14
การที่ภัทรให้โอกาสคุณภาสกรอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเรากลับมาคืนดีกันแล้ว แต่เป็นการยอมเปิดใจเพื่อให้อีกฝ่ายพิสูจน์ตัวเองต่างหาก ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา…..ต่อให้เราเคยคุยกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอกลับมาคุยกันอีก เราก็ต้องมาศึกษากันใหม่อยู่ดี เพราะตลอดหนึ่งปีที่เราห่างหายกันไป ต่างฝ่ายก็ต่างเติบโตขึ้น แต่ก่อนเคยโปรดปรานสิ่งหนึ่งมาก ตอนนี้กลับไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมกลับมาไทย”
“ก็ตอนนั้น….ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ ๆ ผมอยากแวะไปบ้านคุณ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปก็คงไม่เจอคุณอยู่ดี แต่วันนั้นผมกลับเห็นแสงไฟจากในบ้านเลยเดา ๆ ว่าคุณกลับมาแล้ว แล้วคุณก็กลับมาจริง ๆ”
“แวะไปบ้านผมบ่อยเหรอครับ”
“ก็ทุกครั้งที่นึกถึง” หลังได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ภัทรก็หันมองหน้าเจ้าของคำตอบเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ความเงียบจึงโอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้ ขณะที่อยู่บนรถคันเดียวกัน หลังจากงานแต่งของพี่นัท คุณภาสกรเป็นฝ่ายอาสาขอไปส่งภัทรที่บ้าน
“แล้วหลังจากนี้ คุณจะกลับมาอยู่ที่ไทยเลยไหม” คุณภาสกรเอ่ยถาม
“คิดว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมต้องกลับไปอังกฤษก่อน เพราะยังเรียนไม่จบหลักสูตร”
“อีกนานไหมกว่าจะเรียนจบหลักสูตร”
“ไม่นานครับ เหลือเก็บอีกไม่กี่ชั่วโมง” ภัทรตอบ “เสร็จธุระจากนั่นแล้ว ผมก็จะกลับมาสมัครงานที่ไทยต่อ”
“…..”
“แต่ไม่ใช่ที่เดิม” คุณภาสกรเหลือบมองภัทรเล็กน้อย เมื่อเขาว่าเช่นนั้น จังหวะเดียวกันรถของคุณเขาก็มาจอดสนิทที่หน้าบ้านภัทรพอดี เขาจึงหันไปปลดสายเบลท์ เตรียมจะเอ่ยคำขอบคุณและลงจากรถ แต่ก็ถูกคุณภาสกรคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน ทำให้ภัทรต้องหันไปมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับเลิกคิ้วสูง
“ขอโทษ….”
“ครับ? ขอโทษเรื่องอะไร” ภัทรทำหน้างง
“ขอโทษที่ตอนนั้นปกป้องคุณไม่ได้” คุณภาสกรพูดประโยคด้วยสีหน้าเจือนจนทำให้ภัทรรู้สึกผิด เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะตอบคุณเขา
“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้นครับ เรื่องนั้นผมตัดสินใจเองทั้งหมด นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณปกป้องผมไม่ได้ แต่เพราะผมเลือกเอง” ภัทรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับสบตาคุณเขา
“…..”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”
“แล้วคุณจะกลับมาไทยวันไหน ผมจะได้ไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนคุณเปล่า ๆ กลับมาไทยอีกทีตอนไหน ผมจะบอกอีกทีนะครับ” ภัทรว่า ก่อนจะส่งยิ้มให้คุณภาสกรเล็กน้อยและเดินลงจากรถ
ดวงตาเรียวมองตามรถหรูของคุณภาสกรจนลับสายตาไป เมื่ออีกฝ่ายขับออกไปไกลมากแล้ว ภัทรจึงกลับเข้าบ้านตัวเอง
หลังกลับเข้ามาในบ้านภัทรก็ถอนหายใจเล็กน้อย เขาได้แต่หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องอีกครั้ง จริง ๆ ภัทรจะไม่หนักใจอะไรเลย แต่มาคิดหนักก็ตรงคุณแม่ของคุณเขานี่แหละ คุณภาสกรต้องเคลียร์เรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่ความสัมพันธ์ของเราจะจบลงแบบเดิม
เมื่อภัทรกลับเข้ามาในห้อง เขาก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างคนหมดแรง ขนาดไม่ได้ทำงาน มีแต่ไปร่วมงานแต่งเมื่อช่วงเย็น เขายังรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ไหนพรุ่งนี้ภัทรจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาจัดกระเป๋าเตรียมกลับไปอังกฤษอีกครั้งอีก
หลังจากนอนพักบนเตียงจนรู้สึกว่าหายเหนื่อยแล้ว ภัทรจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู พอเห็นแบตเตอรี่ใกล้จะหมดเต็มที เขาจึงโน้มตัวไปชาร์จแบตแทน ก่อนจะเหลือบไปเห็นแหวนวงหนึ่งที่ถูกวางเอาไว้จนฝุ่นเกาะ ภัทรนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วคว้าแหวนวงนั้นขึ้นมาดู มันคือแหวนที่คุณภาสกรเคยให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตัวภัทรเองได้ถอนมันออก ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ
ตอนแรกภัทรเคยคิดว่าจะทิ้งแหวนวงนี้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งมันไม่ลงอยู่ดี สุดท้ายมันจึงถูกวางทิ้งไว้นานนับปี ถึงเจ้าแหวนวงนี้จะถูกให้ในจังหวะที่ไม่เหมาะสมนัก แต่ทุกครั้งที่ภัทรเห็น มันก็ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ภัทรเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามแหวนครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมมันลงบนนิ้วเดิม
ชีวิตภัทรเหมือนจะมีสีสันขึ้น เมื่อคุณภาสกรกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง อย่างน้อยภัทรก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องของคุณเขาเหมือนอย่างเคยและดูเหมือนความเหงาจะทำงานน้อยลงด้วย
สองวันต่อมาก็ถึงเวลาที่ภัทรต้องเดินทางไปอังกฤษอีกครั้งเพื่อไปเรียนภาษาต่อให้จบ ในตอนแรกเขาก็ปฏิเสธ ไม่ยอมให้คุณเขามารับมาส่งลูกเดียว แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน ยอมให้คุณภาสกรมาส่งที่สนามบินอยู่ดี เพราะกว่าเราจะได้เจอหน้ากันอีกทีก็อีกสองสัปดาห์หน้า
“ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม” คุณภาสกรถาม
“คิดว่าไม่แล้วครับ ถึงลืมก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว” ภัทรว่า
“งั้นดูแลตัวเองดี ๆ ผมเช็กสภาพอากาศมา ที่นั่นกำลังหนาว อย่าลืมใส่ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาวก็ห้ามลืมใส่” คุณภาสกรกำชับ นั่นทำให้ภัทรรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หลังกำลังถูกใครสักคนเป็นห่วง
“แน่นอนครับ ผมก็ไม่ได้อยากให้ตัวเองป่วยนะ” ภัทรตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“งั้นก็ดีแล้ว….เจอกันในอีกสองสัปดาห์หน้า ผมจะรอคุณ”
เราร่ำลากันพอเป็นพิธี เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมายนัก ภัทรก็แค่บินไปจัดการธุระตัวเองนิดหน่อย สุดท้ายแล้วเขาก็บินมาใช้ชีวิตเมืองไทยอยู่ดี จังหวะที่จะเดินเข้าเกท เขาก็หันไปมองคุณภาสกรเล็กน้อย โบกมือลาอีกฝ่ายแล้วส่งยิ้มหวาน ๆ ให้หนึ่งทีซึ่งคุณภาสกรก็โบกมือกลับเช่นเดิม เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ภัทรจะหันกลับมาแล้วเดินเข้าเกท โดยไม่หันกลับไปมองอีก
ตอนแรกภัทรตั้งใจว่าหลังจากเรียนจบหลักสูตรแล้ว เขาจะบินกลับเลย จะได้เริ่มเตรียมพอร์ตฯ ไว้สมัครงาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่เที่ยวในอังกฤษต่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพราะไหน ๆ ก็ได้มาที่นี่แล้ว ไม่รู้จะได้มาอีกทีตอนไหน อีกอย่างภัทรก็ยังเก็บที่เที่ยวไม่ครบ เขาก็อยากเก็บที่เที่ยวให้มันครบ ๆ เลย จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายอะไร อุตส่าห์มาเรียนถึงอังกฤษสักที
หลังจากตัดสินใจเช่นนั้น ภัทรก็ส่งข้อความไปบอกคุณภาสกร อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องนับวันรอเขากลับไทย ภัทรไม่ได้รู้สึกเดือนร้อนอะไร เพราะคุณภาสกรได้เดือดร้อนแทนแล้ว
อังกฤษและเมืองไทยเวลาห่างกันราว ๆ เจ็ดโมง ตีสองของอังกฤษ เก้าโมงเช้าที่ประเทศไทย หลังภัทรเรียนเสร็จ เขาก็กลับเข้าห้องพัก คุณภาสกรเองก็กำลังว่าง เราจึงวิดีโอคอลกัน ทันทีที่เปิดกล้องคุณภาสกรก็บ่นภัทรทันที หลัก ๆ ที่คือเรื่องที่เขาเปลี่ยนแผนกะทันหัน ทำเอาภัทรอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ไม่คิดว่าคุณเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดนี้
“อย่าบ่นเยอะครับ แก่มากกว่านี้ไม่รู้ด้วยนะ” ภัทรว่าพลางกลั้วหัวเราะ ดวงตาของเขายังจับจ้องใบหน้าของคุณภาสกรผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม ภัทรที่คุณเขาโวยวายไม่ใช่ภัทรหนีเที่ยวคนเดียวหรอก แต่อีกฝ่ายอยากจะมาเที่ยวด้วยต่างหาก แต่ติดที่ว่าลางานไม่ได้ แถมจะทิ้งงานให้พนักงานนินทาเล่นก็คงไม่ใช่เรื่อง
[ผมดูแก่แล้วเหรอ] คุณภาสกรที่ยังอยู่ในห้องทำงานของบริษัทเอ่ยถามภัทรด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนแซวถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ดูเหมือนช่วงนี้คุณภาสกรจะเริ่มใส่ใจเรื่องความแก่ของตัวเองบ้างแล้ว สังเกตได้จากสีหน้าและน้ำเสียงของเจ้าตัว ทำเอาภัทรอดเย้าแหย่ต่อไม่ได้ อยากจะเห็นปฏิกิริยาของคนโดนแกล้งมากกว่านี้
“ก็เริ่มส่งสัญญาณชาติแล้วนี่ไงครับ คุณอาทิตย์รู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังกลายเป็นตาแก่ขี้บ่น”
[บ้าน่า….] คุณภาสกรว่าเสียงแผ่ว แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงใส่ใจกับคำพูดภัทรทุกคำ ทุกประโยค เผลอ ๆ หลังจากวางสายกัน อีกฝ่ายอาจจะไปนั่งหาผมหงอกตัวเองก็ได้
“ผมล้อเล่นครับ ตอนนี้คุณอาทิตย์ยังดูหนุ่มอยู่ สบายใจได้แต่อย่าบ่นบ่อย ๆ ก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะได้แก่จริงของจริง” สุดท้ายภัทรก็เลิกเย้าแหย่ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจในตัวเอง
[เฮ้อ….สรุปตอนนี้ผมต้องรอคุณไปอีกอาทิตย์หนึ่งใช่ไหม]
“ประมาณนั้นครับ ผมยังมีร้านอาหารชื่อดัง ไหนจะคาเฟ่ที่ต้องเก็บอยู่หลายที่ ขนาดพิพิธภัณฑ์แถวที่พักก็ยังไม่ได้ไปเลย ในเวลาหนึ่งสัปดาห์น่าจะเก็บครบทุกที่”
[ทำไมไม่รอไปกับผมอีกรอบครับ ผมออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ก็ได้นะ อยากไปเที่ยวกับคุณ เราไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย] คุณภาสกรเสนอ
“ไม่เอาครับ ผมอยากเที่ยวด้วยเงินตัวเองมากกว่า”
[……]
“ไว้มีโอกาส เราค่อยไปเที่ยวกันก็ได้นี่ครับ ใกล้ ๆ กรุงเทพก็ได้ แล้วถ้ารู้สึกว่าหนึ่งสัปดาห์มันนานเกินไป ก็คิดว่าอีกแค่เจ็ดวันดูครับ แป๊บเดียว” ภัทรว่าพร้อมส่งยิ้มแฉ่งให้กับคุณเขา เผื่อจะทำให้คุณภาสกรรู้สึกดีขึ้น
มันก็จริงอย่างที่คุณเขาว่า ตอนนั้นเราไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ยังหลบซ่อน กลัวตกเป็นขี้ปากของเหล่าพนักงานในบริษัท
[โธ่….ภัทรมันไม่ได้รู้สึกต่างกันเลยนะ ระยะเวลาเท่า ๆ กันเลย ปกติก็คิดถึงอยู่แล้ว รออีกตั้งอาทิตย์หนึ่ง กลัวคิดถึงมากกว่านี้จังครับ] คราวนี้คุณเขาเล่นลูกอ้อน ทำอาคนฟังและจ้องจอโทรศัพท์ตลอดเวลา รู้สึกใบหน้าร้อนผ่านอย่างบอกไม่ถูก จนต้องหลุบตามองผ้าปูเตียงแทน
“ไม่เจอกันตั้งปีหนึ่งยังทนได้เลย” ภัทรว่าเสียงแผ่ว
[ตอนนั้นทนไม่ได้ ก็ต้องทนครับ….ว่าแต่คุณเถอะ อยู่ที่นั่นคนเดียวไม่คิดถึงผมเหรอ] คุณภาสกรเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภัทรเริ่มรู้สึกผิดอีกครั้ง เขาเองก็ไม่ได้ผิดน้อยไปกว่ากันเลย บอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ สุดท้ายก็หนีมารักษาแผลใจถึงเมืองนอก
“…….”
[ภัทรครับ….]
“คิดถึงเหมือนกันครับ” ในที่สุดภัทรก็ตอบกลับไปเสียงแผ่ว
[ดีใจจังที่ได้ยินแบบนี้ นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ยินเสียงคุณบอกคิดถึงกัน] คุณเขาว่าพร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ กลับมา
“คุณอาทิตย์ครับ”
[ครับ?]
“อย่าแสนดีไปมากกว่านี้เลยนะครับ ผมกลัวว่าถ้าครั้งนี้มันไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังอีก ผมและคุณจะเจ็บมากกว่าครั้งแรก” ในที่สุดภัทรก็ตัดสินใจพูดมันออกไปตามตรง
จริง ๆ ตัวภัทรเองไม่ได้อยากคาดหวังในความสัมพันธ์ครั้งที่สองของเราเท่าไรนัก เพราะกลัวตัวเองเจ็บ แต่พอเริ่มรู้สึกดีกับคุณเขาอีกครั้ง ความคาดหวังที่พยายามไม่ตั้งไว้ มันก็มาของมันเอง
[มันจะไม่จบลงแบบเดิมครับ]
“……”
[จริง ๆ ตั้งใจจะบอกคุณตอนกลับมา แต่ไหน ๆ เราก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ผมบอกเลยก็ได้ว่าพ่อแม่อยากเจอคุณ เขาอยากให้ผมพาคุณไปกินข้าวที่บ้าน ไปทำความรู้จักกันใหม่]
“อะไรนะครับ” จริง ๆ ภัทรได้ยินชัดทุกถ้อยคำ แต่ที่เขาถามเช่นนั้น เพราะไม่เชื่อหูตัวเองต่างหาก “พ่อแม่คุณรู้ได้ไง”
[ผมบอกเองครับ แต่ถึงไม่บอก ยังไงพวกท่านก็ต้องรู้อยู่ดี ในงานแต่งของคุณนัทต้องมีคนจับตามองเราอยู่แล้ว แถมในบริษัทก็มีพนักงานจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นคนของพวกท่าน บางคนก็ได้รับทุนส่งเสียเรียนจนจบแล้วมาทำงานในบริษัท ยังไงก็ต้องมีคนไปรายงานเหมือนกับตอนปล่อยรูปพวกนั้น]
“……” คราวนี้ภัทรถึงกับขมวดคิ้วแล้วฟังคุณภาสกรพูดอย่างเงียบ ๆ
[ไม่รู้ว่าคุณรู้หรือยังว่าคนที่ปล่อยรูปพวกนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของคุณแม่เอง]
“แล้วทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ” ภัทรถามต่อ พอได้รู้ความจริงเขาก็ถึงช็อค จากที่ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้คงต้องปล่อยไป เพราะจับมือใครดมไม่ได้ แต่ใครจะนึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือคุณแม่ของคุณภาสกร
[ท่านอยากให้รู้ครับ เมื่อสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มันมีผลกระทบ] คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผม…ควรรู้สึกยังไงดี แล้วนี่อยากให้กินข้าวที่บ้าน ไม่ใช่เพราะอยากเล่นงานผมอีกรอบเหรอครับ” ภัทรถาม
[แม่เป็นคนบอกผมเองว่าอยากปรับความเข้าใจและขอโทษคุณด้วย]
“……”
[แต่ถ้าคุณไม่โอเค ผมบอกให้ได้นะว่าคุณไม่ว่าง] เมื่อเห็นว่าภัทรนิ่ง คุณภาสกรก็รีบเอ่ยต่อ
“ไม่เป็นไรครับ งั้นก็ฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณด้วยว่าเจอกันอาทิตย์หน้า”