Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)  (อ่าน 12683 ครั้ง)

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๓
การปะทะกันของเอสเปอร์กับโจรสลัด

   ทำไมในสถานที่เกิดเหตุวางระเบิดถึงมีภาพของเจ้าหญิงเฟรเซียตกค้างอยู่ แล้วเสียงเด็กหนุ่มที่เขาได้ยินนั่นมันอะไรกัน จริงๆแล้วในวันที่เกิดระเบิดมันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบแค่การหาตัวคนร้าย แต่น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นด้วย ด้วยวิสัยอย่างกิลเบิร์ตเจอปัญหาคาใจตรงหน้าย่อมไม่อาจปล่อยวาง ดังนั้นเขาจึงขอลุดวิกไปสำรวจพื้นที่ที่ปรากฏในมโนทัศน์ของเขายามใช้ไซโคเมทรี่

ตอนแรกเขานึกว่าลุดวิกจะยินยอมอย่างว่าง่ายเพราะเป็นผลประโยชน์ที่ฝ่ายนั้นมีแต่ได้กับได้ แต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับยืนกรานห้ามไปโดยเด็ดขาด

“ทำไมล่ะ! นี่เป็นเรื่องดีออก!” กิลเบิร์ตโวยวาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลุดวิกจะต้องห้าม นี่เป็นโอกาสสาวไปถึงตัวต้นเรื่อง ซึ่งมีโอกาสสูงว่าจะเป็นเจ้าชายอ๊อตโต้ มีอะไรไม่ดีตรงไหน! เจ้าถังขยะดื้อด้านนี่!

“ยังต้องให้บอกหรือ ฉันขอสั่งให้เธอนั่งๆนอนๆอยู่ในบ้าน อยากไปเที่ยวที่ไหนให้บอกเบนจามิน ถ้าเงินไม่พอฉันจะเซ็นเช็คไว้ให้” ลุดวิกตีสีหน้าเคร่งเครียด จู่ๆเขาก็นึกภาพที่กิลเบิร์ตจะไปวิ่งฝ่าระเบิดหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองขึ้นมาซะงั้น แม้จะเจอะเจอกันไม่นาน แต่จากเรื่องคราวก่อนแค่นี้ก็มากพอที่จะบ่งบอกนิสัยใจคอ คนๆนี้ไม่ใช่คนรักสงบอย่างแน่นอน เจ้าแมวอันตรายตัวนี้ควรเก็บให้มิดชิดไว้ในบ้าน ถ้าปล่อยไปต้องถลอกปอกเปิกกลับมาแน่ “ฉันต้องบอกให้เธอเข้าใจนะว่า ฉันแค่ขอให้เธอมาเป็นภรรยาเพื่อตัดปัญหาเรื่องตระกูลเกอเจ้น ไม่ได้ขอให้เธอมาทำหน้าที่เอสเปอร์สืบราชการลับ อยู่อย่างสงบที่บ้านเถอะ! กิล!”

“อะ...” โดนอีกฝ่ายร่ายยาวใส่ทั้งยังเรียกชื่อห้วนสั้นเสียจนน่าตกใจ ทำเอาเจ้าแมวเถื่อนเสียศูนย์ไปเหมือนกัน แต่ถ้าแค่นี้ยอมก็เสียทีที่เคยเป็นนายพลของเทสล่าแล้ว! “ไม่ดี! ทำแบบนี้ฉันก็เป็นไอ้งั่งไร้ประโยชน์น่ะสิ! ฉันอยากช่วยคุณนะ! นี่ฉันเป็นภรรยาคุณนะ ทำไมกีดกันฉันล่ะ!” พอจนตรอกก็ทำเสียงอ่อนลากเอาสถานะภรรยามาอ้าง เรียกได้ว่าหน้าไม่อายพอตัวจนลุดวิกนึกปวดขมับ

   ช่างเป็นการอ้างที่เอาแต่ใจตัวเองจริงๆ!

“เพราะเป็นภรรยาถึงต้องห้ามปราม มีสามีที่ไหนส่งภรรยาตัวเองไปรบแนวหน้า จะบ้าเรอะ!” ว่าพลางก็กดหัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามลงกับเก้าอี้ จ้องเขม็งทั้งยังหน้าบึ้งเสียจนกิลเบิร์ตนึกหวั่น ลุดวิกนี่นับวันจะยิ่งแสดงความเอาจริงเอาจังมากขึ้นทุกที หมอนี่ต้องแก่เร็วแน่! “เอาเป็นว่าฉันอยากให้เธอรู้สึกสบาย นอนมากๆ กินเยอะๆ แล้วก็รอฉันกลับมาทานข้าวเย็น ส่วนถ้าอยากช่วยฉัน...”

“หืม?” เงยหน้าจ้องอย่างงงๆ เห็นก็แต่รอยยิ้มแสยะไม่น่าไว้วางใจของอีกฝ่าย และตอนนั้นเองที่ลุดวิกก้มลงมาจูบที่ข้างแก้มของเขา น้ำเสียงหยอกล้อดังอยู่ข้างหูชัดเจน

 “ถ้าอยากช่วยฉัน เธอก็แค่ขึ้นไปรอฉันอย่างสงบเสงี่ยมบนเตียงก่อนเข้านอนก็พอ”

“หา!” วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตเบิกตากว้างก่อนจะถลึงตาใส่เจ้าคนหน้าไม่อายอย่างเดือดดาล “พ่อคุณสิ! เจ้าถังขยะหน้าด้าน!”

   กิลเบิร์ตตะคอกเสียงดังก่อนจะไล่ลุดวิกลงบันไดไปอย่างเดือดดาล ฝ่ายคุณสามีถังขยะเอียงคอยักไหล่พลางคลี่ยิ้มเงยหน้าขึ้นไปบนห้องก่อนจะส่ายศีรษะเชื่องช้า ลึกๆแล้วเขาย่อมดีใจที่กิลเบิร์ตอยากช่วยเหลือเขาแม้ว่านั่นจะเจือผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยก็ตาม แต่ไม่ว่าจะคิดสรตะอย่างไรการให้คนที่ตนเองควรดูแลไปทำอะไรเสี่ยงแบบนั้นมันช่างขัดต่อมโนธรรมและยิ่งด้วยศักดิ์ศรีนายทหารค้ำคอ ถึงตายก็ยอมลงให้ไม่ได้! 

“เธอควรเข้าใจว่าฉันไม่ได้คิดจะรีดผลประโยชน์จากเธอจนแห้งตายหรอกนะ” ลุดวิกเอ่ยเบาๆขึ้นและเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสองอีกครั้ง แค่เพียงขอแกมบังคับให้อีกฝ่ายยอมเป็นภรรยานี่ก็ถือว่าหนักหนามากพอแล้วสำหรับเขา “เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนั่นล่ะ”

เพราะฉัน จะปกป้องเธอเอง

สุดท้ายลุดวิกตัดใจจากความอาวรณ์ลึกๆในอก เดินออกมาทางห้องโถงกลางบ้าน ในตอนที่เขาลงมาก็เจอคาร์ลยิ้มแป้นแล้นยืนรออยู่แล้ว

“เป็นคุณผู้หญิงที่อันตรายจริงๆนะ สงสัยจริงๆว่านายไปเก็บมาจากไหน” คาร์ลกอดอกถามเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่ แม้ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเรื่องอะไรแต่ก็ชี้ชัดว่ากิลเบิร์ตไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมแน่ เอาเข้าจริงคนที่เจอยาปลุกอารมณ์ขนานแรงแบบนั้นเข้าไปแต่ยังรอดมาได้แบบนี้ ต้องถือว่ามีดีอย่างมากทีเดียว “ว่าไง?”

“ข้างถนนไง” ลุดวิกตอบตามตรง เพียงแต่ว่าคำตอบนี้ในสายตาของคาร์ลมีเพียงคนโง่ไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่จะเชื่อ ใครจะไปคิดว่าเขากำลังพูดความจริงกัน “บังเอิญเก็บได้ข้างถนน”

“นายนี่คิดว่าคนอื่นโง่มากหรือไง โกหกสั่วๆแบนี้ใครเขาจะเชื่อ ตั้งใจโกหกหน่อยสิ!” คาร์ลเถียง   

“ฉันพูดความจริงต่างหาก ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ไปกันได้แล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะ” หยิบเสื้อโค้ทมาสวมแล้วก้าวเดินมาดมั่นออกไปตามปกติวิสัย “ติดต่อคนๆนั้นไว้หรือยัง ทางสะดวกไหม”

“เรียบร้อย น่าจะไปถึงที่นัดหมายตามนัดนั่นล่ะ” ตอบพลางโค้งคำนับยามเพื่อนเก่าคนนี้เดินผ่านหน้าตนเอง “ทำไมถึงอยากให้นัดคนๆนี้ล่ะ?”

“ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว” ลุดวิกตอบพลางเชิดใบหน้าก้าวต่อไปโดยไม่เหลียวหลังเลยสักแวบ

   ฝ่ายกิลเบิร์ตหลังจากชะเง้อคอมองรถของลุดวิกที่วิ่งออกจากบ้านไปแล้วเขาก็เริ่มอยู่ไม่สุข เรื่องอะไรจะยอมเฝ้าบ้าน อยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่เพียงจะอกแตกตาย ทั้งยังจะเบื่อตายอีกด้วย อันที่จริงกินๆนอนๆทำตัวเป็นคุณนายใช้เงินมือเติบก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าสนไม่หยอก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนั้นเสียหน่อย บนดาวดวงนี้มีอเล็คเซ่ ข้างนอกมีอารอน ชีวิตเขาตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายเชียวนะ ที่สำคัญเขารู้สึกคาใจภาพในนิมิตที่เห็นมาก   

   หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุระเบิด กลับเป็นตัวเขาเองที่ยิ่งทวีความประหลาดใจกับความทรงจำของสถานที่ๆเขาตรวจสอบได้ น่าแปลกมากที่เจ้าของความทรงจำนั่นดันทิ้งข้อความไว้ คนๆนั้นไม่ควรรู้ว่าจะมีใครมาอ่านข้อความของตนเองพบ แต่กลับยังขอทิ้งไว้ ราวกับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่สามารถทำได้ และการขอความช่วยเหลือนี่ก็คือการขอความช่วยเหลือต่อผู้มีพลังจิตเท่านั้น คนทั่วไปยังไงก็ไม่มีทางตรวจพบ ช่างเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สิ้นหวังจริงๆ

   งั้นหมายความว่าบนดาวดวงนี้นอกจากเขาแล้วยังมีเอสเปอร์อยู่อีก? แต่เอสเปอร์ที่หลบซ่อนบนดาวดวงนี้กลับเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารลุดวิก ทั้งยังอาจเกี่ยวกับเจ้าชายอ๊อตโต้ เจ้าหญิงเฟรเซีย กับอเล็คเซ่ เรื่องราวดูจะซับซ้อนไม่ง่ายเลย เขารู้ดีว่าลุดวิกคงจะไปสืบเรื่องของเจ้าหญิงเฟรเซียอย่างละเอียดแน่ๆ แต่ตัวเขาก็ยังอยากรู้บางอย่างอยู่ดี ซึ่งหากไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่มีวันได้ลูกเสือหรอก

   ว่าแล้วกิลเบิร์ตก็เดินไปที่กระจก ส่องดูตัวเองสองสามรอบก่อนจะตัดสินใจใช้พลังจิตเปลี่ยนแปลงระบบของร่างกายตนเองเล็กน้อย เคลื่อนมวลกล้ามเนื้อ กระดูก และแม้แต่ลดทอนอายุ

   พริบตาร่างที่ปรากฏตรงหน้าก็กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปดปี ผมบลอนด์ทอง ดวงตาสีเขียวมรกตแพรวพราว แม้ใบหน้ายังมีเค้าโครงเดิม แต่ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนนี่จะเป็นคนเดียวกับกิลเบิร์ตเล่า!

“ใช้ได้เลย!” กิลเบิร์ตบอกกับตัวเองเพราะนี่ย่อมเป็นการยืนยันว่าเขายังไม่สมควรเกษียณอย่างที่อารอนปรามาสไว้ อย่าได้คิดว่าเอสเปอร์คนไหนก็ทำแบบเขาได้ การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมและระบบเซลล์ในร่างกายเป็นศาสตร์ชั้นสูง หากไม่ใช่คนระดับกิลเบิร์ต ยากนักที่จะฝืนดันทุรัง

   เมื่อปลอมตัวแล้วต่อมาก็คือการหนี ซึ่งแน่นอนอีกล่ะว่าเมื่อคิดจะใช้พลังจิตแล้วการเทเลพอร์ตเป็นความสามารถพื้นฐานที่สะดวกสบายมาก เพราะเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกลับสายตาคนในย่านเดิมที่ตัวเขาเคยเตร่ในช่วงสามวันแรกที่มาที่นี่แล้ว พอใช้พลังตรวจสอบผังเมืองก็สามารถคาดเดาได้ว่าตนเองควรไปที่ไหน และที่ๆเขาเลือกจะไปตอนนี้ก็คือ บ้านหลังหนึ่ง คฤหาสน์สีขาวโพลนตั้งอยู่บนเชิงในหมู่บ้านชนบท นั่นคือภาพที่ปรากฏในสมองยามที่ใช้ไซโคเมทรี่

   ถึงเทเลพอร์ตจะสะดวกแต่มันก็คือการกะระยะตำแหน่งด้วยจิต ไม่ใช่เวทมนตร์ กิลเบิร์ตย่อมไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปปรากฏตัวในที่ๆเขาไม่รู้จักได้ ดังนั้นสุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพายานพาหนะ เริ่มจากการใช้เงินที่ได้มาจากคุณสามีโบกรถสาธารณะปะปนไปกับผู้คนเดินทางออกนอกเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์พักร้อนของตระกูลๆหนึ่ง...ตระกูลเกอเจ้น

   จากการตรวจสอบของลุดวิก นั่นคือภาพคฤหาสน์เก่าของตระกูลเกอเจ้น

   ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงเขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆชานเมืองที่รายล้อมด้วยป่าเขาและการทำเหมืองเกลือ ผู้คนใช้ชีวิตปกติสุข ไม่มีอะไรผิดแผก กิลเบิร์ตสอบถามจนได้ความว่าจุดหมายของเขานั้นคือสุดปลายหมู่บ้านที่รกร้างผู้คน แต่ใกล้กับพื้นที่ทำเหมืองอย่างยิ่ง ไม่รอช้าเมื่อกำหนดเป้าหมายเขาก็เทเลพอร์ตต่อไป เพียงแต่ว่าแทนที่จะสามารถเข้าไปในอาณาบริเวณของเหมืองได้ กลับร่วงตกลงมาซะงั้น

“เอ๋?” กิลเบิร์ตนึกประหลาดใจ เขาใช้พลังไม่ได้ในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนั้น มีบาเรียกันคลื่นพลังรายล้อมที่นั่นอยู่ น่าแปลกอย่างมาก “ใครกางบาเรีย?”

   ในชานเมืองแบบนี้ ซ้ำยังเป็นดาวดวงนี้ ทำไมถึงได้กางบาเรียปิดกั้นคลื่นพลังของเอสเปอร์ นี่มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า

“แล้วจะเข้าไปยังไงล่ะนี่” เกาศีรษะใช้ความคิด เดินไปเดินมาปะปนอยู่กับผู้คน และในตอนที่กำลังคิดไปคิดมาอยู่นั่นแหละที่กิลเบิร์ตกลับพลาดเดินชนใครบางคนเข้าจนตัวเขาเกือบกระเด็น แต่ใครบางคนนั่นกลับใช้แขนฉุดตัวเขาไว้ ซ้ำร้ายยังดึงเข้าไปแนบชิดกลางอก “เดี๋ยว!”

“ไม่เห็นจะต้องรังเกียจขนาดนั้นเลยนี่ครับ กิลเบิร์ต” เจ้าของเสียงเย็นเยียบขี้เล่นแต่แสนสุภาพนั่นเอื้อนเอ่ยพลางยิ่งจับกิลเบิร์ตอิงแอบแนบชิดในอกของเขา ซ้ำร้ายมือไม้ยังไม่มีพลาดขอจับนิดต้องหน่อยเจตนาลวนลามชัดเจน

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตเงยหน้ามองอีกฝ่ายก่อนเบิกตาโพลง ก็นี่มันอเล็คเซ่ เจ้าโจรสลัดผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าชายอ๊อตโต้ ทำไมมาอยู่แถวนี้ ไม่สิ ตอนนี้เขาปลอมตัวอยู่นะ!

“บ้าน่า! นี่นายรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน!” กิลเบิร์ตผวาสุดตัวพยายามดิ้นหนีแต่อเล็คเซ่กลับยังไม่ยอมปล่อย เขายิ้มอย่างเอ็นดูและก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าปกติอย่างน้อยสิบปีของอีกฝ่าย

“ถ้าเป็นคุณล่ะก็ไม่มีทางมองผิดครับ ก็ผมชอบคุณมากนี่นา” อเล็คเซ่คลี่รอยยิ้มและยิ่งจะฉวยโอกาสขอหอมฟัดอีกฝ่าย แต่กิลเบิร์ตกลับหันหน้าหนีอย่างขยะแขยง ถึงตายก็ไม่ยอมถูกอเล็คเซ่เอาเปรียบอย่างเด็ดขาด

“ไร้สาระ! ปล่อยนะ!” สุดท้ายด้วยความหงุดหงิดสุดใจจึงกระทืบเท้าลงหมายเหยียบอีกฝ่าย แต่อเล็คเซ่กลับฉวยโอกาสนั้นปล่อยเขาอย่างปัจจุบันทันด่วนจนกิลเบิร์ตเกือบหงายหลังหน้าคว่ำ เคราะห์ดีว่ายังทรงตัวได้ไม่ล้มหน้าฟาดพื้น “แกล้งกันงั้นเรอะ!”

“คุณสั่งให้ปล่อยผมก็ปล่อยแล้วไงครับ ทำไมมองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นเล่า ว่าแต่ ไม่ใช่ว่ากำลังเดือดร้อนอยู่หรือครับ” เอียงคอยิ้มถาม เขามองกิลเบิร์ตในสภาพหนุ่มน้อยแล้วก็อดชื่นชมความน่ารักน่าชังนี่ไม่ได้ ซ้ำในรูปลักษณ์ผมทองตาสีเขียวมรกตนี่ก็นับว่าแปลกตาไม่เลว น่ามองจริงๆ “นี่กิลเบิร์ต คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ กำลังอับจนที่หาทางเข้าไปในคฤหาสน์นั่นไม่ได้หรือเปล่า ให้ผมช่วยไหม” เข้าประเด็นอย่างชัดเจนจนคนฟังนิ่วหน้านึกอยากด่าเหลือเกิน

   ถ้าหมอนี่มายิ้มปลื้มปริ่มอยู่แถวนี้ ไม่ใช่ว่าไอ้คนที่กางบาเรียดักเขาไว้คือเจ้าอเล็คเซ่นี่หรอกหรือ! สร้างปัญหาให้แล้วมาคิดบุญคุณ ไร้ยางอายจริงๆ!!

“ให้นายช่วยก็ถูกปอกลอกหมดตัวพอดี!” โวยวายบอกอย่างคั่งแค้น หนี้เก่าระหว่างกันมันใหญ่หลวงนัก คิดว่าจะมาทำดีไถ่โทษได้หรือไง “อีกอย่างนายน่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้หรอกเรอะ คนที่ใช้เครื่องกางบาเรียปิดกั้นพลังจิตของฉัน ก็ไม่ใช่ว่าเป็นนายเองหรือไง เหอะ! เจ้าคนไร้ยางอาย!” ตัวเองนั่นล่ะเป็นลาสบอส แต่ตอนนี้มาเสแสร้งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด โจรสลัดนี่มันไม่น่าคบหาจริงๆ

   เพียงแต่ว่า ต่อให้รู้ความจริงจนปรุโปร่งแค่ไหน อเล็คเซ่เองก็ใช่ว่าไม่รู้จักกิลเบิร์ต เขาย่อมรู้ว่าอดีตท่านนายพลแห่งเทสล่าผู้นี้มีนิสัยอย่างไรตอนบัญชาการรบ และนิสัยบ้าบิ่นเกินตัวนี่ก็คือพื้นฐานที่กอปรเป็นตัวเขาถึงแก่นแท้ ดังนั้นหลังจากนิ่งฟังกิลเบิร์ตชี้หน้าด่าบ่นอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นทอดถอนใจก่อนจะยิ้มเยาะขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยตัวเองที่ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจอะไรแบบนี้

“ว่าไงครับ ตกลงคำตอบคืออะไร คุณจะไปดื่มชากับผมที่คฤหาสน์ใช่ไหมครับ” เอียงคอคลี่ยิ้มอีกครั้งพลางยื่นมือส่งให้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นปรายสายตามองเหยียดอย่างถือตัวสุดๆ

“ไปก็ไป ไหนๆก็โง่แล้วนี่ ลองโง่ให้สุดๆไปเลยละกัน ขอชาแพงๆด้วยนะฉันเรื่องมากน่ะ!” นั่นก็คือคำตอบของกิลเบิร์ตที่อเล็คเซ่คาดไว้แล้วอย่างแม่นยำ

   อเล็คเซ่คิดว่าเขารู้จักกิลเบิร์ตดี ในฐานะคนที่เดินผ่านไปมาในสมรภูมิอวกาศนี้ มีผู้คนมากมายที่เขารู้จัก บ้างก็เป็นตำรวจ บ้างก็เป็นประธานาธิบดี บ้างก็เป็นคนเร่ร่อน และบางคนก็เป็นท่านผู้หญิงของเทสล่า นั่นก็คือกิลเบิร์ตคนนี้

   ยามที่พบกันครั้งแรกเขาประทับใจในสีหน้า แววตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนๆนี้ มันช่างดูเหมาะเจาะสวยงามลงตัวไปเสียหมด ยิ่งเก่งกาจสง่างามก็ยิ่งทำให้เขาใจเต้นระทึกตื่นเต้น นึกอยากเก็บทุกสิ่งของคนๆนี้มาสะสมอยู่ข้างตัว ทุกวันทุกคืนได้แต่จินตนาการว่า ถ้าได้ดมเส้นผมนั่นล่ะ ได้จูบดวงตาแวววาวและริมฝีปากช่างพูดนั่นล่ะ แล้วถ้าได้ลูบสัมผัสผิวเนื้อ และหากได้ล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายนั่นล่ะจะรู้สึกดีขนาดไหน นับตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ เขาไม่เคยรู้สึกอยากได้อะไรมากมายเท่านี้มาก่อน เพียงแต่ว่า สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าเป็นข้อเสียของอีกฝ่ายก็คือ...สามี

“เพราะรู้จักกันตั้งแต่อายุยังน้อยก็เลยจับพลัดจับผลูแต่งงานกับเขารึครับ” อเล็คเซ่ชวนคุยขณะที่เขาพากิลเบิร์ตในสภาพหนุ่มน้อยเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ทั้งที่ถือว่าเป็นการเชื้อเชิญศัตรูเข้าบ้าน แต่อเล็คเซ่นั้นไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจและต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คือตัวกิลเบิร์ต

   จะเสียอะไรไปก็ช่าง ขอให้ได้กิลเบิร์ตมาก็พอ

“อย่าพูดถึงหมอนั่นอีก ไม่อยากได้ยิน” กิลเบิร์ตตอบอย่างเย็นชายามที่อีกฝ่ายเปิดบทสนทนาเรื่องสามีเก่า เขาเดินตามอเล็คเซ่มาอย่างเว้นระยะห่าง สังเกตมาตลอดทางว่าหมอนี่ได้รับความเคารพนบนอบจากคนรับใช้อย่างมากราวกับเป็นเจ้าของแทนตระกูลเกอเจ้น แบบนี้คงตอบโจทย์ได้แล้วว่าอเล็คเซ่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเจ้าชายอ๊อตโต้ “นายก็เถอะมาทำอะไรที่นี่ เจ้างั่งนั่นมีอะไรให้เก็บเกี่ยวหรือไง” นั่นย่อมหมายถึงเจ้าชายอ๊อตโต้

“มีอยู่สองสามอย่างครับ แต่ว่านะ ถ้าคุณยอมไปกับผม จะยอมคืนให้ดาวดวงนี้สักอย่างก็ได้นะครับ” คำพูดนั้นเอ่ยพอดีกับที่พวกเขาเดินเข้ามาถึงห้องโถงเล็กของคฤหาสน์ “นี่กิลเบิร์ต คุณก็รู้ว่าผมปกป้องคุณได้ ชื่อเสียงของผมโด่งดังจนอดีตสามีคุณยังต้องเกรง หากคุณมากับผม ผมสัญญาว่าจะปกป้องคุณ และดาวดวงนี้ก็จะไม่ล่มสลายด้วย สามีกำมะลอของคุณก็จะได้รับผลดีด้วยนะครับ”

   ในตอนนั้นที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง อเล็คเซ่สาวเท้าเข้ามาหาอีกฝ่าย ส่วนกิลเบิร์ตนั้นยืนนิ่งพิงผนังอยู่ เขารู้ว่าเรื่องที่อเล็คเซ่พูดมีน้ำหนักมาก ในระหว่างที่ลุดวิกยังต้องดิ้นรนอยู่กับตำแหน่งเจ้าอาณานิคม แต่อเล็คเซ่สามารถทำได้มากกว่านั้น เพียงแต่ว่าหากเขาจะตัดสินใจแบบนี้จริงๆก็คงไม่ดั้นด้นมาดาวดวงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

   คิดพึ่งพิงคนอันตรายแบบนี้ มีแต่เสียจนหมดเนื้อหมดตัว!

   เอาเถอะ...เขาจะลืมว่าตัวเองก็เสียตัวให้ลุดวิกไปเหมือนกันละกันนะ

“ว่าไงครับ” อเล็คเซ่สาวเท้าเข้าหาและใช้แขนทั้งของข้างกักตัวกิลเบิร์ตเอาไว้ มองจ้องคนตรงหน้าด้วยดวงตาอารีอย่างที่ไม่เคยมอบให้ใคร “ถ้าคุณเอาแต่เงียบ ผมจะถือว่าคุณเห็นตรงกันนะครับ” เขายังคงยิ้มและเลื่อนใบหน้าเข้าหาคลอเคลียกับเส้นผมของกิลเบิร์ต ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร รูปลักษณ์แบบไหน ขอให้เป็นคนๆนี้เขาก็ชอบทั้งนั้น

   เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตกลับต้องหัวเราะชืดชา อเล็คเซ่หนออเล็คเซ่ หากนายเป็นคนดีขนาดนั้นจริง จักรวาลนี้คงโดนแบล็คโฮลกลืนกินเข้าสู่ยุคมืดไปหมดแล้ว!!

“นี่นายรักฉันมากเลยนะ ถึงขนคนมาล้อมจับฉันขนาดนี้”

“!”

“ออกมาเถอะน่า พลพรรคโจรสลัดตัวดีของนายน่ะ!” ในตอนนั้นเองที่จุ่ๆกิลเบิร์ตก็เพิ่มพลังจิตของตนเองจนดวงตาแดงก่ำ กระแสพลังทำให้หลอดไฟในห้องตกแตกกระจาย ในขณะที่กระแสลมแรงพัดทุกสิ่งกระเจิดกระเจิงระเบิดเอากลุ่มคนนับสิบที่หลบอยู่หลังผนังไฟเบอร์แผ่นบางพวกนี้ออกล้มลงกองระเนระนาด คนพวกนี้ก็คือสมาชิกกลุ่มโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!

   เมื่อเห็นสมาชิกโจรสลัดนับสิบกิลเบิร์ตก็แสยะยิ้มกอดอกปรายสายตามองไปยังคู่กรณีอย่างหาเรื่องหาราว มันแปลกแต่แรกแล้วที่คฤหาสน์นี้จะเงียบสงัดขนาดนี้ เดาได้เลยว่าอเล็คเซ่วางแผนจะลอบทำร้ายเขา

“จริงใจสุดๆไปเลยนะ อเล็คเซ่” กิลเบิร์ตบอก ทว่า อีกฝ่ายกลับยังยิ้มแย้มไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนที่ถูกจับไต๋ได้

“ก็ถ้าคุณตกลงใจ ผมจะได้ให้พวกเขาพาคุณขึ้นยานไปเลยไงครับ ไม่คิดว่าสะดวกดีหรือ” ในจังหวะที่พูดนั่นสมัครพรรคพวกก็หยิบปืนเลเซอร์มาจ่อประชิดฝ่ายตรงข้ามไปด้วย ดูแล้วกิลเบิร์ตยิ่งรู้สึกได้ถึงความโคตรไม่จริงใจ

“โฮ่! ไม่ใช่จะจับฉันส่งเจ้าชายอ๊อตโต้ ไม่ก็เอาฉันไปขึ้นค่าหัวกับอารอนหรอกนะ เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือ!” ไม่พูดพร่ำทำเพลงกิลเบิร์ตก็ใช้มือขวาสร้างคมดาบแสงขึ้น เมื่อเขายกแขน คมดาบแสงนับสิบก็พุ่งลงมาจากความว่างเปล่ากระหน่ำใส่พวกโจรสลัด ฝ่ายอเล็คเซ่นั้นยิงปืนสนามพลังขึ้นกางบาเรียปกป้องคนของตน ส่วนมือซ้ายนั้นกระชากแส้ที่เอวฟาดออกไปเบื้องหน้า

   แส้ของอเล็คเซ่ไม่ใช่แส้ธรรมดา มันคือแส้ที่ถักทอจากสินแร่ที่ทนทานที่สุดในจักรวาล ณ ตอนนี้ มีคุณสมบัติต้านสนามพลังของเอสเปอร์ และแหลมคมยิ่งกว่าแสงเลเซอร์เสียอีก ดังนั้นเมื่อมันสะบัดออกไป กิลเบิร์ตจึงต้องสร้างบาเรียขึ้นคุ้มครองตนเอง

“ขนาดผมกางสนามพลังในคฤหาสน์นี้ คุณกลับยังใช้พลังจิตได้ คุณนี่ยอดไปเลยนะครับ” อเล็คเซ่เองก็นึกสงสัย ทั้งที่เครื่องสร้างบาเรียปิดกั้นพลังของกิลเบิร์ตจากข้างนอกได้ แต่ทำไมภายในถึงทำไม่ได้ ปรากฏว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะตอบ

“เจ้าโง่เอ๊ย นายคิดว่าระหว่างข้างนอกกับข้างใน ศูนย์ถ่วงพลังมันเหมือนกันรึไง!”

“!”

“ขอบคุณนะ ที่พาเข้ามาถึงที่!” กิลเบิร์ตเฉลย แน่ชัดว่าเขาแกล้งตกหลุมพรางเลยตามเลยเดินเข้ามาในวงล้อมของพวกโจรสลัด แต่ในความเป็นจริงคนที่รู้ดีถึงจุดอ่อนของเครื่องสร้างสนามพลังพวกนี้กลับเป็นตัวเขาเอง “นายคิดว่ามีกี่คนแล้ว ที่คิดใช้บาเรียพวกนี้มาหยุดฉันน่ะ!”

“เยี่ยมเลยครับ” แสยะยิ้มอีกครั้ง ทว่า จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความโมโหโกรธาแม้สักนิด อเล็คเซ่เชื่อว่ากิลเบิร์ตของเขาต้องเก่งกาจประมาณนี้อยู่แล้ว “คุณเก่งขนาดนี้ ทำให้ผมใจเต้นจนแทบทะลุออกนอกทรวงอกเลยล่ะครับ”

   พริบตานั้นอเล็คเซ่กระโจนขึ้นและหวดแส้แหวกอากาศตัดเฟอร์นิเจอร์ในห้องขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนกิลเบิร์ตสาดคมดาบแสงเข้าใส่ ในจังหวะที่อเล็คเซ่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าปะทะนั่นเองที่จู่ๆกิลเบิร์ตกลับสร้างสนามพลังกระแสไฟฟ้าขึ้น การเสียดสีก่อให้เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่นอานุภาพหนักหนา ในท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั่นครั้นพออเล็คเซ่มองไปเบื้องหน้าอีกครั้ง กิลเบิร์ตก็หนีหายไปแล้ว

   ไม่ได้คิดปะทะตรงๆแต่แรก ก็แค่ต้องการเข้ามาสำรวจเท่านั้น นี่ก็คือความคิดของกิลเบิร์ต

“คุณนี่มัน เจ้าเล่ห์จริงๆนะครับ แต่ว่า...คุณหนีจากผมไปไม่ได้หรอก กิลเบิร์ตของผม”

   และตอนนั้นเองที่อเล็คเซ่ออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขา แม้ต้องทำลายคฤหาสน์หลังนี้ทิ้งทั้งหมด ก็ต้องลากตัวกิลเบิร์ตออกมาให้ได้


จบตอน

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
กิลเหยียบหน้าแม่งดิ นี่โจรสลัดหรือแมลงสาบ!!
 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๔
สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า

   ทันทีที่หันเหความสนใจของอเล็คเซ่ได้กิลเบิร์ตก็เทเลพอร์ตลงมาชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ในตำแหน่งที่เขาจับคลื่นพลังจิตได้ ด้านล่างนั้นทั้งมืดและเงียบมากแม้จะมีเครื่องเรือนสำหรับให้คนๆหนึ่งใช้ชีวิตประจำวันแต่ก็ถือว่าทรุดโทรมอ้างว้างอย่างยิ่ง ในตอนนี้เขาอดคิดไม่ได้ว่าใครกันหนอที่ถูกจองจำให้ใช้ชีวิตเช่นนี้ และเพราะอะไรจึงต้องทำร้ายกันอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ด้วย
เขาเดินวนในความมืดรอบถึงสองรอบก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองและกางสนามพลังขึ้น ในตอนนั้นเองที่เงาของใครบางคนถูกจับได้ เงานั้นกำลังวิ่งตัดผ่านเบื้องหน้าของเขา

“เห คิดว่าถึงขั้นนี้แล้วจะให้รอดไปงั้นเรอะ ตลกน่ะ!” ว่าพลางก็สาดคมดาบแสงเข้าใส่เงานั่น เจ้าของเงาร้องเสียงหลงก่อนจะกลิ้งขลุกๆไปกับพื้น ฝ่ายผู้บุกรุกสาวเท้าเดินหน้าก่อนจะกระชากเอาเจ้าร่างปริศนานั่นมาดูหน้าให้ถนัด และใบหน้านี้เองที่ทำให้เขาคลี่รอยยิ้มออกมา ใบหน้าที่คลับคล้ายคนรู้จักแต่อ่อนวัยกว่ามาก “ว้าว นึกว่าสาวงามที่ไหน แต่เป็นพ่อหนุ่มน้อยเองแฮะ” 

“ปล่อยนะ!” เด็กหนุ่มตวาดกลับพลางแผดเผาพลังจิตของตนเองจนประกายแสงสีเหลืองทองอาบร่าง เขาคิดจะโจมตีอีกฝ่าย แต่ตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตยื่นมือมากดหัวไหล่เขา ในพริบตาพลังทั้งหมดสูญสลาย “อะ! แก แกเป็นตัวอะไรกัน!”

“พูดจาเสียมารยาท เอาแค่เป็นใครมาจากไหนดีกว่าไหม สารรูปแบบนี้คิดจะโจมตีใส่ฉัน ไวไปหมื่นล้านปีแสงแล้วพ่อหนูไก่อ่อน!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มกวนโทสะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายพยายามเร่งพลังจิต แต่จะสักกี่ครั้งทุกอย่างก็ว่างเปล่า เห็นชัดว่าต่อหน้าผู้ชายคนนี้เขาก็คือคนธรรมดา “เลิกคิดเถอะ เธอควบคุมพลังตัวเองยังไม่ได้ พลังก็อ่อนมาก ด้วยฝีมือแบบนี้จะเอาชนะฉันได้ยังไง” นั่นคือความจริง พลังจิตของคนๆนี้จะมากน้อยยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆก็คือเขาไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นแบบแผน การใช้พลังจึงถูกกดข่ม กับมนุษย์ธรรมดาหมอนี่อาจดูเป็นปีศาจร้าย แต่กับเขา นี่ก็คือเด็กฝึกหัดดีๆนี่เอง

   เมื่อเห็นว่าหมดทางสู้ เด็กหนุ่มก็ถอยกรูดไปติดผนัง ท่าทางเลิกลั่กแต่ก็อยากรู้อยากเห็น ดวงตาสีฟ้าใสแจ๋วแหงนเงยมองคนตรงหน้าที่รูปลักษณ์แปลกประหลาดเคยพบเจอ ในชีวิตที่อาภัพอับโชคของเขา นี่ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างมาก

“น นายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่นี่! เป็นพวกเดียวกับพวกนั้นเรอะ!” พวกนั้นที่เขาว่าย่อมหมายถึงพวกอเล็คเซ่ แต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอะไร ในตอนที่เขาได้รับแจ้งว่าคนพวกนั้นจะมาอยู่ที่นี่ เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับและเก็บตัวไม่ไปวุ่นวายกับใครเท่านั้น แต่มาวันนี้เขาไม่วุ่นวาย แต่คนนอกกลับเข้ามาวุ่นวายเสียเอง “ถ้าใช่ ผม ผมไม่ได้ผิดสัญญานะ! อย่าทำร้ายเฟรย์นะ!”

   เฟรย์? นั่นย่อมเป็นชื่อของใครบางคน

“อย่าเอาฉันไปรวมกับเจ้าบ้าอเล็คเซ่นะ!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นมาพลางเกาศีรษะทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย แต่ครั้นพิศมองเจ้าหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ยิ่งต้องทอดถอนใจหนักขึ้น คนตรงหน้ามีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปด เป็นพ่อหนุ่มน้อยหน้าหวานผมสีทองสว่าง ดวงตาสีเขียว ทั้งสวยงามนุ่มนิ่มน่าจับต้องทั้งยังมีความสามารถพิเศษที่น่าสนใจ อีแบบนี้หนึ่งในของที่อเล็คเซ่มาตามที่นี่คงไม่พ้นหมอนี่แน่ “เหมือนกันจริงๆ เหมือนแบบไม่ต้องคิดเลย”

“เหมือน?”

“คนที่ขอให้ฉันมาช่วยเธอไง เอาล่ะ! ไปกับฉันซะถ้ายังไม่อยากถูกเอาไปขายซ่องในเนบิวล่ามืด!” จู่ๆเขาก็โพล่งประโยคแบบนี้ออกมาทำเอาเด็กหนุ่มเบิกตามองอย่างฉงน

   ทว่า...

“ซ่องคืออะไร?”

“เออะ...”

   เดดแอร์ชัดๆ...

   ประโยคเด็ดสำหรับชักชวนโน้มน้าวดันกลายเป็นประโยคตัดบทสนทนา

   กิลเบิร์ตทำหน้าปลาตายสุดๆมองเจ้าหนุ่มหน้าใสอ่อนต่อโลกที่ถามมาได้ว่าซ่องคืออะไรแล้วก็ทอดถอนใจเป็นรอบที่สาม เขากำลังคิดว่าตัวเองจะต้องอายุสั้นลงๆแน่ๆหากต้องคุยกับเด็กใสซื่อแบบนี้! หรือว่าเป็นเสียแบบนี้ถึงจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้มาช่วยกันนะ?

“คือสถานที่ๆพวกคนหื่นกามเข้าไปซื้อเซ็กซ์ คงไม่โง่ขนาดไม่เข้าใจใช่ไหมว่าเซ็กซ์หมายถึงอะไร” ถามต่อ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะตื่นๆมึนๆ เอาเข้าจริงกิลเบิร์ตคิดว่าใช้คำว่าโง่กับคนๆนี้ไม่น่าจะถูกต้อง นี่ควรเป็นคนประเภทที่ไม่ได้รับข้อมูลการศึกษาใดๆมาเป็นเวลานานจนตามใครไม่ทันมากกว่า ว่าแต่...สถานะแบบนี้มันคุ้นๆนะ “ไปกับฉัน ถึงจะเป็นภาระสุดๆ แต่ฉันจะช่วยเธอ”

“ช่วยผม? ทั้งที่เราไม่รู้จักน่ะเหรอ” นี่ก็เป็นคำถามที่ซื่อและตรงไปตรงมาจนกิลเบิร์ตบังเกิดความเอ็นดูขึ้นในหัวอก คนผมทองตาสวยที่ดูน่ารักน่าปลอบขนาดนี้ ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเคยเจอเป็นคนแรกใช่ไหม! แน่ล่ะ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกหัวทองที่ไม่น่ารักสักนิด!

“ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันก็ช่วยได้ เธอเป็นเอสเปอร์ เป็นพี่น้องของฉัน” กิลเบิร์ตตอบ แต่ไหนแต่ไรมาสำหรับเขาถือคติว่าคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ ยิ่งเป็นเอสเปอร์เขายิ่งรู้สึกว่าตนเองกับคนๆนั้นมีความเชื่อมโยงกัน หากไม่ได้ขัดแย้งกันด้วยเรื่องอื่น เขาก็อยากช่วย หากพวกอารอนไม่อยากให้เขาทำอะไรให้ก็เป็นเรื่องของคนพวกนั้น แต่กับเด็กหนุ่มที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายคนนี้ สมควรที่จะช่วยอย่างยิ่ง

   จักรวาลกว้างใหญ่ การได้พบพานใครสักคน พึงถือว่าเป็นวาสนา

“แต่...แต่ว่า...” ทว่า เด็กหนุ่มกับมีเพียงความลังเลเต็มไปหมด สำหรับเขาที่ถูกกักขังอยู่ในนี้มาครึ่งค่อนชีวิต จู่ๆมีคนแปลกหน้าหน้าตาประหลาดมาบอกว่าจะมาช่วยเหลือ นี่มันไม่น่าไว้วางใจที่สุดแล้ว เพียงแต่ว่าพอเขามองดูคนๆนี้ เห็นรอยยิ้มนี่ หัวใจมันก็พลันสุขสงบไปหมด รู้สึกว่าอยากจะเชื่อคนๆนี้เหลือเกิน “ผม เอ่อ...ไปไม่ได้ ถ้าผมไป น้องสาวของผม เอ่อ...”

“น้องสาวของเธอเป็นคนขอให้ฉันมาช่วยเธอ”

“!”

“เธอส่งข้อความบอกฉัน ยื่นมือมาสิ”

“อะ...” วินาทีนั้นเองที่เด็กหนุ่มส่งมือให้กิลเบิร์ต พวกเขาแนบฝ่ามือเข้าด้วยกัน พริบตาทั้งภาพและความทรงจำมากมายจู่ๆก็ล้นทะลักเข้ามาในสมองของเขา เขาเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส เสมือนประสบพบเจอกับตนเอง ก่อนจะทรุดลงกับพื้นใบหน้าแตกตื่น “บ้าน่า! นี่ไม่เห็นเป็นไปตามที่คุยกันเลย!” นั่นย่อมหมายถึงข้อตกลงระหว่างเขากับผู้อยู่เบื้องหลัง

“คนพวกนั้นหลอกใช้เธอกับน้องสาวไงล่ะ สิ่งที่เธอต้องทำไม่ใช่การอุดอู้เป็นเหยื่ออยู่ในนี้ เธอต้องออกไปช่วยเขา”

“ผม...”

   ในตอนที่เด็กหนุ่มยังคงมึนงงคิดอะไรไม่ออก จู่ๆในตอนนั้นเองเพดานชั้นบนพลันพังทลายลงมาตามด้วยห่าแสงเลเซอร์ ในพริบตานั้นแสงสีแดงที่ห่อหุ้มอาณาบริเวณนั้นพลันสาดส่อง บาเรียสนามพลังที่กิลเบิร์ตกางไว้ก่อนหน้านั้นดูดซับรังสีกลืนกินไปจนหมด แน่ล่ะว่าเด็กหนุ่มนิรนามค่อนข้างตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ทว่า ชายหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นยังมีท่าทีสงบนิ่ง ฉีกยิ้มมาดมั่นไม่หวั่นเกรง เขารู้สึกว่าดวงตาสีดำคู่นั้น ช่างน่าชมจริงๆ

“คุณนี่ไวจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็หาของเจอจนได้” เจ้าของคำพูดนั่นคืออเล็คเซ่ที่เดินฟาดแส้ออกมาจากในกลุ่มโจรสลัด เขาจ้องมองไปที่คู่กรณีพร้อมกับยิ้มหวานเชื่อมให้ ท่าทางคล้ายภูมิอกภูมิใจในฝ่ายตรงข้ามอย่างยิ่ง คนที่เขารักจะเก่งขนาดนี้เขาย่อมต้องชื่นชมอยู่แล้ว 

“มอบคฤหาสน์ให้กบดานพร้อมกับเอสเปอร์หนึ่งคน สงสัยจริงๆว่านายกับตระกูลเกอเจ้นทำข้อตกลงอะไรไว้กันแน่” กิลเบิร์ตถาม ถึงขั้นนี้แล้วไม่จำเป็นต้องปิดซ่อน ระหว่างอเล็คเซ่ ตระกูลเกอเจ้น และเจ้าชายอ็อตโต้ต้องมีผลประโยชนร่วมกันไม่เบาแน่ “คนที่คิดแผนการวางระเบิดรถม้าของลุดวิกคือนายสินะ” กอดอกถามอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง จิ๊กซอที่หายไปถูกเอามาต่อกันได้ครบแล้ว

“แล้วคุณคิดว่าใช่ไหมล่ะครับ” เอียงคอส่งยิ้มท่าทางไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย

“เพื่อจะใช้น้องสาวของเจ้าหนุ่มเป็นเครื่องมือ ตระกูลเกอเจ้นเลยจับเจ้าหนุ่มนี่มาขังไว้ในนี้ ส่วนนายคือคนที่สอนวิธีการใช้พลังให้กับคนร้าย เพื่อจะได้ใช้ให้ลอบเข้าไปวางระเบิดได้โดยไม่มีใครรู้ นี่อเล็คเซ่ นายมาที่นี่ก็เพื่อพี่น้องคู่นี้สินะ!”

   ข้อสรุปของกิลเบิร์ตนั้นสร้างความตระหนกให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังยืนข้างๆเขาอย่างมาก เขาพลันหน้าซีดเผือดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว เหตุเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดและสิ่งที่เขาเห็นผ่านเทเลคิเนซิสเมื่อครู่นั้นช่างแตกต่างจากข้อตกลงที่พวกเขาเคยพูดคุยกันโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยที่สุดตามข้อตกลง พวกเขาก็ควรจะได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุขต่อไปต่างหาก น้องสาวของเขาไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือด้วย!

“ช่วยไม่ได้นะครับ เอสเปอร์ที่เก่งกาจแบบพวกคุณต่อให้ใครอยากซื้อแค่ไหนก็ไม่กล้าจ้างวานผมหรอก แต่กับเอสเปอร์พี่น้องฝาแฝดในดาวไกลปืนเที่ยงที่ยังใช้พลังไม่เป็น คุณไม่คิดว่าดูจะมีราคาดีหรือครับ”

“หุบปากน่ะ!” กิลเบิร์ตตวาด ในตอนนั้นเองที่เขาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเดือดดาลอย่างยิ่ง อเล็คเซ่เป็นโจรสลัด และด้วยอาชีพของเขา เขาย่อมแสวงหากำไร เพียงแต่ว่าการแสวงหากำไรครั้งนี้ของหมอนี่คือสิ่งที่กิลเบิร์ตยอมรับไม่ได้ ทั้งหมอนี่ ทั้งครอบครัวของเด็กพวกนี้ด้วย!

   เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด ถึงขนาดจะขายคนในครอบครัวตัวเองเลยงั้นรึ!

“ผมขอเตือนนะว่า คุณหยุดผมไม่ได้หรอก ยกตัวอย่างเช่น หากผมพูดว่า หากคุณคิดจะพาเด็กนั่นเทเลอพอร์ตหนี ผมจะสั่งให้ลูกน้องผมระเบิดเมืองข้างล่างทิ้งล่ะครับ” น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องสมมติฐาน แต่มันคือเรื่องจริง เพื่อจับกิลเบิร์ตเขาไม่เสียดายชีวิตใครหรืออะไรทั้งสิ้น คนจะตายกี่คน ใครจะร้องห่มร้องไห้เขาล้วนไม่ใส่ใจ “เหมือนกับรถม้าของสามีคุณ ตอนที่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ เพื่อกันความผิดพลาด ลูกน้องของผมไปวางระเบิดไว้ที่เหมืองแล้ว พอเหมืองระเบิดมันก็จะระเบิดตามๆกันไปหมด น่าจะสวยดีนะครับ”

“นายมันบ้าไปแล้ว!” คนบ้าเท่านั้นที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้!

“คุณคิดว่าชีวิตคุณกับเด็กคนนั้นมีค่ากว่าชาวบ้านบนดวงดาวที่คุณไม่รู้จักนี่รึเปล่าครับ หากว่าใช่ ผมก็ไม่ห้าม เชิญคุณหนีไปได้เลย แต่ถ้าคำตอบตรงกันข้ามล่ะก็...ไปกับผมเถอะนะ” ว่าพลางสาวเท้าเดินมาข้างหน้า ครั้นถึงบาเรียแสงที่กิลเบิร์ตกางไว้อเล็คเซ่ก็ตวัดแส้ทำลายคลื่นแสงนั่นลง เขาเดินเฉิดฉายยิ้มกริ่มเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ครั้นยิ่งเข้าใกล้ กิลเบิร์ตก็ยิ่งถอยห่าง เพียงแต่สุดท้ายเขากลับถูกดึงกระชากเข้ามาในอ้อมอกของเจ้าโจรสลัดชั่วผู้นี้ “ดูเหมือนคำตอบของคุณก็ยังใสซื่อเช่นเดิม กิลเบิร์ตที่รัก ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี”

“เจ้าคนสารเลว!” ด่าว่าอย่างกราดเกรี้ยว เขาไม่สงสัยกับคำขู่ของอเล็คเซ่ ยิ่งเป็นคนที่รู้วีรกรรมต่ำช้าของหมอนี่ ยิ่งไม่อาจสงสัย หมอนี่คือคนที่ทำลายดาวทั้งดวงและขายคนเป็นทาส ชีวิตคนมีค่าเท่าเศษกรวดทราย สิ่งที่อเล็คเซ่เห็นว่ามีค่า มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ถ้าอยากจับฉันก็ได้ แต่เจ้าหนูนี่ ปล่อยเจ้าหนูนี่ไปเถอะ!”

   ข้อเสนอนั่นทำเอาอเล็คเซ่เลิกคิ้ว ส่วนเด็กหนุ่มนั้นเบิกดวงตากว้างอย่างฉงน คนเพิ่งพานพบ แต่กลับจะช่วยเหลือเสียสละตัวเองถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เด็กหนุ่มถึงกับจับชายเสื้อของกิลเบิร์ตไว้แน่น สีหน้าซีดหวาดหวั่น แม้ไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร แต่ตั้งแต่จำความได้ คนที่ดีกับเขาเช่นนี้มีน้อยคนนัก

“คุณจะยอมถูกผมจับไปขายแทนหรือครับ” อเล็คเซ่ถามพลางเชยชิดปลายคางอีกฝ่ายขึ้นพิศดูใบหน้า ส่วนเด็กหนุ่มที่พยายามเข้ามาขัดแข้งขัดขานั้นดูน่ารำคาญจนเขาต้องเตะให้กลิ้งล้มลง

“อเล็คเซ่!”

“แค่สั่งสอนให้รู้ที่ต่ำที่สูงครับ คุณรู้อะไรไหม เวลาอยู่กับคุณ มันจะมีเรื่องเซอไพรสเสมอ ตอนนี้ผมก็มีเรื่องเซอไพรสอีกแล้ว มากับผมก็ดีแล้วครับ ผมไม่ขายคุณหรอก แต่จะขอกอดคุณให้มากหน่อย กักขังคุณไว้ แล้วมาเล่นด้วยกันเป็นครั้งคราว แบบนี้ คุณว่าดีไหม” พูดไปก็ยิ้มแย้มท่าทางมีความสุขชื่นมื่น ในสายตาคนมองนี่ต้องถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ไอ้โรคจิต!” กิลเบิร์ตอดรนทนไม่ได้ต้องด่าคำนี้ออกมา แต่นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว อเล็คเซ่กลับยังเขยื้อนใบหน้าเข้ามาหมายจะขอจูบริมฝีปากถือดีของคนตรงหน้าเสียก่อนเป็นค่ามัดจำ

“เดี๋ยวพอเราไปถึงยาน คุณจะช่วยดูแลผมด้วยร่างกายคุณใช่ไหมครับ กิลเบิร์ตที่รัก”

“!” หากถามว่าความหวาดกลัวคืออะไร ตอนนี้กิลเบิร์ตสามารถพูดได้ว่าเขากำลังกลัว ทุกท่าทาง ทุกการแสดงออกของคนตรงหน้าทำให้เขาครั่นคร้าม ยิ่งคิดว่าหากถูกคนๆนี้แตะต้องจนเลยเถิดก็ยิ่งคลื่นไส้ ทำไมกัน ทำไมเวลานี้เขากลับคิดถึงใบหน้าของคนๆหนึ่ง

   ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นผู้ชายคนนั้น เจ้าถังขยะล้อมเพชรจอมวายร้ายนั่น คนๆนั้น...

ลุดวิก ช่วยด้วย!!

   เสี้ยววินาทีนั้นเองที่สัญญาณเตือนภัยทั่วอาณาบริเวณพลันดังลั่น พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่เหยียบย่ำเข้ามาในคฤหาสน์ แสงเลเซอร์ยิงเฉียดผ่านข้างแก้มของอเล็คเซ่ไป ก่อนที่ใครบางคนจะโหนตัวลงมาจากชั้นบนคว้าเอาตัวกิลเบิร์ตในอ้อมแขนของเขาหลุดไปต่อหน้าต่อตา

   ชายหนุ่มผมสีทองคำในเครื่องแบบนายทหารสีแดงเลือดหมูคว้าตัวกิลเบิร์ตไปอย่างลอยนวล ก่อนจะหันกลับยกปืนพกขึ้นยิงใส่อเล็คเซ่อีกครั้งอย่างไม่ขาดจังหวะ เพียงแต่คราวนี้อเล็คเซ่ตั้งตัวได้เขาใช้แส้ปัดทำลายแสงเลเซอร์ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระใส่ใจ กระโจนวิ่งเข้าหา ความเร็วนั่นทำให้กิลเบิร์ตตกใจอย่างยิ่ง ทั้งที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำ แต่กลับเร็วมาก วิ่งหลบแส้ของอเล็คเซ่พ้นอย่างสบายทุกครั้ง พอเข้าใกล้รัศมีก็ควักปืนเล็งยิงระยะเผาขน ครั้นฝ่ายตรงข้ามหลบได้อีก เขาก็ชักมีดสั้นขึ้นปาดเข้าปะทะกับแส้

   ชายสองคนมองหน้ากันและกันอย่างเย็นชาระคนเจ็บแค้น มันคือการปะทะกันครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้

   คนๆนี้ จะมาแย่งของสำคัญของเขา!

“โกรธที่ภรรยาไม่เชื่อฟังหรือครับ ท่านดยุคแห่งออลบานี” อเล็คเซ่แสยะยิ้ม รู้สึกเกลียดชังผู้ชายที่ยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามีคนปัจจุบันของกิลเบิร์ตจนแทบอยากฉีกกระชากเป็นเศษเนื้อ มาทีหลังแท้ๆแต่กลับฉกชิงสิ่งสำคัญของเขาไปอย่างหน้าไม่อาย คนเช่นนี้ สมควรตาย!

“รังเกียจแกต่างหาก! เจ้าโจรสลัด!” ลุดวิกคำรามใส่และตวัดมีดขึ้นแทงใส่ใบหน้าอเล็คเซ่อีกครั้ง แต่แน่นอนว่าอเล็คเซ่หลบได้ ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร “กิลเป็นภรรยาของฉันแล้ว! เลิกตอแยซะ!” เมื่อครู่ในตอนที่ดักซุ่มเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว และตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าโจรสลัดนี่คือผู้ชายโสโครกที่บังอาจมาแตะต้องภรรยาของเขา กิลเบิร์ตเป็นของเขาแล้ว เจ้าแมวเถื่อนนั่นเป็นของๆเขา! ไม่มีทางยกให้หรอก!

“ผมไม่ได้ตอแย แต่เป็นคุณที่เข้ามาแทรก ถ้าเขาไปหาผมตั้งแต่แรก น้ำหน้าอย่างคุณไม่มีทางได้เป็นสามีของเขา!” อเล็คเซ่เองก็หลุดอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว กับกิลเบิร์ตจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เคยโกรธ แต่กับคนๆนี้ เขาจะแร่มันให้เป็นชิ้นๆ!

“กิลไม่มีทางเลือกนาย เจ้าคนต่ำช้า!” ลุดวิกคำราม ไม่มีทางยอมถอยอย่างเด็ดขาด จะให้ยอมได้ยังไง ก็ในเมื่อเดิมพันของพวกเขาในครั้งนี้ก็คือ กิลเบิร์ต! “ความลับเรื่องระเบิดของนายแตกแล้วเพราะน้องสาวของเจ้าหนุ่มนั่น ฉันให้คนของฉันไปถอดระเบิดแล้ว นายแพ้แล้ว!” ชี้หน้าใส่อีกฝ่าย และด้วยอากัปกิริยาเช่นนั้นทำให้ฝ่ายอเล็คเซ่ยิ่งโกรธจัดจนกำหมัดแน่น แพ้พ่ายไม่กลัว แต่ถ้าต้องแพ้ให้ผู้ชายที่แย่งกิลเบิร์ตไป เขาไม่ยอมรับ!

“มันก็ไม่แน่หรอก!” วินาทีนั้นอเล็คเซ่พลันหงุดหงิดหนัก เขาออกคำสั่งให้พวกโจรสลัดระดมยิ่งลุดวิกให้ตาย

   ฉันใดก็ฉันนั้นฝ่ายลุดวิกไม่ได้มาตัวเปล่า เพียงเขาดีดนิ้วทหารกว่าสามสิบนายก็กระโจนลงมาจากชั้นบนต่างคนต่างพาดปืนยาวเล็งยิงพวกโจรสลัดเช่นกัน สถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียด เพียงแต่ว่าในความตึงเครียดนี้ อเล็คเซ่สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดแผกไปจากที่เคยเป็นมาที่เทสล่า เพื่อกิลเบิร์ต ดยุคแห่งออลบานี ผู้บัญชาการทหารคนนี้ถึงขนาดยอมออกคำสั่งนำทหารใต้บังคับบัญชามาช่วงใช้ ทั้งที่รู้ว่าอาจจะต้องถูกเบื้องบนเล่นงาน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาจสูญเสียผลประโยชน์ แต่ก็ยังทำ คนๆนี้ นับว่าไม่เลวเลย

“ท่านดยุคเพื่อภรรยาถึงขนาดเล่นใหญ่เลยนะครับ” อเล็คเซ่ว่า

“เพื่อภรรยา ฉันสมควรทำต่างหาก” ลุดวิกตอบ

“โอ้” อเล็คเซ่แสร้งอุทาน เขายิ้มน้อยๆก่อนจะปรายสายตามาทางกิลเบิร์ตที่เหมือนว่าก็ไม่เชื่อในคำพูดของลุดวิกเช่นกัน “ดูเหมือนครั้งนี้จะหาสามีได้ไม่เลวนะครับ แต่ว่า...คุณน่ะเป็นของผมต่างหาก”

“หา!” กิลเบิร์ตอุทาน

   วินาทีนั้นเองที่อเล็คเซ่ผิวปาก ท่วงทำนองเพลงประหลาดนั่นประดุจสัญญาณบางอย่าง และตอนนั้นเองที่แผ่นดินเกิดไหวกะทันหัน พวกทหารที่ด้านนอกร้องโวยวาย ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาคฤหาสน์กำลังค่อยๆพังครืนลงมา แต่ละคนรีบหนีกันจ้าละหวั่น ไม่เว้นแม้แต่กิลเบิร์ตที่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้เทเลพอร์ตต่อหน้าพวกทหารได้ จำเป็นต้องวิ่งเอาชีวิตรอดเช่นกัน และแน่นอน เขารีบส่งมือให้เจ้าหนุ่มนินาม

“ไปกับฉัน ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอหรอก!” เชื้อเชิญและปรารถนาอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือ และแน่นอนว่าอีกฝ่ายที่ได้เห็นความจริงใจของเขาแล้วจึงยื่นมือตอบรับ “ฉันจะช่วยเธอ พี่น้องของฉัน”

   คฤหาสน์พังทลายลงมาในขณะที่เมื่อออกมาดูจากภายนอกพลันปรากฏเรือรบอวกาศที่กางใบเรือโลหะติดตราสัญลักษณ์หัวกะโหลกไขว้ มันคือเรือรบอวกาศ “อเล็คซานเดอร์” ของอเล็คเซ่ เรือรบอวกาศที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของจักรวาลไม่แพ้กองทัพของสหพันธ์ดวงดาวเลยแม้แต่น้อย

“นี่มัน ซ่อนเรือรบไว้ในคฤหาสน์งั้นเรอะ!” กิลเบิร์ตคำราม อันที่จริงอเล็คเซ่น่าจะสามารถแปลงมวลสารเรือรบให้ออกมาอย่างละมุนละม่อมได้ แต่นี่ถึงกับทำลายคฤหาสน์ เท่ากับเจตนาประกาศศักดาชัดๆ! “หรือว่า! อย่านะ! ห้ามทำลายเมืองนะ!” เมื่อแผนแรกล้มเหลว เขาย่อมต้องมีแผนที่สอง

“เมือง?” ลุดวิกที่ตอนนี้ได้รับรู้แสนยานุภาพทางการรบของฝ่ายตรงข้ามแล้วย่อมนึกขึ้นได้ บางทีอเล็คเซ่คงต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ เป็นไอ้บ้าที่ถึงตายก็ไม่ยอมแพ้จริงๆ

   อย่างที่คาดคิด อเล็คเซ่ออกคำสั่งให้หันหัวเรือไปทางเมืองท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คนที่ตอนนี้ออกมามุงดูเรือรบประหลาดอย่างตื่นตระหนก วินาทีนั้น เขาออกคำสั่งให้ลูกเรือบนยานเล็งพิกัด โจมตีเมือง!

“ไม่ให้ทำหรอก!” กิลเบิร์ตประกาศกร้าว ตอนนั้นเองที่เขาเทเลพอร์ตตัวเองบินขึ้นฟ้า ก่อนจะกางบาเรียขาดใหญ่ครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ในตอนที่ปืนใหญ่เลเซอร์สาดแสงมา กิลเบิร์ตก็กางบาเรียรับไว้แล้ว “นี่มัน นายอัพเกรดปืนใหญ่งั้นเรอะ!” ใช่แล้ว อเล็คเซ่มีความมั่นใจมากว่ากิลเบิร์ตจะต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้

   แสงเลเซอร์ขนาดใหญ่สาดเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล กิลเบิร์ตอยู่ในสภาพที่ถอยไม่ได้ แต่พลังของเขาก็มีขีดจำกัด ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ต่อหน้ายานรบสุดแกร่งเช่นนี้ ก็ไม่มีทางต่อสู้เพียงลำพังได้ ในตอนที่มือของเขากำลังสั่น และร่างกายดูจะมาถึงขีดจำกัด เสี้ยววินาทีนั้นเองแสงสีเหลืองอีกสองเส้นกลับพุ่งขึ้นมา เขาแลเห็นหญิงสาวกับเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน ทั้งสองคนที่ยังบังคับพลังไม่ได้คงที่ แต่กัดฟันเค้นแรงสุดกำลังสร้างบาเรียชั้นที่สองรองรับพลังของปืนใหญ่

“เจ้าหญิงเฟรเซีย!” ใช่แล้ว สองคนนั่นคือเจ้าหญิงเฟรเซียกับเด็กหนุ่มนิรนาม!

   จากการปะทะกันหลายนาที สุดท้ายบาเรียของเอสเปอร์ทั้งสามดูดซับเลเซอร์จนหมด อเล็คเซ่แม้หงุดหงิดอย่างยิ่ง แต่เขารู้ดีว่าแผนการของตนเองยังไม่จบ และสถานการณ์ต่อจากนี้จะไม่ง่ายเลยสำหรับลุดวิก เมื่อคิดใคร่ครวญแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดสนามพลังของเรือรบถอยออกไป ภาพสุดท้ายที่เขาจ้องมองย่อมเป็นภาพของกิลเบิร์ตที่ล้มตัวลงในอ้อมแขนของลุดวิก

“ก็แค่ฝากไว้ก่อนเท่านั้น ท่านดยุค”

   แล้วเขา จะมาเอาคืนเร็วๆนี้

   ฝ่ายกิลเบิร์ตพอลงมาจากฟ้าก็ล้มลงในอ้อมแขนของลุดวิกทันที ดวงตาสีดำกระพริบถี่มองหน้าผู้ชายที่โผล่เข้ามาขัดขวางอเล็คเซ่ เขาเห็นคนๆนี้แล้วก็ได้แต่ลอบยิ้ม เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเขาแบบนี้ แถมตอนนี้ยังกอดเขาไว้แน่นด้วย รู้สึกสบายตัวอย่างที่สุด 

“ดีใจจัง” กิลเบิร์ตหัวเราะเบาๆ อดไม่ได้ที่จะยื่นแขนโอบคล้องคออีกฝ่าย “คิดถึงฉันเลยมาหาสินะ พ่อถังขยะบ้าเลือด”

“เจ้าแมวเถื่อนดื้อด้าน!” ลุดวิกตวาดกลับ แต่กลับผงะเสียเองเมื่ออีกฝ่ายคลับคล้ายจะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งดวงตาและใบหน้านั้นยิ้มแย้มอย่างอ่อนระโหย แต่กลับดูมีชีวิตชีวาหนักหนา “ทำไมถึงไม่ฟังกันเลย...”

“อา...เป็นห่วงเหรอ”

“ใครบ้างที่จะไม่ห่วงภรรยาของตัวเอง” คำตอบง่ายๆพร้อมกับจูบลงที่ข้างแก้มของฝ่ายตรงข้าม ในตอนที่เขารู้ว่ากิลเบิร์ตหายไป เขาพลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในอกแตกพัง และยิ่งตอนที่เจ้าหญิงเฟรเซียบอกกับเขาว่ากิลเบิร์ตอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะมาช่วยคนๆนี้ สิ่งที่หวาดกลัวยิ่งกว่าความเสียหายใดๆกลับเป็นความกลัวว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้กับรอยยิ้มขี้เล่นนี่อีกแล้ว “อย่าดื้ออย่าซนนักเลย ฉันเป็นห่วงนะ”

“!”

   ฉันเป็นห่วงนะ...

   นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่เคยมีใครพูดคำๆนี้ด้วยอย่างจริงใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยมีใครห่วงหา และนี่เองที่ทำให้กิลเบิร์ตต้องฉีกยิ้มออกมาอีกครั้งแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่พรั่งพรูไปด้วยน้ำตาก็ตาม ความร้อนรุ่มที่อยู่ในอกเวลานี้ มันยากจะระงับยับยั้ง

“อื้อ จะพยายามนะ” กิลเบิร์ตตอบพลางใช้สองมือจับข้างแก้มของคุณสามีผู้ห่วงใยเขา “จะพยายาม”

“ไม่ใช่แค่พยายาม ต้องปฏิบัติด้วย!” ลุดวิกโต้

“จ้าๆ เป็นสามีที่ดุดันจริงๆนะ!” หัวเราะอีกและตอนนั้นเองที่เขายื่นใบหน้าและจูบลงบนริมฝีปากของคุณสามีปากร้ายใจดีคนนี้ อบอุ่น อ่อนโยน และน่ารักจนเหลือเชื่อ


จบตอน
   อา ใช่แล้ว...นี่คือสามีของเขานี่นา


ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ PAtxxkMxxn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๕
เรื่องลับๆยามค่ำคืน

   หลังเกิดเรื่องลุดวิกสั่งให้นิโคลัสมาพาตัวกิลเบิร์ต เจ้าหญิงเฟรเซีย กับเด็กหนุ่มนิรนามกลับไปคฤหาสน์ก่อน ส่วนตัวเขาพากองกำลังทหารกลับกองบัญชาการ การปฏิบัติการของเขาคราวนี้ถูกเพ่งเล็งจากราชสำนัก และทันทีที่ภาพของยานรบปริศนาปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าอาทีเรีย รัฐสภาก็เรียกเปิดประชุมเป็นวาระเร่งด่วนทันที สถานการณ์เข้าสู่วิกฤติอย่างกะทันหัน ทว่า แม้กิลเบิร์ตอยากติดตามสามีไปใจจะขาด แต่เขากับถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องดูแลเอสเปอร์ทั้งสองที่เพิ่งพบเจอ

ใจหนึ่งก็ห่วงทางนั้น อีกใจก็ห่วงทางนี้ กิลเบิร์ตรู้สึกว่าตัวเขาตอนนี้เหมือนภรรยาที่มีสามีกับลูกสองไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ตลกแท้!   

จากที่เจ้าหญิงเล่าให้ฟัง เธอกับเด็กหนุ่มนั้นแม้จะดูอายุต่างกัน แต่ที่จริงเป็นฝาแฝด เด็กหนุ่มเป็นแฝดคนพี่มีพลังพิเศษมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ของพวกเธอที่เป็นผู้นำตระกูลเกอเจ้นที่สุดจะคร่ำครึ เห็นว่านี่เป็นเรื่องอัปมงคล เลยสั่งกักขังพี่ชายของเธอปิดกั้นจากโลกภายนอก นับวันพลังของเขายิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งถูกตั้งข้อรังเกียจมากขึ้นตามไปด้วย เรื่องพลังก็เรื่องหนึ่ง แต่สภาพร่างกายที่ผิดปกติก็เรื่องหนึ่ง แม้ตอนนี้พวกเธอควรอายุยี่สิบแล้ว แต่พี่ชายกลับยังมีส่วนสูงและใบหน้าคล้ายเด็กหนุ่ม อายุหยุดอยู่ที่สิบห้าปี เขาดูเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาคนอื่นอย่างแท้จริง

   หลายเดือนก่อนเธอกับพี่ชายวางแผนจะหนีออกจากตระกูล แต่กลับถูกจับได้ ประจวบกับเป็นช่วงที่เจ้าชายอ๊อตโต้กำลังหาคู่สมรสและจับมือกับพวกโจรสลัด พวกนั้นใช้อุปกรณ์บางอย่างตรวจจับและยืนยันว่าเธอเองก็มีพลังจิตเช่นกัน แค่มีพลังน้อยกว่าพี่ชายเท่านั้น สุดท้ายตระกูลเกอเจ้นรวมหัวกับเจ้าชายข่มขู่พวกเธอว่าหากเฟรเซียไม่แต่งงานกับเจ้าชาย พวกเขาก็จะขายพี่ชายของเธอให้พวกโจรสลัด ส่วนคนพี่หากไม่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย พวกเขาก็จะทำร้ายเฟรเซีย

   สองพี่น้องอับจนปัญญากลับกลายเป็นเบี้ยทางการเมือง โดยเฉพาะเฟรเซีย มีคนมาสอนเธอใช้พลัง และให้ใช้เทเลพอร์ตลอบไปวางระเบิดรถของดยุคแห่งออลบานี เธอตัดสินใจเดิมพันใช้พลังจิตทิ้งข้อความขอความช่วยเหลือไว้ แม้รู้ว่าโอกาสริบหรี่แต่ก็จำต้องเสี่ยง

“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษค่ะ คุณกิลเบิร์ต” เจ้าหญิงเฟรเซีย หรือก็คือ เฟรย์ คนที่เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกก้มหน้าน้ำตานองรู้สึกเสียใจที่ตนเองเคยทำร้ายกิลเบิร์ตไปอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าเย็นชาที่เคยเห็นตอนนี้ไม่มีอีกแล้วมีแต่สาวงามที่ร่ำไห้เสียจนตาบวมแดงก่ำ เธอย่อมเคยคิดว่ากิลเบิร์ตจะต้องเกลียดเธอมากเพราะเธอคือคนที่ทำให้เขาเกือบถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ข่มเหง แต่ที่ไหนได้คนฟังไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังส่งยิ้มหวานลูบศีรษะหญิงสาวอย่างเอ็นดู ยิ่งเห็นสาวน้อยตีหน้าเศร้ายืนคู่กับหนุ่มน้อยนัยน์ตาโศกก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความสงสารเห็นใจเป็นเท่าทวี

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แข็งแรงสุขสดชื่นดี เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะ เด็กดี” กิลเบิร์ตส่งยิ้ม แต่ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของเขา สาวน้อยก็ยิ่งบ่อน้ำตาแตก ร้องห่มร้องไห้จนคนพี่ต้องเข้ามาปลอบ เห็นสองพี่น้องร้องไห้พลั่กๆกอดกันกลม หัวใจคนมองก็อ่อนยวบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนตระกูลเกอเจ้นถึงใจร้ายกับพี่น้องฝาแฝดที่น่ารักน่าชังขนาดนี้ได้

   เฟรเซียเพราะเป็นผู้หญิงร่างกายอ่อนแอเธอสูงแค่ร้อยหกสิบสองเซนติเมตร ส่วนคนพี่เพราะอายุหยุดอยู่ที่สิบห้าเลยเตี้ยกว่าน้องสาวประมาณสี่เซนติเมตร ดูเผินๆแล้วแทบไม่ต่างกันเลย

“นี่ ทำไมถึงช่วยพวกเราไว้ล่ะครับ” หนุ่มน้อยหน้าอ่อนใสถาม เส้นผมสีทองของเขาสว่างจนเจิดจ้า ดูแล้วเหมือนเทวดาตัวน้อย
“พวกเราทำให้คุณกับท่านดยุคเดือดร้อนแล้ว ขอโทษครับ ขอโทษ” ว่าแล้วก็ร้องไห้สะอื้นนิดๆให้หัวใจคนมองคันยุบยิบ กิลเบิร์ตรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมความน่ารักของสองคนนี่เสียแล้ว กับเด็กพวกนี้ใครจะไปต่อว่าได้ลงล่ะ!

“ลุดวิกเก่งมากนะ เก่งสุดๆไปเลย เขาไม่เดือดร้อนกับเรื่องแค่นี้หรอก” นี่ไม่ใช่การปลอบเสียทีเดียว เพราะในความรู้สึกของเขาหมอนั่นสุดยอดมากๆ ผู้ชายที่เผชิญหน้ากับอเล็คเซ่ได้อย่างสูสีแบบนั้น ทั่วทั้งจักรวาลใช่จะหาง่ายๆ เขายังตกใจไม่หายที่หมอนั่นดวลเดี่ยวกับอเล็คเซ่แล้วยังเป็นต่อได้ นี่ขนาดอาวุธที่ใช้มีแค่ปืนเลเซอร์ธรรมดาๆ หากเขามีอาวุธดีๆล่ะก็ จะต้องเก่งขึ้นอีกหลายเท่าตัวแน่ ให้ตายเถอะ! จักรวาลช่างกว้างใหญ่ ได้เจอของจริงเข้าเสียแล้ว!

ใช้คำว่าอะไรดี เรียกถังขยะคงไม่เหมาะ แต่จะเป็นหีบสมบัติหรือตู้เซฟรึก็รู้สึกหมั่นไส้ เอาเป็นว่าเป็นกระโถนสารพัดประโยชน์ละกัน!

   เจ้ากระโถนหลากประโยชน์!!! นี่ชมหรอกนะ!!!!

“ว่าแต่หนุ่มน้อย เธอชื่ออะไรรึ” ในที่สุดก็ได้ถามชื่อเสียที เด็กหนุ่มได้ฟังคำถามก็เงยหน้าขึ้นตอบตาใสแจ๋ว เอาเข้าจริงกิลเบิร์ตก็ไม่ใช่คนสูงมาก เขาสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เวลาคุยกับลุดวิกที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรยังต้องเงยหน้ามองเสียหลายคืบ ตอนนี้มีเด็กหนุ่มเด็กสาวตัวเล็กๆมาเงยหน้ามองเขาบ้างก็รู้สึกตื้นตันอยู่ลึกๆ ในที่สุดก็ได้เป็นคนสูงกับเขาบ้างแล้ว!

“ฟินน์ครับ” อีกฝ่ายตอบเสียงอ่อยๆ

“ฟินน์ กับเฟรเซีย เป็นชื่อที่เหมาะมากนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยชม คำชมตรงไปตรงมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจแสนโสภา ทำเอาสองพี่น้องหน้าแดงชาด หัวใจเต้นระทึก ยืนบิดไปบิดมาเขินอายม้วนต้วนความรู้สึกมากมายล้นทะลักประดังประเด พวกเขารู้สึกเหมือนว่าตนเองเห็นเทวดา เป็นเทวดาที่แปลกจากในหนังสือภาพ เพราะเทวดาของพวกเขามีเส้นผมสีดำนัยน์ตาสีรัตติกาล มีปีกสีแดงโกเมน งดงาม สวยสด และใจดีเป็นที่สุด ถึงตอนนี้สองพี่น้องก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกรอบ ร้องไห้กระซิกๆจนกิลเบิร์ตผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อดจับเข้ามากอดปลอบจูบที่ข้างแก้มคนละฟอดไม่ได้ ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องซะอย่างนั้น “เด็กประหลาด”

   ฝาแฝดทั้งสองคนแอบมองตากันและสัญญากันและกันอย่างเงียบๆ เทวดาของพวกเขาคือคนๆนี้ สักวันพวกเขาจะต้องขอตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยชีวิต

   สุดท้ายตกดึกดื่น กิลเบิร์ตส่งสองพี่น้องเข้านอนแล้ว ส่วนตัวเองลงมานั่งรอลุดวิกอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าบ้าน ไม่ใช่ว่าเขาห่วงอะไรหมอนั่นหรอกนะ ก็แค่รู้สึกว่าพวกตระกูลเกอเจ้นกับเจ้าชายอ๊อตโต้น่าจะต้องหาเรื่องหมอนั่น เลยรู้สึกสงสารที่จะต้องมารองรับอารมณ์คนไร้สาระพวกนั้นต่างหาก ไม่ได้เป็นห่วงหรอกนะ!

   ทว่า รอแล้วรออีก รอจนเบนจามินมาบอกให้กลับไปนอนก่อนอยู่หลายรอบ จนเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั่งเป็นนอน จากนอนเล่นเป็นเผลอหลับ ดังนั้นในตอนที่ลุดวิกกลับมาถึงเขาถึงเห็นแมวดำขนฟูตัวใหญ่นอนหลับตาพริ้มสุขสงบอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก คนที่ออกมาต้อนรับเขามีแต่พ่อบ้านเบนจามินที่พยักพเยิดลอบอมยิ้ม ลุดวิกส่ายศีรษะเล็กๆแล้วก็บอกให้พ่อบ้านของเขาไปพัก ส่วนตัวเองเดินมายืนมองเจ้าแมวตัวเขื่องแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ใบหน้าตอนหลับก็ดูไร้พิษสงแท้ๆ แต่ทำไมพอเวลาลืมตาตื่นถึงได้ดื้อรั้นนักนะ

“นี่อุตส่าห์มารองั้นหรือ เซอไพรสมากเลยนะ” ลุดวิกหัวเราะเบาแล้วก็นั่งลงบนโซฟายกมือลูบเส้นผมดกดำนุ่มนิ่มอย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนเพราะอากัปกิริยานี้เองกิลเบิร์ตถึงได้สะดุ้งนิดๆกระพริบตาถี่ก่อนจะเห็นชัดถนัดถนี่ว่าคนที่ตนเองรอคอยอยู่กลับมาแล้ว

“กลับมาแล้วหรือ ท่านดยุคคนเก่ง” ยิ้มนิดๆพลางเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม ท่านดยุคแห่งออลบานีคืนนี้เส้นผมแลดูยุ่งเหยิง ผมที่เคยใส่น้ำมันหวีเรียบแปล้ลื่นตกลงมาปรกหน้าผากอายุดูอ่อนลงสมวัยมากขึ้นหลายส่วน ทว่า ดวงหน้านั้นกลับดูอิดโรยนิดหน่อย ทั้งที่ดูน่าจะเหนื่อยมากแท้ๆแต่เจ้าผู้ชายหน้าตายนิสัยไม่ดีคนนี้กลับยังคงเผยอรอยยิ้มอบอุ่นให้อย่างเคย “ยุ่งยากมากไหม”

“ไม่เลย แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ลุดวิกตอบพลางยกศีรษะอีกฝ่ายให้หนุนตักของเขา พอลูบเส้นผมสีดำนุ่มๆนั่นไปด้วย มองรอยยิ้มง่วงงุนนั่นไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยของเขาก็เหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อก่อนถ้ากลับมาป่านนี้เขามักจะอยู่คนเดียวถอดเสื้อผ้าล้มตัวลงนอนอย่างอิดโรย แต่วันนี้กลับมีภรรยามารอเขากลับบ้าน นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่จริงๆ “มีแต่พวกโง่ๆทั้งนั้น อย่าใส่ใจเลย นอนต่อไหม”

“เจ้าชายอ๊อตโต้กับตระกูลเกอเจ้นหาเรื่องคุณรึเปล่า คุณเอาทหารมาใช้เรื่องส่วนตัว แถมยังไปยุ่งเกี่ยวกับพวกโจรสลัดอวกาศ พวกนั้นจะไม่หาเรื่องคุณหรือ” กิลเบิร์ตถามพลางพยายามเอื้อมมือลูบข้างแก้มฝ่ายตรงข้าม ดวงตาของพวกเขาสบกัน รู้สึกถึงความอารีและความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายเต็มตื้นขึ้นมาแน่นในอก “เหนื่อยไหม”

“ก็บอกแล้วว่าไม่เลย แค่เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว” ตอบพลางจับมือข้างแล้วนั้นจูบลงกลางฝ่ามือ ไม่ต้องเป็นมือที่นุ่มนิ่มแบบพวกหญิงชายที่เขาเคยกอดผ่านมือ แค่มือที่มีนิ้วมือยาวสวยงามมือนี้ก็ทำเขาตื่นเต้นทุกครั้งที่จับจูบแล้ว  “ฉันชอบมือของเธอนะ กิล”

   กิล? รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลุดวิกเรียกกิลเบิร์ตด้วยชื่อสั้นๆนั่น

“ตั้งชื่อเล่นให้ด้วยเหรอ” กิลเบิร์ตกระเซ้า รู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อยที่ถูกจูบซ้ำตามง่ามนิ้วมือ เจ้าคนฉวยโอกาสนี่เผลอไม่ได้เลยทีเดียว

“เป็นชื่อที่ฉันใช้เรียกเธอคนเดียวต่างหาก ไง ฟังดูโรแมนติคดีไหม กิล” คำว่าโรแมนติคที่ว่าเหมือนจะเป็นสิ่งที่กิลเบิร์ตเคยกระเซ้าเขามาก่อน และตอนนี้เขาก็มีอารมณ์ที่อยากจะโรแมนติคเข้าแล้ว “อยากให้ฉันโรแมนติคเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า”

“อีกหน่อยนี่คือขนาดไหนกันล่ะ คุณสามี” หัวเราะคิกคักกระเซ้าเย้าแหย่ แต่ใครจะนึกว่าลุดวิกกลับก้มลง จูบประทับลงบนริมฝีปากของเขาแทน บางเบา เนิบนาบ แต่กลับลุ่มลึกชวนฝันหวาน

   วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตพลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นระทึกผิดจังหวัดจะโคน เลือดสูบฉีดใบหน้าจนร้อนผ่าว ความรู้สึกบางอย่างแน่นหนักประทับตรึงในอก ไม่เคยเลย เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน หัวใจดวงนี้ไม่เคยเต้นในจังหวะนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ถูกเฟรเดอริคกอด เขายังไม่เคยรู้สึกวาบหวามจนอ่อนระทวยถึงขนาดนี้ แล้วทำไมกัน ทำไมพอผู้ชายคนนี้จูบ แค่จูบแท้ๆ แต่ยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นซ่านในอก

   ลุดวิกทำอะไร เขาถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้ นี่มันโรคติดต่อภายในของอาทีเรียหรือไงกัน

“ร้องไห้ทำไม” ลุดวิกถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีหยาดน้ำตากลิ้งลงข้างเปลือกตา เขารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย การจูบของเขาทำให้กิลเบิร์ตเสียใจอะไรงั้นหรือ หรือว่าจนถึงตอนนี้คนๆนี้ก็ยังไม่อาจลืมสามีเก่าของตนเองได้ “คิดถึงเขาหรือ”

“เขา?” กิลเบิร์ตสะดุ้งสุดตัวพลันเด้งขึ้นจากตักอีกฝ่าย กลับมาจ้องหน้าลุดวิกเขม็ง “เขาไหนกัน!”

“เขาไง สามีเก่าของเธอ แต่เสียใจด้วย ต่อให้ตอนนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งจะกลับไปหาหมอนั่น ฉันก็ไม่ปล่อยกลับไปอีกแล้วนะ” เขาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มนุ่มและเขยิบกายเข้าใกล้รั้งเอาทั้งร่างของกิลเบิร์ตเข้ามาในอ้อมกอด ทั้งที่ปกติออกจะดูเก่งกาจห้าวหาญขนาดนั้นแท้ๆ แต่เวลาอยู่ในอ้อมแขนของเขากลับดูอ่อนปวกเปียก น่าทะนุถนอมอย่างมาก ผู้ชายที่ทิ้งภรรยาที่เก่งกาจและน่าหลงใหลถึงขนาดนี้ได้ลงคอ ช่างเป็นผู้ชายโง่ดักดานเสียเหลือเกิน ถึงตอนนี้อยากได้คืนก็ไม่มีทางคืนให้หรอกนะ “เธอรู้ใช่ไหมว่าเธอในตอนนี้เป็นของฉัน หัวจรดเท้า”

   คำว่าหัวจรดเท้า ย่อมหมายถึงตรงตามนั้นจริงๆ มีตรงไหนของร่างกายอีกฝ่ายที่เขายังไม่เคยได้แตะต้องงั้นหรือ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีหรอก!

“ไร้ยางอายจริง!” กิลเบิร์ตอดสบถด่าไม่ได้เพราะแค่พูดไม่พอ แต่สายตานั่นยังบังอาจมองเขาด้วยสายตาโลมเลียส่อเค้าอนาจารอย่างยิ่ง “เจ้าคนตัณหาจัด!”

“คนตัณหาจัดที่เรียกร้องจากภรรยาตัวเอง เขาเรียกว่าคนซื่อสัตย์ เป็นสุภาพบุรุษ” พ่อสามีดีเด่นพูดเสียงหวานขึ้นจากปกติเท่าตัว ตั้งแต่เขาคืนที่เขากอดกิลเบิร์ต เขายังไม่เคยชายตามองใครอีก ในมุมมองนี้เขาถือว่าตัวเองเป็นสุดยอดสุภาพบุรุษของกองทัพแล้ว “คืนนี้ยังอีกยาวไกล เธอว่าไหม”

“พูดจาเอาแต่ได้ชัดๆ! นี่มันดึกแล้วนะ! ฉันง่วง!” รีบบ่ายเบี่ยงพอเห็นท่าไม่ดีก็รีบผลักฝ่ายตรงข้ามออกไป แต่คนฉวยโอกาสย่อมเป็นคนฉวยโอกาสอยู่วันยังค่ำ ลุดวิกคว้าตัวกิลเบิร์ตเข้ามากอดแน่นกว่าเดิม จูบฟัดต้นคองามระหงที่มีกลิ่นสบู่จางๆ ดูบริสุทธิ์สดชื่นราวกับเด็กเล็กๆ

   รู้ตัวอีกทีลุดวิกก็กอดประคองร่างภรรยาของตัวเองลงบนโซฟาทั้งยังทาบทับบดจูบลงบนริมฝีปากแดงฉ่ำเหมือนผลแอปเปิ้ลสีแดงน่ากัดชิม ช่วงเวลาไม่นานแท้ๆแต่ลุดวิกกลับรู้สึกวางใจทุกครั้งที่เขากอดกิลเบิร์ตไว้ในอ้อมแขน รู้สึกเหมือนตัวเองพานพบที่อยู่ที่สามารถพักพิงคลายความตึงเครียดได้ ทำไมกันนะ เป็นแค่แมวเถื่อนจากถังขยะเปียกแท้ๆ แต่กลับมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขามากขึ้นทุกที

“ช่วงเวลาหลังจากนี้อาจจะวุ่นวายสักหน่อย แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้เธอได้รับอันตราย เธอไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้วนะ ได้ไหม” จูบบนหน้าผากและเปลือกตา อยากจะหยุดช่วงเวลาแบบนี้ ยืดมันให้ยาวนานอีกสักนิด เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตกลับส่งยิ้มมีเลศนัย เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้นของลุดวิก ไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือคำชักชวน สิ่งนี้ก็ไม่อาจที่จะตอบออกไปได้ง่ายๆ

   วันนี้กำลังหลงใหลได้ปลื้ม ร้อยทั้งร้อยบนเตียงผู้ชายก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น เฟรเดอริคล่ะ หมอนั่นอยู่กับเขามาตั้งกี่ปี พูดคำหวานมาตั้งกี่ครั้ง แต่บทจะทำร้ายกลับไม่เห็นแก่ความรักเก่าก่อน ลุดวิกรู้จักเขามากน้อยแค่ไหน อยู่ด้วยกันนานแค่ไหน สุดท้ายแม้วันนี้ยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามมีความจริงใจ แต่ความจริงใจที่ว่านี่ จะอยู่กับเขานานแค่ไหนกันล่ะ

   สุดท้ายจะถูกชี้หน้าต่อว่าเฉดหัวทิ้งอีกหรือเปล่า?

“อย่ามาบ่ายเบี่ยงน่า บอกมาดีกว่าไหมว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายบ้านั่นหาเรื่องอะไรคุณ จะให้ฉันไปเอาเลือดหัวหมอนั่นออกให้ไหม” เจ้าแมวเถื่อนเอ่ยบ่ายเบี่ยงยิ้มๆ แต่แม้จะบอกว่าเลี่ยงประเด็น แต่เขาก็รู้สึกหงุดหงิดเรื่องเด็กสองคนพี่น้องนั่นอยู่ดี  ตอนนี้พอรู้สึกว่าเจ้าคนชั่วนั่นอาจจะก่อเรื่องให้ลุดวิกลำบากใจก็นึกไม่พอใจขึ้นมาอีก “คนชั่วแบบนั้นไม่สมควรเป็นเจ้าอาณานิคม! หมอนั่นต้องคิดขายทรัพยากรบนดาวนี้ให้กับอเล็คเซ่แน่! พวกเกอเจ้นต้องรวมหัวกับหมอนั่นทำเรื่องบัดซบแน่นอน!” เรื่องนี้ไม่ต้องคิดแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดมีแต่ผลประโยชน์และความเห็นแก่ตัวล้วนๆ

“ฉันรู้ แต่จะล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดก็ต้องใจถึงหน่อย” ลุดวิกพยักหน้ารับ ไม่ใช่ว่าฟังไม่ออกว่ากิลเบิร์ตเจตนาบ่ายเบี่ยงตอบ แต่การรุกไล่อีกฝ่ายจนสิ้นท่าย่อมไม่ใช่วิสัยของเขา วันหน้ายังต้องพูดคุย แต่วันนี้พวกเขายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ “เคยได้ยินไหม ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง” เขาแสยะยิ้ม ท่าทีของเขาไม่ยักเหมือนคนที่กำลังลำบากใจสักนิด

   รอยยิ้มนี้มันราวกับจะบอกว่า เขาเก่งกาจพอ เขาแน่พอ ส่วนเรื่องที่บังอาจมาแพ้วพานเขาพวกนั้นน่ะ ก็แค่เห็บแมลงที่ต้องเหยียบให้ตายคาฝ่าเท้าเท่านั้น!

“ฉันว่าคนแบบคุณนิ่งมากไปมั้ง เอ่อ...คนใกล้ตัวคุณ แน่ใจนะว่า เอ่อ...” เอ่ยถึงตรงนี้กิลเบิร์ตกลับฉุกคิดเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้เขามานั่งๆนอนๆรอลุดวิกได้ เขามาดักรอหมอนี่อันที่จริงไม่ใช่แค่เป็นห่วง แต่เพราะมีเรื่องอยากเตือน และกลัวว่าจะเตือนไม่ทันเท่านั้น 

   ทว่า พอได้ยินคำพูดเท่านั้น ลุดวิกกลับคลี่ยิ้มก่อนจะขอจูบที่ข้างแก้มของภรรยาผู้ชาญฉลาดของเขาอีกสักฟอด คำพูดของกิลเบิร์ตเมื่อครู่นี้ทำให้หัวใจของเขายิ่งพองโต เพราะมันหมายถึงว่าเขาเลือกคนไม่ผิด อย่างที่เคยบอก คนเราไม่รู้ได้ แต่ห้ามโง่โดยเด็ดขาด

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ลุดวิกถามพลางไล่ปลายนิ้วมาตามแนวลำคอและปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายเพื่อลูบผิวหนังเรียบรื่นสวยงามของกิลเบิร์ตอย่างสำราญใจ “ว่าไง ถ้าไม่พูดดีๆ ฉันจะขอชิมผลเชอรี่แดงของเธอก่อนดีไหม”

“เจ้าคนชั่ว!” รีบดึงเสื้อตัวเองกลับมา แต่กลับสายไปมากเมื่อปลายลิ้นนั้นตวัดเฉียดหน้าอก ทำอามือไม้อ่อนระทวยใบหน้าแดงซ่าน “อย่านะ! นี่มันกลางบ้านเลยนะ! คนอื่นมาเห็นคุณจะถูกหาว่าเป็นไอ้คนโรคจิตนะ!”

“ฉันขอโรคจิตกับภรรยาตัวเอง ดีกว่าไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน ใครเห็นย่อมต้องชื่นชม เร็ว! บอกมา!” น้ำเสียงดึงดัน ดวงตาจ้องเขม็ง ท่าทีคุกคามจนกิลเบิร์ตแทบอยากถีบตกโซฟา ลุดวิกคนอ่อนโยนเมื้อกี้หายไปไหนแล้ว! ทั้งที่ดิ้นแทบตาย แต่ขากลับถูกกดทับไว้ แถมมือของหมอนี่ยังจับยึดข้อมือเขาแน่นไม่ปล่อย นี่มันท่าทีของโจรบ้ากามคิดขืนใจกันชัดๆ! ตรงไหนที่เป็นท่าทีของสามีภรรยากัน!

“เจ้าโจรบ้ากาม! อยากให้ฉันบอกก็มากราบกรานขอร้องฉันสิ! คิดใช้กำลังข่มเหงเรอะ!” กิลเบิร์ตตะคอกใส่ จ้องอีกฝ่ายเขม็งไม่มีใครยอมใคร คิดว่าคนอย่างกิลเบิร์ตถูกจับนิดแตะหน่อยจะอ่อนระทวยตัวสั่นเป็นลูกนกงั้นรึ นั่นมันฝันกลางวันแล้ว เจ้ากระโถนไร้สามัญสำนึก!

   นายทหารใหญ่อย่างลุดวิกได้ฟังวาจาสุดสามหาวของภรรยาไม่เพียงไม่โกรธยังหัวเราะชอบใจ ตั้งแต่เกิดมาคนที่กล้าด่าเขาขนาดนี้มีแต่คนบ้ากับคนสติเสียไม่กลัวตายเท่านั้น มาวันนี้ดันถูกแมวบ้าตัวหนึ่งตวาดแว้ดๆใส่ แมวผีไม่กลัวตายแบบนี้ นับว่าท้าทายกันมากทีเดียว คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยแมวบ้านี่ไป ตรงกันข้ามเขากลับยิ่งตะปบใส่และลิ้มเลียผลเชอรี่สีแดงสุกปลั่งนั่นเสียเจ้าเหมียวหอบตัวโยน จากที่ปากดีเหลือเกินเปลี่ยนเป็นทั้งต่อยทั้งตีดิ้นขลุกอยู่ในอ้อมแขน ดิ้นไปดิ้นมาก็กลิ้งตกลงมาจากโซฟามานอนกอดกันอยู่บนพื้นพรม ท่วงท่าน่าอายหนักข้อ แถมยังได้ชื่อว่ากลางบ้านจริงๆ ต่อให้กิลเบิร์ตจะพยายามทำตัวไร้ยางอายกว่านี้ เขาก็ทำไม่ได้แล้ว

“เอ้าเร็ว บอกมา รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่งั้นฉันจะต่อแล้วนะ” พูดจริงทำจริงถึงขนาดรูดซิปกางเกงตัวเองรอ ทำเอากิลเบร์ตตกใจหน้าตาตื่น คนๆนี้หน้าด้าน ด้านมากด้วย!

“บอกแล้ว!!! เดี๋ยวนะ! ก็ ก็ ก็คนที่ตามนายไปช่วยฉันจากเจ้าชายอ๊อตโต้คือนิโคลัสนี่นา!!! ไม่ใช่หมอนั่น!!!” คำสารภาพความสงสัยนั่นทำเอาลุดวิกยิ่งฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางยินดีปรีดิ์เปรมจนน่าสยองขวัญ “บอกแล้วก็ปล่อยสิ! เจ้าคนวิตถาร!”

 “ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าจะปล่อย”

“คุณ!”

“ไปต่อกันบนห้องก็ได้ถ้าเธอรู้สึกอายนะ”

“!”

   ไม่ต้องคิดเลยว่าคืนนั้นสุดท้ายแล้วลุดวิกอุ้มกิลเบิร์ตไปทำเรื่องไร้ยางอายอะไรบ้างในห้องนอน แต่คนรับใช้ทั้งบ้านย่อมหน้าชาไปหมดยามที่ได้ยินเสียงเอะอะตึงตังออกมาจากห้องเจ้านายยามวิกาล พวกเขาย่อมจ้องจินตนาการไปไกลถึงท่วงท่าและอารมณ์คุกรุ่นที่ชวนหน้าแดงซ่าน ไม่รวมสองฝาแฝดที่สะดุ้งตื่นยามค่ำคืน ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วก็หลับหูหลับตารีบหลับไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว!

   จวบจนเที่ยงวันของวันถัดมานั่นเอง ขณะที่ลุดวิกกำลังงอนง้อภรรยาตัวเองที่ปั้นหน้าบูดบึ้งอย่างเต็มกำลัง เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังก็มาเยือนพร้อมกับหนังสือร่วมจากรัฐสภาและกองทัพขอให้ท่านดยุคแห่งออลบานีและชายาเข้าชี้แจงเรื่องการใช้กำลังทหารตามอำเภอใจ และเหตุการณ์เรือรบปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องไปปรากฏตัวถูกไต่สวนจากสามขั้วอำนาจ!

คนนำสารคาดหวังว่าจะเจอใบหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจของคู่สามีภรรยา แต่ท่านเจ้าบ้านผู้เป็นต้นเรื่องกลับฉีกยิ้มจิบเบียร์สบายใจเฉิบ ส่วนคุณภรรยานั้นพยักหน้ารับเรียบๆแล้วก็จิบเบียร์ด้วยอีกคน

   ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ไม่ทำให้สองสามีภรรยาเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย




จบตอน

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๖
คู่โฉดคนชั่ว

   ข่าวเรื่องการไต่สวนท่านดยุคแห่งออลบานี ในฐานะนายพลผู้บัญชาการทหารแห่งพระนคร และสมาชิกรัฐสภากลายเป็นข่าวใหญ่ถูกโหมกระพือวุ่นวาย ลือกันเสียหายว่าท่านดยุคนั้นแท้จริงเสแสร้งเป็นคนดีแต่คิดการณ์ใหญ่ หวังกำจัดเจ้าชายรัชทายาท โค่นกษัตริย์ ยึดอำนาจรัฐสภา ชักศึกเข้าบ้านหวังเอาพวกโจรอวกาศเข้ามาเป็นพวก แถมท้ายด้วยการเป็นชายชู้ของเจ้าหญิงเฟรเซียที่ตอนนี้ไม่รู้หายสาบสูญไปอยู่ไหน ไม่รู้ว่าใครที่กล้าปล่อยข่าวเลวร้ายถึงขนาดนี้ แต่จนแล้วจนรอดลุดวิกก็ไม่โต้กลับแม้แต่น้อย

    ส่วนกิลเบิร์ตย่อมไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ด้วยฐานะชายาเขาเองก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณีข้างถนนที่ถือดีหลอกลวงท่านดยุคให้แต่งงานด้วย แต่จริงๆแล้วเป็นนางบำเรอของพวกโจรสลัดที่เข้ามาสืบข่าว สรุปคือเป็นนางนกต่อนั่นเอง! ช่างเป็นข้อกล่าวหาที่ทั้งต่ำทรามและเลวร้ายเกินบรรยาย

   นี่มันผัวโฉดเมียชั่วในตำนานชัดๆ!

“ถ้าออกไปจากบ้านตอนนี้จะถูกกระทืบตายคาถนนไหมนะ” กิลเบิร์ตว่าพลางมองไปยังกลุ่มผู้ประท้วงที่มาออกันหน้าบ้านเต็มไปหมด แต่ละวันพ่อบ้านเบนจามินยุ่งหัวหมุนเวลาหมดไปกับการจัดการคนพวกนี้ แม้ลุดวิกจะบอกไปแล้วว่าให้ปล่อยไป แต่ด้วยวิสัยตาแก่หัวดื้อ เป็นตายร้ายดียังไงย่อมไม่ให้เจ้านายต้องลำบากใจ “แล้วจะไปทำงานไหวหรือ จะโดนปาอะไรใส่รถไหม” เขาหันกลับมาถามลุดวิกที่ตอนนี้แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศเพื่อไปประชุมเช้า ถึงจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ภาระงานของเขาไม่เคยน้อยลงอยู่แล้ว อันที่จริงถ้าลุดวิกไม่ทำงาน กิจการงานของดาวดวงนี้ก็คงไม่มีใครทำแล้ว คนที่ยุ่งขนาดนี้แต่ยังทำตัวสบายๆได้ กิลเบิร์ตนับถือเขาอย่างจริงใจในเรื่องนี้

“หมาเห่าใบตองแห้ง สุนัขที่เห่าหอนเก่งไม่กัดคนหรอก” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชาเหยียดหยาม เขาย่อมรู้ว่าคนพวกนั้นก็แค่ลิ่วล้อจ้างวานของพวกเจ้าชายอ๊อตโต้ ไม่กล้าถึงขนาดทำร้ายทหาร อย่างมากถ้าปาไข่ใส่รถมาก็เอาไปล้างเสียก็เท่านั้น “ถือเสียว่ากำลังจะมีงานบันเทิง สนุกกับมันหน่อยละกัน”

“ใจเย็นสุดๆไปเลยนะ!” กิลเบิร์ตหัวเราะ เขารู้สึกว่าคุณสามีคนนี้ช่างน่าหมั่นไส้เสียนี่กระไร คนเราจะมั่นใจในตัวเองก็มีขอบเขตกันหน่อยสิ!

“มีลิงมาแสดงละครให้ดู ก็ควรปรบมือให้ลิง ว่าแต่ฉัน เธอก็เถอะทำอะไรก็ระวังบ้าง อย่าถือว่าเก่งแล้วจะทำอะไรก็ได้” เขาเตือนพลางเดินเข้ามากอดภรรยาไว้จากทางด้านหลัง กิลเบิร์ตเช้านี้สวมเสื้อเชิ้ตขาวลำลองสบายๆทั้งเนื้อทั้งตัวอุ่นน่ากอดไปหมด หากไม่ติดว่ามีงานการต้องทำเขาแทบจะอยากอยู่บ้านทั้งวันนอนกอดแมวแสนดื้อตัวนี้ให้สมอยาก “ฉันเป็นห่วงนะ”

“!”

   คำพูดแสดงความห่วงใยนั่นทำเอาคนฟังสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะอมยิ้มและจับมือของอีกฝ่ายที่โอบรอบเอวเขาไว้หลวมๆ อดไม่ได้ที่จะเอนกายพิงแผงอกแข็งแกร่งสมชายชาตรีที่ทำให้เขาอบอุ่นทุกครั้งที่ตกอยู่ในอ้อมกอด เอาเข้าจริงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่ลุดวิกคนนี้ก็เป็นผู้ชายที่เกินมาตรฐานชายชาตรีไปโข เรื่องความหน้าตาดีนั้นยกไว้ให้แล้ว เพียงแต่ว่าหมอนี่ดันมีดีมากกว่านั้น นิสัยใจคอเอาแต่ใจก็จริง แต่เรื่องเอาอกเอาใจนั้นถือว่าไม่ขาดเลยสักนิด

   ถ้าแต่งงานกับใครไปจริงๆ หรือเกิดรักใครเข้าจริงๆ หมอนี่ต้องเป็นพวกรักถวายหัวแน่

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ ไม่ใช่ตัวถ่วง ไม่ต้องให้คุณเป็นฝ่ายทำงานอยู่คนเดียวหรอก” กิลเบิร์ตตอบก่อนจะหมุนตัวมาเผยรอยยิ้มเจิดจ้าให้คุณสามีกำมะลอที่ตอนนี้ก็ขยับมุมปากส่งยิ้มหวานให้เช่นกัน ลุดวิกขยับกายจูบเข้าข้างแก้มของภรรยา คำพูดของกิลเบิร์ตใครมาได้ยินคงคิดว่าเขาโชคดีมีภรรยาเก่งกาจช่างเอาใจ คงมีแต่เขาที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย

   ตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตหนีไปช่วยเจ้าหญิงเฟรเซียกับฟินน์ แถมยังไปปะทะกับโจรสลัดอย่างอเล็คเซ่ ก่อเรื่องก่อราวไม่หยุดหย่อน นั่นทำให้ลุดวิกรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวในการมีคนๆนี้อยู่ข้างกาย ประการแรก กิลเบิร์ตไม่ใช่เจ้าแมวน้อยที่จะนอนหนุนตักให้เขาเกาคางทั้งวันอย่างที่เคยแสดงออกในคืนแรก แต่นี่คือแมวเถื่อนบ้าคลั่งที่ชอบตะกุยผนังห้องลุยน้ำโคลนปีนป่ายไปทั่ว ไม่ว่าอะไรก็หยุดเขาไม่ได้ ประการถัดมา เจ้าแมวบ้านี่ดันคล่องแคล่วเกินไป เก่งเกินไป เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป แถมการที่รู้จักกับอเล็คเซ่เป็นการส่วนตัวแสดงว่าก่อนหน้านี้คงอาละวาดมาหนักข้อพอดู และประการสุดท้าย นี่ย่อมไม่ใช่แมวเลี้ยง แท้ที่จริงกิลเบิร์ตเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมมาอยู่ที่นี่ แต่คำถามพวกนี้หากถามออกไปเกรงว่าคนตรงหน้านี้คงจะหนีเตลิดเปิดเปิง กิลเบิร์ตไม่มีทางยอมรับโดยเด็ดขาด

   สิ่งเดียวที่ลุดวิกคิดว่าเขาควรทำในตอนนี้ก็คือการแสร้งโง่ ไม่ถาม ไม่พูด ไม่สงสัย แต่จับตามอง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ากิลเบิร์ตจะแถสีข้างถลอกต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

“ฉันเคยบอกแล้วว่าเธอเป็นภรรยา” ลุดวิกตอบและลูบเส้นผมสีดำขลับนั้นอย่างเบามือ หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้อยู่เฉยๆอยู่หรอก เพียงแต่ว่า วิธีการบ้าคลั่งที่เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้เสนอก่อนหน้านี้มันน่าสนใจมากกว่า และรวดเร็วกว่าวิธีการเดิมของเขามาก แทนที่จะต้องไปขับยานอวกาศอ้อมทางช้างเผือกรอบใหญ่ มิสู้แค่หมุนรอบดวงจันทร์จะไวกว่าหรือ ดังนั้นแผนการใหม่แม้อันตรายกว่า แต่ก็น่าสนใจกว่าด้วย “เธอเป็นภรรยาของฉัน แต่เพราะเราตกลงกันแล้ว ฉันก็จะให้เกียรติการตัดสินใจของเธอ เพียงแต่ว่า อยากให้ระมัดระวังตัวบ้าง” ลุดวิกเอ่ยร้องขอ ดวงตาสีฟ้านั้นเฉิดฉายจนแสบนัยน์ตา รอยยิ้มหวานสุดเจิดจ้า พอทุกสิ่งมาประกอบบนใบหน้าของหนุ่มรูปงามเช่นนี้ก็ทำเอาคนมองหน้าแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตแทบอยากเอาหน้าซุกพรมขึ้นมาแล้ว

   ให้ตายเถอะ! หมอนี่จะโปรยเสน่ห์ทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไง!

“รู้แล้วน่า! ไปดีมาดีนะ! ไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้หรอก สบายมาก!” กิลเบิร์ตพูดแก้เก้อพลางผลักฝ่ายตรงข้ามออก แต่พริบตานั้นที่ฝ่ายคุณสามีดันฉวยโอกาสยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยจูบไปจากริมฝีปากภรรยาสุดที่รักอย่างหน้าด้านๆ ทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวหน้าร้อนผ่าวยืนอึ้งเป็นเสาหินอยู่ตรงนั้น “เจ้ากระโถน!”

ครั้นพอลุดวิกไปทำงานแล้ว กิลเบิร์ตก็ไม่มีอะไรทำ เขาเดินไปนั่งๆนอนๆบนโซฟาเพื่อรอเวลาที่นัดหมายไว้ หลับไปตื่นหนึ่งก็ปรากฏว่าเบนจามินพาคาร์ลเข้ามาพบ ชายหนุ่มสหายเก่าของลุดวิกยังคงตีสีหน้าเหยเก ท่าทางเหน็ดเหนื่อยว้าวุ่น และแน่นอนเขายังคงพูดเรื่องเดิมๆที่พูดมาตลอดทุกวันนับแต่เกิดเรื่อง

หลังเกิดเรื่องคาร์ลจะเทียวมาที่บ้านทุกวันเพื่อขอให้พวกเขาโต้กลับอะไรบ้างก่อนที่จะถูกรุมประชาทัณฑ์จากประชาชน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะพยายามยังไง ลุดวิกก็ยังคงนิ่งเฉย ร้อนจนคาร์ลต้องเข้าหากิลเบิร์ตหวังให้เขาเกลี้ยกล่อมสามีของตัวเอง

   ทว่า กิลเบิร์ตนั้นกลับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ยิ่งกว่า ข้ออ้างของเขาย่อมเป็นการวนอ้อมดาวเคราะห์น้อยร้อยแปดตลบ เพราะให้เกียรติสามีบ้างล่ะ เพราะมีความรู้น้อยบ้างล่ะ เพราะไม่รู้สถานการณ์บ้างล่ะ ชนิดที่ว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่คิดจะออกความเห็น วันนี้ก็เช่นกัน...

“ถึงจะแค่แต่งหลอกๆก็ควรจะมีน้ำใจให้กันบ้างสิ คุณกับลุดวิกนี่คิดอะไรอยู่กันแน่!” คาร์ลเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด วันนี้ลุดวิกส่งคาร์ลมาเพื่อให้ช่วยสอนกฎเกณฑ์มารยาทในสภาให้กิลเบิร์ตสำหรับการไต่สวนในวันพรุ่งนี้ แต่กิลเบิร์ตก็ยังคงเอ้อระเหยลอยชายอ่านหนังสือไปตามเรื่องตามราว ท่าทีของเขาทำให้คาร์ลไม่แน่ใจว่าคนๆนี้จริงๆแล้วจริงใจกับลุดวิกแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพอเรือจะแตกก็เตรียมชิ่งหนีหรอกนะ

“ฉันก็ตามใจเขาอยู่แล้ว หมอนั่นอยากทำอะไรก็ให้ทำ นี่นายคิดว่าภรรยากำมะลออย่างฉันจะควรแสดงความเห็นหรือไง” กิลเบิร์ตตอบขณะเปลี่ยนไปอ่านหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวัง

“นี่คุณกำลังตกเป็นผู้ต้องหานะ! คนทั้งดาวด่าคุณกันระงมแล้วนะ!อยากเข้าไปอยู่ในคุกจริงๆใช่ไหมเนี่ย!” คาร์ลร้อนใจ การไต่สวนครั้งนี้นับว่าสำคัญมาก หากสุดท้ายไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ ลุดวิกจะต้องถูกปลดจากทุกตำแหน่งกลายเป็นนักโทษการเมือง ถูกริบทรัพย์สิน ส่วนกิลเบิร์ตในฐานะภรรยามีแต่จะถูกหางเลขไปด้วย ไม่มีทางรอดได้แน่ๆ ยกเว้นแต่ว่าเขาจะหนีเอาตัวรอดไปก่อนการไต่สวน

“ฉันเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้านะ อยู่ไหนกับใครก็เหมือนกันนั่นล่ะ!”

“นี่คุณ!” คาร์ลตวาด คำพูดคำจาของกิลเบิร์ตตอนนี้ขืนใครได้ยินเข้าต้องเข้าใจว่าเขาคิดนอกใจสามีไปมีอื่นแน่ๆ “ถึงคุณจะชอบทำตัวสบายๆ แต่มารยาทผู้ดีก็ต้องมีบ้างนะ!”

“นายก็คิดมากไป ถึงฉันอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้หรอก ต่อให้นายบ่นต่อไปทั้งวัน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้แน่ๆ พูดพล่ามอย่างกับว่าฉันสามารถช่วยอะไรได้งั้นล่ะ!” กิลเบิร์ตโต้กลับ สีหน้าท่าทีสั่นไหวกว่าเมื่อครู่เล็กน้อยจนคาร์ลสังเกตได้ ถึงตอนนี้ดูเหมือนคาร์ลก็ใจเย็นลงบ้างแล้ว เพราะประโยคเมื่อครู่ย่อมสามารถตีความได้ว่า ไม่ใช่ว่ากิลเบิร์ตไม่อยากทำอะไร แต่ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ต่างหาก

   คาร์ลมุ่นคิ้วเล็กน้อยและนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย เขาเหลียวซ้ายขวาไม่พบเห็นคนอื่นในบ้าน ก็ตัดสินใจเอ่ยต่อ

“จริงๆมีสิ่งที่คุณทำได้นะ” คาร์ลพูดเสียงเบา ในขณะที่กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างฉงนเล็กน้อย “พี่ชายของผมสืบมาแล้ว จริงๆแล้วเจ้าชายอ๊อตโต้เคยรับสินบนจากเจ้าพวกโจรสลัดนั่น ในบรรดาของพวกนั้นอาจมีของที่แสดงถึงความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายอยู่ก็ได้นะ ถ้าเราหาของนั่นเจอก็จะช่วยลุดวิกให้พ้นความผิด แล้วโต้กลับพวกนั้นได้ด้วย” จู่ๆคาร์ลก็เสนอแผนการประหลาดขึ้นมา ในจุดนี้กิลเบิร์ตย่อมเลิกหัวคิ้ว

“แล้วลุดวิกว่ายังไงบ้างล่ะ?”

“หมอนั่นบอกว่าเสี่ยงเกินไป และไม่เห็นด้วยที่จะบุกไปถึงถิ่นโจรสลัด” คาร์ลสารภาพ อันที่จริงเขาบอกแผนการนี้กับลุดวิกและนิโคลัสไปแล้ว แต่เพราะแผนนี้มีช่องโหว่เยอะจนเกินไป ทั้งยังอันตรายเกินไป สุดท้ายทั้งคู่ปฏิเสธ แต่แม้จะปฏิเสธ คาร์ลก็ยังไม่ยอมตัดใจ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องการเกลี้ยกล่อมกิลเบิร์ตก็เพราะอยากเดิมพันแผนนี้ด้วยนั่นเอง หมอนี่คือคนที่โดนยาของพวกโจรสลัดแล้วยังรอดปลอดภัยได้หลายชั่วโมง ต้องมีดีแน่นอน

   และก็อย่างที่เขาคิด ตอนนี้กิลเบิร์ตเหมือนจะนิ่งคิดไปเช่นกัน ก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ

“โจรสลัดพวกนั้นอยู่ที่ไหน นายรู้งั้นเรอะ” กิลเบิร์ตเอ่ยถามตรงไปตรงมา การที่จู่ๆหมอนี่มาพูดอะไรแบบนี้ย่อมหมายถึงเขาต้องมีลู่ทาง

“คิดว่าทางนี้เป็นใคร มันต้องมีอยู่แล้ว!”

   ในที่สุดหลังจากตกลงกันได้แผนการลับก็เริ่มต้นในช่วงกลางคืน ลุดวิกยังคงกลับช้าเช่นเดิม ส่วนกิลเบิร์ตนั้นลักลอบหนีออกจากคฤหาสน์ไปพบกับคาร์ลตามที่นัดหมายกันไว้ เป้าหมายของพวกเขาก็คือการลักลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของเจ้าชายอ๊อตโต้ ซึ่งตอนนี้ใต้ดินถูกใช้เป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรสลัด ถึงแม้พวกอเล็คเซ่จะมียานรบ แต่ยานรบอวกาศนั้นหากปรากฏขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีทางที่ลุดวิกจะไม่สั่งการให้พวกทหารใช้เรดาร์จับตาดูอย่างละเอียด การจะหลบหนีไปอย่างลอยนวลนั้นไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกนั้นจะต้องหาที่ซ่อนอีกครั้ง และที่ๆปลอดภัยที่สุดย่อมต้องเป็นที่อันตรายที่สุดนั่นเอง

   คฤหาสน์ส่วนตัวของเจ้าชายอ๊อตโต้!

“พวกลุดวิกก็รู้ว่าพวกโจรสลัดอยู่ที่นี่หรือ?” กิลเบิร์ตถามขณะที่เดินตามคาร์ลมาในความมืด

“ต้องรู้สิ แต่ยังไม่มีหลักฐาน แต่สัญญาณเรดาห์มันไม่พอที่จะใช้ยืนยันหรอก!” คาร์ลบอก

   กิลเบิร์ตเพียงแต่พยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรอีก เขาตามคาร์ลที่อ้างว่าแอบมาสำรวจที่ทางไว้ก่อนแล้วเข้าไปในคฤหาสน์ คาร์ลยังอ้างอีกว่าคนรับใช้ของเจ้าชายอ๊อตโต้ที่ออกมานำทางพวกเขานั้นเป็นสายลับที่เขากับลุดวิกวางไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นการลักลอบเข้าไปยังคฤหาสน์จึงไม่ยากเย็น ความยากอยู่ที่กิลเบิร์ตจะต้องลักลอบไปที่ยานรบของพวกนั้นและหาหลักฐานให้เจอ

“งั้นแยกกันหาละกันจะได้เร็วหน่อย” กิลเบิร์ตบอกขณะที่พวกเขาเดินมาถึงโถงทางเดิน ตอนนี้ดึกมากแล้ว และพรุ่งนี้จะมีการไต่สวนครั้งสำคัญ เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองพลาดโอกาสนี้ ตอนนี้เขาเข้านอนไปนานแล้ว “ไม่ว่าจะเจอหรือไม่ เมื่อถึงเวลานัดหมายไปพบกันที่ทางออก ดีไหม”

“ตกลง” คาร์ลตอบรับและแยกกับกิลเบิร์ตที่อาคารปีกตะวันออก

   ฝ่ายกิลเบิร์ตมองตามแผ่นหลังของคาร์ลไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาหันกลับเดินเข้าไปในอาคารฝั่งตะวันออก ใช้พลังจิตจับคลื่นพลังชีวิต หากเป็นของที่อเล็คเซ่ให้เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมต้องเป็นของที่มาจากอวกาศ และของพวกนั้นมักจะมีกลิ่นอายของพลังที่ติดมากับแหล่งกำเนิดของมัน ดังนั้นหากใช้พลังย่อมจะต้องได้เบาะแส จวบจนเดินมารอบหนึ่ง กิลเบิร์ตก็ใช้พลังจิตทำลายกลอนประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ลึกที่สุดของตัวอาคาร ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ดวงตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้ในที่มืด กวาดสายตามองรอบหนึ่งก็มั่นใจว่านี่คือห้องเก็บทรัพย์สมบัติและของที่เขาต้องการก็มีอยู่ในนี้จริงๆ เพียงแต่ว่า...

“คุณนี่เป็นพวกชอบเดินเข้าถ้ำเสือนะครับ” น้ำเสียงเยียบเย็นแต่เปี่ยมด้วยความรักความเอ็นดูแบบนี้ ไม่ต้องหันกลับไปกิลเบิร์ตก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแต่ว่าคราวนี้เขาไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก ตรงกันข้ามกลับรู้สึกได้ดั่งใจอย่างมากด้วย

“รู้ว่าคนเขาจะมาก็ควรหาอะไรไว้ต้อนรับสิ เสียมารยาทจริงๆ อเล็คเซ่” กิลเบิร์ตหันมาพลางยิ้มทักทายอย่างเฉยชาแกมยียวน เขากอดอกยืนมองฝ่ายตรงข้ามที่ฉีกยิ้มหวานหยดมาให้ ทั้งยังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ยื่นมือมาจับข้างแก้มของเขาอย่างถือวิสาสะ

“น้อยๆหน่อยนะ เจ้าโจรสลัด”

“รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอผมแน่ๆแต่กลับมาหาถึงที่ นี่กิลเบิร์ต คุณวางแผนจะนอกใจสามีอีกหรือไงครับ” อเล็คเซ่กระซิบเบาข้างหูฝ่ายตรงข้าม คำพูดเชือดเฉือนจนกิลเบิร์ตนึกอยากตบบ้องหูให้ตาย

“อย่ามาพูดคำว่าอีกครั้งนะ! ฉันไม่เคยนอกใจเฟรเดอริค! เป็นเจ้าบ้านั่นที่กล่าวหาฉันฝ่ายเดียว!” โวยขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้นอกใจเลยสักนิด เป็นหมอนั่นที่เอาใจออกห่างเขาไปคว้าเอาอารอนมาเองต่างหาก ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่กลายเป็นจำเลยสังคม นี่มันเรื่องตลกร้ายชัดๆ! “นายเองก็เป็นผู้ร้ายชัดๆ อย่ามาพูดจาเหมือนตัวเองเป็นคนดีไปหน่อยเลย!”

   ทั้งหมอนี่ ทั้งคนพวกนั้น ในสายตาเขามันก็เจ้าพวกผู้ร้ายเหมือนกันนั่นล่ะ! โดยเฉพาะอารอน เดิมทีเขาเคยคิดจะปล่อยวาง แต่เพราะความจริงที่อเล็คเซ่พูดมา ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตกลับไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร อารอนสมคบกับเฟรเดอริค เจตนาให้ร้ายเขา เจตนาให้เขาถูกคนรุมประณาม กระทั่งให้ถูกใครก็ไม่รู้มาขืนใจงั้นเรอะ เรื่องบาปช้าพวกนี้หากเขายังจำยอมก้มหน้าก้มตารับสภาพได้อีก ก็ประสาทเสียเกินไปแล้ว!

“เรื่องจริงเป็นอย่างไรใครจะสนกันล่ะครับ ผู้คนสนใจแต่เรื่องที่น่าสนุกเท่านั้น คุณเองพอถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องสนุกของดาวดวงนี้เหมือนกันนี่ครับ ว่าไงครับ มาหาอะไรเอ่ย” ว่าพลางก็ยื่นแขนกอดรัดเอวอีกฝ่ายไว้ หวังจะรั้งร่างนั้นให้เข้ามาใกล้แนบชิด และดูเหมือนว่ากิลเบิร์ตก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วย “คิดอะไรอยู่ครับ มีแผนอะไรรึเปล่า ท่านนายพลกิลเบิร์ต” สรรพนามนั่นอเล็คเซ่เจตนาเรียก ผู้คนบนเทสล่ามักจำกิลเบิร์ตในฐานะภรรยาของท่านผู้นำเฟรเดอริคมากกว่า โดยหลงลืมความจริงไปว่าเทสล่านั้นเติบโตมาได้ด้วยอานุภาพทางการทหาร และคนที่เป็นแสนยานุภาพนั่นก็คือนายพลผู้บุกเบิกดวงดาวร่วมกับท่านผู้นำมา

   ใช่แล้ว จะเป็นใครไปได้ ก็ต้องเป็นท่านนายพลกิลเบิร์ตผู้นี้ น่าเสียดายว่าเพราะยามนี้เทสล่าเข้มแข็งเกินไป แกร่งกล้าเกินไป มีอำนาจมากเกินไป คนพวกนั้นถึงได้หลงลืมคนที่เคยก่อร่างสร้างมันมาไปจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นใครก็ได้ที่จะมาสวมตำแหน่งนั้นและอวดอ้างประกาศศักดาของตนเองแทน ในจุดนี้อเล็คเซ่ยอมรับว่าเขาเองก็รู้สึกหมั่นไส้ทั้งเฟรเดอริคกับอารอน จากข่าวที่ได้รับมาตอนนี้ อารอนได้รับแต่งตั้งเป็นท่านผู้หญิง และเป็นนายพลใหญ่ของกองทัพไปแล้ว นี่มันวัวลืมตีนชัดๆ

   ฝ่ายกิลเบิร์ตนั้นพยายามจะอ่านอะไรบางอย่างจากสีหน้าท่าทางของฝ่ายตรงข้าม แต่น่าเสียดาย อเล็คเซ่ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่ถึงไม่ง่าย ก็ใช่ว่าจะยากเย็นจนเกินไป

“ตกลงว่าคุณมีแผนการอะไรครับ กิลเบิร์ตที่รัก” อเล็คเซ่ถามอีกครั้งพลางเอียงคอส่งยิ้ม และถือวิสาสะจับมืออีกฝ่ายขึ้นจูบ “ถ้าไม่มีแผน คุณคงไม่ยอมมาที่นี่คืนนี้หรอกใช่ไหม” 

“อืม คิดว่ามีไหมล่ะ” กิลเบิร์ตหัวเราะเบาๆ ดวงตาเย็นวาบขึ้นเสี้ยววินาทีจนอีกฝ่ายสังเกตได้ “นี่อเล็คเซ่ สิ่งที่นายต้องการจากดาวดวงนี้คืออะไรรึ”

“...”

“เป็นเอสเปอร์สองพี่น้องนั่น หรือว่าทรัพยากรอื่น”

“นี่คุณต้องการอะไรกันแน่น้อ” อเล็คเซ่ยิ้มหวานอีกครั้ง เพราะคราวนี้กิลเบิร์ตดูจะตั้งตัวติดกว่าคราวที่แล้ว และจากการที่เขาชิงเอสเปอร์ไปจากเจ้าชายอ๊อตโต้ทีเดียวสองคนก็ทำให้เขากลายเป็นผู้ครอบครองทรัพยากรล้ำค่าที่สุดของดาวดวงนี้ไปโดยปริยาย ไม่ใช่ทั้งเจ้าชายอ๊อตโต้และตระกูลเกอเจ้นอีกแล้ว เหมืองเกลือทั้งดาวไม่มีทางจะเทียบกับเอสเปอร์ถึงสองคนได้หรอก จักรวาลนี้มีคำกล่าวว่าคิดครอบครองจักรวาล จงพึงมีเอสเปอร์ไว้ข้างกาย ประสาอะไรกับการที่อดีตท่านนายพลมีเอสเปอร์อยู่ตั้งคู่หนึ่ง
“อย่าลืมนะครับว่า เสียน้อยเสียมากเสียยากเสียง่าย ผมกำจัดสามีคุณแล้วลักพาคุณกับเด็กๆกลับไปก็ได้แล้ว”

“นั่นต้องถามนายแล้วว่า คิดจริงๆหรือว่าทำได้” อีกฝ่ายย้อนเสียงหวาน

“...”

“ว่าไง คิดจริงๆหรือว่านายยังจะได้อะไรจากดาวดวงนี้อีก” นั่นคือการท้าทายชนิดที่ใครได้ยินคงนึกว่ากำลังต่อรองอยู่กับนักธุรกิจสักคน เพียงแต่ว่าตอนนี้คนที่อเล็คเซ่กำลังต่อรองด้วยคือเอสเปอร์คนหนึ่ง เขารู้ดีว่ากิลเบิร์ตมีแผนการ และแผนการนั้นจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ใครได้ดีไปกว่าตัวเอง อย่าได้คิดว่าเขาเป็นนายทหารธรรมดาๆ แต่นี่คือนายทหารที่เคยกุมอำนาจสูงสุดบนดวงดาวหนึ่งมาแล้ว

   คนเคยเป็นใหญ่ ไม่มีใครโง่เขลา

“คุณต้องการอะไรกันแน่ กิลเบิร์ต” สุดท้ายอเล็คเซ่เลือกที่จะถามตรงๆ และยามนั้นเองที่กิลเบิร์ตแสยะยิ้มหวานจนหัวใจสั่น รอยยิ้มที่ทำให้โจรสลัดหนุ่มหัวใจเต้นกระชั้น หากให้เลือกระหว่างผลประโยชน์สองฝ่าย ระหว่างผลประโยชน์ที่กิลเบิร์ตจะเสนอกับที่พวกตระกูลเกอเจ้นจะมีให้

   คำถามว่า อเล็คเซ่จะเลือกอะไร?



จบตอน

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เพิ่งตามอ่านจนครบ อ่านตอนแรกเหมือนไม่สนุก พล็อตแปลกๆ  นายเอกเป็นนายพล จะถึกเกินไปเสียแล้ว
แต่ที่ไหนได้ พอขึ้นตอนสองสนุกมากกกกกก  :mew1:

หมั่นไส้อเล็กเซ่มากทำเรื่องเดือนร้อนให้กิลตลอด ผีเปรตจริงๆ
แถมความหมั่นไส้สามีเก่ากับอารอน ขอให้ล่มจ่มไปด้วยกันทั้งคู่ :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๗
การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด

   จนแล้วจนรอดพวกลุดวิกรอถึงเช้ากิลเบิร์ตก็ยังไม่กลับมา ทำเอาทุกคนในบ้านร้อนใจกันถ้วนหน้า พ่อบ้านเบนจามินก้มหน้ารับผิดแต่โดยดีที่ปล่อยให้กิลเบิร์ตหนีออกไปยามวิกาล แต่กระนั้นลุดวิกกลับเพียงแต่ตำหนิเขาเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้นิโคลัสติดต่อใครบางคนให้แทน ท่าทีภายนอกไม่คลับคล้ายเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย

“เขาเป็นคนฉลาด ย่อมต้องมีวิธีการ อย่าได้เป็นกังวลให้มากไป” ลุดวิกบอกกับพ่อบ้านของตนเอง ทว่า ลึกๆในใจจะบอกว่าไม่เป็นห่วงนั้นย่อมต้องถือว่าโกหก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เมื่อคิดจะเชื่อแล้วก็ได้แต่ต้องเชื่อมั่นในอีกฝ่ายให้ถึงที่สุดเท่านั้น การคิดหรือทำอะไรครึ่งๆกลางๆไม่ใช่วิสัยของเขา “กิลคือคนที่ฉันเลือกเป็นภรรยา ย่อมต้องมีดีให้โอ้อวดแน่นอน” เขายิ้มเล็กน้อยยามที่คิดถึงภรรยาแสนดื้อคนนั้น และเขารู้ดีว่ากิลเบิร์ตจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

หลังจากจัดการเรื่องในบ้านแล้ว ลุดวิกก็แต่งตัวด้วยเครื่องแบบสมาชิกรัฐสภาและออกจากบ้านไปพร้อมกับนิโคลัส ส่วนเบนจามินนั้นพอคล้อยหลังเจ้านายก็ทอดถอนใจเหน็ดเหนื่อย ช่วงเวลาไม่นานแท้ๆแต่กลับคล้ายแก่ขึ้นอีกหลายปี

“คุณลุงไปพักก่อนไหมเดี๋ยวผมช่วยงานเอง” ฟินน์ที่เดินลงมาจากบันไดชั้นบนบอกพลางยิ้มให้ ใบหน้าของเทวดาตัวน้อยทำเอาความเหนื่อยยากของเบนจามินแทบมลายหายไปสิ้น การมีเด็กอยู่ในบ้านนี่มันชวนสบายตาสบายใจจริงๆ “วันนี้ผมว่างทั้งวันเลยนะ”

“ไม่เป็นไรๆ นี่วันสำคัญ ฉันเองก็อู้ไม่ได้หรอก แล้วนี่คุณหนูเฟรย์ไปไหน” นั่นย่อมหมายถึงอดีตเจ้าหญิงเฟรเซียที่ตอนนี้ลุดวิกสั่งให้เบนจามินเก็บเรื่องสองพี่น้องเป็นความลับ และห้ามเอ่ยเรียกชื่อของหญิงสาวในบ้านหลังนี้ เบนจามินจึงปฏิบัติกับเธอเช่นหลานสาวคนหนึ่ง

“เฟรย์กำลังไปแต่งตัวน่ะ”

“แต่งตัว?” น่าแปลก ปกติเฟรเซียตื่นแต่เช้า แล้วทำไมจนป่านนี้เธอยังแต่งตัวไม่เสร็จกันล่ะ

“เดี๋ยวเฟรย์จะไปทำงาน ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยครับ!” หนุ่มน้อยยิ้มหวานอีกครั้งพลางนึกเสียดายว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยักได้มีโอกาสแบบน้องสาวบ้าง “งั้นผมจะช่วยคุณลุงทำงานเองนะ!”

   มา มาทำงานกันเถอะ...

   ฝ่ายลุดวิกกับนิโคลัสไปปรากฏตัวที่รัฐสภาตามกำหนดการ เขาในวันนี้ไม่ได้มาในฐานะนายทหารใหญ่หรือดยุคแห่งออลบานีเท่านั้น แต่มาในฐานะของสมาชิกรัฐสภาที่มีหน้าที่แถลงการณ์ต่อรัฐสภา นัยของการเป็นสมาชิกรัฐสภานั้นมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเขา ในฐานะดยุค เขาเป็นแค่ลูกชายคนรอง ส่วนในฐานะนายพลเขายังต้องเชื่อฟังกษัตริย์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่ด้วยฐานะสมาชิกสภา เขาคือสมาชิกของตระกูลชไนเดอร์ที่ได้รับตำแหน่งสืบทอดมาจากมารดา เป็นตำแหน่งหน้าที่ๆชอบธรรมที่สุดของเขา ไม่ต้องมองหน้าใคร และไม่จำเป็นต้องค้อมศีรษะให้ใคร

   ในห้องประชุมสภาวันนี้สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมจัดว่าหรูหราอลังการยิ่งกว่าวันไหนๆ กษัตริย์นั่งเป็นประธานอยู่บนยกพื้นสูงทางด้านหน้า ในขณะที่เจ้าชายอ๊อตโต้นั่งขนาบตามด้วยสมาชิกเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายสมาชิกรัฐสภานั่งประจำตำแหน่งตระกูล ส่วนนายทหารระดับสูงประจำที่โดยรอบในฐานะผู้สังเกตการณ์ ส่วนลุดวิกในฐานะจำเลยกิตติมศักดิ์นั้นเดินเข้ามาในห้องประชุมโดยมีนิโคลัสติดตามมาเพียงคนเดียว ไม่ทันไรก็ดูเหมือนจะมีคนสังเกตได้ว่าภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วยกัน

“น่าแปลกที่ชายาคนสำคัญของท่านดยุแห่งออลบานีไม่ได้มาด้วย” เคาท์ฮาน เกอเจ้นในฐานะพระญาติสอดปากขึ้นมาก่อน ความอัปยศครั้งก่อนเปลี่ยนความชื่นชมให้กลายเป็นคั่งแค้น ยามนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้ลุดวิกพังพินาศย่อยยับ และยิ่งอยากเห็นกิลเบิร์ตโดนประณามหยามเหยียดจนเป็นผ้าขี้ริ้ว “ไม่ใช่ว่ากลัวความจริงเปิดเผยเลยเผ่นแน่บไปแล้วหรอกนะ! คนแพศยาพรรค์นั้น!” ว่าพลางขึ้นเสียงสูงชี้ไปที่ตำแหน่งที่ควรเป็นที่ยืนของชายาท่านดยุค ถึงตรงนี้เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นต่อ

“เป็นไปได้ว่าป่านนี้อาจหนีตามโจรสลัดชู้รักไปแล้วก็ได้ แบบนี้คงไม่ต้องไต่สวนแล้วกระมัง” เจ้าชายอ๊อตโตเหยียดยิ้มเยาะ เขาในตอนนี้ย่อมคาดว่ากิลเบิร์ตคงถูกอเล็คเซ่จับตัวไปแล้ว และคนที่ถูกโจรสลัดพวกนั้นจับได้ไม่มีวันที่จะมีจุดจบดีอย่างแน่นอน สมน้ำหน้านักที่ไม่ยอมเป็นของเขา แต่ต้องตกเป็นของพวกโจรเถื่อนพวกนั้น! “ในประเด็นของท่านชายา เมื่อไม่มาก็ต้องถือว่ายอมรับผิดสินะ ว่าไง ท่านดยุคแห่งออลบานี”

   เจ้าชายฉีกยิ้มแสยะอย่างเป็นต่อทั้งยังสร้างแรงกดดันต่อสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆไม่น้อย จนประธานรัฐสภาเกือบจะถือหางเขาว่าไงก็ว่าตามเสียแล้ว เพียงแต่ว่ารูปการณ์ย่อมไม่ง่ายเช่นนั้น ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากรวบรัด สมาชิกรัฐสภาคนอื่นกลับชิงเปิดประเด็นขอให้ท่านดยุคได้ขึ้นชี้แจงก่อน หากจนจบแล้วกิลเบิร์ตยังไม่มาจึงค่อยถือว่าเขาหลบหนี การถกเถียงนี้หยิบยกเรื่องสิทธิของจำเลยมาพูดในที่ประชุมด้วย แม้เป็นดาวห่างไกลชุมชนสหพันธ์ดาวเคราะห์ แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ได้ สุดท้ายพวกเจ้าชายอ๊อตโต้ยอมถอยชั่วคราว และเร่งให้มีการเปิดประชุมแทน

   ไม่ทันจะเริ่ม การถกเถียงก็เหมือนจะร้อนแรงขึ้นแล้ว

   ลุดวิกนั้นนิ่งสงบอย่างยิ่ง  ทุกคนในที่ประชุมนั้นแม้มีทั้งคนที่ชื่นชมและเกลียดชังเขาสลับกันไปมากมาย แต่ใครบ้างที่จะกล้าเถียงว่าผู้ชายคนนี้ไม่สง่างาม ลุดวิก ชไนเดอร์ในชุดเครื่องแบบสมาชิกรัฐสภาสีเขียวเข้ม ก้าวเดินไปยังพื้นที่ยกสูงกลางห้องเพื่อรับการไต่สวน เขานิ่งฟังข้อกล่าวหาแสนเลวร้ายจากประธานรัฐสภาอย่างใจเย็น สีหน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่ไหวติง วางท่าสงบและน่าเกรงขามจนทำเอาผู้กล่าวหากลับกลายเป็นฝ่ายที่ขาสั่นเสียเอง ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟังและเชิดใบหน้าขึ้นกวาดสายตาเยียบเย็นมองคนทุกคน ณ ที่นั้น ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ผู้เป็นพ่อของเขาเอง

   ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อลูก แต่สำหรับลุดวิก คนๆนี้ก็แค่คนที่แต่งงานกับแม่ของเขาและทำให้เขาเกิดมาเท่านั้น กษัตริย์ผู้นี้ในสายตาของเขาไม่มีอะไรน่าชื่นชม เป็นคนแก่ที่เอาแต่ใจ ขี้รำคาญ หัวโบราณหนักหนา ทั้งยังใจแคบไม่กล้าตัดสินใจอะไร และแม้เขารู้ดีว่าลูกชายคนโตนั้นไม่ได้เรื่องขนาดไหนก็ไม่มีความกล้าที่จะปลดจากตำแหน่ง แม้ลุดวิกทำงานหนักหรือมีชื่อเสียงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจมากมายแค่ไหน กษัตริย์ก็ไม่เคยเห็นความชอบจากเขา ดูอย่างในวันนี้ ทั้งที่กษัตริย์รู้แน่แก่ใจว่าเขาถูกใส่ความแน่ๆ แต่ก็ยังนิ่งเฉย สั่งให้เปิดการไต่สวนสามฝ่ายหน้าตาเฉย เพื่อเกียรติประวัติ ความชอบธรรม และพิธีศพสวยๆที่จะมาถึงของตนเอง คนๆนี้ไม่เคยมองเขาในฐานะลูกชาย ไม่เคยแม้แต่จะมองถึงประโยชน์สุขของอาทีเรีย

   ดาวดวงนี้ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่นับแต่เขาเป็นกษัตริย์มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความผิดพลั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คนที่ควรจะถูกไต่สวนว่าบกพร่องในหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ว่าควรเป็นคนๆนี้หรอกหรือ

   ลุดวิกรู้และเขาเห็นสิ่งนี้มาแต่เด็ก เขาสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าพ่อ ดีกว่าพี่ชาย และเพื่อการนั้นเขาจะต้องก้าวข้ามทุกคนไปให้ได้ ยิ่งในตอนนี้เขาได้พบคนที่น่าสนใจ คนที่เขาจำเป็นต้องจับตามองไม่ให้คลาดสายตานับแต่วินาทีแรกที่พานพบ คนที่เขาคิดว่าควรจะอยู่เคียงข้างเขา คนๆนั้นที่เขาไม่อยากปล่อยมือจากไป เพื่อคนๆนั้น อย่างน้อยในวันนี้ เขาจะต้องชนะ!

“ข้อกล่าวหาพวกนี้จำเป็นที่ฉันจะต้องพูดอะไรด้วยหรือ” ลุดวิกเอ่ยเรียบๆพลางหันไปทางเหล่าสมาชิกรัฐสภาและนายทหารในสังกัดของตนเอง แน่ล่ะว่าแต่ละคนนั้นแทบจะค้อมศีรษะให้เขาในตอนที่สบสายตากัน ช่วยไม่ได้ ก็ใครให้คนๆนี้คือท่านสมาชิกรัฐสภาลุดวิก ชไนเดอร์ผู้มีอิทธิพลคับฟ้ากันล่ะ

   แต่ไหนแต่ไร เขาก็คือคนที่ยึดอำนาจจากท่านประธานสภาในทุกการประชุมอยู่แล้ว!

“ในเมื่อทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่ามันไร้สาระ งั้นคนกล่าวหาฉันคงว่างมากจนเกินไป ท่านประธาน เจ้าชายอ๊อตโต้ ฉันคิดว่าพวกคุณควรเอาเวลาไปทำงานจะเป็นประโยชน์กับอาทีเรียมากกว่านะ” ทันทีที่พูดจบก็ทำเอาเหล่าสมาชิกกับพวกทหารหัวเราะกันออกมาในทันที บรรยากาศตึงเครียดถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย “เราจบการอภิปรายไร้สาระนี่ แล้วไปดื่มเบียร์กันแทนดีกว่าไหม ฉันกับภรรยาขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเอง!” ประโยคนี้เองที่ทำเอาคนหัวเราะครืน ถึงขนาดมีคนตะโกนตอบตกลงลงมาด้วย แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุมการประชุมที่แท้จริง

   ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่ประธานรัฐสภา แต่เป็นผู้ชายที่ชื่อลุดวิกนี่!

“หุบปากซะลุดวิก!” เจ้าชายอ๊อตโต้ที่ถูกหักหน้าย่อมอดไม่ได้ที่จะตวาดอีกฝ่ายออกมา แต่ลุดวิกนั้นไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่ยังเฉยชาอย่างยิ่ง ท่าทีมองเหยียดราวกับเห็นเขา เห็นเจ้าชายรัชทายาทเป็นมดแมลง ทั้งที่เป็นแค่ลูกชายคนที่สอง เป็นแค่คนตระกูลรองอย่างชไนเดอร์ แต่บังอาจมาลองดีกับเขา “ได้! ถ้าแกคิดว่าไร้สาระงั้นก็เอาตัวพยานออกมา! แล้วแกจะได้เห็นว่าพยานคนนี้คือใคร!” ชี้หน้าประกาศก้องพร้อมสั่งคนสนิทให้ไปเอาตัวพยานปากเอกออกมา

   วินาทีนั้นเองทันทีที่พยานคนที่ว่าปรากฏตัว ฉับพลันกลับเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้จำนวนมาก ทั้งเหล่าสมาชิกสภา ทั้งเหล่าทหาร นอกจากนิโคลัสแล้วแทบไม่มีใครที่สงบใจได้ แน่ล่ะ ก็ในเมื่อพยานของเจ้าชายอ๊อตโต้ ดันเป็น...คาร์ล เออร์เนส!

   เพื่อนรักของลุดวิก!

   คาร์ลในตอนนี้ตีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเดินก้มหน้าก้มตาทำหน้าลำบากใจมาที่คอกพยาน ก่อนจะหันไปมองเจ้าชายอ๊อตโต้ที่ออกคำสั่งให้เขาพูดเรื่องจริง แน่ล่ะว่าเรื่องจริงนั้นถูกเตรียมไว้แล้ว!

“ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั่นคือเรื่องจริง พอเถอะลุดวิก ฉันไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้ว นายจะคิดทำอะไรก็ได้ แต่เรื่องที่นายสมคบกับพวกโจรสลัดกับแอบพาเจ้าหญิงเฟรเซียหนีนั่น มันผิดนะ!” คาร์ลผู้ตีสีหน้าชอกช้ำกล่าว ยามนี้การถ่ายทอดสดกำลังแพร่ภาพไปทั่วดวงดาว และคนทุกคนต่างก็เห็นชัดว่าคนที่เป็นพยานฝ่ายเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นหาใช่ใครอื่น แต่คือคาร์ล เออร์เนส มือขวาและเพื่อนรักของลุดวิก! ในทางปฏิบัติคนๆนี้ไม่มีทางจะกล่าวหาเพื่อนของตนเอง! หรือว่าข้อกล่าวหานี่คือเรื่องจริง!

   เพียงแต่ว่าจนแล้วจนรอด รอจนปล่อยให้ทุกคนอึงอลสับสนกับพักใหญ่ ลุดวิกจึงหัวเราะขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้กับละครฉากใหญ่ของเพื่อนรัก นี่คือคาร์ล เพื่อนสนิทที่สุดของเขา คนที่เขาเคยคิดว่าจะฝากความไว้วางใจทั้งหมดของตัวเองทั้งหมดให้ไว้ ทว่า ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น

   ไม่ว่าสิ่งใดในจักรวาลนี้ล้วนผันแปรเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ใจคน

“สิ่งที่นายพูดตลกดีนะ คุณคาร์ล เออร์เนส” ลุดวิกพูดขำๆ ส่วนคาร์ลยังคงตีหน้าซื่อพูดต่อ

“นายนั่นล่ะหยุดเถอะ! เมื่อคืนกิลเบิร์ตเป็นคนขอให้ฉันพาเขาไปหาพวกโจรสลัด ตอนนี้ภรรยารักของนายทิ้งนายไปแล้วนะ!”

“หุบปาก!” ลุดวิกตะคอกตัดบท เขาเริ่มรำคาญเสียงของหมอนี่เต็มที่แล้ว ทั้งที่ทนฟังมาได้ตลอด แต่มาถึงวินาทีนี้เมื่อคาร์ลพาดพิงชื่อของกิลเบิร์ต เขากลับรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกสมเพชเวทนานี้ทำให้เขาจำต้องทอดถอนใจ “นายคิดว่า ทุกคนจะเชื่อคำพูดของนาย ในฐานะเมียเก็บของเจ้าชายอ๊อตโต้หรือไง คาร์ล เออร์เนส”

“!”

   เมียเก็บ!?

   คาร์ล เออร์เนส เป็นชู้รักของเจ้าชายอ๊อตโต้เมื่อไหร่กัน!

“อย่ามากล่าวหาลอยๆนะ!” เจ้าชายอ๊อตโต้รีบแก้ตัว ตอนนี้เขากำลังเล่นบทผู้ชายที่ถูกภรรยาทิ้ง ย่อมจะมีมลทินจากการมีภรรยาน้อยไม่ได้ แถมภรรยาน้อยคนนั้นดันเป็นอดีตมือขวาของน้องชายตัวเองที่เขากำลังกล่าวหาอยู่ด้วย ขืนโดนเล่นงานแบบนี้มีแต่จะพังครืนกันทั้งหมดเท่านั้น

   แต่มันสายไปแล้วเพราะถึงตอนนี้ หนึ่งในสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งกลับยกมือและยืนขึ้น ยามที่คนๆนั้นยืนขึ้นคาร์ลกลับสะดุ้งขวัญเสีย มีสีหน้าดูไม่จืดในทันที ก็นั่นน่ะคือ พี่ชายของเขาเอง!

   พี่ชายที่พูดน้อยและเอาแต่ยิ้มจนเขาต้องคอยประสานงานกับลุดวิกให้ตลอดเวลา พี่ชายคนนั้น ทำไมมายกมืออภิปรายอะไรเอาตอนนี้!

“ฉันขอเป็นพยานให้ท่านสมาชิกชไนเดอร์”

“พี่!” คาร์ลตะโกนขึ้นอย่างขวัญเสีย ทว่า นั่นไม่ได้ทำให้พี่ชายของเขาหน้าเปลี่ยนสีเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขาในวันนี้พูดจาได้
อย่างฉะฉานมั่นคงมาก!

“ฉันทราบมานานแล้วว่าน้องชายของฉันมีสัมพันธ์ไม่ปกติกับเจ้าชายรัชทายาท  เพียงแต่ที่แล้วมาเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ฉันจะแสร้งมองข้ามไปเสียก็ได้ แต่ตอนนี้ พวกเขากำลังรวมหัวกันใส่ความท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา น้องชายของฉัน เธอที่สละเกียรติยศของตระกูลเออร์เนสยอมเป็นภรรยานอกกฎหมายของเจ้าชาย ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นพยานคนกลาง ไม่มีประโยชน์ได้เสียกับการไต่สวนนี้อีกหรือ ไม่ใช่ว่าเธอร่วมมือกับเจ้าชาย คิดทำร้ายท่านลุดวิกกับภรรยาหรอกหรือ!” สิ้นคำแถลงการณ์ยาวเหยียดของท่านสมาชิกสภาเออร์เนสผู้เป็นพี่ชาย วินาทีนั้นที่ความโกลาหลพลันเกิดขึ้นทันที

   ถัดจากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด คือศึกสายเลือด!! ท่านสมาชิกสภาลูคัส เออร์เนสเป็นคนพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

   สองฝ่ายต่างมีพยาน สองฝ่ายต่างน่าเชื่อถือ สองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร การถกเถียงแพร่ไปในวงกว้างทั้งในสภายามนี้และทั่วดวงดาว แท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้ใครผิดใครถูกกันแน่!

   โครม!

   เสียงประตูห้องประชุมถูกกระแทกออกพร้อมกับเงาของคนสองคนที่เหมือนจะดันทุรังฝ่ากองทัพสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่เข้ามา และทันใดที่พวกเขาเผยโฉมหน้า เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอีกครั้ง การประชุมคราวนี้มันช่างสนุกจนทำเอาผู้เข้าร่วมประชุมกับคนทางบ้านรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังดูละครก็ไม่ปาน ก็คนที่โผล่มานี่จะเป็นใครได้อีก นั่นคือกิลเบิร์ต ชายาของท่านดยุคกับเจ้าหญิงเฟรเซีย!

“ใครถูกใครผิดย่อมมีหลักฐานอยู่แล้ว! และหลักฐานนั่นก็อยู่ในมือฉันแล้วไง คาร์ล เออร์เนส!” กิลเบิร์ตตวาด ส่วนคาร์ลเบิกตาก
ว้างอย่างพิศวง ก็เมื่อคืนเขาเป็นคนพากิลเบิร์ตไปให้พวกโจรสลัดเองกับมือ แล้วทำไมวันนี้หมอนี่ไม่เพียงยังปลอดภัยดีแต่ยังมาปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าหญิงเฟรเซียอีก! นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน!

“อย่าไปฟังเขานะ! หมอนั่นเป็นชู้รักของพวกโจรสลัด! จับหมอนั่นไว้!” คาร์ลรีบตะโกน แต่สายไปแล้ว กิลเบิร์ตสาวเท้าเข้ามากลางห้องปะชุม ก้าวขึ้นไปบนยกพื้นและชูของสิ่งหนึ่งขึ้น มันคือแหวนวงหนึ่ง

“แหวนวงนี้ค้นพบที่ในห้องของนายในกรมทหารไง คาร์ล เออร์เนส! เฮ้! กล้องนั่นน่ะ ฉายภาพแหวนวงนี้ใกล้ๆซะสิ!”

   วินาทีนั้นกล้องจับภาพที่แหวนในมือของกิลเบิร์ต ปรากฏแหวนทองคำที่ประดับตราสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ มันคือตราประจำตัวของเจ้าชายอ๊อตโต้จริงๆ! เพียงแต่ว่าในตัวแหวนด้านในกลับมีอักษรแกะสลักอยู่อีก มันคือลายเซ็นของเจ้าชายและประโยคสั้นๆที่แกะสลักว่า

   แด่คาร์ลยอดรัก...

“บ้าน่า! นายไปเอามาได้ยังไง!!!!” คาร์ลแทบล้มทั้งยืน แหวนวงนั้นย่อมเป็นแหวนที่เจ้าชายอ๊อตโต้ให้เขาจริงๆ เพียงแต่ว่าทำไมกิลเบิร์ตถึงได้มันมา ในตอนแรกเขาคิดว่าพี่ชายเป็นคนบอกหมอนี่ แต่เรื่องนี้ มีแต่เขาที่รู้นี่นา!

อนิจจาคาร์ลไม่มีทางรู้เลยว่าสาเหตุที่กิลเบิร์ต ‘รู้’ ก็เพราะเขาใช้เทเลคิเนซิส ‘อ่านใจ’ ของตนเอง โดยปกติกิลเบิร์ตไม่นิยมการใช้พลังนี้ แต่ว่าเพราะตั้งแต่เรื่องที่ตนเองถูกวางยา เขาจึงเริ่มระวังตัวมากขึ้น กระทั่งเขาเริ่มสงสัยคาร์ลตั้งแต่ที่หมอนี่ไม่ได้ตามลุดวิกไปช่วยเขาจากเจ้าชายอ๊อตโต้ ทั้งยังหายไปในช่วงน่าสิ่วน่าขวานหลายครั้ง เมื่อได้รับการยืนยันจากลุดวิกว่าหมอนี่คือไส้ศึก เขาก็ลอบอ่านใจของหมอนี่เพื่อหาหลักฐานความสัมพันธ์กับเจ้าชาย และก็อย่างที่คิด คาร์ลซ่อนแหวนนี่ไว้ที่ห้องของตัวเองในกรมทหาร

“ฉันไม่ยอมรับ! ฉันกับหมอนั่นไม่ใช่คนรัก! คนที่ฉันรักคือเฟรเซีย!” เจ้าชายอ๊อตโต้ประกาศก้องและกระโจนลงจากที่นั่งหมายจะมารับขวัญภรรยา แต่ในตอนนั้นเองที่เฟรเซียตบเข้าข้างแก้มเขา หญิงสาวตวาดขึ้นมา

“จับเขาไว้! เขาคือกบฏ!”

   หา!!!!

   คนอื่นอาจยืนงงได้ แต่ลุดวิกไม่ ทันทีที่เจ้าหญิงประกาศเขาก็สั่งให้นิโคลัสกระโจนลงไปปกป้องเจ้าหญิง ในขณะที่ทหารนายอื่นต่างไม่รีรอที่จะเข้ามาสนับสนุน แม้นี่เป็นห้องประชุมรัฐสภา แต่ ณ ที่นี้ ลุดวิกย่อมคำนวณไว้แล้วว่าจากจำนวนผู้ที่สนับสนุนเขา ทั้งเหล่าสมาชิกรัฐสภาและนายทหาร เขานี่ล่ะคือประธานตัวจริงที่จะควบคุมการประชุมครั้งนี้! แท้ที่จริง นี่คือเวทีของเขา!

   นี่คือการประกาศศักดาว่าใครคือผู้กุมอำนาจแท้จริงบนดาวดวงนี้!!

“นี่เธอคิดเอาใจชายชู้โดยจะกำจัดฉันทิ้งเรอะ!” เจ้าชายอ๊อตโต้ตวาด แต่เจ้าหญิงกลับรีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังกิลเบิร์ตแสร้งบีบน้ำตาทำท่าน่าสงสารอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ และพูดต่อทันที

“เจ้าชายได้โปรดอย่าโกหกอีกเลย! ท่านเป็นคนให้ตระกูลเกอเจ้นติดต่อพวกโจรสลัด ท่านสัญญาว่าจะแบ่งเหมืองเกลือให้พวกโจรสลัดครึ่งหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าหากได้เป็นราชาแล้วก็จะปันดาวดวงนี้อีกครึ่งให้เป็นอาณานิคมของพวกโจรสลัดด้วย! ท่านกับตระกูลเกอเจ้นสมคบกันทรยศดวงดาวนี้ และนี่คือหลักฐาน!” เจ้าหญิงผู้ตีบทแตกยื่นกล่องสีทองสลักลวดลายหัวกะโหลกสีดำสามหัวให้ทุกคนดู

   และเป็นที่รู้กันว่านั่นคือตราสัญลักษณ์ของพวกโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!!!

“เฟรเซีย! เธอเอามันมาจากไหน!” เจ้าชายอ๊อตโต้ตวาดเพราะที่จริงแล้วเขาไม่มีของจำพวกนี้อยู่กับตัวเสียหน่อย เพียงแต่เมื่อภรรยาของเขายืนกราน กลับกลายเป็นว่าทุกคนเชื่อตามนั้นกันหมด!!!     

   แต่นั่นยังไม่เลวร้ายที่สุด!

   เพราะตอนนั้นเองที่มีนายทหารสายข่าววิ่งเข้ามาในที่ประชุมและตรงไปหาลุดวิกรายงานข่าวในทันที

“ท่านนายพลครับ พวกโจรสลัดกำลังจะหนีแล้วครับ โปรดออกคำสั่ง!”นายทหารผู้นั้นรายงานเสียงดังเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้อีกระลอก ทว่า ลุดิกยังคงสงบ

“พวกนั้นอยู่ที่ไหน” ลุดวิกถามเรียบๆ พลางลอบสบตากับกิลเบิร์ต ต่างคนต่างไม่ยิ้ม แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าพวกเขาในเวลานี้เล่าว่า คืนนี้พวกเขาสองคนสมควรจะไปดื่มเบียร์ฉลองกันมากแค่ไหน

   คนคิดเป็นใหญ่ไม่มีใครโง่เขลา และคนคิดการใหญ่นั้น...ใจต้องนิ่งพอ

   ไม่ต้องรอรายงาน เพราะทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ตัดสัญญาณเข้าช่องข่าว ปรากฏว่าสื่อมวลชนรายงานภาพที่คฤหาสน์ของเจ้าชายอ๊อตโต มีเรือรบอวกาศปริศนาพุ่งออกมาจากใต้ดินของคฤหาสน์ และนั่นคือยานรบลำเดียวกับที่ก่อเรื่องไว้ก่อนหน้านี้ ยานรบของพวกโจรสลัด!

“ว้าว! คาหนังคาเขาเลยนะ!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้ม ดูเหมือนอเล็คเซ่จะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้อย่างดียิ่ง แบบนี้สิถึงจะสามารถทำการค้ากันในระยะยาวได้

“อืม จับภาพได้คมชัดดีจริงๆ” ลุดวิกเดินเข้ามายืนข้างกายภรรยาและอดไม่ได้ที่จะใช้แขนโอบรอบเอวอีกฝ่าย เขาหันไปส่งยิ้มแสนหล่อเหลาเจิดจ้าให้กับภรรยาคนเก่ง “เธอควรยอมรับว่าเราควรคู่กันจริงๆ”

“เห ฉันไม่ทำอะไรโหดร้ายแบบคุณหรอก ท่านสมาชิกรัฐสภา” กิลเบิร์ตยิ้มหวานและเอนกายพิงฝ่ายตรงข้าม ดวงตากวาดมองความโกลาหลยุ่งเหยิงอย่างนึกสนุก “ว่าแต่ เป็นผู้ชนะนี่ดีจริงๆนะ” เพราะลิ้มรสความพ่ายแพ้มามาก ยามนี้พอได้เป็นผู้ชนะกลับรู้สึกว่าน่าพึงพอใจมาก

“ถ้าเธอยืนข้างๆฉัน เราก็จะชนะไปด้วยกันตลอดไปไงล่ะ” คุณสามีตอบ 

   วินาทีนั้นที่สองสามีภรรยาต่างคนต่างยิ้มแสยะอย่างมีนัยยะ ผู้คนอื่นอาจไม่รู้ ใครคนอื่นอาจไม่ทันสังเกต แต่ทั้งเจ้าชายอ๊อตโต้กับคาร์ลนั้นย่อมไม่อาจละสายตา

   พวกเขาตกเป็นเหยื่อของสามีภรรยาโฉดชั่วคู่นี้!!!


จบตอน

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ๊ย ไม่น่าเชื่อว่าคาร์ลจะทรยศลุควิคได้ :hao5:
นี่ซินะสามีย่อมสำคัญกว่าเพื่อน ขอให้โชคดีมีชัยอยู่ในคุกนะคาร์ล

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยแซบมาก จากที่คิดว่าไม่มีอะไร อ่านไปมาสนุกมาก o13

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตามอ่านรวดเดียวแบบหยุดไม่ได้เลย

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๘
แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก

   เมื่อมีพยานหลักฐานพร้อมสรรพ ลุดวิก ชไนเดอร์ในฐานะผู้นำกองทัพและดยุคแห่ออลบานีก็มีคำสั่งจับกุมเจ้าชายอ๊อตโต้ คาร์ล เออร์เนส พร้อมกับสมาชิกของตระกูลเกอเจ้น แม้แต่ประธานรัฐสภายังถูกโหวตไม่ไว้วางใจโดยสมาชิกสภาถูกเด้งออกจากตำแหน่งไปในบัดดล ส่วนคนที่ขึ้นมารักษาการณ์ก็คือ ลูคัส เออร์เนส สมาชิกรัฐสภาที่เดิมทีได้ชื่อว่าพูดน้อยยิ่งกว่าอะไร
แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ชัดแจ้งแล้วว่า ลูคัสไม่ใช่ไม่พูด แต่เขาแสร้งที่จะไม่พูดมาตั้งแต่ต้นต่างหาก การเสแสร้งของเขา ทำให้คาร์ลผู้เป็นน้องชายเข้าใจว่าลูคัสจะไม่สามารถประสานงานกับลุดวิกได้ถ้าไม่มีเขา ใครจะนึกว่าที่แท้ลูคัสมองน้องชายของตนเองขาดตั้งแต่ต้น ทั้งยังแอบจับมือกับลุดวิกอย่างสนิทสนมลับหลังคาร์ล สุดท้ายแฉเรื่องอื้อฉาวของน้องชายกลางสภาและจับน้องแท้ๆโยนเข้าคุกไปอย่างเลือดเย็น เรียกได้ว่านี่คือศึกพี่น้องหักเหลี่ยมโหดที่เลือดเย็นอย่างยิ่ง

แต่ถึงอย่างนั้น กรณีลูคัสกับคาร์ลก็ยังโหดเหี้ยมน้อยกว่าเจ้าชายอ๊อตโต้กับลุดวิกนิดหน่อย เพราะลุดวิกนั้นทันทีที่ตนเองเป็นต่อ ท่านสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงอิทธิพลท่านนี้ก็ใช้มวลชนบีบกษัตริย์ให้ปลดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกจากการเป็นรัชทายาท ใช้เวลาไม่ทันข้ามวัน เจ้าชายอ๊อตโต้โดนข้อหากบฏขายดาวแม่ เมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ไม่ต้องไต่สวนเขาก็ถูกปลดและถูกสั่งกักบริเวณ ส่วนคาร์ลอดีตเพื่อนรักโดนจับขังคุกทหาร ตระกูลเกอเจ้นโดนปลดจากทุกตำแหน่งในคณะรัฐบาล ส่วนเจ้าหญิงเฟรเซียมีความดีความชอบจากการเปิดเผยความจริง เธอได้รับอนุญาตให้หย่าขาดจากเจ้าชาย และถอนตัวจากการเป็นสมาชิกตระกูลเกอเจ้น ยามนี้เธอจึงขอสมัครเข้ามาทำงานเป็นเลขานุการให้กับกิลเบิร์ตแทน

เมื่อสิ้นวันทุกอย่างกลับตาลปัตร ลุดวิกได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทตามกฎหมาย คนของเขาครอบครองตำแหน่งประธานรัฐสภา ส่วนกิลเบิร์ตผู้เป็นภรรยาได้รับความชื่นชมจากทุกฝ่ายและต่างยอมรับเขาเป็นชายาของเจ้าชายอย่างถูกต้องและสมเกียรติ เรียกได้ว่านี่คือชัยชนะอย่างเด็ดขาดของท่านดยุคกับชายา

หลายวันต่อมาคฤหาสน์ของท่านดยุคแม้ไม่ได้มีการจัดเลี้ยงใดๆอย่างออกนอกหน้า แต่ใครบนดวงดาวนี้ไม่รู้บ้างว่า คนในคฤหาสน์นี้อีกไม่นานก็จะกลายเป็นครอบครัวเจ้าอาณานิคมคนใหม่แห่งอาทีเรีย และชายาของท่านเจ้าอาณานิคมในอนาคตก็จะชายหนุ่มผมสีดำตาสีดำที่ถูกเหยียดว่าเป็นกุลีต่ำต้อยในคราแรกคนนั้นนั่นเอง นับว่านี่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดาวดวงนี้โดยแท้

เช้านี้ลุดวิกออกมาทำงานแต่เช้าปล่อยให้กิลเบิร์ตอยู่กับฟินน์และเฟรเซีย ส่วนตัวเขามีธุระปะปังต้องสะสางมากมาย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นงานในกรมทหารที่นิโคลัสแทบไม่อาจยอมปล่อยวาง ยิ่งเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย ก็ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังในทุกทาง เพียงแต่ว่าในบรรดาเรื่องที่สมควรต้องใส่ใจสำหรับเจ้านายของเขานั้น ยามนี้อาจรวมไปถึงเรื่องภายในครอบครัวด้วย แม้ผู้คนจะเริ่มยอมรับภรรยาของท่านนายพลของเขาได้ แต่นิโคลัสกลับยังคงเว้นระยะห่าง

กิลเบิร์ตคนนั้นต่อให้ตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกทิ้ง แต่ก็ยังมีข้อน่าสงสัยมากมาย คนๆนั้นเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่อาทีเรีย ทำไมถึงสามารถช่วงชิงความสนใจไปจากเจ้านายของเขาได้อย่างรวดเร็ว กับทั้งเรื่องที่มีคดีกับพวกโจรสลัดแล้วกลับยังสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยด้วย คนๆนั้นไม่ธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดานี่กลับทำให้ยิ่งรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ

“วันนี้ก็มีเทียบเชิญจากท่านสมาชิกรัฐสภามาอีกแล้วนะครับ ท่านนายพลจะไม่ตอบรับคำเชิญไปทานมื้อค่ำสักหน่อยหรือครับ” นิโคลัสถามผู้เป็นเจ้านายที่นั่งทำงานอยู่ตามปกติ เพียงแต่ช่วงนี้ท่านนายพลลุดวิกออกจะแอบเหม่อบ้างเป็นบางครั้ง และดูนาฬิกาบ่อยขึ้น หลังเลิกงานหากไม่มีธุระปะปังที่อื่นก็จะตรงกลับบ้านทันที คนนอกใครดูก็รู้ว่านี่คืออาการของคนที่กำลังหลงภรรยาอย่างโงหัวไม่ขึ้น แต่จะให้หลงใหลคนแบบนั้นจนมองข้ามเทียบเชิญของตระกูลผู้ดีอื่นๆเขาก็เห็นว่าผิดแผกและน่าเสียดาย เจ้านายของเขาควรได้คู่ครองที่ดีงามกว่านั้น “ตระกูลเจรามี ได้ข่าวว่ามีคุณชายรูปงามมากนะครับ แถมตระกูลนั้นสืบเชื้อสายจากมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูง คุณชายสามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ด้วย”

“แล้วไงรึ” ลุดวิกตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางลงชื่อในเอกสารต่อ

“เมื่อท่านนายพลขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคมย่อมสมควรมีทายาทและคู่ครองที่คู่ควรมิใช่รึครับ” นิโคลัสพูดต่อในขณะที่ลุดวิกเหลือบสายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารดังป้าบ สีหน้าท่าทีแสดงออกถึงความมึนชาชัดเจน

“ฉันมีภรรยาที่ดีพร้อมอยู่แล้ว เรื่องลูกสมัยนี้ไม่ใช่ว่าเราสามารถใช้ครรภ์เทียมให้กำเนิดเด็กได้แล้วหรอกรึ นี่คุณยังดักดานอยู่กับวิสัยในโลกเก่าหรือไง” ตอบพลางยืดตัวกอดอกมองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพินิจ นิโคลัสเป็นผู้ภักดีโดยแท้ และเขาไม่เคยสงสัยในความภักดีนั้น ทว่า ต่อให้ภักดีต่อกันมากแค่ไหน ความจงรักภักดีนั่นก็ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึงกิลเบิร์ต ในสายตานิโคลัส กิลเบิร์ตยังเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควร “นิโคลัส คุณควรรู้ว่าเขาเป็นคนที่ฉันเลือก”

“แต่ท่านสามารถเลือกได้มากกว่านั้นไม่ใช่รึครับ หากท่านรักคุณกิลเบิร์ตท่านจะให้เขาเป็นภรรยาเอกต่อไปก็ได้ แต่จะไม่เหลียวแลพันธมิตรตระกูลอื่นเลย ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียโอกาส” เขายังคงยืนกรานเสียงแข็งในความเห็นของตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ตาม กิลเบิร์ตก็ไม่อาจเป็นชายาที่ชอบธรรมของเจ้าอาณานิคมได้ คนๆนั้นนิโคลัสให้ค่าไว้อย่างมากก็แค่นางบำเรอคนหนึ่ง เลี้ยงดูให้ความรักได้ แต่เอาออกงานนั้นย่อมไม่ได้ “หากเป็นไปได้ ผมปรารถนาให้ท่านหย่าขาดจากเขาเสียด้วยซ้ำ”

“หยุดพูดซะ!” ลุดวิกตวาดขึ้นตัดบท ดวงตาสีฟ้าจ้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโกรธขึ้งไม่พอใจ แม้รู้อยู่เต็มอกว่านิโคลัสนั้นหวังดี แต่ความหวังดีนี้กลับทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยว นั่นคือกิลเบิร์ตภรรยาของเขา เป็นคนที่เขาเลือก เป็นคนที่เขาพอใจ แต่เพราะคนๆนั้นสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีอะไรเลย ในยามนี้เขาถึงถูกดูแคลนว่าไม่คู่ควร “ยามที่ฉันลำบากกิลเบิร์ตอยู่กับฉัน นิโคลัส!”

“ท่านนายพล...”

“ดังนั้นฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาในยามที่ฉันได้ดีมีสุข คุณตัดใจเถอะ” ตัดบทเพียงเท่านั้นพลางหยัดกายลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทำงาน “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่เฉพาะเรื่องในครอบครัวของฉัน คงต้องขอให้คุณปล่อยวาง”

   วินาทีนั้นนิโคลัสอับจนด้วยคำพูด เขาจะพูดอะไรได้อีกเล่าในเมื่อผู้บังคับบัญชาของตนเองปิดประตูนี้ทิ้ง แทนที่จะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นที่คู่ควรมากกว่า แต่สุดท้ายก็ยังยึดติดอยู่กับคนไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง แม้เป็นสุภาพบุรุษน้ำงามที่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ทว่า ท่านนายพลลุดวิกก็ได้ทิ้งโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่านี้ทิ้งไปแล้ว

“ผมเองก็จะยอมรับในสิ่งที่ท่านเลือกครับ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม ท่านนายพล” นิโคลัสตอบก่อนจะโค้งคำนับและเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ขุ่นมัว

   ฝ่ายลุดวิกสุดท้ายเขาก็ฝืนตัวเองทำงานต่อไปจนเสร็จ ตกมืดค่ำจึงได้ให้คนขับรถขับพาไปในเมือง ในวันนี้เขาขับผ่านร้านรวงหลายที่และเห็นผู้คนจับกลุ่มพูดอะไรมากมาย เขาในยามนี้ไม่อาจปลอมตัวเข้าไปสุงสิงกับผู้คนดังเดิมได้แล้ว แต่ย่อมอดไม่ได้ที่จะลอบฟังตามร้านค้าต่างๆว่าผู้คนพูดคุยอะไรกัน

   หัวข้อสนทนายังคงเป็นเรื่องเดิมๆ เรื่องการเมือง เรื่องอำนาจ เรื่องการเปลี่ยนยุคสมัย ไปจนถึงเรื่องคู่ครอง น่าแปลกที่คำพูดของนิโคลัสกลับมาวนเวียนหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อยามนี้ประชาชนเองยังเอาเรื่องครอบครัวของเขามาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังพูดถึงกิลเบิร์ตในหลายแง่มุม

   แม้พยายามแสดงให้เห็นแล้วว่ากิลเบิร์ตคือคนที่เขายอมรับเป็นภรรยา และเป็นคนเก่งมีความสามารถ แต่ในสายตาประชาชน ด้วยรูปลักษณ์และชาติกำเนิด หลายต่อหลายคนก็ยังวิจารณ์อยากให้ลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมคนใหม่รับภรรยาเพิ่ม ผู้คนมากมายต่างคาดหวังความสมบูรณ์แบบ พวกเขาเชื่อว่าลุดวิกคือผู้นำที่สมบูรณ์แบบ และพานคาดหวังให้ภรรยาของท่านผู้นำไร้ที่ติไปด้วย ทว่า สำหรับลุดวิก ยามนี้เขากลับรู้แน่แก่ใจว่าตนเองไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าแมวเถื่อนตัวนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยวางไปได้ หากเขาปล่อยไปกิลเบิร์ตจะเป็นอย่างไรต่อไป จะไปตกอยู่ในมือของอเล็คเซ่ ไปถูกใครกลั่นแกล้งรังแก ถูกใครทำร้าย หรือแม้แต่สุดท้ายจะต้องร้องไห้จนใบหน้าเปียกปอนอย่างครานั้นที่ถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ทำร้ายหรือเปล่า ยิ่งคิด ยิ่งไม่อาจปล่อยวาง

“เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้ข่วนซะหน้าอกของฉันเป็นรอยเลยนะ” ลุดวิกยิ้มกับตัวเอง ใช่แล้ว เล่นข่วนเสียจนหัวใจของเขาเป็นแผลเลยทีเดียว

   ในเวลาเดียวกับที่ลุดวิกถูกบีบคั้นอย่างหนักจากสังคม กิลเบิร์ตกลับไม่ได้สนใจเรื่องราวที่คนภายนอกจะมองเขานัก ค่ำนี้เขาใช้เวลาทานข้าวกับเฟรเซียและฟินน์ ใช้เวลาทั้งวันสอนสองพี่น้องให้หัดใช้พลังจิตในฐานะเอสเปอร์ เริ่มจากการควบคุมปริมาณที่เหมาะสม และเทคนิคง่ายๆหลายๆแบบ แม้คนที่อเล็คเซ่ส่งมาสอนพวกเขาตอนแรกจะทำได้ไม่เลว แต่นั่นยังไม่พอเพียง เมื่อดาวดวงนี้เปลี่ยนแปลงไป ยุคสมัยของเอสเปอร์แห่งอาทีเรียจะต้องมาถึง เมื่อถึงวันนั้นเขาไม่อยากให้เด็กสองคนนี้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใครอีก

“พวกโจรสลัดจะไม่ตามพวกเราแล้วหรือครับ” ฟินน์เอ่ยถามขณะที่การฝึกประจำวันจบลง วันนี้พวกเขาได้รับคำชมจากกิลเบิร์ตค่อนข้างมาก เด็กหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “คนที่ชื่ออเล็คเซ่จะไม่มาราวีคุณกับท่านดยุคแล้วหรือครับ”

“อ้อ ไม่หรอก เพราะว่าเขามีของแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าพวกเธอแล้วน่ะ” กิลเบิร์ตลูบศีรษะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆพลางจิบชา ในตอนนั้นเฟรเซียก็เอนตัวมาพิงเขาและกอดแขนออดอ้อนบ้าง “นั่นปะไร คุณหนูคนนี้อยากได้อะไรเอ่ย”

“คุณกิลเบิร์ตเลี่ยงคำตอบใช่ไหมคะ ไม่อยากให้พวกเรารู้เหรอว่าคุณแลกอะไรกับโจรสลัดใจร้ายคนนั้น” เฟรเซียอ้อนเสียงหวาน หลังจากถอดคราบเจ้าหญิงออก เธอก็กลับมาเป็นสาวน้อยคนเดิมอย่างที่เคยเป็น แม้อายุยี่สิบปีแล้วแต่เธอก็ติดการอ้อนคนอื่นอย่างที่พี่ชายชอบทำ ท่าทีของเธอนั้นย่อมถูกใจกิลเบิร์ตอย่างยิ่ง เขาชื่นชมเด็กหนุ่มสาวคู่นี้ เพราะนอกจากจะมองแล้วสบายตามากๆ ยังรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก ยิ่งเป็นเด็กที่ผ่านเรื่องร้ายๆมา เขายิ่งรู้สึกว่าฟินน์กับเฟรเซียสมควรได้รับความเอ็นดู กิลเบิร์ตรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนเองที่ต้องปกป้องเด็กคู่นี้

   และบางทีในอนาคต อาจรวมถึงเอสเปอร์ที่ยังหลับใหลบนดาวดวงนี้ด้วย

“พวกเธอจะปลอดภัย อเล็คเซ่จะได้ของที่เขาต้องการโดยไม่ต้องมายุ่มย่ามกับพวกเธออีก ฉันรับรอง” กิลเบิร์ตตอบพลางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ในแวบหนึ่งฟินน์กับเฟรเซียรู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นใครจะไปสน กิลเบิร์ตจะโหดร้ายกับใครก็ได้ ขอแค่คนๆนี้ดีกับพวกเขาก็พอ พวกเขาชอบกิลเบิร์ตและอยากอยู่กับคนๆนี้ “วันนี้ดึกแล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ พรุ่งนี้ยังต้องฝึกแต่เช้านะ”

“เข้มงวดจัง!” ฟินน์เอ่ยเล่นๆขึ้นมา แต่ฝ่ายคนโตกว่ากลับหัวเราะ

“ถ้าเข้มงวด พวกเธอก็จะเก่งขึ้นไวๆ ยิ่งเก่งขึ้นมากเท่าไหร่ก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น จำไว้นะ จักรวาลนี้สำหรับเอสเปอร์ หากไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกเธอก็จะเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตราย” นั่นคือคำตอบที่ทำให้เด็กทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน การที่กิลเบิร์ตพูดกับพวกเขาเช่นนี้ นั่นจะเป็นเพราะการมองโลกในแง่ร้าย หรือว่าแท้ที่จริงเขารู้สึกเช่นชั้นจริงๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จักรวาลนี้ก็ไม่น่าจะใช่สถานที่ๆดีสำหรับพวกเขาเลย “อย่าเข้าใจผิดนะ มีคนดีอยู่มากมายเลยล่ะ เพียงแต่ว่า...เก่งไว้ย่อมดีกว่า”

   สุดท้ายกิลเบิร์ตส่งเด็กทั้งสองขึ้นนอน ส่วนตัวเองนั่งอ่านหนังสือจิบน้ำชาอยู่คนเดียวเช่นเคย เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนเกิดเรื่องขึ้นมากมายในชีวิตเขา จากเดิมที่อยู่บนจุดสูงสุดร่วงลงมากระแทกพื้นแตกยับ หากเขาไม่ใช่เอสเปอร์ที่เก่งกาจ ยามนี้มิต้องถูกอารอนกับเฟรเดอริคจับไปประหารด้วยกิโยตินจนหัวหลุดจากบ่าแล้วหรือ ถึงที่สุดก็มีแต่ตัวเองที่ต้องพึ่งพาตัวเอง การที่เขามาถึงอาทีเรียและได้พบกับลุดวิก ท้ายที่สุดลุดวิกก็จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของเขา แล้วเฉดหัวทิ้งหรือเปล่า

   ยิ่งลุดวิกได้สิ่งที่ต้องการไวเท่าไหร่ กิลเบิร์ตก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีแต่ความไม่มั่นคง เขาย่อมรู้สึกดีในตอนนี้ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนั้นในฐานะผู้ชนะ แต่นั่นก็แค่ตอนนั้น เพราะยิ่งหลายวันนี้ได้เห็นภาพของผู้คนที่ชื่นชมลุดวิก เห็นคนๆนั้นคว้าชัยชนะได้ทุกอย่าง มันก็เหมือนการตอกย้ำว่าว่าท้ายที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อลุดวิกได้เป็นเจ้าอาณานิคมแล้วก็จะเขี่ยเขาทิ้งแบบเดียวกับที่เฟรเดอริคทำหรือเปล่า

“ก็...เราตกลงกันไว้แค่นั้นนี่นะ” กิลเบิร์ตพูดกับตัวเองพลางทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าเมื่อจัดการเรื่องอารอนกับอเล็คเซ่ได้แล้ว อีกไม่นานคำสัญญาทั้งหมดก็จะบรรลุผล ลุดวิกก็ไม่มีเหตุที่จะต้องรั้งเขาไว้เป็นภรรยาแต่เพียงในนามอีกแล้ว คิดถึงตรงนี้ที่กลางอกมันก็พานปวดแปลบขึ้นมา ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์กับการเอาตัวรอดแท้ๆ แต่มาถึงจุดนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาเหมือนกัน

“เจ้าโง่ มาอ่อนแอไม่เข้าท่าอะไรเอาป่านนี้” ตำหนิตัวเองและปิดหนังสือลง พอดีกับที่ได้ยินเสียงรถที่หน้าบ้าน ดูเหมือนคุณสามีจะกลับมาแล้ว

   ฝ่ายลุดวิกหลังจากเหนื่อยอ่อนใจมาทั้งวัน ปรากฏว่าเมื่อลงจากรถแล้วเห็นกิลเบิร์ตยืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าบ้าน เขากลับรู้สึกหัวใจพองโตอย่างกะทันหัน ความเหน็ดเหนื่อยหรือหงุดหงิดใจทั้งหลายทั้งมวลล้วนอันตรธารหาย เหลือเพียงความรู้สึกที่อยากจะสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วรั้งตัวภรรยามากอดให้เต็มมือเท่านั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็ทำไปจนหมดแล้ว ทั้งยังจูบข้างแก้มอีกฝ่ายจับมือคู่นั้นมาแนบแก้มดอมดมให้สมอยาก

“อุตส่าห์มารอรับหรือ เด็กๆล่ะ” ลุดวิกยิ้มหวานให้พลางถามถึงเฟรเซียกับฟินน์ซึ่งช่วงนี้เขาก็เริ่มชินกับการมีเด็กหนุ่มสาวคู่นั้นในบ้านแล้ว

“สองคนนั่นขึ้นข้างบนแล้ว คุณกลับดึกขนาดนี้เด็กหนุ่มสาววัยกำลังโตจะรอไหวหรือ อะ แต่ฉันไม่ได้มารอคุณหรอกนะ! แค่อ่านหนังสือเพลินจนคุณมาเท่านั้นเอง!” คำแก้ตัวไม่เป็นโล้เป็นพายนั่นทำเอาพ่อบ้านเบนจามินอดกระแอมขัดขึ้นไม่ได้ อ่านหนังสือรอยันเที่ยงคืนแบบนี้มันต้องเป็นหนอนหนังสือขนาดไหนกัน แน่ล่ะว่าลุดวิกจับโกหกที่ไม่เนียนเลยนี่ได้ แต่เขาเลือกจะมองข้าม ส่งเสื้อโค้ทให้เบนจามินแล้วจูงมือกิลเบิร์ตไปที่ห้องโถง ได้กลิ่นสบู่กับแชมพูอ่อนๆจากอีกฝ่ายซึ่งก็หอมเสียจนเขาอยากหอมฟัดร่างนั้นทั้งร่างเสียเดี๋ยวนี้ “อย่านะ! คุณเหม็นมากเลย!”

“มีภรรยาที่ไหนปฏิเสธสามีที่กำลังจะแสดงความคิดถึงน่ะ” ลุดวิกหัวเราะเบา ถ้าเป็นภรรยาบ้านอื่นคงยอมให้เขาจูบปากไปแล้ว แต่กิลเบิร์ตกลับผลักไสเขาซะงั้น ช่างเป็นแมวที่เรื่องมากจริงๆ

“อะไรเล่า! ถ้าไม่ยอมก็จะขอหย่าเร็วขึ้นหรือไง!” กิลเบิร์ตพูดอย่างติดตลก แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเจือความไม่มั่นใจเล็กๆไว้จนคนฟังสัมผัสได้ ความรู้สึกไม่มั่นคงนั่นสะท้อนออกมาโดยที่เจ้าตัวคนพูดไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ และบังเอิญว่าคำพูดนี้มันกลับกระตุ้นความขุ่นเคืองเล็กๆในในของลุดวิกขึ้นมาเช่นกัน

“ไม่หย่าหรอก” เขาพูดเสียงแข็ง

“เอ๋!” กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าดันเจอใบหน้าขมึงทึงของลุดวิกมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฉันไม่หย่าให้เธอหรอก!”

“หะ!”

   วินาทีนั้นเองที่กิลเบิร์ตผงะไป ส่วนลุดวิกสาวเท้าเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอน ในขณะที่เบนจามินที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่งสายตาอิดหนาระอาใจมาให้กิลเบิร์ต เขาเห็นความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้มาตั้งแต่คืนแรกที่ลุดวิกพากิลเบิร์ตมาที่นี่ ในสายตาคนนอกเขาเห็นแต่คุณผู้ชายเป็นฝ่ายพะเน้าพะนอคุณผู้หญิงท่านนี้ แต่กิลเบิร์ตกลับบ่ายเบี่ยงมาตลอด แม้จนสุดท้ายร่วมหอลงโลง ร่วมเป็นร่วมตาย แต่ก็ยังมีกำแพงตั้งตระหง่านขวางทางรักเอาไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาย่อมมองว่านี่เป็นปัญหาของฝ่ายภรรยา

“หมอนั่นโกรธอะไรน่ะ!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นโดยไม่ได้รับรู้เลยว่า ปัญหาก็คือตัวเขานั่นล่ะ

“ก็สมควรโกรธนะครับ สามีกลับบ้านมา ภรรยาพูดขอหย่าซะอย่างนั้น เป็นผมก็โกรธครับ” เบนจามินทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าหรือเพราะลุดวิกกับกิลเบิร์ตโดยพื้นฐานเป็นผู้ชายทั้งคู่ เรื่องจะให้หวานกันตลอดนั้นจะเป็นไปได้ยาก แต่คิดไปคิดมา นั่นไม่น่าเป็นปัญหา มีใครปัจจุบันนี้บ้างที่เอาเรื่องเพศมาเป็นปัญหาใหญ่ นี่น่าจะเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวมากกว่า “คุณต้องไปง้อแล้วล่ะนะผมว่า”

“ง้อ? ฉันน่ะนะ!” กิลเบิร์ตโวยอีกรอบ นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองผิดอะไร ทำไมเขาต้องง้อล่ะ!

“ไม่ได้สำนึกความผิดเลยจริงๆสินะ เฮ่อ! ความสัมพันธ์สามีภรรยาไม่เหมือนการขัดรองเท้าที่คุณจะขัดไปเรื่อยตามแต่ใจโดยอีกฝ่ายไม่บ่นนะ! ของแบบนี้มันต้องดูแลกันหน่อย! เอ้า! รีบไปง้อเร็ว!” เบนจามินถือโอกาสนี้ใช้ความอาวุโสและฐานะอดีตหัวหน้างานตบบ่าให้กำลังใจกิลเบิร์ต ไอ้เรื่องแบบนี้มันต้องมีความกล้ากันหน่อย! “ว่าแต่ขอถามหน่อย คุณน่ะต้องใช้ครรภ์เทียมไหม”

“ฉัน?” งงไปอีกรอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร

   ครรภ์เทียมที่ว่าไม่ได้หมายถึงการปลูกถ่ายมดลูกเทียมอะไร แต่หมายถึงเทคโนโลยีการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตจากเซลล์สืบพันธุ์ของคู่สามีภรรยาไม่ว่าเพศเดียวกันหรือต่างเพศ มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ตั้งแต่มาตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพศหญิงไม่จำเป็นต้องรับภาระให้กำเนิดบุตร แต่สามารถใช้มดลูกเทียมเพื่อการนี้ได้ ทว่า ก็ยังมีเพศหญิงที่นิยมการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และเพศชายบางกลุ่มที่เกิดการกลายพันธุ์จากวิวัฒนาการจนสามารถให้กำเนิดทารกโดยธรรมชาติได้เช่นกัน เรียกได้ว่า วิวัฒนาการพันธุกรรมศาสตร์นั้นก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว และอาจเพราะเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งงานไม่ว่ากับเพศใดอีก

   คำถามของเบนจามินจึงตีความได้ว่า กิลเบิร์ตเป็นเพศชายที่สามารถให้กำเนิดลูกได้โดยธรรมชาติ หรือเขาต้องการให้กำเนิดทารกโดยการใช้ครรภ์เทียมในโรงพยาบาล สองอย่างนี้ย่อมต่างกันที่ความยากง่ายและการดูแล เพียงแต่คำถามนี้ทำเอากิลเบิร์ตอึ้งไปเหมือนกัน

   เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าตัวเองท้องได้หรือเปล่า?

“จะไปรู้เรอะ!” สุดท้ายกิลเบิร์ตปัดคำถามนั้นตกอย่างรวดเร็ว อันที่จริงจะมาคิดทำไมว่าจะมีลูกแบบไหน ยังไงเสียเขาก็ไม่มีวันมีลูกกับลุดวิกหรอก!

   เมื่อจบสัญญานี้ พวกเขามีชะตากรรมที่ต้องต่างคนต่างไป!

   แม้จะกระอักกระอวลใจ แต่สุดท้ายกิลเบิร์ตก็ต้องด้อมๆมองๆหาโอกาสเดินเข้าห้อง ไม่ใช่จะง้อหรอกนะ เขาก็แค่ต้องเข้ามานอนในห้องเท่านั้นเอง!

“เอ๋ อาบน้ำหรือ” กิลเบิร์ตไม่เห็นลุดวิกในห้องแต่ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเลยลิงโลดรีบปีนขึ้นเตียงห่มผ้า หมายจะแกล้งหลับ ถือเสียว่าคืนนี้ทะเลาะกันพอพรุ่งนี้เช้าก็ลืมๆไปเองแหละ!

   ทว่า ในตอนที่ใกล้จะเคลิ้มหลับนั่นเองที่พลันรู้สึกว่าเตียงยวบลง มิหนำซ้ำแขนปลาหมึกกลับยั้วเยี้ยมากอดเข้าเต็มรักตามด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่กดลงบนร่างของเขา รู้ตัวได้สติอีกทีก็ถูกริมฝีปากอีกฝ่ายจูบเข้าเต็มที่ เรียวลิ้นนุ่มแต่สากโลมเลียริมฝีปากของเขาก่อนจะสอดแทรกเข้ามาลิ้มเลียชมไปทั่วโพรงปาก ส่วนมือไม้นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะจัดการกลัดกระดุมเสื้อทิ้งและใช้ปลายนิ้วแตะลงบนยอดอกของเขาจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน

“หยุดนะ! ลุดวิก!” กิลเบิร์ตพยายามผลักไส แต่พอสบตาเจ้าคนหน้าไม่อายตรงๆ อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าขมึงทึงมุ่นคิ้วเสียแก่กว่าอายุไปหลายปี ก่อนจะลงมือจูบฟัดข้างต้นคอเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “อย่านะ! ฉันง่วงแล้วนะ! ไม่มีอารมณ์อย่างว่ากับคุณหรอก!”

“ถ้าไม่มีก็แค่ทำให้เธอมีเท่านั้นเองนี่ เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชาพลางลงมือกระชากกางเกงคู่กรณีและลูบไล้เรียวขางามที่เขาชมชอบอย่างยิ่ง “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้เธอจะเข้าใจผิดว่าฉันคิดหย่าขาดจากเธอนะ”

“หา!” เบิกตากว้าง ไหงลุดวิกเอาเรื่องหย่ามาเป็นเหตุผลแบบนี้เล่า นี่มันข้ออ้างอะไรกัน!

“สามีที่ไม่เชยชมภรรยาบ่อยๆจะถูกหาว่าแหนงหน่ายหมดรัก นี่ฉันก็กำลังแสดงให้เธอเห็นว่าฉันทั้งรักทั้งหลงเธออยู่ไง” คนหน้าไม่อายหยิบยกเหตุผลบ้าบอที่สุดเท่าที่กิลเบิร์ตจะเคยได้ยินมามาแอบอ้าง ทั้งยังทำร้ายเขาเสียจนเนื้อตัวอ่อนยวบยาบ “ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่หย่ากับเธอ ต่อให้เธออยากหย่า ฉันก็ไม่หย่า!” นั่นคือข้อสรุปของเขาหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยจนหัวโล่งแล้ว ไม่ว่าใครจะว่ายังไงหรือกิลเบิร์ตจะเถียงยังไง ถ้าเขาไม่หย่าเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเขาได้!

“เดี๋ยวสิ! แล้วข้อตกลงของเราล่ะ!” กิลเบิร์ตประท้วง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงจะเป็นสามีภรรยากำมะลอ จบงานแล้วต่างคนต่างไปเรอะ! “นี่เข้าใจรึเปล่าว่าคุณกำลังผิดคำพูดน่ะ!”

“ฉันพูดตอนไหนว่าจะเป็นฝ่ายขอหย่า เธอพูดเองเออเองทั้งนั้น!”

“!”

“ทำไมฉันจะต้องหย่ากับภรรยาที่เพียบพร้อมที่สุดของตัวเองด้วย! ไร้สาระที่สุด!” ลุดวิกตอบอย่างจริงจัง เขาในตอนนี้เข้าใจดีถึงความอ่อนไหวในหัวใจของกิลเบิร์ต ยิ่งเรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ยิ่งเข้าใจดีว่าความไม่มั่นคงนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนเพียงใด แม้แต่คนรอบข้างของเขายังยุแยงให้เขามีภรรยาใหม่ ประสาอะไรกับกิลเบิร์ตที่มีปมในเรื่องนี้ที่คลายไม่ออก “เธอเป็นภรรยาของฉัน และฉันในตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไป ฉันจะเป็นเจ้าอาณานิคม และจะช่วยเธอจัดการปัญหาที่กำลังจะตามมารังควานเธอ ไม่ใช่แค่ตอบแทนที่เธอช่วยฉัน แต่นี่คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะสามีภรรยา!”

   คำพูดของลุดวิกนั้นเรียกได้ว่าทั้งชัดเจนและมั่นคงจนกิลเบิร์ตนึกสั่นสะท้านขึ้นมา เขาย่อมอดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวไปกับคำพูดที่คลับคล้ายจริงใจอย่างที่สุดนั่น ก่อนหน้านี้รู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกเศร้าใจลึกๆอย่างไม่มีสาเหตุ คำพูดของลุดวิกที่ดูจริงใจมากๆนี่กลับยิ่งทำให้รู้สึกสั่นไหว

“คำพูดคน พูดได้ก็ลืมได้” กิลเบิร์ตตอบ ใช่แล้ว วันนี้ไม่ แต่อนาคตล่ะ “ถ้าคุณเจอใครคนใหม่ที่ดีกับคุณมากกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า คุณจะมาไยดีอะไรกับฉัน ก็แค่แมวข้างถนนที่คุณเก็บได้เท่านั้น” ยิ่งคิดน้ำตามันก็พานจะไหลออกจากหางตา เจ็บที่กลางอกจนต้องซุกใบหน้าลงกับหมอน ทำไมถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้ รวดร้าวขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพูดปาวๆว่าเพื่อผลประโยชน์ แต่มาตอนนี้เขากลับเป็นคนที่พูดได้ไม่เต็มปากเสียแล้ว พอคิดว่าจะถูกลุดวิกทิ้งอีกคนก็รู้สึกวูบโหวงในอก 

“งั้นฉันเองก็แค่ถังขยะโสโครกที่แมวตัวนั้นมานอนอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน”

“!”

“เราอยู่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นในตรอกมืดมนหรือกลางฟลอว์เต้นรำที่หรูหรา”

“ฉัน...” ลุดวิก อยากพูดอะไรกันแน่

“กิลหันมาหาฉัน” ลุดวิกสั่งเบาๆ น้ำเสียงของเขายามนี้อ่อนลงหลายส่วน “หันมาเถอะ ขอฉันเห็นหน้าเธอ” ว่าพลางรั้งรอจนผู้ฟังนั้นค่อยๆผินหน้ามา แม้พยายามปาดน้ำตาออก แต่ความรวดร้าวที่สะท้อนในนัยน์ตาคู่นั้นกลับมากมายนัก “อยู่กับฉันเถอะ อยู่ข้างๆฉัน ในยามลำบากเรามีกันและกัน ดังนั้นในยามที่รุ่งโรจน์ ฉันก็จะมีเธอเพียงคนเดียว”

   คำพูดนั้นช่างแปลกประหลาด เหตุเพราะมันไม่ใช่คำสารภาพรัก ไม่ใช่คำขอแต่งงาน ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการบอกกล่าว บอกกล่าวถึงความจริงใจ และความบริสุทธิ์ใจที่จะมีให้กัน ประหนึ่งคนพูดนั้นรู้แก่ใจว่าสิ่งที่คนฟังต้องการมากที่สุดหาใช่คำรัก สิ่งที่กิลเบิร์ตปรารถนามากที่สุดในตอนนี้กลับเป็นคำมั่นสัญญาสามัญธรรมดา

   หากสามีเก่าของเธอทอดทิ้งเธอยามมั่งมี เช่นนั้นตัวฉัน...ก็จะมีเธอเพียงคนเดียวในทุกวินาทีของชีวิต

“ฉัน เชื่อคุณได้หรือ” กิลเบิร์ตถาม เขาเคยเชื่อ เขาเคยเจ็บ จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรเชื่อดีหรือไม่ ทว่า คำตอบของลุดวิกกลับเป็นจูบแสนอ่อนโยนที่มอบให้ ดวงตาสีฟ้าสวยที่มองเขาอย่างตั้งใจ แววตาเช่นนี้กิลเบิร์ตคลับคล้ายว่าไม่เคยเห็นมันจากผู้ใดมาก่อน ไม่เคย แม้แต่กับอดีตสามี

“ฉันจะเป็นคนแบกรับภาระการพิสูจน์นั้นเอง”

“ลุดวิก...”

“ให้ฉันได้พิสูจน์มันต่อหน้าเธอด้วยเถอะ”

   ภาระการพิสูจน์รักในครั้งนี้ ลุดวิก ชไนเดอร์จะเป็นผู้แบกรับไว้เอง



จบตอน

ดีใจหากทุกคนชอบนะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวายก็จริง แต่ก็เป็นนิยายไซไฟเช่นกันค่ะ หลังจากนี้จะค่อยๆเผยปมของตัวละครค่ะ

ส่วนตอนหน้าเตรียมต้อนรับตัวละครชุดใหม่กันค่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ดีใจที่มาอัพน้า สงสารกิลที่มีแต่คนดูถูกทั้งที่เป็นเก่งขนาดนั้น

ว่าแต่ตัวละครเซ็ทใหม่นี่ใช่สามรเก่าขอวกิลหรืแเปล่า? ถ้าใช่จะลับมีดรอเลย 5555

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตาม o13

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อยากอ่านต่อแล้ว มันสนุกจริง มีความแฟนตาซีสูงมากกกกกกกก ชอบจริง

ตัวละครทีมใหม่มาจากเทสล่ารึเปล่า มันจะต้องสนุกไปอีก กิ๊ๆ

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๑๙
คำสารภาพของแมวโง่ตัวหนึ่ง

       หลายสัปดาห์ต่อมากษัตริย์ประกาศสละราชสมบัติอย่างกะทันหันโดยอ้างว่าป่วยหนักต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดยุคแห่งออลบานี ลุดวิก ชไนเดอร์ ในฐานะทายาทโดยชอบธรรมได้รับตำแหน่งเจ้าอาณานิคมภายใต้การรับรองจากรัฐสภาและสภาการทหารไปอย่างงดงาม ทว่า กิลเบิร์ตผู้เป็นชายาของนั้นกลับได้รับแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์สุดจะดูแคลนจากผู้คน ก็ใครใช้ให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวถึงขนาดที่ว่าไม่มีแม้แต่นามสกุลจะใช้เล่า แต่แม้ชายาคนสำคัญแทบจะไร้ค่าเทียบเท่าทาสี ราชาคนใหม่อย่างลุดวิกไม่เพียงไม่สนใจคำวิจารณ์ แต่กลับแสดงความรักที่มีต่อชายาอย่างออกนอกหน้า

   ยกคฤหาสน์หลังเดิมให้เป็นสินสมรส ยกที่ดินชานเมืองให้ ยกเหมืองเกลือให้ แทบจะประเคนให้ทุกอย่างทั้งรักทั้งหลงออกนอกหน้ากันสุดๆ จนหนุ่มน้อยสาวน้อยที่หวังตีท้ายครัวชาวบ้านกัดผ้าเช็ดหน้าแทบขาดด้วยความริษยา อีแบบนี้ท่านเจ้าอาณานิคมคนใหม่คงยังไม่คิดหาภรรยาเพิ่มเป็นแน่ น่าขัดใจนัก! หนูมากมายอยากตกถังข้าวสาร แต่ถังข้าวสารดันปิดฝามิดชิดไม่ยอมให้ตกเสียนี่!

ไม่ชอบใจก็เรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อเป็นชายาก็จำเป็นต้องยอมรับ สุดท้ายรัฐสภายอมรับการแต่งตั้งชายาอย่างเป็นทางการ ลูคัส เออร์เนสเป็นผู้ประกาศรับรองฐานะของกิลเบิร์ตตามกฎหมาย ยศของกิลเบิร์ตในยามนี้คือ กิลเบิร์ต ชไนเดอร์ ดยุคแห่งเดวอนเชียร์ คู่สมรสของกษัตริย์อาทีเรีย

ถึงตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นภรรยาของเจ้าอาณานิคมใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างคล้ายกลับมาเป็นเหมือนเดิมในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ถามว่าเจ้าตัวนั้นจะใส่ใจกับยศถาบรรดาศักดิ์อะไรพวกนี้ไหม คำตอบคือไม่ คนเคยขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาขาหัก หลังจากนั้นจะพบเจออะไรก็เฉยชาไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือเรื่องไม่กี่เรื่อง หนึ่งคือเรื่องอารอน และสองคือเรื่องที่ตัวเองพอจะทำได้เพื่อช่วยเหลือคนบนดาวดวงนี้แม้สักเล็กน้อย กิลเบิร์ตเคยลิ้มรสวินาทีชีวิตที่จะอดตายข้างถนนมาแล้ว มีกินเขาย่อมมีความสุข แต่พอมีแล้วก็คิดถึงการแบ่งปันให้คนอื่นด้วย ดังนั้นสิ่งแรกที่กิลเบิร์ตทำหลังได้ตำแหน่งมาก็คือการหาทางขายของในคลังทรัพย์สินของอาทีเรียเพื่อนำเงินมาปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในนครหลวง

“เสื้อผ้ามีแค่พอใส่ออกงานก็ถือว่าพอ ของอะไรไม่จำเป็นให้ขายทิ้งเสีย” กิลเบิร์ตบอกกับฟินน์และเฟรเซียในขณะที่ให้ทั้งคู่มาช่วยจัดการกับกองทรัพย์สินในพระราชวัง แน่ล่ะว่าเสียงร้องห้ามปรามนั้นดังระงม ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายของอดีตคนรับใช้ของพวกเชื้อพระวงศ์เดิม แต่กิลเบิร์ตหาแคร์ไม่ ใครจะบ่นให้ตายเขาก็ไม่สน สมองคิดเพียงการแปรสินทรัพย์เป็นทุนเท่านั้น โปรเจคที่เขาคุยกับลุดวิกนั้น จำเป็นต้องใช้ทุนรอนมหาศาล หากปล่อยบ้านเมืองดำเนินไปอย่างที่แล้วมา ดาวดวงนี้คงเป็นได้แค่ดาวหลังเขาไปจนถึงวันล่มสลาย

   หากคิดจะเปลี่ยน ก็ต้องเริ่มต้นเสียแต่ตอนนี้!

“คุณทำถึงขนาดนี้ไม่เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจหรือครับ” ฟินน์ถามทั้งที่รู้แก่ใจว่าคนที่ไม่พอใจนั้นเต็มไปหมด อย่างนิโคลัสที่มาส่งพวกเขาที่พระราชวังเมื่อเช้ายังมองกิลเบิร์ตเสียหน้าดำตอนที่มีคนวิ่งมาฟ้องว่ากิลเบิร์ตสั่งแงะไข่มุกตามฝาผนังไปลงทะเบียนเตรียมขายหมดแล้ว ส่วนพวกอดีตเชื้อพระวงศ์กับตระกูลขุนนางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชายาเอกของท่านราชามัธยัสถ์เสียขนาดนี้ พวกเขาจะทำตัวฟุ้งเฟ้อมากไปย่อมไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในนครหลวงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีใครทำให้ใครพอใจได้ทั้งหมดหรอก เอาเท่าที่ไหวก็พอ เวลาคนท้องหิวน่ะมันทรมานมากนะรู้มั้ย!” ท่านดยุคแห่งเดวอนเชียร์ตอบด้วยประสบการณ์ตรง เขาโชคดีที่คืนนั้นคนที่เก็บเขาได้คือลุดวิก แม้จะรู้สึกว่าซวยมากในตอนแรกที่ต้องเสียตัวแลกข้าว แต่หมอนั่นดันคิดจริงจังรับเขามาเป็นภรรยา ทว่า คงไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนี้หรอก เขาไม่อยากให้ใครต้องมาถูกข่มเหงเพียงเพราะท้องหิวอีก ยิ่งเห็นสภาพของฟินน์ที่ตัวเตี้ยม่อต้อถูกกดดันจนพัฒนาการหยุดไปเลยแบบนี้ ยิ่งรู้สึกว่าจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ “เฟรเซียจดรายการของให้หมด ส่วนเรื่องตลาด ฉันจะจัดการเอง”

“คุณรู้จักที่ปล่อยของด้วยหรือคะ?” เฟรเซียถาม เธอนึกไม่ถึงว่าคนๆนี้จะรู้กระทั่งเรื่องการค้า นอกจากเป็นเอสเปอร์ที่เก่งสุดๆแล้ว ยังรู้จักคนเยอะด้วยงั้นหรือ แม้จะไม่อยากตั้งข้อสังเกต แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย คนๆนี้จริงๆแล้วเป็นใครกันแน่ แต่แน่ล่ะ กิลเบิร์ตไม่มีวันตอบง่ายๆ 

“อา มีคนรู้จักอยู่น่ะ ถือว่าโชคดีที่อาทีเรียเป็นดาวอนุรักษ์นิยม เลยมีของขายเพียบเลย!” กิลเบิร์ตว่าพลางก็หัวเราะอย่างไม่แคร์สื่อ ช่วยไม่ได้ ใครให้เขารู้ฤทธิ์ความจนจนเสียนิสัย สมบัติมีให้ตายแต่คนบนดาวจะอดตายคาถนน มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่แบบนี้สมควรต้องแก้ไข! “เฟรเซียร่างจดหมายให้ฉันหน่อย อยากส่งไปหาคนๆหนึ่งน่ะ อ้อ แต่ว่า ถ้าเจอหมอนั่นพวกเธอต้องหลบไปให้ไกลนะ”

“หลบ??” สองพี่น้องมองหน้ากันท่าทางสงสัยกันสุดๆ จนกิลเบิร์ตเอ็นดูต้องยกมือลูบศีรษะปลอบสักยกหนึ่ง

“ตาลุงนั่นเป็นพวกโรคจิตน่ะ!”

“หา!!!”

   ตกลงกิลเบิร์ตคิดจะเจรจาการค้ากับคนแบบไหนเนี่ย!

   วันนั้นทั้งวันหมดไปกับงาน กว่ากิลเบิร์ตจะจัดการธุระปะปังเรียบร้อยก็เย็นย่ำแล้ว เขาส่งพวกเด็กๆกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองแสร้งดูนั่นดูนี่ ครั้นพอลับสายตาคนก็ใช้เทเลพอร์ตหายตัวไปอย่างแนบเนียน สถานที่ๆเขามาปรากฏตัวคราวนี้คือนอกเมืองหลวงที่ๆชายหนุ่มผู้หนึ่งยิ้มหวานรอรับเขาอยู่แล้ว จะเป็นใครได้นอกจากอเล็คเซ่ที่ตอนนี้ถูกทหารอาทีเรียตามล่าแทบพลิกแผ่นดิน แต่ที่ไหนได้เขากลับหลบซ่อนอยู่แค่ปลายจมูก ซึ่งคนที่ให้ที่ซ่อนเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน แต่เป็นกิลเบิร์ตกับลุดวิกคู่สามีภรรยาโฉดคู่นี้นี่เอง

   ทุกครั้งที่อเล็คเซ่ดูข่าวเรื่องการจับกุมเจ้าชายอ๊อตโต้ เขามักยิ้มขันกับพวกลูกน้อง ใครจะรู้ว่าผู้สมรู้ร่วมคิดตัวเอ้ในแผนนี้กลับเป็นท่านเจ้าอาณานิคมกับภรรยา นี่หากใครรู้เข้าอาจถึงขั้นโดนรุมประณาม แต่คนคิดการณ์ใหญ่ มันก็ต้องใจถึงกันบ้าง ในเรื่องนี้แม้ไม่อยากยอมรับแต่เขาก็คิดว่าลุดวิกใจใหญ่พอตัวทีเดียว และคนแบบนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะทำธุรกิจด้วย

“ฉันรู้สึกได้นะว่าหมอนั่นใกล้เข้ามาแล้ว ไง อเล็คเซ่ หวังว่านายจะไม่หักหลังฉันเอาตอนนี้หรอกนะ!” แทนคำทักทาย กิลเบิร์ตยืนกอดอกเชิดใบหน้าแสยะยิ้มถาม ส่วนคนฟังนั้นเอียงคอยักคิ้วท่าทางจริงใจเสียเต็มประดา ทั้งยังสาวเท้าเข้ามาอ้าแขนจะสวมกอด แต่กิลเบิร์ตกลับเขยิบออกห่างแสดงชัดเจนว่าเซย์โน “อย่ามาลวนลามกันนะ!”

“คุณนี่คิดมากเกินไปแล้ว แค่ขอกอดทักทายเองนะครับ” พูดจาใสซื่อ แต่แววตานั้นดูก็รู้ว่าคิดไม่ซื่อ

“เหอะๆ กอดทักทายของนายอาจทำฉันท้องน่ะสิ!” โวยขึ้นมา ตอนนี้อยู่ในที่ลับตาหมอนี่จะบ้าทำอะไรขึ้นมาใครจะรู้ แค่คืนนั้นกว่าจะรอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ทำเอาหัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆจะแย่ ดีว่าแม้หมอนี่โรคจิตแต่ก็ยังเอาการเอางานเห็นผลประโยชน์มาก่อนหรอกนะ

“เพิ่งรู้นะครับว่าคุณท้องได้ด้วย งั้นลูกของเราคงจะต้องทั้งฉลาดและน่ารักมากเลยนะครับ” อเล็คเซ่ยียวนตอบ

“จะบ้าเรอะ! ฉันจะไปท้องกับนายทำซากอะไร!”

“หรือคุณจะท้องกับสามีคนใหม่ล่ะครับ เขาคงดีใจนะครับที่ได้ลูกจากภรรยาไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบคุณน่ะ” หัวเราะอย่างเสแสร้งและเจตนายุยงให้หมางใจชัดแจ้ง ชัดเสียจนกิลเบิร์ตนึกไม่ออกว่าจะมีใครกล้าพูดอะไรเสียมารยาทแบบนี้อีกไหม แต่เพราะนี่คืออเล็คเซ่ หากเอาเหตุผลและมารยาทของปุถุชนมาใช้กับเขา คนฟังนั่นล่ะที่จะต้องดิ้นพล่านตายอนาถเอาเสียเอง “ลูกของคุณก็ต้องเป็นปีศาจแบบคุณแน่ๆ เพราะแบบนี้คุณเฟรเดอริคอยู่กับคุณมาเป็นสิบปี ยังไงก็ไม่ยอมมีลูกกับคุณไงครับ”

“ช่างหัวไอ้บ้านั่นเถอะ! เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” กิลเบิร์ตตวาด คำพูดของอเล็คเซ่แม้รู้ว่าไม่ควรฟัง แต่มันก็อดปวดแปลบที่กลางอกไม่ได้เสียที ไอ้เรื่องที่หมอนี่พูดมาไม่ใช่ว่าจะไร้สาระเสียทีเดียว เฟรเดอริคอยู่กับเขามากี่ปีแล้ว หมอนั่นไม่เคยพูดกับเขาเรื่องลูกแม้แต่คำเดียว จริงๆแล้ว หมอนั่นเห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่ได้! จะมาคิดเรื่องนี้เอาตอนนี้ไม่ได้! “เลิกบ้าซะที! ที่ฉันมาหานายก็แค่จะบอกว่า คืนนี้! หมอนั่นจะมาถึงคืนนี้!”

   หมอนั่น คนที่กิลเบิร์ตไม่อยากเจอกำลังจะมาถึง ด้วยพลังจิตที่สูงส่งของเขา คนที่จะมาคือใครนั้น หรืออีกนานแค่ไหนถึงจะถึง เขาย่อมสามารถคาดคะเนได้จากรัศมีพลังจิต หากไกลเกินไปย่อมไม่รู้สึกถึง แต่เพราะรู้สึกถึงจึงสามารถรู้ว่าหมอนั่นกำลังจะเข้าสู่วงโคจรของอาทีเรีย

“คุณนี่นะ จะหลอกใช้ผมก็ควรพูดจาให้สุภาพอ่อนหวานหน่อยนะครับ” อเล็คเซ่เตือนขำๆ แต่กิลเบิร์ตกลับเบ้หน้าบอกบุญไม่รับใส่

“ขืนทำอะไรแบบนั้น นายก็จับได้พอดีสิว่าฉันไม่จริงใจ แล้วก็ อืม ไม่ใช่ว่านายชอบฉันที่เป็นแบบนี้หรอกเรอะ!” พูดไม่พูดเปล่าหัวเราะขึ้นพลางส่งยิ้มน่าหมั่นไส้และน่าหยิกในเวลาเดียวกันจนอเล็คเซ่ต้องส่ายหน้าระอาใจ สุดท้ายยังคงเป็นเขาที่ต้องปลงกับคนๆนี้ แต่เมื่อรักไปแล้วจะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ ถ้าเลิกรักได้ง่ายๆจะเรียกว่าคือความรักได้ยังไง

“นี่ บอกไว้ก่อนนะว่าผมรักคุณมาก” คำพูดตรงไปตรงมานั่นทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้ง แม้จะพยายามหัวเราะหรือแกล้งเซ่อกลบเกลื่อน แต่กิลเบิร์ตย่อมรู้แก่ใจถึงสิ่งที่อเล็คเซ่ปรารถนาจากตัวเขา

“ฉันแต่งงานใหม่แล้ว ขอโทษด้วย” ตอบสั้นๆและรู้สึกว่านี่คงเป็นข้อแก้ตัวเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายตัดใจเสีย

“คุณกับเขายังไม่ได้รักกันนี่ครับ ถ้าคุณจะเลิกเล่นละครลิงนี่เมื่อไหร่ ผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะครับ” ว่าพลางสาวเท้าเข้าใกล้และฉวยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มลนลานคว้าเอวมากอด ใบหน้าของพวกเขายามนี้ใกล้กันแค่คืบ

“ปล่อยนะ!”

“นี่ แทนที่คุณจะแต่งงานอย่างหลอกลวง ทำไมคุณถึงไม่คิดจริงจังกับคนที่พร้อมจะร่วมชีวิตกับคุณอย่างผมบ้างล่ะครับ” อเล็คเซ่ส่งยิ้มหวานอ่อนโยน เขาจูบข้างแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาแล้วไม่ได้แตะต้องใดๆอีก ตอนนี้พวกเขามีข้อสัญญาธุรกิจต่อกัน ทั้งลุดวิกกับกิลเบิร์ตคือคู่สัญญาของเขา ดังนั้นเขาไม่อาจใช้กำลังหักหาญชิงตัวกิลเบิร์ตไปได้ ถึงเป็นโจรสลัด แต่เขาก็มีวินัยในการทำธุรกิจของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะขายยาน่าอายนั่นให้เฟรเดอริคได้ยังไง “บางทีคุณอาจขี้ขลาด จนไม่อยากเริ่มต้นใหม่สินะครับ”

   ขี้ขลาด...

   คำสั้นๆนี้เองที่ทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกเศร้าขึ้นมาในบัดดล เพราะคำๆนี้มันช่างตรงใจเขาในยามนี้เสียเหลือเกิน เขาขี้ขลาดจนเกินไป จนแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจสารภาพความจริงกับลุดวิกได้ และแม้ลุดวิกพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น ในคืนนั้น เขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางความคลางใจได้ ตัวเขา...ขี้ขลาดจริงๆ

   แต่ต่อให้ขี้ขลาดแค่ไหน ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป

   ค่ำคืนนั้นช่วงเวลาประมาณตีสองเศษเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเหนือท้องฟ้าของอาทีเรีย มีแสงสีม่วงส่องสว่างผ่าน่านฟ้าของดวงดาวก่อนจะร่อนลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว เมื่อทหารรักษาการณ์นครหลวงตามสัญญาณไปถึงจุดที่ยานร่อนลง สิ่งที่ลงจอดที่นอกเมืองนั้นกลับเป็นยานอวกาศขนาดย่อมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับสูง นิโคลัสพาทหารจำนวนมากไปพร้อมอาวุธ ทว่า สัญญาณที่ออกจากยานลำนั้นกลับแสดงเป็นสีฟ้า ซึ่งมีความหมายว่าไม่ต้องการต่อสู้

   คนที่ก้าวลงมาจากยานลำนั้นมีเพียงสิบกว่าคน สิบคนแรกสวมเครื่องแบบสีฟ้าดูก็รู้ว่าเป็นทหารของดวงดาวไหนสักดวง ส่วนสองคนหลังที่ก้าวตามลงมาดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงบนยาน ทั้งสองคนมีเส้นผมสีทองสว่าง คนแรกที่สวมเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินเข้ม มีดวงตาสีเขียวมรกต แม้หน้าตาเฉยเมยแต่ยามฉีกยิ้มนั้นงดงามเสียจนใครๆต้องมองเป็นตาเดียวกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่สูงกว่านิดหนึ่งดวงตาเป็นสีทองแปลกประหลาด เขาสวมเสื้อเชิ๊ตสีเทากับสวมเสื้อกั๊กหนังกับกางเกงยีน เหน็บปืนพกสั้นสองกระบอกให้เห็นชัดเจน ส่วนใบหน้าฉีกยิ้มเป็นมิตร

“ฉันคือ อารอน ฟรีแมน เป็นตัวแทนของท่านผู้นำเฟรเดอริค ฟรีแมน มาที่นี่เพราะมาตามจับตัวนักโทษที่หนีมาจากเทสล่า ฉันต้องการพบเจ้าอาณานิคมของที่นี่เพื่อหารือในเรื่องนี้!” อารอนคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม เขาผู้งามเสมอต้นเสมอปลายเอ่ยขึ้นอย่างไว้ตัวแต่เป็นการเป็นงานอย่างยิ่ง การที่เขาอ้างชื่อของตนเองกับเทสล่าทำเอาพวกนิโคลัสสะดุ้ง อย่างช่วยไม่ได้ แม้เป็นดาวไกลปืนเที่ยง แต่ข่าวสารเรื่องเทสล่าเป็นสิ่งที่เป็นสากล

   เมื่อไม่นานมานี้เทสล่าเพิ่งแต่งตั้งนายพลและท่านผู้หญิงคนใหม่ของดวงดาว และแน่นอนว่าชื่อนั้นย่อมต้องเป็น อารอน ฟรีแมน! และนี่คือเอสเปอร์ที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในจักรวาลตอนนี้ด้วย!

“คนของพวกคุณไม่ได้มาที่นี่ ไม่มีข่าวเรื่องการลักลอบเข้าเมืองของมนุษย์ต่างดาวที่ไหน! พวกคุณควรกลับไปเสีย!” นิโคลัสตอบ ทว่า อีกฝ่ายกลับกอดอกเชิดใบหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย

“คนที่หนีมาคือเอสเปอร์ตกรุ่นของดาวเรา นี่คือการมาเก็บกวาด แต่ถึงตกรุ่นหมอนั่นก็เก่งพอที่จะหลบซ่อนในสังคมดาวบ้านนอกของพวกคุณ หลักฐานก็คือมีคลื่นพลังจิตส่งออกไปจากดาวดวงนี้! คิดจะปกปิดหรือไง! หรือกองทัพดาวดวงนี้คิดจะปะทะกับเทสล่า!” อารอนตวาด นิสัยเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนอ่อนน้อมถ่อมตน พอนิโคลัสพูดจาไม่ได้ดั่งใจย่อมรู้สึกหงุดหงิด เพียงแต่ว่า ผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกันกลับฉีกยิ้มยกมือห้าม พอถูกคนๆนี้ห้ามอารอนก็เหมือนจะนิ่งไปอึดใจเช่นกัน เขาดูเกรงใจคนๆนี้อยู่บ้าง

   นิโคลัสย่อมสังเกตชายผู้แต่งตัวผิดแผกคนนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับอารอนไม่คล้ายผู้บังคับบัญชา แต่ไม่คล้ายคนสนิทชิดเชื้อ

“ช่วยไปเรียนท่านเจ้าอาณานิคมได้ไหมว่า อัยการแห่งศาลอาญาสหพันธ์ดาวเคราะห์เดินทางมาพบ เขาจะช่วยฟังข้อเสนอของพวกเราหน่อยได้หรือไม่ นะ! ขอร้องล่ะ!” ผู้ชายซึ่งอ้างตนเองเป็นอัยการแห่งศาลสหพันธ์บอก ชื่อเทสล่าว่าใหญ่โตแล้ว เวลานี้มีคนบอกว่ามาจากศาลสหพันธ์ดาวเคราะห์ เพียงแค่นี้ก็เหมือนจะใหญ่โตเกินกว่าที่นายทหารอย่างนิโคลัสจะเอาอยู่แล้ว สุดท้ายเขาคงต้องติดต่อด่วนไปยังเจ้านายเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้!

   ในขณะเดียวกันลุดวิกรับสายการติดต่อของนิโคลัสอย่างสงบ ในตอนที่เขาวางสายนั้นเขายังรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาลในน้ำเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชา ดูเหมือนนิโคลัสจะได้ประสบการณ์โหดหินอย่างยิ่งในคืนนี้

“เดาเก่งนี่ แต่ดูเหมือนคู่กรณีของเธอจะพาแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยนะ” ลุดวิกหันไปหากิลเบิร์ตที่ตอนนี้เอามือกุบขมับทอดถอนใจอยู่ข้างหลัง เป็นใครบ้างไม่เหน็ดเหนื่อย คู่กรณีคือเทสล่าว่าแย่แล้ว แต่ฝ่ายนั้นดันไม่ได้มาคนเดียวแต่ลากคนใหญ่คนโตมาด้วย นี่ไม่ใช่แค่จะมีเรื่องกับเทสล่า แต่นี่ถึงขนาดจะมีเรื่องกับสหพันธ์ดาวเคราะห์! แน่มากนะนาย!

“ใครจะไปคิดล่ะ! บ้าบอเกินไปแล้ว!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นพลางกัดฟัน เจ้าอารอนหนออารอน แค่หมอนั่นคนเดียวกับทหารเอสเปอร์ของหมอนั่นก็น่าเหน็ดเหนื่อยใจแล้ว นี่ยังลากอัยการศาลสหพันธ์มาเกี่ยวด้วย อัยการมาที่นี่ย่อมต้องมาสืบสวนอะไรสักอย่าง อารอนจริงๆแล้วไปใส่ความอะไรเขากับทางนั้นหรือเปล่า นี่หัวสมองหมอนั่นเห็นเขาสำคัญหรือไม่สำคัญกันแน่นะ!  แต่เรื่องของอารอนยังไม่น่าวิตกเท่าเจ้านายคนสำคัญที่ยืนจังก้าหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้ “อย่าทำหน้าน่ากลัวนักสิ!”

“พูดอย่างกับเธอจะกลัว นี่เธอเป็นคนใหญ่คนโตจนถึงขนาดนายพลของเทสล่าต้องมาจับกุมเอง แถมยังต้องเชิญแขกมาร่วมจับกุมด้วยเลยนะ ว่าไง คุณกิลเบิร์ต จะคายความลับออกมาได้หรือยัง” ลุดวิกกอดอกแล้วยิ้มนิดๆ จนแล้วจนรอดขนาดแสดงความจริงใจไปร้อยแปด คนตรงหน้าเขาก็ยังไม่ยอมเลิกอมพะนำ แต่ด้วยนิสัยลุดวิก ในเมื่อเขาบอกว่าจะแสดงความจริงใจ เขาก็เลือกที่จะไม่บีบบังคับ “แต่ขอบอกก่อนนะว่า พอเจอคนพวกนั้น ความลับของเธอก็แตกอยู่ดี จนตรอกแล้วล่ะ”

“ไม่ต้องย้ำน่ะ ฉันรู้แล้ว!” กิลเบิร์ตปั้นหน้ายุ่ง ถ้าอารอนมาคนเดียวยังพอแถได้ แต่นี่เอาคนอื่นมาด้วย โดยเฉพาะหากเขาคาดไม่ผิดคนที่อารอนพามาย่อมเป็นหมอนั่น  อัยการบ้าที่จะออกมาสืบสวนไวขนาดนี้ทั้งหน่วยงานมีไอ้บ้านั่นคนเดียว! ให้ตายเถอะ! บนดาวดวงเล็กๆนี่ รู้สึกคนใหญ่คนโตมากันคับคั่งเหลือเกินนะ! “บอกแล้วๆ ไม่มีอะไรมากหรอกน่า! เฟรเดอริค ไอ้บ้านั่นคือสามีเก่าฉัน! เจ้าอารอนนั่นก็คือภรรยาใหม่ของหมอนั่นไงล่ะ! แค่นี้แหละ! ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกน่า!”

   ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต...

   พ่องสิ!

   ต้องเป็นไอ้บ้าขนาดไหนที่จะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต!!

   แม้ลุดวิกจะเป็นคนใจเย็น แต่พอศรีภรรยาตัวเองสารภาพมาโต้งๆแบบไร้จังหวะจะโคนแบบนี้เขาเองก็อึ้งไปนิดเหมือนกัน ก่อนที่สมองจะรวบรวมสติ และเรียบเรียงความคิดให้ปะติดปะต่อกันได้ โอเค กิลเบิร์ตเคยมีสามีชื่อเฟรเดอริค ผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคคือผู้นำของเทสล่า อดีตภรรยาของหมอนั่นคือนายพลผู้เก่งกาจของดวงดาว และล่าสุดถูกกล่าวหาว่าคบชู้กับเป็นกบฏเลยโดนจับกุมเป็นนักโทษการเมือง

   กิลเบิร์ตเคยพูดว่าอะไรนะ?

   สามีมีภรรยาใหม่ ถูกหย่า สามีไล่ออกจากบ้าน ภรรยาใหม่มาตามล่าเขา เขาตกอยู่ในอันตราย อืม...ไม่ได้โกหกเลยสักคำ เพียงแต่ว่า...

“เจ้าแมวขยะเอ๊ย!” ถึงจะเป็นลุดวิกก็เถอะแต่ยามนี้เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเจ้าแมวเถื่อนนิสัยเสียตัวนี้ขึ้นและตีป้าบเข้าที่ก้นอย่างอดรนทนไม่ได้ ทำเอากิลเบิร์ตโวยขึ้นมา

“คุณกล้าตีฉันเรอะ!”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้เก็บอมพะนำไม่รู้เวล่ำเวลา แค่ตียังน้อยไป!” ลุดวิดตะคอกใส่ แต่ครั้นจะตีอีกก็กลัวฝ่ายตรงข้ามเจ็บ เลยชะงักแล้วเปลี่ยนมาทอดถอนใจแทน ให้ตายเถอะ แมวขยะตัวนี้ดันเป็นแมวสวมปลอกคอเพชรที่เจ้าของดันถอดปลอกคอเขวี้ยงไปให้ตัวอะไรก็ไม่รู้ใส่แทน ส่วนเจ้าแมวนี่ก็โกยแน่บหนีมาไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วก็มาแง้วๆใส่เขา ส่วนเขาก็ใจเย็นพอด้วยทั้งที่เห็นแล้วว่าแมวบ้านี่ไม่ธรรมดามาตลอด นี่เขาใจเย็นมากเกินไป จนเจ้าแมวเถื่อนนิสัยเสียนี่ได้ใจงั้นเรอะ! “เจ้าแมวขยะ! มันน่าเอาไปจุ่มโคลนให้สำนึกบาปจริงๆ!”

   เอาเข้าจริงเอสเปอร์ที่ดันรู้จักกับโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืดก็ไม่น่าใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว!

“ก็คุณไม่ถามให้ชัดๆนี่นา! เป็นความผิดคุณนะ!” กิลเบิร์ตแถสีข้างถลอกพยายามผลักความผิดให้คนเป็นสามี “ทีคุณยังไม่บอกความจริงที่ตัวเองเป็นนู่นนี่นั่นเลยนี่นา! เอาเข้าจริงถ้าตอนแรกคุณเป็นแค่คนชนชั้นกลางธรรมดาก็ดีอยู่แล้ว! ใครใช้ให้คุณเป็นคนใหญ่คนโตเล่า! อยากเป็นใหญ่เป็นโตเองช่วยไม่ได้!”

   ได้ฟังคำต่อว่าที่ไร้เหตุผลสิ้นดีของฝ่ายตรงข้ามก็ทำเอาคุณสามีปวดไปถึงตับ เจอคนเถียงใส่มาก็มาก ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าพูดอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายใส่ นี่ไม่ใช่แมวเถื่อนเปื้อนขยะธรรมดา แต่เป็นแมวช่างแถด้วย!

“แล้วไงล่ะ พอเป็นแบบนี้แล้วก็เลยจะไม่ช่วยฉันแล้ว จะส่งฉันให้เทสล่าล่ะสิ คนใจดำ!” กิลเบิร์ตแกล้งกระเง้ากระงอดใส่ ส่วนลุดวิกนั้นรู้แน่แก่ใจว่ารายนี้คิดตุกติกแน่ๆ

“ขืนทำแบบนั้นเธอก็จะหนีไปกับอเล็คเซ่ทันที ลอยนวลหนีไปอย่างเฉิดฉายสินะ นี่เจ้าแมวโง่ ไม่ใช่เธอที่มีสมองคนเดียวหรอกนะ!” พูดจาดักคอในทันทีจนทำเอากิลเบิร์ตยิ้มแหย เรื่องทางหนีทีไล่ใครบ้างไม่คิดไว้เลย ท่าทีของเขาย่อมทำให้ลุดวิกหนักใจยิ่ง ไม่ใช่หนักใจเรื่องเทสล่าหรืออัยการสหพันธ์ แต่หนักใจ...

จนถึงป่านนี้ กิลเบิร์ตก็ยังคงไม่วางใจในตัวเขา

“กิล เธอไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก” ลุดวิกยังคงพูดด้วยเสียงมั่นคงหนักแน่น ความสับสนเมื่อครู่คลับคล้ายไม่เคยมีอยู่จริง

“หืม?” กิลเบิร์ตเลิกคิ้ว

“ก็บอกแล้วว่า ต่อให้ต้องเล่นใหญ่แค่ไหนก็จะปกป้องเธอเอง” ถึงตอนนี้ลุดวิกกอดอกจ้องคนตรงหน้าอย่างจริงจัง แม้จะหน้ามุ่ยๆตามนิสัย แต่ก็เผยรอยยิ้มหวานที่ทำเอากิลเบิร์ตนึกละอายแก่ใจขึ้นมาบ้าง ผู้ชายคนนี้นอกจากไม่คิดโกรธจริงจังแล้ว ยังจะช่วยอีกเรอะ? เห! นี่นายสมองเพี้ยนไปรึเปล่าท่านผู้นำ!

“นี่คุณสมองผิดปกติรึเปล่า จะเป็นศัตรูกับเทสล่า กับสหพันธ์เพื่อฉันเนี่ยนะ?” ถามอย่างตรงไปตรงมาที่สุด มาถึงตรงนี้นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว คนระดับอัยการประจำศาลสหพันธ์ไม่มีทางจะสืบไม่ได้หรอกว่ากิลเบิร์ตอยู่ที่ไหนบนดาวดวงนี้ โดยเฉพาะเอสเปอร์ระดับอารอนถ้าพลังเข้าใกล้กันต้องจับได้แน่ ลุดวิกทำแบบนี้นอกจากหาเหาใส่หัวแล้ว กิลเบิร์ตก็คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะลงทุนไปขนาดนี้เพื่ออะไร

   เพื่ออะไร...

“อย่าบอกนะว่า จะทำเพื่อฉันจริงๆ? นี่ๆน้องชาย แค่มีเซ็กซ์กันไม่กี่ครั้งฉันไม่ติดใจหรอกนะ ถือว่าก่อนหน้านี้ช่วยๆกันไป ตอนนี้คุณแค่รีบๆหย่ากับฉันก็รอดตัวแล้ว! นี่คุณยังมีศัตรูบนดาวดวงนี้อีกเพียบเลยนะ ยังคิดจะสร้างศัตรูเพิ่มนอกดาวอีกเรอะ!”

“แล้วไงรึ” ลุดวิกถามกลับง่ายๆ น้ำเสียงนั้นนิ่งสนิทเหมือนพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ก็มันไม่ควรน่ะสิ!” กิลเบิร์ตโวย ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว บ้าเกินไปแล้ว!

“นี่ เมื่อคืนก่อนหน้านั้นฉันบอกไปแล้วนะ ว่าฉันไม่คิดหย่า หรือต้องให้แสดงออกบนเตียงอีกรอบถึงจะจำได้น่ะ อ้อ หรือว่าจริงๆนี่คือการยั่วให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มกันล่ะ” ว่าไม่ว่าเปล่าแกะกระดุมเสื้อและย่างสามขุมเข้ามาทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้งสุดตัวก้าวถอยหลังไปชนผนังจนเจ็บหลัง รู้ตัวอีกทีก็ถูกแขนแกร่งของคุณสามีถังขยะกักขังไว้แล้ว “อุตส่าห์พูดมาตั้งนาน ที่แท้จะยั่วยวนฉันใช่มั้ย คุณภรรยา” ลุดวิกแสยะยิ้มเหี้ยม แม้ในเวลาแบบนี้เขาเองก็ไม่ลืมที่จะเอาเปรียบคนอื่น

“บัดซบ! ยั่วบ้านพ่อคุณสิ!” กิลเบิร์ตตวาดหน้าดำหน้าแดง ทั้งๆที่ตอนนี้น่าสิ่วน่าขวานแท้ๆ ทำไมหมอนี่ถึงใจเย็นขนาดนี้ หัวจิตหัวใจหมอนี่ทำจากน้ำแข็งหรือไง พอยิ่งต่อว่าอีกฝ่ายก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามา แถมมือไม้ยังอยู่ไม่สุข ท่าทางข่มขู่คุกคามกันสุดๆจนกิลเบิร์ตหวาดหวั่นเสียเอง อย่าบอกนะว่าขนาดนี้แล้วก็จะยังลวนลามเขาไม่ดูเวล่ำเวลา นี่มันจะแสดงความจริงใจกันโอเว่อร์ไปแล้วนะ! “ยอมแพ้แล้ว! อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ! ไม่หย่าก็ไม่หย่า! เจ้าถังขยะบ้า ถ้าถูกระเบิดปาใส่ดาวอย่ามาโทษฉันนะ!”

“ไม่มีวันนั้นหรอก” ลุดวิกตอบ

“!”

“ยิ่งถ้าคนที่มาด้วยคืออัยการของศาลสหพันธ์ ยิ่งไม่มีทางที่เทสล่าจะโยนระเบิดใส่ดาวดวงนี้ง่ายๆแน่” ลุดวิกแสยะยิ้มเยือกเย็นตอบ คราวนี้กิลเบิร์ตกลับเป็นฝ่ายที่ยิ่งงงหนัก เดี๋ยวนะ?

   หากลุดวิกเพิ่งรู้ความจริงวันนี้ ทำไมเขาถึงไม่ร้อนใจ ซ้ำยังเหมือนมีทางหนีทีไล่ด้วย! หากจะให้เดาล่ะก็ คำตอบมันวางอยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว!

“คุณ? นี่คุณเดาไว้แล้วงั้นเรอะ!” ใช่แล้ว สมมติฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือ ลุดวิกแกล้งเซ่อมาตลอด เขาย่อมพอเดาสถานะของกิลเบิร์ตได้อยู่แล้ว ไอ้ที่โกรธเมื้อกี้คือเสแสร้งหรือไงกัน! “คุณหลอกฉัน!”

“นี่ คิดว่าตัวเองมีสมองอยู่คนเดียวหรือไง เจ้าแมวเถื่อน!” ลุดวิกหัวเราะใส่พลางจูบฟัดข้างต้นคออีกฝ่าย

“หะ!”

“ต่อให้ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่เธอไม่มีทางเป็นแค่ภรรยาของชาวสวนในไร่อ้อยแน่ ใช้สมองสักหน่อยพึงรู้ว่าต้องเตรียมการยังไง เข้าใจไหมเจ้าแมวนิสัยเสีย!”

“เชี่ย!” อดสบถด่าอย่างขาดสติไม่ได้ ท่านเจ้าอาณานิคมคนนี้จริงๆแล้ววางไว้กี่แผนกันแน่!

   สุดท้ายลุดวิกก็ไม่ยอมเฉลยว่าเขาทำอะไรลงไป แต่ที่แน่ๆเขาตกปากรับคำให้พวกอารอนเข้าพบในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนกิลเบิร์ตนั้นถูกไล่ให้ไปดำเนินการตามแผนการก่อนหน้านี้ ดังนั้นลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมจึงเดินเฉิดชายตีหน้าระรื่นออกพบแขกเมืองคณะแรกอย่างเป็นทางการหลังเขาขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคม

      แน่ล่ะว่าทั้งหมดนั่นเกิดหลังจากที่เขาใช้เวลาทั้งคืนกอดเจ้าแมวเถื่อนขี้โกหกนิสัยเสียตัวนั้นจนตัวอ่อนปวกเปียกจมถุงขยะไปแล้ว


จบตอน

ชีวิตมันไม่ง่ายเลยน่อ 555+

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อยากรู้จนใจจะขาด มาต่อไวๆนะ ว่าลุควิกเตรียมอะไรไว้

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
ตอนที่ ๒๐
แมวตะกละที่ยิ้มแป้นแล้น

   อารอน ฟรีแมนคือชื่อของท่านผู้หญิงแห่งเทสล่า เป็นทั้งภรรยาเอกและเป็นนายพลใหญ่ของดวงดาว ทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวนักการทหารของเทียร่า นอกจากนี้ก่อนจะได้รับตำแหน่งนี้เขายังเคยเป็นตัวแทนของเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่าเข้าร่วมประชุมสหพันธ์ดาวเคราะห์ หักหน้าภรรยาเก่าของท่านเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่าจนเป็นข่าวซุบซิบเกรียวกราวไปทั่วจักรวาล และเพราะเป็นคนหน้าตาดีอย่างมาก เป็นเอสเปอร์ที่เก่งกาจอย่างมากเขาจึงกลายเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว เป็นคนที่หลายฝ่ายจับตามอง

เอาเข้าจริงชื่อของเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางหลังการศึกที่ดาวเมทิส กล่าวกันว่าท่านนายพลกิลเบิร์ต ฟรีแมนเริ่มมีอาการสติวิปลาสที่สมรภูมินั้น และเป็นอารอนที่หยุดเขาไว้ก่อนจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น ไม่มีใครรู้รายละเอียดเหตุการณ์ในครั้งนั้น คงมีเพียงอารอนกับกิลเบิร์ตที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนที่เล่ากลับมีเพียงอารอน ฝ่ายกิลเบิร์ตไม่เคยเปิดปากพูดเรื่องนี้กับใครแม้เพียงคำ

ถ้าไม่มีใครพูดเลย เรื่องนี้ย่อมถูกลืม แต่ในเมื่อคนหนึ่งพูด คนหนึ่งเงียบ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จบง่ายๆเสียแล้ว อย่างน้อยในสายตาของสหพันธ์ดาวเคราะห์นี่เป็นสิ่งที่ต้องเคลียกันให้รู้เรื่อง อารอนเองก็อาศัยข่าวที่เขาเป็นคนปล่อยออกไปนี้สร้างความชอบธรรมในการมาตามล่าตัวกิลเบิร์ต ยกระดับจากปัญหาชู้สาวในครอบครัวกลายเป็นเรื่องระดับจักรวาล ช่างเป็นการเล่นใหญ่ของท่านผู้หญิงคนใหม่แห่งเทสล่าจริงๆ

   ส่วนในตอนนี้อารอนคนนั้นก็กำลังเข้าพบลุดวิกพร้อมกับอัยการแห่งศาลสหพันธ์แล้ว สถานที่นัดพบคือห้องโถงในพระราชวัง ในห้องโถงที่มีสักขีพยานมากมายและนั่งบนเก้าอี้สนทนากันอย่างเป็นกันเอง

“ขอโทษที่เสียมารยาท คุณคงพอรู้จักคุณอารอนแต่ไม่รู้จักผมสินะ ขอแนะนำตัวหน่อยดีกว่า ผมบิลลี่ คาร์เตอร์ เป็นอัยการตัวเล็กๆในที่ทำการศาลสหพันธ์น่ะ! ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่ออกตัวพลางยื่นมือส่งให้ลุดวิกอย่างสบายๆเป็นกันเอง ส่วนลุดวิกนั้นย่อมจับมือกับเขาอย่างไม่เกี่ยงงอน คนที่กิลเบิร์ตห้ามเขาสัมผัสตัวในการสนทนาครั้งนี้มีเพียงคนเดียวคืออารอน เหตุเพราะหมอนี่เองก็ใช้ไซโคเมทรี่ได้ด้วย ทันทีที่สัมผัสอารอน เขาจะอ่านทุกสิ่งในสมองของลุดวิกอย่างไม่เกรงเสียมารยาท อย่างน้อยอารอนคนที่กิลเบิร์ตรู้จักก็เป็นคนหนุ่มแบบนั้นล่ะ

“คนที่ได้เป็นอัยการแห่งศาลสหพันธ์มีแค่หยิบมือ คงเรียกว่าตัวเล็กๆไม่ได้หรอก คุณคาร์เตอร์” ลุดวิกฉีกยิ้มการทูตพลางลอบสังเกตอีกฝ่ายอย่างไม่ให้เสียมารยาท ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่นี่ต่างจากอารอนอย่างมาก ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในวังก็ฉีกยิ้มเป็นกันเองอย่างร่าเริงไม่ถือตัว ดูสนุกสนานอยากรู้อยากเห็นวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ดูเผินๆเหมือนคนรักสนุกไม่มีลับลมคมนัย

ทว่า จากประสบการณ์ของเขา คนแบบนี้นี่ล่ะที่เคี้ยวยากที่สุด ไม่ใช่ว่าเจ้าแมวเถื่อนที่บ้านดูเผินๆก็เป็นคนใจร้อนวู่วามไม่มีพิษภัยหรอกหรือ แต่หากเขาเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกของกิลเบิร์ต ป่านนี้คงถูกต้มจนเปื่อยเหลือแต่กระดูก เป็นซากให้เจ้าแมวนั่นกัดแทะแล้ว!

   พวกคนชอบยิ้มสบายใจเฉิบพูดจาเสียงดังไม่ไว้หน้าคน คนพวกนี้หากไม่เปิดเผยไปเลย ก็เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกกันสุดๆ เชื่อไม่ได้เด็ดขาด ในระหว่างที่คิดแบบนี้ คนตรงหน้าลุดวิกก็ยังคงตีสีหน้ายิ้มแย้มใสซื่อไม่เปลี่ยน

   ลุดวิกกำลังจินตนาการว่าหากเอาหมอนี่ไปวางคู่กับแมวขยะที่บ้าน คงแข่งขันยิ้มไม่เป็นโล้เป็นพายแต่ลับหลังแอบฟัดเบาะโซฟาบ้านเขาจนพังหมดแน่ คิดๆดู ใบหน้าของท่านอัยการคาร์เตอร์คนนี้ก็ดูกลมๆนิดๆ อ้อ นี่มัน เป็นแมวอ้วนนี่นา!
ยิ่งดูยิ่งใช่! นี่เป็นแมวอ้วนหน้าแป้นแล้นนี่เอง!

“เรียกบิลลี่ ไม่สิ เรียกบิลก็ได้! ผมน่ะสบายๆ! อ้อ! แต่ถ้าเป็นเรื่องงานจะซีเรียสนะ! อย่างเช่นการมาสืบสวนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาวเมทิสน่ะ!” เจ้าแมวอ้วนทำตัวสบายๆแต่ดันพูดเรื่องอันตรายหน้าตาเฉย ลุดวิกสาบานได้ว่าหมอนี่นี่ล่ะตัวอันตรายของแท้ แมวอ้วนติดระเบิดสินะ!

“ว่าต่อสิ” ลุดวิกเพ่งมองอีกฝ่าย กำลังคิดว่าแมวอ้วนตรงหน้าจะพูดว่าอะไรต่อ จะโกหกแถเนียนแบบแมวที่บ้านหรือเปล่า

“ว่าไงคุณราชาแห่งอาทีเรีย คุณคงไม่ได้ซ่อนผู้ต้องสงสัยไว้บนดาวดวงนี้หรอกนะ!” แมวแป้นแล้นขยิบตาอย่างเป็นกันเองทั้งยังดื่มชาอย่างไม่เกรงยาพิษ หยิบขนมกินเรื่อยๆไม่หยุดปากท่าทางสบายใจเฉิบ ดูเหมือนการอยู่นิ่งๆจะยากมากสำหรับแมวตัวนี้ เทียบกับอารอนที่เอาแต่ตีหน้าเครียดตลอดเวลา บิลลี่กลับดูสบายๆจนน่าหมั่นไส้

แน่ล่ะว่าท่าทีสุดจะสบายใจของเขาย่อมทำเอาอารอนควันออกหู มีอย่างที่ไหนมาจับคน แต่หมอนี่กลับทั้งกินขนมดื่มชาแนะนำตัวกับเจ้าบ้านสุดจะเบิกบานอุรา แน่ใจนะว่าหมอนี่คือมือหนึ่งของศาลสหพันธ์! แน่ใจนะว่าเขาไม่ได้ถูกหมอนี่ต้ม!

“ก็ถามไปตรงๆสิว่า ซ่อนคนเอาไว้รึเปล่า! หมอนั่นมันอาชญากรตัวร้ายถ้าซ่อนไว้ล่ะก็จะพานซวยหมด ฉันขอเตือน! ส่งตัวนักโทษออกมาซะ!” อารอนโพล่งขึ้นมาอย่างไม่กลัวเสียมารยาท ความก้าวร้าวของเขาทำให้พวกทหารฝ่ายลุดวิกชักสีหน้า แม้จะเป็นนายพลใหญ่ของเทสล่าแต่วิสัยการทูตหยามน้ำหน้ากันแบบนั้นสมควรให้สอบตก! แต่ในเมื่อลุดวิกยังคงทำท่าทีไม่ใส่ใจ พวกเขาเองก็ไม่กล้าขยับ

   ลุดวิกยังคงยกชาขึ้นจิบ ยกขาไขว่ห้างท่าทางเยือกเย็นอย่างยิ่ง ขนคิ้วไม่มีขยับ ใบหน้าไม่มีเขยื้อน คงมีเพียงรอยยิ้มหยั่งเชิงไว้ไมตรีที่ปรากฏบนใบหน้า เห็นแบบนี้แล้วอารอนกลับยิ่งหงุดหงิดกับความเหิมเกริมของผู้นำดาวบ้านนอกคนนี้ ในสายตาเขานอกจากเทสล่ากับเทียร่าแล้ว ดาวดวงอื่นก็เป็นแค่ดาวบริวารเท่านั้น!

   ในทางตรงกันข้ามฝ่ายบิลลี่กลับยิ้มกว้างมองผู้ชายที่ชื่อลุดวิกอย่างพินิจ คนเช่นนี้เขารู้สึกว่าช่างมีกำลังใจดีเยี่ยม หากไม่กำลังพูดความจริงอยู่ก็ต้องเป็นนักโกหกที่ตีเนียนอย่างมาก เอาเข้าจริงการหาความจริงจากคนแบบนี้น่าท้าทายอย่างยิ่ง

“ขอโทษด้วย แต่เทสล่ากับอาทีเรียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามดาว หากพบตัวคนที่คุณเรียกว่านักโทษ ก็ต้องดูว่าเขาผิดตามกฎหมายของอาทีเรียหรือไม่ และหากผิดจริงก็ต้องลงโทษตามกฎหมายของดาวเราสิ ถูกไหม ท่านประธานเออร์เนส” ลุดวิกว่าพลางหันไปหา ลูคัส เออร์เนส ประธานรัฐสภาหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นทัพเสริมในวันนี้ ซึ่งแน่ล่ะว่าคนที่เป็นพันธมิตรช่วยเขาชิงบัลลังก์มาย่อมไม่ใช่ไก่อ่อนสะดิ้งกลัวอะไรง่ายๆ

“เรียนฝ่าบาท ท่านกล่าวถูกแล้ว อาทีเรียไม่เคยผ่านกฎหมายอนุวัตรการเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามดาว ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ คุณผู้หญิงของเทสล่า โอะ ขออภัย ชื่อคุณอารอนสินะครับ ชื่อคุณจำยาก จำไม่ค่อยได้น่ะครับ” พูดน้อยต่อยหนักเป็นเช่นนี้ วิธีการพูดที่ทำให้อารอนดูไม่สำคัญเอาเสียเลยแบบนี้ย่อมเขย่าประสาทคนถือตัวอย่างอารอน ถึงขนาดทำให้เขาปั้นหน้าบึ้งในทันที

   แต่ถามว่ามีใคร ณ ที่นั้นสนใจไหม ขอตอบเลยว่าถ้ามีคงแปลกแล้ว!

“ไร้สาระ! หมอนั่น เจ้าคนชั่วกิลเบิร์ตนั่น! มันคือคนร้ายในสงครามที่เมทิส! ตอนนี้อัยการของสหพันธ์มาสอบสวนแล้วยังจะอะไรอีก! ที่ไม่ให้ความร่วมมือนี่อยากถูกหมอนั่นฆ่าทิ้งหมดดาวก่อนหรือไง!” ทันทีที่ชื่อกิลเบิร์ตโพล่งออกจากปากของอารอน วินาทีนั้นที่ตัวเขารีบกวาดสายตามองว่าจะมีใครที่หวั่นไหวบ้างหรือไม่ กับคนที่ชื่อลูคัส เออร์เนสนั้นไม่ แต่กับคนๆหนึ่ง เขาเห็นแล้ว! คนที่มุ่นสีหน้าเคร่งเครียดในทันทีนั่นก็คือทหารคนที่เขาเจอเมื่อคืน ทหารที่ชื่อนิโคลัสอะไรนั่น!

   คนพวกนี้จะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับกิลเบิร์ตอย่างแน่นอน!

“เอาเข้าจริงยังเป็นแค่การสืบสวนเบื้องต้นนะ คุณอารอน” บิลลี่ท้วงขึ้น เขาเองย่อมสังเกตความผิดปกติบนสีหน้าของนิโคลัส เพียงแต่ว่าเขาเองก็มีวิธีการและความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

“การที่คุณมาถึงนี่ก็ถือว่ามีมูลแล้ว! ว่าไง! ตกลงอาทีเรียจะเป็นศัตรูกับเทสล่าและสหพันธ์หรือจะส่งตัวหมอนั่นมา!” คราวนี้อารอนกลับมาตะคอกใส่ลุดวิก แต่แม้จะถูกกระทำอย่างไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ลุดวิกกลับยังเฉยชาคลับคล้ายไม่โกรธเลยสักนิด
แต่ระดับเจ้าอาณานิคมแม้เขาไม่สนใจ แต่ทุกคนย่อมจับตามอง จะให้เป็นฝ่ายนิ่งตลอดไปคงไม่ได้ สุดท้ายหลังจากเงียบมานาน ลุดวิกยอมวางแก้วชาในมือลงและเงยหน้ามองอารอนกับบิลลี่ ความคิดหลากหลายแล่นปราดในสมองของเขา สิ่งแรกย่อมเป็นเรื่องของอารอน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคถึงได้ยอมทิ้งกิลเบิร์ตเพื่อไปคว้าเอาเจ้าหนุ่มไร้สัมมาคารวะแบบนี้มาเป็นภรรยา

ทั้งคำพูด ทั้งนิสัย ทั้งหน้าตา ทั้งอะไรก็ตาม สำหรับเขา เด็กบ้านี่น่าหงุดหงิดไปหมด! สมควรเอาไปถ่วงน้ำเผาไฟให้พ้นหูพ้นตา แมวเถื่อนที่บ้านเขาน่ารักกว่าเยอะ!

“ฉันยืนยันว่าที่นี่ไม่มีคนที่พวกคุณต้องการ แต่หากว่าประสงค์จะได้รับความช่วยเหลือ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการร้องขอนะ คุณอารอน” ลุดวิกพูดเรียบๆแต่น้ำเสียงนั้นสุดจะเชิดหยิ่งไว้ตัว แถมยังยกตัวสูงเป็นผู้ใหญ่กว่า ยิ่งคิดว่านี่คือคนที่เคยทำร้ายภรรยาของเขา ก็ยิ่งรู้สึกอยากต่อยให้ตายคาที่

“!” แน่ล่ะว่าอารอนเองก็นึกไม่ถึง แถมคราวนี้ไม่ทันทีที่เขาจะโต้เถียง ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยต่อในทันที

“สามีของคุณไม่เคยสอนหรือว่า เมื่อเหยียบบ้านของผู้อื่น พึงรักษาหน้าตาของดวงดาวและครอบครัว” ลุดวิกเอ่ยยิ้มๆแต่คำพูดนั้นทำเอาบิลลี่ที่นั่งอยู่ด้วยผิวปากขึ้นมา หากยกนิ้วโป้งให้ได้คงยกไปแล้ว ท่านเจ้าอาณานิคมคนนี้ดูเหมือนจะอยากสั่งสอนภรรยาคนอื่นเต็มที่ อันที่จริงบิลลี่เองก็คิดคล้ายๆเขาอยู่บ้าง

   นี่ช่างเป็นท่านผู้หญิงที่คุณสามีออกจะตามใจมากเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ

“นี่ นี่คุณหมิ่นประมาทเทสล่าเรอะ!” อารอนโกรธจนเสียงสั่น ในขณะที่ร่างทั้งร่างคุกรุ่นด้วยพลัง เขานึกอยากระเบิดที่นี่ให้เป็นจุณขึ้นมา แต่ทันทีที่เขาทำท่าจะใช้พลัง บิลลี่กลับยกมือขึ้นตบหัวไหล่ของเขา แน่ล่ะว่านี่คือการเตือนสติ “คุณ! ไม่เห็นหรือว่าใครเริ่มก่อน!”

“ใครเริ่มก่อนก็ช่างเถอะ แต่ที่คุณราชาพูดมามีเหตุผลนะ มาบ้านเขาแล้วเราก็ต้องขอความช่วยเหลือสิ งั้นเอาเป็นว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือสหพันธ์คืนความยุติธรรมให้ชาวเมทิส กับคุณกิลเบิร์ตที่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใส่ความหรือไม่ คุณจะช่วยพวกเราหาตัวกิลเบิร์ตใช่ไหม อย่าลืมนะว่า ถ้าตกเป็นจำเลยแล้วไม่แก้ต่าง จะถูกใส่ร้ายจนตายน้า!” บิลลี่ยิ้มแย้มพูด ตอนนี้เขายืนขึ้นแล้ว และส่งมือให้ลุดวิกอีกครั้ง “จับมือกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการสัญญาว่าคุณจะช่วยพวกเราหาตัวกิลเบิร์ต ส่วนเขาจะผิดจริงหรือไม่ หรือจะถูกลงโทษตามกฎหมายดาวไหน เราค่อยว่ากันอีกที แบบนี้ดีไหม” 

   คำพูดของบิลลี่นั้นดูเข้าทีกว่าพฤติกรรมอันธพาลของอารอนมาก ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามที่กิลเบิร์ตได้บอกกับลุดวิกมาแล้วเช่นกัน ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่จะต้องพูดอะไรทำนองนี้ และการที่เขาพูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายถึงเขายอมถอยหรือประนีประนอม แต่มันคือวิธีการที่จะทำให้เขาได้อยู่ในอาทีเรียในฐานะแขก เพื่อให้การสืบสวนของเขาเริ่มต้นขึ้นได้ สรุปคือได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือผลประโยชน์หมอนี่ก็เอาเข้าปากทั้งหมด

   ลุดวิกคิดไปคิดมาก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่แค่แมวอ้วนแป้นแล้นธรรมดา แต่เป็นแมวตะกละ!

“ไม่เลว ฉันคิดว่านี่ค่อนข้างสมเหตุสมผล เอาเป็นว่าพวกคุณจะอยู่ในฐานะแขกของฉัน หากการสืบสวนนี้ต้องการความร่วมมือ ขอให้ติดต่อนิโคลัส เขาเก่งเรื่องการประสานงาน ส่วนเรื่องข้อกฎหมาย ประธานเออร์เนสคงช่วยเหลือพวกคุณได้” ลุดวิกไม่ได้ส่งมือไปจับอีกรอบ คราวนี้เขาเพียงแต่ยิ้มอย่างไว้ไมตรีเท่านั้น ซึ่งแค่ภาษากายของเขาก็ทำให้บิลลี่ยักคิ้วแล้ว ท่านผู้นำคนนี้ดูจะมีชั้นเชิงกวนประสาทไม่หยอกทีเดียว

“ไม่เลวนี่นะ” บิลลี่อดพูดเบาขึ้นมาไม่ได้

“คุณเองก็ด้วย เจ้าแม...”

“หืม?” เงยหน้ายักคิ้วยิ้มแป้นแล้นอย่างฉงน

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” แน่ล่ะว่าลุดวิกตอบเช่นนั้น เพิกเฉยความจริงที่เกือบจะเรียกอีกฝ่ายเป็นแมวตะกละไปแล้ว

   ด้วยประการฉะนี้อาทีเรียก็มีแขกเมืองคณะแรกมาเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการ แต่หากให้นับจริงๆพวกเขาควรเป็นคณะที่สองถัดจากคณะของอเล็คเซ่ ส่วนเหล่ารัฐมนตรี คณะนายทหารและสมาชิกรัฐสภานั้นต่างพากันกุมขมับ ทำไมแค่ไม่นานเกิดเรื่องวุ่นวายบนดาวดวงนี้ไม่หยุดไม่หย่อนเลย พวกเขาเคยเชื่อมาตลอดว่าอาทีเรียเป็นดาวไกลปืนเที่ยง แล้วไฉนไม่นานนี้ถึงมีคนดังมาเยือนไม่หยุดไม่หย่อน จริงๆแล้วบนดาวนี้มีแม่เหล็กดึงดูดความสนใจอะไรอยู่กันแน่นะ!

ผ่านมาสามวันอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก เพียงแต่ฝ่ายอารอนนั้นเอาการเอางานอย่างมาก ช่วงนี้ออกไปกับนิโคลัสเกือบทุกวันในขณะที่บิลลี่นั้นมักจะฉายเดี่ยวออกไปสำรวจรอบๆเมืองพลางชมชิมอาหารหลากหลายรูปแบบแสนสุขี วันนี้ก็เช่นกัน เขายังคงใช้เวลาช่วงเช้าออกไปดื่มกาแฟละเลียดเค้กในเมือง ชื่นชมบรรยากาศย้อนยุค ทำตัวตามสบายราวกับมาท่องเที่ยวก็ไม่ปาน จนถึงช่วงสายเขาก็ยังคงเดินชื่นชมรถม้าของชนชั้นสูงที่นี่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่จู่ๆตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินตาม บิลลี่เจตนาเดินทอดน่อง จากนั้นจึงหักเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าคนที่ตามเขามากลับเดินตามเข้ามาด้วยหน้าตาเฉย ครั้นพอเขาหันไปจ้อง เจ้าหนุ่มน้อยหัวทองตาสวยกลับยิ้มหวานให้

“นี่เธอ...” บิลลี่กำลังจะเอ่ยถาม แต่ฝ่ายนั้นกลับยื่นกล่องใส่ของใบเล็กเท่าฝ่ามือให้เขา

“สวัสดีครับคุณคาร์เตอร์  ผมชื่อฟินน์ครับ มีคนฝากของมาให้คุณน่ะครับ” เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าฟินน์ส่งของสิ่งหนึ่งให้ บิลลี่มองเจ้าของสิ่งนั้น แล้วค่อยๆเปิดกล่องนั้นออกอย่างระมัดระวัง ปรากฏว่ามันคือช้อนทองคำหนึ่งคันที่ถูกห่อไว้อย่างดี ดูแล้วของนี่แทบไม่มีความหมายอะไร

“ทำไมถึงเป็นช้อนล่ะ พ่อหนูน้อย” บิลลี่คลี่รอยยิ้มขัน

“เพราะว่าคุณชอบทานกาแฟ และชอบบ่นว่าช้อนคนกาแฟดีๆหายากครับ” ฟินน์ตอบพลางยิ้มแย้ม ในขณะที่คนฟังหัวเราะพลางยักคิ้วขึ้นมาทันที

“เจ้าหนู ฉันไม่รู้จักนายนะ” เอ่ยอย่างติดตลก แต่ในตอนนั้นเองที่เสียงที่ตอบกลับมาพลันเปลี่ยนไป

 “ไม่หรอก...นายรู้จัก”

 “!”

   วินาทีนั้นเองที่จู่ๆดวงตาของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนสีจากสีเขียวมรกตเป็นสีแดงสด นี่ไม่ใช่สีดวงตาของใครทั้งนั้น แต่มันคือสีของพลัง! ถึงตอนนี้บิลลี่รีบลากเอาตัวฟินน์ออกไปจากร้านและหลบมุมเข้าไปในตรอกแคบ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว เพียงแต่ว่าครั้นพอหลบเข้ามาได้ ฟินน์ในยามนี้กลับกำลังแสยะยิ้มจ้องมองมายังเขา เอนกายพิงกำแพงกอดอก ท่าทีสุภาพอ่อนหวานตามประสาเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอหังการ แถมยังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในพริบตา บิลลี่รู้จักดวงตาและสีหน้าแบบนี้ดี

“ไง ไม่เจอกันนานนะสหาย” เสียงที่ออกจากคอของฟินน์ไม่ได้อ่อนหวานเช่นเดิม แต่เป็นเสียงทุ้มลึกของผู้ชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นนายพลแห่งเทสล่า ของเอสเปอร์ที่เก่งที่สุดในจักรวาล “นี่ไม่พบกันพักใหญ่ อ้วนขึ้นรึเปล่าน่ะ กินแต่อาหารขยะล่ะสิท่า!”

“เหรอ! แต่ฉันเดาว่านายต้องผอมลงแน่!” บิลลี่กอดอกยิ้มแย้มโต้กลับ ไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแต่อย่างใด ช่วยไม่ได้ที่เขารู้จักเอสเปอร์คนนี้ดีเกินไป พลังของกิลเบิร์ตมากแค่ไหนเขารู้ดี หมอนี่ยืมร่างของเด็กหนุ่มคนนี้มาคุยกับเขาโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากันตัวเป็นๆ เพียงแต่ว่าหากเป็นมนุษย์ปกติโดนพลังขนาดนี้กดสมองคงมีผลกระทบแน่ๆ คนอย่างกิลเบิร์ตเอ็นดูเอสเปอร์ด้วยกันอย่างกับอะไร ดังนั้นย่อมหมายความว่าเด็กคนนี้ก็เป็นเอสเปอร์ แค่ถูกยืมร่างแค่นี้จะไม่ส่งผลอะไรกับเขา “ว่าแต่ คุณราชาคนนั้นเลี้ยงดูนายดีรึเปล่าน่ะ กิลเบิร์ต!”

   แค่เปิดประเด็นก็ยิงได้ตรงใจอย่างยิ่ง!

“นายนี่ ช่วยโง่สักหน่อยได้ไหม ไม่น่ารักเลย!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา สหายท่านนี้แต่ไหนแต่ไรก็ฉลาดเป็นกรดมากเกินไป น่าเบื่อจริงๆ “นายไม่จำเป็นต้องรีบสร้างผลงาน ตำแหน่งว่าที่อัยการสูงสุดของศาลสหพันธ์ก็เป็นของนายอยู่แล้วล่ะน่า เกิดออกแนวหน้าบ่อยแล้วตายโหงขึ้นมาจะน่าเสียดายนะ!”

“โฮ่! ไม่ต้องให้คนไม่รักตัวกลับตายอย่างนายมาว่าหรอก! จะให้เก็บตัวทำตัวเป็นหมาลอบกัดชาวบ้านอย่างไอ้บ้านั่นรึไง พอๆ!  เลิกพูดเรื่องนี้ เอาเป็นว่าไม่ต้องมาโยกโย้ ตกลงจะเล่าเรื่องที่เมทิสได้รึยัง บอกก่อนนะว่าคราวนี้อารอนกะเล่นงานนายให้ถูกตัดหัวแน่ๆ! หมอนั่นถึงขนาดยื่นกล่าวหานายกับศาลสหพันธ์แล้วนะ!” บิลลี่ว่าพลางทำหน้ายุ่ง การที่เขาเร่งมาที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ต้องการให้ใครทำหน้าที่นี้ หากจะมีใครที่ต้องจับกิลเบิร์ตจริงๆ นั่นสมควรเป็นตัวเขา

“ตกลงว่าจะมาจับฉันไม่ใช่เรอะ ทำไมพูดอย่างกับจะช่วยล่ะ!” แสยะยิ้มเย้ยถามไถ่ อันที่จริงระหว่างพวกเขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรกันแน่ เอาเป็นว่า ถือว่าเป็นเพื่อนห่างๆ ประเภทหนึ่งก็คงได้ 

“มาจับสิ การสืบสวนคือหน้าที่ของฉัน แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริง นายก็คือผู้บริสุทธิ์ แต่พวกคนอื่นไม่คิดแบบนี้หรอกนะ อารอนบอกว่านายคือคนที่สั่งให้พวกเขาลงมือฆ่าประชาชนที่เมทิส แต่หมอนั่นห้ามไว้ ต่อให้นายบ้าขนาดไหน ฉันก็ไม่คิดว่าจะบ้าอย่างที่หมอนั่นบอก เอาล่ะ บอกความจริงมาได้แล้ว! เฟรเดอริคหักหลังนายแล้ว เลิกปกป้องหมอนั่นกับเทสล่าได้แล้ว!!”

   บิลลี่พูดอย่างหงุดหงิด คนเช่นเขารักงานรักหน้าที่ ต่อให้เป็นเพื่อนของตัวเองหากทำเรื่องผิดเขาก็จะจับอย่างไม่ลังเล แต่กรณีของกิลเบิร์ต จะให้เชื่อว่าหมอนี่สั่งให้ทหารทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้น เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติส่วนเกินไป กิลเบิร์ตรบมากี่สนามรบเพื่อเทสล่า แต่ไม่เคยผิดกฎหมายเรื่องอาชญากรสงคราม แล้วทำไมกับอีแค่สมรภูมิเล็กๆที่เมทิสเขาถึงจะต้องสั่งฆ่าประชาชน นี่ผิดมันผิดปกติไปถึงแก่นแล้ว แต่พูดไปตอนนี้ย่อมเปล่าประโยชน์ คนของเทียร่าเองก็กำลังยกหางนายอารอนนั่น หากเขาพูดอะไรผิดไป ตัวเขาเองย่อมจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

ไม่ต้องอะไรหรอก หากมีข่าวหลุดออกไปว่าจริงๆเขากับกิลเบิร์ตเป็นเพื่อนกัน แค่นี้ก็คงทำอาชีพการงานเขาพังเละเทะแล้ว คนรู้จักแต่ละคน ช่างน่าปวดหัวจริงๆ! แต่ทั้งที่มันน่าปวดหัวมากอยู่แล้ว คำตอบของกิลเบิร์ตกลับชวนหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“ของแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก” กิลเบิร์ตตอบเรียบๆพลางยิ้ม บิลลี่รู้สึกว่าการที่คนหน้าไม่อายแบบนี้มาใช้ใบหน้าใสซื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ยิ้ม ช่างอัปลักษณ์ชะมัด!

“ให้ตายเถอะ หน้านายตอนนี้ขัดลูกตาจริงๆ แล้วนี่ก็เลิกคิดเองเออเองซะที ฉันรู้ว่านายมันพวกติสแตก แต่อย่ามาติสตอนนี้ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ!” นวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเหมือนตายไปแล้วสามรอบ “พูดมาเถอะน่า ฉันเชื่อทั้งนั้นล่ะ” บิลลี่เอ่ยรับรอง แต่ฝ่ายกิลเบิร์ตกลับยิ่งยกยิ้มไม่เป็นโล้เป็นพาย

   ใครบ้างที่ไม่อยากหาคนช่วยแบ่งเบาภาระ เพียงแต่ว่าบางอย่างมันจำเป็นต้องใช้เวลา

“ถ้าบอกว่าเกี่ยวกับพวกซิลวานี่ จะเกิดอะไรขึ้น”

“!” นั่นคือชื่อดวงดาวที่พวกเทสล่าเพิ่งจะประกาศสงครามด้วยเร็วๆนี้ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ากิลเบิร์ตค้านเรื่องนี้หัวชนฝาจนทะเลาะกับคณะผู้บริหารของเทสล่า แสดงว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัยแล้ว

“ใช่ไหมล่ะ นี่เป็นปัญหาการเมือง นายแก้ไม่ได้ด้วยการสืบสวนของนายหรอก ถ้ามีโอกาส ฉันต้องเป็นคนกลับไปแก้เอง ส่วนนาย จะช่วยแกล้งเซ่ออีกสักพักไม่ได้เรอะ” ความหมายคือกิลเบิร์ตเองก็ไม่คิดว่าจะปล่อยผ่านในเรื่องนี้ แต่เพราะหลังจากเรื่องที่เมทิสเขาก็มีปัญหากับอารอนกับเฟรเดอริคมาตลอด ทั้งยังมีเรื่องซิลวานี่ด้วย ทุกอย่างบีบคั้นให้สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรสงครามแล้ว

   เอาเข้าจริงเขาก็อยากหวังให้บิลลี่ยอมรับคำขอร้องจากเขา เพียงแต่ว่าพอพูดไปแค่นี้อีกฝ่ายก็ยกปืนขึ้นจ่อหัวเขาแล้วสมฉายาสิงห์ปืนไวสุดๆ ดวงตาสุดจะเอาจริงเอาจังเวลาเล็งยิงใครสักคนนี่ยังคงเข้มงวดเหมือนเดิม

“นี่คือคำตอบของนายรึสหาย”

“ถ้าไม่ใช่ฉันจับนาย คนอื่นจะมาจับนาย ถ้าต้องให้คนอื่นมาเอาตัวนายไป ในฐานะเพื่อน ขอฉันทำหน้าที่นี้เองดีกว่า เอาล่ะกิลเบิร์ต ร่างจริงนายอยู่ที่ไหน กลับไปเทียร่ากับฉัน! ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาเด็กคนนี้ไปแทน!” พูดไม่พูดเปล่าหยิบกุญแจมือขึ้นมาจริงๆ ท่าทีเอาจริงเอาจังชวนให้คู่สนทนาปวดหัวตุ้บๆ เพราะแบบนี้ไงเล่ากิลเบิร์ตถึงไม่มั่นใจว่าหมอนี่เป็นเพื่อนประเภทไหน

   ถ้าตามใจเขาทุกอย่าง บิลลี่จะเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมมาก แต่หากขัดใจ...ก็ถูกปืนจ่อหัวอยู่นี่ไง!

“จะขู่ทำไมเล่า นายไม่ยิงร่างของฟินน์หรอก และเด็กคนนี้ก็จะไม่มีความทรงจำเรื่องที่เราคุยกันด้วย ขอเตือนนะบิลลี่ที่รัก เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เพื่อตำแหน่งในอนาคตของนาย นายไม่ควรยุ่งกับเรื่องนี้ และไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับอารอนด้วย รีบกลับไปเทียร่าซะ!” นี่ย่อมเป็นการเตือนในฐานะสหายแล้ว

“นายคิดจะทำอะไรหมอนั่น จะล้างแค้น?” นั่นคือสิ่งที่บิลลี่คิด บางทีเรื่องชู้สาวนี่อาจจะลึกซึ้งกว่าที่เขาคิด ทว่า กิลเบิร์ตกลับส่ายหน้า 

“เปล่า ถ้าเลือกได้ฉันไม่อยากยุ่งกับหมอนั่นอีก แต่ว่า เพื่อเด็กคนนี้กับน้องสาว บิลลี่...ฉันไม่ลังเลที่จะเป็นคนชั่วหรอกนะ แล้วเจอกัน อ้อ! ระวังอย่าให้อ้วนเกินไปล่ะ! ลุดวิกบอกว่านายกินไม่หยุดเลยนี่นะ! อยากดื่มเบียร์กับพวกนายอีกนะ!” วินาทีนั้นเองที่ร่างของฟินน์พลันส่องแสง ก่อนที่จะพลันหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วชนิดที่บิลลี่ก็ไม่ทันจะได้ตั้งตัว กิลเบิร์ตใช้ร่างของฟินน์เทเลพอร์ตหนีไปแล้ว

“เจ้าบ้าเอ๊ย นี่ถึงกับจะเล่นบทตัวร้ายเลยเรอะ โง่มาก! ว่าแต่ว่า ฉันจะอ้วนจะผอมเกี่ยวอะไรกับพวกนายฟะ!” ด่าอย่างโมโหสุดๆ หากเจอแบบเขาไม่อกแตกตายให้มันรู้ไป!

   เพียงแต่ตอนนั้นเองอุปกรณ์สื่อสารของเขากลับดังขึ้น บิลลี่กดรับที่ข้อมือเพื่อให้ข้อมูลแจ้งเข้าสู่สมองของเขาโดยตรง นึกไม่ถึงว่านั่นกลับเป็นเสียงตื่นตกใจของทหารผู้ติดตามของอารอน

 “แย่แล้วครับ ท่านอารอนกำลังปะทะกับกลุ่มคนนิรนามที่ชานเมือง!”

“!” และวินาทีนั้นเองที่บิลลี่พลันเข้าใจวัตถุประสงค์ของกิลเบิร์ตอย่างแจ่มแจ้ง

   ร้ายนักนะสหาย!


จบตอน

เอ็นดูเจ้าแมวอ้วนด้วยนะคะ 5555+

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อารอนนี่รกหูรกตามาก  :katai1: แต่ขำบิลโดเหมาว่าเป็นแมวตะกละ 55555
กำลังสนุกเลย รอตอนต่อไปน้าาาา :really2:

ออฟไลน์ ruk21us

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-0
บทที่ ๒๑
สนามรบของแมวสองตัว

   ในตอนที่บิลลี่มาถึงจุดที่พวกทหารของอารอนแจ้ง เขาก็แลเห็นแต่ร่องรอยระเบิดและการต่อสู้ที่พังเหมืองเกลือของดาวดวงนี้พังเป็นแถบๆ แถมเครื่องตรวจจับพลังจิตที่ฝังไว้ที่ข้อมือกลับดังไม่หยุด แว่นตาสะท้อนคลื่นพลังของเขาช่วยให้เขาเห็นแสงของกระแสพลังจิตฟุ้งเต็มอากาศไปหมด ชัดเจนมากว่าพวกอารอนใช้พลังจิตปะทะกับพวกไหนสักพวก กิลเบิร์ตเจตนาที่จะจัดการกับพวกอารอนอย่างเด็ดขาดจริงๆ

ที่เจ้าอาณานิคมคนนั้นรั้งพวกเขาให้อยู่ในฐานะแขก แท้ที่จริงก็เพราะรอคอยให้อารอนเดินไปติดกับแผนการของตนเอง และคนที่จะช่วยคุณราชาคนนั้นดักจับพวกอารอนจะเป็นใครที่ไหนไปได้ ย่อมต้องเป็นคนที่รู้จักฝ่ายตรงข้ามอย่างดี ย่อมต้องเป็นกิลเบิร์ต อดีตเจ้านายของอารอนไงเล่า!

“ตกลงว่าจะเป็นตัวร้ายจริงๆเรอะ! เจ้าบ้ากิลเบิร์ต!” ลงมือโหดเหี้ยมกับภรรยาของเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่า นี่คิดจะประกาศสงครามหรือยังไง!

ไม่ทันที่บิลลี่จะได้คิดให้ตก กระสุนนัดหนึ่งพลันยิงมาจากทางด้านหลัง เขากระโดดหลบพลางชักปืนที่เอวขวายิงโต้กลับ เพียงแต่ว่ากระสุนนัดนี้ของเขาไม่ใช่กระสุนธรรมดา

   นี่คือกระสุนเลเซอร์ความเข้มข้นสูง ดังนั้นเมื่อถูกยิงออกไปมันจึงป่นทุกสิ่งเบื้องหน้าเป็นผง เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ทลายทุกสิ่งไม่เหลือซาก แต่บิลลี่ไม่รอช้า เขาชักปืนที่เอวซ้ายยิงสวนอีกสองนัด คราวนี้เป็นกระสุนระเบิดธรรมดาเจาะเข้าที่กลางหน้าผากของศัตรู เลือดพุ่งขึ้นกลางอากาศชัดเจน เพียงแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนกลับเป็นแววตาของบิลลี่ เขาในตอนนี้เข้าสู่โหมดของการต่อสู้แล้ว

“ไสหัวออกมานะ! กิลเบิร์ต!” บิลลี่ตะคอก แต่ที่เห็นกองอยู่ตรงหน้ากลับเป็นศพนิรนาม เพียงแต่จากเสื้อผ้าการแต่งตัวนี้ บิลลี่รู้ทันทีว่าหมอนี่ไมใช่คนของอาทีเรีย กิลเบิร์ตถึงกับหลอกใช้คนนอกเล่นงานพวกอารอนเลยงั้นหรือ? “นายคิดอะไรอยู่นี่! เดินทางข้ามกาแลคซี่มาจนสมองฟั่นเฟือนหรือไง!”

   ไม่ทันคิดต่อคราวนี้ปรากฏว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลังอีกครั้ง บิลลี่กระโดดหลบหลายครั้งติดกัน แต่เจ้าสิ่งนั้นกลับยังฟาดใส่เขาไม่หยุด ทั้งยังรุนแรงและรวดเร็วมากด้วย เพียงแต่ว่าบิลลี่เองก็ใช่ธรรมดา เขาคือเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เก่งกาจที่สุดของศาลแห่งสหพันธ์ เรื่องจะฟัดกับใครนั้นขอให้บอก เขาทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นพอถูกโจมตีต่อเนื่องแบบนี้ก็พอเดาออกแล้วว่าตนเองกำลังปะทะอยู่กับใคร เจ้าของแส้ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!

“โผล่หางมาซะ! เจ้าโจรสลัด!” บิลลี่ยกมือซ้ายยิงสวนทันทีที่ได้โอกาส แต่ฝ่ายนั้นกลับกระโดดหลบก่อนจะฟาดแส้ใส่อย่างไม่ปรานี แลกกับกระสุนอีกนัด หลังฝุ่นควันกลับต่างคนต่างแลเห็นเงาของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งขึ้น ปากกระบอกปืนของบิลลี่จ่ออยู่ข้างหัวศัตรู แต่ที่ลำคอของเขาก็ถูกแส้พันอยู่รอบ แบบนี้ก็เหมือนการสื่อว่าขอให้ตายตกตามกันแล้ว “เจ้าคนชั่วช้า! อเล็ค!” ตะคอกใส่อย่างเดือดดาล แต่ฝ่ายนั้นกลับยิ้มแสยะทั้งยังกระชับแส้แสนคมของตนเองเบาๆเรียกเลือดจากลำคอขาวของอัยการหนุ่ม

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณอัยการ เอ๋! ช่วงนี้เจ้าเนื้อขึ้นรึเปล่าครับ แย่เลย! ทำงานนั่งโต๊ะนานไปหน่อยรึเปล่าครับ บิล” อเล็คเซ่เอ่ยเสียงหวาน อันที่จริงการทำให้ลำคอสวยๆของอีกฝ่ายเป็นแผลนี่มันไม่ใช่วิสัยของเขาเลย ของสวยๆงามๆควรจะถูกเก็บไว้ในกล่องสวยๆและขัดถูอย่างดีมากกว่า ถึงบิลลี่ไม่ใช่รสนิยมของเขา แต่เรื่องความสวยงามนั้นถือว่าเอาไปขายได้ไม่อายใคร

   ไม่สิ...เขาคงไม่สามารถจับอัยการแห่งศาลสหพันธ์ไปขายเป็นทาสได้ใช่ไหม?

“หุบปาก! อย่ามาเรียกชื่อฉันสนิทสนมแบบนั้นนะ ขยะแขยง!” บิลลี่ตะคอกใส่ทันที สีหน้าที่ยิ้มอยู่ตลอดพอเห็นเจ้าโจรสลัดวิปลาสตรงหน้าก็ทำเอาคันคะเยอด้วยความรังเกียจท่วมท้น ว่าแต่จะเลิกทักเขาเรื่องอ้วนได้ไหม! หงุดหงิดชะมัด! เจ้าพวกคนนิสัยเสีย! “สารเลวอย่างนาย มาทำอะไรที่นี่!”

“โอ้ พูดจาเสียมารยาทจริง คิดว่าจักรวาลนี้เป็นของพวกเทียร่าฝ่ายเดียวหรือไงครับ ออกมาไกลเสียขนาดนี้เทียร่ายังตามมาราวี ช่างน่าสงสารกิลเบิร์ตที่รักของผมจริงๆนะ ไม่สิ หรือว่า...” ดวงตาเป็นประกายหยอกเย้าก่อนจะเผยอใบหน้ากับแลบลิ้นเลียข้างแกมอีกฝ่าย จนบิลลี่สะดุ้งเฮือก “ที่ตามมาถึงนี่ หรือจริงๆคุณหึงผมหรือเปล่าครับ” วินาทีนั้นบิลลี่ถึงกับสบถ

   เชี่ยเอ๊ย!!!

“ไอ้! ไอ้ๆๆๆๆ!!!! ไอ้โจรขยะ!!!!” บิลลี่แทบสบถไม่เป็นภาษากำหมัดกัดฟันเหนี่ยวไกปืนในทันทีด้วยความโมโหถึงขีดสุด ส่วนฝ่ายอเล็คเซ่ก็คลายแส้ที่พันรอบคออีกฝ่ายแล้วกระโดดหลบ ทั้งที่พร้อมจะฆ่ากันให้ตายได้เสียตรงนั้น แต่สุดท้ายอเล็คเซ่กลับเลือกที่จะใช้กระสุนพลางตัว “อย่าหนีสิ!!!ไม่กล้าสู้หน้าฉันรึไง!!!”

“อย่าหลงตัวเองนักสิ ผมก็แค่มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องของคุณน่ะ อืม ต่ำต้อยด้อยค่าแบบคุณเอาไว้ผมจะมาเล่นด้วยยามว่างละกันนะ ว่าแต่ ยังเวอร์จิ้นอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ ยังรอให้ผมเข้าไปในตัวคุณอยู่หรือเปล่า” นั่นย่อมเป็นคำพูดส่งท้ายไร้ยางอายที่ทำเอาบิลลี่โกรธจนตัวสั่น อายจนอยากชำแหละเนื้อคน

   ไอ้โจรขยะไร้สามัญสำนึก ไปตายซะ!!! ขอให้ถูกกิลเบิร์ตหลอกใช้จนตัวแห้งตาย!!!!!

   ในขณะที่บิลลี่กำลังรับมือกับเจ้าโจรสลัดชั่วช้า ฝ่ายท่านผู้หญิงอารอนขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องที่น่าหงุดหงิดสุดๆ เดิมทีอารอนหาเหตุตีสนิทกับนิโคลัสที่เขาเชื่อว่าน่าจะรู้เบาะแสของกิลเบิร์ต ในช่วงสามวันนี้เขารู้มาจากนิโคลัสว่ากิลเบิร์ตหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ความคุ้มครองจากนายลุดวิกอะไรนั่น นิโคลัสไม่พอใจกิลเบิร์ต ทั้งยังบอกเขาอีกว่าหมอนั่นหลบซ่อนอยู่ที่เหมืองเกลือนอกเมือง วันนี้เขาจึงกะมาล่าเต็มที่ แต่ครั้นพอมาถึงจุดหมาย ปรากฏว่าพวกเขากลับถูกหลอกล่อมาในเหมืองที่กางสนามพลังกักคลื่นพลังจิตเสียเอง!

   อารอนกับพวกผู้ติดตามไม่กระจอกถึงขนาดถูกกักขังด้วยสนามพลังแค่นั้น ไม่เสียชื่อเอสเปอร์ชั้นเยี่ยม เขาทลายสนามพลังนั่นและบุกเข้าโจมตีเจ้านิโคลัสคนทรยศทันที แต่ไม่ทันถึงตัว พวกคนนอกเครื่องแบบกลุ่มใหญ่กลับกรูเข้ามาเล่นงานเขา แถมเจ้าพวกนี้ยังหนังเหนียวกัดไม่ปล่อย ทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีการรบกับเอสเปอร์ระดับสูง ดาวบ้านนอกแบบนี้ไม่ควรมีอุปกรณ์ขนาดนี้ใช้เลยด้วยซ้ำ!

   เผลอแป๊บเดียวเจ้าพวกคนนิรนามนั่นสอยผู้ติดตามของเขาร่วงไปทีละคนๆอย่างเป็นระเบียบ นี่เป็นกลยุทธ์ นี่คือแผนการแน่ๆ!!!

“นี่เป็นแผนของคุณงั้นเรอะ! นายพลกิลเบิร์ต!” อารอนตวาดก้องพลางเร่งพลังจิตเกิดคลื่นพลังสีฟ้าแผ่กระจายระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ขนาดพลพรรคของอเล็คเซ่ยังถูกอัดกระเด็น บางส่วนที่หลบไม่พ้นถึงกับถูกอัดกระแทกจนแขนขาหลุดกระจัดกระจายเลือดสาดนอง “เอาสวะพวกนี้มาเก็บผมไม่ได้หรอก! ออกมา! นายพลกิลเบิร์ต!”

   วินาทีนั้นเองตามคำเรียกร้อง แสงสีแดงอัดกระแทกมาถึงตัวอารอนจนปลิวไปกระแทกหิน แต่อารอนใช้เกราะพลังลดแรงกระแทกและพุ่งเข้าใส่เจ้าของแสงสีแดงนั่น ในแสงที่แสบนัยน์ตาและคุ้นเคยอย่างที่สุดปรากฏชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นดั่งทับทิมเลือด ริมฝีปากแสยะรอยยิ้มเหยียดหยาม อารอนกล้าพูดว่านี่คือรอยยิ้มที่เขาเกลียดชังที่สุด เจ้าคนน่ารังเกียจที่ยืนขวางทางเขาในทุกวิถีทาง!

“ออกมาแล้วงั้นรึ เจ้าคนขี้ขลาด หนีหางจุกตูดมาซบอกดาวอื่น คงจ่ายไปแพงล่ะสิ! ว่าไง คุณจ่ายให้ราชานั่นไปเท่าไหร่ หรือว่า จ่ายด้วยร่างกายตัวเองไปแล้ว!” ว่าอย่างหยามเหยียดพลางเร่งพลังอัดกระแทกใส่เป้าหมาย ทว่า กิลเบิร์ตเพียงใช้มือขวาปัดพลังนั่นทิ้ง ก่อนจะกางสนามพลังขึ้นใหม่และเร่งความเร็วอัดกระแทกเข้าที่ช่องท้องของเจ้าคนพูดมากจนอารอนกระเด็นไปอีกรอบ

“แล้วคุณล่ะจ่ายไปเท่าไหร่ คุณอารอน จ่ายให้สามีเก่าฉันจนหมดตัวจนเขาเบื่อหรือยัง” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มพร้อมกับพุ่งตามลงมาและชูมือขึ้นฟ้าสร้างคมดาบแสงสีแดงนับร้อยสาดพุ่งใส่เป้าหมาย การควบคุมพลังของเขาเหนือชั้นอย่างยิ่ง ดาบแสงที่ตกลงมาราวดาวหางนั้นคมปลาบทั้งยังพลานุภาพมหาศาลประหนึ่งจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้สบาย เพียงแต่ว่าเป้าหมายของเขาตอนนี้กลับเป็นชายหนุ่มแค่คนเดียว “ลุกขึ้น คุณอารอน คุณไม่ตายด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก คุณยังอยากจะเห็นฉันถูกกิโยตินตัดคอที่ศาลสหพันธ์อยู่ไม่ใช่รึ”

   นั่นเป็นการยั่วโมโหโดยแท้ และเพราะถ้อยคำนั้นเองที่ทำให้อารอนโกรธแทบบ้า อารอนเองก็ยกมือสร้างธนูแสงและยิงธนูนับพันใส่กิลเบิร์ตเช่นกัน ฝ่ายตั้งรับนั้นแม้ยังยืนอยู่กลางอากาศ แต่กลับสร้างบาเรียล้อมรอบตนเอง รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแสยะออกก่อนจะรวบรวมพลังเป็นเกราะสะท้อนพลัง อัดกระแทกกลับไปยังผู้เป็นเจ้าของ ถึงตอนนี้อารอนเบิกตากว้าง แต่ทั้งที่พยายามจะป้องกัน กิลเบิร์ตกลับยังกล้าพุ่งเข้าใส่เข้าพร้อมกับการโต้กลับอย่างรุนแรง นี่ย่อมเป็นวิธีการต่อสู้ของท่านนายพลที่บ้าคลั่งที่สุดในสนามรบ

   ยามที่กิลเบิร์ตยืนอยู่ในสนามรบ เขาย่อมไร้เทียมทาน! การคิดเอาชนะเขาในสนามรบนับเป็นเรื่องที่ถือดีที่สุด!

“เกลียด! อย่างคุณนี่มันสมควรตายที่สุดแล้ว! ทำไมจะต้องยืนขวางทางของผมด้วย! ทำไมไม่ตายๆไปซะ!!” อารอนตะโกนใส่ เขาถูกพลังของกิลเบิร์ตโจมตีหนักหน่วง แต่จนแล้วจนรอดนอกจากสภาพที่คลุกฝุ่นเปื้อนดินแล้ว เขากลับยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่เสียทีที่เป็นเอสเปอร์อันดับหนึ่งของเทสล่าเวลานี้

   กิลเบิร์ตย่อมไม่ตกใจ เขารู้ว่าอารอนเป็นเอสเปอร์ที่เก่งกาจอย่างมาก ในเด็กรุ่นเดียวกันที่รัฐบาลเทียร่าส่งมาฝึกฝนที่เทสล่า อารอนคือเอสเปอร์ที่มีพลังสูงสุด ทั้งยังมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ในขณะที่ตัวเขาถูกเฟรเดอริคคาดหมายว่ากำลังถึงวัยเกษียณแล้ว แต่อารอนกลับกำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุด ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของเขายังอยู่อีกยาวไกล เมื่อคิดแบบนี้แล้วก็ไม่แปลกเลยที่เฟรเดอริคจะเลือกอารอน เลือกรัฐบาลเทียร่า ส่วนตอนนี้พ่อหนุ่มผู้เก่งกาจคนนี้ก็กำลังระเบิดพลังและเพิ่มคมธนูแสงสาดใส่เขาอย่างไม่ยั้ง

“ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ฉันรู้ว่าคุณน่ะไร้เทียมทานนะคุณอารอน แต่ว่า...”

“!”

“ฉันไม่ได้คิดจะดวลกับคุณตัวต่อตัวนี่สิ” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหด และตอนนั้นเองที่ระเบิดแสงแสบนัยน์ตาถูกยิงลงมาจากยานรบของอาทีเรียที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กิลเบิร์ตที่รู้ตัวอยู่แล้วกางม่านพลัง แต่อารอนกลับถูกซัดไปเต็มๆจนตาบอดไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นเรือธงอเล็คซานเดอร์ของอเล็คเซ่ที่หลบอยู่ในผนังหินกลับยกเลิกการพรางตัว และยิงแสงเลเซอร์สนามพลังใส่เป้าหมาย

   พริบตาอารอนถูกกักขังไว้ในกรงแสงสนามพลังความเข้มข้นสูงของโจรสลัดแห่งเนบิลว่ามืด ยิ่งตอนนี้เขาตามองไม่เห็นกลับยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในขณะเดียวกันบิลลี่ก็วิ่งมาจนถึงที่เกิดเหตุพอดี สิ่งที่เขาเห็นคือสภาพรุ่งริ่งของนายพลแห่งเทสล่า กับอดีตท่านนายพลที่กำลังขยิบตาส่งยิ้มแพรวพราวร้ายกาจให้เขา ไม่เจอกันนาน หมอนี่ก็ยังโหดร้ายกับศัตรูเสมอต้นเสมอปลาย เพียงแต่บิลลี่ไม่มีเวลาคิดแล้ว เขามาที่นี่ในฐานะอัยการผู้รับผิดชอบการสืบสวนคดี และรู้กันไปทั่วว่าเขามาพร้อมกับนายพลอารอนแห่งเทสล่า ตอนนี้อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจะปล่อยไว้ได้ยังไง

   ถึงอีกฝ่ายเป็นกิลเบิร์ตก็ถอยไม่ได้แล้ว!

   อัยการหนุ่มปลดล็อคกระสุนเลเซอร์ร้ายแรงยิ่งกระหน่ำใส่กิลเบิร์ตในทันที แต่อีกฝ่ายกลับไวมากพอและทั้งที่ควรจะทุ่มเทกำลังจัดการกับอารอนไปหมดแล้วแต่แรงกลับยังไม่ตกสักนิด ยังคงกระโดดหลบและพุ่งเข้าปะทะกับสหายเก่าได้อย่างสูสี

“กิลเบิร์ต! นี่คือคำตอบของนายหรือไง! แบบนี้นายจะถูกกล่าวหาว่าคิดฆ่าพยานนะ!” บิลลี่ตะคอกหมายเตือนสติในขณะที่ยังต้องคอยกระโดดหลบและตั้งรับ สู้กับเอสเปอร์อันดับหนึ่งของจักรวาลช่างเป็นการทำอะไรเกินตัวจริงๆ!

“ไม่รู้หรือไง คนเราจะร้ายแล้วมันต้องร้ายให้ถึงที่สุด! ไอ้พวกร้ายครึ่งๆกลางๆน่ะหลบไป!” กิลเบิร์ตตอบพลางหัวเราะ ไม่มีความลังเลปรากฏบนใบหน้าเลยสักนิด แน่ล่ะ หากเขาลังเลป่านนี้เขาตายไปตั้งแต่ในสนามรบแรกแล้ว “นี่บิลลี่ ฉันบอกให้นายหลีกทางแล้วนะ!”

“ใครมันจะหลีก! คนพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนาย ถึงตายฉันก็ไม่หลีก! คายความจริงมานะ!” กิลเบิร์ตบ้าบอที่สุด ทั้งปิดบังเรื่องที่เมทิส ทั้งปิดบังเรื่องที่มีปัญหากับอารอน ทั้งยังกล้าปิดบังเขาเรื่องที่ร่วมมือกับโจรสลัดชั่วนั่นด้วย! “เจ้าบ้า! นี่นายไม่เห็นหัวฉันเลยเรอะ!”

   พอรู้สึกว่าตัวเองโดนเพื่อนมองข้ามหัว ถึงตอนนี้บิลลี่ก็ทั้งโกรธทั้งน้อยใจจนควันออกหู สองมือเหนี่ยวไกปืนรัวยิงไม่ยั้งเข้าเป้าทุกนัดจนกิลเบิร์ตต้องทั้งกระโดดทั้งวิ่ง ทั้งบินโฉบหนีตาย เอาเข้าจริงกระสุนของบิลลี่ไวกว่าพลังเคลื่อนไหวของอารอนเป็นเท่าตัว ถึงหมอนี่จะใส่แว่น แต่สายตาดันดียิ่งจนเขาสงสัยว่านั่นใส่แว่นเพื่อให้ศัตรูตายใจรึเปล่า ว่าแต่ไอ้คนที่ทั้งมือทั้งเท้าเล่นงานเขาไม่หยุดแต่กลับโวยวายร้องไห้จนตาแดงก่ำนั่นมันอะไร หมอนี่ชักจะอีโมมากเกินไปแล้ว!

“นี่นายจะร้องหรือจะยิงเอาสักอย่างสิ!” กิลเบิร์ตอดด่าไม่ได้ สหายท่านนี้เล่นด้วยยากเหลือเกิน เขาเองไม่ใช่พระอิฐพระปูนเจอเพื่อนมาร้องไห้พลั่กๆต่อหน้าแบบนี้ก็พานใจอ่อนยวบยาบ

“ก็นายมันเอาแต่ใจ! นิสัยเสีย! ไอ้บ้าเอ๊ย! ขอให้ถูกทิ้งเป็นแมวข้างถนน!!!” พอพูดโพล่งไปแบบนั้น บิลลี่กลับรีบอุดปากตัวเองที่ไวเกิน เขาย่อมสำเนียกได้ว่ากิลเบิร์ตเวลานี้ก็ถูกสามีทิ้งต้องระเห็จข้างถนนอยู่แล้ว แล้วเขายังไปแช่งให้ถูกทิ้งอีก นึกๆแล้วก็น่าระอายใจอย่างยิ่ง

   เห็นเพื่อนตัวเองเป็นเสียขนาดนี้หากยังไม่ใจอ่อนนับว่าโหดร้ายจนเกินไป สุดท้ายกิลเบิร์ตถึงกับยอมคลายสนามพลัง และเดินมาหยุดอยู่หน้าบิลลี่ที่หน้าแดงก่ำความน้อยอกน้อยใจสะท้อนในดวงตา เห็นแล้วถึงกับต้องยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆหนึ่งที

“โทษที ขอโทษละกัน” กิลเบิร์ตตอบเขินๆ

   ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ในระหว่างที่เห็นกิลเบิร์ตกับบิลลี่ด่ากันไปด่ากันมา ด่าจนคนด่าร้องไห้ขี้มูกโป่ง ส่วนคนถูกด่าเกาหัวแกรกๆนึกละอายจนพูดไม่ออก คนที่แอบมองอยู่ข้างหลังอย่างลุดวิกยิ่งรู้สึกอดรนทนไม่ได้ ในสายตาเขาพลันบังเกิด
จินตนาการบรรเจิดเห็นแมวตัวดำกับแมวขนทองร้องแง้วๆกระโดดข่วนหน้ากันพอหอมปากหอมคอแล้วก็เป็นเจ้าแมวอ้วนขนทองที่พองขนจนตัวแทบปริ คิดจะข่วนเขาให้หน้าแหกแต่กลับบ่อน้ำตาแตก สุดท้ายเห็นเป็นแมวดำตัวโปรดของเขายกอุ้งตบหัวอีกฝ่ายแปะๆ อืม...เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจริงๆ

   แมวเถื่อนมีเพื่อนเป็นแมวขี้แยงั้นเรอะ?

   แต่ถึงที่สุดลุดวิกกลับปรากฏตัวออกมาและคว้าแขนเอากิลเบิร์ตไปกอดไว้ไม่บอกไม่กล่าว จนบิลลี่ที่กำลังจะสงบใจได้มุ่นคิ้วเบิกดวงตากว้าง พองขนอย่างโกรธขึ้ง หมอนี่คือราชาของอาทีเรียที่ตอนนี้เขาสงสัยว่ารวมหัวกับกิลเบิร์ต แต่ที่น่าสงสัยกลับไม่ใช่เรื่องนั้น บิลลี่กำลังสงสัยว่าคนที่ยอมร่วมมือกับผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยอมเป็นศัตรูกับเทสล่า ทั้งยังหันไปร่วมมือกับโจรสลัดอีก คนแบบนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ! บางทีหมอนี่อาจคิดหลอกใช้กิลเบิร์ตเสียเอง!

“ถอยออกมาจากกิลเบิร์ตนะ! คุณราชาคุณน่ะคิดอะไรกันแน่! คุณร่วมมือกับกิลเบิร์ตเพราะหวังผลประโยชน์อะไรกันแน่!” บิลลี่ชี้หน้าถาม ใบหน้าของเขาตอนนี้พองจนแก้มแดงหน้าตาน่าเอ็นดูจนกิลเบิร์ตนึกอยากใช้อุ้ง เอ๊ย! มือลูบหัวเพื่อนตัวเองอีกรอบ

   ที่ไหนได้ลุดวิกทอดถอนใจยาว ตอนนี้ลุยกันจนเละเทะไปหมดแล้ว แถมคุณอัยการคนเก่งดันอีโมจัดจนหมดสภาพ ลุดวิกรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายคร่าสวาทในหนังไม่มีผิด ตอนนั้นเองที่เขาคว้าเอวกิลเบิร์ตเข้ามาและจับใบหน้าอีกฝ่ายจูบลงที่ริมฝีปากสวยๆของเจ้าแมวเถื่อนตัวร้ายต่อหน้าต่อตาของบิลลี่ คนหนึ่งอายจนหน้าแดงก่ำในอ้อมแขนสามี ส่วนอีกคนก็หน้าแดงมือไม้สั่นชี้นิ้วมาที่คนหน้าไม่อายเลิ่กลั่ก

“พะ...พวกนาย พวกนายเป็นอะไรกัน!” บิลลี่ตะคอกถาม ส่วนลุดวิกตีสีหน้าเคร่งขรึมแต่รอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้านั้นกลับดูสะใจอย่างยิ่ง การได้ประกาศความเป็นเจ้าของให้คนอื่นรู้นั้นเป็นความสาแก่ใจสุดๆของเขา ยิ่งรู้ว่าเจ้าอเล็คเซ่แอบมองอยู่ห่างๆ ยิ่งสนุกมากขึ้นเรื่อยๆจนใจสั่น

“ดูไม่รู้จริงๆหรือ” ลุดวิกถาม ก่อนจะจับกิลเบิร์ตสวมกอด จูบหนักหน่วงอีกรอบจนเจ้าแมวเถื่อนแทบหมดแรงทรุดในอ้อมแขน แน่นอนว่าในใจนั้นสบถด่าถึงความชั่วช้านี้ไม่หยุด ส่วนบิลลี่แทบจะเป็นลม หนุ่มเวอร์จิ้นเช่นเขามาเจอคนจูบกันดูดดื่มลิ้นแลกลิ้นตรงหน้าย่อมรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

“เออะ นาย กิลเบิร์ต หรือว่า...”

“ฉันคือสามีของกิลไงล่ะ ยินดีที่จะได้รู้จักอีกครั้งนะ คุณเพื่อนภรรยา” ว่าแล้วก็ยกยิ้มอย่างเอ็นดูคุณเพื่อนภรรยาที่ตอนนี้อายจนควันออกหูหน้าแดงก่ำ

   หย่ากับสามีเก่าไม่ทันไร เพื่อนรักก็ดันได้สามีใหม่ไวทันใจนัก นี่มันเป็นความรักร้อนแรงปานไหน ไปรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือนี่คือชายชู้ที่คนทั้งจักรวาลกล่าวขวัญถึง ยิ่งคิดบิลลี่ก็ยิ่งหัวหมุนคว้าง อายแทนจนแทบซุกหน้าลงเหมือง ส่วนกิลเบิร์ตที่ไม่เคยจะได้อายใครมาก่อนย่อมล่วงรู้ความคิดเพื่อน เขาในตอนนี้แม้อยากแก้ตัวแต่กลับไร้ซึ่งคำอธิบายที่น่าฟัง

   จะพูดว่าอะไรดี?

   อธิบายว่า นี่คือสามีที่เก็บได้โดยบังเอิญข้างถนนหลังถูกหย่าสามวันน่ะรึ?

   พ่องสิ! ไร้ยางอายสิ้นดี!


จบตอน 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด