【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท14.2 (จบแล้ว) 3.06.62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท14.2 (จบแล้ว) 3.06.62  (อ่าน 73717 ครั้ง)

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ภัทรเจอแต่ปัญหาติดๆกันเลยเห้ออ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ความลับไม่เป็นความลับแล้วว ภัทรจะเป็นยังไงล่ะทีนี้  :z3: :z3:

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


12


                ‘ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก’ นั่นคือสถานการณ์ที่ภัทรกำลังประสบอยู่ในตอนนี้ เครียดเรื่องคุณภาสกรและไพลินไม่พอ ยังต้องมาเครียดเรื่องความสัมพันธ์เจ้านายและลูกน้องที่ไม่เป็นความลับอีกต่อไปนั่นอีก



                หลังจากที่ภัทรส่งหลักฐานที่มัดตัวเราสองคนให้คุณภาสเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบต่อสายหาพี่นัทด้วยความร้อนใจ ในตอนแรกภัทรคิดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของเขา โกรธที่เขาปกปิดความสัมพันธ์จึงได้อ่านแล้วไม่ตอบกัน แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อยกลัวว่าโทรไปแล้วพี่นัทจะไม่รับสาย แต่สุดท้ายเธอก็รับอยู่ดี



                เหตุผลที่พี่นัทอ่านแล้วไม่ตอบ ภัทรได้คำตอบกลับมาเพียงสั้น ๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังแคปข้อมูลส่งกลับมาให้อยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะเพิกเฉยต่อข้อความแต่อย่างใด ยังไม่ทันได้ส่งกลับมาให้ ภัทรก็ใจร้อนโทรมาหาเสียก่อน



                มีคนรู้หนึ่งคนก็ว่าแย่แล้ว พอรู้ว่าหลักฐานที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้มัดตัวความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องที่เกิดขึ้นในบริษัท เป็นการแชร์ต่อ ๆ กันคล้ายจดหมายลูกโซ่ ถามต้นทางที่ส่งมาให้ว่าได้มาจากไหน ต้นทางก็บอกว่าได้รับมาอีกที ส่งต่อกันเรื่อย ๆ บ้างก็ส่งต่อให้เพื่อนหนึ่งคน บ้างก็ส่งให้กลุ่มยิบย่อยแต่ละแผนก แล้วแต่ความสนุกสนานของคนในบริษัทที่ไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องนี้เหมือนอย่างเขา



                ความเดือดร้อนนี้มันรุนแรงกว่าตอนที่ถูกคุณภาสกรจับได้ว่าเขาเป็นเจ้าของแอคเคานต์ลูกไม้ป่าหลายเท่าตัว มันทำให้คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างภัทร อยากหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเสียดื้อ ๆ เขาคิดว่าจะสาวตัวหาผู้ไม่หวังดีได้ทันก่อนจะรู้กันทั้งบริษัท แต่พอเจอแบบนี้เข้า มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก



                หลังจากไหว้วานผู้เป็นดั่งพี่สาวอีกคนอย่างพี่นัท ให้ช่วยหาต้นตอคนปล่อยภาพพวกนี้อีกทางเสร็จ ก็มีสายแทรกเข้ามาพอดี นั่นก็คือคุณภาสกร ภัทรจึงต้องวางสายพี่นัทเพื่อคุยกับคุณเขาก่อน



                “ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ใครเป็นคนปล่อยรูปพวกนี้…” หลังรับสายคุณภาสกรได้ ภัทรก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ในเวลานี้เขารู้สึกว่าตัวเองจะสติหลุดออกไปนิดหนึ่ง เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดี จะหาตัวการคนปล่อยพวกนี้ได้หรือเปล่า ภัทรยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ



                ตัวภัทรน่ะ ไม่เท่าไรหรอก…เขาไม่เป็นไร แต่ที่ภัทรเป็นห่วงก็คือคุณภาสกร เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายมาเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วย ถึงในเวลานี้ภัทรจะโกรธคุณภาสกรมากแค่ไหน เกลียดที่คุณเขาไม่ยอมพูดความจริงออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่ภัทรมีให้อีกฝ่ายเสมอ แม้มุมมองและความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือความหวังดี



                “ผมขอโทษคุณอาทิตย์…ผมขอโทษ” ภัทรพร่ำขอโทษปลายสาย กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง



                [ภัทร ใจเย็นนะ….เรื่องนี้คุณไม่ได้ผิดอะไร คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด]



                “แต่คุณกำลังเสียหายเพราะเรื่องนี้ คุณได้รับผลกระทบ”



                ถ้าจะต้องมีใครเสียหาย ถ้าจะต้องมีใครพังสักคน ภัทรยอมพังฝ่ายเดียวยังดีกว่าจะให้เราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้กันทั้งคู่



                คุณภาสกรเป็นเจ้านาย ต้องปกครองพนักงานอีกกี่ร้อยกี่พันชีวิต ถ้ารูปพวกนี้แพร่งพรายออกไป เหล่าพนักงานที่อยู่ภายใต้การปกครองของคุณภาสกร จะมองอีกฝ่ายยังไง ความน่านับถือในตัวอีกฝ่ายคงลดลง



                [คุณเองก็เสียหายกับเรื่องนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ… ห่วงตัวเองด้วยซีครับ อย่าห่วงแต่ผมเลย]



                “ผม…ผมควรทำยังไงดีครับ” ภัทรถามปลายสายเสียงแผ่ว



                [เอาล่ะ คุณต้องตั้งสตินะ ฟังสิ่งที่ผมถามและตอบผมก็พอ ส่วนเรื่องการคนปล่อยภาพพวกนี้ ผมจะจัดการเอง มันคงไม่ยากเกินความสามารถผมหรอก]



                “……”



                [วันนั้นที่ห้องน้ำชั้นสิบห้า…..คุณมั่นใจแค่ไหนว่าคนที่เข้าห้องน้ำตอนนั้นคือคุณเสก]



                “ถ้าให้ระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ ผมให้เก้าสิบเลยครับ ผมจำเสียงเขาได้”



                [……]



                “คุณอาทิตย์คิดว่าเป็นเขาเหรอครับ? แต่เขาออกจากห้องน้ำก่อนหน้าเราเกือบยี่สิบนาทีเลยนะครับ ต่อให้เขารู้ว่ามีคนกำลังทำธุระด่วนอยู่ในห้องน้ำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี เพราะทั้งผมและคุณต่างไม่มีใครส่งเสียง”



                [ก็ไม่แน่หรอก….]



                “……”



                [แล้วคุณคิดว่ามีใครที่น่าสงสัยอีกไหม?]



                “ไม่ครับ…อันที่จริงผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีคนจับตาอยุ่ความเคลื่อนไหวของเราอยู่ จากรูปที่ถูกส่งต่อกันมา คนนั้นคงจับตามองเรามาได้สักระยะแล้ว ผม….ผมน่าจะระวังตัวกว่านี้”ภัทรว่า เขายังคงตำหนิตัวเองในใจอยู่ดี



                [ทำงานในบริษัทใหญ่ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละครับ ต่อให้เราระวังตัวมากกว่า แต่พนักงานก็มีเยอะ คอยจับตามองยิ่งกว่าตาสัปปะรดอย่างนี้ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี ระวังตัวดีก็อาจช่วยยืดเวลาออกไปนิดหน่อยก็เท่านั้น]



                “คุณอาทิตย์หมายความว่าต่อให้ระมัดระวังตัว ก็มีค่าเท่าเดิมเหรอครับ”



                [จริง ๆ ภัทรควรเตรียมใจเจอกับปัญหานี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะ….มันเป็นปัญหาเบสิกที่เราต้องเจอ]



                “รวมถึงเรื่องว่าที่ภรรยาในอนาคตด้วยหรือเปล่าครับ? ที่เป็นปัญหาเบสิก” ภัทรย้อนถาม รู้สึกคุกรุ่นกับคำพูดของคุณภาสกรอย่างบอกไม่ถูก



                [……]



                “ฟังนะครับ คุณภาสกร” ภัทรเอ่ยชื่อจริงของอีกฝ่าย ก่อนที่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติ เพื่อเตรียมจะพูดสิ่งต่อไป



                “ผมเตรียมใจมาตั้งแต่ตอนเลือกสานความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว เรื่องรูปพวกนั้น ผมไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะถูกออกหรือถูกนินทาด้วยซ้ำ เพราะผมเลือกแล้ว เพราะผมทำตัวเอง ผมก็คงต้องรับผลตามมา แต่ที่ผมกังวลจนเอาแต่พร่ำขอโทษคุณ โทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่ไม่รอบคอบให้มากกว่านี้ เพราะเป็นห่วงคุณ ห่วงผลกระทบที่คุณต้องเจอต่างหาก”



                ครั้งหนึ่งภัทรเคยกลัวว่าตัวเองจะถูกไล่ออก เครียดจนนอนไม่หลับไปหลายคืน เมื่อแอคลูกไม้ป่าไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แต่ตอนนี้พอเวลาเปลี่ยน ความคิดของเขาก็เปลี่ยนตาม



                มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว….และจะไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป



                 จากที่เคยกลัวว่าจะถูกไล่ออกก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่กลัวและตอนนี้ภัทรก็มีความคิดอยากจะลาออกด้วยซ้ำ….เนื่องด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวภัทรอยู่บ่อยครั้ง แต่เขากลับสลัดมันทิ้ง เพียงเพราะอยากยืนข้างคุณภาสกรอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้เมื่อวันวาน จนกระทั่งวันนี้….



                ภัทรต้องเอาความคิดนี้กลับมาคิดทบทวน ดูผลดีผลเสียอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มตัดสินใจอะไร ก็ดันเกิดเรื่องเสียก่อน ถ้าภัทรชิ่งลาออกก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่เรื่องความสัมพันธ์ลับ ๆ นี้จะแดงขึ้นมา เขาคงไม่ต้องมากหนักใจเช่นนี้



                และดูเหมือนภัทรจะหนักใจคนเดียวเสียด้วย….



            [ที่คุณตึงใส่ผมวันนี้ เพราะเรื่องไพลินใช่หรือเปล่า? รุ่นพี่ในแผนกคนไหนไปพูดอะไรให้คุณฟัง]



                 ผ่านไปได้สักพักใหญ่ ๆ คุณภาสกรถึงเพิ่งฉลาด แต่ในเวลานี้คนรอฟังเหตุผลและให้โอกาสได้เล่าเรื่องวันนี้ตั้งหลายครั้ง หลายคราอย่างภัทรกลับไม่มีอารมณ์อยากฟังแล้ว



                ถ้าจะคุยเรื่องไพลินอีกครั้ง เราควรคุยกันพรุ่งนี้ ภัทรขอเวลาให้ตัวเองได้นอนหลับพักผ่อน หลังจากคิดมากมาตลอดทั้งวันเสียก่อน ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี มีแต่เรื่องเครียด ๆ ให้ตลอดเวลา มันคงไม่ดีแน่ หากคุณภาสกรจะพูดเรื่องไพลินให้ฟังตอนนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องคลายเครียด



                “ไม่มีใครเล่าอะไรให้ผมฟังทั้งนั้นครับ แต่ใช่ครับ ที่ผมอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากเจอหน้าคุณ เพราะเรื่องไพลิน….”ภัทรยอมรับ เขาไม่คิดที่จะปฏิเสธอะไรทั้งนั้น



                “มันก็จริงอย่างที่คำคุณพูด ระมัดระวังตัวไปก็เท่านั้น พนักงานในบริษัทเยอะเป็นตาสัปปะรดแบบนี้ ต่อให้ไปกินข้าวแบบส่วนตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันสองครอบครัว ไม่ช้าเร็ว ก็ต้องมีข่าวแพร่งพรายออกมา ตามประสาสองตระกูลใหญ่กำลังจะมีข่าวดี”



                [โอเค งั้นผมไม่ถามก็ได้ว่าคุณรู้ได้ยังไง แต่วันนี้ที่ไปกินข้าวกัน ผมไปคุยไพลินเพื่อเรานะ]



                “แล้วคุณโกหกผมทำไมครับ ไม่ยอมพูดความจริงไม่พอ ยังโกหกผมว่าไปดูงานที่ต่างจังหวัดอีก จนถึงตอนนี้ผมเชื่อใจอะไรคุณได้บ้าง ผมไม่เข้าใจในเมื่อผมรู้เรื่องไพลินแล้ว ทำไมไม่บอกความจริงว่าไปกินข้าวกับครอบครัวเธอ โกหกผมทำไม ได้อะไรจากเรื่องนี้เหรอครับ” ภัทรถามประโยคยาวเหยียด



                [ผมขอโทษภัทร ผมคิดน้อยเกินไปจริง ๆ ผมก็แค่อยากให้คุณสบายใจ]



                “แล้วผมก็มารู้ทีหลัง ออกความจริงตั้งแต่แรก กับการรู้ความจริงทีหลังจากปากคนอื่น คุณอาทิตย์คิดว่าอันไหนมันแย่กว่ากันครับ”



                [..….]



                “แล้วอีกอย่างถ้าผมไม่บอกว่ารู้เรื่องวันนี้แล้ว คุณอาทิตย์จะยอมพูดถึงมันไหมครับ จะยอมพูดเรื่องไปกินข้าวกับครอบครัวไพลินหรือเปล่า”



                [ภัทร ฟังผมนะ….ผมอยากเล่าให้คุณฟัง แต่อะไร ๆ ก็ยังไม่เรียบร้อย เพราะมันยังไม่ชัดเจน ผมเลยอยากจะไม่เล่า เพราะกลัวว่านั่นจะเป็นการให้ความหวังคุณ]



                “ได้โปรดเถอะ ช่วยแสดงออกเป็นการกระทำมากกว่าคำพูด ให้ผมได้เห็นสักนิดว่าคุณไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาจริง ๆ และกำลังสู้เพื่อเรา ผมพร้อมสู้กับคุณนะ ผมไม่ได้นั่งอยู่เฉยแล้วรอให้คุณจัดการทุกอย่างเอง ผมกำลังคิดหาทางเพื่อเราเหมือนกัน ใจจริงผมอยากไปกับคุณ เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่มันทำไม่ได้”



                “ตอนนี้ผมยอมยืนอยู่ข้างคุณ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความหวังด้วยซ้ำ เพราะคุณขอเอาไว้และความไว้ใจกัน เป็นสิ่งเดียวที่เรามี แต่คุณก็ทำมันพังทั้งหมด ผมควรทำยังไงดีครับ ในเมื่อสุดท้ายทุกอย่างก็พังอยู่ดี”



                [……]



                “บางที…..ตอนนี้เราอาจกำลังต่อสู้ในทางที่ผิดอยู่ก็ได้”



                [ไม่นะภัทร…]




                “มาหยุดความสัมพันธ์ของเรากันเถอะครับ ก่อนที่จะมองหน้ากันไม่ติด”











 

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1

 

            หลังจากที่ภัทรพูดประโยคนั้นจบ เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย เพราะคุณภาสกรก็ตัดสายทิ้งเสียก่อน สิ่งที่ภัทรพูดออกไป นั่นไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจดีแล้ว ‘หยุด’ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่านี้น่าจะดีกว่า  อย่างน้อยถ้าเรื่องนี้ถึงหูครอบครัวคุณภาสกร ถึงหูครอบครัวไพลิน คุณเขาก็คงโต้แย้งได้ว่านั่นก็เป็นแค่เรื่องโกหก ไม่มีมูลความจริง เรื่องความสัมพันธ์เจ้านายและลูกน้องเกิดขึ้นในบริษัททั้งนั้นเป็นแค่เรื่องเหลวไหล



                 เช้าแห่งการไปทำงานที่ภัทรไม่อยากให้เวียนมาถึง ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้รู้สึกอย่างใด อารมณ์ดีหรือเปล่า ภัทรก็แสดงออกมาผ่านสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง



                จริง ๆ ภัทรเตรียมใจมาตั้งแต่บ้านแล้วกับสถานการณ์ในบริษัทที่เขาต้องเผชิญในวันนี้ มันคงไม่เหมือนอย่างทุกวันแน่ ไม่รู้ว่ารูปพวกนั้นถูกแชร์ต่อไปมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ตั้งแต่ที่ภัทรก้าวเท้าเข้ามาในบริษัท เขาก็ถูกมองจากเหล่าพนักงานในบริษัททั้งแผนกเดียวกันและต่างแผนกจนเขาวางตัวไม่ถูก



                ภัทรทำเป็นไม่สนใจ…ทั้ง ๆ ที่ในความจริงแล้วเขากำลังรู้สึกแย่กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่รู้ว่าข่าวและรูปพวกนั้นจะเลิกถูกให้ความสนใจตอนไหน ระหว่างนี้ภัทรคงต้องอาศัยความอดทนและรับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองเพียงอย่างเดียว มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้ว



            บางที….เหล่าพนักงานอาจเลิกให้ความสนใจ หลังจากที่ภัทรร่อนจดหมายของลาออกก็ได้



            ภัทรเดินเข้ามาในแผนกด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่างและแน่นอนมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไรนัก ทันทีที่เขาก้าวเท้าเดินมายังโต๊ะที่ประจำของตัวเอง ภัทรก็เห็นว่าพี่นัท คนที่สนิทที่สุดและเป็นคนบอกภัทรเรื่องรูปพวกนั้น ได้มาทำงานก่อนหน้าเขาแล้ว หลังภัทรเดินไปถึง เธอก็เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้าเล็กน้อย



                ความอึดอัดเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่นัทสบตาภัทรด้วยสายตาเรียบนิ่ง เธอไม่ได้เอ่ยทักทายภัทรด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนอย่างทุกที ทำเอาคนที่เคยเห็นความสดใสของเธอมาตลอดอย่างภัทรถึงกับวางตัวไม่ถูก สายตาของพี่นัทเหมือนมีคำถามมากมายที่อยากจะถามภัทร แต่ไม่พูดมันออกมา



                “พี่นัท สวัสดีครับ” เพราะทนความอึดอัดไม่ไหวและไม่อยากให้บรรยากาศเรามาคุไปมากกว่านี้ ภัทรจึงเอ่ยทักทายเธอก่อน



                “สวัสดีจ้ะ…”



                “……” ภัทรไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาทำได้แค่วางกระเป๋าทำงานของตัวเองพิงพนักเก้าอี้เอาไว้ ก่อนจะนั่งลงที่ประจำของตัวเอง เตรียมเคลียร์พวกแฟ้มทั้งหลายแหล่ที่ถูกวางทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนภัทรจะเดินทางมาถึง



                “พี่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง ใครพูดความจริง ใครกันแน่ที่โกหก แต่ยังไงก็สู้ ๆ นะ” ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น นอกจากการบีบไหล่เพื่อให้กำลังใจกัน แต่นั่นกลับทำให้ภัทรถึงกับน้ำตาร่วงเปราะ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก  อย่างน้อยเขาก็ยังมีพี่นัทที่ยังคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ อีกฝ่ายยังยืนข้างกันเหมือนเดิม ไม่เหมือนคนอื่นที่มองภัทรด้วยสายตาแปลก ๆ หรือทำท่าจะเดินเข้ามาซักไซ้ถามหาความจริงเรื่องรูปพวกนั้น



                “ขอบคุณพี่นัทมาก ๆ นะครับ ขอบคุณจริง ๆ” ภัทรว่าเสียงสั้น เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง



                “ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เธอว่าต่อพร้อมกับลูบหลังพร้อมภัทร



                “ขอบคุณครับ”



                ในช่วงเที่ยงของวันภัทรยังคงไปกินข้าวกับพี่นัทเหมือนเดิม ในตอนแรกเขาเองก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะอยากกินข้าวกับเขาไหม เพราะในเวลานี้ทุกคนต่างมองภัทรราวกับตัวประหลาด อาจไม่ได้แสดงออกอย่างโจ้งแจ้ง แต่ทุกครั้งที่ภัทรเดินผ่านแล้วหันหลังมองกลับไป มิวายจับกลุ่มนินทาเขา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครออกมาพูดว่าความจริงเป็นอย่างไร มีแค่การแชร์รูปต่อ ๆ กันไปเพียงเท่านั้น



                มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไปในบริษัทใหญ่ บางคนก็ปฏิบัติกับภัทร ร่วมงานกันเหมือนเดิมอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดจะซักไซ้ถามหาความจริงจากรูปที่เขาแชร์ ๆ กันด้วยซ้ำ บ้างก็มีแซว เพราะไม่อยากให้ภัทรเครียดจนเกินเหตุ บ้างก็ปฏิบัติกับภัทรไม่เหมือน ซึ่งภัทรก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเข้าใจเหตุผลนั้นดี



                สรุปว่าวันนี้ก็คงแล้วแต่ดวงของเขาว่าตลอดทั้งวัน ภัทรจะต้องเจอคนประเภทไหนบ้าง ก่อนจะถึงเวลาเลิกงานโชคดีที่กลางวันภัทรไม่ได้นั่งกินข้าวคนเดียว พี่นัทเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเขาก่อนด้วยซ้ำ อีกฝ่ายคงรู้ว่าในเวลานี้ภัทรไม่กล้าชวนไปกินข้าวเหมือนอย่างจากทุกที เนื่องจากกลัวการถูกปฏิเสธ



                “ไม่ต้องทำหน้าอมทุกข์ตลอดทั้งวันก็ได้ มีหัวข้อใหม่ ๆ มา เดี๋ยวคนเขาก็ลืมกันแล้ว” พี่นัทยังคงเป็นพี่ที่ดีเสมอ คอยปลอบโยนภัทรจนถึงตอนนี้



                “อยากจะยิ้มเหมือนกันครับ แต่อารมณ์ตอนนี้มันคงสวนทางกัน”



                “…..”



                “เอ่อ….พี่นัทครับ บริษัทเรานี่ต้องแจ้งเรื่องลาออกล่วงหน้ากี่เดือนเหรอ”



                “หนึ่งเดือนตามกฎหมายเลยจ้ะ แต่คิดดีแล้วเหรอที่จะลาออก?” พอภัทรพูดถึงเรื่องลาออก เธอก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง



                “……” ภัทรไม่ได้ตอบพี่นัทในทันที แต่กลับถอนหายใจออกมาแล้วหลุบตามองจานอาหารของตัวเองแทน



                “ใจเย็น ๆ นะภัทร เราต้องผ่านมันไปให้ได้”



                “มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกครับ จริง ๆ ภัทรคิดเรื่องนี้ก่อนจะเกิดเรื่องด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”



                “พี่อยากให้เรากลับไปนอนคิดอีกสักคืนก่อน เพราะถ้าตัดสินใจแล้ว มันเริ่มใหม่ไม่ได้นะ”



                หลังจากต่างฝ่ายต่างกินข้าวกันเสร็จ เราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก ภัทรแยกกับพี่นัทที่หน้าร้านอาหาร เพราะอีกฝ่ายต้องไปคุยกับลูกค้าข้างนอกต่อ เขาจึงกลับแผนกมาเพียงลำพัง



                ตลอดทั้งบ่ายยังคงมีพนักงานอยู่จำนวนไม่น้อยที่จ้องภัทรจนเขารู้สึกได้ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้สายตาพวกนั้น มีบ้างที่หันกลับไปมองแสร้งสงสัย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ในใจว่าคนพวกนั้นจ้องหน้าเขาทำไม บางคนก็หลบสายตายามที่ภัทรหันกลับไปมอง บางคนก็ยังแช่สายตาไว้อย่างนั้น



                เมื่อกลับมาถึงโต๊ะทำงาน ภัทรก็พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เพื่อที่จะได้เริ่มทำงานต่อ ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น ภัทรต้องรอคุณภาสกรออกมาพูดก่อน อีกฝ่ายจะเอายังไงกับเรื่องนี้กันแน่ อีกฝ่ายจะออกมาปฏิเสธข่าวลือพวกนี้ไหมหรือจะปล่อยเฉย ปล่อยให้เป็นขี้ปากเหล่าพนักงานภายใต้บังคับบัญชาไปอีกสักพัก ระหว่างรอให้หัวข้อใหม่มาแทนที่



                หลังจัดการอารมณ์และความรู้สึกตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว ภัทรจึงเริ่มทำงานต่อ ตั้งใจจะรีบเคลียร์ที่คั่งค้างในวันนี้ให้เสร็จ เพราะช่วงเลิกงานของวันนี้ เขาจะได้แวะไปคุยฝ่ายบุคคลต่อ เพื่อสอบถามเรื่องการลาออกว่าต้องดำเนินเรื่องอะไร ยังไง ไม่ต้องกลับไปนอนคิดอีกสักคืน ตามคำแนะนำของพี่นัท ภัทรก็รู้ว่าคำตอบเขาในวันพรุ่งนี้ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี



                เพราะเสียงจากเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้น ภัทรจึงล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ในขณะที่สายตาของเขายังคงอ่านเอกสารตรงหน้าอยู่ แต่พอเห็นว่าเป็นการแจ้งเตือนจากใคร เขาก็หยุดการกระทำทุกอย่างของตัวเองชั่วคราวแล้วให้ความสนใจแค่หน้าจอโทรศัพท์เท่านั้น



                ภัทรนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดอ่านข้อความจากคุณภาสกร เผื่ออีกฝ่ายมีเรื่องด่วนอยากจะคุยกับเขาในตอนนี้ ยกตัวอย่างเช่นต้องการแก้ข่าวลือของเรา



“วันนี้ไพลินจะเข้ามาหาที่บริษัท”

“มันไม่มีอะไรนะครับ แม่บังคับมา”



                หลังจากอ่านข้อความสองบรรทัดจากคุณเขาเรียบร้อยแล้ว ภัทรก็แช่สายตา จ้องหน้าจอโทรศัพท์อ่านข้อความเดิมซ้ำ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าคุณภาสกรมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงได้ส่งมาบอกกันเช่นนี้



                บางทีคุณภาสกรอาจกลัวว่าภัทรจะน้อยใจหรือโมโห หลังรู้ว่าว่าที่คู่หมั้นของอีกฝ่ายอย่างไพลินจะมาหาถึงที่บริษัท ไม่ก็ต้องการแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่จริง ๆ เพื่อเรียกความเชื่อใจและน่าเชื่อถือของตัวเองกลับมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เพราะภัทรหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ให้เราได้แล้ว



“ครับ”



                ภัทรส่งข้อความกลับไปหาอีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกถึงความยินดียินร้ายกับการที่คุณภาสกรทักมาบอกเรื่องนี้ สำหรับภัทรเขาไม่คิดจะเปลี่ยนใจอีกแล้ว เขายอมถอยเพื่อให้คุณเขาได้ไปจัดการเรื่องคาราคาซังของตัวเองดีกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้อยากแต่งงานกับไพลินจริง ๆ



                หลังจากส่งข้อความกลับไปหาคุณภาสกรเสร็จ ภัทรก็ต้องมานั่งสลัดอาการฟุ้งซ่านของตัวเองอีกครั้ง ยอมรับว่าตลอดทั้งวันมานี้เขาทำงานได้ไม่เต็มที่นัก แม้คุณภาสกรจะแสดงออกว่าเจ้าตัวไม่ได้เครียดเรื่องมีคนไม่หวังดีปล่อยรูปของเราก็ตาม แต่ภัทรก็ยังกังวลอยู่ดี ไหนจะบทสนทนาระหว่างเราเมื่อคืนที่ฉายวนอยู่ในความคิดภัทรซ้ำ ๆ อีก



                ภัทรเป็นฝ่ายขอจบความสัมพันธ์นี้เอง เขาเป็นคนพูด แต่ใช่ว่าเขาไม่เจ็บ เขายังเป็นคนและยังมีความรู้สึก มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้ว ภัทรยอมเจ็บตอนนี้ดีกว่าต้องเจ็บปวดกับเรื่องนี้ในระยะยาว ถ้าคุณเขาตัดไพลินไม่ขาด ยกเลิกงานแต่งงานไม่ได้ ภัทรจะทำยังไง



                เขาทนไม่ได้หรอก หากต้องยืนมองคุณภาสกรแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น…..



                พอคุณภาสกรพูดว่าวันนี้ไพลินจะเข้ามาหาที่บริษัท ภัทรก็อดใจอยากเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ เขาเคยเห็นหน้าเธอครั้งหนึ่งแล้ว ตอนรูปที่คุณภาสกรโกหกว่าไปดูงานที่ต่างจังหวัด แต่กลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสองครอบครัวและภัทรยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นตัวจริงเสียที



                เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นภัทรจึงไม่รอช้า เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดอีกครั้ง ก่อนจะส่งข้อความกลับไปหาคุณภาสกร



“เธอจะเข้ามาหาคุณตอนไหนเหรอครับ”



“ประมาณบ่ายสองครับ”

“มีอะไรหรือเปล่า”



“เปล่าครับ”



                เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ภัทรก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว เขามีเวลาไม่มากนัก ถ้าอยากเจอหน้าไพลินตัวจริง เขาต้องรีบลงไปชั้นล่างตอนนี้ นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะได้เจอเธอ



                “พี่ชาติครับ ภัทรจะลงไปซื้อกาแฟชั้นล่าง จะเอาอะไรหรือเปล่า”



                ภัทรหันไปถามหัวหน้าประจำแผนกคนเก่ง ทำทีมีน้ำใจจะซื้อน้ำขึ้นมาเผื่อด้วย เพราะตั้งใจจะลงไปร้านกาแฟชั้นล่างของบริษัทเพื่อรอเจอไพลินและที่เขาถามพี่ชาติไปแบบนั้น ก็เพื่อเป็นการบอกให้ทุกคนรับรู้ด้วยว่าเขาหายไปไหน จะได้ไม่ต้องสงสัยกัน



                “พอดีเลย พี่อยากกินชาเขียวพอดี ฝากสิหน่อยแก้วหนึ่ง” พี่ชาติที่กำลังเซ็นรับรองพวกเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานบอกภัทรอย่างไม่คิดอะไร



                “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวภัทรขึ้นมานะ”



                “อืม รีบ ๆ  มาแล้วกัน”



                “ครับ ๆ” ภัทรรับคำ



                เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ภัทรจึงไม่รอช้า เขารีบพาตัวเองไปยังลิฟต์เพื่อเตรียมลงไปชั้นล่างทันที ภัทรไม่รู้หรอกว่าเห็นไพลินตัวจริงแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่เขาก็อยากเห็นเท่านั้น ในรูปไพลินดูดีมากเรียกได้ว่าดูเหมาะสมกับคุณภาสกรด้วยซ้ำ ไม่ได้ดูด้อยกว่าแต่อย่างใด แต่ภัทรอยากเจอตัวจริง เขาอยากรู้ว่าตัวเองพอจะสู้เธอได้ไหม



                หลังมาถึงชั้นล่างแล้ว ภัทรก็ก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เรื่องนี้เขาต้องอาศัยดวง มีสองทางที่เขาต้องลุ้น ถ้าไพลินไม่เข้ามาข้างหน้า เธอก็คงขึ้นมาจากชั้นลานจอดรถ ภัทรต้องมาลุ้นกันว่าไพลินจะขึ้นไปชั้นบนจากชั้นใต้ดินเลยหรือเข้าประตูหน้าบริษัทกันแน่



                เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทำไมภัทรจึงหายไปซื้อกาแฟนนาน เขาจึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟระหว่างรอให้เธอมาถึง



                พอรู้ว่าตัวเองอาจได้เจอหน้าว่าที่คู่หมั้นของคุณภาสกรในอีกไม่ช้านี้ ภัทรก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มันส่งให้มือเขาเย็นเฉียบ ในเวลานี้ภัทรต้องแยกประสาทตัวเองเสียก่อน หูของเขาก็รอฟังเสียงพนักงานเรียกคิวรับเครื่องดื่ม ส่วนสายตาก็จับจ้องไปที่หน้าบริษัทอย่างลุ้น ๆ ว่าจะมีรถมาจอดเทียบไหม



                “คิวที่ห้าสิบเจ็ดเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้วค่า” เสียงพนักงานเรียกคิวของภัทร ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ภัทรจึงผละสายตาจากหน้าบริษัทก่อนเพื่อไปรับเครื่องดื่ม



                เครื่องดื่มเสร็จก่อนที่ไพลินจะมาถึงด้วยซ้ำ หลังรับเครื่องดื่มสองแก้วมาแล้ว ภัทรจึงดูเวลาอีกครั้ง ตั้งใจจะรอเธออีกสักสิบนาที ภัทรไม่สามารถรอนานกว่านี้ได้ เพราะทุกคนจะสงสัยเอาและนี่ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว ถ้าไพลินยังไม่ปรากฏตัวที่หน้าบริษัท ก็แสดงว่าอีกฝ่ายขึ้นลิฟต์จากชั้นลานจอดรถมาแล้วและแปลว่าเขาอดเจอเธอ



                แต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไป ภัทรรอที่จะพบไพลินอย่างใจจดจ่อ จนถึงนาทีที่เก้า เขาเริ่มถอดใจ คิดว่าครั้งนี้คงชวดไป จึงออกจากร้านกาแฟ เตรียมเดินไปยังลิฟต์สำหรับเหล่าพนักงาน เพื่อกลับแผนกตัวเอง แต่จู่ ๆ ก็มีรถคันหรูมาจอดเทียบหน้าบริษัทพอดี นั่นจึงทำให้ภัทรหยุดมอง ภาวนาให้รถคันนี้เป็นของไพลิน



                ….ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ รถหรูที่เขาภาวนาให้เป็นของไพลินก็ใช่ของเธอจริง ๆ! ภัทรใจสั่นเล็กน้อยระหว่างรอว่าที่คู่หมั้นของคุณภาสกรลงจากรถ เขาถือแก้วกาแฟไว้ทั้งสองมือ หยุดมองเธออย่างเจาะจง



                ไม่อยากมองคนอย่างอคติ แต่พอรู้ว่าเธอเป็นใคร ถือไพ่เหนือกว่า เป็นตัวเองแปรของเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ภัทรก็อดตั้งแง่กับเธอไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว



                เขารู้จักเธอ แต่เธอไม่รู้จักเขา….



                ทันทีที่เห็นตัวจริงของไพลิน ภัทรก็ต้องชะงัก เพราะพอเห็นตัวจริงแล้ว ข้อกังขา ความสงสัยที่เคยมีอยู่มากมายก็หายไป ราวกับตัวจริงของไพลินคือคำตอบทุกอย่างที่อยู่ในใจภัทร ตัวจริงของเธอเป็นคำตอบชั้นดีว่าทำไมครอบครัวของคุณภาสกรถึงอยากจับคู่ให้สองคนนี้นัก



                เธอสวย….ตั้งแต่แวบแรกที่มองด้วยซ้ำ ดูมีรังมีอย่างบอกไม่ถูก ขนาดที่ภัทรที่ตั้งแง่ อคติกับเธอ เพราะมองว่าไพลินเป็นปัญหาใหญ่ในความสัมพันธ์ครั้งนี้ เห็นแล้วยังอดตาค้างไม่ได้ เขาไม่ติดใจอะไรเลย ถ้าสุดท้ายแล้วคุณภาสกรจะเลือกเธอคนนี้ให้เป็นคู่ชีวิต



                ไพลินเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งและเนื่องด้วยเธอมีสีผมเป็นสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกดัดลอนเหมือนไม่ได้ตั้งใจ เครื่องหน้าของเธอก็ไม่ได้ดูขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ทำให้ความรู้สึกว่าเธอคือนางฟ้าตัวน้อย ๆ ในมือของไพลินถือปิ่นโตขนาดใหญ่ไว้ด้วย ถ้าให้เดา อีกฝ่ายคงตั้งใจเอามาฝากคุณภาสกร



                หลังจากได้เห็นตัวจริงของไพลิน ภัทรก็กลับขึ้นมาแผนกด้วยอาการเหม่อลอย หลังวางแก้วชาเขียวให้พี่ชาติเสร็จ ภัทรก็เดินกลับโต๊ะตัวเอง เขาใจลอยชนิดที่ว่าลืมเอาแม้กระทั่งเอาเงินค่าน้ำ จนหัวหน้าต้องร้องเรียกให้กลับไปเอาอีกครั้ง



                “เป็นอะไรหรือเปล่าภัทร?” พี่นัทที่กลับมาถึงแผนกแล้วเอ่ยถามภัทรด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าจะเกิดเรื่องระหว่างที่เธอออกไปทำธุระข้างนอกบริษัท



                ยิ่งวันนี้ไม่ใช่วันของภัทรอยู่ด้วย จึงรู้สึกเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ กลัวอีกฝ่ายจะถูกกระทำจากเหล่าพนักงานที่อาจตั้งแง่และพูดจากระทบจิตใจรุ่นน้องในแผนกเข้า ซึ่งภัทรก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมบอกเสียงแผ่วว่าไม่มีอะไร



                “ภัทร คุณธารณีเรียกพบ” ไม่ทันที่ได้จะซักไซ้ถามอะไรกันมากกว่านี้ พี่ชาติก็ตะโกนเรียกชื่อภัทรด้วยน้ำเสียงซีเรียส



                “ครับ?” ภัทรหลุดออกจากภวังค์ความคิดทันทีเมื่อถูกเรียกชื่อ เขาถึงขมวดคิ้ว ประมวลผลในหัวทันที เพราะไม่คุ้นชื่อเธอว ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ในแผนกไหนแล้วมีธุระอะไรกับเขากันแน่




                “เธอเป็นแม่ของคุณภาสกรน่ะ”  พี่นัทเป็นคนเฉลย











ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1

                พอรู้ว่าคนที่อยากเจอคือใคร เกี่ยวข้องยังไงกับคุณภาสกร ภัทรก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันทีและที่เธอเรียกพบเขาในครั้งนี้ก็คงมีไม่กี่เรื่องที่อยากจะพูดคุย



                วันนี้เป็นอีกวันที่ภัทรจัดว่าแย่ที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว นับตั้งแต่วันที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่ช่วงเช้าเขาก็ถูกเหล่าพนักงานเพ่งเล็ง จับจ้องราวกับเป็นตัวประหลาด ภัทรคิดว่ามันจะสิ้นสุดเพียงแค่เท่านั้น เพราะใกล้จะถึงเวลาเลิกงานเต็มที แต่วันที่เลวร้ายของเขากลับไม่สิ้นสุด เมื่อถูกเรียกพบจากคนที่มีศักดิ์เป็นแม่ของผู้บริหาร



                การถูกเรียกพบจากคนที่มีตำแหน่งใหญ่ ๆ มันไม่ใช่สัญญาณที่ดี ถ้าไม่เรียกไปคุยเรื่องงานก็คงเรียกไปคุยพวกการกระทำความผิดร้ายแรงและภัทรคิดว่าการเรียกพบครั้งนี้ คงเป็นอย่างหลังโดยไม่ต้องสงสัย



                 ครั้งนี้ภัทรไม่ต้องเดินไปหาที่ห้องเอง แต่มีพนักงานพาไปยังห้องรับรองเพื่อพบกับคุณธารณี หลังมาถึงหน้าห้อง พนักงานดังกล่าวก็เคาะประตูพอเป็นพิธี ก่อนจะใจดีอาสาเป็นฝ่ายเปิดประตูให้ภัทร ไม่ให้โอกาสแม้แต่จะให้เขาเตรียมใจด้วยซ้ำ



                เพราะภัทรมีเวลาเตรียมใจไม่มากนัก ทำให้เขาทำได้แค่สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองสติแตกไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ทันทีที่เข้าไปในห้องรับรอง เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เย็นเฉียบ แตกต่างจากข้างนอกอย่างสิ้นเชิง มันกดดันและชวนน่าอึดอัด ตรงหน้าของภัทรก็มีคุณธารณีกำลังนั่งจิบกาแฟรอเขาอยู่…..



                เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ภัทรจะทำความเคารพ โดยการยกมือไหว้คุณธารดีตามมารยาทที่พึงมี ในตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รับไหว้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าเชิงรับไหว้ภัทรอยู่ดี นั่นจึงทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย



                “นั่งลงก่อนสิ” คุณธารณีว่าพร้อมกับลากสายตา มองโซฟาให้ตัวว่าง ๆ อยู่เชิงบอกให้ภัทรรีบมานั่งคุยกันดี ๆ อย่ามัวแต่โอ้เอ้ให้เสียเวลา



                คุณแม่ของคุณภาสกรไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างภัทรคิดไว้ในตอนแรก ดูจากบุคลิกภายนอกแล้ว อีกฝ่ายน่าจะเป็นคนใจดี แต่ในขณะเดียวกันก็ดูมีความสุขุมอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้ภัทรรู้สึกยำเกรงหรือไม่ก็เพราะว่าเขามีความผิดติดตัวอยู่แล้วก็ได้ ถึงรู้สึกกลัวเธอเช่นนี้



                “รู้หรือเปล่าว่าเรียกมาหาทำไม” เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา คุณธารดีเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน



                “รู้ครับ” ภัทรพยักหน้ารับพร้อมกับตอบอีกฝ่ายเสียงอ่อน เขาหลุบตามองพื้น ไม่มีความกล้าแม้แต่จะสู้หน้าเธอด้วยซ้ำ



                ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองใจสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอจะจัดการกับเขายังไง จะเหมือนอย่างในละครไหม แต่ภัทรเดา ๆ ว่าคุณธารณีเองก็คงมีสายคอยรายงานความเคลื่อนไหวในบริษัทอยู่เหมือนกัน ถึงได้รู้ข่าวเร็วเช่นนี้



                “เฮ้อ….ฉันไม่คิดเลยว่าจะต้องทำมาเหมือนในละคร ฉันไม่ได้อยากใจร้ายกับใครเลยนะ แต่ต้องเรียกเธอมาคุยด้วย เพราะจะเป็นปัญหาทีหลัง”



                “ครับ”



                “แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าอาทิตย์เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นไพลิน”



                “รู้ครับ….ผมเพิ่งรู้ไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี่เองครับ”



                “อาทิตย์ไม่ได้บอกเธอตั้งแต่แรกหรือไง”



                “ไม่ครับ ไม่ได้บอก” ภัทรพูดตามความจริง อีกฝ่ายจะถามอะไร เขาก็ตอบตามความจริงหมด หากให้พูดกันตามตรง ภัทรไม่อยากโกหกคุณธารณี

     

           “โอเค เรื่องนี้ฉันจะไปจัดการคนของฉันต่อ แล้วเธอรู้ไหมว่าวันนี้ว่าไพลินมาหาอาทิตย์ที่บริษัท”



                “รู้ครับ”



                “รู้สึกยังไง?”



                “……”



                “มันอาจดูเป็นคำถามโง่ ๆ นะ ที่ฉันถามไปแบบนั้น แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่าถ้าเธอยังไม่เลิกกับอาทิตย์ ไม่ยอมตัดความสัมพันธ์กับลูกชายฉัน เธอก็จะเจ็บปวดแบบในวันนี้ซ้ำ ๆ เขาจะไม่มีทางจะเลิกกับไพลินเพื่อมารักกับเธอ ผู้ใหญ่เขารอให้สองตระกูลเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันมามากี่ปีแล้ว ทุกอย่างจะมาพังเพราะเธอไม่ได้”



                 ภัทรฟังคำพูดของเธอทุกประโยคและเขาก็เจ็บปวดกับมันทุกประโยค แม่ของคุณภาสกรไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด… ภัทรจะต้องเจ็บปวดแบบวันนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเขาไม่ยอมเป็นฝ่ายจบความสัมพันธ์น้ำเน่านี้เองหรือคุณภาสกรไม่ยอมจบความสัมพันธ์กับไพลิน ไปพูดกับผู้ใหญ่ให้รู้เรื่องรู้ราวว่าไม่อยากแต่งงานกับว่าที่คู่หมั้นอย่างที่คุณเขาเคยว่าเอาไว้



                “ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเธอและอาทิตย์คุยกันยังไง หลังจากที่รู้ว่าเขามีไพลินเป็นว่าที่เจ้าสาวอยู่แล้ว แต่ภัทร…..” คุณธารณีเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมากุมมือภัทรเอาไว้ราวกับจะขอความเห็นใจกัน



                 “บางทีเธออาจจะไม่รู้ แต่ความรักไม่ใช่แค่การครอบครองอย่างเดียวนะ มันหมายถึงความหวังดีต่อคน ๆ หนึ่งด้วย ถ้าเธอรักอาทิตย์ เธอไม่อยากให้เขามีความสุข มีคู่ชีวิตที่ดีหรือไง”



                “……”



                “หรือว่าที่เธอไม่ยอมเลิก เพราะอยากได้เงินทอง ได้เลื่อนตำแหน่ง?”



                “ไม่ครับ ผมไม่เคยคิดอยากได้อะไรจากความสัมพันธ์นี้ ผมไม่เคยคิดจะเอาเงินทองของคุณอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ แม้แต่บาทเดียวก็ไม่เคยคิดจะขอ” ภัทรว่า



                “แล้วทำไมหยุดความสัมพันธ์นี้ ไม่รู้เหรอว่ามันไม่ควร….ต่อให้ไม่มีเรื่องไพลิน ความสัมพันธ์แบบเจ้านาย ลูกน้องมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในบริษัทด้วยซ้ำ”



                 “อาทิตย์เขาต้องดูแล บริหารพนักงานอีกตั้งมากมาย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มิหนำซ้ำยังมีรูปหลุดออกมาให้พนักงานดูต่างหน้าอีก ลูกน้องเขาจะมองเจ้านายยังไง เธอไม่คิดถึงจุดนี้เหรอ”



                “ครับ ผมคิดน้อยไป…” ภัทรก้มหน้ารับผิดอย่างเดียว



                “ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เสียใจที่ความสัมพันธ์ของผมกับคุณอาทิตย์กลายเป็นปัญหาของพวกคุณ ผมไม่ได้มีเจตนาจะแย่งตั้งแต่แรก ถ้ารู้ว่าคุณอาทิตย์มีไพลินอยู่แล้ว ผมคงไม่คิดจะสานความสัมพันธ์นี้ต่ออยู่แล้ว”



                “ใจจริงผมอยากจะถอยตั้งแต่วันที่รู้ความจริงด้วยซ้ำ แต่คุณอาทิตย์เขาขอผมเอาไว้ เขาเป็นคนบอกผมเองว่าไม่อยากแต่งงานกับไพลิน เขาบอกว่าขอเวลาให้เขาได้เคลียร์เรื่องไพลิน”



                “เพื่อที่จะได้มารักกันกับเธอ? เธอคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นเหรอ”



                “……”



                “มันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่รู้หรือไง”



                “.….”



                “ต่อให้อาทิตย์เขาจะไม่อยากแต่งงานกับไพลินก็ตาม ภัทร….เธอเป็นฝ่ายจบความสัมพันธ์นี้เองได้ไหม ทุกอย่างมันกำลังเป็นไปตามเวลาของมัน ปีนี้ไพลินก็เรียนจบแล้ว ถ้าเธอรักอาทิตย์ ช่วยปล่อยเขาเถอะ อยากได้เงินเท่าไร สักล้านพอไหม?”



                “ผมไม่ต้องการ” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเงินทองพวกนี้จริง ๆ ถ้าไม่ใช่เงินเดือน ค่าเหนื่อยที่เขาควรจะได้ ภัทรไม่ขอรับไว้ดีกว่า



                “…..แต่ต่อให้คุณธารณีไม่เรียกผมมาหาในวันนี้ ผมก็ตั้งใจจะลาออกอยู่แล้วครับ ผมไม่อยากให้ชีวิตของคุณอาทิตย์ต้องมาสะดุดเพราะตัวเองเหมือนกัน ผมอยากให้คุณธารณีรู้ไว้ว่าผมไม่ได้อยากเป็นตัวถ่วงชีวิตคนที่ผมรักด้วยซ้ำ”



                “แล้วเธออยากได้อะไรไหม ฉันยินดีให้เงินสักก้อนเพื่อให้เธอเอาไปตั้งหลัก ระหว่างหางานใหม่ได้นะ”



                “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการอะไร จ่ายเงินให้ผมเท่าที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ก็พอครับ”



                “.......”



                “เพราะผมไม่ต้องการอะไรจากเขาตั้งแต่แรก”



                “.......”




                “ขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมเข้าใจคุณ”











__________________

สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้


สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:สงสารน้องงงงงง :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แง้ช่วยน้องด้วยยยยย :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :serius2: พระเอกจะมีปัญญา​ทำอะไร​ได้​ไหม​

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เศร้าไปอีก สารพัดเรื่องมารัวๆ ภัทรไหวมั้ย ย้ายไปยุ่กับพี่สาวเลยเถอะ

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท12 31.05.62
« ตอบ #219 เมื่อ: 01-06-2019 00:11:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อาทิตย์พยายามทำอะไรบ้างไหมกับความสัมพันนี้
สงสารภัทรเจอแต่ปัญญาเข้ามาเต็มๆที่เดียว
น้องเข้มแข็งมากๆ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชัดเจนดีค่ะคุณผู้หญิง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เข้าใจคุณหญิงแม่นะ ในจุดนี้

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ถึงเวลาทำอะไรให้ชัดเจนแล้วเนอะ  :katai2-1:
ต้องเลือกแล้วไหมคะคุณเจ้านาย

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1

13



เวลาเปลี่ยน….ทุกอย่างก็เปลี่ยนตาม

                บางคนก็ทำได้แค่ถนอมไว้ในใจ ต่อให้เวลาจะผ่านไปกี่ปี เขาคนนั้นก็ยังอยู่ในใจภัทร…..ตรงที่เดิม

 



                [มาให้ได้นะภัทร เราก็เป็นคนสำคัญของพี่เหมือนกันนะ]



                “พี่นัทพูดถึงขนาดนี้แล้ว ภัทรจะใจร้ายไม่ไปได้ไงล่ะครับ”



                [โอเค ถือว่าเราตกลงนะ แต่มาถึงก่อนวันงานก็ดี พี่อยากนัดไปกินข้าว เมาธ์มอยกันกรุบ ๆ คิดถึงงงงง]



                “ฮ่า ๆ โอเคครับ ได้วันแน่นอนเดี๋ยวภัทรทักไปบอกนะครับ”



                [โอเคจ้ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะ]



                “ครับ พี่นัทก็เช่นกันนะครับ”



                หลังจากวางสายพี่นัทอดีตเพื่อนร่วมงานเสร็จ ภัทรก็หมุนเก้าอี้ไปคว้าปฏิทินตั้งโต๊ะกากบาทวันสำคัญเอาไว้ ไหน ๆ ว่าที่เจ้าสาวก็อุตส่าห์โทรทางไกลมาบอกวันมงคลทั้งที ครั้นจะไม่ไปก็เกรงว่าจะเสียมารยาท อีกอย่างพี่นัทเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล สมัยที่เขาทำงานอยู่บริษัทใหญ่ อีกฝ่ายก็มีบุญคุณ คอยช่วยเหลือภัทรอยู่หลายครั้งหลายหน



                 นับตั้งแต่วันที่ภัทรตัดสินใจลาออกจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างล่วงเลยมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว รอบตัวภัทรมีการเปลี่ยนแปลง เจ้าโอ๊ตก็กลายมาเป็นเด็กนอก หลังจบชั้นประถมที่ไทย ก็ได้ย้ายมาเรียนที่ต่างประเทศ ตามความประสงค์ของเป็นแม่ ส่วนพี่นัท คนที่บ่นแทบทุกวันว่าไม่มีรักแท้เสียที ตอนนี้เธอก็กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าสาว



                ทุกคนกำลังก้าวไปข้างหน้า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา เหลือแค่ภัทรที่ยังยืนอยู่ที่เดิม…..



                ความรักของพี่นัท ภัทรรู้เรื่องราวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาตัดสินใจมาที่ต่างประเทศ เพื่อเที่ยวและฟื้นฟูจิตใจตัวเอง ทำให้เขายังไม่เคยเห็นว่าที่เจ้าบ่าวตัวจริงเลยสักครั้ง ภัทรก็ได้แต่หวังว่าว่าที่เจ้าบ่าวของพี่นัทจะเป็นคนดีและรักษารอยยิ้มของผู้หญิงนิสัยดี ๆ ของเธอเอาไว้นาน ๆ



                ภัทรใช้เวลาเที่ยวกับเจ้าโอ๊ตและพี่สาวตามเมืองต่าง ๆ ราว ๆ สองสัปดาห์ พอคิดว่าตัวเองจิตใจแข็งแรงมากพอ จนสามารถกลับไปใช้ชีวิตเพียงลำพังได้โดยไม่ฟุ้งซ่านได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจลงเรียนภาษาอังกฤษต่อ เพื่อไปต่อยอดในการทำงานที่บริษัทใหม่



                จริง ๆ ภัทรสามารถเสียแค่เงินค่าเรียนภาษาและพักอยู่บ้านพี่สาวได้ แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ไหนอารมณ์ติสท์ อยากท่องโลกกว้าง ใช้ชีวิตเพียงลำพังของตัวเองอีก ทำให้เขาย้ายมาเรียนที่ประเทศอังกฤษแทน



                ชีวิตที่ปราศจากผู้ชายคนนั้น มันไม่ง่ายสำหรับภัทร…. ต่อให้เขาพยายามเข้าใจเหตุผลของทุกคน พยายามเข้าใจโลกแล้ว แต่ภัทรก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี



                ช่วงแรก ๆ หลังตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะลาออก สำหรับภัทรมันไม่ง่ายเลย ทุกอย่างดูปุบปับและกระชั้นชิดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลาออกจากงานหรือการตัดสินใจไปฟื้นฟูจิตใจที่ต่างประเทศ



                ปกติตามสัญญาของบริษัท ภัทรจะต้องแจ้งลาออกล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน เพื่อที่บริษัทจะได้หาคนมารับช่วงต่องานได้ทัน แต่เพราะสาเหตุการลาออกของภัทรในครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุผลทั่ว ไป แถมยังมีคนตำแหน่งใหญ่โต ยังมีหุ้นอยู่ในบริษัท คอยเห็นดีเห็นงามเรื่องการลาออกครั้งนี้ด้วย ทำให้ภัทรไม่ต้องลาออกล่วงหน้าเหมือนอย่างปกติ เขาสามารถลาออกได้เลย ขอแค่เคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อยก็พอ ส่วนค่าตอบแทนจะได้เหมือนเดิม ตามสัญญาการว่าจ้างที่ตกลงกันเอาไว้ 



                ความฟุ้งซ่านเล่นงานภัทรทันที ทุกครั้งที่เขาอยู่เพียงลำพัง มันเจ็บปวดมากแค่ไหน สำหรับคนอื่นภัทรไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เห็นสายเรียกเข้าเป็นเบอร์คุณภาสกร ภัทรก็ร้องไห้ทุกครั้ง เขาแทบเสียสติทุกครั้งที่เห็นคุณเขากระหน่ำโทรเข้ามา ไม่ก็พยายามส่งข้อความมาหา แต่ภัทรเลือกที่จะใจแข็งไม่รับสายและไม่ตอบกลับไป



                ภัทรกลัวใจตัวเอง….กลัวว่าถ้าได้คุยกับคุณภาสกร ได้ยินเสียงพูด เสียงลมหายใจของอีกฝ่าย เขาจะเจ็บปวด ทุกอย่างจะยืดเยื้อ ภัทรจะเจ็บปวดมากกว่าที่เป็นและเขาก็จะตัดใจไม่ได้เสียที



                โชคดีที่คุณภาสกรไม่ได้บุกมาหาถึงที่บ้านอย่างที่ภัทรกังวลในตอนแรก ไม่รู้ว่าฝั่งแม่ของคุณเขาจะจัดการเรื่องนี้ยังไงบ้าง แต่คิดว่าระดับจากคุณธารณีคงจัดการลูกชายตัวเองได้



                ช่วงสองสามวันแรกที่ภัทรตัดสินใจงดติดต่อกับคุณภาสกรทุกช่องทาง อีกฝ่ายโทรหาภัทรหลายสิบสายในหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นภัทรก็เริ่มเตรียมพาหลานชายไปหาพี่สาวที่ต่างประเทศ ไหนจะวุ่นเรื่องเอกสารประจำตัวของหลานชายอีก ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาว่าง มานั่งเฝ้าโทรศัพท์เท่าไรนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเวลาจับมันเลย



                ทุกครั้งที่ภัทรว่างและกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ พอเห็นสายเรียกเข้าของคุณเขา เขาก็มีน้ำตาซึมทุกครั้ง ความคิดถึงทำงานอย่างหนัก ต่อให้คิดถึงน้ำเสียงของคุณภาสกรแค่ไหน ภัทรก็ต้องใจแข็ง เตือนตัวเองว่าห้ามรับสายเด็ดขาด ไม่งั้นแผนที่วางเอาไว้ในตอนแรกได้พังแน่



                บางทีเราอาจเป็นบททดสอบของกันและกัน…..ถ้ามันใช่ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ในอนาคตเราอาจได้พบกันอีก แต่อยู่ในรูปแบบไหน ไม่มีใครรู้



                ….หรือไม่ เราก็อาจกลับไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอีกครั้ง



                ภัทรปล่อยให้คุณภาสกรพยายามติดต่อเขาจนพอใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปอย่างถาวร เมื่อภัทรตัดสินใจบล็อกทุกช่องทางการติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ เบอร์โทร หรือช่องทางอื่น ๆ แต่มีช่องทางเดียวที่เขาตัดสินใจไม่บล็อกนั่นก็คือทวิตเตอร์



                หลังพาเอาเจ้าโอ๊ตมาส่งพี่สาวเรียบร้อยแล้วและภัทรก็มาเรียนภาษาต่อที่อังกฤษ เขาก็ตัดสินใจกลับไปเล่นแอคเคานต์ลูกไม้ป่าอีกครั้ง เมื่อความเหงาและอาการฟุ้งซ่านเริ่มกลับมาเล่นงาน



                ทันทีที่เขามีการเคลื่อนไหวผ่านแอคเคานต์ลูกไม้ป่าโดยทวีตข้อความสั้น ๆ ว่ากลับมาแล้ว ก็มีเหล่าผู้ติดตามที่อยู่ด้วยกันมานานหรือผู้ติดตามที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ต่างเข้ามาทักทาย ให้กำลังใจซึ่งภัทรไม่ได้ตอบกลับไปใครสักคน แต่เขาอ่านหมดทุกข้อความ รวมไปถึงแอคเคานต์ที่เคยคุ้นหน้าคุ้นตากันมานานอย่างคุณพี อีกฝ่ายเองก็ไม่พลาดที่จะกลับมาทักทายภัทรเช่นกัน แต่ข้อความกลับแตกต่างจากแอคเคานต์อื่น นั่นก็คืออ้อนวอน ขอให้ภัทรเลิกเล่น



                เพราะมันเป็นช่องทางเดียวที่ภัทรไม่ได้บล็อกอีกฝ่าย ทำให้เขาเห็นทุกข้อความที่คุณพีหรือในโลกแห่งความจริงคือคุณภาสกรส่งมาหา ภัทรอ่านทุกข้อความที่อีกฝ่าย แต่ไม่ได้ตอบกลับไปสักประโยค



                ตอนนี้คุณภาสกรจะเป็นยังไง มีข่าวดีกับไพลินหรือยัง? คำถามนี้เกิดขึ้นในหัวภัทรอยู่บ่อยครั้งยามที่เขาอยู่เพียงลำพัง เขาอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของคุณภาสกร อยากรู้ว่าคุณเขามีความสุขหรือเปล่า แต่ก็ความคิดเล็ก ๆ แย้งขึ้นมาว่าอย่ารู้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด



                ภัทรยังคงเจ็บเสมอเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต ต่อให้ผ่านมาเกินหนึ่งปีแล้วก็ตาม เรื่องราวในอดีตก็ยังเป็นอาวุธร้ายที่ภัทรใช้ก็ทำร้ายตัวเองทุกครั้งที่นึกถึง



                ภัทรสลัดความคิดเดิม ๆ ออกจากหัว หลังเขากำลังดำดิ่งกับเรื่องราวในอดีตและเริ่มรู้สึกว่ากำลังจมกับความเศร้าอีกครั้ง เพื่อให้เลิกคิดถึงเขา ภัทรจึงหาอะไรทำ อย่างเช่นลุกขึ้นไปชงโกโก้ร้อนดื่มคลายหนาว ก่อนดูหนังสักเรื่อง พอให้หนึ่งวัน ณ ประเทศอังกฤษ ผ่านพ้นไป



                ช่วงนี้อากาศที่อังกฤษเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันก็ฝนตก บางวันก็มีพายุหิมะ มันทำให้การเดินทางของเขาไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ภัทรจึงตัดปัญหานอนอุดอู้อยู่ในห้องพัก



                ภัทรชอบกลิ่นไอฝน ชอบกลิ่นดินเวลามันโดนน้ำ มันทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็ก แต่ในขณะเดียวกัน เขาไม่ชอบความเฉอะแฉะและความยากลำบากในการเดินทาง จึงไม่ค่อยชอบออกไปไหน ยามที่อากาศไม่ค่อยปกติเช่นนี้ นอกจากออกไปเรียนและแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อเสบียงไว้ทำกินในห้องพัก ภัทรก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย             



                นอกจากจะกลับไทยเร็ว ๆ นี้เพื่อไปร่วมงานแต่งของพี่นัท ภัทรคิดว่าอีกไม่นาน เขาคงจะได้กลับไทยอีกครั้งและอยู่ยาว ถึงเวลาที่ภัทรต้องกลับไปทำงานหาเงินเสียที ต่อให้จิตใจข้างในจะยังคงเจ็บอยู่ แต่ภัทรจะลีลา หลบเลียแผลใจที่ต่างประเทศ ไม่ยอมกลับไปทำงานนานกว่านี้ไม่ได้ เขาต้องรีบกลับไปทำงานเพื่อหาเงิน ก่อนที่เงินเก็บก้อนสุดท้ายในธนาคารจะไม่เหลือ



                ให้พูดกันตามตรง ค่าใช้จ่ายในประเทศอังกฤษ เทียบเป็นเงินไทย เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันถูกเลยสักครั้ง ค่าเรียนภาษา ค่าที่พัก ค่าครองชีพ ไหนจะจิปาถะต่าง ๆ มันเป็นเงินที่ค่อนข้างเยอะ เกินกว่าจะมองข้ามไปได้ โชคดีที่มีพี่สาวคอยช่วยซัพพอร์ตส่วนหนึ่ง ภัทรจึงไม่ต้องจ่ายทั้งหมด ไม่งั้นเขาคงอยู่ที่นี่ได้ไม่จบครอสแน่



                ภัทรมองเหม่อไปทางหน้าต่าง ดูเหมือนวันนี้ความคิดถึงจะทำงานได้มากกว่าปกติ อาจเพราะพี่นัทโทรมาหา เขาจึงอดคิดเรื่องในอดีตไม่ได้ เรื่องราวยังคงจบอย่างเดิม อดีต มันเกินขึ้นไปแล้วและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ภัทรที่นำกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง คงเพราะเขาจินตนาการว่าถ้าเขาในตอนนั้น ไม่ทำแบบนั้นหรือทำแบบนี้ เรื่องราวจะจบลงแบบเดิมหรือเปล่า



                ภัทรแค่คิดว่าหากวันนั้น….เขาควบคุมตัวเอง ไม่ให้หวั่นไหว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลอไผลไปกับความน่าหลงใหลของคุณภาสกร ทุกอย่างจะเป็นยังไง ในปัจจุบันเราจะมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์และล้มเหลวเหมือนอย่างในตอนนี้ไหมหรือเราจะอยู่ในบทบาทเจ้านาย ลูกน้องที่ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันเหมือนเดิม



                นั่นก็เป็นแค่ความคิด….เพราะภัทรปล่อยให้ตัวเองเผลอไผลไปกับคุณเขา ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ต่างก็เตือนสติแล้วว่าคนอย่างคุณภาสกร เราก็ทำได้แค่มอง แต่ภัทรก็ยังดึงดันจะถลำลึกไปกับความสัมพันธ์นี้อยู่ดี



                เขาระบายยิ้มจาง ๆ เมื่อตระหนักได้ว่าการอกหักครั้งนี้ของเขา มันช่างมีมูลค่าเหลือเกิน การฝึกฝนภาษาอังกฤษของเขา นี่ก็เป็นแค่ผลพลอยได้ เพราะภัทรไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียนภาษามาตั้งแต่แรก แต่เขารู้ดี ว่าที่เขามาที่นี่เพื่อต้องการหนีปัญหา ไม่อยากจะสู้อะไรกับคุณภาสกรอีกแล้วต่างหาก



                จริง ๆ ภัทรไม่ควรเจ็บปวดด้วยซ้ำ หากคุณภาสกรจะเปลี่ยนใจเริ่มต้นใหม่กับไพลิน เพราะเขาเลือกทางให้อีกฝ่ายเอง ภัทรควรจะไม่เจ็บปวด ในเมื่อตัดสินใจแล้ว



                แต่เขากลับทำไม่ได้…..



                ภัทรก็ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นทางออกที่ดี ในเมื่อเลือกแล้วที่จะให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ การหลบมาอยู่ต่างประเทศครั้งนี้ เขาไม่หวังอะไรเลย นอกจจากจะขอแค่หากโชคชะตาเล่นตลกให้เราได้เจอกันอีกครั้ง เขาก็ขอให้ตัวเองไม่ร้องไห้ต่อหน้าคุณเขาก็พอ



                เท่านั้นก็พอ….










ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


                การกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ ไม่ต่างจากการได้กลับบ้านหลังเดิมอีกครั้ง เมื่อเท้าสัมผัสพื้นในเขตประเทศไทย  ภัทรก็รู้สึกว่าตัวเองได้ความปลอดภัยกลับคืนมา    เขารู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ในตอนแรกภัทรเองก็ไม่ได้คิดถึงเมืองไทยเท่าไรนัก มีบ้างที่คิดถึงอะไร ๆ ที่ต่างประเทศไม่มีขาย แต่ประเทศไทยมี



                 ภัทรรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิดถึงเมืองไทยมาก จนถึงขั้นกากบาทนับถอยหลังรอวันกลับบ้านเกิด เขาคิดเช่นนั้น แต่พอเท้าแตะพื้นสนามบินสุวรรณภูมิ ความคิดถึงก็ทำงานทันที รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเดิม ๆ อย่างอาหารอีสานก็เป็นสิ่งแรก ๆ ที่ภัทรนึกถึงและอยากกิน



                ภัทรมาถึงประเทศไทยตอนเช้าตรู่ เขามีเวลาพักผ่อน นอนเอาแรงประมาณหกชั่วโมง เพราะช่วงเย็นมีนัดทานข้าวกับพี่นัทตามประสาคนคุ้นเคย และการกลับไทยครั้งนี้ ภัทรก็บินกลับมาเพื่องานแต่งของเธอโดยเฉพาะ



                ก่อนที่ภัทรจะกลับมาถึง เขาได้โทรบอกแม่บ้านรับจ้างเข้ามาทำความสะอาดล่วงหน้าก่อน ทำให้เมื่อกลับมา ภัทรจึงสามารถขึ้นห้องนอนพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องมาเหนื่อย ทำความสะอาดบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ราว ๆ หนึ่งปีกว่าอีกครั้ง



                เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังเดิม หลังเปิดประตู ภัทรก็กวาดสายตามองรอบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะครั้งนี้ไม่มีเจ้าโอ๊ตกลับมาด้วย ทำให้เขารู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ถึงภัทรและหลานชายจะมีช่วงวัยที่ห่างกัน แต่ก็ยังพอได้พูดคุยแก้เหงาได้ แต่ตอนี้คงจะเหลือเพียงแค่ภัทรเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ นี้เพียงลำพัง

 







                “ภัทร ผอมลงปะเนี่ย”



                “จริงเหรอครับ อยู่ที่อังกฤษภัทรกินแต่พวกแป้ง พวกชีสนะ”



                “ผอมลงจริง ๆ ดูซิ แก้มตอบเชียว”



                ”……”



                “ช่างเถอะ  นั่งลง ๆ พี่ล่ะคิดถึงเราม้ากกมาก จะปรึกษาอะไรก็ไม่สะดวกเลย ไหนอะไรเป็นยังไง ทำไมถึงได้หนีไปเรียนภาษานานเป็นปีขนาดนี้” ทันทีที่เราต่างนั่งลง พี่นัทก็ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของภัทรทันที ทำเอาคนถูกถามถึงกับหลุดหัวเราะออกมา



                เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารไทย ณ ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านภัทร บทสนทนาหลังไม่ได้พบกันประมาณเกือบปีกว่า ไม่ได้มีอะไรมากมาย นอกจากต่างฝ่ายต่างแชร์เรื่องราวตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ มีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง ว่าที่เจ้าสาวอย่างพี่นัทไปเจอเจ้าบ่าวที่ไหน ทำไมถึงตัดสินใจแต่งงาน ทำไมภัทรถึงไม่ยอมกลับไทยเสียที แล้วคิดอะไรไปถึงได้ลงเรียนภาษาระยะยาว



                พี่นัทเล่าเรื่องราวของเธอให้ภัทรฟังว่า เธอยังคงทำงานอยู่ที่เดิม อีกฝ่ายเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้และเล่าเรื่องราวเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ไม่ค่อยลงรอยให้ฟัง ภัทรแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และปลอบใจเธอเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ต่างคนต่างอยู่ ก็คงต้องมีใครคนหนึ่งลาออก ปัญหานี้ถึงจะหมดไป



                  ภัทรให้คำปรึกษาพี่นัทในอีกหลาย ๆ เรื่อง ตามประสาอดีตรุ่นน้องงร่วมแผนก ในขณะเดียวกันเขาเองก็รับรู้ถึงความเป็นไปต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบริษัทผ่านการเล่าเรื่องราวของเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้กล่าวถึงและภัทรก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถาม นั่นก็คือความเป็นไปของคุณภาสกร



                ภัทรยังอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของคุณภาสกร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากหาเรื่อง ทำให้ตัวเองเจ็บปวดอีกครั้ง ในเมื่อพี่นัทไม่ได้เล่าเรื่องราวของเจ้านายให้ภัทรฟัง เขาจึงตัดสินใจไม่เอ่ยถามเช่นกัน ภัทรได้แต่หวังว่าในอนาคต  ตัวเขาจะเลิกใส่ใจเรื่องของคุณภาสกรเสียที



                “เออภัทร พี่ก็ลืมบอก งานแต่งพี่คุมโทนสีแดง ชมพู ขาวนะ”



                “จริงเหรอครับ ภัทรจะแต่งตัวยังไงเนี่ย”



                “เหลือเวลาอีกตั้งสองวัน ไปคิดมา ๆ ขอน่ารัก ๆ”



                “ฮ่า ๆ จะพยายามแล้วกันครับ”



                เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีธุระอะไร หลังจากทานข้าวเสร็จ เราจึงเดินห้างต่ออย่างไม่รีบร้อน รายละเอียดส่วนต่าง ๆ ในงานแต่งของพี่นัท ว่าที่เจ้าสาวก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว จึงไม่มีให้ต้องห่วง รอแค่ให้ถึงวันงานแต่งก็พอ

                 ตอนนี้หน้าที่หลัก ๆ ที่พี่นัทต้องทำก็คือต้องช่วยภัทรหาซื้อชุดใหม่ ให้เข้ากับโทนสีงานแต่งของเจ้าตัว ภัทรจำได้ว่าเขาเองก็ไม่ค่อยมีชุดออกงานเป็นโทนพวกนี้เท่าไรนัก ไหน ๆ ก็ได้มาห้างสรรพสินค้าแล้ว จึงตัดปัญหาโดยการซื้อใหม่ดีกว่า เผื่อสองวันข้างหน้า อาจติดธุระแล้วไม่ได้แวะมาซื้อ แถมจะสั่งตัดตอนนี้ก็คงไม่ทันการ

 

              ภัทรใช้เวลาในการเลือกซื้อเสื้อผ้าไม่ต่างนานนัก ด้วยความที่ไม่ใช่คนเรื่องมากและครั้งนี้ยังมีคนคอยออกความคิดเห็นช่วยอีก ทำให้เขาเลือกซื้อชุดได้เร็ว แต่ถึงจะได้ชุดแล้ว กว่าเราจะออกจากตัวห้างกันจริง ๆ ก็เกือบถึงเวลาห้างปิดพอดี



                 เมื่อถึงเวลาที่จะต้องแยกย้าย พี่นัทจึงอาสามาส่งภัทรที่บ้านต่อ เขาเกรงใจอดีตรุ่นพี่ร่วมแผนกแทบแย่ จึงรีบปฏิเสธความมีน้ำใจนั้นอย่างไม่ต้องคิด เพราะอาหารเย็นมื้อนี้ เธอก็เป็นเจ้ามืออาสาจ่ายค่าอาหารทั้งหมดเอง ถ้าจะให้ไปส่งกันอีก ภัทรคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก ขนาดในตอนนี้เขายังรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบเธอเลย



                “ไม่ให้พี่ไปส่งแน่นะ” พี่นัทถามภัทรให้แน่ใจอีกครั้ง หลังถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายกันจริง ๆ



                “ครับ ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ แค่พี่นัทเลี้ยงอาหารมื้อเย็นนี้ ภัทรก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว”



                “เฮ้อ….ตามใจเราก็แล้วกัน อีกสองวันถึงงานพี่แล้วนะ ห้ามลืมเด็ดขาด”



                “จะลืมได้ยังไงล่ะครับ กลับไทยเพื่อมางานแต่งพี่นัทโดยเฉพาะเลยนะ”



                “พี่รู้สึกเป็นเกียรติมาก อ้อ! สถานที่ เวลาพิธีการต่าง ๆ ระบุอยู่บนการ์ดแล้วนะ มีอะไรสงสัยก็ไลน์หาพี่ได้เสมอ” 



                “โอเคครับ เจอกันวันงานนะครับ” ภัทรว่า



                “จ้ะ…พี่ไปล่ะ กลับบ้านดี ๆ บ๊ายบาย” เราโบกมือลากันพอเป็นพิธี ภัทรมองแผ่นหลังของพี่นัทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะเดินแยกไปอีกทาง เพื่อเตรียมกลับบ้านตัวเอง

 









                ในที่สุดก็มาถึงวันแต่งงานของพี่นัท ภัทรที่อยู่ในชุดสูทสีแดงตามธีมของงานแต่ง มองตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง เพื่อเรียกความมั่นใจ ในเวลานี้เขารู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ เพราะนี่ไม่ใช่แค่วันสำคัญของพี่นัทเพียงอย่างเดียว แต่เขายังจะได้พบเจออดีตเพื่อนร่วมงาน ร่วมบริษัทในรอบหนึ่งปี นับตั้งแต่วันที่ภัทรตัดสินใจลาออกอีกด้วย



                เมื่อเข้ามาถึงในงาน ภัทรก็รีบเข้าไปทักทายพี่นัท ผู้หญิงที่สวยที่สุดในงานนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่าที่คู่ชีวิตของเธอ ภัทรได้มีเวลาทำความรู้จักกับพี่ไก่เจ้าบ่าวของพี่นัทเพียงผิวเผินเท่านั้น เนื่องด้วยทุกอย่างกำลังวุ่นวาย



                ภัทรปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น เขารีบอวยพรให้คู่บ่าวสาวด้วยความยินดีและดีใจที่สองคนนี้ได้พบกัน พร้อมกับปิดท้ายเป็นประโยคสั้น ๆ ว่าขอให้ทั้งสองมีเจ้าตัวน้อยเร็ว ๆ จากนั้นเราก็ถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี เก็บไว้เป็นระลึก ไว้ดูตอนแก่ ก่อนที่ภัทรจึงปล่อยให้พี่นัทและพี่ไก่ดูแลแขกเหรื่อท่านอื่นต่อไป



                 หลังจากนั้น ภัทรจึงพาตัวเองไปยืนหลบมุมชิมเครื่องดื่มอย่างเงียบ ๆ ในตอนแรกเขาตั้งใจจะแวะมาหาเจ้าบ่าว เจ้าสาว อวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขในชีวิตคู่ ถ่ายรูปและกลับบ้าน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ต่อในงาน เพราะอยากร่วมยินดีกับพี่นัทจริง ๆ อีกทั้งเขาก็อุตส่าห์กลับเมืองไทย เพื่อมางานแต่งพี่นัทอยู่แล้ว จะให้กลับเลยก็ดูไม่คุ้มค่าเหนื่อย



                ภัทรยืนอยู่คนเดียวในงานก็จริง แต่เขาไม่ได้รู้สึกเหงาแต่อย่างใด บรรยากาศที่เป็นอยู่ มันไม่ได้แย่อย่างที่ภัทรคิดเอาไว้  เพราะอย่างน้อยตลอดเวลาที่เขายืนอยู่เพียงลำพัง ก็มีคนแวะมาทักทายอยู่เรื่อย ๆ



                ส่วนใหญ่ก็มีแต่อดีตเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น ซึ่งทุกคนก็เข้ามาทักทายและเอ่ยถามความเป็นไปของภัทร หลังจากเขาตัดสินใจลาออกไป คนส่วนใหญ่จะถามแค่ว่าตอนนี้ภัทรกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน เราทักทายและพูดคุยกันพอเป็นพิธี ก่อนจะแยกย้ายไปทักทายคนอื่นในงานต่อ



                การเฉลิมฉลองงานแต่งของพี่นัทดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความชื่นมื่น ตลบอบอวลไปด้วยความรักของคู่บ่าวสาว พี่นัทเป็นมิตรกับทุกคน เธอเป็นผู้หญิงนิสัยดีคนหนึ่ง คอยช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องอะไร มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใคร ๆ ก็ต่างยินดีและอิ่มเอมไปกับเธอรวมถึงตัวภัทรด้วย



                พิธีการดำเนินมาจนถึงพิธีตัดเค้กของคู่บ่าวสาว ภัทรที่กำลังยืนมองพี่นัทจับมือพี่ไก่และกำลังตัดเค้กร่วมกัน ถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาจ้องภาพของคนสองคนที่กำลังจะเป็นคู่ชีวิตกัน ในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้นานนับนาที ก่อนที่ภัทรจะมองทะลุไปอีกฝั่งที่มีแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งกำลังยืนอยูเช่นกัน หลังเขารู้สึกว่ากำลังถูกใครสักคนจับจ้องอยู่



                 “……”



                เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ภัทรก็ถึงกับนิ่งไปราวกับกำลังถูกสาปให้เป็นหิน ภัทรไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่มีคนกำลังมองมาทางเขาจริง ๆ



                ภัทรถึงหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เวลารอบตัวหยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อสายตาของเขาสบประสานเข้ากับดวงตาคู่สวยที่เฝ้าคิดถึงมาโดยตลอด อยากรับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายแทบขาดใจอย่างคุณภาสกร



            ….ผู้ชายที่ภัทรผลักไสให้อีกฝ่ายออกจากชีวิตตัวเองและคิดถึงอีกฝ่ายในทุก ๆ วัน

 







                แม้จะมีผู้คนรายล้อมรอบ ๆ ตัวคุณภาสกร แต่ภัทรก็จะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนแรกเสมอ….



            ในขณะที่ทุกคนกำลังร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว ภัทรเองก็สบตากับคุณเขา เราสบตากันนานนับนาที มันมากพอที่ภัทรจะได้รู้ว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เวลาไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย นอกจากการโกหกตัวเองไปวัน ๆ ว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นก็เท่านั้น



                แต่ในความจริงความรู้สึกวันนี้และวันนั้น มันไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่นิด….



                ภัทรสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง คุณภาสกรยังคงจ้องหน้าภัทรตาไม่กะพริบ ภัทรจึงอาศัยจังหวะนั้นสังเกตอีกฝ่ายวาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณภาสกรเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน



                คุณภาสกรไม่ได้แตกต่างจากไปเดิมมากนัก นอกจากโครงหน้าที่ดูชัดเจนขึ้น ดูเหมือนคุณเขาจะผอมลง แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังมีเสน่ห์ ตรึงสายตาภัทรได้อย่างอยู่หมัดอยู่ดี




                ภัทรอยากเดินเข้าไปทักทายคุณภาสกร แต่ในเวลานี้และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าคุณภาสกรเองจะอยากคุยด้วยหรือเปล่า สุดท้าย…..ภัทรจึงทำได้แค่ส่งยิ้มไปทักทายแทน นานนับนาทีกว่าที่อีกฝ่ายทักทายกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณเขาจะหมุนตัวกลับไป เดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย จนภัทรไม่สามารถมองตามได้อีกแล้ว















ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1

















                การที่ได้กลับมาพบคุณภาสกรด้วยความบังเอิญในงานแต่งงานของพี่นัท ทำให้ภัทรได้รู้หัวใจตัวเอง หัวใจเขายังเต้นแรงกับคน ๆ เดิม ดูเหมือนตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เวลาก็แค่ช่วยให้ภัทรโกหกตัวเองว่าเข้มแข็งขึ้นแล้วก็เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย….



                ภัทรยังเจ็บปวดกับเรื่องเดิม  คิดถึงคนเดิมและหัวใจเต้นแรงกับคนเดิม….



                บางทีนี่อาจคือปลายทางความสัมพันธ์ของเราก็ได้ เราอาจกำลังกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันเหมือนในวันแรก ต่างก็ตรงที่ว่าเราไม่สามารถเข้าไปทำความรู้จักกันเหมือนในตอนนั้นได้อีกแล้ว



                ภัทรถอนหายใจออกมา เมื่อสายตาของเขาไม่สามารถมองตามแผ่นหลังกว้างของคุณภาสกรก็ได้อีกแล้ว หลังจากจัดการเครื่องดื่มในมือหมด ภัทรจึงตัดสินใจออกมาสูดอากาศข้างนอกเพื่อตั้งสติ เขาไม่แน่ใจว่าเสร็จจากนี้ จะกลับเข้าไปในงานอีกหรือเปล่า แต่ภัทรคิดว่าถ้าไม่มีอะไรนอกจากปาร์ตี้ส่งท้ายงานแต่ง เขาก็อาจจะกลับบ้านเลย



                 การพบกับคุณภาสกรด้วยความบังเอิญครั้งนี้ มันเป็นเรื่องที่ดี ภัทรคิดเช่นนั้น อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังสบายดี แต่ไม่รู้ทำไมวินาทีที่คุณเขาหันหลังให้กันและเดินจากไปนั้น ภัทรรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกขมปร่าในลำคอ หลังตระหนักได้ว่าตัวเองทำได้แค่ยืนมองให้อีกฝ่ายเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ….ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเดินเข้าไปหา



                ภัทรปล่อยให้ความคิดตัวเองล่องลอยไปกับสายลม หลังเขาขึ้นมาสูดอากาศบนชั้นดาดฟ้าที่โรงแรมเปิดไว้ให้บริการลูกค้าที่ต้องการจะสูบบุหรี่ แต่ในเวลานี้มีแค่เขาเท่านั้นกำลังใช้พื้นที่แห่งนี้



                ดวงตาของภัทรจับจ้องทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครฯอย่างเหม่อลอย ตั้งแต่ได้พบคุณภาสกรอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน ยังดีที่ไม่ได้ร้องไห้อย่างที่หวั่นในตอนแรก ไม่งั้นทุกอย่างคงดูแย่กว่านี้



                แค่วันนี้คุณภาสกรหันหลังให้ มันก็แย่เกินพอแล้ว….



                บรรยากาศในตอนนี้เหมาะกับการสูบบุหรี่สักมวนและปล่อยให้สมองคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่น่าเสียดายที่ภัทรไม่มีมัน เขาจึงทำให้ได้แค่ปล่อยความคิดของตัวเองไปพร้อม ๆ สายลมที่ปะทะเข้าหน้าเป็นระยะ ๆ



                ความคิดของภัทรในตอนนี้ หลัก ๆ ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องของคุณภาสกรอยู่ดี รองลงมาก็เป็นเรื่องอนาคตว่าหลังจากจบครอสภาษา ภัทรจะทำอะไรต่อไป



                จนกระทั่งตอนนี้คุณภาสกรยังคงยึดครองพื้นที่ความคิดภัทรอยู่ อีกฝ่ายยึดครองมันมานานเหลือเกิน ทั้งช่วงเวลาที่เรายังมีความสุขและตอนที่ภัทรกำลังเจ็บปวด



                ภัทรตั้งใจไว้ว่าหลังจากเสร็จงานแต่งพี่นัท เขาจะกลับอังกฤษในอีกสองวันข้างหน้าเพื่อไปเรียนภาษาต่อ ซึ่งภัทรก็ได้จองเที่ยวบินกลับไว้แล้ว เพราะเหลืออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็จะจบหลักสูตร แล้วหลังจากนั้นภัทรถึงจะได้กลับมาไทยเพื่อเตรียมเอกสารและสมัครที่บริษัทใหม่อีกครั้ง



                ภัทรถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ขณะที่มองทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครฯในค่ำคืนนี้ แสงไฟตามตึกต่าง ๆ พอมารวมกันเยอะ ๆ แล้วด้วยดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูก คล้ายหมู่ดาวแต่ไม่ใช่ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนเช่นนี้ มันทำให้ความคิดของเขาลื่นไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ภัทรรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดดเดี่ยว



                ดาดฟ้าไม่ใช่ที่ส่วนตัวของภัทรอีกต่อไป เมื่อในเวลาต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินมาทางนี้ นั่นจึงทำให้ภัทรหันไปมองอย่างไม่คิดอะไร แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่ต้องการจะแชร์สถานที่นี้ด้วยกัน ภัทรก็เกิดอาการหนักใจอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงด้วยว่าความบังเอิญจะทำให้เราได้มาเจอกันอีกครั้งบนชั้นดาดฟ้า



                 นับว่าเป็นครั้งแรกที่เราต่างกระอักกระอ่วนกันอย่างไม่บอกไม่ถูก จังหวะที่เห็นคุณภาสกร ภัทรก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเขาเองกำลังหายใจผิดจังหวะ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม เราสบตากันท่ามกลางความเงียบงันและสายลมที่พัดผ่านหน้าไป ก่อนที่ภัทรจะเป็นฝ่ายผละสายตาหันไปก่อน



                “ขอโทษที…ผมไม่คิดว่าจะมีคนอยู่” เพราะการกระทำก่อนหน้านี้ ทำให้ภัทรไม่คิดด้วยซ้ำว่าคุณภาสกรจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนและนั่นมันก็เป็นเรื่องยากที่ภัทรจะเมินเฉยประโยคของคุณเขา



                “ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่มาสูดอากาศเฉย ๆ คุณอาทิตย์จะใช้สถานที่นี้ด้วยกันก็ได้นะครับ เพราะเดี๋ยวผมก็จะลงไปแล้ว” ภัทรว่าเสียงแผ่ว



                นี่คือบทสนทนาของคนเคยสนิทและกลับมาพบกันอีกครั้ง ในเวลาหนึ่งปีถัดมา คุณภาสกรไม่ได้ว่าอะไรต่อ แต่กลับสบตาภัทรนิ่ง ๆ เท่านั้น ภัทรทำได้แค่ส่งยิ้มให้คุณเขาเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตามองพื้นแทน นับว่าเป็นอีกครั้งที่ภัทรผละสายตาออกก่อน อาจเพราะไม่มีความกล้ามากพอที่จะสบตาดวงตาคู่สวยให้นานกว่านี้



                “……” ในตอนแรกคุณภาสกรเหมือนจะเดินถอยหลังและหันกลับไป ทว่าอีกฝ่ายก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งและสุดท้ายคุณเขาก็เลือกที่จะแชร์สถานที่นี้กับภัทร



                เมื่อคุณภาสกรตัดสินใจแล้วว่าจะแชร์สถานที่นี้ร่วมกับภัทร อีกฝ่ายจึงเดินเข้ามา คุณเขาไม่ได้เดินมายืนข้างภัทร แต่เดินไปใช้พื้นที่อีกฝั่งแทนและความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ ก่อนในเวลาต่อมาภัทรถึงรู้สึกว่าได้กลิ่นควันบุหรี่ เขาจึงหันไปมองอีกฝ่าย เพื่อที่จะได้เห็นว่าคุณภาสกรกำลังคีบบุหรี่ไว้ในมือหนึ่งมวน



                ภัทรอยากจะต่างคนต่างอยู่เหมือนกัน แต่พอคุณภาสกรยืนอยูไม่ห่างจากตัวเขามากนัก ความคิดมากมายที่เคยปล่อยล่องลอยไปตามสายลมก็หยุดชะงักไป เพราะไม่มีสมาธิ แม้คุณเขาจะไม่ได้ส่งเสียงรบกวนก็ตาม…..แม้จะคิดอะไรไม่ออกแล้วก็ตามแต่ถึงอย่างนั้นภัทรก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะออกไปจากที่นี่แต่อย่างใด



                คุณภาสกรก็สูบบุหรี่ของตัวเองไป ภัทรก็ยืนอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง เรามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนในสถานที่เดียวกัน แต่ไม่ได้ยืนข้างกัน มันเป็นเรื่องที่น่าตลกอยู่ไม่น้อยที่เรากำลังทำตัวห่างเหินเช่นนี้



                ภัทรเคยคิดเหมือนกันว่าหากเรากลับมาห่างเหินกันอีกครั้ง มันจะเป็นอย่างไรและภัทรคิดว่าตอนนี้เขารู้แล้ว มันไม่ดีเลยในความคิดเขา ความอึดอัดเป็นสิ่งที่ภัทรไม่ชอบ แต่เขากำลังเผชิญมันอย่างไม่มีทางเลือกและจะเรียกร้องอะไรก็คงไม่ได้ ในเมื่อภัทรเลือกแล้วที่จะให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้



                มันอาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วจริง ๆ เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ได้เกลียดจนมองหน้ากันไม่ติด….หรือเปล่า?



            พอมาคิดข้อนี้ดี ๆ ภัทรก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา แน่นอน…..เขาไม่ได้เกลียดคุณภาสกร แต่ภัทรก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณเขาจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า



                “จะหายออกไปจากชีวิตกัน ไม่คิดจะบอกผมเลยเหรอครับ”



            “……” ตอนแรกก็คิดว่าคุณภาสกรต้องการให้เราต่างคนต่างอยู่จริง ๆ แต่พอถึงจังหวะที่ภัทรเตรียมจะเดินหนีจากความอึดอัดนี้ จู่ ๆ คุณเขาก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยประโยคเด็ดที่ทำเอาภัทรถึงกับชะงัก



                “ผมขอโทษครับ” ภัทรเอ่ยเสียงแผ่ว



                “ผมอยากโกรธคุณนะ….แต่ไม่ว่ายังไงก็โกรธคุณไม่ลงหรอก เพราะผมก็มีส่วนผิดเหมือนกัน” คุณภาสกรว่าพร้อมกับยิ้มอย่างไม่คิดอะไร ในมือของคุณเขาก็ยังคีบบุหรี่มวนเดิมเอาไว้



                “นึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว ปีหนึ่งที่ผ่านมาหายไปไหนเหรอครับ บ้านก็เห็นปิดเงียบ….จะถามใครก็ไม่มีใครรู้อีก”



                “ไปส่งเจ้าโอ๊ตไว้กับพี่สาวครับ หลานชายย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศ ไปอยู่กับแม่เขา เราเที่ยวนิดหน่อยและผมก็มาเรียนภาษาต่อที่อังกฤษ”



                “ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณสบายดีใช่ไหม” คุณภาสกรเอ่ยถามต่อ



                “ครับ ก็มีลำบากบ้าง แต่ก็อยู่ได้”



                “ทำไมไม่เหมือนผมเลยนะ”



                “……”



                “ช่วงคุณหายไปแรก ๆ ผมแทบบ้าเลยรู้ไหม ตอนนั้นแม่ก็คอยจับผิดอีก ตามหาคุณได้ไม่สะดวกเลย ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนั้นคือเพียรพยายามติดต่อคุณ แต่คุณก็ไม่เคยรับสายผมเลยสักครั้ง”



                “คุณอาทิตย์ครับ….ผมขอโทษ ผมเสียใจที่ทำให้คุณเป็นแบบนั้น….แต่ผมคิดว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว”



                “แล้วไม่คิดจะถามผมเลยเหรอครับว่าผมต้องการแบบนี้หรือเปล่า”



                “……”



                “คุณคิดอะไร คุณไม่เคยบอกผม….ในวันที่ผมทำสำเร็จแล้ว คุณก็หายไป ใจร้ายจังเลยนะ” คราวนี้คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แม้ริมฝีปากของคุณเขาจะเหมือนคนกำลังคลี่ยิ้มตลอดเวลา แต่นัยน์ตาของเจ้าตัวกลับดูเศร้าหมองเสียจนคนมองรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก



                “ตอนนั้น….มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดในความคิดผมแล้วครับ ผมเสียใจที่รักษาคำพูดที่เคยให้ไว้กับคุณไม่ได้ แต่ต่อให้เราทำสำเร็จ มันก็จะเป็นเรื่องที่ถูกใจแต่ไม่ถูกต้องอยู่ดี ผู้ใหญ่เขาวางแผนมาตั้งนาน ผมมาทีหลัง จะไปทำทุกอย่างพัง ยังไงเขาก็คงไม่เห็นด้วย หวังว่าคุณเองก็คงเข้าใจ”



                “ตอนนั้นแม่มาคุยกับคุณด้วยหรือเปล่า”



                “.…..”



                “ผมเพิ่งมารู้ หลังจากวันนั้นหนึ่งวัน”



                “ใช่ครับ…แต่เธอไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกหรือหายไปจากชีวิตคุณหรอกนะครับ คุณธารณีเธอก็แค่มาคุยด้วยว่าผมต้องการอะไรกันแน่  แต่ไม่ได้บีบบังคับให้ผมออกจากงาน” ภัทรพูดตามความจริง



                “งั้นแสดงว่าคุณคิดจะไปอยู่แล้ว”



                “ประมาณนั้นครับ”



                “ทำไมเหรอครับ…..ผมขอถามเหตุผลได้หรือเปล่า” คุณภาสกรเอ่ยต่อ



                “เพราะคุณไม่ชัดเจนไงครับ…. ตอนนั้นคุณไม่ชัดเจนอะไรสักอย่าง ไม่เคยแสดงออกว่ากำลังสู้เพื่อเราอยู่ คุณบอกผมว่าคุณกำลังจะจัดการเรื่องไพลิน แต่ไม่เคยมีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลย” ภัทรตอบ



                ในเมื่อคุณเขากล้าถาม ภัทรก็กล้าพูดความจริง พูดในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดเมื่อหนึ่งปีที่แล้วให้อีกฝ่ายฟัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้แสดงออกถึงความโกรธและโมโหแต่อย่างใด เพราะไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว



                “ไหนจะเรื่องที่คุณโกหกนั่นอีก แม้ตอนนั้นคุณจะให้เหตุผลว่า มันยังไม่แน่นอนเลยไม่อยากเล่าให้ฟัง แต่ความเชื่อใจที่ผมมีต่อคุณ มันไม่เหลืออีกแล้ว เอาเข้าจริง….ตอนที่คุณบอกเหตุผล ผมยังไม่มั่นใจเลยว่านั่นคือคำโกหกอีกหรือเปล่า” หลังพูดจบประโยค ภัทรก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมองทิวทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง



                พอมองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น ภัทรก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี….แต่ไม่ได้ทุรนทุรายเหมือนในตอนแรกแล้ว อาจเพราะตอนนั้นเขากำลังรู้สึกดีกับคุณภาสกรมาก ๆ ทุ่มเทความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยให้ใครก่อน พอทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวังเอาไว้ ภัทรก็เลยเจ็บและจำจนถึงวันนี้



                แต่ถึงอย่างนั้น….ภัทรก็ยังดีใจที่โชคชะตาทำให้เขาได้เจอกับคุณภาสกร เพราะตอนนั้นเขามีความสุขจริง ๆ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม



                “ช่างเรื่องอดีตเถอะนะครับ ไหน ๆ มันก็ผ่านมาแล้ว เราคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้และต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะทำแบบเดิม” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พยายามยิ้มออกมาอย่างไม่คิดอะไร ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้น เขาก็ยังคงคิดว่านั่นคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรื่องของเรา



                เพราะบรรยากาศที่กำลังแย่ลง ภัทรจึงเลือกที่จะเปลี่ยนข้อหัวเรื่อง ไหน ๆ เราก็ได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง เขาก็ไม่อยากจะชวนทะเลาะหรือหาสาเหตุว่าแท้ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ใครเป็นคนผิดกันแน่



                “……”   



                “ถามแต่เรื่องของผม ว่าแต่คุณเถอะกับไพลินเป็นยังไงบ้างครับ เข้ากันได้ดีใช่ไหม….วันที่เธอมาหาคุณ ผมได้เจอเธอด้วยนะ ไพลินสวยมากจนผมต้องหยุดมองเลย พอได้เจอตัวจริง สิ่งทีสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมคุณธารณีถึงอยากได้เธอเป็นลูกสะใภ้ก็กระจ่างเลยล่ะ” ภัทรว่าพยายามจะหัวเราะออกมา เผื่อบรรยากาศมันจะดีขึ้น แต่คุณภาสกรกลับไม่คิดเช่นนั้น



                “ผู้ใหญ่ยกเลิกเรื่องจับคู่ผมกับไพลินแล้ว ตอนนี้เธอกำลังไปเรียนต่อที่เมืองนอกครับ” นานเกือบนาทีกว่าคุณภาสกรจะพูดอะไรออกมา



                “…….”



                “จริง ๆ ผู้ใหญ่เขายกเลิกการจับคู่ หลังจากที่คุณหายไปจากชีวิตผมได้สี่ห้าวัน ผมก็เพิ่งรู้ว่าไพลินเองก็แอบมีคนที่คุย ๆ ไว้เหมือนกัน เธอเพิ่งมาเล่าให้ฟังตอนที่เข้ามาหาที่บริษัท ตอนนั้นเธอก็ถูกบังคับให้มาหา…..” คุณภาสกรเว้นวรรคไปครู่



                “หลังจากที่เราตกลงกันได้ เราเลยตัดสินใจเข้าไปคุยเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ยอมกันหรอกครับ แต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะทั้งผมและไพลินต่างไม่มีใครมีความสุขกับการจับคู่ครั้งนี้เลยและทุกครั้งที่เราต้องมาเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวหรือออกงานสังคม ก็ทำเพราะถูกบังคับทั้งนั้น เอาเข้าจริง….ผมก็เพิ่งรู้จากปากไพลินเหมือนกันว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากออกงานสังคมกับผม”



                “……”



                “แต่พอตอนนี้เราต่างคนต่างโตแล้ว ไพลินเป็นผู้ใหญ่มากพอ มีความคิดเป็นของตัวเองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้เราเลยกล้าพูดในสิ่งที่ต้องการมาโดยตลอดออกมา แต่ตอนที่จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ ผมกลับมาไร้พันธะอีกครั้ง ตอนนั้นมันคงสายเกินไป เพราะคุณไม่รอฟังมันอีกแล้ว ผมไม่สามารถติดต่อคุณได้ ขนาดถามคุณนัทคนที่คุณน่าจะสนิทที่สุด ตอนนั้นเธอก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณหายไปไหน”



                พอคุณภาสกรพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหมดแล้ว ภัทรก็ไม่รู้จะต่อบทสนทนานี้อย่างไรดี ดังนั้นเขาจึงทำให้ได้เงียบ ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมเราอีกครั้ง ก่อนที่ภัทรจะมองตามมือของคุณภาสกร หลังเห็นคุณเขากำลังหยิบบุหรี่อีกมวนออกมา



                บุหรี่มวนแรกหมดไปและคุณเขาก็หยิบมวนที่สองขึ้นมาจุดต่อ….     



                 “เท่าที่ผมจำได้ แต่ก่อนคุณบอกว่าตัวเองไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอครับ”เป็นอีกครั้งที่ภัทรเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อ เขายิ้มเล็กออกมาเล็กน้อยพลางหลุบตามองตัวการกำเนิดควัน



                “ก็เพิ่งมาสูบครับ ผมชอบสูบมัน….”



                “…..”



                “ตอนที่แวะไปบ้านคุณ….แต่ไม่เจอคุณ”



                “งั้นผมขอสูบมันด้วยได้ไหมครับ” ภัทรเอ่ยพร้อมกับแบมือขอบุหรี่อีกมวนจากคุณเขา



                “คุณสูบเป็นเหรอ”



                “ครับ สูบเป็น เคยลองตอนสมัยเรียน แต่นาน ๆ ทีถึงจะสูบ จะสูบเฉพาะเวลาที่เครียดจริง ๆ ”



                “งั้นอย่าสูบเลยครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”



                “แต่คุณสูบมัน”



                “.......”



                “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากขอให้คุณดับบุหรี่มวนนี้ได้ไหมครับ ผมไม่สบายใจเลยที่ต้องเห็นคุณสูบสองมวนติด ๆ กันแบบนี้”



                “ในฐานะอะไรเหรอครับ”



                “ครับ?”



                “มาเป็นห่วงผมในฐานะอะไร”



                “ฐานะอะไรก็ได้ครับ ที่คุณต้องการอยากให้ผมเป็นในตอนนี้” หลังภัทรพูดจบประโยค คุณภาสกรก็ยอมดับบุหรี่มวนที่สองลง



                “ภัทรรู้ไหม….ตอนแรกผมจะไม่มางานแต่งของคุณนัทหรอกนะ แต่เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณต้องมางานนี้แน่ ผมเลยยอมมา เพียงเพราะอยากจะได้เจอคุณอีกครั้ง….ก็ได้เจอจริง ๆ”



                “แน่สิครับ ผมต้องมาอยู่แล้ว พี่นัทเธอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา เธอคอยเคียงข้างและช่วยเหลือผมทุกเรื่องเลยล่ะ บริษัทคุณโชคดีนะที่ได้เธอมาทำงานด้วย”



                “……”



                “ไม่ใช่แค่คุณหรอกครับที่หวังให้เราได้เจอกันอีกครั้ง ลึก ๆ เองผมก็หวังเหมือนกัน” ในเมื่อคุณภาสกรสารภาพออกมา ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ภัทรจะต้องปกปิด



                “ผมเองก็หวังว่าจะได้เจอคุณอีกครั้งเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณสบายดีหรือเปล่า แค่ผมเห็นว่าคุณสบายดีผมก็สบายใจแล้วครับ แต่คุณดูผอมลงจากเมื่อก่อนนะ”



                “คุณเองก็เหมือนกัน”



                “ผมกินอะไรไม่ค่อยลง” ภัทรว่า



                “ผมเองก็เหมือนกัน”



                “……”



                “ภัทรครับ….”



                “ครับ?”





                “ผม…..คิดถึงคุณ ผมยังรักคุณอยู่นะ”



                “……”



                “คุณยังรู้สึกเหมือนเดิมไหม” เมื่อได้ยินคุณภาสกรว่าเช่นนั้น ภัทรก็ถึงกับสบตาอีกฝ่าย เขามองเห็นความคาดหวังเล็ก ๆ ในดวงตาคู่สวยที่ชอบมองมาโดยตลอด



                ……แต่ภัทรไม่แน่ใจว่าเขาควรยอมเปิดโอกาสให้คุณภาสกรอีกครั้งดีไหม



                “ผมว่าผมง่วงแล้ว ขอกลับก่อนนะครับ” เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าจะไม่จบลงแบบเดิม ภัทรจึงเลือกที่จะตัดบทสนทนา



                แค่รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงสบายดีอยู่ก็น่าจะเพียงพอแล้วจริง ๆ แต่จังหวะที่เขากำลังจะหันหลัง เตรียมเดินหนีจากคุณภาสกร อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาสวมกอดภัทรไว้จากด้านหลัง มันแน่นมากพอที่จะดึงร่างภัทรไว้อย่างอยู่หมัด



                “ถ้าคุณยังรักผมอยู่ ยังคิดถึงผมอยู่เหมือนกันแล้วถ้าเรายังรักกัน….เรามาลืมเรื่องในอดีตแล้วกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ”



                “…….”



                “ผมทำใจเห็นคุณเดินจากไปอีกครั้งไม่ได้จริง ๆ” สิ้นเสียงของคุณภาสกร ภัทรก็ถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ อ้อมกอดที่เขาโหยหามาตลอดหนึ่งปี ตลอดการใช้ชีวิตเพียงลำพังที่เมืองนอก ตอนนี้เขากำลังได้รับมันอีกครั้ง



                “ไม่กลัวมันจะจบลงแบบเดิมเหรอครับ” ภัทรหยั่งเชิงถาม เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือไปมากกว่านี้



                “ไม่ครับ….ผมจะไม่ยอมให้มันจบลงแบบเดิม”



                “…….”



                “ขอแค่คุณบอกว่าคุณยังรักผมอยู่ ผมจัดการทุกอย่างเองนะ ขอผมพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งได้ไหมครับ…..”



                “……”



                “ต่อให้ต้องจีบคุณใหม่ก็ได้ ถ้าคุณต้องการหรือไม่ก็ให้ผมทำอะไรก็ได้ ขอให้คุณให้โอกาสผมอีกครั้ง….ได้โปรดพูดออกมาว่ายังรักผมอยู่เหมือนกัน”



                “……”



                “….เถอะนะครับ”




                “ครับ….ผมยังรักคุณอยู่ แต่ครั้งนี้ช่วยพิสูจน์ตัวเองให้ผมได้เห็นด้วยนะครับ”










________________________

สกรีมแท็ก #ภูมิแพ้ลูกไม้




ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
กรี๊ดดดด เหมือนเล่นรถไฟเหาะเลย

ทั้งทิ้งดิ่ง ทิ้งพุ่งทะยาน

ดีมาก ๆ ดีใจที่เค้าได้พูดเรื่องที่ค้างคาของกันและกันซักที

เวลาหนึ่งปีที่ห่างกันไม่ได้เสียไปเปล่าๆเลย มันฟูมฟักความรัก ความคิดถึงของสองคนไว้

รอวันที่ความรักของทั้งสองคนจะเติบโตอีกครั้งนะคะ
 :m1: :m1: :m3: :m3:
ป.ล. อยากรู้ความเคลื่อนไหวแอคลูกไม้ป่าตอนที่ห่างกันจุมม ต้องดีงามแน่ๆ ลูกไม้อังกฤษ  :L2:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้ำตาซึมกันไปเลย แต่ก็ดีใจนะเปิดใจคุยกัน 

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เข้มแข็งไว้น้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 【 Yaoi 】 Lace of love #ภูมิแพ้ลูกไม้ /บท13 1.06.62
« ตอบ #229 เมื่อ: 01-06-2019 21:59:44 »





ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอาใจช่วยนะคู่นี้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มาเริ่มกันใหม่  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
หน่วงมาก

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1



14
            การที่ภัทรให้โอกาสคุณภาสกรอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเรากลับมาคืนดีกันแล้ว แต่เป็นการยอมเปิดใจเพื่อให้อีกฝ่ายพิสูจน์ตัวเองต่างหาก ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา…..ต่อให้เราเคยคุยกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอกลับมาคุยกันอีก เราก็ต้องมาศึกษากันใหม่อยู่ดี เพราะตลอดหนึ่งปีที่เราห่างหายกันไป ต่างฝ่ายก็ต่างเติบโตขึ้น แต่ก่อนเคยโปรดปรานสิ่งหนึ่งมาก ตอนนี้กลับไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว



                “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมกลับมาไทย”



                “ก็ตอนนั้น….ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ ๆ ผมอยากแวะไปบ้านคุณ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปก็คงไม่เจอคุณอยู่ดี แต่วันนั้นผมกลับเห็นแสงไฟจากในบ้านเลยเดา ๆ ว่าคุณกลับมาแล้ว แล้วคุณก็กลับมาจริง ๆ”



                “แวะไปบ้านผมบ่อยเหรอครับ”



                “ก็ทุกครั้งที่นึกถึง” หลังได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ภัทรก็หันมองหน้าเจ้าของคำตอบเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก  ความเงียบจึงโอบกอดเราทั้งคู่เอาไว้ ขณะที่อยู่บนรถคันเดียวกัน หลังจากงานแต่งของพี่นัท คุณภาสกรเป็นฝ่ายอาสาขอไปส่งภัทรที่บ้าน



                “แล้วหลังจากนี้ คุณจะกลับมาอยู่ที่ไทยเลยไหม” คุณภาสกรเอ่ยถาม



                “คิดว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมต้องกลับไปอังกฤษก่อน เพราะยังเรียนไม่จบหลักสูตร”



                “อีกนานไหมกว่าจะเรียนจบหลักสูตร”



                “ไม่นานครับ เหลือเก็บอีกไม่กี่ชั่วโมง” ภัทรตอบ “เสร็จธุระจากนั่นแล้ว ผมก็จะกลับมาสมัครงานที่ไทยต่อ”



                “…..”



                “แต่ไม่ใช่ที่เดิม” คุณภาสกรเหลือบมองภัทรเล็กน้อย เมื่อเขาว่าเช่นนั้น จังหวะเดียวกันรถของคุณเขาก็มาจอดสนิทที่หน้าบ้านภัทรพอดี เขาจึงหันไปปลดสายเบลท์ เตรียมจะเอ่ยคำขอบคุณและลงจากรถ แต่ก็ถูกคุณภาสกรคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน ทำให้ภัทรต้องหันไปมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับเลิกคิ้วสูง



                “ขอโทษ….”



                “ครับ? ขอโทษเรื่องอะไร” ภัทรทำหน้างง



                “ขอโทษที่ตอนนั้นปกป้องคุณไม่ได้” คุณภาสกรพูดประโยคด้วยสีหน้าเจือนจนทำให้ภัทรรู้สึกผิด เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะตอบคุณเขา



                “ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้นครับ เรื่องนั้นผมตัดสินใจเองทั้งหมด นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณปกป้องผมไม่ได้ แต่เพราะผมเลือกเอง” ภัทรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับสบตาคุณเขา



                “…..”



                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”



                “แล้วคุณจะกลับมาไทยวันไหน ผมจะได้ไปรับ”



                “ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนคุณเปล่า ๆ กลับมาไทยอีกทีตอนไหน ผมจะบอกอีกทีนะครับ” ภัทรว่า ก่อนจะส่งยิ้มให้คุณภาสกรเล็กน้อยและเดินลงจากรถ



                ดวงตาเรียวมองตามรถหรูของคุณภาสกรจนลับสายตาไป เมื่ออีกฝ่ายขับออกไปไกลมากแล้ว ภัทรจึงกลับเข้าบ้านตัวเอง



                หลังกลับเข้ามาในบ้านภัทรก็ถอนหายใจเล็กน้อย เขาได้แต่หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องอีกครั้ง  จริง ๆ ภัทรจะไม่หนักใจอะไรเลย แต่มาคิดหนักก็ตรงคุณแม่ของคุณเขานี่แหละ คุณภาสกรต้องเคลียร์เรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่ความสัมพันธ์ของเราจะจบลงแบบเดิม



                เมื่อภัทรกลับเข้ามาในห้อง เขาก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างคนหมดแรง ขนาดไม่ได้ทำงาน มีแต่ไปร่วมงานแต่งเมื่อช่วงเย็น เขายังรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ไหนพรุ่งนี้ภัทรจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาจัดกระเป๋าเตรียมกลับไปอังกฤษอีกครั้งอีก



                หลังจากนอนพักบนเตียงจนรู้สึกว่าหายเหนื่อยแล้ว ภัทรจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู พอเห็นแบตเตอรี่ใกล้จะหมดเต็มที เขาจึงโน้มตัวไปชาร์จแบตแทน ก่อนจะเหลือบไปเห็นแหวนวงหนึ่งที่ถูกวางเอาไว้จนฝุ่นเกาะ ภัทรนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วคว้าแหวนวงนั้นขึ้นมาดู มันคือแหวนที่คุณภาสกรเคยให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งตัวภัทรเองได้ถอนมันออก ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ



                ตอนแรกภัทรเคยคิดว่าจะทิ้งแหวนวงนี้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งมันไม่ลงอยู่ดี สุดท้ายมันจึงถูกวางทิ้งไว้นานนับปี ถึงเจ้าแหวนวงนี้จะถูกให้ในจังหวะที่ไม่เหมาะสมนัก แต่ทุกครั้งที่ภัทรเห็น มันก็ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ภัทรเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามแหวนครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมมันลงบนนิ้วเดิม



                ชีวิตภัทรเหมือนจะมีสีสันขึ้น เมื่อคุณภาสกรกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง อย่างน้อยภัทรก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องของคุณเขาเหมือนอย่างเคยและดูเหมือนความเหงาจะทำงานน้อยลงด้วย



                สองวันต่อมาก็ถึงเวลาที่ภัทรต้องเดินทางไปอังกฤษอีกครั้งเพื่อไปเรียนภาษาต่อให้จบ ในตอนแรกเขาก็ปฏิเสธ ไม่ยอมให้คุณเขามารับมาส่งลูกเดียว แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน ยอมให้คุณภาสกรมาส่งที่สนามบินอยู่ดี เพราะกว่าเราจะได้เจอหน้ากันอีกทีก็อีกสองสัปดาห์หน้า



                “ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม” คุณภาสกรถาม



                “คิดว่าไม่แล้วครับ ถึงลืมก็คงไม่เป็นไร เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว” ภัทรว่า



                “งั้นดูแลตัวเองดี ๆ ผมเช็กสภาพอากาศมา ที่นั่นกำลังหนาว อย่าลืมใส่ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาวก็ห้ามลืมใส่” คุณภาสกรกำชับ นั่นทำให้ภัทรรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หลังกำลังถูกใครสักคนเป็นห่วง



                “แน่นอนครับ ผมก็ไม่ได้อยากให้ตัวเองป่วยนะ” ภัทรตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่าย



                “งั้นก็ดีแล้ว….เจอกันในอีกสองสัปดาห์หน้า ผมจะรอคุณ”



                 เราร่ำลากันพอเป็นพิธี เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมายนัก ภัทรก็แค่บินไปจัดการธุระตัวเองนิดหน่อย สุดท้ายแล้วเขาก็บินมาใช้ชีวิตเมืองไทยอยู่ดี จังหวะที่จะเดินเข้าเกท เขาก็หันไปมองคุณภาสกรเล็กน้อย โบกมือลาอีกฝ่ายแล้วส่งยิ้มหวาน ๆ ให้หนึ่งทีซึ่งคุณภาสกรก็โบกมือกลับเช่นเดิม เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ภัทรจะหันกลับมาแล้วเดินเข้าเกท โดยไม่หันกลับไปมองอีก



                ตอนแรกภัทรตั้งใจว่าหลังจากเรียนจบหลักสูตรแล้ว เขาจะบินกลับเลย จะได้เริ่มเตรียมพอร์ตฯ ไว้สมัครงาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่เที่ยวในอังกฤษต่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพราะไหน ๆ ก็ได้มาที่นี่แล้ว ไม่รู้จะได้มาอีกทีตอนไหน อีกอย่างภัทรก็ยังเก็บที่เที่ยวไม่ครบ เขาก็อยากเก็บที่เที่ยวให้มันครบ ๆ เลย จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายอะไร อุตส่าห์มาเรียนถึงอังกฤษสักที



                หลังจากตัดสินใจเช่นนั้น ภัทรก็ส่งข้อความไปบอกคุณภาสกร อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องนับวันรอเขากลับไทย ภัทรไม่ได้รู้สึกเดือนร้อนอะไร เพราะคุณภาสกรได้เดือดร้อนแทนแล้ว



                อังกฤษและเมืองไทยเวลาห่างกันราว ๆ เจ็ดโมง ตีสองของอังกฤษ เก้าโมงเช้าที่ประเทศไทย หลังภัทรเรียนเสร็จ เขาก็กลับเข้าห้องพัก คุณภาสกรเองก็กำลังว่าง เราจึงวิดีโอคอลกัน ทันทีที่เปิดกล้องคุณภาสกรก็บ่นภัทรทันที หลัก ๆ ที่คือเรื่องที่เขาเปลี่ยนแผนกะทันหัน ทำเอาภัทรอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ไม่คิดว่าคุณเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนขนาดนี้



                “อย่าบ่นเยอะครับ แก่มากกว่านี้ไม่รู้ด้วยนะ” ภัทรว่าพลางกลั้วหัวเราะ ดวงตาของเขายังจับจ้องใบหน้าของคุณภาสกรผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม ภัทรที่คุณเขาโวยวายไม่ใช่ภัทรหนีเที่ยวคนเดียวหรอก แต่อีกฝ่ายอยากจะมาเที่ยวด้วยต่างหาก แต่ติดที่ว่าลางานไม่ได้ แถมจะทิ้งงานให้พนักงานนินทาเล่นก็คงไม่ใช่เรื่อง



                [ผมดูแก่แล้วเหรอ] คุณภาสกรที่ยังอยู่ในห้องทำงานของบริษัทเอ่ยถามภัทรด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนแซวถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ดูเหมือนช่วงนี้คุณภาสกรจะเริ่มใส่ใจเรื่องความแก่ของตัวเองบ้างแล้ว สังเกตได้จากสีหน้าและน้ำเสียงของเจ้าตัว ทำเอาภัทรอดเย้าแหย่ต่อไม่ได้ อยากจะเห็นปฏิกิริยาของคนโดนแกล้งมากกว่านี้



                “ก็เริ่มส่งสัญญาณชาติแล้วนี่ไงครับ คุณอาทิตย์รู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังกลายเป็นตาแก่ขี้บ่น”



                [บ้าน่า….] คุณภาสกรว่าเสียงแผ่ว แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงใส่ใจกับคำพูดภัทรทุกคำ ทุกประโยค เผลอ ๆ หลังจากวางสายกัน อีกฝ่ายอาจจะไปนั่งหาผมหงอกตัวเองก็ได้



                “ผมล้อเล่นครับ ตอนนี้คุณอาทิตย์ยังดูหนุ่มอยู่ สบายใจได้แต่อย่าบ่นบ่อย ๆ ก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะได้แก่จริงของจริง” สุดท้ายภัทรก็เลิกเย้าแหย่ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจในตัวเอง



                [เฮ้อ….สรุปตอนนี้ผมต้องรอคุณไปอีกอาทิตย์หนึ่งใช่ไหม]



                “ประมาณนั้นครับ ผมยังมีร้านอาหารชื่อดัง ไหนจะคาเฟ่ที่ต้องเก็บอยู่หลายที่ ขนาดพิพิธภัณฑ์แถวที่พักก็ยังไม่ได้ไปเลย ในเวลาหนึ่งสัปดาห์น่าจะเก็บครบทุกที่”



                [ทำไมไม่รอไปกับผมอีกรอบครับ ผมออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ก็ได้นะ  อยากไปเที่ยวกับคุณ เราไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย] คุณภาสกรเสนอ



                “ไม่เอาครับ ผมอยากเที่ยวด้วยเงินตัวเองมากกว่า”



                [……]



                “ไว้มีโอกาส เราค่อยไปเที่ยวกันก็ได้นี่ครับ ใกล้ ๆ กรุงเทพก็ได้ แล้วถ้ารู้สึกว่าหนึ่งสัปดาห์มันนานเกินไป ก็คิดว่าอีกแค่เจ็ดวันดูครับ แป๊บเดียว” ภัทรว่าพร้อมส่งยิ้มแฉ่งให้กับคุณเขา เผื่อจะทำให้คุณภาสกรรู้สึกดีขึ้น



                มันก็จริงอย่างที่คุณเขาว่า ตอนนั้นเราไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันเลย เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ยังหลบซ่อน กลัวตกเป็นขี้ปากของเหล่าพนักงานในบริษัท



                [โธ่….ภัทรมันไม่ได้รู้สึกต่างกันเลยนะ ระยะเวลาเท่า ๆ กันเลย ปกติก็คิดถึงอยู่แล้ว รออีกตั้งอาทิตย์หนึ่ง กลัวคิดถึงมากกว่านี้จังครับ] คราวนี้คุณเขาเล่นลูกอ้อน ทำอาคนฟังและจ้องจอโทรศัพท์ตลอดเวลา รู้สึกใบหน้าร้อนผ่านอย่างบอกไม่ถูก จนต้องหลุบตามองผ้าปูเตียงแทน



                “ไม่เจอกันตั้งปีหนึ่งยังทนได้เลย” ภัทรว่าเสียงแผ่ว



                [ตอนนั้นทนไม่ได้ ก็ต้องทนครับ….ว่าแต่คุณเถอะ อยู่ที่นั่นคนเดียวไม่คิดถึงผมเหรอ] คุณภาสกรเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภัทรเริ่มรู้สึกผิดอีกครั้ง เขาเองก็ไม่ได้ผิดน้อยไปกว่ากันเลย บอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ สุดท้ายก็หนีมารักษาแผลใจถึงเมืองนอก



                “…….”



                [ภัทรครับ….]





                “คิดถึงเหมือนกันครับ” ในที่สุดภัทรก็ตอบกลับไปเสียงแผ่ว



                [ดีใจจังที่ได้ยินแบบนี้ นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ยินเสียงคุณบอกคิดถึงกัน] คุณเขาว่าพร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ กลับมา



                “คุณอาทิตย์ครับ”



                [ครับ?]



                “อย่าแสนดีไปมากกว่านี้เลยนะครับ ผมกลัวว่าถ้าครั้งนี้มันไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังอีก ผมและคุณจะเจ็บมากกว่าครั้งแรก” ในที่สุดภัทรก็ตัดสินใจพูดมันออกไปตามตรง



                จริง ๆ ตัวภัทรเองไม่ได้อยากคาดหวังในความสัมพันธ์ครั้งที่สองของเราเท่าไรนัก เพราะกลัวตัวเองเจ็บ แต่พอเริ่มรู้สึกดีกับคุณเขาอีกครั้ง ความคาดหวังที่พยายามไม่ตั้งไว้ มันก็มาของมันเอง



                [มันจะไม่จบลงแบบเดิมครับ]



                “……”



                [จริง ๆ ตั้งใจจะบอกคุณตอนกลับมา แต่ไหน ๆ เราก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ผมบอกเลยก็ได้ว่าพ่อแม่อยากเจอคุณ เขาอยากให้ผมพาคุณไปกินข้าวที่บ้าน ไปทำความรู้จักกันใหม่]



                “อะไรนะครับ” จริง ๆ ภัทรได้ยินชัดทุกถ้อยคำ แต่ที่เขาถามเช่นนั้น เพราะไม่เชื่อหูตัวเองต่างหาก “พ่อแม่คุณรู้ได้ไง”



                [ผมบอกเองครับ แต่ถึงไม่บอก ยังไงพวกท่านก็ต้องรู้อยู่ดี ในงานแต่งของคุณนัทต้องมีคนจับตามองเราอยู่แล้ว แถมในบริษัทก็มีพนักงานจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นคนของพวกท่าน บางคนก็ได้รับทุนส่งเสียเรียนจนจบแล้วมาทำงานในบริษัท ยังไงก็ต้องมีคนไปรายงานเหมือนกับตอนปล่อยรูปพวกนั้น]



                “……” คราวนี้ภัทรถึงกับขมวดคิ้วแล้วฟังคุณภาสกรพูดอย่างเงียบ ๆ



                [ไม่รู้ว่าคุณรู้หรือยังว่าคนที่ปล่อยรูปพวกนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของคุณแม่เอง]



                “แล้วทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ” ภัทรถามต่อ พอได้รู้ความจริงเขาก็ถึงช็อค จากที่ตอนแรกคิดว่าเรื่องนี้คงต้องปล่อยไป เพราะจับมือใครดมไม่ได้ แต่ใครจะนึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือคุณแม่ของคุณภาสกร



                [ท่านอยากให้รู้ครับ เมื่อสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มันมีผลกระทบ] คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



                “ผม…ควรรู้สึกยังไงดี แล้วนี่อยากให้กินข้าวที่บ้าน ไม่ใช่เพราะอยากเล่นงานผมอีกรอบเหรอครับ” ภัทรถาม



                [แม่เป็นคนบอกผมเองว่าอยากปรับความเข้าใจและขอโทษคุณด้วย]



                “……”



                [แต่ถ้าคุณไม่โอเค ผมบอกให้ได้นะว่าคุณไม่ว่าง] เมื่อเห็นว่าภัทรนิ่ง คุณภาสกรก็รีบเอ่ยต่อ



                “ไม่เป็นไรครับ งั้นก็ฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณด้วยว่าเจอกันอาทิตย์หน้า”
















ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


 

                พอรู้ว่าการกลับมาไทยครั้งนี้จะต้องเจอกับอะไร ใครรอพบเขาอยู่ ภัทรก็อดกังวลใจไม่ได้และความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ทำให้คืนก่อนวันเดินทางกลับประเทศเขาถึงกับนอนไม่หลับ ในหัวคิดแต่เรื่องของคุณภาสกร นึกภาพการร่วมโต๊ะกับครอบครัวคุณเขาไม่ออก มันจะผ่านไปได้ด้วยดีไหม ภัทรก็ยังไม่แน่ใจ



                การกลับไทยครั้งนี้ แน่นอนคุณภาสกรเป็นคนมารับภัทรที่สนามบิน ความจริงเขาบอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าสามารถกลับที่พักเองได้ แต่คุณเขาก็ยังยืนยันว่าจะมารับอยู่ดี



                คุณภาสกรให้เหตุผลว่าเจ้าตัวไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองตกบกพร่อง คนพิเศษกลับไทยมาเหนื่อย ๆ ใครจะให้กลับบ้านคนเดียวและในเมื่อคุณภาสกรอยากจะมารับนัก ภัทรก็เลยตามใจ เพราะรู้ดีว่าต่อให้ไม่ยอม คุณเขาก็จะตื๊อจนสำเร็จนั่นแหละ



                “คิดถึงจัง” นั่นเป็นประโยคแรกที่คุณภาสกรเอ่ยทักทาย ทำเอาคนฟังอย่างภัทรถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ



                “ห่างกันไม่กี่วันเอง คิดถึงกันอีกแล้วเหรอครับ” ภัทรถาม



                “แคไม่เจอหน้าคุณวันเดียวผมก็คิดถึงแล้ว”



                “ปากหวาน”



                “แค่กับคุณ” คุณภาสกรว่าพร้อมขยิบตาให้ภัทรหนึ่งที ก่อนจะถือวิสาสะดึงเสื้อคลุมของภัทรไปถือไว้ให้



                เราเดินจับมือกันไปยังที่รถ เนื่องจากภัทรใช้บริการขนย้ายกระเป๋าจากสนามบินไปยังที่พักเลย ทำให้พวกเขาไม่ต้องมาเหนื่อยแบกสัมภาระอะไรให้ยุ่งยากอีก



                “แล้วนี่ผมจะต้องไปทานข้าวที่บ้านคุณวันไหนเหรอครับ” ขณะที่รถกำลังมุ่งหน้าออกจากสนามบินไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภัทรก็เอ่ยถามคุณเขาอย่างนึกขึ้นได้



                “ก็วันที่คุณพร้อมครับ” คุณภาสกรตอบ “ทำไม? คุณพร้อมแล้วหรือไง”



                “ต่อให้ไม่พร้อม ผมก็ต้องไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ” ภัทรเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ผู้ใหญ่อุตส่าห์เอ่ยปากชวนมา จะให้ไม่ไปก็คงจะเสียมารยาทนะครับ”



                ถึงริมฝีปากจะคลี่ยิ้มเหมือนคนไม่ได้คิดอะไร แต่ในใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น ในตอนนี้ภัทรทั้งรู้สึกกังวลและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ตราบใดที่ยังไม่ได้เจอพ่อแม่ของคุณภาสกร เรื่องนี้ก็คงค้างคาอยู่ภายในใจเขาไปเรื่อย ๆ



                “แล้วคุณอยากจะเข้าไปวันไหน”



                “พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”



                “เอางั้นเลยเหรอ”



                “ครับ อยากรีบไปรีบเสร็จ ผมจะได้เลิกคิดมากสักที” ภัทรว่า เพราะไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี สู้ไปหาตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยน่าจะดีกว่า ไอ้ความหนักอกหนักใจนี่จะได้หายไปเสียที เขาคิดเท่านั้นจริง ๆ 



                ถึงคุณภาสกรจะออกปากเองว่าแม่ของเจ้าตัวอยากทำความรู้จักภัทรใหม่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ภัทรคลายความกังวลลงเลยแม้แต่นิด ตอนที่เขาได้ยินเช่นนั้น ในหัวก็เอาแต่คิดว่าแม่ของคุณภาสกรจะมาไม้กันแน่ ถ้าถึงขั้นยอมให้คนปล่อยรูปหลุดลูกชายตัวเองตอนไปไหนมาไหนกับภัทร เพื่อจะสั่งสอนให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่ระดับไหนและคุณภาสกรเป็นใคร นี่มันก็ไม่ใช่เล่น ๆ แล้ว



                “ว่าแต่ว่าแม่ของคุณ เธออยากปรับความเข้าใจกับผมแน่ใช่ไหมครับ”



                “คุณแม่บอกผมอย่างนั้น ไม่เอาน่าภัทร….แม่ไม่ได้เป็นคนใจร้ายขนาดนั้น”



                “เธอใจดีแค่กับคุณครับ” ภัทรรีบสวนทันควัน ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคุณภาสกร “เธอใจดีแค่กับคุณ คุณที่เป็นลูกชายของเธอ แต่กับคนอื่นไม่ใช่”



                “……”



                “พูดตรง ๆ เลยนะครับ ผมคิดว่าคุณธารณีอาจจะอยากเล่นงานผม เพราะผมกลับเข้ามาในชีวิตลูกชายเธออีกรอบ” ภัทรพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ความทรงจำครั้งล่าสุดระหว่างเขาและแม่คุณภาสกรไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไรนัก เราไม่ได้มีเรื่องบาดหมาง แต่การเจอกันครั้งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไร



                ไม่รู้คุณธารณีจะเล่นแง่อะไรอีก แต่ที่แน่ ๆ ภัทรยอมถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว คุณภาสกรเองก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อคนมันรักกัน



                “……”



                “เธอเคยขัดขวางความรักของเรามาแล้วครั้งหนึ่ง คุณอาทิตย์คิดว่าเธอจะยอมรามือจากเรื่องนี้ง่าย ๆ เหรอครับ” ภัทรพูด พอนึกถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดของเขาและคุณธารณี ภัทรก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ



                ความรักระหว่างเขาและคุณภาสกร มันไม่ง่ายเลยสักนิด คนอื่นอาจคิดว่าภัทรจะได้สุข สบาย ร่ำรวยทางลัด เพราะได้รักกับลูกชายเจ้าของบริษัท แต่มันไม่ใช่เลย



                “ก็ตอนนั้นผมยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับไพลินไง”



                “……”



                “แต่ตอนนี้ผมไม่มีพันธะกับใครแล้วนะ ผมตัวเปล่า ผมแสดงออกให้พวกท่านได้เห็นแล้วว่าผมไม่มีความสุขกับการจับคู่แบบนี้”



                “การที่พวกท่านจับคู่ให้คุณ เป็นเพราะพวกท่านหวังดี คุณทำแบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าปฏิเสธความหวังดีของพ่อแม่เหรอครับ” ภัทรพูด เขาอยากรู้ว่าคุณภาสกรจะว่ายังไงต่อ



                “หากความหวังดีของพ่อแม่จะทำให้ต้องเสียคุณไปอีก ผมก็ขอปฏิเสธความหวังดีนั้นดีกว่าครับ” คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



                “……”



                “ตลอดทั้งชีวิต….ผมได้รับความหวังดีจากพ่อแม่มามากพอแล้ว เรื่องความรักมันเป็นเรื่องเดียวที่ผมอยากตัดสินใจด้วยตัวเอง” ว่าจบคุณภาสกรก็ยื่นมือข้างซ้ายมากุมมือภัทรเอาไว้



            “ผมอยากเป็นคนเลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเอง…..แล้วผมก็เลือกแล้วว่าคน ๆ นั้นคือคุณ”



                “……”



            “ซึ่งแปลว่าผมเสียคุณไปอีกครั้งไม่ได้”



                เราหยุดพูดเรื่องนี้เมื่อรถมาจอดสนิท ณ ลานจอดรถของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราต่างเห็นพ้องตรงกันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ระหว่างการทานอาหารกลางวัน เพราะมันจะทำให้เสียบรรยากาศ



                เมื่อทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาที่คุณภาสกรจะไปส่งภัทรที่บ้านเสียที ถึงเราจะอยากไปนั่นมานี่ด้วยกันต่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ภัทรใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลานาน ๆ มันส่งผลให้เขาเพลียจนต้องไม่อยากไปทำอะไรอีกแล้ว



                “เขาส่งกระเป๋ามาที่นี่หรือยัง?” คุณภาสกรถามถึงสัมภาระ หลังรถมาจอดสนิทที่หน้าบ้านของภัทรแล้ว



                บ้านที่ไม่มีเจ้าโอ๊ตรอคอยอยู่ มันเงียบกว่าทุกครั้ง คนที่อยู่บ้านหลังนี้มานาน พอเห็นแล้วก็รู้สึกใจหายแปลก ๆ ปกติภัทรใช้ชีวิตตัวติดกันกับหลานตลอด เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะชินกับการใช้ชีวิตโดยปราศจากหลานชาย



                “เรียบร้อยหมดแล้วครับ บริษัทเขาส่งรูปมารายงานแล้ว” ภัทรตอบ เมื่อไม่มีเรื่อวให้ต้องคุยกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายกันเสียที



                “ยังไงวันนี้ขอบคุณมากนะครับ อุตส่าห์เป็นธุระขับรถไปรับที่สนามบิน ทั้ง ๆ ที่ระยะทางระหว่างคอนโดคุณกับสนามบินมันไม่ได้ใกล้กันเลย” ภัทรเอ่ยขอบคุณ มันเป็นความเคยชินไปแล้วที่เขาจะเอ่ยขอบคุณคุณภาสกรทุกครั้ง ยามที่อีกฝ่ายทำอะไรให้ แม้เรื่องนั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็จะขอบคุณอีกฝ่ายเสมอ



                “ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นหน้าที่ผม”



                “ขอบคุณจริง ๆ ครับ” เขาพูดอีกครั้ง คราวนี้ลงเสียงเน้นหนักเพื่อยืนยันว่าต้องการจะขอบคุณอีกฝ่ายจริง ๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมเข้าบ้านก่อนนะครับ เจอกันพรุ่งนี้”



                “เดี๋ยวก่อนสิภัทร!”



                “ครับ?” จังหวะที่เตรียมจะเปิดประตูรถ ภัทรก็ถูกเรียกชื่อเสียงไว้เสียก่อน เขาจึงหันกลับไปมองคนเรียกด้วยความฉงน คุณภาสกรไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับยืดตัวไปหยิบอะไรบางอย่างจากเบาะด้านหลังมาแทน



                “อะไรกันครับ” ภัทรถามอย่างไม่เข้าใจ “เนื่องในโอกาสอะไรเหรอ?”



                “ของขวัญต้อนรับการกลับมา” คุณภาสกรพูดพร้อมหยิบมันออกมาจากถุงใส่



                ของขวัญที่อีกฝ่ายจะให้ ดูเหมือนจะเป็นกำไลข้อมือที่ทำมาจากโลหะดูเรียบง่ายใส่ได้ทุกโอกาส ไม่ทันที่ภัทรจะได้เอ่ยปากปฏิเสธ คุณภาสกรก็ถือวิสาสะจับข้อมือข้างขวาของเขาไปวางไว้บนตักตัวเองเพื่อที่จะสวมใส่มันให้



                “กลับมาแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องให้ของขวัญเลยครับ”เขารีบปฏิเสธทันที ตั้งท่าจะยกมือหลบแต่คุณภาสกรก็คว้าไว้ทันอยู่ดี



                “ผมอยากให้”



                “แต่ผมเกรงใจ…”



                “รับมันไปเถอะนะ ผมอยากให้คุณจริง ๆ” คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน นั่นทำให้ภัทรรู้ว่าตัวเองต้องยอมอีกแล้ว



                เขาแพ้เวลาที่อีกฝ่ายทำหน้าอ้อนจริง ๆ



                “แล้วนี่ซื้อมาเท่าไรกันครับ” เมื่อปล่อยให้คุณเขาสวมใส่กำไลได้สำเร็จ ภัทรก็ถามถึงราคาทันที เนื่องจากเขาไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพวกของแบรนด์เนมเท่าไรนัก จึงสามารถคาดคะเนราคาคร่าว ๆ แต่ดูจากกล่องและถุงที่ให้มา มันคงมีมูลค่าน่าดู



                “ไม่ขอตอบแล้วกันครับ เอาเป็นว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจ”



                “เฮ้อ….ซื้อของแพงให้ผมอีกแล้ว”



                “จะถูกจะแพงมันไม่สำคัญหรอกครับ ถ้าอยากให้ก็คืออยากให้”



                “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี….งั้นคุณอยากเข้ามาในบ้านก่อนไหม มาดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้วแล้วค่อยกลับ”ภัทรเสนอ



                จากที่ตั้งใจจะให้คุณเขาเข้ามานั่งพัก ดื่มน้ำเย็น ๆ ให้หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับ ก็กลายเป็นว่าคุณภาสกรจะค้างที่บ้านภัทรหนึ่งคืนแทน ดังนั้นแผนการจึงถูกเปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปคอนโด ให้คุณเขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงเข้าบ้านใหญ่ พาภัทรไปทำความรู้จักกับครอบครัว ไปทานข้าวกันตามที่วางแผนเอาไว้



                “ให้ผมช่วยนะ” เมื่อขึ้นมาบนห้อง ภัทรที่เหลือบไปเห็นว่าคุณภาสกรกำลังง่วนอยู่กับการถอดเน็กไท ก็รีบขันอาสาจะปลดมันออกให้อย่างไม่คิดอะไร



                มือเรียวค่อย ๆ ปลดเน็กไทและรูดมันออกจากคอเสื้ออย่างเบามือ ภายในห้องนอนมีเพียงแค่เสียงผ้าเสียดสีและเสียงลมหายใจของเราสองคนเท่านั้น



                จังหวะที่กำลังรูดรั้งเน็กไทออก สายตาของภัทรก็ดันไปเจอะกับลูกกระเดือกของคุณภาสกรเข้าพอดี มันเป็นส่วนที่เขาก็มีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไม….พอมันเป็นของอีกฝ่าย มันกลับน่ามอง น่าสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก มิหนำซ้ำมันยังทำให้ภัทรใจเต้นแรงแปลก ๆ อีกด้วย



                ทำอย่างที่ใจคิด หลังจากถอดเน็กไทให้คุณเขาได้ ภัทรก็เผลอใช้นิ้วลูบตามรอยนูนเว้าของมัน ลูกกระเดือกของผู้ชาย มีกันทุกคน แต่ไม่ได้ขึ้นชัดเจนเหมือนกันทุกคน ส่วนของคุณภาสกรมันเด่นชัดมาก บ่งบอกความเป็นเพศชายได้เป็นอย่างดี ทันทีที่ได้สัมผัสมันอย่างที่ใจนึก ภัทรก็เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะรีบผละออกเมื่อได้สติ



                “ขอโทษครับ….” ภัทรว่าเสียงแผ่ว รีบหลุบตามองพื้น ใบหน้าของเขาเริ่มร้อนฉ่า หลังรู้ตัวว่าตัวเองเพิ่งทำอะไรลงไป



                “……”



                ”คุณอาทิตย์!” ภัทรเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงหลง หลังเขาถูกคุณภาสกรอุ้มจนตัวลอยพื้น คุณเขาอุ้มร่างภัทรตรงไปยังเตียงและวางภัทรลงบนตักของตัวเอง ทำให้ตอนนี้เราอยู่ใกล้ชิดกันจนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้



                “ร้ายนักนะ เมื่อกี้ยั่วกันเหรอ” คุณภาสกรว่าพร้อมยิ้มอย่างกรุ้มกริ่ม



                “ผมเปล่า” และเมื่อภัทรปฏิเสธ คุณภาสกรก็เลิกคิ้วสูง ทำทีไม่เชื่อในคำตอบของเขา นั่นทำให้ภัทรต้องขยายความ ก่อนที่คุณเขาจะเข้าใจผิด คิดว่าเขายั่วจริง ๆ



                “เมื่อกี้ผมก็แค่อยากลองจับดูเฉย ๆ พอดีเห็นลูกกระเดือกคุณชัดดี”





                “เหรอครับ….งั้นผมขอลองของคุณบ้างจะได้ไหม” คุณภาสกรไม่เปล่า แต่ยังทำท่าจะจับอีกด้วย ทว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกกระเดือกของภัทร แต่เป็นการลูบไล้บริเวณต้นขาของเขาต่างหาก ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนตักหนีบขาหนีแทบไม่ทัน



                “คุณอาทิตย์….”



                “ฮ่า ๆ ที่รักผมก็แค่แกล้งเล่นน่า” คุณเขาหัวเราะร่วน ถูกใจนักที่แกล้งภัทรได้



                ความเงียบเข้าปกคลุมเราสองคนอีกครั้ง เมื่อภัทรถูกคุณภาสกรดึงมือข้างหนึ่งไปแนบข้างแก้มเจ้าตัวเอาไว้ อีกฝ่ายก็จูบที่ฝ่ามือภัทรอย่างแผ่วเบา ท่าทีอ่อนโยนของคุณเขาทำเอาคนรับสัมผัสรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูกและมันก็มาพร้อมกับอารมณ์บางอย่างที่ห่างหายไปนาน



                “คิดถึงเหรอครับ” ภัทรถาม



                “ใครไม่คิดถึงกัน”



                “…...”



            “เมียทั้งคน” เพราะคำพูดคำจานั้น….ทำให้คนที่เป็น‘เมีย’ถึงกับเผลอยิ้มออกมา



                ภัทรปล่อยให้มือตัวเองแนบแก้มคุณภาสกรนานนับนาที ก่อนที่เขาจะขยับตำแหน่งนิ้วหัวแม่มือไปสัมผัสที่ริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา ภัทรใช้นิ้วถูวนบนริมฝีปากของคุณเขาซ้ำ ๆ จนกระทั่งนิ้วหัวแม่มือนั้นถูกขบด้วยเรียวฟันโดยคุณภาสกร



                แค่มองตาก็รู้ใจ เพียงแค่เราสบตากัน เพียงแค่ภัทรได้เห็นสายตาของคุณภาสกรในตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเราต่างคนต่างมีความต้องการเหมือนกัน เท่านั้นความอดทนของภัทรก็สิ้นสุดลงและเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายผลักคุณภาสกรลงเตียง



                “เริ่มเองเลยเหรอครับ” คุณภาสกรถามพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างกับตัวร้ายในละคร



                “ก็คุณน่ะลีลา ไม่ยอมทำอะไรสักที”



                “……”



            “ผมรู้นะว่าคุณเองก็อยากเอาผมเหมือนกัน”





ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :o8: :o8: กรี๊ดดดดดด!!

น้องภัทรเริ่มก่อนเลยหรอ น่ารัดมากกก

ไปเจอคุณแม่ก็สู้ๆ ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี

แต่มีลางว่าครั้งนี้จะราบรื่นนะคะ
 :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โอ้โห

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ภัทร คนใหม่5555  แซ่บบบ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ความแซ่บไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด