【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท14.2 (จบแล้ว) 3.06.62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท14.2 (จบแล้ว) 3.06.62  (อ่าน 73716 ครั้ง)

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เหมือนว่ามาม่าจะมานะเนี่ยะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รออยู่เน้อ~

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
               “กำลังศึกษากันอยู่ ดีไหม?” คุณภาสกรหันมาตอบภัทรด้วยน้ำเสียงปกติ คุณเขาไม่มีการชะงักเพื่อคิดคำตอบและไม่มีท่าทีตะกุกตะกักเลยด้วยวซ้ำ หลังถูกภัทรถามเช่นนั้น ราวกับอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่ง ภัทรก็ต้องถามเรื่องนี้



                “……”



                “ภัทรล่ะ อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่า” เมื่อหักเลี้ยวพวงมาลัยรถมาจอดรถหยุดสนิทที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแล้ว ก็ถึงคราวที่คุณภาสกรถามภัทรกลับบ้าง อีกฝ่ายไม่ว่าเปล่า แต่ยังยื่นมือมากุมมือไว้หลวม ๆ ด้วย



                “ผม…..ผมไม่รู้” ภัทรตอบเสียงแผ่ว เรื่องนี้เขาจะตามใจตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเราเปิดเผยความสัมพันธ์ ผลกระทบจะไม่ได้ตกแค่ภัทรอยู่ฝ่ายเดียว แต่รวมถึงคุณภาสกรด้วย อีกฝ่ายมีตำแหน่งใหญ่โต มีหน้าตาทางสังคม ถ้าภัทรเจอผลกระทบ คุณภาสกรก็คงไม่รอด



                 ฉะนั้นหากคิดจะเปิดความสัมพันธ์ให้คนในบริษัทรับรู้ ต้องคิดให้ดี…..



            “ผมคิดว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลาของเรา” ภัทรให้คำตอบคุณเขาอีกครั้ง หลังผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนและมั่นใจแล้วว่ามันคือทางเลือกที่ดีที่สุด



                ไม่ใช่ว่าไม่อยากพัฒนาไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แน่นอน….ภัทรอยากเป็นมากกว่านั้น แต่มันยังไม่ใช่เวลาของเรา



                ภัทรกลัวว่าหากเปิดตัวตั้งแต่ตอนนี้ ทุกอย่างที่คาดหวัง มันจะพังลงเพราะความใจร้อนของเขาและจุดประสงค์ในตอนแรกถามคุณภาสกรเกี่ยวกับเรื่องของเรา ก็ไม่ได้อยากให้คุณเขาเปิดตัวเรื่องความสัมพันธ์ของเราด้วย ภัทรก็แค่อยากรู้ว่าสถานะของเราเรียกว่าอะไรและตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าสถานะของเราตอนนี้คือกำลังศึกษาดูใจกันอยู่ ไม่ใช่คนชั่วคราวอย่างที่ภัทรกลัว 



            “ก็ได้ครับ ผมตามใจคุณอยู่แล้ว” คุณภาสกรว่าต่อ เมื่อภัทรให้คำตอบเช่นนั้น



                “แต่คุณอาทิตย์ครับ….ผมขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหม” ภัทรว่าต่อ ไหน ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ถามอีกเรื่องที่ยังค้างคาในใจให้จบๆ ไปเลย



                “ครับ”



                “ก่อนหน้าที่เราจะเจอกัน คุณโสดตั้งแต่แรกไหมครับ” ภัทรถามอย่างไม่อ้อมค้อม เขาอยากมั่นใจว่าตอนนี้ไม่ได้ทำผิดศีลข้อไหนอยู่ ไม่ได้ยืมแฟนของใครมาใช้



                “……” แต่ทว่าคราวนี้คุณภาสกรกลับไม่ได้ตอบกลับทันทีเหมือนอย่างเคย คุณเขากลับจ้องหน้าภัทรนิ่ง ๆ ทำเอาคนถามเริ่มใจไม่ดีขึ้นมา กลัวสิ่งที่คิดไว้จะเป็นเรื่องจริง



                “ผมโสด” นานนับนาทีที่คุณภาสกรจะตอบกลับมา อีกฝ่ายสบตาภัทรด้วยสายตาแน่วแน่ ไม่มีท่าทีเลิ่กลั่กเหมือนที่ภัทรชอบทำเวลาโกหก แต่เพราะนานนับนาทีกว่าที่คุณภาสกรจะให้คำตอบ ภัทรก็เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณเขาพูดคือเรื่องจริงหรือโกหกหน้าตายกันแน่



                “แน่ใจนะครับ” ภัทรถามย้ำให้แน่ใจ พร้อมสบตาคุณเขาอย่างจริงจัง



                “….ครับ”



                บทสนทนาที่ตึงเครียดของเราถูกหยุดไปชั่วคราว เมื่อเราต้องไปกินมื้อเย็นก่อนที่ร้านในห้างจะปิด หลังจากหยุดคุยเรื่องเครียด ๆ ภัทรก็ลอบถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้ง คำตอบของคุณภาสกรมันก็น่าพึงพอใจแล้ว แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกโล่งอกอย่างที่ควรจะเป็น



                เมื่อเข้ามาถึงตัวห้างเรียบร้อย ภัทรและคุณภาสกรก็ตัดสินใจร่วมกันว่าเราจะกินอาหารง่าย ๆ ที่ร้านแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ตอนนี้เราไม่ได้โกรธหรืองอนกัน แต่ทำไมภัทรกลับรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเรากำลังตึง ๆ จนชวนให้น่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก



                “ภัทรอยากเพิ่มอะไรหรือเปล่า” คุณเขาหันมาถามภัทรเรื่องอาหารอีกครั้ง หลังเราเข้ามาในร้านอาหารและสั่งข้าวแกงกะหรี่ไปคนละจานแล้ว



                “ขอเพิ่มกุ้งเทมปุระแล้วกันครับ” ภัทรตอบ เขาพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด พยายามแสดงออกว่าเลิกคิดเรื่องนั้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่จิตใจยังคงพะว้าพะวังกับเรื่องที่เราคุยกัน ณ ลานจอดรถอยู่



                ระหว่างรออาหารเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายอย่างที่ควรจะเป็น ทั้ง ๆ ที่ปกติเราไม่เคยปล่อยให้เวลาที่อยู่ด้วยกัน เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่….ภัทรไม่มีอะไรจะเล่าให้คุณภาสกรฟัง ส่วนคุณเขาก็ไม่มีอะไรจะคุยเช่นกัน ต่างฝ่ายจึงต่างเงียบไปโดยปริยาย



                เรียกว่าบรรยากาศกร่อยก็คงไม่ผิดเพี้ยนอะไร ช่วยไม่ได้….เพราะเราเลือกที่จะคุยเรื่องซีเรียสก่อนกินข้าวเอง บางทีความผิดนี้อาจเป็นของภัทรแต่เพียงผู้เดียว เพราะเขาเป็นคนเปิดประเด็นเอง



                การที่คุยเรื่องซีเรียสกันก่อนกินข้าวและการที่ภัทรยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ส่งผลให้เขากินข้าวได้น้อยลงเกือบครึ่ง ไม่ใช่แค่เท่านั้น ภัทรยังรู้สึกด้วยว่าบรรยากาศระหว่างเรามันกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ และคุณภาสกรก็คงรับรู้มันเช่นกัน



                “ไปดูหนังรอบดึกกันไหมครับ?” หลังทานอาหารและออกมาจากร้านแล้ว เราก็ผ่านโซนดูหนังของห้างสรรพสินค้า คุณภาสกรจึงหันถามความคิดเห็นภัทร เมื่อเห็นโปสเตอร์หนังฟอร์มยักษ์กำลังโชว์อยู่บนหน้าจอโปรโมต



                “ตามใจคุณครับ ผมยังไงก็ได้” ภัทรว่า วันนี้ไม่มีหลานชายอยู่บ้านให้เป็นห่วง เขาจึงไม่มีปัญหาในการกลับบ้านช้าหรือเร็ว



                “งั้นดูแล้วกัน” ในที่สุดคุณภาสกรเป็นคนตัดสินใจ อีกฝ่ายให้ภัทรนั่งรออยู่ข้างหน้า ส่วนเจ้าตัวก็เดินไปจัดการเรื่องตั๋วหนังรอบดึก



                ระหว่างที่รอคุณภาสกรไปจัดการเรื่องตั๋วหนัง ภัทรก็ถอนหายใจออกมา เขาหยุดเรื่องนั้นไม่ได้ ตอนนี้ในหัวของภัทรกำลังตั้งคำถาม ถ้าคุณภาสกรโสดจริง ทำไมอีกฝ่ายจึงตอบช้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ด้วย ถ้าไม่มีอะไรทำไมต้องคิดนาน



                ภัทรอยากจะจี้ถามหรือซักไซ้ให้มากกว่านี้เหมือนกัน แต่เขาไม่มีความกล้าพอ ไหนกลัวว่าคุณเขาจะรำคาญอีก สุดท้ายก็ต้องเก็บความคิดมากไว้ในใจ จะหาความจริงด้วยตัวเองหรือรอให้เจ้าตัวเป็นคนพูดถึงอีกครั้ง ก็คงต้องรอดูอีกสักพัก เพราะคุณภาสกรเองก็คงรู้ว่าภัทรก็ไม่ได้พอใจกับคำตอบของคุณเขาเท่าไรนัก



                “คุณอาทิตย์ซื้อมาเยอะจังเลยครับ” ภัทรว่า หลังจากรับป็อปคอรน์ถังยักษ์มาจากมือของคุณภาสกรแล้ว หลังอีกฝ่ายซื้อมาพร้อมกับน้ำอัดลมสองแก้วใหญ่ ทั้ง ๆ เรากินกันแค่สองคน



                “ไม่รู้สิ พนักงานเขาแนะนำมา” คุณภาสกรว่าเพียงสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างภัทร เพื่อรอเวลาให้ถึงรอบฉายหนังตัวเอง ในตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นกว่าก่อนอยู่ร้านอาหารนิดหนึ่ง เมื่อคุณเขาก็จับมือภัทรไว้อย่างหลวม ๆ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือถูวนที่มือภัทรอย่างแผ่วเบา



                “เป็นอะไร” คุณภาสกรเอ่ยถามภัทรด้วยน้ำเสียงนุ่มหู ทำเอาคนฟังรู้สึกอ่อนระทวยอย่างบอกไม่ถูก



                “ไม่ได้เป็นไรครับ”



                “แต่คุณดูแปลก ๆ ไปนะ” คุณภาสกรว่าต่อ ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มหูเช่นเดิม



                “สังเกตเห็นด้วยเหรอครับ”



                “ก็ตั้งแต่อยู่ที่ลานจอดรถแล้ว”



                “……”



                “คุณเป็นอะไร บอกผมได้ไหม”



                ภัทรแพ้….เขาแพ้คุณภาสกรในรูปแบบนี้ มันเหนือความคาดหมายเกินไป ในตอนแรกภัทรคิดว่าเขาจะไม่สนใจไถ่ถามกันด้วยซ้ำ แต่พอถูกคุณภาสกรถามเสียงนุ่ม ไหนจะจับมือภัทรไว้อย่างหลวม ๆ อีก ภัทรก็รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นเด็กขี้แงอย่างบอกไม่ถูก



                “ผม….ผมกลัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใช้ของคนอื่นอยู่” ในเมื่อคุณภาสกรอุตส่าห์ถามให้ความสนใจกันแล้ว ภัทรจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์และในที่สุดภัทรตอบคุณเขาเสียงแผ่ว อยากลองคุยเรื่องนี้อีกครั้ง เผื่อมันจะกระจ่างแจ้งกว่าที่เป็นอยู่



                ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งภัทรจะต้องมาใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องในบริษัทมันคือความสนุก แต่มันไม่ใช่อีกต่อไป เมื่อใครคนหนึ่งเริ่มอยากจริงจังกับความสัมพันธ์นี้ ไหนจะบทสนทนาเมื่อตอนกลางวันกับพี่ ๆ พนักงานในแผนกเดียวกัน มันจึงทำให้ภัทรอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณภาสกรโสดจริงหรือเปล่า ซึ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ ไม่ได้ผิดศีลธรรมข้อไหนใช่ไหม



                “ของคนอื่นที่ว่าคือผมเหรอครับ” คุณภาสกรถามต่อ



                “ใช่ครับ”



                “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมไม่โสด”





                “ก็เพราะเป็นคุณไงครับ…..ไหนจะตอนที่ผมถามครั้งแรกอีก คุณอาทิตย์มีท่าทีอึกอัก” ภัทรพูดตรง ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าคุณภาสกรจะตอบเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งยังไง



                “……”



                “ได้โปรดพูดตรง ๆ นะครับคุณอาทิตย์ มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ผมพร้อมจะเชื่อใจคุณนะ” ภัทรว่าต่อ เขาสบตากับคุณภาสกร อยากจะค้นหาความจริงในนั้น



                “ถ้าผมพูดความจริงไปแล้ว คุณจะทิ้งผมหรือเปล่า”



            “…..”



            “จะโกรธผมไหม ถ้าเมื่อกี้มันคือคำโกหก”



            “……”



                “เห็นไหมเท่านี้คุณยังให้คำตอบผมไม่ได้เลย” คุณภาสกรเอ่ย หลังเห็นว่าภัทรเงียบไป



                ใบหน้าหล่อเหลาของคุณเขายังคงมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ประดับอยู่ แต่ดวงตาของคุณภาสกรกลับดูเศร้าจนภัทรรู้สึกผิดขึ้นมาและในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มอยากรู้ว่าความจริงมันคืออะไรกันแน่ ทำไมคุณภาสกรถึงกลัวว่าภัทรจะทิ้ง



                “แล้วความจริงที่ว่ามันคืออะไรเหรอครับ”



                “…..”



                “คุณอาทิตย์ครับ ได้โปรดบอกผมตรง ๆ…..” ภัทรถามย้ำอีกครั้ง



                “จริง ๆ ผมมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับคู่ไว้ให้ตั้งแต่ตอนเด็กแล้ว”









            “.....!!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนที่เร่งเร้าขอความจริงจากปากอีกฝ่ายก็ถึงกับชะงักไป ทั้งฝ่ายคนถามและคนตอบต่างเงียบกันทั้งคู่



                ภัทรรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง สมองของเขาว่างโพลนในพริบตา หลังรู้ความจริงจากปากคุณภาสกร ไม่ต้องให้คุณเขาพูดซ้ำ เขาก็เข้าใจแล้ว เพียงเท่านั้นเขาก็เกิดอาการลำคอแห้งผาก มือไม้อ่อนแรงขึ้นมากะทันหัน แต่ไม่ถึงขั้นปล่อยป็อปคอร์นถังยักษ์ร่วงลงสู่พื้น



                “....คู่หมั้นเหรอครับ” นานนับนาทีกว่าภัทรจะรวบรวมสติได้ เขากะพริบตาถี่ ๆ เพื่อตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามคุณภาสกรด้วยเสียวแผ่วเบาราวกับกระซิบ เพราะยังคงอึ้งอยู่



                ภัทรเตรียมใจมานานแล้ว ความสัมพันธ์นี้มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น อันที่จริง...เขามองเห็นเค้าลางของปัญหา ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของเราอยู่ในรูปแบบของเจ้านายและลูกน้องแล้ว แต่ภัทรคิดไม่ถึงว่านอกจากนี้ ยังมีก้างชิ้นใหญ่ที่เป็นอุปสรรคยากที่จะมองข้าม อย่างผู้หญิงที่พ่อแม่คุณภาสกรหมายตาด้วย นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่เขาจะสามารถมองข้ามไปได้ด้วยซ้ำ



                “ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผู้ใหญ่จับคู่ให้ผมกับไพลิน ตั้งแต่น้องอยู่ม.ต้น ผมอยู่ปีสอง” คุณภาสกรว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะถอนหายใจออกมา คงหนักใจไม่แพ้กันที่ต้องพูดความจริงออกมา



                “.....”



                “ผู้ใหญ่เขาวางแพลนไว้ว่าอาจมีงานมงคล หลังจากน้องเรียนจบ” ราวกับถูกหมัดฮุคจนน็อก หลังคุณภาสกรพูดจบประโยคและคราวนี้ภัทรถึงกับไปไม่เป็น สิ่งแรกที่เขาตั้งคำถามในใจก็คือตอนนี้ไพลินอายุเท่าไรแล้ว เธอใกล้จะเรียนจบหรือยัง



                “แล้วคุณอยาก....”



                “ผมไม่ได้อยากแต่งงานกับไพลิน ผมแค่รักเธอ...ในฐานะน้องสาวมาโดยตลอด” ไม่ทันที่ภัทรจะพูดจบประโยคดี คุณภาสกรก็ให้คำตอบมาก่อน ดวงตาคู่สวยของคุณเขาดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนมองอย่างภัทรอดสงสารไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้เขาต่างหากทึ่น่าสงสารที่สุด



                “แล้วเธอล่ะครับ อยากแต่งงานกับคุณหรือเปล่า” ภัทรถามต่อ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยากแต่งงานแล้วจบไป นี่มันคือการคลุมถุงชน ประเพณีที่ภัทรเคยคิดว่ามีแค่ในละคร แต่มันคือชีวิตจริง



                และเขากำลังเผชิญมันอยู่ในตอนนี้....



                “......”



                “คุณ...น่าจะบอกผมให้เร็วกว่านี้....สักนิดก็ยังดี” หลังคุณเภาสกรเงียบ ภัทรก็พูดต่อเสียงแผ่ว



                ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรกบางทีความสัมพันธ์ของเรา อาจไม่ถลำลึกเท่าตอนนี้ก็ได้ ถึงภัทรจะต้องตาต้องใจคุณภาสกรตั้งแต่แรกเห็น แต่ความรู้ผิดชอบชั่วดีของเขายังมีมากพอที่จะไม่คิดยุ่งกับคนมีเจ้าของหรือถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่แรก ถ้าภัทรรู้....ภัทรคงจะหักห้ามใจตัวเองได้เร็วกว่านี้



                เขาคงหักห้ามใจได้ทัน ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองตกหลุมรักคุณภาสกร.... 



            “ผมขอโทษ ผมกลัว..กลัวว่าเรา”



                “แน่นอนครับ ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรก....ผมคงตัดโอกาสพัฒนาตั้งแต่เนิ่น ๆ” คราวนี้เป็นฝั่งภัทรบ้างที่ตอบคุณเขาตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี



                กับเรื่องนี้ภัทรไม่รู้จะโกรธใครดี เขาจึงเลือกที่จะโกรธตัวเองแทน และตอนนี้ภัทรก็รู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก นึกโมโหว่าทำไมเพิ่งมารู้เรื่องนี้เอาตอนป่านนี้และไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยแบบไหน ภัทรก็คือคนเจ็บ เขาก็เป็นผู้ร้ายอยู่ดี เพราะมาทีหลังและยังมายุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วอีก



                “.......”



                “ต่อให้คุณรักไพลินแบบน้องสาว แต่หากว่ากันตามจริง พ่อแม่จับคู่ให้ขนาดนั้น เตรียมจัดงานแต่งให้หลังไพลินเรียนจบ บ้านผมไม่เรียกว่าโสดหรอกนะครับ”



                “ถ้ารู้แบบนี้แล้ว คุณจะทิ้งผมเหรอครับ” คุณภาสกรถามต่อ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาภัทรคล้ายจะเว้าวอนกันผ่านสายตา เราต่างฝ่ายต่างเงียบ ภัทรรู้ดีว่าคุณภาสกรเองก็คาดหวังในคำตอบของเขา คนที่ถูกถามอย่างภัทรก็ถึงกับนิ่งไป เขาเม้มปากแน่น ไม่รู้จะทำยังไงดี เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก



                ภัทรไม่อยากยุ่งกับคนมีเจ้าของ เขาไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะได้มายุ่งกับคนมีเจ้าของทั้ง ๆ ที่เคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ ๆ และในตอนนี้ความสัมพันธ์ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อคุณภาสกร มันหยั่งรากลึก....เกินกว่าจะเดินหันหลังให้กันง่าย ๆ โดยที่ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว



                “ผมอยู่ข้างคุณ....” นานอยู่หลายนาที กว่าภัทรจะมีคำตอบให้คุณเขา



                “......”



                “ผมจะอยู่ข้างคุณ จนกว่าคุณจะเลือกได้ว่าจะเอายังไง จะเลือกผมหรือผู้หญิงคนนั้น”



                “ยังไงผมก็ต้องเลือกคุณอยู่แล้ว”



                “งั้นคุณก็ต้องเคลียร์กับผู้ใหญ่ เคลียร์กับไพลินให้รู้เรื่อง” ภัทรยื่นคำขาด



                เขาไม่อยากกดดันคุณภาสกร แต่เมื่อถึงจุดใดจุดหนึ่ง ยังไงเสียก็ต้องเลือกและยิ่งเรื่องนี้ด้วย ถ้าไพลินเรียนจบแล้ว ผู้ใหญ่ของคุณเขาและผู้หญิงคนนั้นเห็นดีเห็นงามได้ฤกษ์งานแต่งขึ้นมา วันนั้นคุณภาสกรจะไม่มีสิทธิ์เลือกเลยว่าจะให้ภัทรอยู่ข้างคุณเขาเหมือนเดิมหรือให้เดินจากไป เปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนนั้นเข้ามาดูแลแทน



                “ถ้าคุณภาสกรเลือกผม คุณก็ต้องเคลียร์กับพวกเขา ต้องเคลียร์กันแล้วจบลงด้วยดีนะครับ คุณเองก็รู้ใช่ไหมว่าความรักไม่ได้มีแค่เรา แต่รวมไปถึงคนรอบข้างด้วย” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพร้อมกับบีบมือคุณภาสกร เพื่อให้กำลังใจกัน



                “......”



                “ในเมื่อไหน ๆ คุณก็ยอมพูดความจริงออกมาแล้ว ผมก็จะไม่ทิ้งคุณ เพื่อไม่ให้คุณรู้สึกว่าการพูดความจริงเป็นสื่งที่ไม่น่าทำ....ดีแล้วล่ะครับ ผมจะรู้ตัวและตั้งรับมันให้ทัน” ภัทรว่าต่อ เขาพยายามมองโลกในแง่บวกอย่างเต็มที่ ภัทรไม่ว่าเปล่า แต่ยังบีบมือให้กำลังใจคุณเขาและตัวเองด้วย ก่อนจะระบายยิ้มออกมาจาง ๆ เพื่อให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลาย



                “อีกเกือบยี่สิบนาที....งั้นคุณอาทิตย์รอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”



                “ครับ งั้นผมรออยู่ตรงนี้นะ” ภัทรพยักหน้ารับไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ก่อนจะฝากถังป็อปคอร์นไว้กับคุณภาสกรและเดินไปห้องน้ำชาย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เรานั่งอยู่เท่าไรนัก



                ทันทีที่เข้ามาถึงห้องน้ำ ภัทรก็เดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ลึกที่สุด เขาจัดการปิดฝาโถส้วมและนั่งลง เขาเอามือปิดหน้าตัวเอง ความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ตลอดการคุยกันเมื่อกี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาในเวลาต่อมา เขาพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ภัทรเลือกที่จะร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ....











_____________________________

สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ซะงั้น หวานกันดีๆแท้ๆ แป้บเดียวน้ำตามา แต่ว่านะบอกกันตรงๆก็ดีถ้าไปรุ้อทีหลังเจ็บกว่าเยอะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะเคลียร์ตัวเองได้มั้ย  :z3: :z3:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตกเป็นมือที่สามโดยไม่รู้ตัววมันเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนหลอกซะอีกก ถ้าภัทรไม่ถามก็ไม่คิดจะบอกความจริงกันเลยใช่มั้ย!  :katai1: :katai1: :z3: :angry2:

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
สงสารภัทร

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตัวเองยังมีภาระยังกล้ามาวอแวอีกเนอะคนเรา

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เงิบเลยจ้ะ!!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คือคุณภาสต้องเคลียร์ให้จบนะคะ ใครจะอยากอยู่แบบสถานะคลุมเครือแบบนี้ไปตลอดอ่ะ

ออฟไลน์ piiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-2
แง จริงๆอยากให้น้องถ่มยออกมามากกว่า แล้วให้พี่เขาไปิคลียร์เรื่องทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาหาน้องอย่างบริสุทธิ์ใจ

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารคุณภัทรเลยย
โอ๋ๆนะคะ คุณอาทิตย์ก็น้ออออ :z3:

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


10

                เพราะความจริงมันกระทบจิตใจมากเกินไป ภัทรจึงแอบมาร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียวอย่างเงียบ ๆ เพราะแค่ต้องการระบายความรู้สึกอัดอั้นของตัวเองออกมาเท่านั้น



                ที่ต้องมาหลบมุมร้องไห้คนเดียวเช่นนี้ เนื่องจากภัทรไม่อยากให้คุณภาสกรกรเห็น เขาไม่ได้ต้องการเรียกคะแนนสงสารจากอีกฝ่าย ไม่อยากให้ทุกอย่างดูแย่ไปกว่าเดิม การร้องไห้เพื่อระบายความรู้สึกจึงออกมาในรูปแบบนี้



                ในตอนแรกภัทรตั้งใจว่าจะรีบร้องไห้ให้พอแล้วรีบออกไปเสีย ก่อนที่คุณภาสกรจะสงสัยว่าทำไมการเข้าห้องน้ำของเขาครั้งนี้ถึงได้ช้านัก แต่กว่าจะเช็ดน้ำตา จัดการทำลายหลักฐานการระบายความรู้สึก ไหนจะต้องรวบรวมสติ ตั้งหลักอีกครั้ง เพื่อที่จะไม่ให้ไปปล่อยโฮต่อหน้าคุณเขาอีก ภัทรก็ต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควร กว่าจะมั่นใจว่าจะไม่มีการร้องไห้ต่อหน้าคุณเขา



                ภัทรสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นหันไปกดชักโครกลงพอเป็นพิธีและเปิดประตูห้องน้ำออกไปเผชิญกับโลกความจริงอีกครั้ง แต่ทว่าพอเขาเปิดประตูออกไป เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นคุณภาสกรกำลังยืนพิงอ่างล้างมือรออยู่



                ดวงตาคู่สวยที่ภัทรเคยชอบมองอยู่เสมอ บัดนี้....ดูหม่นยิ่งกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ภัทรสัมผัสได้ถึงความเสียใจผ่านแววตาของคุณเขาและดูเหมือนการแอบมาร้องไห้ของภัทรจะไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อยังไง คุณเขารู้ก็อยู่ดี



                “ร้องไห้เหรอครับ”



                “ครับ แต่ผมไม่เป็นไรแล้ว” ภัทรยอมรับแต่โดยดี มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะโกหก ในเมื่อหลักฐานมีให้เห็นอยู่ทนโท่ แม้จะไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่ดวงตาที่ยังแดงก่ำคงเป็นหลักฐานชิ้นดีว่าตอนที่ภัทรอยู่ในห้องน้ำ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



                “......” ภัทรพยายามที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ แต่ในสถานการณ์นี้มันกลับไม่เหมือนเคย แค่ยกยิ้มมุมปากให้เหมือนคนยิ้มอย่างคนที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรกับความจริงที่เพิ่งรู้ เขายังทำไม่ได้เลย



                ภัทรฝืนยิ้มให้คุณภาสกรเหมือนอย่างเคยไม่ได้....



            “ยิ้มไม่ได้ก็อย่าฝืน” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า อีกฝ่ายเดินตรงดิ่งเข้ามาหาภัทร แล้วคว้าร่างเขาเข้าไปกอดเอาไว้ เพียงแค่นั้นภัทรก็ร้องไห้ออกมาทันที



                ครั้งนี้มันหนักกว่าตอนแอบร้องไห้เสียอีก ภัทรร้องไห้อย่างไม่อาย เขาร้องไห้จนสะอึก ความเสียใจกลับมาเล่นงานภัทรอีกครั้ง เขาได้แต่ตัดพ้อว่าทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ มีความรักทั้งทีขอดี ๆ ไม่ได้หรือไง สุดท้ายภัทรก็ได้แต่ถามตัวเองในใจซ้ำ ๆ ว่าเขาผิดอะไรและควรจะยืนอยู่ตรงจุดไหนดี



                ควรเดินออกมาและทิ้งคุณภาสกรไว้กับผู้หญิงคนนั้นดีไหม....



            “กลับบ้านดีไหม ไม่ต้องดูหนังแล้ว” คุณภากรถามภัทร ขณะที่พยายามลูบหัว ลูบหลังปลอบโยนเขา ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายเองก็คงรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน แต่คุณเขาไม่ร้องไห้เหมือนอย่างภัทรก็เท่านั้น



                “ได้ยังไงครับ ตั๋วหนังก็ซื้อมาแล้ว ไหนจะน้ำ ป็อปคอร์นที่ซื้อมาแล้วอีก” ภัทรแย้งคุณภาสกร แล้วแย่งตั๋วหนังจากมือคุณเขามาดูอีกครั้ง



                “หนังที่คุณซื้อตั๋วมา มันเป็นหนังคอมเมดี้”



                “.......”



                “บางที....เสียงหัวเราะอาจจะทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นกว่าตอนนี้ก็ได้”



                เป็นคุณภาสกรที่ยอมภัทรเสมอและครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อภัทรต้องการที่จะดูหนังต่อ แม้สิบนาทีก่อนหน้านี้เพิ่งร้องไห้มาหมาด ๆ ก็คงต้องว่าตามนั้น



                ภัทรและคุณภาสกรเดินเข้ามาโรงหนังด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า จริง ๆ เรียกได้ว่าตอนนี้เราสองคนแทบไม่มีอารมณ์จะมาดูหนังด้วยซ้ำ แต่เพราะทั้งภัทรเสียดายเงิน แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นคนจ่าย ไหนจะคิดว่าวิธีนี้อาจจะช่วยเยียวยาความรู้สึกของเรา ภัทรจึงตัดสินใจเช่นนี้แทนที่จะกลับบ้านอย่างที่ควรจะทำ



                เราไม่ได้พูดจาอะไรกันอีกหลังจากนั้น....บรรยากาศระหว่างเราเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อภัทรร้องไห้ระบายความรู้สึกของตัวเองและคุณภาสกรคอยปลอบอยู่ไม่ห่าง



                หนังเริ่มฉายแล้ว เราต่างฝ่ายต่างจดจ่อกับหน้าจอขนาดยักษ์พร้อม ๆ กับมือของเราที่สอดประสานกันไว้....อย่างแนบแน่น ก่อนในเวลาต่อมา ภัทรจะค่อย ๆ ขยับเข้าหาคุณเขา เอียงเอนศีรษะพิงไหล่หนาของอีกฝ่ายเอาไว้ คุณภาสกรไม่ได้ขยับตัวหนีแต่อย่างใด แต่ใช้มือข้างที่ว่างมายีผมภัทรด้วยความเอ็นดูแทน



                “ผมจะรีบเคลียร์เรื่องไพลิน รอผมหน่อยนะ” คุณเขากระซิบบอก



                “ครับ....ผมจะรอ”



            เราออกมาจากโรงหนังเกือบเที่ยงคืน อารมณ์ภัทรสงบลงแล้ว อันที่จริงเขารู้สึกดีขึ้นตั้งแต่คุณภาสกรเป็นฝ่ายเอ่ยเองว่าจะรีบเคลียร์เรื่องไพลินให้เร็วที่สุด มันทำให้เห็นว่าอย่างน้อยคุณภาสกรไม่ได้อยู่เฉย อย่างเดียวคุณเขาก็ยังห่วงความรู้สึกภัทรอยู่ เราเดินจับมือกันมาที่ลานจอดรถ ไม่มีการพูดถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ระคายหูอีก



                “น้องโอ๊ตจะกลับจากค่ายตอนไหนเหรอครับ”



                “ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมะรืนนี้นะครับ ทำไมเหรอครับ” ภัทรเอ่ยถามต่อ



                “เปล่าครับ ผมแค่ถามเฉย ๆ”เพราะคำพูดของคุณภาสกรดูน่าสงสัย ภัทรจึงหรี่ตามองอย่างจับผิดขณะที่เราเดินมาหยุดที่รถแล้วและการกระทำของภัทร ทำเอาคนถูกจ้องถึงกับหลุดหัวเราะออกมา



                “หน้าผมมีอะไรเหรอ” คุณภาสกรถาม



                “เปล่าครับ แต่คุณอาทิตย์ดูน่าสงสัย”



                “ยังไงครับ?” คุณเขาถามต่อ



                “ก็คุณถามวันที่เจ้าโอ๊ตกลับจากค่ายวิชาการ....”



                “ผมก็แค่อยากรู้ครับ ไม่มีอะไร....ขึ้นรถเร็ว” คุณภาสกรว่าต่อ แม้ภัทรจะยังไม่เชื่อใจคำพูดคุณเขาเท่าไรนัก เพราะทั้งน้ำเสียงและสายตาของอีกฝ่าย มีความไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ คาดคั้นไปก็ใช้ว่าคุณภาสกรจะยอมบอกดี ๆ สุดท้ายภัทรจึงตัดสินใจไม่ถามและขึ้นรถอย่างว่าง่าย



                พอไม่มีหลานให้คอยเป็นห่วง การกลับบ้านดึกก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป คุณภาสกรขับรถกลับบ้านภัทรอย่างไม่รีบร้อน เราอารมณ์เย็นลงทั้งคู่ ภัทรคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ยังตัดสินใจจะดูหนังคอมเมดี้ต่อ มันช่วยเยียวยาความรู้สึกของเราได้จริง ๆ มันช่วยให้ภัทรหยุดคิดเรื่องผู้หญิงคนนั้น



                เราใช้เวลาเพียงไม่นาน รถคันงามของคุณภาสกรก็มาจอดสนิทที่หน้าบ้านภัทรอีกครั้ง ผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ภัทรก็ปลดสายเบลท์เตรียมจะลงจากรถ แต่ถูกคุณภาสกรเรียกชื่อเสียก่อน



                “ภัทรครับ”



                “ครับ?”



                พรุ่งนี้ผมไม่ได้มาค้างด้วยนะ”



                “.......”



                “เพิ่งนึกได้ว่าต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัด คุณอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”



                “อ๋อ....อยู่ได้สิครับ ผมโตแล้วนะ” พอรู้เหตุผลของคุณเขา ภัทรก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาระบายยิ้มเล็กน้อย หลังเห็นสีหน้าของคุณภาสกรเหมือนจะยังเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ภัทรอายุยี่สิบกว่าแล้ว ไม่ใช่เด็กสิบขวบ ดังนั้นการอยู่บ้านเพียงลำพังจึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา



                “ผมโตแล้วนะ” ภัทรย้ำอีกครั้งพร้อมเอามือกุมข้างแก้มของคุณภาสกรไว้ด้วยความเอ็นดู คุณเขาน่ารักได้เสมอต้นเสมอปลาย แต่ติดแค่ตรงไม่ยอมพูดความจริงเรื่องไพลินนี่แหละ ความน่ารักของคุณภาสกรจึงถูกหักคะแนนลงนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาภัทร....คุณเขาก็ยังเป็นที่หนึ่งเสมอ



                “ปกติก็จะไม่ห่วงหรอก แต่หลานชายคุณก็ยังไม่กลับจากค่ายด้วย กลัวเหงา”



                “ก็แค่คืนเดียวเองครับ ดูหนังฆ่าเวลาสักเรื่องผมก็หลับแล้ว” ภัทรว่าต่อ ใบหน้าของเขายังประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม ก่อนที่ในเวลาต่อมา ภัทรจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อคุณเขาจุ๊บที่ฝ่ามือภัทรเบา ๆ ทำเอาคนที่รับสัมผัสรู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก



                “ภัทรครับ...”



                “ครับ” เจ้าของชื่อขานรับคุณเขาอีกครั้ง



                “......คุณยังคิดเรื่องไพลินอยู่ไหม” คราวนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังคุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้น



                “ตอนแรกก็คิดมากนะครับ....แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ” ภัทรตอบตามตรง



                เมื่อภัทรมีเวลาตั้งหลัก สติของเขาก็เริ่มมา จากร้องไห้ฟูมฟาย หวาดกลัวและตัดพ้อว่าทำไมความรักต้องมาเจออะไรแบบนี้ ก็กลายเป็นความรู้สึกกล้าหาญ ภัทรไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้คำว่ากล้าหาญได้ไหม แต่ต่อจากนี้ไปอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ภัทรจะยืนข้างคุณภาสกร ตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่เลือก



                เพราะหากไม่เป็นไปตามที่หวัง คุณภาสกรเคลียร์ไม่ได้และเลือกผู้หญิงคนนั้น ยอมรับว่าถ้าถึงวันนั้นภัทรเองก็คงเจ็บน่าดู แต่พอมาคิดอีกแง่....อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ภัทรยังมีเวลาอีกเยอะ เขาเพิ่งยี่สิบต้น ๆ ยังเหลือเวลาอีกมากที่จะได้พิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่าง



                บางทีโชคชะตาอาจลิขิตให้คุณภาสกรคือบททดสอบหนึ่งในชีวิตของเขาก็ได้ ใครจะรู้



                “ที่ผมไม่คิดมากเพราะอะไร คุณอาทิตย์รู้ไหมครับ?”



                “.......”



                “เพราะผมเชื่อใจคุณยังไงล่ะ คุณบอกเองนี่ว่าจะรีบเคลียร์เรื่องผู้หญิงคนนั้น”



                “.......”



                “และผมยืนอยู่ข้างคุณจนกว่าคุณจะเคลียร์ได้ว่าจะเลือกใคร....ผมหรือไพลิน มันคงไม่มีเวลามากเท่าไรหรอกใช่ไหมครับ ให้เดา ๆ เธอคงอายุราว ๆผม ไม่ช้าก็เร็วยังไงคุณก็ต้องเลือกสักทาง ก่อนที่เธอจะเรียนจบ”





ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1





                เช้าวันต่อมาภัทรยังคงทำงานตามปกติ ทั้งรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองและเป็นเด็กคอยเดินเอกสารระหว่างแผนกบ้างเป็นบางครั้ง ตลอดทั้งวันมานี้ เขาไม่ได้คุยกับคุณภาสกรเลย ไม่มีส่งข้อความหากัน ไม่มีการเจอหน้ากันด้วยความบังเอิญและเมื่อเช้าอีกฝ่ายก็กลับไปก่อนที่ภัทรจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ



                พอผ่านเข้าสู่วันใหม่มา จิตใจของภัทรก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เขาพยายามมองทุกอย่างให้เป็นเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน ภัทรพยายามตระหนักกับตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวงี่เง่า เพียงเท่านี้คุณภาสกรก็คงหนักใจมากแล้ว



                การคุยเรื่องนี้กับครอบครัวมันคงไม่ง่ายสำหรับอีกฝ่าย ภัทรไม่แน่ใจว่าการจับแต่งครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเป็นเพียงเพราะความชอบพอของสองครอบครัวกันแน่ เพราะถ้าคุณภาสกรคิดกับไพลินแค่พี่น้อง คุณเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยากแต่งงานกับเธอ ปัญหาที่ว่ามันคงไม่คาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ มันต้องมีเหตุผลมาเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง



                ตลอดทั้งวันมานี้จะเรียกว่าเป็นความเบื่อก็ไม่เชิง เพราะตลอดทั้งวันภัทรทำแต่งาน ใบหน้าของเขาจึงแทบปราศจากรอยยิ้ม วันนี้การทำงานของภัทรไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกอีกต่อไป ทุกอย่างมันดูเบื่อไปหมดจนภัทรลอบถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง คอยมองนาฬิกาเสมอ รอว่าเมื่อไรจะถึงเวลาเลิกงาน



                ความเบื่อหน่ายของภัทรไม่ได้สิ้นสุดลง แม้ตอนนี้ถึงเวลาเลิกงานแล้วก็ตาม ภัทรเอ่ยร่ำลารุ่นพี่และเพื่อนร่วมงานในแผนกพอเป็นพิธี ก่อนที่เราจะแยกย้ายกลับบ้านกลับช่องกัน เพราะ



                วันนี้ภัทรไม่ต้องรีบร้อนกลับบ้าน เพื่อไปเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้รอเจ้าโอ๊ตเหมือนอย่างทุกที เพราะหลานชายตัวดียังไม่กลับจากค่าย เขาแวะเดินดูของในตลาดนัดที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัท ภัทรหาซื้อแกงถุงและผลไม้ไว้กินเป็นมื้อเย็น แทนที่จะทำกับข้าวกินในบ้านเหมือนอย่างทุกที



                เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ภัทรก็จัดการวางพวกข้าวของ อาหาร ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดนัดข้างบริษัทไว้บนโต๊ะในห้องครัว ก่อนจะเดินมานั่งพักให้หายเหนื่อยบนโซฟาในโซนรับแขก



                พอวันนี้ไม่มีทั้งความวุ่นวายจากเจ้าโอ๊ตและเอาแต่ใจของคุณภาสกร ภัทรรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากบ้านหลังเล็ก ๆ ของเขาในตอนนี้มันเงียบมากจนคนอยู่บ้านเพียงลำพังได้ยินเสียงหายใจตัวเอง ภัทรอมยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อย หลังเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า เขาไม่ชอบความวุ่นวายและไม่ชอบความเงียบเช่นกัน วุ่นวายมากไปภัทรก็ไม่ชอบ เงียบมากไปเขาก็เหงา 



                ภัทรนั่งพักหายใจหายคออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าลืมอะไร เขารีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก ดูการแจ้งเตือนทันที เผื่อมีใครแจ้งอะไรด่วนแล้วเขายังไม่รู้ เมื่อเคลียร์การแจ้งเตือนของแต่ละแอปพลิเคชันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภัทรก็ดูนั่น ดูนี่ต่อเพื่อฆ่าเวลา ตั้งใจว่าพอหายเหนื่อยแล้ว จะค่อยไปอาบน้ำและทานมื้อเย็น



                ภัทรมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นแอปพลิเคชันสีฟ้า ๆ ที่เขาเคยเข้าเกือบทุกวัน หลังหมดเวลางาน แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้เขามันมาสองอาทิตย์แล้ว



                พอมาถึงวันนี้....ภัทรเองก็แอบตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เขาสามารถบังคับตัวเองไม่ให้เข้าแอปพลิเคชันนี้ได้นานถึงสองอาทิตย์เชียวหรือ แต่ก่อนภัทรเคยติดการท่องโลกในแอปพลิเคชันทวิตเตอร์มาก ๆ จนเรียกว่าเสพติดด้วยซ้ำ เขาเคยคิดว่าชีวิตนี้คงเลิกเล่นมันไม่ได้แล้ว แต่เพียงแค่คุณเขาเอ่ยปากขอ เขากลับหยุดเล่นมันได้อย่างง่ายดาย



                 ภัทรจ้องหน้าแอปพลิเคชันชื่อดังอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แอบอยากรู้เหมือนกันว่าการที่เขาหายไปนานถึงสองสัปดาห์ จะมีเหล่าผู้ติดตามถามหามากน้อยเพียงใด ภัทรกัดริมฝีปากอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจกดเข้าแอปพลิเคชัน เข้าสู่โลกทวิตเตอร์อีกครั้ง



                ภัทรไม่ได้ลบแอคเคานต์ลูกไม้ป่าแต่อย่างใด บอกตามตรงว่าเขาไม่กล้าปิดมัน ภัทรทำใจไม่ได้และเสียดายด้วย เขาเป็นเจ้าของแอคเคานต์ลูกไม้ป่ามานานพอสมควร ลงข้อมูล ดีเทลหรือความรู้สึกที่มีผ้าลูกไม้แต่ละชนิด ความรู้สึกแรกพบของเขาและผ้าลูกไม้ในรูปแบบต่าง ๆ ไว้ก็เยอะ เขาจึงอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ นึกถึงก็กลับมาดูอีกครั้ง 



                ภัทรไม่สามารถตอบได้ว่าวันไหนความหลงใหลของเขาที่มีต่อผ้าลูกไม้จะสิ้นสุดลง แต่ตอนนี้....ภัทรยังหลงใหลมันอยู่ คลั่งไคล้ทุกอย่างที่มีผ้าลูกไม้เป็นส่วนประกอบเหมือนเดิม แต่เพียงแค่ว่าตอนนี้ชีวิตจริงเขา มีเรื่องอื่นให้ต้องคิดมากมาย เกินกว่าจะมาหมกหมุ่นแต่เรื่องผ้าลูกไม้เหมือนอย่างทุกครั้ง



                ภัทรรู้สึกว่าตัวเองลุ้นเล็กน้อย ระหว่างรอให้หน้าจอโทรศัพท์โหลดหน้าบัญชีผู้ใช้ของตัวเอง เขาไมได้ปิดบัญชีผู้ใช้แต่แค่ไม่ได้อัปเดตอะไรเพิ่มเติมเฉย ๆ นับตั้งแต่วันที่คุณภาสกรเอ่ยปากขอ พอเขาหายไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ติดตามจะส่งข้อความและถามหาผู้ดูแลแอคเคานต์นี้ว่าหายไปไหน ทำไมไม่มาอัปเดตลงรูปภาพเหมือนอย่างที่ทำประจำ



                เขาอมยิ้มเล็กน้อย เพราะทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ต่างมีผู้ติดตาม เข้ามาถามหาเจ้าของแอคเคานต์เป็นจำนวนมาก บ้างก็ถามเรื่องสุขภาพ บ้างก็เสนอตัวมาเป็นที่คำปรึกษาปัญหาชีวิตให้ เผื่อเจ้าของแอคเคานต์มีเรื่องเครียด จนไม่สามารถมาอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับผ้าลูกไม้ได้ตามปกติ



                ภัทรใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อ่านทุกข้อความจากทุกคน แต่ไม่ได้ตอบใครทุกคน เพราะเขาแค่แวะมาดูความเคลื่อนไหวเท่านั้นไม่ได้จะกลับมาเล่นเหมือนเดิม พอดูทุกอย่างจนพอใจแล้ว เขาก็กดออกจากแอปพลิเคชันทวิตเตอร์อย่างไม่มีความลังเล



                .....ภัทรเลือกแล้วว่าคนในชีวิตจริงสำคัญกว่า เขาเป็นคนเลือกแล้วว่าจะหันหลังให้กับมัน แชร์ความชอบเกี่ยวกับผ้าลูกไม้กับคุณภาสกรแค่คนเดียวก็พอแล้ว



            หลังดูนั่นดูนี่ในโทรศัพท์จนพอใจแล้ว ภัทรก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ กินอาหารมื้อเย็นตามที่วางแผนเอาไว้ เขาตั้งใจว่าก่อนเข้านอนจะอ่านหนังสือสักเล่ม อาจเป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องโปรดอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ซึ่งอาจหยิบยกภาคใดภาคหนึ่งในชุดสะสมมาอ่านประมาณสิบหน้ากระดาษ ก็คงทำให้เขาง่วงได้



                พอไม่มีใครชวนคุย ภัทรจึงเข้านอนเร็วที่สุดเท่าที่เคยทำ โทรศัพท์ของเขาปราศจากการแจ้งเตือนของคุณภาสกรตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายคงวุ่นวายเกี่ยวกับการไปดูงานต่างจังหวัดน่าดู ถึงไม่มีเวลาส่งข้อความหากัน ภัทรไม่ได้รู้สึกงอแงหรืออยากเรียกร้องอะไรก็แค่คิดถึงเฉย ๆ ห่างกันสักวันคงดี ให้ความคิดถึงมันได้ทำงานบ้าง



                ภัทรอ่านวรรณกรรมเล่มโปรดได้นานกว่าที่คิด พอเริ่มมีสมาธิ ไหนเนื้อเรื่องที่กำลังเข้มข้น สุดท้ายก็วางไม่ได้ แม้จะรู้ว่าจุดจบของเรื่องนี้เป็นยังไง ฉากอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาก็ยังสนุกทุกครั้งที่ได้อ่าน มารู้ตัวอีกทีเวลาก็พ้นเที่ยงคืนแล้ว



                เหมือนเหตุการณ์จะลูบวนอีกครั้ง จังหวะที่ภัทรวางหนังสือเพราะเริ่มง่วง จู่ ๆ ก็มีสายเรียกเข้าพอดีและคนที่โทรมาไม่ใช่คนอื่นคนใกล้ เป็นคนที่ภัทรเพิ่งคิดถึงไปหยก ๆ นั่นก็คือคุณภาสกร เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ภัทรก็รีบกดรับอย่างไม่ลังเล ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา หลังสิ่งที่เดาไว้ในใจมันถูกต้อง



                คุณภาสกรอยู่ยืนหน้าบ้านภัทรตอนเที่ยงคืนอีกแล้ว....



             หลังวางสายคุณภาสกรแล้ว ภัทรก็รีบวางโทรศัพท์และลงไปชั้นล่าง เพื่อเปิดประตูให้คุณเขาทันที เขาโถมเข้ากอดร่างสูงทันทีที่เปิดประตูบ้านแล้วเจอหน้าหล่อ ๆ ของคุณภาสกรที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม



                “ระวังครับ” คุณเขาเอ็ดเบา ๆ แต่ก็ยังกอดตอบภัทรอยู่ดี



                “ไหนว่าวันนี้ไม่ได้มานอนค้างด้วยไงครับ” หลังจากกอดคุณภาสกรพร้อมกับสูดกลิ่นหอมจาง ๆ จากตัวอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว ภัทรก็ผละตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นแล้วเอ่ยถาม



                “เป็นห่วงครับ ไม่อยากให้คุณนอนคนเดียว” คุณภาสกรว่า พร้อมลูบหัวภัทรขณะพูดด้วยสายตาคล้ายจะเอ็นดูกัน ทำเอาคนที่รับสัมผัสรู้สึกอบอุ่น ใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก



                “แค่นั้นเองเหรอ” ภัทรถามต่อ



                “เปล่าครับ....ผมคิดถึงคุณด้วย”



                “.......”



                “ขึ้นห้องนอนกันเถอะครับ ผมอยากนอนกอดคุณแทบแย่แล้ว” คำพูดของคุณภาสกรมีอิทธิพลกับความรู้สึกภัทรเสมอ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับฉีกยิ้มกว้าง หน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ภัทรไม่ได้พูดอะไร นอกจากหลุบตามองพื้นเพื่อตั้งสติอยู่หนึ่ง ก่อนคุณภาสกรจะเป็นฝ่ายจับมือภัทรแล้วเราเดินขึ้นห้องนอนพร้อมกัน

               



                “วันนี้ไปดูงานที่ต่างจังหวัดเป็นไงบ้างครับ”



                “.....ก็ดีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”



                หลังจากปล่อยให้คุณภาสกรจัดการอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนแล้ว ภัทรก็เอ่ยถามคุณเขาเสียงใส อาการง่วงนอนที่มีในตอนแรกหายไปในพริบตาเพียงแค่คุณภาสกรมานอนด้วย เพราะเราไม่ได้คุยกันเลยตลอดทั้งวัน ทำให้ภัทรมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะถามและอยากเล่าเต็มไปหมด



                “แล้ววันนี้คุณอาทิตย์ไปดูงานที่ไหนเหรอครับ” ภัทรเอ่ยถามต่อ ในขณะที่คุณภาสกรกำลังขึ้นเตียงมานอนด้วย หลังเพิ่งเป่าผมเสร็จ



                “สระบุรี ทำไมเหรอ?”



                “เปล่าครับ ผมก็นึกว่าไกลอย่างที่โคราชอะไรแบบนี้ ถ้าขับรถไปกลับแบบนี้ มันอันตราย” ภัทรตอบ ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะเป็นห่วง หลังคุณภาสกรขึ้นมานอนข้างกันดี ๆ แล้ว ภัทรขยับตัวเข้าใกล้คุณภาสกรเล็กน้อย ก่อนจะตวัดแขนโอบเอวคุณเขาไว้พอหลวม ๆ



                “น่ารัก” คุณภาสกรพูดเพียงสั้น ๆ แล้วกอดร่างพนักงานตัวเล็กกลับเช่นกัน ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มนุ่มอย่างเพลินมือ ในขณะเดียวกันภัทรเองก็นอนรับสัมผัสจากคุณเขาอย่างชอบใจ รู้สึกชอบสัมผัสจากคุณภาสกรอย่างบอกไม่ถูก



                “แล้ววันนี้ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง”



                “ก็ดีครับ แต่ผมก็แอบเบื่อเหมือนกัน” คราวนี้ภัทรเป็นฝ่ายตอบคุณเขาบ้าง



                “ยังไง?”



                “ก็น่าเบื่อนะครับ วันนี้ทำแต่งาน ผมมองนาฬิกาบ่อยมาก อยากให้ถึงเวลาเลิกงานเร็ว ๆ” ภัทรตอบอย่างซื่อตรง



                 ปกติพนักงานคนอื่นคงจะทำตัวขยันต่อหน้าเจ้านาย ภัทรเองก็ควรทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะยังไงเสียคุณภาสกรก็คงรู้ว่าภัทรกำลังโกหก เมื่อคุณภาสกรได้ยินภัทรตอบเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ถึงกับหลุดหัวเราะราวกับคำตอบของภัทรเป็นมุก



                “ฮ่า ๆ ไปบริษัทก็ต้องทำงานสิครับ จะให้ทำอะไร หืม?” คุณเขาถามต่อ



                “.......”



                “อา...พูดแล้วก็นึกถึงตอนห้องน้ำชั้นสิบห้าจัง ต้องทำแบบนั้นระหว่างทำงานใช่ไหมครับ ภัทรถึงจะได้ไม่เบื่อ”



                “บ้า....” ภัทรพูดออกมาคำเดียว เมื่อได้ยินคุณภาสกรว่าเช่นนั้น เขาซุกหน้าลง ฝังกับแผ่นอกอุ่นของคุณเขา เพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง เพียงแค่คุณภาสกรพูดถึงมัน ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ไหลเข้ามาในความคิดภัทรเป็นฉาก ๆ



                พอลองย้อนกลับไป ภัทรก็แอบกลัวตัวเองเหมือนกันที่กล้าทำแบบนั้นในบริษัท แม้เราทั้งคู่ต่างรู้ว่ามันไม่ควร แต่กลับไม่มีใครคิดจะคัดค้านใคร ต่างฝ่ายต่างยินยอมพร้อมใจ เห็นดีเห็นงามกันไปหมด ภัทรคิดว่าต่อจากนี้ไปอาจต้องตระหนักให้มากกว่านี้ เพราะถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เข้า มันคงไม่ส่งผลดีต่อเขาและภาพลักษณ์ของคุณภาสกร



                “ไม่เอาอีกแล้วนะครับ นอกสถานที่น่ะ” ภัทรบอกคุณเขา



                “.......”



                “.....ต่อจากนี้ไป ผมก็จะคอยเตือนตัวเองเหมือนกัน ถ้าเราจะทำกัน.....” ภัทรเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง พอเห็นสายตาวิบวับของคุณภาสกรแล้วมันทำให้เขาลืมสิ่งที่ต้องการจะสื่อไปชั่วขณะ



                “ถ—ถ้าเราจะทำกัน ค่อยมาทำกันที่บ้าน เดี๋ยวคนจับได้แล้วจะแย่เอา” แต่สุดท้ายภัทรก็พูดจบประโยคอยู่ดี



                เขาอยากให้เราต่างระมัดระวังให้มากกว่านี้ ยิ่งตอนนี้ภัทรเพิ่งรู้เรื่องไพลิน หากมีคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องของพวกเขาเข้า ทุกอย่างมันคงแย่กว่านี้



                อย่างที่คุณภาสกรเคยบอกไว้.....โชคดี ไม่ได้เป็นของเราเสมอไป จริงอยู่ที่ครั้งนี้อาจไม่ถูกจับได้ แต่ครั้งหน้าอาจไม่รอด



                “ดูพูดเข้า”



                “ผมจริงจังนะครับ!” ภัทรว่า กลัวคุณเขาจะตีความว่าสิ่งที่เขาพูดไป เป็นเพียงแค่เรื่องตลกซึ่งภัทรจริงจังกับเรื่องนี้มาก ตอนนี้ลำพังแค่เรื่องไพลินก็เกินพอแล้ว



                “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ครั้งที่แล้วก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมอดใจไม่ไหวจนลืมคิดเรื่องนั้นไป” คุณภาสกรเอ่ยขอโทษ ขณะเดียวกันนั้นนิ้วหัวแม่มือของเจ้าตัวก็กำลังเกลี่ยแก้มนุ่มของภัทรไปด้วย



                “ภัทรครับ”



                “ครับ?” ผู้เป็นเจ้าของชื่อขานรับในทันที



                “หลับตาลงหน่อย”



                “......”



                “ผมมีของจะให้ แต่ไม่กล้าให้ต่อหน้าคุณ” คุณภาสกรขยายความ หลังภัทรยังคงทำหน้างงและไม่ยอมหลับตาลงตามคำร้องขอนั้น



                “....นะครับ”



                ฝั่งภัทรเองก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พอรู้ว่าคุณเขามีของจะให้กันก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ยิ่งภัทรสังเกตเห็นใบหูที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อของคุณภาสกร เขาก็ยิ่งอยากรู้เข้าใหญ่ว่าคุณภาสกรจะให้อะไรกันแน่ แต่เพราะคุณเขาอายไม่กล้าให้ตอนที่ภัทรลืมตาอยู่ เขาจึงต้องหลับตาลงตามคำขอของอีกคน



                ถึงตาจะปิด แต่หูยังคงทำงานอยู่ ทำให้ภัทรรู้ว่าคุณภาสกรนิ่งไปสักนาที เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายขยับตัว มันเงียบมากเสียจนภัทรถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเย็นของโลหะตรงนิ้วนางข้างซ้าย



                “ลืมตาได้แล้วครับ” ตั้งแต่สัมผัสแรก....ภัทรก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าคืออะไร แต่เขาก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นมือข้างซ้ายของตัวเองมีแหวนที่ทำจากโลหะขนาดพอดีนิ้วอยู่



                “.......”ภัทรไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ได้มองหน้าคุณภาสกรด้วยอาการตกใจอะไรทั้งนั้น เขาทำได้แค่ฉีกยิ้มกว้างเท่าที่สุดเท่าที่เคยทำ ขณะที่สายตาจับจ้องนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองไปด้วย



                “ไม่คับไปใช่ไหม?”



                “ไม่ครับ ขนาดพอดีเลย คุณอาทิตย์รู้ไซซ์ผมได้ยังไง”



                “เพราะจับมือคุณบ่อยไงครับ แล้วก็กะ ๆ เอา” คุณภาสกรว่า ใบหูของอีกฝ่ายยังคงเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่ ทำเอาคนที่เห็นอดเอ็นดูไม่ได้



                “คุณชอบมันหรือเปล่า มัน.....อาจเรียบง่ายเกินหน่อย แต่ผมอยากให้คุณนะครับ” คุณเขาว่าเสียงแผ่ว สงสัยคงกลัวว่าภัทรจะไม่ชอบมัน เพราะมันถูกออกแบบมา ค่อนข้างเรียบง่ายแต่ก็ดูมีอะไรให้ได้มองในเวลาเดียวกัน บนตัวบนมีการสลักตัวพีเพียงตัวเดียวไว้อีกด้วย ซึ่งตีสามารถความหมายได้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเล่นของภัทรหรือชื่อจริงของคุณเขาหรืออาจจะไม่ใช่ทั้งคู่



                ถึงมันจะดูเรียบ ๆ อย่างที่คุณเขาว่าและตามที่ภัทรรู้สึก เมื่อได้เห็นเพียงครั้งแรก แต่เขากลับคิดว่าแหวนวงนี้มันสามารถใส่ได้ทุกโอกาสและเวลาคนเห็นจะได้ไม่ต้องสงสัยด้วยว่ามันคือแหวนอะไร อาจจะมองว่าเป็นแค่แหวนประดับธรรมดา ๆ ไม่มีความหมาย ไม่มีราคาก็ได้ ไม่ได้มองเป็นแค่แหวนแทนใจอย่างเดียว ซึ่งนั่นก็แล้วแต่คนจะมอง



                “ชอบครับ ผมชอบมาก” ภัทรตอบคุณภาสกรเรียกความมั่นใจของอีกฝ่ายกลับคืนมา เขาใช้มืออีกข้างสัมผัสลายสลักบนแหวนอย่างแผ่วเบา



                “.......”



                “ขอบคุณมากนะครับ”



                เรานอนกอดกันเกือบทุกวันก็จริง แต่เมื่อคืนนี้....มันเป็นคืนที่ดีมากสำหรับภัทร ไม่ต้องมีถอดเสื้อผ้าหรือมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราดูน่าสนุก ตื่นเต้นหรือเร้าใจอยู่ตลอดเวลาก็สามารถทำให้ภัทรมีความสุขได้ เขารู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก แม้เมื่อคืนนี้เป็นแค่การนอนกอด นอนจับมือปกติตาม



                เพราะเมื่อคืนมันเป็นคืนที่ภัทรรู้สึกดีมาก เหมือนได้เพิ่มพลังบวกให้กับตัวเอง ทำให้เช้าแห่งวันทำงาน เขาเข้าบริษัทมาด้วยความอารมณ์ดี....มันดีกว่าเมื่อวานนี้อยู่หลายเท่าตัว เพราะเมื่อวานภัทรทำงานไปด้วยความเบื่อหน่าย อยากถึงเวลางานเร็ว ๆ



                ในวันนี้ภัทรอยู่ในชุดทำงานตามปกติของตัวเอง แต่วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในพร็อบแต่งตัวของเขานั่นก็คือแหวน เขาหลุดยิ้มออกมาทุกครั้งที่สายตาเหลือบไปเห็นมันเข้า เพราะเพียงแค่เห็นภาบใบหูแดง ๆ ของคุณเขาก็ฉายเข้ามาในความคิดทันที



                แปลกใจเหมือนกัน....คุณภาสกรชอบพูดจาหวาน ๆ ให้ภัทรใจเต้นแรงก็บ่อยครั้ง แต่เวลาอีกฝ่ายทำซึ้ง อะไรที่ควรกล้าแสดงออกมากกว่านี้ กลับขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกซะอย่างนั้น ถึงจะขัดใจอยู่นิดหน่อยก็เถอะ แต่ภัทรก็ยังมองว่ามันน่ารักอยู่ดี



                “อรุณสวัสดิ์ครับพี่นัท” เมื่อเดินเข้ามาถึงแผนกแล้ว ภัทรก็เป็นฝ่ายทักทายรุ่นพี่คนสนิทก่อน เขาส่งยิ้มให้กับเธอตามมารยาท หลังเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านเอกสารประจำอยู่ที่โต๊ะแล้ว



                “สวัสดีจ้า น้องภัทรรรรร วันนี้อารมณ์ดีมาเชียวน้า”



                 หากบริษัทมีจัดการแข่งขันพนักงานช่างสังเกต พี่นัทคงติดหนึ่งในสามคนสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ช่างสังเกตความเปลี่ยนแปลงของภัทรในแต่ละวัน เพราะความสามารถพิเศษของเธอที่เป็นแบบนี้นี่แหละ ทำให้บางครั้งภัทรก็แอบกลัวจะทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ให้เธอสงสัย



                “เมื่อคืนนอนเต็มอิ่มครับเลยอารมณ์ดี” ภัทรว่าพร้อมกับยิ้มตาหยีให้เธอ



                “จ้า รีบมาประจำโต๊ะเร็ว วันนี้งานเยอะมากกกก” พี่นัทลากเสียงยาว สาธยายงานในวันนี้ของเราให้ภัทรฟัง เราพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนที่ต่างฝ่ายจะหันกลับไปทำงานในส่วนของตัวเอง



                ในวันนี้งานเยอะอย่างที่พี่นัทว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน เพราะแค่ครึ่งวันแรกของการทำงาน ภัทรก็นวดคลึงต้นคอตัวเองให้คลายปวดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง การทำงานแลกเงินเดือนในแต่ละวันนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ



                ภัทรลงกินข้าวกลางวันกับแก็งค์เดิมในแผนก เขายังคงเป็นคนที่พูดที่สุดเหมือนเดิม คอยฟังเหล่าพี่ ๆ พูดคุยกัน มีออกความคิดเห็นบ้างในบ้างครั้ง



                “นี่! ยัยนัทพี่มีข่าวเด็ดมา รูปเด็ดมาให้ดูด้วย แต่ต้องสัญญาก่อนว่าถ้าหล่อนห้ามเสียงดังเด็ดขาด” หนึ่งในพี่ประจำแผนกพูดขึ้นพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาอะไรบางอย่าง เธอผ่อนเสียงลงให้เราได้ยินกันแค่ในโต๊ะอาหารเท่านั้น ราวกับเรื่องนี้มันความลับขั้นสุดยอด



                “แล้วอะไรล่ะพี่” พี่นัทถามอย่างสงสัย



                “เออน่า! เด็ดแน่นอน สัญญาก่อนว่าจะไม่เสียงดัง ภัทรก็ด้วยนะ”



                “ครับ?” พอถูกเอี่ยวชื่อไปด้วย ภัทรก็ถึงกับขานรับทั้งงง ๆ



                “โอเค ๆ นัทไม่เสียงดังแน่นอนจ้า แต่ถ้าไม่เด็ดอย่างที่พี่โฆษณานะ หนูมีเคืองนะ บอกไว้ก่อน”



                “เด็ดแน่นอน ถ้าหล่อนเห็นหล่อนอาจช็อคเลยก็ได้”



                “อะ ๆ ไหน ๆ หนูขอดูหน่อย ไอ้ข่าวเด็ดของพี่เนี่ย” พี่นัทว่าด้วยน้ำเสียงรำคาญแล้วแบมือขอโทรศัพท์จากพี่ในแผนก จริง ๆ ภัทรไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรด้วย แต่เธอเอียงโทรศัพท์มาทางภัทร หมายจะให้เราดูรูปด้วยกัน ทำให้ภัทรต้องมองตามมารยาท



                “พี่.....”



                “เนี่ย ฉันบังเอิ๊ญบังเอิญเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับแม่ของฝั่งผู้หญิง เพราะเขาเคยมาติดต่องานบริษัทเรา เลยไปเห็นเข้าพอดี ฉันว่ารูปนี้น่าจะไม่นานเท่าไรนะ” พี่เปิดรูปให้ดูอธิบายประกอบไปด้วย ขณะเดียวกันนั้นภัทรก็หูอื้อตาลายไปหมดแล้ว



                “ฉันว่าคนนี้แหละแฟนตัวจริงของคุณภาสกร ดีไม่ดีอาจคุยเรื่องงานแต่งด้วยซ้ำ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสองครอบครัวแบบนี้”



                ฝั่งภัทร....เมื่อได้เห็นภาพเขาถึงกับตัวชาอยู่ครู่หนึ่ง จับชุดที่คุณภาสกรใส่เมื่อวานได้แม่น มันคือชุดเดียวกันคนในรูป ภัทรถือวิสาสะดึงโทรศัพท์มาจากมือของพี่นัท เพื่อมาดูรูปอย่างใกล้ ๆ ตอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด นี่คือคุณภาสกรจริง ๆ และข้างกายของคุณเขามีผู้หญิงคนนั้น คนที่ชื่อไพลิน....ไม่ผิดเพี้ยนแน่



            โกหกว่าไปดูงานที่สระบุรี แต่กลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาสองครอบครัว ยืนยิ้มให้กล้องอย่างคนมีความสุข



            ตกดึกมาแล้วยังมาให้แหวนแทนใจภัทร แสดงออกว่ารักใคร่ เขาที่คนที่พิเศษที่สุดสำหรับอีกฝ่าย

            ไม่คิดจะบอกกันและ.....ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


                คนหลอกลวง....




_______________________

สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้

ผ่างงงงงง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อุ๊ย อย่าหักมุมสิ

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อุ๊ย อย่าหักมุมสิ

รักนักอ่านท่านนี้จังค่ะ พาหายไปนาน มาๆติดๆแต่ยังอยู่เหมือนเดิม เลิฟ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชั้นว่าแล้วว่าไม่ได้ไปทำงาน  :fire: :fire: :fire: :fire:
 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ว่าละต้องโกหกแต่ความแตกไวเหลือเกิน จะได้แก้ตัวมั้ยภาสกร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท10 29.05.62
« ตอบ #199 เมื่อ: 29-05-2019 21:52:19 »





ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :3125: :3125: คุณอาทิตตตตตต
ทำภัทรเสียใจอีกแล้วนะ!! :angry2: :m16:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ว่าแล้วววววววว ไม่ได้ไปทำงาน กลัวภัทรถูกหลอกจังเลย :katai1:

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1




11



                ภัทรกลับมาถึงบ้านด้วยอาการชาหนึบตรงบริเวณหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวลงโซฟาอย่างคนหมดแรง ในตอนนี้สติของเขาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเองเท่าไรนัก เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อช่วงพักเที่ยงและความจริงที่ทำให้ภัทรรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหักหลังอย่างบอกไม่ถูก ภาพนั้น....แม้จะเห็นเพียงไม่กี่วินาที มันก็ยังติดตาเขามาจนถึงตอนนี้



                อีกไม่ถึงชั่วโมงหลานชายก็คงโทรบอกให้ไปรับแล้ว มันคงไม่ดีเท่าไรแน่ หากภัทรคิดจะมาร้องไห้เอาตอนนี้ แม้ในความจริงเขาจะเริ่มขอบตาร้อนผ่าวแล้วก็ตาม



                ตั้งแต่ที่เห็นรูปนั้นประกอบกับคำบอกเล่าของพี่ในแผนกที่บอกว่าอาจมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ คนฟังอย่างภัทรก็รู้สึกจิตใจร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก อยากแสดงออกถึงความไม่พอใจ อยากจะรีบโทรหาคุณเขาเพื่อซักถามข้อเท็จจริง   ก็ไม่สามารถทำมันได้ในทันที เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ยังคงปิดเป็นความลับอยู่



                เพราะคุณภาสกรยืนยิ้มข้างไพลิน.....



                เพราะยังไม่ได้รับความกระจ่างแจ้ง.....



                เพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณภาสกรต้องโกหกกัน.... ทำให้การทำงานตลอดทั้งบ่ายของภัทร เป็นไม่ได้ไม่ค่อยดีนัก หลง ๆ ลืม ๆ เนื่องด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว บ่อยครั้งที่ภัทรถูกเอ็ดว่าชอบเหม่อ ไม่ได้ยินเสียงเวลาหัวหน้าสั่งงาน



                หลังกลับมานั่งพักหายใจหายคอที่บ้านและรวบรวมสติได้สักระยะ ภัทรจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาเกิดความลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อของคุณภาสกรปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แจ้งเตือนว่าเป็นสายที่ไม่ได้รับ ถ้าเป็นปกติภัทรคงโทรกลับไม่ก็ส่งข้อความไปหา พอเห็นรูปนั้น....ทุกอย่างก็ดูผิดแปลกไปหมด อะไรที่เคยทำเป็นปกติก็มีการชะงักและฉุดคิดอยู่เสมอ



                .....ภัทรกลัวว่าตัวเองจะอดใจถามเรื่องนั้นกับคุณเขาไม่ไหว ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ภัทรต้องการ



                ภัทรไม่อยากเป็นฝ่ายถามก่อน เขาอยากให้คุณภาสกรเป็นคนเล่าความจริงเอง ภัทรไม่เข้าใจว่าทำไมคุณภาสกรถึงไม่บอกกันดี ๆ ตั้งแต่แรก ทำไมต้องโกหกว่าไปดูงานที่ต่างจังหวัด....เขาไม่เข้าใจอีกฝ่าย



                ทำไมคุณภาสกรไม่พูดความจริงกันตั้งแต่แรก ไหน ๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเป็นความลับด้วยซ้ำ ภัทรถึงกับแค่นหัวเราะกับตัวเอง เมื่อเขาตระหนักได้ว่าตอนนี้เขากำลังพยายามหาเหตุผลเพื่อมาปกป้องคุณภาสกรออกจากความคิดแย่ ๆ ของตัวเอง



                ในที่สุดภัทรตัดสินใจ....เขาจะไม่เป็นฝ่ายถามก่อน ภัทรจะไม่แสดงออกว่าเห็นรู้เห็นเรื่องนี้แล้ว เขาจะปฏิบัติตัวเหมือนอย่างปกติ เพราะก็อยากรู้เหมือนกัน หากเขาทำเฉย คุณภาสกรจะเป็นฝ่ายบอกเรื่องนี้เองไหม



                ภัทรจะแสร้งไม่รู้ต่อไป แม้ว่าในความจริงเขาจะร้อนใจและกลัวอยู่ไม่น้อยว่าคุณภาสกรจะเลือกไพลิน....ไม่ใช่เขา



            ภัทรนั่งนิ่งจัดการความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้น ไปถอดถุงเท้าและเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะเพื่อที่จะไปรอรับหลานที่โรงเรียนต่อ เพราะอีกไม่นานเจ้าโอ๊ตก็คงมาถึง



 







                “เจ้าโอ๊ต วันนี้จะกินอะไรดี”



                “ไม่อยากกกินอะไรเลยฮะ อยากนอนอย่างเดียว”



                “ไม่หิวหรือไง”       



                “ไม่หิวฮะ”



                “โอเค งั้นน้าไม่ทำอาหารเผื่อนะ”



                “ฮะ”



                ภัทรพยักหน้ารับคำตอบของหลานชาย ขณะที่เขากำลังเดินกอดไหล่หลานชายตัวกะเปี๊ยก ไปข้างหน้าโรงเรียนเพื่อไปขึ้นรถแท็กซี่ เตรียมกลับบ้านกัน ในเวลานี้ความเครียดของภัทรถูกชะงักไปชั่วคราว เพราะภัทรคิดถึงหลานมาก เมื่อได้เจอหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง เขาจึงเทความสนใจให้กับเจ้าโอ๊ตเพียงคนเดียว



                ยอมรับว่าบางครั้งภัทรก็รำคาญหลานชายตัวเอง เพราะตั้งแต่พี่สาวฝากลูกชายให้เลี้ยงตั้งแต่เจ้าโอ๊ตยังแบเบาะ  ชีวิตภัทรก็ไม่มีคำว่าอิสระอีกต่อไป เขาไม่สามารถไปนอนค้างคืนที่ไหนหลาย ๆ วันได้ ไม่สามารถไปสังสรรค์ ท่องราตรี กินเหล้ากับเพื่อนได้อย่างที่ใจต้องการ เหมือนถูกกักความอิสระไว้ เพียงเพราะถูกพี่สาวโยนลูกชายมาให้เลี้ยงดื้อ ๆ



                ตอนแรกก็โมโหอยู่ไม่น้อย เวรกรรมอะไรทำไมเขาจึงต้องมาเลี้ยงเด็ก ลูกตัวเองก็ไม่ใช่ แต่พอนึก ๆ ดูอีกทีแล้ว ถ้าเขาไม่เลี้ยงเจ้าโอ๊ตแล้วใครจะเลี้ยง



                พ่อแม่ก็เลิกกันตั้งแต่เจ้าโอ๊ตยังไม่ทันลืมตาด้วยซ้ำและด้วยความสงสารเจ้าโอ๊ตและพี่สาวที่จะต้องหาเงินและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ไหนจะสถานะน้าชายที่ค้ำคออยู่ ทำให้สุดท้ายภัทรจึงเลี้ยงเจ้าโอ๊ตอย่างไม่เกี่ยงงอน ถือเสียว่าอย่างน้อยเจ้าโอ๊ตก็เป็นหลานชายคนหนึ่งของเขา เรามีสายเลือดเกี่ยวข้องกันอยู่ จะไม่เลี้ยงก็ดูใจร้ายเกินไป จึงกัดฟันสู้จนเจ้าโอ๊ตโตมาได้ถึงขนาดนี้



                วัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่มีกูรูคอยบอกสอน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ช่วงแรก ๆ ตอนตัดสินใจรับเจ้าโอ๊ตมาเลี้ยง ภัทรเองก็ปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะตอนเด็กเจ้าโอ๊ตขี้แงเป็นที่หนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ พอโอ๋เสร็จ เขาจึงพยายามถามหาเหตุผลจากหลานชายตัวเล็กว่าทำไมถึงร้องไห้ เจ้าโอ๊ตก็ตอบมาสั้น ๆ ว่าหิวข้าว นั่นทำให้ภัทรถึงกับมึนงงไปอยู่ครู่หนึ่ง



                เป็นเด็กนี่อะไรก็ดูยากเย็นไปหมด บางครั้งภัทรก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่มีลูก เลี้ยงแค่เจ้าโอ๊ตคนเดียวเขาก็รู้ซึ้งถึงคำว่าพ่อแม่แล้ว



                ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นั้น....บางครั้งเจ้าโอ๊ตหิวข้าวก็ไม่พูดออกมาดี ๆ ว่าหิว ร้องไห้ลั่นบ้าน ถามว่าเป็นอะไรก็ส่ายหน้าลูกเดียว ของเล่นก็ไม่เอา ขนมก็ไม่กิน พอวางจานข้าวไว้ข้างหน้าถึงหยุดร้อง ชี้สั่งชี้นี่สั่งการให้ตักข้าวป้อนปากเล็ก ๆ กว่าจะผ่านพ้นกับการเลี้ยงเด็กในแต่ละวันได้ ทำเอาภัทรลอบคลึงข้างขมับตัวเองอยู่หลายหน



                พอไปเข้าโรงเรียนได้ ภัทรถึงสบายขึ้นมาหน่อย เขาเริ่มมีเวลาไปทำนั่นทำนี่ หาทำงานพิเศษหรือไปติวหนังสือกับเพื่อน แต่ก็ยังต้องดูแลอาหารการกิน ดูแลทุกอย่างในชีวิตของเด็กชายโอ๊ตอยู่ดี จนแทบจะเป็นพ่อคนที่สองด้วยซ้ำ



                ถึงจะชอบบอกเพื่อนว่ารำคาญไอ้ตัวเปี๊ยก เพราะอิสระที่เคยมีมาตลอดมันหายไป อยากไปไหนกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ภัทรขาดเจ้าโอ๊ตไม่ได้ เราสองน้าหลานตัวติดกันมาหลายปี แทบเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว จนตอนนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ภัทรรู้สึกมีความสุขเท่ากับเห็นหลานชายตัวเองกินอิ่ม นอนหลับ



                “ไป ๆ ง่วงนักก็ไปนอน”



                เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ภัทรก็โบกมือไล่หลานชายให้ขึ้นไปนอน หลังเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพสุดจะทน ตาจะปิดทั้ง ๆ ที่กำลังเดินอยู่ ตอนอยู่บนแท็กซี่ ระยะทางนิดเดียวเจ้าโอ๊ตก็ยังหลับ พอเห็นแล้วภัทรก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก อยากคุย อยากถามว่าไปค่ายได้อะไรมาบ้างก็คงต้องยกยอดไปถามพรุ่งนี้แทน



                “อยากเหมือนกันฮะ แต่วันนี้โอ๊ตมีนัดกับแม่ แม่บอกว่าจะโทรมาหา” เจ้าโอ๊ตตอบเสียงยาน พร้อมกับทิ้งตัวลงโซฟา



                “แล้วแม่เขาไม่รู้เหรอว่าวันนี้โอ๊ตเพิ่งกลับบ้าน”



                “รู้ฮะ แต่แม่บอกขอคุยด้วยแป๊บเดียว แม่คิดถึง”



                “เฮ้อ....ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้ ไปนอนไป เดี๋ยวน้าคุยให้เอง แม่เขาเข้าใจอยู่หรอก” ภัทรว่าต่อพร้อมกับตบไหล่หลานชายเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรีบขึ้นไปนอน



                 ในตอนแรกเจ้าโอ๊ตก็ยังอิดออด ไม่ยอมขึ้นไปนอนตามคำสั่งของภัทร แต่สุดท้ายจิตใจก็แพ้ร่างกายอยู่ดี เดินทางมาเหนื่อย ๆ ร่างกายคงอยากพักผ่อนเต็มที สุดท้ายจึงต้องไหว้วานน้าชายคุยกับแม่แทนหน่อย เพราะตาจะปิดแล้ว



                หลังเจ้าโอ๊ตขึ้นบ้านไปได้ไม่นาน ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์หลานชายที่วางไว้ให้พอดี ภัทรก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาจึงหยิบมารับอย่างไม่ลังเล



                “ฮัลโหล....”



                [อ้าว โอ๊ตไปไหน ทำไมภัทรได้มารับสายแทน]



                “มันขึ้นไปนอนแล้ว มันเพิ่งกลับมาถึงบ้านเนี่ย”



                [เหรอ นี่ว่าจะคุยกับเจ้าโอ๊ตสักหน่อยก็ไม่ได้ นัดแนะกันไว้แล้ว ไม่ได้คุยกับลูกนานละคิดถึง]



                “โห พี่พลอยมาคิดถึงมันอะไรวันนี้ ค่อยคุยกับเจ้าโอ๊ตพรุ่งนี้เอานะพี่ มันง่วงจนหลับบนแท็กซี่แล้ว ภัทรเลยไล่ขึ้นไปนอนเมื่อกี้”



                [เออ ๆ ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้ งั้นไม่เป็นไร ว่าแต่แกเถอะ ไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว ช่วงเป็นไงบ้าง?]



                “ก็ดีมั้ง เรื่อย ๆ แหละ”



                [แน่เหรอ....]



                “ตกลงจะถามอะไรล่ะพี่” คราวนี้ภัทรถามกลับบ้าง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย



                เขาไม่ได้คุยกับพี่สาวตัวเองนานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนนั้นที่คุยกันเรื่องค่าเทอมของเจ้าโอ๊ต พอจะมาคุยเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับหลานชาย เขาจึงรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก



                [ฉันอยากรู้เรื่องความรักแก มีใครบ้างหรือยัง?]



                “......”



                [แล้วอย่ามาบอกว่าไม่มีนะ ฉันเชื่อว่าน้องชายตัวเองขายออกแน่นอน]



                “รู้ดี”



                [นี่ฉันเป็นพี่แกนะ ไอ้ภัทร!]



                “พี่พลอยอะ รีบมารับเจ้าโอ๊ตไปได้แล้ว รำคาญมันเหลือทน จะไปไหนก็ไม่ได้ไปเพราะติดหลานเนี่ย เขาเข้าใจว่าเป็นลูกภัทรหมดแล้ว”



                [ถามจริง ถ้าฉันให้เจ้าโอ๊ตย้ายมาเทอมหน้าเลย แกจะยอมเหรอ ตอนนี้ทางนี้พร้อมหมดแล้วนะ]



                “พี่จะเอาไอ้โอ๊ตไปเรียนที่นั่นจริงเหรอ อย่าเพิ่งดิ ภัทรยังไม่พร้อม”



                [ปากก็บอกว่ารำคาญโอ๊ต แต่สุดท้ายก็ไม่อยากให้มันย้ายมาเรียนที่นี่ มันยังไงกันแน่วะ]



                “ก็มีแค่โอ๊ตเนี่ยที่เป็นเพื่อนคลายเหงา ถ้าพี่เอากลับไปเลี้ยงแล้วภัทรจะคุยกับใคร”



                [เออ....แกพูดมาได้ละ เรื่องความรักเนี่ย อย่ามาเฉไฉชวนเปลี่ยนเรื่องอีก]



                “อะไรเล่า!”



                [มีใครหรือยัง?] 



                พอถูกถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่เหมือนการพูดทีเล่นทีจริงในตอนแรก ภัทรก็ถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของคุณภาสกรผุดขึ้นมาในความคิดเป็นคนแรก ช่วงหลัง ๆ มานี้มาภัทรคุยกับคุณเขาแค่คนเดียว จากที่เคยมีตัวเลือกมากมาย ภัทรกลับจริงจังแค่กับคุณภาสกรเท่านั้น แต่ในเวลานี้....เขากลับไม่มั่นใจว่าคนนี้ควรเปิดตัวหรือแนะนำให้พี่สาวได้รู้จักดีไหม



                “ยังไม่มี แต่คนคุยอะมีแล้ว” ภัทรตอบ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดคุยกับพี่พลอยด้วยน้ำเสียงปกติ



                พูดตามตรง ภัทรไม่อยากให้พี่พลอยรู้จักคุณภาสกรเท่าไรนัก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงเล่าเรื่องคุณภาสกรให้เธอฟังอย่างไม่ลังเล แต่พอมีเรื่องไพลินเข้ามา ไหนจะเรื่องราวคาราคาซังที่ชวนให้ปวดหัวอีกหลาย ๆ เรื่องอีก ภัทรจึงไม่ค่อยอยากแนะนำคุณเขาให้คนในบ้านรู้จักเท่าไรนัก อยากให้ทุกอย่างชัวร์กว่านี้ก่อน ค่อยแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ ถึงเวลานั้นก็คงไม่สายเกินไป



                แน่นอน....ในตอนนี้คุณภาสกรยังไม่ใช่คนนั้นสำหรับภัทร จนกว่าคุณเขาจะเคลียร์เรื่องไพลินเสร็จ



                [ใคร? ผู้ชายหรือผู้หญิง?]



                “เรื่องส่วนตัวอะเนอะ”



                [แหม.....เรื่องส่วนตัว ที่ฉันถามก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ ฉันเป็นห่วงแกเฉย ๆ เผื่อให้คำปรึกษาเรื่องพวกนี้ได้ ถึงแม้เรื่องชีวิตคู่ฉันจะล้มเหลวก็เถอะ] พี่พลอยว่าพร้อมกับหัวเราะออกมาช่วงท้ายประโยค แต่ภัทรกลับรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยผ่านเสียงหัวเราะนั้นอย่างบอกไม่ถูก



                “เฮ้อ....ก็ได้ ๆ คนนั้นน่ะผู้ชาย คุยกันมาเรื่อย ๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพิ่งจะมามีปัญหาช่วงหลังนี่แหละ” สุดท้ายภัทรก็ตัดสินใจเล่าเรื่องนั้นให้พี่สาวตัวเองฟัง ความกลัดกลุ้มที่หายไปในตอนแรกกลับมาเยือนเขาอีกครั้ง



                [......]



                “คุยกันมาได้สักพัก เขาเพิ่งมาบอกว่าตัวเองไม่ได้โสด”



                [ยังไง? ฝั่งนั้นเขามีครอบครัวแล้วมาคุยกับแกเหรอ]



                “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ครอบครัวเขามีคนที่หมายปองอยากให้คู่กันไว้อยู่แล้ว”



                [แล้วคนของแกเขาว่าไง เห็นดีเห็นงามอยากแต่งกับคนที่พ่อแม่หามาให้ไหมล่ะ]



                “เขาบอกว่าคิดกับผู้หญิงคนนั้นแค่น้องสาว....เธอชื่อไพลิน”



                [แล้วฝั่งผู้หญิงล่ะ?]



                “เคยถามเขาแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยากแต่งด้วยไหม ถ้าไม่อยากแต่งงานกันทั้งสองฝั่ง อะไร ๆ ก็คงง่ายขึ้น แต่เขาก็เงียบ” ภัทรว่า



                พอมาพูดถึงตอนนี้เขาอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก อยากยืนอยู่ข้างคุณภาสกรเหมือนที่เคยให้คำสัญญาไว้เหมือนกัน แต่ตั้งแต่เห็นรูปนั้น.....เขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำมันถูกไหม คุณภาสกรได้สู้เพื่อเราหรือยัง หรือเห็นดีเห็นงามกับทางผู้ใหญ่ไปแล้ว แต่ยังไม่กล้าบอกภัทร



                [แกบอกว่าครอบครัวเขามีคนที่หมายปองกันไว้แล้ว.....เขาเป็นคนใหญ่คนโตเหรอ]



                “ก็ไม่เท่าไร....เป็นผู้บริหารของบริษัทภัทรนี่แหละ”



                [ไม่เท่าไรบ้าอะไรเนี่ย แกทำงานบริษัทใหญ่ไม่ใช่หรือไง ไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปรู้จักกัน]



                “พี่พลอย อย่าเพิ่งซักไซ้เรื่องนั้นได้ไหม น้องชายกำลังเครียดอยู่เนี่ย”



                [เออ ๆ ก็ได้ ๆ แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าเขาคิดกับคนนั้นแค่น้องสาว]



                “ก็เขาบอกผม”



                [ไม่ใช่เขาพูดเพื่อให้แกสบายใจเฉย ๆ เหรอ หลอกให้เชื่อใจแล้วก็ไปแต่งกับคนอื่น]



                “สรุปพี่จะทำให้ผมเครียดกว่าเดิมใช่ไหม”



                [ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่คิดไปอีกทาง....นอกจากคำพูด เขาแสดงออกเป็นกระทำให้แกเห็นหรือยังว่าไม่ได้อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ]



                “.......”



                [เขาแสดงให้เห็นหรือยังว่ากำลังสู้เพื่อแก ไม่ใช่หลอกให้แกตายใจพอให้พ้นไปวัน ๆ ?] ภัทรเงียบอีกครั้ง เขาจะอยากเถียง อยากปกป้องคุณภาสกร แต่ไม่มีอะไรจะเถียงเหมือนกัน เพราะตอนนี้นอกจากคำพูดของคุณเขา ก็ไม่มีอะไรยืนยันเลยว่าอีกฝ่ายกำลังสู้เพื่อเราอยู่



                “......”



                [มองบวกมันก็ดีแหละภัทร....ดีแล้วที่แกไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่คิดเผื่อไว้ด้วย ถ้าแกยืนข้างเขา แต่สุดท้ายเขาไปยืนข้างคนอื่น แกนะที่เสียใจคนเดียว ส่วนเขาน่ะเหรอ หนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนอื่น เขายังมีคนที่รอ แต่แกไม่มีใครเลยนะ]



                “หรือผมควรเลิกคุยกับเขาตั้งแต่ตอนนี้ดี”



                [แล้วถ้าทำอย่างนั้น แกเจ็บจะไหมล่ะ?]



                “.......”



                [ขอร้อง....ทำไม่ได้ก็อย่าพูด จริง ๆ คนของแก ไม่ควรคุยหรือศึกษาใครตั้งแต่เขาไม่โสดสนิทแล้วนะ มันไม่ผิดกฎหมายหรอก แต่จิตสำนึกควรมีตั้งแต่แรก]



                “......”



                [แล้วจะเอายังไงต่อไป เนี่ยตอนนี้ฉันหัวร้อนแทนแกแล้ว]



                “พี่พลอย ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”



                [อะไรล่ะ?]



                “ตอนนั้น พี่ตัดสินใจเลิกกับพ่อของโอ๊ตเพราะอะไรเหรอ พี่เป็นคนบอกเลิกเองแล้วพี่ก็มาเสียใจเอง ตอนที่ผู้ชายคนนั้นแต่งงานใหม่”



                [……ว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะ]



                “.......”



                [ก็ได้ ๆ ตอนนั้นฉันรู้ว่าเขาอยู่กับฉัน แค่เพราะฉันท้อง มามีลูกด้วยกัน ช่วงที่เขาหมดรักกันพอดี....]



                “.......”



                [เขาก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก ไม่เคยปัดความผิดชอบด้วย แต่เราไม่มีความสุขเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะหน้าที่ เพราะมีลูกด้วยกันเฉย ๆ ฉันก็ไม่ต้องการหรอก ยอมเลี้ยงลูกคนเดียวดีกว่า ดีกว่าให้ลูกโตมาแล้วรู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะความรัก....อีกอย่างสังคมสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เสียหายอะไร]

     

         

                    “......”

       

                  [แต่ก็แอบเสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้เลี้ยงโอ๊ตด้วยตัวเอง กลับต้องให้น้ามาเลี้ยงแทน เพราะฉันต้องไปหาเงินมาใช้จ่าย]



                “เออ....เข้าใจ จริง ไ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมต้องมาเลี้ยงหลาน ลูกก็ไม่ใช่”



                [แต่สุดท้ายแกก็รักโอ๊ตใช่ไหมล่ะ]



                “รักดิ เลี้ยงมากับมือ”



                [ฮ่า ๆ นั่นแหละ ฉันไม่อยากรั้งผู้ชายคนนั้นไว้ ถ้าอยู่ด้วยกันเพราะหน้าที่ก็อย่าเลย อยากผิดชอบเจ้าโอ๊ตในฐานะพ่อของลูก ก็ส่งเสียตามหน้าที่ก็พอแล้ว]



                “นางเอกจัง”



                [อ้าว ไอ้นี่!]



                “เออ ๆ เข้าใจแล้ว”



                [แล้วสรุปจะเอายังไง เรื่องผู้ชายคนนั้นอะ]



                “ก็ไม่ยังไงอะ....ตอนนี้อยากรอดูอะไรบางอย่างก่อน ถ้าไม่ออกตัวว่ารู้อะไรบางอย่างมา อยากรู้ว่าเขาจะพูดความจริงไหม แล้วถ้ามันไม่โอเคก็คงต้องเป็นฝ่ายพูดเองแหละ ชิ่งขอเลิกก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายทิ้งผมเอง”



                [เด็ดเดี่ยวว่ะ]




                “พี่พลอยผมยังไม่ถึงสามสิบเลยนะ บางทีเนื้อคู่อาจไม่ใช่คนนี้ก็ได้ครับ”






ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


               การพูดคุยกับพี่พลอยในวันนี้ ทำให้ภัทรได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง แม้บทสนทนาสองพี่น้องจะเป็นไปอย่างซีเรียส เกี่ยวกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของภัทร แต่มันเป็นเรื่องดี เพราะหลังได้ปรึกษาเธอ เขาก็มองเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น



                เสี้ยวหนึ่งในความคิดก็เตือนให้เขาเตรียมใจ เผื่อใจไว้ให้อนาคตด้วย บางทีความรักครั้งนี้....อาจเป็นแค่บทเรียนบทหนึ่งในชีวิต คุณภาสกรอาจเป็นแค่หนึ่งในบททดสอบของเขา เขาอาจจะเจ็บอยู่ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป



                ทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่อดีต.



                หลังตัดสินใจพูดคุยกับพี่สาวแบบเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา ภัทรก็รู้สึกโล่งมากขึ้น เหมือนความอึดอัดที่เก็บไว้เพียงลำพัง ไม่กล้าปรึกษาใครในตอนแรกเจือจางลง เมื่อปิดบ้านปิดหน้าต่างชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว ภัทรก็กลับขึ้นมาชั้นบนเตรียมเข้านอน ก่อนจะเข้าห้องตัวเอง เขาก็ไม่ลืมแวะเข้าห้องหลานชายเพื่อเอาโทรศัพท์ของเจ้าตัวชาร์จแบตไว้ให้



                เมื่อกลับมาถึงห้องก็มีสายเข้าของคุณภาสกรทันที ภัทรมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเรียงนิ่งและรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดรับสายอีกฝ่ายและเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยน้ำเสียงปกติ



                “สวัสดีครับ”



                [ก่อนหน้านี้ผมโทรไปทำไมไม่รับ]



                “กำลังกลับบ้านน่ะครับเลยไม่ได้ยินเสียง ว่าแต่คุณอาทิตย์เถอะ....นึกว่าจะไม่โทรมาแล้วเสียอีก” ภัทรว่าพร้อมจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง



                [ต้องโทรมาสิ ไม่ได้เจอหน้า แต่ได้ฟังเสียงคุณก็ยังดี]



                โกหก....หลอกลวง.... จู่ ๆ สองคำนี้เก็ผุดขึ้นมาในความคิดภัทร หลังได้ยินคุณเขาพูดจบประโยค ภัทรเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะต่อบทสนทนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



                “ยุ่งมากเลยเหรอครับ”



                [ใช่ครับ วันนี้ประชุมตลอดทั้งวัน ล้าไปหมดแล้ว] คุณภาสกรว่า อีกฝ่ายพ๔ดด้วยน้ำเสียงคล้ายจะอ้อนกัน แต่ในเวลานี้ภัทรก็ไม่มีอารมณ์อยากปลอบ อยากโอ๋ใครทั้งนั้น



                “เหรอครับ คุณอาทิตย์....”



                [ครับ?]



                “วันนี้มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหมครับ”



                ในตอนแรกภัทรไม่อยากจะเกริ่นอะไรด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องกระตุ้นอะไรบางอย่าง เผื่อคุณภาสกรอาจลืมเล่าเรื่องนั้น บางทีอีกฝ่ายอาจไม่ได้มีเจตนาอยากปกปิดเรื่องนั้นกับเขาก็ได้ อีกฝ่ายอาจลืมเล่าเฉย ๆ .....จนกระทั่งตอนนี้ภัทรยังอยากยืนข้าง ๆ คุณเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



                [……]



                “ไม่มีใช่ไหมครับ”



                [ภัทร คุณเป็นอะไรหรือเปล่า]



                “วันนี้ผมอยากอยู่กับหลาน....แค่สองคน”



                พอคุณภาสกรไม่มีอะไรจะเล่าจริง ๆ อย่างที่ภัทรคาดหวัง เขาก็แอบเสียใจอยู่ไม่น้อย สิ่งที่พี่สาวคาดการณ์เอาไว้ มันอยากไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่มันคือความจริง



                ภัทรหวังให้คุณภาสกรบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องไพลินสักนิดให้เขาฟัง แต่อีกฝ่ายกลับทำเฉย ไม่มีแม้แต่ท่าทีว่าจะพูดมันออกมาด้วยซ้ำ ก็ถึงเวลาที่ภัทรต้องรู้ตัวเสียทีว่าต้องทำอะไรต่อจากนี้



                ภัทรพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างที่เคยทำมาตลอด ไม่อยากโมโหร้ายใส่คุณเขา แต่มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน เขาโมโห....เขาโกรธอีกฝ่าย.....แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ ทั้ง ๆ ยังถือสายคุณภาสกรไว้อยู่ ภัทรร้องไห้ออกมาอย่างไร้เสียง รู้สึกโมโหตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เป็นแบบนี้



                [โอเค งั้นผมจะไม่ค้าง แต่ขอเข้าไปหา....]



                “ไม่ต้องมาหา! เพราะผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ!!” สุดท้ายภัทรก็ตะคอกใส่ปลายสายอย่างสุดจะทน เรื่องความอดทน....ภัทรคิดว่าตัวเองอดทนเก่ง แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองจะไม่ทนแล้ว เพราะเขาไม่มีความสุข ภัทรมองไม่เห็นจุดจบของเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เขาเห็นเพียงแค่ว่าในอนาคต...คุณภาสกรจะแต่งงานกับไพลิน



            คุณภาสกรไม่ได้เลือกภัทรตั้งแต่แรก....อีกฝ่ายก็แค่ประวิงเวลาให้ภัทรอยู่ข้างคุณเขา จนถึงวันที่ได้ลงเอยกับไพลินก็แค่นั้น



            [ภัทร.....]



                “ผมขอเวลาอยู่คนเดียวสักพักเถอะ.....”



                [......]



                “นะครับ...ถ้าผมมีทางออกที่ดีระหว่างเราแล้ว ผมจะรีบติดต่อกลับหาคุณให้เร็วที่สุด”



                [ทางออกอะไรเหรอครับ? ภัทร.....ผมกำลังหาทางออกเพื่อเรานะ ผมกำลังพยายามอยู่] คนในสายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่ภัทรก็ถือสายฟังอย่างเงียบ ๆ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น นานนับนาทีกว่าภัทรจะได้ต่อบทสนทนากับคุณเขา



                “ผมก็กำลังหาทางออกให้เราเหมือนกันครับ ผม.....ไม่อยากให้คุณเหนื่อยอีกแล้ว” ภัทรว่าเสียงแผ่ว



                ยิ่งวันและเวลาผ่านไปนานเท่าไร ภัทรก็ยิ่งเห็นปลายทางความสัมพันธ์ของเราชัดเจนขึ้นเท่านั้น ภัทรพยายามมองหลาย ๆ ด้าน เขาไม่อยากโทษคุณภาสกร เพราะภัทรไม่ใช่อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังต่อสู้กับอะไรบ้าง แต่ขณะเดียวกันในมุมมองของภัทรเอง เขาก็ไม่เห็นว่าคุณภาสกรจะแสดงออกหรือต่อสู้อะไรเพื่อเราอย่างที่คุณเขาว่าเลย



                นอกจากคำพูดก็ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยันว่าคุณภาสกรกำลังสู้เพื่อเราเลยด้วยซ้ำ....



                […..เราจะไม่เลิกกันนะภัทร]



                “เราเคยคบกันด้วยเหรอครับ?”



            […..]



            “เรื่องระหว่างเรา....มันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก”



                สุดท้ายคุณภาสกรยอมวางสายตามความต้องการของภัทร หลังจากวางสายคุณเขาได้ เขาก็ปล่อยโฮออกมาทันที ภัทรซุกหน้าและปล่อยน้ำตาให้เปรอะหมอน เขาร้องไห้หนักกว่าทุกครั้ง ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างที่กำลังตกตะกอนอยู่ในใจ



                 ภัทรกำมือแน่นขณะที่ร้องไห้ไปด้วย ก่อนจะทุบข้างตัวอย่างเจ็บใจ รู้สึกเกลียดในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นตอนนี้อย่างบอกไม่ถูก มันไม่สมกับความเป็นเขาเลยสักนิด ภัทรเคยคิดว่าการร้องไห้ของเขาก่อนหน้านี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะเสียน้ำตาให้กับเรื่องความรัก แต่มันไม่ใช่….



                เพราะสุดท้ายเขาก็เสียน้ำตาให้เรื่องเดิมอีกครั้งอยู่ดี....



                ความเข้มแข็งที่ภัทรเคยคิดว่าตัวเองมีอยู่มากมาย ตอนนี้มันหายไปหมด.....เหลือไว้แค่ธนภัทรผู้ชายอ่อนแอและกำลังจะยอมแพ้กับทุกอย่าง



                ภัทรปล่อยให้ตัวเองเสียใจอยู่ราว ๆ สิบนาทีและกว่าน้ำตาจะเหือดแห้งไป กระบอกตาของเขาเหมือนจะล้าไปหมดจนภัทรเริ่มปวดหัวเล็กน้อย



                หลังน้ำตาหยดสุดท้ายแห้งเหือดไป ภัทรก็นอนนิ่ง เขามองเหม่อเพดานห้องอย่างใช้ความคิด พยายามทางออกให้กับเรื่องของเราเหมือนเคยทำ ภัทรพยายามลองคิดหาวิธีอื่น มองหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงหรือทางออกที่เราทั้งคู่เจ็บน้อยที่สุด แต่มันไม่มีทางไหนเลย...



                วูบหนึ่งภัทรมีความคิดว่าหรือเราควรจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่พร้อมกัน ในเมื่อคุณภาสกรเองก็ไม่ได้แต่งงานกับไพลินตั้งแต่แรก แต่พอลองคิดอยู่ดี ๆ ความคิดนั้นก็กลายเป็นเรื่องตลกทันที เพราะมันเป็นไม่ได้ ต่อให้คุณภาสกรจะบอกกับเขาว่าไม่ได้อยากแต่งงานกับไพลิน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฝั่งเจ้าสาวจะไม่ได้อยากแต่งด้วยนี่



                .....ขนาดคุณเขาเองก็ยังให้คำตอบกับภัทรไม่ได้เลยว่าไพลินอยากแต่งงานด้วยหรือเปล่าและต่อให้เราจะเข้าไปบอกว่าเราสองคนรักกัน ก็ใช่ว่าผู้ใหญ่จะยอมหลีกทางให้ง่าย ๆ



                หากว่ากันตามความเป็นจริง ทั้งสองตระกูลอยากเกี่ยวดองกันมาตั้งแต่ก่อนที่ภัทรจะได้เจอกับคุณภาสกรด้วยซ้ำ การที่คุณภาสกรแสดงออกว่าไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้แปลว่าผู้ใหญ่จะเห็นใจหรือยอมยกเลิกให้และถ้าผู้ใหญ่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างภัทรและคุณภาสกร เขาก็ไม่ต่างจากอุปสรรคในสายตาผู้ใหญ่



                ไม่มีทางที่จะผู้ใหญ่จะปลื้มภัทรแน่ เขาอาจล่มงานแต่งได้ แต่ผู้ใหญ่ไม่ปลื้ม ชีวิตหลังจากนี้มันจะมีความสุขได้ยังไง



                ขณะที่ภัทรกำลังคิดและหาทางออกอยู่นั้น เสียงการแจ้งเตือนของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ในตอนแรกภัทรคิดว่าเป็นของคุณภาสกร เพราะอีกฝ่ายชอบส่งมาในเวลานี้ แต่วันนี้กลับไม่ใช่....แต่เป็นพี่นัทที่ทักส่วนตัวมาแทน ด้วยความที่อีกฝ่ายไม่เคยทักไลน์ส่วนตัวมานอกเวลางานสักครั้ง จึงทำให้ภัทรแปลกใจอยู่ไม่น้อย เขาจึงไม่ลีลารีบเปิดเข้าไปดูทันที



                “....!!”



                พี่นัทส่งรูปมาก่อนแล้วส่งคำถามตามมาติด ๆ ทันทีที่ภัทรได้เห็นรูปแรก เขาก็รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออก สมองอือไปชั่วขณะ คล้ายจะเป็นลมทันที



 “ภัทรคบกับคุณภาสกรเหรอ?”



            อาการตัวชาเป็นอย่างไร ภัทรก็เพิ่งเข้าใจความหมายก็ตอนนี้ มันไม่ใช่แค่รูปเดียวเท่านั้นที่ถูกส่งมา เพราะหลังจากคำถามนั้น ก็ยังมีอีกหลาย ๆ รูปที่ส่งเข้ามา ทำเอาภัทรถึงกับตั้งสติไม่ทัน เพราะแต่ละรูปก็ไม่ซ้ำกันเลยสักวัน ราวกับต้องการให้เขาจำนนต่อหลักฐานว่านี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเจ้านายและลูกน้องแบบธรรมดา



                ภัทรกะพริบตาถี่เพื่อเรียกสติให้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวของเขามีแต่คำว่า‘ฉิบหาย’ เขาไม่ได้ตอบพี่นัทเลยทันที  ภัทรใช้เวลาคิดคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง พอหาคำตอบที่คิดว่าดีเท่าที่จะคิดได้ในตอนนี้แล้ว เขาถึงพิมพ์ตอบกลับไปด้วยอาการมือสั่นเทา



“ไม่ใช่ครับ ไม่ได้คบกัน”

                “ไปกันใหญ่แล้ว ฮ่า ๆ”

“พอดีเจอกันด้วยความบังเอิญบ่อย ๆ

คุณภาสกรเลยใจดีให้ติดรถไปด้วย บ้านอยู่ละแวกเดียวกันพอดีครับ”

“พี่นัทเอารูปมาจากไหนเหรอ?”



                ภัทรต้องรู้ต้นทางก่อน คุณภาสกรคงจัดการเรื่องนี้ได้ ดูจากรูปแล้ว คนถ่ายคงสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องของพวกเขามาได้สักระยะแน่ เราระวังตัวน้อยกันเกินไป



                นี่ไม่ใช่การเดินผ่านกันโดยบังเอิญแล้วถ่ายรูปส่งให้กันดู แต่มันคือการจับผิด สังเกตความผิดปกติระหว่างเขาและคุณภาสกรในแต่ละวันต่างหาก มันไม่ต่างจากการหาหลักฐานมัดตัวภัทรและคุณภาสกรด้วยซ้ำ



                 ตอบคำถามดูน่าเชื่อถือ สัมพันธ์กับรูปภาพที่หลุดออกมาก็คงรอดไป แต่คนปล่อยหลักฐานมีไม้เด็ดมากกว่ารูปนั่งรถหรือกินข้าวด้วย ความสัมพันธ์ลับ ๆ นี้ก็คงแดงขึ้นและสุดท้ายทุกอย่างก็ยิ่งยุ่งยากไปมากกว่านี้



                ภัทรกัดริมฝีปากด้วยอาการคิดมาก เขาจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความร้อนใจ เพราะไม่รู้ว่ารูปนี้ส่งต่อไปมากน้อยแค่ไหนกว่าที่เขาจะรู้เรื่องนี้



                หลังจากที่ภัทรส่งคำถามกลับไป พี่นัทก็เปิดอ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับมา นั่นยิ่งทำให้ภัทรร้อนใจยิ่งกว่าเดิม จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจะโทรหาเจ้าตัว เพื่อที่จะได้หาคนปล่อยหลักฐาน เขาต้องรู้ต้นตอนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะรู้กันทั้งบริษัท เพราะยิ่งคนรู้เยอะเท่าไร ยิ่งควบคุมและจัดการอะไร ๆ ได้ยากขึ้น



                เรื่องนี้ภัทรจัดการคนเดียวไม่ได้ คุณภาสกรต้องรับรู้ด้วยเช่นกัน เขาจึงไม่รอช้ารีบส่งรูปต่าง ๆ ไปให้คุณเขาทันที ก่อนจะรีบโทรหารุ่นพี่ร่วมแผนก




            “มีคนรู้เรื่องของเราแล้วนะครับ”





[/b]











สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้

เหลือ 3 ตอนก็จะจบแล้ว มาทายบทสุดท้ายของเรื่องนี้กันค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เข้มแข็งไว้นะภัทร ฮึ้บบบบบบ
แสดงว่าฝั่งนู้นก็รู้เรื่องเหรอ บีบ?หรือยังไง
 :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ทำไมเราคิดว่าคุณอาทิตย์ปล่อยรูปออกมาเอง  :katai1:

ตอนนี้แบบ... สงสารภัทรที่สุดเลย เข้าใจว่าความไม่ชัดเจนมันทำร้ายภัทร

แล้วคุณอาทิตย์ก็ไม่ได้แสดงความเชื่อมั่นอะไรให้ คนในเงาอย่างภัทรก็คิดมากเป็นธรรมดา

// จะจบแล้วหรอคะ งืออ  :o12: :sad4:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ปัญหามันมักจะมารัวๆๆอย่างนี้แหล่ะนะ สงสารภัทร ภาสกรเองก็ไม่ชัดเจนไม่ไหวอ่ะ ถ้าภัทรไม่ทนก็จะไม่ว่าเลย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ติดตามจ้า~

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เป็นเรา เราก็ช็อค

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด