดความอวบอิ่มขั้นเต็มที่ยังไงอย่างนั้น

“สายแล้วนะทำไมยังไม่มาซักทีวะ” ครู่ใหญ่ผ่านไปต้นกล้าเดินออกมายืนเกาะลูกกรงระเบียงชานเรือน กวาดสายตามองทางเข้าบ้านพลางบ่นเบา ๆ คนเดียว เพราะคนที่หาเรื่องให้เขาต้องลงมือทำอาหารกินเอง บอกว่าวันนี้จะรีบมาแต่เช้า เพื่อมาสอนให้ต้นกล้าทำอาหารเช้าง่าย ๆ กิน และก็คงต้องสอนกันอยู่พักใหญ่แหละกว่าจะทำเองเป็น ซึ่งคนที่ไม่มีหัวด้านงานบ้านงานเรือนอย่างต้นกล้านี้ เขารู้ตัวเองดีว่าคงไปไม่รอด แม้กระทั่งคุณยายยังเคยเปรย ๆ ว่าให้เขาหัดเอาไว้บ้าง แต่ก็อย่างที่เห็นคือไม่ได้เรื่อง แต่แล้วยังไงล่ะ ใครเป็นคนหาเรื่องให้ก็คนนั้นล่ะที่ต้องรับผิดชอบ โดยการมาทำอาหารให้ต้นกล้ากินทุกวัน เมื่อแผนร้ายผุดขึ้นในหัวอย่างแยบยล มุมปากบวมเป่งก็ยกขึ้นยิ้มอย่างพอใจ

“หึ ๆ เดี๋ยวได้รู้กันเหอะ”

“รู้อะไรครับลูกพี่”

“เฮ้ย มาเมื่อไหร่วะตกใจหมด”

“เมื่อได้ยินลูกพี่พูดคนเดียวนั่นแหละครับ หน้าตาบวมแล้วยังยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ คิดแผนร้ายอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”

“ไม่มีวุ้ย แผนเผินอะไรของแกวะ” ต้นกล้าปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปนั่งที่มุมนั่งเล่นมุมโปรด เพื่อให้ลมโกรกเบา ๆ รอคนมาทำมื้อเช้าให้กิน

“เดี๋ยวไอ้จ๋าจะลงนานะครับ ลูกพี่จะไปด้วยหรือเปล่า”

“หน้าบวมแบบนี้ไปคนงานหัวเราะตายเลย”

“วันนี้ไม่มีคนงานมาหรอกครับ คนงานไปที่ไร่กันหมด วันนี้ดายหญ้าอ้อยครับ”

“เหรอ แล้วเมื่อกี้แกไปไหนมาวะ”

“สวนผักหลังบ้านครับลูกพี่ แต่รอยใครไม่รู้มาเล่นน้ำจนสวนพังผักล้มเป็นแถบ ไอ้จ๋านี่ของขึ้นเลยเถอะ อย่าให้รู้นะว่าใครมาเล่นอะไรปัญญาอ่อนแถวนี้ พ่อจะจับมาฟาดก้นให้ซ่าไม่ออกเลยครับ ฮึ่ย” คิดมาแล้วไอ้จ๋าก็ให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด มันทุบกำปั้นลงกับฝ่ามืออีกข้างของตัวเองเป็นการระบายไปด้วย จนต้นกล้าสะดุ้งเฮือก!

“ระ เหรอ ใครวะเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้” ต้นกล้าหน้าเสียคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเย็น ที่ตัวเองแกล้งฉีดน้ำใส่เด็ดเดี่ยว แล้วก็ไม่กล้าสู้หน้าไอ้จ๋า ขนาดโดนมันด่ายังไม่กล้าออกปากแก้ต่างสักคำ ก็แน่ละสิชนักอันใหญ่เชียวนะที่ติดหลังอยู่ตอนนี้ ยิ่งได้ยินมันคาดโทษด้วยแววตามาดร้ายเอาเรื่อง เล่นเอาลูกพี่ใหญ่คอหดเลยทีเดียว ไอ้ครั้นจะสารภาพออกมา ก็กลัวไอ้คนขี้สงสัยอย่างไอ้จ๋าจะถามต่อ นี่จะเป็นหัวข้อใหญ่ให้มันได้ซักไซ้ต้นกล้าจนขาวสะอาดแน่ ๆ

ดีนะที่มันไม่รู้ว่าใคร ที่ไปเล่นเป็นเด็ก ๆ ในสวนเมื่อวาน

“ไอ้จ๋าไปดีกว่าครับ เดี๋ยวต้องมาช่วยแม่เตรียมของทำบุญพรุ่งนี้อีก”

“เออ” และแล้วไอ้ตัวกวนประสาทมันก็ไปได้สักที ทิ้งให้ต้นกล้าอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวอีกแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยเผื่อคนตัวโต ๆ คนนั้นมา จะได้ไม่มีหน้าแสลนของไอ้จ๋ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ส่งเสียแซวล้อเลียนให้หงุดหงิดใจ ยิ่งหากมันรู้ว่าเมื่อวานตอนบ่ายต้นกล้าไปไหนทำอะไรมาบ้าง รับรองว่าไอ้คนขี้เกรียนอย่างมันไม่มีพลาด ที่จะสัมภาษณ์สดจนพอใจมันแน่นอน

ต้นกล้าชะเง้อมองทางเสียจนคอเกือบ ๆ จะยืดยาวเป็นยีราฟอยู่แล้ว เพราะความใจร้อนกับไอ้คำว่ามาแต่เช้า ทั้งที่ตอนนี้มันก็เช้าที่สุดแล้วนะ ด้วยความเคยชินที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตบ้านนา ตอนนี้ต้นกล้าจึงเข้านอนหัวค่ำตื่นแต่เช้าได้เองแล้ว โดยไม่ต้องมีไอ้จ๋ามาคอยปลุก แม้บางคืนจะนอนสะดุ้งอยู่บ้าง ในบางครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ เช่น เสียงเห่าหอนของหมาที่ดังแว่วมาแต่ไกล แต่ก็ให้รู้สึกอุ่นใจว่ามีไอ้จ๋านอนอยู่เป็นเพื่อน ถึงมันจะนอนอยู่ข้างล่างก็ตามเถอะนะ นี่ถ้ามีใครอีกคนมานอนเป็นเพื่อนบ้างจะเป็นยังไงหว่า จะดีหรือเปล่านะ น่าจะดี ๆ แต่เอ๊ะ! ไม่ดี ๆ คิดอะไรบ้าบอที่สุด! ต้นกล้าคิดคนเดียวเพลิน ๆ ในใจก็ด่าตัวเองไปด้วยเหมือนคนเป็นบ้า ขณะที่นั่งรอคอก็ชะเง้อมองทาง แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่บอกว่าจะมาแต่เช้าคนนั้นมาถึงสักที แล้วสองขาก็ดันพาตัวเองเดินออกมานอกชานโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างมันเป็นของมันไปเอง ในแบบที่เรียกว่าเป็นเอามาก พอรู้ตัวรู้ใจตัวเองแล้วเป็นแบบนี้มันสมควรหรือไม่ อันนั้นต้นกล้าไม่รู้หรอก ก็แค่ทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่พอเดินมายังไม่ทันได้เกาะลูกกรงระเบียงบ้าน ก็มีเหตุให้ต้องรีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกที่เดิมแทบไม่ทัน เพราะรถกระบะคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี เอี๊ยดดดด (เสียงเบรกที่มาพร้อมฝุ่นตลบเล็กน้อยถึงปานกลาง)

ต้นกล้าใจเต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยอมรับว่าดีใจ ใช่ดีใจทั้งที่รู้ว่ายังไงอีกคนก็ต้องมา แต่ทำไมไอ้หัวใจบ้ามันถึงอดตื่นเต้นไม่ได้นะ แล้วทำไมมันต้องคอยเอาแต่จะเต้นไม่เป็นส่ำไม่เป็นจังหวะแบบนี้ เป็นเอามาก ต้นกล้าวินิจฉัยอาการของตัวเอง ใช่นั่นแหละสิ่งที่ต้นกล้ากำลังเป็น และเป็นเอามากเกินไป สำหรับใจดวงน้อยที่สัมผัสได้ถึงความจริงจังและจริงใจ จากคำพูดที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและแววตาที่มุ่งมั่น ต้นกล้าไม่ได้ใจง่ายหรอกใช่ไหม ที่ปล่อยให้ใจเต้นแรงกับคน ๆ นี้แบบนี้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ดีชั่วช่างมันไม่ลองไม่รู้ เอาวะชีวิตคนเรามันต้องก้าวไปข้างหน้า เมื่อมีทางไปจะมาพะว้าพะวงอยู่ทำไม ตายเป็นตายเป็นไงเป็นกัน ฮึ่ม!

“เฮ้ย อะไร “ต้นกล้าร้องถามเพราะตกใจที่อยู่ดี ๆ อีกคนก็ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้ เขามัวแต่คิดอะไรเพลินเลยไม่รู้ว่าเด็ดเดี่ยวเดินขึ้นบ้านมายืนมองอยู่เป็นครู่แล้ว

“คิดอะไรอยู่ ดูทำหน้าทำตาสิ” จุ๊บ

“โอ้ย จูบอีกแล้วนะ”

“จูบทักทายไง หึ ๆ ”

“บ้าบอคอแตก หิวแล้วนะมาช้าจริง”

“นี่พี่มาเร็วที่สุดแล้วนะ ตื่นก็มาเลยเกือบไม่ได้อาบน้ำล้างหน้าแล้วเนี่ย”

“หยี แล้วล้างแปรงฟันมาหรือเปล่าเนี่ย”

“เรียบร้อยพิสูจน์ได้”

“ไม่เอาหรอก ถอยออกไปหน่อยดิ”

“ก็พี่คิดถึง”

“อย่ามาติ้งต๊องน่า”

“หึ ๆ “ต้นกล้าก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะ ถ้าจะมานั่งยิ้มตาเยิ้มมองตากันอยู่แบบนี้ ยิ่งถูกมองมันก็ยิ่งไม่กล้าสู้หน้า แต่ยิ่งหลบก็ยิ่งเหมือนกับว่าอีกคนเอาแต่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และตามส่องอยู่ได้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ตาม

“อะไร” ต้นกล้าหันมาถามเสียงหงุดหงิด กลบเกลื่อนอาการที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ เพราะเด็ดเดี่ยวเอาแต่ยื่นหน้าตามไปทุกทางที่ต้นกล้าหันหลบ แต่พอหันกลับมาสบเข้ากับแววตาขบขัน ก็ให้ต้องนิ่งคิดอยู่เป็นครู่จึงพึ่งนึกได้ ว่าอะไรที่ทำให้คนตัวโตเม้มปากกลั้นขำจนน้ำตาเล็ดออกมา “อ๊ากกก ขำหน้าเราเหรอ บ้า บ้าที่สุดห้ามมองนะโว้ย”

“น่ารักออก”

“น่ารักตายล่ะ ปกติเราหล่อนะ นี่โดนแตนต่อยเฉย ๆ หรอก เดี๋ยวหายบวมแล้วจะหล่อกว่าเดิมให้ดู”

“ฮ่า ๆ ครับ ๆ เดี๋ยวสักพักคงหายบวมเองล่ะ เมื่อวานพี่เอาหัวหอมทาแก้พิษให้แล้ว แตนขี้หมาพิษไม่แรง “

“หวังว่ามันจะจริงนะ แล้ววันนี้จะทำอะไรให้เรากิน”

“อยากกินอะไรล่ะ หืมทำเองสิพี่มีหน้าที่สอนนะได้ข่าว”

“โห การสอนที่ดีก็ต้องสาธิตปะ”

“เอางั้นเหรอ”

“แน่นอน”

“ปะลงไปข้างล่างดีกว่า”

“เดี๋ยว ๆ ..” ต้นกล้าดึงมือตัวเองออกจากมือใหญ่ของเด็ดเดี่ยวที่จะจูงลงเรือน หันไปหยิบเอาหมวกอีโม่งที่คนตัวโตให้ไว้เมื่อวานมาใส่ แล้วดึงฮู้ดของเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ขึ้นทับอีกชั้น

“พี่ว่าไม่ต้องใส่หรอกมั้งเดี๋ยวก็บ่นร้อนอีกแล้วนี่เจอไอ้จ๋าหรือยัง”

“เจอแล้ว แล้วมันก็หัวเราะเยาะเราแล้วด้วย คอยดูนะอย่าให้ถึงวันของเราก็แล้วกัน ไอ้จ๋าก็ไอ้จ๋าเถอะ ไม่ต้องถามมากเลยไปได้แล้ว”

“หึ ๆ ๆ “เสียงหัวเราะนี้ไม่ใช่เพื่อใบหน้าบวมเป่ง แต่เพราะคิดถึงใบหน้าของไอ้จ๋า ที่มันคงจะหัวเราะขำลูกพี่ของมันอย่างสะใจ เด็ดเดี่ยวนึกสีหน้าไอ้จ๋าออกเลยล่ะ หลังจากที่มันเห็นหน้าบวม ๆ ของต้นกล้าว่ามันจะทำหน้ายังไง

“เออว่าแต่พรุ่งนี้งานบุญอะไรนะที่คุยกะน้าแจ่มเมื่อวานน่ะ”

“บุญเดือนเก้าหรือบุญข้าวประดับดินถามทำไมจะไปเหรอ”

“หมายถึงเอาข้าวไปประดับตามพื้นดินน่ะเหรอ” ต้นกล้าถามหน้าซื่อเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนตัวโตที่มองอยู่ได้ทันที

“หึ ๆ บุญข้าวประดับดิน หรือบุญเดือนเก้า เป็นประเพณีของคนอีสานบ้านเรา ที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ้าสงสัยคงต้องอธิบายยาวแน่”

“งั้นเราไม่สงสัยดีกว่าขี้เกียจฟัง”

“เอาเป็นว่ารู้แค่จะทำในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ก็พอ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งเปรต วิญญาณเร่ร่อน สัมภเวสี เพราะมีความเชื่อกันว่า ในคืนแรม 14 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่ยมบาลเปิดประตูนรก ปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติบนโลกมนุษย์ แค่คืนเดียวในรอบหนึ่งปี เราจึงจัดห่อข้าวไว้ให้ญาติ ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงพวกวิญญาณเร่ร่อน พวกเปรต สัมภเวสี ก็สามารถรับเอาได้ด้วย” เด็ดเดี่ยวอธิบายยืดยาวพลางสังเกตสีหน้าของต้นกล้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยแล้วจึงพูดต่อ

“มีการจัดอาหารเตรียมไว้ก่อนตั้งแต่วันแรม13 ค่ำแล้ว โดยจะแบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่งก็สำหรับคนในครอบครัว ส่วนหนึ่งก็แบ่งให้ญาติ ๆ ส่วนหนึ่งเตรียมเอาไปวัด อีกส่วนสุดท้ายก็ที่เอาไว้สำหรับอุทิศให้ผู้ล่วงลับนั่นล่ะ จะมีทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้ อะไรพวกนี้ล่ะเท่าที่หาได้ในพื้นที่ที่เรามี จัดใส่ใบตองทำเป็นห่อเล็ก ๆ มีหมาก พลู มวนยาสูบ จัดใส่ห่อกระทงใบตองอีกต่างหาก เอาไปวางตามโคนต้นไม้ ริมทางเดินหรือข้างกำแพงรอบ ๆ วัด แล้วแต่ละพื้นที่ก็ทำไม่เหมือนกันหรอก บางพื้นที่เวลาล่วงเข้าวันแรม 14 ค่ำก็ออกไปวางแล้ว ตั้งแต่ตอนตีหนึ่งตีสอง บางพื้นที่ก็ตีสี่สีห้าก็มี ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกเขาด้วย”

“เขานี่คือ...”

“ก็บรรดาญาติ ๆ ของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ผีเปรต สัมภเวสี ผีเร่ร่อนทั้งหลายที่พี่บอกนั่นแหละ”

“อูย...งั้นเราไม่ไปหรอกขอบาย ๆ ” ใช่สิงานแบบนี้มันถูกจริตกับต้นกล้าซะที่ไหน เมื่อต้องมีเรื่องของสิ่งลี้ลับเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเล่นเอาคนกลัวผีขั้นรุนแรงอย่างต้นกล้ากลัวจนขึ้นสมอง และใจออกตั้งแต่ได้ฟังเลยเชียวล่ะ ต้นกล้าทำหน้าไม่ถูกบอกบุญไม่รับ เพราะพอฟังแล้วก็คิดตาม คิดแล้วก็ขนลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยพาลไม่อยากคุยต่อ

“ทำไมล่ะ แค่เอาห่อข้าวไปวางไม่เห็นมีอะไรยุ่งยากเลย” เหอะไม่ยุ่งยากกะผีนะสิ เอาของไปวางให้ผีเนี่ยนะใครมันจะไม่กลัววะ ต้นกล้าคิดและจ้องหน้าเด็ดเดี่ยวเขม็ง ซึ่งอีกคนก็พอดูออกล่ะนะ ว่ามีความหวาดหวั่นแฝงอยู่ภายใน คนที่รู้และเก็บงำความเป็นมาเป็นไปอะไรดี ๆ ที่เคยเห็นจึงนึกสนุก “คืนนี้เดี๋ยวพี่พาไปกับน้าแจ่ม” !!

“..” ต้นกล้าตาโต ใบหน้าบวมเป่งทำเหมือนจะร้องไห้เมื่อฟังมาถึงตรงนี้แล้วคิดตาม ไม่น่าเลยไอ้กล้าไม่น่ามาอยากรู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ทำไมไม่ทำเป็นลืม ๆ ไปบ้างวะ ไม่รู้ว่าจะถามขึ้นมาอีกทำไม เห็นว่างานบุญก็นึกว่าจะสนุกเหมือนงานวัดที่เคยเห็นในหนัง ที่ไหนได้มีแต่..เอ่อ.. นั่นแหละ มีแต่สิ่งที่ต้นกล้าไม่อยากข้องแวะข้องเกี่ยว แล้วไหนที่คนตัวโตบอกจะพาไปด้วยนี่อีก ถามก่อนไหมว่าอยากไปหรือเปล่า ฮึ่ย! คิดแล้วก็อยากตีหัวตัวเองให้สมองกลับเลย จะได้ลืมเรื่องนี้ไปจริง ๆ

“ไปมั้ย พี่ว่าต้นกล้าน่าจะไปนะ จะได้ถือโอกาสบุญอุทิศให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว”

“ไม่ไป” ตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะได้ยินแค่นี้ก็หวั่นใจแล้ว อย่าให้ต้นกล้าต้องออกจากบ้านไปตอนตีสี่ตีห้าเลยเถอะ

“ทำไมล่ะ ไปด้วยกันสิ”

“แต่..”

“เดี๋ยวไปด้วยกัน น้าแจ่มคงเตรียมของวันนี้ล่ะ ลองถามแกดู”

“จะดีเหรอ อย่าดีกว่ามั้ง”

“ดีสิ”

“แต่..”

“ทำบุญอย่ามีแต่สิครับ เดี๋ยวญาติพี่น้องจะไม่ได้รับบุญจริง ๆ กลายเป็นผีเร่ร่อนหิวโหยขอส่วนบุญไปเรื่อยไม่รู้ด้วยนะ ทุกปีคุณยายทำปีนี้คุณยายไม่อยู่ต้นกล้าไม่ทำใครจะทำ”

“เป็นผีเร่ร่อนขอส่วนบุญเลยเหรอ”

“ประมาณนั้นครับ”

“ไม่ทำไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้หรอกมันเป็นประเพณี”

“แต่..”

“ไม่มีแต่ครับ เดี๋ยวไปกับน้าแจ่มใจพี่ไปด้วยอีกคน” ให้ตายยังไงต้นกล้าก็จะไม่ยอมไปเด็ดขาด! นี่มันวันประตูนรกเปิดนะ เป็นวันปล่อยผีเลยนะเว้ย ขนาดวันปกติต้นกล้าก็แทบสติแตกอยู่แล้ว แต่นี่อะไร นี่มันวันปล่อยผีเชียวนะ อย่าให้ต้นกล้าต้องออกไปเผชิญกับสิ่งที่อยากหลีกหนีให้ไกลเลยเถอะ จะให้ต้องนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพวันนี้ก็ยอม แต่จะให้ไปด้วยต้นกล้าขอผ่าน!

“เอาจริง ๆ เหรอ “ถามอย่างไม่แน่ใจทั้งที่ในใจบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป ต้นกล้าจะไม่ยอมลงจากบ้าน!

“กลัวอะไร”

“เปล๊า แค่ไม่อยากไปเท่านั้นและ แล้วนี่จะทำได้หรือยังอาหารน่ะ เราชักหิวแล้วนะ”

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวพึ่งนึกอะไรออกก็เมื่อตอนที่ต้นกล้าตอบเสียงสูงนี่แหละ จึงได้แต่ยิ้มออกมาบาง ๆ คิดถึงวันแรกที่เจอกัน คิดถึงร่างกายสั่น ๆ ที่กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก แล้วเอาแต่หลับตาร้องว่า กลัวแล้ว ๆ คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาบาง ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอีกคนในวันนั้นดูเหมือนจะหอมขึ้นมาในจมูกทันที ทำให้ยิ่งคิดถึง พอคิดถึงก็อดใจไม่ได้ล่ะทีนี้ อยากหอมจัง

ฟอด

“เฮ้ย มาหอมเราทำไมเนี่ย “

“หึ ๆ ก็พี่อยากหอม”

“บ้าไปแล้ว” ใช่เด็ดเดี่ยวเองก็รู้ตัวว่าเขานั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เอาแต่คิดเรื่องของคนหัวแดงคนนี้ ทำอะไรก็คิดถึง นั่งก็คิด นอนก็คิด คิดมาก คิด ๆ คิดแล้วร่ำ ๆ จะพาลให้นอนไม่หลับ ตื่นมาคนที่คิดถึงก่อนเป็นคนแรกก็คนคนนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรไปไหนมาไหน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นที่ในหัวจะมีแต่คนตัวเล็กกว่าตลอด คิดถึงร่างโปร่งบางแล้วก็อยากจะกอดใกล้ชิดคลอเคลีย คิดมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ส่ายหัวให้ตัวเองปลง ๆ เอ้า บ้าก็บ้าวะ แล้วถ้าจะบ้าขนาดนี้ก็ให้พ่อกำนันมาขอเลยเถอะ

“ไปเถอะ” เด็ดเดี่ยวดึงมือต้นกล้าจูงเดินไปทางครัว เริ่มการสอนทำอาหารวันแรก ซึ่งวันนี้ชายหนุ่มพาต้นกล้าทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างข้าวต้มหมู คนสอนก็ตั้งใจสอนเป็นพิเศษ ส่วนคนเรียนก็ดูเหมือนจะตั้งใจเรียนอยู่เหมือนกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาแกล้งเล่นให้สนุกได้ตลอด อย่างถูกใช้ให้สับหมูก็แกล้งทำเป็นสับมั่ว ๆ จนหมูกระเด้งกระดอนไปคนละทิศละทาง บางครั้งก็สับเบา ๆ หมูมันถึงไม่ละเอียดได้ที่สักที จนครูสอนจำเป็นต้องลงมือสอนการสับหมูด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด

“มันต้องสับแบบนี้” เด็ดเดี่ยวขยับเข้ามาสอนวิธีการสับหมู โดยยืนซ้อนด้านหลังของต้นกล้า มือข้างหนึ่งเกาะไหล่ของคนตัวเล็กกว่า ที่ส่วนสูงอยู่ในระดับจมูกของเขาพอดี จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนผมของอีกคน อืม..ชื่นใจ ส่วนมืออีกข้างกุมกระชับมือที่กำลังกำด้ามมีดช่วยเพิ่มแรงสับ มือใหญ่กระชับมือเรียวเอาไว้มั่น โดยไม่ลืมสอนการออกแรงและลงน้ำหนักให้ด้วย

"แบบนี้ทำได้มั้ย"

"ระ เราทำได้น่า"

"ได้แต่ไม่ดีเท่าที่ควรเลยต้องถึงมือพี่" ปากบอกมือที่กุมทับอีกมือก็บังคับให้สับไปด้วย ความสูงที่แตกต่างทำให้คนตัวโตกว่าต้องโน้มตัวลงมาข้างหน้า จนแผ่นอกกว้างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ แนบชิดกับแผ่นหลังของคนหัวแดง แก้มสากแนบขมับและเนื้อนวลจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ เล่นเอาฝ่ายนักเรียนหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที แล้วให้เกิดคำถามขึ้นมาถามตัวเอง ว่าคิดผิดหรือถูกกันแน่ที่แกล้งทำไม่เป็น ส่วนคนสอนก็หายใจติดขัดไม่แพ้กันหรอก แค่ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเท่านั้น ในใจก็สั่นและเต้นแรงจนแทบทะลุอกออกมาเหมือนกันนั่นแหละ

ครู่ใหญ่เลยทีเดียวกับช่วงเวลาที่ต้นกล้าหาเรื่องทำให้ใจของตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ พอหมูเริ่มได้ที่ไอ้หัวแดงจึงได้รู้สึกโล่งขึ้น เพราะเด็ดเดี่ยวปล่อยเพื่อให้ต้นกล้าไปตำเครื่องหมักหมู ซึ่งต้นกล้าก็ไม่วายแกล้งทำไม่เป็นอีกโดยการใส่กระเทียมลงทั้งหัวทั้งเปลือก บอกให้ใส่พริกไทยเม็ดก็ใส่เป็นกำ ไหนจะรากผักชีที่เด็ดเดี่ยวบอกว่าให้เอาแค่ราก แต่คนรั้นก็จับมันลงครกทั้งต้นทั้งใบ จนคนสอนต้องมาแยกมาคัดออกจากกันอีกให้เหลือพอดี ทำไปทำมาเลยกลายเป็นว่าเด็ดเดี่ยวต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่ตำเครื่องเสร็จนำมาหมักปรุงรสได้ที่แล้วปั้นลงหม้อ โดยมีคนหัดทำยืนมองตาแป๋วด้วยความพอใจ หึ ๆ แผนที่วางไว้มันได้ผลดีจริง ๆ

“ชักจะร้อน” ต้นกล้าบอกพลางถอดฮู้ดถอดหมวกอีโม่งออก

“ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องใส่” ทั้งสองคุยเล่นหัวเราะกันไปพลางช่วยกันทำข้าวต้มไป หลังจากที่ใส่เครื่องทุกอย่างก็รอให้ข้าวกับเนื้อสุก จนตอนนี้หม้อข้าวเดือดกำลังได้ที่

“อะลองชิมดูซิ”

“งั่ม อ๊าก ร้อน ๆ “

“เอ้าทำไมไม่เป่าก่อนล่ะ”

“ก็นึกว่าเป่าแล้วนี้ ฮึ่ยปากเราโดนลวกเลย “ต้นกล้าบอกหลังจากวิ่งไปคายข้าวร้อน ๆ ทิ้ง

“ไหนดูชิ” ใบหน้าบวมถูกประคองให้เงยขึ้น เพื่อดูรอยโดนข้าวต้มลวกที่ปาก เพราะต้นกล้ากำลังคิดอะไรเพลิน ๆ พอหันกลับมาเห็นช้อนชิมยื่นให้พอดี เขาที่กำลังหิวอย่างมากจึงอ้าปากงับเหยื่ออย่างรวดเร็ว จนคนป้อนดึงมือกลับไม่ทัน ผลออกมาก็อย่างที่เห็น ร้องเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกเลย

“ไม่เป็นไรมากหรอก” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อตรวจดูที่ริมฝีปากให้เรียบร้อยแล้ว แต่เอ๊ะทำไมเสียงของเขาถึงได้ติดจะสั่น ๆ อย่างนี้ ยิ่งต้นกล้าบอกด้วยเสียงอ้อน ๆ โดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันทำให้หัวใจชายหนุ่มหวิว ๆ ไหว ๆ แต่เต้นแรงและเต้นจังหวะแปลกไป

“โดนลิ้นด้วยร้อนมากตอนนี้”

“หนะ ไหน” เสียงยิ่งสั่นขึ้นกว่าเดิม เมื่อลิ้นสีชมพูออกแดงนั่นถูกแลบออกมาให้ดู น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอย่างยากลำบาก ตาคมมองเรียวลิ้นที่แลบล่อใจไม่วางตา จนกระทั่งมันถูกเก็บเข้าที่เดิมจึงได้รู้สึกตัว

“ชาแบบนี้จะกินอะไรอร่อยได้ล่ะ “

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้เป่า เดี๋ยวพี่ดูให้รับรองหายแน่”

“จะทำยังไงร้อนผ่าว ๆ อยู่เนี่ย ไม่หายง่าย ๆ หรอก ชาไปหมดแล้ว”

“หายสิ ไหนอ้าปากอีกทีซิ”



เลื่อนลงต่อเลยจ้า....
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน50% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-11-2018 22:41:47


“อ้า อุ๊ป อื้อออ” เมื่อต้นกล้าเผยอปากอ้าขึ้นเด็ดเดี่ยวที่รออยู่แล้ว ก็ประกบปากตัวเองเข้ากับปากสวยทันที เพื่อส่งการเยียวยาสุดแสนพิเศษมาให้พร้อมกับเรียวลิ้นอุ่น ที่สอดแทรกเข้ามาเป็นการปลอบประโลมลิ้นเล็ก ที่ถูกลวกด้วยข้าวต้มร้อน ๆ นับวันยิ่งร้ายนี่คือสิ่งที่เด็ดเดี่ยวต่อว่าให้ตัวเอง ที่คอยแต่จะหาเรื่องแทะเล็มเก็บเล็กกินน้อยจากต้นกล้าตลอด แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อมันอดใจไม่ได้สักที ยิ่งยอมรับกับตัวเองแล้วว่ารู้สึกกับต้นกล้ายังไง ชายหนุ่มก็ยิ่งห้ามใจไม่เคยอยู่ ยิ่งได้รู้ว่าต่างคนก็มีใจตรงกัน นั่นยิ่งทำให้การห้ามตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามไปเลย เมื่อมีโอกาสแสดงความรู้สึกอย่างที่ต้องการ เด็ดเดี่ยวจึงไม่เคยคิดจะเก็บและยั้งมันไว้ได้สักที เขาอยากทำให้ต้นกล้าเห็น เขารู้สึกดีที่อีกคนก็ตอบรับมาในแนวทางเดียวกัน แม้ว่าการแสดงของต้นกล้าจะออกมาในทางตรงกันข้าม แต่ไม่รู้ล่ะเด็ดเดี่ยวจะคิดว่าต้นกล้าเต็มใจแล้วมีความรู้สึกดี ๆ กับสิ่งที่เขาทำให้ด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะปฏิเสธแต่สุดท้ายหมาน้อยก็ยอมอยู่ดี สงสัยปฏิเสธแก้เขินสินะ

เหมือนครั้งนี้ที่ต้นกล้าดูตกใจและผลักไส แต่เมื่อเด็ดเดี่ยวเชิญชวนด้วยความอ่อนหวาน ผ่านรสจูบที่ซาบซ่านและละมุน กลับกลายเป็นต้นกล้าเองที่ตอบรับสัมผัสผ่านเรียวลิ้นบาดเจ็บ ด้วยการจูบตอบและโอบกระชับต้นคอแกร่งอย่างอบอุ่น

“อืม” เสียงครางดังออกมาจากลำคอของเด็ดเดี่ยวอย่างพอใจ ชายหนุ่มกระชับร่างบางกว่าเข้าสู่อ้อมแขนแข็งแรง มือกร้านลูบไล้แผ่นหลังผ่านเสื้อตัวหนา มือข้างหนึ่งเลื่อนมาประคองท้ายทอยจัดให้ได้องศาที่เหมาะพอดี เพื่อดื่มด่ำกับความหวานที่ส่งให้กัน

“ระ เราหิว” ต้นกล้าบอกเสียงสั่นหลังจากที่เด็ดเดี่ยวถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แล้วเอาแต่จ้องหน้าสบสายตากันอยู่อย่างนั้น ซึ่งต้นกล้าจะไม่รู้สึกอะไรเลย หากแววตาที่มองมาไม่ได้เต็มไปด้วยแสงแห่งความปรารถนา มันมากจนต้นกล้าสั่นสะท้านมันบ่งบอกความต้องการจนต้นกล้ากลัว แค่นี้ก็โดนรุกหนักจนแทบจะไปไม่เป็นอยู่แล้วนะเว้ย

“งั้นกินข้าวก่อนเดี๋ยวพี่ป้อน จะเป่าให้ไม่ร้อนเลยสัญญา” เด็ดเดี่ยวบอกพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พยายามบังคับเสียงของตัวเองให้มั่นคงที่สุด แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะแรงปรารถนาภายใน มันกำลังขับเคลื่อนความต้องการเพื่อออกมาสู่ภายนอกให้เขากระทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อตอบสนองความต้องการจากแรงขับของมัน ยิ่งคนตรงหน้ามองตอบกลับมาด้วยใบหน้าขึ้นสี และแววตาที่สะท้อนถึงความปรารถนาไม่แพ้กัน ยิ่งทำให้เลือดในตัวฉีดพล่าน แต่จะให้เด็ดเดี่ยวทำอะไรบุ่มบ่ามไปคงใช่ที่ คนที่มีความรู้สึกดี ๆ ด้วยมากขนาดนี้ เขาก็อยากถนอมรักษาความรู้สึกที่มีต่อกันให้นานที่สุด ความปรารถนาที่เกิดจากแรงขับของร่างกาย จึงถูกลดความสำคัญลง เพื่อความรู้สึกดี ๆ และการสร้างความประทับใจให้กันและกันเป็นที่หนึ่ง เด็ดเดี่ยวพยายามห้ามใจตัวเองให้ถึงที่สุด ห้ามความต้องการตามสัญชาตญาณมนุษย์ และกดมันเอาไว้ให้ลึก เมื่อไหร่ต่างคนต่างพร้อมก็เมื่อนั้นล่ะคือเวลาที่เหมาะสม เย็นไว้พ่อคนดีศรีหมู่บ้าน ท่องไว้ ๆ

“ถึงป้อนก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ ปากมันโดนลวกแล้วนี่” เสียงพึมพำเบา ๆ ที่ดังขึ้น เรียกเด็ดเดี่ยวให้หลุดออกจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง กลับมาสู่เวลาปัจจุบัน คนลิ้นโดนลวกหน้าตูมแถมยังส่งค้อนวงใหญ่จิกตาแรงมาให้อีกด้วย

“แต่พี่ป้อนรับรองอร่อยกว่าเดิมแน่”

“หาเรื่องแกล้งเราอีกล่ะสิไม่ว่า ชอบทำให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย เสร็จแล้วใช่มั้ยจะได้กิน เราหิวจะตายแล้วเนี่ย”

“เสร็จแล้วครับ มาเดี๋ยวพี่ตักให้” เด็ดเดี่ยวบอกยิ้ม ๆ เมื่อต้นกล้าหาเรื่องกลบเกลื่อนอาการหน้าร้อนวูบวาบของตัวเอง ความรู้สึกหวามไหวที่เกิดขึ้นนี้มันคืออะไรต้นกล้าก็ไม่รู้ หรือคงเพราะสายตาของคนตัวโตที่มองมา ทำให้เหมือนมีอะไรบางอย่างลอยวิบวับอยู่รอบ ๆ แล้วแตกออก จากนั้นก็กระจายตัวเป็นแสงสีชมพูดังเปรี๊ยะ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ก็เพื่อเป็นการข่มความรู้สึกแปลก ๆ ที่เจ้าตัวรู้ดีว่ามันคืออะไร พอได้รับจูบอ่อนหวานมันก็ก่อตัวเรียกร้องให้ต้นกล้าทำตามอย่างที่ใจและร่างกายต้องการ เพื่อดับความปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นเพราะคนตัวโต มันก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในกายโปร่งจนปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด ฮึ่ย! เข้าใกล้เป็นไม่ได้เลย ไอ้คนหน้ามึนนี่ทำให้ไขว้เขวได้ตลอดสิน่า ไม่ได้ ๆ ต้นกล้าต้องมั่นคงดังภูเขาขาดลูกนั้นที่เห็นลิบ ๆ อยู่ปลายนา

“ยังร้อนอยู่เลยนะ”

“ไหน เอามาเป่า” เมื่อเป่าเสร็จก็เอาช้อนมาจ่อที่ปากบาง ความบวมเพราะแตนต่อยเริ่มทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นกล้าก้มหน้าเล็กน้อย แต่สายตาเหลือบขึ้นมองคนตัวโตที่ยื่นช้อนจ่อค้างที่ปากสวย ส่งสายตามีความหมายและยิ้มเชิญชวนให้ชิม เมื่อต้นกล้ามองนิ่งยังมีการพยักหน้าให้อีกด้วย

“อ้าปากครับ”

“เรากินเองได้”

“คำนี้ให้พี่ป้อนก่อน เร็ว ๆ พี่ยกขึ้นแล้วเนี่ยเมื่อยแขนจะตายอยู่แล้ว”

“ก็ได้ เห็นแก่ที่ยกขึ้นแล้วนะ”

“ง่ำ / ลูกพี่คร้าบ” !!

“แคก ๆ ”

“แหะ ๆ ไอ้จ๋ามาผิดเวลาอีกแล้วเหรอครับ” ไอ้จ๋าถามเมื่อเห็นลูกพี่ใหญ่ของมันสะดุ้งโหยงจนตัวโยน และสำลักข้าวออกมา ทั้งที่ความจริงมันมาตั้งนานแล้วล่ะ มาเงียบ ๆ ตามแบบของมันเผื่อมีอะไรดี ๆ ให้ลุ้น แต่มาเห็นจังหวะที่ไม่ควรเข้ามาพอดี มันจึงล่าถอยไปคอยสังเกตการณ์ รอให้ได้จังหวะเหมาะเหมือนตอนนี้ไงล่ะ มันถึงได้เดินเข้ามาใหม่ เป็นยังไงล่ะครับ ไอ้จ๋ามันก็มีมารยาทนะเว้ย

“อะไร ผิดเวลาอะไรมากินข้าวนี่” ต้นกล้าบอก

“ครับ ๆ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปตักเองครับ”

“เออสิ ไม่ตักเองก็ไม่ได้กินโว้ย” เด็ดเดี่ยวกัดฟันบอกมองไอ้จ๋าตาเขียว ทั้งที่ตอนแรกก็เห็นล่ะนะว่ามันเดินมา จึงส่งสายตาสั่งให้มันถอยกลับไป แต่อะไรพอเผลอมันก็เดินกลับมาอีกเหมือนเดิม นี่มันตั้งใจกวนกันเห็น ๆ เด็ดเดี่ยวล่ะนึกอยากให้ใครสักคนเอามันไปเก็บไว้ไกล ๆ เสียจริง

“ว่าแต่วันนี้จะไปไหนกันหรือเปล่าครับ”

“จะไปไหนได้วะหน้าบวมอย่างนี้” ต้นกล้าบอกพลางตั้งข้าวเข้าปาก ในใจนึกหงุดหงิดที่ออกไปไหนไม่ได้เพราะหน้าบวม ๆ ของตัวเอง

“ครับ” ต้นกล้าเห็นนะว่าไอ้จ๋ามันกลั้นขำให้ใบหน้าของเขา “แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ ไม่มีงานมีการทำหรือไงมาเฝ้าแต่เช้าเนี่ย” สิ้นเสียงไอ้จ๋าเด็ดเดี่ยวหันมามองมันตาขวาง และได้รับกลับไปเพียงรองยิ้มเจ้าเล่ห์รู้ทัน แถมมันยังยักคิ้วกวน ๆ ส่งมาให้ด้วยหนึ่งทีอย่างรู้ทัน มันน่านักวันพระหน้าเจอกัน วันนี้อาจจะเป็นวันของมัน แต่อย่าลืมว่าวันพระไม่มีหนเดียว

“นั่งเฝ้าอะไรวะ”

“แหะ ๆ เปล่าครับลูกพี่” ไอ้จ๋าหัวเราะแห้งแก้ตัวแล้วหันไปทางลูกพี่ใหญ่ของมัน “เห็นแม่บอกลูกพี่จะทำอาหารกินเองเหรอครับ”

“เออ แน่นอน”

“ไหวหรือเปล่าล่ะครับ”

“นี่ใครวะไอ้จ๋าอย่าลืมดิ ต้นกล้า กวินกานต์ คือฉันเองนะโว้ย คิดจะทำอะไรแล้วไม่มีถอยว่ะ”

“ต้องสุดยอดอยู่แล้วครับลูกพี่”

“แน่นอน คึ ๆ ” ต้นกล้ายืดอกรับด้วยใบหน้าบวมฉุ ที่เปล่งประกายความภูมิใจในตัวเองอย่างปิดไม่มิด

“เออจ๋า คืนนี้ลูกพี่กล้าของแกเขาอยากออกไปวางข้าวประดับดินด้วย น้าแจ่มไปกี่โมง”

“เห็นว่าสักตีสี่ตีห้านี่ล่ะครับ เตรียมของไว้ตั้งแต่เย็นนี้เลยลูกพี่กล้าจะไปจริง ๆ ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าจะบอกแม่เตรียมของไว้ให้” เอาแล้วไงทำไมไม่จบวะ บอกว่าไม่ไปโว้ย ไม่ไป! ต้นกล้าได้แต่ตะโกนอยู่ในใจสวนทางกับสีหน้าที่ต้องพยายามทำให้เป็นปกติ และคงความมั่นใจเอาไว้ให้ดูเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม

“เอ่อ จะดีเหรอวะตีสี่ฉันตื่นที่ไหน” ต้นกล้าส่งสายตาดุค้อนเด็ดเดี่ยวแล้วหันไปบอกไอ้จ๋า

“เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกได้ครับถ้าลูกพี่อยากไป” อยากไปกับผีนะสิ เฮ้ย ใครจะอยากไปวะ แต่ต้นกล้าก็ได้แค่ตะโกนอยู่ในใจนั่นแหละ เพราะกำลังจะอ้าปากพูด เด็ดเดี่ยวก็แย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน

“อืม เห็นว่าลูกพี่เขาอยากทำบุญอุทิศให้ญาติที่ล่วงลับ กับเปรต วิญญาณเร่ร่อน สัมภเวสีผีไม่มีญาตินี่แหละ ใจดีไงบอกสงสาร หึ ๆ ” เอาเข้าไปยิ่งพูดต้นกล้ายิ่งขนลุก ตาก็มองไปรอบ ๆ ขนาดตอนนี้กลางวันยังเล่นเอาต้นกล้าเสียวสันหลังได้ขนาดนี้ แล้วคืนนี้ต้นกล้าจะเหลืออะไรให้เป็นขวัญกำลังใจ อ้าก ไอ้พี่เดี่ยว ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้ามึนมาเล่นอะไรแบบนี้วะ

ต้นกล้ามีสีหน้ายุ่งยากเมื่อมองหน้าเด็ดเดี่ยว แต่ก็แสดงอะไรออกมาไม่ได้มากนัก เพราะไอ้จ๋ามันจับตาดูอยู่ ในฐานะที่เป็นลูกพี่ ต้นกล้าจะหลุดต่อหน้าไอ้จ๋าไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ แต่คิดแล้วก็ให้นึกสงสัย ว่าทำไมสำหรับเด็ดเดี่ยวหรือไอ้จ๋า มันดูเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน กับการที่จะต้องเอาห่อข้าวออกไปให้..เอ่อ..นั่นแหละเอาออกไปวางไว้ตามทางนั่นแหละ สำหรับต้นกล้ามันน่ากลัวจนไม่อยากแม้แต่จะพูดออกมาด้วยซ้ำ นี่มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ความรู้สึกมันเป็นไปเองของมัน โดยที่ต้นกกล้าไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ แล้วนี่จะให้ออกไปกลางคืนมืด ๆ ค่ำ ๆ มันใช่แล้วหรือไง อ้าก ต้นกล้าอยากจะบ้าตายให้มันรู้แล้วรู้รอด!

“ถ้ากลัวตื่นไม่ทัน เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกเองนะครับลูกพี่”

“พี่ว่าดีเหมือนนะ หรือใครบางคนแถวนี้ป๊อด” หืม? ป๊อดงั้นเหรอ เล่นแบบนี้ได้ไงใครจะยอม นี่ไอ้กล้านะจะฆ่าก็ฆ่าเลยเถอะ แต่อย่ามาหยามอย่ามาท้ายทายกันโว้ย คิดได้ดังนั้นก็...

“ป๊อดที่ไหน แค่นั่นมันเวลานอนของเราเหอะ” ต้นกล้าเชิดหน้าคอตั้งตรงอย่างองอาจลำพอง แล้วหันไปสั่งไอ้จ๋า “ถ้าฉันไม่ตื่นแกมาปลุกก็แล้วกัน”

“รับแซบครับลูกพี่”

“ตกลงตามนี้ ให้ไอ้จ๋ามาปลุกแล้วไปวางห่อข้าวด้วยกัน”

“ด้าย.. อย่าว่าแต่เราเถอะ ตัวเองจะกล้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่ท้าแต่คนอื่นตัวเองกลับไปนอนอุตุที่บ้านหรอกนะ”

“พี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เด็ดเดี่ยวบอกอย่างมั่นใจ ก็ใช่ล่ะมันเรื่องธรรมดาสำหรับหนุ่มบ้านนาอย่างเขา ที่ผ่านพิธีกรรมนี้มาแล้วกี่ปีต่อกี่ปี แค่ปีนี้มันพิเศษหน่อยก็ตรงที่ มีใครอีกคนที่กลัวผีจนขึ้นสมองมาให้ท้าทายนี่แหละ

“จะมามั้ยล่ะกล้ามั้ย”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วนี่ ให้พี่ค้างที่นี่ยังได้เลยเถอะ” นั่นปะไร แหมมันเข้าทางจริง ๆ

“เหอะ บ้านใครบ้านมันถึงเวลาเจอกันอย่าป๊อดล่ะ” สีหน้าของต้นกล้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมาดมั่นเมื่อบอก เพราะถูกดักทางเอาไว้เลยลืมความกลัวไปชั่วขณะ และตกปากรับคำ แต่พอคิดได้ก็แอบใจแป้วรู้สึกแหยง ๆ อยู่ไม่น้อย แต่แล้วยังไงล่ะ มันพลั้งปากไปแล้วนี่ จะกลับลำตอนนี้มีโดนหยามแน่ ๆ และนั่นก็ไม่ใช่วิถีของต้นกล้า กวินกานต์!

“งั้นเจอกันให้มันรู้ไปเลย”

“เอาละครับลูกพี่ทั้งสอง ไอ้จ๋าว่า...” เด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าพร้อมใจกันหันมามองไอ้จ๋า รอฟังว่ามันจะพูดอะไร แต่จนแล้วจนรอด มันก็เอาแต่มองหน้าของลูกพี่ทั้งสองสลับกันกลับไปกลับมา ด้วยท่าทางกวน ๆ จนคนที่ทนรออะไรนาน ๆ ไม่ได้อย่างต้นกล้าต้องถามออกมา

“ว่าอะไรวะ”

“แหะ ๆ รีบกินเถอะครับข้าวต้มเย็นหมดแล้ว” ต้นกล้าถลึงตาใส่ไอ้จ๋า แล้วหันมาจ้วงตักข้าวต้มเย็นชืดเข้าปากจนหมด อิ่มแล้วก็ขยับถ้วยไปตรงหน้าให้ไอ้จ๋าเป็นคนล้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวเป็นคนทำแล้ว ซึ่งไอ้คนเป็นลูกน้องมันก็ทำให้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว แม้ว่าลูกพี่จะไม่อ้างเหตุผลอันใดก็ตาม

“เดี๋ยวพี่ต้องไปธุระที่อำเภอหน่อย” เด็ดเดี่ยวบอกหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ “ไปด้วยกันมั้ย”

“ไม่”

“คิดหน่อยสิ” ดูเหมือนลูกชายคนเดียวของกำนันอาจหาญจะเปลี่ยนไปมาก เพราะดูเหมือนว่าจะไม่อยากให้หลานชายคุณยายประไพศรีอยู่ห่างตัวเอาเสียเลย

“จะให้เราไปได้ยังไงหน้าแบบนี้ จ้างให้เราก็ไม่ออกจากบ้าน” ทีวันอยากไปไม่ให้ไป เชอะ*! *

“พี่ว่ามันลดลงเยอะแล้วนะไม่บวมเท่าเมื่อเช้าแล้ว”

“หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไป”

“ไปเถอะน่า นะ”

“ไม่”

“จะไปไหนกันเหรอ” เสียงถามดังขึ้นจากด้านหลังของต้นกล้า พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นแม่แจ่มใจที่กำลังเดินเข้ามา

“น้าแจ่ม”

“ต้นกล้า! ทำไมหน้า ฮ่า ๆ อย่าบอกนะว่าโดนแตนต่อยมาน่ะ” มันเดาได้ง่าย ๆ อยู่แล้วล่ะสำหรับอาการบวม ๆ อย่างที่ต้นกล้าเป็น คนแถวนี้รู้กันทั้งนั้นว่ามันจะเกิดจากอะไร แม้แต่แม่แจ่มใจเองก็ไม่เว้นที่เห็นหน้าต้นกล้าแล้วก็อดขำไม่ได้ ดีกว่าไอ้จ๋าหน่อยที่ไม่หัวเราะเหมือนกำลังสะใจเท่านั้นเอง

“น้าแจ่มน่ะอย่าหัวเราะผมสิครับ ปกติผมหล่อนะ”

“จ้า น้าขอโทษก็มันอดขำไม่ได้นี่กัดตรงไหนไม่กัดมากัดที่หน้า สงสัยแตนมันอิจฉาในความหล่อนั่นแหละ เลยมากัดเสียหมดหล่อเลยเนอะ” แม่แจ่มใจขำแล้วเลยพูดเอาใจเสียหน่อย “แล้วว่าจะไปไหนกันล่ะ”

“ผมกำลังจะเข้าอำเภอครับ น้าแจ่มอยากได้อะไรหรือเปล่า”

“อืม พอดีเลย น้ากำลังจะมาบอกให้ไอ้จ๋าเข้าไปซื้อพวกผลไม้กับของหวานมาทำห่อข้าวอยู่เหมือนกัน”

“อะไรแม่” ไอ้จ๋าเดินออกมาพอดีได้ยินชื่อตัวเองจึงถามขึ้น

“ทำอะไรเสร็จหรือยังเข้าไปซื้อผลไม้กับของหวานที่อำเภอให้แม่หน่อย”

“ของเอามาจัดห่อข้าวใช่มั้ยแม่”

“เออ”

“ว่าแต่น้าแจ่มจะเอาห่อข้าวไปวางตอนไหนครับ” เด็ดเดี่ยวได้โอกาสถามเรื่องเวลา เล่นเอาต้นกล้ารู้สึกหวาด ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมนะ คนคนนี้ถึงไม่ทำลืมหรือปล่อยผ่านมันไปเสียบ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จริงจังตลอด โดยเฉพาะการหาเรื่องแกล้งต้นกล้า

“ตอนแรกก็ว่าจะไปสักตีห้า แต่น้ามีธุระแต่เช้า คงต้องไปสักตีหนึ่งตีสองนี่ล่ะ”

“หาตีหนึ่งตีสอง”

“ทำไมล่ะ” แม่แจ่มใจหันมาทางต้นกล้าที่อุทานออกมาเสียงดัง

“ก็..”

“ต้นกล้าอยากไปด้วยครับ อุ” เด็ดเดี่ยวร้องออกมาเบา ๆ เมื่อถูกต้นกล้าหยิกเข้าที่หลังอย่างแรงโทษฐานที่หาเรื่องให้เขาดีนัก

“งั้นก็ไปพร้อมกัน เดี๋ยวน้าจะเตรียมห่อข้าวให้”

“เอ่อ...”

“ไม่ต้องห่วงครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋ามาปลุกเอง” ด้วยคิดว่าลูกพี่คงกลัวนอนแล้วจะตื่นมาไม่ทัน เพราะต้นกล้าบอกว่านั่นมันเป็นเวลานอนของเขา ไอ้จ๋าจึงออกตัวแรงอาสามาปลุกอย่างเต็มใจ แต่สำหรับต้นกล้าแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย! เขาอยากตะโกนออกมาดัง ๆ นัก แต่สิ่งที่ทำได้กลับตรงกันข้ามคือแค่ยืนนิ่งส่งยิ้มหน้าจืด ๆ ให้แม่แจ่มใจ และแอบคิดแค้นเด็ดเดี่ยว ที่คอยหาแต่เรื่องให้เขาเอาไว้รอเวลาเอาคืน

“ตกลงน้าแจ่มเอาผลไม้กับของหวานนะครับเดี๋ยวผมกับต้นกล้าจะซื้อมาให้”

“ใช่จ๊ะ เดี๋ยวน้าทำอย่างอื่นรอที่บ้านก็แล้วกัน”

“ครับ “แม่แจ่มใจบอกลาแล้วเดินกลับบ้าน เด็ดเดี่ยวหันมามองหน้าต้นกล้าเหมือนจะถามว่าไปกันได้หรือยัง แต่ต้นกล้ายังยืนเฉยมองตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ไปกันเลยมั้ย”

“ใครบอกเราจะไปด้วย”

“เอ้า พี่ก็ถามอยู่นี่ไง ไปกันเถอะ”

“หืม เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะไป”

“ไปเถอะ ถือว่านั่งรถเล่นยังไงวันนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แบบนี้เราไปดายหญ้าอ้อยกับคนงานมีประโยชน์กว่ามั้ย”

“ไหนเมื่อเช้าลูกพี่บอกกลัวคนงานหัวเราะไงครับ” สองหนุ่มลืมไอ้จ๋าไปได้ยังไงว่ามันยังนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมมันต้องมาขัดขาต้นกกล้าด้วยวะเนี่ย

“นั่นสิ ไปกับพี่ดีกว่าอยู่บ้านคนเดียวนะ”

“ไอ้จ๋า..”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าออกไปไร่อ้อยก่อนนะครับลูกพี่” ไอ้จ๋ารีบออกตัวเมื่อต้นกล้าหันมาหามัน เหมือนกำลังต้องการแนวร่วม

“นั่นไง ไปกับพี่ดีกว่าอย่าอยู่บ้านคนเดียวเลยนะ”

“ไปกันสองต่อสองเถอะครับลูกพี่ เรื่องนี้ไอ้จ๋าจะไม่ยุ่งไปล่ะ”

“แล้วแกไม่อยากไปหาใครที่บ้านอยู่ในอำเภอหรือไงวะจ๋า” ไอ้จ๋าชะงักหันกลับมามองหน้าบวม ๆ ของลูกพี่ มันทำหน้าตึงขมวดคิ้วเอียงคอถามเสียงเข้มอย่างเอาเรื่อง

“ลูกพี่หมายถึงใครครับ”

“จะใครล่ะว้า ก็มีคนเดียวนั่นแหละที่กระเตง ๆ ไปส่งกันอยู่” ต้นกล้ากอดอกเชิดหน้า ทำท่าทางบ่งบอกให้ไอ้จ๋ามันเห็นว่าเขาก็รู้

“เหอะถ้าหมายถึงยัยส้มเน่า ผมกับยัยตุ๊ดเผือกนั่นไม่เกี่ยวกันนะครับลูกพี่”

ครืดดดดดดด พูดจบพี่ฮีโร่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของไอ้จ๋าก็สั่นขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบอกว่ามีสายเรียกเข้ามาให้มันต้องรีบเอาออกมาดู

“เบอร์ใครวะ” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ เมื่อเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ มีต้นกล้าที่แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้าชะโงกเข้ามาดูด้วย

“เบอร์ใครก็รีบ ๆ รับดิวะ เขาจะได้ไม่ต้องรอนาน” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วมุ่นกับคำบอกของลูกพี่ก่อนจะกดรับสาย

“ครับ ใครนะครับ...ห๊าอะไรนี่เธอเอาเบอร์ฉันมาจากไหนวะ...” ต้นกล้าหูผึ่งอย่างสนใจเมื่อได้ยินไอ้จ๋ามันพูดออกมาแบบนี้ นั่นก็เดาได้ไม่ยาก คนหล่อเกาหลีหรี่ตาสบกับเด็ดเดี่ยวส่งสัญญาณรู้กัน แล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะขำแบบไม่มีเสียง “แล้วโทรมามีธุระอะไร ”

“ไอ้จ๋าพูดดี ๆ กับน้องเขาหน่อยสิวะ” ไอ้จ๋าหันมามองต้นกล้าที่ส่งเสียงปรามมันแทรกขึ้นมา ก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์ต่อ

“โทรมาบอกแค่เนี๊ย..เออ เออ แค่นี้นะขี้เกียจคุย”

“เฮ้ย เดี๋ยว ๆ ฉันขอคุยกับตัวเล็กหน่อย”

“ลูกพี่จะคุยอะไรครับ”

“น่าเอาโทรศัพท์มา” ไอ้จ๋าจำต้องยื่นโทรศัพท์คู่บุญเครื่องเก่าให้คนเป็นลูกพี่ใหญ่อย่างจำใจ

“ตัวเล็กวันนี้ว่างมั้ย...อืม พวกพี่กำลังจะเข้าไปซื้อของ...ใช่ ๆ ไปกันหมดนี่ล่ะ เครเจอกันนะ” เด็ดเดี่ยวยิ้มพอใจออกมาเมื่อได้ยินต้นกล้าคุยโทรศัพท์ แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการทันทีที่ไอ้จ๋ามันหันมามองอย่างรู้ทัน และมันก็แบะปากให้อย่างไม่สบอารมณ์

“ไปเตรียมตัวเข้าเมือง”

“อะไรครับ แม่ฝากลูกพี่เดี่ยวแล้วนี่ ไอ้จ๋าไม่ไปนะครับ เพราะเดี๋ยวจะไปดายหญ้าอ้อยกับคนงาน”

“ไม่ไปได้ไงฉันนัดออเรนจ์แล้ว”

“เอ้า แล้วเกี่ยวอะไรกับไอ้จ๋าล่ะครับ”

“เอ้า แกก็ต้องไปด้วยสิ”

“เมื่อกี้ไอ้จ๋าได้ยินว่าลูกพี่บอกจะไม่ไปนี่ครับ”

“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วโว้ย ปะขึ้นรถ”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวรีบตอบรับทันทีเมื่อต้นกล้าหันมาชวนขึ้นรถ “ไอ้จ๋ารับ”

“เฮ้ยอะไรกันครับลูกพี่” ไอ้จ๋าร้องถามเมื่อเด็ดเดี่ยวโยนกุญแจรถมาให้มันหน้าตาเฉย

“แกขับ”

“อ้าว เรื่องอะไรมาให้ไอ้จ๋าขับครับเนี่ยรถใครรถมันสิครับลูกพี่”

“เหอะน่ามาเร็ว ๆ ” และแล้วไอ้จ๋าก็จำต้องทำหน้าที่เป็นพลขับ อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้คิดว่าจะออกมาด้วย ทั้งสามเข้าเมืองกันโดยไอ้จ๋าทำหน้าที่พลขับ มีเด็ดเดี่ยวนั่งหน้าคู่มาด้วยกัน แต่คืออะไรเมื่อรถออกมาจากหมูบ้านมาได้ไม่นานเด็ดเดี่ยวที่ตัวโต ๆ ก็ปีนข้ามไปนั่งข้างหลังกับลูกพี่กล้าของมัน ปล่อยให้ไอ้จ๋าทำหน้าที่คนขับรถเต็มตัว

***กระซิบๆๆ พี่เดี่ยวต้นกล้า จะเปิดพรีฯ เร็วๆ นี้แล้วนะคะ ใครสนใจเล่ม เตรียมตัวไว้เด้อ รอปกมา เจอกันแน่นวลคร่าาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน50% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 27-11-2018 22:00:50
“เฮ้ย ข้ามมาทำไม”

“พี่อยากนั่งกับต้นกล้า”

“บ้าสินั่งข้างหน้าก็ดีอยู่แล้ว ตัวก็ออกใหญ่โตยังจะข้ามมาอีกกลับไปนั่งกับไอ้จ๋าเลยไป”

“ก็ไหนบอกพี่ตัวโตข้ามกลับไปกลับมาลำบากแย่ เป็นห่วงพี่ใช่มั้ยงั้นให้พี่นั่งด้วยล่ะกัน”

“อะไรของเขาวะเนี่ยสองคนนี้” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ แล้วส่ายหัวให้กับลูกพี่ทั้งสอง ที่คนหนึ่งโวยวายให้อีกคนกลับมานั่งที่เดิม อีกคนก็เอาแต่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ เฮ้อ ปลง เกิดมาเป็นไอ้จ๋ามีลูกพี่ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง คิดรำพึงในใจแล้วมันก็เหลือบมองกระจก แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปใช้สมาธิกับการขับรถอย่างระมัดระวัง จนมาถึงตัวอำเภออันเป็นจุดหมายปลายทาง ไอ้จ๋าขับรถพาเด็ดเดี่ยวไปทำธุระของพ่อกำนันตามที่ลูกพี่บอก เสร็จก็เกือบเที่ยง

“ลูกพี่ครับ”

“ว่าไง”

“เข้าตลาดซื้อของก่อน หรือไปหาอะไรกินกันก่อนครับ” ไอ้จ๋าถามเมื่อทั้งหมดพากันขึ้นมานั่งบนรถ หลังจากที่เด็ดเดี่ยวทำธุระเสร็จแล้ว

“แกหิวเหรอ”

“นิดหน่อยครับ”

“เมื่อเช้าก็เหมาข้าวต้มคนเดียวหมดหม้อนะได้ข่าว” เด็ดเดี่ยวกระแนะกระแหน

“โด่ว แค่นั้นมันจะไปอยู่ท้องไอ้จ๋าได้ยังไงครับ แต่เอาเป็นว่าไปซื้อของก่อนก็ได้ครับแล้วค่อยไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน”

“ว่าไง”

“แล้วแต่ เรายังไม่หิวเท่าไหร่”

“งั้นไปตลาดก่อนก็แล้วกัน”

“ครับลูกพี่” ไอ้สารถีหน้าดำขับรถตรงไปตลาดสด อันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ขับรถไปให้รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ไม่ออก จนกระทั่งจอดรถที่ถนนข้างตลาดแล้วเปิดประตูลงจากรถมานั่นแหละจึงพึ่งจะนึกได้

“จ๋า” นั่นยังไงล่ะ ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวลายการ์ตูนสีชมพู กับกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อนดูสดใสยืนทำตัวขาว ๆ เปล่งแสงอย่างไม่กลัวแดด อยู่ข้างรถมอเตอร์ไซด์คันเล็กลายคิตตี้สีชมพู

“เฮ้ย มาได้ยังไงยัยส้มเน่า”

“ก็พี่กล้าบอกว่าให้มาหาที่นี่เราก็เลยมารอ นายมาซื้ออะไรเหรอ”

“มาธุระ”

“สวัสดีฮะอาจารย์” ออเรนจ์หันไปยกมือไหว้ทักเด็ดเดี่ยว ที่เปิดประตูรถข้างคนขับลงมา “แล้วพี่กล้าล่ะฮะอาจารย์”

“พี่เขาบอกร้อนเลยรออยู่บนรถน่ะ”

“เหรอฮะ พี่กล้า” ออเรนจ์หันสวัสดีแล้วโบกมือให้ต้นกล้าที่นั่งอยู่ในรถแต่..

“มานี่มา”

“อะไรจ๋าจะพาเราไปไหน” ไอ้จ๋าดึงมือเล็กให้เดินตามไปที่รถฝั่งที่ต้นกล้านั่งอยู่อย่างนึกสนุก มันเคาะกระจกรถเบา ๆ เพื่อให้ต้นกล้าลดกระจกลง ซึ่งฝ่ายลูกพี่ไม่อยากให้ใครได้ยลโฉมใบหน้าอันหล่อหลา ที่ยังบวมอยู่ไม่น้อยของตัวเอง เลยต้องรีบดึงฮู้ดเสื้อขึ้นคลุมหัวอย่างว่องไว ก่อนจะลดกระจกลงมาเพียงเล็กน้อย

“พี่กล้าไม่ลงมาเหรอฮะ”

“เอ่อมันร้อนน่ะพี่เลยไม่อยากลงไปเดี๋ยวผิวเสีย”

“แล้วพี่กล้าให้มาหาทำไมล่ะฮะ”

“ถามไอ้จ๋าดูสิ เห็นมันบอกมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

“เหรอฮะ”

“อ้าวอะไรกันครับลูกพี่”

“เออ ๆ มีไรไปคุยกันเอาเองไป” แล้วต้นกล้าก็กดปิดกระจก ทั้งสองมองหน้ากันงง ๆ

“อะไรของเขาวะ”

“นั่นสิ เดี๋ยวสิจ๋า แล้วนายจะไปไหนน่ะ”

“ไปซื้อของสิถามได้”

“อ้าวแล้วตกลงยังไงหนิ ให้เรามาทำไม”

“ฉันจะไปรู้กับเธอเหรอ” ไอ้จ๋าเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในตลาดสดที่เฉอะแฉะ โดยมีออเรนจ์เดินอย่างระมัดระวังตามเข้าไปด้วยกัน

เด็ดเดี่ยวเดินซื้อของได้ครบตามที่ต้องการก็ออกมาที่รถ ซึ่งมีต้นกล้านั่งรออยู่ท่ามกลางความเย็บฉ่ำภายในรถอย่างสบายแฮ ชายหนุ่มเอาของวางไว้ที่กระบะท้ายแล้วจึงเปิดประตูขึ้นรถมา

“ไอ้จ๋าล่ะ”

“ไม่รู้ดิ เห็นเดินเข้าไปในตลาดกับออเรนจ์”

“เสร็จแล้วใช่มั้ย”

“เรียบร้อย”

“งั้นออกรถเลย”

“อ้าวแล้วไม่รอไอ้จ๋าเหรอ”

“จะรอมันทำไมก็เห็นอยู่ว่ามันออกเดท คึ ๆ ”

“หึ ๆ หาเรื่องแกล้งมันเดี๋ยวก็โดนเอาคืนหรอก”

“อย่างกับตัวเองไม่อยากแกล้งมันอย่างนั้นแหละ” ใช่ใครจะไม่อยากแกล้งมันล่ะ ไอ้จ๋ามันน่าแกล้งน้อยเสียที่ไหน ขนาดเด็ดเดี่ยวที่บอกว่าต้นกล้าหาเรื่องแกล้งมันเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่มือก็ปลดเบรกเข้าเกียร์แล้วออกรถไปด้วยล่ะนะ ถามหน่อยนี่คือห่วงหรือพูดพอเป็นพิธีกันแน่

“หิวมั้ย”

“นิดหน่อย”

“อยากกินอะไร”

“เลี้ยงใช่มะ”

“ให้เลี้ยงตลอดไปเลยก็ได้พี่ยินดี”

“วู้อย่ามาติ๊งต๊องหน่อยเลย เห็นไอ้จ๋าบอกว่าไปกินเตี๋ยว”

“อ๋อ เตี๋ยวร้านนั้นแน่ ๆ เคยไปกินกับมันเดี๋ยวพี่พาไป”

“คิดว่ามันจะตามเรามาถูกปะ”

“ไม่รู้สิ”

“ถ้ามันไม่โง่อะนะ”

“ถ้ามันคิดได้ว่าเราจะมาล่ะนะ”

“ก็ก่อนที่จะเข้าตลาดก็คุยกันแล้วไงว่ากินเตี๋ยว ไม่รู้ก็ช่างหัวมัน ฮ่า ๆ “

“เป็นลูกพี่ที่ดีที่สุดในโลกเลย”

“แน่นอน” เด็ดเดี่ยวว่าพลางส่ายหัวให้กับความคิดของต้นกล้า ที่คอยแต่จะหาว่าคนนั้นคนนี้แกล้งตัวเอง ทั้งที่ในหัวของตัวเองก็คิดแต่เรื่องแกล้งคนอื่นอยู่ตลอดเหมือนกัน สรุปก็คือพอ ๆ กันนั่นแหละ



%%%%%

“เฮ้ยลูกพี่หายไปไหนวะ” ไอ้จ๋าอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อเดินกลับมายังบริเวณที่จอดรถไว้ แล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเป็นลูกพี่ทั้งสองและรถที่ขับมา

“มีอะไรเหรอจ๋า”

“สงสัยลูกพี่เดี่ยวกับลูกพี่กล้าไปแล้วว่ะ ไม่รอกันเลยมันน่านัก” ไอ้จ๋าบอกพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่มีวี่แววของรถกระบะสี่ประตูสีขาวคันเก่งของเด็ดเดี่ยวจอดอยู่แถวนั้น หรือแม้กระทั่งรถที่วิ่งผ่านไปมาอยู่บนถนน ก็ไม่มีคันสีขาวโดดเด่นสะดุดตาด้วยซ้ำ

“พี่เขาพากันไปซื้อของอย่างอื่นหรือเปล่า”

“ไม่มีทางหรอก ถ้าเธอได้เห็นหน้าของลูกพี่กล้านะ หึ”

“ทำไมเหรอจ๋า”

“หึ ๆ “

“อะไรอะ มีเรื่องสนุก ๆ อะไรกันเหรอเล่าให้เราฟังบ้างสิ” ออเรนจ์สนใจและคิดว่ามันคงเรื่องเป็นสนุก ๆ สักเรื่องแน่ เมื่อเห็นไอ้จ๋าค่อย ๆ แสยะยิ้มออกมาแล้วหัวเราะชอบใจนัยน์ตาเป็นประกาย

“เธอไม่สงสัยเหรอว่าทำไมลูกพี่กล้าไม่ยอมลงจากรถ”

“ก็พี่กล้าบอกร้อน”

“หึ ๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นอีกยัยส้มเน่า”

“เหรอ มีอะไรเหรอ”

“ก็เมื่อวานนะสิ คึ ๆ ลูกพี่กล้าน่ะ ฮ่า ๆ โอ๊ยคิดแล้วขำ”

“ขำทำไมพี่กล้าเป็นอะไร จ๋าแกล้งพี่เขาเหรอ”

“เปล่า ฮ่า ๆ ลูกพี่กล้าน่ะโดนแตนต่อยเข้าที่หน้านะสิ ฮ่า ๆ โอ๊ยกลั้นขำไม่ไหวแล้วโว้ย ฮ่า ๆ เมื่อเช้านะยังบวมปูดอยู่เลย แล้วต่อยที่ไหนมันก็ไม่ต่อยนะไอ้แตนชั่ว ดันมาต่อยที่ตากับปาก พอมันบวมละทีนี้เธอนึกภาพออกมั้ยคนหล่อ ๆ ที่ตาปิดไปข้างหนึ่ง ปากก็ปากล่างด้วยนะที่โดนต่อย มันบวมออกมาเหมือนดอกไม้บานเลย ฮ่า ๆ คิดภาพสิปากบนบาง ๆ ปากล่างบาน ๆ อวบอิ่มมันใช่เลยล่ะยัยเน่าเอ้ย ฮ่า ๆ ” ไอ้จ๋ามันเล่าไปหัวเราะไปอย่างได้อารมณ์ จนออเรนจ์อดไม่ได้หัวเราะประสานเสียงกัน

“คิก ๆ ฉันจะฟ้องพี่กล้า ฮ่า ๆ “คนเคยถูกแตนต่อยหรือเคยเห็นย่อมจะนึกภาพออก และออเรนจ์ที่กำลังร่วมผสมโรงหัวเราะกับไอ้จ๋าก็เช่นกัน ที่นึกภาพตามแล้วก็อดขำไม่ได้ พอขำจนได้ที่ก็ตอนน้ำตาไหลออดมาแล้วนั้นแหละ พากันขำจนน้ำตาไหลไอ้จ๋ามันถึงเพิ่งนึกได้ ว่าตัวเองถูกลูกพี่แกล้งทิ้งไว้ที่นี่ และคงต้องหาทางกลับบ้านเองเป็นแน่

“แล้วนี่ฉันจะกลับยังไงวะเนี่ย”

“พี่เขาอาจจะไปธุระอื่นก็ได้นะจ๋า คิก ๆ ”

“ธุระอย่างอื่นเสร็จหมดแล้ว ซื้อของนี่เสร็จก็กลับ”

“กลับเลยเหรอไม่แวะไหนก่อนเหรอ”

“ไม่” ไอ้จ๋าตอบแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย เมื่อออเรนจ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง

“แล้วนายจะทำยังไงล่ะตอนนี้”

“ก็กลับดิ”

“แต่ฉันหิว”

“แล้วมาบอกทำไม”

“ก็เอ่อ” ออเรนจ์ก้มหน้าพูดไม่ออกกับถ้อยคำตัดรอนของไอ้หมาหน้าดำ ทั้งที่เมื่อกี้ยังหัวเราะขำด้วยกันอยู่เลย แต่ตอนนี้ยิ่งคุยก็ดูเหมือว่าไอ้จ๋ายิ่งหงุดหงิดขึ้นจนตามอารมณ์ ที่คิดว่าจะชวนไปกินข้าวก่อนเลยไม่กล้าแต่ “ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันก่อนมั้ย” พูดออกมาแล้วก็ต้องกัดปากตัวเองจนจะช้ำเลือด และแทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบ ทั้งที่พูดออกมาเพียงเบา ๆ แต่ดูเหมือนว่าไอ้คนฟังมันก็ยังคงได้ยิน

“ฉันไม่หิว” โครก

“คิก ๆ “ไอ้จ๋าสะบัดเสียงตอบแต่ท้องของมันกลับทรยศตัวเอง ด้วยการร้องออกมาเสียงดัง จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินและอดหัวเราะขำไม่ได้ ก็ใช่นะสิมันหิวและบ่นหิวตั้งแต่ยังมาไม่ถึงตลาดสดด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้มันจึงหิวมากแต่ก็ยังปากแข็ง ไอ้จ๋าที่ตอนแรกทำเสียงดังกลบเกลื่อนความไม่เป็นใจของร่างกายมันเอง กลับต้องยืนหน้านิ่งมองรอยยิ้มสดใส จากริมฝีปากสีแดงสดราวกับลูกเชอรี่ ที่ประดับด้วยเขี้ยวเล็ก ๆ น่ารัก ออเรนจ์ยิ้มขำดูสดใสเป็นธรรมชาติ ตากลมโตเป็นประกายอย่างน่ามอง และไอ้จ๋าก็เผลอมองเสียเพลินเลย

“จ๋า”

“อะ อะไรอีก”

“ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันนะ”

“ไม่มีเงินเว้ย ซื้อของหมดแล้ว”

“เรามีเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

“ฉันไม่อยากกินของเธอ”

“ทำไมล่ะ” ออเรนจ์หน้าเสียถามออกมาเสียงแผ่ว “ถือว่าเราเลี้ยงขอบคุณจ๋าไง”

“จะมาเลี้ยงขอบคุณเรื่องอะไร”

“เรื่องที่จ๋าให้เราค้างด้วย แล้วยังพาไปกินปลา พาไปเจอเพื่อนใหม่ แล้วยังพามาส่งบ้านอีก” ใช่คนตัวผอมรู้สึกว่าเพื่อนของไอ้จ๋าทุกคนเป็นมิตรกับตัวเองมาก โดยเฉพาะไอ้ว่าวที่ดูเหมือนว่าจะพูดดีกับออเรนจ์เป็นพิเศษ จึงเรียกเพื่อนใหม่ได้อย่างสนิทใจ ส่วนเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้านั้นก็ดีอยู่แล้ว

“ทุกอย่างมันจำเป็นเถอะ” ใช่สิดูเหมือนวันนั้นอะไรมันบังคับไอ้จ๋าทั้งนั้นนี่

“เราก็ยังอยากขอบใจนะ วันนั้นเราสนุกมากเลย”

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้นะแยกย้าย” ไอ้จ๋าพูดจบก็หันหลังกะจะเดินจากไป เพราะรู้สึกหัวเสียขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปหัวเสียด้วยเรื่องอะไร แต่อยู่ดี ๆ ก็ให้เกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์และไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เหอะเพื่อนใหม่เหรอ เขามองตัวเองตาเป็นมันยังไม่รู้ตัวอีกยัยบ้า ไอ้จ๋าคิดพลางเดินไป แต่เดินไม่ทันถึงสามก้าวเสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ก็ทำให้ขาทั้งสองข้างของมันชะงัก

“เราอยู่กับจ๋าแล้วสนุกมากเลยนะ” บอกแล้วก็ได้แต่เม้มปากรอฟังคำที่ไอ้จ๋าจะบอกกลับมา ซึ่งก็คงไม่พ้นคำด่าหรือต่อว่าเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ แต่...

 อ่านแล้วภาษาอาจจะยังมีป่วง ๆ เพราะยังไม่รีไรท์นะคะ
ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 27-11-2018 22:02:31
“จะไปยังไง” พอเงยหน้าขึ้นก็แทบผงะ เมื่อไอ้จ๋าซึ่งไม่รู้ว่าเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มายืนอยู่ตรงหน้าจนแทบชิดกันเลย “เอ้ายัยนี่จ้องอยู่ได้จะไปไม่ไปกินเตี๋ยวน่ะ บอกไว้ก่อนนะสำหรับฉันน่ะชามเดียวไม่พอ”

“กี่ชามก็ได้ อะนี่กุญแจรถนายขับนะ”

“ไหนรถ” ไอ้จ๋าถามเมื่อรับกุญแจรถมอเตอร์ไซด์มาจากออเรนจ์ แต่ก็แทบจะปากุญแจคืนให้เจ้าของมัน เมื่อออเรนจ์ชี้มือไปที่รถของตัวเอง








“ห๊า คันนี้เนี่ยนะ”

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“บรึ๋ย ฉันจะขี่ไปได้ยังไง รถอะไรทำไมมันถึงได้สีชมพูแปร๋นออกอย่างนี้วะ”

“รถมอเตอร์ไซด์ไง”

“ยี้ จะนั่งลงไปได้ยังไง” ไอ้จ๋าแสดงท่าทารังเกียจออกมา เหมือนมอเตอร์ไซด์คัดเก่งของออเรนจ์เป็นไส้เดือนกิ้งกือ

“ก็ฉันชอบนี่”

“ไม่เอาอะ ฉันขี่คันนี้ไม่ได้หรอกแค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

“มันก็เหมือน ๆ รถทั่วไปนั่นแหละ นี่ลูกรักของฉันเลยนะจ๋า”

“เหมือนที่ไหน สีหวานยังกะนมเย็น แล้วติดสติกเกอร์ตัวอะไรด้วยล่ะนั่นน่ะ เอเลี่ยนหรือไง”

“เขาเรียกคิตตี้ นายไม่รู้จักหรือยังไง”

“ฉันไม่รู้จักอะไรแบบนี้หรอก แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

“ขนลุกอะไรน่ารักออกเอามานี่เลยถ้านายไม่ขับฉันขับเองก็ได้” ออเรนจ์ดึงกุญแจรถคืนมาจากมือไอ้จ๋าแล้วถอยรถออกมา “ขึ้นมาสิ” ไอ้จ๋ายังยืนเฉยในใจถามตัวเองว่ามันต้องนั่งไอ้รถนมเย็นคันนี้จริง ๆ นะเหรอ “จ๋า”

“เออ ๆ ขี่ก็ขี่วะ จะหัวโกร๋นมั้ยนี่กู ฮึ่ยขนลุก”

“คิก ๆ “ออเรนจ์หัวเราะชอบใจกับท่าทางของไอ้จ๋า เมื่อมันวาดขาข้ามเบาะขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย โดยมีออเรนจ์ที่ร่างผอมบางเป็นคนขับ เมื่อไอ้จ๋าขึ้นมานั่งได้คนที่มองมาจากข้างหลังก็แทบจะไม่เห็นคนขับเลย เพราะร่างหนา ๆ ของไอ้จ๋าบังเอาไว้จนมิด

ออเรนจ์ขี่รถไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป เพราะขำไอ้คนซ้อนท้ายที่เอาแต่สะบัดขนเหมือนหมาตกน้ำอยู่ข้างหลัง โดยที่มือของมันเกาะไหล่บอบบางทั้งสองข้างของออเรนจ์เอาไว้มั่น รถคันเล็กดูเหมือนจะยิ่งเล็กลงไปกว่าเก่า เมื่อตัวใหญ่ ๆ ของไอ้หมาหน้าดำมานั่งเบียดกันจนกระทั่ง

“จอดทำไม”

“เราจะไปกินร้านไหน”

“เอ้า ก็ไม่ถามแต่แรกยัยบ๊องเอ๊ย” ป้าบ! ไอ้จ๋ากดมือลงบนหัวเล็ก ๆ ของออเรนจ์แล้วผลักไม่แรงมากนัก แต่ก็เล่นเอาหัวเอียงไปได้เลยทีเดียว

“ก็ฉันลืมนี่ ตกลงร้านไหน”

“หน้าโรง’ บาลก็แล้วกันไปได้แล้ว หิว” แล้วรถคันเล็กก็ออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มขำของคนขับ ที่ไอ้คนซ้อนท้ายบอกไม่หิว ๆ แต่ทั้งท้องร้องทั้งบ่นจนไม่นานทั้งสองก็มาถึงร้าน

“อ้าว ตายห่าแบตฯ หมด” ไอ้จ๋าบ่นในขณะที่นั่งรอก๋วยเตี๋ยวมันก็เอาโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาลูกพี่ แต่แบตเตอร์รี่โทรศัพท์ดันไม่มีเพราะติดกระเป๋าตลอด แต่ดันลืมชาร์ตพลังงานให้มัน

“โทรหาใครเหรอ”

“ยุ่ง”

“เอาของเราโทรก็ได้นะ” ไอ้จ๋ามองโทรศัพท์กับใบหน้าสวยของคนที่ยื่นมาให้สลับกันอย่างชั่งใจ ไอ้ครั้นจะไปกดตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ ในยุคที่ใคร ๆ ก็มีโทรศัพท์มือถือทุกคนแบบนี้มันไม่มีแบบตู้ให้ใช้แล้ว “เอาไปโทรสิ”

“เออ ขอบใจ” รับโทรศัพท์มาถือเอาไว้แต่ก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าใช้แต่พี่ฮีโร่แล้วมันจะใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ไม่เป็นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่า..

“ทำไมไม่โทร”

“ฉันจำเบอร์ลูกพี่ไม่ได้อะดิ โว้ยอยากจะบ้าตาย สองคนนั่นต้องแกล้งทิ้งฉันไว้แน่เลย “

“ทำไมต้องแกล้งล่ะมาด้วยกันนะ พี่กล้ากับอาจารย์อาจจะไปทำธุระอย่างอื่นก็ได้”

“เธอจะไปรู้อะไร” ไอ้จ๋าหันมาว่าออเรนจ์เสียงแข็งเพราะยังคิดในแง่ดี ดูตาโต ๆ นั่นสิมองโลกสดใสเชียวไม่ได้รู้ทันสองคนนั่นหรอก ส่วนไอ้จ๋ามันมั่นใจว่าลูกพี่ทั้งสองตั้งใจทิ้งมันไว้นี่อย่างแน่นอน “เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“เปล่า กินเถอะก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว” ทั้งสองก็จัดการกับก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ออเรนจ์กินไปแค่ชามเดียวส่วนไอ้จ๋าสมราคาคุย เพราะจัดไปสามชามเหนาะ ๆ จนออเรนจ์มองตาโต

“โหจ๋า นายจะไม่แน่นท้องเหรอ”

“แค่นี้เองไม่ถึงครึ่งท้องหรอก เสร็จยัง”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นก็ไปจ่ายเงินจะได้ไป” บอกแล้วก็ลุกไปรอที่รถ ออเรนจ์เดินไปจ่ายเงินแล้วจึงเดินตามออกมา

“ตกลงนายจะกลับยังไง นั่งสองแถวมั้ย หรือจะให้เราไปส่งก็ได้นะ”

“อย่ามาทำเป็นเก่ง”

“เก่งอะไรเราพูดจริง ๆ นะวันนี้วันอาทิตย์ด้วย คิดว่ารถสองแถวไปถึงบ้านนายมีหรือเปล่าเถอะ “

“เออนั่นสิลืมไปเลยว่ะ” ไอ้จ๋าพึ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งรถสองแถวที่เข้าหมู่บ้านจะหยุดวิ่งตั้งแต่เที่ยง และตอนนี้เวลามันก็ล่วงเข้าบ่ายสองกว่า ๆ ไปแล้ว

“งั้นให้เราไปส่งก็ได้ แต่ต้องพาเราไปบอกพ่อก่อน”

“ไม่ต้องหรอกฉันกลับเองได้”

“นายไม่มีรถนะจ๋า”

“ก็...”

“ให้เราไปส่งนะ ทีนายยังมาส่งเราได้เลย” ใจไม่อยากให้คนตัวเล็กไปส่งหรอก แต่ทำไมอีกใจไอ้จ๋ามันถึงได้ลังเลอย่างนี้ “ขึ้นมาสิ” จนกระทั่งเสียงเล็ก ๆ บอกไอ้จ๋าให้ขึ้นรถมันก็ยังคิดอยู่ แต่ก็วาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย ไอ้จ๋านั่งเงียบมาตลอดทางจนออเรนจ์ขับรถพามันมาถึงบ้านตัวเอง

“รอแปบเดียวนะ ฉันเข้าไปบอกพ่อก่อน” ออเรนจ์จอดรถหน้าร้านขายอุปกรณ์การเกษตรของพ่อ แล้วเดินเข้าไปในร้านไป

“ลุงก่ำ”

“ว่าไงวะไอ้จ๋าไปไหนมาล่ะมึง”

“ลุงมาทำอะไร”

“มาซื้อของ แล้วมึงมาทำอะไร”

“ผมก็มาซื้อของ ว่าแต่ลุงจะกลับเลยมั้ย ผมขอติดรถบ้านด้วยคนสิ”

“เออ ได้ ๆ เดี๋ยวคนงานขนของขึ้นรถเสร็จก็กลับแล้ว” ลุงก่ำบอกแล้วหันไปดูคนงานที่กำลังขนของขึ้นรถอีแต๋นคันเก่าของแก

“จ๋า เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ” ออเรนจ์เดินยิ้มออกมา หลังจากที่บอกพ่อแล้วว่าจะไปส่งเพื่อนที่บ้าน และได้รับอนุญาตแต่โดยดีเพราะลูกอ้อน

“ฉันจะกลับกับลุงก่ำ”

“อ้าว...ลุงคนนี้เหรอ”

“อืม”

“ไม่ให้เราไปส่งแล้วจริง ๆ เหรอ”

“เออ ไม่ต้องไปหรอกตั้งไกล”

“แค่ 20โลเองไม่เห็นเป็นไรเลย”

“แล้วจะกลับมาคนเดียวยังไงคิดบ้างสิยัยเน่า”

“ก็..”

“เอาตามนี้แหละบอกว่าไม่ต้องไปก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวฉันไปขนของช่วยลุงแกก่อนจะได้เสร็จเร็ว ๆ จะค่ำแล้วเนี่ย”

“..” ออเรนจ์ไม่ได้โกรธเพราะชินแล้วกับวิธีการพูดของไอ้จ๋า เพียงแค่เสียดายที่ไม่ได้ไปส่งอีกคนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไอ้จ๋าเดินไปช่วยคนงานขนของขึ้นรถอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จ จึงเดินกลับมาหาออเรนจ์ที่ยังยืนรออยู่ที่เดิม

“เสร็จแล้วเดี๋ยวกลับเลยนะ”

“อืม”

“เอ่อ..”

“อะไร” หวังว่าไอ้หมาหน้าดำมันจะเปลี่ยนใจให้ไปส่ง

“ขอบใจนะ” ไอ้จ๋าบอกออกมาเบา ๆ มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนจะเสียดายแต่ก็เหมือนจะโล่งใจ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรหรอก หากออเรนจ์ไปส่งมันขากลับก็ต้องกลับมาคนเดียว ซึ่งกว่าจะมาถึงอาจจะมืดค่ำไปแล้วก็ได้ แบบนั้นใครมันจะไม่ห่วงวะ เอ๊ะ! ห่วงเหรอ คิดอะไรอยู่วะเนี่ยกู ไอ้จ๋าสะบัดหัวไล่ความคิดแปลก ๆ ของตัวเองออกไป แล้วเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ไม่เป็นไร”

“ไปยังวะไอ้จ๋า”

“ครับลุง “ไอ้จ๋าตอบแล้วหันมามองหน้าออเรนจ์เล็กน้อย แล้วเดินไปที่รถซึ่งลุงก่ำยื่นรออยู่

“เอ้าขับให้กูด้วยหูตากูยิ่งไม่ค่อยดี”

“ได้ลุง” ไอ้จ๋าขึ้นนั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแล้วขับออกไป โดยมีออเรนจ์มมองตามจนอีกคนขับรถลับตาไปอย่างเสียดาย

“ตกลงเลยไม่ได้ไปส่งเพื่อนแล้วสินะ” เสียงเข้มดังขึ้นข้างหลัง ออเรนจ์หันไปมองแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้

“พอดีจ๋าเขาเจอคนบ้านเดียวกัน เลยขอติดรถกลับด้วยจ้ะพ่อ”

“เราเลยได้แต่ยืนมองส่งเขาตาละห้อยอย่างนี้ใช่มั้ยล่ะ”

“เปล่าซะหน่อย”

“เปล่าอะไรก็พ่อเห็นอยู่”

“เอารถไปเก็บดีกว่า” ออเรนจ์ก้มหน้าหลบตาพ่อ ด้วยการขี่รถคันโปรดเข้าไปเก็บหลังร้านซึ่งเป็นส่วนของบ้านพัก เพื่อหาทางเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างรู้ทัน และรอยยิ้มล้อของพ่อ ซึ่งคนทั้งสองอยู่ในสายตาของอีกคนที่มองเหยียดมาแต่ไกลจากในร้านด้วยอีกที



%%%%%%%%%%%



“เฮ้ยไปไงมาไงวะเนี่ย เหงื่อโทรมมาเชียว”

“ทำไมหน้าตามอมแมมอย่างนั้นวะจ๋าฮ่า ๆ ” ประโยคแรกลูกพี่เดี่ยวของมันเป็นคนทักขึ้น เมื่อเห็นไอ้จ๋าเดินเข้าบ้านมา ส่วนประโยคที่สองเป็นเสียงทักของลูกพี่กล้า ที่หันมาตามเสียงทักแรกแล้วผสมโรงกัน ความหมายของประโยคนั้นดูเหมือนจะห่วงใย แต่ทำไมไอ้จ๋าให้รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ในอก กับคำพูดที่ฟังยังไงก็เหมือนจะห่วงกันอยู่หรอกนะ แต่อะไรคือสายตาและสีหน้าที่ดูสะใจซะเหลือเกิน ไอ้จ๋าเดินหน้าตึงเข้ามาพอดีขณะที่ต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวช่วยแม่แจ่มใจจัดห่อข้าว เหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าและเนื้อตัวที่มอมแมมเปรอะเปื้อน ทำให้มันถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ไอ้จ๋าไม่พูดไม่จาเดินเอาของมาวางให้แม่แล้วเลี่ยงไปล้างหน้าล้างตา คนที่นั่งช่วยกันจัดของอยู่ทั้งสามจึงได้แต่มองตามงง ๆ

ที่ไอ้จ๋าหน้าดำกลับมาไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ก็อีแต๋นคันโก้เปิดประทุนของลุงก่ำนั่นแหละที่ทำพิษ ขับออกมาได้ครึ่งทางดันหยุดไม่ยอมวิ่งเอาเสียดื้อ ๆ ทำให้ไอ้จ๋าต้องลงไปแก้อยู่นานถึงวิ่งต่อมาได้จนถึงบ้าน ผลออกมาก็เลยอย่างที่เห็นหน้าที่ดำอยู่แล้วเลยดำยิ่งกว่าเก่า ทั้งเขม่าจากรถทั้งน้ำมันจากอะไหล่เครื่องยนต์ ร้อนก็ร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อยเปียกชุ่มไปหมด แต่กระนั้นถึงไอ้จ๋าจะแอบบ่นในใจอยู่บ้าง ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรมากมาย เพราะคืนนี้มีเรื่องบันเทิงสนุก ๆ ที่มันตั้งตารออยู่ที่นี่แล้ว เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับไอ้จ๋า ลูกพี่ก็ลูกพี่เถอะวะ ถึงเวลาเอาคืนก็ทีใครที่มันนั่นแหละ โฮะ ๆ

“สงสัยจะโกรธจริงแฮะ” ต้นกล้าพูดออกมาเบา ๆ ทำให้เด็ดเดี่ยวกับแม่แจ่มใจที่นั่งอยู่ด้วยเงยหน้าขึ้นมอง

“โกรธอะไรเหรอ”

“พอดีแกล้งกันนิดหน่อยครับน้าแจ่ม คิก ๆ ”

“มันคงไม่โกรธหรอกมั้ง ไอ้จ๋ามันจะกล้าโกรธลูกพี่ของมันหรือไง” แม่แจ่มใจบอกอย่างรู้ใจลูกชายตัวเอง

“ดีไม่ดีมันกำลังวางแผนเอาคืนสิไม่ว่า ระวังตัวไว้เถอะ หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวคิดว่าตัวเองรู้ทันไอ้จ๋าว่ามันกำลังวางแผนบางอย่างอยู่แน่ เพราะรู้จักนิสัยใจคอกันดี ถึงจะเห็นว่าไอ้หมาหน้าดำมันเงียบและไม่พูดอะไร แต่สายตาแบบนี้เขามั่นใจว่ามันต้องมีแผนชั่วอย่างแน่นอน

“เดี๋ยวเย็นนี้กินข้าวด้วยกันดีกว่านะกล้า เดี่ยว”

“ผมคงต้องขอตัวครับน้าแจ่ม พอดีเย็นนี้มีธุระกับพ่อกำนันนิดหน่อย สักดึก ๆ ผมจะเข้ามาอีกที”

“อ้าว..” ต้นกล้าพลั้งปากอุทานออกมา แต่ก็กลับลำทัน “เออ กลับบ้านตัวเองบ้างก็ดี มาอยู่บ้านคนอื่นทั้งวันรกหูรกตา”

“ถึงเวลาจะอยากให้พี่ไปจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้นะใครบางคนน่ะ” แม่แจ่มใจเหลือบตามองสองหนุ่มสลับกัน เมื่อได้ยินคำพูดแปลก ๆ ของเด็ดเดี่ยวแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อยิ้ม ๆ

“เหอะ แล้ววันนี้เราทำอะไรกินกันดีครับน้าแจ่ม” ต้นกกล้าเสียงขึ้นจมูกแล้วหันไปถามแม่แจ่มใจเรื่องอาหารเย็น โดยไม่สนใจอีกคนที่นั่งมองตาละห้อยเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งอยู่ข้าง ๆ

“กล้าอยากกินอะไรล่ะลูก เดี๋ยววันนี้น้าทำให้กินเอง”

“ก็...”

“ไม่ทำเองแล้วหรือไง” เด็ดเดี่ยวแทรกขึ้นมาระหว่างที่ต้นกล้านึกเมนูอาหารที่อยากกิน

“วันนี้กินด้วยกันนี่แหละ เสียดายพ่อเดี่ยวไม่อยู่นะ”

“วันหลังก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับน้าแจ่ม เดี๋ยวเข้ามาใหม่” แม่แจ่มใจพยักหน้าให้เด็ดเดี่ยวจึงลุกขึ้น ชายหนุ่มพยายามองตาต้นกล้าเพื่อจะส่งสัญญาณบางอย่างบอก แต่อีกคนก็เอาแต่สนใจงานที่กำลังทำอยู่ในมือ ด้วยรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างแคร่รออยู่นั่นแหละ ก็เลยทำเป็นไม่สนใจ คนตัวโตต้องส่ายหน้าอย่างเอ็นดู วางมือลงบนหัวที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงแล้วยีเบา ๆ ก่อนเดินออกไป

“พี่ไปนะ”

*****************

21.45 น. คืนแรม 13 ค่ำ เดือน 9 หนุ่มหล่อเกาหลีนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องของตัวเอง หลังจากกินข้าวฝีมือแม่แจ่มใจจนอิ่มหนำสำราญ ก็กลับมาบ้านหลังใหญ่ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตั้งตารอ

“เอาไงดีวะ” ต้นกล้าถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กับความพะว้าพะวงและคิดไม่ตกของตัวเอง ที่ปล่อยให้เรื่องราวมันวุ่นวายบานปลายแล้วต้องมานั่งคิดหนักอย่างนี้ ใช่แล้ว นี่มันบานปลายเกินไปแล้วจริง ๆ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องวุ่นวายกันถึงขนาดนี้ เป็นเพราะคนหน้ามึนที่คอยหาเรื่องแกล้ง และเป็นที่เขาเองไม่ยอมเสียฟอร์ม จึงเข้าทางอีกคนที่คอยหาเรื่องมาท้าทายกันได้อยู่เรื่อย ๆ พอเกิดเรื่องแล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะนี่ก็ดึกแล้วด้วย ไอ้คนที่ว่าจะมาหาและพาไปไหนก็ยังไม่มา หรือว่าเขาจะไม่มาแล้ววะ

ปิ๊ง!

คิดมาถึงตรงนี้ก็เหมือนมีคนเปิดสวิตท์ไฟในหัวของต้นกล้าให้สว่างพรึ่บ ไม่มาก็ดีสิต้นกล้าจะได้ไม่ต้องออกไปทำอะไรเสี่ยงกับการเกิดหัวใจวายแบบนั้น ใช่แล้ว ๆ สาธุอย่ามา ๆ จงอย่ามา

แกรกกก

“เฮ้ย” !! เสียงแกรกกรากที่ได้ยินแว่ว ๆ เล่นเอาต้นกล้านั่งไม่ติด โผลุกขึ้นวิ่งไปที่บานประตูห้องแล้วเอาหูแนบ แต่ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีแต่ความเงียบเชียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการเคลื่อนไหว และเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คงเพราะหูฝาดไป แต่เพื่อความมั่นใจก็ต้อง..

“ไอ้จ๋า” เรียกออกไปก็ได้แต่ความเงียบกลับมา หรือว่าไอ้จ๋ามันยังไม่มาอันนั้นต้นกล้าก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะยังอุดอู้อยู่แต่ในห้องของตัวเอง “ไอ้จ๋าโว้ย อยู่ข้างนอกหรือเปล่าวะ” ส่งเสียงเรียกไปโดยเพิ่มระดับความดังขึ้นอีกนิด แต่ก็ได้ความเงียบตอบกลับมาเหมือนเดิม จึงเดินกลับมาที่เตียงนอนทรุดตัวลงนั่งในท่ากอดเข่าดูอ้าวว้างว้าเหว่ หัวใจหรือก็เต้นแบบตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มันเต้นไม่เป็นจังหวะที่ปกติเหมือนชาวบ้านเอาเสียเลย ตาสวยมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างหวาดระแวง หายใจเข้าก็ไม่ทั่วท้อง ทำไมนะ ทำไมมันไม่มีอะไรยุติธรรมกับต้นกล้า ทำไมต้องให้คนหล่อหน้ามนคนหนุ่มหน้าใส ที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ กรี๊ดแทบชักตายอย่างต้นกล้ามาเจออะไรแบบนี้ด้วย ตอนนี้นอกจากความเงียบแล้วในหัวยังคิดไปต่าง ๆ นานา ในแบบที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตตัวเองเท่าไหร่เลย แต่เอ๊ะ!! ต้นกล้าสะดุ้งกับความคิดของตัวเองแล้วให้เกิดคำถามตามมา ว่าไอ้จ๋ามันจะมาหรือยังนี่มันดึกแล้วนะ หรือว่ามันจะยังโกรธอยู่ที่วันนี้แกล้งมันซะแรง ตาสวยเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่โต๊ะข้างหัวเตียง …!!

23.30 น. ตายแล้ว! ตายแน่ ๆ ตายห่าแน่นอนเรา ทำไมเวลามันถึงได้เดินเร็วแบบนี้ แต่ก็นะไอ้คนหน้ามึนนั่นก็ยังไม่มา ต้นกล้าภาวนาขออย่าให้เด็ดเดี่ยวมาเลย เพราะถ้าอีกคนไม่มาก็คงไม่มีใครมาบังคับให้เขาไปทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นได้ ด้วยวาจาท้าทายกับคำสบประมาทในแบบที่ต้นกล้าไม่มีวันรับได้ ใช่ถ้าไม่โดนท้ามีหรือต้นกล้าจะรับคำออกไปเผชิญกับสิ่งน่ากลัว ตาสวยเริ่มโรยเพราะความง่วง แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะเอนหลังลงแล้วหลับตานอน ด้วยเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ เวลาจะเข้าวันใหม่ และเป็นวันที่ต้นกล้าคิดว่าเกลียดมันที่สุด ก็จะอะไรล่ะถ้าไม่ใช้เรื่องที่คนหน้ามึนเล่าให้ฟังเมื่อเช้า เป็นเรื่องที่ต้นกล้าไม่อยากรับรู้มันเลยสักนิด ของแบบนี้ไม่รู้จะดีเสียกว่า เพราะรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง ไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเลย แถมยังดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคนอย่างต้นกล้าที่ยังไงก็ไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ และเห็นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเด็ดขาด ไม่รู้ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่พอรู้แล้วดันหยุดคิดไม่ได้นี่สิแย่ยิ่งกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งหลอนตัวเอง เหมือนที่ต้นกล้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ ฮึ่ย! เด็ดเดี่ยวไอ้คนหน้ามึน หน้ามึนไม่พอยังใจร้ายอีกด้วย เหอะนี่นะวิธีที่ทำกับคนสำคัญ คิดมาถึงตรงนี้ต้นกล้าอยากบ้าตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

แกรกกกกก

!!

“สะ เสียงอะไรของมันอีกวะ” ต้นกล้าถามออกมาเบา ๆ อย่างออมเสียงพลางมองไปรอบตัว ถึงแม้จะอุ่นใจที่อยู่ในห้องอันเป็นพื้นที่ของตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงที่ดังมาจากภายนอกจะไม่ต้องการให้เขาได้อยู่อย่างสงบ เมื่อจมอยู่กับความเงียบและคิดอะไรฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย ก็จะมีเสียงแกรกกรากดังแทรกขึ้นมากระตุ้นเป็นระยะ เหมือนจะเร้าให้เกิดความหวาดระแวงและทำให้บรรยากาศมันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม พอนั่งอยู่เงียบ ๆ เผลอ ๆ มันก็คอยแต่จะดังขึ้นมาทุกที นี่ก็หลายครั้งแล้วนะ หรือว่า หรือว่า ว่า ว่า

โฮ่ง ๆ โหวววววววววววววววววววว!! ต้นกล้าสะดุ้งหูตั้งตาสวยเหลือกลานเหลือบมองนาฬิกา

00.05น. และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง! ยกเว้นต้นกล้าคนเดียวเท่านั้นที่อยากยืดเวลาออกไปอีกสักหลาย ๆ วัน แต่นั่นคือสิ่งที่เขาทำไม่ได้ และความเป็นจริงคือหนุ่มหน้าใสทำได้แค่นั่งรอชะตากรรมของตัวเอง ทั้งที่ง่วงแสนง่วงแต่ก็นอนไม่หลับ ทั้งที่อยากจะหลับแล้วไม่ต้องรับรู้อะไรแต่ก็นอนไม่ได้ กลัวหลับตาแล้วจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากจะเห็น ใจจริงก็กลัวสิ่งที่จะเห็นแต่ถ้าไม่เห็นแล้วจะเอาตัวรอดอย่างไร พยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกอีกครั้ง ทุกอย่างคือความเงียบ ป่านนี้แล้วอีกคนยังไม่มา ก็คงจะแปลได้ว่าเด็ดเดี่ยวอาจจะชิ่งเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราจะนอนเลยจะดีไหมนะ ต้นกล้าถามตัวเองในใจ เพราะตัดสินไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรดี มือคลำไปข้างตัวเพื่อหาผ้าห่ม ถ้านอนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะนอนหลับหรือเปล่า เพราะในหัวเฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงคำพูดที่คนตัวโตเล่าให้ฟังไม่หยุด

แรม 14 ค่ำ เดือน 9 วันประตูนรกเปิด วันปล่อยผี วันปล่อยให้ผีกลับมาเยี่ยมญาติ เปรต สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน โอยยยย ต้นกล้าร้องครางออกมาเบา ๆ พลางเอามืออุดหูตัวเอง เพราะไม่อยากได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะเสียงมันดังอยู่ในหัวของเขา เป็นเสียงที่ได้ยินมาก่อนและมันอยู่ในความทรงจำที่ยังชัดเจน!

“จะมาไม่มาวะจะมาก็มาสักทีเถอะ” ก๊อก ๆ

เฮือก!! เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเล่นเอาคนขวัญอ่อนผวาไปเลย คราวนี้เขาไม่ได้หูแว่วแน่ ๆ ต้นกล้ามั่นใจ แต่ทำไมเสียงมันดังขึ้นแล้วเงียบกริบลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ นี่มันคืออะไร แบบนี้มันคืออะไรช่วยตอบผมที....!!

ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นมากอดแนบอก ตาสวยจ้องมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ใครเล่นตลกอะไรตอนนี้บอกเลยต้นกล้าไม่มีอารมณ์ตลกด้วย มันไม่ขำ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ภายในห้องอีกครั้ง ผ้าห่มผืนใหญ่ก็เตรียมพร้อมแล้วพอดี

ก๊อก ๆ พรึ่บ!! พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีก ต้นกล้าที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองทันที

“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ไปที่ชอบ ๆ เถอะนะครับ”

ปังๆ ๆ ตอนแรกก็เคาะเบา ๆ แต่พอไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากในห้อง เสียงเคาะจึงเพิ่มระดับขึ้นมาป็นทุบ แล้วตามาด้วยเสียงเรียก

“ต้นกล้า”

“เอ๊ะ เสียงนี้”

“ต้นกล้าเปิดประตูให้พี่หน่อย”

“เด็ดเดี่ยว” เมื่อตั้งสติได้ว่าเสียงที่เรียกนั่นมันคือเสียงของคนที่กำลังรอ ผ้าห่มอันเป็นที่พึ่งยามยากถูกเหวี่ยงออกจากตัวไปอีกทาง เจ้าของร่างโปร่งลงจากเตียงนอนถลาไปที่ประตู แล้วเปิดออกอย่างรวดเร็ว

“ต้นกล้า โอ๊ยอะไรเนี่ย”

“ทำอะไรอยู่ทำไมพึ่งมาห๊า แกล้งเราอีกแล้วใช่มั้ย” ต้นกล้ากระชากเสียงถาม สองมือขยุ้มกำคอเสื้อยืดที่เด็ดเดี่ยวใส่อยู่อย่างเอาเรื่อง จนคนตัวโตร้องครวญโอดโอย

“พี่เปล่า นี่พี่พึ่งกลับมาจากธุระกับพ่อกำนัน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบมาเลย” ตาสวยมองแรงอย่างหาพิรุธเมื่อได้ฟังคำอธิบาย

“จริงนะ”

“จริงครับ”

“ไม่ได้แกล้งให้เรารอต้องนาน ๆ อยู่คนเดียวหรอกใช่มั้ย”

“พี่เปล่าแกล้ง แต่คนอื่นไม่แน่ ว่าแต่รอพี่เหรอ”

“..”

“ขอโทษที่ให้รอนานนะ มาพี่ชื่นใจหน่อยเร็ว”

ฟอดดดดดดด

เจอกันตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 14 คุณครูหน้ามึน VS ลูกศิษย์หน้าอึน100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 03-12-2018 12:37:30
โอ๊ย...หวานนิดๆจิตแจ่มใส
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 21:55:34


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว



“ขอโทษที่ให้รอนานนะ มาพี่ชื่นใจหน่อยเร็ว”

ฟอดดดดดดด

“เหอะ มาช้าแล้วยังมาทำหน้ามึนอีกนะ ปล่อยเรา “ต้นกล้าลืมเสียสิ้นว่าก่อนหน้านี้ตัวเองขลาดกลัวยังไง เมื่อมีคนตัวโนมาอยู่ใกล้ ๆ ก็อุ่นใจจนปากเก่งเหมือนเดิม แถมยังพูดอะไรไม่ตรงกับใจเสียด้วย “ที่จริงไม่มาก็ได้นะ”

“ก็พี่บอกแล้วว่าจะมาก็ต้องมาตามที่บอก เดี๋ยวคนแถวนี้จะรอเก้อ”

“ใครจะรอไม่มีใครรอสักหน่อย” ต้นกล้าบอกแล้วผละออก เดินไปนั่งกอดอกพิงหลังกับหัวเตียงมองเด็ดเดี่ยวตาขวาง

“แล้วใครที่ตาโรยเพราะง่วงจนตาจะปิดแล้วแต่ยังไม่นอน ถ้าไม่ใช่รอพี่”

“ก็ไหนบอกว่าจะ จะ..ไป” ท้ายประโยคเสียงของต้นกล้าเบาหวิว เพราะไม่อยากพูดถึงมัน

“พร้อมหรือยังล่ะ”

“เอ่อ..ไม่ไปได้มั้ย” และเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว

“ทำไมล่ะ”

“ก็เราไม่อยากไปนี่”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“ขนาดไหนก็ช่าง”

“ป๊อดแล้วใช่มั้ย”

“ไม่ได้ป๊อดเหอะเราแค่ง่วง” เด็ดเดี่ยวเดินมานั่งลงข้าง ๆ จ้องตาสวยอย่างค้นหาความจริงที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ เพียงคำเดียวหากต้นกล้าลดฟอร์มลงแล้วพูดออกมาตรง ๆ เด็ดเดี่ยวจะไม่แกล้ง แต่ถ้าต้นกล้ายังฝืนทำปากหนักปากแข็งอยู่อย่างนี้ คงต้องพาไปลองดีกันสักครั้ง

“อะไร ขยับออกไปหน่อยสิ”

“พี่ว่าต้นกล้าอุ่นใจที่พี่อยู่ใกล้ ๆ นะ ให้พี่นั่งตรงนี้แหละ”

“บะ บ้า อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย” ใช่เด็ดเดี่ยวรู้ดีเกินไปแล้ว เพราะเมื่อคนตัวโตมาถึงอะไร ๆ ที่อยู่ในใจในหัวและในความคิดของต้นกล้า ก็ดูเหมือนว่ามันอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที ไม่รู้สึกกลัวเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“พี่ไม่ได้ทำเป็นรู้ดี แต่นี่ตาคู่นี้มันบอกพี่หมดนั่นแหละ” ชายหนุ่มเอามือสองข้างประคองแก้มนวล แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือไล้เบา ๆ บนเปลือกตาบางทั้งสองข้างที่เจ้าตัวหลับลงรับสัมผัสอ่อนโยนพอดี

“บอกว่าอะไร”

“บอกว่าต้นกล้าดีใจที่พี่มา ดีใจมากด้วย”

“โอ๊ย เราเบื่อคนคิดเองเออเองจริง เข้าข้างตัวเองและหลงตัวเองที่สุด”

“หึ ๆ แล้วดีใจมั้ยล่ะ”

“ดีสิ เอ๊ย เปล๊า อย่ามามั่ว”

“ก็ได้ ๆ พร้อมหรือยัง” เด็ดเดี่ยวเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเล่นเอาต้นกล้าชะงักไปเลยทีเดียว กับคำถามที่ได้ยิน นี่มันอะไรกัน ต้นกล้ากะจะชวนคุยให้ลืมจนเลยเวลานัดเสียหน่อย อะไรคืออีกคนไม่ยอมลืมและถามออกมาแบบนี้

“พะ พร้อมอะไร”

“ก็พร้อมที่จะไปวางห่อข้าวน้อยให้ผีไง น้าแจ่มคงรอแล้วมั้ง” พูดออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ได้ยังไงวะ! ใจร้ายมาก ต้นกล้าฮึดฮัดในใจแต่ก็พูดออกมาได้แค่

“จะ จะดีเหรอ”

“ดีสิทำไมจะไม่ดีละ”

“ก็..”

“กลัวอะไร”

“เปล๊า กลัวอะไรไม่มี้ไม่ได้กลัวสักหน่อย” ต้นกล้าบอกเสียงสูงแล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่เดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้เหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลานัดกับแม่แจ่มใจแล้ว “เออ ว่าแต่ไอ้จ๋าล่ะเห็นมันมั้ย มันจะไปด้วยมั้ย”

“เมื่อกี้พี่ขึ้นมาเห็นมันอยู่ข้างล่างน่ะกำลังจะเดินไปบ้านโน้น”

“อืม”

“ไปกันเถอะ” !!

“ไปไหน” ต้นกล้าใจจะขาดรอน ๆ มันถึงเวลาแล้วใช่ไหม นี่ต้องไปจริง ๆ ใช่ไหม ต้นกล้าอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ ว่าไม่ไปเขาไม่อยากไป ไม่ไปได้ไหม อย่าเอาต้นกล้าไปทรมานเลย ในใจคิดแบบนี้แต่ปากนี่สิทำไมมันไม่พูดออกมา ทั้งที่รั้งตัวเองเอาไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงของอีกคน แต่ปากดันไม่พูดว่าไม่ไปเพราะอะไร

“ไปวางห่อข้าว ไม่นานหรอกมาเถอะไปกับพี่กลัวอะไร”

“เราไม่ได้กลัวเหอะ” ทำเสียงหนักแน่นปากเก่งแต่ทำไมในใจมันหวิว ต้นกล้าขาสั่นอันนี้เขารู้ตัวดี แต่ก็หยุดความไวของปากตัวเองเอาไว้ไม่ได้

“เก่งมาก ไม่กลัวก็ตามมา หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวเดินผิวปากนำออกจากห้องไป ใจก็รู้ล่ะนะว่าต้นกล้าไม่อยากไปแค่ไหน แต่ถ้ายังทำปากดีแบบนี้ต้อง...

“เอ้า มาสิเดี๋ยวไม่ทันน้าแจ่ม”

“ไปก็ได้” ต้นกล้าบอกเสียงเบาแล้วเดินตามเด็ดเดี่ยวออกมาจากห้องของตัวเอง ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนต้องเดินด้วยความระมัดระวัง บังคับให้ทุกจังหวะการก้าวเดินของตัวเองเป็นไปอย่างมั่นคง ปิดประตูห้องก็ทำอย่างนุ่มนวลเนิบนาบทะนุถนอม ราวกับว่ามันเป็นประตูกระจกที่แสนบอบบาง ต้องการความอ่อนโยนเวลาใช้งาน

ต้นกล้าใช้เวลานานเป็นพิเศษสำหรับการเดินจากหน้าห้องมาถึงชานเรือนข้างนอก ที่มีร่างสูงของเด็ดเดี่ยวยืนรออยู่ในมุมสลัว พาดูวังเวงพิกลจนใจสั่น

“ไปยืนทำอะไรตรงนั้น”

“ก็รอ”

“เราว่าเปิดไฟไว้อีกดีกว่า ทำไมวันนี้ไอ้จ๋ามันเปิดไว้แค่นี้วะเนี่ย” เพราะมัวแต่ค่อย ๆ ก้าวค่อย ๆ ย่องออกมานะสิ กว่าจะออกจากห้องได้เลยใช้เวลาเสียนาน จึงไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างปกติเหมือนทุกวันนั่นแหละ แต่แค่วันนี้มีคนทำให้มันไม่ปกติก็เท่านั้นเอง และจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก..

“เปิดทำไมเปลืองไฟ”

“เราจ่ายนะอย่าลืม”

“ไม่ต้องเปิดหรอกไปได้แล้ว”

“จะดีเหรอเดี๋ยวขากลับมองไม่เห็นทาง”

“สว่างขนาดนี้มองไม่เห็นก็ตาไม่ดีแล้วจะไปได้หรือยัง”

“ก็ได้” หมดกันกับการถ่วงเวลาจนไม่รู้ว่าจะถ่วงยังไงแล้ว สุดท้ายก็โดนอีกคนจูงแขนเดินลงเรือนไปจนได้ แต่ต้นกล้าไม่ได้คิดมากหรอกใช่ไหมที่ว่าวันนี้บ้านมันดูมืด ๆ กว่าทุกคืน ในคืนข้างแรมว่ามืดอยู่แล้วยังจะมาห่วงประหยัดไฟอยู่ได้ ไฟทุกดวงที่เคยเปิดเอาไว้ปกติ คืนนี้กลับไม่ได้เปิดทุกดวงเหมือนเคย ที่เปิดให้เห็นแสงสว่างอยู่ตอนนี้ก็แค่ไฟดวงเดียวที่อยู่กลางบ้านให้พอมองเห็นทางเดิน กับไฟที่หัวบันไดเท่านั้น

“มากันแล้วเหรอ”

“ครับไอ้จ๋าล่ะครับน้าแจ่ม”

“อ้าว มันก็เดินไปไปบ้านใหญ่ตั้งแต่หัวค่ำแล้วนี่”

“เหรอครับ ไหนเมื่อกี๊บอกเห็น” แม่แจ่มใจทักต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวทีเดินมาด้วยกัน ต้นกล้าถามหาไอ้จ๋าปรากฏว่ามันไปบ้านใหญ่ตั้งแต่หัวค่ำยังไม่มา หรือว่ามันจะอู้นอนอุตุอยู่ในมุ้ง เพราะตอนออกมาต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวก็ไม่ได้แวะไปดู ไหนคนตัวโตบอกว่าเห็นมันเดินกลับมาแล้ว ตกลงคือมันไปไหนแต่ช่างเถอะ “แล้วลุงสมควรล่ะครับ”

“รายนั้นนอนปลุกไม่ยอมตื่นเลย เราไปกันแค่นี้ล่ะ”

“แต่ไอ้จ๋า..” ต้นกล้ายังคาใจที่ไม่เจอไอ้จ๋าที่บ้าน เพราะกลัวจะถูกมันแกล้งให้ออกไปวางห่อข้าว แล้วตัวมันเองไอ้นอนหลับสบาย

“เดี๋ยวคงตามไปเองนั่นแหละ”

“ไปเลยกันเลยหรือเปล่าครับ”

“ไปก็ไป ออกไปวัดกัน” แม่แจ่มใจตอบเด็ดเดี่ยว แล้วหันไปยกตะกร้าที่ใส่ของเตรียมไว้แล้วมาให้สองหนุ่มช่วยถือ ส่วนตัวเองก็ถือตะกร้าอีกใบ

“นี่เราจะเดินไปเหรอครับน้าแจ่ม” ต้นกล้าเห็นแม่แจ่มใจเดินนำออกไปทางหน้าบ้านจึงถามขึ้น เพราะรถจอดอยู่คนละทาง

“เดินไปนี่แหละ วางห่อข้าวเขาต้องทำกันเงียบ ๆ “

“ครับๆ “แม่แจ่มใจบอกแล้วก็เดินนำออกไป

“ให้พี่ถือให้มั้ย”

“ก็ถือคนละอันแล้วไง”

“ต้นกล้าจะได้เดินเฉย ๆ ไง”

“วัดอยู่ไกลมั้ย” ต้นกล้าถามเมื่อพึ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยไปวัดเลยสักครั้ง เอาจริง ๆ ก็คือวัดอยู่ไหนต้นกล้าก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้เป็นคนธรรมธรรมโมขนาดนั้น มันก็เลยลืม ๆ ไป พอต้องไปตอนนี้ล่ะถึงพึ่งจะนึกขึ้นได้

“ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก เดินลัดออกไปตรงนี้แล้วเดินอีกนิดหน่อยก็ถึงแล้ว” เมื่อพากันเดินพ้นมุมถนนออกมาก็เห็นหลังคาโบสถ์เหนือยอดไม้อยู่ไม่ไกล ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ออกมาวางห่อข้าวในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างก็เดินออกมามีทักทายกันบ้างแต่ก็ไม่ได้เอิกเกริกอะไร เพราะเป็นประเพณีที่ต้องทำกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีงานบุญไม่การรื่นเริงบันเทิงใจ แม่แจ่มใจที่เดินนำหน้าคุยกันเบา ๆ กับยายแก่คนหนึ่ง และมีชาวบ้านคนอื่น ๆ เดินออกมาสมทบอีกหลายคน ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัว อย่างที่ต้นกล้าได้คิดจินตนาการเอาไว้ในตอนแรกนัก แม้จะเป็นคืนแรม เป็นคืนเดือนมืดที่ไม่มีแสงจันทร์นำทาง เพราะจันทร์แรมจะขึ้นให้เห็นช่วงเช้าไปจนถึงตลอดช่วงกลางวันและตกเอาตอนเย็น จะมีก็แต่ไฟตามทางภายในหมู่บ้านที่ติดเอาไว้เป็นระยะให้พอมองเห็นทาง

‘เฮ้ออ โล่ง’ นี่คือสิ่งที่ต้นกล้าคิด เพราะตอนแรกที่บอกว่ามาตีหนึ่งตีสองนี่คือคิดเอาไว้แล้ว ว่าดึก ๆ ดื่น ๆ กลางค่ำกลางคืนให้ออกมามันก็คงต้องมีความวังเวงน่ากลัวกันอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นชาวบ้านที่ทยอยออกมาเรื่อย ๆ ความตื่นกลัวที่มีอยู่ในหัวใจก็ค่อย ๆ คลายลง ถึงจะไม่ขนาดเข้าสู่ภาวะปกติแต่ก็ดีขึ้นมากล่ะนะ

“ไปหาที่วางเลยนะกล้า เดี่ยว กระจายกันออกไปทางโน้นด้วย แยกกันไป” แม่แจ่มใจหันมาบอกเมื่อเดินมาถึงกำแพงวัด เด็ดเดี่ยวจึงพาต้นกล้าแยกไปอีกทาง ทั้งสองเดินเลียบข้างกำแพงวัดผ่านชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มาจับจองที่วางห่อข้าวน้อยกันอยู่ก่อนแล้ว ขายาวพาเดินไปจนเกือบจะสุดกำแพงวัดอยู่แล้ว ก็ยังไม่ได้ที่เหมาะ ๆ อย่างที่เด็ดเดี่ยวต้องการ

“จะเดินไปถึงไหนเนี่ย” ต้นกล้าอดถามไม่ได้ เพราะยิ่งคนตัวโตเดินไป ก็ยิ่งห่างจากชาวบ้านคนอื่นออกเรื่อย ๆ จนนึกเอะใจแบบนี้ต้นกล้าไม่ไหวแน่ เพราะยิ่งไกลออกมามันก็ยิ่งมืด ยิ่งเดินออกมาไกลยิ่งดูเหมือนว่าแสงสว่างส่องทางค่อย ๆ น้อยลงบางช่วงมันน้อยมากจนแสงแทบจะหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความมืดดำ ยิ่งมืดก็ยิ่งดูเหมือนจะวังเวงวิเวกโหวงเหวงจนใจสั่น

“มาตรงนี้แหละ”

“กลับไปตรงโน้นไม่ดีกว่าเหรอ”

“ตรงนี้ล่ะ เงียบดี”

“เงียบไม่ดีหรอก”

“พิธีนี้เข้าให้ทำเงียบ ๆ มาวางตะกร้าเอาห่อข้าวออกมา” เด็ดเดี่ยวบอกมือก็หยิบใบตองที่เตรียมไว้ออกมาปู แล้วทยอยเอาห่อข้าว และห่อยาหมากพลูออกมาวาง ต้นกล้ากวาดตามองเลยไปข้างหลังของเด็ดเดี่ยว ก็มีแต่ความมืดสลัวและเงาที่วูบไหวชวนใจสั่น ความรู้สึกบางอย่างเคยเกาะกินหัวใจที่มันลดลงในคราแรก เริ่มกำเริบขึ้นมาช้า ๆ หันย้อนกลับไปมองทางเก่าที่เดินผ่านมา ชาวบ้านต่างคนก็ต่างเตรียมจัดวางห่อข้าวของตัวเองเงียบ ๆ โดยไม่สนใจคนอื่นเช่นกัน

หันกลับมามองเด็ดเดี่ยวที่กำลังขะมักเขม้นจัดห่อข้าว แล้วตาเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ ที่จะมองเลยออกไปยังความมืดสลัวเบื้องหลังของคนตัวโต เหมือนกับว่ายิ่งกลัวเหมือนยิ่งยุ ในความมืดที่มีต้นไม้เล็กใหญ่ขึ้นสลับกัน บ้างเป็นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ใบหนา บ้างเป็นพุ่มสลับกันสูงต่ำจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่มดูไม่น่าไว้ใจ ต้นกล้ารู้ว่าเบื้องหลังป่ามืดตรงนั้นคือแม่น้ำสายเล็กที่ไหลผ่านหมู่บ้านไปยังเขื่อนที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ทั้งที่กลัวแต่ทำไมไม่อาจห้ามสายตาตัวเองให้กวาดมองไปรอบ ๆ ได้ หรือต้นกล้ากำลังทำให้ตัวเองแน่ใจ ว่าตอนนี้ก็เหมือนเวลาทั่วไป ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีสิ่งลี้ลับน่ากลัว เพียงแค่มีความมืดเข้ามาเป็นสิ่งเร้าชวนใจสั่นก็เท่านั้นเอง

ลมพัดมาเป็นระยะจนยอดไม้ไหวน้อย ๆ พอให้ใจตื่น ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวในความสลัว ซึ่งก็คงพอจะวางใจได้บ้างแล้ว ว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ต้นกล้าก้าวขาเดินเข้าไปหาคนตัวโตที่กำลังจุดเทียนเล่มน้อยวางลง แต่เพียงสองก้าวขณะกำลังจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก็เหมือนมีบางอย่างผุดเข้ามาในครองสายตา อะไรบางอย่างที่ทำให้ต้นกล้าต้องตัวแข็งทื่อทำตัวไม่ถูก เมื่อเหลือบตาขึ้นมองเลยไปทางด้านหลังของเด็ดเดี่ยวอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ท่ามกลางความมืดของคืนแรม และความสลัวของแสงไฟที่ส่องไม่ถึง ตรงนั้นจึงดูลางเลือน แต่เมื่อลมพัดยอดไม้ให้ไหวอีกครั้ง จึงเป็นการเปิดให้แสงสุดท้ายจากหลอดไฟหลอดสุดท้าย ที่ติดอยู่มุมกำแพง ส่องไปตกกระทบกับร่างร่างหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น ร่างร่างหนึ่งที่มีสีขาวหม่นในเงามืดยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ทำให้ต้นกล้าเสียววาบตั้งแต่หัวใจไปถึงปลายเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองหล่นวูบลงจากที่สูง แล้วลอยดิ่งเคว้งคว้างลงในหลุมมืดจนใจเต้นรัว ลมหายใจหอบแรงถี่รัวรับกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น ร่างสูงโปร่งของหนุ่มหล่อเกาหลีสั่นสะท้าน เพราะความกลัวเกาะกินหัวใจ นั่นมัน นั่นมัน คือ อะ อะไร....

เลื่อนลงอ่านต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 21:56:36


ตาสวยที่เบิกค้างในตอนแรกเมื่อเห็นสิ่งนั้นเริ่มกระพริบถี่ รับกับจังหวะหอบหายใจที่กระชั้นขึ้นตามความตื่นตกใจของตัวเอง ต้นกล้ากระพริบตาเร็ว ๆ แล้วหลับนิ่งลง ริมฝีปากสวยแบะออกพร้อมกับทำขมุบขมิบเหมือนบ่นอะไรสักอย่าง ใจอยากวิ่งหนีไปจากตรงนี้ แต่ขาเหมือนมีหินสักสิบตันถ่วงเอาไว้ อยากจะยกขึ้นยังทำไม่ได้เรื่องวิ่งไม่ต้องพูดถึง ต้นกล้าสูดหายใจเฮือกสุดท้ายเข้ายาวลึกแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้สายตาปรับให้คุ้นชินกับความมืดได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นความกล้าที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะหากเป็นปกติเขาคงวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว และอาจจะด้วยเห็นว่ามีคนตัวโตอย่างเด็ดเดี่ยว และชาวบ้านคนอื่นอีกหลายอยู่เต็มไปหมด เลยยังรู้สึกอุ่นใจ จนเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งภาพนั้นก็เหลือเพียงความสลัว แต่ร่างนั้นก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม!

นิ่ง! แข็ง! ทื่อ! อยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน ต้นกล้ามองหวาด ๆ จนลมวูบใหญ่พัดมาอีกครั้ง ยอดไม้จึงถูกพัดแรงกว่าเดิม เผยให้แสงที่ถูกบังในคราวแรกเล็ดลอดไปถึงสิ่งนั้น ยอดไม้ไหวไปตามลมเป็นจังหวะของมัน ผิดกับหัวใจดวงน้อยที่เต้นตุบ ๆ เร่งจังหวะตื่นตัว แสงที่วูบไหวส่องลอดไปกระทบกับสิ่งที่ยังนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมเหมือนถูกสาป ใจดวงน้อยยังคงเต้นกระหน่ำ ตาสวยมองค้างเหมือนถูกสาปให้จับจ้องอยู่แต่จุดนั้นจุดเดียว ลมธรรมชาติยังพัดโชยมาเรื่อย ๆ พาให้ยอดไม้อ่อนไหวไปตามกระแสของมัน และนั่นทำให้ต้นกล้าที่ยังจับสายตามองนิ่งเหมือนถูกตรึงได้เห็นว่า เงาร่างขาวหม่นที่เห็นในคราวแรกนั้น มันคือ มันคือ

มันก็คือ....

มันก็แค่...

ต้นไม้!! ต้นยูคาลิปตัส!!

จากครั้งแรกที่ประสบจนได้รู้ว่ามันคืออะไรนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งนาที แต่สำหรับคนกลัวผีที่มีแต่ความหวาดระแวงหวั่นไหวในหัวใจ ให้รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่นานชั่วกัปชั่วกัลป์ ต้นกล้ารู้สึกโล่ง ใช่ นั่นคือความรู้สึกของเขาตอนนี้ แต่ถ้าถามว่ายังมีความกลัวอยู่ไหม บอกเลยว่ามาก จนกว่าจะหมดภาระหน้าที่จากตรงนี้ จนกว่าจะได้กลับไปในที่ของตัวเอง และจนกว่าว่าเช้าวันใหม่ที่ผ่านพ้นคืนวันปล่อยผีนี้จะมาถึง นั่นแหละคนหวาดระแวงในความกลัวของตัวเองถึงจะวางใจได้

“เอ้า ยืนอยู่ทำไม นั่งลงสิ” เฮือก!

“เอ่อ..” ในความจริงแล้วต้นกล้าแทบจะไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ของเด็ดเดี่ยวที่นั่งคุกเข่าอยู่ หากไม่ได้แรงกระตุกที่ข้อมือ คนหล่อเกาหลีก็คงยังย่อตัวค้างเหม่อมองเหมือนถูกสาปอยู่อย่างนั้น ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าทับส้นเท้าข้างคนตัวโต ที่วางห่อข้าวจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าวางตะกร้าที่ถืออยู่แล้วเอาห่อข้าวของตัวเองออกมาวางบ้าง แต่ตาสวยก็ยังไม่วายเหลือบมองข้างหลังเป็นระยะอย่างหวาดระแวง

“มองหาใคร”

“เฮ้ยเปล่า” ร่างโปร่งสะดุ้งจนน่าสงสารเมื่อได้ยินเสียงเด็ดเดี่ยวถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ “อย่าถามอะไรแบบนี้สิ ไม่ดีรู้มั้ย”

“ไม่ดีตรงไหนล่ะ ก็แค่ถามว่ามองหาใคร”

“ก็..ก็มันไม่ดีอะ ไม่ดีก็แล้วกันนะมันไม่มีใครหรอก” เหมือนจะปลอบตัวเองมากกว่า เด็ดเดี่ยวมองต้นกล้าที่หลบตาทำเป็นจัดของก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ พลางคิดว่านี่เขาคงไม่ใจร้ายกับอีกคนมากเกินไปหรอกใช่ไหม หากเด็ดเดี่ยวจะทำให้ต้นกล้าเลิกกลัวเลิกหวาดระแวงความคิดของตัวเอง ที่มีต่อสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นลงได้บ้าง เพราะต้นกล้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า

“ไม่มีได้ยังไง มันเข้าคืนแรม 14 ค่ำแล้ว ต้นกล้าก็รู้ว่าวันนี้มันมีอะไรพิเศษ” พิเศษตายล่ะพูดออกมาทำไมวะ ต้นกล้าจิกตามองค้อนคนตัวโต แล้วก็ให้หน้าเสียตัวเริ่มสั่นกับคำบอกของคนหน้ามึน หวนนึกถึงคำพูดและเรื่องราวที่เขาพยายามทำเป็นลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไอ้คนหน้ามึนนี่จะไม่ยอมจบสักที หากเป็นแบบนี้อีกไม่นานคงมีต่อยกันแน่

“จะ จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ไหนทำยังไงต่อ” ต้นกล้าเปลี่ยนเรื่องให้เด็ดเดี่ยวหันมาสนใจห่อข้าวน้อยที่วางเรียงรายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“จุดเทียนก่อน แล้วค่อยจุดธูปบอก”

“อืม” ต้นกล้าทำตามที่เด็ดเดียวบอกด้วยมือที่สั่นเทาจนเห็นได้ชัด จนกระทั่งเขาจุดธูป

“เอาล่ะถือธูปพนมมือขึ้นว่าตามพี่ ขอให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับ เปรต สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน ทั้งหลาย จงมารับส่วนบุญส่วนกุศล และอาหารที่ข้าพเจ้าอุทิศให้เหล่านี้ไปด้วยเถิด สาธุ”

“ดะ เดี๋ยวสิ” ต้นกล้าเรียกเบา ๆ ด้วยเสียงสั่น ๆ เมื่อเด็ดเดี่ยวพูดจบ เพราะเหมือนกับว่ามีลมเย็นเฉียบพัดผ่านตัวไปจนรู้สึกได้ ขนแขนของต้นกล้าลุกชันขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องคิดมาก เจ้าของร่างโปร่งบางก็ขยับเข้าไปหาคนตัวโตจนตัวแทบติดกัน

“อะไร”

“บอกให้เขามารับหลังจากที่เรากลับไปแล้วไม่ได้เหรอ”

“อ้าว หึ ๆ ไม่ได้ต้องว่าตามนี้พูดได้แล้ว นี่มันเป็นการบอกกล่าวเรียกเขามาเอา ถ้าไม่เรียกเดี๋ยวเขาจะรับเอาไม่ได้”

“เราไม่พูดได้มั้ย”

“ไม่ได้ต้องพูดเดี๋ยวเขาจะไม่ได้รับ” ปากสวยแบะออกโดยไม่รู้ตัว ใจลึก ๆ นั้นก็อยากทำบุญอยากแบ่งปัน แต่กระนั้นความศรัทธาก็ไม่สามารถข่มความกลัวที่ฝังติดอยู่ในหัวเอาไว้ได้ ต้นกล้าจึงมีสภาพเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เห็น

“พูดแล้วเราจะกลับได้เลยใช่ไหม”

“ไม่ได้ต้องรอก่อน”

“ระ รอ รออะไร กลับเถอะนะ เราจะพูดแล้วกลับเลย ใครจะอยู่ก็ช่าง”

“มันก็เหมือนกับว่าเราไม่เต็มใจสิ”

“เราเต็มใจแต่เราไม่อยู่” ว่าแล้วต้นกล้าก็ยกมือที่ถือธูปขึ้นมาประนมขึ้นเหนือหัว แล้วพูดตามที่เด็ดเดี่ยวพูดไปก่อนหน้านั้นด้วยเสียงที่คนฟังรู้เลยว่าสั่นมากแค่ไหน “ให้ผมไปแล้วค่อยมาเอานะครับ ผมยกให้ทั้งหมดด้วยความเต็มใจสาธุ” พูดจบก็ปักธูปลงตรงกลางห่อข้าวที่เรียงรายแล้วลุกขึ้น โดยไม่ลืมตะกร้าคู่ใจที่ถือมาด้วย

“รอพี่ก่อนสิ”

“ไม่มาก็อยู่ไปคนเดียวเถอะ เราไม่อยู่แล้ว” ต้นกล้าเดินไปทางที่เห็นแม่แจ่มใจเดินออกมาพอดี โดยมีสายคาคมของเด็ดเดี่ยวมองตามไปพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันกลับมาเก็บตะกร้าที่ถือมา แล้วลุกขึ้นเดินตามอีกคนไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี ทิ้งให้สิ่งที่อยู่เบื้องหลังรับเอาส่วนบุญ และอาหารคาวหวานที่หนุ่มทั้งสองอุทิศให้อย่างหิวโหย!






ห่อข้าวน้อย (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต) Cr.ในรูปฮับ

ทางเดินริมกำแพงวัดเรียงรายไปด้วยห่อข้าวน้อย หรือห่อข้าวห่อเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเอามาวาง บ้างก็วางตามข้างทาง ใต้ต้นไม้ เห็นได้จากเทียนดวงเล็ก ๆ ที่จุดเอาไว้ แสงเทียนพลิ้วไปตามแรงลม

“กลับเลยมั้ยครับน้าแจ่ม”

“จ้ะ กลับก็กลับ แล้วพ่อเดี่ยวล่ะ”

“โน่นครับอยู่เฝ้าห่อข้าว ช่างเขาเถอะ ว่าแต่ตกลงไอ้จ๋าไม่มาใช่มั้ยครับ”

“มันคงไม่มาเพราะน้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน”

“อ้าว แล้วจะไม่เป็นไรเหรอครับ”

“ไม่เป็นไรนี่ มาก็ได้ไม่มาก็ไม่เป็นไร ปะกลับกันดีกว่าดึกมากแล้ว” ต้นกล้าเดินตามแม่แจ่มใจกลับบ้านพร้อมกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคนบางคนในใจ ที่หลอกให้เขาต้องออกจากบ้านมาเผชิญกับอะไรๆ ที่เขาเองอยากหลีกหนี ทั้งที่เขาจะไม่มาก็ได้ แต่อีกคนก็ยังโกหกหลอกให้มา โดยอ้างเรื่องความจำเป็นเหมือนกับว่าทุกบ้านทุกคนต้องมา ทำให้ต้นกล้าคิดว่าตัวเองก็ไม่สามารถเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ แถมยังหยิบยกเอาความท้าทายแบบที่ต้นกล้ายอมไม่ได้ออกมาพูด ทำให้คนรักศักดิ์ศรียิ่งชีพอย่างเขา ตามคติในใจว่า จะฆ่าก็ฆ่าเถอะแต่อย่าหยาม ต้องยอมก้าวข้ามความกลัว ทั้งที่ยังกลัวจนตัวสั่นเดินลงจากบ้านมา เด็ดเดี่ยวไอ้คนหน้ามึนจำไว้เลย จำเอาไว้ให้ดี ๆ

ตลอดทางประมาณ 300 เมตรจากวัดไปสู่ตัวหมู่บ้านมีห่อข้าวน้อยวางไว้เป็นระยะ พร้อมธูปที่จุดเรียกและเทียนที่จุดให้ความสว่างวางเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าตันกล้าไม่มองไปยังจุดวางห่อข้าวเหล่านั้น ให้ตัวเองเสียวสันหลังเล่นหรอก เขาเดินคุยกับแม่แจ่มใจเบา ๆ ผ่านถนนกลางหมูบ้านแล้วลัดเข้าอีกซอย เพื่อแยกออกจากตัวหมูบ้านมา จากนั้นเดินกันไม่นานก็ถึงหน้าบ้านของแม่แจ่มใจ

“น้ารีบขึ้นนอนก่อนนะ ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นอีกแล้ว”

“ครับน้าแจ่ม นี่ครับตะกร้าขอบคุณนะครับที่ช่วยเตรียมห่อข้าวให้ผม”

“ไม่เป็นไร ไปรีบกลับไปนอนต่อได้แล้ว”

“ครับ” แม่แจ่มใจแยกเดินเข้าบ้านตัวเองไปแล้ว ต้นกล้าจึงพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ หันกลับไปมองทางที่พึ่งเดินผ่าน ด้วยคิดว่าจะเห็นคนตัวสูง ๆ เดินตามมา แต่ถนนที่มีแสงไฟส่องสลัวนั่นกลับว่างเปล่า มองเลยไปก็ไม่เห็นใครสักคน นอกจากทางโล่ง ๆ และเงียบเชียบ ทุกอย่างนิ่งสนิทราวกับเวลาถูกหยุดไว้ ตาสวยกวาดมองไปทั่วบริเวณ ที่ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามารอบตัว เหมือนมันกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อย ๆ จนเริ่มเกาะกินหัวใจ

พรึ่บ!

“เฮ้ย” ต้นกล้าสะดุ้งตกใจ เมื่อไฟที่เปิดไว้ใต้ถุนบ้านของไอ้จ๋าดับลง นั่นแสดงว่าแม่แจ่มใจคงเข้านอนแล้ว หายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด เมื่อความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ร่างโปร่งก็เริ่มสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เด็ดเดี่ยว...อยู่ไหน ต้นกล้าได้แต่ร่ำร้องหาอีกคนในใจ อยากร้องเรียกอกมาดัง ๆ แต่ก็รู้กันอยู่ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ตาสวยหันไปมองทางเข้าบ้านตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ประตูไม้บานใหญ่เปิดไฟส่องให้บริเวณนั้นสว่างพอสมควร ในหัวคิดหาทางเอาตัวรอด แต่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินไปทางนั้น หรือเดินลัดไปอีกทางตรงข้างบ้านของไอ้จ๋าดี เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ต้องผ่านช่วงที่มีความมืดอยู่ดี ก็อย่างทีรู้กันอยู่แล้วว่าบ้านสองหลังนี้ ถึงจะอยู่ในอาณาเขตที่ดินผืนเดียวกัน แต่ก็ปลูกอยู่ในสวน เดินไปข้างบ้านมันก็ต้องผ่านสวนที่มีต้นมะม่วงปลูกขั้นเอาไว้เป็นสวนเล็ก ๆ แต่หากเดินอ้อมไปเข้าทางประตูใหญ่หน้าบ้านที่ต้องขับรถเข้า ยังไงก็ต้องเดินผ่านช่วงที่มืด ๆ นั่นอยู่ดี ต้นกล้าคิดหนัก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งคิดเวลาก็ยิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วความกลัวก็พอกพูนทบทวีขึ้นเรื่อย ๆ หนุ่มหล่อเกาหลีที่เคยภูมิใจในตัวเองนักหนา นึกเกลียดบ้านสวนของคุณยายขึ้นมาจับใจ แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนก็คงใช่ที่ ตาสวยมองทางเข้าบ้านสลับกับทางข้างบ้าน เหมือนไม่รู้จะตัดสินใจเลือกทางไหนดี ไอ้ครั้นจะเรียกแม่แจ่มใจที่ดูเหมือนว่าจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งลี้ลับใด ๆ ให้เดินไปส่ง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน แบบนั้นคงมีหัวเราะกันให้ได้อายไปสามบ้านแปดบ้านเป็นแน่แท้

ต้นกล้ายืนหันรีหันขวางอย่างน่าสงสาร หันกลับไปมองทางที่เดินผ่านมาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะมีร่างสูงที่คุ้นเคยเดินตามมา แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ยังเป็นความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม ทางโล่งเงียบและยังไม่เห็นมีวี่แววของคนคนนั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือคำถามโง่ ๆ เท่าที่ต้นกล้าสามารถคิดได้ นั่นก็คือเด็ดเดี่ยวหายไปไหน ไม่รู้หรือยังไงว่าเขากลัว เอ๊ะ ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นา และก็คงให้รู้ไม่ได้ ต้นกล้าคิดแต่ดันลืมสนิทถึงวันแรกที่เจอกัน เพราะมัวแต่คาดโทษและต่อว่าอีกคน ที่แค่นี้ก็จะทิ้งกันแล้ว ต้นกล้าอยากร้องไห้ เขาอยากให้จิตใจของตัวเองเข้มแข็ง และไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ความกลัวที่เกิดขึ้นทั้งที่ไม่เคยได้เห็นสิ่งนั้นจริง ๆ กับตาตัวเอง กลัวทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันมีจริงหรือเปล่า กลัวกับแค่จินตนาการของตัวเอง อย่าว่าแต่เห็นของจริงเลยแม้แต่หนังผียังไม่กล้าดู ไม่รู้ว่าเขาเอาความกลัวนี้มาจากไหน แต่สรุปแล้วยังไงมันก็คือกลัว แบบนี้เขาเรียกว่าไม่มีเหตุผลใช่ไหม นั่นคือสิ่งที่คนกลัวผีทุกคนต้องหาคำตอบ แต่สำหรับต้นกล้า ถามว่าเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่าบอกเลย ไม่! แต่หากจะถามว่าไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงกลัวนั้นก็ตอบไม่ได้อีก กลัวก็คือกลัวจะอะไรนักหนามันกลัวออกมาจากความรู้สึกลึก ๆ จากหัวใจและจะไม่สามารถควบคุมได้เมื่ออยู่ในความมืด ตอนนี้แค่คิดว่าจะกลับบ้านยังไงเท่านั้นก็พอ

หน้าบ้าน ข้างบ้าน หน้าบ้าน ข้างบ้าน หน้าบ้าน ข้างบ้าน สองทางเลือกที่ไม่แตกต่าง เอ๊ะหรือแตกต่างวะ เข้าทางประตูหน้าบ้านเดินไปไกลกว่า แต่ก็ต้องผ่านสวนมืด ๆ ตรงนั้น ส่วนลัดไปทางข้างบ้านผ่านสวนมะม่วง ถึงสวนจะไม่ใหญ่เพราะปลูกอยู่แค่สามแถว แต่ไม้ยืนต้นพุ่มใบหนาอย่างต้นมะม่วงก็กระตุ้นความรู้สึกได้ไม่แพ้กัน เอายังไงดี เอายังไงดี อยากร้องไห้ นี่คือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งจะให้ร้องออกมาง่าย ๆ มันก็กะไรอยู่ อยากเขกหัวตัวเองแรง ๆ สักที ไม่น่าเลยไม่น่าบอกอีกคนไปแบบนั้นเลย ป่านนี้คนตัวโตอาจจะโกรธหรือไม่พอใจจนไม่ตามมาก็ได้ หรืออาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้ ทั้งที่จะไปไหนก็น่าจะมาเอารถตัวเองก่อนนะ รถยังจอดอยู่หน้าบ้านคุณยายอยู่เลย ฮึ่ย

ต้นกล้าตัดสินใจไม่ได้ยิ่งคิดยิ่งร้อนรนและหันรีหันขวาง ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวายจนสั่นเทิ้มไปหมดทั้งตัวแล้ว ยืนเคว้งคว้างหันหน้าหันหลังอยู่นาน แต่ก็ยังคิดไม่ตก กลัวก็กลัว คิดถึงเด็ดเดี่ยวก็คิดถึง ไม่รู้ทำไมต้องคิดถึง ไม่รู้ทำไมต้องอยากให้อีกคนมาอยู่ตรงนี้ มาบอกเขาว่าไม่เป็นไรแล้วเดินกลับบ้านด้วยกัน บ้านที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลเลย แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะกลับเอง ถ้ารีบวิ่งไปเร็ว ๆ จะทันไหมนะ วิ่งไปทางไหนจะดีกว่ากันนะ และขณะที่กำลังหันรีหันขวางอย่างคนเลือกไม่ได้ ว่าจะไปทางไหนหรือจะเอายังไงกับตัวเองดีนั้น ก็มีบางสิ่งบางอย่างเร่งต้นกล้าให้รีบตัดสินใจ...

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

!! เสียงหอนโหยหวนลากยาวจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุก ขนแขนลุก ขนอ่อนตามร่างกายพร้อมใจกันลุกอย่างเท่าเทียม ความเย็นยะเยือกแทรกลึกเข้าสู่ขั้วหัวใจ เสียงโหยหวนหอนรับกันมาเป็นทอด ทำเอาใจดวงน้อยแทบหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม ต้นกล้าหันรีหันขวางหนักยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับเสียงเล่าขานของเด็ดเดี่ยวดังขึ้นมาในหัว เหมือนจะตอกย้ำความกลัวให้ทะลุเพดานพุ่งสู่จุดสูงสุด

‘คืนแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ว่ากันว่าเป็นคืนปล่อยผี’ หน้าบ้าน ข้างบ้าน

‘ยมบาลจะปล่อยให้ผีออกมาเยี่ยมญาติบนโลกมนุษย์’ ข้างบ้าน หน้าบ้าน ต้นกล้าท่องในใจร่างกายสั่นเทิ้ม ลมหายใจหอบถี่อย่างน่าสงสาร เอาวะอยู่ก็เสี่ยงหัวใจวาย ไปก็ไปแค่วิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดอย่าให้อะไรก็ตามวิ่งมาทัน ลัดไปทางข้างบ้านนี่ล่ะง่ายดี ไม่ต้องเปิดประตูให้เสียเวลาด้วย! เมื่อต้นกล้าตัดสินใจได้แล้วก็..

อ๊ากกกก ร้องเสียงดังแล้วออกวิ่ง โดยไม่ลืมกระโดดข้ามกระถางต้นไม้ของลุงสมควรที่วางเรียงราย แล้ววิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต เพราะเสียงหอนโหยหวนชวนรู้สึกขนลุกที่ดังตามหลังมานั้น มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้อย่างดี เหมือนบอกว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้นมะม่วงเรียงสามแถวท่ามกลางความมืดดำของคืนแรม ดูเหมือนใบของมันจะหนาและมืดทึบมากกว่าทุกวัน จนกลัวว่าจะมีอะไรแฝงตัวอยู่ในนั้น ต้นกล้าวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เพื่อให้พ้นจากบริเวณนี้ไปสักที แต่ยังไม่ทันจะวิ่งพ้นความมืดวังเวงที่ปกคลุมพื้นที่สวน ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่าง เกี่ยวดึงรั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้ และ..

ตุบ!

“โอ๊ย” ต้นกล้าร้องเสียงดังเมื่อเสียหลักล้มคะมำลงกับพื้น จนหน้าหล่อเกาหลีทิ่มลงดินมอมแมม ร่างสูงโปร่งนอนคว่ำราบอย่างน่าอาย เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าแต่ก็ทำได้เพียงแค่เอามือลูบคลำสองสามที ใบหน้าหล่อที่หลายคนเคยหลงใหล เปลี่ยนเป็นใบหน้าเหลอหลาตื่นตกใจเมื่อเงยขึ้น ในหัวคิดว่ายังไงก็ต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด จึงใช้ข้อศอกยันพื้นในท่าเตรียม เขาหันรีหันขวางก่อนจะลุกขึ้นวิ่งต่อ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตาเจ้ากรรมจะดันไปปะทะกับบางสิ่งบางอย่างเข้าเสียก่อน บางสิ่งบางอย่างที่ทำเอาร่างกาย หยุด! นิ่ง! ค้าง! ชะงัก! เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง แม้ความหอบสะท้านเพราะเหนื่อยจากการออกวิ่งสุดแรงยังคงมีอยู่ และรู้สึกถึงความขัดยอกของร่างกายจากการล้ม แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั่นทำให้ต้นกล้าบอกตัวเอง ว่าต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทั้งที่ภาพนั้นมันแทบจะทำให้เจ้าของร่างโปร่งหยุดหายใจมันลงเดี๋ยวนี้อยู่แล้ว

ที่ตรงนั้นห่างจากจุดที่ต้นกล้าล้มลงไปเพียงสองก้าวยาว ๆ มีแสงไฟที่ส่องลอดพุ่มใบหนาของมะม่วงต้นเตี้ยเข้ามา และสิ่งนั้นที่ตรึงสายตาของต้นกล้าเอาไว้ มันไม่ใช่โคนต้นมะม่วงอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายทุกส่วนหยุดนิ่ง แม้แต่หัวใจก็ยังอยากจะหยุดเต้น เกิดอาการชะงักไปชั่วขณะ แต่พออาการชะงักหายไปอาการสั่นก็เข้ามาแทนทันที กับสิ่งที่กำลังประจักชัดแก่สายตานะเสนอโดยแสงไฟไกล ๆ ที่ลอดเข้ามาให้มองเห็นได้เต็มตา มันคือเท้าคู่หนึ่งที่ยืนชิดนิ่งราวกับถูกตรึงให้แข็งทื่ออยู่กับที่ เท้าที่ดูมอมแมมไปด้วยฝุ่นดินเหมือนพึ่งเดินผ่านเส้นทางแสนยาวไกลมา ประตูนรกคงอยู่ไกลมากสินะ เท้าคู่นั้นสวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ และยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงหรือขยับเขยื้อน ต้นกล้ากลัวที่จะเงยหน้าขึ้นไปสำรวจให้สูงกว่านี้จึงมองต่ำอยู่เฉพาะเท้า แค่เท้าคู่นั้นก็เล่นเอาตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรงแทบไปไม่เป็น ระยะเผาขน*! * นี่คือระยะเผาขนจริง ๆ สิ่งที่ต้นกล้าพยายามหลีกหนีมัน ตอนนี้อยู่ใกล้ในระยะที่เรียกว่าเผาขน และ..และต้นกล้าต้องไปจากที่นี่ ไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่จะไปยังไงทำไมแรงจะลุกขึ้นมันไม่มีนี่คือปัญหา!

ยังไม่จบน้าาาาา ลงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 21:57:44


ใครก็ได้ช่วยที พี่เดี่ยวช่วยกล้าด้วย พี่เดี่ยวอยู่ไหน ช่วยด้วย ช่วยที! ต้นกล้านึกว่าตัวเองกรีดร้องตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง เพื่อเรียกให้อีกคนมาช่วย ทั้งที่ความจริงมันเป็นแค่เสียงอืออาเงอะงะที่ดังออกมาไม่พ้นลำคอ ร่างโปร่งอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เมื่อถูกความกลัวเข้ากัดกินหัวใจ มันกระชับพื้นที่ภายในอย่างรวดเร็วจนแทบขาดสติ ทำไมต้นกล้าถึงได้โชคร้ายแบบนี้ ที่ต้องมาเจออะไรที่ไม่อยากเจออย่างนี้ สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าผีใช่ไหม ถ้าใช่ต้นกล้าอยากจะขอร้องคุณผีให้ละเว้นแล้วไปที่ชอบ ๆ เถอะ ห่อข้าวน้อยก็เอาไปวางให้แล้วยังจะตามมาทำไมอีก ไม่ต้องมาขอบคุณก็ได้ต้นกล้าเต็มใจให้ไม่หวังผล อยากบอกออกมาแบบนั้น อยากบอกออกมาตรง ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมวิธีพูดไปแล้ว ตัดสินใจกราบข้อร้องอ้อนวอนคุณผี และในขณะที่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ เพื่อยกสองมือสั่น ๆ ขึ้นพนมอ้อนวอน และร้องขอความเห็นใจจากคุณผี ก็เหมือนกับว่าบุญของต้นกล้ายังมีเหลืออยู่ เมื่อ..

“ต้นกล้า” เฮือก!! ต้นกล้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาท เขาชะงักแล้วหันไปตามเสียงที่ดังมาจากบ้านหลังใหญ่ เห็นใครคนนั้นที่กำลังต้องการตัวยืนอยู่ และ....

“อ้าก เด็ดเดี่ยวเราอยู่นี่” สิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ในความมืดได้แต่มองตามงง ๆ มันอ้าปากค้างและขมวดคิ้ว เมื่อหรี่ตามองตามด้วยท่าทางงุนงงสงกะสัย เพราะยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำ เมื่อคนที่ล้มฟุบอยู่ตรงหน้า รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องเรียกคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านแล้ววิ่งออกไป ราวบั้งไฟถูกจุดฉนวน ความแปลบที่ข้อเท้าส่งสัญญาณเตือนว่ามันยังเจ็บ แต่สำหรับต้นกล้าเวลานี้อะไรก็ฉุดเขาไม่อยู่แล้ว

เด็ดเดี่ยวเดินมาถึงบ้าน โดยลัดมาคนละทางกับต้นกล้าและแม่แจ่มใจ เห็นบ้านเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าต้นกล้ากลับมาถึงหรือยังจึงส่งเสียงเรียก สักพักก็ได้ยินเสียงของคนที่เรียกหาดังมาจากอีกทาง จึงหันกลับไปทางต้นเสียง และได้ก็เห็นร่างสูงโปร่งวิ่งหน้าตั้งเหมือนหนีอะไรสักอย่างมา

“เด็ดเดี่ยวช่วยเราด้วย” ขาวิ่งปากก็ร้องขอความช่วยเหลือ มาถึงก็กระโดดกอดคอคนตัวโตเสียแน่นพร้อมขาสองข้างตวัดเกี่ยวเข้าที่เอว ให้เด็ดเดี่ยวรับน้ำหนักเอาไว้เองคนเดียวทั้งหมด ดีที่ชายหนุ่มตั้งหลักทันตอนนี้เขาจึงมีสภาพเหมือนแม่ลิงกำลังกระเตงลูกลิงเข้าเอวก็ไม่ปาน เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะเป็นลิงอุ้มแตงดีหว่า

“ต้นกล้าเป็นอะไร”

“คนใจร้ายไปไหนมา ฮือเราช่วยด้วย ช่วยด้วย” รีบละล่ำละลักบอกจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง ต้นกล้าตัวสั่นจนเด็ดเดี่ยวรู้สึกได้ ชายหนุ่มมองไปยังทางที่อีกคนวิ่งมา แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติจึงกระซิบถามเบา ๆ

“เป็นอะไรวิ่งหนีอะไรมาหืม” ต้นกล้าเอาแต่ซุกหน้ากับซอกคอคนตัวโต แล้วส่ายหัวไม่ยอมตอบคำถาม เด็ดเดี่ยวจึงไม่ได้เห็นว่าบัดนี้ใบหน้าหล่อใสนั้นซีดเผือด ราวกับเลือดได้หายไปหมดตัวแล้ว วงแขนที่รัดต้นคอดูจะแน่นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับน้ำหนักของใบหน้าที่กดบดบี้ลงที่ซอกคอแกร่ง ตัวหรือก็ยังสั่นจนชายหนุ่มรู้สึกได้ แบบนี้มันเล่นเอาคนที่กำลังอุ้มสั่นตามขึ้นมาเหมือนกัน แต่คนล่ะอารมณ์ อย่าทำกับพี่อย่างนี้สิครับคนดี อืม “ไหนบอกพี่ซิเป็นอะไร”

“อย่าถามได้มั้ย พาเราขึ้นบ้าน เราอยากขึ้นบ้าน นะ พี่เดี่ยวเราอยากขึ้นบ้านเดี๋ยวนี้ นะขึ้นบ้าน ๆ ” ต้นกล้างอแงพร้อมกับขยับตัวดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขนของเด็ดเดี่ยว ทาบประกบอกแบน ๆ เข้ากับอกแกร่งแน่นกล้าม ปากก็ร้องบอกจะขึ้นบ้าน ๆ ท่าเดียว แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร เด็ดเดี่ยวมองไปยังทางที่ต้นกล้าเพิ่งจะวิ่งมาอีกครั้ง จากนั้นจึงหันหลังกลับพาคนขี้กลัวเดินขึ้นบันไดไป

“เข้าห้องเลยมั้ย ถอดรองเท้าด้วย”

“เข้า ๆ จะรออะไร รอให้มันตามมาหรือไง เข้าไปเลยเข้าไปเดี๋ยวนี้”

“ลงก่อนมั้ยพี่เปิดประตูห้องไม่ได้”

“ไม่ลง”

“แล้วจะเปิดประตูห้องยังไงครับ”

“เปิดยังไงก็ช่างแต่เราไม่ลง” เด็ดเดี่ยวรู้สึกได้ถึงแรงรัดช่วงเอวและต้นคอที่เพิ่มขึ้น มันยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงต้นกล้าก็ไม่ยอมปล่อยเขาแน่ ๆ ชายหนุ่มจึงขยับให้การอุ้มกระชับขึ้น แล้วพยายามเปิดประตูเองอย่างทุลักทุเล แต่ปัญหามันยังไม่จบเพียงเท่านี้

คนตัวโตใช้เท้ายันเบา ๆ ให้บานประตูปิด เดินผ่านห้องที่เปิดไฟหัวเตียงสีเหลืองนวลเอาไว้สลัวตรงไปยังที่นอน พยายามวางร่างที่เกาะหนึบติดแน่นของต้นกล้าลงบนที่นอนนุ่ม แต่พอจะปล่อยมืออีกคนก็ส่ายหัวเอาเป็นเอาตายไม่ยอมให้ปล่อย แรงที่รัดต้นคอกับช่วงเอวที่ราลงตอนเขาโน้มตัว ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นและรัดแน่นเหมือนเดิม

“ถึงห้องแล้วปล่อยพี่ก่อน”

“ไม่ปล่อย จะทิ้งเราอีกใช่มั้ย”

“ไม่ทิ้ง แต่ตอนนี้มันถึงห้องแล้วพี่จะวางต้นกล้าลงบนเตียงนะครับ”

“ไม่ ๆ ไม่ให้วาง”

“มันหนักนะต้นกล้า ลงไปนั่งบนเตียงดี ๆ “

“หนักก็ช่างแต่เราไม่ปล่อย อยากนั่งก็นั่งแต่เราไม่ปล่อยเด็ดขาด ให้ตายก็ไม่ปล่อยอย่ามาทำตัวใจร้ายแถวนี้นะ”

“เอาล่ะครับไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย ฮึ่บ” เด็ดเดี่ยวยอมตามใจแต่แขนชายหนุ่มนั้นเริ่มล้า เพราะต้องรองไว้ใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักทั้งหมดของต้นกล้านานเกินไป เขาจึงหันหลังให้เตียงแล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้อย่างทุลักทุเล โดยมีลูกลิงขี้กลัวตัวสั่นเกาะหนึบไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมแม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาคุยกันดี ๆ ใบหน้าหล่อใสเอาแต่บดบี้ลงกับซอกคอ แล้วปฏิเสธการออกห่างท่าเดียว ตอนนี้ต้นกล้าจึงนั่งคร่อมตักของคนตัวโต ที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ในท่าล่อแหลม และเจ้าตัวก็ไม่สนใจมันสักนิด

“เอาล่ะ คราวนี้จะบอกพี่ได้หรือยังว่าเราวิ่งหนีอะไรมา” ต้นกล้าส่ายหัวเอาเป็นเอาตายและตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนคนถามชักอ่อนใจ มืออบอุ่นก็ยกขึ้นมาลูบเรือนผมสีแดงนุ่มมือแผ่วเบา แล้วกดนิ่งค้างเอาไว้พร้อมทิ้งจูบหนักแน่นลงกลางกระหม่อม จมูกสูดรับเอากลิ่นแชมพูอ่อน ๆ หอมละมุมจนชุ่มปอด มือใหญ่อีกข้างยังลูบหลังอย่างประโลม เพื่อปลอบโยนอาการตัวสั่นให้คลายลง ก็รู้ล่ะนะว่ากลัวอะไรมา ที่ถามก็แค่อยากให้พูดออกมาบ้างก็เท่านั้นเอง

“หลับแล้วเหรอ หืม” ครู่หนึ่งผ่านไปเด็ดเดี่ยวจึงถามขึ้นมาอีก เพราะต้นกล้าเอาแต่เงียบ แม้ว่าอาการตื่นตระหนกจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าร่างโปร่งสั่นอยู่เล็กน้อย

“บ้าสิ ใครจะไปหลับลง”

“ไหนเงยขึ้นมาให้พี่ดูหน้าซิ”

“ไม่! ”

“เงยหน้าขึ้นมาก่อนเร็ว” จุ๊บ

“ฮึ่ยมันใช่เวลามั้ย” เมื่อเด็ดเดี่ยวกดจูบลงที่กลุ่มผมสีแดงนั่นอีกครั้ง ต้นกล้าก็เงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเอาเรื่อง ต่อว่าคนที่ไม่รู้จักเวลาล่ำเวลา คนยิ่งกลัว ๆ ยังมีอารมณ์มาจุ๊บมาจิ๊บอยู่ได้

“แล้วจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่าวิ่งหนีอะไรมา” พอถามคำถามนี้ทีไรดูเหมือนว่าร่างของคนที่นั่งบนตัก จะสั่นแรงด้วยความสะท้านขึ้นมาทุกครั้ง เด็ดเดี่ยวจึงกระชับอ้อมแขนที่รวบตัวบางเอาไว้ให้แน่นขึ้น เหมือนจะบอกกลาย ๆ ว่าอ้อมแขนนี้จะเป็นปราการที่คอยปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายให้เอง

“ระ เรา” ใบหน้าหล่อบิดเบี้ยวเพราะเจ้าตัวแบะปากเหมือนจะร้องไห้ ต้นกล้าสะบัดตัวสั่นขนราวกับว่าการกระทำนี้ จะช่วยให้ความรู้สึกที่รุมเร้าอยู่ในใจจางหายลงไปบ้าง แต่ความกลัวก็ยังหลงเหลืออยู่มาก และแสดงออกมาทางเสียงสั่น ๆ เหมือนขากรรไกรทำงานผิดปกติ

“เรา จะ เจอ ฮือ”

“..”

“เขา เราเจอเขา” คำบอกเล่านี้เล่นเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันที

“เขาเหรอ ใครกัน”

“ระ เราไม่รู้ สะ สงสัยเขาที่มาเอาห่อข้าวแน่ ๆ ตะ แต่ทำไมมาอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้” ใบหนาหล่อใสบิดเบี้ยวเมื่อพยายามละล่ำละลักออกมาเป็นคำพูด ให้คนฟังได้ยินอย่างชัดเจนที่สุด ต้นกล้าละมือทั้งสองข้างมาประคองแก้มตัวเอง แล้วตบเบา ๆ ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เจอกับตาเน้น ๆ จัง ๆ แบบนี้ ในหัวเฝ้าแต่คิดว่าเคยไปทำอะไรกับใครไว้หรือเปล่า ทำไมเขาต้องตามมาหลอกหลอนให้กลัวจนหัวจะโกร๋นอยู่แล้ว

“ระ เรา เห็น เราเห็นเขา อ๊าก” พูดออกมาได้เท่านั้น ก็เอามือปิดหน้าตัวเองแล้วซบลงที่อกกว้างแข็งแกร่งของคนตัวโต ที่รอรับและโอบกอดคนขวัญเสียเอาไว้แน่น แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้ไม่สามารถเยียวยา และขับไล่ความกลัวในหัวใจของต้นกล้าออกไปได้โดยพลัน แม้จะมีมือใหญ่ที่คอยลูบปลอบ แม้จะมีอ้อมกอดอบอุ่นที่คอยโอบอุ้ม แม้จะอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่ปกป้อง ยังไงคนขี้กลัวก็ยังไม่คลายความขลาดกลัวที่มีมากจนขึ้นสมอง!

“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา”

“ฮือ..” เด็ดเดี่ยวได้แต่เอ่ยเรียกขวัญ เพราะต้นกล้าเอาแต่ซบหน้าลงที่อกของขา แล้วครางฮืออย่างหวาดกลัวตัวสั่นจนสะท้าน แม้ตัวเขาเองจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หากถามว่ากลัวไหมชายหนุ่มก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะความรู้สึกของเขาต่อเรื่องนี้คือเฉย ๆ แต่จะบอกว่าไม่คิดอะไรเลยก็คงไม่ใช่ เมื่อเห็นท่าทางของต้นกล้า ที่ดูเหมือนว่าจะหนักกว่าที่เคย เขาเรียกขวัญแล้วปลอบโยนด้วยมืออุ่นข้างหนึ่ง ที่คลายจากกอดรัดร่างโปร่ง มาวางลงบนหัวทุยกดให้ซุกซบอกหาไออุ่นพร้อมคำปลอบประโลม

“ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว พี่อยู่ด้วยทั้งคน”

“ห้ามไปไหน” เสียงสั่น ๆ กระซิบตอบกลับมา

“ไม่ไปไหน”

“ห้ามปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อยทั้งคืน”

“กอดเรา ๆ ”

“ครับ ๆ พี่ก็กอดอยู่นี่ไง” เด็ดเดี่ยวกระชับแรงกดที่หัวทุยให้เพิ่มขึ้นอีก พร้อมกับแขนอีกข้างที่โอบกอดแน่นขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจ และดูเหมือนว่าคนกลัวจะอุ่นใจแล้วว่าได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ตัวสั่น ๆ กับเสียงครางฮือจึงค่อยหายไปท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสอง และมืออุ่นที่ลูบปลอบ ในที่สุดก็เหลือไว้เพียงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ ของร่างที่ซบหลับแนบแน่นบนอกกว้าง





%%%%%%%%%%%%%



เสียงไก่ขันยามรุ่งสางดังรับกันเป็นทอดจากมุมหนึ่งของปลายนา ไปดังอยู่อีกมุมหนึ่งท้ายหมู่บ้าน หัวถนน ท้ายสวน ข้างยุ่งข้าว ใต้ถุนบ้าน ปลายทุ่ง ข้างเล้าไก่ และรับกันเป็นทอด ๆ ดังชัดบ้างแผ่วบ้างตามระยะทาง และความห่างจากกัน เป็นการต้อนรับแสงสีส้มทอง ที่สาดความอบอุ่นของรุ่งอรุณไปทั่วหล้า แสงนวลลูบไล้ไปตามสันเขาขาดที่มองเห็นลิบ ๆ อยู่ปลายนา ก่อนที่พระอาทิตย์ดวงโตสีส้มนวลตาจะขยับโผล่ขึ้นมาช้า ๆ ให้แสงอุ่นยามเช้าได้แผ่ไปบนผืนหญ้าชุ่มน้ำค้างดูฉ่ำชื้นสดชื่น ความแวววาวส่องรัศมีออกมาจากหยดน้ำบนยอดหญ้า ต้องแสงอรุณเป็นประกายรุ้ง แสงอุ่นไล้อาบเหนือยอดข้าวใบอ่อนลู่ลม นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกการเริ่มต้นวันใหม่อีกวัน ที่มาพร้อมความสดชื่นและสดใส บ้านทุ่งดอกจานอบอวลไปด้วยความบริสุทธิ์ของอากาศยามรุ่งสาง อวลไอหมอกที่ฉ่ำเย็น ความสดใหม่ของธรรมชาติช่วยให้ลืมสิ่งที่ไม่อยากจำจนหลับสบาย และดูเหมือนว่าจะฝันดีจนยามตื่นมาเยือน แต่จากรุ่งเช้าเวลาล่วงเข้ารุ่งสาย คนที่ได้นอนสบาย ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมารับอรุณ ส่วนอีกคนที่ต้องนั่งยามอย่างจำใจเพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จนสุดท้ายก็ทนความง่วงงุนไม่ไหว เผลอหลับไปในที่สุดเมื่อใกล้ค่อนรุ่งนี่เอง

ร่างโปร่งที่อาศัยอกแน่นเนื้อเป็นที่พักพิงมาตลอดคืน เริ่มขยับกายยุกยิกด้วยความเมื่อยขบ ตาสวยค่อย ๆ ปรือเปิดขึ้น และกระพริบปริบ ๆ สองสามทีจึงตื่นเต็มตา สัมผัสได้ถึงความปวดเมื่อยบริเวณต้นคอจึงขยับเล็กน้อย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นแล้วนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ใจดวงน้อยกระตุกวูบแต่ก็ตั้งตัวได้เร็วพอกัน เมื่อแสงสว่างรอบกายเป็นเครื่องบ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ และต้นกล้าพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองยังอยู่ในท่าเดิมนี้ตั้งแต่เมื่อคืน ท่าเดิมก่อนที่เขาจะเผลอหลับไป

‘ทำไมไม่ปลุกให้เรานอนดี ๆ วะเนี่ย ฮึ่ย’ ต้นกล้าต่อว่าให้คนตัวโตในใจ เขาเหลือบตาขึ้นมองซีกหน้าหล่อคมคร้ามแดด เพราะยังอยู่ในท่าเดิมคือท่าอิงซบแก้มแนบอกแกร่ง เจ้าของอกเอนตัวพิงหัวเตียงหลังรองด้วยหมอนนุ่มสองใบ รู้สึกถึงแขนหนักที่พาดทับด้านหลังตอนลองขยับตัวเบา ๆ แต่เจ้าของท่อนแขนหนักคู่นี้ดูเหมือนจะกำลังหลับลึก และหลับสบาย ต้นกล้าสองจิตสองใจว่าจะปลุกหรือไม่ปลุกดี ตาสวยกวาดมองซีกหน้าคมที่เห็นได้เพียงด้านเดียว ผ่านสันกรามครึ้มเคราเขียวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจนเกลี้ยงเกลาน่าลูบไล้ มันส่งให้รูปหน้าของคนตัวโตดูคมคาย และเข้มแบบไทยแท้ ๆ มีเสน่ห์ สันจมูกโด่งได้รูปพอดีรับกับขนตาไม่ยาวมากแต่เหยียดตรง คิ้วหนาพาดเฉียงได้องศาพอเหมาะ อันเป็นความโดดเด่นที่รับกันได้อย่างลงตัว กับหน้าผากมีราศี เป็นครั้งแรกที่ต้นกล้าได้พินิจใบหน้าของคนตัวโตกว่าอย่างตั้งใจ โดยไม่ต้องมีใครคอยส่งสายตาล้อเลียน แม้จะเป็นใบหน้าเพียงซีกเดียวก็เล่นเอาหัวใจสั่นไหวได้ไม่น้อย เจ้าของใบหน้าคร้ามแดดกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงลึกของนิทรา จนต้นกล้ากลัวว่าหากขยับตัวเพียงนิดเดียว ก็อาจจะทำให้อีกคนตื่นขึ้นมาแล้วไม่พอใจได้

เจ้าของร่างโปร่งหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายประไพศรี มองซีกหน้าหล่อจนเพลิน และพยายามอยู่ในท่านั้นให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ แต่เหมือนกับว่าร่างกายจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เพราะยิ่งนั่งนานเขาก็เริ่มจะไม่ไหว ความเมื่อยจากที่อยู่ในท่าล่อแหลมเนิ่นนานเกินไป จึงเริ่มออกอาการ มันนานในแบบที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าความแนบชิดเกือบเนื้อถึงเนื้อนี้ ผ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง มันชิดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยชิดมา แต่มันก็ทำให้ต้นกล้าแอบรู้สึกดีอยู่ลึก ๆ ที่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ความรู้สึกดีมันอยู่กับต้นกล้าได้เพียงไม่นาน หลังจากซึมซับมันเข้าไว้ในใจแล้ว แผนร้ายในหัวก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก

“อืม” เด็ดเดี่ยวครางออกมาเบา ๆ จากลำคอที่แห้งแหบ เมื่อรู้สึกถึงการก่อกวนที่ปลายคาง ใบหน้าคมคายหันไปอีกทาง แต่ยังไม่หลุดออกมาจากนิทราสุขสม จึงเป็นทีให้คนที่รอก่อกวนอยู่แล้วได้โจมตีอีก

“อืม”

“คึ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะชอบใจเบา ๆ เมื่อยืดตัวขึ้นใช้ปลายจมูกรั้นไล้ที่ปลายคางได้รูปของอีกคน เด็ดเดี่ยวขยับตัวอย่างรำคาญกับการก่อกวนไม่สิ้นสุด แต่ก็ยังไม่ยอมตื่น แถมยังไถลตัวนอนราบลงให้ได้ท่าที่เหมาะ โดยไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมแขนที่ทาบทับบนตัว เหมือนกับว่าแม้จะหลับหน้าที่การปกป้องก็ยังต้องดำเนินไป

“หึ ไม่ตื่นใช่มั้ย”

“ฟี้...”

“จะตื่นมั้ย”

“ครอก ฟี้” ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่านิทรานี้ยังแสนสุขสม ต้นกล้าหรี่ตาเม้มปากในหัวระดมกำลังสมองคิด ว่าจะแกล้งยังไงดีจนกระทั่ง

ก็ยังไม่จบอะ ตอนนี้ ยาวมากๆๆ เลื่อนลงๆๆ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 21:58:46


“อึก อื้อ” เฮือก! เด็ดเดี่ยวสะดุ้งตื่นใจเต้นแรงเมื่อลมหายใจสะดุด นั่นเป็นผลมาจากจมูกถูกบีบปิดกั้นอากาศไม่ให้ไหลผ่าน ชายหนุ่มหอบเหนื่อยเพราะการสะดุ้งตื่น และขาดอากาศชั่วคราว แต่ตกใจได้ไม่นานก็ต้องชะงักงันกับใบหน้าหล่อใส ที่อยู่ชิดใกล้และรอยยิ้มขำ

“แกล้งพี่เหรอ เจอดีแน่”

“เฮ้ย เปล่า เราเปล่า ปล่อย ๆ “ต้นกล้าร้องโวยวายเมื่อเด็ดเดี่ยวพลิกตัวเปลี่ยนให้เป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน หลังจากที่ชายหนุ่มต้องอดทนกับความเมื่อยขบอย่างเต็มใจมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ต้องตื่นอย่างไม่เต็มใจ แต่ยังไงก็ไม่ลืมเรียกเก็บค่าตอบแทน เมื่อถูกร่างหนาคร่อมทับ ก็ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะตัวเล็กลงไปมากทีเดียว ท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสอง ที่กำลังเผลอไผลไปกับการประสานสายตา ใบหน้าคมผิวสีน้ำผึ้งเพราะคล้ำแดดจากงานกลางแจ้ง ค่อย ๆ โน้มเข้าหาเรียกร้องทางสายตา และมอบบทลงโทษคนกวนการนอน

ริมฝีปากอุ่น ๆ ของคนพึ่งตื่น แตะซับแผ่วเบาลงบนกลีบปากหยักได้รูปสวย แล้วกดนิ่งเน้นนาน มันนานจนแทบจะต้องกลั้นหายใจ แม้ในความเป็นจริงแล้วมันเพียงแค่เสี้ยวนาที

“อรุณสวัสดิ์” เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกชิดกลีบปากนุ่ม แต่ไม่รีรอคำตอบรับ บอกแล้วก็เริ่มจูบซับชิมความหวานเป็นการทักทายอรุณยามสาย โดยที่ต้นกล้าก็ดูเหมือนว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้วยการจูบตอบหวานละมุนละไมไม่แพ้กันแต่...

“อะไร” เด็ดเดี่ยวถามขึ้น เมื่อไหล่ทั้งสองข้างถูกผลักออกด้วยมือของคนที่เขาคิดว่าให้ความร่วมมือกับจูบของเขา

“เมื่อคืนเราเห็น เห็น เออ นั่นแหละ เห็นเต็ม ๆ ตาเลย”

“อันนั้นพี่รู้แล้ว”

“รู้ได้ยังไงเรายังไม่ได้บอกเลย”

“โห วิ่งหน้าตั้งหางจุกตูดมาซะขนาดนี้ ใครมันจะไม่รู้ล่ะ”

“ก็...เรา เฮ้ยเราไม่ใช่หมานะ”

“หึ ๆ “

“อย่ามาหัวเราะขำ ใครเจอจัง ๆ แบบนั้นไม่วิ่งจะกราบเลยเถอะ”

“แล้วเจอแบบไหน”

“ช่างเถอะเราไม่อยากพูดถึงมัน นี่ยังขนลุกไม่หาย”

“งั้นมาเดี๋ยวพี่ปลอบเอง” จุ๊บ ต้นกล้าไม่ทันได้พูดอะไรตอบก็ถูกปิดปากด้วยจูบหวามหวาน เป็นสัมผัสอ่อนโยนละมุนละไม เพื่อเรียกขวัญและปลอบประโลม แต่ต้นกล้าก็คือค้นกล้าที่กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง กลัวอย่างไรเขาก็ยังคงกลัวอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม โดยเฉพาะเวลากลางคืน เด็ดเดี่ยวมอบจูบเป็นการปลอบ แต่ถึงแม้จูบนั้นจะอ่อนหวานสักปานใด ก็ไม่สามารถมอมเมาให้ลืมภาพติดตาในคืนแรมมืดมิดที่ผ่านมาได้ ความหวานละมุนของจูบอ่อนโยนเรียกร้อง ไม่สามารถนำพาให้ต้นกล้าหายกลัว แม้คนตัวโตจะบอกว่ามันเป็นจูบปลอบใจก็ตามเถอะ

“อื้อ ปล่อย นี่เราจริงจังอยู่นะ”

“นี่พี่ก็ปลอบแบบจริงจังอยู่เหมือนกัน”

“จูบเอา ๆ นี่นะจริงจัง ไม่ขำนะ ฮึ่ย”

“มันไม่มีอะไรหรอก”

“พูดได้สิไม่ได้เจอเองนี่”

“ไม่เจอพี่ก็อยู่ไม่ไกลนี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“แต่เราเห็นเต็มสองตาเขาดึงขาเราให้ล้มลงด้วย” ต้นกล้าใช้สองมือขยุ้มเสื้อยืดของเด็ดเดี่ยวตรงหน้าอกแน่น เพื่อย้ำความจริงจังของตัวเอง บอกเล่าด้วยสีหน้าตื่น ๆ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใต้ความกลัวในคืนเดือนมืด ก่อเกิดเป็นความสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ยิ่งคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ยิ่งเกาะกินหัวใจให้เกิดความหวั่นไหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเก่า

“จริงนะ เราเห็นกับตาตัวเองเลย”

“พี่เชื่อ แต่มันไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องกลัว เขาไม่ได้มาทำร้ายเรานี่”

“ทำเราล้มคลุกดินเลยนี่ไม่ทำร้ายใช่มั้ย”

“สะดุดขาตัวเองมั้ง” เด็ดเดี่ยวสันนิษฐานสีหน้าจริงจัง

“ใครมันจะไปซุ่มซ่ามขนาดนั้น” ถึงจะค้านออกมาแบบนั้น แต่คำพูดของเด็ดเดี่ยวก็สร้างความลังเลให้ต้นกล้าได้ไม่น้อย จึงบอกเสียงอ่อยเมื่อพยายามคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนล้มลง แต่เว้นช่วงที่เห็นเท้าคู่นั้นเอาไว้

“เห็นมั้ยพี่ว่าต้นกล้าสะดุดอะไรล้มลงเองมากกว่า”

“แต่เท้า ฮึ่ย”

“เท้าอะไร”

“ช่างเถอะ ลุกเลยมันหนักนะ” ต้นกล้าผลักอกกว้างแล้วขยับตัวออกจากความใกล้ชิด ที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้ว จนไม่ได้ปัดป้องตัวเอง เด็ดเดี่ยวยอมปล่อยโดยดี แต่ยังนอนแผ่หลาอย่างสบายอยู่บนเตียง จนต้นกล้าเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงได้ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป



%%%%%%%



“เอ๊ะ”

“อะไร”

“ทำไมออกมาจากทางนั้น” ไอ้จ๋าตีสีหน้าสงสัยขั้นสุด และเพื่อให้เหมาะกับคำถามจับผิด มันขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกับหรี่ตามอง ปากอิ่มของมันยื่นออกมาเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ขณะที่กำลังจะขึ้นไปปลุกลูกพี่ใหญ่ เพราะเห็นว่าตะวันสายโด่งมากแล้ว ก็พอดีกับที่ลูกพี่รองเดินออกมาจากทางที่มันกำลังจะเดินเข้าไป

“ออกมาไม่ได้เหรอ” ลูกพี่รองถามกลับหน้าตาเฉยพลางเดินผ่านไอ้จ๋าเดินลงบันไดไป

“ได้แต่มันน่าสงสัย”

“สงสัยอะไร”

“...” ไอ้จ๋าไม่ตอบคำในทันที แต่ยังคงสีหน้าสงสัยเอาไว้เหมือนเดิม มันเดินตามลูกพี่รองลงบันไดมาด้วยท่าทางนิ่งขรึมเป็นงานเป็นการ จนทั้งสองเดินมาหยุดลงที่พื้นหน้าเชิงบันได ไอ้จ๋าหรี่ตาขมวดคิ้วอีกเพื่อให้เกิดความสมจริง สองมือไขว้หลังขณะที่เดินรอบร่างสูง ๆ ของลูกพี่รอง ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่กำลังจะสอบสวนเด็กทำความผิด

“อะไรวะ” เด็ดเดี่ยวอดทนไม่ไหวกับลีลาของไอ้จ๋าจึงถามออกมา

“เมื่อคืนนอนนี่ดิ”

“คิดว่าไงล่ะ” ไอ้จ๋าเดินวนมายืนประจันหน้ากับเด็ดเดี่ยว หรี่ตามองชายหนุ่มที่มันยกให้เป็นลูกพี่รองอีกครั้ง เหมือนกำลังคิดพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง ในแบบที่ใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่ ทั้งที่ตัวมันเองก็รู้ดีล่ะนะ ว่าสองคนนี้นอนห้องเดียวกันอยู่ทั้งคืน

“เปล๊า”

“ไร้สาระนะแก”

“แหม ใครจะมีสาระเหมือนลูกพี่ล่ะครับ ว่าแต่ตกลงได้นอนปะเนี่ย”

“นอนสิทำไมจะไม่ได้นอน”

“แน่ใจว่านอนกันเฉย ๆ ”

“เออสิ ทำไมล่ะ” ท่าทางที่ดูสบาย ๆ ขัดกับในใจของเด็ดเดี่ยวที่ค่อนข้างหงุดหงิดค้างเติ่ง แต่จะพูดอะไรออกมามากก็ไม่ได้ นี่เขากำลังพูดกับใครทุกคนก็รู้ ๆ กันอยู่ นี่ไอ้จ๋าไง ไอ้จ๋าเชียวนะ คนที่เด็ดเดี่ยวเรียนรู้ว่าอย่าเปิดช่องโหว่ให้มันเป็นอันขาด เพราะจะโดนเอามาล้อไม่เลิกเลยล่ะ

“หลับสบายดีมั้ยครับลูกพี่”

“ที่สุด”

“อืม” ไอ้จ๋าสวมท่าทางให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังใช่หัวคิด เมื่อมันได้ยินคำตอบของเด็ดเดี่ยว ไอ้ตัวดำหัวเกรียนยืนจังก้าในท่ากอดอก หากมีจุกอยู่บนหัวด้วยคงได้คิดว่านี่คือกุมารทองเป็นแน่แท้ มันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคางอย่างไว้ท่า ทำเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดพิจารณาอยู่เป็นครู่ แล้วจึงพูดออกมา “หลับสบายแต่ทำไมตื่นมาตาคล้ำอย่างกับหมีแพนด้าอย่างนี้ล่ะครับลูกพี่”

“หมีแพนด้าอะไรวะมั่วแล้ว”

“ฮ่า ๆ “

“ขำอะไรกัน” ไอ้จ๋าหันไปทางต้นเสียงที่ทักขึ้น พอเห็นลูกพี่ใหญ่ของมันกำลังเดินหน้าตาสดใสลงบันไดมา ก็ให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมอีกคนขอบตาคล้ำเหมือนไม่ได้นอน แต่อีกคนกลับดูสดใสเปล่งประกายออร่ามาแบบจัดเต็ม

“เปล่าครับลูกพี่ วันนี้ตื่นสายเป็นพิเศษนะครับ ไอ้จ๋ากำลังจะขึ้นไปปลุกเลยเนี่ย” มันบอกแต่ตามองใบหน้าหล่อคนละแบบของสองลูกพี่สลับกันไปมา จนต้นกล้าอดไม่ไหวกับความทะเล้นบนหน้าของมันจึงถาม

“มองอะไรวะ”

“มองคนสองคนครับ”

“มองทำไม” เป็นเด็ดเดี่ยวที่เริ่มสงสัยตามบ้าง

“เพราะไอ้จ๋าชักสงกะสัยซะแล้วล่ะครับลูกพี่” พูดจบมันก็กอดอกด้วยท่อนแขนข้างเดียว หลังมือของท่อนแขนข้างนั้นเป็นที่รองข้อศอกของแขนอีกข้าง เมื่อมันยกมือขึ้นมาเกาแก้มสากทำท่าครุ่นคิด คิ้วของมันขมวดมุ่นแทบติดกัน ตาหรือก็หรี่มองลูกพี่ใหญ่เหมือนที่มองลูกพี่รองในตอนแรกไม่มีผิด

“สงสัย..สงสัยอะไรของแกวะ” ต้นกล้าชักจะพูดไม่ออก ในใจนึกด่าตัวเองว่าไม่น่าจี้ถามไอ้จ๋ามันอย่างนี้เลย เพราะตอนนี้มันเอาแต่มองหน้าของเขากับเด็ดเดี่ยวสลับกัน คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดมุ่นขึ้นรับกับดวงตาสอดรู้สอดเห็นของมันที่หรี่มอง หรี่เอา ๆ จนจะปิดอยู่แล้วมันก็ยังไม่ละความพยายามในการหรี่ ท่าทางของมันเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้เด็ดเดี่ยวมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ไอ้จ๋ามันจะรู้เรื่องเมื่อคืนหรอเปล่าวะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้นกล้าเจอผีนะ แต่เป็นเรื่องหลังจากนั้นต่างหาก เรื่องที่คนตัวโตนอนที่นี่กับเขาทั้งคืนด้วยท่านอนแสนแนบชิดนั่น

“อืม..” ไอ้จ๋าลากเสียงยาว มันเอาท่าทางที่ดูเป็นผู้ใหญ่กำลังวิเคราะห์ข้อมูลมาสวมให้ตัวเองอีกครั้ง ด้วยการยืนจังก้ามือข้างหนึ่งกอดอก ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นลูบคาง ข้อศอกของมือข้างนั้นทิ้งน้ำหนักลงบนแขนข้างที่กำลังกอดอกนั่นแหละ แต่แค่นั้นดูเหมือนจะไม่พอต่อการวางมาดของมัน เพราะรอบนี้ไอ้จ๋าเพิ่มความน่าหมั่นไส้ของตัวเองขึ้นมาเป็นระดับสูงสุด และเน้นหนักด้วยการยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนขั้นบันไดขึ้นบ้าน ด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองนั้นเท่เหลือคณา จนต้นกล้าอดมองตามเท้าหนัก ๆ ของมันข้างนั้นไม่ได้

ปึง!

“ไอ้จ๋าสงสัยว่า..” ต้นกล้าสะดุ้งสุดตัวตาเหลือกค้างตกตะลึง เมื่อสายตาปะทะเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นเท้าใหญ่ดำมอมแมมของไอ้จ๋า ที่สวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ! แค่เท้าข้างเดียวเล่นเอาคนเป็นลูกพี่อ้าปากค้างยืนมองนิ่งเหมือนถูกสาป!

“ต้นกล้า”

“..” ภาพที่ยังชัดเจนอยู่ในหัว ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเท้าของไอ้จ๋าที่วางให้เห็น และมันฉุดต้นกล้าให้จมดิ่งไปในความคิดของตัวเอง จนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ในอกให้สั่นสะท้านสันหลังเสียววาบ ๆ ด้วยภาพที่ปรากฏชัดเจนมันตรงกับภาพที่อยู่ในหัว จนแทบหลอนขึ้นมาอีกแล้ว

“ต้นกล้า” เหมือนมีเสียงเรียกดังมาแว่ว ๆ แต่ตอนนี้ต้นกล้าไม่ได้สนใจว่าเป็นเสียงใคร หรือเรียกทำไม เขาเดินเข้าไปหาไอ้จ๋าที่ยืนห่างกันไม่กี่ก้าว ไม่รู้ว่าตั้งใจคุกเข่าลงตรงหน้ามันหรือขาทั้งสองข้างหมดสิ้นเรี่ยวแรง แต่สองมือก็ประคองจับท่อนขาช่วงหัวเข่าของมันแน่น แล้วจัดเท้าข้างนั้นลงมายืนที่พื้นให้ชิดกันกับเท้าอีกข้างเหมือนเป็นเนื้อคู่

“ลูกพี่ครับ” เหมือนกับว่าไอ้จ๋ามันจะพูดอะไรบางอย่างที่ต้นกล้าไม่สนใจ เพราะเท้าคู่นี้ของมันดูจะน่าสนใจยิ่งกว่า เท้าใหญ่ที่ยืนชิดกันสวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ นิ้วก้อยทั้งสองข้างของมันงอเล็กน้อย ฝุ่นดินที่จับตามหลังเท้าช่วยเสริมความมอมแมม เหมือนกับว่าผ่านการเดินทางมาไกลแสนไกล ตอนนี้เท้าที่เหมือนกับที่สิ่งที่เห็นเมื่อคืน จนนึกว่าเป็นเท้าคู่เดียวกันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะมันติดตากินใจต้นกล้าเหลือเกิน จนนั่งมองนิ่งคอแข็งเหมือนไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรดี มันบรรยายไม่ถูก นั่นคือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด อยากให้มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดหรือแค่ความบังเอิญเหมือน รองเท้าแบบนี้เขาคงไม่ได้ผลิตมาคู่เดียวหรอกใช่ไหม ต้นกล้าไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นหรือตกใจ หรือว่าจะโล่งใจดี ตกลงว่ามันเป็นสิ่งที่ต้นกล้าอยากหลีกหนี หรือว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ทำไมเมื่อคืนต้นกล้าไม่เงยหน้าขึ้นดูให้มันชัด ๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดไม่ตกอยู่แบบนี้

โอย! คนหล่อสับสนเหลือเกิน หากเป็นสิ่งนั้นจริงต้นกล้าคงหัวโกร๋นเป็นแน่แท้ แต่หากไม่ใช่มันก็ดีที่ไม่ต้องหัวโกร๋น แต่จะดีมันก็ดีไม่สุดเสียทีเดียว เพราะไอ้จ๋าคงได้เห็นท่าทางน่าอายของเขา ที่มันคงจะเอามาล้อกันได้ทั้งปี โอ้วไม่นะ! ทำไมอะไร ๆ มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนหล่อ ๆ อย่างต้นกล้าเอาเสียเลย!

ต้นกล้ายังอยู่ในท่านั่งคุกเข่าตรงหน้าไอ้จ๋า ส่วนตัวไอ้จ๋าเองมันก็ได้แต่ยืนยิ้มหน้าแป้นแล้นทำตัวไม่ถูก และมองคนเป็นลูกพี่ที่นั่งมองเท้าของมันเงียบ ๆ ไม่สนใจรอบข้างอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปเป็นครู่ต้นกล้าจึงหาเสียงของตัวเองเจอ และเรียกไอ้จ๋าออกมาอย่างเลื่อนลอย

“ไอ้จ๋า”

“ครับลูกพี่ มีอะไรกับเท้าไอ้จ๋าเหรอครับ” ไอ้จ๋าถามหน้าซื่อยกมือเกาหัวเกรียนของมัน เกิดอาการงงปนเขินเลยเผลอยืนท่าตรง ขยับเท้าทั้งสองข้างให้ชิดกันเข้าไปอีก นั่นทำให้ต้นกล้าตาลุกคลานเข่าเข้าไปดูแทบเท้ามันเลยทีเดียว “เฮ้ย อะไรกันครับลูกพี่”

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวกระโดดเข้ามาประคองต้นกล้าที่อยู่ในท่าแปลก ๆ ให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นไอ้จ๋าขยับเท้าของมันเข้ามาจนติดกัน คนหล่อเกาหลีที่หยิ่งทะนงในตัวเองนักหนา ก็ทิ้งตัวคุกเขาก้มหน้าแทบชิดเท้ามอมดำ นี่ถ้าเด็ดเดียวไม่ดึงไหล่เขาเอาไว้ ไม่แน่ว่าต้นกล้าจะลองจัดท่าตอนล้มหน้าคะมำเหมือนเมื่อคืนด้วยเสียเลย จะได้ดูในองศาที่เท่ากันพอดี

ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้คือ ใจชื้นขึ้น ใช่แล้วใจชื้นขึ้นมาก เท้าคู่! นี้เมื่อคืนมันต้องเป็นเท้าคู่นี้ของไอ้จ๋าแน่ ๆ มันคือเท้าของไอ้จ๋าเองใช่ไหม มันไม่ใช่สิ่งที่ต้นกล้าคิด มันไม่ใช่ผี เพราะผีไม่มีจริง กับสิ่งที่เจอเมื่อคืนมันไม่ใช่ผีเปรต ผีเร่ร่อน หรือสัมภเวสีวิญญาณไร้ญาติที่ไหน แต่เป็นผีบ้าอย่างไอ้จ๋าไอ้ลูกน้องหน้าดำคนนี้นี่เอง ต้นกล้าเถียงกับตัวเองและเกิดความรู้สึกลิงโลดขึ้นในใจ พยายามบอกตัวเองทั้งที่ยังสับสนว่าไม่มีผีในโลกนี้แน่ และทั้งที่ความกลัวเกาะแน่นติดหนึบในหัวใจออกปานนั้น ต้นกล้าก็ยังจ้องเท้าไอ้จ๋าตาเป็นประกาย ปากก็เรียกมันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมีความหวัง

ต่อจ้า...
อู้ยยย ยาววุ้ย...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 21:59:46


“ไอ้จ๋า”

“ครับลูกพี่”

“เมื่อคืนตอนดึก ๆ ประมาณตีสองกว่านิด ๆ แกอยู่ไหน”

“ไอ้จ๋าก็หลับไปแล้วสิครับ ลูกพี่นี่ถามแปลกจัง”

“อย่าโกหกนะเว้ย”

“ครับ ๆ เมื่อคืนเห็นลูกพี่ออกไปวางห่อข้าวแล้วไอ้จ๋าก็เข้านอนเลย” ไอ้จ๋าตีหน้าหมางงแบบที่มันทำประจำอย่างเป็นธรรมชาติ ต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวที่มองหน้ามันอยู่ไม่รู้เลยว่ามันงงจริง ๆ หรืองงเล่น ๆ แต่พอมันพูดจบก็เล่นเอาต้นกล้าหน้าถอดสีไปได้เลยทีเดียว

“อะ ไอ้จ๋า พูดดี ๆ ดิวะ”

“เอ้า ไอ้จ๋าพูดไม่ดีตรงไหนครับลูกพี่ ไอ้จ๋าพูดออกจะเพราะปานนี้”

“แกแกล้งฉันหรือเปล่า”

“ไอ้จ๋ามิบังอาจครับ ทำไมลูกพี่คิดแบบนั้น” ไอ้จ๋าเอียงคอตอบน้ำเสียงและสีหน้าดูใสซื่อ เมื่อลูกพี่กล้าของมันยังถามย้ำแล้วย้ำอีก แต่มันก็ยังยืนยันคำตอบเดิม

“งะ งั้น ก็แสดงว่า”

“ครับ แสดงว่าอะไร”

“คงไม่ใช่อย่างเราคิดหรอกน่า ไป ๆ เดี๋ยวพี่ทำอาหารเช้าให้กิน วันนี้ต้นกล้าอยากกินอะไร” เด็ดเดี่ยวเห็นหน้าดูมีความหวังของต้นกล้าในตอนแรก เปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนเมื่อคืนก็รีบตัดบท

“มะ ไม่ ไอ้จ๋าแกบอกฉันทีว่าเมื่อคืนเป็นแกเองที่อยู่ในสวนมะม่วง”

“แล้วอะไรจ๋าจะไปทำอะไรที่สวนมะม่วงตอนกลางคืนละครับลูกพี่” ก็จริงของมัน ดึก ๆ ดื่น ๆ ไอ้จ๋ามันจะไปยืนทำอะไรที่สวนมะม่วงให้เสียเวลานอน คนที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองว่าเมื่อคืนสิ่งที่เจอนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อยากเจอก็เข่าอ่อนยวบอีกรอบ จนเด็ดเดี่ยวแทบจะคว้าเอวเอาไว้ไม่ทัน

“อ้าวลูกพี่เป็นอะไรครับ”

“ปละ เปล่าว่ะ เด็ดเดี่ยวเราว่าเราอยากนั่งพัก”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวส่งสายตาเขียวปัดคาดโทษไปที่ไอ้จ๋า ที่ตอนนี้มันยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองผิดอะไร เมื่อโอบเอวต้นกล้าที่หน้าซีดตาลอย พาเดินไปนั่งพักยังแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะไม่มีแรงทำอะไรเองได้ แถมใบหน้าหล่อยังซีดเผือดมือเรียวสั่นเทาจนเด็ดเดี่ยวรู้สึกได้

ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่ต้นกล้ามีหวังแล้วแท้ ๆ ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา ที่ไอ้จ๋ามันสร้างขึ้น ยอมให้ไอ้จ๋ามันบอกว่าแกล้งและถูกล้อ ยังดีกว่าจะมารับรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรที่ไม่ต้องการเห็น ทำไมไอ้จ๋าต้องมาใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ ทำไมเท้าของมันต้องดำมอมแมมมีฝุ่นเกาะ และใหญ่เหมือนเท้าคุณผีที่เจอมาเมื่อคืน ทำไม ทำไม ต้นกล้าไม่เข้าใจ....

ไอ้จ๋าตีหน้าซื่อเมื่อเด็ดเดี่ยวหันมามอง แต่พอลูกพี่ทั้งสองเดินห่างออกไป มันก็กลั้นความขำเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คิดถึงใบหน้าของคนเป็นลูกพี่ที่มันเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา ดูแล้วช่างตราตรึงหัวใจของมันยิ่งนัก ตราตรึงจนขำแล้วขำอีก ขำแบบนี้ไม่รู้คนอื่นเขาเรียกว่าอย่างไร แต่มันก็ขำจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลไม่หยุดเลยทีเดียว ท้องของมันหรือก็แข็งจนตัวงอต้องเอามือมากุมไว้ ยิ่งคิดก็ยิ่งให้เกิดขำเสียจนหยุดไม่ได้

คิก ๆ เป็นเรื่องยากมาที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ ยิ่งหากได้ปล่อยก๊ากออกมาบ้างคงสะใจดีพิลึก ไอ้จ๋าแม้ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องอะไรแบบเมื่อคืนขึ้น แต่มันเองก็ต้องยอมรับว่าพอใจอยู่ไม่น้อย กับการที่ได้เอาคืนเสียบ้าง โดยไม่ต้องวางแผนอะไรให้ลึกซึ้ง เหมือนที่มันคิดไว้ในตอนแรก ถึงมันจะเป็นเรื่องบังเอิญแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสะใจ จนอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ และทั้งที่ไม่สามารถปล่อยเสียงหัวเราะดัง ๆ ออกมาได้ ไอ้จ๋าก็ยังเอามือใหญ่ของมันยกขึ้นมาปิดปากอย่างมีจริตจะก้านตอนหัวเราะ ราวกับว่าหากเอามือออกเสียงของมันจะดังไปถึงหูของลูกพี่ จนพาลให้มันเดือดร้อนเอาได้ง่าย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ ถ้าอย่างนั้นก็ขำมันแบบกลั้น ๆ อย่างนี้แหละ มันหันหน้าไปอีกทางแล้วอ้าปากหัวเราะไม่มีเสียงออกมา ทำเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้มันสะใจ และสำราญใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว มันหัวเราะจนพอใจกับความสะใจของตัวมันเอง แล้วจึงตีหน้านิ่งเพื่อหันกลับมาทางเดิม และเมื่อหันกลับมาทางเดิมเท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย เฮือก...!!

“อะ ลูกพี่เดี่ยว”

“เออ” เด็ดเดี่ยวกระแทกเสียงตอบรับ “ตกลงเรื่องเมื่อคืนมันยังไง”

“กะ ก็...” ไอ้จ๋าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันรู้ว่าเด็ดเดี่ยวคงเดาเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ก็เล่นขำจนน้ำตาเล็ดเสียขนาดนี้ ใครจะไม่รู้ว่าเป็นมันนั่นแหละที่สวมรอยแกล้ง

“พูดให้เข้าหูด้วย”

“โธ่ลูกพี่ ไอ้จ๋าไม่ได้ตั้งใจนี่ครับแค่มันบังเอิญอ่า”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจครับ”

“มานี่ซิเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงไหนเล่ามา” เด็ดเดี่ยวดึงไอ้จ๋าพากันเดินไปข้างพุ่มดอกไม้ต้นเตี้ย เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของต้นกล้า ที่นั่งทำใจอยู่บนแคร่อีกมุมของสวน ส่วนเขาบอกว่าจะไปทำอะไรให้กินเป็นอาหารเช้า แล้วจึงเดินออกมา แต่ก็เจอไอ้จ๋าที่ยืนหัวเราะขำแบบกลั้นเสียงอย่างน่าสงสัย พอปะติดปะต่อเรื่องได้จึงตัดสินใจเดินเข้ามาถามมัน

แล้วไอ้จ๋าก็เล่าเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เด็ดเดี่ยวฟังด้วยสีหน้าขำปนสะใจ เอาจริง ๆ แล้วมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลยสักนิด ไม่มีเลยแม้สักนิดเดียวจริง จริ๊ง

เมื่อคืนมันก็คิดเพียงแค่ว่าไม่เห็นลูกพี่ต้นกล้ากลับมาบ้านสักที และด้วยความเป็นห่วง ด้วยรู้ว่าลูกพี่นั้นกลัวผีเป็นทุนเดิม มันรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากล้อเลียน เพราะศักดิ์ศรีของคนเป็นลูกพี่นั้นยิ่งใหญ่นัก แม้ว่าจะมากับลูกพี่เดี่ยวอีกคน แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คิดว่าแค่เดินมาดูสักหน่อยคงไม่เป็นไร แต่....แต่อะไรคือพอเดินเข้ามาถึงสวนมะม่วงใบหนา แล้วหูก็ได้ยินเสียงลูกพี่กล้าร้องดังมาแว่วมาแต่ไกล ไอ้จ๋าหยุดฟังเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเสียงของลูกพี่จริง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปไหน ร่างของคนเป็นลูกพี่ก็ล้มคะมำลงตรงหน้ามัน และมันเห็นลูกพี่ทำท่าจะลุกขึ้นแล้วแต่ก็ไม่ลุก และมันไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่กล้า ถึงได้เอาแต่จ้องมองเพียงแค่เท้าของมัน ที่สวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำแลดูมอมแมมเท่านั้น แม้จะเป็นคืนเดือนมืดและต้นกล้าก้มหน้ามองต่ำ ไอ้จ๋าก็ยังเห็นสีหน้าของลูกพี่ได้เป็นอย่างดี ว่ามันซีดเผือดราวกับเลือดในกายหายไปทุกหยด ไอ้จ๋าตกใจปนงง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหรือส่งเสียงทัก ก็ได้ยินเสียงลูกพี่เดี่ยวร้องเรียกมาจากหน้าเรือน พอหันกลับมาอีกที ลูกพี่กล้าก็ใส่เกียร์หมาวิ่งออกไปแล้ว โดยไม่มองหน้าหล่อ ๆ ของไอ้จ๋าเลยสักนิด นี่มันต้องงอนด้วยซ้ำเหอะ

ไอ้จ๋าเล่าจบก็ถอนหายออกมาด้วยความเห็นใจตัวเอง และเห็นใจลูกพี่ต้นกล้าของมันด้วย ในแบบเสแสร้งเป็นที่สุดเท่าที่เด็ดเดี่ยวเคยเห็นมา แต่สิ่งที่ทำให้ไอ้หมาหน้าดำต้องสะดุ้งจนตัวโหย่งเลือดในกายเย็นเฉียบ หัวใจหรือก็แทบหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มก็เมื่อ....

“ไอ้จ๋า “เฮือก! “ตายซะเถอะแก อ๊าก”

“เฮ้ยลูกพี่ครับ อุบ” ตุบ “อ๊ากอยู่ไม่ได้แล้วโวย” ไอ้จ๋าโกยแนบด้วยเกียร์หมายกกำลังสิบ เมื่อมันโดนจับได้คาหนังคาเขาหลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกพี่เดี่ยวฟัง โดยไม่รู้ว่าลูกพี่อีกคนเดินมายืนฟังด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งมันเล่าจบก็อย่างที่เห็น ลูกพี่กล้าเรียกมันเสียงเหี้ยมดุ แล้วกระโดดถีบขาคู่จนไอ้จ๋าเซถอยหงายหลังขาชี้ฟ้าไม่น่ามอง มันพยุงตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล และพอตั้งตัวได้ก็วิ่งหัวเราะเสียงดังออกไปจากตรงนั้น หายเข้าสวนมะม่วงเขตอันตรายโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

“ฮึ่ย อย่าอยู่เลยแก” โดยมีต้นกล้าวิ่งตามแตะมันได้อีกครั้งหนึ่งก่อนจะต้องหยุดหอบหายใจ เพราะเหนื่อยจากการใช้พลังงานที่มากเกิน

“ต้นกล้าใจเย็น ๆ “

“เย็นได้ยังไงก็ดูมันทำสิจะบอกจะเรียกกันสักนิดนี่ไม่มีเลย”

“มันก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ตั้งใจ พอจะเรียกก็ไม่ทันแล้ว”

“แล้วเมื่อกี้ที่เราถามทำไมมันบอกไม่ใช่มันล่ะ ทั้งที่เราจำอีแตะรองเท้าของมันได้ จำเท้าใหญ่ ๆ อัปลักษณ์ของมันได้ด้วยอะ”

“มันแค่แกล้งเรากกลับที่แกล้งมันไว้เมื่อวาน”

“แรงไปปะแค่แกล้งเหรอ ถ้าเราหัวโกร๋นผมร่วงหมดหัวใครจะรับผิดชอบ”

“พี่ไงพี่รับได้หมดล่ะต้นกล้าจะเป็นยังไง”

“จริงนะรับได้หมดเลยนะ เฮ้ย พูดเรื่องอะไรเนี่ย วู้บ้าบอที่สุด ไปเลยไปทำกับข้าวเลยเราหิวแล้วเนี่ย”

“แล้วจะกินอะไรล่ะ ปะไปทำด้วยกัน”

“อะไรก็ได้ง่าย ๆ เร็ว ๆ หิว ๆ เราหิว” พอได้รู้ว่าไม่ใช่ผีอย่างที่คิด ต้นกล้าก็กลับมาเริงร่าเป็นปลากระดี่ได้น้ำเหมือนเดิม ความหิวตีมวนขึ้นมาในท้องและนึกอยากจะกินมันเดี๋ยวนี้ แต่ติดที่อีกคนยังไม่ทำอะไรไว้เลยเพราะมัวคุยกับไอ้จ๋า ซึ่งต้นกล้าก็ไม่บ่นหรอกนะ เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเท้าของมันนั่นล่ะ หาใช่ผีมาจากที่ใดไม่ ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้คือโล่ง มันโล่งมาก โล่งที่สุด โล่งยิ่งกว่าหายจากอาการท้องผูก โล่ง โปร่ง เบา สบาย หายห่วง

สองหนุ่ม ต่างความสูง ต่างความหล่อ ต่างความหนาของร่างกาย และต่างกันในอีกหลาย ๆ อย่าง แต่กลับได้มาอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ตอนนี้เขาทั้งสองคนกำลังช่วยกันทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างที่หนุ่มตัวเล็กกว่าร้องขอ อันได้แก่ข้าวไข่เจียวที่...

“เฮ้ย ไหม้ ๆ ทำไงดีอะตรงนี้ยังไม่สุกทำไมตรงนี้มันไหม้แล้ว ว้า เอาออก ๆ เอามันออกมาก่อน”

“ก็เล่นไฟแรงซะขนาดนี้ แล้วตีไข่กี่ฟองใส่ชะอมไปกี่กำทำไมมันเยอะอย่างนี้”

“ไม่เยอะหรอกแค่สิบฟองกับชะอมกำหนึ่งเอง”

“ห๊า ไข่สิบฟองนี่นะไม่เยอะ”

“ก็เราหิวนี่”

“ก็ใช่ แต่เขาเทใส่กระทะทอดทีละน้อย ไม่ใช่ทอดทีเดียวทั้งหมดแบบนี้ มันหนาเกินแล้วจะสุกพร้อมกันได้ยังไง”

“เราพึ่งหัดทำนะได้ข่าว”

“เฮ้อ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจคนข้าง ๆ ที่ยืนมองตาแป๋ว เขาส่ายหน้าเหมือนรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยกับการแถสด ๆ ของหลานชายคนโปรดคุณยายประไพศรี แต่ก็เท่านั้นแหละ เขาทำได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ เพราะแม้จะทำหน้าเหนื่อยแต่สุดท้ายก็เอาใจต้นกล้าอยู่ดี

“อย่าทำสีหน้าอย่างนี้สิ ครูที่ดีต้องอดทนนะรู้ปะ”

“แบบนี้พี่ก็ดีไม่ไหวหรอกนะต้องลงโทษ” หาเรื่อง

“ห๊า เจียวไข่ไม่สุกแค่นี้ต้องลงโทษด้วยหรือไง”

“ลงโทษสิจะได้จำไว้”

“แล้วจะลงโทษเรายังไง”

“มาให้พี่จูบเดี๋ยวนี้ซะดี ๆ ” นั่นไงหาเรื่องยกผลประโยชน์ให้ตัวเองชัด ๆ

“ฝันไปเถอะ ทำเองเลยเราไม่เรียนแล้วไอ้ทำกับข้าวเนี่ย”

นอกจากไข่เจียวแล้วก็ยังมี...

“แกงจืดได้ที่แล้วไปชิมซิว่ารสพอดีหรือยัง ถ้าพอดีแล้วยกลง” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วหันไปสนใจกับการตำน้ำพริกกะปิ ไว้กินกับผักเคียงและไข่เจียวชะอม ที่บังเอิญเหลือเกินว่าเป็นของโปรดของทั้งสองคน ต่างคนก็ต่างพึ่งรู้และนี่เองคือเหตุผลที่ทำให้ต้นกล้าเจียวไข่เสียเต็มกระทะ เพราะกลัวแย่งกันกินแล้วจะไม่อิ่ม

“ได้” ต้นกล้ารับคำสั่ง หยิบช้อนชิมมาตักน้ำแกงจืดขึ้นเป่าไล่ความร้อนก่อนชิมรส แต่ดูเหมือนรสชาติจะยังไม่ถูกใจจึงมองหาอะไรบางอย่าง ที่จะมาเติมความอร่อยซึ่งนั่นก็คือน้ำปลา “อยู่ไหนหว่า” ต้นกล้าพึมพำเบา ๆ แต่ก็ไม่เห็นมีขวดน้ำปลาอยู่แถวนั้น นอกจากกระปุกเกลือ

“ใส่สักนิดก็แล้วกัน” แต่พอเปิดผากระปุกเกลือตะแคงดูเท่านั้นแหละ จ๋อม! “ตายห่า” ! ตนกล้าอุทานเบา ๆ อย่างลืมตัว เมื่อเกลือก้อนใหญ่กลิ่งหล่นลงไปในหม้อที่กำลังเดือด แล้วละลายหายไปทันที คนหัวแดงหันซ้ายหันขวารีบวางกระปุกเกลือลงที่เดิม ราวกับมันเป็นของร้อนของต้องห้าม

“เป็นอะไร”

“ปะ เปล่าครับ”

“หืม พูดครับกับพี่ก็เป็นด้วย”

“กะ ก็ไม่มีอะไร แค่..แค่อยากพูดบ้างบางครั้ง เอ่อ ครับ” บอกแล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนไม่ยิ้ม แต่เป็นเพียงการแยกริมฝีปากออกมาให้เห็นฟันเรียงซี่สวย

“แล้วไปพูดบ่อย ๆ ก็ดีพี่ชอบ”

“ฝันกลางวัน”

“หึ ๆ แหวะ อะไรกันเนี่ย” เด็ดเดี่ยวแทบคายน้ำแกงจืดที่ตักชิมออกมาไม่ทัน เมื่อเดินมาเห็นต้นกล้าทำท่าลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิด แต่ก็ไม่ได้สนใจ ถามแล้วพออีกคนบอกไม่มีอะไร เขาก็หันไปตักแกงจืดขึ้นมาชิมและพบว่า..

“ทำไมมันเค็มปี๋อย่างนี้” ต้นกล้าก้มหน้าช้อนตาสวยขึ้นมองคนตัวโต อย่างไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ กับความผิดพลาดของตัวเอง

“เราไม่ได้ตั้งใจ” ไอ้หัวแดงจอมรั้นคนเดิมหายไปแล้ว เหลือแต่หนุ่มหน้าจืดอดีตคนหล่อเกาหลี ที่ยืนตัวลีบบอกเสียงอ่อยรอรับความผิด แต่คนตัวโตยังจ้องหน้าดุเหมือนจะงับหัวเอาให้ได้ ต้นกล้าจึงจำต้องคายเรื่องทั้งหมดออกมา “ตอนแรกเราว่ามันไม่พอดีมองหาน้ำปลา แต่ไม่เห็นเลยหยิบเกลือจะเอามาใส่นิดหน่อย”

“นี่คือนิดหน่อยแล้วใช่มั้ย” เด็ดเดี่ยวยังคงความนิ่งของใบหน้าและน้ำเสียงที่ดุ เมื่อเขาพยักพเยิดใบหน้าคร้ามแดดไปทางหม้อแกงจืด ที่แปรสภาพเป็นแกงเค็มประกอบคำถาม ซึ่งต้นกล้าก็พยักหน้ารับด้วยแววตาที่ดูไร้เดียงสาน่าสงสาร “นิดหน่อยทำไมมันถึงได้เค็มขนาดนี้”

“เราใส่นิดหน่อยจริง ๆ ส่วนที่ทำให้เค็มคือมันตกลงไปเองเป็นก้อน”

“ปัดโธ่แล้วจะกินยังไง”

“เราว่ามันคงเค็มนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกินก็ได้เนอะว่ามั้ย” เด็ดเดี่ยวอยากบอกเหลือเกินว่า เค็มนิดหน่อยกับผีนะสิ แต่ก็ยั้งปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน ตอนนี้คนหัวแดงใบหน้าลดลงเหลือแค่สองนิ้วอย่างรู้สึกผิดจนน่าสงสาร ไอ้หัวแดงจอมรั้นคนนั้นหายไปไม่เหลือเค้าคนเดิมที่เขารู้จักเลย

“ไม่ต้องมาเนอะ แบบนี้เขาเรียกว่าเค็มมาก”

“เหรอ มากเลยเหรอ แต่เราเห็นแล้วก็ยังไม่กล้าชิมเลยเนอะ” ต้นกล้ายิ้มแหยให้เมื่อถูกมองอย่างคาดโทษ และร่างของคนตัวโตก็ย่างสามขุมเขามาหาเรื่อย ๆ ทำให้ต้องถอยตามสัญชาตญาณ ตาสวยจับอยู่ที่ใบหน้าดุแล้วส่งยิ้มหวาน ๆ ที่คิดว่าหวานที่สุดและหล่อที่สุดไปให้ แต่มันก็ไม่สามารถละลายความเครียดตึงขึงขังเอาจริงเอาจัง ที่อยู่บนใบหน้าคมของอีกฝ่ายให้หายไปได้เลย

“พี่บอกว่ายังไง”

“บอกเหรอ บอกอะไร”

“บอกว่าถ้าทำผิดต้องถูกลงโทษไง”

“เราไม่ได้ตั้งใจถือว่าไม่ผิด”

“ตั้งใจไม่ตั้งใจสรุปก็ผิดทั้งนั้น หยุด “

“เด็ดเดี่ยว อย่าทำบ้า ๆ “

“ถ้าไม่ได้ทำพี่ยิ่งจะบ้า”

“อย่าเข้ามานะ”

“หึ ๆ “

“บอกว่าอย่าเข้ามา ไม่งั้น”

“ไม่งั้นอะไร”

“ไม่งั้นเราถีบจริง ๆ “

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวย่างสามขุมเข้าหาต้นกล้าอย่างใจเย็น เหมือนอีกคนเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะกำลังเป็นทีของเขา ที่ต้นกล้ายอมรับผิดอย่างจำนน ถึงจะไม่ยอมถูกลงโทษ แต่ก็ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะปฏิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นัก

“อย่าเข้ามาไม่งั้นโดนแน่” ต้นกล้ายกเท้าขึ้นในท่าเตรียมพร้อม แต่พอเห็นท่าทางของคนตัวโตไม่มีความยำเกรง ต่อบาทาของเขาจึงลดเท้าลง มือคลำสะเปะสะปะไปคว้าได้บางอย่าง ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องปรุงข้างตัวมาเป็นอาวุธป้องกัน บางอย่างที่ขนาดเหมาะมือรูปทรงเหมือนกระปุกมีฝาปิด แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครสนใจ ว่าอะไรคือสิ่งที่อยู่ในมือของต้นกล้า เด็ดเดี่ยวจ้องหน้าหล่อใสจะเอาเรื่อง ส่วนต้นกล้าก็จ้องหน้าดุที่ความคม และความคล้ำจากการทำงานกลางแจ้ง ยิ่งส่งให้ใบหน้าเข้ม ๆ ดูดุยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“หึ ๆ โดนอะไรจะทำร้ายพี่เหรอ “

“แน่นอน”

“หึ ๆ “

“หยุดหึ ๆ เราเอาจริง” เด็ดเดี่ยวไม่ฟังคำเตือนเดินเข้าหาร่างโปร่งอย่างย่ามใจ คนถอยก็ถอยไปจนหลังชนกำแพงห้องครัวและจนตรอก แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะโรคจิตดังมาอีกครั้งเท่านั้นแหละ

“หึ ๆ “

“อย่าเข้ามานะ” วืด ตุบ...!

“โอ๊ย” เคร้ง! ของที่อยู่ในมือของต้นกล้าถูกขว้างออกไปไม่เบาแรง และกระทบเข้ากับอกหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของอีกคน และด้วยแรงที่มากพอสมควรนั้น ทำให้ฝาของกระปุกที่ดูเหมือนจะถูกปิดครอบเอาไว้ลวก ๆ กระเด็นออก ส่งผลให้สิ่งที่อยู่ภายในสาดกระจายกระซ่านกระเซ็นไปทั่ว โดยเฉพาะอกแกร่งน่าซบนั่นที่รับเอาของเหลว และตัวปลาที่ออกมาจากกระปุกเข้าเต็ม ๆ ต้นกล้าอึ้งกับการกระทำของตัวเอง ยืนมองอย่างสยดสยองเพราะมันคือ..

ต่ออีกอันจ้า ท้ายตอน....ลงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 22:07:16
“แหวะปลาร้า ทำไมมันเหม็นอย่างนี้” เมื่อขว้างไปแล้วและได้กลิ่นนั่นแหละ ต้นกล้าจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองหยิบมาใช้เป็นอาวุธ คือกระปุกปลาร้ารสโอชาของแม่แจ่มใจ!

ต้นกล้าอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอกันกับเด็ดเดี่ยวยืนอึ้งกับสภาพของตัวเอง ที่เละอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีอะไรทำให้เขาขาดความมั่นใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ก้มหน้าลงดูสภาพของตัวเองอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองต้นเหตุ ที่ทำให้ร่างบึกบึนมาดแมนถูกชโลมด้วยน้ำปลาร้า สองขาก้าวเขาหาอย่างมุ่งมั่นและหมายมาด

“หึ ๆ มาคลุกกลิ่นหอมรัญจวนนี้ด้วยกันกับพี่ดีกว่า”

“หอมอะไร นี่มันปลาร้าเชียวนะเหม็นจะตายอยู่แล้ว อย่าเข้ามา อย่าเล่นอะไรบ้า ๆ นะเราโกรธจริงด้วย” ต้นกล้าหมดทางที่จะหนีแล้วเพราะหลังชนฝา จึงทำได้แค่ขู่ฟ่อแต่มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด จนกระทั่งร่างที่โชกไปด้วยปลาร้าเข้ามาอยู่ในระยะประชิดยากจะเลี่ยง ถ้าเป็นไปได้ต้นกล้าอยากรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับผนังห้องครัวเสียเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงเท่าที่เขาทำได้ก็คือ ทำให้ตัวเองตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ไม่ใช่ยางที่จะยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่น้ำที่จะซึมซับเข้าสู่สิ่งต่าง ๆ หรือระเหยหายไปได้ เขายังเป็นต้นกล้าหลานชายคุณยายประไพศรี ต้นกล้าคนเดิมที่จะเพิ่มเติมเข้ามาคือปลาร้าและกลิ่นบนตัว จากการแบ่งปันของเด็ดเดี่ยว ที่กำลังจะเอามาให้ แต่เขาไม่เต็มใจรับ ต้นกล้าหดตัวลงให้เล็กที่สุดแล้วหลับตา ทั้งที่ไม่อยากยอมรับชะตากรรม แต่ก็รู้ว่าถึงอย่างไรตัวเองคงไม่มีทางหนีรอดได้อีกแล้ว มุมที่เขาถอยเข้ามาเป็นมุมอับที่ข้างหนึ่งเป็นโต๊ะวางเครื่องปรุง ส่วนอีกข้างก็เป็นผนัง ถึงจะมีช่องหน้าต่างเปิดรับลม แต่เขาออกไปไม่ได้ ส่วนข้างหน้าก็มีร่างโชกปลาร้ายืนจังก้าขวางอยู่

เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดและกลิ่นที่แรงชัดขึ้นมากกว่าเดิม ต้นกล้าจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เขาก็มองไม่เห็นอะไร มองไม่เห็นพื้นที่ในห้องครัว เพราะบางสิ่งบางอย่างบังเอาไว้ บางสิ่งบางอย่างที่กว้างและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำปลาร้าระบุสีไม่ได้ แต่กลิ่นเหม็นรุนแรงระดับสูงสุดที่ต้นกล้าเคยรู้จักมา ซึ่งมันก็คือหน้าอกของคนตัวโต หน้าอกของเด็ดเดี่ยวนั่นเอง

“อย่าเข้ามานะขอร้อง”

“พี่จำเป็นต้องทำโทษต้นกล้า”

“เราไม่ได้ตั้งใจ”

“ตั้งใจไม่ตั้งใจพี่ไม่สน พี่สนแต่ต้องลงโทษต้นกล้าให้หลาบจำ” เด็ดเดี่ยวยิ้มร้ายยื่นใบหน้าที่มีหยดน้ำปลาร้าเกาะอยู่เต็มเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มเอามือข้างหนึ่งยันผนังห้องเอาไว้ แล้วก้มหน้าเข้าไปหาคนที่หลับตาเบี่ยงหน้าหลบ

“ไม่เอา อย่า”

“หึ ๆ “

“อ๊าก”

“ลูกพี่ครับ” !

“ไอ้จ๋า” ต้นกล้าไม่เคยดีใจที่ได้ยินเสียงของไอ้จ๋ามากมายขนาดนี้มาก่อน แม้จะเป็นแค่เสียงแต่เขารู้ว่าตัวมันจะตามในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเขายังไล่แตะมันอยู่เลย แต่ตอนนี้เสียงของไอ้จ๋าเป็นเหมือนเสียงจากสรวงสวรรค์ ที่ต้นกล้าเพรียกหา เสียงที่ทำให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยิน

“ถอย” เด็ดเดี่ยวยอมถอยแต่โดยดี พร้อมเพิ่มข้อหาไอ้จ๋าเอาไว้ในใจ

“ใครทำปลาร้าหกครับทำไมเหม็นตลบอบอวนไปทั่วอย่างนี้” ไอ้จ๋าถามขึ้นพลางเดินเข้ามาหาลูกพี่ทั้งสอง ที่ยื่นส่งสายตาคาดโทษให้กันและกันอย่างหวานซึ้ง? และพอมันเดินมาถึงจึงได้คำตอบของคำถาม โดยที่ยังไม่มีใครได้อ้าปากตอบ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เล่นเอาไอ้จ๋ามองลูกพี่รองของมันตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว

“ครับ ลูกพี่เดี่ยวเล่นอะไรครับเนี่ย”

“..” เด็ดเดี่ยวยืนจังก้าหน้าตึงกับสภาพของตัวเอง ที่ไอ้จ๋ามันกำลังมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ด้วยแววตารังเกียจปนสะใจ ความสะใจที่มันไม่พยายามจะปิดบังเลยสักนิด เป็นความสะใจที่มันปล่อยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุด้วยซ้ำ เด็ดเดี่ยวมองมันตอบด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“เอ้า ๆ มองไอ้จ๋าอย่างกับว่าไอ้จ๋าเป็นคนทำซะอย่างนั้นแหละครับลูกพี่ แต่เกิดอะไรขึ้นก็ช่างเถอะ ไป ๆ ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อน เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้สองคนนี้ คึ ๆ ” ไอ้จ๋าพูดไปก็หัวเราะไป มันน้ำตาเล็ดเพราะหัวเราะขำออกมาแบบไม่ต้องกลั้น แต่ก็ยังมีน้ำใจไล่เด็ดเดี่ยวไปอาบน้ำล้างตัว แล้วจึงหันมาบอกต้นกล้า

“เออ ลูกพี่ครับมีคนมาหา”

“ใคร” ต้นกล้าขมวดคิ้วถาม

“ไม่รู้ครับบอกเพื่อนมาจากกรุงเทพ มากันสามคน”

“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชายทั้งสามคนครับ แต่เพื่อนลูกพี่กล้านะครับไม่น่าจะเกี่ยวกับลูกพี่เดี่ยวเลย” เด็ดเดี่ยวกัดฟันกรอดกับคำย้อนแย้งของไอ้จ๋า ทั้งที่มันก็รู้อยู่ล่ะนะว่าทำไมเด็ดเดี่ยวถึงได้ถามอย่างนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อวันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันดีของไอ้จ๋า แม้ว่าจะโดนถีบโดนไล่เตะ อย่างน้อยก็มีเรื่องให้มันบันเทิงใจและอารมณ์ดีตลอดวันได้ล่ะนะ

“เดี๋ยวฉันออกไปดูเอง”

“เดี๋ยวสิต้นกล้าต้องรับผิดชอบพี่ก่อน”

“รับผิดชอบอะไร”

“ใครโยนกระปุกปลาร้ามาใส่พี่ก็ต้องไปอาบให้พี่สิ”

“โฮ้ว” ไอ้จ๋าส่งเสียงโห่ร้องล้อเลียนออกมาเมื่อได้ยิน ตอนนี้มันได้รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดร่างโชกปลาร้าขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่ามันแค่สะใจที่ได้รู้ว่าเป็นต้นกล้าเอง คือต้นเหตุของกลิ่นปลาร้าที่คลุ้งไปทั่วครัว แต่เพราะคำพูดของเด็ดเดี่ยวที่บอกมานั่นต่างหาก

หวายเค้าจะไปอาบน้ำให้กันด้วยแหละแก ไอ้จ๋ามันนึกขำแล้วส่งสายตาล้อเลียนปนสะใจให้ลูกพี่เดี่ยวอย่างไม่เกรงใจ แม้ความเคารพต่อลูกพี่ทั้งสองจะยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่เรื่องสนุก ๆ แบบนี้ มันก็ไม่ละเว้นที่จะตอกย้ำซ้ำเติมด้วยความขบขัน เมื่อลูกพี่ทั้งสองคนพลาดขึ้นมา

“ไปล่ะ แขกอยู่ไหนวะจ๋า”

“หน้าบ้านครับ รีบล้างเนื้อล้างตัวแล้วออกไปนะครับลูกพี่ คนที่มามีแต่หล่อหน้าตาดีทั้งนั้นเลย” ไอ้จ๋าทิ้งท้ายไว้ให้เด็ดเดี่ยวร้อนรนเพียงเท่านั้น ก็เดินตามลูกพี่ใหญ่ของมันออกไปหน้าบ้านที่ให้แขกนั่งรอ โดยไม่สนใจลูกพี่อันดับรองอย่างเด็ดเดี่ยวเลยแม้หางตา

“ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ” !


********************
หายไปหลายวัน ดาวต้องขออำไพมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มัวยุ่งๆ อยู่กับต้นฉบับเรื่องนี้อยู่ และตอนนี้ กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ก็มาถึงเวลาเปิดพรีแล้วค่ะ ใครสนใจเล่มก็พรีกันได้นะคะ มีข้อสงสัยก็ IB ถามได้ที่เพจค่ะ ส่วน การพรีฯ ที่เล้าแห่งนี้ ดาว ก็อยากทำให้มันถูกต้องตามกฏ ว่าเขาให้ทำอย่างไร คงต้องหาเวลามาศึกษา เงื่อนไขกันก่อน เพราะดาวถือว่ายังใหม่มากสำหรับที่นี่ นี่ลงนิยายเป็น ทำสารบัญเป็น ก็ว่าตัวเองเก่งแล้วค่ะ สารภาพ เลยว่า เคยพยายามจะมาลงนิยายที่นี่นานแล้วเป็นปีได้ แต่ก็ไม่ได้มาลงสักที เพราะทำไม่เป็นค่ะบอกตรงๆ เลย  พอได้ลงก็ลง มันสองเรื่องเลย พอพูดถึงแล้ว ดาวก็ขอฝากนอยายอีกเรื่อง กับนักอ่านด้วยนะคะ อ่านเรื่องกดเลยค่ะ เกมรักซิงบัลลังก์หัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906164#msg3906164)
บรรยากาศแนวพีเรียด ในยุคอัศวิน ประมาณยุคกลาง ก็จะอัพไปพร้อมๆ กัน เพราะเขียนจบแล้ว ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-12-2018 21:34:06
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 09-12-2018 05:30:26
ทำไมแลดูรำคาญจ๋านะตอนนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว100% ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-12-2018 10:27:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้จ๋านี่มันมาได้จังหวะเหมาะทุกทีเลยนะ  เอ้ย...ไม่สิ  มันเลือกจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะโผล่หัวออกมามากกว่า 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า 50% 9/12/61 ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-12-2018 21:49:13



๑๖. ความสุขของไอ้จ๋า
“พวกมึงมาได้ไงวะเนี่ย ไอ้สิบ ไอ้ยุ” ต้นกล้ายิ้มตาแทบปิดเพราะความดีใจ ที่เห็นเพื่อนทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้าน
“ไอ้กล้าคล้ำลงเยอะเลยว่ะ เป็นชาวไร่ชาวนาเต็มตัวแล้วสิมึง” ปั้นสิบหนุ่มหน้าสวยปากไวนิสัยห้าว หันมาเห็นต้นกล้าก่อนจึงเดินเข้ามากอดคอทักทายแกมหยอก ตามด้วยพายุเพื่อนตัวสูง
“ไอ้ยุเป็นไงวะทำงานแล้วไม่ใช่หรือเหรอ มึงหนีงานมาใช่ไหม” ต้นกล้าผละออกจากปั้นสิบแล้วหันมาทักพายุ
“ทำงานห่าอะไรมันลาออกแล้ว เกือบโดนไล่ออกด้วยซ้ำที่ไปมีเรื่องกับเขาน่ะ” ปั้นสิบตอบแทนพายุเพราะปากไวกว่า ต้นกล้าได้แต่ร้องอ้าวอย่างเสียดาย 
“เออ ๆ ช่างมันเถอะยังไงกูก็ออกแล้ว ตอนนี้กูมาพักผ่อนไอ้สิบมึงอย่าเอาเรื่องปวดหัวมาพูด” พายุว่า
“เออว่าแต่ไอ้บูมล่ะ เห็นไอ้จ๋าบอกมากันสามคนไอ้บูมไปไหน” ต้นกล้าถามหาเพื่อนอีกคน
“ไอ้บูมไม่ได้มาว่ะ มันกลับไปอยู่บ้านดูแลแม่ที่เชียงรายแล้ว ว่าแต่ไอ้จ๋านี่ใครหว่า” ปั้นสิบถามกลับสีหน้างง
“แล้วใครพาพวกมึงมาที่นี่”
“ก็เหมารถสองแถวจากอำเภอมาส่ง ตามที่อยู่ที่มึงเช็กอินไง เข้าหมู่บ้านก็ถามทางมาเรื่อยจนถึงนี่ เจอเด็กผู้ชายหัวเกรียนคนหนึ่งอยู่หน้าบ้าน พอบอกว่าเป็นเพื่อนมึงมาจากกรุงเทพ น้องเขาก็เลยพาเข้ามานี่แหละ” พายุตอบ
“อ๋อ นั่นล่ะไอ้จ๋า ว่าแต่อีกคนล่ะมันบอกพวกมึงมากันสามคนนิ”
“คือ...” กลุ่มเพื่อนสนิทของต้นกล้าจะมีกันอยู่สี่คนคือ ต้นกล้าเจ้าของเส้นผมสีแดง พายุทำผมสีเขียว ปั้นสิบสีทอง และบูมเจ้าของเส้นผมสีม่วง กลุ่มสี่หนุ่มหัวสี่สีถูกเรียก หนุ่มจอมหยิ่งเพราะท่าทางเชิด ๆ หยิ่ง ๆ มั่นหน้าไม่สนใจใคร
“คืออะไรวะ”
“กล้า” เจ้าของชื่อชะงักไม่คิดว่าจะได้เจอคนคนนี้อีก วันสุดท้ายที่เจอคือวันที่เขาบอกว่าไม่ได้ชอบต้นกล้า เสียงนั้นยังดังก้องขึ้นมาในหูอยู่ตลอดนับจากนั้น เพิ่งจะมาหายไปตอน..ตอนที่..อืม ที่มีคนตัวโต ๆ หน้ามึน ๆ เข้ามาในชีวิตนี่เอง
 “เราชอบกล้านะ..แต่เราไม่ได้คิดที่จะคบจริงจังกับผู้ชายด้วยกันขนาดนั้น”
“นนท์” ต้นกล้าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว เพราะที่ผ่านมาก็แค่ชอบหรืออาจจะแค่ถูกใจ ไม่ได้ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น อาจจะมีเสียความรู้สึกอยู่บ้าง ที่คนคนนี้เข้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกกัน
“กล้าสบายดีไหม ขอโทษที่มาไม่ได้บอก”
“ไม่เป็นไร แล้วนึกยังไงถึงมากันวะ” ต้นกล้าหันไปหาเพื่อนตัวเองไม่สนใจนนท์
ปั้นสิบว่า “เซอร์ไพรส์ไง กูอยากมาดูน้ำหน้าชาวนาอย่างมึง เห็นอัปรูปในเฟชรัว ๆ อัปไอจีเป็นว่าเล่น นึกว่าจะไม่รอดเสียอีก ไหงมึงอยู่ได้ตั้งหลายเดือนวะ”
“เรื่องของกูเหอะ ขึ้นบ้านก่อนไหม”
“เออ แต่พวกกูกะมาอยู่กับมึงสักพักนะเว้ย”
“ได้สิไม่มีปัญหาหรอก ไปขึ้นบ้านก่อน”
“เด็กผู้ชายอย่างนั้นเหรอ หน็อยไอ้หัวเขียวไอ้แมลงวัน! ” ไอ้จ๋ากัดฟันกรอดนึกถึงคำที่เพื่อนลูกพี่ที่เรียกมัน ทั้งที่ตัวมันเองใช้คำว่านายนำหน้าชื่อมาหลายปีแล้ว เรียนก็ใกล้จบปริญญาแล้วด้วย มันเลยคำว่าเด็กผู้ชายมานานแล้วโว้ย มาเรียกแบบนี้มันหยามกันชัด ๆ มือกร้านงานที่ถือถาดใส่เหยือกน้ำเย็นกำแน่นอย่างหงุดหงิด ร่ำ ๆ จะเอาเข้าไปเก็บในครัวอยู่แล้ว ไม่ต้องกงต้องกินมันล่ะ นี่เห็นแก่หน้าลูกพี่หรอกนะ ไอ้จ๋าเลยจำใจยกน้ำขึ้นไปต้อนรับแขก
“ใครมาวะ” เด็ดเดี่ยวถามพลางเดินเข้ามาหา หลังล้างหน้าล้างคราบปลาร้าตามตัวออกไปบ้างแล้ว เสื้อที่ใส่เมื่อเช้าถูกถอดทิ้ง จึงได้โชว์แผงอกอวดมัดกล้าม กับหน้าท้องแน่นเป็นลอน แต่กลิ่นนั้นยังคงติดตัวเหมือนเดิมจนไอ้จ๋าเบ้หน้า
“ก็เพื่อนลูกพี่กล้าอย่างที่ไอ้จ๋าบอกนั่นแหละครับ ว่าแต่เมื่อไหร่ลูกพี่จะไปอาบน้ำอาบท่าครับเนี่ย จะเหม็นอยู่อย่างนี้ทั้งวันหรือไง”
“อือเดี๋ยวกลับไปอาบที่บ้าน วันนี้มีสอนตอนสิบโมงไปด้วยกันไหม” เด็ดเดี่ยวชวน เพราะเห็นว่าไอ้จ๋าอยู่ในชุดนักศึกษาเตรียมตัวไปเรียนเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวไอ้จ๋าขับอีกแก่ไปเองครับ ลูกพี่ควรจะกลับบ้านได้แล้วม้าง มาตั้งแต่เมื่อคืนนะได้ข่าว” เด็ดเดี่ยวถลึงตาใส่มัน “ครับ ๆ ว่าแต่กลับตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ”
“เออ”
“งั้นก็ไปสิครับลูกพี่” เด็ดเดี่ยวทำท่าจะเดินออกไป พอดีกับที่ไอ้จ๋ามันจะก้าวขาขึ้นบันไดเรือน คนเป็นลูกพี่เหมือนพึ่งนึกอะไรได้จึงหันกลับมา
“เออจ๋า” ไอ้จ๋าหันกลับมาขมวดคิ้วมองสีหน้าสงสัย เด็ดเดี่ยวเดินเข้ามากระซิบ “เฝ้าไว้นะ”
“เฝ้าอะไรครับ”
“เฝ้าลูกพี่ของแกไง”
ไอ้จ๋าตีหน้าซื่ออย่างที่ชอบทำ “เฝ้าทำไมครับ กลัวลูกพี่กล้าหายหรือไง”
“ไม่ใช่โว้ย! เฝ้าดูไว้เฉย ๆ อย่าให้ลูกพี่ของแกทำอะไรนอกลูกนอกทาง”
“อะไรคือนอกลู่นอกทางล่ะครับ” มันเกาหัวแกรก เด็ดเดี่ยวรู้ว่ามันแกล้งไม่เข้าใจ
“เออน่าดูไว้” บอกแล้วชะเง้อคอยื่นหน้าขึ้นไปบนเรือน ไอ้จ๋าชะเง้อตามแบมือออกมาข้างหน้า กระดิกนิ้วยิก ๆ สายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว “อะไร”
“ค่าเหนื่อยไอ้จ๋าไงครับลูกพี่ โอ๊ย” !
“แค่นี้ทำเป็นงก” เด็ดเดี่ยวโบกหัวไอ้จ๋าไปหนึ่งทีกัดฟันว่ามัน “ดูไปเถอะ”
“เอ นะวิชานั้น” มันต่อรอง อาจารย์หนุ่มถึงกับตีหน้าเข้ม เหมือนกำลังบอกว่ามากไป “ใครน้าทิ้งไอ้จ๋าไว้ตลาดเมื่อวาน”
“เออ ๆ ขอโทษก็แล้วกันแต่ฉันไม่ได้เป็นคนต้นคิดนะเว้ย ลูกพี่ใหญ่ของแกโน่นบังคับให้ฉันให้ขับรถออกมาก่อน”
“แล้วลูกพี่ก็ทำตามสินะ แหมดีจริง ๆ ท่าทางเชื่อง เฮ้ย ๆ อย่าเชียวนะครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋ามึนแล้วตาพร่าดูใครไม่ได้นา“
“ทำคะแนนอยู่ใครจะไม่ตามใจวะ อย่าลืมก็แล้วกันดูไว้ เออเกือบลืมเลย” ไอ้จ๋าชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดอีกครั้ง มันหันกลับมาทำสีหน้ารำคาญแทนคำถาม “อาหารเช้าเตรียมไว้แล้วนะ ฝีมือลูกพี่ใหญ่ของแกนั่นแหละ ฉันจัดไว้ให้แล้วยกขึ้นไปให้แขกเลยทั้งถาด ไม่ต้องเปิดฝาชีล่ะ”
“ทำไมล่ะครับลูกพี่”
“น่า..ทำตามที่บอกเถอะ ถามมากให้มันรู้หน่อยว่าใครเป็นลูกพี่ บอกอะไรก็ทำไป”
“รับแซบครับ” ไอ้จ๋ายืนตัวตรงรับคำสั่ง หากไม่ติดว่าถือถาดน้ำดื่มอยู่ มันคงยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะให้ลูกพี่ไปแล้ว
ต้นกล้าแนะนำเพื่อนให้รู้จักกับลูกน้องคนสนิท จากนั้นไอ้จ๋ารีบกลับลงมายกอาหารเช้า เห็นถาดครอบด้วยฝาชีไว้อย่างดี จึงรีบยกขึ้นไปให้ไม่คิดเปิดดูด้วยซ้ำ วางถาดอาหารลงตรงหน้าลูกพี่ ยิ้มกริ่มพอใจในความว่องไวของตัวเอง จัดการตักข้าวใส่จานให้ทุกคนจนครบแล้วจึงปลีกตัว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาลงบันได เสียงลูกพี่ใหญ่ก็ดังลั่นบ้านแทบแตก!
“อ๊าก อะไรวะเนี่ย ไอ้จ๋า ๆ “
“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋ารีบวิ่งหน้าตั้งกลับมาให้ทันใจลูกพี่ “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ทำไมเอาไข่เจียวบ้า ๆ นี่ขึ้นมาวะ”
“อ้าว! ก็ลูกพี่เดี่ยวบอกว่าลูกพี่อยากกินอาหารฝีมือตัวเอง เลยจัดไว้ให้ครับ ไอ้จ๋าไม่ทันได้ดูว่ามันคืออะไร แหะ ๆ ” ไอ้จ๋ายิ้มหน้าตายยกมือเกาท้ายทอยแกรก ๆ ขอลุแก่โทษ ตาเหลือบมองอาหารที่มันเห็นแล้วยังไม่กล้ากิน
“แกมาดูสิแบบนี้ใครจะไปกินลงวะ! ” ต้นกล้าเบ้ปากให้จานไข่เจียว จนใบหน้าหล่อเกาหลีเหยเก ท่าทางไว้อาลัยให้อาหารในถาดฝีมือของตัวเอง ส่วนเพื่อนอีกสามคนชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยสีหน้าที่รับไม่ได้พอกัน
“ไหนครับ เฮ้ย! นี่อะไรวะ..ฮ่า ๆ ” ไอ้จ๋าแสร้งร้องตกใจเมื่อเห็นไข่เจียวสุก ๆ ดิบ ๆ มีสีเขียวของชะอมปนมากับส่วนที่ไหม้จนดำเกรียม และน้ำมันที่ใส่เยอะจนเยิ้ม
“เออ กินได้ไหมล่ะ”
“แล้วทำไมลูกพี่เดี่ยวเอาไข่ขี้เหร่แบบนี้มาให้ลูกพี่ล่ะครับเนี่ย เฮ้อไม่ไหวเลย ไหนว่าทำคะแนนวะ” ไอ้จ๋าส่ายหัวไว้อาลัยให้เด็ดเดี่ยว ที่ทำแบบนี้แล้วต้องเสียคะแนนนิยมจากต้นกล้าแน่ ๆ
“ลูกพี่เดี่ยวนี่มันใครอีกล่ะวะ ทำไมต้องทำคะแนน” ปั้นสิบนึกสงสัย ที่ได้ยินไอ้จ๋าพูดถึงใครอีกคน ต้นกล้าส่งสายตาคาดโทษที่มันเผลอพูดอะไรบ้า ๆ แบบนั้นให้คนอื่นได้ยิน ทำคะแนนอะไรของมันวะ!
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ต้นกล้ากัดฟันกรอดจนทุกคนได้ยิน รู้ว่าเด็ดเดี่ยวตั้งใจแกล้งเอาไข่ไม่สมประกอบฝีมือของเขาเอง มาให้ขายหน้าเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องรับหน้าเพื่อนที่มีท่าทางสงสัยอะไรบางอย่างไปก่อน
“แหวะฝีมือมึงจริง ๆ เหรอวะไอ้กล้า อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยว่ะ แต่ทิ้งไปเถอะ แล้วทีหลังไม่ต้องเข้าครัวเลยมึงเสียของหมด” ปั้นสิบบอก
“เออ ๆ กูทำเองแหละ ก็เพิ่งหัดทำไหมวะจะเอาอะไรนักหนา”
“ผีที่ไหนเข้าสิงมึง”
“ไอ้ยุอย่าพูดพล่อย ๆ ผีที่ไหนไม่มีหรอก” พอถูกถามว่าผีที่ไหนเข้าสิง คนกลัวผีย่อมต้องขนลุกเป็นธรรมดา เลยได้แต่กลบเกลื่อนและปลอบตัวเอง ว่าไม่มีผีที่ไหนอย่างที่คิด นอกจากผีบ้าหน้ามึนต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้าครัวทำอาหารอย่างเด็ดเดี่ยว
“เออ กูมุกไงแล้วนึกยังไงทำกับข้าววะ อยากมีเสน่ห์ปลายจวักติดตัวเหรอ”
“ปลายจวักป้ามึงสิ กูแค่ลองหัดทำไว้กินเองเหอะ..ไอ้จ๋า”
“ครับ ๆ รู้แล้วครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปทำมาให้ใหม่รอไม่นานครับลูกพี่” คล้อยหลังไอ้จ๋าไปแล้ว ทั้งปั้นสิบ พายุ และนนท์ต่างก็หันมามองต้นกล้าเป็นตาเดียว
“เล่ามาลูกพี่เดี่ยวนี่คือใครวะ” ท่าทางปั้นสิบคาดคั้นอยากรู้อยากเห็นเต็มแก่
“นั่นสิ” พายุเห็นด้วย
“เออ ๆ คนแถวนี้ล่ะ พวกมึงจะถามอะไรนักหนาวะ” ต้นกล้าบอกปัด
“กูว่าเรื่องนี้มีมูล” ปั้นสิบก้มไปกระซิบกับพายุ ด้วยเสียงที่ทุกคนสามารถได้ยินกันถ้วนหน้า  แล้วมันจะทำเป็นกระซิบทำไม ต้นกล้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ
“มีการทำคะแนนด้วย กูได้ยิน” พายุก็รับมุกด้วยการกระซิบกลับ “มีมูลความจริง พอพูดถึงเขามึงสังเกตดูตามันนะปิ๊ง ๆ เลย”
“โอ๊ย! ไอ้กล้า! ” ปั้นสิบกับพายุร้องขึ้นพร้อมกัน เพราะโดนต้นกล้าจับหัวที่กำลังก้มซุบซิบโขกใส่กันจนเสียงดัง
“เจ็บนะเว้ยมึงเห็นดาวเลยไอ้ห่านี่”
“เออ ก็กูทำให้เจ็บ นี่พวกมึงกำลังนินทากูในระยะเผาขนอยู่นะรู้ตัวปะ”
“ก็เออ มึงจะได้ได้ยินด้วยไงกูขี้เกียจพูดหลายรอบ” ปั้นสิบบอก
“แล้วมึงจะก้มไปทำท่ากระซิบกระซาบกันให้มันลำบากทำไมไม่ทราบ”
“เออ ๆ ไม่กระซิบแล้ว ว่าแต่ตกลงเขาคนนี้คือใครวะ” พายุแกล้งถามกลับ ปั้นสิบหูผึ่งรอฟังเต็มที่
“พวกมึงจะอะไรกะเขานักหนาวะ หน้าตากันก็ยังไม่เคยเห็น”
“กูสงสัย” พายุขมวดคิ้วใช้ความคิด นั่นทำให้ต้นกล้าชักนั่งไม่ติด เพราะเป็นที่รู้กันว่าพายุไม่ชอบพูดมาก แต่มักจะเดาอะไร จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รู้มาได้ถูกต้องเสมอ
“สงสัยห่าอะไรของมึงนักหนา” ต้นกล้าชักเริ่มพาลที่เพื่อนไม่ยอมจบ
“กล้าแกล้งกันแบบนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ “ พายุสันนิษฐาน
“ไม่ธรรมดายังไงวะ” ปั้นสิบแกล้งถามกลับหน้าซื่อ
“ไม่ธรรมดาก็พิเศษไงวะไอ้ห่านี่ ก๋วยเตี๋ยวธรรมดา 35 พิเศษ 45 ไง ความหมายแนวเดียวกัน”
“กูคงเข้าใจหรอกนะ” ปั้นสิบผลักหัวพายุไปที
“แล้วตกลงเขาคนนั้นเป็นใครเหรอกล้า” นนท์ที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว ดูเหมือนทั้งสามคนแค่พูดกวนกันไปกวนกันมาเอาสนุก ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ทำให้คนที่ต้องการคำตอบอย่างเขาต้องถามเอง
“คนแถวนี้ล่ะ” ต้นกล้าตอบปัดด้วยคำตอบเดิม อีกสามคนเลยมองอย่างจับผิด โดยไม่ได้นัดหมาย
“มาแล้วครับลูกพี่” ดีที่ไอ้จ๋ามาช่วยได้ทันโดยที่มันเองไม่รู้ตัว
“เออ จ๋าขอบใจนะมากินด้วยกันสิ” ปั้นสิบชวน
“ตามสบายครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปเรียนก่อนนะครับลูกพี่ มีอะไรก็โทรไปละกัน” ไอ้จ๋าตอบปั้นสิบแล้วหันไปบอกลูกพี่ของมัน
“เออ ขอบใจนะเว้ย” ไอ้จ๋ารีบวิ่งลงเรือนไปเพราะสายมากแล้ว ถึงจะมีเรียนตอนสิบโมง แต่มันก็ไม่อยากเข้าห้องทีหลังอาจารย์หรอกนะ ไอ้จ๋าก็เด็กเกรียน เอ๊ย! เด็กเรียนเหอะพูดเลย
“มาอยู่ไม่ทันไรมีลูกน้งลูกน้องนะมึง ว่าแต่ตกลงเขา..”
“มึงจะกินข้าวไหมไอ้สิบ” หึ ๆ เสียงหัวเราะแบบนี้ต้นกล้าไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้คิดถึงใครอีกคนที่เขาสร้างวีรกรรมไว้ก่อนเพื่อนมา..
“ตายห่า! “ ต้นกล้าสะดุ้งโหยงจนตาโต
“อะไรใครตาย”
“เปล่าไม่มีอะไรพวกมึงกินกันเลยนะ เดี๋ยวกูจะลงไปดูอะไรข้างล่างก่อน”
“ดูอะไรของมึง มันต้องไปเดี๋ยวนี้เหรอวะ”
“เออ ไก่น่ะกูลืมให้อาหารมัน”
“กินก่อนค่อยไปก็ได้ไหมแค่ไก่”
“ไม่ใช่แค่ไก่โว้ย แต่มันคือไก่ชนตัวเก่งลูกรักกูต่างหาก” ต้นกล้านึกถึงไก่ชนของลุงสมควรเลยเอามาอ้าง แต่ที่จริงเพราะพึ่งนึกได้ถึงใครบางคน ที่ไม่รู้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง แล้วจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยนไหม ทำไมไม่เห็นขึ้นมาเอา ว่าจะไม่สนใจแต่ทำไมความรู้สึกผิดถึงได้คอยสะกิดใจยิก ๆ ตลอด จนต้องไปดู

เอี๊ยด!!! เสียงล้อรถกระบะเล็กคันเก่าบุโรทั่ง บดครูดพื้นถนนดังไปทั่วบริเวณ เรียกให้ผู้คนที่นั่งอยู่ป้ายรถเมล์ และใกล้เคียงหันมามองเป็นตาเดียว
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“รอรถไปเรียนสิ”
“ฉันจะไปเรียนเหมือนกันไปไหม จะไปก็ขึ้นมา”
“ได้เหรอ” ไอ้จ๋าไม่ตอบแต่มองกลับตาดุ คนตัวผอมจึงรีบขึ้นรถ ใจแอบรู้สึกดีจนต้องเม้มปากแน่นไม่ให้เผลอยิ้มกว้าง เพราะคำแพงแกล้งให้ทำนั่นทำนี่จนสาย จากน้อยใจพี่สาวตอนนี้ต้องขอบคุณ ที่ผ่านมาได้แค่มองตามท้ายรถ ไม่คิดว่าจะได้นั่งมาด้วยเลยวางตัวไม่ถูก กลัวพูดไม่เข้าหูจึงนั่งเงียบบีบมือบรรเทาความประหม่า หันหน้าออกไปนอกรถแอบยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนไอ้จ๋าที่ท่าทางนิ่ง แต่ในใจมันกลับตื่นเต้นแปลก ๆ เหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ทาบทับกลางอก เป็นความรู้สึกที่มันบรรยายไม่ถูก เพราะไม่เคยรู้สึกอะไรบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน
“ฮึ่ม! ” ไอ้จ๋าถอนหายใจแรงจนออเรนจ์ตกใจ กลัวว่ามันกำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วจะขบหัวเอา
“จ๋าเป็นอะไรไปเหรอ” ทำใจกล้าถามแต่ไอ้หมาหน้าดำแค่เหลือบมอง “ขอบใจนะที่ให้เรามาด้วย” ไอ้จ๋าทำเพียงเสียงอือในคอเหมือนไม่อยากคุย แต่คนตัวผอมก็ไม่ละความพยายาม “นายกินอะไรมาหรือยัง ฉันมีแซนด์วิชกินด้วยกันไหม”
“ไม่! “
“งั้นเราขอกินบนรถหน่อยนะ”
“เออ”  ออเรนจ์แอบหันไปมองหน้าไอ้จ๋า ปากเล็กจิ้มลิ้มค่อย ๆ ละเลียดเล็มกินทีละน้อย ไอ้จ๋าเหลือบมองบ้างเวลาอีกคนเผลอ แต่มันก็ต้องรีบหันไปดูทาง เพราะปากบาง ๆ สีสดนั่นเหมือนมีอิทธิพลแปลก ๆ กับอะไรบางอย่างในความรู้สึกของมัน ไม่นานรถออกสู่ถนนใหญ่ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น แต่...
“อะไรของเธอบอกไม่กินไง” ไอ้จ๋าเหล่มองแซนด์วิชที่ยื่นมาจ่อปากทางหางตา หน้ามันตึงระดับสิบด้วยความหงุดหงิด
“แต่นายหิวนี่กินเถอะ”
“ฉันไม่หิว! ” ออเรนจ์หัวเราะคิกคักชะโงกหน้าเข้ามากใกล้ แต่ไอ้จ๋าไม่ขำด้วยหรอกเพราะต้องตั้งใจขับรถ ไหนจะหน้าใส ๆ ที่กำลังล่อตาล่อใจอยู่นี่อีก ที่ทำให้มันใกล้หมดความอดทน นึกอยากกัดปากแดง ๆ นั่นให้ขาดเพราะความมันเขี้ยวสักที “หัวเราะอะไรยายส้มเน่า”
“บอกไม่หิวแต่ท้องร้องเสียงดังเลย อ้าปากอย่าดื้อ” ออเรนจ์บอกยิ้ม ๆ จ่อของกินชิดปากแข็ง
“อย่ามาลามปามเชียวนะยายเผือกน้อย! ” คำว่าอย่าดื้อทำให้ไอ้จ๋าฮึดฮัดไม่พอใจ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท้องมันร้องดังจริง ๆ คนยิ่งหิว ๆ มานั่งกินให้ดูอยู่ได้
“อ้าม อ้าปากเร็ว ๆ สิจ๋า”
“เออ ๆ เซ้าซี้อยู่ได้! ” แทนที่จะสลดคนตัวผอมกลับยิ่งยิ้มกว้าง เพราะไอ้จ๋ายอมอ้าปากงับของกินในมือ คนตัวผอมนั่งใจสั่นเพราะริมฝีปากนุ่มหยุ่นอุ่น ๆ งับโดนปลายนิ้ว จนรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีประจุไฟแตกกระจายไปทั่วตัว ไอ้จ๋ากัดกินไปคำใหญ่ทั้งที่ตายังมองถนน แซนด์วิชชิ้นเดียวมันกัดไปคำออเรนจ์เอากลับมากัดกินเองคำ เหลืออีกคำก็เอากลับไปป้อนใส่ปากที่อ้ารับอย่างว่าง่าย ไม่นานของกินที่เตรียมมากล่องใหญ่ ก็ถูกทั้งสองคนช่วยกันกินจนหมด
“อ้าปากคำสุดท้าย”
“หมดแล้วเหรอเธอกินเถอะ”
“ฉันอยากให้นายกิน”
“เออก็ได้” ถึงจะกระแทกเสียงบอกแต่ไอ้จ๋าอ้าปากรอ มันไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทั้งเคี้ยวทั้งยิ้ม ตามองทางปากอ้ารับของกิน เคี้ยวหมดมีหลอดดูดยื่นมาจ่อปาก มันก็ดูดกินนมในกล่องไปอึกใหญ่
“ยิ้มอะไร” ไอ้จ๋าถามเมื่อเหล่ตามองเห็นอีกคนกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุข จนมันรู้สึกถึงความสว่างเจิดจ้ารอบตัว
“เปล่า” แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ ออเรนจ์กลบเกลื่อนความเขินด้วยการมองออกไปนอกรถ ไอ้จ๋าก็กลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ ด้วยการตั้งใจขับรถ จนไม่นานก็พากันมาถึงมหาวิทยาลัย
“เลิกกี่โมง”
“เที่ยงทำไมเหรอ”
“เปล่าไม่มีอะไรถามไปงั้น”
“อือ เราไปก่อนนะขอบใจนะที่ให้มาด้วย”
“นี่” ออเรนจ์หยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ ไอ้จ๋าเรียกด้วยเสียงเข้มเหมือนหงุดหงิด “เลิกเรียนแล้วถ้าจะกลับบ้านรถก็จอดอยู่ตรงนี้”
“ทำไมล่ะ”
“เอ้า ยายส้มเน่านี่คิดก่อนไหมที่ถามน่ะ”
“ก็เราไม่รู้นี่ว่าจ๋าจะบอกเราทำไม”
“ก็..ช่างเถอะไปได้แล้ว” ออเรนจ์เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว ไอ้จ๋ายังนั่งหน้าบูดกับตัวเอง ไม่รู้ทำไมไม่บอกไปตรง ๆ ว่าให้มารอที่รถถ้าจะกลับพร้อมกัน
ก๊อก ๆ “อะไรอีกวะ! ”
“นายเลิกเรียนกี่โมง”
“เที่ยง”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันกลับด้วยคนได้ไหมล่ะ ทางผ่านพอดีนี่” คนอย่างไอ้จ๋าต้องเล่นอย่างนี้ถึงจะไปกันได้ มันตอบเออมาคำเดียว คนขอกลับด้วยเลยยิ้มกว้าง “ขอบใจนะไปล่ะ แล้วเจอกัน” คนตัวผอมเดินไปแล้ว แต่ไอ้จ๋าต้องนั่งหน้าบึ้งอยู่ในรถเป็นครู่ ความตึงเครียดในหัวจึงผ่อนคลายลง และได้รอยยิ้มผุดขึ้นมาแทน

ต่อจ้า...
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า 9/12/61 ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-12-2018 21:52:50



ต่างคนต่างตั้งใจเรียนในรายวิชาของตัวเอง คนตัวผอมนั่งเรียนไปยิ้มไปจนใกล้เที่ยง อาจารย์ปล่อยก่อนเวลา พอออกจากห้องก็รีบไปรอไอ้จ๋าที่รถ แต่เจอกับใครบางคนระหว่างทางเสียก่อน
“สวัสดี”
“ว่าวเรียนที่นี่เหมือนกันเหรอ ไม่เคยเจอกันเลยนะ”
“เรียนคนละคณะไม่เจอกันง่าย ๆ หรอก ว่าแต่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
คุยกับไอ้ว่าวอยู่เป็นครู่จึงแยกกัน ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเห็นว่าเที่ยงกว่าแล้ว มองหาคนที่บอกจะให้ติดรถกลับบ้านด้วยแต่ไม่เจอ จึงหยิบสมุดเล่มเล็กมาเขียนอะไรบางอย่าง ฉีกไปแปะติดไว้กับกระจกรถฝั่งคนขับแล้วเดินไปซื้อน้ำดื่ม
   คล้อยหลังคนตัวผอม ไอ้จ๋าที่ยืนอยู่อีกด้านของมุมตึกก้าวออกมา จากมุมที่ยืนอยู่สามารถได้ยินบทสนทนาของออเรนจ์กับไอ้ว่าวชัดเจน มันถามตัวเองกลับไปกลับมาหลายรอบถึงเรื่องที่ได้ยิน ว่าใช่หรือที่คนตัวผอมชอบมัน ชอบมานานแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ตุ๊ดก็คือตุ๊ด ตุ๊ดคือผู้ชายคนหนึ่ง ไอ้จ๋าไม่ได้ชอบผู้ชายแต่ชอบผู้หญิง ถึงจะรู้สึกดีกับยายนี่อยู่บ้างก็ตามเถอะ ยังไงก็ไม่คิดเกินเลยมากไปกว่านี้ มันบอกตัวเองทั้งที่ใจเต้นแรงยามเข้าใกล้กัน มันปฏิเสธกับตัวเองทั้งที่ลมหายใจสะดุดทุกครั้ง ยามเห็นรอยยิ้มสดใส ยิ้มให้มันแต่ละทีราวกับมีดอกไม้เบ่งบานรอบตัว แบบ
นี้มันหมายความว่ายังไง ไอ้จ๋าเป็นงุนงงสงสัยจริง ๆ
 ไอ้จ๋าถอนหายใจส่ายหัวไปมา ความสับสนตีกันวุ่นวายเลยพาลหงุดหงิด ยิ่งเดินมาเห็นกระดาษสีชมพูหวานแปะไว้ ยิ่งพาลให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างยากอธิบาย มันเหมือนมีความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ แต่อีกใจกลับบอกไม่ใช่ ไอ้จ๋าสับสนตัวเองเข้าขั้นรุนแรง ความหงุดหงิดงุ่นง่านจึงเพิ่มขึ้นหลายระดับ มันสบถหยาบคายถอนหายใจฟืดฟาด แต่ก็ยังไม่หายจากอาการนี้สักที
มือกร้านขยำกระดาษแล้วปาทิ้ง มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่ความโกรธ หรือเป็นแค่ความสับสนจนทำให้หงุดหงิด รถกระบะคันเล็กถูกขับกระชากออกไปอย่างแรง ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านหนัก ตั้งแต่เจอกันอีกคนก็ทำให้มันอารมณ์เสียตลอดสิน่า
อารมณ์เสียอย่างนั้นเหรอ..?
อารมณ์เสียเพราะยายส้มเน่านี่เหรอ..? เปล่า!..ไม่ใช่เลย ไอ้จ๋าอารมณ์เสียเพราะตัวมันเองต่างหาก ที่เจอหน้าใส ๆ ของยายนี่ทีไร ก็ไม่เคยห้ามตัวเองไม่ให้มองได้สักที ไม่มองตรง ๆ ก็ต้องแอบมอง ไม่เห็นหน้าก็เผลอคิดถึง เจอกันแต่ละครั้งที่พูดไม่ดีด้วย เพราะต้องกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง อย่างความรู้สึกคล้าย ๆ อาการประหม่า หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเขินอะไรเทือกนั้น ส่วนอีกคนไม่มีความผิดเลย แค่ทำสายตาอ้อนไม่รู้ตัว แล้วพูดกับไอ้จ๋าเสียงอ่อนเสียงหวาน แค่นี้ก็ทำให้มันหงุดหงิดงุ่นง่านได้แล้ว 
“โธ่เว้ย! ” ไอ้จ๋าตะโกนระบายความหงุดหงิด ขับรถออกมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจจะตรงกลับบ้าน แต่ในหัวกลับหยุดคิดเรื่องยายส้มเน่าไม่ได้ หงุดหงิดตัวเอง!
ออเรนจ์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพื่อกลับมากับความว่างเปล่า รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รถคันเก่าที่ควรจอดอยู่ตรงนี้หายไปแล้ว กระดาษสีชมพูถูกขยำจนเป็นก้อนตกอยู่ไม่ไกล ใบหน้าสวยหม่นลง นี่คงแปลได้อย่างเดียว ว่าคนทำคงไม่พอใจมาก ถ้าไม่รอแล้วเมื่อเช้าจะพูดแบบนั้นทำไม อยากพูดให้เข้าใจแบบนั้นหรือไม่ได้ตั้งใจพูด แต่คนฟังเข้าใจความหมายผิดเอง
   ปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเจอไอ้จ๋าอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววของคนหัวเกรียนตัวดำ ๆ กับรถคันเก่าของมันเลย พอหมดหวังก็ก้าวออกมาจากตรงนั้น รู้อยู่แล้วว่ายังไงต้องเจ็บปวด รู้อยู่แล้วว่าคงไม่สมหวัง แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับมันทำให้หลงลืมไป จากนี้คงอยู่แค่ในมุมของตัวเอง ยอมรับความจริงอย่างคนแอบรักเหมือนที่ผ่านมา
 
”หายไปไหนแล้ววะ ไปแป๊บเดียวเองนะเว้ย” พอไอ้จ๋ามาถึงก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ตั้งใจย้อนกลับมารับ เพราะแป๊บเดียวของมันนั้นกินเวลาอยู่ไม่น้อย กว่าจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ กว่าจะตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง กว่าจะวนรถฝ่าความวุ่นวายของการจราจรบนถนน ก็ใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงเข้าไปแล้ว!
“ป่านนี้งอนตุ๊บป่องไปแล้วแน่ ๆ ยายเผือกน้อยเอ๊ย“ มันเดินวนแถวนั้นตาก็มองหาไปทั่ว แต่ไม่มีวี่แววเจ้าของร่างบอบบางให้เห็น ล้วงพี่ฮีโร่โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าจากกระเป๋ากางเกง เปิดหารายชื่อที่บันทึกไว้แล้วชั่งใจ
“โทรไม่โทรดีวะ” สองจิตสองใจ ใจหนึ่งอยากโทรอีกใจกลับไม่ ใจหนึ่งบอกช่างมันเถอะ แต่จะช่างมันได้ยังไงในอกร้อนรนขนาดนี้ ไอ้จ๋าสับสนแต่ก็กดโทรออกยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู รู้สึกตื่นเต้นปนหงุดหงิด ไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างนี้มาก่อน รู้ว่าตัวเองผิดที่ไม่รอ แต่ไม่เคยง้อใครเพราะไม่เคยมีใครให้ง้อ ถ้าง้อแล้วไม่หายโกรธอย่ามาโทษไอ้จ๋าก็แล้วกัน!
 ขอโทษค่ะยอดเงินของคุณไม่เพียงพอต่อการใช้บริการ กรุณาเติมเงินด้วยนะคะ
“ฉิบหาย! โว้ยทำไมมันมาหมดเอาตอนนี้วะเนี่ย” ไอ้จ๋าฉุนหนัก ร่ำ ๆ จะโยนโทรศัพท์ทิ้ง แต่ยั้งใจทันเพราะเสียดาย เดินไปตู้เติมเงินเครื่องก็ใช้ไม่ได้ เดินไปซื้อบัตรเติมเงินบัตรก็ดันหมด แล้วทำไมเครื่องมันต้องใช้ไม่ได้ บัตรต้องมาหมดเอาตอนที่มันต้องการแบบนี้ ไอ้จ๋าอยากบ้าตาย อะไรต่อมิอะไรไม่เป็นใจกับมันสักอย่าง
“เอ้ารับสิวะ” ไอ้จ๋าโทรอีกครั้ง หลังจากแวะเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อระหว่างทางกลับบ้าน แต่ก็ได้ฟังแค่เสียงรอสาย “โกรธจริง ๆ ใช่ไหมไม่ยอมรับสายเนี่ย รับสักทีสิวะยายส้มเน่า! ” รอจนสายตัดแล้วโทรใหม่ แต่ผลยังเหมือนเดิมคือออเรนจ์ไม่รับโทรศัพท์ ดีที่ยังไม่ปิดเครื่องหนี
ไอ้จ๋าขับรถมาถึงตัวอำเภอ สุดท้ายก็มาจอดสนิทข้างทาง ตรงข้ามร้านขายอุปกรณ์การเกษตรและปุ๋ย มองเข้าไปในร้านเป็นนานสองนานไม่ยอมไปไหน พี่ฮีโร่คู่ใจอยู่ในมือชั่งใจแล้วชั่งใจอีกว่าจะกดโทรดีหรือไม่โทรดี
“เอาวะโทรก็โทร ครั้งสุดท้ายไม่รับก็เรื่องของเธอนะยายส้มเน่า ฉันไม่ง้อโว้ย” ไอ้จ๋ากำลังจะกดโทรออก แต่เป็นจังหวะที่มีสายเข้ามาพอดี การโทรออกของมันจึงกลายเป็นการรับสายโทรเข้าแทน
”ครับลูกพี่ ไอ้จ๋าอยู่อำเภอลูกพี่จะเอาอะไรหรือเปล่าครับ”
(เหรอวะ งั้นเอาของเมามาเย็นนี้ไอ้พวกนั้นมันอยากฉลอง)
“เอาอะไรบ้างล่ะครับ”
(เบียร์ เหล้า ซื้อของสดมาทำกับแกล้มด้วย เดี๋ยวกลับมาคืนตังค์ให้)
“หา! จะกินเหล้ากันเหรอครับลูกพี่”
(เออสิ ฉลองมันก็ต้องมีเหล้ามีเบียร์ปะวะ ว่าแต่แกมีเงินพอจ่ายไหม)
“แหะ ๆ ไม่มีครับตอนนี้ทั้งตัวไอ้จ๋ามีห้าสิบบาทเอง”
(ปัดโธ่ แล้วก็ให้คุยตั้งนาน งั้นก็รีบกลับมาเดี๋ยวมาซื้อเอาแถวนี้ก็ได้)
“ครับ ๆ ไอ้จ๋าจะกลับเดี๋ยวนี้ครับ” ไอ้จ๋าตรงกลับบ้านไม่ใช่ไม่อยากรอ แต่รออยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ระยะทางเกือบยี่สิบกิโลเมตร ขับรถไม่นานมันก็มาถึงบ้านทุ่งดอกจานอย่างปลอดภัย
“นี่ใจคอจะไม่รับโทรศัพท์จริง ๆ เหรอวะ” ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านไอ้จ๋าโทรหายายส้มเน่าหลายครั้ง รอสายจนสายตัดก็ไม่มีทีท่าว่าคนที่โทรหาจะรับสายสักที จนมันชักจะหงุดหงิดงุ่นง่านอีกแล้ว
“ทำอะไรอยู่เหรอ” ไอ้จ๋ามองโทรศัพท์ในมือตัวเอง แล้วมองหน้าคนถามนิ่ง
มันชูของที่อยู่ในมือให้อีกคนดู “นี่รู้จักไหม”
“โทรศัพท์รุ่นที่โบราณมาก” ทำไมต้องย้ำวะ!
“แล้วไง” ไอ้จ๋าเอียงคอถามท่าทางพร้อมมีเรื่อง มันไม่อายหรอกว่าโทรศัพท์ของมันจะรุ่นเก่าหรือโบราณแค่ไหน ถ้ายังใช้ได้อยู่ก็ถือว่ามีประโยชน์
“พูดกับผู้ใหญ่ไม่ควรมีหางเสียงหน่อยเหรอน้อง”
“มีสิ แต่กับผู้ใหญ่ที่นับถือไม่ใช่คนที่พึ่งเจอกัน” ไม่ใช่ไม่เกรงใจลูกพี่ แต่เพราะเพื่อนลูกพี่มองมันแปลก ๆ อย่างที่มันไม่ชอบ ไอ้จ๋าเลยไม่อยากญาติดีด้วย ยิ่งพออีกคนจ้องหน้ามันด้วยสายตากวน ๆ ไอ้จ๋าเลยจะเดินหนีมันเสียดื้อ ๆ นี่แหละ
 “เดี๋ยวจะไปไหน”
“ต้องรายงานเหรอ” ถามแล้วไม่สนใจรอคำตอบ ไอ้จ๋าเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเลี่ยง
ออกไปทางสวนมะม่วง พายุมองตามท่าทางที่ทำให้เขาสะดุดตาแต่แรก แต่ไม่รู้เป็นอะไรทำไมถึงไม่พูดกับน้องมันดี ๆ
“ไอ้ยุมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ เห็นไอ้จ๋าไหมกูจะให้มันออกไปซื้อเหล้าเนี่ย”
“เห็นเดินไปทางโน้น”
“เออ มึงไปดูไอ้สิบกับไอ้นนท์ในครัวหน่อยไป มันกำลังหาอะไรกินรองท้องกัน เดี๋ยวกูเดินไปบ้านโน้นแป๊บหนึ่ง” ต้นกล้าเดินมาถาม ๆ สั่ง ๆ แล้วเดินไปตามทาง ที่หากเป็นเวลาหลังตะวันตกดินไปแล้ว ไม่มีวันย่างกรายมาใกล้แน่ แต่ตอนนี้พึ่งจะบ่ายแก่ ๆ จึงไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไร หนุ่มหล่อเกาหลีเดินผิวปากอารมณ์ดีไปตามทางที่คุ้นเคย “ไอ้จ๋า”
“ครับลูกพี่มีอะไรเหรอครับ” ไอ้จ๋าทิ้งโทรศัพท์ในมือไว้บนที่นอนรีบวิ่งลงเรือน เมื่อได้ยินเสียงลูกพี่มาเรียกถึงบ้าน
“ไปซื้อของหน่อยไป” ต้นกล้าบอกของที่ต้องการสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ โดยไม่ลืมกำชับว่าต้องซื้อมาให้ครบทุกอย่าง ทั้งเหล้าและกับแกล้ม ที่ไอ้จ๋าเสนอให้ซื้อเนื้อมาย่าง และมันจะทำเนื้อย่างสูตรพิเศษที่เหมาะแก่การแกล้มเหล้าให้ชิม
ต้นกล้าหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ไอ้จ๋าเป็นค่าซื้อของ “เอานี่เงินพอไหมวะ”
“พอครับพอเหลือด้วยมั้งเนี่ย”
“เออ. เอานี่อีก”
“แล้วเงินนี่ซื้ออะไรครับลูกพี่” ไอ้จ๋าทำหน้าหมางง ที่เห็นลูกพี่หยิบเงินออกมาอีกสามพันยื่นให้
“แกเก็บไว้”
“ให้ไอ้จ๋าเก็บไว้ทำไมล่ะครับ จะให้ซื้ออะไรอีกก็บอกเลย ไอ้จ๋าไปหาซื้อมาให้ได้หมดล่ะครับ”
“เก็บติดกระเป๋าไว้ใช้เวลาไปเรียนฉันให้”
“เอ๋า ให้ไอ้จ๋าทำไมล่ะครับลูกพี่ไอ้จ๋าพอมีครับ” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรีบเก็บเงินไว้แล้ว แต่นี่เป็นไอ้จ๋ามันจึงยืนเกาหัวแกรก ๆ และยังไม่รับเงินมา
“อะไรของแกวะ ไหนบอกมีเงินติดตัวห้าสิบบาท เอาเก็บไว้เลยหมดแล้วแกต้องบอกฉันด้วยเดี๋ยวให้ใหม่ เอ๊ะไม่ดีกว่า ฉันจะให้เป็นอาทิตย์ก็แล้วกัน” ต้นกล้ารวบรัดเองเสร็จสรรพแต่ไอ้จ๋ายังเกรงใจ
“ลูกพี่ให้ไอ้จ๋าทำไมครับ ไอ้จ๋ามีเงินที่คุณยายให้อยู่แล้วทุกเดือน”
“นั่นเก็บไว้ ส่วนเงินนี่ฉันให้ติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินไงวะ อีกอย่างเผื่อฉันอยากได้อะไรแกจะได้ซื้อมาเลย จะได้ไม่เหมือนวันนี้”
“แต่..”
“ไม่ต้องเถียงหนวกหูไปได้แล้ว เดี๋ยวโบกหัวทิ่มเลยพูดมาก ไป ๆ ”
“ก็ได้ครับลูกพี่ขอบคุณครับ” ไอ้จ๋ายกมือไหว้รับน้ำใจจากลูกพี่ด้วยความเคารพ อย่างน้อยมันก็คอยดูแลต้นกล้าเป็นอย่างดี ถ้าเขาจะดูแลมันบ้างแค่นี้จะเป็นไรไป ยังไงไอ้จ๋าก็น้องก็นุ่ง บอกง่ายใช้คล่องแถมยังแสนรู้อีกต่างหาก..
   ต้นกล้าเดินผิวปากอารมณ์ดีกลับเรือนหลังใหญ่ เจอเพื่อนทั้งสองนั่งเล่นรอที่แคร่หน้าบ้าน พายุเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ปั้นสิบที่นอนอยู่บนเปลญวนฟัง ส่วนนนท์ที่ขอมาด้วยเดินคุยโทรศัพท์ในสวน นั่งเล่นคุยเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ ไอ้จ๋าก็กลับมาพร้อมกับของทุกอย่างตามคำสั่งลูกพี่
“เดี๋ยวไอ้จ๋าเอาเตาออกมาย่างเนื้อตรงนี้เลยนะครับลูกพี่” มันบอกพลางเทน้ำแข็งใส่กระติกไปด้วย จากนั้นสหายจากเมืองกรุงของลูกพี่ก็เริ่มตั้งวง
แคร่ไม้ใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ตั้งวงกินเหล้า ไอ้จ๋ายกเตาถ่านออกมาตั้งก่อไฟย่างเนื้อติดมันหมักอย่างดี ผ่านไปอีกครู่เนื้อที่ย่างก็เริ่มสุกส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ” ไอ้จ๋ากระซิบกระซาบข้างหูลูกพี่ใหญ่ ถามหาลูกพี่อีกคนที่ไม่น่าพลาดงานนี้ โดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามกันอย่างนนท์มองอย่างสังเกต และหูของปั้นสิบกับพายุก็ผึ่งขึ้นมาทันที ที่ได้ยินคำว่าลูกพี่เดี่ยวแว่ว ๆ
“ไม่รู้โว้ย”
“อะไรวะซุบซิบอะไรกัน” ปั้นสิบแกล้งถาม ไอ้จ๋าเลยล่าถอยไปประจำเตาย่างเนื้อเหมือนเดิม
“เปล่าโว้ยไม่มีอะไรชนหน่อยพวกมึง นนท์ยกสิ“ ต้นกล้าชวนเพื่อน ๆ ชนแก้ว ใจก็อยากให้มีอีกคนมานั่งร่วมลงตรงนี้ด้วย แต่จะให้ต้นกล้าโทรไปชวนหรือก็ใช่ที่ อยากมาก็มาเองเถอะแต่จะไม่มาก็ช่างใครจะสน
จากเวลาบ่ายแก่ ๆ ล่วงเข้าสู่ยามเย็น และตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว วงเหล้ายังไม่มีทีท่าจะเลิกรา แม้ว่าเหล้าที่ซื้อมาใกล้จะหมด ไอ้จ๋ายังสบายดีเพราะมันดื่มไม่กี่แก้ว แต่ลูกพี่กับเพื่อน ๆ นี่สิท่าทางชักไม่ไหว จนเหล้าหมดแต่คนยังไม่หมดไฟ เพราะยังนั่งคุยกันถึงเรื่องเก่าเคล้าสายลม
 “กูว่าไปซื้อเหล้ามาอีกเหอะว่ะ” ถึงเสียงปั้นสิบจะอ้อแอ้บ่งบอกถึงความเมา แต่ท่าทางก็ดูมุ่งมั่นตั้งใจในการดื่ม
“พอแล้วมั้งไอ้สิบ”
“มึงนี่อ่อนนะไอ้ยุแค่นี้ยอมแพ้เหรอวะ”
พายุฮึดฮัดเหมือนกลัวคนอื่นจะคิดว่าอ่อนจริง ๆ “อย่างกูนี่นะอ่อน จัดมาเลยแล้วมึงจะรู้ว่าของแข็งเป็นยังไง ไอ้กล้าจัดมา”
“เออเดี๋ยวให้ไอ้จ๋าไปซื้อให้นั่นไงมาพอดี” ไอ้จ๋ามาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นของสบู่ตรานกแก้ว ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วเพราะเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ “ไอ้จ๋าไปซื้อเหล้ามาอีกไป”
“ต่อเหรอครับแต่ร้านในหมู่บ้านคงปิดหมดแล้วนะครับ”
“อ้าวเหรอวะเอาไงดี” ต้นกล้าหันกลับไปถามความเห็นเพื่อน ๆ ไอ้จ๋าจึงเสนอทางเลือกให้
“เดี๋ยวไอ้จ๋าเข้าไปซื้อในเมืองให้ครับ ขับรถแป๊บเดียว”
“เออ เอางั้นเหรอ”
“ครับ ๆ ไอ้จ๋าไปเดี๋ยวนี้เลย”
“จ๋าเอานี่ตังค์ อยากกินอะไรก็ซื้อมาเพิ่มเลยนะเว้ย” ไอ้จ๋าเดินไปหยิบกุญแจรถคันใหญ่ แล้วขับออกไปซื้อของตามที่ลูกพี่สั่ง ดีเหมือนกันเอาคันนี้ไปจะได้เหยียบให้ทันใจสักหน่อย ถึงแม้อีแก่ของมันจะถึงใจอยู่แล้วก็ตามเถอะ
   คล้อยหลังไอ้จ๋าไปแล้ว ลูกพี่และเพื่อน ๆ ก็พากันนั่งคุยรอ เล็มของกินที่เหลือแก้เมาไปด้วย พายุเล่นกีตาร์ร้องเพลงกล่อมเพื่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ต่างคนต่างเงียบ เสียงเพลงเริ่มเบาลงและเงียบไปในที่สุด ปั้นสิบหลับไปแล้ว พายุนั่งพิงต้นลำไยตาปรือกีตาร์ยังวางอยู่บนตัก นนท์หาวแล้วหาวอีกแต่ไม่ยอมลุกไปไหน ต้นกล้าก็เมาพอสมควรแต่ยังพอมีสติ เห็นสภาพแต่ละคนแล้วได้แต่ส่ายหัว
“ซื้อของเสร็จยังวะ”
(เสร็จแล้วครับลูกพี่ ไอ้จ๋ากำลังจะกลับ)
“เออ ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ ไอ้พวกนั้นมันหลับไปหมดแล้วคงไม่มีใครกินแล้วว่ะ ขับรถกลับระวังด้วยแค่นี้แหละ” ไอ้จ๋าวางสายไปแล้วแต่ต้นกล้ายังยืนอยู่ที่เดิม ตาเหม่อมองออกไปทางหน้าบ้าน เหมือนกำลังมองหาใครบางคน ตั้งแต่เพื่อนมาต้นกล้าก็ดันลืมคนตัวโตไป ว่าจะโทรหาก็ไม่มีโอกาสสักที เอาไปเอามาเลยลืมไปว่าใครบางคนอาจจะโกรธที่ถูกทิ้ง โทรศัพท์มือถือเครื่องบางถูกยกขึ้นมาดู ปากสวยเม้มแน่นตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะโทรหรือไม่โทรดี ตอนนี้หน้าจอโชว์เบอร์เด็ดเดี่ยว จะเหลือก็แค่กดโทรออก และสุดท้ายท้ายที่สุด…
“เอ่อ จะนอนหรือยัง” ไม่มีใครรู้หรอก ว่าตอนนี้ต้นกล้าตื่นเต้นมากแค่ไหน ทั้งที่กำลังสองจิตสองใจ แต่หน้าจอโทรศัพท์ระบบสัมผัสอันทรงประสิทธิภาพ แค่เลื่อนมือผ่านแผ่วเบามันดันทำงานทันที เวรแท้!
(คิดว่ายังไงล่ะ) แค่ได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าน่าจะยังงอนอยู่
“งั้นแค่นี้ล่ะ”
(โทรมาแค่นี้จะโทรมาทำไม)
“แล้วจะกวนทำไมเล่า” คนยิ่งเขิน ๆ อยู่ ไม่ใช่ล่ะต้นกล้าแค่ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรกับเด็ดเดี่ยวต่างหาก
(แค่อยากรู้ว่าจะมีใครเป็นห่วงความรู้สึกพี่หรือเปล่า แต่ดู ๆ แล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนมันไม่สำคัญนี่เนอะเลยถูกลืม)
“บ้าสิ คิดอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
(แปลว่ายังไม่ลืม) ต้นกล้าไม่รู้หรอก ว่าปลายสายยิ้มกว้างตาแทบปิด
“ชิใครจะสน” ได้ยินเสียงหัวเราะโรคจิตดังมาตามสายต้นกล้าเลยหน้างอ “เราไม่มีอะไรจะคุยแล้วแค่นี้ล่ะ” พูดจบก็วางสายทันที แต่พอจะเดินเข้าบ้าน ดันชนเข้ากับใครบางคนที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ยังไม่นอนเหรอ”
“เรามีเรื่องอยากคุยกับกล้า”
“อือ พอดีเลยเราก็มีเรื่องอยากคุยกับนนท์เหมือนกัน” รอยยิ้มประดับขึ้นบนใบหน้านนท์ ที่ได้ยินว่าต้นกล้าก็มีเรื่องอยากคุยกับเขาด้วยเช่นกัน แต่....
“นายมาที่นี่ทำไม” เป็นคำถามที่ต้นกล้าหาโอกาสถามมาทั้งวัน
“เราอยากมาขอโทษกล้าเรื่องวันนั้น” ต้นกล้าขมวดคิ้วมุ่นมองนนท์สีหน้ามีคำถาม “เราโง่เองที่พูดแบบนั้นออกมา เราไม่ทันคิดเพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง หลังจากวันนั้นเราก็เอาแต่คิดถึงกล้า เริ่มรู้ว่าตัวเองก็รู้สึกดี ๆ เหมือนที่กล้ารู้สึกกับเรา” ต้นกล้าเพียงยิ้มบางเหมือนกำลังคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้วว่ะนนท์”
“ไม่ ๆ กล้าอย่าพูดแบบนั้น นนท์ขอโทษจริง ๆ วันนั้นพูดอะไรไม่คิดออกไปนนท์ขอโทษ” คำพูดของต้นกล้าทำให้นนท์ร้อนรน จนต้องรีบดึงมือต้นกล้ามากุมไว้
“ปล่อยเราก่อนนนท์ เราเข้าใจนะที่นายพูดวันนั้น แต่วันนี้เราไม่เข้าใจว่านายต้องการอะไรกันแน่”
“เราต้องการกล้า ลืมเรื่องที่พูดวันนั้นแล้วเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม จะเป็นเหมือนเดิมได้ไหมกลับมาคบกัน” เข้าประเด็น! “ให้เราได้ไถ่โทษได้ไหม ที่พูดวันนั้นขอให้กล้าลืมมันแล้วเรามาเริ่มต้นใหม่นะ” เห็นแก่ตัว!
“แต่เราไม่คิดอะไรอย่างนั้นละ อุบ! “ ต้นกล้าตกใจตาโตที่ถูกนนท์กระชากเข้าหา ประกบจูบอย่างแรงจนฟันกระทบ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะมาขอโทษกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วทำไม แค่ความรู้สึกว่าชอบมันลืมไม่ยาก และวันนี้มันก็เลือนหายไปหมดแล้ว เหลือแค่บางอย่างไว้เตือนใจแค่นั้นจริง ๆ
“ทำบ้าอะไรของนายวะนนท์! ” ต้นกล้าตวาดใส่นนท์แล้วผลักร่างที่สูงเท่ากันออกห่าง แต่พอหันหนีไปอีกทางพลันต้องชะงักนิ่ง เพราะเจอเข้ากับดวงตาดุจ้องเขม็งจนน่ากลัว “เด็ดเดี่ยว! ”
“พี่มาผิดเวลาหรือเปล่า”
“ใช่มาผิดเวลา! ” นนท์ตอบแทนเจ้าของบ้าน ต้นกล้ายังอึ้งเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมาอยู่ที่นี่ได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่พึ่งวางสาย แต่สำหรับคนที่จอดรถซุ่มดูอยู่หน้าบ้าน นี่ถือว่าช้าไปมากต่างหาก “มาบ้านคนอื่นดึก ๆ อย่างนี้มันไม่เหมาะนะหรอกคุณ”
“พูดอะไรของนายวะนนท์” ต้นกล้าหันมาต่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่พอหันกลับมาหาเด็ดเดี่ยวอีกคนก็ประชิดตัวแล้ว “อื้อ ปล่อยเรานะทำอะไรเนี่ย”
“เช็ดปากทำความสะอาดไง”
“มันเจ็บ” ต้นกล้าประท้วงเพราะเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามากอดคอ ดึงชายเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้นเช็ดปากให้แรง ๆ ใช่สิก็คนมันหวง เห็นจะ ๆ คาตาแบบนี้ เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อคนดีศรีหมู่บ้านอย่างเด็ดเดี่ยวละก็ ไอ้นี่คงได้โดนต่อยคว่ำไปแล้ว แม้ว่าเด็ดเดี่ยวเองก็อยากต่อยปากมันอยู่เหมือนกันก็ตามเถอะ ที่บังอาจจะมาจูบคนพิเศษของเขา
“ปล่อยพอแล้ว” เช็ดจนหนำใจถึงได้ปล่อย แต่ก็ยังไม่พอใจเสียทีเดียว จนกว่าจะได้ลบรอยด้วยตัวเอง  เด็ดเดี่ยวยืนกอดอกมองส่วนเกินเขม็ง ไอ้หน้าปลาเข็งนี่สินะที่ทำให้ต้นกล้าลืมเขาเมื่อเช้านี้ แล้วอีกสองคนไปไหนไหนว่ามาสามคน
“ไหนบอกเพื่อน”
“ก็..” ต้นกล้าเหลือบไปมองนนท์ “เพื่อนเก่า ไม่สิไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”
“กล้า! ”
“ขอโทษนะนนท์ อย่างที่เราถามนั่นแหละว่านายมาทำไม” นนท์เสียหน้าที่ต้นกล้าถามเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น เพราะไม่ได้คุยกันในฐานะเพื่อนมาแต่แรกอยู่แล้ว ตอนจะไปยังทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ให้อีก “เฮ้ย! ไปไหน ปล่อยก่อนเราไม่ไป” ต้นกล้าเป็นต้องร้องขึ้นมาอีก เพราะเด็ดเดี่ยวจะลากเดินลงเรือนไปด้วยกันให้ได้
“อย่าดื้อกับพี่ คนมีความผิดติดตัวต้องถูกลงโทษ ส่วนนายดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
“เกิดอะไรขึ้นทำอะไรกันน่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนเด็ดเดี่ยวจะดึงต้นกล้าลงบันไดไป เป็นพายุที่แบกปั้นสิบเข้าไปนอน แล้วออกมาซุ่มดูอยู่ตั้งแต่เห็นว่าต้นกล้าคุยกับนนท์แล้ว
“ไอ้ยุ เอ่อ..อย่าดึงเราสิ” ต้นกล้าเรียกเพื่อน แต่เด็ดเดี่ยวไม่สนใจใครแล้ว พยายามจะดึงคนตัวเล็กกว่าให้ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ให้ได้
“ใครวะไอ้กล้า” เด็ดเดี่ยวมองพายุแล้วหันมามองต้นกล้ารอคำตอบ ว่าอีกคนจะบอกเพื่อนว่าเขาเป็นใคร
“เอ่อ นี่เด็ดเดี่ยว”
“เด็ดเดี่ยวเหรอ ใช่ลูกพี่เดี่ยวที่ไอ้จ๋ามันพูดถึงหรือเปล่าวะ” ต้นกล้าพยักหน้ารับส่ง ๆ “แล้วมีปัญหาอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรหรอกมึงเข้านอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูคุยกับพี่เขาก่อนแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมา เฮ้ย! อย่าดึงเราสิเด็ดเดี่ยว! ”
“ไอ้กล้า! ”
“เออ ๆ กูไม่เป็นไรมึงดูไอ้สิบด้วยละกัน” ต้นกล้ามีโอกาสบอกเพื่อนได้เท่านั้น ก็ถูกเด็ดเดี่ยวลากแขนไปแล้ว นนท์กับพายุได้แต่มองตามต่างความรู้สึก
“นายปล่อยให้เพื่อนไปกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ได้ยังไง”
“กูว่ากูคิดได้นะว่าใครที่มึงหมายถึง เขาคงมาดีกว่าคนบางคนแถวนี้” พายุมองนนท์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถามหน่อยเถอะมึงกลับมาหาเพื่อนกูทำไม หวังอะไรอยู่”
“เปล่าแค่อยากคืนดี”
“กูว่าไม่เท่านั้นหรอกมั้ง อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมึง คราวก่อนกูปล่อยให้มึงเข้ามาในชีวิตเพื่อนกูได้ แต่อย่าคิดว่าคนอย่างกูจะไม่รู้เรื่องอะไร มึงกลับไปซะเพื่อนกูไม่คบคนเห็นแก่ตัวอย่างมึงหรอก ไอ้กล้ามันไม่ได้โง่ขนาดนั้น” พายุเดินเข้าห้องไปแล้วทิ้งให้นนท์ยืดกัดฟันกรอดมองตามหลัง


******
วันนี้เอาฉบับรีไรท์ พร้อมพิมพ์มาลงให้อ่านค่ะ หลังจากก่อนหน้า ลงเนื้อหาดิบที่ยังไม่รีไรท์ให้อ่านตั้ง 15 ตอนแน่ะ เรานี่กะดายเนาะ ช่างทำไปได้ อิอิอิ เอาล่ะทีนี้ เป็นเรื่องแน่ เจอดีแน่ไอ้กล้าเอ้ย กล้าทำพี่เดี่ยวโกรธเหรอ
แต่จะเป็นยังไง เจอกันตอนหน้าจร้า มีเสียว ส่วนใครอยากได้เล่มไปพรีฯ นะเรารออยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า 9/12/61 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-12-2018 23:24:23
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนว่า  ไอ้จ๋าจะเสน่ห์แรงนะ  ทั้งส้มเน่าทั้งพายุ

ส่วนนนท์ ที่ย้อนกลับมา คงหวังสมบัติสินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องยาว]กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก[ตอนที่ 16 ความสุขของไอ้จ๋า 9/12/61 ]
เริ่มหัวข้อโดย: แก้มกลม ที่ 10-12-2018 22:40:14
สงสารออเร้จน์จัง ไอ้จ๋ารู้ใจตัวเองเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-12-2018 22:03:01



๑๗. คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ[/size]


   พอซื้อของได้ครบทุกอย่าง ก็พอดีลูกพี่โทรมาบอกด้วยความเป็นห่วง ว่าไม่ต้องรีบขับรถกลับ เพราะไอ้คนที่อยากกินต่อดันนับดาวจนหลับคาที่ไปแล้ว  วางสายจากลูกพี่แล้วไอ้จ๋าก็ได้แต่โครงหัว มันตั้งใจจะกลับบ้านเพราะดึกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ขับรถมาจอดอยู่ตรงนี้ นั่งมองพี่ฮีโร่ร่ำ ๆ จะปาทิ้งแล้วขับรถกลับ แต่มือไม่รักดีดันกดโทรออกหน้าตาเฉย ไอ้จ๋ายังไม่ได้เตรียมคำพูดไว้เลยไม่รู้จะคุยอะไรดี
 “ยังไม่นอนหรือไง”
(ยัง) เออนั่นสิ มันต่อในใจ ถามไปแล้วถึงนึกได้ว่าเป็นคำถามโง่เง่าสิ้นดี นอนแล้วเขาคงไม่รับสายหรอกมั้ง
“หิวไหม” คำถามนี้ยิ่งดูโง่กว่าคำถามแรกอีก ดึกจนป่านนี้เขาคงกินข้าวกินปลาเตรียมตัวเข้านอนกันหมดแล้ว แต่คำถามของไอ้จ๋ากลับทำให้คนตัวผอมพึ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น
(ก็..หิวอยู่นิดหนึ่ง) ตอบตามตรงแต่ไม่ตามความจริง เพราะพอนึกได้ว่ายังไม่กินอะไรความหิวก็ประดังขึ้นมาจนแสบท้อง
“อยากกินเกาเหลาไหม”
(ไม่อยากกินขี้เกียจออกไปเดี๋ยวก็นอนแล้ว แค่นี้ใช่ไหม) ยิ่งคุยไอ้จ๋ายิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งที่จุดประสงค์ของการโทรมาก็แค่อยากขอโทษ แค่พูดคำว่าขอโทษคำเดียว แต่เรื่องที่คุยกันอยู่กลับไม่ใกล้เคียงกับการขอโทษเลยสักคำ
“กินไหมล่ะ”
(หมายความว่ายังไง)
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ ไม่เข้าใจตรงไหนวะ กินไม่กิน” ออเรนจ์ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้จ๋าต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องกลับมาให้ความหวัง คนที่หวังมันก็อยากตะครุบไว้ แต่อีกใจก็กลัวเจ็บ ปลายสายเงียบมันเลยรีบบอก “ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ”
(หา! ล้อเล่นหรือเปล่า) คนอะไรนึกอยากมาทำดีด้วยก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
“ยายส้มเน่าเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง จะกินก็ออกมา”
(อือ...ก็ได้ เดี๋ยวลงไป) ความลิงโลดในใจนี้คืออะไร ออเรนจ์ไม่อยากคิดมาก ทิ้งความเสียใจความน้อยเนื้อต่ำใจ กับการกระทำของไอ้จ๋าไว้ข้างหลัง กระโดดลงจากที่นอนเปิดประตูห้องออกไป
“นายมาจริง ๆ ด้วย” ไอ้จ๋าพึ่งได้สติก็ตอนออเรนจ์ทักขึ้นนี่แหละ หลังจากที่มันยืนพิงรถเงียบ ๆ มองร่างผอมบางในชุดนอนสีขาวลายการ์ตูน ตั้งแต่ที่เจ้าตัวเดินออกจากประตูร้านมาแล้ว “มาชวนฉันไปกินเกาเหลาเนี่ยนะ”
“เปล่ามาธุระ”
“อะ อ๋อ เหรอ แล้วจะไปกินร้านไหนดี”
“ไม่ไป” อ้าว! ออเรนจ์มองไอ้จ๋า สีหน้าเหมือนกำลังถามว่า ตกลงจะเรียกมาทำไม “เออไม่ไป ฉันซื้อมาแล้วมีที่กินไหม”
“ไปกินที่ห้องก็ได้ตามมาสิ” ไอ้จ๋าอมยิ้มเดินตามร่างผอมบางเข้าไปในบ้าน ออเรนจ์แวะเอาของในครัวแล้วพากันขึ้นห้อง
“สาบานนะว่านี่ห้องคนอยู่”
“ใช่สิทำไมเหรอ”
“ทำไมมันต้องชมพูขนาดนี้วะ แล้วไอ้ตัวประหลาดนี่เอามาทำไมเยอะแยะ” ไอ้จ๋าชี้มือไปยังกองตุ๊กตาบนเตียงนอน ที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของเตียงไปเกือบครึ่ง
“นี่ไม่ใช่ตัวประหลาดนะ เขาเรียกคิตตี้นายไม่รู้จักหรือไง”
“ไม่รู้จักไม่เคยสนใจ” พูดจบก็มองกองตุ๊กตาด้วยท่าทางขยะแขยง ส่วนออเรนจ์จัดการแกะถุงเทของกินใส่ถ้วย ต่างคนต่างนั่งกินเงียบ ๆ จนกินอิ่ม เกาเหลาร้อน ๆ ทำให้รู้สึกดีและมีแรงขึ้นมาบ้าง
“เอ่อจ๋า..มองเราทำไม”
“มองคนบอกหิวนิดหน่อย” แล้วมันก็หลุดยิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่คิดว่าจะได้จากคนอย่างไอ้จ๋า พอได้มาแล้วเลยทำตัวไม่ถูก
“ก็..มันก็หิวนั่นแหละขอบใจนะที่เอามาให้กิน” อมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายให้ไอ้จ๋ามองเพลิน ด้วยสายตาที่เล่นเอาสะท้านไปถึงข้างใน ยิ่งมันใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างไว้เหมือนกำลังมันเขี้ยว ยิ่งหายใจติดขัด คนอะไรทำหน้าอย่างนี้ก็เป็นด้วย....
“ตอบแทนแซนด์วิชของเธอเมื่อเช้านี้ไง”
“ตอบแทนยังไง จ๋าไม่เห็นป้อนเราเมื่อที่เราป้อนจ๋าเลย”
“ฝันไปเถอะยายส้มเน่า! ” ไอ้จ๋าผลักหัวจนใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มหงายไปข้างหลัง สายตาจิกมองแรงแสยะปากให้ ทั้งที่น่าจะไม่พอใจ แต่ทำไมออเรนจ์หุบยิ้มไม่ได้สักที แถมยังกล้าหาญไปย้อนไอ้จ๋าให้อีก
กินอิ่มเก็บของแล้วพากันกลับมานั่งเงียบ ๆ ไอ้จ๋าไม่พูดออเรนจ์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นั่งได้ไม่นานก็เริ่มวางตัวไม่ถูก เขินก็เขินอยากชวนคุยก็อยาก แต่ก็กลัวเขารำคาญ เลยนั่งกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย จนไอ้จ๋าต้องแย่งรีโมตมากดปิดเสียเลย
ไอ้หมาหน้าดำจ้องเขม็ง “เธอมีอะไรอยากพูดกับฉันไหม”
“ก็เอ่อ...” ไอ้จ๋าไม่ชอบเลยที่หัวใจของมันเต้นแรง จนกลัวคนนั่งข้าง ๆ จะได้ยิน เมื่อคิดว่าคนตัวผอมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ที่มันได้ยินมาก่อนแล้ว แต่เป็นการพูดกับคนอื่น ไม่ใช่สารภาพกับตัวมันตรง ๆ
แต่พออีกคนไม่พูดสักที มันเลยทำท่าจะลุกขึ้น “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดกลับล่ะ”
“พูดแล้ว ๆ คือถ้าเราทำอะไรให้นายไม่ชอบใจ” ดวงตาหวานที่มีแต่แววกังวลช้อนขึ้นมองไอ้จ๋า ที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาจริงจัง “จ๋าอย่าเกลียดเราเลยนะได้ไหม ขอแค่ไม่เกลียดเราได้หรือเปล่า”
“แล้วเธอทำอะไรไม่ดี ทำไมฉันถึงต้องเกลียดเธอด้วยยายส้มเน่า! ”
“ก็..ก็เรา..เราแอบชอบจ๋า เราชอบจ๋าแต่จ๋าคงไม่ชอบคงรำคาญเรา ขอโทษ” สายตาไอ้จ๋าแข็งกร้าวกับคำสารภาพตรง ๆ คนตัวผอมก้มหน้าคางแทบชิดอก รอฟังเสียงโวยวายแต่ก็ไม่มี “แอบชอบมานานแล้วด้วย” บอกเสียงเบาเพราะกลัวไอ้หมาหน้าดำจะขบหัวเอา โทษฐานที่พูดมากจนทำให้มันรำคาญ “จ๋าคงไม่มีทางชอบเราตอบหรอก เพราะเราเป็นแบบนี้”
“แบบไหน”
“ก็แบบที่เป็นอยู่นี่ไง จ๋าชอบผู้หญิงแต่เราไม่..”
“ฉันบอกเธอแล้วหรือไงว่าไม่ชอบ..”
“ก็..” ใบหน้าสวยหวานเอียงเล็กน้อย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นดูสงสัยปนงง คิดไม่ทันคำพูดไอ้จ๋า ความเฉลียวฉลาดในยามปกติหายไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าไอ้คนหัวเกรียน “อะไรล่ะ”
“โอ๊ย ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้วะ” สีหน้าเจ้าของร่างบอบบางเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ ก็แปลตรงข้ามได้อย่างเดียวจะอะไรนักหนา”
“แล้วพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้หรือไง เรายังพูดตรง ๆ เลย” อยู่ดี ๆ ไอ้จ๋าก็ให้รู้สึกร้อนผ่าว ๆ ขึ้นมาบนใบหน้ากร้านแดด ไม่รู้เป็นอะไร ยิ่งอีกคนเอาแต่พูดแล้วจ้องหน้ารอฟังอย่างตั้งใจ มันยิ่งรู้สึกว่าความร้อนกระจายลามไปทั้งตัว
“เออ ก็ชอบนั่นแหละ” สักทีเถอะน่า!
“จะ จ๋า จริงเหรอ! ”
“เออสิ..เอ๊ะ!..เฮ้ย! ” ไอ้จ๋าตกใจจนร้องลั่น อยู่ดี ๆ คนตัวผอมก็กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก รั้งใบหน้ากร้านแดดเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ทีละข้าง จนมันได้แต่นั่งอึ้งตัวแข็งทื่อเป็นผีดิบ
ไม่เคย!
ไม่เคยมีอะไรแบบนี้!
ไม่เคยมีใครมาหอมแก้มไอ้จ๋าแบบนี้มาก่อน! แต่ตอนนี้มันเคยแล้ว มันถูกหอมแก้มแล้วทั้งสองข้างเลย รู้สึกดีชะมัด!
พากันนั่งอึ้งจนเกิดความเงียบขึ้นอีก เป็นคนตัวผอมรู้สึกตัวก่อน จึงหลบตาเม้มปากแน่นกลั้นรอยยิ้ม เพิ่งรู้สึกเขินกับการกระทำของตัวเอง ดีใจจนเกินงามเขินมากจนสั่นไปทั้งตัว ส่วนไอ้จ๋าแน่นอนว่ามันเองก็ยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว ถึงได้วนรถกลับไปหาคนที่ทิ้งไว้
“ทำไมเงียบ”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เมื่อไหร่เธอจะลงไปจากตักฉันสักที”
“อุ๊ย! ขอโทษ” กำลังลงมานั่งที่เบาะรองดี ๆ เอวบางก็ถูกรวบไว้แน่นจนเนื้อแนบเนื้อ
“ไม่ต้องแล้วเพราะฉันจะทำโทษเธอก่อน”
“ทำโทษอะไรเราไม่ได้ทำอะไรผิด..อุบ! ” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ริมฝีปากสวยก็ถูกไอ้จ๋าบดเบียดยัดเยียดริมฝีปากของมันเข้าหา บดบี้ขยี้อย่างมันเขี้ยว แต่ไม่ได้รุกล้ำเข้าสู่ความหวานฉ่ำข้างใน
“โทษฐานที่ทำให้ฉันหัวเสียมาทั้งวัน” ไอ้จ๋ากระซิบบอกชิดกลีบปากสีสดนุ่มนิ่ม หน้าผากทาบหน้าผากให้ตาสองคู่ได้สบกันในระยะประชิด
“แต่ อื้อ..” คนโดนปล้นจูบที่เพิ่งจะเสียจูบแรกเงอะงะ ไอ้จ๋ารำคาญเลยเอามือกดท้ายทอยเล็กไว้ จัดให้ได้องศาต้องการ มันจูบเอาจูบเอาจนคนตัวผอมหายใจแทบไม่ทัน
เฮือก! “จ๋า พอก่อนเราหายใจไม่ทันทำไมจูบเก่งจังเลย” ไอ้จ๋าแค่นเสียงฮึจากลำคอ อยู่ดี ๆ หัวใจของมันก็พองโตคับอก แต่แสร้งตีหน้ายักษ์กลบเกลื่อน
“เพราะเธอมันอ่อนไงล่ะยายส้มเน่า”
“ก็เราไม่เคยจูบกับใครมาก่อนนี่” ก้มหน้าเอียงอายตัวสั่นสะท้านจนไอ้จ๋านึกขำ
“ดีแล้วที่ไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แล้วอย่าให้รู้นะว่าแอบไปจูบกับคนอื่น พ่อจะหักกระดูกเล็ก ๆ นี่มาแคะขี้ฟันเสียเลย” ไอ้จ๋ากำข้อมือเล็กชูขึ้นประกอบคำขู่เข้ากับตาดุของมัน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงความหวงออกมา
“พูดอะไรน่ากลัว ปล่อยได้หรือยังอยากนั่งดี ๆ แล้ว”
“นั่งตักฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ ได้ข่าวว่าเธอขึ้นมานั่งเองโดยไม่ได้เชิญนะ”
“ตอนนี้ก็อยากลงแล้วไง”
“จะลงก็ได้ แต่ต้องตกลงคบกับฉันก่อน”
“หา! ” ออเรนจ์ตาโต คนอะไรก็ไม่รู้กลางวันทำให้ร้องไห้ กลางคืนมาทำให้ใจสั่น
“จะมาตกใจอะไรวะคบไม่คบ” ยิ่งออเรนจ์อ้ำอึ้งไอ้จ๋ายิ่งเสียงดัง ไม่ใช่อะไรตัวมันเองก็เขินไม่น้อยไปกว่ากัน คนอย่างมันเคยทำอะไรอย่างนี้กับเขาที่ไหนล่ะ “หรือจะไม่คบ เธอไม่อยากเป็นแฟนกับฉันใช่ไหม”
“ทำไมล่ะ ถ้าเราบอกไม่เป็นจ๋าคงไม่สนหรอกใช่ไหม” ออเรนจ์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้ากร้านแดด กัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ “ที่จริง..ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้จ๋ารำคาญ วันนี้เลยคิดว่าจะตัดใจไม่เจอกันอีก โอ๊ย! ”
“ปากดี” ไอ้จ๋าบีบคางเรียวกดจูบหนัก ๆ ลงที่ปากสวยแถมดูดแรง ๆ ส่งท้าย ทั้งที่มันพึ่งบอกไปว่าชอบเหมือนกัน ทั้งที่มันเพิ่งชวนมาคบกัน ไอ้จ๋าอุตส่าห์ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มาบอกว่าตัดใจไม่เจอกันอีก มันเข้าข่ายหักหน้ากันชัด ๆ แล้วมีหรือคนอย่างไอ้หมาหน้าดำมันจะยอม!
“อื้อ จ๋า”
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าหูอีกไม่งั้นโดน.. ยิ้มอะไรยายเน่า”
“เปล่า” แค่ดีใจมากจนหุบยิ้มไม่ได้เลยต่างหาก
ถึงร่างบนตักจะเบาสำหรับไอ้จ๋า แต่ถ้านั่งนาน ๆ ก็เมื่อยได้เหมือนกัน มันจึงขยับถอยพิงหลังกับเตียงนอน โดยมีร่างบอบบางนั่งคร่อมตักติดมาด้วย ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างมองตากันและกัน ความรู้สึกเต็มตื้นในใจ
“นี่เรื่องจริงใช่ไหม”
“เออ”
“อะไร เออแค่นี้เหรอ”
“แล้วจะให้ตอบอะไรล่ะ” สมเป็นไอ้หัวเกรียนจริง ๆ
“ก็..” ออเรนจ์ทาบฝ่ามืออุ่นลงกับแก้มสากทั้งสองข้างของไอ้จ๋า แนบไว้อยู่อย่างนั้น ตาสวยกวาดมองทั่วใบหน้ากร้านกวนอย่างหลงใหล ไล้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างลงที่ริมฝีปากหยักเบา ๆ แต่เล่นเอาไอ้จ๋าเสียววาบไปถึงท้องน้อย ฮึ่ม!
“ทำอะไรของเธอเนี่ย หยุด ๆ “ ก่อนที่มันจะรู้สึกไปมากกว่านี้
“จับหน้าแฟน”
“พอ ๆ ไม่ต้องลูบ” แน่ล่ะสิแค่นั่งคร่อมตักอยู่นี่ ไอ้จ๋ามันก็ร้อนวูบวาบด้วยความรู้สึกไปทั้งตัวแล้ว ไหนจะมือเล็ก ๆ นิ่ม ๆ ที่ทาบอยู่บนแก้มแล้วไล้นิ้วเบา ๆ บนริมฝีปากของมันอย่างซุกซนนี่อีก ไอ้จ๋าไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะเว้ยจะได้ไม่รู้สึกอะไร!
“อย่ามาอ่อยให้ยากเธอไม่ได้แอ้มฉันหรอก”
“ก็อยากอ่อยแฟน” เจ้าของร่างผอมนึกสนุกอยากแกล้งจึงได้กล้าพูด ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“อะไรนะพูดใหม่ซิฟังไม่ทัน”
“เปล่า” ทำไมต้องลาดเสียงยาว
“พูดใหม่สิ น้ำส้ม”
“ไม่เรียกส้มเน่าหรือไง” ไอ้จ๋าไปไม่เป็นเลยหัวเราะกลบเกลื่อน เพราะอยู่ดี ๆ ก็นึกอยากเรียกออเรนจ์ว่าน้ำส้มขึ้นมา แล้วก็ห้ามปากตัวเองไม่ทัน
“ฉันไม่ชอบชื่อออเรนจ์ ต่อไปเธอต้องเป็นน้ำส้มของฉันเข้าใจหรือเปล่า ชื่อนี้มีฉันเรียกได้คนเดียว” พออีกคนพยักหน้ารับ ไอ้คนเผด็จการมันก็ยิ้มพอใจ “ตกลงชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จริง ๆ ชื่ออะไรกันแน่ยายส้มเน่า”
“อีกละส้มเน่าอีกแล้วจ้างก็ไม่บอกหรอก”
“กวนเหรอเดี๋ยวเถอะ” ไอ้จ๋าเชยคางน้ำส้มขึ้นประกบปาก ฉกชิงความหวานละมุนผ่านการบดเบียดละเลียดจูบ ให้จังหวะเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกัน เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายเรียกร้อง ตัวมันเองใช่จะจูบเก่งมาจากไหน เอาจริง ๆ ก็ไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเหมือนกัน แค่เคยเห็นในละครทีวีมาบ้างว่าทำกันยังไง เอาปากมาแตะกันตรงไหน แต่ยังไม่เคยปฏิบัติจริง ที่ทำ ๆ อยู่นี้มันเป็นไปเองตามความเรียกร้องของหัวใจ ต่อไปคงต้องหาคลิปมาดูสักหน่อยแล้วล่ะ แต่...พี่ฮีโร่คู่ใจของมันดูคลิปไม่ได้นี่หว่า..
 
ต่อเด้อจ้า...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-12-2018 22:04:00



“จะพาเราไปไหนไม่บอกเราจะโดด”
“อย่าดื้อกับพี่! ” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงดุจับข้อมือต้นกล้าไว้แน่น ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้นกล้านึกกลัว
“เผด็จการเอาแต่ใจจริง ๆ ” ใช่วันนี้เด็ดเดี่ยวขอเผด็จการและเอาแต่ใจตัวเองสักวัน มีอย่างที่ไหนยอมให้คนอื่นจูบ ถึงต้นกล้าจะไม่เต็มใจก็ตามเถอะ สุดท้ายก็ถูกจูบอยู่ดี “ทำไมทางมันมืดอย่างนี้ เราว่ากลับดีกว่าไหม”
“กลัวอะไรแค่มืด”
“ไม่ได้กลัวแค่ไม่อยากไป ถ้าไม่พากลับเราจะโกรธจริงแล้วด้วย”
“ตอนนี้พี่โกรธต้นกล้าอยู่นะ อย่าลืมว่าพี่โกรธก่อน”
“เราไปทำอะไรให้โกรธตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
“ทำลืมหน้าตาเฉยแบบนี้ให้ไปถึงที่ก่อนเถอะเดี๋ยวรู้กัน” ต้นกล้าอดมองออกไปยังความมืดข้างนอกไม่ได้ เด็ดเดี่ยวจอดรถแล้วดับเครื่อง แต่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ตามองตรงไปยังป่าข้างหน้า ไม่พูดไม่คุยไม่บอกอะไรสักอย่าง
“ที่นี่ที่ไหนพาเรามาทำไม” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่ปิดไฟหน้ารถถอดกุญแจออก เปิดประตูลงจากรถไป ต้นกล้ามองตามหงอย ๆ ใจให้รู้สึกหวั่น คราวนี้คนตัวโตคงโกรธจริงอย่างที่บอกเข้าแล้ว
“ลงมาสิ” ขายาว ๆ พาก้าวไปตามทางสายเล็ก รอบตัวป่าหญ้ามืดไปหมด แต่ก็อุ่นใจเพราะมากับเด็ดเดี่ยว ที่คงไม่พามาฆ่าหมกป่าเหมือนในข่าวหรอก (มั้ง)
“ขึ้นไป” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วเบี่ยงตัวให้ ต้นกล้าจึงได้เห็นบันไดลิงที่พาขึ้นไปบนบ้าน บ้านเหรอ? มันเป็นบ้านหรือกระท่อม ที่ต้นกล้าไม่สามารถมองเห็นสภาพทั้งหมดได้เพราะความมืด มันมืดมากในความคิดของคนขี้กลัว ทั้งที่มีแสงจากไฟฉายอันเล็กส่องทาง ต้นกล้าลังเลแต่ก็ถูกอีกคนดันหลังให้ก้าวขึ้นไปก่อน
“มืดจัง”
“ไม่มีไฟมันก็ต้องมืดสิ” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงนิ่ง มันนิ่งมากจนคนฟังรู้สึกแปลก ๆ ปกติเสียงของเขาจะทุ้มนุ่มน่าฟัง ได้ยินแล้วรู้สึกว่าคนพูดใจดีอารมณ์ดีอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ทำไมได้ยินแล้วมันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ แบบนี้วะ!
“แล้วจะมาทำไมค่ำ ๆ มืด ๆ ก็ไม่รู้”
“แล้วอยากอยู่กับไอ้หน้าปลาเข็งนั่นหรือไง”
“อย่ามาหาเรื่องเรานะ” พอขึ้นมาข้างบนได้ แสงจากไฟฉายอันเล็ก ส่องให้เห็นว่าที่นี่เป็นบ้านต้นไม้หลังกะทัดรัด มีระเบียงไม่กว้างมากรอบตัวบ้าน ลูกกรงระเบียงทำจากกิ่งไม้ดัดอย่างมีศิลปะ ในความมืดยังเห็นว่าถูกเคลือบเงาไว้อย่างดี
ตะเกียงเจ้าพายุกับน้ำมันมีพร้อมอยู่แล้ว เด็ดเดี่ยวจุดมันขึ้นมาสองอัน อันแรกวางไว้บนหลังตู้ใบเล็ก ส่วนอีกอันเอาออกไปวางไว้ข้างนอก แสงสว่างสาดกระจายไปทั่วห้อง ผนังด้านหนึ่งมีชั้นไม้ตั้งอยู่ข้างตู้ชั้นลิ้นชักเก็บของทำจากไม้ อีกมุมของห้องมีฟูกนอนพับเก็บเป็นระเบียบ
“เดี๋ยวพี่จะไปอาบน้ำที่ลำธารไปด้วยกันไหม” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวตาแป๋วแต่ไม่ตอบคำ “ไม่ไปก็รออยู่นี่พี่ไปแป๊บเดียว ทำงานมาทั้งวันเหนียวตัว” ต้นกล้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนตัวโตยังอยู่ในชุดทำงาน เด็ดเดี่ยวไม่รอคำตอบเดินไปเปิดตู้ลิ้นชัก ในนั้นมีของใช้บางส่วนที่เอามาไว้ หยิบของที่ต้องการแล้วเดินหน้านิ่ง ผ่านต้นกล้าจะออกจากห้อง
“ไปด้วย แต่เราไม่อาบนะ”
   เด็ดเดี่ยววางตะเกียงเจ้าพายุกับของที่ถือมาไว้บนท่าน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าออกไม่สนใจคนที่ยืดชิดเกาะติดไม่ห่าง จนถอดปราการชิ้นสุดท้ายทิ้ง แล้วเดินโทง ๆ หน้าไม่อายลงบันไดท่าน้ำนั่นแหละ ต้นกล้าจึงทำท่าว่าจะขยับตามไปด้วย “ตามมาทำไมไหนว่าไม่อาบ”
“อะ เอ่อ จะอาบแล้วเหรอ ก็ไปสิ”
   ต้นกล้านั่งหย่อนเท้าลงบนท่าน้ำ สัมผัสความเย็นของสายธารา หิ่งห้อยสองสามตัวบินเกาะเล่นตามยอดผักบุ้งลอยเหนือผิวน้ำ ตาสวยกวาดมองรอบตัวจนหยุดที่แผ่นหลังกว้าง ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อตึงแน่น ผิวสีแทนกระทบแสงไฟจากตะเกียงดวงใหญ่เป็นสีทองแดงนวลตา ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างกำยำย่อตัวลงช้า ๆ จนจมน้ำมิดหัว แต่ไม่นานก็โผล่ขึ้นแล้วหันกลับมามองต้นกล้าตาดุ หยดน้ำที่เกาะอยู่บนกล้ามแน่นกระทบแสงไฟดูพราวระยับ ผมถูกเสยขึ้นเผยให้ใบหน้าหล่อคมคร้ามน่ามอง
พอเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามาใกล้ ต้นกล้าจึงได้เห็นว่าสายตาคู่นั้น มันนิ่งดุกว่าครั้งไหน ๆ แต่กลับน่าหลงใหลจนไม่อาจถอนสายตามองไปทางอื่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เห็นเด็ดเดี่ยวทำหน้าดุโหดโกรธจริงจัง ส่วนครั้งแรกก็ตอนถูกลงโทษ จนต้องเสียจูบแรกให้คนหน้ามึนนั่นไง
“โกรธเราเหรอโกรธมากเลยหรือไง” เด็ดเดี่ยวยังเงียบมือถูสบู่เร็ว ๆ ไปตามร่างกาย ดึกมากแล้วน้ำก็เย็นเขาเองเริ่มหนาว กำลังจะว่ายน้ำออกไปช่วงที่ลึกกว่านี้ แต่ถูกต้นกล้ารั้งไหล่ยึดตัวไว้จากด้านหลังก่อน
“โกรธลงอยู่เหรอ” เสียงที่ดังไม่เกินกระซิบทำให้ร่างสูงหยุดนิ่ง แต่เพียงแค่ครู่เดียวคนตัวโตก็ดันร่างตัวเองออก ว่ายข้างหน้าดำหายลงไปใต้น้ำมืด ๆ
   ต้นกล้าหัวใจกระตุกขอบตาร้อนผ่าว มองตามร่างที่จมหายลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ความกลัวเกาะกินหัวใจ ไม่ใช่เพราะกลัวอะไรที่มองไม่เห็นเหมือนเคย ตอนนี้ต้นกล้าไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ นอกจากความรู้สึกของเด็ดเดี่ยว คิดว่าอีกคนคงเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก จนถึงขนาดดึงให้หยุดยังไม่ยอม ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ หาคนที่จมลึกลงไปในน้ำ จนผ่านไปเป็นครู่แล้วยังไม่ยอมโผล่ขึ้นมา
“เด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าเรียกเบา ๆ พลางขยับลงไปนั่งบนบันไดท่าน้ำอีกขั้น ใจนึกเป็นห่วง มันนานเกินไปแล้ว เด็ดเดี่ยวดำน้ำลงไปนานจนต้นกล้าเริ่มกังวล “เด็ดเดี่ยวขึ้นมาสิ อย่าเล่นอย่างนี้เราไม่ขำนะโว้ย”
“...” แต่อีกคนยังคงเงียบเหมือนเดิม ใบหน้าหล่อเกาหลีที่สีหน้าแย่อยู่แล้ว เลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นัยน์ตาที่เคยเป็นประกายสดใสมีแววหวาดหวั่น
“เรา เราขอโทษ” ความเงียบคือคำตอบที่ต้นกล้าได้รับ คนหัวแดงเริ่มกระวนกระวาย มันไม่ใช่เรื่องปกติที่มนุษย์จะอยู่ใต้น้ำได้นานขนาดนี้ ผืนน้ำยังเรียบและนิ่งสนิท หิ่งห้อยตัวน้อยยังบินหยอกล้อยอดผักบุ้ง ไม่รับรู้ความร้อนรนของต้นกล้า แสงไฟจากตะเกียงที่วูบไหว ไม่ทำให้คิดถึงสิ่งลี้ลับหรือภาพหลอนอย่างเคยเป็น เพราะใจพะวงถึงคนที่อยู่ในน้ำมากกว่า
“เด็ดเดี่ยวขึ้นมานะ ขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ” ต้นกล้าตะเบ็งเสียงเรียก แต่นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนกลับมา และเสียงจิ้งหรีดเรไรขับกล่อม ก็ไม่มีเสียงอื่นดังมาให้ได้ยิน ผืนน้ำยังเงียบ เรียบ และนิ่ง หิ่งห้อยยังเมินเฉยต่อความร้อนใจของเขา เสียงกบเสียงเขียดยังดังตามประสาของมัน ต้นกล้าหันซ้ายหันขวาตัดสินใจหย่อนขาทิ้งตัวลงน้ำ
“เฮ้ย! เด็ดเดี่ยว” คนขี้งอนโผล่พรวดขึ้นมาตรงหน้า เล่นเอาต้นกล้าสะดุ้งจนตัวโยน แต่กระนั้นความโล่งใจก็มีมากกว่า จะโกรธเลยโกรธไม่ลง
   เด็ดเดี่ยวเองก็ชะงัก ที่โผล่ขึ้นมาแล้วเห็นต้นกล้าอยู่ในท่าแปลก ๆ เหมือนกำลังจะกระโดดลงน้ำ แววตาของคนหัวแดงเอ่อไปด้วยความห่วงหาอาทร เด็ดเดี่ยวหันหลังทำท่าจะกลับลงน้ำไปอีก แต่ไหล่ทั้งสองข้างถูกรั้งไว้ก่อน
“เด็ดเดี่ยว” ไม่รู้เพราะสำนึกในความผิดตัวเองหรือเพราะห่วงมาก หรือเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไปพอสมควร ต้นกล้ายึดไหลแกร่งทั้งสองข้างบีบไว้แน่น
“ก็รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ยังจะโกรธอยู่หรือไง” รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของคนในน้ำ แต่ยังเงียบไม่ยอมพูด ที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะโกรธหรืองอน เด็ดเดี่ยวแค่ยังจัดการความรู้สึกหนัก ๆ กับอาการน้อยใจที่สั่งสมแต่เช้าไม่ได้
ต้นกล้าจับให้เด็ดเดี่ยวหันหน้ากลับมาหา เล่นเอาคนตัวโตใจสั่นจนอึ้งไปเลย เพราะมันไม่ใช่แค่การจับให้หันมาเผชิญหน้ากันเฉย ๆ แต่อีกคนยังเกี่ยวร่างแกร่งไว้ด้วยขาเรียวจนขยับไปไหนไม่ได้
“จะโกรธจริง ๆ เหรอ” สายตาเว้าวอนคู่นี้ เล่นเอาใจที่แข็งแกร่งของสุภาพบุรุษหนุ่มแห่งบ้านทุ่งดอกจานแทบละลาย แต่เพราะอยากรู้ว่าต้นกล้าจะทำยังไงต่อจึงยังเงียบ “ขอโทษครับ” สัมผัสจากมือเรียวที่ประคองสองแก้ม ให้ความรู้สึกอุ่นไปถึงกลางอก ความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีมาทั้งวันหายไปเหมือนถูกปลิดทิ้ง
“จูบเราสิ” เป็นคำสั่งที่ค่อนข้างเผด็จการแต่ถูกใจคนฟังยิ่ง “ทำสิจูบเราหน่อยลบรอยนั่นออกไปที” เด็ดเดี่ยวอึ้งจนกลายเป็นใบ้ โชคดีที่หูไม่หนวกจึงได้ยินคำสั่งชัดเจน
เพราะฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไปไม่น้อย ทำให้ต้นกล้าเอ่ยปากพูดอะไรแบบนี้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้เมาจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ต้นกล้ารู้ตัวดีทุกอย่าง และความรู้สึกของคนคนนี้คือความรู้สึกที่ต้นกล้าอยากใส่ใจที่สุด
   ใบหน้าหล่อใสขึ้นสีระเรื่อ โน้มลงมาหาคนที่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงป้อนจูบ รอยราคีจากใครบางคนกลายเป็นส่วนเกิน ถูกทาบทับบดขยี้จนเลือนหาย ริมฝีปากประกบ บดเบียดความอบอุ่นผ่านกลีบปากนุ่มละมุน ลิ้นเรียวแลกความหวามหวานเกี่ยวพันดูดดื่ม ความต้องการกันและกันล้นเอ่อ ทั้งที่ช่วยกันตักตวงเก็บเกี่ยวผ่านเรียวลิ้นกระหวัดรัดรึง แต่เหมือนยังไม่เพียงพอ เด็ดเดี่ยวขยับเข้ามาจนแนบชิด ต่างคนต่างกอดรัดลูบไล้ระบายความโหยหา
“ยังโกรธอยู่ไหม” ต้นกล้าถามชิดปากหยักชุ่มฉ่ำ สองมือสอดแทรกเข้าไปในเส้นผมเปียก สองตาสบประสานกัน ถามแต่ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวโตได้ตอบ จึงมีเพียงเสียงครางจากลำคอแทนคำตอบว่าพอใจที่สุด
   ทุกความรู้สึกถูกปลดปล่อย ความกังขาถูกโยนทิ้ง ทั้งสองเปิดรับกันและกันอย่างควรจะเป็น แสงตะเกียงเจ้าพายุที่สว่างวับแวมไปทั่ว บัดนี้เหลือเพียงความริบหรี่แต่ยังไม่ดับมอด ให้แสงสลัวนวลตาอาบสองร่างเคล้าแสงจันทร์เสี้ยว ท่ามกลางเสียงเรไรขับกล่อมราตรี บรรยากาศงดงามเหมือนภาพฝันตราตรึงใจ
เด็ดเดี่ยวดึงเสื้อผ้าออกให้ทีละชิ้น เผยกายโปร่งในแสงขมุกขมัว หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนราวคู่รักกำลังหยอกล้อ ลมกลางคืนโชยกระทบร่างเปลือยเปล่าเย็นจนขนลุก แต่ความร้อนระอุในกายมันร้อนแรงมากกว่า โอบแผ่นหลังพาต้นกล้าก้าวขึ้นบันได ไล่จูบตั้งแต่ซอกคอระหงจนถึงยอดอกเม็ดเล็กเชื้อเชิญให้เขาชิม
 “อ๊ะ! ดะ เดี่ยว เด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าผวากอดกระซิบเรียกเสียงสั่น เมื่อกลางกายที่ตื่นตัวถูกมือสากงานนวดคลึง ปลายนิ้วปัดป่ายผ่านส่วนปลายป้าน เรียกความสะท้านจนสั่นไหว เสียงหายใจหอบถี่เร้าอารมณ์ยิ่ง ความมึนจากเหล้าบวกแรงกำหนัด กระพือความต้องการให้โหมแรง เหมือนมีไฟลุกโชนในกาย
“เด็กรั้นของพี่..” ร่างแกร่งกำยำขึ้นมาบนท่าน้ำทั้งตัว โน้มลงทาบทับร่างที่อยู่ในอ้อมกอดให้นอนราบไปกับพื้นไม้ ร่างเปลือยเปล่าเปียกน้ำขยับเข้าแนบเนื้อ จนรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ตื่นตัว
“สัมผัสพี่หน่อยครับคนดี” สิ้นเสียงเรียกร้อง มือเรียวถูกดึงมาวางบนความแข็งตระหง่าน ให้กอบกุมนวดคลึงเอาใจ “ต้นกล้า” แค่ถูกมืออุ่น ๆ สัมผัส เด็ดเดี่ยวก็ห้ามเสียงครางกระเส่าของตัวเองไว้ไม่อยู่ ขณะไล่จูบไปตามเนื้อนวล ยังเผลอปล่อยเสียงแหบพร่าเรียกอย่างหลงใหล หอบหนักเพราะแรงปรารถนาจนต้องสูดปากระบายความกระสัน ลืมสิ่งรอบกาย ลืมเสียงเรไรขับกล่อม ลืมแสงนวลตาของหิ่งห้อยตัวน้อยที่บินวน ลืมแสงจากจันทร์เสี้ยวที่อาบไล้เพียงสลัว ลืมแสงวับแวมจากตะเกียงที่หรี่ลงจนใกล้ดับ มีเพียงความเร่าร้อนที่ระอุแรงขึ้น เรียกร้องการหลอมรวมความปรารถนาให้เป็นหนึ่งเดียว
“คนดีของพี่” สิ้นเสียงกระซิบอ่อนโยน ต้นกล้ารู้สึกถึงร่างกายถูกพรมจูบไปทั่ว เกิดความกระสันไปทุกอณูเนื้อ จนหลุดเสียงครางหวานซ่านอารมณ์ รสจูบร้อนแรงจนต้นกล้าแทบขาดใจ แต่คนตัวโตไม่มีทีท่าจะปรานี หรือลดระดับความร้อนแรงลงสักนิด ราวกับจะฆ่ากันให้ตายด้วยสัมผัสวาบหวามเย้ายวน
“อ๊ะ! อื้อ พี่เดี่ยว” เด็ดเดี่ยวนวดคลึงความเป็นชายของต้นกล้า ด้วยน้ำหนักมือที่เพิ่มขึ้น เขาอยากให้มันดีที่สุด ประทับใจน้องที่สุด ลิ้นร้อนไล้ชิมผ่านผิวเนื้อทุกจุดไวสัมผัส เจ้าของร่างโปร่งสยิวจนตัวบิดเร่า ยอดอกเม็ดเล็กถูกจู่โจมด้วยปลายลิ้นอุ่น ไล่จูบตามนวลเนื้อลงต่ำจนลิ้นร้ายมาถึงปลายทางที่ต้องการ โพรงปากอุ่นครอบครองความเป็นชายขนาดพอตัว ที่ผงาดกล้าในอุ้งมือ เด็ดเดี่ยวครอบครองดูดดื่มเข้ากับจังหวะรูดรั้งถี่รัว จนความเสียวซาบซ่านจากทุกส่วน บิดมวนรวมที่จุดกลางกาย แตกกระจายเป็นความรู้สึกถูกปลดปล่อย
“อ่า เด็ดเดี่ยว พี่เดี่ยว ไม่ไหวแล้วนะ“ ร่างขาวนวลกระตุกเกร็ง ใบหน้าหล่อเกาหลีหงายเชิด ความปรารถนาถูกปลดปล่อยออกมาเป็นสายธารเข้าสู่โพรงปาก บางส่วนเอ่อล้นเปรอะเปื้อนมือใหญ่ ความเร็วของจังหวะชักนำค่อย ๆ ลดลง ต้นกล้าหอบหายใจเหนื่อยร่างทั้งร่างเบาหวิว
ดวงตาหวานปรือปรอยหยาดเยิ้ม เรียกรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อคมยามก้มลงจูบปลอบ ต้นกล้าเผยอปากรับความหวานละมุน จากจูบดูดดื่มอย่างหลงใหล แก้มใสขึ้นสีเรื่อในแสงสลัว คนตัวโตอดใจไม่ได้ก้มลงไปหอมฟอดใหญ่ แทะเล็มเลยไปตามใบหู จุดความปรารถนาของต้นกล้าขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นของพี่นะครับคนดี” เสียงกระเส่ากระซิบชิดหู จนรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นขยับตามจังหวะพูด ต้นกล้าสยิวจนขนลุกซู่ แต่ก็พยักหน้ารับน้อย ๆ ปากสวยถูกครอบครอง เรียวลิ้นหวานละมุนเกี่ยวกระหวัดรัดรึง ขาเรียวถูกจับแยกออกกว้าง แทรกกายหนาเข้ามาแนบชิด ความเป็นชายใหญ่โตพร้อมรบจ่อสอดแทรกเข้าเติมเต็ม
“อื้อ จะ เจ็บ”
“เดี๋ยวมันจะดีเองพี่สัญญา” รอยยิ้มละมุนประดับใบหน้าคมคาย เด็ดเดี่ยวพลิกตัวเปลี่ยนไปอยู่ข้างล่าง ให้ต้นกล้าขึ้นมาอยู่ข้างบน “กดตัวลงมาเองจะได้ไม่เจ็บมาก”
“เราก็ยังเจ็บอยู่ดี” เด็ดเดี่ยวยิ้มอ่อนปลอบใจ ถึงบอกเจ็บแต่ไม่มีสักคำที่บอกพี่ให้หยุด คนดีของพี่น่ารักจริง ๆ
“พี่ขอโทษ อย่าเกร็งตัวพี่จะไม่ไหวแล้วครับ” ต้นกล้าในท่านั่งคุกเข่า ผวากอดลำคอแกร่งซบหน้าลงกับไหล่กว้าง เมื่อคนตัวโตจับสะโพกบังคับให้กดตัวลง เด็ดเดี่ยวโยกตัวช้า ๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ จนในที่สุดร่างกายก็ประสานเข้าด้วยกันจนสุดทาง
“พี่ใจจะขาดแล้วครับคนดี”
“สะ สมน้ำหน้า อย่าพึ่งทำเราเจ็บอยู่”
ฟอด “จูบปลอบพี่หน่อยสิ วันนี้พี่น้อยใจทั้งวันเลย”
“ดีสมน้ำหน้า” ถึงจะต่อว่าปากเก่งแต่กลับไม่กล้าสบตากัน ต้นกล้าว่าง่ายแตะริมฝีปากอุ่นลงกับกลีบปากคนตัวโต เลาะเล็มแผ่วเบา เปิดโอกาสให้คนเรียกร้องการปลอบโยนสนองตอบถึงใจ ส่วนร่างกายช่วงล่างประสานกันแนบแน่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมรุก ทั้งที่ความต้องการในร่างกาย กำลังจะทำให้เขาขาดใจตายอยู่แล้ว
เด็ดเดี่ยวขยับตัวช้าเนิบ จุดความวูบวาบซาบซ่านให้คนบนร่างขึ้นทีละน้อย เพราะสัมผัสที่กระตุ้นอยู่ภายใน กำลังเปลี่ยนความเจ็บให้เป็นความซ่านเสียว ก่อตัวเป็นความกระสันวูบวาบ ต้นกล้าเจ็บปนเสียว เกิดอยากรู้อยากลองและต้องการมากกว่านี้
   เด็ดเดี่ยวเอนร่างนอนหงายไปกับพื้น ใช้อกกว้างแกร่งรองรับร่างโปร่ง ปากยังมอบจูบรุ่มร้อนปนเร่งเร้า สรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัวถูกลืมเลือน หิ่งห้อยตัวน้อยที่คอยเปล่งแสงเรืองรองถูกเมิน แสงจากจันทร์เสี้ยวที่หม่นอยู่แล้วยิ่งหม่นหมองลงไปอีก พอกันกับตะเกียงที่บัดนี้เหลือเพียงความริบหรี่จนแทบดับ เมื่อสองร่างประสานรักหนักแน่น ทุกจังหวะรับกันได้อย่างพอดีจนความสุขล้นปรี่ท่วมท้นใจ
“ปลอบพี่หนัก ๆ สิครับ“ บั้นท้ายต้นกล้าถูกมือใหญ่จับกดลงหนัก ๆ อย่างที่ปากบอก เด็ดเดี่ยวเด้งตัวเองขึ้นใส่ จนความใหญ่โตคับแน่นภายในโดนจุดกระสัน มันเสียดสีซ้ำไปซ้ำมาตามจังหวะกระแทกกระทั้นกับผนังเนื้อนุ่มไวความรู้สึก จนเสียววาบปราบแปลบไปทั้งตัว เหมือนมีประจุไฟฟ้ากระจายอยู่ในร่างกาย “จูบพี่”
“เด็ดเดี่ยว อ๊ะ! อือ” รู้สึกถึงแรงกดที่ท้ายทอยเป็นการบังคับกลาย ๆ เมื่อคนตัวโตบอกให้จูบ ต้นกล้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะในใจก็เรียกร้องสิ่งเดียวกัน ต้นกล้ามอบจูบร้อนแรงถึงใจ ขณะที่เด็ดเดี่ยวเร่งจังหวะรักรัวเร็ว จนหนำใจแล้วเจ้าของร่างสูงใหญ่จึงดันตัวเองขึ้นนั่ง ร่างโปร่งยังอยู่ในอ้อมกอดแน่นไม่คลาย
เด็ดเดี่ยวค่อย ๆ วางต้นกล้าให้นอนราบไปกับพื้น ขาเรียวตั้งฉากอ้ากว้างรับร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยอมห่าง  ไม่ยอมถอดถอนร่างกายออกจากกัน จังหวะรักยังคงร้อนแรง ความสุขสมเสียวซ่านจากการหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่ง มอมเมาให้ตอบสนองความเร่าร้อนแต่ทะนุถนอม ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเรียกร้องการปลอบโยน แต่ริมฝีปากอุ่นยังจูบซับปลอบประโลมไปตามนวลเนื้อ ต้นกล้าหลงระเริงไปกับอารมณ์รักที่หลอมรวม จังหวะรักเร่าร้อนจนเหงื่อเม็ดโตผุดไปทั่ว ลมดึกที่ว่าเย็นสบายยังไม่อาจบรรเทาความรุ่มร้อนนี้
“ไม่ไหว แล้ว เด็ดเดี่ยว เรา..อื้อ” ต้นกล้าจับกลางกายตัวเองแน่น ขยับให้เข้ากับจังหวะที่คนตัวโตเสือกไสนำพา ปากสวยพร่ำบอกไม่เป็นภาษา ความซ่านกระสันแทรกซึมทุกส่วนของร่างกายเสียวสะท้านแทบขาดใจ
“อีกนิดนะครับ..ไปพร้อมกัน อืม”
“อะ โอ๊ย..พี่เดี่ยว”


ต่อ.....
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-12-2018 22:05:45

“ครับ” ใบหน้าหล่อเกาหลีหงายเชิดขึ้น ร่างกายเดินทางมาจนถึงจุดสูงสุดยากควบคุม หยาดแห่งความปรารถนาถูกปลดปล่อย พร้อมความรู้สึกอุ่นวาบในร่างกาย
 เด็ดเดี่ยวย้ำสะโพกเน้น ๆ อีกสองสามครั้งแล้วทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง
“คนดีของพี่” เสียงกระเส่าปนหอบกระซิบคลอเคลีย ต้นกล้าหมดแรงต่อต้านได้แต่รอฟัง “เป็นของพี่แล้วนะ” กลีบปากหยักกดหนัก ๆ ลงกลางหน้าผากนวล ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าหล่อใสชื้นเหงื่อ ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่วันแรก มือเรียวถูกกอบกุมดึงเข้าหาตัว เด็ดเดี่ยวคลี่ฝ่ามือต้นกล้าให้ทาบทับกับกลางอก ตรงตำแหน่งที่มีก้อนเนื้อเต้นเป็นจังหวะหนักแน่น
 เขากระซิบต่อ “คอยดูหัวใจพี่ว่าจะรักต้นกล้าได้มากแค่ไหน พี่ไม่สัญญา แต่ในนี้จะมีคนคนเดียวเป็นเจ้าของ” จูบหวานละมุนประทับบนกลีบปากสวย ใจดวงน้อยหวั่นไหวไปกับคำรื่นหู ต้นกล้าเลยได้แต่เผยอปากรับเอาความหอมหวาน หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนเวียนรอบตัว แสงริบหรี่จากตะเกียงเจ้าพายุเป็นพยาน จันทร์เสี้ยวลับยอดไม้ไปแล้ว ลมอ่อนและน้ำค้างยามดึกเริ่มลงจนหนาวเนื้อ ยังดีที่มีไอรักซาบซ่านอยู่ในใจ กับอ้อมกอดมั่นคงคอยปลอบให้พอคลายหนาว
 “ดะ เดี๋ยว พอก่อน”
“ไม่พอหรอกแค่นี้ไม่พอ” เด็ดเดี่ยวไม่สนใจซุกใบหน้าลงกับซอกคอหอมอ่อน ๆ ส่ายหัวปฏิเสธ เขาขยับตัวแต่ไม่ยอมถอดถอนตัวเองออก ร่างโปร่งถูกรวบกอดแน่นจนเนื้อแนบเนื้อ เมื่อคนตัวโตพาลุกขึ้นยืน ต้นกล้าตกใจผวากอดคอตวัดขาเรียวเกี่ยวเอวสอบไว้มั่น “เล่นน้ำกันดีกว่า”
“จะบ้าเหรอมาเล่นอะไรตอนนี้มันดึกแล้ว ง่วงจนตาจะปิดแล้ว”
“งั้นล้างตัวแล้วขึ้นไปนอนนะครับ”
“ปล่อย อื้อ..”
“เป็นอะไร ฮึ ๆ “ ต้นกล้าซบหน้าลงกับไหล่แกร่งหลบตา เพราะเผลอขมิบข้างหลัง
อย่างแรงตอนเด็ดเดี่ยวยืนขึ้น มือใหญ่รองใต้สะโพกกดให้เกิดการแนบชิดนั้นไม่เท่าไหร่ พอคนตัวโตก้าวขาลงบันไดท่าน้ำนี่สิที่ทำให้อะไร ๆ ที่ยังอยู่ในตัวขยับ และตอนนี้มันขยายขนาดขึ้นอีกแล้ว
เด็ดเดี่ยววางต้นกล้าลงบนขั้นบันไดประสานสายตานิ่ง “ขอบคุณที่ยอมเป็นของพี่ โอ๊ย! ตีพี่ทำไม” ลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ นัยน์ตาซึ้งชวนฝันเหลือเพียงแววตัดพ้อ
“ก็พูดบ้าอะไรล่ะ” เขินนะเว้ย!
“อยากให้รู้”
“ไม่เห็นอยากรู้ถอยไปเลยเราจะอาบน้ำ” ดูก็รู้ว่าต้นกล้ากำลังกลบเกลื่อนความเขิน และยิ่งต้องเขินมากขึ้นอีก เมื่อมือใหญ่วิดน้ำขึ้นมา แล้วลูบไล้ขัดถูไปตามนวลเนื้อ ตั้งแต่แผ่นอกจนถึงขาเรียว เด็ดเดี่ยวถูสบู่ให้เบามือ ต้นกล้าผ่อนคลายเมื่อฝ่าเท้าถูกนวดด้วยแรงพอดี มือนวดตาสบตา เด็ดเดี่ยวบอกความรู้สึกทั้งหมดในใจผ่านมาทางนั้น นานเป็นครู่ต้นกล้าเริ่มตัวสั่นไม่รู้เพราะอากาศยามดึกเย็น ๆ หรือเพราะสัมผัสอ่อนโยนละมุนละไมของคนตรงหน้า
“ตรงนี้ต้องล้างดี ๆ ”
“อ๊ะ! โอ๊ยจะทำบ้าอะไรอีก” เพราะนวดอยู่ดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็จับขาต้นกล้าแยกออกจากกัน แทรกตัวเข้ามายืนตรงกลาง นั่นไม่เท่าไหร่แต่ที่ทำให้ตกใจ เพราะอีกคนเล่นขยับเข้ามาชิด ส่งปลายนิ้วนวดคลึงสอดแทรกควานเอาอะไรบางอย่าง ที่ค้างอยู่ข้างในออกมา
“หึ ๆ อีกรอบนะ”
“ไม่เอานะ อื้อ..” ต้นกล้ายังไม่ทันได้ประท้วงหรือคัดค้าน ปากสวยก็ถูกประกบครอบครองดูดดื่ม ดีกรีความเร่าร้อนโหมแรงกระหน่ำขึ้น เด็ดเดี่ยวยืนตรงกลางระหว่างขา ครึ่งตัวช่วงล่างอยู่ในน้ำ ส่วนช่วงบนบดเบียดเนื้อแนบเนื้อจนร่างกายร้อนผ่าวกันทั้งสองคน
 
“นอนได้แล้ว ฉันจะกลับแล้ว”
“ลงไปส่งจ๋าก่อน” ไอ้จ๋าทำท่าจะปฏิเสธแต่น้ำส้มมีเหตุผลมากกว่า “เดี๋ยวคนงานตื่นมาเห็นนึกว่าขโมยจะทำยังไง” ไอ้จ๋าเพิ่งนึกได้มันถึงกับตาโต
“เออว่ะ ถ้าเกิดมีคนมาเห็นหรือพ่อเธอตื่นมาเจอตอนฉันลงไปพอดีจะทำยังไงวะ”
“แล้วจ๋าจะทำยังไงล่ะ”
“ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ เผ่นนะสิ” ไอ้จ๋าตอบติดตลกแต่อีกคนกลับไม่ขำด้วย
น้ำส้มถามเสียงอ่อย “เผ่นเลยเหรอ”
“เออ หึ ๆ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นวะ”
“เปล่าหรอก” ก้มหน้าตอบอ้อมแอ้มแอบน้อยใจคำพูดไอ้จ๋า ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ มองคนหน้าเสียซบอยู่บนอกด้วยสายตาเอ็นดู “ไม่ต้องมายิ้มขำเค้าด้วยไอ้แฟนบ้า”
“เอ๊า งอนทำไมล่ะ นี่บอกก่อนเลยนะว่าฉันไม่ง้อ ง้อไม่เป็นไม่เคยง้อใครเว้ย หึ ๆ ” ทำไมมันจะไม่รู้ว่าน้ำส้มคิดอะไร ไอ้จ๋าก็แค่แกล้งบอกไปอย่างนั้นเองแหละ คนอย่างมันกล้าเผชิญความจริงกล้าทำก็กล้ารับ  ซื่อตรงต่อการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว ถึงก่อนหน้านี้จะไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกก็ตามเถอะ
“ขับรถดีนะจ๋าส้มเป็นห่วง”
“เออ”
“อะไร” น้ำส้มถามเมื่อไอ้จ๋ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนต้องผงะถอย
“ลาแฟนสิวะ เร็ว ๆ จะได้รีบขึ้นไปนอน” ไอ้จ๋ายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก
“เอ่อ จะดีเหรอ เมื่อกี้บนห้องจ๋าก็จูบลาเราไปแล้วนี่”
“นั่นมันฉันจูบลาเธอ ตอนนี้เธอต้องจูบลาฉันยายส้มเน่า! ”
น้ำส้มขมวดคิ้วมุ่น ไอ้จ๋าเตะเข้าทางตัวเองตลอด แม้ว่าน้ำส้มเองก็อยากจูบไอ้จ๋าเหมือนกัน แต่จะให้บ่อยขนาดนี้มันเกินไปไหม “สรุปก็คือเราจูบกันไม่ใช่หรือไง”
“เออ ๆ จะลาไม่ลาเดี๋ยวเถอะ”
“ก็ได้คนบ้านี่” ไอ้จ๋าหัวเราะเจ้าเล่ห์พออกพอใจ เมื่อน้ำส้มโน้มคอมันลงเอาปากแตะปาก แต่เป็นมันเองล็อกท้ายทอยไว้ บดขยี้สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าหาความหวานละมุนผ่านกลีบปากสวย ลิ้มรสลิ้นเล็กหอมหวานฉ่ำชื่นหัวใจ
“ไปละขึ้นบ้านได้แล้ว”
“ขับรถดี ๆ นะ” สองคนหันหลังให้กันแล้วเดินแยก แต่รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าต่างก็ไม่อาจห้ามหรือหุบมันลงได้ มันคือความสุข แบบนี้เขาเรียกว่าความสุขใช่ไหมนะ ต้องใช่สิ การได้อยู่กับคนที่เรารัก การได้รับความรู้สึกดี ๆ ตอบกลับมาจากคนที่เราแอบรักมานาน มันคือความสุขที่สุดแล้ว จนกระทั่ง.....
“งามหน้า! ”
“พี่คำแพง! “





“อรุณสวัสดิ์ครับ” คำทักทายพร้อมจูบอุ่น ๆ กดลงบนหน้าผาก เมื่อต้นกล้าปรือตาขึ้น และหลับลงอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน
“อือ..กี่โมงแล้ว สายแล้วมั้งเนี่ย โอ๊ย! ” แค่ขยับตัวเบา ๆ ก็ยังเจ็บจนต้องร้องออกมา
“จะรีบไปไหน”
“เพื่อนเรามาออกเต็มบ้านนะแล้วก็พามาทำอะไรก็ไม่รู้”
“ไม่รู้เลยเหรอว่าเราทำอะไรกัน ไม่รู้ทำไมให้ความร่วมมือดีขนาดนั้น โอ๊ย! เจ็บ ๆ พี่เจ็บ” ต้นกล้าฟาดฝ่ามือลงกลางใบหน้าหล่อคมคร้ามไม่ยั้งแรง โทษฐานที่เด็ดเดี่ยวพูดจาไม่เข้าหู “ตีพี่ทำไม”
“ไม่ต้องพูดเลยเราอยากกลับแล้ว”
“ล้างหน้าก่อนไหมเดี๋ยวพี่ไปตักน้ำให้” พอต้นกล้าไม่ตอบเด็ดเดี่ยวก็ลุกเดินไปที่ชั้นลิ้นชักเก็บของ ต้นกล้าจะไม่ว่าอะไร และไม่เบือนหน้าหนีเลย หากคนตัวโตจะไม่เดินโทง ๆ ไปทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่าอย่างนั้น
“ใส่เสื้อผ้าก่อน” พอหันกลับมาก็มีเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นยื่นมาตรงหน้า ดีหน่อยที่อีกคนรู้จักหาอะไรมาใส่แล้ว จึงไม่ต้องปั่นป่วนหัวใจกับร่างกายสูงใหญ่แน่นกล้ามเปลือยเปล่า ถึงจะใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวก็ตามเถอะ
“แล้วเสื้อผ้าเราล่ะ”
“อยู่ท่าน้ำเดี๋ยวพี่ลงไปเก็บมาให้ ใส่ชุดนี้ไปก่อน” จุ๊บ “เดี๋ยวพี่มานะครับ”
“บ้าบอที่สุดทำบ้าอะไรวะ ฮึ่ม! ” ต้นกล้าบ่นตามหลัง เพราะเด็ดเดี่ยวก้มลงมาจูบปาก แล้วเดินออกไปหน้าตาเฉย ไม่นานก็กลับมาพร้อมถังน้ำและเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อคืน แต่มันชุ่มน้ำค้างจนใส่อีกไม่ได้ ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็พาต้นกล้ากลับมาส่ง แต่พอมาถึง
หน้าบ้าน คนหัวแดงกลับไม่อยากลงจากรถเสียอย่างนั้น “ถึงบ้านแล้วลงได้แล้วครับ”
“แต่..” ต้นกล้ามองขึ้นไปบนบ้านเงียบเชียบ คิดว่ายังไม่มีใครตื่น น่าจะย่องขึ้นห้องได้โดยไม่มีใครเห็น สายปานนี้ไอ้จ๋ามันคงลงนาหรือออกไร่ไปแล้ว คิดว่าทางสะดวกจึงเปิดประตูลงจากรถ โดยมีคนตัวโตมองพฤติกรรมแปลก ๆ ไม่วางตา ใจแอบนึกขำที่คนหัวแดงไม่เห็นเพื่อน ที่ยืนแอบบนระเบียงชานเรือน จะบอกก็ไม่ทันเพราะอีกคนลงจากรถไปแล้ว
   ต้นกล้าเหมือนหัวขโมย ที่กำลังย่องขึ้นบ้านตัวเอง กับท่าเดินแปลก ๆ ที่ค่อย ๆ ก้าวขา ตาจับที่บันไดสามขั้นสุดท้าย กะว่าขึ้นไปพ้นจะวิ่งเข้าห้องให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันได้ยกขาขึ้นหรือก้าวไปไหน เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ทักขึ้นมาก่อน “กลับมาตะวันสายโด่งเลยนะมึง”
“ชะอุ๊ย! ไอ้ยุตกใจหมดเลยมึงไอ้บ้านี่”
“ตกใจทำไมวะขึ้นบ้านตัวเองแท้ ๆ ทำไมต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วย“
“กูเปล่าเหอะ”
“เมื่อคืนบอกคุยแป๊บเดียว แต่มึงเล่นหายไปทั้งคืนเลย” แม่ยังไม่ถามขนาดนี้!
“เฮ้ย อย่าเอ็ดไปสิวะ” ใช่พายุไม่ควรพูดดังไป กับสถานการณ์ของต้นกล้าตอนนี้ ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาหายไปทั้งคืนกับใครอีกคน โดยเฉพาะไอ้ลูกน้องคนสนิท หากมันรู้มีหวังโดนเอามายำให้ขำเล่นเป็นแน่แท้
“เออ ๆ แล้วตกลงเขาเป็นใครวะจะบอกได้ยัง”
“ไว้กูพร้อมแล้วจะบอก”
“หายไปด้วยกันทั้งคืน กลับมาเอาเช้าป่านนี้มึงน่าจะพร้อมแล้วไหมวะ”
“เอ๊ะ ไอ้ห่านี่จะเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อกูวะ เดี๋ยวเถอะมึง”
“จะยืนคุยตรงนี้อีกนานไหม! ”
“อ้าวตามมาทำไม” ต้นกล้าตาตื่น หันไปมองเด็ดเดี่ยวกำลังขึ้นบันไดมา แล้วหันกลับมาหาเพื่อนที่มองด้วยสายตาจับผิด เป็นเพื่อนสนิทกันมานานแค่ไหนทำไมจะไม่รู้ พายุดูแค่นี้ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ที่ถามแค่อยากให้แน่ใจ อยากให้พูดออกมาเอง แต่ต้นกล้ายังไม่พร้อมจะพูดตรง ๆ ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้ที่พึ่งกลับมาเว้ย!
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“อะไรอีก” พอเด็ดเดี่ยวเหลือบตามองพายุ ต้นกล้าก็รู้ทันทีว่าอีกคนคงไม่อยากพูดต่อหน้าเพื่อน ซึ่งหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืน ต้นกล้าเองก็ยังไม่อยากให้เพื่อนรู้เหมือนกัน “งั้นลงไปคุยกันข้างล่าง”
“ในห้องดีกว่า”
“ทำไมล่ะ” เด็ดเดี่ยวเหลือบตาไปทางพายุอีกครั้ง แล้วเดินผ่านต้นกล้าขึ้นบ้านหน้าตาเฉย “อะไรของเขาวะ”
“มึงกับพี่เขาเป็นอะไรกันวะ” นั่นสิเรื่องระหว่างเขากับคนตัวโตมันคืออะไร เกิดเกินเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่กันในสถานะไหน ถึงอีกคนจะบอกว่าต้นกล้าเป็นคนพิเศษก็ตามเถอะ ยังไงมันต้องมีสถานะที่ชัดเจน จะมาเดินเข้าห้องกันหน้าตาเฉย ต่อหน้าต่อตาเพื่อนแบบนี้ไม่ได้ ต้นกล้าไม่ยอม!
“หน็อยไอ้คนหน้ามึน! ”

***************************

อ๊ากกกก ไอ้คนหน้ามึน!!  หลอกกินน้อง   :katai1: :haun4: :jul1: :pighaun: :m25:
ถ้าอ่านแล้ว เว้นวรรคแปลก ๆ หรือ ขึ้นฉากใหม่แบบอยู่ดี ๆ ก็ตัดไป อาจจะทำให้การอ่านสะดุด
เพราะดาวเอาฉบับที่รีไรท์จัดหน้ากับขนาดหนังสือมาลง ส่วนที่ตัดฉากขึ้นหน้าใหม่
อาจจะมาต่อฉากคนละฉากกัน ไม่ต้องงนะคะ แหะๆ พอเอามาลงในนี้ก็ขี้เกียจจัดหน้าใหม่ซะงั้น
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-12-2018 11:30:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวัย ๆ ต้นกล้าเสียตัวแล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-12-2018 21:42:31


กำลัง  :katai4: อีกเรื่องเฮ้อออ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 17 คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 13-12-2018 22:58:47
 :impress2: :hao7:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 09:18:37


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 18 น้องเมา น้องน้อยใจ



ปัง!!

“อูยเป็นอะไรทำไมปิดประตูเสียงดังอย่างนั้น” เด็ดเดี่ยวถามหลังจากที่สะดุ้งสุดตัว เมื่อต้นกล้าเดินหน้าตึงตามเข้ามาในห้องพร้อมทั้งกระแทกประตูปิดเต็มแรง

“เข้ามาทำไม”

“อ่าว เข้าไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เดินเข้าห้องคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้เขาเรียกว่าไม่มีมารยาท” เด็ดเดียวมองหน้าต้นกล้าอย่างไม่เข้าใจ เอาละท่าทางแบบนี้มาอีกแล้ว ท่าทางเหมือนตอนที่เจอกันช่วงแรกๆ ไม่มีผิด ที่อีกคนเอาแต่ตั้งแง่กับเขา หมาน้อยขี้อ้อนที่คอยงอนง้อเอาใจเมื่อคืน คงหล่นหายข้างทางไปแล้วตอนที่ขับรถมา

“หืมลืมอะไรไปหรือเปล่า พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”

“ลืมอะไรล่ะ เราไม่ได้พูดอะไรผิดเลย”

“ทั้งที่เมื่อคืนเรา..อุบ! ” ต้นกล้าเอามือปิดปากเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็วเมื่อคนตัวโตจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา

“อย่าพูด” ที่สั่งเสียงดุนี่ไม่ใช่เพราะอะไรเลยแก้เขินทั้งนั้น เพราะรู้ว่าคนตัวโตต้องพูดเรื่องเมื่อคืนนี้ออกมาตรงๆ หน้าตาเฉยแน่นอน ต้นกล้ารู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้วที่เปิดประเด็นว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่แล้วยังไงล่ะก็แค่พฤตินัย เมื่อมันพลาดไปแล้วและเขาก็รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ทั้งที่อีกคนไม่บอกไม่พูดเลยว่าเป็นอะไรกัน แบบนี้เขาเรียกว่าใจง่ายหรือเปล่าหว่า

“นี่ล่ะเรื่องที่พี่อยากคุยกับต้นกล้า”

“??!!”

“เรื่องที่เราเป็นอะไรกันนี่ไง”

“เหอะ”

“หรือจะให้พี่ย้ำอีกรอบ”

“ย้ำอะไร จะไปไหนก็ไปเลย”

“แหนะ ได้พี่แล้วไล่แบบนี้แสดงว่าลืมแล้วใช่มั้ย มานี่เลย”

“เฮ้ย อย่า..”

ตุบ!!

ร่างสองร่างล้มลงไปทับกันอยู่บนเตียง โดยที่ร่างของต้นกล้าอยู่ข้างบนอย่างที่คนรั้งลงไปต้องการ รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกกอดเอาไว้แน่นจะดิ้นหนีก็ดิ้นได้ไม่เต็มที่ ยิ่งดิ้นยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ายิ่งถูกกอดรัดแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ไหนจะขาแข็งแรงที่รัดแล้วเกี่ยวกันรอบต้นขาของเขาอยู่นั่นอีก นี่มันคนหรืองูกันแน่วะ ทำไมมันรัดได้ทั้งตัวอย่างนี้ ต้นกล้าดิ้นขลุกขลักได้ไม่นานก็ต้องหยุดเพราะความเหนื่อย ไหนจะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เต็มที่เพราะเมื่อคืนใช้งานมาหลายชั่วโมงนั่นอีก ไหนจะข้างหลังที่เจ็บทุกครั้งที่เคลื่อนไหวหรือขยับตัวแรงๆ นั่นอีก เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บแค่ไม่แสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง

“ปล่อยสิจะทำอะไร”

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เราไม่มี”

“พี่มี มาถึงขนาดนี้แล้วนะ ต้องให้พี่บอกมั้ยว่าเราเป็นอะไรกัน” เด็ดเดี่ยวถามออกมาตรงๆ เพราะก่อนที่เขาจะเข้าห้องได้ยินพายุถามต้นกล้าถึงเรื่องสถานะของเขาสองคน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนหัวแดงมีอาการชะงัก และเหมือนกับว่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอต้นกล้าตามเข้าห้องมาก็มีท่าทางปั้นปึงอย่างที่เห็น เขาจึงขอเดาเอาแบบเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน ว่าอีกคนคงคิดเรื่องนี้อยู่ ไหนจะยังมาถามอีกว่าเป็นอะไรกันนั่นอีก ทำให้เด็ดเดี่ยวแน่ใจว่าตัวเองคงคิดไม่ผิดแน่นอน

“..”

“ต้นกล้าเป็นของพี่เต็มตัวแล้วไง และพี่จะคิดเองเออเองว่าใจก็ด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องเมื่อคืนก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก เราเป็นคนสำคัญของพี่ และพี่ก็เป็นของต้นกล้าคนเดียว เราเป็นคนรักกันแล้วนะจะคิดมากอะไรอีก”

“พูดเองเออเอง มันต้องขอคบกันก่อนปะ”

“เราเลยขั้นนั้นมาแล้วล่ะ เสียเวลานี่ไม่ใช่เด็กๆ ปั๊ปปี้เลิฟแล้วนะ”

“หึ แก่อะดิ”

“แก่ไม่แก่ก็รู้ๆ กันอยู่ เมื่อคืนถ้าใครบางคนไม่ง่วงจนตาจะปิดพี่รับรองได้เลยไม่เช้าไม่หยุด” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงกระเส่าแล้วมองต้นกล้าตาเชื่อม ส่วนคนถูกมองก็ทำตัวไม่ถูกไปสิไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือทำหน้านิ่งดี แต่ที่แน่ๆ ริมฝีปากของเขานี่แหละที่มันคอยแต่จะยกขึ้นเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจนต้องกัดเอาไว้ “คราวนี้ก็เข้าใจตรงกันนะเดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว”

“จะไปไหนก็ไปเลยปล่อยเราด้วยอึดอัด”

“ก่อนไปพี่ขอ..”

“ขะ ขออะไรวะอย่ามันทำตัวหื่นแถวนี้นะเว้ย”

“หืม หื่นอะไร พี่แค่จะขอให้ต้นกล้าอย่าเข้าใกล้ไอ้หน้าปลาเข็งนั่นอีก ไล่กลับกรุงเทพได้เลยยิ่งดี”

“อะอ้าวเหรอ”

“หึๆ หรือว่าต้นกล้าคิดจะทำอะไรพี่ แต่อยากทำก็ทำได้นะพี่ยังพอมีเวลา”

“บ้าเถอะ”

“ตกลงเอาไง ไล่กลับเลยมั้ย”

“เราก็มีมารยาทปะ เขามาเยี่ยมนะ”

“มาทำตัวไม่น่าคบล่ะสิไม่ว่า พี่ไม่ไว้ใจมัน”

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็คงกลับเองนั่นล่ะ เรากับนนท์ไม่ได้อะไรกันนักหรอก”

“ไม่อะไรก็ดีแล้วแต่บอกไว้ก่อนว่าพี่ไม่ไว้ใจมัน พี่หึง”

“อย่ามาคิดอะไรบ้าๆ จะไปไหนก็ไปปล่อยเราเลย”

“ให้พี่ชื่นใจก่อนไปหน่อยสิ”

“ชื่นใจบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ย ปล่อยๆ โอ๊ย! อย่าลูบก้นเราโรคจิตชะมัดเลย “

“หึๆ เจ็บเหรอ “เด็ดเดี่ยวพลิกตัวให้ต้นกล้าลงมาอยู่ข้างล่าง แล้วดันตัวเองขึ้นข้างบนจากนั้นก็ ฟอดดดดด

“อื้อออ ทำบ้าอะไร จิ๊” ต้นกล้าหน้าแดงไม่ใช่เพราะถูกหอมแก้ม แต่เพราะคนหอมที่หอมแล้วยังมาทำตาเชื่อมจ้องมองอยู่นี่สิ ไม่รู้จะมองอะไรนักหนาไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ต้นกล้าวางตัวไม่ถูก

“ชื่นในที่สุด จุ๊ป”

“พอเถอะน่า”

“เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานแล้วนะ”

“ก็ไปสิ”

“วันนี้คงกลับค่ำหน่อย ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นล่ะ...หืม? ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เด็ดเดี่ยวถามอย่างสงสัย เพราะพอเขาพูดจบต้นกล้าก็เบ้หน้าจนความหล่อใสบิดเบี้ยว เหมือนกำลังขยักแขยงบางอย่าง

“พูดมาได้”

“หึๆ พี่รู้ว่าต้นกล้าจะรอเลยบอกไว้ก่อน วันนี้สอนเสร็จมีธุระต่อ”

“หืม สอน?” ต้นกล้าทำเสียงเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง เมื่อเด็ดเดี่ยวบอกว่าสอนเสร็จ สอนอะไร ยังไง เป็นครูหรือถึงได้สอน ต้นกล้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเด็ดเดี่ยวทำอะไรบ้างนอกจากงานไร่งานนา เห็นแต่งตัวดีๆ เวลาเข้าเมืองก็ไม่เคยถามเลย มีแต่อีกคนที่บอกว่าไปทำงานๆ “งานเหรอ”

“อืมใช่มาจูบก่อนไปหน่อยซิ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางไถลตัวลงนอนข้างๆ รั้งให้ต้นกล้านอนหันหน้าเข้าหากัน

“จะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมา อื้อออออ” ปากสวยถูกประกบป้อนความหวานด้วยเรียวลิ้นซุกซนของคนตัวโต ที่เข้าซอกซอนควานหาความละมุมภายในอย่างที่ใจเรียกร้อง ขาของต้นกล้าถูกเด็ดเดี่ยวที่ยังคงหลงมัวเมาในรสรักรั้งดึงให้ขึ้นมาพาดก่ายที่ช่วงเอวสอบ เพราะชายหนุ่มไม่อยากจากหรือห่างกันไปไหน ส่วนต้นกล้าที่แม้ว่าปากจะพูดไล่ผลักใสแต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเอง ที่ต้องการจูบนี้เหมือนกัน จูบอ่อนหวานปลอบประโลม มาพร้อมกับอ้อมแขนกอดรัดที่เปลี่ยนเป็นลูบไล้ไปตามนวลเนื้อ ด้วยมือสากกร้านเพราะงานหนัก ราวกับต้องการกระตุ้นความรู้สึกในร่างกายเพื่อจุดไฟปรารถนา มือใหญ่ลากผ่านบั้นท้ายงอนบีบเค้นสัมผัสเบาแรง เพราะรู้ว่าเจ้าของร่างกายโปร่งยังเจ็บตัวอยู่ ทั้งสองกำลังหลงไปกับรสจูบและการสัมผัสแนบเนื้อ จนเกือบจะจูงมือกันเข้าสู่ห้วงอารมณ์เสน่หาอยู่แล้วเชียวถ้าไม่...

ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!

เฮือกกกกก

“ไอ้กล้ามีคนมาหาโว้ย” เสียงพายุตะโกนมาจากหน้าห้อง หลังจากที่ทุบประตูรัวๆ ย้ำว่าเป็นการทุบไม่ใช่การเคาะราวกับรู้ว่าข้างในกำลังทำอะไรกันอยู่ และเจ้าตัวก็อยากขัดจังหวะเพื่อความสะใจ เด็ดเดี่ยวชักสีหน้าอย่างเสียอารมณ์แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยการกอดรัด จนต้นกล้าต้องเตือน

“ปล่อยก่อนสิ”

ปังๆ ๆ ๆ

“ไอ้กล้าโว้ยมีคนมาหา”

“เออๆ ๆ รู้แล้ว ปล่อยเราสิ” ต้นกล้าตะโกนตอบรับเสียงเรียกของพายุ แล้วหันมาบอกเด็ดเดี่ยวที่ไม่ยอมปล่อยดีๆ สักที

“ใครมาหา”

“เราจะรู้มั้ยก็อยู่ด้วยกันเนี่ย ปล่อย โอ๊ยเจ็บ” ต้นกล้าหน้าตึงเมื่อเด็ดเดี่ยวไม่ยอมปล่อยอย่างที่บอกสักที แถมคนตัวโตยังทิ้งตัวนอนหงายแล้วรั้งร่างของเขาให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำให้ร่างที่ขัดยอกบางส่วนและช่องทางที่บอบช้ำ เกิดความเจ็บแปลบส่ออาการประท้วงจนเผลอร้องออกมา อกบางแนบอกแกร่งรวมทั้งร่างกายส่วนล่างก็ด้วย ที่แนบชิดกันจนสัมผัสได้ถึงความตื่นตัวของท่อนเนื้อในกางเกง ไอ้คนหื่น ไม่รู้ว่าจะหน้ามึนไปถึงไหนสิเนี่ยชักจะมากไปแล้วนะ ต้นกล้าได้แต่โวยวายในใจเพราะกระดากเกินกว่าจะพูดออกมา ยิ่งอีกคนนอนอมยิ้มมองตายิ่งดูเหมือนว่านี่จะทำให้เขาไปไม่เป็นได้เลยทีเดียว

“อะไรปล่อยสิเดี๋ยวไอ้ยุมันเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาทำไง”

“หอมแก้มก่อนดิแล้วจะปล่อย”

“โอ้ย บ้าบอที่สุดมาหงมาหอมอะไรตอนนี้ ไอ้ยุมันเรียกแล้ว”

“ไม่หอมไม่ปล่อยเอ้า”

“จูบด้วยมั้ย”

“ได้ก็ดีครับพี่ชอบ”

“เหอะ”

“อะ ทำสิ” เด็ดเดี่ยวเอียงแก้มที่พองลมของตัวเองมาให้ต้นกล้าอย่างนำเสนอ และรอคอยให้อีกคนหอมลงมาสักที ต้นกล้ามีท่าทาลังเล แต่เสียงทุบประตูที่ดังมาเป็นตัวเร่งอย่างดีให้เขารีบทำๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง

ปังๆ ๆ ๆ

ฟอดดดด

“เก่งมากคนดีของพี่ จุ๊ป” บอกแล้วก็ยื่นปากขึ้นแตะจูบที่ปากสวยเน้นๆ ก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระอย่างที่ต้องการ ต้นกล้าชักสีหน้าให้เด็ดเดี่ยวแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกจากห้องไป

“ใครมาหากูวะ”

“ไม่รู้ว่ะ เห็นลุงสมควรบอกเป็นนักข่าว”

“หืม?” พายุบอกไม่รู้จักต้นกล้าก็ไม่แปลกใจ เพราะยังไงไอ้เพื่อนมันก็เพิ่งมาจะไม่รู้จักใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พอบอกว่าเป็นนักข่าวนี่สิทำให้เป็นต้นกล้าเองที่แปลกใจและนึกสงสัย นักข่าวมาทำไมมีข่าวอะไรแถวนี้ที่น่าสนใจอย่างนั้นเหรอ

“อยู่ไหนวะ”

“ข้างล่าง ลงไปดู”

“เออ” พายุกำลังจะก้าวขาเดินตามต้นกล้าไป ก็พอดีกับชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้องเดินตามออกมา เด็ดเดี่ยวปิดประตูห้องแล้วหันมาก็เจอพายุที่มองเขาอยู่พอดี

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามเมื่อพายุเอาแต่ยืนจ้องอยู่อย่างนั้น แต่ไม่พูดทักทายหรือถามไถ่อะไรออกมาสักคำ

“เปล่า”

“มีอะไรกันเหรอ ว่าแต่นี่ใครวะ” ปั้นสิบเดินงัวเงียออกมาจากอีกห้อง เจอเด็ดเดี่ยวกับพายุกำลังยืนทำสงครามสายตากันอยู่จึงถามขึ้นงงๆ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองเองก็ยังไม่มีใครได้รับการแนะนำกันและกันอย่างเป็นทางการเลย

“เพื่อนไอ้กล้าน่ะ” พายุบอกแล้วเดินตามต้นกล้าไป

“สวัสดีครับ ผมปั้นสิบ”

“สวัสดีครับ ผมเด็ดเดี่ยว”

“เอ๊ะ นี่ใช่ลูกพี่เดี่ยวที่ไอ้จ๋าพูดถึงหรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ”

“อืม ว่าแต่ข้างล่างมีอะไรกับเหรอครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันลงไปดูสิ”

“ครับ” เด็ดเดี่ยวเดินนำปั้นสิบลงมาที่หน้าบ้าน เพื่อนตัวเล็กของต้นกล้าได้แต่มองตามหลังและหันไปมองที่ประตูห้องเจ้าของบ้าน เพราะรู้ว่าหนุ่มบ้านทุ่งคนนี้เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องเพื่อนของเขา ด้วยท่าทางที่ดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในหัวปั้นสิบคิดประติดประต่อเรื่องราวไปด้วยพลางเดินตามหลังผู้ชายตัวสูงใหญ่ลงบ้านมาอีกคน

ที่ลานใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน พายุเดินลงไปสมทบกับต้นกล้าและลุงสมควร ที่กำลังยืนคุยอยู่กับคนแปลกหน้าสองคน เด็ดเดี่ยวไม่ได้เดินเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ในรัศมีที่สามารถได้ยินและจับใจความที่พูดกันได้พอดี

“เน็ตไอดอล! ”

“ครับ”

“คุณว่ายังนะครับ พูดอีกทีซิ”

“พวกผมสองคนมาทำข่าวเน็ตไอดอลชาวนาหล่ออปป้าเกาหลี ที่คนกำลังแชร์ต่อๆ กันอยู่ตอนนี้ครับ ถ้าคุณคือคุณต้นกล้า กวินกานต์ชาวนาหล่อคนนั้น พวกผมก็มาถูกที่แล้วครับ” นักข่าวที่หนึ่งบอก

“แต่ผมไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลอะไรอย่างที่คุณพูดมานะครับ”

“เอ๊ะ ดูจากในรูปก็ใช่นี่ครับ คุณไม่ดูเพจตัวเองเลยเหรอครับ ว่ามีคนติดตามมากขนาดไหน” นักข่าวที่สองเสริมหลังจากดูรูปที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือจอใหญ่เทียบกับใบหน้าของต้นกล้าแล้ว

“นั่นสิครับ คนตามเป็นล้านแล้วนะครับ ตอนนี้คุณดังมากใครๆ ก็ตามข่าวคุณอยู่ รูปคุณถูกแชร์ออกไปเยอะมาก” นักข่าวที่หนึ่งบอกอีก แต่ยิ่งพูดต้นกล้าก็ยิ่งงง เพราะเขาไม่เคยสนใจข่าวอะไรอย่างนี้มาก่อน ไอ้ที่เล่นๆ อยู่ก็เห็นล่ะว่ามีคนมาขอติดตามเยอะมาก อัปรูปลงแต่ละทีก็มีคนเข้ามากดถูกใจหลายร้อยคนในช่วงแรกๆ จนหลังๆ มานี้เป็นหลักพันหลักหมื่น ใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอกที่มีคนมากดถูกใจเยอะอย่างนั้น แต่พอเล่นไปนานๆ เข้าเขาก็ชักไม่ค่อยสนใจมันแล้ว สองคนนี้บอกลุงสมควรว่าเป็นนักข่าวจากเพจดังที่ทำข่าวเกี่ยวกับเน็ตไอดอลโดยตรง หรือคนที่มีชื่อเสียงและเรื่องต่างๆ ที่กำลังดังอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ยิ่งคนที่มียอดคนติดตามเยอะๆ ด้วยแล้วจะมีการออกมาสัมภาษณ์ เพื่อไปทำข่าวแชร์ที่หน้าเพจของตัวเองอีกที

“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ผมจะเป็นข่าวดังได้ยังไง”

“แหม แค่หน้าตาดีทำอะไรทุกวันนี้ก็เป็นข่าวดังได้แล้วครับ โลกโซเซียลนี่มันเป็นไปได้ทุกแบบล่ะครับ ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็แชร์ต่อๆ กันไป ขนาดทำอะไรบ้าๆ บอๆ สาระไม่มีไปวันๆ เอามันไว้ก่อนยังเป็นข่าวได้ แต่ผมว่าสำหรับชาวนาหล่ออย่างคุณต้นกล้านี่ไม่ไร้สาระแต่น่าสนใจมากครับ”

“นั่นสิครับ วันนี้เราเลยอยากมาขอสัมภาษณ์คุณสักหน่อย”

“แต่ผมไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์หรอกครับ และผมก็ไม่อยากเป็นข่าว” ต้นกล้าบอกพร้อมกับมองเลยไปยังรถกระบะสี่ประตูสีขาวที่จอดอยู่ใต้ต้นมะม่วง เขาไม่ได้สนใจรถแต่สนใจคนที่กำลังเดินไปที่รถต่างหาก เด็ดเดี่ยวเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่หันมาลากันเลยสักคำ เป็นแบบนี้อีกแล้วสินะคนๆ นี้ จะมาจะไปไม่ยอมบอกกล่าวกัน

“ขอสัมภาษณ์สักหน่อยเถอะนะครับ พวกผมอุตส่าห์มา” เสียงนักข่าวที่หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของต้นกล้า เมื่อท้ายรถเลี้ยวหายลับประตูรั้วหน้าบ้านไป

“แล้วพวกคุณจะถามอะไรผมล่ะครับ”

“ก็ความเป็นมาเกี่ยวกับการเป็นชาวนาของคุณครับ ว่าไปยังไงมายังไงถึงกลายมาเป็นอปป้าของบ้าน่ทุ่งแห่งนี้ได้”

“เอ่อ..” หลังจากนั้นคำถามต่างๆ ก็ตามมาอีกหลายคำถาม สองสามคำถามแรกก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำไร่ไถนาของต้นกล้าอยู่นั่นแหละ แต่หลังจากนั้นทำไมกลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาล้วนๆ นับตั้งแต่ อายุ การศึกษา ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงเรื่องของหัวใจ เสป็คผู้หญิง แฟนคนปัจจุบัน จนต้นกล้าเบื่อที่จะตอบจึงตัดบทไปด้วยการบอกว่าถึงเวลาต้องออกไปทำงานแล้ว นักข่าวทั้งสองยอมล่าถอยแต่ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ว่าจะมาขอสัมภาษณ์แบบตามติดชีวิตของต้นกล้าอีก

“ดังใหญ่เลยนะมึง” ปั้นสิบแซว

“กูอยากดังที่ไหนล่ะ”

“แล้วจะเอายังไงต่อ” พายุถาม

“ไม่รู้ว่ะ ว่าแต่วันนี้พวกมึงเอาไง จะทำอะไรลงนากับกูมั้ย”

“เออลงก็ลง”

“เดี๋ยวผมกับไอ้พวกนี้ลงนานะครับลุง แล้วไอ้จ๋าล่ะครับ” ต้นกล้าหันไปบอกลุงสมควร ไม่ลืมถามหาลูกน้องคนสนิทด้วยเพราะมันหายหัวไปแต่เช้า

“ไอ้จ๋าออกไปเรียนแต่เช้าแล้ว”

“ครับๆ ไปพวกมึงเตรียมตัวทำงาน มาแล้วต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์” ต้นกล้าหันไปบอกเพื่อนทั้งสอง

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวลุงออกไปดูคนงานที่ไร่ก่อน ขาดเหลืออะไรไปบอกก็แล้วกัน”

“ครับๆ “ลุงสมควรเดินออกไปแล้วเหลือเพื่อนทั้งสามที่ยืนมองตากันอยู่

“ว่าแต่นนท์ยังไม่ตื่นเหรอวะ” ต้นกล้าถามหาแขกอีกคน

“มันกลับแต่เช้าแล้ว”

“หืม?”

“เออ กูเห็นมันแอบหนีกลับแต่เช้าแล้ว ไปซะได้ก็ดีขวางหูขวางตากู ว่าแต่มึงเถอะห่วงมันหรือไง” พายุถามกลับ

“เปล่าเถอะ กูไม่เห็นมันก็แค่ถาม เดี๋ยวจะว่าเอาได้ว่ามีแขกมาถึงบ้านต้อนรับไม่ดี”

“เออๆ ไปแล้วก็ช่างแม่งเหอะน่า กูหิวแล้วเนี่ยหาอะไรมากินกันดีกว่า” ปั้นสิบรำคาญที่จะพูดถึงคนอื่นจึงตัดบทถามหาของกินแทน

“ล้างหน้าก่อนมั้ยมึงไอ้สิบ ไอ้ซกมก”

“ไม่ต้องมาว่ากูเลยไอ้ยุ ใครจะสำอางอย่างมึงน้ำไม่อาบสามวัน”

“พอๆ อย่ากัดกัน พวกมึงจะทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวกูไปดูก่อนว่าวันนี้น้าแจ่มทำอะไรให้กิน รอนี่ล่ะ” ต้นกล้าบอกเพื่อนทั้งสองแล้วเดินไปทางสวนมะม่วงที่มีความหลังต่อกัน เพื่อเดินลัดไปบ้านไอ้จ๋าหาของกินมาให้เพื่อนๆ



%%%%%%%%%%%








ทางด้านไอ้จ๋าวันนี้มันมีเรียนเช้า ก็ออกจากบ้านมาแต่เช้าด้วยความอารมณ์ดี ขับรถไปก็ผิวปากคลอเพลงหมอลำจากวิทยุที่เปิดอยู่ไปด้วยจนกระทั่งมาถึงตัวอำเภอ ไอ้จ๋าเลี้ยวรถเขาจอดข้างทางก่อนจะเอาพี่ฮีโร่เครื่องเก่งประจำตัวออกมาแล้วกดโทรออก

(“จ๋า”)

“เออ อยู่ไหนวะ”

(“นี่แฟนนะไม่ใช่เพื่อนทักทายให้มันหวานๆ เป็นมั้ย”) น้ำส้มว่ากลับมาทั้งที่หากอยู่ด้วยกันไม่รู้จะกล้าพูดอะไรทำนองนี้ออกมาหรือเปล่า

“เออๆ ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ไหนเนี่ย”

(“บนรถสิ ฉันมีเรียนเช้านะ”)

“เออ ก็เรียนวิชาเดียวกันปะ ทำไมไม่รู้จักรอ”

(“อ้าว แล้วจะรู้มั้ยล่ะว่าจ๋าจะมารับทุกทีก็ต่างคนต่างไป”)

“ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วปะยัยเผือก”

(“อืม กะ ก็ใช่ แต่ฉันออกมาแล้วนี่”) น้ำส้มบอกเสียงหงอยเพราะแอบเสียดาย ไม่คิดว่าไอ้จ๋าจะมารับเพราะมันก็ไม่ได้โทรมาบอกตั้งแต่ ส่วนไอ้คนที่โทรหาก็เผยยิ้มออกมาบางๆ แค่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วยัยส้มเน่าของมันคงจะเขินจนแก้มนวลสองข้างนั่นแดงปลั่งกันเลยทีเดียว มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู มืออีกข้างเข้าเกียร์รถแล้วขับออกไป จุดหมายปลายทางเดียวกันคือมหาวิทยาลัยที่อยู่ในตัวจังหวัด

“ถึงไหนแล้ว”

(“ถึง..”) น้ำส้มมองผ่านหน้าต่างออกไปนอกรถ ( “ฟาร์มหมู”) น้ำส้มบอกเมื่อเห็นป้ายทางเข้าฟาร์มเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นฟาร์มแห่งเดียวริมถนนหลวงสายนี้ พอดีกับที่ไอ้จ๋าเลี้ยวรถออกจากตัวอำเภอ ขับไปบนเส้นทางที่จะพามันไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งจากที่น้ำส้มบอกมันคิดคำนวณเอาไว้แล้วว่าอีกไม่เกินสิบนาที ก็คงตามรถเมล์ที่น้ำส้มนั่งไปทัน ใจก็ไม่ได้ว่าจะเรียกให้ลงจากรถมาขึ้นรถไปด้วยกันหรอกนะ แค่อยู่ดีๆ ไอ้จ๋าก็อยากตามไปให้ทันเหมือนอยากอยู่ใกล้ๆ อะไรอย่างนี้แค่นั้นอะแหม...

“ฉันกำลังไป”

(“อืม”)

“อืม แค่นี้เหรอ”

(“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ”)

“บอกคิดถึงฉันสิเธอคิดถึงฉันไม่ใช่เหรอ”

(“คนบ้าคิดได้ไงเนี่ย”) น้ำส้มทั้งคุยโทรศัพท์ทั้งเขิน ทั้งที่อีกคนไม่ได้อยู่ตรงนี้ยังเขินขนาดนี้ ถ้าอยู่ต่อหน้ากันจะขนาดไหน และเพราะมัวแต่หันหน้าเข้ามุมคุยนั่นเอง จึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนหญิงในตอนแรก ถูกเปลี่ยนเป็นผู้ชายไปแล้ว และมันกำลังขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โดยที่น้ำส้มไม่ทันได้ระวัง ( “ขับรถดีๆ นะ”)

“เออ ไม่ต้องห่วงใกล้ทันเธอแล้วเนี่ย ใช่คันเขียวๆ นี่หรือเปล่าวะ” ไอ้จ๋าหมายถึงรถเมล์สายสีเขียวที่วิ่งจากอำเภอหนึ่งเข้าสู่ตัวจังหวัด และผ่านตัวอำเภอของมันพอดี

(“ใช่ อุ้ย! ”)

“เป็นอะไร”

(“นาย”) (“เจอกันอีกแล้วนะคนสวย”)

“ยัยเน่าเป็นอะไร” ไอ้จ๋าเสียงรนขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำส้มอุทานออกมาเหมือนกำลังตกใจ และได้ยินเสียงผู้ชายแทรกเข้ามา

(“คราวนี้กูไม่ปล่อยมึงแน่”)

(“จ๋าช่วย อุ๊ป อื้ออออ”)

ตุบ!!

“น้ำส้มๆ ๆ “ไอ้จ๋าเรียกไปตามสายหลังจากได้ยินแต่เสียงน้ำส้มเรียกชื่อของมัน แล้วตามมาด้วยเสียงของหล่นดังตุบเหมือนอะไรหนักๆ ตกลงพื้นและเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ทิ้งโทรศัพท์แล้วรีบขับรถจะแซงรถเมล์เขียว เมื่อมันมองขึ้นไปก็เห็นน้ำส้มที่นั่งติดหน้าต่างช่วงท้ายของรถ ถูกผู้ชายคนหนึ่งล็อคตัวเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องและกำลังดิ้นรนเอาตัวรอด ไอ้จ๋าเร่งเครื่องรถขึ้นไปอีก ส่งสัญญาณบอกให้คนขับรถจอด แต่คนขับรถกลับทำท่าทางเหมือนรำคาญและไม่มีทีท่าว่าจะจอด ทั้งที่มันพยายามบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นบนรถ ทั้งตะโกนบอกทั้งบีบแตร เมื่อไม่มีทางเลือกไอ้จ๋าตัดสินใจขั้นสุดท้าย เหยียบคันเร่งแซงขึ้นไปและ

เอี๊ยดดดดด!!!

เอี๊ยดดดดดด กึก!!

เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนที่รถเมล์จะจอดกะทันหันเมื่อถูกรถกระบะคันเล็กตัดหน้า แต่กระนั้นกว่ารถจะหยุดได้ก็จูบท้ายรถไอ้จ๋าเข้าพอดีแต่เจ้าของมันไม่สนใจ คนขับรถเมล์สบถอย่างหัวเสียพลางลุกจากที่นั่งจะลงไปเอาเรื่องคนที่ขับรถตัดหน้า ก็พอดีกับไอ้จ๋าวิ่งขึ้นมาบนรถก่อน

“เฮ้ยขับรถตัดหน้ามึงจะเอาใช่มั้ย” ไอ้จ๋าไม่สนใจเสียงคนขับที่ตะคอกใส่อย่างเอาเรื่อง เมื่อขึ้นมาบนรถได้ก็วิ่งเลยไปยังเก้าอี้แถวหลัง ที่น้ำส้มกำลังถูกผู้ชายลวนลามอยู่ทันที คนบนรถต่างยืนขึ้นดูอย่างอยากรู้อยากเห็น

“น้ำส้ม! มึงปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” ไอ้จ๋าเรียกน้ำส้มแล้วหันไปบอกให้คนที่กอดล็อคตัวอยู่ปล่อย

“จ๋า”

“ยุ่งไรด้วยวะไอ้ห่านี่” ไอ้คนที่ลวนลามน้ำส้มตะคอกกลับมา เมื่อเห็นหน้ากันเต็มๆ ตาน้ำส้มจึงจำได้ว่ามันคือไอ้เด็กช่างกลคนนั้นนั่นเอง

“ปล่อยเดี๋ยวนี้! ” ไม่ใช่แค่เสียงที่ดุตอนนี้ไอ้จ๋าสีหน้าถมึงทึงนัยน์ตาวาวโรจน์ เพราะความโกรธทวีขึ้นที่เห็นน้ำส้มถูกรวบกักตัวเอาไว้ ยิ่งเห็นตาคู่สวยแดงก่ำสองแก้มนวลอาบไปด้วยน้ำตา และตัวสั่นอย่างน่าสงสาร นั่นยิ่งทำให้ไอ้จ๋าเดือดจนเลือดขึ้นหน้า

“กูไม่ปล่อยมึงมีปัญหาเหรอ”

“จ๋า”

“ปล่อยแฟนกู”

“เฮ้ย นี่มึงเป็นแฟนอีตุ๊ดนี่เหรอวะ พวกมึงดูหน้ามันไว้นะ ฮ่าๆ ๆ ” ที่แท้ก็เพราะว่ามันมากับเพื่อนอีกสามคนนี่เอง วันนี้ถึงได้กร่างขึ้นอีกเท่าตัว ยิ่งเมื่อเพื่อนๆ มันที่นั่งอยู่ข้างหลังพากันลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาไอ้จ๋าอย่างเอาเรื่อง มันยิ่งผยองพองขนเข้าไปใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร..

ต่อนะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 09:21:34


“หาเรื่องตีกันอีกแล้วเหรอไอ้พวกเด็กเวร” คนขับรถที่ยืนดูพอจะเดาเรื่องออกเดินเข้ามาพร้อมกับประแจอันใหญ่ในมือ

“ปล่อยคนของกูซะ”

“กูจะเอา”

“ข้ามศพกูไปก่อนเถอะ”

ผลัวะ!! เพราะน้ำส้มที่ตัวเล็กแถมยังผอมบางและสูงเท่าคางของไอ้เด็กช่างกล นั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ไอ้จ๋าจะวาดเท้าขึ้นตบครึ่งปากครึ่งจมูกของไอ้เด็กช่วงกล โดยข้ามหัวน้ำส้มไปนิดเดียวอย่างรวดเร็วจนมันหน้าหงาย พื้นรองเท้าผ้าใบที่แข็งตบเข้าทีเดียวเล่นเอาจมูกได้เลือดเต็มหน้า ทำให้มันปล่อยน้ำส้มแต่โดยดี

เมื่อเป็นอิสระเจ้าของร่างบอบบางก็โผเข้ามาหาไอ้จ๋าอย่างขวัญเสีย น้ำส้มถูกดันให้มาอยู่ข้างหลังเมื่อไอ้จ๋าเห็นไอ้เด็กช่างกลอีกสามคนจะพากันกรูเข้ามาหามัน แต่เพราะอยู่บนรถบัสพื้นที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ไอ้จ๋าไม่เสียเปรียบมากนัก พวกมันไม่สามารถเข้ามารุมได้พร้อมๆ กันเพราะพื้นที่ไม่อำนวย คนแรกที่เข้ามาจึงถูกไอ้จ๋าถีบสวนออกไปเต็มๆ เท้า ก่อนที่จะทันได้ถึงตัว และนั่นทำให้มันเสียหลักเซไปทับเพื่อของมันอีกสองคน ส่วนคนที่ลวนลามน้ำส้มยังเมาตีนไม่หาย

“ไอ้หนุ่มเอานี่เครื่องทุ่นแรง” คนขับรถเรียกไอ้จ๋าแล้วยื่นประแจอันใหญ่ในมือให้อย่างมีน้ำใจ ซึ่งไอ้จ๋าก็รับมาอย่างยินดี มันหันไปยิ้มเย็นให้กลุ่มเด็กช่างกลแล้วย่างเท้าเข้าหา

“ดูหน้ากูแล้วจำไว้ให้ดีๆ อย่ามายุ่งกับคนของกูหรือหาเรื่องใครอีก “สิ้นคำพูดของไอ้จ๋าจากฮึกเหิมในตอนแรกพวกมันก็เหลือแค่ใบหน้าที่ไม่มีความมั่นใจ แน่ละสิไอ้เด็กช่างกลคนแรกที่โดนตบด้วยเท้ายังไม่หายงง ยืนเองยังไม่อยู่ต้องให้เพื่อนอีกคนคอยพยุง ไหนจะถูกสายตาของไอ้จ๋ามองด้วยแววโหดเหี้ยม และถึงมันจะลุยคนเดียวแต่ดูๆ แล้วท่าจะเป็นมวยคนละรุ่น ไอ้จ๋านั้นรู้เชิงมวยเพราะมันก็มีดีติดตัว แถมร่างกายยังดูสูงใหญ่กว่า เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกชุ่มเพราะเหงื่อแนบติดผิวเนื้อ เผยให้เห็นกล้ามของมันที่ดูแข็งแกร่งเป็นมัดๆ เทียบกับไอ้เด็กช่างกลทั้งสี่คนนั่นก็แค่ไอ้ขี้ก้างเหมือนพวกติดยากระจอกๆ

เมื่อเห็นว่าไอ้จ๋าเอาจริง ตอนนี้พวกมันจึงทำได้เพียงแค่มองหน้ากันลอกแลกสลับไปมา เพื่อหาทางหนีทีไล่หากประแจในมือไอ้คนตัวใหญ่จะหวดฟาดลงมาที่หัว ไอ้จ๋าสีหน้าเหี้ยมเกรียมแสยะยิ้มแล้วเงื้อมือที่ถือประแจขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ฟาดใส่หน้ากวนๆ ของพวกมันสักครั้ง....

“จ๋า ไปกันเถอะส้มอยากไปจากตรงนี้แล้ว” ตัวของไอ้จ๋าถูกกอดรวบมาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงสั่นๆ ของน้ำส้มที่เรียกสติของของมันให้กลับมา เพื่อพาคนเสียขวัญไปจากตรงนี้ ไอ้จ๋าลดมือลงแล้วรวบกอดน้ำส้มพาเดินถอยหลังไปที่ประตู โดยที่สายตาระวังไม่ละไปจากเด็กช่างกลกลุ่มนั้น จนกระทั่งมาถึงประตูทางลงด้านหน้า มันจึงคืนประแจให้คนขับรถแล้วเดินลงไปก่อน เมื่อน้ำส้มก้าวลงบันไดรถตามมา มันก็รวบร่างบอบบางอุ้มไปที่รถทันที

“หายกลัวหรือยัง”

“อืม อยู่กับจ๋าเราไม่กลัวหรอก”

“ยัยเน่าเอ๊ยมานี่ซิ” สิ้นเสียงบอกน้ำส้มโผเข้าหาไอ้จ๋าที่กำลังอ้าแขนรอ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในรถที่ไอ้จ๋าขับพามาจอดที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดพักรถ ร่างบอบบางสะอื้นสะท้านน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่ยังขวัญเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ต่อไปเรามาเรียนพร้อมกันนะ” น้ำส้มพยักหน้ารับรู้อยู่กับอกของไอ้จ๋าและกอดร่างบึกบึนของมันเอาไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ เมื่อไอ้หมาหน้าดำจอมเกรียนก้มลงจูบเบาๆ ที่กลางกระหม่อมอย่างปลอบโยน

“เธอน่าจะให้ฉันสั่งสอนมันสักคนละทีสองทีนะ”

“อย่าเลยจ๋าเราไม่ชอบ เกิดพวกนั้นเป็นอะไรจ๋าต้องโดนตำรวจจับแน่ๆ “

“รอดตัวไปนะ นึกว่าห่วงพวกมัน”

“บ้าสิใครจะไปห่วง” น้ำส้มผละออกแล้วอมยิ้มมองหน้าไอ้จ๋า ที่มองตอบกลับมาด้วยสายตาซุกซนขี้เล่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นน้ำส้มโดนรังแกใจมันเดือด แม้ว่าตอนนี้จะลดลงไปมากแล้ว แต่ถ้าเจอหน้าพวกมันอีกก็ไม่แน่ว่าจะไม่เอาเรื่อง ยิ่งเห็นใบหน้านวลมีแต่คราบน้ำตา ขนตางอนเป็นแพยังเปียกชุ่มเพราะร้องไห้หนัก ยิ่งทำให้ใจมันอยากกลับไปสั่งสอนพวกนั้นให้กระอักกันไปเลย แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ไล้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดคราบบนแก้มออกให้อย่างปลอบโยน

“ไปล้างหน้าล้างตาไป”

“งั้นจ๋ารอเราอยู่นี่นะ”

“เรื่องอะไร เกิดไปโดนใครรังแกอีกจะทำยังไง ฉันจะไปกับเธอ” จากนั้นไอ้จ๋าก็พาน้ำส้มไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะไปเรียน และไอ้จ๋าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นคนรับส่งน้ำส้ม และคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา โชคดีที่ถึงแม้จะมีบางวิชาที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เวลาเรียนของทั้งสองก็พร้อมกันเหมือนตั้งใจจัดเวลาให้ตรงกัน ทำให้ไม่มีปัญหา ทั้งสองมาด้วยกันทุกวันจนพักหลังมานี้เพื่อนๆ สังเกตเห็น

“นี่แกกับนายจ๋านี่มันอะไรยังไงยะ เล่ามาเลยนะยะ” ปอทักขึ้นเมื่อน้ำส้มเดินยิ้มเข้ามาในห้องเรียน หลังจากแยกกับไอ้จ๋าที่หน้าห้อง

“เปล่านี่ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรเหรอ เห็นช่วงนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มาเรียนก็มาพร้อมกัน ตัวติดกันอย่างกะผัวเมียอย่างนี้ไม่มีอะไรได้ไงยะ”

“ใช่ๆ แล้วสายตานั้นมันคืออะไรยะ มองกันแบบนั้นฉันหวั่นไหวอะ” อุ๊เสริม

“แกจะไปหวั่นไหวอะไรยัยอุ๊”

“ก็หวั่นไหวนัยน์ตาหวานเชื่อมของนายจ๋าที่มองยัยออเรนจ์ไงยัยปอทุกทีตาดุจะตาย ว่าไงยะจะเล่าไม่เล่า”

“ก็ไม่มีอะไรนี่แค่คบกัน” น้ำส้มตอบเบาๆ เพราะเขินเพื่อนจนแก้มใสแดงลามถึงใบหู

“ห๊า แค่คบกัน! ”

“นั่นสิ คบกันเชียวนะ จะแค่ได้ยังไง”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรมากนี่ พวกแกเลิกคุยได้แล้วอาจารย์มาโน่นแล้ว” น้ำส้มหยุดเพื่อนก่อนที่จะโดนซักไปมากกว่านี้ก็พอดีกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง การเรียนการสอนที่คร่ำเคร่งเริ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่กำลังอยู่ในห่วงรักอย่างน้ำส้ม ไม่ว่าบทเรียนจะเครียดมากแต่ไหน ก็ไม่ทำให้คนที่กำลังอารมณ์ดีรู้สึกเครียดไปได้หรอก ยิ่งเมื่อคิดถึงใครอีกคนที่เรียนอยู่อีกห้อง ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษอีกเท่าตัว เมื่อคิดถึงตอนมาเรียนก็มาด้วยกัน กลับก็กลับด้วยกันแวะกินข้าวไปไหนมาไหนด้วยกัน แค่นี้น้ำส้มก็เรียนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจนหมดชั่วโมง

%%%%%%50%%%%%%%

บ่ายแก่ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในตัวจังหวัด กลุ่มเพื่อนสุดหล่อทั้งสามคนหนีร้อนจากกลางทุ่งมาเดินเล่นตากแอร์เย็นฉ่ำ สายตาสอดส่ายหาของสวยๆ งามๆ และเมื่อเดินจนพอใจต้นกล้าได้ของที่อยากได้มาพอสมควร เพราะตั้งแต่มาอยู่บ้านทุ่งดอกจานเขาก็ไม่ได้ไปไหนเลย ออกจากบ้านมาไกลสุดก็แค่ตัวอำเภอ ที่ไม่ค่อยมีของอะไรอย่างที่เขาต้องการจะซื้อนัก พอวันนี้มีโอกาสได้เข้าตัวจังหวัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ ก็เลยขนซื้อไปตุนไว้ให้พอ ทั้งเสื้อยี่ห้อโปรด กางเกงยีนส์ตัวใหม่อีกสามตัว ของใช้ส่วนตัวยี่ห้อดัง ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของชาวบ้านทุ่งได้แล้ว แต่ความเคยชินบางอย่างก็ยังคงมีอยู่ เดินจนเหนื่อยก็ได้เวลาหาของกินใส่ปากท้องกันสักที

“สาวจังหวัดนี้สวยว่ะไอ้กล้า” พายุเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาก็มองตามกลุ่มนักศึกษาสาวสวยที่เดินผ่านหน้าไป ตอนนี้ทั้งสามกำลังนั่งอยู่ในร้านสเต็กชื่อดังร้านหนึ่ง หลังจากที่ออกไปดูนาเรียบร้อย กลับมาบ้านไม่รู้จะพากันทำอะไร จึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านทุ่งเข้ามาเล่นในเมืองบ้างสักวัน

“เออ”

“อะไรวะเออแค่เนี้ยเหรอมึง แปลกไปนะไอ้กล้า มึงว่ามั้ยไอ้ยุ” ปั้นสิบตั้งขอสังเกตแล้วหันไปหาแนวรวมอย่างพายุ

“นั่นดิ แต่ช่างมัน ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องมาแย่งกู”

“มึงนี่น้า เออ..ว่าแต่ไอ้จ๋ามันเรียนที่ไหนวะ ไม่ชวนมันออกมากินด้วยกิน”

“เออ นั่นดิ เดี๋ยวโทรหามันก่อน” ต้นกล้าพึ่งนึกได้จึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาลูกน้องคนสนิท แต่ขณะฟังเสียงรอสายอยู่ ก็พอดีตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม ใครบางคนที่เดินไปพร้อมหญิงสาวหน้าตาดีแต่งตัวสวยท่าทางสนิทสนมกัน โดยชายหนุ่มถือถุงมากมายดูก็รู้ว่าคงพากันไปเดินซื้อของมา นี่ใช่ไหมที่บอกว่ามีธุระ นี่ใช่ไหมที่อีกคนพูดออกตัวเอาไว้ก่อนว่าคงกลับบ้านช้าและบอกให้เขาไม่ต้องรอ อย่างกับ..อย่างกับ เฮ่อ อย่างกับอะไรก็ช่างมันเถอะ ที่บอกเมื่อเช้านั่นก็คงเป็นเพราะมีนัดกับหญิงสาวอย่างนี้นั่นเองสินะ

“ฮึ” ต้นกล้าแค่นเสียงออกมาจากลำคอก็พอดีกับที่ไอ้จ๋ากดรับโทรศัพท์

“เออไอ้จ๋าเลิกเรียนหรือยังวะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่.....รีบมานะ” ต้นกล้าบอกรวดเดียวเมื่อไอ้จ๋ามันรับโทรศัพท์และส่งเสียงทักมาตามสาย เขาก็สั่งให้มันรีบมาหาเลย โดยไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหนกำลังทำอะไร เพราะตาสวยกำลังจับจ้องอยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้าม และหัวใจที่ล่องลอยไปไกลเหมือนจะควบคุมไม่อยู่ ดีที่ยังจำได้ว่าโทรหาใครเพื่ออะไร สั่งเสร็จก็ไม่สนใจว่าไอ้ลูกน้องคนสนิทจะตอบรับหรือปฏิเสธเพราะพูดจบต้นกล้าก็วางสายทันที

“ตกลงว่าไง ไอ้จ๋ามันจะมาใช่มั้ย” ปั้นสิบที่ดูเหมือนว่าจะเอ็นดูไอ้จ๋าเป็นพิเศษถามขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว

“เอ่อ อืม”

“เป็นอะไรวะ อ้ำๆ อึ้งๆ ”

“เปล่าว่ะ ไม่มีอะไร” ต้นกล้าเบนสายตากลับมามองเพื่อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่ได้เห็นอะไรในแบบที่ชวนเข้าใจผิดอย่างนั้น ทั้งที่ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวเดินยิ้มสบตากันเข้าไปในร้านอาหาร ยังติดตาอยู่อย่างชัดเจน ทำให้ต้นกล้ายิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่ รู้สึกถึงความบิดมวนและอาการหายใจไม่ทั่วท้องจนแน่นอก โกหกอย่างนั้นเหรอ นี่คงจะเป็นธุระที่อีกคนบอกสินะ แถมยังเป็นธุระที่ต้นกล้าไม่ควรจะได้มาเห็นเสียด้วย

ท่าทาผิดปกติของต้นกล้าอยู่ในสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง ที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงมันได้ทันที แต่เมื่อถามไปแล้วต้นกล้าบอกเปล่าก็ไม่รู้จะซักไซ้ต่อยังไง จึงได้แต่มองตากันแล้วคอยดูอยู่เงียบๆ จนไม่นานไอ้จ๋าก็เดินเข้ามาพร้อมใครอีกคนที่ยกมือไหว้ต้นกล้าทันทีเมื่อมาถึง แต่พายุก็ทันได้สังเกตเห็นล่ะนะว่าทั้งสองเดินจูงมือกันเข้ามา

“พี่กล้าสวัสดีฮะ”

“อ้าวตัวเล็กมาด้วยกันได้ยังไงนิ มานั่งนี่มา” ต้นกล้าปรับสีหน้าและรับไหว้อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นมาด้วยกันกับไอ้จ๋า น้ำส้มกำลังจะเดินไปนั่งข้างๆ อย่างที่ต้นกล้าบอก แต่ถูกไอ้จ๋าจับต้นแขนรั้งเอาไว้ให้นั่งลงข้างๆ มันอย่างที่ควรจะเป็น

“ออกหน้าออกตาโว้ย” ที่รั้งน้ำส้มเอาไว้ไอ้จ๋าคิดว่าตัวเองทำได้เนียนแล้ว แต่ก็ยังไม่รอดพ้นจากสายตาของคนเป็นลูกพี่ไปได้ ใจจริงก็ไม่อยากปิดบังอะไรหรอก แต่ที่ไม่อยากให้คนเป็นลูกพี่รู้ก็เพราะอย่างเดียวเลย คือลูกพี่จอมแกล้งต้องแซวไม่เลิกแน่ๆ กวนออกอย่างนี้ ใครมันจะไปยอมเสียหน้าที่ถูกแกล้งถูกแซวล่ะ

“นี่ไอ้ปั้นสิบ กับไอ้พายุเพื่อนพี่เองนะตัวเล็ก”

“สวัสดีฮะ”

“เป็นแฟนจ๋าหรือไง” น้ำส้มกับไอ้จ๋าชะงักและมองไปทางต้นเสียง ที่ถามผ่ากลางวงขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ยิ่งคนถามๆ แล้วยังทำเป็นลอยหน้าส่งสายตาเหมือนกำลังประเมินมามอง ไอ้จ๋ายิ่งไม่สบอารมณ์ เพื่อนของลูกพี่คนนี้จะเอายังไงกันมันกันแน่วะ น้ำส้มเหลือบมองไอ้จ๋า ไม่รู้ว่าอีกคนจะให้ตอบออกมายังไงดี ทั้งเขินที่ถูกถามตรงๆ บิดมือตัวเองที่วางอยู่บนตักใต้โต๊ะจนแดงไปหมดแล้ว

“เฮ้ย ว่าไงวะจ๋าคบกันแล้ว?” ต้นกล้าหันมาถามอีกเสียง แล้วแสยะปากเตรียมยิ้มล้อ นั่นไงเป็นอย่างที่ไอ้จ๋าคิดไว้ไม่มีผิด

“พวกมึงจะอะไรกับน้องมันวะ คบกันก็ดีไปสิโว้ย..ใช่มั้ย” ปั้นสิบตัดบทให้

“ใช่ครับผมกับน้ำส้มเป็นแฟนกัน” แต่ไอ้จ๋าก็บอกออกมาตรงๆ

“บ๊ะ มันต้องอย่างนี้สิวะพูดออกมาแบบแมนๆ เลย ไม่ต้องอ้ำต้องอึ้งกันล่ะ คบก็บอกว่าคบ รักก็บอกว่ารัก” คำพูดของปั้นสิบทำให้ต้นกล้าคิดถึงเรื่องตัวเอง เมื่อคิดถึงสายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม ที่ชายหญิงคู่นั้นกำลังนั่งกินอาหารพูดคุยยิ้มหัวกันอยู่อย่างมีความสุข และอดไม่ได้ที่จะแอบมองเป็นระยะ และต้องพยายามปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติที่สุด เมื่อหันมาคุยกับเพื่อน เพราะต้นกล้าจะแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เกิดความสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ตอนนี้เพื่อนทั้งสองนั้นคิดไปไกลเลยคำว่าสงสัยไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นวะ” ปั้นสิบอดไม่ได้ที่จะเอียงตัวไปกระซิบถามพายุ เมื่อต้นกล้าหันไปคุยกับน้ำส้มและไอ้จ๋า

“ไม่รู้ว่ะ มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่นอน ถึงมันจะยิ้มแต่ดูตามันกูก็รู้ว่าต้องมีเรื่องในใจ”

“พวกมึงสองคนซุบซิบอะไรกันวะ” ต้นกล้าทักขึ้นเมื่อหันกลับมาเห็นเพื่อนทั้งสองเอาหัวชนกันและทำปากขมุบขมิบ

“เปล่าโว้ย กูแค่บอกไอ้ยุเล็งสาวที่เดินผ่านหน้าร้านไป”

“แล้วไป ว่าแต่ตัวเล็กอิ่มหรือยังครับ”

“อิ่มแล้วฮะพี่กล้า”

“งั้นกลับเลยมั้ย จะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

“ไม่ฮะ”

“งั้นก็กลับกันเลย น้องครับเช็คบิลครับ ไอ้สิบมึงเลี้ยงนะ” ต้นกล้าบอกกับทุกคนแล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ก่อนจะหันไปบอกให้ปั้นสิบเป็นคนจ่าย

“เอ้า ไรวะทำไมต้องเป็นกู”

“ฮ่าๆ เออ มื้อนี้มึงเลี้ยง เตี่ยมึงรวยแค่นี้ไม่สะเทือนขนหน้าแข้งมึงหรอก” ต้นกล้าหัวเราะขำปั้นสิบที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนหมางง เมื่ออยู่ดีๆ ตัวเองต้องเป็นคนเลี้ยงทั้งกลุ่มคนเดียว “อีกอย่างโทษฐานที่มึงเมาหลับไปก่อนเมื่อคืน ทำให้ไอ้จ๋าซื้อเหล้ามาเก้อ มึงเลี้ยงมันถูกแล้ว”

“เออๆ ก็ได้วะ ว่าแต่เย็นนี้น่าเอาอีกสักยกดีกว่าว่ะ เมื่อคืนกูยังไม่เก็ทเลยนะ”

“ไม่เก็ทอะไรของมีไอ้สิบเมาสลบคาที่ขนาดนั้นแล้ว” พายุแทรกขึ้น

“นั่นแหละ อย่างนี้มันต้องถอนโว้ย จั่งซี่มันต้องถอน จั่งซี่มันต้องถอน” ปั้นสิบทำเสียงเลียนแบบเพลงลูกทุ่งหมอลำที่เคยได้ยินจากวิทยุของไอ้จ๋า จึงเรียกเสียงฮาได้ทันที โดยเฉพาะน้ำส้มที่หัวเราะจนน้ำตาไหล

“เอ้า จัดไปงั้น” ต้นกล้าเห็นด้วยกับปั้นสิบ “ขากลับแวะตลาดสดก่อนละกัน”

“เออ จ๋าวันนี้แกจะเสนอเมนูอะไรเด็ดๆ อีกวะ” ปั้นสิบที่ติดใจฝีมือไอ้จ๋าหันมาถาม

“ที่กินไปเมื่อกี้มึงย่อยยังเลยเหอะไอ้สิบไอ้ห่า” แต่โดนพายุดักคอทันที

“กูถามเผื่อมื้อเย็นไอ้ห่านี่”

“มีแน่นอนครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าโชว์ฝีมือเอง”

“จ๋าทำกับแกล้มเหรอ” น้ำส้มถามขึ้นเพราะไม่คิดว่าไอ้จ๋าจะทำอาหารเป็น เห็นท่าทางห่ามๆ เหมือนไม่สนใจอะไร ไม่น่าจะเป็นงานบ้านงานเรือน ทั้งที่ไอ้จ๋าก็แสดงความมีฝีมือของมันให้ได้เห็นหลายอย่างแล้ว ว่ามันเองก็ไม่ใช่ขี้ไก่ขี้กานักหรอกนะ อยู่กับไอ้จ๋าไม่มีอดตายล่ะวะ

“เออ” ไอ้จ๋าตอบสั้นตามแบบของมัน

“ไปด้วยกันมั้ยตัวเล็ก” ต้นกล้าหันมาชวนน้ำส้มที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ ไอ้จ๋า เพราะสายตาของพายุที่มองมาบ่อยๆ ทำให้เจ้าของร่างบอบบางรู้สึกเหมือนจะวางตัวไม่ถูก

“คงไม่ได้ไปฮะพี่กล้า มีงานต้องรีบทำส่งอาจารย์”

“ว้าเสียดาย งั้นคราวหน้าห้ามพลาดนะ”

“ฮะพี่กล้า”

“ปะๆ กลับบ้านเราเหล้ารออยู่” ปั้นสิบที่จ่ายเงินให้พนักงานเสร็จแล้วหันมาชวนอย่างอารมณ์ดี ทั้งหมดจึงพากันออกจากห้างและแยกย้ายกันไป โดยน้ำส้มไปกับไอ้จ๋าเหมือนเดิม ส่วนหนุ่มหล่อทั้งสามที่มาด้วยกันก็ไปแยกไปรถอีกคัน จุดหมายคือตลาดสดที่ตัวอำเภอเพื่อซื้อของสำหรับทำกินกันเย็นนี้และซื้อของเมาไปเพิ่ม จะได้ไม่ต้องออกมาซื้อตอนดึกอีกหากไม่พอ


50%
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-12-2018 09:50:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปั้นสิบนี่ยังไง?

สาวคนนั้น น่าจะเป็นน้องสาวนะ  ว่าป่ะ?
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 20:01:25


เมื่อกลับมาถึงบ้านปั้นสิบที่คออ่อนที่สุดในกลุ่มเพื่อน แต่ชอบเป็นตัวตั้งตัวดีในการชวนดื่ม จัดแจงเตรียมของเตรียมพื้นที่กับไอ้จ๋า แคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไยหน้าบ้านเป็นมุมเหมาะที่ได้รับเลือกเป็นที่ตั้งวงเหล้าอีกครั้ง ส่วนต้นกล้าที่ยังมีเรื่องคาใจขอปลีกตัวเอาของขึ้นไปเก็บในห้อง โดยมีพายุกับปั้นสิบแอบมองตามอย่างเป็นห่วง ด้วยมั่นใจแล้วว่าต้นกล้าคงมีเรื่องอะไรบางอย่างในใจ แต่ไม่สามารถเดาได้ว่ามันคือเรื่องอะไรเท่านั้นเอง ส่วนไอ้จ๋ารีบจัดเตรียมของสำหรับทำกับแกล้มด้วยความคล่องแคล่ว จนเสร็จแล้วจึงปลีกตัวไปอีกคน

“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอวะ”

“ครับลูกพี่จะเอาอะไรหรอเปล่าครับ”

“เออเดี๋ยวหยิบเอง”

“ลูกพี่ครับ”

“อะไร”

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่ถามไมวะ”

“เปล่าครับลูกพี่ ไอ้จ๋าคงดูผิดไป แต่ถ้าลูกพี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หรือไม่พอใจอะไรบอกไอ้จ๋าได้นะครับ”

“อืม...ขอบใจ” ตอนนี้ทั้งสองยืนคุยกันอยู่ในครัว ต้นกล้าบอกขอบใจแล้วเดินจากไปตัวเปล่า ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจเข้ามาเอาอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไอ้จ๋าทักขึ้นมาเขาเองก็เลยลืมๆ ไปเลยว่าจะมาเอาอะไร

“เอ้ามาๆ ทำอะไรอยู่วะชักช้าเสียเวลา” ปั้นสิบเร่งเมื่อเห็นต้นกล้าเดินออกมาจากส่วนหลังของบ้านซึ่งเป็นห้องครัว แล้วยื่นแก้วเหล้าให้เมื่อเพื่อนรักเดินเข้ามาถึง

“ไอ้ยุชนโว้ย” ไม่ลืมหันไปเรียกเพื่ออีกคนที่กำลังย่างหมึกอยู่ วันนี้เป็นทะเลเผาที่จะได้ลองน้ำจิ้มรสเด็ด ที่ไอ้จ๋ามันนำเสนอ ต้นกล้าพยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจไม่สามารถหยุดคิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายได้เลย ในหัวมันมีแต่คำถามต่างๆ นานาที่คอยวนเวียนเข้ามา ถึงการกระทำของคนตัวโต ต้นกล้าไม่รู้จะเชื่ออย่างไหนดี เพราะเวลาอยู่ด้วยกันเด็ดเดี่ยวก็ทำเหมือนกับว่าต้นกล้ามีความสำคัญมาก แต่ทำไมต้องโกหกเรื่องที่ไปกับคนอื่น หรือว่าเด็ดเดี่ยวเพียงแค่คิดเล่นๆ ไม่ได้จริงจัง และเป็นเขาเองที่หลงเชื่ออะไรหลอกตาง่ายๆ เป็นเพราะความใจง่ายของเขาเองใช่ไหม เป็นเพราะต้นกล้าง่ายจนทำให้เกิดความสัมพันธ์เกินเลยขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วอีกคนก็ไม่ได้คิดจะจริงจัง

ต้นกล้าคิดมาถึงคำว่าจริงจังก็ให้รู้สึกเจ็บหน่วงแน่นลึกในอก และเหมือนมีความเจ็บแปลบแทรกเข้ามากลางอกจนรู้สึกอึดอัดคับแน่นไปหมด ความสับสนเข้าโจมตีในความรู้สึกที่มีแต่ความขัดแย้ง เมื่อคิดถึงการกระทำของใครอีกคน จากที่คิดว่าเข้าใจตอนนี้ต้นกล้ากลับมีแต่ความลังเลสงสัย ในหัวสับสนจนเริ่มไม่แน่ใจในการกระทำที่ขัดแย้งของเด็ดเดี่ยว ต้นกล้าลังเลกลัวว่าเหตุการณ์เดิมๆ จะเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้มันคงสาหัสกว่าคราวก่อนมาก เพราะต้นกล้าเองก็มีไม่ใช่แค่รู้สึกชอบแต่คิดว่ามันมากกว่านั้นไปแล้ว ถึงจะยังไม่สามารถพูดคำว่ารักออกมาได้เต็มปากเต็มคำ แต่มันก็คือความรู้สึกพิเศษที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง ตอนนี้กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีกับใครคนนั้นไป เพราะการกระทำที่หลอกลวง หรือจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเด็ดเดี่ยวกำลังหลอกลวง แต่จะทำไปเพื่ออะไร ต้องการอะไรกันแน่หรือแค่ต้องการแกล้งกันเท่านั้น หรือว่าไม่พอใจอะไร ไม่พอใจที่โดนแกล้งก่อน เลยแกล้งคืนด้วยการมาทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีจนมีใจด้วย กลายเป็นความผูกพันให้ถลำลงลึกทั้งตัวและหัวใจ แล้วก็ฉุดกระชากให้จมดินกับความเจ็บเพราะผิดหวังอย่างนั้นเหรอ

ภาพของใครอีกคนที่มักจะเข้ามากวนใจและวนเวียนอยู่ในความคิด จนต้องยอมรับใจตัวเองว่าคิดถึง ยอมรับว่ามีใครคนนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในใจ ในหัวและในความรู้สึกนึกคิด จนตอนนี้ต้นกล้ารับเอาเด็ดเดี่ยวเข้ามาในใจเต็มๆ และพึ่งจะได้รู้ว่าใครคนนั้นก็มีคนอื่นไปพร้อมๆ กัน หลังจากถลำตัวลงไปแล้ว มันจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า หากต้นกล้าจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแค่เพื่อน เป็นแค่คนรู้จัก แม้ระยะที่เห็นจะห่างอยู่พอสมควร แต่ต้นกล้าไม่ได้ตาบอด ถึงจะไม่เห็นอย่างชัดเจนใกล้ๆ แต่มันเห็นจะๆ ตาจากระยะที่ต้นกล้าอยู่ ว่าทั้งสองมองตายิ้มหัวพูดคุยกันอย่างมีความสุข สายตาของต้นกล้าคงไม่หลอกตัวเองหรอก ว่าคนทั้งคู่นั่งมองกันจนตาเชื่อม

“ไอ้กล้า” เฮือกก

“..”

“เหม่ออะไรของมึง มีเรื่องอะไรในใจไหนบอกมาดิ๊”

“กูเปล่า” ต้นกล้าหลบสายตาจับผิดจากเพื่อนทั้งสอง ด้วยการทำเป็นยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

“แต่กูว่าไม่เปล่าแน่มึง ตอนนี้กูแน่ใจแล้ว”

“แน่ใจอะไรของมึงไอ้สิบ บอกไม่มีก็ไม่มี”

“เออๆ อย่ากัดกัน” พายุขัดขึ้นก่อนที่เพื่อทั้งสองจะได้กัดกันจริงๆ

“มาๆ จ๋าไหนน้ำจิ้มรสเด็ดเอามาลองดิ๊”

“ครับๆ ลุยเลยครับ” ไอ้จ๋าวางถ้วยน้ำจิ้มกับจานยำที่ถือมาลงตรงกลางวง

“นี่แก้วนาย” พายุชงเหล้าเสร็จแล้วยื่นมาตรงหน้าไอ้จ๋า ที่ยังไม่ยอมรับแก้วไปแต่โดยดี “รับไปสิหรือมันเข้มไป” คนชงถามขึ้นอีกเมื่อเห็นไอ้จ๋ามองแก้วในมือตัวเองแต่ไม่ยอมรับไปสักที แก้วเหล้าผสมโซดาที่ดูเหมือนว่าปริมาณเหล้ามันมากจนเหมือนไม่ได้ใส่โซดาสักหยด นี่กะจะมอมหรือยังไงวะ หึๆ ไม่ได้กินคอเหล้าขาวสี่สิบอย่างไอ้จ๋าหรอกโว้ย

“ก็เข้มดี” ไอ้จ๋าบอกเมื่อรับแก้วเหล้ามาจากมือของพายุ แล้วยกขึ้นจิบโดยมีสายตาของคนยื่นให้มองทุกการกระทำของมัน จนไอ้จ๋าวางแก้วที่พร่องลงไปนิดเดียวลง ก็พอดีกับที่พี่ฮีโร่คู่ใจในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงเตือนว่ามีสายโทรเข้ามา ไอ้จ๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วแสยะยิ้มมุมปากออกมาบางๆ ก่อนจะเลี่ยงออกไปรับสาย โดยมีสายตาคมของพายุที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของไอ้จ๋ามองตาม รอยยิ้มที่เขาคิดว่ามันดูน่ารักผิดกับเวลาปกติเหลือเกิน

“เออ”

(“เออตลอด”)

“ก็เออน่า”

(“เมาแล้วเหรอ”)

“อืม”

(“คนเกเร”)

“เกเรเธอก็ยังรักล่ะน่า”

(“บ้า เค้าบอกตอนไหนว่ารักจ๋า”)

“หึๆ ไม่ต้องเขินเลยยัยเผือก ว่าแต่โทรมามีอะไร”

(“ชิ โทรไม่ได้หรือไง”)

“ได้ แค่อยากถาม”

(“อย่ากินเหล้ามากนะ”)

“ไม่ห้ามเหรอ”

(“เราไม่กล้าห้ามจ๋าหรอกแค่ไม่อยากให้กินเยอะ ไม่กินได้ยิ่งดี”)

“ไม่ได้หรอกลูกผู้ชายมันต้องกินเหล้า”

(“เหอะตรรกะบ้าบอ”)

“กล้าว่าฉันบ้าเหรอยัยส้มเน่า”

(“เค้าเป็นห่วงจ๋าต่างหาก”) แค่นี้ก็ทำให้จิตใจอันแข็งแกร่งของไอ้จ๋าไหวเอนจนอ่อนยวบแล้ว แต่มันยังคงรักษาฟอร์มของตัวเองเอาไว้ให้เหนียวแน่นไม่ผิดไปจากลูกพี่ใหญ่ของมันเลย

“เออน่ากินไม่เยอะหรอก แค่นี้นะเดี๋ยวฉันไปดูลูกพี่ก่อน”

(“อืม....จ๋าๆ ๆ ”)

“อะไรอีกวะ”

(“เอ่อ...”)

“เอ้า จะพูดอะไรก็พูด”

(“คิดถึงจ๋าจัง”)

“หึๆ ๆ “

(“ขำอะไรเขาอุตส่าห์คิดถึงนะคนบ้า”)

“ขำที่คิดเหมือนกันเด๊ะเลยไง”

(“คนบ้าไม่คุยด้วยแล้ว”)

“เอ้า ยัยส้มเน่านี่”

(“วางล่ะแค่นี้นะ”) น้ำส้มวางสายไปแล้วแต่ไอ้จ๋ามันยังยืนยิ้มมองพี่ฮีโร่อยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของมันเป็นใบหน้าของใครอีกคนที่พึ่งจะวางสายไปจนกระทั่ง

“นายยิ้มมากไปแล้วนะวันนี้” ไอ้จ๋าหันไปทางต้นเสียงก็เจอเข้ากับใครอีกคนที่มันไม่ค่อยชอบหน้า ยืนเอาสองมือล้วงกระเป๋าพิงต้นไม้อยู่ข้างหลัง

“ไม่เกี่ยวกับใครนี่” ไอ้จ๋าเดินเลี่ยงไปโดยที่ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นตามมาแอบฟังมันคุยโทรศัพท์หรืออะไรยังไง เพราะมันไม่อยากสนใจ ไม่อยากต่อปากต่อคำเอาง่ายๆ คือไม่อยากคุยกับเพื่อนของลูกพี่คนนี้ ที่ชอบมองมันด้วยสายตาแปลกๆ อย่างที่มันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

“เฮ้ยไอ้กล้า เบาโว้ยอะไรของมึงวะยกเอาๆ จนกูชงไม่ทันแล้วเนี่ย” ไอ้จ๋าได้ยินเสียงปั้นสิบโวยวายให้ต้นกล้าจึงเดินเข้ามาสมทบ และได้เห็นว่าลูกพี่ใหญ่ของมันดูเหมือนจะใจร้อนรีบเมาล่วงหน้าไปไกลกว่าคนอื่นมากแล้ว ทั้งใบหน้าหล่อเกาหลีที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นอีก

“ไหวหรือเปล่าครับลูกพี่”

“เออไหวๆ วันนี้จัดเต็มที่สักวันก็แล้วกัน”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ” ต้นกล้าชะงักกับคำถามของไอ้จ๋าที่มันอุตส่าห์ก้มลงมากระซิบที่ข้างหู แต่เพียงครู่ก็เปลี่ยนเป็นความเมินเฉยไม่สนใจ

“ไม่ต้องถามหาคนอื่นไปไหนก็ช่างเขาดิ”

“ครับๆ “ไอ้จ๋ารับคำทั้งที่ไม่เข้าใจอะไร เพราะดูเหมือนว่าระหว่างลูกพี่ทั้งสองก็เป็นอย่างนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อพายุเดินเข้ามาสมทบอีกคน สมาชิกวงเหล้าครบวงก็ครึกครื้นขึ้น เวลาล่วงเลยจากช่วงเย็นเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ ที่ทั้งสี่คนนั่งดื่มด้วยกัน แต่ปั้นสิบกับต้นกล้านั้นได้ที่พอสมควรแล้วกับความเมา เสียงคุยของคนเมาโขมงโฉงเฉงสลับกับเสียงร้องเพลงมั่วๆ ฟังแล้วก็น่าขำ ส่วนพายุดูเหมือนว่าจะคอแข็งกว่าทุกคุณในกลุ่มเพื่อนก็เริ่มมึนๆ มีแต่ไอ้จ๋าที่มันจิบไปแค่ไม่เท่าไหร่ และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอาการที่เรียกว่าเมาสักนิด เพราะถ้าเป็นแบบนี้มันคงต้องคอยดูแลลูกพี่ใหญ่ของมันจนเข้านอน

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของต้นกล้าสั่นเมื่อมีสายเข้า คนเมาที่พอรู้สึกตัวล่วงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาความรู้สึกเมื่อตอนกลางวันก็หวนกลับเข้ามาในหัวคิดอีก จึงกดปิดเครื่องแล้วยัดเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงของตัวเองเหมือนเดิม

“ยกเว้ยยก ไม่เมากูไม่เลิก”

“มึงน่ะเมาแล้ว”

“งั้นก็ให้เมากว่านี้แม่งเลย”

“งั้นก็ชนสิครับเพื่อนรออะไร” เป็นคนเมาอย่างต้นกล้ากับปั้นสิบที่เล่นกันอยู่สองคน มีพายุมองแล้วสายหัวปลงๆ ส่วนไอ้จ๋าไอ้แต่ยิ้มขำ จนครู่หนึ่งผ่านไปก็มีสายเข้าโทรเข้ามาที่พี่ฮีโร่ของมัน ไอ้จ๋าจึงปลีกตัวออกไปรับสาย

“กูว่าวันนี้เลิกก่อนดีกว่ามั้ยวะ”

“เลิกทามม้าย กูยังม่ายมาวเลยเนี่ย” เสียงอ้อแอ้ของปั้นสิบประท้วงเมื่อพายุบอกให้เลิกกิน

“น่านดิวะอ้ายยุ เมิงง่วงก็ปายนอนเรยปายอ้ายอ่อนเอ้ย” ต้นกล้าเสริม

“แต่มันดึกแล้วมึงสองคนจะไม่ไหวแล้วเนี่ย”

“ม่ายหวายเด่วกูน็อคให้ดู เมิงไม่ต้องห่วง ชงมาอีกดิ๊ไอ้ยุ” พายุได้แต่ส่ายหัวให้คนดื้อที่เมารู้เรื่อง เพราะพูดคุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็บังคับควบคุมอะไรไม่ได้ และเขาก็จำใจต้องชงเหล้าให้เพื่อนต่อ วันนี้สำรองมาอย่างเต็มที่ จนไอ้จ๋าที่คุยโทรศัพท์เสร็จเดินกลับมาสมทบ



%%%%%%%%%%%



เด็ดเดี่ยววางสายแล้วยืนจ้องโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ในมุมมืดที่สวนหน้าบ้านเงียบๆ หลังจากที่คุยเสร็จแล้วครู่หนึ่งผ่านไป จึงได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ออกมา สุดท้ายชายหนุ่มก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ยิ่งต้นกล้าไม่ยอมรับสายมันยิ่งเหมือนกับใจจะขาด ที่ไม่ได้ยินเสียงของอีกคนที่เขาคิดว่าถึงวันนี้ไม่ได้ไปหา อย่างน้อยได้ยินเสียงก่อนนอนก็ยังดี ชายหนุ่มยอมรับว่าเป็นเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยๆ ไปเลยตามเลย วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้คุยกันแล้ว นี่ขอคุยก่อนนอนหน่อยจะไม่ได้เลยหรือยังไง พอโทรหาแล้วต้นกล้าไม่รับสาย เด็ดเดี่ยวจึงต่อสายหาไอ้จ๋าทันที นั่นจึงได้รู้ว่าคนหัวแดงกับเพื่อนกำลังพากันกินเหล้าอยู่ และเด็ดเดี่ยวจะไม่ร้อนใจเลยหากไอ้จ๋ามันไม่ทิ้งท้ายเอาไว้ ว่าตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของมันเมาไม่รู้เรื่องแล้ว คนตัวโตถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง และเดินออกจากมุมมืดแห่งนั้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปถึงรถเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“ไปไหนวะ”

“ผมจะไปบ้านคุณยายหน่อยครับพ่อ”

“กลับมั้ย”

“เอ่อ..” เด็ดเดี่ยวเงยหน้าหน้าขึ้นมองกำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อ ที่ยืนอยู่บาศาลานั่งเล่นแล้วก็ได้แต่พูดไม่ออก นี่เขาควรจะบอกอะไรผู้เป็นพ่อบ้างดีไหม ถึงเวลาแล้วหรือยัง มันต้องเป็นตอนนี้ไหม ตอนที่เขาห่วงอยากไปหาอีกคนแทบแย่ “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพ่อ แต่เอาไว้ก่อนได้มั้ยครับ ตอนนี้ผมรีบไป”

“เออ เอายังไงก็เอา จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วไม่ใช่เด็กๆ “

“ครับพ่อ” เด็ดเดี่ยวเดินออกจากตรงนั้นไปขึ้นรถแล้วขับออกไป โดยมีสายตาของผู้เป็นพ่อมองตามอย่างเคย ใบหน้าเรียบเฉยของกำนันอาจหาญมันนิ่งมาก จนไม่สามารถเดาความรู้สึกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เด็ดเดี่ยวขับรถด้วยความเร็วเท่าที่เขาสามารถขับได้ เพราะใจของชายหนุ่มนั้นไปถึงบ้านคุณยายก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่วางสายจากไอ้จ๋า เมื่อมาถึงก็เห็นว่ากลุ่มเพื่อนยังตั้งวงอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไยอย่างคืนก่อน แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกสองคนจะเปลี่ยนจากนั่งดื่มเป็นนอนนับดาวกันแล้ว

“อะไรกัน ทำไมเมาไม่รู้เรื่องอย่างนี้วะไอ้จ๋า”

“ก็กินกันตั้งแต่บ่ายไม่เมาก็ไม่ใช่คนแล้วครับลูกพี่ ถึงตอนนี้จะเมาไม่เหมือนคนก็ตามเถอะ หึๆ ๆ ” คนเป็นลูกพี่ส่ายหัวแล้วหันไปเรียกต้นกล้าที่นอนกองกันอยู่กับปั้นสิบในสภาพเมามายพอกัน

“ต้นกล้า”

“อึก”

“ทำไมกินจนเมาขนาดนี้เนี่ย”

“ครายวะ อึก”

“ให้มันได้อย่างนี้สิ เมาจนสะอึกลุกเลย” เด็ดเดี่ยวบ่นเบาๆ แต่น้ำเสียงเข้มบ่งบอกว่าไม่พอใจมาก หันมาทางไอ้จ๋าที่ดูเหมือนจะไม่เมาเท่าคนอื่นๆ ส่วนพายุนั้นนั่งมองอยู่เฉยๆ ดูท่าทางไม่เมามากเท่าไหร่ แต่ดูก็รู้ว่ากินเข้าไปไม่น้อยเหมือนกัน

“ยุ่ง” คนเมาพูดออกมาสั้นๆ ทั้งที่ยังหลับตา เมื่อร่างกายถูกจับให้ลุกขึ้นมานั่ง

“ลุกขึ้นเดี๋ยวพี่พาไปนอนบนบ้าน”

“พี่หนายวะ ม่ายไปโว้ย จานอนแข่งกะไอ้สิบตรงนี้”

“เฮ่อ”

“เอ้า ปล่อยๆ ปล่อยโว้ย อารายวะเนี่ยอึก” ต้นกล้าโวยวายเมื่อเด็ดเดี่ยวพยายามพยุงร่างปวกเปียกให้ยืนขึ้น และคนเมาก็ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองให้ตรงได้ จึงเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปที่อกกว้างของคนตัวโตทั้งตัว

“นี่คุณคนเขาไม่อยากไปจะมาบังคับทำไม” เด็ดเดี่ยวหันกลับไปมองพายุที่พูดแทรกขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะพยุงบังคับหิ้วปีกให้ต้นกล้าขึ้นบ้าน

“ลูกพี่เดี่ยวพาลูกพี่กล้าขึ้นบ้านเลยครับ ไม่ต้องสนใจคนแถวนี้” ไอ้จ๋าตัดบทให้ เอาจริงๆ มันก็อยากให้ลูกพี่ของมันขึ้นบ้านได้แล้ว เพราะเมาจนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เป็นอะไรแต่คนเป็นลูกพี่นั้นกินเหล้าอย่างกับจะประชดน้ำจนมันแอบเป็นห่วง ส่วนเด็ดเดี่ยวพอได้ยินไอ้จ๋ามันบอกมาอย่างนั้น จึงหันไปรวบอุ้มต้นกล้าขึ้นในท่าเจ้าสาว แต่ต้นกล้าก็ไม่ยอมให้ตัวเองถูกอุ้มไปได้ง่ายๆ จึงดิ้นขัดขืนสุดแรงทั้งที่แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว และเมื่อถูกอุ้มขึ้นนี่เองจึงทำให้คนเมาที่หัวมึนอยู่แล้วรู้สึกมึนและวิงเวียนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก และเมื่อทำอะไรไม่ได้ต้นกล้าจึงได้แต่โวยวายเสียงดัง

“โอยยย โลกหมุน

“อย่าดิ้นเดี๋ยวพี่พาไปนอน”

“พี่หนายวะ พี่คราย ไม่ไปโว้ย”

“อย่าเสียงดังมันดึกแล้ว”

“ม่ายต้องมาสั่ง เป็นใครมีสิทธิไรมาสั่ง ปล่อยๆ ๆ ๆ โอยเวียนหัวมากมาย”

“เวียนหัวก็ซบไหล่พี่นิ่งๆ “

“พี่ไหนไม่มีพี่โว้ย”

“อืม..พี่ลืมไปว่าต้นกล้าเป็นลูกคนเดียว ไม่อยากเรียกพี่งั้นเรียกอย่างอื่นดีมั้ย” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อวางร่างปวกเปียกลงบนที่นอน พยายามจัดท่านอนให้ดีๆ แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ดิ้นหนีและผลักไส

“เรียกอาราย ออกปาย อึก คนจานอน ฮึ่ย” ต้นกล้าผลักคนตัวโตให้ออกห่าง เท้าก็ยันที่นอนอย่างขัดใจ

“เฮ่อ” ไม่อยากเรียกพี่ก็เรียกได้อย่างเดียวล่ะวะ เด็ดเดี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้น แอบยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคำที่เขาอยากให้หลานชายคุณยายเรียกขาน และนั่นทำให้คนเมาคิดว่าอีกคนคงออกจากห้องไปแล้วจึงเงียบเสียงลงได้ แต่เพียงไม่นานคนตัวโตก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอ่างน้ำและผ้าเช็ดตัว ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าของคนเมาออกจนเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้อย่างเบามือ

“อื้อ ไม่อาวไม่ทำ”

“อยู่นิ่งครับ เดี๋ยวเช็ดตัวให้จะได้ดีขึ้น”

“คนใจร้าย มาทามมายอีกวะ” ตาสวยปรือขึ้นมองคนที่กำลังดูแลด้วยการเช็ดตัวให้อย่างเอาใจใส่ ต้นกล้าที่พอจะมีสติสตังเหลืออยู่น้อยนิดจึงพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วๆ อย่างน้อยใจ เสียใจ เสียความรู้สึก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร แต่เชื่อสายตาตัวเองเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

“หืม? ว่าอะไรนะ” เด็ดเดี่ยวก้มลงใกล้คนนอนบนเตียงพลางถามกลับ เมื่อได้ยินเสียงพึมพำดังออกมาจากปากของต้นกล้าแต่มันเบามากจนฟังไม่ได้ศัพท์

“ปายไหนก็ปายเลยคนโกหก อึก” ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ จึงได้ละเมอออกมาทั้งยังกินเหล้าเสียเมาอย่างนี้ แต่มันเรื่องอะไรนั่นคือสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกำลังสงสัย

“ว่าอะไรไหนพูดชัดๆ ซิพี่ฟังไม่รู้เรื่อง” ก้มลงชิดกันยิ่งกว่าเก่า

“โคนโกหก”

“ใครโกหก”

“คนหน้ามึน โก....หก! ”

“หมายถึงใครครับ” จุ๊บ “ว่าพี่เหรอ” ฟอดดด จุ๊บ ยิ่งชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้ฟังได้ถนัดขึ้นยิ่งอดใจไม่ไหว ไอ้ที่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่แอบรังแกคนเมานั้นก็เลยอดใจเอาไว้ไม่ได้ เมื่อมีจูบแรกที่ปากสวยสีแดงเรื่อ ก็ตามด้วยการกดจมูกลงหอมแก้มหนักๆ แล้วฝากอีกจูบไว้ที่หน้าผาก และจูบที่สามสี่ห้าก็ตามมาอย่างอดใจไม่อยู่ ทั้งจูบทั้งหอมจนหนำใจ แล้วจึงเช็ดตัวให้คนเมาต่อ

“อื้อออ เย็น”

“แหนะรู้อีกว่าเย็น”

“รู้เด้ไม่ได้ตายด้านนะโว้ย อึก”

“หึๆ ๆ ครับไม่ได้ตายด้านก็ไม่ได้ตายด้าน ไหนมาพี่จูบอีกทีดิ๊ถ้าไม่ได้ตายด้าน” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วแนบริมฝีปากสวยด้วยปากอุ่นๆ ของตัวเอง ลิ้นร้ายซอนไซเข้าชิมความหวานปนรสเฝื่อนและกลิ่นเหล้า ที่ทำให้เร้าความรู้สึกไปได้อีกแบบ จนร่างกายเกิดความร้อนวูบวาบวาบขึ้นมา เพราะมันเหมือนเป็นยากระตุ้นอย่างดีจากกลิ่นและรสที่ได้รับ ร่างโปร่งที่นอนระทวยชวนมองจนไม่อยากละสายตาไปทางอื่น

ตาคมกวาดมองอย่างสำรวจตั้งแต่หน้าอกที่มีกล้ามเนื้อเพียงเล็กน้อย ประดับด้วยทับทิมเม็ดเล็กสองเม็ด หน้าท้องแบนราบถึงหลุมสะดือตื้น และไรขนอ่อนๆ ที่หายเข้าไปในขอบชั้นใน เด็ดเดี่ยวหายใจเข้าลึกเมื่อไล้ผ้าเช็ดตัววนไปตามลำตัวที่เรียบเนียน จนถึงต้นขาขาวๆ ของคนเมา ยิ่งเมื่อเช็ดผ้าผ่านเข้ามาทางต้นข้าด้านใน ยิ่งดูเหมือนกับว่าเขาจะตั้งใจทำมันเป็นพิเศษ ขาเรียวถูกจับแยกออกเล็กน้อยให้เช็ดถูได้ง่ายขึ้น ร่างขาวๆ ที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะพิษเหล้าดึงดูดสายตา จนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มือก็วนๆ เวียนๆ อยู่แถวกลางลำตัว จนร่างกายของคนเมาชักเริ่มตื่น นี่จึงยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าต้นกล้าไม่ได้ตายด้านอย่างที่คุยไว้จริงๆ เพราะแค่เด็ดเดี่ยวปัดมือผ่านและแตะนิดๆ หน่อยๆ อย่างตั้งใจ ส่วนกลางกายที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงชั้นในก็เริ่มโป่งนูนขึ้นมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ต่อ.....
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 20:05:44


‘นี่เราคงไม่หื่นเกินไปหรอกใช่ไหม’ เด็ดเดี่ยวถามตัวเองในใจ เมื่อไล้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาบนท่อนเนื้อนูนเด่นดันเนื้อผ้ายืด เหมือนมันอยากจะออกมาสูดอากาศข้างนอก

“อื้อออ อ่า” ซึ่งมันจะไม่มีผลอะไรกับคนที่ตั้งใจแกล้งเลย หากไม่ตามมาด้วยเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสยิววูบวาบลงไปถึงส่วนล่างของร่างกายแบบนี้

“อย่าทำเสียงแบบนี้สิ หึๆ ๆ ”

“อึก อ๊ะ”

“อยากให้พี่จูบมั้ยครับ” จุ๊บ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะถามทำไม ในเมื่อคนที่โดนจูบจะอนุญาตหรือไม่เขาก็จะทำมันอยู่ดี

“คนขี้โกหก อึก อยาก..”

“หืม? “เด็ดเดี่ยวเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อคนเมาพูดค้างเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วพยายามดิ้น ชายหนุ่มเอาผ้าจุ่มน้ำแล้วบิดอีกรอบก่อนจะเอามาเช็ดที่ใบหน้าหล่อใสแดงระเรื่ออีกครั้ง เจ้าของร่างโปร่งเริ่มกระวนกระวาย

“ย่ะ อยาก..อึก” คราวนี้เด็ดเดี่ยวได้ยินมันอย่างชัดเจนที่ต้นกล้าพูดคำว่าอยาก ในหัวคนหื่นนึกสนุกจึงยิ้มออกมาบางๆ แล้วถามต่อ

“อยากอะไรครับบอกพี่ดีๆ สิ”

“อื้อออ อยาก อยาก”

“อยากอะไรครับคนดี ลองอ้อนพี่สิแล้วพี่จะทำให้”

“อ้อน อื้อ อ้อน อยากอ้อน”

“อยากให้พี่ทำอะไรครับ จุ๊บ”

“อยากกก อึก อื้อออ” ปากสีสดทำให้ยากจะอดใจเอาไว้ได้ไหว ยิ่งบอกแต่ว่าอยากๆ ยิ่งทำให้คนที่ตอนนี้มีแต่ความหื่นในหัวยากจะอดใจไม่เชยชิมรสชาติหวานละมุนของเรียวลิ้น เด็ดเดี่ยวประกบจูบดูดดื่มลงมาอีกครั้งอย่างหลงใหล กับความยั่วยวนที่ทำให้เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ทั้งที่อีกคนพยายามผลักไสแต่ดูเหมือนยิ่งทำให้คนรุกย่ามใจ ได้จูบแล้วก็จูบเอาจูบเอาอย่างเมามัน อารมณ์รักก่อตัวบิดมวนบอกว่าต้องการการตอบสนองและเติมเต็ม

“พี่ก็อยากเหมือนกัน” เด็ดเดี่ยวบอกอย่างนึกสนุก

“อืม อยากใช่ อยาก”

“ครับ อยากอะไรเอ่ย”

“อยาก อยากกกก อ้วก! ....อึก อุ๊บ!! ”

“เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งอ้วก เดี๋ยวพี่พาไปห้องน้ำ” อารมณ์รักที่ก่อตัวขึ้นเพราะคิดว่าต้นกล้าเรียกร้อง และออดอ้อนให้ทำบางสิ่งบางอย่างหายไปหมดสิ้นทันที เมื่อเจ้าตัวเฉลยออกมาว่าแท้ที่จริงแล้วอยากอะไร เด็ดเดี่ยวไม่เข้าใจว่าทำไมความอยากระหว่างเขาสองคนตอนนี้มันถึงไม่ตรงกัน แต่ก็เอามือปิดปากสวยไว้ก่อนที่ต้นกล้าปล่อยของเก่าออกมาตรงนี้ เด็ดเดี่ยวรั้งร่างโปร่งให้ลุกขึ้นเพื่อพาไปห้องน้ำได้ทันเวลาพอดี

อ้วกกกกกก อึก

“ไหวมั้ย”

“อืม”

“ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วกลับไปที่เตียงปะ”

“ไม่..”

“หืม? ทำไม”

“เดิน เดินไม่ไหวมึน”

“มาพี่อุ้ม”

“ไม่เอาไม่ให้อุ้มจะไปไหนก็ไปเลย” เมื่อได้ปล่อยของเสียออกมาก็ดูเหมือนว่าความเมาจะลดลงได้อยู่บ้าง แม้จะยังไม่สร่างเต็มที่ก็ตาม

“อย่าดื้อน่า เดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว”

“น้ำ อยากกินน้ำ”

“งั้นออกไปเดี๋ยวพี่หยิบน้ำให้” เด็ดเดี่ยวพยุงคนตัวเล็กกว่าออกจากห้องน้ำ แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของต้นกล้าจะไม่มีเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงรวบร่างโปร่งเกือบเปลือยเข้าหาตัวแล้วอุ้มออกมาวางไว้ที่เตียง

“น้ำ ขอน้ำ”

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ไปเอาให้”

“..”

“ดีขึ้นมั้ย” ถามหลังจากที่ป้อนน้ำให้คนเมาที่ดูมีสีหน้าดีขึ้น

“อืม”

“อย่าพึ่งหลับนะครับให้พี่คิดบัญชีก่อน”

“คิดบัญชีอะไร” ต้นกล้าขมวดคิ้วถามออกมาเสียงแหบ เมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวโตกระซิบบอกว่าจะคิดบัญชี

“บัญชีที่ทำตัวเกเรกินเหล้าเมามายจนไม่รู้เรื่องแบบนี้” และทำให้พี่ค้างเติ่ง หึๆ

“เหอะ ตัวเองทำตัวดีนักเหรอ”

“ดีที่สุด”

“โกหก ออกไป”

“อ้าว จริงจังมั้ยเนี๊ย”

“เออ”

“จ้างพี่ก็ไม่ไป” จุ๊บ

“อย่านะ อื้อออ” ปากสวยที่กำลังไล่และปฏิเสธถูกปิดด้วยจูบร้อนแรง ร่างขาวๆ ที่ขึ้นริ้วแดงระเรื่อเป็นช่วงทำให้คนตัวโตยากจะอดใจไหว เด็ดเดี่ยวจูบจาบจ้วงอย่างเอาแต่ใจตัวเอง แม้ว่าต้นกล้าจะทั้งผลักทั้งทุบแต่ก็ไม่สามารถหยุดความต้องการของอีกคนลงได้ เพราะทั้งหลอก ทั้งล่อ ทั้งลูบไล้ และเชิญชวน จนความโกรธ ความน้อยใจ ความสบสน ความหวาดระแวงทุกอย่างพลันมลายและหายไปทันที นั่นเป็นเพียงเพราะก้อนเนื้อในอกก้อนเดียว ที่มันเต้นไปพร้อมๆ กับเยื่อใยที่มีอยู่เต็มเปี่ยม อะไรๆ ก็ต้านทานความต้องการของมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ต้นกล้าเปลี่ยนจากกการผลักไส กลายมาเป็นให้ความร่วมมือ โดยการวางสองแขนโอบต้นคอคนตัวโต รั้งให้เกิดความแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น

“โกรธอะไรพี่หรือครับคนดี” ผละออกมาถามแต่ก็ไม่รอคำตอบเพราะรุกทันทีแบบไม่ต้องตั้งตัวกันล่ะ ต้นกล้าได้แต่ครางอื้ออึงอยู่ในลำคอเป็นการประท้วง เมื่อจูบจาบจ้วงในตอนแรกกลายเป็นความเร่าร้อน ที่ก่อตัวกระตุ้นจนจุดกระสันตามร่างกายเกิดความวูบวาบ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มกำลังแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ พอผนวชกับความเมามายที่มี นั่นก็เหมือนเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่สุมอารมณ์ให้ลุกโชน ยิ่งเมื่ออีกคนเคลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับ แล้วบดเบียดร่างกายส่ายไปมา ให้เนื้อที่แนบกันเกิดการเสียดสี นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ปรารถนาที่เริ่มคุขึ้นมาจนกระเจิงไปไกล

“มีอะไรก็ถามพี่ดีๆ อย่าติดเองเออเองคนเดียวเข้าใจมั้ย” เหมือนจะรู้ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่รู้หรอกว่าต้นกล้าจะโกรธหรือคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ หลานชายคนเดียวคุณยายประไพศรี คงไม่พอใจอะไรสักอย่างในตัวเขาแน่นอน แต่นั่นเอาไว้คุยกันทีหลัง เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการเจรจาด้วยภาษาพูด มันเป็นเวลาของภาษากายตามที่ใจเรียกร้อง เด็ดเดี่ยวจูบไซ้ไปตามลำคอไล่ลงมาจนถึงหน้าอกแบนราบ ที่มีทับทิมสองเม็ดขึ้นตุ่มไตแข็งรอท่าให้เขาละเลียดชิม เรื่องคาใจในหัวถูกสลัดทิ้งทันที ที่ประกบความเร่าร้อนทับลงที่กลีบปากบาง เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ถูกถอดออกทีละชิ้นอย่างใจเย็น เมื่อเขาผละออกจากจูบแสนหวาน แล้วไล่ละเลงลิ้นไปตามผิวเนื้ออ่อนนวลเนียน

“อ๊ะ! “ยากเหลือเกินที่จะห้ามไม่ให้ปล่อยเสียงของความเสียวกระสันออกมา เมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นๆ แตะลงที่ยอดอก พร้อมกับความรู้สึกโล่งที่ส่วนล่างของร่างกาย เพราะปราการชิ้นสุดท้ายที่ติดตัวถูกถอดออกแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ความต้องการของร่างกายเห็นได้อย่างชัดเจน ผ่านแท่งรักที่ดีดตัวออกมารับความเป็นอิสระ ต้นกล้าครางกระเส่าเมื่อถูกมือสากกอบกุมแล้วรูดขึ้นลง

“คนดีของพี่” เด็ดเดี่ยวเรียกด้วยเสียงกระซิบซ่านอารมณ์ เพราะความต้องการปรารถนาบีบรัดความรู้สึก จนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าสู่ตรงกลางหว่างขาของคนเมาที่เริ่มจะสร่างเหล้า แต่ถูกมอมเมาด้วยรสเสน่หาแทนจนเคลิบเคลิ้ม

“อ่าาา” ต้นกล้าปล่อยเสียงครางรับคำเรียกอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อแท่งรักที่แข็งตั้งถูกเด็ดเดี่ยวจับรวบเข้ากับแท่งแข็งๆ ขนาดใหญ่อีกอันแล้วรูดไปพร้อมๆ กันเป็นจังหวะ เขาทำมันเหมือนช่ำชองมามากและเป็นจังหวะรับกันได้พอดีกับเรียวลิ้นร้อน ที่ส่งเข้ามาควานหาความหวานละมุนในโพรงปาก ความเมากับความต้องการลึกๆ ในใจที่มีต่อคนๆ นี้ ทำให้ต้นกล้าหลงลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความโกรธ ความน้อยใจ ความสงสัย ความสับสน เปิดรับเพียงแค่ความรู้สึกจากสัมผัสของกันและกัน ที่แปรเปลี่ยนมาเป็นความกระสันซาบซ่านเอ่อล้นอยู่ในหัวใจ ส่วนปลายป้านที่บานสวยเยิ้มฉ่ำไปด้วยน้ำใสๆ มันบ่งบอกความต้องการของร่างกาย ว่ามาถึงจุดที่ต้องได้รับการตอบสนอง ต้นกล้ากอดรัดรั้งร่างหนากว่าเข้าหา แล้วเชิญชวนด้วยริมฝีปากอุ่นที่ซุกไซ้ไล่ขบเม้ม เพื่อช่วยปลุกและกระตุ้นให้อารมณ์ของอีกคนตื่นความต้องการไม่แพ้กัน

“ต้องการพี่มั้ยคนดี” จุ๊บ คนตัวโตไล้นิ้วกวาดน้ำใสๆ ที่ไหลเยิ้มจากส่วนปลายของแท่งรักทั้งสอง แล้วละเลงเข้าที่แก่นกายของตัวเอง แม้ว่ามันจะไม่มากมาย แต่ก็พอช่วยให้การสัมผัสลื่นขึ้นเมื่อได้น้ำบ่อน้อยมาผสมกัน เด็ดเดี่ยวจดจ่อปลายแท่งรักเข้ากับช่องทางด้านหลังที่ขมิบรับสัมผัส ตอนเขาส่งเรียวนิ้วเปียกชุ่มเข้าไปนำทาง จนเมื่อช่องทางเริ่มขยายได้ที่จึงใส่ความใหญ่โตของตัวเองเข้ามาทดแทน

“อ๊ะ จะ เจ็บ อื้อ ซี๊ดดด” ต้นกล้ากัดฟันแน่นสูดปากเมื่อร่างกายถูกความใหญ่โตที่ผงาดแข็งรุกราน คนตัวโตค่อยๆ สอดใส่แก่นกายเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่ความเจ็บร้าวที่แปลบปราบขึ้นมาทันทีนั้น มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย แม้ว่าจะเข้ามาได้แล้วครึ่งหนึ่งก็ตาม

“ผ่อนคลายนะครับ ซี้ดด คนดีของพี่” จุ๊บ เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกแล้วทิ้งจูบอ่อนโยนลงที่หน้าผากมน พร้อมกับช่วงล่างที่ถอนถอยตัวเองออกเล็กน้อย แล้วขยับใส่เข้ามาใหม่ช้าเนิบนาบอย่างใจเย็น ทั้งที่เขาต้องกัดฟันข่มความต้องการจากอารมณ์ดิบของตัวเองที่ประท้วงเอาไว้ เพราะความใหญ่โตที่สอดเข้าไปถูกรัดจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ทางรักของต้นกล้าได้ค่อยๆ ปรับตัวเขาต้องทน เพราะไม่อยากทำให้ไอ้หัวแดงจอมรั้นของเขาเจ็บตัวไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก้มลงมอบจูบดูดดื่มหวานละมุน ที่เขาเปลี่ยนให้มันเป็นความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บของต้นกล้าเริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน เมื่อพื้นที่ตั้งแต่ปากช่องทางรักถึงภายใน อันเป็นจุดรวมของประสาทการรับรู้มากมาย ได้รับการกระตุ้นจากการเสียดสีเข้าออกที่ทะนุถนอมจากอีกคน

“อาาา” ริมฝีปากสวยอ้าออกเล็กน้อย หลังปล่อยเสียงครางจากความเจ็บปนเสียวซ่านออกมา ความมึนที่มัวเมานอกจากพิษของเหล้าแล้ว ยังมีพิษของความเสน่หาเข้ามามอมมัวอีกแรง ทำให้ต้นกล้าปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คนตัวโตที่คอยปรนเปรอป้อนความอ่อนหวานยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ นัยน์ตาของชายหนุ่มที่มองต้นกล้ามีแต่ความรักใคร่ เขาหลงใหลในความเป็นตัวของตัวเอง ที่ต้นกล้าแสดงออกมาให้เห็นว่ากำลังต้องการการเติมเต็มที่มากกว่านี้

“ชอบมั๊ย” ถามแต่ไม่รอคำตอบอีกแล้ว เมื่อเด็ดเดี่ยวจับมือเรียวทั้งสองข้างของคนเมามาโอบไว้ที่รอบคอของตัวเองอีกครั้ง แล้วรั้งให้ร่างโปร่งที่ปวกเปียกลุกขึ้นนั่ง ความเมาที่ยังทำให้มึนบวกกับอารมณ์รักที่ก่อเกิด ทำให้ต้นกล้าแทบจะไม่มีแรงทรงตัวนั่งดีๆ ถ้าไม่ได้วงแขนแข็งแรงรองรับที่ด้านหลัง คงได้หงายลงไปอีกเป็นแน่ ท่อนแขนแข็งแรงที่รองรับร่างต้นกล้าไว้ดันขึ้น ทำให้หน้าอกแบนราบที่ประดับยอดด้วยทับทิมสองเม็ดแอ่นเชิดท้าทาย ส่วนล่างเชื่อมกันจนแนบแน่นแล้ว แต่เด็ดเดี่ยวก็ทำเพียงแค่ส่ายสะโพกเป็นวงช้าเนิบ เพราะไม่อยากละตัวเองจากความแนบชิดนี้ ลิ้นร้ายส่งส่วนปลายทักทายกับยอดอกสีชมพูเกือบแดง ก่อนจะอ้าปากครอบความอุ่นลงแล้วไล้ปลายลิ้นตวัดเลียอยู่ภายใน

“อ๊ะ อืมมม ซี๊ดดด” ต้นกกล้าบิดร่างเร่าๆ เพื่อระบายความเสียวซ่าน ที่ก่อเกิดมาตั้งแต่ส่วนล่างที่ถูกสอดใส่ และแท่งรักใหญ่โตที่หมุนวน หน้าอกทั้งสองข้างที่ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากอุ่นสลับกันว่าเสียวสยิวมากอยู่แล้ว แต่ลิ้นที่อยู่ข้างในยังตวัดเลียไล้เหมือนกำลังหยอกเล่น นั่นยิ่งทำให้ปากของต้นกล้าเผยออ้าออกครางไม่ได้ศัพท์อย่างเสียวกระสันที่สุด

"อ่าาาา อืมม"

“ต้นกล้าน่ารักมากรู้มั้ย ต้นกล้าของพี่” ถามไปพร้อมกับส่ายสะโพกเหมือนกำลังยั่วยวน ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอหอมอ่อนๆ เด็ดเดี่ยวอ้าปากออกกว้างแล้วครอบลงที่ผิวเนื้ออ่อน ดูดเบาๆ แล้วดุนลิ้นจนเจ้าของซอกคอครางรับไม่เป็นภาษา

“อึก อืมม อา” ส่วนต้นกล้าที่กอดรัดร่างแกร่งสมชายเอาไว้แน่น ก็ไม่ช่วยระบายความเสียวซ่านสยิวที่เกิดขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ มือจิกเกร็งกรงเล็บลงที่แผ่นหลังกว้างเต็มๆ เมื่อถูกกระทำให้เสียวกระสันหลายจุดพร้อมกัน แต่ทำไมมันกลับไม่ถึงจุดที่สามารถปลดปล่อยได้สักที ราวกับอีกคนกำลังแกล้งให้เขาทรมาน

“ต้องการพี่มั้ยคนดี” ดูเหมือนว่าคนที่กำลังรุกเร้าจะรู้ว่าซอกคอเป็นจุดอ่อนที่ถูกสัมผัสแล้วเสียวสยิว เมื่อผละมาถามก็ไม่รอคำตอบเพราะเลื่อนไปทำอีกข้างให้รู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะไล่ลิ้นลงไปข้างล่าง มือใหญ่กอบกุมแท่งรักของต้นกล้าเอาไว้มั่น ทำงานได้เข้ากันกับปลายลิ้น ด้วยการไล้นิ้วหัวแม่มือวนรอบส่วนปลายป้านบานฉ่ำ ร่างระทวยของต้นกล้าอาศัยท่อนแขนแกร่งที่แข็งแรงรองรับส่วนหลัง ไม่อย่างนั้นคงได้นอนหงายลงไปอีกเป็นแน่แท้

“อ๊ะ แกล้ง”

“แกล้งอะไร อยากให้พี่ทำอะไรบอกดีๆ สิครับ”

“ทำ อื้อออ ซักที อึก เถอะ” เปล่งเสียงออกมาได้ยากลำบากเหมือนกำลังทรมาน แต่มันเป็นเสียงที่ทำให้คนฟังเกิดความฮึกเหิมในอารมณ์ เพราะไม่ใช่แค่พูดแต่เหมือนคนตัวเล็กกว่าสั่งให้เขาตอบสนองความต้องการ อ้อมแขนกอดรัดร่างแกร่งและขาเรียวที่ตวัดเกี่ยวเอวสอบ เป็นเหมือนคำสั่งพิฆาตที่เขาไม่อาจขัดขืน เด็ดเดี่ยวละทิ้งความอดทนอดกลั้นของตัวเอง ที่จะเล่นกับความทรมานอยากเพื่อให้ต้นกล้าเป็นฝ่ายเรียกร้อง เมื่อทั้งคำพูดและร่างกายของคนตัวเล็กกว่าบังคับให้เขาปลดปล่อยทุกความรู้สึก ร่างกายใหญ่โตจึงอยู่ในท่าที่มั่นคง เพื่อการเสือกไสตัวตนซอยเข้าหาช่องทางตอดรัดที่เชิญชวน

“อ๊ะ อ๊ะ” ปากเล็กที่ปล่อยเสียงออกมาตามจังหวะกระแทกตัว สร้างความฮึดในใจคนกระทำให้ใส่ทุกความรู้สึกที่มี ผ่านร่างกายที่สอดเชื่อมกัน ทุกจังหวะเข้าออกร้อนแรงเร่งเร้าจนใจแทบหลอมละลาย ความเจ็บในตอนแรกคืออะไรต้นกล้าแทบจำมันไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเพียงความสุขเสียวที่สมใจอย่างที่อยากได้

“มีความสุขหรือเปล่าครับคนดี”

“อะ อืมม เดี่ยว”

“ครับ อยากได้อะไรครับ”

“เดี่ยวจะ..จูบ...เรา..จูบเรา”

“คนดีของพี่ น่ารักมากที่สุดเลย” พูดจบก็ป้อนจูบหวานๆ ที่ปนมากับความร้อนแรงอย่างเรียกร้อง ต้นกล้าหลับตาพริ้มรับจูบเร่าร้อน ลิ้นร้ายกระหวัดเกี่ยวรัดกันได้เข้าจังหวะพอดีกับสะโพกสอบที่ซอยถี่เข้าหา

“ใกล้แล้วทำเองนะครับ” มือเรียวของต้นกล้าถูกจับมาวางที่กลางกายของตัวเอง เขาจึงเริ่มรูดรั้งรัวเร็วอย่างรู้หน้าที่ เพื่อให้เข้ากับอารมณ์ที่กำลังจะพุ่งถึงขีดสุด เด็ดเดี่ยวจับขาเรียวมาพาดไหล่มือข้างหนึ่งยังรองที่หลังบังคับให้อกของต้นกล้าแอ่นหยัด ส่วนมืออีกข้างค้ำยันร่างกายให้มั่นคง เขาเร่งจังหวะสอบสะโพกเร็วขึ้น ความใหญ่โตผลุบเข้าออกช่องทางรักที่ตอบรับด้วยความกระชับแน่น ความเสียววูบวาบก่อเกิดขึ้นมาทั้งสองร่าง ที่ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยพันธะเสน่หา พันธะที่เหมือนเปลวไฟราคะเร่าร้อนเผาไหม้ สองร่างที่โยกคลอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเป็นเม็ดๆ ที่ผุดขึ้นมาตามผิว เกิดความเสียวกระสันวูบวาบไปทุกอณู ความต้องการที่จะไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของความสุขซาบซ่าน บังคับให้ต้นกล้าเอ่ยปากบอก อย่างคนที่กำลังหลงระเริงอยู่ในทุ่งหญ้าหอมกลิ่นกามารมณ์

“อา อ่า เร็ว หน่อย”

“ครับที่รัก ซี๊ดดด”

“อ๊ะ”

“ซี๊ด คนดีของพี่ อืม จะฆ่าพี่ให้ตายเพราะความน่ารักเหรอ อาส์ ตอดพี่ อึก รัดพี่ ซี๊ดดด ทำกับพี่ให้หนำใจ อ่า”

“อ๊ะ เดี่ยว พี่เดี่ยว ซี๊ดดดด อ่า” เสียงครางปนเสียงหอบประสานกันดังออกมาเป็นระยะ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในความสนใจอีกต่อแล้ว เมื่อสัญชาตญาณดิบมีอำนาจเหนือกว่า จึงตะเกียกตะกายตอบสนองให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ด้วยการปรนเปรอรสรักที่หอมหวานผ่านการสัมผัสกอดรัดปลุกเร้า เด็ดเดี่ยวตอกอัดตัวตนเข้าใส่ได้อย่างพอดีกับจังหวะรับของอีกคน จนร่างทั้งสองกระตุกแล้วเกร็งแน่นพร้อมๆ กัน ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกบีบอัดรัดเป็นปมเกรียว ด้วยความกระสันซ่านที่วูบวาบกระจายไปทั้งตัว ก่อนที่ความเสียวสยิวจะขมวดเข้าหากันเป็นมัดปม แล้วระเบิดความสุขสมที่ได้ปลดปล่อยออกมา ธารแห่งความปรารถนาพุ่งกระเซ็นเป็นสาย พร้อมกับภายในที่รู้สึกได้ถึงความอุ่นวาบ เมื่อคนตัวโตที่ควบขี่จังหวะรักร่างกระตุก เขาเกร็งแต่ยังสามารถควบคุมจังหวะเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เด็ดเดี่ยวเน้นย้ำสะโพกให้แนบชิดทุกครั้งเมื่อสอบเอวเข้าหาราวกับว่าไม่อยากแยกจากไปไหน ความเคลื่อนไหวถูกลดจังหวะลงเรื่อยๆ ช้าๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง เจ้าของร่างใหญ่โตทิ้งตัวซุกซบบนอกบางที่หอบขึ้นลงเป็นจังหวะและเริ่มผ่อนคลาย

ฟอดดดด

“พี่มีความสุขมาก”

“..”

“พี่หวังว่าต้นกล้าก็คงไม่ต่างกันนะ”

“...”

“พี่รัก”

“...”

“คนดีของพี่”

“..”

“พี่รัก” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะคนเมาที่มีสติหลงเหลือเพียงน้อยนิดหลับไปในทันที พร้อมกับหูที่ได้ยินเสียงกระซิบบอกคำรักแว่วหวานก่อนดวงตาจะปิดลง

v

v

v

v

v

v

ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนโล่งอก แล้วเดินกลับเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของมัน บอกตัวเองว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ในใจให้นึกขอโทษและฝากสายลมไปบอกกับลูกพี่ทั้งสอง ว่ามันเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเลยจริง จิ้งงงงงงง ให้ฟ้าผ่าตายเถอะครับลูกพี่ หึๆ ๆ ๆ



 %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ครึ่งหลังเอา NC มาเสริฟ อีกล่ะ อย่าเพิ่งเบื่อ NC ล่ะ เพราะตอนหน้ามันไม่มี 555

ดาวสงสัยขอถามผู้รู้หน่อยค่ะ เวลาเราอัพ ตรงหน้าแรก ท้ายนิยายมันจะขึ้น ว่า New แถบสีส้มอะ แต่ของดาวทำไมมันไม่ขึ้นเหมือนเขาคะ ตั้งแต่เริ่มกระทู้ก็ไม่มี แล้วมาวันหนึ่งมันมีอยู่วันเดียวแล้วก็หายไป เป็นเพราะอะไรคะ เห็นคนอื่นเขาก็มีกันทั้งน้น ใครรู้วานบอกค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ อัพแล้ว 100% 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-12-2018 20:51:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้จ๋านี่มัน อยู่ถูกที่ถูกเวลาแทบทุกครั้งเลยนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 18 น้องเมาน้องน้อยใจ อัพแล้ว 100% 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 18-12-2018 05:20:36
โอ๊ย.....นาทีนี้อยากเป็นจ๋ามาก 5555+
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 50% 20/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 20-12-2018 09:09:07


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา

จากวันนั้นที่นักข่าวมาจนถึงวันนี้ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ต้นกล้าดูข่าวตัวเองที่มีการแชร์ต่อมาเรื่อยๆ จนเต็มหน้าเพจ โดยเฉพาะข่าวที่เริ่มจากนักข่าวสองคนนั้นมาสัมภาษณ์เขาเป็นประเด็นที่กำลังร้อนและผู้คนให้ความสนใจ ยิ่งมีเพจอื่นๆ แชร์ต่อๆ กันออกไป คนที่ติดตามต้นกล้าอยู่ก็ช่วยกันแชร์ไปอีก เลยกลายเป็นว่าข่าวโอปป้าชาวนาหล่อถูกกระจายออกไปในวงที่กว้างขึ้น ต้นกล้าเห็นคนติดตามตัวเองมากมาย เห็นข้อความและคอมเม้นต่างๆ ตามข่าวที่ล้วนแล้วแต่ชื่นชมในตัวเขาและหน้าตาที่หล่อใสสไตล์หนุ่มเกาหลี จนบางสื่อยกตำแหน่งสามีแห่งชาติให้เขาก็มีแล้ว อดยิ้มกริ่มและสนุกกับการติดตามข่าวของตัวเองไม่ได้ จนกระทั่ง..

“ลูกพี่ครับ! ”

“เฮ้ย ตกใจหมด ทำไมย่องมาเงียบๆ วะ “

“โถๆ ลูกพี่ไอ้จ๋าก็มาปกตินะครับไม่ได้ย่องได้อะไรเลย ลูกพี่ไม่สนใจเองอะ”

“เออๆ แล้วเรียกทำไม”

“มีคนมาหาครับบอกว่าเป็นนักข่าว”

“เหรอ แกไปบอกเขาหน่อยว่าฉันไม่อยู่”

“บอกไม่ได้หรอกครับลูกพี่ แหะๆ “

“ทำไมบอกไม่ได้วะ”

“เพราะไอ้จ๋าบอกไปแล้วว่าลูกพี่อยู่ครับ”

“โว้ย ทำไมไม่มาถามกันก่อนวะ”

“เอ้า เขามาถึงก็ถามว่าลูกพี่กล้าอยู่มั้ย เขาเป็นนักข่าวอยากมาขอสัมภาษณ์อะไรนิดๆ หน่อยๆ ไอ้จ๋าเห็นท่าทางก็น่าจะไว้ใจได้อยู่เลยบอกไปว่าลูกพี่อยู่บนบ้าน” ไอ้จ๋าส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้ลูกพี่ แต่ตั้งท่าเตรียมตัวกระโดดเพราะคนเป็นลูกพี่อาจจะบันดาลโทสะโทษฐานที่มันทำอะไรไม่ถามกันก่อน

“เออๆ ช่างเถอะว่าแต่ตอนนี้นักข่าวอยู่ไหนกัน”

“ข้างล่างครับมุมเก่าใต้ต้นลำไย”

“เออ” ต้นกล้าตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินลงเรือนไป มีไอ้จ๋าเดินตามมาติดๆ ชายหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งรอยู่แคร่ ก็คือคนที่เคยมาสัมภาษณ์เขาเมื่อคราวก่อน และคนหน้าใหม่อีกสองคน หนุ่มทั้งสี่แต่งตัวคล้ายๆ กันคือกางเกงยีนส์เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อกั๊กที่เต็มไปด้วยกระเป๋าติดโลโก้สำนักข่าวและเพจของตัวเอง พร้อมกล้องคล้องคอท่าทางทะมัดทะแมง

“สวัสดีครับคุณต้นกล้า” เมื่อนักข่าวคนหนึ่งทักขึ้น อีกสามคนก็หันมามองต้นกล้าพร้อมๆ กัน “คือวันนี้เราจะมะ..”

“วันนี้ผมขอตัวนะครับ พอดีกำลังจะออกไปทำธุระ”

“ธุระอะไรครับ ธุระที่นาหรือที่ไร่ พอจะอนุญาตให้พวกเราไปตามติดชีวิตชาวไร่ชาวนาของคุณได้หรือเปล่าครับ” นักข่าวที่หนึ่ง ที่ดูท่าทางอาวุโสที่สุดในกลุ่มถาม

“ไม่ได้หรอกครับ ผมจะไปทำธุระสำคัญในเมือง และไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับพวกคุณ”

“แต่..”

“ผมขอตัวนะครับ”

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเราขอถามอะไรสักเล็กน้อยได้หรือเปล่าครับ” นักข่าวหน้าใหม่คนที่หนึ่งรีบพูดแทรกขึ้นมา เพราะเจ้าตัวก็อยากสัมภาษณ์ต้นกล้าด้วยตัวเองบ้าง

“ผมรีบครับ”

“แล้วคุณต้นกล้าสนใจไปให้สัมภาษณ์ที่สถานีของเราหรือเปล่าครับ ผมมาจากช่อง...อยากติดต่อให้คุณไปออกรายการกับเรา”

“ผมไม่สนใจและผมไม่ว่างครับขอโทษด้วย”

“นี่นามบัตรของผมครับ ถ้าเปลี่ยนใจติดต่อได้ตลอดนะครับ”

“ครับ ขอตัวนะครับ” ต้นกล้ารับนามบัตรแล้วบอกขอตัวเดินกลับจะขึ้นบ้าน ทำให้นักข่าวทั้งสี่คนต้องล่าถอยกลับไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นบันไดไอ้จ๋าที่ถือของพะรุงพะรังออกมาจากหลังบ้านก็เรียกเอาไว้ก่อน

“ลูกพี่ครับ วันนี้ลงนาหรือเปล่าครับ” ไอ้จ๋ากระซิบถามเสียงเบาเมื่อเดินเข้ามาใกล้ลูกพี่

“ลงดิวะ ทำใต้องกระซิบด้วย”

“เดี๋ยวพวกนั้นได้ยิน” ต้นกล้าหันไปมองทางหน้าบ้านที่กลุ่มนักข่าวกำลังเดินไปที่รถสองคันที่จอดอยู่นอกรั้ว

“คงไม่มีใครได้ยินหรอกมั้งไกลขนาดนี้แล้ว แล้ววันนี้แกไม่มีเรียนหรือไง”

“ไม่มีครับ งั้นลงนากับได้จ๋าตอนนี้เลยมั้ยครับ”

“เออๆ แล้วแกจะขนอะไรไปเยอะแยะวะนั่น” ต้นกล้ามองไอ้จ๋าตั้งแต่หัวจรดเท้า ในมือของมันมีทั้งจอบ เสียมและถังใบใหญ่ที่ใส่อะไรต่อมิอะไรในนั้นมาด้วย

“เดี๋ยววันนี้ไอ้จ๋าจะสาธิตการขุดหลุมให้ลูกพี่ดูครับ” ไอ้จ๋าตอบพลางยื่นเสียมให้เพราะต้นกล้าที่ยื่นมือออกมาเหมือนเป็นสัญญาณว่าจะช่วยถือ

“หืม แค่ขุดหลุมใครจะขุดไม่เป็นวะ ทำไมต้องสาธิต” แล้วลูกพี่กับลูกน้องสองสหายก็พากันเดินลงนา คุยกันโขมงโฉงเฉงไปตลอดทาง

“ใช่ครับลูกพี่แค่หลุมใครๆ ก็ขุดเป็น แต่หลุมที่ไอ้จ๋าจะขุดนี่มันเป็นหลุมดักปลาครับ”

“ยังไงวะ”

“การขุดหลุมที่ไอ้จ๋าพูดถึงนี่จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝังหลุมก็ได้ครับ เป็นวิธีดักจับปลาตามแบบภูมิปัญญาชาวบ้านเรา เป็นเทคนิคที่เกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับธรรมชาติของปลา ว่าเมื่อน้ำตามนาแห้งลงปลามันจะตะเกียกตะกาย หรือที่ภาษาอีสานบ้านเราเรียกกันว่า ‘บืน’ นี่แหละครับ”

“อืม บืนเหรอวะ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่ามันแปลว่า ตะเกียกตะกาย ต่อไปฉันต้องหัดเว่าอีสานให้มันคล่องๆ แล้วใช่มั้ยเนี่ย แกจะได้ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก”

“ได้ก็ดีครับลูกพี่ แหะๆ ๆ ”

“เออ แล้วยังไงต่อวะ”

“ปลามันก็จะบืนไปหาแหล่งน้ำใหม่ ที่มีน้ำมากพอให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงฤดูฝนหน้า ซึ่งอันนี้ชาวบ้านเขาเรียกอยู่ให้ ‘ม้มแล้ง’ ครับ ต่อจากนี้ตั้งแต่หลังเกี่ยวข้าวซึ่งก็คงอีกเดือนกว่าๆ ที่แถวนี้จะแล้งมากเพราะจะเข้าฤดูหนาวที่อาจจะไม่มีฝนตกลงมาอีกเลยหลายเดือน บางปีก็มีฝนหลงฤดูตกบ้างแต่โอกาสน้อยมากปลามันรอไม่ได้”

“อืม..น่าเห็นใจว่ะ”

“ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ “ม้มแล้ง” นี่ก็คือ ปลามันจะไปหาที่อยู่ใหม่ให้อยู่ได้ผ่านหน้าแล้งไปจนถึงฤดูฝนหน้าครับ ที่ๆ มันจะหาทางไปก็อย่าง ห้วย หนอง คลอง บึง แหล่งน้ำต่างๆ ที่มีน้ำมากพอที่อยู่ใกล้เคียงกัน และทางที่ปลามันจะ "บืน"ไปนี่เองจะเป็นจุดสำหรับขุดหลุมดิน เพื่อฝังกระบอกไม้ไผ่ หม้อ ไห หรือภาชนะต่าง ๆ ที่น้ำไม่ซึมเข้าได้เอาไปฝังขวางทางไว้ เมื่อปลามันตะกายหรือบืนผ่านมาก็จะตกลงในหลุมดัก ทำไว้วันนี้เช้า ๆ พรุ่งนี้ก็ไปจับมาทำอาหารกินได้เลยครับลูกพี่ แถมเรายังไปเก็บปลาในหลุมได้ตลอดจนน้ำแห้งขอดไปหมด ส่วนพวกที่ไม่บืนไปไหนก็เรียก ‘ปลาข่อน’ ครับ"

“ปลาแบบไหนว่ะปลาข่อนเนี่ย เหมือนปลาช่อนที่เรียกว่า ปลาค่อ หรือเปล่าวะ”

“ฮ่าๆ ๆ ไม่ใช่ครับลูกพี่ ปลาข่อน จะเป็นปลาชนิดไหนก็ได้ครับ เพราะมันหมายถึงปลาที่เหลืออยู่ในนาที่น้ำแห้งขอดหายจากมันไปเกือบหมดเหลือแต่ตม แต่ปลาพวกนี้มันดันไม่มีที่ไป เว่ากันง่ายๆ ซื่อๆ มันก็คือปลาที่ยังเหลืออยู่ในนาแต่น้ำแห้งจากมันไปหมดแล้ว ปลามันไปไหนต่อไม่ได้ก็จะบืนมารวมตัว หรืออยู่ในตมตรงก้นแอ่งสุดท้ายที่เหลือน้ำอยู่ไม่มาก นี่ทำให้เราไปเก็บมันได้ง่ายยังไงล่ะครับ”

“อ่อ ใจร้ายวะไม่ปล่อยให้มันบืนไปหาแหล่งน้ำวะ ไปเก็บมันมาทำไม”

“ถ้าปล่อยไว้ไม่เป็นอาหารนกมันก็ตายแล้งครับลูกพี่ เพราะแหล่งน้ำอยู่ไกลมันบืนไปไม่ถึงกันหรอก”

“อ่ออย่างนี้เองเหรอวะ แล้วปลามันจะโง่บืนไปลงหลุมของแกหรือ”

“โธ่ลูกพี่ของอย่างนี้มันก็ต้องมีเทคนิคสิครับ ไม่งั้นเขาไม่เรียกภูมิปัญญาชาวบ้านหรอกน่า”

“เออใช่ว่ะ แล้วทำไงปลามันถึงจะไปถูกทางหลุมที่ขุดเอาไว้ล่ะ ทำป้ายบอกทางปะ ฮ่าๆ ๆ ” ต้นกล้าคิดตามแล้วหัวเราะเสียงดัง ชักนึกสนุกกับการขุดหลุม อยากรีบเดินให้ถึงนาไวไวจะได้เห็นวิธีการกับตาตัวเอง

“เทคนิคที่เราจะทำให้ปลาบืนเร็วขึ้นและไปในทิศทางของหลุมที่เราฝังไว้ ทำได้ง่าย ๆ ครับลูกพี่ แค่นำโคลนใน ห้วย หรือหนอง ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมาป้ายทำเป็นทางบืนไปหาปากหลุม เพื่อให้ปลามันไปตามโคลนที่ป้ายไว้ เท่านี้ปลามันก็ตามไปแล้วครับ เป็นวิธีหาปลากินง่าย ๆ ตามสไตล์ อีสานบ้านเฮาครับ” ไอ้จ๋าจบการบรรยายเกี่ยวกับการขุดหลุมแล้วยิ้มภูมิใจ ทั้งที่คนเป็นลูกพี่ที่เดินตามหลังมาก็คงไม่เห็น เพราะมัวแต่คิดตามที่ไอ้คนเป็นลูกน้องพล่ามบอก จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงทุ่งนาที่ข้าวเขียวขจีกำลังตั้งท้องออกรวงสวย

“เออแล้วไข่มดแดงนี่มันมีหรือเปล่าวะช่วงนี้”

“ไม่มีหรอกครับลูกพี่ ไข่มดมันต้องช่วงหน้าร้อน ช่วงนี้ก็เป็นปลาเดี๋ยวอีกหน่อยเข้าหน้าเกี่ยวข้าว พวกปูพวกปลานี่ยิ่งมันและอร่อยครับ เหมือนที่เขาบอกข้าวใหม่ปลามันก็หมายถึงปลาช่วงนี้ล่ะครับลูกพี่”

“อืมเหรอ”

“นึกภาพออกมั้ยครับ ถ้านึกไม่ออก ไอ้จ๋ามีอะไรจะบอก”

“อะไรวะ”

“ก็ถ้านึกไม่ออกลูกพี่ก็คิดถึงเวลาอยู่กับลูกพี่เดี่ยวสิครับ ใหม่ๆ อะไรมันก็ดีไปหมดแหละ เขาถึงได้เรียกว่าข้าวใหม่ปลามัน คึๆ ๆ ”

ต้นกล้าหน้าเปลี่ยนสีไม่ใช่เพราะอายหรือเขิน ดีที่เดินตามหลังไอ้จ๋ามันจึงไม่เห็น ในหัวหนุ่มหล่อหัวแดงกำลังคิดถึงใครบางคนที่ถึงแม้เขาจะเมา แต่ก็ยังจำได้ว่าเมื่อคืนอยู่ด้วยกัน นอนข้างๆ กันและ และนั่นล่ะ อย่างที่ทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่ ก็ตามนั้นเข้าใจ แต่ทำไมพอตื่นเช้ามากลับปรากฏว่า ที่นอนด้านข้างว่างเปล่าและเย็นชืด ไร้คนที่คิดว่านอนอยู่ข้างๆ มาตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะตื่นสายไปสักหน่อยก็เถอะ ก็ไม่อยากตื่นมาเจอกับความว่างเปล่าแบบนี้หรอกนะ เพราะยอมรับว่ารู้สึกแย่เอามากๆ แต่ช่างมันเถอะจะไปไหนก็ไป ต้นกล้าไม่ได้ชินแต่พอมีสติสตังที่สมบูรณ์ ก็ให้คิดถึงเรื่องเมื่อวาน และความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้น แต่จะให้ทำยังไงล่ะ จะให้ร้องเอะอะโวยมันก็ใช่ที่ และที่สำคัญคือไอ้ตัวต้นเหตุดันหายหัวไปแล้ว และต้นกล้าจะไม่ตามไม่ถาม เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่อย่ามากยุ่งเกี่ยวกันเลย ต้นกล้าถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มๆ อย่างหงุดหงิด

“เกี่ยวอะไรกันวะ”

“แหะๆ ไอ้จ๋าแค่อยากให้ลูกพี่เห็นภาพที่ชัดเจนครับ”

“..” ต้นกล้าเดินตามเงียบๆ ไม่ต่อปากต่อคำจนไอ้จ๋าต้องหยุดเดินและหันกลับมาดู

“ลูกพี่ครับ”

“อะ อะไรวะ”

“เป็นอะไรไปครับทำไมเงียบ”

“ไม่มีอะไร ว่าแต่แกกับตัวเล็กเถอะเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“แนะมาเข้าเรื่องไอ้จ๋าได้ยังไงครับเนี่ย”

“เออ แล้วเป็นยังไงล่ะ เป็นแฟนกันแล้วนิ”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับเหมือนเดิม ปะๆ เดี๋ยวก็ถึงแล้วดูทำเลขุดหลุมดีกว่า” ต้นกล้าพยายามกลบเกลื่อนเรื่องของตัวเองโดยถามเรื่องของไอ้จ๋ากับน้ำส้มแทน แต่ไอ้ลูกน้องตัวแสบมันก็เลี่ยงได้ทุกที เพราะตอนนี้ระหว่างตัวมันกับน้ำส้มนั้นตรงกันข้ามกับคำว่าไม่มีอะไรมากโขทีเดียว

“เลี่ยงเลยนะแก”

“ไอ้จ๋าเปล่านะครับ” ไอ้จ๋าหัวเราะร่ากับคำแก้ตัวของตัวเอง

“แล้วไอ้สิบกับไอ้ยุไปไหนของมันสองคนวะ วันนี้ยังไม่เห็นเลยเถอะ”

“เดินลงมากับพี่สอนก่อนหน้าเราไม่นานครับ ไปกันเถอะครับลูกพี่เดี๋ยวเก็บปลาไม่ทันพวกนั้น”

“อ้าวเออเหรอวะก็ไม่บอกนะโว้ย” แล้วสองคู่หูลูกพี่ลูกน้องก็เดินลงนาคนหนึ่งแบกจอบอีกคนแบบเสียม ไอ้คนเป็นลูกน้องมีถังเอาไว้ใส่ปลาถือติดมือมาด้วย จุดหมายปลายทางคือทุ่งนากว้างที่ข้าวเขียวขจีออกรวงอ่อนช้อยเล่นลม

“สองคนนั้นทำอะไรกันน่ะพี่” ปั้นสิบหันไปถามพี่สอน เมื่อเดินมาหยุดอยู่บนคันนาดูต้นกล้ากับไอ้จ๋ากำลังทำอะไรบางอย่างกันอยู่กลางทุ่ง

“อ่อ คงกำลังขุดหลุมดักปลา” พี่สอนตอบ

“เฮ้ย พวกมึงสองคน มาขุดขุดหลุมดักปลาแข่งกันมั้ยวะใครได้เยอะกว่าชนะ” ต้นกล้าตะโกนขึ้นมาจากกลางทุ่ง เล่นเอาเพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากัน

“พี่สอนทำยังไงพี่เทรนผมหน่อยดิ”

“ได้ๆ ตามมาทางนี้”

“ได้เลยไม่มีปัญหา รอดูผลงานพวกกูก็แล้วกัน” ปั้นสิบหันมาถามพี่สอนก่อนจะตะโกนตอบรับคำท้าของต้นกล้า แล้วเดินตามพี่สอนไปยังทุ่งนาอีกด้านที่อยู่ห่างออกไป เพื่อหาพื้นที่เหมาะแก่การขุดหลุม “ไอ้ยุตามสิวะ”

“เออ”

ต้นกล้าเพลินกับการขุดหลุมและเดินหาทำเลเหมาะๆ ในการทำหลุม ทำไปก็ถ่ายรูปเก็บไว้ บ้างส่งให้พ่อกับแม่และคุณยายที่อยู่กรุงเทพฯ ดู บ้างก็อัปเดตลงเพจของตัวเอง เอาไปเอามาเลยเปิดการถ่ายทอดสดมันซะเลย ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่ามีคนเข้ามาดูและติดตามมากมาย พร้อมกับคอมเม้นท์ต่างๆ ที่ชื่นชม เจ้าของร่างโปร่งอยู่ในสายตาของพายุที่คอยลอบสังเกตเพื่อนอยู่เป็นระยะ แล้วก็ให้คิดถึงบทสนทนาของเขากับหนุ่มเจ้าถิ่นเมื่อเช้า

(ขุดหลุม)







“ต้นกล้ายังไม่ตื่นฝากบอกเขาด้วยนะว่าผมออกไปธุระด่วนแล้วเย็นๆ จะเข้ามาใหม่” เมื่อพายุยังเงียบและยืนมองหน้าหล่อคมคร้ามแดดนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น โดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เด็ดเดี่ยวที่มั่นใจว่าเพื่อนของต้นกล้าฟังเข้าใจแล้วก็ลงเรือนไป และจนถึงตอนนี้ พายุก็ยังไม่ได้เอ่ยปากบอก หรือพูดอะไรเกี่ยวกับคนที่ฝากข้อความเอาไว้สักคำ ก็ในเมื่อต้นกล้าเองก็ยังเฉยพายุจะเดาเอาเอง ว่าเพื่อนก็อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ หรือถึงต้นกล้าจะถามหาเขาก็ไม่บอกหรอก

“เอาล่ะครับลูกพี่ พรุ่งนี้เช้าเราจะมาดูกันว่าหลุมของใครจะหมานปลา” ไอ้จ๋าพูดขึ้นเมื่อทุกคนพากันขุดหลุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มายืนเรียงหน้ากระดานรวมตัวอยู่บนคันนา ตามองไปยังที่นาผืนใหญ่ที่เขียวขจี ความเขียวขจีที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไกลสุดตา รวงข้าวอ่อนๆ ลิ่วลมลู่ไหวไปตามแรงพัดพา ที่หอบเอาความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบายมาให้ แต่ละคนตามองตรงไปยังภาพเบื้องหน้า เพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ แม้ว่าตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินและโคลน แต่ต่างคนก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมเปี่ยมสุขที่อยู่ในใจ แม้กระทั่งพี่สอนและไอ้จ๋าที่ใช่ชีวิตอยู่กับท้องนาท้องไร่มาแต่เกิด ก็ยังพลอยมีความสุขไปด้วย

“เสร็จแล้วกลับเลยดีมั้ย หรือจะไปไหนต่อ” ต้นกล้าถามเมื่ออสูดอากาศบริสุทธิ์จนพอใจแล้ว

“เดี๋ยวพี่ขอไปดูพวกไอ้ว่าวมันลงปลาที่ท้ายนาก่อนก็แล้วกัน”

“ท้ายนาเหรอครับตรงไหน”

“ก็ตรงที่กล้าตกคันนาตั้งแต่วันแรกที่มาไง ฮ่าๆ ๆ ”

“ห๊า ว่ายังไงนะครับพี่สอน ไอ้กล้าตกคันนาตั้งแต่วันแรกที่มา ฮ่าๆ ๆ “ปั้นสิบหัวเราเสียงดังเจือไปด้วยความสะใจ

“ฮ่าๆ ๆ ตกคันนาเนี่ยนะมึง” ผสมโรงด้วยพายุที่หัวเราะขำหน้านิ่ง

“เออ พวกมึงเงียบไปเลยนะเว้ย กูโดนควายแกล้งเหอะ”

“โอ้ย มึงซุ่มซ่ามแล้วโทษควายเนี่ยนะ”

“เออ ก็มันเดินเข้ามาใกล้จนกูตกใจนี่หว่า”

“มึงมันอ่อนนอะสิ”

“เออๆ แล้วแต่มึงจะคิดเถอะ ไอ้จ๋ากลับ”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปช่วยพวกนั้นเก็บปลากับพี่สอนก่อนดีกว่าครับลูกพี่”

“อ้าวแกก็จะไปเหรอ พวกเราเอาไงดีวะลองไปดูกันหน่อยมั้ย” ต้นกล้าหันมาถามความคิดเห็นของเพื่อนทั้งสองคน พายุและปั้นสิบนึกสนุกจึงเห็นด้วย เลยตกลงว่ามาดูการเก็บปลา

สองหนุ่มบ้านทุ่งเดินนำ สองหนุ่มจากเมืองกรุงเดินตาม และหนึ่งหนุ่มชาวนามือใหม่เดินปิดท้าย เดินเรียงแถวกันไปตามคันนา ต้นกล้าชี้ชวนให้เพื่อนทั้งสองดูที่ดูนาดูต้นไม้ใบหญ้าที่น่าสนใจไปตลอดทาง จนกระทั่งพากันเดินมาถึงหนองที่เหลือน้ำขังอยู่เพียงเล็กน้อยกับโคลนตม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหน้าแล้งกำลังจะมาเยือนจริงๆ และอีกไม่นานก็จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ปีนี้น้ำแห้งไวคงจะแล้งกว่าทุกปี ซึ่งนั่นหมายถึงผลกระทบหลายๆ อย่างที่จะตามมาเมื่อขาดแคลนน้ำ ซึ่งชาวบ้านแถวนี้จะทำนากันแค่ปีล่ะครั้ง เนื่องจากปริมาณน้ำมีไม่เพียงพอ และทำเกษตรอย่างอื่นที่ไม่ต้องการใช้น้ำมากเหมือนปลูกข้าวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เท่าที่น้ำจากบ่อบาดาลจะนำมาใช้ได้เพียงพอ

(ลงเก็บปลา)



“อ้าว พี่กล้ามากับใครล่ะนั่น มาๆ มาเล่นขี้ตมด้วยกันครับพี่” ไอ้ว่าวที่อยู่กลางหนองท่ามกลางขี้ตมและโคลนดินตะโกนเรียกขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าเดินข้ามคูน้ำขึ้นมาพอดีตามด้วยคนอื่นๆ ในโคลนมีกลุ่มเพื่อนทั้งไอ้ว่าว ไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน ขาดก็แต่ไอ้ดำที่คงจะติดงานอยู่ไร่พ่อกำนัน

“ท่าทางสนุกนะนั่น ไอ้จ๊ะเอ๋ว่ายโคลนเล่นเหรอวะ”

“ฮ่าๆ “เสียงหัวเราะของทุกคนประสานกันกับมิตรภาพท่ามกลางท้องทุ่งเขียวขจีและโคลนตม ต้นกล้าและกลุ่มเพื่อนึกสนุกจึงลงเก็บปลาด้วย ยิ่งเห็นปลาที่จมอยู่ในโคลนมากมาย ยิ่งสนุกและตื่นเต้น เพราะไม่เคยเจอแบบนี้กันมาก่อนทั้งสามคน พี่สอนรับหน้าที่เป็นคนรินเหล้าขาวสี่สิบดีกรีขวดเล็ก ที่ไอ้ว่านเอาเหน็บกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ของมันมาด้วย หนุ่มรุ่นพี่รินเหล้าแบ่งแจกทุกคนให้ช่วยกันยกคนล่ะกรึ่บ เหล้าขวดเล็กกับคนหนุ่มแปดคนจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนไอ้จ๋ารับหน้าที่ถ่ายทอดสดการเก็บปลาผ่านทางเพจของคนเป็นลูกพี่ ซึ่งมันเก็บรายละเอียดได้ชัดทุกมุม โดยเฉพาะตอนนี้ที่ต้นกล้าหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงตม เมื่อถูกปั้นสิบแกล้งสาดโคลนมาใส่

Rrrrrrr

“เออ” ไอ้จ๋ารับสายเมื่อพี่ฮีโร่ของมันดังเตือนยังไม่ถึงห้าวินาที เพราะพอเห็นชื่อคนโทรเข้ามาใจมันก็บอกว่าช้าไม่ได้แล้วต้องรีบกดรับทันที

“ทำอะไรกันน่ะ ทำไมตัวพี่กล้ามีแต่ขี้โคลน” น้ำส้มถามเสียงตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงไอ้จ๋า

“เออ กำลังเก็บปลาที่หนองท้ายนานี่แหละแล้วเธอรู้ได้ยังไง” ไอ้จ๋าผู้ยังไม่ค่อยจะสันทัดในเรื่องของโซเซี่ยลถามกลับ เพราะเมื่อต้นกล้ายื่นโทรศัพท์ให้และบอกมันว่าให้ถ่ายทอดสดมันก็ทำตามที่ลูกพี่สาธิตให้ดู แต่จะไปสดที่ไหนยังไงอันนั้นมันไม่รู้จริงๆ นี่จึงทำให้มันสงสัยที่น้ำส้มรู้ว่าตอนนี้ต้นกล้ากำลังคลุกตมคลุกโคลน

“ก็เห็นที่ถ่ายทอดสดไงในเพจของพี่กล้าน่ะ”

“เหรอ เพจไหนอีกวะ แต่ช่างมันเถอะ”

“...”

“...”

“จ๋า”

“อืม ฟังอยู่มีอะไร”

“เปล่า”

“เอ๊า ยัยนี่โทรมาไม่พูดพอถามดันบอกเปล่าแล้วจะโทรมาทำไมห๊า”

“เอ่อ เรากวนเหรอ งั้นวางสายก็ได้นะ”

“ไม่ได้ๆ โทรมาแล้วจะวางดื้อๆ อย่างนี้ได้ยังไงวะยัยส้มเน่านี่”

“อ้าว ก็จ๋าว่าเราเมื่อกี๊”

“ล้อเล่นบ้างเถอะ แล้วเธออยู่ไหนเนี่ย”

“อยู่..” น้ำส้มบอกชื่อหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านทุ่งดอกจานของไอ้จ๋าเท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นมันทำให้ไอ้จ๋าเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที

“มาทำไม มายังไง มากับใคร”

“มาบ้านเพื่อน ขี่มอ’ ไซด์มา”

“กับใคร”

“เอ่อ....คนเดียว”

“ยัยบ้าเอ๊ย บอกว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวไงวะ”

“ก็คือ คือ” น้ำส้มพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของไอ้จ๋า จึงได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนไอ้คนห่วงใยแต่ปากร้ายมันดุเอาอีก

“แล้วจะกลับตอนไหน”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“งั้นกลับเดี๋ยวนี้เลย”

“โอ๊ยจ๋าจะให้เรากลับเดี๋ยวนี้ได้ยังไงเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเอง”

“กลับไม่กลับ”

“แต่..”

“กลับเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กลับเดี๋ยวนี้เธอต้องมาหาฉันที่บ้าน”

“..”

“ว่าไง”

“จริงเหรอจ๋า จ๋าให้เค้าไปหาที่บ้านเหรอ” เสียงของน้ำส้มฟังดูลิงโลด นี่ถ้าเห็นหน้ากันไอ้จ๋าคงได้เห็นดวงตาดำขลับที่เป็นประกายเพราะความดีใจ

“เออสิมาไม่มา”

“ไปๆ “

“เออ ฉันอยู่บ้านใหญ่นะ บ้านลูกพี่น่ะมาที่บ้านใหญ่ก็แล้วกัน”

“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

“แค่นี้ละรีบมา” ไอ้จ๋าสั่งเสียงเข้มก็วางสายทันทีก่อนที่มันจะมองลงไปสบตากับใครบางคน ที่กำลังมองตอบมันกลับมา ใครบางคนที่ยืนอยู่กลางตมขุ่นคลักสูงเกือบถึงเข่าถอดเสื้อโชว์เนื้อแน่นๆ เหลือแต่กางเกงตัวเดียวที่เปื้อนดินเปื้อนโคลน

ต่อหน้า 4 ค่ะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 50% 20/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 20-12-2018 09:09:59



กว่าจะทำธุระเสร็จเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ แล้ว เมื่อเด็ดเดี่ยวเดินออกมาจากหอประชุมของสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ที่เขาต้องมาร่วมประชุมกับพ่อกำนันที่โทรตามเขาแต่ไก่ยังไม่ทันตื่น ซึ่งเป็นเขาเองที่ผิดเพราะพ่อบอกเอาไว้แล้ว วันนี้มีธุระต้องออกบ้านแต่เช้าตรู่ ยังรั้นออกมานอนที่บ้านคุณยายอย่างไม่คิดจะห้ามความต้องการของตัวเอง และวันนี้ทั้งวันเขาก็ไม่มีโอกาสได้โทรหาไอ้หัวแดงจอมรั้นเลย ไม่รู้ว่าจะโกรธจะน้อยใจหรือเปล่า ที่ตื่นแล้วไม่เห็นเขานอนอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเพื่อนของต้นกล้าจะบอกข้อความที่เขาฝากเอาไว้หรือเปล่า เพราะเห็นสายตาของพายุเมื่อเช้าแล้วเด็ดเดี่ยวไม่อยากหวังเลย คิดมาถึงตรงนี้จึงยกโทรศัพท์กะจะโทรหาสักหน่อย แต่..

“ไปยัง”

“เสร็จแล้วเหรอพ่อ”

“เออ เสร็จละไปกลับบ้านดีกว่าเหนื่อยมาทั้งวันเลย”

“ครับ” คำว่า ‘เหนื่อยมาทั้งวัน’ ของพ่อกำนันทำให้เด็ดเดี่ยวทิ้งความตั้งใจว่าจะกดโทรหาใครบางคน แล้วเดินตรงไปที่รถเพื่อพาพ่อกำนันกลับบ้านทันที ทั้งสองต่างคนต่างเงียบและตกอยู่นความคิดของใครของมัน ขับรถเกือบสี่สิบนาทีชายหนุ่มก็พาผู้เป็นพ่อมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ที่นอนนุ่มกับผ้าปูเรียบตึงรองรับร่างใหญ่ที่เอนกายลง ทิ้งความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันบนฟูกนอนหนานุ่ม เป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้ผ่อนคลาย ตาอยากจะพักลงอยู่หรอกสักครู่ก็ยังดี แต่ในหัวกลับหยุดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ และไวเท่าความคิดมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ยังไม่ทันได้โทรก็เห็นเสียก่อนว่ามีแจ้งเตือนมาจากเพจที่กำลังติดตาม มีการถ่ายทอดสด ซึ่งนั่นมันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ขณะที่ชายหนุ่มกำลังอยู่ในห้องประชุม

พอกดเข้าไปดูเด็ดเดี่ยวก็ต้องยิ้มออกมาบางๆ กับกิจกรรมที่ต้นกล้าถ่ายทอดสดในวันนี้ ดูจนจบก็ยังไม่หายคิดถึง แถมใบหน้าหล่อคร้ามแดดยังประดับด้วยรอยยิ้มสุขอยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดถึงก็อยากได้ยินเสียงจึงกดโทรหา แต่รอแล้วรอเล่าอีกคนก็ไม่ยอมรับสาย เด็ดเดี่ยวยัดโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ที่พึ่งซื้อมาเพื่อติดตามต้นกล้าโดยเฉพาะลงในกระเป๋ากางเกง ลูกขึ้นจากเตียงเดินลงชั้นล่าง

“ไปไหนคะพี่เดี่ยว”

“ไปธุระเดี๋ยวมา”

“แน่ใจนะว่าเดี๋ยวมา คิกๆ ”

“เออสิ”

“ฮั่นแน่ท่าทางจะธุระสำคัญ”

“อืม ดาวรุ่งกลับมาหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ”

“เดี๋ยวคงกลับ ไปละนะ” เด็ดเดี่ยวหยิบกุญแจรถแล้วออกจากบ้านมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สนใจเสียงแซวที่ดังตามหลังมา ขับรถมาถึงอีกคุ้มของหมู่บ้าน ถึงอาณาบริเวณร่มรื่นผ่านประตูบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคย และจอดลงใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่อันเป็นที่จอดประจำ

“สวัสดีครับพี่ มาๆ พอดีเลยเรากำลังจะตั้งวงกัน วันนี้ได้ปลามาเยอะ ได้ปลาช่อนตัวใหญ่ด้วยเดี๋ยวไอ้จ๋าบอกจะโชว์ฝีมือทำปลาช่อนกระบอกให้กิน” ปั้นสิบทักทายอย่างเป็นกันเอง เมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวกำลังเดินตรงเข้ามาหาที่แคร่ไม่ไผ่ใต้ต้นลำไยที่เดิม ต้นกล้าที่หน้าตึงขึ้นทันทีหันหน้าหนีไปอีกทาง และพายุที่มองลูกชายกำนันอาจหาญไม่วางตา

“ครับ” เด็ดเดี่ยวตอบรับและยิ้มให้ปั้นสิบ ก่อนจะเดินตรงไปหาต้นกล้าที่นั่งอยู่อีกมุมของแคร่ “ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่ครับ”

“เป็นใครใหญ่มาจากไหนจะให้ชาวบ้านมานั่งคอยรับโทรศัพท์ครับ” ต้นกล้าพูดจบก็ส่ายหัวเอือมๆ ก่อนจะลูกขึ้นแล้วเดินไปทางแปลงผักสวนครัวหลังบ้าน เพราะกำลังพูดกันเรื่องไปเก็บผักมาเป็นเครื่องเคียง เห็นต้นกล้าท่าทางไม่ดีเด็ดเดี่ยวจึงเดินตามไปงงๆ ใจก็อยากบอกอยู่นั่นแหละว่าใหญ่จริงไรจริงเพราะพ่อให้มาเต็มที่ แต่นี่มันไม่ใช่เวลา คนตัวเล็กกว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามันเป็นเพราะการมาของเขา ทั้งที่เห็นตอนแรกต้นกล้ายังยิ้มหัวกับเพื่อน แต่พอเห็นหน้าหล่อๆ ของหนุ่มบ้านทุ่งกลับหน้าตึงขึ้นมาทันที เด็ดเดี่ยวเดาเอาว่าอีกคนคงโกรธอะไรบางอย่างอยู่ หรืออาจจะโกรธสะสมมาตั้งแต่เมื่อคืน

“โกรธอะไรพี่อีกล่ะเนี่ย”

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องตามมาแค่ไปเก็บผัก”

“ไม่ตามได้ไงครับ หน้าตึงขนาดนี้ต้องโกรธอะไรพี่อยู่แน่ๆ ”

“บอกว่าเปล่าไง”

“เฮ้อออ เก็บผักอะไรเดี๋ยวพี่ช่วย”

“ถ้าอยากจะช่วยก็ช่วยไปไกลๆ เราเลยไป”

“คำพูดคำจาไม่น่ารักเลยนะครับ”

“ก็ไม่ต้องมารักสิใครบังคับวะครับ”

“ก็อยากเลิกรักอยู่เหมือนกัน” กึก! เหมือนเท้าถูกตอกและตรึงเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ เมื่อได้ยินคำว่าเลิกรักจากอีกคน “แต่มันรักไปแล้วนี่ให้เลิกง่ายๆ ได้ไงล่ะ”

“เหอะ ไม่ต้องทำเป็นพูด เลี่ยนมากเบื่อจะฟัง”

“ไม่ชอบเหรอ” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำตาละห้อย

“เกลียดเลยล่ะ”

“แล้วเมื่อคืนใครน้าที่..”

“ที่อะไรพูดให้มันดีๆ ด้วย”

“เมื่อคืนมีใครบางคนอ้อนให้พี่รักน่ะ”

“ห๊า! ใครอ้อนไม่มีเหอะ ทำไมชอบพูดแบบนี้วะ เลิกพูดๆ ห้ามพูดอีก”

“แต่มันทำให้พี่มีความสุขนี่พี่ชอบ”

“เราไม่ชอบ”

“พี่ชอบ พี่อยากให้ต้นกล้าทำอีก” พูดแล้วก็ขยับเขาไปหา ต้นกล้าก็ขยับถอยหนีเหมือนอีกคนมีสิ่งที่น่ารังเกียจอยู่ในตัว

“ไม่มีวัน เมื่อคืนเราเมา เราจำไม่ได้หรอกว่าทำอะไรลงไปบ้าง”

“หืม จำไม่ได้เลยเหรอ”

“อืม จำไม่ได้สักอย่าง”

“จำไม่ได้แล้วทำไมบอกให้เลิกพูดเหมือนรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรไป แถมหน้ายังแดงอีก” เมื่ออีกคนบอกว่าเขาหน้าแดงต้นกล้าก็ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง

“ไม่มีหรอกอย่ามาอำ กลับบ้านไปเลย”

“ทำไมเวลาได้พี่แล้วชอบขับไล่ไสส่งพี่จังครับ”

“ใครบางคนได้แล้วก็ทิ้งเหมือนกันนั่นแหละวะ เฮ้ย! “ต้นกล้าเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อเผลอต่อปากต่อคำจนพูดสิ่งที่เขาไม่ควรพูดออกมา ทำให้เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างดีใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้นกล้าถึงว่าเขาได้แล้วทิ้งในเมื่อเขาก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้หนีหายไปไหน

“หืม ใครได้แล้วทิ้งไม่ใช่พี่ก็แล้วกัน”

“ก็ ฮึ่ย ช่างเถอะลืมๆ ไปซะถือว่าเราไม่ได้พูดอะไรออกมา”

“ลืมได้ไงพี่คาใจนะเนี่ยที่หาว่าพี่ทิ้ง พี่ไม่เค้ย ไม่เคยก็เห็นๆ กันอยู่”

“ชิ ตัวเองทำอยู่เมื่อเช้านี้”

“พี่เปล่า”

“ทำ”

“เปล่า”

“ทำ”

“น้อยใจพี่เหรอ”

“เออ!! ปละ เปล่าๆ เราไม่ได้คิดอะไรเลย เราจะไปเก็บผักอย่ามาชวนคุย”

“หึๆ ๆ “เด็ดเดี่ยวหัวเราะพอใจกับท่าทางของต้นกล้าแล้วเดินตามกันไป และก็คงเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด ที่พายุคงไม่ยอมบอกต้นกล้าให้แน่ๆ ที่เมื่อเช้าเขาฝากให้บอกอะไร

“พี่ขอโทษ”

“เลิกพูดได้แล้ว”

“เลิกไม่ได้หรอก ต้นกล้ากำลังเข้าใจพี่ผิด”

“เข้าใจผิดเรื่องอะไร เราเข้าใจถูกแล้ว”

“ก็เรื่องเมื่อเช้าไง ตอนนี้ที่โกรธอยู่นี่คือโกรธเรื่องเมื่อเช้านี่แน่ๆ ใช่มั้ย”

“เปล่า เราไม่ได้คิดอะไรมิฉะนั้นเราเลยไม่โกรธ”

“ปากแข็ง”

“เอ๊ะบอกไม่ได้โกรธไง”

“เมื่อเช้าพี่ฝากข้อความไว้กับเพื่อนเราแล้วนะ ให้บอกต้นกล้าว่าพี่มีธุระกับพ่อกำนันแต่เช้า”

“ใครถาม”

“พอดีพี่พูดให้ผัดกาดต้นหอมแถวนี้ฟังน่ะ นี่ๆ รู้มั้ยวันนี้ผมนายเด็ดเดี่ยว ตรัยรัตนา ต้องนั่งประชุมหลังขดหลังแข็งเกือบทั้งวัน เมื่อคืนยิ่งเสียพลังงานไปเยอะด้วย ยังต้องมานั่งง่วงเหงาหาวนอนทั้งวันน่าเบื่อมาก คิดถึงใครบางคนอยากโทรมาหาก็ไม่มีโอกาสโทรเลย มาหาเขายังโดนโกรธเฉยว่ะ จะง้อยังไงดีช่วยหน่อยสิผักกาด ต้นหอมๆ อย่าเมินช่วยผมหน่อย นะสลัด ผักชีช่วยกันหน่อยนะครับ”

“โอ๊ย! พอๆ บ้าไปกันใหญ่แล้วหรือไง พูดกับผักเนี่ย” ต้นกล้าที่ทนฟังอยู่ตั้งนานโวยวายขึ้น ทั้งที่แก้มใสแดงปลั่งจนถึงใบหู

“หายโกรธพี่แล้วสิ”

“ไม่ได้โกรธแต่ไม่ได้สนใจต่างหากเงียบเลยขี้เกียจฟังแล้ว”

“ว้า งั้นพี่พูดกับผักต่อดีกว่า”

“เฮ่อ” ถอนหายใจยาวแล้วหันไปเก็บผัก ปล่อยให้เด็ดเดี่ยวคุยกับผักกับหญ้าอยู่คนเดียว ในหัวชายหนุ่มกำลังคิดถึงสิ่งที่เด็ดเดี่ยวบอก ว่าเมื่อเช้าฝากให้เพื่อนบอกเขาว่ามีธุระ แต่ทำไมไม่มีใครบอกอะไรเลย แต่ช่างเถอะไม่บอกก็ไม่บอกเท่านั้นล่ะ

“โหย พี่ไม่ผิดนะ....ยังอุตส่าห์ง้อ..ขนาดง้อแล้วยังไม่สนใจ.....พี่ก็น้อยใจเป็นนะ” เด็ดเดี่ยวพูดอยู่คนเดียวขณะที่เดินตามหลังต้นกล้ากลับมาที่แคร่หน้าบ้านอีกครั้ง คนหัวแดงกรอกตามองบนทำเหมือนรำคาญและไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด แค่ตั้งใจฟังและเข้าใจมันทุกคำแค่นั้นเอง “โกรธนานระวังพี่ฉุดนะ”

“จะบ้าเหรอบอกไม่ได้โกรธไง มาฉ่งมาฉุดอะไรไม่ใช่นิยายนะ”

“งั้นหายโกรธสิ”

“เฮ่อ บอกว่าเราไม่ได้โกรธ”

“ไม่โกรธไหนยิ้มซิ” เด็ดเดี่ยวตื้อไม่เลิกโดยการวิ่งดักหน้าดักหลัง จนไอ้จ๋าที่มองมาแต่ไกลส่ายหัวอย่างปลงๆ ให้กับลูกพี่ทั้งสอง ไม่รู้จะเล่นอะไรกันนักหนา

“บ้าไปแล้ว”

“งั้นมานี่”

“เฮ้ยไปไหน”

“มานี่เลย เอ้าไอ้น้องพี่ฝากหน่อยนะไปธุระแปบ” เด็ดเดี่ยวแย่งผักหอบใหญ่จากมือต้นกล้าโยนลงที่ตักของพายุอย่างแรง ผักที่พึ่งจะได้รับการรดน้ำเสร็จใหม่ๆ จากฝีมือไอ้จ๋ายังมีน้ำเกาะอยู่เต็ม และน้ำก็กระเซ็นกระจายเปียกเต็มตักกว้างของคนรับฝาก โดยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ

เด็ดเดี่ยวดึงมือต้นกล้าไปที่รถของตัวเอง จับร่างโปร่งยัดเข้าไปในรถจากฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปนั่งเบียดจนต้นกล้าต้องข้ามไปยังที่นั่งอีกฝั่ง แต่ยังไม่ทันได้ปิดประตูเพื่อลงจากรถ คนตัวโตก็กระชากรถขับออกจากตรงนั้นทันทีอย่างน่ากลัว

“จะพาเราไปไหน”

“หึๆ ๆ “

“อย่ามาหัวเราะขำจอดรถ! “ต้นกล้าไม่รู้จะทำยังไงกับคนหน้ามึนคนนี้ดี ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนเขาถูกปั่นหัวให้ทำตัวสาวแตกขึ้นทุกวัน ไหนจะเรื่องเมื่อเช้าอีก ปากก็บอกไม่โกรธ ก็ไม่รู้โกรธไม่โกรธแค่ยังไม่มีอารมณ์คุยกันตอนนี้ก็เท่านั้นเอง

“จะจอดไม่จอด”

“กลัวพี่พาไปบ้านต้นไม้เหรอ”

“เหอะไม่กลัว แค่ไม่อยากไป”

“แน่ใจ้? บรรยากาศดีออก “

“เออดิ”

“งั้นไปบ้านต้นไม้กัน แล้วก็....” ต้นกล้าหันขวับมามองคนขับรถตาขวางทันที เมื่ออีกคนเว้นคำพูดเอาไว้เท่านั้น “หึๆ “

“เราไม่ไป”

“แต่พี่อยากไปนะ คิดถึงคืนนั้นจัง ต้นกล้าประทับใจมั้ย พี่ว่าเราไปอีกดีกว่านะ นอนดูดาวที่ท่าน้ำสวยมากเลย”

“พอๆ เราไม่ไปยังไงก็ไม่มีวันไปที่นั่นอีกเด็ดขาด” เด็ดเดี่ยวหันมามองคนปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับแก้มที่แดงถึงใบหู แต่ยังทำปากดี “กลับไปส่งเราเดี๋ยวนี้เราไม่ไปไง”

“ไม่ไปก็อยู่เงียบๆ “

“เราไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“ไปแปบเดียวอย่างที่บอกเดี๋ยวพากลับน่า”

“เฮ้อออ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่คนตัวโตมาต้นกล้าต้องถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว แต่นี่เป็นอย่างเดียวที่ต้นกล้าสามารถทำได้ เมื่อไม่ได้อย่างใจตัวเองก็ทำได้ดีที่สุดก็แค่ถอนหายใจออกมา ไม่รู้ทำไมถึงได้หน้ามึนและชอบบังคับอย่างนี้

%%%%%%%%%%%%%%

“รอใคร”

“ไม่เกี่ยวกับใคร”

“บอกว่าพี่เสือกตรงๆ ก็ได้นะน้อง”

“ยังไม่พูดอะไรนะ แต่จะคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่”

“หึๆ ฉันชอบนายว่ะไอ้น้องลองมาคบกันดูมั้ย”

“หืม? “ไอ้จ๋ายืนกอดอกเอนหลังพิงต้นมะม่วงท่าทางสบายๆ มันทำหน้าแปลกใจโดยไม่ปิดบังสีหน้ารังเกียจความมั่นของพายุ ที่เดินเข้ามาบอกชอบมันตรงๆ และขอคบกัน ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ในสวนมะม่วงระหว่างบ้านคุณยายและบ้านไอ้จ๋า เพราะมันมาดักรอน้ำส้มที่บอกจะมาหาในเร็วๆ นี้

“ไม่ชอบว่ะ อีกอย่างคือมีแฟนแล้วและรักแฟน ไปไกลๆ เลยไป”

“หึ นายชอบแบบนั้นหรือไง แฟนนายน่ะ” พายุก้าวเข้ามาหาไอ้จ๋าแล้ววางมือเท้าลงกับต้นมะม่วงข้างใบหน้ากร้านแดด เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีรูปร่างและความสูงพอๆ กัน เมื่อใบหน้าใสของหนุ่มเมืองกรุงโน้มเขามาใกล้ ไอ้จ๋าจึงเบี่ยงหน้าออกอย่างไม่ชอบใจ

“ถอยไปไกลๆ สิวะ อุบ..” พายุที่รอจังหวะเผลอของไอ้จ๋าอยู่แล้ว เอียงหน้าฉกลงประกบปากของมันอย่างไม่ให้ตั้งตัว ลิ้นอุ่นๆ ควานเข้ามาในโพรงปากอย่างมีชั้นเชิงหยอกเย้าและยั่วยวนอยู่ในที ไอ้จ๋าพยายามสะบัดหน้าหนี แต่พายุเอาอกล่ำมาทาบทับอกมันเอาไว้ ดีที่เอามือดันกันไว้ได้ไอ้จ๋าจึงพยายามดันอกของพายุออก แต่ก็โดนล็อกเอาไว้แน่น เมื่อทำอะไรไม่ได้มันจึงถีบเข้าที่ท้องน้อยของพายุสุดแรงตีน!

“โอ้ย”

“จ๋า! ”

“ยัยเผือก! ” เสียงแรกเป็นเสียงของพายุที่ร้องเพราะความเจ็บและจุกที่ถูกถีบบริเวณท้องเข้าเต็มๆ โชคดีที่ไอ้จ๋ามันยังปราณีเพราะไม่ได้ถีบเข้าที่กล่องดวงใจ เสียงที่สองเป็นเสียงของน้ำส้ม ที่เดินเข้ามาเห็นหนุ่มทั้งสองกำลังประกบปากกัน การประกบปากที่ดูเหมือนจะดูดดื่ม จนขาทั้งสองข้างชะงักกึกตัวสั่นสะท้าน อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับว่ามีความเหน็บหนาวเข้าปกคลุมร่างกาย หนาวสั้นจนเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

50% จ้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 50% 20/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-12-2018 22:49:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆ  ไอ้จ๋างานเข้า  555
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 100% 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 07:25:44


หลุมดักปลา 100% จ้า

น้ำส้มพึ่งได้สติก็เมื่อตอนได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดนี่แหละ ส่วนไอ้จ๋าก็ตกใจไม่แพ้กันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยิ่งไม่คิดว่าน้ำส้มจะเข้ามาเห็นตัวเองโดนจูบแบบนี้ด้วย มันเลยพูดอะไรไม่ออก

“เจ็บหรือเปล่าฮะพี่พายุลูกขึ้นก่อน” น้ำส้มรีบประคองพายุที่ร่างใหญ่กว่าตัวเองขึ้น แต่ไม่รู้ด้วยความตั้งใจหรือพายุยังเจ็บอยู่ เมื่อทำท่าจะลูกขึ้นยืนชายหนุ่มจึงเซเสียหลัก แล้วสุดท้ายก็ล้มลงโดยที่รั้งร่างบอบบางของน้ำส้มติดอ้อมกอดลงไปทับบนอกกว้างของตัวเอง

“โอ้ย/เฮ้ย” !! สิ้นเสียงอุทานไอ้จ๋าก็กระชากข้อมือเล็กๆ นั่นสุดแรงจนร่างบอบบางปลิวถลาขึ้นมา

“มานี่เลย”

“โอ้ย จ๋า เบาๆ สิเราเจ็บนะ”

“แล้วเธอจะไปช่วยมันทำไม” ไอ้จ๋าถามเสียงดุเมื่อดึงน้ำส้มออกมาไกลแล้ว เพราะไม่พอใจที่เข้าไปช่วยประคองพายุให้ลุกขึ้น ยิ่งคนตัวบางถูกรั้งให้ล้มลงไปในอ้อมกอดอย่างตั้งใจด้วยแล้ว มันแทบจะเข้าไปกระทืบพายุให้จมดิน

“ก็จ๋าทำพี่เขาก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ก็มัน..”

“ก็มันอะไรล่ะ”

“ก็..” น้ำส้มมองตาไอ้จ๋ารอคำตอบ เมื่อไอ้จ๋าพูดไม่ออกก็แอบเสียใจอยู่ลึกๆ เพราะไม่รู้ว่าไอ้จ๋ากับพายุคุยอะไรกันก่อนหน้านั้น เดินมาถึงก็เห็นจูบกันอยู่ก่อนแล้ว ภาพที่น้ำส้มเห็นคือชายหนุ่มทั้งสองจูบเอาๆ แต่อยู่ดีๆ ไอ้จ๋าก็ถีบพายุออกเหมือนไม่ชอบใจอะไรบางอย่าง นั่นคือสิ่งที่น้ำส้มเห็นและมันกำลังทำให้เจ้าของร่างบอบบางน่าทะนุถนอม เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในใจลึกๆ

“จ๋าบอกเราสิบอกมาตรงๆ “

“บอกอะไรล่ะไม่มีอะไรหรอก” สำหรับไอ้จ๋ามันขยักแขยงเกินกว่าที่จะพูดออกมา ว่าถูกผู้ชายคนนั้นจูบ ไอ้จ๋ามันรังเกียจจูบของพายุจนไม่อยากพูดถึง ไม่ใช่เพราะมันให้ความร่วมมือเหมือนที่คนตัวผมตรงหน้ากำลังเข้าใจ น้ำส้มมองไอ้จ๋าด้วยแววตาตัดพ้อปนน้อยใจ ตาสวยหันมองไปทางอื่นที่ไม่มีใบหน้าที่เฝ้าฝันถึงทุกคืน พร้อมกระพริบถี่เพื่อไล่ความรู้สึกบางอย่างที่กำลังถาโถมเข้ามาในใจ

“เรากลับก่อนนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิเพิ่งมาเองนะ”

“ที่จริงเราว่าเราไม่ควรมา”

“อย่างี่เง่าน่า”

“อืม เราคงงี่เง่าไปนั่นแหละ ขอโทษนะ”

“เอ้า เดี๋ยวสิยัยส้มเน่า โธ่โว้ย! ” ไอ้จ๋าสบถออกมาอย่างหงุดหงิด มันไม่ได้หงุดหงิดที่น้ำส้มโกรธ แต่หงุดหงิดไอ้ตัวต้นเหตุที่บังอาจมาจูบมันอย่างจาบจ้วง หงุดหงิดตัวเองที่ไม่ระวังตัวจนต้องเสียจูบให้คนอย่างนั้น ยิ่งเห็นแววตาตัดพ้อปนน้อยใจของน้ำส้มมันยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดแต่ก็ยังวิ่งตามไปแม้เรียกเท่าไหร่อีกคนจะไม่รอก็ตาม

น้ำส้มได้ยินเสียงเรียกของไอ้จ๋าให้หยุดเดิน แต่เวลานี้ของี่เง่าอย่างที่ไอ้จ๋ามันว่าก่อนเถอะ เพราะยังไงก็รับไม่ได้ แค่คำเดียวที่อยากได้ยินก็พร้อมจะให้อภัย แค่ไอ้จ๋าบอกว่ามันเรื่องบังเอิญน้ำส้มก็พร้อมจะลืม ถึงดูเหมือนว่าไอ้จ๋าจะไม่ชอบใจจนถีบพายุออก แต่ความดูดดื่มของจูบที่ดูเร่าร้อนมันทำให้น้ำส้มอดหวงไม่ได้ จูบนั่นน่าจะเป็นของน้ำส้มคนเดียว จ๋าไม่ควรแบ่งให้ใครหากยังคบกันอยู่

“ทำใจแล้วถอยซะ” น้ำส้มหันกลับไปมองเจ้าของเสียง ที่ยืนเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ทิ้งไหล่ข้างหนึ่งพิงกับต้นมะม่วงในตำแหน่งเดิมของไอ้จ๋า พายุเหยียดยิ้มร้ายให้เจ้าของร่างบอบบางอย่างคนที่เหนือกว่า รอยยิ้มแบบนี้มันไม่น่ามองและน้ำส้มก็ไม่ชอบ จึงเมินและเดินจากไป ไม่นานก็เห็นไอ้จ๋าวิ่งไปตามโดยเลี่ยงไม่เฉียดเข้ามาใกล้เขาสักนิด นั่นยิ่งท้าทายความต้องการของพายุที่มองอย่างหมายมาดและมุ่งมั่น

“มึงคิดจะทำอะไรวะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล เมื่อหันกลับมามองก็พบว่าปั้นสิบกำลังเดินเข้ามาหา

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“กูเห็น”

“แล้วไงล่ะ”

“มึงไม่ใช่คนแบบนี้นี่หว่าไอ้ยุ บอกกูทีว่ามึงล้อเล่นเฉยๆ ใช่มั้ย”

“แล้วมึงคิดว่ายังไงล่ะ”

“กูไม่อยากเชื่อ”

“เชื่อเถอะ เชื่อสิ่งที่มึงกำลังเห็นนี่แหละคือความจริง”

“มึงจะบ้าเหรอน้องเขาเป็นแฟนกันมึงจะไปแทรกเขาทำไม”

“ไม่ทำไมกูแค่ถูกใจ”

“แต่อย่างไอ้จ๋ามันไม่ใช่เสป็คมึง ถ้าเป็น..เฮ้ย! ไอ้ห่ายุมึงอย่าบอกนะว่า..”

“ว่าอะไรของมึง จะพูดก็พูดให้จบๆ ”

“มึงไม่ได้เล็งไอ้จ๋า! ”

“ทั้งสองคนน่าสนใจพอๆ กันว่ะ เปลี่ยนสเป็คบ้างก็ดีนะมึงว่ามั้ย” พายุยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับปั้นสิบนี่มันเรื่องใหญ่ทีเดียว

“ถ้าทำแบบนั้นมึงก็ไม่ใช่เพื่อนกู”

“เอ้าไอ้นี่”

“ถ้ามึงทำแบบนั้นจริงมึงกับกูไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไปแล้ว”

“แล้วไงล่ะ หรือมึงอยากเปลี่ยนมาเป็นเมียกู! ”

“กู..มึงจะบ้าเหรอเมียเมออะไรไอ้ห่านี่ กูบอกไว้เลยนะ อย่างยุ่งกับน้ำส้มอย่างยุ่งกับไอ้จ๋า ไม่งั้นไอ้กล้าเอามึงตาย”

“ไอ้กล้ามันจะว่าอะไรได้วะ” พายุกอดอกท่าทางหยิ่งทะนงและมั่นใจในตัวเอง สายตาคมจ้องมองปั้นสิบไม่วาง

“มันเล่นมึงแน่”

“ใครจะสนกันล่ะ”

“มึงก็เห็นว่าไอ้กล้ามันเอ็นดูน้องสองคนมากแค่ไหน”

“ก็แล้วแต่นะ”

“ถ้ามึงทำให้เขาผิดใจกัน มึงโดนแน่เชื่อกู”

“ใครจะเป็นยังไงกูไม่สน กูจะเอา”

“กูขอร้องว่ะยุ เราอย่ามาผิดใจกันด้วยเรื่องแค่นี้เลย”

“มึงนี่ดูท่าจะห่วงคนอื่นจังนะ”

“กูห่วงทุกคนนั่นล่ะ”

“แล้วกูล่ะมึงยังห่วงอยู่มั้ยถ้ากูเป็นแบบนี้”

“กูก็ยังห่วงมึงเหมือนเดิม แต่ถ้ามึงยังดึงดันที่จะสร้างความแตกแยก กูคงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ”

“มึงนี่แปลกนะ”

“แปลกยังไงวะ”

“ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีก อย่างที่กูบอกมึงห่วงนักก็มาเป็นเมียกูแทนแล้วกูจะเลิกยุ่งกับน้องคนโปรดของมึง”

“ไอ้ห่ายุมึงอย่ามาพูดบ้าๆ “ถึงแม้ปั้นสิบจะทำหน้าตึงบอกเสียงเข้ม แต่ปลายเสียงที่สั่นออกอย่างนั้นคนฟังเลยรู้สึกได้ เพราะเมื่อพูดจบพายุก็คว้าต้นคอของเขารั้งให้เข้ามาใกล้ ปั้นสิบยังเสสายตาหันหน้ามองไปทางอื่น ที่ไม่มีแววตาน่ากลัวของพายุจ้องมองอยู่ ไอ้นี่มันยิ่งชอบพูดอะไรแปลกๆ ที่ทำให้ปั้นสิบรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงหัวใจอยู่บ่อยๆ ปั้นสิบคิดแล้วก็ให้รู้สึกประหม่า ไม่รู้ไอ้เพื่อนบ้านี่มันจะเอายังไงกับเขา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าไอ้ข้อเสนอที่บอกให้เป็นเมียนี่มันทำให้เขาใจสั่นไปหมดแล้ว

“ตกลงว่าไง” เพราะปั้นสิบตัวเตี้ยกว่าทำให้พายุต้องก้มหน้าเข้ามาใกล้เมื่อถาม สายตาคมจ้องมองลึกซึ้งเค้นเอาคำตอบจริงจัง

“ตกลงอะไรของมึงไอ้ยุ กูเพื่อนมึงอย่ามาล้อเล่น”

“กับมึงกูไม่เคยล้อเล่น”

“อะ ไอ้ห่านี่ กูไปนอนเล่นตากลมตรงนั้นดีกว่า” ปั้นสิบสะบัดตัวออกจากท่อนแขนใหญ่ของพายุที่ล็อคคอ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางที่มีเปลญวนแขวนอยู่ ทิ้งตัวลงหลับตานอนบนเปลรับลม มีพายุมองตามไม่ว่าตา

“เลี่ยงให้มันได้ตลอดนะมึงไอ้สิบ! ” บอกแต่ไม่ได้ต้องการให้คนที่พูดถึงได้ยิน พายุเพียงพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดปากตัวเองลวกๆ แล้วเดินไปอีกทาง

%%%%%%%%%%%%%%%

“ยัยส้มเน่าหยุดก่อน” ไอ้จ๋าคว้าแขนผอมๆ ของน้ำส้มเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่เจ้าของร่างบอบบางจะขึ้นนั่งบนรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งสีชมพูสวยหวาน ที่ไอ้จ๋าตั้งชื่อให้ใหม่ว่ารถนมเย็น “โกรธหรือไง”

“เปล่าแค่ยังทำใจไม่ได้”

“เธอก็เห็นว่าฉันไม่ชอบ”

“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”

“ก็มันรังเกียจนี่หว่า”

“ทำไมล่ะ”

“ไอ้นั่นมันเป็นผู้ชายนะ”

“เราก็เป็นผู้ชายนะจ๋าอย่าลืมสิ”

“ปั๊ดโธ่มันเหมือนกันที่ไหนวะ”

“ช่างเถอะ เรากลับล่ะ”

“ไม่ได้ดิ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้วนะ”

“มาถึงก็กลับได้ ขอเราทำใจก่อนอีกไม่นานก็คงลืม”

“หมายความว่ายังไง ลืมอะไรไหนพูดดีๆ ดิ๊”

“ลืม..เอ่อ.” ทำใจแล้วถอยซะ เสียงห้าวๆ ดังขึ้นในหัว กับคำไม่กี่คำที่ทำให้น้ำส้มเสียวแปลบในหัวใจ แต่ไม่ได้คิดว่าจะถอยเหมือนที่พี่คนนั้นบอกหรอก เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องแอบรักแอบชอบมาตั้งนาน จะให้ถอยง่ายๆ ใครมันจะไปทำได้ลง ที่บอกว่าลืมนั้นหมายถึงจูบนั่นต่างหาก จูบที่ควรจะเป็นของน้ำส้มคนเดียวกลับถูกแบ่งปันให้คนอื่นอย่างไม่เต็มใจ

“พูด”

“โอ๊ย! ”

“ขอโทษ” ไอ้จ๋าสั่งเสียงเข้มสองมือตะปบลงที่ต้นแขนของน้ำส้ม จนเจ้าตัวร้องออกมาเพราะความเจ็บ ไอ้จ๋ารู้ตัวว่าทำรุนแรงไปจึงรีบปล่อยแขนเอ่ยขอโทษสีหน้าสำนึกผิด ทั้งที่มันก็ผิดมาแต่แรกแล้วล่ะ

“พูดสิลืมอะไร”

“ก็ ลืมว่าพี่คนนั้นเขาจูบกับจ๋าไง”

“มันจูบของมันคนเดียว ฉันไม่ได้เล่นด้วย”

“สรุปก็คือจูบอยู่ดี”

“ฮึ่ย! “

“จ๋าไปไหน” น้ำส้มร้องเรียกตามหลังไอ้จ๋า ที่สบถออกมาเสียงดังแล้วเดินไปทางหลังบ้าน น้ำส้มที่ไม่เข้าใจและกลัวว่าไอ้จ๋าจะโกรธแทนจึงรีบตามไป แต่พอไปถึงเท่านั้นแหละ น้ำส้มก็ต้องชะงักเท้ากับภาพที่เห็น

ไอ้จ๋ากำลังตักน้ำขันใหญ่ราดลงที่ใบหน้าของตัวเอง มือใหญ่กางปิดใบหน้าบริเวณปากแล้วถูเอาเป็นเอาตายแรงๆ จนคนมองห่วงกลัวว่าปากจะถลอกหลุด

“จ๋าทำอะไรน่ะ”

“ล้างปากไง ล้างรอยไอ้บ้านั่น”

“ทำไมต้องทำแรงขนาดนั้นล่ะ ทำเบาๆ ก็ได้นี่”

“ไม่ได้ต้องถูแรงๆ มันจะได้สะอาด” น้ำส้มถามพลางเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ไอ้จ๋าที่ใช้ขันใบใหญ่จ้วงตักน้ำรดหน้าตัวเอง สลับกับการเอามือถูไปมาเร็วๆ อย่างแรงเหมือนเดิม

“ให้เราช่วยมั้ย”

“ช่วยยังไง เฮ้ย..อุ๊บ!! ” เท่านั้นที่ไอ้จ๋าสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ เพราะถูกน้ำส้มคว้าต้นคอโน้มให้ก้มลงมารับจูบจากริมฝีปากนุ่มนิ่ม ที่หอมหวานชวนชื่นใจ เรียวลิ้นเล็กสอดแทรกเข้ามาทื่อๆ ด้วยไม่ชำนาญ แต่ก็สร้างความพอใจให้ไอ้จ๋าได้ไม่น้อย

‘หึ นี่คือยากช่วยใช่ไหม ยัยส้มเน่าเอ๊ย จะน่ารักไปถึงไหนกันวะ’ น้ำส้มเอียงใบหน้าหวานให้ได้องศาพอดีจูบ ส่วนไอ้จ๋าก็ได้แต่คิดในใจเพราะปากถูกครอบครองอย่างดูดดื่มเงอะงะ โดยที่ตัวมันเองก็เต็มใจจนพูดออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่บ่นหรอกนะ ถึงแม้จะรู้สึกได้ว่าจูบของน้ำส้มเป็นจูบที่ช่างอ่อนหัด แต่กลับทำให้ไอ้จ๋าพอใจมากทีเดียว เพราะตัวมันเองก็ใช่ว่าจะเก่งกาจกว่ากัน แม้ว่าสำหรับคนตัวผอมไอ้จ๋าจะจูบเก่งที่สุด เพราะเป็นจูบแรกและจูบเดียวที่น้ำส้มมี ยิ่งคิดถึงคำพูดวันแรกที่จูบกัน น้ำส้มบอกว่าไอ้จ๋าจูบเก่งด้วยสายตาชื่นชม มันก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ จึงให้รางวัลคนน่ารักด้วยการรุกกลับและกลายเป็นว่าน้ำส้มต้องเป็นฝ่ายตั้งรับแทน

“อื้อออ จ๋าพอก่อน” น้ำส้มดันอกล่ำของไอ้จ๋าออก แต่มีหรือคนที่กำลังติดพันมันจะยอม

“ไม่พอ” บอกแล้วก็ประกบปากลงไปใหม่ โดยไม่ลืมเพิ่มความดูดดื่มเร่าร้อนเข้าไปให้มากยิ่งกว่าเก่า จนน้ำส้มแทบเข่าอ่อนเรือนร่างผอมบางระทวย

เฮือกกก

“จ๋า ไก่มอง! ”

“ช่างไก่มัน”

“จ๋าพอก่อน”

“เงียบ”

“แต่.. อื้อออออ” เหมือนกับว่าไอ้จ๋ามันหน้ามืดตามัวไปแล้ว เพราะจากที่จูบหยอกเย้าเคล้าความหวาน ก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“จ๋า นี่มันกลางแจ้งนะ”

“แล้วไง”

“เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ไม่มีใครอยู่หรอกน่า”

“มีสิ! ”

“ใครวะ.. เฮ้ยแม่! มาเมื่อไหร่”

“อุ้ย! “ไอ้จ๋าตาสว่างขึ้นมาทันทีที่เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ขณะที่มันกำลังต้อนน้ำส้มให้จนมุมและสมยอม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่แจ่มใจยืนทำตาดุจ้องมองมันอย่างน่ากลัว แม่แจ่มใจมองไอ้จ๋ากับน้ำส้มสลับกันไปมารอว่าใครจะเป็นคนพูดก่อน

“มาเมื่อไหร่อะแม่” ไอ้จ๋าเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ที่ยืนมองตาขวางยิ่งกว่าผีเข้า

“เมื่อเห็นนี่ล่ะ” แม่แจ่มใจบอกพลางพยักหน้ารับ เมื่อน้ำส้มยกมือไหว้

“สวัสดีฮะ”

“นี่มันอะไรกัน” แม่แจ่มใจถามเสียงเข้มจนน้ำส้มตัวสั่น เผลอจับมือไอ้จ๋าเพื่อหาที่พึ่ง ซึ่งไอ้จ๋าก็หันมามองอย่างเป็นห่วง เพราะมือของน้ำส้มสั่นจนมันรู้สึกได้

“ไปคุยกันที่แคร่” แม่แจ่มใจบอกแล้วหันหลังเดินเข้าบ้าน วางของที่ถือติดมือมาลง แล้วจึงไปนั่งรอลูกชายคนเดียวของนางที่แคร่นั่งเล่นใต้ถุนบ้าน

“แม่ไอ้จ๋ามีเรื่องจะบอก”

“จ๋า” ไอ้จ๋าบีบมือน้ำส้มที่มันกุมอยู่เบาๆ เมื่อได้ยินคนตัวผอมเรียกเสียงสั่น เพราะน้ำส้มกลัวว่าผู้ใหญ่จะรับไม่ได้ ส่วนแม่แจ่มใจยังนั่งเงียบซึ่งไอ้จ๋าก็รู้ว่าแม่กำลังรอฟัง

“แม่ ไอ้จ๋ากับน้ำส้มเป็นแฟนกันแล้ว” พูดจบไอ้จ๋าประสานมือเข้ากับมือของน้ำส้มแบบนิ้วต่อนิ้วบีบเบาๆ เพื่อเป็นการยืนยันต่อหน้าแม่ที่กำลังมองอยู่ และดูเหมือนว่าจะยืนยันกับตัวมันเองและเจ้าของมือเล็กด้วย คล้ายกับจะบอกว่าถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น มันก็จะไม่ปล่อยมือจากคนตัวเล็กคนนี้ เล่นเอาน้ำส้มอดใจไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองไอ้จ๋า ด้วยแววตาชื่นชมและแสนรัก คิดว่ากลับบ้านไปคงถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องบอกพ่อตัวเองเหมือนกัน น้ำส้มสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจ แต่หัวใจที่พองโตกลับเหี่ยวแฟ้บขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่แจ่มใจบอก

“เป็นแฟนกันได้ยังไง แบบนี้เขาเรียกแฟนได้เหรอ”

“ได้สิแม่ ไอ้จ๋ากับน้ำส้มเป็นแฟนกันมาสองสามอาทิตย์แล้วนะ”

“แกแน่ใจเหรอ มั่นใจแล้วหรือไง”

“จ้ะ” ไอ้จ๋าตอบด้วยคำหวานที่มันใช้พูดกับแม่แต่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น น้ำส้มรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มือหัวใจก็พองโตขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ยังหวั่นกับท่าทีนิ่งๆ ของแม่แจ่มใจอยู่ไม่น้อย

“แล้วแกจะบอกพ่อแกว่ายังไง”

“ไอ้จ๋าก็จะบอกอย่างที่บอกแม่นี่แหละ ว่าแต่แม่รับไม่ได้เหรอที่ไอ้จ๋าคบกับน้ำส้ม” คนเป็นแม่ถอนหายใจยาวเหมือนเหนื่อยล้าและนิ่งไปเป็นครู่ จ้องมองลูกชายคนเดียวด้วยแววตาที่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้ จนคู่รักที่ยืนจับมือกันใจเสียแล้วจึงบอกออกมา

“ฉันจะว่าอะไรแกได้ล่ะ โตๆ กันแล้ว คบกันแล้วก็ดูแลลูกเขาดีๆ ก็แล้วกัน”

“จริงเหรอแม่ แม่ไม่ว่าไอ้จ๋าจริงๆ เหรอ”

“เออสิ น้ำส้มมานี่มาไอ้จ๋ามันทำอะไรลูก”

“เปล่าฮะจ๋าไม่ได้ทำอะไรส้ม”

“ก็แม่เห็น”

“คือ..” ไม่ได้ว่าอะไรแต่ทำไมแม่แจ่มใจไม่ยิ้มเหมือนทุกที แบบนี้ทำให้น้ำส้มยังหวั่นๆ แม้จะเดินเข้ามานั่งลงที่แคร่ข้างๆ กันแล้วก็ตาม

“ว่ายังไง”

“..” ไอ้จ๋าเกาหัวตัวเองแกรกๆ เพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกประหม่า ยิ่งแม่แจ่มใจมองมาด้วยสายตาคาดคั้นเอาเรื่อง ไอ้จ๋ายิ่งพูดไม่ออก นี่แสดงว่าแม่แจ่มใจของมันคงเห็นฉากเด็ดที่อยู่ข้างตุ่มน้ำเข้าพอดีใช่ไหม เออต้องเห็นสิโจ่งแจ้งออกจะปานนั้น แม่ยืนจ้องขนาดนั้นก็เพราะเห็นมันจูลน้ำส้มนั่นแหละ หนอยเป็นเพราะยัยส้มเน่านี่ล่ะ เพราะยัยส้มเน่าคนเดียวที่เสนอหน้ามาช่วยมันล้างปากด้วยปากตัวเอง แบบนี้ต้องมีการคิดบัญชีทีหลังแน่นอน ยัยนั่นจะได้จำไว้คนอย่างไอ้จ๋าไม่ยอมให้ใครมาทำให้เขินต่อหน้าแม่อย่างนี้ได้หรอก

ไอ้จ๋ายืนคิดพลางส่งสายตาน่ากลัวไปทางน้ำส้ม เล่นเอาคนตัวผอมสะดุ้งโหยงและขยับเข้าไปหาแม่แจ่มใจอย่างต้องการที่พึ่งพิง

“อะไรมองตาขวางไม่พอใจแม่หรือไง”

“ไอ้จ๋าเปล่านะแม่ ไอ้จ๋ามองยัยส้มเน่าเนี่ยที่ทำอะไรประเจิดประเจอ”

“อ้าวจ๋ามาว่าเค้าได้ไง เค้าจูบจ๋านิดเดียวแต่ตัวเองเป็นคนต่อเองทั้งหมด”

“เออ สรุปเธอเริ่มก่อนปะ”

“แค่นิดเดียว”

“นิดเดียวก็ไม่ได้ ระวังตัวไว้เถอะ”

“ใจร้าย”

“จะโดนไม่ใช่น้อย”

“เหอะ”

“เดี๋ยวปั๊ด”

“เอ้า พอๆ ๆ “

“อุ้ย..! ”

“แม่! ” ทั้งสองชะงักเพราะมัวแต่เถียงกันจนลืมไป ว่ามีแม่แจ่มใจนั่งเป็นพยานรับรู้อยู่ข้างๆ น้ำส้มนั่งก้มหน้าจนคางชิดอกเพราะอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร โดยเฉพาะแม่แจ่มใจที่นั่งอยู่ด้วยกัน ที่น้ำส้มรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาเบาๆ จากลำคอของนาง แต่ก็ไม่แน่ใจและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นดู จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงอะไรหนักที่วางลงบนไหล่ หันไปมองจึงเห็นว่าเป็นมือที่ดูหยาบกร้านจากงานหนักของแม่แจ่มใจนั่นเอง

น้ำส้มนั่งบีบมือตัวเองให้เจ็บเพื่อลดความประหม่า จนรู้สึกได้ถึงแรงที่บีบเบาๆ ลงที่ไหล่ เหมือนแม่แจ่มใจกำลังบอกว่ายินดีต้อนรับ เจ้าของร่างผอมบางยังเขินอายและหน้าขาวๆ ตัวขาวๆ ก็ดูเหมือนจะขึ้นริ้วแดงไปทั้งตัว แต่กระนั้นก็ยังแอบเหลือบตาขึ้นมอง และได้เห็นว่าแม่แจ่มใจกำลังมองตอบกลับมาด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู

“น้ำส้มขอบคุณนะฮะ”

“ขอบคุณแม่เรื่องอะไร”

“ขอบคุณที่ไม่รังเกียจความรักของเรา”

“แม่ไม่เข้าใจว่าความรักแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันน่ารังเกียจตรงไหนล่ะ”

“ก็เราเป็นผู้ชายด้วยกัน”

“หน้าอย่างนี้เหมือนผู้ชายตรงไหน” แม่แจ่มใจเชยคางมนให้ใบหน้าสวยหวานเงยขึ้น แล้วพินิจมองเนื้อนวลและส่วนประกอบที่ทำให้เจ้าของใบหน้านี้ ไม่มีเค้าเหมาะกับคำว่าผู้ชายเลยสักนิด “แล้วมานี่บอกพ่อบอกแม่แล้วใช่มั้ย”

“บอกฮะ ส้มมีแต่พ่อแม่เสียแล้ว”

“อ่อ จะคบกันแม่ไม่ว่าหรอกแค่อย่าพากันเหลวไหลก็พอ”

“ไอ้จ๋าโตแล้วน่าแม่”

“เออ รู้ก็ดีแล้ว เห็นสาวๆ ในหมู่บ้านมาชอบก็ไม่สนใจเขา ที่แท้ก็ชอบแบบนี้นี่เอง” แม่แจ่มใจยิ้มบางๆ เหลือบตามองน้ำส้มแล้วหันไปจิกตาค้อนพลางส่ายหัวให้ลูกชาย

“แหมแม่ ไอ้จ๋าก็เพิ่งรู้สึกนี่แหละว่าตัวเองชอบคนนี้ ไม่ใช่จะใครก็ได้นะ แค่ยัยเผือกเอ๋อๆ คนนี้คนเดียวนี่แหละ”

“จ๋าพูดอะไรอย่างนั้น”

“เอ้า ฉันคุยกับแม่ฉันเกี่ยวไรกะเธอ” น้ำส้มมองค้อนไอ้จ๋าแล้วเหลือบไปมองแม่แจ่มใจอีกครั้ง ก็ได้เห็นผู้สูงวัยกว่ากำลังมองตอบกลับมาด้วยแววตาที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเช่นเดิม ไอ้จ๋าที่ลึกๆ แล้วเป็นคนใจดีคิดดีทำดีก็คงได้มาจากแม่แจ่มใจคนนี้นี่เอง

ต่อ....
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 100% 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 07:27:05


“ชิ ถ้าอย่างนั้นส้มขอตัวกลับก่อนนะฮะ”

“อ้าว อยู่ดีๆ จะกลับได้ไงยัยนี่”

“พูดกันดีๆ หน่อยจ๋า” แม่แจ่มใจปรามเสียงเข้ม

“ไอ้จ๋าหมั่นไส้ อะแม่”

“ยังไงก็ต้องพูดกันดีๆ ไม่ใช่เอาแต่ว่าหรือตะคอก “

“แหมก็รักดอกจึงหยอกเล่นปะแม่ ไอ้จ๋าหมั่นไส้นิ” เข้าใจสิ่งที่แม่ต้องการบอกได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว เพราะตั้งแต่มันจำความได้ก็ไม่เคยเห็นพ่อกับแม่พูดกันไม่เพราะเลยสักครั้ง ขนาดโกรธให้กันยังมีแต่คำพูดดีๆ และนั่นเองทำให้มันไม่เคยเห็นว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลยสักครั้ง เพราะต่างคนต่างก็ไม่ร้อนใส่กัน ถึงจะโกรธแต่ก็ไม่เคยดุด่าว่ากันด้วยคำร้ายๆ

“เออๆ แล้วแต่แม่ไปล่ะ”

“แม่จะลงสวนเหรอ ไอ้จ๋ารดน้ำไว้หมดแล้วทุกสวน”

“เออ เดี๋ยวแม่จะไปเก็บผักไปฝากยายคำหน่อย”

“ไหนชาวบ้านบอกยายคำเป็นปอบ แม่ไม่กลัวหรือไง”

“โอ๊ยลูกคนนี้ ปอบไม่มีหรอก มีแต่เปิบนั่นแหละ กินข้าวด้วยกันทุกวัน”

“แหมไอ้จ๋าล้อเล่นน่าแม่”

“เออ แม่ไปล่ะนะส้ม”

“ฮะ”

“งั้นเธอมานี่เลย” ไอ้จ๋าหันมาดึงแขนน้ำส้มให้ลุกขึ้น

“อุ้ยจ๋าจะพาเราไปไหน”

“ตามมาเหอะน่า”

“ส้มไปก่อนนะฮะ” น้ำส้มหันมาบอกแม่แจ่มใจที่ยังยืนอยู่ เมื่อไอ้จ๋ากระชากข้อมือแล้วดึงให้เดินตามไป ด้วยท่าทางที่ห่างไกลจากคำว่าตามมาคนละเรื่องเลย ยิ่งไอ้จ๋าดึงขึ้นบ้านยิ่งทำให้น้ำส้มตาโตเพราะนึกถึงคำพูดคาดโทษของมันก่อนหน้านี้

‘จะโดนไม่ใช่น้อย’

%%%%%%%%%

รถกระบะสี่ประตูสีขาวถูกขับมาถึงหน้าบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่ ที่ด้านหน้ามีป้ายทำจากไม้เนื้อดีบอกเอาไว้ ว่าที่นี่เป็นที่ทำการกำนันตำบลบ้านทุ่งดอกจาน ของนายอาจหาญ ตรัยรัตนา ต้นกล้ามองป้ายที่ผ่านตา ก่อนที่คนตัวโตจะขับรถเข้าไปจอดไว้ในโรงรถด้านข้างของตัวบ้าน

“พาเรามาที่นี่ทำไม”

“ลงมาก่อน”

“ไม่ลง”

“ลงหน่อยน่า”

“เราจะกลับ”

“มาถึงที่แล้วลงก่อน หรือคืนนี้จะค้างก็ได้นะชดเชยกันกับที่พี่ไปค้างบ้านต้นกล้าเสียหลายวัน”

“เหอะ ยังกะเราเต็มใจ”

“ไม่เต็มใจแล้วใครน้านอนกอดพี่ทั้งคืนแถมยังเอาขามาพาดไว้ทั้งตัวอีก” เด็ดเดี่ยวพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เมื่อคิดถึงตอนนอนที่ต้นกล้าคงจะติดนิสัยนอนกอดหมอนข้าง เมื่อเขาไปนอนใกล้ๆ จึงกลายเป็นหมอนข้างของคนหัวแดงโดยเต็มใจ

“อย่ามาขี้ตู่ ถอยรถกลับ”

“ลงก่อน พี่มีเรื่องจะคุยกับพ่อ”

“มีแล้วพาเรามาด้วยทำไม พ่อตัวเองก็คุยไปสิ”

“ต้องพามาด้วยสิเพราะพี่จะคุยเรื่องของเรา”

“อะ อะไรนะ” ไม่คิดว่าคนตัวโตจะทำแบบนี้ คิดได้ยังไงว่ามาคุยเรื่องของเรา คุยอะไร คุยทำไม ทำไมไม่บอกก่อนจะได้เตรียมตัว หรืออยากให้ขายหน้าจนโดนคนหัวเราะเยาะ มาถึงขนาดนี้ยังคิดแต่จะแกล้งกันอีกอยู่หรือคนหน้ามึน

“ก็ต้นกล้าน้อยใจคิดว่าพี่ได้แล้วทิ้งไม่ใช่เหรอ”

“..”

“พี่ก็จะทำให้ต้นกล้ามั่นใจว่าพี่ไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“พูดอะไรบ้าๆ ออกมารู้ตัวหรือเปล่า”

“แล้วต้นกล้าก็ต้องทำให้แน่ใจด้วยว่าได้พี่แล้วจะไม่ทิ้งเหมือนกัน”

“ทำยังไง”

“ก็ทำเหมือนที่พี่ทำนี่ไง พาต้นกล้ามาหาพ่อพี่”

“เหอะ เฮ้ย ได้ไง ไม่เอาเรายังไม่พร้อม”

“ไม่ต้องรอให้พร้อมหรอกเรื่องแค่นี้เองลูกผู้ชายแมนๆ เขาเดินเข้าไปคุยเลย ปะลง”

“ไม่”

“อย่าดื้อครับ”

“ไม่เอาเราไม่ลง ไม่ลงนะเรายังไม่พร้อมจริงๆ พาเรากลับบ้านก่อน “

“แล้วจะหายโกรธพี่มั้ยล่ะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าเราไม่ได้โกรธ พูดรู้เรื่องหน่อยดิ”

“ยังไงก็อุตส่าห์มาถึงแล้วน่า ลงก่อนเถอะไปไหว้พ่อพี่ไง”

“โอ้ย เด็ดเดี่ยวฟังเรามั้ย”

“หึๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะเสียงโรคจิตแต่แฝงไปด้วยความพอใจ เปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจเสียงประท้วงของอีกคนที่เอาแต่บอกว่าไม่พร้อมและจะกลับบ้านท่าเดียว

ในความไม่ยอมมีความอ่อนใจ เมื่อเด็ดเดี่ยวไม่ฟังต้นกล้าจะทำอะไรได้ นอกจากเปิดประตูลงจากรถและเดินช้าๆ ตามคนที่เดินเข้าบ้านล่วงหน้าไปก่อน

“หายไปไหนอีกแล้วล่ะ” พอเข้ามาบริเวณห้องโถงชั้นแรกของบ้าน ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบเพื่อเป็นห้องรับแขก ต้นกล้าก็ต้องแปลกใจ เพราะเจ้าของบ้านหายไปไหนก็ไม้รู้ ได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันดังมาจากข้างบน และหนึ่งในนั้นเป็นเสียงของคนที่เขากำลังตามหา ต้นกล้าจึงเดินไปทางต้นเสียง กำลังจะก้าวขาขั้นบันไดที่เกือบคุ้นเพราะเคยมา พลันขาก็ต้องชะงักเท้าลอยในอากาศยืนนิ่งฟัง

“เงียบน่า ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องแค่นี้เอง”

“ไม่เอาฟ้ากลัวพี่เดี่ยวกอดฟ้า ฟ้ากลัว ฮือๆ ๆ ” เสียงหวานๆ ของผู้หญิงดังขึ้นกลังจากเสียงปลอบของเด็ดเดี่ยวจบลง นั่นทำให้ขาของคนที่ยืนค้างอยู่ตรงบันไดค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละขั้นอย่างระมัดระวัง ที่จะไม่ทำให้เกิดเสียงขึ้นโดยเด็ดขาด

“ไม่ต้องกลัวนะพี่อยู่ตรงนี้แล้ว” เหมือนกับว่าเสียงที่ได้ยินเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ให้ต้นกล้ารีบสาวเท้าขึ้นบันไดไปอีกสามขั้นจนถึงลูกกรงกั้นราวบันได้ทำด้วยไม้สลักลายสวยงาม ช่องว่าของลายสลักเผยให้เห็นร่างหญิงสาวและชายหนุ่ม กำลังยืนกอดกันอย่างแนบแน่น แต่อะไรก็ไม่ทำให้ต้นกล้ารู้สึกหนาวจนเลือดในกายเย็นเฉียบได้ เท่ากับใบหน้าของหญิงสาวที่แนบแก้มซีกหนึ่งลงที่อกกว้างอย่างที่เขาเคยทำ เจ้าของใบหน้าสวยหลับตาสะอื้นไห้กับความกลัวของตัวเอง ที่ต้นกล้าเองก็ไม่รู้สาเหตุ แต่จำใบหน้าสวยๆ นี้ได้เป็นอย่างดี ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ต้นกล้าเห็นไปกับเด็ดเดี่ยวเมื่อวานนั่นเอง

“พี่เดี่ยวอย่าทิ้งฟ้านะ”

“ไม่ทิ้ง พี่ไม่ทิ้งหรอก พี่รักฟ้านะไม่ต้องกลัว” คำว่ารักที่ปลอบโยนและมืออบอุ่นที่ลูบแผ่นหลัง ทำให้คนที่ยืนค้างขวางบันไดค่อยๆ ถอยเท้าลงไปทีล่ะขั้น ภาพวันวานที่ทั้งสองคุยเล่นหยอกเย้าผ่านเข้ามาในหัว ถอยเท้าลงจนถึงชั้นล่างแล้วหันหลังเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทันที

“อ้าวเจ้ากล้านี่มากับพี่เดี่ยวหรือเปล่าลูก”

“ลุงกำนันสวัสดีครับ ผมกลับก่อนนะครับ”

“อ้าว”

“ดำ ไปส่งพี่ที่บ้านหน่อย”

“อ้าวมาเมื่อไหร่ทำไมรีบกลับล่ะพี่”

“เออไปส่งหน่อย ลุงกำนันครับผมลานะครับ สวัสดีครับ”

“เออๆ เอายังไงก็เอาขับรถดีๆ นะได้ดำ”

“สบายหายห่วงน่าลุง เกาะดีๆ นะพี่กล้าไอ้ดำจะพาแว้น” ถึงจะงงแต่ไอ้ดำที่ขับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งของมันเข้ามาพอดี ก็หันรถกลับแล้วขับพาต้นกล้าไปส่งที่บ้าน โดยมีกำนันอาจหาญมองตามและงงไม่แพ้กัน เป็นอะไรก็ไม่รู้แต่ออกมาทีไรทำไมได้มองตามแต่ท้ายรถเขาตลอด วันก่อนก็มองตามท้ายรถลูกชายตัวเอง วันนี้ก็ต้องมามองตามท้ายรถเด็กในบ้านอีก เฮ่อ กำนันคิดแล้วถอนใจยาวเดินเข้าบ้านไป

“ไปไหนมาครับพ่อ”

“เดินเล่นแถวนี้ล่ะ ว่าแต่เป็นอะไรล่ะนั่น”

“ฟ้าเจอตุ๊กแกค่ะลุง ยี้น่ากลัวมาก”

“แล้วก็กรี๊ดลั่นบ้านไปสิ”

“ก็คนมันกลัวนี่พี่เดี่ยว”

“ยังไม่หายอีกเหรอไอ้โรคกลัวตุ๊กแกจนขึ้นสมองเนี่ย”

“ไม่หายหรอก เจอทีไรก็กลัวจนขนลุกแล้วไปไม่เป็นทุกที ตัวลายพร้อยออกอย่างนั้น ยี้ฟ้าขยักแขยง” หญิงสาวพูดจบก็ตัวสั่นสะบัด ขนลุกขึ้นมาทั้งทีเพียงแค่คิด ซึ่งใครที่มีสิ่งที่กลัวเป็นชีวิตจิตใจ กลัวจนขึ้นสมองจะเข้าใจได้ดี ว่ากลัวแบบนี้มันร้ายแรงมากแค่ไหน ก็แค่คิดยังขนลุกจนตัวสั่นสะท้านเลยยังไงล่ะ

“เออ ว่าแต่เมื่อกี้เจ้ากล้าเป็นอะไรล่ะเห็นรีบกลับบ้านไปเลย”

“ห๊า พ่อว่าอะไรนะครับ”

“ก็เจ้าหลานชายคุณยายประไพนะสิเห็นเดินลงมาจากบ้านรีบๆ แล้วก็ให้ไอ้ดำขี่รถไปส่ง”

“เอ้า เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย” เด็ดเดี่ยวเกาหัวไม่เข้าใจใบหน้ามีความงงขั้นสุด จนพ่อกำนันถามจึงฉุกใจ

“โกรธอะไรกัน”

“ใครเหรอคะลุงกำนัน”

“หลานชายคุณยายประไพศรีมาจากกกรุงเทพ”

“คุณยายมีหลานชายด้วยเหรอคะ”

“มีคนเดียวนี่แหละ”

“แล้วไงต่อล่ะคะ”

“ถามพี่ชายแกดูสิ”

“ไงอะพี่เดี่ยว”

“เออ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกนะพ่อ” เด็ดเดี่ยวบอกปัดน้ำฟ้าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกพี่ลูกน้องมาเยี่ยมเยือน ที่เขาพึ่งไปรับมาเมื่อวานนั่นแหละ บอกแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป จุดมุ่งหมายก็เพื่อตามคนหัวแดงให้ทัน แต่ยังก้าวไปไม่พ้นประตูบ้านเสียงเข้มๆ ของพ่อกำนันก็เรียกให้หยุดเสียก่อน

“ยังไม่ต้องตามไปหรอก มีเรื่องอะไรยังไงไหนเล่ามาซิ”

“เอ่อ จะดีหรือครับพ่อ”

“แล้วมันจะไม่ดีตรงไหนวะ”

“ก็ผมกะว่าจะพาต้นกล้ามาคุยกับพ่อพร้อมกันไง”

“เออ วันหลังค่อยพามา วันนี้มาเกริ่นกับพ่อไว้ก่อน”

“หืม? นั่นผมน่าจะเป็นคนพูดนะพ่อ”

“เออ ก็กูพูดไปแล้ว” พ่อกำนันเหลือทนจนใส่อารมณ์ขึ้นมึงกู เมื่อเจ้าลุูกชายยังทำตัวเล่นแง่ ไม่ยอมพูดยอมคายอะไรออกมาง่ายๆ

“ครับๆ พูดก็พูด” ด้วยความเกรงใจผู้เป็นพ่อและไม่เคยที่กำนันอาจหาญจะทำอะไรไม่มีเหตุผล เด็ดเดี่ยวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรจำเป็นที่จะต้องขัดคำพ่อ ชายหนุ่มจึงเดินมานั่งลงที่โซฟาเดี่ยวข้างๆ พ่อกำนันแล้วเล่าเรื่องระหว่างเขากับต้นกล้าให้ฟังคร่าวๆ โดยมีน้ำฟ้าลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาแต่เด็ก นั่งฟังเงียบๆ อย่างสนใจ

“ตกลงว่าพี่เดี่ยวเป็นเกย์เหรอ อร้าย จริงอะ” น้ำฟ้าถามเมื่อเด็ดเดี่ยวเล่าเรื่องจบ

“ถ้าอย่างนี้เรียกว่าเกย์พี่ก็ยอมละ”

“อยากเห็นคนชื่อต้นกล้าจัง ว่าจะน่ารักสมกับความโม้หรือเปล่า”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ คราวนี้มึงเตรียมตัวรับศึกหนักไว้เลย เจอกับไอ้กวินแน่ๆ ท่าทางมันหวงลูกยิ่งกว่าไข่ทองคำในภูเขาหิน”

“เรื่องนั้นผมไม่กลัวหรอกพ่อ แต่ที่พ่อรั้งผมไว้นี่สิจะทำให้ต้นกล้าโกรธยิ่งกว่าเก่า ไอ้ที่โกรธๆ อยู่นี่ผมเองยังไม่รู้เลยว่าเขาโกรธอะไร”

“เจ้ากล้าก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเด็กไม่รู้คิดนะ พ่อว่ามันต้องมีเรื่องล่ะคนมันถึงได้โกรธอย่างที่แกบอก ดูสีหน้าเมื่อกี้คงโกรธมากอยู่หรอก เตรียมตัวรับศึกหนักสองทางไว้เลย” เมื่ออารมณ์ดีขึ้นสรรพนามของคนเป็นพ่อก็ดีขึ้นตามระดับของอารมณ์ด้วย

“โธ่พ่อไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย” เด็ดเดี่ยวโอดครวญ

“ไปง้อเมียเลยพี่เดี่ยว”

“แกไม่คิดว่าพี่ชายแกจะเป็นเมียเขาบ้างหรือไงน้ำฟ้า”

“โธ่พ่อ สบประมาทลูกชายตัวเองแบบนี้ได้ไง” กำนันอาจหาญหัวเราะเสียงดัง เพราะชอบใจที่ได้ล้อลูกชายคนเดียวจนหน้าตึง นั่นสินะเจ้าลูกชายของเขาตัวใหญ่น้องๆ ควายที่เลี้ยงอยู่กลางทุ่ง ให้เป็นเมียเขาคงพิลึกน่าดู ทั้งสามนั่งคุยกันครู่ใหญ่ดาวรุ่งจึงเข้ามาสมทบเพราะเพิ่งเลิกงาน

“รุ่งมาแล้วเหรอมาๆ มานี่พี่เดี่ยวมีข่าวดีจะบอก” น้ำฟ้ากับดาวรุ่งอายุเท่ากันนอกจากเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้วยังเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาแต่เด็กจึงสนิทกันมาก

“ข่าวดีอะไรเหรอ”

“เนี่ยพี่ชายเราสองคนมีแฟนแล้วด้วย” เสียงของน้ำฟ้าตื่นเต้นไม่หาย ทำเอาดาวรุ่งที่ยิ้มกว้างตั้งแต่ได้ยินว่ามีข่าวดีอดยิ้มตามด้วยไม่ได้ ก่อนจะหันไปถามพี่ชายตัวเอง

“แฟนเหรอพี่เดี่ยว สาวบ้านไหนล่ะ”

“รุ่งรู้จักคนชื่อต้นกล้ามั้ยอ่า” น้ำฟ้าถามแทรกขึ้นมาก่อนที่พี่ชายใหญ่ของทุกคนจะได้ตอบคำถาม

“อืม รู้จักสิ”

“เขาน่ารักปะ”

“เรียกว่าน่ารักก็ไม่เต็มปากเต็มคำหรอก เอาเป็นว่าน่ารักแบบหล่อๆ ใสๆ เหมือนดาราเกาหลีน่ะ ว่าแต่ถามทำไม”

“ก็ต้องถามดิ นั่นแฟนพี่ชายเรานะ! ” รอยยิ้มบนใบหน้าของดาวรุ่งค่อยๆ จางลงเมื่อเจ้าตัวหันไปมองพี่ชายช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ตอนนี้ดาวรุ่งต้องการคำยืนยันจากปากของพี่ชาย แต่เด็ดเดี่ยวแค่มองตอบกลับมาด้วยสายตานิ่งๆ แค่นี้ก็เป็นคำตอบที่ยืนยันได้แล้ว ว่าสิ่งที่น้ำฟ้าบอกเป็นความจริง

“พี่เดี่ยว เอาจริงเหรอ” เด็ดเดี่ยวยังเงียบแต่หันไปมองพ่อตามสายตาของดาวรุ่ง ที่หันขวับไปมองพ่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว เหมือนให้ช่วยยืนยันเพื่อความแน่ใจ “พ่อ”

“อะไรวะ”

“พ่อไม่ห้ามพี่เดี่ยวเหรอ”

“แล้วจะห้ามทำไมมันโตแล้ว”

“แต่นี่ผู้ชายกับผู้ชายนะพ่อ”

“เออ สิแล้วยังไงล่ะ” ดาวรุ่งไม่มีคำตอบให้พ่อ ไม่อยากเชื่อว่าพ่อจะไม่รู้สึกอะไร เมื่อลูกชายคนเดียวหันมาชอบผู้ชายด้วยกัน

“พ่อรับได้เหรอ”

“พ่อเลี้ยงแกสองคนมา สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีสอนให้รู้จักคิด รู้จักตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็คิดแล้วตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกัน พ่อไม่ยุ่งเรื่องหัวใจของใคร ชอบอย่างไหนก็แล้วแต่โว้ย”

“พ่อนะพ่อ”

“หึๆ ๆ /คิกๆ ๆ ”

“พี่เดี่ยวน้ำฟ้าหยุดหัวเราะเลย”

“พ่อไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกนะ ไอ้กวินพ่อของเจ้ากล้าโน่นศึกหนัก เพราะมันต้องเล่นใหญ่ไม่ยอมง่ายแน่ บอกพี่ชายแกเตรียมรับมือไว้เถอะ” กำนันอาจหาญหวนคิดถึงวันเก่าๆ กับคู่ปรับเก่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาจริงๆ ตัวเขาเองจะบอกว่ารับได้ก็คงไม่เต็มปากเท่าไหร่หรอก แต่เพราะเป็นคนมองอะไรในแง่ดีและคิดบวก เลยทำตัวเหมือนไม่ได้คิดอะไรได้ง่ายๆ แบบนี้ อีกอย่างก็คือ เขามีเวลาคิดเวลาเตรียมใจก่อนแล้ว ก่อนที่เจ้าลูกชายจะมาให้เขาบังคับในวันนี้ ก็ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้าลูกชายตัวดี พาหลานคุณยายประไพศรีมาที่บ้าน แล้วบังเอิญกำนันขึ้นไปเห็นฉากเด็ดที่หนุ่มทั้งสองกำลังพลอดรักกันนั่นแหละ วันนั้นเขารับไม่ได้อย่างแรง แต่พอผ่านไปหัวใจคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเบี่ยงเบนก็ค่อยๆ ดีขึ้น เหมือนได้รับการเยียวยาจากเวลาที่ผันผ่าน

“แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะพ่อ”

“เรื่องของมึง! ” เจอคำถามนี้กำนันอาจหาญก็ดูเหมือนว่าจะของขึ้นอีกครั้ง เจ้าลูกชายที่เก่งมาสารพัดเรื่อง จะมาตกม้าตายเพียงแค่ไม่รู้จะต่อกรกับพ่อตายังไง รู้ถึงไหนเสียหน้ากำนันอาจหาญไปถึงนั่น! มันจะมาทำให้ชื่อเสียงของกำนันที่สั่งสมไว้มานานป่นปี้ก็ตอนนี้นั่นแหละ

“อ้าวพ่อนี่ลูกพ่อนะ”

“แล้วไง เรื่องแค่นี้จัดการไม่ได้มึงไปเป็นลูกคนอื่นเลย อย่ามาเป็นลูกกู ดาวรุ่งเย็นนี้ทำอะไรกินพ่อหิวแล้ว”

“เดี๋ยวรุ่งเข้าครัวจ้ะพ่อ”

“ฟ้าช่วย”

“งั้นผมไปธุระนะกินกันก่อนเลยไม่ต้องรอ”

“พี่เดี่ยวจะไปง้อแฟนเหรอ” น้ำฟ้าที่ยังปลื้มปริ่มและยิ้มกริ่มไม่หายถามขึ้นทันทีที่ได้ยิน

“อืม”

“นี่ก็เป็นไปกับเขาด้วยหรือไงยัยฟ้า” ดาวรุ่งหันไปมองค้อนน้ำฟ้า

“อร้ายย ก็ฉันฟินนี่ปะๆ เตรียมอะไรไว้กินเย็นนี้กันดีกว่า” เมื่อสองสาวเดินเข้าครัวไปแล้วก็เหลือแต่คนเป็นพ่อ กับลูกชายที่นั่งมองหน้าผู้สูงวัยกว่าตาปริบๆ

“มองอะไรวะ”

“มองว่าพ่อจะช่วยผมยังไงดี อากวินไม่ปล่อยผมแน่เลยพ่อ”

“อืม”

“แล้วผมจะทำยังไงล่ะคราวนี้”

“ไม่รู้โว้ย หัดคิดเองบ้าง อีตอนไปได้กับลูกเขาไม่เห็นมาปรึกษากูเลยวะ”

“แหมพ่อ ตอนนั้นมันต้องปรึกษาใครหรือไง บรรยากาศพาไปล้วนๆ เลย งั้นผมไปนะพ่อ”

“ไปไหนอีกวะ”

“ง้อลูกสะใภ้มาให้พ่อไง”

“เออ ไอ้ลูกคนนี่ อย่าอกหักซมซานกลับมาเหมือนหมาก็แล้วกัน พ่อจะเป่ากระหม่อมด้วยลูกซองให้”

“โหย พ่ออย่าเล่นบทโหดสิ นี่ลูกชายพ่อนะ”

“ลองทำให้กูเสียหน้ากับไอ้กวินสิ ใครกูก็ไม่เว้นโว้ย”

“นี่ใครพ่อ เด็ดเดี่ยวลูกพ่อกำนันซะอย่าง เรื่องเสียหน้าน่ะ.... “

“ทำไมวะ”

“เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย เสียแน่นอน”

“บ๊ะไอ้นี่ เดี๋ยวเถอะ”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ” เด็ดเดี่ยวหัวเราะพอใจเสียงดัง เพราะรู้ดีว่าเรื่องระหว่างพ่อกำนันของเขากับพ่อกวินของต้นกล้านั้น มีความเป็นมาอย่างไร ทั้งสองต่อสู้กันด้วยเรื่องของศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้มาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม จนถึงตอนนี้ที่อายุเข้ารุ่นปู่รุ่นตาแต่เจอหน้ากันเมื่อไหร่ก็ยังไม่วายจิกกัด เด็ดเดี่ยวเห็นเค้าลางปัญหาใหญ่ของความขัดแย้งลอยอยู่ตรงหน้า มันจะต้องสร้างปัญหาให้เขาในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

*********
เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา 100% 25/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-12-2018 17:15:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นหน่ะสิ  ปัญหาใหญ่หลวง  รุ่นพ่อเขม่นกันตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ จนปัจจุบันก็ยังไม่เลิก  แล้วรุ่นลูกจะมีความหวังไหม? 
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 50% 26/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 26-12-2018 21:34:59



กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป



บรรยากาศรอบเรือนไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรียังคงความร่มรื่นเย็นสบาย เพราะรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธ์ทั้งไม้ยืนต้นที่เลือกมาปลูกได้อย่างตัวพอดี ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ ที่เจ้าของบ้านเลือกหามาปลูก เสริมความร่มรื่น โดยเน้นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางไม่ใหญ่มาก อย่างมะม่วงพันธ์ดีที่ตัดแต่งต้นให้มีขนาดปานกลาง ทั้งมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกไว้รอบๆ ติดริมรั้ว ให้ลูกดกน้ำมะพร้าวหอมชื่นใจ ต้นดอกจานหรือทองกวาวอันเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน ถูกนำมาปลูกติดรั้วหน้าบ้านสองต้นให้เป็นคู่ ด้วยถือว่าเป็นไม้มงคลเรียกเงินเรียกทอง ซึ่งมันจะออกดอกบ้านสะพรั่งดูละลานตาในหน้าแล้ง ลานหน้าบ้านแบ่งสัดส่วนทำสวนได้อย่างพอดี ต้นลำไยใบหนาให้ร่มเงาวางแคร่ไว้เพื่อใช้เป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจมุมหนึ่ง ด้านหลังทำแปลงผักสวนครัวไว้กินเอง เห็นแล้วให้ความรู้สึกถึงความอุดมสมบรูณ์ ต้นลำไยและต้นมะม่วงโยงหากันด้วยเปลญวนที่ผูกไว้ เพื่อนอนรับลมเย็นๆ พื้นปูด้วยหญ้าที่ก็เป็นไอ้จ๋านั่นแหละที่มันตัดแต่งเอาไว้อย่างดี ส่วนไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ เป็นของคุณยาย พักหลังที่ต้นกล้ามาอยู่ชายหนุ่มก็หามาเพิ่มบ้าง ยิ่งให้ความรู้สึกร่มรื่นและเย็นสบายมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า

เปลญวนที่ถูกโยงระหว่าต้นมะม่วงกับต้นลำไยกำลังแกว่งไกว เพราะร่างหนึ่งทิ้งตัวนอนอยู่บนนั้น พอเปลจะหมดแรงแกว่งไกวที ก็เอาเท้าลงยันพื้นเพิ่มแรงเหวี่ยงขึ้นใหม่ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ยอมลืมตา ขวดเหล้าโซดาถูกเมินเมื่อเจ้าของบ้านถูกหนุ่มบ้านนาคนนั้นฉกตัวไป ไอ้จ๋าที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็กลับบ้านตัวเองไปอีกคนแล้วพร้อมกับน้ำส้ม ตอนนี้จึงเหลือปั้นสิบกับพายุอยู่ที่บ้านนี้ และเหมือนว่าจะเข้าหน้ากันไม่ติดเสียแล้ว เมื่อพายุเสนอให้ปั้นสิบเป็นเมียแทนการไม่ให้ไปยุ่งกับน้องชายคนโปรด

ไอ้ห่ายุ! คนอะไรพูดออกมาหน้าตาเฉย ทั้งที่ไม่ได้คิดอะไร อยู่ดีๆ อยากได้คนหนึ่งพอไม่ได้ก็เอาคนอื่นมาแทนง่ายๆ หรืออย่างไร แบบนี้มันทำให้ปั้นสิบรู้สึกแย่มากๆ

“เฮ่อออ “ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ไม่ใช่หงุดหงิดให้ใครที่ไหนหรอก เพราะเขากำลังหงุดหงิดให้กับตัวเอง ที่คิดวกไปวนมาแล้วก็จบที่เรื่องเดิมๆ จบที่คำพูดเหมือนไม่ใส่ใจของพายุ ว่าคนฟังอย่างเขาจะรู้สึกอย่างไร ครั้งที่สองของการถอนหายใจยาวๆ อย่างเหนื่อยหน่ายตัวเอง ปั้นสิบไม่เคยกลัวการลืมตาขึ้นมากเท่านี้มาก่อน

“เมื่อไหร่มันจะกลับมาวะ” บ่นพึมพำถึงเพื่อนที่ถูกพาตัวไปแล้วก็ให้ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะดูเหมือนว่าวันนี้อะไรๆ มันก็กร่อยลงไปถนัดตา เมื่อต้นกล้าไม่อยู่ ไม่มีเสียงของไอ้จ๋าที่พล่ามเรื่องรางต่างๆ ให้ฟังอย่างสนุกสนาน มีเพียงปั้นสิบกับไอ้ตัวปัญหาพายุ ที่สร้างความปั่นป่วนให้หัวใจของปั้นสิบแล้วมันก็เดินหายหัวไป ส่วนจะไปไหนนั้นปั้นสิบไม่รู้เพราะไม่...อยากมอง เออบอกตรงๆ ว่าไม่กล้ามองตาก็ได้ ปั้นสิบกลัว กลัวสายตาจริงจังกับสีหน้าเข้มๆ นั่นที่พายุมองตอบกลับมา เมื่อเขาเอ่ยคำขอร้องไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของไอ้จ๋า แล้วไหนจะยังมาบอกให้เขาเป็นเมียแทนอีก ไอ้เพื่อนบ้านี่มันจะเอาใครก็ได้หรือยังไงวะ

ปั้นสิบนอนคิดกลับไปกลับมา ท้องก็รู้สึกหิวอยู่นะ แต่ยังไม่อยากลุกไปหาอะไรมากิน เพราะรู้ว่ายังไม่มีใครทำอาหารอะไรไว้เลย ก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ตัวเขาเองหรือก็ทำอะไรไม่เป็น กินเก่งอย่างเดียว ก็เลยเอาเป็นว่านอนหิวมันทั้งอย่างนี้นี่แหละ

ฟุดฟิด

‘เอ๊ะ กลิ่นเหมือนของกิน ‘ปั้นสิบทำจมูกฟุดฟิดสูดหายใจเข้ายาวๆ รับเอากลิ่นที่มั่นใจว่ามาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้ ยิ่งสูดกลิ่นยิ่งแรง ยิ่งได้กลิ่นแรงๆ ท้องก็ยิ่งทวีความหิว นี่เขาหิวจนเพ้อไปแล้วใช่ไหม จะมีอาหารมาจากไหนในเมื่อยังไม่มีใครทำ แต่ขณะที่ยังคิดไปเองอยู่อย่างนั้น

“มึงจะสูดกลิ่นอยู่อย่างนั้นอีกนานมั้ย หิวก็ลุกขึ้นมากิน”

“อะ ไอ้ยุ มึงทำกับข้าวเหรอ”

“เออ ลุกมากิน”

“แล้วไอ้กล้าล่ะวะ”

“กูจะรู้มั้ยก็อยู่กันสองคนเนี่ย”

“เออ ทำไมต้องดุกูด้วยวะ” ปั้นสิบบ่นเบาๆ แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากเปลเดินไปนั่งที่แคร่ ที่ยังมีอุปกรณ์การดื่มเหลืออยู่ครบ ทั้งเหล้า โซดา น้ำแข็ง ทั้งที่ต่างคนก็พึ่งจะดื่มกันไปไม่กี่แก้ว ก็ต่างคนต่างไปกันเสียก่อน

“กูโทรเรียกไอ้กล้าดีกว่า”

“ไม่ต้องโทร โน่นมันมาแล้ว” พายุบอกเมื่อเห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาในบริเวณบ้าน เพราะเห็นหัวแดงๆ ของคนซ้อนท้ายที่จำได้ดีว่าแถวนี้มีเพียงคนเดียว

“ไงวะมึงตอนไปไปกับราชรถ ทำไมขากลับกลายเป็นเด็กแว๊นซ์ไปได้วะ” ปั้นสิบส่งเสียงแซวตั้งแต่ที่รถยังไม่ทันจอดสนิทดีด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักของต้นกล้า ก็อดหันไปสบตากับพายุไม่ได้ อยากถามต่อแต่นี่คงไม่ใช่เวลา เพื่อนกล้ามันคงงอนพ่อหนุ่มบ้านทุ่งคนนั้นกลับมาอีกแน่ๆ

“มาดำมากินเหล้าด้วยกัน ไอ้ยุชงเหล้าให้น้องมันหน่อยดิ๊”

“ขอบคุณครับพี่กล้า แต่ผมคงอยู่นานไม่ได้นะครับ”

“อ้าว จะรีบไปไหนเหรอ”

“พอดีพี่ฟ้าจะให้พาไปซื้อของครับ”

“อ๋อ เออๆ งั้นก็ยกด้วยกันสักแก้วสองแก้วก่อนค่อยไป นี่ไอ้ยุกับไอ้สิบเพื่อนพี่เอง” ต้นกล้าไม่ได้สนใจหรอกว่าพี่ฟ้าที่ไอ้ดำบอกนั่นเป็นใคร ก็คงจะเป็นพี่สาว ญาติ หรือคนใกล้ชิดของมันนั่นแหละ บอกพลางก็รับแก้วเหล้าจากพายุส่งให้ไอ้ดำ ที่รับแก้วเหล้าไปจิบหลังจากยกมือไหว้สวัสดีเพื่อนทั้งสองของต้นกล้าแล้ว

“ว่าแต่ไอ้จ๋าไปไหนวะ” ปั้นสิบเหลือบตาขึ้นมองต้นกล้าแล้วก็อดเหลือบไปมองพายุด้วยไม่ได้ เพราะคิดถึงเรื่องที่ไอ้เพื่อนตัวดีมันทำเอาไว้ทันทีที่ต้นกล้าถามถึงไอ้จ๋า “เอ้า เงียบกันทำไมวะถามไม่ตอบ”

“อะ เออไอ้จ๋าเดินไปบ้าน แฟนเพิ่งมันมา”

“ห๊า พี่ว่าอะไรนะครับ แฟนมันเพิ่งมา แฟนไอ้จ๋านะเหรอครับ มันไปแอบมีแฟนตอนไหนไม่น่าเชื่อเลย” เพราะไม่เชื่อจริงๆ ว่าอย่างไอ้จ๋าจะมีแฟน และมันไปมีตั้งแต่เมื่อไหร่ตอนไหน อะไรยังไงทำไมไอ้ดำไม่เคยรู้มาก่อน

“ใช่สิน้อง แฟนมันมาเมื่อกี้เองน่ารักน่าหยิก ท่าทางรักกันมากด้วย” ปั้นสิบตั้งใจเน้นเสียงเมื่อบอกว่าท่าทางรักกันมาก เพื่อให้ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเผื่อมันจะล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะแยกสองคนนั้นออกจากกัน โดยไม่ได้เอะใจอะไร กับคนที่คอยสังเกตอยู่อย่างพายุที่ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างระอากับความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของเพื่อนตัวเล็กของตัวเอง

“เอ๊ะ ว่าแต่แฟนมันชื่ออะไรครับพี่กล้า ทำไมพวกผมไม่รู้จัก ผมแน่ใจล่ะว่าพวกไอ้ว่าว ไอว่าน ไอ้จ๊ะเอ๋ยังไม่มีใครรู้ว่ามันมีแฟนสักคนหรอก” ไอ้ดำมั่นใจว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ยังไม่มีใครรู้ว่าไอ้จ๋ามีแฟน แต่ต้นกล้ายังไม่ทันตอบอะไรออกมาก็โดนปั้นสิบ ที่อยากตอกย้ำใครบางคนชิงพูดออกมาก่อนอ

“น้ำส้มไง”

“น้ำส้มเหรอครับ ชื่อน่ารักดีสาวบ้านไหนล่ะพี่”

“หึๆ “

“อะไรครับพี่กล้า หัวเราะแบบนี้ผมรู้จักใช่มั้ยคนนี้น่ะ” เพราะคนบอกรู้จักแต่ชื่อใหม่ที่ไอ้จ๋าแนะนำ ส่วนคนที่เรียกชื่อเก่าอย่างได้ดำเลยไม่รู้จักและไม่เอะใจ

“เออ แกรู้จักแน่นอนดำ ฮ่าๆ “

“ชักอยากรู้แล้วสิพี่” ไอ้ดำทำหน้าเจ้าเล่ห์เมื่อบอกว่าอยากรู้ว่าแฟนไอ้จ๋าว่าเป็นใคร ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่แผนแกล้งเพื่อนกำลังผุดเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ก็เท่านั้นเอง

“แกจะอยากรู้เรื่องของมันทำไม เรื่องของแกเหอะถึงไหนแล้ว”

“อะไรครับพี่ถึงไหน ไม่มีถึงไหนครับ”

“เหอะ คิดว่าฉันไม่เห็นสายตาแกมองไอ้ว่านหรือไงวะ ฮ่าๆ ๆ ”

“โหพี่กล้า ผมอุตส่าห์แอบมองมันแล้วนะนั่นพี่ยังเห็นอีกเหรอ”

“เห็นดิวะมองตาเชื่อมออกอย่างนั้น นี่ก็เพิ่งไปเก็บปลาด้วยกันมา ไม่ไปกะเขาละ”

“ไม่ว่างสิครับลุงกำนันไล่ไปดูฟาร์มหมูแต่เช้าเลย พี่เดี่ยวก็ไม่อยู่ด้วย” เมื่อพูดถึงพี่เดี่ยวไอ้ดำไม่วายส่งสายตาแปลกๆ ให้ต้นกล้าพร้อมกับยักคิ้วให้ด้วยข้างหนึ่ง ถือเป็นการเอาคืนที่ต้นกล้าแซวเรื่องไอ้ว่านล่ะนะ และมันได้ผลที่ต้นกล้าเองก็มีปฏิกิริยาให้เห็น ถึงแม้จะยิ้มและพยายามกลบเกลื่อนมากแค่ไหนก็ตาม

“เอ้า ชนแก้วกันดีกว่าว่ะ หมดแก้วนะโว้ยดำ” ปั้นสิบชวนชนแก้ว เมื่อสังเกตเห็นว่าต้นกล้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปที่ได้ยินชื่อเด็ดเดี่ยว ทุกคนยกแก้วขึ้นชนทำให้ต้นกล้ามีสีหน้าดีขึ้น แต่ก็ไม่ลืมหันไปส่งยิ้มคาดโทษให้ไอ้ดำที่ยิ้มตอบอย่างเข้าใจกันว่าหยอกเล่น จนผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้เวลาที่ไอ้ดำต้องขอตัวกลับ

“ผมกลับล่ะนะพี่ วันไหนว่างๆ ไปลงปลากันอีก ไปด้วยกันนะพี่สิบพี่ยุ”

“เออ หาเรื่องกินเหล้าสิแกน่ะ”

“ฮ่าๆ นิดหน่อยครับพี่นานๆ ทีน่า ไปล่ะครับสวัสดีครับทุกคน”

“เออ ขับรถดีๆ ล่ะ” ไอ้ดำกลับไปแล้วก็เหลือแต่เพื่อนทั้งสามที่อยู่ดีๆ ก็เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะต้นกล้าที่กำลังถูกเพื่อนทั้งสองมองอย่างสงสัยและรอคำตอบ

“อะไรวะ”

“มึงเป็นอะไร” ปั้นสิบถามเสียงเข้ม

“เปล่า”

“เปล่าแล้วหลบตากูทำไม”

“กูเบื่อหน้ามึงไง ไอ้ยุชงเหล้าดิ๊ บกพร่องต่อหน้าที่ตัวเองนะมึง” พายุรับแก้วไปชงให้ต้นกล้าที่ถูกปั้นสิบจ้องไม่วางตา แต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจ เพราะรู้ว่าเพื่อนจะถามอะไรแต่เป็นต้นกล้ามเองที่ยังไม่พร้อมตอบคำถาม

“แล้วพี่เดี่ยวไปไหนวะ ทำไมมึงได้มากับไอ้ดำ”

“เขาก็มีธุระของเขาดิ อย่าถามมากกินเหล้าดีกว่า ว่าแต่นี่ใครทำต้มยำปลาซ่อนวะ” ต้นกล้าถามพลางตั้งต้มยำใส่ปาก

“ใครทำวะยุ” ปั้นสิบหันไปถามพายุ

“จะใครถ้าไม่ใช่กู”

“เออ ไอ้ยุทำ”

“อร่อยดีนี่หว่า”

“มือชั้นเซียน” พายุยืดอกอวยตัวเองอย่างภูมิใจ หลังจากถามตอบกันกลับไปกลับมาทั้งที่นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสามตั้งหน้าตั้งตากิน แต่อยู่ๆ ต้นกล้าก็พูดขึ้นมา

“พวกมึงพรุ่งนี้กูว่าจะกลับกรุงเทพว่ะ”

“ห๊า กลับไปทำไมวะ พวกกูพึ่งมาเองนะเว้ย” เป็นจอมโวยวายอย่างปั้นสิบอีกนั่นแหละที่แย้งขึ้นมาก่อน

“นั่นสิ กูยังไม่ได้พักผ่อนเลย” ตามด้วยพายุผู้เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ

“กูอยากกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ว่ะ คิดถึงคุณยายด้วย”

“ไหนว่าจะไม่กลับง่ายๆ ยังไงวะ หรือมึงท้อแล้ว”

“ไม่ กูไม่มีวันท้อหรอก กูว่ากูรักชีวิตชาวนาและรักที่จะเป็นชาวนาแล้วว่ะ แค่คิดถึงอยากกลับไปเยี่ยมบ้าน พอดีช่วงนี้ว่างแล้วด้วย” ใช่ช่วงนี้เป็นช่วงที่รอข้าวแก่เต็มที่จนพอดีเกี่ยว ชาวนาจึงพอจะมีเวลาว่าง ส่วนงานไร่ทั้งไร่มันและไร่อ้อยที่เพิ่งปลูกใหม่ก็รอให้เจริญเติบโตอีกสักพักอาจจะต้องดายหญ้ากำจัดวัชพืช ส่วนที่โตเต็มที่ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยหมดแล้ว ช่วงนี้จึงว่าง จนกว่าจะถึงเวลาเกี่ยวข้าวนั่นแหละ ทำให้ต้นกล้ามีเวลาและคิดอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ

“รักชีวิตชาวนาแล้วก็รักชาวนาด้วยหรือเปล่าวะ” ปั้นสิบแซว

“พูดอะไรของมึงฟังแล้วงง”

“มึงอย่างมาแกล้งงงหน่อยเลย”

“มีเรื่องขัดใจอะไรกันวะ” แม้จะเหมือนไม่กินเส้นกันกับหนุ่มบ้านทุ่งคนนั้น แต่ความห่วงเพื่อนมันมีมากกว่า พายุจึงถามต้นกล้าเสียงเข้ม

“นั่นสิ” เสริมด้วยปั้นสิบที่ลิมเรื่องของตัวเองไปชั่วครู่เพื่อมาสนใจเรื่องของเพื่อน

“กู..เอ่อ ช่างเถอะว่ะ ถ้าพวกมึงยังไม่อยากกลับจะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะเว้ย แต่กูขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วย”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวะ กูยังไม่ได้แอ้มเด็กแถวนี้เลย” ปั้นสิบหันไปมองพายุตาขวาง เมื่อเพื่อนตัวสูงพูดจบแล้วยังทำหน้าตาเฉยเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แล้วต่อว่า

“มึงก็คิดแต่เรื่องเดี่ยวนะไอ้ห่ายุ”

“เออสิ กูก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเปล่าวะ”

“รีบกลับไปหางานหาการทำเลยมึง”

“ไม่เอากูกะจะมาพักผ่อนสักเดือนสองเดือน”

“แล้วจะเอาอะไรกิน”

“มึงสองคนไง เลี้ยงกูด้วย”

“โนเวย์กูไม่เลี้ยง” ปั้นสิบบอกแล้วเบือนหน้าหนี

“กูขอผ่าน” ตามด้วยต้นกล้าที่รับไม่ได้กับความคิดของพายุ แต่ก็รู้ล่ะนะว่ามันพูดเล่น ทั้งที่ความจริงพายุก็แค่อยากพูดสะกิดความรู้สึกของคนที่นั่งข้างๆ เล่นก็เท่านั้นเอง

“ใจร้ายว่ะพวกนี้”

“ตกลงกลับไม่กลับวะ” ต้นกล้าถามอังกคริ้ง

“เออ มึงกลับกูก็กลับดิ อยู่ทำไมล่ะ” ปั้นสิบบอก

“แล้วมึงล่ะไอ้ยุ จะอยู่รอกินเด็กแถวนี้หรือจะกลับไปหากินที่กรุงเทพ ฮ่าๆ ๆ ” แล้วต้นกล้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างสะใจมาก โดยไม่ได้สังเกตใบหน้าเพื่อนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ เลยว่ามันเปลี่ยนสีไป ปั้นสิบหุบยิ้มลงทันทีโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่หากเป็นในยามปกติก่อนหน้านี้ เขาคงสามารถหัวเราะได้อย่างสะใจเหมือนต้นกล้า แต่มันไม่ใช่วันนี้ที่หัวใจของเขาเต้นแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อชั่วโมงก่อน คำบางคำหลุดออกมาจากปากเพื่อนตัวสูงอย่างไอ้พายุ มันทำให้หัวใจของปั้นสิบเต้นผิดจังหวะจนยากจะควบคุม แม้จะมีอะไรแอบซ่อนเอาไว้ในใจมาตลอด แต่ก็ไม่เคยจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนมันจะเต้นจังหวะไหน เขาก็ยังสามารถกดมันให้เป็นปกติเอาไว้ได้ทุกครั้ง ทำไมตอนนี้กลับยากที่จะทำได้เพราะอะไรปั้นสิบก็ไม่เข้าใจตัวเอง



%%%%%%%%%%



“จ๋า...พอเถอะส้มอยากกลับแล้ว”

“เดี๋ยวดิ ซี๊ดดดด อะ ใกล้แล้ว”

“นี่มันเย็นมากแล้วนะ”

“อ่า อูย อีกนิดเดียวน่า”

“พอเถอะ”

“อีกนิด ข้างนี้ด้วย”

“หลายนิดแล้ว”

“นิดหนึ่ง อู้ววว อย่างนั้นแหละ เก่งมาก”

“ไม่เอาพอแล้ว อ๊ะ! จ๋าเค้าเจ็บนะ โอ๊ย! ”

“นิดนึง ซี๊ดดด อย่างนั้นแหละดีมาก อู้วววว สุดยอด”

“จ๋า”

“นิดๆ นะ นิดๆ โอ้วววว ใกล้แล้วๆ ”

“คนบ้านี่ลุกขึ้นเลย”

“โอ๊ย อะไรของเธอนักหนา”

“ก็ฉันเมื่อยนี่ ลุกขึ้นเลย”

“ให้ปั่นหูให้แค่นี้ทำบ่น”

“บ่นสิ ปั่นตั้งนานแล้วไม่พอสักที” น้ำส้มนั่งหน้างอบอกเสียงไม่พอใจที่ไอ้จ๋านอนหนุนตักจนเป็นตะคริว ไม่พอยังใช้ให้ปั่นหูเป็นนานสองนอนและไม่ยอมพอสักที

“เออๆ จุ๊บ”

“อื้อออ คนบ้า”

“ก็ยังมีคนบ้ากว่ามารักล่ะวะ” ไอ้จ๋าส่งสายตาหวานเชื่อมปนหยอกเย้า เมื่อมันแกล้งให้น้ำส้มเขินอายจนตัวจะบิดเป็นเกรียวได้ ไหนจะใช้ให้ปั่นหูนั่นด้วยอีก นอกจากจะส่งเสียงน่าเกลียดออกมาแล้ว ยังเผลอบีบก้อนเนื้อนิ่มๆ ตรงสะโพกของน้ำส้มหลายครั้งเพื่อระบายความเสียวสยิว ปั่นข้างซ้ายแล้วก็พลิกให้ปั่นข้างขวา โดยใช้ตักของน้ำส้มหนุนรองแทนหมอน เหมือนไม่รู้ว่าคนตัวผอมก็อายก็เขินเป็น ไม่ทำให้ก็ขู่เอาๆ เห็นหน้าเหี้ยมๆ อย่างนี้ล่ะเอาแต่ใจตัวเองที่สุด

“เมื่อยเหรอ”

“นิดหน่อย ปวดขาด้วย โอ้ยจ๋าจะทำอะไร”

“นี่เธอโง่จริงๆ หรือโง่เล่นๆ ที่ไม่รู้ว่าฉันทำอะไร”

“ก็รู้แล้วแต่ทำทำไมล่ะ”

“ไหนบอกเมื่อยไหนบอกว่าปวดขา”

“ก็.. อื้อคนบ้าเอ๊ย” น้ำส้มไปไม่เป็นเลยสิเมื่อบอกเมื่อยไอ้จ๋ามันก็ขยับออก แล้วคว้าท่อนขาเรียวเนื้อเนียนน่าสัมผัสไปพาดที่ตักของตัวเอง จากนั้นก็บริการนวดให้อย่างเบามือ แต่เล่นเอาเจ้าของขาเรียวเคลิ้มไปเลยทีเดียวกับความใส่ใจของมัน หรือนี่ยังเป็นช่วงที่มีโปรโมชั่นอยู่ ไอ้จ๋าเลยทำอะไรอย่างนี้ให้โดยไม่อิดออด

“นี่คราวหลังห้ามใส่กางเกงขาสั้นอย่างนี้เด็ดขาด”

“อ้าวทำไมล่ะ”

“ผอมๆ เผือกๆ อย่างนี้จะใส่ให้ใครดูวะ”

“ก็มันร้อนนี่”

“ห้ามใส่”

“น่ารักออก”

“น่ารักตายล่ะ เห็นใส่อีกโดนดีแน่ ขาน่าเกลียดอย่างนี้ยังเอามาโชว์ให้ชาวบ้านดูอยู่ได้” น้ำส้มหน้ายู่กับวาจาร้ายๆ ของไอ้จ๋าที่ว่าขาน่าเกลียด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ขาเรียวสวยกับผิวเนื้อเรียบเนียนปราศจากเส้นขนของน้ำส้มนั้น ห่างไกลจากคำว่าน่าเกลียดอยู่มากโขทีเดียว ไอ้จ๋าทั้งบ่นมือก็นวดไปด้วย แอบเผลอกลืนน้ำลายลงคอกับสัมผัสนุ่มๆ ที่มือกร้านงานของมันกำลังบีบเค้นอยู่ ยิ่งนวดก็ยิ่งอยากนวดนานๆ และเล่นเอามันต้องเสียน้ำลายไปหลายอึกใหญ่ทีเดียว

“สบายมั้ย”

“ดีเลย จ๋านวดเก่งจัง อ้าว! หยุดทำไม”

“ก็สบายแล้วจะนวดต่อทำไมให้เสียเวลา”

“คนบ้า นี่แนๆ ”

“โอ๊ยยัยส้มเน่าเจ็บนะเว้ย”

“ปากร้ายนัก นี่แน” ไอ้จ๋าร้องโวยวายเพราะน้ำส้มจิกเล็บดึงปากของมันอย่างแรง แล้วตามด้วยการบีบบี้แก้มกร้านแดดทั้งสองข้าง บีบจับเอาไว้แน่นแล้วบังคับให้ส่ายไปมา จนหน้าดำๆ ของไอ้จ๋าขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด

“กล้าแกล้งฉันเหรอ มานี่เลย”

“คิกๆ อย่าจ๋า อื้ออออ” ไอ้จ๋าดึงน้ำส้มมานั่งบนตักแล้วบดริมฝีปากสวยนุ่มนิ่มสีชมพูอมแดง ด้วยจูบดูดดื่มที่น้ำส้มก็เผยอปากรอรับอย่างเต็มใจ แม้จะเอ่ยห้ามก็ตาม

เฮือก

“จะ จ๋า”

“ไงล่ะ เสียงสั่นเลยสิ”

“ก็เราหายใจไม่ทันนี่”

“เพราะฉันเก่ง”

“ชิ กลับบ้านดีกว่า”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“อ้าว” น้ำส้มทำหน้าเอ๋อ คิดว่าไอ้จ๋าจะรั้งเอาไว้เหมือนทุกทีแต่กลับผิดคาด เพราะนอกจากจะไม่รั้งแล้วยังเสนอตัวไปส่งอีกด้วย

“อะไรอีกล่ะ”

“ไม่อยากให้อยู่ต่อเหรอ”

“ก็บอกจะกลับนี่”

“ก็ทุกครั้งเห็นบอกให้อยู่”

“นี่มันเย็นมากแล้วยัยเน่า หรือจะค้างที่นี่ล่ะ หึๆ ๆ ”

“ค้างไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่คำแพงฟ้องพ่อแย่เลย” น้ำส้มบอกหน้าตาตื่น เพราะเดาได้ว่าพี่สาวต้องไม่พลาดที่จะเล่นงานแน่ๆ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้ดุด่าอะไร แต่พี่คำแพงคงพูดให้พ่อไม่สบายใจแน่นอน

“พี่สาวเธอนี่ยังไงนะ”

“ยังไงล่ะ ไม่รู้สิ”

“เธอกลัวโดนไม้เรียวหรือไง”

“อื้อ ก็ไม่แน่นะแต่พ่อไม่เคยตีหรอก”

“ลูกโตจนจะมีผัวแล้วยังจะตีอยู่หรือไง”

“..!!”

“หืม”

“...”

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“จะ จ๋า จ๋าว่าอะไรนะ คนบ้านี่พูดอะไรออกมาวะ” น้ำส้มหน้าแดงเห่อร้อนไปหมดกับคำที่ได้ยิน คนพูดก็พูดได้หน้าตาเฉยมาก แต่คนฟังกลับเฉยตามไม่ได้ ยิ่งตอนนี้นอกจากจะร้อนไปทั้งหน้าทั้งตัวแล้ว หัวใจยังเต้นกระหน่ำอย่างแรงอีกด้วย

“เอ้า อะไรของเธอ พูดไม่เพราะ”

“ทีตัวเองยังชอบพูดแบบนี้เลย”

“ฉันพูดได้แต่เธอห้ามพูดมันไม่น่ารัก”

“ดีแต่บังคับ”

“บังคับแล้วจะทำตามมั้ย”

“ทำสิแฟนบอกนี่ก็ต้องทำอยู่แล้วล่ะ”

“เก่งมาก หันมานี่ดิ๊”

“..”

“จะเอามั้ยรางวัลเนี่ย”

“เหอะ ยังกะอยากจะได้นะ” จุ๊บ จ๊วบบบ ปากก็พูดเหมือนไม่อยากได้หรอก แต่อะไรคือการที่น้ำส้มเป็นคนหันมาจูบไอ้จ๋าเองเลย โดยที่ไอ้หมาหน้าดำไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ แบบนี้ก็ได้เหรอ นี่มันเล่นเอาอึ้งทึ่งไปเลยทีเดียว แต่กระนั้น ไอ้จ๋าก็ไม่ลืมรับจูบหวานๆ ของน้ำส้มด้วยการจูบตอบที่หวานไม่แพ้กันไปหรอกนะ ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องของไอ้จ๋า ราวกับลอยอบอวนไปด้วยไอน้ำสีชมพูสวยหวานละมุนละไม และดาวดวงน้อยๆ ที่เปล่งแสงระยิบระยับรอบตัว ทั้งสองแลกจูบกันดูดดื่มอย่างบริสุทธิ์ใจ..? ในแบบที่ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้เลยจนกระทั่ง...

“อุ๊ย! จ๋า”

“อะไร”

“ตรงนี้ อะไรแข็งๆ ดันอยู่ข้างล่าง” น้ำส้มส่ายสะโพกเล็กน้อยก่อนจะตาโต เพราะเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้

“แอ๊ะ! ”

“หึๆ “

“ปล่อยเลยคนบ้า คนลามก”

“เอ้า ธรรมชาติปะฉันไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ”

“ยี้ ลามก”

“ว่าแต่เธอเถอะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”

“คนบ้า”

ต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 50% 26/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 26-12-2018 21:35:43


“โอ๊ย หึๆ ๆ “เพราะความเขินจนเหมือนควบคุมมือตัวเองไม่ได้ น้ำส้มจึงฟาดมือลงที่หน้าผากของไอ้จ๋าอย่างแรง แต่เท่านั้นเหมือนยังไม่พอต่อความเขินที่ไอ้จ๋าทำให้มันเกิดขึ้น เจ้าของร่างผอมบางจึงผลักไอ้หมาหน้าดำออกสุดแรง จนมันหน้าหงายขาชี้ฟ้าโด่เด่ น้ำส้มหลุดจากอ้อมกอดของได้จ๋าได้ ก็รีบวิ่งไปเปิดประตูลงจากเรือนทันที ได้ยินแต่เสียงเรียกและเสียงหัวเราะของมันดังแว่วตามหลังมา แต่น้ำส้มก็ไม่ได้หยุดรอ ใครจะไปรอล่ะอยู่ๆ ก็ชวนพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้คนหน้าไม่อาย ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันทำให้เขินจนทำอะไรไม่ถูก แล้วไหนจะยังมาถามเรื่องนั้นอีก ถามออกมาได้ใครมันจะไม่รู้สึก น้ำส้มก็ไม่ใช่พระอิฐประปูนเหมือนกันนี่ ก็เพราะรู้สึกนี่แหละถึงต้องรีบหลบไกลๆ เพราะไม่อยากเขินอายไปมากกว่านี้

“แล้วเจอกันนะจ๋า”

“เออ เข้าบ้านไป”

“บายจ้ะ”

“โอ๊ย ไม่ต้องมาจ่งมาจ้ะ เข้าบ้านไปเลย”

“คิกๆ ๆ “ทิ้งเสียงหัวเราะขำส่งท้ายให้ไอ้จ๋าที่หน้าแดงจนเห็นได้ชัด เมื่อน้ำส้มบอกลาเสียงหวานและยิ้มให้จนตาหยี ไอ้จ๋ามาส่งถึงหน้าบ้าน โดยให้น้ำส้มขับรถนมเย็นนำหน้ารถกระบะคันเก่าของมัน ที่ขับจี้ท้ายตามก้นมาติดๆ เหมือนจะบอกอะไรเป็นนัยหรือเปล่า อันนั้นน้ำส้มคิดไม่ถึงหรอกได้แต่ขับรถไปยิ้มไปอย่างปลื้มปริ่มเพราะมีความสุข ไอ้คนขับจี้ตูดมาก็คอยแต่จะกดแตรไล่แต่ไม่ยอมแซงสักที จนมาถึงหน้าร้านที่ปิดเพราะเย็นมากแล้ว นั่นแหละทั้งสองจึงได้หันมาบอกลากัน

“ไปล่ะนะ”

“บายจ้ะ” น้ำส้มยิ้มหวานให้ก่อนที่ไอ้จ๋าจะขับรถกระบะคันเก่าของมันออกไป มองส่งจนท้ายรถแฟนลับตาแล้วจึงเข็ญรถคันโปรดเข้าบ้านบ้าง เมื่อเก็บรถเรียบร้อยโดยที่ไม่เห็นพี่สาวมากระแนะกระแหน น้ำส้มก็รีบวิ่งขึ้นห้องตัวเองไป โดยไม่ลืมทักทายพ่อที่รดน้ำต้นไม้ในสวนเล็กๆ หลังบ้านด้วย

“กลับมาแล้วเหรอยัยตัวดี”

“พี่คำแพงเข้ามาห้องส้มทำไมเนี่ย”

“เข้าไม่ได้หรือไง หายไปทั้งวันเลยนะงานการไม่รู้จักช่วยกันทำ”

“ก็เพิ่งไปวันนี้วันเดียวแล้วก็ไม่ได้หายไปทั้งวันด้วย แค่ช่วงบ่าย เมื่อเช้าส้มก็ช่วยงามที่ร้านแล้ว พี่คำแพงยังไม่พอใจอีกเหรอ”

“ปากดีนะ ไปหาผู้ชายมาละสิ แกนี่มันแรดจริงๆ ถ้ามีมดลูกเหมือนผู้หญิงจริงๆ ลูกแกคงหัวปีท้ายปีแล้วมั้ง”

“พี่คำแพงพูดอะไรออกมา ส้มไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนะ”

“แกระวังตัวไว้เถอะจะโดนผู้ชายหลอกฟัน”

“โอ้ย ฟันก็ฟันไปเถอะ ส้มไม่มีมดลูกท้องไม่ได้จะเสียหายอะไรนักหนา”

“ปากเก่ง”

“โอ้ยพี่คำแพง” น้ำส้มร้องลั่น เมื่อพี่สาวไม่พูดเฉยๆ แต่หยิกเข้าที่ท่อนแขนผอมบาง เนื้อเนียนขาวขึ้นรอยเขียวช้ำทันตา

“จำไว้ว่าอย่ามาปากดีกับฉัน”

“พี่แพงว่าส้มก่อนนี่”

“เพราะฉันเป็นพี่แก ฉันเตือนด้วยความหวังดี อย่าทำให้พ่อไม่สบายใจ”

“ส้มไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ให้มันได้อย่างที่พูดเถอะ” ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นคำแพงก็ออกจากห้องน้องไป ใช่น้ำส้มห่วงที่สุดคือความรู้สึกของพ่อ ที่ยอมให้พี่สาวรังแกอยู่นี่ก็เพราะห่วงความรู้สึกของพ่อล้วนๆ กลัวว่าพ่อจะไม่สบายใจที่เห็นลูกไม่ถูกกัน น้ำส้มไม่เคยหาเรื่องคำแพงก่อน มีแต่คนพี่คอยมาหาเรื่องตัวเอง พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบโต้มาโดยตลอดก็เพื่อพ่อ เพราะหากพี่น้องไม่ลงรอยกันคนเป็นพ่อก็คงยากที่จะสบายใจและมีความสุข อีกอย่างคือพ่อของน้ำส้มเป็นโรคหัวใจหากมีอะไรมากระทบกระเทือนความรู้สึก หรือทำให้เครียดมากเกินไปคงไม่ดีแน่ น้ำส้มจึงยอมที่จะไม่ถือสาเมื่อถูกพี่สาวหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล



%%%%%%%%%%%%



“มึงว่าไอ้กล้ากับพี่คนนั้นถึงขั้นไหนแล้ววะไอ้ยุ”

“มึงอยากรู้จริงๆ เหรอ”

“อย่ามาว่ากูเสือกกูแค่เป็นห่วงเพื่อน” ปั้นสิบหันไปบอกเสียงเข้ม เมื่อรู้สึกว่าคนที่คุยด้วยหันมามอง ตอนนี้ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงกว้างในห้อง เวลาดึกแล้วแต่ยังไม่พากันนอน ปั้นสิบพายามปัดเรื่องเมียๆ ที่พายุพูดวันนี้ออกจากหัว ทั้งที่ทำได้ไม่สำเร็จเพราะสุดท้ายก็เผลอคิดถึงทุกที ส่วนพายุ เมื่ออีกคนไม่นอนเขาก็เลยพลอยไม่ได้นอนด้วย ในใจได้แต่คาดเดาความคิดของปั้นสิบ ว่าตกลงมันจะเอายังไงเมื่อไหร่มันจะพูดความในใจตัวเองออกมาสักที หรือว่าเป็นเขาเองที่เข้าใจผิดมาตลอด

“เปล่ากูไม่ได้จะว่ากูแค่จะสาธิตให้มึงดู”

“อะไรของมึง”

“อย่างนี้ไง”

“เฮ้ย! ไอ้ยุ” พายุที่นอนอยู่ข้างๆ พลิกตัวขึ้นมานอนทับปั้นสิบเอาไว้ทั้งตัว จนเพื่อนตัวเล็กโวยวายออกมาเสียงดัง “มะ มึงลงไปเลยจะทำอะไรวะไอ้ห่านี่”

“กูจะสาธิตไงว่าไอ้กล้ากับพี่คนนั้นของมึงถึงขั้นไหนแล้ว”

“พี่เดี่ยวไม่ใช่ของกูเหอะ แล้วก็ไม่ต้องมาสาธงสาธิตเลยนะมึงกูหนัก” ปั้นสิบพยายามผลักร่างสูงที่ทาบทับบนตัวเองออก แต่ยิ่งผลักยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเหนื่อยเปล่า และมีแต่จะหนักยิ่งกว่าเก่า และพายุก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมลงมีแต่ล็อคแน่นขึ้นกว่าเดิม

“กูจูบมึงได้มั้ยวะ”

“ไอ้ห่ายุ มึงพูดอะไรออกมา”

“ได้มั้ยล่ะ”

“..”

“ไอ้สิบ”

“จะเรียกทำไมวะ”

“ตอบกู”

“เอ๊าไอ้นี่จะเอาไงกะกูลงไปเลยกูหนัก” ปั้นสิบหน้างอเพราะไม่รู้ว่าคราวนี้พายุจะมาไม้ไหน อยู่ดีๆ ก็ขอจูบ เมื่อตอนบ่ายก็บอกให้เป็นเมีย “มึงล้อเล่นอะไรกับกูคิดถึงความเป็นเพื่อนของเราบ้างเหอะ”

“จะบอกว่ามึงคิดกับกูแค่เพื่อนหรือไง”

“เออ! ” ปั้นสิบสบตาพายุไม่หลบสายตา แต่คนมองก็เห็นล่ะว่าแววตานี้มันไม่มีความจริงจังเอาเสียเลย แค่กล้าสบตาคิดเหรอว่าเขาจะเชื่อ

“มึงแน่ใจนะที่พูออกมาเนี่ยตรงกับใจมึงแล้วใช่มั้ย”

“ไม่แน่ใจกูจะพูดออกไปได้ยังไงวะ มึงอย่ามาล้อเล่นอะไรอย่างนี้นะ หาเรื่องแกล้งกูตลอดเลยไอ้นี่”

“ก็เพราะกู..” พายุเว้นช่วงเอาไว้เพื่อกระตุ้นความสงสัยของปั้นสิบ

“มึงทำไม”

“หึๆ ๆ ...” ตอนแรกก็เห็นอยู่หรอกว่าสายตาท่าทาของปั้นสิบนั้น ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ แต่คืออะไรที่คุยไปคุยมาแล้วเพื่อนตัวเล็กกลับปากเก่งปากกล้าขึ้นทุกคำ แบบนี้ควรจะได้รับการสั่งสอนซะบ้างดีหรือเปล่านะ “เปล่ากูแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง”

“อยากรู้อะไรล่ะ”

“จูบกับมึงไง”

“..”

“จูบแล้วจะเป็นยังไง”

“มึงคิดอะไรของมึงอยู่ว..อื้ออ”

“หึๆ ๆ “

“ไอ้ยุไอ้ห่านี่ ปล่อยกูเลย”

“แค่นี้เองเหรอ”

“อะไรแค่นี้เองเหรอ”

“ก็มึงโดนกูจูบแต่โวยวายแค่เนี้ย”

“จูบมึงมันอ่อนไงกูเลยไม่อยากใส่ใจ”

“อ้อ เมื่อกี้กูแค่ลองของคราวนี้ของจริงโว้ย”

“เฮ้ออย่าทำอะไรบ้าๆ นะเว้ย” ปั้นสิบเอามือปิดปากพายุแล้วดันออกห่าง แต่มีหรือคนที่ตัวโตและแรงเยอะกว่าจะยอมง่ายๆ พายุสะบัดใบหน้าให้หลุดจากมือที่ดันปิดปากแล้วบอก

“ไม่เคยมีใครว่าจูบกูอ่อน มึงตั้งใจท้าทายกูไอ้สิบ”

“กูเปล่าเหอะ ตอนนี้กูไม่แน่ใจแล้วล่ะว่ามึงมันเพื่อนเก่ากูคนนั้นหรือเปล่า”

“กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามึงคือไอ้สิบคนนั้น”

“กูยังเหมือนเดิม มึงต่างหากที่เปลี่ยน”

“มึงแน่ใจเหรอว่าไม่ได้แอบชอบกู”

“..!!” พายุถามตรงๆ เพราะเขาเองก็เบื่อที่จะเล่นเต็มทีแล้ว และคำถามตรงๆ นี้ก็เล่นเอาปั้นสิบอึ้งไปเลยทีเดียว ก็ใครจะไปคิดว่ามันจะถามออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้ หรือว่ามันรู้ตัวแล้ววะ หรือว่ามันไปรู้อะไรมา หรือ..? หรือ..? หรืออะไรอีกวะ ปั้นสิบตั้งตัวไม่ทันจึงตอบคำถามพายุไม่ได้ ไม่ใช่ไม่มีคำตอบ แต่ไม่รู้จะพูดมันออกมายังไงดีในใจมันกลัวไปหมด กลัวและไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย กลัวจะโดนพายุมันปั่นหัว กลัวมันจะโกรธไม่พอใจ กลัวจนไม่กล้าแสดงออกมาว่าคิดไปไกลเกินเพื่อน เพราะในใจมีแต่คำว่ากลัวๆ ๆ กระจายอยู่เต็มพื้นที่

“ไม่ตอบแสดงว่ายอมรับ”

“ยอมรับอะไรของมึง อย่าหลงตัวเอง กูเปล่า”

“มึงนี้น้า กูอุตส่าห์วางแผนสร้างเรื่องสร้างราวให้มึงหึงเล่นมาตั้งหลายอย่าง นี่มึงไม่หึงเลยใช่มั้ย หรือมึงไม่มีใจให้กูจริงๆ วะ” ทั้งสองมองหน้ากันพายุส่งสายตามุ่งมั่นยกมุมปากขึ้นยิ้มยั่วอย่างคนขี้เล่น แต่ปั้นสิบนั้นดูไม่มีความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

“รักกูชอบกูก็บอกกันมาตรงๆ ดิวะ”

“มะ.”

“พูดให้ตรงกับใจตัวเอง กูให้โอกาสมึงแล้ว” พายุชี้หน้าพูดดักคอเพราะรู้ว่าปั้นสิบกำลังจะปฏิเสธ

“..” ปั้นสิบคิดหนักจนคิ้วขมวดทำไมมันต้องมาบังคับให้เขาพูดตอนนี้ด้วยวะ

“เอ้าอย่าเงียบดิวะ”

“เออ กูรักมึง! ไม่ใช่แบบเพื่อนพอใจหรือยังวะ! ” ปั้นสิบโพล่งออกมาอย่างโมโห ที่พายุเอาความเหนือกว่ามาบังคับให้เขาพูด และเพราะความโมโหนี่ล่ะที่ทำให้ปั้นสิบต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็ต้องนอนตัวแข็งทื่อ มีสายตาที่อ่านไม่ออกของพายุมองกลับมา สายตาแปลกๆ ที่ปั้นสิบไม่สามารถเดาความคิดหรือความรู้สึกของเพื่อนตัวโตได้ สายตาที่ทำให้ปั้นสิบกลัวการคิดเขาข้างตัวเอง มันเป็นสายตาแปลกๆ ที่ไม่ใช่ความเย้ยหยันหรือทับถม ไม่มีแววขี้เล่นหรือล้อเลียน เป็นแววจริงจังที่เหมือนอีกคนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง

พอความอึ้งและความตึงเครียดของร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปั้นสิบก็ให้นึกอายกับคำสารภาพของตัวเอง เมื่อเพื่อนตัวโตยังเอาแต่มองจ้องตาอยู่อย่างนั้น ปั้นสิบที่ไม่กล้าสบสายตาจึงได้แต่เบี่ยงหน้าหันหนีไปมองทางอื่น โดยที่ไม่สามารถจับจ้องที่จุดไหนเป็นหลักได้เลย ความรู้สึกเหมือนคำว่าเพื่อนกำลังจะหลุดมือไปอย่างไม่มีความหมาย จนกระทั่งเสียงของพายุดังขึ้น จึงกรอกตากลับมามองอย่างไม่ตั้งใจ

“ดีใจว่ะ”

“ห๊ะ! ”

“เอ๊า ไอ้ห่านี่อย่ามาทำหน้าหมางงกูรู้ว่ามึงเข้าใจ”

“แล้วมึงจะมาดีใจอะไรนักหนาวะ ถูกหวยหรือก็ไม่ใช่”

“นี่มันดีกว่าถูกหวยอีกนะมึง”

“...?”

“การที่มึงยอมรับความรู้สึกตัวเองและกล้าพูดออกมาแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว” ดีกะผีสิมึงรู้มั้ยว่ากูจะแย่แล้ว กูทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ไม่รู้จะวางตัวแบบไหนแล้วเนี่ย แล้วเมื่อไหร่จะลงไปจากตัวกูวะมันหนักนะโว้ย เฮ๊ย! ปั้นสิบได้แต่ร้องตะโกนเถียงอยู่ในใจ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าถูกเพื่อนตัวโตนอนคร่อมทับอยู่ทั้งตัวจึงรีบผลักออก และพายุก็ยอมลงไปนอนข้างกันเหมือนเดิมแต่โดยดี ทั้งสองพากันเงียบอยู่เป็นครู่ กว่าที่พายุจะพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ

“อย่างน้อยก็ดีสำหรับกูล่ะนะ” ปั้นสิบหันมามองหน้าพายุที่กำลังจ้องมองเพดานบ้าน เหมือนมีอะไรน่าสนใจมากกว่าก่อนจะถาม

“มึงไม่โกรธกูเหรอวะ”

“โกรธทำไมวะ”

“ก็...” ปั้นสิบอยากถามพายุเหลือเกินว่าอีกคนคิดอะไรกับเขาบ้างหรือเปล่า หรือแค่อยากแกล้งเล่นไปวันๆ เหมือนคนทั่วไปที่เขาแกล้งกันตามประสาเพื่อน

“กูไม่โกรธมึงหรอก”

“แล้ว..” มึงคิดอะไรกับกูบ้างไหมวะ..? คำถามประโยคนี้ก็ยังดังอยู่ในหัวของปั้นสิบเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะกลัวเหลือเกินหากจะต้องถามออกมา กลัวทั้งการตั้งคำถามและกลัวคำตอบที่จะได้รับ ปั้นสิบกำลังสับสนไม่รู้ว่าจะถามออกมาตรงๆ เหมือนที่เพื่อนตัวโตถามเขาจะดีไหมนะ แล้วถ้าคำตอบของมันก็คือไม่ล่ะเขาจะทำยังไง ปั้นสิบคนคิดมากและเอาแต่คิดเองเออเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความคิดมาก ความเขิน ความเต้นเต้น หรือเพราะถูกต้อนจนมุม หรือเพราะไม่ประสีประสาในเรื่องนี้ ทำให้ลืมที่พายุบอกเอาไว้ก่อนหน้านั้นไปหมด ว่าเขาพยายามวางแผนทำเรื่องราวหลายอย่าง เพื่อให้เพื่อนรักที่แอบรักเกินเพื่อนเกิดรู้สึกหึง เรื่องสำคัญที่ปั้นสิบแค่ฟังผ่านๆ เพราะกำลังตื่นเต้นอย่างอื่นมากกว่า นี่จึงทำให้ปั้นสิบพลาดไปแล้ว เลยได้แต่คิดมากอย่างนี้ยังไงล่ะ



%%%%%%%%%%%%%%%



“ต้นกล้า! ” ปังๆ เด็ดเดี่ยวรัวเคาะประตูบ้านเป็นรอบที่สามแล้วแต่คนที่มาหายังคงเงียบ “หรือว่ายังโกรธอยู่วะ” ก็รู้ล่ะว่าโกรธแต่เด็ดเดี่ยวไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรไว้ ทำไมอีกคนถึงได้โกรธกันขนาดนี้ เมื่อวานก็หนีกลับมาไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ คนอุตส่าห์จะพาไปเปิดตัวกับพ่ออย่างเป็นทางการ และใช่ตอนนี้มันเป็นวันใหม่แล้ว เป็นวันใหม่ที่กว่าเขาจะมาหาเจ้าหลานชายของคุณยายประไพศรีได้ เวลาก็ล่วงเข้าบ่ายของวัน!

ทำไมเขาถึงมาช้าได้ขนาดนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อวานที่เขาขับรถตามคนหัวแดงออกมา ใช้ทางลัดซึ่งเป็นซอยเล็กตัดไปอีกคุ้มของหมู่บ้าน แต่ยังไปได้ไม่ถึงไหน ก็ต้องเบรกรถจนตัวโก่ง เอี๊ยดดดดดด!!

“จอดๆ ๆ ช่วยด้วยๆ “ลูกบ้านคนหนึ่งที่คุ้นหน้ากันดีวิ่งออกมาขวางหน้ารถ เด็ดเดี่ยวต้องเบรกกะทันหันจนหัวแทบโขกพวงมาลัย

“ว่าไงครับพี่ผาด” ชายหนุ่มลดกระจกลงแล้วถาม

“ไอ้เดี่ยว สำลีเมียพี่จะคลอดลูก เอ็งช่วยพามันไปโรง’ บาลทีได้มั้ย”

“ได้ครับได้ พี่หลบก่อนเดี๋ยวผมจะกลับรถ” แล้วชายหนุ่มก็ขับรถไปรับสำลีสาวท้องแก่เมียของพี่ผาด ที่ดูเหมือนว่าจะเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด เด็ดเดี่ยวลืมเรื่องที่จะไปหาคนหัวแดงชั่วคราว เพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้าตอนนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า เมื่อรับคนเจ็บท้องคลอดขึ้นรถได้ชายหนุ่มก็เร่งความเร็วของรถ เพื่อไปโรงพยาบาลประจำอำเภอทันที

“โอ้ยยย เจ็บพี่ เจ็บเหลือเกิน”

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงหมอแล้ว ไอ้เดี่ยวเร่งอีกนิดได้มั้ยวะ”

“ฮือๆ ๆ เจ็บ”

“สุดๆ แล้วครับ พี่สำลีอีกนิดก็ถึงแล้วทนอีกนิดนะครับ”

“ฮือๆ ๆ เจ็บ”

“เออๆ ระวังด้วย”

“ฮือๆ ๆ เจ็บ”

“ครับๆ อดทนอีกนิดนะครับพี่สำลี” สองหนุ่มต่างวัยกันไม่มากตะโกนคุยกัน แข่งกับเสียงร้องโอดครวญของว่าที่คุณแม่ที่กำลังเจ็บท้องจะคลอดลูกคนแรก เด็ดเดี่ยวหันไปตั้งใจกับการขับรถอย่างระมัดระวัง ในความเร็วพอสมควรเท่าที่เขาสามารถขับได้ เสียงครวญสลับกับอาการหายใจหอบจากความเจ็บของสำลี ดังมาเป็นระยะจนถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกว่าเด็กในท้องของตัวเองกำลังจะออกมาดูโลกอยู่รอมร่อแล้ว

“เฮ้ยไอ้เดี่ยวน้ำอะไรไหลออกมาจากตัวเมียกูวะเนี่ย”

“น้ำคร่ำหรือเปล่าพี่ ไม่ได้นะพี่สำลีอย่าเพิ่งคลอดตอนนี้ “

“ไม่ไหวแล้ว โอ้ย มันเจ็บ ปวดเหลือเกิน ฮือๆ ๆ พี่ผาด”

“ใจเย็นไว้พี่” เด็ดเดี่ยวตะโกนปลอบทั้งที่สายตามองทาง

“เออ ใจเย็นไว้สำลีเดี๋ยวก็ถึงมือหมอแล้ว” โดยมีพี่ผาดผู้เป็นสามีคอยปลอบอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เขาเองก็สั่นไปทั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด

“หายใจเข้าลึกๆ นะพี่สำลี”

“สำลีหายใจเข้าลึกๆ เหมือนที่ไอ้เดี่ยวบอกเร็ว”

“จ้ะ แฮก โอ้ย ไม่ไหวแล้ว อ๊ากกกก”

“เดี๋ยวๆ พี่ถึงหน้าโรงบาลแล้ว”

“ไอ้เดี่ยวใช่หัวเด็กหรือเปล่าวะนั่น”

“ช่วยด้วยครับๆ คนเจ็บท้องจะคลอด ด่วนเลยครับ” เด็ดเดี่ยวร้องตะโกนตั้งแต่รถยังไม่ทันได้จอดดีด้วยซ้ำ เมื่อเขาขับรถขึ้นมาถึงบริเวณด้านหน้าแผนกฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรรีบพากันออกมาดู พร้อมกับเตียงเข็ญเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปข้างใน

“ไม่ทันแล้วครับเด็กจะออกมาแล้วย้ายตอนนี้ไม่ได้ คงต้องคลอดบนรถ! พยาบาลทางนี้หน่อยครับ” เจ้าหน้าที่เปลที่เข้ามาดูบอก แล้วหันไปตะโกนเรียกนางพยาบาล เกิดความชุลมุนขึ้นเมื่อพยาบาลวิ่งมาดูแล้วพบว่าเด็กกำลังจะออกมาอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมการช่วยเหลือทันที

“โอ้ย เจ็บ ฮึบ”

“อย่าเพิ่งเบ่งค่ะ รอหมอก่อน” พยาบาลวัยกลางคนบอก ขณะที่พยายามช่วยจัดท่าทางให้คนเจ็บได้นอนตามแนวยาวของเบาะรถพิงอกของคนเป็นสามี

“รอหมอฉันคงตายพอดีเจ็บขนาดนี้แล้วหมอไม่มาก็ช่างหมอ ฮึ่บๆ ”

“ลำลีใจเย็นๆ ”

“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว กูจะคลอดเดี๋ยวนี้ กูเจ็บ ฮึ่บๆ แฮกๆ ” สำลีพยายามหายใจเข้าเฮือกใหญ่และเบ่งลูกให้ออกมาโดยที่ไม่รอหมอ เพราะความเจ็บปวดมันบังคับ หญิงสาวเหงื่อโทรมตัวจนเปียกไปหมด ใบหน้าซีดเผือดเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมานที่กำลังได้รับจากการมาของชีวิตใหม่

“ใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวเด็กก็ออกมาแล้วค่ะ หายใจเข้าลึกๆ ค่ะ”

“ฮึ่บ อ้ายยยยย”

“หายใจเข้าลึกๆ ถี่ๆ ไว้ค่ะ” พยาบาลก็หายใจเข้าลึกๆ เหมือนกันและพอดีที่หมอวิ่งมาถึง และเข้ามาประจำที่

“อดทนไว้นะสำลี” พี่ผาดปลอบเมีย

“เอาล่ะค่ะคุณแม่หายใจเข้าลึกๆ ถี่ๆ จะช่วยลดความเจ็บได้นิดหน่อยนะคะ ใจเย็นๆ ...อย่างนั้นล่ะค่ะ พร้อมมั้ยค่ะ” ว่าที่คุณแม่พยักหน้าให้หมอ “พร้อมแล้วก็เบ่งออกมาเลยค่ะ”

“ฮึ่บ! ..”

“เก่งมากค่ะ อีกนิดนะคะ หายใจเข้าลึกๆ ก่อนตอนเบ่งอย่าอ้าปากนะคะกลั้นลมเอาไว้แล้วส่งลงไปข้างล่าง พร้อมนะคะ เอ้าเบ่งเลยค่ะ”

“ฮึ่บ! ฮึ่บ! อึดดด” แง้ๆ ๆ ๆ แล้วทุกคนที่รอลุ้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเด็กหลุดออกมาได้ ก็ร้องไห้จ้าเสียงดัง หมอรีบทำความสะอาดคราบต่างๆ เสร็จแล้วห่อตัวเด็กเอาไว้ด้วยผ้าขนหนูที่เตรียมมาเพื่อให้ความอบอุ่น เด็กที่ถูกห่ออย่างดีด้วยผ้าสะอาดถูกส่งมาให้แม่ที่รับเอาไว้ด้วยความปลาบปลื้ม และความปีติยินดีของพ่อผู้กอดเมียเอาไว้ไม่ห่าง

“ได้ลูกชายนะคะ ยินดีด้วย” คุณหมอยิ้มหวานให้เมื่อบอก

“ลูกของเราพี่ผาด เราได้ลูกชาย” สำลีรับลูกที่กำลังร้องไห้เสียงดังมาด้วยรอยยิ้มกว้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดทรมานมากขนาดไหน เมื่อเห็นหน้าลูกก็ดูเหมือนว่าความเจ็บนั้นมันจะหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

“ดีใจด้วยนะครับพี่ผาดพี่สำลี” เด็ดเดี่ยวที่ยืนอยู่ข้างรถบอกแสดงความยินดี

“ขอบใจนะเดี่ยวที่มาส่ง ไม่ได้เดี่ยวพี่คงแย่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“ต้องย้ายคุณแม่กับน้องเข้าข้างในแล้วนะคะ น้องต้องตัดสายสะดือ” คุณหมอที่ทำคลอดฉุกเฉินหน้าแผนกฉุกเฉินบอก พลางรับร่างทารกมาจากแม่เด็ก วางลงที่รถเข็นเด็กที่พยาบาลเข็นมารอรับ ตามมาด้วยคุณแม่มือใหม่ที่มีเตียงเข็นมารอรับเช่นกัน ก่อนจะถูกพาเข้าไปข้างในแผนกฉุกเฉิน เด็ดเดี่ยวที่ยืนอยู่ข้างรถถอนหายใจโล่งอกอีกครั้ง ในใจลึกๆ แล้วก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มไปด้วยที่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์น่ายินดีเช่นนี้

“ขอบใจจริงๆ ว่ะ” พี่ผาดบอกอีกครั้ง ด้วยท่าทางที่ยังคงตื่นเต้นอยู่มากเมื่อลงจากรถมายืนอยู่ข้างเด็ดเดี่ยว เพราะนี่เป็นลูกคนแรกและชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ

“ครับช่วยๆ กันพี่ ผมดีใจด้วย”

“เออ ว่าแต่เขาจะต้องทำยังไงต่อวะ ไอ้เดี่ยวเอ็งอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยนะโว้ย”

“ครับได้ครับ เราต้องเข้าไปติดต่อข้างในก่อนหรือเปล่าครับพี่ นั่นไงเจ้าหน้าที่เขาออกมาเรียกแล้ว”

“งั้นไปกันเถอะ” พี่ผาดดึงแขนเด็ดเดี่ยวที่ไม่มีโอกาสปฏิเสธให้เดินเข้าไปด้วยกัน ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี เพราะแค่ได้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขาแล้ว

และกว่าจะเสร็จเรื่องทุกอย่าง สำลีถูกพาไปพักฟื้นก็เย็นจนค่ำ ดีที่ไม่ต้องทำความสะอาดรถเพราะพี่ผาดเอาแผ่นพลาสติกมารองเบาะเอาไว้ก่อนแล้วปูด้วยผ้าห่มบางๆ อีกผืน แต่เด็ดเดี่ยวกลับถือว่ามันเป็นคนวามโชคดีของเขาที่มีชีวิตใหม่มาเกิดในรถของตัวเอง

“ออกไปหาอะไรกินกันก่อนกลับกันเถอะ ถือว่าพี่เลี้ยงขอบคุณก็แล้วกัน” พี่ผาดบอกเมื่อเด็ดเดี่ยวจะขอตัวกลับ

“ก็ได้ครับ งั้นกินก๋วยเตี๋ยวหน้าโรง’ บาลก็แล้วกัน” ทั้งสองจึงเดินออกมาที่รานก๋วยเตี๋ยวที่ขายอยู่หน้าโรงพยาบาลทุกวันในตอนเย็น

“เอาเบียร์สักหน่อยมั้ยวะ”

“อย่าเลยพี่เดี๋ยวต้องขับรถกลับบ้านอีกผมกลัวไม่ไหว”

“งั้นก็ตามใจเอ็ง” เด็ดเดี่ยวปฏิเสธข้อเสนอของพี่ผาดด้วยรู้ว่าสองผัวเมียคู่นี้ ก็ไม่ได้มีอันจะกินสักเท่าไหร่นัก ไหนจะชีวิตใหม่ที่เพิ่งเกิดมาที่ยังต้องมีค่าใช้จ่ายรออยู่อีกหลายอย่าง และถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็คงต้องปฏิเสธอยู่ดี เพราะเขาไม่ใช่ประเภทเอะอะอะไรเรียกเหล้าเรียกเบียร์มากินก่อน ชายหนุ่มเป็นประเภทที่ค่อนข้างเลือกเวลากินและไม่กินพร่ำเพรื่อ ไอ้ครั้นจะขอจ่ายเองคุณพ่อมือใหม่ที่เขาเห็นว่าอยากฉลองเต็มทีนี้ก็คงไม่ยอม ทางที่ดีที่สุดเลยปฏิเสธไปดีกว่า

“ว่าแต่พี่จะกลับไปเอาของอะไรอยู่บ้านอีกหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาไปเอา”

“คงไม่หรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยนั่งรถสองแถวกลับแต่เช้า ขอบใจมากนะเดี่ยว”

“ครับ ขาดเหลืออะไรก็บอกนะครับพี่”

“แค่มาส่งก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ คนกันเองทั้งนั้นช่วยได้ก็ช่วยกันไปเถอะครับ นี่ถือว่าเป็นโชคดีของผมนะที่น้องมาเกิดในรถ แต่อย่าให้ชาวบ้านรู้เข้าล่ะ งวดหน้าเจ้ามือคงหัวหมุนแน่” เด็ดเดี่ยวเย้าเพราะเห็นชาวบ้านและเจ้าหน้าที่หลายคนเดินมาจดหมายเลขทะเบียนรถของเขาไว้ แค่นี้ก็รู้เลยว่างวดหน้าได้ลุ้นกันแน่ๆ

“เออใช่เอ็งไม่พูดพี่คงลืมเลยว่ะ ว่าแต่เลขรถเอ็งอะไรวะ สักหน่อยก็ดีนะพอได้ลุ้น เผื่อไอ้ลูกชายมันให้โชค ฮ่าๆ ๆ “ทั้งสองหัวเราะขำกันคุณพ่อมือใหม่ดูมีความสุข ซึ่งเรื่องหวยนี่เป็นเรื่องปกติของชาวบ้านอยู่แล้ว และมันก็คงไม่พ้นหวยใต้ดินที่พอให้ชาวบ้านได้กระชุ่มกระชวยกันเดือนละสองครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะผิดกฎหมายแต่มันเป็นอีกวิถีหนึ่งของชาวบ้านแถวนี้ ที่ฝังรากและคงยากที่จะแก้ได้

ทั้งสองกินไปคุยไปจนเสร็จเรียบร้อย คุณพ่อมือใหม่ที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาถือโอกาสเป็นเจ้ามือเลี้ยงขอบคุณ และขอร้องให้เด็ดเดี่ยวเข้าไปดูลูกเป็นเพื่อนเขาอีกครั้งเพราะยังคงตื่นเต้น และพี่ผาดยังขอให้เด็ดเดี่ยวตั้งชื่อให้สมาชิกใหม่ของบ้านด้วย แต่ชายหนุ่มไม่ค่อยสันทัดในเรื่องนี้ จึงขอตั้งให้เพียงชื่อเล่น ส่วนชื่อจริงเขาบอกให้พี่ผาดไปขอให้พระที่วัดตั้งให้แทน และเมื่อถึงเวลาที่เด็ดเดี่ยวขอตัวกลับก็เป็นเวลาดึกมากพอสมควรแล้ว กว่าที่ทั้งสองจะได้แยกย้าย และคิดได้ว่าตัวเองมีธุระสำคัญก็เมื่อตอนที่เดินขับรถออกมาจากโรงพยาลบาลแล้วนั่นแหละ

เด็ดเดี่ยวขับรถด้วยความเร็วพอสมควร เพราะเวลานี้ถนนโล่งมาก ถึงแม้จะมืดแต่เป็นเส้นทางที่เคยชิน เขาจึงใช้เวลาในการขับรถไม่นานก็มาจอดลงที่หน้าประตูรั้วบานใหญ่ทำจากไม้แผ่น มองเข้าไปในบ้านที่เปิดไฟเอาไว้เพียงไม่กี่ดวงให้ดูสลัวแค่พอส่องทาง คิดว่าเจ้าของบ้านคงเข้านอนไปแล้ว ชายหนุ่มจึงนั่งมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง กำลังชั่งใจว่าจะโทรออกดีหรือไม่ ครู่หนึ่งผ่านไป เขาถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว เพราะกลัวเป็นการรบกวนเลยตัดสินใจไม่โทร เขาขับรถออกจากตรงนั้นและตรงกลับบ้านเลย

จนกกระทั่งตอนนี้คือบ่ายของอีกวัน เมื่อจัดการธุระต่างๆ ช่วงเช้าเสร็จ ก็รีบกลับมาหาคนหัวแดงทันที แต่อะไรคือเรียกตั้งนานแล้วก็เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่

50% ค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 50% 26/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-12-2018 22:43:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัย พี่เดี่ยวมาไม่ทันสินะ  น้องต้นกล้าหนีกลับไปเลียแผลใจที่บางกอกซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 100% 30/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:45:12


ก๊อกๆ ๆ

“ต้นกล้าครับ พี่มาแล้ว” เด็ดเดี่ยวเรียกอีกครั้ง แม้ในใจจะรู้แล้วล่ะว่าคงไม่มีคนอยู่บ้านจริงๆ “สงสัยไม่มีใครอยู่จริงๆ ” ชายหนุ่มล่าถอยจากประตูหน้าและลงบันไดมาข้างล่าง นึกอะไรบางอย่างได้จึงชะโงกหน้าไปดูที่โรงจอดรถ และปรากฏว่ารถกระบะคันใหญ่ของคุณยายไม่อยู่ นี่ก็แสดงว่าไม่มีคนอยู่จริงๆ สินะ เด็ดเดี่ยวเดินลงบันไดท่าทางหงอยๆ เพื่อจะเดินไปดูเผื่อว่าอีกคนอยู่แถวปลายนาหลังบ้าน แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปไหน รถกระบะสีดำสี่ประตูคันใหญ่รุ่นเดียวกันกับของเขาก็ขับเข้ามา

“มาหาใครครับลูกพี่” เมื่อลงจากรถไอ้จ๋าก็ทักขึ้นทันที ที่เห็นเด็ดเดี่ยวยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าบันไดบ้าน ชายหนุ่มผู้เป็นลูกพี่ไม่ตอบคำเพราะมัวแต่ชะเง้อคอสอดส่ายสายตามองเข้าไปในตัวรถ กระจกรถที่ติดฟิล์มกระจกสีดำ แม้จะไม่มืดมากแต่ก็ต้องเพ่งไม่น้อยหากอยากมองเห็นข้างใน

“ลูกพี่ครับ” ไอ้จ๋าสะกิดลุกพี่ตัวโตของมันเบาๆ ไม่หลุดท่าทางกวนอันเป็นเอกลักษณ์ แล้วเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ฟังก็รู้ว่ามันกำลังจะเกรียนใส่

“เออ ไปไหนมาวะ”

“ในเมืองครับ”

“แล้ว..”

“แล้ว..ไงครับ” รู้ทั้งรู้ว่าเด็ดเดี่ยวต้องการถามอะไรแต่มีหรือไอ้จ๋ามันจะไม่รักษาฟอร์มกวน ไม่ถามตรงๆ เรื่องอะไรจะบอกให้โง่

“ลูกพี่แก..ไปไหนวะ”

“อ๋อ..” ไอ้จ๋าพยักหน้างึกหงักแต่ไม่ตอบในทันที ทั้งที่เด็ดเดี่ยวกำลังรอคำตอบแต่มันก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าการตอบคำถามข้อนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้มันต้องตรึกตรองให้ดีก่อนตอบ และถึงขั้นลำบากใจจนต้องเอามือขึ้นกอดอก ยกกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นมากัดเหมือนคนกำลังใช้ความคิด

“ว่าไงวะ”

“อืม เฮ้อออ” ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาเหมือนกำลังลำบากใจมาก เมื่อเห็นสายตาคาดหวังที่จ้องมองมันอยู่

“เอ๊า จ๋า ตอบสิวะ”

“ลูกพี่ครับ”

“อะไร”

“เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะครับ ไอ้จ๋าลืมแหะๆ “

“โอ้ย อย่ามากวนตอนนี้ได้มั๊ยวะ ถามว่าต้นกล้าไปไหน”

“อ๋อ..” ไอ้จ๋าลากเสียงยาวแล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งที แต่พอเห็นสายตาที่แทบลุกเป็นไฟของเด็ดเดี่ยวก็จำต้องหยุดเล่นแล้วคายความจริงออกมาว่า “ลูกพี่กล้ากลับกรุงเทพครับ”

“ห๊า! ไม่ขำนะโว้ยกลับได้ไง”

“ดูหน้าไอ้จ๋าตอนนี้หน่อยครับว่ามันขำมั๊ย” ไอ้จ๋าทำปากบิดปากเบี้ยวเหมือนไม่ชอบใจคำพูดของเด็ดเดี่ยว ที่คิดว่ามันแค่ล้อเล่น

“แล้วกลับได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม่ต้นกล้าไม่บอกฉันวะ”

“ต่อคำถามที่ว่ากลับได้ยังไงนั้น คำตอบก็คือ นั่งเรือบินกลับครับ” เสียงของไอ้จ๋าช่างหนักแน่นดั่งหินผา และมันทำให้คนฟังอึ้งไปเลยทีเดียว แม้จะไม่ชอบใจในท่าทางนิ่งๆ ที่ดูก็รู้ว่ากำลังกวนประสาทของมันเท่าไหร่ก็ตามเถอะ “ส่วนคำถามต่อมาว่ากลับเมื่อไหร่นั้น ก็..อืม..เมื่อสายๆ ครับเครื่องออกสิบเอ็ดโมงห้านาที เดินทาง 1 ชั่วโมงกับอีก 5 นาทีถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยงห้านาทีพอดีครับ” ไอ้คนหัวเกรียนบอกตามที่ลูกพี่หัวแดงของมันเล่าให้ฟัง เพราะตัวมันเองตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยขึ้นเครื่องบินสักครั้ง ไอ้จ๋าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหลังจากตอบคำถามยาวเหยียด โดยคนฟังก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีทั้งที่หมั่นไส้ในความเยอะที่ดูก็รู้ว่าแกล้งเล่นใหญ่ของมัน

“...??” ใบหน้าของเด็ดเดี่ยวมีแต่คำถามและความสงสัย

“ส่วนคำตอบของคำถามข้อสุดท้าย” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วเอียงคอหรี่ตาเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบปลายคางวางมาดสุขุม ปากหยักสีซีดยกยิ้มเย็นแต่ดูหยาดเยิ้มในแบบที่เรียกด้วยภาษาบ้านๆ ว่า ‘ตอแหล’ ที่สุดให้เด็ดเดี่ยว “คนไม่สำคัญมักจะถูกลืมครับ”

“..!”

“หรือจะว่าความสำคัญไม่พอเลยไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ครับ”

“ไอ้จ๋า! “

“ครับลูกพี่แหะๆ ” ไอ้จ๋าทำท่าสะดุ้งขานรับคนเป็นลูกพี่พลางก้าวขาถอยหลังอย่างรู้งาน เพราะหากเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับแบบไม่คาดคิด จากคนไม่มีความสำคัญมันจะได้หลบทันการ เพราะรู้ดีว่าความกวนของตัวเองนั้น มักจะไปกระตุ้นอวัยวะเบื้องล่างของคนเป็นลูกพี่ให้กระตุก และเกิดความกระตือรือร้นอยากวาดลวดลายสอยท้ายของมันเป็นประจำ

“นี่ฉันไม่มีความสำคัญจริงๆ เหรอวะ”

“เอ๋า คือมันต้องหน้าเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอครับลูกพี่”

“เออว่ะ ฉันมันไม่ได้สำคัญนี่หว่า ว่าแต่ต้นกล้าจะกลับมาวันไหนวะ”

“ไอ้จ๋าก็ไม่รู้ครับ ได้ยินว่าจะไปออกรายการทีวีสัมภาษณ์อะไรด้วยนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าถ้าลูกพี่กล้าของไอ้จ๋าเกิดดังแล้วจะอยากกลับมาทำนาที่นี่อีกหรือเปล่า คนดังๆ เขาไม่เหมาะกับกลิ่นโคลนสาปทุ่งเสียด้วยสิครับ” เพราะได้ยินคนเป็นลูกพี่คุยโทรศัพท์และตอบรับแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ถึงไอ้จ๋าจะไม่ได้ยินว่าปลายสายอีกด้านพูดอะไรบ้าง แต่เดาจากที่ได้ยินลูกพี่กล้าพูด ก็คงจะประมาณว่าไปให้สัมภาษณ์ออกรายการทีวีอะไรนี่แหละ นั่นเท่าที่มันรู้ นอกกจากนั้นก็เติมไฟใส่สีให้ล้วนๆ

ไอ้จ๋ามีสีหน้าจริงจังและเคร่งเครียดไม่แพ้เด็ดเดี่ยว ที่กำลังจับตามองเพื่อสังเกตหาพิรุธจากมันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตนอกจากแววตาที่แต่มีความกังวลเป็นห่วงลูกพี่เช่นกัน เหมือนกับว่ามันไม่ได้เสแสร้ง นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ใจเสีย

“ไม่อยากคิดเลยว่ะ”

“ไม่อยากคิดอะไรครับลูกพี่”

“ช่างมันเถอะ”

“อ้าวแล้วนั่นจะไปไหนครับ”

“ขอนอนพักหน่อย” ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวนอนลงอย่างอ่อนแรงที่แคร่ใต้ต้นลำไย อันเคยเป็นที่ตั้งวงเหล้าของกลุ่มเพื่อน ร่างกายใหญ่โตเอนลงกับพื้นราบของแคร่ไม้ไผ่ ใช้แขนตัวเองหนุนต่างหมอน แล้วปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เหมือนเรี่ยวแรงและกำลังที่มีอยู่ในร่างกายมันหายไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น

“โทรมาทำไมตอนนี้วะยัยนี่” เด็ดเดี่ยวยังหลับตาอยู่เหมือนเดิม และได้ยินไอ้จ๋าบ่นเบาๆ ขณะที่มันเดินตามมาทิ้งตัวนั่งลงที่แคร่ข้างๆ และพูดคนเดียว ด้วยน้ำเสียงที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคนอย่างมันพูดมาก่อน หากชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาดูคงได้เห็นว่าไอ้จ๋ามันยิ้มหวานมากขนาดไหน

“เออว่าไง.....คิดถึงฉันล่ะซี้.......ที่ถามก็เพราะคิดถึงเหมือนกันปะ......ไม่คิดถึงจริงจะถามเหรอวะ...เหอะฉันก็คิดถึงเธอไม่น้อยหรอกยัยเน่า.....เออ.....อืมอยู่บ้านนนน...” ไอ้จ๋าลากเสียงยาวแล้วนิ่งฟังปลายสายพูด “เหงานิดๆ แต่คิดว่าคงไม่ตายหรอก.....” แล้วมันก็เหลือบตามองคนเป็นลูกพี่ที่นอนหลับตานิ่งอยู่ข้างๆ ปากก็คุยเสียงดังไปเรื่อยตั้งใจให้ลูกพี่ได้ฟังด้วยกันอย่างชัดเจน “อยากมาหาเหรอ..... ทำไมมาไม่ได้......อืม......เอาน่าเข้าใจละ.......ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงฉันมาก......เพราะฉันสำคัญกับเธอไง.......เออเธอก็สำคัญไงแต่ฉันสำคัญกว่าหึๆ ๆ ..ก็แฟนกันก็ต้องสำคัญปะ.. อืม เออๆ ๆ ก็ได้ยอมรับก็ได้วะ....” ไอ้จ๋าเหลือบตามองเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง แล้วเอ่ยคำพูดสุดท้ายด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพื่อให้ลูกพี่ได้ฟังชัดๆ “ว่าคิดถึงเธอที่สุด หึๆ ๆ ” หัวเราะเสียดังทิ้งท้ายก่อนจะวางสายด้วยความปลื้มปริ่มอิ่มเอมในหัวใจ ทั้งความปลื้มจากปลายสายที่โทรมาและการได้กวนบาทาคนข้างๆ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ชีวิตของไอ้จ๋ามีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้วโว้ย

ไอ้จ๋าเอนตัวลงนอนอีกฝั่งหนึ่งของแคร่ห่างคนเป็นลูกพี่เล็กน้อย หลับตาลงปิดบังแววตากวนๆ แต่ยังคงรอยยิ้มอารมณ์ดีอยู่ไม่คลาย

“ทำไมต้นกล้าถึงได้ใจร้ายกับพี่อย่างนี้นะ” เสียงพึมพำที่ดังออกมาทำให้ไอ้จ๋าต้องลืมตาขึ้น แล้วหันไปมองเด็ดเดี่ยวที่นอนอยู่ไม่ไกลกัน เพ่งมองเพราะฟังไม่ค่อยชัดแต่คนเป็นลูกพี่ก็ยังนอนหลับตานิ่งอยู่เหมือนเดิม โดยไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาอีก ไอ้จ๋าหันหน้ากลับทางเดิมแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

“พี่ทำอะไรผิดครับ” คิ้วหนาของไอ้จ๋าขมวนมุ่นเมื่อมันค่อยๆ หันกลับมาทางต้นเสียงอีกครั้ง คราวนี้มันได้ยินพอจะจับใจความได้ ว่ามีใครทำอะไรสักอย่างผิดนี่แหละ และจากนั้นก็เหมือนเดิมคือความเงียบของเด็ดเดี่ยว ที่ทำให้ไอ้จ๋าได้แต่เก็บความสงสัยใคร่รู้เอาไว้กับตัวดำๆ ของมัน แล้วหันกลับมาทางเดิมอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ

“เฮ้ออออ ทำไมไปไม่บอกกันอย่างนี้นะ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจออกมาเหมือนคนจนมุมไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี เพราะเขารู้เพียงแค่ถูกอีกคนโกรธแต่ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรผิดนี่สิ ทั้งที่จะทำเฉยก็ได้แต่คนๆ นี้สำคัญไงจึงทำตัวให้นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้

“หรือพี่ไม่มีความสำคัญพอจริงๆ “

“จะบ่นอีกนานมั้ยครับลูกพี่”

“อืม”

“เดี๋ยวลูกพี่กล้าก็กลับมาหรือเปล่า”

“เมื่อไหร่ล่ะวะ”

“ไม่รู้ครับ”

“ขนาดแกที่เป็นคนไปส่งยังไม่รู้แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง”

“คนไม่สำคัญก็เงี๊ยะ”

“เออ” เด็ดเดี่ยวพลิกตัวนอนหลังหลังให้ ไอ้จ๋าหันมามองแผ่นหลังกว้างตาปริบๆ แล้วส่ายหัวปลงๆ กับความเป็นเอามากของลูกพี่ คิดถึงเมื่อเช้าที่ไปส่งลูกพี่อีกคนที่สนามบินแล้วก็ได้แต่กัดปากตัวเองกลั้นหัวเราะเอาไว้

“ดูแลบ้านดีๆ นะเว้ย” ต้นกล้าสั่งเสียงเข้มเมื่อไอ้จ๋าเดินขึ้นมาส่งที่ประตูทางเข้าห้องพักผู้โดยสารเพื่อรอขึ้นเครื่อง

“ครับลูกพี่ไม่ต้องห่วง”

“เดี๋ยวมาเที่ยวหาใหม่นะเว้ยจ๋า”

“ครับ” ไอ้จ๋ารับคำปั้นสิบโดยที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มอีกคนที่ยืนตัวสูงๆ อยู่ข้างเพื่อน คนที่บังอาจจูบมันเมื่อวาน พายุมองไอ้จ๋านิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน จนได้เวลาที่ทั้งสามเดินเข้าไปรอขึ้นเครื่อง ต้นกล้าจึงหันมาบอกเป็นครั้งสุดท้าย

“อีกสองสามวันฉันก็กลับล่ะ ดูแลบ้านดีๆ “ ต้นกล้าย้ำอีกครั้งทั้งที่รู้ดีว่าไอ้ลูกน้อยคนสนิทไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทางให้น่าเป็นห่วง ตบไหล่ไอ้จ๋าปุๆ แล้วเดินเข้าไปรอขึ้นเครื่องพร้อมกับเพื่อนทั้งสอง ไอ้จ๋ามองส่งลูกพี่ของมันจนเข้าไปข้างในส่วนที่ผู้โดยสารนั่งรอขึ้นเครื่องแล้วนั่นล่ะ มันจึงออกจากตรงนั้นแล้วตรงกลับบ้านทันที พอมาถึงบ้านก็มาเจอลูกพี่อีกคน ที่ถูกทิ้งไว้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ นึกขำกับอาการของคนถูกทิ้ง ที่ทำหน้าไม่ต่างจากหมาหงอยจนหมดสิ้นมาดของพ่อคนดีศรีหมู่บ้านกันเลยทีเดียว เด็ดเดี่ยวดูสร้อยเศร้าน่าสงสาร จนร่ำๆ ที่ไอ้จ๋าว่าจะบอกความจริงออกมาแล้ว แต่ไอ้จ๋าก็คือไอ้จ๋า หัวใจของมันแข็งแกร่งประดุจหินผา ปล่อยให้ลูกพี่นั่งหงอยอย่างคนเฝ้าคอยสักสองสามวันนี่คือความสุขล้ำของมันเลยล่ะ



%%%%%%%%



“ฮาโล มีใครอยู่ม้ายยยย”

“เจ้ากล้า! ”

“ต้นกล้าลูก! ”

“มาได้ยังไงไม่เห็นบอกก่อนเลยลลูก?” เป็นเสียงของคุณยายทักขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงของคุณแม่ และเสียงของคุณพ่อเรียงลำดับตามความเป็นใหญ่ในบ้าน เมื่อทั้งสามที่กำลังนั่งคุยหัวเราะกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงร้องทักของต้นกล้าที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างต้องการเรียกร้องความสนใจ

“สวัสดีครับทุกคน” ต้นกล้าวางเป้ลงข้างโซฟาตัวยาวที่คุณยายนั่งอยู่ แล้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสาม

ฟอด “คิดถึงคุณยายที่สุดในโลกเลยครับ.” ฟอดดด “คุณแม่ด้วยครับ” ต้นกล้าหอมแก้มคุณยายประไพศรีซ้ายขวา แล้วผละไปหาคุณนภากานต์ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวหอมแก้มซ้ายขวา แล้วจึงเดินไปกอดคอคุณกวินผู้เป็นพ่ออย่างสนิทสนม “คุณพ่อด้วยนะครับ กำลังคุยอะไรกันอยู่ครับเนี่ย”

“กำลังคุยเรื่องของเรานี่แหละ ทำไมมาไม่บอกกันก่อน” คุณยายเป็นคนตอบ

“นั่นสิ หรือว่าถอดใจซะแล้วดูสิลูกแม่คล้ำลงไปเยอะเลยนะ” คุณนภากานต์ใช้สองฝ่ามือประคองพวงแก้มทั้งสองข้างของลูกชาย ที่บัดนี้ผิวพรรณอย่างลูกผู้ดีในคราวแรกดูคล้ำลงไปเยอะ แต่ผิวบ่มแดดก็ทำให้ต้นกล้าดูหล่อคมสันน่ามองในไปอีกแบบ หนุ่มหล่อเกาหลีผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ ที่ยังคงดูใสและมีเลือดฝาด

“งานหนักไปหรือเปล่าล่ะ ไหนมาให้พ่อดูซิ มือด้านเป็นไอ้หนุ่มบ้านนาหรือยัง” คุณกวินหงายฝ่ามือลูกชายขึ้นดูลูบคลำไปมาสัมผัสได้ถึงเนื้อด้านๆ และความสากกร้านจากการทำงานก็ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าอย่างพอใจ “สมแล้วที่เป็นลูกหลานชาวนา” ทั้งที่ตัวคุณกวินเองเป็นลูกหลานเจ้าสัวนักธุระกิจใหญ่ผู้ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่เมื่อได้เมียเป็นลูกชาวนาเลยซึมซับสำนึกดีๆ มาเต็มหัว คำถามทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนที่เพิ่งมาถึงยังไม่ทันได้ตอบคำถามของใครสักคำ

“เอ้าถามทีละคนที่ละคำถามครับคุณสุภาพตรีทั้งสองและคุณสุภาพบุรุษ”

“ทำงานเหนื่อยมั้ยลูก”

“สบายมากครับคุณยาย กล้าปรับตัวได้แล้วครับ”

“เก่งมากหลานยาย”

“ของมันแน่อยู่แล้วครับ” ต้นกล้ายิ้มตอบแถมยังยักคิ้วให้คุณยายด้วยหนึ่งครั้ง

“ลูกพ่อมันต้องได้อย่างนี้สิ”

“แล้วนี่กินอะไรมาหรือยังหิวมั้ยลูก”

“แวะกินข้าวกับพวกไอ้สิบไอ้ยุแล้วครับคุณแม่ มันสองคนไปเยี่ยมกล้าที่บ้านทุ่งดอกจาน เลยกลับมาพร้อมกัน”

“สนุกกันใหญ่เลยล่ะสิ” คุณยายว่ายิ้มๆ อย่างเอ็นดู

“ฮ่าๆ ๆ นิดหน่อนครับคุณยาย กล้าพาพวกมันไปขุดหลุมดักปลา แล้วก็ไปเก็บปลาที่หนองขอดท้ายนาด้วยครับ เล่นโคลนกันใหญ่เลย ตอนนี้ข้าวกำลังออกรวงสวยเลยครับ อีกเดี๋ยวเดือนหน้านี้ก็น่าจะเกี่ยวได้แล้ว” ต้นกล้าพูดยาวๆ ทั้งหมดนี้อย่างรวดเร็วพอพูดจบก็เล่นเอาหอบน้อยๆ เลยทีเดียว

“เก่งมากเลยหลานยาย อยู่แค่นี้รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะเรา”

“ลุงสมควรว่าไว้อย่างนั้นนี่ครับ” ทั้งวงหัวเราะขำกับคำตอบของต้นกล้า แน่นอนว่าเมื่อตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ ต้นกล้าก็ไปสอบถามลุงสมควรถึงงานต่างๆ เอาไว้แล้ว ว่ามีงานตรงไหนที่จะต้องทำเมื่อไหร่ งานอื่นก็เสร็จหมดแล้วทั้งงานในไร่มันไร่อ้อย เก็บผลผลิตได้ก็ขายไป เอาเงินเข้าบัญชีเรียบร้อย ตอนนี้ก็แค่รอให้ข้าวแก่เหมาะกับการเก็บเกี่ยว

“แล้วขุดหลุมได้ปลากันเยอะหรือเปล่าล่ะ”

“เยอะจนกินไม่หมดเลยครับคุณยาย เลยให้น้าแจ่มเอาไปทำปลาร้ามันซะเลย”

“ทำมาหากินเก่งมากลูกพ่อ แบบนี้ลูกสาวบ้านไหนได้แต่งด้วยไม่มีวันอดตาย”

“..” ต้นกล้าหน้าเหวอไปเลยเมื่อพ่อพูดออกมาอย่างนั้นแต่ก็ยิ้มรับคำจนตาหยีเลยทีเดียว “ครับ”

“แล้วนี่จะกลับไปอีกเมื่อไหร่ หรือจะอยู่ยาว”

“กลับสิครับคุณยายเร็วๆ นี้ล่ะ กล้าไม่พลาดกลับไปเกี่ยวข้าวแน่ๆ ปลูกมาเองกับมือนี่นา” ถึงแม้ว่าตอนที่ไปดำนา ต้นข้าวที่ต้นกล้าปักดำไว้มันจะลอยน้ำเป็นทางให้ย้อนกลับมาปักดำลงใหม่ก็เถอะนะ ยังไงต้นกล้าก็มีส่วนร่วมไปตั้งเยอะ จะพลาดกลับไปยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งสีทองเหลืองอร่ามแห่งนั้นได้ยังไง

“เออ ว่าแต่พี่เดี่ยวล่ะลูกเป็นยังไงบ้าง เจอพี่เขาบ้างหรือเปล่า ยายคิดถึงจัง” ต้นกล้าหุบยิ้มฉับพลันหน้างอไม่พอใจอย่างไม่ปิดบังเมื่อได้ยินคำถามของคุณยาย

“คุณยายครับ นี่ต้นกล้านะครับนั่งอยู่ตรงนี้ แทนที่จะถามหาคนอื่นคุยกับหลานก่อนเถอะ คุณยายไม่คิดถึงกล้าหรือไงครับ”

“เอ้า โกรธยายหรือเนี่ย ยายแค่ถามถึงพี่เขาเฉยๆ ยังไงยายก็คิดถึงต้นกล้าของยายที่สุดนั่นและ”

“รอดตัวไปนะครับคุณยาย พูดได้น่าฟังครับจะยกโทษให้สักวันก็แล้วกัน” ต้นกล้านั่งลงที่พื้นแล้วคลานเข้าไปซบหน้าลงที่ตักของคุณยาย ที่เมื่อหลานแนบแก้มลงที่ท่อนขาก็เอามือลูบหัวให้เบาๆ เป็นการรับขวัญ ผู้ใหญ่ทั้งสามได้แต่มองอย่างเอ็นดูในความขี้อ้อน เพราะต้นกล้าเป็นศูนย์กลางดวงใจของทุกคนในบ้านมาตลอด ก็เลยอ้อนเก่งและเอาแต่ใจตัวเองจนทุกคนต้องยอมตามอย่างเต็มใจ

ต่ออีกค่ะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 100% 30/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:45:52


“ไปพักในห้องสักหน่อยมั้ยลูก วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”

“เดี๋ยวออกไปเจอพวกไอ้สิบที่ห้างครับนัดกันแล้ว”

“กลับมากะเที่ยวให้คุ้มละสิเรา”

“แหมคุณยายรู้ใจกล้าจังเลยนะครับ”

“ไปๆ จะไปพักก่อนก็ไป เดี๋ยวยายเอนหลังก่อนเมื่อย “

“ให้กล้านวดมั้ยครับคุณยาย”

“โอ้ยไปพักเถอะ ยายนอนสบายกว่าเยอะเลย”

“ครับๆ ไปล่ะครับ” ผู้ใหญ่ทั้งสามได้แต่มองตามต้นกล้าที่คว้ากระเป๋าตรงไปที่บันไดบ้าน แล้วก็ได้แต่พากันส่ายหัวไปตามๆ กัน ชายหนุ่มยังทำตัวเหมือนเด็กวิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้น และเมื่อต้นกล้ากลับมาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้บ้านหลังใหญ่มีชีวิตชีวายิ่งขึ้นกว่าเก่า



%%%%%%%%%%%%%%%%%



“ไอ้ยุมึงชวนมาที่นี่ทำไมวะ”

“ส่องเด็กไงวะ”

“โหไอ้นี่ส่องแล้วต้องลากกูสองคนมาด้วยมั้ย ไอ้สิบเงียบไปไหนวะมึง”

“กูเปล่า”

“ก็มึงเงียบ”

“กูไม่มีอะไรจะพูดนี่หว่า”

“เออๆ แล้วตกลงไปไหนกันก่อน”

“มึงซื้อของปะ”

“ขี้เกียจว่ะเพิ่งซื้อไป”

“ซื้อเมื่อไหร่วะ”

“ก็ตอนไปห้างที่อุดรไงวะ”

“แปลกนะมึงไอ้กล้า”

“แปลกไงวะ”

“เมื่อก่อนเห็นช้อปทุกวันยังได้”

“โตแล้วมันต้องรู้จักใช้เงินปะวะ”

“จ้าพ่อคุณพ่อทูลหัว โตแล้วผัวก็มีแล้วต้องรู้จักบริหารเงินเนอะไอ้ยุเนอะ”

“ไอ้ห่าสิบ ไอ้เพื่อนเลวพูดอะไรของมึงออกมา” ต้นกล้ายกเท้าขึ้นจะถีบปั้นสิบ แต่เพื่อตัวเล็กที่เตรียมตัวอยู่แล้วรีบกระโดดหลบข้างพายุที่กอดคอเอาไว้พอดี

“ไม่ต้องมาเนอะเดี๋ยวมึงก็มี” พายุกระซิบข้างหูเล่นเอาปั้นสิบตัวแข็งทื่อไปเลยทีเดียว

“ไอ้ห่านี่พูดอะไรของมึงวะ” ปั้นสิบกระซิบตอบพลางแกะมือพายุที่ล็อคคออยู่ออกด้วย

“ไปๆ กินชาบูกันดีกว่าว่ะ” ต้นกล้าชวน

“เออ ดีเหมือนกันไม่ได้กินนานละ”

“กล้า! ”

“..”

“กลับมาเมื่อไหร่”

“วันนี้ล่ะ นนท์มาทำอะไรเหรอ”

“เรามาเดินเล่น มากันสามคนเหรอ”

“ก็เห็นแค่นี้คิดว่ากี่คนวะ” พายุเดินมายืนเยื้องอยู่ด้านหลังของต้นกล้า มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เพื่อนไว้

“นนท์มาคนเดียวเหรอ” ต้นกล้าถามเสียงเรียบไม่บอกความรู้สึก

“อืม”

“เราขอตัวก่อนนะ” ต้นกล้าบอกเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ไหล่ที่แรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ก็รู้ล่ะนะว่าเสียมารยาท แต่ต้นกล้าไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะคุยต่อ เพราะไม่คิดว่าจะคบค้า ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกันหรือมากกว่านี้ ตั้งแต่ที่นนท์เป็นต้นเหตุให้เขาต้องง้อคนตัวโต เอ๊ะ! จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าตั้งแต่วันนั้นที่นนท์ทำให้เขาต้องเสียฟอร์มกลายเป็นคนง้อเด็ดเดี่ยว ทั้งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนี้มาก่อน ต้นกล้าก็ตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนๆ นี้อีก แม้ว่าเหตุการณ์วันนั้น จะทำให้เขารู้ว่าตัวเองห่วงความรู้สึกของไอ้คนหน้ามึนคนนั้นมากแค่ไหนก็ตามเถอะ แต่ใครมันอยากจะยอมรับออกมาตรงๆ แบบนั้นล่ะว่าห่วงหากเหตุการณ์ไม่บังคับ แม้ว่าต้นกล้าจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็ตามเถอะ ปานนี้อีกคนคงได้ใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“ไอ้กล้าไปกัน” เมื่อได้ยินเสียงปั้นสิบเรียกนั่นแหละต้นกล้าจึงได้รู้สึกตัว ว่ากำลังคิดถึงคนที่อยู่ทางโน้นนานเกินไปแล้ว คนที่คอยแต่จะวนเวียนเข้ามาในหัวตั้งแต่ออกจากบ้านเมื่อเช้า คนที่ควรจะมาแต่เช้าแต่กลับไม่มา ถ้าใครคนนั้นทำตัวปกติที่มาแต่เช้าเหมือนทุกวัน มันอาจจะมีผลต่อความลังเลบ้างหรือเปล่าวะ เหอะตัวเองไม่เสมอต้นเสมอปลายเองอย่ามาโทษคนอื่นก็แล้วกัน

ต้นกล้าเดินตามแรงดึงของพายุโดยมีนนท์มองตามด้วยสายตาหงอยๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อต้นกล้าตัดบทขนาดนั้น แถมยังมีเพื่อนอีกสองคนที่ไม่ค่อยอยากจะญาติดีด้วยคอยกันท่าอีก ต้นกล้าหันกลับมามองนนท์อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร แค่มองแล้วหันกลับ เพราะในหัวของเขาหวนติดไปถึงใครบางคนอีกแล้ว ใครบางคนที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อาจจะกำลังให้อาหารหมู หรืออาจจะกำลังขี่ควายอยู่ จับปลา ดักหนู หรืออาจจะกำลังช่วยชาวบ้านทำงานหรืออาจจะทำอะไรก็สุดความสามารถที่ต้นกล้าจะคาดเดาได้ มีอย่างเดียวแน่นอนที่คนๆ นั้นไม่ได้ทำคือโทรหาต้นกล้า ใช่วันนี้คนๆ นั้นเงียบไปทั้งวันเหมือนไม่สนใจเขา เอาจริงๆ ก็เงียบไปตั้งแต่เมื่อวาน ที่เขาออกมาจากบ้านหลังนั้นนั่นล่ะ

กึก!!

“อะไรของมึงไอ้ยุ หยุดเดินทำไม” ต้นกล้าถามเพราะอยู่ดีๆ พายุก็หยุดเดินแล้วหันมามองที่เขาด้วยสายตานิ่งๆ แต่ดูก็รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“มึงนั่นล่ะเป็นอะไร”

“กูเปล่าเหอะ”

“เปล่าแล้วเมื่อไหร่มึงจะรับโทรศัพท์กูได้ยินมันดังตั้งนานล่ะ” พอได้ยินปั้นสิบบอกต้นกล้าจึงเพิ่งรู้ตัวว่ามีสายเข้ามาที่เครื่องของตัวเอง ล้วงออกมาดูแล้วก็ต้อชะงัก เพราะเป็นคนที่อยู่ในความคิดตลอดนั่นเองโทรมา

“มึงจะจ้องอีกนานมั้ย ไหนใครโทรมา”

“เฮ้ยไม่มีอะไร” ต้นกล้าบอกแล้วตัดสายทิ้งกดปิดเครื่อง

“ใครโทรมาทำไมไม่รับวะ”

“ช่างเถอะ”

“นั่นแน่มึง พี่เดี่ยวละซี้”

“มึงจะกินไม่กินไอ้สิบ ไม่กินกูกลับ”

“เฮ้ยกินสิวะมึงเลี้ยงทั้งทีกูจิพลาดได้ไง”

“เออ ถ้ากินก็หุบปากเลย” ต้นกล้าโวยวายแก้ความรู้สึกบางอย่างที่ยุบยิบอยู่ในหัวใจ เก็บโทรศัพท์มือถือใส่ในกระเป๋าแล้วดินตามเพื่อนทั้งสองเข้าร้านชาบู “ว่าแต่กูบอกตอนไหนว่าจะเลี้ยงวะ”



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



ภาพเบื้องหน้าคือผืนพรมสีเขียวผืนใหญ่ ที่ปูลาดไปบนพื้นดินเป็นแผ่นกว้างมองเห็นไกลสุดสายตา เพิงพักหลังเล็กมุงด้วยหญ้าคาแห้งสานเป็นไพให้ได้หลบแดดหลบฝน โผล่ขึ้นมาท่ามกลางต้นข้าวสีเขียวลิ่วลมอยู่ลิบๆ ต้นข้าวปล่อยยอดลู่ไหวไปตามกระแสพัดดูอ่อนระทวย รวงข้าวเขียวอ่อนภายในบรรจุด้วยน้ำนมข้าวสีขาวขุ่นเต็มแน่น ผืนนากว้างใหญ่มีไม้ยืนต้นแก่อายุ ที่ให้ผลอย่างมะม่วงมะขามปลูกไว้เป็นระยะ เอาไว้เป็นร่มเงาเมื่อนั่งพักจากงาน แต่ทัศนียภาพอันงามตาเหล่านั้น ไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่มร่างสูง ที่กำลังวุ่นอยู่กับเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง กดแล้วกดอีก แต่ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิม คือเสียงของหญิงสาวคนเดิมบอกว่าเขาไม่สามารถติดต่อใครบางคนได้ ปิดเครื่องไปแล้ว เครื่องถูกปิดไปแล้วทั้งที่โทรติดในตอนแรก นี่ก็แสดงว่าอีกคนตั้งใจที่จะไม่พูดคุยด้วยใช่ไหม..?

ชายหนุ่มยอมแพ้และเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋า เมื่อนั้นแหละธรรมชาติเขียวชอุ่มเย็นตาจึงถูกมองเห็น เพราะเขากำลังต้องการที่พึ่งทางใจ ต้องการอะไรบางอย่างมาลดความร้อนรุ่ม อันเกิดจากความคิดถึงและไม่เข้าใจ ทำไมไปไม่บอก ทำไมไปไม่ชวน ไอ้ไม่ชวนไม่เท่าไหร่ เป็นอะไรก็น่าจะบอก คนไม่รู้นี่มันคาใจและสงสัยมาก ใครๆ ก็คงเป็นเหมือนกันที่ถูกโกรธโดยไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แบบนี้มันไม่ยุติธรรม เด็ดเดี่ยวอยากทวงความยุติธรรมให้กับตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะไปทวงได้จากที่ไหน เพราะเจ้าตัวต้นเรื่องไม่อยู่ให้ทวงแล้วนี่สิปัญหา

สายลมแผ่วพัดผ่านผิวให้รู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย พร้อมกลิ่นธรรมชาติหอมสดชื่น กลิ่นจากต้นข้าว กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า ที่เคยช่วยให้ผ่อนคลาย บัดนี้มันกลับไม่มีความหมาย เมื่อคนที่เดินเลี่ยงไอ้จ๋ามาเพื่อหาพื้นที่สงบให้จิตใจ กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองให้สงบลงได้เหมือนทุกที ก็รู้ล่ะนะ ว่าไอ้หนุ่มรุ่นน้องมันจงใจแกล้งคุยกับแฟนให้เขาอิจฉาเล่น และรู้อีกด้วยว่ามันกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่าเขารู้ว่ามันกำลังสนุกอยู่ แต่เด็ดเดี่ยวจะโวยวายหรือบังคับให้มันบอกตอนนี้ใช่ที่ อย่างน้อยมันก็กำลังเก็บงำบางสิ่งบางที่เขาต้องการอยู่ เป็นเขาเองที่จะต้องค่อยๆ หลอกถามมัน เพราะไอ้ครั้นจะติดสินบน คนพอเพียงอย่างไอ้จ๋า ไม่ว่ามันจะรู้หรือไม่ ให้ติดสินบนอะไรมันก็ไม่เอาด้วยหรอก

เด็ดเดี่ยวเดินผ่านลานข้าวเก่าถึงกองฟาง ที่บัดนี้มันเหลือเศษฟางเพียงเล็กน้อยกระจายตามพื้นดิน เพราะบางส่วนถูกนำไปทำประโยชน์ อย่างการเอาไปให้วัวให้ควายกิน ทั้งใช้ทำปุ๋ยหมัก ใช้คลุมดินเพื่อเก็บความชุ่มชื่น และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ตอนนี้มันมีเศษฟางหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง พอให้รู้ว่าที่ตรงนี้เคยเป็นกองฟาง กองฟางที่ใครบางคนถูกเปลเหวี่ยงลงมาตกอยู่ในนั้น ตรงกลางนั่นที่เคยมีร่างโปร่งดิ้นขลุกขลักเพราะถูกเขากอดรัดเสียเต็มรัก แม้ปริมาณของฟางจะลดลงไปมาก แต่มันก็ยังรออยู่ที่เดิมกองฟางที่เคยได้มีใครบางคนอยู่ในอ้อมกอด กองฟางที่เคยนุ่มบันนี้เหลือเพียงความบางเบาที่หากกระโดดเข้าไปคงได้มีเจ็บตัวแน่ กองฟางที่อีกไม่นานข้างหน้านี้มันจะถูกทับถมเติมเต็มอีกครั้งเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต

เด็ดเดี่ยวถามตัวเองถึงใครอีกคน ว่าหากถึงเวลาเก็บเกี่ยว ใครคนนั้นจะกลับมาดูผลงานของตัวเองไหม ใครคนนั้นที่ไม่เคยแม้แต่จะเดินผ่านทุ่งนาแต่ต้องมาทำนาทำไร่ เมื่อถึงเวลาเขาจะกลับมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวที่ตัวเองเคยปลูกเอาไว้หรือเปล่า ชายหนุ่มผู้ยืนมองกองฟางคิดถึงใครบางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินไปทิ้งตัวลงบนเศษฟางที่เหลืออยู่ไม่มาก แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มเมื่อล้มตัวลงนอน สองมือประสานรองไว้ใต้ศีรษะ กลิ่นฟางข้าวที่ถูกแดดเผามาทั้งวันหอมแตะจมูก ตอนเขายืนว่าหอมแล้วพอนอนลงได้กลิ่นแบบใกล้ชิด ยิ่งสัมผัสได้ถึงความหอมจนต้องสูดลมหายใจยาวเข้าปอด ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ความหอมที่มีกลิ่นอายบ่งบอกถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและความพอเพียง ความหอมของมันน้ำหอมไหนๆ ที่ว่าหอมที่สุดในโลกก็ไม่อาจหอมเท่ากลิ่นหอมของธรรมชาติอย่างนี้อีกแล้ว

เด็ดเดี่ยวเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ในใจนึกสงสัยว่าใครคนนั้นที่จากไป จะหวนคิดถึงท้องทุ่งนาบ้างหรือเปล่า ตาคมที่เหม่อมองฟ้าค่อยปิดลงช้าๆ กั้นภาพท้องฟ้าสีฟ้าสดใสแซมด้วยสีขาวของปุยเมฆกระจายเป็นหย่อม ตาปิดแล้วแต่ยังให้รู้สึกถึงความสว่าง ความสว่างที่มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ตาปิดแต่ใจกลับไม่ยอมปิด ใจที่มีแต่ความรักความคิดถึง ใจห่วงหาใจอาวรณ์ ใจร้อนรนเพราะไม่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆ

คิดถึงเหลือเกินคนดีของพี่......



%%%%%%%%%%%%%%%

รัก

ดาว ณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 20 คนสำคัญของผมหายไป 100% 30/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-12-2018 13:24:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าวงวารพรี้เด็ดเดี่ยวมาก  ไอ้จ๋าก็นะ  นิสัยขี้แกล้งโดยเฉพาะแกล้งลูกพี่นี่มันสนุกมาก เลยแก้ไม่หายเนอะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 50% 3/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-01-2019 21:39:26



กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล

เช้าวันแรกบนที่นอนนุ่มและเตียงขนาดใหญ่ในห้องที่คุ้นเคย ต้นกล้าขยับตัวบิดขี้เกียจแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ ภายในห้องมืดสลัวเพราะม่านบังแสงผืนหนา ยังทำหน้าที่ปิดหน้าต่างบานคู่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างบนเตียงบิดตัวอีกครั้ง แล้วหันไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เกือบหกโมงเช้าแล้ว แต่เช้านี้เขารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป สำหรับการมาเยือนของรุ่งอรุณ คิ้วได้รูปขมวดมุ่นพลางในหัวก็คิดหาคำตอบถึงสิ่งที่ลืมเลือน

บิดขี้เกียจอีกครั้งเพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า รู้สึกถึงความตื่นเต็มตาขึ้นมาตอนลุกขึ้นนั่ง และยังรู้สึกถึงความแปลกในความคุ้นเคย นั่งคิดถึงสิ่งที่มันขาดหายไปแล้วจึงเพิ่งนึกได้ ว่าเช้านี้ไม่มีเสียไก่ขันปลุกให้ตื่นเหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีเสียงร้องเพลงหมอลำเพลงลูกทุ่งของไอ้จ๋า เวลามันลุกมาทำงานแต่เช้าให้ได้ยิน

และ...

และ เอาอีกแล้วสิ ทำไมใครคนนั้นถึงได้ชอบเข้ามาวนเวียนในความคิดอยู่ตลอดอย่างนี้นะ ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรสุดท้ายก็ไปลงที่การคิดถึงคนคนนั้นทุกที ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าเกือบ ๆ จะสองเดือนมานี้ การใช้ชีวิตที่บ้านทุ่งดอกจาน ทำให้ต้นกล้ากลืนตัวเองไปกับวิถีชีวิตของคนบ้านนา ตอนนี้เขาจึงคิดถึงเสียงไก่ขันยามเช้าที่สุด ถึงแม้ว่าช่วงแรกที่ไปอยู่จะไม่ชอบใจเท่าไหร่นักก็เถอะ ที่เสียงมันดังรบกวนเวลานอนตื่นสายของเขา แต่ตอนนี้กลับชินที่จะได้ยินมัน ชินและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยิน ชินจนทำให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหายไป เมื่อกลับมานอนบ้านที่กรุงเทพ เพราะมันไม่มีเสียงไก่ขันปลุกให้เขาตื่นนี่เอง เขาชินที่ได้ยินเสียงร้องเพลงลูกทุ่งหมอลำของไอ้จ๋า และชินที่ใครคนนั้นมักจะโผล่มาให้เห็นหน้าแต่เช้าเกือบทุกวัน



ต้นกล้าลุกจากเตียงไม่ลืมดึงผ้าปูให้ตึง แล้วปูทับด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ดึงให้เรียบได้ที่ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว

“ทำอะไรกันอยู่ครับสาว ๆ “

“เจ้ากล้า ตื่นเช้าเชียวลูก” คุณยายหันมาทักหลานชาย

“นั่นสิตื่นมาทำไมแต่เช้า” ตามด้วยคุณนภา เมื่อต้นกล้าส่งเสียงทักทายขณะเดินเข้ามาในครัว

“กล้าชินครับ อยู่บ้านโน้น พี่โต้งปลุกแต่เช้าทุกวันเลย”

“ใครเหรอพี่โต้ง”

“พี่โต้งไก่ชนที่ลุงสมควรเลี้ยงไว้ไงครับคุณแม่”

“อ๋อ แล้วนี่จะใส่บาตรด้วยกันมั้ย”

“ดีเหมือนกันครับ แล้วคุณพ่อล่ะครับ”

“รายนั้นอยู่ในสวนนู่น คุยกับกล้วยไม้ของเขาอยู่”

“กล้าช่วยครับ” ทั้งสามช่วยกันขนของที่เตรียมไว้ใส่บาตร ออกมาวางที่โต๊ะหน้าบ้าน โดยมีแม่บ้านอีกคนคอยช่วยเป็นลูกมือยืนรอไม่นานพระก็เดินมาบิณฑบาต ใส่บาตรเสร็จรับศีลรับพรแล้วช่วยกันเก็บของที่เหลือเข้าบ้าน

ต้นกล้าใช้เวลาตอนเช้าขณะที่รับประทานอาหารเช้า คุยกับแม่กับยายจนกระทั่งสาย จึงขอตัวเข้าห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน เพราะนัดกับเพื่อนเอาไว้ตอนเที่ยง พอกลับขึ้นมาที่ห้องด้วยความคิดถึงบ้านอีกหลังที่จากมา ต้นกล้าจึงอดไม่ได้

(ครับลูกพี่) ต้นกล้ายิ้มมุมปาก เมื่อได้ยินเสียงกวน ๆ ของได้จ๋าดังมาตามสาย

“เออ ที่บ้านเป็นไงบ้างวะ”

(เหมือนเดิมครับลูกพี่)

“ลุงสมควรกับน้าแจ่มล่ะ”

(แม่อยู่บ้านครับลูกพี่ ส่วนพ่อลงนาแต่เช้าแล้ว)

“เออ ๆ ว่าแต่แกล่ะ ทำอะไรอยู่วะ”

(ไอ้จ๋ากำลังทำความสะอาดบ้านใหญ่ครับ)

“เหรอ เออดีเหมือนกัน ว่าแต่ฉันไม่อยู่แกพาสาวที่ไหนมานอนบ้านใหญ่หรือเปล่าวะเนี่ย”

(โหยลูกพี่จะให้ไอ้จ๋าพาสาวที่ไหนมานอนครับ)

“แฟนแกไง”

(เหอะ ว่าแต่ลูกพี่เถอะครับ ไม่คิดถึงคนทางนี้หรือไงครับ)

“ใครวะ แค่นี้นะโว้ย”

(เอ้า เดี๋ยวครับลูกพี่เดี๋ยว ๆ ไอ้จ๋ายังพูดไม่จบเลยนะครับ)

“อะไรของแกอีกวะ” ต้นกล้าพูดจบก็รอฟังว่าไอ้จ๋ามันจะพูดอะไรของมันต่อ แต่มันก็เล่นเงียบเล่นแง่ “ไอ้จ๋า”

(ครับลูกพี่)

“ทำไมเงียบวะ”

(พอดีมีแขกมาครับ)

“เหรอ ใคร”

(คนที่มาแต่เช้าทุกวันนั่นแหละครับลูกพี่ ตอนนี้ก็ยังมาทุกวันเหมือนเดิม ไอ้จ๋าบอกว่าลูกพี่ไม่อยู่ก็ยังหน้ามึนมา มาแล้วก็ทำหน้าหงอย ๆ เหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้ง พอเห็นว่าไอ้จ๋าอยู่บ้านคนเดียวก็กลับไป บางทีก็ไม่กลับนะครับลูกพี่ ออกไปนอนกลิ้งเล่นอยู่กองฟางที่ลานข้าวปลายนาโน่น ไม่รู้ติดใจอะไรลานตรงนั้นนักหนา) ไอ้ลูกน้องสาธยายมายาวเหยียด ส่วนต้นกล้าก็ฟังมันพูดเสียเพลิน คนพูดมันก็พูดของมันไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ แต่คนฟังนี่สิที่คิดตามจนเห็นภาพ ลานข้าวเหรอ ได้ยินแล้วทำไมใจมันเต้นแรงอย่างนี้ แล้วอะไรคือการที่คนคนนี้ยังมาหาอยู่เหมือนเดิมทุกวัน ทั้งที่รู้ว่าต้นกล้าไม่อยู่ อะไรคือมาทุกวันอย่างที่ไอ้จ๋ามันบอก

มันพูดจริงหรือไอ้ลูกน้องคนสนิทมันอำเล่นวะ แต่ก็ไม่น่าหรอก..มั้ง

(ลูกพี่ครับ)

“เออ”

(ลูกพี่เดี่ยวกำลังขึ้นบ้านมาแล้วครับ)

“เฮ้ย แค่นี้ก่อนนะ”

(เอ้า เดี๋ยวสิครับ)

“อะไรของแกอีกวะ”

(ที่ไอ้จ๋าบอกนี่คิดว่าเผื่อลูกพี่จะอยากคุยกันนะครับ)

“ไม่มีอะไรจะคุยโว้ย”

(แต่ไอ้จ๋าว่าลูกพี่เดี่ยวมีเรื่องคุยกับลูกพี่แน่ครับ)

“ไม่คุยโว้ย แค่นี้ล่ะ” แล้วต้นกล้าก็วางสายทันทีโดยไม่รอฟังคำทักท้วงใด ๆ ของไอ้จ๋าอีก



%%%%%%%%%%%



“เอาล่ะครับท่านผู้ชมทุกท่าน ทั้งที่อยู่ที่นี่และผู้ชมที่กำลังรับชมอยู่ที่บ้าน วันนี้เราได้รับเกียรติจากหนุ่มหล่อ ที่ผมเชื่อว่าสาว ๆ หลายคนทั้งที่อยู่ที่นี่ และที่อยู่ทางบ้านกำลังตกหลุมรัก วันนี้เขาจะมาพูดคุยอะไรสนุก ๆ กับเรา หนุ่มหล่อที่ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเขาแน่ ๆ แต่ให้เกียรติมาออกรายการของเราเป็นรายการแรก สำหรับไอดอลของใครหลาย ๆ ที่มาพร้อมความฮ็อตของเขา ในแบบที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน หนุ่มหล่อที่ปลุกกระแสสำนึกรักบ้านเกิดของใครหลาย ๆ คนให้ตื่นขึ้น หนุ่มท่านนี้ทำให้หลายคนคิดถึงบ้าน หนุ่มหล่อที่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็มีคนติดตามเขาเป็นล้าน สร้างกระแสที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองกำลังฮ็อตมากแค่ไหน และรายการของเราเป็นรายการแรกที่ได้รับเกียรติในการพูดคุยครั้งนี้ครับ” พิธีกรเว้นระยะเพื่อกลืนน้ำลายและหายใจแล้วพูดต่อ

“แหมพูดมาซะยาว เรามาพบกับหนุ่มหล่อท่านนี้ ที่ใคร ๆ ก็กำลังพูดถึงกันดีกว่านะครับ หนุ่มหล่อที่ใครได้เห็นเป็นต้องตกหลุมรักเขา ไม่ว่าจะเป็นสาว ๆ ทั้งสาวแท้สาวเทียม สาวสอง เก้ง กวาง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี สมเสร็จ นกเป็ดน้ำ เพราะถ้าเอ่ยถึงหนุ่มหล่อเกาหลี หนุ่มโอปป้าชาวนาหล่อก็ต้องคิดถึงเขาคนนี้เลยครับ คุณต้นกล้า กวินกานต์..” เสียงปรบมือและเสียงกรีดร้องดังขึ้น เมื่อต้นกล้าเดินออกมาจากหลังฉากตามคิวที่ผู้กำกับเวทีได้เตรียมกันเอาไว้

“สวัสดีครับ สวัสดีครับ” ต้นกล้าหันหน้าไปทางกล้องที่กำลังจับภาพเขาอยู่ ตามที่ผู้กำกับได้บอกเอาไว้ แล้วยกมือไหว้ทักทาย จากนั้นจึงหันไปสวัสดีพิธีกร

“เชิญนั่งครับ” รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเป็นรายการสด และต้นกล้าก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ก็สามารถเก็บอาการเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เขายิ้มบาง ๆ แล้วนั่งลงตามที่พิธีกรหนุ่ม ที่ทางออกสาวนิด ๆ เชื้อเชิญ ทั้งที่ยังงงกับตัวเองอยู่ว่าตัดสินใจรับเชิญมาออกรายการได้อย่างไร ตอนแรกคิดว่าจะปฏิเสธไปแล้วแท้ ๆ แต่พอคนที่ติดต่อไปรู้ว่าเขาอยู่ที่กรุงเทพ ปฏิบัติการตื้อก็เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ที่อยู่ของต้นกล้ามาจากไหน เมื่อวานอยู่ดี ๆ ก็มีแขกมาขอพบที่บ้าน และพูดถึงเรื่องการมาสัมภาษณ์ออกรายการนี้ ซึ่งเขาควรจะปฏิเสธไปแล้ว หากคุณยายไม่พูดออกมาเสียก่อน

“รายการอะไรนะลูก” คุณยายถามทีมงานที่มาติดต่อต้นกล้า

“รายการ....ครับ”

“ที่ออกอากาศทางช่อง 007 ใช่มั้ย”

“ครับ คุณยายก็รู้จักเหรอครับดีจังเลย”

“อุ้ย รู้จักสิดีเลยรายการนี้ยายดูอยู่ ยายชอบ จะเอาหลานยายไปออกรายการเหรอลูก”

“ครับ ผมมาติดต่อคุณต้นกล้าไปออกราย”

“ไปสิเจ้ากล้า ยายอยากเห็นหลานออกทีวี” แล้วคุณยายก็หันมาบอกหลานชายตัวเอง

“เอ่อคุณยายครับ...จะดีหรือครับ”

“ดีซีลูก รายการนี้ยายดูทุกวันเลย”

“แค่ไปนั่งคุยกันสนุก ๆ ครับ เราจะเตรียมเรื่องที่จะพูดคุยกับตัวอย่างคำถามมาให้คุณต้นกล้าดูก่อน อันไหนไม่ชอบก็ตัดออกได้ครับ”

“ดีจังเลย ไปนะเจ้ากล้ายายอยากเห็น” คุณยายบอกเสียงตื่นเต้นพลางเขย่ามือหลานชายให้รับรับปาก

“โธ่คุณยายครับ” เพราะมาอยู่เฉย ๆ คุณยายประไพศรีว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไร ตอนนี้นอกจากคุณยายจะติดละครงอมแงมแล้วยังติดรายการเกมโชว์และรายการต่าง ๆ รวมทั้งรายการที่กำลังติดต่อให้ต้นกล้าไปสัมภาษณ์นี่อีกด้วย

“ไม่ต้องมาโธ่หรอก เอาเป็นว่ายายตกลงก็แล้วกันนะลูก” บอกหลานชายตัวเองแล้วหันไปตอบตกลงให้เสร็จสรรพ

“ขอบคุณนะครับคุณยายที่ให้ความไว้วางใจรายการของเรา เดี๋ยวมาคุยเรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ กันดีกว่านะครับ” นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ต้นกล้าต้องมานั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้

“เอาล่ะครับ ก่อนอื่นหลายคนคงอยากรู้ว่าไปยังไงมายังไง คุณต้นกล้าถึงได้ไปเป็นชาวนาได้อย่างนี้ครับ”

“ครับพอดีไปช่วยคุณยายครับ”

“เอ่อ แค่นั้นเหรอครับ”

“ครับ” ไม่มีคำอธิบายที่มากกว่านั้น ต้นกล้าตอบแบบสั้น ๆ แล้วยิ้มให้เล็กน้อยตามมารยาท จากนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่อ ทั้งที่ความจริงตามที่เตรียมกันมาคร่าว ๆ คือให้เขาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่สำหรับต้นกล้าที่โดยนิสัยแล้ว หากไม่สนิทมาก่อน ทำยังไงก็คุยเหมือนสนิทไม่ได้อยู่ดี เขาจึงนั่งทำหน้าเรียบเฉยและเพียงเม้มปากเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้มอยู่

“แล้วชีวิตชาวนาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็ดีครับ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เยอะ”

“เท่านั้นเหรอครับ” ต้นกล้ากลั้นหายใจแล้วค่อย ๆ ปล่อยออกมา เขากำลังเริ่มอึดอัด

“ก็ได้เพื่อนใหม่ ได้มิตรภาพดี ๆ “

“เสน่ห์ของบ้านนอกแบบนั้นอยู่ตรงไหนครับ” พิธีกรที่ต้นกล้าไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเหยียดปากออกเล็กน้อย เหมือนเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว หรือว่าอาจจะรู้ตัวต้นกล้าก็ไม่อาจทราบได้ แต่ทั้งสีหน้าและท่าทางมันบ่งบอกถึงความคิด และความรู้สึกของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกับสถานที่ที่กำลังถามถึง

ต้นกล้าขมวดคิ้วกับคำถามนี้ เพราะอยู่ดี ๆ ใบหน้าของใครบางคนก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด ใบหน้าของใครคนหนึ่งในวันที่เคยถูกเขาด่าหาว่าเป็นไอ้บ้านนอก ทั้งที่วันนั้นต้นกล้าเป็นคนพูดมันออกมาเอง แต่วันนี้กลับไม่ชอบใจที่ได้ยิน ยิ่งสีหน้าของคนถามที่แสดงออกมาเหมือนกำลังเหยียดอยู่ในที ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจจนอยากจะลุกออกไปจากตรงนี้มันเดี๋ยวนี้เลย

“ถ้าถามถึงเสน่ห์ของบ้านนอกในแบบของคุณ มันตอบได้ไม่ยากหรอกครับว่าเสน่ห์มันอยู่ตรงไหน แต่ถ้าหากอยากจะให้เข้าใจจริง ๆ ก็ต้องไปสัมผัสเอง ถึงจะรู้ว่าเสน่ห์ที่แท้จริงของมันน่าหลงใหลมาแค่ไหน” เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดอย่างชอบใจดังสนั่นขึ้น จากคนที่กำลังนั่งชมอยู่ในสตูดิโอหน้าเวที ต้นกล้าจึงหันไปยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองพิธีกรแล้วพูดต่อ

“ผมได้สัมผัสวิถีชีวิตที่ดำเนินไปท่ามกลางธรรมชาติ ทุกอย่างบริสุทธิ์ อากาศ ต้นไม้ น้ำใจผู้คน นี่เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของผม ที่เรียกได้ว่าความสุขที่แท้จริง สำหรับผมมันสุขมากกว่าชีวิตในเมืองที่ต้องดิ้นรนเพื่อแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา เอาจริง ๆ คือผมไม่อยากอธิบายหรอกครับ เพราะผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า หากไม่ได้ไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง คุณจะไม่มีวันเข้าใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่ที่นั่น แต่ทุกที่ที่คุณสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ก็สามารถให้ความรู้สึกนี้กับคุณได้” เสียงกรี๊ดพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ต้นกล้าโล่งอก เมื่อผู้กำกับส่งสัญญาณหมดเบรกและตัดเข้ารายการโฆษณา เขามองไปทางที่พายุกับปั้นสิบนั่งอยู่ ส่งสัญญาณบอกว่าอยากออกไปจากตรงนี้เต็มที แต่การสัมภาษณ์ยังเหลืออีกรอบ ทั้งที่มันก็แค่ไม่กี่คำถาม เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพิธีกรไม่ถามให้มันเสร็จไปเลยในรอบเดียวจะได้ไปสักที นั่งคิดได้ไม่นานผู้กำกับเวทีก็ส่งสัญญาณบอกให้เตรียมตัว เพราะจะหมดเวลาโฆษณาแล้ว

“เอาล่ะครับท่านผู้ชม เรายังอยู่กับคุณต้นกล้านะครับ” พิธีกรหันมายิ้มให้ต้นกล้าที่ยิ้มตอบตามมารยาท “ตอนนี้มีคนติดตามเพจอยู่ไหร่แล้วครับ”

“ก็ล้านกว่า ๆ ครับ” เอาจริง ๆ หากไม่เห็นคำถามที่ทีมงานเอามาให้ดูก่อน ต้นกล้าคงตอบคำถามนี้ไม่ได้แน่ เพราะเขาไม่เคยสนใจมันเลย เพิ่งจะมารู้ก็เมื่อตอนที่เห็นคำถามแล้วเปิดโทรศัพท์ตรวจดูนั่นแหละ

“ถือว่าเยอะมากเลยนะครับสำหรับเวลาเพียงไม่นาน”

“ครับ”

“แล้วช่วงนี้ทางโน้นทำอะไรครับ ทำไมได้กลับเข้ามาในเมือง” ถามเหมือนกับว่าต้นกล้าไปอยู่ในป่าในเขามาอย่างนั้นแหละ

“ช่วงนี้ก็รอเกี่ยวข้าวครับ”

“อีกนานหรือเปล่าครับ”

“ประมาณเดือนหรือเดือนกว่า ๆ ครับ ต้องดูก่อนว่าข้าวแก่ได้ทีหรือยัง”

“ชื่อต้นกล้านี่มาจากการที่เป็นชาวนาด้วยหรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ ชื่อนี้คุณยายของผมซึ่งเป็นเป็นชาวนาตั้งให้ และผมชอบมาก” ต้นกล้ายิ้มภูมิใจเมื่อนึกถึงคุณยายผู้ใจดีของเขาที่ตั้งชื่อนี้ให้

“นอกจากทำนาคุณต้นกล้าทำอะไรอีกบ้างครับ”

“ก็หลายอย่างครับ ผมทำไร่ด้วย มันมีส่วนที่เป็นไร่นาสวมผสมด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ทำคนเดียวหรอกนะครับ มีคนงานช่วยด้วย ส่วนตัวผมยังต้องเรียนรู้การเกษตรอีกเยอะ”

“และการพูดคุยในวันนี้หากไม่พูดเรื่องหัวใจก็คงเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง สาว ๆ ที่อยู่ในนี้และสาว ๆ ที่ชมอยู่ทางบ้านก็คงอยากรู้เหมือนกันใช่ไหมครับ ว่าตอนนี้หัวใจของคุณต้นกล้าเป็นยังไงบ้าง ยังว่างหรือเปล่าครับ หรือว่ามีใครจับจองเอาไว้แล้ว” ต้นกล้าหันไปมองหน้าผู้กำกับที่คุยกันแล้ว และเขาไม่ต้องการให้ถามเรื่องส่วนตัวมาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก เขาเป็นคนขีดฆ่าคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ออกทุกคำถาม แต่ทำไมพิธีกรยังมาถามอยู่อีก เหลือบตามองสคลิปที่วางอยู่ตรงหน้าของพิธีกร พบว่ามันเป็นแผ่นเดียวกันกับแผ่นที่เขาขีดฆ่าคำถามทิ้ง หรือพิธีกรกำลังกวนเขาอยู่ ดูสายตาสิเคยรู้จักกันหรือก็เปล่า ทั้งที่ยิ้มแต่ดูจากสายตาก็รู้แล้วว่าไม่ชอบขี้หน้ากัน เมื่อไหร่มันจะหมดเวลาสักทีวะ ต้นกล้าคิดผิดแล้ว ไม่น่าตกปากรับคำมาออกรายการนี้เลยเลย

“ว่ายังไครับคุณต้นกล้า สาว ๆ ลุ้นกันใหญ่เลยนะครับ”

“ครับ ผม” ทำไมต้องมาอยากรู้เรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวนะ สำหรับคนอื่นต้นกล้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพูดออกมาได้ง่าย ๆ หรือเปล่า แต่สำรับต้นกล้ามันแปลกมากเกินไปที่จะต้องมาเล่าอะไรแบบนี้ให้คนที่ไม่รู้จักฟัง

“ตกลงว่าคุณต้นกล้าโสดหรือไม่โสดครับตอนนี้ มีคนจองหัวใจไว้หรือยัง” ต้นกล้าเม้มปากแล้วถอนหายใจออกมา

“ไม่มีครับ” เขาตอบแล้วหันมายิ้มให้กล้อง ก็พอดีกับที่ผู้กำกับส่งสัญญาณบอกหมดเวลา และต้องตัดไปหาช่วงเล่นเกม ต้นกล้าจึงหายใจได้โล่งขึ้นเมื่อพิธีกรกล่าวลา



“้หลานยายเก่งจริง ๆ ดูสิพ่อกวินหลานชายฉันตอบคำถามได้ถูกใจฉันมาก”

“นั่นลูกชายผมครับคุณแม่”

“เก่ง ความคิดความอ่านแบบนี้สิถึงสมเป็นหลานฉัน” คุณยายประไพศรีบอกด้วยความปลื้มปีติ ขณะที่กำลังนั่งดูรายการสัมภาษณ์ต้นกล้า ทั้งสองคุยอย่างออกรส ที่โดยรวมแล้วก็คือความปลาบปลื้มภูมิใจในคำตอบที่ได้ยิน เพราะมันบ่งบอกถึงความคิดความอ่านของต้นกล้าได้เป็นอย่างดี ถึงมุมมองของคนรุ่นใหม่อย่างเขา ที่มีต่ออาชีพเกษตรกรและท้องไร่ท้องนา ผิดกับใครอีกคนที่บังเอิญได้ดูรายการนี้ด้วยความไม่ตั้งใจ ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายมันต่างกันลิบลับเลยทีเดียว

******************

“จ๋า นั่นอาจารย์เด็ดเดี่ยวนี่”

“เออ รู้แล้ว”

“อาจารย์จะไปไหนน่ะ”

“หึ ๆ ลงนามั้ง”

“อืม” น้ำส้มทำเสียงตอบรับในลำคอ ตายังมองตามเด็ดเดี่ยวที่เดินลงนาโดยไม่แวะมาทักทายกัน แต่เอ๊ะ! ทำไมเสียงไอ้คนหัวเกรียนมันถึงได้เริงร่า และเสียงพูดเหมือนกำลังสะใจอะไรสักอย่างแบบนั้น น้ำส้มให้นึกสงสัยเสียจริง ๆ จึงหันหน้ากลับมาหาอีกคนแล้วเรียก “จ๋า”

“หืม”

“ทำไมหน้าอาจารย์ดูเศร้า ๆ อะ”

“คนถูกทิ้งงี้แหละ หึ ๆ “นั่นไงน้ำส้มคิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด

“ถูกพี่กล้าทิ้งน่ะเหรอ ไหนบอกอีกสองสามวันพี่กล้าจะกลับมา”

“เออ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็ไม่ว่ายังไง เธอจะถามอีกนานมั้ย ฉันขี้เกียจตอบแล้วนะนั่งดี ๆ ซิ” ไอ้จ๋าสั่งเพราะตอนนี้น้ำส้มเปลี่ยนทางหันหลังพิงกันเป็นหันหน้ามาหามัน แล้วมองอย่างเอาเรื่อง

“เอ้า ก็คนรู้จักกันนิ ฉันเห็นอาจารย์หน้าเศร้าก็เป็นห่วง.. โอ๊ย จ๋าหยิกทำไมเจ็บนะ” น้ำส้มร้องเสียงดังเมื่อไอ้จ๋าหันมาหยิกหมับเข้าที่แก้มใส ๆ จนขึ้นรอยแดง แถมยังจ้องหน้าน้ำส้มตาดุ เป็นเมื่อก่อนน้ำส้มคงกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่ใช่ตอนนี้แล้วเพราะคนตรงหน้าคือแฟนกัน แต่กระนั้นก็ไม่ชอบใจทำไมต้องหยิกแก้มแรงขนาดนี้ด้วย น้ำส้มเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่ทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ และทำหน้าบึ้งไม่พอใจ

“เจ็บนะ คนบ้านี่”

“เธอกล้าพูดว่าเป็นห่วงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉันเหรอ”

“เอ๊า ทำไมล่ะ ก็อาจารย์เด็ดเดี่ยวน่าเป็นห่วงจริง ๆ นี่ หน้าเซ้า เศร้า”

“หยุดพูดเลย ถ้าจะเป็นห่วงผู้ชายคนอื่นก็ไม่ต้องมาพูดกัน” ไอ้จ๋าโวยวายแล้วทำหน้าตึงเพราะไม่สบอารมณ์

“เอ๊าจ๋ามีเหตุผลหน่อยสิ ที่เค้าเป็นห่วงก็เพราะรู้จักกันกับอาจารย์ปะ”

“รู้จักก็ส่วนรู้จักแต่ห้ามเป็นห่วงยัยเน่า “

“เอ้า แล้วทำไมฉันจะห่วงอาจารย์ไม่ได้”

“ไม่ได้ “

“ทำไมจะไม่ได้ ฉันห่วงไปแล้วด้วย จ๋าไม่มีเหตุผลเลยนะ”

“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้เพราะ เธอ ต้อง ห่วง ฉัน คน เดียว” ไอ้จ๋าเน้นทีล่ะคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตาสบตากันนิ่ง

“บ้าที่สุด จ๋าไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วงเลยนะ แต่ดูอาจารย์สิทำไมหน้าเศร้าจัง หรือว่า...” น้ำส้มตาโตเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

“อะไร”

“จ๋าแกล้งอาจารย์เหรอ”

“หึ ๆ “

“ใจร้ายจริง ๆ “

“นี่ฉันจะบอกอะไรให้นะ ลูกพี่เดี่ยวน่ะปกติฉลาดเป็นกรด แต่ดูสิวันนี้หน้างี้อย่างกะหมาหงอย แค่นี้ก็รู้ไม่ทันฉันมันสะใจดีพิลึก”

“จ๋าทำไมใจร้ายจัง บางทีคนเราคิดมากก็อาจจะลืมความฉลาดรอบคอบก็ได้นี่”

“แล้วยังไงวะ”

“จ๋าใส่ไฟโกหกอาจารย์ด้วยใช่มั้ยล่ะ” น้ำส้มชี้หน้าคาดคั้นไอ้จ๋าด้วยรู้จักนิสัยขี้แกล้งของมันดี ที่มันก็ตอบกลับมาหน้าตายทีเดียว

“ไม่ได้ใส่ไฟโว้ย แค่บอกไม่หมด”

“คนอะไรใจร้ายจริง ๆ “

“นี่ฉันยังเป็นแฟนเธออยู่หรือเปล่าวะยัยเผือกนี่”

“ก็เป็นสิ แต่ทำไมต้องแกล้งคนอื่นด้วยล่ะ”

“เป็นแล้วทำไมไม่ห่วงแฟนตัวเอง”

“เฮ้อ วนไปวนมาสรุปว่า”

“สรุปว่าห้ามไปห่วงคนอื่น ห่วงฉันคนเดียวก็พอเพราะฉันแฟนเธอ”

“ก็ห่วงอยู่แล้วปะ”

“ต้องห่วงให้มากกว่านี้ และห้ามห่วงคนอื่นโดยเฉพาะผู้ชาย”

“คนบ้า”

“แล้วรักปะล่ะ”

“บ้าที่สุดเลย ไปหาแม่ดีกว่า”

“เอ้ายัยนี่อย่าเพิ่งไปสิรอด้วย” ไอ้จ๋ากระโดดลงจากแคร่วิ่งตามน้ำส้มไปทางบ้านของตัวเอง วันนี้ทั้งสองหยุดพร้อมกันอีกวัน ไอ้จ๋าที่ช่วงนี้กำลังว่างจากงานไร่งานนาจึงถือโอกาสขับรถเข้าไปหาน้ำส้ม แต่มีหรือที่มันจะบอกอีกคนดี ๆ ว่าตั้งใจมาหา แบบนั้นก็ไม่ใช่ไอ้จ๋าจอมเกรียนแห่งบ้านทุ่งดอกจานนะสิโว้ย!

ต่อจ้าาาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 50% 3/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-01-2019 21:40:26


“จ๋าไปไหนมา”

“ธุระ”

“อ๋อ แล้วทำธุระเสร็จหรือยัง”

“เออ”

“ไปไหนต่อ”

“กลับ”

“รีบเหรอ”

“ไม่เท่าไหร่..”  ไอ้จ๋ายักไหล่อย่างไว้ท่าแล้วยืนกอดอกยักคิ้วข้างเดียว ให้คนที่อยู่ในฐานะแฟนยิก ๆ “ยิ้มอะไรยัยส้มเน่า”

“แค่ดีใจที่แวะมาหาน่ะ”

“แค่เนี๊ยะ ฉันมาธุระหรอกเลยแวะมา”

“นั่นสิเนอะ แต่แฟนมาหาก็ดีใจปะล่ะถึงจะแค่แวะก็เถอะ”

“เออก็ได้วะ ดีก็ดี”  น้ำส้มยืนยิ้มหวานให้ไอ้จ๋าที่ก็พลอยยิ้มออกมาด้วย ตอนนี้ทั้งสองคุยกันอยู่หน้าร้าน แต่เหมือนไม่มีใครสนใจ

“อยากไปขี่รถเล่นปะ”  น้ำส้มหันไปมองในร้าน

“เดี๋ยวไปบอกพ่อก่อน”

“สามนาที”

“โหยใจร้าย”  น้ำส้มรีบวิ่งเข้าบ้านไม่นานก็วิ่งกลับมาดึงแขนได้จ๋าขึ้นรถ

“มันต้องรีบขนาดนั้นมั้ย เอ้าเอาเข้าไป หายใจไม่ทันแล้วน่ะ ลิ้นยังห้อยด้วยน่าเกลียดชะมัดเลยเธอเนี่ย”

“ก็จ๋าให้เวลาเค้าสามนาทีเองนี่”  น้ำส้มทั้งหอบทั้งหายใจถี่ เพราะยังเหนื่อยจากการวิ่งตามหาพ่อไปจนถึงโกดังเก็บของหลังร้าน

“พูดเล่นได้ปะ”

“คนบ้าเอ๊ย”

“หึ ๆ “ แล้วไอ้จ๋าก็ขับรถคันเก่าของมันออกจากตรงนั้น โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนมองส่งจนลับตา



%%%%%%



“อาจารย์ฮะ อาจารย์ไม่สบายหรือเปล่าฮะ” น้ำส้มถามเด็ดเดี่ยวอย่างเป็นห่วง หลังจากหมดคาบเรียนในอีกสองวันต่อมา

“เปล่าอาจารย์ไม่ได้เป็นอะไร ขอบใจมากที่ถาม”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วงอาจารย์ ยัยเน่านี่พูดไม่ฟังเลยนะ” ไอ้จ๋าเดินมากอดคอน้ำส้มขณะที่เด็ดเดี่ยวกำลังเก็บอุปกรณ์การสอน นักศึกษาคนอื่น ๆ กำลังพากันทยอยออกจากห้อง

“อาจารย์ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ หึ ๆ “ อาจารย์หนุ่มเหลือบตาขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขำของไอ้จ๋า คำพูดที่เหมือนกับว่าเป็นห่วงแต่ที่จริงมันกำลังสะใจอยู่ต่างหาก

“เออ”

“นะ นานขนาดนี้แล้วทำใจเถอะครับลูกพี่”

“..” คนเป็นลูกพี่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เหมือนเหนื่อยล้า ใช่เวลาผ่านมาเป็นอาทิตย์กว่าจะสองอาทิตย์แล้ว ที่ชายหนุ่มไม่สามารถติดต่อต้นกล้าได้เลยตั้งแต่คนหัวแดงกลับบ้าน ทั้งพยายามโทรหา ทั้งส่งข้อความ ทำทุกช่องทางก็ไม่สามารถติดต่อได้ และตอนนี้เด็ดเดี่ยวกำลังวางแผนจะลงกรุงเทพฯ แต่ติดที่ว่าไม่รู้ที่อยู่ของอีกคนนี่ล่ะ และคงต้องยอมให้ไอ้จ๋าอีกแล้วหากอยากได้สิ่งที่ต้องการ “ว่าแต่”

“ครับ ว่าแต่อะไรครับ”

“ที่อยู่ บ้านต้นกล้าที่กรุงเทพแกรู้จักปะ”

“ไม่รู้ครับ”

“จ๋า” ไอ้จ๋าบีบไหล่น้ำส้มไม่ให้ขัดทั้งที่ยังยิ้มหน้าตายให้ลูกพี่รองของมัน

“ว่าแต่ลูกพี่ถามทำไมครับ”

“ช่างเถอะงั้น”

“เฮ่อ ไอ้จ๋าก็เห็นใจอยู่นะครับลูกพี่แต่ก็จนปัญญา”

“จ๋าทำไมใจร้ายอย่างนี้นะ” น้ำส้มปัดมือไอ้จ๋าออกจากคอ ยกมือไหว้ลาเด็ดเดี่ยวแล้วเดินออกจากห้องไป โดยไม่สนใจไอ้จ๋าที่มองตามตาละห้อย

“สม”

“อ้าว”

“เป็นไงล่ะ หงอเลยสิ”

“โอ๊ยเรื่องแค่นี้เดี๋ยวไอ้จ๋ากระดิกนิ้วทีเดียวก็หายงอนแล้วครับ” ไอ้จ๋ายืดอกบอกอย่างมั่นใจ

“เออ ตกลงว่าถึงขั้นไหนแล้ววะ”

“ขั้นที่ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ละครับลูกพี่ ไม่เหมือนคนบางคนหรอกที่...โอ้ยอย่าให้ไอ้จ๋าพูดเลยบาปเปล่า ๆ “

“เออ เลิกเล่นเมื่อไหร่ก็บอกความจริงมาสักที”

“อ้าว ลูกพี่รู้หรือครับว่าไอ้จ๋ากำลังเล่น”

“เออ ไม่รู้หรอกมั้ง”

“แหม ไอ้จ๋าก็นึกว่าความรักจะทำให้ตาบอดสนิทซะอีก” ไอ้จ๋าลากเสียงยาวพูดเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างนึกสนุก ที่ดูเหมือนว่าเด็ดเดี่ยวจะเป็นใจยอมให้คนขี้แกล้งอย่างมันสนุกได้เต็มที่จริง ๆ เลยงานนี้ แต่พอรู้ว่าคนถูกแกล้งรู้ทันมันเองก็ชักจะเริ่มไม่สนุกแล้ว

“แค่มีเรื่องให้คิดโว้ย”

“อะนั่นแหนะ ไอ้จ๋าก็นึกว่ากลัวถูกทิ้งจนไปไม่เป็นอ่าเนอะ”

“ระวังตัวแกเองเถอะว่ะ”

“ไอ้จ๋าลอยลำแล้วครับลูกพี่ ไปละคนไม่สำคัญอยากไปตามหาหัวใจก็อย่าลืมบอกไอ้จ๋าก่อนก็แล้วกัน”

“หมายความว่ายังไง”

“เออน่า ถ้าจะไปตามหากันจริง ๆ ก็บอกไอ้จ๋าบ้าง เผื่อพระเอกอย่างไอ้จ๋าไปช่วยหา คึ ๆ ”

“ก็เอาที่อยู่มาสิ”

“ไม่มี้ ไม่มีครับ” เด็ดเดี่ยวแสยะปากทำท่าเข่นเขี้ยวใส่ไอ้จ๋า ก็รู้ล่ะนะว่ามันแกล้งพูด ถึงยังไงมันเองก็ต้องรู้ที่อยู่บ้านของต้นกล้าที่กรุงเทพอยู่แล้วแน่นอน แค่มันยังไม่อยากบอก แต่มันจะยอมบอกตอนไหนนี่สิที่เขาต้องทำใจให้เย็นเพื่อเเรอ

“ไปล่ะครับลูกพี่เจอกันที่บ้านนะครับ ไปบางกอกเมื่อไหร่ก็บอกไอ้จ๋าก่อนด้วยอย่าลืมเด้อ” ไอ้จ๋ากระซิบทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป เพราะมันรู้จักลูกพี่อันดับสองของมันดี ว่าลองได้ตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ มันจึงต้องย้ำเผื่อไว้ก่อนจะได้ทัดทานทัน หากเด็ดเดี่ยวจะไปตามหาหัวใจจริง ๆ เพราะไอ้จ๋าคงปล่อยให้ลูกพี่รองเดินทางเสียเที่ยวไม่ได้ ถึงจะสนุกที่ได้แกล้งยังไง ก็คงไม่ปล่อยให้ไปตามกันถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมร ทั้งที่อีกไม่กี่วันลูกพี่ใหญ่ของมันก็จะกลับมาแล้ว

หึ ๆ ปล่อยให้หงอยอีกสักวันก็แล้วกัน ไอ้จ๋าเดินยิ้มออกจากห้องเรียนมา ทิ้งให้ลูกพี่รองเก็บของด้วยใบหน้าที่หงอยลงยิ่งกว่าเก่า คิดดูว่าหากเป็นปกติไอ้จ๋าคงโดนเด็ดเดี่ยวแซวเรื่องน้ำส้มไปแล้วแต่นี่กลับไม่ นั่นแสดงว่าลูกพี่เดี่ยวของมันคงกำลังเครียดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ

ส่วนเด็ดเดี่ยวก็ทำได้แค่มองตามหลังไอ้จ๋าไป เข้ารู้ว่ามันรู้เรื่องทุกอย่างดี รู้ดีว่าคนหัวแดงที่กลับกรุงเทพเป็นอย่างไรอยู่ยังไง รู้ว่ามันรู้ว่าบ้านต้นกล้าที่กรุงเทพอยู่ที่ไหน แต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อมันสนุกที่ได้แกล้งเขาก็จะปล่อยมันไป เพราะตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะสามารถเข้ากรุงเทพได้อย่างที่ใจต้องการมันวันนี้เดี๋ยวนี้ซะที่ไหน ด้วยภาระหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ ที่หากทิ้งไปใครหลายคนก็ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งเด็ดเดี่ยวคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ ตอนนี้ถึงแม้ใจจะลอยไปถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ตัวก็ยังอยู่เพื่อจัดการและสะสางงานในหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จสิ้น จะได้ไปตามหาหัวใจของตัวเองสักที

“นี่คนสวย วันนี้ไปหาอะไรกินด้วยกันมั้ย” ไอ้จ๋าเดินออกมาทันได้ยินเสียงชักชวนกันหาของกิน แล้วตามมาด้วยเสียงโห่แซวมันจึงหันไปดู แต่ก็ต้องรู้สึกขัดใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก เมื่อคนที่กำลังถูกชวนจากกลุ่มนักศึกษาหนุ่มสามสี่คนนั้นคือน้ำส้ม หนำซ้ำไอ้พวกนั้นมันไม่ชวนเฉย ๆ แต่ดึงมือของน้ำส้มเอาไว้ด้วยนี่สิที่ทำให้ไอ้จ๋าเดือดขึ้นมาทันที

“เฮ้ยพวกมึง”

“ว่าไงวะไอ้จ๋า” ไอ้จ๋าสีหน้าเอาเรื่องทำท่าทางพยักพเยิดไปที่มือของนักศึกษาคนแรก ที่หันมาถามมัน ซึ่งก็เป็นเพื่อนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เรียนด้วยกันนี่แหละ แต่อยู่คนละกลุ่ม

“มือมึง”

“เออ มือกูทำไมวะ”

“ปล่อยไงวะ” ไอ้จ๋าบอกพลางเดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาที่เอาเรื่องอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นน้ำส้มพยายามสะบัดข้อมือตัวเองออกแต่ไม่หลุด เพราะถูกจับแน่นจนข้อมือแดงไปหมดแล้ว

“พวกกูแค่ชวนน้องเขาไปกินข้าวปะ” คนที่สองบอก

“อย่ายุ่ง ปล่อยมือ”

“เออ” คนแรกบอกพร้อมกับปล่อยข้อมือน้ำส้มให้เป็นอิสระ

“กลับ” ไอ้จ๋าหันมาบอกน้ำส้มเบา ๆ แต่อีกคนกลับทำหน้าบึงตึงให้

“ชิ” น้ำส้มที่ยังโกรธไอ้จ๋าเรื่องแกล้งเด็ดเดี่ยว จึงสะบัดหน้าแล้วเดินหนีไป ทิ้งให้ไอ้จ๋ามองตามงง ๆ จนเมื่อได้ยินเสียงทักนั่นแหละมันถึงได้รู้ตัว

“ตกลงมึงกับ...นั่นน่ะ” นักศึกษาคนที่สามพูดขึ้นแล้วบุ้ยหน้าไปทางที่น้ำส้มเดินไปก่อนจะพูดต่อ” มีซัมติ้งจริง ๆ เหรอ”

“ซัมติ้งอะไรของมึงวะ”

“แซบมั้ยวะ”

“พูดดี ๆ “

“เอ้าไอ้นี่เอาตรง ๆ มึงกินไปแล้ว” ?

“ปากแบบนี้มึงอยากกินบ้างมั้ย”

“กินอะไรถ้ากินนั่นล่ะก็..อืม น่าสนว่ะ” คนแรกพูดแล้วบุ้ยหน้าไปทางที่น้ำส้มเดินไปอีกครั้ง ทำท่าทางคิดแบบกวน ๆ นั่นยิ่งทำให้ไอ้จ๋าเดือดปุด ๆ อยู่ข้างใน ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นและรู้จักกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์จะมาพูดแบบนี้กับคนของมัน ไอ้จ๋ากัดฟันข่มอารมณ์ด้วยว่านี่คือสถานศึกษา ถึงจะเจอพวกปากหมามันก็ไม่ควรมีเรื่อง

“ถ้ายังพูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นมึงได้กินโปรตีนกูเป็นอาหารเสริมแน่” ไอ้จ๋าเน้นคำว่าตีนแล้วกัดฟันกรอดเพื่อระงับความโกรธ

“โว้ยไอ้นี่เอาจริงเหรอมึง กูแซวเล่น”

“ไม่ใช่เรื่อง”

“เออ ๆ โทษว่ะ ไปพวกมึง” แล้วทั้งหมดก็เดินออกไปจากตรงนั้น โดยมีสายตาดุของไอ้จ๋ามองตามอย่างคาดโทษ ก่อนที่มันจะเดินตามน้ำส้มไป 


*****************
ต่อพรุ่งนี้จ้าาาาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 50% 3/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-01-2019 22:25:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ค้างคาอ่ะ  ไม่อยากรอ  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 50% 3/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-01-2019 23:08:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 100% 4/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 04-01-2019 20:19:18


บ่ายวันใหม่หลังจากผ่านไปอีกสองอาทิตย์

“ยินดีต้อนรับสู่บ้านทุ่งดอกจานครับคุณยาย คุณลุง คุณป้า” ไอ้จ๋ายกมือไหว้และกล่าวตอนรับยิ้มหน้าบาน ความปีติยินดีเต็มตื้นหัวใจเป็นยิ่งนัก กับการกลับมาของผู้ใหญ่ทั้งสาม เมื่อประตูรถเปิดออกไอ้จ๋ารีบกุลีกุจอเข้ามารับ และช่วยประคองคุณยายที่กำลังจะก้าวลงจากรถตู้ มีคุณนภาประคองอีกข้างตามลงมาด้วยคุณกวิน และต้นกล้า

“เป็นไงบ้างจ๋า” คุณยายประไพศรีวางมือลงที่หัวไหล่ของไอ้จ๋าที่ยืนค้อมตัวลงเล็กน้อย มือเหี่ยวย่นเพราะความชราลูบหลังลูบไหล่ของมันเบา ๆ แล้วถามไถ่

“ทุกอย่างเรียบร้อยครับคุณยาย”

“แล้วฉันล่ะแกไม่ยินดีเหรอวะ” ต้นกล้าท้วงเมื่อลงมายืนสูดอากาศที่แสนคิดถึงเข้าเต็ม ๆ ปอดแล้ว เขาเพิ่งนึกได้ว่าในชื่อที่มันกล่าวต้อนรับไม่มีชื่อตัวเองอยู่ในนั้น

“ก็ยินดีสิครับแหม แต่ว่าลูกพี่เพิ่งไปได้ไม่กี่วันเอง ไอ้จ๋ายังรู้สึกว่าลูกพี่ไม่ได้ไปไหนเลยครับ”

“ไม่กี่วันอะไรนี่มันเกือบเดือนเลยนะเว้ย”

“นั่นแหละครับไม่นานสำหรับไอ้จ๋าเลย” แต่อาจจะนานเหมือนเป็นปีสำหรับใครบางคนที่เฝ้ารอ เช้า สาย บ่าย เย็น

“ไงวะสบายดีนะเอ็ง” คุณกวินทักขึ้น

“ไอ้จ๋าสบายดีครับ ว่าแต่คุณลุงมีสูตรเด็ดอะไรครับเนี่ย ถึงได้ยังดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวตลอดอย่างนี้ ว่าง ๆ ก็แนะนำไอ้จ๋าบ้างนะครับ”

“บ๊ะ ไอ้นี่พูดจารื่นหูดีแท้” ทั้งวงฮาครืนกับคำหยอดของไอ้จ๋า ที่เล่นเอาคุณกวินยิ้มหน้าบานไปเลยทีเดียว แม้จะรู้ว่ามันแค่พูดเอาใจก็ตามเถอะ ลูกหลานเอ่ยชมทั้งทีมันก็ต้องมีปลื้มปริ่มกันบ้างล่ะ

“มาแล้วเหรอจ้ะ ขึ้นบ้านกันก่อนเถอะจ้ะ” แม่แจ่มใจที่เพิ่งเดินมาถึงยกมือไหว้คุณยาย คุณนภาลูกพี่ลูกน้องผู้มีศักดิ์เป็นพี่ สาว และคุณกวินผู้มีศักดิ์เป็นพี่เขย แล้วเข้ามาประคองคุณยายแทนไอ้จ๋าจึงไปช่วยลูกพี่ใหญ่ของมันขนของขึ้นบ้าน

“แล้วพี่สมควรไปไหนล่ะแม่แจ่ม” คุณนภาถามหารุ่นพี่ที่มีศักดิ์เป็นน้องเขย

“รายนั้นออกไร่ยังไม่เข้ามาเลยจ้ะพี่นภา”

“ขยันจริง ๆ “ทั้งหมดพากันพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างคิดถึงฉันท์เครือญาติ ที่คุยกันกำลังออกรสได้ที่ก็พอดีกับ....

เอี๊อดดดดด !!!

เสียงล้อรถบดกับถนนคอนกรีตซึ่งเป็นทางเข้าสู่ตัวบ้านเสียงดัง เรียกให้ทุกคนหันไปมองยังจุดเดียว ถัดจากท้ายรถตู้คันใหญ่ไปประมาณห้าเมตรนั้น รถกระบะสี่ประตูสีขาววิ่งเข้ามาด้วยความเร็วและจอดลงอย่างกระทันกัน

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวเรียกคนหัวแดงที่กำลังยืนอึ้งมองเขาอยู่ ด้วยเสียงที่ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวดีใจมากแค่ไหน กับการกลับมาของต้นกล้า ทั้งที่เมื่อวานยังคิดอยู่ว่าจะไปตามหาที่กรุงเทพฯ ทั้งที่หลายวันก่อนไอ้จ๋ามันบอกไม่รู้ว่าต้นกล้าจะกลับวันไหน ชายหนุ่มทำอะไรต่อมิอะไรด้วยหัวใจที่เลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาเกือบเดือน เพราะเอาแต่คิดถึงคนหัวแดงคนนี้ แล้วไหนไอ้จ๋าที่มันเพิ่งจะบอกอีก ว่าต้นกล้ายังไม่มีกำหนดกลับมาง่าย ๆ นี่ดีนะที่เขาตาไว ขณะที่กำลังขับรถมาช้า ๆ มองต้นไม้ใบหญ้าข้างทางไปเรื่อยเปื่อย จากหางตาเขาเห็นรถตู้คันใหญ่วิ่งสวนมา โดยตอนแรกก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรอก เพราะนึกว่าเป็นรถผ่านทางธรรมดา แต่พอเหลือบดูกระจกมองหลังเห็นทะเบียนยาว ๆ เหมือนจะเป็น ‘กรุงเทพมหานคร’ เลยหันกลับไปมองให้เห็นมันชัด ๆ และนั่นมันทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที เพราะมันคือ ‘กรุงเทพมหานคร’ อย่างที่คิดจริง ๆ แล้วสัญชาติญาณมันก็บอกว่า รถคันนี้กำลังพาคนที่ใจโหยหากลับมาให้แล้ว ก้อนเนื้อในอกมันเต้นแรงเพื่อส่งเลือดสูบฉีด จนกลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะแตกตายเอา

เด็ดเดี่ยวเบรกรถกะทันหันเพื่อตั้งสติ เอาจริง ๆ ก็ยังไม่กล้าคิดและไม่อยากหลอกตัวเอง จนกระทั่งเห็นรถตู้เลี้ยวไปอีกทาง อันเป็นทิศทางเดียวกันกับทางไปบ้านไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรี แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมกลับรถเพื่อตามไปดู เพราะชายหนุ่มต้องการเรียกความมั่นใจและความแน่ใจให้ตัวเองเสียก่อน ว่าที่เห็นนั่นไม่ใช่การหลอกตัวเอง เด็ดเดี่ยวไม่ได้ฝันไป เขาไม่ได้ตาฝาด มันไม่ใช่ภาพลวงตา เขาไม่ได้คิดมากจนเห็นภาพหลอน นี่คือความจริง ผ่านไปเป็นครู่พอตั้งสติได้จึงกลับรถแล้วขับตามหัวใจของตัวเองมา

“ลูกพี่เดี่ยว” ได้ยินเสียงไอ้จ๋าดังแว่วเข้ามาในหูแต่เขาไม่สนใจ เพราะตอนนี้สองตาและหัวใจอยู่ที่ใครคนนั้นที่กำลังมองมาที่เขาเหมือนกัน ตาประสานตาแต่เด็ดเดี่ยวไม่รู้ว่าใจมันยังประสานกันอยู่หรือเปล่า เพราะอีกคนทิ้งให้หงอยเหงาไปตั้งหลายวัน เขารู้ว่าตัวเองเป็นเอามาก แต่ความรักมันมักจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ยิ่งถูกทิ้งให้อยู่กับความสงสัยมันยิ่งทรมาน ส่วนไอ้หมาหน้าดำมันต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลังแน่นอน

“ต้นกล้า” คิดว่าตัวเองเรียกอีกคนด้วยเสียงที่ดังมากทีเดียว แต่ในความจริงแล้วมันกลับเป็นเพียงเสียงกระซิบแผ่ว ๆ ที่ผ่านริมฝีปากออกมาเท่านั้น เหมือนสายลมเลื่อนลอย แต่คนที่กำลังมองตอบก็รู้ว่าถูกเรียก ต้นกล้าหน้าตึงและยังยืนนิ่งอยู่ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูก แต่ก็ไม่อาจละสายตาไปมองทาอื่นได้ เพราะต้องยอมรับกับตัวเองว่าตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คนคนนี้คือคนที่อยู่ในห้วงความคิดถึงตลอดเวลา และเพราะความคิดถึงนี่แหละที่ทำให้ต้นกล้าไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าคมกร้านแดดนี้ได้

“มาได้ไงวะเนี่ย” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ มือก็เกาหัวตัวเองไปด้วย เพราะไม่คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะมาไวปานนี้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะตัวมันเองก็ชักหมดสนุกที่ได้แกล้งแล้ว หนำซ้ำยังโดนแฟนโกรธไม่ยอมพูดด้วยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ นี่คงเป็นกรรมที่ตามมาทัน แต่มีหรือว่ามันจะหวั่นเกรง

“ลูกพี่ครับ” ไอ้จ๋าหันมาทางต้นกล้า พบว่าลูกพี่ใหญ่ของมันก็ไม่แพ้ลูกพี่รอง ทั้งสองกำลังประสานสายตาราวกับว่าไม่ได้เจอมาเป็นปี ไอ้จ๋าล่ะให้นึกคับปากยิบ ๆ อยากพูดแซวอยากพูดแซะอะไรออกมาบ้าง แต่ดูเหมือนว่าลูกพี่ทั้งสองจะไม่สนใจใครหน้าไหนอีกแล้ว ตามองตากันส่งสัญญาณและสายใย มองข้ามหัวไอ้จ๋าไปราวกับว่ามันเป็นหมาตัวหนึ่ง ไอ้จ๋าจึงได้แต่แบะปากอย่างนึกหมั่นไส้ ยืนมองคนทั้งสองสลับไปมาจนตาจะเข ยิ่งเมื่อระยะห่างลดลงเรื่อย ๆ เพราะเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามาใกล้ ไอ้จ๋ายิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหมาตัวหนึ่งจริง ๆ และเป็นหมาหัวเน่าซะด้วยจึงไม่ได้รับความสนใจ และมันควรจะไสหัวไปจากตรงนี้ได้แล้ว แต่ขณะที่มันกำลังจะก้าวขาออกไปนั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบเสียก่อน

“มาทำไมวะไอ้ไหนุ่ม” เสียงเข้มที่ดังพอสมควรทำให้เด็ดเดี่ยวสะดุ้งรู้สึกตัว เขาละสายตาจากใบหน้าหล่อเกาหลีที่ฝันถึงทุกคืนไปทางต้นเสียง แม้จะยังตกใจไม่หาย แต่ก็ไม่ลืมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตามมารยาทอันดีงาม ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา

“สวัสดีครับ คุณอา สวัสดีครับคุณยาย คุณอานภา”

“พ่อเดี่ยว ไปไหนมาลูกทำไมขับรถซะเร็วเลยมันอันตรายนะ ยายเป็นห่วง”

“ผมขอโทษครับ พอดีรีบมากเกินไป”

“ทีหลังไม่ต้องรีบก็ได้ บ้านนี้อยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้ตลอดนั่นแหละ”

“ครับคุณยาย ขอบคุณครับ” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้ขอบคุณคุณยาย แต่ก็ต้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อหันไปสบตากับคุณกวิน ที่ยืนมองมาที่เขาตาขวาง

“งั้นขึ้นไปคุยกันบนบ้าน มา ๆ พ่อเดี่ยวมา ไปยังไงมายังไงมาคุยกับยายก่อน ยายคิดถึง”

“ครับ” เด็ดเดี่ยวรับคำคุณยายแล้วหันมาช่วยต้นกล้ากับไอ้จ๋าถือของขึ้นบ้าน โดยไม่ลืมส่งสายตาคาดโทษไปให้ไอ้จ๋าที่มันหลบตาทันที โทษฐานที่มันไม่บอกความจริงว่าต้นกล้าจะมาวันนี้

“มาสิพ่อกวิน ไม่เหนื่อยเหรอ ขึ้นมาพักผ่อนบนบ้านก่อน” เมื่อเห็นลูกเขยยังยืนทำหน้าตึงอยู่ที่เดิม คุณยายจึงหันมาเรียก แล้วเดินนำขึ้นบ้านไป โดยมีคุณนภาผู้เป็นลูกสาวคอยประคองอยู่ข้าง ๆ ตามด้วยแม่แจ่มใจที่ช่วยถือกระเป๋าถือของคุณยายตามไปด้วยอีกคน ส่วนคุณกวินได้แต่เดินตามแม่ยายไปเงียบ ๆ แต่ก็ยังหันกลับไปมองเจ้าของร่างสูง ลูกชายของคู่ปรับเก่าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ชอบใจที่เห็นไอ้หนุ่มนี่มันคอยมาวนเวียนที่นี่ เขาไม่ชอบหนุ่มรุ่นลูกคนนี้มาแต่แรก ด้วยว่านี่คือลูกชายคนโตของไอ้คู่ปรับ แล้ววันนี้ยิ่งให้รู้สึกไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ กับแววตาที่ดูสดใสมีประกายยามที่มองไปที่ลูกชายของตัวเอง คุณกวินไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าคนหวงลูกแล้วพาลหวงไปทุกอย่าง และโดยพื้นฐานที่ไม่ชอบคนพ่ออย่างกำนันอาจหาญด้วยแล้ว เลยพาลไม่ชอบลูกชายของกำนันเข้าไปด้วย

“ต้นกล้าทำไมทิ้งพี่ไปไม่บอกกันแบบนี้” คล้อยหลังผู้ใหญ่เด็ดเดี่ยวเปิดฉากถามถึงสิ่งที่คาใจทันที แต่เขาลืมไปว่ายังมีไอ้หมาหน้าดำยืนทำเกรียนหูผึ่งอยู่ข้าง ๆ นี่ไอ้จ๋าไม่ได้ตั้งใจแอบฟังลูกพี่ทั้งสองเลยนะ ก็อยากมาพูดกันตรงนี้เองทำไมล่ะ ไอ้จ๋าไม่ได้อยากฟังเลยจริง จริ๊ง

“เปล่าเถอะ”

“เดี๋ยวสิ พี่มีเรื่องอยากถาม” เด็ดเดี่ยวเรียกไว้เมื่อต้นกล้าหันหลังจะเดินขึ้นบ้าน

“..” ต้นกล้าชะงักเท้าหยุดเดินไม่ได้หันกลับมาหาอีกคน แต่หูรอฟังคำถาม ส่วนคนหน้ามึนที่เรียกเขาไว้กลับยังเงียบ จนกระทั่งไอ้จ๋าเตือนต้นกล้าจึงเดินขึ้นบ้านไป

“ลูกพี่ครับอย่าเพิ่งมาถามอะไรกันตรงนี้เลยครับ คุณยายบอกว่าให้ขึ้นไปคุยกันบนบ้านก่อนนะครับ คิก ๆ ” มันก็ไม่ได้บอกเพราะความหวังดีหรอก แค่มันไม่อยากพลาดที่จะได้กวนลูกพี่ทั้งสองเท่านั้นแหละ

“..”

“อูย” ไอ้จ๋าแกล้งทำเป็นสะดุ้งได้อย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อเด็ดเดี่ยวหันกลับมามองมันตาขวางไม้แพ้คุณกวิน แล้วจึงเดินตามคนอื่น ๆ ขึ้นบ้านไป โดยไม่พูดอะไรกับมันสักคำ เหลือไว้เพียงไอ้จ๋ากับกระเป๋าสัมภาระหลายใบ เหมือนบอกเป็นนัยว่ามันต้องขนขึ้นบ้านไปคนเดียว ดีที่ลุงคนขับรถมาช่วยหลังจากหลบไปเข้าห้องน้ำเสียนาน

เด็ดเดี่ยวขึ้นบ้านมาผู้ใหญ่ทั้งสี่ ก็นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่แล้วที่ซุ้มชานบ้านมุมโปรด ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคุณยายถามแม่แจ่มใจเรื่องงานในไร่ในนาช่วงที่คุณยายไม่อยู่ คุณยายประไพศรีนั่งเด่นเป็นประธาน เมื่อเห็นชายหนุ่มก็เรียกให้เข้าไปนั่งคุยด้วยกัน และคุณยายก็ผูกขาดการตั้งคำถามแต่เพียงผู้เดียว โดยมีเด็ดเดี่ยวคอยตอบคอยอธิบาย บ้างก็เล่าวีรกรรมต่าง ๆ ระหว่างเขากับต้นกล้า ตั้งแต่วันแรกที่หลานชายคุณยายลงดำนาจนถึงวันนี้ ผ่านไปครู่ใหญ่คนแก่ที่นั่งรถมานานเริ่มเหนื่อย เด็ดเดี่ยวเลยเสนอให้คุณยายพักผ่อน

“คุณยายดูเพลีย ๆ คงอยากพักผ่อน เดี๋ยวผมขอตัวลงไปคุยธุระกับไอ้จ๋าก่อนนะครับ“ เด็ดเดี่ยวบอกความตั้งใจที่ไม่ค่อยตรงใจของเขาหรอก ธุระกับไอ้จ๋าเอาไว้คุยเมื่อไหร่ก็ได้เพราะยังไงก็ต้องคิดบัญชี ใจอยากคุยกับคนที่ขอตัวเข้าไปทำอะไรบางอย่างในห้องของตัวเองมากกว่า เขามองคนหัวแดงเดินเข้าห้องตาละห้อย ใจมันลอยตามไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นติดที่ร่างกายยังไปไหนไม่ได้ เพราะนอกจากคุณยายที่ยังคุยกับเขาอยู่ ตาดุ ๆ ของคุณกวินยังจ้องนิ่งเหมือนอยากตอกตรึงให้เขาติดอยู่กับพื้นบ้านมันตรงนี้ ไม่ให้ลุกไปไหนได้

“คนแก่ก็อย่างนี้แหละพ่อเดี่ยว ถ้าไม่ถือสายายขอเอนหลังสักหน่อยก็แล้วกัน”

“ผมสิครับต้องเกรงใจที่มารบกวนคุณยาย”

“จะคุยอะไรกับไอ้จ๋าล่ะครับลูกพี่”

“มีแน่” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงเข้มมองไอ้จ๋าที่เดินถือของขึ้นเรือนมาตาดุ

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะพ่อเดี่ยวไม่ต้องเกรงใจ ยายขอตัวก่อน” คุณยายลุกขึ้นโดยมีแม่แจ่มใจช่วยประคอง

“ปะเดี๋ยวพี่พาไปพักผ่อนสักหน่อยนะจ้ะน้องนภา เมื่อกี้บอกเพลียใช่มั้ย”

“จ้ะ งั้นอาขอตัวอีกคนนะพ่อเดี่ยว”

“ครับ” คุณกวินรีบประคองภรรยาไปที่ห้องพัก คิดว่าหากไม่มีคนอยู่คุยด้วย ไอ้ลูกชายของคู่ปรับเก่ามันจะได้กลับไปสักที โดยไม่รู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด เพราะนี่เขาได้เปิดโอกาสให้หนุ่มรุ่นลูกเข้าให้แล้ว

เด็ดเดี่ยวมองตามหลังคุณกวิน จนว่าที่พ่อตาปิดประตูเข้าห้องไปแล้วนั่นแหละ จึงได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในหัวคิดว่าถ้าเขาจะเข้าไปหาต้นกล้าตอนนี้จะดีไหม มันต้องดีสิไม่ได้เจอกันตั้งเป็นเดือนแล้วมันจะไม่ดีตรงไหน หรือว่าจะไม่ดีวะ เพราะเขาควรจะต้องมีความเกรงใจผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือ แต่มันอดคิดถึงไม่ได้นี่หว่านี่หัวใจมันเรียกร้องนะ แต่มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทเกินไปหรือ ที่จะเข้าไปหากันแบบนั้น แหม..ทำอย่างกับว่าไม่เคยเข้าไปเสียอย่างนั้นแหละ..ไอ้เดี่ยวเอ๊ย!

โธ่เว้ย! เถียงกับตัวเองในใจกลับไปกลับมาตั้งนาน ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนกระทั่งในที่สุดความโหยหาคิดถึงมันก็ชนะ ชายหนุ่มสูดหายใจยาวเข้าปอด เพื่อเรียกความมั่นใจแล้วลุกขึ้นยืน

“ลูกพี่จะไปไหนครับนั่น” เด็ดเดี่ยวหันกลับมามองทางต้นเสียงที่ทักขึ้น ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามแต่ทิ้งสาตาดุ ๆ คาดโทษไอ้จ๋าเอาไว้เหมือนเดิม แล้วเดินไปทางส่วนหลังของตัวบ้าน จุดหมายปลายทางคือห้องนอนของใครบางคน



ฟอด

“เฮ้ย เข้ามาทำไม” ต้นกล้าพยายามเอี้ยวตัวหันกลับมาโวยวาย เพราะถูกสวมกอดเอาไว้จากข้างหลัง ถึงจะอยู่ในห้องของตัวเอง แต่จะต่อว่าเสียงดังมากก็ไม่ได้ ด้วยข้างนอกนั่นมีทั้งพ่อ แม่ และคุณยาย แถมน้าแจ่มใจกับไอ้จ๋าด้วย จึงได้แต่ต่อว่าผู้บุกรุกเสียงเบาแสดงความไม่พอใจออกมาทางสายตาอย่างไม่ปิดบัง

“พี่คิดถึง ทำไมถึงได้ใจร้ายกับพี่ขนาดนี้” จุ๊บ!

“..” ต้นกล้าตาโต แม้จะเคยโดนมาหมดแล้วทั้งจูบ ทั้งหอม ทั้งกอด ทั้ง...เอ่อ นั่นล่ะ ช่างมันเถอะ แต่ยังไงเขาก็ยังไม่ชินอยู่ดี ไหนจะยังมีผู้ใหญ่อยู่ข้างนอกนั่นอีกตั้งหลายคน ทำไมคนคนนี้ถึงได้หน้าด้านหน้ามึนอย่างนี้นะ นี่เข้ามาก็ว่าเสียมารยาทเกินไปแล้ว ยังจะมาทำตัวรุ่มร่ามกับเขาอีก “อย่ารุ่มร่ามสิออกไปก่อน”

“ทำไมต้นกล้าใจร้ายกับพี่อย่างนี้ล่ะ” เด็ดเดี่ยวตัดพ้อใบหน้าหล่ออย่างไทยแท้บึ้งตึง จับคนในอ้อมแขนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน

“เราไปทำอะไรให้ล่ะ”

“ต้นกล้ามีความผิดหลายกระทงเลยรู้มั้ย”

“ไม่รู้เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด”

“ไม่รู้เดี๋ยวพี่จะบอกให้”

“จะบอกก็บอกดี ๆ สิปล่อยเราก่อน” ใช่เมื่อเด็ดเดี่ยวบอกว่าต้นกล้ามีความผิด ชายหนุ่มก็รวบร่างของคนที่ขืนตัวออกห่างเข้าสู่อ้อมกอดเหมือนเดิม และกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนแทบหายใจไม่ออก

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวคนเกเรจะหนีพี่ไปอีก”

“เราไม่ได้หนีเหอะ”

“หนีไปไม่บอกไม่กล่าว พี่ทำผิดอะไร ไม่พอใจอะไรก็บอกพี่หน่อยสิ”

“เหอะ”

“ต้นกล้าต้องโดนลงโทษ”

“เรื่องอะไร”

“ความผิดเยอะมาก” จุ๊บ เขาถือโอกาสจูบลงที่หน้าผากมนของคนในอ้อมแขน เหมือนเป็นการลงโทษประกอบคำพูดที่บอกว่า ‘ความผิดเยอะมาก’ อย่างคนที่อดใจเอาไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาของเด็ดเดี่ยวโชนแสงปรารถนาแรงอย่างไม่ปิดบัง

“อย่ามาตู่นะ..”

“.ผิดที่หนีพี่ไปไม่บอกกัน” จุ๊บ ริมปากสีระเรื่อได้รูปถูกลงโทษเป็นลำดับต่อมาด้วยจูบหนัก ๆ กดแนบลงแต่ไม่ได้รุกล้ำภายใน

“! .”

“ผิดที่ทำให้พี่คิดถึงแทบขาดใจ” ฟอด แก้มซ้ายที่แดงระเรื่อน่ามองเป็นที่รองรับโทษลำดับต่อมา จูบแล้วก็สบตากันอยู่อย่างนั้นจนคนในอ้อมกอดสั่นสะท้าน ต้นกล้าเม้มปากแน่นไม่ให้ตัวเองยิ้ม บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อนกับการะกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ส่ายหน้าและเอ่ยค้านเบา ๆ

“เปล่า..”

“ผิดที่ไม่ยอมรับสายพี่” ฟอด ฟอด จากแก้มซ้ายแล้วย้ายมาแก้มขวาด้วยการกดจมูกโด่งเป็นสันลงหนัก ๆ จนเจ้าของแก้มนวลโวยวาย

“โอ๊ย มากไปแล้ว...”

“ต้นกล้าผิดที่ทำให้พี่คิดถึงจนไม่เป็นอันกินอันนอน” ฟอด ฟอด ฟอด เน้น ๆ ย้ำ ๆ ลงบนแก้มทั้งสองข้างสลับกันไปมา เหมือนอยากบอกว่าความผิดนี้ของต้นกล้ามีโทษสถานเดียว คือต้องยอมให้เด็ดเดี่ยวกระทำการทุกอย่างตามอำเภอใจ อย่างที่เขากำลังทำ แต่ความจริงที่คนตัวโตรู้ดีนั่นก็คือ ชายหนุ่มโหยหาเจ้าของร่างสูงโปร่งนี่เหลือเกิน โหยหาจนห้ามใจตัวเองไม่อยู่ โหยหาอย่างคนหลงใหลจนต้องทำตามใจตัวเองอย่างนี้ โดยเอาบทลงโทษมาเป็นข้ออ้าง

“มากไปแล้วนะ”

“ใช่ผิดมากเลยล่ะ”

“ที่พูดมาไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราเลยนะ”

“คนดื้อ”

“ปล่อยหายใจไม่ออกแล้วจะกอดอะไรนักหนาเนี่ย”

“กอดชดเชย” ตุบ! “เฮ้ย “สิ้นเสียงบอกของเด็ดเดี่ยวตามมาด้วยเสียงดังตุบเหมือนของหนัก ๆ ตกลงบนที่นอน จากนั้นเป็นเสียงอุทานตกใจของต้นกล้าที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อร่างทั้งสองถูกคนตัวโตกว่า รั้งให้ทิ้งตัวลงไปบนเตียงนุ่มด้วยกันอย่างรวดเร็ว ต้นกล้าได้แต่ร้องอุทานออกมาเพราะความตกใจ โดยไม่ลืมรักษาระดับเสียงเพื่อไม่ให้ใครที่อาจจะอยู่ด้านนอกได้ยิน เด็ดเดี่ยวพลิกตัวขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนรวดเร็วทันใจตัวเอง แววตามีแต่แสงแห่งความต้องการ แต่ใบหน้าของชายหนุ่มกลับยังคงดูบึ้งตึงแบบที่คนงอนเขาชอบทำ คนตัวโตใช้แววตานั้นจับจ้องใบหน้าหล่อเกาหลี จนต้นกล้าสั่นสะท้านหายใจถี่ ไม่รู้เพราะตื่นเต้นกับแววตาน่าหลงใหลหรือตกใจที่ถูกจู่โจม

“ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนั้นออกทีวี”

“เหยอ ได้ดูด้วยเหรอ” ใบหน้าหล่อเกาหลีดูเหวอจริง ๆ เพราะเขาไม่คิดว่าคนอย่างเด็ดเดี่ยว จะมาดูรายการอะไรแบบนี้ ต้นกล้าคิดไม่ถึงจริง ๆ

“ได้ดูสิ แล้วมันก็ทำให้พี่..” เด็ดเดี่ยวหน้านิ่งไปจนต้นกล้าใจเสีย แต่ก็ยังรอฟังว่าคนตัวโตจะพูดอะไรออกมา

“..??” เมื่ออีกคนยังเงียบจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เด็ดเดี่ยวก็ไม่มีทีท่าว่าจะพูดต่อ เขาทำแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาแล้วเม้มปากแน่น จากนั้นก็เอาแต่เงียบและใช้สายตาหงอย ๆ ที่ทำให้ต้นกล้าเห็นแล้วรู้สึกผิดเป็นอย่างมากมองตอบ ความปรารถนาในคราแรกหมดไปแล้ว เมื่อคิดถึงคำตอบของต้นกล้าวันนั้น’ ไม่มีครับ’ เพราะมันทำให้เด็ดเดี่ยวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมายอะไร เหมือนไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกคนเลยด้วยซ้ำ

“มัน..” ต้นกล้าที่ใจสั่นอยู่แล้วพาลสั่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะลึก ๆ ก็ห่วงความรู้สึกของกันอยู่ไม่น้อย คนหัวแดงเม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะถามออกมา

“อะ อะไร มันอะไร”

“มัน..”

“อือฮึ” คิ้วได้รูปของต้นกล้าถูกยกขึ้นอีกครั้งเป็นเชิงบอกว่ารอฟังอยู่ ทำให้เด็ดเดี่ยวมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตาสวยจับจ้องที่ปากของคนตัวโตกว่า เหมือนรอให้คำพูดหลุดออกมา จึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าบัดนี้เสื้อยืดของตัวเอง ถูกมือใหญ่ถลกขึ้นสูงมากแล้ว

ต่ออ จ้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 100% 4/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 04-01-2019 20:20:22



“มันทำให้พี่...”

“พี่เป็นอะไรล่ะ” เสื้อยืดตัวบางที่ถูกถลกขึ้นเปิดเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบน่าสัมผัส และมือใหญ่สากงานก็กำลังลูบไล้แผ่วเบา

“ทำให้พี่ คิดว่า ต้อง ‘ลงโทษ’ ต้นกล้าสถานหนัก” จุ๊บ!

“อื้ออออ” เฮือก! “บ้าไปแล้ว อย่ารุ่มร่ามกับเราดิ เดี๋ยวข้างนอกก็ได้ยินหรอกออกไปเลยไป” นั่นแหละถึงได้รู้สึกตัวและผลักไสอีกคนออกห่างเป็นพัลวัน หลังจากที่โดนดูดปากหนัก ๆ ไปหนึ่งที จนริมฝีปากสีชมพูจาง ๆ ในตอนแรกขึ้นสีแดงก่ำในตอนนี้เพราะแรงดูด แต่ดูเหมือนว่าการลงโทษยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อปล่อยให้ปากของต้นกล้าเป็นอิสระ เด็ดเดี่ยวก็ไถลตัวเองลงด้านล่าง ใบหน้าคมคร้ามอยู่ระดับหน้าท้องแบนราบขาวเนียนที่เขาถลกเสื้อเปิดทิ้งไว้ เด็ดเดี่ยวหายใจหนักนัยน์ตาคมวาวโรจน์ และโดยไม่ทันได้รู้ตัวต้นกล้าก็ถูกคนหน้ามึนงับเข้าที่ผิวเนื้อขาวนวลผ่องตรงหน้าท้องเต็ม ๆ เขี้ยว

“อ๊ากก เดี่ยว เด็ดเดี่ยวเจ็บ” ต้นกล้าพยายามผลักไสให้อีกคนออกห่าง แต่ถึงจะผลักไสยังไงก็ไม่เป็นผลเลย เพราะเด็ดเดี่ยวที่นอกจากจะตัวโตกว่ามาตรฐานชายไทยแล้ว เขายังมากไปด้วยพละกำลังอย่างที่บุรุษเพศผู้แข็งแกร่งพึงมี ยิ่งเมื่อเทียบกับแรงผู้ชายธรรมดาที่เจ้าสำอางอย่างต้นกล้า พละกำลังมันจึงห่างชั้นกันมากโข คนตัวโตเม้มริมฝีปากไปตามเนื้ออ่อน สลับกับการใช้ฟันครูดเหมือนจะกัดไปตามผิวด้วย ทำให้เจ้าของนวลเนื้อเจ็บจี๊ดปนความรู้สึกวาบหวิวสยิวจนสะดุ้ง

“อื้อออ เด็ดเดี่ยวเราจั๊กจี้ อย่า คึคึ”

“เกเรใช่มั้ย”

“อย่า ฮ่า ๆ อ๊ากกก”

“บอกมาก่อนว่าจะเป็นเด็กดีของพี่ได้หรือยัง”

“ปล่อย อื้ออ อ๊ากก เด็ดเดี่ยวปล่อยก่อน เดี๋ยวคุณยายได้ยินหรอก”

“ได้ยินก็ได้ยินสิ พี่จะได้ขอต้นกล้ากับคุณยายซะเลย”

“เฮ้ย อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ ปล่อย อ๊ากก อย่าจี้ โอ๊ย อย่ากัด”

“หึ ๆ “

“พอ ๆ พอแล้วโว้ย ไม่เอาแล้ว ไอ้พี่เดี่ยวพอเดี๋ยวข้างนอกได้ยิน ห้ามให้ใครรู้” กึก! การกระทำทุกอย่างหยุดชะงักลงทันทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้าย เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อใสอย่างไม่เข้าใจ เด็ดเดี่ยวมองตาต้นกล้านิ่งเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่จะพอตอบคำถามได้ หลังจากได้ยินคำว่า ‘ห้ามให้ใครรู้’

“ทำไมล่ะ”

“คือ.. เรา”

“..หืม..เราทำไม?”

“เรายังไม่พร้อม” ต้นกล้าบอกเสียงอ่อยหลบสายตา

“แต่พี่พร้อมแล้ว ต้นกล้ากลัวอะไรไม่แน่ใจอะไร” เมื่อเจอคำถามนี้ภาพต่าง ๆ ที่ต้นกล้าบังเอิญได้เห็นก็ไหลเข้ามาในหัวอีกครั้ง ภาพชายหนุ่มเดินหัวเราะยิ้มร่าสบตาหวานซึ้งกับหญิงสาวคนสวยอยู่ในห้าง และเข้าไปกินอาหารด้วยกัน นั่งคุยกันกะหนุงกะหนิง ภาพที่ชายหนุ่มกอดปลอบหญิงสาวคนเดียวกันที่บ้านของตัวเองวันนั้น พร้อมกับเอ่ยคำรักและคำปลอบโยน มันทำให้ต้นกล้านึกกลัวเหลือเกิน ทั้งที่บอกตัวเองไม่ให้คิดมากทุกวัน แต่กลับไม่เคยหยุดคิดได้เลย เพราะภาพที่เห็นมันก็ชวนให้คิดไปไกล จึงไม่มีการถามไถ่และต้องมานั่งคิดมากอยู่อย่างนี้ ก็เห็นออกจะหวานปานนั้นและจะไม่ให้คิดมากได้ยังไงกันล่ะ

ต้นกล้าไม่ลืมง่าย ๆ แต่มีบางสิ่งบางอย่างทำให้เขาไม่คิดจะถามออกไปตรง ๆ แล้วเลือกที่จะเก็บงำเอาไว้ และเก็บมาคิดมากเพียงคนเดียว ถ้าอย่างนั้นก็โยนมันให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก็แล้วกัน ยังไงต้นกล้าก็ผู้ชายคนหนึ่ง หากอีกคนจะมีผู้หญิงที่จริงจังอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าเรื่องระหว่างเขากับคนตัวโต มันเป็นเรื่องสนุก ๆ ขำ ๆ ที่แทบจะหัวเราะไม่ออก แม้ต้นกล้าจะอดหึง เอ่อ ..หึงเหรอ เออหึงนั่นแหละ แม้ว่าต้นกล้าจะอดหึง อดโกรธ หรืออดที่จะงอนเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ก็ตามเถอะ

“จะไปไหนครับ”

“เราจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย”

“กลัวทำไม พี่ยังไม่กลัวเลย” กลัวสิหากเรื่องระหว่างทั้งสองมันกลายเป็นแค่เรื่องขำ ๆ จริง ต้นกล้าก็ไม่อยากให้ใครมารับรู้มากไปกว่านี้หรอก หากเด็ดเดี่ยวจะรักจะชอบกับผู้หญิงคนนั้นจริง ก็ไม่ควรให้ใครได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นดีที่สุด

“เหอะ ไม่กลัวก็ช่างมีใครรออยู่ที่บ้านก็รีบกลับไปหาเขาซะเถอะ อย่ามาเสียเวลากับเราเลย” นั่นปะไรล่ะค่อย ๆ ออกมาแล้ว เด็ดเดี่ยวคิดถึงข้อสงสัยใคร่รู้ของเขากับท่าทีมึนตึงของต้นกล้า ก็เริ่มแน่ใจว่าอีกคนคงมีเรื่องเข้าใจผิดที่ไม่ยอมถามให้กระจ่าง

“พูดแบบนี้หมายความว่ามีเรื่องจริง ๆ ต้นกล้ากำลังเข้าใจอะไรพี่ผิดแน่ ๆ “

“เราว่าเราเข้าใจถูกนะมีอะไรบอกเราตรง ๆ ได้ก็แล้วกัน”

“มี พี่มีอะไรจะบอกเหมือนกัน”

“อะไร”

“พี่รัก”

“..” ถึงเด็ดเดี่ยวจะไม่ได้บอกว่ารักใคร แต่สายตาที่มองมาอย่างเปิดเผยความรู้สึก เหมือนสายใยที่กำลังถักทอเกาะเกี่ยวทั้งสองไว้ด้วยกัน มันเดาได้ไม่ยากว่าคนที่เขาบอกว่า ‘รัก’ ก็คือคนที่กำลังสบตากันอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า แต่ชายหนุ่มไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว คำรักจึงถูกเอ่ยออกมา พร้อมกับแววตาที่สะท้อนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ว่าเขานั้นรักมากแค่ไหน มันดูจริงจังอย่างคนจริงที่จริงใจ จนต้นกล้าไม่อยากสบตามองนาน เพราะมันทำให้ใจของเขาหวั่นไหวจนสั่นสะท้านไปหมด ใบหน้าหล่อเกาหลีหันหนีไปมองข้าง ๆ แต่ก็ถูกจับปลายคางให้หันกลับมาเหมือนเดิม

ดวงตาเว้าวอนโหยหา ทำให้ต้นกล้าไม่อาจละสายตาจากใบหน้าคมคร้ามนั่นไปได้ ตาสวยมองเด็ดเดี่ยวอย่างพินิจไปทั่ววงหน้าคมคาย พร้อมกับระยะห่างที่ค่อย ๆ ลดสั้นลง สุดท้ายริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าหากันอย่างยากจะห้ามใจ เพราะตลอดเกือบเดือนหนึ่งที่ต้องห่างกันมันบอกได้เป็นอย่างดี ว่าทั้งสองต้องการกันและกันมากพอกัน ต้นกล้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาไม่อยากถามเรื่องราวให้มันกระจ่าง ตอนนี้เขาอยากวางทุกอย่างลงและลืมมันไปบ้างให้ได้ แม้จะเป็นเพียงชั่วคราวก็ยังดี อาจจะดูมักง่ายที่ปล่อยให้มีเรื่องคาใจแล้วไม่ถาม แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ช่างมันก่อนก็แล้วกัน ต้นกล้าอยากจูบ อยากถูกคนคนนี้จูบแค่คนนี้คนเดียว และดูเหมือนว่าอีกคนก็ต้องการไม่แพ้กัน ความโหยหาคิดถึงกันถูกแสดงออกมาผ่านจูบแสนหวาน เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดรึงหยอกเย้าแล้วค่อย ๆ ไต่ระดับดีกรีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ มือกร้านงานลูบไล้สัมผัสร่างกายกันและกันอย่างไม่ปิดบังความต้องการ แต่เพียงไม่นานความรู้สึกทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงแว่วมาจากนอกห้อง เสียงของใครบางคนที่อยู่ข้างนอกเรียกชื่อต้นกล้า และทำให้จูบแสนหวานที่ไต่ระดับความละมุนละไม มาถึงความเร่าร้อนแผดเผาใจต้องหยุดชะงักลง

"เจ้ากล้า”

“นั่นเสียงคุณพ่อเรียกเราปล่อยก่อน” เด็ดเดียวยอมปล่อยต้นกล้าออกจากอ้อมแขนแต่โดยดี เพราะการตอบรับของคนหัวแดงเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เขาพอใจมากแล้ว ส่วนเรื่องที่คาใจสงสัยก่อนหน้านี้ ก็คงเป็นเรื่องบางอย่างที่ทำให้ต้นกล้าเข้าใจผิด เดี๋ยวไม่นานอีกคนก็คงอดไม่ได้ที่จะคายมันออกมา

“เฮ้ย ไอ้หนุ่มนี่ยังไม่กลับบ้านกลับช่องตัวเองอีกหรือยังไงวะ”

“ยังครับ”

“นั่นสิแล้วเมื่อไหร่จะกลับ มาลอยหน้าลอยตาอยู่บ้านคนอื่นนานเกินไปแล้วมั้ย”

“ครับอีกเดี๋ยวเสร็จธุระก็กลับครับ”

“ไม่ต้องรอให้เสร็จธุระหรอกโวยรู้ตัวว่าอยู่นานเกินไปแล้วก็รีบ ๆ กลับไปซะ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากลาคุณยายด้วยนะต้นกล้า”

“เอ่อ อืมได้สิ” ต้นกล้าที่ยืนเงียบฟังตั้งแต่แรกแทบตอบรับไม่ทัน เมื่อเด็ดเดี่ยวหันมาฝากลากับเขา ชายหนุ่มเดินตามหลังต้นกล้าออกมาจากห้องแล้วไม่เจอใคร เลยเดินลงบันไดมาข้างล่าง จึงเห็นต้นกล้ากำลังยืนคุยกับคุณกวินผู้เป็นพ่ออยู่หน้าบ้าน แต่ลงบันไดเรือนมายังไม่ทันถึงพื้นดินก็โดนไล่เสียแล้ว เขาจึงจำต้องกลับไปตั้งหลักเสียก่อน เพราะดูเหมือนว่าตัวเองจะไม่ค่อยเป็นที่ตอนรับของว่าที่พ่อตาเอาเสียเลยจริง ๆ

“เอ๊ะ เมื่อกี้แกอยู่ไหนวะไอ้หนุ่ม เดินลงมาจากบ้านแบบนี้ เมื่อกี้แกไปอยู่ไหนมาทำไมฉันไม่เห็นแก”

“ผม เอ่อ..” เด็ดเดี่ยวหันไปมองต้นกล้าเพราะอยากรู้ว่าอีกคนอยากจะให้เขาตอบยังไง

“ไม่อยู่ไหนหรอกครับคุณพ่อ เขาก็นั่งอยู่ชานบ้านนั่นแหละคุณพ่อไม่เห็นเอง”

“จริงเหรอลูกพ่อ”

“ครับ”

“อืม เฮ้ย! “

เอี๊ยดดดดดดด !! กึก!!

“ใครมาอีกล่ะนั่น” คุณกวินหันไปทางต้นเสียงที่เกิดขึ้นจากล้อรถบดกับถนน ซึ่งเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว “ไอ้กำนันอาจหาญมันมาทำไมวะ “

“พ่อ” เด็ดเดี่ยวเรียกเมื่อพ่อกำนันเกิดประตูลงจากรถแล้วเดินตรงเข้ามาหา ต้นกล้ายืนมองนิ่งเขาไม่ได้รู้สึกอะไรจนกระทั่งประตูรถฝั่งข้างคนขับเปิดออก และตามลงมาด้วยหญิงสาวสวยน่ารักคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคนที่เขาเห็นอยู่กับเด็ดเดี่ยวที่ห้างวันนั้น และเห็นอีกครั้งก็ตอนกอดกันกับเด็ดเดี่ยวที่บ้านในวันต่อมา พร้อมกับคำบอกรักและปลอบประโลม

‘โว้ยจะมาคิดถึงอะไรตอนนี้วะ!’  ต้นกล้าได้แต่ด่าตัวเองในใจเหมือนคนบ้า ยิ่งเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เดินตามหลังกำนันอาจหาญเข้ามาชัดเจน ต้นกล้ายิ่งได้เห็นถึงความสวยน่ารักของสาวเจ้าจนเผลอมองไปเป็นครู่ ใช่สิ! ก็น่ารักออกอย่างนี้คงไม่แปลกที่เด็ดเดี่ยวจะมองไม่วางตาเช่นกัน ทั้งมองทั้งยิ้มหวานออกมา ไหนจะสายตาที่อ่อนโยนนั่นอีก ไหนจะการพูดเล่นหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีนั่นอีก แบบนี้จะไม่ให้ต้นกล้าคิดมากได้ยังไงไหวล่ะวะ!

‘ฮึ่ย! คิดเป็นตุเป็นตะได้อีกแล้ว’  ต้นกล้าดึงสติตัวเองกลับมา ไม่ลืมยกมือไหว้เมื่อกำนันเดินเข้ามาถึง และไม่ลืมรับไหว้หญิงสาวที่เดินตามหลังกำนันมาด้วย เธอยิ้มหวานยกมือไหว้คุณกวิน และหันมาไหว้ต้นกล้าอย่างมีมารยาท แม้ยังไม่ได้รับการแนะนำตัว

“สวัสดีครับลุงกำนัน”

“สวัสดีลูก พอดีลุงได้ข่าวว่าคุณยายกลับมาจากกรุงเทพแล้วก็เลยว่าจะแวะมาทักทายสักหน่อย” กำนันอาจหาญส่งยิ้มอารมณ์ดีให้ต้นกล้าเมื่อตอบคำถาม และต้องยิ้มขำออกมากว้างยิ่งกว่าเก่า เมื่อหันไปเห็นคุณกวินยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้าง ๆ ลูกชาย “สวัสดีกวิน สบายดีนะ”

“เออ ยังไม่ตาย จมูกไวดีนะเพิ่งมาถึงวันนี้ก็รู้กันแล้วทั้งพ่อทั้งลูกเลย”

“หึ ๆ ว่ายังไงไอ้ลูกชายเสร็จธุระแล้วเมื่อไหร่จะถึงบ้านวะ” กำนันหัวเราะในลำคอไม่สนใจคำค่อนขอดของคุณกวิน แต่หันไปถามลูกชายของตัวเองแทน

“นั่นสิพี่เดี่ยว” หญิงสาวที่เดินตามกำนันอาจหาญมาพูดขึ้น ต้นกล้าหันมองตามแต่ก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้กับสายตาของเธอคนนี้ ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ไม่วางตา ไม่รู้เธอจะมองอะไรนักหนา มองแล้วก็อมยิ้มอยู่อย่างนั้นเหมือนคนรู้จักกันมานาน ทั้งที่ก็เพิ่งจะเจอกันวันนี้ ต้นกล้าไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพระถือว่าเป็นแขกที่มากับลุงกำนัน

แต่เดี๋ยวนะ! หรือว่าเธอคนนี้จะรู้อะไรเรื่องเกี่ยวกับเขา หรือจะมาตามคนของตัวเองกลับบ้าน หนำซ้ำยังมากับลุงกำนันเสียด้วย ต้นกล้าคิดไปไกลใจก็แอบรู้สึกไม่ดีเองอยู่คนเดียว

“ก็กำลังจะกลับอยู่แล้วนี่ล่ะพ่อ”

“เออ ไว้รอกลับพร้อมกันก็ได้ เดี๋ยวขอคุยกับคุณยายก่อน”

“คุณยายหลับครับลุงกำนัน” ต้นกล้าบอก

“อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรเดี๋ยววันหลังลุงแวะมาใหม่ก็แล้วกัน”

“ครับ”

“เออ รีบกลับเลยนะไอ้กำนันเอาลูกชายแกกลับไปด้วย”

“หึหึ“ กำนันหัวเราะกับท่าทางของคุณกวิน แล้วหันไปมองหน้าลูกชาย เพราะมองเห็นซุงท่อนใหญ่ที่ขวางเป็นอุปสรรคอยู่ตรงหน้ามันแล้ว แต่พอรู้สึกถึงชายเสื้อซาฟารีที่ใส่อยู่ถูกกระตุกยิก ๆ จึงหันไปมองข้าง ๆ “อะไร”

“ลุงยังไม่ได้แนะนำฟ้าเลยนะจ้ะ” น้ำฟ้ากระซิบบอก

“เอ้า อยากมีตัวต้นกับเขาเหมือนกันเหรอแก”

“ลุงก็แนะนำฟ้าหน่อยสิรู้จักกันไว้บ้างก็ดีนะ” น้ำฟ้าอยากรู้จักกับต้นกล้าซึ่งเป็นคนที่พี่ชายรักจนเนื้อเต้น จึงรอไม่ได้ที่ไม่มีใครแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการสักที

“เอ้า เออ ๆ ต้นกล้านี่น้ำฟ้านะหลานสาวลุงเอง น้องสาวอีกคนของไอ้เดี่ยวมัน” เคล้ง !!! ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่เปราะบางราวกับแก้วเจียระไนอย่างดี ตกลงกระแทกพื้นแตกกระจายเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วท้องทุ่ง ซึ่งอะไรบางอย่างที่เปราะบางที่ว่าก็ดูเหมือนจะเป็นหน้าของเขานี่ล่ะ ที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนแหลกละเอียด เมื่อกำนันอาจหาญแนะนำหญิงสาวให้รู้จักว่าเป็นหลานสาว!

เป็นน้อง!

เป็นน้องอีกคนของไอ้เดี่ยวมัน! น้องไอ้เดี่ยว! น้องอีกคน! ลุงกำนันบอกมาอย่างนั้น และมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเข้าใจผิดไป เป็นเขาเองที่เข้าใจผิดมาตลอด แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะ เห็นคุยกันกะหนุงกะหนิงออกหน้าออกตาอย่างนั้น ไหนจะบอกรักแถมยังกอดเสียแน่นอีก แบบนี้ใครมันจะไม่เข้าใจผิดล่ะวะ



ต้นกล้าโทษลมโทษแล้งแต่ไม่โทษตัวเองที่ไม่พูดไม่ถาม อยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออกอยากบอกก็บอกไม่ถูก แต่จะไม่ยิ้มให้สาวน้อยตรงหน้าก็คงไม่ได้ เพราะเธอเอาแต่มองเขาแล้วก็ยิ้มสวยมาให้เหมือนยินดีนักหนา

“แล้วนี่คุณลุงกวินเป็นพ่อของพี่กล้าเขา”

“สวัสดีค่ะคุณลุง” ถึงคุณกวินจะไม่ชอบใจที่คู่ปรับเก่าอย่างกำนันอาจหาญมาอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อได้รับการแนะนำก็ยกมือขึ้นมารับไหว้พร้อมรอยยิ้มมารยาท เพราะเขาก็แค่ไม่ถูกชะตากับกำนันและลูกชายของมัน ส่วนสาวน้อยน่ารักคนนี้ได้รับการยกเว้น

“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าลุงกลับก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกคุณยายด้วยนะว่าลุงแวะมาคุยด้วย”

“ครับ”

“วันหลังไม่ต้องมาก็ได้นะ / เดี๋ยวโอกาสหน้าลุงแวะมาใหม่” คุณกวินกับกำนันอาจหาญพูดออกมาพร้อมกัน แต่ความหมายสวนกันไปคนละทาง ระหว่างคนขี้หวงของที่ไม่อยากต้อนรับคู่ปรับเก่า และคู่ปรับเก่าที่อยากแวะเวียนเยี่ยมเยือนไปมาหาสู่

กำนันอาจหาญหันไปมองคุณกวินที่ยืนกอดอกเชิดหน้าท่าทางหยิ่งก็ได้แต่อ่อนใจ สมัยหนุ่ม ๆ เป็นยังไงตอนนี้คุณกวินก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม

“คนกันเองไปมาหาสู่กันไว้ ยังไงฉันก็ต้องมาอยู่แล้ว”

“ไม่ต้องมาน่ะดีแล้วเว้ย”

“ถ้าอย่างนั้นลุงกลับล่ะ” กำนันไม่สนใจคนเจ้าทิฐิอย่างคุณกวิน เลยหันไปบอกลาผู้เป็นลูกชายของเขาแทน

“สวัสดีครับ”

“พี่ไปนะต้นกล้า”

“อืม” ล่ำลากันแล้วก็ถึงเวลาที่ครอบครัวกำนันออกจากบ้านคุณยายสักที คุณกวินมองตามเหมือนอยากให้แน่ใจว่ารถสองคันของสองพ่อลูกจากไปแล้วจริง ๆ จึงได้หันมาพูดกับลูกชายตัวเอง

“พ่อว่าไอ้หนุ่มนี่มันดูแปลกนะลูก”

“แปลกยังไงครับคุณพ่อ”

“ไม่รู้สิ พ่อไม่ไว้ใจมันเลย”

“เขาก็..” ต้นกล้าไม่ได้ตั้งใจเว้นช่วงเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของผู้เป็นพ่อ เพียงแต่อยู่ดี ๆ ก็ให้รู้สึกกระดากที่จะพูดยกยอว่าอีกคนดีอย่างไร อีกคนทำให้เขาใจสั่นได้มากแค่ไหน ความอบอุ่นที่เด็ดเดี่ยวมีทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีเพียงใด หากพูดออกไปผู้เป็นพ่อคงรับไม่ได้แน่นอน

“มันอะไรลูก”

“ไม่มีอะไรครับ”

“อ้าว เมื่อกี้ยังจะพูดอยู่เลย”

“ตอนนี้ไม่มีแล้วครับคุณพ่อ ไม่มีจริง ๆ “

“งั้นก็แล้วไป แต่พ่อบอกไว้เลยนะว่าไอ้หมอนี่ไม่น่าคบ ป๋าฟันธง มันปลิ้นปล้อนกะล่อนเหมือนพ่อมันนั่นและ” คุณกวินยืดอกมั่นใจว่าตัวเองรู้ลึกรู้จริงเรื่องกำนันอาจหาญ ที่ประติดประต่อมาจากเหตุการณ์ในวัยหนุ่ม เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เคยเกิดขึ้น และมันอำนวยผลประโยชน์ให้คุณกวินที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ทั้งที่ฝ่ายพ่อหนุ่มอาจหาญในสมัยนั้นไม่ได้คิดจะแข่งขันกันเป็นจริงเป็นจัง หากสงสัยว่าเรื่องอันใดก็ตอบได้ง่าย ๆ เพราะมีเรื่องเดียวที่สองหนุ่มคู่ปรับจะแข่งกันนั่นก็คือ เรื่องแข่งกันจีบคุณนภา ยิ่งพอเห็นหนุ่มอาจหาญถอดใจแล้วแต่งงานไปกับสาวสวยอีกคน ซึ่งเป็นเพื่อนรักของคุณนภา คุณกวินเลยมองว่าคู่ปรับของเขานั้นเป็นคนโลเล

“หลีกให้ไกลเลย”

“แต่คุณยายก็ชอบเขานะครับคุณพ่อ”

“ก็ เอ่อ นั่นละคุณยายไม่รู้แต่เราต้องรู้ให้ทัน”

“ครับกล้าขอตัวนะครับ เดี๋ยวลงไปดูข้าวสักหน่อย”

“ดีมากลูกพ่อ” ต้นกล้ารีบปลีกตัวออกมา ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะใส่อะไรเข้ามาในหัวของเขามากไปกว่านี้ สองขาพาร่างสูงโปร่งลงนา ที่ต้นกล้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินยิ้มมาตลอดทาง เพราะมันโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต้นกล้าไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าโล่ง โปร่ง และเบาสบายในใจ หลังจากที่มันต้องหนักอึ้งอยู่เกือบเดือน จนเดินมาถึงลานข้าวเก่าที่อีกไม่นานจะมีการเก็บเกี่ยว และคงต้องปรับพื้นที่ตรงนี้ใหม่ ลานข้าวเก่าที่ตอนนี้มีหญ้าขึ้นต้องถูกถางให้เตียนโล่ง เศษฟางที่เหลือก็ถูกกวาดไปกองรวมกันไว้อีกมุม แต่ที่ตรงนั้นระหว่างไผ่กอใหญ่สองกอ เปลญวนสีเข้มอันใหม่ถูกแขวนเอาไว้เหมือนรอให้เขามานอนเล่น ต้นกล้าเดินยิ้มเข้าไปทิ้งตัวลงนอนอย่างพอใจ นอกจากไอ้จ๋าแล้ว ก็คงไม่มีใครสนใจหามาผูกไว้หรอกตั้งแต่ที่มันขาดคราวก่อน



“ลูกพี่ครับ!”


@@@@@@@@@@100%@@@@@@@@@@@@@@@@@

เนื้อหาเป็นฉบับดิบ ยังไม่รีไรท์ นะคะ

รักๆ ๆ

ดาวณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 21 เน็ตไอดอล 100% 4/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-01-2019 22:22:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่  เฉลยไวไปนะ  เลยไม่เห็นคนหน้าแตกต่อหน้าพี่(มะ)เดี่ยวเลย  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 50% 4/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-01-2019 22:23:42


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ



“ลูกพี่ครับ” คิดถึงไอ้จ๋ามันก็มาทันใจอย่างแสนรู้

“เออว่าไงวะ” ต้นกล้าดีดตัวขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงเรียกตื่น ๆ ของไอ้จ๋า

“มานอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรอยู่ตรงนี้ล่ะครับ หึ ๆ แหมท่าทางมีความสุขเนอะ มาถึงก็ได้เจอหน้ากันเลยทันทีเลย”

“ความส่งความสุขอะไรของแกวะ วู้พูดมาก” ต้นกล้าหันหน้าหนีจากสายตาของไอ้จ๋า พยายามบังคับใบหน้าของตัวเองให้ตึงเข้าไว้ เพราะมุมปากมันเอาแต่จะยกขึ้นมายิ้มอยู่ตลอด นี่เขาต้องกัดฟันข่มเอาไว้ด้วยนะ ถึงแม้ว่ามันจะยากอยู่สักหน่อยก็ตามเถอะ แล้วตอนนี้ก็เริ่มจะปวดกรามขึ้นมาแล้วด้วย แต่จะปล่อยออกก็ไม่ได้หรอกต้องเผลอยิ้มออกมาแน่ ๆ แบบนี้ไอ้จ๋ามันจะรู้ว่ามันพูดโดนใจเขา ถึงแม้มันจะจริงก็ตามเถอะ สุดท้ายสิ่งที่ตามมาก็คือไม่พ้นโดนไอ้ลูกน้องคนสนิทล้อเอาได้ ซึ่งต้นกล้าไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นแน่

“แนะ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับลูกพี่ แต่ไอ้จ๋าว่าต่อไปมีอะไรก็คุยกันดี ๆ ดีกว่านะครับ” อันที่จริงไอ้จ๋านั้นมันก็ไม่รู้หรอกกว่าลูกพี่ทั้งสองมีเรื่องไม่เข้าใจอะไรกันอยู่ ที่พล่ามอยู่นี่ก็เดาจากท่าทางของลูกพี่ทั้งนั้น คนหนึ่งก็หนีกลับกรุงเทพฯ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ส่วนอีกคนก็จะเป็นจะตายถามถึงกันเช้าสายบ่ายเย็น คนกลางอย่างไอ้จ๋านี่สิมันลำบากใจ

“อะไรของแกหา บอกไม่มีก็ไม่มีสิ”

“ตัวลูกพี่อาจจะไม่มีครับ แต่สำหรับลูกพี่เดี่ยวไอ้จ๋าว่าไม่แน่”

“วู้ เผือกจริง ๆ แกเนี่ยไม่มีอะไรหรอกน่า” ต้นกล้าเอนตัวลงนอนบนเปลแล้วใช้เท้ายันพื้นให้แกว่งเบา ๆ “ว่าแต่แกเหอะกับตัวเล็กน่ะตั้งแต่คบกันพามาเปิดตัวกับน้าแจ่มยังวะ”

“จะเหลือเหรอ ไอ้จ๋าไม่ใช่ขี้ ๆ นะครับลูกพี่” ไอ้จ๋ายืดอกพอใจในผลงานของตัวเองแบบไม่มีปิดบัง เมื่อถูกถามก็ให้รู้สึกคิดถึงมือทำงานประสานใจได้อย่างพอดี ด้วยการล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบพี่ฮีโร่คู่ใจออกมากดโทรออก หวังจะหวานโชว์สื่อต่อหน้าลูกพี่ใหญ่ เหมือนที่มันเคยโชว์ลูกพี่รองให้อิจฉาเล่นสักหน่อย

(ฮัลโหล) ไอ้จ๋ารู้สึกกระหยิ่มในใจที่ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว มันปรับเสียงให้หล่อน่าฟังแล้วถามออกมา

“ทำอะไรอยู่”

(ทำงานอยู่แค่นี้นะ) ติ้ด! แต่มันลืมไปว่าน้ำส้มโกรธอยู่ เมื่อรับสายคุยได้ประโยคเดียวน้ำส้มก็วางอย่างไม่ไยดี

“อะไรของเขาวะ” ลดโทรศัพท์ลงมาดูหน้าจอ ปรากฏว่าน้ำส้มวางสายไปแล้วมันเลยได้แต่บ่นเบา ๆ แต่จะเบาแค่ไหนคนที่ตั้งใจเงี่ยหูฟังก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนอยู่ดี

“ฮ่า ๆ โดนตัดสายทิ้งไงวะ สมน้ำหน้า”

“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋าโทรใหม่”

“แล้วจะมาโทรอะไรตรงนี้วะ ไปเลยไปโทรไกล ๆ เลยไป”

“โทรให้คนแถวนี้อิจฉาเล่นครับ”

“อิจฉามากโว้ยโดนตัดสายทิ้งนี่นะ น่าอิจฉาที่สุดเลยว่ะฮ่า ๆ นอนดีกว่าไปไหนก็ไปเลยไป” ต้นกล้าปิดการสนทนาด้วยการหลับตาลง แล้วเอาเท้ายันพื้นอีกครั้งให้เปลที่นอนอยู่ไกวเบา ๆ อย่างที่ชอบทำ แต่ยังคงมีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสะใจหลุดลอดออกมา จนไอ้คนขี้อวดแอบหมั่นไส้คนเป็นลูกพี่อยู่ลึก ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเอง

“เหอะ ทำเป็นไล่อย่ามาเรียกหาไอ้จ๋าก็แล้วกัน ไปเก็บผักให้แม่ดีกว่า” ไอ้จ๋าบอกแล้วหันหน้าตั้งท่าจะเดินลงทุ่ง

“ผักอะไรวะ ทำไมเดินลงทุ่งในสวนไม่มีหรือไง”

“ผักกะแงงครับ เย็นนี้เดี๋ยวแม่ทำเมนูเด็ด เห็นบอกป้านภาอยากกิน”

“ผักอะไรวะผักตะแคง”

“ผักกะแงงครับลูกพี่ไม่ใช่ผักตะแคง บางคนก็เรียกผักปลากะแงง”

“ตกลงผักหรือปลาเอาให้แน่ซิ” ไอ้จ๋าเกาหัวแกรกกับคำถามของคนเป็นลูกพี่

“ผักครับผัก”

“แล้วทำไมต้องเรียกปลา”

“อันนั้นไอ้จ๋าก็สุดจะรู้ได้ครับ เพราะบางคนก็เรียกบางคนก็ไม่เรียก สงสัยติดปากเพราะชื่อเหมือนกัน”

“แล้วปลากะแงงนี่มันมีจริง ๆ มั้ยวะ”

“มีสิครับ ปลากะแงงบ้านเราภาษากลางเขาก็เรียกปลาแขยงนั่นแหละครับ ผักก็เหมือนกัน ถ้าออกเสียงภาษาถิ่นทางบ้านเราก็เป็นกะแงง บางคนก็ออกเสียงกะแยง แต่เป็นชนิดเดียวกันกับผักแขยงครับ หอมที่สุดในสามโลก”

“อะไรหอม”

“ผักกะแงงนี่ล่ะครับลูกพี่ เอาไปทำอาหารได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเมนูเย็นนี้ที่แม่แจ่มใจจะทำให้กิน รับรองลูกพี่ติดใจแน่นอน” ถึงจะเห็นว่าไอ้จ๋าอวดเมนูเด็ดที่ไม่เอ่ยชื่ออย่างภาคภูมิ แต่ต้นกล้าต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน เพราะเมนูเด็ดของมันแต่ละเมนูนั้น ค่อนข้างเด็ดสมราคาคุยจริง ๆ เด็ดสาระตี่จนต้นกล้ากลัวที่จะลิ้มลอง ส่วนที่เคยลองมาแล้วก็เล่นเอาขยาดไปหลายเมนูเลยทีเดียว ซึ่งทุกครั้งที่ต้องลองเขาจะต้องระวังตัวแจเพื่อความปลอดภัยปากท้องของตัวเอง

“เด็ดของแกน่ะเล่นเอาฉันขนลุกทุกทีว่ะ”

“รับรองเมนูนี้เด็ดดวงจนขนลุกเพราะความอร่อยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าคุยกับลูกพี่มือของมันก็กดโทรออก แล้วเอาโทรศัพท์มาแนบหูฟังไปพลาง พอสายตัดโดยไม่มีคนรับมันก็เอามากดใหม่อยู่อย่างนั้น จนต้นกล้ารำคาญตา

“เขาไม่รับจะโทรจิกอะไรนักหนาวะ”

“ใช่ซี้ลูกพี่จะไปรู้อะไร ตัวเองก็เคยไม่รับสายใครบางคนรู้หรอกน่า” ใช่แล้วท่าทางที่เด็ดเดี่ยวโทรหาต้นกล้ายิก ๆ ก็ไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของไอ้จ๋าไปได้

“อ้าวเกี่ยวอะไรกันวะ ไปโทรที่อื่นเลยไปฉันจะนอน” ไอ้จ๋าแสยะยิ้มส่งสายตาล้อเลียนลูกพี่อย่างรู้ทัน ยิ่งเห็นคนเป็นลูกพี่กลบเกลื่อนโดยการมองไปทางอื่นเพื่อหลบตามันยิ่งได้ใจ มือก็ยังพยายามกดโทรศัพท์หาใครอีกคน ขากำลังจะเดินลงนาหาเก็บผัก ก็พอดีที่ลูกพี่ทักขึ้นมาอีก

“เออจ๋าผักกะแงงมันหอมแล้วปลากะแงงที่ชื่อเหมือนกันมันจะหอมปะวะ”

“หอมสิครับลูกพี่”

“เฮ้ยมีด้วยเหรอวะปลาหอม”

“มีครับปลาทูที่เค็ม ๆ ยังหอมเลยไม่งั้นเขาไม่เรียกปลาทูหอมหรอก ว่าแต่ว่าปลาอะไรมันก็หอมทั้งนั้นแหละครับ”

“ไอ้ขี้โม้ปลาที่ไหนมันก็คาวทั้งนั้นแหละโว้ย”

“ปลาที่ปรุงสุขแล้วไงครับลูกพี่หอมจนเหลือแต่ก้าง ฮ่า ๆ พูดมาแล้วก็ชักหิววุ้ย”

“โหยอย่างนี้ก็ได้เหรอวะ ไปไหนก็ไปเลยไป” ไอ้จ๋ายิ้มสะใจที่ความเกรียนของมันที่ทำให้ลูกพี่เหวอจนได้ แต่มันก็ต้องหน้าตึงขึ้นทันทีเมื่อดูจอโทรศัพท์ เพราะคนที่โทรหาไม่ยอมรับสายสักที กดแล้วกดอีกกดสามสี่รอบก็เงียบ กดแล้วกดอีกเป็นรอบที่ห้าที่หกฝั่งโน้นก็เงียบ ยังดีที่ไม่ได้ปิดเครื่องหนี

“เป็นอะไรของเขาวะเนี่ยไม่ยอมรับสาย” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ ขาก็เดินลงนาสายตามองความเรียบร้อยของพื้นที่รอบ ๆ รวงข้าวสีเขียวแซมเหลืองเพราะกำลังเริ่มแก่รอการเก็บเกี่ยว ข้าวที่ได้รับน้ำรับปุ๋ยอย่างพอดีต้นสูงออกรวงใหญ่ บ้างทานน้ำหนักของรวงใหญ่ ๆ ไม่ไหวเอนล้มลงเป็นทาง เห็นแล้วให้นึกปวดบั้นเอวขึ้นมาทันที เมื่อคิดถึงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยว

แดดอ่อนยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน กับกลิ่นข้าวใหม่ที่กำลังจะแก่รวง กลิ่นดินกลิ่นหญ้าหอม ๆ แทนที่จะช่วยให้ไอ้จ๋ารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง มันกลับยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านยิ่งขึ้นกว่าเก่า ถึงแม้จะคุยเล่นหยอกล้อเฮฮากับคนเป็นลูกพี่ยังไง ก็มีแต่ตัวมันที่รู้ดี ว่าในใจตัวเองกำลังร้อนรนขั้นสุด ท่าทางที่กดโทรศัพท์แล้วโทรออกแต่ไม่มีคนรับอย่างนี้ กดแล้วฟังเสียงรอสายจนสายตัดทิ้งอย่างนี้มันดูคุ้น ๆ คุ้นเหมือนใครบางคนเคยเป็นมาแล้วตลอดเดือนที่ผ่านมา ใครบางคนอย่างลูกพี่รองที่มันแกล้งอย่างสะใจ ผลสุดท้ายกรรมก็ตามมันทัน

“ไม่อยากรับก็ไม่ต้องรับวะ แล้วเราจะได้เห็นดีกันแน่ ๆ ยัยส้มเน่า” ไอ้จ๋าตะคอกคาดโทษใส่โทรศัพท์มือถือ เหมือนกับว่าพี่ฮีโร่คู่ใจนั่นล่ะที่เป็นต้นเหตุทำให้น้ำส้มไม่ยอมคุยกันมัน ทั้งที่เป็นความผิดของตัวมันเองแท้ ๆ เพราะอีกคนบอกให้เลิกเล่นเลิกแกล้ง แต่มันที่ยังสนุกอยู่เลยไม่ฟัง ไม่รู้เพราะน้ำส้มใจดีห่วงความรู้สึกคนอื่นมากเกินไป หรือเป็นเพราะไอ้จ๋าที่มันชอบแกล้งเกินไป แต่สุดท้ายเอาไปเอามา ในที่สุดก็โกรธกันจริง ๆ

“แกล้งคนอื่นจนกรรมตามสนองหรือไงวะกู เดี๋ยวเสร็จเรื่องทางนี้ก่อนเถอะยัยเน่าเราได้เจอกันแน่” ไอ้จ๋านึกขำกับข้อสันนิษฐานของตัวเอง ยัดโทรศัพท์ศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วจัดการธุระกับที่แม่มอบหมายมาให้เสร็จสิ้น



%%%%%%%%%%%%%%%%%%



“หงอยมาเลยนะไอ้ลูกชาย”

“...” เด็ดเดี่ยวสีหน้าบึ้งตึงช้อนดวงตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ที่นั่งอย่างสง่าผ่าเผยท่าทางสบาย ๆ อยู่บนโซฟาตัวยาว แววตาสะใจอย่างนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพ่อกำลังสนุกที่เห็นเขาจนมุม และดูเหมือนจะโดนว่าที่พ่อตากีดกัน ใช่เหมือนกับว่าเด็ดเดี่ยวมีแววจนมุมเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่คุณกวินมีต่อเขา ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าทำไมคุณพ่อของคนหัวแดงถึงได้ไม่ชอบหน้าเขานัก หรือว่าหวงลูกชาย แต่จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ในเมื่อตัวคุณกวินเองคงยังไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับต้นกล้า แต่..เอ๊ะ! หรือว่าจะรู้แล้ววะ คงไม่หรอกมั้ง เพราะผู้ใหญ่ทางฝ่ายต้นกล้าทั้งหมดก็เพิ่งจะมาจากกรุงเทพ แล้วต้นกล้าก็บอกด้วยว่ายังไม่พร้อมที่จะบอกผู้ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ใหญ่จะรู้จากปากของคนตัวเล็กกว่า

“เอ้า เงียบอีกนะพี่เดี่ยว พี่กล้าน่ารักมากเลยฟ้าชักชอบแล้วสิ”

“ได้ไงนั่นของพี่นะเว้ย”

“โอ๊ย ชอบไม่ได้หมายความแบบชู้สาวนะ”

“แล้วไป”

“พี่กล้าทั้งหล่อ ทั้งน่ารักน่าหยอกมากเลย”

“อืมน่ารักที่สุด” เด็ดเดี่ยวยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อพูดถึงต้นกล้า แต่เมื่อเหลือบไปมองหน้าผู้เป็นพ่อที่นั่งนิ่งหน้าตึงก็แทบหุบยิ้มไม่ทัน

“แค่มีความรักแกอย่าโง่ไปหน่อยเลย มันไม่สมกับเป็นลูกชายกำนันอาจหาญโว้ย”

“แล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะครับพ่อ ดูท่าว่าด่านของคุณอากวินนี่จะผ่านยากยิ่งกว่า ด่าน 18 อรหันต์มนุษย์ทองคำของเส้าหลินอีกนะพ่อ”

“นี่กูจะไม่ได้อุ้มหลานจริง ๆ เหรอวะเนี่ย” ดูเหมือนในคราแรกกำนันจะทำใจได้แล้ว แต่ด้วยความอยากอุ้มหลานก็เลยอดบ่นออกมาอีกไม่ได้

“ผมขอโทษนะครับพ่อ”

“ลุงไม่ต้องห่วงหรอกน่าเดี๋ยวรออุ้มของฟ้ากับดาวรุ่งก็ได้นี่” โป๊ก! “อูย เจ็บนา” น้ำฟ้าลูบหัวตัวเองป้อย ๆ เมื่อถูกผู้เป็นลุงเขกมะเหงกที่หัวไม่เบาไม่แรงนัก แต่ก็เล่นเอาเจ็บไม่น้อยเลย

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาแก่แดด แกมีแฟนแล้วหรือไง”

“ก็ฟ้าไม่อยากให้ลุงคิดมานี่ ว่าแต่พี่เดี่ยวจะเอายังไงต่ออะ” น้ำฟ้าหันไปถามพี่ชายที่นั่งหน้าเครียด ทั้งเครียดเรื่องที่พ่อเพิ่งจะบอกทั้งยังคาใจเรื่องของต้นกล้า ทั้งคุณกวินที่ทำท่าจะไม่ต้อนรับเขาอีก เรื่องเหมือนจะง่ายแต่คิด ๆ แล้วทำไมถึงได้วุ่นวายอย่างนี้ก็ไม่รู้

“พ่อกับคุณอากวินเคยมีปัญหาอะไรกันมาก่อนหรือครับ” ได้ยินคำถามนี้ของลูกชาย เรื่องราวในอดีตก็ผุดขึ้นมาในหัวของกำนันอาจหาญเป็นฉาก กำนันปลดผ้าขาวม้าที่เคียนเอวออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาไปด้วย เมื่อรำลึกถึงความหลัง

“ข้าขอประกาศ ณ ตรงนี้ตอนนี้เลยนะเว้ยว่าน้องนภาน่ะเป็นของข้า” กวินหนุ่มหล่อจากเมืองกรุงประกาศความเป็นเจ้าของก้องทุ่ง เมื่อเห็นคู่แข่งคู่ปรับอย่างไอ้หนุ่มบ้านนอกนามอาจหาญ แสดงตัวว่าชอบสาวสวยประจำหมู่บ้านคนเดียวกันกับเขา ทั้งสองเทียวไล้เทียวขื่อมาวอแววนเวียน แข่งกันอวดเบ่งแข่งกันเอาหน้าอยู่หลายครา หนุ่มกวินนั้นรู้จักสาวเจ้าได้ไม่นาน ด้วยเพราะหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายจากต้นสังกัด เขาจึงได้มีโอกาสมาเยือนบ้านทุ่งแห่งนี้ แตกต่างจากหนุ่มบ้านนาอย่างอาจหาญที่รู้จักสนิทชิดเชื้อกันแต่เล็กจนโต

“ข้าก็ขอประกาศเหมือนกันว่าสนใจให้น้องนภา” อาจหาญหนุ่มบ้านนายืดอกประกาศก้องทุ่งไม่แพ้กัน

“นี่แกจะ’ ไฟท์’ ใช้มั้ย”

“หรือแกปอดวะไอ้หนุ่มกรุง”

“ข้ามาถึงขนาดนี้แล้วไม่มีคำว่าปอดโว้ยไอ้หนุ่มบ้านนอก”

“งั้นมาลองสู้กันสักตั้ง”

“งั้นเข้ามาเลยอย่าหมาหมู่ก็แล้วกัน” หนุ่มหล่อพ่อรวยที่นาอย่างอาจหาญเป็นงง แต่ใช้เวลาทบทวนไม่นานก็รู้ซึ้งถึงบางอ้อ ที่ไอ้หนุ่มจากเมืองกรุงบอกว่าอย่าเล่นหมาหมู่ แต่เขานั้นเป็นลูกผู้ชายพอจึงได้มองข้ามมันไป ทั้งที่ตัวเองมากับกลุ่มลูกน้องนับสิบ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำเรื่องเสียศักดิ์ศรีอย่างที่ไอ้หนุ่มกรุงว่า

“หึ ๆ ระดับข้าศักดิ์ศรีเหนือชีวิตไม่มีหมาหมู่ ถ้าจะสู้ต้องตัวต่อตัว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันเป็นมันอย่างเดียวโว้ย” อาจหาญหนุ่มร่างใหญ่สมชายกล้า เดินเข้าไปประจันหน้ากับหนุ่มหล่อหน้าใสจากเมืองกรุง ที่เดินเข้าหากันอย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย สองหนุ่มที่รูปร่างสูสียืนจ้องตากันในระยะประชิด คนหนึ่งใบหน้าหล่ออย่างไทยแท้ผิวพรรณคร้ามเข้ม ส่วนอีกคนแม้ผิวพรรณจะขาวใสอย่างลูกผู้ดีมีสกุล แต่ก็มีความน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย

“งั้นก็เตรียมตัวหยอดน้ำข้าวต้มก็แล้วกัน” หนุ่มกรุงบอกแล้วไม่รอช้าที่จะปล่อยหมัดออกมาวัดใจแต่...

วืดดดด

“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย” ไอ้หนุ่มบ้านนาที่มีไหวพริบเป็นเลิศ เบี่ยงตัวหลบหมัดที่ปล่อยออกมาโดยไม่เตือนได้ทันอย่างรู้เชิงมวย “อะไรของเอ็งวะไอ้กวิน”

“ตัวต่อตัวไงวะ” ไอ้หนุ่มบางกอกบอกหน้าตาย สองมือยกขึ้นตั้งการ์ดเตรียมพร้อมปล่อยหมัดสวนหากโดนรุก

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องชกต่อยใช้กำลังโว้ย” หนุ่มบ้านนาเท้ามือไว้ที่เอวแล้วส่ายหัวเมื่อบอก เขากำลังเอือมระอากับความเล่นเยอะเล่นใหญ่ของผู้ชายชาวกรุงคนนี้ ที่อาจจะทำให้เรื่องราวบานปลายจนเกิดความบาดหมางเข้าจริง ๆ สักวัน

“อ้าว แล้วเอ็งหมายถึงอะไรวะ อย่าพูดมากเข้ามาเลยดีกว่า ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าใครมันจะแน่กว่ากัน” ไอ้หนุ่มจากเมืองกรุงถลกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมสู้ ส่วนไอ้หนุ่มบ้านนาได้แต่ยืนเท้าเอวมองอยู่อย่างนั้น ตาจ้องตาเขม่นกันอยู่เป็นครู่ก็ถึงเวลาทำคะแนนเมื่อเป้าหมายเดินมา

ต่อจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 50% 4/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-01-2019 22:24:33



“ฮ่า ๆ แบบนี้ข้าไม่เอาด้วยหรอกโว้ย สนามรบที่แท้จริงของเราอยู่โน่น และรางวัลกำลังเดินมา”

“เฮ้ย นั่นน้องนภาไม่ใช่รางวัลของใครนะเว้ย”

“สวัสดีครับคุณแม่ น้องนภาไปวัดมาเหรอจ๊ะ มาพี่ช่วยถือ” อาจหาญที่ตาไวกว่าปรี่เข้าไปสวัสดีคุณนายประไพรศรีอย่างคุ้นเคย และอาสาช่วยถือตะกร้าใส่ของที่นภาถืออยู่ เมื่อสองแม่ลูกเดินออกมาจากวัดในเช้าวันทำบุญ

“สวัสดีครับ สวัสดีจ้ะน้องนภาให้พี่ถือปิ่นโตให้นะจ๊ะ เหนื่อยมั้ยเหงื่อซึมเลยมาพี่เช็ดเหงื่อให้ ผ้าเช็ดหน้าพี่ห้อม หอม”

“โหลุง แล้วไปไงมาไงลุงถึงมาได้กับป้าดาวล่ะ” น้ำฟ้าที่ฟังอยู่แทรกขึ้นมาโดยที่เด็ดเดี่ยวนั่งฟังเงียบ ๆ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตของพ่อกำนันใจจดใจจ่อ

“อย่าแทรกดิวะจะฟังไม่ฟัง”

“ฟังจ้ะฟัง ลุงเล่าต่อเลยกำลังสนุก”

“เออ จากนั้นข้ากับมันก็แข่งกันจีบแม่นภามาตลอด ตัวข้าไม่เท่าไหร่หรอกเอาสนุก ๆ เพราะยังไงก็รู้จักกันมาแต่เด็ก แม่นภาเขาก็รู้ว่าข้าเองแค่อยากแกล้งไอ้หนุ่มเมืองกรุงหน้าอ่อนนั่นเฉย ๆ และที่สำคัญเลย.. “

“อะไรจ๊ะลุง”

“ข้ารู้มาว่าแม่นภาเองก็แอบมีใจให้ไอ้หนุ่มนั่นอยู่ไง”

“อ่าวแล้วแม่ล่ะพ่อ”

“แม่เอ็งก็กำลังจะมาตอนนี้ไงวะ จะให้เล่าต่อหรือเปล่าขัดอยู่ได้” กำนันอาจหาญสะบัดผ้าขาวม้าในมือเหมือนไล่ยุงไล่แมลงรอบตัวทั้งที่ไม่มี ในใจชักเริ่มยัวะเพราะกำลังเล่าอย่างออกรสออกชาติ แต่ก็ถูกขัดอารมณ์อยู่เรื่อย ๆ จากผู้ฟังทั้งสอง

“ครับ เล่าต่อสิพ่อ”

“ข้าแกล้งแข่งจีบแม่นภากับไอ้กวินได้ไม่นาน ก็ได้รู้จักกับดาวประดับแม่ของเอ็งกับดาวรุ่ง ระหว่างเราจะเรียกว่าเป็นรักแรกพบเลยก็ว่าได้” นัยน์ตาของกำนันอาจหาญทอแสงอบอุ่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมาเมื่อพูดชื่อของศรีภรรยาผู้ล่วงลับ “หลังจากนั้นข้าก็ไปหาแม่นภาบ่อยขึ้น”

“อ้าวพ่อไหงทำงี้วะ โอ๊ย!”

“กูพ่อมึงนะได้ข่าว มาวะมาโว้ยอะไร” กำนันอาจหาญบอกเสียงดุหลังจากที่แจกมะเหงกลูกใหญ่ให้ลูกชายไปหนึ่งที เด็ดเดี่ยวได้แต่ลูบหัวตัวเองป้อย ๆ บรรเทาความเจ็บมองพ่อตาแป๋ว

“ก็พ่อบอกเจอแม่เป็นรักแรกพบ แต่ดันไปหาอานภาบ่อยขึ้นเนี่ย ถามจริงพ่อได้แอ้มแม่เพราะอะไรวะครับเนี่ย”

“โว้ยไอ้ลูกคนนี้ มึงจะถามแทรกให้มันได้อะไร ฟังสิวะกูกำลังจะเล่าเนี่ย” กำนันเริ่มหงุดหงิดที่ถูกขัดการเล่าตลอดทุกประโยค สรรพนามเรียกขานกันจึงเปลี่ยนตามความแปรปรวนของอารมณ์

“ครับ ๆ “ซึ่งจริง ๆ เด็ดเดี่ยวก็แค่แกล้งแซวพ่อตัวเองเล่น เพราะถึงพ่อกำนันจะโวยวายให้เขา แต่ปากก็ยังระบายยิ้มที่ดูมีความสุขอยู่เช่นเดิม ยามที่พูดถึงภรรยา ทำให้ชายหนุ่มอดยิ้มตามด้วยไม่ได้ ครอบครัวเขาก็เป็นเช่นนี้เอง

“ที่ข้าไปหาแม่นภาบ่อยขึ้น ก็เพราะว่าแม่ของเอ็งเป็นเพื่อนรักกันกับแม่นภาต่างหาก”

“อ้าวแล้วพ่อไม่เคยเจอแม่มาก่อนหรือไง ถ้าว่าเป็นเพื่อนรักกับอานภา”

“กูไม่เล่ามันแล้วโว้ย” กำนันฟาดผ้าขาวม้าที่อยู่ในมือลงที่ต้นขาของตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่วายถูกขัดอยู่ดี

“เอ้า พ่อเล่าดิผมอยากรู้ น้ำฟ้าอยากรู้ปะ”

“อืม อยาก ๆ ลุงกำนันเล่าเถอะจ้ะฟ้าอยากฟัง นี่ถ้าดาวรุ่งอยู่บ้านต้องอยากฟังด้วยแน่ ๆ เลย”

“แค่ข้าหยุดหายใจหน่อยเดียวพวกเอ็งก็ขัดแล้วจะฟังทำไมวะ”

“ไม่ขัดก็ได้พ่ออย่างอนน่า”

“เหอะข้าไม่ใช้ตุ๊ดนะโว้ย”

“เกี่ยวไรกะตุ๊ดจ้ะลุง”

“ไม่รู้ว่ะ เคยได้ยินเขาว่างอนเป็นตุ๊ดเลยยืมมาใช้บ้าง”

“แล้วตกลงพ่อไม่รู้จักกับแม่มาก่อนเหรอ”

“มารู้จักกันก็เมื่อตอนแม่แกตามมาเที่ยวบ้านกับแม่นภานี่ล่ะ อย่างที่แกรู้นั่นล่ะว่าแม่แกก็คนกรุงเทพ เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันกับแม่นภาที่เข้าไปเรียนกรุงเทพ พอแม่แกมาเที่ยวที่นี่ก็เลยได้รู้จักกับหล่อสุด ๆ แห่งบ้านทุ่งดอกจาน ก็คือข้าคนนี้ที่เป็นพ่อแกไง” เด็ดเดี่ยวได้แต่ยกนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่ายอดเยี่ยมให้ เพราะกลัวพ่อจะไม่เล่าต่อหากเขาพูดแทรกขึ้นมา

“หล่อสุดแต่ไม่ใช่สุดหล่อใช่มั้ยลุง” น้ำฟ้าจึงทำหน้าที่นี้แทน

“เหมือน ๆ กันโว้ย เอ้าฟังต่อ” กำนันยืดออกพกความมั่นใจโดยไม่สนเสียงแซวของหลานสาว “จากนั้นข้าก็เทียวไปเทียวมาอยู่พักใหญ่แต่แม่เอ็งยังไม่ใจอ่อนหรอกนะ เหมือนจะไม่สนใจข้าด้วยซ้ำ แต่รักแท้และความจริงใจที่ข้ามีให้ก็เอาชนะทุกอย่าง และพระเอกอย่างข้ากับนางเอกอย่างแม่เอ็งก็ได้ครองรักกันสมใจ จนมีพยานออกมาสองคนคือแกกับดาวรุ่งไงล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง” น้ำฟ้าพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วไงครับพ่อ พ่อก็ได้รักกับแม่คุณอากวินก็ได้กับรักอานภาแล้ว มามีเรื่องขัดใจอะไรกันอีกผมไม่เก็ทเลยนะพ่อ”

“เออ ข้าก็ลืมประเด็นนี้ไปพูดแล้วคิดถึงแม่แกว่ะ”

“ครับ ๆ ผมก็คิดถึงแต่ผมอยากรู้นี่ว่าพ่อทำไมไม่ถูกกับอากวิน”

“เพราะตลอดเวลาที่ข้าไม่มาหาสู่แม่ของเอ็งที่พักอยู่บ้านแม่นภา ทำให้ไอ้กวินมันคิดว่าข้าไปหาแม่นภานะสิ” กำนันสีหน้าเคร่งขึ้นเมื่อพูดถึงคู่ปรับเก่า “มันก็คอยกันท่าตลอด พ่อเองก็ผิดเหมือนกันที่แกล้งมันเอาไว้เยอะ แกล้งทำให้มันเข้าใจผิดมาตลอดว่าไปหาแม่นภาทั้งที่ไปหาแม่ดาวประดับ จนใกล้ถึงวันที่มันเองต้องกลับไปกรุงเทพ พ่อเห็นว่ามันใกล้จะตายเพราะพิษรัก เลยฉุดแม่เอ็งมาอยู่ด้วยกันซะเลย”

“โหยพ่อทำงี้ได้ไงวะ ไม่เป็นลูกชายเลยนะเว้ย โอ๊ย!”

“นี่แหนะไม่เป็นลูกผู้ชาย นี่ล่ะวิถีของลูกผู้ชาย ฮ่า ๆ ข้าพูดเล่นโว้ย”

“อ้าวพ่อ งี้ผมก็โดนมะเหงกฟรีสิ”

“เออ อยากปากไวเองนี่หว่า ไม่รู้จักฟังให้มันจบ”

“แล้วเรื่องเป็นไงต่อล่ะพ่อ”

“แม่ของเอ็งนะทั้งที่ตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกพบเหมือนกัน แต่ก็ยังเล่นตัวเพราะกลัวจะอกหัก กลัวข้ามาหลอกกินไข่แดงฟรี เพราะสมัยนั้นพ่อของเอ็งอย่างข้าคนนี้ธรรมดาซะที่ไหนล่ะไอ้เดี่ยว สาวทั้งตำบลไปจนถึงทั้งอำเภอ และอาจจะทั้งจังหวัดละมั้งที่มาตกหลุมรักข้า แต่สุดท้ายก็ไม่รอดมือแม่เอ็งอยู่ดีว่ะ” กำนันหยุดเล่าหวนคิดไปถึงวันนั้นที่ยังกระจ่างอยู่ในความรู้สึก เหมือนกับว่ามันเพิ่งจะผ่านมาไม่นานนี้เอง รอยยิ้มบางประดับใบหน้าที่ส่ายเล็กน้อยของหนุ่มใหญ่วัยเข้ากลางคน ที่ยังคงเค้าความหล่อและดูน่าเกรงขามมีภูมิ “ข้ายังจำได้ไม่ลืมเลย วันนั้นที่ข้าคุกเขาขอความรักจากแม่ดาวประดับ เขารู้ว่าคนอย่างข้าไม่เคยก้มหัวให้ใคร แล้วนี่ขนาดลงทุนคุกเข่าให้จะไม่ยอมรับรักข้าก็...”

“ก็จะไปหาสาวสวยคนใหม่หรือจ๊ะลุง”

“ก็จะตื้อต่อไปนะสิวะ รักตั้งขนาดนี้แล้ว” กำนันแทนที่จะโวยวายที่ถูกหลานสาวแทรก กลับตอบยิ้ม ๆ นัยน์ตาเป็นประกายกับวันเก่า ๆ ที่มีเรื่องราวและความหมายมากมาย เกินกว่าที่จะบรรยายออกมาให้ลูกกับหลานฟังได้ทั้งหมด

“โรแมนติกสุด ๆ เลยจ้ะลุง สุดท้ายป้าดาวก็โอเคใช่มั้ยจ้ะ”

“แน่นอนสิวะ หล่อสุดในตำบลนะที่คุกเข่าขอความรักใช่ใครที่ไหน นั่นแหละเลยทำให้ไอ้กวินมันคิดว่ามันชนะข้า และหาว่าข้าเป็นคนโลเลไม่แน่นอน จีบคนหนึ่งแต่กลับไปเลือกอีกคน วันนั้นมันยังบอกขอบคุณในความโลเลของข้า ที่ทำให้มันได้หัวใจของแม่นภาไปครอง แต่ความจริงที่ข้ากับแม่นภาเองก็รู้อยู่แก่ใจคือ มันไม่มีอะไร ข้ากับแม่นภาไม่เคยมีท่าทีอย่างชู้สาวต่อกันเลยนอกจากพี่น้อง และเพื่อความสบายใจของคนรักแม่นภาเลยไม่ได้บอก ว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นยังไง คงจะถึงวันนี้ล่ะมั้งมันถึงได้คอยกันท่าอยู่อย่างนั้น ยิ่งแม่แกมาด่วนจากไปก่อนมันยิ่งคิดกันท่ามากกว่าเดิม นี่เลยอาจจะทำให้มันพาลไม่ชอบหน้าแกที่เป็นลูกของข้าด้วยไง ยิ่งถ้ารู้ว่าไปซัมติ้งกับลูกเขาแล้วแกก็ระวังลูกซองเอาไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกันเถอะ อย่าหาว่าพ่อผู้ใจดีคนนี้ไม่เตือน”

“แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดีล่ะพ่อ”

“อะไรวะคิดเองสิ”

“เอ้า ก็คุณอากวินไม่ชอบผมเพราะเป็นลูกพ่อ ยังไงพ่อก็ผิด”

“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ “ กำนันแทบร้องจ๊ากเมื่ออยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนผิดซะอย่างนั้น

“เต็ม ๆ ด้วยพ่อ”

“ลุงเกี่ยวอะไรด้วยวะไอ้ฟ้าไหนบอกหน่อยซิ”

“เกี่ยวมากเลยจ้ะ แล้วลุงต้องช่วยพี่เดี่ยวให้สมหวังกับพี่กล้าด้วยนะจ๊ะ”

“อะไรของเอ็งอีกละเนี่ยเชียร์ออกนอกหน้านอกตา อย่ามาหาเรื่องปวดหัวให้ข้าหน่อยเลย”

“ต้องออกนอกหน้านอกตาที่สุดเพราะ ‘เลือดวาย’  ข้นกว่าน้ำจ้ะลุง”

“อะไรของเอ็งวะเลือดวายข้นกว่าน้ำไม่เคยได้ยิน”

“ก็เหมือนเลือดข้นกว่าน้ำแหละจ้ะ แต่นี่คือเลือดวาย ชายได้ชายคือสิ่งที่เราปลื้มปริ่ม อร้ายฟินอะ โอ๊ย” ! น้ำฟ้าฝันสลายเมื่อผู้เป็นลุงผลักหัวเบา ๆ จนหน้าหงาย “ลุงกำนันอ่า”

“ว่าแต่พ่อไม่มีอะไรแนะนำผมหน่อยเหรอ ผมจริงจังนะพ่อ”

“จะให้แนะนำอะไรวะ ข้าบอกแล้วไงว่าโตปานนี้จะทำอะไรก็คิดเอาเอง เรื่องหัวใจเป็นเรื่องของแกสองคนถ้าใจตรงกันยังไงก็ต้องช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ นี่ข้ายอมรับได้ว่าต้องมีลูกสะใภ้เป็นผู้ชายก็ดีถมเถแล้ว เรื่องทำให้ทางนั้นยอมรับแกจะต้องใช้ความสามารถของตัวเองล้วน ๆ โว้ย ไม่อย่างนั้นก็เข้าทางคุณยาย” ในที่สุดกำนันก็อดไม่ได้ที่จะชี้แนะลูกชายคนเดียวอยู่ดี นี่เพราะรำคาญที่มันเซ้าซี้หรอกนะ ไม่ใช่เพราะแอบลุ้นแอบสงสารลูกที่นั่งทำตาปริบ ๆ เพราะคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาว่าที่พ่อตาอย่างไร ไม่ใช่เลยจริง จริ๊ง ให้ตายเถอะ!

“แล้วถ้าคุณยายรับไม่ได้ล่ะพ่อ เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนมาก เกิดผมเข้าไปสารภาพทุกอย่างตรง ๆ คนแก่ไม่หัวใจวายเลยเหรอครับ”

“เออนั่นสิข้าก็ลืมไปเลยเอาไงดีล่ะวะเนี่ย” สุดท้ายกำนันก็เผลอเข้ามาช่วยลูกชายคิดเต็มตัว ทั้งที่ตอนแรกยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ช่วยอะไรสักอย่าง ทั้งสามคนกำลังคิดหนักเนื่องด้วยว่าการเข้าหาคุณยายประไพศรี ในเรื่องที่หลานชายเบี่ยงเบนอาจจะทำให้คนแก่หัวใจวายเอาได้ง่าย ๆ จนในที่สุดน้ำฟ้าก็เอยสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีความหวังออกมา

“อย่างนี้มันต้องค่อย ๆ เข้าไปแทรกแซงทางความคิดนะฟ้าว่า”

“แทรกแซงยังไงวะ” ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าทั้งสามเริ่มสุมหัววางแผนการ ที่จะช่วยให้เด็ดเดี่ยวได้สมหวังและเป็นที่ยอมรับ ของผู้ใหญ่ฝ่ายต้นกล้ากันไปแล้ว

“ก็ค่อย ๆ แย้มให้คุณยายรู้ไงจ๊ะว่าพี่สองคนรักกัน ให้รู้ทีละนิดทีละหน่อย ค่อย ๆ อ่อยไปเรื่อย ๆ คุณยายก็จะค่อย ๆ ชิน พอชินแล้วเดี๋ยวก็รับได้เองนั่นล่ะฟ้าว่า”

“อืมวิธีนี้น่าสนใจนะ พ่อว่าไงครับ”

“เออดีเหมือนกันว่ะลองดูสักตั้งสิวะ เฮ้ย! กูไม่เกี่ยวเว้ย คิดว่าดีก็ทำไปเรื่องของมึง ไอ้ลูกคนนี้นี่” กำนันกอดอกเชิดหน้าหยิ่งกลับมาตั้งมั่นในปณิธานเดิม ที่ให้ลูกชายหาทางเอาชนะใจผู้ใหญ่เอง

“งั้นพี่จะลองทำตามที่ฟ้าบอกก็แล้วกัน ส่วนพ่อ”

“เออ ข้าทำไมวะบอกก่อนนะว่าถ้าให้ข้าลุยด้วยล่ะโนเวย์”

“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงมือพ่อหรอก แค่เตรียมเรื่องขันหมากกับสินสอดไว้ก็พอ มันต้องได้ใช้เร็ว ๆ นี้แน่นอน”

“ให้ผ่านด่าน 18 อรหันต์มนุษย์ทองคำของไอ้กวินให้ได้ก่อนเหอะว่ะ แล้วค่อยมาคุยกับกู”

“แน่นอนครับพ่อ นี่ใคร นี่เด็ดเดี่ยว ตรัยรัตนา ลูกชายคนเดียวของกำนันอาจหาญ ตรัยรัตนาเชียวนะพ่อ”

“เออ อย่าให้เสียชื่อข้าก็แล้วกัน อย่าให้ไอ้กวินมันมาหยามพ่อของแกทีหลังเอาได้ เอ็งต้องรีบสอยลูกชายมันมาครองซะ ฮ่า ๆ ” กำนันอาจหาญแหงนหน้าอ้าปากกว้างหัวเราะสะใจ สองพ่อลูกส่งสายตามาดมั่นให้กัน เพราะภารกิจนี้ต้องสำเร็จในเร็ววันสมประสงค์ มีน้ำฟ้านั่งเชียร์นั่งลุ้นอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเด็ดเดี่ยวตั้งปณิธานเอาไว้แล้ว ว่าเขาจะต้องผ่านด่านคุณกวินไปให้ได้อย่างองอาจ หากอยากจะได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ คำถามคือ จะทำอย่างไรไม่ให้โดนเสือขบหัวตายไปเสียก่อน และคำตอบคือ ก็ต้องเข้าทางแม่เสืออย่างคุณนภาสิ ที่ดูเหมือนว่าเสือจะเกรงใจไม่น้อยเลย



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



“เป็นอะไรนักหนาหรือเปล่าวะเนี่ย” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ มือข้างหนึ่งถือผักกำใหญ่ที่เก็บมา ส่วนอีกข้างยังกดโทรศัพท์ยิก ๆ ทั้งที่ปลายสายเงียบไม่ยอมรับสาย และถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่รับสายแต่คนที่มีความตั้งใจแบบไม่ล้มเลิกง่าย ๆ อย่างไอ้จ๋าก็ยังไม่ยอมแพ้ มันกระหน่ำโทรหาจนเรียกได้ว่าสายแทบไหม้ โทรแล้วโทรอีกเป็นร้อย ๆ สายก็ยังไม่ละความพยายาม แม้ว่าปลายสายจะไม่รับสักทีจนกระทั่ง

‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก’

“อ้าว อะไรวะ” ไอ้จ๋าลดโทรศัพท์ลงมาดูเพราะโทรติดแต่ไม่มีคนรับ แล้วอยู่ดี ๆ ระบบก็บอกว่าไม่มีสัญญาณตอบรับ แบบนี้แบตเตอรี่หมดหรือปิดเครื่องหนีวะเนี่ย “ยัยส้มเน่านะยัยส้มเน่า ฉันไม่เคยกระหน่ำโทรหาใครนานขนาดนี้เลยนะเว้ย” !

“นี่แกยังไม่หยุดโทรหาเขาอีกเหรอวะ”

“เอ้าลูกพี่ ไอ้จ๋าก็นึกว่ากลับบ้านไปแล้ว”

“กลับทำไมนอนอยู่นี่รับลมเย็น ๆ คอยสมน้ำหน้าแกที่ถูกเมินดีกว่า ฮ่า ๆ “

“โห ขำไปเถอะครับลูกพี่ มือระดับไอ้จ๋ายัยนั่นหนีไม่พ้นไปไหนได้หรอก”

“เออ ๆ ว่าแต่เมื่อไหร่แกจะรีบเอาผักไปให้น้าแจ่มสักทีวะ ป่านนี้ไม่รอแย่แล้วเหรอ”

“ไอ้จ๋าไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ ว่าแต่ลูกพี่เถอะจะนอนเฝ้าลานข้าวหรือนอนรอใครกันแน่ เย็น ๆ มันวังเวงนะครับอย่าหาว่าไอ้จ๋าไม่เตือน หึ ๆ “ไอ้ลูกน้องคนสนิทมันทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านั้นก็เป็นอันรู้กัน ต้นกล้ามองไปรอบ ๆ ไม่ได้คิดหวาดระแวงอะไรเลยสักนิด แน่ละสิเพราะนี่มันเพิ่งจะบ่ายแก่ ๆ เอง มองไปทางไหนก็สว่างโร่ชัดเจนเต็มสองตาออกอย่างนี้ มันจะมีอะไรให้กลัวนักหนาเล่า

หลังจากที่ไอ้จ๋าเดินจากไป ต้นกล้านอนหลับตาพริ้มเพื่อสูดรับกลิ่นธรรมชาติที่หอมชื่นใจ เท้าก็ยันพื้นให้เปลแกว่งไกวเบา ๆ ฮัมเพลงรักออกมาจากลำคอ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศท้องนาที่โหยหา จากไปเพียงเดือนเดียวเหมือนกับว่าจากไปเป็นปีจึงคิดถึงมาก เจ้าของร่างโปร่งนอนหลับตาพริ้ม เปลญวนค่อยลดแรงแกว่งไกวลงช้า ๆ จมูกสูดหายใจยาวเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกหญ้าดอกไม้ธรรมชาติพาให้รู้สึกดี และแล้วในที่สุดความง่วงก็มาเยือน แต่ยังไม่ทันได้หลับดีอย่างที่ควรจะเป็น

ฟอด

50% จ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 50% 6/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-01-2019 23:16:44
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 50% 6/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-01-2019 23:20:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องราวรุ่นพ่อกระจ่างแล้ว  มันเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 100% 11/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 22:42:59

ตอนที่ 22 เรื่องของคู่ปรับ  100%


ฟอด

“เฮ้ย! มาได้ไง” ต้นกล้าสะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นนั่งแต่ก็เกือบเสียหลักทำเปลพลิก ดีที่คนตัวโตจับไว้ได้ทัน

“ก็เดินมา”

“แล้ว...” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นแล้วชะเง้อคอไปทางตัวบ้าน ที่คิดว่าเด็ดเดี่ยวน่าจะเดินมาจากทางนั้น แม้ว่าตัวบ้านกับลานข้าวจะอยู่ห่างกันมากพอสมควร แถมยังมีต้นไม้และป่าหญ้าขึ้นบดบังมาตลอดทาง ในใจให้นึกสงสัยว่าชายหนุ่มผ่านหูผ่านตาคุณพ่อของเขามาถึงนี่ได้ยังไง เพราะจะลงมาที่นี่ก็ต้องเดินผ่านตัวบ้าน แม้จะอ้อม ๆ มาได้แต่ยังไงก็ต้องเห็น หากมีคนอยู่แถวนั้น

“มองหาใครเหรอ” เด็ดเดี่ยวถามพลางดึงเปลซึ่งเป็นผ้าเนื้อหนาอย่างดีให้กางออก เพื่อจะนั่งลงข้างหลังและจัดให้ต้นกล้านั่งอยู่ตรงกลางระหว่างของเขา

“โอ๊ย นั่งลงมาได้ยังไงตัวใหญ่ออกอย่างนี้” ต้นกล้าเลยหันกลับมาโวยวาย

“เปลมันรับได้น่าพี่เลือกมาอย่างดีแล้วเอาไว้นอนด้วยกันโดยเฉพาะ หึ ๆ ”

“อ้าว ไม่ใช่ไอ้จ๋าเหรอที่เป็นคนเอาเปลนี้มาผูกไว้”

“ไอ้จ๋าที่ไหนครับ พี่เดี่ยวนี่ล่ะเป็นคนเอามาผูกไว้รอใครบางคน แถมยังมานอนรอทุกวันจนแทบจะเฉาตายอยู่แล้ว ใครบางคนก็ใจด้ำดำ กว่าจะมาได้เล่นเอาพี่แทบตายไปจริง ๆ ” พูดจบก็ส่งตาหวานซึ้งปนตัดพ้อให้ สองมือสอดเกี่ยวเอวบางรวบเข้าหาตัว เด็ดเดี่ยวเอนตัวลงนอนโดยรั้งร่างของต้นกล้าให้เอนหลังลงด้วยกัน แต่อีกคนก็ทำท่าเหมือนจะไม่ยอม “อย่าดิ้นสิเดี๋ยวเปลก็ขาดจริงหรอก”

“แล้วจะมานอนเบียดกันทำไมเล่า”

“ไม่ใช่นอนเบียดนี่นอนกอด”

“เออนั่นแหละ เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก” ถึงจะต่อว่าแต่ต้นกล้าก็ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนอกกว้าง ร่างโปร่งอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวโต ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดไว้บนเชือกผูกเปล มีวงแขนแกร่งโอบรอบตัวอย่างหวงแหน ใบหน้าใสแนบขมับลงกับสันกรามกร้านแดด เด็ดเดี่ยวรู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดชอบให้ไกวเปลช้า ๆ ชายหนุ่มจึงทำเพียงเอาเท้าทั้งสองข้างแตะพื้นเพื่อยันเบา ๆ มืออบอุ่นลูบบนเรือนผมนิ่มสีแดงสดใส ที่ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะไปเติมสีมาใหม่แล้ว จูบอ่อนโยนกดลงที่กลางกระหม่อมของคนในอ้อมกอดอย่างแสนรัก

“คิดถึงที่สุดเลย” บอกแล้วก็หอมลงที่กลางกระหม่อมนั่นแหละอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่านี่คือความรู้สึกจริง ๆ

“รู้แล้วน่า”

“ว่าแต่เมื่อกี้มองหาใครเหรอ”

“เปล่าหรอก” จะให้บอกได้ยังไงล่ะ ว่าเมื่อเห็นอีกคนมาก็อดไม่ได้ที่จะมองดูว่ามีใครแอบตามมาด้วยหรือเปล่า โดยเฉพาะพ่อของเขาที่ยิ่งไม่ชอบขี้หน้าของคนตัวโตอยู่ด้วย

“วันนี้พี่ไม่ได้เข้ามาทางหน้าบ้าน”

“หืม หมายความว่ายังไง”

“พอดีมาทำธุระให้พ่อกำนันแถวนี้ พี่เลยเดินลัดทุ่งมาทางนั้น” มิน่าล่ะถึงได้แอบมาตรงนี้ได้ เพราะปกติถ้าจะมาที่ลานข้าวก็ต้องเดินผ่านหน้าบ้าน แต่ก็สามารถลัดมาจากที่นาข้าง ๆ ได้ด้วยเหมือนกัน นี่จึงตอบคำถามในใจของต้นกล้าได้แล้ว ว่าอีกคนผ่านคุณพ่อของเขามาได้อย่างไร เพราะไม่ได้มาทางที่มีด่านลอยนี่เอง

“พี่อาจจะไม่ได้เข้ามาสักสองสามวัน ต้นกล้าจะออกไปไหนหรือเปล่า”

“ไม่รู้”

“ถ้าพี่โทรมาจะรับสายมั้ย”

“อย่าลูบดิ” ต้นกล้าบอกเสียงสั่นพร้อมตะปบมือซุกซนข้างหนึ่ง ที่ลูบไล้ทำท่าเหมือนจะสอดแทรกเข้าข้างในแถวขอบเอวของกางเกงยีน ซึ่งผู้ชายด้วยกันมันก็รู้ ๆ กันอยู่ ว่าแถวนี้มันเป็นจุดเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน

“หึ ๆ ไม่ลูบก็ได้ครับ จุ๊บ”

“เฮ้อ เงียบ ๆ ได้มั้ยเราจะนอน”

“ก็นอนไปสิ งั่ม”

“โอ๊ย! พอเลยลงไปเลยเราจะนอนคนเดียว”

“ฮ่า ๆ ไม่กวนแล้วครับนอน ๆ ” เพราะความมันเขี้ยวเด็ดเดี่ยวจึงงับฟันคมเข้าที่ท้ายทอยของต้นกล้าไม่แรงมากนัก แต่เล่นเอาท้ายทอยขาว ๆ นั่นขึ้นรอยแดงเป็นปื้นบาง ๆ เลยทีเดียว

“ถ้าอยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็อย่ากวน” คนในอ้อมกอดบอกเสียงเข้ม ทั้งที่ดิ้นขัดขืนในตอนแรกแต่บัดนี้กลับบอกจะนอน นี่หมายถึงนอนให้เขากอดด้วยใช่ไหม แล้วมีหรือคนตัวโตจะกล้าขัดใจได้ ชายหนุ่มลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ สลับกับการจูบและสูดดมกลิ่นหอมที่กลางกระหม่อมของคนในอ้อมแขน แต่เพราะรู้สึกไม่สบายตัวและหายใจลำบากกับการนอนแบบนี้ ต้นกล้าจึงพลิกตัวเปลี่ยนท่าไปนอนข้าง ๆ โดยเอาไหล่เกยร่างซีกหนึ่งไว้บนอกกว้าง ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ น่าลูบไล้ ใช้ไหล่แกร่งที่อุดมไปด้วยลอนกล้ามหนุนแทนต่างหมอน มีวงแขนแข็งแรงที่โอบกอดไม่คลายพาดไว้ช่วงท้อง เผื่อแผ่ความอบอุ่นแก่กันและกัน

“ต้นกล้า” ครอกฟี้ “อ้าวหลับจริงเหรอเนี่ย” คนนอนเกยบนอกนั้นหลับไปแล้ว แต่เจ้าของอกยังนอนลืมตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ เขาหนักใจมากไม่ใช่ไม่คิดอะไร ด้วยว่าต้นกล้านั้นเป็นลูกคนเดียว และเป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้เป็นยาย หากท่านรับไม่ได้ที่หลานจะมารักชอบผู้ชายด้วยกัน คงจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน มันอาจจะทำให้คุณยายเสียใจละผิดหวังมาก คนรุ่นนี้คงยากที่จะยอมรับเรื่องรักอะไรแบบนี้ได้ง่าย ๆ ตัวเด็ดเดี่ยวเองที่ค่อนข้างผูกพันกับคุณยายเสมือนนางเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็อดห่วงความรู้สึกไม่ได้เหมือนกัน แต่เรื่องของหัวใจชายหนุ่มก็ห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ จึงกังวลคิดไม่ตกอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนผู้ใหญ่ถึงจะเข้าใจ และยอมรับในความรักของเขากับต้นกล้า แบบไม่ต้องมีใครเสียใจ

ครู่ใหญ่ผ่านไปเด็ดเดี่ยวจึงหลับตาลงบ้าง เขาเลือกที่จะทิ้งเรื่องหนักใจเอาไว้ก่อน ตอนนี้คือเวลาเก็บเกี่ยวความสุขจากความอบอุ่นใกล้ชิดของกันและกันเพื่อเก็บไว้เป็นกำลังใจ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสอย่างนี้อีก เขาก็ไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นคนฉวยโอกาส เขาอยากทำให้มันถูกต้องไปเลย อยากให้ทุกคนได้รับรู้ แต่เพราะคนตัวเล็กกว่าขอเอาไว้ว่ายังไม่พร้อมบอก ไหนจะว่าที่พ่อตาที่ท่าทางจะกันท่าสุดฤทธิ์ นี่คงทำให้เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันหายากมากขึ้น ตอนนี้มีโอกาสก็อยากเก็บเกี่ยวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ความสุขของคนเราบทจะมามันก็มาเร็วและจากไปเร็วเสมอ โดยเฉพาะความสุขของเด็ดเดี่ยวที่มักจะมีตัวมารมาผจญตลอด อย่าง...

“ลูกพี่ครับ” นั่นปะไรล่ะผิดจากที่คิดไว้ซะที่ไหนกัน เด็ดเดี่ยวที่กำลังจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา เป็นอันต้องยืดคอขึ้นตามเสียงเรียกของไอ้จ๋า ไม่รู้มันมายืนทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งเสียงเหยียบฟางแห้ง หรืออาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากคิดหนักเกินไป จนทำให้ลืมสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ลืมแม้กระทั่งเสียงนกเสียงกาที่พากันบินกลับรังอยู่บนยอดไผ่นี่ด้วย

“มีอะไรวะ”

“ป้านภาให้มาตามลูกพี่กล้าครับ”

“ต้นกล้าหลับอยู่”

“หลับอยู่ในอ้อมกอดครับลูกพี่พูดให้มันจบหน่อย คึคึ “ไอ้จ๋ายักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนให้อย่างที่มันชอบทำ ยิ่งเห็นลูกพี่รองหน้าเหวอไปไม่เป็นมันยิ่งได้ใจ

“เออ ๆ นั่นแหละว่าแต่จะต้องไปตอนนี้เลยเหรอวะ”

“ครับไปตอนนี้ได้ยิ่งดีครับ”

“เดี๋ยวค่อยไปได้มั้ยล่ะ”

“แต่ว่า..” ไอ้จ๋าสีหน้าเปลี่ยนเมื่อหันไปมองทางที่มันเพิ่งเดินผ่านมา ซึ่งนอกจากหน้าตาที่ดูทะเล้นเอาแต่เกรียนไปวัน ๆ เด็ดเดี่ยวก็เพิ่งจะได้เห็นตอนนี้ล่ะ ว่าไอ้จ๋ามันก็ทำหน้าลำบากใจเป็น

“มีอะไรเหรอวะ”

“เปล่าครับ คือว่าลูกพี่รีบปลุกลูกพี่กล้าเถอะครับ เย็นแล้วนอนมากเดี๋ยวปวดหัวนะครับ”

“เออ ๆ ขอเวลาห้านาทีแกกลับไปก่อนไป”

“เอาอย่างนั้นเหรอครับลูกพี่” ท่าทางของมันเหมือนอยู่ไม่สุขลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ ไหนจะคำถามที่เหมือนไม่แน่ใจนั่นอีก วันนี้ไอ้จ๋ามันเป็นอะไรของมัน “ปลุกลูกพี่กล้าให้ไปพร้อมไอ้จ๋าตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ”

“น่าขอ 5 นาที หรือแกอยากให้ลูกพี่ใหญ่ของแกตื่นมาเห็นว่ามีแกอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน เขาคงไม่ชอบใจเท่าไหร่หรอก” ใช่สิลูกพี่ใหญ่จอมวางฟอร์มของมัน แม้จะแสดงออกมาว่ามั่นใจมากแค่ไหน ไอ้จ๋ามันก็รู้ว่าลูกพี่เขินอายทีเดียวสำหรับเรื่องนี้

“ครับ งั้นไอ้จ๋าไปรอที่บ้านก็แล้วกัน ลูกพี่เดี่ยวบอกลูกพี่กล้ารีบตามไปนะครับ” ไอ้จ๋าวิ่งกลับไปทางเดิมที่พามันไปสู่บ้านไม้หลังใหญ่แล้ว เด็ดเดี่ยวจึงหันกลับมามองท้องทุ่งเขียวขจีแซมเหลืองเบื้องหน้า เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ความผ่อนคลายหายไปทดแทนด้วยความหนักหน่วงของความหนักใจ หลุบตาลงมองคนนอนเกยอกที่ยังหายใจสม่ำเสมอ ต้นกล้าไม่มีทีท่าว่าจะตื่นทั้งที่มีเสียงคนคุยกันดังอยู่ใกล้ ๆ คงเพราะเพลียจากการเดินทางถึงได้หลับสนิทอย่างนี้ ใบหน้าใสของคนหลับดูอ่อนเยาว์ไร้พิษสง ตาสวยสีดำขลับถูกปิดด้วยเปลือกตา ที่ประดับด้วยขนตายาวปลายเป็นแพหนา รับกับคิ้วเข้มได้รูปอย่างพอดี จมูกรั้น ๆ นั่นทำเอาเด็ดเดี่ยวนึกมันเขี้ยวอยากกัดเข้าให้ แต่คนในอ้อมแขนคงตื่นมาโวยวาย และกัดหัวเขาคืนหนักกว่าเป็นสองเท่าแน่ ๆ

รอยยิ้มจาง ๆ ประดับบนใบหน้าของเด็ดเดี่ยว เมื่อคิดถึงความเอาเรื่องของคนหลับ ทั้งขี้โวยวายและขี้แกล้ง แต่สำหรับชายหนุ่ม เมื่อรวมเป็นคนคนนี้แล้วมันคือความน่ารัก พอคิดว่าอีกคนน่ารักริมฝีปากอุ่นก็ค่อย ๆ แตะลงที่กลางหน้าผากแผ่วเบาหวงแหน แต่เหมือนกับว่าเท่านั้นมันยังไม่พอต่อความต้องการ ที่เรียกร้องมาจากส่วนลึกของหัวใจ เด็ดเดี่ยวจูบย้ำอีกรอบด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ไล่เรื่อยต่ำลงไปจนถึงปลายจมูกโด่งรั้นน่ามันเขี้ยวนั่นจนได้

“อื้อ งึม ๆ ”

“ตื่นได้แล้วครับ”

“ม่าย เราจะนอน”

“ไม่อยากกลับเลย แต่พี่ต้องกลับแล้วนะ” พูดจบก็จูบหนัก ๆ ลงที่กลางหน้าผากจุดเดิม เล่นเอาคนโดนจูบอุ่นวาบเข้าไปถึงข้างใน แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น

“ก็ไปสิใครห้าม”

“ตื่นได้แล้วนะ นอนมากปวดหัว เดี๋ยวกลางคืนก็นอนไม่หลับอีก ยิ่งไม่มีพี่นอนกอดด้วย” พูดไปพลางก็พรมจูบและสูดดมเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วใบหน้าหล่อเกาหลีอย่างแสนรัก

“จะอะไรนักหนาคนกำลังหลับสบายเนี่ย ตื่นไม่ตื่นก็เรื่องของเราน่า” ต้นกล้าบ่นเสียงแหบทั้งที่ยังหลับตา

“ก็พี่เป็นห่วงนี่” จุ๊บ

“อย่าจูบดิ โอ๊ยพอ ๆ ”

“ไม่ตื่นพี่จะจูบอยู่แบบนี้ล่ะ ดูสิพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว สวยมากเลย” ต้นกล้าลืมตาขึ้นเพราะคำว่า ‘พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน’ นี่แหละ

ภาพเบื้องหน้าอันเป็นท้องทุ่งนายามโพล้เพล้ ปูลาดสม่ำเสมอไปด้วยพรมเขียวขจีของต้นข้าว มีต้นตาลแก่โตเต็มที่เหยียดยืนต้นสูงชะลูดกระจายไปทั้งท้องทุ่ง สลับกับต้นมะขามต้นมะม่วงประปราย ไอหมอกบางยามเย็นลดตัวลงคล้ายจะปลอบประโลมยอดข้าวที่เริ่มหนักรวง และถูกแดดแผดเผามาทั้งวัน คล้ายจะบอกว่าฤดูฝนกำลังจะจากไป และเปิดโอกาสให้ฤดูหนาวได้เข้ามาเยือน ซึ่งนั่นมันหมายถึงฤดูเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้าด้วย ท้องทุ่งยามเย็นก่อนตะวันลับฟ้าอาบไล้ไปด้วยแสงสีส้มอมทองอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์ดวงโต ที่กำลังลอยระยอดไม้ เป็นช่วงที่ต้นกล้าชอบที่สุดก่อนแสงสุดท้ายของวันจะอำลา เพื่อเปิดทางให้ค่ำคืนได้มาเยือน

“สวยจัง”

“ใช่สวยมากสวยที่สุด แต่พี่...คงต้องกลับจริง ๆ แล้วนะ” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ต้นกล้าละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันกลับมามองคนที่ใช้วงแขนอบอุ่นโอบกอดเขา

“เดี๋ยวสิรอให้พระอาทิตย์ลับฟ้าก่อนค่อยไป” แน่นอนว่าเด็ดเดี่ยวชอบข้อเรียกร้องนี้มาก และเขาตอบรับด้วยการกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม โดยที่ต้นกล้าก็ขยับตัวให้ได้ท่าเหมาะแล้วจะทิ้งศีรษะลงหนุนบนไหล่กว้าง ทั้งสองนอนมองพระอาทิตย์สีส้มดวงโตค่อย ๆ ลดระดับต่ำลงและลับยอดไม้ไปในที่สุด แสงสีส้มหายไปช้า ๆ บอกลาสองร่างที่กอดก่ายในเปลญวน ความสลัวรางคืบคลานเข้ามาทดแทน

ภาพของสองหนุ่มที่แบ่งปันความอบอุ่นละมุนหัวใจให้กัน เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดงบนเปลเงียบ ๆ นั้น อยู่ในสายตาสองคู่ที่มองมาด้วยความรู้สึกแตกต่าง หนึ่งในนั้นคือไอ้จ๋าลูกน้องคนสนิท ที่เฝ้ามองด้วยความกังวลและเป็นห่วง มันหันไปสบตากับผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาที่อ้อนวอนขอความเห็นใจ เพราะมันเอาใจช่วยคนเป็นลูกพี่ แต่เมื่อได้รับสายตาดุตอบกลับมา มันก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ไอ้จ๋าหันหลังเดินไปตามทางสายเล็กที่พาไปสู่ตัวบ้านเงียบ ๆ ผิดความทะเล้นในยามปกติ มีเจ้าของนัยน์ตาดุคู่นั้นเดินตามไป ไม่มีใครพูดอะไรจนมาถึงตัวบ้านไอ้จ๋าก็แยกเข้าครัว เพื่อช่วยแม่แจ่มใจและคุณนภาเตรียมมื้อเย็น จนจัดสำรับกับข้าวเสร็จเรียบร้อยนั่นแหละ มันจึงขอตัวเพื่อไปสะสางปัญหาของตัวเอง

“ทำอะไรอยู่วะทำไมไม่เปิดเครื่องสักที” กว่าไอ้จ๋าจะขับรถคันเก่าคู่ใจของมันเข้ามาถึงตัวอำเภอก็มืดค่ำแล้ว และตอนนี้มันจอดรถอยู่หน้าร้านขายอุปกรณ์การเกษตรที่คุ้นเคย เพราะพักหลังนี้มันมาบ่อยมากแต่ไม่ใช่เพราะมาซื้อของ มันมาหาลูกคนเล็กของเจ้าของร้านต่างหาก

ไอ้จ๋าโทรหาน้ำส้มตั้งแต่บ่ายก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรทำไมถึงได้ปิดเครื่องนานขนาดนี้ คิดไปคิดมาก็ให้นึกเป็นห่วง เมื่อกดโทรไม่ติดมันจึงเดินมาชะเง้อชะแง้ข้างรั้วอัลลอยด์ลายสวย เพื่อจะได้มองเข้าไปถึงด้านหลังของร้านให้เห็นข้างในได้ชัดเจน เพราะด้านหน้าซึ่งเป็นประตูใหญ่ปิดไปแล้ว แต่จากมุมที่มันยืนอยู่ มองเข้าไปภายในบ้านไม่เห็นใครเลย ไอ้จ๋าจึงทำได้แค่เดินวนเวียนอยู่แถวนั้น ตาก็เหลือบมองรถที่ขับผ่านไปผ่านมาบ้าง เดินกลับมาชะเง้อชะแง้เข้าไปในบ้านบ้าง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของใครสักคนออกมาให้มันได้พอถามไถ่ถึงคนที่ตั้งใจมาเจอ

“คนบ้านนี้เขาไปไหนกันหมดวะ” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ แล้วเดินกลับมานั่งในรถ พี่ฮีโร่ประจำตัวถูกโยนไปที่เบาะข้างคนขับอย่างไม่ไยดี เพราะตอนนี้ดูเหมือนมันจะไร้สิ้นซึ่งประโยชน์ โทรไปเท่าไหร่ก็ได้ยินแต่เสียงตอบรับของระบบ ที่บอกว่าอีกคนไม่สามารถติดต่อได้ ในใจของไอ้หมาหน้าดำให้นึกเป็นห่วง เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นกับน้ำส้มหรือเปล่า แต่พอมองเข้าไปในบ้านที่ดูเงียบเหมือนไม่ได้มีเรื่องอะไรร้ายแรง มันก็ให้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง ความกังวลลดลงไปมากแต่ความห่วงยังคงเต็มตื้นอยู่ในใจของมันเช่นเดิม

“จะเข้าไปหายังไงวะเนี่ย คนให้ถามก็ไม่มี” และจากนั้นไอ้จ๋าก็บ่นออกมาอีกหลายประโยค ยิ่งนานมันก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อรอนานเข้าก็เดินลงไปส่องที่รั้วบ้านอีก มองหากริ่งข้างประตูเข้าบ้านก็ไม่มี ไอ้จ๋าลองเรียกเผื่อมีใครอยู่แถวนี้แล้วหลงหูหลงตามันไป แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือความเงียบจากในบ้าน และเสียงรถที่วิ่งผ่านไปมา ซึ่งไม่มีใครสนใจมันเลยสักคน

ไอ้จ๋าชักเริ่มฉุนหนักและหงุดหงิด แต่ไม่ใช่หงุดหงิดให้ใครที่ไหนหรอกนอกจากตัวของมันเอง ที่ทำอะไรอย่างที่ต้องการไม่ได้ มันอุตส่าห์ขับรถเข้าเมืองมาหาเพราะความคิดถึง แต่มาแล้วอะไรคือการปิดบ้านเงียบและยังโทรหาไม่ติด ตอนนี้มันได้แต่ถอนหายใจเซ็ง ๆ จนผ่านไปอีกครู่ใหญ่พี่ฮีโร่คู่ใจจึงส่งเสียงเตือนว่ามีสายเข้า ไอ้จ๋าคิดว่าเป็นคนที่มันกำลังคิดถึงโทรเข้ามา จึงรีบตะครุบโทรศัพท์มือถืออย่างว่องไว แต่ความรู้สึกลิงโลดในหัวใจก็มลายหายไปในทันที เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า

ลูกพี่ใหญ่!

“ครับลูกพี่....ครับ..ตอนนี้ไอ้จ๋าอยู่ที่ตัวอำเภอลูกพี่จะเอาอะไรหรือเปล่าครับ....ก็..แฟนกันมาหากันแปลกตรงไหนล่ะครับ หึ ๆ ยังไม่เจอครับ แต่เดี๋ยวไอ้จ๋าก็กลับแล้วคงไม่ดึกมากครับ..ลูกพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ...อ๋อเหรอครับ ครับ ๆ “ไอ้จ๋าวางสายแบบงง ๆ ว่าตกลงลูกพี่ใหญ่โทรมาหามีธุระอะไร เหมือนจะพูดจะถามอะไรแต่ก็ไม่พูด พอถามก็ไม่ยอมบอกแต่โดยดี เหมือนมีอะไรอยากให้ทำแต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ

ไอ้จ๋านั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้บอกเวลาสองทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว มันมองเข้าไปในบ้านอีกครั้งก็มีแต่ความเงียบ มันเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาว่าจะกดโทรออกอีกครั้ง แต่มือก็ดันชะงักเสียก่อนเพราะสายตาปะทะเข้าเต็ม ๆ กับรถมอเตอร์ไซด์คันเล็กสีชมพูหวานที่คุ้นตา แต่ที่ไม่คุ้นก็ไอ้ผู้ชายคนขับตัวสูงเพรียวที่หน้าตาก็งั้น ๆ แหละออกจะจืดและตี๋ด้วยซ้ำแต่เอ่อ..เอ้า ก็ได้วะ ไอ้หน้าตี๋ที่ดูหล่อนิด ๆ แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นล่ะนะที่มันให้ได้ ไอ้จ๋าสงสัยว่าเป็นใครถึงได้บังอาจมาขับรถนมเย็นคันนี้ ความหวงแหนเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความไม่พอใจกลบทุกอย่างเอาไว้หมดสิ้นจนมันต้องกัดฟันกรอด...

พอไอ้หน้าตี๋ที่หล่อนิด ๆ นั่นจอดรถตรงข้างรั้วบ้าน ไอ้จ๋าจึงได้เห็นว่ามีคนอีกคนที่ตัวเล็ก ๆ และผอมบางนั่งซ้อนท้ายมาด้วย เมื่อน้ำส้มลงมาเปิดประตูและอาจจะเป็นเพราะมีรถขับผ่านไปมาตลอด บ้างก็มาจอดหน้าบ้านบ่อยครั้ง ทั้งน้ำส้มและไอ้หน้าตี๋หล่อหน่อยเดียวนั่นจึงไม่ได้สังเกต ว่ามีรถกระบะคันเก่าจอดอยู่ถัดจากประตูบ้านแค่ไม่กี่ก้าว

ไอ้จ๋าเกิดความฮึดฮัดไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าน้ำส้มหันไปส่งยิ้มหวานให้ไอ้หน้าตี๋ ที่ความหล่ออันน้อยนิดของมันกำลังจะหมดลงเต็มแก่ เมื่อมันขับรถเข้าไปข้างในและตามด้วยน้ำส้ม ที่นอกจากจะมองไม่เห็นหัวดำ ๆ เกรียน ๆ ของไอ้จ๋าที่นั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ในรถแล้ว อีกคนยังปิดประตูบ้านและดูเหมือนจะล็อกเอาไว้อย่างดีเหมือนเดิมเสียด้วย ทำไมต้องให้ไอ้หน้าตี๋นั่นเข้าไปด้วยกัน มันเป็นใคร!

ในหัวของไอ้จ๋ามีแต่คำถามว่าไอ้ตี๋หน้าหล่อนิดเดียวนั่น มันเป็นใครมาจากไหน มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร หรือว่ายัยส้มเน่านี่จะแอบนอกใจวะ หรือทั้งสองคนคบกันมาก่อน หรือยัยเผือกน้อยจะคบซ้อน หรือยัยส้มเน่าหลอกไอ้จ๋าหรือยังไง หรือ ๆ ๆ หรือ..? ไอ้จ๋าคิดไปต่าง ๆ นานาตามประสาคนเข้าใจผิด แต่อย่างเดียวที่มันไม่คิดก็คือไอ้ตี๋หน้าหล่อนั่นอาจจะเป็นญาติกันก็ได้ เพราะดูจากสายตาที่ไอ้ตี๋มองไปทางน้ำส้มแล้ว มันไม่ได้สื่อไปแนวนั้นเลยสักนิด สายตาที่ผู้ชายแมน ๆ อย่างมันพอจะดูออกได้ทันที ว่ายังไงมันต้องมีอะไรบางอย่างแอบแฝง หรือยังไง? อะไร? ทำไม?

โว้ย! เมื่อคิดไม่ตกและไม่ได้คำตอบ ไอ้จ๋าก็ได้แต่หงุดหงิดให้ตัวเอง

“โธ่เว้ย” โอ๊ย! ทุบมือลงที่พวงมาลัยรถอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บหนึบขึ้นมาทันที แต่เวลานี้มันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว กำลังจะสตาร์ทเพื่อขับกลับบ้าน พลันเสียงของตัวเองที่บังอาจเสนอหน้าไปเตือนสติลูกพี่เมื่อเช้าก็ดังขึ้น

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับลูกพี่ แต่ไอ้จ๋าว่าต่อไปมีอะไรก็คุยกันดี ๆ ดีกว่านะครับ

มันจึงมองเข้าไปภายในบ้านอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเวลานี้เหมาะที่จะคุยหรือเปล่า แล้วที่ไม่รับโทรศัพท์ทั้งวันปล่อยให้มันโทรหาจนแบตหมดนี่คืออะไร หรือเพราะอยู่กับไอ้หน้าตี๋นี่ทั้งวันใช่ไหมถึงได้ทำเมิน

“โธ่เว้ย” ไอ้จ๋าระบายอารมณ์ออกมาด้วยการสบถเสียงดังอีก เพราะคิดแล้วก็ให้เกิดความหงุดหงิดใจ แต่มันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากนั่งหงุดหงิดกัดฟันข่มอารมณ์จนแก้มเป็นสันนูน ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาอย่างตัดสินใจ แล้วบิดกุญแจสตาร์ทรถ เท้าซ้ายเหยียบที่ครัทช์ค้างเอาไว้แล้ว ส่วนมือซ้ายก็กำลังจะเข้าเกียร์ แต่เท้าขวากลับชะงักก่อนที่จะทันได้แตะคันเร่ง เพราะอยู่ดี ๆ มันก็สะดุดแล้วมีเสียงในหัวดังขึ้นบอกตัวเอง ’ มึง อย่าเพิ่งไป’

“ยัยเน่าเอ๊ยกล้านอกใจฉันหรือไง ทำอะไรของเธอวะเนี่ย ไอ้บ้านั่นใครวะ ฮึ่ย!” ปึง ปริ๊นนน “เฮ๊ย! “ไอ้จ๋าสะดุ้งโหยงจนตัวเด้ง เมื่อบ่นให้น้ำส้มแล้วเผลอใส่อารมณ์หงุดหงิดมากเกินไป โดยระบายออกมาด้วยการทุบพวงมาลัยรถ แต่คราวนี้อาจจะเป็นเพราะมันเอาแต่คิดมากตาจ้องมองไปข้างหน้า จึงไม่เห็นว่าตัวเองทุบลงที่แตรของรถจนกระทั่งได้ยินเสียงมันดังขึ้นมา

ไอ้จ๋ามองไปรอบ ๆ เพราะกลัวว่าเสียงแตรรถของมันจะทำให้คนอื่นตื่นตกใจ แต่ดีที่แถวนั้นไม่มีใครสักคน เพราะร้านค้าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็พากันปิดหมดแล้ว เหลือแต่ความว่างเปล่าเงียบเหงา ไอ้จ๋านั่งมองรถที่วิ่งผ่านไปมาแม้ว่าจะไม่มากนัก แต่เวลาที่สับสนแบบนี้ก็นั่งมองเพลินได้เหมือนกันจนกระทั่ง….

ก๊อก ๆ เสียงเคาะกระจกรถเรียกให้ไอ้หมาหน้าดำกลับมาสู่ปัจจุบันกาล และคนที่มาเคาะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนที่มันมาหานั่นแหละ

“จ๋ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“..” ถึงแม้จะไม่ยิ้มแต่น้ำส้มก็ถามด้วยเสียงหวาน ๆ ไม่ผิดจากทุกครั้งที่พูดคุยกัน ส่วนไอ้จ๋าเอาแต่จ้องตาดุและไม่ยอมตอบคำถาม พอมันหมุนกระจกรถลงอีกคนก็เข้ามาเกาะขอบประตูทันที

“เป็นอะไรหน้าตึงมาเชียว เพิ่งมาถึงเหรอ”

“หึ ใช่มั้ง”

“แล้วไปไหนมาค่ำ ๆ มืด ๆ “

“เธอต่างหากที่ต้องบอกว่าไปไหนมาค่ำ ๆ มืด ๆ ยัยเน่าทำตัวเหลวไหลหรือไง”

“อ้าว! เค้าเปล่าทำตัวเหลวไหลแค่ออกไปกินบะหมี่”

“บะหมี่คงอร่อยมากสินะ”

“ใช่อร่อยมากร้านสี่แยกตลาดสดไง จ๋าเคยไปกินปะ”

“มันก็แค่บะหมี่นั่นแหละวะ อร่อยไม่อร่อยคงอยู่ที่คนไปด้วยต่างหาก” น้ำส้มขมวดคิ้วสงสัย แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจว่าทำไมไอ้จ๋ามันถึงได้พูดแบบนี้ นี่คงจะเห็นว่ามากับผู้ชายคนอื่นล่ะสิถึงได้พูดประชดประชันออกมา น้ำส้มยิ้มหวานรู้ทัน ตาสวยข้างขวาหรี่ลงนิด ๆ เลียนแบบที่ไอ้จ๋ามันชอบทำโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็น่ารักจนไอ้คนที่มองอยู่เผลอมองเพลินไปเลยทีเดียว

“แสดงว่ามานานแล้วใช่ปะ”

“มานงมานานอะไรฉันเพิ่งมาถึงเหอะ”

“แล้วเห็นได้ไงล่ะว่าฉันไปกับใคร”

“เธอจะไปกับใครมันก็เรื่องของเธอสิฉันจะไปรู้ได้ไง ถอยไปเลยจะกลับแล้ว”

“เอ้า คนบ้านี่” น้ำส้มต่อว่าเมื่อไอ้จ๋าแกะมือที่เกาะของประตูรถออกด้วยท่าทางฮึดฮัด แถมยังสะบัดหน้าใส่กันอีกจนอยากหัวเราะขำออกมาดัง ๆ นี่คืองอนใช่ไหมน้ำส้มนะที่เป็นฝ่ายโกรธ “ไปจริงดิ”

“เออสิ”

“ว้า...”

“ไอ้ส้มพี่กลับก่อนนะ”

“ฮะพี่ตี๋ฝันดีน้า” ไอ้จ๋าแบะปากอย่างหมั่นไส้เมื่อไอ้หน้าตี๋เดินออกมาหน้าบ้าน แล้วโบกมือลายัยส้มเน่าของมันที่โบกตอบแถมยังยิ้มและอวยพรให้เขาด้วย ไอ้จ๋ามองตาขวางไม่พอใจ แต่ในหัวก็นึกขำและอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ คนอะไร หน้าก็ตี๋ชื่อยังมาตี๋อีก พ่อแม่ไม่มีชื่อดี ๆ กว่านี้ตั้งให้ลูกแล้วหรือไงวะ

“มันเป็นใคร”


ต่อข้างล่างนะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 100% 11/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 22:44:23



“มัน..? อ่อเมื่อกี้น่ะเหรอพี่ตี๋เพื่อนรุ่นพี่เราเองล่ะ ที่เพิ่งไปกินบะหมี่ด้วยกันมาไง”

“รู้แล้วน่า”

“คิก ๆ จ๋าไหนบอกเพิ่งมาถึงแล้วเห็นได้ยังไง”

“นี่ยัยเน่า ฮึ่ย เปล่านะโว้ย” ไอ้จ๋าเสียงดังกลบเกลื่อน เมื่อถูกจับได้ว่าโกหกก็หันหน้าหนี แกล้งทำว่าโกรธฟึดฟัดเพื่อแก้หน้าให้ตัวเอง

“อุ๊ย โกรธเหรอจ๋าหึงเค้าล่ะสิ”

“เปล่าเลยยัยเผือกน้อย อย่าสำคัญตัวผิดทำไมฉันต้องหึง อยากไปไหนก็ไปเลยเชิญ”

“ได้ไงล่ะจ๋าเราแฟนกันนะ”

“ใครแฟนเธอ” !

“อ้าว ไหงพูดแบบนี้ล่ะ”

“หึ ๆ พูดความจริงสิ”

“ก็ใช่ไงความจริงคือเราเป็นแฟนกัน แล้วเมื่อกี้จ๋าพูดอะไรออกมา หรือว่าไม่อยากคบกันแล้ว” พอได้ยินเสียงสั่น ๆ ในตอนท้ายของตัวเอง ขอบตาก็ให้ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที พูดเองก็เจ็บเอง ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้จ๋าพูดแบบนี้ แต่ฟังแล้วใจดวงน้อยก็หวั่นไหวเหลือเกิน

“ฉันหมายถึงความจริงที่ว่าไอ้หน้าตี๋นั่นมันเป็นใคร ทำไมต้องไปกินบะหมี่ด้วยกันต่างหาก”

“อ้าว” น้ำส้มอึ้งเพราะตัวเองนั้นเข้าโหมดเศร้าไปแล้วกับคำพูดของไอ้จ๋า แต่เอาไปเอามากลับกลายเป็นว่ามันถามถึงอีกเรื่องไปเสียอย่างนั้น คนบ้านี่ทำไมไม่พูดให้เคลียร์วะ

“ไม่ต้องมาอ้งมาอ้าว สารภาพมาซะดี ๆ ว่าไอ้หน้าตี๋นั่นมันเป็นอะไรกับเธอ”

“ก็เป็นเพื่อนรุ่นพี่รู้จักกันมาแต่เด็กไม่มีอะไร”

“ฉันให้เธอพูดใหม่ยัยเน่า คราวนี้พูดมาให้หมด พูดให้จบให้ชัดและเคลียร์” ไอ้จ๋าจ้องน้ำส้มตาดุเหมือนกับว่ารู้อะไรบางอย่าง แต่ต้องการให้น้ำส้มสารภาพออกมาเอง และนี่ทำให้ใบหน้าสวยน่ารักสลดจนต้องก้มหน้าลงหลบสายตาดุเอาเรื่องทันที

“ก็ คือ”

“หืม..?”

“คือว่า..”

“ว่า...อะไร”

“โอ๊ยยุงกัด”

“พูด! “

“คือพี่เขาแอบชอบเรามานานแล้ว” กูว่าแล้ว ไอ้จ๋าพูดในใจเมื่อสิ่งที่มันคิดดันตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น น้ำส้มช้อนดวงตาหวานที่มีแต่แววหวาดหวั่นขึ้นมองอ้อนไอ้จ๋า ก่อนจะพูดต่อ “แต่เราไม่ได้สนใจพี่เขาแบบนั้นนะ”

“ไม่ได้สนใจแต่ไปกินบะหมี่ด้วยกันเนี่ย”

“คือ แบบ คือว่า ทำไมจ๋าต้องเสียงดัง” น้ำส้มหน้างอเพราะเสียงของไอ้จ๋าฟังดูเหมือนจะกดดันและเข้มขึ้นเรื่อย ๆ

“พูด! “

“โอ๊ยจ๋าอย่าเสียงดังสิตกใจหมด”

“เหอะ มีอะไรจะพูดก็พูดเลยอ้ำอึ้งลำไย”

“วันนี้วันเกิดพี่ตี๋น่ะ เขาเลยขอให้ไปกินบะหมี่เป็นเพื่อนแค่นั้นเอง”

“แล้วเธอก็ไป”

“ก็ถ้าไม่ติดว่าพี่ตี๋ชอบเรา พี่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะจ๋า แต่เราคิดได้แค่พี่น้องกันเท่านั้น พ่อก็รู้จัก” หืม ดูเหมือนมันจะได้เปรียบไอ้จ๋านะเนี่ย

“แน่ใจ้” ไอ้จ๋าถามเสียงสูงมองตาขวางรอคำตอบ

“แน่ใจสิ นี่อย่ามาถามเสียงแบบนี้นะ ส้มโกรธจ๋าอยู่นะ”

“เหอะ โกรธก็ช่างเธอเพราะฉันไม่ง้อหรอก แต่เธอทำตัวเหลวไหลแบบนี้ไหนบอกมาซิ อยากโดนทำโทษแบบไหน”

“บ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดจะมาทำโทษได้ยังไง”

“มานี่เลย” ไอ้จ๋าเปิดประตูรถออกกว้างแต่ไม่ใช่เพื่อลงจากรถมาประจันหน้ากัน เพราะมันเพียงยืดตัวออกมาคว้าเข้าที่แขนผอมบาง แล้วกระชากให้น้ำส้มมานั่งลงบนตักของมันได้อย่างพอดิบพอดี มันเร็วจนน้ำส้มไม่ทันเห็นรอยยิ้มร้ายที่ผุดขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ไอ้หมาหน้าดำมันจะทำหน้าดุเหมือนเดิม ร่างผอมบางถูกล็อกเอาไว้ด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดจนแนบชิด

“อุ้ยจ๋า เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ต้องสนหรือไง “

“สนสิเผื่อพ่อออกมาดูจะว่ายังไง”

“ก็ไม่ว่ายังไงฉันก็จะบอกพ่อเธอให้เขารู้ ว่าลูกตัวเองอ่อยผู้ชายไปทั่วยัยส้มเน่า”

“ใส่ร้ายกันชัด ๆ ไม่คุยด้วยแล้วปล่อยเลยนะ”

“หึ จะรีบตามไอ้ตี๋นั่นไปหรือไง แล้วฉันที่เป็นแฟนเธอล่ะ”

“ก็จ๋าอยากงี่เง่าทำไม พูดไม่ดีกับเค้าด้วย”

“ฉันไม่ได้งี่เง่ายัยเผือก ฉันแค่หึง!”

“ไหนตอนแรกบอกไม่หึงคนบ้านี่ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย อื้อ “ไอ้จ๋ารำคาญเลยจูบหนัก ๆ สอดแทรกลิ้นอุ่นเข้าหาอย่างอุกอาจ มันจูบจนน้ำส้มอ่อนระทวยและหนำใจแล้วนั่นแหละ ถึงปล่อยให้คนตัวผอมได้หายใจเอาอากาศชดเชย ที่ถูกมันสูบไปแทบขาดใจตาย

“จ๋าเดี๋ยวใครมาเห็นหรอก” น้ำส้มดุไอ้จ๋าเสียงเบา ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า และโชคดีที่ไม่มีใคร เพราะไอ้หมาบ้าหน้าดำเล่นทีเผลอ ด้วยการจูบน้ำส้มอย่างลึกซึ้งดูดดื่ม ดูดเอา ๆ จนปากเจ่อไปหมดแล้ว “แล้วนี่มันหน้าบ้านนะจ๋า”

“งั้นเข้าบ้าน”

“อย่าบอกนะว่าจะเข้าไปด้วย”

“แน่นอน”

“แล้วพ่อล่ะ พ่อยังไม่นอนถ้าพ่อเห็น”

“วู้ยยัยเน่า เธอจะไม่พาฉันไปเปิดตัวกับว่าที่พ่อตาหรือยังไง”

“โอ๊ย คนบ้านี่พูดอะไรก็ไม่รู้” น้ำส้มเม้มปากไม่แน่ใจว่าเพราะกลั้นยิ้มหรือทำแก้เขิน แต่เล่นเอาไอ้หมาหน้าดำที่มองอยู่ยิ้มขำออกมาได้ทันทีเลยล่ะ

“หึ ๆ ฉันพูดเล่นน่า แต่เอาจริง ๆ ก็อยากให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้กันทั้งสองฝ่ายนะ” เปลี่ยนอารมณ์เร็วจนน้ำส้มตามไม่ทัน จึงได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งบนตักแกร่ง สองมือโอบรอบคอหนาประสานมือไว้หลังท้ายทอยคนเกรียน จนผ่านไปเกือบนาทีจึงตัดสินใจถามออกมา

“จ๋ามั่นใจแล้วเหรอ มั่นใจแล้วจริง ๆ ใช่มั้ยเรื่องของเราสองคน”

“ไหนเงยหน้าขึ้นมาดูดิ๊” ไอ้จ๋าไม่ตอบคำแต่เชยคางมนให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

“ทำไม”

“มาจนถึงป่านนี้ยังจะมาถามหาความมั่นใจ”

“ก็..”

“หืม? ก็อะไรอย่าอ้ำอึ้งฉันขี้เกียจรอฟัง นี่แน “พูดจบก็ดีดหน้าผากนวลไปหนึ่งที ที่ไอ้จ๋าคิดว่ามันแค่แกล้งดีดเบา ๆ แต่เล่นเอายัยส้มเน่าน้ำตาคลอ หน้าผากมนขึ้นรอยแดงจาง ๆ ทันที “โหยแดงเลย หึ ๆ ”

“ทำเค้าเจ็บแทนที่จะขอโทษ”

“ก็แกล้งแฟนไงวะ” ไอ้จ๋าเอาคำพูดของน้ำส้มมาล้อเลียน จนคนที่หน้าบึ้งงอนเพราะความเจ็บเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เลยปล่อยหัวเราะขำออกมา

“จ๋ายังไม่ตอบถามเราเลย”

“คำถามอะไรวะลืม”

“ก็ที่ถามว่ามั่นใจแล้วหรือไง”

“จะถามอะไรหนักหนา”

“อยากถามเพื่อความมั่นใจครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่ถามอีก”

“เออ”

“จ๋า” น้ำส้มเรียกเสียงดุ เพราะไอ้จ๋าตอบมาเท่านั้นก็นั่งจ้องหน้ากันเงียบ ๆ เหมือนตอบผ่าน ๆ คนรอคำตอบจึงรู้สึกเหมือนกับว่าปัญหาที่ถามยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน “ตอบให้มันดี ๆ หน่อยสิ”

“เฮ้อ อยากรู้อะไรนักหนาวะ”

“หรือว่าจ๋าไม่มั่นใจล่ะ”

“มั่นใจสิยัยส้มเน่า ว่าแต่เธอนั่นแหละมั่นใจแค่ไหนกัน”

“มั่นใจสิ เราเกิดมารู้ตัวเองมาตลอดว่าเป็นแบบนี้ แต่จ๋าไม่เหมือนเรานี่” น้ำส้มหมายถึงเพศสภาพและลักษณะของตัวเอง ที่ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นแบบนี้มาแต่แรกแล้ว ถึงแม้ว่าจะเคยพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ให้เปลี่ยนยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดีจึงทำได้แค่ยอมรับ โชคดีที่ผู้เป็นพ่อเองก็เข้าใจ

“มันจะเหมือนได้ยังไงล่ะ เพราะต่อไปในอนาคตฉันต้องเป็นคนทำและเธอต้องเป็นคนถูกทำ”

“หมายความว่ายังไงจ๋าจะทำอะไรเหรอ” เพราะคิดไม่ทันหรือเพราะมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ไม่รู้ น้ำส้มตามคำพูดนี้ของไอ้จ๋าไม่ทันจึงเอียงคอถามหน้าซื่อ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังงงและไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากไอ้จ๋าคือสายตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ที่เห็นแล้วเล่นเอาน้ำส้มขนลุกซู่ขึ้นมาเลยทีเดียว

“หึ ๆ “

“คนบ้านี่ขำอีกแล้วนะ ตะ แต่ว่า แต่ จ๋าโอ๊ยพูดอะไรออกมาเนี่ยลามกที่สุดเลย”

“ฮ่า ๆ นี่เธอเพิ่งคิดได้หรือยังไง ไหนหันหน้ามาซิ”

“พอเลยปล่อยด้วยคนลามก”

“หันมาน่าเป็นแฟนกันเรื่องแบบนี้มันธรรมดาปะ” ไอ้จ๋าพยายามจับให้น้ำส้มหันหน้ามาหากัน แต่จะว่าจับก็คงจะไม่ค่อยถูกนัก เพราะมันใช้มือใหญ่ ๆ หยาบ ๆ ของมันข้างเดียว บีบเข้าที่ขากรรไกรของน้ำส้มไม่แรงนัก แต่ก็พอบังคับให้ใบหน้าสวยหันกลับมา น้ำส้มก็เอาแต่ขืนตัวออกและหันหน้าหนีไปอีกทาง ก็ใช่นะสิ เพราะตอนนี้ความเขินอายมันมีมากเกินกว่าที่จะมองหน้ากัน เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าที่พูดนั้นไอ้จ๋ามันหมายถึงเรื่องอะไร

“จะหันไม่หัน”

“ไม่”

“ไม่หันงั้น”

“โอ๊ยจ๋าอย่า.... โอ๊ยพอแล้ว ๆ อย่าทำนะ ยอมแล้ว ๆ ” น้ำส้มสั่นสะท้าน ความเสียวสยิวแพร่กระจายไปทั้งตัว เพราะไม่ยอมหันกลับมาเมื่อไอ้จ๋ามันเรียก จึงถูกจูบเม้มดูดดุนลงที่หลังคอเนียนนุ่มหอม ๆ นั่น แล้วเม้มเอา ๆ จนขนลุกไปทั้งตัว

“ก็ไม่หันมาดี ๆ นี่หว่า”

“หันแล้ว ๆ พอเถอะเดี๋ยวพ่อออกมาเห็นเข้าหรอก” ไอ้จ๋ายอมแต่โดยดี เพราะเอาจริง ๆ มันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่ก็อดใจไม่แกล้งไม่ไหวไง เมื่อต้องปล่อยจึงปล่อยอย่างแสนเสียดาย

“งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“อ้าว รีบเหรอ”

“ก็ไม่รีบหรอกใจจริงก็อยากนอนนี่แหละ แต่กลัวพ่อตาเอาปืนมาไล่ยิง”

“บ้าพ่อเค้าไม่ได้ดุขนาดนั้นหรอก”

“แล้วจะไม่หวงลูกหรือยังไง งั้นมาจูบหน่อยซิ”

“ไม่เอาหรอก”

“น่า”

“ก็ได้” ไอ้จ๋ายกยิ้มสมใจเมื่อน้ำส้มอนุญาตทั้งที่กำลังเขิน คนบนตักหลบสายตามองต่ำเพราะไม่กล้าพอที่จะสบตากับไอ้คนหัวเกรียน ที่ส่งสายตาซึ้งสื่อความหมายและกำลังขยับใบหน้าเข้ามาหาช้า ๆ เพื่อรับจูบที่มันร้องขอ ระยะห่างลดลงเรื่อย ๆ จนสัมผัสได้ถึงผิวเนื้ออุ่นของกันและกัน ไอ้จ๋าเอียงคอเล็กน้อยให้ได้องศาที่เหมาะสม แต่ก่อนที่จะได้ครอบครองริมฝีปากสวยสดสีระเรื่อนั้น....

ปึงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 100% 11/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-01-2019 23:10:04
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 100% 11/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-01-2019 00:15:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

เสร็จแน่ไอ้จ๋า  พ่อตามาเคาะประตูแล้วโว้ย
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 22 เรื่องของคู่ปรับ 100% 11/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 17:17:30
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 50% 14/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-01-2019 21:57:27


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า


(http://i63.tinypic.com/1075f1f.jpg)



ปึงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!

ไอ้จ๋ายังไม่ทันได้ลิ้มรสหวานซ่านหัวใจ กระจกรถฝั่งตรงข้ามก็ถูกทุบแรงรัวๆ จนคนทั้งสองที่อยู่ข้างในสะดุ้งเฮือก

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะอีน้องไม่รักดี”

“พี่คำแพง! “

“แกจะเข้าบ้านดีๆ หรือให้ฉันลากคอแกเข้าไปเดี่ยวนี้” คำแพงยืนเอามือเท้าเอวบอกน้องด้วยเสียงเกรี้ยวกราด เมื่อน้ำส้มออกมายืนนอกรถตามด้วยไอ้จ๋าที่ออกมายืนข้างกันเงียบๆ

“กล้าดียังไงพาผู้ชายมาพลอดรักกันหน้าบ้านอย่างนี้ ไม่มียางอายก็คิดถึงหน้าฉันกับพ่อบ้าง”

“ส้มขอโทษ”

“ผมผิดเองอย่าว่าน้ำส้ม”

“แกก็เหมือนกันทำอะไรไม่รู้จักละอายบ้างเลยนะ” หันไปชี้หน้าด่าไอ้จ๋าแล้วก็ได้แต่มองมันอ่างเดือดดาล กับสายตาที่มองตอบกลับมานิ่งๆ แม้จะไม่มีแววท้าทายแต่ไอ้จ๋าก็ดูไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของคำแพงเลยสักนิด

“มีอะไรกันเหรอ! ” เสียงเข้มดุที่ดังขึ้นเรียกให้ทุกคนหันไปมองทางเจ้าของเสียง ที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“พ่อ! ”

“ถามลูกคนโปรดของพ่อเถอะว่ามันออกมาทำอะไรค่ำ มืดๆ อยู่หน้าบ้าน” คำแพงกอดอกมองน้องและคนของน้องเหยียดๆ น้ำส้มที่ยืนก้มหน้าช้อนดวงตาขึ้นมองพ่อรู้สึกผิด

“เข้าไปคุยกกันในบ้าน” คนเป็นพ่อสั่งเสียงเฉียบขาดก็เดินเข้าบ้าน ทุกคนจึงได้แต่เดินตามหลังกันเข้ามาเงียบๆ คำแพงมีสีหน้าสะใจ แสยะยิ้มเยาะให้น้ำส้มเผื่อแผ่มาถึงไอ้จ๋าด้วย

“เอาล่ะเกิดอะไรขึ้น” ผู้เป็นพ่อถามเมื่อทุกคนเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ว คำแพงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้างพ่ออย่างอารมณ์ดี ส่วนน้ำส้มยืนเอามือประสานกันอยู่ต่อหน้าพ่อและพี่ มีไอ้จ๋ายืนอยู่ข้างๆ

“พ่อส้มข..”

“ผมขอโทษที่ทำอะไรไม่ทันคิดครับ” ไอ้จ๋ายกมือไหว้ขอโทษด้วยรู้สึกผิดจริงๆ

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ผมมาหาน้ำส้มแต่..”

“จ๋า! ”

“มาหาแล้วมันก็พากันไปนั่งพลอดรักอยู่ในรถตรงหน้าบ้านนะสิพ่อ” เมื่อทุกคนมัวแต่เรียบเรียงคำพูดกันอยู่ คำแพงจึงบอกออกมาแทน เถ้าแก่สินมองหน้าน้ำส้มที่ก้มหน้าหลบตาพ่อ สลับกับไอ้จ๋าที่มองตอบเถ้าแก่สินด้วยแววตานิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ดูหยิ่งหรืออวดดี

“ปล่อยไว้ไม่ได้นะพ่อ อีกหน่อยมันได้ใจคงทำอะไรงามหน้ามากกว่านี้แน่ๆ “เถ้าแก่สินไม่ได้สนใจในสิ่งที่ลูกสาวคนโตพูด เพราะเขาเอาแต่มอง และพิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกคนเล็กตรงหน้า ที่ถึงแม้ว่าสายตาที่มันมองตอบกลับมาจะดูนิ่ง และไม่มีแววท้าทายหรืออวดดี ยังไงในฐานะคนเป็นพ่อที่มีลูกชายเป็นแบบน้ำส้ม เขาก็ต้องมองเพราะไม่พอใจและมีความหวงเป็นธรรมดา

“ว่าไง สองคนมีอะไรจะพูดมั้ย” เถ้าแก่สินถามเสียงเข้มลดสายตาลงมองที่มือขาวๆ ของน้ำส้ม ที่ตอนนี้มีมือใหญ่ของไอ้จ๋ากุมเอาไว้ไม่ปล่อย ตั้งแต่ตอนที่คำแพงเริ่มฟ้องพ่อและยุยง และมันทำให้น้ำส้มรู้สึกอบอุ่นจนลืมไปเลยว่ากำลังถูกซักถามเคร่งเครียด แต่ดูเหมือนว่าคนที่เคร่งเครียดมากที่สุดเห็นจะเป็นคำแพง ที่น้ำส้มไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวถึงได้ไม่พอใจมากขนาดนี้

“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงสั่นปล่อยมือจากไอ้จ๋าแล้วเดินเข้าไปคุกเข่านั่งลงตรงหน้าพ่อ “ส้มขอโทษ”

“ผมก็ขอโทษด้วยครับ” ไอ้จ๋าคุกเข่าลงข้างหลังของน้ำส้มแล้วยกมือไหว้ขอโทษเถ้าแก่สินอีกครั้ง “ผมผิดเองที่พาน้ำส้มทำแบบนั้น อย่าว่าน้ำส้มเลยนะครับ แต่เรา..”

“แหมออกรับแทนกันดีจริงๆ นะแกสองคนไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”

“พี่คำแพง! ” ไอ้จ๋ารู้สึกไม่ชอบคำแพงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ทิ้งน้ำส้มเอาไว้ที่บ้ายทุ่งดอกจานแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะทำให้มันได้ใกล้ชิดถึงขนาดที่น้ำส้มได้นอนค้างด้วยกันก็ตามเถอะ แต่ยังไงพี่ก็ไม่ควรทำกับน้องของตัวเองแบบนี้

“ผมกับน้ำส้มเรากำลังคบกันครับ ผมขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาบอกตั้งแต่แรก แต่เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยถึงขั้นลึกซึ้ง ถ้าพ่อไม่ว่าอะไรผมขอโอกาสคบกับน้ำส้มนะครับ”

“ใครเป็นพ่อแกวะไอ้หนุ่ม”

“เอ่อ..ครับเถ้าแก่” ไอ้จ๋าเปลี่ยนคำเรียกแทบไม่ทัน เมื่อเถ้าแก่สินย้อนถามกลับทันทีที่มันเรียกว่าพ่อ แต่ตามปกติแถวๆ บ้านหากอายุมากหรือเทียบแล้วรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อแม่ของตัวเอง คนทางนี้เขาก็เรียกกันว่าพ่อแม่ หรือพี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ได้โดยไม่ถือสา แต่ไม่ใช่ตอนนี้และเวลานี้ โดยเฉพาะสำหรับเถ้าแก่สินคนนี้ที่กำลังหวงลูก

“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงเบาเถ้าแก่สินทำเพียงละสายตาจากไอ้จ๋ามามองหน้าลูกดุๆ เพื่อปรามไม่ให้พูดขัด น้ำส้มจึงก้มหน้าหลบตาดุของพ่อที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ทั้งที่ไม่เข้าใจคนเป็นพ่อเลยสักนิด ท่าทางแบบนี้ของพ่อคืออะไรทำไม ทำไมพ่อต้องดุแบบนี้ทั้งที่....

“แกกลับไปได้แล้วไอ้หนุ่ม” เถ้าแก่สินออกปากไล่เสียงเข้ม

“แต่..”

“อย่ามายุ่งกับน้องฉันอีก” คำแพงเสริม

“พี่คำแพง! “ทุกคนหันไปมองคำแพงอย่างตกใจ แม้กระทั่งเถ้าแก่สินที่ควรจะเป็นคนพูดว่าไม่ให้มายุ่งกับลูกของตัวเอง ยังตกใจที่คำแพงพูดออกมาแบบนั้น

“ไม่ให้ผมยุ่งคงไม่ได้หรอกครับ ผมกำลังขออนุญาตเถ้าแก่เพื่อคบกับน้ำส้มนะครับ”

“แกคิดว่าแกมีดีอะไรถึงจะมาคบกับลูกของฉันไอ้หนุ่ม ลูกเต้าเหล่าใครไหนบอกมาซิ”

“พ่อกับแม่ผมไม่ใช่คนใหญ่คนโตมาจากไหนหรอกครับ ก็เป็นแค่ชาวบ้านชาวไร่ชาวนาธรรมดา ผมอยู่บ้านทุ่งดอกจานเรียนปีสุดท้ายที่..” ไอ้จ๋าบอกประวัติตัวเองเพียงสั้นๆ

“อย่าลืมนะว่าลูกฉันมันเป็นผู้ชายถึงมันจะตัวเล็กผอมบางหุ่นเหมือนผู้หญิงก็ตามเถอะ” เถ้าแก่สินเชิดหน้าขึ้นแม้จะรู้ว่าลูกเป็นแบบนี้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าส้มของพ่อนั้นชอบผู้ชาย แต่ยังไงล่ะ เขามันคนหวงลูก ยิ่งน้ำส้มคือแก้วตาดวงใจตัวแทนสุดที่รักที่จากไปเขายิ่งหวงมากยิ่งกว่าเก่า

“ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วครับว่าน้ำส้มเป็นผู้ชาย”

“แล้วยังไง แกเป็นเกย์?”

“ถ้าผมคบกับน้ำส้มแล้วกลายเป็นเกย์ก็คงต้องยอมรับครับ แต่ผมไม่เคยชอบไม่เคยมองผู้ชายคนไหนมาก่อน “

“นั่นน่าเป็นห่วงนะแกว่ามั้ย ถ้าเกิดแกเปลี่ยนใจกลับไปหาผู้หญิงลูกฉันก็เสียใจสิวะ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะความรักแบบนี้แกต้องทำความเข้าใจด้วย ฉันไม่อยากให้ลูกฉันต้องมานั่งเสียใจเพราะแกเปลี่ยนใจทีหลัง”

“ผมไม่กล้าบอกว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจในอนาคต เพราะเรากำหนดมันไม่ได้ ทุกอย่างมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผมคบกับน้ำส้มและมีน้ำส้มคนเดียว นั่นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมจริงจังกับน้ำส้มมากแค่ไหน และมันจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า”

“งั้นถ้าฉันให้แกพิสูจน์ตั้งแต่ตอนนี้แกจะทำได้หรือเปล่าล่ะ”

“ผมยอมทำเพื่อน้ำส้ม แต่บอกผมก่อนได้มั้ยครับว่าจะให้ผมทำอะไร”

“แกมีสิทธิ์ต่อรองหรือไง”

“เกิดเถ้าแก่ให้ผมพิสูจน์โดยการไม่ให้มาเจอกันอีกผมคงแย่ครับ” ไอ้จ๋าอยากเกรียนใส่เต็มทีแต่ก็พูดได้เท่านี้ เพราะต้องสำรวมและทำคะแนนกับว่าที่พ่อตา ซึ่งดูเหมือนว่ามันกำลังเจอศึกหนักทีเดียว เถ้าแก่สินนั่งจ้องหน้าไอ้จ๋าตาดุที่มันรู้ทัน ในใจคิดจะให้มันพิสูจน์ตัวเองโดยไม่ต้องเจอหน้ากันสักสามปี ดูซิว่ามันจะทนได้ไหม ที่จะไม่มองหรือมีคนอื่น และไม่เปลี่ยนใจไปจากลูกชายของตัวเอง แต่การคิดเล่นๆ ก็ต้องทิ้งไปเพราะลูกชายตัวเองก็คงแย่เหมือนกัน

“งั้นแกอยากพิสูจน์ตัวเองยังไงดีล่ะไหนเสนอมาซิเผื่อฉันสนใจ” นี่เป็นโจทย์หินสำหรับไอ้จ๋าเลยทีเดียว จะให้มันมาเสนอตัวอวดอ้างข้อดีของตัวเองก็ใช่ที่ แต่จะไม่ให้มันทำอะไรก็คงจะไม่ได้ลูกเขามาครอง เรื่องความเกรียนขี้แกล้งไอ้จ๋าไม่น้อยหน้าใคร เรื่องเรียนเรื่องงานไอ้จ๋าก็ดีเด่นจนเป็นที่ยอมรับ แต่ตอนนี้มันไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด เพราะนั่นมันอยู่ในชีวิตประจำวันปกติของมันอยู่แล้ว

“ผม...” ไอ้จ๋าเม้มปากใช้ความคิดโดยมีน้ำส้มนั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะพิสูจน์ตัวเองยังไงเถ้าแก่สินถึงจะยอมรับ

“ว่ายังไงล่ะ แค่นี้แกก็ยังคิดไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้วะ”

“ครับผมก็คิดเหมือนกัน ว่าแค่ทำให้ว่าที่พ่อตายอมรับแค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรที่มันใหญ่กว่านี้ได้ยังไง”

“อวดดี! ” คำแพงที่นั่งฟังอยู่นานอดแขวะออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นพ่อผู้ใจดีนิ่งเฉยต่อคำของไอ้จ๋า ยิ่งพอได้ยินไอ้ผู้ชายหัวเกรียนมันพูดว่า ‘ว่าที่พ่อตา’ ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ นี่มันจะจริงจังกันถึงขั้นนั้นเลยหรือยังไง ส่วนไอ้จ๋าเหลือบมองพี่สาวของน้ำส้มแต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะต่อปากต่อคำ เพราะมันรู้ดีว่าถ้ามันอ้าปากพูดอะไรโต้ตอบออกมา เรื่องก็คงไม่จบง่ายแน่ ดีไม่ดีอาจจะทำให้มันเสียคะแนนกับว่าที่พ่อตาเอาเลยก็เป็นได้

“ผมยืนยันคำเดิมว่ายังไงผมก็ยอมทำเพื่อน้ำส้มได้ทุกอย่าง ยกเว้นห้ามไม่ให้ผมกับน้ำส้มคบและเจอหน้ากัน”

“หึๆ แกจะเอาอย่างนั้นก็ได้ จะคบกันฉันไม่ห้ามหรอกนะ ลูกชายฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว และฉันก็รู้ว่ามันคงจะไม่หาสะใภ้เข้าบ้านแน่ๆ ล่ะ แต่..” สีหน้าของเถ้าแก่สินแสดงถึงความเจ้าเล่ห์ไม่มีปิดบัง ทำให้น้ำส้มยิ้มบางๆ ออกมาได้เมื่อพ่อพูดออกมาอย่างนั้น ด้วยเป็นลูกย่อมรู้ดีว่าลึกๆ แล้วพ่อก็ไม่ได้จะห้ามปรามอะไรมากมาย แต่การที่พ่อเอามือลูบคางเหมือนกำลังใช้ความคิดนั่นทำให้น้ำส้มหวั่นใจว่าพ่อจะมีแผนอะไรมาแกล้งหรือเปล่า

“พ่อ! ” เป็นเสียงของคำแพงที่เรียกพ่ออย่างไม่พอใจทั้งที่เถ้าแก่สินยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ “พ่อจะยอมให้มันคบกันแล้วมาทำงามหน้าอย่างนี้หรือไง” เถ้าแก่สินเพียงมองหน้าลูกสาวแต่ก็ไม่พูดอะไร ชายวัยกลางคนหันมาทางไอ้จ๋าและลูกคนเล็กของตัวเองก่อนจะพูดต่อ

“แต่แกต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่วันนี้ตอนนี้ จะคบกันก็ได้ฉันไม่ว่า”

“พ่อ/พ่อ! ” เสียงของสองพี่น้องดังขึ้นมาพร้อมๆ กันแต่ต่างความรู้สึก เสียงของน้ำส้มนั้นฟังดูตื่นเต้นเพราะเจ้าตัวกำลังดีใจ แต่เสียงของพี่สาวนอกจากจะดังอย่างตกใจแล้ว ยังมีแววไม่พอใจปนอยู่ด้วย เถ้าแก่สินไม่สนใจสองพี่น้อง แต่หันมาพูดกับไอ้จ๋าต่อ

“แต่...แกต้องหาเวลามาช่วยงานฉันที่นี่ มาเป็นคนงานให้ฉันเพื่อพิสูจน์รักแท้เป็นไง นี่ฉันให้โอกาสแกได้อยู่ใกล้ๆ ลูกฉันเชียวนะแกว่าฉันเป็นคนดีมั้ย” ถึงแม้ไอ้จ๋าจะแอบหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนมาทำงานที่นี่ แต่มันก็ยังไม่ได้ตอบรับในทันที เพราะรู้ว่าถ้าเถ้าแก่สินยังพูดไม่จบ และหากพูดแบบนี้มันต้องตามมาด้วยสิ่งที่ไอ้จ๋าไม่คาดคิดเป็นแน่แท้ มันจึงทำเพียงแค่มองตอบสายตาของเถ้าแก่สินนิ่งๆ อยู่เช่นเดิมเพื่อรอฟังเท่านั้น

“ที่เงียบนี่แสดงว่าไม่พอใจข้อเสนอของฉันหรือไง”

“เปล่าครับ ผมเพียงแต่คิดว่าข้อเสนอของเถ้าแก่คงยังไม่หมดเท่านี้ใช่มั้ยครับ” เถ้าแก่สินมองหน้าไอ้จ๋าด้วยสายตานิ่งๆ แต่ในใจกลับไม่นิ่งเหมือนท่าทางที่แสดงออกมา เมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่ดูจะฉลาดรอบคอบของไอ้หนุ่มหัวเกรียนตรงหน้า ที่ทำให้ชายวัยกลางคนต้องมองคนหนุ่มที่มาขอคบลูกชายตัวเองในมุมใหม่

“ใช่”

“ว่ามาได้เลยครับผมกำลังรอฟัง”

“ฉันให้แกคบกับลูกฉันได้”

“ครับ”

“ฉันอยากให้แกมาช่วยทำงานที่นี่บ้างถ้าว่าง”

“ได้ครับ”

“แกจะได้เจอเจ้าส้มทุกวันถ้ามาทุกวัน”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“แต่ห้ามคุยกัน! ”

“ครับ ห๊า!! ” ไอ้จ๋ารู้อยู่แล้วว่าข้อสุดท้ายต้องเป็นอะไรที่มันไม่คาดคิด หรือเป็นข้อห้ามที่ทำให้ลำบากใจอย่างนี้ มันจึงได้แต่อุทานในใจเหมือนตอนนั้น ตอนที่น้ำส้มบอกมันว่าไอ้หน้าตี๋นั่นแอบชอบคนตัวผอมมานานแล้ว มันก็อุทานในใจซะเสียงดังเลย ‘กูว่าแล้ว’ เหมือนในตอนนี้นี่แหละ เพราะมันคิดอยู่แล้วว่ายังไงข้อเสนอและข้อตกลงของเถ้าแก่ก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิด

“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อด้วยเสียงกระเง้ากระงอด มีอย่างที่ไหนให้เจอหน้ากันได้ทุกวันแต่ไม่ให้พูดคุยกันนี่นะ แล้วจะเจอทำไมเจอไปเพื่ออะไร แต่ก็ได้แค่คิดเพราะรู้ดีว่าพ่อคงต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้นแน่นอน

“ว่าไงไอ้หนุ่มแกตกลงมั้ย ข้อเสนอง่ายๆ หมาอีด่างข้างบ้านยังทำได้เลย” เถ้าแก่กอดอกยืดตัวขึ้น เอนหลังพิงพนักโซฟาเล็กน้อยแล้วยักเท้าขึ้นมาไขว้ห้างกระดิกอย่างอารมณ์ดี

“ครับได้ครับ เรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ผมคงอายหมามัน และคงไม่คู่ควรกับน้ำส้มแน่ๆ ”

“จ๋า! ตกลงทำไมนี่พ่อไม่ให้เราคุยกันเลยนะ”

“เธอเงียบก่อน” น้ำส้มหน้างอที่เห็นว่าไอ้จ๋าก็ไม่มีท่าทางไม่พอใจหรือประท้วงเลยที่จะไม่ได้คุยกัน แถมยังปรามน้ำส้มแล้วหันไปยืนยันกับเถ้าแก่สินด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอีกด้วย

“ผมตกลงครับ”

“จ๋าถ้าพ่อไม่ให้เราคุยกันตลอดไปล่ะ”

“นั่นสิแกตกลงง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าเกิดว่าฉันไม่ให้แกคุยกันตลอดไปแกจะว่ายังไง อ่อแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ไปแอบคุยนะเพราะเวลาแกมา แกหรือน้ำส้มจะต้องมีคนเฝ้า! ”

“พ่อ ทำไมข้อตกลงพ่อทำยากอย่างนี้ล่ะฮะ” ในขณะที่ไอ้จ๋าเงียบไม่ได้พูดประท้วงน้ำส้มกลับโอดครวญเสียยกใหญ่ เมื่อได้ฟังข้อเสนอของพ่อ โดยมีเสียงหัวเราะสะใจของคำแพงดังขึ้นข้างๆ

“ห้ามแอบโทรหากัน ห้ามเขียนจดหมาย ห้ามส่งข้อความ ห้ามทำทุกอย่างที่สรุปออกมาแล้วเป็นการคุยกัน”

“พ่อ” น้ำส้มขอบตาแดงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ที่พ่อห้ามไปเสียทุกอย่าง แบบนี้มันไม่ต่างอะไรเลยกับการห้ามคบกัน

“ยัยส้มเน่าไม่เป็นไรน่า” ไอ้จ๋าขยับเข้ามาใกล้น้ำส้มขึ้นอีก เอาไหล่สะกิดไหล่บอบบางเบาๆ เมื่อกระซิบปลอบ เสียงปลอบที่เหมือนพูดกันแค่สองคนแต่เถ้าแก่สินก็ยังได้ยินและแอบรู้สึกไม่พอใจ ‘หนอย ไอ้หัวเกรียนบังอาจมาเรียกลูกชายคนเล็กของข้าซะเสียหายหมด ส้มเน่าเนี่ย ฮึ่ย’

“แต่เราจะไม่ได้คุยกันเลยนะจ๋า”

“ไม่นานหรอก”

“เจ้าส้มขึ้นบ้านไปข้อตกลงเริ่มแล้ว”

“พ่อ! “

“ขึ้นบ้านไปสิ แกจะขัดคำสั่งพ่อหรือไง”

“พี่คำแพง! ”

“เออ มานี่เลยสมน้ำหน้าอยากทำอะไรประเจิดประเจ้อดีนัก”

“ส้มเปล่า พ่อส้มไม่ไป”

“เจ้าส้มขึ้นบ้านไปก่อนลูก”

“พ่อ” น้ำส้มเรียกพ่อเสียงอ่อยแล้วหันไปมองหน้าไอ้จ๋า ที่พยักหน้าเป็นการบอกว่าให้ทำตามคำสั่งพ่อ น้ำส้มที่ขัดใจอยู่แล้วเลยพาลไม่พอใจไอ้จ๋าด้วย จึงสะบัดหน้าใส่ไอ้คนหัวเกรียนแล้วเดินตามแรงดึงของพี่สาวขึ้นบ้านไป ไม่หันกลับมามองคนที่ทิ้งไว้เบื้องหลังอีกเลย

“เอาล่ะแกคงรู้คำตอบอยู่แล้วว่าระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงนานแค่ไหน”

“ครับ นานเท่าที่ผมจะสามารถทำให้เถ้าแก่พอใจและยอมรับให้ผมเรียกว่าพ่อได้” บ๊ะ! ไอ้หนุ่มนี่มันตรงประเด็นและรู้ทันจริงๆ แต่ก็นั่นล่ะ ต่อไปจะเป็นยังไงก็คงต้อรอดู เถ้าแกสินได้แต่พูดในใจขณะที่ประเมินไอ้หนุ่มตรงหน้า ที่มันกล้าทำให้ชายวัยกลางคนอย่างเขาต้องแปลกใจหลายครั้งตั้งแต่เจอหน้ากันมา นับว่ามันมีดีเหมือนที่เจ้าลูกคนเล็กคุยเอาไว้พอสมควร แต่จากนี้คงต้องดูกันใหม่ให้ดีๆ กว่านี้ว่ามันจะแน่สักแค่ไหน

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้แกกลับไปได้แล้ว ว่างเมื่อไหร่ค่อยมา”

“ครับ” ไอ้จ๋ารับคำพร้อมกับยกมือไหว้ลา เพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้องรับแขกของบ้านมาเงียบๆ มันเปิดประตูหน้าออกมาแล้วปิดไว้ให้อย่างดี

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถไอ้จ๋าก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรง กับข้อเสนอง่ายๆ ที่ไม่รู้ว่าหากวันที่มาจริงๆ มันจะทำได้อย่างที่เถ้าแก่สินต้องการหรือเปล่า ตอนนี้ไอ้จ๋าไม่ได้ห่วงตัวเองว่าเถ้าแกจะใช้ให้ทำงานหนักอะไร เพราะหนักยังไงก็ไม่เกินแรงของมันไปได้ สิ่งที่ห่วงที่สุดคือความรู้สึกของน้ำส้มกลัวว่าอีกคนอาจจะเข้าใจผิด ไหนจะตั้งแต่วันนี้มันกับน้ำส้มจะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลยจนกว่าเถ้าแก่สินจะยอมรับ นั่นก็หมายความว่ามันจะไม่ได้อธิบายอะไรให้น้ำส้มฟังด้วย เข้าใจผิดยังไงก็คงต้องปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไปก่อน ไอ้จ๋าไม่อาจผิดสัญญาและข้อตกลงที่ทำเอาไว้กับเถ้าแก่สิน เพราะได้ออกปากรับคำไปแล้ว และมันจะไม่ยอมทำให้ตัวเองหมดความน่าเชื่อถือและเสียคะแนนจากว่าที่พ่อตาเด็ดขาด



%%%%%%%%%%%%%





เมื่อไอ้จ๋ากลับมาถึงบ้านเวลาก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว บ้านจึงเงียบเพราะเป็นเวลาที่พ่อกับแม่เข้านอนกันหมดทั้งสองคน มันจึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินไปบ้านใหญ่ ซึ่งเป็นที่นอนประจำของมันเหมือนทุกวัน บ้านหลังใหญ่มองเห็นอยู่ไม่ไกลเกินสิบก้าวเงียบสงบ ดวงไฟสว่างแต่พอให้ไม่ดูมืดมากนัก เพราะเปิดเอาไว้แค่ให้พอมองเห็นตามทางเดินเท่าที่จำเป็น ไอ้จ๋ามองสำรวจรอบๆ ตามความเคยชิน แล้วสาวเท้าตรงเข้าไปยังส่วนที่มันนอน แต่ในขณะที่กำลังเดินเข้ามายังใต้ถุนบ้านเพื่อเข้าไปยังส่วนที่นอนของตัวเองนั้น ไอ้จ๋าให้เกิดรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเป็นส่วนเกินอยู่ในบริเวณนี้

ไอ้หัวเกรียนกระพริบตาถี่เพื่อให้สายตาปรับชินกับความมืด แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยซึ่งมันรอไม่ได้ ไม้กวาดดอกหญ้าที่วางพิงอยู่ข้างเสา คือสิ่งที่ใกล้มือที่สุดที่มันพอจะนำมาใช้เป็นอาวุธได้ และไม่รอช้าไอ้จ๋าคว้าไม้กวาดขึ้นมาถือเอาไว้ในท่าที่กระชับมั่น สองเท้าค่อยๆ พาตัวเองย่องเข้าไปในความสลัวของพื้นที่คุ้นเคย แม้จะไม่มีแสงสว่างมากนักแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่เคยชินอย่างไอ้จ๋า และพอก้าวเข้ามาในส่วนของห้องมืดๆ ได้ มันก็เงื้อไม่หวาดในมือขึ้นสูงเตรียมฟาดทันที
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 50% 14/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-01-2019 21:59:07



“เฮ้ย อย่านะเว้ย! ” ไอ้จ๋าชะงักมือได้ทันเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังออกมาจากเงามืด และร่างตะคุ่มๆ นั่นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ที่เห็นแล้วทำเอาไอ้จ๋าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ กับสีหน้าของลูกพี่ใหญ่ที่ดูยังไงก็บอกได้คำเดียวว่า ‘ซีดเป็นกระดาษ’ ไม่รู้ว่าซีดเพราะตกใจที่เกือบจะถูกมันตีด้วยไม้กวาด หรือกลัวที่ต้องมาอยู่ในที่มืดๆ แบบนี้ทั้งที่ไม่ชอบ

“ลูกพี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ” ไอ้จ๋าถามพลางลดไม่กวาดในมือลง

“มารอแกสิ”

“แล้วทำไมเข้ามารอมืดๆ อย่างนี้ล่ะครับ ทำไมไม่เปิดไฟ”

“ฉันเพิ่งมาโว้ย ยังไม่ทันเปิดไฟแกก็เข้ามาพอดี” เป็นความจริงที่ต้นกล้าเพิ่งจะย่องลงจากบ้านมาได้ หลังจากที่คุณกวินผู้เป็นพ่อเฝ้าหน้าห้องอยู่นานจนเขาเงียบไป และพ่อคงคิดว่าเขาหลับแล้วนั่นแหละจึงได้ย่องออกจากห้องมา ซึ่งต้นกล้าต้องจำใจอย่างยิ่ง ที่จะเดินย่องเบาๆ ฝ่าความมืดมาตั้งแต่ออกจากห้องของตัวเอง ค่อยๆ คลำทางลงบันได แม้ว่าจะคุ้นชินแต่คนขี้กลัวที่มีแต่ความหวาดระแวงอย่างต้นกล้า มีหรือจะเดินลงมาเหมือนคนปกติ โดยไม่มีความทุลักทุเล ทั้งยังเกือบตกบันได้เข้าให้เพราะก้าวพลาด แต่ยังไงเขาก็ต้องลงมา พอเข้ามาในส่วนที่ไอ้จ๋านอน ต้นกล้าได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ ด้วยความตกใจจึงรีบกระโจนหวังจะขึ้นไปหลบบนที่นอนของไอ้จ๋า แต่ขาดันก้าวพลาดเท่านั้นเอง จึงได้นั่งจุ่มปุกอยู่ข้างๆ เตียงอย่างที่ไอ้ลูกน้อยคนสนิทมันเห็นนั่นไง

“เหรอครับ แล้วลูกพี่ไปนั่งทำอะไรอยู่ข้างเตียงล่ะครับ ถ้าจะเปิดไฟก็ไปเปิดตรงโน้นสิครับ” ไอ้จ๋าบุ้ยหน้าไปคนล่ะทางกับมุมมืดที่ต้นกล้าอยู่ในตอนแรก ซึ่งมันจะไม่ทำให้ไอ้จ๋าสงสัยเลยหากลูกพี่ของมันไม่นั่งงอตัวเอามือปิดหน้าตัวเองไว้อย่างนั้น

“เรื่องของฉันน่า ว่าแต่แกเถอะทำไมกลับมาเอาป่านนี้ หรือว่า.. “

“เปล่าครับเปล่าไม่มีอะไร” ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่พอคิดถึงเรื่องข้อตกลงไอ้จ๋าก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ มันเหมือนไม่หนักใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด เพราะไม่รู้ว่านานแค่ไหนเถ้าแก่ถึงจะพอใจในตัวมัน แค่ให้ไปช่วยงานแค่นี้ที่ใครๆ ก็ทำได้ มันคงไม่ทำให้ไอ้จ๋าได้พิสูจน์ความสามารถสักเท่าไหร่หรอก ยิ่งคิดไอ้จ๋าก็ยิ่งหนักใจแต่ในเมื่อมันหยุดคิดไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้ตัวเองคิดกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้จนพอใจ

“เฮ้ย เป็นอะไรไปวะ”

“เอ่อ ไอ้จ๋าเปล่าครับ ว่าแต่ลูกพี่ทำไมยังไม่นอนล่ะครับ คนอื่นๆ นอนหมดแล้วเหรอ”

“นอนหมดแล้ว ฉันมีเรื่องคุยกับแกว่ะ”

“เรื่องอะไรล่ะครับลูกพี่”

“คือ..”

“ครับ?”

“พรุ่งนี้ฉันต้องกลับกรุงเทพแต่เช้าว่ะ”

“อ้าว เพิ่งมาทำไมจะรีบกลับล่ะครับลูกพี่ไม่ขี้เกียจเดินทางหรือไง”

“เออสิ ถ้าฉันรีบกลับเองคงไม่ต้องถ่อสังขารฝืนเดินฝ่าความมืดลงมารอแกอย่างนี้หรอก” ใช่สิ นี่ถือว่าต้นกล้าถ่อสังขารลงมาเลยนะ เพราะทั้งมืดทั้งกลัวก็กลัวเถอะ

ส่วนไอ้จ๋าเมื่อได้ยินลูกพี่พูดออกมาแบบนั้น ก็ให้นึกถึงสายตาและท่าทางของใครบางคนที่มันเห็นเมื่อตอนบ่าย ใครบางคนที่ยืนดูลูกพี่ทั้งสองของมันนอนมีความสุขด้วยกันอยู่บนเปลเงียบๆ คนๆ นั้นก็เงียบจนผิดวิสัยและผิดปกติ เมื่อเห็นไอ้จ๋าเดินมามันก็ถูกสั่งให้ไปตามลูกพี่กลับบ้าน ไอ้จ๋าไม่มีทางเลือกเพราะหากมันไม่เข้าไปเรียกต้นกล้าตามคำสั่ง คนๆ นั้นก็จะทำเสียเองและอาจจะมีเรื่องมีราวใหญ่โตตามมา ในฐานะที่คนๆ นั้นไม่ชอบลูกพี่เดี่ยวของมัน ไอ้จ๋าจำต้องช่วยลูกพี่ทั้งสองโดยการเข้าไปขัดจังหวะ เพราะหากปล่อยให้คนๆ นั้นเข้าไปเอง ลูกพี่เดี่ยวคงถูกไล่ตะเพิดกลับบ้านแทบไม่ทันเป็นแน่แท้ ซึ่งคนๆ นั้นก็คือคุณกวินผู้หวงลูกและใจเย็นผิดปกตินั่นเอง

“ฉันไม่อยากกลับว่ะ” ต้นกล้ามีสีหน้าคิดหนักเคร่งเครียดจนคิ้วขมวดมุ่น เพราะอยู่ดีๆ คุณกวินผู้เป็นพอก็มาบอกว่ามีเรื่องด่วนที่กรุงเทพอยากให้เขากลับไปจัดการให้แทน คนเป็นพ่ออ้างว่าตัวเองเดินทางมายังไม่หายเหนื่อย หากจะให้ย้อนกลับไปกุรงเทพอีกรอบคงได้ล้มหมอนนอนเสื่อกันบ้างล่ะคราวนี้ แล้วลูกรักอย่างต้นกล้ามีหรือจะปฏิเสธได้ลง

“ครับลูกพี่ แล้วทำไมต้องกลับล่ะครับ”

“ก็คุณพ่อนะสิ อยู่ดีๆ ก็บอกมีธุระด่วนให้ฉันกลับไปทำให้” ไอ้จ๋าขมวดคิ้วมุ่นเหมือนคนเป็นลูกพี่แต่ไม่กล้าสบตา ในหัวคิดถึงคำพูดของคุณกวินเมื่อตอนบ่ายแล้วหนักใจแทน ‘แล้วเราจะได้เห็นดีกัน’ นี่ใช่ไหมเห็นดีที่คุณกวินบอก มันคือการแยกลูกชายตัวเองกับลูกชายกำนันห่างจากกัน

“แล้วลูกพี่ก็ต้องไปเหรอครับ”

“แกคิดว่าฉันขัดได้เหรอ?”

“แล้วลูกพี่จะให้ไอ้จ๋าทำอะไรล่ะครับ”

“คือ..เอ่อ..แกไปบอ....”

“ครับลูกพี่”

“เอาไงดีวะฉันไม่อยากไปแกช่วยคิดหน่อยว่าทำยังไงฉันถึงไม่ต้องไป” ต้นกล้าปากหนักใจอยากให้ไอ้จ๋าไปบอกใครคนนั้นเรื่องกลับกรุงเทพอีกรอบพรุ่งนี้เช้า เพราะเขาทำเองไม่ได้ แต่พอจะพูดปากมันกลับแข็งขึ้นมาดื้อๆ เลยเลี่ยงไปพูดอีกเรื่องแทน

“แล้วคุณยายกับป้านภาว่ายังไงครับ”

“ก็ไม่ว่ายังไง แต่ฉันรู้สึกว่าวันนี้คุณพ่อดูเด็ดขาดมาจนคุณแม่กับคุณยายไม่กล้าขัดเลยว่ะ” ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาเบาๆ เรื่องตัวเองก็ยังคาราคาซังยังมีเรื่องของลูกพี่เขามาอีก แล้วแบบนี้มันจะช่วยได้ยังไงล่ะวะ ไอ้จ๋ามองหน้าลูกพี่ด้วยแววตาเข้าใจและเห็นใจ คำพูดหลายๆ คำที่คุณกวินต่อว่าและคาดโทษมันดังขึ้นมาในหัว ทั้งว่ามันดูแลลูกพี่ไม่ดีปล่อยให้คนไม่น่าไว้ใจอย่างเด็ดเดี่ยวเข้าใกล้ ถึงไอ้จ๋าจะยืนยันว่าลูกพี่รองของมันเป็นคนดียังไง คุณกวินก็ไม่ฟังทั้งนั้น สุดท้ายคนหวงลูกก็ทิ้งคำพูดเอาไว้ให้ไอ้จ๋าเสียวสันหลังเล่นว่า ‘แล้วเราจะได้เห็นดีกัน’ เหมือนคาดโทษทั้งตัวมันเองและเด็ดเดี่ยวนั่นแหละ

“ก็ถ้ายังไงก็ต้องไปอยู่ดีไอ้จ๋าว่าลูกพี่ขึ้นไปพักผ่อนดีกว่ามั้ยครับ พรุ่งนี้ออกแต่เช้าเดี๋ยวไอ้จ๋าจะไปส่ง”

“แกไปกับฉันได้มั้ยวะ”

“อ้าว ทำไมต้องให้ไอ้จ๋าไปด้วยล่ะครับ”

“ไม่รู้สิ แต่ฉันรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ ว่ะ เหมือนคุณพ่อกำลังวางแผนทำอะไรสักอย่างที่ฉันก็เดาไม่ถูก” ใช่ไอ้จ๋ารู้ดีว่าคุณกวินนั้นกำลังจะทำอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไอ้จ๋าไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่าคุณกวินนั้นมีแผนและมันไม่สามารถพูดได้ บางอย่างที่มันก็ไม่รู้ว่าจะเข้าข้างใครดี ฝั่งพ่อก็ทำไปเพราะรักและหวงลูก ฝั่งลูกก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราว และไอ้จ๋าไม่รู้ว่าลูกพี่ของมันจะปิดผู้ใหญ่ไปอีกนานแค่ไหน ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณกวินจะรู้แล้วก็ตามเถอะ แต่ไอ้จ๋าเชื่อแน่ว่าคุณยายประไพศรีและคุณป้านภายังไม่รู้ และคุณกวินเองก็คงยังไม่บอกทั้งสองอย่างแน่นอน “ฉันว่ามันแปลกๆ ว่ะ แกไปกับฉันก็แล้วกัน”

“ครับๆ เอายังไงก็เอาครับ ไอ้จ๋าไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”

“เออ ตามนั้นแหละฉันไปนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าแกก็เข้านอนได้แล้ว”

“ครับๆ “ไอ้จ๋ามองตามจนลูกพี่ที่วิ่งขึ้นบ้านแบบไม่ให้เกิดเสียงแล้วก็ให้นึกขำ เพราะเหมือนกับว่าต้นกล้ากำลังวิ่งย่องเบาขึ้นบ้านตัวเอง จากนั้นมันก็จัดเตรียมที่นอนและกางมุ้ง พอล้มตัวลงนอนมันก็หยิบพี่ฮีโร่คู่ใจออกมาดูตามความเคยชิน ในหัวคิดถึงหน้าหวานใจก่อนนอนเหมือนทุกครั้ง อยากอยู่ใกล้ๆ อยากได้ยินเสียง และนั่นจึงทำให้มันเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ไอ้จ๋าดีดตัวลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที

“ตายห่าแล้วกู**!” **





ส่วนคนเป็นลูกพี่ เมื่อกัดฟันย่องฝ่าความมืดกลับเข้าในห้องของตัวเองได้แล้วก็ยังไม่ยอมนอน คนหัวแดงเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาไม่อยากไป เขาไม่อยากจากที่นี่ไปไหน แต่ดูเหมือนว่าจะขัดคนเป็นพ่อไม่ได้ ต้นกล้าจึงคิดไม่ตก

“เจ้ากล้าต้องกลับไปทำธุระด่วนให้พ่อที่บริษัทของเรา”

“ธุระอะไรครับคุณพ่อ เราก็มีคนที่ไว้ใจได้ทำแทนอยู่แล้วนี่ครับ”

“มันไม่เหมือนกันหรอกลูก เราต้องไปดูเองบ้าง พ่อดูมาเยอะแล้วคราวนี้ลูกต้องไปดูแทนพ่อจะได้ศึกษาเอาไว้ด้วย”

“แต่..”

“ไม่มีแต่นะเจ้ากล้า อีกอย่างพ่อยังรู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ อยู่เลย คนแก่เดินทางไกลไม่ค่อยไหวแล้ว”

“คุณพ่อ”

“ตามนี้ลูกพ่อ พรุ่งนี้เช้าเตรียมตัวเดินทางเดี๋ยวพ่อจะให้เลขาที่กรุงเทพจัดการเรื่องตั๋วให้ เอามือถือมายืมโทรหน่อยซิลูก”

นั่นแหละที่คุณกวินทิ้งท้ายเอาไว้ให้ลูกชาย ก่อนจะเดินเข้าห้องไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของต้นกล้าเมื่อตอนหัวค่ำ หลังจากโทรหาไอ้ลูกน้องคนสนิทแล้ว คนเป็นพ่อทิ้งให้ลูกชายยืนมองตามงงๆ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าการกลับไปคราวนี้อาจจะไม่ได้กลับมาเร็ว มันทำให้ในใจวูบไหวแปลกๆ คิดถึงไอ้ลูกน้องคนสนิทขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน จนต้นกล้าต้องถ่อสังขารลงไปรอมันยังไงล่ะ ต้นกล้ากำลังสับสน ถึงแม้จะพยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าดีใจที่กลับมาแล้วได้เจอใครบางคน และที่ดีใจที่สุดก็เห็นจะเป็นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่ามเต็มทุ่งนั่นอีก ที่ไม่นานก็จะถึงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว และนี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ มันสำคัญมากๆ จนเขาไม่อยากจากบ้านทุ่งดอกจานไปไหนอีกแล้ว จนกว่าจะหมดฤดูการเก็บเกี่ยวที่เฝ้ารอ



%%%%%%%%%%%%%%%%



เช้าวันใหม่

“สวัสดีครับคุณยาย”

“พ่อเดี่ยว ไปไหนมาแต่เช้าล่ะนั่น”

“ผมแวะมาคุยกับคุณยายครับแล้วก็..” เด็ดเดี่ยวเหลือบมองขึ้นไปบนบ้านเมื่อไม่เห็นใครที่อยากจะเห็น คอของเขาก็เริ่มยืดขึ้นยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นบนบ้านได้ทั้งหมดอย่างที่ต้องการอยู่ดี ทำให้คุณยายประไพศรีที่ยืนอยู่ข้างๆ และมองตามต้องยืดคอตามไปด้วยก่อนจะถาม

“มองหาใครลูก”

“เอ่อ เปล่าครับ คุณยายจะใส่บาตรเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ มาใส่ด้วยกันสิ”

“ครับ สวัสดีครับคุณอา มาผมช่วยถือครับ” เด็ดเดี่ยวตอบรับคุณยายประไพศรีก็พอดีกับที่คุณนภาเดินถือของที่เตรียมไว้ใส่บาตรออกมาสมทบ ชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปช่วย

“ขอบใจจ้ะ มาแต่เช้าเชียวนะเรา”

“ครับว่าจะแวะมาคุยกับคุณยายซักหน่อยครับ”

“มาใส่บาตรด้วยกันก่อนพระมาพอดี” ทั้งสามช่วยกันใส่บาตรจนเสร็จรับศีลรับพรแล้ว เด็ดเดี่ยวจึงอาสาเอาของเข้าไปเก็บให้ แล้วจึงออกมานั่งคุยกับหญิงสูงวัยที่แคร่ไม่ไผ่หน้าบ้าน ส่วนคุณนภาคุยไม่นานก็ปลีกตัวออกไปเตรียมมื้อเช้า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวิถีชีวิตประจำวันอันเรียบง่ายของชาวบ้าน ที่อยู่ในสายตาของผู้ที่แอบเฝ้าสมองอยู่เงียบๆ มาจากบนบ้าน ตั้งแต่ลูกชายคนเดียวของกำนันมาถึงแล้ว สายตาที่เฝ้าดูอย่างสะใจเพราะ....

“เอ่อ คุณยายครับ แล้ว..”

“หืมแล้วอะไรล่ะลูก”

“ต้นกล้าล่ะครับ ยังไม่ตื่นเหรอ วันนี้ว่างผมกะจะชวนไปดูที่สักหน่อยครับ” คุณยายยิ้มตอบอย่างเอ็นดู

“อ๋อ..” ลากเสียงยาวเมื่อได้ยินคำถามแต่ก็ยังไม่ตอบในทันที นั่นทำให้ความคิดและความกลัวผุดขึ้นมาในหัวของเด็ดเดี่ยว นี่เขามาตามแผนของน้ำฟ้าแล้วนะที่ว่าค่อยๆ เข้าทางคุณยาย หากเกิดว่าคุณยายรับไม่ได้ก็อาจจะค่อยๆ ยอมรับได้บ้างเพียงชายหนุ่มแค่ต้องใจเย็นๆ และหากเขาเริ่มแบบนี้ ค่อยๆ ถามค่อยๆ เจรจาทีละนิดคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม

“ครับ?”

“เจ้ากล้าน่ะ”

“ครับคุณยายต้นกล้าทำไมเหรอครับ หรือว่ายังไม่ตื่น”

“ตื่นแต่เช้าแล้วล่ะ”

“ครับ”

“พอดีพ่อเขาให้กลับไปทำธุระด่วนที่กรุงเทพน่ะเลยออกจากบ้านแต่เช้าแล้ว”

“ห๊ะ คุณยายว่ายังไงนะครับ! ” ทั้งที่ได้ยินมันอย่างชัดเจนแต่เด็ดเดี่ยวก็ยังถามเพื่อความแน่ใจ เขาอยากให้ตัวเองหูฝาด อยากให้ตัวเองฟังผิด หูหนวกไปเลยยิ่งดี แต่เสียงอ่อนๆ ของคุณยายที่ดังก้องอยู่ในหู ก็ยังพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา และแปลได้ว่าต้นกล้าไม่อยู่ ต้นกล้ากลับกรุงเทพไปแต่เช้าแล้ว มันคงเช้ามาถึงขนาดว่าเขามาแต่เช้าขนาดนี้ยังมาไม่ทัน เป็นไปได้ยังไง กลับไปทำไม แล้วจะกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ตอนนี้คำถามเหล่านี้กำลังถูกถามวนไปเวียนมาอยู่ในหัวของเด็ดเดี่ยว ทั้งที่ไม่มีคำตอบ ทั้งที่ถามผู้สูงวัยตรงหน้าอาจจะได้คำตอบแล้ว แต่เหมือนกับว่าตอนนี้ชายหนุ่มได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองเสียแล้ว

“พ่อเดี่ยว”

“ครับ! ”

“เป็นอะไรยายเรียกตั้งหลายครั้ง”

“เปล่าครับ ต้นกล้าไม่อยู่เหรอครับ”

“จ้ะน้องไม่อยู่”

“แล้ว..จะกลับมาเมื่อไหร่ครับเนี่ย” เด็ดเดี่ยวสีหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด และคุณยายประไพศรีเองก็สังเกตอยู่เงียบแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาและยังพูดคุยเหมือนเดิม

“ยายก็ไม่รู้เลยลูก เห็นพ่อเขาคุยๆ กันประสาพ่อลูก ยายก็ไม่อยากให้ไปหรอกแต่พ่อกวินเขาบอกธุระด่วนเลยขัดไม่ได้นะสิ”

“ครับ”

“ว่าแต่พ่อเดี่ยวมีธุระอะไรด่วนกับน้องหรือเปล่าล่ะ ทำไม่โทรหา มีเบอร์น้องมั้ย” ทำไมเขาจะไม่โทรหาล่ะ ชายหนุ่มโทรหาหลานชายคุณยายตั้งแต่เมื่อคืน ต้นกล้ากลับไม่ยอมรับสาย รอตั้งนานก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะโทรกลับ ก่อนเข้านอนเขาโทรมาอีกรอบปรากฏว่าต้นกล้าปิดเครื่องไปแล้ว เขาจึงเข้านอนแบบงงๆ เพราะตอนหัวค่ำยังคุยกันดีๆ อยู่ ชายหนุ่มเลยเดาไม่ถูกว่าต้นกล้าเป็นอะไร แต่เช้านี้ก็ยังรีบมาเคลียร์ เด็ดเดี่ยวไม่รู้ว่าต้นกล้าโดนคนเป็นพ่อยืดโทรศัพท์เอาไว้แบบเนียนๆ

“เอ่อ มีครับเดี๋ยวลองโทรอีกที ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ”

“อ้าวจะกลับแล้วเหรอ ไม่กินข้าวเป็นเพื่อนยายก่อนล่ะ”

“พอดีผมต้องไปทำธุระให้พ่อกำนันต่อครับคุณยาย”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถขับราดีๆ นะลูก”

“ครับ สวัสดีครับคุณยาย”

“จ้ะว่างๆ ก็แวะมาคุยกับยายหน่อยนะ”

“ครับ” ชายหนุ่มไหว้ลาคุณยายแล้วเดินเลี่ยงสวน และไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกเอาไว้ออกไปทางหน้าบ้านที่เขาจอดรถทิ้งเอาไว้ แต่เดินยังไม่ทันถึงประตูก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

“หึๆ ๆ ๆ “เสียงบางอย่างที่ฟังแล้วเหมือนสะใจ เยาะเย้ยปนเหยียด เด็ดเดี่ยวหันไปทางต้นเสียงแล้วยกมือไหว้

“สวัสดีครับ”

“เออ ไม่ต้องทักก็ได้เว้ย จะกลับแล้วหรือไง”

“ครับ”

“ดีแล้วกลับไปเลยอยู่นานรกหูรกตา” คุณกวินยกมือขึ้นมากอดอกประกอบการบอกอย่างไม่รักษามารยาท เพราะเขาคิดว่าไอ้หนุ่มนี่มันเป็นแค่ลูกชายของคู่ปรับที่ไม่ถูกกัน และมันมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับมัน

“เอ่อ ครับ” เมื่อเด็ดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นก็ต้องมองอย่างแปลกใจ เพราะในมือของคุณกวินนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาคุ้นเคย มันคุ้นตา และเขาจำมันได้เป็นอย่างดี ก็เพราะไอ้เจ้าสิ่งนี้ล่ะที่ทำให้ต้นกล้าไม่สนใจเขาในทุกครั้งที่ได้นั่งเขี่ย มันคือโทรศัพท์มือถือเครื่องบางรุ่นใหม่ล่าสุดของต้นกล้านั่นเอง

“หึๆ ๆ ไปสิจะกลับไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันจะโทรหาลูกชายสักหน่อย” เด็ดเดี่ยวมองโทรศัพท์มือถือในมือของคุณกวินพลางขมวดคิ้ว หรือว่าที่เมื่อคืนต้นกล้าไม่ยอมรับโทรศัพท์เป็นเพราะว่า โทรศัพท์ของต้นกล้าไม่ได้อยู่กับเจ้าของ

“ครับ งั้นผมลานะครับ”

“เออ มาทางไหนไปทางนั้นเลย เดี๋ยวๆ ”

“ครับ?”

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีกนะ”

“ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ เมื่อกี้ก็กำลังจะบอกอยู่ว่าเดี๋ยวแวะมาใหม่ครับ”

“มาทำไมไม่มีใครต้อนรับแกหรอก”

“ผมขอโทษครับ แต่เมื่อกี้คุณยายยังชวนผมอยู่เลยนะครับ ถ้าคุณอาไม่เชื่อไปถามคุณยายดูได้ครับ ลาล่ะครับเดี๋ยววันหลังผมจะเข้ามาใหม่แน่นอน” เด็ดเดี่ยวทิ้งท้ายอ้างความจริงที่คุณยายเอ่ยชวนก่อนจากไป ทิ้งหนุ่มใหญ่สูงวัยกว่ามองตามหลังอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก คุณกวินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนปากบิดปากเบี้ยว จิกตามองรถที่เด็ดเดี่ยวขับออกไปจนลับตา ในหัวคิดวางแผนต่างๆ นานา เพื่อจะกำจัดไอ้ลูกชายของคู่ปรับเก่าออกจากชีวิตลูกชายตัวเอง

50% จ้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 50% 14/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-01-2019 22:54:29
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 50% 14/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-01-2019 23:01:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

พ่อตาทางพฤตินัยนี่แสบนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 100% 16/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 16-01-2019 22:45:26



เช้าวันใหม่ที่มาพร้อมกับบรรยากาศอันแสนสดชื่น แต่ท้องฟ้ากลับดูมืดครึ้มอึมครึมเหมือนจะมีฝน หลังจากที่ห่างหายไปนาน และทั้งๆ ที่กำลังจะเขาหน้าหนาวแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนจะมีฝนตกลงมาเสียอย่างนั้น หรือนี่คือช่วงเวลาที่เขาเรียกกันว่าปลายฝนต้นหนาว ฝนลาเพื่อบอกว่าอีกไม่นานหน้าหนาวจะมาเยือน เด็ดเดี่ยวตื่นเช้าเหมือนดังเช่นทุกวันอันเป็นกิจวัตร ชายหนุ่มแต่งตัวดูดีด้วยเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีกรมท่า เนื้อผ้าฝ้ายบางเบาเข้ารูปทำให้เห็นลอนกล้ามที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเป็นมัดๆ ปลายเสื้อแขนยาวถูกพับขึ้นเหนือข้อศอก กระดุมเสื้อสามเม็ดบนถูกเว้นเอาไว้ไม่ได้ติดเข้ารังดุม เผยให้เห็นขอบเสื้อกล้ามสีขาวที่สวมใส่อยู่ภายในได้อย่างน่ามอง กางเกงยีนส์สีซีดพอดีตัวอวดสัดส่วนและช่วงขายาวที่ดูแข็งแกร่ง ช่วงเอวเคียนเอาไว้ด้วยผ้าขาวม้าลายตารางสลับสีดูสดใส ในมือมีหมวกปีกกว้างใบเก่งทรงคาวบอยอันเป็นหมวกประจำตัว

เขากำลังจะลงบันไดเรือนแต่ก็ต้องชะงักเท้า เมื่อเหลือบไปเห็นสมาชิกทุกคนในบ้านนั่งรอหน้าสลอนบนโซฟา ตาทุกคู่จ้องมายังจุดเดียว นั่นก็คือตัวเขาเอง

“พี่เดี่ยวจะไปไหนแต่เช้า” ดาวรุ่งถามทันทีที่เห็นหน้าพี่ชาย แต่คนถูกถามทำเพียงยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้า เผยให้เห็นความหล่อคร้ามดูเข้มชวนมอง

“คาดว่าจะไปทำคะแนนให้ตัวเอง” ไม่ใช่เสียงของเด็ดเดียวเพราะคนตอบคือน้ำฟ้าที่รู้ว่าชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายกำลังจะไปไหน ส่วนกำนันอาจหาญในฐานะผู้อาวุโสที่สุดในบ้านนั่งฟังเงียบๆ

“คะแนนอะไรฟ้า มีเรื่องอะไรกันทำรุ่งไม่รู้ล่ะพ่อ” แต่ลูกสาวก็ยังหันมาถามกำนันจนได้

“ถามพี่แกเองก็แล้วกัน”

“พี่เดี่ยว”

“อะไรล่ะ”

“ถามไม่ตอบ”

“ออกไปข้างนอกไง”

“ว่างก็พักผ่อนอยู่บ้านบ้างสิ นี่ถ้าฉันไม่หยุดคงไม่ได้เจอหน้าพี่ชายตัวเอง”

“แหมยัยรุ่งตอนนี้พี่เดี่ยวกำลังอยู่ในช่วงทำคะแนนก็ต้องเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้ล่ะน่า”

“อะไรกันพี่เดี่ยวไปจีบสาวบ้านไหนหรือถึงต้องทำคะแนน แล้วยังต้องเช้าถึงเย็นถึงอีก”

“คิกๆ “น้ำฟ้าไม่ตอบแต่หัวเราะชอบใจ นั่นยิ่งทำให้ดาวรุ่งสงสัยขึ้นกว่าเก่า อะไรกันไม่อยู่บ้านแค่ไม่กี่วันมีอะไรเปลี่ยนแปลงทำไมดาวรุ่งไม่รู้

“หัวเราะทำไม”

“เปล๊า”

“พี่เดี่ยว จีบสาวบ้านไหนเหรอ”

“ไม่ได้จีบสาวบ้านไหน จะไปธุระ” ใช่เด็ดเดี่ยวไม่ได้โกหกน้องสาวเลยจริงๆ นะ ชายหนุ่มบอกแล้วก็เดินออกไปเลย แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูน้องสาวก็เรียกเอาไว้เสียก่อน

“ฝนจะตกอยู่แล้วนะ”

“เออ ก็ช่างฝนสิไม่ได้เดินตากฝนไปนี่”

“เฮ้อออ” ดาวรุ่งถอนหายใจเมื่อพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว จากนั้นก็หันมามองกำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อตาขวาง

“พ่อ”

“อะไรวะ”

“พี่เดี่ยว”

“มันทำไม”

“จะไปจีบสาวบ้านไหนมาเป็นสะใภ้ให้พ่อ”

“เฮ้ออออ รอถามมันเองก็แล้วกัน สาวบ้านไหนข้าก็ไม่รู้หรอก” พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นกำนันก็ลุกขึ้น แล้วเดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้าน อันเป็นมุมโปรดที่มีสุ่มไก่ชนวางเรียงรายไว้เป็นระยะ

“ไปซักผ้าดีกว่า” น้ำฟ้าเลี่ยงไปอีกคน จึงเหลือเพียงดาวรุ่งที่นั่งหน้างออยู่คนเดียว



%%%%%%%%%%%%%%



“เป็นไงบ้างวะ” ลูกพี่ใหญ่ถามเสียงเป็นห่วงพลางตบหลังลูกน้องคนสนิทปุๆ

“ไอ้จ๋าเกือบตายครับลูกพี่ ใจมันหวิวๆ แปลกๆ “ไอ้จ๋าตอบเสียงเบามือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋าเป้ที่สะพายไหล่แน่น ส่วนอีกข้างยังทาบและกดเอาไว้กลางอก มันหายใจถี่เล็กน้อยเพราะยังรู้สึกตื่นๆ อยู่มากทีเดียว

“ครั้งแรกก็อย่างนี้ล่ะวะเดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน”

“ยังไงไอ้จ๋าก็ไม่ชินครับลูกพี่ ยิ่งตอนที่ตัวลอยขึ้นฟ้าโอ๊ยใจไอ้จ๋านี่แทบหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นแหนะ”

“อ่อน”

“อ้าวลูกพี่สวยดิแบบนี้”

“เออ จะไปไม่ไป”

“ไปครับแหะๆ ” คนเป็นลูกพี่แบกเป้เดินนำ มีไอ้ลูกน้องคนสนิทวิ่งตามพร้อมเป้ใบใหญ่อีกใบ ที่มันเหวี่ยงขึ้นสะพายหลัง เมื่อหนุ่มทั้งสองเดินออกมาจากสนามบินเพื่อเรียกแท็กซี่ไปส่งที่บ้าน ตอนนี้ต้นกล้ากับไอ้จ๋ามาถึงกรุงเทพแล้ว

ไอ้จ๋ามองตึกสูงระฟ้าของบ้านเมืองที่ดูแปลกตาสองข้างทาง ในใจให้รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่เคยเข้าเมืองใหญ่ๆ แบบนี้มาก่อน เมืองใหญ่สุดที่มันเคยไปก็แค่ตัวจังหวัดของตัวเองและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อได้เข้ามากรุงเทพกับเขาบ้าง มันเลยอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ จนลืมปัญหาหนักใจไปชั่วขณะ

“ชอบมั้ยวะ มองเชียว”

“ไอ้จ๋าก็มองไปอย่างนั้นแหละครับลูกพี่ คิดถึงบ้านมากกว่าอะ”

“อะไรวะเพิ่งมาถึงเองนะเว้ย คิดถึงบ้านแล้วเหรอ”

“ก็ไอ้จ๋าไม่ชอบนี่ครับลูกพี่ อากาศมันไม่บริสุทธิ์ยังไงไม้รู้” พูดจบไอ้จ๋าก็สูดหายใจเข้ายาวๆ แม้ตอนนี้จะอยู่บนรถแท็กซี่เย็นฉ่ำ แต่ยังไงมันก็ไม่ชอบอยู่ดี

“เออ ผ่านช่วงนี้มันก็รถเยอะอากาศมันเลยไม่ค่อยบริสุทธิ์เป็นธรรมดา ถึงแถวบ้านเดี๋ยวก็ดีเอง” ลูกพี่เจ้าถิ่นปลอบเพียงไม่นานหลังจากนั้น รถแท็กซี่ก็มาส่งทั้งสองหน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรร ที่บ้านแต่ล่ะหลังบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ว่าต้องมีเงินกองอยู่ในธนาคารพอสมควรถึงจะซื้อบ้านแถวนี้ได้

“โห นี่บ้านคนเหรอครับลูกพี่” ต้นกล้าหันขวับไปมองเมื่อไอ้จ๋าถาม ทั้งที่มันยังแหงนหน้ามองความใหญ่โตอลังการตระการตาของบ้านหลังใหญ่ ที่ก่อสร้างขึ้นมาในแบบที่ดูทันสมัยแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าอยู่มากทีเดียว ประตูคู่ด้านหน้าเป็นไม้เนื้อแข็งขัดเงาบานใหญ่ ที่สลักลายสวยละเอียดอย่างมีฝีมือ

“เออ สิวะ ทำไม” ต้นกล้าตอบขณะที่พาไอ้จ๋าก้าวขึ้นบันได้หินอ่อนเพียงสามขั้น สู่ประตูด้านหน้าของตัวบ้าน

“ทำไมมันใหญ่โตขนาดนี้ครับ”

“เออๆ เข้าบ้านก่อน” ต้นกล้าเปิดประตูเดินนำไอ้จ๋าเข้าไปในตัวบ้าน แม่บ้านก็เดินออกมาต้อนรับพอดี

“มากันแล้วเหรอคะ”

“ครับป้าสวัสดีครับ กล้าหิวจังเลย”

“เดี๋ยวป้าให้เด็กตั้งโต๊ะให้ค่ะแล้วนี่จ๋าใช่มั้ยลูก”

“จ๋านี่ป้าละมุน”

“สวัสดีครับ”

“จ้ะ ไหว้พระนะลูกป้าให้เด็กจัดห้องไว้แล้ว ไปๆ เข้าบ้านก่อนทานอะไรกันก่อนแล้วค่อยขึ้นไปพักผ่อน”

“ขอบคุณครับ” ไอ้จ๋ายกมือไหว้ป้าละมุนอีกครั้ง แล้วเดินตามลูกพี่ไป เพราะออกจากบ้านแต่เช้ามืดทั้งสองจึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง พอมาถึงกรุงเทพก็สายมากแล้วความหิวจึงบังคับให้ต้องรีบหาอาหารมาประทัง

เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าก็รับหน้าที่พาลูกน้องคนสนิทไปส่งถึงห้องพัก ที่อยู่บนชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ แต่ไม่ว่าจะยังไงไอ้จ๋าก็ยังไม่คลายความตื่นตะลึงในความใหญ่โตของมันได้เลย ข้างนอกว่าใหญ่มากแล้ว พอเข้ามากข้างในยิ่งรู้สึกว่ามันใหญ่มากยิ่งขึ้นกว่าเก่าเยอะทีเดียว

“นี่ห้องแก ชอบปะ”

“นี่ห้องนอนไอ้จ๋าเหรอครับลูกพี่”

“เออสิชอบมั้ย”

“ทำไมห้องมันใหญ่อย่างนี้ละครับ”

“ไม่ดีหรือไง”

“ไอ้จ๋ากลัวเหงาครับลูกพี่ คึๆ ๆ ”

“วู้ยอะไรของแก ใครๆ ก็ชอบอยู่ห้องกว้างๆ ทั้งนั้นแหละ”

“แหะๆ เว้นไอ้จ๋าไว้สักคนเถอะครับ” ทั้งสองคุยกันพลางเดินเข้ามาในห้อง ไอ้จ๋ามองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่เตียงกว้างกลางห้อง หัวเตียงประดับอย่างหรูหราวางชิดติดผนัง ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตาเนื้อผ้ามีลายในตัว คลุมทับเอาไว้ด้วยผ้านวมอีกผืนที่ไอ้จ๋าเห็นแล้ว มันไม่อยากจะคิดถึงเวลานอนที่คงจะร้อนน่าดู เพราะความเคยชินจึงไม่คิดถึงเรื่องการเปิดแอร์นอนเลยสักนิด บนที่นอนมีแค่หมอนสองใบกับผ้าห่ม ไอ้จ๋าเดินเข้าไปประชิดขอบเตียงมองซ้ายมองขวาหาบางสิ่งบางอย่างแต่ก็ไม่เห็นมี

คนเป็นลูกพี่ที่กำลังจับตามองว่าลูกน้องจะชอบห้องใหม่หรือไม่ เห็นคิ้วเข้มของไอ้จ๋าขมวดมุ่นเหมือกำลังใช้ความคิด ให้นึกสงสัยจึงเอ่ยถาม

“หาอะไรวะ” ถามพลางเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนท่าทางสบายๆ และที่นอนนุ่มๆ ก็เด้งขึ้นส่งน้ำหนักให้ทันที

“หามุ้งครับลูกพี่ไม่มีมุ้งเหรอครับ”

“ไม่มีโว้ย ฮ่าๆ “คำถามนี้เล่นเอาคนเป็นลูกพี่อดปล่อยเสียงหัวเราะดังๆ ออกมาไม่ได้ ต้นกล้าทิ้งตัวนอนหงายไปบนที่นอนขำคำถามซื่อๆ ของไอ้จ๋าจนผิวหน้าขาวๆ ใสๆ แดงก่ำ

“แล้วยุงไม่กัดแย่เหรอครับลูกพี่” เพราะแต่เล็กจนโตมันก็ถูกสอนมาตลอด ว่าให้กางมุ้งเวลานอนเพื่อป้องกันยุงกัด เพราะยุงเป็นพาหะนำโรคร้ายที่มีอันตรายถึงชีวิต เรื่องนี้ไอ้จ๋าไม่ได้วิตกจริตคิดไปเอง เพราะมีดาราชายชื่อดังคนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว สาเหตุมาจากโรคที่มียุงเป็นพาหะนำมา ตอนนี้สีหน้าของไอ้จ๋าบ่งบอกถึงความกังวลใจ โดยไม่มีปิดบังสายตาของลูกพี่ที่จ้องมอง ต้นกล้าจ้องมองไอ้จ๋าด้วยสายตาแปลกๆ แต่ปากเม้มแน่นกลั้นขำ ไอ้จ๋าหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่รู้สาเหตุแล้วเดินเอากระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ถืออยู่ไปวางไว้มุมห้อง

“ไม่มียุงหรอกไม่ต้องห่วง” ไอ้จ๋าหันมายิ้มอ่อนให้ลูกพี่ ที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนนุ่มอย่างสบายอารมณ์ กลิ้งไปได้สองสามรอบร่างสูงโปร่งก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้ จนไอ้จ๋าเผลอสะดุ้งตาม

“อะ อะไรครับลูกพี่”

“เออ เดี๋ยวฉันไปพักก่อน บ่ายต้องเข้าบริษัทแทนคุณพ่อ แกจะไปด้วยกันมั้ย”

“ไปครับ”

“เอองั้นพักซะห้องฉันอยู่ถัดไปนี่แหละ ส่วนอีกฝั่งเป็นห้องคุณพ่อคุณแม่ของฉัน”

“ครับลูกพี่”

“ตามสบายนะเว้ยจ๋า ถือว่านี่ก็บ้านแกเหมือนกัน”

“ไม่เอาครับลูกพี่ไอ้จ๋าไม่ชอบบ้านหลังใหญ่แบบนี้”

“โอ้ย อะไรของแกชอบไม่ชอบก็ต้องอยู่โว้ย”

“ครับๆ หึๆ ๆ “

“ไปล่ะ” สิ้นเสียงประตูที่ปิดตามหลังลูกพี่ ไอ้จ๋าก็กระโดดขึ้นเตียงอย่างว่องไว มันเด้งตัวรับให้เข้ากับจังหวะเด้งขึ้นลงของที่นอนแล้วให้นึกสนุก ไอ้จ๋าหัวเราะขำตัวเองแต่ก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้น ใจคิดถึงใครอีกคนที่หากได้มานอนกลิ้งเล่นด้วยกันมันจะดีกว่านี้ไหมนะ ใครอีกคนที่ยังไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่เมื่อวานที่ข้อตกลงเริ่มขึ้น ใครอีกคนที่คงจะเจ้าแง่เจ้างอนหน้างอเป็นจวักให้มันอยู่แน่ๆ คิดมาถึงตรงนี้ความสนุกกับเตียงใหม่หายไปในทันที ไอ้จ๋าหยุดเด้งตัวแล้วถอนหายใจหนัก เพราะทำอะไรไม่ได้ หลับตาลงหวังจะพักสายตาสักหน่อย แต่ยังมีใบหน้าหวานๆ และเสียงใสๆ ของใครอีกคนผุดขึ้นมาในมโนสำนึกอยู่ตลอด จนมันต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปยังเป้ใบใหญ่ที่วางทิ้งไว้มุมห้องในคราแรก หยิบขึ้นมาแล้วเดินหาตู้เสื้อผ้าเพื่อจัดให้เข้าที่ ก่อนจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเข้าไปทำธุระกับลูกพี่ใหญ่ของมัน

“โหลูกพี่ครับ”

“อะไรวะ”

“คือต้องหล่อขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“ฉันก็หล่อเป็นปกติ”

“วันนี้ผิดปกติครับเพราะมีเนคไทด์ มีเสื้อนอกด้วย”

“เออบางวันก็ต้องหล่อแบบเนี๊ยบๆ เรียบร้อยหน่อยปะ” ไอ้จ๋ามองคนเป็นลูกพี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตา มันมีท่าทางตลึงกับการแต่งตัวของลูกพี่ใหญ่ ที่สวมใส่เสื้อผ้าในแบบที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน แน่ล่ะสิตอนอยู่บ้านทุ่งดอกจานถึงต้นกล้าจะแต่งหล่อเกือบทุกวัน แต่เสื้อที่ใส่ก็เสื้อเชิ้ตดูธรรมดาที่อาจจะมีลวดลายเท่ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ดูแตกต่างเหมือนอย่างตอนนี้ ที่ต้นกล้าที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีขาวผูกเนคไทด์สีเข้ากันกับเบลเซอร์ทรงเข้ารูปสีเทาเข้มเกือบดำ กางเกงยีนส์พอดีตัวอวดช่วงขาเรียวยาวและรองเท้าหนังดูเนี๊ยบที่สุดเท่าที่ไอ้จ๋าเคยเห็นมา

“ว่าแต่ไอ้จ๋าแต่งตัวแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอครับ ให้ไอ้จ๋าไปเปลี่ยนมั้ยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าก้มลงมองสารรูปของตัวเองที่ช่างไม่คู่ควรจะเดินตามลูกพี่ที่หล่อเนี๊ยบของมันเอาเสียเลย กางเกงยีนส์สีดำซีดตัวเก่าหลวมนิดๆ ที่หิ้วเอวเอาไว้ด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเข้ม ส่วนเสื้อเป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนขึ้นถึงศอก เอาง่ายก็คือชุดที่มันใส่ไปเรียนในบางวันนั่นเอง

“แล้วแกจะเปลี่ยนเป็นชุดไหนวะ”

“เออ นั่นสิ ไอ้จ๋าไม่มีเสื้อผ้าแบบนี้หรอกครับ แหะๆ ”

“ไม่มีก็ไปมันทั้งอย่างนี้แหละเดี๋ยวพาไปซื้อใหม่”

“โอ๊กยไม่เอาหรอกครับไอ้จ๋าใส่ไม่เป็นหรอกแบบนี้เขินตายเลย”

“เออ ไปเถอะ”

ต้นกล้าขับรถเข้าบริษัทอย่างคุ้นเคย แม้เขาจะไม่ชอบงานบริหารแต่เมื่อได้รับการไหว้วานจากคุณกวินผู้เป็นพ่อก็จำต้องมา เขาเคยเรียนรู้งานมาบ้างแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับหน้าที่แทนพ่อในบางช่วง และตั้งแต่บ่ายจนเย็นต้นกล้าก็วุ่นอยู่กับการเข้าประชุมแทนคุณกวิน และการตรวจเอกสารต่างๆ

“โอย ตายๆ ฉันต้องตายแน่ๆ ว่ะจ๋า”

“เหนื่อยเหรอครับลูกพี่”

“สุดๆ “ไอ้จ๋ามองลูกพี่ที่นั่งหัวยุ่งหัวฟูอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่มาถึงบริษัทตอนบ่ายโมง ต้นกล้าก็ถูกเรียกตัวให้เข้าร่วมประชุม ที่ไอ้จ๋าได้ยินว่าประชุมใหญ่ มันก็นั่งคอยลูกพี่ที่ห้องทำงานของคุณกวิน หลังจากนั้นสองชั่วโมงต้นกล้าเลิกประชุม แต่กลับมายังไม่ทันได้นั่งพัก ก็ต้องเข้าประชุมกับแผนกย่อยต่างๆ อีก จนจวนจะถึงเวลาเลิกงานลูกพี่ของมันยังต้องมานั่งตรวจเอกสาร แม้จะบ่นว่าอยากกลับบ้านแต่ก็ไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ เพราะคุณเลขาหอบแฟ้มงานแฟ้มใหญ่เข้ามาให้อีกเป็นตั้ง ทั้งที่ไอ้จ๋าก็ช่วยดูแบบไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่หรอก แต่ตอนนี้ก็ยังเหลืออีกเยอะจนไม่รู้ว่าคืนนี้จะตรวจครบหมดหรือเปล่า

“แล้วเอาไงดีครับลูกพี่ คืนนี้จะเสร็จหรือเปล่าเนี่ย” ไอ้จ๋ามองแฟ้มเอกสารกองสูงเป็นตั้งตรงหน้า แล้วก็ได้แต่หวาดหวั่นหนักใจแทนคนเป็นลูกพี่ ที่ตอนนี้ช่างแตกต่างจากตอนก่อนจากบ้านเหลือเกิน ใบหน้าหล่อเกาหลีดูเคร่งเครียดอย่างที่ไอ้จ๋าไม่เคยเห็นมาก่อน ผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีตอนนี้ชี้ไปคนละทาง

“ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ ว่ะจ๋า” ต้นกล้าบอกแต่ตายังไล่ดูเอกสารทีละแผ่นอย่างตั้งใจ

“อะไรแปลกครับลูกพี่ หรือว่าลูกพี่เจอหลักฐานยักยอกเงินของบริษัท! ” ไอ้จ๋าถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกที่เล่นเอาต้นกล้าต้องขมวดคิ้วทันทีเลยทีเดียว

“เปล่า ทำไมคิดว่าฉันจะเจอหลักฐานอะไรอย่างนั้นวะ”

“เอ้า ก็เหมือนในละครยังไงล่ะครับลูกพี่ ที่พระเอกมาตรวจงานแล้วก็เจออะไรผิดสังเกต สุดท้ายมันก็คือหลักฐานการยักยอกเงินหลายร้อยล้าน”

“คิดมั่วเป็นตุเป็นตะเดี๋ยวปั๊ดโบกหัวทิ่ม หลักฐานอะไรไม่มีหรอก เหลวไหลนะแก” เพราะคำว่าพระเอกเลยทำให้ความหงุดหงิดของคนเป็นลูกพี่ลดลงไปได้บ้าง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายไปเสียทีเดียว

“หึๆ ไอ้จ๋าก็มุกบ้างปะครับลูกพี่คลายเครียด”

“เออ”

“ว่าแต่ลูกพี่ว่าอะไรแปลกล่ะครับ”

“ก็เอกสารพวกนี้สิ มันเป็นเอกสารเก่า แล้วมันก็ผ่านการตรวจมาแล้ว มีลายเซ็นคุณพ่อของฉันรับรองแล้วด้วยซ้ำ ทำไมต้องเอามาให้ฉันตรวจอีกวะ แกว่ามันน่าสงสัยมั้ยล่ะ” ปิ๊ง! ไอ้จ๋าเหมือนมีแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาในหัวของมันทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกพี่บอก สิ่งที่มันใช้เวลาว่างที่ต้องคอยต้นกล้าประชุมคิดเรื่อยเปื่อย จากนั้นมันก็เอาเรื่องราวต่างๆ ที่ได้รู้มาประติดประต่อกันจนเป็นข้อสันนิษฐาน ที่ทำให้มันมั่นใจไปมากกว่าครึ่งแล้ว ว่างานวันนี้...มันคือการกลั่นแกล้งของคุณกวินอย่างไม่ต้องสงสัยหรือถามข่าวอีก

“คุณต้นกล้าคะ ทำงานเสร็จหรือยังคะ”

“ยังไม่ถึงครึ่งเลยครับ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มาทำต่อก็ได้นะคะ รปภ.จะมาปิดออฟฟิชแล้วค่ะ”

“อ้าวเหรอครับ”

“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“ครับ เดี๋ยวผมก็จะกลับเหมือนกัน” ไอ้จ๋าได้แต่นั่งฟังเงียบ ในหัวให้นึกสงสัยเพราะเพิ่งเคยเจอนี่แหละ เลขาไล่ลูกเจ้าของบริษัทที่กำลังขยันทำงานกลับบ้าน!

หลังจากที่ออกจากบริษัทมาเมื่อวาน ต้นกล้าก็พาไอ้จ๋าตระเวนเมืองกรุง ทั้งซื้อของทั้งไปกินข้าวเข้าร้านอาหารดังๆ ดีๆ ที่ไอ้จ๋าบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดว่าสิ้นเปลืองบ้างล่ะ เวียนหัวกับผู้คนที่เดินสวนกันไปมามากมายบ้างล่ะ โดยเฉพาะตอนที่ต้นกล้าลากมันเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ที่เห็นราคาแล้วไอ้จ๋าแทบจะวิ่งหนีออกจากร้านมันเดี๋ยวนั้น แต่ต้นกล้าก็บังคับซื้อให้ไอ้ลูกน้องคนสนิทจนได้ ด้วยเหตุผลว่าไอ้จ๋าต้องแต่งตัวดีๆ ให้สมกับเป็นผู้ติดตามหนุ่มหล่อเช่นเขา จะได้ไม่อายใคร ไอ้จ๋าได้แต่ส่ายหัวให้เหตุผลของคนเป็นลูกพี่ และจำยอมเข้าไปลองเสื้อผ้าเป็นสิบๆ ชุด เพื่อให้ถูกใจคนเป็นลูกพี่ที่จับมันแต่งตัว กว่าไอ้จ๋าจะเนี๊ยบได้อย่างที่ใจของต้นกล้าต้องการ เวลาก็ผ่านไปหลายชั่วโมง กลับบ้านมาไอ้จ๋านี่แทบจะคลานเมื่อเดินขึ้นห้องของมัน

วันนี้เป็นวันที่สองของการทำงาน ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องกำลังนั่งทำงานเดิมคือตรวจเอกสารเก่าอยู่ในห้องทำงานของคุณกวิน ต้นกล้ามีสีหน้าคร่ำเคร่งหลังจากประชุมช่วงเช้า พักทานข้าวแล้วมาลุยงานช่วงบ่ายต่อ

“ไอ้จ๋าโว้ย”

“..” เหม่อ “ไอ้จ๋า”

“...” ลอย

“ไอ้จ๋าโว้ย”

“ครับๆ ลูกพี่เรียกไอ้จ๋ามีอะไรครับ”

“เป็นอะไรวะเรียกตั้งนานไม่ตอบ”

“เอ่อ อ้าวเหรอครับ ไอ้จ๋าขอโทษครับ แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“คิดถึงบ้านเหรอวะ” ต้นกล้าถามเสียงอ่อนลงเพราะเห็นสีหน้าของไอ้จ๋าที่มีท่าทางอมทุกข์ เหมือนไม่มีความสุขกับการมากรุงเทพครั้งนี้ แล้วเขาก็พลอยคิดมากเพราะตัวเองเป็นคนชวนแกมบังคับให้มันมาด้วย

“ก็นิดหน่อยครับลูกพี่”

“เออ เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วน่า”

“ครับ” ไอ้จ๋าตอบรับเสียงเบาเพราะปัญหาที่มียังค้างคา แถมมันยังทำอะไรจากที่นี่ไม่ได้ หากไม่ได้กลับบ้านไปเร็วๆ นี้ ไม่รู้ว่าคนทางโน้นจะเป็นยังไง ที่แน่ๆ คงไม่สบายใจพอกันกับการหายไปเฉยๆ ของไอ้จ๋า ครั้นจะโทรหาก็ให้ติดสัญญาของว่าที่พ่อตาที่ตกลงกันไว้ ทั้งที่อยากโทรไปอธิบายใจจะขาดแต่มันก็ต้องหักห้ามใจ ลูกผู้ชายอย่างไอ้จ๋าพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น รับปากไปแล้วก็ต้องทำให้ได้แม้ต้องคิดมากแทบตายก็ตามเถอะ เฮ้อ

ต่อจ้า....
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 100% 16/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 16-01-2019 22:46:45


“อะไรวะ”

“เปล่าครับลูกพี่”

“นี่ฉันเอาแกมาทรมานด้วยหรือเปล่าวะเนี่ย”

“เปล่าๆ ครับลูกพี่ ไอ้จ๋าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ” ต้นกล้าละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้ามาจ้องไอ้จ๋าตาขวาง ทั้งดุทั้งกดดัน ด้วยมั่นใจแล้ว ว่าไอลูกน้องคนสนิทต้องมีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรบางอย่างแน่นอน

“พูด! “

“คือ..” ปึง! “คือ ไอ้จ๋า...” แล้วไอ้จ๋าก็เล่าเรื่องข้อตกลงที่มันทำเอาไว้กับเถ้าแก่สิน เพื่อพิสูจน์หัวใจของมันที่ต่อน้ำส้มให้ต้นกล้าฟังอย่างละเอียด โดยไม่มีช่วงไหนตกหล่นแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่ลูกพี่ทุบโต๊ะทำงานเสียงดังบังคับให้มันคายเรื่องหนักใจ จนต้องมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ แบบนี้

“โหย ดีนะที่พ่อเขาไม่เอาปืนมาไล่ยิงเอาน่ะ ทำอะไรไม่รู้จักคิด” ต้นกล้าชี้หน้าด่าหมายถึงตอนที่ไอ้จ๋าขอจูบน้ำส้มในรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน

“ก็ตอนนั้นใครจะไปทันคิดเรื่องนั้นล่ะครับลูกพี่ คนมันคิดถึงอะ”

“แล้วเป็นไงล่ะทีนี้”

“ก็อย่างที่โอ้จ๋าบอกนั่นแหละครับ ยังไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันนั้น” เสียงของไอ้จ๋าหงอยลงไปโข ซ้ำหน้าดำๆ ของมันยังซึมจนน่าสงสาร

“เอางี้ดิ แกโทรไม่ได้เดี๋ยวฉันโทรเอง”

“ไม่ได้หรอกครับลูกพี่ อย่านะครับ”

“อ้าว ทำไมจะโทรไม่ได้วะฉันไม่ได้ไปสัญยิงสัญญาอะไรกะเถ้าแก่ด้วยนี่หว่า แค่โทรหาน้องหานุ่ง”

“แต่มันก็เกี่ยวกันอยู่ดีถ้าลูกพี่พูดถึงไอ้จ๋า มันจะผิดข้อตกลงนะครับลูกพี่”

“เฮ้ออออ แกนี่น้า”

“ว่าแต่ลูกพี่เถอะเดี๋ยวก็..อุบ”

“เดี๋ยวก็อะไรวะ”

“เปล่าครับเปล่า ไม่มีอะไร”

“แกจะพูดดีๆ หรือให้โบกหัวก่อนวะ เดี๋ยวปั๊ดโบกจริงๆ ซะหรอก” ต้นกล้ายกแฟ้มเอกสารหนาหนักขึ้นเล็งไปที่หัวไอ้ลูกน้องคนสนิท เพื่อบังคับให้มันคายเรื่องทุกเรื่องที่รู้ออกมาให้หมด

“เอ่อ..”

“...?”

“ลูกพี่รีบทำงานเถอะครับ จะได้เสร็จจะได้รีบกลับ”

“เออๆ งั้นแกเอานี่ไปเลย” แฟ้มตั้งใหญ่อีกตั้งถูกผลักมาวางตรงหน้าไอ้จ๋า ที่มันรับมาเปิดดูเนือยๆ เพราะไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง

เฮ้ออ ปึง! แต่ผ่านไปยังไม่ทันถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แฟ้มเอกสารหนาหนักในมือของต้นกล้าก็ถูกวางลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรงจนไอ้จ๋าที่อยู่ในชุดใหม่หล่อมีสไตล์กว่าทุกวันสะดุ้ง

“อะ อะไรครับลูกพี่”

“ไม่ทงไม่ทำมันแล้วฉันว่าเราโดนคุณพ่อแกล้งแล้วว่ะจ๋า” เราซะที่ไหนล่ะครับลูกพี่คนเดียวเถอะ ไอ้จ๋าไม่ได้พูดออกมาหรอก มันทำเพียงแค่คิดในใจ คิดแล้วก็ให้รู้สึกสำนึกผิดอยู่ลึกๆ แต่เพื่อตัวลูกพี่เองมันต้องเงียบปากให้ได้ ถึงยังไงมันก็ยังรักและเทิดทูลลูกพี่สุดใจขาดดิ้นเหมือนเดิม

“ไม่ทำก็ไม่เสร็จนะครับลูกพี่”

“ที่ไม่ทำไม่ใช่เพราะขี้เกียจนะโว้ย แต่เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำต่างหาก งานนี้มันทำเสร็จไปแล้วยังเอามาให้ทำอีก นี่มันแกล้งกันชัดๆ ไปลุก “

“ไปไหนครับ”

“ไปห้างส่องสาวดิอยู่ให้โง่เหรอ หึๆ ” ไอ้จ๋าอ้าปากค้างมองตามลูกพี่ที่เปิดประตูแล้วเดินออกจาห้องทำงานหน้าตาเฉย มันอึ้งไม่รู้ว่าอึ้งเพราะต้นกล้าไม่ยอมทำงานที่ได้รับมอบหมายหรืออึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ส่องสาว อืม....ลูกพี่ของไอ้จ๋านี่แน่จริงไรจริง

“ไอ้จ๋ามา”

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ครับ”



%%%%%%%%%%%



“นี่แกจะมาบ่อยไปแล้วนะ บ้านนี้มีเจ้าของนะเว้ยไม่ใช่สวนสาธารณะ”

“สวัสดีครับ” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้ทักทายคุณกวินเมื่อชายหนุ่มมาถึงแต่เช้าเหมือนเมื่อวาน เพื่อแวะมาคุยกับคุณยายหรือใครก็ตามที่สามารถให้ข่าวเขาเกี่ยวกับต้นกล้าได้ แต่กลับเจอคุณกวินที่ท่าทางดูเหมือนว่ามาดักรอเขาอยู่หน้าบ้าน เหมือนกับรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องมา และเขาก็มาจริงๆ ด้วยความตั้งใจ

“เอากองไว้ตรงนั้นล่ะฉันไม่รับ เอาจริงๆ ก็รังเกียจนะหอบขึ้นรถแกกลับบ้านไปด้วยเลยก็ดี” เด็ดเดี่ยวเม้มปากเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ตัวเองยิ้มกับท่าทางของผู้สูงวัยกว่าตรงหน้า ที่ดูเหมือนกับว่าจะไม่ชอบเขาเอามากๆ แต่ถึงแม้ว่าคำพูดจะฟังดูร้าย ท่าทางของคุณกวินกลับไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก นั่นทำให้เด็ดเดี่ยวรู้สึกมีความหวังอยู่มากพอสมควร แต่..เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปวะ

เด็ดเดี่ยวก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เพราะหากคุณกวินเห็นคงเป็นเรื่องแน่ ดีไม่ดีว่าที่พ่อตาอาจจะหาว่าเขาเสียมารยาทที่หัวเราะขำผู้ใหญ่ แบบนี้ได้โดนข้อหาลามปามเป็นแน่แท้ เดี๋ยวงานใหญ่จะเสียเอาได้ ชายหนุ่มตีหน้าให้นิ่งอย่างคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้วเงยหน้าขึ้น สองมือประสารไว้ด้านหน้าท่าทางเรียบร้อย

“มองหน้าฉันแกมีปัญหาหรือไง”

“เปล่าครับ”

“แล้วมีอะไรทำไมไม่พูดวะ มองหน้านิ่งๆ แบบนี้มันหาเรื่องนี่หว่า”

“ผมเปล่านะครับผมขอโทษ” คนมันอยากจะพาลคนก็จะหาเรื่องมาพาลได้ทุกเรื่อง แค่ฝ่ายตรงข้ามหายใจก็มีปัญหาได้แล้ว แต่ก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะถูกแขวะถูกว่าโดยว่าที่พ่อตาไปมากกว่านี้ สวรรค์ก็ประทานความช่วยเหลือมาให้เขา

“นึกว่าใครมาพ่อเดี่ยวนั่นเอง ไปไหนมาล่ะลูก”

“สวัสดีครับ พอดีผมแวะมาเยี่ยมครับ เอามะพร้าวน้ำหอมสดๆ จากสวนมาให้ด้วยนะครับ”

“มาแต่เช้าเลยนะเนี่ย กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ”

“เอ่อ.. ยังครับ”

“ไปๆ งั้นเข้าบ้านก่อนเดี๋ยวแม่จะหาให้กิน”

“เอ่อคุณอาครับ”

“แม่สิจ้ะ อาทำไม”

“น้องนภา! ” คุณกวินเรียกภรรยาเสียงเข้ม แต่พอภรรยาสุดที่รักหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มหวาน ท่าทางขึงขังไม่พอใจก็อ่อนลงมาก แม้จะยังทำเสียงเข้มอยู่ก็ตาม

“อะไรคะคุณพี่” คุณนภาตอบรับเสียงหวานไม่แพ้รอยยิ้ม

“เรามีลูกชายคนเดียวนะได้ข่าว”

“อู๊ย! รับพ่อเดี่ยวเป็นลูกอีกคนจะเป็นไปล่ะ ลูกพี่กำนันก็เหมือนลูกเรานั่นแหละได้มั้ยพ่อเดี่ยว”

“ผมยินดีครับ” เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างตอบรับอย่างเต็มใจและมีความหวัง

“เห็นมั้ยคะไปเถอะลูกเดี๋ยวแม่หามื้อเช้าให้กินนะจ้ะ” คุณนภาบอกสามีแล้วหันมาหาเด็ดเดี่ยวบอกอย่างเอ็นดู มือคล้องแขนชายหนุ่มพาเดินขึ้นบ้าน ผู้เป็นสามีอย่างคุณกวินได้แต่มองตามอย่างไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ที่ให้เด็ดเดี่ยวเรียกแม่นั้นเพราะ ใจอยากแกล้งคุณกวินที่เอาแต่แขวะชายหนุ่ม มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็เรียกกันเพราะความนับถือแบบนี้ได้อยู่แล้ว เธอเห็นคุณกวินสามีมักจะคอยตั้งแง่และมีท่าทางไม่ชอบชายหนุ่ม ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะเรื่องสมัยหนุ่มๆ ที่คุณกวินกับกำนันอาจหาญไม่กินเส้นกันก็เท่านั้นเอง

“พรุ่งนี้วันพระนี่ครับคุณยาย”

“ใช่จ้ะ ทำไมเหรอ”

“คุณยายจะไปวัดหรือเปล่าครับ ถ้าไปผมขอมารับนะครับ” นั่นไม่ใช่คำถามที่ชายหนุ่มต้องการถาม แต่ยังไม่สบโอกาสที่จะเข้าประเด็นที่ตัวเองต้องการ เมื่อเด็ดเดี่ยวจัดการกับข้าวต้มกุ้งมื้อเช้าที่คุณนภาจัดหามาให้แล้ว ชายหนุ่มก็มานั่งคุยกับคุณยายที่นั่งรับลมอยู่ชานบ้านมุมโปรด เป็นมุมที่เย็นสบายเปิดโล่งหลังคาสูง ล้อมรอบด้วยลูกกรงไม้สลักลาย ปลายยอดไม้ยืนต้น ทั้งลำไย มะม่วงที่ปลูกไว้รอบตัวบ้านให้บรรยากาศดีลมอ่อนพัดมาเย็นสบายน่านอน ยิ่งหมอนกับฟูกนั่งเล่นที่จัดเอาไว้ยิ่งพาให้อยากหลับมันเดี๋ยวนั้น

“เอาสิดีเหมือนกันนะ”

“ครับ ว่าแต่..”

“ว่าแต่อะไรล่ะ”

“คือ..”

“เป็นอะไรไปพ่อเดี่ยววันนี้อ้ำๆ อึ้งๆ มีอะไรจะพูดกับยายก็พูดเลยนะไม่ต้องเกรงใจ” จะให้เด็ดเดี่ยวถามออกมาตรงๆ อย่างที่ใจคิดได้อย่างไร ว่าหากเขากับต้นกล้าจะลองคบหาดูใจกันอย่างเปิดเผย คุณยายจะรับได้หรือเปล่า ชายหนุ่มเป็นห่วงเหลือเกิน ห่วงความรู้สึกของคนแก่ หากไม่ใช่เพศเดียวกันเขาคงไม่คิดมากขนาดนี้ เด็ดเดี่ยวกลัวว่าคุณยายซึ่งเป็นคนรุ่นเก่าอาจจะรับเรื่องอย่างนี้ไม่ไหว หนำซ้ำต้นกล้ายังเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ขืนบอกไปตรงๆ เกิดคุณยายเป็นลมหรือหัวใจวายขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร หนักใจ หนักใจเหลือเกิน คุณยายครับผมขอโทษ

เด็ดเดี่ยวมองหน้าคุณยายประไพศรี ที่กำลังรอฟังอย่างไม่รู้จะพูดออกมาแบบไหน ที่จะไม่ทำให้คนแก่ตกอกตกใจจนช็อก อยากบอกอยากพูดอกมาตรงๆ เหลือเกิน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังใม่พูดออกมา เพราะคิดว่าคนรุ่นเก่าอย่างคุณยายนั้นคงรับไม่ได้แน่นอน ขนาดพ่อกำนันยังต้องขอเวลาทำใจ แล้วคุณยายที่แก่กว่าจะไม่หนักไปกว่านี้อีกหรือ ชายหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ หวังจะผ่อนคลายความหนักหน่วงที่อยู่ในอก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อคืนก็นอนคิดทั้งคืน ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี ไหนจะความรู้สึกของคุณยายกับคุณอานภา ไหนจะคุณกวินที่คอยขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้ลูกชายของตัวเอง เหมือนกับรู้ว่าเขาคิดเกินเลย เฮ้อ..

“มีเรื่องไม่สบายใจเหรอลูก” สายตาอ่อนโยนเอื้อเอ็นดูปนความห่วงใยถูกส่งมาให้ เมื่อคุณยายประไพศรีโน้มตัวมาข้างหน้าถามชายหนุ่มรุ่นหลานอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าเด็ดเดียวจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่คนแก่ที่ผ่านและเห็นโลกมามากมายทำไมจะดูไม่ออก ว่าคนหนุ่มตรงหน้ากำลังมีเรื่องให้คิดหนัก

“เปล่าครับคุณยาย ว่าแต่วันนี้คุณยายจะทำอะไรครับ” เด็ดเดี่ยวเปลี่ยนเรื่องเพื่อดึงคุณยายออกห่างจากความหนักใจของเขา เอาจริงๆ ก็ไม่อยากทำให้คุณยายสังเกตเห็นอะไรมากไปกว่านี้หรอก เพราะเขาเองไม่อยากโกหกนั่นแหละ เท่านี้ก็แสดงออกมามากเกินไปจนคุณยายต้องถามแล้ว

“คนแก่จะทำอะไรได้ล่ะลูก นอกจากดูต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเอาไว้ไปวันๆ “

“วันไหนว่างๆ เดี๋ยวผมจะพาไปดูงานเกษตรดีกว่ามั้ยครับ”

“แนะไม่ต้องมาเอาใจยายหรอก จะเอายายไปเป็นภาระทำไม” คุณยายว่ายิ้มๆ ไม่จริงจังนัก

“ไม่เป็นภาระเลยครับ ผมเต็มใจ และ.....” และอื่นๆ อีกมากมายที่ไอ้หนุ่มนั่นมันช่างสรรหาเรื่องราวต่างๆ มาคุยกับแม่ยายของเขาได้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่นานสองนาน จากเช้าก็ล่วงเลยมาจนสาย มันก็ยังคุยจ้อไม่หยุด คุณกวินที่ป้วนเปี้ยนหยิบนั่นจับนี่ ทำนั่นทำนี่อยู่แถวนั้นเพื่อลอบสังเกตก็เห็นมันยังคุยได้ตลอด ไม่รู้หาเรื่องอะไรมาคุยนักหนาไม่ยอมกลับบ้านตัวเองไปสักที ใจอยากเดินเข้าไปไล่ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะมันรกหูรกตาเขาเหลือเกิน แต่แม่ยายของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคุยกับมันนี่สิปัญหาใหญ่ ทำให้คุณกวินได้แต่แอบมองแล้วกัดฟันอย่างหงุดหงิด ไม่มีงานมีการทำบ้างหรือไงวะ

จนกระทั่ง....

“เทอมนี้ผมหยุดสอนครับคุณยาย หรือไม่งั้นก็อาจจะหยุดยาวเลย” รวยนักหรือไงวะงานการนึกอยากหยุดก็หยุดนึกอยากทำก็ทำ

“ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่ยุ่งมาก แล้วงานที่ไร่เป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็เหมือนเดิมครับ แต่ปีนี้ผมซื้อที่เพิ่มอีกห้าร้อยไร่คงวุ่นสักพักล่ะช่วงแรกๆ ” ไอ้ขี้คุย! คุณกวินฮึดฮัดไม่อยู่สุขแอบแขวะชายหนุ่มในใจพาลคิดไปว่าเด็ดเดี่ยวกำลังคุยโม้โอ้อวดจนกระทั่งชายหนุ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง ความหงุดหงิดฮึดฮัดในใจคุณกวินถึงได้บางเบาเบาบรรเทาลงบ้าง

“วันนี้ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับคุณยาย” เออน่าจะไปตั้งนานแล้วคุยโม้อยู่ได้

“จ้ะ วันหลังแวะมาคุยกับยายอีกนะ” เอ้าคุณแม่ไปชวนมันทำไม ไม่มาก็ช่างหัวมันสิ ไม่ได้ดั่งใจเขยรักเลย

“ครับผมลาล่ะครับ” เออเร็วๆ เลยจะไปไหนก็รีบไปเลย คุณกวินค่อนแคะในใจแต่พอนึกได้ว่าเด็ดเดี่ยวต้องเดินผ่านตรงที่เขากำลังยืนแอบอยู่เลยรีบหลบ แต่พอหันกลับมาเท่านั้นแหละ ร่วงท้วมของชายวัยกลางคนต้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เพราะหันมาเจอเข้ากับสายตาดุของภรรยาสุดที่รัก ที่จ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไหนบอกเดินไปคุยกับแม่แจ่มใจที่บ้านโน้น

“น้องนภา”

“คุณพี่มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”

“เปล่าจ้ะ”

“..”

“พอดีว่าจะเข้าไปคุยกันคุณแม่ เห็นคุยกับไอ้หนุ่มนั่นอยู่เลยไม่อยากไปขัดจังหวะน่ะจ้ะ”

“แต่แอบฟังตั้งนานนี่นะ”

“พี่เปล่านะจ๊ะ”

“คุณแม่ครับ” คุณกวินสะดุ้งอีกรอบที่ได้ยินเสียงของเด็ดเดี่ยวเรียกคุณนภามาจากข้างหลัง

“จ้ะพ่อเดี่ยวจะกลับแล้วเหรอ”

“ครับ พอดีจะแวะไปดูที่อีกแปลง” คุยอีกแล้วไอ้ขี้คุย คุณกวินเหลือบมองเด็ดเดี่ยวมุมปากแบะออกน้อยๆ อย่างหมั่นไส้ที่ชายหนุ่มเอาแต่พูดเรื่องที่ตรงโน้นซื้อใหม่ตรงนี้ ชาวบ้านนี่ก็ขยันเอามาขายให้มันเสียจริงๆ เดี๋ยวไปกว้านซื้อบ้างมันซะเลยนี่

“ขยันจังเลยนะลูก ขับรถดีๆ ล่ะ”

“ครับลาล่ะครับ”

“ไม่ต้องลามากหรอกจะไปไหนก็รีบๆ ไปเลยไป”

“คุณพี่คะ”

“สวัสดีครับ ไปจริงๆ แล้วครับ” เด็ดเดี่ยวลงเรือนไปแล้วโดยมีสายตาสองคู่มองตามต่างความรู้สึก คุณนภามองอย่างชื่นชมในความเอาการเอางานของชายหนุ่ม ในใจคิดอยากมีลูกสาวจะได้จับคู่ให้เสีย ผู้ชายแบบนี้แหละพ่อของลูก ส่วนคุณกวินนั้นมองแล้วแบะปาก ในใจตะโกนไล่หลังคนหนุ่มบอกว่าวันหลังไม่ต้องมา



%%%%%%%%%%%%%



“ไงล่ะซึมไปเลยนะแก”

“พี่คำแพง! ”

“เป็นยังไงล่ะทีนี้ เชื่อฉันตั้งแต่แรกก็ไม้ต้องมานั่งซึม ชะเง้อมองทางคอยืดคอยาวอย่างนี้หรอก” ตาสวยของน้ำส้มเหลือบไปมองทางที่มีรถวิ่งผ่านไปมาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อได้ยินพี่สาวพูดขึ้นมา ใบหน้าหวานดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาที่เริ่มแดงมีน้ำเอ่อขึ้นมา แต่ก็เพียงไม่นานเพราะเจ้าตัวหันไปอีกทางแล้วกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่ให้มันกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม

นับตั้งแต่วันที่ข้อตกลงเริ่มขึ้นจนถึงวันนี้ ไอ้หมาหน้าดำที่เฝ้าคิดถึงก็ยังไม่เคยโผล่หัวมาเลยสักครั้ง น้ำส้มถูกพี่สาวค่อนขอดและยุแยงทุกวันแต่ก็ยังมานั่งรอ หวังว่าเดี๋ยวอีกคนก็คงจะมาอย่างที่บอก แต่ผ่านไปสามวันแล้ว! ไอ้จ๋าก็ยังเงียบเหมือนกับว่ามันได้หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วยังไงอย่างนั้น อยากโทรหาแต่ก็ติดสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ ไม่เกี่ยวกับสัญญาที่ไอ้จ๋าทำไว้กับเถ้าแก่สิน แต่เป็นสัญญาระหว่างพ่อลูกที่น้ำส้มจำยอมรับปาก เพราะมั่นใจในตัวคนรักว่ายังไงก็ไม่มีวันทิ้งกันแน่นอน มาวันนี้น้ำส้มเริ่มหวั่นใจ ความเจ็บปวดที่เคยมีอยู่ลึกๆ จึงแสดงผลออกมาทางแววตาเศร้าสร้อยและร่างกายที่ดูอ่อ่นล้า

“นี่ฉันถามอะไรแกหน่อยสิ” คำแพงยิ่งน้องเศร้าก็ยิ่งพอใจ นอกจากจะคอยมาสมน้ำหน้าแล้วยังคอยถามนั่นถามนี้อยู่ตลอด

“ถามอะไร”

“แกได้กันหรือยัง”

“พี่คำแพงได้กันอะไรทำไมถามอย่างนี้ล่ะ” น้ำส้มนั่งบีบมือตัวเองไม่ชอบคำถามของพี่สาว แต่คำแพงยังทำหน้าตาเฉยแล้วถามต่อ

“เอ้าไหนว่าคบเป็นแฟนกันล่ะ แฟนกันมันก็ต้องมีเรื่องอย่างว่าสิจริงมั้ย”

“ไม่มีหรอก”

“แสดงว่ายังไม่ได้กัน” น้ำส้มไม่ชอบสิ่งที่พี่สาวพูดแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ เพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้ คำแพงคงไม่ยอมจบไม่ยอมลงง่ายๆ แน่ และก็จริงเพราะแทนที่พี่สาวจะเลี่ยงไปทำงานของตัวเอง กลับยังอยู่และส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอกย้ำให้น้ำส้มเจ็บปวด

“นี่ล่ะน้าอย่างที่ฉันเตือนไปแล้ว ตุ๊ดอย่างแกผู้ชายที่ไหนเขาจะเอาจะอยากได้จริงๆ จังๆ ล่ะวะ ถ้าเป็นผู้หญิงกับผู้ชายมันก็ยังมีหวังกว่านี้ แต่นี่อะไรถึงแกจะเป็นตุ๊ดแต่ก็ยังมีไอ้นั่นห้อยโตงเตงอยู่นะยะ มันก็ผู้ชายกับผู้ชายดีๆ นี่เอง ถึงแกจะสวยยังไงผู้ชายมันก็ต้องเอากับผู้หญิงวันยังค่ำรึเปล่าวะ”

“ส้มขึ้นห้องก่อนนะพี่คำแพง”

“นี่ๆ ฉันรู้ว่าแกรับไม่ได้ ยังไงแกก็เป็นน้องฉันอย่าโง่ ผู้ชายมันไม่เอาจะไปเสียเวลารอมันทำไม” น้ำส้มไม่ตอบคำพี่สาวแต่ลุกขึ้นแล้วเดินก้มหน้าเลี่ยงขึ้นห้องตัวเองไป โดยมีสายตาของพี่สาวจิกมองตามพร้อมกับแบะปากยิ้มอย่างสมเพชแกมสะใจ สมใจที่สุด

ร่างบอบบางสั้นสะท้านเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นเจ็บหน่วงอยู่ในหัวใจ แม้น้ำส้มจะพยายามอดทนและอดกลั้นมากแค่ไหน ใจที่หวั่นไหวอยู่แล้วก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี เปิดประตูเข้ามาในห้องทิ้งร่างลงบนที่นอน พื้นที่ด้านหนึ่งเต็มไปด้วยตุ๊กตาสีชมพูน่ารัก ใบหน้าสวยซบลงกลางอกของตุ๊กตาตัวโปรดที่ตั้งชื่อให้ว่าจ๋า น้ำส้มกอดมันแน่นเหมือนต้องการที่พึ่งพิง ร่างบอบบางสะอื้นเงียบๆ โดยไม่มีน้ำตาไหลออกมา เพราะความอัดอั้นที่บีบอัดอยู่ในหัวใจ จนกระทั่งรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่จึงค่อยหันกลับมามอง

“พ่อ” เถ้าแก่สินไม่ได้พูดอะไรเมื่อลูกคนเล็กโผเข้าสู่อ้อมกอดที่เขาอ้ารับ ชายวัยกลางคนเพียงลูบผมนิ่มอย่างแผ่วเบา แต่ยังคงเงียบไร้เสียงปลอบโยนให้คลายเศร้า มีเพียงความเข้าใจที่ส่งผ่านมาทางอ้อมกอดและมือกร้านที่ลูบปลอบ

น้ำส้มกอดพ่อแน่นอย่างคนที่ต้องการที่พึ่งพิง ตาสวยค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับหยดน้ำใสๆ หยดเล็กๆ ที่ตกลงมา แก้มนวลอาบด้วยสายธารแห่งความเจ็บปวดที่เจ้าตัวยากจะอดกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างเงียบน้ำส้มไร้ซึ่งคำพูดตัดพ้อ ทำเพียงแค่กอดพ่อแน่นเงียบๆ และระบายความรู้สึกทุกอย่างออกมาผ่านหยดนำใสๆ ที่ไหลริน

เถ้าแก่สินเจ็บปวดยิ่งนักเมื่อแก้วตาดวงใจต้องมาร้องไห้เสียน้ำตาอย่างนี้ ชายวัยกลางคนรู้สึกผิดหวังในตัวไอ้จ๋าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่วันนั้น มันทำให้เขาเห็นถึงความมุ่งมั่นในแววตาของมัน และเถ้าแก่สินก็แอบพอใจอยู่ลึกๆ แต่วันนี้ทำไมมันกลับไม่ใช่ เขามองคนผิดไปหรือ ผิดไปจากความเป็นจริงที่ได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นเถ้าแก่ก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดี เพราะยอมรับว่าลูกของตัวเองเป็นแบบนี้ มันจึงยากที่จะหาคนมาจริงใจด้วยได้ง่ายๆ เขาไม่เสียใจที่ทำข้อตกลงแบบนั้นกับไอ้จ๋า แล้วยังมาบังคับให้น้ำส้มสัญญาบางอย่าง โดยเอาความรักของลูกที่มีต่อตัวเอง มาเป็นข้อต่อรองให้น้ำส้มสัญญาว่าจะทำตาม และยิ่งได้เห็นว่าลูกทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัดแล้วต้องมานั่งเสียใจ คนเป็นพ่อยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวในอก ได้แต่ปลอบทั้งลูกและปลอบตัวเองว่าดีแล้วที่ได้เห็นธาตุแท้ของคนที่เข้าหาแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะต้องเสียใจไปมากกว่านี้ เถ้าแก่สินรู้ว่าตัวเองคงรับไม่ได้หากลูกจะเป็นแค่ของเล่นของตายของใคร เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องความรู้สึกของลูกให้มากที่สุด

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวอะไรๆ มันก็ดีขึ้นเอง” เถ้าแก่สินเลี่ยงที่จะพูดถึงไอ้จ๋าและเรื่องที่ลูกสาวคนโตพูดกับน้อง น้ำส้มพยักหน้าตอบก่อนที่จะผละจากอ้อมกอดอบอุ่นช้าๆ ด้วยไม่อยากให้พ่อเห็นน้ำตาแล้วไม่สบายใจ ร่างบอบบางก้มหน้าจนคางชิดอก เพื่อเช็ดน้ำตาตัวเองเงียบๆ

ความเจ็บปวดของลูกกรีดร้าวลึกเข้าไปถึงก้อนเนื้อในอก มันยากเหลือเกินที่คนเป็นพ่อจะไม่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ แต่เถ้าแก่สินก็ปล่อยและนั่งมองภาพที่น้ำส้มเช็ดน้ำตาให้ตัวเองเงียบๆ โดยไม่ทำหรือพูดอะไร เพราะอยากให้ลูกเข้มแข็งด้วยตัวเอง

“พรุ่งนี้ไปธุระกับพ่อนะ” น้ำส้มพยักหน้ารับคำพ่ออีกครั้งจากนั้นเถ้าแก่สินก็ออกจากห้องไปเงียบๆ หยดน้ำตาหายไปหมดแล้วเหลือไว้เพียงก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมาเป็นช่วง น้ำส้มนอนกอดจ๋าตุ๊กตาตัวโปรดจนเผลอหลับไปเพราะความเพลีย


100% ล่ะจ้า มาอีกทีอาจจะวันเสาร์เด้อ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 100% 16/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-01-2019 00:34:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

พ่อสินคิดถูกแล้ว  พาไปบุกบ้านไอ้จ๋าสิ แล้วก็จะพบว่า ไอ้จ๋าไปกรุงเทพฯ กับลูกพี่ และปฏิบัติตามคำสัญญาอย่างเคร่งครัด  จึงเป็นที่มาของความโศกเศร้าของลูกคนเล็ก  อิอิ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 23 พันธสัญญาของไอ้จ๋า 100% 16/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-01-2019 01:50:37
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:45:05



กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า



และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ไม่รู้ว่าพากันรออะไร แต่อย่างน้อยทั้งต้นกล้าและไอ้จ๋าก็เหมือนกำลังรอนั่นแหละ เมื่อต้นกล้าตัดสินใจกลับมาบ้านทุ่งดอกจาน เพราะรู้แน่แล้วว่างานด่วนที่คุณกวินผู้เป็นพ่อบอกให้กลับมาจัดการนั้น มันไม่ใช้งานด่วนจริงๆ แต่เป็นการกลั่นแกล้งที่เหมือนกับว่า ฝ่ายคุณพ่อแค่ไม่ต้องการให้ต้นกล้าอยู่ที่บ้านทุ่งดอกจานเท่านั้น ต้นกล้าไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร ส่วนไอ้จ๋าเมื่อรู้เรื่องการตัดสินใจของลูกพี่ใหญ่มันก็ไม่รอช้า รีบเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าทั้งของตัวเองและของลูกพี่โดยไว ในเช้าวันที่สี่ของการมากรุงเทพนั่นเอง และทั้งสองไม่ได้บอกใครว่าจะกลับด้วย

เครื่องบินโดยสารสายการบินดังพาลูกพี่ใหญ่กับลูกน้องคนสนิทมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย เพราะต้นกล้าไม่ให้บอกใครว่ากลับมา ไอ้จ๋าจึงบ่นนิดหน่อยเมื่อไม่มีคนมารับที่สนามบิน

“ถ้าให้ลูกพี่เดี่ยวมารับคงดีนะครับลูกพี่”

“แล้วจะให้เขามารับทำไมล่ะวะ”

“อ้าวก็ไอ้จ๋านึกว่าลูกพี่คิดถึงอยากเห็นหน้ากันเร็วๆ นี่ครับ”

“โว๊ะ พูดมากนะแกออกไปเรียกแท็กซี่เลยไป”

“ครับๆ ” ไอ้จ๋ารีบวิ่งออกมาหารถโชคดีที่มีแท็กซี่มาส่งผู้โดยสารมันเลยเรียกให้ไปส่ง ต้นกล้าเจรจาเหมาให้แท็กซี่ไปส่งถึงบ้าน แต่แท็กซี่ไม่เอาเพราะไกลเกินจึงส่งได้แค่ขึ้นรถทัวร์ แต่กระนั้นก็จ่ายค่าโดยสารไปพอสมควรจนไอ้จ๋าถึงกับบ่นกะปอดกะแปดน่ารำคาญ

“เอาเปรียบผู้โดยสารจริงๆ “

“เออน่าแค่วันเดียว”

“มันก็เกินไปนะครับลูกพี่ มาส่งแค่นี่เองคิดตั้งหลายบาท”

“เออแค่นี้เองไง น่า..อย่าบ่นมากเลย หรือแกไม่รีบกลับไปหาใครวะ”

“ลูกพี่ก็รู้อยู่แล้วนี่ครับ” ไอ้จ๋ายอมรับไม่มีอิดออดจนต้นกล้าคิดว่าตั้งแต่มันเปิดตัวก็ออกตัวแรงทุกเรื่องเลยว่ะ

“เออๆ เดี๋ยวก็ถึงนั่นไงรถมาแล้วขึ้นคันนี้หรือเปล่าวะ”

“ใช่ครับ คันนี้ล่ะขึ้นเลยครับลูกพี่” ไอ้จ๋าแบกกระเป๋าเป้ทั้งของตัวมันเองและของลูกพี่ขึ้นไหล่ ดันให้ต้นล้าขึ้นรถทัวร์ไปก่อน แล้วมันจึงตามขึ้นไป

“เป็นอะไรของแกวะจ๋าร้อนรน”

“ไอ้จ๋าเปล่าครับ”

“ใจเย็นน่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน”

“ครับๆ ” แม้ว่าไอ้จ๋าจะรับคำลูกพี่แต่มันก็ยังอยู่ไม่สุขเหมือนเดิม เดี๋ยวชะเง้อข้ามแถวเก้าอี้ไปมองทางข้างหน้า เดี๋ยวก็ส่องหน้าต่างดูข้างทางจนต้นกล้าชักหงุดหงิดมันเข้าให้แล้ว ใจจริงเขาเองก็อยากจะกลับให้ถึงบ้านเร็วๆ เหมือนกันแต่คงพูดออกมาไม่ได้มาก เดี๋ยวไอ้ลูกน้องคนสนิทมันจะได้มีเรื่องแซวยันปีหน้าแน่ๆ

“นั่งดีๆ หน่อยสิวะ”

“ก็ไอ้จ๋าอยากให้ถึงเร็วๆ นี่ครับ”

“ถึงแกจะชะเง้อคอยืดคอยาวอยู่แบบนี้มันก็ไม่ทำให้ถึงเร็วขึ้นหรอกน่า” ต้นกล้าปรามไอ้จ๋าเพราะท่าทางอยู่ไม่สุขของมันทำให้เขารำคาญ “เออ ว่าแต่ไปถึงอำเภอแล้วเราจะเข้าบ้านยังไงวะจ๋า”

“ก็ต้องนั่งรถสองแถวสิครับลูกพี่ แต่ถ้ารถไม่มีเดี๋ยวไอ้จ๋าโทรบอกไอ้ว่าวมารับก็ได้ครับ”

“งั้นแกโทรบอกไอ้ว่าวออกมารอเลยดีกว่าว่ะ”

“แหมลูกพี่อยากกลับให้ถึงบ้านเร็วๆ ด้วยใช่มั้ยล้า”

“เออสิฉันขี้เกียจนั่งรอรถนี่หว่า”

“ไม่ใช่เพราะคิดถึงอยากกลับไปเห็นหน้าใครบางคนเร็วๆ หรอกนะครับลูกพี่”

“มากไปแล้วแกรีบๆ โทรเลย”

“ฮ่าๆ ครับๆ ” ไอ้จ๋าหัวเราะพอใจ มือก็ล้วงเอาพี่ฮีโร่โทรศัพท์คู่ใจออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออก แต่..

“ไม่ติดเหรอวะ”

“ครับไอ้ว่าวมันปิดเครื่อง”

“เอาแล้วไง ทำไงล่ะทีนี้”

“เดี๋ยวค่อยโทรอีกทีครับ”

“อืมเอางั้นก็ได้” เพราะนั่งติดหน้าต่างต้นกล้าจึงหันหน้าออกไปยังทางที่ไม่มีใบหน้าเหรอหราของไอ้จ๋าให้เห็น เพื่อให้ลมเย็นๆ ตีหน้าเล่น เขาหลับตาลงเพื่อพักสายตาลมเย็นที่ตีเข้ามาแรงๆ ทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รถทัวร์ระหว่างจังหวัดวิ่งไปเรื่อยๆ ในความเร็วพอสมควรแต่ก็ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด



หลังจากรับคุณยายประไพศรีไปวัดแต่เช้าเพื่อทำบุญ เด็ดเดี่ยวก็รู้สึกดีและสบายใจขึ้นมาบ้างพอสมควร แม้ว่าจะยังไม่กล้าถามอะไรเกี่ยวกับต้นกล้าจากคุณยายมากนัก แต่อะไรที่หน่วงๆ อยู่ในใจก็เหมือนจะบรรเทาเบาบางลงไปมาก ส่งคุณยายกลับบ้านแล้วเขาก็รีบตรงดิ่งเข้าไปทำธุระที่ตัวจังหวัดทันที เสร็จธุระแล้วก็รีบกลีบบ้านโดยไม่แวะโอ้เอ้ที่ไหนให้เสียเวลาเลย ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังตั้งใจขับรถ เพราะบนทางหลวงสายสำคัญอย่างถนนมิตรภาพที่มีทั้งรถยนต์ทั่วไป รถประจำทางทุกขนาด และที่สำคัญคือรถบรรทุกวิ่งกันอยู่ตลอดเวลา ความระมัดระวังจึงถูกนำมาใช้มากเป็นพิเศษ ชายหนุ่มขับแซงรถทัวร์ที่วิ่งระหว่างจังหวัดผ่านตัวอำเภอที่เขาอยู่ เหลือบตาขึ้นมองบนรถเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ต้องกลับมาสนใจทางข้างหน้าเหมือนเดิม เร่งเครื่องยนต์แซงผ่านรถทัวร์ไปแล้ว แวะไปทำธุระให้พ่อที่ตัวอำเภอต่อ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ขณะที่กำลังจอดรถแวะซื้อของบางอย่าง สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่คิวจอดรถสองแถว ใครบางคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่นี่



“เบลอไปแล้วหรือไงวะเรา” เด็ดเดี่ยวกดลงที่หัวตาช่วงระหว่างคิ้วของตัวเอง แล้วนวดลงมาเรื่อยๆ ตามสันจมูกโด่ง เพื่อไล่ความเมื่อยล้าของสายตาที่มองต่ำ คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครคนนั้นจะมานั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนี้ ใครคนนั้นที่เขาเฝ้าพร่ำเพ้อคิดถึงเช้าเย็นค่ำยันดึก ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถึงจะปลอบตัวเองอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองให้แน่ใจ เพราะกลัวว่าตัวเองจะผิดหวัง ใครคนนั้นที่นั่งอยู่คนเดียวเพียงลำพังอาจจะเป็นเพียงแค่การมโนของตัวเอง



เด็ดเดียวถอนหายใจเมื่อคิดได้ว่าตัวเองคงคิดถึงใครอีกคนมากจนเบลอ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ที่จะไม่จะเงยหน้าขึ้นมองจุดนั้นอีกครั้ง บนม้าหินอ่อนมีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนั่งเอนหลังพิงโต๊ะหินอ่อนด้วยท่าทางสบายๆ อยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นใบหน้าเพียงซีกข้างเดียว แต่เด็ดเดี่ยวก็เห็นได้ถึงความหล่อน่ารักแบบหนุ่มเกาหลี ที่สาวๆ กำลังนิยม เขากระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้สายตาปรับให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะชัดเจนอยู่แล้วก็ตาม ภาพนั้นยังคงมีอยู่เหมือนเดิมไม่ได้หายไปไหน คนที่เขาคิดถึงทุกวัน คนที่เขาคิดถึงสุดหัวใจนั่งอยู่ตรงนั้น และคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือ ต้นกล้ามานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวได้ยังไง แล้วไอ้จ๋าที่บอกว่าไปด้วยกันไปไหนทำเขาไม่เห็นมัน

สองขาไวกว่าสมองสั่งการ เมื่อเด็ดเดี่ยวเดินข้ามถนนเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนความเลื่อนลอยนำพาให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนที่อยู่ในสายตา โดยไม่สนใจมองว่าจะมีรถขับผ่านไปมาหรือไม่ โชคดีที่ตอนนี้ถนนว่างไม่อย่างนั้นคงได้เกิดอุบัติเหตุเป็นแน่แท้



“ต้นกล้า” ของพี่ เด็ดเดี่ยวเรียกเสียงแผ่วและต่อประโยคนั้นในใจ เมื่อชายหนุ่มก้าวขาเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาของเขามีความลิงโลดยินดี แต่สีหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าคนที่เฝ้ารอด้วยความคิดถึงจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ ใช่เขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร ในเมื่อวันก่อนคุณกวินยังบอกเขาอยู่เลย ว่าต้นกล้าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกในเร็วๆ นี้ ทำไมตอนนี้เจ้าของร่างสูงโปร่งที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจจึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ได้โปรดเถอะขออย่าให้มันเป็นเพียงแค่ภาพฝันเหมือนหลายคืนที่ผ่านมา และอย่าให้มันเป็นภาพลวงตาเหมือนเมื่อเช้าที่เขาเห็น ชายหนุ่มไม่อยากบ้าไปมากกว่านี้แล้ว หากว่านี่เป็นภาพที่เขาสร้างเองและจินตนาการขึ้นมา พรุ่งนี้คงต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่าง อย่างการไปตามอีกคนที่กรุงเทพให้กลับมาจริงๆ แต่ก่อนที่เด็ดเดี่ยวจะคิดว่าตัวเองบ้าไปกว่านี้ ปากก็เปล่งเสียงเรียกออกมาเบาๆ

“ต้นกล้า”

“...” เสียงเรียกที่เด็ดเดี่ยวเปล่งออกมามันคงจะเบามาก จนคนที่ถูกเรียกยังนั่งนิ่งและเฉยอยู่เหมือนเดิม แต่แปลกหากเป็นเพียงภาพฝันหรือภาพลวงตา คนตรงหน้าก็ควรจะหายไปเหมือนทุกครั้ง ทำไมตอนนี้ต้นกล้ากลับยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้การล่ะไอ้เดี่ยวคงบ้าไปแล้วแล้วแน่ๆ ไอ้เดี่ยวนี่มึงบ้านผู้ชายไปแล้วหรือยังไงวะ**! ถึงได้เห็นอะไรเป็นตุเป็นตะอย่างภาพลวงตาแบบนี้ เด็ดเดี่ยวด่าให้ความบ้าบอของตัวเองอยู่ในใจ แต่ขาก็ก้าวเดินเข้าหาเรื่อยๆ ดีที่ไม่สะดุดอะไรล้มให้ได้อายเพราะตาเอาแต่จ้องมองภาพชายหนุ่มอีกคนตรงหน้าโดยไม่ดูทาง

หัวใจเต้นแรง นี่เขาไม่ได้หลอกตัวเองหรอกนะว่าภาพตรงหน้าคือความจริง แต่มันจะเป็นความฝันไปได้อย่างไร ในเมื่อยิ่งเดินเข้าใกล้ภาพนั้นก็ยิ่งชัดเจน แต่ก่อนที่จะคิดว่าตัวเองบ้าบอไปมากกว่านี้ เด็ดเดี่ยวต้องยืนยันกับตัวเองว่ามันคือความจริง ชายหนุ่มรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและเปล่งเสียงเรียกคนที่ใจเสน่หาสุดพลัง

“ต้นกล้า!! “

“เด็ดเดี่ยว! “

“ต้นกล้าจริงๆ ด้วย ต้นกล้าของพี่จริงๆ “เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างเดินเข้าหาแล้วโอบร่างอุ่นเอาไว้เต็มอ้อมแขน

“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย เด็ดเดี่ยวปล่อยเราก่อนคนมองใหญ่แล้ว” ต้นกล้าดิ้นพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเด็ดเดี่ยว ที่รวบร่างสูงโปร่งไปกอดเอาไว้แน่นมือก็ปัดดันอีกคนออกเป็นพัลวัน

“พี่ดีใจ”

“ปล่อย”

“พี่คิดถึง”

“เด็ดเดี่ยวปล่อยเรา”

“โอ้ย พี่ดีใจจะตายอยู่แล้ว”

“พอ! “

“เอ่อ” เด็ดเดี่ยวชะงักเมื่อต้นกล้าตะคอกเสียงดัง แล้วมองเขาด้วยดวงตาดุดัน ชายหนุ่มหันไปมองรอบๆ ที่ใครๆ ต่างมองมาที่เขาทั้งสองคนเป็นตาเดียวกัน แน่ล่ะสิตรงนี้มันคิวรถสองแถวจากตัวอำเภอไปสู่ตำบลบ้านทุ่งดอกจานเชียวนะ ระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตรนี้มันต้องผ่านหลายหมู่บ้าน ใครๆ ที่ต้องการใช้บริการรถสองแถวก็ต้องมารอขึ้นรถตรงนี้กันทั้งนั้น แล้วช่วงใกล้เที่ยงอย่างนี้คนยิ่งเยอะกว่าช่วงไหนๆ ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็มองมาที่ต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวเป็นจุดเดียวกัน จากนั้นก็เริ่มหันไปกระซิบกระซาบกันเอง เด็ดเดี่ยวส่งยิ้มเขินๆ ไปให้ก่อนจะหันกลับมามองคนที่อยู่ในอ้อมกอด

“อุ้ย! ..ทำไมมองพี่แบบนั้นครับ”

"แล้วจะกอดอีกนานมั้ย “

“อุ้ย..พี่ขอโทษ พี่ดีใจไปหน่อย ต้นกล้ากลับมาแล้วเหรอ”

“ไม่หรอกมั้ง” นับวันเด็ดเดี่ยวยิ่งทำตัวไม่ถูก จากชายหนุ่มมาดนิ่งสุขุมนุ่มลึกกลายเป็นคนที่หลุดมาดได้บ่อยๆ ตั้งแต่ได้เจอหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายประไพศรีคนนี้

“อ้าวลูกพี่เดี่ยวไปไหนมาครับมาได้จังหวะเหมาะมากเลยนะครับเนี่ย”

“เออ” ไอ้จ๋าที่เด็ดเดี่ยวไม่รู้ว่ามันหายไปไหนมาทักขึ้น ชายหนุ่มจึงตอบไปเพียงสั้นๆ อย่างหมั่นไส้มัน แต่พอไอ้จ๋าพูดขึ้นมาอีกทีเขาแทบเอ่ยขอบคุณมันไม่ทัน

“ว่าแต่จะกลับหรือยังครับ ไอ้จ๋าฝากลูกพี่กล้ากลับด้วยคน” แหมถึงไม่ฝากเด็ดเดี่ยวก็ต้องเอากลับด้วยอยู่แล้ว ให้มันรู้เสียบ้างสิว่าของใครเป็นของใคร

“ไม่ต้องฝากหรอก”

“อ้าว”

“เพราะยังไงฉันก็ต้องพากลับอยู่แล้วโว้ย” ก็คิดถึงออกขนาดนี้ เด็ดเดี่ยวเพียงแต่ต่อประโยคนี้ในใจ ส่วนต้นกล้าที่ได้ยินไอ้จ๋าบอกแล้วก็เอาแต่ยืนเงียบไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่กันแน่

“ลูกพี่กลับกับลูกพี่เดี่ยวนะครับ ไอ้จ๋าขอไปจัดการเรื่องทางนี้ก่อน”

“เฮ้ย นี่แกทิ้งฉันเหรอวะ”

“มันจำเป็นลูกพี่ก็รู้นี่ครับ”

“แต่ว่า..เดี๋ยวไอ้ว่าวก็มาแล้วเปล่าวะ”

“ไอ้จ๋ายังติดต่อมันไม่ได้เลยครับลูกพี่เมื่อกี้โทรไปก็ไม่ติด ลูกพี่เดี่ยวครับ ยังไงช่วยไปส่งลูกพี่กล้าให้ถึงบ้านด้วยนะครับ”

“ได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ไม่ต้องเป็นห่วงกับผีนะสิ ต้นกล้าต่อในใจเมื่อได้ยินที่ไอ้จ๋าบอกฝากฝังเขาไว้กับเด็ดเดี่ยว แม้ว่าเขาจะเป็นลูกพี่ที่มันนับถือสุดใจขาดดิ้น แต่ได้เที่ยวมาฝากฝังเขาไปกับคนนั้นคนนี้เหมือนเขาเป็นเด็กห้าขวบ มันก็ให้รู้สึกหงุดหงิดได้เหมือนกันนะเว้ย แม้ว่าคนที่มันฝากฝังให้เขาไปด้วยจะเป็นคนที่เขาอยากจะไปด้วยก็ตามเถอะ

“ตามนี้นะครับลูกพี่ ไอ้จ๋าจะได้ไปทำธุระสักที” ต้นกล้ารู้ดีว่าธุระของไอ้จ๋าคืออะไร ใจอยากให้ไอ้ลูกน้องคนสนิทกลับไปพร้อมกันก่อน แต่ดูท่าทางร้อนรนของมันซ้ำยังยืนยันว่าภารกิจนี้รอไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงจำยอมและแอบเอาใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีอยู่ลับๆ

“ถ้ากลับก็โทรบอกละกันเดี๋ยวฉันออกมารับอีกรอบก็ได้ ไปกันเถอะครับต้นกล้าเดี๋ยวพี่พากลับบ้าน” เด็ดเดี่ยวบอกไอ้จ๋าแล้วหันมาบอกต้นกล้า มือคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วดึงพาไปยังทิศทางที่รถจอดรออยู่ โดยมีไอ้จ๋ามองตามด้วยสายตาที่หลากหลายในความรู้สึก ทั้งโล่งใจที่ลูกพี่ไม่ต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ให้หัวฟู ทั้งเป็นห่วงหากคนที่บ้านอย่างคุณกวินเห็นว่าเป็นใครที่ไปส่ง เรื่องคงจะจบไม่สวยแน่ ไหนจะเรื่องที่พากันหนีงานกลับมาก่อนอีก ที่ไอ้จ๋าไม่อยากเดาเลยว่ามันจะต้องโดนบ่นมากแค่ไหน สำหรับต้นกล้าอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่สำรับไอ้จ๋ามันรู้ตัวเองดีว่าต้องโดนบ่นหลายรอบแน่ ถึงแม้ว่างานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นงานที่ไม่เป็นชิ้นเป็นเท่าไหร่ก็เถอะนะ

ต่อจ้า...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:45:43


ไอ้จ๋าเดินออกจากตรงนั้นตรงไปยังจุดหมายปลายทางที่มันตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าวันนี้ยังไงก็ต้องเข้าไปก่อนให้ได้ ไม่ว่าเจ้าของบ้านจะต้อนรักหรือไม่ก็ตาม เพราะมันรู้ตัวเองดีว่าการหายไปเฉยๆ ตั้งสามวันอย่างนั้นอาจจะทำให้เถ้าแก่สินคิดว่ามันไม่เอาถ่านหรือถอดใจไปแล้วก็เป็นได้ แต่ด่านแรกที่คิดว่าจะได้เจอกับไม่ใช่ว่าที่พ่อตาอย่างที่หวังเอาไว้ เพราะ...

“แกมาทำไม”

“ผมมาหาเถ้าแก่”

“มีธุระอะไร”

“ผมมีธุระกับเถ้าแก่”

“พ่อฉันไม่อยู่ แกกลับไปได้แล้วและไม่ต้องมาที่นี่อีก” ไอ้จ๋ามองหน้าหญิงสาวที่ยืนขวางทางเข้าบ้าน ซึ่งทางนี้เถ้าแก่เป็นคนบอกมันเองว่าถ้าหากมันมาช่วยงานก็ให้เข้าไปได้เลย แต่ตอนนี้มีร่างสมส่วนที่แต่งตัวสุดหวือหวาวับๆ แวมๆ ของคำแพงขวางเอาไว้อยู่

“ผมมาช่วยงานตามที่ตกลงกับเถ้าแก่เอาไว้”

“อย่าหน้าด้านตั้งแต่วันแรกที่แกไม่มาวันนี้แกก็ไม่มีสิทธิ์มาแล้ว”

“เถ้าแก่ไม่ได้สั่งว่าต้องมาวันไหน ผมจะมาวันนี้ก็ย่อมได้”

“แก! “เป็นความจริง ที่เถ้าแก่สินบอกเอาไว้ ว่าจะมาวันไหนก็ได้ มาก็ได้เจอหน้าน้ำส้มหากไม่มาก็ไม่ได้เจอและไม่มีข้อตกลงอื่นนอกเหนือจากนี้ หากไอ้จ๋าจะมาวันนี้ก็ไม่ผิด จะผิดก็ตรงที่มันเล่นหายไปเฉยๆ โดยไม่บอกกล่าวก่อนทำให้คนรอต้องรออย่างเจ็บปวดนี่แหละ

“ผมขอตัว” ไอ้จ๋าเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายไหล่กำลังจะเดนเลี่ยงเข้าไป แต่คำแพงก็ขยับมาขวางเอาไว้อย่างไม่ยอม จนไอ้จ๋ามองตอบตาขวาง แต่ด้วยเห็นว่าเป็นหญิงและเป็นพี่สาวของน้ำส้ม มันจึงได้แต่ยืนมองนิ่งๆ ก่อนจะบอกขอทาง

“ขอทางด้วยครับ”

“ฉันไม่ให้แกเข้าไป ห้ามมาที่นี่อีก”

“ผมจะไม่มาที่นี่ก็ต่อเมื่อน้ำส้มเป็นคนบอกว่าไม่ให้ผมมา”

“แม้แต่พ่อฉันก็สั่งแกไม่ได้หรือไง”

“เถ้าแก่คงมีเหตุผลพอ และผมมีเหตุที่จะมาอธิบายให้เถ้าแก่ฟัง”

“ไม่ฉันไม่ให้แกเข้า”

“ขอทาง” ไอ้จ๋าบอกเสียงเข้มพร้อมกับทำท่าจะเดินแทรกเข้าไป คำแพงก็ขยับมากันเอาไว้อย่างไม่ยอมเช่นกัน

“ไม่”

“ผมขอดีๆ แล้วนะ”

“ฉันสั่งแกห้ามเข้ามา”

“หลีก”

“ไม่ แกนั่นแหละถอยไป”

“หลีกทางผม”

“อะไรกัน! ” ขณะที่ไอ้จ๋ากำลังจะหมดความอดทนอยู่แล้ว เสียงเข้มที่ฟังดูมีอำนาจก็ดังขึ้นข้างหลังของคำแพง หยุดการโต้เถียงของทั้งสอง เมื่อเจ้าของเสียงเดินมาไอ้จ๋าจึงยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม

“สวัสดีครับเถ้าแก่ ผมมาช่วยงานตามที่ได้ตกลงกันไว้”

“อืม ไม่ช้าไปหน่อยเหรอ”

“ผมขอโทษครับ พอดีมีธุระด่วนต้องลงกรุงเทพ กลับมาผมก็ตรงมานี่เลย” เถ้าแก่ลอบสังเกตไอ้จ๋าตั้งแต่หัวจรดเท้าและกระเป๋าเป้ท่าทางหนักเอาเรื่องที่มันสะพายอยู่บนไหล่

“อืม” เถ้าแก่ตอบเพียงเท่านั้น สายตามองตามไอ้จ๋าที่มันมองเข้าไปทางหลังบ้านเหมือนกำลังมองหาใคร ก่อนจะหันมาหาเถ้าแก่สินอีกครั้ง

“วันนี้จะให้ผมทำอะไรครับ”

“เข้าไปข้างในสิ”

“ครับ”

“พ่อ! ..พ่อจะให้มันเข้าไปทำไมมันมาช้าตั้งหลายวันนะ”

“ไม่เป็นไรนี่” ยังไงมันก็มาแล้วเพราะไม่ได้บอกตั้งแต่แรกว่ามันต้องมาทันที เถ้าแก่ไม่สนใจเสียงโวยวายของคำแพง เดินนำไอ้จ๋าเข้าไปยังส่วนหลังบ้าน ซึ่งเป็นโกดังเก็บของและวันนี้ไอ้จ๋ามีหน้าที่ทำความสะอาดและจัดระเบียบของต่างๆ ให้เรียบร้อย โดยมีเถ้าแก่สินมองอยู่ห่างๆ และสายตาไม่พอใจของคำแพง

ไอ้จ๋าตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยเริ่มจากการจัดของที่วางระเกะระกะ กระสอบปุ๋ยที่เรียงไม้เป็นระเบียบ และของอื่นๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งมีการนำมาส่งและยังไม่ได้จัดให้เข้าที่ ซึ่งกลายเป็นหน้าที่ของไอ้จ่าที่มันต้องทำเองทั้งหมด ตาก็คอยชะเง้อมองหาร่างบอบบางของคนที่คิดถึง เพราะตั้งแต่มาจนทำงานเหงื่อท่วมตัว เสื้อเชิ้ตตัวใหม่ที่ลูกพี่ซื้อให้เปียกชุ่ม แต่ก็ยังไม่ได้เห็นใบหน้าหวานๆ ของยัยส้มเน่าที่มันเอาแต่คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก ไอ้จ๋ามองหาคอยืดคอยาว แต่ก็ยังไม่เห็นอีกคนสักที เลยกลับมาตั้งใจทำงานต่อจนถึงเวลาพัก มันดื่มน้ำเย็นๆ ที่เถ้าแก่ให้แม่บ้านเตรียมมา แต่ก่อนจะกลับไปทำงานอีกก็เห็นแม่บ้านคนเดิมถือถาดอาหารเดินผ่านไปมันจึงเรียกเอาไว้

“ป้าครับ”

“พ่อหนุ่ม ว่าไงลูกหิวหรือเปล่าทำงานเหงื่อท่วมเชียว ในโกดังมันร้อนหน่อยนะ”

“ครับไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ ใครไม่สบายเหรอ” ไอ้จ๋าถามพลางเหล่ตามองที่ถาดอาหารในมือแม่บ้าน ที่มีถ้วยข้าวต้มไอร้อนลอยกรุ่นพร้อมแก้วน้ำและถ้วยยาจัดเอาไว้อย่างดี ในใจให้รู้สึกห่วงคนที่ยังไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งแต่มาถึง

“อ๋อนี่นะเหรอของหนูส้มน่ะเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” หัวใจของไอ้จ๋ากระตุกวาบเมื่อได้ยิน เพราะห่วงว่าอีกคนจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า

“น้ำส้มเป็นอะไรมากมั้ยครับป้า เอ่อ ผมขอโทษครับ” เพราะป้าแม่บ้านคนนี้เป็นคนที่เถ้าแก่สั่งให้จับตาดูไอ้จ๋าเอาไว้ แต่นางก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอก เพราะเถ้าแก่เพียงแค่สั่งให้นางมาดูไอ้จ๋าทำงานบ้างเท่านั้น แต่เป็นตัวมันเองนั่นแหละที่ยังยึดมั่นในข้อตกลง เมื่อเผลอถามถึงน้ำส้มมันจึงรีบขอโทษเพราะเป็นการละเมิดข้อห้าม

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ว่าแต่พ่อหนุ่มขอโทษป้าเรื่องอะไรล่ะ”

“ไม่มีอะไรครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรงั้นป้าเอาข้าวไปให้หนูส้มก่อนก็แล้วกัน”

“ครับ” แม่บ้านสูงวัยเดินขึ้นบ้านไปแล้ว แต่ไอ้จ๋ายังมองตามจนคอยืดคอยาว ใจของมันนั้นลอยขึ้นไปหาคนที่นอนอยู่บนห้องเรียบร้อยแล้วเพราะความเป็นห่วง ไอ้จ๋าถอยกลับมาทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปยังทิศทางที่เป็นห้องของน้ำส้มที่อยู่บนชั้นสาม ห้องที่มันเคยขึ้นไปแล้ว ห้องที่อบอวนไปด้วยกลิ่นหอมหวานละมุนละไม ห้องที่มีใครบางคนที่มันกำลังเป็นห่วงนอนเป็นไข้อยู่

ไอ้จ๋าอยากรู้อาการอยากเห็นหน้า เพราะตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้เจอกัน หรือน้ำส้มจะเป็นไข้หนักจนออกจากห้องไม่ได้ หรือน้ำส้มจะลุกไม่ไหว ไม่รู้ไปทำอะไรมาถึงได้ล้มหมอนนอนเสื่อไม่สบายอย่างนี้ ไอ้จ๋าได้แต่คิดเป็นห่วงโดยไม่รู้เลย ว่าสาเหตุหลักก็มาจากตัวมันเองนั่นแหละที่หายเงียบไปดื้อๆ โดยไม่บอกกล่าว เล่นเอาน้ำส้มเป็นห่วงคิดมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนแอที่พักผ่อนไม่เพียงพอบวกกับเจออากาศที่แปรปรวนเข้า น้ำส้มเลยโดนไข้เล่นงานเอาได้นั่นเอง

“หนูส้มลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนลูก”

“ส้มไม่หิวฮะป้า เอาวางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้” ส่วนคนที่ไอ้จ๋ากำลังเป็นห่วง เมื่อแม่บ้านเอาข้าวกับยาขึ้นมาให้ก็ยังอิดออดไม่ยอมกินเพราะไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไร ร่างกายมันเหมือนไม่มีแรงหลงเหลืออยู่แล้ว ในใจยังมีความรู้สึกหน่วงๆ เพราะครั้งนี้มันเป็นเหมือนเดิมพันทุกอย่างเพื่อให้พ่อยอมรับ น้ำส้มคิดมากจนไม่สบายร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรม

“ไม่หิวก็ต้องกินสิจะได้กินยา เถ้าแก่ก็เป็นห่วงมากเลยรู้มั้ยลูก”

“ส้มรู้ แต่ส้มยังไม่อยากกินจริงๆ ป้าเอาวางไว้ตรงนั้นนะฮะเดี๋ยวส้มลุกไปกินเอง”

“งั้นก็ตามใจนะ แต่ต้องลุกมากินแล้วอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ” ทั้งที่นอนหันหลังให้แต่น้ำส้มพยักหน้ารับคำแล้วหลับตาลง ในหัวยังรู้สึกหนักๆ ดีที่อาการดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อาการปวดหัวไม่มีและไข้ลดลงแล้ว ใจนึกห่วงคนที่หายไป ทั้งอยากโทรหา อยากเห็นหน้า แต่การหายไปของไอ้จ๋ามันทำให้น้ำส้มต้องคิดใหม่ ว่าความจริงใจที่บอกว่ามีให้กันนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำลวงจากลมปาก น้ำส้มไม่กล้าติดสินใจแต่การเงียบหายของไอ้จ๋าทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นติดไปได้หลายทาง หากมันยังไม่ตายน้ำส้มก็หวังว่าจะได้รับคำอธิบายจากมัน

‘ส้มต้องทำให้ได้เพื่อตัวเองนะลูก รักกันชอบกันพ่อไม่ว่าแต่อย่าทำให้พ่อเป็นห่วง พิสูจน์ให้พ่อเห็นว่ารักกันจริงทั้งสองฝ่าย เพื่อความสบายใจของพ่อ สัญญาสิว่าจะทำตามที่พ่อบอก’

‘ส้มสัญญาจ้ะพ่อ’

คำที่เคยคุยกับพ่อดังขึ้นมาในหัวของน้ำส้มตลอดเพราะจำมันได้ทุกคำ และพยายามหักห้ามใจอย่างที่สุด ที่จะไม่ผิดสัญญาเพื่อทำให้พ่อเห็นว่าคนที่ตัวเองเลือกคนนี้..เป็นคนที่ไว้วางใจได้ เป็นคนที่พ่อต้องพอใจในที่สุด นั่นมันคือความมั่นใจของน้ำส้มในวันนั้น แต่ตอนนี้น้ำส้มไม่แน่ใจแล้ว และจากที่คิดว่าอยากโทรถามไอ้จ๋าให้รู้เรื่อง เลยติดสินใจเงียบและยอมรับความจริง น้ำส้มคิดว่ายอมเจ็บและจะยอมตัดใจหากอีกคนไม่ต้องการจริงจัง คิดมาถึงตรงนี้ให้รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ แต่สุดท้ายจากที่คิดว่าไม่มีหวัง ความหวังที่ริบหรี่กลับสว่างวาบขึ้นมา เมื่อแม่บ้านที่คิดว่าออกจากห้องไปแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ

“วันนี้เพื่อนหนูส้มมาช่วยงานที่ร้านด้วยนะ”

“ฮะป้า อะไรนะฮะ” น้ำส้มพลิกตัวกลับมาอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการหน้ามืด แต่อยากแน่ใจว่าหูไม่ได้ยินอะไรเพี้ยนไปจึงหันกลับมาถาม

“ป้าบอกว่าวันนี้เพื่อนหนูส้มมาช่วยงานที่ร้านด้วย ตอนนี้ทำความสะอาดโกดังอยู่”

“จ๋า! ”

“ชื่อจ๋าเหรอลูกป้าก็ไม่ทันถามนะ คนที่ตัวโตๆ หัวเกรียนๆ หน้าตาออกกวนหน่อยๆ น่ะ”

“ใช่ฮะป้าเขาชื่อจ๋า”

“อืม ชื่อน่ารักดีไม่เข้ากับตัวแต่พ่อแม่ก็เข้าใจตั้งนะ” น้ำส้มเผลอยิ้มออกมาบางๆ จนกระทั่งรอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ตาสวยเป็นประกายวาววับก่อนเจ้าตัวจะกระพริบมันถี่ๆ เพื่อไล่น้ำใสๆ ที่เอ่อคลอขึ้นมาเพราะความปลื้มปีติตื้นตันที่อยู่ในหัวใจ จ๋ากลับมาแล้ว จ๋าไม่ได้ทิ้งส้มไปจริงๆ จ๋ากลับมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจริงจังกับส้มอย่างที่บอกเอาไว้

“ยิ้มหวานเชียวเพื่อนคนพิเศษแน่ๆ เลยใช่มั้ยเนี่ย ว่าที่ลูกเขยเถ้าแก่ล่ะมั้ง” แม่บ้านวัยกลางคนแซวยิ้มๆ เล่นเอาน้ำส้มอายม้วนจนตัวจะบิดเป็นเกรียวเสียให้ได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายคิดน้อยใจไอ้จ๋าที่หายไปไม่บอกกล่าว ถึงจะบอกน้ำส้มไม่ได้มาบอกพ่อก็ยังดี

“ลูกขงลูกเขยอะไรกันล่ะฮะป้า ส้มชักหิวแล้ว”

“อ้าว ไหนเมื่อกี้บอกไม่หิว”

“ก็ตอนนี้ส้มหิวนี่ กินข้าวดีกว่า” แม่บ้านวัยกลางคนได้แต่ส่ายหัวให้ลูกคนเล็กของเจ้านาย เมื่อสักครู่ยังทำซึมเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจอยู่เลย พอบอกว่าเพื่อนชายมาท่าทางซึมๆ นั้นก็หายแล้วหิวขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าหิวจริงๆ หรือหิวแก้เขิน แต่นางก็ดีใจเมื่อเด็กที่นางรักและเอ็นดูเหมือนลูกยิ้มได้หลังจากที่ซึมเศร้ามาหลายวัน

“งั้นหนูส้มกินไปก่อนนะเดี๋ยวป้าไปทำอย่างอื่นรอแล้วจะขึ้นมาเก็บให้”

“ไม่เป็นไรฮะป้าเดี๋ยวส้มเอาลงไปเก็บเอง”

“ได้ไงเราไม่สบายอยู่นะอย่าเพิ่งลงไปเลย”

“แต่ส้มลงไปได้ฮะส้มไม่เป็นไรมากแล้ว”

“งั้นก็ตามใจ ป้าไปก่อนนะกินให้หมดด้วยล่ะ”

“ขอบคุณฮะป้า” เมื่อแม่บ้านออกจากห้องไปแล้วน้ำส้มจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ตาสวยยังคงมีประกายพร้อมรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ห้ามไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกดีและความสุขเหมือนเคยมีมันเอ่อล้นกลับมาอีกครั้ง น้ำส้มรีบกินข้าวต้มที่แม่บ้านเอาขึ้นมาให้ตามด้วยยาอีกสองเม็ด แล้วรีบเก็บถ้วยใส่ถาดเพื่อจะเอาลงไปล้างเก็บข้างล่างอย่างกระตือรือร้น

“ไปไหน”

“พ่อ! ”

“เพิ่งดีขึ้นจะไปไหนอีก”

“ส้มจะเอาของลงไปเก็บจ้ะ”

“แล้วแม่บ้านไปไหนทำไมไม่รอเก็บให้”

“ส้มบอกจะเก็บเองจ้ะพ่อป้าแกเลยไปทำอย่างอื่น”

“กลับเข้าไปพักก่อนไปเดี๋ยวพ่อเอาลงไปเก็บให้เอง”

“แต่ส้ม”

“เอามานี่มา” น้ำส้มกำลังจะย่องออกจากห้องลงไปข้างล่าง เผื่อจะได้แอบไปดูไอ้จ๋าที่ทำงานอยู่ในโกดังเก็บของหลังบ้านให้แน่ใจ แต่เถ้าแก่สินผู้เป็นพ่อที่ดูเหมือนจะเพิ่งลงมาจากชั้นดาดฟ้าทักขึ้นเสียก่อน หรือไม่อย่างนั้นพ่อก็คงมาดักอยู่แล้วเพราะรู้ว่ายังไงน้ำส้มก็ต้องลงไปหาไอ้จ๋าแน่นอน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันก็ตามเถอะ

“พ่อ..แต่ว่าส้ม”

“พักผ่อนนะลูก ลงไปตากลมเดี๋ยวไข้กลับอีกพ่อเป็นห่วง” น้ำส้มขัดใจแต่ด้วยความที่เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาตลอด จึงไม่อาจขัดคำของพ่อได้ ยื่นถาดที่ถืออยู่ให้พ่อแล้วถอยกลับเข้าห้องของตัวเองเงียบๆ พร้อมความรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้โกธรที่พ่อมาขัดเหมือนรู้ทัน

ฝ่ายไอ้จ๋าที่ทั้งทำงานและคอยชะเง้อหาจนคอยืดคอยาว เพื่อมองขึ้นไปยังทิศทางที่เป็นห้องของน้ำส้ม เผื่อจะได้เห็นอีกคนบ้างแม้เพียงแค่เงาก็ยังดี แต่จนแล้วจนรอดมันก็มองไม่เห็นอะไรแม้แต่เงาของคนที่คิดถึง ทำงานเสร็จได้เวลานั่งพักก็บ่ายคล้อยเข้าไปแล้ว

“งานเสร็จแล้วหรือไง ถึงได้มานั่งโอ้เอ้อยู่ตรงนี้”

“ครับเสร็จแล้ว เถ้าแก่มีอะไรให้ผมทำอีกหรือเปล่าครับ”

“อืม วันนี้พอแค่นี้ก่อน แกกลับบ้านไปได้แล้ว”

“แต่” ไอ้จ๋าเหลือบตาขึ้นมองไปยังทิศทางที่เป็นห้องนอนของน้ำส้มอีกครั้งอย่างเผลอตัว ก่อนจะหันมาบอกเถ้าแก่สิน “ถ้ามีงานอย่างอื่นให้ผมทำก็บอกเถอะครับจะได้ทำให้เสร็จวันนี้เลย” ความจริงก็คือไอ้จ๋ายังไม่อยากกลับไม่อยากไปไหนในตอนนี้ ถ้ายังไม่ได้รู้ว่าอาการของน้ำส้มเป็นอย่างไรบ้าง ครั้นจะถามจากเถ้าแก่ตรงๆ ก็คงไม่ได้เพราะมีเรื่องของข้อตกลงที่ทำกันเอาไว้ มันหวังจะหาข่าวน้ำส้มให้ได้แบบไม่ต้องผิดข้อตกลง แต่ก็คงต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควรและมันก็หวังจะได้รู้วันนี้ หากกลับไปตั้งแต่ตอนนี้มันคงไม่ได้รู้ข่าว และคืนนี้คงนอนไม่หลับเป็นแน่แท้

“แกอยากทำงาน หรืออยากทำอะไรกันแน่”

“ผมอยากช่วยงานจริงๆ นะครับ”

“ไม่ได้หวังว่าทำตัวขยันแล้วฉันจะยอมรับเร็วขึ้นหรอกนะ”

“ไอ้จ๋าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยครับเถ้าแก่”

“อืมดี เพราะความขยันของแกมันไม่ช่วยอะไรหรอก” ใช่เพราะเถ้าแก่ไม่ได้ต้องการเห็นความขยันของไอ้จ๋าเลยสักนิด สิ่งที่ต้องการเห็นคือความจริงใจอย่างคนที่มีความตั้งใจจริง และมุ่งมั่นยืดมั่นใจสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่า

“ครับผมรู้ครับ ว่าแต่..” ไอ้จ๋าเหลือบตาขึ้นมองบนบ้านอีกครั้งก่อนจะรีบหลบสายตาดุๆ ของเถ้าแก่ที่มองมันอย่างจับผิด จริงอยู่ที่เถ้าแก่เคืองที่มันหายไปแล้วทำให้น้ำส้มคิดมากจนไม่สบาย แต่จะโทษไอ้จ๋าเสียทีเดียวก็คงไม่ได้ เถ้าแก่เองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เหตุผลและความถูกต้องจึงมาก่อนอย่างอื่นเสมอ

“ว่าแต่อะไรล่ะ”

“เอ่อ..เปล่าครับขอโทษครับ”

“จะกลับเลยมั้ย” ไอ้จ๋าเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่ที่บอกเวลาบ่ายสามเข้าพอดี มันยังไม่อยากรีบกลับและเห็นว่ายังไม่เย็นมากจึงขออยู่ต่อ

“ถ้ายังไงผมขอช่วยงานจนถึงร้านปิดนะครับ เผื่อมีลูกค้ามาซื้อของซื้อปุ๋ยจะได้ช่วยยก”

“ตามใจแกก็แล้วกันทางบ้านคงไม่ว่านะ”

“ผมโทรบอกแม่แล้วครับว่าอาจจะกลับค่ำๆ “เถ้าแก่เดินเข้าออฟฟิชของร้านไปแล้ว ทิ้งให้ไอ้จ๋ายืนแหงนหน้าเป็นหมาเห่าเครื่องบินอยู่ที่เดิม สายตามองขึ้นไปยังจุดที่เป็นห้องนอนของน้ำส้มแม้ไม่เห็นหน้าคนได้เห็นหน้าต่างห้องก็ยังดี

ต่อ..
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:46:28


รถกระบะสี่ประตูขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่สีขาวสะดุดตา วิ่งมาตามถนนสายหลักจากตัวอำเภอเข้าสู่หมู่บ้าน แต่ก่อนจะถึงบ้านทุ่งดอกจานเพียงไม่กี่กิโลเมตรก็เจอทางแยก ที่สารถีหนุ่มขับเลี้ยวออกไปทันที โดยไม่ถามความสมัครใจของผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่นั่งมาด้วยสักคำ ทั้งสองต่างคนต่างเงียบและตกอยู่ในความคิดของตัวเองตั้งแต่ที่ขึ้นรถ ผู้โดยสารหน้าหล่อเกาหลีหันออกไปมองนอกรถตลอดเวลา ในใจปริ่มๆ เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เจ้าตัวต้องปิดบังเอาไว้ให้มิดเพราะไม่อยากให้คนที่คิดถึงตลอดได้ใจ จึงได้เอาแต่มองออกไปนอกตัวรถดูวิวท้องไร่ท้องนาป่าอ้อย ป่ามันไปตามเรื่อง พื้นที่บางแห่งก็เพิ่งปลูกและกำลังเจริญเติบโต บ้างก็โตเต็มที่รอการเก็บเกี่ยวผลผลิต บ้างก็เป็นทุ่งนาเหลืองอร่ามที่มีชาวบ้านบางส่วนกำลังเก็บเกี่ยว สลับกับหมู่บ้านทางผ่านเป็นระยะ

ส่วนชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถี ตั้งแต่ขับรถออกมาจากตัวอำเภอจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน เพราะเอาแต่ปลื้มปริ่มกับความสุขที่มันเอ่อล้นท่วมท้นเต็มอก จึงให้ความตั้งใจกับการขับรถด้วยหวังจะพาคนพิเศษไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย แม้จะมีบางสิ่งบางอย่างหนักอึ้งอยู่ข้างในเขาจะเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึก และทำเป็นลืมไปชั่วขณะ เมื่ออีกคนกลับมาก็เหมือนกับว่าพลังใจของชายหนุ่มได้รับการเติมเต็มจนพองโต เพื่อจะได้พร้อมสู้ศึกกับว่าที่พ่อตาในขั้นต่อไป

“ไปไหนเนี่ย” เป็นครู่นั่นแหละผู้โดยสารหนุ่มหล่อจึงได้สังเกตเห็น ว่ารถถูกเลี้ยวออกมานอนเส้นทาง แทนการขับเข้าหมู่บ้านอย่างที่ควรจะเป็น

“ที่ไหนสักแห่ง”

“ที่ไหนล่ะ”

“ไปถึงต้นกล้าต้องชอบแน่ๆ “

“ถามเราก่อนบ้างเถอะ”

“หึๆ พี่รู้ว่าต้นกล้าอยากไปกับพี่อยู่แล้วน่า”

“เฮ่อ” ต้นกล้าถอนหายใจยาว มันก็เป็นความจริงล่ะนะ ที่เขาเองก็อยากไปกับคนหน้ามึนที่คงความมึนของตัวเองเอาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แต่จะไปจะมาก็ให้ปรึกษาบอกกล่าวกันก่อนบ้างจะดีกว่าไหม ไม่ใช่อะไรก็ตัดสินใจแทนก่อนตลอดแบบนี้มันไม่ไหวจริงๆ

ทางลาดยางอย่างดีที่รถคันใหญ่กำลังวิ่ง ผ่านไร่นาและหมู่บ้านสุดท้าย และหลังจากผ่านหมู่บ้านสุดท้ายไปแล้วก็เข้าสู่ทางลูกรัง สองข้างทางเป็นป่าโปร่งสลับกับไร่นาบางช่วงของชาวบ้าน จนเส้นทางเริ่มพาขึ้นเขารอบๆ เป็นป่าเต็งรัง ที่ทำให้ต้นกล้าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าห่างจากบ้านทุ่งดอกจานเพียงไม่กี่กิโลเมตรจะมีสถานที่อะไรอย่างนี้ บนเขาที่ต้นกล้าเคยทำเพียงแค่มอง บัดนี้ได้ขึ้นมาสัมผัสมันด้วยตัวเอง และในที่สุดรถกระบะคันเก่งก็จอดลงท่ามกลางป่าไม้และหินผา

ต้นกล้ากวาดตามองไปรอบๆ ต้นไม้น้อยใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศยามบ่ายที่แดดแรงได้ที่กำลังดี หันไปมองคนที่นั่งฝั่งคนขับก็ถูกมมองอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาหวานซึ่งพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนกำลังพึงพอใจ สายตาที่ต้นกล้าอยากจะกระโดดลงรถหนีให้มันรู้แล้วรู้รอด มองแบบนี้พามาที่อย่างนี้ หมายความว่ายังไงวะ ทำไมเล่นเอาใจสั่นได้ถึงขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้ สารถีหนุ่มผู้เงียบมานานก็เอ่ยชวน

“ปะลงไปเดินเล่นกัน”

“แดดเปรี้ยงออกอย่างนี้นี่นะ”

“อืม ลงไปแล้วจะลืมแดดเลยล่ะ ปะ” ไม่รอคำตอบเด็ดเดี่ยวเปิดประตูรถลงไปก่อน ต้นกล้าจำต้องเปิดประตูฝั่งของตัวเองตามลงไปด้วย ความเย็นที่ได้รับจากในรถถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนจากแดดภายนอกอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกร้อนวูบและแสบผิว รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างครอบลงที่หัวจึงรีบหันหลับไปมอง

“ใส่ไว้จะได้ไม่ร้อนมาก” เด็ดเดี่ยววางหมวกปีกกว้างใบเก่งประจำตัวลงที่หัวทุยๆ ของต้นกล้าจัดให้เข้าที่ ส่วนตัวเขาใส่หมวกสานสีส้มแสบตาเหมือนที่ชาวบ้านใส่ทำงาน “ปะ” ฉวยโอกาสตอนที่ต้นกล้ายกมือขึ้นมาจับหมวกให้เข้าที่จับมือเรียวจูงให้เดินตามไปด้วยหัน

“ไปไหนอีกล่ะมีอะไรน่าสนใจหรือไง”

“ตามมาเถอะแล้วจะชอบ”

“เท่าที่เคยตามๆ ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เหอะ”

“แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่เห็นจะชอบ”

“แต่ทุกอย่างที่เป็นต้นกล้าพี่ชอบหมดเลยนะ” เพราะคนตัวโตเดินนำหน้าต้นกล้าจึงไม่รู้ว่าคนพูดมีสีหน้ายังไงตอนที่พูดออกมา แต่ต้องยอมรับว่ามันทำเอาคนฟังอย่างเขาใจสั่นไปได้เลยทีเดียว ต้นกล้าเผลอบีบมือใหญ่ที่กุมมือตัวเองแน่น เดินก้มหน้าตามแรงจูงไปทั้งที่ใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ ครู่หนึ่งผ่านไปคนตัวโตก็หยุดเดิน ต้นกล้ารู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่พัดแรงจึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วภาพเบื้องหน้าก็ทำให้หนุ่มหล่อจากเมืองกรุงนิ่งอึ่งไปทันที

“สวยมั้ย”

“..”

“ต้นกล้าครับ”

“เอ่อ ว่าไงนะ”

“พี่ถามว่าสวยมั้ย”

“เออ ก็ดีล่ะ” ต้นกล้าทอดสายตามองภาพเบื้องหน้า ที่สามารถมองเห็นได้ไกลสุดตา พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยสีเขียวเป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป แซมด้วยหมู่บ้านต่างๆ แฝงตัวเป็นกลุ่ม

“ตรงนั้นไงบ้านทุ่งดอกจานของเรา” เด็ดเดี่ยวชี้ให้ต้นกล้าดูกลุ่มหลังคาบ้านที่มองเห็นลิบๆ เหมือนแฝงตัวอยู่ในหุบเขา แท้ที่จริงมันคือพื้นที่เนินใหญ่สลับสูงต่ำ เพราะทั้งสองอยู่บนเขาส่วนภาพเบื้องหน้าคือทิวทัศน์ของพื้นทำการเกษตรสลับกับป่าไม้ สวนยางพาราและหมู่บ้านบางแห่งซึ่งรวมทั้งบ้านทุ่งดอกจานด้วย

“นั่นอะไรน่ะเด็ดเดี่ยวอย่าบอกนะว่า” ต้นกล้าชี้มือไปยังสิ่งก่อนสร้างที่มองจากตรงนี้ สามารถมองเห็นมันได้เป็นเพียงจุดที่เล็กนิดเดียว แต่ก็ยังพอมองออกว่าตรงนั้นมันคือ...

“ก็โรงงานน้ำตาลที่อยู่ตรงทางเข้าตัวอำเภอพอดีไง”

“โห มองเห็นได้จากตรงนี้เลยเหรอ”

“ก็เห็นอยู่มั้ยล่ะ ตอนเราอยู่แถวบ้านเราจะรู้สึกว่ามันไม่สูงมากหรอก แต่จริงๆ แล้วพื้นที่แถวนี้ก็ถือว่าเป็นที่ราบสูงเหมือนกัน ดูสิมันมีเนินสูงต่ำสลับกันอยู่ แต่ตอนที่เราอยู่แถวนั้น เราจะไม่รู้สึกหรอกว่ามันสูงต่ำแตกต่างกันมากขนาดนี้”

“อืม ดูๆ ไปก็สวยดีเหมือนกันนะ เฮ้ย! ”


50%

จ้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-01-2019 22:20:04
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอดูตอนไม้เบื่อไม้เมาคู่ของว่าที่พ่อตากับว่าที่ลูกเขยปะทะกัน
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-01-2019 23:53:36
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-02-2019 21:53:36
มาต่อได้ละคับ คิดถึงละ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 50% 21/1/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-02-2019 22:10:00
 :call: :call: :call:

หายนานเกินไปแล้วนะ  ต้นกล้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 100% 3/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:40:01


ต่อจ้า

“อืม ดูๆ ไปก็สวยดีเหมือนกันนะ เฮ้ย! ” ต้นกล้าร้องอุทานออกมาเสียงดังเมื่อละสายตาจากภาพไกลๆ เบื้องหน้ามามองใกล้เท้าของตัวเอง นั่นจึงทำให้ได้รู้ว่าขณะนี้ทั้งสองกำลังยืนอยู่บนหน้าผาหิน สองขาก้าวถอยหลังในทันทีจนเกือบสะดุดล้ม ดีที่มีคนตัวโตคอยระวังให้อยู่แล้ว หนุ่มหล่อเกาหลีที่เสียหลักจึงเพียงเซเข้าสู่อ้อมแขนของคนตัวโตที่รับเอาไว้อย่างนุ่มนวลและประคองใหนั่งลงด้วยกัน

“นั่งลงก่อน”

“ไม่เอาอะ หวาดเสียว”

“อยู่กับพี่เสียวได้แต่ไม่ต้องกลัว” เด็ดเดี่ยวบอกพลางรั้งร่างสั่นๆ ของต้นกล้าให้นั่งลง

“บ้าไปแล้ว นี่มันหน้าผานะ”

“หึๆ ๆ ใช่ตรงนี้เขาเรียกหน้าผาหิน เป็นจุดชมวิวที่ใครขึ้นมาก็ต้องมายืนตรงนี้กันทั้งนั้น “เด็ดเดี่ยวดึงให้ต้นกล้านั่งลงด้วยกันบนหน้าผาซึ่งเป็นหินก้อนใหญ่และชันมากจนต้นกล้าขาสั่น หากมองลงไปก็จะเห็นแต่ยอดไม้เขียว ถ้าเผลอพลัดตกลงไปคือเละอย่างเดียวเท่านั้น นั่นจึงทำให้คนขี้กลัวอย่างต้นกล้าขาสั่นจนน่าสงสาร เด็ดเดี่ยวนั่งหย่อนเท้าลงที่หน้าผา มีต้นกล้านั่งตัวสั่นเบียดอยู่ข้างๆ จนแทบจะขึ้นไปนั่งบนตั้งกว้างอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถลุกไปไหนได้ เมื่อข้อมือถูกยืดไว้ด้วยมือใหญ่ๆ ของคนตัวโต

“มีแค่นี้เหรอ”

“อะไรแค่นี้”

“ก็ที่จะพามาดูไง”

“มีที่อื่นเดี๋ยวพี่พาไป”

“โอ้ยขาสั่น” เด็ดเดี่ยวยิ้มบางๆ มองด้วยสายตาอบอุ่น เมื่อต้นกล้ายอมรับออกมาหน้าตาเฉยว่าขาสั่นแต่ก็ไม่แปลก ตรงนี้มันเป็นหน้าผาโล่งๆ ที่สูงพอสมควร หากจะสั่นหรือกลัวบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา

“สมัยมัธยมพี่มาที่นี่ทุกอาทิตย์เลย ช่วงสอบก็เอาหนังสือขึ้นมาอ่านกันกับเพื่อนๆ บนนี้”

“แล้วได้อ่านมั้ยล่ะ”

“หึๆ ส่วนมากเล่น ลมเย็นๆ พัดมาหน่อยก็พานอนกัน หรือไม่ช่วงหน้าฝนก็พากันเดินข้ามเขาไปฝั่งโน้น มันจะเป็นอีกจังหวัดหนึ่ง”

“ไปทำไมอย่าบอกนะว่าไปเล่นซนกันเฉยๆ “

“เห็นพี่เป็นเด็กซนไปได้ ข้ามเขานี้ไปฝั่งโน้นจะมีน้ำตก ซึ่งต้นน้ำมันก็อยู่บนนี้ที่ไหนสักแห่งนี่ล่ะ สมัยนั้นยังเด็กไม่ได้สนใจอะไรหรอกนอกจากเล่นน้ำ”

“น่าสนุกดีนะ”

“สนุกตั้งแต่เดินไปแล้วล่ะ ทางขึ้นเขาก็มีน้ำไหลสวนลงมาตลอด น้ำใสๆ เย็นๆ เล่นแตะน้ำใส่กัน วิ่งเล่นไล่จับกันกว่าจะไปถึงคือเหนื่อยหอบไปตามๆ กันทั้งกลุ่มมากันเกือบทั้งห้อง”

“ทั้งผู้หญิงผู้ชายเลยเหรอ”

“ใช่”

“คงสนุกมากสินะ”

“ก็สนุกดีเพื่อนสนิทกันทั้งนั้น”

“ใครถามไปถึงโน่นเล่า”

“หึๆ ปะไปทางโน้นดีกว่า” เด็ดเดี่ยวถือโอกาสจับมือต้นกล้าดึงให้ลุกขึ้น แล้วพากันเดินไปอีกทาง ซึ่งเป็นทางเดินเล็กๆ ทั้งสองเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ผ่านหินก้อนใหญ่รูปทรงแปลกตา ต้นกล้ากวาดตามองไปรอบๆ อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ แม้จะไม่มีอะไรสวยๆ งามๆ แต่หินก้อนใหญ่ๆ รูปทรงแปลกๆ ก็เรียกความสนใจได้อยู่ไม่น้อย ต้นกล้าหมุนตัวมองไปรอบๆ จนสายตาไปหยุดอยู่กับหินก้อนใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้เลยก็ว่าได้

“โห นี่อะไรน่ะเด็ดเดี่ยว” ต้นกล้ามองภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้นเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ว่ามีอะไรแบบนี้มาก่อน หินก้อนใหญ่ทอดตัวยาวพาดขนานไปกับพื้น เหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่ต้องใช้คนโอบไม่ต่ำกว่าสิบคนล้มตัวลง ต้นกล้าเดินเข้าไปใกล้แหงนหน้ามองจับจ้องไม่วางตา

“ตรงนี้เขาเรียกว่าสะพานหิน ส่วนด้านโน้นจะมีลานหินตั้ง หินพวกนี้เป็นหินทรายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงและค่อยๆ เคลื่อนตัวของเปลือกโลก เลยทำให้เกิดหินรูปร่างแปลกๆ ขึ้นอย่างที่เราเห็นนี่ยังไงล่ะ”

“แปลกมากเราไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”

“อยากขึ้นไปบนนั้นมัย”

“ขึ้นได้เหรอ”

“ได้สิ”

“คงไม่พังนะ”

“หึๆ นี่มันหินเลยนะจะพังง่ายๆ ได้ยังไง”

“ไหนบอกหินทราย”

“ก็หินดีๆ นี่เองนั่นแหละลองขึ้นไปดูกันปะ” มือที่จับกันไม่ยอมปล่อยดึงเบาๆ เจ้าของมือเรียวก็เดินตามอย่างว่าง่าย เด็ดเดี่ยวพาต้นกล้าเดินอ้อมไปยังทางที่จะขึ้นไปบนสะพานหิน ซึ่งเมื่อก้าวขึ้นมาแล้วต้นกกล้าจึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองคิดผิด

“เดี๋ยวๆ เด็ดเดี่ยว อย่างเพิ่งไป”

“ทำไมละ เดี๋ยวพี่จะพาไปตรงกลาง”

“มะ ไม่ไปได้มั้ย”

“ไปเถอะ”

“แต่...” ต้นกล้ามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ จะให้เดินไปหน้าตาเฉยได้อย่างไร นี่มันสูงอยู่ไม่น้อยเลยนะ ไหนจะเป็นท่อนหินที่ทิ้งตัวลงโดยไม่มีที่ยืดสำหรับเกาะ คนขี้กลัวเลยนึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที “มันสูง” เสียงจะสั่นไปไหน

“มากับพี่ไม่ต้องกลัวจับมือพี่ไว้เหมือนที่พี่จับมือต้นกล้า และพี่จะไม่มีวันปล่อย” ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดเพียงเท่านี้ถึงได้ทำให้คนฟังอุ่นวาบไปถึงหัวใจ แม้ว่าขายังสั่นอยู่ก็ตามเถอะ

“แต่..มันน่าหวาดเสียวออก”

“เชื่อใจพี่สิ”

“เราไม่เชื่อหรอก”

“เชื่อใจพี่”

“หาเรื่องแกล้งเราตลอดใครจะไปเชื่อลงวะ”

“ดูสิพี่จะแกล้งต้นกล้าได้ยังไงตกลงไปมีหวังเละ”

“เฮ้ยพูดมาได้งั้นเราไม่ไป”

“มาเถอะพี่จับมือต้นกล้าไว้แล้วไม่ต้องกลัว” เด็ดเดี่ยวหันหน้ากลับมาบอกพลางจับมือต้นกล้าดึงให้ไปด้วยกัน โดยที่เขากุมมือทั้งสองข้างของคนขี้กลัวเอาไว้แล้วเดินถอยหลัง ให้ต้นกล้าเดินตาม ตาคมสบตาสวยเพื่อยืนยันให้อีกคนมั่นใจว่าถึงจะชอบแกล้งมากแค่ไหนแต่คงไม่ใช่เวลานี้แน่นอน

เมื่อถึงตรงกลางสะพานเด็ดเดี่ยวดึงให้ต้นกล้านั่งลงข้างๆ กัน วงแขนแกร่งเกี่ยวเอวบางของคนขี้กลัวให้นั่งแนบชิด ต้นกล้ายังตัวสั่นนิดๆ แต่ความอุ่นใจมันมีมากกว่าทั้งสองนั่งหย่อนขาแล้วมองไปข้างหน้า ต่างคนต่างเงียบไปชั่วขณะจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเด็ดเดี่ยวจึงได้พูดขึ้น

“ต้นกล้า”

“อืม”



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



“ถ้า...” ต้นกล้าหันมามองหน้าเด็ดเดี่ยวที่ใช้ฟันบนกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้แน่น เมื่อเว้นจังหวะพูดเหมือนกำหลังชั่งใจ คิ้วได้รูปของหนุ่มหล่อเกาหลีเลิกขึ้นเป็นเชิงถามและเหมือนบอกว่ากำลังรอฟัง

“เอ้าพูดมาสิรอฟังอยู่เนี่ย” ต้นกล้าผละตัวออกจากอ้อมแขนของคนตัวโตกว่าเล็กน้อย เมื่อรอแล้วเด็ดเดี่ยวก็ยังไม่พูดอะไรออกมา เว้นไว้แบบนี้มันกระตุ้นความอยากรู้ของกันชัดๆ แล้วยังจะมานั่งเงียบอีก นั่นยิ่งทำให้ต้นกล้าอยากรู้เข้าไปใหญ่ จนกระทั่งเด็ดเดี่ยวถอนหายใจหนักๆ ออกมาอย่างตัดสินใจก่อนจะบอกนั่นแหละ

“ต้นกล้าพร้อมมั้ยถ้าพี่จะบอกเรื่องของเรากับผู้ใหญ่ตรงๆ “เด็ดเดี่ยวตัดสินใจพูดสิ่งที่ต้องการออกมาในที่สุด

“เด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าคิดว่าตัวเองตะโกนใส่คนที่นั่งข้างๆ เสียงดัง แต่ที่จริงแล้วเสียงของเขาที่เปล่งออกมาเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบแผ่วๆ เท่านั้น เพราะไม่คิดว่าเด็ดเดี่ยวจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คิดได้ยังไงว่าจะไปบอกผู้ใหญ่ตรงๆ มันเร็วไปไหมต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้เลยนะ

“พี่มาคิดๆ ดูแล้วเราน่าจะบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายได้แล้ว”

“แต่..”

“ทางพี่ไม่มีปัญหา พี่บอกพ่อไปแล้วสารภาพทุกอย่างแบบแมนๆ ”

“ห๊า! สารภาพทุกอย่าง! “

“ใช่ พี่เป็นลูกผู้ชายพอทำอะไรไว้พี่รับผิดชอบกล้าทำก็กล้ารับ”

“ทุกอย่างเลยเหรอ”

“อืม”

“เด็ดเดี่ยว โอยบ้าไปแล้ว” ต้นกล้ายกมือทั้งสองข้างกุมขมับไม่คิดว่าอีกคนจะทำอะไรรวดเร็วปานนั้น โดยไม่ปรึกษากันก่อนอย่างนี้

“ทำไมล่ะหรือว่าต้นกล้ายังไม่มั่นใจในตัวพี่อีก”

“แต่เรา..” ต้นกล้าก้มหน้าหลบสายตาของคนตัวโต ที่มองมาด้วยสายตาลึกซึ้งเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองอย่างไม่มีปิดบังเลยสักนิด แต่เป็นต้นกล้าเองเสียอีกที่ดูเหมือนว่าจะไม่พร้อมเอาเสียเลย บอกผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ ไม่พร้อมยังไงต้นกล้าก็ยังไม่พร้อมหรอกในตอนนี้

“หรือว่าต้นกล้าไม่แน่ใจในตัวพี่” เด็ดเดี่ยวจับคางเรียวของต้นกล้าดันให้เจ้าตัวหัวหน้ากกลับมามองสบตากับเขา แววตาสวยสั่นไหวเหมือนไม่แน่ใจอย่างเห็นได้ชัด จนเด็ดเดี่ยวเองพลอยสับสนไปด้วย แต่ความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องมันมีมากกว่า

“มันคงเร็วไปแต่พี่รัก พี่รักต้นกล้า ถึงจะเพิ่งเจอกันแค่วันเดียวพี่ก็มั่นใจที่พูดมันออกมา”

“..”

“ทำไมเงียบล่ะ”

“เรา..”

“จะไม่พูดอะไรเหรอ หรือว่าพี่เร่งรัดมากเกินไป”

“เราไม่รู้เด็ดเดี่ยว เรา..” ต้นกล้ามีแต่ความลังเลสับสน ความมั่นใจที่เคยมีก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด ยิ่งเมื่อเด็ดเดี่ยวทำท่าทางเหมือนกับเร่งรัดอย่างนี้ ยิ่งทำให้ต้นกล้าลังเลมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า แน่ล่ะในใจนั่นน่ะมันตรงกันอยู่แล้ว แต่จะให้เปิดเผยให้ผู้ใหญ่รับรู้ตอนนี้ สำหรับต้นกล้านั้นคิดว่ามันเร็วเกินไป

“ยังไม่แน่ใจอะไรเหรอ” เด็ดเดี่ยวมองหน้าต้นกล้าอย่างค้นหา เมื่อชายหนุ่มได้เห็นความสับสนใจแววตาที่เคยสุกใส ก้อนเนื้อที่เต้นในอกให้รู้สึกเจ็บแปลบๆ แล้วหน่วงแน่นขึ้นมาเหมือนมีอะไรบีบอัดอยู่ข้างใน ต้นกล้าเม้มปากจนจะเป็นเส้นตรงแล้วปล่อยออก ช้อนตาขึ้นมองสบกับตาคม

“เรา..อื้อออ” ด้วยเพราะกลัวจะได้ยินคำที่ไม่อยากได้ยิน เด็ดเดี่ยวประคองแก้มทั้งสองข้างของต้นกล้าแล้วรั้งเข้ามาประกบไว้ด้วยปากอย่างรวดเร็ว จนเจ้าของปากสวยไม่ทันได้ตั้งตัว ความโหยหาเรียกร้องต้องการถูกส่งผ่านเรียวลิ้นกระหวัด ที่ส่งมาเกี่ยวรัดกันอย่างเว้าวอน เด็ดเดี่ยวจูบต้นกล้าอย่างลึกซึ้งเท่าที่เข้าจะทำได้ โดยพยามส่งผ่านทุกความรู้สึกของตัวเองมาพร้อมกับจูบแสนหวานที่ละมุนละไมแต่เรียกร้อง ดีกกรีความร้อนแรงของรสจูบสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์กับความต้องการของทั้งสอง แต่ก่อนที่จะได้อายเจ้าป่าเจ้าเขาไปมากกว่านี้ คนตัวโตก็มอบอิสระให้โดยการผละออกอย่างแสนเสียดาย

เมื่อตาสบตาจึงเห็นถึงความแตกต่าง คนหนึ่งมุ่งมั่นในความคิดและการตัดสินใจของตัวเอง เพราะมั่นใจว่านั่นมันคือสิ่งที่ดีและถูกต้องแล้ว ส่วนอีกคนมีแต่ความสับสนลังเลและไม่มั่นใจ

“ทำไมไม่เชื่อไม่มั่นใจตัวพี่”

“เราเชื่อ”

“ถ้าอย่างนั้น ต้นกล้าก็ไม่เชื่อและไม่มั่นใจตัวเอง”

“..เรา..” ยิ่งต้นกล้ามีท่าทางลังเล ความผิดหวังก็ยิ่งทำร้ายความรู้สึกของเด็ดเดี่ยวให้แย่ลงทุกวินาที เหมือนเรี่ยวแรงที่มีมันค่อยๆ ละลายและหายระเหยไปโดยไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ยังดีที่ชายหนุ่มยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ทั้งที่แรงใจแทบไม่มีเหลือ

“พี่ขอโทษ ที่ไม่เคยถามอะไรต้นกล้าตรงๆ เลย” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงเบาแต่มันดังแทรกเข้าไปถึงส่วนลึกในใจของต้นกล้าจนรู้สึกแปลบๆ

“เราไม่รู้เด็ดเดี่ยว แต่แน่ใจแล้วเหรอ”

“ต่อให้พูดอีกกี่ครั้งพี่ก็ยืนยันคำเดิม”

“..”

“แม้ว่าตอนี้พี่ชักจะไม่แน่ใจแล้ว” ต้นกล้าเหลือบตาขึ้นมองเด็ดเดียวทันทีที่ได้ยินอีกคนบอกว่าไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เด็ดเดี่ยวพูดออกมายิ่งทำให้ต้นกล้าหวั่นใจมากขึ้นไปอีก “ไม่แน่ใจแล้วว่าต้นกล้ารู้สึกยังไงกับพี่”

“..” ต้นกล้าเลือกที่จะเงียบ นั่นทำให้เด็ดเดี่ยวที่ใบหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วยิ่งเคร่งเครียดขึ้นมากกว่าเดิม

“หลังจากเรื่องของเราที่เกิดขึ้นคืนนั้น พี่คงคิดไปเองใช่มั้ย จริงๆ แล้วมีแค่พี่คนเดียวที่คิดและจริงจังกับเรื่องนี้ ต้นกล้าไม่เคยคิดอะไรกับพี่สินะ ที่บอกว่าสำคัญ..มันคงไม่ได้สำคัญจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงมีความหมายกับพี่คนเดียว” ถึงจะพูดออกมาเสียยาว แต่เด็ดเดี่ยวที่มีใบหน้าเคร่งเครียดก็พูดทั้งหมดออกมาแบบช้าๆ ชัดๆ เหมือนตั้งใจจะให้มันแทรกซึมย้ำลึกเข้าไปในส่วนกลางอกของต้นกล้าเลยทีเดียว ชายหนุ่มหันหน้าไปอีกทางที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกาหลีแล้วหลับตาลง ขากรรไกรขบกันแน่นจนกรามเป็นสัน เพื่อหวังจะบรรเทาความร้าวรวดที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ



“พี่ขอโทษนะ ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นเถอะ ลุกสิพี่จะพากลับบ้าน” พูดจบเด็ดเดี่ยวก็ทำท่าเตรียมพร้อมจะยืนขึ้น ขอบตาของเขาเริ่มแดงก่ำเมื่อกวาดมองไปรอบๆ บริเวณป่าไม้เงียบสงบ เต็งต้นใหญ่ยังยืนต้นนิ่ง ประดู่ กระบก เถาวัลย์ ก้อนหิน สรรพสิ่งรอบๆ ตัวนิ่งงันและสงบเงียบไร้สิ้นแม้กระทั่งเสียงนกเสียงลม ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งรอบกายกำลังไว้อาลัยให้กับความรู้สึกของเขาที่กำลังพังทะลายลงมา และความเจ็บปวดเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกินหัวใจ ต้นกล้าใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าหล่อคร้ามมีแต่ความผิดหวัง



เด็ดเดี่ยวลุกขึ้นช้าๆ จนยืนเต็มความสูงสง่าของเขา โดยมีสายตาของต้นกล้ามองตามอย่างอ้อนวอน เพราะรู้ว่าคนตัวโตกว่ากำลังเข้าใจผิด และต้นกล้าคงปล่อยไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหันหลังเดินออกไป มือใหญ่จึงถูกรั้งเอาไว้ด้วยมืออุ่นๆ ของคนลังเลที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เจ้าของมือใหญ่ชะงักแต่ก็ไม่ได้หันกลับมามอง ต้นกล้าไม่ได้ลังเลกับความรู้สึกที่มีต่อกัน แต่ลังเลว่าถ้าบอกผู้ใหญ่ตอนนี้มันดีแน่แล้วหรือ มันเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วใช่ไหม เพราะถ้าจะว่ากันตามจริง เขาเองก็อยู่ที่บ้านทุ่งดอกจานและรู้จักกับเด็ดเดี่ยวได้เพียงไม่กี่เดือน แล้วแบบนี้มันจะดีแน่หรือ ต้นกล้ามองข้ามความรู้สึกลึกซึ้งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างกันในระยะเวลาสั้นๆ แล้วถามคำถามเหล่านี้ในใจวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่อยากบอกอยากพูดปรึกษาแต่ทำไมมันพูดไม่ออก



ได้แต่จับมือใหญ่และดึงเอาไว้อยู่อย่างนั้นแต่ไม่พูดอะไร จนเด็ดเดี่ยวที่ยืนนิ่งอย่างมีความหวังเริ่มหมดหวัง แต่พอจะก้าวขาเดินออกไปเสียงใสๆ ที่ดังขึ้นก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักค้างอีกครั้งหัวใจกลับพองโต





“กล้าก็รักพี่เดี่ยว” !! พูดออกไปแล้ว โพล่งออกไปแล้วอย่างที่ใจต้องการ ไม่ต้องกดไม่ต้องเม้มมันไว้ พูดแล้วมันโล่งใจอย่างนี้นี่เอง ต้นกล้ายืนยันคำพูดของตัวเองด้วยมือที่บีบแน่น และใบหน้าหล่อเกาหลีที่แหงนเงยขึ้นมอง นัยน์ตาสวยดูออดอ้อนเว้าวอน จนเด็ดเดี่ยวที่หันกลับมาแทบอยากกระชากร่างโปร่งขึ้นมามอบจูบให้เต็มรัก

“...” และเป็นเด็ดเดี่ยวเองที่พูดไม่ออกบ้างเมื่อต้นกล้าบอกออกมาตรงๆ อย่างนี้

“แต่ไม่แน่ใจ”

“ไม่แน่ใจเหรอ”

“ใช่ เราไม่แน่ใจว่านี่มันใช่เวลาที่ควรบอกผู้ใหญ่หรือเปล่า” ในที่สุดต้นกล้าก็เลือกที่จะบอกเพราะไม่อยากให้เด็ดเดี่ยวเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ความเขินอายแสดงออกมาทางแก้มใสที่แดงปลั่งลามถึงใบหู และปากที่เม้มแน่นหลังจากที่พูดออกไป ต้นกล้าก้มหน้ามองพื้นหินทั้งที่มือยังไม่ยอมปล่อยจากกัน



“เชื่อใจพี่นะ” รู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ วางลงบนไหล่ ต้นกล้าจึงเงยหน้าขึ้น ทำให้ใบหน้าใสกับใบหน้าคมคายสีคร้ามแดดห่างกันไม่ถึงคืบ เมื่อเด็ดเดี่ยวนั่งลงบนส้นเท้าของตัวเองทิ้งหัวเข่าข้างนั้นยันพื้นหินเอาไว้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างๆ กัน แต่ไอ้การที่เบียดจนแทบจะขึ้นมานั่งอยู่บนตักของต้นกล้านี่มันคืออะไร แล้วตัวใหญ่ออกอย่างนี้ใครมันจะไปรับได้ไหวกัน ไหนจะแววตาที่เป็นประกายวิบวับและปากที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่อีก ทำไมมันถึงได้ทำให้ต้นกล้าวางตัวไม่ถูก มือไม้ก็เหมือนจะเกะกะไปเสียหมด อยากสบตาก็อยากแต่ไม่กล้า เพราะมองทีไรใจมันสั่นทุกทีเหมือนจะวางวาย เลยต้องหันหน้าหนีมันเสียดื้อๆ นี่แหละ อยากมองกันด้วยสายตาแบบนี้ดีนัก

“ไหนใครพูดอะไรนะเมื่อกี้ อะไรรักๆ ”

“ใครที่ไหนพูด”

“ก็อยู่กันสองคนจะใครล่ะ หึๆ ๆ “

“ก็เห็นอยู่ว่าอยู่กันสองคนแล้วจะถามเพื่อ..?” ต้นกล้ายั๊วะคนขี้แกล้งเลยถามกลับ มันยากจริงๆ นะที่จะไม่รู้สึกอะไรแบบเขินๆ อย่างนี้ ยากมากสำหรับต้นกล้า ยากจนอยากกำมือแน่นๆ แล้วชกเข้าที่เบ้าตาเจ้าของใบหน้าคมคร้ามโทษฐานที่เอาแต่อมยิ้มมองกลับมาเหมือนพออกพอใจเสียอย่างนั้น

“หึๆ ๆ ครับๆ “เด็ดเดี่ยวรวบมือทั้งสองข้างของต้นกล้ามากุมเอาไว้ด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างเชยที่คางมนบังคับใบหน้าใสๆ ที่แดงระเรื่อให้หันมามองตากัน

จุ๊บ! แล้วจูบหนักๆ ประทับลงที่ริมฝีปากบางก่อนจะบอก “ต้องให้บอกอีกมั้ยว่าพี่รักมาก”

“..” ต้นกล้าอยากหัวเราะขำคำถามของเด็ดเดี่ยวแต่ก็ทำเพียงอมยิ้ม พยายามจะดึงมืออกจากการกอบกุม เพราะรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันกำลังจะปริแตกและระเบิดออกมาตอนนี้เสียให้ได้ แต่มีหรือมือใหญ่ๆ ที่กุมไว้จะยอมปล่อย เด็ดเดี่ยวทำอย่างที่พูดเอาไว้ ว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้อีกแล้วจึงกระชับแน่นแล้วบอกเพื่อให้ความมั่นใจ

“มั่นใจในตัวพี่นะ ขอแค่นี้พี่ก็มีกำลังใจสู้กับด่าน 18 อรหันต์มนุษย์ทองคำแล้ว”

“ห๊า ด่านอะไรนะ”

“ก็ด่านที่คุณอากวินทำเอาไว้เพื่อไม่ให้พี่เจอหน้าต้นกล้าไง”

“พูดเหมือนคุณพ่อรู้เรื่องของเรา”

“พี่ไม่แน่ใจ”

“แต่เราว่าคุณพ่อยังไม่รู้หรอก”

“นั่นสิ แต่ทำไมหวงออกอย่างนั้นล่ะ”

“ปกติก็หวงมากนะลูกชายคนเดียวแถมยังหล่อออกอย่างนี้” ต้นกล้ายักคิ้วให้พร้อมกับดึงมือออกไปค้ำไว้ด้านหลังนั่งเอนตัวในท่าทางสบายๆ

“หึๆ ยอมครับ” บอกแล้วก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับอกว่ายอมจริงๆ เด็ดเดี่ยวพลิกตัวไปนั่งท่าเดียวกันกับต้นกล้าตาคมมองตรงไปข้างหน้านั่งอมยิ้มเงียบๆ

“ว่าแต่ด่านอะไรนั่นมาได้ยังไง” เด็ดเดี่ยวยิ้มกว้างออกมาเมื่อคิดได้ ชายหนุ่มเล่าเรื่องว่าที่พ่อตาพยายามกีดกันไม่ให้เขาไปที่บ้านคุณยายและไม่ให้เจอหน้าต้นกล้าเหมือนรู้ทัน ซ้ำคุณกวินยังสั่งให้ต้นกล้ากลับกรุงเทพฯ กะทันหัน นั่นจึงทำให้ต้นกล้าได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของพ่อ และเรื่องที่เด็ดเดี่ยวคุยปรึกษากับพ่อกำนันที่บ้าน อันเป็นที่มาของด่าน 18 อรหันต์มนุษย์ทองคำ และเรื่องที่เขากำลังเป็นห่วงที่สุดนั่นก็คือ เขากลัวว่าคุณยายประไพศรีจะรับเรื่องรักระหว่างเพศเดียวกันไม่ได้ นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดที่เด็ดเดี่ยวเป็นห่วง

ต่อล่างนะ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 100% 3/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:43:31


ต้นกล้านั่งฟังยิ้มๆ และไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ทั้งสองยังเข้าใจว่าเป็นเพราะคุณกวินตั้งแง่เรื่องคู่ปรับเก่า ไม่ได้เอะใจกันเลยสักนิดว่าคุณกวินนั้นรู้เรื่องระหว่างต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวแล้ว โดยมีไอ้จ๋าที่น้ำท่วมปากเป็นพยานร่วมแต่กลับบอกลูกพี่ทั้งสองไม่ได้ จนเวลาแห่งความสุขถูกเร่งรัดด้วยเวลาปัจจุบันของวันที่กำลังจะหมดไป ก่อนจะกลับ เด็ดเดี่ยวพาต้นกล้าไปไหว้พระ เพราะเลยสะพานหินไปอีกทางไม่ไกลมีสถานปฏิบัติธรรมที่เงียบสงบอยู่

“อยากอยู่ดูพระอาทิตย์ตกจัง” ต้นกล้าบอกเมื่อทั้งสองเดินกลับมาทางหน้าผาหินอีกครั้ง เพื่อกลับไปยังรถที่จอดทิ้งเอาไว้

“เดี๋ยววันหลังพี่พามาใหม่ แล้วอธิฐานว่าอะไรน่ะตั้งนาน”

“เปล่า”

“ขอให้พระคุ้มครองให้พี่แคล้วคลาดจากด่านของว่าที่พ่อตาหรือไง”

“บ้าไปแล้วพ่อตงพ่อตาอะไร กลับบ้านเลย”

“กลับบ้านเลยครับพี่เดี่ยว”

“เหอะ”

“หึๆ ๆ “



เด็ดเดี่ยวพาต้นกล้าขับรถมาถึงบ้าน บรรยากาศรอบๆ ยังคงเงียบสงบ ไม่มีใครอยู่ในสวนหน้าบ้าน ไม่มีใครนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไยให้ลมพัดเย็นๆ คนบ้านนี้ไม่รู้ไปไหนกันหมด แต่ที่แน่ๆ เมื่อรถจอดสนิทลงที่หน้าบ้านแล้ว ต้นกล้าก็ทำท่าทาเหมือนกับว่าไม่อยากลงไปเสียอย่างนั้น เพราะรู้ว่าคุณกวินคงต้องสอบสวนหนักแน่ ไหนยังจะมากับคนหน้ามึนนี่อีก ยิ่งเด็ดเดี่ยวบอกเล่าเรื่องราวระหว่างที่ต้นกล้าไม่อยู่ ว่าคุณพ่อของเขานั้นต่อต้านชายหนุ่มมากแค่ไหน นั่นยิ่งทำให้ต้นกล้าใจฝ่อลงไปมากโขทีเดียว แม้ว่าตลอดทางที่นั่งรถด้วยกันมา คนตัวโตจะปลุกใจให้ต้นกล้าเกิดความฮึกเหิม เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคแล้วก็ตาม แต่พอมาถึงบ้านใจดวงน้อยมันก็เริ่มฝ่อและห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม ถึงจะเป็นคนดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ต้นกล้าก็เป็นเด็กว่าง่ายและเกรงใจพ่ออย่างไม่น่าเชื่อ คิดแล้วมือที่กำลังยื่นไปเปิดประตูรถเลยพาลสั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ปะ”

“เอ่อ ก็ได้” ต้นกล้าเปิดประตูรถค่อยๆ หย่อนเท้าลงไปก่อนทีละข้าง เมื่อลงไปยืนกับพื้นได้แล้วก็พอดีกับที่รถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดไม่ไกล

“ลูกพี่ครับ” ไอ้จ๋าเรียกพลางเดินเข้ามาหาต้นกล้าที่ยืนอยู่ข้างๆ รถ ส่วนเด็ดเดี่ยวเปิดประตูด้านหลังหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของต้นกล้าแล้วมายืนอยู่ข้างๆ กัน

“พี่กล้าพี่เดี่ยวหวัดดีครับ เฮ้ยจ๋ากูไปก่อนนะ”

“เออ ขอบใจมึงที่มาส่ง”

“เออ” แล้วไอ้ว่าวก็เลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของมันออกไป ไอ้จ๋าจึงได้หันกลับมาหาลูกพี่ทั้งสองของมัน

“ลูกพี่อย่าบอกนะครับว่าเพิ่งมาถึงเหมือนกันเนี่ย”

“เออสิ ทำไมวะ” ไอ้จ๋ามองหน้าลูกพี่ทั้งสองสลับกันไปมาด้วยสายตาสงสัย มันหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนกำลังจับผิด เพราะตั้งแต่ตอนที่แยกจากกันจนถึงตอนนี้ หากลูกพี่ไม่เถลไถลต้องมาถึงบ้านก่อนมันแล้วแน่ๆ ถ้านอนก็คงได้หลายตื่นแล้วด้วย ไม่ใช่เพิ่งจะถึงอย่างนี้ ฝ่ายลูกพี่ใหญ่เห็นท่าไม่ดีเลยรีบถามเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วทางนั้นเป็นไงบ้างวะ” ต้นกล้าหมายถึงเรื่องที่บ้านของน้ำส้มที่ไอ้จ๋ามันไปช่วยงาน

“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่ลูกพี่ทั้งสองเถอะครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า แล้วคนบ้านนี้ไปไหนกันหมดหว่า” ต้นกล้ามองหน้าเด็ดเดี่ยวกับไอ้จ๋าสลับกันแต่ก็ไม่ได้คำตอบ จึงมองขึ้นไปบนตัวบ้าน แต่ยังไม่ทันได้มีใครตอบอะไรเสียงหนึ่งก็ดังมาจากชานบ้านอีกด้านเสียก่อน

“ใครมาล่ะนั่น เอ้าเจ้ากล้า พ่อเดี่ยว ทำไรกับอยู่ตรงนั้นล่ะลูกทำไมไม่ขึ้นบ้านกัน”

“อ้าวแล้วไอ้จ๋าล่ะครับคุณยาย”

“เออๆ ทั้งหมดนั่นแหละพากันขึ้นบ้านมาก่อนสิ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ยายก็นึกว่าใครได้ยินแต่เสียงงรถ” ทั้งหมดเลยต้องพากันขึ้นบ้านตามที่คุณยายเรียก



พูด่างพุ่มนั้นปลูกอยู่ข้างราวบันได มันเลื้อยขึ้นไปตามเสาปูนต้นเท่าลำแข้งสองต้น ที่ปักไว้ให้จนเป็นรูปทรงสวย ใบสีเขียวสลับอ่อนแก่หนาๆ ช่วยอำพรางร่างสูงที่ค่อนข้างท้วมตามอายุที่เข้าวัยกลางคนได้เป็นอย่างดี เมื่อคนหนุ่มทั้งสามขึ้นบ้านไปหมดแล้วนั่นล่ะ คนที่ยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้เลื้อยจึงได้เดินออกมา สายตาของชายวัยกลางคนดูยังไงก็ไม่เห็นความเป็นมิตร เพราะคุณกวินกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อเห็นไอ้ลูกชายของคู่ปรับเก่ามากับลูกตัวเอง ทั้งที่จัดการให้ต้นกล้ากลับกรุงเทพฯ ไปแล้วแท้ๆ แต่ไม่ทันถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำก็กลับมา คุณกวินไม่พอใจเมื่อเห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวที่มองต้นกล้า มันจะวิบวับหยาดเยิ้มไปถึงไหน แบบนี้ไม่ได้การล่ะ ยังไงก็ต้องกันไอ้หนุ่มนั่นให้ห่างจากลูกของตัวให้ได้ คิดอย่างหวงแหนจนกรามขบกันแน่น มือข้างหนึ่งที่กำอยู่ทุบลงฝามืออีกข้างของตัวเองอย่างแรง ก่อนจะค่อยๆ ย่องตามขึ้นบ้านไป

“เจ้ากล้ากลับมาทำไมไม่บอกใครเลยล่ะ ดีนะที่พี่เขาไปรับได้ ว่าแต่งานทางนั้นเรียบร้อยดีมั้ยลูก”

“ดีครับคุณยาย”

“แล้วพ่อเดี่ยวล่ะ ที่ว่ารีบเข้าเมืองเมื่อเช้าที่แท้ก็ไปรับน้องเองหรอกหรือ” ยิ่งคุณยายให้ความเป็นกันเองและดูเหมือนว่าจะไว้วางใจมากขนาดไหน เด็ดเดี่ยวยิ่งให้รู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะอะไรก็รู้ๆ กันอยู่ สิ่งที่อยู่ในใจไม่รู้จะปิดได้อีกสักกี่วัน เด็ดเดี่ยวระดมสมองใช้ความคิดจนหัวปวดตุบๆ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คุณยายไม่สะเทือนใจเรื่องรักของเขา

“พ่อเดี่ยว”

“เอ่อ ครับๆ คุณยายว่ายังไงนะครับ”

“คิดอะไรอยู่ ยายเรียกไม่ตอบ” ตอนนี้ทั้งหมดนั่งอยู่ที่ชานบ้านใต้หลังคาสูงโปร่ง ซึ่งเป็นมุมพักผ่อนมุมโปรดลมเย็นสบาย บนฟูกหมอนอิงรูปสามเหลี่ยมใบใหญ่นั่น มีร่างของคุณยายนั่งพิงหมอนเป็นประธาน ต้นกล้านั่งอยู่ข้างๆ บีบนวดช่วงขาอย่างเอาใจ ถัดไปเป็นไอ้จ๋านั่งขัดสมาธิทำหน้าแป้นแล้นกวนๆ ส่วนตรงข้ามกันเป็นเด็ดเดี่ยวที่เลือกนั่งฝั่งนี้เพื่อจะได้มองหน้าใครบางคนชัดๆ

“ผมขอโทษครับ” เด็ดเดี่ยวเอ่ยขอโทษแล้วหันไปมองหน้าต้นกล้า เขาแอบถอนหายใจเพื่อระบายความหนักอกออกมาเบาๆ ไอ้จ๋าทำหน้าตายมองตอบกลับมาเหมือนเห็นใจแต่เขารู้ว่ามันกำลังขำท่าทางของเขา แม้วันนี้มันจะดูเงียบผิดปกติแต่เขาก็มีเรื่องให้คิดมากจนไม่มีอารมณ์จะแหย่มันเล่นเหมือนเคย

“ยายบอกแล้วนะมีปัญหาอะไรก็ปรึกษายายได้ นอกจากจะไม่อยากปรึกษาคนแก่” ยิ่งคุณยายมองมาด้วยแววตาอ่อนโยนมากแค่ไหน นั่นยิ่งทำให้เขาคิดมากไปอีก แต่จะให้เด็ดเดี่ยวปรึกษาเรื่องที่มันเป็นปัญหาคาใจอยู่ตอนนี้ได้ยังไง ก็ถ้าเขากล้าถ้าเขาไม่มัวแต่ห่วงความรู้สึกของคนแก่ มันก็คงไม่ออกมาแบบนี้หรอก แต่เพราะปัญหาที่มีมันเกี่ยวข้องกับคุณยายโดยตรงนี่สิ มันเลยทำให้เขาต้องคิดหนัก คุณยายซึ่งเป็นคนแก่สมัยเก่าคงรับเรื่องชายรักชายแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ล่ะเขามั่นใจ เด็ดเดี่ยวจึงได้แต่ตอบรับไปอย่างนั้น และพยายามวางตัวเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย

“ครับ”

“อ้าวพ่อกวินนึกว่าออกไปดูไร่กับพ่อสมควรซะอีก”

“ครับพอดีผมกลับเข้ามาก่อน เหมือนๆ จะรู้ว่าบ้านเรามีแขกไม่ได้รับเชิญ”

“หืม แขกที่ไหน” คุณยายมีสีหน้างงเมื่อถามกลับ ไม่ได้คิดว่าคุณกวินจะหมายถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะเห็นเด็ดเดี่ยวเป็นหลานคนหนึ่งมาตลอด แต่คุณกวินทำเพียงแค่ยิ้มสะใจตอนเห็นเด็ดเดี่ยวขยับตัวขยุกขยิกเหมือนรู้ว่าหมายถึงตัวเอง เมื่อชายวัยกลางคนเดินก้มตัวเข้าไปนั่งลงยังที่ว่างระหว่างเขาและคุณยาย “แล้วนี่แม่นภายังไม่กลับจากสวนหรือไง”

“ยังครับ ว่าแต่ท่าทางอย่างนี้จะกลับแล้วหรือไงพ่อหนุ่ม” คุณกวินหันมาหาเด็ดเดี่ยวที่กำลังขยับถอยออก เมื่อถูกว่าที่พ่อตานั่งเบียด คำถามนั้นมันทำให้เด็ดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นมองคุณกวินสลับกับต้นกล้าที่มองตอบกลับมางงๆ เช่นกัน

“เอ่อ ยังครับ”

“ยังก็ดีแล้วจะได้อยู่คุยกันนานๆ ไอ้จ๋าทำไมเงียบจังวันนี้” คุณยายบอกแล้วหันไปหาไอ้จ๋าเมื่อรู้สึกว่าวันนี้มันไม่ค่อยพูดมากหรือพูดกวนเหมือนทุกวัน

“คือไอ้จ๋าเมาเรือบินครับคุณยาย เดี๋ยวขอตัวก่อนดีกว่าครับ”

“อ้าว ยังเมาอยู่เหรอวะ” ต้นกล้างงเพราะไม่เห็นว่าไอ้จ๋าจะบ่นอะไรตั้งแต่มาถึง แล้วอยู่ดีๆ ก็มาบอกว่าเมาเครื่องบินเสียได้ หรือมันจะยังเมาค้างตั้งแต่ขาไปวะ แต่นี่มันนั่งเครื่องบินนะไม่ใช่ดื่มเหล้าจะได้เมาค้าง

“นั่นสิอย่างแกนี่นะเมารถเมาเรือกะเขาด้วย” คุณยายว่าขำๆ

“ครับ นี่มันเรือบินเลยนะครับคุณยาย ไอ้จ๋าเกือบไม่รอด”

“งั้นก็ไปพักไป”

“ครับๆ เดี๋ยวไอ้จ๋าว่าจะออกไปดูนาสักหน่อยด้วยครับไม่อยู่หลายวันขอตัวนะครับ” เมื่อไม่มีใครคัดค้านไอ้จ๋าก็ค่อยๆ คลานออกไปจากตรงนั้น เพราะมันโดนคุณกวินจิกสายตาด่ามาอยู่หลายที โทษฐานที่ขัดคำสั่งว่าไม่ให้พาลูกพี่ใหญ่รีบกลับมา แต่จะให้ไอ้จ๋าทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อลูกพี่ตัดสินใจกลับมา ตัวมันเองที่ไม่อยากอยู่กรุงเทพเหมือนกันก็ขัดลูกพี่ของมันไม่ได้ ข้อนี้คุณกวินน่าจะเข้าใจเพราะมันได้บอกไปแล้ว

“พ่อว่าเจ้ากล้าก็ดูท่าทางเหนื่อยๆ เหมือนกันนะ เข้าไปพักผ่อนหน่อยมั้ยลูก” น้ำเสียงเป็นห่วงของคุณกวินมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนให้ลูกชายคนเดียว เขาเหล่ตามองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความสะใจ เพราะรู้ดีว่ายังไงต้นกล้าก็ไม่ขัด

“เอ่อ..” ต้นกล้าเหลือบมองเด็ดเดี่ยวนิดหนึ่ง แล้วหันกลับมามองหน้าคุณพ่อและคุณยายที่พยักหน้าให้ คนหัวแดงเลยจำต้องลุกออกไปจากตรงนั้น เขาพึมพำขอตัวเบาๆ พลางเหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งตรงข้าม ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางห้องนอนของตัวเองเพื่อพักผ่อน อย่างที่คนเป็นพ่อบอกเหมือนสั่งกลายๆ และเขาได้เห็นแล้วล่ะว่าคนเป็นพ่อนั้นกำลังกีดกันอย่างเนียนๆ นี่ถ้าได้รู้ว่าพวกหนุ่มๆ ไปถึงขั้นไหนกันแล้วไม่รู้ว่าคุณกวินจะว่าอย่างไร

ฝ่ายคุณกวินยิ้มพอใจขณะที่มองตามหลังลูกชายคนเดียว จนต้นกล้าเดินลับมุมบ้านไปแล้วจึงหันกลับมายิ้มเยาะให้ลูกชายของคู่ปรับเก่า ที่ทำได้เพียงนั่งทำตาละห้อยอยู่อย่างสะใจ

“แล้วนี่ไปยังไงมายังไงถึงได้มาด้วยกันได้ล่ะพ่อหนุ่ม งานการไม่ทำหรือไง เอ๊ะ! ..นี่ผมกำลังนั่งคุยอยู่กับเศรษฐีบ้านนอกอยู่หรือเปล่าครับคุณแม่” คุณยายประไพศรีเพียงยิ้มเอ็นดูให้กับเด็ดเดี่ยวที่ถูกคุณกวินแซวเรื่องฐานะ เพราะมันค่อนข้างเป็นความจริง ถึงแม้ทางฝ่ายกำนันและลูกชายจะใช้ชีวิตไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดา และวางตัวดีใช้ชีวิตติดดินมาตลอด แต่ฐานะที่แท้จริงก็ใช่ธรรมดาน้อยหน้าใครเสียที่ไหน ทั้งที่ดินที่ไม่รู้ว่ามีกี่พันไร ทั้งรายได้จากผลผลิตในแต่ละปี ทั้งรายได้จากการเป็นตัวแทนรับซื้อสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรจากชาวบ้าน เพื่อนำส่งโรงงานต่อ นี่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มยังมีหุ่นส่วนกับโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในละแวกนี้อีกหลายแห่ง บ้านไหนได้คนหนุ่มหัวก้าวหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวไปเป็นเขยละก็ รับรองว่ามีหน้ามีตาไม่แพ้ใคร

“ก็พอมีครับ แต่ธุระของวันนี้ผมทำเสร็จหมดแล้ว พอดีเจอน้องรอรถที่อำเภอ ผมเลยรับมาส่งให้” แถมยังพาไปนั่งรถเที่ยวกินลมชมวิวด้วยนิดหน่อย เด็ดเดี่ยวต่อให้ในใจ เพราะถ้าพูดออกมาแม้มันจะทำให้ว่าที่พ่อตาเดือดได้เพราะโดนหักหน้า แต่เด็ดเดี่ยวคิดว่าคงไม่ดีแน่จึงเงียบและยิ้มให้บางๆ

“ก็เจ้ากล้ากับไอ้จ๋าเล่นมาไม่บอกใครเลยนี่นา ก็เลยไม่มีคนออกไปรับยายเองยังไม่รู้ ขอบใจนะพ่อเดี่ยวที่มาส่งน้องให้”

“ไม่เป็นไรครับ”

“โอ้ย คุณแม่ครับ พ่อหนุ่มนี่เขาคงเต็มใจอยู่แล้วล่ะครับ จริงมั้ย”

“จริงครับ” เด็ดเดี่ยวจะตอบอะไรได้ล่ะ

“พูดมาแล้ว ฉันเองก็ชักจะเกรงใจแกแล้วเหมือนกันว่ะพ่อหนุ่ม มาๆ เดี๋ยวเดินไปส่งที่รถเป็นการตอบแทน” นั่นปะไรเมื่อเด็ดเดี่ยวตอบรับมาแบบนั้นก็เข้าทางคุณกวินพอดี

“อ้าว!! “คุณยายและเด็ดเดี่ยวอุทานออกมาพร้อมกันเมื่ออยู่ดีๆ คุณกวินก็หักมุมแบบนี้เอาเสียดื้อๆ



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



เป็นความจริงที่คุณกวินคอยกันท่าเด็ดเดี่ยวอย่างเนียนทุกครั้งที่ชายหนุ่มแวะมา ซึ่งวันนี้ก็เช่นกันที่เขาแวะเอากล้วยหอมเครือใหญ่ที่กำลังสุกเหลืองมาฝาก

“มาทำไมไม่ทราบ”

“ผมแวะเอากล้วยมาฝากครับ”

“หวีใหญ่ดีนะ”

“ครับ กล้วยของผมใหญ่ทุกลูกทุกหวี”

“อืม ดี แต่แกรู้อะไรมั้ยไอ้หนุ่ม กล้วยที่นี่ก็มีว่ะ”

“ครับ แต่ผมเห็นว่ากล้วยที่นี่ลูกเล็กแล้วยังไม่แก่ได้ที่เลยเอามาไว้ให้กินรอไปก่อนครับ”

“ขอบใจในความหวังดีทีหลังไม่ต้องก็ได้”

“ผมเต็มใจครับ สวัสดีครับคุณแม่” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้คุณนภาที่เดินยิ้มร่าออกมาพอดี ชายหนุ่มเรียกแม่เต็มปากเต็มคำพร้อมกับยิ้มกริ่มแต่ท่าทางอ่อนน้อม เมื่อเห็นคุณกวินทำตาขวางมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง

“จ้ะ ไปไหนมาลูก”

“พอดีผมแวะเอากล้วยสวยๆ มาฝากครับ”

"ดีเลยกำลังอยากกิน”

“ครับแล้วนี่คุณยายกับต้นกล้าล่ะครับ”

“อะแฮ่ม”

“เป็นอะไรคะคุณพี่”

“พอดีพี่คอแห้งน่ะ น้องนภาช่วยไปหยิบน้ำให้พี่หน่อยได้มั้ย”

“ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นมาๆ พ่อเดี่ยวมากินด้วยกันเดี๋ยวแม่หาน้ำให้”

“เอ๊ะ พ่อหนุ่มนี่เขาว่าจะกลับแล้วนะไอ้จ๋าๆ มานี่ซิ”

“ครับคุณลุง” คุณกวินเห็นไอ้จ๋าที่เดินหิวถังมาพอดีจึงเรียกเอาไว้ มันก็รีบเข้ามาหาโดยไวเพื่อให้ทันใจผู้เป็นลุง

“เอากล้วยไปเก็บไปมีคนเขาเอามาฝากเนี่ย อย่างกับว่าบ้านเราไม่มี”

“บ้านเราก็มีครับ” ไอ้จ๋ารีบบอกตามความจริง

“นั่นไงเห็นมั้ยบ้านฉันก็มีโว้ย คราวหลังไม่ต้องนะแต่ก็ขอบใจ” คุณกวินบอกแล้วยิ้มกริ่มเหมือนชอบใจแต่รอยยิ้มก็ต้องหุบลงฉลับพลันเมื่อไอ้จ๋าอ้าปากพูดขึ้นมา

“แต่มันยังไม่ทันแก่เลยครับคุณลุง เพิ่งติดดอกก็มีกว่าจะได้กินคงอีกหลายเดือน” ไอ้จ๋าบอกหน้าซื่อตามความจริงเพราะมันเองก็เพิ่งมาจากสวนกล้วย ในถังที่มันถือมายังมีใบตองที่แม่แจ่มใจสั่งให้มันตัดมาด้วยเพื่อทำห่อหมกอยู่เลย

“เออ ซื้อที่ตลาดก็ได้นี่วะ”

“แต่ยังไงก็มีคนเอามาให้แล้วของฟรีคุณลุงไม่ชอบเหรอครับ”

“ฉันมีเงินซื้อกินเองได้ และฉันไม่ชอบของฟรีโว้ย แกรีบๆ เอาไปเก็บเลย”

“ครับๆ ๆ หึๆ ไม่ค่อยชอบเลยนะครับ “ไอ้จ๋าบอกยิ้มๆ แต่ก็รีบเอากล้วยเครือให้เข้าไปเก็บตามที่คุณกวินสั่ง

“ไปนั่งที่แคร่ตรงโน้นดีกว่านะจ๊ะ พ่อเดี่ยวมาก็ดีเหมือนกันแม่ว่าจะถามเรื่องงานบุญออกพรรษาสักหน่อย”

“ได้ครับ”

“แหมเรื่องงานบุญถามพี่ก็ได้นี่จ้ะน้องนภา”

“แต่พ่อเดี่ยวเขาเข้าวัดบ่อยกว่าคุณพี่อีกนะคะ แถมยังเป็นลูกชายกำนัน”

“แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะจ้ะ”

“พ่อเดี่ยวเขาก็ต้องรู้เรื่องกำหนดการจัดงานดีกว่าคุณพี่สิคะ” คุณนภายิ้มให้สามีแล้วมองไปทางหลังบ้านที่ไอ้จ๋าเพิ่งแบกกล้วยเครือใหญ่เข้าไป “จ๋าเอาน้ำเย็นๆ ออกมาให้พี่เขาด้วยนะ” พอมันตอบรับมาแล้วคุณนภาที่ยังสาวสวยพริ้งแม้อายุย่างเข้าสู่วัยกลางคนก็เดินมาจับข้อมือเด็ดเดี่ยว ดึงให้ไปนั่งคุยกันที่แคร่ใต้ต้นลำไย มีคุณกวินมองตามอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ลืมเดินไปนั่งด้วยเพื่อกันท่า

“คุณยายล่ะครับคุณแม่”

“คุณยายหลับจ้ะส่วนเจ้ากล้าเห็นบอกออกไปดูไร่อ้อยที่ดงรัก”

“อ๋อครับ” เป็นอันรู้กันว่าต้นกล้าไปไหนเมื่อคุณนภาตอบคำถามเหมือนรู้ใจชายหนุ่ม ว่าที่จริงแล้วคนที่เขาต้องการถามหานั้นเป็นคนหลานมากกว่าคุณยาย ซึ่งเพียงแค่คุณนภาบอกชื่อพื้นที่เขาก็รู้แล้วว่าที่ไหน เพราะที่นาที่ไร่แต่ละแห่งถูกตั้งชื่อขึ้นเพื่อให้เป็นที่รู้ได้ง่ายๆ ว่าจุดไหนเป็นจุดไหน ชื่อแต่ละชื่อนอกจากจะตั้งให้เรียกง่ายแล้วยังตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ อย่างชื่อดงรักก็ได้มาจากการที่เมื่อก่อนแถวนั้นมีต้นดอกรักขึ้นอยู่เต็มไปหมด จึงเอามาตั้งเป็นชื่อที่ดินบริเวณนั้นด้วย และดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อที่น่าฟังเป็นพิเศษทีเดียว

เด็ดเดี่ยวนึกถึงใบหน้าหล่อใสที่มักจะซับสีเลือดจางๆ เมื่อต้องโดดแดดลามเลียเวลาออกไปทำงานกลางแจ้ง แม้ต้นกล้าจะใส่หมวกเพื่อช่วยบังแดด แต่ความร้อนที่มาพร้อมกันก็ทำให้ผิวถูกบ่มจนน่ามอง คิดถึงแล้วก็ได้แต่ยืนอมยิ้มอยู่อย่างนั้นเหมือนคนเพ้อ จนมีเสียงกระซิบที่พอได้ยินดังขึ้นข้างๆ จึงได้รู้สึกตัว

“ยิ้มอะไรวะไอ้หนุ่ม”

“เปล่าครับ”

“วันนี้ว่างปะ”

“ครับมีอะไรจะใช้ผมบอกมาได้เลยครับ”

“เออ มีแน่นอน” คุณกวินยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเด็ดเดี่ยวเปิดไฟเขียวให้เขาใช้งานอย่างเต็มที่แบบนี้



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



เมื่อจัดการงานตามหน้าที่ของตัวเองที่บ้านเสร็จแล้ว ไอ้จ๋าก็ได้เวลามาทำงานที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรของเถ้าแก่สินเพื่อพิสูจน์รักแท้ของมัน ตัวมันเองรู้ดีว่าการจะพิสูจน์ให้เถ้าแก่เห็นถึงความรักความจริงใจของมันนั้น ไม่ใช่ความขยันขันแข็ง แต่เป็น...

“วันนี้งานหนักหน่อยนะ”

“ครับ”

“กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ”

“เรียบร้อยมาแล้วครับ”

“งั้นเริ่มงานเลยคงไม่เป็นไรหรอกใช่มั้ย” เถ้าแก่สินถามแล้วมองไปทางรถพ่วงสิบแปดล้อที่บรรทุกปุ๋ยมาเต็มหลายร้อยกระสอบ แต่ละกระสอบก็หนักๆ เน้นๆ กระสอบละ 50 กิโลกรัม ที่แม้จะมีรถเข็ญใช้ในการขนแต่ก็ถือว่าหนักเอาการทีเดียว เพราะยังไงก็ต้องแบกขึ้นแบกลงอยู่ดี ก่อนจะมองกลับมาทางไอ้จ๋าที่มันต้องไปช่วยคนงานขนปุ๋ยเข้าไปเก็บไว้ในโกดังหลังร้าน รอคำตอบ

“ครับ ไม่เป็นไรครับ” เสียงที่หนักแน่นของไอ้จ๋าทำให้เถ้าแก่สินแอบพอใจอยู่ลึกๆ แต่ก็ทำเพียงพยักหน้าแทนการบอกให้มันไปทำงานได้แล้ว ตลอดหลายวันที่ผ่านมาไอ้จ๋าทำงานด้วยความขยันขันแข็ง แววตาของมันมีแต่ความมุ่งมั่น ที่จะทำเพื่อให้เถ้าแก่เห็นว่ามันจริงจังแค่ไหน นับว่าไอ้จ๋ามันก็คนสู้คนหนึ่ง ที่อายุเพียงเท่านี้ก็รู้คิดมากเกินตัว

กว่าไอ้จ๋ากับคนงานจะช่วยกันขนปุ๋ยเก็บเข้าโกดังเสร็จเวลาก็บ่ายคล้อยเข้าไปแล้ว มันจึงมานั่งพักเหนื่อยอยู่หลังบ้านหน้าโกดังเก็บของ ซึ่งติดกับประตูด้านหลังของตึกที่มีบันได้ขึ้นไปแต่ละชั้นพอดี ตอนนี้ประตูหลังบ้านเปิดเอาไว้เพราะแม่บ้านกำลังขนกระติกน้ำเย็นออกมาเปลี่ยนให้คนงาน ที่ทำงานหนักท่ามกลางความร้อนของอากาศจนเหงื่อเปียกชุ่มไปหมด คนงานหลายคนถอดเสื้อทิ้งไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้จ๋า ที่ถอดเสื้อออกอวดกล้ามเนื้อเป็นมัดสมสัดส่วนความเป็นชายของมัน

ไอ้จ๋านั่งเอาเสื้อพัดไล่ความร้อนให้ตัวเอง รู้สึกถึงการถูกจ้องมองมันจึงหันไปตามสัญชาติญาณ ตาจึงสบกับตาหวานที่จ้องอยู่แล้วเข้าพอดี ไอ้จ๋าอึ้งไปเพียงเสี้ยวของวินาทีก็ต้องหันไปทางอื่น ก่อนที่ความอดทนทั้งหมดที่มันเพียรทำมาจะถูกทำลายลง เพียงเพราะแววตาโหยหาจากเจ้าของร่างบอบบางที่กำลังมองมันอย่างคิดถึง

ความน้อยเนื้อต่ำใจจู่โจมในความรู้สึกจนแทบร้องไห้ออกมา แม้จะบอกตัวเองว่าไอ้จ๋าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่น้ำส้มก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจในความหมางเมินของมัน ใบหน้าสวยสะบัดหนีจากความเฉยชาพาตัวเองขึ้นห้องเก็บตัว รู้ทั้งรู้ว่าไอ้หมาหน้าดำทำเพื่อตัวเอง แต่ทำไมไม่เคยห้ามความน้อยใจได้สักที

ฝ่ายไอ้จ๋าเมื่อพักจนหลายเหนื่อยดีแล้ว มันก็หันไปมองหางานอื่นมาทำต่ออย่างคนที่อยู่เฉยไม่เป็น ชายวัยกลางคนมองไอ้จ๋าทำงานอยู่ห่างๆ สองมือยกขึ้นมากอดอกด้วยความพอใจอยู่ลึกๆ แม้จะมีบางช่วงที่มันแอบมองลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่อยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำผิดสัญญา เพราะเถ้าแก่เองก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้มองและไอ้จ๋ามันก็รู้ตัวเองดี ว่าถ้ามันทำมากกว่านั้นสัญญาและข้อตกลงที่มีเป็นอันสิ้นสุด มันจะไม่ได้เห็นหน้าไม่ได้คบกับน้ำส้มอีกต่อไป ไอ้จ๋าทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดและเถ้าแก่สินเริ่มไว้ใจ ติดก็แต่ลูกชายคนเล็กของตัวเองนี่ล่ะ ที่นับวันยิ่งจะทนความคิดถึงไม่ได้ หลายครั้งที่น้ำส้มดูเหมือนเกือบล้มเลิกข้อตกลงเพียงเพราะความเป็นห่วง เมื่อเห็นไอ้จ๋าทำงานหนักตามประสาคนรักที่อยากมาอยู่ใกล้กัน แต่เป็นไอ้จ๋าคนที่รักษาสัญญาเท่าชีวิต ที่มันคอยเลี่ยงทุกครั้งจนน้ำส้มโกธรและน้อยใจไปเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะโกรธจะงอนจนต้องเสียน้ำตาที่ไอ้จ๋ามันก็รู้ แต่กระนั้นมันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ทำงานทุกอย่างตามที่สั่งโดยไม่เคยถามเลยว่าข้อตกลงจะสิ้นสุดเมื่อใด

“จ๋า”

“ครับป้า”

“ถ้างานเสร็จเถ้าแก่ให้ไปพบ”

“ครับ” ไอ้จ๋ารับคำแล้วมองเลยไปด้านหลังของแม่บ้านวัยกลางคน น้ำส้มเฝ้ามองไอ้จ๋าด้วยความห่วงใยและความโกรธปนความน้อยใจ กับสิ่งที่มันทำเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่มาทำงาน แม้จะรู้ว่าไอ้จ๋าทำตามข้อตกลงแต่ก็อดคิดมากและน้อยใจไม่ได้ น้ำส้มสะบัดหน้าหนีแล้วเดินขึ้นบ้าน ก่อนที่หยดน้ำใสๆ จะไหลออกมาให้อีกคนเห็น ไม่อยากงี่เง่าแต่บางครั้งมันก็ทำใจไม่ได้



น้ำส้มขึ้นห้องไปแล้วโดยไม่สนใจไอ้หมาหน้าดำที่มองตามตาละห้อยเลยสักนิด มันได้แต่ฝากเสียงกระซิบไปกับดินฟ้าและอากาศที่ร้อนอบอ้าว เพื่อบอกน้ำส้มว่าขอโทษ ภาวนาให้น้ำส้มอดทนและไม่โกรธหรือน้อยใจมันมากไปกว่านี้ ก่อนที่มันเองจะทนทำตามข้อตกลงไม่ไหวอีกต่อไป เพราะเจอหน้าเมื่อไหร่อีกคนก็ได้แต่มองกันด้วยสายตาน้อยใจแกมตัดพ้อทุกที จนไอ้จ๋าร่ำๆ จะทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งไปรวบร่างบอบบางมากอดเอาไว้ให้สมรัก แต่ที่ทำได้จริงๆ คือท่องในใจเอาไว้ว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน สักวันว่าที่พ่อตาต้องเห็นใจ สักวัน สักวันหนึ่งอันใกล้นี้



%%%%%%%%%%100%%%%%%%%%

ชักสงสารไอ้จ๋าแล้วนะ แหะๆ ๆ เรื่อยๆ ให้พี่เดี่ยวพาเที่ยวก่อนจะกลับไปสู้ศึกพ่อตาค่ะ
ที่หายไปนาน มัวยุ่ง ๆ กับเล่มพี่เดี่ยวต้นกล้านี่แหละ แถมด้วยอีบุคไง
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมขายค่ะ แต่คนอ่านพร้อมเปย์มั้ยไม่รู้
ถ้ามีใจก็สอยหนุ่มไปอยู่ด้วยหน่อยนะคะ ไม่รุ้ประกาศของที่นี่เขาทำยังไง
ดาวยังไม่มีเวลาอ่านกฏเพิ่มเลย
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 100% 3/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-02-2019 00:46:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

ว้าว....ต้นกล้ากลับมาแล้ว

คุณพ่อตาก็ยังแสบเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 100% 3/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-02-2019 00:58:42
โอ๊ยยย หมั่นไส้อีพ่อตาจริงๆ พอกันเลยทั้งสองคู่
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 24 คำสารภาพจากใจต้นกล้า 100% 3/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 12-02-2019 07:15:04
มารอต้นกล้า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 50% 12/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-02-2019 21:06:15


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง

เป็นเวลาเกือบอาทิตย์กว่าแล้ว ที่เมื่อเด็ดเดี่ยวแวะมาหาต้นกล้าเมื่อไหร่ ก็มักจะเจอคุณกวินดักหน้าเอาไว้ก่อนที่จะได้พบกันแทบทุกที เหมือนกับรู้ว่าเขาจะมาเวลาไหนยังไงอย่างนั้น และวันนี้ก็เช่นกันที่ชายหนุ่มแวะมาแต่เช้า เจอคุณกวินกำลังส่องต้นไม้ใบหญ้าในสวนหน้าบ้าน ทำให้ยากจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะต้องขับรถเข้ามาจอดตรงนี้อยู่ดี คนแรกที่เขาได้ทักทายจึงเป็นว่าที่พ่อตา ที่พยายามจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นคู่ปรับของเขาแทน

“สวัสดีครับ” เด็ดเดี่ยวยกมือไหว้คุณกวินอย่างคนมีมารยาทดีและอ่อนน้อม ซึ่งก็เหมือนปกติทุกวันที่ชายวัยกลางคนจะทำเพียงตีหน้านิ่ง และเมินเฉยมองข้ามคำทักทาย ไม่รับไหว้ของเขาไม่พอยังหาเรื่องมาแกล้งใช้งานต่างๆ นานาให้ชายหนุ่มไม่สามารถปลีกตัวไปหาต้นกล้า หรือหาแนวร่วมคนอื่นอย่างคุณนภา คุณยายหรือไอ้จ๋าได้ นอกจากทั้งสามจะมาตามหาเองหากรู้ว่าชายหนุ่มมา

อย่างวันนี้ก็เช่นกันเมื่อเด็ดเดี่ยวขับรถเข้ามาจอดลงที่สวนหน้าบ้าน ใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่อันเป็นที่จอดประจำ คุณกวินที่ก้มๆ เงยๆ ดูบอนไซอยู่แถวนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทักทันที เหมือนรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว

“มาแต่เช้าเลยนะไอ้หนุ่ม พ่อแกเป็นไงบ้างล่ะ หมู่นี้ไม่เห็นหัวไอ้กำนันเลยมันสบายดีนะ"

“ครับพ่อกำนันสบายดีแข็งแรงฟิตปั๋งเหมือนเดิม”

“แล้ววันนี้แกว่างหรือไง”

“ก็พอว่างครับ”

“หืม..? ตอบแบบนี้จะไหว้วานอะไรก็เกรงใจจริงๆ ว่ะ” เด็ดเดี่ยวล่ะอยากบอกจริงจริ๊ง ว่าไม่ต้องเกรงใจ เพราะถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ว่าง หากคุณกวินที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนึกอยากแกล้งใช้งาน ก็สั่งงานให้เขาทำอยู่ดีโดยไม่สนใจหัวใคร อย่างวันก่อนก็ใช้ให้เขาดายหญ้าทางเดินลงนาคนเดียว กว่าจะเสร็จก็ดึกโข ทั้งที่เครื่องตัดหญ้าก็มีแต่ไม่ยอมให้เอาออกมาใช้ จริงๆ ชายหนุ่มเองก็ไม่บ่นหรอกนะ เพราะมันทำให้เขาได้รับคะแนนความห่วงใยจากต้นกล้ามาเต็มๆ ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกันนัก และไม่ค่อยได้มีโอกาสแง้มไต๋ให้คุณยายและคุณแม่นภาได้รู้ ถึงความตั้งใจของตัวเขาเองเลยสักครั้งเดียว แล้วอย่างนี้แผนที่จะเข้าทางคุณยายเพื่อให้ค่อยๆ ซึมซับความรักระหว่างเขากับต้นกล้ามันจะก้าวหน้าไปได้อย่างไรเล่า

“แล้วมีอะไรจะไหว้วานผมเหรอครับบอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจขึ้นนะ จะได้ใช้โดยไม่ต้องคิดเกรงใจอะไรกันมาก” นั่นปะไรล่ะ เดี๋ยววันหลังคงต้องลองซื้อหวยดูบ้างเผื่อจะถูกอย่างชาวบ้านเขา

“ครับผมเต็มใจอยู่แล้ว”

“อืม ช่วงนี้นาบางส่วนเริ่มเกี่ยวข้าวแล้วนะ ไหนๆ แกก็ถางทางไว้แล้ว ถางลานข้าวให้ฉันหน่อยจะเป็นไรไป” หืม? ถางลานข้าวอย่างนั้นหรือ ใช่ล่ะบริเวณที่ทำเป็นลานข้าวเก่าไม่ได้ใช้งานมาตั้งแต่การเก็บเกี่ยวคราวก่อน มันย่อมต้องมีหญ้าขึ้นมาเป็นธรรมดา แต่สมัยนี้เขาก็ทำกันง่ายๆ แค่เอาผ้าตาข่ายไนลอนตาถี่มาปูก็ได้แล้ว แต่กระนั้นเด็ดเดี่ยวที่อยากรู้ว่าคุณกวินจะแกล้งใช้งานอะไรเขาบ้างก็ยังยอมตกลง

“ได้สิครับ”

“งั้นไปเลยเตรียมตัวทำงาน อุปกรณ์อยู่ทางโน้น”

“ลูกพี่มาแต่เช้าเลยนะครับ” เสียงไอ้จ๋าที่เดินมาจากทางบ้านตัวเองทักขึ้น หนุ่มต่างวัยทั้งสองจึงหันไปมองพร้อมกัน

“ไอ้จ๋ามาพอดี มานี่มาลุงมีงานให้ทำ”

“งานอะไรครับคุณลุง วันนี้ไอ้จ๋าว่าจะเอารถไถลงไปเกรดหน้าดินทำลานข้าวเอาไว้หน่อย”

“งานนั้นฉันมีคนทำแล้วว่ะ ไม่ต้องใช้รถหรอกเปลืองน้ำมัน แต่ฉันอยากให้แกไปธุระให้หน่อย”

“ได้ครับ”

“งั้นมานี่”

“ครับ” เมื่อไอ้จ๋าเดินเข้าไปหาคุณกวินก็ล็อกคอมันเข้ามากระซิบกระซาบบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ไอ้จ๋าได้ยินแล้วแทบเต้นผางถอยออกมาแทบไม่ทัน “เอาอย่างนี้เลยเหรอครับคุณลุง” ไอ้จ๋าถามเพื่อความแน่ใจก่อนจะหันไปมองเด็ดเดี่ยว เพราะสิ่งที่ชายวัยกลางคนบอกนั้นสมัยนี้เขาไม่ทำกันแล้ว

“ฉันสั่งก็ไปทำเถอะน่า”

“แต่ไอ้จ๋าว่า..” ไอ้จ๋าหันไปทางลูกพี่รองอีกครั้ง ในใจก็ให้นึกสนุกอยู่หรอกแต่ตัวมันเองที่รู้ซึ้งถึงการโดนว่าที่พ่อตาทดสอบและกลั่นแกล้ง จึงอดเห็นใจเด็ดเดี่ยวไม่ได้ แต่พอหันกลับมาหาผู้มีศักดิ์เป็นลุงก็ได้เจอกับสายตาดุๆ ที่มองมาอย่างกดดัน มันจึงจำต้องน้อมรับคำสั่งแล้วรีบไปจัดการ

“คุยอะไรกันอยู่คะเนี่ย” เสียงหวานดังขึ้นเหมือนเสียงจากสวรรค์สำหรับเด็ดเดี่ยว เพราะคุณกวินค่อนข้างเกรงใจเจ้าของเสียงนี้มาก เวลาที่คุณนภาอยู่ด้วยเขาจึงไม่ค่อยโดนคำพูดจิกกัดเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า*’ ไอ้หนุ่ม’ * ที่เรียกจะเปลี่ยนเป็น ‘พ่อหนุ่ม’ แทนทันที หรือแม้กระทั่งโดนแกล้งที่มันเกินไปในบางครั้ง คุณนภายังช่วยชายหนุ่มได้บ้าง

“สวัสดีครับคุณแม่” เด็ดเดี่ยวยกมือไว้ทักทายคุณนภา ตาเหลือบขึ้นไปเห็นคุณยายที่ยืนมองมาจากระเบียงเขาจึงไหว้ไปทางนั้นด้วย

"ไปไหนมาล่ะลูก ปะไปกินข้าวกินปลากันดีกว่าสายแล้ว”

“เมื่อกี้ลูกชายคนใหม่ของน้องนภาบอกพี่ว่าเขากินมาแล้ว จริงไหมวะพ่อหนุ่ม”

“เอ่อ...จริงครับ”

“หึๆ ๆ งั้นก็รีบไปทำงานซะสิ”

“หืม? ทำงานอะไรคะคุณพี่”

“พอดีพ่อหนุ่มนี่เขาจะมาช่วยทำลานข้าวจ้ะ”

“ข้าวเพิ่งเริ่มเกี่ยวได้ไม่เท่าไหร่เลยจะทำไว้แล้วเหรอคะ”

“เตรียมพร้อมไงจ๊ะจะได้ไม่ฉุกละหุก ไปกันเถอะคุณแม่คงรอกินข้าวแล้ว ทำงานดีๆ นะโว้ยแก” คุณกวินหันไปกำชับเด็ดเดี่ยวพร้อมแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมให้ ก่อนจะประคองไหล่ภรรยาสุดที่รักให้เดินขึ้นบ้านไปด้วยกัน ชายหนุ่มมองตามพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมาจางๆ กับท่าทีของคุณกวิน ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมญาติดีต่อกันง่ายๆ

เด็ดเดี่ยวเดินไปหยิบจอบเหวี่ยงขึ้นบ่าไม่ลืมหยิบมีดพร้าที่ไอ้จ๋าลับไว้จนคมมาถือเอาไว้มั่น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เขาใช้งานวันก่อน จากนั้นจึงเดินลงไปยังทางโล่งเตียนที่ก็เป็นตัวเขาเองนั่นแหละมาถางเอาไว้ ทางเดินดินที่ทำพอให้รถสามารถขับผ่านได้ ด้านหนึ่งเป็นทุ่งนากว้างที่ข้าวกำลังทอรวงเหลืองอร่าม เพราะมันถึงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวแล้ว อีกด้านเป็นสวนที่มีทั้งแปลงผัก แปลงมะนาว มะม่วง มะขามหวาน ฝรั่ง และบ่อปลา ริมทางปลูกมะพร้าวน้ำหอมต้นเตี้ยเรียงเป็นแถวดูสวยงามเป็นระเบียบ ยอดหญ้าสีเขียวอ่อนและรวงข้าวสีทอง เกาะเต็มไปด้วยน้ำค้างยามเช้าที่ล้อเล่นกับแสงแรกของวันจนเป็นประกายงามตาไปทั้งทุ่ง ไอหมอกที่ลงทั้งคืนยังลอยระอยู่กับยอดข้าว เหมือนกำลังหยอกเย้ากันเล่น นกตัวเล็กบินออกจากรังเพื่อหาอาหารมองเห็นอยู่ไกลๆ พร้อมลมหนาวโชยมาเป็นระยะให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำ อากาศเย็นชื้นๆ ยามเช้าของท้องนาที่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวและฤดูกาลเก็บเกี่ยว ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากจนไม่อยากจากไปอยู่ที่ไหนไกลๆ อีกแล้ว

ลานข้าวเก่ายังคงเค้าความเป็นลานข้าวที่พื้นดินเรียบราบเหมือนเดิม ด้านหนึ่งแบ่งเขตกับทุ่งนาด้วยมะม่วงต้นเตี้ยๆ ถัดไปเป็นไผ่กอใหญ่สองกอที่ผูกเปลญวนจากต้นไผ่ลำใหญ่โยงเข้ากับต้นมะม่วงใบหนา ซึ่งมันเคยพาต้นกล้าขาดไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้จึงมีเปลอันใหม่พร้อมเชือกที่แข็งแรงกว่าเดิมมาผูกแทน

แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานนานหลายเดือน แต่พื้นดินตรงนี้ก็ยังคงความเรียบของหน้าดินเอาไว้ ให้รู้ว่ามันใช้ทำอะไรมาก่อน ติดก็แต่ที่มีต้นหญ้าเตี้ยๆ ขึ้นจนรกเต็มไปหมด ซึ่งนี่คืองานของเด็ดเดี่ยวในวันนี้ ที่ชายหนุ่มต้องถางมันออกไปโดยต้องปรับหน้าดินให้เรียบอีกด้วยอย่างที่คุณกวินสั่งมา ทั้งที่ทุกครั้งไอ้จ๋ามันแค่เอารถไถมาเกรดหน้าดินออกก็เสร็จเรียบร้อยในไม่กี่นาทีแล้ว แต่นี่เป็นคำสั่งที่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการกลั่นแกล้งแต่เด็ดเดี่ยวก็เต็มใจทำ

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

“เฮ้ยไปไหนวะ”

“แถวๆ นี่ครับลูกพี่”

“เออ นั่นล่ะแล้วไปทำอะไรล่ะ”

“หึๆ “นอกจากไอ้จ๋ามันจะไม่ตอบตรงๆ แล้วยังหัวเราะเสียงโรคจิตที่ต้นกล้าได้ยินแล้วหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องใจเย็นๆ เอาไว้ หากอยากรู้เรื่องที่ต้องการรู้ก็อย่าทำให้ให้จ๋ามันคิดว่าอยากรู้ แต่คนใจร้อนอย่างต้นกล้าจะห้ามตัวเองได้ที่ไหนล่ะ

“เอ๊า..้อย่ากวนนะเว้ยเดี๋ยวปั๊ด”

“ไอ้จ๋าไม่ได้กวนนะครับ แต่นี่มันความลับระดับชาติระหว่างไอ้จ๋ากับคุณลุง ไอ้จ๋าคงบอกไม่ได้”

“นี่แกไม่เห็นหัวฉันแล้วใช่มั้ย..คายออกมา!”

“เอ่อ...”

“เมื่อกี๊ฉันเห็นนะแกกระซิบกระซาบอะไรกับคุณพ่อ”

“ไม่มีอะไรครับ”

“ต้องมีสิวะ”

“โธ่ ลูกพี่อย่ามาจับผิดไอ้จ๋าเลยครับ ไอ้จ๋าก็แค่รับคำสั่งมาปฏิบัติตามก็เท่านั้นเอง”

“คำสั่ง..? คำสั่งอะไรวะ”

“ไอ้จ๋าบอกไม่ได้จริงๆ ครับลูกพี่” ต้นกล้าชักทนไม่ไหวกับมันแล้วนะ เพราะนอกจากไอ้จ๋าจะไม่ยอมบอกดีๆ ท่าทางกวนๆ ของมันยังทำให้เขาของขึ้นเอาได้ง่ายๆ

“บอกมาซะดีๆ”

“โธ่เห็นใจไอ้จ๋าเถอะครับ”

“แกก็เห็นใจฉันบ้างสิวะ”

“ลูกพี่จะให้ไอ้จ๋าเห็นใจเรื่องอะไรล่ะครับ” เอ่อ อุ๊ป! พอเจอคำถามสวนกลับของไอ้จ๋าต้นกล้าจึงเพิ่งรู้ตัว ว่าได้เผลอถามมันด้วยความอยากรู้มากเกินไป แต่ก็เพราะห่วงว่าคนหน้ามึนจะโดนแกล้งนั่นแหละ เลยต้องเค้นเอาคำตอบจนลืมว่ามันอาจจะสงสัยอะไรเอาได้ ต้นกล้าถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่อยากพูดไม่อยากมองหน้าไอ้จ๋าแล้ว ปล่อยให้มันยืนอมยิ้มทำหน้ารู้ทันอยู่อย่างนั้นจนพอใจเลยเถอะ เพราะจะให้บอกว่าอยากรู้ทำไมออกไปตรงๆ ได้อย่างไรล่ะ เดี๋ยวมันก็ล้อเอาได้นะสิ ฮึ่ย!

เมื่อมองมาจากมุมที่ต้นกล้าแอบซุ่มดูตั้งแต่เด็ดเดี่ยวขับรถเข้ามา จนกระทั่งลงมาคุยกับคุณกวิน ต้นกล้าก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง เช่น แผนกลั่นแกล้งครั้งใหญ่ หากเป็นแผนของไอ้จ๋าต้นกล้าจะเรียกมันว่าแผนชั่ว แต่นี่เป็นแผนของคุณกวินผู้เป็นพ่อ เป็นแผนกลั่นแกล้ง ที่มีเอาไว้ใช้กับเด็ดเดี่ยวโดยเฉพาะ ต้นกล้าจะขอเรียกมันว่าแผนสกัดดาวรุ่งก็แล้วกัน หนุ่มหัวแดงเผลอขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคิดไม่ตก ว่าแผนของคุณกวินที่จะเอามาแกล้งเด็ดเดี่ยววันนี้คืออะไร

“ลูกพี่ครับ”

“อะเออ..อะไรวะ”

“ทำไมเงียบไปล่ะครับ”

“เปล่าไม่มีอะไรว่าแต่แกเถอะ จะไม่บอกจริงๆ ใช่มั้ยว่ามีเรื่องอะไรกัน”

“โธ่ไอ้จ๋าลำบากใจนะครับ”

“เออ ลำบากใจก็ไม่ต้องพูดอยากรู้ตายเลยโว้ย!” ตอนนี้คนที่ไม่อยากรู้หน้าบูดหน้าบึ้งและเดินตึงตังออกไปเรียบร้อยแล้ว จนไอ้จ๋าได้แต่ส่ายหัวยอมใจ ก่อนจะเรียกลูกพี่ใหญ่ของมันให้หันกลับมา

“ลูกพี่ครับถ้าอย่างนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นมันอย่างไหนวะ” ต้นกล้าหูตั้งขึ้นมาทันทีเมื่อหันขวับกลับมาถาม ไอ้จ๋าจึงรีบโน้มตัวเข้ามากระซิบกระซาบ ด้วยท่าทางเหมือนกับตอนที่คุณกวินกระซิบกับมันไม่มีผิด ไม่ผิดแม้กระทั่งการพาดท่อนแขนไว้บนไหล่ของลูกพี่ใหญ่แล้วรั้งเข้ามาหาก่อนจะพูด โดยไม่ลืมย้ำกับต้นกล้า ว่ามันคือความลับสุดยอดและแผนการนี้ห้ามบอกใครโดยเด็ดขาด

“..........”

“...........”

“สัญญาเลยนะครับลูกพี่ เหยียบให้มิดปิดให้แซด อย่าบอกใคร*! *” ไอ้จ๋ามีสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่ต้นกล้าเคยเห็นมา มันจ้องตาลูกพี่ใหญ่เขม็งรอคำตอบ

“ได้สิวะคราวหลังเรื่องสนุกๆ แบบนี้แกควรบอกฉันก่อนเป็นคนแรกเลยนะเว้ย”

“แหมไอ้จ๋ากลัวแผนรั่วนี่ครับลูกพี่”

“มันจะรั่วไปไหนได้วะ แกไม่ไว้ใจฉันหรือไงห๊า!” ไอ้จ๋าล่ะอยากบอกจริง จริ๊ง ว่าไม่ไว้ใจเลย ตั้งแต่ที่เห็นลูกพี่ทั้งสองเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามส่งสายตาหากัน แต่ก็นั่นแหละคนเป็นลูกน้องอย่างมันจะพูดอะไรได้ล่ะวะ นอกจากมองอยู่ห่างๆ มีล้อมีแซวบ้างทุกครั้ง ในแบบที่มันเองไม่ยอมพลาดแน่นอน หากโอกาสเป็นใจก็เท่านั้นเอง หึๆ ๆ

“ลูกพี่เหยียบให้มิดเลยนะครับ อย่าให้รั่วไปถึงคนอื่นโดยเฉพาะคุณป้าหรือคุณยาย ไม่งั้นแผนชั่ว! เอ๊ย! ..แผนสกัดดาวรุ่งของคุณลุงล่มแน่”

“เรื่องสนุกแบบนี้ฉันจะปล่อยให้มันล่มง่ายๆ ได้ยังไงวะ หึๆ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะเจ้าเล่ห์กับแผนการที่ได้รับรู้มา และเขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วม นัยน์ตาดำขลับแพรวพราวเป็นประกายเหมือนคนกำลังสนุก ปากแสยะยิ้มเหี้ยมเมื่อมองเห็นภาพ ว่าอะไรเป็นอะไรรออยู่ข้างหน้า แม้ในใจจะรักนั่นก็ใช่ล่ะ แต่ทุกคนก็รู้ว่าการได้แกล้งคนที่เรารักนั้นมันคือสุดยอดความสนุกมากแค่ไหน

“หึๆ ๆ เยี่ยมมากครับลูกพี่ “ไอ้จ๋ายกหัวแม่มือให้ลูกพี่ของมันทั้งสองข้างเพื่อบอกว่าต้นกล้านั้นเยี่ยมยอดจริงๆ เยี่ยมจนลืมความลามปามที่มันบังอาจกอดคอลูกพี่ใหญ่เหมือนเพื่อสนิทไปเลยทีเดียว

“เออ ถ้าอย่างนั้นแกรีบๆ ไปจัดการตามแผนเถอะว่ะ”

“แหมพอรีดความลับจากไอ้จ๋าได้แล้วก็ไล่เลยนะครับ”

“เออสิ เดี๋ยวฉันก็จะลงไปเกี่ยวข้าวช่วยคนงานแล้วเนี่ย รอโอกาสนี้มาตั้งนาน”

“ครับๆ เดี๋ยวไอ้จ๋าจัดการเรื่องทางนี้แล้วจะรีบตามลงไป”

“เออ.. ระวังตัวด้วยละกัน อย่าไปเผลอบอกใครเข้าอีกล่ะ”

“รับแซบครับลูกพี่” ไอ้จ๋าบอกเสียงหนักแน่นพร้อมตะเบ๊ะให้อย่างเท่ ก่อนจะวิ่งไปทำงานที่มันได้รับมอบหมายด้วยความว่องไว

ต้นกล้ามองไอ้ลูกน้องคนสนิทวิ่งไปจนลับตาจึงหันกลับมาทางเดิม ยกมือขยับหมวกสานสีส้มแสบตาที่ใส่อยู่เล็กน้อยแล้วกระชับผ้าขาวม้าที่เคียนเอวให้แน่นขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบเคียวคู่ใจมาเกี่ยวไว้ที่ไหล่ เพราะสังเกตเห็นที่พี่สอนทำเมื่อวานแล้วมันดูท่าทางเหมือนมืออาชีพ ต้นกล้าเลยนึกอยากทำบ้าง หนุ่มหล่อเกาหลีเดินลงนาไปตามเส้นทางที่ได้รับการถางเอาไว้เป็นอย่างดี โดยไม่ลืมหยิบกระติกน้ำแข็งใส่น้ำหวานสีแดงสด ที่ขอให้แม่แจ่มใจเตรียมให้ติดมือลงไปด้วย

ต้นกล้ากระหยิ่มยิ้มย่องในใจเป็นพิเศษ เพราะวันนี้เป็นวันแรกของเขากับการเกี่ยวข้าว แม้ว่าจะไม่เคยจับเคียวเพื่อเกี่ยวข้าวหรือเกี่ยวอย่างอื่นมาก่อนก็ตามเถอะ แต่ของอย่างนี้มันศึกษาเรียนรู้กันได้ แม้จะยังไม่ทันเดินถึงนา แม้จะยังไม่ทันได้เกี่ยวข้าวสักต้น แต่ความปลื้มปริ่มภูมิใจและความตื่นเต้นก็มีอยู่เต็มเปี่ยม เพราะนี่ไม่ใช่การเกี่ยวข้าวธรรมดาที่ชาวนาเขาทำมาแต่บรรพชน แต่มันเป็นการที่ต้นกล้าจะได้เกี่ยวข้าวที่ตัวเองได้ร่วมปลูกเป็นครั้งแรกของการเริ่มต้น เขาเริ่มต้นทุกอย่างที่นี่ ที่แห่งนี้ล้วนเป็นครั้งแรกของเขา ตั้งแต่ไถพรวนดิน เตรียมดิน ไปจนถึงปักดำ ใส่ปุ๋ย แม้จะทุลักทุเลบ้าง แต่กลับเป็นความสนุกตื่นเต้นที่สุดในชีวิตที่เคยเจอมา แต่ไม่นับความตื่นเต้นตอนเจอผีนะเพราะนั่นมันคือความกลัว ทุกความทรงจำของการเริ่มต้นที่นี่ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกภูมิใจ เลือดชาวนาที่อยู่ในตัวสูบฉีดรุนแรงพลุ่งพล่าน พร้อมกับสองเท้าที่ก้าวย่างไปอย่างมั่นคง จุดหมายปลายทางคือทุ่งนาสีทองอร่ามกว้างสุดตา

ต้นกล้ายกมือสัมผัสเคียวเย็นๆ ที่เกี่ยวห้อยไว้บนไหล่ รู้สึกเต็มตื้นหัวใจอยู่ลึกๆ จนกระทั่งเดินผ่านลานข้าวเก่า ที่มีใครบางคนกำลังถางหญ้าปรับหน้าดินอย่างเอาเป็นเอาตายตามคำสั่งของคุณกวิน นั่นแหละสองขาที่กำลังเดินอย่างมีจุดหมายจึงได้หยุดลง

จากจุดที่ยืนอยู่ระยะไกลราวสิบกว่าเมตร ต้นกล้าเห็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนถึงศอก กางเกงยีนตัวเก่าขายาวเก็บปลายไว้ในรองเท้าบู้ตสีดำครึ่งแข้ง ไม่ลืมผ้าขาวม้าลายสวยสีสดใสที่เคียนเอว และหมวกปีกว้างทรงคาวบอยอันเป็นหมวกประจำตัว เขาคนนั้นกำลังใช้จอบถางหญ้าและถากหน้าดินให้เรียบ โดยกวาดเศษดินที่ถากออกไปกองไว้ข้างๆ บางครั้งก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามใบหน้า แต่ทุกกริยาก็ทำด้วยท่าทางขยันขันแข็ง แม้ว่าอากาศยามเช้าจะยังเย็นสดชื่น แต่เมื่อลงมือทำงานก็เล่นเอาเหงื่อตกได้เหมือนกัน

ปากบางได้รูปที่ใครคนนั้นบอกว่าน่าจูบทั้งวันทั้งคืนเผลอยิ้มให้ภาพที่เห็น ก่อนที่ตันกล้าจะหันไปทางเปลญวนที่เคยนอนเล่น หนุ่มกรุงที่กำลังจะกลายเป็นชาวนาเต็มตัวเดินไปวางของที่ถือมาลงข้างๆ แล้วทิ้งร่างลงบนเปลกว้าง เท้ายันพื้นให้เปลไกวเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นมาพาดไขว้กันเหยียดออกเต็มความยาว หยิบกระติกน้ำที่มีหลอดในตัวขึ้นมาดูดชิมรสหวานๆ ของน้ำสีแดงที่ชอบอย่างสบายใจรับลมที่พัดมาหวี่ๆ

ต้นกล้าไม่เร่งรีบลงนาเพราะตอนนี้ก็ถือได้ว่ายังเช้าอยู่มาก แต่อีกสักครู่คนงานก็คงเริ่มลงมากันแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยไปก็คงได้ ตอนนี้ขอนอนเล่นรับลมเย็นๆ และสูดอากาศสดชื่นสักครู่ก่อน แต่อะไรคือการที่คิดว่าจะนอนเล่นเพียงเดี๋ยวเดียวพอเจอลมที่โชยมาเย็นๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกหญ้าฉ่ำน้ำค้าง ต้นกล้าเลยหลับไปแบบไม่รู้ตัว มารู้สึกอีกทีก็เมื่อตอนที่สัมผัสได้ถึงอะไรเย็นๆ แตะซับและกดย้ำไปตามใบหน้าจนทั่ว พร้อมกับเสียง จุ๊บๆ ฟอดๆ นี่แหละ ที่ทำให้ต้นกล้าต้องลืมตาค่อยๆ ขึ้นมา

ฟอด ฟอด จุ๊บ จุ๊บ ฟอดดดดดด จุ๊บ

“เฮ๊ย! “ต้นกล้าผละออกเพราะลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคมคร้ามอยู่ห่างไม่ถึงคืบ รอยยิ้มเอ็นดูและสายตาวิบวับเป็นประกายที่ส่งให้กัน มันดูมีความหมายลึกซึ้งจนแทบจะทำตัวไม่ถูก ทั้งตกใจ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกระดาก ทั้งไม่รู้จะเอาตามองไปทางไหนใจมันถึงจะไม่สั่นไปมากกว่านี้ เอาจริงๆ ก็เขินนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเผลอทำน้ำลายยืดไปด้วยหรือเปล่า ต้นกล้าไม่มีเวลาตรวจตัวเองเลย ไอ้คนบ้าไอ้คนหน้ามึนทำอะไรแต่ละอย่างไม่คิดถึงจิตใจกันบ้างเลย ไอ้พี่บ้า ต้นกล้าตะโกนด่าอยู่ในใจและที่สำคัญก็ด่าตัวเองนี่แหละที่มานอนอยู่ตรงนี้ นี่เขาเผลอหลับไปได้ยังไงตั้งแต่ตอนไหน คิดแล้วก็เจ็บใจตัวเอง ที่ว่าจะนอนเล่นๆ สักครู่เดียวแต่ดันหลับไปจริงๆ เสียนี่ ฮึ่ย!! มันเขินจนหมดมาดคนหล่อแล้วนะเว้ยรู้หรือเปล่าไอ้พี่บ้า!

“มานอนให้กำลังใจแบบนี้ พี่จะทำงานทั้งวันเลยไม่บ่นเลย”

“เข้าข้างตัวเองไปนะ เรามานอนเล่นเป็นปกติทุกวันเหอะ”

“ว้าพูดแบบนี้พี่น้อยใจแทบไม่ทันเลยนะเนี่ย ว่าแต่น้ำหวานนี่พี่ขอชิมหน่อยได้มั้ยกำลังคอแห้งเลย”

“จะกินก็กินสิแค่นี้ใครจะหวง” ทำเหมือนไม่เต็มใจทั้งที่ก็อยากให้เขากินด้วยนั่นล่ะ ต้นกล้ายัดกระติกน้ำใส่มือของเด็ดเดี่ยว ที่รับไปถือไว้เอง ทั้งที่ตายังจับอยู่กับใบหน้าหล่อเกาหลีสีแดงระเรื่อ

“อะไรอีก?” แล้วต้นกล้าก็ต้องถามอย่างแปลกใจเพราะคนตัวโตเปิดฝาที่ปิดปลายหลอดแล้ว แต่ยื่นกลับมาจ่อที่ปากได้รูปสีชมพูจางๆ ของเขา

“พี่ให้ต้นกล้ากินก่อน”

“หึ ดีแล้วที่รู้ว่าของใครเป็นของใคร” ต้นกล้าบอกอย่างเป็นเจ้าของก่อนจะก้มลงดูดน้ำหวานในกระติกคำใหญ่ หูได้ยินเสียงเด็ดเดี่ยวบอกว่า เดี๋ยวพี่จะกินต่อ ซึ่งเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็ “อุ๊ป!! อื้ออออ”

‘พี่ให้ต้นกล้ากินก่อนแล้วพี่ค่อยกินในแบบของพี่ยังไงล่ะ’

คนที่ก้มลงดูดน้ำหวานเฮือกใหญ่ยังไม่ทันได้กลืนลงคอ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ถูกจู่โจมทันทีโดยการล็อกท้ายทอยจับประกบปากจากคนที่รอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว เด็ดเดี่ยวสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าควานหาหยอกเย้า ทั้งกวาดต้อนดูดดื่มทีละเล็กละน้อย จนเอาน้ำหวานเย็นๆ ที่อยู่ในปากของต้นกล้ามาเป็นของตัวเอง บางส่วนไหลล้นหยดลงมาตามมุมปากเขาก็ตามเก็บกลับคืนโดยไม่ให้เสียของ ปากกับลิ้นทำงานประสานกันเพื่อปล้นเอาความหวานฉ่ำที่ชื่นใจกว่าหวานใดๆ กลืนลงคอ จนน้ำหวานที่ต้นกล้าดูดเข้าไปถูกกลืนหมดแล้ว คนตัวโตก็ยังอ้อยอิ่งกับรสหวานละมุนจากเรียวลิ้นของคนถูกบังคับป้อนอย่างไม่รู้ตัว

น้ำหวานสีแดงสดหวานยิ่งกว่าหวาน หาใช่เพราะมันเป็นน้ำที่หวานอยู่แล้วไม่ แต่เป็นเพราะมันถูกป้อนมากับจูบหวานๆ นั่นต่างหาก ที่เล่นเอาคนบังคับป้อนไม่อยากถอนริมฝีปากออกจากกัน จนกระทั่งต้นกล้าเริ่มหายใจไม่ทันนั่นแหละสติของทั้งสองจึงกลับมา

“ทำอะไรเนี่ยถอยเลย” จะยิ้มจะบึ้งก็ทำไม่ถูก แต่ใบหน้าหล่อเกาหลีงอง้ำเหมือนไม่ชอบใจ ทั้งที่มุมปากมันคอยแต่จะยกขึ้นยิ้มจนต้นกล้าจะฝืนตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว เมื่อทำอะไรไม่ได้เลยหลุบตาลงมองหน้าอกแน่นๆ ชุ่มเหงื่อของคนตัวโต ที่นั่งคุกเข่ายืนพื้นไว้ข้างเดียวอยู่ตรงหน้า มือก็ผลักอกกว้างให้ถอยห่าง

“พี่กินน้ำหวาน”

“แล้วทำไมไม่กินจากกระติกเล่า”

“กลัวมันไม่หวานถูกใจพี่เท่ากินจากปากต้นกล้าไง” ไม่รู้ว่าที่ปากหวานอยู่นี้เป็นเพราะเด็ดเดี่ยวเพิ่งกันน้ำหวานลงไป หรือเป็นเพราะว่าเขาเองเป็นคนที่พูดจาหวานหูอย่างนี้อยู่แล้ว แต่มันก็ทำให้ต้นกล้าหน้างอหน้าง้ำไปได้เลยทีเดียว ซึ่งอาการหน้างอนี่ไม่ใช่เพราะโกรธกันหรอกนะ เป็นใครก็คงโกรธไม่ลงหากคนที่รักที่ชอบมาทำกับตัวเองแบบนี้ การทำอะไรบ้าๆ บอๆ ที่มีผลกับก้อนเนื้อกลางอก อะไรบ้าๆ บอๆ ที่ทำให้เนื้อก้อนนั้นมันเต้นกระหน่ำ จนกลัวว่าจะทะลุซี่โครงออกมาดิ้นกระแด่วๆ อยู่ข้างนอก ยิ่งอีกคนโน้มตัวเข้ามาใกล้ต้นกล้ายิ่งทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะรุกหนักไปทำไมนักหนา ต้นกล้าเบื่อที่จะเขินไปมากกว่านี้แล้วไม่รู้หรืออย่างไร โว้ย...ไอ้พี่บ้า!

ฟอดดดด

“มันเขี้ยว”

“เอ้า เกี่ยวไรกะเราอีก ถอยๆ เราจะไปเกี่ยวข้าวแล้วเนี่ย”

“เดี๋ยวสิพี่ยังชื่นใจไม่พอเลย”

“รีบๆ ไปทำงานเลยไป เดี๋ยวไม่เสร็จวันนี้ได้ทำจนดึกอีกแน่”

“ดึกก็ยอมถ้าต้นกล้าลงมาหาพี่เหมือนวันนั้นด้วย”

“ฝันไปเถอะ!” ใช่ฝันไปเถอะว่าต้นกล้าจะพาตัวเองลงมาให้ถูกเอารัดเอาเปรียบรังแกแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองก็มีใจเหมือนวันนั้น ที่เด็ดเดี่ยวถูกคุณกวินใช้ให้ถางหญ้าตรงทางลงนาจนค่ำ สามทุ่มก็แล้วสี่ทุ่มก็แล้วยังดูเหมือนจะไม่เสร็จ เพราะยังเห็นว่ารถยนต์คันเก่งของคนตัวโตจอดนิ่งอยู่ที่เดิม

ต้นกล้าต้องแอบย่องลงมาดูด้วยตนเอง ว่าจะถางอะไรกันนักหนาค่ำๆ มืดๆ อย่างนี้ อุตส่าห์ข่มความกลัวเดินฝ่าความมืดลงมาโดยไม่ง้อไอ้จ๋า แต่ที่ไหนได้งานเสร็จตั้งนานแล้วไม่ยอมกลับกันเพราะมัวแต่นั่งดื่มเบียร์ชมดาว โดยมีไอ้จ๋านั่นแหละเป็นผู้ร่วมวง แต่นั่นไม่เท่าไหร่ ต้นกล้าจะไม่อะไรเลยหากไอ้จ๋ามันไม่รีบปลีกตัวเลี่ยงออกไปก่อน แล้วเปิดโอกาสให้คนหน้ามึนเอาแต่ใจกับต้นกล้าเป็นชั่วโมง ด้วยการบังคับให้บีบนวดคลายเส้นจนปวดมือไปหมด

ต้นกล้าหย่อนขาลงจากเปลลุกขึ้นอยู่ในท่านั่งโดยหันหน้าเข้าหากัน นั่นทำให้คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเปลได้โอกาส สอดแทรกตัวเองเข้ามานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางระหว่างขาของเขาอย่างรวดเร็ว จนแทบจะโวยวายไม่ทัน

“ทำอะไรแบบนี้เด็ดเดี่ยวถอยๆ เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก”

“ใครจะมาเห็นล่ะ คนงานก็เดินไปหมดแล้ว”

“คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย ใครก็ได้แม้กระทั่งไอ้จ๋า” เด็ดเดี่ยวชะงักไปนิดเดียวแต่ก็กลับยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาอีก

“เห็นก็ดีเหมือนกันนะพี่จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก”

“แล้วคุณยายล่ะไม่ห่วงความรู้สึกของคุณยายแล้วหรือไง” หยั่งเชิง นี่มันเป็นคำถามที่ต้นกล้าต้องการหยั่งเชิงคนอยากเปิดตัว ว่าเขายังห่วงความรู้สึกของคุณยายอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าหากชายหนุ่มยังคงทำตัวรุ่มร่ามทุกทีที่ได้เข้าใกล้กันอยู่อย่างนี้ อีกไม่นานทุกคนก็คงได้รู้เรื่องกันทั่วแน่ๆ

“พี่...”

“ถ้ายังกลัวคุณยายหัวใจวายก็ขยับออกไปซะ เพราะเราได้ยินคุณยายเปรยๆ ว่าจะลงมาดูคนงานเกี่ยวข้าวด้วย” หึๆ ๆ

“จริงเหรอ” เด็ดเดี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปสายตาละห้อย แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่างออกจากหว่างขาที่อบอุ่น? แถมยังรวบเอวบางกระชับไว้แล้วซบแก้มข้างซ้ายลงที่อกของต้นกล้าเหมือนเด็กๆ เรียกร้องความสนใจอีกด้วย

“โอ๊ย ทำอะไรอีกล่ะเนี่ย!”

“.....”

“ถอยดิ”

“...”

“เด็ดเดี่ยว”

“...” ความเงียบคือคำตอบของคนที่กำลังซบหน้าอยู่จนต้นกล้าไม่รู้จะจัดการยังไง แกะก็แกะไม่ออกเพราะอีกคนกอดรัดเอาไว้เสียแน่น จนนึกได้และปากก็ไว้กว่าวามคิด

“พะ พี่ พี่เดี่ยวถอย”

“พี่ขออยู่แบบนี้สักครู่”

“..”

“นะ แค่ครู่เดียว” มันยากมากที่จะกลั้นขำเอาไว้ได้ เมื่อเด็ดเดี่ยวทำตัวเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ยิ่งตอนที่ต้นกล้าเอาคุณยายมาอ้าง แววตาของชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองยิ่งน่าสงสาร เพราะมันดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนคนที่อยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำอย่างที่ใจต้องการไม่ได้สักอย่าง ต้นกล้าเม้มปากตัวเองแน่นเพื่อไม่ให้ปล่อยเสียงหัวเราะดังๆ ออกมา เพราะความเข้าใจผิดคิดไปเองของเด็ดเดี่ยว มันไม่ใช่แค่นั้นไม่ใช่แค่เท่าที่คนตัวโตคิด แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นที่สามารถช่วยให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น แล้วเรื่องอะไรต้นกล้าจะบอกดีๆ สู้ปล่อยเอาไว้อย่างนี้สนุกกว่าเป็นไหนๆ เพราะใบหน้าลำบากใจของเด็ดเดี่ยวยามพูดถึงความรู้สึกของคุณยายนั้น มันน่าขำน้อยเสียเมื่อไหร่ คึๆ ๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 50% 12/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-02-2019 21:07:10


ต้นกล้าจะเก็บใบหน้ากล้ำกลืนของเด็ดเดี่ยวเอาไว้ดูเล่นนานๆ ก็แล้วกัน วันไหนที่คนตัวโตกล้าสารภาพกับคุณยายตรงๆ วันนั้นสีหน้าของชายหนุ่มคงดีขึ้นเองนั่นล่ะ แต่ก่อนจะดีขึ้นก็คงน่าขำไม่น้อยไปกว่าวันนี้แน่นอน

“ปล่อยได้แล้วเราอยากไปเกี่ยวข้าวแล้ว”

“แปบหนึ่ง”

“เดี๋ยวนี้”

“อือ” ทั้งที่ซุกใบหน้าอ้อนอยู่กับแผ่นอกบาง เด็ดเดี่ยวก็ส่ายหัวเอาเป็นเอาตายอย่างคนเอาแต่ใจ ท่าทางเหมือนเด็กที่ต้นกล้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้อยากยกมือขึ้นมาลูบปลอบบนหัวทุยของคนที่ซบอยู่ แต่ด้วยอีกคนอายุมากกว่าหลายปี ต้นกล้าเลยทำเพียงแค่กระชับอ้อมแขนที่พาดอยู่บนไหล่แกร่งให้แน่นขึ้น เหมือนโอบกอดเอาไว้และปลอบใจไปด้วย พร้อมกับความร้อนวูบวาบที่กลับมาอีกแล้ว จนต้นกล้าได้แต่บรรเทาความตื่นเต้นของตัวเอง ด้วยการหายใจเข้ายาวๆ นานเป็นครู่เกินคำว่าแปบหนึ่งที่บอก จนเจ้าของอกชักอ่อนใจ อีกคนก็ไม่มีท่าทีว่าจะผละออก แต่เวลาที่สายมากแล้วทำให้ต้องรีบไป เพราะกลัวจะไม่ได้ทำงานทำการกันสักที



ต้นกล้าพยายามผลักดันไหล่เด็ดเดี่ยวออกห่าง แต่คนหน้าด้านหน้ามึนก็เอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธ ทำตัวเอาแต่ใจตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็แน่ละสิ โอกาสอย่างนี้มันมีง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ เพราะตัวขัดมีมากเหลือเกิน ไหนจะไอ้จ๋าที่มันมักจะมาได้จังหวะตอนที่กำลังหวานชื่นกันตลอด ตอนนี้เพิ่มคุณกวินว่าที่พ่อตาเข้ามาอีกคน อย่าว่าแต่โอกาสจะได้กอดหรือแทะโลมเล็กๆ น้อยๆ แค่เข้าใกล้ยังยากเลยเถอะ กับสาวๆ ยังไม่ยากขนาดนี้เลยนะ เพราะใครๆ ก็อย่างได้ลูกชายกำนันอาจหาญเป็นเขยกันทั้งนั้น แต่นี่อะไร คุณกวินนอกจากจะไม่อยากได้แล้วยังกีดกันแบบสุดฤทธิ์สุดเดช เหมือนรู้ว่าเขาคิดยังไงกับต้นกล้า แล้วก็กันท่าอย่างที่เห็นจนได้แต่มองตาละห้อย พอได้โอกาสงามๆ แบบนี้จะไม่ให้เด็ดเดี่ยวรีบฉวยเอาไว้ได้อย่างไร...ถูกมั้ย!?

“อย่าทำตัวเหมือนเด็กๆ วันนี้มันสำคัญสำหรับเรามากนะ” เด็ดเดี่ยวค่อยๆ ผละตัวออกจากอกอุ่นอย่างแสนเสียดาย แล้วก็นั่งขัดสมาธิแหงนหน้ามองกันอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหนเหมือนเดิม

“วันอะไรทำไมถึงสำคัญ วันเกิดก็ไม่ใช่วันนี้นี่”

“เปล่า ก็วันนี้เป็นการเกี่ยวข้าววันแรกของเราไง”

“อืม”

“อะไร อืมแค่เนี๊ย”

“เอ้า มันก็แค่เกี่ยวข้าวพี่ไม่เห็นมันจะมีอะไรสำคัญ พี่เกี่ยวอยู่ทุกปี”

“สำคัญสิ เพราะเราไม่เคยเกี่ยวมาก่อนนะอย่าลืม แต่ที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นข้าวที่เราได้ลงมือปลูกเองตั้งแต่ไถนาจนถึงวันนี้ เรา...” ต้นกล้าสูดหายใจยาวเข้าปอด ใบหน้าหล่อมีความอิ่มเอมเพราะกำลังปลื้มปีติ

“หืม เราเป็นอะไรครับ”

“เรา..” ต้นกล้าเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งเหนือยอดไผ่ เมฆบางๆ ลอยเอื่อยไปตามลมหนาวที่พัดมาเบาๆ เผลอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาพาดไหล่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว “เราก็ภูมิใจไงไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนี้มาก่อนน่ะ” บอกแล้วก็เผยยิ้มออกมาพร้อมประกายวิบวับในแววตา ที่ทำโดยไม่รู้ตัวจนคนมองได้แต่มองตาค้าง

“พี่ภูมิใจในตัวคนรักของพี่จัง”

“หืม..? “ต้นกล้าชะงัก ลดสายตาจากท้องฟ้าสดใสลงมามองหน้าเด็ดเดี่ยว ที่กำลังแหงนหน้ามองเขาอยู่ก่อนแล้ว กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าเสียงของตัวเองคงสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง

‘โอ๊ย! .. คนหน้ามึนนี่พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่าวะ ไปไม่ถูกแล้วนะโว้ย!’ ต้นกล้าได้แต่ตะโกนในใจ อยากหันหน้าหนีแต่เหมือนกับว่าถูกนัยน์ตาหวานฉ่ำของอีกคนที่กำลังจ้องมองสะกดเอาไว้ เพื่อบังคับให้นั่งมองตากันอยู่อย่างนั้น แต่ก่อนที่ต้นกล้าจะทำอะไรไม่ถูกไปมากกว่านี้ คนตัวโตก็ยืดตัวขึ้นมาแตะจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากบางนุ่มแล้วผละออก นั่นแหละต้นกล้าจึงได้รู้สึกตัวแล้วผลักไหล่กว้างให้ห่างเหมือนกัน

“ลุกๆ เราอยากเกี่ยวข้าวเต็มแก่แล้ว”

“แล้วเกี่ยวเป็นมั่ยล่ะ”

“เออ นั่นสิ” ต้นกล้าทำตาโตเพราะเพิ่งนึกได้ก็เมื่อตอนถูกถามนี่ล่ะ ว่าตัวเองไม่เคยจับเคียวมาเกี่ยวข้าวหรือเกี่ยวหญ้าเกี่ยวอะไรมาก่อน ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ที่คนมองดูยังไงก็บอกได้คำเดียวว่าน่ารัก ตอนนี้ใบหน้าหล่อเกาหลีดูตลก การกระทำของต้นกกล้าทำให้คนตัวโตยิ้มและมองอย่างเอ็นดู และปากบางได้รูปสีชมพูจางๆ นั่นก็มันน่าบดให้เจ่อจริงๆ!

จุ๊บ “อื้ออออออ” ไวเท่าความคิดของชายหนุ่ม เพราะเขาคว้าท้ายทอยของต้นกล้าเข้าหา เพื่อประกบปากแล้วดูดดึงแรงๆ อย่างมันเขี้ยวจนพอใจก่อนจะผละออก

“...” ต้นกล้าพูดไม่ออกจึงได้แต่ทำหน้ายักษ์ให้คนตัวโตที่ปล้นจูบ แม้จะไม่ได้รุกล้ำแต่ก็กดจูบยาวนานแทบขาดใจ

“ไม่ยากหรอกน่า มาลุกขึ้นมาเดี๋ยวพี่สอนเอง” เป็นครู่เชียวนะกว่าเด็ดเดี่ยวจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ แต่จะให้นั่งจ้องกันด้วยสายตาที่อีกคนคงจะมองออก ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แบบนั้นนานๆ ก็คงไม่ได้ เด็ดเดี่ยวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยไม่ลืมหยิบเคียวที่ต้นกล้าวางไว้บนพื้นข้างๆ เปลขึ้นมาด้วย ยื่นมือให้คนที่นั่งอยู่บนเปลเพื่อช่วยรั้งให้ลุกขึ้น และจูงให้เดินไปยังแปลงข้าวที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยกัน

“ไม่ต้องไปเกี่ยวกับคนงานตรงโน้นเหรอ”

“ตรงนี้ก็แก่ได้ที่แล้วมาสิ” ต้นกล้าค่อยๆ ก้าวจากคันนาลงมายืนอยู่ข้างๆ เด็ดเดี่ยว เขารู้สึกตื่นเต้นจนยิ้มไม่หุบ ส่วนคนมองก็มองเพลินแต่ยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่กำลังพากันทำ ทั้งที่อยากจัดอีกสักจุ๊บสองจุ๊บให้ชื่นฉ่ำหัวใจ

“ไหนลองเกี่ยวให้พี่ดูก่อนสิว่าต้นกล้าจะทำยังไง”

“อะ อ้าว”

“อะไร”

“ก็ไหนใครบอกจะสอนเรา” ต้นกล้าชักสีหน้าให้กับท่าทางกวนๆ ของเด็ดเดี่ยวที่ยืนทำตัวสูงๆ ให้เขาที่สูงแค่ระดับคางได้แหงนหน้าขึ้นมองอย่างเอาเรื่อง

“ก็จะสอนไงแต่พี่อยากรู้ว่าต้นกล้าจะมีทักษะของตัวเองบ้างหรือเปล่า”

“จะสอนก็สอนดิ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเราไม่เคยทำมาก่อน”

“น่า อะไรเราก็ไม่เคยทำมาก่อนทั้งนั้นล่ะ”

“ฮึ ก็ได้!”

“ระวังเคียวบาดนิ้วด้วย” ใบหน้าหล่อเกาหลีบูดบึ้งงอง้ำแต่ก็รับเคียวที่คนตัวโตยื่นให้มาถือ หันไปมองต้นข้าวกอใหญ่ตรงหน้าแล้วกำรวบแน่น แต่แทนที่จะใช้เคียวเกี่ยวขึ้น เพราะต้นกล้าทำไม่เป็นไม่รู้ว่าต้องเกี่ยวหรือดึงยังไง เขาจึงทำเหมือนกำลังหั่นต้นข้าวแทน เหมือนใช้มีดงอๆ หั่นผักบนเขียงนั่นแหละ ซึ่งมันไม่สามารถทำให้รวงข้าวขาดออกจากกอได้เพราะเกี่ยวไม่ถูกวิธี

“หึๆ ๆ”

“ขำไร ห้ามขำเรานะก็บอกอยู่ว่าไม่เคยทำ” ต้นกล้าหันมาเอาเรื่องเด็ดเดี่ยวทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะโรคจิตดังขึ้น แต่เด็ดเดี่ยวกลับพอใจที่เห็นอีกคนมีแต่ความมุ่งมั่น แม้จะทำไม่เป็นและแม้ว่าจะไม่เคยทำมาก่อน แต่กลับมีความตั้งใจจริงที่จะทำมันให้ได้ โดยพร้อมที่จะเรียนรู้เสมอแม้จะถูกแกล้งถูกกวนให้หงุดหงิดเสียอารมณ์ ซึ่งต้นกล้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ที่ถึงแม้จะดูเหมือนไม่เต็มใจจะมาทำมาเป็นชาวนา แต่อีกคนกลับไม่เคยบ่ายเบี่ยงที่จะเรียนรู้ทั้งที่ไม่อยากทำ แต่พอเริ่มทำกลับจริงจังมากจนเด็ดเดี่ยวนึกแปลกใจ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายหนุ่มสนใจทั้งที่ก็สนใจมากอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นถึงความเป็นตัวตนของต้นกล้าเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาปักใจหลงรักหลานคุณยายคนนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะไอ้หัวแดงจอมรั้นทำตัวน่ารักแบบนี้ทุกวัน

“นี่”

“..”

“เป็นอะไรยืนยิ้มอยู่ได้จะสอนไม่สอน”

“พี่เปล่ายิ้ม”

“แล้วจะสอนไม่สอนบอกมา”

“สอนครับสอน”

“ถ้าไม่สอนเราเกี่ยวข้าวก็ไปทำงานของตัวเองเลยไป เดี๋ยวเราให้พี่สอนมาสอนก็ได้ไม่เห็นต้องง้อ”

“น่าง้อพี่หน่อย พี่ขี้น้อยใจนะบอกไว้ก่อน หึๆ ๆ”

“เหอะหัวเราะขำเราสิไม่ว่าไปไหนก็ไปเลย”

“ครับๆ ไม่ขำแล้ว เอามือมานี่มา”

“เอาไปทำไม”

“เอามาเถอะ”

“นี่มือเรานะไม่ต้องสั่งบอกมาก่อนเอาไปทำไม”

“เอามาจับดูหัวใจพี่จะได้รู้ว่าเต้นแต่ละทีมันมีแต่ต้นกล้านะครับ ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก” เด็ดเดี่ยวจับมือต้นกล้ามาวางที่กลางอกของตัวเองแล้วกดลงแน่น เขาต้องการเน้นย้ำให้อีกคนได้ซึมซับจนเข้าใจ แกล้งทำเสียงเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังเต้นจนเสียงดังไปด้วย

“ฮ่าๆ ๆ มุกนี้คิดนานปะเลี่ยนจนจะเป็นลม”

“หึๆ อย่าเพิ่งเป็นลมเกี่ยวข้าวก่อน”

“อะไรเนี่ย”

“ใส่ไว้ ใบข้าวจะได้ไม่บาดมือ ไม่คายด้วย” เด็ดเดี่ยวหยิบถุงมือที่เหน็บไว้กระเป๋าหลังของกางเกงออกมาใส่ให้ มือเรียวขาวที่ดูยังไงก็น่าเสียดาย หากจะปล่อยให้ใบข้าวสากๆ คมๆ บาดเอา “เรียบร้อยแล้วไปทำงานได้”

“ถือเคียวไม่ถนัดเลย”

“แล้วใครเขาถือแบบนั้น”

“แล้วจะถือแบบไหนล่ะ”

“หันหน้าไป”

“เฮ๊ย อะไรเนี่ย”

“พี่จะสอนต้นกล้าเกี่ยวข้าวไง”

“แล้วมันต้องมายืนสอนกันแบบนี้หรือไง”

“ครับลูกศิษย์คนนี้พี่สอนแบบเป็นพิเศษ” เด็ดเดี่ยวจับไหล่ให้ต้นกล้าหันออกไปทางนาข้าว เขาก็ขยับเข้ามายืนซ้อนด้านหลังจนอีกคนร้องประท้วง แต่กระนั้นคุณครูผู้ร้อนวิชาก็ไม่ได้สนใจ เอื้อมมือโอบร่างโปร่งเอาไว้ แล้วเริ่มสอนตั้งแต่วิธีจับเคียวกันเลยทีเดียว

“เริ่มเลยนะ จับเคียวแบบนี้ทำตามสิครับ” ฟอด

“เฮ๊ย! “ต้นกล้าหันมาจะด่า แต่พอเห็นสายตาของคนตัวโตแล้วก็เกิดด่าไม่ลงมันเสียเฉยๆ นี่แหละ เลยได้แต่หันกลับไปทางเดิม นึกโกรธตัวเองที่ไม่รู้จะสั่นจะตื่นเต้นอะไรนักหนา กับแค่โดนอีกคนโอบและหอมแก้มแค่นี้เอง ฟอดด อีกละ

“จับตรงด้ามเคียวแน่นๆ “จุ๊บ

“อะ เอ่อ อืม” เด็ดเดี่ยวเลื่อนมือต้นกล้าให้อยู่ในช่วงถนัดพอดีกับการจับด้ามเคียว โดยที่เขากุมมือซ้อนทับมือนั้นอีกที มีเพียงถุงมือหนาขวางกั้น การสอนแบบนี้เข้าทางฝ่ายคุณครูยิ่งนัก เพราะสามารถคิดค่าสอนไปพร้อมๆ กันได้เลยในตัว แต่ไม่รู้การเรียนจะเข้าหัวนักเรียนหรือเปล่า เพราะเอาแต่ประหม่าและตื่นเต้น ต้นกล้าไม่เคยจะชินสักทีกับความใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกัน ทั้งที่มันก็ตรงตามที่ใจเรียกร้องทุกอย่าง

“เคียวโค้งๆ ประโยชน์ของมันก็คือเอาไว้เกี่ยวจริงๆ เกี่ยวต้นข้าวเข้ามาอย่างนี้” จุ๊บ เด็ดเดี่ยวอธิบายไปพลางก็จับมือต้นกล้าที่กำเคียวแน่นไปเกี่ยวข้าวก่อใหญ่เอาไว้รั้งเข้ามาหาตัว “แล้วก็ใช้มือข้างนี้กำข้าวที่เอาเคียวเกี่ยวมากอย่างนี้นะครับ กำไว้สิ” ฟอดดด ฟอดดด จุ๊บ! ใบหน้าของคนสอนซ้อนอยู่ข้างๆ ใบหน้าคนเรียน เด็ดเดี่ยวเกยคางเอาไว้บนไหล่ของต้นกล้าเพราะยังโอบกอดจากด้านหลัง นั่นจึงทำให้สามารถคิดค่าสอนได้ตามใจตัวเอง จนคนในอ้อมแขนเริ่มสะท้าน ต้นกล้าหันขวับกลับมามองอย่างเอาเรื่อง โทษฐานที่คนตัวโตเอาแต่เก็บค่าสอนอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ยอมสอนกันจริงๆ จังๆ สักที

“กำต้นข้าวไว้สิครับหันมามองหน้าพี่ทำไม”

“จะ จะสอนอย่างนี้อีกนานมั้ย ทั้งสอนทั้งหอมทั้งจูบเนี่ย จุ๊บๆ ฟอดๆ อยู่ได้”

จุ๊บ “หึๆ ๆ ครับ กำต้นข้าวไว้เร็วกำให้แน่น นั่นล่ะแล้วเกี่ยวเข้ามาหาตัวอย่างนี้นะครับ อืมอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องใกล้มากเอาระยะที่ถนัดก็พอ แล้วเบี่ยงปลายเคียวออกไปข้างๆ พร้อมกับดึงอย่างนี้นะครับ อืม นั่นแหละ ดีมากคนเก่ง จุ๊บ”

“โอ๊ย พอๆ ๆ “ต้นกล้ากางแขนออกใช้แผ่นหลังชนอกหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ เพื่อให้เด็ดเดี่ยวที่กำลังโอบมาจากข้างหลังถอยออกไป จนคนตัวโตผงะหงายหลังลงไปนั่งบนคันนา ต่างคนต่างหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งกัน ตาสบตาแล้วยิ้มให้กันอยู่แบบนั้นอย่างมีความหมาย เป็นครู่เด็ดเดี่ยวที่รู้ตัวก่อนจึงบอกให้ต้นกล้าลองเกี่ยวข้าวตามที่สอนเอาไว้ และคนหัวไวอย่างต้นกล้าก็ทำมันได้ดีทีเดียว

“เก่งมาครับ เรียนรู้เร็วนะเราน่ะ”

“หึ เราฉลาดไง”

“ได้ครูดีต่างหาก”

“หลงตัวเองซะไม่มี”

“หึๆ ๆ เอาข้าวที่เกี่ยวแล้ววางไว้ก่อน”

“ได้เดี๋ยวเราจะเกี่ยวต่อ” ต้นกล้าหันไปเกี่ยวข้าวต่อ จากที่ตอนแรกยังเก้ๆ กังๆ ไม่นานหัวที่เรียนรู้ได้เร็วก็ช่วยให้ต้นกล้าเกี่ยวข้าวได้เก่งและเร็วขึ้น จนคุณครูที่นั่งอมยิ้มมองอยู่ยิ้มกว้างขึ้นอย่างพอใจ แอบนึกอยากให้ต้นกล้ายังทำไม่เป็นจะได้ใช้วิธีสอนแบบตัวต่อตัวอีก หื่นซะไม่มีจริงๆ พี่เดี่ยวของเรา

“ถ้ามาไกลแล้วก็เหยียบตอฟางลงอย่างนี้ แล้วค่อยเอาข้าววางพาดทับในแนวขวางอย่างนี้นะ”

“อะเคร่ เข้าใจ”

“อืม”

“อืมอะไร อืมก็ถอยไปสิเราจะเกี่ยวต่อ เฮ้อ เกะกะ”

“ว่าครูเดี๋ยวเถอะจะถูกลงโทษ” ฟอด

“โอ๊ย ไปเลยไปทำงานของตัวเองเลย”

“เดี๋ยวสิ”

“อะไร” เด็ดเดี่ยวจับไหล่ให้ต้นกล้าที่กำลังโวยวายหันกลับมาหาเขา แล้วดึงหมวกสานสีส้มแสบตาออกจากหัวทุยๆ ของคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะถอดหมวกปีกทรงคาวบอยของตัวเองวางเอาไว้แทน ต้นกล้าอมยิ้มเหลือบตามองคนที่กำลังเปลี่ยนหมวกให้ด้วยความห่วงใย แต่แทนที่เปลี่ยนหมวกให้แล้วจะผละออกไป เด็ดเดี่ยวกลับเอาแต่จ้องมองปากบางได้รูปอยู่อย่างนั้น จนระยะห่างของใบหน้าลดลงเรื่อยๆ ต้นกล้าไม่หลีกเด็ดเดี่ยวไม่หลบ เพราะต่างฝ่ายต่างก็เรียกร้องเพื่อให้ตอบสนองกันและกัน เด็ดเดี่ยวโน้มตัวลงมาตามที่ใจตัวเรียกร้อง และ...

“มาอยู่นี่เอง” !!

“อะไอ้จ๋า!” ทั้งสองผละออกจากกัน ต้นกล้าอุทานเรียกชื่อไอ้จ๋าออกมาเหมือนคนไม่รู้สึกตัว

“ครับ”

“มีอะไรวะ”

“คุณลุงกับคุณป้ากำลังจะลงมาทางนี้แล้วครับลูกพี่ ไอ้จ๋าว่าลูกพี่เดี่ยวรีบกลับไปทำงานของตัวเองดีกว่านะครับ” ลูกพี่ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน เด็ดเดี่ยวนึกขำตัวเองที่เหมือนกับว่าต้องแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ หลังผู้ใหญ่อย่างนี้ ทั้งที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะคุยกับลูกสาวบ้านไหน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็เป็นใจให้เขาทั้งนั้น แต่นี่เป็นผู้ชายแท้ๆ กลับต้องซ่อนแอบจนน่าขำ คิดแล้วก็อยากเปิดตัวมันให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริงๆ

“ไปทำงานเซ่..ยืนยิ้มบื้ออยู่ได้” ต้นกล้าบอกเสียงดุเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน ไม่รู้ว่าเขินสายตาที่คนตัวโตมองมาอย่างลึกซึ้ง หรือเขินที่ไอ้จ๋าเข้ามาเห็นจังหวะที่กำลังจะจูบกัน แล้วก็นะทำไมมันต้องทำหน้าเหมือนรู้ทัน เหมือนจะขำเหมือนจะเอ็นดู และเหมือนจะเข้าใจ แล้วก็เหมือนจะสะใจไปพร้อมกันอย่างนั้นด้วยวะไอ้ลูกน้องคนนี้ชักลามปามใหญ่แล้ว ใบหน้าหล่อเกาหลีบึ้งตึงเหมือนโกรธ แต่ไม่รู้ว่าโกรธจริงหรือแค่ทำแก้เขินที่ไอ้จ๋ามาเห็นฉากต้องห้าม และนั่นทำให้เด็ดเดี่ยวจึงเพิ่งรู้ตัวด้วยว่าเผลอยิ้มออกมาเสียกว้าง และเป็นต้องหุบฉับลงทันทีที่ตาดุๆ ของต้นกล้ามองมา แต่กระนั้นแววตาของคนตัวโตยังมีความทะเล้นอยู่เหมือนเดิม ชายหนุ่มก็ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายหน้าให้คนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง ยกมือวางบนหมวกที่ต้นกล้าใส่อยู่แล้วโยกเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตัวเองโดยไม่พูดอะไร

“เฮ้ย ไปไหนวะจ๋า”

“ไอ้จ๋าต้องเข้าเมืองไปซื้อของครับ”

“เออ”

“ไอ้จ๋าไปนะครับเดี๋ยวไม่ทัน”

“ไม่ทันอะไรวะ”

“ก็ไม่ทันหลบคุณลุงไงครับ ถ้ารู้ว่าไอ้จ๋าเสนอหน้าหล่อๆ วิ่งลงมาบอกลูกพี่ละก็ไอ้จ๋าโดนแน่”

“เออๆ ไปไหนก็ไปเลยไป”

“ครับๆ ๆ ไอ้จ๋าไปล่ะ” ไอ้จ๋าวิ่งอ้อมไผ่กอใหญ่เลียบทุ่งไปอีกทาง ท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ ของมันดูน่าขบขัน ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็ตั้งใจนั่นแหละ ที่จะทำให้ดูตลกเมื่อวิ่งเร็วๆ ด้วยท่าเหมือนกำลังย่องเบา มือสองข้างยกขึ้นมาเสมอหน้าอกงอตัวเล็กน้อย พร้อมกับสอดส่องลอดผ่านกอไผ่เพื่อดูว่ามีใครเดินมาอีกด้านของไผ่กอหนาหรือเปล่า

เมื่อได้ยินคุณกวินชวนคุณนภา ว่าวันนี้จะพากันลงมาเกี่ยวข้าว ไอ้จ๋ามันนึกเอาเองว่าลูกพี่ทั้งสองต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ หรือถ้าไม่อยู่ก็แล้วไป แต่ยังไงมันต้องลงมาดูเสียก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่มันคิดจริงๆ เสียด้วย ลูกพี่ทั้งสองกำลังพลอดรักหวานแหววให้ข้าวทั้งนาดู

ไอ้จ๋าหลบไปแล้วหลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีคุณกวินก็เดินผ่านมา พร้อมกับคุณนภาเมียรักอย่างที่มันบอกไว้ไม่มีผิด

“อ้าวเจ้ากล้ามาเกี่ยวข้าวอยู่ตรงนี้เองเหรอลูก”

“ครับคุณแม่ ว่าแต่คุณพ่อมองอะไรครับ” ต้นกล้าตอบคำถามคุณนภาผู้เป็นแม่แล้วหันไปทักคุณกวิน ที่แบกเครื่องมือหน้าตาแปลกๆ ไว้บนไหล่ และกำลังมองไปทางเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มกำลังถากหน้าดินอย่างขยันขันแข็ง เพราะรู้ว่ากำลังอยู่ในสายตาของของคุณกวิน ที่กำลังจ้องมองด้วยใจจับผิด หนุ่มใหญ่วัยกลางคนหันกลับมาหาลูกชายตัวเองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาลูกชายคู่ปรับเก่า ที่กำลังก้มหน้าก้มตาถากดินอย่างขะมักเขม้น

“อากาศดีนะไอ้หนุ่ม เหงื่อไหลไคลย้อยเชียวนั่น”

“ครับ” เด็ดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อตอบรับ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ จนคุณกวินนึกหมั่นไส้ แต่หากติติงอะไรไปคงได้ถูกย้อนกลับมาให้เจ็บใจเล่นแน่ๆ เพราะเป็นเขาเองที่สั่งให้ชายหนุ่มทำงาน

“เอานี่สิเครื่องมือกวาดหน้าดิน แกลืมเอาลงมาด้วย” นี่คือน้ำใจจากคุณกวินเชียวล่ะ เขาอุตส่าห์แบกคราดที่เด็ดเดี่ยวลืมลงมาให้ด้วยเชียวนะ คุณกวินวางคราดแบบตันไม่มีซี่ซึ่งเอาไว้ปาดหน้าดินให้เรียบโดยเฉพาะลงตรงหน้าเด็ดเดี่ยวแล้วกำชับ..

“ให้เสร็จภายในเย็นนี้นะโว้ย”

“ครับเสร็จแน่นอนครับ” ทั้งที่ทำไปได้ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำแต่เขาก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ามันจะเสร็จแน่นอน เพราะได้กำลังใจมาอย่างล้นหลาม พลังในตัวก็อัดแน่นเต็มเปี่ยมขนาดนี้มีหรือที่เด็ดเดี่ยวจะไม่สู้งาน โชคดีที่วันนี้เขาไม่มีธุระที่ไหน จึงทำงานได้โดยไม่ต้องพะวักพะวนหรือผละไปทางอื่นก่อน ให้ถูกคุณกวินตราหน้าว่าไม่มีความรับผิดชอบ

“อ้อ แล้วพรุ่งนี้ตื่นมาตั้งแต่ตีห้านะไหวมั้ยวะ เพราะแกต้องทำภารกิจใหญ่ให้สำเร็จในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันตื่น”

“ภารกิจอะไรเหรอครับ” เด็ดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นถามในใจให้นึกฉงน ว่าคุณกวินจะมาไม้ไหนกับเขาอีก ที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่จะชักชวนให้เขามาบ้าน แถมมาทีไรยังไล่ไปอย่างไม่สนมารยาทใดๆ เสียด้วย

“หึๆ ๆ มาถึงเดี๋ยวแกก็รู้เองนั่นแหละ อย่าผิดเวลาก็แล้วกัน แค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”

“แสดงว่าถ้าผมทำสำเร็จก็มาได้ตลอดใช่มั้ยครับ”

“เหมือนเดิมนั่นแหละแกไม่มีธุระอะไรที่นี่จะมาทำไมบ่อยๆ รกหูรกตา”

“ครับถ้าอย่างนั้นผมจะมาเฉพาะตอนที่มีธุระก็แล้วกัน”

“รู้ก็ดีแล้ว ไปล่ะอย่าอู้นะเว้ย”

“ครับ” เด็ดเดี่ยวยิ้มน้อยๆ ยอมรับว่าเขาขำท่าทางของคุณกวิน ถ้าหากจะบอกว่าเขาสามารถมาได้หากมีธุระเขาก็จะมาทุกวันนั่นแหละ เพราะการมาหาใครบางคน แค่มาให้ได้เห็นหน้าเขาก็คิดว่าเป็นธุระแล้ว ธุระสำคัญเสียด้วย

50%
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 50% 12/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-02-2019 21:59:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

พ่อตายังไม่หมดฤทธินะ

แปลกเนอะ  พลอดรักกันตั้งนาน  ทำไมไม่มีใครผ่านมาเห็นเลย  นอกจากไอ้จ๋า
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 50% 12/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-02-2019 21:32:05
:pig4: :pig4: :pig4:

พ่อตายังไม่หมดฤทธินะ

แปลกเนอะ  พลอดรักกันตั้งนาน  ทำไมไม่มีใครผ่านมาเห็นเลย  นอกจากไอ้จ๋า

ก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาหน่อยซี
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 100% 13/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-02-2019 21:33:56
 ต่อ 100% จ้า

“ไม่ไปเกี่ยวกับคนงานหรือไง” คุณกวินถามขึ้นมาลอยๆ ไม่เจาะจงใคร

“ตรงนี้ล่ะค่ะคุณพี่ อีกเดี๋ยวน้องก็ขึ้นไปช่วยแม่แจ่มใจทำอาหารเที่ยงให้คนงานแล้วจะได้ไม่ต้องเดินไกล”

“แล้วเจ้ากล้าล่ะ” คุณกวินหันไปถามลูกชายด้วยสายตาจับผิดและกดดัน เหมือนไม่พอใจที่ต้นกล้ามาทำงานอยู่ใกล้ๆ ลูกชายไอ้คู่ปรับเก่าที่ทำงานอยู่ตรงนั้น ทั้งที่ไม่ชอบใจแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้เลยได้เลยนอกจากถามเสียงเข้ม และทำหน้านิ่งๆ เพื่อให้ลูกเกรงใจ

“กล้าขี้เกียจเดินครับ เกี่ยวตรงนี้ก็ได้”

“เอางั้นก็เกี่ยวมันด้วยกันอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“ไหนคุณพี่บอกมีเรื่องคุยกับพี่สมควร”

“เย็นค่อยคุยก็ได้จ้ะ” คุณกวินบอกแต่ตากลับเหลือบไปมองทางเด็ดเดี่ยวโดยไม่รู้ตัว ทำให้ทั้งคุณนภาและต้นกล้ามองตามไปด้วย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากงานและส่งยิ้มมาให้พอดี ทุกคนยิ้มตอบยกเว้นคุณกวินเท่านั้นที่หากแยกเขี้ยวส่งไปให้ได้คงทำไปแล้วจึงได้แค่คิด เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าลูกชายของไอ้คู่ปรับเก่า มันจะกลายเป็นลูกชายคนโปรดภรรยาสุดที่รักของเขาไปด้วยแล้วอีกคน

หลังจากที่ไอ้จ๋าต้องเดินเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ในละแวกเดียวกันอยู่หลายรอบ ก็คิดว่าสิ่งที่ตามหาคงเพียงพอต่อความต้องการของคุณกวินผู้เป็นลุงแล้ว มันจึงตั้งหน้าตั้งตาขับรถเข้าเมือง เพื่อซื้อของหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้งาน วันนี้คนงานจะเริ่มเกี่ยวข้าวเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งลูกพี่กล้าของมันดูเหมือนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนี่เป็นการจับเคียวครั้งแรก ไอ้จ๋าคิดขณะขับรถเข้าเมือง พอมาถึงตัวเมืองในอำเภอก็รีบจัดการซื้อของต่างๆ ตามใบสั่งและที่สุดท้ายที่มันต้องแวะก็คือร้านเถ้าแก่สิน ที่มีของหลายอย่างที่มันต้องการ มันสั่งของกับคนงานเรียบร้อยแล้วก็ช่วยกันขนขึ้นท้ายกระบะ วันนี้มันเอารถคันใหญ่มา ส่วนอีแก่คันเก่าของมันจอดทิ้งไว้บ้าน เพราะต้องการรถที่สมรรถนะดีกว่า และมันต้องรีบไปรีบกลับ

ไอ้จ๋าแวะเข้าไปสวัสดีเถ้าแก่สินเหมือนปกติทุกวันที่มันมาทำงาน จากนั้นก็ขอเข้าไปหลังบ้านซึ่งเป็นที่ที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดีจากการมาช่วยงานตลอดสองสามอาทิตย์ วันนี้มันไม่ได้มาทำงานแต่เพียงแค่แวะมาทำอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่มันไม่ได้ทำมาตลอดหลายอาทิตย์นี่แหละ

“อุ้ย! จะ” ฟอดดดด

“ชู่....”

“จ๋าทำไม”

“มานี่” ไอ้จ๋าย่องเข้ามาข้างหลังน้ำส้มที่กำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว โอบกอดรวบเอวเจ้าของร่างผอมบางเอาไว้จากด้านหลังรั้งเข้าหาตัวเอง กระชับกอดแน่นด้วยความคิดถึงในอกอัดอั้นแทบแตกตาย จนร่างผอมบางเหมือนจะจมหายเข้าไปในอกกว้างๆ ล่ำสันของมัน ส่วนน้ำส้มตาโตตกใจเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นไอ้จ๋า ที่มากอดและหอมแก้มเข้าเต็มรัก จากนั้นมันก็ลากร่างผอมๆ แต่กอดอุ่นที่สุดเข้ามาหลบในมุมลับตา

“จ๋า...” ความผิดหวังที่อยู่ในแววตาของน้ำส้ม ไอ้จ๋ารับรู้มันได้เป็นอย่างดีแม้น้ำส้มจะไม่ได้พูดอะไร แต่ไอ้จ๋าก็รู้ดีว่าคนตัวผอมมีคำถามมากมาย

“ฉันคิดถึงเธอนะยัยเน่า”

“...” น้ำส้มเอาแต่ส่ายหน้าหลังจากที่มองไปด้านหลังของไอ้จ๋า เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นและโชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาทางนี้ แต่พอละสายตากลับมามองไอ้จ๋าก็ไม่เห็นแม้แต่แววตาสำนึกผิด หรือว่ามันจะละทิ้งสัญญาและยกเลิกข้อตกลง ถ้าพ่อรู้ว่ามันทำอย่างนี้ทั้งสองคงไม่ได้เจอกันอีกแน่ๆ ดีไม่ดีพ่อคงได้ส่งน้ำส้มไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ เพื่อแยกทั้งสองออกจากกันจริงๆ

จุ๊บ “ไม่คิดถึงฉันหรือไงวะ หืม” น้ำส้มได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ เมื่อไอ้จ๋าประคองแก้มทั้งสองข้างด้วยมือสากงานของมัน แล้วก้มลงมาจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากนุ่มนิ่ม ขอบตาที่เริ่มแดงมีน้ำใสๆ รื่นขึ้นแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะหยดลงมาสักที เพราะเจ้าตัวกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่มันทิ้งไปก่อน ไอ้จ๋าเห็นแล้วใจกระตุกแต่มันก็ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหอมแก้มนวลที่มันเอาแต่เฝ้าคิดถึงทุกเช้าเย็น

ฟอดดด ฟอดดดดด

“จ๋าทำอย่างนี้ทำไม”

“ก็...”

“จะไม่ทำตามข้อตกลงที่พูดกับพ่อแล้วหรือไง”

“ก็ทำ...”

“แล้วทำอย่างนี้ทำไม จ๋าใจร้ายมากถอยไปเลยคนใจร้าย” น้ำส้มผลักไอ้จ๋าออกห่างแต่แรงที่มีก็แค่เพียงทำให้มันเซไปเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความเสียใจและผิดหวังน้ำส้มจึงไม่เปิดโอกาสให้ไอ้จ๋าได้พูด เพราะสิ่งที่มันทำไม่ใช่เพียงแค่ทำลายข้อตกลงที่ให้ไว้กับเถ้าแก่สินเท่านั้น แต่มันทำลายความมั่นใจที่น้ำส้มมีต่อไอ้จ๋าลงด้วย ความมั่นใจที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ความหวังของน้ำส้มถูกไอ้จ๋าทำลายลงกันมือมันเอง

“ยัยส้มเน่า บ้าอะไรของเธอเนี่ยห๊า”

“หลีกทางไม่คุยด้วยแล้ว ไปไหนก็ไปเลย”

“เอ๊า ผิดอีก” น้ำส้มผลักไอ้จ๋าให้พ้นทางด้วยแรงที่มีทั้งหมด แล้วรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้น โดยมีไอ้หมาหน้าดำยืนเกาหัวงงๆ มองตามตาละห้อย เพราะน้ำส้มไม่เปิดโอกาสให้มันได้พูดอธิบายอะไร สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวแบบปลงๆ และงงๆ แล้วเดินออกมา เพราะมันไม่มีเวลามากไปกว่านี้แล้ว ทั้งต้องรีบกลับไปทำงาน ทั้งมีวัตถุดิบที่ต้องรีบเอากลับไปเพื่อให้แม่แจ่มใจทำเป็นอาหารกลางวันให้คนงาน มันจึงโอ้เอ้อยู่ที่นานเกินไปไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเข้มดังขึ้นข้างหลัง เมื่อไอ้จ๋าเดินผ่านห้องทำงานของเถ้าแก่ออกมาหน้าร้าน พอมันหันกลับไปก็เห็นเถ้าแก่สินยืนอยู่หลังหน้าต่างห้องทำงานนั่นเอง

“เปล่าครับไม่มีอะไร ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวเกี่ยวข้าวเสร็จผมจะมาช่วยงานเถ้าแก่เหมือนเดิม”

“อืม ก็ดี”

“สวัสดีครับเถ้าแก่”

“ฉันบอกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”

“ครับผมทราบครับ ขอบคุณครับ” เถ้าแก่สินพยักหน้าเมื่อไอ้จ๋ายกมือไหว้ลา ก่อนจะเดินไปขึ้นรถขับออกไป พอรถกระบะสีดำสี่ประตูคันใหญ่ขับไปจนลับตา เถ้าแก่จึงหันหลังกับเข้าห้องทำงานของตัวเอง

วิ่งขึ้นมาบนห้องแล้วน้ำส้มก็เอาแต่เก็บตัวเงียบๆ อยู่คนเดียวโดยไม่พูดอะไรกับใครอีก จนกระทั่งผ่านไปเป็นครู่ประตูห้องก็ถูกเคาะรัวๆ ก่อนจะเปิดออกอย่างแรงทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่ได้เอ่ยคำอนุญาตด้วยซ้ำ

“เป็นไงบ้างล่ะแก”

“อะไรเหรอพี่คำแพง”

“เมื่อกี้ไงอย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะ”

“พี่คำแพง!” น้ำส้มเรียกพี่สาวอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนเห็นโดยเฉพาะคนเป็นพี่สาว ที่มักจะต้องหาเรื่องมาต่อว่าอีกแน่ๆ

“หึลักกินขโมยกินอีกแล้วสินะแก ขี่ขนาดพี่กับพ่อก็อยู่ยังไม่เว้น ไม่เกรงใจ”

“แต่..”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวหรอก ฉันจะบอกพ่อว่าไอ้จ๋ามันไม่ทำตามข้อตกลง และแกต้องเลิกกับมัน”

“ทำไมพี่คำแพงถึงได้กีดกันส้มนัก”

“เพราะยังไงแกก็ต้องถูกเขาทิ้งอยู่ดี เลิกซะแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือไง นี่ฉันหวังดีนะ”

“นี่มันเรื่องของส้ม ส้มตัดสินใจเองได้”

“ตัดสินใจแบบโง่ๆ มั้ย! พวกตุ๊ด พวกเกย์สาวอย่างแกมันก็เป็นได้แค่ของแปลกที่เขาอยากลองเท่านั้นแหละ เดินไปด้วยกันใครมันจะยอมรับมีแต่ชาวบ้านเขาจะหัวเราะเยาะเอา” น้ำส้มพูดไม่ออกเพราะดูเหมือนว่าพี่สาวจะพูดถูกเมื่อดูจากพฤติกรรมของไอ้จ๋าที่เพิ่งจะทำมาเมื่อสักครู่

“..”

“นี่แกอย่ามาทำเป็นเงียบใส่ฉันนะยะ อยากให้ฉันบอกพ่อหรือไงเรื่องที่ไอ้จ๋ามันทำเมื่อกี้” น้ำส้มเงยหน้ามองพี่สาวด้วยดวงตาปวดร้าว หลายอย่างที่คำแพงพูดมาก็ถูก เจ้าของร่างบอบบางจึงพูดไม่ออกและได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้นจนพี่สาวไม่ชอบใจ

“พูดแบบนี้แปลว่าพี่คำแพงจะยังไม่บอก”

“ก็นะ ถ้าแกทำตัวดีๆ”

“พี่คำแพงอย่าเพิ่งบอกพ่อนะ” ไม่ได้ต้องการปิดบังเรื่องที่ไอ้จ๋าผิดข้อตกลงเพราะน้ำส้มต้องการเป็นคนบอกเอง แต่นั่นทำให้คำแพงเข้าใจผิดและคิดว่าตัวเองเป็นต่อเหนือน้อง

“ถ้าไม่อยากให้ฉันบอกก็ว่านอนสอนง่ายหน่อย ใช้ไปไหนก็ใช้ง่ายๆ รับรองว่าฉันจะยังไม่บอก”

“ได้สิพี่คำแพงจะให้ส้มไปไหนล่ะ”

“ก็เวลาฉันไปไหนมาไหนแกค่อยตามฉันไปก็แล้วกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่บอกนะ ถ้าแกทำตัวเหลวไหลเมื่อไหร่ละก็ฉันไม่รับรอง” จนน้ำส้มก้มลงพยักหน้ารับคำนั่นล่ะคำแพงถึงได้พอใจ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไปคนเป็นพี่เหยียดยิ้มให้โดยที่น้องไม่ทันเห็น นึกสมเพชคนเป็นน้องที่พ่อโอ๋จนได้ใจ มันถึงนุ่มนิ่มและโง่ไม่ทันคนอย่างนี้ มีแต่คำแพงเท่านั้นที่รู้เท่าทันว่าใครดีไม่ดี

พอพี่สาวออกไปแล้วน้ำส้มจึงได้มีเวลาคิด ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี้มันคืออะไร รู้สึกตื้อตันอยากจะร้องไห้แต่น้ำตากลับไม่ไหลออกมาสักหยด หรือนี่มันเป็นบทพิสูจน์ว่าน้ำส้มต้องเข้มแข็ง และยืนหยัดสู้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่มีใครที่จะคอยดึงคอยช่วยเราได้ตลอด น้ำส้มนั่งลงข้างเตียงนอนที่ครั้งหนึ่ง ใครบางคนเคยมานั่งตรงนี้และเอนหลังพิงเหมือนที่กำลังทำ ใครคนหนึ่งที่บอกจะทำเพื่อกันวันนี้คงไม่มีอีกแล้ว ถ้าไอ้จ๋าจะทำอย่างนั้นน้ำส้มก็คงจะห้ามไม่ได้ และเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ น้ำส้มเลยตัดสินใจลุกขึ้นและเดินออกจาห้องไป

ตลอดตั้งแต่สูญเสียแม่ไปน้ำส้มก็มีแต่พ่อที่คอยดูแลเอาใจใส่ และพี่ที่คอยแต่จะหาเรื่องมาดุด่าตลอด แต่ทั้งสองคือคนที่น้ำส้มรัก และพอมีไอ้จ๋าเข้ามาก็เหมือนกับว่าชีวิตได้รับการเติมเต็มสีสันและความสุขเพิ่มเข้ามาอีก ตั้งแต่ที่แอบชอบเขาจนได้รับรู้ว่าอีกคนก็คิดเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนมันทำให้มีความสุขมากจนหลงลืมเผื่อใจว่าสักวันความสุขนั้นอาจไม่อยู่กับเรา แต่เวลานั้นสำหรับน้ำส้มทำไมมันมาเร็วเหลือเกิน เพิ่งจะคบกันได้ไม่นานก็มีอุปสรรคเสียแล้ว แต่นั่นไม่เท่าไหร่ เพราะน้ำส้มหวังว่าจะพากันฟันฝ่าต่อไปให้ได้ ไม่คิดว่าวันนี้ไอ้จ๋าจะมาทิ้งกันลงตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง

น้ำส้มเดินมาถึงห้องทำงานของเถ้าแก่สิน เห็นพ่อนั่งทำงานก็ให้นึกห่วง แต่ยังไงก็คงต้องสารภาพความจริงกับพ่อ บางทีน้ำส้มอาจจะขอไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพสักพัก พอให้แผลในใจมันทุเลาลงบ้างก่อนแล้วค่อยกลับมา

“เจ้าส้มมีอะไรลูกเข้ามาสิ” เถ้าแก่ทักเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นลูกคนเล็กยืนอยู่หน้าประตู ทำเหมือนจะเข้ามาในห้องแต่ก็ไม่เข้ามาสักที และพอพ่อทักน้ำส้มก็เดินเข้ามาในห้องช้าๆ โดยยังไม่กล้ามองหน้าพ่อด้วยซ้ำ

“ว่าไงมีอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าตาเหมือนไม่สบายเลยล่ะลูก”

“ส้ม...”

“มีอะไรก็พูดมาเลย”

“พ่อส้มขอโทษ” น้ำส้มโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อแล้วพูดอู้อี้อยู่กับอก เมื่อฟังไม่รู้เรื่องเถ้าแก่สินจึงดันร่างผอมบางออกให้นั่งคุยกันดีๆ

“ไหนว่าอะไรนะพ่อฟังไม่รู้เรื่องเลย ขอโทษเรื่องอะไร”

“จ๋าเขาคง..”

“คงอะไร”

“ถ้าจ๋าไม่สนข้อตกลงที่ทำไว้กับพ่อส้มก็ไม่เป็นไรนะฮะ”

“ทำไมลูก”

“เมื่อกี้จ๋าเขามาคุยกันส้ม” บอกได้เพียงเท่านั้นน้ำส้มก็ก้มหน้าหลบตาพ่อ ไม่ใช่ไม่กล้าสู้หน้าแต่เป็นเพราะน้ำส้มยังทำใจยอมรับไม่ได้ ว่าไอ้จ๋าละทิ้งข้อตกลงจริงๆ นั่นจึงไม่ได้เห็นรอบยิ้มบางๆ ของเถ้าแก่สินที่ส่งให้ลูกด้วยความเอ็นดู ที่น้ำส้มมีความซื่อสัตย์ แต่เถ้าแก่ยังคาใจและไม่เข้าใจการกระทำของไอ้จ๋า ว่าทำไมมันถึงได้ทำให้น้ำส้มคิดมากอย่างนี้ มีอะไร ทำอะไร ทำไมมันไม่บอกกันดีๆ เจอหน้าอีกทีเป็นเรื่องแน่ เถ้าแก่คิดคาดโทษพลางลูบหัวลูกเพื่อปลอบโยน

“แสดงว่าไอ้จ๋ามันทิ้งข้อตกลงว่าอย่างนั้นเถอะ” น้ำส้มทำเพียงพยักหน้าตอบแทนคำพูด เถ้าแก่อยากหัวเราะออกมาดังๆ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจแต่ก็พอมองออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไรจึงถามน้ำส้มต่อ

“แล้วลูกจะทำยังไงต่อไป”

“ส้มแล้วแต่พ่อ”

“ถ้าพ่อให้ไปอยู่กรุงเทพจะไปมั้ย หรือไม่งั้นก็ไปคบกับเจ้าตี๋ดูท่าทางพี่เขาจะชอบส้มมากนะ”

“ไม่เอาฮะพ่อ ส้มไม่คบใครทั้งนั้น” น้ำส้มส่ายหน้าเอาเป็นเอาตายเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อบอก ถึงจะเสียใจแต่ก็ไม่อยากดึงใครมาเป็นตัวแทน “ส้มจะอยู่กับพ่อนะฮะ” เถ้าแก่สินได้แต่กอดและลูบหลังเพื่อปลอบเบาๆ ในหัวคิดหาเหตุผลว่าทำไมไอ้จ๋ามันถึงได้ทำตัวแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอดเถ้าแก่ก็ไม่ได้คำตอบสักที เพราะคำตอบมันอยู่ที่ไอ้หมาหน้าดำนั่นคนเดียว น้ำส้มผละออกจากพ่อแล้วถอยห่างไปนั่งดีๆ

“ส้มขอโทษที่ทำให้พ่อเป็นห่วง”

“อืม พ่อไม่เป็นไร”

“แล้วนี่มีอะไรให้ส้มทำหรือเปล่าฮะ”

“อยากทำงานหรือไง”

“ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ใช่มั้ยล่ะ”

“งั้นก็เอาบัญชีไปเช็คของไป” น้ำส้มยิ้มบางๆ ให้พ่อเมื่อรับแฟ้มเอกสารพร้อมกับสมุดบัญชีที่พ่อยื่นให้มาถือ ยิ้มให้พ่อนิดหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป เพียงเวลาไม่นานที่ดูเหมือนว่าน้ำส้มจะกลับมาเป็นคนที่ร่างเริงสดใสเหมือนเดิม แต่นั่นก็เป็นเพียงภายนอก ส่วนภายในนั้นจะให้ลืมจริงๆ คงต้องใช้เวลา

น้ำส้มตรวจบัญชีพลางจัดของไปด้วย แต่จิตใจนั้นไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเองเลย เพราะมันคอยแต่พะวงหาใครคนนั้น ในหัวเอาแต่เผลอคิดถึงเวลาที่เคยใช้ร่วมกัน ทั้งอดีตและปัจจุบันตีมั่วกันไปหมดจนเมื่อทำงานพลาดนั่นแหละจึงได้รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีสมาธิในการทำงานเอาเสียเลย น้ำส้มต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ และรีบทำงานให้เสร็จ เอาสมุดบัญชีกับแฟ้มเอกสารไปเก็บที่เดิมแล้วกลับขึ้นห้อง แต่ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งคิดมาก ถึงแม้จะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่ในใจลึกๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ทำไมยังคิดถึง ทำไมยังอยากเห็นหน้า เมื่ออยากเห็นหน้ามือก็ทำตามใจเรียกร้องทันที โดยการเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้สนใจมันทั้งวันมาเปิดดูรูป ซึ่งเป็นของไอ้จ๋าที่เคยแอบถ่ายเอาไว้ ครั้นจะถ่ายตรงๆ ไอ้คนไม่ชอบถ่ายรูปก็ไม่เคยจะยอมดีๆ แต่พอเปิดหน้าจอขึ้นมาจะปลดล็อกใจดวงน้อยก็เป็นอันได้เต้นกระหน่ำ เพราะแจ้งเตือน SMS ที่อยู่บนหน้าจอ

ยังไม่ทันได้เปิดอ่านข้อความด้วยซ้ำ แต่น้ำส้มก็เกิดความลังเลขึ้นมาว่าจะเปิดเข้าไปดูดีหรือไม่ เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นข้อความที่ตัวเองไม่อยากรับรู้ แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ได้เมื่อมือมันอยู่เหนือการควบคุมและเปิดเข้าไปหน้าอ่านข้อความเอง

‘ฉันอุตส่าห์คิดถึงเธอ เป็นบ้าอะไรยัยเน่า!’ อ่านจบใบหน้าหวานงอง้ำพร้อม นึกโกรธไอ้หมาหน้าดำด้วยจึงลบข้อความทิ้งมันเสียเลย คนบ้านี่ทำอะไรลงไปแล้วยังจะมาพูดแบบนี้อีกทั้งที่ตัวเองทำผิด น้ำส้มปิดโทรศัพท์แล้วนอนซบหน้าลงกับหมอน บอกตัวเองว่าให้ท่องเอาไว้ยังไงก็ต้องลืม แม้ว่ามันจะทำไม่ได้ง่ายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

04.45 น. ของวันต่อมา!

“ไปไหนแต่หัวรุ่งวะ ไก่ยังไม่ทันตื่นมาขันปลุกเลย”

“มีธุระนิดหน่อยครับพ่อ”

“ธุระอะไรของแกตั้งแต่ไก่ไม่ทันได้โห่อย่างนี้”

“ธุระสำคัญครับพ่อ เดี๋ยวผมต้องรีบไปแล้ว”

“เออ ขยันนะมึงเรื่องของชาวบ้านเนี่ย งานตัวเองมีมั้ย”

“แหมชาวบ้านที่ไหนล่ะครับพ่ออีกไม่นานก็จะดองกันแล้ว”

“ทำให้เขายอมรับความรักของมึงกับลูกชายเขาให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาคุย”

“แหมพ่อผมก็กำลังเร่งทำคะแนนอยู่นี่ไง”

“ทำยังไงวะคะแนน โดยการไปเป็นคนงานให้เขาจิกหัวใช้เนี่ยนะ”

“อันนี้ผมต้องเอาความมุมานะ ความเอาการเอางานเอางานของตัวเองทั้งหมดที่มีเข้าสู้ด้วยสุดตัวเลยนะพ่อ จะได้ไม่เสียชื่อมาถึงกำนันอาจหาญไง”

“เออ ทำเป็นพูดดีไปเถอะ แล้วทางนั้นเขาทำอะไรกันแล้ววะทำไมแกต้องไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้งอย่างนี้”

“ทางนั้นก็เริ่มเกี่ยวข้าวได้วันสองวัน แต่วันนี้คุณอากวินบอกให้ผมไปช่วยงานแต่เช้าไม่รู้ว่าจะให้ทำอะไรเหมือนกัน”

“แล้วเมื่อวานเขาใช้แกทำอะไรล่ะ”

“ก็ถางหญ้าปรับหน้าดินไว้ทำลานข้าวน่ะพ่อ”

“ทำทำไมวะแค่เอาตาข่ายไนลอนตาถี่ๆ ปูก็ใช้ได้แล้วนี่”

“อันนี้ผมก็ไม่รู้ครับ”

“หรือว่า..”

“หรือว่าอะไรล่ะพ่อ”

“เออๆ ไม่มีอะไร เดี๋ยวสายๆ อาจจะเข้าไป”

“พ่อจะเข้าไปทำไมครับ หรือว่าไปคุยกับคุณยาย”

“หึๆ เรื่องของกู” กำนันยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะฟังจากที่เจ้าลูกชายเล่าแล้วดูเหมือนว่าไอ้กวินคู่ปรับเก่า มันจะมีแผนบางอย่างมาแกล้งลูกชายของเขาแน่ๆ ล่ะ นอกจากแกล้งให้ทำงานหนักทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นแกล้งให้ถางทางถางหญ้าปรับหน้าดิน ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะไม่พ้นอย่างที่กำนันคิดเอาไว้เป็นแน่แท้ อย่างนี้จึงต้องไปดูให้เห็นกับตา

“มีอะไรบอกกันบ้างสิพ่อ”

“ไม่มีโว้ยไปไหนก็ไป”

“ครับๆ “เด็ดเดี่ยวในชุดทำงานทะมัดทะแมง เดินออกมาขึ้นรถคู่ใจคันเก่งของตัวเองแล้วขับออกไป โดยมีกำนันที่ได้แต่ส่ายหัวหนักใจแทนเมื่อมองตามลูกชายคนเดียว ที่มุ่งมั่นฟันฝ่าด่านของว่าที่พ่อตาเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับ ครั้นจะห้ามอะไรก็ห้ามได้ไม่เต็มที่เพราะปล่อยมาแล้วตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้ปล่อยให้จัดการกันเอาเองต่อเลย แต่ไม่ว่าจะยังไงวันนี้ก็คงต้องแวะไปดูสักหน่อย ว่าไอ้กวินคู่ปรับเก่ามันจะยำลูกชายเขาจนเละหรือเปล่า

เด็ดเดี่ยวใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาถึงบ้านไม้หลังใหญ่ของคุณยายประไพศรี ที่มีคุณกวินยืนเด่นเป็นสง่ารออยู่แล้ว ไอ้จ๋ายืนเอาแขนวางไว้ที่ด้ามจอบด้วยท่าทางเท่ๆ ของมันอยู่ข้างๆ ส่วนต้นกล้านั่งหาวอยู่บนบันไดขั้นที่สาม ชายหนุ่มรีบลงจากรถเดินเข้าไปยกมือไหว้คุณกวินเหมือนเช่นทุกวัน โดยไม่ลืมมองเลยไปหาคนที่นั่งหาวอยู่บนบันไดด้วย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“ตื่นแต่เช้าก็เป็น”

“ผมตื่นเช้าทุกวันครับ” และวันนี้คุณพ่อสั่งให้ผมมาแต่เช้าเองนะได้ข่าว เด็ดเดี่ยวแค่ต่อประโยคนั้นเองในใจ เพราะหากพูดออกไปคงเรื่องใหญ่เป็นแน่

“แกพร้อม?”

“ครับ”

“ไอ้จ๋า”

“ครับคุณลุง”

“พาไอ้หนุ่มนี่ไปจัดการตามที่คุยกันเอาไว้”

“รับแซบครับ”

“ทำอะไรครับ” เด็ดเดี่ยวถามเพราะความสงสัยจนอดไม่ได้ เมื่อคุณกวินและไอ้จ๋าทำท่าทางเหมือนกับว่าเป็นงานใหญ่ที่มีลับลมคมในเสียเหลือเกิน

“เดี๋ยวแกตามไอ้จ๋าไปก็รู้ ทำเองคนเดียวห้ามให้ใครช่วย แค่นั้นทำไม่ได้ก็ไสหัวกลับไปนอนให้พ่อแกป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ที่บ้านโน่น อย่าเอาหน้าเห่ยๆ ของแกมาให้ฉันเห็น” คุณกวินบอกเสียงดังฟังชัด ส่วนเด็ดเดี่ยวได้แต่รับคำแบบงงๆ เพราะไม่รู้ว่าคุณกวินจะให้เขาทำอะไรกันแน่ จนเมื่อไอ้จ๋ามาสะกิดที่แขนเพื่อเรียกให้ไปทำงานนั่นแหละเขาจึงได้รู้สึกตัว

“ครับ”

ต่อ.....
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 100% 13/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-02-2019 21:34:28


“เอ่อคุณพ่อครับ กล้าขอไปกับไอ้จ๋าด้วยได้หรือเปล่าครับ” ต้นกล้าที่เรียกได้ว่าแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพราะอยากร่วมวงถามขึ้น หลังจากที่ได้รู้แผนการเขาก็เอาแต่เงี่ยหูฟัง หากเห็นคุณกวินและไอ้จ๋าคุยกัน เผื่อว่าจะมีการวางแผนใหม่ขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ และพอดีเมื่อวานตอนเย็นได้ยินคุณกวินบอกไอ้จ๋าให้ตื่นแต่ตีห้า ต้นกล้าที่กลัวพลาดเรื่องสนุกจึงต้องตื่นด้วย แต่ก็เป็นไอ้จ๋านั่นแหละที่มีหน้าที่มาปลุกลูกพี่ใหญ่ของมันตามคำสั่ง โดยแอบมาปลุกไม่ให้คุณกวินผู้เป็นเจ้าของแผนการรู้ด้วยซ้ำ

“พ่อว่าเจ้ากล้ากลับไปนอนก่อนก็ได้นะลูก สายๆ ค่อยตื่นไปเกี่ยวข้าวกับคนงาน”

“แต่กล้าอยากรู้นี่ครับคุณพ่อว่าจะทำอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกน่า”

“เอางั้นก็ได้ครับ” ต้นกล้าเดินกลับขึ้นบ้านอย่างว่าง่าย โดยมีคุณกวินมองตามด้วยสายตาพอใจที่ลูกชายเชื่อฟัง ก่อนจะหันมาทางเด็ดเดี่ยวและเลยส่งสายตาให้ไอ้จ๋ารีบพาไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว ส่วนตัวเองเดินผิวปากแบกพร้าด้ามยาวลงนาอย่างสบายอารมณ์



“ตักขี้ควายครับ”

“ห๊า! แกว่ายังไงนะ”

“ตักขี้ควายครับลูกพี่ งานของลูกพี่เช้านี้คือตักขี้ควายใส่กระสอบพวกนี้ให้เต็ม”

“เอาไปทำไมวะ จะทำปุ๋ยคอกหรือไง”

“ไม่ใช่ครับต้องเอาที่มันขี้สดๆ ใหม่ๆ ด้วยครับถึงจะใช้ได้”

“เอาไปทำไมวะ หรือว่า..”

“หึๆ ๆ ตามนั้นครับลูกพี่” เด็ดเดี่ยวนึกอะไรออกรางๆ แต่ยังไม่แน่ใจ พอได้ยินเสียงไอ้จ๋าหัวเราะขำๆ ทำสายตาเจ้าเล่ห์เท่านั้นแหละ ชายหนุ่มก็เริ่มจะเดาทางได้ถูกทันทีว่าวันนี้คุณกวินจะให้เขาทำอะไร เด็ดเดี่ยวก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง โดยการหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไอ้จ๋ามันเตรียมมาให้พร้อมแล้วตั้งแต่ใส่ถุงมือยางยาวถึงข้อศอก แล้วหยิบจอบกับถังตักพร้อมกระสอบปุ๋ยที่จะใช้ใส่ขี้ควายเดินเข้าไปในคอก ไอ้จ๋าค่อยส่องไฟให้เมื่อเด็ดเดี่ยวเดินเข้าไปในหมู่ฝูงควายที่มองตามเหมือนสงสัย แต่พอเห็นว่าไม่มีอะไรนอกจากมนุษย์คนหนึ่งมันก็พากันเมินหน้าหนี

“ตักขี้ควายเหรอ เอาไปทำไมวะ” ต้นกล้าขมุบขมิบปากพูดเบาๆ ตอนนี้เขาแอบซุ่มอยู่อีกมุมของคอกควายไม่ไกลกัน ได้ยินสิ่งที่ไอ้จ๋าบอกกับเด็ดเดี่ยวก็ได้แต่สงสัย ว่าคุณกวินผู้เป็นพ่อจะเอาขี้ควายไปทำอะไรกัน คนหัวแดงคิดไปหลายตลบแต่ก็ยังคิดไม่ตก เพราะถ้าไม่เอาไปทำปุ๋ยต้นกล้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาขี้สดๆ ใหม่ๆ ของควายไปทำอะไรได้อีกแล้ว

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้” ทั้งที่เหม็นก็เหม็นแต่ยังคิดไม่ตกจนกระทั่งเสียงถามดังขึ้นต้นกล้าก็ยังไม่รู้ตัว เจ้าของเสียงจึงโน้มตัวลงมาใกล้แล้วถามอีก “มาให้กำลังใจพี่เหรอ”

“เฮ้ย! ตกใจหมด”

“แล้วเรามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“เปล่าแค่เดินผ่านเลยแวะมาดูเฉยๆ ใครจะมานั่งทำอะไรอยู่นี่ได้เหม็นออกอย่างนี้”

“นั่นสิเหม็นสุดๆ เลย มาช่วยให้พี่หายเหม็นหน่อยเร็ว”

“หืม? ..ช่วยยังไงล่ะ มีแต่ขี้ควายทั้งนั้น”

“ขยับมานี่สิ”

“ไม่เอาหรอกเหม็นไปดีกว่า”

“เดี๋ยวๆ ตกลงว่าไม่ได้มาหาพี่เหรอ พี่ต้องการกำลังใจมากเลยนะตอนนี้ ดูสิต้องตักขี้แต่เช้าเลย”

“เหอะ ตักไปเถอะโชคดีนะ เราไม่เอาด้วยหรอก” ต้นกล้าที่ดูเหมือนจะรู้ทันว่าคนตัวโตจะทำอะไรจึงไม่ขยับเข้าไปหา แต่เดินออกไปจากตรงนั้นด้วยท่าทางอารมณ์ดี ที่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลจากแถวนั้นมานักหรอก เพราะยังอยากดูคนคนตัวโตตักขี้ควาย ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้อยากดู ก็แค่ไม่อยากไปไหนไกลแค่นั้นเองไม่มีอะไรมากมาย

ต้นกล้าเดินออกไปแล้วเด็ดเดี่ยวจึงหันกลับมาตักขี้ควาย โดยมีไอ้จ๋ายืนมองอย่างเห็นใจด้วยสายตาอันเสแสร้งปนสะใจอยู่ข้างนอก ชายหนุ่มตักไปยิ้มไปเมื่อเห็นว่าต้นกล้าไม่ได้เดินไปไหนไกลจากตรงนี้เลย เขาอยากดึงคนร่างโปร่งเข้ามาหอมแก้มสักฟอดดับกลิ่นเหม็นๆ ของขี้ควาย แต่ถ้าเอามือที่อยู่ในถุงมือเปื้อนๆ ขี้ไปจับตัวอีกคน เขาคงได้โดนโวยวายยกใหญ่ เด็ดเดี่ยวตักขี้ควายสดคอกนี้หมดก็ย้ายไปอีกคอก ซึ่งนี่คือภารกิจที่ไอ้จ๋ามันได้รับมอบหมายมาเมื่อวาน นั่นก็คือไปบอกชาวบ้านที่มีควายว่าเช้านี้มันจะมาตักเอาขี้นั่นเอง



แสงสีทองยามเช้าสาดสู่พื้นพสุธา อาบไล้ไปตามท้องทุ่งนาเหลืองอร่าม ความอบอุ่นของแสงแรกแห่งวันเป็นสัญลักษณ์ของวันใหม่ ที่มาพร้อมเสียงไก่ขันรับกันไปเป็นทอดๆ หัวบ้านท้ายบ้าน เหมือนปลุกแรงงานที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวพร้อมสู้กับงานที่รออยู่ นกน้อยบินฝ่าหมอกยามเช้าออกจากรังเพื่อหาอาหาร และถึงเวลาที่คนหนุ่มล่าขี้อย่างเด็ดเดี่ยวได้ขี้ควายมาในปริมาณที่เพียงพอ

“เอาล่ะ มาถึงตอนนี้แกคงรู้แล้วสินะว่าฉันจะให้แกทำอะไร” คุณกวินพูดขึ้นเมื่อไอ้จ๋ามันขับรถกระบะคันเก่าของมันที่เอาไปขนขี้ควายลงมายังลานดินที่เตรียมเอาไว้ โดยมีคุณกวินกับต้นกล้าที่ทำทีว่าเพิ่งลงมาจากบ้านรออยู่

“ครับ”

“งั้นก็ไปจัดการซะ ไอ้จ๋าไปตัดต้นขดมอนมาไว้ปัดขี้”

“ครับ”

“ต้นอะไรนะครับคุณพ่อ

” ต้นขดมอน”

“ถ้าลูกพี่อยากเห็นตามไปดูกับไอ้จ๋าก็ได้นะครับ ต้นขดมอนชาวชาวบ้านแถวนี้เรียกต้นขัดมอนครับ มันเป็นหญ้าชนิดหนึ่ง โตสุดก็สูงประมาณเอว ต้นเป็นพุ่มแตกกิ่งก้านสาขาเราเลยเอามาทำเป็นไม้กวาดพื้นได้ เหมือนไม้กวาดทางมะพร้าว เดี๋ยวไอ้จ๋าไปตัดมาให้ดูตอนนี้เลยครับ”

“ขณะที่รอไอ้จ๋าแกไปเตรียมขี้ไว้ดีกว่ามั้ยไอ้หนุ่ม” คุณกวินพูดขึ้นเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเอาแต่มองต้นกล้าไม่วางตา ซึ่งเมื่อได้ยินคำสั่งกลายๆ เด็ดเดี่ยวก็รับคำเบาๆ แล้วไปจัดการยกกระสอบใส่ขี้ควายลงมาเทกระจายไว้ที่ลานดินทันที กลิ่นขี้ควายสดๆ ใหม่ๆ คลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

“ยี้แหวะ คุณพ่อจะทำอะไรครับเนี่ยเหม็นออก”

“ลานข้าวไง”

“แล้วทำไมต้องเอาขี้ควายมาเทล่ะครับ อย่าบอกนะครับว่าเอามาผสมกับข้าว” โอ๊ยลูกกูนี่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย คุณกวินอยากตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ให้กับความไม่รู้ของต้นกล้า ก่อนจะอธิบายให้ลูกชายคนเดียวฟัง

“ลานข้าวก็คือพื้นที่ที่ทำเอาไว้นวดเมล็ดข้าวออกจากรวงไง โดยที่เมื่อวานพ่อให้ไอ้หนุ่มนั่นมันถางหญ้าถากหน้าดินออก เพื่อเตรียมที่ไว้แล้ว วันนี้ก็เป็นการทำลานข้าวอย่างเต็มรูปแบบโดยการเอาขี้ควายนี่แหละมาทำ”

“ทำไมต้องเป็นขี้ควายล่ะครับคุณพ่อ”

“อืม นั่นสินะ ทำไมต้องเป็นขี้ควายล่ะ”

“อ่าว” เมื่อคุณกวินไม่ไขข้อข้องใจต้นกล้าจึงได้แต่มองพ่อตัวเองงงๆ และคิดว่าพ่อคงไม่รู้เพราะคุณกวินนั้นก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นหนุ่มเมืองกรุงมาแต่เกิด แต่ด้วยความที่มาได้เมียเป็นชาวนาต้นกล้าจึงไม่ต้องผิดหวังนานนัก เมื่อผู้เป็นพ่อเริ่มอธิบายต่อในสิ่งที่เขากำลังอยากรู้

“การเอาขี้ควายหรือขี้วัวมาทำลานข้าวนี่มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ทำกันมาแต่โบร่ำโบราณแล้ว เพื่อเป็นการปรับหน้าดินให้เรียบ ทำให้ดินยืดเกาะติดกันแน่นและแข็งขึ้น หรือทำให้มันเรียบแน่นขึ้น พูดง่ายๆ ก็เหมือนเป็นการเคลือบหน้าดินให้เรียบ เกาะกันแน่นๆ จะได้ไม่มีเศษหญ้าหรือเศษดินตอนเรานวดข้าวไง”

“แล้วอย่างนี้เราก็เอาปูนมาเทไม่ดีกว่าเหรอครับ”

“ไอ้ดีมันก็ดีนะลูก แต่ตรงที่เราเทปูนก็จะใช้เพาะปลูกอะไรอื่นไม่ได้แล้วนะ” คุณกวินกอดคอลูกชายคนเดียวของเขาเอาไว้พลางอธิบาย

“อ่ออย่างนี้นี่เองเหรอครับ ขี้ควายพอใช้งานเสร็จมันก็จะสลายตัวไปตามเวลา หรือถูกน้ำเปียกอีกก็ละลายเข้ากับดินกลายเป็นปุ๋ยได้ด้วยสินะครับ”

“เก่งมากลูกพ่อ ถ้าอย่างนั้นนวดข้าวเสร็จขนข้าวขึ้นยุ้งเราก็มาทำสวนครัวต่อเลย”

“ฮ่าๆ ว่าไปนั่น “เด็ดเดี่ยวยืนมองสองพ่อลูกคุยกันเพลิน พลางเทขี้ควายในกระสอบกระจายไปจนทั่วลาน แต่เมื่อเห็นต้นกล้าหัวเราะเสียงดังชายหนุ่มจึงหยุดมือที่กำลังทำงานและยืนมองค้างอยู่อย่างนั้น

“เอาไอ้หนุ่ม ยืนเหม่ออะไรวะ ทำงานต่อเด้” คุณกวินสั่งเสียงเข้มเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเอาแต่ยืนมองต้นกล้าอีกแล้ว

“ครับๆ”

“น้ำน่ะขนลงมาสิ”

“ครับ” ดูเหมือนว่าเด็ดเดี่ยวจะพูดได้แค่คำว่าครับ แล้วก็ต้องรีบทำตามคำสั่งให้ทันใจคุณกวิน ชายหนุ่มวิ่งออกจากลานข้าวมาเอาแกลลอนน้ำที่ไอ้จ๋ามันกรอกเอาไว้ แต่ยังไม่ทันได้วิ่งเข้าไปยังลานดินเหมือนเดิมคุณกวินก็หยุดเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวๆ ไอ้หนุ่มแกลืมอะไรไปหรือเปล่าวะ”

“ลืมอะไรเหรอครับ” คุณกวินไม่ตอบแต่หลุบตาลงมองที่เท้าของชายหนุ่ม นั่นจึงทำให้เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังใส่รองเท้าบูตสำหรับทำงานอยู่ เด็ดเดี่ยววางแกลลอนที่หิ้วอยู่ลงทั้งสองข้าง แล้วจัดการถอดรองเท้าออกอย่างรวดเร็ว พับขากางเกงขึ้นจนถึงเข่าแล้วก็หิวแกลลอนเข้าไปยังลานดิน เพื่อเทน้ำผสมกับขี้ควาย ซึ่งในการผสมนั้นต้องกะให้อยู่ในอัตราส่วนที่พอดีกันไม่ให้ข้นหรือเหลวมากเกินไป มูลของควายจึงจะเกาะตัวได้ดีและไม่แตกเมื่อใช้งาน

“มาแล้วครับต้นขัดมอน”

“เออ เอ้ามัดๆ “ไอ้จ๋ามัดต้นขัดมอนเข้ากับด้ามไม้ไผ่ทำเป็นไม้กวาดเพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น แล้วเอาไปให้เด็ดเดี่ยวที่กำลังเทน้ำผสมกับมูลควายย่ำๆ ด้วยเท้าให้เข้ากัน

“มันต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ” สองพ่อลูกที่กำลังยืนดูเด็ดเดี่ยวละเลงเท้าผสมมูลควายกับน้ำเพื่อทำลานข้าว หันมาทางต้นเสียงเข้มๆ ของชายวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ต้นกล้ายกมือไหว้ทักทาย ส่วนคุณกวินยิ้มเยาะขึ้นมาทันทีด้วยความสะใจ

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะอาจหาญ”

“ลมคิดถึงว่ะ แต่สำหรับคนที่กำลังทำมื้อเช้าอยู่บนเรือนโน่นไม่ใช่คนแถวนี้นะโว้ย” เท่านั้นแหละก็เล่นเอาคุณกวินเดือดปุดๆ ขึ้นมาได้มันที กำนันอาจหาญยิ้มมาให้อย่างเป็นต่อ ทั้งที่จริงๆ ท่านผู้นำประจำตำบลเพียงแค่แวะทักทายและถามไถ่คุณยาย แต่สมาชิกในครอบครัวก็เป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนา เมื่อถามถึงสารทุกข์สุกดิบของกันเท่านั้นเอง

“มาดูอะไรนี่สิลูกชายแกนี่ท่าจะชอบเรื่องขี้ๆ นะอาจหาญ”

“ใช่มันคงจะชอบของมันนั่นแหละถึงได้เลือกเดินทางสายนี้ เรื่องขี้ๆ เลยเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมัน” ต้นกล้ารู้สึกเหมือนมีประกายไฟออกมาจากตาของชายวัยกลางคนทั้งสอง ที่ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายก็ต่างไม่มีใครยอมใคร กำนันอาจหาญและคุณกวินเดินเข้ามาใกล้กันและฟาดฟันด้วยสายตา จนต้นกล้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ในรัศมีปะทะต้องถอยออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ยังไม่ทันได้มีอะไรเกิดขึ้น เด็ดเดี่ยวกับไอ้จ๋าก็เดินเข้ามาห้ามทัพเสียก่อน

“พ่อมาทำอะไร”

“เออ บอกว่าจะมาดูมึงนั่นแหละก็เลยมา”

“ลูกแหง่หรือไงวะที่พ่อต้องคอยตามดู” คุณกวินพูดขึ้นมาลอยๆ แต่กำนันก็ไม่ยอมเช่นกัน

“แหง่ไม่แหง่ไม่รู้ว่ะ ลูกก็คือลูก มันไปไหนทำอะไรแล้วมีความสุขก็อยากไปดูให้เห็น ว่ามีความสุขจริงหรือเปล่าก็เท่านั้นแหละ”

“เออ วันนี้ข้าให้มันเล่นขี้มันคงมีความสุขหรอกเห็นว่าชอบ เอ้า..ไอ้หนุ่มรีบๆ ไปทำงานของแกให้เสร็จๆ เร็วๆ เดี๋ยวขี้ควายก็แห้งก่อนหรอก” คุณกวินบอกแล้วหันไปไล่ให้เด็ดเดี่ยวกลับไปทำงานของตัวเอง เพราะน้ำที่เทลงผสมกับมูลควายหากไม่รีบผสมรีบเกลี่ยให้เข้ากันอาจจะซึมลงดินหมดก่อนที่จะปาดให้มูลที่ผสมพอดีหน้าดินได้

กำนันอาจหาญยืนกอดอกมองลูกชายคนเดียวของตัวเองทำงานอย่างขยันขันแข็ง โดยมีเสียงกระแนะกระแหนจิกกัดจากคุณกวินดังมาเป็นระยะ ส่วนต้นกล้ากับไอ้จ๋ายืนดูเด็ดเดี่ยวทำลานข้าวอยู่อีกมุมด้วยใบหน้าที่แตกต่างกัน ไอ้จ๋ามีสีหน้าปกติ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมันที่อยู่กับท้องไร่ท้องนาและควายมาแต่เล็กจนโตอยู่แล้ว แต่สำหรับต้นกล้าที่ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน ได้แต่ยืนดูด้วยใบหน้าที่บ่งบอกได้ว่าขยะแขยงเต็มที่ แถมยังเอาชายเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่มาปิดจมูกตัวเองเอาไว้แน่นป้องกันกลิ่น

“ลูกพี่ครับ คุณป้าเรียกไปกินข้าว” ต้นกล้าหันไปมองตามที่ไอ้จ๋าบอก ก็เห็นว่าคุณนภากำลังกวักมือเรียก ต้นกล้าเพียงพยักหน้าให้เป็นการบอกว่ารับรู้แล้ว แต่ยังไม่ขยับเดินไปไหน จนคุณนภาหันหลังเดินกลับขึ้นไปทางเรือน มีสองหนุ่มใหญ่ทั้งสองตามไปกันท่ากันนั่นล่ะ เขาจึงได้กลับมาสนใจคนที่กำลังละเลงเท้าเหยียบย่ำเล่นกับขี้ควายอยู่ตรงหน้า

“อย่าลองทำดูมั้ย”

“เอาเถอะตามสบายเราไม่อยากรบกวน”

“นี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำนานะ มาลองทำกับพี่สิจะได้รู้ไว้” แบบนี้ต้นกล้าไม่ขอเอาด้วยอย่างแน่นอน ที่จะต้องไปเหยียบย่ำขี้ควายเละๆ แล้วไหนจะกลิ่นอันเหม็นตลบอบอวลนั่นอีก ต้นกล้าไม่อยากคิดเลยว่าหากเอาข้าวมานวดกลิ่นมันจะติดข้าวไปมากแค่ไหน ทั้งที่ความเป็นจริง เมื่อลานข้าวที่ทามูลควายเสร็จแล้วปล่อยให้มันแห้งและแข็งตัว กลิ่นมันก็จะอ่อนลงและหายไปเอง แถมยังถูกกลบด้วยกลิ่นฟางกลิ่นข้าวใหม่หอมๆ อีกด้วย

“ลูกพี่น่าจะลองดูนะครับ” ไอ้จ๋าที่ยืนอยู่ข้างๆ อดเชียร์ไม่ได้เมื่อเห็นต้นกล้ายังยืนดูด้วยท่าทางหวาดๆ ขณะที่บอกมันก็สบตากับลูกพี่รองเป็นอันรู้กัน ไอ้จ๋าหักหลังลูกพี่ใหญ่ด้วยการผลักต้นกล้าที่ยืนหันหลังให้ไม่แรงมาก แต่ก็เล่นเอาคนเป็นลูกพี่เซไปได้เลยทีเดียว

“เฮ้ย ไอ้จ๋า! อ้ากกก เฮือก!!” เป็นเด็ดเดี่ยวที่รอจังหวะอยู่แล้วเข้ามารับร่างโปร่งที่เสียหลักเอาไว้ได้พอดี ก่อนที่ต้นกล้าจะหน้าคะมำลงไปกับกองขี้ควายผสมน้ำข้นๆ คนรับรวบร่างช่วงลำตัวเอาไว้ ทำให้ต้นกล้าได้จังหวะยกมือขึ้นโอบรอบคอ เพราะความตกใจต้นกล้าจึงเกร็งร่างจนตรง ส่วนเท้ายังจิกอยู่ที่ขอบลานดินร่างกายอยู่ในท่าเอียงสี่สิบห้าองศา โดยที่น้ำหนักตัวทั้งหมดทิ้งลงมาให้คนตัวโตรับเอาไว้

“อยากลงมาก็ลงมาดีๆ แบบนี้พี่รับไม่ทันมีหวังหมดหล่อแน่”

“เหอะไอ้จ๋าต่างหากที่มันผลักเรา”

“ไอ้จ๋าหวังดีครับลูกพี่ มาเดี๋ยวไอ้จ๋าถอดรองเท้าออกให้ครับ หึๆ ๆ ” ยังไม่ทันได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ไอ้จ๋าผู้หวังดีก็ถือโอกาสยกขาของลูกพี่ขึ้นแล้วถอดรองเท้าบูตที่ต้นกล้าใส่อยู่ออกโยนทิ้งทีล่ะข้าง และทันทีที่เท้าทั้งสองของต้นกล้าเปลือยเปล่าคนที่รองรับร่างโปร่งเอาไว้ก็ดึงเพื่อรั้งให้ลงมาเล่นขี้ด้วยกัน

“ไม่เอา ไม่เอาโว้ยไม่เอา” ต้นกล้าโวยวายเสียงดังเมื่อเด็ดเดี่ยวลากเขามากลางลานดิน ส่วนที่มีขี้ควายผสมน้ำอยู่ไม่มาก แต่แล้วเสียงโวยวายก็ต้องหยุดชะงักเหมือนโดนปิดสวิตท์ เมื่อคนตัวโตนั่งลงตรงหน้าและพับขากางเกงให้จนถึงเข่า ต้นกล้าอยากถอยหนีแต่ขามันดันไม่ยอมขยับ จึงได้แต่ก้มลงมองคนหน้ามึนอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องชอบทำอะไรอ่อนโยนแบบนี้ให้บ่อยๆ ซึ่งต้นกล้าจะไม่อะไรกับมันเลยสักนิด ถ้านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้หัวใจของเขาทำงานหนัก โว้ยใจมันสั่นจนจะวายอยู่แล้ว

“หึๆ ๆ ตามสบายนะครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋าขึ้นไปเอาข้าวมาให้” ไอ้จ๋าตะโกนบอกก่อนที่มันจะวิ่งไปตามทางที่พาขึ้นไปยังตัวบ้าน เพื่อเตรียมสำรับกับข้าวออกมาส่งลูกพี่ที่ทำงานหนัก เด็ดเดี่ยวพับขากางเกงทั้งสองข้างให้ต้นกล้าแล้วก็ยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากัน

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมาช่วยพี่ทำลานข้าวก็แล้วกันนะครับ”

“อย่างกับว่าเราจะปฏิเสธได้”

“หึๆ ๆ งั้นก็ย่ำลงตรงนี้เลย ทำอย่างนี้นะเดี๋ยวพี่จะเอาน้ำมาเท” เด็ดเดี่ยวย่ำเท้าให้ต้นกล้าดูพลางเทน้ำออกจากแกลลอนราดลงไปที่พื้น ปากก็อธิบายให้ต้นกล้าฟังไปด้วยเกี่ยวกับการผสมน้ำให้พอดี โดยไม่ให้ขี้ควายข้นหรือเหลวมากเกินไป ส่วนต้นกล้าถึงแม้จะไม่เต็มใจในตอนแรกเหมือนทุกครั้ง ที่เขาต้องลงนามาทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แต่พอเวลาผ่านไปได้สักครู่ก็เริ่มสนุก

ฟอดดด “ชื่นใจจริงๆ ”

“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นโดนแน่” ต้นกล้ากวาดเท้าให้น้ำผสมขี้ควายสาดใส่เด็ดเดี่ยว กันไม่ให้อีกคนเข้ามาใกล้หลังจากโดนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งที

“พี่ยอมตาย” ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าทั้งต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวกำลังสนุกกับการทำลานข้าว โดยเล่นสาดโคลนขี้ควายใส่กันไปด้วย อาวุธคือไม้กวาดหญ้าขัดมอนที่ถืออยู่คนละอันสะบัดใส่ช่วงเท้ากันไปมา ต้นกล้ากระโดดหลบฝูงขี้ที่เด็ดเดี่ยวสะบัดใส่ได้อย่างหวุดหวิด และสะบัดไม้กวาดคืนสนองอย่างรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวที่มือข้างหนึ่งถือไม้กวาด ส่วนมืออีกข้างถือแกลลอนเพื่อเทน้ำเพิ่มหลบไม่ทัน จึงโดนขี้ควายเละๆ เข้าไปเต็มๆ

กลิ่นเหม็นคลุ้งในตอนแรกเริ่มบรรเทาเบาบางลงไปเพราะจมูกเริ่มคุ้นชิน เสียงหัวเราะของคนหนุ่มทั้งสองดังก้องไปทั้งทุ่ง จนคนงานที่เกี่ยวข้าวอยู่ท้ายนาอีกฝั่งยังได้ยิน โคลนขี้ควายถูกเกลี่ยปัดลานจนทั่วหน้าดินที่เตรียมไว้อย่างพอดี เสร็จแล้วสองหนุ่มพากันล้างมือล้างเท้ามานั่งดูผลงานของตัวเอง นี่เป็นอีกงานหนึ่งที่ต้นกล้าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เขายิ้มอย่างพอใจ แต่ก็ไม่ลืมคิดคาดโทษไอ้จ๋าเอาไว้ด้วยที่มันบังอาจหักหลังกันเอง

“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้จ๋า ฉันเอาคืนแกแน่”



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

!!! ค้ากำไรมากไปมั้ยพี่เดี่ยว แกล้งน้องเห็นๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 25 แผนสกัดดาวรุ่ง 100% 13/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-02-2019 22:38:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิคุณพ่อตากวินไปกินข้าวนานจัง  ปล่อยให้ลูกชายสุดที่รักลงไปเล่นขี้ตั้งนานจนเสร็จภารกิจเลยทีเดียวเชียว
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 50% 24/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:40:48


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 26 ลงแขก



“ลงแขก เป็นประเพณีที่สื่อให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในการช่วยเหลืองานการต่างๆ ระหว่างชาวบ้าน แต่ลงแขกที่คนสมัยใหม่รู้จักมักจะเข้าใจความหมายไปในทางที่ไม่ดี ทั้งที่ในความหมายแท้จริงแล้ว การลงแขกนั้นเป็นประเพณีอันดีงามของไทยที่เราควรอนุรักษ์และรักษาเอาไว้ ซึ่งในอดีตชาวอีสานจะมีการลงแขกช่วยกันทำงานใหญ่ๆ ที่เกินกำลังของคนในครอบครัวเพื่อให้งานเสร็จเร็วๆ โดยส่วนมากก็จะมีตั้งแต่การลงแขกดำนา การลงแขกเกี่ยวข้าว ลงแขกนวดข้าวหรือตีข้าวที่ต้องใช้แรงคนมาก นี่จึงเป็นการแสดงน้ำใจที่คนในชุมชนมีให้แก่เพื่อนบ้านญาติพี่น้อง โดยไม่ได้ค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทน แต่จะมีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม และช่วยเหลือหมุนเวียนกันไป ซึ่งสังคมเกษตรมักจะเป็นสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน การลงแขกช่วยกันทำงาน จึงถือเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชนอย่างหนึ่ง เพื่อช่วยให้งานการต่างๆ เสร็จลุล่วงไปด้วยดีและรวดเร็วโดยไม่ต้องมีการว่าจ้าง

การไปช่วยเหลืองานลงแขก ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยเพื่อศึกษากันและกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในสมัยก่อนใช่ว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้น แต่ก็น้อยมากเพราะการพบปะส่วนใหญ่จะอยู่ในสายตาผู้ใหญ่คอยดูแลตลอด หากรักใคร่ชอบพอก็เข้าตามตรอกออกตามประตูให้ผู้ใหญ่รับรู้ การลงแขกทำงานจึงเหมือนเป็นการเปิดโอกาสกลายๆ มีการร้องเพลงเกี้ยวกัน จีบกัน และร่วมกันรับประทานอาหารที่ทางเจ้าของนาจัดเอาไว้อย่างสนุกสนาน ถือเป็นประเพณีสานสัมพันธ์อันดีงามที่เลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อสังคมสมัยใหม่ที่มีแต่การดิ้นรนเอาตัวรอดมากขึ้น ต้องการเงินมาเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตมากขึ้น ทุกวันนี้จึงแทบจะไม่ค่อยเห็นมีการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงานแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นการว่าจ้างแทน”



อ่านมาถึงตรงนี้ต้นกล้าก็ให้นึกเสียดาย ที่ประเพณีอันดีงามนี้ได้ถูกลดความสำคัญลง จนแทบเลือนหายไปหมดแล้ว เพราะจะว่ากันตามจริงตัวต้นกล้าเองก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ลงแขก’ ผิดจากความเป็นจริงไปในอีกความหมายหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะเป็นความหมายในทางไม่ดี อย่างที่ในบทความได้กล่าวเอาไว้นั่นแหละ จึงได้แต่นั่งเสียดายประเพณีดีงามที่น่าอนุรักษ์ไว้นี้ เขามองออกไปยังท้องทุ่งกว้างที่ห่มคลุมด้วยสีทองอร่ามตาของรวงข้าวจนสุดปลายนา ฝั่งนั้นมีต้นไผ่ปลูกเรียงเป็นทิวแถวที่ไอ้จ๋าบอกว่ามันเป็นไผ่หวาน หน่ออ่อนที่ได้มาจะมีรสหวานๆ นุ่มลิ้นผิดกับหน่อไม้ทั่วไปที่รสชาติขมฝาด แต่ต้นกล้ายังไม่เคยชิมสักครั้ง

“ลวกแต่พอสุก กินกับตำหมากหุ่งหรือปลาป่นอร่อยนักแลครับลูกพี่” ไอ้จ๋ามันว่าเอาไว้อย่างนั้น ต้นกล้ากวาดตามองไปตามไผ่ใบอ่อนสีเขียวลู่ไปตามลม ถัดจากแถวของกอไผ่หวานที่เรียงเป็นทิวคือคลองส่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมานาน เวลาน้ำหลากจะมีน้ำเต็มคลอง แต่เวลาที่เข้าหน้าแล้งอย่างนี้ แม้จะมีน้ำเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอสำหรับการเพาะปลูก ต้นกล้ารู้สึกตื่นเต้นไม่หายที่ได้มาสัมผัสมันกับความประทับใจของท้องไร่ท้องนาใกล้ๆ ด้วยตัวเอง ที่หากใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ไม่มีวันได้เจอแน่ คิดเล่นๆ ว่าหากจะมีการนัดกันลงแขกเกี่ยวข้าวบ้าง เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม สมัยนี้ยังจะมีใครมาอยู่อีกหรือเปล่า

“เด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยว”

“เด็ดเดี่ยว”

“พี่เดี่ยว”

“เดี๋ยวไม่คุยด้วยเลยนิ”

“โอเคๆ ครับยังไงก็ได้ แล้วเรียกพี่ทำไม” ต้นกล้าอยู่บนเปลนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ เข้าเพจก็มีแต่เรื่องเดิมๆ น่าเบื่อพักหลังมาจังไม่ค่อยอัปเดตอะไรลงไปนัก แถมยังมีข้อความต่างๆ ส่งเข้ามาหามากมาย ที่หากต้นกล้ามานั่งตอบทีล่ะคนคงใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ก็ยังมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเดิม ต้นกล้าชักจะเบื่อๆ เลย เปิดดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยจนนึกอยากหาข้อมูลการเกี่ยวข้าว เอาไปเอามาเลยไปเห็นบทความเรื่องการลงแขกเพื่อช่วยกันทำงาน พอได้อ่านแล้วก็เลยสนใจและนึกสนุกขึ้นมา

“ว่ายังไงครับ เรียกพี่ทำไมหืม”

“เราอยากลงแขก” !!

“ห๊า! ได้ไง ลงแขกใครที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่เอานะพี่ไม่ยอมมันไม่ดีอย่าทำ” เด็ดเดี่ยวฟังยังไม่ได้จับใจความดีก็ดีดตัวขึ้นมาโวยวาย เมื่อได้ยินต้นกล้าบอกว่าอยากลงแขก เพราะเขาคิดถึงความหมายไปในทางไม่ดีที่คนสมัยนี้นำมาใช้กัน ต้นกล้าได้แต่มองหน้าเด็ดเดี่ยวงงๆ แต่พอเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของคนตัวโต ที่กำลังมองตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่ยอม พลางคิดทบทวนคำพูดของเด็ดเดี่ยวไปด้วยเลยเข้าใจ จึงได้แต่หัวเราะขำพรืดออกมา

“อ่าว หัวเราะทำไม”

“ก็คิดไปถึงไหน เราหมายถึงการลงแขกเกี่ยวข้าวหรอก”

“วู้...พี่ก็นึกว่าจะลงแขกแบบนั้น”

“แบบไหน”

“ก็..แบบที่..เอ่อ..ช่างมันเถอะ”

“แล้วคิดว่าถ้าเราลงแขกเกี่ยวข้าวจะมีคนมาช่วยหรือเปล่า”

“ก็คงมีมาบ้างอยู่นั่นแหละลองดูมั้ยล่ะ”

“ลองได้เหรอ”

“ทำไมจะไม่ได้”

“ก็เห็นเขาเขียนว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีการลงแขกแล้วนี่ มีแต่จ้างแทนแล้วหันไปลงแขกอย่างอื่น” ต้นกล้าชูโทรศัพท์มือถือเครื่องบางๆ ของตัวเองให้เด็ดเดี่ยวดู ซึ่งยังมีเนื้อหาของการลงแขกเกี่ยวข้าวเปิดค้างเอาไว้อยู่

“ลงแขกอย่างอื่นอย่างไหนล่ะ” เด็ดเดี่ยวแกล้งทำนัยน์ตาวาวและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่เปิดบัง จนคนถูกถามขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ

“อย่างนั้นล่ะ”

“นั่นแน่คิดอะไรอยู่”

“คิดว่าท่าทางมันน่าสนุกเนอะ”

“ลงแขกเนี่ยนะ กับพี่สองคนสนุกกว่า”

“ลงแขกเกี่ยวข้าวโว้ย!” ถึงจะแกล้งโวยวายต้นกล้าก็อดจะยิ้มขำออกมาไม่ได้ที่เด็ดเดี่ยวพาวกเข้าการลงแขกของคนสมัยนี้จนได้ จึงพากลับมาที่ลงแขกเกี่ยวข้าวเหมือนเดิม บอกแล้วก็อมยิ้มมองกันอยู่อย่างนั้น เด็ดเดี่ยวมองตอบต้นกล้ายิ้มๆ เช่นกันเมื่อเห็นแววตาที่เปล่งประกายความสนุกออกมาอย่างปิดไม่มิด ตอนนี้ทั้งสองพักเที่ยงรอลงเกี่ยวข้าวช่วงบ่าย ที่มุมสบายมุมโปรดของต้นกล้า หนุ่มหล่อเกาหลีนอนเล่นบนเปลรับลมธรรมชาติเย็นๆ ใต้ร่มไผ่เหมือนเดิม ที่คนไม่เคยนอนใกล้กอไผ่จะไม่รู้หรอกว่ามันเย็นสบายมากแค่ไหน ส่วนเด็ดเดี่ยวเหยียดขาสุดความยาวเอนหลังพิงต้นมะม่วงอยู่ใกล้ๆ กัน

กว่าจะทำลานข้าวเสร็จเวลาก็สายมากแล้ว ต้นกล้าหิวจนอยากอาละวาดไอ้ลูกน้องคนสนิท ที่มันบอกจะไปเอาข้าวมาให้กินก็ไม่มาสักที เล่นหายไปจนเกือบสิบโมงจึงได้โผล่หัวมาให้เห็น ต้นกล้านี่หิวจนไส้จะขาดเลยไม่มีอารมณ์สนใจอะไร ได้อาหารก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว โดยนั่งลงกินมันข้างลานข้าวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ นั่นแหละ ขี้ควายที่ทาเอาไว้ก็ยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าความหิวทำให้เขาลืมกลิ่นเหม็นๆ ของขี้ควายไป หรือว่ากลิ่นมันอ่อนลงเอง หรือเพราะความคุ้นชิน หรือเพราะคนที่นั่งกินด้วยกันที่คอยหาเรื่องให้ป้อนและคอยป้อนกลับ แต่หนุ่มหล่อเกาหลีที่ร้องยี้และรังเกียจในตอนแรก ก็นั่งกินข้าวได้อย่างสบายอารมณ์ทีเดียว ส่วนไอ้จ๋าเอาข้าวมาส่งลูกพี่ของมันเสร็จก็หายไปอีก เห็นบอกว่าต้องเอากับข้าวไปส่งคนงานต่อ ธุระของมันนี่ก็เยอะจริงๆ

“เอาจริงเหรอ”

“เอาดิ”

“งั้นมาเลย”

“อะไรๆ ๆ”

“อ้าวก็เมื่อกี้บอกว่าอะไรล่ะ”

“อย่าๆ อย่ามาทำตัวเนียนลามกแถวนี้”

“พี่ล้อเล่น” แต่ได้ก็ดี โว้ย! ..เด็ดเดี่ยวอยากเขกหัวตัวเอง ที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องไม่ดีไร้สาระ คิดแต่เรื่องจะเอาเปรียบคนตัวเล็กกว่า ทั้งที่ต้นกล้าให้ความใกล้ชิดและเปิดใจมากขึ้นขนาดนี้ ถอนใจให้กับความคิดของตัวเองดังๆ แล้ววางมือบนหัวที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงแล้วกดขยี้เบาๆ (?) จนอีกคนหัวสั่นหัวคลอน

ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะดูเหมือนพะวักพะวนอยู่หน่อยๆ ก็คงเป็นเพราะกังวลเรื่องผู้ใหญ่ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นและชัดเจนกว่าเมื่อก่อนมากโขเลยทีเดียว ทั้งที่เจอกันวันแรกคนตัวเล็กกว่ามีท่าทางต่อต้านและไม่ยอมรับในตัวเด็ดเดี่ยว แม้แต่อยากทำความรู้จักกันก็ไม่ค่อยจะยอม แต่วันนี้ที่ต้นกล้ารู้ใจตัวเองแล้ว ยังแสดงออกมาอย่างเต็มที่ทั้งเขินๆ อยู่นั่นแหละ ความน่ารักกระแทกโดนใจจนเด็ดเดี่ยวแทบอดไม่ไหว ที่จะดึงร่างสูงโปร่งของต้นกล้าเข้ามากอดให้สมรัก แล้วจูบปากให้หนำใจสักครั้ง ฮึ่ม มันเขี้ยว!!

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” ต้นกล้าถามเมื่อเห็นเด็ดเดี่ยวเอาแต่นั่งสะบัดหน้าไปมา เหมือนหมาสะบัดขน

“พี่เปล่าเป็น” จะให้เด็ดเดี่ยวบอกไปได้อย่างไร ว่ากำลังสะบัดเรื่องบัดสีบัดเถลิงที่เอาแต่คิดถึงร่างอุ่นๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาคืนนั้นอยู่ตลอด ยิ่งเมื่อได้ใกล้ชิด ได้กอด ได้หอม จนถึงได้จูบ สัมผัสนั้นยิ่งดูเหมือนว่าจะเด่นชัดขึ้นมาในความโหยหา จนเกิดการเรียกร้องของหัวใจ ให้ดึงอีกคนมากกอดกันไว้อีกนานๆ พอคิดมาถึงตรงนี้เด็ดเดี่ยวเผลอยกมือขึ้นมาเขกหัวตัวเองจนเจ็บจึงได้รู้ตัว

“อูยย ซี๊ดด เจ็บอยู่นี่หว่า”

“บ้าไปแล้ว”

“เปล่าๆ พี่ยังไม่ได้บ้า”

“คนสติดีที่ไหนมานั่งเขกหัวตัวเอง”

“อืมพี่คงสติไม่ดีอย่างที่ว่านั่นแหละ เพราะเอาแต่คิดถึงตอนที่พี่ได้กอดต้นกล้าตลอดเวลาเลย” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวที่นั่งทำตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร จึงแสยะยิ้มให้คนตัวโตกว่าเหมือนบอกว่ามันเลี่ยนเกินไป แถมยังส่ายหัวอย่างระอาที่พักนี้โดนอีกคนหยอดคำหวานมาตลอด แม้ในใจลึกๆ จะอดสั่นเพราะความหวั่นไหวกับคำพูดของอีกคนไม่ได้ก็ตาม ไม่อยากยอมรับเลยว่ามีบางครั้งที่ต้นกล้าเองก็เผลอคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนตัวโต และค่ำคืนที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกชื่อต้นกล้าซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน แต่เรื่องอะไรเขาจะบอกให้รู้ล่ะ แบบนี้มีหวังไอ้คนหน้ามึนได้โอกาสเอาเปรียบเขาแน่ๆ

“ถอยไป!”

“ต้นกล้า”

“ถอยไปเลย”

“แต่...”

“อย่าเข้ามานะเว้ย” ต้นกล้าบอกเสียงเข้มเพราะเห็นสายตาของเด็ดเดี่ยวมันดูเปลี่ยนไป มันมีแววแปลกๆ แต่สามารถทำให้ใจดวงน้อยไหวหวั่นเอาได้ง่ายๆ ก็แล้วกัน ต้นกล้าต้องปกป้องตัวเองก่อนหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำมันจะทำให้สั่นไปมากกว่านี้ มันสั่นไหวไปทั้งตัวและร้อนวาบๆ ขึ้นมาเสียเฉยๆ จนเหมือนกับว่ามันจะทำให้ใบหน้าและร่างกายของเขาระเบิดออกเป็นเสี่ยง เพราะแววตาร้ายกาจที่มีแต่ความปรารถนาคู่นั้น ที่กำลังมองเหมือนต้นกล้าเป็นของหวานชิ้นโปรด

“ใจร้ายจริงๆ ”

“อ่าว”

“ต้นกล้าใจร้ายกับพี่..”

“เอ้า อยู่ดีๆ ก็มาว่าให้กัน บ้าไปแล้ว”

“แต่ถึงจะร้ายพี่ก็จะรักอยู่ดีนะหึๆ ๆ ”

“โอ๊ย”

“ทำไมล่ะ”

“กะ ก็..เปล่าหรอก เราว่าเราไปคุยเรื่องลงแขกเกี่ยวข้าวกับลุงสมควรดีกว่า” ต้นกล้าต้องหลีกหนีสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เพราะคนตัวโตต้องคิดอะไรไม่ดีในแบบสัปดี้สัปดนอยู่แน่ๆ ถึงได้มองต้นกล้าเหมือนกับจะขย้ำมาเคี้ยวแล้วกลืนกินอย่างนี้ ส่วนเด็ดเดี่ยวจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้ายิ้มขำ ทั้งขำตันกล้าและขำตัวเองนี่ล่ะ เพราะไม่รู้ว่ามองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาแบบไหน อีกคนถึงได้ทำหน้าอย่างนี้ แต่แค่เห็นท่าทางของต้นกล้าเป็นแบบนี้ ใจเขามันยิ่งเต้นกระหน่ำโครมคราม จนห่วงว่ามันจะวายตายลงไปเสียก่อน แต่ใครจะไปห้ามใจได้ล่ะ ก็รักซะขนาดนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกก็คิดถึงแค่คนนี้คนเดียว

“ไม่ต้องไปหรอกอยู่นี่ล่ะ พี่ไม่มองต้นกล้าก็ได้”

“ไม่มองก็หันไปทางอื่นสิ”

“หึๆ ๆ “ต้นกล้ารู้สึกว่าตัวเองร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าจนจะลามไปทั้งตัวอยู่แล้ว เล่นจ้องซะอย่างกับไม่เคยเห็นกันมาก่อนมันเลยทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสายตานั่น แววตาแบบนั้นมันคืออะไรทำไมต้นกล้าจะไม่รู้ มองซะจนต้นกล้าคิดว่าตัวเองเป็นของหวานชิ้นโตก็ไม่ปาน นี่หากคนตัวโตน้ำลายยืดออกมา ต้นกล้าเป็นได้เผ่นอย่างไม่ต้องคิดมากเลย

“บ้าบอที่สุด” พอทำอะไรไม่ได้ก็ด่ากลบความเขินแล้วเอาหมวกมาปิดหน้าหลับตานอนมันซะเลย สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ เพราะต่างมีเรื่องให้คิด แต่กระนั้นคนตัวโตก็ไม่ลืมที่จะไกวเปลเบาๆ อย่างที่ต้นกล้าชอบ ลมเย็นๆ บรรยากาศดีๆ มีคนที่ใจปฏิพัทธ์อยู่ใกล้ๆ ทำให้ต้นกล้าแทบจะเผลอหลับไปทีเดียว

อะไรจะดีเท่าได้นอนท่ามกลางอากาศเย็นสบายและสดชื่น ที่สามารถสูดมันเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ มีใครบางคนอยู่ข้างๆ สายลมอ่อนพัดผ่านผิวหน้าว่าสดชื่นแล้ว ยังไม่เท่ากับความสุขใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ต้นกล้าแม้จะหลับตาก็สัมผัสรู้ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เปล ยังคงเคียงข้างกันอยู่ไม่ไปไหน แล้วเสียงของคนคนนั้นก็ดังแทรกเข้ามาในหัว

“ไปเดินเล่นกับพี่ดีกว่าปะ”

“เดินที่ไหน”

“แถวนี้ล่ะ”

“ไม่เอาเราขี้เกียจเดิน”

“งั้นขี่หลังพี่ไป” ต้นกล้าดึงหมวกออกจากใบหน้าลืมตามองเด็ดเดี่ยวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ เพราะใจจริงก็อยากไปเดินเล่นนั่นแหละ เมื่ออีกคนยิ้มตอบอย่างรู้ทันเลยไม่รู้จะปฏิเสธไปเพื่ออะไร ยักคิ้วให้พร้อมกับยกมือขึ้นกวักให้อีกคนหันหลังมาในท่าเตรียมพร้อม ซึ่งเด็ดเดี่ยวก็รีบทำตามทันทีอย่างว่าง่าย คนที่นั่งอยู่บนเปลจึงเปลี่ยนมาเกาะอยู่บนหลังคนตัวโตเหมือนลูกลิงตัวน้อยแทน

“เอ้าเดินดีๆ หน่อย”

“นิ่งๆ สิอย่าดิ้นเดี๋ยวตกคันนา” เมื่อสองมือคล้องคอสองขาเกี่ยวเอวแน่นแล้ว ต้นกล้าก็ทิ้งแผ่นอกแนบไปกับแผ่นหลังกว้างๆ เชยคางแหลมวางที่ไหล่แกร่ง ปล่อยให้แก้มนวลแนบชิดกับผิวแก้มกร้านสากเครา ผิวพรรณเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อได้ชิดใกล้ ต้นกล้ามีหนวดบางๆ ที่ยังคงเป็นไรขนอ่อนตัดกับผิวขาวน่ามอง ผิดกับเด็ดเดี่ยวที่ทั้งหนวดทั้งเคราขึ้นดกหนาและเขาต้องโกนออกทุกวัน ไม่เช่นนั้นใบหน้าที่หล่อคมคร้ามๆ นั่นจะดูเหมือนโจรไปเลยทีเดียว คนตัวโตให้ต้นกล้าขี่หลัง โดยใช้สองแขนแกร่งเกี่ยวรองไว้ที่ต้นขาของต้นกล้าอีกที ร่างทั้งสองจึงกระชับเข้ากันแนบแน่น ชายหนุ่มเดินตรงไปตามคันนา ร้องเพลงรักหวานแนวลูกทุ่งเพลงโปรดอย่างอารมณ์ดี

บนคันนาที่ทอดยาวไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า ต้นกล้าเหมือนลูกลิงที่เกาะหลังพ่อลิงตัวใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว ท่ามกลางรวงข้าวสีทองเป็นพยาน และสายลมอ่อนๆ ที่โชยมาเป็นระยะ คันนาสูงนำพาไปสู่ทิวไผ่ที่ปลูกเรียงเว้นระยะไว้อย่างเป็นระเบียบ ถัดจากตรงนั้นเป็นคลองส่งน้ำมีช่วงหนึ่งที่เป็นแอ่งกว้างพอประมาณน้ำลึกที่สุดเพียงเอว และใสจนเห็นพื้นเบื้องล่าง เถาผักบุ้งนาสีแดงคล้ำเลื้อยหนีแล้งลงสู่กลางน้ำ ดอกผักบุ้งนาสีขาวแกมม่วงออกดอกแซมกับดอกบัวสีชมพูบานเย็น ตัดด้วยสีเขียวของใบดูงามตา เด็ดเดี่ยวพาลูกลิงที่เกาะหลังนั่งลงบนสันคูใต้ร่มไผ่ โดยที่คนตัวเล็กกว่าก็ยังนั่งซ้อนหลังไขว้ขารัดเอวกอดคอเขาแน่นอยู่เหมือนเดิมในท่าเดิม

“มาที่นี่ทำไมอะ”

“มาดูดอกบัว”

“ไม่เคยเห็นหรือไง”

“พี่ไม่เคยเห็นตอนอยู่กับต้นกล้าไง”

“เหอะนะ ว่าแต่นี่คือบัวที่เขาเอาไปแกงสายบัวปะ”

“แน่นอน”

“เหรอๆ งั้นเราเก็บไปแกงกันนะ ลงไปเก็บให้เราหน่อยสิเราไม่อยากเปียก”

“ได้ครับไม่มีปัญหา แต่...”

“แต่อะไร ไปๆ ลงไป” เห็นสายตาแล้วต้นกล้ารู้ทันว่าข้อแม้ของเด็ดเดี่ยวเป็นอะไรที่เขาเสียเปรียบแน่ๆ ล่ะ จึงรีบผลักอีกคนออกห่าง แต่มีหรือที่คนคิดค้ากำไรจะยอม เด็ดเดี่ยวหันกลับมารวบร่างที่ยังเกาะแจอยู่ข้างหลัง แล้วรั้งให้ต้นกล้าขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่รอให้ตั้งตัวชายหนุ่มครอบครองปากสวยสีสดๆ ที่เขาเอาแต่เฝ้ามองมาทั้งวันนั่นทันที ลิ้นร้ายของเขามันร้ายกว่าที่เคย เมื่อพยายามกวาดต้อนความหวานละมุนละไมอย่างกระหายใคร่อยาก ในแบบที่ต้นกล้าตอบโต้แทบไม่ทัน แต่กระนั้นไอ้หัวแดงจอมรั้นของเด็ดเดี่ยวก็ไม่ยอมแพ้ ต่างฝ่ายต่างป้อนจูบให้กันด้วยความเสน่หา หวาน หวานเหลือเกิน หวานชื่นใจจริงๆ

จุ๊บ

“ไปเก็บบัวให้เราเลยนี่แน”

“เฮ๊ย!!”

“เฮ๊ย อ๊าก เด็ดเดี่ยว” !! ต้นกล้าที่มีแผนในหัวอยู่แล้วจึงผลักเด็ดเดี่ยวออก แล้วบอกให้ไปเก็บบัวพลางยกเท้าจะยันส่ง หวังจะให้หงายหลังตกน้ำ เพื่อลงไปทำตามที่สั่งให้ทันใจ แต่คนตัวโตที่รู้ทันคว้าข้อมือของคนเจ้าเล่ห์ได้พอดี ทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำด้วยกัน

ตูม!!!

ตุบ!!

!! เฮือก

“เปียกๆ เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว เปียกหมดแล้ว อ้าว”

“ฝันร้ายเหรอครับลูกพี่?!”

“อะ ไอ้จ๋า! อะ อะไรวะ “ต้นกล้าถามทั้งที่ยังตาปรือและมีสีหน้างงๆ พลางมองไปรอบๆ หัวใจเต้นจนได้ยินเสียงดังตุบๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะจูบดูดดื่มเมื่อสักครู่ แต่มันเป็นเพราะว่าเขาที่นอนอยู่บนเปลในตอนแรก บัดนี้กลับลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแบบไม่รู้ตัว มีไอ้จ๋านั่งมองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ ท่าทางของมันเหมือนคนหงายหลังแล้วเอามือทั้งสองข้างยืนพื้นไว้ ใช่นะสิมันตั้งใจจะมาปลุกลูกพี่ใหญ่ตามคำสั่งของลูกพี่รองที่ฝากเอาไว้ แต่อะไรคือการมาถึงและได้เห็นคนเป็นลูกพี่กำลังนอนดูปากตัวเอง จ๊วบๆ อย่างเมามัน

“ลูกพี่เป็นอะไรครับ ตื่นยังนิ”

“อะไรนะ” ต้นกล้าคิดว่าตัวเองหลุดถามอะไรโง่ๆ ออกมา เพราะยังก้ำกึ่งว่าตื่นหรือยังไม่ตื่น กวาดตามองไปรอบๆ ตัว คูน้ำเมื่อกี้มันหายไปไหน คนหน้ามึนหายไปไหน มันคือความฝันอย่างนั้นหรือ แล้วจูบเมื่อกี้ก็ความฝันด้วยใช่ไหม เมื่อกี้เขาตกน้ำ แต่ทำไมเสื้อผ้าไม่เปียก นี่คือฝันกลางวันใช่ไหม บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ ฝันเฟื่องอย่างนั้นเหรอ โอ๊ย! ต้นกล้ารับตัวเองไม่ได้ เกลียดตัวเองขึ้นมาทันที

ต้นกล้ากวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง จนสายตาวกกลับมาเจอใบหน้าเกรียนๆ ของไอ้จ๋าที่มองเขาอยู่ยิ้มๆ แล้วตั้งคำถามในใจอีกครั้ง ว่าเด็ดเดี่ยวหายไปไหนทำไมถึงมีแต่ไอ้จ๋า ไอ้คนหน้ามึนตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตกน้ำไปไหน แม้จะในความฝันก็ตามเถอะ แต่มันก็เล่นเอาต้นกล้าตกใจเผลอดิ้นจนตกเปลลงมานอนคลุกฝุ่นได้เลยทีเดียว แบบนี้ต้องมีการเอาคืนเน้นๆ

“ลูกพี่มองหาลูกพี่เดี่ยวเหรอครับ” มันเป็นลูกน้องที่รู้ใจลูกพี่จริงๆ แต่ก็นั่นแหละ อย่างไอ้จ๋าคนเกรียนไม่มีใครเดาทางมันได้ถูกหรอก ดูอย่างเมื่อเช้านั่นปะไรที่มันยังหักหลังเขาได้ลงคอ ด้วยการผลักลงในลานขี้ควายน่ารังเกียจ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ต้องลงมานอนคลุกฝุ่นเพราะเปลพลิก คิดๆ แล้วต้นกล้าก็ถามตัวเองว่ายังไว้ใจมันได้อยู่หรือเปล่า

“..”

“ลูกพี่ตื่นได้แล้วนะครับเย็นมากแล้ว” ไอ้จ๋าเตือนเมื่อเห็นว่าต้นกล้ายังมีท่าทางงงๆ

“อะ เออๆ ตื่นแล้วๆ แล้วแกไปไหนมาวะ”

“ไอ้จ๋าก็อยู่แถวๆ นี่ล่ะครับ ว่าแต่..”

“ว่าแต่อะไรวะ” ทำไมไม่ชอบพูดให้มันจบๆ ไปทีเดียววะ ทำไมต้องเว้นเอาไว้ให้ถามต่อทุกทีสิน่า ต้นกล้าแอบคิดอย่างพาลๆ เพราะในใจเริ่มหงุดหงิดที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้อย่างที่บอก

“ลูกพี่ฝันว่าอะไรครับ ทำไมทำปากจ๊วบๆ เหมือนคนจูบกันเลย คิกๆ ๆ ”

“ไอ้บ้า! ใครจะไปจูบกันในฝันวะ” ร้อนตัวเห็นๆ ทั้งที่ไอ้จ๋ามันก็แค่เปรียบเทียบเฉยๆ

“เอ๊า ไอ้จ๋ายังเคย เอ๊ย! ไม่ใช่ครับ ก็ลูกพี่ทำปากเหมือนกำลังจูบกันนี่ครับ แล้วยัง...” สายตาของไอ้จ๋ามองตรงที่ใบหน้าของคนเป็นลูกพี่แล้วหรี่ลงเหมือนจับผิด ริมฝีปากเม้มแน่นแต่แบะมุมปากทั้งสองข้างลงเมื่อมันเว้นช่วงแกล้งทำเป็นหายใจ แล้วก้มลงมาหาลูกพี่ใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบ “...ยังมีเสียงจ๊วบจ๊าบให้เสียวตับเล่นอีกด้วยนะครับลูกพี่ คึๆ ๆ ”

“ใครจะไปหมกมุ่นแบบนั้นถ้าไม่ใช่แก”

“นั่นสิครับ แต่ไอ้จ๋าก็ไม่เคยจูบใครในฝันเลย นิ”

“เออนะสิ”

“ว่าแต่....” เอาอีกแล้ว ว่าแต่... อีกแล้ว อะไรของมันนักหนาวะ ต้นกล้าคิดทั้งหงุดหงิดและมองไอ้จ๋าตาขวางแต่มันก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน ต่อความไม่พอใจของลูกพี่ใหญ่เหมือนเดิม

“..?”

“ลูกพี่จะอยู่ท่านี้อีกนานมั้ยครับเปื้อนดินหมดแล้วนะ”

“เฮ้ย แล้วก็ไม่บอกแต่ทีแรกวะ” ต้นกล้ารีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าตัวเองยังนั่งแหมะอยู่ที่พื้น มือก็ปัดเศษดินเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกไปด้วย ในใจให้นึกหงุดหงิดที่ไอ้จ๋าปล่อยเขาให้นั่งคลุกดินเป็นตัวตลกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน โดยไม่บอกให้เร็วกว่านี้สักคำ เด็ดเดี่ยวก็ไม่รู้หายไหนสิปล่อยให้ต้นกล้านอนอยู่คนเดียวอยู่ได้มันน่าเจ็บใจนัก ต้นกล้าเอาแต่คิดโทษคนนั้นคนนี้ ความผิดเหล่านี้ต้องโยนให้ไกลตัวและหาทางเอาคืน

“เออ ว่าแต่ตัวเล็กเป็นไงบ้างวะ” ต้นกล้าถามขึ้นเมื่อทั้งสองเดินไปตามทางเพื่อกลับขึ้นบ้าน ส่วนไอ้จ๋ายิ้มออกมาน้อยๆ แม้ว่ากำลังมีปัญหาบางอย่าง แม้อีกคนจะโกรธแต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องให้สบายใจและโล่งอก คิดถึงแล้วก็อยากไปหาอยากเจอหน้า อยากกอด อยากจูบให้สมใจ แต่งานที่เยอะช่วงนี้ทำให้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย ไอ้จ๋าจึงได้แต่คิดถึงๆ ทุกวัน มีแอบโทรหาบ้างแต่อีกคนกลับไม่รับสาย ไอ้จ๋าคนงานยุ่งจึงคิดเอาเองง่ายๆ ว่าคงเป็นเพราะอีกคนก็งานยุ่งเหมือนกัน โดยไม่เอะใจเลยว่าทำไม่น้ำส้มไม่เคยโทรกลับมา ทั้งที่ไอ้จ๋าก็ส่งข้อความหวานๆ หาก่อนนอนทุกคืน ปล่อยให้เงียบไปเถอะเดี๋ยวเจอไอ้จ๋างอนแล้วจะไปไม่เป็น

“เฮ้ย เงียบไมวะ”

“...” ไอ้จ๋าคิดไปเพลินๆ แล้วก็เอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น คิดถึงใบหน้าของน้ำส้มตอนตกใจที่โดนมันกอดและหอม จนลูกพี่เรียกมันก็ยังเฉย ในหัวมีแต่ใบหน้าสวยเนียนใสของใครบางคนเท่านั้น

“เป็นเอามากว่ะ”

“ครับลูกพี่”

“ฉันว่าจะลงแขกเกี่ยวข้าวแกว่ามันจะเป็นยังไงวะ”

“ครับลูกพี่”

“แกว่าจะมีคนมาหรือเปล่าวะ”

“ครับลูกพี่”

“ไอ้จ๋า”

“ครับลูกพี่”

“แกจะเหยียบขี้หมาแล้วนั่น” ผลั๊วะ!!

“ครับ เฮ้ย”

ตุบ!!

“อูย..อะไรกันครับลูกพี่ ถีบไอ้จ๋าทำไมหน้าคะมำเกือบได้กินหญ้าแล้วมั้ยล่ะ” ไอ้จ๋าพ่นเศษหญ้าออกจากปากตอนนี้มันนั่งอยู่บนคันนาในท่าตะครุบอะไรบางอย่าง ที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่าตะครุบกบตะครุบหนูนั่นแหละ ตอนล้มหน้าเกรียนๆ กร้านๆ ของมันยังไถไปกับพื้นหญ้าด้วย มือข้างหนึ่งลูบก้นตัวเองตรงที่โดนลูกพี่ใหญ่ถีบด้วยความรัก ส่วนอีกข้างลูบใบหน้าตัวเองป้อยๆ เมื่อหันกลับมาแหงนมองลูกพี่ใหญ่งงๆ เหมือนกับสงสัยว่าตัวมันเองนี้ลงมานั่งที่พื้นได้อย่างไร ซึ่งคนเป็นลูกพี่นั้นก็กำลังหัวเราะขำอย่างสะใจให้จนไอ้จ๋านึกเคือง

ต่อ...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 50% 24/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:43:31


“เออนะสิ เดินเหม่ออย่างนี้เดี๋ยวคงได้ตกคันนาสักวัน”

““แบบนี้ยังไม่ตกก็เหมือนตกล่ะครับลูกพี่ โธ่ว..แล้วไอ้จ๋าเหม่อเหรอครับ”

“ยังอีกยังจะมาถามอีก คิดถึงก็ไปหาเขาโน่นไป”

“ไอ้จ๋าจะไปได้ยังไงล่ะครับงานเยอะออกอย่างนี้” คิดแล้วมันก็ทำหน้าเศร้าจนดูน่าสงสารพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินต่อ แต่ไม่ยอมเดินนำหน้าลูกพี่อีกแล้วเพราะความระแวง ทั้งที่ไอ้จ๋าแอบไปทำให้น้ำส้มคิดมากโดยไม่รู้ตัวไว้แล้วแท้ๆ แต่ไอ้จ๋ามันก็ยังเป็นไอ้จ๋าที่มีเรื่องคาใจอะไรก็เอาไว้ก่อน งานเสร็จค่อยว่ากันคนเดิม

%%%%%%%%0%%%%%%%%%%%

“เดี๋ยววันมะรืนนี้มีงานบุญมีหมอลำด้วยฉันจะไปเที่ยว”

“แล้วแต่พี่สิ” น้ำส้มเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มองพี่สาว เมื่ออยู่ดีๆ คำแพงก็เดินเข้ามาบอกว่าจะไปเที่ยว ทั้งที่ก็ไปบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องทำงานของเถ้าแก่สิน น้ำส้มกำลังนั่งเล่นเกมตากแอร์เย็นๆ เพราะไม่มีอารมณ์จะทำอะไรหรือพูดกับใคร

“ใช่ก็แล้วแต่ฉันไงและแกก็ต้องไปด้วย”

“อ้าว เกี่ยวไรกะส้มล่ะไม่อยากไป”

“แกต้องไปเพราะฉันไม่อยากไปคนเดียว”

“เพื่อนพี่คำแพงก็มีนี่”

“มีก็นัดกันไปเจอที่งานปะ แกจะให้ฉันขับรถไปคนเดียวค่ำๆ มืดๆ หรือไง”

“ก็ส้มไม่ชอบมันเสียงดังคนก็เยอะ”

“แต่ฉันจะให้แกไปด้วย เพราะงั้นแกไม่มีสิทธิ์ขัดอย่าลืมนะว่าฉันกุมความลับอะไรแกเอาไว้บ้าง” น้ำส้มไม่ได้บอกพี่ว่าตัวเองได้คุยกับพ่อแล้ว คำแพงจึงได้เอาเรื่องที่เคยขอเอาไว้มาข่มขู่ มีหลายครั้งที่พี่สาวบังคับให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน น้ำส้มพยายามปฏิเสธได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เท่าที่เคยไปแล้วคือไม่เคยชอบสักครั้ง คนก็เยอะเสียงก็ดัง ทั้งคนเมาคนกินเหล้ามั่วกันไปหมดเลยพาลทำให้ไม่เคยนึกอยากไป

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงแกต้องไปกับฉัน เดี๋ยวฉันจะหาผู้ชายดีๆ แถวนั้นให้แกด้วยสักคนดีมั้ย” น้ำส้มอดทำหน้างอไม่ได้ที่พี่สาวเอาแต่ใจตัวเองแล้วมาบังคับ ไหนยังบอกว่าจะหาผู้ชายให้ด้วยอีก พูดอย่างกับว่าน้ำส้มอยากได้อย่างนั้นล่ะ

“ไม่เอา”

“หรือว่าแกรอมัน กี่วันแล้วล่ะที่มันไม่โผล่หัวมาหาตั้งแต่วันนั้นน่ะ”

“ช่างส้มเถอะ” น้ำส้มรู้ว่าพี่สาวหมายถึงไอ้จ๋า ทุกๆ วันคำแพงก็มักจะเข้ามาพูดทำนองนี้ตลอด น้ำส้มไม่ได้ตอบโต้และพยายามไม่คิดมาก แต่พี่สาวมาพูดให้ฟังบ่อยๆ มันก็มีอดคิดไม่ได้บ้างเหมือนกัน และเพราะความเข้าใจผิดนั่นแหละ ที่ทำให้น้ำส้มพยายามบอกตัวเองว่าต้องทำใจและพยายามเข้าใจไอ้จ๋าให้มากที่สุด ถ้าไม่สนใจกันแล้วก็คงเรียกร้องอะไรจากเขาไม่ได้ นอกจากอยู่ในที่ของตัวเอง น้ำส้มคิดแบบนี้ทั้งที่แอบนอนร้องไห้เพราะไอ้หมาหน้าดำทุกคืน

“เออ พรุ่งนี้ไปเก็บเงินกับฉันด้วยนะ อย่าลืม” น้ำส้มยังรู้สึกไม่พอใจอยู่แต่ก็พยักหน้ารับ เมื่อพี่สาวบอกให้ไปเก็บเงินด้วยกัน ซึ่งเป็นเงินค่าปุ๋ยค่ายาหรือค่าอุปกรณ์การเกษตรต่างๆ ที่ชาวบ้านซื้อเชื่อไป โดยเถ้าแก่สินจะปล่อยเชื่อให้คนที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว หรือเป็นลูกค้าประจำกันเท่านั้น

“ไปดูลูกค้าหน้าร้านหน่อยเร็ว” เสียงเถ้าแก่สินดังขึ้นขัดจังหวะของสองพี่น้อง คำแพงจึงหันมาหาน้ำส้มแล้วกำชับก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป

“อย่าลืมนะแก”

“อะไรเหรอลูก”

“พรุ่งนี้พี่คำแพงให้ส้มไปเก็บเงินด้วยฮะพ่อ”

“อ๋อ ก็ไปกับพี่เขา” เถ้าแก่ถามขึ้นหลังจากที่คำแพงเดินออกไปหน้าร้านแล้ว น้ำส้มได้แต่พยักหน้ารับแต่ไม่ได้บอกว่าพี่สาวจะให้ออกไปเที่ยวกลางคืนด้วย ซึ่งเอาจริงๆ เถ้าแก่เองก็ไม่เคยห้ามหรอก ทั้งที่ห่วงแต่คำแพงก็แอบเที่ยวมาแต่ไหนแต่ไร พ่อก็เลยจำต้องปล่อย ได้แค่เตือนว่าให้ระวังตัวเองให้ดีๆ

“แล้วพ่อจะไปไหนล่ะฮะ”

“ไปธุระแถวนี้ล่ะ” น้ำส้มยิ้มสวยให้ก่อนที่พ่อจะเดินออกไป แล้วหันกลับมาสนใจเกมที่อยู่ตรงหน้าต่อ ทั้งที่ความจริงในใจก็ไม่ได้จดจ่ออยู่ตรงนี้เท่าไหร่นักหรอก เพราะเผลอทีไรใจดวงน้อยมันก็คอยแต่จะหวนไปคิดถึงไอ้คนหัวเกรียน ที่เงียบหายไปตั้งแต่วันนั้นอยู่ดี วันที่มันมาทำให้ความหวังของน้ำส้มพังทลายแล้วก็จากไปหน้าตาเฉย

น้ำส้มถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่กลับไม่มากเท่ากับตอนแรกๆ ที่เริ่มทำข้อตกลงกับพ่อ จนนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าไอ้จ๋าโทรมาบ้างก็ตามเถอะ ถึงแม้จะเห็นว่ามันส่งข้อความมาบอกฝันดีก่อนนอนบ้างก็ตามเถอะ แต่น้ำส้มไม่เคยตอบไม่เคยโทรกลับเลย เพราะไอ้จ๋าทำผิดสัญญา นึกโกรธจนเอาไปเอามาก็เลยพาลไม่อยากคุยไม่อยากรับสาย และไม่อ่านข้อความอะไรทั้งนั้น บอกตัวเองให้ลืมทุกวัน ทั้งที่เอาจริงๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะยังก็นอนคิดถึงเขาทุกวันเหมือนเดิม ไอ้จ๋ามันเป็นเจ้าของจูบแรกของน้ำส้มเชียวนะ จะให้ลืมง่ายๆ ได้ยังไง

%%%%%%%%%%%%%%%%%

เช้าวันใหม่ที่ยังคงความสดชื่นสดใสเหมือนเดิม วันนี้บรรยากาศที่บ้านคุณยายประไพศรีดูคึกคักเป็นพิเศษสำหรับต้นกล้า เพราะจะมีการลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งเมื่อวานเย็นหลังจากที่กลับจากนาพร้อมไอ้จ๋า ต้นกล้าก็รีบปรึกษาเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ทันที ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าตั้งแต่คุณยายประไพศรี คุณกวิน คุณนภา ลุงสมควร แม่แจ่มใจ ไอ้จ๋า และต้นกล้าผู้เป็นต้นคิดเสนอให้มีการลงแขกเกี่ยวข้าว

เพราะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยเป็นสาวคุณนภาจึงเห็นด้วย และสวมวิญญาณเจ้ดันอย่างเต็มที่เพื่อให้โปรเจ็คนี้ผ่านการอนุมัติ ทุกคนก็เลยต่างเห็นด้วยและนึกสนุก ไม่เว้นแม้แต่คุณยายที่ตบเขาฉาดอย่างชอบใจและสนับสนุน ลุงสมควรรับหน้าที่ไปบอกกล่าวชาวบ้าน มีต้นกล้าที่ตื่นเต้นกับการลงแขกเกี่ยวข้าวไม่หายตามลุงไปด้วย ใครว่างก็มาใครไม่ว่างก็ไม่เป็นไร แต่ปรากฏว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ตอบรับเป็นอย่างดีด้วยความเต็มใจ บางคนถามถึงหนุ่มหล่อเกาหลีที่เดินตามหลังลุงสมควรต้อยๆ พอรู้ว่าเป็นหลานชายคุณยายก็ชื่นชมกันยกใหญ่ จนต้นกล้าเขินกับคำยกยอปอปั้นแทบเดินตรงทาง

ผืนดินกว้างใหญ่อันเป็นที่นาของคุณยายนั้น ใช่ว่าจะเกี่ยวให้เสร็จได้ในเร็ววัน ลุงสมควรจึงพาต้นกล้าขี่รถมอเตอร์ไซด์คันเก่าตระเวนบอกกล่าวชาวบ้านไปทั่ว ตั้งแต่หัวบ้านยันท้ายบ้าน ตั้งแต่คุ้มเหนือจรดคุ้มใต้ จนถึงบ้านของกำนันอาจหาญที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหมู่บ้านกันเลยทีเดียว

“ใครมาล่ะนั่น”

“ลุงสมควรจ้ะพ่อ ลุงไปไหนมาเข้าบ้านก่อนจ้ะ” ดาวรุ่งตอบคำถามของกำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อแล้วค่อยหันไปชวนลุงสมควรให้เข้าบ้าน มีต้นกล้าเดินตามเข้ามาด้วย เมื่อเห็นกำนันนั่งอยู่ในห้องรับแขกต่างก็ยกมือไหว้รับไหว้ทักทายกัน

“ไปไหนกันมาล่ะ นั่งก่อนๆ ”

“พรุ่งนี้ที่นาจะลงแขกเกี่ยวข้าวเลยว่าจะมาบอกกล่าวทางพ่อกำนันสักหน่อย ว่างก็ไปไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ”

“ว่างสิไปแน่ๆ ถือว่าช่วยๆ กัน แต่เอ..เมื่อเช้าผมก็เข้าไปนะพี่สมควรคุณยายไม่เห็นบอกเลย”

“คนนี้ต่างหากเป็นต้นคิด และเพิ่งจะคิดได้เมื่อบ่ายนี่เอง” ลุงสมควรบอกแล้วหันมาทางต้นกล้าเจ้าของความคิดที่อยากให้มีการลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งพอดีกับที่เด็ดเดี่ยวเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เพราะชายหนุ่มได้ยินเสียงคนคุยกัน

“เป็นความคิดที่ดีมากๆ ลูก แต่สมัยนี้หายากเหลือเกิน ใครๆ ก็อยากได้แต่ค่าแรงจนลืมน้ำใจที่ควรจะมีต่อกันไปแล้ว” กำนันบอกพลางเหลือบตามองลูกชายคนโตของตัวเอง ที่เดินเงียบๆ มายืนข้างหลังโซฟาตัวที่ต้นกล้านั่งอยู่

“ครับ ผมก็เลยคิดว่าอยากจะลองรื้อฟื้นประเพณีเก่าๆ ขึ้นมาดู ว่าบรรยากาศมันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าสมัยก่อนเขาทำอย่างไรกันบ้างครับลุงกำนัน” กำนันอาจหาญสบตาต้นกล้าแล้วก็ให้หวนคิดถึงวันเก่าๆ สมัยตอนเป็นหนุ่ม รอยยิ้มบางคลี่ประดับใบหน้าชายวัยกลางคนที่ยังคงความคมเข้มคมคาย แล้วยังส่งต่อให้ลูกชายคนเดียวไปด้วยเต็มๆ

“สมัยลุงหนุ่มๆ ก็ไปทุกงานไม่มีพลาดเลยล่ะ ก็ถือว่าช่วยๆ กันนั่นแหละ และที่สำคัญที่สุดเลยสำหรับคนหนุ่มสมัยนั้นก็คือ การไปลงแขกเกี่ยวข้าวมันหมายถึงการได้ไปเกี้ยวสาวด้วยไงลูก หนุ่มสาวสมัยนั้นกว่าจะได้พบปะพูดคุยกันแบบสบายๆ ชิดใกล้โดยผู้ใหญ่ไม่เคร่งครัดอะไรมาก ก็เมื่อตอนไปลงแขกช่วยกันทำงานนี่ล่ะ “กำนันเว้นจังหวะหายใจพลางเหลือบตามองลูกชายที่ขยับเข้ามาใกล้โซฟาอีกก้าวแล้วพูดต่อ

“ลองอยู่ๆ ไปคุยไปหาลูกสาวเขาที่บ้านสิ จะนั่งจะคุยกันก็ต้องนั่งห่างกันคนละฟากของเรือน แถมยังมีผู้ใหญ่มานั่งฟังด้วย จะได้เจอกันสองต่อนี่ยากมาก ดีไม่ดีได้แค่นั่งตบยุงเฝ้าอยู่อย่างนั้นล่ะ พ่อแม่เขาไล่ลูกสาวเข้าห้องไม่ให้คุยด้วยซ้ำ แต่การลงแขกมันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้พบปะกันกลายๆ ไงไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้หรอกนะ” พูดจบกำนันอาจหาญก็เหลือบสายตาดุๆ ไปมองลูกชายตัวเองอีกครั้ง เด็ดเดี่ยวยังยืนนิ่งและฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งพอเห็นสายตาของคนเป็นพ่อชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นมากอดอกยืนจังก้าด้วยท่าทางท้าทาย คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงดูประสาทจนกำนันให้นึกหงุดหงิด

“ครับ?”

“เพราะเราไปช่วยกันทำงาน บางทีงานมันหนักมันเหนื่อย งานไร่งานนามันต้องทำกลางแจ้งแดดก็ร้อน เราเลยต้องทำให้บรรยากาศมันสนุกสนานครื้นเครงกันหน่อย ก็เลยมีการร้องรำทำเพลงเกี้ยวกันสนุกๆ ขำๆ ทำให้มันครึกครื้นจะได้ลืมความเหนื่อย ความร้อนจากแดด หนุ่มสาวก็มีโอกาสได้ศึกษาดูใจกัน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าสมัยก่อนใช่ว่าจะได้เจอกันง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ไง นี่เลยเป็นโอกาสหนึ่งที่พวกหนุ่มๆ สาวๆ เขาจะได้คุยเล่นกัน แต่ถึงจะไม่เคร่งครัดเท่าไหร่ก็ยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เหมือนเดิม ใครถูกใจก็คุยกันไป แต่รวมๆ แล้วก็สนุกนะ เกี่ยวข้าวเสร็จก็ต่อด้วยการขนข้าวขึ้นลาน การนวดข้าว เก็บเข้าขึ้นยุ้ง นาใครเสร็จก่อนก็วนไปช่วยๆ กันจนเสร็จหมดนั่นแหละ ชาวบ้านก็จะได้ความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกันเพิ่มขึ้น มีอะไรก็แบ่งปันกัน มีเหล้ายาสาโทมีของกินก็เอามาโฮมมารวมกัน”

“โฮมเหรอครับ?”

“โฮมก็แปลว่ารวมนั่นแหละลูก มันเป็นภาษาอีสานบ้านเราฟังดูอบอุ่นการกระทำก็อบอุ่นใช่มั้ยล่ะ”

“ครับพ่อ” เด็ดเดี่ยวที่ยืนฟังเงียบๆ อยู่ตั้งนานขานรับ เมื่อพ่อจิกสายตาขึ้นมองเป็นครั้งที่สาม ต้นกล้าที่เพิ่งรู้ว่ามีใครอีกคนอยู่ข้างหลังรีบหันกลับไปมอง ก็พอดีกับคนตัวสูงที่ยืนอยู่โน้มตัวลงมาโดยวางท่อนแขนทั้งสองข้างประสานกันไว้บนพนักพิงหลังของโซฟา แล้วทิ้งคางวางทับลงไป พอคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหันมาจมูกรั้นๆ จึงเฉียดแก้มสากเข้าพอดีจนได้กลิ่นอ่อนๆ ที่คุ้นเคย ต้นกล้าผงะและขยับออกเด็ดเดี่ยวจึงถือโอกาสวาดวงแขนข้ามหัวแดงๆ โอบท่อนแขนพาดไหล่ ใช้มือข้างที่พาดนั่นแหละบีบคางต้นกล้าเบาๆ แต่ก็โดนปัดออกทันทีด้วยเช่นกัน ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวตาขวางก่อนจะหันกลับไปหาผู้ใหญ่ที่กำลังมองไม่วางตา จนลุงสมควรพูดขึ้นทำลายความเงียบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ลาเลยดีกว่านะพ่อกำนันเดี๋ยวต้องไปบอกทางอื่นอีกหลายบ้าน”

“ครับพี่สมควร”

“สวัสดีครับ” ต้นกล้ายกมือไหว้ลากำนันอาจหาญแล้วรีบเดินตามลุงสมควรออกมานอกบ้าน ก่อนที่คนหน้ามึนจะทำให้เขาได้อายผู้ใหญ่ไปมากกว่านี้ แต่กระนั้นก็ยังหนีไม่พ้นหรอกเพราะขึ้นชื่อว่าหน้ามึนก็ต้องมึนให้ถึงที่สุด อย่างที่เด็ดเดี่ยวกำลังเป็น

“เดี๋ยวสิให้พี่ไปด้วยมั้ย”

“จะไปทำไมเกะกะ”

“ก็อยากไปด้วยนี่พี่คิดถึง” พอหันกลับมามองหน้ากันตรงๆ ก็ทำให้ต้นกล้าคิดถึงความฝันเมื่อตอนบ่าย ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นภาพจนเกิดความรู้สึกผ่าวๆ วูบๆ วาบๆ ตามผิวแก้ม กำลังจะเดินออกมาเพื่อจะไปขึ้นรถกับลุงสมควร แต่เด็ดเดี่ยวก็เดินมาดึงข้อมือเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องเลยเหอะ” ทีตอนบ่ายยังปล่อยให้เรานอนเฝ้าลานข้าวอยู่คนเดียว ต้นกล้าบ่นในใจ ใบหน้าหล่อเกาหลีบึ้งตึงแต่คนตัวโตเองก็พอจะเดาได้อยู่นั่นแหละ ว่าอีกคนไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะเขาเป็นคนบอกเองว่าจะอยู่เป็นเพื่อน แต่พอพ่อกำนันโทรตามบอกว่ามีงานด่วนจึงต้องรีบกลับ และได้แต่ฝากไอ้จ๋าให้ช่วยดูแทน

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้านะ” เด็ดเดี่ยวก้มเข้าหากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน จนลมหายใจอุ่นระผิวอ่อนแทบขนลุก ใจเขาก็หวังจะได้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ นั่นแหละ ต้นกล้าได้แต่มองเด็ดเดี่ยวด้วยสายตาดุๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะเดินไปหาลุงสมควรที่ติดเครื่องรถรออยู่ จากนั้นแกก็พาต้นกล้าไปบอกอีกหลายบ้านจนค่ำจึงได้พากันกลับมา และเช้านี้ต้นกล้าเลยมานั่งรอคนที่จะมาช่วยงาน อยู่ที่แคร่หน้าบ้านอย่างตื่นเต้นนี่ยังไงล่ะ

“ลูกพี่ครับมานั่งรอใครอยู่ตรงนี้ครับ”

“นั่งเล่นโว้ยไม่ได้รอใคร”

“แหมไอ้จ๋าก็นึกว่ากำลังรอใครบางคนที่มาแต่เช้าทุกวันนะครับ”

“จะไปรอเขาทำวะมาไม่มาก็ช่างสิ”

“แนะรู้อีกว่าไอ้จ๋าหมายถึงใคร”

“เอาใหญ่แล้วนะแก ฉันมารอคนที่จะมาลงแขกกับฉันต่างหากล่ะโว้ย”

“อูยลูกพี่ครับ พูดให้จบๆ หน่อยครับไอ้จ๋าคิดนะ”

“คิดอะไรของแก”

“ก็ลูกพี่บอกรอคนที่จะมาลงแขกกับลูกพี่ คนสมัยนี้เขาก็จะคิดไปเรื่องโน้นนะสิครับ”

“เออจริงด้วยว่ะ ฉันรอคนมาลงแขกเกี่ยวข้าวช่วยต่างหากเล่าไอ้บ้า”

“ฮ่าๆ ๆ อย่างนี้หน่อยครับค่อยเคลียร์แหม พูดไม่จบไอ้จ๋าคิดมากเเลย”

“ไอ้ทะลึ่ง..เออ แกว่าจะมีคนมาหรือเปล่าวะ”

“น่าจะมีครับ”

“น่าจะเองเหรอวะ แล้วทำไมยังไม่มีใครมาสักคนเลยล่ะวะ”

“แหมลูกพี่ครับตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าเองนะครับลูกพี่”

“เออว่ะจริงด้วย แล้วเมื่อไหร่เขาจะมากันล่ะทีนี้”

“คงสายๆ กว่านี้สักหน่อยล่ะครับ แล้วแต่เขาจะมาได้กันตอนไหน บางคนกว่าจะเสร็จธุระของตัวเองก็อาจจะมาช้าหน่อย บางคนว่างก็มาได้แต่เช้า มันก็แล้วแต่เขานะครับลูกพี่ เพราะเขามาช่วยไม่ได้มาทำงานเอาค่าแรง เราก็มีหน้าที่หาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูปูเสื่อเขาไป”

“แล้วมีของเมามั้ยวะ” สายตาของต้นกล้ามีแววซุกซนเมื่อกระซิบถามหาของมึนเมา ที่คงจะไม่พ้นพวกเหล้าเบียร์ทั้งหลายนั่นแหละ เพราะเขาไม่สูบบุหรี่จึงไม่ถามหาเหล้ายา

“จิพลาดได้จังได๋ล่ะครับลูกพี่ วันนี้ไอ้จ๋ามีของเด็ดด้วยขอบอก” ประโยคแรกไอ้จ๋าพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด จากนั้นมันก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ คนเป็นลูกพี่แล้วกระซิบเบาๆ เหมือนเป็นเรื่องลับสุดยอดที่เด็ดเสียยิ่งกว่าเด็ด ทำให้คนฟังตาโตขึ้นมาอย่างสนใจทันทีกับของเด็ดของมัน

“เด็ดยังไงวะ”

******************
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 50% 24/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-02-2019 23:13:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

อะไรคือของเด็ด?   

ยาดอง?
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 50% 24/2/2562
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 15-03-2019 12:46:02
มารอเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-03-2019 21:55:24


ลองของเด็ด 100%



“เด็ดยังไงวะ”

“เด็ดยังไงเดี๋ยวก็รู้ครับลูกพี่ รับรองว่าเด็ดสาระตี่จริงถึงใจอีหลีคัก แต่ว่าตอนนี้ไอ้จ๋าคงต้องไปช่วยแม่ทำอาหารแล้วล่ะครับ เพราะชาวบ้านบางส่วนที่มาช่วยงาน อาจจะมากินมื้อเช้ากับเราก่อนลงนาด้วย”

“เออว่ะลืมเลย แม่กับน้าแจ่มใจทำอาหารอยู่นี่หว่า”

“ครับ ลูกพี่จะรอรับชาวบ้านอยู่นี่ก่อนก็ได้เดี๋ยวไอ้จ๋าไปดูเอง ชาวบ้านมากินข้าวเช้าเสร็จก็ลงนาเลยครับ นั่นไงทยอยมากันบ้างแล้ว” ไอ้จ๋าที่ยืนหันหน้าไปยังทางเข้าบ้านบอก พร้อมกับส่งยิ้มกว้างเป็นการต้อนรับให้ชาวบ้านหลายคน ที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมอาวุธของตัวเอง นั่นก็คือเคียวเกี่ยวข้าวคนละอันสองอัน มันเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามานั่งพักรอก่อน โดยจัดแจงหาเสื่อมาปูให้จนเต็มลานหน้าบ้าน แล้วจึงเข้าไปเอากระติกน้ำดื่มที่ใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจออกมาต้อนรับ ทั้งน้ำเปล่าน้ำอัดลมมีให้เลือกกินทุกอย่าง

ต้นกล้าบอกขอบคุณชาวบ้านยกใหญ่ที่มีน้ำใจมาช่วย และดูเหมือนว่าหนุ่มหล่อเกาหลีจะเข้ากับชาวบ้านได้เป็นอย่างดีทีเดียว ไม่นานกลุ่มเพื่อนไอ้จ๋าก็มาสมทบครบทุกคน ทั้งไอ้ว่าว ไอ้ดำ ไอ้ว่าน ไอ้จ๊ะเอ๋ และเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกเกือบสิบคน ตามมาด้วยพี่สอนกับชาวบ้านอีกหลายคน ที่พอมาถึงก็ส่งเสียงทักทายกันลั่นสวน โดยเฉพาะกลุ่มของไอ้ว่าวและเพื่อนๆ จนต้นกล้าต้องปรามไปบ้างเพราะเอะอะโวยวายเหลือเกิน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มคนหนุ่มสาวอีกกลุ่มใหญ่ ที่ไอ้จ๋ามันรู้จักแต่ต้นกล้าไม่เคยเจอ ดูแล้วแต่ละคนก็เป็นมิตรกันทั้งนั้น

หลายคนจับกลุ่มคุยกัน พวกผู้หญิงก็ช่วยกันเข้าไปยกข้าวปลาอาหารออกมา ใครกินมาแล้วก็นั่งคุยกัน บ้างก็เดินลงนาไปก่อน เพราะส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว คุณยายประไพศรีลงมาพูดคุยถามไถ่ชาวบ้านกันดูครื้นเครง ยังมีชาวบ้านออกมาสมทบกันเรื่อยๆ แบ่งข้าวปลาอาหารกินกันอย่างมีน้ำใจ จนจัดการมื้อเช้าเสร็จก็ต่างพากันแยกย้ายเดินลงนา นี่จึงเป็นเวลาที่การลงแขกเกี่ยวข้าวจริงๆ ได้เริ่มขึ้นสักที

“ใครมาอีกล่ะนั่น อ้อพ่อกำนันนั่นเอง” ทุกคนหันไปมองรถกระบะคันใหม่ที่วิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน คุณยายร้องทักกำนันอาจหาญที่เดินลงจากรถมา พร้อมกับลูกสาวที่เปิดประตูลงมาพร้อมกัน ส่วนเด็ดเดี่ยวที่ทำหน้าที่คนขับตามลงมาทีหลัง ทุกคนยกมือไหว้ทักทายกัน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็พากันลงทำงานเกือบหมดแล้ว

“ขอบใจนะพ่อกำนัน พ่อเดี่ยว ดาวรุ่งด้วยที่อุตส่าห์มาช่วยงาน”

“ผมยินดีครับ ท้ายกระบะมีอาหารผมให้ดาวรุ่งทำมาให้ด้วยครับ” กำนันตอบส่วนลูกทั้งสองยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง ด้วยท่าทางอ่อนน้อมอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี แม้ว่าเด็ดเดี่ยวจะเอาแต่มองหาใครบางคนไปด้วยก็ตามเถอะ ซึ่งท่าทางอย่างนี้ก็อยู่ในสายตาที่สังเกตของคุณยาย หญิงสูงวัยรู้ว่าอะไรเป็นอะไรจากการแสดงออกของหลานๆ แต่ถึงกระนั้นคนแก่ที่เห็นโลกมามากและอ่านอะไรออกได้ไม่ยากก็ไม่ได้ทักท้วงหรือติงออกมา นอกจากมองด้วยสายตาเอ็นดูและเข้าใจ

“เอามาทำไมมาแค่ตัวก็เกรงใจจะแย่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับให้เด็กยกลงมาเลยก็แล้วกัน แกพอจะช่วยยกหน่อยได้ไหมกวิน ว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“เออ” คุณกวินที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ใกล้ๆ จำเป็นต้องตอบรับไปแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ เพราะแม่ยายหันมามองพอดี หนุ่มใหญ่จึงทำได้เพียงเดินไปที่ท้ายรถเพื่อช่วยยกของลง แต่ก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่กับข้าวหม้อใหญ่หม้อเดียวกับผลไม้สองตะกร้าใหญ่ที่ไอ้จ๋าจัดการคนเดียวก็เอาอยู่

“สวัสดีครับคุณลุง ขอบคุณนะครับที่มาช่วย” ต้นกล้าที่เพิ่งเดินออกมาไหว้กำนันอาจหาญ โดยยกมือขึ้นแล้วก้มหัวลงเล็กน้อยอย่างอ่อนน้อม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับถูกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังกำนันมองด้วยสายตาทะเล้นท้าทาย เหมือนกำลังบอกว่าให้สวัสดีตัวเองด้วยยังไงอย่างนั้น ต้นกล้าแบะปากให้อย่างนึกหมั่นไส้ แต่ก็อดขำไม่ได้เมื่อเด็ดเดี่ยวแกล้งทำตาละห้อยตอบกลับมา เขาจึงทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกลับไปให้ แต่ก็ไม่มีอะไรจริงจังนักเพราะเพียงล้อกันเล่นเฉยๆ ไหนอีกคนจะยังมีคดีของเมื่อวาน ที่ทิ้งเขาเอาไว้ให้นอนอยู่เปลคนเดียวที่ยังไงก็ต้องคิดบัญชีอีก ทั้งสองคุยกันผ่านสายตาที่สามารถสื่อให้เข้าใจกันได้เพียงสองคน โดยที่ผู้ใหญ่ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำนอกจากไอ้จ๋าผู้หูตาไวในทุกเรื่อง

“หึๆ ๆ “มันหัวเราะเสียงโรคจิตและส่งสายตาเจ้าเล่ห์รู้ทันให้ลูกพี่ทั้งสอง แล้วเดินผิวปากลงนาไปหน้าตาเฉย ส่วนผู้ใหญ่ที่เหลือทั้งคุณยาย กำนัน คุณกวิน คุณนภา และแม่แจ่มใจ ก็ยังคุยกันอยู่ ส่วนลุงสมควรลงนาไปพร้อมๆ กับชาวบ้านแล้ว

เมื่อจัดการข้าวปลาอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็พากันลงไปช่วยกันเกี่ยวข้าวอย่างขยันขันแข็ง ต้นกล้าไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนมาช่วยเยอะขนาดนี้ เมื่อเช้าก็ตื่นเต้นมากอยู่แล้ว ตอนนี้เขายิ่งตื่นเต้นมากยิ่งกว่า ชาวบ้านที่มามีทุกวัยทั้งหญิงและชายที่ล้วนแล้วแต่รักนับถือคุณยายและรู้จักกันดีทั้งนั้น หนุ่มสาวร้องเพลงสมัยใหม่จีบกันเป็นที่สนุกสนาน บ้างก็แกล้งแซวกันขำๆ ต้นกล้าเองก็ถูกแซวกวนๆ มาด้วย โดยเฉพาะสาวๆ ที่หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาถามแล้วก็พากันอายม้วนจนแทบไม่เป็นอันจะเกี่ยวกันหรอกข้าวน่ะ หนักๆ เข้าก็ชมว่าต้นกล้าหล่อแล้วถามว่ามีแฟนหรือยัง เล่นเอาคนที่ยืนตัวสูงอยู่ใกล้ๆ หน้าตึงขึ้นมาได้ทีเดียว ต้นกล้ามีแซวกลับบ้างก็หัวเราะสนุกสนานกันไป จนเด็ดเดี่ยวจ้องด้วยตาดุๆ เหล่าสาวๆ จึงพากันหันหน้าเข้าหางาน แต่กระนั้นก็มีเสียงพูดคุย เสียงแซวกันมาเรื่อยๆ คลอไปกับเสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่า ที่ใครบางคนถือติดมือมา เรียกความคึกคักให้การทำงานได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตั้งใจหมุนหาแต่เพลงลูกทุ่งหรือหมอลำที่มีจังหวะสนุกสนานครื้นเครง จนแทบจะไปเต้นไปด้วยเกี่ยวข้าวกันไปด้วยเลย

“มานี่ก่อน”

“อะไร”

“ถุงมือไปไหนทำไมไม่เอามาใส่”

“อ่าวลืมเลย”

“มานี่มา”

“เฮ้ยอย่าดึงอายคนอื่นเขาบ้าง”

“อายทำไมพี่จะใส่ถุงมือให้มันจะได้ไม่คายใบข้าวจะได้ไม่บาดมือด้วย” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงเข้มพลางดึงมือต้นกล้ารั้งให้ขยับเข้ามาหาตัวเอง เพื่อจะใส่ถุงมือให้ได้ถนัด ต้นกล้าก้มหน้าหลบสายตาลึกซึ้งที่เด็ดเดี่ยวใช้จ้องมอง พลางเหล่ตามองรอบๆ ว่ามีคนข้างๆ สนใจหรือเปล่า ซึ่งก็มีแต่ไอ้จ๋านั่นล่ะที่มันมองมายิ้มๆ อย่างรู้ทันแต่ไม่ได้พูดอะไร

“แล้ว..ไม่ใส่เหรอ”

“อืม”

“ได้ไงอะ ให้เราใส่แล้วตัวเองไม่มีใส่”

“ก็มันมีคู่เดียวนี่”

“งั้นเอาคืนไปเลยเราไม่ใส่”

“ไม่ได้” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงดุขึ้นกว่าเก่า แถมยังทำตาดุตอนต้นกล้าทำท่าจะถอดถุงมือออก เมื่อวานเขาเตรียมมาแล้วสองคู่และให้ต้นกล้าไปแล้ว แต่วันนี้ต้นกล้าดันไม่เอามาด้วย และเขาก็มีเหลือเพียงคู่เดียว ความเป็นห่วงมันมีมากกว่าจึงเสียสละด้วยความเต็มใจ ไหนจะเสียดายมือเรียวนิ่มๆ นี่อีก ที่เขาไม่อยากให้เกิดรอยให้ระคายเคืองหรือโดนขีดข่วน จึงต้องบังคับให้ต้นกล้าใส่ด้วยสายตาดุมือก็จับเอาไว้แน่น เพราะรู้ว่าคนดื้อยังไงก็คงรั้นที่จะถอดมันออกมาให้ได้

“งั้นอย่ามาทวงทีหลังนะ ชิ” ต้นกล้าสะบัดหน้าแล้วเดินหนี แต่เดินไปได้เพียงสองสามก้าวก็ถึงหน้างาน และเพราะมีประสบการณ์ในการเกี่ยวข้าวมาแล้วเมื่อวาน จึงได้รู้ว่ามันทั้งคันและคายมากแค่ไหน โดยเฉพาะเขาที่ไม่เคยเกี่ยวข้าวมาก่อน ย่อมรู้สึกระคายเคืองมากกว่าเป็นธรรมดา ไหนจะใบข้าวที่สากคมสามารถบาดมือเราได้ง่ายๆ อีก แต่ก็อย่างว่าล่ะมือเด็ดเดี่ยวคงกรำงานมามากแล้ว มันคงจะด้านมากจนไม่รู้สึกอะไร

การเกี่ยวข้าวรุดหน้ากินพื้นที่ของนาไปอย่างรวดเร็ว เพราะทุกฝ่ายต่างร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างดี การลงแขกเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะพูดคุย มิตรภาพที่ชาวบ้านมีให้แก่กันอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์อันดี โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน จนตะวันสายโด่งล่วงเลยเกือบเที่ยงใกล้เวลาพัก ชาวบ้านผู้หญิงบางส่วนปลีกตัวออกไปเพื่อช่วยกันหุงหาอาหารเตรียมไว้เพื่อมื้อกลางวัน ไอ้จ๋ากับเพื่อช่วยกันนำเต็นท์มากางที่ร่มไผ่ใกล้ลานข้าวที่แห้งดีแล้ว เพื่อให้ชาวบ้าน 50 กว่าคนที่มาช่วยงานได้นั่งพักกลางวัน

อาหารทั้งคาวหวานที่จัดเตรียมไว้ ถูกลำเลียงลงมาจากบ้านโดยอีแก่รถกระบะคันเก่าของไอ้จ๋ารับหน้าที่ขนส่ง เมื่อวานขนขี้วันนี้ขนข้าว แหมมันเข้ากับบรรยากาศท้องทุ่งบ้านเราจริงๆ บรรยากาศง่ายๆ สบายๆ จนกระทั่งชาวบ้านเริ่มทยอยผละจากหน้างานมานั่งพัก ก็พอดีสำรับกับข้าวที่มีอาหารต่างๆ หลายอย่างถูกจัดเตรียมตักแบ่งแจกจ่ายเอาไว้เรียบร้อย เป็นอาหารง่ายๆ ที่หาวัตถุดิบได้ในท้องถิ่น ซึ่งเมนูที่ขาดไม่ได้ก็คือตำมะละกอรสเด็ด ที่แม่แจ่มใจกำลังตำอย่างมันมือครกแล้วครกเล่าให้พอเพียง โดยมีนังสาคนงามมือส้มตำอีกคนคอยเป็นลูกมือ

วงกินข้าววงใหญ่นั่งล้อมวงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งพร้อมหน้าพร้อมตาทุกคน คุณกวินยังคอยตั้งแง่และกันท่ากำนันอาจหาญอยู่เช่นเดิม นอกจากต้องคอยกันไม่ให้ไอ้กำนันคู่ปรับเข้าใกล้ภรรยาแสนรักแล้ว ยังต้องคอยกันต้นกล้าอีกด้วย เพราะยังมีลูกชายของมันที่มักจะมาเกาะแกะลูกชายเขาไม่ห่าง เกี่ยวข้าวก็เดินตามตูดลูกชายเขาต้อยๆ ไปยืนเกี่ยวอยู่ใกล้ๆ กัน เดินมาพักมันก็ยังตามไม่ห่าง แต่คุณกวินต้องทำอย่างเนียนๆ โดยไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมถึงได้หวงลูกชายนักหนา งานนี้หนุ่มใหญ่จากเมืองกรุงเลยค่อนข้างรับศึกหนักหลายด้านโดยไม่จำเป็น

“ลูกพี่ครับลองของเด็ดหน่อยมั้ยครับ”

“ของเด็ดอย่างที่ว่าเมื่อเช้าหรือเปล่าวะ”

“แน่นอนครับ”

“จัดมา” ต้นกล้าสั่งลูกน้องคนสนิทด้วยเสียงตื่นเต้น เมื่อไอ้จ๋ามากระซิบด้านหลัง ขณะที่ต้นกล้านั่งพักเหนื่อยดื่มน้ำเย็นๆ และคุยกันอยู่กับพี่สอน ไอ้จ๋าลุกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกระติกน้ำพลาสติกใบขาดกลาง กับแก้วสเตนเลสแบบมีหูจับสองใบ มาถึงมันก็วางกระติกลงอย่างทะนุถนอม จากนั้นก็ค่อย เปิดผ้าออก ท่าทางของไอ้จ๋าเล่นเอาต้นกล้าสงสัยหนักว่าภายในกระติกนั้นมันมีอะไร

“อะไรอยู่ในนั้นวะ” อดใจที่จะถามก็ไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของไอ้จ๋าที่ดูเหมือนว่าจะระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ไหนจะกลิ่นบางอย่างที่โชยออกมาจากกระติก ที่ต้นกล้านิยามแทบไม่ถูกจะว่าฉุนก็ไม่ใช่ จะว่าเหม็นยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แต่ก็ไม่เชิงว่าหอม แต่ก็เหมือนๆ จะหอมในแบบของน้ำหมักอะไรสักอย่าง จะว่ากลิ่นเหมือนไวน์ก็ไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง แล้วตกลงมันคืออะไรกันวะ

ต้นกล้าคิดไม่ตกจึงได้แต่ขมวดคิ้วจนเป็นปม ตามองไอ้จ๋าทุกการกระทำจนกระทั่งมันตักน้ำกลิ่นแปลกๆ ที่อยู่ในกระติกขึ้นมา แล้วรินใส่แก้วสเตนเลสอีกใบยื่นมาให้

“ของเด็ดอย่างที่ไอ้จ๋าบอกเมื่อเช้ายังไงล่ะครับ รับรองเด็ดสมใจไอ้จ๋าหมักมาเป็นอย่างดีลองเลยครับ” ต้นกล้ารับแก้วมาถือไว้ในมือแต่ยังไม่ลองอย่างที่ไอ้จ๋ามันแนะนำ น้ำใสแต่สีขาวขุ่นที่อยู่ในแก้วนี่เองคือต้นตอของกลิ่นแปลกๆ ที่ได้รับในตอนแรก และแน่นอนว่าต้นกล้ายังไม่กล้าที่จะยกมันขึ้นดื่มอย่างที่ไอ้จ๋าเชิญชวน จึงหันไปทางพี่สอนที่นั่งอยู่ใกล้กันอย่างขอความคิดเห็น

“ลองเลยกล้ารับรองติดใจแน่ๆ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่สอน”

“ยกเลยครับลูกพี่ เร็วๆ พี่สอนจะได้ชิมบ้าง” ไอ้จ๋าเร่ง

“อย่าติดใจก็แล้วกัน ฝีมือไอ้จ๋านี่มันฝีมือเทพจริงๆ ใครทำก็ไม่ได้รสเหมือนมันทำ”

“ขนาดนั้นเชียวเหรอครับพี่” พี่สอนชมไอ้จ๋าเกินจริง แต่ก็เพราะการหมักอย่างพิถีพิถันของมันนี่แหละที่เล่นเอาต้องรอมันทำให้กินอยู่บ่อยๆ ต้นกล้ามมองหน้าไอ้จ๋ากับพี่สอนสลับอย่างระแวง แต่ทั้งสองมีท่าทางมั่นใจ เมื่อพี่สอนพยักหน้าให้ต้นกล้าจึงคิดว่าลองดูไม่เสียหาย ยกแก้วในมือขึ้นจ่อปาก แล้ว..

“อะไรกัน!” อึก! เกือบไปแล้วเกือบสำลักไปแล้ว เมื่อเสียงเข้มๆ ดังขึ้นข้างหลังซึ่งต้นกล้าจำได้ว่าเป็นเสียงใคร ด้วยอารมณ์ของคนที่กำลังแอบทำเรื่องบางอย่าง เล่นเอาต้นกล้าแทบสำลักเมื่อกำลังจะค่อยๆ จิบน้ำที่ไอ้จ๋าตักให้เข้าปาก แต่เพราะตกใจเสียงเข้มๆ ปนดุ ต้นกล้าจึงเผลออมน้ำและกลืนเข้าไปคำใหญ่อย่างไม่รู้ตัวจนเกือบสำลัก

รสชาติไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อรับน้ำหมักเข้าสู่โพรงปากความหวานละมุนที่แปร่งปร่าส่าลิ้นนิดๆ กับกลิ่นของหมักที่อวนอยู่ในจมูก รวมแล้วเป็นรสชาติที่ดีและกลมกล่อม จนทำเอาหนุ่มหล่อเกาหลีติดใจโดยไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว ต้นกล้ากลืนน้ำในแก้วลงไปคำใหญ่ แล้วตามด้วยส่วนที่เหลือในแก้วจนหมด ก่อนจะยื่นแก้วนั้นไปให้ไอ้จ๋าแล้วบอก

“อร่อยดีว่ะ เอามาอีกดิ”

“เหล้าโทเหรอวะ”

“ครับลูกพี่เดี่ยวลองมั้ยครับ”

“มาสักหน่อยซิ” เด็ดเดี่ยวเดินมานั่งข้างๆ ต้นกล้าที่กำลังดื่มด่ำกับของใหม่ที่ไม่เคยลองอย่างติดใจ จนไม่หันมามองคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยซ้ำ

“นี่ครับ” ไอ้จ๋าตักน้ำหมักในกระติกเทใส่อีกแก้วยื่นให้ลูกพี่รอง ที่รับไปจิบดูพอได้ชิมรสชาติ หนุ่มรุ่นพี่พยักหน้าให้กับความกลมกล่อมที่กำลังได้ที่พอดี แล้วจิบส่วนที่เหลือในแก้วจนหมด เด็ดเดี่ยวส่งแก้วคืนให้ไอ้จ๋าที่กำลังตักให้พี่สอนชิมพลางเอ่ยชม

“รสชาติกำลังดีนะ”

“ฝีมือไอ้จ๋าทั้งนั้น”

“เอามาอีกดิ๊จ๋าหวานกลมกล่อมดีว่ะ แบบนี้กินได้ทั้งวัน”

“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋ารินน้ำหมักใส่แก้วในมือต้นกล้าที่ติดใจในรสชาติ แต่พอกำลังจะยกขึ้นดื่มข้อมือกลับถูกดึงเอาไว้ด้วยมือใหญ่สากๆ ของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ

“หนักไปเดี๋ยวเมา”

“หืม? ..นี่เมาด้วยเหรอ ไม่หรอกน่า” ต้นกล้าเถียงเพราะนอกจากรสชาติที่หวานลิ้นแปลกๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่เลยสักนิด ไม่เหมือนเหล้าขาวที่ไอ้จ๋าเอาให้คราวก่อนนี้ด้วยซ้ำ รสชาติต่างกันไปคนละทิศคนละทางเลยก็ว่าได้

“ดื่มมากๆ ก็อาจจะเมาได้”

“เราไม่เมาหรอกของแค่นี้มันของหวาน” ต้นกล้ายังรั้นและยกดื่มต่อโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเด็ดเดี่ยวด้วยซ้ำ เพราะติดใจในรสชาติที่หวานติดลิ้นแม้จะรู้สึกวาบๆ ขึ้นมาทีหลังบ้างก็ตามเถอะ แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสูตรที่คนหมักอย่างไอ้จ๋าตั้งใจกะวันให้ได้พอดีกับช่วงนี้เป็นพิเศษ คืออยู่ในระหว่างการหมักช่วง 25-30 วันกำลังดี

“ว่าแต่นี่เขาเรียกว่าอะไรวะจ๋า”

“แถวนี้เขาเรียกเหล้าโทครับ หรือก็คือสาโทนั่นเอง”

“อืม ทำเป็นได้ยังไงวะอร่อยดี”

“ทำง่ายจะตายครับลูกพี่ แค่หมักลูกแป้งกับข้าวเหนียวนึ่งสุกใส่กระติกทิ้งไว้”

“เออถ้าง่ายก็ทำเยอะๆ สิวะจะได้เอาไว้กินทุกวัน รสชาติชักจะชอบแล้วว่ะ” ไอ้จ๋ามันแค่บอกส่วนผสมง่ายๆ ที่มีแค่ 2 อย่าง แต่วิธีและขั้นตอนในการทำนั้นมีหลายขั้นตอน ที่จะว่าง่ายมันก็ง่าย แต่สำหรับไอ้จ๋ามันจะใช้ความพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้รสชาติที่หวานหอมกลมกล่อมละมุนลิ้นอย่างนี้ออกมา แต่ละขั้นตอนมันจึงตั้งใจทำเป็นอย่างดี ตั้งแต่การเลือกข้าวที่ต้องใช้ข้าวเหนียว ยิ่งเป็นข้าวเก่าจะยิ่งดีกว่าข้าวใหม่ แล้วนำมาแช่น้ำเอาไว้ทั้งคืน พอข้าวดูดซึมน้ำได้เต็มที่และอ่อนตัวเป็นเม็ดใส มันจึงค่อยนำไปล้างอีกหลายน้ำจนน้ำที่ใช้ล้างใสไม่มีสีขาวขุ่นหรือตะกอน ก่อนจะนำไปนึ่งด้วยหวดไม้ไผ่สำหรับนึ่งข้าว และต้องนึ่งด้วยเตาถ่านเท่านั้นสำหรับสูตรของไอ้ลูกน้องตัวแสบ ซึ่งระยะเวลาในการนึ่งก็อยู่ที่ 30-40 นาทีเพื่อให้ข้าวสุกโดยทั่วถึง เตรียมข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วใส่ชามผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับลูกแป้งที่บดจนละเอียด โดยเติมน้ำอุ่นอีก 2 ขัน ผสมเข้ากันให้ทั่วถึง แล้วจึงนำไปใส่กระติกที่ล้างสะอาดและตากให้แห้งดีแล้วเพื่อหมัก ปิดฝาทิ้งไว้สัก 5 วันจึงเปิดฝาออกชิมรสและเติมน้ำเพิ่มอีก หมักต่อจากนั้นทิ้งไว้สามสี่อาทิตย์ก็ดื่มได้ หากนานกว่านั้นมันจะเปรี้ยวเพราะกลายเป็นกรดอะซิติกหรือน้ำส้มสายชู

“ว่าไงวะ เงียบเลย”

“หึๆ ได้ครับไม่มีปัญหา” ไอ้จ๋าหลุดออกมาจากความคิดของตัวเอง เมื่อได้ยินต้นกล้าย้ำมาอีกว่าให้ทำไว้กินทุกวัน

“กินเยอะไม่ดีหรอก” เสียงจากคนไม่เห็นด้วย

“ทำไมล่ะ”

“นี่มันก็เหล้าดีๆ นี่เองนะ”

“เหอะ เราไม่เห็นได้กลิ่นเหล้าอย่ามามั่ว”

“แบบนี้หมักอีกสักหน่อยก็กลายเป็นเหล้าแล้วต้นกล้า”

“จริงเปล่าวะจ๋า ดีสิเราจะได้ไม่ต้องซื้อเหล้ากินทำกินเองเลยสบายใจเฉิบ ฮ่าๆ ๆ ”

“ครับ” ต้นกล้ายังรั้นไม่เชื่อที่เด็ดเดี่ยวบอกจึงหันไปถามไอ้จ๋า ซึ่งพี่สอนที่นั่งอยู่ข้างมันก็พยักหน้ายืนยันด้วยอีกคน ต้นกล้าไม่เห็นว่ามันจะเป็นเหล้าเลยสงสัยว่ามันจะเมาได้อย่างไร มันก็แค่น้ำหวานๆ ที่หวานแปลกๆ กว่าธรรมดาเท่านั้นเอง เลยยกเอายกเอาอย่างชอบใจ

“เออน่า แค่นี้ไม่เมาหรอกใครจะอ่อนขนาดนั้นวะ”

“ไม่เมาก็ไม่เมางั้นกินข้าวก่อนเร็ว”

“จิ๊ ตักมาอีกดิ๊จ๋า” ต้นกล้ายื่นแก้วไปให้ไอ้จ๋าเติมเหล้าโท ขณะที่เด็ดเดี่ยวก็เลื่อนจานอาหารหลายอย่างมาวางตรงหน้าให้ รวมทั้งจานส้มตำที่ต้นกล้าเข็ดขนาดมาตั้งแต่ที่กินคราวก่อน ตอนไปดูไร่มันแล้วเผลอกินปลาร้าเข้าไปทั้งตัว จากนั้นหนุ่มหล่อเกาหลีก็ไม่คิดจะแตะส้มตำอีกเลย หากเขี่ยดูแล้วเห็นปลาร้าเป็นตัวๆ อยู่ในจาน

ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร บ้างก็คุยไปพลางกินไปพลาง ไอ้จ๋าได้ยินลูกพี่ทั้งสองของมันกัดกัน เอ๊ย! ทะเลาะกันเบาๆ อยู่ข้างๆ เพราะอีกคนหนึ่งก็คอยแต่ตักนั่นหยิบนี่มาให้ อีกคนกินไม่ทันก็บ่นจนต้องแยกเขี้ยวใส่เป็นการห้าม ส่วนตัวมันเองทั้งกินทั้งตักน้ำหวานที่มันหมักสุดฝีมือแจกจ่ายให้คนใกล้ๆ ส่วนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ไกลๆ นั้นมีอีกสองกระติกที่มันทำเผื่อเอาไว้ให้แล้ว

“พี่เดี่ยวมาอยู่นี่เอง คำแพงได้ยินว่าพี่เดี่ยวมาช่วยลงแขกเลยตามมา ขยับหน่อยได้มั้ยฉันจะนั่งตรงนี้” คำแพงที่ไม่รู้มาจากไหนพูดกับเด็ดเดี่ยวเสียงอ่อนเสียงหวาน แถมยังกะพริบตาให้ปริบๆ อย่างยั่วยวน ก่อนจะหันมาสั่งต้นกล้าให้ขยับที่ให้เพื่อจะได้นั่งแทรกลงตรงกลาง

“เอ่อ..”

“ขยับไปสิทำหน้าบื้ออยู่ได้” บอกแล้วก็แทรกตัวหย่อนก้นลงนั่งโดยไม่สนใจใครจนต้นกล้าขยับออกแทบไม่ทัน “คำแพงคิดถึงจังทำไมพี่เดี่ยวไม่แวะไปหาคำแพงบ้าล่ะจ้ะ นี่ถ้าไม่มาก็คงไม่เห็นหน้า คิดถึงคำแพงบ้างมั้ยจ้ะที่รัก” คำแพงไม่พูดเปล่า แต่คว้าเอามือของเด็ดเดี่ยวที่ยังมีคำข้าวเหนียวอยู่ในมือมากุมไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ โดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำด้วยซ้ำ คำแพงก็ถือวิสาสะกินข้าวด้วย แถมยังตักนั่นตักนี่มาใส่จานที่อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มจนแทบจะป้อนเลยทีเดียว

ต้นกล้าที่ได้ยินคำพูดของคำแพงทุกคำหน้าตึงขึ้นมาทันที เขาจ้องหน้าเด็ดเดี่ยวเขม็ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหลือบมองไอ้จ๋านิดหน่อยตอนที่มันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ต้นกล้าก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งอีกมุมใกล้ๆ กับคุณกวิน ที่กำลังทำสงครามทางสายตากับกำนันอาจหาญที่นั่งอยู่ตรงข้าม มีคุณนภานั่งอยู่ใกล้ๆ คุยกับชาวบ้านที่มาช่วยงานกันอย่างออกรส เด็ดเดี่ยวมองตามตาละห้อยอีกแล้ว แต่จะลุกตามไปก็ไม่ได้เพราะคำแพงเล่นกุมข้อมือเอาไว้เสียแน่น แล้วก็เอาแต่พูดเองเออเองคนเดียวจนเด็ดเดี่ยวเริ่มไม่ชอบใจ ทั้งที่ชายหนุ่มไม่สนใจเพราะสายตาจับอยู่แค่ที่ต้นกล้าเพียงเท่านั้น

...
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-03-2019 21:55:59


ส่วนไอ้จ๋าขณะที่มันกำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย และนั่งจับตาดูสถานการณ์ของลูกพี่ทั้งสองกับคนที่มาใหม่ สายตาของมันก็พลันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใครบางคนที่คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคิดถึงภาษาอะไรอยู่ใกล้แค่นี้ก็ยังไม่ยอมเข้าไปหาเขาเสียหลายวัน แต่พอเห็นหน้าเขามาถึงนี่เท่านั้นล่ะ ไอ้จ๋าไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาคนที่ยืนสงบเสงี่ยมเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทันที

“มาทำไม”

“..” น้ำส้มยกมือไหว้แม่แจ่มใจที่เรียกให้กินข้าว ก่อนจะหันมามองไอ้จ๋าอย่างตกใจ เพราะมายืนอยู่ครู่หนึ่งแล้ว และพยายามมองหาแต่ก็ไม่ทันได้เห็น ไอ้จ๋าคว้าข้อมือเล็กแล้วดึงให้เดินเลี่ยงออกไปด้วยกันหลังพุ่มไม้ใหญ่

“ถามไม่ตอบมานี่มา”

“ไปไหนไม่ไป”

“มานี่อย่าดื้อ”

“ไม่เอานะจ๋าส้มไม่ไปปล่อยสิ”

“แล้วเธอไม่ได้มาหาฉันหรือไง”

“ใครจะมาหาอย่าหลงตัวเองสิวะ คนผิดสัญญา”

“หึๆ ๆ “ ไอ้จ๋าได้ยินน้ำส้มต่อว่าชัดเต็มสองหู แต่มันไม่แก้ต่างอะไรให้ตัวเองนอกจากยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ จนน้ำส้มนึกขัดใจอยากใช้กรงเล็บข่วนใบหน้ากวนๆ เกรียนๆ นั่นให้หน้าแหกไปเลย แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้คนที่คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออกต้องเจ็บตัว จึงได้แต่ยืนหน้าบึ้งเม้มปากแน่น แล้วก็...

ฟอดดด

“จ๋า! คนไม่ดีทำอย่างนี้ทำไม”

“ฉันคิดถึงเธอนี่”

“แต่ส้มไม่คิด ปล่อยเลยนะ” ไอ้จ๋าไม่สนใจและยังจับมือเรียวนุ่มนิ่มเอาไว้แน่นทั้งสองข้าง มันหันซ้ายหันขวาก่อนจะก้มลงมาหวังจะหอมแก้มนวลใสที่ขึ้นสีระเรื่อนั่นอีกครั้ง แต่น้ำส้มก็เอนตัวหลบไม่ยอมให้มันหอมดีๆ

“นี่เธอกล้าขัดใจฉันเหรอ เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวจะโดนหนัก”

“ทำไมต้องยอมทำตามด้วยคนผิดคำพูด” น้ำส้มน้ำตาคลอแต่ก็พยายามกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความรู้สึกหน่วงๆ ออกไป ใบหน้าสวยหันหน้าหนีไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้าทะเล้นของไอ้จ๋า ยิ่งตอนนี้มันส่งยิ้มกว้างมาให้น้ำส้มยิ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในหัวใจ ที่ไอ้จ๋ามันไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกอะไรเลยสักนิด นอกจากแววตาที่ดูเหมือนตลกขบขันและมีความสุขอยู่คนเดียว

“ได้ข่าวว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะยัยเน่า”

“ผิดแล้วยังจะมาพูด”

“ไม่ผิด”

“ไม่ผิดเหรอ นี่ๆ ๆ ไม่ผิดใช่มั้ย นี่ๆ “น้ำส้มระดมทุบกำปั้นเล็กๆ ลงที่แผงอกหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของไอ้จ๋า เพราะความโกรธความน้อยใจเสียใจทุกอย่างมันอัดแน่นอยู่ในความรู้สึก ตอนนี้เจอตัวต้นเหตุก็เลยต้องการระบาย และไอ้จ๋าที่รู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าทำอะไรกับน้ำส้มเอาไว้ก็ยอมยืนนิ่งๆ ให้อีกคนทุบเอาๆ เหมือนมันไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด คิดเดาเรื่องบางอย่างออกแล้วก็ได้แต่อมยิ้มพอใจอยู่อย่างนั้น จนน้ำส้มเหนื่อยและหยุดทำร้ายร่างกายของมันเอง

“ตีอีกสิทำให้พอใจเธอเลยยัยส้มเน่า”

“...” น้ำส้มเงื้อกำปั้นขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ระบายอารมณ์ลงไปก็ต้องหยุดมือชะงักไว้กลางอากาศ

“แต่คราวนี้แลกด้วยจูบนะ”

“คนบ้าถอยเลยอย่าเข้ามาใกล้”

“แล้วตกลงมาหาฉันมีอะไร”

“ไม่มีไม่ได้มาหา ฉันมากับพี่คำแพงหรอก”

“หึ พี่สาวเธอทิ้งน้องอีกแล้วหรือยังไง”

“โน่นไง” น้ำส้มบุ้ยหน้าไปทางพี่สาวที่นั่งออเซาะเด็ดเดี่ยวอยู่ ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าจะมาคุยกับชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นลูกหนี้ที่ว่าจะมาตามเก็บเงินนั่นแหละ คำแพงตามหาจนถึงที่แบบกัดไม่ปล่อยจนรู้ว่าลูกหนี้มาลงแขกเกี่ยวข้าว แต่พอเห็นชายหนุ่มที่นางหมายตาก็ทิ้งเรื่องงานเอาไว้ แล้วไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อข้างๆ ผู้ชายแทน ซึ่งไอ้จ๋าก็เห็นแล้วนั่นแหละแค่มันอยากแกล้งถามเฉยๆ

“กินข้าวหรือยังไปกินข้าวกับฉันก่อนมา”

“ไม่ไป”

“อย่าดื้อน่า” ไอ้จ๋าหันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นใครมันก็รวบร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมแขน น้ำส้มดิ้นไม่ยอมแต่โดยดี แต่สุดท้ายก็ถูกไอ้หมาหน้าดำรวบตัวเอาไว้จนได้จากนั้นก็

ฟอดดดดด “ชื่นใจ ฉันคิดถึงเธอมากเลยรู้มั้ยทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ”

“ฉันไม่อยากคุยกับนายไง”

“ทำไมพูดแบบนั้นยัยเน่า แล้วไหนไม่แทนตัวเองว่าส้มวะ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีปล่อย”

“ไปกินข้าวด้วยกัน”

“ไม่ไปฉันจะกลับ”

“กลับได้ยังไงพี่เธอยังไม่ออกมาเลย นั่งอ่อยลูกพี่เดี่ยวกินข้าวอยู่โน่น”

“อย่ามาว่าพี่ฉันนะ”

“อย่าดื้อกับฉันนะยัยเน่า จะเข้าไปดีๆ หรือให้อุ้ม”

“ปล่อยๆ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีได้มั้ยจ๋า พอเลยคนนิสัยไม่ดีปล่อย ส้มเกลียดคนไม่รักษาคำพูด” น้ำส้มต่อว่าไอ้จ๋าเสียงสั่นพร้อมกับขืนตัวออกเต็มที่จนไอ้จ๋าต้องยอมปล่อย แต่มันก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรในสิ่งที่มันควรจะพูดออกมา

“เอ้า อะไรของเธอเนี่ยบอกไม่ฟัง จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย”

“...”

“แน่ใจนะ” ไอ้จ๋าทำหน้าดุสองมือตะปบเข้าที่ต้นแขนผอมบางของน้ำส้ม แต่ไม่แรงมากนัก ท่าทางแบบนี้ของไอ้จ๋าน้ำส้มไม่เคยเห็นเลยตกใจจนตัวสั่น

“ปละ ปล่อยจ๋าปล่อยนะ”

“ไอ้ไรกัน! ปล่อยน้องฉันเดี๋ยวนี้นะ” เพราะมองไม่เห็นน้องยืนอยู่ที่เดิมคำแพงจึงต้องเดินออกมาหาอย่างหงุดหงิด เพราะมันทำให้นางพลาดโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มรูปหล่อ ที่สาวๆ ทั้งตำบลต่างหมายปองรวมทั้งตัวนางเองด้วย คำแพงกระชากมือไอ้จ๋าออกจากแขนน้อง แล้วกระชากข้อมือเล็กของน้ำส้มมายืนอยู่ข้างหลัง ก็ไม่ได้ห่วงหรือหวงแหนอะไรหรอกนะ แค่อยากเอาชนะเท่านั้นเอง

“ฉันบอกให้แกยืนรออยู่ตรงนั้นแกออกมากับมันทำไม”

“ก็เจ้มัวแต่คุยกับผู้ชายแล้วทิ้งน้องตัวเองนะสิ”

“ไม่เกี่ยวกับแกอย่ามาสอด”

“พี่คำแพงส้มอยากกลับแล้ว”

“กลับได้ยังไง ยังไม่ได้เก็บเงินเลย”

“ก็รีบเก็บรับกลับสิส้มอยากกลับบ้าน”

“จิ๊ฉันไม่น่าเอาแกมาด้วยเลย ไปสิเข้าไปนั่งในเต็นท์ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”

“แต่ส้มอยากกลับแล้ว..โอ๊ย”

“มานี่เลย” คำแพงกระชากแขนน้องเข้าหาแล้วหยิกลงที่ท่อนแขนขาวๆ จนขึ้นสีเขียวช้ำในทันที ไอ้จ๋าเห็นแล้วตาลุกวาวได้แต่กัดฟันกรอด เพราะนั่นมันคงจะทำให้น้ำส้มเจ็บมาก เพราะเจ้าตัวน้ำตาเล็ดออกมาทันที “ส่วนแกไม่ต้องมายุ่งกับน้องฉันไอ้คนตอแหล!” คำแพงชี้หน้าบอกก่อนจะลากน้ำส้มให้เดินเข้าไปด้วยกัน มีไอ้จ๋าที่ทำหน้าเบื่อหน่ายเดินตามไปเงียบๆ มันเดินไปนั่งลงที่เดิมแล้วกินข้าวต่อ เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเป็นบางครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไร มันรู้ว่าตอนนี้น้ำส้มเข้าใจผิดไปไกล และมันเองก็ไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่ แต่จะให้พูดออกมาตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะ ได้แต่คาดโทษน้ำส้มเอาไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง

มื้อเที่ยงผ่านไปแล้วชาวบ้านก็พากันทยอยลงนา เด็ดเดี่ยวได้แต่มองตามต้นกล้าโดยไม่ได้เข้าไปหา เพราะคำแพงกัดไม่ปล่อย และผูกขาดการคุยพูดเองเออเองจนบางคำพูดเขาก็ไม่อยากให้ต้นกล้าได้ยิน ไหนยังจะมาเรียกกันว่าที่รักจ๊ะจ๋านั่นอีก เขาได้ยินแล้วก็ขนลุก เด็ดเดี่ยวอยากได้ยินจากปากของอีกคนที่หัวแดงๆ นั่นมากกว่า แต่จะเดินไปไหนคำแพงก็เดินตามอย่างกับเงา ซึ่งเด็ดเดี่ยวจะไม่ว่าอะไรเลยหากเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของคุณกวิน ที่แสยะยิ้มมองมาเหมือนสะใจอยู่ตลอด ต้นกล้าเดินลงนาตามด้วยเด็ดเดี่ยวที่มายืนเกี่ยวอยู่ใกล้ๆ แต่กระนั้นคำแพงก็ยังกัดไม่ปล่อย แม้จะไม่ได้มาลงแขกแม้จะไม่ได้มาช่วยงาน แต่ก็ยังเดินตามลงมายืนอยู่ข้างลูกชายกำนันแสดงความเป็นเจ้าของ

“คำแพงกางร่มให้นะจ๊ะพี่เดี่ยว นี่ขยับไปอีกหน่อยสิ” ในมือคำแพงมีร่มคันใหญ่ นางเดินเข้ามายืนแทรกระหว่างเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้าไม่พอ ยังเบียดซะจนหลานชายคุณยายประไพศรีเซไปข้างๆ เกือบล้มหน้าทิ่มดิน!

“ไม่ต้องหรอกพี่ว่าคำแพงไปนั่งในร่มเถอะ”

“อุ้ย พี่เดี่ยวห่วงคำแพงเหรอจ๊ะดีใจจัง แต่คำแพงไม่ร้อนหรอกเดี๋ยวกางร่มให้ นี่จ้ะน้ำเย็นๆ “เด็ดเดี่ยวไม่ได้สนใจขวดน้ำที่คำแพงยื่นมาให้ ชายหนุ่มหันไปเกี่ยวข้าวจนอีกคนเอาผ้าเช็ดหน้ากลิ่นฉุนๆ เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่เธอใช้มาซับเหงื่อให้นั่นแหละจึงได้หันกลับมามอง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ต้นกล้าหันมาเห็นพอดีและหันหน้าหนีทันทีเช่นกัน

“คำแพงๆ ไม่ต้องทำให้พี่หรอก”

“ทำไมล่ะจ๊ะดูสิเหงื่อออกเต็มเลย”

“พี่ไม่เป็นไร”

ในบรรดาหลายๆ คนที่มองมาทางเด็ดเดี่ยวและคำแพง ก็คือกำนันอาจหาญที่ส่ายหัวอย่างระอา ได้แต่ปลงและไว้อาลัยให้ลูกชายเมื่อเห็นสายตาของต้นกล้า ไหนจะยังมีคุณกวินคู่ปรับเก่าที่กำลังมองไม่วางตาเหมือนกัน กำนันส่ายหัวอีกครั้งแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ส่วนดาวรุ่งก็ได้แต่มองพี่ชายปลงๆ แอบไม่ชอบใจคำแพงมากขึ้น หากพี่ชายคิดจะเอามาเป็นพี่สะใภ้คงต้องค้านอย่างเต็มที่ และสายตาของต้นกล้าที่ว่าน่ากลัวแล้ว สายตาของคุณกวินน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะนอกจากจะมองอย่างเชือดเฉือนแล้วยังมีแววเยาะหยันมาให้กันอีกด้วย ตอนนี้เด็ดเดี่ยวเหมือนโดนทุกคนเอามีดมากรีดเนื้อจนเป็นแผลเหวอะหวะ ยิ่งเห็นต้นกล้าเดินหนีไปเกี่ยวข้าวอีกอยู่ฟากของนาที่ไกลๆ ชายหนุ่มยิ่งต้องรีบคิดหาวิธีสลัดคำแพงทิ้ง จะได้หลุดพ้นจากความผิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจสักที

การเกี่ยวข้าวกินพื้นที่ไปอย่างรวดเร็ว เพราะความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่มาช่วย ต้นกล้าคุยกับคนที่เกี่ยวข้าวอยู่ใกล้ๆ คุยไปเกี่ยวไปทั้งที่ในใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเกี่ยวข้าวเอาเสียเลย เพราะมองไปเมื่อไหร่ก็เห็นสองคนนั้นคอยเอาอกเอาใจออเซาะฉอเลาะกันอยู่ตลอด อยากจะเข้มแข็งกว่านี้แต่ภาพที่เห็นก็เล่นเอาใจดวงน้อยเริ่มเขว หนำซ้ำไอ้คนตัวโตหน้ามึนนั่นยังไม่ยอมปฏิเสธ คุยกันอยู่ดีๆ แท้ๆ ยังให้คนอื่นเข้ามาแทรก นี่คือธาตุแท้ของเด็ดเดี่ยวใช่ไหม นี่คือตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้ใช่ไหม

“พี่กล้าดื่มน้ำเย็นๆ ฮะ”

“..”

“พี่กล้าส้มเอาน้ำมาให้”

“อ้อ ตัวเล็กขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรฮะ ขอส้มลองเกี่ยวหน่อยได้มั้ย”

“ทำเป็นเหรอได้สิ” ต้นกล้ายื่นเคียวในมือตัวเองให้น้ำส้มลองใช้เกี่ยวข้าว แล้วยืนจิบน้ำมองด้วยความเอ็นดู ที่จริงเขารู้สึกถูกชะตากับน้ำส้มตั้งแต่ที่ได้เจอครั้งแรกแล้ว น้ำส้มเป็นเด็กดีต่างจากคนเป็นพี่สาวลิบลับ

“อุ้ย..”

“เป็นอะไร” ไม่ใช่เสียงของต้นกล้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่เป็นเสียงของไอ้จ๋าที่ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจของน้ำส้มมันก็ปรากฏตัวขึ้นทันที

“เจ็บ โอ๊ยเจ็บนะจ๋า”

“ฉันทำให้เจ็บ เกี่ยวข้าวทำไมไม่ใส่ถุงมือ” ไอ้จ๋าบีบมือน้ำส้มไม่แรงมากแต่ไม่แรงของมันก็เล่นเอาน้ำส้มร้องโอ๊ยทีเดียว มันทำหน้าดุใส่น้ำส้มยิ่งกว่าเก่า เมื่อเห็นแผลบาดเป็นทางบนหลังมือของน้ำส้มมันยิ่งไม่ชอบใจ ที่ผิวเนื้ออ่อนๆ นิ่มๆ มีรอยขีดข่วน ถึงจะไม่ลึกมากแต่ผิวบางๆ ที่โดนบาดนั่นก็มีเลือดซึมออกมา

“ก็มันไม่มีนี่แค่จะลองเกี่ยวดูเฉยๆ”

“ลองก็ต้องใส่”

“ก็บอกไงว่าไม่มีๆ”

“ตัวเล็กเป็นอะไร”

“ใบข้าวบาดมือครับลูกพี่” ไอ้จ๋าเป็นคนตอบเมื่อต้นกล้าเดินเข้ามาถาม มือมันก็ไม่ยอมปล่อยมือเรียวนิ่มๆ นั่น จนน้ำส้มที่นึกได้ว่าตัวเองโกรธไอ้หมาหน้าดำอยู่เลยต้องสะบัดมือออกเอง

“เจ็บมั้ยไหนดูซิ”

“ไม่เจ็บเท่าไหร่ฮะพี่กล้าแค่นี้เอง”

“ตัวเล็กมาเดี๋ยวพี่เกี่ยวต่อขอบใจนะสำหรับน้ำเย็นๆ “พอน้ำส้มยิ้มหวานให้ต้นกล้ายิ่งทำให้ไอ้จ๋าทำหน้าดุยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันคอแห้งแทบตายแต่คนตัวผอมกลับไม่มีน้ำมาให้มันแม้แต่แก้วเดียวเหอะ

“นี่”

“..” นอกจากน้ำส้มจะไม่ขานรับแล้วยังมองค้อนไอ้จ๋าจนตาคว่ำ ก่อนจะเดินเอาน้ำไปให้คนอื่นๆ ที่กำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่กิน ไอ้จ๋ามองตามอย่างเจ็บใจ ไม่รู้ว่าน้ำส้มมีกี่คดีแล้วที่มันได้แต่พูดในใจว่าฝากเอาไว้ก่อน และเฝ้ารอเวลาที่จะได้เอาคืน แต่ถึงจะโกรธที่น้ำส้มไม่สนใจแต่ไอ้จ๋าก็รีบเดินเร็วๆ ตามน้ำส้มไป แล้วแย่งกระติกน้ำเย็นออกจากมือ ดึงคนตัวผอมให้เดินตามกลับมาที่เต็นท์ด้วยกัน

“จ๋าปล่อย ดึงมาทำไมฉันทำงานอยู่นะ”

“ไม่ต้องทำเลยมานี่”

“อะไร”

“นั่งลงอยู่นิ่งๆ “ไอ้จ๋าผลักน้ำส้มให้นั่งลงบนกองเสื่อที่วางซ้อนกันอยู่ ตัวมันเองทรุดลงบนพื้นตรงหน้าที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ซึ่งมีกล่องพลาสติกวางอยู่ใกล้ๆ พอไอ้จ๋าเปิดออกน้ำส้มจึงได้เห็นว่าภายในนั้นมีกระปุกยาสองสามกระปุก ขวดน้ำยาอีกหลายขวด และอุปกรณ์ทำแผล ซึ่งแม่แจ่มใจถือมาไว้เผื่อต้องใช้

“ไม่ต้องหรอกแผลแค่นี่เอง”

“แค่นี้แต่ก็เลือดออกยัยเน่าเอามือมาเดี๋ยวนี้!” ไอ้จ๋านั่งหน้าดุแบมือรอให้น้ำส้มส่งมือมาให้มันทำความสะอาดแผล แต่นอกจากน้ำส้มจะไม่ยอมยื่นมือที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมาแล้ว ยังจ้องตอบอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเลยทีเดียว

“อะไร”

“เปล่า”

“เปล่าก็เอามือออกมา”

“ไม่ต้องทำ”

“ดื้ออะไรของเธอนักหนาวะ”

“..” น้ำส้มชักสีหน้าใส่ไม่ยอมเหมือนกัน แค่แผลเล็กๆ เท่านี้ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนไอ้จ๋าที่ยื่นมือรอเก้อก็ได้แต่กัดฟันรอจนมันรอไม่ไหว มองซ้ายมองขวาแล้วตัดสินใจ

ฟอดดดดด

“อุ้ยจ๋า! คนบ้านี่หอมทำไม”

“ก็อยากหอม ดื้อมากๆ ฉันจะลงโทษเธอยิ่งกว่านี้คอยดู”

“ชิ”

“หรือจะเอา”

“โอ๊ย ปล่อยนะจ๋าเดี๋ยวก็มีใครมาเห็นหรอก ส้มโกรธอยู่นะ”

“เธอจะมาโกรธอะไรฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“เหอะ”

“ทำหน้าแบบนี้ยากโดนหอมหรือโดนจูบวะ”

“ไม่ทั้งสองอย่างถอยออกไป โอ๊ยแสบๆ ”

“หึๆ ๆ “ ขณะที่น้ำส้มยกมือดันอกไอ้จ๋าออกห่างมันก็ได้ทีจับมือเล็กเอาไว้แน่น แล้วดึงมาเช็ดด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ที่มันเตรียมเอาไว้แล้ว น้ำส้มแสบจนร้องเสียงสั่นออกมา แต่ไม่นานความแสบก็ทุเลาลงและหายไป เมื่อไอ้จ๋ายกมือบางขึ้นมาเป่าให้เบาๆ แล้วเอายาทาให้

”ก็แค่นี้ ทำหน้าอะไรของเธออย่างนั้น” น้ำส้มนั่งก้มหน้าเพราะไม่อยากมองหน้าไอ้จ๋าที่มันยิ้มประกาศชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ของมัน จนต่างคนต่างเงียบ ไอ้จ๋านั่งมองหน้าน้ำส้มนิ่งๆ สายลมอ่อนพัดมาเบาๆ แล้วมันก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหาแก้มนวลแต่...

กึก! น้ำส้มก็ผลักมันออกทันทีที่มันขยับเข้าไปใกล้

“นี่ กลับบ้านได้แล้ว”

“พี่คำแพง”

“เป็นอะไรของแกลุกเลยกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

“โอ๊ยพี่คำแพงบอกดีๆ ก็ได้”

“นั่นสิเจ้เอะอะดึงเอะอะลาก แขนน้องเจ้จะหลุดแล้วนั่น” คำแพงตวัดสายตาไปมองไอ้จ๋าอย่างไม่พอใจเพราะไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว

“สอด”

“อ่าว” ไอ้จ๋ามองตามงงๆ ไม่รู้ว่าคำแพงไปกินรังแตนมาหรือไง ทำไมอยู่ดีๆ ก็เดินมาลากน้องออกไปหน้าตาเฉยอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ยังเห็นเกาะติดผู้ชายแจไม่ยอมปล่อย หรือว่าเขาจะไม่เอาเลยพาลมาลงกับน้องที่กำลังสวีทกับแฟน? เฮ่อ

“อุ๊ย! ตั๊กแตน”

“จิ๊”

“นั่นๆ ๆ นั่นอีกตัว”

“..”

“จับได้แล้ว ต้นกล้าดูสิตัวใหญ่เชียว”

“แล้วจะไปจับมันมาทำไม”

“อาหาร”

บ้าไปแล้วมีแค่นี้เอง ปล่อยมันไปเลย”

“ของอร่อยเลยนะนั่น ทอดกรอบๆ โรยด้วยเครื่องปรุงสุดยอด”

“จิ๊” ต้นกล้าจิ๊ปากอย่างขัดใจเพราะเลี่ยงคนที่กำลังชูตั๊กแตนตัวใหญ่ให้ดูอยู่ตรงหน้าไม่ได้ ตอนแรกก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะตั้งใจเกี่ยวข้าวตรงหน้าของตัวเองให้ทันคนอื่นเขา แต่คนหน้ามึนนี่ก็คอยมาดักหน้าดักหลังอยู่ได้ ไหนจะโผล่มาทางซ้ายบอกว่าจับตั๊กแตนบ้างล่ะ เดี๋ยวก็โผล่มาทางขวาบอกว่าตั๊กแตนหลุดมือมาทางนี้บ้างล่ะ เอาไปเอามาเขาก็เลยแทบไม่เป็นอันจะทำงาน เพราะต้องคอยหลบซ้ายหลบขวาอยู่อย่างนี้ คนที่เกี่ยวข้าวมาพร้อมๆ กัน ก็เกี่ยวรุดหน้าไปไกลแล้ว แต่ต้นกล้ายังตามไม่ทันสักทีเพราะมีอีกคนคอยมากวน

“จะจับตั๊กแตนก็ไปจับที่อื่นเลยไป คนจะทำงาน”

“ที่อื่นไม่มีนะสิ พี่ล่ะสงสัยจริงๆ ว่าทำไมตั๊กแตนมันถึงได้มาบินวนเวียนกันอยู่แถวนี้”

“.. ถอยไป”

“คงเพราะมันอยากมาอยู่ใกล้ๆ ต้นกล้าเหมือนพี่นี่ไง”

“แหวะ อย่ามาทำเป็นเลี่ยนแถวนี้เลยเราไม่อยากฟัง ถอยจะทำงาน”

“เอ้า งอนจริงดิ”

“ใครงอน”

“คนนี้ไง หึๆ ”

“จิ๊ เดี๋ยวขามันก็หักหรอก” ต้นกล้าบอกเสียงเข้ม เมื่อเด็ดเดี่ยวจับขาใหญ่ๆ ของตั๊กแตนที่มันใช้ดีดตัวเวลากระโดดเอามาตีที่จมูกรั้นๆ ของเขาอย่างหยอกล้อ

“นี่แน ไม่หักหรอกพี่รู้วิธี”

“เล็บมันข่วนเรานะเล่นบ้าๆ”

“ไม่เล่นก็ได้แต่หายโกรธพี่นะ พี่ไม่ผิด”

“ร้อนตัวไปปะ”

“เปล่าร้อนตัวแต่บังเอิญรู้ว่ามีคนแถวนี้เข้าใจพี่ผิดต่างหาก”

“เหอะอย่าสำคัญตัวเองนักเลยครับ แล้วก็เงียบปากด้วยเราจะทำงาน” มันดูตลกที่ผู้ชายตัวโตๆ อย่างเด็ดเดี่ยวต้องมายืนทำหน้าละห้อยเพราะโดนดุ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองโดนโกรธเพราะเรื่องอะไร แต่พูดยังไงก็คงไม่ทำให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ทั้งที่อุตส่าห์ทำเป็นจับตั๊กแตน จนจับได้จริงๆ แล้วยังไม่สนใจ เฮ้อ ไอ้เดี่ยวนะไอ้เดี่ยว ทำไมมันต้องรับศึกหลายด้านอย่างนี้วะ

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-03-2019 22:33:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยัยคำแพงนี่เป็นอะไรมากป่ะ  ขัดน้องสาวเอ้ยน้องชายตัลหลอด
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 16-03-2019 14:39:22
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-04-2019 16:28:00
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 13-06-2019 07:42:11
หายไปเลย คิดถึงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-06-2019 11:22:35
คิดถึงต้นกล้ากับพี่เดี่ยวแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 28-06-2019 09:02:04
หายไปเลยเหรอ ครับ
คิดถึงครับ
 :hao7: :hao7: