“ทำไมถึงได้เข้าไปทำอาหารกับคุณแม่” คุณภาสกรกระซิบถาม หลังเราเดินออกมาหาเจอกันพอดี ดูเหมือนอีกฝ่ายและคุณพ่อของเจ้าตัวก็เพิ่งลงข้างล่างเช่นกัน
“แม่คุณกำลังอาหารอยู่ในครัว คุณจะให้ผมนั่งรอกินหรือไง ขืนทำแบบนั้นเขาคงเอ็นดูผมอยู่หรอก หลีกด้วยครับ แกงมะระมันร้อน” ภัทรว่า อยากจะคุยกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้อยู่หรอก แต่เขาไม่สามารถยืนคุยนาน ๆ ได้ เพราะแกงมะระที่อยู่ในมือมันร้อนมาก
“มา ๆ เดี๋ยวผมช่วย” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า แต่ยังแย่งถ้วยมะระออกจากมือภัทร เดินนำเอาไปวางไว้บนโต๊ะอาหารให้
“โอ้โห….วันนี้อาหารโปรดผมทั้งนั้นเลย”
“ลูกกลับมากินข้าวที่บ้านทั้งที ก็ต้องเอาใจหน่อยสิ จะกลับมากินด้วยกันบ่อย ๆ” ทันทีที่คุณธารณีว่าเช่นนั้น คุณภาสกรก็รีบเดินไปสวมกอดอ้อนผู้เป็นแม่ทันที
“โธ่…แม่ครับ แม่ก็น่าจะรู้นี่ว่างานที่บริษัทยุ่งแค่ไหน”
“มันยุ่งมากหรือแบ่งเวลาไปให้คนอื่นกันแน่”
“แม่อย่าน้อยใจไปเลยนะครับ เดี๋ยวหลังนี้ผมจะกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อย ๆ ดีไหม?”
“ให้มันจริงเถอะ แม่จะคอยดู”
การทานข้าวร่วมกับครอบครัวคุณภาสกรครั้งนี้ แน่นอนหัวโต๊ะคือคุณพ่อผู้เป็นประมุขของบ้าน คุณภาสกรและภัทรนั่งฝั่งเดียวกัน ส่วนคุณธารณีนั่งฝั่งตรงข้ามลูกชายของบ้าน
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ภัทรได้การร่วมโต๊ะกับครอบครัวคนอื่น ทำให้เขาวางตัวไม่ถูก เก้ ๆ กัง ๆ ดูไม่เป็นธรรมชาติ ภัทรลอบมองคุณภาสกรเป็นระยะ ๆ จนอีกฝ่ายต้องคอยบีบมืออยู่ใต้โต๊ะเพื่อเป็นกำลังใจให้กันอยู่
แม้บนโต๊ะอาหารคุณภาสกรจะเป็นตัวสร้างบรรยากาศไม่ให้โต๊ะเงียบเกินไป พยายามทำให้ทุกคนผ่อนคลาย แต่ตัวภัทรก็ยังอดประหม่าไม่ได้อยู่ดี เขาก็ได้ภาวนาขอให้วันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขอให้การพบกันอย่างเป็นทางการครั้งนี้ พ่อแม่ของคุณภาสกรประทับใจในตัวเขา
“สวัสดีครับ” ภัทรเอ่ยสวัสดีและยกมือไหว้คุณพ่อของคุณภาสกรอย่างนอบน้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน พอได้เห็นใบหน้าของคนพ่อ ภัทรก็รู้แล้วว่าคุณภาสกรจมูกโด่งได้ใคร
“อืม…สวัสดีลูก ชื่อภัทรใช่ไหมล่ะเรา” คุณพ่อท่านถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ภัทรเล็กน้อย
“……”
“อาทิตย์เขาเล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังบ้างแล้ว”
“อ๋อ…ใช่ครับ ผมชื่อภัทร ธนภัทร” ภัทรเอ่ยแนะนำตัว
คุณพ่อของคุณภาสกรไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ออกจะเป็นมิตรกว่าคุณธารณีด้วยซ้ำ ภัทรรู้สึกเช่นนั้นและคำถามส่วนใหญ่ก็ออกแนวถามเรื่องทั่วไปเพื่อทำความรู้จักกันขั้นพื้นฐานเสียมากกว่า
“อ้อ แล้วเราเป็นคนที่ไหนล่ะ” คุณพ่อของคุณภาสกรเอ่ยถามอีกครั้ง หลังเรากำลังนั่งทานของหวานปิดท้ายมื้ออาหารเย็นของวันนี้
“ผมเป็นกรุงเทพครับ”
“อ๋อ…แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ”
“ครับ แต่ก่อนก็อยู่กับหลานชาย แต่ตอนนี้หลานไปอยู่กับแม่เขาแล้ว”
“แล้วพ่อแม่เธอ?”
“พวกท่านเสียแล้วครับ เสียไปได้หลายปีแล้ว” ภัทรตอบ เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าที่ต้องพูดถึงพ่อแม่อีกครั้ง ในอดีตภัทรอาจเคยเจ็บปวดกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว เขาก้าวผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียนั้นมาได้ ตอนนี้จึงเหลือแค่เพียงความทรงจำที่เกี่ยวกับพวกท่านเท่านั้น
“ฉันเสียใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
พ่อของคุณภาสกรดูใจดี ในแต่ขณะเดียวกันน้ำเสียงของท่านก็แฝงไปด้วยอำนาจ ฟังแล้วรู้สึกเฉียบขาดอย่างบอกไม่ถูก ดูน่ายำเกรงอยู่ในที
ในที่สุดการทานข้าวมื้อเย็นร่วมกับครอบครัวของคุณภาสกรก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภัทรแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขารู้สึกว่าจะมีการแยกย้ายกันเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
ภาพในความคิดตอนแรก เขาคิดว่าการร่วมโต๊ะครั้งนี้จะต้องเกร็งและอึดอัดจนเขากินข้าวได้น้อยแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงบรรยากาศมันดีกว่าที่เขาคิดไว้มากโข
“อาทิตย์….ก่อนแกจะกลับขึ้นมาเอาหนังสือกับพ่อด้วยนะ พ่อมีหนังสือบางเล่มอยากจะให้แกอ่าน”
“ได้ครับพ่อ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอา”
หลังจากที่ประมุขของบ้านพูดจบ ท่านก็เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ทำให้ตอนนี้ข้างล่างจะเหลือเพียงแค่ภัทร คุณภาสกรและคุณธารณีเท่านั้น ภัทรรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาก็ต้องสู้ ภัทรลอบมองคุณภาสกรอยู่หนึ่ง ทันทีที่เราสบตากัน เขารีบพยักหน้าส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายขึ้นไปเอาหนังสือจากผู้เป็นพ่อ ให้ข้างล่างนี้เหลือเพียงแค่เขาและคุณธารณีก็พอ
“วันนี้เราไม่ได้ค้างคืนนี่ งั้นลูกขึ้นไปเอาหนังสือกับพ่อเขาเถอะ” ไม่ใช่แค่ภัทรที่คิดเช่นนั้น แต่คุณธารณีก็คิดเช่นเดียวกัน
“ขึ้นไปเถอะครับ ผมไม่เป็นไร” ภัทรยืนยัน หลังเห็นว่าคุณภาสกรอิดออด ทำทีไม่อยากขึ้นไป สงสัยคงไม่อยากจะปล่อยให้ภัทรอยู่กับแม่เจ้าตัวเพียงลำพัง
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมลงมา” หลังจากคุณภาสกรขึ้นไปชั้นสองแล้ว ภัทรก็หันกลับมามองคุณธารณี เธอจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
“ตามมานี่หน่อยสิ” เพียงแค่ได้ยินเช่นนั้น ภัทรก็ถึงกับเย็นสันหลังวาบ
จริง ๆ ก็เตรียมมาแล้วว่าวันนี้ก็คงไม่จบแค่การร่วมโต๊ะอาหาร ซักถามประวัติคร่าว ๆ หรอก แต่ถึงจะเตรียมใจแล้ว พอเจอสถานการณ์จริงก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าการพบกันครั้งนี้ คุณธารณีจะว่ายังไง จะเปลี่ยนความคิดจากหนึ่งปีก่อนไหม ภัทรก็ไม่อาจทราบได้
การพูดคุยของเราไม่ได้คุยกันบนโต๊ะอาหาร แต่คุณธารณีเดินนำภัทรออกไปคุยที่สวนหลังบ้าน ซึ่งเขาเองก็เพิ่งทราบว่าบ้านหลังนี้มีสวนไว้ให้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจด้วย
“มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ภัทรเอ่ยถาม หลังคุณธารณีลีลาไม่ยอมพูดอะไรสักที
“จริง ๆ ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ เรื่องเธอกับอาทิตย์” เพียงแค่ประโยคแรกที่เธอเอ่ยขึ้นก็ทำเอาภัทรถึงกับนิ่ง
“……”
“แต่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา หนึ่งปีที่พวกเธอสองคนห่างกัน ฉันได้เรียนรู้แล้วว่าการปล่อยให้ลูกได้เลือกทางชีวิตตัวเองคือสิ่งดีที่สุดแล้ว…..”
“อาทิตย์เขาแบกรับความหวังของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก เขาพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้อย่างที่ต้องการ คอยรับความหวังดีของพวกฉันมาตลอด” คุณธารณีว่า เธอพูดถึงลูกชายของเธอด้วยสายตาและน้ำเสียงที่ต่างออกไป หากไม่คิดไปเองหรือตีความผิดไป ภัทรคิดว่าเธอกำลังรู้สึกผิดต่อคุณภาสกร
“เขา….ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ ฉันอยากให้ไปเรียนต่ออันนั้น เสริมอันนี้ เขาก็ยอมมาโดยตลอด เพราะเขารู้ว่านั่นจะทำให้เขาเก่งเหมือนพ่อตัวเอง โตขึ้นเขาจะได้ดูแลบริษัทแทนพ่อเขาได้ ตั้งแต่ที่ฉันเลี้ยงดูเขามา เขาไม่เคยบอกว่าไม่อยากทำในแบบที่ฉันต้องการเลยสักครั้ง”
“…..”
“จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเข้ามาในชีวิตเขา แน่นอนฉันไม่เห็นด้วย เพราะฉันวางแผนชีวิตให้อาทิตย์แล้วว่าเขาต้องแต่งงานกับใคร ในที่สุดเธอก็ออกไปจากชีวิตเขาแบบที่ฉันต้องการ”
“ทุกอย่างมันควรจะดีขึ้นใช่ไหม? ในตอนนั้นฉันก็แค่คิดว่าอาทิตย์เขาหลงเธอ เขาเลือกทางเดินที่ผิด จนกระทั่งเขาเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนฉัน เขาขอชีวิตตัวเองคืน” ว่าจบหยดน้ำตาของคุณธารณีก็หยด
“เขา….ขอได้ลองเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองดูสักครั้ง ที่ผ่านมาเขาตามใจฉันทุกอย่างแล้ว แต่ตอนนี้เขาขออย่างเดียว ขอมีนายอยู่ในชีวิตตัวเอง”
“……”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมอาทิตย์ถึงได้รักนายมากมายขนาดนี้ แต่ถ้าถึงขั้นมาขอแบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน นี่ก็ไม่ใช่เล่น ๆแล้ว”
“ฉันคิดเรื่องนี้มาหลายคืน ถ้านายคือความสุขเดียวของอาทิตย์ ฉันก็คงต้องหลีกทางให้ เขาโตแล้ว ส่วนฉันก็แก่ลงในทุก ๆ วัน ถ้าจะให้ใครสักคนมาเป็นมาดูแลเขา ฉันก็อยากให้อาทิตย์มีความสุขด้วย”
“……”
“ยังไงก็ฝากนายช่วยยืนอยู่ข้าง ๆ อาทิตย์ ในวันที่เขาไม่เหลือใครแล้วก็แล้วกันนะ” คุณธารณีไม่ว่าเปล่า แต่ยังเอื้อมมาบีบที่มือภัทรราวกับจะฝากฝั่งลูกชายของเธอไว้กับเขา นั่นทำให้ภัทรรู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่เอาไว้
“ครับ ต่อจากนี้ผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกแล้ว” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
มันไม่ใช่ประโยคที่เอ่ยอย่างขอไปที ภัทรไม่ได้พูด เพราะอยากให้ใครประทับใจ แต่มันคือคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับตัวเองต่างหาก หนึ่งปีที่ห่างกันไป เวลาได้สอนให้ภัทรได้เรียนรู้และพบว่าเขาเองก็อยู่โดยปราศจากคุณภาสกรไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ใช่แค่ภัทรเป็นความสุขของคุณภาสกร แต่อีกฝ่ายก็เป็นความสุขของเขาเหมือนกัน เราต่างเป็นความสุขของกันและกัน
“ภัทร…..เป็นยังไงบ้าง” หลังจากภัทรคุยกับคุณธารณีเสร็จ ในเวลาเดียวกันคุณภาสกรก็เดินลงมาพอดี อีกฝ่ายเดินมาหาภัทรด้วยสีหน้าเป็นกังวล คงกลัวว่าการพูดคุยระหว่างเขากับแม่ของเจ้าตัวในครั้งนี้จะไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง
“ขอกอดหน่อยครับ” ภัทรไม่ตอบคำถามนั้น แต่โผเข้ากอดคุณเขาแทน
เขาโอบกอดคุณภาสกรแน่นมากราวกับว่ากลัวอีกฝ่ายจะหายไป เพียงแค่ภัทรนึกย้อนกลับไปว่าเราต้องฝ่าฝันอะไรด้วยกันมาบ้าง เขาก็น้ำตารื้นแล้ว ภัทรได้แต่ขอบคุณคุณภาสกรในใจซ้ำ ๆ ที่ยังรอกันอยู่ตรงที่เดิม รอจนกระทั่งเราได้เจอกันอีกครั้ง
“โดนคุณแม่ดุเหรอ เอางี้ไหมเดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับท่านอีกครั้ง….บางทีท่านอาจจะเข้าใจคุณผิด”
“ไม่ต้องครับ ท่านไม่ได้ดุอะไรผม” ภัทรส่ายหน้า ยังโอบกอดคุณเขาไว้อย่างนั้น
“แล้วทำไมคุณถึงร้องไห้ครับ?” คุณภาสกรถาม หลังจากที่ผละตัวออก อีกฝ่ายก็เช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มให้ภัทรอย่างอ่อนโยน
“ผมก็อยากขอบคุณคุณเฉย ๆ”
แค่นึกภาพที่คุณภาสกรเข้าไปคุกเข่าขอแม่ ขอให้มีภัทรอยู่ในชีวิตของเจ้าตัว เขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม นึกโทษตัวเองว่าทำไมถึงได้โง่เขลา ทิ้งคุณเขาไว้ที่นี่แล้วหนีไปหลบเลียแผลใจถึงต่างประเทศ สนใจแค่บาดแผลของตัวเอง ไม่นึกถึงจิตใจของคนที่อยู่นี่เลยสักนิด
“ผมรักคุณ ผมรักคุณจังเลยคุณอาทิตย์” ภัทรบอกรักคุณเขาพร้อมกับโถมตัวเข้ากอดอีกครั้ง กอดผู้ชายที่ดีที่สุดของภัทร
“……”
“ให้ตายเถอะ ผมจะตอบแทนคุณยังไงดี” เขาพูด รู้สึกจนปัญญาไม่รู้จะตอบแทนความรักนี้อย่างไรดี
“ไม่ต้องตอบแทนอะไรทั้งนั้น อยู่ข้าง ๆ ผมก็พอครับ” คุณภาสกรว่าพร้อมตวัดแขนโอบกอดภัทรเอาไว้เช่นกัน
“อื้อ ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนแล้ว”
“สัญญากันแล้วนะ”
“ครับ สัญญา”
“ขอบคุณนะ….ธนภัทร”
หลังจากวันนั้นภัทรก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่คอนโดกับคุณภาสกร เนื่องจากคุณเขาเอ่ยปากขอให้ไปอยู่ด้วยกันที่นั่น พอเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พ่อแม่ของคุณเขาก็รับรู้เรื่องนี้แล้วด้วย ภัทรจึงตัดสินใจยอมย้ายมาที่นี่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่แรกเริ่มวันที่เราพบกันครั้งแรก ภัทรไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์อันฉาบฉวยและมองว่าเป็นเรื่องที่น่าท้าทายในตอนนั้น จะกลายเป็นความมั่นคงในวันนี้ มารู้ตัวอีกทีเขาก็ได้ผู้ชายที่ดีมานอนกอดทุกคืน….
“ผมรักคุณ”…..และบอกรักกันทุกเช้าเสียแล้ว
“ผมก็รักคุณครับ”
THE END
________________________
สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้
ในที่สุดเรื่องก็เดินทางมาถึงตอนจบ รู้สึกใจหายเล็กน้อยเพราะอยู่กับน้องมานานจริง ๆ ;_;
เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ พาใช้กระเป๋าผ้าลายลูกไม้ ตอนกำลังนั่งรถเมล์อยู่ ก็มองกระเป๋าตัวเองแล้วก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
พารู้สึกว่าผ้าลายลูกไม้มันมีความเซ็กซี่แปลก ๆ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ผ้า แต่กลับมันดูพิเศษอย่างบอกไม่ถูก
จนในที่สุดเรื่องนี้ก็เกิดขึ้น
พาอยากขอบคุณทุกคนที่ช่วยส่งฟีดแบ็กและลองอ่านงานเขียนของพานะคะ ขอบคุณจริง ๆ ตลอดการเขียนเรื่องนี้ พาได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง
หากมีข้อผิดพลาดอะไร ไม่ถูกใจ ไม่พอใจสิ่งไหนขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยค่ะ
แล้วเราไปเจอกันเรื่องหน้านะคะ ร่วมเดินทางไปด้วยกันอีกสักเรื่อง