พิมพ์หน้านี้ - Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ruk21us ที่ 16-10-2018 17:45:05

หัวข้อ: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 16-10-2018 17:45:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


.........................................................................


ขอเปิดเรื่องใหม่ ต้อนรับเรื่องเก่าที่กำลังจะจบนะคะ


หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 1 ใบหย่า (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 16-10-2018 17:45:36

Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ

ตอนที่ ๑

ใบหย่าใบนั้นที่ฉันให้เธอ

   แสงสุดท้ายของวันกำลังสาดส่องเข้ามาพร้อมกับเสียงครหานินทาที่สาปส่งกันไปทั้งเมือง เมื่อท่านเจ้าอาณานิคมประกาศความผิดของท่านผู้หญิงผู้เป็นภรรยา นอกจากโดนกล่าวหาว่าคบชู้สู่ชายแล้วยังพ่วงข้อหากบฏเอาใจออกห่างดาวแม่ของตัวเอง ขณะที่กำลังออกข่าวประกาศกันอยู่นี้ ทางฝ่ายรักษาความมั่นคงก็กำลังรีบไปปิดล้อมคฤหาสน์ส่วนตัวของท่านผู้หญิงแล้ว

   หลายร้อยปีหลังจากมนุษย์มีการพัฒนาก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีจนออกมาตั้งอาณานิคมกันบนหลากหลายดวงดาว ผสมกลมกลืนวัฒนธรรมพื้นถิ่นหลากหลาย เจ้าอาณานิคมก็คืออดีตผู้นำในการบุกเบิกอาณานิคมสืบทอดสายเลือดต่อๆกันมา ดวงดาวอาณานิคมจะยิ่งใหญ่หรือเล็กจ้อยล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปกครอง สำหรับ “ดาวเทสล่า” นั้นถือเป็นดาวเคราะห์อาณานิคมชั้นแนวหน้า เป็นที่เลื่องลือกันว่าเพราะท่านเจ้าอาณานิคมคนปัจจุบันนั้นปรีชาสามารถสร้างความเจริญทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร แน่นอนว่าในส่วนนี้ต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับ “ท่านผู้หญิง”

   แม้จะเรียกขานว่าท่านผู้หญิง แต่ท่านผู้หญิงของเทสล่านั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ยินยอมแต่งงานเป็นภรรยาเอกของท่านเจ้าอาณานิคมตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ควบทั้งตำแหน่งภรรยาและนายพลอันดับหนึ่งแห่งกองทัพ ในอดีตเขาคือวีรบุรุษที่ปราบปราบผู้รุกรานและช่วยสร้างรากฐานให้แก่บ้านเมือง เพียบพร้อมด้วยความสามารถนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ดวงดาว เพียงแต่ว่าในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมีอันต้องเปลี่ยนไป

   ในช่วงสามปีให้หลังมานี้มีแต่ข่าวลือเน่าเหม็นไปหมดว่าท่านผู้หญิงสติฟั่นเฟือน ลักลอบติดต่อกับเจ้าอาณานิคมอื่นขายความลับของเทสล่าให้กับศัตรู อีกทั้งยังคบชายชู้มากหน้าหลายตาเป็นที่น่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง แต่ท่านเจ้าอาณานิคมผู้ใจคอกว้างขวางก็ยังแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะเห็นแก่ความรักความดีในกาลก่อน เพียงแต่ว่าฟางเส้นสุดท้ายกลับเป็นการที่ท่านผู้หญิงคัดค้านการกรีฑากองยานเข้าโจมตีดาวเคราะห์ซิลวานี่ ดาวเคราะห์บริวารที่แข็งข้อไม่ยอมส่งบรรณาการต่อเจ้าอาณานิคม เรื่องในครั้งนี้ทำเอาสภาความมั่นคงไม่อาจอยู่เฉย หลังจากนั้นก็มีแต่เรื่องไม่ดีงามสาวไส้กันออกมาโดยตลอด ท่านผู้หญิงคนสำคัญ อดีตนายพลวีรบุรุษที่เกรียงไกร ก็เป็นแค่นังแพศยาสติวิปลาสไร้คุณค่าใดๆต่อดวงดาวนี้อีกต่อไปแล้ว

   และจนถึงวันนี้ ทุกอย่างมันก็สายเกินแก้แล้ว

   ในตอนที่ทหารของกองกำลังความมั่นคงพังประตูคฤหาสน์เข้าไปทั้งที่คาดคิดว่าจะต้องพบกับกองกำลังซุ่มโจมตีของท่านผู้หญิง แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับมีเพียงความรกร้างเงียบเชียบราวกับว่าคฤหาสน์นี้อพยพผู้คนหลบหนีกันไปหลายวันแล้ว น่ากลัวว่าแม้แต่คนที่จะมาจับตัวก็คงไหวตัวหนีไปแล้วด้วย

“ค้น! เจ้านั่นไม่มีทางหนีไปได้เร็วขนาดนี้แน่!” นายทหารหนุ่มผมสีบลอนด์ทองสั่งการพลางกระแทกรองเท้าบูทหารของตนเอง ราศีของนายทหารระดับสูงเปล่งรัศมีเรืองรองเสียจนแสบนัยน์ตา เพียงแต่ว่าต่อให้เปล่งแสงเจิดจ้าแค่ไหนเขาย่อมรู้ตัวดีว่าหากบนดวงดาวนี้ยังมีนายพลกิลเบิร์ตอยู่

ไม่ว่าความรักหรืออำนาจ เขาย่อมไม่มีวันได้รับ แต่ทุกอย่างนั่นมันจะจบสิ้นลงในวันนี้ ในที่สุดวันที่บัลลังก์หอคอยงาช้างของนายพลกิลเบิร์ตพังทลายลงก็มาถึงแล้ว!

   ไม่ทันจะได้คิดกระหยิ่มยิ้มย่องให้จบเสียงแตกฮือก็ดังขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับพวกทหารที่ต่างพากันถอยกรูดออกมา เสียงฝีเท้าดังก้อง เงาร่างสง่างามของของใครบางคนกำลังเยื้องย่างลงมาจากบันไดเวียน ครั้นแหงนเงยใบหน้ามอง นายทหารหนุ่มผมทองกลับต้องกัดฟันกรอด จนถึงบัดนี้แล้วเจ้านั่นก็ยังวางตัวเชิดหยิ่งไม่ยอมเปลี่ยน!

“จนถึงตอนนี้แล้วท่านนายพลดูจะยังไม่ปล่อยวางนะ!” เขาเป็นฝ่ายตะโกนท้าทายขึ้นไป ในขณะที่ชายหนุ่มในเครื่องแบบนายทหารสีน้ำเงินเข้มที่กำลังเดินลงมาที่ชานพักบันไดนั้นส่งยิ้มเยือกเย็นให้ เส้นผมสีดำสนิทนั้นยังคงตัดสั้นเรียบร้อยด้วยวิสัยนายทหาร ดวงตาคมสีดำสนิทยังคงเจิดจ้าเป็นประกายบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เรียบนิ่งไม่ไหวติง ท่วงท่าทีของคนผู้นี้ยังคงสูงส่งเสียจนเกินเอื้อมไม่เปลี่ยนแปลง ท่านผู้หญิงกิลเบิร์ต!

   คนๆนี้คือภรรยาอันดับหนึ่งของท่านเจ้าอาณานิคม!

“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังเป็นภรรยาเอกอยู่นะ พันเอกอารอน ไม่สิ คุณภรรยาอันดับสองสินะ” กิลเบิร์ตส่งยิ้มที่มุมปาก น้ำเสียงเฉยชาแต่รอยยิ้มนั่นกลับทำเอาคนฟังแทบกระอักเลือด แค่ฟังก็รู้แล้วว่ากิลเบิร์ตเจตนาเหยียดหยามทั้งเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานและตำแหน่งแห่งที่ในครอบครัว!

   แม้อารอนจะเป็นนายทหารที่เก่งกาจจนนับว่าเป็นอัจฉริยะ ทั้งยังงดงามชาติตระกูลดีจนท่านผู้นำตกหลุมรัก ถึงขนาดรับมาเป็นภรรยา แต่แล้วยังไง ตราบเท่าที่กิลเบิร์ตยังอยู่เขาก็เป็นได้แค่อันดับสอง เป็นได้ก็แค่ของสำรอง! ทั้งที่ตำนานความยิ่งใหญ่ของนายพลกิลเบิร์ตนั่นมันเป็นอดีตเก่าเก็บไปแล้ว ตอนนี้เขาก็แค่ทหารแก่ๆที่สมควรถูกปลดประจำการ คนๆนี้ไม่มีค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว!

“แค่วันนี้แหละ! พอคุณตายแล้ว ผมก็จะเป็นภรรยาอันดับหนึ่ง! เป็นท่านผู้หญิง! เป็นนายพลของกองทัพเทสล่า!” อารอนตวาด นี่คือความปรารถนาสูงสุดของเขา ล้มกิลเบิร์ต แย่งชิงทุกอย่างของกิลเบิร์ต ไม่มีสิ่งใดที่ความสามารถของเขาจะแย่งชิงมาไม่ได้!

   เพียงแต่ว่าฝ่ายที่จะถูกแย่งชิงกลับเพียงปรายสายตามองเขาอย่างไม่ถือสา แม้นัยน์ตาโศกมีแววเศร้าใจฉายอยู่แวบหนึ่ง แต่ความรู้สึกนั้นท้ายที่สุดก็ผ่านไปเร็วมาก กิลเบิร์ตค่อยๆเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย แม้ยามนี้เขาถูกรายล้อมด้วยกำลังคนและอาวุธครบมือ ผู้นำฝ่ายตรงข้ามเองก็เกลียดชังเขาและปรารถนาจะแย่งชิงทุกอย่างไปจากเขา แต่ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอก ไม่มีใครหรืออะไรจะทำร้ายเขาได้หากผู้นำสูงสุดไม่ได้เปิดทาง และในที่นี้ผู้นำสูงสุดทั้งในบ้านและนอกบ้านจะมีใครอีก คงมีเพียงสามีของเขาเอง ท่านเจ้าอาณานิคมที่อยู่กินฉันสามีภรรยากันมาเกือบสิบปี ไม่ว่าจะคิดอย่างไรสุดท้ายแล้วคำตอบคงมีเพียงอย่างเดียว

   ความรักที่เคยมีให้กัน ความรู้สึกมากมายที่เคยมอบให้กัน บัดนี้มันสูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ชายผู้นั้นคงปรารถนาเพียงให้คอของเขาพาดอยู่บนกิโยตินและถูกฝูงชนรุมประชาทัณฑ์เท่านั้น

“เอาสิ ฉันยกให้” กิลเบิร์ตว่าพลางเอ่ยยิ้มๆ ก่อนที่เขาจะวางซองจดหมายซองหนึ่งลงบนโต๊ะที่ข้างบันได พลางถอดแหวนทองคำกลมเกลี้ยงจากนิ้วนางข้างซ้ายของตนวางลงบนซองจดหมายนั้น แหวนวงนี้ได้มาในตอนที่ยังไม่มีอะไรสักอย่าง ในตอนที่บนดาวดวงนี้ยังไม่มีความรุ่งโรจน์อะไรให้ไขว่คว้า และชายผู้นั้นยังไม่มีแม้แต่เงินทองมาซื้อหาแหวนเพชรวงงามให้กับเขา ครั้นตอนนี้พอมีทุกอย่าง แหวนวงนี้กลับหลุดออกจากนิ้วของเขา “ตอนนี้คุณเป็นภรรยาอันดับหนึ่งแล้ว”

“!”

“ฉันเขียนหนังสือหย่าให้เขาแล้ว ตอนนี้ฉันไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกแล้ว” กิลเบิร์ตเอ่ยพลางหันมาส่งยิ้มเอื่อยเฉื่อยระคนเศร้าสร้อยให้ แม้ยังคงยกยิ้ม แต่ในหัวใจนั้นตัวเขาเองย่อมรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ในวันที่คนๆนั้นสวมแหวนลงบนนิ้วของเขา บอกรักเขา แต่มาวันนี้แม้แต่การหย่าขาดจากกัน คนๆนั้นยังไม่แม้แต่มาปรากฏตัวให้เห็น มันจบสิ้นลงตรงนี้แล้ว จบสิ้นแล้วจริงๆ

   เพียงแต่ว่าสำหรับอารอนมันยังไม่จบ แม้เขาจะยินดีจนเนื้อเต้นที่ตนเองได้ครอบครองทั้งหัวใจและเกียรติยศ หากแต่กิลเบิร์ตไม่ใช่แค่ท่านผู้หญิงเท่านั้น ต่อให้เขาหย่าแล้วยังไง ลาออกจากตำแหน่งนายพลแล้วยังไง แต่การคงอยู่ของเขาคืออุปสรรคต่อความก้าวหน้า คือสัญลักษณ์ของความดื้อรั้นและความรุ่งโรจน์ ดังนั้นคำสั่งที่เขาได้รับมาย่อมไม่ใช่แค่หนังสือหย่า แต่เป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของนายพลกิลเบิร์ต!

“ตามพวกผมกลับไป! คุณจะต้องขึ้นศาลทหารและแน่นอนว่าที่สุดท้ายที่คุณต้องไปก็คือกิโยติน! จับคนทรยศนี่ไว้!” ตะโกนสั่งทหารผู้ติดตามในทันที เพียงเสี้ยววินาทีพวกทหารต่างกรูกันเข้าปิดล้อมชายหนุ่มร่างสะโอดสะองอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของดาวดวงนี้ อดีตผู้บังคับบัญชาสูงสุดของพวกเขา อดีตนายทหารที่เกรียงไกรที่สุดในการบุกเบิกดวงดาวนี้!

   ฝ่ายกิลเบิร์ตเขาเพียงมองรอบตัวยิ้มๆ เป็นอย่างที่คิด ไม่ว่าเขาจะถอยหลังชนฝามากแค่ไหน พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะมากเท่าไหร่ แต่ที่ทางของเขานั้นคลับคล้ายถูกกำหนดไว้แล้ว คนๆนั้นเริ่มเขียนมันขึ้นมาและพร้อมจะเขียนจุดจบของละครเรื่องนี้ ตอนจบที่ตัวร้ายเช่นเขาจะต้องสังเวยชีวิตให้กับความรุ่งเรืองของดาวอาณานิคม

   แล้วนั่นมันเหมาะสมงั้นหรือ?

“พอหมดประโยชน์แล้วก็เฉดหัวส่งเลยสินะ ร้ายกาจจริงๆ” ยังคงพูดเรื่อยเฉื่อย ท่าทีไม่มีการตั้งรับ ไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีของสักชิ้นติดกาย จุดจบของวีรบุรุษที่ผู้คนบนดวงดาวนี้มอบให้แก่เขาก็คือความอัปยศและความตายจริงๆ “เพียงแต่ว่า คุณอารอน ฉันน่ะ จะไม่ยอมทิ้งชีวิตไว้ที่นี่หรอกนะ”

“!”

   วินาทีนั้นเองที่อารอนรีบออกคำสั่งให้ทหารระดมยิงใส่กิลเบิร์ตในทันที เสียงปืนลั่นดังสนั่นหวั่นไหวตามด้วยตัวอารอนที่ยกปืนยิงขึ้นฟ้ายิงกระสุนเกราะกำบังขึ้นหมายจำกัดการใช้พลังจิตในเขตควบคุม หากแต่ทันทีที่เขายิงกระสุนขึ้นก็พลันเกิดการระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งคฤหาสน์ สายฟ้าสีแดงฟาดเปรี้ยงลงมาพร้อมกับเกราะพลังที่ใหญ่กว่าครอบทับเกราะของอารอน หากใครมีสติดีหน่อยล่ะก็ย่อมรู้ว่านี่คืออดีตท่านนายพลกำลังใช้พลังจิตกำราบพวกเขา!

“ยิงกระสุนพลังจิต!” อารอนออกคำสั่งพร้อมกับรวบรวมสมาธิเร่งพลังของตนเองก่อนจะกระโจนขึ้นปะทะกับเกราะแสงของกิลเบิร์ต “แค่เกราะแสงของทหารแก่ๆเอสเปอร์ตกยุคอย่างคุณน่ะทำลายไม่ยากหรอก!”

   ตูม!

   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาพวกทหารที่ออกันปิดล้อมนอกคฤหาสน์หนีตายกันจ้าละหวั่น ตามด้วยสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาข่มขวัญ แสงสีแดงกับสีฟ้าปะทะกันกลางอากาศเกิดระเบิดลูกแล้วลูกเล่า ก่อนที่จะเห็นว่าเจ้าแสงสีฟ้านั่นถูกอัดกระแทกกระเด็นลงมาบนพื้น ส่วนแสงสีแดงนั้นสว่างวาบจนแสบนัยน์ตา ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“บัดซบ! ตามไป! ตามไปที่ท่าอากาศยาน!” อารอนที่ถูกซัดตกลงมารีบออกคำสั่งต่อ ที่ๆกิลเบิร์ตจะไปต่อย่อมมีแค่ที่เดียว หมอนั่นต้องชิงยานอวกาศหนีออกนอกชั้นบรรยากาศอย่างแน่นอน!

   เป็นจริงอย่างที่อารอนคิด ทันทีที่พวกเขาเทเลพอร์ตตามไปถึงท่าอากาศยานก็เกิดการยิงกันขึ้นแล้ว เกราะปิดกั้นพลังถูกเปิดจนสุด แต่เมื่อเทียบกับพลังจิตของอดีตเอสเปอร์อันดับหนึ่งแห่งดาวอาณานิคมอย่างกิลเบิร์ตแล้ว นี่กลับไม่ต่างอะไรกับการขับยานอวกาศพุ่งชนกองนุ่น กิลเบิร์ตป้อนคำสั่งขับยานอัตโนมัติ ก่อนจะรวบรวมสมาธิเร่งพลังจิตก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ของท่าอากาศยานของกองทัพจนปั่นป่วนระเบิดขึ้นติดๆกัน แม้พวกนั้นส่งกองยานตามติดออกมาได้แต่มันกลับไร้ประโยชน์

“เฟรเดอริค คุณน่ะ ควรจะรู้จักผมดีแท้ๆนะ” กิลเบิร์ตยกยิ้มในขณะที่มองส่งดวงดาวที่ตนพักพิงมานับสิบปีเป็นครั้งสุดท้าย ดาวอาณานิคมสีน้ำตาลแดงสวยงาม ดาวที่เขาเคยคิดว่านี่จะเป็นบ้านของเขาไปจนวันตาย ผู้ชายที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นที่พักพิงของเขาไปจนตายจาก แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งนั่นมันไม่จริงเลย

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตรวบรวมพลังจิต เขาไม่ได้ใช้มันมานานและยิ่งนานมากเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ ในขณะที่ยานอวกาศพุ่งทะลุชั้นบรรยากาศออกมา กิลเบิร์ตเร่งพลังจนทั่วร่างของเขาเรืองแสงสีแดง เบื้องหน้าของเขาในห้วงอวกาศที่ดำสนิทบังเกิดกระแสคลื่นพลังรบกวนยานลำอื่นจนเครื่องยนต์ขัดข้อง แต่ในหลุมอากาศที่เปิดออกนั่นกลับเป็นสิ่งที่กิลเบิร์ตต้องการ

“พาฉันไปสุดขอบจักรวาล ไปจากที่นี่” จุดหมายปลายทางคือดาวดวงอื่น ถิ่นฐานอื่น ที่ไหนก็ได้ที่จะไม่ต้องพานพบผู้ชายคนนั้นอีก ความรักที่สิ้นสุดลงแล้วนี่ เขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว

   แรงดึงดูดมหาศาลพลันปะทะกับยานของกิลเบิร์ต เขาไม่ขัดขืนแต่กลับปล่อยให้ตนเองพุ่งเข้าสู่แบล็คโฮลที่ตนเองสร้างขึ้น จมดิ่งสาบสูญไปต่อหน้าต่อตาของกองยานแห่งเทสล่า

“บ้าน่ะ! หมอนั่น หมอนั่นสร้างแบล็อคโฮลได้งั้นเรอะ!” อารอนทุบกำแพงห้องควบคุมอย่างเจ็บแค้นระคนตื่นตะลึง ใครจะไปรู้ว่าอดีตเอสเปอร์ที่แก่เฒ่าจนได้ชื่อว่าเป็นทหารชราแบบนั้น ยังสามารถแสดงแสนยานุภาพได้ถึงขนาดนี้!

   แม้จะหนีจากการไล่ล่าได้และสร้างแบล็คโฮลได้ แต่กิลเบิร์ตกลับเคว้างคว้างอย่างยิ่งเขาไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าควรพาตนเองไปที่แห่งหนใด สุดท้ายจึงทำได้เพียงระบุคำว่า ‘สุดขอบจักรวาล’ ออกไป ตอนนี้เบื้องหน้าเขาคือดวงดาวสีแดงสดราวหยาดเลือดแลดูน่าประหวั่นพรั่นพรึง ซึ่งแม้คิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว แรงดึงดูดมหาศาลปะทะกับยานดูดทุกสิ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเอสเปอร์อันดับหนึ่งแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแรงดึงดูดมหาศาลไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เขาก็ได้แต่พุ่งชนกับชั้นบรรยากาศตกลงมาอย่างรวดเร็ว แลเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ธารน้ำ ต้นไม้ บ้านเรือน และสิ่งสุดท้ายที่เห็นก็คือ...คน

    ณ ที่นี้ ใครกันที่รอคอยเขาอยู่


จบตอน


ชะตากรรมใหม่ของกิลเบิร์ตคนอาภัพเพิ่งเริ่มต้นค่ะ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 1 ใบหย่า (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-10-2018 23:04:25
เปรียบเทียบกิลเบิร์ตเป็นสุภาพสตรีมันแปลกๆนะเรียกเป็นท่านผู้หญิงอีกอายุของกิลเบิร์ตเท่าไหร่ทำไรอารอนถึงได้กล่าวเป็นทหารแก่ๆ



หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 1 ใบหย่า (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 16-10-2018 23:28:24
น่าติดตาม 
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 1 ใบหย่า (16/10)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-10-2018 23:50:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 2 คนข้างถนนกับข้าวหนึ่งจาน (18/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 18-10-2018 15:25:06
ตอบคำถามก่อนนะคะ

อายุของกิลเบิร์ตกับสภาพแวดล้อมบนเทสล่า กับสาเหตุที่ทำให้อารอนเรียกกิลเบิร์ตแบบนั้นจะมีเฉลยต่อไปค่ะ

ส่วนตอนนี้ ไปพบกับสิ่งแวดล้อมใหม่ของกิลเบิร์ตกับว่าที่พระเอกตัวจริงกันค่ะ


ตอนที่ ๒
คนข้างถนนกับข้าวหนึ่งจาน

   “อาทีเรีย” เป็นชื่อของดวงดาวที่อยู่ไกลหลุดออกนอกระบบสุริยะที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง ทั้งยังไกลปืนเที่ยง กล่าวกันว่าเจ้าอาณานิคมในยุคแรกนั้นเบื่อหน่ายความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีของมนุษย์จึงอพยพโยกย้ายทุ่มเททรัพยากรบุกเบิกดวงดาวแห่งนี้ ลอกเลียนแบบวัฒนธรรมยุโรปตะวันตกในสมัยต้นศตวรรษที่สิบเก้า ดังนั้นแม้ยุคสมัยจะก้าวหน้าไปไกลเพียงใด ผู้คนบนดาวดวงนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมกันต่อไป

   แต่วันนี้ไม่ง่ายดายเช่นกาลก่อน ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดทัคซิโด้สีดำถือไม้เท้าก้าวอาดๆออกมาจากคฤหาสน์หรูหราที่จัดงานเต้นรำจุดแสงไฟสว่างไสว ความโกรธขึ้งประดังในอกทั้งอึดอับคับข้องจนทนต่อไปไม่ได้ พอก้าวมาถึงรถม้าก็กระโดดขึ้นไปพลางออกคำสั่งคนรถให้ขับออกไปโดยไม่สนใจต่อเสียงเรียกไล่หลังที่ตามมา เขารำคาญทั้งหมด ทั้งเสียงหัวร่อต่อกระซิก ทั้งความโง่เง่าเบาปัญญา ทั้งความดักดานไร้สาระ ทั้งหมดทั้งมวล มีแต่คนน่าขยะแขยง!

   รถม้าขับออกไปตามถนนยามราตรีที่ปูด้วยหินเลียนแบบบ้านเมืองบนโลกในยุคเก่า แม้แต่หลอดไฟก็ยังเลียนแบบแสงตะเกียงได้เหมือนเสียยิ่งกว่าเหมือน และที่เหมือนมากเข้าไปอีกก็คือความยากจนข้นแค้นของผู้คนที่ตอนนี้เร่ร่อนกระจัดกระจายกันไปทั่วดวงดาว โดยเฉพาะในเมืองหลวงยามนี้ ทั้งขอทาน ทั้งโสเภณีเร่ร่อน ทั้งเด็กกำพร้ามากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงจะเลียนแบบกัน ก็ไม่ควรต้องเลียนแบบความอัปยศของยุคเก่ามามากขนาดนี้

ในขณะที่ชนชั้นขุนนางเจ้าอาณานิคมกินดีอยู่ดีมั่งคั่งร่ำรวย แต่ชนชั้นล่างกลับต้องดักดานลำบากลำบน ความแตกต่างทางชนชั้นที่มากมายขนาดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเน่าเหม็นที่ซุกซ่อนอยู่บนดาวดวงนี้

   เอี๊ยด!

   รถม้าหยุดกะทันหันจนทำเอาหน้าเขาเกือบคว่ำ ชายหนุ่มตะโกนออกไปถามคนขับ แต่กลับได้ยินเพียงเสียงสั่นๆคลับคล้ายว่าชนใครเข้าแล้ว จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วกลับยิ่งหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น แต่ชีวิตคนทั้งคนจะให้ขับผ่านเลยไปได้ยังไง คิดแบบนั้นแล้วก็ทอดถอนใจควบคุมสติและก้าวลงมา อย่างที่คิด ร่างของคนๆหนึ่งในผ้าคลุมมอซอขะมุกขะมัวล้มอยู่หน้ารถม้า ชายหนุ่มอดแค่นยิ้มไม่ได้ ช่างล้มได้พอดิบพอดีนักนะ!

“นายท่านระวัง เอ่อ คนตาย” คนขับรถม้าเสียงสั่น แต่ชายผู้ถูกเรียกว่านายท่านกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาก้มลงมอง ‘คนตาย’ ที่ว่าใช้มือดึงเอาผ้าคลุมนั่นออกแล้วก็ต้องผงะไปเสี้ยววินาทีเมื่อแลเห็นเส้นผมดำสนิทแปลกสายตา บนดวงดาวดวงนี้มีใครผมสีดำแบบนี้บ้าง นอกจากนี้เจ้าคนตายคนนี้ยังหายใจอ่อนแรงราวจะขาดใจสภาพยับยู่ราวกับผ้าขี้ริ้วขาดวิ่น แต่ว่าก็ยังมีลมหายใจอยู่แน่ๆ

“เฮ้ ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ฟังภาษาฉันรู้เรื่องรึเปล่า” เขาเอ่ยถาม แต่สิ่งมีชีวิตผมดำนั่นกลับครางในลำคอ พยายามขยับตัวอย่างยากลำบาก ในตอนนั้นเองที่เจ้านั่นแหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง ดวงตานั่นก็เป็นสีดำสนิทเช่นกัน ดวงหน้าแม้สกปรกไม่น่ามอง แต่ยามที่ดวงตาคู่นั้นสบกับเขา เขากลับรู้สึกว่าไม่อาจถอนสายตาไปจากได้ น่าแปลกมาก แปลกจนน่าใจหาย “เธอ...”

“หิว”

“เอ๋?” รู้สึกว่าคำพูดคำแรกที่พูดออกมานั่นจะแปลกแปร่งไปสักหน่อยนะ

“หิวจัง” พูดได้แค่นั้นก็เป็นลมสลบไปต่อหน้าต่อตา ทำเอาอีกฝ่ายเหวอหนักอย่างคาดไม่ถึง

   ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะมีคนสลบตรงหน้าพร้อมกับคำพูดไร้ยางอายแบบนี้เป็นครั้งแรก

   เมื่อไม่มีทางเลือก ชายหนุ่มตัดสินใจอุ้มร่างนั้นขึ้นเต็มสองแขนพาขึ้นไปบนรถม้า ออกคำสั่งให้คนขับพาเขาไปส่งที่โรงแรมที่ใกล้ที่สุดแทนที่จะกลับไปยังคฤหาสน์ของตนเอง สัมภาระชิ้นใหญ่ที่เก็บได้นี่ย่อมไม่เหมาะสมจะพากลับไปบ้านเสียแล้ว

“อย่าบอกใครว่าฉันอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้ฉันจะกลับเอง” กำชับคนขับรถพลางอุ้มเจ้าคนตายนั่นก้าวเข้าไปในโรงแรม และทันใดนั้นสายตามากมายก็ปราดมองมาทางเขาเป็นตาเดียว สำหรับที่นี่เขาไม่ถือเป็นคนอื่นคนไกล เพียงแต่การแบกคนเข้ามาในสภาพนี้จะให้คิดดีนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เขาย่อมไม่สนใจ ดวงหน้าหล่อเหลามองตรงไปยังผู้จัดการโรงแรม แค่เพียงพยักหน้าก็เหมือนสื่อความเข้าใจกันได้อย่างดี

“ต้องการอะไรไหมครับนายท่านชไนเดอร์” ผู้จัดการถามเรียบๆกับชายหนุ่มผู้คุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาหิ้วใครสักคนมาพักค้างอ้างแรมด้วย แถมคนๆนั้นยังมีสภาพเหมือนขยะสด ช่างแปลกประหลาดจนอดเลิกคิ้วสงสัยไม่ได้ เพียงแต่ว่าความสงสัยก็เรื่องหนึ่ง แต่ในฐานะผู้ให้บริการเขาย่อมไม่รังเกียจเงินทองจากชายหนุ่มชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยผู้นี้ นามของเขาที่คนแถวละแวกนี้เรียกขานกันคือนายท่านลุดวิก ชไนเดอร์

   ลุดวิก ชไนเดอร์ ขุนนางชนชั้นสูงผู้มักแวะเวียนมาพบปะสังสรรค์กับผู้คนในเมืองหลวงสกปรกแห่งนี้

“ขออาหารกับน้ำดื่ม เจ้าหนุ่มนี่กำลังจะตายแล้ว” ลุดวิกเอ่ยเรียบๆ ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาปราดมองขยะสดในมือแล้วกลับถามคำถามขึ้น “เร็วๆนี้ไม่มีคนต่างถิ่นโผล่มาแถวนี้บ้างรึ”

“ถ้าแบบในอ้อมแขนของนายท่าน ผมก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน เหมือนแมวดำเลยนะครับ” แม้จะมองอยู่ห่างๆแต่ก็สังเกตเห็นว่าเส้นผมของเจ้าหนูนั่นเป็นสีดำมะเมื่อม แปลกตาอย่างยิ่ง “ใครเอามาทิ้งมั้งครับ” บางทีคงโดนขนส่งมาจากดาวห่างไกลแล้วมาทิ้งเป็นขยะสดแถวนี้

“แมวงั้นเรอะ เหมือนเจ้าสัตว์ไม่น่ารักนั่นดูไม่ดีเลยนะ” พูดพลางเชิดใบหน้าขึ้นสาวเท้าขึ้นไปยังห้องที่ผู้จัดการบอก

   ครั้นพอเปิดประตูเข้ามาก็โยนเจ้าแมวขยะลงบนเตียงเสียแรง ทำเอาคนที่กำลังหลับสะดุ้งตื่น ทั้งเจ็บทั้งหิวทั้งง่วงหัวหมุนไปหมด คนๆนี้จะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่กิลเบิร์ต อดีตนายพลแห่งเทสล่า หลังจากเขามาถึงดวงดาวดวงนี้เขาก็พานพบกับความเปลี่ยนแปลงมหาศาล เริ่มจากสีผมสีตาของเขาที่แม้ค่อนข้างแปลกในหมู่ดาวอาณานิคม แต่กับที่นี่ยิ่งแปลกหนัก ทั้งยังโดนเหยียดว่าเป็นสีของกุลีชั้นต่ำ ทำเอาหางานไม่ได้ ถูกรังเกียจเป็นตัวเสนียด ยากจะหาที่ซุกหัวนอน ครั้นจะใช้พลังจิตช่วยก็เกิดกังวลว่าฝ่ายเทสล่าจะตามคลื่นพลังของเขามาถึงนี่จนก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้คนอื่น ไปๆมาๆรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนเร่ร่อนแล้ว    ช่างอับจนหนทางเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่ไปจริงๆ

   ในตอนที่เห็นรถม้าคันนั้นวิ่งมาเขาคิดว่าตัวเองหลบแล้วแน่ๆแต่ดันพลาดสะดุดก้อนหินด้วยความหิวโซถลาไปขวางรถม้าเกือบโดนชนตาย ชีวิตอนาถแสนสาหัส ตอนนี้รู้ตัวอีกทีมีแต่ความหิวจนแสบท้อง เหนือสิ่งใดในโลกหล้าหากท้องหิวก็ถือว่าจบกัน ส่วนพ่อหนุ่มร่างสูงผมทองตาสีฟ้าที่ยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่เบื้องหน้านี่เขากำลังคิดว่าขอเปลี่ยนเป็นไก่ย่างสักตัวให้แทะเล็มแทนจะดีกว่า จะเอาผู้ชายมาทำอะไร ของกินไม่ได้แบบนั้นไม่จำเป็นสักนิด!

   โครก...ท้องร้องอีกแล้ว

   ฝ่ายพ่อหนุ่มผมสีทองผู้ด้อยค่ากว่าไก่ย่างนั้นมองเจ้าขยะสดตรงหน้าพลางนิ่วหน้า เบื้องหน้าเขาคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ แต่หน้าอ่อนอย่างยิ่งคล้ายอายุยังไม่เกินยี่สิบ ทั้งเส้นผมและนัยน์ตาเป็นสีดำสนิทไปหมด ดูแปลกประหลาดนัก แต่เหนืออื่นใดก็คือเจ้าหนุ่มกลับไม่มีทีท่าตื่นตระหนกที่ถูกเขาเก็บมา ไม่สิ ขนาดเห็นหน้าขมึงทึงของเขาแบบนี้ยังตีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แถมยังมีแก่ใจท้องร้องอีกแน่ะ!

“พี่ชาย เรามาแลกเปลี่ยนอะไรกันหน่อยมั้ย” กิลเบิร์ตถาม หัวสมองนั้นยากจะทำงานในยามน้ำย่อยกำลังย่อยเนื้อกระเพาะของเขา แต่เพื่อเอาชีวิตรอด เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง “ขออะไรให้ฉันกิน แลกกับอะไรก็ได้ที่พี่ชายอยากได้” คำพูดนั่นเรียบง่ายจนทำเอาลุดวิกแทบสำลักน้ำลายตัวเอง นี่ก็เหมือนกันตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยมีคนขออะไรเขามักน้อยถึงเพียงนี้ เพียงแต่ว่า เพราะมันน้อยมากนี่ล่ะถึงได้ดูไม่น่าเชื่อถือ

“ไม่ได้กินอะไรมากี่วันแล้วล่ะ” นั่งลงบนเตียงแล้วจ้องร่างผอมแห้งของอีกฝ่าย แม้จะบอกว่าผอมแต่ก็ไม่ได้อิดโรยหนังหุ้มกระดูกขาดสารอาหาร แสดงว่าที่จริงเจ้าขยะสดนี่เพิ่งจะอดอาหารเมื่อไม่กี่วันนี้เอง

“สามวัน” ในตอนที่ตอบก็ทำจมูกฟุดฟิด เขาแทบไม่สนใจผู้ชายตรงหน้า แต่กลับกวาดสายตามองซ้ายขวา ฉับพลันที่ประตูห้องพลันมีเสียงเคาะขออนุญาต กิลเบิร์ตหัวใจเต้นเร็วระรัวนึกอยากกระโจนไปถึงประตูเสียตรงนั้น เพียงแต่ว่าเคราะห์ดีที่ลุดวิกเห็นแววตากระหายตะกละตะกลามของอีกฝ่าย จึงรีบสั่งอนุญาต ผู้จัดการโรงแรมถึงกับยกอาหารขึ้นมาให้ด้วยตัวเอง

   อาหารที่ยกมานั้นไม่ต้องเอ่ยถึงคุณภาพ เมื่อมันคืออาหารที่ยกมาเพื่อนายท่านผู้นี้มันย่อมอุดมด้วยไก่ย่างหอมกรุ่น ขนมปังอบสดใหม่อย่างดี ไวน์แดงเกรดพรีเมี่ยมเลิศรส ไม่ทันที่คุณผู้จัดการจะปิดประตูออกไป กิลเบิร์ตก็พุ่งไปที่โต๊ะอาหารแล้ว เขาไม่รอช้าคว้าขนมปังเข้าปาก อีกมือฉีกกระชากน่องไก่ยัดเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างหิวโหยในทันที ท่าทีการกินที่ไร้สมบัติผู้ดีอย่างยิ่งนั่นทำเอาคนมองคิ้วกระตุก เพียงแต่ฝ่ายผู้จัดการรีบขอตัวออกไปก่อน ในขณะที่ลุดวิกทอดถอนใจ ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองคนตรงหน้ากินอย่างตะกรุมตะกราม ในเรื่องนี้ถือว่าเจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้โกหกเขา ท่าทางหิวโหยมากจริงๆ

“ค่อยๆเคี้ยวเดี๋ยวติดคอ” ลุดวิกเตือน แล้วก็ไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ทุบอกติดคอจริงๆ ร้อนถึงเขาที่ต้องรินไวน์ส่งให้ ซึ่งเจ้าตัวตะกละก็ดื่มไวน์กร้วมๆอย่างไม่อินังขังขอบ สุดท้ายลุดวิกก็ตัดสินใจเลยตามเลย เขารินไวน์ให้ตนเองแก้วหนึ่ง นั่งดูแมวจรที่เก็บได้กินไปพลางสังเกตกิริยาท่าทีไปพลาง นี่มันช่างแปลกใหม่จนทำเอาลืมเรื่องน่าหงุดหงิดใจทั้งหลายทั้งมวลเมื่อช่วงหัวค่ำจนหมดสิ้น

   เส้นผมของเจ้าขยะสดนั้นยุ่งเหยิง ใต้ตาดำคล้ำ แก้มตอบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีน้ำตาลขะมุกขะมอมคลุมทับด้วยผ้าคลุม ดูหัวจรดเท้าคลับคล้ายขอทานธรรมดา ทว่า เมื่อพิศดูให้หนักขึ้นเขากลับสังเกตเห็นเส้นสายกล้ามเนื้อแน่นตึงบนแขนของอีกฝ่าย แขนสวยมากเช่นเดียวกับนิ้วที่ยาวได้รูป นี่เป็นมือและแขนของคนที่จับอาวุธ ไม่ก็เคยจับอาวุธมาก่อนอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่างั้นแล้วคนที่เคยจับอาวุธทำไมจึงมามีสารรูปแบบนี้เล่า

“อิ่มแล้ว” เจ้าตัวพูดพลางเลื้อยลงกับเก้าอี้ตีพุงที่ป่องขึ้นเล็กน้อยของตนเองอย่างอิ่มหนำสำราญ อย่างน้อยตอนนี้กิลเบิร์ตก็คิดว่าเขารอดจากการอดตายแล้ว แต่เพราะการกินอาหารปริมาณมากหลังจากไม่ได้กินมานานทำให้เขารู้สึกจุกแทน แต่ถ้าบ่นไปคลับคล้ายว่าจะเรื่องมากจนเกินไปหน่อย และตอนนี้เองที่กิลเบิร์ตถึงเพิ่งเบิ่งสายตาดูผู้ชายตรงหน้าอย่างจริงจัง “ขอบคุณนะ” นั่นคือคำขอบคุณที่จริงใจอย่างยิ่ง ดวงตาหยีจนเป็นเส้นโค้ง รอยยิ้มเผยอหวานจ๋อย ดูเป็นแมวที่ไม่อินังขังขอบกับอะไรทั้งสิ้น ลักษณะท่าทางแบบนั้นกลับยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิ้วกระตุก

“งั้นก็เล่าได้แล้วว่าวางแผนอะไรไว้สินะ” ลุดวิกถามเรียบๆและยิ้มจนเหมือนแสยะยิ้ม เพราะท่าทีของฝ่ายตรงข้ามแลดูน่าเอ็นดูไม่น้อยเขาถึงเลือกที่จะถามอย่างไว้ไมตรี “จู่ๆมาล้มตรงหน้ารถม้าของฉัน เธอมีแผนอะไรกันแน่”

“แผน?” กิลเบิร์ตมุ่นคิ้ว จะให้เขามีแผนอะไรเล่า ก็นั่นมันเรื่องบังเอิญทั้งนั้น “ฉันแค่หิวมาก สะดุดก้อนหินล้มลงหน้ารถม้าคุณ ถ้าจะมีแผน คงเป็นแผนหาเจ้ามือเลี้ยงข้าวล่ะมั้ง”

นึกไม่ถึงว่าคำพูดตรงไปตรงมานั่นกลับทำเอาชายหนุ่มทุบโต๊ะดังปัง! กิลเบิร์ตตกใจเบิกตากว้างจ้องคนตรงหน้าอย่างงุนงง เขาไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายคนนี้จะทุบโต๊ะทำไม แล้วนั่น โกรธอะไรน่ะ

“โกหก!” ลุดวิกตวาดพลางกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ดวงตาสีฟ้าวาวโลดดุจเสือร้ายจ้องมองเจ้าแมวขยะสดที่กำลังจ้องเขากลับอย่างเสแสร้งไม่รู้สึกรู้สา “จะแกล้งโง่ก็ควรแกล้งให้เนียนหน่อย อย่าคิดว่าคนอื่นจะโง่ตาม บอกมา! ใครเป็นคนสั่งให้เข้าใกล้ฉัน!”

“เดี๋ยวสิ! คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ! นี่พี่ชายสาบานได้ว่าฉันไม่รู้จักคุณ นี่เป็นเรื่องบังเอิญนะ!”

   เป็นอีกครั้งที่คำพูดแสนตรงไปตรงมาของกิลเบิร์ตทำอีกฝ่ายฟิวส์ขาด ลุดวิกแสยะยิ้มก่อนจะกระชากร่างอีกฝ่ายเดินลิ่วไปที่เตียงและโยนลงไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย ในขณะที่กิลเบิร์ตยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นผู้มีพระคุณแกะกระดุมเสื้อตัวเองเผยแผงอกแข็งแกร่งกล้ามเนื้องาม ซ้ำยังย่างสามขุมขึ้นมาบนเตียงกระชากข้อมือของเขาก่อนจะกดลงบนเตียง ใช้มือบีบปลายคางของเขาประกบจูบลงมาอย่างดุร้าย

“เดี๋ยว!” กิลเบิร์ตพยายามทุบอีกฝ่ายดิ้นเร่า เขาไม่ใช่ไอ้งั่งที่จะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไร ผู้ชายคนนี้กำลังจะบังคับขืนใจ
เขา!

“เมื่อกี้พูดว่าอะไร ถามฉันใช่ไหมว่าฉันอยากได้อะไร งั้นก็นี่ไง ฉันกำลังอยากได้คนร่วมเตียง ไหนๆเธอก็อิ่มหนำสำราญแล้ว เธอก็มาช่วยให้ฉันอิ่มบ้างจะเป็นไรไป” ลุดวิกแสยะยิ้มอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่ถูกกดดันขนาดนี้แล้วจะยังมีหน้าระรื่นต่อปากต่อคำกับเขาอีกไหม

   ลุดวิกไม่รั้งรอคำตอบ ทั้งที่เขาเห็นท่าทีนิ่งอึ้งกับแววตาตกตะลึงของอีกฝ่ายแล้วแต่กลับไม่นึกสงสารเห็นใจ ในสายตาของเขาตอนนี้เจ้าหนุ่มนี่คงเป็นแค่เบี้ยชั้นต่ำที่ใครบางคนส่งมาเท่านั้น จะเป็นท่าที น้ำเสียงหรืออารมณ์ เขาไม่คิดจะสนใจ!

“งั้นเหรอ นั่นสินะ ใครจะให้อะไรฟรีกันล่ะเนอะ” กิลเบิร์ตพูดออกมาพลางผ่อนแรงที่คิดจะต่อต้าน ในวินาทีนั้นเขาพลันสำนึกได้ถึงสถานภาพของตนเองยามนี้ เขาเป็นแค่ขอทานที่มาขอข้าวเขากิน ส่วนอีกฝ่ายก็ให้กินแล้ว ตัวเขาล่ะจะมีอะไรจ่ายตอบแทน เพียงแต่ว่า นับแต่เริ่มโตเป็นหนุ่ม คนเพียงคนเดียวที่เข้าใกล้เขาและกล้าแตะต้องเขามีเพียงผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่เขาทิ้งหนังสือหย่าไว้ให้ที่เทสล่า ส่วนตัวเขาตอนนี้เป็นแค่คนที่ถูกกล่าวหาว่าคิดไม่ซื่อกับสามี เป็นคนที่เหลือตัวคนเดียว เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอ้างกับผู้ชายตรงหน้านี่

   เป็นแค่คนตัวคนเดียวที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีสามี ไม่มีใครอีกแล้ว มีแต่ตัวเองคนเดียวเท่านั้น ก็แล้วหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะปฏิเสธร่วมเตียงกับผู้ชายคนนี้

“เข้าใจแล้ว คุณอยากให้ฉันทำอะไร ก็ตามใจคุณเถอะ” กิลเบิร์ตทิ้งแขนทั้งสองข้างลงบนเตียง เขาปิดเปลือกตาลง ปลดปลงในทุกสิ่งทุกอย่าง แน่ล่ะว่าท่าทีหมดอาลัยตายอยากแบบนั้นทำเอาหัวใจของฝ่ายตรงข้ามชาวาบ

   ลุดวิกไม่เข้าใจเลยสักนิด เจ้าหนุ่มนี่คิดอะไรอยู่ เมื้อกี้ต่อต้านเขาจะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้เหมือนกับตัดใจได้ ทั้งยังพูดจาอะไรแปลกประหลาดฟังไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว ความรู้สึกดีชั่วต่อต้านผลักดันกันในจิตใจ จิตใจฝ่ายดีงามย่อมเกิดความรู้สึกผิด หากว่านี่คือขอทานธรรมดาๆเล่า หากนี่ก็แค่คนที่ไมรู้อิโหน่อิเหน่ล่ะ แต่ในขณะเดียวกันจิตใจฝ่ายต่ำกลับกระซิบบอกเขาว่านี่เป็นแค่แผนการ เป็นแค่การแสดง และต่อให้ไม่ใช่ เจ้าหนุ่มนี่ก็สมยอมให้เขาแล้ว นี่เป็นเนื้อที่มีคนเสริ์ฟขึ้นโต๊ะตรงหน้า แล้วราชสีห์อย่างเขาจะไม่แทะกินหรืออย่างไร!

“ฉันจะอ่อนโยนกับเธอ อย่างน้อยก็ตอนนี้ล่ะนะ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะจูบลงไปข้างแก้มของอีกฝ่าย ในจังหวะที่ดวงตาสีรัตติกาลนั้นเปิดออกจ้องมองเขาในแสงสลัว วินาทีนั้นเองที่ฟางเส้นสุดท้ายในใจของลุดวิกขาดลง

   แสงไฟถูกดับ สองร่างกระหวัดกอดโยกคลอนบนเตียงตั่งส่งเสียงน่าอับอายตลอดค่ำคืน ฝ่ายหนึ่งคือชายหนุ่มแปลกหน้า อีกฝ่ายคือขอทานข้างถนน ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญนี้ปราศจากหัวใจรักแม้สักน้อยนิด

   ตลอดค่ำคืนที่ถูกชายแปลกหน้ากดอยู่ใต้ร่าง แน่นอนว่าแม้กิลเบิร์ตเข้าใจและรับรู้ แต่สมองก็ส่วนสมอง ไม่ได้รวมถึงหัวใจ เหตุเพราะในตอนที่รับรู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายสอดแทรกเข้ามารุกรานเขา ชายหนุ่มถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ความเจ็บแค้นที่ถูกฝังอยู่ในใจนั้นพลั้งเผลอแสดงออกมาโดยที่เขาไม่อาจหักห้าม

   ความรักที่สิ้นสุดลงไปนั้น จะไม่ให้อาวรณ์ย่อมไม่อาจทำได้


จบตอน



หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 2 คนข้างถนนกับข้าวหนึ่งจาน (18/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-10-2018 21:11:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 2 คนข้างถนนกับข้าวหนึ่งจาน (18/10)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 18-10-2018 23:52:09
น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 3 คนไร้บ้านที่ถูกทิ้งขว้าง (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-10-2018 20:16:48
ตอนที่ ๓
คนไร้บ้านที่ถูกทิ้งขว้าง

   ลุดวิกลืมตาตื่นเอาตอนที่แสงตะวันแยงตา นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่เขานอนหลับสนิท ทั้งยังตื่นมาด้วยความรู้สึกสุขกายสบายใจอย่างยิ่ง ร่างกายเบาโหวง สมองแจ่มใส เหมือนกับว่าได้ระบายความตึงเครียดทั้งกายใจหมดไปในคืนเดียว นี่ย่อมต้องมอบความดีความชอบให้กับเจ้าแมวข้างถนนที่เขาเก็บมาเมื่อคืน จากตอนแรกที่เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่พอกอดเข้าสักพักก็เห็นได้ว่าเป็นแค่เจ้าแมวตัวอ่อนยวบยาบไม่ทนมือทนไม้ จึงได้เล่นงานจนแมวนั่นร้องครวญครางร้องห่มร้องไห้ แม้จะนึกสงสารอยู่บ้าง แต่เขาเองก็เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เมื่อคู่นอนยั่วยวนถึงเพียงนั้นแล้วจะให้ยั้งมือไว้ไมตรีย่อมไม่ได้ ตอนนี้เขาตื่นแล้วย่อมคิดว่าจะมอบรางวัลตอบแทนให้อีกสักหน่อย สำหรับการเป็นหมอนข้างชั่วคราวให้กอด หรือบางทีเขาอาจจ่ายหนักขอซื้อต่ออีกสักคืนสองคืน ด้วยสภาพยาจกแบบนั้นเจ้าหนุ่มนั่นย่อมไม่อาจปฏิเสธเขาแน่ๆ

   ทว่า ในตอนที่เขาเอื้อมมือควานหาร่างนุ่มนั่นมาหมายจะกอดฟัดอีกสักครั้ง กลับพบแต่ความว่างเปล่า ครั้นผุดลุกขึ้นดูกลับไม่มีร่องรอยคนที่ควรนอนอยู่ตรงนั้น เจ้าแมวนั่นหายไปแล้ว!

ลุดวิกกัดฟันกรอดรีบสวมเสื้อผ้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาชั้นล่าง ตอนนี้แม้ล่วงเข้าวันใหม่แล้วแต่ผู้จัดการโรงแรมก็ยังประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ครั้นเห็นเขาตีหน้าเครียดขึงลงมา ย่อมเดาได้ว่าชายหนุ่มโกรธในเรื่องอะไร ก่อนหน้านี้เขายังทักเจ้าหนุ่มนั่นให้กลับขึ้นไปรอคุณผู้ชายท่านนี้ตื่นเพื่อรอรับทิปสักเล็กน้อย แต่เจ้าหนุ่มสีผมแปลกนั่นกลับส่ายหน้าก่อนจะกระชับผ้าคลุมเดินลากขาออกไปในสภาพอิดโรย แน่ชัดแล้วว่าเมื่อคืนคงจะหนักหน่วงมากๆสำหรับร่างกายผอมๆนั่น

“เห็นเจ้าหนุ่มที่ฉันเก็บมาเมื่อคืนหรือเปล่า หมอนั่นออกไปไหน” ลุดวิกเร่งถามอย่างหงุดหงิด เป็นแค่ขอทานแท้ๆแต่กล้ายังไงหนีออกไปก่อนเขาตื่น! ไม่มีคู่นอนคนไหนของเขากล้าทำเรื่องหยามน้ำหน้ากันแบบนี้มาก่อน!

“เจ้าหนุ่มออกไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วครับ เห็นว่าจะต้องออกไปหางานทำ ยังมาถามด้วยว่าที่นี่พอมีงานให้ทำบ้างมั้ย อันที่จริงถ้าไม่ติดที่สีผมสีตาน่ากลัวแบบนั้นก็จะจ้างหรอกนะ” ผู้จัดการบอก นี่ไม่ใช่การโกหก เขาเห็นหน่วยก้านท่าทีของอีกฝ่ายแล้วจากประสบการณ์พอจะบอกได้ว่าน่าจะเป็นคนขยันขันแข็งไม่เลือกงาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเอากุลีไปทำงานบริการ ขี้คร้านจะโดนดูถูกไปร่ำลือเสียหายไปหลายตรอก

“งาน?” ลุดวิกเลิกหัวคิ้วอย่างสงสัย ก็ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเจ้าหนุ่มนั่นทำงานให้เขาหรอกหรือ ไม่ต้องคิดเลยว่าในสมองของลุดวิกตอนนี้เห็นกิลเบิร์ตเป็นแค่ขอทานขายตัวข้างถนน และการที่คนแบบนั้นบอกว่าจะออกไปหางานย่อมหมายถึงจะออกไปเร่ขายตัวงั้นเรอะ! “บัดซบ!”

   เมื่อคิดเองเออเองไปแบบนั้นแล้ว ลุดวิกก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที ในความรู้สึกของเขาเจ้าหนุ่มนั่นถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว นี่กลับกล้าทิ้งเขาให้นอนอยู่บนเตียงแล้วจะไปหาผู้ชายคนอื่นงั้นเรอะ นี่มันจะหยามกันมากเกินไปแล้ว!

   ทางฝ่ายกิลเบิร์ตเขาไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างที่คู่กรณีของเขากำลังคิด เขาแค่คิดว่าตัวเองได้ให้สิ่งตอบแทนแลกเปลี่ยนกับอาหารไปแล้ว ทั้งเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มบริสุทธิ์อะไร อายุป่านนี้แล้วจะมาร้องไห้กระปอดกระแปดเรื่องขึ้นเตียงนอนกับคนแปลกหน้าก็ใช่ที่ สามีก็หย่ากันแล้วดังนี้นี่ก็ไม่ใช่การนอกใจ ไม่มีอะไรที่ผิดเสียหน่อย ยังไงเสียสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องการยามนี้ก็คืองานประจำที่จะทำให้พอมีรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะได้ไม่ต้องหิวโซถูกตราหน้าว่าขายตัวแลกอาหารอีก แต่เดินมาครึ่งค่อนวันแม้จะพยายามมองโลกในแง่ดีแค่ไหนเขาก็พบความจริงว่าตนเองถูกรังเกียจเดียดฉันท์ชัดเจนจากผู้คนบนดาวดวงนี้ เพราะสีผมและสีดวงตาของเขาที่ผิดแผกทำให้ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้ คนที่จะมองเขาอย่างสนอกสนใจเสนองานให้ก็มีแต่พวกงานอย่างว่าเท่านั้น

   หลังจากใช้ชีวิตบนยอดหอคอยมาเนิ่นนานครั้นพอจะตกต่ำก็ร่วงได้อย่างรวดเร็ว ความจริงของชีวิตมันก็เท่านั้นเอง แม้จะไม่พอใจการกระทำของอดีตสามี แต่กิลเบิร์ตก็ไม่ได้เศร้าโศกจนเกินไป ไหนๆทุกอย่างก็ผ่านมาจนหมดแล้ว ตัวเขาก็เซ็นใบหย่าไปแล้ว คนเขาไม่รักไม่ไยดี แล้วจะไปร้องห่มร้องไห้ขอความเห็นใจทำไมกัน สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้มีแต่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาเบื่อชีวิตแบบเดิมเต็มทน หากมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ สาบานกับตัวเองว่าจะขออยู่อย่างสงบเสงี่ยม ขอดื่มด่ำกับความธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุด บางทีเขาควรหาทางออกไปบ้านนอกใช้ชีวิตเลี้ยงวัวปลูกผักไปวันๆ แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้

   อุตส่าห์คิดวางแผนเสียดิบดีแต่โชคร้ายก็ยังประดังประเดตามมาติดๆไม่ปรานีปราศรัย 

“ปล่อยเถอะ ไม่มีประโยชน์เลย” กิลเบิร์ตกัดฟันกรอดพยายามบ่ายเบี่ยงผู้ชายหน้าตาเกลี้ยงเกลาลูกคุณหนูตรงหน้า เดินไปเดินมาครึ่งค่อนวันกลับมาถูกผู้ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อพวกนี้กักตัวไว้

“อะไรกันก็มาหางาน นี่ก็จะให้งานไง ไปด้วยกันสักสองสามชั่วโมงก็สบายแล้ว” ผู้ชายตรงหน้าบอกพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้และก้มลงมองเหยื่อรูปลักษณ์แปลกตาอย่างหื่นกระหาย แววตาคุกคามไม่เห็นแม้กระทั่งความเป็นคนของอีกฝ่าย ถึงเขาไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่มาปรากฏตัวในตรอกรูหนูแบบนี้ได้ยังไง  แต่เนื้อเข้าปากแล้วจะให้ปล่อยไปงั้นเรอะ

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ก็บอกแล้วว่าไม่ได้มาขายตัวน่ะ!” กิลเบิร์ตที่พยายามสงบเสงี่ยมเปิดปากพูดพลางกัดฟันกรอด สารรูปเขายามนี้คงแย่มากจนคนผ่านไปผ่านมามองเหยียดเขาไปหมดเลยสินะ แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย!

“น่านะคนดี อย่าเล่นตัวให้ลำบากเลย” ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

   ณ วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง เขามองซ้ายมองขวาพอเห็นคู่กรณีตรงหน้ามีแต่ผู้ชายสองสามคนก็ตัดสินใจเด็ดขาด คว้าคอเสื้อคนตรงหน้าจับทุ่มกระแทกพื้นด้วยมือเดียวในทันที

“หะ!” ฝ่ายตรงข้ามในขณะที่สันหลังกระแทกพื้นคลับคล้ายยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นเองที่ฝ่าเท้าของกิลเบิร์ตเหยียบลงมากลางอกของเขา ผู้ชายอีกสองคนกรูกันเข้ามาปิดล้อมในทันที แต่เจ้าแมวเร่ร่อนกลับไม่แยแสกระชากเจ้าขยะชิ้นแรกโยนเข้าไปกลางวงสองคนนั่นก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปเตะกวาดที่ต้นขาจนพวกนั้นล้มระเนระนาดหัวฟาดพื้นเลือดไหลโชก อย่าลืมว่าอาชีพจริงของเขาคือทหารประจำการ ถึงจะเป็นเอสเปอร์แต่ก็ไม่เคยละเลยเรื่องการฝึกภาคสนามหรอกนะ!

“แก! จัดการมัน!” เสียงโวยวายดังขึ้นก้องไปหมด ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตเหลือเวลาแค่สั้นๆที่จะหนีไปจากที่นี่ก่อนตำรวจสันติบาลจะมา แต่แน่นอนว่าเขาต้องขอเล่นงานคนพวกนี้ให้หนักก่อน เจ้าเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน!

“พวกไม่ส่องดูเงาหัวตัวเอง” กิลเบิร์ตมองเหยียด ก่อนหน้านี้เขาอดข้าวจนหมดแรงไม่มีปัญญาช่วยเหลือตัวเอง แต่ในยามที่ท้องอิ่มแบบนี้เขาก็กลับมามีกำลังวังชาอีกครั้ง ดังนั้นกับแค่พวกไอ้หนุ่มไก่อ่อนพวกนี้ ขอเขาตั้นหน้าให้หงายระบายความแค้นหน่อยเถอะ!

   กิลเบิร์ตกำหมัดแน่นพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามชกเข้ากลางดั้งจมูกจนเลือดกำเดากระฉูด ต่อยเสยเข้ากรามจนเศษฟันกระเด็นกระดอน ทั้งเลือดทั้งฟันเกลื่อนกลาดชวนขวัญผวา ฝ่ายตรงข้ามที่ยังมีสติดีย่อมต้องถอยกรูดร้องเรียกให้คนช่วย ใครจะไปคิดว่าไอ้หนุ่มสะโอดสะองแบบนี้กลับมือไม้หนักโหดร้ายสิ้นดี

“น่าหงุดหงิดจริงๆ!” กิลเบิร์ตสบถ อันที่จริงคำพูดนี้ควรจะหลุดจากปากเขานานแล้ว แต่สุดท้ายที่หลุดออกมาตอนนี้กลับเป็นความอึดอัดคับข้องเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตนเองดันเสียทีหลับนอนกับคนแปลกหน้า วันนี้ถูกปฏิเสธงาน แล้วยังถูกผู้ชายพวกนั้นมาดูถูกอีก ที่ยังใจเย็นได้ถึงป่านนี้ก็เก่งมากแล้ว

   ทว่า เรื่องน่าหงุดหงิดคลับคล้ายยังไม่จบ เพราะทันทีที่กิลเบิร์ตหันขวับเตรียมกระโดดเผ่นหนีไปจากสถานที่เกิดเหตุ เขากลับผงะ แน่ล่ะก็คนที่ขวางทางอยู่ในตรอกแคบนี่ดันเป็นโจทก์เก่าที่เขาทิ้งไว้บนเตียงเมื่อเช้า เจ้าผู้ชายที่มีค่าน้อยกว่าไก่ย่างนั่นไงล่ะ!

“ไง เป็นแมวโฉดก็ควรจะบอกกันก่อนนะ นี่ฉันเก็บของน่าสนใจได้งั้นเหรอนี่” ลุดวิกยืนกอดอกทอดสายตาขี้เล่นมองเจ้าขยะเปียกเมื่อคืน ที่เขาเห็นเมื่อครู่เหมือนว่าเจ้าแมวนี่จัดการกางกรงเล็บตะกุยผู้ชายสามคนเผ่นป่าราบอย่างหมดทางสู้ ที่แท้ไม่ได้อ่อนปวกเปียก งั้นที่เขาเห็นเมื่อคืนจริงๆก็แค่เสแสร้งเท่านั้นกระมัง “กลับไปกับฉัน”

“ไม่” กิลเบิร์ตตอบอย่างไร้เยื่อใย เขาปรายสายตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ แม้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ผิด แต่การที่ถูกใครคนอื่นที่ไม่ใช่สามีทำเรื่องแบบนั้นเขาย่อมรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะมองหน้าคนๆนี้ ไม่สิ...เขาไม่มีสามีแล้วนี่

   ไม่มีแล้ว แต่ว่า...

“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น เมื่อคืนเธอก็ดูมีความสุขดีแท้ๆ” นั่นไม่จริง แต่แม้รู้ว่าไม่จริงลุดวิกกลับไม่คิดจะกลับคำ การที่มาเห็นพฤติกรรมของเจ้าหนุ่มนี่ในตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีความจำเป็นต้องประนีประนอมด้วย “เธอร้องไห้เพราะสุขสมกับอ้อมกอดของฉันไม่ใช่รึ”

“หลงตัวเองจริงๆ” กิลเบิร์ตยิ้มแห้ง กับคนพรรค์นี้ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย หากพลั้งเผลอไปข้องแวะมีแต่จะถูกยั่วโมโหพลาดท่าเสียทีเสียเปล่าๆ “พอเถอะ ฉันไม่มีอะไรจะข้องแวะกับคุณแล้ว ถือว่าเห็นแก่ที่ฉันทำให้คุณพอใจก็ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ ฉันยังไม่อยากถูกตำรวจจับตอนนี้” ขืนชักช้าเกิดตำรวจมา เขาอาจถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกาย ดูสภาพแล้วตำรวจคงไม่มีวันปกป้องเขา อาจซวยถึงขั้นไปจบที่ตะราง

   ทำไมถึงซวยแบบนี้นะ! เพราะผู้ชายคนนี้แน่ๆเขาถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้!

   ฝ่ายลุดวิกเห็นท่าทีหงุดหงิดน้อยๆของเจ้าหนุ่มหน้าตายคนเมื่อคืนแล้วก็อดนึกสนุกขึ้นมาไม่ได้ สงสัยก็เรื่องหนึ่ง แต่ท่าทีน่าเอ็นดูของคนจนตรอกก็น่ามองไม่หยอก เอาเข้าจริงถ้าเขาออกปากบอกตำรวจว่าเจ้าหนุ่มนี่คือคนร้าย จุดจบของความดื้อดึงนี่ย่อมเป็นในคุก เพียงแต่ว่าตัวเขาก็ใช่จะอยากให้ของเล่นน่าสนุกแบบนี้ไปมีจุดจบแบบนั้นหรอกนะ

“มากับฉันสิ แล้วฉันจะไม่แจ้งตำรวจ แล้วก็จะหางานให้ทำด้วยนะ” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอพลางยิ้มเจ้าเล่ห์มองฝ่ายตรงข้ามหัวจรดเท้าทำเอากิลเบิร์ตขวัญเสีย

“งานของคุณต้องไม่ใช่งานดีแน่ๆ” เผลอๆอาจจับเขาไปขายก็ได้!

“แล้วเธอมีทางเลือกหรือไง” คำถามกลับนั่นแค่ฟังก็รู้สึกว่าหน้าด้านหน้าทนมากแล้ว

“!”

“ระหว่างถูกจับเข้าคุกกับไปกับฉัน ฟังยังไงทางนี้ก็ดูดีกว่าชัดๆไม่ใช่รึ มาเถอะน่า มีข้าวสามมื้อให้กิน มีเงินเดือนให้ด้วยนะ” หลอกล่อด้วยสวัสดิการที่เขาคิดว่าล่อตาล่อใจที่สุดแล้วสำหรับขอทานข้างถนน ระหว่างถูกจับยัดตะรางกับมาเป็นคนของเขา ดูยังไงทางนี้ก็มีภาษีดีกว่า

   แต่กระนั้นลุดวิกย่อมไม่รู้ใจของอีกฝ่าย แม้กิลเบิร์ตจะรู้ชะตากรรมตัวเองว่าอับจนหนทางสิ้นดี แถมตอนนี้ผู้ชายไร้ชื่อเสียงเรียงนามนี่กลับยังจะพยายามยัดเยียดเขาส่งไปตะราง แต่ว่านะ งานที่ผู้ชายคนนี้ว่ามันจะเป็นงานอะไรไปได้ จะให้ยอมแหกขาแลกข้าวทั้งวันทั้งคืนงั้นเหรอ แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงเลย นั่นยังเป็นชีวิตอยู่อีกหรือไง!

“ในคุกก็มีข้าวให้กินสามมื้อ และคงมีที่นอนให้ด้วย” นั่นคือคำตอบของกิลเบิร์ต พอดีกับที่เสียงดังโหวกเหวกดังมาจากถนนอีกฟากแล้ว ผู้ชายสามคนเมื่อครู่วิ่งโล่ไปแจ้งความ และตอนนี้ตำรวจก็กำลังยกพวกมาล้อมจับเขา อนิจจา ออกจากเทสล่ามาสี่วันเท่านั้น ท้ายที่สุดพอเขาไม่มีเฟรเดอริคคุ้มกะลาหัวก็ไปไม่รอดจริงๆน่ะหรือ “คิดเสียว่าฉันคงดวงตกละกัน คุณไปเสียเถอะ ฉันยอมไปนอนในคุกดีๆก็ได้”

   แค่ดวงตกอย่างมาก แค่โชคร้ายอย่างมาก มันก็เท่านั้น

   แน่ล่ะว่าทั้งคำพูดและท่าทีของกิลเบิร์ตทำเอาลุดวิกฉงนจนตัวแข็งทื่อ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเจอะเจออะไรเช่นนี้มาก่อน จะบอกว่าเสแสร้งก็ไม่ใช่ทั้งหมด จะบอกว่าใสซื่อยิ่งไม่ใช่อย่างแน่นอน แต่การต่อต้านขัดขืนและไม่ยอมจำนนแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกว่าคนๆนี้ช่างน่าสนใจ น่าสนใจมากจนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าควรจะปล่อยคนๆนี้ไปตามยถากรรมจริงๆหรือไม่

“เจ้าขยะเปียกเอ๊ย!” ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกรวบร่างของกิลเบิร์ตที่กำลังยืนงงเข้ามาในอ้อมแขนพลางเบียดกระแทกร่างของอีกฝ่ายกับกำแพงและจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นอีกครั้ง ช่างประจวบเหมาะกับที่ตำรวจเป็นฝูงกรูกันเข้ามาร้องคำรามให้คนร้ายยอมมอบตัว แต่ลุดวิกกลับดึงตัวกิลเบิร์ตไว้ข้างหลังตนเอง ส่วนเขากอดอกปรายตามองพวกตำรวจอย่างหยิ่งผยองเฉยชา

“ส่งเจ้านั่นมา! นั่นคือคนร้าย!” สารวัตรตำรวจตะคอกใส่ แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือน ในทางตรงกันข้ามคนที่สะดุ้งสะเทือนกลับเป็นฝ่ายผู้จับกุม เพียงปรายสายตามองก็เห็นว่าคนตรงหน้านั้นเป็นชนชั้นสูงอย่างแน่นอน ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า สายเลือดเข้มข้นของชนชั้นสูงประจักษ์ชัดเจน และเมื่อมองเครื่องแต่งกายนั้นเขากลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นชายตรงหน้าประดับเข็มกลัดดวงตราสีแดงสว่างไสว มันคือดวงตราของสมาชิกสภาขุนนาง!

   คนๆนี้เป็นขุนนาง!

“คนๆนี้เป็นภรรยาของฉัน เราบังเอิญเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเขาเลยหนีออกจากบ้านมา บังเอิญโชคร้ายเจอผู้ชายไร้หัวนอนปลายเท้าลวนลาม คุณตำรวจ คุณคงเข้าใจนะว่าเรื่องในครั้งนี้ใครผิดใครถูก” ลุดวิกโกหกหน้าตายพลางรั้งร่างของกิลเบิร์ตมากอดไว้แนบอก แสดงท่าทีสนิทสนมว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันตามสมอ้าง แม้จะตกใจมาก แต่กิลเบิร์ตก็สามารถเข้าใจได้เรื่องหนึ่งในทันที ดูเหมือนบนดวงดาวนี้ การสมรสระหว่างบุรุษก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแยก เพียงว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้พยายามปกป้องเขาล่ะ

“เออะ ภรรยางั้นหรือ เอ่อ ภรรยาท่านขุนนาง ข ขออภัยอย่างยิ่ง ขออภัยที่เข้าใจผิดครับ!” ฝ่ายตำรวจนั้นเปลี่ยนท่าทีในทันที พลางรีบหันไปบอกกับพวกพ้อง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอย สังคมในขณะนี้ใครไปงัดง้างกับพวกขุนนางมีแต่จะหาเรื่องตาย ยิ่งคนๆนี้เป็นถึงสมาชิกสภาขุนนางโดยตรง ใครจะกล้าเสี่ยงกันเล่า

   ด้วยประการฉะนี้ตำรวจจึงกลายเป็นฝ่ายต้องถอยไปอย่างง่ายๆ ในขณะที่กิลเบิร์ตนั้นยังสับสนกับท่าทีเอาแน่เอานอนไม่ได้ของอีกฝ่าย แต่ลุดวิกกลับไม่รอช้าดึงข้อมือเขาให้เดินตามอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ถูกโยนขึ้นรถม้าแล้ว

“เดี๋ยวสิ! จะพาฉันไปไหน!” กิลเบิร์ตรีบประท้วงเขาย่อมกลัวว่าอีกฝ่ายจะลากพาเขาไปทำอะไรเสียหายอีก แต่ถึงตอนนี้ลุดวิกกลับไม่พูดพร่ำกดร่างเขาลงบนเบาะรถม้าและจูบลงบนริมฝีปากเขาอีกครั้ง แม้ไม่อยากถูกสัมผัสแตะต้อง แต่เรียวลิ้นที่แทรกสอดเข้ามานั้นกลับทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึง ใบหน้านั้นร้อนผ่าน หัวใจเต้นแรงจนราวจะหลุดออกจากอก แต่เพราะวันนี้เขามีสติอยู่มาก จึงยังสามารถทุบตีอีกฝ่ายผลักออกไปหลังชนฝาได้ แน่ล่ะว่าลุดวิกย่อมมองเขาอย่างขมึงทึง เพียงแต่ตอนนี้ดูเหมือนหัวจะหายร้อน ยอมสงบสติอารมณ์แล้ว

“ให้ตายเถอะ จะว่าง่ายหน่อยก็ไม่ได้ เธอนี่เรื่องมากจริง” ลุดวิกบ่นอย่างเสแสร้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาทำนั้นเสียมารยาทมาก แต่ถึงตอนนี้เขาย่อมกำลังประเมินว่าจะทำยังไงกับเจ้าหนุ่มนี่ หากเขายัดเยียดตำแหน่งภรรยาให้แล้วยอมให้เขาจูบแต่โดยดี นั่นคงต้องผลักตกรถม้าให้หัวฟาดพื้นตายอนาถแล้ว เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยานั้นเป็นดั่งที่เขาคาด “จะพาไปหางาน”

“งาน?”

“ไม่พาไปขายหรอก สบายใจได้”

   ก็แค่ จะช่วยแมวข้างถนนให้มีที่ซุกหัวนอนเท่านั้น


จบตอน

ตอนหน้าช้าหน่อยนะคะ ลาไปพักร้อน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 3 คนไร้บ้านที่ถูกทิ้งขว้าง (20/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-10-2018 22:53:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 4 งานชิ้นแรกกับบ้านใหม่ (28/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 28-10-2018 20:13:48
ตอนที่ ๔
งานชิ้นแรกกับบ้านใหม่

   ลุดวิกหิ้วเจ้าแมวดำข้างถนนกลับมาถึงคฤหาสน์ของตนเองก่อนจะโยนให้หัวหน้าพ่อบ้านในคฤหาสน์ของเขา สั่งให้เอาไปขัดสีฉวีวรรณแล้วเอาไปฝึกงาน หางานอะไรก็ได้ที่พอไหวให้สักอย่าง สวัสดิการเป็นข้าวฟรีสามมื้อ เสื้อผ้า ที่นอน และเงินอีกจำนวนหนึ่ง ฝ่ายกิลเบิร์ตนั้นยังงงอยู่ เขานึกไม่ถึงว่าจะถูกพามาในที่ๆหรูหราขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคฤหาสน์สไตล์ยุโรปศตวรรษที่สิบแปดของดาวโลก แม้จะเคยเห็นผ่านๆจากในหนังสือภาพ แต่ของจริงนั้นมีสีสันและประดับประดารายละเอียดมากมายน่ามองกว่ามาก โคมระย้าที่ใหญ่โตกลางบ้าน ภาพวาดลงสีด้วยปลายพู่กัน เฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้และบุนวมลวดลายละเอียด นี่ช่างเป็นศิลปะของโลกยุคโบราณที่ลงตัวมาก เรื่องอื่นไม่รู้ แต่ที่รู้คือลุดวิกต้องเป็นขุนนางที่ร่ำรวยมากแน่ๆ

“สวยจัง” กิลเบิร์ตอดชื่นชมไม่ได้ ส่วนลุดวิกนั้นก็ปรายสายตามองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ คนที่จะชื่นชมกับอะไรแบบนี้ในสายตาเขามีไม่มีกี่ประเภท ประเภทแรกคือคนชนชั้นล่างของอาทีเรีย ส่วนอีกประเภทก็คือคนต่างด้าว พวกมนุษย์ต่างดวงดาวที่มีรากฐานวัฒนะธรรมแตกต่างกัน แต่หากเขาถามความจริงออกไปตอนนี้ เจ้าหนุ่มนี่จะยอมบอกความจริงหรือเปล่า

“ตามพ่อบ้านไป มีอะไรก็ถามเขา หากฉันเรียกก็มา แล้วก็สบายใจได้ ฉันไม่ใช่เจ้านายที่จะเอาคนใช้มานอนร่วมห้องด้วย” ลุดวิกเอ่ยเสียงเย็นเยียบพลางสาวเท้าเดินขึ้นบันได คำพูดของเขาคลับคล้ายเย็นชาแต่กิลเบิร์ตย่อมฟังออกถึงนัยที่แท้จริง ผู้ชายคนนี้กำลังให้การรับรองว่านี่จะไม่ใช่สัญญาขายตัว และไม่ใช่การใช้แรงงานทาส เพียงแค่นี้ความรู้สึกที่เขามีให้กับว่าที่นายจ้างก็อ่อนลงหลายส่วน บางทีผู้ชายคนนี้อาจมีดีกว่าไก่ย่างตัวที่เขากินไปเมื่อวานก็ได้ ในตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้น

“เอ่อ ขอบคุณ อาจจะช้าไปนิด ฉัน กิลเบิร์ต คุณล่ะ” คำถามนั่นทำเอาหัวหน้าพ่อบ้านวัยกลางคนนึกอยากโขกศีรษะเจ้าหนุ่มไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่แรงๆสักที มีอย่างที่ไหนเป็นแค่คนใช้แต่ริอาจถามชื่อเจ้านาย!

“ลุดวิก” ตอบอย่างเฉยชาหยิ่งผยองพลางเหยียดมองเจ้าแมวดำนั่นอีกครั้ง ดูเหมือนแค่หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน เจ้าแมวนี่ก็สร้างความน่าประหลาดใจให้เขาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คำถามนี้ดูเหมือนจะมีจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่เสียแล้ว “แต่คนที่อาทีเรียไม่ถามชื่อขุนนางกันหรอกนะ”

“!” นั่นหมายถึงการที่เขาหลุดปากถาม ย่อมมีความหมายตรงกันข้าม

   นี่ย่อมแสดงว่า กิลเบิร์ตไม่ใช่ชาวอาทีเรีย!

“เย็นนี้ฉันทานอาหารคนเดียว เบนจามิน คุณพากิลเบิร์ตมาให้ฉันฝึกหน่อยละกัน” คำสั่งเรียบง่ายแต่กลับทำเอาผู้รับคำสั่งสะท้าน หัวหน้าพ่อบ้านเบนจามินถึงกลับมึนงงไปชั่วขณะ เจ้านายของเขาต้องการทานอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้ากุลีนี่งั้นรึ?

   ฝ่ายกิลเบิร์ตย่อมต้องรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เขามองส่งลุดวิกเดินขึ้นบันไดเวียนไปจนลับตาในขณะที่กำลังคิดว่าควรพุ่งตัวหนีไปตอนนี้ดีหรือไม่ แต่ตอนที่ยังมัวแต่ลังเลหัวหน้าพ่อบ้านเบนจามินก็ลากตัวเขาเดินตามไปแล้ว

พ่อบ้านใหญ่พอเห็นเจ้านายไปพักผ่อนแล้วเขาก็ลากเจ้าหนุ่มไม่รู้ที่ต่ำที่สูงไปล้างเนื้อล้างตัว แปรงเผ้าแปรงผมให้สะอาดสะอ้าน เคราะห์ดีที่พอทำจนครบจบกระบวนความเจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร จากนั้นทดลองให้ทำงานหลายๆอย่าง พวกงานบ้านนั้นตัดไปเพราะมีแม่บ้านมืออาชีพทำแล้ว งานที่เหลือจำพวกตัดแต่งต้นไม้ดูแลสวนก็ต้องการผู้ชำนาญการ เจ้าหนุ่มที่แค่จับกรรไกรตัดกิ่งยังไม่ถูกคงไม่ผ่านแน่ๆ งานรักษาความปลอดภัยดูจากหน่วยก้านแล้วคงถูกผู้บุกรุกซัดปลิวไม่ต้องสงสัย สุดท้ายตำแหน่งที่ยังว่างกลับเป็นตำแหน่งคนรับใช้ในชีวิตประจำวันของเจ้านาย อย่างน้อยงานอย่างขัดรองเท้า เตรียมเสื้อผ้า หรือเปิดประตูรถ ต่อให้โง่แค่ไหนก็คงทำได้บ้างล่ะ!

คิดได้ดังนั้นหัวหน้าพ่อบ้านก็จัดหาเสื้อผ้าตามแบบบัตเลอร์ฝึกหัดให้กับกิลเบิร์ต เสื้อตัวในเป็นเชิ้ตขาว สวมเสื้อกั๊กตัวในทับ และสวมทับด้วยสูทตัวยาวสองหาง ผูกเนคไทดำ และสวมถุงมือสีขาว เครื่องแบบนี่ทำเอากิลเบิร์ตนึกประหลาดใจจนต้องจ้องมองตัวเองในกระจกซ้ำๆ เทียบกับเครื่องแบบทหารในกองทัพแล้ว นี่นับว่าเนื้อผ้าเบาสบายกว่ามาก ไม่ต้องสวมผ้าหนักๆชวนอึดอัดแบบนั้น เอาเข้าจริงนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าพอมาใส่อะไรเบาๆแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ที่ถูกถลกขนเลย มันคือความรู้สึกไม่ปลอดภัยนั่นเอง

“ขอตัดผมได้ไหม” กิลเบิร์ตถามพ่อบ้าน เขารู้สึกว่าผมข้างหน้าเริ่มยาวแล้ว

“ยังสั้นอยู่เลยจะตัดทำไม” หัวหน้าพ่อบ้านบอก ผมสั้นๆมากๆก็ทำให้จัดทรงยากเหมือนกัน “ไว้ยาวกว่านี้อีกหน่อย ตอนนี้ไปดูงานกับฉันก่อน”

“อืม ก็ได้” แม้จะขัดใจนิดๆ แต่เขาก็คิดว่าอันที่จริงตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้เป็นทหารแล้วทั้งยิ่งไม่ใช่ท่านนายพล ไม่จำต้องเป็นแบบอย่างให้กับใคร ดังนั้นต่อให้ผมยาวกว่านี้สักนิดก็คงไม่เป็นไร “ไม่ทราบว่า ฉันควรเรียกคุณว่าอะไรดี”

“เรียกฉันว่าคุณเบนจามินก็พอ ส่วนเธอกิลเบร์ตสินะ โชคดีนะที่ไอ้หนูลูกน้องฉันเพิ่งลาออก คนงานไม่พอ ถึงนี่จะเป็นคฤหาสน์พักร้อนแต่ก็สำคัญกับนายท่านมาก จะมาอู้ไม่ได้! มา! ฉันจะสอนงานเอง เริ่มจากขัดรองเท้า!”

“อืม”

“ไม่ใช่อืม แต่เป็นครับ! มารยาทไม่ดีเลย เวลาเจ้านายหรือผู้ใหญ่สั่งอะไรต้องตอบรับว่าครับ!” เขาดุต่อ รู้สึกได้เลยว่าการอบรมคนตรงหน้านี่น่าจะเป็นงานหนักไม่ใช่น้อย เจ้าหนุ่มพูดจาไม่น่าฟัง ทั้งกิริยาท่าทียังแข็งกระด้างมาก เจ้านายเขาไปถูกใจอะไรคนแบบนี้กัน

   ตรงหน้ากิลเบิร์ตคือรองเท้าหนังหลากหลายคู่ ส่วนคุณเบนจามินก็เลคเชอร์เรื่องน้ำยาขัดรองเท้ากับการจัดเก็บการดูแลต่างๆ กิลเบิร์ตมองซ้ายทีขวาทีก็รู้สึกหัวหมุน เขาเป็นทหารมาสิบปีรองเท้าที่ใช้มีสักกี่คู่กัน แต่ขุนนางของดาวดวงนี้มีรองเท้ามากมายเต็มไปหมด แถมจากที่ฟังเลคเชอร์ เขายังมีหน้าที่ต้องใส่และถอดถุงเท้ารองเท้าให้เจ้านาย แค่เรื่องของรองเท้าก็ยิ่งใหญ่กันปานนี้ คิดไปคิดมาพวกเขาต้องการคนกี่คนกันนะถึงจะสามารถแต่งตัวเสร็จได้ ช่างเป็นความฟุ่มเฟือยเหลือหลาย

   แค่เรื่องรองเท้าก็ทำเอาหมดวันแล้ว กิลเบิร์ตลากสังขารอันโรยราของตัวเองไปที่ห้องอาหารที่ค่อนข้างเรียบง่ายกว่าที่คิด ลุดวิกนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะพร้อมกับอาหารจำนวนหนึ่งแต่กลับไม่มีคนรับใช้สักคนคอยปรนนิบัติ ผิดวิสัยขุนนางใหญ่แบบที่หัวหน้าพ่อบ้านเลคเชอร์กรอกหูเขามาตลอดวัน

“สงสัยอะไร กำลังคิดว่าน่าแปลกที่ฉันไม่มีคนรับใช้คอยตักอาหารให้สินะ” ลุดวิกผสานสองมือเท้าคางเผยอยิ้มเหยียด ใบหน้าที่ต้องแสงไฟนั้นดูมีมนต์ขลังทรงเสน่ห์อย่างผู้ชายที่เจริญวัยสมส่วนแล้ว กิลเบิร์ตมองเขาแล้วรู้สึกแปลกๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นทำให้เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาใครบางคนมาก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายเลยเดินเข้าไปหา และนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้างๆที่มีอุปกรณ์ทานอาหารวางไว้ให้ “ดูไม่ประหม่าเลยนะ” นั่นย่อมหมายถึงท่าทีของกิลเบิร์ต

“เจ้านายสั่งให้มาทานอาหารด้วย ฉันทำตามคำสั่ง มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรื่องคนรับใช้ คุณมีเรื่องจะคุยกับฉัน ก็ย่อมต้องอยากคุยกันตามลำพัง ไม่เห็นแปลก” กิลเบิร์ตตอบเรียบๆพลางขยับมุมปากยิ้มเล็กน้อย ท่าทีของเขาไม่มีความกระดากและยิ่งห่างไกลจรรยามารยาทของคนรับใช้ที่พึงมีต่อเจ้านาย เอาเข้าจริงลุดวิกกลับรู้สึกว่ากิลเบิร์ตวางตัวเป็นเจ้านายง่ายกว่าเป็นคนใช้เสียอีก

   โดยปกติคนชนชั้นล่างพบขุนนางต้องก้มหัวให้ คนรับใช้พูดกับเจ้านายต้องเจียมตน แต่ตอนนี้กิลเบิร์ตกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่พึงทำในฐานะประชาชนบนดาวดวงนี้ แค่มารยาทหรือความรู้พื้นฐานที่มีเขาก็ดูแปลกแยกแล้ว

“ตกลงจะสารภาพหรือยังว่าใครส่งมา” ลุดวิกใช้มีดหั่นเนื้อสเต๊ก ในขณะที่อีกฝ่ายถือวิสาสะรินไวน์ให้ตัวเอง กิลเบิร์ตเริ่มเข้าใจแล้วว่าลุดวิกสงสัยอะไรในตัวเขา หมอนี่กำลังคิดว่าเขาเป็นสายของศัตรูงั้นหรือ?

“ฉันส่งตัวเองมา ยานอวกาศของฉันถูกแรงโน้มถ่วงของที่นี่ดูดลงมา ยานเสียหายหนัก ฉันไปไหนต่อไม่ได้ แล้วสีผมกับสีตาฉันก็เป็นแบบนี้ สุดท้ายเลยโชคร้ายจบลงบนเตียงของคุณเมื่อคืน” พูดเสียงเรียบเรื่อยราวกับเรื่องราวพวกนั้นไม่สลักสำคัญอะไร “ฉัน
ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้ด้วยว่าคุณมีศัตรูที่ไหนอยู่ ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ ข้อพิสูจน์ก็คือ ฉันไม่ได้ทำอันตรายคุณเมื่อคืน เมื่อเช้าฉันก็เป็นฝ่ายจากมาเอง”

“นั่นอาจเป็นแผนก็ได้” ใช้ผ้าเช็ดปากพลางดื่มไวน์ หากแต่สายตายังจดจ้องไปที่คนร่วมโต๊ะอาหารไม่วางตา “เป็นแผนหลอกให้ฉันตายใจ”

“งั้นก็ไล่ฉันไปตอนนี้เลยสิ เท่านี้ก็จบแล้ว” กิลเบิร์ตตอบตรงๆ เขาไม่รู้จักคนๆนี้ แต่ใช่ว่าไม่เข้าใจการเมืองของอาทีเรีย ดาวดวงนี้เคยได้ยินมาผ่านๆว่ามีปัญหาเรื่องความขัดแย้งของสภาขุนนางของจ้าอาณานิคม หากลุดวิกเป็นคนของสภาขุนนาง เขาก็คงมีปัญหาบางอย่างอยู่แน่ๆ “คุณเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ฉันไม่ควรทำให้คุณเดือดเนื้อร้อนใจ”

   แสงไฟสะท้อนจนแยงนัยน์ตา แต่คำพูดของกิลเบิร์ตกลับเสียดแทงหัวใจมากยิ่งกว่า ถึงตอนนี้ลุดวิกก็ยังไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้านี่ไปร่ำเรียนวิธีการพูดแทงใจดำคนแบบนี้มาจากไหน คำพูดแสนจะธรรมดาแท้ๆแต่กลับทำให้เขารู้สึกว่ามันสะท้านหัวใจอย่างน่าประหลาด ตั้งแต่คำพูดคำแรกพลั้งเผลอบ่นว่าหิวจนถึงตอนนี้ เขารู้สึกได้เพียงความบริสุทธิ์จริงใจที่ออกจะน่าเหลือเชื่อกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีมนุษย์ต่างดาวมาปรากฏตัวตรงหน้า แต่แทนที่เขาจะรู้สึกห่างเหินปลกแยก มาเวลานี้ลุดวิกกลับรู้สึกอยากเข้าใกล้เจ้ามนุษย์ต่างดาวนี่มากขึ้นแทนเสียอย่างนั้น

“บอกได้ไหมว่าทำไมถึงต้องขึ้นยานอวกาศมาแถวนี้ ที่นี่น่ะไกลปืนเที่ยง แม้แต่สมาชิกของสหพันธ์ดวงดาวยังไม่เข้าร่วมเป็นสามัญสมาชิกด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดันมีมนุษย์ต่างดาวมาปรากฏตัว”

“เป็นอุบัติเหตุน่ะ ฉัน เอ่อ...” กิลเบิร์ตไม่แน่ใจว่าควรจะอธิบายยังไง บอกไปว่าเขามีพลังจิตสร้างหลุมดำได้เลยวาร์ปข้ามอวกาศมาหลายปีแสงมาปรากฏตัวที่นี่ ก็ฟังดูไม่ค่อยดี หากพลาดพลั้งลุดวิกไม่ใช่คนดีอย่างที่เขาคิดมิถูกส่งตัวกลับเทสล่าหรือ ดังนั้นหากจะโกหกก็ควรจะเนียนสักนิดใช่หรือไม่ “ฉันเพิ่งหย่ากับสามี เขากับภรรยาใหม่ไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันไม่รู้จะไปไหน จับพลัดจับผลูยานอวกาศวาร์ปมาโผล่ที่นี่” เมื่อตัดสินใจได้ก็เลยตีหน้าซื่อเล่าความจริงเพียงครึ่งเดียว

   ที่หย่ากันก็เรื่องจริง ที่วาร์ปมาก็ใช่ เพียงแต่ความจริงก็คือเขาถูกสั่งเก็บเป็นนักโทษการเมือง และเป็นตัวเขาที่สร้างแบล็คโฮลวาร์ปมาเอง ก็ถือว่าครือๆกันแหละ ไม่ได้โกหกหรอกนะ!

   ลุดวิกมองเจ้าหนุ่มที่กำลังเล่าเรื่องของตัวเอง น้ำเสียง ท่าทาง อะไรหลายๆอย่างไม่ดูคล้ายคนโกหกแต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น สามีบ้านไหนกันที่พอหย่าภรรยาก็รวมหัวกับเมียใหม่ส่งอดีตภรรยาขึ้นยานอวกาศ เนรเทศมาสุดขอบจักรวาลแบบนี้ คนแบบนั้นหากมีอยู่จริงก็จัดว่าเป็นคนเลวมาก แล้วเขาล่ะ? จะจัดการยังไงต่อไปดี?

“แน่ใจนะว่าพูดเรื่องจริง” ลุดวิกถามย้ำ หากเป็นเรื่องจริงเขาก็เริ่มมีเหตุผลที่จะตัดสินใจอย่างอื่นต่อไป

“ย่อมเป็นเรื่องจริง คนที่ไหนจะอยากตกมาในดวงดาวที่ตัวเองตกต่ำถึงขนาดนี้เล่า!” ปากพูดแบบนั้น แต่สมองย่อมรับรู้ว่าเพราะคำขอเอาแต่ใจของตัวเองเลยจับพลัดจับผลูมาโผล่ที่นี่จริงๆ รู้งี้ตอนนั้นเขาควรเล่นบทโศกให้น้อยหน่อย วาร์ปไปดาวที่ยังพอมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน อาจจะซวยน้อยกว่านี้!

“นั่นก็จริง” สุดท้ายลุดวิกก็พยักหน้ารับ แม้จะทำทีเป็นไม่ได้ใส่ใจนัก แต่คนตรงหน้าก็คือคนที่เมื่อคืนเขากอดไว้ทั้งคืนทั้งยังรู้สึกดีอย่างมากจะไม่ให้รู้สึกใจอ่อนด้วยเลยก็ดูจะใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย อันที่จริงถ้ากิลเบิร์ตว่าง่ายกว่านี้ยอมให้เขากอดต่ออีกสักหน่อยก็นับว่าไม่เลว แต่นี่เจ้าตัวยืนกรานเสียขนาดนั้นว่าไม่ต้องการขายตัวแลกข้าว ทั้งในความเป็นจริง หมอนี่ก็คือภรรยาม่ายที่เพิ่งถูกสามีหย่า แถมยังถูกเนรเทศไล่ออกจากบ้าน อเนจอนาถชวนสลดใจ หากคิดแบบนี้การที่เขาข่มเหงจนอีกฝ่ายร้องห่มร้องไห้เมื่อคืน ในสายตากิลเบิร์ตเขาเองก็น่าจะเป็นผู้ชายที่เลวร้ายคนหนึ่ง นับว่าเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเลวร้ายทีเดียว

   เพียงแต่ว่า การที่ได้ยินเรื่องราวจากกิลเบิร์ตมันกลับทำให้สมองเขาแล่น คนๆนี้ไม่ใช่คนของดวงดาวนี้ ไม่รู้จักใคร ไม่มีเส้นสายที่ไหน ไม่มีที่ไป ทั้งยังไม่ใช่เด็กหนุ่มเด็กสาวอ่อนต่อโลก แต่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว คุณสมบัติแบบนี้จัดว่าหายากยิ่ง ไม่ใช่ทุกวันหรอกนะที่จะมีมนุษย์ต่างดาวไร้พิษภัยหกล้มหน้ารถม้าของคุณ

“อายุเท่าไหร่” คิดถึงตรงนี้ฝ่ายเจ้าบ้านก็ถามต่อ ด้วยเส้นผม สีตาและลักษณะทางเชื้อสาย ยากที่จะบอกว่าเขาควรอายุเท่าไหร่ แต่ลุดวิกแอบทายว่าหน้าอ่อนประมาณนี้เขาไม่ควรอายุมากไปกว่ายี่สิบต้นๆหรอก

“ยี่สิบแปด”

   ทว่า คำตอบนั่นกลับทำเอาลุดวิกอึ้งไปนิดเหมือนกัน ยี่สิบแปด? หน้าตาแบบนี้? ท่าทางแบบนี้? นี่อายุยี่สิบแปดแล้วงั้นเรอะ!

“เห! ท่าทางตกใจแบบนั้น ไม่ใช่ว่าฉันอายุมากกว่าคุณหรอกนะ นายท่านลุดวิก” กิลเบิร์ตสังเกตอาการอึ้งของอีกฝ่ายแล้วก็ได้ทีขี่แพะไล่ เห็นหน้าตาขมึงทึงเอาจริงเอาจังแบบนี้นึกว่าอายุสามสิบกว่าแล้วเสียอีก! “อย่างคุณนี่ อืม งั้นขอเดาว่าไม่เกินยี่สิบห้า!”

“นี่!” ลุดวิกตบโต๊ะปราม เพราะดูอีกฝ่ายจะเล่นเกินไปแล้ว แต่เพราะเขาดูร้อนรนมากนั่นแหละ กิลเบร์ตเลยยิ่งยิ้มกว้าง ท่าทางสนุกสนานยิ่ง

“แสดงว่าเดาถูก งั้นเมื่อคืนก็ไม่ใช่พี่ชายสินะ ต้องเป็นน้องชาย! ว่าไงน้องชายมีอะไรให้พี่ชายสอนมั้ย!” นี่ล่ะคือคนได้คืบจะเอาศอกโดยแท้ พอรู้สึกว่าตัวเองเดาถูกเลยเป็นต่อขึ้นหน่อย พลั้งเผลอหยอกเล่นตามนิสัยเดิม ท่าทีแบบนี้ทำเอาฝ่ายตรงข้ามคิ้วกระตุก เขานึกสงสัยว่าเจ้าแมวจรจัดตัวนี้จะรู้ไหมว่าเขานั้นเป็นเจ้านาย ส่วนเจ้าตัวน่ะเป็นคนรับใช้นะ!

   แต่ครั้นสบสายตากับดวงตาขี้เล่นนิดๆตรงหน้า ลุดวิกกลับรู้สึกว่าภายในหัวใจเขารู้สึกอุ่นวาบขึ้น หากเทียบสีหน้าของกิลเบิร์ตยามนี้กับที่เห็นเมื่อคืน เขารู้สึกว่าเขาย่อมอยากเห็นอีกฝ่ายในลักษณะนี้มากว่า ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรคนๆนี้ก็ควรยิ้มให้มากกว่านี้ และนี่สิจึงสมควรเป็นสีหน้าที่แท้จริงของเขา พอคิดได้แบบนั้นก็อดยกยิ้มที่มุมปากขึ้นไม่ได้ 

“อย่าเอาแต่เล่น ทานอะไรเสียบ้างเดี๋ยวก็สะดุดหินเป็นลมอีกหรอก”

“เอ๋! ตกลงว่ายอมเชื่อแล้ว!” กิลเบิร์ตเองก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมเปลี่ยนใจไวขนาดนี้

“ถ้าเธอพูดเรื่องจริง ฉันก็จะเชื่อ ไม่เคยได้ยินหรือว่าความไว้วางใจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ” รวบส้อมกับมีดและกลับจิบ
ไวน์อย่างเชื่องช้าสง่างาม เขาตัดสินใจแล้วว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“แต่ฉันไม่ใช่นักธุรกิจ”

“ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ค้าประเวณี ทำร้ายคนกลางถนน โกหกเจ้าพนักงาน เอาล่ะ ถ้าเธอไม่ทำธุรกิจแล้วจะจัดการยังไงกับข้อหาพวกนี้ดีล่ะ” แสยะยิ้มพริ้มพรายชวนให้คู่สนทนาที่เมื่อครู่ยังหน้าระรื่นสันหลังเย็นวาบ

   ลุดวิกร่ายยาวข้อหาที่ทำเอากิลเบิร์ตเบิกดวงตาตระหนก จิตใต้สำนึกร้องเตือนว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว ไอ้เรื่องลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายนั่นก็เพราะยานอวกาศดันโดนดูดลงมาเขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ค้าประเวณีก็เป็นหมอนี่ที่ลงมืออยู่ฝ่ายเดียว ทำร้ายคนก็เป็นการปกป้องตนเอง แม้แต่การหลอกลวงเจ้าพนักงานเขาก็ไม่ได้เป็นคนพูดเสียหน่อย!

“รู้อะไรไหม คนที่เธออัดกระเด็นไปเมื่อบ่าย ถึงไม่ใช่ขุนนางในสภา แต่ก็เป็นหลานของท่านดยุค ใหญ่โตใช่เล่นเลยนะ เกิดพวกนั้นไปฟ้องคุณปู่ แล้วเธอดันเป็นคนผิดกฎหมายแบบนี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอนะ คุณกิลเบิร์ต” ลุดวิกคลี่ยิ้มสง่างาม หากแต่ทั้งถ้อยคำและวาจานั้นล้วนฟังไม่ได้ ทำเอากิลเบิร์ตที่คิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์พอแล้วถึงกับแทบยกส้อมไม่ขึ้น ผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์มาก! นิสัยเสียมาก! คบไม่ได้อย่างมาก!

“นี่คุณ ต้องการอะไรน่ะ!” ถ้ามาไม้นี้หมอนี่ย่อมไม่ต้องการเอาเขามาเป็นคนขัดรองเท้าอยู่แล้ว!

“แต่งงานกับฉัน”

“หะ!”

“เป็นคุณผู้หญิงของฉัน เท่านั้นก็จบแล้ว”

   ข้อเสนอแสนร้ายกาจหลุดออกจากปากผู้ชายแปลกหน้าที่นิสัยเสียที่สุด!



จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 4 งานชิ้นแรกกับบ้านใหม่ (28/10)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-10-2018 22:49:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 5 ให้ฉันขัดรองเท้าของคุณเถอะ! (30/10)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 30-10-2018 17:38:33
ตอนที่ ๕
ให้ฉันขัดรองเท้าของคุณเถอะ!

      ช่างเป็นมื้ออาหารที่ชวนกระอักกระอ่วนสิ้นดี แม้สุดท้ายลุดวิกจะไม่ได้บีบคั้นเอาคำตอบ ทั้งยังแสร้งยกตัวเองสูงส่งเป็นสุภาพบุรุษให้เวลาคิด แต่กิลเบิร์ตกลับยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าหมั่นไส้จริงๆ ผู้ชายคนนี้จะให้เอียงซ้ายแลขวามองยังไงก็เป็นคนอันตราย หมอนี่ต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาแน่ๆ คนที่มีศัตรู แถมยังวางแผนจะเอามนุษย์ต่างดาวไปขัดตาทัพแสร้งเป็นภรรยา ไม่มีทางที่จะเป็นคนสามัญแน่ๆ!

   กิลเบิร์ตไม่ยอมเป็นคนโง่ เขาเจ็บมาแล้วและจะจำไปจนวันตาย การเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเรื่องยุ่งยากทั้งหลายแหล่มีแต่จะพาตัวเองให้ล่มจมหายนะ คราวที่แล้วยังไม่พออีกหรือไง ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ ต้องการแค่ข้าวสามมื้อ ที่นอน และเงินเล็กน้อยเท่านั้น เขายินดีเป็นคนขัดรองเท้า แต่ไม่ยินยอมได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของหมอนี่! เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ยอมเป็นภรรยาใครอีกแล้ว! 

“ค่อยๆคิดก็ได้ ยังไงท่านดยุคคงใช้เวลาอีกหลายวันในการตามจับคนร้าย” ลุดวิกดื่มไวน์กลั้วหัวเราะอย่างเป็นต่อท่าทางอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้

“คุณนี่มัน เจ้าคนหน้าไม่อาย!” กิลเบิร์ตสุดจะทน ผู้ชายคนนี้มันอาชญากรตัวจริงชัดๆ “ใส่ร้ายคนอื่นหน้าตาเฉย ยังมีคุณธรรมอยู่ไหม!”

“ก็นี่ไง ฉันล่วงเกินเธอไปแล้วก็จะแสดงความรับผิดชอบโดยแต่งงานด้วย เป็นภรรยาขุนนาง มีข้าวสามมื้อ มีที่นอนอุ่น มีเงินทองให้ใช้ เอาล่ะ บอกมาซิว่า ฉันไม่แฟร์ตรงไหน” ไขว่ห้างเท้าคางแสยะยิ้มยียวนกวนโทสะ แค่นี้ก็ทำเอากิลเบิร์ตหมดอาลัยตายอยาก ทำไมหนอถึงซวยขนาดนี้!

   คืนนั้นกิลเบิร์ตตั้งหน้าตั้งตากินแล้วก็รีบขอตัวกลับไปพักผ่อน ซึ่งเคราะห์ดีที่ลุดวิกไม่ประเจิดประเจ้อจนเกินไป กิลเบิร์ตยังได้ห้องส่วนตัวในอาคารปีกตะวันออกชั้นล่างที่เป็นโซนห้องคนรับใช้ ในห้องแคบๆที่มีที่นอน ห้องอาบน้ำ และโต๊ะหนังสือ ซึ่งแค่นี้ก็หรูหรามากแล้วสำหรับเขา ชายหนุ่มไม่รีรอจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูกที่แม้ไม่นุ่ม แต่ก็อุ่น ออกจากเทสล่ามาห้าวัน ในที่สุดคืนที่ห้าเขาก็สามารถปิดเปลือกตานอนหลับได้อย่างสบายใจเสียที ส่วนความดีความชอบนั้น แม้ไม่อยากคิดแต่ก็ต้องยกให้กับลุดวิก ขุนนางชาวอาทีเรีย เจ้านายคนปัจจุบันของเขา ถึงจะไม่ใช่คนดิบดีอะไรแต่ก็ไม่ถึงกับแล้งน้ำใจ เอาเข้าจริงถ้าลุดวิกสั่งให้เขาไปตัดหญ้า กวาดขยะ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไถนาเกี่ยวข้าว เขาคงตอบรับอย่างง่ายดาย แต่นี่อะไร ดันมาบอกให้แต่งงานด้วย

“เจ็บแล้วจำคือคุณสมบัติของคนฉลาด” กิลเบิร์ตบอกกับตัวเอง

   และแน่นอนเขาไม่ยอมโดนสวมเขาอีกรอบหรอก!

   ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์กับความสบายที่กิลเบิร์ตไม่เคยคิดว่าจะได้ลิ้มรสมาก่อนในชีวิต ช่วงนี้เขาตื่นตีห้า ออกมาหาอะไรทานที่โรงครัวก่อนจะไปรายงานตัวกับหัวหน้าพ่อบ้านเบนจามิน จากนั้นไปขัดรองเท้าให้ลุดวิก ก่อนจะตามคุณเบนจามินไปช่วยแต่งตัวให้ลุดวิกในช่วงเช้า พอนายท่านออกไปทำงานที่ไหนไม่รู้และเขาก็ไม่สนว่าเป็นงานอะไรกันแน่ หลังจากนั้นก็ว่างมาก มีอาหารเที่ยง มีของว่าง มีเวลาว่างอ่านหนังสือสบายๆ ขอแค่ทำงานไปเรื่อยๆตามเวลาที่กำหนดก็ไม่ต้องอนาทรร้อนใจว่าจะมีใครมาลอบยิง ลอบสังหาร ลอบขัดแข้งขัดขา แล้วก็ไม่ต้องถูกด่าว่าว่าเป็นท่านผู้หญิงแพศยาด้วย! ความสุขแบบนี้มันก็มีอยู่จริงๆนะ! แบบนี้ขอเขาอยู่แบบนี้ไปจนแก่ตายเลยได้ไหม! 

หลายวันผ่านมาหลังจากฝึกงานมาพอสมควร วันนี้หัวหน้าพ่อบ้านส่งกิลเบิร์ตขึ้นไปปลุกลุดวิกตัวคนเดียว ทั้งยังย้ำนักย้ำหนาเรื่องเสื้อผ้าที่เตรียมไว้แล้วอย่าได้ผิดพลาด ดูเหมือนวันนี้นายท่านคนนี้จะต้องเตรียมกลับเข้าสภาขุนนาง งั้นแล้วก็แปลว่าจะกลับดึก งั้นยิ่งดีใหญ่เขาจะได้สุขสบายไม่ถูกเรียกไปซักถามอะไรแปลกๆอีก เพียงแต่ว่า ทันทีที่ย่างเข้าห้องนอนกิลเบิร์ตกลับไม่เห็นอีกฝ่ายนั่งรออยู่บนเตียงเหมือนทุกที พอเข้าใกล้เตียงก็เห็นชายหนุ่มยังหลับตานอน แม้แต่ตอนนอนคิ้วยังขมวดมัดเป็นปม ท่าทางจะเครียดมากจริงๆ

“นายท่าน นายท่านตื่นเถอะ เช้าแล้ว” กิลเบิร์ตพยายามเลียนแบบคำพูดของพวกบัตเลอร์ แต่จนแล้วจนรอดน้ำเสียงกลับเป็นสิ่งที่ยากจะลอกเลียน เสียงของเขาถูกลุดวิกวิพากษ์วิจารณ์เสียหายว่าช่างฟังดูแข็งข้อ ไม่น่าฟังเอาเสียเลย “นายท่าน นี่นายท่าน อืม...จะแกล้งนอนหลับก็ควรทำลมหายใจให้สม่ำเสมอหน่อยนะ!”

   พริบตานั้นเองทันทีที่กิลเบิร์ตพูดจบแขนแกร่งก็คว้าตัวเขาจมหายลงไปบนเตียงในทันที กิลเบิร์ตเบิกตากว้างเมื่อเจ้านายท่านคนนี้ดันเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการจับบัตเลอร์ของตนเองกดลงบนเตียงแล้วจูบลงมาอย่างหน้าไม่อาย ควรมีใครบอกหมอนี่บ้างว่าการรับอรุณสวัสดิ์แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!

“นี่คุณ มันเสียมารยาทนะ!” กิลเบิร์ตว่าพลางผลักเจ้าคนที่กดเขาอยู่ออกไปเต็มแรง เสียแต่ลุดวิกตัวใหญ่มากแถมกล้ามเป็นมัด ไม่เข้าใจเลยว่าท่านขุนนางคนนี้ไฉนถึงมีรูปร่างแบบนี้ได้ “ถอยไปนะ!”

“เริ่มต้นวันด้วยการจูบอรุณสวัสดิ์สามี เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ” ลุดวิกส่งยิ้มแพรวพราวพลางจูบลงมาที่ข้างต้นคออีกฝ่ายอีก “วันนี้ก็ฤกษ์งามยามดีแล้ว จะให้คำตอบดีๆได้หรือยัง”

“ไม่ จะอีกนานแค่ไหนก็คือไม่” ตอบหน้าตาย ถึงจะใช้วิธีสกปรกหลอกล่อยังไงเขาก็ไม่ยอมตกนรกอีกรอบหรอก “นี่คุณคิดจริงๆหรือว่าคนที่เพิ่งหย่าไปจะมีกะใจแต่งงานใหม่ ไม่รู้หรอกนะว่าจะใช้ฉันหาประโยชน์อะไร แต่ตำแหน่งคุณผู้หญิงบ้าบออะไรนั่นไปจ้างคนอื่นเล่นเถอะ” ตอบไปตรงๆเพราะรู้ดีว่าข้อเสนอแต่งงานของลุดวิกนั้นไม่มีทางเกิดจากความชอบพอ คนๆนี้ต้องมีแผนการ และบังเอิญว่าเขาคงมีคุณสมบัติบางอย่างตามแผนของหมอนี่พอดี ซึ่งคุณสมบัตินั่นจะเป็นอะไรไปได้ นอกจาก ‘ความไม่รู้’ ของมนุษย์ต่างดาว

   ยิ่งโง่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ

“ถ้ารู้ว่าเป็นแผนก็ควรให้ความร่วมมือผู้มีพระคุณหน่อยสิ” ลุดวิกกดสองแขนของกิลเบิร์ตลงบนเตียง ดวงตาคมคายของเขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง อันที่จริงความชาญฉลาดนี่เขาก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ ซ้ำจากที่ให้เบนจามินจับตาดูมาหลายวัน เขาแอบรู้มาว่ากิลเบิร์ตอ่านหนังสือของอาทีเรียออก แสดงว่าพื้นความรู้ไม่ได้โง่เลย กิลเบิร์ตอาจกำลังคิดว่าเขาต้องการคนโง่ แต่ที่จริง เขาแค่ต้องการ ‘คนที่ไม่รู้’

   คนฉลาดที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร น่าสนใจมาก

“นี่คุณ ข้าวแค่มื้อเดียว จะให้เสียทั้งตัวทั้งชีวิตเลยเรอะ มากไปหน่อยมั้ง” ฝ่ายที่ถูกกดอยู่ใต้ร่างประท้วงพลางมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเหยียดหยาม ตอนนี้เขาถือว่าเขาทำงานแลกที่อยู่ที่กินแล้ว มันคนละส่วนกับตอนนั้น เจ้าหมอนี่ได้คืบจะเอาศอก แค่ยอมให้ครั้งเดียวได้ใจใหญ่เลยรึไง! “ต้องไปประชุมสำคัญไม่ใช่เรอะ ลุกขึ้นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคุณนั่นล่ะที่จะสาย”

   คำพูดคำจาของกิลเบิร์ตเลยคำว่าฉะฉานไปแล้ว นี่มันคือความมั่นใจในตัวเองสุดโต่งกับความถือดีอย่างเหนือชั้น ราศีของคุณนายภรรยาหลวงเจิดจ้าไปสักหน่อย ทำเอาลุดวิกอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่โกรธแต่ยังรู้สึกเอ็นดูมาก คนๆนี้เดิมทีเคยใช้ชีวิตแบบไหน แล้วเคยทำอะไร เรื่องราวในอดีตพวกนั้นทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมาจากใจจริง ในที่สุดลุดวิกก็ยอมลุก เขายอมล้างหน้าและให้อีกฝ่ายช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่โดยดี ฝ่ายกิลเบิร์ตก็ทำหน้าที่บัตเลอร์ตามที่ได้รับการสั่งสอนอย่างไม่ขัดเขิน แม้จะต้องเห็นกล้ามเนื้อสัดส่วนของผู้ชายที่เคยเล่นงานเขามาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับมองอย่างเฉยเมยไร้อารมณ์ จุดนี้เองที่ทำเอาลุดวิกคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรคู่นอนของเขามักไม่อาจตัดใจได้ในยามที่เขาบอกเลิกตีตัวออกห่าง แต่กับคนๆนี้ทั้งที่เขาแทบจะยืนเปลือยพะเน้าพะนอ แต่สีหน้าท่าทีเรียบเฉยนี่คืออะไร

“ที่สามีบอกเลิกนี่เพราะแสดงสีหน้าแบบนี้ใส่หมอนั่นรึเปล่า” ลุดวิกถามตรงไปตรงมา แม้รู้ว่าเสียมารยาทแต่ก็อยากเห็นอากัปกิริยาอื่นของคนตรงหน้าบ้าง นึกไม่ถึงว่าทั้งที่ถามแทงใจดำขนาดนี้เขาก็ยังตอบอย่างไม่ยี่หระ

“คงใช่” นั่นคือคำตอบ พลางหวนคิดถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของตนเองกับอดีตสามี บางทีเฟรเดอริคอาจรู้สึกแบบนี้ด้วยก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นยังไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด “แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคงเพราะฉันไม่ตามใจเขา”

   ถึงตอนนี้ลุดวิกเลือกที่จะเงียบ เขามองคนตรงหน้าที่กำลังติดกระดุมเสื้อให้เขา สีหน้าของกิลเบิร์ตแม้เฉยชา แต่ลึกๆลุดวิกรู้สึกว่าคนๆนี้กำลังพยายามอย่างมากที่จะลืม ทั้งการมาที่นี่ การเสาะหาบ้าน หางาน หาบางสิ่งบางอย่าง แม้ฟังดูไม่น่าแปลกอะไร แต่มันก็คือทางออกเพียงทางเดียวที่คนๆหนึ่งจะทำได้เมื่อเกิดความสูญเสีย กิลเบิร์ตผิดอะไรขนาดนั้น? เขาผิดอะไรถึงขนาดทำให้อดีตสามีคนนั้นไล่ออกจากบ้าน?

“วันนี้ไม่ต้องขัดรองเท้าแล้ว”

“!”

“ตามฉันออกไปด้วยกัน รู้ใช่ไหมว่าบัตเลอร์ก็ต้องตามเจ้านายออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราวด้วย” ลุดวิกรีบดักคอ เขาย่อมสังเกตเห็นความดื้อดึงขัดขืนในดวงตาสีดำของเจ้าแมวเถื่อนตัวนี้ หากเป็นคนอื่นคงนึกหมั่นไส้ตบเจ้าแมวให้กลิ้ง แต่สำหรับเขากลับมีแต่จะนึกสนุก “อยากขัดรองเท้าขนาดนั้นเชียว”

“ขัดรองเท้าไม่ดีตรงไหน ฉันขัดได้เงาออกนะ!” ความหมายคือปล่อยฉันไว้ที่นี่เถอะ ปล่อยให้ฉันขัดรองเท้าแล้วคุณเอาบัตเล่อร์คนอื่นออกไปเถอะ!

   แต่น่าเสียดายที่ลุดวิกคำไหนคำนั้นและยิ่งไม่สนใจเสียงแง้วๆของแมวมักน้อยที่เจียมเนื้อเจียมตัวเสียเหลือเกิน บัตเลอร์คนอื่นอยากให้เจ้านายพาออกงาน แต่รายนี้กลับขอเฝ้าบ้านอยากขัดรองเท้าไปวันๆ มักน้อยเกินไปแล้ว!

“เดี๋ยวค่ำๆก็กลับ ถือเสียว่าออกไปเที่ยว คิดแบบนี้ก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”

   จนแล้วจนรอดลุดวิกก็กึ่งปลอบกึ่งลากพาแมวดักดานตัวนี้ออกไปจากบ้านสำเร็จ แต่ว่าลุดวิกกลับไม่ยอมให้กิลเบิร์ตแต่งเครื่องแบบบัตเลอร์ เขาสั่งให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นโค้ทสีดำกับหมวกทรงสูงแทน แค่นี้ก็แสดงเจตนาชัดยิ่งกว่าชัดแล้วว่านอกบ้านเขาจะไม่ปฏิบัติกับกิลเบิร์ตเยี่ยงคนรับใช้ คำสั่งนี้ทำเอาพ่อบ้านเบนจามินทอดถอนใจ เขาเริ่มนึกไม่ออกแล้วว่าแท้จริงเจ้านายพากิลเบิร์ตกลับมาด้วยฐานะไหนกันแน่ บอกให้หางานให้ทำแต่สุดท้ายก็เลี้ยงดูปูเสื่อเหนือคนรับใช้ทั่วไป วันนี้ไปออกงานสำคัญ ยังพาเจ้าหนุ่มไปด้วย เรื่องบางเรื่องบางทีคงสมควรปิดตาข้างหนึ่งเสีย

   ลุดวิกกับกิลบิร์ตนั่งรถม้าออกมาด้วยกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่กิลเบิร์ตได้เปิดหูเปิดตากับมหานครของอาทีเรียนอกเหนือจากย่านที่เขาเคยเดินวนเวียนอยู่ รถม้าวิ่งไปตามถนนที่ปูลาดด้วยหิน ก่อนจะวิ่งข้ามสะพานหินที่ทอดยาวไปสู่ใจกลางของเมืองหลวงที่แท้จริงอันจะเป็นศูนย์กลางของการปกครองของดาวดวงนี้ หลายวันมานี้กิลเบิร์ตอ่านหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับดาวดวงนี้ เขาพอจะเข้าใจรูปแบบการเมืองการปกครองคร่าวๆ

   อาทีเรียปกครองด้วยตระกูลเจ้าอาณานิคมที่มีฐานะเสมือนกษัตริย์แบบในยุโรปศตวรรษที่สิบแปดของดาวโลก แต่มีสภาขุนนางจากตระกูลขุนนางสี่สิบสองตระกูลคานอำนาจฝ่ายหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือสภาการทหาร ทั้งสามขั้วเป็นตัวขับเคลื่อนดวงดาว และเกือบทุกยุคสมัย ผู้นำของทั้งสามฝ่ายก็มักจะเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เจ้าชายหรือเจ้าหญิงจากตระกูลกษัตริย์ ที่มีฐานะอำนาจในสภาขุนนางกับสภาการทหาร ก็คือเจ้าอาณานิคมคนถัดไป

   เพียงแต่ในเวลานี้กิลเบิร์ตคลับคล้ายคลับคลาว่า เจ้าอาณานิคมคนปัจจุบันกำลังป่วยหนัก และบรรดาลูกๆของเขาก็กำลังยื้อแย่งตำแหน่งผู้สืบทอด แต่จนแล้วจนรอดในเวลานี้ก็ยังไม่มีใครยึดหัวหาดสำเร็จ

“เราจะไปไหนงั้นหรือ” กิลเบิร์ตอดถามไม่ได้เพราะรถม้าไม่คลับคล้ายมุ่งไปที่ตำแหน่งที่ตั้งของรัฐสภา เขาแอบใช้พลังจิตเล็กน้อยจำลองภาพมหานครแห่งนี้ในสมอง แล้วก็พบความจริงว่าลุดวิกกำลังมุ่งตรงไปที่อื่น อันที่จริงเขาสามารถใช้พลังจิตอ่านใจลุดวิกได้ แต่ทำแบบนั้นนอกจากไร้มารยาทแล้ว ยังเป็นการหาเรื่องใส่ตัวด้วย 

“ไปพบเพื่อน” ลุดวิกตอบพลางยิ้มนิดๆ แม้ยามนี้นั่งกอดอกหลังเหยียดตรงทำหน้าตาน่ากลัว แต่รอยยิ้มที่เขามีให้อีกฝ่ายกลับทำให้เขาดูอ่อนโยนลงหลายส่วน “เพื่อนของฉันคนนี้พิเศษมาก เธอต้องลองคุยกับเขาดู ต้องดูดีๆด้วยนะ”

“เพื่อนของคุณน่าจะเหมือนคุณสินะ!”

“ใช่ นิสัยดีเหมือนกับฉันไงล่ะ”

   ได้ยินเช่นนั้น ก็อับจนปัญญาจะเอ่ยอะไรต่อโดยสิ้นเชิงแล้ว

   ที่ๆลุดวิกมาเยี่ยมเยือนนั้นเป็นอาคารที่ทำการใหญ่โตมากๆที่หนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้เข้าจากด้านหน้า แต่หลบเข้าทางด้านหลัง หลังจากนัดแนะกับคนขับรถม้าแล้วก็ตรงไปที่ประตู เพียงแค่ยามเฝ้าประตูเห็นเขาก็รีบยกมือวันทยาหัตถ์ทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง นี่ทำเอากิลเบิร์ตขวัญเสียไปวูบหนึ่ง คนพวกนี้แม้ใส่เครื่องแบบไม่คุ้นตา แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่คือเครื่องแบบทหาร ทำไมทหารประจำการถึงทำความเคารพขุนนางล่ะ!

   คำตอบนั้นไม่นานเกินรอ เมื่อเปิดประตูเข้าไป ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบทหารสีแดงเลือดหมูก็ยืนรออยู่แล้ว ชายผู้นั้นทำหน้าขมึงทึงไม่ต่างจากลุดวิกซ้ำยังยกมือวันทยหัตถ์เขาอย่างเคร่งเครียด

“ยินดีต้อนรับกลับจากการพักร้อนครับท่านนายพลชไนเดอร์!”

   หา!!

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตแทบล้มทั้งยืน เขาถูกหลอก! เขาถูกหลอกจริงๆแล้ว!! หมอนี่ไม่ใช่ขุนนางธรรมดา แต่เป็นขุนนางฝ่ายทหาร! ซ้ำยังเป็นนายพล! บ้าไปแล้ว!!

“จะไปไหน!” ลุดวิกเห็นกิลเบิร์ตก้าวถอยหลัง ภาษากายส่อแสดงว่าเตรียมจะชิ่งหนีก็รีบกระชากแขนดึงให้เข้ามาใกล้ ปฏิกิริยาท่าทางของเขาทำเอาคู่สนทนาจ้องเขม็ง ข้อแรกเจ้าหนุ่มนี่คือใคร ข้อสองเจ้าหนุ่มนี่มีความสำคัญยังไงกับท่านนายพลของพวกเขา และข้อสาม กล้าดียังไงถึงจะหนีจากท่านนายพลของพวกเขา!

“หนีน่ะสิ! คุณโกหกฉัน!” กิลเบิร์ตชี้นิ้วที่สั่นเทาของตนเอง อย่านึกว่าเขาทายไม่ออกนะ นายทหารชั้นนายพล ตราขุนนางในสภา อีแบบนี้ขืนเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย หมอนี่ก็คงกำลังคิดก่อการใหญ่แล้วล่ะ! จะการใหญ่การเล็กที่ไหนเขาก็ไม่เอาทั้งนั้น! ปล่อยเขากลับไปขัดรองเท้าเถอะ!

“ท่านนายพล พ่อหนุ่มคนนี้คือ” อีกฝ่ายถาม

“อ้อ ขอแนะนำให้รู้จัก ว่าที่ภรรยาของฉัน กิลเบิร์ต”

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตกรีดร้องในใจเสียงดังลั่น เขาถูกหลอก!!!

จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 6 ภรรยาในอุดมคติ! (4/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 04-11-2018 18:42:56
ตอนที่ ๖
ภรรยาในอุดมคติ

   เมื่อฝ่ายท่านนายพลหงายการ์ดว่าที่ภรรยา สถานะของกิลเบิร์ตจึงได้รับการรับรองในทันที เขาถูกพาตัวไปห้องส่วนตัวของว่าที่สามีกำมะลอเพื่อรอลุดวิกประชุม อดกระสับกระส่ายหาทางหนีเอาตัวรอดไม่ได้ เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมถูกมัดมือชกจับแต่งงานแบบนี้แน่! ถ้าพระเจ้ามีจริงช่วยบอกเขาทีสิว่าทำไมหนีเสือปะจระเข้แบบนี้ สามีคนก่อนเป็นเจ้าอาณานิคมที่ถีบหัวส่งเขาออกมา ส่วนผู้ชายที่เก็บเขาได้คือท่านนายพลที่ส่อแววคิดการใหญ่ แบบนี้ก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่ามีแต่ความวุ่นวาย แค่ขอใช้ชีวิตชายขอบไปวันๆทำไมถึงยากเย็นนักนะ!

   ในตอนนั้นกิลเบิร์ตคิดหลายอย่าง เขากำลังคิดว่าจะเดิมพันใช้เทเลพอร์ตหายตัวหนีไปเลยดีไหม แต่ทำแบบนั้นจะส่งคลื่นพลังให้พวกอารอนติดตามได้ ทั้งหลังจากนี้ลุดวิกคงหาทางเล่นงานเขาจนทำมาหากินบนดาวดวงนี้ไม่ได้อีกเลย มองไปเห็นแต่ทางเสีย เอาเป็นว่าสุดท้ายคงได้แต่รั้งรอดูสถานการณ์ไปก่อน คิดแล้วก็ปลงตกนั่งลงบนเก้าอี้ เอื้อมมือเทน้ำชาลงถ้วยจิบพอให้ใจเย็นลง ในเมื่อคิดอะไรไม่ได้จึงตัดสินหลับตานอนเสีย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คิดเสียว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วละกัน

   กิลเบิร์ตผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย แต่ไหนแต่ไรเขาก็ติดนิสัยสมัยเป็นเด็กหนุ่มแรงดีที่ตระเวนไปทั่วทุกสมรภูมิ กินง่ายนอนง่าย เวลานี้แม้อายุอานามถูกปรามาสว่าเข้าวัยเกษียณสำหรับเอสเปอร์แล้ว เขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เมื่อเทียบอายุการใช้งานของทหารเอสเปอร์ ผู้คนมักคิดว่าพลังจิตของเขาถดถอยแล้วจำเป็นต้องพักผ่อนและถอนตัวจากสมรภูมิแนวหน้า แต่ในความเป็นจริงเขากลับรู้สึกว่าตัวเขาแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าพลังของเขาท่วมท้นมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่หากพูดไปคงถูกหาว่าโกหกและหวงตำแหน่งนายพล แต่ครั้นไม่พูดก็เลยกลายเป็นทหารแก่ๆเหมือนอย่างที่อารอนด่าว่า

   คำพูดสุดท้ายที่เฟรเดอริคพูดกับเขาตอนนั้นคืออะไรนะ คนๆนั้นจริงๆแล้วเกลียดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“เฟรเดอริค ฉัน...” กิลเบิร์ตพึมพำชื่อนั้นออกมาอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด หากแต่ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องเปิดผางออกจนทำชายหนุ่มสะดุ้ง เคราะห์ร้ายที่คำพูดของเขาเมื่อครู่อีกฝ่ายดันได้ยินเต็มสองหูเสียแล้ว

   ละเมอถึงชื่อผู้ชายอื่นในห้องของว่าที่สามี แค่นี้ก็ทำเอาผู้ฟังหนังตากระตุกจากที่ไม่ชอบขี้หน้าอยู่แล้วกลับยิ่งเดือดดาล

“ไร้มารยาท! ไม่เคยมีใครสั่งสอนหรือไงว่าต้องรู้จักสำรวม!” ชายวัยกลางคนผู้นั้นตีหน้าเหี้ยมตวาดขึ้นทันที ทำเอากิลเบิร์ตชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะหรี่ดวงตาลง คนๆนี้คือชายคนที่มาต้อนรับลุดวิกเมื่อครู่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่กล้าพูดแบบนี้กับว่าที่ภรรยาของเจ้านายงั้นหรือ? ดูท่าความสัมพันธ์จะซับซ้อนใช่เล่นเสียแล้ว

“ลุดวิกบอกว่าฉันสามารถทำอะไรในห้องนี้ก็ได้” กิลเบิร์ตตอบเรียบๆ เขาไม่แม้แต่จะชักสีหน้า เพียงแค่พูดเสียงเรียบๆชี้แจงเท่านั้น เอาเข้าจริงเขาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยสักนิด แต่ก็อดไม่พอใจขึ้นมานิดๆไม่ได้ที่ถูกตะคอกใส่ เขาไม่ผิดเสียหน่อย ทำไมต้องมาถูกต่อว่าด้วยล่ะ!

“อย่าเรียกท่านนายพลด้วยชื่อตัว! คิดว่าคนที่ท่านนายพลพามามีนายคนเดียวหรือไง!” ตอกใส่หน้าอย่างหยาบคายที่สุด ต่อให้พยายามแสร้งโง่แค่ไหนกิลเบิร์ตก็อดไม่ได้ที่จะปากไวพูดต่อ

“แล้วไงหรือ” ถามกลับอย่างเยือกเย็นโดยอัตโนมัติ เขาคิดอย่างที่พูดจริงๆไม่มีเสแสร้ง แต่ไอ้คำพูดตรงไปตรงมาแสนจริงใจนี่ล่ะที่ดูโหดที่สุดในยามนี้ “ลุดวิกจะเคยพาใครมา เกี่ยวอะไรกับฉันหรือ” ตัวซวยแบบนั้นจะพาใครมาเปิดตัว หรือจะจูงใครเข้าห้องไปสักร้อยคนแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา ทั้งหมดนี่มันก็แค่ละครปาหี่ที่เจ้าคนชั่วนั่นผลักเขาขึ้นเวทีโยนเผือกร้อนลวกมาให้ก็เท่านั้น ซึ่งเขาจะไม่ยอมเต้นไปตามจังหวะที่ถูกกำกับอีกแล้ว

   นี่เป็นชีวิตของเขาแล้ว ไหนๆก็ได้รับอิสรภาพมาแล้ว แม้จะลำบากยากเย็นไปหน่อย แต่อนาคตหลังจากนี้เขาไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของใครหน้าไหนอีกแล้ว ยอมเป็นคนโง่ที่ถูกทิ้งขว้าง แต่จะไม่ยอมเป็นหมากบนกระดานของผู้อื่น ชีวิตนางทาสในเรือนเบี้ยแบบนั้น พอกันที!

“ไม่เข้าใจหรือว่าเจตนาดื้อด้านกันแน่!” ฝ่ายตรงข้ามถลึงตามองอย่างหงุดหงิดยามที่ได้ฟังคำต่อปากต่อคำที่เขาตีความไปแล้วว่านั่นเป็นความมั่นอกมั่นใจของคนที่คิดว่าตัวเองแน่ เขากอดอกจ้องมาที่กิลเบิร์ตเขม็ง ลักษณะท่าทีแสดงว่าต้องการข่มขวัญอีกทั้งไม่เกรงกลัวว่าจะผิดใจกันแม้แต่น้อย “คนที่จะแต่งงานกับท่านนายพลควรจะเป็นคนมีสกุลรุนชาติ ไม่ใช่กุลีแบบนาย! หากเข้าใจแล้วว่าไสหัวไปโดยเร็วซะ! ไม่อย่างนั้นจะเจอดีแน่!!”

   การข่มขวัญนั่นออกจะเกินเลยจนกิลเบิร์ตเลิกหัวคิ้วอย่างรู้สึกขำขัน นอกจากอารอนแล้วเขาก็เพิ่งเจอคนที่ชี้หน้าด่าเขาทั้งยังขู่จะทำร้ายกันออกนอกหน้าถึงเพียงนี้ อดคิดไม่ได้ว่าบางทีตาลุงนี่อาจจะเป็นญาติห่างๆข้ามฟ้าผ่าจักรวาลของอารอนก็ได้ ไม่สิ หรือว่าสมัยนี้การพูดจาโผงผางด่ากราดคนไปทั่วจะกำลังเป็นเทรนฮิตยอดนิยมกัน อย่างเช่นยิ่งด่ามากยิ่งดูจริงใจ? ยิ่งดูเป็นสุภาพชน? ยิ่งดูมีแนวทางของตัวเอง?

รสนิยมอะไรต่ำทรามขนาดนั้น?!

แล้วไง? ด่ามาก็ด่าตอบ ด่าไปด่ามา เอาชนะกันด้วยสงครามน้ำลาย? กิลเบิร์ตสงสัยว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น เขาเป็นแค่คนใช้ของลุดวิก เขาไม่คิดจะกินเผือกร้อน ทั้งยิ่งไม่หัวสูงข้ามขั้นจากคู่นอนข้ามคืนเป็นภรรยาผู้โชคร้าย งั้นควรทำยังไง? ทนให้ด่าต่อไปเรื่อยๆงั้นหรือ? ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เลวนะ

“ฉันไม่ได้หลงรักท่านนายพลของคุณเสียหน่อย ช่างยกยอปอปั้นกันเหลือเกินนะ คุณไปบอกเขาสิ หากเขาสั่งมาคำเดียวฉันจะกลับบ้านไปขัดรองเท้าเดี๋ยวนี้ล่ะ” พูดจาเฉยเมยด้วยดวงตาปลาตายสนิท ไม่รู้สึกรู้สมสักนิดกับแรงกดดันมหาศาล ท่าทีแบบนี้มันช่างทำเอาคู่กรณีไปไม่ถูก เหมือนออกหมัดชกไปบนปุยนุ่น ยิงปืนทะลุชั้นบรรยากาศ ยิ่งเลเซอร์ใส่แบล็คโฮล สรุปก็คือทำอะไรเขาไม่ได้โดยสิ้นเชิง จากที่คิดจะด่าต่อ นี่ก็ทำเอาเขาหงุดหงิดจนควันออกหูแล้ว

“นาย!”

“ผู้ชายพรรค์นั้น ขอขายคืนละกัน!”

“แก!!!”

   นั่นท่านนายพลของเขา นั่นคือชายหนุ่มยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของกองทัพ คือขุนนางชั้นสูงเสียดฟ้า นั่นคือเจ้านายที่เขาภาคภูมิใจ แต่นี่ดันถูกเจ้าหนุ่มไร้หัวนอนปลายเท้ามองเหยียดข้ามหัวอย่างไม่มีเยื่อใย นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!

“กล้าดียังไงถึงปฏิเสธท่านนายพล!!!”

“หา!”

“ถ้าท่านนายพลอยากแต่งนายก็ต้องแต่ง! เป็นแค่คนไร้หัวนอนปลายเท้ากล้าดียังไงมาปฏิเสธท่านนายพล!!!!”

“หา!!”

   อัศเจรีย์เพิ่มเป็นสองตัว งานนี้คนที่เหวอที่สุดกลับกลายเป็นกิลเบิร์ตอีกครั้ง เมื่อกี้ไม่ใช่หมอนี่เพิ่งบอกให้เขาเจียมเนื้อเจียมตัวถอนตัวเรอะ นี่ก็ถอนตัวแล้ว นี่ก็ยอมแล้ว ก็ช่วยสนับสนุนกันหน่อยสิ!

   สมองสับสนชีวิตยากลำบาก ในตอนนั้นเองที่เจ้าคนที่ทำให้ชีวิตของเขาเหนื่อยยากแสนสาหัสขนาดนี้ก็เปิดประตูเข้ามาเสนอหน้า จะเป็นใครไปได้ ก็ท่านนายพลลุดวิก ชไนเดอร์ในชุดเครื่องแบบนายทหารสีแดงเลือดหมูกับกางเกงสีดำบนเสื้อประดับดวงตราประดับยศอลังการงานสร้างเตะสายตา กิลเบิร์ตรู้สึกได้ทันทีว่าคำอวดโอ้เมื่อครู่ของคุณผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ไม่ถือว่าเกินจริง ลุดวิกในชุดเครื่องแบบนั้นหล่อเหลาเกินมาตรฐาน ฐานะหน้าที่การงานยศฐาบรรดาศักดิ์ไม่มีตรงไหนขาดตกบกพร่อง ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่หมอนี่จะถือดีถือตัวขนาดนี้ ส่วนคนรอบข้างพอถูกแสงเจิดจ้าปานนี้ฉายแสงใส่ก็คงเยินยอทรุดลงกราบไหว้

   เพียงแต่ว่า กิลเบิร์ตไม่มีวันยอมลงให้ เขาไม่มีวันยินยอมถูกหมอนี่กลืนกินโดยเด็ดขาด!

“นิโคลัส ฉันแค่ไหว้วานให้คุณมาสอบถามสารทุกข์สุกดิบเขา แต่รู้สึกว่าจะนานเกินไปไหม” ลุดวิกถามพร้อมเหยียดสายตามอง แต่ในน้ำเสียงกลับไม่มีเจตนามุ่งร้าย ทั้งที่เมื้อกี้กิลเบิร์ตค่อนข้างมั่นใจว่าหมอนี่น่าจะได้ยินการโต้เถียงของพวกเขา สุดท้ายกลับเปิดประตูสบายใจเฉิบเข้ามาแล้วพูดแค่นี้?

“ขออภัยท่านนายพล เพียงแต่พอท่านบอกว่าจะพาเจ้านี่ ไม่สิ เอ่อ คุณกิลเบิร์ตไปด้วย ผมก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ในงานเลี้ยงท่านก็ทราบดีว่าเต็มไปด้วยคนประเภทไหน แต่ท่านกลับเลือกคนๆนี้” คำพูดของนิโคลัสคลุมเครืออย่างมากจนกิลเบิรตคิ้วกระตุก งานเลี้ยง? นั่นมันคีย์เวิร์ดบ้าบออะไรกันอีก?

“เชื่อฉันเถอะ การตัดสินใจของฉันอยากให้คุณช่วยยอมรับด้วย” น้ำเสียงเคร่งขรึมแต่กลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนลงมาก ท้ายที่สุดจากการปะทะสายตา ฝ่ายนิโคลัสกลับเป็นฝ่ายพ่นลมออกจากปากพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เขาค้อมศีรษะให้ลุดวิกพลางส่งสายตามองกิลเบิร์ต เพียงแต่ว่าคราวนี้นี่ไม่ใช่สายตาหยามเหยียด แต่เป็นสายตาที่แสดงความสับสนเสียมากกว่า

“เอาเถอะ หากท่านตัดสินใจเช่นนั้น ผมก็จะไม่ค้าน จะไปตระเตรียมการให้ท่านครับ คืนนี้ผู้ติดตาม?”

“ใช้คาร์ล”

“ครับ”

   สุดท้ายนิโคลัสค้อมศีรษะถอนตัวไป ส่วนกิลเบิร์ตยังยืนงงเผชิญหน้ากับคุณเจ้านายที่อ้างตัวเป็นว่าที่สามีของเขา ซ้ำหมอนี่ยังโหดเหี้ยมมาก!

“นี่คือการส่งคนมาลองใจ?” กิลเบิร์ตไม่ลังเลที่จะมองโลกในแง่ร้าย นิโคลัสเข้ามาเกรี้ยวกราดใส่เขาขนาดนี้หากผู้บังคับบัญชาไม่ให้ท้ายจะกล้างั้นเรอะ!

“ไม่ใช่ เป็นการพิสูจน์ใจ เป็นการพิสูจน์ว่าเธอคู่ควรเป็นคนที่ฉันเลือก เลิกดื้อเสียทีเถอะ” ลุดวิกผู้นิยมทฤษฎีเหตุผลนิยมกอดอกยืนจังก้าวางมาดเจ้านายสูงส่งเหลือหลาย ความองอาจแผ่ซ่านจนกิลเบิร์ตแสบตา แต่จะแกร่งกว่านี้ เก่งกว่านี้ หล่อกว่านี้ แล้วยังไง? เขาจะหาเรื่องให้ตัวเองโดยการหลงผู้ชายหน้าตาดีจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วโดนจูงลงนรกอีกรอบงั้นเรอะ?  ตลกน่ะ!

   หล่อกว่านี้ให้ตายก็ไม่สมควรกิน! ดูดีกว่านี้ให้ตายก็ไม่สมควรชายตามอง! ผู้ชายน่าหมั่นไส้พรรค์นี้ขอให้ถูกยานอวกาศชนตายไปเสียให้หมดเถอะ!

“คืนนี้จะมีงานเต้นรำของรัฐสภา สมาชิกสภาล้วนไปเข้าร่วม ฉันจำเป็นต้องมีคู่เต้นรำ” คำพูดคำจาสุภาพแต่เนื้อหาช่างต่ำทรามถึงที่สุดทั้งไม่มีท่าทีลดราวาศอก นี่มันเจตนาบีบบังคับกันชัดๆ!!

“ก็ไปหาคนเต้นด้วยสิ! ไม่สิ! คุณก็ไปเต้นกับลุงนิโคลัสนั่นสิ! สนิทกันขนาดนี้แต่งกันไปเลยยิ่งดี! ฉันจะกลับไปขัดรองเท้า!!!” บ้าไปแล้ว! ขืนไปงานเต้นรำบ้าอะไรนั่นเขาจะยังหนีพ้นตำแหน่งภรรยากำมะลอนี่อีกเรอะ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะขอหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว!!

   คิดจนเตลิดเปิดเปิงก็เรื่องหนึ่ง แต่มือใหญ่ของลุดวิกที่คว้าหมับเข้าที่ลำแขนของเขาแบบกัดไม่ปล่อยนั่นก็เรื่องหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าคมเข้มหล่อเหลานั่นยามนี้กิลเบิร์ตรู้สึกว่ามันไม่น่ามองสักนิด นี่มันปีศาจ! นี่มันโจรผู้ร้าย! นี่มันเจ้าคนคิดก่อการใหญ่! ทำไมนายไม่นึกอยากเป็นแค่ทหารกระจอก ไม่ก็คนทำไร่ไถนาไปวันๆบ้างเล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจะยอมแต่งให้ก็ได้! แต่อีแบบนี้ยังไงก็ไม่เอา!

“ถ้าไม่ไปฉันจะส่งเธอไปคุกขี้ไก่ตอนนี้เลยเป็นไง” ลุดวิกขู่อย่างเฉยชาทำเอากิลเบิร์ตกัดฟันกรอด

“งั้นก็ส่งไปสิ! ฉันขอย้ำนะว่า คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่เรื่องเป็นภรรยานี่เท่านั้นที่ไม่! คุณจะใช้ใครเป็นเครื่องมือก็ใช้ไป แต่อย่ามาใช้ฉัน!” กิลเบิร์ตไม่ยอมแพ้ เขาไม่ยอมเด็ดขาด!

   คำพูดประโยคนี้ของกิลเบิร์ตทำให้ลุดวิกหงุดหงิดหนัก แต่ก็อดชื่นชมขึ้นมาอีกหน่อยไม่ได้ กิลเบิร์ตไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม เขาดูฉลาดมาก แต่ความฉลาดของเขาถูกจำกัดด้วยข้อมูลที่มีขีดจำกัด คนแบบนี้เหมาะแก่การช่วงใช้ประโยชน์ แต่ก็อีกนั่นล่ะ คนแบบนี้คุณไม่สามารถบีบบังคับเขาได้ ไม่สามารถข่มขู่ และไม่สามารถขืนใจโดยใช้กำลัง วิธีที่จะทำให้คนประเภทนี้ยอมลดราวาศอก มีแต่...ผลประโยชน์

   หมูไปไก่มา นั่นล่ะทางออก!

“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะใช้เธอเป็นเครื่องมือ” ทางนี้ลุดวิกยังคงไม่ยอมแพ้ เขาตีหน้าตาขมึงทึงและเผลอบีบแขนของกิลเบิร์ตแรงขึ้นจนเจ้าตัวหน้าเบ้ เขารู้สึกเจ็บจริงๆแล้ว “รู้ได้ยังไง!”

“รู้สิ! คุณเป็นทหาร! เป็นขุนนาง! อีกก้าวเดียวที่ยังไม่ได้เป็นก็คือเชื้อพระวงศ์! คุณคิดอะไรอยู่น่ะ!” ผู้ชายแบบนี้ ภูมิหลังแบบนี้ หากไม่มักใหญ่ใฝ่สูงคงเสียชาติเกิด! ยิ่งเทียบกับสภาพการเมืองของดาวดวงนี้ยามนี้ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้!

   ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกหลุบดวงตาลงอย่างครุ่นคิด เขาพลั้งปล่อยมือจากกิลเบิร์ต ท่าทีสงบไว้ท่าทีเล็กน้อย ความรอบรู้นี่ช่างน่าประทับใจยิ่ง ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทุกคนหรอกนะที่จะคิดอะไรแบบนี้ได้ และยิ่งการที่มีมนุษย์ต่างดาวแบบนี้มาหล่นตุ้บอยู่หน้ารถม้ายิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้คนแบบนี้มาอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆแล้ว

“ฉันคิดจะแต่งงานกับเธอ” ลุดวิกเปลี่ยนท่าทีรวดเร็ว เขายังคงรักษาความสุขุมและกลับมาฉีกยิ้มเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว “แต่ว่า ถ้าเธอให้ความร่วมมือ ฉันสัญญาว่าเมื่อจบงานนี้ ฉันจะปล่อยเธอไป แน่นอนว่าจะให้ค่าตอบแทนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตขี้เกียจไร้ค่าเป็นขยะเปียกที่เหลือแบบสบายๆ”

“ค่าตอบแทน?” กิลเบิร์ตเลิกหัวคิ้ว หมอนี่กำลังจะมาไม้ไหนกัน

“เธอไม่มีเงิน ไม่มีงาน ไม่มีอาหาร ไม่มีบ้าน เอาล่ะ งั้นตอบฉันสิว่าจะใช้ชีวิตบนดาวดวงนี้ยังไง” กอดอกเชิดหน้าเจตนาบีบอีกฝ่ายเต็มที่ ถึงตอนนี้แล้วเขาไม่มีวันยอมลดราวาศอกเช่นกัน “อยากกลับไปเร่ร่อนตามตรอกอีกรึไง หรือว่านอนกับผู้ชายแปลกหน้าไปเรื่อยๆก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่เลว”

“คุณ! สารเลวที่สุด!” นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต่อให้เป็นเอสเปอร์ ต่อให้เก่งแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถฝืนแรงดึงดูดของดวงดาวออกไปนอกอวกาศอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือยได้หรอก ไม่ว่าจะยังไงเขาจำเป็นที่จะต้องมีเงินทุนตั้งตัว เจ้าคนชั่วนี่เจตนาหาเรื่องมาบีบคั้นกันชัดๆ แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ มันคือจุดอ่อนของเขาจริงๆนั่นล่ะ! “เจ้าคนไร้คุณธรรม!”

“ก็ใช่น่ะสิ คนคิดการใหญ่ใครมีคุณธรรมล้นฟ้ากันล่ะ” น่าเสียดายที่คนเช่นลุดวิกก็ไม่ยี่หระที่จะถูกด่าเช่นกัน ด่านิดด่าหน่อยก็แค่เสี้ยนสะกิดหนังเท้า “ที่ต้องเลือกตอนนี้คือ เธออยากจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรือเป็นแค่เหยื่อล่ะ”

“!”

   คำพูดคำจาแม้สุภาพแต่กิลเบิร์ตกลับรู้สึกว่านี่คือที่สุดของความหยาบคาย ผู้ชายคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรของเขาเลย ไม่รู้เลยว่าเขาพบเจออะไรมา แต่ครั้นเขาเข้าเงื่อนไขในการหาประโยชน์ก็ใช้จุดอ่อนนั้นมาเล่นงานเขา ถึงจะรู้แก่ใจว่าคนเราทุกคนล้วนมีเหตุผลส่วนตัวและมีผลประโยชน์ที่ต้องรักษา แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกว่าการกระทำของลุดวิกไม่ต่างอะไรกับเฟรเดอริคเลย เพียงแต่คนหนึ่งเลือกจะผลักเขาทิ้ง ส่วนอีกคนเลือกจะเก็บเขาขึ้นมา ผู้ชายพวกนี้จริงๆแล้วก็พอกันนั่นล่ะ!

“ไง คำตอบล่ะ” ลุดวิกกอดอกมองเหยียดด้วยสีหน้าเย็นชา ใช่ว่าเขาไม่สงสารเห็นใจอีกฝ่าย คนเร่ร่อนถูกทิ้งขว้างมา แล้วมาโดนเขาทำร้ายจิตใจแบบนี้อีกย่อมต้องทุกข์มาก แต่ความเห็นใจก็เรื่องหนึ่ง ความจำเป็นก็เรื่องหนึ่ง เขาไม่มีเวลาอีกแล้ว ไม่เหลือทางเลือกอีกแล้ว ในคืนนั้น คืนที่เขาพบกิลเบิร์ต เขาทั้งหงุดหงิดและมืดแปดด้านกับปัญหารุมเร้า แต่ทุกสิ่งกลับคล้ายจะคลี่คลายไปในทันทีที่เขาได้พบคนๆนี้

   ลุดวิกไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรทั้งนั้น เขามองเห็นเพียงโอกาส และกิลเบิร์ตก็คือโอกาสเดียวที่เขาจำเป็นต้องคว้าไว้ เขาไม่อาจไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่อาจแต่งงานกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนบนดาวดวงนี้ คนที่เขาต้องการ ภรรยาที่เขาต้องการก็คือคนที่ไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆกับดวงดาวนี้เลย

   ยิ่งไม่รู้ยิ่งเหมาะสม ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งคู่ควร ไม่รู้ได้ รู้น้อยได้ แต่ห้ามโง่เขลา!

“กิลเบิร์ต คำตอบของเธอล่ะ” ลุดวิกถามย้ำพลางยื่นมือส่งให้ ขอเพียงส่งมือมาก็ถือว่าข้อตกลงระหว่างพวกเขาเป็นอันสมบูรณ์

   กิลเบิร์ตจะเลือกอะไร?


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 6 ภรรยาในอุดมคติ! (4/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 04-11-2018 23:08:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 6 ภรรยาในอุดมคติ! (4/11)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-11-2018 17:03:38
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 7 ขยะเปียกกับถังขยะรีไซเคิล (7/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 07-11-2018 21:09:53
ตอนที่ ๗
ขยะเปียกกับถังขยะรีไซเคิล

   ชั่วชีวิตคนๆหนึ่งพบพานอะไรมามากมาย เสียใจกับอะไรมามากมาย ท้ายที่สุดพอตัดสินใจจะปล่อยวางกลับมาพบเจอคนยึดมั่นถือมั่นจนเกินเลย ในสายตาของกิลเบิร์ตยามนี้ลุดวิกเป็นเช่นนั้น เขาคือผู้ชายอวดดีที่ยึดถือความคิดและเหตุผลของตนเองเป็นที่ตั้ง แข็งกระด้างจนเกินเลย ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าความบ้าบิ่นนี้จะพาเขาไปที่ไหน สูงสุดยอดเขาที่หนาวเย็นโดดเดี่ยวแบบเฟรเดอริค หรือสุดท้ายสะดุดขาตนเองร่วงตกลงมาชอกช้ำแบบตัวกิลเบิร์ตในยามนี้

   แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร กิลเบิร์ตก็รู้ตัวว่าไม่อาจเล่นเกมๆนี้ไปกับเขาได้ แม้ต้องดิ่งลงนรกลึกไปกว่านี้ก็สามารถเดินตามแผนการนี้ได้ ท้ายที่สุดคำตอบที่เขาตอบออกไปยังคงเป็นคำปฏิเสธ

   เขายังคงไม่ส่งมือให้กับลุดวิก

“โง่เง่า!” ลุดวิกตวาดใส่หน้ากิลเบิร์ต มีชีวิตมาจนป่านนี้เขาเพิ่งจะเคยพบเจอคนหัวแข็งขนาดนี้ ขู่ก็แล้ว ปลอบก็แล้ว ทำทุกอย่างก็แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าผ่อนปรนลดราวาศอก “ยึดติดกับสามีเก่าถึงขนาดจะไม่ยอมเริ่มต้นใหม่เลยรึไง” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดออก คนเราหากไม่ยึดติดขนาดนั้นทำไมจะต้องปฏิเสธเขาด้วย ข้อเสนอพวกนี้มีตรงไหนที่ไม่ดีกัน! เป็นคุณนายหรือข้าทาสก็เห็นกันจะๆอยู่แล้ว!

“ถ้าฉันตอบรับคุณ เท่ากับว่าฉันนั่นล่ะที่ยึดติด คุณลุดวิก ฉันอาจจะบอกคุณไม่ได้ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับอดีตสามี แต่ว่าคุณในยามนี้น่ะ ช่างทำให้ฉันหวนรำลึกถึงเขาจริงๆ” ทั้งที่คิดจะพูดตักเตือนเป็นงานเป็นการแท้ๆ แต่พริบตานั้นที่ลุดวิกกระโจนเข้าใส่เขาผลักล้มลงบนโซฟาตัวใหญ่และขึ้นคร่อมกดทับอย่างไม่ปรานีปราศรัย ลมหายใจร้อนระอุ ริมฝีปากสากด้านประกบจูบรุกรานลงมาช่วงชิงอากาศหายใจจากเขาโดยสิ้นเชิง แม้กิลเบิร์ตพยายามดิ้นรน แต่เรี่ยวแรงเขาในตอนนี้ย่อมไม่อาจฝืนสู้นายทหารร่างสูงใหญ่ที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเช่นนี้ได้หรอก ดังนั้นสิ่งที่เขาทำจึงยิ่งเลวร้ายหนักข้อ

“โอ๊ย!” ลุดวิกอุทานเมื่อฝ่ายตรงข้ามกัดลิ้นของเขา ดวงตาสีฟ้ามองจ้องคนตรงหน้าอย่างขัดเคืองถึงที่สุด ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะขู่แค่ไหนก็ไม่ได้ผล “รู้หรือเปล่าว่าชีวิตตัวเองหลังจากนี้จะเป็นยังไง!”

“ฉันรู้ รู้ตั้งแต่คืนที่ขอทานคุณแล้วก็ยอมนอนกับคุณนั่นล่ะ” กิลเบิร์ตตอบเสียงเรียบ ทั้งที่ข้อความนั้นสุดแสนจะน่าอัปยศแต่ดวงตากลับไม่มีสั่นไหว ใบหน้าของเขายังคงเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทระนง แม้ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่จะไม่ยอมก้มศีรษะให้ผู้ใดบงการ จะเป็นยศศักดิ์การงานเงินทองหรือว่าร่างกาย เสียเท่าไหร่ย่อมเสียได้ แต่ศักดิ์ศรีของตัวเองหากเสียลงครั้งหนึ่งแล้วจะมีวันโงหัวขึ้นอีกหรือ นี่ก็คือเหตุผลที่เขายอมหักไม่ยองอให้กับเฟรเดอริคและอารอน จนต้องถูกบีบให้เซ็นใบหย่าใบนั้น

“รู้อะไรกัน ถ้ารู้ดีก็ควรฉลาดกว่านี้สิ!” อีกฝ่ายยังคงตะคอกใส่ แต่น่าเสียดายว่าท่าทีนั่นไม่อาจสั่นคลอนคนตรงหน้า

“ฉันในสายตาของคุณเป็นขอทานข้างถนน เป็นโสเภณีขายตัว เป็นคนรับใช้ แล้วตอนนี้ที่คุณต้องการก็คือทาสที่เล่นละครเป็นภรรยา ฉันทำไม่ได้! ฉันไม่อยากทำร้ายตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว!!” ในตอนที่พูดประโยคสุดท้ายนั่น จู่ๆก็รู้สึกว่านัยน์ตาของตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งรีบหันหน้าหนี แต่เพราะสองแขนถูกจับเอาไว้จึงไม่อาจยกขึ้นปาดหยาดน้ำที่ซึมไหลออกมาจากหางตาได้ทัน

   ในวินาทีนั้นหลังจากพานพบกันมาระยะหนึ่งลุดวิกกลับได้เห็นในสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน มันคือ...น้ำตาแห่งความเจ็บแค้น

   คนที่แม้แต่ในตอนที่จะอดตายก็ไม่ร้องไห้เสียใจ แต่ตอนนี้พอถูกขอให้เป็นภรรยา กลับต้องร่ำไห้ทุกข์ทน เขาไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนๆนี้ถึงแสดงทีท่าแบบนี้ออกมา เขาทำอะไรผิดงั้นหรือ ผิดมากจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกสะเทือนใจถึงเพียงนี้เลยหรือไง ในฐานะชายชาติทหารคนหนึ่ง ลุดวิกรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่ที่กิลเบิร์ต แต่เป็นตัวเขา เป็นตัวเขาเองที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของตนเองถึงขนาดข่มขู่บังคับไม่สนใจไยดีความรู้สึกอีกฝ่าย หากไม่ใช่เพราะทุกอย่างจวนตัว เขาจะไม่เลือกทางนี้เลย

   กิลเบิร์ตเพิ่งหย่าขาดกับสามี เพิ่งจากบ้านเกิดเมืองนอน เพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ แม้ไม่พูดออกมา แต่ใครบ้างที่ไม่หวังที่พึ่งพิง ไม่คาดหวังความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับเป็นการทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่ได้เกลียดกิลเบิร์ต ในทางตรงกันข้ามเขาชอบนิสัยใจคอของคนๆนี้ แต่ว่าการพบกันครั้งนี้ดูเหมือนจะผิดที่ผิดทางเสียแล้ว

“ถือเสียว่าฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้ละกัน” นั่นคือข้อสรุปของลุดวิก ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องย่อมป่วยการจะดันทุรัง คนที่ไม่มีใจจะให้ มีแต่จะพาให้งานเสียหายล่มจมกันเสียเปล่า 

“เอ๋!” ฝ่ายกิลเบิร์ตย่อมตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน แถมยังยินยอมลุกไปจากตัวเขาง่ายๆด้วย หากนี่เป็นเฟรเดอริค หมอนั่น...

   หมอนั่นจะต้อง...

“แต่ตอนนี้ฉันยังกลับลำไม่ได้ง่ายๆ คืนนี้ก็ไปด้วยกันในฐานะผู้ติดตามของฉันละกัน ฉันสัญญาว่าจะไม่แนะนำกับใครว่าเธอเป็นภรรยา พรุ่งนี้ฉันจะส่งเธอออกไปนอกเมืองหลวง ไปใช้ชีวิตที่นั่นอย่างที่พอใจเถอะ” ลุดวิกบอกเสียงเรียบ นัยน์ตานั้นอ่อนโยนลงหลายส่วนทำเอากิลเบิร์ตพลันรู้สึกผิดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่าคำพูดต่อไปนั่นกลับทำเอาเขาเลือดขึ้นหน้า “ของที่ไม่มีประโยชน์ จะเก็บไว้ใกล้ตัวทำไม เป็นขยะจริงๆ”

“คุณ!!!” ให้ตายเถอะ เขามันโง่เองที่แวบหนึ่งเผลอใจอ่อนให้กับหมอนี่! 

ทว่า ในตอนนั้นเองที่มือของอีกฝ่ายลูบลงมาบนศีรษะของกิลเบิร์ต นัยน์ตาสีฟ้างดงามคู่นั้นกำลังจ้องมองเขาอย่างตรงไปตรงมา ริมฝีปากบนใบหน้าบึ้งๆนั่นคล้ายกำลังยกยิ้ม คนๆนี้กำลังส่งยิ้มให้เขาใช่ไหม?

“คุณ...”

“ถึงเป็นขยะก็เป็นขยะของฉันล่ะนะ เจ้าแมวขยะ!” แสยะยิ้มพริ้มพรายวางท่าเป็นผู้ดีอย่างยิ่งยวด แต่ถ้าจะคิดว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องน่าฟังก็ถือว่ารสนิยมต่ำทรามแล้ว!

“ขยะบ้านพ่อคุณสิ!!” ไอ้เวรที่ไหนสั่งสอนว่าให้ชมคนด้วยคำว่า ขยะ!!!

   คำก็ขยะสองคำก็ขยะ ถ้าฉันขยะงั้นคุณก็เป็นถังขยะนั่นล่ะ!!! เจ้าถังขยะรีไซเคิล!!!!

   สุดท้ายแม้จะไม่ลงรอยนัก แต่ลุดวิกก็ตัดสินใจตัดกิลเบิร์ตออกจากแผนการ แต่เขากลับไม่อาจถอนตัวจากศึกสงครามที่กำลังจะเริ่มต้นของตนเอง อันที่จริงแม้จะรู้สึกผิดหวังกับกิลเบิร์ตไม่น้อย แต่นอกจากความเห็นใจแล้ว สำหรับเขาแล้วการที่ตนเองเริ่มใจอ่อนให้กับอีกฝ่าย มันกลับกลายเป็นลางหายนะแทนที่ ควรจะเห็นเป็นแค่ตัวหมากธรรมดาแท้ๆ แต่ครั้นเริ่มรู้สึกว่ามีค่ามากเกินไป นี่กลับไม่ดี การส่งกิลเบิร์ตออกไปจากชีวิต บางทีอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เพียงแต่ว่า สิ่งที่พูดออกสื่อไปก่อนหน้านี้ป่านนี้จะถึงหูใครแล้วบ้าง เขายากที่จะคาดเดา ได้แต่หวังว่าจะต่างคนต่างไม่โชคร้ายกันเกินไปนัก ถ้าจะจากกัน ก็หวังว่าจะจากกันด้วยดี

ส่วนเขา ก็แค่กลับไปเริ่มต้นใหม่

   ก่อนที่จะถึงงานเลี้ยงในช่วงเย็น ลุดวิกวางแผนจะพากิลเบิร์ตไปที่ห้องเสื้อ แม้จะสั่งตัดไว้แล้วแต่งานของชนชั้นสูงไม่อาจไม่ประณีต ดังนั้นการลองเสื้อผ้าขั้นสุดท้ายก่อนออกงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะมีกิจธุระเร่งด่วนมากมาย แต่ลุดวิกก็ยังสละเวลามาเพื่อพากิลเบิร์ตออกไปด้วยตนเอง ในสายตาคนนอกนี่ช่างดูคล้ายคนรักช่างเอาอกเอาใจ แต่ในสายตาของกิลเบิร์ตนี่ก็แค่การจับตาดูแบบกัดไม่ปล่อยเท่านั้น หมอนี่อย่างน้อยก็คงอยากใช้เขาทำอะไรในงานคืนนี้ก่อนกระมัง แต่เอาเถิด เขาย่อมไม่ถือสา หากเจ้าถังขยะรีไซเคิลนี่อยากจะทำอะไรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลาขาดจากกันก็เชิญทำตามใจตัวเองเถอะ จบคืนนี้ถือว่าเรา
ขาดกัน!

   ถึงจะบ่นกระปอดกระแปด แต่เมื่อได้ออกมาเปิดหูเปิดตาในเมืองแล้ว กิลเบิร์ตก็อดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตาออกไปนอกรถม้าอีกครั้ง วันนี้เขาใช้เวลาครึ่งวันอ่านหนังสือในห้องทำงานของถังขยะ เอ๊ย! ลุดวิก! และตอนนี้ก็ได้มาเห็นของจริงกับตาแล้ว
เมืองหลวงของอาทีเรีย ชื่อว่า ซัลบูร์ก เป็นเมืองที่เดิมทีเคยเป็นเหมืองเกลือในระยะเริ่มสร้างอาณานิคม แม้แต่ตอนนี้ทางใต้ของเมืองก็ยังมีการทำธุรกิจนี้ แต่ในเมืองหลวงนั้นกลับแปรสภาพเป็นมหานครไปแล้ว ในตอนแรกกิลเบิร์ตไม่แน่ใจว่าอาทีเรียจะมีความเจริญในด้านเทคโนโลยีขนาดไหน แต่พอเขาเริ่มสังเกตให้มากขึ้นก็พบว่าดาวดวงนี้ หรืออย่างน้อยก็เมืองๆนี้มีรสนิยมที่ไม่เลวเลย อาทิเช่น แม้จะบอกว่าเป็นรถม้า แต่ม้าที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นม้าตัดต่อพันธุกรรมมีประสิทธิภาพสูงวิ่งได้เร็ว การมีรถม้าถือเป็นรสนิยมส่วนตัวสุดแสนฟุ่มเฟือยอยากเจาะเวลาหาอดีตของชนชั้นสูง ในขณะที่ขนส่งสาธารณะที่ประชาชนเข้าถึงได้อย่างรถรางหรือรถไฟนั้นแท้ที่จริงใช้ระบบไฟฟ้าพลังน้ำทั้งหมด พอสอบถามลุดวิกถึงรายะเอียด แม้จะถูกมองเหยียดอย่างรำคาญใจแต่ก็ได้รับการบอกเล่าถึงการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตพลังงานสะอาด และมีการสร้างเตาปรมาณูสำหรับการขนส่งข้ามดวงดาวด้วย

“เจริญใช้ได้เลยนะนี่” กิลเบิร์ตว่า ตอนแรกเขานึกว่าดาวดวงนี้จะไกลปืนเที่ยงถึงขนาดไม่มียานอวกาศเสียอีก

“ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลยคงโดนยึดเป็นดาวอาณานิคมไปนานแล้ว สมัยนี้นี่เป็นเรื่องปกติ” ลุดวิกอธิบาย ส่วนกิลเบิร์ตพยักหน้ารับ ในหมู่ดาวอาณานิคมของโลกที่มนุษย์มาตั้งรกราก ตอนนี้ก็เริ่มทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันเองแล้ว ตัวอย่างก็อย่างเทสล่ากับซิลวานี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เฟรเดอริคจัดการยังไงไปแล้ว ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะยังพอมีสติอยู่บ้าง

   แต่ใช่ว่าเขาจะใจอ่อนหรอกนะ กับคนพวกนั้นยังไงก็ขอลาขาดตลอดกาลด้วยเช่นกัน!

“เธอมาจากที่ไหนล่ะ” จู่ๆลุดวิกก็เอ่ยถามขึ้นมาลอยๆทำเอาฝ่ายผู้ฟังสะดุ้งเล็กน้อย

“ฉัน...” เอาเข้าจริงเขาลืมประเด็นนี้ไปนานแล้ว มาวันนี้ถูกถามขึ้นทำเอาตั้งตัวไม่ติดเช่นกัน

 “ทำไม ตอบไม่ได้หรือไง” ถามย้ำอีกครั้ง ถึงตอนนี้เขาล้มเลิกจะแต่งงานกับกิลเบิร์ต แต่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่คนของเขาเสียหน่อย แค่ถามเล่นๆทำไมเขาจะถามไม่ได้กันเล่า

“ฉัน เอ่อ...”

   ในตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตลังเลว่าควรจะโกหกอีกรอบหรือไม่ แต่เพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆที่เขาพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ประกายไฟไร้ที่มาจู่ๆเสมือนแว่บตัดกระแสอากาศ แม้แต่ลุดวิกยังเหมือนไม่รู้สึกตัว แต่กิลเบิร์ตรู้สึก นี่มัน!

   ตูม!!!

    พริบตาเดียวที่รถม้าที่กิลเบิร์ตกับลุดวิกโดยสารมาเกิดระเบิดขึ้นใจกลางมหานครซัลบูร์กแห่งอาทีเรีย ตำรวจสันติบาลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงตามมาอย่างรวดเร็วหลังเกิดเหตุ และแน่นอนรวมถึงนิโคลัสกับคาร์ล นายทหารคนสนิทของลุดวิกที่รุดมาที่เกิดเหตุทันทีที่ได้รับข่าว

“ท่านนายพล!!” นิโคลัสตะโกนก้องพลางสาวเท้าจะเข้าไปที่รถม้าอย่างรวดเร็ว ทว่า เบื้องหน้าของพวกเขาคือซากรถม้าที่ไหม้ไฟถูกระเบิดจนเป็นเถ้าถ่าน สภาพเช่นนี้เขาคิดว่าตนเองไม่ต้องเดาต่อแล้ว “ท่านนายพล!!!” นิโคลัสพร่ำพูดทั้งยังแผดเสียงร้องห่มร้องไห้อย่างเสียจรรยาชายชาติทหาร

   เพียงแต่ว่าคาร์ล เออร์เนส นายทหารหนุ่มกลับไม่อาจทำตาม เขาเดินขึ้นไปเบื้องหน้า แหวกวงล้อมของเจ้าหน้าที่ที่มายังที่เกิดเหตุเข้าไป สายตานั้นกวาดมองทุกสิ่งอย่างดุดัน จวบจนหยุดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง และตรงนั้นเองที่ทำให้เขาทั้งรู้สึกยินดีและตระหนกตกใจเป็นล้นพ้นในเวลาเดียวกัน

“ไง แปลกใจที่ฉันยังไม่ตายหรือ” ลุดวิกยิ้มเยือกเย็นยืนมองซากรถม้าอยู่ท่ามกลางผู้คน ข้างๆเขาคือกิลเบิร์ต ดูจากภายนอกแล้วคนทั้งสองไม่มีร่องรอยบาดแผลแม้แต่น้อย ไม่สิ แม้แต่เส้นผมยังไม่มีแม้แต่ฝุ่นเขม่าควัน

“ท่านนายพล...” คาร์ลอยากถามเหลือเกินว่า นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น!

   เพียงแต่วินาทีนั้นคนที่มีคำถามกลับไม่ใช่แค่คนนอกอย่างคาร์ลอีกแล้ว แต่แม้แต่ตัวลุดวิกเองเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาออกมาจากรถม้าคันนั้นได้ยังไง? ในเสี้ยววินาทีนั่น จะสามารถถูกลากกระโดดออกมาจากรถม้าโดยไม่รู้สึกตัวได้อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่แล้ว!

“เรามีเรื่องต้องคุยกันใช่ไหม คุณกิลเบิร์ต” ลุดวิกเอ่ยเสียงเย็นเยียบในขณะที่มือคว้าลำแขนของกิลเบิร์ตไว้อย่างกัดไม่ปล่อย ในขณะที่ที่กิลเบิร์ตแทบจะสั่นไปทั้งตัว เขารู้ว่าตัวเองฝืนทำเรื่องอันตรายแค่ไหนลงไป ผู้ชายคนนี้ นายลุดวิกคนนี้ มันตัวซวยจริง!!

“คุยบ้านพ่อคุณสิ! ปล่อยฉัน!!” ถึงด่ากราดแต่ในใจนั้นรู้ดีว่าความหายนะได้วิ่งมาเยือนไวๆนี้แน่! ต้องหนี! ต้องหนีเท่านั้น!!

“จะพ่อฉันหรือพ่อเธอคงต้องขอให้เป็นคนเดียวกันแล้วล่ะ!” ไอ้โง่เท่านั้นที่จะยังเชื่อว่าหมอนี่พูดความจริง! ที่พูดก่อนหน้านั้น ที่ร้องไห้จะเป็นจะตายว่าสามีทิ้งอะไรนั่น! ไม่ใช่ว่าตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จหรอกรึ! จะมีใครหน้าไหนที่โง่ถึงขนาดไล่ภรรยาที่เป็นเอสเปอร์ออกจากบ้านกัน!!

   เจ้าแมวขยะเปียกนี่ โกหกเขาหน้าด้านๆ!!!


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 7 ขยะเปียกกับถังขยะรีไซเคิล (7/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-11-2018 00:09:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 8 สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร (13/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 13-11-2018 22:13:10
ตอนที่ ๘
สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร

   เกิดระเบิดกลางเมืองหลวง หนำซ้ำผู้เคราะห์ร้ายยังเป็นท่านนายพลลุดวิก ชไนเดอร์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครและสมาชิกรัฐสภา สถานะสูงส่งขนาดนี้กลับถูกลอบสังหาร นี่ย่อมไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมดา แต่ทันทีที่เจ้าหน้าที่รุดมาถึงที่เกิดเหตุกลับเห็นเจ้าทุกข์ยืนอยู่ในสถานที่เกิดเหตุในสภาพเรียบร้อยไร้ที่ติ บาดแผลสักนิดยังไม่มี ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

   คนอื่นไม่รู้ แต่ลุดวิกที่เริ่มจับต้นชนปลายได้รู้ เขาไม่รอให้ปากคำแต่กลับโยนเรื่องทั้งหมดให้นิโคลัสจัดการ ส่วนตัวเองใช้คาร์ลให้ขับรถพาเขากับกิลเบิร์ตกลับไปที่ศูนย์บัญชาการ นี่ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนงานเลี้ยง และเขาจำเป็นที่จะต้องเคลียกับเจ้าแมวขยะเจ้าปัญหานี่ให้รู้เรื่อง ดังนั้นพอมาถึงห้องส่วนตัวไม่พูดพร่ำทำเพลงฟังเสียงห้ามปรามถามไถ่ของผู้ใดก็โยนเจ้าขยะเปียกไปกองบนพื้น ล็อคประตูห้องกอดอกยืนจ้องเขม็ง วินาทีนี้เขาอยากรู้ว่าหมอนี่จะยังโกหกอะไรได้อีก!

“มีอะไรจะพูดมั้ย” ลุดวิกถาม น้ำเสียงนั้นย่อมไม่อาจเรียกได้ว่ามาอย่างเป็นมิตร ส่วนกิลเบิร์ตย่อมไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้เขาเชื่อว่าลุดวิกต้องสงสัยแล้ว รู้สึกเจ็บใจตัวเองเหลือแสน ทำไมตอนนั้นไม่หนีออกมาคนเดียวแล้วปล่อยหมอนี่ให้ถูกระเบิดตายโหงไปนะ!

“ฉัน เอ่อ จริงๆเป็นเอสเปอร์ เป็นเอสเปอร์กระจอกๆน่ะ!” กิลเบิร์ตตอบ คิดดูให้ดีปัญหานี้ไม่ได้ยากขนาดนั้นเลย ก็ถ้าอีกฝ่ายสงสัยก็ยอมรับความจริงไปเสียสิ อย่างมากก็แค่ความแตกเล็กน้อย!

“อ้อ” อีกฝ่ายขึ้นเสียงสูงพยักหน้ารับ แต่ฉับพลันคิ้วกลับขมวดมุ่นก่อนจะย่างสามขุมเดินเข้าหาและกระชากแขนกิลเบิร์ตจนตัวโยน เจ้าแมวดำแสนดื้อถูกผลักติดผนังสองมือถูกยึดไว้จนหนีไปไหนไม่รอด ดวงหน้าขมึงทึงจ้องอย่างดุดันก่อนจะเปิดปากสบถถ้อยคำชุดใหญ่ “เอสเปอร์กระจอกๆที่ใช้เทเลพอร์ตได้ในเสี้ยววินาทีและยังพาคนอื่นออกมาจากรถม้าได้พร้อมกันงั้นสิ! ช่างกระจอกจริงๆนะ! นี่คิดว่าคนอื่นเป็นไอ้งั่งกันหมดหรือไง! เจ้าขยะเปียก!!”

“ขยะพ่อคุณสิ! เออ! ใช่ฉันมันกระจอก! ความสามารถแค่นี้ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ!” โต้กลับอย่างเดือดดาลเหมือนกัน เจ้าถังขยะโง่เง่านี่คิดว่าตัวเองแน่มากนักรึถึงมาด่าคนอื่นไม่หยุดไม่หย่อน ได้ทีขี่แพะไล่ชัดๆ!!

“ยังไม่เลิกโกหกอีก! นี่คิดว่าคนอื่นโง่ดักดานมากรึไง!!” ลุดวิกยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิดตวาดใส่หน้าอย่างไม่ปรานี ทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้งอีกรอบ

กิลเบิร์ตย่อมไม่เข้าใจว่าเขาผิดตรงไหน ไม่เนียนตรงไหน ทำไมลุดวิกต้องโกรธขนาดนั้น ในสายตาของเขานี่มันก็แค่ความสามารถพื้นฐานเองนะ! นักเรียนฝึกหัดของเขาคนไหนก็ทำได้ทั้งนั้นนั่นล่ะ! อนิจจา เขาย่อมลืมไปว่าตัวเขาเป็นทหารเอสเปอร์ชั้นแนวหน้า และนักเรียนของเขาที่ว่าก็คือนายทหารมีพรสวรรค์ที่เขาคัดเลือกมาเองกับมือ

   บางครั้งพอพบเจออะไรที่เกินมาตรฐานมามาก คำว่าธรรมดาของคนๆหนึ่งก็อาจมีค่าไม่เท่าของอีกคนหนึ่ง และยิ่งบนดวงดาวไกลปืนเที่ยงอย่างอาทีเรีย พวกเขาย่อมไม่เคยเห็นเอสเปอร์ตัวเป็นๆมาก่อน เฉพาะดวงดาวที่เจริญในเทคโนโลยี การตัดต่อพันธุกรรม หรือแม้แต่มีวิวัฒนาการสูงเท่านั้นถึงจะพบเจอเอสเปอร์ได้จำนวนมาก กรณีของเทสล่าถือเป็นเรื่องพิเศษ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ลุดวิกจะคิดว่ากิลเบิร์ตโกหกเขา

“เอสเปอร์คืออะไร นี่เธอคิดว่าคนที่นี่โง่มากเลยไม่เข้าใจหรือไง! ไม่มีใครอนุญาตให้เอสเปอร์เดินร่อนไปร่อนมากลางเมือง และไม่มีผู้ปกครองดาวดวงไหนที่ไม่ขึ้นทะเบียนเอสเปอร์! ไหนบอกมาซิว่าแล้วเอสเปอร์หน้าโง่อย่างเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!!”

“ก็ถูกทิ้งไงเล่า! ก็บอกแล้วว่าถูกทิ้ง!!” กิลเบิร์ตยังคงยืนกระต่ายขาเดียว ใครจะไปกล้ายอมรับว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนเอาตอนนี้!

“สามีบ้าที่ไหนทิ้งภรรยาที่เป็นเอสเปอร์ ถ้ามีไอ้หมอนั่นก็โง่งั่งเต็มทนแล้ว! อย่ามาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จนะ!!” ลุดวิกยังคงตวาดใส่อย่างดุดัน ในความเห็นของเขาเอสเปอร์คือทรัพยากรทางการทหารที่มีค่า หากเชื่อว่ากิลเบิร์ตพูดความจริง นั่นก็คือต้องเชื่อไปด้วยว่าสามีของหมอนี่เป็นไอ้หน้าโง่ที่ปล่อยเสือเข้าป่าโดยแท้ “บอกมาว่าจริงๆแล้วเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่!!”

   วินาทีนั้นคนสองคนแทบจะเล่นจ้องตากันตาต่อตาฟันต่อฟัน ยอมหักไม่ยอมงอ ช่วยไม่ได้เพราะว่ากันตามตรงสถานการณ์ของพวกเขาสองคนก็จัดว่าหลังชนฝาด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ายหนึ่งเป็นนายทหารใหญ่ที่กำลังต้องหาคู่แต่งงาน แถมตอนนี้ยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถือเผือกร้อนเป็นเอสเปอร์ต่างดาว หากเชื้อพระวงศ์หรือคณะรัฐบาลรู้ว่าเขามีของแบบนี้ไว้ในครอบครอง ต้องถือว่าอาจร้ายแรงถึงขั้นถูกหาว่าครอบครองของผิดกฎหมาย เลยเถิดไปถึงเป็นกบฏ นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าสนุกเลยสักนิด

ส่วนอีกฝ่ายเป็นอดีตนายทหาร อดีตท่านผู้หญิงของดาวใหญ่ ตอนนี้เผลอใช้พลังจิตไป แม้ไม่อาจทราบว่านานแค่ไหน แต่คลื่นพลังจิตที่ส่งออกไปแล้ว ไม่มีทางที่คนอัจฉริยะอย่างอารอนศัตรูเก่าจะหาไม่เจอ ความวินาศสันตะโรคลับคล้ายรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ซวยน้อยคือตายที่นี่ ซวยมากคือโดนลากกลับไปขึ้นกิโยตินตัดหัว ทำไมเรื่องราวถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ!

   ทว่า แม้จะต่างคนต่างหลังชนฝาจนตรอก แต่ทั้งลุดวิกกับกิลเบิร์ตย่อมไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต่างจ้องกันและกันพลางใช้สมองขบคิดอย่างหนักหน่วง ด่าโง่กันไปหลายคำแล้ว แต่ใครบ้างจะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามโง่จริง สัจธรรมในแดนดินคนโง่ย่อมเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้ และคนโง่ย่อมเอาชีวิตไม่รอดกลางคลื่นลม ดังนั้น...

“ใจเย็นแล้วนั่งลงคุยกันหน่อยมั้ย” กิลเบิร์ตเสนอ และข้อเสนอนั่นก็ได้รับการตอบรับอย่างไม่ยากเย็น ลุดวิกนั้นเหมือนจะหายหัวร้อนลงหน่อยแล้วจึงปล่อยมือและลากเอากิลเบิร์ตโยนลงบนโซฟา ส่วนตัวเองนั่งลงฝั่งตรงข้ามกอดอกพาดขา ท่าทีหงุดหงิดสุดๆ

“อยากพูดอะไรก็พูดมา” ลุดวิกเลือกที่จะเป็นฝ่ายนิ่งบ้าง เขาพูดมาเยอะแล้ว และตอนนี้ก็อยากรู้ว่าเจ้าแมวขยะเปียกจอมวุ่นวายนี่จะพร่ำเพ้ออะไร ฝ่ายกิลเบิร์ตก็พอจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่สบอารมณ์ ถึงจะไม่รู้สถานการณ์ของฝ่ายนั้นแต่เขาก็รู้หรอกว่าการเก็บตกเอสเปอร์ตัวเป็นๆได้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด ตัวเขาตอนนี้มีมูลค่าเป็นสินค้าหนีภาษี จะพลอยก่อความเดือดร้อนให้กับคนหิ้วเข้าเมืองด้วย หากโดนจับได้ ใครจะเชื่อว่าลุดวิกไปเก็บเขามาจากข้างถนน

   ถึงจะเห็นแบบนี้ เขาก็เป็นแมวแทนคุณคนนะ!

“ฉันยอมรับว่าโกหกคุณนิดหน่อยก็ได้ ไม่สิ เอาเป็นว่าพูดความจริงไม่หมดเรื่องที่เป็นเอสเปอร์ แต่เรื่องที่ถูกหย่ากับตกลงมาที่นี่โดยบังเอิญเป็นเรื่องจริงนะ!”

“แล้วไง ให้เดามั้ยว่าจริงๆแล้วไม่ใช่หมอนั่นเจตนาปล่อยเธอมา แต่เป็นเธอเองที่หนีมา” คนคิดการณ์ใหญ่หาใช่คนหัวทึบ อย่างน้อยประโยคนี้ของลุดวิกก็ตอบโจทย์ของกิลเบิร์ตอย่างยิ่ง พอถูกจับได้ กิลเบิร์ตก็ได้แต่พยักหน้ารับโดยดุษฎี คนเขาจับได้แล้วจะไปตีหน้าเซื่องออดอ้อนก็กระไรอยู่

“ใช่ ถ้าไม่หนี พวกนั้นจะฆ่าฉัน ถึงตัวฉันจะไม่มีค่าอะไรขนาดนั้น แต่ฉันก็รักชีวิตนะ” นี่ย่อมเป็นเรื่องจริง ถึงจะถูกบีบให้ลงจากทุกตำแหน่งแต่เขาก็จะไม่มีวันยอมถูกบีบจนตาย ไม่ยอมตายแค่เพียงเพราะมีคนสั่งให้ตายหรอก “แต่ว่า เพราะฉันใช้พลังจิตไปเมื้อกี้ พวกเขาจะตามหาฉันพบ ไม่ช้าก็เร็ว ขึ้นอยู่กับเวลา”

“คิดว่าใช้เวลาเร็วที่สุดเท่าไหร่” ลุดวิกถาม ท่าทียังคงเย็นชาคลับคล้ายไม่ใส่ใจ

“อย่างเร็วก็ อืม เดือนนึงมั้ง” กิลเบิร์ตตอบ ถึงอารอนจะเป็นอัจฉริยะ แต่การใช้พลังจิตที่ส่งกระแสพลังเล็กน้อยอย่างเทเลพอร์ตไม่สามารถสืบหาพบในเวลาอันสั้น กว่าจะสามารถตามคลื่นพลังและวิเคราะห์สู่ระบบ เขาเชื่อว่าน่าจะสักหนึ่งเดือน

   ฝ่ายลุดวิกพอได้ฟังคำตอบนั้นก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด เขาย่อมคิดหลายอย่างทั้งเรื่องที่ว่าคำพูดของกิลเบิร์ตเชื่อถือได้มากแค่ไหน ทั้งเรื่องสถานะของตนเอง และเรื่องที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ นี่ไม่ง่ายเลยที่เขาจะต้องแก้ปัญหาอะไรมากมายขนาดนี้ในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าสายน้ำไม่คอยท่าเวลาไม่คอยคน จะคิดอะไรก็ต้องคิดให้จบในตอนนี้

“ตกลงว่าเธอมาจากไหน” สุดท้ายก็ต้องตัดสินกันที่คำถามนี้

“เอ่อ...จำเป็นต้องรู้หรือ”

“หากไม่อยากพูดทั้งหมด ฉันสัญญาว่าจะไม่ถามต่อ แต่ฉันก็ควรรู้ว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับใครมิใช่รึ” คำถามนี้ทำเอากิลเบิร์ตทอดถอนใจ เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ เทเลพอร์ตหนีไปงั้นรึ โง่รึเปล่า ทำแบบนั้นเท่ากับเร่งเวลาตายโดยการส่งเบาะแสให้ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น ในยามนี้เขาหลังชนฝา จะมีก็แต่คนตรงหน้านี่เท่านั้นที่พอจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยได้ เคราะห์กรรมทำอะไรไว้ทำไมถึงต้องซวยซ้ำมาพึ่งพิงผู้ชายหน้าย่นเป็นถังขยะแบบนี้นะ!

“เทสล่า” ถึงหัวใจก่นด่าแต่ปากก็ต้องตอบ

   ทว่า...

“...”

“...”

   เงียบงัน และเงียบงัน เหตุเพราะต่างคนต่างรู้ถึงความหนักหนาสาหัสของคำๆนั้น เทสล่า ดาวอาณานิคมใหญ่โตมั่งคั่งรุ่งเรืองทางการทหารแม้แต่ดาวแม่อย่างโลกยังเกรงใจ แล้วยามนี้ลุดวิกกลับพบว่าเจ้าแมวขยะเปียกของเขาดันเป็นแมวบ้าที่หลุดจากกรงหรูหราปานนั้นมา นี่มันซวยจริงๆ! เจ้าสินค้าหนีภาษีชิ้นนี้ช่างหนักหนาสาหัสชวนใจระส่ำชนิดเอาไปคืนศุลกากรยังต้องถูกปรับเพิ่มจนหมดตัว เวรกรรมจริงๆ!

   สุดท้ายทำได้เพียงต่างคนต่างทอดถอนใจ ความเงียบครอบงำ มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ในโมงยามวิกฤติจะยังมีใครให้พึ่งพาได้อีกล่ะ สุดท้ายมองให้ตายก็มีแต่คนตรงหน้าตัวเองเท่านั้น

“ขอโทษนะ ฉัน เอ่อ...ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเดือดร้อนจริงๆ” กิลเบิร์ตบอก ถึงตอนนี้เขามีแต่คำขอโทษ “คุณเอาฉันไปขังก็ได้นะถ้าคุณต้องการ”

“แต่เธอไม่ต้องการ” ลุดวิกย้อน

“ก็...” แน่ล่ะ เขามาเพื่อชีวิตใหม่ ไม่ใช่การถูกจับใส่กรงอีกครั้ง แต่ว่าหากลุดวิกคิดจะทำแบบนั้น เขาจะห้ามอะไรได้เล่า ตัวเองเป็นคนผิดแล้วจะโยนบาปให้คนอื่นงั้นหรือ ทั้งเฟรเดอริคและอารอนไม่ใช่คนที่ลุดวิกสามารถต่อกรได้เสียหน่อย เขาในตอนนี้ก็ไม่อยากรบราฆ่าฟันกับใครด้วย ตัวเองคนเดียวยังไงแม้ถูกจับกลับไปก็คงยังพอมีทางหนีบ้างกระมัง กิลเบิร์ตครุ่นคิดและพลันหลุบดวงตาลงอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อย เพียงแต่ว่าความเศร้านี้เองที่แม้เจ้าตัวไม่สังเกตเห็นตัวเอง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเห็นอย่างชัดแจ้ง

   ลุดวิกพิศมองเจ้าแมวดำตรงหน้าที่มีสีหน้าโศกสลด ปากแข็งว่าไม่เป็นไรแต่ใจจริงคงอยากเผ่นหนีใจจะขาด เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้เอาเข้าจริงแล้วใจอ่อนนัก หากถามใจเขาเขาย่อมรู้สึกเสียดาย จะปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งแบบนี้จริงๆน่ะหรือ  ภายในสมองของเขานั้นรับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ของอีกฝ่ายดี หากถูกตามจับได้ ชะตากรรมของกิลเบิร์ตมีแต่จะมุ่งไปที่ตะแลงแกงเท่านั้น

แต่หากยอมเชื่อกิลเบิร์ตเขาจะได้อะไร และเขาจะต้องเสียอะไร เอาเข้าจริงเขาสามารถเลือกทางที่ปลอดภัยกว่าหน่อยโดยการจับกิลเบิร์ตขังคุกรอคนของเทสล่ามารับตัว แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาจะเป็นอย่างไร สุดท้ายอาจเป็นตัวเขาที่สะดุดขาตัวเอง แต่ถ้าเสี่ยงอีกสักนิด วางเดิมพันให้มากหน่อย บางทีทั้งเขาและกิลเบิร์ตอาจจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ เพียงแต่การจะผ่านพ้นไป จำเป็นที่จะต้องเล่นใหญ่กว่าที่เคยคาดคิด

   ให้ตายเถอะ เขาจำเป็นจะต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นเพื่อเจ้าแมวขยะนี่จริงๆน่ะหรือ?

“เดิมพันกันหน่อยไหม” ลุดวิกพูดขึ้น ถึงตอนนี้เขาจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างจริงจัง ไม่มีล้อเล่น และไม่มีความลับ “กล้าเดิมพันชีวิตร่อแร่ที่เหลือไว้กับฉันไหม”

“คุณ? คิดจะทำอะไรกัน?” ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปที่โต๊ะหนังสือ  เขาหยิบกล่องเล็กๆใบหนึ่งขึ้นและนำมันกลับมาวางตรงหน้ากิลเบิร์ต กล่องกำมะหยี่สีแดงใบนั้นรูปทรงช่างคุ้นสายตาจนกิลเบิร์ตต้องหรี่ตามอง “กล่องแหวน”

“ช่วยฉันทำงาน หากทำสำเร็จเธอก็จะมีสถานะใหม่ที่มั่นคง” ลุดวิกอธิบายพลางเปิดกล่องใบนั้น แหวนแพลตตินั่มสีเงินยวงเลี้ยงเกลาวงหนึ่งวางอยู่ในกล่อง แหวนวงนี้เขาคิดอยู่นานว่าควรทำอย่างไรกับมัน แต่ในตอนนี้ท้ายที่สุดก็ยังต้องมอบมันให้กับคนๆนี้

   ทั้งที่คิดว่าจะแคล้วคลาดจากกันไปแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับยังต้องเป็นของคนๆนี้

“เธอช่วยชีวิตฉัน ฉันจะไม่บังคับเธอ นี่เป็นแค่ข้อเสนอ ว่าไงคุณกิลเบิร์ตจะมาด้วยกันหรือเปล่า” ว่าพลางหยิบแหวนวงนั้นขึ้นและอวดโฉมมันตรงหน้าของผู้รับ “อย่างที่เธอรู้ ฉันจะทำการณ์ใหญ่ มันอันตรายแต่ผลตอบแทนนั้นคุ้มค่า ฉันไม่สงสัยในความสามารถของเธอ แต่เธอล่ะ สงสัยในตัวฉันหรือเปล่า”

“คุณ...คิดจะทำอะไร” กิลเบิร์ตมองแหวนวงนั้นตรงๆก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของมันที่ส่งสายตาแน่วแน่มาให้ ถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่างานของลุดวิกนั้นอันตรายอย่างแน่นอน คนๆนี้มีหน้าที่การงานใหญ่โต มีคนคิดสังหาร สิ่งที่เขาจะทำย่อมไม่ใช่เรื่องสะดวกโยธิน แต่หากถามว่าเชื่อหรือไม่ คงต้องถามต่อว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เชื่อ ก็หากสามีที่อยู่กันมาสิบปียังทำร้ายเขาได้ ส่วนคนแปลกหน้ายังช่วยชีวิตเขา งั้นคนแปลกหน้าคนนี้มิใช่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าอดีตสามีนั่นหรอกหรือ “ก่อการใหญ่?”

“ยึดดาวดวงนี้น่ะ”

   อะไรนะ?!

“เอาจริงน่ะ!” ถามย้ำในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่ใช่แค่เพราะเป้าหมาย แต่เป็นเพราะตัวผู้พูดด้วย   ถ้อยคำใหญ่โต แต่สีหน้าคนพูดราวกับกำลังจะไปแย่งของเล่นจากมือทารก ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียง เรียบสนิทไร้อารมณ์ คนๆนี้สมองต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ “บอกกันง่ายๆแบบนี้เลยหรือ”

ไม่กลัวว่าเขาจะทรยศงั้นหรือ?

“ถ้ากลัวจะไม่ถามตั้งแต่ต้น เลิกถามเซ้าซี้ได้แล้ว ถ้าตกลงก็ส่งมือมาสิ” ว่าพลางยื่นมือออกไป มือที่เขาเคยยื่นส่งให้แล้วครั้งหนึ่งแต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์ใหม่ กิลเบิร์ตจะตอบรับหรือไม่

   ต่างคนต่างไร้คำพูด เหตุเพราะลุดวิกนั้นมีคำตอบที่เด็ดขาด ส่วนกิลเบิร์ตนั้นจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง เขาสับสน แต่ในความสับสนนั่นกลับไม่มีความขุ่นเคือง หัวใจของเขาราวกับแยกเป็นสอง หนึ่งคือความหวาดกลัว มันช่างคลับคล้ายยามที่เขาตอบรับเฟรเดอริคแล้วท้ายที่สุดพบพานจุดจบที่น่าเศร้า แต่อีกใจหนึ่งเขากลับเปี่ยมด้วยความหวังที่แปลกประหลาด พานพบไม่นาน แต่กลับรู้สึกว่าหากเป็นคนๆนี้จะต้องไม่เป็นไร ไม่รู้ผีป่าซาตานตนใดดลใจ เพราะในเสี้ยววินาทีที่มัวแต่คิดนั้น เขา...ส่งมือให้อีกฝ่าย

   และยามนั้นเองที่ลุดวิกประคองมือซ้ายของกิลเบิร์ตไว้ก่อนจะบรรจงสวมแหวนลงที่นิ้วนาง แหวนถูกสั่งตัดมาพอดี สวมเข้ากับนิ้วมือเรียวงามจนผู้สวมแล้วดูเจิดจ้างดงามจนผู้ให้อดจะจุมพิตลงบนมือนั้นมิได้ แม้ไม่ต้องประกอบพิธีเป็นการเป็นงานใดๆ แต่แค่แหวนวงนี้ก็เป็นการแสดงเจตจำนงที่ดีสำหรับพวกเขาแล้ว

“เราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแล้วนะ!” กิลเบิร์ตหัวเราะแก้เก้อ หากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มน้อยๆ ลุดวิกไม่ตอบในทันทีแต่กลับเขยิบเข้าใกล้ เขายื่นใบหน้าเข้าหาและจุมพิตลงข้างแก้ม

“เป็นสามีภรรยากันต่างหาก” ลุดวิกแก้และเผยอรอยยิ้มที่ทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกว่าใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นในบัดดล ใบหน้าหล่อเหลานั้นเจิดจ้า แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจอุ่นร้อนกลับเป็นรอยยิ้มและคำหวาน “ได้เวลาไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว คุณผู้หญิง”

   ก้าวแรกสู่ปฏิบัติการหลังชนฝาเริ่มขึ้นแล้ว!

      ในคืนนั้นเองรถยนต์สีดำติดตราผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครแล่นเข้าสู่เขตรัฐสภาแห่งดวงดาวอาทีเรีย พันตรีคาร์ล เออร์เนส จอดรถที่หน้าประตูทางเข้าของอาคารรัฐสภา ในขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงมาเปิดประตู ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดทัคซิโด้สีดำเงางามถือไม้เท้าก้าวลงจากรถ เพียงแต่คราวนี้เขาไม่ได้มาคนเดียวอีกแล้ว ลุดวิก ชไนเดอร์ ส่งมือให้กับชายหนุ่มในชุดทัคซิโด้สีน้ำตาลเข้ม เส้นผมสีดำและนัยน์ตาดำขลับของคนผู้นั้นสะกดคนทุกคนนับแต่แรกเห็น เจ้าหน้าที่ขานเรียกพวกดังก้องไปทั่วโถงจัดงานเลี้ยง

“ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระนคร สมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติแห่งตระกูลชไนเดอร์ และดยุคแห่งออลบานี พร้อมด้วย เอ่อ...เอ่อ...” อ่านถึงตรงนี้ผู้ขานชื่อกลับต้องหันกลับไปมองหน้าลุดวิกอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มมีสีหน้าเรียบเฉยเขาจึงจำต้อง
อ่านต่อ “ภ ภรรยา มาถึงแล้ว!!!”

   วินาทีนั้นเองที่คนทั้งโถงจัดงานที่กำลังพูดคุยกันเซ็งแซ่พลันหันมาทางคู่สามีภรรยาหมาดๆในทันที สีหน้าแววตาตื่นตะลึงก่อนจะกลับเป็นตระหนกตกใจ

   ดยุคแห่งออลบานีมีภรรยาเมื่อไหร่กัน!!!

“อะไรคือดยุคแห่งออลบานี?” กิลเบิร์ตกระซิบถามสามีคนล่าสุดของตัวเอง แน่ล่ะว่าลุดวิกยิ้มเยือกเย็นก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา
หวิว

“ไม่มีอะไร ก็แค่ตำแหน่งลูกชายคนที่สองเท่านั้น”

“ของ?”

“ของกษัตริย์แห่งอาทีเรีย”

“หะ!”

   วินาทีนั้นเองกิลเบิร์ตพลันรับรู้อีกครั้ง นี่ไม่ใช่แค่ถังขยะรีไซเคิลธรรมดา แต่เป็นถังขยะรีไซเคิลล้อมเพชร!! เขาถูกหลอกอีกแล้ว!!!


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 8 สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร (13/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 13-11-2018 23:51:15
 :pig4:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 8 สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร (13/11)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 14-11-2018 18:41:09
มาต่ออีกกกกก  แมวน้อยดูน่ารักมากกกกก  ดูหยิ่งๆมึนๆดี  :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 8 สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร (13/11)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-11-2018 08:07:30
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 8 สินค้าหนีภาษีในถังขยะล้อมเพชร (13/11)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 15-11-2018 11:51:28
รอลุ้นตอนต่อไปเลย สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 9 การประกาศกร้าวของกุลีเดินดิน (16/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 16-11-2018 17:06:15
ตอนที่ ๙
การประกาศกร้าวของกุลีเดินดิน

   แม้จะเจ็บใจที่ถูกหลอกซ้ำๆ แต่ความเจ็บใจที่ว่าก็ถูกสลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาไม่เป็นมิตรจากคนแทบทั้งห้องโถง กิลเบิร์ตรู้สึกได้ว่าการมาของเขานั้นไม่เป็นที่ต้อนรับจากคนส่วนหนึ่ง แต่ลุดวิกกลับยังคงตีสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดินเหินสง่าผ่าเผย ฉีกยิ้มทักทายผู้คนทุกคนที่เข้ามาทัก โดยมีพันตรีคาร์ล เออร์เนสคอยดูแลอย่างใกล้ชิด หากสังเกตให้ดีมีชายหนุ่มหญิงสาวที่ติดดวงตราสีแดงแสดงความเป็นสมาชิกรัฐสภาแบบเดียวกับเขาเข้ามาทักทายมากมาย และในบรรดาคนพวกนี้กว่าครึ่งยิ้มแย้มแสดงความยินดีจากใจจริงที่ลุดวิกเป็นฝั่งเป็นฝา ดูจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากิลเบิร์ตเป็นใครมาจากไหน ราวกับว่าต่อให้เป็นหมูเป็นหมามาแต่งด้วยก็ไม่เป็นไร

   รูปการณ์แบบนี้ดูเหมือนท่านดยุคจะได้ใจสมาชิกรัฐสภาจำนวนมาก และในกลุ่มคนที่สนับสนุนเขาก็ไม่มีความกังขาในการเลือกของเขา เห็นแบบนี้แล้วกิลเบิร์ตพลันรู้สึกวูบโหวงในอกลึกๆ ไม่ใช่ว่าอดีตสามีของเขาเองก็ได้รับความนิยมชื่นชมแบบนี้หรอกรึ ท้ายที่สุดคนๆนั้นได้ไปทุกอย่าง ส่วนเขาก็พินาศไปทุกอย่าง แล้วตอนนี้ล่ะ หากเขาหมดประโยชน์แล้วลุดวิกจะผลักเขาตกเหวกำจัดเขาให้พ้นทางหรือเปล่า ใดๆในโลกล้วนเป็นความไม่แน่นอนจริงๆ

“จริงๆแล้วพวกนายวางแผนอะไรอยู่กันแน่” กิลเบิร์ตที่ตอนนี้ยืนหลบมุมอยู่กับคาร์ลเอ่ยขึ้น ในตอนที่อยู่บนรถเขาได้ยินลุดวิกกำชับให้คาร์ลจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวกับประวัติปลอมของเขา แสดงว่าหมอนี่ย่อมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และก็ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว เขาเห็นหมอนี่เข้านอกออกในห้องลุดวิก มีท่าทีกระซิบกระซาบ อีแบบนี้หากบอกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็คงไม่มีใครมีราคีแล้วล่ะ “ถ้าต้องการหาใครก็ได้มาแต่งด้วย แต่งกับนายก็ได้นี่” คำถามนั่นทำเอาคาร์ลที่ตีหน้านิ่งๆมาตลอดสะดุ้งก่อนจะไอติดๆกันคล้ายคนสำลักน้ำลายตัวเอง “โอ้! อายเหรอ!”

“เป็นการโต้กลับที่หนักหน่วงมากคุณผู้หญิง!” คาร์ลแอบบ่น เขาไม่ยักรู้ว่าคุณผู้หญิงคนนี้จะปากคอเราะร้ายขนาดนี้ ตอนนี้ลุดวิกกำลังจับกลุ่มคุยอยู่กับพวกสมาชิกสภาของตระกูลต่างๆ จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้คุยกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีเจ้านายมาขัด
“คุณพูดให้ผมแต่งกับเขา มิสู้บอกให้ผมไปโดดตึกฆ่าตัวตายดีกว่าไหม!”

“อะไรกัน นี่ฉันดันแต่งงานกับถังขยะหมดสภาพหรือไง! แม้แต่ลูกน้องยังไม่เอา!” กิลเบิร์ตคลี่รอยยิ้มยียวนขี้เล่น นี่ทำให้คาร์ลรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่แท้น่าจะร้ายกาจไม่เบา บางทีนิสัยเช่นนี้เองถึงดึงดูดความสนใจของลุดวิกไปได้ ท่านนายพลหน้าบึ้งตึงนั่นแท้ที่จริงมีรสนิยมเช่นนี้เองหรอกหรือ เพียงแต่ว่าการล้อเล่นนี่ออกจะหนักหนาเกินไปแล้ว

“คุณก็พูดเกินไป! ยังไงนั่นก็เจ้านายผมนะ ส่วนตัวผมก็มีเหตุผลของผมหรอกน่า! เอาเป็นว่าคืนนี้คุณอยู่เฉยๆว่าง่ายๆจะดีกว่า เรื่องนี้เราต้องคุยกันยาว แน่นอนว่าผมหมายถึงเรื่องที่คุณกับลุดวิกออกมาจากรถม้าโดยไม่มีรอยขีดข่วนด้วยนะ!” พูดถึงตรงนี้ก็หันไปจ้องอีกฝ่ายพลางลอบสังเกต แอบคาดหวังว่าจะจับผิดอะไรได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเนียนอย่างยิ่ง กิลเบิร์ตยังคงตีสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางเอื้อมมือหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบ

   คาร์ลสังเกตอากัปกิริยาของกิลเบิร์ตมาตลอดทาง จนถึงเมื่อครู่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ว่าคนๆนี้ผิดแผก ในงานเลี้ยงหรูหราที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนชั้นสูง แต่กิลเบิร์ตกลับไม่มีทีท่าตื่นตระหนก ทั้งยังเดินเหินสง่าผ่าเผย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับแววตาเดียดฉันท์แต่อยากรู้อยากเห็นที่มองมา ซ้ำยังสามารถวางตัวในงานเลี้ยงนี้ได้อย่างไม่ประดักประเดิด ไม่ใช่ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้คุ้นชินกับงานพวกนี้หรอกหรือ

   เขาใช้คำว่าคุ้นชิน เหตุเพราะคนเราต่อให้ถูกอบรมมาดีแค่ไหน แต่ในสถานการณ์จริงมักจะแสดงอากัปกิริยาบางอย่างของมือสมัครเล่นออกไป แต่กิลเบิร์ตกลับวางท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนที่เปิดช่องว่างเลย คนๆนี้แท้จริงแล้วลุดวิกไปเก็บมาจากไหนกันแน่

   ไม่ทันที่คาร์ลจะได้คิดให้ครบถ้วน ในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่กลับขานเรียกชื่อคนสูงศักดิ์ที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องหลีกทางต้อนรับ จะเป็นใครไปได้นอกจากแขกสำคัญในงานนี้ที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ลุดวิกต้องเร่งรีบออกหาภรรยาจำเป็นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เจ้าชายอ๊อตโต้ เฮอร์แมน พร้อมด้วยชายา และเคาท์ฮาน เกอเจ้น มาถึงแล้ว!!” ยามที่ขานเรียกชื่อเหล่านั้นลุดวิกย่อมอดที่จะยกยิ้มและส่งสายตาไปเรียกกิลเบิร์ตไม่ได้ กิลเบิร์ตเองก็รู้งานค่อยๆเดินทอดน่องเข้าไปยืนเคียงข้างกับสามีกำมะลอ นี่เป็นสัญญาณเตือนคลับคล้ายจะบอกว่าละครฉากใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และละครฉากนี้ของพวกเขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด

   เจ้าชายอ๊อตโต้คือใคร คนผู้นี้กิลเบิร์ตไมรู้จัก แต่พอเห็นอากัปกิริยาของผู้คนที่พร้อมใจกันโค้งคำนับ โดยเฉพาะชายสูงวัยที่ลุดวิกแอบกระซิบว่าเป็นประธานรัฐสภารีบปรี่เข้าหา ประกอบกับความหนุ่มแน่นของอีกฝ่าย พนันหมดตัวก็มั่นใจว่าสามารถเดาฐานะของอีกฝ่ายออก นี่ย่อมต้องเป็นเจ้าชายอันดับหนึ่ง ลูกชายคนโตของกษัตริย์แห่งอาทีเรียอย่างแน่นอน ถึงตอนนี้ประธานรัฐสภาได้รายงานเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่เกิดขึ้นกับลุดวิกให้พวกเขาทราบแล้ว พวกเขาทั้งหมดถึงกับสะดุ้งและตีสีหน้าบิดเบี้ยวในทันที

ฝ่ายเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นขมวดคิ้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคาท์ฮาน เกอเจ้นที่จ้องเขม็งมาที่กิลเบิร์ต ดวงตาเคียดแค้นโกรธเกรี้ยวนั่นจะซ่อนยังไงก็ซ่อนไม่มิด เจ้าชายไม่พอใจที่น้องชายมีภรรยาต่ำศักดิ์ยังพอเข้าใจได้ แต่กับท่านเคาท์หนุ่มรูปงามนั้นกลับดูไร้เหตุผลที่จะโมโหโกรธา นอกเสียจากว่าแท้ที่จริงเขามีเป้าหมายอื่นในการมางานเลี้ยงในครั้งนี้ กิลเบิร์ตรู้สึกว่าเขากำลังได้เห็นภาพทับซ้อนของอารอนอีกครั้ง ณ ที่นี้ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตอ่านความคิด เขาก็เดาได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าให้เดาล่ะก็ท่านเคาท์หนุ่มน้อยคงไม่แคล้วหมายตาตำแหน่งภรรยาของดยุคแห่งออลบานีเป็นแน่แท้ น่าเสียดายที่สุดท้ายถึงต้องเก็บแมวข้างถนนมาปัดฝุ่น ลุดวิกก็ไม่เลือกเขา

คำถามก็คือทำไมลุดวิกถึงปฏิเสธคนงามขนาดนั้นกันนะ?

   ฝ่ายลุดวิกเองก็ไม่ปรานีปราศรัยต่อสายตาเหล่านั้น เขาไม่รอช้ารีบจูงมือกิลเบิร์ตเดินเข้าไปทักทายพี่ชาย ในขณะที่เบื้องหลังนั้นมีพันตรีคาร์ล เออร์เนสเดินตามมาห่างๆเพื่อคอยชมเรื่องสนุก อันที่จริงการจัดงานเลี้ยงในวันนี้แม้บอกว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับการเปิดประชุมสภาแต่จุดประสงค์แอบแฝงก็คือทางราชวงศ์ต้องการจัดงานหาคู่ให้กับท่านดยุคผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองของอาทีเรีย พวกเขาวางตัวคนที่เหมาะสมไว้แล้วและคาดว่าถึงอย่างไรลุดวิกก็คงไม่อาจหาใครมาแต่งงานตัดหน้าคนๆนี้ไปได้

   ใครกันที่จะกล้ามาขโมยท่านดยุคแห่งออลบานีไปจากคนตระกูลเกอเจ้น ไม่ว่าหญิงสาวชายหนุ่มคนไหนหากรู้ว่าเขาคือดยุคแห่งออลบานีและว่าที่คู่หมั้นคือคนตระกูลเกอเจ้น ใครมันจะกล้าท้าทายอำนาจราชวงศ์เสนอตัวมาแต่งงานด้วย ไม่มีวันเสียล่ะ!

   แต่แล้วพอมาถึงค่ำวันนี้ทุกอย่างกลับพลิกผัน ลุดวิกกลับพาใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วบอกว่านี่คือภรรยา แถมเจ้าคนๆนั้นดันเป็นผู้ชายผมดำตาดำแสดงเอกลักษณ์คนไร้สกุลรุนชาติ ได้แต่คิดว่าแบบนี้ดยุคแห่งออลบานีคิดจะหาเรื่องกันชัดๆ นี่ย่อมเป็นการประกาศสงครามย่อมๆว่าจะไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งของผู้ใด แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการหาคู่แต่กลับมีนัยแอบแฝงมากมาย

“ไม่ได้พบกันไม่กี่วัน นี่นายไปเก็บแมวสกปรกมาจากไหนกันล่ะ น้องชาย” เจ้าชายอ๊อตโต้เจอหน้าน้องชายกับน้องสะใภ้ก็โจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคายทันที คำพูดของเขาทำเอาคนอื่นๆคลี่รอยยิ้มเยาะ เพียงแต่ว่าเท่านี้ไม่อาจทำให้ลุดวิกชักสีหน้า และยิ่งไม่อาจทำให้กิลเบิร์ตหงุดหงิด

   ลุดวิกนั้นรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้ย่อมไม่พอใจ เขารู้เรื่องการหมั้นหมายตั้งแต่คืนที่เขาไปงานเลี้ยงของตระกูลเกอเจ้นแล้วว่าพี่ชายของเขาได้ไปคุยกับกษัตริย์เพื่อเสนอคนตระกูลเกอเจ้นให้แต่งงานกับเขา ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ใครบ้างไมรู้ว่าชายาของเจ้าชายอ๊อตโต้เองก็มาจากตระกูลนี้ ตอนนี้เจ้าชายอ๊อตโต้กับชายาก็แค่ต้องการลากเขาเข้าไปในโรงงานย่อยขยะโรงงานเดียวกันนั่นเอง ในคืนนั้นเขาโกรธมาก โกรธจนต้องออกจากงานเลี้ยงมากลางคัน แต่เหมือนว่าพระเจ้าจะไม่ได้ใจร้ายกับเขาเกินไปนัก ในคืนนั้นเขาดันเก็บแมวเถื่อนหนีภาษีได้ตัวหนึ่ง แถมเป็นแมวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลขุนนางตระกูลไหน ไม่มีอำนาจเชื่อมโยงกับใครและยิ่งไม่มีผลประโยชน์ใดๆบนดาวดวงนี้ แมวพรรค์นี้จะไปเกรงกลัวอะไรกับอำนาจที่ตนเองไม่รู้จัก นี่ต้องถือว่าเป็นโชคที่ไม่เลวเลย

   แม้ตอนนี้แมวเถื่อนนั่นจะกลายเป็นของร้อนไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าจะต้องเดินตามเกมคนพวกนี้จนขยับตัวไม่ได้ เขาคือคนที่จะแย่งชิงเก้าอี้ของท่านเจ้าอาณานิคม ไม่มีเวลาจะไปเล่นตลกปาหี่เป็นครอบครัวสุขสันต์กับใครหรอก ส่วนเรื่องของกิลเบิร์ต แม้จะเป็นแค่ขยะเปียกที่บังเอิญเก็บได้ แต่เมื่อถึงตอนนี้เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เมื่อสวมแหวนให้ไปแล้วก็ต้องถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว ย่อมไม่มีวันปล่อยให้ใครมาดูถูกได้

   หากดูถูกกิลเบิร์ต ก็ย่อมหมายถึงดูแคลนเขาด้วย

“นี่คือกิลเบิร์ต ภรรยาของฉัน มารยาทในการเข้าสังคมเป็นอย่างไรหวังว่าเจ้าชายจะยังไม่ลืมนะ” ประโยคเปิดตัวนี้ทำเอาหลายฝ่ายมีปฏิกิริยาต่างๆกัน ฝ่ายกิลเบิร์ตนึกชื่นชมในสกิลหยิ่งจองหองของลุดวิกยิ่งที่กล้าพูดต่อว่าเจ้าชาย ส่วนเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นถึงกับเส้นตื้นชักสีหน้าทันที เพื่อขยะชิ้นนี้น้องชายของเขาถึงกับกล้าหักหน้าเขาอย่างหยาบคาย

“ปกป้องกันดีจริงนะ ดูท่าลีลาบนเตียงของเธอคงเด็ดขาดใช่เล่น ทำเอาท่านดยุคน้องชายฉันติดใจสินะ คุณกิลเบิร์ต จริงๆแล้วดาวบ้านเกิดเมืองนอนของคุณสอนสั่งเรื่องอย่างว่ามาอย่างดีล่ะสิ” คำพูดของอ๊อตโต้คราวนี้หยาบคายหนักข้อทำเอาลุดวิกขมวดคิ้ว ส่วนคาร์ลชักสีหน้า ในขณะที่ฝ่ายท่านประธานรัฐสภาหน้าถอดสี เป็นที่รู้กันดีถึงความกักขฬะหยาบโลนของเจ้าชายคนนี้ แต่ใครจะนึกล่ะว่าเขาจะมาพูดจาไม่น่าฟังกับน้องสะใภ้กลางที่สาธารณะชน ต่อให้ไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่ควรจะมาพูดจาเช่นนี้

   ลุดวิกเกือบจะเดินขึ้นหน้าออกหมัดชกสั่งสอนพี่ชายสักหมัด หากแต่ตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตกลับจับมือห้ามเขาไว้ ตอนนี้กิลเบิร์ตเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจอย่างยิ่งด้วยว่าเจ้าชายผู้นี้ย่ำแย่ขนาดไหน หากเป็นผู้หญิงเขาคงสามารถวางตัวเป็นเลดี้สง่างามได้ แต่ตัวเขาอย่างไรก็เป็นผู้ชายเรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ขนคิ้วของเขากระตุกหรอก

“ใช่ ฉันถูกสอนมาจริงๆ” กิลเบิร์ตตอบตาใส ทำเอาฝ่ายคนถามผงะไปเสี้ยววินาที เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าตอบ “แต่ก็ถูกสอนมารยาทมาด้วยว่า ผู้ดีไม่ควรพูดหมิ่นแคลนผู้อื่น เรื่องใดควรพูดไม่ควรพูดในที่สาธารณะ หรือเจ้าชายไม่ทราบกัน”

“แก!” ตั้งแต่เกิดมามีสักกี่คนกันที่กล้าย้อนเขาแบบนี้!

“ไม่มีผู้ใดเคยสั่งสอนคุณหรือว่า ในที่สาธารณะควรไว้เกียรติประธานในพิธี คุณเอ่ยวาจาไม่น่าฟังเช่นนี้ ท่านประธานรัฐสภาควรแสดงสีหน้าเช่นใดรึ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้กิลเบิร์ตก็โยนเผือกร้อนใส่ตาเฒ่าประธานรัฐสภาที่เขามองแล้วว่าน่าจะเป็นลูกไล่ของเจ้าชายอ๊อตโต้ ดังนั้นคำพูดของเขาจึงเจตนาให้สองคนนี่อับอายด้วยกันทั้งคู่ “สำหรับคนเช่นฉันเสื่อมเกียรติย่อมไม่ปัญหา แต่กับพวกท่าน ไม่คิดไว้หน้าให้เกียรติตนเองบ้างเลยหรือ”

“เจ้ากุลี!!!!”

วินาทีนั้นเองที่เจ้าชายอ๊อตโต้หงุดหงิดจนเส้นสติขาดวิ่น เขาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทายาทเจ้าอาณานิคมไร้ผู้ใดกล้าตำหนิ บัดนี้ดันมาถูกกุลีไร้สัมมาคารวะด่าใส่มีหรือจะทนได้ รีบสั่งทหารติดตามให้เข้ามาลากคอกิลเบิร์ต แต่แน่ล่ะว่าลุดวิกไม่รอช้า เพราะวินาทีนั้น คาร์ลกลับปราดเข้ามาจับกระชากข้อมือพวกทหารองครักษ์ ยกทุ่มพวกผู้ติดตามพวกนั้นล้มกระแทกลงไปกลิ้งกองระเนระนาด ทำเอาผู้คนตื่นตระหนกกันไปหมด ยังไม่ทันไรพี่น้องคู่นี้ก็เปิดศึกฟาดฟันกันเสียแล้ว!

   ฝ่ายลุดวิกนั้นก้าวเข้ามาขวางกิลเบิร์ตไว้ ท่าทีแสดงอาการปกป้องอย่างชัดเจน การแสดงออกเช่นนั้นย่อมทำให้ท่านเคาท์ฮาน เกอเจ้นบังเกิดความหงุดหงิดไม่น้อย เขาคือใคร เขาคือคนตระกูลเกอเจ้น คือตระกูลของชายาเจ้าชาย ยามนี้ตัวเขาควรเป็นอีกคนที่จะได้เดินเข้าสู่ตระกูลของชนชั้นปกครอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมีขี้ข้าหน้าไหนไม่รู้มาคาบตำแหน่งนั่นไปครอง! เรื่องนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เขาไม่ยอม!

“ท่านดยุคดูจะรักใคร่เจ้ากุลีนี่มาก บอกผมหน่อยได้ไหมว่าไปรักใคร่กันตอนไหน” ฮานเอ่ยขึ้น เขาไม่ยอมแพ้ ก่อนหน้านี้ยังร่ำลือกันอยู่เลยว่าท่านดยุคนั้นไร้หัวใจไม่มีใครข้างกาย ในเวลาอันสั้นจะไปหาคนที่ไหนมาแต่งด้วย คนทั้งดาวนี้ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าท่านดยุคนั้นเป็นของเขา! “ไม่ใช่ว่าท่านประสงค์ขัดคำสั่งกษัตริย์ ก็เลยไปคว้าขอทานข้างถนนมาสมรสด้วยหรอกนะครับ”

   ตอนนี้กิลเบิร์ตแทบอยากปรบมือให้หมอนี่ ช่างเดาเก่งเสียจริง!

“ฉันจะพบเขาที่ไหนไม่ใช่ปัญหา ฉันแค่รักคนที่ฉันแต่งงานด้วยเท่านั้น” ลุดวิกตอบอย่างราบเรียบแต่หนักแน่นจนกระแทกใจคนถามแทบพังทลาย

“ท่าน!”

“ซึ่งนั่นไม่ใช่เธอ ขอโทษด้วย”

“ผมมีอะไรที่สู้กุลีนี่ไม่ได้! ทั้งชาติตระกูล! ทั้งคุณสมบัติ! ผมมีอะไรสู้มันไม่ได้กัน!” ฮานต่อว่าเป็นชุดด้วยความอัดอั้นตันใจ  ในยามนี้แทบทุกคนในห้องโถงล้วนเข้าใจความโกรธขึ้งของเขา พวกเขาเองใช่ไม่เคยเล็งให้บุตรชายบุตรสาวเสนอตัวให้ท่านดยุค แต่เพราะทางราชวงศ์เล็งท่านเคาท์หนุ่มผู้นี้ไว้แต่แรกเลยไม่มีใครกล้าเสนอหน้า

   มาบัดนี้ดันถูกมือที่สามชุบมือเปิบไปกินหน้าตาเฉย มีใครบ้างไม่รู้สึกเสียดาย นี่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งภรรยาของชายผู้หนึ่ง แต่เป็นตำแหน่งคุณผู้หญิงของท่านนายพลแห่งกองทัพ คุณหญิงของท่านสมาชิกรัฐสภา และชายาของท่านดยุค สามตำแหน่งสุดสูงศักดิ์รวมกันแล้วสูงส่งกว่าชายาผู้สืบทอดเก้าอี้เจ้าอาณานิคมเสียอีก

   หากกิลเบิร์ตคนนี้เหมือนอย่างฮาน ผมทอง ตาฟ้า มาจากชนชั้นสูง พวกเขาคงไม่หงุดหงิดขนาดนี้

   แต่นี่คือ กุลี! คนรับใช้! ขี้ข้า! นางบำเรอ! สุดแท้แต่จะยกถ้อยคำมาด่าว่า แต่มันดันจบลงที่คำว่า ภรรยา! เจ็บใจ! น่าเจ็บใจที่สุด!

   ลุดวิกนั้นย่อมรู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบข้างตัว และยิ่งรู้สึกถึงความกดดันมหาศาล เขานึกกังวลขึ้นมาวูบหนึ่งว่ากิลเบิร์ตจะรับแรงกดดันเช่นนี้ได้หรือไม่ ต่อให้เป็นคนชั้นสูงมาจากไหนแต่ถูกมองอย่างต่ำต้อยขนาดนี้ย่อมต้องรู้สึกแย่ นี่ประสาอะไรกับเอสเปอร์ที่ถูกสามีเก่าทอดทิ้งคนหนึ่ง การถูกด่าว่าซ้ำๆแบบนี้โดยปกติย่อมทำลายความมั่นใจในตนเองของคน ทว่า ยามที่เขาชำเลืองมองไปยังกิลเบิร์ต ฝ่ายตรงข้ามกลับยังส่งยิ้มมาดมั่นมาให้เขา กิลเบิร์ตจับมือของเขามั่น นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นจ้องเขาไม่กระพริบ แน่วแน่ไม่ไหวติง แกร่งกล้าและอาจหาญจนน่าพรั่นพรึง ใช่แล้ว เหตุผลที่ลุดวิกเลือกคนๆนี้ก็เพราะสีหน้าและแววตาเช่นนี้นั่นแหละ บางทีการวิตกกังวลแทนคนๆนี้อาจเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น

   คนที่ตกลงมาบนดวงดาวต่างถิ่นแต่ยังพยายามกระเอกกระสนมีชีวิตอย่างไม่กลัวเกรง คนแบบนี้ไม่มีทางร้องไห้เพียงเพราะถูกด่าว่าหรอก แม้จะยังไม่ได้รู้จักกันมากมายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ลุดวิกรู้แน่ก็คือ กิลเบิร์ต คนๆนี้...เข้มแข็ง
“นี่ งานเลี้ยงมีการเต้นรำไหม” กิลเบิร์ตถามลุดวิก และแทนคำตอบลุดวิกกลับใช้แขนแกร่งโอบรอบเอวของเขาก่อนจะคลี่รอยยิ้มไม่ยี่หระ ใช่แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาของใครเสียหน่อย แค่ทำสิ่งที่อยากทำก็พอ

“ย่อมมีสิ คาร์ล สั่งให้นักดนตรีบรรเลง ไหนๆคืนนี้ก็เป็นคืนพิเศษแล้ว ฉันอยากเต้นรำกับภรรยาของฉัน” ลุดวิกออกคำสั่ง และแน่นอนว่าคาร์ลดำเนินการให้ตามขอ ประธานรัฐสภานึกตื่นตระหนกขนหัวลุกกับการโต้กลับอย่างไม่มองข้ามหัว แต่จะมีใครที่ฟังเขาอีก บรรดาสมาชิกรัฐสภาเกินกว่าครึ่งที่ถือหางลุดวิกต่างจูงคู่ของตนเองยืนขวางขัดท่านประธานและเหล่าแขกเหรื่อเชื้อพระวงศ์ เพียงพริบตาเสียงดนตรีคลาสสิคสมัยยุคศตวรรษเก่าของโลกก็บรรเลงขึ้น

   ทำนองคุ้นเคย แต่คนนั้นแปลกหน้า เพียงแต่ว่ายามที่ลุดวิกก้าวนำและยื่นมือให้นั้น กิลเบิร์ตกลับไม่ลังเลที่จะจับมือนั้นไว้และก้าวตาม พวกเขาจับคู่เต้นรำเปิดฟลอร์ให้กับค่ำคืนนี้อย่างงดงามยิ่ง และแน่นอนว่าสร้างความตื่นตะลึงประหลาดใจให้กับผู้คนทั้งหลายอย่างพร้อมเพรียง หากเป็นเพียงกุลีสามัญ ไฉนสามารถเต้นรำในท่วงทำนองดนตรีชั้นสูงเช่นนี้ได้ มิหนำซ้ำยังเต้นได้อย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหวประหนึ่งว่าคุ้นเคยกับสิ่งนี้มานานช้า

“เธอเต้นรำเก่งนะ” ลุดวิกคลี่ยิ้ม เขาเองก็สังเกตเห็นถึงความเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งของภรรยาคนนี้ ดูท่าเจ้าแมวดำตัวนี้จะเป็นแมวในกรงหรูหรามาก่อนจริงๆ ถ้าอย่างนั้นใครกันที่โง่เขลาปล่อยแมวตัวนี้หลุดออกจากกรงมาได้ “ฝึกมานานแล้วล่ะสิ”

“อะไรกัน นี่คิดจะมาไต่สวนกันบนฟลอร์เต้นรำหรือ ไม่โรแมนติคเลย” หัวเราะเบาและแกล้งอิงแอบในอ้อมอกอีกฝ่ายในจังหวะสโลว์ จังหวะเช่นนี้มันชวนให้เขาหวนคิดถึงคนที่สอนเต้นรำอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปนานมากแล้ว บัดนี้ผ่านมานานมากแล้วที่ไม่ได้เต้นรำกับใครแบบนี้

“อยากให้ฉันโรแมนติคบ้างไหม” ท่านดยุคหนุ่มถามพลางเชยชิดปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นเพื่อขอมองดวงหน้านั้นให้ถนัด เจ้าแมวดำดื้อดึงไม่น่ารัก แต่ไม่น่าจะมองใบหน้าจะด้านใดกลับยิ่งรู้สึกถูกชะตา “ว่าไง”

“หืม?”

   และตอนนั้นเองที่ลุดวิกก้มหน้าลงและแนบริมฝีปากจูบลงบนริมฝีปากแสนเจื้อยแจ้วของอีกฝ่าย อ้อมแขนกอดกระหวัดรัดร่างนั้นเข้ามา หัวใจพลันเต้นในจังหวะแปลกประหลาด แปลกจนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของมันทั้งสองดวงยังไม่อาจทราบสาเหตุ จะรู้ก็แต่เพียงว่า จูบในครั้งนี้...ช่างพิเศษ

   ยามนี้พวกเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเป็นคู่ครอง และเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างดูดดื่มมากมายเพียงใด

   งานเลี้ยงเลิกราท่ามกลางความขุ่นหมองของผู้คน และที่ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่สุดในการณ์นี้จะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่เจ้าชายอ๊อตโต้ ในคืนนั้นเขากัดฟันกรอดกระทืบเท้า เปิดประตูผางเข้าไปในคฤหาสน์ส่วนตัว แม้แต่ชายาของเขายังไม่อยากสู้หน้า ในตอนที่เปิดประตูเข้าไปในห้องโถงรับแขกนั้นเองที่แสงจันทร์เสี้ยวพลันสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เงาของใครบางคนปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า

“ผิดหวังอะไรมารึครับ คุณเจ้าชาย” เสียงนั้นเย็นเยียบ รอยยิ้มในเงามืดสะท้อนสะท้านนัยน์ตายิ่ง

“เจ้าลุดวิก! มันหักหน้าฉันเอาไอ้กุลีไร้สกุลมาแต่งงานด้วย!มันแสดงออกมาแล้วว่ามันเป็นศัตรูกับฉัน!!” อ๊อตโต้ไม่ใช่คนโง่จนเกินไป พฤติการณ์ของน้องชายแสดงชัดเจนว่าจะไม่มีวันยอมก้มหัวให้เขา

“อ้อ” ฝ่ายนั้นคลี่ยิ้มพลางพยักพเยิดด้วยท่าทีสนอกสนใจยิ่ง “กุลีนั่นเป็นคนแบบไหนรึครับ”

“ตาสีดำ ผมสีดำ! ไม่มีแม้แต่ชาติกำเนิด!”

“อ้อ งั้นแล้ว คุณอยากทำอะไรต่อไปดีล่ะครับ” เอ่ยถามพลางค่อยๆก้าวออกมาจากในเงามืด เส้นผมสีเทานั้นสะท้อนแสงจันทร์ ในขณะที่นัยน์ตาสีม่วงเข้มนั้นเป็นประกายแวววับราวกับปีศาจจากอวกาศในนิทานปรัมปรา “ว่าไง ให้ผมช่วยไหมครับ”

   และแล้วปีศาจก็เอ่ยถ้อยคำล่อลวงคนเขลา



จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 10 ข่าวสารจากห้วงอวกาศ (20/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-11-2018 20:58:07
ตอนที่ ๑๐
ข่าวสารจากห้วงอวกาศ

   หลังการเปิดตัวภรรยาของท่านดยุค เรื่องราวก็บานปลายอย่างรวดเร็วเมื่อหนึ่งในสมาชิกรัฐสภายื่นฎีกาอ้างกับกษัตริย์เจ้าอาณานิคมว่า กิลเบิร์ตนั้นไร้คุณสมบัติเป็นภรรยาของเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่แค่เพราะเขามีพื้นเพเป็นกุลีต่ำต้อย แต่เป็นเพราะเขาเป็นโสเภณีที่หากินอยู่ในตรอกต่างหาก เรื่องนี้หลานชายของเขาเป็นพยานยืนยันหลังเห็นรูปถ่ายของกิลเบิร์ตจากงานเลี้ยง ทว่า เรื่องนี้ถูกลุดวิกเตะตัดขาปัดตกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาอ้างตัวปกป้องและซัดกลับฝ่ายนั้นว่าเหิมเกริมเข้าใจผิดเองว่าภรรยาของเขาเป็นโสเภณีเลยเข้ามาลวนลามต่างหาก งานนี้เขาถึงขนาดให้คาร์ลส่งหนังสือฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอเรียกค่าทำขวัญให้กิลเบิร์ตกับค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของตัวเขาที่เป็นสามี แค่เรื่องนี้ก็แสดงออกให้คนทั่วไปเห็นชัดเจนแล้วว่าท่านดยุคแห่งออลบานีทั้งรักทั้งหลงภรรยาคนนี้มากมายเพียงใด

   ฝ่ายคนที่ช้ำใจอย่างเคาท์ฮาน เกอเจ้นนอกจากส่งหนังสือฎีกาต่อองค์กษัตริย์แล้ว เขาก็ได้แต่ดิ้นรนในวงสังคมและสาดข่าวเสียหายใส่กิลเบิร์ต เพียงแต่ว่าแม้จะพยายามส่งคนไปสืบหาพื้นเพชาติกำเนิดเท่าไหร่ เขากลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรกลับมาเลย ในขณะที่ฝ่ายเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นหลังจากทำตัวลึกลับอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เดินหน้าหาบิดาและขอให้บิดาจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของราชวงศ์ คนโง่ไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่จะคิดว่าเขามีความจริงใจ

   แต่ไม่จริงใจแล้วยังไง จะสามารถปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์เจ้าอาณานิคมได้อย่างนั้นหรือ?

   ดังนั้นในเช้าวันนี้พ่อบ้านเบนจามินเลยยุ่งหัวหมุนกับการจัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของให้กับเจ้านายทั้งสองของเขา ยิ่งคิดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งน่าปวดหัว เพราะยามที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองโจษขานอยากรู้อยากเห็นว่าท่านดยุคไปหลงรักภรรยาเข้าตอนไหน เขากลับรู้สึกเหมือนเป็นสักขีพยานความรักกลายๆ เริ่มจากท่านดยุคหอบคนแปลกหน้ากลับบ้าน ก่อนจะจ้างไว้เป็นคนใช้กิตติมศักดิ์ จับพลัดจับผลูอีท่าไหนไม่รู้ออกไปกับเจ้านายวันเดียว กลับเข้าบ้านก็กลายเป็นคุณนายไปแล้ว เสียแต่คุณนายคนนี้ยังคงติดนิสัยคนใช้ที่เขาสอนสั่งอย่างดี ดูอย่างรองเท้าหนังของท่านดยุคคู่นี้สิ เมื่อคืนหลังอาหารค่ำ กิลเบิร์ตเป็นคนขัดเสียเงาวับ ดูท่าว่าจะชอบขัดรองเท้ามากจริงๆ คิดในแง่หนึ่งต้องถือว่าคุณนายคนนี้ช่างเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวเสียนี่กระไร!

   ทว่า เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว ทางห้องครัวแจ้งว่าอาหารเช้าพร้อม แต่คนยังไม่ตื่น หากเป็นเมื่อก่อนในฐานะพ่อบ้านเขาย่อมปีนขึ้นชั้นสองไปปลุกเจ้านาย แต่วันนี้คนๆนั้นมีภรรยาร่วมห้อง เกิดเปิดเข้าไปแล้วเจอเรื่องไม่ดีไม่งาม เขามิต้องถูกตำหนิรึ! ไม่สิ ตำหนิน่ะเรื่องเล็ก แต่เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นนั่นเรื่องใหญ่! เมื่อคืนคนทั้งคฤหาสน์ได้ยินเสียงเอะอะตึงตังครึ่งค่อนคืน ไม่ใช่ว่าพวกเขาประกอบกิจฉันสามีภรรยากันจนดึกดื่นค่ำคืนเพิ่งได้นอนตอนใกล้รุ่งสางหรอกรึ! แค่คิดก็รู้สึกบัดสีบัดเถลิง แม้ไม่รู้ว่ากิลเบิร์ตเป็นคนดาวไหนเผ่าพันธุ์อะไรตั้งท้องได้หรือไม่ แต่การที่สามีภรรยาสานกิจกรรมส่วนตัวรักใคร่กันดีมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่ควรมีใครไปขัดขวางอยู่แล้ว สุดท้ายจึงได้แต่บอกแม่ครัวให้อุ่นอาหารไว้ก่อน ส่วนตัวเขาขอรั้งรอไม่กล้าขึ้นไปปลุก

   ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นสองสามีภรรยาเจ้าของข่าวซุบซิบกลับยังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง กิลเบิร์ตนั้นยังงัวเงียอยู่หลังจากการตรากตรำเคี่ยวกรำของลุดวิกจนดึกดื่น มาตอนนี้ยังเหนื่อยอ่อนแต่ดันถูกเจ้าคนนิสัยเสียกอดจนแทบจมลงบนเตียง

“หยุดซะทีน่า!” กิลเบิร์ตหงุดหงิดหนัก เมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ฝึกมารยาทพื้นฐานราชวงศ์ถูกด่าว่าว่าคอเชิดไปบ้างล่ะ หลังตรงไปบ้างล่ะ ขาแข็งไปบ้างล่ะ ก้มๆเงยๆจนเหนื่อย มาตอนนี้จะมาเล่นอะไรอีก!

“อะไรกันจูบอรุณสวัสดิ์จะไม่มีเลยรึ” ลุดวิกที่กอดภรรยาจนแทบจมฟูกนอนบ่นเล็กๆแต่ไม่รอฟังคำก็เป็นฝ่ายหอมแก้มอีกฝ่ายและกอดร่างอุ่นๆนั้นไว้แทนหมอนข้าง หากไม่ติดว่าช่วงนี้จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนมารยาท เขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าแมวดำตัวนี้ขู่ฟ่อๆอยู่แบบนี้หรอก นึกอยากสานต่อเรื่องราวจากคืนแรกของการพบพานใจจะขาด แต่เพราะหน้าที่ความจำเป็นเลยได้แต่ลอบทอดถอนใจหาเศษหาเลยเล็กๆน้อยๆพอหอมปากหอมคอ “นี่ตั้งแต่แต่งงานมาเธอยังไม่ได้ทำหน้าที่ภรรยาเลยนะ”

“หน้าที่ภรรยาบ้านพ่อคุณสิ! คุณนั่นล่ะที่กินฉันหัวจรดเท้าไปตั้งแต่คืนแรกแล้ว!” กิลเบิร์ตย่อมประท้วง แถมตอนนั้นหมอนี่เล่นงานเขาจนปวดสะโพกเช้าวันต่อมาถึงขนาดต้องเดินหมดสภาพน่าอับอาย ตอนนี้ยังมีหน้ามาทวงถามหน้าที่ภรรยาบ้าอะไร แต่นั่นล่ะ ลุดวิกย่อมมีเหตุผลที่บ้าพอเสมอ

“นั่นมันก่อนแต่งงานต่างหาก” ลุดวิกยังคงเถียงได้จริงๆ

“เจ้าถังขยะหน้าไม่อาย!” แทบจะชี้หน้าด่าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังเอาแต่กอดเขา ซ้ำยังจูบฟอดลงข้างแก้ม ท่าทางแบบนี้เล่นเอากิลเบิร์ตไปไม่ถูกว่าหมอนี่คิดอะไรกันแน่ จริงอยู่ว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ก็เป็นแค่ในนามจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น ลุดวิกจะฉวยโอกาสนี้มาเอาเปรียบเขาบ่อยๆงั้นหรือ นิสัยเสียจริงๆ! “คุณจะแต่งงานหลอกๆก็อย่าเอาเปรียบฉันให้มากนักสิ!”

“ใครแต่งงานหลอกๆงั้นหรือ” นึกไม่ถึงว่าลุดวิกกลับย้อนหน้าตายแถมยังจ้องหน้าคนในอ้อมแขนตาไม่กระพริบ ดวงตาคมเข้มหล่อเหลาที่ชวนคนมองหน้าเห่อร้อนนั้นแฝงแววขี้เล่นแต่จริงจังอย่างหาได้ยากยิ่งยามอยู่นอกบ้าน แต่เขามักจะแสดงออกแบบนี้ในบางครั้งที่อยู่กับคนในบ้าน ในสายตากิลเบิร์ต หมอนี่เป็นคุณชายที่เอาใจยากจริงๆ “ว่าไง ใครแต่งงานหลอกๆกัน”

“คุณกับฉันน่ะสิ!” กิลเบิร์ตเถียงต่อ จะนิ่งเฉยย่อมไม่ได้ ไม่ทันไรหมอนี่ก็จะลืมสัญญาที่จะช่วยเขาแล้วหรือยังไงกัน “คุณกับฉันแต่งงานกันหลอกๆอยู่นะ!”

“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”

“คุณ!” เอาอีกแล้ว หมอนี่จะหลอกต้มเขากินอีกแล้ว นี่ตั้งแต่เจอกันมาจะมีบ้างไหมที่หมอนี่พูดจาจริงใจไม่เล่นลิ้นน่ะ!

   พริบตานั้นเองที่ลุดวิกก้มลงจูบบนริมฝีปากของกิลเบิร์ต เขาเม้มปากบดเบียดนิดๆก่อนจะค่อยๆใช้ปลายลิ้นละเลียดเลียริมฝีปากสวยที่เขาชอบจูบเป็นที่สุด หลังจากที่จูบกิลเบิร์ตไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่มีริมฝีปากใครที่จะน่าจูบไปมากกว่านี้อีก เดิมทีตอนที่กิลเบิร์ตขัดขืนไม่ยินยอมเป็นภรรยาของเขา เขาก็ตัดสินใจจะปล่อยไปอย่างยากเย็น มาบัดนี้อีกฝ่ายตกหลุมเป็นของเขาแล้ว ยังคิดจะหนีอีกเรอะ ตลกน่ะ!

“ฉันคิดอะไรอยู่ ลองเก็บไปคิดเล่นๆไหม เผื่อจะฉลาดขึ้นบ้าง” ลุดวิกหัวเราะพลางขยับกายลุกจากเตียงในขณะที่กิลเบิร์ตยังมึนกับคำพูดและรสจูบของอีกฝ่าย เขากำลังไม่เข้าใจว่าตกลงผู้สมรู้ร่วมคิดคนนี้จริงๆแล้วคิดจะทำอะไรกับเขากันแน่ จะให้เชื่อว่าหมอนี่จะจริงจังรับเขาเป็นภรรยางั้นหรือ เรื่องบ้าบอขาดตรรกะแบบนั้นคนโง่ดักดานเท่านั้นที่จะเชื่อ “ไปอาบน้ำด้วยกันไหม”

“หะ!”

วินาทีนั้นเองที่คุณสามีกำมะลอจ้องคนบนเตียงด้วยสายตาอ่อนโยนแต่โลมเลียอย่างยิ่ง ทำเอาคนถูกมองผวาไขสันหลังจนหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดงจนลุดวิกหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู สุดท้ายเพียงแต่ลูบศีรษะและจูบที่หน้าผากอย่างช่างเอาใจแทนก่อนจะเดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป ส่วนกิลเบิร์ตนั้นนิ่งอึ้งตัวสั่น ท่าทีแบบนี้เขาไม่ชินเอาเสียเลย

“เจ้าถังขยะบ้า!”

   ถึงจะบอกว่าเคยแต่งงานมีสามีมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงกิลเบิร์ตแต่งงานกับอดีตสามีตอนที่เขายังอายุน้อยมาก ฝ่ายนั้นแม้ในระยะแรกจะเอาใจใส่เขาอย่างดีแต่ก็ไม่เคยแสดงออกแบบลุดวิก เขาไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วการแสดงออกแบบไหนระหว่างคู่สามีภรรยาจึงเป็นการแสดงออกที่ถูกต้องกันแน่ จนกระทั่งอารอนเข้ามาในชีวิตของเขา ท่าทีที่เฟรเดอริคแสดงกับอารอนนั้นบางครั้งก็ทำให้เขาหน้าร้อนผ่าว และนั่นเองเป็นสิ่งที่ทำให้กิลเบิร์ตรับรู้ว่าแท้ที่จริงเฟรเดอริคปฏิบัติต่อเขาอย่างชืดชาเพียงใด

   เฟรเดอริคเคยรักเขาบ้างหรือเปล่า หมอนั่นจริงๆแล้วเห็นเขาเป็นอะไรกันแน่? แล้วตัวเขาล่ะ จริงๆแล้วเคยรักเฟรเดอริคในฐานะสามีบ้างหรือไม่?

   หรือจริงๆแล้ว มันว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น

   หลังอาบน้ำแต่งตัวลงมารับประทานอาหาร พวกเขาก็ต่างใช้เวลาทำในสิ่งที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น บ่ายวันนั้นลุดวิกนั่งอ่านหนังสือที่ห้องรับแขกโดยมีกิลเบิร์ตนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่มุมห้อง ในตอนแรกลุดวิกนึกแปลกใจที่เจ้าแมวหนีภาษีตัวนี้ทำอะไรนุ่มนวลแบบนี้ได้ กิลเบิร์ตไม่เพียงเล่นเปียโนได้ แต่เขาเล่นได้ดีอย่างยิ่ง ยามที่พรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนนั้นแพรวพราวเจิดจรัส สร้างเสียงดนตรีที่เสนาะสะท้อนก้องกังวาน บางช่วงจังหวะนุ่มนวล บางครั้งแข็งกร้าว มีจังหวะจะโคนที่ทำให้หัวใจสั่นไหว ในตอนที่เขาจบบทเพลงลง ลุดวิกยังตกอยู่ในภวังค์จ้องมองคนเล่นอย่างไม่อาจละวางสายตา ดูท่าเขาจะเก็บของหนีภาษีราคาแพงลิ่วมาใส่กระเป๋าเสียแล้ว

“เพราะมากเลยนะ ฝึกมานานแล้วสิ” คำถามนี้ก็เช่นเดียวกับการเต้นรำ ทั้งสองอย่างเป็นศิลปะที่หากไม่ใช่คนชั้นสูงไม่มีทางได้ฝึกหัด ยิ่งในยุคสมัยที่มนุษย์ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่กันเป็นว่าเล่น จะมีใครที่สนใจเรื่องราวทางวัฒนธรรมจากอดีตแบบนี้อีกเล่า

“ยังจะไต่สวนอีก” กิลเบิร์ตตอบยียวน คำถามนี้คิดให้ตายก็คือการพยายามจับผิดว่าเขานั้นเป็นใครมาจากไหน แม้คิดจะปกปิด แต่ก็รู้ว่าคงจะบ่ายเบี่ยงมากเกินไปไม่ได้ ยังไงตอนนี้ลุดวิกก็แบกความเสี่ยงไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน “ตั้งแต่จำความได้ก็เล่นได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่นได้ยังไง” ทว่า คำตอบนั้นออกจะเหนือความคาดคิดของผู้ถามไปสักหน่อย

“หืม? ความจำเสื่อม?” เหตุผลนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดมากทีเดียว

“ตอนที่จำความได้ก็อายุเกือบสิบห้าแล้วมั้งนะ ถ้าผลการตรวจมวลกระดูกไม่ผิดพลาดนะ” ตอบเรียบๆพลางหัวเราะแก้เก้อ นี่เป็นอีกหนึ่งความจริงที่ตัวเขาก็สับสนเหมือนกัน ในตอนที่จำความได้ ในตอนนั้นเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ตัวเองเป็นใครมาจากไหน ชื่ออะไร ทำไมถึงมีความสามารถพิเศษแตกต่างจากคนอื่น ทำไมถึงมีพลังจิต เขาไม่รู้อะไรเลย

   และในตอนนั้นเองที่เขามีเฟรเดอริคเข้ามาในชีวิต หากไม่มีเฟรเดอริค เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าในตอนนั้นเขาควรจะทำอย่างไรดี บางทีอาจจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ ดังนั้นนี่คืออีกเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพิงเฟรเดอริค คนๆนั้นเป็นทุกอย่างให้เขานับแต่ลืมตาดูโลกขึ้นอีกครั้ง และยามนี้เป็นทั้งผู้ให้ชีวิต และผู้พรากชีวิต

   ฝ่ายลุดวิกเห็นสีหน้าหมองของอีกฝ่ายก็ยอมขยับตัวเดินเข้าไปหากิลเบิร์ตที่ยังนั่งหันหลังให้เขาอยู่หน้าเปียโน ในตอนนั้นเองที่นายทหารหนุ่มค้อมกายลงและกอดภรรยากำมะลอไว้ในอก ความใกล้ชิดนั้นทำให้กิลเบิร์ตได้ยินเสียงหัวใจของฝ่ายตรงข้าม เสียงหัวใจของลุดวิกเต้นเป็นจังหวะจะโคนอย่างมีระเบียบอย่างยิ่ง ไม่มีตื่นเต้นร้อนรนหรือสับสน เป็นคนที่ชัดเจนในตัวเองจนน่าหมั่นไส้

“อะไรกันจู่ๆมากอดแบบนี้ จะปลอบฉันหรือไง” แต่กิลเบิร์ตก็ยังคงเป็นกิลเบิร์ต เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวท่าที่อ่อนโยนไม่เข้าเรื่องนี่ เสียแต่ว่าลุดวิกไม่เขินอายซ้ำยังกอดเขาแน่นขึ้น ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามซุกลงหลังต้นคอของเขา และยามนั้นเองที่เขาพลันรู้สึกว่าริมฝีปากนั้นกำลังจูบลงมาท้ายทอยของเขา จูบนั่น อุ่นร้อนเสียจนต้องสะดุ้ง “ลุดวิก!”

   กิลเบิร์ตย่อมต้องดิ้นต่อต้าน แต่อ้อมแขนนั้นก็แข็งแกร่งเสียเหลือเกินไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ยังถูกรัดรึง มิหนำซ้ำจูบที่ท้ายทอยยังขยับยุกยิกจนตอนนี้เขาได้ยินกระทั่งเสียงซิปที่ถูกรูดลง และผิวเนื้อนุ่มๆที่จูบลงมาตามแนวกระดูกสันหลังเปลือยเปล่าของเขา ความรู้สึกร้อนวูบวาบทำให้ใบหน้านั้นแดงชาดเขินอายอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทั้งๆที่ควรจะรู้ว่าเขาอับอายแค่ไหน เจ้าคนหน้าไม่อายก็ยังจูบไล่ลงมา ระรานไปตลอดแผ่นหลังจนกิลเบิร์ตพลั้งส่งเสียงครางหลุดออกไป ฝ่ายคนหน้าไม่อายถึงได้หยุดลงชั่วคราวก่อนจะคว้าตัวเขากอดแน่น เสียงนุ่มพร่างพรมที่ข้างใบหูชวนจั๊กจี้ใจ

“เป็นการปลอบที่ยอดเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ คุณภรรยา”

“คุณ!” กิลเบิร์ตอยากเถียงใจแทบขาด แต่เจ้าของคำพูดคำจาน่าอายนั่นกลับดึงเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะฉวยโอกาส
ใช้ใบหน้าหล่อเหลาคลี่รอยยิ้มหวานและจูบลงข้างแก้มเขาอีกรอบ ช่างหน้าด้าน หน้าไม่อายจริงๆ!

“ถ้าทำหน้าเศร้าอีก ฉันก็จะปลอบแบบนี้อีก ปลอบไปเรื่อยๆจนกว่าเธอจะยอมยิ้ม เธอคิดแบบนี้ดีไหม” ลุดวิกพูดพลางทำท่าจะก้มลงมาหาเศษหาเลยอีกรอบจนกิลเบิร์ตผงะถอยหลัง แต่มีหรือที่ลุดวิกจะปล่อยไป เขาได้ทีเห็นอีกฝ่ายแตกตื่นก็ดึงแขนจับอุ้มล้มลงไปนอนกอดกันบนโซฟาตัวใหญ่ มือไม้ของลุดวิกก็แสนซุกซนพยายามจะแตะนู่นแตะนี่จนกิลเบิร์ตร้องเสียงหลง

“เจ้าถังขยะหน้าไม่อาย! เกิดคนอื่นเห็นจะทำยังไงเล่า!”

“เรื่องระหว่างสามีภรรยาคนอื่นเห็นมีแต่จะชื่นชมที่ฉันรักใคร่เธอขนาดนี้ มีอะไรเสียหายกัน” ฝ่ายสามีผู้ถือสิทธิ์แสดงความรักความหลงตอบ

“นี่มันเป็นแค่ละครนะ!”

“เธอคิดอะไรลึกซึ้งไปแล้ว” ว่าพลางก้มลงเตรียมจะจูบอีกฝ่ายให้หายอยากเสียหน่อยและถึงจะเลยเถิดไปบ้างเขาก็คิดว่าไม่เสียหายอะไร แต่ตอนนั้นเองที่เสียงกระแอมโขลกขลากดันดังมาจากหน้าประตูห้อง

   ตรงนั้นเองที่พ่อบ้านเบนจามินยืนอึ้งหน้าซีดอยู่พร้อมกับพันตรีคาร์ล เออร์เนส ที่ถือวิสาสะเดินเข้าบ้านมาตามปกติ เพียงแต่ดูเหมือนวันนี้ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่าสหายของเขาดันมีภรรยาอยู่ร่วมด้วย และคุณสามีคนนี้ก็ดูจะไม่ลังเลที่จะแสดงความรักต่อภรรยาเกะกะระรานไปเสียทุกที่ในบ้าน 

“ดูเหมือนจะมาผิดจังหวะ” คาร์ลเกาหัวแกรกๆเอ่ยยิ้มๆขอโทษขอโพย แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไรก็เถอะ “ต่อได้เลยนะ ฉันจะไปรอที่ห้องน้ำชา เสร็จแล้วค่อยมาตามก็ได้ ว่าแต่นานไหม ถ้านานหลายรอบฉันจะออกไปดื่มชายามบ่ายรอนอกบ้าน” ว่าพลางฉีกยิ้มอารมณ์ดีบนใบหน้าเรื่อยเปื่อยที่ทำเอากิลเบิร์ตหน้าเห่อร้อนอีกเป็นเท่าตัว เจ้าหมอนี่จงใจพูดหาเรื่องกันชัดๆ!

“งั้นช่วยออกไปรอข้างนอก น่าจะสักชั่วโมง” ลุดวิกตอบหน้าตาย

“หยุดนะ!!!” กิลเบิร์ตทนบทสนทนาต่ำทรามของสองสหายนี่ไม่ไหวพลั้งตะโกนขึ้นมา กัดฟันกรอดมองซ้ายทีขวาทีก็ตัดสินใจได้ว่านี่มันตัวต่ำทรามทั้งคู่ “เจ้าพวกถังขยะแฝดหน้าไม่อาย!!”

   ที่ไหนได้คาร์ลกลับยักคิ้วใส่ทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะมองไปยังลุดวิกแบบเสแสร้งสุดๆ

“บ่ายวันอาทิตย์แบบนี้มันก็ต้องทำกิจกรรมสบายเนื้อสบายตัวสิน่า นี่เป็นเรื่องดีออกนะ!” คาร์ลเอ่ยพลางยิ้มยักคิ้วให้เพื่อน ส่วนเจ้าเพื่อนสารเลวนั่นก็คลี่ยิ้มหล่อเหลาพยักหน้าตอบรับ

“นายก็อย่าขัดมากนัก ออกไปดื่มชาสักชั่วโมงไป๊” ลุดวิกบอก

“หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!!!” กิลเบิร์ตประท้วง

   สุดท้ายลุดวิกกับคาร์ลโดนกิลเบิร์ตชี้หน้าด่าอีกรอบ แต่ฉันใดฉันนั้นสองคนนี่ไม่เพียงไม่รู้สึกรู้สากลับยังยิ้มแก้เก้อตีเนียนเป็นผู้ชายอบอุ่น บ้าบอไปแล้ว สองคนนี่มันเกินเยียวยาแล้ว! ตรงไหนของเจ้าพวกนี้คือนายทหารน่าภาคภูมิใจแสนสูงส่งของดาวดวงนี้กัน!

   กล่าวถึงนายคาร์ล เออร์เนส ผู้นี้ ลุดวิกเล่าให้เขาฟังหลังงานเลี้ยงคืนนั้นว่าหมอนี่เป็นสหายรักของเขามาตั้งแต่เด็ก เป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลสมาชิกรัฐสภาเออร์เนส มีพี่ชายผู้เก่งกาจแสนดีน่านับถือเป็นผู้สืบทอดตระกูล ส่วนตัวเขาเลิกหวังพึ่งพาครอบครัว ตอนที่อายุสิบห้าก็ระเห็จออกนอกบ้านมากินนอนอยู่ค่ายทหาร แม้ตำแหน่งเป็นแค่พันตรี แต่ด้วยนิสัยที่ไม่พึ่งพาใครรักสันโดษขนาดนี้ได้ตำแหน่งตั้งแต่อายุแค่นี้นับว่าเก่งกาจมากแล้ว ส่วนตอนนี้หมอนี่ก็คือผู้สมรู้ร่วมคิดของลุดวิก และเป็นคนประสานงานระหว่างลุดวิกกับพวกสมาชิกรัฐสภาด้วย ด้วยนิสัยของคาร์ล ลุดวิกวิจารณ์ว่าหมอนี่ไม่ช้าก็เร็วต้องเปลี่ยนอาชีพอย่างแน่นอน

   ส่วนที่เขามาหาพวกลุดวิกวันนี้ก็เพราะเขากับนิโคลัสจะเป็นผู้ติดตามลุดวิกเข้าวังเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ ดังนั้นหลังจากพูดคุยจิบชากันสักพัก พวกเขาก็เริ่มคุยกันเรื่องงาน แน่ล่ะว่าทุกคนรู้แก่ใจว่าเจ้าชายอ๊อตโต้เตรียมแผนการไว้ และพวกเขาจำเป็นต้องโต้กลับ เพียงแต่ในระยะหลังเจ้าชายอ๊อตโต้เองก็ไม่ได้โง่เง่าจนเกินไป เขามักมีเซอไพรสที่คนคิดไม่ถึง เรื่องการแต่งงานของลุดวิกกับตระกูลเกอเจ้นนี่ก็เล่าลือกันว่าไม่ใช่ความคิดของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่น่าจะมีที่ปรึกษาดีคอยดูแลให้ และที่ปรึกษานี่ล่ะที่สร้างความน่าหนักใจให้พวกลุดวิกอย่างยิ่ง

“เป็นไปได้ไหมที่เจ้าชายอ๊อตโต้ชักศึกเข้าบ้าน” คาร์ลเสนอความเห็น สอดส่ายสายตาไปให้ทั่วเขายังมองไม่เห็นใครที่จะถือหางเจ้าชายนิสัยเสียผู้นี้ แต่คนที่นี่ไม่ ใช่ว่าคนข้างนอกจะไม่ทำ มีตัวอย่างมากมายให้เห็นว่าดาวสักดวงสามารถล่มสลายได้จากการแทรกแซงภายนอก

“นายหมายถึง โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด?” ลุดวิกเอ่ยชื่อนั้นขึ้น ในขณะที่กิลเบิร์ตถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำเรียกขานถึงคนพวกนั้น “พวกนั้นเล็งอาทีเรียอยู่งั้นรึ”

“ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย”

   ถึงตรงนี้กิลเบิร์ตกลับนิ่งฟังอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นดาวไกลปืนเที่ยง  แต่ดูเหมือนชื่อเสียงของพวกโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืดจะไม่ได้ห่างไกลสำหรับพวกเขา โจรสลัดพวกนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องชั่วร้าย ทั้งค้าขายของผิดกฎหมาย ปล้นยานอวกาศ แม้กระทั่งแทรกแซงการเมืองของดาวสักดวงเพื่อปล้นชิงทรัพยากร โดยเฉพาะหัวหน้าของเจ้าพวกนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่อันตรายอันดับต้นๆของจักรวาล

   จะเป็นใครก็ได้ที่เข้ามาแทรกแซงเป็นมันสมองของเจ้าชายอ๊อตโต้ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างแอบหวังว่าคนที่มานั่นจะไม่ใช่ศัตรูตัวอันตรายแบบชายผู้นั้น

   สุดท้ายเมื่อได้ข้อสรุปเบื้องต้นพวกเขาต่างก็แยกย้ายไปเตรียมตัว จนกระทั่งได้เวลา ลุดวิกก็จูงมือภรรยาเข้าสู่สมรภูมิใหม่อีกครั้ง 

“หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล เธอต้องรีบเรียกฉันหรือคาร์ล อย่าทำอะไรตัวคนเดียว” ลุดวิกกำชับกิลเบิร์ตก่อนที่พวกเขาจะลงจากรถ ตอนนี้พวกเขามาถึงวังแล้ว และเห็นได้ชัดว่าในวันนี้แม้บอกเป็นงานเลี้ยงในครอบครัว แต่ก็เชื้อเชิญคนชั้นสูงมาร่วมงานกันคับคั่ง รวมทั้งเคาท์ฮาน เกอเจ้นด้วย

“เข้าใจแล้ว” ฝ่ายกิลเบิร์ตแม้จะดื้อรั้นแต่ถ้าเป็นเรื่องเป็นงานเป็นการเขาก็ไม่โต้แย้ง ยังไงเสียคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของราชวงศ์ดีที่สุดก็คือลุดวิก “คุณเองก็อย่าทำอะไรเกินตัวนะ”

“เป็นห่วงหรือ” ยกยิ้มขึ้นและอดไม่ได้ที่จะจับมืออีกฝ่ายมาจูบเบาๆ เดิมทีย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไรแบบนี้กับเขามาก่อน “แบบนี้กลับไปต้องให้รางวัลเสียหน่อยแล้ว”

“รางวัลพ่อคุณสิ!” กิลเบิร์ตที่รู้ความนัยต่ำทรามนั่นสบถด่าทันที ก่อนที่คาร์ลที่ขับรถอยู่จะรู้สึกทนฟังไม่ได้จนต้องไล่สองสามีภรรยานี่ลงจากรถ

   คนมีคู่นี่มันเหม็นความรักจริงๆ!

   ลุดวิกนั้นพากิลเบิร์ตเดินเข้าไปยังโถงห้องรับรองส่วนตัวของกษัตริย์ท่ามกลางสายตาที่หลากหลายความรู้สึกของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ แต่คนที่รอคอยเผชิญหน้าเขาอยู่ตอนนี้กลับเป็นท่านเคาท์ฮาน เกอเจ้นที่มาปรากฏตัวยืนจังก้าอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ใช่เพราะเขากล้าจนเกินงาม แต่เพราะตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคือเจ้าหญิงเฟรเซีย ชายาของเจ้าชายอ๊อตโต้ ผู้สนับสนุนที่ดีงามเหมาะสมจนลุดวิกไม่สามารถจะเดินผ่านไปเฉยๆได้

“ขอดิฉันสนทนากับท่านดยุคเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่” เจ้าหญิงเฟรเซียทักทายแล้วก็เข้าประเด็น สายตานั้นชำเลืองมองกิลเบิร์ตอย่างเฉยชาพลางส่งสารที่ตีความได้ง่ายดายว่าหมายถึงให้กิลเบิร์ตนั้นช่วยไสหัวออกไปที “นี่เป็นการสนทนาของคนในครอบครัว คนนอกไม่ควรรับฟัง”

“ที่นี่ไม่มีคนนอก หากจะมีก็มีเพียงท่านเคาท์ ไม่ทราบว่าท่านเคาท์เป็นญาติฝ่ายไหนของฉันหรือ” ลุดวิกพูดเรียบๆแต่ทำเอาท่านเคาท์หน้าถอดสีระคนโกรธเกรี้ยวจนเจ้าหญิงเฟรเซียต้องรีบห้ามปรามญาติผู้น้อง เจอคำพูดแค่นี้ของดยุคแห่งออลบานีก็แสดงอารมณ์แล้ว แบบนี้จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับผู้ชายคนนี้ได้ ความร้ายกาจของลุดวิกนั้นเธอย่อมทราบดีแก่ใจ

“ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันแค่อยากจะบอกว่าระหว่างท่านดยุคกับตระกูลเกอเจ้นมีเรื่องต้องทำความเข้าใจกัน หากท่านชายาอยู่ด้วยจะหมองใจเสียเปล่าๆ ถ้าอย่างไรเชิญท่านชายานั่งพักผ่อนที่ห้องน้ำชาสักครู่ เมื่อเสร็จธุระแล้วดิฉันจะให้คนไปเชิญ ดีไหมคะ” เจ้าหญิงเอ่ยแก้อย่างรู้งานทันที หญิงสาวรายนี้เดิมทีก็ไม่ใช่คนสมองกลวง แม้จำต้องกัดฟันแต่งงานอย่างจำยอมกับเจ้าชายอ๊อตโต้ แต่เมื่อแต่งงานมาแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ในสายตาลุดวิก ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสงสาร เพียงแต่สงสารก็ส่วนสงสาร เขาจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเรื่องราวต่อ

   แต่ตอนนี้ เจ้าหญิงเฟรเซียกำลังสร้างความลำบากใจแก่เขา

“ได้สิ ฉันจะนั่งรอท่านดยุคที่ห้องน้ำชา” กิลเบิร์ตตอบ เขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ลุดวิกลำบากใจ แต่แม้ลำบากใจก็ไม่ควรทำให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้มารยาท ส่วนเจ้าหญิงเฟรเซียคนนี้เขาดูแล้วก็เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจไม่หยอก ดูๆไปแล้วเจ้าชายอ๊อตโต้อะไรนั่นไม่เห็นคู่ควรกับหญิงสาวคนนี้เลย “รีบไปรีบมานะ ท่านดยุคที่รัก” กิลเบิร์ตว่าพลางจูบข้างแก้มสามีกำมะลอให้ฝ่ายท่านเคาท์ฮานมองมาหน้าเขียวปั๊ดเล่นๆ ช่วยไม่ได้ใครให้ท่านเคาท์นี่คล้ายอารอนขนาดนี้เล่า!

   กิลเบิร์ตมองส่งลุดวิกเดินจนลับสายตาส่วนตัวเองนั้นถูกเชิญมาพักผ่อนที่ห้องน้ำชาที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมแสบจมูก บนโต๊ะเล็กๆนั้นมีของว่างเล็กน้อยกับน้ำชาให้ทานเล่นระหว่างรอร่วมรับประทานอาหารเย็น ด้วยสัญชาตญาณเขาย่อมไม่แตะต้องของอันตรายพวกนี้ หากพลาดพลั้งถูกวางยาเข้าไปจะโดนด่าว่าโง่ดักดานได้ จึงใช้เวลาสอดส่ายสายตามองข้าวของเครื่องใช้ไปเพลินๆพลางคิดเรื่อยเปื่อยถึงสถานการณ์ของตัวเองขณะนี้

ช่วงนี้เขาค่อยๆทำความเข้าใจกับดาวดวงนี้แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมติดตามเรื่องข้างนอก เพียงแต่ว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นน้อยมาก ผู้คนบนดาวดวงนี้ค่อนข้างเก็บตัวเงียบสงบยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง จนเรื่องใหญ่อย่างสหพันธ์ดวงดาวหรือการเปิดฉากสงครามของเทสล่ากับซิลวานี่กลายเป็นข่าวเล็กๆที่กรอบหน้าในๆของหนังสือพิมพ์ จะว่าไปจะเอาอะไรกับดาวอนุรักษ์นิยมแบบนี้ แค่คนที่นี่ไม่ใช้ราชาศัพท์หรูหราในการพูดคุยกันแบบชนชั้นสูงในอดีตของโลกก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

   แต่ว่าเรื่องสงครามกับซิลวานี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กิลเบิร์ตรู้แก่ใจว่าวันใดที่เทสล่าก่อสงคราม เมื่อนั้นหายนะจะมาเยี่ยมเยือน เขาคัดค้านเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เพราะหวาดกลัวที่จะต้องนำทัพ แต่เป็นเพราะมั่นใจว่าท้ายที่สุดสงครามนี่จะเป็นชนวนของความรุนแรงที่ไม่จบสิ้น แม้ไม่มีใครฟังเขา แต่หากมีโอกาสที่จะต้องพูดอีก เขาก็จะยังยืนยันคำเดิม

“ท่านชายา ท่านดยุคขอให้ท่านตามไปที่ห้องรับรองค่ะ” หญิงสาวคนรับใช้เข้ามาบอกกิลเบิร์ตที่กำลังคิดเรื่องของสงครามอย่างเหม่อลอย เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ แม้นึกสงสัยว่าทำไมธุระของเจ้าหญิงเฟรเซียเสร็จไวกว่าที่คิด แต่เขาก็ไม่มีเหตุให้ปฏิเสธ จึงออกเดินตามไปอย่างไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งหญิงสาวเปิดประตูห้องๆหนึ่งให้ เขาก็ก้าวเข้าไป เพียงแต่ทันใดนั้นเอง

   ปึง!

“เอ๋!” ครั้นพอหันไปดึงประตู ประตูกลับถูกล็อคจากภายนอก ส่วนเบื้องหน้าเขากลับปรากฏชายหนุ่มหน้าตาถมึงทึงยืนกอดอกอยู่ “เจ้าชายอ๊อตโต้?”
   


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 10 ข่าวสารจากห้วงอวกาศ (20/11)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-11-2018 11:27:53
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 10 ข่าวสารจากห้วงอวกาศ (20/11)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 21-11-2018 13:12:49
ตัดฉับๆเลยอ่ะ มาต่อไวไวนะ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 11 โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด (25/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 25-11-2018 18:10:55
ตอนที่ ๑๑
โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด

   ในตอนที่เห็นเจ้าชายอ๊อตโต้ยืนอยู่ในห้อง กิลเบิร์ตผงะถอยหลังเล็กน้อย เขาก็คิดอยู่หรอกว่าในนี้ไม่ปลอดภัย แต่ใครจะไปคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นแผนชั่วกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ เขากำลังเดาใจอยู่ว่าเจ้าชายอ๊อตโต้คิดจะทำอะไรต่อไป ฆ่าเขาแล้วโยนศพทิ้งถ่วงทะเลกำจัดเสี้ยนหนามแบบบ้านๆ หรือว่ามีไอเดียบรรเจิดน่าสนใจกว่านั้น

“เจ้าชายมีธุระอะไรงั้นหรือ” กิลเบิร์ตถามอย่างเฉยชาในขณะที่สายตาสอดส่องหาทางหนีทีไล่ แต่เจ้าชายกลับยังพยายามสาวเท้ามาทางเขา สีหน้าแสยะยิ้มโหดเหี้ยมจนทำเอากิลเบิร์ตนึกรำคาญเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าตนเองจะสู้คนๆนี้ไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนให้ลุดวิกเท่านั้น เกิดหมดความอดทนพลั้งมือทำร้ายไปไม่รู้ว่าผลที่ตามจะเป็นอย่างไร จะชั่วจะดีนี่ก็พี่สามี เป็นเจ้าชายเชียวนะ จะถูกเตะตัดก้านคอนอนตายอนาถแถวนี้ไม่น่าใช่เรื่องดี

“มีหน้ามาถามงั้นหรือ แกคิดว่าฉันควรมีธุระอะไรกันล่ะ เอ้า! ลงชื่อซะ!” เจ้าชายอ๊อตโต้ตวาดพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งใส่หน้ากิลเบิร์ต ตอนนี้กิลเบิร์ตอ่านหนังสือของดาวดวงนี้ได้คล่องแล้ว ดังนั้นเขาจึงเห็นตัวอักษรคำว่า ‘ใบหย่า’ ชัดเจน

   ใบหย่าอีกแล้วรึ?

“ทำไมฉันต้องลงชื่อ” ถามอย่างเหนื่อยหน่าย ทำไมช่วงนี้เขาช่างมีแต่ดวงหย่าร้างกันนะ คนพวกนี้คิดว่าจะแต่งก็แต่งจะหย่าก็หย่าง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง “นี่เจ้าชายเข้าใจความหมายของคำว่าหย่าหรือเปล่าน่ะ”

“ไม่ต้องมาเล่นคำ! อย่างแกมันไม่คู่ควร! ฉันไม่รู้ว่าลุดวิกไปขุดแกมาจากไหนหรอกนะ แต่ก็คงไม่แคล้วจากตลาดชั้นต่ำ ลงชื่อซะแล้วฉันจะจ่ายค่าแรงให้ และจะส่งแกไปที่อื่นที่ไหนก็ได้ที่แกต้องการด้วย รับรองว่าผลประโยชน์ไม่น้อยไปกว่าที่ลุดวิกจ่ายให้แกแน่!” กอดอกพลางมองอย่างหยามเหยียด สำหรับเขาแล้วนี่ก็แค่การต่อรองชั้นต่ำ กิลเบิร์ตคนนี้ก็แค่ขยะที่น้องชายเก็บมาจากสลัมที่ไหนสักแห่ง ฟาดด้วยเงินแล้วไล่ไปให้ไกลเท่านั้นก็จบ เพียงแต่ว่าเขาย่อมนึกไม่ถึงว่ากิลเบิร์ตจะยังคงสร้างความน่าขัดใจอย่างต่อเนื่อง ใช่แล้ว ต่อเนื่องจริงๆ

   แควก!

เขาฉีกกระดาษหน้าตาเฉย!

“ฉันไม่คิดจะหย่ากับลุดวิก ไม่มีเหตุผลที่คนที่รักกันต้องหย่ากันเพียงเพราะพวกคุณบอกว่าไม่คู่ควร เอาสมองไปวางทิ้งไว้ไหนถึงคิดว่าฉันจะยอมทำตามน่ะ ต่อให้ขู่กันให้ตาย ฉันก็ขอตอบว่าไม่! ฉันเป็นภรรยาของเขา ไม่หย่ากับเขาหรอก! อยากให้หย่าก็ไปให้ลุดวิกมากราบฉันขอหย่าสิ!” กิลเบิร์ตประกาศกร้าวอย่างไม่ยอมปรานีปราศรัยเช่นกัน อย่าได้คิดว่าก่อนหน้านี้เขายอมหย่าสามีเก่าง่ายๆแล้วเขาจะหัวอ่อนเป็นนางทาสนะ ที่เขายอมเพราะเขารู้ว่าเฟรเดอริคหมดความรู้สึกใดๆในตัวเขาแล้ว ไม่มีเยื่อใยต่อกันแล้ว มันเปล่าประโยชน์ที่เขาจะดันทุรังต่อไป

   แต่ลุดวิกไม่ใช่ แม้ตัวเขากับหมอนั่นไม่ได้รักกันจริงๆ แต่เขากับลุดวิกต่างก็มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนต่อกัน พวกเขามีความจำเป็นต่อกันและกัน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องกลัวการถูกข่มขู่จนต้องไปจากลุดวิก เรื่องพื้นๆแบบนี้เด็กปัญญาอ่อนยังคิดได้!

“ถ้ามีธุระแค่นี้ก็เลิกคุยกันเถอะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว มันเสียเวลานะ!” กิลเบิร์ตบอกพลางหันหลังให้ทันที เขาไม่ควรเสียเวลาอยู่กับหมอนี่นานจนเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของลุดวิก หากถูกใส่ร้ายในเรื่องอื่น ก็จะไม่พ้นแบบเดียวกับที่เคยถูกกล่าวหามาก่อน ทว่า ในตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตพลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จู่ๆขาของเขาก็ก้าวไม่ออก ทั้งหัวกลับรู้สึกมึนขึ้นมาจนสายตาพร่าเลือน “นี่มัน...”

   ในตอนนั้นเองที่เจ้าชายอ๊อตโต้แสยะยิ้มย่างสามขุมเข้ามาเบื้องหลังของเขาและกระชากแขนของกิลเบิร์ตอย่างแรง ร่างของเขาถลาล้มลงในอ้อมอกของอีกฝ่าย

“อย่านะ!” กิลเบิร์ตรีบดิ้นหนีในทันที เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ริมฝีปากแห้งมากและความรู้สึกประหลาดพลันแล่นพล่านจนแม้แต่ตนเองยังหวาดกลัว เขาไม่ใช่เด็กน้อยใสซื่อที่จะได้ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร โดนเล่นงานเข้าแล้ว!

“ยาออกฤทธิ์แล้วนี่นา” เจ้าชายอ๊อตโต้แสยะยิ้มและจับใบหน้าของน้องสะใภ้ที่ยามนี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธาให้แหงนเงยขึ้นมองเขา “ตั้งแต่เมื้อกี้ไม่รู้สึกตัวเลยล่ะสิ”

“นี่มัน...”

   ไม่ใช่ไม่รู้สึกตัว แต่ไม่นึกว่าจะถูกแผนชั่วแบบเดียวกันอีกครั้งต่างหาก ห้องๆนี้ก็เหมือนกับห้องเมื้อกี้ ที่นี่มีกลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งจนกลบกลิ่นบางอย่าง พอตั้งใจดมก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นยาจางๆอยู่ในอากาศและกลิ่นยานี่ มันคือกลิ่นแบบเดียวกับที่ทำให้เขาตกเป็นจำเลยสังคมของเทสล่า ยาปลุกอารมณ์!

“บ้าน่า ของแบบนี้...” กิลเบิร์ตแทบอยากตะโกนด่า ในดวงดาวไกลปืนเที่ยงแบบนี้ทำไมถึงมีกลิ่นแบบเดียวกับที่เคยใช้เล่นงานเขาที่เทสล่า ทำไมเขาถึงถูกจองล้างจองผลาญด้วยยาแบบเดียวกัน ใครกัน! ใครคือคนที่เอายานี่เข้ามาที่นี่!

   เขาอยากถาม แต่เจ้าชายอ๊อตโต้ไม่เปิดโอกาสให้เขาถาม เมื่อฝ่ายตรงข้ามถอดเสื้อนอกออกและผลักเขาล้มลงบนพรม กิลเบิร์ตสะดุ้งพยายามจะคลานหนีแต่กลับถูกจับข้อเท้าเอาไว้ ดวงตาวาวโลดที่สุมความรู้สึกเคียดแค้นแต่มากด้วยอารมณ์ใคร่มากมายนั่นคลับคล้ายจะบอกเขาว่า เขาไม่มีทางหนีแล้ว!

“ลุดวิก...”

   ในวินาทีนี้คนเพียงคนเดียวที่กิลเบิร์ตนึกขึ้นได้ มีเพียงเจ้าของชื่อนี้เท่านั้น

   ในเวลาเดียวกับที่กิลเบิร์ตถูกเจ้าชายอ๊อตโต้จับตัวไว้ ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกถูกหลอกล่อให้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมกับท่านเคานท์ฮาน เกอเจ้น เจ้าหญิงเฟรเซียเมื่อพาลุดวิกเข้ามายังที่หมายก็ลอบขอตัวไปหยิบของก่อนจะล็อคขังลุดวิกให้อยู่กับท่านเคาท์รูปงามสองต่อสอง ยิ่งยามนี้กลิ่นยาปลุกอารมณ์เพศฟุ้งกระจายในอากาศ พวกเขาย่อมคิดว่าจะสามารถบังคับลุดวิกให้ตกหลุมพรางได้

“รสนิยมต่ำสิ้นดี” ลุดวิกเอ่ยด่าอย่างไม่ไว้หน้า ในขณะที่ท่านเคาท์หนุ่มรูปงามนั้นถึงขนาดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์แทบจะประเคนตัวเองให้เขา ขอเพียงยาออกฤทธิ์ ฮานเชื่อว่าลุดวิกจะต้องกระโจนเข้าหาเขาอย่างแน่นอน

“ท่านดยุคอาจจะบอกว่านี่เป็นเรื่องผิด แต่ผมรักท่านนะ ผมอยากเป็นของท่าน หากท่านไม่รังเกียจก็ได้โปรดรับผมเป็นภรรยาน้อยก็ได้นี่ครับ อย่างหมอนั่นต้องไม่กล้าบ่นว่าท่านแน่” ฮานเอ่ยเสียงหวานพลางสาวเท้าเข้าหาและกอดร่างที่หนุ่มแน่นและแกร่งด้วยกล้ามเนื้อของฝ่ายตรงข้ามไว้ เขาปรารถนา ปรารถนาตั้งแต่แรกเห็นคนผู้นี้แล้วว่าจะขอครอบครองคนผู้นี้ เขาจะต้องได้เป็นชายาของท่านดยุคแห่งออลบานี! “ท่านดยุค ได้โปรดกอดผม ท่านเองตอนนี้ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วใช่ไหมครับ” ฮานเอ่ยต่อพลางวางมือลงที่หว่างขาของอีกฝ่าย

“ช่างพูดนักนะ” ลุดวิกแสยะยิ้มพลางใช้ปลายนิ้วเชยคางมองใบหน้างามหมดจด ฮานเป็นคนงามอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นคนอื่นอยู่ต่อหน้าคนงามผุดผาดเช่นนี้ย่อมต้องอยากกลืนกินให้สมอยาก เพียงแต่ว่าในตอนนี้ลุดวิกมองอย่างไรก็รู้สึกขัดใจไปหมด ในสายตาของเขามองเห็นเพียงเงาของคนๆหนึ่งตรงหน้า เจ้าแมวขยะเปียก ของหนีภาษีที่ร้อนจนลวกมือ เจ้าแมวผมดำตาดำที่เขากอดต่างหมอนข้างทุกค่ำคืนในช่วงนี้ คนตรงหน้านี่เป็นใคร ใช่แมวแสนดื้อรั้นตัวนั้นหรือเปล่า

   ไม่ ไม่ใช่เลย!

   พริบตานั้นเองที่ลุดวิกกลั้นใจผลักฝ่ายตรงข้ามออกเต็มแรงจนร่างของฮานกระแทกกับโต๊ะจนล้มกลิ้ง และตอนนั้นเองที่ประตูข้างนอกพลันถูกกระแทกเสียงดังก่อนที่นิโคลัสจะพังประตูแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งเข้ามาหาท่านนายพลของเขา และทันทีที่เขาได้กลิ่นประหลาด สัญชาตญาณก็สั่งการให้เขารีบคุ้มกันลุดวิกออกไปโดยเร็ว

“ท่านจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธผม! ป่านนี้เจ้ากุลีนั่นคงถูกรุมทึ้งตายไปแล้ว!” ฮานสบถด่าอย่างเคียดแค้น เขาย่อมรู้ดีว่าตอนนี้เจ้าชายอ๊อตโต้กำลังทำอะไรอยู่

“ว่าอะไรนะ!” ลุดวิกที่ได้ฟังพูดนั่นไม่อาจห้ามใจกลับย่างสามขุมกระชากเส้นผมของอีกฝ่ายขึ้น ใบหน้าเกรี้ยวโกรธดุจปีศาจร้ายทำให้ฮานสะดุ้ง “พวกแกทำอะไรกิลเบิร์ต!”

“จะไปสนทำไม ถึงท่านตามไปช่วยตอนนี้มันก็สายไปแล้ว! ป่านนี้หมอนั่นคงสุขสมขึ้นสวรรค์ไปหลายรอบแล้วล่ะ!”

   ผลั่ก!

“ท่านนายพล!” นิโคลัสรีบวิ่งเข้ามาห้ามในทันทีเพราะลุดวิกเหมือนสติขาดกำหมัดชกเข้ากลางเบ้าหน้าของท่านเคาท์หนุ่มจนจมูกหักเลือดกำเดาทะลัก ในขณะที่ฮานเอาแต่ร้องโวยวาย ลุดวิกก็สะบัดตัวออกมาจากที่บัดสีนั่นโดยเร็ว “ท่านนายพล กรุณาสงบใจ!”

“เร็ว! หากิลเบิร์ตให้เจอ!”

   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาต้องหากิลเบิร์ตให้เจอ!

   ฝ่ายกิลเบิร์ตในตอนนั้นเองที่เขาตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าจนสมองสับสนไปชั่วขณะ ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ทำร้าย แต่เป็นแผนการที่ซ้ำร้อยเดิม ทั้งยานี่ยังเป็นยาแบบเดิม ใครกัน ทำไม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

“อยากรู้นักว่าเจ้าลุดวิกจะแสดงสีหน้าน่าเกลียดแบบไหน หากมันรู้ว่าเมียตัวเองถูกฉันย่ำยีเละเทะไปแล้ว ถึงตอนนั้นคนรักศักดิ์ศรีอย่างมันไม่มีวันยอมกินของเหลือเดน แกก็เป็นแค่สวะที่มันจะเฉดหัวทิ้งเท่านั้น!” เจ้าชายอ๊อตโต้เอ่ยวาจาสามานย์ไม่น่าฟัง ส่วนกิลเบิร์ตยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด 

”หุบปากนะ!” กิลเบิร์ตตะคอก เขาในตอนนี้ถอยหนีหลังชนกำแพง เหงื่อกาฬไหลรินยามที่คิดถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่ว่าในตอนนั้นเขาก็ถูกล่อลวงจนตกหลุมพราง ถูกใส่ร่ายจนถึงที่สุด ไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้หรอกหรือ “ทำไม ทำไม...”

“เอาล่ะอย่าหนีเลย ป่านนี้ลุดวิกเองก็คงสนุกอยู่กับฮาน ถือเสียว่าต่างคนต่างก็มีความสุข แบบนี้ก็ไม่เลวใช่ไหม”

“สารเลว!”

   ในตอนนั้นเองที่เจ้าชายอ๊อตโตโถมกายลงมาหวังจะกระชากเสื้อผ้าของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่กิลเบิร์ตพลันความอดทนสะบั้น ดวงตาสีดำของเขาพลันวาวโลดเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาไม่อาจสะกดห้ามตนเอง กระแสคลื่นไฟฟ้าพลันพุ่งจากร่างของเขาทำให้ไฟฟ้าในพระราชวังเกิดแปรปรวนติดๆดับๆก่อนที่คลื่นพลังสีแดงจะพุ่งเข้าใส่ร่างของอ๊อตโต้ กระแสไฟฟ้าเข้าช็อตทำร้ายเจ้าชายกักขฬะจนร่างนั้นชักสั่นไม่หยุดล้มลงไปกองพะงาบๆบนพื้น ส่วนกิลเบิร์ตนั้นตกใจจนหน้าซีด เขาเผลอใช้พลังจิตไปอีกแล้ว!

   เผลอใช้ไปอีกแล้ว เท่ากับว่าส่งสัญญาณให้กับพวกอารอนอีกแล้ว!

“ฉัน...แย่แล้ว...” หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กิลเบิร์ตในตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองหลังชนฝา เขาได้แต่ทรุดฮวบลงบนพื้น รู้สึกเหนื่อยอ่อนขึ้นอีกเท่าตัว และในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงฝีเท้าที่ทำให้สัญชาตญาณการระแวดระวังของเขาตื่นตัวถึงขีดสุด

“ยังเป็นสีแดงที่สวยงามเหมือนเดิมเลยนะครับ ท่านผู้หญิง”

เสียงยะเยียบเย็นมาพร้อมกับเสียงปรบมือแผ่วแต่ดังสะท้านใจ กิลเบิร์ตพลันค่อยๆหันไปด้านข้าง ดวงตาของเขาประสานกับชายหนุ่มผมสีเทา ดวงตาสีม่วงของคนๆนั้นฉายแววน่าพรั่นพรึงทั้งยังเย็นชาเศร้าสร้อยดุจนัยน์ตาของสัตว์เลื้อยคลาน ดูน่าสยองขวัญพอๆกับที่น่าหวาดกลัว ยิ่งคนๆนี้แสยะยิ้มก็ยิ่งรู้สึกถึงความบ้าคลั่งวิปริตที่เกินเยียวยา

“บัดซบเอ๊ย! เป็นนายจริงๆด้วย!” พอเห็นหน้าเข้าก็รู้สึกวางตัวเป็นผู้ดีแทบไม่ได้ คนที่ไม่อยากเจอที่สุดคนหนึ่งดันมายิ้มร่ากวนโทสะอยู่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้ “ไสหัวไปให้พ้นนะ!” แต่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เจ้าคนน่าขยะแขยงยิ่งสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นๆ จนตอนนี้นั่งลงข้างๆเขาแล้ว

“จะให้ผมไปไหนล่ะครับ ผมก็แค่มาทำธุรกิจที่ดาวนี้ ใครจะนึกว่าจะบังเอิญมาเจอคุณ เราช่างมีพรหมลิขิตต่อกันจริงๆนะครับ โอ้ นี่คุณยังไม่หายนี่นา ว่าไง ให้ผมช่วยคลายฤทธิ์ยาให้ไหมครับ” แย้มยิ้มเอ่ยถ้อยคำสุภาพ เขามองดูร่างที่สั่นเทาของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ยื่นมือแตะที่ลำแขน แต่ทันทีทันใดนั้นกิลเบิร์ตกลับชักมือออก

“อย่ามาแตะนะ! นาย นายคิดจะทำอะไรอีก! อเล็คเซ่!”

   อเล็คเซ่ วลาดิสลาฟ คือชื่อของคนๆนี้ หรือที่คนทั่วทั้งจักรวาลเรียกเขาด้วยฉายาว่า ‘โจรลัดแห่งเนบิวล่ามืด’ ปล้น ฆ่า ฉกชิง ทำร้าย ค้าของเถื่อนผิดกฎหมาย แทรกแซงการเมืองฉกชิงทรัพยากร ทุกสิ่งชั่วช้าที่คนๆหนึ่งสามารถทำได้ เขาทำมาหมดแล้ว เจ้าคนอันตรายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ตอนนี้เจ้าชายของดาวดวงนี้กลับพาตัวอันตรายที่สุดเข้าบ้านเสียแล้ว ดาวดวงนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายชัดๆ!

“ผมน่ะรึ ก็บอกแล้วว่าทำธุรกิจ แบบเดียวกับที่ทำธุรกิจให้กับเทสล่าไงล่ะครับ” อเล็คเซ่ว่าพลางเชยชิดใบหน้าที่ยามนี้ทั้งแดงก่ำอย่างเดือดดาล ทั้งพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกซับซ้อน เขาในยามนี้คิดว่ากิลเบิร์ตช่างน่ามองจริงๆ ดอกไม้ดอกนี้ที่เคยเฝ้ามองมานานตอนนี้มาอยู่ในมือแล้วอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นความบังเอิญที่ฟ้าลิขิตจริงๆ “นี่ ทำไมตอนที่ออกจากเทสล่าถึงไม่มาหาผมล่ะครับ ผมน่ะรอคุณมาหาตลอดเลยนะ ทำไมถึงไปคว้าผู้ชายบ้านป่าเมืองเถื่อนมาเป็นสามีแทนล่ะครับ”

“หุบปาก!” พยายามจะชกอีกฝ่ายแต่กลับถูกดึงลงไปกองกับพื้น รู้ตัวว่ามือไม้อ่อนแรงจนสู้ไม่ไหวแล้ว “พ่อค้าของเถื่อนที่หวังแต่กำไรอย่างนายจะเคยคิดหรือว่าทำความเดือดร้อนให้ใครบ้าง! เจ้าโจรสลัดไร้คุณธรรม! ยาเฮงซวยนี่ก็เพราะนายที่เอามาขาย! เป็นเพราะยาของนายที่ทำให้ฉันถูกกล่าวหา!” เพราะยาของอเล็คเซ่ เพราะสินค้าผิดกฎหมายนี่ที่ทำให้เขาไร้จุดยืนในเทสล่าอับอายจนไม่อาจสู้หน้าใคร

   เพียงแต่ต่อให้กิลเบิร์ตจะด่าว่าอย่างเจ็บแค้นแค่ไหน ฝ่ายอเล็คเซ่กลับเอาแต่ยิ้มเย็นชา ท่าทางนั้นเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดูคนตรงหน้าอย่างล้นเหลือ ในสายตาของกิลเบิร์ตหมอนี่ก็คือเจ้าคนวิปลาสโดยแท้ ไม่ว่ายามนี้หรือเมื่อไหร่ อเล็คเซ่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่เจอหน้า แล้วยิ่งคดีล่าสุดที่หมอนี่ก่อ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าอภัยให้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามเองก็อ่านความคิดของกิลเบิร์ตออกปรุโปร่งจึงไม่ลังเลที่จะทิ่มแทงทำร้ายจุดอ่อนนั้นซ้ำ

“ยาของผมก็แค่สินค้า แต่คนที่เอาไปใช้คืออดีตสามีของคุณนะ กิลเบิร์ต” เขาเอื้อนเอ่ยประหนึ่งบอกเล่าเรื่องสามัญธรรมดา แต่เป็นฝ่ายผู้ฟังที่นิ่งชะงักใบหน้าถอดสี “ตอนนี้หมดปัญหาเรื่องความลับทางการค้าแล้ว ผมก็จะบอกคุณตรงๆ ถึงคนที่ติดต่อซื้อยาจะเป็นคุณอารอน แต่คนที่เอาไปใช้คือคุณเฟรเดอริคนะครับ”

“...” กิลเบิร์ตไม่อาจเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินได้

“ถ้าเขารักคุณจริง เขาจะจัดฉากให้คุณต้องกลายเป็นนังแพศยาทำไมล่ะครับ นี่เขากับชู้รักรวมหัวกันทำร้ายคุณ สุดท้ายก็บีบให้คุณยอมหย่าได้สำเร็จ น่าเสียดายจริงๆ เอสเปอร์ที่เก่งกาจที่สุดทำไมสมองช้าแบบนี้กันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยต่อซ้ำยังยิ้มเยาะอย่างอารมณ์ดี เขามีความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดฝาดของอีกฝ่าย ในที่สุดกิลเบิร์ตก็จะได้เกลียดชังเจ้าผู้ชายที่เขารังเกียจที่สุดคนนั้นเสียที

   ทว่า คนซื่อก็ยังเป็นคนซื่อ

“นาย นายพูดบ้าอะไร!”

“อะไรกัน ผมพูดอะไรเข้าใจยากงั้นหรือ” เอียงคอยกยิ้ม ทำทีเป็นคนใสซื่อจนน่าหมั่นไส้ “งั้นผมจะพูดให้กระชับขึ้นนะ สามีของคุณเองนั่นล่ะที่ส่งคุณอารอนมาขอซื้อยาจากผม เขานั่นล่ะคือคนที่ใส่ร้ายคุณ เขาคือคนที่วางยาคุณและพยายามบีบให้คุณมีสัมพันธ์กับคนอื่น เพื่อที่จะหาเรื่องปลดคุณจากตำแหน่งท่านผู้หญิงยังไงล่ะครับ”

   เขานั่นล่ะคือคนบงการ...

   วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตรู้สึกว่าหัวใจปวดแปลบรุนแรง ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจรับความเสียใจได้ทุกเรื่องแล้ว ทำใจได้หมดแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถทนรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆอย่างที่เคยคิด เรื่องบ้าบอที่ว่าสามีที่เคยช่วยชีวิตเขาจะเกลียดชังเขาถึงขนาดซื้อยาผิดกฎหมายจากพ่อค้าของเถื่อนและใช้มันวางยาเขา เรื่องบ้าแบบนี้ ใครจะไปรับได้!

และเพราะต้องการหนีไปจากตรงนี้ สิ่งที่กิลเบิร์ตเลือกกลับเป็นการใช้พลังจิตอีกครั้ง เขาเทเลพอร์ตหนีไปจากตรงหน้าของอเล็คเซ่ ในขณะที่ชายหนุ่มก็ดูจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจนัก เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าจะสามารถจับเอสเปอร์ไว้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจที่สุดเขากลับได้รับแล้ว เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่ากิลเบิร์ตที่หนีหายไปจากเทสล่านั้นบัดนี้มาอยู่ที่อาทีเรีย ของที่เคยเป็นของผู้อื่นบัดนี้คนผู้นั้นวางมือลงแล้ว เขาก็เพียงต้องแย่งชิงมันมาจากคนบ้านนอกคอกนาบนดาวดวงนี้เท่านั้น

“คุณจะหนีไปไหนได้ สุดหล้าฟ้าเขียว ผมก็ตามคุณเจอ ก็บอกแล้วว่านี่คือพรหมลิขิต” 

   ฝ่ายกิลเบิร์ตเขาเทเลพอร์ตอย่างไร้ทิศทาง รู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า ไร้จุดยืน ไร้ตัวตนอย่างที่สุด เขาไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้เขาควรทำยังไง ควรจัดการยังไงกับชีวิตตัวเองหลังจากนี้ดี เฟรเดอริค คนๆนั้นไม่เพียงไม่ชอบใจเขาแล้ว ยังคิดทำร้ายเขาให้แหลกลงคามือ ทำไม ทำไมถึงใจร้ายกันได้ขนาดนี้ แล้วหากว่าแม้แต่เรื่องนี้เขายังทำได้ งั้นที่แท้เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องอื่นๆอีกหรือไม่ 

“ทำไม ฉันทำอะไรให้เฟรเดอริคเกลียดขนาดนั้นหรือ” เจ็บอย่างถึงที่สุด เศร้าใจอย่างไม่อาจห้ามหักจนแทบจมลงในมิติที่ตัวเองสร้างขึ้น

เพียงแต่ในเสี้ยววินาทีที่ไม่รู้ว่าควรไปที่ใดเขากลับได้ยินเสียง ได้ยินเสียงใครบางคนที่ร้องเรียกชื่อเขา เสียงที่เรียกเขาด้วยความห่วงใย และเสียงนั้นเองที่กลับทำให้น้ำตาแห่งความเจ็บแค้นที่คิดว่าเหือดแห้งไปหมดแล้วพรั่งพรูออกมา ในตอนนั้นเองที่ร่างของเขากลับปรากฏขึ้นต่อหน้าลุดวิก

“กิลเบิร์ต!”

   ลุดวิกรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดร่างสะโหลสะเหลที่เทเลพอร์ตมาปรากฏต่อหน้าเขา เคราะห์ดีว่าตอนนี้เขาปลีกตัวจากคนอื่นมาตามหาอีกฝ่ายในห้องปีกตะวันออกตามลำพัง เพียงแต่ว่าความคิดหวาดกลัวว่าความลับจะแตกนั้นกลับมลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เจิ่งไปด้วยน้ำตาของคนตรงหน้า กิลเบิร์ตกำลังร้องไห้ และกำลังร้องสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจอย่างที่สุด

“กิลเบิร์ต เกิดอะไรขึ้น” ลุดวิกไม่คิดว่ากิลเบิร์ตจะพลาดท่าให้ใคร ภายนอกของเขาดูปกติดี แต่ที่ถูกทำลายนั้นเหมือนจะเป็นจิตใจของเขามากกว่า ทว่า แม้ถามไป อีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบ เจ้าแมวดำแสนดื้อด้านซุกตัวลงในอ้อมอกของเขา ร้องไห้เงียบๆและตัวสั่นอย่างน่าสงสาร

“กอดฉันสิ”

“เอ๋?!” คำขอนั้นทำเอาลุดวิกสะดุ้ง แต่เขากลับนึกขึ้นได้ ไม่ใช่แค่เขา แต่กิลเบิร์ตเองก็คงถูกยานั่นด้วยเช่นกัน อาการเนื้อตัวสั่นนี่อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของยา “ฉันให้นิโคลัสไปหายาแก้แล้ว รอหน่อยเถอะ” ถึงจะรู้สึกทรมานแต่การกอดอีกฝ่ายเพราะเหตุนี้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีอย่างมาก และไม่น่าจะทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกดีด้วย

“ฤทธิ์ยานี่ไม่มียาแก้หรอก เสียเวลาเปล่าๆ คุณต้องไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำไม่ใช่หรือ จะผิดพลาดเพียงเพราะแผนการทุเรศทุรังนี่ไม่ได้นะ! กอดฉัน! แล้วไปชิงดาวดวงนี้มาจากเจ้าชายเฮงซวยนั่นซะ!”

“หะ!”

   ตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตเป็นฝ่ายดึงแขนลุดวิกเข้าไปในห้องว่างทางปีกขวา ใช้พลังจิตล็อคห้องจากด้านในและโอบลำแขนคล้องคออีกฝ่าย บรรจงจุมพิตลงบนริมฝีปากของผู้ชายที่ยามนี้เป็นสามีของเขาแล้ว เป็นคนของเขาแล้ว

“ฉันจะเป็นภรรยาของคุณ และจะทำทุกอย่างให้คุณกลายเป็นเจ้าอาณานิคมของอาทีเรีย ถึงตอนนั้น...”

“ถึงตอนนั้น...” ลูบเส้นผมอีกฝ่าย มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาที่ลุกโชนด้วยสีแดง นัยน์ตาคู่นี้ไม่ใช่สีดำเหมือนดวงตาแมวข้างถนน แต่ในตอนนี้มันเป็นสีแดงที่ลุกโชติช่วงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ลุดวิกอยากถามเหลือเกินว่าใครกัน อะไรกันที่ทำให้เธอเสียใจถึงเพียงนี้ ทว่า เขากลับทำได้เพียงกอดปลอบและเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ถึงตอนนั้น เธอต้องการอะไร ภรรยาของฉัน”

“แค่...ได้โปรดช่วยฉันด้วย”

   ที่ฉันต้องการ ก็แค่ความจริงใจเท่านั้น


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 11 โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด (25/11)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 25-11-2018 23:56:04
มาต่อไวไปหน่อยนนนน  สนุกมากกก กำลังลุ้นเลยย
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 12 ให้ฉันดูแลเธอ (29/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 29-11-2018 18:00:26
ตอนที่ ๑๒
ให้ฉันดูแลเธอ

   เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระราชวังแห่งอาทีเรียนั้นไม่ใช่ธรรมดา มีผู้พบท่านเคาท์ฮาน เกอเจ้น พระญาติของเจ้าหญิงเฟรเซียในสภาพใบหน้าแหกยับเลือดกำเดาไหลเจิ่งจนต้องตามแพทย์มารักษาเป็นการด่วน พอสอบถามพวกคนรับใช้ต่างรายงานว่าพวกเขาพบเห็นพันเอกนิโคลัสกับดยุคแห่งออลบานีเดินออกมาจากห้องรับรองของท่านเคาท์ นอกจากนี้ท่านเคาท์ยังกล่าวอ้างอีกว่าเป็นท่านดยุคที่พยายามบีบบังคับขืนใจเขา แต่เขาไม่ยินยอมจึงถูกทำร้าย จากนั้นก็ใส่ความต่ออีกว่าเขาเห็นชายาของท่านดยุคหลบหายเข้าไปในห้องรับรองกับเจ้าชายอ๊อตโต้

   เรื่องอื้อฉาวแพร่ไปปากต่อปากอย่างรวดเร็ว จนกษัตริย์ที่ยามนี้เจ็บป่วยยังต้องเกรี้ยวกราดถือไม้เท้าออกมาชี้หน้าห้องที่ท่านเคาท์ชี้เป้า แต่ปรากฏว่าพอสั่งให้กระแทกเปิดประตูกลับเห็นแต่ลูกชายคนโตนอนแน่นิ่งอยู่บนพรมเพียงลำพัง ไม่พบบาดแผลภายนอก แต่ภายในบอบช้ำไม่ทราบสาเหตุ ครั้นพอเจ้าชายอ๊อตโต้ผวาลืมตาขึ้นก็เบิกตาโพลงร้องโวยวายกล่าวหาว่ากิลเบิร์ตเป็นปีศาจ

   เรื่องราวดูสับสนวุ่นวายหนักเพราะทั้งเจ้าชายอ๊อตโต้กับท่านเคาท์ฮานต่างก็กล่าวหาสองสามีภรรยาว่าทำตัวนอกรีตนอกรอย แต่คนที่ถูกกล่าวหากลับยังหาตัวไม่เจอ กษัตริย์รีบสั่งให้พวกทหารรื้อค้นทั่วพระราชวัง วุ่นวายกันไปทั่ว ทว่า ก่อนที่จะลุกลามไปถึงนอกวังจู่ๆพันตรีคาร์ล เออร์เนสกลับวิ่งมาแจ้งว่าเจ้านายของเขากำลังรอเหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่ที่ห้องอาหาร แน่นอนว่าข่าวนี้ทำเอาแต่ละคนหน้าถอดสี แต่พอตามไปดูกลับพบว่าเป็นจริงตามนั้น ลุดวิกนั่งอยู่ที่ห้องรอเตรียมอาหาร ในขณะที่กิลเบิร์ตเล่นเปียโนไปพลางก็ส่งยิ้มมาให้สามีไปพลาง ทำเอาคนที่ตามมาแตกตื่นไปด้วยอารมณ์ต่างๆกัน

   นี่มันละครปาหี่หลอกลวงสังคมชัดๆ!

“ทำไม ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่!” เจ้าชายอ๊อตโต้ถึงกับหลุดสบถชี้หน้ากิลเบิร์ต ตอนนี้เขาเปลี้ยไปทั้งร่าง ความทรงจำสุดท้ายคือกิลเบิร์ตทำร้ายเขา แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำยังไง แต่แสงไฟที่พุ่งมาหาเขาก่อนจะหมดสติต้องเป็นฝีมือหมอนี่แน่ๆ! ลุดวิกจริงๆแล้วไปคว้าตัวประหลาดแบบไหนมาเป็นภรรยากันแน่!

“ไร้มารยาท ภรรยาของฉันก็ต้องอยู่กับฉันสิ เจ้าชายสมองสับสนงั้นหรือ” ลุดวิกเอ่ยต่อว่าเย็นชาพลางปรายตามองไปยังพี่ชายกับเคาท์ฮานที่ตอนนี้แทบมีสติไม่สมประดี คนที่ยังตีสีหน้านิ่งได้คงมีแต่เจ้าหญิงเฟรเซีย ส่วนกษัตริย์นั้นดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในเมื่อคนใส่ความได้แต่ตีโพยตีพายโดยไม่มีพยานหลักฐาน ส่วนคนถูกใส่ความก็ตีสีหน้าสดใสไร้ความผิด มาถึงขั้นนี้แล้วคนกลางยังจะทำอะไรได้อีก

   สุดท้ายเป็นกษัตริย์ที่ตัดบทเชื้อเชิญทุกคนร่วมรับประทานอาหาร อย่าได้พูดถึงบรรยากาศในค่ำคืนนั้น อาหารแต่ละจานแม้สวยงามน่ารับประทาน รสชาติยิ่งดีงามไม่ต้องพูดถึง แต่สีหน้าคนกินมีใครบ้างที่สุขสงบ จะมีก็แต่ท่านดยุคกับภรรยาที่ตัวร่อต่อกระซิกวางตัวสง่างามไม่ปะปนกับความขัดแย้ง ทั้งกิลเบิร์ตยังอาสาเล่นเปียโนให้ฟังอีกหลายเพลง จนสุดท้ายเมื่อของหวานเสริ์ฟเรียบร้อยแต่ละคนแทบจะทอดถอนใจโล่งอกกับนรกโต๊ะอาหารที่สิ้นสุดกันเสียที การรับประทานอาหารที่ปั้นสีหน้ายากเย็นจบแค่นี้

เพียงแต่ว่า ทันทีที่คาร์ลขับรถมาเทียบหน้าประตูห้องโถงชั้นล่างนั้นเองที่ลุดวิกแทบจะจับมือที่สั่นเทาของกิลเบิร์ตไว้ไม่ปล่อย เมื่อรถพ้นออกมาจากประตูวัง ลุดวิกก็รีบรวบร่างของกิลเบิร์ตไปกอดไว้ในทันที

“อีกนิดเดียว อดทนหน่อยนะ” ลุดวิกกระซิบบอกในขณะที่กิลเบิร์ตพยักหน้ารับเหงื่อกาฬไหลพราก 

   ย้อนกลับไปตอนที่กิลเบิร์ตขอให้ลุดวิกกอดเขาเพื่อกำจัดฤทธิ์ยาน่าอายนี่เสีย แต่เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยลุดวิกจึงคิดจะพากิลเบิร์ตฝากคาร์ลพาหนีออกไปก่อน แต่เจ้าแมวขยะแสนดื้อรั้นตัวนี้เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะด้วยทิฐิหรือความดื้อดึงอะไรก็ตาม สุดท้ายกิลเบิร์ตใช้มายน์คอนโทรล (Mind Control) สะกดจิตตัวเองกับลุดวิก แม้เขาจะบอกว่าเคยทำมาแล้วกับตัวเอง แต่การสะกดจิตให้ระบบประสาททั่วร่างของคนสองคนทำงานตามปกติ เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่นับว่าโหดเหี้ยมกับสภาพร่างกายของตนเองมาก มาถึงตอนนี้ผ่านไปหลายชั่วโมงลุดวิกเหมือนว่ายังควบคุมตัวเองได้ แต่กิลเบิร์ตที่ทั้งใช้พลังจิต ทั้งสะกดระบบประสาทของตัวเองกลับเหมือนมาถึงขีดสุด เหงื่อกาฬไหลพรากลมหายใจคลับคล้ายเริ่มจะขาดช่วง ลุดวิกไม่แน่ใจจริงๆว่ากิลเบิร์ตจะสามารถทนกับสภาพนี้ไปได้อีกกี่มากน้อย

   เขาเคยรู้มาบ้างว่าเอสเปอร์นั้นสามารถทำอะไรเหนือมนุษย์ได้มากมาย แต่สำหรับเอสเปอร์ที่เปลี่ยนแปลงระบบประสาทและควบคุมจิตได้ในสภาวะที่ร่างกายของตนเองก็ไม่พร้อมแบบนี้ต้องใช้พลังมากแค่ไหนกัน ต้องถือว่ากิลเบิร์ตเป็นเอสเปอร์ระดับสูงมาก

“กอดฉันไว้แน่นๆ” ลุดวิกกอดปลอบและพยายามลูบศีรษะแต่กิลเบิร์ตกลับกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซึมแลดูน่าสงสารจับใจ ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกดึงเขาเข้ามาบดจูบลงบนริมฝีปากที่ชุ่มชื้นไปด้วยเลือด

“อื้อ” เจ้าแมวดำแสนดื้อแทบสติหลุดในตอนที่จูบนั้นบดลงมาและแขนแกร่งของลุดวิกโอบรัดเขาไว้แน่นหนา ความรู้สึกหัวหมุนคว้างเนื้อตัวสั่นไปหมดจนน้ำตาไหลพราก “จูบฉัน จูบฉัน” พึมพำไม่เป็นภาษาโดยหารู้ไม่ว่าเสียงที่ครางกระเส่าของตนเองกำลังทำให้ลุดวิกคลั่ง ส่วนคนที่น่าสงสารอย่างพลขับเช่นคาร์ลนั้นหน้าทะมึนอย่างยิ่ง แม่นแล้ว ตอนนี้คาร์ลกำลังหวาดกลัวว่าเขาจะต้องทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนดูหนังสดระยะประชิดพร้อมสเปเชียลเอฟเฟ็คและเสียงคมชัด

   ไม่โอเค! แบบนี้ไม่โอเคแน่ๆ!!

“หยุดนะลุดวิก!” คนบอกให้หยุดย่อมเป็นคาร์ล พ่อหนุ่มเวอร์จิ้นที่ป่านนี้ยังไม่เคยมีคนรัก แต่ตอนนี้เขากลับอยู่ในสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานที่เพื่อนสนิทกับภรรยาโดนยาปลุกอารมณ์มาทั้งคู่ ขืนไม่ทำอะไรสักอย่างตัวเขานั่นล่ะจะเสียความบริสุทธิ์ทางใจ! “ถ้านายทำอะไรตอนนี้ฉันจะทิ้งรถหนีเลยนะเฟ้ย!!”

“ช่วยหุบปากแล้วขับรถไปเงียบๆเถอะน่า!” ลุดวิกที่ตอนนี้กลั้นใจจนหน้าซีดแล้วซีดอีกยิ่งรู้สึกรำคาญคาร์ลขึ้นเป็นเท่าตัว “รีบขับ! เร็ว!!”

“เร็วแน่!!ห้ามใจไว้พวก!!!” คาร์ลรับปากแล้วเหยียบคันเร่งกดปุ่มเปิดระบบต้านแรงโน้มถ่วง แม้ไม่อยากทำอะไรเว่อร์วังอลังการแต่ตอนนี้เขาก็เปิดโหมดการบิน บึ่งพาเจ้าสหายหน้าไม่อายกับภรรยาที่ตอนนี้แทบจะทั้งกอดทั้งก่ายสามี อีหรอบนี้พรุ่งนี้เขาไม่ควรคาดหวังว่าลุดวิกจะไปทำงานแต่เช้าตรู่แล้ว!

   ตอนที่พ่อบ้านเบนจามินวิ่งมาต้อนรับเจ้านายที่หน้าบ้านเขากลับต้องปะทะกับกระแสลมแหวกอากาศจากเจ้าไอพ่นรถยนต์จนผมเผ้ากระเจิดกระเจิงหนวดเคราปลิวสยาย เพียงแต่ต่อให้ผมหรือหนวดยุ่งพันเป็นเถาวัลย์แค่ไหนพอมาเทียบกับสภาพของคาร์ลที่โซซัดโซเซลงมาจากรถแล้วเขากลับดูดีกว่ามาก ฝ่าลุดวิกไม่พูดพร่ำทำเพลงอุ้มกิลเบิร์ตเต็มสองแขนเผ่นแน่บขึ้นชั้นสองไปแล้ว

“เออะ ผมก็อยากถามอยู่หรอกนะว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” เบนจามินผู้สับสนมองหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวเหลืองของคาร์ลแล้วถามอย่างยากลำบาก “เอ่อ จะค้างสักคืนไหมครับ”

“ไม่!” คาร์ลรีบท้วง ขืนค้างที่นี่เขาต้องจินตนาการบรรเจิดอย่างน่าอับอายแน่นอน จะให้ช่วยตัวเองในขณะที่จิ้นสองคนนั่นจู๋จี๋กันน่ะรึ! บ้าไปแล้ว!!

   ทางฝ่ายลุดวิกทันทีที่วางกิลเบิร์ตบนเตียงของตัวเองได้ก็รีบล็อคห้องและแทบกระโจนขึ้นคร่อมร่างนั้นไว้ กิลเบิร์ตที่ตอนนี้ดวงตาพร่ามัวไปด้วยความรู้สึกมากมายไม่สามารถคงความสามารถของตัวเองได้อีกต่อไป มายน์คอนโทรลถูกถอนออก ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูเข้าสู่ระบบประสาทของพวกเขาทั้งคู่ และเพราะถูกกดเอาไว้นานมาก ในตอนนี้ลุดวิกถึงรู้สึกปวดแปลบไปทั้งร่าง เขากระชากเสื้อกิลเบิร์ตหลุดลุ่ยมองแผงอกขาวโพลนที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างอดกลั้น แม้สัญชาตญาณกำลังร้องโอดครวญ แต่ในสมองความยับยั้งชั่งใจของเขายังทำงาน เขายังมีความรู้สึกที่อยากทะนุถนอมอีกฝ่าย อยากถามไถ่และปลอบประโลมดวงหน้าที่โศกสลดนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อทุกสิ่งตีกันวุ่นวายในสมอง เขาในตอนนี้กลับทำได้เพียงการจูบบดเบียดริมฝีปากและสอดปลายลิ้นรุกรานฝ่ายตรงข้าม กิลเบิร์ตโอบกอดเขาและจุมพิตตอบอย่างไม่จำเป็นต้องชักนำ ในยามนี้กิลเบิร์ตเองก็สายตาพร่าเลือนเต็มทน

“อื้อ” กิลเบิร์ตครางขึ้นมาเมื่อลุดวิกไล่รุดปลายนิ้วลงไปที่เรียวขาของเขา แกะกระชากกางเกง ใช้ปลายนิ้วค่อยๆแตะต้อง ก่อนที่เสียงร้องของกิลเบิร์ตจะทำให้สติของลุดวิกค่อยๆขาดหายไปทีละน้อยๆ

“ฉันขอโทษ” ลุดวิกแทบจะขอโทษไว้ล่วงหน้า เพราะตอนนี้พอสัมผัสกับเรียวขาและสะโพกที่แน่นตึงเรียบเนียนนั่น สมองก็ดันนึกคิดตัดสลับกับในคืนแรกที่เขากอดคนๆนี้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ดึงดันตนเองจะสอดแทรกล่วงล้ำอีกฝ่ายแล้ว

   เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตเองก็ถูกฤทธิ์ยาจนสมองไม่อาจรับรู้ชั่วดี ทั้งร่างสั่นไหวและโหยหาการกอดรัด ยิ่งลุดวิกเร่งเร้าที่จะสอดใส่เขากลับรู้สึกว่าหัวใจเต้นระทึก ตื่นเต้นต้องการจนเนื้อตัวสั่นไปหมด หากเป็นในเวลาปกติเขาคงด่าตัวเองว่าไร้ยางอายอย่างยิ่ง แต่มาถึงตอนนี้เขากลับขยับร่างกายอำนวยความสะดวกให้คู่ของตนอย่างเต็มที่ ลุดวิกเองยิ่งไม่ใช่พระอิฐพระปูน ถูกเรือนร่างสวยงามเช่นนี้ล่อหลอก ทั้งยังใบหน้าแดงซ่านหวานซึ้งของเจ้าแมวดำจอมยโสที่ตอนนี้ยั่วยวนเต็มสองตา สิ่งเหล่านี้ทำให้สติของเขาขาดสะบั้น ดึงรั้งและแทรกผ่านร่างนุ่มเข้าไปอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนา

   ในคืนนั้นเสียงครวญครางดังสลับกับเสียงกรีดร้องและเตียงที่ลั่นส่งเสียงน่าอายไม่หยุด ลุดวิกจำไม่ได้ว่าตนเองบดเบียดดึงดันกับกิลเบิร์ตไปมากน้อยแค่ไหน ส่วนกิลเบิร์ตนั้นยิ่งจำไม่ได้ใหญ่ว่าตนเองหลุดทำอะไรน่าอับอายไปมากมายเพียงใด พวกเขารู้แต่ว่าในยามที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันนั้นมันอบอุ่นยิ่งกว่าที่เคยคาดคิด

   วันรุ่งขึ้นกว่ากิลเบิร์ตจะรู้สึกตัวก็เกือบเที่ยงแล้ว เขากระพริบตาอย่างง่วงงุนในหัวใจวูบโหวง สมองที่ค่อยๆกลับมาทำงานนั้นทำให้ใบหน้าเขาเริ่มสูบฉีดเป็นสีแดงเรื่อ ภาพเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วและแต่ละภาพนั่นอนาจารพอที่จะทำให้เขาแทบอยากเอาหน้าซุกผ้าห่ม ท่วงท่าอะไรแบบนั้น ทำไปได้ยังไงกัน!

   แต่นึกไม่ถึงว่าพอเขาเริ่มขยับตัวแขนของคนข้างตัวก็เกี่ยวกระหวัดรัดรึงเขาแน่นหนายิ่งขึ้น เสียงทุ้มนุ่มนวลของอีกฝ่ายเอ่ยกระซิบข้างหู

“อรุณสวัสดิ์ กิลเบิร์ต ไม่สิ เป็นคุณภรรยาเต็มตัวแล้วนี่นา” เจ้าของเสียงที่มาพร้อมอาการกอดฟัดที่ทำเอาร่างของกิลบิร์จมลงบนเตียงอีกรอบส่งยิ้มหวานแสนตรึงใจให้ เพียงแต่ตอนนี้กิลเบิร์ตหัวเราะไมได้ร้องไห้ไม่ออก คืนแรกนั่นเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวก็ช่างมันเถอะ แต่เมื่อคืนไม่ว่าจะแก้ตัวให้ตายยังไงก็คือการสมยอม ไม่ใช่สมยอมอย่างปกติ แต่โคตรจะยินยอมพร้อมใจ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกปวดสมองหนักขึ้น ฝ่ายลุดวิกสังเกตสีหน้าของคนในอ้อมแขนแล้วก็จูบที่ข้างแก้มเบาๆ เขารู้ว่าอะไรทำให้ฝ่ายตรงข้ามสะท้านถึงขนาดนี้ “ฉันแค่แซวเล่น เมื่อคืนเธอเองก็รู้ว่ามันเกิดจากอะไร เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”

“ฉัน...” กิลเบิร์ตเงยหน้ามองคนที่ยังกอดตนเองอยู่ เพียงแต่คำพูดของลุดวิกทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนี้ โดยปกติเขานั่นล่ะที่มักจะโดนชี้หน้าหาว่าเป็นคนผิดไปเสียทุกเรื่อง “ฉันไม่ผิดงั้นหรือ?”

“เธอถูกวางยาไม่ใช่หรือ ทำไมผู้เสียหายถึงรู้สึกผิดเสียเองล่ะ” คำถามนี้ของลุดวิกทำให้กิลเบิร์ตทั้งรู้สึกอบอุ่นและปวดแปลบที่กลางอกในเวลาเดียวกัน เมื่อก่อนก็คล้ายๆแบบนี้ เพียงแต่บทสรุปมันกลับห่างไกลกันมาก

   ในตอนที่เขาถูกอเล็คเซ่เล่นงานตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น? เขาถูกหลอกขังอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง พอยาออกฤทธิ์กลับเป็นเขาที่แสดงอาการน่าอับอายออกมา สุดท้ายแม้จะใช้เทเลพอร์ตหนีออกมาได้ แต่ก็ถูกบันทึกภาพฉาวโฉ่แพร่ออกไปแล้ว ส่วนตัวเขาหนีกลับไปกบดานในคฤหาสน์ของตนเอง ทนทรมานอยู่เป็นสัปดาห์กว่าที่ยานั่นจะหมดฤทธิ์ ในตอนนั้นเขาคิดว่าเฟรเดอริคคงยุ่งอยู่กับการรับมือกับสื่อถึงมาช่วยเขาไม่ได้ แต่ที่ไหนได้พอย้อนคิดดูแล้ว หมอนั่นก็แค่เจตนาทิ้งเขาไว้ ไม่ใช่ว่าหวังให้เขาพลาดท่าจริงๆหรอกหรือ

“บางทีฉันก็คิดว่าที่คุณดีกับฉันแบบนี้เป็นเพราะเรามีผลประโยชน์ร่วมกันหรือเปล่า พอหมดประโยชน์แล้วคุณก็จะเขี่ยฉันทิ้งไปไม่ไยดีใช่ไหมเล่า” กิลเบิร์ตถามยิ้มๆ พลางค่อยๆขยับร่างลุกขึ้นพิงหัวเตียง รู้สึกเจ็บสะโพกและปวดขาอย่างยิ่ง ผลจากการกิจกรรมรุนแรงเมื่อคืนคืออาการเจ็บระบมไปหมด นี่ช่างได้ไม่คุ้มเสียเลย! “นี่ ถึงตอนนั้นแล้วคุณช่วยบอกฉันก็พอนะ ถ้าคุณบอกเมื่อไหร่ฉันจะรีบไสหัวไปจากหน้าคุณทันทีเลย” อย่าได้ต้องวางแผนขับไล่กันแบบนี้เลย

   กิลเบิร์ตเอ่ยขออย่างจริงใจ เพียงแต่ว่าความจริงใจนี้สำหรับลุดวิก มันคือการดูถูก!

“พูดบ้าอะไรแบบนั้น เจ้าแมวโง่!” อีกฝ่ายตะคอกใส่ทันที

“เอ๋!” จู่ๆน้ำเสียงของลุดวิกก็เปลี่ยนไป จากที่เมื่อครู่หยอกล้อหยอกเอิน ตอนนี้เขากลับตีหน้าขมึงทึงจ้องเขม็งแลดูเป็นมาเฟียใจโฉดที่กำลังข่มเหงหนุ่มน้อยไม่มีผิด “โกรธอะไรน่ะ!”

“เธอกำลังดูถูกฉัน ไม่ควรโกรธหรือไง!” ดูถูกว่าเขาเป็นคนเลวใช้คนแล้วทิ้งขว้าง แบบนี้มันน่าโมโหไหมเล่า!

“แต่เราเป็นสามีภรรยากันหลอกๆเท่านั้นนะ! นี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคุณกับฉัน! ฉันก็แค่ขอว่าถ้าคุณจะหย่าเมื่อไหร่ ช่วย...เออะ...” อยากจะพูดต่อ แต่ตอนนั้นเองที่คลับคล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก รู้ตัวอีกทีก็พูดไม่ออก น้ำตามันก็พานกลิ้งไหลลงจากขอบตา และเหมือนจะยิ่งไหลไม่หยุดด้วย กิลเบิร์ตพยายามจะปาดมันทิ้งแต่เพราะมันคือสิ่งที่เขาพยายามหลบซ่อนมานาน ลืมมันมานาน เมื่อทำนบนั้นแตกพังก็ไม่อาจหยุดได้อีก

   จริงๆแล้วเขาเสียใจ เสียใจมาก...

   ฝ่ายลุดวิกพอเห็นสภาพอีกฝ่ายที่ร้องไห้จนใบหน้าชุ่มน้ำตาเป็นเจ้าแมวดำที่เปียกปอนไปหมด มันทำให้เขาหมดความโกรธเกรี้ยว ได้แต่กอดอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก อันที่จริงเขาอยากพูดอะไรมากกว่านี้ อยากถามมากกว่านี้ แต่มันก็จริงอย่างที่กิลเบิร์ตพูด พวกเขาเป็นสามีภรรยากันหลอกๆ สักวันสัญญานี้จะสิ้นสุด เขาไม่รู้ว่ากิลเบิร์ตไปพบเจออะไรมาถึงได้สะเทือนใจขนาดนี้ แต่ความกังวลนี้ไม่ถือว่าเลื่อนลอย

   หากวันหนึ่งลุดวิกรักคนอื่น พบพานคนที่เป็นคู่ชีวิตตัวจริงของเขา กิลเบิร์ตจะไปอยู่ที่ไหน สภาพของเขาจะเป็นอย่างไร ไม่แปลกเลยที่นี่จะกลับกลายเป็นความวิตกกังวล

“ฉันสัญญาว่าหากวันนั้นมาถึงเราจะพูดคุยกันดีๆ และเราจะจากกันด้วยดี แต่วันนี้เธอยังเป็นภรรยาของฉันอยู่ ฉันขอให้สัญญาว่าจะดูแลเธออย่างดี ให้ฉันดูแลเธอจนกว่าจะถึงวันนั้นเถอะ” ให้คำมั่นสัญญาพลางจับมือของอีกฝ่ายขึ้นแนบกับข้างแก้มของตนเอง วันหน้าไม่รู้แต่วันนี้เขารู้ เขาจะปฏิบัติกับกิลเบิร์ตอย่างดี ยกย่อง ให้เกียรติ ทำทุกสิ่งที่สามีคนหนึ่งพึงควรทำเพื่อภรรยาของตนเอง หากวันที่ต้องแยกจากกันมาถึง เขาไม่อยากให้พวกเขาต้องจากกันด้วยความเจ็บปวด

“จริงใจดีนะ” กิลเบิร์ตที่ได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมานั้นหัวเราะขึ้นมา ช่างเป็นคำสัญญาที่หากคนอื่นฟังคงมุ่ยหน้า มันก็ต้องรู้สึกแปลกๆบ้างล่ะกับการให้สัญญาถึงวันเลิกกัน แต่เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ใสซื่อกับความรักที่จีรังยั่งยืนอีกแล้ว ถึงวินาทีนี้สิ่งที่เขาต้องการคงหลงเหลือแค่การได้รับการปฏิบัติต่อกันอย่างสมเหตุสมผลเท่านั้น เฟรเดอริคไม่ไยดีก็ช่าง ถึงวันหน้าลุดวิกจะเดินจากไปก็ไม่เป็นไร ที่เขาต้องการก็แค่คำพูดและการกระทำที่จริงใจ “อยากดูแลก็เชิญเถอะ แต่บอกก่อนนะว่าถึงตอนหย่า อย่าลืมจ่ายค่าเลี้ยงดูล่ะ!”

   เหนือกว่าคำพูดที่จริงใจ ย่อมเป็นการเลี้ยงชีพที่จริงจัง! หย่ากันวันหน้าเขาจะไม่ยอมระเห็จเป็นแมวข้างถนนอีกอย่างเด็ดขาด!! กิลเบิร์ตคนโง่เง่านั่นไม่มีอีกต่อไปแล้ว!!!

“โลภนะนี่” ทว่า ลุดวิกกลับหัวเราะอย่างไม่ถือสาในความไร้มารยาทนี่ เขาย่อมชื่นชอบเจ้าแมวเถื่อนที่มีสีหน้าหลากหลายกับน้ำเสียงแบบนี้มากกว่า กิลเบิร์ตของเขาไม่เหมาะกับความเศร้าโศก “ถ้าเธอช่วยให้ฉันเป็นเจ้าอาณานิคมได้จริง ฉันจะยกเหมืองเกลือให้เธอเหมืองหนึ่ง มีกินมีใช้ไปจนแก่เฒ่าแบบนี้ดีไหม” 

“งั้นก็เขียนหนังสือสัญญาไว้นะ! ฉันไม่เชื่อง่ายๆหรอก!” กิลเบิร์ตผู้ได้คืบจะเอาศอกรีบเสนอทันที ส่วนลุดวิกนั้นอมยิ้มพลางลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู อย่าว่าแต่เหมืองเกลือเลย หากเขาได้เป็นเจ้าอาณานิคมกิลเบิร์ตจะเอาอะไรเขาจะยกมาประเคนให้ถึงหน้า
“ถ้าไม่เขียนไว้ วันหน้าคุณมีภรรยาตัวจริงฉันจะลำบากนะ!”

“อืม ถ้ามีวันนั้นนะ” พยักหน้ารับและไม่พูดอะไรอีก

   ถ้ามีวันนั้นนะ...

   ในที่สุดหลังจัดการปัญหากันไปอย่างง่ายๆ เพื่อขจัดปมความไม่มีจะกินของกิลเบิร์ต ลุดวิกยินยอมเขียนหนังสือสัญญายกเหมืองเกลือในอนาคตให้เขา ส่วนกิลเบิร์ตนั้นสารภาพเรื่องของอเล็คเซ่ว่าเคยเป็นคนรู้จักมาก่อน และเขาสงสัยว่าหมอนั่นคงกำลังหลอกใช้เจ้าชายอ๊อตโต้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์บนดาวดวงนี้อยู่ แน่ล่ะว่าลุดวิกย่อมอดถามไม่ได้ว่าไปรู้จักคนดังอันตรายนั่นเอาอีท่าไหน หากมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนย่อมต้องเดาได้ว่าคนที่จะรู้จักโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืดเป็นการส่วนตัวย่อมไม่ใช่คนธรรมดา แต่แม้เจ้าตัวดีจะอ้างนู่นนี่อ้อมแม่น้ำแปดสายบอกไม่หมด ส่วนที่ควรต้องบอกกิลเบิร์ตก็ไม่คิดปิดบัง

   ข้ออ้างของเขาก็คือ เขารู้จักอเล็คเซ่ในตอนที่ไปปฏิบัติภารกิจที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในเนบิวล่ามืด แล้วเกิดเคราะห์หามยามร้ายเจอหมอนั่นเข้า หลังจากนั้นก็ซวยซ้ำซวยซ้อนโดนจองล้างจองผลาญเรื่อยมา ส่วนการที่มาพบกันที่อาทีเรียนี่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ

“การที่หมอนั่นยืนอยู่ข้างเจ้าชายอ๊อตโต้หมายความว่าดาวดวงนี้วิบัติแล้วล่ะ” ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน อเล็คเซ่เล่นงานจนดาวดวงหนึ่งล่มจมล้มละลาย เจ้าอาณานิคมถึงขนาดต้องขายดาวทิ้งเผ่นแน่บ ส่วนอเล็คเซ่ได้ทีก็เก็บทรัพยากรแร่ธาตุแล้วจับผู้คนบนดาวส่งขายเป็นทาส “หมอนั่นไม่มีทางมาดีแน่ๆ!”

“งั้นก็ดีแล้วนี่” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชา ตอนนี้เขากับกิลเบิร์ตออกมาเดินในเมือง ผ่านมาทางจุดที่เกิดอุบัติเหตุคราวที่แล้ว “แค่นี้ก็มีสาเหตุที่จะปลดหมอนั่นจากตำแหน่งเจ้าชายแล้ว ง่ายดีออก”

“ง่าย?”

“เดิมทีฉันต้องคิดว่าจะทำยังไงให้หมอนั่นล่มจม แต่ตอนนี้ขอแค่หมอนั่นขุมหลุมฝังตัวเองให้ลึกหน่อยก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ความให้ร้ายใครด้วย ดูเป็นคนดีออกไม่ใช่รึไง” คนดีที่ว่าคลี่ยิ้มแยบยล ว่าพลางเดินมาหยุดตรงตำแหน่งที่เกิดอุบัติเหตุระเบิด “งั้นอุบัติเหตุนี่คงแทบไม่ต้องหาตัวการแล้วมั้ง”

“หาหน่อยก็ดีนะ” กิลเบิร์ตว่า หลังจากมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีผิดสังเกต เขาจึงยื่นมือแตะลงที่พื้น
ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เขาใช้ไซโครเมทรี่ตรวจสอบความทรงจำของพื้น หลังจากที่พลาดแล้วพลาดอีกจนมั่นใจว่าป่านนี้อารอนคงกำลังวิ่งสี่คูณร้อยมาตามเขาแล้ว กิลเบิร์ตก็เลิกสนใจที่จะไม่ใช้พลังจิต ตอนนี้ขอแค่รีบๆจัดการให้ลุดวิกเป็นเจ้าอาณานิคมเร็วๆน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

   ไซโคเมทรี่คือการใช้พลังจิตแบบหนึ่ง ใช้พลังสัมผัสตรวจดูความทรงจำของสิ่งของ สำหรับเอสเปอร์ปกติการตรวจดูความทรงจำตกค้างนั้นยากยิ่ง ยิ่งผ่านมานานยิ่งยาก แต่สำหรับกิลเบิร์ต เขาทำได้กระทั่งระบุช่วงเวลาที่ตนเองต้องการอ่านความทรงจำประหนึ่งหยิบแฟ้มข้อมูลออกจากลิ้นชักที่จัดเรียงไว้แล้ว และตอนนั้นเองที่ภาพและเสียงบางอย่างพวยพุ่งขึ้นมา

   ผู้หญิง ดวงตา ริมฝีปาก เด็กหนุ่ม ฝาแฝด และสุดท้ายคือคำอ้อนวอน

“ช่วยด้วย!”

“เดี๋ยวนะ นายเป็นใครน่ะ?” เสียงแรกนั่นเป็นเสียงเด็กหนุ่ม

   ทว่า ภาพสุดท้ายที่ปรากฏในความทรงจำกลับกลายเป็นหญิงสาวคุ้นหน้าที่กำลังกรีดร้องตะโกน ช่วยด้วย!

“เจ้าหญิงเฟรเซีย?”

   นี่มันเรื่องอะไรกัน?


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 12 ให้ฉันดูแลเธอ (29/11)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 30-11-2018 14:36:44
 :L2: :L2: ตามมมจ้า
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 13 การปะทะกันของเอสเปอร์กับโจรสลัด 3/12
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 03-12-2018 21:01:46
ตอนที่ ๑๓
การปะทะกันของเอสเปอร์กับโจรสลัด

   ทำไมในสถานที่เกิดเหตุวางระเบิดถึงมีภาพของเจ้าหญิงเฟรเซียตกค้างอยู่ แล้วเสียงเด็กหนุ่มที่เขาได้ยินนั่นมันอะไรกัน จริงๆแล้วในวันที่เกิดระเบิดมันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบแค่การหาตัวคนร้าย แต่น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นด้วย ด้วยวิสัยอย่างกิลเบิร์ตเจอปัญหาคาใจตรงหน้าย่อมไม่อาจปล่อยวาง ดังนั้นเขาจึงขอลุดวิกไปสำรวจพื้นที่ที่ปรากฏในมโนทัศน์ของเขายามใช้ไซโคเมทรี่

ตอนแรกเขานึกว่าลุดวิกจะยินยอมอย่างว่าง่ายเพราะเป็นผลประโยชน์ที่ฝ่ายนั้นมีแต่ได้กับได้ แต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับยืนกรานห้ามไปโดยเด็ดขาด

“ทำไมล่ะ! นี่เป็นเรื่องดีออก!” กิลเบิร์ตโวยวาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลุดวิกจะต้องห้าม นี่เป็นโอกาสสาวไปถึงตัวต้นเรื่อง ซึ่งมีโอกาสสูงว่าจะเป็นเจ้าชายอ๊อตโต้ มีอะไรไม่ดีตรงไหน! เจ้าถังขยะดื้อด้านนี่!

“ยังต้องให้บอกหรือ ฉันขอสั่งให้เธอนั่งๆนอนๆอยู่ในบ้าน อยากไปเที่ยวที่ไหนให้บอกเบนจามิน ถ้าเงินไม่พอฉันจะเซ็นเช็คไว้ให้” ลุดวิกตีสีหน้าเคร่งเครียด จู่ๆเขาก็นึกภาพที่กิลเบิร์ตจะไปวิ่งฝ่าระเบิดหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองขึ้นมาซะงั้น แม้จะเจอะเจอกันไม่นาน แต่จากเรื่องคราวก่อนแค่นี้ก็มากพอที่จะบ่งบอกนิสัยใจคอ คนๆนี้ไม่ใช่คนรักสงบอย่างแน่นอน เจ้าแมวอันตรายตัวนี้ควรเก็บให้มิดชิดไว้ในบ้าน ถ้าปล่อยไปต้องถลอกปอกเปิกกลับมาแน่ “ฉันต้องบอกให้เธอเข้าใจนะว่า ฉันแค่ขอให้เธอมาเป็นภรรยาเพื่อตัดปัญหาเรื่องตระกูลเกอเจ้น ไม่ได้ขอให้เธอมาทำหน้าที่เอสเปอร์สืบราชการลับ อยู่อย่างสงบที่บ้านเถอะ! กิล!”

“อะ...” โดนอีกฝ่ายร่ายยาวใส่ทั้งยังเรียกชื่อห้วนสั้นเสียจนน่าตกใจ ทำเอาเจ้าแมวเถื่อนเสียศูนย์ไปเหมือนกัน แต่ถ้าแค่นี้ยอมก็เสียทีที่เคยเป็นนายพลของเทสล่าแล้ว! “ไม่ดี! ทำแบบนี้ฉันก็เป็นไอ้งั่งไร้ประโยชน์น่ะสิ! ฉันอยากช่วยคุณนะ! นี่ฉันเป็นภรรยาคุณนะ ทำไมกีดกันฉันล่ะ!” พอจนตรอกก็ทำเสียงอ่อนลากเอาสถานะภรรยามาอ้าง เรียกได้ว่าหน้าไม่อายพอตัวจนลุดวิกนึกปวดขมับ

   ช่างเป็นการอ้างที่เอาแต่ใจตัวเองจริงๆ!

“เพราะเป็นภรรยาถึงต้องห้ามปราม มีสามีที่ไหนส่งภรรยาตัวเองไปรบแนวหน้า จะบ้าเรอะ!” ว่าพลางก็กดหัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามลงกับเก้าอี้ จ้องเขม็งทั้งยังหน้าบึ้งเสียจนกิลเบิร์ตนึกหวั่น ลุดวิกนี่นับวันจะยิ่งแสดงความเอาจริงเอาจังมากขึ้นทุกที หมอนี่ต้องแก่เร็วแน่! “เอาเป็นว่าฉันอยากให้เธอรู้สึกสบาย นอนมากๆ กินเยอะๆ แล้วก็รอฉันกลับมาทานข้าวเย็น ส่วนถ้าอยากช่วยฉัน...”

“หืม?” เงยหน้าจ้องอย่างงงๆ เห็นก็แต่รอยยิ้มแสยะไม่น่าไว้วางใจของอีกฝ่าย และตอนนั้นเองที่ลุดวิกก้มลงมาจูบที่ข้างแก้มของเขา น้ำเสียงหยอกล้อดังอยู่ข้างหูชัดเจน

 “ถ้าอยากช่วยฉัน เธอก็แค่ขึ้นไปรอฉันอย่างสงบเสงี่ยมบนเตียงก่อนเข้านอนก็พอ”

“หา!” วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตเบิกตากว้างก่อนจะถลึงตาใส่เจ้าคนหน้าไม่อายอย่างเดือดดาล “พ่อคุณสิ! เจ้าถังขยะหน้าด้าน!”

   กิลเบิร์ตตะคอกเสียงดังก่อนจะไล่ลุดวิกลงบันไดไปอย่างเดือดดาล ฝ่ายคุณสามีถังขยะเอียงคอยักไหล่พลางคลี่ยิ้มเงยหน้าขึ้นไปบนห้องก่อนจะส่ายศีรษะเชื่องช้า ลึกๆแล้วเขาย่อมดีใจที่กิลเบิร์ตอยากช่วยเหลือเขาแม้ว่านั่นจะเจือผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยก็ตาม แต่ไม่ว่าจะคิดสรตะอย่างไรการให้คนที่ตนเองควรดูแลไปทำอะไรเสี่ยงแบบนั้นมันช่างขัดต่อมโนธรรมและยิ่งด้วยศักดิ์ศรีนายทหารค้ำคอ ถึงตายก็ยอมลงให้ไม่ได้! 

“เธอควรเข้าใจว่าฉันไม่ได้คิดจะรีดผลประโยชน์จากเธอจนแห้งตายหรอกนะ” ลุดวิกเอ่ยเบาๆขึ้นและเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสองอีกครั้ง แค่เพียงขอแกมบังคับให้อีกฝ่ายยอมเป็นภรรยานี่ก็ถือว่าหนักหนามากพอแล้วสำหรับเขา “เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนั่นล่ะ”

เพราะฉัน จะปกป้องเธอเอง

สุดท้ายลุดวิกตัดใจจากความอาวรณ์ลึกๆในอก เดินออกมาทางห้องโถงกลางบ้าน ในตอนที่เขาลงมาก็เจอคาร์ลยิ้มแป้นแล้นยืนรออยู่แล้ว

“เป็นคุณผู้หญิงที่อันตรายจริงๆนะ สงสัยจริงๆว่านายไปเก็บมาจากไหน” คาร์ลกอดอกถามเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่ แม้ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเรื่องอะไรแต่ก็ชี้ชัดว่ากิลเบิร์ตไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมแน่ เอาเข้าจริงคนที่เจอยาปลุกอารมณ์ขนานแรงแบบนั้นเข้าไปแต่ยังรอดมาได้แบบนี้ ต้องถือว่ามีดีอย่างมากทีเดียว “ว่าไง?”

“ข้างถนนไง” ลุดวิกตอบตามตรง เพียงแต่ว่าคำตอบนี้ในสายตาของคาร์ลมีเพียงคนโง่ไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่จะเชื่อ ใครจะไปคิดว่าเขากำลังพูดความจริงกัน “บังเอิญเก็บได้ข้างถนน”

“นายนี่คิดว่าคนอื่นโง่มากหรือไง โกหกสั่วๆแบนี้ใครเขาจะเชื่อ ตั้งใจโกหกหน่อยสิ!” คาร์ลเถียง   

“ฉันพูดความจริงต่างหาก ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ไปกันได้แล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะ” หยิบเสื้อโค้ทมาสวมแล้วก้าวเดินมาดมั่นออกไปตามปกติวิสัย “ติดต่อคนๆนั้นไว้หรือยัง ทางสะดวกไหม”

“เรียบร้อย น่าจะไปถึงที่นัดหมายตามนัดนั่นล่ะ” ตอบพลางโค้งคำนับยามเพื่อนเก่าคนนี้เดินผ่านหน้าตนเอง “ทำไมถึงอยากให้นัดคนๆนี้ล่ะ?”

“ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว” ลุดวิกตอบพลางเชิดใบหน้าก้าวต่อไปโดยไม่เหลียวหลังเลยสักแวบ

   ฝ่ายกิลเบิร์ตหลังจากชะเง้อคอมองรถของลุดวิกที่วิ่งออกจากบ้านไปแล้วเขาก็เริ่มอยู่ไม่สุข เรื่องอะไรจะยอมเฝ้าบ้าน อยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่เพียงจะอกแตกตาย ทั้งยังจะเบื่อตายอีกด้วย อันที่จริงกินๆนอนๆทำตัวเป็นคุณนายใช้เงินมือเติบก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าสนไม่หยอก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนั้นเสียหน่อย บนดาวดวงนี้มีอเล็คเซ่ ข้างนอกมีอารอน ชีวิตเขาตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้ายเชียวนะ ที่สำคัญเขารู้สึกคาใจภาพในนิมิตที่เห็นมาก   

   หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุระเบิด กลับเป็นตัวเขาเองที่ยิ่งทวีความประหลาดใจกับความทรงจำของสถานที่ๆเขาตรวจสอบได้ น่าแปลกมากที่เจ้าของความทรงจำนั่นดันทิ้งข้อความไว้ คนๆนั้นไม่ควรรู้ว่าจะมีใครมาอ่านข้อความของตนเองพบ แต่กลับยังขอทิ้งไว้ ราวกับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่สามารถทำได้ และการขอความช่วยเหลือนี่ก็คือการขอความช่วยเหลือต่อผู้มีพลังจิตเท่านั้น คนทั่วไปยังไงก็ไม่มีทางตรวจพบ ช่างเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สิ้นหวังจริงๆ

   งั้นหมายความว่าบนดาวดวงนี้นอกจากเขาแล้วยังมีเอสเปอร์อยู่อีก? แต่เอสเปอร์ที่หลบซ่อนบนดาวดวงนี้กลับเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารลุดวิก ทั้งยังอาจเกี่ยวกับเจ้าชายอ๊อตโต้ เจ้าหญิงเฟรเซีย กับอเล็คเซ่ เรื่องราวดูจะซับซ้อนไม่ง่ายเลย เขารู้ดีว่าลุดวิกคงจะไปสืบเรื่องของเจ้าหญิงเฟรเซียอย่างละเอียดแน่ๆ แต่ตัวเขาก็ยังอยากรู้บางอย่างอยู่ดี ซึ่งหากไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่มีวันได้ลูกเสือหรอก

   ว่าแล้วกิลเบิร์ตก็เดินไปที่กระจก ส่องดูตัวเองสองสามรอบก่อนจะตัดสินใจใช้พลังจิตเปลี่ยนแปลงระบบของร่างกายตนเองเล็กน้อย เคลื่อนมวลกล้ามเนื้อ กระดูก และแม้แต่ลดทอนอายุ

   พริบตาร่างที่ปรากฏตรงหน้าก็กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปดปี ผมบลอนด์ทอง ดวงตาสีเขียวมรกตแพรวพราว แม้ใบหน้ายังมีเค้าโครงเดิม แต่ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนนี่จะเป็นคนเดียวกับกิลเบิร์ตเล่า!

“ใช้ได้เลย!” กิลเบิร์ตบอกกับตัวเองเพราะนี่ย่อมเป็นการยืนยันว่าเขายังไม่สมควรเกษียณอย่างที่อารอนปรามาสไว้ อย่าได้คิดว่าเอสเปอร์คนไหนก็ทำแบบเขาได้ การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมและระบบเซลล์ในร่างกายเป็นศาสตร์ชั้นสูง หากไม่ใช่คนระดับกิลเบิร์ต ยากนักที่จะฝืนดันทุรัง

   เมื่อปลอมตัวแล้วต่อมาก็คือการหนี ซึ่งแน่นอนอีกล่ะว่าเมื่อคิดจะใช้พลังจิตแล้วการเทเลพอร์ตเป็นความสามารถพื้นฐานที่สะดวกสบายมาก เพราะเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกลับสายตาคนในย่านเดิมที่ตัวเขาเคยเตร่ในช่วงสามวันแรกที่มาที่นี่แล้ว พอใช้พลังตรวจสอบผังเมืองก็สามารถคาดเดาได้ว่าตนเองควรไปที่ไหน และที่ๆเขาเลือกจะไปตอนนี้ก็คือ บ้านหลังหนึ่ง คฤหาสน์สีขาวโพลนตั้งอยู่บนเชิงในหมู่บ้านชนบท นั่นคือภาพที่ปรากฏในสมองยามที่ใช้ไซโคเมทรี่

   ถึงเทเลพอร์ตจะสะดวกแต่มันก็คือการกะระยะตำแหน่งด้วยจิต ไม่ใช่เวทมนตร์ กิลเบิร์ตย่อมไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศไปปรากฏตัวในที่ๆเขาไม่รู้จักได้ ดังนั้นสุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพายานพาหนะ เริ่มจากการใช้เงินที่ได้มาจากคุณสามีโบกรถสาธารณะปะปนไปกับผู้คนเดินทางออกนอกเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์พักร้อนของตระกูลๆหนึ่ง...ตระกูลเกอเจ้น

   จากการตรวจสอบของลุดวิก นั่นคือภาพคฤหาสน์เก่าของตระกูลเกอเจ้น

   ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงเขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆชานเมืองที่รายล้อมด้วยป่าเขาและการทำเหมืองเกลือ ผู้คนใช้ชีวิตปกติสุข ไม่มีอะไรผิดแผก กิลเบิร์ตสอบถามจนได้ความว่าจุดหมายของเขานั้นคือสุดปลายหมู่บ้านที่รกร้างผู้คน แต่ใกล้กับพื้นที่ทำเหมืองอย่างยิ่ง ไม่รอช้าเมื่อกำหนดเป้าหมายเขาก็เทเลพอร์ตต่อไป เพียงแต่ว่าแทนที่จะสามารถเข้าไปในอาณาบริเวณของเหมืองได้ กลับร่วงตกลงมาซะงั้น

“เอ๋?” กิลเบิร์ตนึกประหลาดใจ เขาใช้พลังไม่ได้ในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนั้น มีบาเรียกันคลื่นพลังรายล้อมที่นั่นอยู่ น่าแปลกอย่างมาก “ใครกางบาเรีย?”

   ในชานเมืองแบบนี้ ซ้ำยังเป็นดาวดวงนี้ ทำไมถึงได้กางบาเรียปิดกั้นคลื่นพลังของเอสเปอร์ นี่มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า

“แล้วจะเข้าไปยังไงล่ะนี่” เกาศีรษะใช้ความคิด เดินไปเดินมาปะปนอยู่กับผู้คน และในตอนที่กำลังคิดไปคิดมาอยู่นั่นแหละที่กิลเบิร์ตกลับพลาดเดินชนใครบางคนเข้าจนตัวเขาเกือบกระเด็น แต่ใครบางคนนั่นกลับใช้แขนฉุดตัวเขาไว้ ซ้ำร้ายยังดึงเข้าไปแนบชิดกลางอก “เดี๋ยว!”

“ไม่เห็นจะต้องรังเกียจขนาดนั้นเลยนี่ครับ กิลเบิร์ต” เจ้าของเสียงเย็นเยียบขี้เล่นแต่แสนสุภาพนั่นเอื้อนเอ่ยพลางยิ่งจับกิลเบิร์ตอิงแอบแนบชิดในอกของเขา ซ้ำร้ายมือไม้ยังไม่มีพลาดขอจับนิดต้องหน่อยเจตนาลวนลามชัดเจน

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตเงยหน้ามองอีกฝ่ายก่อนเบิกตาโพลง ก็นี่มันอเล็คเซ่ เจ้าโจรสลัดผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าชายอ๊อตโต้ ทำไมมาอยู่แถวนี้ ไม่สิ ตอนนี้เขาปลอมตัวอยู่นะ!

“บ้าน่า! นี่นายรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน!” กิลเบิร์ตผวาสุดตัวพยายามดิ้นหนีแต่อเล็คเซ่กลับยังไม่ยอมปล่อย เขายิ้มอย่างเอ็นดูและก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าปกติอย่างน้อยสิบปีของอีกฝ่าย

“ถ้าเป็นคุณล่ะก็ไม่มีทางมองผิดครับ ก็ผมชอบคุณมากนี่นา” อเล็คเซ่คลี่รอยยิ้มและยิ่งจะฉวยโอกาสขอหอมฟัดอีกฝ่าย แต่กิลเบิร์ตกลับหันหน้าหนีอย่างขยะแขยง ถึงตายก็ไม่ยอมถูกอเล็คเซ่เอาเปรียบอย่างเด็ดขาด

“ไร้สาระ! ปล่อยนะ!” สุดท้ายด้วยความหงุดหงิดสุดใจจึงกระทืบเท้าลงหมายเหยียบอีกฝ่าย แต่อเล็คเซ่กลับฉวยโอกาสนั้นปล่อยเขาอย่างปัจจุบันทันด่วนจนกิลเบิร์ตเกือบหงายหลังหน้าคว่ำ เคราะห์ดีว่ายังทรงตัวได้ไม่ล้มหน้าฟาดพื้น “แกล้งกันงั้นเรอะ!”

“คุณสั่งให้ปล่อยผมก็ปล่อยแล้วไงครับ ทำไมมองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นเล่า ว่าแต่ ไม่ใช่ว่ากำลังเดือดร้อนอยู่หรือครับ” เอียงคอยิ้มถาม เขามองกิลเบิร์ตในสภาพหนุ่มน้อยแล้วก็อดชื่นชมความน่ารักน่าชังนี่ไม่ได้ ซ้ำในรูปลักษณ์ผมทองตาสีเขียวมรกตนี่ก็นับว่าแปลกตาไม่เลว น่ามองจริงๆ “นี่กิลเบิร์ต คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ กำลังอับจนที่หาทางเข้าไปในคฤหาสน์นั่นไม่ได้หรือเปล่า ให้ผมช่วยไหม” เข้าประเด็นอย่างชัดเจนจนคนฟังนิ่วหน้านึกอยากด่าเหลือเกิน

   ถ้าหมอนี่มายิ้มปลื้มปริ่มอยู่แถวนี้ ไม่ใช่ว่าไอ้คนที่กางบาเรียดักเขาไว้คือเจ้าอเล็คเซ่นี่หรอกหรือ! สร้างปัญหาให้แล้วมาคิดบุญคุณ ไร้ยางอายจริงๆ!!

“ให้นายช่วยก็ถูกปอกลอกหมดตัวพอดี!” โวยวายบอกอย่างคั่งแค้น หนี้เก่าระหว่างกันมันใหญ่หลวงนัก คิดว่าจะมาทำดีไถ่โทษได้หรือไง “อีกอย่างนายน่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้หรอกเรอะ คนที่ใช้เครื่องกางบาเรียปิดกั้นพลังจิตของฉัน ก็ไม่ใช่ว่าเป็นนายเองหรือไง เหอะ! เจ้าคนไร้ยางอาย!” ตัวเองนั่นล่ะเป็นลาสบอส แต่ตอนนี้มาเสแสร้งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด โจรสลัดนี่มันไม่น่าคบหาจริงๆ

   เพียงแต่ว่า ต่อให้รู้ความจริงจนปรุโปร่งแค่ไหน อเล็คเซ่เองก็ใช่ว่าไม่รู้จักกิลเบิร์ต เขาย่อมรู้ว่าอดีตท่านนายพลแห่งเทสล่าผู้นี้มีนิสัยอย่างไรตอนบัญชาการรบ และนิสัยบ้าบิ่นเกินตัวนี่ก็คือพื้นฐานที่กอปรเป็นตัวเขาถึงแก่นแท้ ดังนั้นหลังจากนิ่งฟังกิลเบิร์ตชี้หน้าด่าบ่นอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นทอดถอนใจก่อนจะยิ้มเยาะขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยตัวเองที่ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจอะไรแบบนี้

“ว่าไงครับ ตกลงคำตอบคืออะไร คุณจะไปดื่มชากับผมที่คฤหาสน์ใช่ไหมครับ” เอียงคอคลี่ยิ้มอีกครั้งพลางยื่นมือส่งให้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นปรายสายตามองเหยียดอย่างถือตัวสุดๆ

“ไปก็ไป ไหนๆก็โง่แล้วนี่ ลองโง่ให้สุดๆไปเลยละกัน ขอชาแพงๆด้วยนะฉันเรื่องมากน่ะ!” นั่นก็คือคำตอบของกิลเบิร์ตที่อเล็คเซ่คาดไว้แล้วอย่างแม่นยำ

   อเล็คเซ่คิดว่าเขารู้จักกิลเบิร์ตดี ในฐานะคนที่เดินผ่านไปมาในสมรภูมิอวกาศนี้ มีผู้คนมากมายที่เขารู้จัก บ้างก็เป็นตำรวจ บ้างก็เป็นประธานาธิบดี บ้างก็เป็นคนเร่ร่อน และบางคนก็เป็นท่านผู้หญิงของเทสล่า นั่นก็คือกิลเบิร์ตคนนี้

   ยามที่พบกันครั้งแรกเขาประทับใจในสีหน้า แววตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนๆนี้ มันช่างดูเหมาะเจาะสวยงามลงตัวไปเสียหมด ยิ่งเก่งกาจสง่างามก็ยิ่งทำให้เขาใจเต้นระทึกตื่นเต้น นึกอยากเก็บทุกสิ่งของคนๆนี้มาสะสมอยู่ข้างตัว ทุกวันทุกคืนได้แต่จินตนาการว่า ถ้าได้ดมเส้นผมนั่นล่ะ ได้จูบดวงตาแวววาวและริมฝีปากช่างพูดนั่นล่ะ แล้วถ้าได้ลูบสัมผัสผิวเนื้อ และหากได้ล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายนั่นล่ะจะรู้สึกดีขนาดไหน นับตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ เขาไม่เคยรู้สึกอยากได้อะไรมากมายเท่านี้มาก่อน เพียงแต่ว่า สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าเป็นข้อเสียของอีกฝ่ายก็คือ...สามี

“เพราะรู้จักกันตั้งแต่อายุยังน้อยก็เลยจับพลัดจับผลูแต่งงานกับเขารึครับ” อเล็คเซ่ชวนคุยขณะที่เขาพากิลเบิร์ตในสภาพหนุ่มน้อยเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ทั้งที่ถือว่าเป็นการเชื้อเชิญศัตรูเข้าบ้าน แต่อเล็คเซ่นั้นไม่สนใจ สิ่งที่เขาสนใจและต้องการที่สุดในเวลานี้ก็คือตัวกิลเบิร์ต

   จะเสียอะไรไปก็ช่าง ขอให้ได้กิลเบิร์ตมาก็พอ

“อย่าพูดถึงหมอนั่นอีก ไม่อยากได้ยิน” กิลเบิร์ตตอบอย่างเย็นชายามที่อีกฝ่ายเปิดบทสนทนาเรื่องสามีเก่า เขาเดินตามอเล็คเซ่มาอย่างเว้นระยะห่าง สังเกตมาตลอดทางว่าหมอนี่ได้รับความเคารพนบนอบจากคนรับใช้อย่างมากราวกับเป็นเจ้าของแทนตระกูลเกอเจ้น แบบนี้คงตอบโจทย์ได้แล้วว่าอเล็คเซ่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเจ้าชายอ๊อตโต้ “นายก็เถอะมาทำอะไรที่นี่ เจ้างั่งนั่นมีอะไรให้เก็บเกี่ยวหรือไง” นั่นย่อมหมายถึงเจ้าชายอ๊อตโต้

“มีอยู่สองสามอย่างครับ แต่ว่านะ ถ้าคุณยอมไปกับผม จะยอมคืนให้ดาวดวงนี้สักอย่างก็ได้นะครับ” คำพูดนั้นเอ่ยพอดีกับที่พวกเขาเดินเข้ามาถึงห้องโถงเล็กของคฤหาสน์ “นี่กิลเบิร์ต คุณก็รู้ว่าผมปกป้องคุณได้ ชื่อเสียงของผมโด่งดังจนอดีตสามีคุณยังต้องเกรง หากคุณมากับผม ผมสัญญาว่าจะปกป้องคุณ และดาวดวงนี้ก็จะไม่ล่มสลายด้วย สามีกำมะลอของคุณก็จะได้รับผลดีด้วยนะครับ”

   ในตอนนั้นที่พวกเขาอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง อเล็คเซ่สาวเท้าเข้ามาหาอีกฝ่าย ส่วนกิลเบิร์ตนั้นยืนนิ่งพิงผนังอยู่ เขารู้ว่าเรื่องที่อเล็คเซ่พูดมีน้ำหนักมาก ในระหว่างที่ลุดวิกยังต้องดิ้นรนอยู่กับตำแหน่งเจ้าอาณานิคม แต่อเล็คเซ่สามารถทำได้มากกว่านั้น เพียงแต่ว่าหากเขาจะตัดสินใจแบบนี้จริงๆก็คงไม่ดั้นด้นมาดาวดวงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

   คิดพึ่งพิงคนอันตรายแบบนี้ มีแต่เสียจนหมดเนื้อหมดตัว!

   เอาเถอะ...เขาจะลืมว่าตัวเองก็เสียตัวให้ลุดวิกไปเหมือนกันละกันนะ

“ว่าไงครับ” อเล็คเซ่สาวเท้าเข้าหาและใช้แขนทั้งของข้างกักตัวกิลเบิร์ตเอาไว้ มองจ้องคนตรงหน้าด้วยดวงตาอารีอย่างที่ไม่เคยมอบให้ใคร “ถ้าคุณเอาแต่เงียบ ผมจะถือว่าคุณเห็นตรงกันนะครับ” เขายังคงยิ้มและเลื่อนใบหน้าเข้าหาคลอเคลียกับเส้นผมของกิลเบิร์ต ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร รูปลักษณ์แบบไหน ขอให้เป็นคนๆนี้เขาก็ชอบทั้งนั้น

   เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตกลับต้องหัวเราะชืดชา อเล็คเซ่หนออเล็คเซ่ หากนายเป็นคนดีขนาดนั้นจริง จักรวาลนี้คงโดนแบล็คโฮลกลืนกินเข้าสู่ยุคมืดไปหมดแล้ว!!

“นี่นายรักฉันมากเลยนะ ถึงขนคนมาล้อมจับฉันขนาดนี้”

“!”

“ออกมาเถอะน่า พลพรรคโจรสลัดตัวดีของนายน่ะ!” ในตอนนั้นเองที่จุ่ๆกิลเบิร์ตก็เพิ่มพลังจิตของตนเองจนดวงตาแดงก่ำ กระแสพลังทำให้หลอดไฟในห้องตกแตกกระจาย ในขณะที่กระแสลมแรงพัดทุกสิ่งกระเจิดกระเจิงระเบิดเอากลุ่มคนนับสิบที่หลบอยู่หลังผนังไฟเบอร์แผ่นบางพวกนี้ออกล้มลงกองระเนระนาด คนพวกนี้ก็คือสมาชิกกลุ่มโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!

   เมื่อเห็นสมาชิกโจรสลัดนับสิบกิลเบิร์ตก็แสยะยิ้มกอดอกปรายสายตามองไปยังคู่กรณีอย่างหาเรื่องหาราว มันแปลกแต่แรกแล้วที่คฤหาสน์นี้จะเงียบสงัดขนาดนี้ เดาได้เลยว่าอเล็คเซ่วางแผนจะลอบทำร้ายเขา

“จริงใจสุดๆไปเลยนะ อเล็คเซ่” กิลเบิร์ตบอก ทว่า อีกฝ่ายกลับยังยิ้มแย้มไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนที่ถูกจับไต๋ได้

“ก็ถ้าคุณตกลงใจ ผมจะได้ให้พวกเขาพาคุณขึ้นยานไปเลยไงครับ ไม่คิดว่าสะดวกดีหรือ” ในจังหวะที่พูดนั่นสมัครพรรคพวกก็หยิบปืนเลเซอร์มาจ่อประชิดฝ่ายตรงข้ามไปด้วย ดูแล้วกิลเบิร์ตยิ่งรู้สึกได้ถึงความโคตรไม่จริงใจ

“โฮ่! ไม่ใช่จะจับฉันส่งเจ้าชายอ๊อตโต้ ไม่ก็เอาฉันไปขึ้นค่าหัวกับอารอนหรอกนะ เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือ!” ไม่พูดพร่ำทำเพลงกิลเบิร์ตก็ใช้มือขวาสร้างคมดาบแสงขึ้น เมื่อเขายกแขน คมดาบแสงนับสิบก็พุ่งลงมาจากความว่างเปล่ากระหน่ำใส่พวกโจรสลัด ฝ่ายอเล็คเซ่นั้นยิงปืนสนามพลังขึ้นกางบาเรียปกป้องคนของตน ส่วนมือซ้ายนั้นกระชากแส้ที่เอวฟาดออกไปเบื้องหน้า

   แส้ของอเล็คเซ่ไม่ใช่แส้ธรรมดา มันคือแส้ที่ถักทอจากสินแร่ที่ทนทานที่สุดในจักรวาล ณ ตอนนี้ มีคุณสมบัติต้านสนามพลังของเอสเปอร์ และแหลมคมยิ่งกว่าแสงเลเซอร์เสียอีก ดังนั้นเมื่อมันสะบัดออกไป กิลเบิร์ตจึงต้องสร้างบาเรียขึ้นคุ้มครองตนเอง

“ขนาดผมกางสนามพลังในคฤหาสน์นี้ คุณกลับยังใช้พลังจิตได้ คุณนี่ยอดไปเลยนะครับ” อเล็คเซ่เองก็นึกสงสัย ทั้งที่เครื่องสร้างบาเรียปิดกั้นพลังของกิลเบิร์ตจากข้างนอกได้ แต่ทำไมภายในถึงทำไม่ได้ ปรากฏว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะตอบ

“เจ้าโง่เอ๊ย นายคิดว่าระหว่างข้างนอกกับข้างใน ศูนย์ถ่วงพลังมันเหมือนกันรึไง!”

“!”

“ขอบคุณนะ ที่พาเข้ามาถึงที่!” กิลเบิร์ตเฉลย แน่ชัดว่าเขาแกล้งตกหลุมพรางเลยตามเลยเดินเข้ามาในวงล้อมของพวกโจรสลัด แต่ในความเป็นจริงคนที่รู้ดีถึงจุดอ่อนของเครื่องสร้างสนามพลังพวกนี้กลับเป็นตัวเขาเอง “นายคิดว่ามีกี่คนแล้ว ที่คิดใช้บาเรียพวกนี้มาหยุดฉันน่ะ!”

“เยี่ยมเลยครับ” แสยะยิ้มอีกครั้ง ทว่า จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความโมโหโกรธาแม้สักนิด อเล็คเซ่เชื่อว่ากิลเบิร์ตของเขาต้องเก่งกาจประมาณนี้อยู่แล้ว “คุณเก่งขนาดนี้ ทำให้ผมใจเต้นจนแทบทะลุออกนอกทรวงอกเลยล่ะครับ”

   พริบตานั้นอเล็คเซ่กระโจนขึ้นและหวดแส้แหวกอากาศตัดเฟอร์นิเจอร์ในห้องขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนกิลเบิร์ตสาดคมดาบแสงเข้าใส่ ในจังหวะที่อเล็คเซ่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าปะทะนั่นเองที่จู่ๆกิลเบิร์ตกลับสร้างสนามพลังกระแสไฟฟ้าขึ้น การเสียดสีก่อให้เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่นอานุภาพหนักหนา ในท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั่นครั้นพออเล็คเซ่มองไปเบื้องหน้าอีกครั้ง กิลเบิร์ตก็หนีหายไปแล้ว

   ไม่ได้คิดปะทะตรงๆแต่แรก ก็แค่ต้องการเข้ามาสำรวจเท่านั้น นี่ก็คือความคิดของกิลเบิร์ต

“คุณนี่มัน เจ้าเล่ห์จริงๆนะครับ แต่ว่า...คุณหนีจากผมไปไม่ได้หรอก กิลเบิร์ตของผม”

   และตอนนั้นเองที่อเล็คเซ่ออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขา แม้ต้องทำลายคฤหาสน์หลังนี้ทิ้งทั้งหมด ก็ต้องลากตัวกิลเบิร์ตออกมาให้ได้


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 13 การปะทะกันของเอสเปอร์กับโจรสลัด 3/12
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 03-12-2018 22:28:46
กิลเหยียบหน้าแม่งดิ นี่โจรสลัดหรือแมลงสาบ!!
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 14 สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า 9/12
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 09-12-2018 22:23:31
ตอนที่ ๑๔
สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า

   ทันทีที่หันเหความสนใจของอเล็คเซ่ได้กิลเบิร์ตก็เทเลพอร์ตลงมาชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ในตำแหน่งที่เขาจับคลื่นพลังจิตได้ ด้านล่างนั้นทั้งมืดและเงียบมากแม้จะมีเครื่องเรือนสำหรับให้คนๆหนึ่งใช้ชีวิตประจำวันแต่ก็ถือว่าทรุดโทรมอ้างว้างอย่างยิ่ง ในตอนนี้เขาอดคิดไม่ได้ว่าใครกันหนอที่ถูกจองจำให้ใช้ชีวิตเช่นนี้ และเพราะอะไรจึงต้องทำร้ายกันอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ด้วย
เขาเดินวนในความมืดรอบถึงสองรอบก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองและกางสนามพลังขึ้น ในตอนนั้นเองที่เงาของใครบางคนถูกจับได้ เงานั้นกำลังวิ่งตัดผ่านเบื้องหน้าของเขา

“เห คิดว่าถึงขั้นนี้แล้วจะให้รอดไปงั้นเรอะ ตลกน่ะ!” ว่าพลางก็สาดคมดาบแสงเข้าใส่เงานั่น เจ้าของเงาร้องเสียงหลงก่อนจะกลิ้งขลุกๆไปกับพื้น ฝ่ายผู้บุกรุกสาวเท้าเดินหน้าก่อนจะกระชากเอาเจ้าร่างปริศนานั่นมาดูหน้าให้ถนัด และใบหน้านี้เองที่ทำให้เขาคลี่รอยยิ้มออกมา ใบหน้าที่คลับคล้ายคนรู้จักแต่อ่อนวัยกว่ามาก “ว้าว นึกว่าสาวงามที่ไหน แต่เป็นพ่อหนุ่มน้อยเองแฮะ” 

“ปล่อยนะ!” เด็กหนุ่มตวาดกลับพลางแผดเผาพลังจิตของตนเองจนประกายแสงสีเหลืองทองอาบร่าง เขาคิดจะโจมตีอีกฝ่าย แต่ตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตยื่นมือมากดหัวไหล่เขา ในพริบตาพลังทั้งหมดสูญสลาย “อะ! แก แกเป็นตัวอะไรกัน!”

“พูดจาเสียมารยาท เอาแค่เป็นใครมาจากไหนดีกว่าไหม สารรูปแบบนี้คิดจะโจมตีใส่ฉัน ไวไปหมื่นล้านปีแสงแล้วพ่อหนูไก่อ่อน!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มกวนโทสะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายพยายามเร่งพลังจิต แต่จะสักกี่ครั้งทุกอย่างก็ว่างเปล่า เห็นชัดว่าต่อหน้าผู้ชายคนนี้เขาก็คือคนธรรมดา “เลิกคิดเถอะ เธอควบคุมพลังตัวเองยังไม่ได้ พลังก็อ่อนมาก ด้วยฝีมือแบบนี้จะเอาชนะฉันได้ยังไง” นั่นคือความจริง พลังจิตของคนๆนี้จะมากน้อยยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆก็คือเขาไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นแบบแผน การใช้พลังจึงถูกกดข่ม กับมนุษย์ธรรมดาหมอนี่อาจดูเป็นปีศาจร้าย แต่กับเขา นี่ก็คือเด็กฝึกหัดดีๆนี่เอง

   เมื่อเห็นว่าหมดทางสู้ เด็กหนุ่มก็ถอยกรูดไปติดผนัง ท่าทางเลิกลั่กแต่ก็อยากรู้อยากเห็น ดวงตาสีฟ้าใสแจ๋วแหงนเงยมองคนตรงหน้าที่รูปลักษณ์แปลกประหลาดเคยพบเจอ ในชีวิตที่อาภัพอับโชคของเขา นี่ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างมาก

“น นายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่นี่! เป็นพวกเดียวกับพวกนั้นเรอะ!” พวกนั้นที่เขาว่าย่อมหมายถึงพวกอเล็คเซ่ แต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอะไร ในตอนที่เขาได้รับแจ้งว่าคนพวกนั้นจะมาอยู่ที่นี่ เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับและเก็บตัวไม่ไปวุ่นวายกับใครเท่านั้น แต่มาวันนี้เขาไม่วุ่นวาย แต่คนนอกกลับเข้ามาวุ่นวายเสียเอง “ถ้าใช่ ผม ผมไม่ได้ผิดสัญญานะ! อย่าทำร้ายเฟรย์นะ!”

   เฟรย์? นั่นย่อมเป็นชื่อของใครบางคน

“อย่าเอาฉันไปรวมกับเจ้าบ้าอเล็คเซ่นะ!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นมาพลางเกาศีรษะทอดถอนใจเหนื่อยหน่าย แต่ครั้นพิศมองเจ้าหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ยิ่งต้องทอดถอนใจหนักขึ้น คนตรงหน้ามีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปด เป็นพ่อหนุ่มน้อยหน้าหวานผมสีทองสว่าง ดวงตาสีเขียว ทั้งสวยงามนุ่มนิ่มน่าจับต้องทั้งยังมีความสามารถพิเศษที่น่าสนใจ อีแบบนี้หนึ่งในของที่อเล็คเซ่มาตามที่นี่คงไม่พ้นหมอนี่แน่ “เหมือนกันจริงๆ เหมือนแบบไม่ต้องคิดเลย”

“เหมือน?”

“คนที่ขอให้ฉันมาช่วยเธอไง เอาล่ะ! ไปกับฉันซะถ้ายังไม่อยากถูกเอาไปขายซ่องในเนบิวล่ามืด!” จู่ๆเขาก็โพล่งประโยคแบบนี้ออกมาทำเอาเด็กหนุ่มเบิกตามองอย่างฉงน

   ทว่า...

“ซ่องคืออะไร?”

“เออะ...”

   เดดแอร์ชัดๆ...

   ประโยคเด็ดสำหรับชักชวนโน้มน้าวดันกลายเป็นประโยคตัดบทสนทนา

   กิลเบิร์ตทำหน้าปลาตายสุดๆมองเจ้าหนุ่มหน้าใสอ่อนต่อโลกที่ถามมาได้ว่าซ่องคืออะไรแล้วก็ทอดถอนใจเป็นรอบที่สาม เขากำลังคิดว่าตัวเองจะต้องอายุสั้นลงๆแน่ๆหากต้องคุยกับเด็กใสซื่อแบบนี้! หรือว่าเป็นเสียแบบนี้ถึงจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้มาช่วยกันนะ?

“คือสถานที่ๆพวกคนหื่นกามเข้าไปซื้อเซ็กซ์ คงไม่โง่ขนาดไม่เข้าใจใช่ไหมว่าเซ็กซ์หมายถึงอะไร” ถามต่อ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะตื่นๆมึนๆ เอาเข้าจริงกิลเบิร์ตคิดว่าใช้คำว่าโง่กับคนๆนี้ไม่น่าจะถูกต้อง นี่ควรเป็นคนประเภทที่ไม่ได้รับข้อมูลการศึกษาใดๆมาเป็นเวลานานจนตามใครไม่ทันมากกว่า ว่าแต่...สถานะแบบนี้มันคุ้นๆนะ “ไปกับฉัน ถึงจะเป็นภาระสุดๆ แต่ฉันจะช่วยเธอ”

“ช่วยผม? ทั้งที่เราไม่รู้จักน่ะเหรอ” นี่ก็เป็นคำถามที่ซื่อและตรงไปตรงมาจนกิลเบิร์ตบังเกิดความเอ็นดูขึ้นในหัวอก คนผมทองตาสวยที่ดูน่ารักน่าปลอบขนาดนี้ ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเคยเจอเป็นคนแรกใช่ไหม! แน่ล่ะ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกหัวทองที่ไม่น่ารักสักนิด!

“ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันก็ช่วยได้ เธอเป็นเอสเปอร์ เป็นพี่น้องของฉัน” กิลเบิร์ตตอบ แต่ไหนแต่ไรมาสำหรับเขาถือคติว่าคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ ยิ่งเป็นเอสเปอร์เขายิ่งรู้สึกว่าตนเองกับคนๆนั้นมีความเชื่อมโยงกัน หากไม่ได้ขัดแย้งกันด้วยเรื่องอื่น เขาก็อยากช่วย หากพวกอารอนไม่อยากให้เขาทำอะไรให้ก็เป็นเรื่องของคนพวกนั้น แต่กับเด็กหนุ่มที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายคนนี้ สมควรที่จะช่วยอย่างยิ่ง

   จักรวาลกว้างใหญ่ การได้พบพานใครสักคน พึงถือว่าเป็นวาสนา

“แต่...แต่ว่า...” ทว่า เด็กหนุ่มกับมีเพียงความลังเลเต็มไปหมด สำหรับเขาที่ถูกกักขังอยู่ในนี้มาครึ่งค่อนชีวิต จู่ๆมีคนแปลกหน้าหน้าตาประหลาดมาบอกว่าจะมาช่วยเหลือ นี่มันไม่น่าไว้วางใจที่สุดแล้ว เพียงแต่ว่าพอเขามองดูคนๆนี้ เห็นรอยยิ้มนี่ หัวใจมันก็พลันสุขสงบไปหมด รู้สึกว่าอยากจะเชื่อคนๆนี้เหลือเกิน “ผม เอ่อ...ไปไม่ได้ ถ้าผมไป น้องสาวของผม เอ่อ...”

“น้องสาวของเธอเป็นคนขอให้ฉันมาช่วยเธอ”

“!”

“เธอส่งข้อความบอกฉัน ยื่นมือมาสิ”

“อะ...” วินาทีนั้นเองที่เด็กหนุ่มส่งมือให้กิลเบิร์ต พวกเขาแนบฝ่ามือเข้าด้วยกัน พริบตาทั้งภาพและความทรงจำมากมายจู่ๆก็ล้นทะลักเข้ามาในสมองของเขา เขาเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส เสมือนประสบพบเจอกับตนเอง ก่อนจะทรุดลงกับพื้นใบหน้าแตกตื่น “บ้าน่า! นี่ไม่เห็นเป็นไปตามที่คุยกันเลย!” นั่นย่อมหมายถึงข้อตกลงระหว่างเขากับผู้อยู่เบื้องหลัง

“คนพวกนั้นหลอกใช้เธอกับน้องสาวไงล่ะ สิ่งที่เธอต้องทำไม่ใช่การอุดอู้เป็นเหยื่ออยู่ในนี้ เธอต้องออกไปช่วยเขา”

“ผม...”

   ในตอนที่เด็กหนุ่มยังคงมึนงงคิดอะไรไม่ออก จู่ๆในตอนนั้นเองเพดานชั้นบนพลันพังทลายลงมาตามด้วยห่าแสงเลเซอร์ ในพริบตานั้นแสงสีแดงที่ห่อหุ้มอาณาบริเวณนั้นพลันสาดส่อง บาเรียสนามพลังที่กิลเบิร์ตกางไว้ก่อนหน้านั้นดูดซับรังสีกลืนกินไปจนหมด แน่ล่ะว่าเด็กหนุ่มนิรนามค่อนข้างตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ทว่า ชายหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นยังมีท่าทีสงบนิ่ง ฉีกยิ้มมาดมั่นไม่หวั่นเกรง เขารู้สึกว่าดวงตาสีดำคู่นั้น ช่างน่าชมจริงๆ

“คุณนี่ไวจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็หาของเจอจนได้” เจ้าของคำพูดนั่นคืออเล็คเซ่ที่เดินฟาดแส้ออกมาจากในกลุ่มโจรสลัด เขาจ้องมองไปที่คู่กรณีพร้อมกับยิ้มหวานเชื่อมให้ ท่าทางคล้ายภูมิอกภูมิใจในฝ่ายตรงข้ามอย่างยิ่ง คนที่เขารักจะเก่งขนาดนี้เขาย่อมต้องชื่นชมอยู่แล้ว 

“มอบคฤหาสน์ให้กบดานพร้อมกับเอสเปอร์หนึ่งคน สงสัยจริงๆว่านายกับตระกูลเกอเจ้นทำข้อตกลงอะไรไว้กันแน่” กิลเบิร์ตถาม ถึงขั้นนี้แล้วไม่จำเป็นต้องปิดซ่อน ระหว่างอเล็คเซ่ ตระกูลเกอเจ้น และเจ้าชายอ็อตโต้ต้องมีผลประโยชนร่วมกันไม่เบาแน่ “คนที่คิดแผนการวางระเบิดรถม้าของลุดวิกคือนายสินะ” กอดอกถามอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง จิ๊กซอที่หายไปถูกเอามาต่อกันได้ครบแล้ว

“แล้วคุณคิดว่าใช่ไหมล่ะครับ” เอียงคอส่งยิ้มท่าทางไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย

“เพื่อจะใช้น้องสาวของเจ้าหนุ่มเป็นเครื่องมือ ตระกูลเกอเจ้นเลยจับเจ้าหนุ่มนี่มาขังไว้ในนี้ ส่วนนายคือคนที่สอนวิธีการใช้พลังให้กับคนร้าย เพื่อจะได้ใช้ให้ลอบเข้าไปวางระเบิดได้โดยไม่มีใครรู้ นี่อเล็คเซ่ นายมาที่นี่ก็เพื่อพี่น้องคู่นี้สินะ!”

   ข้อสรุปของกิลเบิร์ตนั้นสร้างความตระหนกให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังยืนข้างๆเขาอย่างมาก เขาพลันหน้าซีดเผือดก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว เหตุเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดและสิ่งที่เขาเห็นผ่านเทเลคิเนซิสเมื่อครู่นั้นช่างแตกต่างจากข้อตกลงที่พวกเขาเคยพูดคุยกันโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยที่สุดตามข้อตกลง พวกเขาก็ควรจะได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุขต่อไปต่างหาก น้องสาวของเขาไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือด้วย!

“ช่วยไม่ได้นะครับ เอสเปอร์ที่เก่งกาจแบบพวกคุณต่อให้ใครอยากซื้อแค่ไหนก็ไม่กล้าจ้างวานผมหรอก แต่กับเอสเปอร์พี่น้องฝาแฝดในดาวไกลปืนเที่ยงที่ยังใช้พลังไม่เป็น คุณไม่คิดว่าดูจะมีราคาดีหรือครับ”

“หุบปากน่ะ!” กิลเบิร์ตตวาด ในตอนนั้นเองที่เขาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเดือดดาลอย่างยิ่ง อเล็คเซ่เป็นโจรสลัด และด้วยอาชีพของเขา เขาย่อมแสวงหากำไร เพียงแต่ว่าการแสวงหากำไรครั้งนี้ของหมอนี่คือสิ่งที่กิลเบิร์ตยอมรับไม่ได้ ทั้งหมอนี่ ทั้งครอบครัวของเด็กพวกนี้ด้วย!

   เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด ถึงขนาดจะขายคนในครอบครัวตัวเองเลยงั้นรึ!

“ผมขอเตือนนะว่า คุณหยุดผมไม่ได้หรอก ยกตัวอย่างเช่น หากผมพูดว่า หากคุณคิดจะพาเด็กนั่นเทเลอพอร์ตหนี ผมจะสั่งให้ลูกน้องผมระเบิดเมืองข้างล่างทิ้งล่ะครับ” น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องสมมติฐาน แต่มันคือเรื่องจริง เพื่อจับกิลเบิร์ตเขาไม่เสียดายชีวิตใครหรืออะไรทั้งสิ้น คนจะตายกี่คน ใครจะร้องห่มร้องไห้เขาล้วนไม่ใส่ใจ “เหมือนกับรถม้าของสามีคุณ ตอนที่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ เพื่อกันความผิดพลาด ลูกน้องของผมไปวางระเบิดไว้ที่เหมืองแล้ว พอเหมืองระเบิดมันก็จะระเบิดตามๆกันไปหมด น่าจะสวยดีนะครับ”

“นายมันบ้าไปแล้ว!” คนบ้าเท่านั้นที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้!

“คุณคิดว่าชีวิตคุณกับเด็กคนนั้นมีค่ากว่าชาวบ้านบนดวงดาวที่คุณไม่รู้จักนี่รึเปล่าครับ หากว่าใช่ ผมก็ไม่ห้าม เชิญคุณหนีไปได้เลย แต่ถ้าคำตอบตรงกันข้ามล่ะก็...ไปกับผมเถอะนะ” ว่าพลางสาวเท้าเดินมาข้างหน้า ครั้นถึงบาเรียแสงที่กิลเบิร์ตกางไว้อเล็คเซ่ก็ตวัดแส้ทำลายคลื่นแสงนั่นลง เขาเดินเฉิดฉายยิ้มกริ่มเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ครั้นยิ่งเข้าใกล้ กิลเบิร์ตก็ยิ่งถอยห่าง เพียงแต่สุดท้ายเขากลับถูกดึงกระชากเข้ามาในอ้อมอกของเจ้าโจรสลัดชั่วผู้นี้ “ดูเหมือนคำตอบของคุณก็ยังใสซื่อเช่นเดิม กิลเบิร์ตที่รัก ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี”

“เจ้าคนสารเลว!” ด่าว่าอย่างกราดเกรี้ยว เขาไม่สงสัยกับคำขู่ของอเล็คเซ่ ยิ่งเป็นคนที่รู้วีรกรรมต่ำช้าของหมอนี่ ยิ่งไม่อาจสงสัย หมอนี่คือคนที่ทำลายดาวทั้งดวงและขายคนเป็นทาส ชีวิตคนมีค่าเท่าเศษกรวดทราย สิ่งที่อเล็คเซ่เห็นว่ามีค่า มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ถ้าอยากจับฉันก็ได้ แต่เจ้าหนูนี่ ปล่อยเจ้าหนูนี่ไปเถอะ!”

   ข้อเสนอนั่นทำเอาอเล็คเซ่เลิกคิ้ว ส่วนเด็กหนุ่มนั้นเบิกดวงตากว้างอย่างฉงน คนเพิ่งพานพบ แต่กลับจะช่วยเหลือเสียสละตัวเองถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เด็กหนุ่มถึงกับจับชายเสื้อของกิลเบิร์ตไว้แน่น สีหน้าซีดหวาดหวั่น แม้ไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร แต่ตั้งแต่จำความได้ คนที่ดีกับเขาเช่นนี้มีน้อยคนนัก

“คุณจะยอมถูกผมจับไปขายแทนหรือครับ” อเล็คเซ่ถามพลางเชยชิดปลายคางอีกฝ่ายขึ้นพิศดูใบหน้า ส่วนเด็กหนุ่มที่พยายามเข้ามาขัดแข้งขัดขานั้นดูน่ารำคาญจนเขาต้องเตะให้กลิ้งล้มลง

“อเล็คเซ่!”

“แค่สั่งสอนให้รู้ที่ต่ำที่สูงครับ คุณรู้อะไรไหม เวลาอยู่กับคุณ มันจะมีเรื่องเซอไพรสเสมอ ตอนนี้ผมก็มีเรื่องเซอไพรสอีกแล้ว มากับผมก็ดีแล้วครับ ผมไม่ขายคุณหรอก แต่จะขอกอดคุณให้มากหน่อย กักขังคุณไว้ แล้วมาเล่นด้วยกันเป็นครั้งคราว แบบนี้ คุณว่าดีไหม” พูดไปก็ยิ้มแย้มท่าทางมีความสุขชื่นมื่น ในสายตาคนมองนี่ต้องถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง

“ไอ้โรคจิต!” กิลเบิร์ตอดรนทนไม่ได้ต้องด่าคำนี้ออกมา แต่นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว อเล็คเซ่กลับยังเขยื้อนใบหน้าเข้ามาหมายจะขอจูบริมฝีปากถือดีของคนตรงหน้าเสียก่อนเป็นค่ามัดจำ

“เดี๋ยวพอเราไปถึงยาน คุณจะช่วยดูแลผมด้วยร่างกายคุณใช่ไหมครับ กิลเบิร์ตที่รัก”

“!” หากถามว่าความหวาดกลัวคืออะไร ตอนนี้กิลเบิร์ตสามารถพูดได้ว่าเขากำลังกลัว ทุกท่าทาง ทุกการแสดงออกของคนตรงหน้าทำให้เขาครั่นคร้าม ยิ่งคิดว่าหากถูกคนๆนี้แตะต้องจนเลยเถิดก็ยิ่งคลื่นไส้ ทำไมกัน ทำไมเวลานี้เขากลับคิดถึงใบหน้าของคนๆหนึ่ง

   ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นผู้ชายคนนั้น เจ้าถังขยะล้อมเพชรจอมวายร้ายนั่น คนๆนั้น...

ลุดวิก ช่วยด้วย!!

   เสี้ยววินาทีนั้นเองที่สัญญาณเตือนภัยทั่วอาณาบริเวณพลันดังลั่น พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่เหยียบย่ำเข้ามาในคฤหาสน์ แสงเลเซอร์ยิงเฉียดผ่านข้างแก้มของอเล็คเซ่ไป ก่อนที่ใครบางคนจะโหนตัวลงมาจากชั้นบนคว้าเอาตัวกิลเบิร์ตในอ้อมแขนของเขาหลุดไปต่อหน้าต่อตา

   ชายหนุ่มผมสีทองคำในเครื่องแบบนายทหารสีแดงเลือดหมูคว้าตัวกิลเบิร์ตไปอย่างลอยนวล ก่อนจะหันกลับยกปืนพกขึ้นยิงใส่อเล็คเซ่อีกครั้งอย่างไม่ขาดจังหวะ เพียงแต่คราวนี้อเล็คเซ่ตั้งตัวได้เขาใช้แส้ปัดทำลายแสงเลเซอร์ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระใส่ใจ กระโจนวิ่งเข้าหา ความเร็วนั่นทำให้กิลเบิร์ตตกใจอย่างยิ่ง ทั้งที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำ แต่กลับเร็วมาก วิ่งหลบแส้ของอเล็คเซ่พ้นอย่างสบายทุกครั้ง พอเข้าใกล้รัศมีก็ควักปืนเล็งยิงระยะเผาขน ครั้นฝ่ายตรงข้ามหลบได้อีก เขาก็ชักมีดสั้นขึ้นปาดเข้าปะทะกับแส้

   ชายสองคนมองหน้ากันและกันอย่างเย็นชาระคนเจ็บแค้น มันคือการปะทะกันครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้

   คนๆนี้ จะมาแย่งของสำคัญของเขา!

“โกรธที่ภรรยาไม่เชื่อฟังหรือครับ ท่านดยุคแห่งออลบานี” อเล็คเซ่แสยะยิ้ม รู้สึกเกลียดชังผู้ชายที่ยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นสามีคนปัจจุบันของกิลเบิร์ตจนแทบอยากฉีกกระชากเป็นเศษเนื้อ มาทีหลังแท้ๆแต่กลับฉกชิงสิ่งสำคัญของเขาไปอย่างหน้าไม่อาย คนเช่นนี้ สมควรตาย!

“รังเกียจแกต่างหาก! เจ้าโจรสลัด!” ลุดวิกคำรามใส่และตวัดมีดขึ้นแทงใส่ใบหน้าอเล็คเซ่อีกครั้ง แต่แน่นอนว่าอเล็คเซ่หลบได้ ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร “กิลเป็นภรรยาของฉันแล้ว! เลิกตอแยซะ!” เมื่อครู่ในตอนที่ดักซุ่มเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว และตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าโจรสลัดนี่คือผู้ชายโสโครกที่บังอาจมาแตะต้องภรรยาของเขา กิลเบิร์ตเป็นของเขาแล้ว เจ้าแมวเถื่อนนั่นเป็นของๆเขา! ไม่มีทางยกให้หรอก!

“ผมไม่ได้ตอแย แต่เป็นคุณที่เข้ามาแทรก ถ้าเขาไปหาผมตั้งแต่แรก น้ำหน้าอย่างคุณไม่มีทางได้เป็นสามีของเขา!” อเล็คเซ่เองก็หลุดอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว กับกิลเบิร์ตจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เคยโกรธ แต่กับคนๆนี้ เขาจะแร่มันให้เป็นชิ้นๆ!

“กิลไม่มีทางเลือกนาย เจ้าคนต่ำช้า!” ลุดวิกคำราม ไม่มีทางยอมถอยอย่างเด็ดขาด จะให้ยอมได้ยังไง ก็ในเมื่อเดิมพันของพวกเขาในครั้งนี้ก็คือ กิลเบิร์ต! “ความลับเรื่องระเบิดของนายแตกแล้วเพราะน้องสาวของเจ้าหนุ่มนั่น ฉันให้คนของฉันไปถอดระเบิดแล้ว นายแพ้แล้ว!” ชี้หน้าใส่อีกฝ่าย และด้วยอากัปกิริยาเช่นนั้นทำให้ฝ่ายอเล็คเซ่ยิ่งโกรธจัดจนกำหมัดแน่น แพ้พ่ายไม่กลัว แต่ถ้าต้องแพ้ให้ผู้ชายที่แย่งกิลเบิร์ตไป เขาไม่ยอมรับ!

“มันก็ไม่แน่หรอก!” วินาทีนั้นอเล็คเซ่พลันหงุดหงิดหนัก เขาออกคำสั่งให้พวกโจรสลัดระดมยิ่งลุดวิกให้ตาย

   ฉันใดก็ฉันนั้นฝ่ายลุดวิกไม่ได้มาตัวเปล่า เพียงเขาดีดนิ้วทหารกว่าสามสิบนายก็กระโจนลงมาจากชั้นบนต่างคนต่างพาดปืนยาวเล็งยิงพวกโจรสลัดเช่นกัน สถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียด เพียงแต่ว่าในความตึงเครียดนี้ อเล็คเซ่สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดแผกไปจากที่เคยเป็นมาที่เทสล่า เพื่อกิลเบิร์ต ดยุคแห่งออลบานี ผู้บัญชาการทหารคนนี้ถึงขนาดยอมออกคำสั่งนำทหารใต้บังคับบัญชามาช่วงใช้ ทั้งที่รู้ว่าอาจจะต้องถูกเบื้องบนเล่นงาน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาจสูญเสียผลประโยชน์ แต่ก็ยังทำ คนๆนี้ นับว่าไม่เลวเลย

“ท่านดยุคเพื่อภรรยาถึงขนาดเล่นใหญ่เลยนะครับ” อเล็คเซ่ว่า

“เพื่อภรรยา ฉันสมควรทำต่างหาก” ลุดวิกตอบ

“โอ้” อเล็คเซ่แสร้งอุทาน เขายิ้มน้อยๆก่อนจะปรายสายตามาทางกิลเบิร์ตที่เหมือนว่าก็ไม่เชื่อในคำพูดของลุดวิกเช่นกัน “ดูเหมือนครั้งนี้จะหาสามีได้ไม่เลวนะครับ แต่ว่า...คุณน่ะเป็นของผมต่างหาก”

“หา!” กิลเบิร์ตอุทาน

   วินาทีนั้นเองที่อเล็คเซ่ผิวปาก ท่วงทำนองเพลงประหลาดนั่นประดุจสัญญาณบางอย่าง และตอนนั้นเองที่แผ่นดินเกิดไหวกะทันหัน พวกทหารที่ด้านนอกร้องโวยวาย ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาคฤหาสน์กำลังค่อยๆพังครืนลงมา แต่ละคนรีบหนีกันจ้าละหวั่น ไม่เว้นแม้แต่กิลเบิร์ตที่ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้เทเลพอร์ตต่อหน้าพวกทหารได้ จำเป็นต้องวิ่งเอาชีวิตรอดเช่นกัน และแน่นอน เขารีบส่งมือให้เจ้าหนุ่มนินาม

“ไปกับฉัน ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอหรอก!” เชื้อเชิญและปรารถนาอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือ และแน่นอนว่าอีกฝ่ายที่ได้เห็นความจริงใจของเขาแล้วจึงยื่นมือตอบรับ “ฉันจะช่วยเธอ พี่น้องของฉัน”

   คฤหาสน์พังทลายลงมาในขณะที่เมื่อออกมาดูจากภายนอกพลันปรากฏเรือรบอวกาศที่กางใบเรือโลหะติดตราสัญลักษณ์หัวกะโหลกไขว้ มันคือเรือรบอวกาศ “อเล็คซานเดอร์” ของอเล็คเซ่ เรือรบอวกาศที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของจักรวาลไม่แพ้กองทัพของสหพันธ์ดวงดาวเลยแม้แต่น้อย

“นี่มัน ซ่อนเรือรบไว้ในคฤหาสน์งั้นเรอะ!” กิลเบิร์ตคำราม อันที่จริงอเล็คเซ่น่าจะสามารถแปลงมวลสารเรือรบให้ออกมาอย่างละมุนละม่อมได้ แต่นี่ถึงกับทำลายคฤหาสน์ เท่ากับเจตนาประกาศศักดาชัดๆ! “หรือว่า! อย่านะ! ห้ามทำลายเมืองนะ!” เมื่อแผนแรกล้มเหลว เขาย่อมต้องมีแผนที่สอง

“เมือง?” ลุดวิกที่ตอนนี้ได้รับรู้แสนยานุภาพทางการรบของฝ่ายตรงข้ามแล้วย่อมนึกขึ้นได้ บางทีอเล็คเซ่คงต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ เป็นไอ้บ้าที่ถึงตายก็ไม่ยอมแพ้จริงๆ

   อย่างที่คาดคิด อเล็คเซ่ออกคำสั่งให้หันหัวเรือไปทางเมืองท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คนที่ตอนนี้ออกมามุงดูเรือรบประหลาดอย่างตื่นตระหนก วินาทีนั้น เขาออกคำสั่งให้ลูกเรือบนยานเล็งพิกัด โจมตีเมือง!

“ไม่ให้ทำหรอก!” กิลเบิร์ตประกาศกร้าว ตอนนั้นเองที่เขาเทเลพอร์ตตัวเองบินขึ้นฟ้า ก่อนจะกางบาเรียขาดใหญ่ครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ในตอนที่ปืนใหญ่เลเซอร์สาดแสงมา กิลเบิร์ตก็กางบาเรียรับไว้แล้ว “นี่มัน นายอัพเกรดปืนใหญ่งั้นเรอะ!” ใช่แล้ว อเล็คเซ่มีความมั่นใจมากว่ากิลเบิร์ตจะต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้

   แสงเลเซอร์ขนาดใหญ่สาดเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล กิลเบิร์ตอยู่ในสภาพที่ถอยไม่ได้ แต่พลังของเขาก็มีขีดจำกัด ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ต่อหน้ายานรบสุดแกร่งเช่นนี้ ก็ไม่มีทางต่อสู้เพียงลำพังได้ ในตอนที่มือของเขากำลังสั่น และร่างกายดูจะมาถึงขีดจำกัด เสี้ยววินาทีนั้นเองแสงสีเหลืองอีกสองเส้นกลับพุ่งขึ้นมา เขาแลเห็นหญิงสาวกับเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน ทั้งสองคนที่ยังบังคับพลังไม่ได้คงที่ แต่กัดฟันเค้นแรงสุดกำลังสร้างบาเรียชั้นที่สองรองรับพลังของปืนใหญ่

“เจ้าหญิงเฟรเซีย!” ใช่แล้ว สองคนนั่นคือเจ้าหญิงเฟรเซียกับเด็กหนุ่มนิรนาม!

   จากการปะทะกันหลายนาที สุดท้ายบาเรียของเอสเปอร์ทั้งสามดูดซับเลเซอร์จนหมด อเล็คเซ่แม้หงุดหงิดอย่างยิ่ง แต่เขารู้ดีว่าแผนการของตนเองยังไม่จบ และสถานการณ์ต่อจากนี้จะไม่ง่ายเลยสำหรับลุดวิก เมื่อคิดใคร่ครวญแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดสนามพลังของเรือรบถอยออกไป ภาพสุดท้ายที่เขาจ้องมองย่อมเป็นภาพของกิลเบิร์ตที่ล้มตัวลงในอ้อมแขนของลุดวิก

“ก็แค่ฝากไว้ก่อนเท่านั้น ท่านดยุค”

   แล้วเขา จะมาเอาคืนเร็วๆนี้

   ฝ่ายกิลเบิร์ตพอลงมาจากฟ้าก็ล้มลงในอ้อมแขนของลุดวิกทันที ดวงตาสีดำกระพริบถี่มองหน้าผู้ชายที่โผล่เข้ามาขัดขวางอเล็คเซ่ เขาเห็นคนๆนี้แล้วก็ได้แต่ลอบยิ้ม เป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเขาแบบนี้ แถมตอนนี้ยังกอดเขาไว้แน่นด้วย รู้สึกสบายตัวอย่างที่สุด 

“ดีใจจัง” กิลเบิร์ตหัวเราะเบาๆ อดไม่ได้ที่จะยื่นแขนโอบคล้องคออีกฝ่าย “คิดถึงฉันเลยมาหาสินะ พ่อถังขยะบ้าเลือด”

“เจ้าแมวเถื่อนดื้อด้าน!” ลุดวิกตวาดกลับ แต่กลับผงะเสียเองเมื่ออีกฝ่ายคลับคล้ายจะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ทั้งดวงตาและใบหน้านั้นยิ้มแย้มอย่างอ่อนระโหย แต่กลับดูมีชีวิตชีวาหนักหนา “ทำไมถึงไม่ฟังกันเลย...”

“อา...เป็นห่วงเหรอ”

“ใครบ้างที่จะไม่ห่วงภรรยาของตัวเอง” คำตอบง่ายๆพร้อมกับจูบลงที่ข้างแก้มของฝ่ายตรงข้าม ในตอนที่เขารู้ว่ากิลเบิร์ตหายไป เขาพลันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในอกแตกพัง และยิ่งตอนที่เจ้าหญิงเฟรเซียบอกกับเขาว่ากิลเบิร์ตอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะมาช่วยคนๆนี้ สิ่งที่หวาดกลัวยิ่งกว่าความเสียหายใดๆกลับเป็นความกลัวว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้กับรอยยิ้มขี้เล่นนี่อีกแล้ว “อย่าดื้ออย่าซนนักเลย ฉันเป็นห่วงนะ”

“!”

   ฉันเป็นห่วงนะ...

   นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่เคยมีใครพูดคำๆนี้ด้วยอย่างจริงใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยมีใครห่วงหา และนี่เองที่ทำให้กิลเบิร์ตต้องฉีกยิ้มออกมาอีกครั้งแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่พรั่งพรูไปด้วยน้ำตาก็ตาม ความร้อนรุ่มที่อยู่ในอกเวลานี้ มันยากจะระงับยับยั้ง

“อื้อ จะพยายามนะ” กิลเบิร์ตตอบพลางใช้สองมือจับข้างแก้มของคุณสามีผู้ห่วงใยเขา “จะพยายาม”

“ไม่ใช่แค่พยายาม ต้องปฏิบัติด้วย!” ลุดวิกโต้

“จ้าๆ เป็นสามีที่ดุดันจริงๆนะ!” หัวเราะอีกและตอนนั้นเองที่เขายื่นใบหน้าและจูบลงบนริมฝีปากของคุณสามีปากร้ายใจดีคนนี้ อบอุ่น อ่อนโยน และน่ารักจนเหลือเชื่อ


จบตอน
   อา ใช่แล้ว...นี่คือสามีของเขานี่นา

หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 14 สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า 9/12
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-12-2018 04:21:07
ขอบคุณค่าา
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 14 สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า 9/12
เริ่มหัวข้อโดย: PAtxxkMxxn ที่ 10-12-2018 16:09:08
เขิลลลล
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 14 สามีคนใหม่กับผู้ชายคนเก่า 9/12
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 10-12-2018 19:16:50
 :-[ :-[ :-[ :-[ :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 15 เรื่องลับๆยามคํ่าคืน 16/12
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 16-12-2018 20:57:18
ตอนที่ ๑๕
เรื่องลับๆยามค่ำคืน

   หลังเกิดเรื่องลุดวิกสั่งให้นิโคลัสมาพาตัวกิลเบิร์ต เจ้าหญิงเฟรเซีย กับเด็กหนุ่มนิรนามกลับไปคฤหาสน์ก่อน ส่วนตัวเขาพากองกำลังทหารกลับกองบัญชาการ การปฏิบัติการของเขาคราวนี้ถูกเพ่งเล็งจากราชสำนัก และทันทีที่ภาพของยานรบปริศนาปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าอาทีเรีย รัฐสภาก็เรียกเปิดประชุมเป็นวาระเร่งด่วนทันที สถานการณ์เข้าสู่วิกฤติอย่างกะทันหัน ทว่า แม้กิลเบิร์ตอยากติดตามสามีไปใจจะขาด แต่เขากับถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องดูแลเอสเปอร์ทั้งสองที่เพิ่งพบเจอ

ใจหนึ่งก็ห่วงทางนั้น อีกใจก็ห่วงทางนี้ กิลเบิร์ตรู้สึกว่าตัวเขาตอนนี้เหมือนภรรยาที่มีสามีกับลูกสองไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ตลกแท้!   

จากที่เจ้าหญิงเล่าให้ฟัง เธอกับเด็กหนุ่มนั้นแม้จะดูอายุต่างกัน แต่ที่จริงเป็นฝาแฝด เด็กหนุ่มเป็นแฝดคนพี่มีพลังพิเศษมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ของพวกเธอที่เป็นผู้นำตระกูลเกอเจ้นที่สุดจะคร่ำครึ เห็นว่านี่เป็นเรื่องอัปมงคล เลยสั่งกักขังพี่ชายของเธอปิดกั้นจากโลกภายนอก นับวันพลังของเขายิ่งมากขึ้น ก็ยิ่งถูกตั้งข้อรังเกียจมากขึ้นตามไปด้วย เรื่องพลังก็เรื่องหนึ่ง แต่สภาพร่างกายที่ผิดปกติก็เรื่องหนึ่ง แม้ตอนนี้พวกเธอควรอายุยี่สิบแล้ว แต่พี่ชายกลับยังมีส่วนสูงและใบหน้าคล้ายเด็กหนุ่ม อายุหยุดอยู่ที่สิบห้าปี เขาดูเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาคนอื่นอย่างแท้จริง

   หลายเดือนก่อนเธอกับพี่ชายวางแผนจะหนีออกจากตระกูล แต่กลับถูกจับได้ ประจวบกับเป็นช่วงที่เจ้าชายอ๊อตโต้กำลังหาคู่สมรสและจับมือกับพวกโจรสลัด พวกนั้นใช้อุปกรณ์บางอย่างตรวจจับและยืนยันว่าเธอเองก็มีพลังจิตเช่นกัน แค่มีพลังน้อยกว่าพี่ชายเท่านั้น สุดท้ายตระกูลเกอเจ้นรวมหัวกับเจ้าชายข่มขู่พวกเธอว่าหากเฟรเซียไม่แต่งงานกับเจ้าชาย พวกเขาก็จะขายพี่ชายของเธอให้พวกโจรสลัด ส่วนคนพี่หากไม่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย พวกเขาก็จะทำร้ายเฟรเซีย

   สองพี่น้องอับจนปัญญากลับกลายเป็นเบี้ยทางการเมือง โดยเฉพาะเฟรเซีย มีคนมาสอนเธอใช้พลัง และให้ใช้เทเลพอร์ตลอบไปวางระเบิดรถของดยุคแห่งออลบานี เธอตัดสินใจเดิมพันใช้พลังจิตทิ้งข้อความขอความช่วยเหลือไว้ แม้รู้ว่าโอกาสริบหรี่แต่ก็จำต้องเสี่ยง

“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษค่ะ คุณกิลเบิร์ต” เจ้าหญิงเฟรเซีย หรือก็คือ เฟรย์ คนที่เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกก้มหน้าน้ำตานองรู้สึกเสียใจที่ตนเองเคยทำร้ายกิลเบิร์ตไปอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าเย็นชาที่เคยเห็นตอนนี้ไม่มีอีกแล้วมีแต่สาวงามที่ร่ำไห้เสียจนตาบวมแดงก่ำ เธอย่อมเคยคิดว่ากิลเบิร์ตจะต้องเกลียดเธอมากเพราะเธอคือคนที่ทำให้เขาเกือบถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ข่มเหง แต่ที่ไหนได้คนฟังไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังส่งยิ้มหวานลูบศีรษะหญิงสาวอย่างเอ็นดู ยิ่งเห็นสาวน้อยตีหน้าเศร้ายืนคู่กับหนุ่มน้อยนัยน์ตาโศกก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความสงสารเห็นใจเป็นเท่าทวี

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แข็งแรงสุขสดชื่นดี เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะ เด็กดี” กิลเบิร์ตส่งยิ้ม แต่ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของเขา สาวน้อยก็ยิ่งบ่อน้ำตาแตก ร้องห่มร้องไห้จนคนพี่ต้องเข้ามาปลอบ เห็นสองพี่น้องร้องไห้พลั่กๆกอดกันกลม หัวใจคนมองก็อ่อนยวบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนตระกูลเกอเจ้นถึงใจร้ายกับพี่น้องฝาแฝดที่น่ารักน่าชังขนาดนี้ได้

   เฟรเซียเพราะเป็นผู้หญิงร่างกายอ่อนแอเธอสูงแค่ร้อยหกสิบสองเซนติเมตร ส่วนคนพี่เพราะอายุหยุดอยู่ที่สิบห้าเลยเตี้ยกว่าน้องสาวประมาณสี่เซนติเมตร ดูเผินๆแล้วแทบไม่ต่างกันเลย

“นี่ ทำไมถึงช่วยพวกเราไว้ล่ะครับ” หนุ่มน้อยหน้าอ่อนใสถาม เส้นผมสีทองของเขาสว่างจนเจิดจ้า ดูแล้วเหมือนเทวดาตัวน้อย
“พวกเราทำให้คุณกับท่านดยุคเดือดร้อนแล้ว ขอโทษครับ ขอโทษ” ว่าแล้วก็ร้องไห้สะอื้นนิดๆให้หัวใจคนมองคันยุบยิบ กิลเบิร์ตรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมความน่ารักของสองคนนี่เสียแล้ว กับเด็กพวกนี้ใครจะไปต่อว่าได้ลงล่ะ!

“ลุดวิกเก่งมากนะ เก่งสุดๆไปเลย เขาไม่เดือดร้อนกับเรื่องแค่นี้หรอก” นี่ไม่ใช่การปลอบเสียทีเดียว เพราะในความรู้สึกของเขาหมอนั่นสุดยอดมากๆ ผู้ชายที่เผชิญหน้ากับอเล็คเซ่ได้อย่างสูสีแบบนั้น ทั่วทั้งจักรวาลใช่จะหาง่ายๆ เขายังตกใจไม่หายที่หมอนั่นดวลเดี่ยวกับอเล็คเซ่แล้วยังเป็นต่อได้ นี่ขนาดอาวุธที่ใช้มีแค่ปืนเลเซอร์ธรรมดาๆ หากเขามีอาวุธดีๆล่ะก็ จะต้องเก่งขึ้นอีกหลายเท่าตัวแน่ ให้ตายเถอะ! จักรวาลช่างกว้างใหญ่ ได้เจอของจริงเข้าเสียแล้ว!

ใช้คำว่าอะไรดี เรียกถังขยะคงไม่เหมาะ แต่จะเป็นหีบสมบัติหรือตู้เซฟรึก็รู้สึกหมั่นไส้ เอาเป็นว่าเป็นกระโถนสารพัดประโยชน์ละกัน!

   เจ้ากระโถนหลากประโยชน์!!! นี่ชมหรอกนะ!!!!

“ว่าแต่หนุ่มน้อย เธอชื่ออะไรรึ” ในที่สุดก็ได้ถามชื่อเสียที เด็กหนุ่มได้ฟังคำถามก็เงยหน้าขึ้นตอบตาใสแจ๋ว เอาเข้าจริงกิลเบิร์ตก็ไม่ใช่คนสูงมาก เขาสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เวลาคุยกับลุดวิกที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรยังต้องเงยหน้ามองเสียหลายคืบ ตอนนี้มีเด็กหนุ่มเด็กสาวตัวเล็กๆมาเงยหน้ามองเขาบ้างก็รู้สึกตื้นตันอยู่ลึกๆ ในที่สุดก็ได้เป็นคนสูงกับเขาบ้างแล้ว!

“ฟินน์ครับ” อีกฝ่ายตอบเสียงอ่อยๆ

“ฟินน์ กับเฟรเซีย เป็นชื่อที่เหมาะมากนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยชม คำชมตรงไปตรงมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจแสนโสภา ทำเอาสองพี่น้องหน้าแดงชาด หัวใจเต้นระทึก ยืนบิดไปบิดมาเขินอายม้วนต้วนความรู้สึกมากมายล้นทะลักประดังประเด พวกเขารู้สึกเหมือนว่าตนเองเห็นเทวดา เป็นเทวดาที่แปลกจากในหนังสือภาพ เพราะเทวดาของพวกเขามีเส้นผมสีดำนัยน์ตาสีรัตติกาล มีปีกสีแดงโกเมน งดงาม สวยสด และใจดีเป็นที่สุด ถึงตอนนี้สองพี่น้องก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกรอบ ร้องไห้กระซิกๆจนกิลเบิร์ตผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อดจับเข้ามากอดปลอบจูบที่ข้างแก้มคนละฟอดไม่ได้ ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องซะอย่างนั้น “เด็กประหลาด”

   ฝาแฝดทั้งสองคนแอบมองตากันและสัญญากันและกันอย่างเงียบๆ เทวดาของพวกเขาคือคนๆนี้ สักวันพวกเขาจะต้องขอตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยชีวิต

   สุดท้ายตกดึกดื่น กิลเบิร์ตส่งสองพี่น้องเข้านอนแล้ว ส่วนตัวเองลงมานั่งรอลุดวิกอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าบ้าน ไม่ใช่ว่าเขาห่วงอะไรหมอนั่นหรอกนะ ก็แค่รู้สึกว่าพวกตระกูลเกอเจ้นกับเจ้าชายอ๊อตโต้น่าจะต้องหาเรื่องหมอนั่น เลยรู้สึกสงสารที่จะต้องมารองรับอารมณ์คนไร้สาระพวกนั้นต่างหาก ไม่ได้เป็นห่วงหรอกนะ!

   ทว่า รอแล้วรออีก รอจนเบนจามินมาบอกให้กลับไปนอนก่อนอยู่หลายรอบ จนเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา จากนั่งเป็นนอน จากนอนเล่นเป็นเผลอหลับ ดังนั้นในตอนที่ลุดวิกกลับมาถึงเขาถึงเห็นแมวดำขนฟูตัวใหญ่นอนหลับตาพริ้มสุขสงบอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก คนที่ออกมาต้อนรับเขามีแต่พ่อบ้านเบนจามินที่พยักพเยิดลอบอมยิ้ม ลุดวิกส่ายศีรษะเล็กๆแล้วก็บอกให้พ่อบ้านของเขาไปพัก ส่วนตัวเองเดินมายืนมองเจ้าแมวตัวเขื่องแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ใบหน้าตอนหลับก็ดูไร้พิษสงแท้ๆ แต่ทำไมพอเวลาลืมตาตื่นถึงได้ดื้อรั้นนักนะ

“นี่อุตส่าห์มารองั้นหรือ เซอไพรสมากเลยนะ” ลุดวิกหัวเราะเบาแล้วก็นั่งลงบนโซฟายกมือลูบเส้นผมดกดำนุ่มนิ่มอย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนเพราะอากัปกิริยานี้เองกิลเบิร์ตถึงได้สะดุ้งนิดๆกระพริบตาถี่ก่อนจะเห็นชัดถนัดถนี่ว่าคนที่ตนเองรอคอยอยู่กลับมาแล้ว

“กลับมาแล้วหรือ ท่านดยุคคนเก่ง” ยิ้มนิดๆพลางเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม ท่านดยุคแห่งออลบานีคืนนี้เส้นผมแลดูยุ่งเหยิง ผมที่เคยใส่น้ำมันหวีเรียบแปล้ลื่นตกลงมาปรกหน้าผากอายุดูอ่อนลงสมวัยมากขึ้นหลายส่วน ทว่า ดวงหน้านั้นกลับดูอิดโรยนิดหน่อย ทั้งที่ดูน่าจะเหนื่อยมากแท้ๆแต่เจ้าผู้ชายหน้าตายนิสัยไม่ดีคนนี้กลับยังคงเผยอรอยยิ้มอบอุ่นให้อย่างเคย “ยุ่งยากมากไหม”

“ไม่เลย แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ลุดวิกตอบพลางยกศีรษะอีกฝ่ายให้หนุนตักของเขา พอลูบเส้นผมสีดำนุ่มๆนั่นไปด้วย มองรอยยิ้มง่วงงุนนั่นไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยของเขาก็เหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อก่อนถ้ากลับมาป่านนี้เขามักจะอยู่คนเดียวถอดเสื้อผ้าล้มตัวลงนอนอย่างอิดโรย แต่วันนี้กลับมีภรรยามารอเขากลับบ้าน นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่จริงๆ “มีแต่พวกโง่ๆทั้งนั้น อย่าใส่ใจเลย นอนต่อไหม”

“เจ้าชายอ๊อตโต้กับตระกูลเกอเจ้นหาเรื่องคุณรึเปล่า คุณเอาทหารมาใช้เรื่องส่วนตัว แถมยังไปยุ่งเกี่ยวกับพวกโจรสลัดอวกาศ พวกนั้นจะไม่หาเรื่องคุณหรือ” กิลเบิร์ตถามพลางพยายามเอื้อมมือลูบข้างแก้มฝ่ายตรงข้าม ดวงตาของพวกเขาสบกัน รู้สึกถึงความอารีและความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายเต็มตื้นขึ้นมาแน่นในอก “เหนื่อยไหม”

“ก็บอกแล้วว่าไม่เลย แค่เห็นหน้าเธอก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว” ตอบพลางจับมือข้างแล้วนั้นจูบลงกลางฝ่ามือ ไม่ต้องเป็นมือที่นุ่มนิ่มแบบพวกหญิงชายที่เขาเคยกอดผ่านมือ แค่มือที่มีนิ้วมือยาวสวยงามมือนี้ก็ทำเขาตื่นเต้นทุกครั้งที่จับจูบแล้ว  “ฉันชอบมือของเธอนะ กิล”

   กิล? รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลุดวิกเรียกกิลเบิร์ตด้วยชื่อสั้นๆนั่น

“ตั้งชื่อเล่นให้ด้วยเหรอ” กิลเบิร์ตกระเซ้า รู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อยที่ถูกจูบซ้ำตามง่ามนิ้วมือ เจ้าคนฉวยโอกาสนี่เผลอไม่ได้เลยทีเดียว

“เป็นชื่อที่ฉันใช้เรียกเธอคนเดียวต่างหาก ไง ฟังดูโรแมนติคดีไหม กิล” คำว่าโรแมนติคที่ว่าเหมือนจะเป็นสิ่งที่กิลเบิร์ตเคยกระเซ้าเขามาก่อน และตอนนี้เขาก็มีอารมณ์ที่อยากจะโรแมนติคเข้าแล้ว “อยากให้ฉันโรแมนติคเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า”

“อีกหน่อยนี่คือขนาดไหนกันล่ะ คุณสามี” หัวเราะคิกคักกระเซ้าเย้าแหย่ แต่ใครจะนึกว่าลุดวิกกลับก้มลง จูบประทับลงบนริมฝีปากของเขาแทน บางเบา เนิบนาบ แต่กลับลุ่มลึกชวนฝันหวาน

   วินาทีนั้นที่กิลเบิร์ตพลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นระทึกผิดจังหวัดจะโคน เลือดสูบฉีดใบหน้าจนร้อนผ่าว ความรู้สึกบางอย่างแน่นหนักประทับตรึงในอก ไม่เคยเลย เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน หัวใจดวงนี้ไม่เคยเต้นในจังหวะนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ถูกเฟรเดอริคกอด เขายังไม่เคยรู้สึกวาบหวามจนอ่อนระทวยถึงขนาดนี้ แล้วทำไมกัน ทำไมพอผู้ชายคนนี้จูบ แค่จูบแท้ๆ แต่ยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นซ่านในอก

   ลุดวิกทำอะไร เขาถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้ นี่มันโรคติดต่อภายในของอาทีเรียหรือไงกัน

“ร้องไห้ทำไม” ลุดวิกถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีหยาดน้ำตากลิ้งลงข้างเปลือกตา เขารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย การจูบของเขาทำให้กิลเบิร์ตเสียใจอะไรงั้นหรือ หรือว่าจนถึงตอนนี้คนๆนี้ก็ยังไม่อาจลืมสามีเก่าของตนเองได้ “คิดถึงเขาหรือ”

“เขา?” กิลเบิร์ตสะดุ้งสุดตัวพลันเด้งขึ้นจากตักอีกฝ่าย กลับมาจ้องหน้าลุดวิกเขม็ง “เขาไหนกัน!”

“เขาไง สามีเก่าของเธอ แต่เสียใจด้วย ต่อให้ตอนนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งจะกลับไปหาหมอนั่น ฉันก็ไม่ปล่อยกลับไปอีกแล้วนะ” เขาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มนุ่มและเขยิบกายเข้าใกล้รั้งเอาทั้งร่างของกิลเบิร์ตเข้ามาในอ้อมกอด ทั้งที่ปกติออกจะดูเก่งกาจห้าวหาญขนาดนั้นแท้ๆ แต่เวลาอยู่ในอ้อมแขนของเขากลับดูอ่อนปวกเปียก น่าทะนุถนอมอย่างมาก ผู้ชายที่ทิ้งภรรยาที่เก่งกาจและน่าหลงใหลถึงขนาดนี้ได้ลงคอ ช่างเป็นผู้ชายโง่ดักดานเสียเหลือเกิน ถึงตอนนี้อยากได้คืนก็ไม่มีทางคืนให้หรอกนะ “เธอรู้ใช่ไหมว่าเธอในตอนนี้เป็นของฉัน หัวจรดเท้า”

   คำว่าหัวจรดเท้า ย่อมหมายถึงตรงตามนั้นจริงๆ มีตรงไหนของร่างกายอีกฝ่ายที่เขายังไม่เคยได้แตะต้องงั้นหรือ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีหรอก!

“ไร้ยางอายจริง!” กิลเบิร์ตอดสบถด่าไม่ได้เพราะแค่พูดไม่พอ แต่สายตานั่นยังบังอาจมองเขาด้วยสายตาโลมเลียส่อเค้าอนาจารอย่างยิ่ง “เจ้าคนตัณหาจัด!”

“คนตัณหาจัดที่เรียกร้องจากภรรยาตัวเอง เขาเรียกว่าคนซื่อสัตย์ เป็นสุภาพบุรุษ” พ่อสามีดีเด่นพูดเสียงหวานขึ้นจากปกติเท่าตัว ตั้งแต่เขาคืนที่เขากอดกิลเบิร์ต เขายังไม่เคยชายตามองใครอีก ในมุมมองนี้เขาถือว่าตัวเองเป็นสุดยอดสุภาพบุรุษของกองทัพแล้ว “คืนนี้ยังอีกยาวไกล เธอว่าไหม”

“พูดจาเอาแต่ได้ชัดๆ! นี่มันดึกแล้วนะ! ฉันง่วง!” รีบบ่ายเบี่ยงพอเห็นท่าไม่ดีก็รีบผลักฝ่ายตรงข้ามออกไป แต่คนฉวยโอกาสย่อมเป็นคนฉวยโอกาสอยู่วันยังค่ำ ลุดวิกคว้าตัวกิลเบิร์ตเข้ามากอดแน่นกว่าเดิม จูบฟัดต้นคองามระหงที่มีกลิ่นสบู่จางๆ ดูบริสุทธิ์สดชื่นราวกับเด็กเล็กๆ

   รู้ตัวอีกทีลุดวิกก็กอดประคองร่างภรรยาของตัวเองลงบนโซฟาทั้งยังทาบทับบดจูบลงบนริมฝีปากแดงฉ่ำเหมือนผลแอปเปิ้ลสีแดงน่ากัดชิม ช่วงเวลาไม่นานแท้ๆแต่ลุดวิกกลับรู้สึกวางใจทุกครั้งที่เขากอดกิลเบิร์ตไว้ในอ้อมแขน รู้สึกเหมือนตัวเองพานพบที่อยู่ที่สามารถพักพิงคลายความตึงเครียดได้ ทำไมกันนะ เป็นแค่แมวเถื่อนจากถังขยะเปียกแท้ๆ แต่กลับมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขามากขึ้นทุกที

“ช่วงเวลาหลังจากนี้อาจจะวุ่นวายสักหน่อย แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้เธอได้รับอันตราย เธอไม่ต้องหนีไปไหนอีกแล้วนะ ได้ไหม” จูบบนหน้าผากและเปลือกตา อยากจะหยุดช่วงเวลาแบบนี้ ยืดมันให้ยาวนานอีกสักนิด เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตกลับส่งยิ้มมีเลศนัย เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้นของลุดวิก ไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือคำชักชวน สิ่งนี้ก็ไม่อาจที่จะตอบออกไปได้ง่ายๆ

   วันนี้กำลังหลงใหลได้ปลื้ม ร้อยทั้งร้อยบนเตียงผู้ชายก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น เฟรเดอริคล่ะ หมอนั่นอยู่กับเขามาตั้งกี่ปี พูดคำหวานมาตั้งกี่ครั้ง แต่บทจะทำร้ายกลับไม่เห็นแก่ความรักเก่าก่อน ลุดวิกรู้จักเขามากน้อยแค่ไหน อยู่ด้วยกันนานแค่ไหน สุดท้ายแม้วันนี้ยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามมีความจริงใจ แต่ความจริงใจที่ว่านี่ จะอยู่กับเขานานแค่ไหนกันล่ะ

   สุดท้ายจะถูกชี้หน้าต่อว่าเฉดหัวทิ้งอีกหรือเปล่า?

“อย่ามาบ่ายเบี่ยงน่า บอกมาดีกว่าไหมว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายบ้านั่นหาเรื่องอะไรคุณ จะให้ฉันไปเอาเลือดหัวหมอนั่นออกให้ไหม” เจ้าแมวเถื่อนเอ่ยบ่ายเบี่ยงยิ้มๆ แต่แม้จะบอกว่าเลี่ยงประเด็น แต่เขาก็รู้สึกหงุดหงิดเรื่องเด็กสองคนพี่น้องนั่นอยู่ดี  ตอนนี้พอรู้สึกว่าเจ้าคนชั่วนั่นอาจจะก่อเรื่องให้ลุดวิกลำบากใจก็นึกไม่พอใจขึ้นมาอีก “คนชั่วแบบนั้นไม่สมควรเป็นเจ้าอาณานิคม! หมอนั่นต้องคิดขายทรัพยากรบนดาวนี้ให้กับอเล็คเซ่แน่! พวกเกอเจ้นต้องรวมหัวกับหมอนั่นทำเรื่องบัดซบแน่นอน!” เรื่องนี้ไม่ต้องคิดแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดมีแต่ผลประโยชน์และความเห็นแก่ตัวล้วนๆ

“ฉันรู้ แต่จะล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดก็ต้องใจถึงหน่อย” ลุดวิกพยักหน้ารับ ไม่ใช่ว่าฟังไม่ออกว่ากิลเบิร์ตเจตนาบ่ายเบี่ยงตอบ แต่การรุกไล่อีกฝ่ายจนสิ้นท่าย่อมไม่ใช่วิสัยของเขา วันหน้ายังต้องพูดคุย แต่วันนี้พวกเขายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ “เคยได้ยินไหม ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง” เขาแสยะยิ้ม ท่าทีของเขาไม่ยักเหมือนคนที่กำลังลำบากใจสักนิด

   รอยยิ้มนี้มันราวกับจะบอกว่า เขาเก่งกาจพอ เขาแน่พอ ส่วนเรื่องที่บังอาจมาแพ้วพานเขาพวกนั้นน่ะ ก็แค่เห็บแมลงที่ต้องเหยียบให้ตายคาฝ่าเท้าเท่านั้น!

“ฉันว่าคนแบบคุณนิ่งมากไปมั้ง เอ่อ...คนใกล้ตัวคุณ แน่ใจนะว่า เอ่อ...” เอ่ยถึงตรงนี้กิลเบิร์ตกลับฉุกคิดเรื่องที่เป็นต้นเหตุให้เขามานั่งๆนอนๆรอลุดวิกได้ เขามาดักรอหมอนี่อันที่จริงไม่ใช่แค่เป็นห่วง แต่เพราะมีเรื่องอยากเตือน และกลัวว่าจะเตือนไม่ทันเท่านั้น 

   ทว่า พอได้ยินคำพูดเท่านั้น ลุดวิกกลับคลี่ยิ้มก่อนจะขอจูบที่ข้างแก้มของภรรยาผู้ชาญฉลาดของเขาอีกสักฟอด คำพูดของกิลเบิร์ตเมื่อครู่นี้ทำให้หัวใจของเขายิ่งพองโต เพราะมันหมายถึงว่าเขาเลือกคนไม่ผิด อย่างที่เคยบอก คนเราไม่รู้ได้ แต่ห้ามโง่โดยเด็ดขาด

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ลุดวิกถามพลางไล่ปลายนิ้วมาตามแนวลำคอและปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายเพื่อลูบผิวหนังเรียบรื่นสวยงามของกิลเบิร์ตอย่างสำราญใจ “ว่าไง ถ้าไม่พูดดีๆ ฉันจะขอชิมผลเชอรี่แดงของเธอก่อนดีไหม”

“เจ้าคนชั่ว!” รีบดึงเสื้อตัวเองกลับมา แต่กลับสายไปมากเมื่อปลายลิ้นนั้นตวัดเฉียดหน้าอก ทำอามือไม้อ่อนระทวยใบหน้าแดงซ่าน “อย่านะ! นี่มันกลางบ้านเลยนะ! คนอื่นมาเห็นคุณจะถูกหาว่าเป็นไอ้คนโรคจิตนะ!”

“ฉันขอโรคจิตกับภรรยาตัวเอง ดีกว่าไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน ใครเห็นย่อมต้องชื่นชม เร็ว! บอกมา!” น้ำเสียงดึงดัน ดวงตาจ้องเขม็ง ท่าทีคุกคามจนกิลเบิร์ตแทบอยากถีบตกโซฟา ลุดวิกคนอ่อนโยนเมื้อกี้หายไปไหนแล้ว! ทั้งที่ดิ้นแทบตาย แต่ขากลับถูกกดทับไว้ แถมมือของหมอนี่ยังจับยึดข้อมือเขาแน่นไม่ปล่อย นี่มันท่าทีของโจรบ้ากามคิดขืนใจกันชัดๆ! ตรงไหนที่เป็นท่าทีของสามีภรรยากัน!

“เจ้าโจรบ้ากาม! อยากให้ฉันบอกก็มากราบกรานขอร้องฉันสิ! คิดใช้กำลังข่มเหงเรอะ!” กิลเบิร์ตตะคอกใส่ จ้องอีกฝ่ายเขม็งไม่มีใครยอมใคร คิดว่าคนอย่างกิลเบิร์ตถูกจับนิดแตะหน่อยจะอ่อนระทวยตัวสั่นเป็นลูกนกงั้นรึ นั่นมันฝันกลางวันแล้ว เจ้ากระโถนไร้สามัญสำนึก!

   นายทหารใหญ่อย่างลุดวิกได้ฟังวาจาสุดสามหาวของภรรยาไม่เพียงไม่โกรธยังหัวเราะชอบใจ ตั้งแต่เกิดมาคนที่กล้าด่าเขาขนาดนี้มีแต่คนบ้ากับคนสติเสียไม่กลัวตายเท่านั้น มาวันนี้ดันถูกแมวบ้าตัวหนึ่งตวาดแว้ดๆใส่ แมวผีไม่กลัวตายแบบนี้ นับว่าท้าทายกันมากทีเดียว คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยแมวบ้านี่ไป ตรงกันข้ามเขากลับยิ่งตะปบใส่และลิ้มเลียผลเชอรี่สีแดงสุกปลั่งนั่นเสียเจ้าเหมียวหอบตัวโยน จากที่ปากดีเหลือเกินเปลี่ยนเป็นทั้งต่อยทั้งตีดิ้นขลุกอยู่ในอ้อมแขน ดิ้นไปดิ้นมาก็กลิ้งตกลงมาจากโซฟามานอนกอดกันอยู่บนพื้นพรม ท่วงท่าน่าอายหนักข้อ แถมยังได้ชื่อว่ากลางบ้านจริงๆ ต่อให้กิลเบิร์ตจะพยายามทำตัวไร้ยางอายกว่านี้ เขาก็ทำไม่ได้แล้ว

“เอ้าเร็ว บอกมา รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่งั้นฉันจะต่อแล้วนะ” พูดจริงทำจริงถึงขนาดรูดซิปกางเกงตัวเองรอ ทำเอากิลเบร์ตตกใจหน้าตาตื่น คนๆนี้หน้าด้าน ด้านมากด้วย!

“บอกแล้ว!!! เดี๋ยวนะ! ก็ ก็ ก็คนที่ตามนายไปช่วยฉันจากเจ้าชายอ๊อตโต้คือนิโคลัสนี่นา!!! ไม่ใช่หมอนั่น!!!” คำสารภาพความสงสัยนั่นทำเอาลุดวิกยิ่งฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางยินดีปรีดิ์เปรมจนน่าสยองขวัญ “บอกแล้วก็ปล่อยสิ! เจ้าคนวิตถาร!”

 “ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าจะปล่อย”

“คุณ!”

“ไปต่อกันบนห้องก็ได้ถ้าเธอรู้สึกอายนะ”

“!”

   ไม่ต้องคิดเลยว่าคืนนั้นสุดท้ายแล้วลุดวิกอุ้มกิลเบิร์ตไปทำเรื่องไร้ยางอายอะไรบ้างในห้องนอน แต่คนรับใช้ทั้งบ้านย่อมหน้าชาไปหมดยามที่ได้ยินเสียงเอะอะตึงตังออกมาจากห้องเจ้านายยามวิกาล พวกเขาย่อมจ้องจินตนาการไปไกลถึงท่วงท่าและอารมณ์คุกรุ่นที่ชวนหน้าแดงซ่าน ไม่รวมสองฝาแฝดที่สะดุ้งตื่นยามค่ำคืน ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วก็หลับหูหลับตารีบหลับไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว!

   จวบจนเที่ยงวันของวันถัดมานั่นเอง ขณะที่ลุดวิกกำลังงอนง้อภรรยาตัวเองที่ปั้นหน้าบูดบึ้งอย่างเต็มกำลัง เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังก็มาเยือนพร้อมกับหนังสือร่วมจากรัฐสภาและกองทัพขอให้ท่านดยุคแห่งออลบานีและชายาเข้าชี้แจงเรื่องการใช้กำลังทหารตามอำเภอใจ และเหตุการณ์เรือรบปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องไปปรากฏตัวถูกไต่สวนจากสามขั้วอำนาจ!

คนนำสารคาดหวังว่าจะเจอใบหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจของคู่สามีภรรยา แต่ท่านเจ้าบ้านผู้เป็นต้นเรื่องกลับฉีกยิ้มจิบเบียร์สบายใจเฉิบ ส่วนคุณภรรยานั้นพยักหน้ารับเรียบๆแล้วก็จิบเบียร์ด้วยอีกคน

   ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ไม่ทำให้สองสามีภรรยาเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย




จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 16 คู่โฉดคนชั่ว 01/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 01-01-2019 16:19:19
ตอนที่ ๑๖
คู่โฉดคนชั่ว

   ข่าวเรื่องการไต่สวนท่านดยุคแห่งออลบานี ในฐานะนายพลผู้บัญชาการทหารแห่งพระนคร และสมาชิกรัฐสภากลายเป็นข่าวใหญ่ถูกโหมกระพือวุ่นวาย ลือกันเสียหายว่าท่านดยุคนั้นแท้จริงเสแสร้งเป็นคนดีแต่คิดการณ์ใหญ่ หวังกำจัดเจ้าชายรัชทายาท โค่นกษัตริย์ ยึดอำนาจรัฐสภา ชักศึกเข้าบ้านหวังเอาพวกโจรอวกาศเข้ามาเป็นพวก แถมท้ายด้วยการเป็นชายชู้ของเจ้าหญิงเฟรเซียที่ตอนนี้ไม่รู้หายสาบสูญไปอยู่ไหน ไม่รู้ว่าใครที่กล้าปล่อยข่าวเลวร้ายถึงขนาดนี้ แต่จนแล้วจนรอดลุดวิกก็ไม่โต้กลับแม้แต่น้อย

    ส่วนกิลเบิร์ตย่อมไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ด้วยฐานะชายาเขาเองก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณีข้างถนนที่ถือดีหลอกลวงท่านดยุคให้แต่งงานด้วย แต่จริงๆแล้วเป็นนางบำเรอของพวกโจรสลัดที่เข้ามาสืบข่าว สรุปคือเป็นนางนกต่อนั่นเอง! ช่างเป็นข้อกล่าวหาที่ทั้งต่ำทรามและเลวร้ายเกินบรรยาย

   นี่มันผัวโฉดเมียชั่วในตำนานชัดๆ!

“ถ้าออกไปจากบ้านตอนนี้จะถูกกระทืบตายคาถนนไหมนะ” กิลเบิร์ตว่าพลางมองไปยังกลุ่มผู้ประท้วงที่มาออกันหน้าบ้านเต็มไปหมด แต่ละวันพ่อบ้านเบนจามินยุ่งหัวหมุนเวลาหมดไปกับการจัดการคนพวกนี้ แม้ลุดวิกจะบอกไปแล้วว่าให้ปล่อยไป แต่ด้วยวิสัยตาแก่หัวดื้อ เป็นตายร้ายดียังไงย่อมไม่ให้เจ้านายต้องลำบากใจ “แล้วจะไปทำงานไหวหรือ จะโดนปาอะไรใส่รถไหม” เขาหันกลับมาถามลุดวิกที่ตอนนี้แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศเพื่อไปประชุมเช้า ถึงจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ภาระงานของเขาไม่เคยน้อยลงอยู่แล้ว อันที่จริงถ้าลุดวิกไม่ทำงาน กิจการงานของดาวดวงนี้ก็คงไม่มีใครทำแล้ว คนที่ยุ่งขนาดนี้แต่ยังทำตัวสบายๆได้ กิลเบิร์ตนับถือเขาอย่างจริงใจในเรื่องนี้

“หมาเห่าใบตองแห้ง สุนัขที่เห่าหอนเก่งไม่กัดคนหรอก” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชาเหยียดหยาม เขาย่อมรู้ว่าคนพวกนั้นก็แค่ลิ่วล้อจ้างวานของพวกเจ้าชายอ๊อตโต้ ไม่กล้าถึงขนาดทำร้ายทหาร อย่างมากถ้าปาไข่ใส่รถมาก็เอาไปล้างเสียก็เท่านั้น “ถือเสียว่ากำลังจะมีงานบันเทิง สนุกกับมันหน่อยละกัน”

“ใจเย็นสุดๆไปเลยนะ!” กิลเบิร์ตหัวเราะ เขารู้สึกว่าคุณสามีคนนี้ช่างน่าหมั่นไส้เสียนี่กระไร คนเราจะมั่นใจในตัวเองก็มีขอบเขตกันหน่อยสิ!

“มีลิงมาแสดงละครให้ดู ก็ควรปรบมือให้ลิง ว่าแต่ฉัน เธอก็เถอะทำอะไรก็ระวังบ้าง อย่าถือว่าเก่งแล้วจะทำอะไรก็ได้” เขาเตือนพลางเดินเข้ามากอดภรรยาไว้จากทางด้านหลัง กิลเบิร์ตเช้านี้สวมเสื้อเชิ้ตขาวลำลองสบายๆทั้งเนื้อทั้งตัวอุ่นน่ากอดไปหมด หากไม่ติดว่ามีงานการต้องทำเขาแทบจะอยากอยู่บ้านทั้งวันนอนกอดแมวแสนดื้อตัวนี้ให้สมอยาก “ฉันเป็นห่วงนะ”

“!”

   คำพูดแสดงความห่วงใยนั่นทำเอาคนฟังสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะอมยิ้มและจับมือของอีกฝ่ายที่โอบรอบเอวเขาไว้หลวมๆ อดไม่ได้ที่จะเอนกายพิงแผงอกแข็งแกร่งสมชายชาตรีที่ทำให้เขาอบอุ่นทุกครั้งที่ตกอยู่ในอ้อมกอด เอาเข้าจริงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่ลุดวิกคนนี้ก็เป็นผู้ชายที่เกินมาตรฐานชายชาตรีไปโข เรื่องความหน้าตาดีนั้นยกไว้ให้แล้ว เพียงแต่ว่าหมอนี่ดันมีดีมากกว่านั้น นิสัยใจคอเอาแต่ใจก็จริง แต่เรื่องเอาอกเอาใจนั้นถือว่าไม่ขาดเลยสักนิด

   ถ้าแต่งงานกับใครไปจริงๆ หรือเกิดรักใครเข้าจริงๆ หมอนี่ต้องเป็นพวกรักถวายหัวแน่

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ ไม่ใช่ตัวถ่วง ไม่ต้องให้คุณเป็นฝ่ายทำงานอยู่คนเดียวหรอก” กิลเบิร์ตตอบก่อนจะหมุนตัวมาเผยรอยยิ้มเจิดจ้าให้คุณสามีกำมะลอที่ตอนนี้ก็ขยับมุมปากส่งยิ้มหวานให้เช่นกัน ลุดวิกขยับกายจูบเข้าข้างแก้มของภรรยา คำพูดของกิลเบิร์ตใครมาได้ยินคงคิดว่าเขาโชคดีมีภรรยาเก่งกาจช่างเอาใจ คงมีแต่เขาที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย

   ตั้งแต่ที่กิลเบิร์ตหนีไปช่วยเจ้าหญิงเฟรเซียกับฟินน์ แถมยังไปปะทะกับโจรสลัดอย่างอเล็คเซ่ ก่อเรื่องก่อราวไม่หยุดหย่อน นั่นทำให้ลุดวิกรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวในการมีคนๆนี้อยู่ข้างกาย ประการแรก กิลเบิร์ตไม่ใช่เจ้าแมวน้อยที่จะนอนหนุนตักให้เขาเกาคางทั้งวันอย่างที่เคยแสดงออกในคืนแรก แต่นี่คือแมวเถื่อนบ้าคลั่งที่ชอบตะกุยผนังห้องลุยน้ำโคลนปีนป่ายไปทั่ว ไม่ว่าอะไรก็หยุดเขาไม่ได้ ประการถัดมา เจ้าแมวบ้านี่ดันคล่องแคล่วเกินไป เก่งเกินไป เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป แถมการที่รู้จักกับอเล็คเซ่เป็นการส่วนตัวแสดงว่าก่อนหน้านี้คงอาละวาดมาหนักข้อพอดู และประการสุดท้าย นี่ย่อมไม่ใช่แมวเลี้ยง แท้ที่จริงกิลเบิร์ตเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมมาอยู่ที่นี่ แต่คำถามพวกนี้หากถามออกไปเกรงว่าคนตรงหน้านี้คงจะหนีเตลิดเปิดเปิง กิลเบิร์ตไม่มีทางยอมรับโดยเด็ดขาด

   สิ่งเดียวที่ลุดวิกคิดว่าเขาควรทำในตอนนี้ก็คือการแสร้งโง่ ไม่ถาม ไม่พูด ไม่สงสัย แต่จับตามอง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ากิลเบิร์ตจะแถสีข้างถลอกต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

“ฉันเคยบอกแล้วว่าเธอเป็นภรรยา” ลุดวิกตอบและลูบเส้นผมสีดำขลับนั้นอย่างเบามือ หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้อยู่เฉยๆอยู่หรอก เพียงแต่ว่า วิธีการบ้าคลั่งที่เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้เสนอก่อนหน้านี้มันน่าสนใจมากกว่า และรวดเร็วกว่าวิธีการเดิมของเขามาก แทนที่จะต้องไปขับยานอวกาศอ้อมทางช้างเผือกรอบใหญ่ มิสู้แค่หมุนรอบดวงจันทร์จะไวกว่าหรือ ดังนั้นแผนการใหม่แม้อันตรายกว่า แต่ก็น่าสนใจกว่าด้วย “เธอเป็นภรรยาของฉัน แต่เพราะเราตกลงกันแล้ว ฉันก็จะให้เกียรติการตัดสินใจของเธอ เพียงแต่ว่า อยากให้ระมัดระวังตัวบ้าง” ลุดวิกเอ่ยร้องขอ ดวงตาสีฟ้านั้นเฉิดฉายจนแสบนัยน์ตา รอยยิ้มหวานสุดเจิดจ้า พอทุกสิ่งมาประกอบบนใบหน้าของหนุ่มรูปงามเช่นนี้ก็ทำเอาคนมองหน้าแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตแทบอยากเอาหน้าซุกพรมขึ้นมาแล้ว

   ให้ตายเถอะ! หมอนี่จะโปรยเสน่ห์ทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไง!

“รู้แล้วน่า! ไปดีมาดีนะ! ไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้หรอก สบายมาก!” กิลเบิร์ตพูดแก้เก้อพลางผลักฝ่ายตรงข้ามออก แต่พริบตานั้นที่ฝ่ายคุณสามีดันฉวยโอกาสยื่นใบหน้าเข้ามาขโมยจูบไปจากริมฝีปากภรรยาสุดที่รักอย่างหน้าด้านๆ ทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวหน้าร้อนผ่าวยืนอึ้งเป็นเสาหินอยู่ตรงนั้น “เจ้ากระโถน!”

ครั้นพอลุดวิกไปทำงานแล้ว กิลเบิร์ตก็ไม่มีอะไรทำ เขาเดินไปนั่งๆนอนๆบนโซฟาเพื่อรอเวลาที่นัดหมายไว้ หลับไปตื่นหนึ่งก็ปรากฏว่าเบนจามินพาคาร์ลเข้ามาพบ ชายหนุ่มสหายเก่าของลุดวิกยังคงตีสีหน้าเหยเก ท่าทางเหน็ดเหนื่อยว้าวุ่น และแน่นอนเขายังคงพูดเรื่องเดิมๆที่พูดมาตลอดทุกวันนับแต่เกิดเรื่อง

หลังเกิดเรื่องคาร์ลจะเทียวมาที่บ้านทุกวันเพื่อขอให้พวกเขาโต้กลับอะไรบ้างก่อนที่จะถูกรุมประชาทัณฑ์จากประชาชน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะพยายามยังไง ลุดวิกก็ยังคงนิ่งเฉย ร้อนจนคาร์ลต้องเข้าหากิลเบิร์ตหวังให้เขาเกลี้ยกล่อมสามีของตัวเอง

   ทว่า กิลเบิร์ตนั้นกลับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ยิ่งกว่า ข้ออ้างของเขาย่อมเป็นการวนอ้อมดาวเคราะห์น้อยร้อยแปดตลบ เพราะให้เกียรติสามีบ้างล่ะ เพราะมีความรู้น้อยบ้างล่ะ เพราะไม่รู้สถานการณ์บ้างล่ะ ชนิดที่ว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่คิดจะออกความเห็น วันนี้ก็เช่นกัน...

“ถึงจะแค่แต่งหลอกๆก็ควรจะมีน้ำใจให้กันบ้างสิ คุณกับลุดวิกนี่คิดอะไรอยู่กันแน่!” คาร์ลเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด วันนี้ลุดวิกส่งคาร์ลมาเพื่อให้ช่วยสอนกฎเกณฑ์มารยาทในสภาให้กิลเบิร์ตสำหรับการไต่สวนในวันพรุ่งนี้ แต่กิลเบิร์ตก็ยังคงเอ้อระเหยลอยชายอ่านหนังสือไปตามเรื่องตามราว ท่าทีของเขาทำให้คาร์ลไม่แน่ใจว่าคนๆนี้จริงๆแล้วจริงใจกับลุดวิกแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพอเรือจะแตกก็เตรียมชิ่งหนีหรอกนะ

“ฉันก็ตามใจเขาอยู่แล้ว หมอนั่นอยากทำอะไรก็ให้ทำ นี่นายคิดว่าภรรยากำมะลออย่างฉันจะควรแสดงความเห็นหรือไง” กิลเบิร์ตตอบขณะเปลี่ยนไปอ่านหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวัง

“นี่คุณกำลังตกเป็นผู้ต้องหานะ! คนทั้งดาวด่าคุณกันระงมแล้วนะ!อยากเข้าไปอยู่ในคุกจริงๆใช่ไหมเนี่ย!” คาร์ลร้อนใจ การไต่สวนครั้งนี้นับว่าสำคัญมาก หากสุดท้ายไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ ลุดวิกจะต้องถูกปลดจากทุกตำแหน่งกลายเป็นนักโทษการเมือง ถูกริบทรัพย์สิน ส่วนกิลเบิร์ตในฐานะภรรยามีแต่จะถูกหางเลขไปด้วย ไม่มีทางรอดได้แน่ๆ ยกเว้นแต่ว่าเขาจะหนีเอาตัวรอดไปก่อนการไต่สวน

“ฉันเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้านะ อยู่ไหนกับใครก็เหมือนกันนั่นล่ะ!”

“นี่คุณ!” คาร์ลตวาด คำพูดคำจาของกิลเบิร์ตตอนนี้ขืนใครได้ยินเข้าต้องเข้าใจว่าเขาคิดนอกใจสามีไปมีอื่นแน่ๆ “ถึงคุณจะชอบทำตัวสบายๆ แต่มารยาทผู้ดีก็ต้องมีบ้างนะ!”

“นายก็คิดมากไป ถึงฉันอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้หรอก ต่อให้นายบ่นต่อไปทั้งวัน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้แน่ๆ พูดพล่ามอย่างกับว่าฉันสามารถช่วยอะไรได้งั้นล่ะ!” กิลเบิร์ตโต้กลับ สีหน้าท่าทีสั่นไหวกว่าเมื่อครู่เล็กน้อยจนคาร์ลสังเกตได้ ถึงตอนนี้ดูเหมือนคาร์ลก็ใจเย็นลงบ้างแล้ว เพราะประโยคเมื่อครู่ย่อมสามารถตีความได้ว่า ไม่ใช่ว่ากิลเบิร์ตไม่อยากทำอะไร แต่ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ต่างหาก

   คาร์ลมุ่นคิ้วเล็กน้อยและนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย เขาเหลียวซ้ายขวาไม่พบเห็นคนอื่นในบ้าน ก็ตัดสินใจเอ่ยต่อ

“จริงๆมีสิ่งที่คุณทำได้นะ” คาร์ลพูดเสียงเบา ในขณะที่กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างฉงนเล็กน้อย “พี่ชายของผมสืบมาแล้ว จริงๆแล้วเจ้าชายอ๊อตโต้เคยรับสินบนจากเจ้าพวกโจรสลัดนั่น ในบรรดาของพวกนั้นอาจมีของที่แสดงถึงความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายอยู่ก็ได้นะ ถ้าเราหาของนั่นเจอก็จะช่วยลุดวิกให้พ้นความผิด แล้วโต้กลับพวกนั้นได้ด้วย” จู่ๆคาร์ลก็เสนอแผนการประหลาดขึ้นมา ในจุดนี้กิลเบิร์ตย่อมเลิกหัวคิ้ว

“แล้วลุดวิกว่ายังไงบ้างล่ะ?”

“หมอนั่นบอกว่าเสี่ยงเกินไป และไม่เห็นด้วยที่จะบุกไปถึงถิ่นโจรสลัด” คาร์ลสารภาพ อันที่จริงเขาบอกแผนการนี้กับลุดวิกและนิโคลัสไปแล้ว แต่เพราะแผนนี้มีช่องโหว่เยอะจนเกินไป ทั้งยังอันตรายเกินไป สุดท้ายทั้งคู่ปฏิเสธ แต่แม้จะปฏิเสธ คาร์ลก็ยังไม่ยอมตัดใจ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องการเกลี้ยกล่อมกิลเบิร์ตก็เพราะอยากเดิมพันแผนนี้ด้วยนั่นเอง หมอนี่คือคนที่โดนยาของพวกโจรสลัดแล้วยังรอดปลอดภัยได้หลายชั่วโมง ต้องมีดีแน่นอน

   และก็อย่างที่เขาคิด ตอนนี้กิลเบิร์ตเหมือนจะนิ่งคิดไปเช่นกัน ก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ

“โจรสลัดพวกนั้นอยู่ที่ไหน นายรู้งั้นเรอะ” กิลเบิร์ตเอ่ยถามตรงไปตรงมา การที่จู่ๆหมอนี่มาพูดอะไรแบบนี้ย่อมหมายถึงเขาต้องมีลู่ทาง

“คิดว่าทางนี้เป็นใคร มันต้องมีอยู่แล้ว!”

   ในที่สุดหลังจากตกลงกันได้แผนการลับก็เริ่มต้นในช่วงกลางคืน ลุดวิกยังคงกลับช้าเช่นเดิม ส่วนกิลเบิร์ตนั้นลักลอบหนีออกจากคฤหาสน์ไปพบกับคาร์ลตามที่นัดหมายกันไว้ เป้าหมายของพวกเขาก็คือการลักลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของเจ้าชายอ๊อตโต้ ซึ่งตอนนี้ใต้ดินถูกใช้เป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรสลัด ถึงแม้พวกอเล็คเซ่จะมียานรบ แต่ยานรบอวกาศนั้นหากปรากฏขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ไม่มีทางที่ลุดวิกจะไม่สั่งการให้พวกทหารใช้เรดาร์จับตาดูอย่างละเอียด การจะหลบหนีไปอย่างลอยนวลนั้นไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกนั้นจะต้องหาที่ซ่อนอีกครั้ง และที่ๆปลอดภัยที่สุดย่อมต้องเป็นที่อันตรายที่สุดนั่นเอง

   คฤหาสน์ส่วนตัวของเจ้าชายอ๊อตโต้!

“พวกลุดวิกก็รู้ว่าพวกโจรสลัดอยู่ที่นี่หรือ?” กิลเบิร์ตถามขณะที่เดินตามคาร์ลมาในความมืด

“ต้องรู้สิ แต่ยังไม่มีหลักฐาน แต่สัญญาณเรดาห์มันไม่พอที่จะใช้ยืนยันหรอก!” คาร์ลบอก

   กิลเบิร์ตเพียงแต่พยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรอีก เขาตามคาร์ลที่อ้างว่าแอบมาสำรวจที่ทางไว้ก่อนแล้วเข้าไปในคฤหาสน์ คาร์ลยังอ้างอีกว่าคนรับใช้ของเจ้าชายอ๊อตโต้ที่ออกมานำทางพวกเขานั้นเป็นสายลับที่เขากับลุดวิกวางไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นการลักลอบเข้าไปยังคฤหาสน์จึงไม่ยากเย็น ความยากอยู่ที่กิลเบิร์ตจะต้องลักลอบไปที่ยานรบของพวกนั้นและหาหลักฐานให้เจอ

“งั้นแยกกันหาละกันจะได้เร็วหน่อย” กิลเบิร์ตบอกขณะที่พวกเขาเดินมาถึงโถงทางเดิน ตอนนี้ดึกมากแล้ว และพรุ่งนี้จะมีการไต่สวนครั้งสำคัญ เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองพลาดโอกาสนี้ ตอนนี้เขาเข้านอนไปนานแล้ว “ไม่ว่าจะเจอหรือไม่ เมื่อถึงเวลานัดหมายไปพบกันที่ทางออก ดีไหม”

“ตกลง” คาร์ลตอบรับและแยกกับกิลเบิร์ตที่อาคารปีกตะวันออก

   ฝ่ายกิลเบิร์ตมองตามแผ่นหลังของคาร์ลไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาหันกลับเดินเข้าไปในอาคารฝั่งตะวันออก ใช้พลังจิตจับคลื่นพลังชีวิต หากเป็นของที่อเล็คเซ่ให้เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมต้องเป็นของที่มาจากอวกาศ และของพวกนั้นมักจะมีกลิ่นอายของพลังที่ติดมากับแหล่งกำเนิดของมัน ดังนั้นหากใช้พลังย่อมจะต้องได้เบาะแส จวบจนเดินมารอบหนึ่ง กิลเบิร์ตก็ใช้พลังจิตทำลายกลอนประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ลึกที่สุดของตัวอาคาร ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ดวงตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้ในที่มืด กวาดสายตามองรอบหนึ่งก็มั่นใจว่านี่คือห้องเก็บทรัพย์สมบัติและของที่เขาต้องการก็มีอยู่ในนี้จริงๆ เพียงแต่ว่า...

“คุณนี่เป็นพวกชอบเดินเข้าถ้ำเสือนะครับ” น้ำเสียงเยียบเย็นแต่เปี่ยมด้วยความรักความเอ็นดูแบบนี้ ไม่ต้องหันกลับไปกิลเบิร์ตก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแต่ว่าคราวนี้เขาไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก ตรงกันข้ามกลับรู้สึกได้ดั่งใจอย่างมากด้วย

“รู้ว่าคนเขาจะมาก็ควรหาอะไรไว้ต้อนรับสิ เสียมารยาทจริงๆ อเล็คเซ่” กิลเบิร์ตหันมาพลางยิ้มทักทายอย่างเฉยชาแกมยียวน เขากอดอกยืนมองฝ่ายตรงข้ามที่ฉีกยิ้มหวานหยดมาให้ ทั้งยังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ยื่นมือมาจับข้างแก้มของเขาอย่างถือวิสาสะ

“น้อยๆหน่อยนะ เจ้าโจรสลัด”

“รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอผมแน่ๆแต่กลับมาหาถึงที่ นี่กิลเบิร์ต คุณวางแผนจะนอกใจสามีอีกหรือไงครับ” อเล็คเซ่กระซิบเบาข้างหูฝ่ายตรงข้าม คำพูดเชือดเฉือนจนกิลเบิร์ตนึกอยากตบบ้องหูให้ตาย

“อย่ามาพูดคำว่าอีกครั้งนะ! ฉันไม่เคยนอกใจเฟรเดอริค! เป็นเจ้าบ้านั่นที่กล่าวหาฉันฝ่ายเดียว!” โวยขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้นอกใจเลยสักนิด เป็นหมอนั่นที่เอาใจออกห่างเขาไปคว้าเอาอารอนมาเองต่างหาก ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่กลายเป็นจำเลยสังคม นี่มันเรื่องตลกร้ายชัดๆ! “นายเองก็เป็นผู้ร้ายชัดๆ อย่ามาพูดจาเหมือนตัวเองเป็นคนดีไปหน่อยเลย!”

   ทั้งหมอนี่ ทั้งคนพวกนั้น ในสายตาเขามันก็เจ้าพวกผู้ร้ายเหมือนกันนั่นล่ะ! โดยเฉพาะอารอน เดิมทีเขาเคยคิดจะปล่อยวาง แต่เพราะความจริงที่อเล็คเซ่พูดมา ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตกลับไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร อารอนสมคบกับเฟรเดอริค เจตนาให้ร้ายเขา เจตนาให้เขาถูกคนรุมประณาม กระทั่งให้ถูกใครก็ไม่รู้มาขืนใจงั้นเรอะ เรื่องบาปช้าพวกนี้หากเขายังจำยอมก้มหน้าก้มตารับสภาพได้อีก ก็ประสาทเสียเกินไปแล้ว!

“เรื่องจริงเป็นอย่างไรใครจะสนกันล่ะครับ ผู้คนสนใจแต่เรื่องที่น่าสนุกเท่านั้น คุณเองพอถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องสนุกของดาวดวงนี้เหมือนกันนี่ครับ ว่าไงครับ มาหาอะไรเอ่ย” ว่าพลางก็ยื่นแขนกอดรัดเอวอีกฝ่ายไว้ หวังจะรั้งร่างนั้นให้เข้ามาใกล้แนบชิด และดูเหมือนว่ากิลเบิร์ตก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วย “คิดอะไรอยู่ครับ มีแผนอะไรรึเปล่า ท่านนายพลกิลเบิร์ต” สรรพนามนั่นอเล็คเซ่เจตนาเรียก ผู้คนบนเทสล่ามักจำกิลเบิร์ตในฐานะภรรยาของท่านผู้นำเฟรเดอริคมากกว่า โดยหลงลืมความจริงไปว่าเทสล่านั้นเติบโตมาได้ด้วยอานุภาพทางการทหาร และคนที่เป็นแสนยานุภาพนั่นก็คือนายพลผู้บุกเบิกดวงดาวร่วมกับท่านผู้นำมา

   ใช่แล้ว จะเป็นใครไปได้ ก็ต้องเป็นท่านนายพลกิลเบิร์ตผู้นี้ น่าเสียดายว่าเพราะยามนี้เทสล่าเข้มแข็งเกินไป แกร่งกล้าเกินไป มีอำนาจมากเกินไป คนพวกนั้นถึงได้หลงลืมคนที่เคยก่อร่างสร้างมันมาไปจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นใครก็ได้ที่จะมาสวมตำแหน่งนั้นและอวดอ้างประกาศศักดาของตนเองแทน ในจุดนี้อเล็คเซ่ยอมรับว่าเขาเองก็รู้สึกหมั่นไส้ทั้งเฟรเดอริคกับอารอน จากข่าวที่ได้รับมาตอนนี้ อารอนได้รับแต่งตั้งเป็นท่านผู้หญิง และเป็นนายพลใหญ่ของกองทัพไปแล้ว นี่มันวัวลืมตีนชัดๆ

   ฝ่ายกิลเบิร์ตนั้นพยายามจะอ่านอะไรบางอย่างจากสีหน้าท่าทางของฝ่ายตรงข้าม แต่น่าเสียดาย อเล็คเซ่ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่ถึงไม่ง่าย ก็ใช่ว่าจะยากเย็นจนเกินไป

“ตกลงว่าคุณมีแผนการอะไรครับ กิลเบิร์ตที่รัก” อเล็คเซ่ถามอีกครั้งพลางเอียงคอส่งยิ้ม และถือวิสาสะจับมืออีกฝ่ายขึ้นจูบ “ถ้าไม่มีแผน คุณคงไม่ยอมมาที่นี่คืนนี้หรอกใช่ไหม” 

“อืม คิดว่ามีไหมล่ะ” กิลเบิร์ตหัวเราะเบาๆ ดวงตาเย็นวาบขึ้นเสี้ยววินาทีจนอีกฝ่ายสังเกตได้ “นี่อเล็คเซ่ สิ่งที่นายต้องการจากดาวดวงนี้คืออะไรรึ”

“...”

“เป็นเอสเปอร์สองพี่น้องนั่น หรือว่าทรัพยากรอื่น”

“นี่คุณต้องการอะไรกันแน่น้อ” อเล็คเซ่ยิ้มหวานอีกครั้ง เพราะคราวนี้กิลเบิร์ตดูจะตั้งตัวติดกว่าคราวที่แล้ว และจากการที่เขาชิงเอสเปอร์ไปจากเจ้าชายอ๊อตโต้ทีเดียวสองคนก็ทำให้เขากลายเป็นผู้ครอบครองทรัพยากรล้ำค่าที่สุดของดาวดวงนี้ไปโดยปริยาย ไม่ใช่ทั้งเจ้าชายอ๊อตโต้และตระกูลเกอเจ้นอีกแล้ว เหมืองเกลือทั้งดาวไม่มีทางจะเทียบกับเอสเปอร์ถึงสองคนได้หรอก จักรวาลนี้มีคำกล่าวว่าคิดครอบครองจักรวาล จงพึงมีเอสเปอร์ไว้ข้างกาย ประสาอะไรกับการที่อดีตท่านนายพลมีเอสเปอร์อยู่ตั้งคู่หนึ่ง
“อย่าลืมนะครับว่า เสียน้อยเสียมากเสียยากเสียง่าย ผมกำจัดสามีคุณแล้วลักพาคุณกับเด็กๆกลับไปก็ได้แล้ว”

“นั่นต้องถามนายแล้วว่า คิดจริงๆหรือว่าทำได้” อีกฝ่ายย้อนเสียงหวาน

“...”

“ว่าไง คิดจริงๆหรือว่านายยังจะได้อะไรจากดาวดวงนี้อีก” นั่นคือการท้าทายชนิดที่ใครได้ยินคงนึกว่ากำลังต่อรองอยู่กับนักธุรกิจสักคน เพียงแต่ว่าตอนนี้คนที่อเล็คเซ่กำลังต่อรองด้วยคือเอสเปอร์คนหนึ่ง เขารู้ดีว่ากิลเบิร์ตมีแผนการ และแผนการนั้นจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ใครได้ดีไปกว่าตัวเอง อย่าได้คิดว่าเขาเป็นนายทหารธรรมดาๆ แต่นี่คือนายทหารที่เคยกุมอำนาจสูงสุดบนดวงดาวหนึ่งมาแล้ว

   คนเคยเป็นใหญ่ ไม่มีใครโง่เขลา

“คุณต้องการอะไรกันแน่ กิลเบิร์ต” สุดท้ายอเล็คเซ่เลือกที่จะถามตรงๆ และยามนั้นเองที่กิลเบิร์ตแสยะยิ้มหวานจนหัวใจสั่น รอยยิ้มที่ทำให้โจรสลัดหนุ่มหัวใจเต้นกระชั้น หากให้เลือกระหว่างผลประโยชน์สองฝ่าย ระหว่างผลประโยชน์ที่กิลเบิร์ตจะเสนอกับที่พวกตระกูลเกอเจ้นจะมีให้

   คำถามว่า อเล็คเซ่จะเลือกอะไร?



จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 16 คู่โฉดคนชั่ว 01/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 01-01-2019 21:19:55
เพิ่งตามอ่านจนครบ อ่านตอนแรกเหมือนไม่สนุก พล็อตแปลกๆ  นายเอกเป็นนายพล จะถึกเกินไปเสียแล้ว
แต่ที่ไหนได้ พอขึ้นตอนสองสนุกมากกกกกก  :mew1:

หมั่นไส้อเล็กเซ่มากทำเรื่องเดือนร้อนให้กิลตลอด ผีเปรตจริงๆ
แถมความหมั่นไส้สามีเก่ากับอารอน ขอให้ล่มจ่มไปด้วยกันทั้งคู่ :katai1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 06-01-2019 19:08:53
ตอนที่ ๑๗
การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด

   จนแล้วจนรอดพวกลุดวิกรอถึงเช้ากิลเบิร์ตก็ยังไม่กลับมา ทำเอาทุกคนในบ้านร้อนใจกันถ้วนหน้า พ่อบ้านเบนจามินก้มหน้ารับผิดแต่โดยดีที่ปล่อยให้กิลเบิร์ตหนีออกไปยามวิกาล แต่กระนั้นลุดวิกกลับเพียงแต่ตำหนิเขาเล็กน้อย ก่อนจะสั่งให้นิโคลัสติดต่อใครบางคนให้แทน ท่าทีภายนอกไม่คลับคล้ายเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย

“เขาเป็นคนฉลาด ย่อมต้องมีวิธีการ อย่าได้เป็นกังวลให้มากไป” ลุดวิกบอกกับพ่อบ้านของตนเอง ทว่า ลึกๆในใจจะบอกว่าไม่เป็นห่วงนั้นย่อมต้องถือว่าโกหก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเขาไม่สามารถทำอะไรได้อีก เมื่อคิดจะเชื่อแล้วก็ได้แต่ต้องเชื่อมั่นในอีกฝ่ายให้ถึงที่สุดเท่านั้น การคิดหรือทำอะไรครึ่งๆกลางๆไม่ใช่วิสัยของเขา “กิลคือคนที่ฉันเลือกเป็นภรรยา ย่อมต้องมีดีให้โอ้อวดแน่นอน” เขายิ้มเล็กน้อยยามที่คิดถึงภรรยาแสนดื้อคนนั้น และเขารู้ดีว่ากิลเบิร์ตจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

หลังจากจัดการเรื่องในบ้านแล้ว ลุดวิกก็แต่งตัวด้วยเครื่องแบบสมาชิกรัฐสภาและออกจากบ้านไปพร้อมกับนิโคลัส ส่วนเบนจามินนั้นพอคล้อยหลังเจ้านายก็ทอดถอนใจเหน็ดเหนื่อย ช่วงเวลาไม่นานแท้ๆแต่กลับคล้ายแก่ขึ้นอีกหลายปี

“คุณลุงไปพักก่อนไหมเดี๋ยวผมช่วยงานเอง” ฟินน์ที่เดินลงมาจากบันไดชั้นบนบอกพลางยิ้มให้ ใบหน้าของเทวดาตัวน้อยทำเอาความเหนื่อยยากของเบนจามินแทบมลายหายไปสิ้น การมีเด็กอยู่ในบ้านนี่มันชวนสบายตาสบายใจจริงๆ “วันนี้ผมว่างทั้งวันเลยนะ”

“ไม่เป็นไรๆ นี่วันสำคัญ ฉันเองก็อู้ไม่ได้หรอก แล้วนี่คุณหนูเฟรย์ไปไหน” นั่นย่อมหมายถึงอดีตเจ้าหญิงเฟรเซียที่ตอนนี้ลุดวิกสั่งให้เบนจามินเก็บเรื่องสองพี่น้องเป็นความลับ และห้ามเอ่ยเรียกชื่อของหญิงสาวในบ้านหลังนี้ เบนจามินจึงปฏิบัติกับเธอเช่นหลานสาวคนหนึ่ง

“เฟรย์กำลังไปแต่งตัวน่ะ”

“แต่งตัว?” น่าแปลก ปกติเฟรเซียตื่นแต่เช้า แล้วทำไมจนป่านนี้เธอยังแต่งตัวไม่เสร็จกันล่ะ

“เดี๋ยวเฟรย์จะไปทำงาน ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยครับ!” หนุ่มน้อยยิ้มหวานอีกครั้งพลางนึกเสียดายว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยักได้มีโอกาสแบบน้องสาวบ้าง “งั้นผมจะช่วยคุณลุงทำงานเองนะ!”

   มา มาทำงานกันเถอะ...

   ฝ่ายลุดวิกกับนิโคลัสไปปรากฏตัวที่รัฐสภาตามกำหนดการ เขาในวันนี้ไม่ได้มาในฐานะนายทหารใหญ่หรือดยุคแห่งออลบานีเท่านั้น แต่มาในฐานะของสมาชิกรัฐสภาที่มีหน้าที่แถลงการณ์ต่อรัฐสภา นัยของการเป็นสมาชิกรัฐสภานั้นมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเขา ในฐานะดยุค เขาเป็นแค่ลูกชายคนรอง ส่วนในฐานะนายพลเขายังต้องเชื่อฟังกษัตริย์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่ด้วยฐานะสมาชิกสภา เขาคือสมาชิกของตระกูลชไนเดอร์ที่ได้รับตำแหน่งสืบทอดมาจากมารดา เป็นตำแหน่งหน้าที่ๆชอบธรรมที่สุดของเขา ไม่ต้องมองหน้าใคร และไม่จำเป็นต้องค้อมศีรษะให้ใคร

   ในห้องประชุมสภาวันนี้สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมจัดว่าหรูหราอลังการยิ่งกว่าวันไหนๆ กษัตริย์นั่งเป็นประธานอยู่บนยกพื้นสูงทางด้านหน้า ในขณะที่เจ้าชายอ๊อตโต้นั่งขนาบตามด้วยสมาชิกเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายสมาชิกรัฐสภานั่งประจำตำแหน่งตระกูล ส่วนนายทหารระดับสูงประจำที่โดยรอบในฐานะผู้สังเกตการณ์ ส่วนลุดวิกในฐานะจำเลยกิตติมศักดิ์นั้นเดินเข้ามาในห้องประชุมโดยมีนิโคลัสติดตามมาเพียงคนเดียว ไม่ทันไรก็ดูเหมือนจะมีคนสังเกตได้ว่าภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วยกัน

“น่าแปลกที่ชายาคนสำคัญของท่านดยุแห่งออลบานีไม่ได้มาด้วย” เคาท์ฮาน เกอเจ้นในฐานะพระญาติสอดปากขึ้นมาก่อน ความอัปยศครั้งก่อนเปลี่ยนความชื่นชมให้กลายเป็นคั่งแค้น ยามนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้ลุดวิกพังพินาศย่อยยับ และยิ่งอยากเห็นกิลเบิร์ตโดนประณามหยามเหยียดจนเป็นผ้าขี้ริ้ว “ไม่ใช่ว่ากลัวความจริงเปิดเผยเลยเผ่นแน่บไปแล้วหรอกนะ! คนแพศยาพรรค์นั้น!” ว่าพลางขึ้นเสียงสูงชี้ไปที่ตำแหน่งที่ควรเป็นที่ยืนของชายาท่านดยุค ถึงตรงนี้เจ้าชายอ๊อตโต้ย่อมอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นต่อ

“เป็นไปได้ว่าป่านนี้อาจหนีตามโจรสลัดชู้รักไปแล้วก็ได้ แบบนี้คงไม่ต้องไต่สวนแล้วกระมัง” เจ้าชายอ๊อตโตเหยียดยิ้มเยาะ เขาในตอนนี้ย่อมคาดว่ากิลเบิร์ตคงถูกอเล็คเซ่จับตัวไปแล้ว และคนที่ถูกโจรสลัดพวกนั้นจับได้ไม่มีวันที่จะมีจุดจบดีอย่างแน่นอน สมน้ำหน้านักที่ไม่ยอมเป็นของเขา แต่ต้องตกเป็นของพวกโจรเถื่อนพวกนั้น! “ในประเด็นของท่านชายา เมื่อไม่มาก็ต้องถือว่ายอมรับผิดสินะ ว่าไง ท่านดยุคแห่งออลบานี”

   เจ้าชายฉีกยิ้มแสยะอย่างเป็นต่อทั้งยังสร้างแรงกดดันต่อสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆไม่น้อย จนประธานรัฐสภาเกือบจะถือหางเขาว่าไงก็ว่าตามเสียแล้ว เพียงแต่ว่ารูปการณ์ย่อมไม่ง่ายเช่นนั้น ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากรวบรัด สมาชิกรัฐสภาคนอื่นกลับชิงเปิดประเด็นขอให้ท่านดยุคได้ขึ้นชี้แจงก่อน หากจนจบแล้วกิลเบิร์ตยังไม่มาจึงค่อยถือว่าเขาหลบหนี การถกเถียงนี้หยิบยกเรื่องสิทธิของจำเลยมาพูดในที่ประชุมด้วย แม้เป็นดาวห่างไกลชุมชนสหพันธ์ดาวเคราะห์ แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ได้ สุดท้ายพวกเจ้าชายอ๊อตโต้ยอมถอยชั่วคราว และเร่งให้มีการเปิดประชุมแทน

   ไม่ทันจะเริ่ม การถกเถียงก็เหมือนจะร้อนแรงขึ้นแล้ว

   ลุดวิกนั้นนิ่งสงบอย่างยิ่ง  ทุกคนในที่ประชุมนั้นแม้มีทั้งคนที่ชื่นชมและเกลียดชังเขาสลับกันไปมากมาย แต่ใครบ้างที่จะกล้าเถียงว่าผู้ชายคนนี้ไม่สง่างาม ลุดวิก ชไนเดอร์ในชุดเครื่องแบบสมาชิกรัฐสภาสีเขียวเข้ม ก้าวเดินไปยังพื้นที่ยกสูงกลางห้องเพื่อรับการไต่สวน เขานิ่งฟังข้อกล่าวหาแสนเลวร้ายจากประธานรัฐสภาอย่างใจเย็น สีหน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่ไหวติง วางท่าสงบและน่าเกรงขามจนทำเอาผู้กล่าวหากลับกลายเป็นฝ่ายที่ขาสั่นเสียเอง ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟังและเชิดใบหน้าขึ้นกวาดสายตาเยียบเย็นมองคนทุกคน ณ ที่นั้น ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ผู้เป็นพ่อของเขาเอง

   ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อลูก แต่สำหรับลุดวิก คนๆนี้ก็แค่คนที่แต่งงานกับแม่ของเขาและทำให้เขาเกิดมาเท่านั้น กษัตริย์ผู้นี้ในสายตาของเขาไม่มีอะไรน่าชื่นชม เป็นคนแก่ที่เอาแต่ใจ ขี้รำคาญ หัวโบราณหนักหนา ทั้งยังใจแคบไม่กล้าตัดสินใจอะไร และแม้เขารู้ดีว่าลูกชายคนโตนั้นไม่ได้เรื่องขนาดไหนก็ไม่มีความกล้าที่จะปลดจากตำแหน่ง แม้ลุดวิกทำงานหนักหรือมีชื่อเสียงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจมากมายแค่ไหน กษัตริย์ก็ไม่เคยเห็นความชอบจากเขา ดูอย่างในวันนี้ ทั้งที่กษัตริย์รู้แน่แก่ใจว่าเขาถูกใส่ความแน่ๆ แต่ก็ยังนิ่งเฉย สั่งให้เปิดการไต่สวนสามฝ่ายหน้าตาเฉย เพื่อเกียรติประวัติ ความชอบธรรม และพิธีศพสวยๆที่จะมาถึงของตนเอง คนๆนี้ไม่เคยมองเขาในฐานะลูกชาย ไม่เคยแม้แต่จะมองถึงประโยชน์สุขของอาทีเรีย

   ดาวดวงนี้ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่นับแต่เขาเป็นกษัตริย์มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความผิดพลั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คนที่ควรจะถูกไต่สวนว่าบกพร่องในหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ว่าควรเป็นคนๆนี้หรอกหรือ

   ลุดวิกรู้และเขาเห็นสิ่งนี้มาแต่เด็ก เขาสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าพ่อ ดีกว่าพี่ชาย และเพื่อการนั้นเขาจะต้องก้าวข้ามทุกคนไปให้ได้ ยิ่งในตอนนี้เขาได้พบคนที่น่าสนใจ คนที่เขาจำเป็นต้องจับตามองไม่ให้คลาดสายตานับแต่วินาทีแรกที่พานพบ คนที่เขาคิดว่าควรจะอยู่เคียงข้างเขา คนๆนั้นที่เขาไม่อยากปล่อยมือจากไป เพื่อคนๆนั้น อย่างน้อยในวันนี้ เขาจะต้องชนะ!

“ข้อกล่าวหาพวกนี้จำเป็นที่ฉันจะต้องพูดอะไรด้วยหรือ” ลุดวิกเอ่ยเรียบๆพลางหันไปทางเหล่าสมาชิกรัฐสภาและนายทหารในสังกัดของตนเอง แน่ล่ะว่าแต่ละคนนั้นแทบจะค้อมศีรษะให้เขาในตอนที่สบสายตากัน ช่วยไม่ได้ ก็ใครให้คนๆนี้คือท่านสมาชิกรัฐสภาลุดวิก ชไนเดอร์ผู้มีอิทธิพลคับฟ้ากันล่ะ

   แต่ไหนแต่ไร เขาก็คือคนที่ยึดอำนาจจากท่านประธานสภาในทุกการประชุมอยู่แล้ว!

“ในเมื่อทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่ามันไร้สาระ งั้นคนกล่าวหาฉันคงว่างมากจนเกินไป ท่านประธาน เจ้าชายอ๊อตโต้ ฉันคิดว่าพวกคุณควรเอาเวลาไปทำงานจะเป็นประโยชน์กับอาทีเรียมากกว่านะ” ทันทีที่พูดจบก็ทำเอาเหล่าสมาชิกกับพวกทหารหัวเราะกันออกมาในทันที บรรยากาศตึงเครียดถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย “เราจบการอภิปรายไร้สาระนี่ แล้วไปดื่มเบียร์กันแทนดีกว่าไหม ฉันกับภรรยาขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเอง!” ประโยคนี้เองที่ทำเอาคนหัวเราะครืน ถึงขนาดมีคนตะโกนตอบตกลงลงมาด้วย แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ควบคุมการประชุมที่แท้จริง

   ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่ประธานรัฐสภา แต่เป็นผู้ชายที่ชื่อลุดวิกนี่!

“หุบปากซะลุดวิก!” เจ้าชายอ๊อตโต้ที่ถูกหักหน้าย่อมอดไม่ได้ที่จะตวาดอีกฝ่ายออกมา แต่ลุดวิกนั้นไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่ยังเฉยชาอย่างยิ่ง ท่าทีมองเหยียดราวกับเห็นเขา เห็นเจ้าชายรัชทายาทเป็นมดแมลง ทั้งที่เป็นแค่ลูกชายคนที่สอง เป็นแค่คนตระกูลรองอย่างชไนเดอร์ แต่บังอาจมาลองดีกับเขา “ได้! ถ้าแกคิดว่าไร้สาระงั้นก็เอาตัวพยานออกมา! แล้วแกจะได้เห็นว่าพยานคนนี้คือใคร!” ชี้หน้าประกาศก้องพร้อมสั่งคนสนิทให้ไปเอาตัวพยานปากเอกออกมา

   วินาทีนั้นเองทันทีที่พยานคนที่ว่าปรากฏตัว ฉับพลันกลับเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้จำนวนมาก ทั้งเหล่าสมาชิกสภา ทั้งเหล่าทหาร นอกจากนิโคลัสแล้วแทบไม่มีใครที่สงบใจได้ แน่ล่ะ ก็ในเมื่อพยานของเจ้าชายอ๊อตโต้ ดันเป็น...คาร์ล เออร์เนส!

   เพื่อนรักของลุดวิก!

   คาร์ลในตอนนี้ตีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเดินก้มหน้าก้มตาทำหน้าลำบากใจมาที่คอกพยาน ก่อนจะหันไปมองเจ้าชายอ๊อตโต้ที่ออกคำสั่งให้เขาพูดเรื่องจริง แน่ล่ะว่าเรื่องจริงนั้นถูกเตรียมไว้แล้ว!

“ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั่นคือเรื่องจริง พอเถอะลุดวิก ฉันไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้ว นายจะคิดทำอะไรก็ได้ แต่เรื่องที่นายสมคบกับพวกโจรสลัดกับแอบพาเจ้าหญิงเฟรเซียหนีนั่น มันผิดนะ!” คาร์ลผู้ตีสีหน้าชอกช้ำกล่าว ยามนี้การถ่ายทอดสดกำลังแพร่ภาพไปทั่วดวงดาว และคนทุกคนต่างก็เห็นชัดว่าคนที่เป็นพยานฝ่ายเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นหาใช่ใครอื่น แต่คือคาร์ล เออร์เนส มือขวาและเพื่อนรักของลุดวิก! ในทางปฏิบัติคนๆนี้ไม่มีทางจะกล่าวหาเพื่อนของตนเอง! หรือว่าข้อกล่าวหานี่คือเรื่องจริง!

   เพียงแต่ว่าจนแล้วจนรอด รอจนปล่อยให้ทุกคนอึงอลสับสนกับพักใหญ่ ลุดวิกจึงหัวเราะขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้กับละครฉากใหญ่ของเพื่อนรัก นี่คือคาร์ล เพื่อนสนิทที่สุดของเขา คนที่เขาเคยคิดว่าจะฝากความไว้วางใจทั้งหมดของตัวเองทั้งหมดให้ไว้ ทว่า ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น

   ไม่ว่าสิ่งใดในจักรวาลนี้ล้วนผันแปรเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ใจคน

“สิ่งที่นายพูดตลกดีนะ คุณคาร์ล เออร์เนส” ลุดวิกพูดขำๆ ส่วนคาร์ลยังคงตีหน้าซื่อพูดต่อ

“นายนั่นล่ะหยุดเถอะ! เมื่อคืนกิลเบิร์ตเป็นคนขอให้ฉันพาเขาไปหาพวกโจรสลัด ตอนนี้ภรรยารักของนายทิ้งนายไปแล้วนะ!”

“หุบปาก!” ลุดวิกตะคอกตัดบท เขาเริ่มรำคาญเสียงของหมอนี่เต็มที่แล้ว ทั้งที่ทนฟังมาได้ตลอด แต่มาถึงวินาทีนี้เมื่อคาร์ลพาดพิงชื่อของกิลเบิร์ต เขากลับรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกสมเพชเวทนานี้ทำให้เขาจำต้องทอดถอนใจ “นายคิดว่า ทุกคนจะเชื่อคำพูดของนาย ในฐานะเมียเก็บของเจ้าชายอ๊อตโต้หรือไง คาร์ล เออร์เนส”

“!”

   เมียเก็บ!?

   คาร์ล เออร์เนส เป็นชู้รักของเจ้าชายอ๊อตโต้เมื่อไหร่กัน!

“อย่ามากล่าวหาลอยๆนะ!” เจ้าชายอ๊อตโต้รีบแก้ตัว ตอนนี้เขากำลังเล่นบทผู้ชายที่ถูกภรรยาทิ้ง ย่อมจะมีมลทินจากการมีภรรยาน้อยไม่ได้ แถมภรรยาน้อยคนนั้นดันเป็นอดีตมือขวาของน้องชายตัวเองที่เขากำลังกล่าวหาอยู่ด้วย ขืนโดนเล่นงานแบบนี้มีแต่จะพังครืนกันทั้งหมดเท่านั้น

   แต่มันสายไปแล้วเพราะถึงตอนนี้ หนึ่งในสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งกลับยกมือและยืนขึ้น ยามที่คนๆนั้นยืนขึ้นคาร์ลกลับสะดุ้งขวัญเสีย มีสีหน้าดูไม่จืดในทันที ก็นั่นน่ะคือ พี่ชายของเขาเอง!

   พี่ชายที่พูดน้อยและเอาแต่ยิ้มจนเขาต้องคอยประสานงานกับลุดวิกให้ตลอดเวลา พี่ชายคนนั้น ทำไมมายกมืออภิปรายอะไรเอาตอนนี้!

“ฉันขอเป็นพยานให้ท่านสมาชิกชไนเดอร์”

“พี่!” คาร์ลตะโกนขึ้นอย่างขวัญเสีย ทว่า นั่นไม่ได้ทำให้พี่ชายของเขาหน้าเปลี่ยนสีเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขาในวันนี้พูดจาได้
อย่างฉะฉานมั่นคงมาก!

“ฉันทราบมานานแล้วว่าน้องชายของฉันมีสัมพันธ์ไม่ปกติกับเจ้าชายรัชทายาท  เพียงแต่ที่แล้วมาเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ฉันจะแสร้งมองข้ามไปเสียก็ได้ แต่ตอนนี้ พวกเขากำลังรวมหัวกันใส่ความท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา น้องชายของฉัน เธอที่สละเกียรติยศของตระกูลเออร์เนสยอมเป็นภรรยานอกกฎหมายของเจ้าชาย ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นพยานคนกลาง ไม่มีประโยชน์ได้เสียกับการไต่สวนนี้อีกหรือ ไม่ใช่ว่าเธอร่วมมือกับเจ้าชาย คิดทำร้ายท่านลุดวิกกับภรรยาหรอกหรือ!” สิ้นคำแถลงการณ์ยาวเหยียดของท่านสมาชิกสภาเออร์เนสผู้เป็นพี่ชาย วินาทีนั้นที่ความโกลาหลพลันเกิดขึ้นทันที

   ถัดจากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด คือศึกสายเลือด!! ท่านสมาชิกสภาลูคัส เออร์เนสเป็นคนพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

   สองฝ่ายต่างมีพยาน สองฝ่ายต่างน่าเชื่อถือ สองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร การถกเถียงแพร่ไปในวงกว้างทั้งในสภายามนี้และทั่วดวงดาว แท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้ใครผิดใครถูกกันแน่!

   โครม!

   เสียงประตูห้องประชุมถูกกระแทกออกพร้อมกับเงาของคนสองคนที่เหมือนจะดันทุรังฝ่ากองทัพสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่เข้ามา และทันใดที่พวกเขาเผยโฉมหน้า เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอีกครั้ง การประชุมคราวนี้มันช่างสนุกจนทำเอาผู้เข้าร่วมประชุมกับคนทางบ้านรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังดูละครก็ไม่ปาน ก็คนที่โผล่มานี่จะเป็นใครได้อีก นั่นคือกิลเบิร์ต ชายาของท่านดยุคกับเจ้าหญิงเฟรเซีย!

“ใครถูกใครผิดย่อมมีหลักฐานอยู่แล้ว! และหลักฐานนั่นก็อยู่ในมือฉันแล้วไง คาร์ล เออร์เนส!” กิลเบิร์ตตวาด ส่วนคาร์ลเบิกตาก
ว้างอย่างพิศวง ก็เมื่อคืนเขาเป็นคนพากิลเบิร์ตไปให้พวกโจรสลัดเองกับมือ แล้วทำไมวันนี้หมอนี่ไม่เพียงยังปลอดภัยดีแต่ยังมาปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าหญิงเฟรเซียอีก! นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน!

“อย่าไปฟังเขานะ! หมอนั่นเป็นชู้รักของพวกโจรสลัด! จับหมอนั่นไว้!” คาร์ลรีบตะโกน แต่สายไปแล้ว กิลเบิร์ตสาวเท้าเข้ามากลางห้องปะชุม ก้าวขึ้นไปบนยกพื้นและชูของสิ่งหนึ่งขึ้น มันคือแหวนวงหนึ่ง

“แหวนวงนี้ค้นพบที่ในห้องของนายในกรมทหารไง คาร์ล เออร์เนส! เฮ้! กล้องนั่นน่ะ ฉายภาพแหวนวงนี้ใกล้ๆซะสิ!”

   วินาทีนั้นกล้องจับภาพที่แหวนในมือของกิลเบิร์ต ปรากฏแหวนทองคำที่ประดับตราสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ มันคือตราประจำตัวของเจ้าชายอ๊อตโต้จริงๆ! เพียงแต่ว่าในตัวแหวนด้านในกลับมีอักษรแกะสลักอยู่อีก มันคือลายเซ็นของเจ้าชายและประโยคสั้นๆที่แกะสลักว่า

   แด่คาร์ลยอดรัก...

“บ้าน่า! นายไปเอามาได้ยังไง!!!!” คาร์ลแทบล้มทั้งยืน แหวนวงนั้นย่อมเป็นแหวนที่เจ้าชายอ๊อตโต้ให้เขาจริงๆ เพียงแต่ว่าทำไมกิลเบิร์ตถึงได้มันมา ในตอนแรกเขาคิดว่าพี่ชายเป็นคนบอกหมอนี่ แต่เรื่องนี้ มีแต่เขาที่รู้นี่นา!

อนิจจาคาร์ลไม่มีทางรู้เลยว่าสาเหตุที่กิลเบิร์ต ‘รู้’ ก็เพราะเขาใช้เทเลคิเนซิส ‘อ่านใจ’ ของตนเอง โดยปกติกิลเบิร์ตไม่นิยมการใช้พลังนี้ แต่ว่าเพราะตั้งแต่เรื่องที่ตนเองถูกวางยา เขาจึงเริ่มระวังตัวมากขึ้น กระทั่งเขาเริ่มสงสัยคาร์ลตั้งแต่ที่หมอนี่ไม่ได้ตามลุดวิกไปช่วยเขาจากเจ้าชายอ๊อตโต้ ทั้งยังหายไปในช่วงน่าสิ่วน่าขวานหลายครั้ง เมื่อได้รับการยืนยันจากลุดวิกว่าหมอนี่คือไส้ศึก เขาก็ลอบอ่านใจของหมอนี่เพื่อหาหลักฐานความสัมพันธ์กับเจ้าชาย และก็อย่างที่คิด คาร์ลซ่อนแหวนนี่ไว้ที่ห้องของตัวเองในกรมทหาร

“ฉันไม่ยอมรับ! ฉันกับหมอนั่นไม่ใช่คนรัก! คนที่ฉันรักคือเฟรเซีย!” เจ้าชายอ๊อตโต้ประกาศก้องและกระโจนลงจากที่นั่งหมายจะมารับขวัญภรรยา แต่ในตอนนั้นเองที่เฟรเซียตบเข้าข้างแก้มเขา หญิงสาวตวาดขึ้นมา

“จับเขาไว้! เขาคือกบฏ!”

   หา!!!!

   คนอื่นอาจยืนงงได้ แต่ลุดวิกไม่ ทันทีที่เจ้าหญิงประกาศเขาก็สั่งให้นิโคลัสกระโจนลงไปปกป้องเจ้าหญิง ในขณะที่ทหารนายอื่นต่างไม่รีรอที่จะเข้ามาสนับสนุน แม้นี่เป็นห้องประชุมรัฐสภา แต่ ณ ที่นี้ ลุดวิกย่อมคำนวณไว้แล้วว่าจากจำนวนผู้ที่สนับสนุนเขา ทั้งเหล่าสมาชิกรัฐสภาและนายทหาร เขานี่ล่ะคือประธานตัวจริงที่จะควบคุมการประชุมครั้งนี้! แท้ที่จริง นี่คือเวทีของเขา!

   นี่คือการประกาศศักดาว่าใครคือผู้กุมอำนาจแท้จริงบนดาวดวงนี้!!

“นี่เธอคิดเอาใจชายชู้โดยจะกำจัดฉันทิ้งเรอะ!” เจ้าชายอ๊อตโต้ตวาด แต่เจ้าหญิงกลับรีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังกิลเบิร์ตแสร้งบีบน้ำตาทำท่าน่าสงสารอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ และพูดต่อทันที

“เจ้าชายได้โปรดอย่าโกหกอีกเลย! ท่านเป็นคนให้ตระกูลเกอเจ้นติดต่อพวกโจรสลัด ท่านสัญญาว่าจะแบ่งเหมืองเกลือให้พวกโจรสลัดครึ่งหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าหากได้เป็นราชาแล้วก็จะปันดาวดวงนี้อีกครึ่งให้เป็นอาณานิคมของพวกโจรสลัดด้วย! ท่านกับตระกูลเกอเจ้นสมคบกันทรยศดวงดาวนี้ และนี่คือหลักฐาน!” เจ้าหญิงผู้ตีบทแตกยื่นกล่องสีทองสลักลวดลายหัวกะโหลกสีดำสามหัวให้ทุกคนดู

   และเป็นที่รู้กันว่านั่นคือตราสัญลักษณ์ของพวกโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!!!

“เฟรเซีย! เธอเอามันมาจากไหน!” เจ้าชายอ๊อตโต้ตวาดเพราะที่จริงแล้วเขาไม่มีของจำพวกนี้อยู่กับตัวเสียหน่อย เพียงแต่เมื่อภรรยาของเขายืนกราน กลับกลายเป็นว่าทุกคนเชื่อตามนั้นกันหมด!!!     

   แต่นั่นยังไม่เลวร้ายที่สุด!

   เพราะตอนนั้นเองที่มีนายทหารสายข่าววิ่งเข้ามาในที่ประชุมและตรงไปหาลุดวิกรายงานข่าวในทันที

“ท่านนายพลครับ พวกโจรสลัดกำลังจะหนีแล้วครับ โปรดออกคำสั่ง!”นายทหารผู้นั้นรายงานเสียงดังเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนได้อีกระลอก ทว่า ลุดิกยังคงสงบ

“พวกนั้นอยู่ที่ไหน” ลุดวิกถามเรียบๆ พลางลอบสบตากับกิลเบิร์ต ต่างคนต่างไม่ยิ้ม แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าพวกเขาในเวลานี้เล่าว่า คืนนี้พวกเขาสองคนสมควรจะไปดื่มเบียร์ฉลองกันมากแค่ไหน

   คนคิดเป็นใหญ่ไม่มีใครโง่เขลา และคนคิดการใหญ่นั้น...ใจต้องนิ่งพอ

   ไม่ต้องรอรายงาน เพราะทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่ตัดสัญญาณเข้าช่องข่าว ปรากฏว่าสื่อมวลชนรายงานภาพที่คฤหาสน์ของเจ้าชายอ๊อตโต มีเรือรบอวกาศปริศนาพุ่งออกมาจากใต้ดินของคฤหาสน์ และนั่นคือยานรบลำเดียวกับที่ก่อเรื่องไว้ก่อนหน้านี้ ยานรบของพวกโจรสลัด!

“ว้าว! คาหนังคาเขาเลยนะ!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้ม ดูเหมือนอเล็คเซ่จะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้อย่างดียิ่ง แบบนี้สิถึงจะสามารถทำการค้ากันในระยะยาวได้

“อืม จับภาพได้คมชัดดีจริงๆ” ลุดวิกเดินเข้ามายืนข้างกายภรรยาและอดไม่ได้ที่จะใช้แขนโอบรอบเอวอีกฝ่าย เขาหันไปส่งยิ้มแสนหล่อเหลาเจิดจ้าให้กับภรรยาคนเก่ง “เธอควรยอมรับว่าเราควรคู่กันจริงๆ”

“เห ฉันไม่ทำอะไรโหดร้ายแบบคุณหรอก ท่านสมาชิกรัฐสภา” กิลเบิร์ตยิ้มหวานและเอนกายพิงฝ่ายตรงข้าม ดวงตากวาดมองความโกลาหลยุ่งเหยิงอย่างนึกสนุก “ว่าแต่ เป็นผู้ชนะนี่ดีจริงๆนะ” เพราะลิ้มรสความพ่ายแพ้มามาก ยามนี้พอได้เป็นผู้ชนะกลับรู้สึกว่าน่าพึงพอใจมาก

“ถ้าเธอยืนข้างๆฉัน เราก็จะชนะไปด้วยกันตลอดไปไงล่ะ” คุณสามีตอบ 

   วินาทีนั้นที่สองสามีภรรยาต่างคนต่างยิ้มแสยะอย่างมีนัยยะ ผู้คนอื่นอาจไม่รู้ ใครคนอื่นอาจไม่ทันสังเกต แต่ทั้งเจ้าชายอ๊อตโต้กับคาร์ลนั้นย่อมไม่อาจละสายตา

   พวกเขาตกเป็นเหยื่อของสามีภรรยาโฉดชั่วคู่นี้!!!


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-01-2019 22:57:56
โอ๊ย ไม่น่าเชื่อว่าคาร์ลจะทรยศลุควิคได้ :hao5:
นี่ซินะสามีย่อมสำคัญกว่าเพื่อน ขอให้โชคดีมีชัยอยู่ในคุกนะคาร์ล
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 06-01-2019 23:09:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 07-01-2019 07:11:15
โอ้ยแซบมาก จากที่คิดว่าไม่มีอะไร อ่านไปมาสนุกมาก o13
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-01-2019 11:36:21
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 17 การไต่สวนหักเหลี่ยมโหด 06/01
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-01-2019 23:35:27
ตามอ่านรวดเดียวแบบหยุดไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 11-01-2019 21:26:38
ตอนที่ ๑๘
แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก

   เมื่อมีพยานหลักฐานพร้อมสรรพ ลุดวิก ชไนเดอร์ในฐานะผู้นำกองทัพและดยุคแห่ออลบานีก็มีคำสั่งจับกุมเจ้าชายอ๊อตโต้ คาร์ล เออร์เนส พร้อมกับสมาชิกของตระกูลเกอเจ้น แม้แต่ประธานรัฐสภายังถูกโหวตไม่ไว้วางใจโดยสมาชิกสภาถูกเด้งออกจากตำแหน่งไปในบัดดล ส่วนคนที่ขึ้นมารักษาการณ์ก็คือ ลูคัส เออร์เนส สมาชิกรัฐสภาที่เดิมทีได้ชื่อว่าพูดน้อยยิ่งกว่าอะไร
แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ชัดแจ้งแล้วว่า ลูคัสไม่ใช่ไม่พูด แต่เขาแสร้งที่จะไม่พูดมาตั้งแต่ต้นต่างหาก การเสแสร้งของเขา ทำให้คาร์ลผู้เป็นน้องชายเข้าใจว่าลูคัสจะไม่สามารถประสานงานกับลุดวิกได้ถ้าไม่มีเขา ใครจะนึกว่าที่แท้ลูคัสมองน้องชายของตนเองขาดตั้งแต่ต้น ทั้งยังแอบจับมือกับลุดวิกอย่างสนิทสนมลับหลังคาร์ล สุดท้ายแฉเรื่องอื้อฉาวของน้องชายกลางสภาและจับน้องแท้ๆโยนเข้าคุกไปอย่างเลือดเย็น เรียกได้ว่านี่คือศึกพี่น้องหักเหลี่ยมโหดที่เลือดเย็นอย่างยิ่ง

แต่ถึงอย่างนั้น กรณีลูคัสกับคาร์ลก็ยังโหดเหี้ยมน้อยกว่าเจ้าชายอ๊อตโต้กับลุดวิกนิดหน่อย เพราะลุดวิกนั้นทันทีที่ตนเองเป็นต่อ ท่านสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงอิทธิพลท่านนี้ก็ใช้มวลชนบีบกษัตริย์ให้ปลดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกจากการเป็นรัชทายาท ใช้เวลาไม่ทันข้ามวัน เจ้าชายอ๊อตโต้โดนข้อหากบฏขายดาวแม่ เมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ไม่ต้องไต่สวนเขาก็ถูกปลดและถูกสั่งกักบริเวณ ส่วนคาร์ลอดีตเพื่อนรักโดนจับขังคุกทหาร ตระกูลเกอเจ้นโดนปลดจากทุกตำแหน่งในคณะรัฐบาล ส่วนเจ้าหญิงเฟรเซียมีความดีความชอบจากการเปิดเผยความจริง เธอได้รับอนุญาตให้หย่าขาดจากเจ้าชาย และถอนตัวจากการเป็นสมาชิกตระกูลเกอเจ้น ยามนี้เธอจึงขอสมัครเข้ามาทำงานเป็นเลขานุการให้กับกิลเบิร์ตแทน

เมื่อสิ้นวันทุกอย่างกลับตาลปัตร ลุดวิกได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทตามกฎหมาย คนของเขาครอบครองตำแหน่งประธานรัฐสภา ส่วนกิลเบิร์ตผู้เป็นภรรยาได้รับความชื่นชมจากทุกฝ่ายและต่างยอมรับเขาเป็นชายาของเจ้าชายอย่างถูกต้องและสมเกียรติ เรียกได้ว่านี่คือชัยชนะอย่างเด็ดขาดของท่านดยุคกับชายา

หลายวันต่อมาคฤหาสน์ของท่านดยุคแม้ไม่ได้มีการจัดเลี้ยงใดๆอย่างออกนอกหน้า แต่ใครบนดวงดาวนี้ไม่รู้บ้างว่า คนในคฤหาสน์นี้อีกไม่นานก็จะกลายเป็นครอบครัวเจ้าอาณานิคมคนใหม่แห่งอาทีเรีย และชายาของท่านเจ้าอาณานิคมในอนาคตก็จะชายหนุ่มผมสีดำตาสีดำที่ถูกเหยียดว่าเป็นกุลีต่ำต้อยในคราแรกคนนั้นนั่นเอง นับว่านี่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดาวดวงนี้โดยแท้

เช้านี้ลุดวิกออกมาทำงานแต่เช้าปล่อยให้กิลเบิร์ตอยู่กับฟินน์และเฟรเซีย ส่วนตัวเขามีธุระปะปังต้องสะสางมากมาย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นงานในกรมทหารที่นิโคลัสแทบไม่อาจยอมปล่อยวาง ยิ่งเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย ก็ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังในทุกทาง เพียงแต่ว่าในบรรดาเรื่องที่สมควรต้องใส่ใจสำหรับเจ้านายของเขานั้น ยามนี้อาจรวมไปถึงเรื่องภายในครอบครัวด้วย แม้ผู้คนจะเริ่มยอมรับภรรยาของท่านนายพลของเขาได้ แต่นิโคลัสกลับยังคงเว้นระยะห่าง

กิลเบิร์ตคนนั้นต่อให้ตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกทิ้ง แต่ก็ยังมีข้อน่าสงสัยมากมาย คนๆนั้นเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่อาทีเรีย ทำไมถึงสามารถช่วงชิงความสนใจไปจากเจ้านายของเขาได้อย่างรวดเร็ว กับทั้งเรื่องที่มีคดีกับพวกโจรสลัดแล้วกลับยังสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยด้วย คนๆนั้นไม่ธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดานี่กลับทำให้ยิ่งรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ

“วันนี้ก็มีเทียบเชิญจากท่านสมาชิกรัฐสภามาอีกแล้วนะครับ ท่านนายพลจะไม่ตอบรับคำเชิญไปทานมื้อค่ำสักหน่อยหรือครับ” นิโคลัสถามผู้เป็นเจ้านายที่นั่งทำงานอยู่ตามปกติ เพียงแต่ช่วงนี้ท่านนายพลลุดวิกออกจะแอบเหม่อบ้างเป็นบางครั้ง และดูนาฬิกาบ่อยขึ้น หลังเลิกงานหากไม่มีธุระปะปังที่อื่นก็จะตรงกลับบ้านทันที คนนอกใครดูก็รู้ว่านี่คืออาการของคนที่กำลังหลงภรรยาอย่างโงหัวไม่ขึ้น แต่จะให้หลงใหลคนแบบนั้นจนมองข้ามเทียบเชิญของตระกูลผู้ดีอื่นๆเขาก็เห็นว่าผิดแผกและน่าเสียดาย เจ้านายของเขาควรได้คู่ครองที่ดีงามกว่านั้น “ตระกูลเจรามี ได้ข่าวว่ามีคุณชายรูปงามมากนะครับ แถมตระกูลนั้นสืบเชื้อสายจากมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูง คุณชายสามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ด้วย”

“แล้วไงรึ” ลุดวิกตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางลงชื่อในเอกสารต่อ

“เมื่อท่านนายพลขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคมย่อมสมควรมีทายาทและคู่ครองที่คู่ควรมิใช่รึครับ” นิโคลัสพูดต่อในขณะที่ลุดวิกเหลือบสายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารดังป้าบ สีหน้าท่าทีแสดงออกถึงความมึนชาชัดเจน

“ฉันมีภรรยาที่ดีพร้อมอยู่แล้ว เรื่องลูกสมัยนี้ไม่ใช่ว่าเราสามารถใช้ครรภ์เทียมให้กำเนิดเด็กได้แล้วหรอกรึ นี่คุณยังดักดานอยู่กับวิสัยในโลกเก่าหรือไง” ตอบพลางยืดตัวกอดอกมองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพินิจ นิโคลัสเป็นผู้ภักดีโดยแท้ และเขาไม่เคยสงสัยในความภักดีนั้น ทว่า ต่อให้ภักดีต่อกันมากแค่ไหน ความจงรักภักดีนั่นก็ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึงกิลเบิร์ต ในสายตานิโคลัส กิลเบิร์ตยังเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควร “นิโคลัส คุณควรรู้ว่าเขาเป็นคนที่ฉันเลือก”

“แต่ท่านสามารถเลือกได้มากกว่านั้นไม่ใช่รึครับ หากท่านรักคุณกิลเบิร์ตท่านจะให้เขาเป็นภรรยาเอกต่อไปก็ได้ แต่จะไม่เหลียวแลพันธมิตรตระกูลอื่นเลย ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียโอกาส” เขายังคงยืนกรานเสียงแข็งในความเห็นของตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ตาม กิลเบิร์ตก็ไม่อาจเป็นชายาที่ชอบธรรมของเจ้าอาณานิคมได้ คนๆนั้นนิโคลัสให้ค่าไว้อย่างมากก็แค่นางบำเรอคนหนึ่ง เลี้ยงดูให้ความรักได้ แต่เอาออกงานนั้นย่อมไม่ได้ “หากเป็นไปได้ ผมปรารถนาให้ท่านหย่าขาดจากเขาเสียด้วยซ้ำ”

“หยุดพูดซะ!” ลุดวิกตวาดขึ้นตัดบท ดวงตาสีฟ้าจ้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโกรธขึ้งไม่พอใจ แม้รู้อยู่เต็มอกว่านิโคลัสนั้นหวังดี แต่ความหวังดีนี้กลับทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยว นั่นคือกิลเบิร์ตภรรยาของเขา เป็นคนที่เขาเลือก เป็นคนที่เขาพอใจ แต่เพราะคนๆนั้นสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีอะไรเลย ในยามนี้เขาถึงถูกดูแคลนว่าไม่คู่ควร “ยามที่ฉันลำบากกิลเบิร์ตอยู่กับฉัน นิโคลัส!”

“ท่านนายพล...”

“ดังนั้นฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาในยามที่ฉันได้ดีมีสุข คุณตัดใจเถอะ” ตัดบทเพียงเท่านั้นพลางหยัดกายลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทำงาน “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่เฉพาะเรื่องในครอบครัวของฉัน คงต้องขอให้คุณปล่อยวาง”

   วินาทีนั้นนิโคลัสอับจนด้วยคำพูด เขาจะพูดอะไรได้อีกเล่าในเมื่อผู้บังคับบัญชาของตนเองปิดประตูนี้ทิ้ง แทนที่จะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นที่คู่ควรมากกว่า แต่สุดท้ายก็ยังยึดติดอยู่กับคนไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง แม้เป็นสุภาพบุรุษน้ำงามที่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ทว่า ท่านนายพลลุดวิกก็ได้ทิ้งโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่านี้ทิ้งไปแล้ว

“ผมเองก็จะยอมรับในสิ่งที่ท่านเลือกครับ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม ท่านนายพล” นิโคลัสตอบก่อนจะโค้งคำนับและเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ขุ่นมัว

   ฝ่ายลุดวิกสุดท้ายเขาก็ฝืนตัวเองทำงานต่อไปจนเสร็จ ตกมืดค่ำจึงได้ให้คนขับรถขับพาไปในเมือง ในวันนี้เขาขับผ่านร้านรวงหลายที่และเห็นผู้คนจับกลุ่มพูดอะไรมากมาย เขาในยามนี้ไม่อาจปลอมตัวเข้าไปสุงสิงกับผู้คนดังเดิมได้แล้ว แต่ย่อมอดไม่ได้ที่จะลอบฟังตามร้านค้าต่างๆว่าผู้คนพูดคุยอะไรกัน

   หัวข้อสนทนายังคงเป็นเรื่องเดิมๆ เรื่องการเมือง เรื่องอำนาจ เรื่องการเปลี่ยนยุคสมัย ไปจนถึงเรื่องคู่ครอง น่าแปลกที่คำพูดของนิโคลัสกลับมาวนเวียนหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อยามนี้ประชาชนเองยังเอาเรื่องครอบครัวของเขามาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังพูดถึงกิลเบิร์ตในหลายแง่มุม

   แม้พยายามแสดงให้เห็นแล้วว่ากิลเบิร์ตคือคนที่เขายอมรับเป็นภรรยา และเป็นคนเก่งมีความสามารถ แต่ในสายตาประชาชน ด้วยรูปลักษณ์และชาติกำเนิด หลายต่อหลายคนก็ยังวิจารณ์อยากให้ลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมคนใหม่รับภรรยาเพิ่ม ผู้คนมากมายต่างคาดหวังความสมบูรณ์แบบ พวกเขาเชื่อว่าลุดวิกคือผู้นำที่สมบูรณ์แบบ และพานคาดหวังให้ภรรยาของท่านผู้นำไร้ที่ติไปด้วย ทว่า สำหรับลุดวิก ยามนี้เขากลับรู้แน่แก่ใจว่าตนเองไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าแมวเถื่อนตัวนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยวางไปได้ หากเขาปล่อยไปกิลเบิร์ตจะเป็นอย่างไรต่อไป จะไปตกอยู่ในมือของอเล็คเซ่ ไปถูกใครกลั่นแกล้งรังแก ถูกใครทำร้าย หรือแม้แต่สุดท้ายจะต้องร้องไห้จนใบหน้าเปียกปอนอย่างครานั้นที่ถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ทำร้ายหรือเปล่า ยิ่งคิด ยิ่งไม่อาจปล่อยวาง

“เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้ข่วนซะหน้าอกของฉันเป็นรอยเลยนะ” ลุดวิกยิ้มกับตัวเอง ใช่แล้ว เล่นข่วนเสียจนหัวใจของเขาเป็นแผลเลยทีเดียว

   ในเวลาเดียวกับที่ลุดวิกถูกบีบคั้นอย่างหนักจากสังคม กิลเบิร์ตกลับไม่ได้สนใจเรื่องราวที่คนภายนอกจะมองเขานัก ค่ำนี้เขาใช้เวลาทานข้าวกับเฟรเซียและฟินน์ ใช้เวลาทั้งวันสอนสองพี่น้องให้หัดใช้พลังจิตในฐานะเอสเปอร์ เริ่มจากการควบคุมปริมาณที่เหมาะสม และเทคนิคง่ายๆหลายๆแบบ แม้คนที่อเล็คเซ่ส่งมาสอนพวกเขาตอนแรกจะทำได้ไม่เลว แต่นั่นยังไม่พอเพียง เมื่อดาวดวงนี้เปลี่ยนแปลงไป ยุคสมัยของเอสเปอร์แห่งอาทีเรียจะต้องมาถึง เมื่อถึงวันนั้นเขาไม่อยากให้เด็กสองคนนี้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใครอีก

“พวกโจรสลัดจะไม่ตามพวกเราแล้วหรือครับ” ฟินน์เอ่ยถามขณะที่การฝึกประจำวันจบลง วันนี้พวกเขาได้รับคำชมจากกิลเบิร์ตค่อนข้างมาก เด็กหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “คนที่ชื่ออเล็คเซ่จะไม่มาราวีคุณกับท่านดยุคแล้วหรือครับ”

“อ้อ ไม่หรอก เพราะว่าเขามีของแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าพวกเธอแล้วน่ะ” กิลเบิร์ตลูบศีรษะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆพลางจิบชา ในตอนนั้นเฟรเซียก็เอนตัวมาพิงเขาและกอดแขนออดอ้อนบ้าง “นั่นปะไร คุณหนูคนนี้อยากได้อะไรเอ่ย”

“คุณกิลเบิร์ตเลี่ยงคำตอบใช่ไหมคะ ไม่อยากให้พวกเรารู้เหรอว่าคุณแลกอะไรกับโจรสลัดใจร้ายคนนั้น” เฟรเซียอ้อนเสียงหวาน หลังจากถอดคราบเจ้าหญิงออก เธอก็กลับมาเป็นสาวน้อยคนเดิมอย่างที่เคยเป็น แม้อายุยี่สิบปีแล้วแต่เธอก็ติดการอ้อนคนอื่นอย่างที่พี่ชายชอบทำ ท่าทีของเธอนั้นย่อมถูกใจกิลเบิร์ตอย่างยิ่ง เขาชื่นชมเด็กหนุ่มสาวคู่นี้ เพราะนอกจากจะมองแล้วสบายตามากๆ ยังรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก ยิ่งเป็นเด็กที่ผ่านเรื่องร้ายๆมา เขายิ่งรู้สึกว่าฟินน์กับเฟรเซียสมควรได้รับความเอ็นดู กิลเบิร์ตรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนเองที่ต้องปกป้องเด็กคู่นี้

   และบางทีในอนาคต อาจรวมถึงเอสเปอร์ที่ยังหลับใหลบนดาวดวงนี้ด้วย

“พวกเธอจะปลอดภัย อเล็คเซ่จะได้ของที่เขาต้องการโดยไม่ต้องมายุ่มย่ามกับพวกเธออีก ฉันรับรอง” กิลเบิร์ตตอบพลางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ในแวบหนึ่งฟินน์กับเฟรเซียรู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นใครจะไปสน กิลเบิร์ตจะโหดร้ายกับใครก็ได้ ขอแค่คนๆนี้ดีกับพวกเขาก็พอ พวกเขาชอบกิลเบิร์ตและอยากอยู่กับคนๆนี้ “วันนี้ดึกแล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ พรุ่งนี้ยังต้องฝึกแต่เช้านะ”

“เข้มงวดจัง!” ฟินน์เอ่ยเล่นๆขึ้นมา แต่ฝ่ายคนโตกว่ากลับหัวเราะ

“ถ้าเข้มงวด พวกเธอก็จะเก่งขึ้นไวๆ ยิ่งเก่งขึ้นมากเท่าไหร่ก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น จำไว้นะ จักรวาลนี้สำหรับเอสเปอร์ หากไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกเธอก็จะเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตราย” นั่นคือคำตอบที่ทำให้เด็กทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน การที่กิลเบิร์ตพูดกับพวกเขาเช่นนี้ นั่นจะเป็นเพราะการมองโลกในแง่ร้าย หรือว่าแท้ที่จริงเขารู้สึกเช่นชั้นจริงๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จักรวาลนี้ก็ไม่น่าจะใช่สถานที่ๆดีสำหรับพวกเขาเลย “อย่าเข้าใจผิดนะ มีคนดีอยู่มากมายเลยล่ะ เพียงแต่ว่า...เก่งไว้ย่อมดีกว่า”

   สุดท้ายกิลเบิร์ตส่งเด็กทั้งสองขึ้นนอน ส่วนตัวเองนั่งอ่านหนังสือจิบน้ำชาอยู่คนเดียวเช่นเคย เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนเกิดเรื่องขึ้นมากมายในชีวิตเขา จากเดิมที่อยู่บนจุดสูงสุดร่วงลงมากระแทกพื้นแตกยับ หากเขาไม่ใช่เอสเปอร์ที่เก่งกาจ ยามนี้มิต้องถูกอารอนกับเฟรเดอริคจับไปประหารด้วยกิโยตินจนหัวหลุดจากบ่าแล้วหรือ ถึงที่สุดก็มีแต่ตัวเองที่ต้องพึ่งพาตัวเอง การที่เขามาถึงอาทีเรียและได้พบกับลุดวิก ท้ายที่สุดลุดวิกก็จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของเขา แล้วเฉดหัวทิ้งหรือเปล่า

   ยิ่งลุดวิกได้สิ่งที่ต้องการไวเท่าไหร่ กิลเบิร์ตก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีแต่ความไม่มั่นคง เขาย่อมรู้สึกดีในตอนนี้ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนั้นในฐานะผู้ชนะ แต่นั่นก็แค่ตอนนั้น เพราะยิ่งหลายวันนี้ได้เห็นภาพของผู้คนที่ชื่นชมลุดวิก เห็นคนๆนั้นคว้าชัยชนะได้ทุกอย่าง มันก็เหมือนการตอกย้ำว่าว่าท้ายที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อลุดวิกได้เป็นเจ้าอาณานิคมแล้วก็จะเขี่ยเขาทิ้งแบบเดียวกับที่เฟรเดอริคทำหรือเปล่า

“ก็...เราตกลงกันไว้แค่นั้นนี่นะ” กิลเบิร์ตพูดกับตัวเองพลางทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าเมื่อจัดการเรื่องอารอนกับอเล็คเซ่ได้แล้ว อีกไม่นานคำสัญญาทั้งหมดก็จะบรรลุผล ลุดวิกก็ไม่มีเหตุที่จะต้องรั้งเขาไว้เป็นภรรยาแต่เพียงในนามอีกแล้ว คิดถึงตรงนี้ที่กลางอกมันก็พานปวดแปลบขึ้นมา ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์กับการเอาตัวรอดแท้ๆ แต่มาถึงจุดนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาเหมือนกัน

“เจ้าโง่ มาอ่อนแอไม่เข้าท่าอะไรเอาป่านนี้” ตำหนิตัวเองและปิดหนังสือลง พอดีกับที่ได้ยินเสียงรถที่หน้าบ้าน ดูเหมือนคุณสามีจะกลับมาแล้ว

   ฝ่ายลุดวิกหลังจากเหนื่อยอ่อนใจมาทั้งวัน ปรากฏว่าเมื่อลงจากรถแล้วเห็นกิลเบิร์ตยืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าบ้าน เขากลับรู้สึกหัวใจพองโตอย่างกะทันหัน ความเหน็ดเหนื่อยหรือหงุดหงิดใจทั้งหลายทั้งมวลล้วนอันตรธารหาย เหลือเพียงความรู้สึกที่อยากจะสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วรั้งตัวภรรยามากอดให้เต็มมือเท่านั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็ทำไปจนหมดแล้ว ทั้งยังจูบข้างแก้มอีกฝ่ายจับมือคู่นั้นมาแนบแก้มดอมดมให้สมอยาก

“อุตส่าห์มารอรับหรือ เด็กๆล่ะ” ลุดวิกยิ้มหวานให้พลางถามถึงเฟรเซียกับฟินน์ซึ่งช่วงนี้เขาก็เริ่มชินกับการมีเด็กหนุ่มสาวคู่นั้นในบ้านแล้ว

“สองคนนั่นขึ้นข้างบนแล้ว คุณกลับดึกขนาดนี้เด็กหนุ่มสาววัยกำลังโตจะรอไหวหรือ อะ แต่ฉันไม่ได้มารอคุณหรอกนะ! แค่อ่านหนังสือเพลินจนคุณมาเท่านั้นเอง!” คำแก้ตัวไม่เป็นโล้เป็นพายนั่นทำเอาพ่อบ้านเบนจามินอดกระแอมขัดขึ้นไม่ได้ อ่านหนังสือรอยันเที่ยงคืนแบบนี้มันต้องเป็นหนอนหนังสือขนาดไหนกัน แน่ล่ะว่าลุดวิกจับโกหกที่ไม่เนียนเลยนี่ได้ แต่เขาเลือกจะมองข้าม ส่งเสื้อโค้ทให้เบนจามินแล้วจูงมือกิลเบิร์ตไปที่ห้องโถง ได้กลิ่นสบู่กับแชมพูอ่อนๆจากอีกฝ่ายซึ่งก็หอมเสียจนเขาอยากหอมฟัดร่างนั้นทั้งร่างเสียเดี๋ยวนี้ “อย่านะ! คุณเหม็นมากเลย!”

“มีภรรยาที่ไหนปฏิเสธสามีที่กำลังจะแสดงความคิดถึงน่ะ” ลุดวิกหัวเราะเบา ถ้าเป็นภรรยาบ้านอื่นคงยอมให้เขาจูบปากไปแล้ว แต่กิลเบิร์ตกลับผลักไสเขาซะงั้น ช่างเป็นแมวที่เรื่องมากจริงๆ

“อะไรเล่า! ถ้าไม่ยอมก็จะขอหย่าเร็วขึ้นหรือไง!” กิลเบิร์ตพูดอย่างติดตลก แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเจือความไม่มั่นใจเล็กๆไว้จนคนฟังสัมผัสได้ ความรู้สึกไม่มั่นคงนั่นสะท้อนออกมาโดยที่เจ้าตัวคนพูดไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ และบังเอิญว่าคำพูดนี้มันกลับกระตุ้นความขุ่นเคืองเล็กๆในในของลุดวิกขึ้นมาเช่นกัน

“ไม่หย่าหรอก” เขาพูดเสียงแข็ง

“เอ๋!” กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าดันเจอใบหน้าขมึงทึงของลุดวิกมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฉันไม่หย่าให้เธอหรอก!”

“หะ!”

   วินาทีนั้นเองที่กิลเบิร์ตผงะไป ส่วนลุดวิกสาวเท้าเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอน ในขณะที่เบนจามินที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่งสายตาอิดหนาระอาใจมาให้กิลเบิร์ต เขาเห็นความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้มาตั้งแต่คืนแรกที่ลุดวิกพากิลเบิร์ตมาที่นี่ ในสายตาคนนอกเขาเห็นแต่คุณผู้ชายเป็นฝ่ายพะเน้าพะนอคุณผู้หญิงท่านนี้ แต่กิลเบิร์ตกลับบ่ายเบี่ยงมาตลอด แม้จนสุดท้ายร่วมหอลงโลง ร่วมเป็นร่วมตาย แต่ก็ยังมีกำแพงตั้งตระหง่านขวางทางรักเอาไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาย่อมมองว่านี่เป็นปัญหาของฝ่ายภรรยา

“หมอนั่นโกรธอะไรน่ะ!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นโดยไม่ได้รับรู้เลยว่า ปัญหาก็คือตัวเขานั่นล่ะ

“ก็สมควรโกรธนะครับ สามีกลับบ้านมา ภรรยาพูดขอหย่าซะอย่างนั้น เป็นผมก็โกรธครับ” เบนจามินทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าหรือเพราะลุดวิกกับกิลเบิร์ตโดยพื้นฐานเป็นผู้ชายทั้งคู่ เรื่องจะให้หวานกันตลอดนั้นจะเป็นไปได้ยาก แต่คิดไปคิดมา นั่นไม่น่าเป็นปัญหา มีใครปัจจุบันนี้บ้างที่เอาเรื่องเพศมาเป็นปัญหาใหญ่ นี่น่าจะเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวมากกว่า “คุณต้องไปง้อแล้วล่ะนะผมว่า”

“ง้อ? ฉันน่ะนะ!” กิลเบิร์ตโวยอีกรอบ นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองผิดอะไร ทำไมเขาต้องง้อล่ะ!

“ไม่ได้สำนึกความผิดเลยจริงๆสินะ เฮ่อ! ความสัมพันธ์สามีภรรยาไม่เหมือนการขัดรองเท้าที่คุณจะขัดไปเรื่อยตามแต่ใจโดยอีกฝ่ายไม่บ่นนะ! ของแบบนี้มันต้องดูแลกันหน่อย! เอ้า! รีบไปง้อเร็ว!” เบนจามินถือโอกาสนี้ใช้ความอาวุโสและฐานะอดีตหัวหน้างานตบบ่าให้กำลังใจกิลเบิร์ต ไอ้เรื่องแบบนี้มันต้องมีความกล้ากันหน่อย! “ว่าแต่ขอถามหน่อย คุณน่ะต้องใช้ครรภ์เทียมไหม”

“ฉัน?” งงไปอีกรอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร

   ครรภ์เทียมที่ว่าไม่ได้หมายถึงการปลูกถ่ายมดลูกเทียมอะไร แต่หมายถึงเทคโนโลยีการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตจากเซลล์สืบพันธุ์ของคู่สามีภรรยาไม่ว่าเพศเดียวกันหรือต่างเพศ มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ตั้งแต่มาตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพศหญิงไม่จำเป็นต้องรับภาระให้กำเนิดบุตร แต่สามารถใช้มดลูกเทียมเพื่อการนี้ได้ ทว่า ก็ยังมีเพศหญิงที่นิยมการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และเพศชายบางกลุ่มที่เกิดการกลายพันธุ์จากวิวัฒนาการจนสามารถให้กำเนิดทารกโดยธรรมชาติได้เช่นกัน เรียกได้ว่า วิวัฒนาการพันธุกรรมศาสตร์นั้นก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว และอาจเพราะเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งงานไม่ว่ากับเพศใดอีก

   คำถามของเบนจามินจึงตีความได้ว่า กิลเบิร์ตเป็นเพศชายที่สามารถให้กำเนิดลูกได้โดยธรรมชาติ หรือเขาต้องการให้กำเนิดทารกโดยการใช้ครรภ์เทียมในโรงพยาบาล สองอย่างนี้ย่อมต่างกันที่ความยากง่ายและการดูแล เพียงแต่คำถามนี้ทำเอากิลเบิร์ตอึ้งไปเหมือนกัน

   เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าตัวเองท้องได้หรือเปล่า?

“จะไปรู้เรอะ!” สุดท้ายกิลเบิร์ตปัดคำถามนั้นตกอย่างรวดเร็ว อันที่จริงจะมาคิดทำไมว่าจะมีลูกแบบไหน ยังไงเสียเขาก็ไม่มีวันมีลูกกับลุดวิกหรอก!

   เมื่อจบสัญญานี้ พวกเขามีชะตากรรมที่ต้องต่างคนต่างไป!

   แม้จะกระอักกระอวลใจ แต่สุดท้ายกิลเบิร์ตก็ต้องด้อมๆมองๆหาโอกาสเดินเข้าห้อง ไม่ใช่จะง้อหรอกนะ เขาก็แค่ต้องเข้ามานอนในห้องเท่านั้นเอง!

“เอ๋ อาบน้ำหรือ” กิลเบิร์ตไม่เห็นลุดวิกในห้องแต่ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเลยลิงโลดรีบปีนขึ้นเตียงห่มผ้า หมายจะแกล้งหลับ ถือเสียว่าคืนนี้ทะเลาะกันพอพรุ่งนี้เช้าก็ลืมๆไปเองแหละ!

   ทว่า ในตอนที่ใกล้จะเคลิ้มหลับนั่นเองที่พลันรู้สึกว่าเตียงยวบลง มิหนำซ้ำแขนปลาหมึกกลับยั้วเยี้ยมากอดเข้าเต็มรักตามด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่กดลงบนร่างของเขา รู้ตัวได้สติอีกทีก็ถูกริมฝีปากอีกฝ่ายจูบเข้าเต็มที่ เรียวลิ้นนุ่มแต่สากโลมเลียริมฝีปากของเขาก่อนจะสอดแทรกเข้ามาลิ้มเลียชมไปทั่วโพรงปาก ส่วนมือไม้นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะจัดการกลัดกระดุมเสื้อทิ้งและใช้ปลายนิ้วแตะลงบนยอดอกของเขาจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน

“หยุดนะ! ลุดวิก!” กิลเบิร์ตพยายามผลักไส แต่พอสบตาเจ้าคนหน้าไม่อายตรงๆ อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าขมึงทึงมุ่นคิ้วเสียแก่กว่าอายุไปหลายปี ก่อนจะลงมือจูบฟัดข้างต้นคอเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “อย่านะ! ฉันง่วงแล้วนะ! ไม่มีอารมณ์อย่างว่ากับคุณหรอก!”

“ถ้าไม่มีก็แค่ทำให้เธอมีเท่านั้นเองนี่ เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชาพลางลงมือกระชากกางเกงคู่กรณีและลูบไล้เรียวขางามที่เขาชมชอบอย่างยิ่ง “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้เธอจะเข้าใจผิดว่าฉันคิดหย่าขาดจากเธอนะ”

“หา!” เบิกตากว้าง ไหงลุดวิกเอาเรื่องหย่ามาเป็นเหตุผลแบบนี้เล่า นี่มันข้ออ้างอะไรกัน!

“สามีที่ไม่เชยชมภรรยาบ่อยๆจะถูกหาว่าแหนงหน่ายหมดรัก นี่ฉันก็กำลังแสดงให้เธอเห็นว่าฉันทั้งรักทั้งหลงเธออยู่ไง” คนหน้าไม่อายหยิบยกเหตุผลบ้าบอที่สุดเท่าที่กิลเบิร์ตจะเคยได้ยินมามาแอบอ้าง ทั้งยังทำร้ายเขาเสียจนเนื้อตัวอ่อนยวบยาบ “ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่หย่ากับเธอ ต่อให้เธออยากหย่า ฉันก็ไม่หย่า!” นั่นคือข้อสรุปของเขาหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยจนหัวโล่งแล้ว ไม่ว่าใครจะว่ายังไงหรือกิลเบิร์ตจะเถียงยังไง ถ้าเขาไม่หย่าเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเขาได้!

“เดี๋ยวสิ! แล้วข้อตกลงของเราล่ะ!” กิลเบิร์ตประท้วง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงจะเป็นสามีภรรยากำมะลอ จบงานแล้วต่างคนต่างไปเรอะ! “นี่เข้าใจรึเปล่าว่าคุณกำลังผิดคำพูดน่ะ!”

“ฉันพูดตอนไหนว่าจะเป็นฝ่ายขอหย่า เธอพูดเองเออเองทั้งนั้น!”

“!”

“ทำไมฉันจะต้องหย่ากับภรรยาที่เพียบพร้อมที่สุดของตัวเองด้วย! ไร้สาระที่สุด!” ลุดวิกตอบอย่างจริงจัง เขาในตอนนี้เข้าใจดีถึงความอ่อนไหวในหัวใจของกิลเบิร์ต ยิ่งเรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ยิ่งเข้าใจดีว่าความไม่มั่นคงนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนเพียงใด แม้แต่คนรอบข้างของเขายังยุแยงให้เขามีภรรยาใหม่ ประสาอะไรกับกิลเบิร์ตที่มีปมในเรื่องนี้ที่คลายไม่ออก “เธอเป็นภรรยาของฉัน และฉันในตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไป ฉันจะเป็นเจ้าอาณานิคม และจะช่วยเธอจัดการปัญหาที่กำลังจะตามมารังควานเธอ ไม่ใช่แค่ตอบแทนที่เธอช่วยฉัน แต่นี่คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะสามีภรรยา!”

   คำพูดของลุดวิกนั้นเรียกได้ว่าทั้งชัดเจนและมั่นคงจนกิลเบิร์ตนึกสั่นสะท้านขึ้นมา เขาย่อมอดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวไปกับคำพูดที่คลับคล้ายจริงใจอย่างที่สุดนั่น ก่อนหน้านี้รู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกเศร้าใจลึกๆอย่างไม่มีสาเหตุ คำพูดของลุดวิกที่ดูจริงใจมากๆนี่กลับยิ่งทำให้รู้สึกสั่นไหว

“คำพูดคน พูดได้ก็ลืมได้” กิลเบิร์ตตอบ ใช่แล้ว วันนี้ไม่ แต่อนาคตล่ะ “ถ้าคุณเจอใครคนใหม่ที่ดีกับคุณมากกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า คุณจะมาไยดีอะไรกับฉัน ก็แค่แมวข้างถนนที่คุณเก็บได้เท่านั้น” ยิ่งคิดน้ำตามันก็พานจะไหลออกจากหางตา เจ็บที่กลางอกจนต้องซุกใบหน้าลงกับหมอน ทำไมถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้ รวดร้าวขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพูดปาวๆว่าเพื่อผลประโยชน์ แต่มาตอนนี้เขากลับเป็นคนที่พูดได้ไม่เต็มปากเสียแล้ว พอคิดว่าจะถูกลุดวิกทิ้งอีกคนก็รู้สึกวูบโหวงในอก 

“งั้นฉันเองก็แค่ถังขยะโสโครกที่แมวตัวนั้นมานอนอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน”

“!”

“เราอยู่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นในตรอกมืดมนหรือกลางฟลอว์เต้นรำที่หรูหรา”

“ฉัน...” ลุดวิก อยากพูดอะไรกันแน่

“กิลหันมาหาฉัน” ลุดวิกสั่งเบาๆ น้ำเสียงของเขายามนี้อ่อนลงหลายส่วน “หันมาเถอะ ขอฉันเห็นหน้าเธอ” ว่าพลางรั้งรอจนผู้ฟังนั้นค่อยๆผินหน้ามา แม้พยายามปาดน้ำตาออก แต่ความรวดร้าวที่สะท้อนในนัยน์ตาคู่นั้นกลับมากมายนัก “อยู่กับฉันเถอะ อยู่ข้างๆฉัน ในยามลำบากเรามีกันและกัน ดังนั้นในยามที่รุ่งโรจน์ ฉันก็จะมีเธอเพียงคนเดียว”

   คำพูดนั้นช่างแปลกประหลาด เหตุเพราะมันไม่ใช่คำสารภาพรัก ไม่ใช่คำขอแต่งงาน ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการบอกกล่าว บอกกล่าวถึงความจริงใจ และความบริสุทธิ์ใจที่จะมีให้กัน ประหนึ่งคนพูดนั้นรู้แก่ใจว่าสิ่งที่คนฟังต้องการมากที่สุดหาใช่คำรัก สิ่งที่กิลเบิร์ตปรารถนามากที่สุดในตอนนี้กลับเป็นคำมั่นสัญญาสามัญธรรมดา

   หากสามีเก่าของเธอทอดทิ้งเธอยามมั่งมี เช่นนั้นตัวฉัน...ก็จะมีเธอเพียงคนเดียวในทุกวินาทีของชีวิต

“ฉัน เชื่อคุณได้หรือ” กิลเบิร์ตถาม เขาเคยเชื่อ เขาเคยเจ็บ จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรเชื่อดีหรือไม่ ทว่า คำตอบของลุดวิกกลับเป็นจูบแสนอ่อนโยนที่มอบให้ ดวงตาสีฟ้าสวยที่มองเขาอย่างตั้งใจ แววตาเช่นนี้กิลเบิร์ตคลับคล้ายว่าไม่เคยเห็นมันจากผู้ใดมาก่อน ไม่เคย แม้แต่กับอดีตสามี

“ฉันจะเป็นคนแบกรับภาระการพิสูจน์นั้นเอง”

“ลุดวิก...”

“ให้ฉันได้พิสูจน์มันต่อหน้าเธอด้วยเถอะ”

   ภาระการพิสูจน์รักในครั้งนี้ ลุดวิก ชไนเดอร์จะเป็นผู้แบกรับไว้เอง



จบตอน

ดีใจหากทุกคนชอบนะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวายก็จริง แต่ก็เป็นนิยายไซไฟเช่นกันค่ะ หลังจากนี้จะค่อยๆเผยปมของตัวละครค่ะ

ส่วนตอนหน้าเตรียมต้อนรับตัวละครชุดใหม่กันค่ะ

หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-01-2019 23:02:24
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 12-01-2019 00:47:59
ดีใจที่มาอัพน้า สงสารกิลที่มีแต่คนดูถูกทั้งที่เป็นเก่งขนาดนั้น

ว่าแต่ตัวละครเซ็ทใหม่นี่ใช่สามรเก่าขอวกิลหรืแเปล่า? ถ้าใช่จะลับมีดรอเลย 5555
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 17:38:44
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 14-01-2019 21:51:03
ยิ่งอ่านยิ่งสนุก ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตาม o13
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 18 แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก 11/01
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 15-01-2019 06:46:15
อยากอ่านต่อแล้ว มันสนุกจริง มีความแฟนตาซีสูงมากกกกกกกก ชอบจริง

ตัวละครทีมใหม่มาจากเทสล่ารึเปล่า มันจะต้องสนุกไปอีก กิ๊ๆ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 19 คำสารภาพของแมวโง่ตัวหนึ่ง 16/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 16-01-2019 14:18:54
ตอนที่ ๑๙
คำสารภาพของแมวโง่ตัวหนึ่ง

       หลายสัปดาห์ต่อมากษัตริย์ประกาศสละราชสมบัติอย่างกะทันหันโดยอ้างว่าป่วยหนักต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดยุคแห่งออลบานี ลุดวิก ชไนเดอร์ ในฐานะทายาทโดยชอบธรรมได้รับตำแหน่งเจ้าอาณานิคมภายใต้การรับรองจากรัฐสภาและสภาการทหารไปอย่างงดงาม ทว่า กิลเบิร์ตผู้เป็นชายาของนั้นกลับได้รับแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์สุดจะดูแคลนจากผู้คน ก็ใครใช้ให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวถึงขนาดที่ว่าไม่มีแม้แต่นามสกุลจะใช้เล่า แต่แม้ชายาคนสำคัญแทบจะไร้ค่าเทียบเท่าทาสี ราชาคนใหม่อย่างลุดวิกไม่เพียงไม่สนใจคำวิจารณ์ แต่กลับแสดงความรักที่มีต่อชายาอย่างออกนอกหน้า

   ยกคฤหาสน์หลังเดิมให้เป็นสินสมรส ยกที่ดินชานเมืองให้ ยกเหมืองเกลือให้ แทบจะประเคนให้ทุกอย่างทั้งรักทั้งหลงออกนอกหน้ากันสุดๆ จนหนุ่มน้อยสาวน้อยที่หวังตีท้ายครัวชาวบ้านกัดผ้าเช็ดหน้าแทบขาดด้วยความริษยา อีแบบนี้ท่านเจ้าอาณานิคมคนใหม่คงยังไม่คิดหาภรรยาเพิ่มเป็นแน่ น่าขัดใจนัก! หนูมากมายอยากตกถังข้าวสาร แต่ถังข้าวสารดันปิดฝามิดชิดไม่ยอมให้ตกเสียนี่!

ไม่ชอบใจก็เรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อเป็นชายาก็จำเป็นต้องยอมรับ สุดท้ายรัฐสภายอมรับการแต่งตั้งชายาอย่างเป็นทางการ ลูคัส เออร์เนสเป็นผู้ประกาศรับรองฐานะของกิลเบิร์ตตามกฎหมาย ยศของกิลเบิร์ตในยามนี้คือ กิลเบิร์ต ชไนเดอร์ ดยุคแห่งเดวอนเชียร์ คู่สมรสของกษัตริย์อาทีเรีย

ถึงตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นภรรยาของเจ้าอาณานิคมใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างคล้ายกลับมาเป็นเหมือนเดิมในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ถามว่าเจ้าตัวนั้นจะใส่ใจกับยศถาบรรดาศักดิ์อะไรพวกนี้ไหม คำตอบคือไม่ คนเคยขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาขาหัก หลังจากนั้นจะพบเจออะไรก็เฉยชาไปเสียหมด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือเรื่องไม่กี่เรื่อง หนึ่งคือเรื่องอารอน และสองคือเรื่องที่ตัวเองพอจะทำได้เพื่อช่วยเหลือคนบนดาวดวงนี้แม้สักเล็กน้อย กิลเบิร์ตเคยลิ้มรสวินาทีชีวิตที่จะอดตายข้างถนนมาแล้ว มีกินเขาย่อมมีความสุข แต่พอมีแล้วก็คิดถึงการแบ่งปันให้คนอื่นด้วย ดังนั้นสิ่งแรกที่กิลเบิร์ตทำหลังได้ตำแหน่งมาก็คือการหาทางขายของในคลังทรัพย์สินของอาทีเรียเพื่อนำเงินมาปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในนครหลวง

“เสื้อผ้ามีแค่พอใส่ออกงานก็ถือว่าพอ ของอะไรไม่จำเป็นให้ขายทิ้งเสีย” กิลเบิร์ตบอกกับฟินน์และเฟรเซียในขณะที่ให้ทั้งคู่มาช่วยจัดการกับกองทรัพย์สินในพระราชวัง แน่ล่ะว่าเสียงร้องห้ามปรามนั้นดังระงม ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายของอดีตคนรับใช้ของพวกเชื้อพระวงศ์เดิม แต่กิลเบิร์ตหาแคร์ไม่ ใครจะบ่นให้ตายเขาก็ไม่สน สมองคิดเพียงการแปรสินทรัพย์เป็นทุนเท่านั้น โปรเจคที่เขาคุยกับลุดวิกนั้น จำเป็นต้องใช้ทุนรอนมหาศาล หากปล่อยบ้านเมืองดำเนินไปอย่างที่แล้วมา ดาวดวงนี้คงเป็นได้แค่ดาวหลังเขาไปจนถึงวันล่มสลาย

   หากคิดจะเปลี่ยน ก็ต้องเริ่มต้นเสียแต่ตอนนี้!

“คุณทำถึงขนาดนี้ไม่เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจหรือครับ” ฟินน์ถามทั้งที่รู้แก่ใจว่าคนที่ไม่พอใจนั้นเต็มไปหมด อย่างนิโคลัสที่มาส่งพวกเขาที่พระราชวังเมื่อเช้ายังมองกิลเบิร์ตเสียหน้าดำตอนที่มีคนวิ่งมาฟ้องว่ากิลเบิร์ตสั่งแงะไข่มุกตามฝาผนังไปลงทะเบียนเตรียมขายหมดแล้ว ส่วนพวกอดีตเชื้อพระวงศ์กับตระกูลขุนนางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชายาเอกของท่านราชามัธยัสถ์เสียขนาดนี้ พวกเขาจะทำตัวฟุ้งเฟ้อมากไปย่อมไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในนครหลวงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีใครทำให้ใครพอใจได้ทั้งหมดหรอก เอาเท่าที่ไหวก็พอ เวลาคนท้องหิวน่ะมันทรมานมากนะรู้มั้ย!” ท่านดยุคแห่งเดวอนเชียร์ตอบด้วยประสบการณ์ตรง เขาโชคดีที่คืนนั้นคนที่เก็บเขาได้คือลุดวิก แม้จะรู้สึกว่าซวยมากในตอนแรกที่ต้องเสียตัวแลกข้าว แต่หมอนั่นดันคิดจริงจังรับเขามาเป็นภรรยา ทว่า คงไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนี้หรอก เขาไม่อยากให้ใครต้องมาถูกข่มเหงเพียงเพราะท้องหิวอีก ยิ่งเห็นสภาพของฟินน์ที่ตัวเตี้ยม่อต้อถูกกดดันจนพัฒนาการหยุดไปเลยแบบนี้ ยิ่งรู้สึกว่าจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ “เฟรเซียจดรายการของให้หมด ส่วนเรื่องตลาด ฉันจะจัดการเอง”

“คุณรู้จักที่ปล่อยของด้วยหรือคะ?” เฟรเซียถาม เธอนึกไม่ถึงว่าคนๆนี้จะรู้กระทั่งเรื่องการค้า นอกจากเป็นเอสเปอร์ที่เก่งสุดๆแล้ว ยังรู้จักคนเยอะด้วยงั้นหรือ แม้จะไม่อยากตั้งข้อสังเกต แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย คนๆนี้จริงๆแล้วเป็นใครกันแน่ แต่แน่ล่ะ กิลเบิร์ตไม่มีวันตอบง่ายๆ 

“อา มีคนรู้จักอยู่น่ะ ถือว่าโชคดีที่อาทีเรียเป็นดาวอนุรักษ์นิยม เลยมีของขายเพียบเลย!” กิลเบิร์ตว่าพลางก็หัวเราะอย่างไม่แคร์สื่อ ช่วยไม่ได้ ใครให้เขารู้ฤทธิ์ความจนจนเสียนิสัย สมบัติมีให้ตายแต่คนบนดาวจะอดตายคาถนน มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่แบบนี้สมควรต้องแก้ไข! “เฟรเซียร่างจดหมายให้ฉันหน่อย อยากส่งไปหาคนๆหนึ่งน่ะ อ้อ แต่ว่า ถ้าเจอหมอนั่นพวกเธอต้องหลบไปให้ไกลนะ”

“หลบ??” สองพี่น้องมองหน้ากันท่าทางสงสัยกันสุดๆ จนกิลเบิร์ตเอ็นดูต้องยกมือลูบศีรษะปลอบสักยกหนึ่ง

“ตาลุงนั่นเป็นพวกโรคจิตน่ะ!”

“หา!!!”

   ตกลงกิลเบิร์ตคิดจะเจรจาการค้ากับคนแบบไหนเนี่ย!

   วันนั้นทั้งวันหมดไปกับงาน กว่ากิลเบิร์ตจะจัดการธุระปะปังเรียบร้อยก็เย็นย่ำแล้ว เขาส่งพวกเด็กๆกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองแสร้งดูนั่นดูนี่ ครั้นพอลับสายตาคนก็ใช้เทเลพอร์ตหายตัวไปอย่างแนบเนียน สถานที่ๆเขามาปรากฏตัวคราวนี้คือนอกเมืองหลวงที่ๆชายหนุ่มผู้หนึ่งยิ้มหวานรอรับเขาอยู่แล้ว จะเป็นใครได้นอกจากอเล็คเซ่ที่ตอนนี้ถูกทหารอาทีเรียตามล่าแทบพลิกแผ่นดิน แต่ที่ไหนได้เขากลับหลบซ่อนอยู่แค่ปลายจมูก ซึ่งคนที่ให้ที่ซ่อนเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน แต่เป็นกิลเบิร์ตกับลุดวิกคู่สามีภรรยาโฉดคู่นี้นี่เอง

   ทุกครั้งที่อเล็คเซ่ดูข่าวเรื่องการจับกุมเจ้าชายอ๊อตโต้ เขามักยิ้มขันกับพวกลูกน้อง ใครจะรู้ว่าผู้สมรู้ร่วมคิดตัวเอ้ในแผนนี้กลับเป็นท่านเจ้าอาณานิคมกับภรรยา นี่หากใครรู้เข้าอาจถึงขั้นโดนรุมประณาม แต่คนคิดการณ์ใหญ่ มันก็ต้องใจถึงกันบ้าง ในเรื่องนี้แม้ไม่อยากยอมรับแต่เขาก็คิดว่าลุดวิกใจใหญ่พอตัวทีเดียว และคนแบบนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะทำธุรกิจด้วย

“ฉันรู้สึกได้นะว่าหมอนั่นใกล้เข้ามาแล้ว ไง อเล็คเซ่ หวังว่านายจะไม่หักหลังฉันเอาตอนนี้หรอกนะ!” แทนคำทักทาย กิลเบิร์ตยืนกอดอกเชิดใบหน้าแสยะยิ้มถาม ส่วนคนฟังนั้นเอียงคอยักคิ้วท่าทางจริงใจเสียเต็มประดา ทั้งยังสาวเท้าเข้ามาอ้าแขนจะสวมกอด แต่กิลเบิร์ตกลับเขยิบออกห่างแสดงชัดเจนว่าเซย์โน “อย่ามาลวนลามกันนะ!”

“คุณนี่คิดมากเกินไปแล้ว แค่ขอกอดทักทายเองนะครับ” พูดจาใสซื่อ แต่แววตานั้นดูก็รู้ว่าคิดไม่ซื่อ

“เหอะๆ กอดทักทายของนายอาจทำฉันท้องน่ะสิ!” โวยขึ้นมา ตอนนี้อยู่ในที่ลับตาหมอนี่จะบ้าทำอะไรขึ้นมาใครจะรู้ แค่คืนนั้นกว่าจะรอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ทำเอาหัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆจะแย่ ดีว่าแม้หมอนี่โรคจิตแต่ก็ยังเอาการเอางานเห็นผลประโยชน์มาก่อนหรอกนะ

“เพิ่งรู้นะครับว่าคุณท้องได้ด้วย งั้นลูกของเราคงจะต้องทั้งฉลาดและน่ารักมากเลยนะครับ” อเล็คเซ่ยียวนตอบ

“จะบ้าเรอะ! ฉันจะไปท้องกับนายทำซากอะไร!”

“หรือคุณจะท้องกับสามีคนใหม่ล่ะครับ เขาคงดีใจนะครับที่ได้ลูกจากภรรยาไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบคุณน่ะ” หัวเราะอย่างเสแสร้งและเจตนายุยงให้หมางใจชัดแจ้ง ชัดเสียจนกิลเบิร์ตนึกไม่ออกว่าจะมีใครกล้าพูดอะไรเสียมารยาทแบบนี้อีกไหม แต่เพราะนี่คืออเล็คเซ่ หากเอาเหตุผลและมารยาทของปุถุชนมาใช้กับเขา คนฟังนั่นล่ะที่จะต้องดิ้นพล่านตายอนาถเอาเสียเอง “ลูกของคุณก็ต้องเป็นปีศาจแบบคุณแน่ๆ เพราะแบบนี้คุณเฟรเดอริคอยู่กับคุณมาเป็นสิบปี ยังไงก็ไม่ยอมมีลูกกับคุณไงครับ”

“ช่างหัวไอ้บ้านั่นเถอะ! เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” กิลเบิร์ตตวาด คำพูดของอเล็คเซ่แม้รู้ว่าไม่ควรฟัง แต่มันก็อดปวดแปลบที่กลางอกไม่ได้เสียที ไอ้เรื่องที่หมอนี่พูดมาไม่ใช่ว่าจะไร้สาระเสียทีเดียว เฟรเดอริคอยู่กับเขามากี่ปีแล้ว หมอนั่นไม่เคยพูดกับเขาเรื่องลูกแม้แต่คำเดียว จริงๆแล้ว หมอนั่นเห็นเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ ไม่ได้! จะมาคิดเรื่องนี้เอาตอนนี้ไม่ได้! “เลิกบ้าซะที! ที่ฉันมาหานายก็แค่จะบอกว่า คืนนี้! หมอนั่นจะมาถึงคืนนี้!”

   หมอนั่น คนที่กิลเบิร์ตไม่อยากเจอกำลังจะมาถึง ด้วยพลังจิตที่สูงส่งของเขา คนที่จะมาคือใครนั้น หรืออีกนานแค่ไหนถึงจะถึง เขาย่อมสามารถคาดคะเนได้จากรัศมีพลังจิต หากไกลเกินไปย่อมไม่รู้สึกถึง แต่เพราะรู้สึกถึงจึงสามารถรู้ว่าหมอนั่นกำลังจะเข้าสู่วงโคจรของอาทีเรีย

“คุณนี่นะ จะหลอกใช้ผมก็ควรพูดจาให้สุภาพอ่อนหวานหน่อยนะครับ” อเล็คเซ่เตือนขำๆ แต่กิลเบิร์ตกลับเบ้หน้าบอกบุญไม่รับใส่

“ขืนทำอะไรแบบนั้น นายก็จับได้พอดีสิว่าฉันไม่จริงใจ แล้วก็ อืม ไม่ใช่ว่านายชอบฉันที่เป็นแบบนี้หรอกเรอะ!” พูดไม่พูดเปล่าหัวเราะขึ้นพลางส่งยิ้มน่าหมั่นไส้และน่าหยิกในเวลาเดียวกันจนอเล็คเซ่ต้องส่ายหน้าระอาใจ สุดท้ายยังคงเป็นเขาที่ต้องปลงกับคนๆนี้ แต่เมื่อรักไปแล้วจะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ ถ้าเลิกรักได้ง่ายๆจะเรียกว่าคือความรักได้ยังไง

“นี่ บอกไว้ก่อนนะว่าผมรักคุณมาก” คำพูดตรงไปตรงมานั่นทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้ง แม้จะพยายามหัวเราะหรือแกล้งเซ่อกลบเกลื่อน แต่กิลเบิร์ตย่อมรู้แก่ใจถึงสิ่งที่อเล็คเซ่ปรารถนาจากตัวเขา

“ฉันแต่งงานใหม่แล้ว ขอโทษด้วย” ตอบสั้นๆและรู้สึกว่านี่คงเป็นข้อแก้ตัวเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายตัดใจเสีย

“คุณกับเขายังไม่ได้รักกันนี่ครับ ถ้าคุณจะเลิกเล่นละครลิงนี่เมื่อไหร่ ผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะครับ” ว่าพลางสาวเท้าเข้าใกล้และฉวยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มลนลานคว้าเอวมากอด ใบหน้าของพวกเขายามนี้ใกล้กันแค่คืบ

“ปล่อยนะ!”

“นี่ แทนที่คุณจะแต่งงานอย่างหลอกลวง ทำไมคุณถึงไม่คิดจริงจังกับคนที่พร้อมจะร่วมชีวิตกับคุณอย่างผมบ้างล่ะครับ” อเล็คเซ่ส่งยิ้มหวานอ่อนโยน เขาจูบข้างแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาแล้วไม่ได้แตะต้องใดๆอีก ตอนนี้พวกเขามีข้อสัญญาธุรกิจต่อกัน ทั้งลุดวิกกับกิลเบิร์ตคือคู่สัญญาของเขา ดังนั้นเขาไม่อาจใช้กำลังหักหาญชิงตัวกิลเบิร์ตไปได้ ถึงเป็นโจรสลัด แต่เขาก็มีวินัยในการทำธุรกิจของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะขายยาน่าอายนั่นให้เฟรเดอริคได้ยังไง “บางทีคุณอาจขี้ขลาด จนไม่อยากเริ่มต้นใหม่สินะครับ”

   ขี้ขลาด...

   คำสั้นๆนี้เองที่ทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกเศร้าขึ้นมาในบัดดล เพราะคำๆนี้มันช่างตรงใจเขาในยามนี้เสียเหลือเกิน เขาขี้ขลาดจนเกินไป จนแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจสารภาพความจริงกับลุดวิกได้ และแม้ลุดวิกพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น ในคืนนั้น เขาก็ยังไม่อาจปล่อยวางความคลางใจได้ ตัวเขา...ขี้ขลาดจริงๆ

   แต่ต่อให้ขี้ขลาดแค่ไหน ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป

   ค่ำคืนนั้นช่วงเวลาประมาณตีสองเศษเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเหนือท้องฟ้าของอาทีเรีย มีแสงสีม่วงส่องสว่างผ่าน่านฟ้าของดวงดาวก่อนจะร่อนลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว เมื่อทหารรักษาการณ์นครหลวงตามสัญญาณไปถึงจุดที่ยานร่อนลง สิ่งที่ลงจอดที่นอกเมืองนั้นกลับเป็นยานอวกาศขนาดย่อมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับสูง นิโคลัสพาทหารจำนวนมากไปพร้อมอาวุธ ทว่า สัญญาณที่ออกจากยานลำนั้นกลับแสดงเป็นสีฟ้า ซึ่งมีความหมายว่าไม่ต้องการต่อสู้

   คนที่ก้าวลงมาจากยานลำนั้นมีเพียงสิบกว่าคน สิบคนแรกสวมเครื่องแบบสีฟ้าดูก็รู้ว่าเป็นทหารของดวงดาวไหนสักดวง ส่วนสองคนหลังที่ก้าวตามลงมาดูเหมือนจะเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงบนยาน ทั้งสองคนมีเส้นผมสีทองสว่าง คนแรกที่สวมเครื่องแบบทหารสีน้ำเงินเข้ม มีดวงตาสีเขียวมรกต แม้หน้าตาเฉยเมยแต่ยามฉีกยิ้มนั้นงดงามเสียจนใครๆต้องมองเป็นตาเดียวกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายที่สูงกว่านิดหนึ่งดวงตาเป็นสีทองแปลกประหลาด เขาสวมเสื้อเชิ๊ตสีเทากับสวมเสื้อกั๊กหนังกับกางเกงยีน เหน็บปืนพกสั้นสองกระบอกให้เห็นชัดเจน ส่วนใบหน้าฉีกยิ้มเป็นมิตร

“ฉันคือ อารอน ฟรีแมน เป็นตัวแทนของท่านผู้นำเฟรเดอริค ฟรีแมน มาที่นี่เพราะมาตามจับตัวนักโทษที่หนีมาจากเทสล่า ฉันต้องการพบเจ้าอาณานิคมของที่นี่เพื่อหารือในเรื่องนี้!” อารอนคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม เขาผู้งามเสมอต้นเสมอปลายเอ่ยขึ้นอย่างไว้ตัวแต่เป็นการเป็นงานอย่างยิ่ง การที่เขาอ้างชื่อของตนเองกับเทสล่าทำเอาพวกนิโคลัสสะดุ้ง อย่างช่วยไม่ได้ แม้เป็นดาวไกลปืนเที่ยง แต่ข่าวสารเรื่องเทสล่าเป็นสิ่งที่เป็นสากล

   เมื่อไม่นานมานี้เทสล่าเพิ่งแต่งตั้งนายพลและท่านผู้หญิงคนใหม่ของดวงดาว และแน่นอนว่าชื่อนั้นย่อมต้องเป็น อารอน ฟรีแมน! และนี่คือเอสเปอร์ที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในจักรวาลตอนนี้ด้วย!

“คนของพวกคุณไม่ได้มาที่นี่ ไม่มีข่าวเรื่องการลักลอบเข้าเมืองของมนุษย์ต่างดาวที่ไหน! พวกคุณควรกลับไปเสีย!” นิโคลัสตอบ ทว่า อีกฝ่ายกลับกอดอกเชิดใบหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อคำพูดของเขาแม้แต่น้อย

“คนที่หนีมาคือเอสเปอร์ตกรุ่นของดาวเรา นี่คือการมาเก็บกวาด แต่ถึงตกรุ่นหมอนั่นก็เก่งพอที่จะหลบซ่อนในสังคมดาวบ้านนอกของพวกคุณ หลักฐานก็คือมีคลื่นพลังจิตส่งออกไปจากดาวดวงนี้! คิดจะปกปิดหรือไง! หรือกองทัพดาวดวงนี้คิดจะปะทะกับเทสล่า!” อารอนตวาด นิสัยเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนอ่อนน้อมถ่อมตน พอนิโคลัสพูดจาไม่ได้ดั่งใจย่อมรู้สึกหงุดหงิด เพียงแต่ว่า ผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกันกลับฉีกยิ้มยกมือห้าม พอถูกคนๆนี้ห้ามอารอนก็เหมือนจะนิ่งไปอึดใจเช่นกัน เขาดูเกรงใจคนๆนี้อยู่บ้าง

   นิโคลัสย่อมสังเกตชายผู้แต่งตัวผิดแผกคนนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับอารอนไม่คล้ายผู้บังคับบัญชา แต่ไม่คล้ายคนสนิทชิดเชื้อ

“ช่วยไปเรียนท่านเจ้าอาณานิคมได้ไหมว่า อัยการแห่งศาลอาญาสหพันธ์ดาวเคราะห์เดินทางมาพบ เขาจะช่วยฟังข้อเสนอของพวกเราหน่อยได้หรือไม่ นะ! ขอร้องล่ะ!” ผู้ชายซึ่งอ้างตนเองเป็นอัยการแห่งศาลสหพันธ์บอก ชื่อเทสล่าว่าใหญ่โตแล้ว เวลานี้มีคนบอกว่ามาจากศาลสหพันธ์ดาวเคราะห์ เพียงแค่นี้ก็เหมือนจะใหญ่โตเกินกว่าที่นายทหารอย่างนิโคลัสจะเอาอยู่แล้ว สุดท้ายเขาคงต้องติดต่อด่วนไปยังเจ้านายเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้!

   ในขณะเดียวกันลุดวิกรับสายการติดต่อของนิโคลัสอย่างสงบ ในตอนที่เขาวางสายนั้นเขายังรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาลในน้ำเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชา ดูเหมือนนิโคลัสจะได้ประสบการณ์โหดหินอย่างยิ่งในคืนนี้

“เดาเก่งนี่ แต่ดูเหมือนคู่กรณีของเธอจะพาแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยนะ” ลุดวิกหันไปหากิลเบิร์ตที่ตอนนี้เอามือกุบขมับทอดถอนใจอยู่ข้างหลัง เป็นใครบ้างไม่เหน็ดเหนื่อย คู่กรณีคือเทสล่าว่าแย่แล้ว แต่ฝ่ายนั้นดันไม่ได้มาคนเดียวแต่ลากคนใหญ่คนโตมาด้วย นี่ไม่ใช่แค่จะมีเรื่องกับเทสล่า แต่นี่ถึงขนาดจะมีเรื่องกับสหพันธ์ดาวเคราะห์! แน่มากนะนาย!

“ใครจะไปคิดล่ะ! บ้าบอเกินไปแล้ว!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นพลางกัดฟัน เจ้าอารอนหนออารอน แค่หมอนั่นคนเดียวกับทหารเอสเปอร์ของหมอนั่นก็น่าเหน็ดเหนื่อยใจแล้ว นี่ยังลากอัยการศาลสหพันธ์มาเกี่ยวด้วย อัยการมาที่นี่ย่อมต้องมาสืบสวนอะไรสักอย่าง อารอนจริงๆแล้วไปใส่ความอะไรเขากับทางนั้นหรือเปล่า นี่หัวสมองหมอนั่นเห็นเขาสำคัญหรือไม่สำคัญกันแน่นะ!  แต่เรื่องของอารอนยังไม่น่าวิตกเท่าเจ้านายคนสำคัญที่ยืนจังก้าหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้ “อย่าทำหน้าน่ากลัวนักสิ!”

“พูดอย่างกับเธอจะกลัว นี่เธอเป็นคนใหญ่คนโตจนถึงขนาดนายพลของเทสล่าต้องมาจับกุมเอง แถมยังต้องเชิญแขกมาร่วมจับกุมด้วยเลยนะ ว่าไง คุณกิลเบิร์ต จะคายความลับออกมาได้หรือยัง” ลุดวิกกอดอกแล้วยิ้มนิดๆ จนแล้วจนรอดขนาดแสดงความจริงใจไปร้อยแปด คนตรงหน้าเขาก็ยังไม่ยอมเลิกอมพะนำ แต่ด้วยนิสัยลุดวิก ในเมื่อเขาบอกว่าจะแสดงความจริงใจ เขาก็เลือกที่จะไม่บีบบังคับ “แต่ขอบอกก่อนนะว่า พอเจอคนพวกนั้น ความลับของเธอก็แตกอยู่ดี จนตรอกแล้วล่ะ”

“ไม่ต้องย้ำน่ะ ฉันรู้แล้ว!” กิลเบิร์ตปั้นหน้ายุ่ง ถ้าอารอนมาคนเดียวยังพอแถได้ แต่นี่เอาคนอื่นมาด้วย โดยเฉพาะหากเขาคาดไม่ผิดคนที่อารอนพามาย่อมเป็นหมอนั่น  อัยการบ้าที่จะออกมาสืบสวนไวขนาดนี้ทั้งหน่วยงานมีไอ้บ้านั่นคนเดียว! ให้ตายเถอะ! บนดาวดวงเล็กๆนี่ รู้สึกคนใหญ่คนโตมากันคับคั่งเหลือเกินนะ! “บอกแล้วๆ ไม่มีอะไรมากหรอกน่า! เฟรเดอริค ไอ้บ้านั่นคือสามีเก่าฉัน! เจ้าอารอนนั่นก็คือภรรยาใหม่ของหมอนั่นไงล่ะ! แค่นี้แหละ! ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกน่า!”

   ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต...

   พ่องสิ!

   ต้องเป็นไอ้บ้าขนาดไหนที่จะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต!!

   แม้ลุดวิกจะเป็นคนใจเย็น แต่พอศรีภรรยาตัวเองสารภาพมาโต้งๆแบบไร้จังหวะจะโคนแบบนี้เขาเองก็อึ้งไปนิดเหมือนกัน ก่อนที่สมองจะรวบรวมสติ และเรียบเรียงความคิดให้ปะติดปะต่อกันได้ โอเค กิลเบิร์ตเคยมีสามีชื่อเฟรเดอริค ผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคคือผู้นำของเทสล่า อดีตภรรยาของหมอนั่นคือนายพลผู้เก่งกาจของดวงดาว และล่าสุดถูกกล่าวหาว่าคบชู้กับเป็นกบฏเลยโดนจับกุมเป็นนักโทษการเมือง

   กิลเบิร์ตเคยพูดว่าอะไรนะ?

   สามีมีภรรยาใหม่ ถูกหย่า สามีไล่ออกจากบ้าน ภรรยาใหม่มาตามล่าเขา เขาตกอยู่ในอันตราย อืม...ไม่ได้โกหกเลยสักคำ เพียงแต่ว่า...

“เจ้าแมวขยะเอ๊ย!” ถึงจะเป็นลุดวิกก็เถอะแต่ยามนี้เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเจ้าแมวเถื่อนนิสัยเสียตัวนี้ขึ้นและตีป้าบเข้าที่ก้นอย่างอดรนทนไม่ได้ ทำเอากิลเบิร์ตโวยขึ้นมา

“คุณกล้าตีฉันเรอะ!”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้เก็บอมพะนำไม่รู้เวล่ำเวลา แค่ตียังน้อยไป!” ลุดวิดตะคอกใส่ แต่ครั้นจะตีอีกก็กลัวฝ่ายตรงข้ามเจ็บ เลยชะงักแล้วเปลี่ยนมาทอดถอนใจแทน ให้ตายเถอะ แมวขยะตัวนี้ดันเป็นแมวสวมปลอกคอเพชรที่เจ้าของดันถอดปลอกคอเขวี้ยงไปให้ตัวอะไรก็ไม่รู้ใส่แทน ส่วนเจ้าแมวนี่ก็โกยแน่บหนีมาไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วก็มาแง้วๆใส่เขา ส่วนเขาก็ใจเย็นพอด้วยทั้งที่เห็นแล้วว่าแมวบ้านี่ไม่ธรรมดามาตลอด นี่เขาใจเย็นมากเกินไป จนเจ้าแมวเถื่อนนิสัยเสียนี่ได้ใจงั้นเรอะ! “เจ้าแมวขยะ! มันน่าเอาไปจุ่มโคลนให้สำนึกบาปจริงๆ!”

   เอาเข้าจริงเอสเปอร์ที่ดันรู้จักกับโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืดก็ไม่น่าใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว!

“ก็คุณไม่ถามให้ชัดๆนี่นา! เป็นความผิดคุณนะ!” กิลเบิร์ตแถสีข้างถลอกพยายามผลักความผิดให้คนเป็นสามี “ทีคุณยังไม่บอกความจริงที่ตัวเองเป็นนู่นนี่นั่นเลยนี่นา! เอาเข้าจริงถ้าตอนแรกคุณเป็นแค่คนชนชั้นกลางธรรมดาก็ดีอยู่แล้ว! ใครใช้ให้คุณเป็นคนใหญ่คนโตเล่า! อยากเป็นใหญ่เป็นโตเองช่วยไม่ได้!”

   ได้ฟังคำต่อว่าที่ไร้เหตุผลสิ้นดีของฝ่ายตรงข้ามก็ทำเอาคุณสามีปวดไปถึงตับ เจอคนเถียงใส่มาก็มาก ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าพูดอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายใส่ นี่ไม่ใช่แมวเถื่อนเปื้อนขยะธรรมดา แต่เป็นแมวช่างแถด้วย!

“แล้วไงล่ะ พอเป็นแบบนี้แล้วก็เลยจะไม่ช่วยฉันแล้ว จะส่งฉันให้เทสล่าล่ะสิ คนใจดำ!” กิลเบิร์ตแกล้งกระเง้ากระงอดใส่ ส่วนลุดวิกนั้นรู้แน่แก่ใจว่ารายนี้คิดตุกติกแน่ๆ

“ขืนทำแบบนั้นเธอก็จะหนีไปกับอเล็คเซ่ทันที ลอยนวลหนีไปอย่างเฉิดฉายสินะ นี่เจ้าแมวโง่ ไม่ใช่เธอที่มีสมองคนเดียวหรอกนะ!” พูดจาดักคอในทันทีจนทำเอากิลเบิร์ตยิ้มแหย เรื่องทางหนีทีไล่ใครบ้างไม่คิดไว้เลย ท่าทีของเขาย่อมทำให้ลุดวิกหนักใจยิ่ง ไม่ใช่หนักใจเรื่องเทสล่าหรืออัยการสหพันธ์ แต่หนักใจ...

จนถึงป่านนี้ กิลเบิร์ตก็ยังคงไม่วางใจในตัวเขา

“กิล เธอไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก” ลุดวิกยังคงพูดด้วยเสียงมั่นคงหนักแน่น ความสับสนเมื่อครู่คลับคล้ายไม่เคยมีอยู่จริง

“หืม?” กิลเบิร์ตเลิกคิ้ว

“ก็บอกแล้วว่า ต่อให้ต้องเล่นใหญ่แค่ไหนก็จะปกป้องเธอเอง” ถึงตอนนี้ลุดวิกกอดอกจ้องคนตรงหน้าอย่างจริงจัง แม้จะหน้ามุ่ยๆตามนิสัย แต่ก็เผยรอยยิ้มหวานที่ทำเอากิลเบิร์ตนึกละอายแก่ใจขึ้นมาบ้าง ผู้ชายคนนี้นอกจากไม่คิดโกรธจริงจังแล้ว ยังจะช่วยอีกเรอะ? เห! นี่นายสมองเพี้ยนไปรึเปล่าท่านผู้นำ!

“นี่คุณสมองผิดปกติรึเปล่า จะเป็นศัตรูกับเทสล่า กับสหพันธ์เพื่อฉันเนี่ยนะ?” ถามอย่างตรงไปตรงมาที่สุด มาถึงตรงนี้นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว คนระดับอัยการประจำศาลสหพันธ์ไม่มีทางจะสืบไม่ได้หรอกว่ากิลเบิร์ตอยู่ที่ไหนบนดาวดวงนี้ โดยเฉพาะเอสเปอร์ระดับอารอนถ้าพลังเข้าใกล้กันต้องจับได้แน่ ลุดวิกทำแบบนี้นอกจากหาเหาใส่หัวแล้ว กิลเบิร์ตก็คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะลงทุนไปขนาดนี้เพื่ออะไร

   เพื่ออะไร...

“อย่าบอกนะว่า จะทำเพื่อฉันจริงๆ? นี่ๆน้องชาย แค่มีเซ็กซ์กันไม่กี่ครั้งฉันไม่ติดใจหรอกนะ ถือว่าก่อนหน้านี้ช่วยๆกันไป ตอนนี้คุณแค่รีบๆหย่ากับฉันก็รอดตัวแล้ว! นี่คุณยังมีศัตรูบนดาวดวงนี้อีกเพียบเลยนะ ยังคิดจะสร้างศัตรูเพิ่มนอกดาวอีกเรอะ!”

“แล้วไงรึ” ลุดวิกถามกลับง่ายๆ น้ำเสียงนั้นนิ่งสนิทเหมือนพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ก็มันไม่ควรน่ะสิ!” กิลเบิร์ตโวย ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว บ้าเกินไปแล้ว!

“นี่ เมื่อคืนก่อนหน้านั้นฉันบอกไปแล้วนะ ว่าฉันไม่คิดหย่า หรือต้องให้แสดงออกบนเตียงอีกรอบถึงจะจำได้น่ะ อ้อ หรือว่าจริงๆนี่คือการยั่วให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มกันล่ะ” ว่าไม่ว่าเปล่าแกะกระดุมเสื้อและย่างสามขุมเข้ามาทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้งสุดตัวก้าวถอยหลังไปชนผนังจนเจ็บหลัง รู้ตัวอีกทีก็ถูกแขนแกร่งของคุณสามีถังขยะกักขังไว้แล้ว “อุตส่าห์พูดมาตั้งนาน ที่แท้จะยั่วยวนฉันใช่มั้ย คุณภรรยา” ลุดวิกแสยะยิ้มเหี้ยม แม้ในเวลาแบบนี้เขาเองก็ไม่ลืมที่จะเอาเปรียบคนอื่น

“บัดซบ! ยั่วบ้านพ่อคุณสิ!” กิลเบิร์ตตวาดหน้าดำหน้าแดง ทั้งๆที่ตอนนี้น่าสิ่วน่าขวานแท้ๆ ทำไมหมอนี่ถึงใจเย็นขนาดนี้ หัวจิตหัวใจหมอนี่ทำจากน้ำแข็งหรือไง พอยิ่งต่อว่าอีกฝ่ายก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามา แถมมือไม้ยังอยู่ไม่สุข ท่าทางข่มขู่คุกคามกันสุดๆจนกิลเบิร์ตหวาดหวั่นเสียเอง อย่าบอกนะว่าขนาดนี้แล้วก็จะยังลวนลามเขาไม่ดูเวล่ำเวลา นี่มันจะแสดงความจริงใจกันโอเว่อร์ไปแล้วนะ! “ยอมแพ้แล้ว! อยากทำอะไรก็เชิญเถอะ! ไม่หย่าก็ไม่หย่า! เจ้าถังขยะบ้า ถ้าถูกระเบิดปาใส่ดาวอย่ามาโทษฉันนะ!”

“ไม่มีวันนั้นหรอก” ลุดวิกตอบ

“!”

“ยิ่งถ้าคนที่มาด้วยคืออัยการของศาลสหพันธ์ ยิ่งไม่มีทางที่เทสล่าจะโยนระเบิดใส่ดาวดวงนี้ง่ายๆแน่” ลุดวิกแสยะยิ้มเยือกเย็นตอบ คราวนี้กิลเบิร์ตกลับเป็นฝ่ายที่ยิ่งงงหนัก เดี๋ยวนะ?

   หากลุดวิกเพิ่งรู้ความจริงวันนี้ ทำไมเขาถึงไม่ร้อนใจ ซ้ำยังเหมือนมีทางหนีทีไล่ด้วย! หากจะให้เดาล่ะก็ คำตอบมันวางอยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว!

“คุณ? นี่คุณเดาไว้แล้วงั้นเรอะ!” ใช่แล้ว สมมติฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือ ลุดวิกแกล้งเซ่อมาตลอด เขาย่อมพอเดาสถานะของกิลเบิร์ตได้อยู่แล้ว ไอ้ที่โกรธเมื้อกี้คือเสแสร้งหรือไงกัน! “คุณหลอกฉัน!”

“นี่ คิดว่าตัวเองมีสมองอยู่คนเดียวหรือไง เจ้าแมวเถื่อน!” ลุดวิกหัวเราะใส่พลางจูบฟัดข้างต้นคออีกฝ่าย

“หะ!”

“ต่อให้ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่เธอไม่มีทางเป็นแค่ภรรยาของชาวสวนในไร่อ้อยแน่ ใช้สมองสักหน่อยพึงรู้ว่าต้องเตรียมการยังไง เข้าใจไหมเจ้าแมวนิสัยเสีย!”

“เชี่ย!” อดสบถด่าอย่างขาดสติไม่ได้ ท่านเจ้าอาณานิคมคนนี้จริงๆแล้ววางไว้กี่แผนกันแน่!

   สุดท้ายลุดวิกก็ไม่ยอมเฉลยว่าเขาทำอะไรลงไป แต่ที่แน่ๆเขาตกปากรับคำให้พวกอารอนเข้าพบในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนกิลเบิร์ตนั้นถูกไล่ให้ไปดำเนินการตามแผนการก่อนหน้านี้ ดังนั้นลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมจึงเดินเฉิดชายตีหน้าระรื่นออกพบแขกเมืองคณะแรกอย่างเป็นทางการหลังเขาขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคม

      แน่ล่ะว่าทั้งหมดนั่นเกิดหลังจากที่เขาใช้เวลาทั้งคืนกอดเจ้าแมวเถื่อนขี้โกหกนิสัยเสียตัวนั้นจนตัวอ่อนปวกเปียกจมถุงขยะไปแล้ว


จบตอน

ชีวิตมันไม่ง่ายเลยน่อ 555+
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 19 คำสารภาพของแมวโง่ตัวหนึ่ง 16/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-01-2019 15:41:35
 :hao7:

 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 19 คำสารภาพของแมวโง่ตัวหนึ่ง 16/01
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 16-01-2019 18:50:04
อยากรู้จนใจจะขาด มาต่อไวๆนะ ว่าลุควิกเตรียมอะไรไว้
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 20 แมวตะกละที่ยิ้มแป้นแล้น 22/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 22-01-2019 15:59:11
ตอนที่ ๒๐
แมวตะกละที่ยิ้มแป้นแล้น

   อารอน ฟรีแมนคือชื่อของท่านผู้หญิงแห่งเทสล่า เป็นทั้งภรรยาเอกและเป็นนายพลใหญ่ของดวงดาว ทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวนักการทหารของเทียร่า นอกจากนี้ก่อนจะได้รับตำแหน่งนี้เขายังเคยเป็นตัวแทนของเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่าเข้าร่วมประชุมสหพันธ์ดาวเคราะห์ หักหน้าภรรยาเก่าของท่านเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่าจนเป็นข่าวซุบซิบเกรียวกราวไปทั่วจักรวาล และเพราะเป็นคนหน้าตาดีอย่างมาก เป็นเอสเปอร์ที่เก่งกาจอย่างมากเขาจึงกลายเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว เป็นคนที่หลายฝ่ายจับตามอง

เอาเข้าจริงชื่อของเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางหลังการศึกที่ดาวเมทิส กล่าวกันว่าท่านนายพลกิลเบิร์ต ฟรีแมนเริ่มมีอาการสติวิปลาสที่สมรภูมินั้น และเป็นอารอนที่หยุดเขาไว้ก่อนจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น ไม่มีใครรู้รายละเอียดเหตุการณ์ในครั้งนั้น คงมีเพียงอารอนกับกิลเบิร์ตที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนที่เล่ากลับมีเพียงอารอน ฝ่ายกิลเบิร์ตไม่เคยเปิดปากพูดเรื่องนี้กับใครแม้เพียงคำ

ถ้าไม่มีใครพูดเลย เรื่องนี้ย่อมถูกลืม แต่ในเมื่อคนหนึ่งพูด คนหนึ่งเงียบ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จบง่ายๆเสียแล้ว อย่างน้อยในสายตาของสหพันธ์ดาวเคราะห์นี่เป็นสิ่งที่ต้องเคลียกันให้รู้เรื่อง อารอนเองก็อาศัยข่าวที่เขาเป็นคนปล่อยออกไปนี้สร้างความชอบธรรมในการมาตามล่าตัวกิลเบิร์ต ยกระดับจากปัญหาชู้สาวในครอบครัวกลายเป็นเรื่องระดับจักรวาล ช่างเป็นการเล่นใหญ่ของท่านผู้หญิงคนใหม่แห่งเทสล่าจริงๆ

   ส่วนในตอนนี้อารอนคนนั้นก็กำลังเข้าพบลุดวิกพร้อมกับอัยการแห่งศาลสหพันธ์แล้ว สถานที่นัดพบคือห้องโถงในพระราชวัง ในห้องโถงที่มีสักขีพยานมากมายและนั่งบนเก้าอี้สนทนากันอย่างเป็นกันเอง

“ขอโทษที่เสียมารยาท คุณคงพอรู้จักคุณอารอนแต่ไม่รู้จักผมสินะ ขอแนะนำตัวหน่อยดีกว่า ผมบิลลี่ คาร์เตอร์ เป็นอัยการตัวเล็กๆในที่ทำการศาลสหพันธ์น่ะ! ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่ออกตัวพลางยื่นมือส่งให้ลุดวิกอย่างสบายๆเป็นกันเอง ส่วนลุดวิกนั้นย่อมจับมือกับเขาอย่างไม่เกี่ยงงอน คนที่กิลเบิร์ตห้ามเขาสัมผัสตัวในการสนทนาครั้งนี้มีเพียงคนเดียวคืออารอน เหตุเพราะหมอนี่เองก็ใช้ไซโคเมทรี่ได้ด้วย ทันทีที่สัมผัสอารอน เขาจะอ่านทุกสิ่งในสมองของลุดวิกอย่างไม่เกรงเสียมารยาท อย่างน้อยอารอนคนที่กิลเบิร์ตรู้จักก็เป็นคนหนุ่มแบบนั้นล่ะ

“คนที่ได้เป็นอัยการแห่งศาลสหพันธ์มีแค่หยิบมือ คงเรียกว่าตัวเล็กๆไม่ได้หรอก คุณคาร์เตอร์” ลุดวิกฉีกยิ้มการทูตพลางลอบสังเกตอีกฝ่ายอย่างไม่ให้เสียมารยาท ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่นี่ต่างจากอารอนอย่างมาก ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในวังก็ฉีกยิ้มเป็นกันเองอย่างร่าเริงไม่ถือตัว ดูสนุกสนานอยากรู้อยากเห็นวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ดูเผินๆเหมือนคนรักสนุกไม่มีลับลมคมนัย

ทว่า จากประสบการณ์ของเขา คนแบบนี้นี่ล่ะที่เคี้ยวยากที่สุด ไม่ใช่ว่าเจ้าแมวเถื่อนที่บ้านดูเผินๆก็เป็นคนใจร้อนวู่วามไม่มีพิษภัยหรอกหรือ แต่หากเขาเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกของกิลเบิร์ต ป่านนี้คงถูกต้มจนเปื่อยเหลือแต่กระดูก เป็นซากให้เจ้าแมวนั่นกัดแทะแล้ว!

   พวกคนชอบยิ้มสบายใจเฉิบพูดจาเสียงดังไม่ไว้หน้าคน คนพวกนี้หากไม่เปิดเผยไปเลย ก็เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกกันสุดๆ เชื่อไม่ได้เด็ดขาด ในระหว่างที่คิดแบบนี้ คนตรงหน้าลุดวิกก็ยังคงตีสีหน้ายิ้มแย้มใสซื่อไม่เปลี่ยน

   ลุดวิกกำลังจินตนาการว่าหากเอาหมอนี่ไปวางคู่กับแมวขยะที่บ้าน คงแข่งขันยิ้มไม่เป็นโล้เป็นพายแต่ลับหลังแอบฟัดเบาะโซฟาบ้านเขาจนพังหมดแน่ คิดๆดู ใบหน้าของท่านอัยการคาร์เตอร์คนนี้ก็ดูกลมๆนิดๆ อ้อ นี่มัน เป็นแมวอ้วนนี่นา!
ยิ่งดูยิ่งใช่! นี่เป็นแมวอ้วนหน้าแป้นแล้นนี่เอง!

“เรียกบิลลี่ ไม่สิ เรียกบิลก็ได้! ผมน่ะสบายๆ! อ้อ! แต่ถ้าเป็นเรื่องงานจะซีเรียสนะ! อย่างเช่นการมาสืบสวนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาวเมทิสน่ะ!” เจ้าแมวอ้วนทำตัวสบายๆแต่ดันพูดเรื่องอันตรายหน้าตาเฉย ลุดวิกสาบานได้ว่าหมอนี่นี่ล่ะตัวอันตรายของแท้ แมวอ้วนติดระเบิดสินะ!

“ว่าต่อสิ” ลุดวิกเพ่งมองอีกฝ่าย กำลังคิดว่าแมวอ้วนตรงหน้าจะพูดว่าอะไรต่อ จะโกหกแถเนียนแบบแมวที่บ้านหรือเปล่า

“ว่าไงคุณราชาแห่งอาทีเรีย คุณคงไม่ได้ซ่อนผู้ต้องสงสัยไว้บนดาวดวงนี้หรอกนะ!” แมวแป้นแล้นขยิบตาอย่างเป็นกันเองทั้งยังดื่มชาอย่างไม่เกรงยาพิษ หยิบขนมกินเรื่อยๆไม่หยุดปากท่าทางสบายใจเฉิบ ดูเหมือนการอยู่นิ่งๆจะยากมากสำหรับแมวตัวนี้ เทียบกับอารอนที่เอาแต่ตีหน้าเครียดตลอดเวลา บิลลี่กลับดูสบายๆจนน่าหมั่นไส้

แน่ล่ะว่าท่าทีสุดจะสบายใจของเขาย่อมทำเอาอารอนควันออกหู มีอย่างที่ไหนมาจับคน แต่หมอนี่กลับทั้งกินขนมดื่มชาแนะนำตัวกับเจ้าบ้านสุดจะเบิกบานอุรา แน่ใจนะว่าหมอนี่คือมือหนึ่งของศาลสหพันธ์! แน่ใจนะว่าเขาไม่ได้ถูกหมอนี่ต้ม!

“ก็ถามไปตรงๆสิว่า ซ่อนคนเอาไว้รึเปล่า! หมอนั่นมันอาชญากรตัวร้ายถ้าซ่อนไว้ล่ะก็จะพานซวยหมด ฉันขอเตือน! ส่งตัวนักโทษออกมาซะ!” อารอนโพล่งขึ้นมาอย่างไม่กลัวเสียมารยาท ความก้าวร้าวของเขาทำให้พวกทหารฝ่ายลุดวิกชักสีหน้า แม้จะเป็นนายพลใหญ่ของเทสล่าแต่วิสัยการทูตหยามน้ำหน้ากันแบบนั้นสมควรให้สอบตก! แต่ในเมื่อลุดวิกยังคงทำท่าทีไม่ใส่ใจ พวกเขาเองก็ไม่กล้าขยับ

   ลุดวิกยังคงยกชาขึ้นจิบ ยกขาไขว่ห้างท่าทางเยือกเย็นอย่างยิ่ง ขนคิ้วไม่มีขยับ ใบหน้าไม่มีเขยื้อน คงมีเพียงรอยยิ้มหยั่งเชิงไว้ไมตรีที่ปรากฏบนใบหน้า เห็นแบบนี้แล้วอารอนกลับยิ่งหงุดหงิดกับความเหิมเกริมของผู้นำดาวบ้านนอกคนนี้ ในสายตาเขานอกจากเทสล่ากับเทียร่าแล้ว ดาวดวงอื่นก็เป็นแค่ดาวบริวารเท่านั้น!

   ในทางตรงกันข้ามฝ่ายบิลลี่กลับยิ้มกว้างมองผู้ชายที่ชื่อลุดวิกอย่างพินิจ คนเช่นนี้เขารู้สึกว่าช่างมีกำลังใจดีเยี่ยม หากไม่กำลังพูดความจริงอยู่ก็ต้องเป็นนักโกหกที่ตีเนียนอย่างมาก เอาเข้าจริงการหาความจริงจากคนแบบนี้น่าท้าทายอย่างยิ่ง

“ขอโทษด้วย แต่เทสล่ากับอาทีเรียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามดาว หากพบตัวคนที่คุณเรียกว่านักโทษ ก็ต้องดูว่าเขาผิดตามกฎหมายของอาทีเรียหรือไม่ และหากผิดจริงก็ต้องลงโทษตามกฎหมายของดาวเราสิ ถูกไหม ท่านประธานเออร์เนส” ลุดวิกว่าพลางหันไปหา ลูคัส เออร์เนส ประธานรัฐสภาหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นทัพเสริมในวันนี้ ซึ่งแน่ล่ะว่าคนที่เป็นพันธมิตรช่วยเขาชิงบัลลังก์มาย่อมไม่ใช่ไก่อ่อนสะดิ้งกลัวอะไรง่ายๆ

“เรียนฝ่าบาท ท่านกล่าวถูกแล้ว อาทีเรียไม่เคยผ่านกฎหมายอนุวัตรการเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามดาว ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ คุณผู้หญิงของเทสล่า โอะ ขออภัย ชื่อคุณอารอนสินะครับ ชื่อคุณจำยาก จำไม่ค่อยได้น่ะครับ” พูดน้อยต่อยหนักเป็นเช่นนี้ วิธีการพูดที่ทำให้อารอนดูไม่สำคัญเอาเสียเลยแบบนี้ย่อมเขย่าประสาทคนถือตัวอย่างอารอน ถึงขนาดทำให้เขาปั้นหน้าบึ้งในทันที

   แต่ถามว่ามีใคร ณ ที่นั้นสนใจไหม ขอตอบเลยว่าถ้ามีคงแปลกแล้ว!

“ไร้สาระ! หมอนั่น เจ้าคนชั่วกิลเบิร์ตนั่น! มันคือคนร้ายในสงครามที่เมทิส! ตอนนี้อัยการของสหพันธ์มาสอบสวนแล้วยังจะอะไรอีก! ที่ไม่ให้ความร่วมมือนี่อยากถูกหมอนั่นฆ่าทิ้งหมดดาวก่อนหรือไง!” ทันทีที่ชื่อกิลเบิร์ตโพล่งออกจากปากของอารอน วินาทีนั้นที่ตัวเขารีบกวาดสายตามองว่าจะมีใครที่หวั่นไหวบ้างหรือไม่ กับคนที่ชื่อลูคัส เออร์เนสนั้นไม่ แต่กับคนๆหนึ่ง เขาเห็นแล้ว! คนที่มุ่นสีหน้าเคร่งเครียดในทันทีนั่นก็คือทหารคนที่เขาเจอเมื่อคืน ทหารที่ชื่อนิโคลัสอะไรนั่น!

   คนพวกนี้จะต้องรู้อะไรเกี่ยวกับกิลเบิร์ตอย่างแน่นอน!

“เอาเข้าจริงยังเป็นแค่การสืบสวนเบื้องต้นนะ คุณอารอน” บิลลี่ท้วงขึ้น เขาเองย่อมสังเกตความผิดปกติบนสีหน้าของนิโคลัส เพียงแต่ว่าเขาเองก็มีวิธีการและความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

“การที่คุณมาถึงนี่ก็ถือว่ามีมูลแล้ว! ว่าไง! ตกลงอาทีเรียจะเป็นศัตรูกับเทสล่าและสหพันธ์หรือจะส่งตัวหมอนั่นมา!” คราวนี้อารอนกลับมาตะคอกใส่ลุดวิก แต่แม้จะถูกกระทำอย่างไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ลุดวิกกลับยังเฉยชาคลับคล้ายไม่โกรธเลยสักนิด
แต่ระดับเจ้าอาณานิคมแม้เขาไม่สนใจ แต่ทุกคนย่อมจับตามอง จะให้เป็นฝ่ายนิ่งตลอดไปคงไม่ได้ สุดท้ายหลังจากเงียบมานาน ลุดวิกยอมวางแก้วชาในมือลงและเงยหน้ามองอารอนกับบิลลี่ ความคิดหลากหลายแล่นปราดในสมองของเขา สิ่งแรกย่อมเป็นเรื่องของอารอน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคถึงได้ยอมทิ้งกิลเบิร์ตเพื่อไปคว้าเอาเจ้าหนุ่มไร้สัมมาคารวะแบบนี้มาเป็นภรรยา

ทั้งคำพูด ทั้งนิสัย ทั้งหน้าตา ทั้งอะไรก็ตาม สำหรับเขา เด็กบ้านี่น่าหงุดหงิดไปหมด! สมควรเอาไปถ่วงน้ำเผาไฟให้พ้นหูพ้นตา แมวเถื่อนที่บ้านเขาน่ารักกว่าเยอะ!

“ฉันยืนยันว่าที่นี่ไม่มีคนที่พวกคุณต้องการ แต่หากว่าประสงค์จะได้รับความช่วยเหลือ สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการร้องขอนะ คุณอารอน” ลุดวิกพูดเรียบๆแต่น้ำเสียงนั้นสุดจะเชิดหยิ่งไว้ตัว แถมยังยกตัวสูงเป็นผู้ใหญ่กว่า ยิ่งคิดว่านี่คือคนที่เคยทำร้ายภรรยาของเขา ก็ยิ่งรู้สึกอยากต่อยให้ตายคาที่

“!” แน่ล่ะว่าอารอนเองก็นึกไม่ถึง แถมคราวนี้ไม่ทันทีที่เขาจะโต้เถียง ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยต่อในทันที

“สามีของคุณไม่เคยสอนหรือว่า เมื่อเหยียบบ้านของผู้อื่น พึงรักษาหน้าตาของดวงดาวและครอบครัว” ลุดวิกเอ่ยยิ้มๆแต่คำพูดนั้นทำเอาบิลลี่ที่นั่งอยู่ด้วยผิวปากขึ้นมา หากยกนิ้วโป้งให้ได้คงยกไปแล้ว ท่านเจ้าอาณานิคมคนนี้ดูเหมือนจะอยากสั่งสอนภรรยาคนอื่นเต็มที่ อันที่จริงบิลลี่เองก็คิดคล้ายๆเขาอยู่บ้าง

   นี่ช่างเป็นท่านผู้หญิงที่คุณสามีออกจะตามใจมากเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ

“นี่ นี่คุณหมิ่นประมาทเทสล่าเรอะ!” อารอนโกรธจนเสียงสั่น ในขณะที่ร่างทั้งร่างคุกรุ่นด้วยพลัง เขานึกอยากระเบิดที่นี่ให้เป็นจุณขึ้นมา แต่ทันทีที่เขาทำท่าจะใช้พลัง บิลลี่กลับยกมือขึ้นตบหัวไหล่ของเขา แน่ล่ะว่านี่คือการเตือนสติ “คุณ! ไม่เห็นหรือว่าใครเริ่มก่อน!”

“ใครเริ่มก่อนก็ช่างเถอะ แต่ที่คุณราชาพูดมามีเหตุผลนะ มาบ้านเขาแล้วเราก็ต้องขอความช่วยเหลือสิ งั้นเอาเป็นว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือสหพันธ์คืนความยุติธรรมให้ชาวเมทิส กับคุณกิลเบิร์ตที่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใส่ความหรือไม่ คุณจะช่วยพวกเราหาตัวกิลเบิร์ตใช่ไหม อย่าลืมนะว่า ถ้าตกเป็นจำเลยแล้วไม่แก้ต่าง จะถูกใส่ร้ายจนตายน้า!” บิลลี่ยิ้มแย้มพูด ตอนนี้เขายืนขึ้นแล้ว และส่งมือให้ลุดวิกอีกครั้ง “จับมือกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการสัญญาว่าคุณจะช่วยพวกเราหาตัวกิลเบิร์ต ส่วนเขาจะผิดจริงหรือไม่ หรือจะถูกลงโทษตามกฎหมายดาวไหน เราค่อยว่ากันอีกที แบบนี้ดีไหม” 

   คำพูดของบิลลี่นั้นดูเข้าทีกว่าพฤติกรรมอันธพาลของอารอนมาก ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามที่กิลเบิร์ตได้บอกกับลุดวิกมาแล้วเช่นกัน ผู้ชายที่ชื่อบิลลี่จะต้องพูดอะไรทำนองนี้ และการที่เขาพูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายถึงเขายอมถอยหรือประนีประนอม แต่มันคือวิธีการที่จะทำให้เขาได้อยู่ในอาทีเรียในฐานะแขก เพื่อให้การสืบสวนของเขาเริ่มต้นขึ้นได้ สรุปคือได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือผลประโยชน์หมอนี่ก็เอาเข้าปากทั้งหมด

   ลุดวิกคิดไปคิดมาก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่แค่แมวอ้วนแป้นแล้นธรรมดา แต่เป็นแมวตะกละ!

“ไม่เลว ฉันคิดว่านี่ค่อนข้างสมเหตุสมผล เอาเป็นว่าพวกคุณจะอยู่ในฐานะแขกของฉัน หากการสืบสวนนี้ต้องการความร่วมมือ ขอให้ติดต่อนิโคลัส เขาเก่งเรื่องการประสานงาน ส่วนเรื่องข้อกฎหมาย ประธานเออร์เนสคงช่วยเหลือพวกคุณได้” ลุดวิกไม่ได้ส่งมือไปจับอีกรอบ คราวนี้เขาเพียงแต่ยิ้มอย่างไว้ไมตรีเท่านั้น ซึ่งแค่ภาษากายของเขาก็ทำให้บิลลี่ยักคิ้วแล้ว ท่านผู้นำคนนี้ดูจะมีชั้นเชิงกวนประสาทไม่หยอกทีเดียว

“ไม่เลวนี่นะ” บิลลี่อดพูดเบาขึ้นมาไม่ได้

“คุณเองก็ด้วย เจ้าแม...”

“หืม?” เงยหน้ายักคิ้วยิ้มแป้นแล้นอย่างฉงน

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” แน่ล่ะว่าลุดวิกตอบเช่นนั้น เพิกเฉยความจริงที่เกือบจะเรียกอีกฝ่ายเป็นแมวตะกละไปแล้ว

   ด้วยประการฉะนี้อาทีเรียก็มีแขกเมืองคณะแรกมาเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการ แต่หากให้นับจริงๆพวกเขาควรเป็นคณะที่สองถัดจากคณะของอเล็คเซ่ ส่วนเหล่ารัฐมนตรี คณะนายทหารและสมาชิกรัฐสภานั้นต่างพากันกุมขมับ ทำไมแค่ไม่นานเกิดเรื่องวุ่นวายบนดาวดวงนี้ไม่หยุดไม่หย่อนเลย พวกเขาเคยเชื่อมาตลอดว่าอาทีเรียเป็นดาวไกลปืนเที่ยง แล้วไฉนไม่นานนี้ถึงมีคนดังมาเยือนไม่หยุดไม่หย่อน จริงๆแล้วบนดาวนี้มีแม่เหล็กดึงดูดความสนใจอะไรอยู่กันแน่นะ!

ผ่านมาสามวันอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก เพียงแต่ฝ่ายอารอนนั้นเอาการเอางานอย่างมาก ช่วงนี้ออกไปกับนิโคลัสเกือบทุกวันในขณะที่บิลลี่นั้นมักจะฉายเดี่ยวออกไปสำรวจรอบๆเมืองพลางชมชิมอาหารหลากหลายรูปแบบแสนสุขี วันนี้ก็เช่นกัน เขายังคงใช้เวลาช่วงเช้าออกไปดื่มกาแฟละเลียดเค้กในเมือง ชื่นชมบรรยากาศย้อนยุค ทำตัวตามสบายราวกับมาท่องเที่ยวก็ไม่ปาน จนถึงช่วงสายเขาก็ยังคงเดินชื่นชมรถม้าของชนชั้นสูงที่นี่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่จู่ๆตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินตาม บิลลี่เจตนาเดินทอดน่อง จากนั้นจึงหักเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าคนที่ตามเขามากลับเดินตามเข้ามาด้วยหน้าตาเฉย ครั้นพอเขาหันไปจ้อง เจ้าหนุ่มน้อยหัวทองตาสวยกลับยิ้มหวานให้

“นี่เธอ...” บิลลี่กำลังจะเอ่ยถาม แต่ฝ่ายนั้นกลับยื่นกล่องใส่ของใบเล็กเท่าฝ่ามือให้เขา

“สวัสดีครับคุณคาร์เตอร์  ผมชื่อฟินน์ครับ มีคนฝากของมาให้คุณน่ะครับ” เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าฟินน์ส่งของสิ่งหนึ่งให้ บิลลี่มองเจ้าของสิ่งนั้น แล้วค่อยๆเปิดกล่องนั้นออกอย่างระมัดระวัง ปรากฏว่ามันคือช้อนทองคำหนึ่งคันที่ถูกห่อไว้อย่างดี ดูแล้วของนี่แทบไม่มีความหมายอะไร

“ทำไมถึงเป็นช้อนล่ะ พ่อหนูน้อย” บิลลี่คลี่รอยยิ้มขัน

“เพราะว่าคุณชอบทานกาแฟ และชอบบ่นว่าช้อนคนกาแฟดีๆหายากครับ” ฟินน์ตอบพลางยิ้มแย้ม ในขณะที่คนฟังหัวเราะพลางยักคิ้วขึ้นมาทันที

“เจ้าหนู ฉันไม่รู้จักนายนะ” เอ่ยอย่างติดตลก แต่ในตอนนั้นเองที่เสียงที่ตอบกลับมาพลันเปลี่ยนไป

 “ไม่หรอก...นายรู้จัก”

 “!”

   วินาทีนั้นเองที่จู่ๆดวงตาของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนสีจากสีเขียวมรกตเป็นสีแดงสด นี่ไม่ใช่สีดวงตาของใครทั้งนั้น แต่มันคือสีของพลัง! ถึงตอนนี้บิลลี่รีบลากเอาตัวฟินน์ออกไปจากร้านและหลบมุมเข้าไปในตรอกแคบ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว เพียงแต่ว่าครั้นพอหลบเข้ามาได้ ฟินน์ในยามนี้กลับกำลังแสยะยิ้มจ้องมองมายังเขา เอนกายพิงกำแพงกอดอก ท่าทีสุภาพอ่อนหวานตามประสาเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอหังการ แถมยังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในพริบตา บิลลี่รู้จักดวงตาและสีหน้าแบบนี้ดี

“ไง ไม่เจอกันนานนะสหาย” เสียงที่ออกจากคอของฟินน์ไม่ได้อ่อนหวานเช่นเดิม แต่เป็นเสียงทุ้มลึกของผู้ชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นนายพลแห่งเทสล่า ของเอสเปอร์ที่เก่งที่สุดในจักรวาล “นี่ไม่พบกันพักใหญ่ อ้วนขึ้นรึเปล่าน่ะ กินแต่อาหารขยะล่ะสิท่า!”

“เหรอ! แต่ฉันเดาว่านายต้องผอมลงแน่!” บิลลี่กอดอกยิ้มแย้มโต้กลับ ไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแต่อย่างใด ช่วยไม่ได้ที่เขารู้จักเอสเปอร์คนนี้ดีเกินไป พลังของกิลเบิร์ตมากแค่ไหนเขารู้ดี หมอนี่ยืมร่างของเด็กหนุ่มคนนี้มาคุยกับเขาโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากันตัวเป็นๆ เพียงแต่ว่าหากเป็นมนุษย์ปกติโดนพลังขนาดนี้กดสมองคงมีผลกระทบแน่ๆ คนอย่างกิลเบิร์ตเอ็นดูเอสเปอร์ด้วยกันอย่างกับอะไร ดังนั้นย่อมหมายความว่าเด็กคนนี้ก็เป็นเอสเปอร์ แค่ถูกยืมร่างแค่นี้จะไม่ส่งผลอะไรกับเขา “ว่าแต่ คุณราชาคนนั้นเลี้ยงดูนายดีรึเปล่าน่ะ กิลเบิร์ต!”

   แค่เปิดประเด็นก็ยิงได้ตรงใจอย่างยิ่ง!

“นายนี่ ช่วยโง่สักหน่อยได้ไหม ไม่น่ารักเลย!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา สหายท่านนี้แต่ไหนแต่ไรก็ฉลาดเป็นกรดมากเกินไป น่าเบื่อจริงๆ “นายไม่จำเป็นต้องรีบสร้างผลงาน ตำแหน่งว่าที่อัยการสูงสุดของศาลสหพันธ์ก็เป็นของนายอยู่แล้วล่ะน่า เกิดออกแนวหน้าบ่อยแล้วตายโหงขึ้นมาจะน่าเสียดายนะ!”

“โฮ่! ไม่ต้องให้คนไม่รักตัวกลับตายอย่างนายมาว่าหรอก! จะให้เก็บตัวทำตัวเป็นหมาลอบกัดชาวบ้านอย่างไอ้บ้านั่นรึไง พอๆ!  เลิกพูดเรื่องนี้ เอาเป็นว่าไม่ต้องมาโยกโย้ ตกลงจะเล่าเรื่องที่เมทิสได้รึยัง บอกก่อนนะว่าคราวนี้อารอนกะเล่นงานนายให้ถูกตัดหัวแน่ๆ! หมอนั่นถึงขนาดยื่นกล่าวหานายกับศาลสหพันธ์แล้วนะ!” บิลลี่ว่าพลางทำหน้ายุ่ง การที่เขาเร่งมาที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ต้องการให้ใครทำหน้าที่นี้ หากจะมีใครที่ต้องจับกิลเบิร์ตจริงๆ นั่นสมควรเป็นตัวเขา

“ตกลงว่าจะมาจับฉันไม่ใช่เรอะ ทำไมพูดอย่างกับจะช่วยล่ะ!” แสยะยิ้มเย้ยถามไถ่ อันที่จริงระหว่างพวกเขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรกันแน่ เอาเป็นว่า ถือว่าเป็นเพื่อนห่างๆ ประเภทหนึ่งก็คงได้ 

“มาจับสิ การสืบสวนคือหน้าที่ของฉัน แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริง นายก็คือผู้บริสุทธิ์ แต่พวกคนอื่นไม่คิดแบบนี้หรอกนะ อารอนบอกว่านายคือคนที่สั่งให้พวกเขาลงมือฆ่าประชาชนที่เมทิส แต่หมอนั่นห้ามไว้ ต่อให้นายบ้าขนาดไหน ฉันก็ไม่คิดว่าจะบ้าอย่างที่หมอนั่นบอก เอาล่ะ บอกความจริงมาได้แล้ว! เฟรเดอริคหักหลังนายแล้ว เลิกปกป้องหมอนั่นกับเทสล่าได้แล้ว!!”

   บิลลี่พูดอย่างหงุดหงิด คนเช่นเขารักงานรักหน้าที่ ต่อให้เป็นเพื่อนของตัวเองหากทำเรื่องผิดเขาก็จะจับอย่างไม่ลังเล แต่กรณีของกิลเบิร์ต จะให้เชื่อว่าหมอนี่สั่งให้ทหารทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้น เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติส่วนเกินไป กิลเบิร์ตรบมากี่สนามรบเพื่อเทสล่า แต่ไม่เคยผิดกฎหมายเรื่องอาชญากรสงคราม แล้วทำไมกับอีแค่สมรภูมิเล็กๆที่เมทิสเขาถึงจะต้องสั่งฆ่าประชาชน นี่ผิดมันผิดปกติไปถึงแก่นแล้ว แต่พูดไปตอนนี้ย่อมเปล่าประโยชน์ คนของเทียร่าเองก็กำลังยกหางนายอารอนนั่น หากเขาพูดอะไรผิดไป ตัวเขาเองย่อมจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

ไม่ต้องอะไรหรอก หากมีข่าวหลุดออกไปว่าจริงๆเขากับกิลเบิร์ตเป็นเพื่อนกัน แค่นี้ก็คงทำอาชีพการงานเขาพังเละเทะแล้ว คนรู้จักแต่ละคน ช่างน่าปวดหัวจริงๆ! แต่ทั้งที่มันน่าปวดหัวมากอยู่แล้ว คำตอบของกิลเบิร์ตกลับชวนหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“ของแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก” กิลเบิร์ตตอบเรียบๆพลางยิ้ม บิลลี่รู้สึกว่าการที่คนหน้าไม่อายแบบนี้มาใช้ใบหน้าใสซื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ยิ้ม ช่างอัปลักษณ์ชะมัด!

“ให้ตายเถอะ หน้านายตอนนี้ขัดลูกตาจริงๆ แล้วนี่ก็เลิกคิดเองเออเองซะที ฉันรู้ว่านายมันพวกติสแตก แต่อย่ามาติสตอนนี้ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ!” นวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเหมือนตายไปแล้วสามรอบ “พูดมาเถอะน่า ฉันเชื่อทั้งนั้นล่ะ” บิลลี่เอ่ยรับรอง แต่ฝ่ายกิลเบิร์ตกลับยิ่งยกยิ้มไม่เป็นโล้เป็นพาย

   ใครบ้างที่ไม่อยากหาคนช่วยแบ่งเบาภาระ เพียงแต่ว่าบางอย่างมันจำเป็นต้องใช้เวลา

“ถ้าบอกว่าเกี่ยวกับพวกซิลวานี่ จะเกิดอะไรขึ้น”

“!” นั่นคือชื่อดวงดาวที่พวกเทสล่าเพิ่งจะประกาศสงครามด้วยเร็วๆนี้ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ากิลเบิร์ตค้านเรื่องนี้หัวชนฝาจนทะเลาะกับคณะผู้บริหารของเทสล่า แสดงว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัยแล้ว

“ใช่ไหมล่ะ นี่เป็นปัญหาการเมือง นายแก้ไม่ได้ด้วยการสืบสวนของนายหรอก ถ้ามีโอกาส ฉันต้องเป็นคนกลับไปแก้เอง ส่วนนาย จะช่วยแกล้งเซ่ออีกสักพักไม่ได้เรอะ” ความหมายคือกิลเบิร์ตเองก็ไม่คิดว่าจะปล่อยผ่านในเรื่องนี้ แต่เพราะหลังจากเรื่องที่เมทิสเขาก็มีปัญหากับอารอนกับเฟรเดอริคมาตลอด ทั้งยังมีเรื่องซิลวานี่ด้วย ทุกอย่างบีบคั้นให้สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรสงครามแล้ว

   เอาเข้าจริงเขาก็อยากหวังให้บิลลี่ยอมรับคำขอร้องจากเขา เพียงแต่ว่าพอพูดไปแค่นี้อีกฝ่ายก็ยกปืนขึ้นจ่อหัวเขาแล้วสมฉายาสิงห์ปืนไวสุดๆ ดวงตาสุดจะเอาจริงเอาจังเวลาเล็งยิงใครสักคนนี่ยังคงเข้มงวดเหมือนเดิม

“นี่คือคำตอบของนายรึสหาย”

“ถ้าไม่ใช่ฉันจับนาย คนอื่นจะมาจับนาย ถ้าต้องให้คนอื่นมาเอาตัวนายไป ในฐานะเพื่อน ขอฉันทำหน้าที่นี้เองดีกว่า เอาล่ะกิลเบิร์ต ร่างจริงนายอยู่ที่ไหน กลับไปเทียร่ากับฉัน! ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาเด็กคนนี้ไปแทน!” พูดไม่พูดเปล่าหยิบกุญแจมือขึ้นมาจริงๆ ท่าทีเอาจริงเอาจังชวนให้คู่สนทนาปวดหัวตุ้บๆ เพราะแบบนี้ไงเล่ากิลเบิร์ตถึงไม่มั่นใจว่าหมอนี่เป็นเพื่อนประเภทไหน

   ถ้าตามใจเขาทุกอย่าง บิลลี่จะเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมมาก แต่หากขัดใจ...ก็ถูกปืนจ่อหัวอยู่นี่ไง!

“จะขู่ทำไมเล่า นายไม่ยิงร่างของฟินน์หรอก และเด็กคนนี้ก็จะไม่มีความทรงจำเรื่องที่เราคุยกันด้วย ขอเตือนนะบิลลี่ที่รัก เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เพื่อตำแหน่งในอนาคตของนาย นายไม่ควรยุ่งกับเรื่องนี้ และไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับอารอนด้วย รีบกลับไปเทียร่าซะ!” นี่ย่อมเป็นการเตือนในฐานะสหายแล้ว

“นายคิดจะทำอะไรหมอนั่น จะล้างแค้น?” นั่นคือสิ่งที่บิลลี่คิด บางทีเรื่องชู้สาวนี่อาจจะลึกซึ้งกว่าที่เขาคิด ทว่า กิลเบิร์ตกลับส่ายหน้า 

“เปล่า ถ้าเลือกได้ฉันไม่อยากยุ่งกับหมอนั่นอีก แต่ว่า เพื่อเด็กคนนี้กับน้องสาว บิลลี่...ฉันไม่ลังเลที่จะเป็นคนชั่วหรอกนะ แล้วเจอกัน อ้อ! ระวังอย่าให้อ้วนเกินไปล่ะ! ลุดวิกบอกว่านายกินไม่หยุดเลยนี่นะ! อยากดื่มเบียร์กับพวกนายอีกนะ!” วินาทีนั้นเองที่ร่างของฟินน์พลันส่องแสง ก่อนที่จะพลันหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วชนิดที่บิลลี่ก็ไม่ทันจะได้ตั้งตัว กิลเบิร์ตใช้ร่างของฟินน์เทเลพอร์ตหนีไปแล้ว

“เจ้าบ้าเอ๊ย นี่ถึงกับจะเล่นบทตัวร้ายเลยเรอะ โง่มาก! ว่าแต่ว่า ฉันจะอ้วนจะผอมเกี่ยวอะไรกับพวกนายฟะ!” ด่าอย่างโมโหสุดๆ หากเจอแบบเขาไม่อกแตกตายให้มันรู้ไป!

   เพียงแต่ตอนนั้นเองอุปกรณ์สื่อสารของเขากลับดังขึ้น บิลลี่กดรับที่ข้อมือเพื่อให้ข้อมูลแจ้งเข้าสู่สมองของเขาโดยตรง นึกไม่ถึงว่านั่นกลับเป็นเสียงตื่นตกใจของทหารผู้ติดตามของอารอน

 “แย่แล้วครับ ท่านอารอนกำลังปะทะกับกลุ่มคนนิรนามที่ชานเมือง!”

“!” และวินาทีนั้นเองที่บิลลี่พลันเข้าใจวัตถุประสงค์ของกิลเบิร์ตอย่างแจ่มแจ้ง

   ร้ายนักนะสหาย!


จบตอน

เอ็นดูเจ้าแมวอ้วนด้วยนะคะ 5555+
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 20 แมวตะกละที่ยิ้มแป้นแล้น 22/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-01-2019 16:32:26
 :angry2:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 20 แมวตะกละที่ยิ้มแป้นแล้น 22/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 22-01-2019 21:09:36
อารอนนี่รกหูรกตามาก  :katai1: แต่ขำบิลโดเหมาว่าเป็นแมวตะกละ 55555
กำลังสนุกเลย รอตอนต่อไปน้าาาา :really2:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 21 สนามรบของแมวสองตัว 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 27-01-2019 18:05:30
บทที่ ๒๑
สนามรบของแมวสองตัว

   ในตอนที่บิลลี่มาถึงจุดที่พวกทหารของอารอนแจ้ง เขาก็แลเห็นแต่ร่องรอยระเบิดและการต่อสู้ที่พังเหมืองเกลือของดาวดวงนี้พังเป็นแถบๆ แถมเครื่องตรวจจับพลังจิตที่ฝังไว้ที่ข้อมือกลับดังไม่หยุด แว่นตาสะท้อนคลื่นพลังของเขาช่วยให้เขาเห็นแสงของกระแสพลังจิตฟุ้งเต็มอากาศไปหมด ชัดเจนมากว่าพวกอารอนใช้พลังจิตปะทะกับพวกไหนสักพวก กิลเบิร์ตเจตนาที่จะจัดการกับพวกอารอนอย่างเด็ดขาดจริงๆ

ที่เจ้าอาณานิคมคนนั้นรั้งพวกเขาให้อยู่ในฐานะแขก แท้ที่จริงก็เพราะรอคอยให้อารอนเดินไปติดกับแผนการของตนเอง และคนที่จะช่วยคุณราชาคนนั้นดักจับพวกอารอนจะเป็นใครที่ไหนไปได้ ย่อมต้องเป็นคนที่รู้จักฝ่ายตรงข้ามอย่างดี ย่อมต้องเป็นกิลเบิร์ต อดีตเจ้านายของอารอนไงเล่า!

“ตกลงว่าจะเป็นตัวร้ายจริงๆเรอะ! เจ้าบ้ากิลเบิร์ต!” ลงมือโหดเหี้ยมกับภรรยาของเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่า นี่คิดจะประกาศสงครามหรือยังไง!

ไม่ทันที่บิลลี่จะได้คิดให้ตก กระสุนนัดหนึ่งพลันยิงมาจากทางด้านหลัง เขากระโดดหลบพลางชักปืนที่เอวขวายิงโต้กลับ เพียงแต่ว่ากระสุนนัดนี้ของเขาไม่ใช่กระสุนธรรมดา

   นี่คือกระสุนเลเซอร์ความเข้มข้นสูง ดังนั้นเมื่อถูกยิงออกไปมันจึงป่นทุกสิ่งเบื้องหน้าเป็นผง เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ทลายทุกสิ่งไม่เหลือซาก แต่บิลลี่ไม่รอช้า เขาชักปืนที่เอวซ้ายยิงสวนอีกสองนัด คราวนี้เป็นกระสุนระเบิดธรรมดาเจาะเข้าที่กลางหน้าผากของศัตรู เลือดพุ่งขึ้นกลางอากาศชัดเจน เพียงแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนกลับเป็นแววตาของบิลลี่ เขาในตอนนี้เข้าสู่โหมดของการต่อสู้แล้ว

“ไสหัวออกมานะ! กิลเบิร์ต!” บิลลี่ตะคอก แต่ที่เห็นกองอยู่ตรงหน้ากลับเป็นศพนิรนาม เพียงแต่จากเสื้อผ้าการแต่งตัวนี้ บิลลี่รู้ทันทีว่าหมอนี่ไมใช่คนของอาทีเรีย กิลเบิร์ตถึงกับหลอกใช้คนนอกเล่นงานพวกอารอนเลยงั้นหรือ? “นายคิดอะไรอยู่นี่! เดินทางข้ามกาแลคซี่มาจนสมองฟั่นเฟือนหรือไง!”

   ไม่ทันคิดต่อคราวนี้ปรากฏว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลังอีกครั้ง บิลลี่กระโดดหลบหลายครั้งติดกัน แต่เจ้าสิ่งนั้นกลับยังฟาดใส่เขาไม่หยุด ทั้งยังรุนแรงและรวดเร็วมากด้วย เพียงแต่ว่าบิลลี่เองก็ใช่ธรรมดา เขาคือเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เก่งกาจที่สุดของศาลแห่งสหพันธ์ เรื่องจะฟัดกับใครนั้นขอให้บอก เขาทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นพอถูกโจมตีต่อเนื่องแบบนี้ก็พอเดาออกแล้วว่าตนเองกำลังปะทะอยู่กับใคร เจ้าของแส้ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล โจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด!

“โผล่หางมาซะ! เจ้าโจรสลัด!” บิลลี่ยกมือซ้ายยิงสวนทันทีที่ได้โอกาส แต่ฝ่ายนั้นกลับกระโดดหลบก่อนจะฟาดแส้ใส่อย่างไม่ปรานี แลกกับกระสุนอีกนัด หลังฝุ่นควันกลับต่างคนต่างแลเห็นเงาของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งขึ้น ปากกระบอกปืนของบิลลี่จ่ออยู่ข้างหัวศัตรู แต่ที่ลำคอของเขาก็ถูกแส้พันอยู่รอบ แบบนี้ก็เหมือนการสื่อว่าขอให้ตายตกตามกันแล้ว “เจ้าคนชั่วช้า! อเล็ค!” ตะคอกใส่อย่างเดือดดาล แต่ฝ่ายนั้นกลับยิ้มแสยะทั้งยังกระชับแส้แสนคมของตนเองเบาๆเรียกเลือดจากลำคอขาวของอัยการหนุ่ม

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณอัยการ เอ๋! ช่วงนี้เจ้าเนื้อขึ้นรึเปล่าครับ แย่เลย! ทำงานนั่งโต๊ะนานไปหน่อยรึเปล่าครับ บิล” อเล็คเซ่เอ่ยเสียงหวาน อันที่จริงการทำให้ลำคอสวยๆของอีกฝ่ายเป็นแผลนี่มันไม่ใช่วิสัยของเขาเลย ของสวยๆงามๆควรจะถูกเก็บไว้ในกล่องสวยๆและขัดถูอย่างดีมากกว่า ถึงบิลลี่ไม่ใช่รสนิยมของเขา แต่เรื่องความสวยงามนั้นถือว่าเอาไปขายได้ไม่อายใคร

   ไม่สิ...เขาคงไม่สามารถจับอัยการแห่งศาลสหพันธ์ไปขายเป็นทาสได้ใช่ไหม?

“หุบปาก! อย่ามาเรียกชื่อฉันสนิทสนมแบบนั้นนะ ขยะแขยง!” บิลลี่ตะคอกใส่ทันที สีหน้าที่ยิ้มอยู่ตลอดพอเห็นเจ้าโจรสลัดวิปลาสตรงหน้าก็ทำเอาคันคะเยอด้วยความรังเกียจท่วมท้น ว่าแต่จะเลิกทักเขาเรื่องอ้วนได้ไหม! หงุดหงิดชะมัด! เจ้าพวกคนนิสัยเสีย! “สารเลวอย่างนาย มาทำอะไรที่นี่!”

“โอ้ พูดจาเสียมารยาทจริง คิดว่าจักรวาลนี้เป็นของพวกเทียร่าฝ่ายเดียวหรือไงครับ ออกมาไกลเสียขนาดนี้เทียร่ายังตามมาราวี ช่างน่าสงสารกิลเบิร์ตที่รักของผมจริงๆนะ ไม่สิ หรือว่า...” ดวงตาเป็นประกายหยอกเย้าก่อนจะเผยอใบหน้ากับแลบลิ้นเลียข้างแกมอีกฝ่าย จนบิลลี่สะดุ้งเฮือก “ที่ตามมาถึงนี่ หรือจริงๆคุณหึงผมหรือเปล่าครับ” วินาทีนั้นบิลลี่ถึงกับสบถ

   เชี่ยเอ๊ย!!!

“ไอ้! ไอ้ๆๆๆๆ!!!! ไอ้โจรขยะ!!!!” บิลลี่แทบสบถไม่เป็นภาษากำหมัดกัดฟันเหนี่ยวไกปืนในทันทีด้วยความโมโหถึงขีดสุด ส่วนฝ่ายอเล็คเซ่ก็คลายแส้ที่พันรอบคออีกฝ่ายแล้วกระโดดหลบ ทั้งที่พร้อมจะฆ่ากันให้ตายได้เสียตรงนั้น แต่สุดท้ายอเล็คเซ่กลับเลือกที่จะใช้กระสุนพลางตัว “อย่าหนีสิ!!!ไม่กล้าสู้หน้าฉันรึไง!!!”

“อย่าหลงตัวเองนักสิ ผมก็แค่มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องของคุณน่ะ อืม ต่ำต้อยด้อยค่าแบบคุณเอาไว้ผมจะมาเล่นด้วยยามว่างละกันนะ ว่าแต่ ยังเวอร์จิ้นอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ ยังรอให้ผมเข้าไปในตัวคุณอยู่หรือเปล่า” นั่นย่อมเป็นคำพูดส่งท้ายไร้ยางอายที่ทำเอาบิลลี่โกรธจนตัวสั่น อายจนอยากชำแหละเนื้อคน

   ไอ้โจรขยะไร้สามัญสำนึก ไปตายซะ!!! ขอให้ถูกกิลเบิร์ตหลอกใช้จนตัวแห้งตาย!!!!!

   ในขณะที่บิลลี่กำลังรับมือกับเจ้าโจรสลัดชั่วช้า ฝ่ายท่านผู้หญิงอารอนขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องที่น่าหงุดหงิดสุดๆ เดิมทีอารอนหาเหตุตีสนิทกับนิโคลัสที่เขาเชื่อว่าน่าจะรู้เบาะแสของกิลเบิร์ต ในช่วงสามวันนี้เขารู้มาจากนิโคลัสว่ากิลเบิร์ตหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ความคุ้มครองจากนายลุดวิกอะไรนั่น นิโคลัสไม่พอใจกิลเบิร์ต ทั้งยังบอกเขาอีกว่าหมอนั่นหลบซ่อนอยู่ที่เหมืองเกลือนอกเมือง วันนี้เขาจึงกะมาล่าเต็มที่ แต่ครั้นพอมาถึงจุดหมาย ปรากฏว่าพวกเขากลับถูกหลอกล่อมาในเหมืองที่กางสนามพลังกักคลื่นพลังจิตเสียเอง!

   อารอนกับพวกผู้ติดตามไม่กระจอกถึงขนาดถูกกักขังด้วยสนามพลังแค่นั้น ไม่เสียชื่อเอสเปอร์ชั้นเยี่ยม เขาทลายสนามพลังนั่นและบุกเข้าโจมตีเจ้านิโคลัสคนทรยศทันที แต่ไม่ทันถึงตัว พวกคนนอกเครื่องแบบกลุ่มใหญ่กลับกรูเข้ามาเล่นงานเขา แถมเจ้าพวกนี้ยังหนังเหนียวกัดไม่ปล่อย ทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีการรบกับเอสเปอร์ระดับสูง ดาวบ้านนอกแบบนี้ไม่ควรมีอุปกรณ์ขนาดนี้ใช้เลยด้วยซ้ำ!

   เผลอแป๊บเดียวเจ้าพวกคนนิรนามนั่นสอยผู้ติดตามของเขาร่วงไปทีละคนๆอย่างเป็นระเบียบ นี่เป็นกลยุทธ์ นี่คือแผนการแน่ๆ!!!

“นี่เป็นแผนของคุณงั้นเรอะ! นายพลกิลเบิร์ต!” อารอนตวาดก้องพลางเร่งพลังจิตเกิดคลื่นพลังสีฟ้าแผ่กระจายระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง ขนาดพลพรรคของอเล็คเซ่ยังถูกอัดกระเด็น บางส่วนที่หลบไม่พ้นถึงกับถูกอัดกระแทกจนแขนขาหลุดกระจัดกระจายเลือดสาดนอง “เอาสวะพวกนี้มาเก็บผมไม่ได้หรอก! ออกมา! นายพลกิลเบิร์ต!”

   วินาทีนั้นเองตามคำเรียกร้อง แสงสีแดงอัดกระแทกมาถึงตัวอารอนจนปลิวไปกระแทกหิน แต่อารอนใช้เกราะพลังลดแรงกระแทกและพุ่งเข้าใส่เจ้าของแสงสีแดงนั่น ในแสงที่แสบนัยน์ตาและคุ้นเคยอย่างที่สุดปรากฏชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นดั่งทับทิมเลือด ริมฝีปากแสยะรอยยิ้มเหยียดหยาม อารอนกล้าพูดว่านี่คือรอยยิ้มที่เขาเกลียดชังที่สุด เจ้าคนน่ารังเกียจที่ยืนขวางทางเขาในทุกวิถีทาง!

“ออกมาแล้วงั้นรึ เจ้าคนขี้ขลาด หนีหางจุกตูดมาซบอกดาวอื่น คงจ่ายไปแพงล่ะสิ! ว่าไง คุณจ่ายให้ราชานั่นไปเท่าไหร่ หรือว่า จ่ายด้วยร่างกายตัวเองไปแล้ว!” ว่าอย่างหยามเหยียดพลางเร่งพลังอัดกระแทกใส่เป้าหมาย ทว่า กิลเบิร์ตเพียงใช้มือขวาปัดพลังนั่นทิ้ง ก่อนจะกางสนามพลังขึ้นใหม่และเร่งความเร็วอัดกระแทกเข้าที่ช่องท้องของเจ้าคนพูดมากจนอารอนกระเด็นไปอีกรอบ

“แล้วคุณล่ะจ่ายไปเท่าไหร่ คุณอารอน จ่ายให้สามีเก่าฉันจนหมดตัวจนเขาเบื่อหรือยัง” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มพร้อมกับพุ่งตามลงมาและชูมือขึ้นฟ้าสร้างคมดาบแสงสีแดงนับร้อยสาดพุ่งใส่เป้าหมาย การควบคุมพลังของเขาเหนือชั้นอย่างยิ่ง ดาบแสงที่ตกลงมาราวดาวหางนั้นคมปลาบทั้งยังพลานุภาพมหาศาลประหนึ่งจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้สบาย เพียงแต่ว่าเป้าหมายของเขาตอนนี้กลับเป็นชายหนุ่มแค่คนเดียว “ลุกขึ้น คุณอารอน คุณไม่ตายด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก คุณยังอยากจะเห็นฉันถูกกิโยตินตัดคอที่ศาลสหพันธ์อยู่ไม่ใช่รึ”

   นั่นเป็นการยั่วโมโหโดยแท้ และเพราะถ้อยคำนั้นเองที่ทำให้อารอนโกรธแทบบ้า อารอนเองก็ยกมือสร้างธนูแสงและยิงธนูนับพันใส่กิลเบิร์ตเช่นกัน ฝ่ายตั้งรับนั้นแม้ยังยืนอยู่กลางอากาศ แต่กลับสร้างบาเรียล้อมรอบตนเอง รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมแสยะออกก่อนจะรวบรวมพลังเป็นเกราะสะท้อนพลัง อัดกระแทกกลับไปยังผู้เป็นเจ้าของ ถึงตอนนี้อารอนเบิกตากว้าง แต่ทั้งที่พยายามจะป้องกัน กิลเบิร์ตกลับยังกล้าพุ่งเข้าใส่เข้าพร้อมกับการโต้กลับอย่างรุนแรง นี่ย่อมเป็นวิธีการต่อสู้ของท่านนายพลที่บ้าคลั่งที่สุดในสนามรบ

   ยามที่กิลเบิร์ตยืนอยู่ในสนามรบ เขาย่อมไร้เทียมทาน! การคิดเอาชนะเขาในสนามรบนับเป็นเรื่องที่ถือดีที่สุด!

“เกลียด! อย่างคุณนี่มันสมควรตายที่สุดแล้ว! ทำไมจะต้องยืนขวางทางของผมด้วย! ทำไมไม่ตายๆไปซะ!!” อารอนตะโกนใส่ เขาถูกพลังของกิลเบิร์ตโจมตีหนักหน่วง แต่จนแล้วจนรอดนอกจากสภาพที่คลุกฝุ่นเปื้อนดินแล้ว เขากลับยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่เสียทีที่เป็นเอสเปอร์อันดับหนึ่งของเทสล่าเวลานี้

   กิลเบิร์ตย่อมไม่ตกใจ เขารู้ว่าอารอนเป็นเอสเปอร์ที่เก่งกาจอย่างมาก ในเด็กรุ่นเดียวกันที่รัฐบาลเทียร่าส่งมาฝึกฝนที่เทสล่า อารอนคือเอสเปอร์ที่มีพลังสูงสุด ทั้งยังมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ในขณะที่ตัวเขาถูกเฟรเดอริคคาดหมายว่ากำลังถึงวัยเกษียณแล้ว แต่อารอนกลับกำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุด ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของเขายังอยู่อีกยาวไกล เมื่อคิดแบบนี้แล้วก็ไม่แปลกเลยที่เฟรเดอริคจะเลือกอารอน เลือกรัฐบาลเทียร่า ส่วนตอนนี้พ่อหนุ่มผู้เก่งกาจคนนี้ก็กำลังระเบิดพลังและเพิ่มคมธนูแสงสาดใส่เขาอย่างไม่ยั้ง

“ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ฉันรู้ว่าคุณน่ะไร้เทียมทานนะคุณอารอน แต่ว่า...”

“!”

“ฉันไม่ได้คิดจะดวลกับคุณตัวต่อตัวนี่สิ” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหด และตอนนั้นเองที่ระเบิดแสงแสบนัยน์ตาถูกยิงลงมาจากยานรบของอาทีเรียที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กิลเบิร์ตที่รู้ตัวอยู่แล้วกางม่านพลัง แต่อารอนกลับถูกซัดไปเต็มๆจนตาบอดไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นเรือธงอเล็คซานเดอร์ของอเล็คเซ่ที่หลบอยู่ในผนังหินกลับยกเลิกการพรางตัว และยิงแสงเลเซอร์สนามพลังใส่เป้าหมาย

   พริบตาอารอนถูกกักขังไว้ในกรงแสงสนามพลังความเข้มข้นสูงของโจรสลัดแห่งเนบิลว่ามืด ยิ่งตอนนี้เขาตามองไม่เห็นกลับยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในขณะเดียวกันบิลลี่ก็วิ่งมาจนถึงที่เกิดเหตุพอดี สิ่งที่เขาเห็นคือสภาพรุ่งริ่งของนายพลแห่งเทสล่า กับอดีตท่านนายพลที่กำลังขยิบตาส่งยิ้มแพรวพราวร้ายกาจให้เขา ไม่เจอกันนาน หมอนี่ก็ยังโหดร้ายกับศัตรูเสมอต้นเสมอปลาย เพียงแต่บิลลี่ไม่มีเวลาคิดแล้ว เขามาที่นี่ในฐานะอัยการผู้รับผิดชอบการสืบสวนคดี และรู้กันไปทั่วว่าเขามาพร้อมกับนายพลอารอนแห่งเทสล่า ตอนนี้อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจะปล่อยไว้ได้ยังไง

   ถึงอีกฝ่ายเป็นกิลเบิร์ตก็ถอยไม่ได้แล้ว!

   อัยการหนุ่มปลดล็อคกระสุนเลเซอร์ร้ายแรงยิ่งกระหน่ำใส่กิลเบิร์ตในทันที แต่อีกฝ่ายกลับไวมากพอและทั้งที่ควรจะทุ่มเทกำลังจัดการกับอารอนไปหมดแล้วแต่แรงกลับยังไม่ตกสักนิด ยังคงกระโดดหลบและพุ่งเข้าปะทะกับสหายเก่าได้อย่างสูสี

“กิลเบิร์ต! นี่คือคำตอบของนายหรือไง! แบบนี้นายจะถูกกล่าวหาว่าคิดฆ่าพยานนะ!” บิลลี่ตะคอกหมายเตือนสติในขณะที่ยังต้องคอยกระโดดหลบและตั้งรับ สู้กับเอสเปอร์อันดับหนึ่งของจักรวาลช่างเป็นการทำอะไรเกินตัวจริงๆ!

“ไม่รู้หรือไง คนเราจะร้ายแล้วมันต้องร้ายให้ถึงที่สุด! ไอ้พวกร้ายครึ่งๆกลางๆน่ะหลบไป!” กิลเบิร์ตตอบพลางหัวเราะ ไม่มีความลังเลปรากฏบนใบหน้าเลยสักนิด แน่ล่ะ หากเขาลังเลป่านนี้เขาตายไปตั้งแต่ในสนามรบแรกแล้ว “นี่บิลลี่ ฉันบอกให้นายหลีกทางแล้วนะ!”

“ใครมันจะหลีก! คนพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนาย ถึงตายฉันก็ไม่หลีก! คายความจริงมานะ!” กิลเบิร์ตบ้าบอที่สุด ทั้งปิดบังเรื่องที่เมทิส ทั้งปิดบังเรื่องที่มีปัญหากับอารอน ทั้งยังกล้าปิดบังเขาเรื่องที่ร่วมมือกับโจรสลัดชั่วนั่นด้วย! “เจ้าบ้า! นี่นายไม่เห็นหัวฉันเลยเรอะ!”

   พอรู้สึกว่าตัวเองโดนเพื่อนมองข้ามหัว ถึงตอนนี้บิลลี่ก็ทั้งโกรธทั้งน้อยใจจนควันออกหู สองมือเหนี่ยวไกปืนรัวยิงไม่ยั้งเข้าเป้าทุกนัดจนกิลเบิร์ตต้องทั้งกระโดดทั้งวิ่ง ทั้งบินโฉบหนีตาย เอาเข้าจริงกระสุนของบิลลี่ไวกว่าพลังเคลื่อนไหวของอารอนเป็นเท่าตัว ถึงหมอนี่จะใส่แว่น แต่สายตาดันดียิ่งจนเขาสงสัยว่านั่นใส่แว่นเพื่อให้ศัตรูตายใจรึเปล่า ว่าแต่ไอ้คนที่ทั้งมือทั้งเท้าเล่นงานเขาไม่หยุดแต่กลับโวยวายร้องไห้จนตาแดงก่ำนั่นมันอะไร หมอนี่ชักจะอีโมมากเกินไปแล้ว!

“นี่นายจะร้องหรือจะยิงเอาสักอย่างสิ!” กิลเบิร์ตอดด่าไม่ได้ สหายท่านนี้เล่นด้วยยากเหลือเกิน เขาเองไม่ใช่พระอิฐพระปูนเจอเพื่อนมาร้องไห้พลั่กๆต่อหน้าแบบนี้ก็พานใจอ่อนยวบยาบ

“ก็นายมันเอาแต่ใจ! นิสัยเสีย! ไอ้บ้าเอ๊ย! ขอให้ถูกทิ้งเป็นแมวข้างถนน!!!” พอพูดโพล่งไปแบบนั้น บิลลี่กลับรีบอุดปากตัวเองที่ไวเกิน เขาย่อมสำเนียกได้ว่ากิลเบิร์ตเวลานี้ก็ถูกสามีทิ้งต้องระเห็จข้างถนนอยู่แล้ว แล้วเขายังไปแช่งให้ถูกทิ้งอีก นึกๆแล้วก็น่าระอายใจอย่างยิ่ง

   เห็นเพื่อนตัวเองเป็นเสียขนาดนี้หากยังไม่ใจอ่อนนับว่าโหดร้ายจนเกินไป สุดท้ายกิลเบิร์ตถึงกับยอมคลายสนามพลัง และเดินมาหยุดอยู่หน้าบิลลี่ที่หน้าแดงก่ำความน้อยอกน้อยใจสะท้อนในดวงตา เห็นแล้วถึงกับต้องยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆหนึ่งที

“โทษที ขอโทษละกัน” กิลเบิร์ตตอบเขินๆ

   ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ในระหว่างที่เห็นกิลเบิร์ตกับบิลลี่ด่ากันไปด่ากันมา ด่าจนคนด่าร้องไห้ขี้มูกโป่ง ส่วนคนถูกด่าเกาหัวแกรกๆนึกละอายจนพูดไม่ออก คนที่แอบมองอยู่ข้างหลังอย่างลุดวิกยิ่งรู้สึกอดรนทนไม่ได้ ในสายตาเขาพลันบังเกิด
จินตนาการบรรเจิดเห็นแมวตัวดำกับแมวขนทองร้องแง้วๆกระโดดข่วนหน้ากันพอหอมปากหอมคอแล้วก็เป็นเจ้าแมวอ้วนขนทองที่พองขนจนตัวแทบปริ คิดจะข่วนเขาให้หน้าแหกแต่กลับบ่อน้ำตาแตก สุดท้ายเห็นเป็นแมวดำตัวโปรดของเขายกอุ้งตบหัวอีกฝ่ายแปะๆ อืม...เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจริงๆ

   แมวเถื่อนมีเพื่อนเป็นแมวขี้แยงั้นเรอะ?

   แต่ถึงที่สุดลุดวิกกลับปรากฏตัวออกมาและคว้าแขนเอากิลเบิร์ตไปกอดไว้ไม่บอกไม่กล่าว จนบิลลี่ที่กำลังจะสงบใจได้มุ่นคิ้วเบิกดวงตากว้าง พองขนอย่างโกรธขึ้ง หมอนี่คือราชาของอาทีเรียที่ตอนนี้เขาสงสัยว่ารวมหัวกับกิลเบิร์ต แต่ที่น่าสงสัยกลับไม่ใช่เรื่องนั้น บิลลี่กำลังสงสัยว่าคนที่ยอมร่วมมือกับผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยอมเป็นศัตรูกับเทสล่า ทั้งยังหันไปร่วมมือกับโจรสลัดอีก คนแบบนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ! บางทีหมอนี่อาจคิดหลอกใช้กิลเบิร์ตเสียเอง!

“ถอยออกมาจากกิลเบิร์ตนะ! คุณราชาคุณน่ะคิดอะไรกันแน่! คุณร่วมมือกับกิลเบิร์ตเพราะหวังผลประโยชน์อะไรกันแน่!” บิลลี่ชี้หน้าถาม ใบหน้าของเขาตอนนี้พองจนแก้มแดงหน้าตาน่าเอ็นดูจนกิลเบิร์ตนึกอยากใช้อุ้ง เอ๊ย! มือลูบหัวเพื่อนตัวเองอีกรอบ

   ที่ไหนได้ลุดวิกทอดถอนใจยาว ตอนนี้ลุยกันจนเละเทะไปหมดแล้ว แถมคุณอัยการคนเก่งดันอีโมจัดจนหมดสภาพ ลุดวิกรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายคร่าสวาทในหนังไม่มีผิด ตอนนั้นเองที่เขาคว้าเอวกิลเบิร์ตเข้ามาและจับใบหน้าอีกฝ่ายจูบลงที่ริมฝีปากสวยๆของเจ้าแมวเถื่อนตัวร้ายต่อหน้าต่อตาของบิลลี่ คนหนึ่งอายจนหน้าแดงก่ำในอ้อมแขนสามี ส่วนอีกคนก็หน้าแดงมือไม้สั่นชี้นิ้วมาที่คนหน้าไม่อายเลิ่กลั่ก

“พะ...พวกนาย พวกนายเป็นอะไรกัน!” บิลลี่ตะคอกถาม ส่วนลุดวิกตีสีหน้าเคร่งขรึมแต่รอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้านั้นกลับดูสะใจอย่างยิ่ง การได้ประกาศความเป็นเจ้าของให้คนอื่นรู้นั้นเป็นความสาแก่ใจสุดๆของเขา ยิ่งรู้ว่าเจ้าอเล็คเซ่แอบมองอยู่ห่างๆ ยิ่งสนุกมากขึ้นเรื่อยๆจนใจสั่น

“ดูไม่รู้จริงๆหรือ” ลุดวิกถาม ก่อนจะจับกิลเบิร์ตสวมกอด จูบหนักหน่วงอีกรอบจนเจ้าแมวเถื่อนแทบหมดแรงทรุดในอ้อมแขน แน่นอนว่าในใจนั้นสบถด่าถึงความชั่วช้านี้ไม่หยุด ส่วนบิลลี่แทบจะเป็นลม หนุ่มเวอร์จิ้นเช่นเขามาเจอคนจูบกันดูดดื่มลิ้นแลกลิ้นตรงหน้าย่อมรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

“เออะ นาย กิลเบิร์ต หรือว่า...”

“ฉันคือสามีของกิลไงล่ะ ยินดีที่จะได้รู้จักอีกครั้งนะ คุณเพื่อนภรรยา” ว่าแล้วก็ยกยิ้มอย่างเอ็นดูคุณเพื่อนภรรยาที่ตอนนี้อายจนควันออกหูหน้าแดงก่ำ

   หย่ากับสามีเก่าไม่ทันไร เพื่อนรักก็ดันได้สามีใหม่ไวทันใจนัก นี่มันเป็นความรักร้อนแรงปานไหน ไปรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือนี่คือชายชู้ที่คนทั้งจักรวาลกล่าวขวัญถึง ยิ่งคิดบิลลี่ก็ยิ่งหัวหมุนคว้าง อายแทนจนแทบซุกหน้าลงเหมือง ส่วนกิลเบิร์ตที่ไม่เคยจะได้อายใครมาก่อนย่อมล่วงรู้ความคิดเพื่อน เขาในตอนนี้แม้อยากแก้ตัวแต่กลับไร้ซึ่งคำอธิบายที่น่าฟัง

   จะพูดว่าอะไรดี?

   อธิบายว่า นี่คือสามีที่เก็บได้โดยบังเอิญข้างถนนหลังถูกหย่าสามวันน่ะรึ?

   พ่องสิ! ไร้ยางอายสิ้นดี!


จบตอน 
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 21 สนามรบของแมวสองตัว 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-01-2019 19:51:30
 :katai2-1:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 21 สนามรบของแมวสองตัว 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 27-01-2019 21:08:48
ชอบๆ กิลเบิร์ตแสดงอิทธิฤทธิ์ สมกับการเป็นเอสเปอร์ที่แกร่งสุดในจักรวาล
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 21 สนามรบของแมวสองตัว 27/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 27-01-2019 22:51:57
ตอนนี้สนุกมาก หมั่นไส้อารอนสุดๆ แต่นี่ยังนึกไม่ออกเลยว่า กิลมีแผนอะไร เปิดเผยตัวซะขนาดนั้น
ถ้าเทสล่าบุกมาล่ะ? :katai1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 22 การเล่นใหญ่ที่เคยให้สัญญา 29/01
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 29-01-2019 21:38:59
บทที่ ๒๒
การเล่นใหญ่ที่เคยให้สัญญา

   บิลลี่ยังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิมในขณะที่คำพูดแก้ตัวเจื้อยแจ้วของเพื่อนรักเสมือนวิ่งผ่านหู จะให้เชื่อในทันทีว่าภายในสามวันหลังจากหย่ากับสามีเก่า กิลเบิร์ตก็ตกผู้ชายคนใหม่ได้โดยบังเอิญจากอุบัติเหตุเกือบโดนรถม้าชนตาย แถมผู้ชายคนที่ว่าตอนนี้มีศักดิ์เป็นเจ้าอาณานิคม สถานะใหญ่โตไม่เบา เผลอแป๊บเดียวกิลเบิร์ตก็กลายเป็นภรรยาเจ้าอาณานิคมเหมือนเดิม สถานะเดิมแค่เปลี่ยนสามี!

   นี่มันต้องความสามารถระดับไหนน่ะ!!!

   เพียงแค่คิดบิลลี่ก็หน้าแดงเถือกไปถึงใบหู ความคิดสะท้อนออกทางสีหน้าท่าทางจนคนมองรู้สึกอยากเอาหน้าซุกดินเสียเหลือเกิน

“หยุดนะ! อย่าคิดอะไรแผลงๆนะ!” กิลเบิร์ตรีบพูดดักคอจินตนาการอันบรรเจิดของสหายรายนี้ เขารู้ดีว่าบิลลี่ยามนี้ย่อมจับแพะชนแกะไปหมดแล้ว อันที่จริงหากสลับกันเขาเองยังตะขิดตะขวงใจที่จะเชื่อเลย! นี่มันเทพนิยายสายดาร์คชัดๆ!! “ฉันเพิ่งพบลุดวิกทีหลังนะ! หมอนี่ไม่ใช่ชายชู้นะ!” อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรมีมลทินจากการหาว่าคบชู้หรอกนะ!

“อะ...ฉัน ฉันเชื่อก็ได้” บิลลี่พยักหน้ารับแม้สีหน้าจะยังงงๆอยู่บ้าง อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าควรเชื่ออะไรหรอก ก็สีหน้าของกิลเบิร์ตดูแตกตื่นขนาดนั้น ส่วนคุณลุดวิกคนนี้ก็ดูจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเหลือเกิน คนเพิ่งพบกันไม่นานอะไรจะรักกันมากขนาดนี้ “เชื่อ เชื่อจริงๆนะ!”

“สีหน้านายเชื่อก็ออกลูกเป็นควายแล้ว!” ย่อมต้องโวยกลับ เจ้าหนุ่มเวอร์จิ้นคนนี้ทำไมถึงได้ใช้หน้าตาอ้อยส้อยนั่นมาทำร้ายกันได้ขนาดนี้นะ!

“อะไรกันเล่า! ก็บอกแล้วว่าเชื่อ! นายหย่าแล้วจะมีผู้ชายกี่คนก็ไม่มีใครว่าหรอกน่า!” บิลลี่สนับสนุนข้างๆคูๆ เพียงแต่คำพูดโต้ตอบนั่นดันทำเอากิลเบิร์ตหน้าซีดหัวชาแทบล้มคะมำ ส่วนลุดวิกขมวดคิ้วและยิ่งกอดภรรยาเข้ามาแนบชิดมากขึ้นพลางส่งสายตาดุไปปรามเจ้าแมวอ้วนตรงหน้าที่ชักจะพูดมากเกินไปแล้ว ฝ่ายบิลลี่ก็รู้ตัวเช่นกันว่าตัวเองปากเสียอีกแล้วเลยรีบก้มหน้าก้มตาเอาเท้าเขี่ยพื้นสีหน้าท่าทีเสียอกเสียใจขอโทษขอโพย ท่าทางดูสำนึกผิดมาก เห็นท่าทีแบบนี้แล้วใครจะไปโกรธเขาลงกันเล่า

   ฝ่ายกิลเบิร์ตกลับยิ่งทอดถอนใจ เรื่องราวเลยเถิดมาขนาดนี้ก็จริง แต่เป้าหมายของเขายังเหมือนเดิมจะมามัวเล่นเป็นเด็กแถวนี้ไม่ได้นะ! เรื่องของบิลลี่เดี๋ยวค่อยไปว่ากันทีหลังตอนนี้ต้องจัดการปัญหาเฉพาะหน้าให้เรียบร้อยก่อน ดังนั้นพอมองไปเห็นเรือรบของพวกอเล็คเซ่ตรึงอารอนเอาไว้ได้ เขาก็รีบผลักจะเอาคุณสามีกระโถนออกไปให้ห่าง แต่เจ้ามือไม้ปลาหมึกนี่มันช่างน่ารำคาญ อะไรจะชอบจับชอบลูบขนาดนั้น เมื่อคืนยังลูบไม่พอหรือไง!

“คุณนี่น่ารำคาญเกินไปแล้ว แบบนี้จะไปตรวจดูอารอนได้ยังไง! เลิกเกาะแกะเสียทีน่า! ไปทำงานของคุณไป!” กิลเบิร์ตที่รู้สึกรำคาญเหลือแสนโวยวายโดยมีนิโคลัสผู้ทำหน้าที่คนแสร้งทรยศยืนมองอยู่ห่างๆ มองให้ตายนี่ก็คือคุณสามีที่ทั้งรักทั้งหลงภรรยาจนหน้ามืด แต่คุณภรรยาก็ช่างเล่นตัวเสียเหลือเกิน ไม่สิ กรณีรายนี้คงต้องบอกว่าดื้อเสียเหลือเกิน!

ถึงนิโคลัสจะไม่ชอบใจกิลเบิร์ต แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าคนๆนี้แท้จริงไมใช่แมวข้างถนนธรรมดา แต่ดันเป็นแมวบรรดาศักดิ์ ไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงดีที่เคยชี้หน้าด่าอดีตนายพลของเทสล่าไปขนาดนั้น หากกิลเบิร์ตเกิดนิสัยแบบอารอนขึ้นมาเขาคงตายไปนานแล้ว เคราะห์ดีที่เอสเปอร์หนุ่มคนนี้เป็นคนใจกว้าง ไม่ถูกสิ เอาเข้าจริงนิโคลัสคิดว่ากิลเบิร์ตก็แค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น คนๆนี้แค่คิดว่าเรื่องที่ถูกเขาหมิ่นประมาทมันเล็กน้อยมากๆเท่านั้นเอง ช่างเป็นคุณชายาที่มองโลกในแง่บวกดีเสียเหลือเกิน คนแบบนี้ต่อให้ไม่ชอบใจ ก็เกลียดไม่ลงหรอก

“นี่คุณนิโคลัส เอาเจ้านายของคุณไปที!” กิลเบิร์ตยังคงโวยวายต่อ แต่นิโคลัสนั้นได้สติว่า เรื่องนี้...เขาจะไม่ยุ่ง

“ทำไมล่ะ เธอมีทั้งนิโคลัสกับคุณอัยการบิลลี่เป็นพยานความรักของฉันเลยนะ แบบนี้เธอต่างหากที่ได้เปรียบ” ลุดวิกยิ้มพรายร้อยเล่ห์พลางกอดภรรยาคนดีในอ้อมแขน ตรงกันข้ามกับกิลเบิร์ตที่พยายามผลักไสเต็มกำลัง “นี่คุณอัยการบิลลี่ คุณไม่คิดว่ากิลดื้อหรอกหรือ เขาเป็นแบบนี้เสมอหรือไง” เฉไฉถามเพื่อนภรรยาที่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าบิลลี่มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กหนักมาก ไม่ว่าจะตอบไปว่ายังไงก็เห็นแต่เพื่อนตัวเองจะเป็นผู้เสียหาย มิสู้เงียบไว้จะดีกว่าหรือ

   ฝ่ายลุดวิกมองแมวสองตัว ตัวหนึ่งแง้วๆจะกัดเขาจะผลักไสเขา อีกตัวเลิ่กลั่กๆเหงื่อแตกพลั่กๆ ดูแล้วน่าสนุกน่าหยอกอย่างยิ่ง นี่สินะที่ว่าคบคนเยี่ยงไรย่อมเป็นคนเยี่ยงนั้น แมวนิสัยคล้ายๆกันก็ต้องมาเป็นแพ็คคู่สินะ!

   เพียงแต่พอบิลลี่คิดว่าเขาควรจะไปตรวจดูอารอนด้วยตนเอง ในตอนนั้นเองที่เขาพลันหนาวสันหลังเยือกขึ้นราวกับผีป่าซาตานมาเป่าอะไรรดหลังหู เขาสะดุ้งเฮือกเพราะใครบางคนดันคว้าเข้าที่เอวของเขา รู้ตัวอีกทีก็ถูกคว้าตัวไปกอดไว้เต็มรัก และเลวร้ายสุดขีดเมื่อเจ้าโจรปล้นสวาทนั่นดันเลียเข้าที่หลังหูจนบิลลี่แทบจะกรีดร้องอย่างเสียขวัญ

“เจ้าโจรชั่ว!” บิลลี่คว้าหมับที่แขนอเล็คเซ่ แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวคลาดจากท่าทุ่มของเขา แม้เขาจะโกรธจนหน้าแดงหูแดงแต่โจรชั่วนั่นกลับยังยิ้มย่างไร้พิษภัยยืนประจันหน้ากับเขาด้วยอีกคน ดูเหมือนแขกรับเชิญในงานนี้จะเยอะเหลือเกิน “นี่กิลเบิร์ต นาย! นายร่วมมือกับไอ้โจรนี่จับอารอนอย่างนั้นเรอะ!” ถึงจะตกใจเสียขวัญ แต่ในเรื่องงานบิลลี่ย่อมไม่ใช่คนโง่ คนที่ปีนป่ายมาถึงตำแหน่งใหญ่โตปานนี้จะเป็นแค่แมวนอนหวดได้ยังไง น่าเสียดายคนที่เอ่ยตอบขึ้นคนแรกไม่ใช่เพื่อนของเขา แต่ดันเป็นโจรปล้นสวาทรายนี้แทน

“ไม่ใช่ร่วมมือครับ แค่แลกเปลี่ยน อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิครับ บิล” คนที่ตอบคืออเล็คเซ่ที่เอาแต่ยิ้มหวานพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดูแบบนี้บิลลี่รู้สึกว่าหมอนี่เพิ่มความโรคจิตขึ้นอีกเท่าตัวแล้ว “ผมเพียงแค่แลกคุณอารอนกับเด็กสองคนนั่นเท่านั้นเอง ใช่มั้ยครับกิลเบิร์ต เพื่อให้ผมยอมถอยจากเอสเปอร์เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา คุณถึงจะจับคุณอารอนส่งให้ผมแทน” อเล็คเซ่เอ่ยเรื่องร้ายกาจหน้าตาเฉย ในขณะที่ฝ่ายผู้ถูกพาดพิงอย่างกิลเบิร์ตกลับทำสีหน้าปลาตายอย่างยิ่ง ถึงตอนนี้บิลลี่จึงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือความหมายของการเป็นตัวร้าย

   ก็ถ้าลองจับท่านผู้หญิงของเทสล่าส่งให้โจรสลัดเอาไปขายล่ะก็ นี่ไม่เรียกว่าตัวร้ายปกติแล้ว นี่มันลาสบอส! เพื่อนของเขาหลังจากเกษียณจากตำแหน่งนายพลที่เทสล่าแล้วถึงขนาดจะจับภรรยาของอดีตสามีไปขายให้โจรเลยเรอะ! แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องพิษรักแรงหึง! แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่การแก้แค้น! บิลลี่ย่อมรู้สึกปวดหัวตุ้บๆคลับคล้ายจะเป็นลม ในขณะที่กิลเบิร์ตในที่สุดก็สะบัดลุดวิกอกจากตัวได้ เขากอดอกยืดตัวและปรายสายตามองอเล็คเซ่อย่างเหยียดหยาม ถึงจะเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวแต่ความเกลียดและไม่ชอบขี้หน้านั้นยังทะลักล้นในอกของเขา

   หากวางใจโจรสลัดพรรค์นี้คงถูกชำแหละไปขายในตลาดเนื้อสดแล้ว!

   เมื่อวานเพื่อเงินรวมหัวกับเฟรเดอริคกับอารอนวางยาเขา ส่วนวันนี้ร่วมมือกับเขาจะจับเอาอารอนไปขาย หมอนี่นี่ล่ะโจรชั่วที่แท้จริง!

“นายก็เอาอารอนไปซะ แล้วก็อย่ามายุ่มย่ามกับฟินน์กับเฟรเซียอีก เด็กพวกนั้นเป็นอิสระแล้ว ส่วนนายจะเอาอารอนไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็เชิญเถอะ” กิลเบิร์ตบอกหน้าตาเฉย น้ำเสียงเยียบเย็นนัยน์ตาเย็นชา ท่าทางแบบนี้ในสายตาคนนอกนี่ย่อมเป็นคนโฉดชั่วอย่างยิ่ง เป็นวายร้ายค้ามนุษย์ตัวจริงเสียงจริงจนแม้แต่บิลลี่ยังจินตนาการตามไปวูบหนึ่ง “แต่พวกเอสเปอร์ที่เหลือของเทสล่านั้นนอกเหนือข้อตกลงของเรา ฉันจะให้บิลลี่เอาไปปล่อยที่อื่น”

“หา!!! ฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเรอะ!!!” บิลลี่เหวอหนัก ทำไมประโยคสนทนาของกิลเบิร์ตคลับคล้ายจะดึงเขาไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยล่ะ! 

“ก็นายบอกเองว่าเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่รึ นายไม่ช่วยแล้วจะให้ใครช่วยกันล่ะ! ไหนๆนายก็ตกกะไดพลอยโจรมาแล้ว ช่วยฉันซะ!” กิลเบิร์ตตอบพลางยิ้มหวานจนทำเอาบิลลี่ช็อคตาตั้ง งานนี้ดูเหมือนแต่แรกเขาควรเชื่อคำเตือนของหมอนี่ถอยไปตั้งแต่แรกจะดีกว่า แต่ตอนนี้ก้าวพลาดแล้ว เดินมาผิดทางแล้ว!! เขาผิดเองที่ปฏิเสธคำเตือนของกิลเบิร์ตงั้นเรอะ!

“ไม่มีทางที่คนอื่นจะไม่ถามหรอกว่าอารอนหายไปไหน!!” พอถูกคาดคั้น คนอย่างบิลลี่ย่อมไขว้เขว ด้วยมิตรภาพครั้งเก่าก่อนเขาก็เผลอเหยียบลงโคลนตมนี้ไปด้วยแล้ว แม้สมองกรีดร้องแต่หัวใจมันพลอยอ่อนยวบ นั่นเพื่อนเขานะ! นั่นคือกิลเบิร์ตนะ! เพื่อนเดือดร้อนจะไม่ช่วยจริงๆเรอะ!

 “ง่ายจะตาย นายก็บอกว่าอารอนดื้อมากจะไปสืบเรื่องฉันคนเดียวที่ดาวอื่น เลยขโมยยานของอาทีเรียหนีออกไปแล้ว ยังไงนายก็เป็นอัยการของเทียร่า ไม่มีใครกล้าซักไซ้นายมากหรอกน่า ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันช่วยล้างความทรงจำทหารพวกนั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนี้เอง!” ไอ้คุณเพื่อนตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สากับการประกอบอาชญากรรม ดูเหมือนเพื่อเป้าหมายกิลเบิร์ตจะขว้างศีลธรรมจรรยาทิ้งลงถังขยะไปหมดแล้ว ความกล้าได้กล้าเสียเด็ดขาดไปเสียทุกอย่างแบบนี้ทำเอาบิลลี่รู้สึกปวดแปลบที่ใจ
กิลเบิร์ต หมอนี่เป็นแบบนี้มาตลอด และเพราะแบบนี้นั่นล่ะถึงได้มีแต่คนรักแรงเกลียดแรง

“ถ้า ถ้าฉันปฏิเสธ...” บิลลี่ต่อรอง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มแสยะของกิลเบิร์ตยามมองมาที่เขานั้นน่าเกลียดอย่างยิ่ง

“งั้นฉันจะส่งพวกนี้ไปกลุ่มดาวไกเซอร์ ส่งให้วิลเลียม”

“!”

“ว่าไง ระหว่างนายช่วยพวกเขา กับให้ฉันส่งไปที่นั่น คิดว่าอะไรดีกว่ากันล่ะ!”

   ในยามที่เอ่ยชื่อกลุ่มดาวไกเซอร์ คนแต่ละคนย่อมมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป บ้างงงงวย บ้างสงสัย บ้างสับสน แต่สำหรับบิลลี่เขาย่อมรู้แก่ใจดีว่ากลุ่มดาวบ้านั่นไม่สมควรจะมีใครต้องถูกส่งไปอย่างที่สุด การที่กิลเบิร์ตพูดแบบนี้ก็คือต้องการขู่ ต้องการวัดดวงกับศีลธรรมจรรยาของเขา!!!

“ยอมแล้ว!!!! เจ้าคนใจร้าย!!!! นี่เอสเปอร์พรรคพวกของนายนะ!!! ทำไมจะส่งไปให้ที่บัดสีแบบนั้น!!!! กิลเบิร์ตเจ้าคนไร้ยางอาย!!!!!” บิลลี่กรีดร้องหน้าตาแดงก่ำท่าทางเหมือนคนถูกบีบให้หมดทางสู้อย่างน่าสงสาร อนิจจา จนแล้วจนรอดเขาก็ยังคงเป็นคนดี

   ปฏิกิริยาคนสองคนตรงหน้านั้นในสายตาลุดวิกย่อมเป็นสิ่งที่บันเทิงอย่างมาก เขาย่อมชื่นชมภรรยาผู้แสนเด็ดขาดเอาแต่ได้ของเขา ส่วนคุณอัยการที่ร้องโวยวายหน้าตาเลิ่กลั่กนั่นก็ดูตลกดี นี่คือแมวดำกำลังข่มขู่เจ้าแมวอ้วนขนทองจนอีกฝ่ายร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่สินะ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านอัยการบิลลี่คนดังของสหพันธ์ที่แท้เป็นคนหนุ่มที่หัวใจอ่อนไหวขนาดนี้ นึกไปนึกมา คนแบบนี้ก็อุตส่าห์เป็นมือหนึ่งของสหพันธ์ได้นะ?

ในตอนที่พวกเขาทั้งหมดกำลังพูดคุยโต้แย้งกันนั่นเองดันเกิดเสียงระเบิดตูมใหญ่มาจากทางทิศที่อารอนถูกกักตัวอยู่ เผลอแป๊บเดียวกลับปรากฏแสงสีฟ้าแผ่พุ่งปกคลุมเหนือน่านฟ้า รัศมีน่าจะครอบคลุมทั้งบริเวณเหมืองและแผ่ไปถึงอาคารบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ห่างออกไปกว่าห้าสิบกิโลเมตรด้วย ในพริบตาแสงพวกนั้นพุ่งลงมายังพื้นดิน!

ฝ่ายกิลเบิร์ตรีบยกสองแขนขึ้นกางบาเรียพลังจิตขนาดใหญ่ตั้งรับครอบคลุ่มรัศมีการโจมตีทั้งหมด เพราะคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามโกรธถึงขีดสุดลงมือซัดพลังโจมตีอย่างไม่สนหน้าอินหน้าพรหม ไม่สนกระทั่งทหารของตนเองที่ถูกจับเป็นเชลยหรือชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“ร้ายกาจมากนะ เจ้าคนชั่วกิลเบิร์ต! อย่างแกมันต้องตายสถานเดียว!” อารอนหลุดออกมาจากบาเรียกักกันของอเล็คเซ่ เขาย่อมไม่รู้ข้อตกลงระหว่างกิลเบิร์ตกับอเล็คเซ่ แต่สิ่งที่เขารู้ยามนี้มีเพียงอย่างเดียวคือต้องฆ่ากิลเบิร์ตทิ้งเท่านั้น! เพราะหมอนี่คือความหายนะสำหรับเขา หากกิลเบิร์ตตายเสียแล้วก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องกังวลอีก!

ไม่สิ ไม่ใช่แค่กิลเบิร์ตที่สมควรตาย แต่เป็นดาวดวงนี้ด้วย ดาวดวงนี้ที่วางแผนล่อเขามาติดกับ! ยิ่งตอนนี้ปรายสายตาลงไปจากบนฟ้าเห็นทั้งลุดวิก นิโคลัส ทั้งยังมีอเล็คเซ่กับบิลลี่ยืนอยู่กับกิลเบิร์ตกลับยิ่งเข้าใจมากขึ้น นี่คือแผนการ ทั้งหมดเป็นแผน!

   กิลเบิร์ตร่วมมือกับเจ้าอาณานิคมที่นี่กับโจรสลัด ไม่สิ แม้แต่อัยการบิลลี่ บางทีก็อาจเป็นพวกหมอนั่นทั้งหมด!

“ตายไปด้วยกันทั้งหมดนั่นล่ะ!” อารอนที่คุมสติแทบไม่ได้แล้วยกมือสร้างดาบแสงพุ่งกระแทกลงพื้นเป็นวงกว้าง แต่ทางอเล็คเซ่กลับส่งสัญญาไปยังยานรบเข้าโจมตี ปืนเลเซอร์ของทางนั้นจึงระดมยิงเข้าใส่อารอน ส่วนกิลเบิร์ตตอนนี้ตั้งรับคุ้มกันทุกคนในรัศมีวงกว้างอย่างยิ่งจนเขาใช้พลังหมดไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดเข่าทรุดลงข้างหนึ่ง

“กิล!” ลุดวิกรีบเข้าไปประคองอีกฝ่าย ในขณะที่กิลเบิร์ตจับแขนของเขายึดไว้ แม้จะเป็นเอสเปอร์ที่เก่งขนาดไหน แต่การกางบาเรียรับแรงกระแทกที่ขนาดถล่มดวงดาวได้ติดต่อกันนี่มันไม่ง่ายเลย

“หมอนั่นสมเป็นวัยรุ่นเลยนะ พลังเต็มร้อยจริงๆ” หัวเราะเบาๆพลางพยายามหยัดกายขึ้น ท่าทางของกิลเบิร์ตย่อมอยู่ในสายตาของบิลลี่เช่นกัน แม้กิลเบิร์ตจะเก่งมาก แต่เขาในตอนนี้ต้องปกป้องคนจำนวนมาก ไม่มีทางที่จะไม่ได้รับผลกระทบเลยหรอก บิลลี่คิดว่าเขาควรจะออกไปคุยกับอารอนให้รู้เรื่อง บางทีอาจช่วยประวิงเวลาได้

   ทว่า ในตอนที่บิลลี่กำลังจะตัดสินใจ ในตอนนั้นเองที่ลุดวิกกลับไม่รีรอ เขายกเครื่องมือส่งสัญญาณติดต่อไปยังฐานบัญชาการ และเพียงไม่นานกองทัพยานรบของอาทีเรียก็เข้าสู่น่านฟ้าของเขตการรบ เรือธงระดมกำลังสาดกระสุนเลเซอร์ใส่อารอนทันที ส่วนอเล็คเซ่ไม่ให้น้อยหน้า เขาสั่งอเล็คซานเดอร์ประสานงานกับทางอาทีเรีย เป็นตายร้ายดีก็ต้องจัดการกับอารอนให้ได้

   การกระทำของลุดวิกนั้นทำเอากิลเบิร์ตเบิกดวงตากว้างด้วยท่าทีสุดตระหนัก เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าลุดวิกถึงขนาดเตรียมกองทัพไว้จัดการกับอารอน ทั้งที่เรื่องนี้ควรจัดการอย่างเงียบเชียบที่สุด ควรเป็นเรื่องระหว่างเขา อารอน กับอเล็คเซ่เท่านั้น แต่ลุดวิกถึงขนาดเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับเรื่องนี้ด้วย แบบนี้คิดจะก่อสงครามกับเทสล่าหรือไง!

“หยุดเถอะ! ทำแบบนี้คุณกับอาทีเรียจะพลอยเสียหายไปด้วยนะ!” กิลเบิร์ตรีบเตือนสติสามี จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะให้ลุดวิกต้องเสี่ยงเพื่อเขา หากเรื่องอารอนล้มเหลวสำหรับเขาแล้วก็แค่หนีไปเท่านั้น แต่ลุดวิกล่ะจะเอาดาวหนีไปด้วยได้ยังไง
“ถ้ามีปัญหากับเทสล่า ประชาชนจะต้องเดือดร้อนนะ! หยุดเถอะ!” ด้วยวิสัยของกิลเบิร์ตเกลียดที่สุดคือการทำใครคนอื่นเดือดร้อนไปกับตัวเองด้วย แล้วยิ่งตอนนี้จะร้ายจะดีจะจริงหรือเท็จเขาก็เป็นชายาของเจ้าอาณานิคม จะไม่สนใจความเป็นตายของดาวดวงนี้ย่อมไม่ได้! แต่คำตอบของลุดวิกยังคงเป็นคำตอบที่กิลเบิร์ตไม่อาจจินตนาการได้อยู่ดี

“ฉันนี่ตาถึงจริงๆ” ลุดวิกแสยะยิ้มพลางพยุงกิลเบิร์ตยืนขึ้น ยิ่งเห็นสีหน้าร้อนรนของอีกฝ่ายเขายิ่งรู้สึกว่าการเลือกของเขานั้นไม่มีวันผิดพลาด

“ตาถึงบ้าอะไร! หยุดเถอะ!”

“เธอมีคุณสมบัติที่ดีเพียบพร้อม สามีเก่าของเธอนี่ เป็นไอ้งั่งจริงๆนะ” หัวเราะอย่างหยามเหยียดก่อนจะฉวยโอกาสจูบลงบนริมฝีปากของภรรยารักอย่างไม่อายสายตาใคร ทั้งความไม่พอใจของอเล็คเซ่ ทั้งใบหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวคล้ายจะเป็นลมของบิลลี่ และยิ่งเพิกเฉยราวนิโคลัสไม่มีตัวตน ส่วนกิลเบิร์ตนั้นรู้สึกว่าเจ้าบ้านี่ช่างทำอะไรผิดที่ผิดเวลาจริงๆ!

   ตูม!

   ท่ามกลางการระดมยิงอย่างถล่มทลาย ทว่า ในพริบตาการระเบิดกลับกระแทกเข้าใส่พวกกิลเบิร์ตอย่างจัง แม้พยายามกางบาเรียแต่ทุกคนก็โดนกระแทกไปอย่างแรง ตรงหน้าพวกเขายามนี้อารอนในสภาพเปื้อนคราบไคลยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาสีฟ้าลุกโชนโกรธเกรี้ยวราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน เขาย่อมคิดจะฆ่ากิลเบิร์ต เพียงแต่ว่าตอนนี้ผู้ชายที่ชื่อลุดวิกกลับเอาตัวเข้าขวางประจันหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว เบื้องหลังของผู้ชายคนนี้ก็คือกิลเบิร์ต!

“ส่งหมอนั่นมา! อยากให้ดาวดวงนี้ถูกระเบิดเป็นจุนหรือไง!” อารอนตวาดอย่างโกรธแค้น หากแต่ลุดวิกกลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขายกปืนขึ้นและเล็งไปเบื้องหน้า แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการปกป้องคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ไร้สาระ! หมอนั่นเป็นนักโทษของเทสล่า! เป็นอาชญากรสงคราม! ส่งตัวหมอนั่นมา ดาวบ้านนอกแบบนี้คิดเป็นศัตรูกับฉันคิดว่าจะจบดีหรือไง!”

“พล่ามอะไรน่ะ เจ้าหนู” ลุดวิกเอ่ยเรียบๆ และทำเอาอารอนเบิกดวงตาอย่างเดือดดาล การเรียกแบบนี้เท่ากับคิดจะหยามกันชัดๆ!

“เจ้านั่นมันให้อะไรแก! มีผลประโยชน์กันล่ะสิ! ถ้าเป็นผลประโยชน์ล่ะก็เทสล่ามีให้เยอะแยะ! อย่ามาเสียเวลากับสวะเดนตายแบบนั้นเลย! ไม่สิ หรือว่าเอาตัวเข้าแลก ถ้าแบบนั้นยิ่งง่าย จะผู้หญิงหรือผู้ชายเทสล่าก็หาให้ได้อยู่แล้ว จะมาเสียเวลาทำไมกับของมือสองน่ะ!”

คำพูดของอารอนนั้นทำเอากิลเบิร์ตที่ฟังอยู่ถึงกับหน้าชาขึ้นมา ทั้งโกรธทั้งอายจนไม่รู้จะพูดอะไร ให้ตายเถอะสำหรับเขามันก็เป็นเรื่องจริงนั่นล่ะ เอาตัวเข้าแลกก็ด้วย ไม่ใช่ว่าจุดเริ่มต้นของเขากับลุดวิกก็คือเรื่องอย่างว่าหรอกหรือ แล้วเรื่องของมือสองอะไรนั่น เขาเองก็เป็นภรรยาของเฟรเดอริคมาหลายปี เทียบกันแล้วจะไปสู้เด็กหนุ่มสาวได้ยังไง คิดแล้วมันก็น่าอายจริงๆ ถึงเขาจะพยายามไม่คิดเรื่องนี้ แต่คนนอกมีหรือจะไม่คิดตาม

ส่วนบิลลี่นั้นรู้สึกสั่นตามไปด้วย แต่สิ่งที่ตามมากลับเป็นความโกรธเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่กล้าเรียกเพื่อนของเขาว่าของมือสอง เขาโกรธจนนึกอยากยิงแสกหน้าหมอนี่ให้ตายไปให้พ้นๆ เสียแต่พอจะทำจริงๆอเล็คเซ่กลับมองออกรีบจับมือห้ามเขาไว้ แม้หน้าตาเรียบๆยิ้มๆ แต่นัยน์ตานั้นแฝงความไม่พอใจลึกๆไว้ แต่เพราะเขามีสติดีกว่าบิลลี่ เขาจึงเลือกที่จะห้าม

อเล็คเซ่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวทีของเขา คนที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของกิลเบิร์ตในยามนี้ไม่ใช่เขา

“ช่างน่าเจ็บใจจริงๆนะครับ” อเล็คเซ่บอกกับตัวเองพลางปรายสายตามองคนที่กำลังยกปืนประจันหน้ากับอารอนอยู่

   คนเพียงคนเดียวที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านกับคำพูดใดๆของอารอนก็คือลุดวิก เขายังคงยืนประจันหน้ากับอารอน แลมองท่าทางเย่อหยิ่งจองหองนั่นอย่างสมเพชเวทนา ในสายตาของเขาอารอนก็คือเด็กน้อยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

“กิลเบิร์ตเป็นภรรยาของฉัน คุณกำลังหมิ่นประมาทภรรยาของเจ้าอาณานิคม” ลุดวิกตอบเรียบๆพลางโอบกิลเบิร์ตเข้ามาในอ้อมแขน ให้กิลเบิร์ตยืนข้างๆเขา นั่นคือภาษากายที่ต้องการสื่อให้อารอนเห็นว่าคนๆนี้จะไม่มีวันยืนอยู่ข้างหลังเด็ดขาด ฝ่ายอารอนทำหน้างงๆก่อนจะแสยะยิ้มอย่างถือดี

“ฉันฟังอะไรผิดไปรึเปล่า นั่นมันคนที่ถูกเฟรเดอริคทิ้งแล้ว! ขยะแบบนั้นยังกล้าเก็บขึ้นมาอีกเรอะ!!!!” แผดเสียงกราดเกรี้ยว ในสายตาของเขาแล้วนั่นคือขยะ คือคนที่เขาต้องการลดค่าให้เหลือเพียงคำว่าขยะไร้ค่า แต่ตอนนี้ดันมีคนมาบอกว่าจะเก็บขยะนั่นมาเชิดชูอีกงั้นเรอะ!

“กิลเบิร์ตเป็นแมวเก้าชีวิต เป็นแมวเก้าชีวิตที่มีนัยน์ตาทำจากเพชรยอดมงกุฎ” นั่นคือคำนิยามที่ลุดวิกให้กับภรรยาคนสำคัญของเขา หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากกิลเบิร์ตแล้ว ได้เห็นอารอนแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่าคำนิยามนี้เหมาะควรที่สุด

“เพชรบ้าบออะไร!”

“ถึงจะถูกพวกคุณทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าเขาก็ยังมีชีวิตรอด ไม่ใช่ว่านั่นก็เพราะว่าจริงๆแล้วเขาเก่งกาจกว่าคุณหรอกหรือ คุณอารอน” ลุดวิกตอบพลางยิ้ม รู้สึกสนุกกับการมองหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกของเด็กหนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ในสายตาของเขานี่ก็แค่คนที่เก่งกว่าคนอื่นสักหน่อยแต่นึกว่าตนเองใหญ่คับจักรวาล ช่างไม่รู้จักการถ่อมตนเอาเสียเลย “ถึงคุณพยายามจะลดค่าของเขา แต่แมวเก้าชีวิตย่อมไม่มีวันตาย ฉันค้นพบแมวนัยน์ตาเพชรเดินอยู่กลางถนน ฉันเพียงแต่รับมาแล้วดูแลขัดสีฉวีวรรณให้ความงามแต่ดั้งเดิมของเพชรนั้นส่องประกาย นี่คือสมบัติล้ำค่าของฉัน เธอคือสมบัติล้ำค่าของฉัน กิล” ในคำพูดสุดท้ายนั้นลุดวิกหันมามองภรรยารักและบีบมือของเขาแน่น ทุกถ้อยคำนั้นชัดเจนจนไม่จำต้องอธิบายใดๆอีก

   ไม่ว่าคำพูดของลุดวิกยามนี้จะเป็นเพียงแค่คำหวานหรือความจริงใจก็ตาม แต่เมื่อมันออกจากปากของเขามันกลับไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง ชวนตื้นตันอย่างยิ่งจนแม้แต่คนนอกอย่างบิลลี่ยังเผลอร้องไห้ออกมา ให้ตายเถอะผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนดี! เพื่อนของเขาเจอสามีที่ดีมากๆแล้ว!!

   ฝ่ายกิลเบิร์ตนั้นนิ่งฟังสามีพูดถึงเรื่องเก่าก็รู้ทันทีว่าลุดวิกรู้ว่าเขาสะเทือนใจในเรื่องอะไร ผู้ชายคนนี้เจตนาพูดเพื่อให้เขาสบายใจ เพื่อให้ระหว่างพวกเขาไม่มีความคับข้องใจใดๆอีก และแน่นอนนี่ก็คือการพูดเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขา ช่างฉลาดในการเอาอกเอาใจคนเหลือเกิน

“เพชรบ้าบออะไร! นั่นมันของที่เฟรเดอริคเขี่ยทิ้งแล้ว!” ทว่า อารอนยังไม่เลิก

“พวกคนตาไม่ถึงแยกเพชรกับกรวดไม่ออกนี่น่าสงสารนะ ฉันนี่ช่างโชคดีที่เจ้าแมวเก้าชีวิตนัยน์ตาเพชรตัวนี้ระเห็จมาสู่อ้อมแขนของฉัน และฉัน จะไม่มีวันปล่อยไป นี่คือคุณผู้หญิงของฉัน เป็นชายาของเจ้าอาณานิคมแห่งอาทีเรียถูกต้องตามกฎหมาย คุณควรรู้เรื่องนี้ใส่สมองไว้นะ คุณอารอน”

   สิ้นคำพูดของลุดวิกฝ่ายอารอนถึงกับผงะ แต่ความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ภรรยาที่เลี้ยงไว้เล่นๆ แต่นี่คือระดับภรรยาเอก! ทั้งที่เขาวางแผนเขี่ยกิลเบิร์ตออกจากทุกสิ่งมานาน แต่นี่มันอะไร หมอนั่นถูกขับออกจากเทสล่าไม่ทันไร กลับโชคดีได้พบเจอกับผู้ชายคนใหม่มิหนำซ้ำยังเป็นถึงเจ้าอาณานิคมเหมือนกัน ทั้งยังปีนป่ายรวดเร็วกลายเป็นภรรยาเอกของฝ่ายนั้น นี่มันเรื่องตลกบ้าอะไร!

   ไม่! เขาไม่ยอม! หากกิลเบิร์ตโชคดีขนาดนั้นงั้นเขาก็จะทำให้มันร่วงตกลงมาอีก หากผู้ชายโง่นี่รักมันมากนัก งั้นเขาจะทำให้พวกมันต้องเสียใจ!

“ไม่เป็นไร งั้นฉันก็แค่ทำให้ท่านนายพลคนเก่ง เป็นม่ายอีกสักรอบเท่านั้นเอง!” อารอนตวาดพลางยกมือวาดดาบแสงเตรียมจะโจมตีคนตรงหน้า ใช่แล้วเขาจะฆ่าคนที่ชื่อลุดวิกนี่! ทำให้กิลเบิร์ตต้องเสียใจไปจนวันตาย!

ฝ่ายกิลเบิร์ตย่อมนึกเคืองกับพฤติกรรมของอารอนขึ้นมาเช่นกัน เขาไม่เข้าใจเลย ทำไมอารอนต้องเกลียดเขาขนาดนี้ ทำไมถึงจ้องจงเกลียดจงชังเขาจนไม่สนใจไยดีอะไรอย่างอื่นอีก แม้แต่ตอนนี้ยังคิดจะทำร้ายลุดวิกที่เป็นคนนอกด้วย นี่มันต้องรังเกียจกันถึงขั้นไหนกันเชียว!

“ฉันไม่ยอมหรอก! นี่สามีของฉัน! ใครจะให้มาทำร้ายได้ง่ายๆ!” กิลเบิร์ตโพล่งออกมาอย่างขัดใจ จังหวะที่ได้ยินคำนั้นลุดวิกถึงกับเผลอยิ้มไม่รู้ตัว ส่วนอารอนยิ่งโกรธจัดเตรียมจะระเบิดพลังอีกรอบ

   เพียงแต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่นาฬิกาส่งสัญญาณของบิลลี่กลับดังขึ้น ข้อความจากสหพันธ์ที่ส่งขึ้นมานั่นทำเอาชายหนุ่มเบิกตาโพลง นี่มัน!

   เขาต้องหยุดอารอน!

“ไม่ได้นะคุณอารอน! ห้ามทำร้ายคุณลุดวิกเด็ดขาด!” บิลลี่รีบตะโกนบอก แต่อารอนกลับโกรธจัดกับการห้ามปรามถึงขนาดชี้หน้าด่าบิลลี่

“แกมันอัยการไร้ประโยชน์! คิดจะขวางฉันเรอะ!”

“สหพันธ์ดาวเคราะห์เพิ่งมีมติรับอาทีเรียเป็นสมาชิกของสหพันธ์อย่างเป็นทางการ! หากคุณทำร้ายเขาเท่ากับทำร้ายสมาชิกของสหพันธ์ดาวเคราะห์ คุณจะกลายเป็นอาชญากร!”

   คำพูดพรั่งพรูนั่นไม่เพียงทำให้อารอนตระหนก แต่ยังทำเอากิลเบิร์ตผงะ เขาแหงนเงยมองคุณสามีที่ยิ้มอบอุ่นเจิดจ้าให้ก่อนจะพลันเข้าใจทุกสิ่ง ที่แท้นี่เองคือแผนการของลุดวิก...

“สมาชิกของสหพันธ์...” กิลเบิร์ตย่อมเข้าใจดีว่าอะไรคือขั้นตอนของการขอเข้าเป็นสมาชิก

“ฉันยื่นเรื่องขอเข้าเป็นสมาชิกไปแล้ว รวมทั้งระบุชื่อของฉันในฐานะเจ้าอาณานิคม และชื่อของกิลเบิร์ตในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยามนี้ฉันกับกิลเบิร์ตได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันในฐานะผู้นำดาวเคราะห์ ไม่ว่าข้อขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นระหว่างดวงดาว หากไม่คุยกันในการประชุมใหญ่ ก็ต้องเป็นที่ศาลของสหพันธ์  ถึงคุณอาจจะไม่ฉลาดนัก แต่คุณเข้าใจใช่ไหม คุณอารอน” ลุดวิกเอ่ยอย่างหยามเหยียด

   ใช่แล้ว บัดนี้อาทีเรียคือหนึ่งในดาวเคราะห์สมาชิกของสหพันธ์ และชื่อของลุดวิกกับกิลเบิร์ตย่อมได้รับการรับรองในฐานะผู้นำของดาวอาณานิคม พวกเขาได้พาอาทีเรียเปิดตัวในวงการการเมืองของสหพันธ์ดาวเคราะห์แล้ว

   ในวันนี้ลุดวิก ชไนเดอร์ ได้เล่นใหญ่เพื่อปกป้องกิลเบิร์ตอย่างที่เคยให้สัญญาไว้แล้ว       


จบตอน

ลุดวิกผู้จริงจังและจริงใจค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 22 การเล่นใหญ่ที่เคยให้สัญญา 29/01
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-01-2019 01:15:26
มาต่อเร็วมาก ขอบคุณนะคะ
หมั่นไส้อารอนมากๆ อยากรู้เบื้องหลังจริงว่าทำไมแค้นกิลมากขนาดนี้
เสียดายไม่ได้โดนโจรสลัดจับไปขาย :katai1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 22 การเล่นใหญ่ที่เคยให้สัญญา 29/01
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-01-2019 01:19:05
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 23 เงาจากอดีตที่ควรลืมเลือน 6/02
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 06-02-2019 17:19:07
ตอนที่ ๒๓
เงาจากอดีตที่ควรลืมเลือน

   อารอนกำหมัดกัดฟันกรอดกับรูปการณ์ตรงหน้า นี่ถึงขนาดเจ้าอาณานิคมของดวงดาวที่ปลีกวิเวกสันโดษมานานอย่างอาทีเรียยอมเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหพันธ์ดาวเคราะห์ ไม่ใช่เพราะการเมืองหรือเพราะผลประโยชน์อะไรเลย แต่แค่เพราะผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าอาณานิคมคนปัจจุบันต้องการปกป้องกิลเบิร์ต ปกป้องคนที่เขาเกลียดแสนเกลียดนี่ มันจะมากเกินไปแล้ว!

“ฉันไม่ยอม!” อารอนตวาด ถึงตายก็ไม่ยอมถอย หากถอยตอนนี้ศักดิ์ศรีของเขาคงถูกดูหมิ่นดูแคลนแน่ ที่สำคัญเขาไม่ยอมแพ้กิลเบิร์ต ไม่ยอมแพ้คนๆนี้อย่างเด็ดขาด!

หากแต่ตอนนั้นเองที่เครื่องรับสัญญาณที่ข้อมือของเขาดังขึ้น ทันทีที่กดรับภาพเสมือนของชายผู้หนึ่งก็ฉายออกมาต่อหน้าเขาในทันที

“เฟรเดอริค...” กิลเบิร์ตมองภาพสามมิติที่ฉายเบื้องหน้าของเขาด้วยหัวใจที่พลันปวดแปลบขึ้นในทันที ยามจากไม่ได้ล่ำลา แต่ยามนี้พบพานอีกครั้งกลับแย่ยิ่งกว่า

   เฟรเดอริคคนที่เครื่องฉายภาพสามมิติฉายออกมานั้นเป็นชายหนุ่มสวมเครื่องแบบทหารสีแดงเลือดนกของเทสล่า เขาสูงสง่า หน้าตาคมคาย ดวงตานั้นเยียบเย็นและคล้ายคนมีเรื่องนัยใจ เขาไม่ได้หันไปมองใครนอกจากภรรยาคนปัจจุบันที่ตอนนี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธา นี่คืออารอน ฟรีแมน...ภรรยาตามกฎหมายของเขาในปัจจุบัน 

“ถอยกลับ ตอนนี้สหพันธ์นัดประชุมใหญ่ในอีกสามเดือนข้างหน้าแล้วทุกอย่างค่อยไปตัดสินกันตอนนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะตอแยอีก กลับมาเถอะ อารอน” เฟรเดอริคออกคำสั่งเฉียบขาด คำสั่งของคนที่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและสามีนั้นแม้อารอนจะดื้อกว่านี้อีกเท่าตัวก็ไม่อาจปฏิเสธ หากเขาไม่ปฏิบัติตามย่อมหมายถึงเขาคือคนทรยศ ไม่ต่างอะไรกับกิลเบิร์ตที่ก่อนหน้านี้โต้แย้งกับเฟรเดอริคครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นตัวอย่างชั้นเลวแบบนั้นแล้ว เขาย่อมจะผิดพลาดถึงขนาดนั้นไม่ได้

“รับทราบ” อารอนรับคำอย่างไม่เต็มใจแต่ก็หันไปสบสายตากับกิลเบิร์ตที่ยามนี้ใบหน้าซีดเซียวอย่างยิ่ง เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าแท้ที่จริงตัวเขากำลังเป็นต่อมากมายแค่ไหน ช่วยไม่ได้ก็ยามนี้เฟรเดอริคเป็นของเขา เทสล่าก็เป็นของเขา กิลเบิร์ตแม้ได้ดีมีสุขพบคนใหม่แล้วยังไง สุดท้ายอารอนผู้นี้ก็ยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี!

   ในจังหวะนั้นบิลลี่คิดว่าทุกสิ่งน่าจะคลี่คลายได้เสียที เขาถึงกับถอนหายใจโล่งอกไปก่อนแล้ว ทว่า ครั้นพอเห็นสายตาร้ายกาจราวกับนางอิจฉาของอารอน ประกอบกับจังหวะที่ภาพเสมือนของเฟรเดอริคหันมาสบตากับกิลเบิร์ตที่อยู่ในอ้อมแขนของลุดวิก บิลลี่กลับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที นี่มันแย่แล้ว! ให้ตายสิ! นี่มันสามีเก่าปะทะสามีใหม่! อดีตเมียหลวงปะทะอดีตเมียน้อย! แถมคุณภรรยาเก่ายังอยู่ในอ้อมอกสามีคนใหม่ให้ขัดสายตาด้วย!

   นี่มัน...เลวร้ายขึ้นอีกไม่ใช่หรอกหรือ

“ดูเหมือนจะสบายดีนะ กิลเบิร์ต” เฟรเดอริคเอ่ยทัก น้ำเสียงของเขายังคงนุ่มนวลและสุภาพเหมือนเช่นที่กิลเบิร์ตเคยได้ยินมาตลอด ทว่า ความสุภาพนั่นกลับทำลุดวิกหงุดหงิด เขารั้งร่างของภรรยาเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้นเจตนาชัดเจนที่จะประกาศว่ายามนี้เฟรเดอริคไม่มีสิทธิใดๆในตัวคนๆนี้อีกแล้ว ภาษากายนี้ย่อมเป็นที่รับรู้กัน “ส่วนนั่น...สามีคนใหม่ของเธอสินะ ช่างไวไฟจริงๆนะ”

“ไร้สาระ กิลย่อมต้องสบายดีอยู่แล้ว เพราะฉันดูแลภรรยาของตัวเองอย่างดี คุณฟรีแมน” ลุดวิกตอบอย่างเย็นชาไม่ไว้หน้า คำตอบนั้นดูเหมือนจะทำให้เฟรเดอริคนั้นคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่แน่ล่ะว่าเขายังคงแสร้งเพิกเฉย

ส่วนกิลเบิร์ตนั้นยังคงไม่ได้ตอบอะไรไปสักคำ เขาเพียงแต่มองตรงไปยังอดีตสามีที่ยามนี้อยู่ห่างกันหลายล้านปีแสง ความห่าง
ไกลของระยะทางบางทีคงเทียบเท่ากับหัวใจที่ตอนนี้สะบั้นหั่นขาดจากกันแล้ว กิลเบิร์ตย่อมรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีวันที่พวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม และยิ่งไม่อาจเป็นได้แม้กระทั่งเพื่อน ทุกสิ่งในอดีตเพลานี้ป่นสลายไปหมดแล้ว เขาไม่ได้อาลัยอาวณ์ ไม่ได้เสียดาย เพียงแต่รู้สึก...เจ็บ

และแม้ขาดจากกัน กิลเบิร์ตกลับมีบางสิ่งที่อยากถาม บางสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดไม่เลิกรา แต่การถามออกไปนั้น ช่างยากเหลือเกิน

   แต่แม้ยากเย็น กลับยังต้องกัดฟันพูด

“เฟรเดอริค ผมขอถามคุณคำถามนึง และจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อถามแล้วเราจะได้ขาดกันจริงๆเสียที” กิลเบิร์ตกัดฟันพูดพลางเหลือบมองไปยังอเล็คเซ่ที่ตอนนี้แม้ส่งยิ้มให้ แต่อเล็คเซ่นั้นย่อมเดาได้ว่ากิลเบิร์ตต้องการถามอะไร ไม่มีวันที่กิลเบิร์ตจะไว้ใจเขาจนปักใจเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเล่าให้ฟัง เพียงแต่ว่าอเล็คเซ่นึกสงสารคนตรงหน้าอย่างยิ่ง ไม่ว่าอดีตท่านผู้หญิงของเทสล่าท่านนี้จะเพียรแสวงหาความจริงที่แตกต่างแค่ไหน แต่นี่ก็ยังเป็นโศกนาฏกรรมเดิมอยู่ดี “คุณ คุณกับคุณอารอนซื้อยาปลุกอารมณ์จากพวกโจรสลัด พวกคุณร่วมมือกันวางแผนวางยาผม คิดจะให้ผมถูกกล่าวหาว่านอกใจคุณใช่ไหม!”

   ตอบ ตอบสิว่าไม่ใช่!

   ทว่า ความจริงมักโหดร้ายเสมอ

“งั้นหรือ หมอนั่นบอกเธอหมดแล้วสินะ งั้นก็ ตามนั้นแหละ” น้ำเสียงเยียบเย็น และมันเย็นไปถึงกระดูกกัดกร่อนไปถึงหัวใจ ร่างของกิลเบิร์ตเกือบจะทรุดลงไปแล้วหากว่าลุดวิกไม่กอดเขาไว้ คำตอบที่เย็นชาแล้งน้ำใจของเฟรเดอริคย่อมทำให้ลุดวิกขัดเคืองไปด้วยอย่างแน่นอน นี่มันคนชั่วแบบไหนถึงตอบอะไรแบบนี้ได้หน้าตาเฉย! คนสารเลวที่วางยาภรรยาของตัวเองเพื่อกำจัดทิ้งออกนอกทาง!

“สารเลว! ตอนนั้นกิลไม่ใช่คนของนายหรือไง! ทำไมถึงทำอะไรแบบนั้น!” ลุดวิกตวาด หากแต่เฟรเดอริคกลับเอียงคอและปรายสายตามองกิลเบิร์ตที่ตอนนี้เหมือนจะเริ่มมีใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น โกรธเคือง ระคนปนกับความเศร้าโศกอย่างเหลือแสน ผิดหวังอย่างเหลือล้น

“นั่นก็แค่เด็กที่ฉันเก็บมาเลี้ยง ฉันจะทำยังไงกับคนของฉันก็ย่อมเป็นสิทธิของฉัน หากฉันให้เขาเป็นภรรยาเขาก็เป็น เป็นทหารเขาก็เป็น แล้วทำไมฉันถึงจะยกให้คนอื่นไม่ได้ ก็แค่ของใช้แล้วทิ้งเท่านั้น” นั่นคือคำตอบ

“แก!!!!” ลุดวิกคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว หากตอนนี้คนที่อยู่ต่อหน้าเป็นคนเป็นๆเขาคงจะกระชากคอเสื้อหมอนั่นแล้วหักคอทิ้งซะ! กล้าดียังไงถึงมาด่าว่าคนของเขาแบบนี้!!!! “สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข นี่แกไม่มีความรู้สึกรักให้กิลเลยหรือไง!!”

   อยู่ร่วมกันเป็นสิบปี ช่วยเหลือกันและกันจากศูนย์สู่รุ่งเรือง แล้วไย...ไม่มีน้ำใจให้สักนิด

“ความรักก็ต้องให้กับคนที่ควรรัก และคนที่ฉันรักก็คืออารอน ส่วนของใช้แล้วทิ้งนั่น ถ้าคุณอยากเก็บไว้ก็เอาไว้ใช้เถอะ อย่างน้อยนั่นก็ของเล่นระดับพรีเมี่ยมล่ะนะ”

   วินาทีนั้นเหมือนบางสิ่งในหัวใจของกิลเบิร์ตขาดสะบั้น เขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีกแล้ว น้ำตาที่ไหลออกมานั้นยิ่งไม่อาจควบคุมพอรู้ตัวอีกทีก็ซบลงในอ้อมอกของลุดวิก กัดริมฝีปากเก็บเสียงที่อยากกรีดร้องของตนเองไว้ แน่นหน้าอก อึดอัด คลื่นไส้ เวียนหัว เขาไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ เฟรเดอริค...ช่างไร้น้ำใจกับเขาจนถึงที่สุด

“พอเถอะ พอเถอะลุดวิก ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ” กิลเบิร์ตซุกใบหน้าในอ้อมอกอีกฝ่าย ใช้มือกำเสื้อของสามีคนปัจจุบันของเขาแน่น น้ำตายามนี้ไหลออกมาจนเปียกปอนไปหมดแล้ว

แต่ไม่เป็นไร เขาไม่เป็นไรจริงๆนะ

“กิล...” ลุดวิกกอดร่างนั้นไว้ เขาย่อมรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทิ้มและความเปียกชื้นจากน้ำตา กิลเบิร์ตผู้แข็งแกร่งของเขายามนี้ปากบอกไม่เป็นไร แต่กลับไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆเลย แน่ล่ะ หากมีคนที่คุณรักและคิดว่าเป็นคู่ชีวิต เป็นครอบครัวมาตลอดมาพูดเช่นนี้ใส่หน้า ประจานต่อหน้าผู้คน ใครจะยังสามารถเชิดใบหน้าแสร้งยิ้มแย้มได้อีกเล่า ตัวลุดวิกเองย่อมโกรธจัดเช่นกัน โกรธอย่างที่ไม่เคยนึกโกรธใครเช่นนี้มาก่อน แม้ตอนที่เพื่อนสนิทอย่างคาร์ลทรยศ เขายังไม่นึกเกลียดชังอีกฝ่ายมากเท่านี้ ทำไมผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคนี่ถึงได้พูดอะไรทำร้ายกันมากขนาดนี้ โหดร้ายมากขนาดนี้

   แม้นไม่รัก แต่จำเป็นต้องทำร้ายกันให้ดาวดิ้นไปเลยหรือ

   เฟรเดอริคนั้นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาได้แต่มองอดีตภรรยาร่วมทุกข์ร่วมสุขที่ยามนี้ร่ำไห้เสียใจในตัวเขาอย่างสุดซึ้งในอ้อมแขนของชายอื่น ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไร สิ่งที่เขาทำเพียงแต่สั่งอารอนให้ปฏิบัติตามคำสั่งก่อนจะตัดสัญญาณหายตัวไป

   ณ อีกฟากหนึ่งของจักรวาล เจ้าอาณานิคมของเทสล่าปิดการสื่อสารไปแล้ว เขาหยัดกายยืนอยู่ในห้องทำงานของตนเองพลางชำเลืองมองแหวนวงหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา แหวนทองคำกลมเกลี้ยงที่มีราคาน้อยค่ายิ่งแต่เขากลับไม่อาจทิ้งขว้างมันได้ แหวนวงนี้ที่เจ้าของของมันได้จากไปแล้วตลอดกาล

   อดีตลาลับไม่หวนกลับ แต่บางสิ่งกลับฝังลึกไม่เสื่อมคลาย 

   กลับมาที่ฝ่ายอารอนที่ยามนี้ย่อมยกยิ้มอย่างพึงพอใจอย่างยิ่งที่ศัตรูของตนเองหมดสภาพ กิลเบิร์ตที่ช้ำใจถึงเพียงนี้มีหรือที่จะยังมาต่อกรห้ามปรามอะไรเขาได้อีก อารอนกดปุ่มอัตโนมัติเพื่อเรียกยานอวกาศของตนเองมารับถึงที่ ตอนนี้เขาสามารถจากไปอย่างผู้ชนะได้แล้ว เพียงแต่ว่า...

“นี่มัน!” อารอนตระหนก เพราะในเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะขึ้นยานจากไปนั้น ยานรบอเล็คซานเดอร์กลับฉายรังสีบางอย่างอาบร่างของเขาอย่างกะทันหัน ทั้งที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะไม่โจมตีอะไรแล้ว แต่ทางอเล็คเซ่กลับฉวยโอกาส! “นี่แกทำอะไรน่ะ! เจ้าโจรสลัด!”

“นั่นคือสนามพลังดูดกลืน นวัตกรรมใหม่ของพวกเราชาวเนบิวล่ามืดครับ อย่าลืมสิว่ากิลเบิร์ตมอบคุณให้ผมแล้ว ดังนั้นจะให้คุณกลับไปเปล่าๆไม่ได้หรอก อย่างน้อยพลังของคุณในตอนนี้ คงจะเอาไปแปรรูปขายได้ราคาดีนะครับ คุณเอสเปอร์ที่เก่งที่สุดของเทสล่า” อเล็คเซ่ยิ้มกริ่มไร้พิษภัย หากแต่ในใจของเขานั้นก็ประดังประเดไปด้วยความคับข้องเช่นกัน อารอนคนนี้บังอาจทำร้ายกิลเบิร์ตทั้งร่างกายและจิตใจ แม้เป็นคนใหญ่คนโตแล้วยังไง เขาเป็นคนนอกกฎหมายจำเป็นต้องเกรงใจด้วยงั้นหรือ!
แน่นอนว่าไม่!

   แม่นแล้ว อเล็คเซ่ไม่มีความคิดที่จะปล่อยอารอนไปง่ายๆ เขานั้นเตรียมแผนสำรองไว้ในกรณีที่หากไม่สามารถจับตัวอารอนได้ไว้แล้ว นั่นก็คือเขาจะดูดพลังจิตที่เหลือของอารอนตอนนี้ไปขายแปรรูปเป็นอาวุธพลังจิต พลังจิตของเอสเปอร์นั้นก็เหมือนกับแรงกาย พวกเขาใช้พลังและสามารถพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังได้ แต่ว่าหากถูกดูดจนเกลี้ยง กว่าจะฟื้นตัวอย่างน้อยก็อีกหลายเดือนนั่นแหละ!

“แก!!! ฉันจะบอกสหพันธ์ว่าเทสล่าร่วมมือกับโจรสลัด! นี่อัยการหน้าโง่นั่นน่ะ! พวกแกด้วย! รีบช่วยฉันซะสิ!” อารอนยังคงตีโพยตีพาย ตอนนี้คนของเขาที่ติดตามมายังอยู่รอบๆแต่กลับไม่มีใครขยับตัวช่วยเขาสักคน ส่วนบิลลี่ที่ควรเป็นพวกเดียวกันกลับปรากฏว่ายิ่งนิ่งเฉย นิ่งจนเขาสงสัยว่าเกิดสติแตกกันไปหมดหรือไง

   สติแตกน่ะใช่ เพียงแต่ว่าหากอารอนรู้ความในใจของพวกเขาแต่ละคน คนที่สติแตกที่สุดอาจกลายเป็นเขาเอง เพราะสำหรับพวกทหารเทสล่านั้น เมื่อครู่ตั้งแต่ตอนที่อารอนอาละวาดโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม พวกเขาก็เริ่มรู้สึกไม่เป็นมิตรกับท่านผู้หญิงคนนี้แล้ว ในขณะที่คนที่พวกเขามาตามล่าอย่างกิลเบิร์ตกลับทุ่มสุดตัวสร้างบาเรียเพื่อปกป้องพวกเขา นี่มันต้องมีสปิริตถึงขนาดไหนกันแน่ อดีตท่านนายพลของพวกเขายังไงเสียก็ยังห่วงไยพวกเขาไม่ใช่รึ!

   หากต้องก้มหัวให้เทสล่าที่มีอารอนเป็นท่านผู้หญิง งั้นพวกเขามิสู้ก้มหัวให้อาทีเรียที่มีอดีตท่านนายพลของพวกเขาอยู่จะดีกว่าหรือ!

   ส่วนบิลลี่ถึงตอนนี้เขาย่อมหงุดหงิดอย่างมาก สามีภรรยาผีเน่าโลงผุคู่นี้นี่มันน่าถีบตกแบล็คโฮลด้วยกันทั้งคู่ ถือดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของเขาถึงขนาดนี้ ถือดียังไงมาด่าว่ากันขนาดนี้ คิดว่ามีเชื้อสายพวกรัฐบาลเทียร่า? คิดว่าตัวเองมาจากดาวใหญ่โตอย่างเทสล่า? ไอ้พวกบ้องตื้นเอ๊ย!

“พูดอะไรน่ะคุณอารอน ไม่ใช่ว่าคุณอาละวาดจะทำร้ายคู่สมรสของท่านเจ้าอาณานิคมแห่งอาทีเรียแล้วก็ดันยิงพลังมั่วซั่วไปถูกยานอวกาศของพวกโจรสลัดที่ผ่านทางมาพอดีหรอกหรือ อเล็คเซ่คนนี้ก็เลยลงมาล้างแค้นคุณไง ฉันพูดถูกไหม ทุกคน” บิลลี่ยิ้มชั่วร้ายขึ้นทันที แม้เขาเป็นคนดี แต่ความดีงามนั้นมีขีดจำกัดเสมอ ยามนี้เมื่อเขาหันไปก็เห็นเป็นอเล็คเซ่ที่ยิ้มแย้มแสดงท่าทีว่าจะเล่นด้วยอย่างแน่นอน ส่วนพวกผู้ติดตามของอารอนไม่ต้องพูดถึง เจ้าพวกนี้ขายวิญญาณให้อดีตเจ้านายอย่างกิลเบิร์ตไปแล้ว

“แก!!! แกอยากถูกเฉดหัวออกจากสหพันธ์หรือไง!!!” ถึงคราวจนตรอกอารอนก็ต้องหยิบยกลาสบอสอย่างสหพันธ์มากล่าวอ้าง แต่หากแค่นี้แล้วบิลลี่กลัวจนหางจุกตูด คงเสียทีมากที่เขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นว่าที่อัยการสูงสุดของสหพันธ์ดาวเคราะห์

“ฉันคืออัยการมือหนึ่งของสหพันธ์ ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย ฉันมีพยานเป็นคนของคุณกับคนของอาทีเรีย หากว่ากันในชั้นศาล คุณอารอน คุณคิดว่าคดีนี้ใครจะชนะ!” บิลลี่ประกาศพลางวิเคราะห์ข้อกฎหมายให้เพิ่มเติม

วินาทีนั้นเองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกลับต้องมองบิลลี่ คาเตอร์คนนี้เสียใหม่ พวกเขาโดนรูปลักษณ์กับนิสัยใจคอของหมอนี่หลอกไปแล้วมิใช่รึ โดยเฉพาะลุดวิกเขาเคยคิดว่านี่คือแมวอ้วนน่ารักตัวหนึ่ง แต่ที่ไหนได้แมวนี่กำลังกางเขี้ยวเล็บ!

   ทว่า คนที่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยหากไม่รวมกิลเบิร์ตที่กำลังไม่มีอารมณ์อย่างที่สุดแล้วคงต้องรวมอเล็คเซ่เข้าไปด้วย อันที่จริงอเล็คเซ่ย่อมรู้ดีว่าคนอย่างบิลลี่คือตัวอย่างของคนที่ไม่ควรไปเหยียบเท้าเข้าที่สุดคนหนึ่ง

“คนของคุณฉันจะรับไว้เอง คนพวกนี้คือคนที่เป็นพยานเห็นการกระทำนอกรีตนอกรอยของคุณ เมื่อเป็นพยานแล้วฉันก็ขอใช้สิทธิคุ้มครองพยาน ขอให้พวกเขาอยู่ในความดูแลของอาทีเรีย ดังนั้น คุณก็กลับเทสล่าไปคนเดียวเถอะนะ คุณอารอน!” บิลลี่ย้ำและถือสิทธิของเจ้าพนักงานสหพันธ์ส่งมอบความดูแลพยานให้กับลุดวิก นี่ช่างเป็นการเล่นใหญ่ของท่านอัยการแมวอ้วนที่ทำเอาลุดวิกตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

   การเหยียบหางแมว อาจทำให้แมวโกรธเกรี้ยวจนข่วนหน้าแหกได้

“แก! เจ้า! เจ้าคนชั่วช้า!” จนแล้วจนรอด อารอนก็พูดได้เท่านี้

“ขอให้สิทธินั้นคืนละกัน ฉันน่ะอย่างน้อยก็ไม่เคยแย่งภรรยาหรือสามีใครหรอกนะ!” คำพูดทิ้งท้ายไม่เพียงเจตนาด่าว่าอารอนแต่ยังซัดใส่อเล็คเซ่ด้วย ในสายตาบิลลี่เจ้าคนสองคนนี่มันก็คือคนชั่วเหมือนกันนั่นล่ะ!

   สุดท้ายอเล็คเซ่ปล่อยยานอวกาศของอารอนออกสู่ชั้นบรรยากาศในสภาพที่อารอนถูกดูดพลังจนแห้ง ในระหว่างนี้เชื่อว่าเขาคงจะไม่มาระรานกิลเบิร์ตอีกพักใหญ่ๆ ส่วนตัวเขาก็ได้พลังของอารอนพอจะเอาไปแปรรูปผลิตอาวุธขายได้กำไรบานเบอะ เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว ก็นี่เป็นพลังจิตมหาศาลของอารอน ฟรีแมน เอสเปอร์อันดับหนึ่งของเทสล่าเลยนี่นะ เพียงแต่ว่าวเรื่องราวในครั้งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล สัญชาตญาณของโจรนั้นไวกว่าตำรวจเสมอ และอเล็คเซ่ย่อมคิดว่าท่าทีของบรรดาตัวละครที่ปรากฏตัวขึ้นในครั้งนี้ ล้วนมีพิรุธ

   เฟรเดอริค ฟรีแมนคนนั้น อาจเป็นกุญแจของเรื่องราวในครั้งนี้

   แต่นั่น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจรเช่นเขา

   เมื่อทุกอย่างจบสิ้นก็เหลือเพียงการเคลียธุระปะปัง กิลเบิร์ตไม่ใช่คนอ่อนแอ แม้ทั้งร่างกายและจิตใจบอบช้ำจนใครต่อใครนึกอยากให้เขากลับไปพักผ่อนเสีย แต่ชายาของกษัตริย์แห่งอาทีเรียกลับยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง เขายังสามารถเจรจากับทหารเทสล่าผู้ติดตามของอารอนซึ่งก็คืออดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา และรับตัวทุกคนเข้ามาทำงานเป็นผู้ติดตามส่วนตัวของเขา จากนั้นจึงช่วยจัดหาที่พักและเคลียสถานที่ กว่าจะเสร็จงานก็มืดค่ำแล้ว จนลุดวิกต้องบังคับกลับบ้านอย่างดุดันนั่นแหละเขาถึงจะยอมกลับ

ในคืนนั้น คงเหลือเพียงอเล็คเซ่ที่ถูกบิลลี่บังคับให้ช่วยเก็บกวาดสถานที่อยู่ทำงานต่อ กว่าจะเสร็จธุระก็ปาไปหลังเที่ยงคืน ในตอนที่เขากำลังจะกลับออกจากพระราชวังก็พบอดีตสหายนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ม้าหินกลางสวน

“ไง เหงาเพราะถูกเพื่อนรักทิ้งหรือไงครับ คุณอัยการบิล” อเล็คเซ่ที่กำลังจะกลับยานของตัวเองแลเห็นบิลลี่นั่งจ๋องอยู่ หน้านิ่วคิ้วขมวดคล้ายคนมีเรื่องขบคิดมากมายก็อดไม่ได้ที่จะขอแขวะเสียหน่อย ใครใช้ให้หน้าแดงๆอูมๆนั่นดูน่าแกล้งขนาดนั้นเล่า

“ไร้สาระ! กิลเบิร์ตได้พบคนดีแล้ว มีอะไรที่ฉันต้องห่วง!” บิลลี่ไม่วายขึ้นเสียง แต่ลึกๆเขากลับมีความรู้สึกกังวล ไม่ได้งอนที่จะถูกเพื่อนทิ้งอย่างที่เจ้าบ้านั่นพูดหรอก แต่เป็นเรื่องเฟรเดอริค! กิลเบิร์ตพานพบคนชื่อลุดวิกย่อมเป็นเรื่องดี แต่ว่าทำไมเฟรเดอริคจะต้องทำถึงขนาดนั้น ทำไมต้องทำร้ายภรรยาของตนเองขนาดนั้น ว่าร้ายขนาดนั้น “นี่ นายน่ะ ตอนที่ช่วยพวกเฟรเดอริคทำร้ายกิลเบิร์ต เคยถามสาเหตุมั้ย”

“คนจะทำร้ายกันไม่ต้องมีสาเหตุหรอกครับ” ตอบเรียบๆพลางนั่งลงข้างๆอัยการหนุ่มที่ยามนี้ได้แต่ทอดถอนใจ “แต่ถึงมีเขาจะบอกพ่อค้าอย่างผมรึ โจรนอกกฎหมายอย่างผมสนใจแค่เงินเท่านั้นแหละ หากคุณติดใจในเรื่องนี้ก็มีแต่ต้องหาเหตุผลเอาเอง บิล” ว่าพลางก็ยื่นมือลูบเส้นผมสีทองสว่างไสวเป็นประกายของอีกฝ่าย “ผมคุณนุ่มดีนะ”

“ชิ อย่ามาชมน่ะ ขยะแขยง! แล้วก็อย่ามาเรียกสนิทชิดเชื้อแบบนั้น มันชวนแหวะ!” บิลลี่ประท้วงแต่กลับไม่ปัดมืออีกฝ่ายออก อันที่จริงนี่ย่อมไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากับอเล็คเซ่นั่งคุยกันแบบนี้ เพียงแต่ว่ามันนานมากแล้ว นานเกินกว่าจะเก็บกลับมาคิดถึงเรื่องในอดีตอีก

“นี่สินะเขาบอกว่าน้องน้อยออกจากบ้าน โตขึ้นก็เสียคน”

“น้องบ้านนายสิ! อ่อนกว่านายปีเดียวเท่านั้นล่ะ! เจ้าบ้าอเล็ค!!!” อยากจะโวยวายมากกว่านั้น แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเล่นทีเผลอใช้แขนโอบเขาเข้าไป พวกเขาตอนนี้เหมือนกำลังนั่งเอนซบกัน ความอบอุ่นที่ล้างลานั้นแผ่ซ่านน้อยๆ ราวกับวันคืนย้อนกลับไปในวัยเยาว์

   ในตอนที่มีเพียงกองฟาง ดินสีแดง แสงดาว และอนาคตที่มืดมิด รู้ตัวอีกทีต่างก็เลือกคนละอย่าง พานพบอนาคตคนละสิ่ง และต่างก็มีจุดยืนที่ตรงข้ามกัน

“มีความสุขไหม บิล” อเล็คเซ่ถามขึ้นพลางหันไปหาเจ้าของชื่อ ดวงหน้าแจ่มใสที่เขาคุ้นเคยในวัยเยาว์นั้นยามนี้ก็ยังคงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเหมือนเดิม น่ารักน่าชังเช่นเดิม “กินอิ่มนอนหลับใช่ไหมครับ ไม่เจ็บไม่ป่วยใช่ไหม ไม่ได้ทำงานหนักเกินไปใช่ไหม ถูกใครรังแกหรือเปล่า” คำถามนั้นพื้นฐานอย่างยิ่ง เรียบง่ายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามันกลับสะท้านใจคนฟังอย่างยิ่งเช่นกัน บิลลี่ยังจำได้ว่าในวัยเยาว์ ใครคนนี้ก็เคยถามไถ่เขาเช่นนี้

   ไม่ว่าในวันที่แดดร้อนจัด ในวันที่ฝนฟ้าคะนอง ในวันที่หิมะตกจนหนาวเหน็บ ในวันที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง คนๆนั้นก็ถามเขาแบบนี้

   นี่พี่ชาย อย่าใจดีกับฉันนักเลย...

“ฉันกินดีอยู่ดีน่า! นายนั่นล่ะ อย่า อย่า...อย่าถูกจับได้เชียวนะ” นั่นออกจะเป็นคำอวยพรที่แปลกแปร่งหากใครมาได้ยินเข้า แต่สำหรับคนสองคน พวกเขาได้แต่หวังว่าอย่าได้ต้องมาเผชิญหน้ากันในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้เลย

“ถ้าถูกจับล่ะ จะช่วยพาผมหนีหรือเปล่า” มองตาอีกฝ่ายและส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น เพียงแต่ว่าบิลลี่กลับไม่อาจเล่นตามเกมนี้ได้ สุดท้ายเขาผลักอีกฝ่ายออกจากตัวและจ้องเขม็งไม่วางตา อเล็คเซ่ย่อมรู้ว่าบิลลี่กำลังจะพูดตอบอย่างจริงจัง เป็นเจ้าหนูที่จริงจังไปหมดเสียทุกอย่าง

“ฉันคืออัยการของสหพันธ์ดาวเคราะห์ ส่วนนายคือโจรสลัดแห่งเนบิวล่ามืด เข้าใจใช่ไหมว่าตั้งแต่ตอนที่เลือกอาชีพ เราก็มีจุดยืนที่ต่างกันแล้ว!” ดังนั้นจึงภาวนาได้แค่ขอให้ไม่เจอกัน

   หากพานพบเพื่อเป็นศัตรู ดังนั้นแล้วก็อย่าได้พบกันตลอดกาลเลยจะดีกว่า

   อเล็คเซ่ย่อมรู้ใจของบิลลี่ รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นคนดีมีน้ำใจแถมใสซื่อแค่ไหน แต่หากมีชะตาไม่ช้าก็เร็วต้องได้พานพบ เขาเองสังหรณ์ใจว่าแม้เขากับบิลลี่พยายามเลี่ยงกันและกัน แต่สุดท้ายก็จะต้องถูกเหวี่ยงกลับมาพบเจออยู่ดี เพียงได้แต่หวังว่าการพบเจอนั้นจะไม่เป็นไปเพราะแผนการชั่วร้ายของผู้ใด

“นี่ ผมให้สัญญานะ ต่อให้ถูกจับก็จะไม่สารภาพเด็ดขาดว่าเคยรู้จักคุณ เราจะเป็นคนแปลกหน้ากันตลอดกาล แบบนี้ดีไหมครับ”

“!”

“ถึงคุณจะไม่ใช่รสนิยมของผม แต่ผมจะอวยพรให้คุณกินอิ่มนอนหลับมีความสุขตลอดไปนะ บิล” อเล็คเซ่กล่าวพลางเขยิบกายเข้าใกล้และจูบลงบนหน้าผากของบิลลี่ กอดเข้ามาใกล้ๆและรู้สึกถึงแสงแดดไออุ่นจากวันวานเป็นครั้งสุดท้าย “ฝากลากิลเบิร์ตด้วย ผมต้องไปแล้ว หากอยู่นานกว่านี้เขาจะเดือดร้อน อ้อ ผมรักเขา ส่วนคุณน่ะเป็นได้แค่ตุ๊กตาตัวอ้วนๆไว้กอดแก้เบื่อเท่านั้นล่ะนะ พบกันครั้งหน้าจะยังเป็นเจ้าหนุ่มเวอร์จิ้นรึเปล่านะ”

“นาย!!!”

“ไปล่ะ พ่อหนุ่มเวอร์จิ้น” หัวเราะใส่อย่างเบิกบานและสนุกสนานอย่างยิ่งกับใบหน้าแดงเรื่อแสนอับอายของฝ่ายนั้น ถ้าเป็นไปได้ เขาก็แอบหวังให้บิลลี่ต้องโสดไปเป็นเพื่อนเขาชั่วชีวิตนั่นล่ะ หากเขาไม่สมหวังก็ขอให้บิลลี่จงชอกช้ำ ชั่วชีวิตนี้จงอย่าได้พานพบใครเข้ามาในหัวใจเลย

   อ้อ! นี่ไม่ใช่การสาปแช่งหรอกนะ!

“อเล็ค! เจ้าคนชั่วช้า!!” ไม่ทันที่บิลลี่จะได้ร้องด่าอีกสักรอบ อเล็คเซ่กลับโบกมือลาและเดินจากไปอย่างง่ายๆ ทิ้งไว้แต่เงาความหลังจากอดีตที่จนแล้วจนรอดบิลลี่กลับยังไม่สามารถจะทอดทิ้งมันลงไปได้ “ฉันเกลียดนาย!!”

   ได้แต่เพียงอธิษฐานว่า เงาจากอดีตนั้นจะไม่ทำร้ายเขาเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับกิลเบิร์ตเพื่อนรักของเขา


จบตอน

ชีวิตของแมวๆไม่ง่ายเลยน่อ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 23 เงาจากอดีตที่ควรลืมเลือน 6/02
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 07-02-2019 02:17:10
สงสารกิลมากๆ :hao5: เฟรดเดอร์ริคแม่งเลว แล้วได้ใจ :m31:
 อยากรู้ว่า เฟรดรักอารอนจริงๆหรือเพราะต้องการเอสเปอร์คนใหม่ที่เอ๊าะกว่าบิล. สงสัยอีกว่าทำไมตอนนั้นกิลถึงยอมให้เฟรดแต่งเมียคนที่สองได้ หรือกิลอะไรๆก็ยอมเฟรดตลอด :katai1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 24 ความหมายของดอกกุหลาบ 9/02
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 09-02-2019 20:35:08
ตอนที่ ๒๔
ความหมายของดอกกุหลาบ

   หลังจากเรื่องราววุ่นวายร้อยแปดพันเก้าประการ ในที่สุดปัญหาเฉพาะหน้าก็คลี่คลายไปได้เปาะหนึ่ง ท่านเจ้าอาณานิคมลุดวิก ชไนเดอร์ก็กลับมาหัวหมุนกับงานพิธีการทางการทูตกับสหพันธ์ดาวเคราะห์ ทั้งยังต้องอ่านเอกสารมากมายมหาศาลเพื่อเตรียมตัวรับมือกับศาลอาญาของสหพันธ์ดาวเคราะห์ด้วย เคราะห์ดีที่ท่านประธานรัฐสภาคนใหม่ ลูคัส เออร์เนส เป็นคนหัวสมัยใหม่ใฝ่รู้ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังต้องรับศึกหนักกับการเมืองระหว่างดวงดาว เขาก็ศึกษาค้นคว้าทำตัวเองให้เป็นที่ปรึกษาที่ดีคนหนึ่งของกษัตริย์ได้อย่างน่าชื่นชม

   ส่วนนิโคลัสหลังจากเห็นความเหน็ดเหนื่อยของเจ้านายตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะอยากหวังดีท้วงติงอะไรอีกก็ได้แค่ปิดปากเงียบ อันที่จริงเขากำลังคิดว่าหลังจากที่เฟรเดอริค ฟรีแมนคนนั้นส่งภาพสามมิติของตนเองข้ามฟ้าผ่าจักรวาลมารำลึกความหลังกับท่านดยุคแห่งเดวอนเชียแบบนั้นแล้ว เจ้านายของเขาจะมีอาการหึงหวงหน้ามืดอะไรหรือไม่ ที่ไหนได้ลุดวิกก็ยังคงเป็นลุดวิก เขาก็ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็งเสมอต้นเสมอปลาย เพียงแต่ใครจะรู้ว่าแท้ที่จริงเขาจะแอบหึงหวงภรรยาของตนเองอย่างรุนแรงหรือไม่ ซึ่งหากหึงหวงหน้ามืดขึ้นมา นิโคลัสก็รู้สึกเสียวสันหลังแทนกิลเบิร์ต

   จะถูกตะครุบตัวใส่กุญแจมือขังไว้ในบ้านทั้งวันทั้งคืนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหรือเปล่า อันนี้ก็รู้สึกเริ่มน่ากลัวขึ้นมาพิลึกๆนะ! ถูกรักมากๆก็ดีหรอก แต่ถ้าถูกรักจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นทุกวันนี่มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคุณกิลเบิร์ตคนนั้นที่ไม่มาปรากฏตัวที่พระราชวังตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว เพราะถูกล่ามใส่กรงไปแล้วหรอกนะ!

“วันนี้กลับไวรึครับ” นิโคลัสถามขึ้นเพราะนี่เพิ่งบ่ายสามแต่ลุดวิกกลับยอมลุกจากเก้าอี้ เอกสารเคลียเสร็จเรียบร้อยโต๊ะทำงานเรียบวุด นี่ก็ช่างมีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเหลือเชื่อ ใครจะรู้ว่าภายใต้ความหนักแน่นมั่นคงขนาดนี้เขาจะเป็นผู้ชายขี้หึงที่ถึงขนาดล่ามภรรยากักขังเป็นนกในกรงทอง!

“ฉันสัญญาว่าจะพากิลไปพักผ่อนต่างจังหวัดสักคืน ตั้งแต่มาที่นี่เขาไม่เคยออกไปไหนนอกเมืองหลวงเลยสักครั้งนี่นะ” ลุดวิกตอบเรียบๆโดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงจินตนาการอันแสนบรรเจิดในสมองลูกน้องเลยสักนิด “เขาควรได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อยู่แต่ในเมืองมันอุดอู้” อันที่จริงควรพูดให้ถูกว่ากิลเบิร์ตไม่เคยออกไปนอกเมืองอย่างสงบสักครั้งมากกว่า ที่ออกไปนี่มีแต่ไปตีรันฟันแทงกับคนอื่น ไม่ข่วนเขาก็ถูกข่วนกลับมาเสียถลอกปอกเปิก ล่าสุดก็เสียพลังไปเยอะจนสลบเหมือดไปสองวันสองคืน หมดสภาพกลายเป็นศพแมว

   ส่วนสาเหตุที่กิลเบิร์ตไม่ได้มาที่พระราชวังในช่วงนี้ก็เพราะเขาอยากให้พักฟื้นให้มากหน่อย สุขสบายให้เยอะหน่อย หากจะอ้วนท้วนเท่ากับเจ้าแมวบิลลี่ได้ก็จะดีมาก แต่นี่อะไรเจ้าแมวขี้อ้อนนั่นมาอยู่อาทีเรียได้ไม่นานมีแต่จะมีเนื้อมีหนังขึ้น ส่วนแมวเลี้ยงของเขากินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอ้วนท้วน ไม่รู้ว่าระบบเผาผลาญดีไปหน่อยหรือเพราะยามค่ำคืนเขาชักชวนเจ้าแมวเถื่อนนั่นออกกำลังกายเยอะไปสักนิด ช่างน่าหนักใจจริงๆ

“ก็ดีนะครับ คุณกิลเบิร์ตจะได้เห็นว่าอาทีเรียน่าอยู่ขนาดไหน แล้วพาคุณหนูฟินน์กับท่านเฟรเซียไปด้วยหรือเปล่าครับ” นิโคคัสพูดสนับสนุนเพราะรู้ว่าตอนนี้กิลเบิร์ตแทบจะรับสองคนนั่นเป็นลูกบุญธรรมอยู่แล้วจึงกล้าถามแบบนั้นออกไป ในสายตาคนนอกเช่นเขานี่ก็นับเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมดีอยู่ แต่ลุดวิกกลับตอบปฏิเสธ

“อัยการบิลลี่อยากไปตระเวนชิมขนมของอาทีเรียก่อนกลับ สองคนนั่นเลยอาสาจะเป็นเพื่อนเที่ยวในเมือง คุณเองก็ส่งคนไปอารักขาพวกเขาหน่อยละกัน” 

“อารักขา?” นิโคลัสอยากถามเหลือเกินว่าเขาควรอารักขาใครงั้นหรือ ท่านอัยการขาโหดสิงห์ปืนไวคนนั้น หรือหนุ่มน้อยสาวน้อยเอสเปอร์ที่ต้านระเบิดได้ทั้งลูก เอาเข้าจริงด้วยมาตรฐานของสามคนนั้นต่อให้มีโจรคิดมาลักพาตัว ไอ้โจรหน้าโง่นั่นคงจะถูกยำเละชะตาขาดอยู่ตรงข้างถนนนั่นล่ะ แต่บางครั้งคนเราก็ไม่ควรจะต้องเอาเรื่องจริงมาพูดเสมอไป เกรงใจเจ้านายบ้างตอบรับแค่ตามมารยาทก็พอ “รับทราบครับ เอ่อ ขอให้พักผ่อนให้สนุกนะครับ”

“ขอบใจ” ยิ้มรับและเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีสบายๆ

   อันที่จริงทุกอย่างก็ไม่ได้ดูสบายอย่างที่เห็นภายนอกไปเสียทั้งหมด แต่ตัวลุดวิกนั้นก็ไม่ต้องการให้เอาเรื่องในครอบครัวมาเป็นปัญหาในที่ทำงาน หลังจากเหตุการณ์ครั้งก่อน เขาย่อมวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตของกิลเบิร์ตอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนโง่ กิลเบิร์ตก็ไม่ใช่คนโง่ จึงรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับท่าทีของผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคกับอารอน ในชั่ววูบหนึ่งลุดวิกถึงขนาดถามตนเองว่าผู้ชายคนนั้นยังมีเยื่อใยกับภรรยาของเขาใช่หรือไม่ แล้วตัวกิลเบิร์ตล่ะจะมีความเห็นอกเห็นใจให้กับเฟรเดอริคมากน้อยแค่ไหน ความสัมพันธ์สิบปีของคนเราใช่ว่าคิดจะตัดก็ตัดให้ขาดได้ง่ายๆ

“แต่น่าเสียดายนะ ฉันไม่ปล่อยเธอไปหรอก” ลุดวิกพึมพำกับตัวเองพลางคิดถึงสีหน้าแววตาเศร้าโศกของกิลเบิร์ต ต่อให้เฟรเดอริคมีเหตุผลความจำเป็นร้อยแปด แต่การที่ทำให้อดีตภรรยาของตนเองต้องเสียใจขนาดนั้น มิหนำซ้ำยังถูกดูถูกดูแคลนเสียชื่อเสียงเสียศักดิ์ศรี เขาไม่มีวันอภัยให้ และยิ่งไม่มีทางส่งกิลเบิร์ตคืนให้อย่างเด็ดขาด

   อดีตนั้นจบไปแล้ว ต่อจากนี้คือเรื่องของเขากับกิลเบิร์ตเท่านั้น!

“ขอเป็นกุหลาบสีแดง ดอกเดียวพอ” ลุดวิกสั่งให้คนขับรถแวะจอดหน้าร้านดอกไม้และสั่งดอกไม้ที่เขาไม่เคยนึกนิยมชมชอบมันมาก่อน เขาไม่เคยมอบดอกไม้ให้ใคร ไม่เคยเกี้ยวพาใคร และยิ่งไม่มีทางเอาอกเอาใจหญิงสาวหรือชายหนุ่มคนไหน แต่ถึงวันนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงต้องซื้อดอกไม้ให้กับคนรัก ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของอาทีเรีย คนส่วนใหญ่วางแผนที่จะใช้เวลากับครอบครัว เขาจึงนึกอยากให้ของขวัญอะไรสักอย่างกับภรรยาของตัวเอง

   กำลังนึกว่าเจ้าแมวเถื่อนของเขาจะทำหน้ายังไงกันนะยามที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้

   ทางฝ่ายกิลเบิร์ต เขากำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อไปพักผ่อนนอกเมืองกับคุณสามี อันที่จริงเขาค่อนข้างจะขี้เกียจอย่างยิ่ง ติดบ้านอย่างยิ่ง แต่พอบ่นกระปอดกระแปดใส่คนรอบตัวกลับถูกมองเหยียดราวกับว่าเขานั้นเป็นเจ้าตัวสลอธน่ารำคาญไร้สามัญสำนึก เริ่มจากพ่อบ้านเบนจามินที่ยังคงสั่งสอนเขาเรื่องการเป็นเจ้าสาวที่ดีให้หัดมองสีหน้าคนอื่นบ้าง สามีอยากพาไปเที่ยวทำไมถึงทำตัวเป็นแมวนอนหวดขี้เกียจตัวเป็นขน อีแบบนี้สมควรถูกจับยัดใส่กระสอบหิ้วออกไป บลาๆๆๆ เขาฟังพ่อบ้านบ่นจนขี้หูกระเด้งไปหมด น่ารำคาญมาก!

   ทางฝ่ายสองฝาแฝด แม้ปกติเข้าข้างเขาอย่างยิ่ง ออดอ้อนเขาอย่างยิ่ง แต่พอเขาบ่นเรื่องนี้เฟรเซียกลับคิ้วขมวด ก่อนจะให้คำแนะนำกลับอย่างสุภาพว่าเขาควรดูแลเอาใจใส่ลุดวิกให้มากกว่านี้ ส่วนฟินน์ก็คอยสนับสนุนน้องสาวเห็นดีเห็นงามไปเสียหมด สองคนนี้พอเห็นความทุ่มเทที่ลุดวิกมีให้กิลเบิร์ต ตอนนี้พอเป็นเรื่องอะไรของลุดวิกก็สนับสนุนเข้าข้างไปเสียหมด ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตได้แต่แอบสบถหยาบคาย เจ้าเด็กทรยศ!

   ส่วนเพื่อนสนิทอย่างนายบิลลี่ซึ่งตอนนี้กินนอนแฮปปี้ลั้ลล้าอยู่ในบ้านเขากับลุดวิก จนเขารู้สึกว่าหมอนี่ท้วมขึ้นอีกแล้ว คนที่ถูกลุดวิกติดสิบบนจนชี้ไม้เป็นนกชี้นกเป็นไม้ชี้ แม้แต่ขี้ดินยังมองเป็นท้องฟ้าอย่างหมอนี่รีบสนับสนุนเจ้าบ้านทันที

“ก็ไปซะสิ สามีนายคงอยากได้ลูกไวๆเลยอยากสวีทกับนายไง!” เจ้าหนุ่มเวอร์จิ้นที่คำพูดคำจาไม่เหมาะกับประสบการณ์ชีวิตสักนิดพูดจ้อไปก็กินคุ้กกี้ไปด้วย ข้างๆยังมีเค้กกับลูกกวาดหลากสีสันอีกมากมาย มันน่าแช่งให้ฟันผุเสียให้หมดปาก! ขอให้กลับไปบ้านแล้วหน้าท้องบวมจนคาดเข็มขัดไม่ได้!

“นายรู้หรือว่าต้องสวีทแบบไหนถึงทำลูกได้!” กอดอกมองเจ้าอัยการบ้าสติบอที่หลังจากประกาศตัวเป็นศัตรูกับอารอนแล้วก็หาได้ทุกข์ร้อนอันใด คนบ้าสติแตกแบบนี้ทั่วจักรวาลย่อมนับคนได้ และหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนเขาคนนี้นี่ล่ะ! นี่นายเป็นศัตรูกับเทสล่าแล้ว แถมยังอาจถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับโจรสลัดด้วย รู้หรือเปล่าว่ากำลังจะซวยขนาดไหนเจ้าบ้าสมองฝ่อ! “ว่าไง ตกลงต้องทำลูกแบบไหน!”

   พอถูกถามหยามเหยียดแบบนี้เจ้าแมวอ้วนกัดฟันกรอดขยับแว่นพลางครุ่นคิด ถึงตายก็ยอมแพ้ไม่ได้!

“รู้สิ! ฉันเคยอ่านในหนังสือเพศศึกษา! ก็เอาไอ้นั่นของคุณลุดวิกใส่เข้าไปที่ก้นนายใช่ไหมล่ะ!” พูดหน้าตาเฉยอย่างอวดรู้จนทำเอาฟินน์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆถึงกับพ่นน้ำเปล่าพรวดหน้าแดงเถือกขึ้นมา แม้แต่เจ้าหนูอ่อนด้อยสังคมยังรู้สึกว่าบทสนทนานี้มันแหม่งๆ แต่เจ้าอัยการไร้สามัญสำนึกยังกินไปพูดไปเสแสร้งไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย กิลเบิร์ตรู้สึกว่านี่มันน่าถีบตกเก้าอี้จริงๆ!

“ไอ้บ้าสมองกลวง!”

“ไม่ใช่แค่นั้นสินะ! อ้อ! ฉันอ่านมาว่าต้องฉีดอสุจิเข้าไปด้วยสินะ เห แบบนั้นจะเจ็บมั้ยน่ะ!”

   พลั่ก!

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตฟิวส์ขาดถีบเพื่อนตัวเองเตะตกเก้าอี้จนฟินน์ช็อคต้องรีบปรี่เข้ามาช่วยพยุงท่านอัยการแมวอ้วน แต่บิลลี่คลับคล้ายไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนรีบโวยวายประท้วงในทันที ก็เขาอ่านมาแบบนี้ ในหนังก็เหมือนจะเป็นแบบนี้ แล้วกิลเบิร์ตจะมาโกรธอะไรเขาล่ะ!!!!

“เจ้าบ้ากิลเบิร์ต! ฉันพูดอะไรผิดก็บอกกันดีๆเซ่! หรือจริงๆคุณลุดวิกไม่ได้ทำอย่างในหนังสือว่า!”

“เจ้าคนปัญญาอ่อนเอ๊ย!” กิลเบิร์ตนึกอยากถีบยอดหน้าเพื่อนตัวเองเหลือหลาย หมอนี่เป็นไอ้หนุ่มเวอร์จิ้นสติแตกที่สุดแล้ว ถ้าจะเป็นคนใสซื่อก็ควรใสซื่อแบบเจ้าหนูฟินน์ ไม่ใช่เป็นเจ้าบ้าปากสว่างที่ทำเอาเขาคันคะเยอทั้งมือทั้งเท้าอยากซัดใส่ขนาดนี้ ได้! ถ้าลองดีกันแบบนี้อย่าหาว่าเขาไม่เตือนนะ! “ถ้าอยากรู้ว่าเขาทำกันยังไง ฉันจะส่งนายไปหาวิลเลียมดีมั้ย! หมอนั่นคงสาธิตให้นายดูด้วยความเต็มใจแน่! รับรองว่าก้นนายบวมแน่!” วาจาหยาบคายฟังไม่ได้นั่นทำเอาบิลลี่หน้าแดงแป๊ด ส่วนฟินน์ถึงขนาดแทบอยากเอาหน้าซุกใต้พรม บทสนทนาติดเรทขึ้นเรื่อยๆแล้ว!!!

 “ถ้าส่งไปหาหมอนั่นนายช่วยถีบฉันหลายๆครั้งดีกว่า! ใครจะอยากโดนเจ้าลุงโรคจิตนั่นลวนลามกัน!!!” บิลลี่ตะโกนบอกพลางทำหน้าอกสั่นขวัญแขวน เขาเผลอหันไปมองเจ้าหนูฟินน์แล้วก็พลันรู้สึกเหมือนตัวเองจะสติแตก เกิดคนอย่างวิลเลียมโผล่มาเห็นฟินน์ล่ะก็ เจ้าหนูนี่จะต้องถูกล่อลวงเข้าฮาเร็มของหมอนั่นแน่ๆ!!!

   แค่คิดก็สยองแล้ว!!!!

   กิลเบิร์ตเห็นเพื่อนทำหน้าสยองถึงเพียงนั้นก็ยิ่งได้ใจ ถึงขนาดยกนิ้วกลางแสยะยิ้มช่างดูเถื่อนจนเสียชาติเกิดเป็นท่านชายาเจ้าอาณานิคมสิ้นดี! นี่มันแมวโรคจิตข้างถนนชัดๆ!!

“เอาเป็นว่าอย่าเอาคำพูดสั่วๆของนายไปพูดกับคนอื่น ฉันรับประกันเลยว่าเจ้าลุงโรคจิตนั่นจะต้องชวนนายสาธิตวิธีทำลูกแน่! เห! นายอยากรู้จริงๆหรือว่า เวลาไอ้นั่นเข้าไปที่ก้นนายน่ะรู้สึกยังไง!” ว่าพลางแสยะยิ้มกระซิบข้างหูเพื่อนรัก ทำเอาบิลลี่ขนพองสยองเกล้าแทบอยากกระโดดหนี แต่กิลเบิร์ตกลับนึกสนุกเลยเถิดย่างสามขุมกดอีกฝ่ายลงพื้น จับใบหน้าเพื่อนรักไว้แถมยังแลบลิ้นเลียข้างแก้มอีกฝ่าย แสดงท่าทีคุกคามทางเพศจนเจ้าหนูฟินน์ช็อคตาตั้ง ส่วนบิลลี่นั้นหน้าแดงหูแดงขึ้นมากะทันหันเผลอจ้องหน้ากิลเบิร์ตมองเสียหยาดเยิ้ม

   เจ้าหนูฟินน์ยิ่งเห็นสองคนนี่ยิ่งพานสติแตก!

   นี่คือการนอกใจงั้นหรือ! นี่คือการเล่นชู้งั้นเรอะ! นี่คือการเล่นเพื่อนด้วยงั้นเรอะ!

   ตุ้บ!

“!!!”

   วินาทีนั้นสองสหายแมวบ้ากับหนึ่งเด็กน้อยพลันหันไปทางประตูหน้าบ้านในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านเบนจามินที่เดินนำมาตกใจหน้าซีดเผลอทิ้งกระเป๋าของลุดวิกหล่นลงพื้นดังตุ้บ ส่วนท่านเจ้าบ้านที่ยังถือดอกกุหลาบค้างในมือนั้นมองแมวสองตัวที่กำลังกอดกันกลม โดยมีเจ้าแมวเถื่อนนิสัยเสียของตนเองขึ้นคร่อมฝ่ายตรงข้ามแลบลิ้นเลียแก้มอีกฝ่าย ส่วนเจ้าแมวอ้วนนั้นตัวสั่นระริกหน้าตาแดงก่ำจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ดูแบบนี้แล้วไม่ว่าจะมองให้ตายยังไงก็เป็นเจ้าแมวบ้าของเขาที่ไปรังแกอีกฝ่าย นี่มันต้องเป็นแมวนิสัยเสียขนาดไหนกันถึงไปลวนลามแมวตัวอื่นเสียหายขนาดนี้ นี่ขนาดกลางวันแสกๆยังกล้าขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าดึกดื่นค่ำคืนแอบไปลักหลับแมวตัวอื่นหรอกนะ! ไอ้ที่เขารู้สึกสงสารเห็นใจเจ้าแมวบ้านี่น่าจะเป็นการคิดมากเกินไปเสียแล้ว!

   แมวตัวนี้มันสมควรจับยัดใส่ถังขยะแล้วล็อคดัดนิสัยให้หายบ้า!!!

“เตรียมรถ เบนจามิน ฉันจะพาภรรยาไปพักผ่อนตอนนี้เลย” นั่นคือข้อสรุปสั้นๆของท่านเจ้าบ้าน

“!!!”

   ไม่บอกไม่กล่าว ลุดวิกย่างสามขุมกระชากเจ้าแมวบ้าที่ตอนนี้เริ่มบ้าใบ้ทำตัวไม่ถูกจับโยนขึ้นรถไปต่อหน้าต่อตาสักขีพยาน ส่วนเบนจามินรีบบรรจุกระเป๋าเสื้อผ้าประเคนกุญแจรถให้คุณท่าน ยามนั้นบิลลี่ย่อมสังเกตว่ากิลเบิร์ตหน้าซีดล่อกแล่กสุดๆ ท่าทางเหมือนแมวจรจัดรู้ชะตากรรมตัวเองว่าถึงคราวเคราะห์ถูกถอนขนเป็นแน่แท้

“ไปดีมาดีนะเพื่อน” เจ้าแมวอ้วนโบกอุ้งอวยชัยเพื่อนรัก ก็หวังว่าจะกลับมาอย่างครบสามสิบสองประการนะ!!

   แน่ล่ะว่ากิลเบิร์ตครั้นพอถูกโยนขึ้นรถย่อมเป็นแมวสัญชาติวัวสันหลังหวะนึกอยากขอขมาคุณสามีอย่างยิ่ง แต่คิดไปคิดมาเขาแค่หยอกบิลลี่เล่นๆเองนี่นา ลุดวิกไม่ถามไม่ไถ่จะมาโกรธอะไรไม่ได้นะ! เขาไม่ผิด!!

“นี่กำลังคิดว่าตัวเองไม่ผิด แค่หยอกอัยการบิลลี่เล่นๆสินะ เจ้าแมวเถื่อน” ลุดวิกตัดบทพูดขึ้นขณะขับรถออกมานอกเมืองได้สักพัก ตอนแรกเขาก็คิดจะรอให้ฝ่ายตรงข้ามขอโทษ แต่เจ้าแมวขยะนี่ถึงตายก็ไม่ยอมอ่อนข้อสำนึกผิดเสียที ตอนนี้มาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก็พอเดาได้ว่ากำลังหาทางแถสีข้างถลอกอีกเช่นเคย ครั้นพอเขาชิงตัดหน้าพูดดักคอก่อน ก็ทำเอากิลเบิร์ตกลืนน้ำลายไม่ลงคอชะงักไปหลายวินาที

กิลเบิร์ตได้แต่ร้องโวยวายในใจ ทำไมโดนอ่านใจออกเสียแล้วล่ะ!

“ก็ ก็มันจริงนี่! ก็หมอนั่นดันมาหยอกเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่นา! ฉันไม่ผิดนะ!” นี่ก็ยังคงไม่ได้รู้สำนึกในความผิดของตัวเองสักนิด ความปากแข็งดื้อรั้นนี่ทำเอาลุดวิกชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือคนๆเดียวกับคุณเอสเปอร์คนเก่งที่ต่อกรกับอารอนและยอมเจ็บตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่นหรือไม่ แถมก่อนหน้านี้ยังเป็นคุณภรรยาที่ร้องไห้เสียใจที่ถูกสามีเก่าทำร้ายซบอกเขาอย่างน่าสงสารด้วย อะไรมันจะเปลี่ยนไวขนาดนี้! เป็นแมวไบพลาร์หรือไง!!

   เจ้าแมวเถื่อนป่วยเป็นไบโพล่าร์!!!

“งั้นบอกมาซิว่า อัยการบิลลี่หยอกเธอว่ายังไง” ลุดวิกไม่ยอมแพ้เช่นกัน หากอยากแถย่อมได้ เขาจะช่วยให้แถถอนขนจนหมดตัวเลยทีเดียว!

“!”

“ว่าไง ขอให้เป็นเหตุผลที่น่าฟังด้วยนะ”

“เอ่อ...เอ่อ...” กิลเบิร์ตย่อมต้องอ้ำอึ้ง ก็นะ เรื่องที่พวกเขาโต้เถียงกันนั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระบ้าบอสุดๆ จะให้หน้าหนาหน้าทนบอกไปอย่างหน้าไม่อายงั้นหรือ แต่ว่าถ้าไม่พูดก็เท่ากับยอมแพ้น่ะสิ! ไม่มีทาง! “ก็ เอ่อ...เรื่อง เรื่องลูก เรื่องทำลูกน่ะ”

   ผึง!

   เส้นสติของลุดวิกขาดผึง ท่านเจ้าอาณานิคมหนุ่มเบรกรถดังเอี๊ยดแทบหน้าคว่ำจนกิลเบิร์ตบ่นโวยวายขึ้นมาทันที ทว่า ลุดวิกกลับดึงแขนของเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน วินาทีนั้นกิลเบิร์ตรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กจ้อยเป็นมดตัวน้อยใต้ฝ่าเท้าท่านพญาราชสีห์ จะจ้องกันถึงขนาดนี้กินเข้าไปทั้งตัวเลยมั้ย!! นี่มันจะโหดเกินไปแล้ว!!!

“แล้วไง เธอก็เลยจะชวนท่านอัยการทำลูกงั้นหรือไง อยากมีลูกแล้วงั้นหรือ” แลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองพลางแสยะยิ้มจ้องราวกับเห็นอาหารแสนโอชะตรงหน้า “พูดถึงขนาดนี้แล้วจะยั่วฉันก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่าไหม”

“ไม่ใช่นะ!!!” รีบบ่ายเบี่ยงเป็นพัลวัน นี่มันท่าไม่ดีเสียแล้ว หันซ้ายหันขวาตอนนี้พวกเขาจอดรถในที่เปลี่ยวไม่มีคนผ่านไปมา ขืนลุดวิกเกิดบ้าทำมิดีมิร้ายเขากลางป่าเขาขึ้นมาล่ะ! น่าอับอายเกินไปแล้ว!!

   ฝ่ายลุดวิกพอเห็นเจ้าแมวเถื่อนหน้าซีดปากสั่นขึ้นมาก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องดึงเจ้าแมวบ้าเข้ามาใกล้พลางจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนวลที่เขาคิดถึงมาตลอดทั้งวัน ครั้นพอจูบไปแล้วก็เริ่มรู้สึกอิ่มเอิบใจและเร่าร้อนขึ้นอีกเท่าตัว เอาเข้าจริงเขาย่อมไม่ได้โกรธเจ้าแมวขี้โวยวายตัวนี้ขนาดนั้นหรอก เมื่อครู่ในสายตาเขาเห็นแค่เจ้าแมวตัวดำแลบลิ้นเลียขนให้เจ้าแมวอ้วนขนทองเท่านั้น ท่าทีแบบนั้นเอาเข้าจริงมันน่ารักน่าชังมากกว่าน่าโมโหเสียอีก

   แต่ถ้าไม่ปรามเสียบ้าง แมวบ้าตัวนี้ต้องเสียนิสัยหนักกว่านี้แน่!

“ว่าแต่ตกลงเธอท้องได้หรือเปล่าน่ะกิล”

“!”

“ว่าไง” ถามอีกครั้งพลางใช้มือกลัดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายหวังจะช่วยเลียขนให้สมใจเจ้าแมวไม่รักดีตัวนี้เลยทีเดียว

“เอ่อ..” พอถูกถามแบบนั้นกิลเบิร์ตก็ทั้งสับสนทั้งอับอายจนหน้าแดง อันที่จริงเขาความจำเสื่อมย่อมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเผ่าพันธุ์ไหน ส่วนตัวเขาอยู่กับเฟรเดอริคมาเป็นสิบปีก็ไม่ท้อง จึงคิดไปว่าบางทีเขาคงท้องไม่ได้กระมัง “ฉัน น่าจะท้องไม่ได้มั้ง”

   คิดไม่ถึงว่าคำตอบนั่นกลับทำให้ลุดวิกยิ่งแสยะยิ้มน่าหวาดกลัว แว่บหนึ่งกิลเบิร์ตรู้สึกว่าตรงหน้าเขานี่มันโจรคร่าสวาทมากกว่าสามี! ช่วยด้วย!!

“มันก็ไม่แน่นะ ของแบบนี้ต้องลองพิสูจน์หลายๆครั้ง บางทีหมอนั่นอาจจะแค่ไม่มีน้ำยาก็ได้” ท่านเจ้าอาณานิคมยิ้มหวานจนคนมองใจสั่นพลางลงมือกดปุ่มไพรเวทโซนของรถและตะครุบเจ้าแมวเถื่อนเข้ามาจูบจนริมฝีปากอีกฝ่ายสั่นระริก

“เดี๋ยว!” กิลเบิร์ตร้องห้าม ทว่า คนพูดจริงทำจริงอย่างลุดวิกย่อมไม่มีรั้งรอ ชายหนุ่มกดปุ่มล็อคประตูรถและจับเจ้าแมวเถื่อนของตัวเองโยนไปที่เบาะหลังฉวยโอกาสขึ้นคร่อมในทันที ท่าทีจริงจังจนกิลเบิร์ตกใจหน้าซีด สถานการณ์แบบนี้เข้าข่ายจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด! เพียงแต่ตอนนี้คิดได้แต่ว่าตัวเองคงไม่รอดเสียแล้ว! “คนวิตถารนี่ยังไม่มืดค่ำก็คิดจะข่มเหงกันแล้วเรอะ!! ไม่กลัวคนอื่นมาเห็นหรือไง!!”

“แถวนี้เป็นที่ดินของฉัน ไม่มีคนผ่านไปมาหรอก เมื้อกี้อยากได้เพื่อนเล่นไม่ใช่หรือไง เจ้าแมวนิสัยเสีย!” ว่าพลางก็แลบลิ้นเลียข้างหูเจ้าแมวเถื่อนขี้โวยวายที่ตอนนี้ดูจะออกฤทธิ์ออกเดชก็ไม่ถนัดเสียแล้ว

ทว่า ในตอนที่กำลังโวยวายๆอยู่นั่นเองที่ลุดวิกกลับส่งดอกกุหลาบดอกหนึ่งยื่นให้ตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน กิลเบิร์ตถึงกับชะงัก ใครจะไปนึกว่าจู่ๆเจ้าคนเถื่อนนี่จะส่งดอกไม้ให้เขา ซ้ำยังเป็นดอกกุหลาบสีแดงที่ประกอบเป็นช่ออย่างสวยงามเสียด้วย!
อย่าได้นึกว่าเขาจะเคยได้ดอกไม้จากอดีตสามีมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะในความเป็นจริงนี่ย่อมเป็นครั้งแรกที่มีคนให้ดอกไม้เขาแบบนี้ ลุดวิกเป็นคนแรกที่มอบดอกไม้นี่ให้เขา

“รู้ไหมว่าทำไมถึงมีดอกเดียว” ลุดวิกถามพลางยิ้มหวานขณะคร่อมอยู่บนร่างอีกฝ่ายในท่วงท่าอันตราย

“เพราะคุณงกมั้ง!” กิลเบิร์ตแกล้งเซ่อหัวเราะใส่ แต่ดันถูกอีกฝ่ายหอมเข้าฟอดใหญ่จนหน้าแดงเถือก กุหลาบนั่นถูกยื่นให้เขาและเขาจำต้องรับมันไว้ด้วยท่าทีที่ไปต่อไม่ถูก เมื่อได้รับดอกไม้ควรทำอย่างไร กิลเบิร์ตไม่รู้จริงๆ

“กุหลาบหนึ่งดอกหมายถึงมีรักเดียวตลอดกาล มีคนเดียวตลอดกาล”

“!”

   มีเพียงคนเดียว...ตลอดกาล

“ฉันไม่รู้หรอกว่าเฟรเดอริคนนั้นมีเหตุผลอะไรที่ทิ้งเธอ แต่สำหรับฉันต่อให้มีเหตุผลอีกร้อยแปดพันอย่าง ก็จะไม่มีวันให้ใครมาแทนที่เธอ กุหลาบของฉัน มีแค่เธอคนเดียว” ลุดวิกเอ่ยคำหวานที่หากเป็นคนอื่นพูดกิลเบิร์ตคงด่าว่าหน้าไม่อายได้อย่างสบายใจเฉิบ แต่ลุดวิกไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้ทำอะไรให้เขามามากมาย กล้าเล่นใหญ่เพื่อเขาอย่างไม่เกรงกลัวใคร กล้าได้กล้าเสียเพื่อเขาถึงขนาดนี้ ถึงจะยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดระหว่างกันจะจบลงแบบไหน แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกความตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด

“นี่เป็น...คำปลอบเหรอ” กิลเบิร์ตถาม

“ไม่ใช่”

“...”

“นี่เป็นคำสัญญา” ลุดวิกตอบพลางจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย จูบและโลมเลียริมฝีปากที่เขาชมชอบ กดร่างนั้นจมอยู่ใต้อ้อมแขนและแลกเปลี่ยนไออุ่นให้แก่กัน ความรู้สึกนี้ช่างสดใหม่ในทุกวันคืน

   ดอกไม้ของฉัน มอบให้เธอเพียงผู้เดียว


จบตอน

ตอบคอมเมนต์ค่ะว่า กิลในตอนที่เจอเฟรเดอริคยังอายุน้อย ความสัมพันธ์ที่มีให้เลยออกจะเกรงอกเกรงใจ ดังนั้นพอเฟรดจะมีอารอน กิลย่อมไม่เถียงค่ะ แต่กับลุดวิกคือความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นในตอนที่มีวุฒิภาวะแล้ว ก็จะเป็นอีกรูปแบบค่ะ

ส่วนตอนนี้ก็สวีทหวานไปก่อนสักพักน้า
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 24 ความหมายของดอกกุหลาบ 9/02
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 10-02-2019 02:19:48
เพราะผัวเก่าที่เขี่ยทิ้งทำให้เจอผัวใหม่ดีๆอย่างลุดวิก  :mew1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 24 ความหมายของดอกกุหลาบ 9/02
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-02-2019 22:37:36
ชอบการเปรียบเทียบบิลลี่กับกิลเป็นแมว แมวอ้วนกับแมวเถื่อน ไม่มีอะไรฮาไปมากกว่านี้แล้ว  :really2: :really2:
ตอนนี้ผ่อนคลายเนอะ ให้สองคนได้จู๋จี๋กัน (หราาาาา) :hao7:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 24 ความหมายของดอกกุหลาบ 9/02
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-02-2019 02:06:49
 o13


 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 25 เพื่อนชั่วตัวร้าย 11/03
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 11-03-2019 15:40:48
ตอนที่ ๒๕
เพื่อนชั่วตัวร้าย

   หลังกลับจากการพักผ่อนช่วงสั้นๆคนที่ดูจะสุขสดชื่นดีเสียยิ่งกว่ากิลเบิร์ตกลับเป็นลุดวิก เขาดูมีความสุขเสียจนใครเห็นเขาตอนนี้ย่อมรู้สึกเหมือนมีดอกไม้บานเต็มทุ่งอยู่รอบๆตัว ผลลัพธ์เช่นนี้จะเป็นอะไรไปได้หากไม่ใช่เพราะความรักความหลงในตัวภรรยาอย่างหน้ามืดยิ่ง รู้กันทั่วดาวว่าท่านเจ้าอาณานิคมนั้นรักให้เกียรติท่านดยุคแห่งเดวอนเชียถึงขนาดที่อนุญาตให้เลาะไข่มุกในท้องพระโรงไปขายเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังที่กลวงเปล่า หากเป็นคนอื่นกษัตริย์ย่อมต้องท้วงติง แต่นี่มีที่ไหนแทบจะยกวังให้เอาไปขายทั้งวังแล้วกระมัง

   ครั้นใครหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม กษัตริย์องค์ใหม่ท่านนี้กลับตอบหน้าตาเฉยว่า ยามนี้อาทีเรียถังแตกเพราะความสุรุ่ยสุร่ายของคนชั้นสูง ท่านดยุคแห่งเดวอนเชียเสียสละความสุขส่วนตัว ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มักน้อย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสามัญธรรมดา กินอยู่เรียบง่าย ขนาดนี้แล้วยังมีอะไรไม่ดี!

แน่ล่ะว่าหลายคนพอกษัตริย์พูดแบบนี้ย่อมยอมปิดปาก แต่กับขุนนางเก่าอีกหลายคน พวกเขาเริ่มคิดถึงความสุขสบายและความหรูหราในกาลก่อน ถึงขนาดมีคนออกความเห็นว่าควรนิรโทษกรรมเจ้าชายอ๊อตโต้ เพื่อให้กลับมาคานอำนาจในราชวงศ์

   อนิจจาพูดน่ะได้ แต่ทำน่ะยากนัก อยากหัวขาดกันหรือไง!

   แต่ถึงไม่ใส่ใจ แต่ในฐานะขุนนางคนสนิทที่ดี ใครบางคนก็ยังจำต้องเตือนสถานการณ์นี้แก่เจ้านายของตนเอง

“การทำอะไรแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็อาจส่งผลร้าย ตอนนี้พวกขุนนางที่เคยถือหางเจ้าชายอ๊อตโต้กับตระกูลเกอเจ้นเริ่มจะมีปฏิกิริยาแล้ว พวกเขากำลังเป่าหูคนในสภา และแอบก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินด้วยครับ” คนที่รายงานความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้คือลูคัส เออร์เนส ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน ในตอนที่เอ่ยรายงานไป สายตาของนิโคลัสที่จ้องมาที่เขาก็ยิ่งแสดงความหงุดหงิดงุ่นง่าน เหตุเพราะรายงานพวกนี้มีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น ส่วนต้นเหตุของเรื่องร้ายๆทั้งหมดเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านชายาคนโปรดที่ตอนนี้จะทำอะไรก็ตกเป็นเป้าถูกเล่นงานไปเสียหมด

   ในความรู้สึกของนิโคลัสเขาย่อมอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด ในเมื่อกิลเบิร์ตนั้นทั้งเป็นคนใหม่ เป็นคนต่างถิ่น เป็นคนไร้ที่มาที่ไป แต่ดันทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ตลอด

“บางเรื่องหากไม่ทำอย่างก้าวกระโดดก็ไม่มีวันไปไหนได้หรอก ไม่ใช่ว่าเพราะการประนีประนอมถึงได้ทำให้อาทีเรียใกล้ถึงคราววิบัติอยู่แบบนี้หรอกรึ” ลุดวิกตอบเสียงเรียบ

ขณะนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องรับรองของพระราชวัง และนี่ย่อมเป็นการว่าราชการตามปกติที่ปฏิบัติกัน ในทุกเช้า รัฐมนตรีทุกกระทรวงทบวงกรมจะต้องยื่นรายงาน และหากมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนลุดวิกอาจเรียกคุยเป็นการส่วนตัว และหากสำคัญกว่านั้นจะต้องมีการเปิดประชุมรัฐสภาวาระเร่งด่วน เพียงแต่ตอนนี้ลุดวิกไม่คิดเรื่องของภรรยาตนเองสมควรจะกลายเป็นวาระแห่งชาติขนาดนั้น กิลเบิร์ตเป็นคนใหม่ และความคิดใหม่ๆที่มากับคนใหม่ๆก็มักถูกตำหนิอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องสามัญ

“นิโคลัส คุณเพิ่มกำลังในส่วนการจับตาดูพรรคพวกของพวกตระกูลเกอเจ้นให้มากหน่อย พวกเขาคงจะหาทางเคลื่อนไหวเร็วๆนี้”

“ครับ”

   ถึงตอนนี้เขากำจัดพวกเจ้าชายอ๊อตโต้ให้พ้นทางได้แล้ว แต่จากคำตัดสินของศาล พวกเจ้าชายและตระกูลเกอเจ้นจะยังถูกจำคุกโดยการกักบริเวณไว้ในอาณาเขตที่กำหนด โดยกำหนดสถานที่คือเมืองโคล์ว ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง ดังนั้นหากมีใครไปมาหาสู่ในดินแดนนั้นก็ควรคิดได้ว่าอาจมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พอลุดวิดสั่งถึงตรงนี้ นิโคลัสแม้ตอบรับแต่คลับคล้ายยังมีอาการอ้ำอึ้ง ท่าทีแบบนี้ทำให้ฝ่ายผู้บังคับบัญชาอดถามขึ้นมาอีกไม่ได้

“คุณมีอะไรในใจสินะ ว่ามา” ลุดวิกเอ่ยเฉียบขาด ในขณะที่นิโคลัสคล้ายไม่อยากพูดแต่จำยอม ด้วยนิสัยของเขาคิดอะไรก็พูดไปแบบนั้น ปิดไม่มิด

“อันที่จริงก็เป็นเรื่องเดิมครับ เรื่องคุณกิลเบิร์ต ท่านดยุคแห่งเดวอนเชีย”

“นี่เรายังต้องพูดเรื่องนี้กันอีกเรอะ” ลุดวิกย่อมรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาบ้าง ในเรื่องนี้เขาขัดแย้งกับนิโคลัสมาแล้วหลายครั้ง “ฉันนึกว่าคุณเข้าใจอะไรดีแล้วเสียอีกนะ”

“ต่อให้ผมเข้าใจหรือตัดใจได้แล้ว แต่ขุนนางกับประชาชนไม่ได้เข้าใจด้วยนี่ครับ พวกเขาก็ยังคิดว่าท่านควรรับภรรยาเพิ่มและให้กำเนิดบุตรที่มีเชื้อสายชาวอาทีเรียเข้มข้น แล้วยิ่งช่วงนี้คุณกิลเบิร์ตเหมือนจะตั้งตัวขัดแย้งกับพวกหัวเก่า เลยกลายเป็นเป้าให้ถูกเล่นงาน แล้ว..” ไม่ทันที่นิโคลัสจะเอ่ยจบ ลูคัสกลับเหมือนส่งสายตาเลิ่กลั่กบอกเขากลายๆให้หยุดพูดเสีย นี่จะไม่ดูหน้าเจ้านายเลยหรือไรว่ายามนี้ถมึงทึงแค่ไหน แต่คนเช่นนิโคลัส เถรตรงไม่กลัวใคร ต่อให้ถูกเตือนเขาก็ยังจะพูดต่ออยู่ดี “ผมคิดว่าการรับภรรยาเพิ่มจะช่วยให้ความตึงเครียดนี่คลี่คลายลงครับ”

   ความตึงเครียดภายนอกจะคลายลงหรือไม่อาจไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้ลูคัสกลับคิดว่าในห้องนี้...ร้อนมาก

   ใช่แล้ว เขาเริ่มเครียดแล้วล่ะ!

“ไร้สาระ!” คำพูดเฉียบขาดออกจากปากลุดวิกทำเอาลูคัสทอดถอนใจ ส่วนนิโคลัสก็ยังจ้องหน้าเจ้านายอย่างเรียบเฉย ในความรู้สึกของนิโคลัสเขายังคงคิดว่าตนเองมีหน้าที่ที่ต้องเตือนสติเจ้านายไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ภรรยาจะรักแค่ไหนก็ได้ แต่ความเป็นจริงก็ต้องคิดถึงด้วยเช่นกัน

   ต่อให้กิลเบิร์ตคนนั้นเป็นอดีตนายพลของเทสล่า เป็นเอสเปอร์อันดับหนึ่ง เป็นคนเก่งแค่ไหน นิสัยส่วนตัวดีงามแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ใช่คนอาทีเรีย ทั้งเรื่องแบบนี้จะเอาไปประกาศให้ใครรู้ก็ไม่ได้ รังแต่จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างดวงดาวที่แก้ไม่ตก ในเมื่อป่าวประกาศไม่ได้เสียแล้ว ในสายตาคนนอกนั่นก็คือเจ้าหนุ่มไม่มีหัวนอนปลายเท้าตกถังข้าวสารสามัญธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น จะห้ามคนไม่ให้คิดในแง่ร้ายได้ยังไง

“การประชุมของสหพันธ์จะเริ่มในอีกหกเดือนข้างหน้า ถึงตอนนั้นเมื่อฉันพิสูจน์ว่ากิลเบิร์ตเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าศาลสหพันธ์ดาวเคราะห์แล้ว ฉันจะประกาศสถานะของเขาให้รัฐสภากับประชาชนทราบ ฉันคิดว่าพวกเขาจะต้องเข้าใจว่าฉันเลือกไม่ผิด” ลุดวิกอธิบายเรียบง่าย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องนี้ และไม่ใช่ว่าเขาจะเพิกเฉยต่อความห่วงใยของผู้ใต้บังคับบัญชา เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้น หากเขาป่าวประกาศออกไปตอนนี้ มลทินที่ติดตัวกิลเบิร์ตอยู่จะกลายเป็นคมหอกทิ่มแทงเขาเอง

“หกเดือนนี้ท่านจะต้องสู้รบกับการเมืองภายใน และวางแผนโต้กลับเทสล่านะครับ” นิโคลัสเตือน นี่ถือว่าหนักหนาสาหัสมากทีเดียว

“ฉันจะจัดการกับเรื่องนี้เอง ขอให้เชื่อใจฉัน และฉันก็เชื่อใจในความสามารถของพวกคุณทั้งสองคนด้วย” ลุดวิกเอ่ย ท้ายที่สุดเขายิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง นี่คือคนสองคนที่จะพูดจากับเขาอย่างตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว “ขอบคุณที่เตือนฉัน และหวังว่าพวกคุณจะทำเช่นนี้ตลอดไป”

   ประโยคสุดท้ายนั่นทำให้ทั้งลูคัสกับนิโคลัสต้องค้อมศีรษะให้ เจ้านายของพวกเขาเป็นเช่นนี้เสมอมา เขาคือคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมทั้งสติปัญญาความสามารถ ไม่มีที่ติในทุกทาง แต่หากมีดีแค่นั้นเขาจะสามารถเอาชนะใจเหล่าขุนนางและสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ได้อย่างไร คำตอบก็คือเพราะเขามีดียิ่งกว่านั้น อดีตท่านดยุคของพวกเขาเป็นคนใจคอกว้างขวางอย่างยิ่ง เขารับฟังทุกคน น้อมฟังทุกสิ่ง และเขาพูดอยู่เสมอว่ายามที่เขาหลงทางย่อมต้องการคนตักเตือน แม้บัดนี้เป็นราชา แต่สิ่งนี้กลับเป็นคุณสมบัติที่ไม่หายไปจากตัวแม้แต่น้อย

   ในส่วนนี้ทั้งสองคนเห็นพ้องว่าท่านชายาผู้นั้นโชคดีมาก เพราะนี่ก็คือสามีที่คงจะพร้อมรับฟังทุกสิ่งอย่างสมเหตุสมผลที่สุด
แม้ผู้คนจะบอกว่าเขาทั้งรักทั้งหลงภรรยา แต่ความจริงก็คือในหมู่คนที่รู้ความไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าการกระทำของกิลเบิร์ตนั้นถือว่าสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ยามนี้ท้องพระคลังถังแตก เดิมทีเมืองหลวงก็มีปัญหาการแบ่งชนชั้นและปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังมานาน หากไม่ทำอะไรเพื่อเติมเต็มคลัง อีกไม่นานอาทีเรียอาจจะต้องล้มละลาย วิธีการปฏิรูปพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของกิลเบิร์ตในแง่หนึ่งมันคือทางเลือกที่สุดท้ายแล้ว

   ดาวดวงนี้มาถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

   ฝ่ายกิลเบิร์ตครั้นกลับจากการพักผ่อนที่แม้เขาจะชมชอบกับบรรยากาศของกระท่อมกลางป่าเขาที่รายล้อมด้วยป่าสนและทะเลสาบ แต่บรรยากาศสุขสงบเสียขนาดนั้นย่อมยากมากที่ลุดวิกจะไม่ชักชวนเขาไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ ผลก็คือตอนนี้กิลเบิร์ตแทบจะสยองพองขนกับการเห็นหน้าสามี เขาชักเริ่มรู้สึกว่าหมอนี่สามารถทำเรื่องหน้าไม่อายได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่กลางป่าหรือบนเรือแจวยังทำได้! นี่มันจะเลยเถิดเกินไปแล้ว! ตอนนี้เขาจึงเลี่ยงมาทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน! เขาจะทำงานจนตัวตายแต่ไม่ยอมถูกขังไว้ในห้องนอนจนกว่าจะท้องหรอกนะ!

“ขอให้ฉันท้องไม่ได้!” บ่นกระปอดกระแปดกับตัวเอง และครั่นคร้ามการมีเด็กขึ้นมาทันควัน บางทีเขาควรไปตรวจร่างกาย หากหมอบอกว่าทำเรื่องอย่างว่าแค่ไหนก็ท้องไม่ได้จะได้หาเรื่องปฏิเสธลุดวิกได้อย่างเนียนๆ! “โอะ นี่มันงานด่วนเดี๋ยวให้เจ้าพวกนั้นไปทำดีกว่า” ระหว่างที่บ่นไปก็ตรวจเอกสารไปด้วยจนถึงเรื่องการสำรวจเหมืองเกลือแห่งใหม่ที่เขาคิดจะให้พวกเอสเปอร์ไปทำแทน

   เอสเปอร์สิบคนที่อารอนทิ้งไว้ให้นั้นตอนนี้กิลเบิร์ตให้พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนตัวใช้ให้ทำงานในวังสัพเพเหระเป็นมือเป็นเท้าได้อย่างดีประหยัดเวลาได้เยอะมาก ส่วนเฟรเซียนั้นหัวดีมาก เธอเรียนรู้งานได้ไม่นานก็ฉายแววเก่งกาจปราดเปรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน ส่วนฟินน์นั้นแม้ร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่จากการฝึกฝนพลังจิตอย่างสม่ำเสมอ กิลเบิร์ตรู้แน่ว่าเด็กคนนี้มีพลังจิตสูงกว่าน้องสาวมาก และพลังของเขาเหมือนจะเกินเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป นี่ย่อมเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เกิดบนอาทีเรีย จากสภาพของสองพี่น้อง กิลเบิร์ตเริ่มไม่แน่ใจว่าบนดาวดวงนี้แท้ที่จริงมีเอสเปอร์เกิดขึ้นและซุกซ่อนตัวอยู่อีกหรือไม่เพราะหากคำตอบคือ ใช่ ล่ะก็...

   นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี

“นั่นหมายถึงดาวดวงนี้จะถูกจับตามองและมีคนเข้ามาแสวงหาประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะสหพันธ์ดาวเคราะห์” บิลลี่ย่อมเข้าใจความกังวลนี้ของสหาย หลังจากช่วยกิลเบิร์ตตรวจงานนู่นนี่นั่นมาครึ่งวัน ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งได้พักมานั่งจิบชากัน กิลเบิร์ตเองก็เล่าความวิตกในเรื่องของเอสเปอร์กลายพันธุ์ให้ฟัง

“แน่นอน แบบเดียวกับที่สหพันธ์เคยทำกับเทสล่านั่นล่ะ” กิลเบิร์ตอธิบาย ก่อนหน้านี้หลายปีหลังจากที่เขากับเฟรเดอริคช่วยกันพัฒนาดาวเคราะห์ พวกเขาค้นพบว่าเทสล่าเป็นดาวที่เหมาะสมแก่การให้กำเนิดเอสเปอร์ สิ่งมีชีวิตบนเทสล่าร้อยละแปดสิบเป็นผู้มีพลังจิต และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พัฒนาการของดาวเป็นไปอย่างก้าวกระโดด “แต่ฉันไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”

“อืม นายนี่ก็ช่างรักเอสเปอร์เป็นลูกเป็นหลานจริงๆนะ ดังนั้นก็เลยจะซื้ออุปกรณ์คัดแยกเอสเปอร์สินะ ระวังถูกโก่งราคาล่ะ วิลเลียมคงไม่ให้นายฟรีๆหรอก” ยังคงพาดพิงถึงเจ้าของชื่อนั่น มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆสำหรับพวกเขา

“คนกันเองคงไม่โหดขนาดนั้นหรอกน่า หมอนั่นใจอ่อนกับฉันจะตาย” หัวเราะพลางจิบชาแต่บิลลี่กลับทำหน้าเหยเกใส่

“เหอะ หมอนั่นก็ใจอ่อนกับของสวยๆงามๆแปลกๆทั้งหมดทั้งมวลนั่นแหละ” บิลลี่แขวะพลางนั่งลง ประจวบกับที่เขาพลันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากระเบียงอีกฟาก “เขามีอะไรกันเรอะ?”

   ไม่ทันขาดคำฟินน์วิ่งกระหืดกระหอบข้ามมาจากระเบียงอีกฟากอย่างรวดเร็ว เจ้าหนุ่มท่าทางเลิ่กลั่กพูดไม่เป็นภาษาจนกิลเบิร์ตต้องลูบหลังปลอบ แต่เด็กหนุ่มเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกนัก สุดท้ายกว่าจะยอมพูดออกมาได้ก็ทำเอาพวกเขางงแทน

“ม มนุษย์ต่างดาว! มนุษย์ต่างดาว! มนุษย์ต่างดาวจะมาแขวนคอตายกลางเมืองครับ!”

“หะ!!”

   มนุษย์ต่างดาวจะแขวนคอตายกลางเมือง?


   นี่มันตลกร้ายอะไรกัน?

   เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลก พอกิลเบิร์ตกับบิลลี่เร่งรุดไปถึงอนุสาวรีย์ปฐมราชวงศ์ที่ใจกลางเมือง พวกเขาก็พบลุดวิกกับ
พวกนิโคลัสมารออยู่แล้ว ยามนี้ชาวบ้านล้วนมามุงดูกันถ้วนหน้า มันย่อมประหลาดอยู่แล้วที่จู่ๆยานอวกาศแคปซูลลำหนึ่งก็ลงจอดใจกลางเมืองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่จะมีมนุษย์ต่างดาวผิวสีแทนดวงตาสีฟ้าวิ่งออกมาจากยาน  คว้าเอาเชือกเส้นหนึ่งผูกกับคอของรูปปั้นที่สูงกว่าสามเมตร และเตรียมตัวจะฆ่าตัวตาย

“นี่มันอะไรกันน่ะ...” บิลลี่ย่อมงงมาก เขาชี้ชวนให้เพื่อนตัวเองดูสถานการณ์พิลึกพิลั่นตรงหน้ากับไอ้หนุ่มหน้าตาดีที่ตะโกนปาวๆจะฆ่าตัวตาย ส่วนชาวบ้านร้านตลาดแม้ตกใจที่มีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนแต่ด้วยวิสัยมนุษยธรรมค้ำจุนโลกต่างก็เข้ามารีบเจรจาห้ามปราม แม้แต่ตำรวจยังออกตัวแรงมาเกลี้ยกล่อมให้รักชีวิต

“อา นั่นเป็นชาวดาวคาซัคไงล่ะ” กิลเบิร์ตตอบพลางพินิจสถานการณ์
เพียงแต่ตอนนี้ลุดวิกเดินเข้ามาหาเขาและกอดอกจ้องตาถามอย่างเหนื่อยหน่ายใจอย่างยิ่ง

“นั่นคนรู้จักของเธออีกหรือเปล่า” ลุดวิกผู้สันนิษฐานทุกสิ่งในแง่ร้ายที่สุดก่อนเสมอเอ่ยอย่างเหนื่อยใจนัก ทำไมระยะนี้มีมนุษย์ต่างดาวมาเดินเพ่นพ่านในดาวบ้านนอกนี่เยอะเหลือเกิน นี่ต้องเป็นอิทธิพลของเจ้าแมวเถื่อนนี่อย่างแน่นอน!

“นั่นไม่ใช่เพื่อนฉันนะ! ทำไมพอคนประหลาดโผล่มาถึงต้องคิดว่าเป็นคนรู้จักของฉันเล่า!” กิลเบิร์ตรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ฝ่ายลุดวิกแม้ไม่ตอบเป็นคำพูดตรงๆแต่ก็ตอบด้วยสายตาให้แล้วเมื่อเขากวาดสายตามองไปยังอัยการหนุ่มจากเทียร่า

   ก็ไม่ใช่ว่าทั้งโจรสลัดสติไม่เต็มนั่น เจ้าอัยการแมวฟั่นเฟือน หรือแม้แต่พวกคนนิสัยเสียอย่างอารอนก็เป็นมนุษย์ต่างดาวพิลึกพิลั่กหรอกรึ แล้วไม่ใช่ว่าทั้งหมดนั่นเป็นคนรู้จักของภรรยาของเขาหรอกรึ!

   แต่เมื่อกิลเบิร์ตยืนกรานปฏิเสธลุดวิกก็ไม่ซักไซ้ บางทีเขาคงคิดมากไปที่จะเอาเรื่องประหลาดทุกอย่างมาผูกไว้ที่คอภรรยาตัวเอง ถึงกิลเบิร์ตจะเป็นแมวเถื่อนนอกกรอบ แต่คงไม่เถื่อนไปกว่านี้หรอก...มั้งนะ

“เอาล่ะไม่ใช่ก็ไม่ใช่ งั้นเธอจะช่วยทำอะไรสักอย่างกับมนุษย์ต่างดาวนั่นได้ไหม เขาไม่คุยกับใครเลยเอาแต่โวยวายว่าจะตายๆ” ลุดวิกชี้ไปที่ตัวต้นเหตุ แม้ใจจริงเขาอยากตะโกนบอกไปว่าอยากตายก็รีบตายเสีย มันเสียเวลาทำมาหากินของคนอื่นเขา แต่หากทำเช่นนั้นย่อมเสียภาพลักษณ์ท่านผู้นำที่ดีอย่างยิ่ง ขืนเขาทำไปทั้งนิโคลัสกับลูคัสคงกรีดร้องลั่นเสียตรงนี้แน่ เห็นแก่หน้าลูกน้องผู้ภักดีไม่ควรทำให้พวกเขาใจสลาย “ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างฉันจะให้ทหารไปลากลงมาล่ะนะ!”

“ใจเย็นสิ! ไม่เห็นหรือว่าหมอนั่นร้องห่มร้องไห้ด้วยนะ!” กิลเบิร์ตปรามทันที เขารู้สึกว่าคนอย่างลุดวิกพูดจริงทำจริงขืนไม่รีบทำอะไรสักอย่าง เจ้ามนุษย์ต่างดาวนั่นต้องถูกลากไปโยนเข้าคุกแน่! คนเราแม้ไม่รู้จักกันแต่เพื่อนมนุษย์ถึงคราวเคราะห์ หากช่วยได้ก็ควรช่วย!

   คิดได้อย่างนั้นกิลเบิร์ตก็รีบออกปากช่วยเจรจา เพียงแต่เขาก็ยังคิดอยู่ว่าจะเจรจาอีท่าไหนดีกับคนที่จะมาฆ่าตัวตายกลางลานสาธารณะบนดาวดวงอื่น นี่เก็บกดอะไรมาขนาดนั้นเลยรึ?

“นี่น้องชาย ชีวิตเป็นของมีค่าไม่ควรมาตายต่างถิ่นนะ นายเป็นคนดาวคาซัคไม่ใช่รึ” กิลเบิร์ตปลอบโดยการตะโกนขึ้นไปบนรูปปั้น และเพราะเขาสามารถระบุชื่อบ้านเกิดฝ่ายตรงข้ามได้ถูก ฝ่ายนั้นถึงยอมชำเลืองมองเขา ครั้นพอเห็นรูปลักษณ์ของกิลเบิร์ตก็เข้าใจทันทีว่าก็เป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน! เขาไม่ใช่ตัวคนเดียวบนดาวดวงนี้!

   ถึงตายก็มีคนเก็บศพแล้ว!

“พี่ชายอย่ามาห้ามเลย! ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เจ้านาย เจ้านาย เจ้านายต้องฆ่าฉันทิ้งแน่ๆ!!!” เจ้ามนุษย์ดาวคาซัคร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย “ฉันไม่ได้คิดจะนอกใจเจ้านายนะ แต่เจ้านายไม่ไยดีฉันเลยนี่นา ฉันก็แค่ไปรักเจ้าคนสวนนั่นแล้วถูกทิ้งเท่านั้นเอง ฉันไม่ผิดนะ!”

“หา!” กิลเบิร์ตเอียงคอทำหน้าอึ้งเป็นคำถาม อะไรคือเจ้านาย อะไรคือฆ่าทิ้ง อะไรคือนอกใจ

   ว๊อซ!!!???

   นี่เจ้านี่พูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?

“นี่ นาย นายพูดเรื่องอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้นที่คาซัคเหรอ” กิลเบิร์ตถามต่ออย่างพาซื่อ แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งร้องไห้ยกใหญ่

“ฉันไม่ได้มาจากคาซัค!!!”

“อ้าว แล้วมาจากไหนล่ะ?” กิลเบิร์ตถามย้ำ บางทีเขาอาจจะเข้าใจอะไรผิด

   ทว่า ครั้นพอถามเป็นคำถามนี้เข้ามนุษย์ต่างดาวกลับยิ่งร้องไห้เป็นเผาเต่า ทำเอาบิลลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆนึกรำคาญสุดๆ ส่วนลุดวิกยิ่งทำสีหน้าเหมือนความอดทนจะขาดรอนๆจนลูคัสกับนิโคลัสต้องรีบมาประกบซ้ายขวา ท่านราชาท่านนี้อย่าได้ไปลากคนจะฆ่าตัวตายลงมากระทืบไส้แตกให้เสียภาพลักษณ์เลยนะ!

ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนั้น มีแต่กิลเบิร์ตที่ดูจะใจเย็นมาก อย่างที่รู้กันว่าในบรรดาคนทั้งหมดตรงนี้คนที่อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ที่สุดก็คือกิลเบิร์ตนั่นล่ะ พอรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามดูจะมีความนัยก็พลันใจอ่อนยวบยาบในทันที

“นี่น้องชาย ค่อยๆพูดกันดีกว่าไหม จะตายน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายหนีมาถึงนี่แล้วจะยอมตายง่ายๆเลยหรือ เจ้านายที่ว่านั่นตามนายมาไม่ถึงนี่หรอกมั้ง”

“ถึงแน่! เมื้อกี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว! เขาต้องตามมาไวๆนี้แน่! ถ้าถูกจับกลับไป เจ้านาย ท่าน ท่านสุลต่าน ท่านสุลต่านจะต้องฆ่าฉันทิ้งแน่!!!”

   สุลต่าน!!!???

   ไม่ทันจบคำ วินาทีนั้นเหนือน่านฟ้าอาทีเรียพันบังเกิดแสงสีม่วงสาดส่อง ยานอวกาศสีเงินพร่างพราวหรูหราลำหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนลงต่ำและฉายแสงเทเลพอร์ตส่งคนๆหนึ่งลงมาจากตัวยาน วินาทีนั้นทั้งกิลเบิร์ตกับบิลลี่ถึงกับอ้าปากตาค้าง ให้ตายเถอะคำว่าจุดไต้ตำตอมันเป็นเช่นนี้เอง!

   คนในแสงนั่นยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาท่ามกลางขามุงทั้งหลาย คนๆนั้นเป็นชายหนุ่มผิวขาวแต่งตัวกรุยกรายรุ่มร่ามแบบพวกสุลต่านอาหรับในวัฒนธรรมเก่าของเทียร่า เส้นผมที่ตัดสั้นนั้นเป็นสีเงินยวงสวยงาม นัยน์ตาเย็นเยียบสีส้มสะท้อนแสงแวววาว เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีสีสันประหลาดไปทั้งตัว ชายหนุ่มคนนั้นกวาดสายตาดูคนรอบๆแล้วก็จ้องไปยังมนุษย์ดาวคาซัคที่ตอนนี้กลัวจนตัวสั่น ทรุดล้มลงมาจากข้างบนรูปปั้นจนกิลเบิร์ตต้องเข้าไปประคองช่วยเหลือ

“อะไรกันหนีมาตั้งไกล ดันเจอจุดไต้ตำตอเสียนี่” น้ำเสียงเยียบเย็น ใบหน้าเย็นชาหากแต่กลับคลี่ยิ้มแสยะชวนสยองขวัญ ทำเอาบิลลี่แทบจะทรุดตามไปด้วยอีกคน ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเจ้ามนุษย์ดาวคาซัคนี่หลุดมาจากไหน!

   ฉิบหายแล้ว!!

ชายแปลกหน้าคนนั้นมองไปยังฝูงชนก็แลเห็นกิลเบิร์ตกับบิลลี่ที่กำลังอึ้งแสนอึ้งจนตาค้าง ยิ่งเห็นทั้งสองคนเขาก็ยิ่งคลี่รอยยิ้มหวานเย็นเยียบชวนสยองขวัญ

“ไม่เจอกันนานนะ กิลเบิร์ต นายก็ยังมีเสน่ห์เหมือนเดิมจนฉันอยากขอนายแต่งงานอีกสักครั้งเลยนะ ว่าไง หย่ากับสามีใหม่เสียตอนนี้เลยไหม ส่วนนายล่ะ บิลลี่ เปลี่ยนใจมาอยู่กับฉันแทนพวกเทียร่าไหม หรือว่านายจะหวงครั้งแรกของนายไว้ให้เจ้าโจรสลัดวิปลาสนั่น”

“!!”

   คำทักทายแสนประเจิดประเจ้อนั่นทำเอาบิลลี่อับอายจนหน้าแดงอยากเอาหน้าซุกคอนกรีต ส่วนกิลเบิร์ตเหลือบมองหน้าสามีก็รู้ว่าตอนนี้กำลังฉุนกึกอารมณ์หึงพัดผ่านราวพายุบุแคม ก็ใครใช้ให้หมอนี่มาปรากฏตัวพร้อมคำพูดคำจาดุร้ายแบบนี้เล่า!

“กิล หมอนี่คือใคร!” ลุดวิกถามอย่างพยายามยับยั้งชั่งใจเต็มกำลัง อย่างที่เขาเคยคิดนั่นล่ะ ตัวประหลาดทั้งหลายล้วนเป็นสหายของภรรยาจริงๆ! แล้วเจ้าผู้ชายตาแมววาจาสามหาวปากคอเราะร้ายไร้มารยาทนี่มันเป็นใคร!!

“เอ่อ นั่นคือ...วิลเลียม สุลต่านแห่งกลุ่มดาวไกเซอร์” กิลเบิร์ตตอบอย่างเสียไม่ได้ ส่วนหัวใจนั้นเต้นระทึกจะทะลุออกนอกอก คืนนี้เขาจะถูกลุดวิกเล่นงานจนตายคาเตียงมั้ยนั่นน่ะ!

“สุลต่านแห่งไกเซอร์...” ลุดวิกเอ่ยตาม

“เอ่อ...เป็น เป็นเพื่อนของฉันกับบิลลี่”

“เพื่อนงั้นเรอะ!!” ลุดวิกคำราม

   นี่ไม่มีตาคบเพื่อนดีๆกันเลยหรือไง!!!



จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 25 เพื่อนชั่วตัวร้าย 11/03
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 11-03-2019 16:55:39
โธ่ ตอนที่แล้วกำลัวสวีทกันอยู่ดีๆ ตอนนี้มีท่านสุลต่านมารความรักโผล่มาอีก จะเป็นยังไงเนี่ย? :hao7:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 25 เพื่อนชั่วตัวร้าย 11/03
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-03-2019 19:27:33
 :laugh:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 26 ข้อพิพาทของสามีภรรยา 18/03
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 18-03-2019 22:51:07
ตอนที่ ๒๖
ข้อพิพาทของสามีภรรยา

   ลุดวิกนั้นเหลือจะเอ่ยต่อแขกของภรรยารายนี้ แม้เขาจะรับได้กับพฤติกรรมของเจ้าแมวบิลลี่ที่มาคลอเคลียใกล้ๆภรรยาของเขามากินๆนอนๆอยู่บ้านเขาอย่างตีสนิทเสียไม่มี แต่ในเมื่อนี่คือเพื่อนภรรยา เขาก็ได้แต่เอ็นดูไม่คิดอะไรมาก แต่กับวิลเลียม ไกเซอร์นายนี้เขากลับรู้สึกชังน้ำหน้าถึงขั้นหงุดหงิด เริ่มจากการที่อีกฝ่ายประกาศต่อหน้าคนทั่วไปว่าจะมาขอภรรยาของเขาแต่งงาน และยังยั่วเย้าภรรยาของเขาต่อหน้าธารกำนัล แม้กิลเบิร์ตจะรีบปฏิเสธบอกว่านั่นก็แค่การหยอกเล่นของเพื่อนเท่านั้น แต่เพื่อนบ้าที่ไหนที่จะกล้าทำขนาดนี้!

   นี่คบหากันประสาอะไร ไม่ใช่เลยเถิดจนเป็นเล่นเพื่อนไปแล้วเรอะ!

   แม้จะหงุดหงิดเรื่องเพื่อนเลวของภรรยา แต่ก่อนหน้านั้นก็จำต้องแก้ไขปัญหาเรื่องของมนุษย์ต่างดาวชาวคาซัคให้เรียบร้อยเสียก่อน แม้จะบอกว่านี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัว แต่วิลเลียมดันมาปรากฏตัวอย่างอลังการขนาดนี้หากไปคุยกันเป็นการส่วนตัวลับหลังย่อมถูกครหานินทา ดังนั้นสิ่งที่ลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมทำได้ก็คือให้ทหารคุ้มกันทุกคนกลับไปที่พระราชวัง และเปิดห้องโถงรับรองเล็กพูดคุยกันแบบคราวที่อารอนมาเยือน ได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรน่าอับอายไปมากกว่านี้

   ฝ่ายวิลเลียมนั้นดูเหมือนจะยังรู้กาลเทศะอยู่บ้าง ทั้งยังใจคอกว้างขวางบ้าบิ่นแบบสุดโต่ง เขาสั่งให้ผู้ติดตามของตัวเองรออยู่ในยานอวกาศเหนือชั้นบรรยากาศของอาทีเรีย ส่วนเขาจะไปเจรจาปัญหากับชาวอาทีเรียตามลำพัง ซึ่งในจุดนี้แม้ลุดวิกกับขุนนางอาทีเรียจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่กิลเบิร์ตกับบิลลี่กลับเฉยชายิ่ง นิสัยสหายนายนี้เป็นอย่างไรพวกเขาย่อมรู้ดี

ครั้นพอเข้ามาถึงห้องโถงในพระราชวังแล้ว นิโคลัสกับลูคัสก็จัดการส่งคนมาเฝ้าหน้าห้องประชุม และสั่งปิดปากสื่อมวลชนทั้งหลายเสีย พวกเขามีสัญชาตญาณดีย่อมรู้ว่าเรื่องที่คนพวกนี้จะพูดคุยกันไม่น่าจะเป็นเรื่องสมควรเปิดเผยเท่าไหร่นัก

   และพวกเขา...ก็คาดไม่ผิด

“ไม่ได้เจอกันนานมากขนาดนี้ คิดถึงพวกนายมากเลยนะ” สุลต่านวิลเลียมฉีกยิ้มยินดีก่อนจะก้าวย่างเข้ามาหอมฟอดข้างแก้มเพื่อนรักทั้งสองคนละทีทำเอาคนทั้งห้องประชุมกระอักกระอวลขนพองสยองเกล้า ซ้ำท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นมันช่างกระตุ้นต่อมโทสะของฝ่ายเจ้าบ้านได้ดีนัก ลุดวิกรู้สึกเหมือนหัวของเขาร้อนขึ้นเรื่อยๆนึกอยากถลกหนังหัวแมวขนสีขาวตรงหน้าเอาไปทำพรมเช็ดเท้า!

   ใช่! มันเป็นแมวขนสีขาวตัวเขื่องที่น่าถลกหนังอย่างที่สุด!

   แต่แม้จะหัวร้อนแค่ไหน ฝ่ายแขกผู้มาเยือนกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งยังหันมาแสยะยิ้มให้ลุดวิกแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มการทูตโปรยเสน่ห์พร่างพราวเล่นหูเล่นตาทำเอาขุนนางทั้งหญิงทั้งชายสะดุ้งมองตามตาไม่กระพริบ ลุดวิกมองดูก็รู้ว่าหมอนี่เจตนายั่วโมโหเขาชัดๆ! เจ้าหมอนี่ดูท่าจะอยากมีเรื่องมาก!

   ส่วนกิลเบิร์ตมองอากัปกิริยาคนของอาทีเรียแล้วก็ให้รู้สึกปวดไปถึงตับทะลุยันไส้ติ่ง เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนฝูงว่าผู้ชายชื่อวิลเลียมนายนี้ชมชอบการเล่นหูเล่นตาแกล้งชาวบ้านเล่นอย่างยิ่ง เขาคือคนที่ใครหากไปหลงกลคิดว่าเขาจริงจังด้วยเมื่อไหร่มีแต่จะเสียตัวเสียใจร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนอยากฆ่าตัวตาย ก่อนหน้านี้เคยลือกันว่าเขาเคลมเด็กหนุ่มๆมาอุ่นเตียงตัวเองไปหลายสิบคนแล้ว นั่นล่ะคือสาเหตุที่เขากับบิลลี่ระอาใจกับหมอนี่ และไม่คิดถือสาคำพูดไร้สาระที่เปล่งออกจากปากหมอนี่

   เพียงแต่ว่าตอนนี้สีหน้าลุดวิก...ดูคล้ำลงเรื่อยๆนะ

   กิลเบิร์ตได้แต่ภาวนาให้ไอ้เพื่อนเวรผู้นี้ช่วยสงบปากสงบคำและเล่นให้น้อยลงสักนิดเถิด เคลียเรื่องคนของนาย แล้วไสหัวกลับดาวไปซะ!

คล้ายจะรู้ความนัยใจของกิลเบิร์ต หลังจากยียวนกวนชาวบ้านเล่นแต่พองาม วิลเลียมกลับหัวเราะแสยะขึ้น ถึงตอนนี้เขามองไปยังคนของตัวเองที่นั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่มุมห้อง ท่าทางแบบนั้นทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้อย่างยิ่ง การที่คนของตัวเองมาประกาศปาวๆว่าจะมาฆ่าตัวตายบนดาวดวงอื่น มิหนำซ้ำยังทำเสียเขากลายเป็นตัวร้ายสุดเผด็จการ ให้ตายเถอะ ไม่น่ารักเลยพับผ่าสิ!

“อย่าได้สร้างปัญหาให้ฉันไปมากกว่านี้ คาลุส อยากจะทำอะไรก็ว่ามาตรงๆ” วิลเลียมเอ่ยกับมนุษย์ดาวคาซัคนั่น แม้น้ำเสียงดูราบเรียบใจกว้างยิ่งแต่กิลเบิร์ตกลับเห็นคนที่ชื่อคาลุสตัวสั่นงันงก หากเขาเดาไม่ผิดความสัมพันธ์ของวิลเลียมกับหมอนี่คงเป็น...

“น้องชายคนนี้ เอ่อ วิลเลียม เขาเป็น...คนของนาย” กิลเบิร์ตพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวและใช้คำที่เลี่ยงการเป็นประเด็นร้อนแรง เขาย่อมรู้ดีว่าที่กลุ่มดาวไกเซอร์นั้นสถานภาพของวิลเลียมเป็นอย่างไร

   เพียงแต่ว่า กิลเบิร์ตสนใจเรื่องนั้น แต่วิลเลียมกลับไม่สนนี่สิ

“ใช่ เป็นคนในฮาเร็มของฉันเอง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างตัดรำคาญ

   ฮาเร็ม!!!!

   วินาทีนั้นแม้แต่ลุดวิกยังต้องเบิกดวงตากว้าง ขุนนางอาทีเรียถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง เป็นครั้งแรกที่คนอาทีเรียได้ยินคำศัพท์อะไรทำนองนี้ สุลต่านยังพอว่าเพราะอาจเป็นแค่ชื่อตำแหน่ง แต่คำว่าฮาเร็ม! นี่มันเหมือนคำในเรื่องเล่าต่างวัฒนธรรม ดินแดนพิศวงของท่านอภิมหาเศรษฐีที่มีคนงามนับร้อยเป็นทรัพย์สมบัติผูกขาดของคนเดียวๆ สรวงสวรรค์ของท่านเจ้านายที่มีแต่คนงามรายล้อม แล้วตอนนี้ผู้ชายร่ำรวยเสน่ห์คนนี้จู่ๆมาบอกว่าเป็นเจ้าของฮาเร็มงั้นเรอะ!

   พึงรู้ว่าแม้คนอาทีเรียไม่ถือสาการมีภรรยาหลายคน แต่การมีคนในฮาเร็มนั่นย่อมไมใช่ภรรยา แต่เป็นทาสสวาทต่างหาก! นี่มันผิดศีลธรรม!!

“นี่ก็สมบัติตกทอดของพ่อนายเรอะ” กิลเบิร์ตทวนคำอย่างใช้ความคิด ก่อนหน้านี้วิลเลียมได้รับตำแหน่งสุลต่านมาจากพ่อของเขาที่เป็นผู้ชายไม่ได้เรื่องได้ราว วันๆเอาแต่เสพสุขทางโลกีย์งานการไม่ทำจนต้องยกหน้าที่การงานให้ลูกชายที่ตอนนั้นอายุแค่ยี่สิบปี มาบัดนี้ตาแก่นั่นตายแล้ว แต่ดันเหลือสมบัติเป็นคนในฮาเร็มไว้ให้ แน่ล่ะว่าตอนเปิดพินัยกรรมวิลเลียมถึงกับคำรามด่าแทบจะเอาพินัยกรรมไปปาใส่หลุมของพ่อตัวเอง นี่มันมรดกบ้าอะไรกัน!

   ตอนที่พ่อของวิลเลียมตาย เขาอายุยี่สิบสอง เป็นเด็กหนุ่มอายุยี่สิบสองที่ยังเวอร์จิ้นใสซื่อสุดๆ และในตอนนั้นเขาก็พลันพบว่าตัวเองกลายเป็นนายทาสมีคนงามนับร้อยรอคอยในห้องหอ การที่เขาไม่ช็อคไปเสียก่อนในตอนนั้นถือว่าสติดีมากแล้ว เพียงแต่ว่าในเรื่องนี้เองที่ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองวิลเลียมเป็นหนุ่มน้อยใสซื่ออีกต่อไปได้แล้ว

   ซึ่งเจ้าตัวก็...ไม่แคร์เสียด้วย

“หมอนี่เป็นลำดับที่ 87 ไอ้พ่อเซ็กซ์จัดนั่นมีคนในฮาเร็ม 278 คน ฉันจะไปดูแลทั่วถึงได้ยังไง วันๆนั่งหาค่าอาหารกับเสื้อผ้าเลี้ยงคนทั้งบ้านก็น่าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว จะปลดออกก็มาร้องโวยวายประท้วงว่าทำมาหากินอย่างอื่นไม่เป็น แต่พอจะให้อยู่ก็สร้างปัญหาไม่หยุด อย่างเจ้านั่นดันไปคบชู้เป็นคนสวน ให้ตายเถอะ คิดว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่!” วิลเลียมผู้มีความหลังแสนคับแค้นพูดจาเปิดเผยเรื่องครอบครัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างไม่อายใคร ในจุดนี้ลุดวิกรู้สึกว่าหมอนี่หน้าหนาอย่างยิ่ง แม้แต่เขายังไม่กล้าเอาเรื่องที่มีคนมาเสนอตัวขอเป็นภรรยาน้อยมาป่าวประกาศแบบนี้เลย

   หลังจากปล่อยให้เจ้านายพูดมาเยอะแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายมนุษย์ดาวคาซัคก็เหมือนมีความคับข้องใจเช่นกัน เขากำหมัดกัดฟันก่อนจะโพล่งขึ้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง

“ก็ท่านสุลต่านไม่ไยดีพวกเราเลยนี่ครับ! ท่านไม่เคยเรียกพวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนเลย!” คาลุสประท้วงขึ้นบ้าง ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตก็หลีกทางให้แล้ว บอกว่าจะฆ่าตัวตายที่แท้ก็เรื่องในครอบครัวเขายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ ดูท่าวิลเลียมคงไม่อาจทำหน้าที่ท่านสุลต่านเจ้าของฮาเร็มที่ดีได้ ว่าแต่ถ้าจะต้องทำหน้าที่ให้ดีนี่...

   วิลเลียมคงจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ...

“พวกนายไม่ใช่สเป็คฉันนี่” วิลเลียมตอบกลับหน้าตาเฉย แน่ล่ะก็พวกนี้ล้วนเป็นคนของพ่อเขา เขาไม่ได้หามาเองเสียหน่อย

“ท่าน!”

“สเป็คของฉันน่ะ” ว่าพลางส่งสายตาหวานเชื่อมแกมดุร้ายไปหาเพื่อนรักทั้งสองที่ตอนนี้หน้าซีดอย่างยิ่ง “ต้องอย่างสองคนนั่น
ต่างหาก”

   เชี่ยเอ๊ย!!!!

   ครั้นพอได้ยินแบบนั้นมนุษย์ดาวคาซัคก็ยิ่งแผดเสียงร้องไห้หนักขึ้น ตัดกับเสียงฮือฮาในห้องโถงของเหล่าขุนนางขี้นินทา กับใบหน้าดำคล้ำของลุดวิก และหัวใจที่จะเต้นออกนอกอกของกิลเบิร์ต คำพูดคำจาของวิลเลียมประโยคเดียวแต่ฆ่าคนตายนับศพไม่ถ้วนในทีเดียว กิลเบิร์ตนึกสบถด่าไอ้เพื่อนพรรค์นี้ นายมาที่นี่เพื่อจะฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็นเรอะ!!

   สุดท้ายเป็นลุดวิกที่ต้องออกหน้าในฐานะเจ้าบ้านอย่างเสียไม่ได้ เขาพอจับต้นชนปลายเรื่องราวได้แล้ว ที่แท้นี่เป็นเรื่องครอบครัวโดยแท้ นายวิลเลียมคนนี้ไม่รักไม่ไยดีคนในฮาเร็มของตัวเอง นายคาลุสก็เลยไปแอบคบชู้ คงหวังจะให้วิลเลียมหึง แล้วทำไมเขาจะต้องมาตัดสินอะไรในเรื่องชู้สาวแบบนี้ด้วยนะ! แค่เรื่องในครอบครัวตัวเองก็วุ่นวายมากพอแล้ว!!

“ตกลงว่าในเมื่อคุณไม่ไยดีเขาแล้วมาตามเขาทำไม” ลุดวิกถามวิลเลียม ท่าทางของเขาแม้สงบนิ่ง แต่คู่สนทนากลับรู้สึกได้ว่ามีไฟในดวงตาของท่านเจ้าอาณานิคมผู้นี้ ตั้งแต่วิลเลียมมาถึงอาทีเรีย เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างจะเกลียดขี้หน้าเขามากทีเดียว ท่านราชาสามีคนใหม่ของกิลเบิร์ตคนนี้น่าเอ็นดูจนเขานึกสนุก

   เป็นคุณสามีที่รู้จักหึงภรรยาของตัวเองเสียด้วย

“สภาผู้เฒ่าให้ฉันมาตาม ตามกฎคาลุสต้องถูกลงโทษตายที่ทรยศฉัน แต่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ทำไมมือฉันจะต้องเปื้อนเลือดของคนที่ฉันไม่สนใจด้วยกันล่ะ เลยจะขอเสนออะไรสักหน่อย คุณคือกษัตริย์แห่งอาทีเรียสินะ กิลเบิร์ตเล่าให้ฉันฟังผ่านเทเลคอนเฟอเร้น (Tele-Conference) ว่าคุณเป็นคนมีเหตุผลมาก และก็กล้ามากด้วย ดังนั้น ด้วยมนุษยธรรมของคุณ พอจะรับเขาไว้ได้ไหม” ข้อเสนอไม่คาดคิดนั่นทำเอาเรียกเสียงฮือฮาได้อีกรอบ คนใจร้ายคนนี้พูดไปพูดมาก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตคนของตัวเองจริงๆซะงั้น 

   เรื่องนี้แม้แต่ลุดวิกเองก็คิดไม่ถึง ผู้ชายคนนี้ปากร้ายอย่างยิ่ง แต่กลับเสนอทางออกที่งดงามให้กับคนที่ทรยศตัวเอง ลุดวิกรู้ดีว่าอาทีเรียกับกลุ่มดาวไกเซอร์ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามดาว ดังนั้นหากคาลุสปฏิเสธที่จะกลับไป วิลเลียมก็ไม่อาจบังคับพาตัวไปได้โดยปราศจากข้อขัดแย้งทางการเมือง เพียงแต่ว่าคาลุสจะต้องอยู่ที่อาทีเรียอย่างตัวคนเดียวไปตลอดกาลเช่นกัน นี่นับเป็นตัวเลือกที่โหดร้ายมากทีเดียว

   ระหว่างการตาย กับความเดียวดาย

 “งั้นคุณจะเอายังไงคุณคาลุส จะกลับไปกับท่านสุลต่าน หรือจะขอลี้ภัย” ลุดวิกเอ่ยถามเป็นการเป็นงาน ท่าทางเรียบเฉยมั่นคงของเขาทำให้วิลเลียมลอบยกยิ้ม “ดูแล้วท่านสุลต่านคงไม่คิดใช้กำลังกับคุณ ดังนั้น ฉันคิดว่าคุณเป็นคนตัดสินใจเองคงดีที่สุด”

   คำถามนั้นช่างยากจะตัดสินใจ คาลุสย่อมรู้ว่าต่อให้ไม่มีกฎโทษตายและวิลเลียมยอมอภัยให้ แต่เขาก็จะไม่มีวันได้รับความรักใดๆจากคนๆนี้ ส่วนการอยู่ที่นี่ย่อมหมายถึงเขาจะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกสิ่งอย่างเช่นกัน ถึงตอนนี้เขาถูกบีบให้ต้องเลือกแค่ทางที่เลวร้ายน้อยที่สุดเท่านั้น

 “เจ้านาย...ไม่คิดจะลองรักผมบ้างหรือครับ” สุดท้ายคาลุสเอ่ยถามเสียงอ่อย แต่ประกายตาเย็นเยียบของวิลเลียมนั้นแทนคำตอบอย่างดี

“ไม่”

“จ...เจ้านาย” ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและแค้นเคือง สายตานั้นเหลือบมองไปยังกิลเบิร์ตและบิลลี่อย่างคับข้องใจ โดยเฉพาะกิลเบิร์ตที่คลับคล้ายส่งสายตาเห็นอกเห็นใจกลับมาให้ แต่คาลุสกลับยิ่งรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าลงเรื่อยๆ เจ้านายไม่สนใจเขา แต่กลับให้ความรักกับสิ่งมีชีวิตผมดำตาดำอัปลักษณ์แบบนั้นน่ะหรือ!

   สุดท้ายคาลุสจำต้องขอลี้ภัยในอาทีเรีย ลุดวิกให้เขาพักในวังเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่กำลังหาที่ฝากฝังที่เหมาะสมให้ เป็นอันจบเรื่องน่าปวดหัวในเรื่องนี้ ทว่า วิลเลียมนั้นเหมือนจะยังไม่ยอมกลับ เขายังยิ้มหวานส่งให้กิลเบิร์ตก่อนจะเอ่ยต่อ

 “เอาล่ะมาเข้าเรื่องงานกันดีกว่า ว่าไง ของที่จะขายฉันอยู่ที่ไหนล่ะ!”

“!!”

   ของที่จะขาย? หรือว่า?

   แม่นแล้ว คนที่กิลเบิร์ตติดต่อจะเอาของจากอาทีเรียไปขายนั้นก็คือวิลเลียม เหตุเพราะกลุ่มดาวไกเซอร์นั้นได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มดาวโคตรมหาเศรษฐี พวกเขาทำการค้ามาแต่โบราณ แลกเปลี่ยนศิลปวิทยาความรู้จนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ร่ำรวยทั้งเงินทองและความรู้ สหพันธ์ดาวเคราะห์แม้ไม่ชอบใจพวกเขา แต่ยังต้องเกรงใจเสียหลายส่วน นี่ก็คือขั้วอำนาจสำคัญหนึ่งในจักรวาลที่กว้างใหญ่แห่งนี้

   การที่กลุ่มดาวไกเซอร์จะคบหาใคร นั่นหมายถึงคนผู้นั้นย่อมต้องมีความพิเศษสุดๆจนพวกเขาให้การยอมรับจริงๆ

   แต่ตอนนี้ ดยุคแห่งเดวอนเชีย ชายาท่านเจ้าอาณานิคมแห่งอาทีเรียกลับสามารถเชิญสุลต่านของกลุ่มดาวฤตยูนั่นมาทำการค้าถึงบ้านได้ นี่ย่อมเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วราชสำนักแม้แต่ในตลาดย่านร้านค้า แต่แน่นอนว่าเพราะพฤติกรรมที่ไม่ค่อยงามของวิลเลียมย่อมถูกลือกันหนาหูไปทางเสียๆหายๆ ไม่ทันข้ามวันผู้คนก็ลือกันว่าสุลต่านผู้นี้เป็นเจ้าคนเสเพลตัวฉกาจข้ามฟ้าข้ามแดนมาเพื่อจะมาขอกิลเบิร์ตที่เป็นอดีตคนรักแต่งงาน ไอ้เรื่องค้าขายก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น!

   ฝ่ายกิลเบิร์ตเขาย่อมปวดหัวอย่างยิ่ง การมาของวิลเลียมนั้นเรียกได้ว่าไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย ยามนี้ผู้คนเล่าลือแต่เรื่องโกหก ซึ่งข่าวพวกนี้ดันแพร่ไปไวมากราวกับมีคนช่วยโหมกระพือข่าวลือ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด แต่กลับกลายเป็นจำเลยสังคมอีกแล้ว ทว่า ใครจะว่าอะไรนั้นเขาสามารถเพิกเฉยได้ แต่หากลุดวิกไม่สบายใจ นั่นกลับทำให้เขาพลอยรู้สึกผิดไปด้วย

   ในคืนนั้นหลังจากจัดแจงที่พักให้วิลเลียมแล้ว กิลเบิร์ตก็นั่งรถกลับบ้านกับลุดวิก ตลอดทางลุดวิกไม่พูดไม่จาตีหน้าขมึงทึงจนกิลเบิร์ตนึกปวดหัวตุ้บๆ เขารู้สึกว่าตั้งแต่ตอนที่วิลเลียมมาปรากฏตัวลุดวิกก็มีท่าทีไม่ดีมาตลอด ซึ่งเขาก็รู้อยู่เต็มอกแหละว่าเพราะอะไร

“นี่ คุณโกรธหรือ” กิลเบิร์ตถามออกไปตรงๆ ถ้าลุดวิกจะโกรธก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้วเช่นกัน ทว่า ลุดวิกกลับไม่ตอบตรงๆ แต่บ่ายเบี่ยงไปถามเรื่องอื่นแทน

“กับสองคนนั้นคบกันมานานแล้วรึ” ลุดวิกถามเรียบๆไม่แสดงอารมณ์ เดิมทีเขาไม่คิดก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของภรรยาหากไม่จำเป็น แต่ตอนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้วย่อมจะทำเป็นละเลยไม่ได้ เหมือนว่ากิลเบิร์ตเองก็เข้าใจดี เขารู้ว่าไม่สมควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องเฉพาะตัวอีกต่อไป

“ตอนที่ฉันอายุประมาณยี่สิบมีเหตุบังเอิญได้พบสองคนนั่น ฉันไม่รู้มาก่อนว่าบิลลี่เป็นอัยการผู้ช่วยของสหพันธ์และไม่รู้ว่าวิลเลียมเป็นว่าที่สุลต่านของไกเซอร์ ฉันเองก็ไม่ได้บอกพวกเขาว่าฉัน เอ่อ...เป็นภรรยาของเฟรเดอริค พวกเราก็เลยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนนั้น” กิลเบิร์ตละเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสามคนออกไป บอกเฉพาะข้อความที่สำคัญ แต่ก็ทำให้คนฟังเข้าใจได้ว่ามิตรภาพนี้น่าจะแน่นแฟ้นมากพอสมควร รู้จักกันแบบใสๆ และคบหากันมานานถึงตอนนี้ “ฉันรู้ว่าคนในกลุ่มดาวไกเซอร์ชอบของโบราณต่างวัฒนธรรม เลยเทเลคอนเฟอเร้นคุยกับเขาเพื่อให้ส่งคนมาคัดแยกของประมูลขาย พวกเขาซื่อตรงกับการค้าและประมูลของให้ราคาสูง เป็นพวกที่น่าทำการค้าด้วยที่สุด แต่นึกไม่ถึงว่าวิลเลียม...จะมาเอง”

“หึ ดูจะรักกันมากจนต้องมาเองเลยสินะ” ฝ่ายคุณสามีพูดตัดบทขึ้น

“!”

“หรือว่านายวิลเลียมคนนั้นต้องการขอเธอแต่งงานจริงๆกันล่ะ” ในตอนที่ลุดวิกพูดขึ้นมาแบบนั้นกิลเบิร์ตกลับรู้สึกหนักอึ้งในอกทันที เขามองใบหน้าด้านข้างของสามีที่ยามนี้ถมึงทึงอย่างยิ่ง แม้จะเข้าใจว่าวิลเลียมทำไม่ถูกต้อง พูดจาไม่ดี แต่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ทำไมลุดวิกถึงมาทำแบบนี้กับเขาเล่า “กิล?”

   ลุดวิกที่พลั้งเผลอหลุดอากัปกิริยาไม่งามของตนเองนิ่งไปเช่นกันเมื่อกิลเบิร์ตไม่โต้ตอบอะไรเขาอีกอย่างผิดปกติวิสัย ตอนนี้ภรรยาขี้โวยวายคนนั้นนั่งเงียบคิ้วขมวดจนแทบชนกัน เมื่อเห็นแบบนั้นเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนเองก็ทำเกินไปจริงๆ แต่ว่า ลุดวิกกลับยิ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก จะให้เขาแสดงออกอย่างไรกันล่ะ จู่ๆมีผู้ชายแปลกหน้ามาบอกให้ภรรยาหย่ากับเขาแล้วไปแต่งกับตัวเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นเพื่อนรักของภรรยา ดูท่าทางรู้จักกันมานาน เข้ากันได้ดี หากวันนี้กิลเบิร์ตคิดจากไปจริงๆ เขาจะเอาอะไรมาสู้งั้นหรือ?

   สุดท้ายทันทีที่รถจอดหน้าประตูบ้าน กิลเบิร์ตกลับวิ่งลงรถไปแบบไม่รีรอ ทำเอาเบนจามินที่มารอรับถึงกับตกใจหน้าตื่น ในขณะที่ฟินน์กับเฟรเซียที่กลับบ้านมาก่อนและรอฟังข่าวอยู่ถึงกับตกใจผงะ โดยเฉพาะฟินน์ เขารู้มาจากพวกพี่ชายเอสเปอร์ผู้ติดตามของกิลเบิร์ตแล้วว่าเพื่อนของกิลเบิร์ตมาทำเรื่องงามหน้าไว้จนกลายเป็นข่าวลือเสียหาย มาถึงตอนนี้ยังมาเห็นตำตาว่าผู้มีพระคุณของเขาถึงกับไม่กล้าสู้หน้าสามี นี่มันคนสารเลวยุแยงให้ชีวิตครอบครัวชาวบ้านร้าวฉานชัดๆ!

“เจ้าคนชั่ว!” ฟินน์สบถ หากได้เจอหน้าผู้ชายเฮงซวยพรรค์นั้นสมควรชกให้หายแค้น!

   ทางฝ่ายกิลเบิร์ตรีบวิ่งขึ้นห้องนอน เขารู้สึกทนไม่ได้กับสถานการณ์อึดอัดระหว่างเขากับลุดวิก เขาเกลียดความรู้สึกนี้ เกลียดความรู้สึกที่เหมือนอีกฝ่ายกำลังจับผิดเขา แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่เฟรเดอริคเคยทำ หลังจากนี้ลุดวิกจะเคลือบแคลงในตัวเขา สงสัยในตัวเขาแล้วก็โยนเขาทิ้งเหมือนขยะใช่หรือไม่ สุดท้ายเขาก็เป็นแค่แมวไร้หัวนอนปลายเท้าที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดสินะ!

“เห็นไหม สุดท้ายคุณก็เหมือนเขา” กิลเบิร์ตบ่นพึมพำกับตัวเองพลางล้มตัวลงนอนเอาใบหน้าซุกกับหมอน หัวใจเจ็บแปลบไปหมด แม้ลุดวิกจะขี้หงุดหงิด พูดจาใจร้าย แต่เขาไม่เคยแสดงท่าทีแบบนี้มาก่อน ไม่เคยผลักไสไล่ส่งกันทางสายตาถึงเพียงนี้
“คนบ้า! เจ้าถังขยะบ้า! ขอให้เน่าตายคาตรอก!”

   ทว่า เพราะเอาแต่ร้องไห้บ่นกระปอดกระแปดจนตาแดงก่ำจึงไม่ทันสังเกตว่าที่นอนนั้นยวบลงไป ใครอีกคนเข้ามากอดเขาไว้และทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงด้วยกัน เสียงลมหายใจเป่ารดข้างหู และริมฝีปากนั้นขบเบาๆบนใบหูของเขา

“ฉันไม่เคยบอกหรือว่าถ้าจะเน่า ก็จะเน่าไปพร้อมกับเธอ” คำพูดนุ่มนวลแปลกประหลาดนั่นทำเอากิลเบิร์ตสะดุ้ง หากแต่อีกฝ่ายกลับยังกอดรัดเขาไม่ยอมปล่อยแม้จะถูกสะบัดแขนใส่ก็ตาม “ขอโทษนะ ฉันขอโทษหากว่าคำพูดของฉันทำให้เธอเสียใจ” ลุดวิกเอ่ยพลางจูบลงข้างแก้ม เขารู้ว่าตัวเองสมควรต้องขอโทษอย่างจริงจัง

“ใครเสียใจกัน หลงตัวเองไปแล้ว!” กิลเบิร์ตประชดแต่ก็เลิกขัดขืนอีกฝ่าย ยอมนอนนิ่งๆให้ลุดวิกกอด เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะแก้ตัวว่าอะไร “คุณมันบ้า!”

“แต่ฉันหึงเธอ หึงมากนะ” ลุดวิกตัดบทโดยการยอมรับกับอีกฝ่ายตรงๆและจับใบหน้านั้นให้แหงนเงยขึ้นมามองสบตากันอีกครั้ง ดวงตาของกิลเบิร์ตแดงเรื่อเต็มไปด้วยน้ำตา เขาควรรู้ว่าเจ้าแมวเถื่อนตัวนี้อ่อนไหวกับท่าทีของเขามากแค่ไหน ต่อให้คนอื่นจะว่าอะไรกิลเบิร์ตอาจไม่สนใจได้ แต่กับท่าทีของเขาที่เป็นสามี นั่นคือสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของกิลเบิร์ต

“จะมาสนใจอะไรกับคนแบบฉันกันล่ะ เดี๋ยวคุณก็จะหาว่าฉันนอกใจคุณแล้วก็เฉดหัวฉันทิ้งแล้วนี่!” คำพูดนั้นชัดเจนอย่างยิ่งว่าเจ้าแมวดำของลุดวิกนั้นก็เกิดอาการงอนขึ้นแล้วเช่นกัน อยู่ดีๆก็ถูกหาว่าจะนอกใจสามีแถมยังคบชู้กับเพื่อนตัวเอง หากเขาไม่โกรธบ้างนี่ก็นับว่าแปลกแล้ว “ไม่ต้องสนใจหรอก ท่านราชามีงานต้องทำมากมาย จะมาสนใจอะไรกับขยะแบบฉันกันเล่า!”

   วินาทีที่พูดถ้อยคำแบบนั้นออกไปกลับเป็นลุดวิกที่จับใบหน้าของกิลเบิร์ตให้หันมาและประกบจูบบดเบียนริมฝีปากลงบนผิวเนื้ออ่อนนุ่มช่างเจรจานั่น และนี่ย่อมไม่ใช่การจูบที่ปรานีปราศรัยแต่เป็นการรุกรานจุมพิตและสอดแทรกปลายลิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายจนกิลเบิร์ตต้องใช้สองมือจับกระชากเสื้อของฝ่ายตรงข้ามไว้ เขารู้สึกว่าตนเองหายใจไม่ออกและกำลังถูกทำร้าย นี่คือการจูบด้วยความโกรธขึ้งไม่พอใจของลุดวิก

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีก! เธอไม่มีวันเป็นขยะสำหรับฉัน!” ลุดวิกเอ่ยเฉียบขาดในขณะที่ดึงร่างนั้นเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน กอดไว้แน่นจนกิลเบิร์ตรู้สึกว่าได้ว่ามือของลุดวิกสั่นเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจ ทำไมลุดวิกถึงต้องหวั่นไหวกับคำพูดของเขาด้วย “ถ้าเธอเป็นขยะ ฉันก็เป็นถังขยะ จะไม่มีทางที่เธอจะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังเด็ดขาด!”

“ลุดวิก...” กิลเบิร์ตจ้องอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าดวงตาร้อนผ่าวจนต้องซุกใบหน้าลงในอ้อมอกของสามีเพื่อหลบหน้า เขาไม่อยากให้ลุดวิกเห็นว่าเขาอับอายมากแค่ไหนที่ตัวเองมีปฏิกิริยาแบบนี้ เขารู้ตัวว่าตนเองกำลังให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มากเกินไปเสียแล้ว “แต่คุณ คุณ...”

“ฉันผิดเองที่หึงไม่เข้าเรื่องเข้าราว ถ้าเธอบอกว่าวิลเลียมเป็นเพื่อนรัก งั้นเขาก็เป็นเพื่อนของเธอ ฉันไม่ควรสงสัยในมิตรภาพของพวกเธอ แต่เธอก็ต้องเข้าใจว่า ฉันเอง ก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง” เอ่ยอย่างสั่นไหวและยิ่งกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนแน่นหนา หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนเขาย่อมนึกไม่ออกว่าตนเองจะบังเกิดความหวงในใครคนใดคนหนึ่งได้มากมายถึงเพียงนี้ แต่ว่าตอนนี้มันต่างไปแล้ว

   กับผู้ชายที่ชื่อเฟรเดอริคนั่นเขาเตือนตัวเองเสมอว่านั่นคืออดีตของกิลเบิร์ต เขาสามารถเพิกเฉยได้ แต่วิลเลียม หมอนั่นคือคนที่กิลเบิร์ตเรียกว่าเพื่อนและยอมกระทั่งให้หอมแก้มหน้าตาเฉย ทั้งยังติดต่อกันเป็นมิตรจนน่าริษยา แบบนี้แล้วจะให้เขาไม่ทุกข์ร้อนได้งั้นหรือ

“หากเธอเกิดคิดว่าเขาดีกว่าฉันแล้วไปกับเขา ฉันจะทำยังไงเล่า หัวใจที่ทุกข์ทรมานของฉัน เธอจะไม่รับรู้บ้างเลยหรือ” คำพูดหวานหูออดอ้อนแสนระทมทุกข์นั่นทำเอากิลเบิร์ตรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นคนผิดไปเสียทั้งหมด เป็นเขางั้นหรือที่ทำให้ลุดวิกรู้สึกแบบนี้ 

“ฉัน ฉันกับวิลเลียมไม่มีทางเป็นคนรักหรอก! นั่นก็แค่คำพูดหยอกของหมอนั่น!” กิลเบิร์ตรีบอธิบาย ระหว่างเขากับวิลเลียมไม่มีทางมีอะไรแบบนั้นเด็ดขาด!

“ถ้าเขาจริงจังล่ะ” ลุดวิกถามต่อ

“ลุดวิก...”

“ถ้าเขาเกิดรักเธอและขอเธอแต่งงานอย่างจริงจังล่ะ” ลุดวิกเอ่ยย้ำ ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นจ้องใบหน้าของสามีตรงๆอีกครั้ง ใบหน้าของลุดวิกเหมือนจะแดงเรื่อขึ้นนิดๆ ท่าทางของเขาเหมือนคนที่กัดฟันพูดอะไรน่าอับอายออกมาอย่างผิดวิสัยทหารหาญ ที่จริงแล้วเขาคงไม่อยากพูดอะไรน่าอายเช่นนี้ แต่เป็นตัวกิลเบิร์ตที่บังคับให้เขาต้องพูด

   กิลเบิร์ตพลันรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนวูบวาบ คนที่ทำให้ชายชาติทหารเช่นลุดวิกต้องพูดอะไรแบบนี้คือเขา คนที่ทำให้ลุดวิกต้องเสียใจและรู้สึกไม่มั่นคง ก็คือเขา นี่ก็คือความผิดของเขา เป็นเขาที่ต้องรับผิดชอบในตัวของลุดวิก นี่มัน...ช่างทำให้หัวใจพองโตได้จริงๆ

เมื่อคิดดังนั้น กิลเบิร์ตพลันใช้แขนทั้งสองข้างโอบคล้องศีรษะของสามีและเผยอขึ้นจุมพิตที่หน้าผากและไล่ลงมายังเปลือกตาและข้างแก้ม สัมผัสนั้นบางเบาเนิบนาบ แต่นับเป็นครั้งแรกที่กิลเบิร์ตแสดงท่าทีแบบนี้จนทำเอาลุดวิกเกร็งไปหลายวินาที ภรรยาของเขากำลังเป็นฝ่ายเริ่มเกมงั้นหรือ?

“ฉันเป็นภรรยาของคุณแล้วนะ จะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง”

“กิล...”

“เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ พ่อหนุ่ม! ว่าพลางฉีกยิ้มที่ทำเอาลุดวิกหัวใจเต้นโครมครามขึ้นมาในบัดดล ความเศร้าเสียใจน้อยใจทั้งหลายทั้งมวลมลายหายสูญเหลือเพียงความรู้สึกที่อยากจะกอดถนอมคนตรงหน้าเอาไว้ทั้งวันทั้งคืน สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือการเปิดอกพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น

“ฉันเชื่อมั่นว่าตัวเองจะทำให้เธอลืมทุกคนที่เข้ามาหว่านเสน่ห์ใส่เธอได้” ลุดวิกคลี่ยิ้มพลางกอดกระชับอีกฝ่ายก่อนจะล้มลงบนเตียงไปด้วยกัน ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ ในขณะที่ร่างกายแทบจะกอดกระหวัดกันเป็นเนื้อเดียว

“เอ๋! แล้วต้องทำแบบไหนเหรอ? ว่าไง บอกฉันหน่อยสิ พ่อหนุ่ม” เจ้าแมวดำตัวร้ายคลี่ยิ้มหยอกเย้าจนคนมองรู้สึกว่าน่าตีอย่างยิ่ง เขาอยากตีกันเจ้าแมวตัวนี้สักหลายครั้งเสียแล้ว

“อยากรู้จริงๆน่ะหรือ” หัวเราะในลำคอและจูบลงบนริมฝีปากช่างพูดจานั่นและค่อยๆเลื่อนปลายนิ้วลงมายังสาบเสื้อของอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านั้นลุดวิกพลันรู้สึกอยากบอกบางสิ่ง บางสิ่งที่เขาควรทำให้กิลเบิร์ตมั่นใจในตัวของเขา
“ฉันรักเธอนะ”

“!”

“เพราะว่ารักเธอ ถึงได้หึงหวงไงล่ะ” เอ่ยอย่างหนักแน่นและจูบลงบนริมฝีปากที่เขาชมชอบรักใคร่ เพราะเป็นเธอจึงสอนให้ฉันรู้ว่าความหึงหวงเป็นเช่นใด

   แมวดำตัวร้ายตัวนี้ เป็นของเขาเท่านั้น


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 26 ข้อพิพาทของสามีภรรยา 18/03
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-03-2019 01:08:35
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:



 o13
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 26 ข้อพิพาทของสามีภรรยา 18/03
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 19-03-2019 18:18:19
แอบหวั่นว่าจะมีมาม่า แต่ค่อยยังชั่วที่ไม่มี แถมหวานกันตินท้ายด้วยอิอิ :katai5:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 27 กลลวงปฏิวัติ 24/03
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 24-03-2019 21:37:02
ตอนที่ ๒๗
กลลวงปฏิวัติ

   หลังจากวันที่แสนสับสนวุ่นวายก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เช้านี้กิลเบิร์ตสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เห็นแสงแดดเริ่มสาดเข้ามาในห้องนอนรำไร เขาย่อมคิดจะลุกจากที่นอนเพื่อไปจัดการธุระปะปังเรื่องการซื้อขายกับวิลเลียมให้เรียบร้อย แต่ครั้นพอขยับตัวกลับรู้ว่าถูกแขนของสามีโอบกอดรั้งไว้จากด้านหลัง ดังนั้นหากคิดขยับคงต้องถีบใครบางคนตกเตียงเสียก่อน ที่นอนตั้งเยอะแยะทำไมต้องมากอดกันกลมอยู่กลางเตียงแบบนี้! แต่ขืนทำแบบนั้นลุดวิกอาจจะอารมณ์เสียจนไม่ยอมปล่อยเขาลุกแทน นี่ช่างเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงจริงๆ!

“เช้าแล้วนะ คุณตื่นเถอะ วันนี้ยังมีงานอีกเยอะไม่ใช่หรือ” กิลเบิร์ตพยายามขยับตัวให้สัญญาณ แต่ครั้นพอจะขยับแรงกอดกลับมากขึ้น แม่นแล้วว่าไอ้คุณสามีคนนี้เจตนาจะอู้ “นี่! อยากให้ฉันถูกหาว่าเป็นภรรยาถ่วงความเจริญของคุณหรือไง! ลุกได้แล้ว!” ว่าพลางใช้ข้อศอกดันลำตัวอีกฝ่าย แต่ลุดวิกกลับพลิกตัวขยับ ในตอนนั้นเองที่เขากลับมาเป็นฝ่ายกดร่างของกิลเบิร์ตจมลงกับเตียงแทน

“อรุณสวัสดิ์ กิล” คุณสามีฉีกยิ้มหวานในยามเช้าก่อนจะจูบลงที่ข้างแก้มอีกฝ่ายพลางใช้จมูกดุนคลอเคลียด้วยความรักใคร่จนคนถูกกอดรู้สึกเขินแทน นับแต่วันที่ทะเลาะกันผ่านมาสัปดาห์หนึ่ง ลุดวิกก็แสดงท่าทีออดอ้อนเช่นนี้อยู่ทุกเช้าจนกิลเบิร์ตสับสนว่าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นี่คือช็อคที่เขาบีบน้ำตาใส่จนเพี้ยนไปเลยหรือไง! “นี่ จูบรับอรุณล่ะคุณภรรยา”

“จูบพ่อคุณสิ! นี่เช้าแล้วนะ ไปทำงานเถอะ!” โวยวายไปตามเรื่อง แต่ก็ถูกขโมยจูบบนริมฝีปากไปอีกครั้ง ลุดวิกไม่รีรอที่จะแสดงความรักต่อภรรยาของเขา และไม่ฟังเสียงด้วยว่าอีกฝ่ายจะบ่นกระปอดกระแปดเป็นแมวง่วงนอนขนาดไหน ไม่สิ แมวตัวนี้เป็นฝ่ายข่วนให้เขาตื่นมาเองนี่นา ช่างเป็นภรรยาที่ขยันขันแข็งเอาการเอางานจริงๆ

   จะว่าไปตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกัน กิลเบิร์ตก็มักจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขาบ่อยครั้ง นี่ต้องเป็นสัญชาตญาณความเอาการเอางานของอดีตท่านนายพลแห่งเทสล่าแน่ๆ

“ไปอาบน้ำด้วยกันนะ ฉันจะช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย” ว่าแล้วก็จัดการลุกขึ้นยืนและอุ้มภรรยาที่กำลังช็อคหนักขึ้นเต็มสองแขน แน่ล่ะว่ากิลเบิร์ตพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ก็กลัวจะตกลงมากระแทกพื้น สุดท้ายจำยอมต้องกอดคอสามีปล่อยเลยตามเลย
“อย่าดิ้นเลย ฉันสัญญาว่าจะแค่อาบน้ำให้ ไม่ทำอย่างอื่นหรอก เวลามันไม่พอน่ะ” จูบฟอดที่ต้นคออีกครั้งและดูจะเคลิบเคลิ้มหนักมาก หารู้ไม่ว่าคำพูดส่อเจตนาแบบนั้นทำเอาฝ่ายตรงข้ามได้แต่เบ้หน้า

   กิลเบิร์ตรู้สึกว่า สามีของเขาอาการหนักมากขึ้นทุกที! นี่ติดสัดเรอะ!!

   สุดท้ายลุดวิกจัดการอาบน้ำสระผมให้ ทั้งยังมีแก่ใจมาเป่าผมหวีผมให้อีกต่างหาก กิลเบิร์ตรู้สึกว่าหมอนี่ชักจะเห็นเขาเป็นแมวไปจริงๆเข้าทุกที ไม่ใช่ว่ากำลังนึกว่าตัวเองกำลังอาบน้ำเป่าขนให้แมวอยู่หรอกนะ นี่กะเป่าให้ขนฟูฟ่องเลยหรือไง!

“นี่ ช่วงนี้คุณเป็นอะไรรึเปล่า ตัวร้อนไม่สบายรึเปล่า” อดถามไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ก่อนจะหัวเราะขึ้นเบาๆอย่างไม่ถือสาหาความ เล่นบทเป็นคุณผู้ชายที่ใจกว้างแสนโอบอ้อมอารี

“ฉันกำลังเอาอกเอาใจภรรยา เผื่อว่าภรรยาของฉันจะบอกรักฉันบ้างไง” พูดเรื่องหน้าไม่อายหน้าตาเฉยพลางใช้หวีค่อยๆแปรงเส้นผมและจูบที่ปลายผมของอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าผมของกิลเบิร์ตยาวขึ้นเล็กน้อยแล้ว “ว่าไง เธอตกหลุมรักฉันหรือยัง”

“ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วว่าฉันเป็นภรรยาของคุณหรือ” เถียงกลับ ก็อุตส่าห์พูดไปแล้วว่าไม่มีทางนอกใจเพราะเป็นสามีภรรยากันแล้วแท้ๆ นี่ยังจะเอาอะไรอีก!

“เป็นสามีภรรยากับเป็นคนรักเป็นคนละเรื่อง” ลุดวิกตอบพลางย่อกายลงและจ้องมองดวงตาสีรัตติกาลใสแจ๋วของเจ้าแมวดำแสนดื้อของเขา “เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนหรือ”

   สามีภรรยากับคนรัก?

“เออะ...” คำพูดของลุดวิกเหมือนจะช่วยทำให้กิลเบิร์ตพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง แท้ที่จริงที่ลุดวิกต้องการคือ...การบอกรักงั้นหรือ?

   ว่ากันตามตรงกิลเบิร์ตนึกไม่ออกว่าอดีตสามีเคยบอกรักเขาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เหมือนว่ามันนานมากแล้วจนจำไม่ได้ แม้เขามีความคิดเสมอมาว่าเมื่อเป็นสามีภรรยาก็ต้องมีความรักปรารถนาดีและความซื่อสัตย์แก่กัน แต่หากถามว่านั่นเป็นแบบเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าคนรักหรือไม่นั้น...เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

   ลุดวิกทำให้เขาหัวใจเต้นแปลกๆ ทำให้เขารู้สึกน้อยใจ ดีใจ และสับสนเหมือนคนงี่เง่า ทำให้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่สดใหม่หลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับเฟรเดอริค ตอนที่เฟรเดอริคขอแต่งงาน เขายังอายุน้อยมาก รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่จะดูแลเขา เป็นคนที่สำคัญ เพราะแบบนั้นไม่ว่าอะไรก็ให้ได้ทุกอย่าง นับประสาอะไรกับการแต่งงาน แต่ว่า นั่นเป็นแบบเดียวกับความรักของหนุ่มสาวหรือเปล่า?

   เป็นแบบเดียวกับคำว่ารัก ที่ลุดวิกบอกกับเขาในคืนนั้นหรือเปล่า?

“นี่ คุณ เอ่อ รักอะไรฉันน่ะ ฉันน่ะขี้โวยวาย เจ้าเล่ห์ นิสัยไม่ดี มีความลับเยอะแยะปกปิดไม่ยอมบอกคุณ คบหาคนแปลกๆเพี้ยนๆ มีคดีติดตัวถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แถมยังเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้ว อดีตอะไรก็จำไม่ได้ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ฉันคิดแทบตาย ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวฉันมีอะไรให้สมควรรัก” กิลเบิร์ตถามตรงไปตรงมา แม้เขาจะกลัวว่าลุดวิกยิ่งฟังก็จะยิ่งหงุดหงิดแล้วก็คิดได้จนทิ้งเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการความสงสาร ไม่ต้องการแค่ความรับผิดชอบ “คุณเก็บฉันได้ คุณช่วยชีวิตฉัน คุณรับผิดชอบฉันถึงขนาดให้เป็นภรรยา แต่ว่า...”

“เพราะตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่ารักเธอ” พูดมาเสียยืดยาว แต่ลุดวิกกลับตอบสั้นอย่างยิ่ง สั้นจนกิลเบิร์ตอดโวยขึ้นมาอีกไม่ได้ เจ้ากระโถนใบนี้มันจะมักง่ายเกินไปแล้ว!

“เดี๋ยวสิ!”

“นี่กิล การรัก ไม่ต้องการเหตุผลมากมายปานนั้นหรอก” ลุดวิกตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน วิสัยผู้ชายเช่นเขาย่อมไม่ใช่คนอ้อมค้อม เมื่อรู้สึกหึงหวงก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองรักคนๆนี้เข้าแล้ว การพยายามปากหนักเล่นตัวไม่ใช่นิสัยที่ลูกผู้ชายคนจริงพึงกระทำ เขาไม่ต้องการสูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเพียงเพราะตัวเองยึดถือศักดิ์ศรีไร้สาระ “แต่ถ้าหากเธออยากรู้ ฉันคิดว่า เพราะเธอน่ารักมาก”

“หา!” กิลเบิร์ตหน้าแดงขึ้นทันที อายุปูนนี้แล้วจู่ๆมีคนมาบอกว่าเขาน่ารักมาก อีแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ดีที่ลุดวิกจับมือเขาไว้ไม่งั้นคงหงายหลังตกเก้าอี้ไปแล้ว “คนนะไม่ใช่แมว จะได้มาน่าร้งน่ารักอะไร!!”

   ท่าทีแบบนั้นกลับทำให้ลุดวิกยิ่งหัวเราะใส่ เขาจูบขมับของกิลเบิร์ตเบาๆก่อนจะหยัดกายขึ้นบ้าง ดวงตาหวานซึ้งมองภรรยาที่ยังอยู่ในอาการงงงวยสุดกู่ แล้วก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ

“ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมหรือไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ไว้ถึงตอนที่เธอต้องการพูด ฉันก็จะรอฟัง เพียงแต่ว่า ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปจากฉัน เข้าใจนะ” พูดคำพูดสุดแสนจะเผด็จการแต่กลับยิ้มเสียหวานเชื่อมโปรยเสน่ห์เป็นว่าเล่นจนกิลเบิร์ตรู้สึกว่าเขากำลังถูกผู้ชายคนนี้ยั่วยวนใส่ นี่ลุดวิกจนตรอกถึงขนาดต้องยั่วภรรยาตัวเองแล้วหรือ?

   นี่ลุดวิก...ถึงขนาดยั่วเขาเลยเรอะ?

“เจ้ากระโถนเผด็จการ!”

   นั่นแหละ ยังไงกิลเบิร์ตก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

   ทว่า ในตอนที่พวกเขากำลังโต้แย้งกันเล็กๆน้อยๆนั่นเองที่เบนจามินรุดขึ้นมาเคาะประตูห้อง ตรงจุดนี้กลับทำให้ทั้งลุดวิกและกิลเบิร์ตตกใจ แต่ไหนแต่ไรเบนจามินไม่เคยขึ้นมาก้าวก่ายห้องส่วนตัวของพวกเขา ทั้งนี่ก็ยังเช้ามาก ไม่มีสาเหตุอะไรเลยที่เบนจามินจะมาอยู่ที่นี่ หากจะมีนั่นย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญ แล้วต้องเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหนกันเล่าที่ทำให้เขาต้องร้อนรนขนาดนี้

“เกิดอะไรขึ้น” ลุดวิกเปิดประตูห้องออกไปก็เห็นเบนจามินส่งเครื่องฉายภาพสามมิติขนาดเล็กให้เขา ลุดวิกรับมันมาและกดเปิดในทันที ภาพของนิโคลัสฉายขึ้นมา นี่เป็นการบันทึกภาพและเสียงเท่านั้น ตัวจริงไม่ได้ปรากฏอยู่ดังนั้นจึงไม่อาจโต้ตอบกันได้

   ภาพสามมิติของนิโคลัสกำลังเริ่มต้นรายงาน

“เรียนฝ่าบาท เช้านี้พวกเราได้รับแจ้งข่าวร้ายมาจากเมืองโคล์ว เจ้าหน้าที่ที่นั่นรายงานว่า เมื่อคืน เจ้าชายอ๊อตโต้ได้ลงมือสังหาร เอ่อ...คาร์ล เออร์เนส ตอนนี้ คาร์ลเสียชีวิตแล้วครับ ท่านประธานรัฐสภาลูคัสกำลังรอปรึกษากับท่านอยู่ที่พระราชวัง”

   สิ้นคำรายงานทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับอึ้งไป ลุดวิกแทบไม่เชื่อหูว่าพี่ชายของเขาจะลงมือสังหารคาร์ลที่เป็นคนรักของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์ล หมอนั่น...เป็นเพื่อนของเขา

“ลุดวิก” กิลเบิร์ตเข้ามาประคองสามีจากด้านหลัง แม้ลุดวิกจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งกิลเบิร์ตและเบนจามินทราบเรื่องราวของสองคนนี่ดี คาร์ลเป็นเพื่อนของลุดวิกตั้งแต่เด็ก พวกเขาแม้สุดท้ายทรยศหักหลังต่างจุดยืน แต่ลุดวิกย่อมไม่มีวันปรารถนาให้เพื่อนของตนเองตาย เขาคิดว่าอย่างน้อยการส่งคาร์ลไปอยู่กับเจ้าชายอ๊อตโต้ก็น่าจะทำให้คาร์ลพอใจในระดับหนึ่ง แต่ว่ากลับกลายเป็นว่าตอนนี้การตัดสินใจของเขา คือสิ่งที่ฆ่าคาร์ลงั้นรึ?

   เขา...ฆ่าคาร์ลงั้นหรือ

“ฉัน เอ่อ ไม่เป็นไร” ลุดวิกตอบเบาๆ พลางสั่งให้เบนจามินไปเตรียมคนขับรถ เช้านี้เขารู้ตัวว่าตนเองมีสภาพจิตไม่พร้อม เขาต้องการคนขับไปส่งเขากับกิลเบิร์ตที่พระราชวัง เบนจามินแม้จะห่วงเจ้านายแต่ก็รู้ว่าไม่อยู่ในสถานะที่จะปลอบได้จึงได้แต่ขอตัว
สุดท้ายเหลือแต่กิลเบิร์ตที่ยังกอดแขนลุดวิกไว้แน่น กิลเบิร์ตมีเพื่อนรัก และเขารู้ดีว่าหากต้องสูญเสียเพื่อนสนิทไปมันจะเจ็บปวดแค่ไหน ยิ่งคนๆนั้นสำหรับลุดวิกแทบจะถือเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวด้วย

“นี่ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นยามที่ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของลุดวิก สีหน้าเช่นนี้ไม่มีทางบอกว่ารู้สึกดีไปได้ แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้สามีของเขาสะดุ้งเล็กน้อยราวกับถูกอ่านความนัยใจ “คุณปรารถนาดีกับคาร์ล คุณทำเพื่อเขา ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็นแบบนี้”

   ลุดวิกยังไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่ใช้มือลูบศีรษะของกิลเบิร์ตและจูบเบาๆที่ขมับ คำพูดของคนที่เขารักในยามที่ทุกสิ่งกำลังสับสน นี่ช่างเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจโดยแท้ แต่กระนั้นลุดวิกกลับไม่คิดจะแสดงความอ่อนแอออกมา แน่ล่ะ เขาเสียใจเรื่องคาร์ล แต่ยามนี้เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้ร้องไห้ให้กับการกระทำที่ผ่านไปแล้วของตนเอง คาร์ลก็ไม่ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่จำเป็นยามนี้คือสืบสาวราวเรื่องที่มาของโศกนาฏกรรมนี้ต่างหาก เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ชายเขาต้องฆ่าคนรักของตัวเอง ฆ่าคนที่ทรยศ
ทุกสิ่งเพื่อตัวเอง!

“คืนนี้ฉันอาจต้องไปโคล์ว และอาจต้องพักที่นั่น ฉันจะให้พวกเอสเปอร์มาดูแลเธอ ถ้ายังไงเธอไปพักที่วังกับอัยการบิลลี่ดีกว่านะ” ลุดวิกแนะนำเช่นนั้น เหตุเพราะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องพฤติกรรมเสียหายของกิลเบิร์ต มีคนเอาใบปลิวไปแจกจ่ายกล่าวหาเขาหลายอย่างซึ่งก็เป็นเรื่องเดิมๆ แต่เพราะคราวนี้มีเรื่องของวิลเลียมเข้ามาพัวพันจึงทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นเป็นวงกว้าง

   จากเรื่องที่เกิดขึ้น พวกขุนนางที่เคยถือหางเจ้าชายอ๊อตโต้ไม่มีทางเป็นผู้บริสุทธิ์ สายข่าวของนิโคลัสรายงานว่าพวกนี้เองที่อยู่เบื้องหลังการกระพือข่าวลือร้ายกาจให้ร้ายกิลเบิร์ต และเชื่อว่าพวกเขาลักลอบติดต่อกับพวกเจ้าชายอ๊อตโต้กับตระกูลเกอเจ้นที่โคล์ว เพื่อจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการรัฐประหาร หรือไม่ก็ให้ลุดวิกปลดกิลเบิร์ตจากตำแหน่งภรรยาเอก

   ในขณะที่กำลังมีข่าวลือแบบนี้ เจ้าชายชายอ๊อตโต้กลับสังหารคาร์ล ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าต้องเกี่ยวพันกันไม่มากก็น้อย และย่อมเป็นเหตุผลที่ดีที่จะชักจูงให้พวกลุดวิกต้องออกจากเมืองหลวงเพื่อสืบสวนการฆาตกรรมของอดีตเชื้อพระวงศ์ ทั้งลุดวิกในฐานะราชา ทั้งลูคัสในฐานะประธานรัฐสภา ทั้งนิโคลัสที่เป็นนายพลของกองทัพเวลานี้ งั้นแล้วคนที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวงตอนนี้ กลับกลายเป็นกิลเบิร์ตในฐานะชายางั้นหรือ?

   เรื่องนี้มีลับลมคมนัยแล้ว

“พาพวกเอสเปอร์ไปด้วยเถอะ ฉันสังหรณ์ใจไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อคุณ แต่ฉันยังมีฟินน์กับเฟรเซีย มีบิลลี่กับวิลเลียม พวกเขาทกคนพึ่งพาได้นะ คุณต้องเดินทาง มันอันตราย” กิลเบิร์ตเกาะแขนสามีแน่นพลางเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายเอ่ยเต็มปากเต็มคำ เขาเองก็มองสถานการณ์ได้ปรุโปร่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาย่อมห่วงใยความปลอดภัยของลุดวิกยิ่งกว่าตัวเอง สำหรับตัวเขานั้นการได้ชื่อว่าเป็นเอสเปอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ลุดวิกยอมจำนน “อย่าลืมว่า ฉันเก่งมากนะ เก่งสุดๆไปเลย แล้วก็นี่สำคัญมาก หากคุณเป็นอะไรไป อาทีเรียก็จบสิ้นกันพอดี”

“หากเธอเป็นอะไรไป ฉันก็จบสิ้นเช่นกัน”

“!” กิลเบิร์ตแทบไม่เชื่อหูว่าอีกฝ่ายจะยังเอ่ยอะไรหวานแบบนี้ในช่วงเวลาน่าสิ่วน่าขวาน หากแต่นัยน์ตาอ่อนโยนของลุดวิกย่อมไม่โกหก เขามีความหมายเช่นที่พูดจริงๆ นี่ไม่ใช่แค่คำหวานหู แต่เป็นความจริงใจ “ฉัน เอ่อ...”

“ฉันเชื่อเธอ และจะทำตามที่เธอขอ แต่เธอก็ต้องดูแลตัวเองมากๆด้วย เข้าใจไหม” กอดภรรยาเข้ามาแนบอกและวอนขอ เขาไม่อาจพูดได้ว่าอยากให้กิลเบิร์ตไปด้วยกัน เพราะถ้าทำแบบนั้นกิลเบิร์ตมีแต่จะปฏิเสธ เวลาแบบนี้จะให้ทิ้งเมืองหลวงไปกันหมด นั่นย่อมเป็นความคิดของคนโง่โดยแท้

   และภรรยาของเขาย่อมไม่ใช่คนโง่ ทั้งยังไม่ใช่คนอ่อนแอ

   เช้านั้นกิลเบิร์ตเดินทางไปที่พระราชวังพร้อมกับลุดวิก หลังจากการประชุมที่ตึงเครียดพอตกช่วงสายลุดวิกพร้อมกับลูคัสและนิโคลัสก็จำต้องออกเดินทางไปโคล์วพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง ส่วนกิลเบิร์ตได้รับมอบหมายให้ดูแลพระราชวังและนครหลวง เขาในตอนนี้กลับพบว่าตัวเองเข้าสู่สถานการณ์หนักอึ้งอีกครั้ง

“ดวงของนายนี่มีเคราะห์เพราะสามีจริงๆนะ” เจ้าของวาทะน่ารำคาญนั่นจะเป็นใครไปได้หากไม่วิลเลียมที่กำลังนั่งดื่มชาพลางประมูลราคาสินค้าไปด้วย

พวกเขาสามคน กิลเบิร์ต บิลลี่ และวิลเลียม ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวในวัง ส่วนบรรดาคนรับใช้นั้นหากไม่ได้รับอนุญาตย่อมห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาด

“ฉันมีเคราะห์เพราะนายต่างหาก!” กิลเบิร์ตกอดอกปรายตามองเพื่อนรักอย่างชังน้ำหน้า ตอนนี้วิลเลียมเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแบบปกติของอาทีเรีย เป็นชุดสูทหางยาวสีดำตามธรรมเนียม ไม่อาจปฏิเสธว่าเขาดูหล่อเหลารูปงามจนทั้งหญิงทั้งชายมองกันเป็นตาเดียว แต่นั่นจะไม่วุ่นวายเลยหากในวันแรกที่มาถึงวิลเลียมจะไม่ใส่ไฟจนเขาเดือดร้อนไปด้วย

“แต่นั่นก็ทำให้คุณสามีคนใหม่ยอมบอกรักนายนะ ฉันถือว่าฉันทำความชอบหรอก” วิลเลียมบอก อันที่จริงเช้าวันที่สองที่เกิดเรื่อง กิลเบิร์ตก็มาชี้หน้าด่าเขาแล้ว แต่พอซักไปซักมากลับได้ความว่าคุณสามีนั้นหึงหวงจัด และจบลงที่การบอกรักในค่ำคืนที่สุดจะเร่าร้อน “ถ้าไม่หึงเลยสักนิด ฉันก็คิดจะพานายกลับไปด้วยกันทันทีนั่นแหละ”

“!”

“ผู้ชายที่ไม่หือไม่อือกับคนที่มาก้อร่อก้อติกภรรยาตัวเอง แล้วยังไม่ปกป้องภรรยาตัวเองหากถูกใส่ร้าย ผู้ชายพรรค์นั้นสมควรถูกเขี่ยทิ้งได้แล้ว” เขาเอ่ยต่อ คำพูดนั่นชัดเจนว่าที่จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร

   ต่อให้เป็นคนที่หัวช้าเรื่องรักๆใคร่ๆแบบบิลลี่ยังเข้าใจได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของวิลเลียมคืออะไร ตั้งแต่ที่วิลเลียมได้ยินข่าวเรื่องการหย่าของกิลเบิร์ตกับเฟรเดอริค และการที่เฟรเดอริคไม่ปกป้องภรรยาของตนเองที่ถูกว่าร้ายต่างๆนาๆ วิลเลียมก็นึกแช่งชักหักกระดูกคนที่ทำให้เพื่อนของเขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่พอกิลเบิร์ตติดต่อไปว่าเขาโชคดีมีคนเก็บได้แล้วรับเป็นภรรยา จนตอนนี้เป็นชายาของกษัตริย์แห่งอาทีเรีย เขาก็นึกสงสัย ผู้ชายคนใหม่ของกิลเบิร์ตจะเป็นแบบไอ้งั่งเฟรเดอริคหรือเปล่า กิลเบิร์ตจะตาถั่วเสียตัวให้ผู้ชายแล้งน้ำใจอีกหรือไม่ เพื่อนของเขาจะถูกหลอกจนสิ้นไร้ไม้ตอกอีกงั้นหรือ!

   พอยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ดังนั้นพอได้โอกาสมาอาทีเรีย เขาจึงเจตนายั่วให้ลุดวิกมีปฏิกิริยา

   หรือหากหึงแล้วทำตัวไร้สาระเป็นไอ้งั่ง เขาก็จะลักพาตัวกิลเบิร์ตกลับไปไกเซอร์!

“นายนี่ คิดมากจริงๆ” กิลเบิร์ตบอกพลางตบบ่าเพื่อนตัวเอง ถึงตอนนี้เขาเข้าใจความปรารถนาดีของวิลเลียมแล้ว คนๆนี้ก็ยังเหมือนเดิม คิดเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่น ไม่สิ คำว่าคนอื่นที่ว่านั่นมีความหมายเฉพาะเจาะจงเฉพาะคนที่หมอนี่รักเท่านั้น เคราะห์ดีที่เขากับบิลลี่ได้รับความรักเหลือเฟือจากเจ้าคนใจร้ายคนนี้ “ตอนนี้ฉันสบายดีมากนะ ฉัน เอ่อ...คิดว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” อย่างน้อยลุดวิก...คงไม่เบื่อเขาเร็วเกินไปใช่ไหม

“มันไม่ควรจะเหมือนเดิม” วิลเลียมเอ่ยพลางยืดแขนรั้งเพื่อนเข้ามากอดใกล้ๆพลางลูบที่ด้านหลังของศีรษะ ท่าทีรักใคร่เอ็นดูจนบิลลี่นั้นรู้สึกว่าเพื่อนสองคนนี่ออกจะแสดงความรักกันมากเกินไปหน่อย เกิดใครเห็นเข้าเดี๋ยวก็ซวยหรอกหนา!

   สุดท้ายบิลลี่เป็นฝ่ายจับแยกสองคนนั่นออกจากกัน ปากพร่ำพูดเหตุผลร้อยแปดพันเก้า แน่ล่ะท่าทีของสองคนนี่ทำให้เขานึกถึงตอนที่กิลเบิร์ตเลียหน้าเขาจนได้เรื่อง!

“เดี๋ยวสามีหมอนี่กลับมาก็โวยอีกหรอก นายนี่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ!” บิลลี่โวยใส่วิลเลียมที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่วนวิลเลียมแสยะยิ้มปรายตามองบิลลี่ราวกับจะบอกเป็นนัยๆว่าฉันรู้หรอกนะว่านายปิดอะไรไว้เป็นความลับ

“เจ้าหนุ่มเวอร์จิ้นคิดมากไปแล้ว ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่านายอยู่รอดปลอดภัยมาป่านนี้โดยยังบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ยังไง ว่าไง ตำแหน่งข้างๆฉันยังว่างนะ” ขยิบตาเจ้าเล่ห์แล้วคลอเคลียที่ต้นคออีกฝ่ายจนบิลลี่หูแดงหน้าแดงไปหมด

“ตำแหน่งบ้าอะไรเล่า! ฉันรู้นะว่าคนอย่างนายไม่จริงใจกับใครหรอก! ไม่ใช่เพราะแบบนี้เรอะคนในฮาเร็มของนายถึงได้คบชู้น่ะ แล้วนี่ตั้งแต่พ่อนายตาย นายหาคนเข้าฮาเร็มมาอีกกี่คนกัน เจ้าคนหลายใจ!” ด่าไปเป็นชุดหวังจะให้เจ้าคนบ้านี่คิดอะไรได้บ้าง แต่วิลเลียมกลับเอียงคอแสยะยิ้มตอบเรียบๆ

“ไม่มี”

“หะ!!” ดูเหมือนไม่ใช่แค่บิลลี่ แม้แต่กิลเบิร์ตที่พยายามเป็นผู้ฟังที่ดียังตกใจ คนชื่อเสียงเลวร้ายขนาดนี้กล้าบอกว่าไม่ได้รับคนเข้าฮาเร็ม อีแบบนี้คิดได้อย่างเดียวว่า...

   ฟันแล้วทิ้งงั้นเรอะ!!

“นายนี่มัน เกินเยียวยา” กิลเบิร์ตอดพูดขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกว่าหากเทียบมาตรฐานสุดโต่งแบบนี้ กับแค่นอนกับผู้ชายคนใหม่หลังหย่าสามวันเช่นเขาไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย “คนที่นายทิ้งไม่ช้ำใจแย่เรอะ”

“ทุกคนก็แค่คิดว่าฉันมีเสน่ห์ไงล่ะ ไม่ก็เงินทองที่ล่อหูล่อตา มันก็เท่านั้นแหละ” วิลเลียมตอบพลางแค่นยิ้ม คำพูดนั่นทำเอาทั้งบิลลี่กับกิลเบิร์ตชะงักไปเล็กน้อย ความหมายของการพูดเช่นนี้ก็คือแม้จะมีความสัมพันธ์กับใครสักกี่คนวิลเลียมก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีพอและควรหยุด ทั้งที่มีคนมากมายรายล้อม แต่ที่จริงแล้วทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า “เอาเถอะ แค่ไม่ต้องนอนคนเดียวก็พอแล้ว”

   แค่ไม่ต้องนอนคนเดียว...

“แล้วสัปดาห์นี้นายนอนคนเดียวได้ยังไง?” กิลเบิร์ตถามต่อ เขาย่อมรู้ว่าวิลเลียมมีโรคประจำตัวที่ไม่เคยหายขาด เขาเป็นโรคนอนไม่หลับ และอาการนี้จะหายไปเมื่อมีคนนอนข้างๆเขา ในสายตาของวิลเลียมคนในฮาเร็มพวกนั้นจึงเป็นของที่แค่ใช้เพื่อให้นอนหลับ เขาไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ของตนเอง แต่แม้เป็นคนของเขาเองที่หามาเอง เขาก็ไม่มีความคิดที่จะหยุดอยู่นาน

   ในโลกของคนๆนี้ ทุกสิ่งล้วนกลวงเปล่า

“ว่าไง นายนอนยังไง” บิลลี่ช่วยถามย้ำ เขาย่อมกลัวว่าคำตอบจะกลายเป็นว่าหมอนี่ไม่ได้นอนมาเจ็ดวันแล้ว ดูใต้ตาที่ดำคล้ำนิดๆนั่นสิ!

   ทว่า

“กินยานอนหลับสิ เรื่องง่ายๆ” แค่นยิ้มอีกรอบพลางหัวเราะอย่างเย็นชาใส่ตัวเอง

   สำหรับเขาหากไม่มีคนนอนด้วยย่อมนอนไม่หลับ แต่ถ้านอนไม่หลับแล้วควรทำยังไง?

   ก็กินยานอนหลับเสียสิ!

         ในตอนนั้นเองที่มีเสียงคนเคาะประตูห้อง ที่แท้เป็นฟินน์ที่ถือกล่องเครื่องเพชรเข้ามาให้เลือกตามคำสั่ง เขายิ้มแย้มให้กับกิลเบิร์ตกับบิลลี่ แต่พอมองไปยังวิลเลียมสีหน้ากลับขมึงทึงราวกับโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ช่วยไม่ได้ก็สำหรับเขาแล้ว หมอนี่คือมนุษย์ต่างดาวชั่วร้ายที่เกือบทำให้ชีวิตครอบครัวของผู้มีพระคุณแตกแยก เจ้าคนที่เขาแช่งชักหักกระดูกอาฆาตไว้ตั้งแต่คืนแรกที่หมอนี่มาปรากฏตัว ทั้งหลายวันมานี้ได้ข่าวว่าหมอนี่เที่ยวยิ้มยั่วยวนคนไปทั่ว ทั้งยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดข่าวลือเสียหายกับกิลเบิร์ต เขาจึงยิ่งเกลียดมากขึ้น!

   ดวงตาประสานดวงตา ฉันใดฉันนั้น วิลเลียมก็รู้สึกว่าเจ้าหนูตรงหน้านี่กำลังมองเขาด้วยสายตาหยามเหยียมไม่เป็นมิตร ดูท่าทางแก่แดดเกินวัย หลายวันที่ผ่านมาหากเดินสวนกันหรือหากไม่มีกิลเบิร์ตกับบิลลี่นั่งอยู่ด้วย เจ้าหนูนี่ก็จะสะบัดหน้าไม่สนใจ ส่งสายตาชิงชัง เด็กเปรตแบบนี้...ไม่น่ารักสักนิด

   สมควรเอาไปโยนให้จระเข้ในบ่อที่บ้านกิน!

“คุณกิลเบิร์ตผมเอาของมาให้แล้วครับ” ฟินน์ปรี่ไปหาผู้ปกครองโดยเมินใส่วิลเลียมโดยสิ้นเชิง ในขณะที่กิลเบิร์ตรู้สึกเหมือนความกดอากาศเพิ่มขึ้นเท่าตัวในพริบตา เขากำลังสงสัยว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่บิลลี่กลับใช้นิ้วจิ้มๆสะกิดเขาด้วยท่าทางหนาวจัดเช่นกัน

“ขอบคุณนะฟินน์ ช่วยหยิบแจกันตรงนั้นให้วิลเลียมหน่อยสิ” กิลเบิร์ตตอบพลางนึกอยากทดสอบสมมติฐาน พอสั่งแบบนั้นฟินน์ก็เหมือนเลี่ยงไม่ได้ จำยอมต้องเอาแจกันลายดอกไม้ยื่นส่งให้กับแขก แต่ครั้นจะส่งให้แบบปกติ เขากลับหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง แต่ไม่ยอมพูดสักคำ

   ส่วนวิลเลียมมองหน้าเจ้าหนูตรงหน้าแล้วก็นึกรำคาญใจ ใช่แล้ว เด็กแบบนี้สมควรจะโดนสั่งสอนเสียบ้าง

   และวินาทีนั้นเองที่วิลเลียมแกล้งรับแจกันพลาด แจกันลายดอกราคามหาศาลพลันร่วงตกจากมือ ฟินน์ปากอ้าตาค้างทำอะไรไม่ถูก แต่บิลลี่กลับไวที่สุดพุ่งเข้าไปรับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ทำเอาฟินน์ทรุดลงกับพื้น ใครที่มีตาย่อมเห็นได้ว่าวิลเลียมเจตนาแกล้ง!

“ซุ่มซ่ามจริงนะเจ้าหนู แบบนี้คงทำงานพลาดบ่อยล่ะสิ นี่กิลเบิร์ตเลี้ยงเด็กแบบนี้ไว้ไม่เปลืองข้าวสุกแย่หรือไง” วิลเลียมได้ทีแสยะยิ้มชี้นิ้วพิพากษ์วิจารณ์ ส่วนฟินน์กลับหน้าแดงก่ำ เขาย่อมรู้ดีว่าคนๆนี้เจตนากลั่นแกล้งเขา

“คุณ คุณเจตนา...” ฟินน์เงยหน้าถาม แต่วิลเลียมกลับยิ้มแสยะแสร้งเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง

“แค่งานง่ายๆยังทำไม่ได้ ไร้ประโยชน์จริงๆเลยนะ”

   ฟินน์กัดฟันกรอด วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยากชกหน้าใครบางคนมากถึงขนาดนี้ มากยิ่งกว่าพ่อแม่ ยิ่งกว่าพวกตระกูลเกอเจ้น หรือโจรสลัดเฮงซวย ก็คือเจ้าคนนิสัยไม่ดีคนนี้!

“คนสารเลว!”

   หะ!!!!

   ทันทีที่คำหยาบหลุดจากปากฟินน์ กิลเบิร์ตกับบิลลี่สะดุ้งเฮือก เจ้าเด็กน้อยใสซื่อของพวกเขาถึงกับหลุดสบถคำด่าว่าหยาบคายแบบนี้ออกมาเลยรึ!

“คนแบบคุณมันแย่ที่สุด! ทำให้สามีภรรยาทะเลาะกัน! เห็นคนเป็นข้าทาส! นิสัยเจ้าชู้เสื่อมทรามผิดศีลธรรม! คนอย่างคุณมันไม่สมควรเป็นเพื่อนของคุณกิลเบิร์ต!!!” ฟินน์โพล่งด่าอย่างจัดเต็มหน้าตาแดงก่ำก่อนจะรีบหันหลังวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของผู้ปกครองและสหาย

   แน่ล่ะว่ากิลเบิร์ตย่อมพยายามต้องแก้ตัวให้ลูกชายคนนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าวิลเลียมกลับส่งสายตาดุร้ายไล่หลังฟินน์ ท่าทีไม่เป็นมิตรเช่นกัน

“เด็กคนนี้ไม่น่ารักเลย” วิลเลียมว่า แต่กิลเบิร์ตกลับต้องทอดถอนใจ

“ไม่ใช่เด็ก เขาอายุยี่สิบแล้วแต่มีปัญหาทำให้โตได้แค่นั้น นายก็อย่าทำร้ายเขาเลยน่ะ ฟินน์มีปัญหาชีวิตมากพอแล้ว” อันที่จริงก็คือแค่พัฒนาการของตัวเองยังไปไม่รอดเลย ตอนนี้มาเจอผู้ใหญ่นิสัยเสียแบบนี้อีกช่างน่าสงสาร

“มีคุณพ่อสปอยขนาดนี้ โตไปเสียนิสัยหมด เด็กแบบนี้สมควรเฆี่ยนให้หนังลาย” อีกฝ่ายเถียงอย่างเย็นชาไร้ความเมตตาการุณอย่างที่สุด

“วิลเลียม!”

“ช่วยไม่ได้ ฉันไม่ชอบเด็กพรรค์นั้น” นั่นก็คือคำตอบ

   สรุป นายไม่ชอบฉัน ฉันก็เกลียดนาย ก็ถือว่าลงตัวดี กิลเบิร์ตได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจและสาบานว่าจะเอาสองคนนี่อยู่ให้ห่างกันมากที่สุด

   ขอแค่ไม่ต้องเจอหน้ากัน ก็น่าจะพอล่ะมั้ง?

   ในคืนนั้นเองกิลเบิร์ตรับฟังรายงานจากทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวง จวบจนแน่ใจว่าสถานการณ์ทุกอย่างน่าจะปกติดี เขาจึงคิดที่จะเข้านอน ทว่า ณ เวลาเที่ยงคืนตรง เสียงสัญญาณเตือนภัยกลับดังขึ้นทั่วพระราชวัง!


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 27 กลลวงปฏิวัติ 24/03
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-03-2019 00:21:36
 :hao7:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 27 กลลวงปฏิวัติ 24/03
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-04-2019 00:27:15
ว้าย เพิ่งสงบสุขได้ไม่กี่ตอน.  กิลก็ต้องเจอปัญหาอีกแล้ว  :hao5:
อยากรู้จริงว่าเจ้าชายอ็อตโตฆ่าคาร์ลทำไม ถ้าลงทุนฆ่าคนรักของตัวเองเพื้่อทำร้ายลุควิคก็โตรเลวเลยนะเนี่ย :fire:
แต่เราว่ามันต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากว่าที่เห็นแนๆ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 17-04-2019 08:57:13

สวัสดีค่ะ เนื่องจากขณะนี้เรื่องนี้ได้ลงจนจบภาคในเวปอื่นไปแล้วค่ะ ดังนั้นจะขอลงรัวๆ ให้จบค่ะเพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านในเวปนี้ขาดตอนค่ะ

ขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ




ตอนที่ ๒๘
ความลับของสามเกลอ

   ดึกดื่นยามวิกาลแต่กลับมีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นกะทันหันก่อนที่ความโกลาหลจะมาเยือนอย่างรวดเร็ว กิลเบิร์ตวิ่งออกมาจากห้องทำงานก็พบกับทหารเวรรักษาการณ์กว่าสิบคนที่ตอนนี้ยืนออกันอยู่ที่อุทยาน แสงจันทร์ส่องมากระทบแผ่นหลังของคนเหล่านั้น บรรยากาศดูเคร่งเครียดกดดันกว่าที่เคยเป็น กิลเบิร์ตคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และความรู้สึกนี่มันคือ...

   วินาทีนั้นเองที่ทหารรักษาการณ์กลับหันมาทางเขาพร้อมกันก่อนจะหยิบปืนเลเซอร์ขึ้นยิงอย่างพร้อมเพรียง กิลเบิร์ตไหวตัวทันกระโดดหลบพร้อมกับสร้างเกราะสนามพลังตั้งรับ เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนพวกนี้ เพราะตอนนี้เขาได้ยินเสียงคนวิ่งพล่านไปทั้งวัง ไม่มีเสียงกรีดร้อง จะมีก็แต่เสียงฝีเท้าหนักๆที่เหมือนกับกำลังวิ่งหาอะไรบางอย่างอยู่ บางทีสิ่งที่คนพวกนั้นกำลังตามหา...อาจเป็นตัวเขา

“นี่มัน เหมือนกับที่เมทิส!” ใช่แล้วบรรยากาศแบบนี้ ผู้คนที่สับสนวุ่นวายแสดงความไม่เป็นมิตร ทั้งยังถูกครอบงำด้วยพลังบางอย่างในเวลาเดียวกัน นี่ก็คือ การสะกดจิตหมู่!

   การสะกดจิตด้วยเครื่องมือสะกดจิตที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าสูงสุดในเวลานี้!

“คุณกิลเบิร์ต!” ฟินน์ตะโกนเรียกขณะวิ่งหน้าตาตื่นมากับเฟรเซียจนถึงอุทยาน พวกเขาเองก็กางสนามพลังตั้งรับการโจมตีของพวกทหารเช่นกัน ดูเหมือนทั้งวังตอนนี้มีแต่พวกเขาที่ยังปกติดี

“ไปหาบิลลี่กับวิลเลียม บอกพวกนั้นด้วยว่าห้ามฆ่าใครเด็ดขาด!” กิลเบิร์ตตะโกนเตือน ตอนนี้คือการแข่งกับเวลาแล้ว “ห้ามฆ่าเด็ดขาด! พวกเธอด้วย หนีไปซะ! หนีไปซ่อนให้เร็วที่สุด!”

“แต่ว่า!” เฟรเซียพยายามแย้ง เธอไม่แน่ใจว่าตอนนี้พวกเพื่อนของกิลเบิร์ตจะยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่ พวกเขาไม่ใช่เอสเปอร์จะต้านทานการสะกดจิตหมู่ได้ยังไง แม้แต่เอสเปอร์ด้วยกันกิลเบิร์ตยังเคยบอกกับพวกเธอว่าใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถเท่ากันหมด “สองคนนั่นอาจจะถูกสะกดจิตไปแล้วก็ได้นะคะ!”

“ไม่มีทางหรอก!” กิลเบิร์ตตะโกนตอบอย่างเด็ดขาด ไม่มีความสงสัยในน้ำเสียงของเขาเลยสักนิด “รีบไปเร็ว!”

“เอ่อ ค่ะ!” แม้จะยังข้องใจ แต่เฟรเซียย่อมรู้ดีว่าป่วยการที่จะมาเถียงกันในเรื่องนี้ หากกิลเบิร์ตว่าอย่างไรเธอก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนี้ไม่ควรเป็นเวลาที่จะมาสงสัยอะไรให้มากความด้วย “ทราบแล้วค่ะ!”

“เยี่ยม!” เขาชูนิ้วโป้งให้สองพี่น้องก่อนจะทะยานมายืนขวางพวกทหารที่ถูกสะกดจิตไม่ให้เข้าใกล้ทั้งสองคน กิลเบิร์ตในตอนนี้เปิดสนามพลังหมายใช้พลังเพื่อการอัดกระแทก คลื่นพลังจิตสีแดงของเขาเปลี่ยนเป็นสนามพลังระเบิดกระแทกทุกคนที่เข้ามาในรัศมีให้ปลิวละลิ่ว แต่ยิ่งเขาแสดงพลังกลับเหมือนจะยิ่งมีคนมาสมทบมากขึ้นอีก “เอาล่ะ ฉันจะล่อไว้เอง รีบไปซะ!”

   สองพี่น้องย่อมทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับ แม้ใจจะห่วงแสนห่วงแต่ก็รู้ว่าขืนอยู่ต่อไปจะต้องกลายเป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน พวกเขาเคยเห็นพลังความสามารถของกิลเบิร์ตมาแล้ว และรู้ว่าคนๆนี้จะเก่งกาจอย่างยิ่งหากไม่มีชนักติดหลัง
ครั้นพอคล้อยหลังสองพี่น้อง กิลเบิร์ตพลันแสยะยิ้ม เล่ห์กลของตัวร้ายในคราวนี้ถือว่าชั่วช้าอย่างยิ่ง แต่ที่เหนือกว่านั้นก็คือ ทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นที่นี่ได้!

“เจ้าพวกขี้ขลาดเป็นแต่บงการคนอื่น แน่จริงโผล่หัวมาสิ!” ว่าแล้วก็รวบรวมพลังสร้างคมดาบแสงปล่อยเป็นสะเก็ดดาวตกสีแดงอัดกระแทกทุกคนที่กรูกันเข้ามา เพียงแต่ว่ากิลเบิร์ตนั้นเป็นเอสเปอร์อันดับหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่าสมควรควบคุมพลังยังไงให้พอเพียงที่จะป้องกันตัวทำให้คู่ต่อสู้หมดสติแต่ไม่เอาชีวิตใคร ซึ่งนี่ก็คือวิธีการเดียวกับที่เขาใช้มาแล้วที่เมทิส แต่ในสายตาคนที่ไม่รู้อะไร ย่อมเห็นเป็นตัวเขาที่ใช้พลังโจมตีใส่คนทั่วไปแน่นอน

พริบตาเดียวเหล่าทหารถูกโจมตีจนสลบไปหมด บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบแค่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ทันใดนั้นเองคลื่นพลังสายหนึ่งจะพุ่งลงมากระแทกใส่กิลเบิร์ตจนตัวปลิว ฝ่ายกิลเบิร์ตแม้ถูกกระแทกจนลอย แต่เขายังสามารถบังคับสภาวะสุญญากาศให้ตัวเองลอยอยู่บนฟ้าได้ ทว่า ตอนนั้นเองที่วัตถุประหลาดนับสิบพุ่งเข้ามาหาเขา กิลเบิร์ตรีบกางม่านพลังรับแรงกระแทกทันก่อนที่วัตถุพวกนั้นจะเกิดระเบิดขึ้นราวกับดอกไม้ไฟ แต่ดอกไม้ไฟนี่กลับมีอานุภาพเปี่ยมล้นถึงกับทะลุม่านพลังเข้ามาจนกิลเบิร์ตต้องใช้เทเลพอร์ตช่วยหายตัวหนีจากการเป็นเป้าโจมตี ถึงตรงนี้เขาเห็นชายในชุดดำลอยอยู่บนฟ้าเผชิญหน้ากับเขาแล้ว

“ช่างเก่งกาจจริงๆเลยนะท่านนายพลกิลเบิร์ต ไม่สิ ตอนนี้ต้องเป็นท่านดยุคแห่งเดวอนเชีย ชายาของกษัตริย์อาทีเรียนี่นะ เรื่องจับผู้ชายฐานะสูงนี่คงเป็นหนึ่งในความสามารถเฉพาะตัวของคุณด้วยสินะ” ชายในชุดดำสวมหมวกปีกกว้างปิดใบหน้ามิดชิดด้วยหน้ากากตัวตลกสีดำเอ่ยทักทายขึ้นก่อน แค่วาจาก็หยามเหยียดกันจนกิลเบิร์ตนึกคำรามด่าในใจ เพียงแต่ว่าเขาไม่สนใจการปะทะคารมกับคนพวกนี้ สิ่งที่เขาต้องการรู้คือเป้าหมายของเจ้าพวกนี้ต่างหาก!

“เลิกพูดจาเฉไฉได้แล้ว คิดว่าพูดแบบนี้แล้วฉันจะเล่นตามเกมพวกนายหรือไง แกเป็นพวกเดียวกับที่เมทิส พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่!” กิลเบิร์ตตวาดถาม ยามนี้ในใจของเขาร้อนรนอย่างยิ่ง คนพวกนี้คือพวกเดียวกับที่สร้างความวิบัติให้กับดาวเมทิส และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

   อีกฝ่ายพอเห็นกิลเบิร์ตไม่เล่นตามเกมย่อมรู้สึกเคืองนิดๆ แต่ก็รู้สึกชื่นชมพอสมควร อันที่จริงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านนายพลใหญ่ของดวงดาวก็ควรจะมีจิตใจที่หนักแน่นเข้มแข็งเช่นนี้นี่ล่ะ หากถูกใครว่าร้ายก็ไขว้เขวเสียแล้วย่อมทำอะไรไม่ได้ ทว่า คนแบบนี้...คือคนแบบที่พวกเขาเกลียด

    ต้องอย่างภรรยาคนใหม่ของท่านเจ้าอาณานิคมแห่งเทสล่านั่นสิ ถึงจะเรียกว่าน่ารัก

“คุณน่ะฉลาดนะ แต่ความฉลาดของคุณน่ะจะเรียกแต่โชคร้ายมาให้คุณนั่นล่ะ คนเราควรจะแกล้งโง่บ้างสามีถึงจะทั้งรักทั้งหลง คุณรู้ว่าพวกเรากับซิลวานี่คิดอะไรอยู่เลยพยายามห้ามท่านเจ้าอาณานิคมเทสล่า น่าเสียดายที่เขาไม่ฟังคุณ ชะตากรรมของเทสล่าตอนนี้ น่าจะไม่ดีแล้วล่ะมั้ง”

“นี่แก! เกิดอะไรขึ้นกับสงครามที่ซิลวานี่!” กิลเบิร์ตพยายามจะถามต่อ แต่เพราะเขาร้อนรนมากจนเกินไป ในตอนที่รู้สึกตัวอีกทีแหงนเงยมองฟ้ากลับเห็นวัตถุทรงกลมนับสิบพุ่งเข้ามายังตัวเขา มันคือระเบิด!

   ตูม!!!!

   เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาบิลลี่ชะงัก เขามองขึ้นฟ้าก็เห็นแต่แสงสีแดงเจิดจ้าสลับกับควันขาว นั่นหมายความว่าเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงขึ้นแล้ว เขาย่อมได้แต่ภาวนาว่าคนอื่นๆจะปลอดภัย เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องอื่นอีกแล้ว

“คุณบิลลี่ระวังค่ะ!” เฟรเซียส่งเสียงเตือนในขณะที่ทหารของอาทีเรียนับสิบเล็งอาวุธปืนเลเซอร์มายังเขา เธอรู้ดีว่าบิลลี่ไม่ใช่เอสเปอร์เขาไม่สามารถกางบาเรียป้องกันตนเองได้ หญิงสาวจึงคิดจะพุ่งเข้าไปสนับสนุน หากแต่บิลลี่กลับตวาดห้ามในทันที “คุณบิลลี่!”

   พริบตานั้น อัยการหนุ่มแห่งสหพันธ์ดาวเคราะห์กระโดดหลบแสงเลเซอร์นับสิบสายด้วยปฏิกิริยาที่เร็วยิ่ง เขาเปลี่ยนกระสุนปืนที่มือขวาและยิงตอบโต้ในทันที กระสุนแสงแตกออกจนทำให้คู่ต่อสู้ตาพร่าเลือน ก่อนจะตามด้วยเปลี่ยนกระสุนปืนที่มือซ้ายเป็นกระสุนควัน เมื่อยิงย่อมทำให้เกิดควันสีดำพวยพุ่งโขมง บดบังทัศนวิสัยจนหมด

“เอาล่ะ! จะเผด็จศึกล่ะนะ!” บิลลี่ปรับแว่นตาเข้าสู่โหมดจับความร้อน แม้เขามองไม่เห็นคน แต่สามารถมองเห็นและรับรู้อุณหภูมิจากร่างกายคน เมื่อเปลี่ยนกระสุนของปืนทั้งสองกระบอกเป็นกระสุนยาสลบแล้วจึงสามารถตรงเข้าเล่นงานยิงเข้าใส่คู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ ประสาทสัมผัสที่เฉียบคม การตัดสินใจที่เด็ดขาด ทั้งยังความไวในการตอบโต้กับศัตรู ถึงตอนนี้เฟรเซียถึงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนๆนี้ถึงได้ฉายาว่าเป็นอัยการสายบู๊อันดับหนึ่งของสหพันธ์

   เพียงแต่ว่า ความไวระดับนี้...มันพิเศษเกินไปแล้ว

“ระวัง!” บิลลี่ตะโกนเตือน

ในตอนที่เฟรเซียยังเหม่ออยู่นั่นเองที่บิลลี่กระโจนเข้ามาคว้าตัวเธอออกไปก่อนที่ดาบแสงนับสิบจะตกลงกระแทกใส่พื้นจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พริบตานั้นบิลลี่เปลี่ยนกระสุนเป็นกระสุนสนามพลัง ยิงกางสนามพลังรับแรงระเบิดแทนพวกทหารอาทีเรียที่ไม่ได้สติได้อย่างฉิวเฉียด เขาช่วยชีวิตเฟรเซียและยังสามารถเปลี่ยนกระสุนยิงตอบโต้ช่วยชีวิตคนอื่นๆได้ด้วย นี่มันต้องมีสติและความไวระดับไหนกัน!

   ไม่ทันจะได้ตั้งตัว คมดาบแสงอีกระลอกกลับพุ่งเข้าหาพวกเขา บิลลี่ผลักเฟรเซียออกและสั่งให้เธอกางสนามพลังของตนเอง ส่วนตัวเขายิงปืนขึ้นฟ้ากางม่านพลังอันใหม่รับแรงระเบิดอย่างฉิวเฉียด ความไวอันน่าทึ่งของเขานี่เองที่ทำให้คู่ต่อสู้ถึงขนาดปรบมือให้อย่างประทับใจยิ่ง เบื้องหน้าของบิลลี่ ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างใส่หน้ากากปิดบังหน้าตาคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว

“นี่คุณว่ามันแปลกไหม ทั้งที่คนเขาเรียกพวกคุณว่าเป็นมนุษย์พันธุกรรมด้อย แต่คุณกลับมีสัญชาตญาณไวกว่ามนุษย์ปกติ  ถึงขนาดรับมือกับคมดาบแสงของเอสเปอร์ได้ หรือว่านี่คือวิวัฒนาการผ่าเหล่าพันธุกรรมของพวกทาสกันนะ” คำพูดหยามเหยียดนั่นถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้หน้า แต่แทนที่บิลลี่จะตระหนกตกใจเช่นเดียวกับยามอยู่กับเพื่อนฝูง เขากลับหรี่ดวงตาลงพลางขยับแว่นตา การทักทายเช่นนี้ของอีกฝ่ายย่อมเป็นการหาเรื่องกันอย่างแน่นอน 

“เรื่องของทาส เกี่ยวอะไรกับฉัน” บิลลี่เอ่ยเรียบๆ จนถึงตอนนี้ไม่เคยมีใครที่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้ ไม่สิ ไม่ควรจะมีใครรู้เรื่องพวกนี้มากกว่า

   ฝ่ายตรงข้ามเห็นบิลลี่ไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจย่อมตีความว่าเขาคิดจะยืนกระต่ายขาเดียว คนแบบนี้มีแต่จะต้องยิ่งจี้ใจดำให้หนักเข้า

“ท่านอัยการบิลลี่ คาร์เตอร์ เรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองจากวิทยาลัยป้องกันดวงดาวของสหพันธ์ดาวเคราะห์แห่งเทียร่า ทั้งที่มีพันธุกรรมบกพร่อง แต่กลับสามารถเข้าเรียนในสถานที่ระดับสูงแบบนั้นได้ นี่ ผมถามจริงๆเถอะ มีใครช่วยคุณปลอมประวัติครอบครัวกับผลตรวจดีเอ็นเอรึเปล่านะ” แม้ใบหน้าไม่อาจรู้ว่ากำลังแสดงอารมณ์ใด แต่บิลลี่เดาว่าคนตรงหน้าเขาย่อมกำลังฉีกยิ้มแสยะอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าจะแสยะก็เชิญแสยะไป เขาไม่เล่นตามเกมนี้ด้วยหรอก!

   ในตอนที่ปล่อยอีกฝ่ายพล่าม บิลลี่ลอบเปลี่ยนกระสุนของตัวเองแล้ว ไม่ต้องรอให้ฝ่ายนั้นพูดต่อจนจบเขาก็สาดกระสุนเลเซอร์ใส่คู่ต่อสู้อย่างไม่ปรานีปราศรัย ส่วนอีกฝ่ายกลับสะดุ้งไป เหมือนนึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่สะท้านสะเทือนกับคำขู่เข็ญของเขา แม้แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนสีหรือแสดงท่าทีร้อนรนเลยสักนิด!

“เก็บข้อสันนิษฐานของนายไปใช้ที่โลกหน้าเถอะ ไม่เคยมีใครสอนหรือไงว่าอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน!” ว่าแล้วก็กดเปิดบาเรียสนามพลังรอบตัวและพุ่งเข้าชนกับคู่ต่อสู้ในทันที!

   ในขณะเดียวกับที่กิลเบิร์ตกับบิลลี่รับศึกกับศัตรูนิรนาม ทางฝ่ายวิลเลียมกลับพบว่าตัวเองถูกคนคุ้นหน้าคุ้นตาเล็งปากกระบอกปืนเข้าใส่ จะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่คาลุสที่ยามนี้มาพร้อมกับทหารอาทีเรียที่ดวงตาสะลึมสะลือคล้ายถูกสะกดจิต แม้เจ้าเด็กเปรตฟินน์ไม่เข้ามาบอก เขาก็รู้ว่านี่คืออาการของคนที่ถูกแทรกแซงทางจิต

“คนอื่นไม่ปกติ แต่ดูเธอจะปกติดีนี่ คาลุส” วิลเลียมยืดตัวตรงพลางกอดอกมองฝ่ายตรงข้ามอย่างหมิ่นแคลนตามปกติวิสัย เพียงแต่ในวันนี้คาลุสย่อมรู้ดีว่าสายตาคู่นี้เยียบเย็นกว่าที่เคย แน่ล่ะหากมีคนมายกปืนขู่ตัวเองตรงหน้าจะยังสามารถยิ้มชื่นได้อีกหรือ เพียงแต่ท่าทีแบบนี้ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ ที่เขาอยากเห็นคือสีหน้าตื่นตระหนกของคนๆนี้ แต่จนแล้วจนรอดความตายอยู่ตรงหน้า วิลเลียม ไกเซอร์กลับยังเย็นชาถึงขนาดนี้!

“ข ขอร้องผมสิ! ถ้าขอร้องผม ผมอาจจะปล่อยท่านไปก็ได้!” คาลุสประกาศกร้าวเสียงสั่น หากแต่เขาย่อมรู้ดีว่าตัวเขานั้นถูกต้อนมาจนจนมุมแล้ว ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เขาต้องการระบายความแค้นเคือง ระบายความอัดอั้นตันใจของตนเอง อยากเห็นผู้ชายที่ชื่อวิลเลียมต้องร้องไห้ทุกข์ทรมานเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขาบ้าง!

   แม้จะคิดแบบนั้น แต่วิสัยคนไม่เคยจับปืนฆ่าใคร อย่างไรก็ไม่อาจจับไว้ได้มั่น วิลเลียมเองเห็นคาลุสออกอาการเช่นนั้นก็ได้แต่มองด้วยสายตาเยียบเย็น ความสงสารนั้นไม่มี แต่หากจะมีนั่นคงเป็นความสมเพชเวทนา

“มือเธอสั่นนะ เอาสิ อยากยิงก็ลองยิงมาสิ”

คำพูดของวิลเลียมทำเอาฟินน์ที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับสะดุ้ง หมอนี่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านต่อต้าน แต่ยังเอียงคอแสยะยิ้มท่าทางไม่ยี่หระ ตอนนี้ฟินน์รู้สึกว่าเขาอยากเริ่มเคาะกะโหลกใครบางคนขึ้นมาแล้ว นี่มันคนบ้าชัดๆ!

“ทำไม ทำไมไม่รักผมบ้าง ไม่ใส่ใจผมบ้าง!!! ท่านคิดว่ามีกี่คนกันในฮาเร็มที่รอคอยท่านให้มาหา รอทั้งวันทั้งคืน รอที่จะได้รับความรัก แต่ท่านกลับ กลับไม่เคยไยดีใครเลย! คนเห็นแก่ตัว!!!” คาลุสระบายความในใจอย่างน่าสงสารจนบุคคลที่สามอย่างฟินน์พลันรู้สึกเจ็บแปลบไปด้วย ใจอ่อนยวบตามไปด้วย คนๆนี้แท้ที่จริงก็คือคนที่ไม่ได้รับความรัก เพราะไม่ได้รับความรักก็เลยเสียใจ ก็เลยโกรธเกรี้ยว หากว่าวิลเลียมยอมอ่อนให้พวกเขาบ้าง บางที...

   ทว่า วิลเลียมกลับไม่มีทีท่าจะใจอ่อนไปกับคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เขาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกล่องใส่บุหรี่ขึ้นมา หยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งและจุดสูบ

“อย่าลืมสิว่า พวกเธอเลือกอนาคตแบบนี้กันเองนะ” ท่านสุลต่านแห่งกลุ่มดาวไกเซอร์เอ่ยต่อ

“!”

“ถึงตาแก่เซ็กซ์จัดนั่นจะเลวมาก แต่ก็ไม่เคยบังคับขู่เข็ญใครให้นอนด้วย พวกเธอรู้อยู่แล้วว่าสักวันหมอนั่นต้องตาย และพวกเธอจะกลายเป็นมรดกของฉัน ซึ่งพวกเธอก็รู้อยู่ก่อนอีกนั่นล่ะว่า ฉันไม่สนใจไยดีฮาเร็มของหมอนั่น ในเมื่อรู้ทุกอย่าง แต่ยังเลือก ถึงตอนนี้จะมาร้องแรกแหกกะเชออะไรอีก มันน่ารำคาญนะ”

“ท ท่าน!!!! คนแล้งน้ำใจอย่างท่านมัน  มัน มันสมควรตาย!!!!” คาลุสกรีดร้องน้ำตานองหน้าอย่างอาฆาต ไม่รอช้าตวาดใส่ทหารอาทีเรียให้โจมตี กระสุนเลเซอร์นับสิบสายพุ่งเข้าหาเป้าหมายเดียว หมายจะฉีกร่างของวิลเลียมให้ขาดวิ่นไม่เหลือซาก!

   แต่กระนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่ตาของคาลุสกลับเป็นวิลเลียมที่หันบุหรี่มวนนั้นออกนอกตัว ก่อนที่ควันบุหรี่จะกลับกลายเป็นแสงและดูดกลืนแสงเลเซอร์ให้สูญสลายไปทั้งหมด!

“แสงเมื่อกระทบวัตถุควรจะหายไป แต่แสงที่กระทบกับรัศมีของแสงอาจทำปฏิกิริยาจนสูญสลายไปหมดก็ได้” วิลเลียมเอ่ย พร้อมกับรวบรวมแสงมาอยู่ในมือ ขึ้นรูปเป็นดาบแสงสีน้ำเงินเข้ม เขาสะบัดดาบแสงในมือและพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทันที!

   คาลุสย่อมรีบสั่งให้พวกทหารอาทีเรียเข้ามาคุ้มกันตนเอง แต่วิลเลียมกลับใช้มืออีกข้าง หยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมา ก่อนจะจุดและโยนบุหรี่ออกจนเกิดควันยาสลบกระจายในอากาศ ส่วนตัวเขานั้นจุดบุหรี่อีกมวนสูบแทนยาแก้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ท่วงท่าการต่อสู้นั้นพลิ้วไหวต่อเนื่องหลบหลีกการโจมตีของพวกทหารจนแต่ละคนค่อยๆล้มคว่ำลง เหลือแต่คาลุสที่ตอนนี้แม้พยายามจะอุดจมูกไม่ให้สูดควัน แต่เขากลับทำไม่ได้

“นอนซะ เรื่องของเธอน่ะยังต้องเก็บไว้สอบสวนต่อ” ในจังหวะที่วิลเลียมใช้มือปิดเปลือกตาของคาลุส เขากลับหันไปทางทิศที่ฟินน์ยืนอยู่ ในตอนนั้นเองที่ฟินน์เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างข้างหลัง ครั้นตนเองหันกลับไปกลับพบว่าขวานอันใหญ่กำลังจะจามใส่หัวเขา! “ก้มลง เจ้าหนู!”

   พอได้ยินเสียงเตือน ฟินน์ไม่รอช้ารีบก้มตัวลง ในขณะที่วิลเลียมพุ่งเข้ามาถึงตัวชายในชุดดำและฟาดดาบเลเซอร์เข้าใส่จนขวานนั่นหักสองท่อน เขากระชากเอาตัวฟินน์ออกมา และยืนเผชิญหน้ากับศัตรูที่ปิดหน้าตามองไม่เห็นว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ที่แน่ๆนี่ย่อมต้องเป็นพวกที่สะกดจิตทหารของอาทีเรีย และยังต้องเป่าหูให้คาลุสมาฆ่าเขาอย่างแน่นอน

“ถึงขนาดนี้แล้ว ต้องให้ถามไหมว่านายเป็นใคร” วิลเลียมเอ่ยถามหน้าตาเรียบเฉย ดวงตาสีส้มฉายแววเบื่อหน่ายเย็นชา เขาไม่เหมือนคนที่ชื่นชอบการต่อสู้ และยิ่งไม่ใช่คนที่สนุกกับการหาเรื่องใส่ตัว

ส่วนฟินน์ย่อมไม่ใช่คนโง่ แม้อีกฝ่ายเย็นชาไร้ความกระตือรือร้น แต่ท่าทางของวิลลียมไม่ใช่ท่านสุลต่านที่ง่อยเปลี้ยเสียขา แต่หมอนี่มีฝีมือทางการรบ!

   หรือจะอย่างที่ลุดวิกบ่นก่อนหน้านี้ เพื่อนของกิลเบิร์ตอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นแมวบ้านที่สงบเสงี่ยมไปได้!

“ไม่ยักรู้ว่าสุลต่านวิลเลียม ไกเซอร์ นอกจากชื่อเสียงเรื่องชู้สาวแล้ว เรื่องอื่นก็มีฝีมือเหมือนกันนะ” ชายนิรนามพูดเสียงเย็น หากแต่วิลเลียมไม่สนใจ เขาโยนบุหรี่ทิ้ง และจุดอีกตัวขึ้นสูบ ควันของบุหรี่ตัวนี้ก่อให้เกิดบาเรียแสงขึ้นรอบตัวเขา บุหรี่แต่ละตัวแทนคุณสมบัติมากมายที่สามารถใช้แทนอาวุธได้ ซึ่งเทคนิคที่ราวกับเวทมนตร์นี้ในจักรวาลจะมีสักกี่คนที่ใช้ได้ “หรือว่า เพราะว่าจริงๆแล้วนี่เป็นการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวเพื่อปกป้องร่างกายของตัวเองกันล่ะ”

   ฟินน์มองไปที่วิลเลียมอย่างนึกฉงน ร่างกายงั้นหรือ? ร่างกายของวิลเลียมมีอะไรที่ผิดปกติ?

   ฟินน์ย่อมไม่เข้าใจว่าคนๆนั้นหมายความว่าอย่างไร ส่วนวิลเลียมก็ไม่มีท่าทีจะตกอกตกใจอะไรกับคำพูดพวกนั้นด้วย เขาแสยะยิ้มอย่างไม่ยี่หระพลางสูบบุหรี่ก่อนจะคีบมันไว้ที่นิ้วในฐานะอาวุธ สงครามจิตวิทยาคราวนี้เขามองออกทะลุปรุโปร่งและเหนื่อยหน่ายกับมันเต็มทีแล้ว

“พวกนายเป็นชาวดาว ‘เวก้า’ ใช่หรือเปล่า”

“!”

   ดาวเวก้า?

“วิธีการแต่งตัวนั่น ไม่ใช่เพราะไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้า แต่เพราะพวกนายทำไม่ได้ สภาพอากาศบนดาวดวงอื่นจะทำลายผิวหนังภายนอกของพวกนาย ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกนายมาทำอะไรที่นี่ แต่ที่แน่ๆ พวกนายคงไม่ได้มาดีแน่ เป้าหมายของพวกนายคืออะไร เป็นดาวดวงนี้ หรือว่า...กิลเบิร์ต”

   วินาทีที่วิลเลียมเอ่ยถามแบบนั้น ฟินน์กลับเป็นฝ่ายที่ตกใจยิ่งกว่าคนถูกถามเสียอีก เพราะนั่นหมายความว่าเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากผู้มีพระคุณของเขา แต่ว่า จากที่เขาได้ยินมา กิลเบิร์ตไม่ควรจะมีศัตรูร้ายแรงที่ไหนนอกจากพวกที่เทสล่าอีกแล้ว แล้วทำไมพวกคนที่ดูอันตรายขนาดนี้ถึงเข้าโจมตีพวกเขาล่ะ แล้วแบบนี้ไม่ใช่แค่ที่นี่ พวกของลุดวิกที่เดินทางไปโคล์ว จะเกิดอันตรายอะไรขึ้นหรือเปล่า แค่คิดก็รู้สึกเวียนหัวผะอืดผะอมแล้ว

“ความชาญฉลาดของท่านสุลต่านนั้นนับว่ายอดเยี่ยม เพียงแต่ว่า ร่างกายของคุณน่ะ จะสามารถทนทานอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่กัน!” ว่าแล้วในตอนนั้นชายชุดดำก็กระชากดาบเลเซอร์ขึ้นบ้างและพุ่งเข้าใส่วิลเลียม

   วิลเลียมไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน เขาสะบัดคมดาบและดวลกับมนุษย์ดาวเวก้า ความเคลื่อนไหวของวิลเลียมรวดเร็ว และไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนกว่าตรงไหน ฟินน์ย่อมไม่เข้าใจว่าร่างกายของวิลเลียมมีอะไรผิดปกติอย่างที่เจ้าคนๆนั้นบอกสักนิด  ในสายตาของเขา วิลเลียมค่อนข้างจะเก่ง ไม่สิ เก่งมากทีเดียว!

“เจอแบบนี้หน่อยเป็นไง!” ฝ่ายศัตรูสร้างสนามพลังและยกปืนกลเลเซอร์ที่ซ่อนไว้ออกมายิงเข้าใส่อีกฝ่าย ส่วนวิลเลียมนั้นหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นจุดและโยนกลับไป เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวทะลุทะลวงจนฟินน์ต้องรีบกางบาเรียปกป้องพวกคนที่สลบเหมือดอยู่ก่อน นี่เป็นการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร

   ในตอนนั้นเองที่ฝ่ายศัตรูมองมาทางฟินน์ จริงอยู่ว่าตัวของวิลเลียมนั้นไร้จุดอ่อน ทว่า จุดอ่อนสำคัญที่สุดของพวกเขากลับมีมากล้นเหลือ นั่นก็คือ ทหารพวกนี้!

   หากมีทหารอาทีเรียตายเพราะเรื่องนี้ นี่ย่อมกลายเป็นปัญหาใหญ่ และมันจะสร้างปัญหาที่ไม่รู้จบให้กับชายาของท่านเจ้าอาณานิคมที่รับผิดชอบดูแลเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้อย่างกิลเบิร์ตแน่นอน! เมื่อคิดได้เช่นนั้นฝ่ายศัตรูจึงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งเข้าใส่จุดที่ฟินน์กางบาเรียอยู่!

   ฟินน์แม้เป็นเอสเปอร์ที่พลังเกินมาตรฐาน แต่เขายังไม่พร้อม ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ ทั้งการฝึกปรือ เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แกร่งขนาดนี้ ทันทีที่ดาบเลเซอร์ของศัตรูปะทะบาเรียของฟินน์ บาเรียกลับแตกสลาย จังหวะที่คิดว่าคงไม่รอดแน่ๆแล้ว พริบตานั้นวิลเลียมกลับพุ่งเข้ามาใช้คมดาบรับแรงกระแทก แต่เพราะเขาสนใจอยู่แต่กับคมดาบนั่นจึงเปิดช่องว่างให้ปืนกลเลเซอร์ยิงเข้าที่สีข้างจนเลือดพุ่งไหลทะลักออกมา! ทว่า ที่ฟินน์ตกใจที่สุดกลับไม่ใช่บาดแผล แต่เป็น สีของเลือด!

   เลือดสีน้ำเงิน!

“คุณวิลเลียม!!!!” ฟินน์กรีดร้องอย่างตระหนก เขาสับสนแล้วไม่รู้ว่าควรตกใจในเรื่องไหนมากกว่ากัน หากแต่วิลเลียมกลับยังกัดฟันหยัดยืน ถึงตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ปะทะกันในระยะประชิดแบบนี้หากศัตรูยิงซ้ำที่หัวเขาย่อมตายแน่นอน  ตายน่ะอยากตายแน่ แต่จะมาตายตอนนี้ไม่ได้!

   วิลเลียมไม่ได้เปิดกล่องบุหรี่แต่เขากลับใช้มือที่เปื้อนเลือดสีน้ำเงินเข้มของตนเองยื่นไปวางบนใบหน้าศัตรู ดวงตาสีส้มพลันเรืองแสงก่อนที่ศัตรูจะตระหนกว่าภายในร่างกายตนเองนั้นร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนมากจน จน...

“แก! นี่มัน! ความสามารถของผู้ใช้ปฏิสสาร!!!”

   ตูม!!!

   วินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามถูกคลื่นความร้อนจากในร่างของตนเองเผาผลาญจนระเบิด วิลเลียมก็ทรุดลงจมกองเลือด

“คุณวิลเลียม!!!”

   ค่ำคืนนี้ของสหายทั้งสาม ช่างหนักหน่วงเสียจริง
   

จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 17-04-2019 09:03:22
ตอนที่ ๒๙
การกระทำสำคัญกว่าคำพูด

   ในตอนที่วิลเลียมทรุดลงไปนั่นเองที่ฟินน์คิดจะไปตามคนมาช่วยแต่กลับถูกวิลเลียมรั้งตัวไว้ วิลเลียมย่อมรู้ว่าจะให้ใครมาเห็นตัวเองในสภาพที่มีเลือดสีน้ำเงินไหลออกมาไม่หยุดแบบนี้ไม่ได้ เขาไม่อยากถูกจับไปคว้านไส้เลาะสมองเป็นหนูทดลองในห้องดองศพหรอกนะ!

เขาใช้มือกุมบาดแผลก่อนจะหอบหายใจแรง และก้มหน้าซุกกับอกของฟินน์ วิลเลียมในตอนนี้ไม่เหลือสภาพจองหองอวดดีอีกแล้ว เขาบาดเจ็บสาหัสและความเป็นตายอยู่เท่ากัน ถูกปืนกลเลเซอร์ยิงขนาดนี้อาจจะเป็นม้าม ตับ หรือกระเพาะที่ฉีกขาดเสียหาย นี่ต้องถือว่าร่างกายเสียหายอยู่ในสภาพคล้ายศพไปแล้วครึ่งหนึ่งชัดๆ

“เฮ้อ เป็นการลงแรงที่ขาดทุนจริงๆ” ว่าแล้วก็ทอดถอนใจคว้าบุหรี่มาจุดสูบ ขอนอนแอ้งแม้งซบอกอีกฝ่ายสักหน่อยจนฟินน์ต้องมองเขม่นแรงมาก นี่คือคนบาดเจ็บสาหัสจริงๆใช่ไหม! นายไม่ได้ตอแหลใช่ไหม!!

“นี่คุณกำลังจะตายนะ! ช่วยตื่นเต้นรู้สำนึกหน่อยสิ!” ฟินน์กลายเป็นฝ่ายที่ต้องโวยวายเสียเอง ในเมื่อเจ้าซอมบี้กึ่งศพนี่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่ทั้งตัวเป็นสีน้ำเงินไปหมดแล้ว และมันคงจะน่าสยดสยองมากหากแทนที่สีน้ำเงินนี่ด้วยสีแดง ให้ตายเถอะ จริงๆแล้วพวกนี้ก็คือเลือดนั่นล่ะ!

   คนเลือดออกท่วมทุ่งแถมเนื้อฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ยังมาเอ้อระเหยสูบบุหรี่ปุ๋ยๆแบบนี้ได้ เมื่อกี้โดนยิงสมองเสียไปด้วยหรือเปล่าน่ะ! ยังไม่เป็นบ้าไปใช่ไหม!! แน่ล่ะว่าฟินน์ได้แต่โวยวายแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจ

“แล้วไง จะให้ร้องห่มร้องไห้ขอให้เด็กง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างเธอช่วยหรือไง ตลกน่ะ! เจ้าเด็กให้อาหารแมว!” วิลเลียมตอกกลับแรงพลางปรายตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างค่อนแคะ ตอนนี้ฟินน์รู้สึกว่าเจ้าสุลต่านบ้านี่ชักจะเริ่มน่าหมั่นไส้มากขึ้นทุกทีๆ ทั้งที่มีสภาพเป็นแมวป่วยจะถูกดองศพอยู่แล้ว ยังมีหน้ามายิ้มเย้ยเขา!

“อยากถูกดองศพนักหรือไง!” 

“ศพระดับฉันถึงถูกดองก็ยังดูดีล่ะนะ” วิลเลียมหัวเราะยียวนท่าทางไม่เหมือนคนที่กำลังจะเดินเข้าประตูผีสักนิด ท่าทางแบบนี้ถึงกับทำให้เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ถูก เขารู้สึกว่าคนๆนี้นิสัยเหลือรับจริงๆ

สำหรับฟินน์นี่คือสถานการณ์ที่ยากจะรับมือ แม้จะเคยเห็นกิลเบิร์ตบาดเจ็บ แต่ก็ไม่เคยเห็นถึงขนาดเครื่องในทะลักวิ่นทั้งเนื้อทั้งตัวขนาดนี้ ทั้งบาดแผลพวกนี้เอาเข้าจริงล้วนเกี่ยวข้องกับเขา ในการต่อสู้ครั้งนี้วิลเลียมช่วยเขาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงไม่อยากยอมรับนับถือ แต่นี่ก็คือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคนหนึ่งแล้ว

แต่อย่าคิดว่าเขาจะสิโรราบกราบกรานนะ!

นี่มันช่างเป็นผู้มีพระคุณที่น่าขยะแขยง ไม่เห็นจะน่าเคารพนับถือผ่องแผ้วไร้มลทินแบบคุณกิลเบิร์ตของเขาเลยสักนิด! ยิ่งพอรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณคนพรรค์นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห! ควรปล่อยให้ตายแล้วเอาไปคว้านไส้ทำมัมมี่แมวให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่าไหม!
แค่คิดน่ะมันได้ แต่จะให้เจ้าศพแมวสีซีดนี่ตายตรงนี้จริงๆย่อมไม่ได้ หากเป็นกิลเบิร์ตอาจใช้พลังจิตช่วยพยุงชีวิตห้ามเลือดไว้ได้ แต่ฟินน์ยังเป็นแค่เอสเปอร์ฝึกหัด เขาย่อมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น จะห้ามเลือดก็ลำบาก แต่จะนั่งร้องไห้ก็ใช่ที่ เพียงแต่แม้ใจอยากช่วยแต่นี่ก็เกินความสามารถของเขาจริงๆ ในตอนนี้เขารู้สึกตัวว่าตนเองไร้ประโยชน์จนถึงที่สุด ไม่เคยมีประโยชน์ต่อใครหรือสิ่งใดเลย น่าสมเพชเหลือเกิน

วิลเลียมเองก็ดูจะไม่ได้คาดหวังในตัวเจ้าเด็กอ่อนหัดตรงหน้าเขานัก ยิ่งมองสีหน้าท่าทางสำนึกผิดแบบนั้นมีแต่เขาจะยิ่งหมั่นไส้หนัก ให้ตายเถอะ เขาเกลียดเด็กพรรค์นี้จริงๆ! 

“ฉันไม่เอ็นดูเด็กบ้าแบบเธอหรอกนะ น่ารำคาญจริงๆ!” ท่านสุลต่านผู้ควรจะเป็นคนเจ็บบ่นต่อ พลางใช้มือของตนเองวางลงที่ปากแผลเหวอะหวะน่ากลัวเพื่อประเมินสถานการณ์ “ม้ามท่าทางจะแตกไปแล้ว กระเพาะอาหารก็วิ่นไปแล้ว อืม หัวใจน่าจะใกล้หยุดเต้นแล้วล่ะ”

“นี่คุณ!”

“อยู่เฉยๆเถอะน่ะ!” วิลเลียมตะคอกใส่ก่อนที่เขาจะรวบรวมสมาธิอีกครั้งจนเกิดแสงสีน้ำเงินวาบขึ้น

ในตอนนั้นเองต่อหน้าต่อตาของฟินน์ที่ปากแผลของวิลเลียมค่อยๆปิดลง เครื่องในและผิวหนังค่อยๆผสาน แม้แต่เลือดสีน้ำเงินนั่นยังเหมือนกับค่อยๆจางหายไป เสื้อผ้าก็ค่อยๆถูกถักทอขึ้นใหม่ ทุกสิ่งเสมือนกลับไปก่อนหน้านี้ เสมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย ความสามารถแบบนี้มันแทบจะเป็นเวทมนตร์แล้ว แต่แน่ล่ะ วิลเลียมไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ เพราะทันทีที่เสร็จสิ้นการรักษา เขากลับทรุดหอบและซุกใบหน้าจมลงในอกของเด็กหนุ่ม ดูเหมือนการใช้พลังเช่นนี้จะทำให้เขาเหนื่อยมาก

“คุณ คุณเป็นเอสเปอร์เรอะ” ฟินน์ตั้งข้อสังเกต ตอนนี้เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพิงเข้ามาในอกของเขาโดยดี และเมื่อมองลงไปก็ยิ่งตระหนกว่าใบหน้าของวิลเลียมซีดมาก และเนื้อตัวก็เย็นมากด้วย อาการเช่นนี้คล้ายกับเวลาที่เอสเปอร์ใช้พลังจนหมดเรี่ยวแรงแบบกิลเบิร์ตก่อนหน้านี้ แต่ฟินน์ไม่รู้สึกถึงพลังจิต ไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังใดๆ ในเมื่อนี่ไม่ใช่เวทมนตร์ บางทีอาจเป็นอย่างที่เจ้าคนๆนั้นพูด “ผู้ใช้...ปฏิสสาร”

“หุบปากซะ!!!” วิลเลียมตะคอกใส่ หากแต่เขาในตอนนี้ปากแผลเพิ่งปิดและเสียเลือดไปเยอะ แค่ตะคอกก็เจ็บร้าวไปทั้งตัวแล้ว
“ถ้ายังรักชีวิตก็ห้ามบอกใครเด็ดขาด!” ท่าทีคุกคามชัดเจนเช่นนี้ฟินน์ย่อมรับรู้ว่านี่เป็นความลับที่สำคัญมาก ดูเหมือนตัวเขาจะเผลอมารับรู้เรื่องที่อันตรายสุดๆเข้าให้แล้ว

   อะไรคือผู้ใช้ปฏิสสาร?

“แล้ว คุณบิลลี่กับคุณกิลเบิร์ตรู้หรือเปล่าว่าคุณเป็นแบบนี้” เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้ในส่วนลึกจะรู้สึกว่าที่จริงแล้วสามคนนี่มีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันมาก เพียงแต่เขาในตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าอะไรกันที่ทำให้พวกเขาดูแปลกแยกจากคนอื่น หรือบางทีความแปลกแยกนี่เองที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาต้องมาคบหากันเอง

“สองคนนั่นเป็นกรณียกเว้น แต่ก็อย่าบอกเรื่องที่ฉันบาดเจ็บ ฉันไม่อยากให้พวกนั้นเป็นห่วง” วิลเลียมสำทับ
ฟินน์รู้สึกแปลกๆที่คำพูดแสดงน้ำอกน้ำใจทำนองนี้ออกจากปากของเจ้าศพแมวดองนี่ ทั้งที่ดูเย็นชาเลวร้ายสุดๆ แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่ามิตรภาพระหว่างเขากับพวกกิลเบิร์ตจะเป็นเรื่องจริง

“คุณก็อย่าดื้อนักสิ ถึงจะรักษาได้ แต่จริงๆก็คือเกือบตายไปแล้วใช่ไหมล่ะ!” ฟินน์ตะคอกกลับบ้าง อันที่จริงวิลเลียมกลับมามีสภาพเดิมได้เขาย่อมโล่งใจ แต่ในความรู้สึกของเขา หากนี่ไม่ใช่วิลเลียม แต่เป็นคนอื่น นั่นก็คือในคืนนี้เขาต้องฝังศพใครสักคนแน่นอน ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านี้เอง “เลิกเอาความเป็นความตายมาล้อเล่นได้แล้ว!”

   ประโยคสุดท้ายนั่นฟินน์ตะโกนขึ้นทั้งน้ำตา แถมดันไหลออกมานองใบหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดนิดๆ เขารู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก แค่คิดว่าจะมีใครมาตายในอ้อมแขนของตนเองก็น่าหวาดกลัวมาก แถมหากคนที่ตายคือคนที่ปกป้องเขาจนตายแทน นี่จะยิ่งเป็นเรื่องแย่ ท่าทีของเขาแบบนั้นเองที่ทำให้วิลเลียมเงยหน้ามองอย่างระอา ก่อนจะส่ายศีรษะนิดๆ

   วิลเลียมรู้สึกว่า เขาก็ยังรำคาญเด็กเปรตนี่อยู่ดี คิดว่าน้ำตานั่นใช้ดองศพได้หรือไง เจ้าเด็กเฝ้าห้องดับจิต!

“รู้หรือเปล่าว่าผู้ใช้ปฏิสสารคืออะไร” วิลเลียมเงยหน้าถามเจ้าเด็กเปรตที่ตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวเพื่อตัดรำคาญ แน่ล่ะว่าฟินน์ย่อมส่ายหน้าไม่เข้าใจ แม้วิลเลียมไม่อยากพูด แต่หากปล่อยให้เด็กนี่ไปค้นคว้าถามคนอื่นเอาเองย่อมไม่ใช่เรื่องดี หากต้องเป็นแบบนั้นมิสู้บอกข้อมูลให้พอรับรู้ไว้จะดีกว่าหรือ อย่างน้อยนี่ก็เป็นคนของกิลเบิร์ต เขารู้สึกว่าไม่น่าจะอันตรายนัก “ในจักรวาลนี้ เดิมทีมีสิ่งต้องห้ามอยู่สามอย่าง”

“สามอย่าง” เลิกหัวคิ้วพลางพยายามจับศีรษะของวิลเลียมให้พิงเข้ามาที่อกของตนเองให้เขาได้พักให้ถนัด ดูเหมือนเจ้าศพแมวดองนี่ยังต้องการพักผ่อนอีกสักนิด 

“หนึ่งคือเอสเปอร์ โดยเฉพาะเอสเปอร์ที่มีพลังมหาศาลอย่างกิลเบิร์ต แต่เพราะว่าสหพันธ์ดาวเคราะห์ต้องการทำสงคราม เอสเปอร์ที่เกิดขึ้นมาจึงกลายเป็นอาวุธที่ล้ำค่าที่สุด กฎหมายเรื่องนี้จึงถูกแก้ไข สองคือ มนุษย์ด้อยพันธุกรรม และสาม...ผู้ใช้ปฏิสสาร”

   สิ่งมีชีวิตสามประเภทที่ตามกฎหมายดั้งเดิมของสหพันธ์จัดว่าต้องกำจัดทิ้งทั้งหมด แต่เพราะหลังจากที่มนุษย์แสวงหาความก้าวหน้าในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้มากขึ้น พวกเขาก็เปลี่ยนนโยบาย คัดสรรสิ่งที่ควรใช้ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตนเอง เอสเปอร์ถูกใช้ในการรบจึงสามารถเปลี่ยนกฎหมายได้ไม่ยาก แต่เปลี่ยนแล้วยังไง ในสายตาของวิลเลียม มนุษย์ก็ยังเห็นว่าเอสเปอร์เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง ถูกใช้เพื่อทำสงคราม แสวงหาประโยชน์ แถมยังอายุสั้นถูกปลดประจำการง่าย อายุเท่ากิลเบิร์ตก็ถูกเรียกว่าเป็นทหารชราหมดประโยชน์แล้ว

   ในตอนที่พูดเรื่องนี้ฟินน์รู้สึกว่าวิลเลียมนั้นหงุดหงิดนิดๆ คลับคล้ายว่าการที่เขาเป็นผู้ใช้ปฏิสสารอะไรนี่เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด ใบหน้าที่เชิดหยิ่งผยองนั่นแลดูซีดเซียว และดวงตาสีส้มก็สั่นไหว เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนี่ถึงเป็นเรื่องเศร้าขนาดนั้น

“คุณไม่อยากเป็นผู้ใช้ปฏิสสารอะไรนี่ใช่มั้ย” ฟินน์ถาม คำถามนั่นทำเอาวิลเลียมแทบอยากหัวเราะใส่

“ไม่มีใครอยากเป็นตัวประหลาดหรอก เอ้าลุกขึ้นได้แล้ว เจ้าเด็กเฝ้าห้องดับจิต!”

“หา!”

“เห็นคนจะตายเลยสลดเสียขนาดนั้น เรียกแบบนี้นั่นล่ะดีแล้ว! หรืออยากเป็นสัปเหร่อกันล่ะ!” ยิ้มหยันใส่พลางค่อยๆหยัดกายขึ้นนั่ง เส้นผมสีเงินยวงของวิลเลียมนั้นปรกลงมาบนใบหน้าของเขา ในขณะที่ดวงตาสีส้มนั้นเหมือนจะเจตนาปรายตามองเหยียด ท่าทางของวิลเลียมทำให้ฟินน์รู้สึกว่าเขาคล้ายแมวจริงๆนั่นล่ะ

เป็นเจ้าแมวขนสีขาวที่เชิดหยิ่งแสนยโสโอหัง ปากเสียไร้มารยาท ไร้คุณธรรมจรรยา เจ้ามัมมี่แมวไส้ทะลักในโหลดองศพ! ไม่น่ารักสักนิด!!

“คุณ คุณมันก็แค่ศพแมวดอง!” ใช่ ก็แค่แมวแห้งๆในโหลดองเท่านั้นแหละ!

“โฮ่! ปากกล้าดีนี่!” วิลเลียมหัวเราะหยันเขามองหน้าเจ้าหนูที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ซังกะตายแบบเมื่อครู่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ชอบพวกสิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าจะตายมิตายแหล่ เห็นแล้วมันช่างขัดนัยน์ตา โดยเฉพาะนี่เป็นเด็กที่เพื่อนรักของเขาให้ความสำคัญ เขาย่อมไม่อยากกิลเบิร์ตเสียแรงเปล่ากับเด็กประเภทนั้น “งั้นก็ไปกันเถอะ”

“ไป?”

“ทำงานต่อน่ะสิ” 

   ไม่มีเวลาอธิบายรายละเอียดอีกแล้ว ในตอนนั้นเองเกิดระเบิดขึ้นเต็มท้องฟ้าแสงสีละลานนัยน์ตา และมีดาวตกดวงหนึ่งร่วงไปทางประตูหน้าของพระราชวัง วิลเลียมลืมความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลยันกายลุกขึ้น แม้ฟินน์จะร้องห้ามแต่ตอนนี้วิลเลียมคล้ายจะกลับมาเป็นตัวเขาที่เชิดหยิ่งผยองเช่นเคยแล้ว

“จำไว้หากนายรักกิลเบิร์ต อย่าได้เอาเรื่องต้องห้ามนี่ไปเล่าให้ใครฟัง”

“เพราะว่ามันจะเป็นผลร้ายกับพวกคุณงั้นหรือ” ฟินน์เอ่ยถามอีกครั้ง ในส่วนลึกของหัวใจเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เพียงแต่ตอนนี้เขากลับยังนึกไม่ถึงว่าสิ่งใดกันแน่ที่เขาสมควรต้องหวาดกลัว

“ถ้าอยากอยู่อย่างสงบ ก็ไม่ควรรู้ไปมากกว่านี้ ถึงเธอจะโง่มาก แต่ก็รู้ใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร” วิลเลียมสำทับอีกครั้งก่อนจะออกวิ่งไปที่จุดที่ดาวตกทันที ส่วนฟินน์นั้นไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำได้แต่แสร้งเมินเฉยและวิ่งตามไป

   เพียงแต่ว่าในตอนนี้ หัวใจที่เคยว่างเปล่าของเขาพลันบังเกิดบางสิ่ง เขาอยากรู้ในสิ่งที่วิลเลียมพูด อยากเข้าใจ อยากค้นหา เขาอยากรู้ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอสเปอร์เช่นตัวเขา และมนุษย์ต้องห้ามอีกสองประเภทที่วิลเลียมพูดถึงนั่นคืออะไรกันแน่

   ความอยากรู้อยากเห็นนี่เองที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างมากเป็นครั้งแรกในชีวิต

ในตอนที่พวกเขาไปถึงที่จุดเกิดเหตุ บิลลี่ที่ตอนนี้เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงก็วิ่งมาพร้อมกับเฟรเซียพอดี หญิงสาวครั้นพอเห็นฟินน์ก็แทบจะกระโจนเข้าหา เพียงแต่ว่าฟินน์รู้สึกได้ว่าน้องสาวของเขาตัวสั่นมาก สั่นราวกับว่าเพิ่งเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวมาหยกๆ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเฟรเซีย การที่ต้องเป็นพยานเห็นการรัวกระสุนเลเซอร์สังหารศัตรูของบิลลี่จนฝ่ายตรงข้ามเละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั่นย่อมไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด

“คุณบิลลี่...” ฟินน์หันไปทางบิลลี่ แต่ฝ่ายนั้นกลับยิ้มร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เลือดที่อยู่บนตัวเขาอย่างไรก็ไม่ใช่เลือดของตัวเขาเองแน่ๆ บิลลี่ต้องฆ่าคนแบบไหนกันถึงมีเลือดฝ่ายตรงข้ามย้อมจนเสื้อเปลี่ยนสีถึงขนาดนั้น ฟินน์ย่อมไม่กล้าถามต่อ ทว่า วิลเลียมกลับมองเพื่อนของตนเองอย่างพินิจ เขาจ้องมองก่อนจะเอ่ยทักขึ้น

“เก็บไปแล้วหรือ” นั่นย่อมหมายถึงศัตรู

“นายก็เหมือนกันสินะ” บิลลี่ตอบพลางยิ้ม มองแบบนี้แล้วคล้ายกับเด็กหนุ่มใสซื่อไร้มลทินคนนึ่ง แต่วิลเลียมกลับกางแขนออกและโอบกอดเอาเจ้าแมวส้มเพื่อนของเขาเข้ามาในอก ส่วนบิลลี่นั้นนอกจากจะไม่ปฏิเสธกลับคลอเคลียในอกของเพื่อนตัวเองราวกับเด็กน้อยขาดความอบอุ่น ในสายตาของฟินน์ วูบหนึ่งเขาดันเห็นเป็นเจ้าแมวอ้วนขนทองกำลังซุกไซ้ขอไออุ่นจากแมวขาวขนปุยแสนก้าวร้าวตรงหน้า

   นี่มัน...ภาพหลอนชัดๆ!

“นายโอเคนะ เจ้าหนู” วิลเลียมว่าพลางจูบเบาๆที่ใบหูของเพื่อน เขารู้ว่าบิลลี่กำลังตกอยู่ในอารมณ์แบบไหน นี่ก็คือเจ้าเด็กขาดความอบอุ่นที่หลังจากอาละวาดมาเต็มคราบแล้วนึกอยากอ้อนใครสักคนนั่นเอง เพราะนิสัยแบบนี้นั่นล่ะ วิลเลียมถึงสงสัยว่าเจ้าหนูนี่ทำไมยังเวอร์จิ้นอยู่ได้ หากให้คิดเป็นเหตุเป็นผลหมอนี่ควรเสร็จเจ้าโจรสลัดประสาทเสียนั่นไปนานนมแล้วแท้ๆ

“อุ่นจังเลย” บิลลี่ยิ้มกริ่มถูไถซอกคอของวิลเลียม ในขณะที่วิลเลียมมองเพื่อนด้วยแววตาที่แม้แต่ฟินน์ยังรู้สึกได้ว่า นั่นเป็นสายตาอ่อนโยนเอ็นดูอย่างยิ่ง คนเย็นชาแบบนั้นแต่กลับอ่อนลงหลายส่วนเพื่อบิลลี่ ฟินน์รู้สึกได้ว่าคนๆนี้เองก็มีหลากอารมณ์มากเหมือนกัน 

   หากแต่ทว่าในตอนนั้นเองที่ประตูวังค่อยๆถูกเปิดออกแล้วโดยอัตโนมัติ ใครบางคนเจตนาเปิดประตูวังเพื่อให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคนในเมือง แต่ที่น่าตระหนกที่สุดก็คือยามนี้คนที่กำลังยืนขวางประตูหยัดยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขานั่นก็คือ กิลเบิร์ต!
ดาวตกเมื่อครู่คือกิลเบิร์ตที่ตามมาดูสถานการณ์ที่ประตูวัง หากแต่เขาช้าไปไม่สามารถห้ามการเปิดประตูได้ ตอนนี้จึงเหลือแต่การเผชิญหน้าที่เลวร้ายที่สุดแทน

   กิลเบิร์ตนั้นลงมือฆ่าศัตรูไปแล้วโดยที่มือของเขาไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด การต่อสู้เป็นสัญชาตญาณของทหาร และแม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นท่านนายพลกิลเบิร์ตที่เก่งกาจคนเดิม แต่ใช่ว่าในสมองของเขาจะไม่รู้สึกตึงเครียดเลย ทั้งเรื่องเล่าของศัตรู ทั้งสถานการณ์การรบของเทสล่า สรุปได้ว่าศัตรูพวกนี้ไม่ใช่แค่คิดร้าย แต่ยังต้องคิดการใหญ่บางอย่างด้วย เพียงแต่นั่นย่อมต้องสะสางกันภายหลัง ตอนนี้เขามีปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องแก้ไขเสียก่อน

“นึกแล้วเชียว เล่นของแข็งกันเลยนะพวกแก” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มพลางสบถ อย่างที่คิดเมื่อเปิดประตูวังออก ไม่ใช่แค่คนในวังที่ถูกสะกดจิต แต่กองทัพมหาชนที่กำลังมาเผชิญหน้ากับเขาในขณะนี้ก็คือประชาชนนับหมื่นคนในซัลบูร์ก!

   ฝ่ายศัตรูสะกดจิตชาวซัลบูร์กนับหมื่นคนในคราวเดียว!

“ปล่อยข่าวเรียกความเกลียดชัง ใช้ความไม่พอใจในตัวฉันเป็นเครื่องชักจูงจิตใจ สร้างความเกลียดชังหมู่เพื่อจะได้สะกดจิตคนทั้งเมืองให้มาฆ่าฉันสินะ!” กิลเบิร์ตตวาด ยามนี้เบื้องหน้าเขาก็คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสะกดจิตจนดวงตาแดงก่ำ ต่างคนต่างถืออาวุธมาหมายฆ่าเขาให้ตาย

พวกกิลเบิร์ตในตอนนี้ถูกปิดล้อม หากพวกเขาปล่อยไว้ไม่ทำอะไร คนพวกนี้จะเข้ามาสังหารพวกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอลุดวิกกลับมาพรุ่งนี้พวกเขาคงเหลือแต่เศษเนื้อแล้ว แต่หากเขาตอบโต้ นี่ก็จะถูกมองเป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์เช่นเดียวกับที่เมทิส! นี่คือการพยายามบีบให้ฆ่า บีบให้ต้องเล่นบทตัวร้าย!

   นี่เป็นเล่ห์อุบายที่ชั่วร้ายที่สุด!

“เจ้าพวกนั้นรู้ว่าทำแบบนี้แล้วพวกมันจะได้ประโยชน์ ดูท่านายคงไปเหยียบเท้าใครเข้าเต็มๆแล้วล่ะ” วิลเลียมเดินมายืนเคียงข้างกิลเบิร์ตพลางวิจารณ์ไปด้วย “พวกนั้นตามนายมาเพื่อฆ่านายให้ตายสนิท ความลับที่นายไปรู้มามันใหญ่โตขนาดนั้นเลยสินะ”

“ตอบตามตรง ฉันยังไม่รู้เลยว่าไปเหยียบเท้าเจ้าพวกนี้เอาแบบไหนน่ะ!” กิลเบิร์ตว่า แค่เรื่องที่เมทิส หรือการที่เขาห้ามเฟรเดอริคก่อสงครามกับซิลวานี่ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนถึงขนาดที่พวกนั้นจองล้างจองผลาญจะฆ่าเขาเชียวหรือ “โทษทีนะ ทำให้พวกนายลำบากไปด้วย”

“ไร้สาระ! เพื่อนต้องช่วยเพื่อนสิ! เห็นคนอื่นเห็นตัวอะไร!” บิลลี่ที่กลับเป็นปกติแล้วบอก เขาสั่งให้ฟินน์กันเฟรเซียถอยไปข้างหลังแล้ว ในตอนนี้ควรเป็นพวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่ออกหน้าเองมากกว่า “จะทำยังไงต่อไป พลังของนายคนเดียวไหวมั้ย”

“เฮ้ นายคิดว่าพูดอยู่กับใครน่ะ! เจ้าหนูเวอร์จิ้นอย่างนายน่ะหลบไปเลย!” กิลเบิร์ตแสยะยิ้มตอบแต่บิลลี่กลับหน้าบูดบึ้งใส่ จนแทบจะเอากระบอกปืนฟาดใส่หน้าเพื่อนแล้ว เคราะห์ดีที่กิลเบิร์ตยอมพูดต่อ “ล้อเล่นน่ะ ช่วยฉันหน่อย ตรึงพวกนี้ไว้ อย่าโดนรุมยำตายอนาถเสียก่อนล่ะ!”

   ว่าแล้วไม่ทันรอคำตอบกิลเบิร์ตก็กระโจนขึ้นฟ้าในทันที ส่วนวิลเลียมกับบิลลี่กลายเป็นสองคนที่ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับชาวซัลบูร์กที่ตอนนี้ตาแดงวาววับต่างสืบเท้าเข้ามาหาพวกเขาแล้ว วิลเลียมมองหน้าบิลลี่อย่างไม่มีทางเลือก ถึงขั้นนี้หากปฏิเสธย่อมไม่ใช่เพื่อน แต่เหนืออื่นใด กิลเบิร์ตรู้ว่าสามารถไว้ใจพวกเขาได้จึงได้ไม่รั้งรอแม้กระทั่งคำตอบ

“นี่เจ้าหนูบิลลี่ ไหวสินะ” วิลเลียมแซวอีกฝ่ายต่อ บิลลี่เริ่มรู้สึกอยากฟาดคนด้วยด้ามปืนอีกคนแล้ว

“นายนั่นล่ะ กลิ่นเลือดหึ่งเลย อย่ามาเดี้ยงไปก่อนละกัน! ไปล่ะนะ!” ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วิ่งขึ้นหน้าไปพลางเปลี่ยนกระสุนเป็นกระสุนเลเซอร์แล้ว เพียงแต่ว่าคำพูดทิ้งท้ายของเขาย่อมทำให้วิลเลียมหัวเราะ

“จมูกดีจริงนะ”  ใช่แล้วถึงเลือดจะหายไป แต่คนบางประเภทก็ยังไวต่อกลิ่นอยู่ดี “เอาล่ะ มาลุยกันอีกสักตั้ง อืม หวังว่าม้ามของฉันจะไม่หลุดออกมาอีกรอบนะ” ประชดตัวเองแล้วก็หัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 17-04-2019 09:03:49
   วินาทีนั้นวิลเลียมกับบิลลี่ต่างพุ่งเข้าชนกับฝูงชน คนหนึ่งสาดกระสุนเลเซอร์แบบอ่อนเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมวลชนให้ช้าลง ในขณะที่วิลเลียมจุดบุหรี่ของตนเองเพื่อใช้ควันในการชะลอการเคลื่อนไหวของมวลชน ส่วนดาบแสงในมือนั้นใช้ปัดป้องอาวุธมากมายที่ประดังประเดใส่พวกเขา เจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งสองคนย่อมคิดว่าให้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่เป็นแบบเมื่อครู่ย่อมสบายกว่ามาก การต้องออมมืออยู่ตลอดเวลาแบบนี้ทำให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นหลายเท่า

   ฝ่ายกิลเบิร์ตเขาในตอนนี้รวบรวมสมาธิและพลังของตัวเอง เขาจะต้องถอนการสะกดจิตหมู่ในคราวเดียว เพียงแต่ว่าการทำอะไรแบบนี้ย่อมต้องเปลืองเรี่ยวแรงและทันทีที่ทำสำเร็จเขาอาจจะร่วงหมดสภาพไปบนพื้นเป็นศพแมวตากแห้งถูกเหยียบจนบี้แบนเลยทีเดียว แต่จะให้ไม่ทำก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้นี่อาจเป็นแผนการของพวกต่างดาวที่คิดอ่านทำอะไรก็ตาม แต่หากปล่อยประชาชนไว้ในสภาพนี้ การสะกดจิตจะไปกดระบบประสาทของพวกเขา ในระยะเวลาอันสั้นพวกเขาอาจสมองเสื่อมหรือกลายเป็นคนพิการ หากไม่ช่วยเหลือในตอนนี้ เขาก็เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นชายาของลุดวิกแล้ว

“ให้ตายเถอะ นี่เพื่อคุณเลยนะ เจ้าสามีถังขยะ!” กิลเบิร์ตหัวเราะเบาและยังฉีกยิ้มได้เช่นเคย ช่วยไม่ได้ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นประชาชนของลุดวิก ก็เท่ากับเป็นคนของเขาด้วย และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนของตนเอง ที่ข้างล่างตอนนี้เพื่อนของเขากำลังลุยกับพวกประชาชน หากช้าเกินไปอาจเป็นเขาที่ต้องไปเก็บศพแมวบ้าสองตัวข้างล่างนั่น “เอาล่ะนะ!”

   ในตอนนั้นเองกิลเบิร์ตรวบรวมพลังสร้างดวงอาทิตย์จำลองขนาดย่อมขึ้น แสงสีส้มสาดแสงรุนแรงจนทำเอาสายตาแทบพร่าเลือน ทั้งแสงและความร้อนเรียกความสนใจจากเหล่าผู้ถูกสะกดจิตด้านล่างในทันใด ก่อนที่ดวงตาของกิลเบิร์ตจะเรืองแสงสีแดงสด นี่คือการถอนสะกดจิตหมู่ด้วยการใช้พลังจิตในครั้งเดียว!

   ยิ่งเร่งพลัง ยิ่งพยายามรวบรวมสมาธิ กิลเบิร์ตกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาเองเพิ่งพ้นจากการต่อสู้กับอารอนมาไม่นาน สภาพร่างกายไม่ได้อยู่ในภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด การที่จะถอนการสะกดจิตหมู่คนจำนวนมากขนาดนี้ยิ่งทำให้ระบบประสาทของเขาเองแบกรับภาระหนักหนาสาหัส ทั้งร่างร้อนราวกับจะระเบิด ทั้งการใช้จิตสื่อสารกับมวลชนและกระแทกผ่านสนามพลังมวลชนเข้าไปกลับกินแรงยิ่ง

“ฉันไม่รู้ว่าพวกแกต้องการอะไร แต่อย่าได้ใจไปนักเลย!”

   วินาทีที่กิลเบิร์ตกางสนามพลังและเร่งพลังจิตต่อต้านพลังขั้วตรงข้าม สมองของเขาพลันชาวาบขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในสมอง!

   ในภาพสีขาวนั่นเขาเห็นเด็ก เด็กชายผมสีดำตาสีดำที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ ก่อนที่เหมือนเด็กชายจะหันไปพูดกับใครบางคน เด็กชายหัวเราะและส่งยิ้มท่าทางมีความสุขสดชื่นอย่างมาก นั่นเป็นในสวนของที่ไหนสักแห่ง สถาปัตยกรรมแปลกตา ผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าผิดแผก กิลเบิร์ตไม่แน่ใจว่านั่นคือที่ไหน ทว่า เด็กคนนั้น เด็กคนนั้น

   นั่นคือตัวเขา!

   ตัวเขาเองในวัยเด็ก ความทรงจำที่สาบสูญไปและไม่เคยนึกขึ้นมาได้เลย แต่ทำไมกัน ทำไมถึงมานึกขึ้นได้ในตอนนี้!!

“ฉัน ฉัน อย่าหายไปนะ! ขอฉันดูอีก! นายเป็นใคร! นายอยู่ที่ไหน! ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลย!!!”

   เพียงแต่ว่าคำร้องขอนั้นไม่อาจเป็นจริง ความทรงจำสว่างจ้าเพียงชั่วครู่ก่อนจะแวบผ่านหายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่รู้สึกตัวอีกที กิลเบิร์ตกลับรู้สึกว่าเขากำลังร่วงสู่พื้นด้วยความเร็ว มิหนำซ้ำในตอนนั้นเองที่ดวงตาของเขาพลันประสานกับปากกระบอกปืนที่เล็งยิงเขามาจากด้านล่าง! นี่คือการลอบกัด!

“บัดซบเอ๊ย!” สบถออกมาพลางยิ้มหยัน เขาในตอนนี้สิ้นเรี่ยวแรงสิ้นพลัง ไม่อาจปัดป้อง เป็นแต่เป้านิ่งให้ยิงเท่านั้น น่าเสียใจจริงๆ สู้อุตส่าห์พยายามแทบตาย จะมาตกม้าตายตอนจบงั้นหรือ “แต่แบบนี้ คุณก็ว่าฉันไม่ได้แล้วนะ ลุดวิก”

   ประชาชนของคุณ...ก็คือคนของฉัน

“ฉันจะว่าอะไรภรรยาของฉันได้งั้นหรือ”

   เอ๋!

     วินาทีนั้นเองที่ท่านเจ้าอาณานิคม ลุดวิก ชไนเดอร์พุ่งเข้ามาคว้าร่างของกิลเบิร์ตที่กำลังจะตกกระแทกพื้นไปอย่างรวดเร็วพลางยกปืนขึ้นยิงไปยังโจรลอบกัดอย่างแม่นยำ ก่อนจะใช้อุปกรณ์สุญญากาศชะลออัตราแรงกระแทกในเสี้ยววินาที แต่กระนั้นก็ยังทำให้พวกเขาพุ่งเข้าชนกับกำแพงด้านหน้าของพระราชวังอย่างแรง!

   ตูม!

    ฝุ่นควันโขมงท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ตอนนี้นิโคลัสกับลูคัสให้ทหารเข้าควบคุมสถานการณ์แล้ว ทว่า ราวกับปาฏิหาริย์ ประชาชนชาวซัลบูร์กต่างค่อยๆหายจากอาการถูกสะกดจิต พวกเขากำลังค่อยๆกลับมามีสติ แต่ว่าคนที่กำลังกรีดร้องอย่างสุดเสียงในตอนนี้กลับเป็นกิลเบิร์ต

“เจ้าคนบ้า! ทำไม! ทำไมทำแบบนี้!!!!” กิลเบิร์ตร้องลั่นแม้ตัวเองก็อยู่ในสภาพไม่สมประกอบเช่นกันแต่การกระทำของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจของเขาแทบสลาย ลุดวิกช่วยเขาไว้ แล้วยังใช้ร่างกายตัวเองรับแรงกระแทกแทนเขา บาดเจ็บจนเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด ทั้งที่เขาร้องลั่นขนาดนี้แต่เจ้าคนเจ็บนั้นกลับไม่มีร้องเลยสักแอะ เข้มแข็งเยี่ยงชายชาติทหารที่ทรหดอดทนอย่างยิ่ง ทั้งที่ไม่ใช่เอสเปอร์หรือสิ่งมีชีวิตที่แปลกแยกอะไรเลย ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนน่ะ!

“ยังต้องให้พูดอีกเรอะว่าทำไม เป็นเจ้าแมวเถื่อนที่ความจำสั้นเสียจริงนะ” ลุดวิกที่แม้บาดเจ็บแต่ก็ยังยิ้มพลางลูบข้างแก้มของคนในอ้อมแขน “เธอยอดเยี่ยมมากนะ ภรรยาคนเก่งของฉัน” เอ่ยชมด้วยความรักชื่นชม ทั้งที่บาดเจ็บแต่กลับกอดภรรยารักไว้ในอ้อมอกอย่างรักใคร่ที่สุด ในเสี้ยววินาทีที่เขาเห็นภาพของกิลเบิร์ตที่กำลังจะตกกระแทกพื้น เขาคิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียคนๆนี้ไปแล้ว แต่หลังจากทุ่มสุดตัว ตอนนี้เขายังสามารถกอดกิลเบิร์ตไว้ได้อีกครั้ง นี่ย่อมเป็นความยินดีปรีดาที่เขาแสวงหาแม้จะต้องแลกกับอะไรก็ตาม

“คุณมันบ้า บ้าไปแล้ว!” กิลเบิร์ตตะโกนใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม ถึงตอนนี้หน้าของเขาแดงก่ำ และนัยน์ตาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา น้ำตาดันไหลออกมาอาบแก้มด้วยความรู้สึกมากมายระคนปนกัน คนๆนี้ทำอะไรเพื่อเขามากเกินไปแล้วจริงๆ

“อย่าร้องไห้ ฉันปลอดภัยดี ทุกคนปลอดภัยดี” จูบลงที่หน้าผากและยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนมาดมั่นที่สุด ความรู้สึกของเขาถ่ายทอดผ่านดวงตาจนทำให้คนมองถึงกับปวดแปลบในอก

“แผลขนาดนี้จะปลอดภัยได้ยังไง! นี่คุณ ฉัน ฉัน...” กิลเบิร์ตสับสนจนพูดไม่เป็นคำ อยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาไม่มีค่าขนาดนั้น ไม่สำคัญขนาดนั้น คุณสิที่สำคัญที่สุด

   ทำไมคนสำคัญแบบคุณ ถึงต้องทำเพื่อฉัน!

“ฉันรักเธอนะ”

“!”

“เขาว่ากันว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูดไม่ใช่หรือ”

   และหากสามารถสละตัวเองเพื่อเธอได้ ฉันก็จะทำ


จบตอน
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 17-04-2019 09:05:46
ตอนที่ ๓๐
เรื่องน่าตกใจของเจ้าแมวเถื่อน

   คืนนั้นทั้งลุดวิกกับกิลเบิร์ตถูกส่งเข้าโรงพยาบาลทั้งคู่ คนหนึ่งใช้พลังจิตจนหมดเกลี้ยงร่างกายอยู่ในสภาพจำศีล ส่วนอีกคนบาดเจ็บจากการกระแทกอย่างแรง ทว่า สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ ก่อนที่พวกนิโคลัสจะรุดมาดูอาการของลุดวิก เป็นวิลเลียมที่ใช้พลังใช้ฐานะผู้ใช้ปฏิสสารช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อของลุดวิกไว้ให้เขาพ้นขีดอันตราย แต่ด้วยประการเช่นนี้เองวิลเลียมจึงทรุดตามไปด้วยอีกคน เดือดร้อนบิลลี่ที่กลายเป็นญาติคนป่วยจำเป็นต้องมาเฝ้าหน้าห้องพยาบาล ส่วนฟินน์กับเฟรเซียนั้นเข้าให้ปากคำกับพวกลูคัส ในชั่วพริบตาเรื่องราวที่ราวกับฝันร้ายก็ผ่านไป

   บิลลี่ในฐานะอัยการของสหพันธ์ดาวเคราะห์ขออนุญาตต่อต้นสังกัดสืบสวนเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่ข้อสรุป ได้ความว่ากลุ่มขุนนางเก่าที่สนับสนุนเจ้าชายอ๊อตโต้นั้นได้รับการติดต่อจากกลุ่มที่อ้างว่าเป็นมนุษย์ดาวเวก้า ให้หยิบยืมใช้อุปกรณ์สะกดจิต เจ้าชายอ๊อตโต้ตัดใจฆ่าคาร์ล เออร์เนส คนรักก็เพื่อล่อให้กษัตริย์ลุดวิกกับลูคัสผู้เป็นประธานรัฐสภาคนปัจจุบันเดินทางไปพบ และจัดการลอบสังหารขึ้นในคุก แต่เพราะลุดวิกมีทหารเอสเปอร์ของกิลเบิร์ตติดตามไปด้วย ประกอบกับเขาอ่านเกมออกและสามารถจัดการเรื่องที่โคล์วลงได้ เจ้าชายอ๊อตโต้จึงถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเพิ่มเติม แต่ไม่ทันข้ามคืนก็มีรายงานว่าเขาตายกะทันหันด้วยยาพิษ

   ส่วนลุดวิกครั้นพอจัดการเรื่องที่โคล์วได้ก็พอเดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องที่เมืองหลวง พวกทหารเอสเปอร์ไม่ได้มีพลังจิตมากเท่ากิลเบิร์ต จึงสลับกันใช้เทเลพอร์ตส่งพวกลุดวิกกลับมาเมืองหลวง ทันกับที่พวกกิลเบิร์ตถูกลอบโจมตี สุดท้ายกิลเบิร์ตใช้พลังถอนการสะกดจิตโดยไม่มีใครเสียเลือดเนื้อ ส่วนขุนนางที่ทรยศดวงดาวเป็นกบฏถูกจับกุมขณะพยายามลอบสังหารกิลเบิร์ตผู้มีฐานะเป็นชายาของเจ้าอาณานิคม แต่ไม่นานก็ตายจากอาการถูกพิษเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่คาลุสที่ตายอย่างปริศนาในคืนนั้นเอง รายงานนี้สุดท้ายออกมาเป็นว่าทุกอย่างเป็นแค่ข้อกล่าวอ้าง ไม่มีพยานบุคคล ไม่มีหลักฐานอ้างอิง การสรุปสำนวนของบิลลี่เป็นไปในแนวทางที่แม้แต่ตัวเขายังนึกหงุดหงิด

   คนร้ายคิดแผนมาอย่างดีว่าเมื่อพยานตายหมด ก็ไม่มีใครสืบมาถึงตัวพวกมัน ทุกสิ่งที่พยานพูดก่อนตายย่อมเป็นแค่ข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย

   ลุดวิกนั้นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากวิลเลียม เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ทั้งกิลเบิร์ตและวิลเลียมกลับหมดสภาพด้วยกันทั้งคู่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ในกรณีของวิลเลียม ฟินน์เป็นคนแจ้งว่าวิลเลียมเพียงต้องการพักผ่อน ห้ามไม่ให้เจาะเลือดหรือให้อาหารทางสายยางเด็ดขาด แม้จะฟังดูแปลกประหลาด แต่เพราะอ้างคำสั่งของท่านสุลต่านผู้เป็นแขกเมือง คณะแพทย์จึงยอมรามือ

จนเข้าสัปดาห์ที่สอง เที่ยงนี้ลุดวิกมาเยี่ยมอาการของแขกเมืองที่เขาชังน้ำหน้ายิ่งกว่าอะไร เพียงแต่ว่าคนที่เขาชังแสนชังคนนี้กลับเป็นคนที่ยืนเคียงข้างภรรยาของเขาในการสู้รบ และยังช่วยเขาไว้ด้วย หลังจากรออีกฝ่ายฟื้นตัวมาสักพัก ในที่สุดก็จะได้คุยกันเป็นกิจจะลักษณะ

“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ็บตัว” ลุดวิกเอ่ยเรียบๆด้วยใบหน้าขึงขังเช่นเคย ในขณะที่วิลเลียมเอาหัวพิงหมอนเลิกดวงตาขึ้นมองโดยมีฟินน์ยืนอยู่ข้างๆ จะชั่วจะดีฟินน์ก็รู้ว่านี่เป็นผู้มีพระคุณของเขาจึงไม่สามารถทิ้งไม่ดูดำดูดีได้ ในยามที่บิลลี่ไปดูแลกิลเบิร์ต เขามักจะรับอาสามาอยู่เป็นเพื่อนให้วิลเลียมเรียกใช้งาน แม้ว่าในความเป็นจริงวิลเลียมจะแทบไม่เคยเรียกใช้เขาเลยก็เถอะ
“ขอบคุณที่ช่วยปกป้องซัลบูร์กและภรรยาของฉัน” ลุดวิกเอ่ยต่อ

“ภรรยาคุณก็เพื่อนฉันเอง ไม่ต้องมาพูดพิรี้พิไรหรอก ว่าไง หายหึงแล้วหรือยังท่านกษัตริย์” วิลเลียมแสยะยิ้มกึ่งล้อเลียนจนฟินน์ที่ยืนฟังอยู่นึกอย่างแช่งให้หมอนี่หลับไม่ตื่นจริงๆ แน่ล่ะว่าลุดวิกพอฟังคำถามก็มุ่นคิ้วหนักมาก ในสายตาลุดวิกยามนี้เห็นต้องตรงกับฟินน์ว่าหมอนี่มันช่างเป็นศพแมวนอนพังพาบที่พูดมากเสียเหลือเกิน สมควรเอาไปดองใส่โหลนัก

   เพียงแต่ว่า คนจับไปดองอาจจะถูกข่วนหน้าแหกเละไปเสียก่อนนี่สิ กับแมวไม่รักดีเช่นนี้ ลุดวิกคิดว่าเขาควรเตือนให้หนักหน่อย

“ถ้าคิดจะทดสอบกันแบบนี้ขอเตือนให้คุณเลิกเสีย เพราะว่าใช่แล้ว ฉันเป็นคนขี้หึงมาก ฉันไม่ทำร้ายภรรยา แต่กับคนอื่นน่ะไม่แน่” เขาเอ่ยอย่างขึงขังพลางแสยะยิ้มยอมรับความใจแคบในเรื่องนี้ของตนเอง วิลเลียมเองก็นึกไม่ถึงว่าลุดวิกจะกล้าข่มขู่กันตรงไปตรงมาขนาดนี้ นี่หากเขาไม่ป่วยอยู่หมอนี่จะชกเขาหน้าหันไหม “ฉันรักกิลเบิร์ต เขาจะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของฉัน ชายาของกษัตริย์แห่งอาทีเรียจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”

   ยามนั้นที่วิลเลียมมองหน้าผู้ชายตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึงเป็นครั้งแรก เขาพานพบคนมามาก ได้เห็นสามีที่ปฏิบัติต่อภรรยามาหลากหลาย แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่สามีที่ดีอะไรนัก ไม่สิ ค่อนข้างเลวด้วยซ้ำ ส่วนลุดวิกเป็นผู้ชายมีอำนาจ เขามีทรัพย์สิน มีเกียรติยศ เป็นคนใหญ่คนโต แต่คนๆนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีให้กิลเบิร์ตนั้นไม่ถูกจำกัดด้วยยศถาบรรดาศักดิ์เหล่านั้น เขาพิสูจน์ไม่ใช่ด้วยคำพูดเลื่อนลอย แต่เป็นการกระทำ

“นี่ คุณรู้ใช่ไหมว่ากิลเบิร์ตยังต้องเผชิญกับปัญหาอีกมาก อีกหกเดือนหากเขาแพ้คดีที่เทียร่า เขาอาจจะกลายเป็นอาชญากรสงคราม ถึงตอนนั้นคุณจะทำยังไง” นั่นคือเรื่องในอนาคตอันใกล้ และมันใกล้มากจนวิลเลียมนึกหงุดหงิด คนๆหนึ่งที่สมบูรณ์พร้อมจะยอมเสียชื่อเสียงไปกับเอสเปอร์ที่ใกล้หมดอายุการใช้งานเชียวหรือ กิลเบิร์ตไม่มีอะไรให้ผู้ชายคนนี้สักอย่าง แล้วคนที่ทั้งยังหนุ่มแน่นและมีแววรุ่งโรจน์เช่นนี้จะรักมั่นในคนที่ไม่มีอะไรเลยขนาดนั้นเชียวหรือ “ว่าไง คุณจะทำยังไง”

   นาย...จะทำยังไงกับเพื่อนของฉัน?

“ฉันจะปกป้องเขา” คำตอบนั้นแสนจะเรียบง่าย มันเข้าใจง่ายเสียจนวิลเลียมยังแทบไม่เชื่อหูของตนเอง

“ปกป้อง...”

“ด้วยเกียรติของตัวฉันเอง ฉันจะปกป้องและภักดีต่อภรรยาของฉัน” ลุดวิกกล่าวซ้ำอย่างหนักแน่น

วินาทีนี้ในที่สุดลุดวิกเองก็ได้เข้าใจแล้วว่าผู้ชายที่ชื่อวิลเลียมนั้นคิดเห็นอย่างไรกับภรรยาของเขา การที่วิลเลียมพยายามยั่วโมโหตั้งแต่แรกที่มาถึงอาทีเรีย ไม่ใช่เพราะเขามีใจให้กิลเบิร์ตฉันชู้สาว แต่เป็นความห่วงใยในฐานะเพื่อนสนิท กิลเบิร์ตถูกเฟรเดอริคทอดทิ้งแล้วจับพลัดจับผลูแต่งงานกับเขาอย่างกะทันหัน มันแน่อยู่แล้วที่วิลเลียมจะต้องสงสัยในความจริงใจนี้ ดังนั้นทุกสิ่งที่วิลเลียมแสดงออกจึงเป็นละครปาหี่แมวๆฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ก็เหมือนกิลเบิร์ตที่แกล้งเลียขนของเจ้าแมวอ้วนขี้แย นี่ก็เป็นเจ้าแมวขนสีขาวที่ขู่ฟ่อๆข่วนใส่ทุกคนที่จะเข้ามาเล่นกับเจ้าแมวเถื่อนของเขา เป็นแก๊งแมวสามสีที่รักกันดีจริงๆ

   แน่ล่ะว่าวิลเลียมไม่รู้ความคิดของลุดวิกที่กำลังเห็นเขาเป็นตัวอะไรแบบนั้น เพราะถึงตอนนี้วิลเลียมก็ทำได้แต่ยิ้มรับคำพูดแสนมั่นคงของคนๆนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองบ้าไปเองที่ห่วงเรื่องนี้ เพื่อนรักของเขามีคนที่ดีดูแลแล้ว มีคนที่คู่ควรแล้ว กิลเบิร์ตไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเสียใจอีกแล้ว 

“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ” คำขอบคุณนี้ช่างน่าแปลก ลุดวิกรู้สึกว่าวิลเลียมขอบคุณอย่างถ่อมตนยิ่ง เขาดูประทับใจและพึงพอใจราวกับว่าคำพูดนั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาปล่อยวาง ลุดวิกถึงกับตั้งข้อสงสัยว่าเพราะอะไรวิลเลียมถึงได้ยึดติดกับความสุขของเพื่อนขนาดนั้น

   มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสามคนกันแน่

    ในขณะเดียวกันนั้นเองที่ฟินน์กลับรู้สึกวูบโหวงในอกเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของผู้มีพระคุณที่ไม่น่ารักเสียเลยคนนี้ เขาถึงกับตั้งคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมวิลเลียมจึงรู้สึกดีใจที่มีคนดูแลกิลเบิร์ตจนออกนอกหน้าขนาดนี้ แล้วตัววิลเลียมเองล่ะ มีใครดูแลเขาบ้างหรือเปล่า ถ้ามีคนดูแลแล้ว จะยังตีสีหน้าเย็นชาไม่สนใจไยดีชีวิตตัวเองอีกไหม?

   หรือว่าคุณดูแลคนอื่น แต่ไม่มีใครใส่ใจคุณเลยงั้นหรือ?

   ในตอนที่ลุดวิกกับวิลเลียมดูเหมือนจะญาติดีกันขึ้นหน่อยแล้วนั่นเอง ที่ตอนนั้นเองนายแพทย์ประจำราชวงศ์ขออนุญาตเข้าพบลุดวิกเป็นการเร่งด่วน สีหน้าท่าทางบอกไม่ถูกว่าดีหรือร้าย แต่ที่แน่ๆลุดวิกถึงกับตีสีหน้าเข้มขึ้นอย่างกะทันหัน แน่ล่ะว่าการที่แพทย์คนสำคัญมาพบเขาแบบนี้นั่นหมายถึงต้องมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับกิลเบิร์ตแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นกับชายาของฉัน” นั่นคือคำถาม

   (ต่อ)
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 17-04-2019 09:10:30
(ต่อ)

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองบิลลี่กลับกำลังพบกับปัญหาใหญ่โต เมื่อเช้านี้เขารีบบึ่งมาเยี่ยมกิลเบิร์ตแต่เช้าตรู่ แต่ปรากฏว่าจู่ๆกิลเบิร์ตที่ควรมีอาการดีวันดีคืนกลับมีอาการประหลาดกะทันหัน เขาอาเจียนไม่หยุดมาตั้งแต่เช้า ไข้ขึ้นต่ำๆ อ่อนเพลียหนักกว่าเดิม ซ้ำร้ายพยาบาลยกอาหารมาให้ก็กินได้ไม่กี่คำแล้วก็อาเจียนต่อ อาการย่ำแย่หนักมากจนหมอต้องมาตรวจเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่เพราะกิลเบิร์ตนั้นไม่รู้ว่าตนเองเป็นชาวดาวอะไร มีรหัสพันธุกรรมอย่างไร การตรวจและวินิจฉัยโรคจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก นี่ก็หลายชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่ได้ความ

“แย่แล้ว! นี่นายคงไม่ได้ป่วยหนักหรอกนะ!” บิลลี่ตอนนี้ว้าวุ่นมาก เดินไปเดินมาแทะเล็บตัวเอง สีหน้าเครียดสุดๆจนกิลเบิร์ตต้องขอให้เขานั่งลงซะเพราะเวียนหัว    

“ช่วยนั่งทีเถอะ ฉันจะอ้วก” คนป่วยนอนพังพาบหน้ามืด แทบจะมีกระโถนส่วนตัวประจำกาย เขาในตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้ ไม่เคยต้องอาเจียนติดต่อกันหลายชั่วโมงแบบนี้ ปกติต่อให้พลังหมดก็แค่นอนเฉยๆพักผ่อนเป็นผักสักเดือน แต่นี่มันคล้ายจะเป็นโรคร้ายแรงเสียแล้ว “หรือฉันจะติดโรคระบาด หรือสภาพแวดล้อมของที่นี่ทำให้ป่วย โอย ยิ่งยิ่งคิดคลื่นไส้” กิลเบิร์ตบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะอ้วกอีกรอบ จนบิลลี่ต้องเข้ามาลูบหลังปลอบ พอเห็นเพื่อนตัวเองหมดสภาพขนาดนี้ก็เริ่มน้ำหูน้ำตาไหล วิตกกังวลไปร้อยแปด

“อย่าตายนะกิลเบิร์ต! ถ้านายตายสามีนาย เฟรเซีย ฟินน์ พวกฉันต้องเสียใจมากเลยนะ! ห้ามตายนะ!”

“ใครจะตายฟะ! พ่อนายสิตาย!” กิลเบิร์ตโวยวาย สภาพบิลลี่ที่น้ำหูน้ำตาไหลร้องไห้ขี้มูกโป่งนี่มันขัดหูขัดตามาก คนป่วยคือเขานะ ทำไมเขาจะต้องมาปลอบหมอนี่เล่า! “หยุดร้องได้แล้ว! อุ้บ!” ว่าแล้วก็อ้วกต่อจนแทบจะหมดไส้หมดพุง

   สุดท้ายเจ้าแมวเถื่อนสุดร้ายกาจก็นอนพังพาบหัวหมุนอยู่บนเตียง โดยมีเจ้าแมวอ้วนสหายรักวิ่งสาละวนกับการโทรหาคุณหมอนู่นนี่นั่น แต่ก็ได้รับคำตอบว่ายังวินิจฉัยโรคไม่เสร็จ ส่วนกิลเบิร์ตก็หลับๆตื่นๆสลับกับอาเจียนไม่ยอมหยุดเสียที ตกเข้าเที่ยงวันเขาก็ยังกินอะไรไม่ได้ หมอกับพยาบาลที่เข้ามาดูอาการตีสีหน้าเคร่งเครียดสับสน ต่างคนต่างร้อนรน ช่วยไม่ได้ ก็คนที่นอนอยู่นี่คือชายาคนโปรดของกษัตริย์ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาพวกเขารับผลร้ายแรงนั่นไม่ไหวหรอกนะ

“โฮๆๆๆๆ!! อย่าตายนะกิลเบิร์ต!!!!” บิลลี่ร้องไห้ขึ้นอีกรอบพอเห็นกิลเบิร์ตอาเจียนเป็นรอบที่ยี่สิบแล้ว นี่มันโรคร้ายแรงอะไรที่ทำให้คนอาเจียนหนักขนาดนี้!!!

“ไม่ตายเฟ้ย!!!” ฝ่ายกิลเบิร์ตถึงจะโงนเงนหนักมาก แต่จะให้ยอมรับว่าจะตายแล้วนี่ก็ไม่ยอมเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาสงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ เขาป่วยหนักจนหมอวินิจฉัยโรคไม่ได้เลยหรือไง มีชีวิตมาจนป่านนี้จะต้องมาตายด้วยโรคที่รักษาไม่หายงั้นหรือ นี่มันจะโชคร้ายเกินไปแล้ว!!!! “เลิกร้องซะทีเถอะ ฉันปวดหัว โอย เห็นหน้านายแล้วยิ่งปวด” ปากว่าอย่างนั้นแต่กลับซบลงในอ้อมอกของเพื่อน เพิ่งรู้สึกตัวว่าเนื้อตัวบิลลี่นุ่มนิ่มกว่าที่คิด เหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ๆกอดแล้วสบายใจมากๆเลย “นุ่มจัง”

“เห!”

   ตอนนั้นเองที่เจ้าคนป่วยจัดการลากเจ้าแมวตัวเขื่องนอนลงข้างตัวแล้วกอดเสียเต็มรัก พอมีอะไรมากอดแล้วก็รู้สึกชื่นอกชื่นใจสบายเนื้อสบายตัวผ่อนคลายอย่างมาก แม้แต่อาการคลื่นไส้ยังรู้สึกดีขึ้น นี่ต้องเป็นเพราะพันธุกรรมสุดยอดของหมอนี่แน่ๆ

“เยี่ยมเลย นอนนิ่งๆนะ ฉันจะได้นอนเต็มตาเสียที” กิลเบิร์ตว่าพลางหลับตาพริ้มกอดเจ้าแมวขนทองตัวกลมมีความสุขเกินประมาณ ในขณะที่บิลลี่นั้นไม่มีทางขัดขืนคนป่วยได้ จึงเลือกจะนอนนิ่งๆไม่หือไม่อือ เพื่อนว่าดีเขาก็ว่าดี อีกอย่างนี่มันในโรงพยาบาลไม่มีใครคิดอกุศลกันหรอก!

   ทว่า สองสหายดูจะมองโลกในแง่ดีกันเกินไปนิด เพราะตอนนั้นเองที่จู่ๆประตูห้องพยาบาลก็ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักแน่นที่คุ้นหู เสียแต่สองแมวกำลังกอดกันกลมด้วยความรู้สึกแสนละมุนใครจะไปใส่ใจเสียงนกเสียงกาน่าหนวกหูแบบนั้นกันเล่า ช่างหัวนายสิ!

   แน่ล่ะว่าแขกผู้มาเยือน กำลังคิดว่าแมวสองตัวนี้สมควรโดนล่ามไว้คนละฟากตึกเสียจริงๆ!

“กิล นอนสบายไหม”

เอ๋!! เสียงคุ้นๆนะ!!

วินาทีนั้นที่เจ้าแมวขี้เล่นทั้งสองตัวเงยหน้ามองโจทก์พร้อมกัน พวกเขาย่อมพบกับรอยยิ้มเย็นเยียบกับสีหน้าแข็งทื่อของท่านราชาแห่งอาทีเรียที่ตอนนี้หากทำได้คงชกบิลลลี่หน้าแหกไปแล้ว บิลลี่สะดุ้งโหยงถอยกรูดหลังชนฝา กลายร่างเป็นแมวขี้อ้อนท่าทางเศร้าซึมสำนึกผิดอย่างแรง ส่วนกิลเบิร์ตเลิ่กลั่กหนักมากประหนึ่งภรรยาที่สามีจับชายชู้ได้คาเตียง แต่นั่นไม่ใช่ชู้เสียหน่อย! เป็นแค่หมอนข้างต่างหาก!!

“เอ่อ สบายมั้ง...” กิลเบิร์ตยิ้มแห้งท่าทางหลุกหลิกคล้ายคนที่รู้ตัวว่าทำความผิดร้ายแรง แต่เขาไม่ผิดนะ เขาก็แค่ไม่สบายก็เลยอยากหาท่านอนสบายๆเท่านั้นเอง! “ห้ามว่าฉันนะ! ฉันเป็นคนป่วยนะตอนนี้!” อ้างสิทธิคนป่วยประกาศเป็นยันต์กันผีหน้าตาเฉย เขาป่วยอยู่ ห้ามมาใช้กำลังหักหาญนะเออ!

“ฉันจะว่าอะไรเธอ ไหน บอกซิว่าฉันจะว่าอะไรเธอ” ลุดวิกยิ้มอย่างขี้เล่นก่อนจะปรายสายตาส่งสัญญาณให้เจ้าแมวขนทองรีบวิ่งปราดออกนอกห้องเร็วจี๋จนกิลเบิร์ตแทบร้องเรียกไว้ไม่ทัน

แย่แล้ว! พรรคพวกหนีไปแล้ว!!

“คุณจะหึงฉันอีกเหรอ นี่ฉันป่วยอยู่นะ! ถ้าสะเทือนใจมากฉันจะป่วยหนักขึ้นอีกนะ!” กระเง้ากระงอดเสียน่าสงสารจนลุดวิกอ่อนอกอ่อนใจ คนๆนี้ยามจะสู้รบกับใครก็แข็งแรงแกร่งกล้าเสียไม่มี พอจะอ้อนเหมือนเด็กๆก็อ้อนเสียจนคนฟังใจอ่อนยวบยาบ สภาพเจ้าแมวดำในตอนนี้นอกจากกอดปลอบแล้ว ลุดวิกก็นึกไม่ออกว่าเขาจะทำอะไรได้อีก “ฉันอาเจียนไม่หยุดตั้งแต่เช้า บิลลี่อยู่เป็นเพื่อน แถมเป็นหมอนข้างให้ด้วยนะ คุณนั่นล่ะไม่ยอมมาเยี่ยมสักที” ว่าพลางก็แกล้งงอนน้อยๆต่อว่าให้เป็นความผิดอีกฝ่าย แน่ล่ะว่าลุดวิกย่อมรู้ว่าแมวเถื่อนตัวนี้กำลังเล่นเล่ห์กล น่าจับตีจริงๆ

“ก็มาเยี่ยมแล้วไง ขอโทษนะที่มาช้า งั้นฉันจะอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนเลยดีไหม” ลุดวิกยิ้มพลางนั่งลงข้างเตียงและจับมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ อันที่จริงจะบอกว่าไม่หึงบิลลี่เลยนั้นก็ดูจะโกหก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตอนที่เขาเห็นภาพเมื่อครู่ แวบหนึ่งเขาก็ดันเห็นเป็นเจ้าแมวสองตัวนอนกอดกันกลมบนเตียง เอาเข้าจริงนั่นค่อนข้างจะน่ารักน่าชังมากกว่าน่าดุ ที่สำคัญตอนนี้ เขาไม่มีทางที่จะตำหนิอะไรภรรยาของเขาเด็ดขาด พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ เขากำลังมีความสุขมากจนโกรธใครไม่ลง “นี่กิล ฉันรักเธอนะ”

   ได้ฟังคำพูดอะไรแบบนั้นอย่างปุบปับ กิลเบิร์ตก็ผงะหน้าแดงไปเหมือนกัน เจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้นึกอยากพูดอะไรก็พูด ทำเอาเขาสับสนไปหมดแล้ว

“คุณบอกตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันรู้แล้วน่า!” เจ้าคนที่กำลังเขินหนักมากโวยแก้เก้อ

“แล้วเธอรักฉันบ้างหรือยัง” ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่าย มองจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำแสนสวยที่น่าดูน่าชมที่สุดสำหรับเขา เขาชอบคนๆนี้ รักมาก ต้องการมาก เมื่อรู้ใจตัวเองแล้วก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกปรารถนาได้ ทว่า ในตอนนี้ มันมีบางสิ่งที่มากไปกว่าความรู้สึกเช่นนั้นแล้ว

“ฉัน...เอ่อ...” กิลเบิร์ตย่อมลังเล ถึงบัดนี้รักหรือไม่เขายังไม่รู้หรอก “ฉันรู้แต่ว่า ฉันเป็นห่วงคุณ”

“ห่วงยังไง” จูบที่ข้างแก้มและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เฝ้าถนอมคนตรงหน้าอย่างดีที่สุด

“ถ้า ถ้าคุณบาดเจ็บ ฉันจะ...จะเสียใจนะ” นั่นเป็นความรู้สึกเดียวที่กิลเบิร์ตเข้าใจ ในตอนที่อารอนจะทำร้ายลุดวิก ในตอนที่ลุดวิกต้องไปโคล์ว ในตอนที่ประชาชนของลุดวิกจะเป็นอันตราย ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับลุดวิกล้วนสำคัญ ล้วนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ “ฉัน อยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง”

   ไม่อยากให้ลุดวิกต้องปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว ไม่อยากทำให้เดือดร้อน ไม่อยากทำให้ทุกสิ่งที่ลุดวิกให้ความสำคัญต้องพังพินาศลงไป แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรให้กับคนๆนี้ได้ นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นเองที่ลุดวิกพลันสวมกอดเขาเข้ามาในอ้อมอก ความอบอุ่นอ่อนโยนผ่านเข้ามาจนกิลเบิร์ตรู้สึกสบายใจขึ้นในบัดดล ยิ่งกว่าตอนที่กอดบิลลี่ แต่เป็นยามที่ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงนี้ มันอบอุ่นจนทำให้น้ำตานั้นไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว

“ฉันต้องป่วยมากแน่ๆ ดูสิ อยู่ๆก็ร้องไห้” กิลเบิร์ตแสร้งหัวเราะ แต่ลุดวิกกลับยิ้มและจูบเข้าที่ข้างแก้มของเขาอีกครั้ง กิลเบิร์ตเองก็รู้สึกว่านี่ช่างเป็นจูบที่เบาสบายและนุ่มนวลมาก ลุดวิกในวันนี้อ่อนโยนมาก

“เธอไม่ได้ป่วยหรอก เธอแค่ตั้งครรภ์เท่านั้น”

   หืม?

“อะไรนะ?” เมื่อกี้ลุดวิกพูดว่าอะไรนะ?

“ฉันบอกว่า ฉันแค่ทำให้เธอท้อง” ลุดวิกเอ่ยต่อด้วยคำพูดที่ฟังเข้าใจง่ายขึ้น

“เห!” เอียงคองงหนักมาก

   ท้อง? ใครท้อง? ใครทำใครท้องนะ?

   เดี๋ยวนะ!

“เธอท้องลูกของฉันแล้ว กิล” ลุดวิกตอบง่ายๆ และด้วยความง่ายนั่นเองที่ทำอีกฝ่ายติดสตั๊น

   ใช่ ติดสตั๊น...

“หา!!!!!!!!!”

   วินาทีนั้นกิลเบิร์ตกรีดร้องลั่นโรงพยาบาล ที่แท้เขาไม่ได้ป่วย แต่เขากำลังท้อง! กำลังท้องลูกของลุดวิก!!!! เดี๋ยวนะ!!!! เขาท้องได้ยังไงน่ะ!!!!!!

“เราควรจะตั้งชื่อลูกของเราได้แล้วนะ ภรรยาของฉัน”

   เชี่ย!             

     นี่เขาจะต้องคลอดเด็กงั้นเรอะ!!!!


จบตอน


หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-04-2019 11:49:12
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 18-04-2019 20:57:32
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-04-2019 22:40:04
ตลกกิลล์ สู้แทบตายไม่เห็นกลัว แต่พอรู้ว่าท้องกลับกลัวการคลอดลูก  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-04-2019 21:29:39
ตอนที่ ๓๑
เรื่องชุลมุนของเหมียวทรีโอ

แม้จะได้ยินคำพูดจากปากลุดวิกถนัดถนี่เต็มสองรูหู แต่กิลเบิร์ตไม่อาจรับข้อเท็จจริงนั่นได้ ยังไงก็ตามเขาก็ยังดื้อที่จะขอตรวจเลือดใหม่ ทั้งโวยวายทั้งแหกปากจิตตกอย่างรวดเร็ว แต่ต่อให้เขาจะตรวจเลือดเจาะจนพรุนไปทั้งตัว ผลก็คือเขาท้องนั่นล่ะ! ผ่านไปสองชั่วโมงหลังจากวุ่นวายไปทั่วโรงพยาบาล ในที่สุดกิลเบิร์ตก็สงบใจได้ ตอนนี้ยอมนั่งอยู่บนเตียงดีๆด้วยอาการรับสภาพหมดอาลัยตายอยากเป็นแมวดำตากแห้งซูบไปทั้งตัว ลุดวิกมองภรรยาอย่างเอ็นดูแล้วก็ลูบหลังปลอบประโลมอารมณ์ดีเสียจนไม่มีแก่ใจจะต่อล้อต่อเถียงใดๆ ตอนนี้กิลเบิร์ตอยากได้อะไร อยากทำอะไร เขาล้วนตามใจหนักข้อยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ฉันท้องได้ยังไง!!!!” กิลเบิร์ตโวยวายกับตัวเองพลางเอามือกุมหัวท่าทางสับสน หากเป็นแมวจริงๆคงเห็นเขาสะบัดหางฟึดฟัดขู่ฟ่อๆไปแล้ว

ถึงภรรยาอารมณ์เสีย แต่ลุดวิกที่นั่งอยู่ข้างเตียงกลับยิ้มอารมณ์ดีไม่สนใจอาการประสาทเสียของแมวเถื่อนตัวโข่งนี่เลยสักนิด ปฏิกิริยาของกิลเบิร์ตนั้นน่าขำนิดๆ แต่นี่ก็ช่วยยืนยันว่าก่อนหน้านี้กิลเบิร์ตไม่เคยคิดเรื่องท้องเลยสักครั้ง มาตอนนี้รู้ตัวอีกทีก็โดนเสกเด็กเข้าท้องตัวเบ้อเริ่มเสียแล้ว

“เธอกับฉันนอนเตียงเดียวกันตั้งแต่คืนแรกที่เจอ เธอคิดว่าเรากอดกันกี่ครั้งแล้ว ไม่ท้องสิแปลก” สามีผู้หน้าทนที่สุดในโลกหล้าเอ่ยเรียบๆแน่ล่ะว่ารอยยิ้มหล่อเหลาคมคายนั่นช่างไปด้วยกันไม่ได้กับวาจาแสนประเจิดประเจ้อชวนตบปาก กิลเบิร์ตนึกอยากด่าไปถึงพ่อหมอนี่แต่ก็นึกได้ว่าด่าไปหลายครั้งแล้ว ด่าจนพ่อของหมอนี่เป็นโรคซึมเศร้าแล้ว แต่ยิ่งด่าลุดวิกก็ยิ่งชอบใจซะงั้น คงต้องหาคำด่าใหม่เสียแล้ว! “เราอยู่ด้วยกันกี่คืน ฉันกอดเธอกี่ครั้ง ต้องให้ฉันนับให้ฟังไหม กิล”

“เดี๋ยวนะ! นี่คุณนับด้วยเรอะ!” หน้าตาตื่นตกใจหนักมาก ที่ลุดวิกบอกว่านับมันหมายถึงเรื่องอะไรน่ะ! นับตรงไหนว่าเป็นหนึ่งครั้งน่ะ! แค่คิดก็น่าอายจนหน้าแดงเถือกถึงใบหูแล้ว

“ก็เป็นเรื่องของความน่าจะเป็นนี่นะ เธอไม่คิดว่ามันสมเหตุสมผลรึ” คุณสามีเอ่ยเรียบๆตามหลักคณิตศาสตร์ คนนอนด้วยกันมีอะไรกันคืนละเกินกว่าหนึ่งครั้ง หากกิลเบิร์ตยังไม่ท้องเขาควรจะประหลาดใจมากกว่า

“ไม่สักนิด!!! โอย! เหนื่อย...” พูดถึงตรงนี้กิลเบิร์ตก็เริ่มหอบ เอาเข้าจริงเขาก็รู้แหละว่าตัวเองเริ่มแปลกๆ อาเจียนก็เยอะ ปวดหัว อ่อนแรง ทุกอาการที่เขาใช้ให้บิลลี่ไปหาเอกสารมาอ้างอิง นี่คือการอาการของคนท้อง! แต่ข้อเท็จจริงก็เรื่องหนึ่ง แต่ความจริงนี่ก็น่าตกใจเกินไปแล้ว! 

   ฝ่ายลุดวิกเห็นคุณภรรยาเริ่มเหนื่อยก็ช่วยลูบหลังรินน้ำให้ดื่ม ท่าทางมีความสุขแถมยังใจเย็นจนออกนอกหน้า ท่าทางแบบนี้ยิ่งกระตุ้นต่อมความหมั่นไส้ของคู่กรณีจนกิลเบิร์ตนึกอยากถีบหมอนี่ให้กระเด็น ผู้ชายไร้ยางอายนี่ดูกระดี๊กระด๊าเหมือนดีใจเหลือเกินที่ทำเขาป่องได้ เจ้าคนสารเลว! อยากรู้นักว่าเขาจะทำให้ลุดวิกท้องได้บ้างไหม! ลูกน่ะผลัดกันคลอดบ้างได้มั้ย!!

   อนิจจา กิลเบิร์ตย่อมไม่รู้ว่าผู้ชายอาทีเรียคลอดลูกเองตามธรรมชาติไม่ได้หรอกนะ!

“นี่คุณ คุณก็รู้ว่าอาชีพเดิมฉันเป็นทหาร เลี้ยงลูกไม่เป็นหรอกนะ!” เมื่อไม่อาจปฏิเสธความจริง สุดท้ายก็ได้แต่ต้องมาคุยกันดีๆอย่างเปิดอก กิลเบิร์ตไม่มีวันยอมเป็นศรีภรรยาแต่งงานเลี้ยงลูกอยู่บ้าน อย่าได้คิดว่าทำเขาท้องแล้วจะมายัดเยียดสถานะน่าเบื่อแบบนั้นให้นะ!

   ทว่า ลุดวิกยังคงยิ้มกริ่ม

“เธอไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเอง พี่เลี้ยงดีๆมีมากมาย แค่เธออุ้มเขาบ้างให้เด็กรู้ว่าเธอเป็นแม่ก็พอ” ลุดวิกตอบอย่างไม่ยี่หระใส่ใจมากนักดูราวกับว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไม่เป็นโล้เป็นพาย “ฉันขอให้เธอเป็นภรรยา เรื่องเลี้ยงเด็กเป็นหน้าที่ของครอบครัว ฉันไม่หวังให้เธอเลี้ยงลูกหรอก” คำพูดตรงไปตรงมาราวกับจะตอกใส่หน้าว่า เขารู้อยู่แล้วล่ะว่ากิลเบิร์ตไร้ความสามารถในเรื่องนี้ แต่แล้วไงล่ะ ภรรยาของเขาเก่งกาจขนาดนี้ จะให้อยู่บ้านเฉยๆเป็นแม่แมวเชื่องๆออกจะเพ้อฝันเกินไปหน่อยกระมัง

   นี่คือแม่แมวป่าเถื่อนที่คงจะพาลูกน้อยโจนทะโยนเล่นโลดโผนจนบ้านวินาศสันตะโรกันมากกว่า แยกตัวแม่กับลูกออกจากกันน่าจะเป็นการวางแผนครอบครัวที่ถูกต้องแล้ว แต่แม้ลุดวิกจะใจกว้างขนาดนี้ กิลเบิร์ตกลับยังไม่ยอมแพ้

“นี่ ฉันน่ะนิสัยเกเรมาก โวยวายมาก ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของลูกคุณหรอกนะ! ถ้าโตไปเห็นตัวอย่างแบบฉันต้องเป็นไอ้หนูอันธพาลไปทั่วจักรวาลก่อความเดือดร้อนเสียชื่อเสียงครอบครัวของคุณแน่!” ใช่แล้ว ต่อให้ตามใจภรรยาแค่ไหนก็ยังต้องไว้หน้าครอบครัวบ้างสิ! แต่แน่ล่ะว่าความคิดอันซับซ้อนไม่ธรรมดาของลุดวิก กิลเบิร์ตก็ไม่เข้าใจอีกนั่นล่ะ

“นิสัยเด็กจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ เธอคนเดียวไม่ทำให้เด็กเสียคนหรอก อีกอย่าง เป็นเด็กมีชื่อเสียงก็ดีนะ อาทีเรียเป็นดาวเงียบๆ ถือว่าสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว” คำพูดไร้ตรรกะจนคนฟังผงะ แถมลุดวิกยังยิ้มและลูบศีรษะฝ่ายตรงข้ามอย่างเอ็นดู “อีกอย่าง ลูกของเราก็ต้องเห็นฉันด้วย เขาจะเหมือนเธอหรือเหมือนฉัน ล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องเลือกนะ อย่าตีตนไปก่อนไข้เลย”

   คุณสามีผู้มองโลกในแง่บวกโอเว่อร์บอกอย่างใจกว้างสุดฤทธิ์ ได้ฟังแบบนี้แล้วกิลเบิร์ตเองก็อ่อนอกอ่อนใจรู้แน่ว่าเถียงไปตัวเขาย่อมเป็นฝ่ายแพ้พ่าย ถึงตอนนี้กิลเบิร์ตเริ่มปลง จะท้องก็ดี จะคลอดก็ช่าง ตราบใดไม่โผล่ออกมาเป็นเด็กบ้าแฝดสามอะไรทำนองนั้นเขาก็คิดว่าน่าจะโอเค เพียงแต่ว่า...

   เรื่องที่กิลเบิร์ตกังวล ยังมีอีกเรื่อง

“ลุดวิก ฉันน่ะไม่รู้พันธุกรรมของตัวเองนะ” นั่นคือสิ่งที่กิลเบิร์ตกังวลที่สุด ในยุคสมัยเช่นนี้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในจักรวาลมีรหัสพันธุกรรมที่ถูกจำแนกไว้ด้วยวิทยาศาสตร์ การเกิด การตาย การเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกสิ่งทุกอย่างค้นได้จากรหัสพันธุกรรม ก็เหมือนอย่างที่กิลเบิร์ตไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นชาวดาวอะไร เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ได้แต่ใช้สมมติฐานว่าตัวเองอยู่กับเฟรเดอริคมานานไม่ท้อง ก็คิดว่าคงจะไม่สามารถคลอดลูกได้ตามธรรมชาติ แต่ว่าทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด เขาตั้งท้องได้ แต่ทำไมถึงเพิ่งมาท้องกับลุดวิกกันเล่า “เด็กที่เกิดมาจะไม่รู้รหัสพันธุกรรมของตัวเอง คุณแน่ใจหรือว่านี่โอเค”

   คำถามนี้กิลเบิร์ตเชื่อว่าต่อให้เป็นลุดวิกก็คงตอบยาก เรื่องส่วนตัวระหว่างกันก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องของรหัสพันธุกรรมมีผลต่อลูกที่จะเกิดมา ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหน้าตาแบบมนุษย์โบราณของเทียร่านั้น มีสิ่งมีชีวิตหลากสายพันธุ์ ลักษณะคล้ายกัน แต่เนื้อแท้ไม่ใช่ นักวิทยาศาสตร์เคยคิดสมการผสมข้ามสายพันธุ์ออกมามากมายทำให้สามารถทำนายลักษณะของเด็กที่จะเกิดมาได้ แต่ในเมื่อกิลเบิร์ตไม่รู้ งั้นแล้ว...ลูกของพวกเขาจะเป็นแบบไหนกัน

   นึกไม่ถึงว่าจนแล้วจนรอด ลุดวิกลับยังกุมมือภรรยาและตอบอย่างนุ่มนวล

“ก็ต้องเป็นลูกแมวตัวน้อยๆที่น่ารักมากแบบเธอไงล่ะ”

“ลุดวิก นี่คุณ!” กิลเบิร์ตแผดเสียงประท้วงเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเอาแต่พูดเล่น แต่เพราะลุดวิกกอดเขาเข้ามาแนบอกในตอนนั้นเอง กิลเบิร์ตถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงขนาดไม่รู้สึกรู้สาอะไรขนาดนั้น “คุณอย่าล้อเล่นสิ นี่เรื่องลูกเรานะ”

“!” จังหวะนั้นลุดวิกถึงกับก้มมองภรรยาในอ้อมแขน กิลเบิร์ตถึงขนาดยอมใช้คำว่า

   ‘ลูกของเรา’

   จะมีอะไรน่าตื่นเต้นปลื้มปริ่มไปกว่านี้อีกเล่า!!

“ขอโทษที่ฉันดีใจจนเกินไป แต่ว่า ฉันสัญญาว่าจะช่วยเธอค้นหารหัสพันธุกรรมของเธอ เพื่อเธอ และเพื่อลูกของเรา แบบนี้วางใจหรือยัง” ลุดวิกกุมมือของกิลเบิร์ตและเอ่ยปลอบขวัญ เขาไม่เคยมีภรรยา และยิ่งไม่เคยมีลูก แต่เขารู้ว่าคนที่กำลังตั้งท้องจะต้องมีความอ่อนไหวมากขึ้น ยิ่งกิลเบิร์ตตอนนี้ไม่ใช่คนท้องธรรมดา แต่เป็นคนท้องที่กำลังมีทั้งคดีความติดตัว มีความสับสนทางความทรงจำ และยังความกังขามากมาย เขาอยากช่วยแบ่งเบา และอยากให้กิลเบิร์ตรู้ว่ายังมีเขาอยู่เคียงข้างอีกคน “งั้นแล้วเธอพอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหมว่า เธอจำอะไรได้บ้าง”

   ตอนนั้นเองที่กิลเบิร์ตเหมือนจะนึกขึ้นได้เรื่องภาพความทรงจำที่แวบเข้ามาในหัวตอนที่ใช้พลังจิตครั้งสุดท้าย เขาเกือบจะลืมมันไปแล้วเพราะวุ่นอยู่กับเรื่องอาการบาดเจ็บและเรื่องตั้งท้อง แต่มาตอนนี้เขานึกได้แล้ว และแม้ไม่อยากทำให้ลุดวิกเป็นกังวล แต่เด็กในท้องนี่ก็ลูกลุดวิกเช่นกัน หากมีอะไรเป็นเบาะแสสำคัญเขาควรเล่าให้ฟัง แต่พอเล่าไปแบบนั้นก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะพรรณนาให้เหมือนจริง กิลเบิร์ตเลยจับมือของสามีและใช้พลังจิต ใช้เทเลคิเนซิสสร้างภาพซ้ำในสมองของลุดวิก

   ภาพของอาคาร ตึกรามบ้านช่องที่แปลกแตกต่างจนกิลเบิร์ตอธิบายไม่ถูก เป็นวัฒนธรรมอีกรูปแบบที่กิลเบิร์ตไม่เคยเห็น นั่นย่อมต้องเป็นดวงดาวอื่น ผู้คนอื่น เพียงแต่ว่านั่นคือที่ไหนกัน?

   กิลเบิร์ตรู้สึกว่าต่อให้เป็นลุดวิก เขาจะไปรู้จักดาวที่มีวัฒนธรรมประหลาดแบบนั้นได้ยังไง

“นี่มัน คล้ายกับดาวอันทาเรส” ลุดวิกเอ่ย

“หา!” ดูเหมือนกิลเบิร์ตจะดูถูกความรู้รอบตัวของสามีตัวเองมากเกินไปหน่อย ลุดวิกไม่เพียงเอ่ยชื่อดาว แต่เขายังเอ่ยข้อมูลต่อไปอีก

“ฉันรู้จัก นั่นเป็นสถาปัตยกรรมแบบเอเชียโบราณของเทียร่า ในตอนนี้ที่เทียร่าสูญหายไปหมดแล้ว แต่กลุ่มคนที่สืบเชื้อสายโบราณออกมาตั้งถิ่นฐานบนดวงดาวใหม่ นั่นคืออาณานิคมอันทาเรส รู้สึกว่า ฉันจะเคยไปที่นั่นด้วยตอนเด็กๆ” สิ้นคำนั้นที่กิลเบิร์ตรู้สึกยะเยือกสันหลังขึ้นทันที เขามองหน้าลุดวิกอีกครั้งอย่างตระหนก แต่คล้ายอีกฝ่ายเข้าใจไปว่าเขากำลังมีความไม่มั่นใจจึงรีบกอดเขาให้แน่นขึ้น “ไม่ต้องกลัว ฉันจะรีบไปหาข้อมูลที่นั่นด้วยตัวเอง เธอรอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่ดีไหม” คำพูดแสนหวาน แต่คนรับฟังนั้นถึงกับหูผึ่งในทันที

   รองั้นเรอะ?

   พูดว่าให้รองั้นเรอะ?

“รอพ่อคุณสิ! ฉันจะไปด้วย!” กิลเบิร์ตโพล่งขึ้นทันทีพลางกระชากคอเสื้อสามีอย่างแรง หนอยแน่ะ! พูดจาเสียดิบดีนี่คือจะทิ้งกันงั้นเรอะ!

“เธอท้องอยู่จะเดินทางไกลได้ยังไงกัน เข้าใจด้วยสิ” ลุดวิกเอ่ยอย่างพยายามใส่ฟิลเตอร์สามีผู้ใจเย็นสุดฤทธิ์ แต่นี่เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้ดูยังจะไม่ยอมสิ้นลายง่ายๆ ยิ่งใจดีด้วยยิ่งเอาใหญ่!

“แล้วคุณไปคนเดียวคิดว่าจะหาอะไรเจองั้นเรอะ! นี่เป็นเรื่องของตัวฉันเองนะ ฉันจะไปด้วย!” กิลเบิร์ตโวยต่อ เจ้าแมวดำแสนดื้อด้านกางเขี้ยวเล็บวอแวไม่ยอมท่าเดียว จนลุดวิกชักจะเริ่มคิ้วกระตุก

“คิดว่าคนท้องสุขภาพจะเป็นยังไงกัน เกิดพลาดพลั้งได้รับอันตรายระหว่างอยู่ที่นั่นล่ะ ถึงเธอจะไม่ห่วงตัวเอง ก็ควรห่วงลูกบ้างสิ!” นั่นปะไรท่านราชาเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว แต่ฝ่ายภรรยานั้นหรือก็ไม่มีทีท่าจะถอยเช่นกัน

“ลูกฉันหัวแข็งแน่นอน! คุณนั่นล่ะปากว่าตาขยิบ! ไหนบอกไม่ทิ้งกัน ไม่ทันไรจะทิ้งฉันแล้ว! คนใจร้าย!” โต้กลับอย่างเอาแต่ใจ แถมด้วยภาวะอารมณ์ที่อ่อนไหวขึ้นทำเอากิลเบิร์ตบ่อน้ำตาแตกขึ้นมาจนลุดวิกตื่นตกใจต้องรีบลูบหัวลูบหาง เอ๊ย! ลูบหลังปลอบ ไม่ทันจะเป็นพ่อคนก็ต้องรบรากับภรรยาที่กำลังเอาแต่ใจเสียแล้ว

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 28-30 (17/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-04-2019 21:30:44

   ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก เพราะตอนนั้นเองที่ฟินน์กับเฟรเซียสองฝาแฝดบุกเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเลิ่กลั่กสับสน ต่างคนต่างแย่งกันพูดฟังไม่เป็นภาษาจนลุดวิกปวดหัวปวดหูไปหมด แต่ไม่ทันจะตั้งใจฟังให้ดีนายแพทย์ประจำราชวงศ์ก็บุกตามเข้ามาอีกคนพร้อมกับรายงานชวนสับสนหนักขึ้นไปอีกว่า ตอนนี้อัยการบิลลี่กับท่านสุลต่านวิลเลียมจู่ๆก็เป็นลมพร้อมกันก่อนจะลุกขึ้นมาอาเจียนไม่หยุด ทำเอาคนวิ่งวุ่นอลหม่านไปทั่วโรงพยาบาลแล้ว!

“อย่าบอกนะว่าสองคนนั่นก็ท้องด้วย!” ลุดวิกแผดเสียงลั่นอย่างตกใจหลุดมาด เขาไม่ได้นอกใจภรรยาจนไปทำเพื่อนภรรยาท้องนะ! เจ้านายแพทย์ประจำราชวงศ์นี่ทำไมมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบชวนกังขาแบบนั้น!! นี่คือจะกล่าวหาว่าเขานอกใจภรรยาด้วยเลยงั้นเรอะ!! “ฉันไม่ใช่พ่อเด็กในท้องสองคนนั่นนะ!!”

“ไม่ใช่ครับ!!!” คุณหมอรีบตัดบทก่อนที่ความเข้าใจผิดทางสายตาจะลามปาม ขืนใครผ่านไปผ่านมามาได้ยินเข้างานนี้เสียทั้งชื่อเสียงราชวงศ์และชื่อเสียงของแขกเมือง “ผมตรวจเลือดของท่านสุลต่านไม่ได้ แต่ตรวจของท่านอัยการได้ เขาไม่ได้ตั้งท้องแต่มีอาการเหมือนคนท้องมาก เอ่อ อาการแบบเดียวกับที่เกิดกับท่านชายาเลยครับ”

“!”

   ลุดวิกหันกลับไปมองหน้าภรรยาในทันใด แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้กิลเบิร์ตก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเช่นกัน เขารีบพยุงตัวเองลงจากเตียงเกาะแขนลุดวิกและขอให้พาเขาไปพบกับสองคนนั่น ซึ่งแน่นอนว่าลุดวิกไม่อาจปฏิเสธได้

   ครั้นมาถึงห้องพักของวิลเลียม กิลเบิร์ตกับลุดวิกถึงกับช็อค เพราะนี่มันคล้ายกับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนไม่มีผิด วิลเลียมกับบิลลี่นั้นต่างคนต่างนอนพังพาบกอดกระโถนอาเจียนไม่หยุด แถมจากรายงานแพทย์พวกเขามีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลียลงอย่างรวดเร็ว ลุดวิกรู้สึกราวกับว่าอาการที่เกิดกับกิลเบิร์ตถูกถ่ายทอดไปยังสองคนนี่ด้วย แต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?

“เอ่อ นายไม่ได้ท้องกับใครใช่ไหมบิลลี่” กิลเบิร์ตกระซิบถามเจ้าแมวอ้วนเพื่อนรัก แต่ตอนนั้นเองบิลลี่กลับหน้าแดงแป๊ดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองค้อนขวับ เสี้ยววินาทีนั้นคนมองอย่างลุดวิกรู้สึกว่าเจ้าแมวขนทองตัวอ้วนกลมกำลังพองขนใส่ พอมองค้อนๆแบบนี้ก็น่ารักดีอยู่นะ

“เจ้าบ้า! ฉันจะไปท้องกับใครงั้นเรอะ!” พูดไปก็หน้าแดงหูร้อนไปหมด นี่ย่อมเป็นเจ้าแมวเวอร์จิ้นรักนวลสงวนตัวอย่างยิ่ง แมวแบบนี้จะเคยถูกใครอุ้มไปเจาะไข่แดงกันเล่า

   แมวเวอร์จิ้นท้องไม่ได้หรอก!

   คราวนี้ลุดวิกกับกิลเบิร์ตหันขวับไปมองวิลเลียมที่ฟินน์กำลังลูบหลังให้อยู่ วิลเลียมตอนนี้อาเจียนหนักแถมหน้าซีดอย่างยิ่ง สีหน้าท่าทางเลวร้ายมาก ทั้งที่ตอนที่ลุดวิกเดินออกไปจากห้องเขาดูเกือบเป็นปกติแล้ว แต่ตอนนี้กลับอาการหนักกว่าเดิม แต่ครั้นลุดวิกจะถามเสียเองว่าท่านเคยมีสามีหรือเปล่าก็ดูจะชวนประดักประเดิดไปสักหน่อย ลงท้ายกิลเบิร์ตเลยต้องกัดฟันถามเพื่อนรักเสียงสั่น

“นี่วิลเลียม แน่ใจนะว่านายมีแต่ภรรยา” กิลเบิร์ตถามเสียคนถูกถามหน้าชามือสั่น วิลเลียมนึกอยากปากระโถนใส่หน้าเจ้าเพื่อนทรยศคนนี้ คนอย่างเขามีคนในฮาเร็มสองร้อยกว่าคนทั้งหมดล้วนเป็นภรรยา!

“นายกำลังจะถามฉันว่า เคยเลี้ยงสามีไว้ในฮาเร็มบ้างรึเปล่างั้นเรอะ!” วิลเลียมตอกกลับเสียงกร้าว นี่มันช่างเป็นข้อกล่าวหาที่ทำให้หน้าชาอย่างยิ่ง! ถึงการมีสามีไม่ใช่เรื่องที่มีปัญหา ถึงมีจริงๆเขาก็ไม่แคร์ แต่โดนถามตรงๆแบบนี้จะไม่ให้หงุดหงิดเลยก็เป็นไปไม่ได้หรอก!!

“เปล่านะ! นายอาจจะ แบบ เอ่อ ถึงโพสิชั่นจะเป็นสามีแต่ก็ท้องได้ไง!”

“ท้องไม่ได้เฟ้ย!!!!” ท่านสุลต่านตวาดแว้ดๆใส่ แต่ตวาดไปก็รู้สึกผะอืดผะอมจนฟินน์ต้องช่วยลูบหลัง อาการหนักจนต้องนอนพังพาบหมดสภาพอยู่บนเตียง ตอนนี้เขากลายสภาพเป็นเจ้าแมวขาวหน้าซูบเป็นศพแมวถูกดองจริงๆแล้ว

   แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ จู่ๆพอกิลเบิร์ตเห็นเพื่อนสองคนมีอาการหนักขึ้นๆ เขาก็ดันมีอาการผะอืดผะอมตามไปด้วย รีบวิ่งเข้าห้องน้ำอาเจียนด้วยอีกคนจนเฟรเซียตกใจวิ่งตามเข้าไปช่วยลูบหลัง ในตอนนั้นลุดวิกมองดูสถานการณ์น่าปวดหัวตรงหน้าแล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แมวทรีโอสุดซ่าสามตัวตอนนี้แข่งกันอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้ยินเสียงโอดครวญเป็นเสียงร้องแง้วๆชวนน่าสงสาร เอาล่ะ ยอมรับก็ได้ว่าเขานึกตื่นเต้นเอ็นดูว่านี่ก็น่ารักไม่เลว

   แต่ปัญหาก็คือภรรยาของเขามีคนเดียวนะ!!! จะให้เรื่องแดงคนลือว่าเขาเกิดทำเพื่อนภรรยาท้องอีกสองคนไม่ได้นะ!!!!

“แต่ทำไมคุณกิลเบิร์ตตั้งท้องคนเดียว ถึงทำให้ทั้งคุณบิลลี่กับคุณวิลเลียมมีอาการไปด้วยล่ะครับ!” ฟินน์ถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เพื่อนกันต่อให้สนิทแค่ไหนก็ไม่มีใครแพ้ท้องแทนกันหรอก! นี่มันผิดปกติแล้ว!

   ลุดวิกย่อมเข้าใจสิ่งที่ฟินน์พูด และยิ่งตระหนักว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดา กิลเบิร์ต บิลลี่ วิลเลียม คนสามคนที่เป็นแค่เพื่อนสนิททำไมกลับมีอาการแพ้ท้องพร้อมกัน ทั้งที่คนที่ตั้งท้องมีเพียงกิลเบิร์ตคนเดียว กิลเบิร์ตเป็นเด็กความจำเสื่อม ไม่รู้รหัสพันธุกรรมของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ไหนลูกเต้าเหล่าใคร งั้นแล้วอีกสองคนล่ะ?

   อัยการบิลลี่กับสุลต่านวิลเลียมเป็นตัวของพวกเขาอย่างที่พวกเขากล่าวอ้างประวัติของตัวเองหรือเปล่า รหัสพันธุกรรมที่สูญหายไปของกิลเบิร์ตเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า?

“บางทีที่อันทาเรสอาจมีคำตอบสินะ”

   ปริศนาของรหัสพันธุกรรมที่สูญหาย อาจอยู่ที่นั่น?

หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-33 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-04-2019 21:33:43
ตอนที่ ๓๒
ครอบครัวกำมะลอแสนสุขสันต์

   ด้วยเหตุวุ่นวายมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นลุดวิกจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหา แต่ครั้นจะเค้นหาความจริงรายบุคคลจากแก๊งเหมียวทรีโอสุดซ่าแก๊งนี้ก็ดูจะชวนปวดตับไตยิ่งกว่า ตัวหนึ่งก็ความจำเสื่อม ตัวหนึ่งแกล้งโง่ ส่วนอีกตัวเชิดใส่ไม่รู้ไม่ชี้ คนถามโง่แค่ไหนก็เดาออกว่าพวกนายมีปัญหากับความจริงบางอย่างใช่ไหม พวกนายกำลังสุมหัวปิดบังอะไรจักรวาลนี้อยู่หรือเปล่า นี่ช่างเป็นฝูงแมวที่สมควรหิ้วรายตัวไปใส่ถังขยะแล้วปิดฝาเขย่าๆให้หน้ามืดตาลายคายความลับออกมาจริงๆ

จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง มีอย่างที่ไหนพอกิลเบิร์ตอ้วก ทั้งบิลลี่กับวิลเลียมก็อ้วกตาม พอไข้ขึ้น อีกสองคนก็ไข้ขึ้นด้วย เป็นอุปทานหมู่หรือไงถึงได้ดูปวกเปียกตามไปหมดราวกับว่าสื่อใจถึงใจกันอย่างงั้น! ลุดวิกยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากจะเอาเลือดเจ้าพวกนี้มาแยกดีเอ็นเอหาความจำเพาะเหลือเกิน พวกนายแน่ใจนะว่าไม่ใช่ลูกแมวจากคอกเดียวกัน!

สุดท้ายลุดวิกย่อมต้องสงบสติอารมณ์ตัดใจจากการตีหัวแมวจับใส่ถังขยะ แต่ตัดสินใจจะเดินทางไปอันทาเรสตามล่าหาความจริงแทน แต่ครั้นจะไปคนเดียว เจ้าแมวเถื่อนที่บ้านก็ข่วนเขาหน้าแทบแหก ร้องโวยวายแสบแก้วหูตลอดเวลา แถมอีกสองตัวหลังยังหูผึ่งตะเกียกตะกายจะไปด้วย ทำเอาสองแฝดพี่น้องคนเลี้ยงแมววิ่งวุ่นวายตามไปด้วย วันๆเห็นฟินน์กับเฟรเซียรบราฆ่าฟันกับแมวสามตัวนี่จนลุดวิกแทบอยากรับสองคนนี่เป็นลูกบุญธรรม ช่วยดูแลปัญหาครอบครัวแทนเขาทีเถอะ!

เมื่อเห็นเจ้านายเครียดลงกระเพาะ ลูคัสกับนิโคลัสที่แม้จะวุ่นมากกับการเมืองก็จำต้องทำอะไรบางอย่าง ลูคัสเพิ่งเสร็จสิ้นการจัดงานศพน้องชายอาสาจะช่วยดูแลงานราชการของดวงดาวแทน โดยขอเฟรเซียผู้รู้ธรรมเนียมราชสำนักเป็นผู้ช่วยอีกแรง งานส่วนการทหารยกให้เป็นของนิโคลัสที่ยังไม่วายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสวดด่าท่านชายาเจ้าปัญหาตลอดเวลา มีอย่างที่ไหนเวลาปกติก็วุ่นวายมากพอแล้ว พอท้องแล้วแทนที่จะสงบเสงี่ยมกลับยิ่งสร้างความวุ่นวาย

สำหรับฟินน์ เขาจำยอมต้องเก็บข้าวของเดินทางไปช่วยลุดวิกดูแลแก๊งแมวที่ตอนนี้อารมณ์แปรปรวนหนักข้อ จนหนุ่มน้อยชักอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงที่ท้องนี่คุณกิลเบิร์ตคนเดียว หรือลุดวิกดอดไปกุ๊กกิ๊กกับอีกสองคนที่เหลือจนพลอยท้องไปด้วย! แต่พอเผลอคิดแบบนี้หนุ่มน้อยก็ต้องตบหน้าตัวเองเรียกสติ ก็เห็นๆอยู่ว่าลุดวิกทั้งรักทั้งหลงกิลเบิร์ตขนาดนี้ ไม่มีทางจะไปหาเศษหาเลยกับเพื่อนภรรยาหรอก! บิลลี่ยังพอเห็นว่าน่ารัก แต่อย่างเจ้าศพแมวดองใส่โหลตัวสีขาวนั่น น่าเกลียดจะตาย!

แต่ว่าอาการของบิลลี่กับวิลเลียมนั่นมันคืออะไร? ฟินน์คิดไปคิดมาก็สงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับที่วิลเลียมเป็นผู้ใช้ปฏิสสารหรือไม่ แต่เขาก็ลังเลที่จะไปบอกข้อมูลกับลุดวิก อย่างไรเสียนี่ก็เรื่องส่วนตัวของวิลเลียม ถึงไม่ชอบหน้ากันแค่ไหนเขาก็ไม่ควรก้าวล่วง จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในอกมองความวุ่นวายของครอบครัวลุดวิกอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

   หลังจากตบตีกันเสร็จทุกฝ่าย ข้อสรุปสุดท้ายของลุดวิกก็คือต้องดันทุรังไปอันทาเรสด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ แต่จากการตรวจสอบ อันทาเรสตอนนี้กำลังมีงานใหญ่คือการหาคู่ครองให้ท่านเจ้าอาณานิคม ซึ่งคนที่อันทาเรสเรียกว่า การประลองหาคู่ให้ฮ่องเต้ อะไรทำนองนั้นนั่นล่ะ ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงจึงพลุกพล่านอยู่ในความวุ่นวายเล็กน้อย ดังนั้นเพื่อความสะดวกก็จำเป็นต้องปลอมตัวกันบ้าง

   เริ่มจากลุดวิกที่คิดจะปลอมเป็นขุนนางมั่งคั่งชาวอาทีเรียพาภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันมาท่องเที่ยว แน่ล่ะว่าภรรยาของเขาย่อมต้องเป็นกิลเบิร์ต! แต่ว่า ปัญหามันอยู่ที่แล้วจะทำยังไงกับอีกสองคนที่มีอาการคลื่นไส้เวียนหัวเหมือนคนท้องอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นเล่า! จะให้บอกว่าเป็นอุปทานหมู่ของเพื่อนภรรยางั้นเรอะ พูดไปคนเขาจะหัวเราะใส่อย่างชังน้ำหน้าเท่านั้น

“ง่ายๆ คุณก็บอกว่าบิลลี่กับวิลเลียมเป็นภรรยาของคุณด้วยสิ!” กิลเบิร์ตบอกหน้าตาเฉยตาใสแจ๋ว คุณนายผู้นี้ช่างใจกว้างจนคุณสามีหน้าเหวอขนหัวลุก อดสะเทือนใจไม่ได้ว่านี่ไม่หวงสามีเลยเรอะ! หึงสิ! ช่วยหึงหน่อยสิ!!

“ฉันมีภรรยาคือเธอคนเดียว! คนที่ท้องก็มีแค่เธอคนเดียวด้วย!” ลุดวิกประกาศกร้าวหน้าดำหน้าแดง เขาบอกแล้วว่าจะไม่ยอมมีภรรยาคนอื่น แม้เป็นละครก็ไม่เอา อย่ามาเล่นตลกกับหัวใจของเขาเชียวนะ! อุตส่าห์คิดแบบนี้ แทนที่ภรรยารักจะซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา กิลเบิร์ตกลับตบหัวไหล่เขาปุๆ ก่อนจะยิ้มร่าหัวเราะแล้วพูดต่อหน้าตาเฉย

“คิดมากไปแล้ว แค่เล่นละคร เป็นลูกผู้ชายหัดใจกว้างๆหน่อยสิ!” แมวดำแยกเขี้ยวหัวเราะน้อยๆ ท่าทางมีความสุขที่กำลังจะได้ไปเที่ยวพักร้อน หลงลืมวัตถุประสงค์ที่แท้จริงไปชั่วขณะ “ถ้าคุณมีบิลลี่กับวิลเลียมเป็นภรรยาจริงๆ ฉันก็มีเพื่อนเล่นทุกวัน น่าสนุกดีออก!”

   ไหงงั้นเล่า!

   ลุดวิกนั้นแอบน้อยใจกับความไม่หือไม่อือของภรรยา ส่วนบิลลี่กับวิลเลียมนั้นแน่ล่ะว่าค้านหัวชนฝา คนหนึ่งเป็นเจ้าแมวเวอร์จิ้นแฟนยังไม่เคยมีแต่จะให้เล่นละครเป็นภรรยาน้อยของคนอื่น อีกคนคือวิลเลียมผู้เคยเป็นแต่ท่านสามีสุดจะหยิ่งเหลือหลาย ตอนนี้จะให้เล่นละครเป็นภรรยารองถึงตายก็ไม่ยอม!

“พวกนายใจแคบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกแล้วไงเป็นลูกผู้ชายต้องใจกว้างน่ะ! ถือว่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกันไง!” เจ้าแมวดำตัวแสบพูดประโยคเก่า แต่ครั้นพอสองแมวได้ยินว่ากิลเบิร์ตเป็นคนเสนอความคิดนี้ก็ดันใจอ่อนลงยวบยาบ กิลเบิร์ตว่าอะไรดีพวกเขาก็ว่าตาม ไม่หือไม่อือตามๆกันไปด้วย เดือดร้อนฟินน์ที่ต้องมาเล่นบทเด็กรับใช้ผู้ติดตามดูแลคุณนายทั้งสาม

   ซึ่ง...วุ่นวายเกินไปแล้ว!

   การเดินทางไปอันทาเรสจำเป็นต้องแนบเนียนพวกเขาจึงใช้วิธีเช่ายานอวกาศแบบเหมาลำเดินทางแบบหรูหราอลังการ สวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวอาทีเรียชั้นสูงร่ำรวยเหลือหลาย เมื่อยานอวกาศจอดเทียบที่ท่าอากาศยานใหญ่โตของอันทาเรส ก็มีกระทั่งคนขับรถมารอรับ ลุดวิกนั้นกัดฟันกรอดค่อยๆพยุงบรรดาภรรยาที่กำลังท้องแต่ละคนขึ้นรถ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขัดใจ ทำไมเขาถึงต้องมากลายเป็นสามีให้เจ้าแมวสองตัวที่เหลือนี่ด้วยนะ!

“ดีจริงเลยนะครับคุณผู้ชาย ภรรยาท้องพร้อมกันสามคน เยี่ยมจริงๆ!” เจ้าคนขับรถหนวดจิ๋มท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ยรีบประจบคุณผู้ชายกระเป๋าหนักท่านนี้ทันที หารู้ไม่ว่าฟินน์ที่นั่งฟังอยู่ข้างคนขับอยากขอให้หมอนี่สงบปากสงบคำเหลือเกิน ไม่เห็นหรือว่าคุณผู้ชายหน้าดำทะมึนแล้ว! นั่นไม่ใช่ภรรยา แต่เป็นเพื่อนภรรยาต่างหาก!

“อืม ขอบคุณ” ลุดวิกตอบรับเรียบๆ เขาพยายามสงบสติอารมณ์และมองไปยังแผนที่เส้นทางบนจอมอนิเตอร์ส่วนตัว จากภาพความทรงจำของกิลเบิร์ตอาคารที่เขาเห็นจากการใช้เทเลคิเนซิสนั้นอยู่ในเขตใจกลางเมืองหลวง “ช่วงนี้ที่นี่คึกคักนะ”

“ใช่แล้วครับ ฮ่องเต้กำลังจะเลือกคู่ครองย่อมต้องคึกคัก หญิงสาวชายหนุ่มเก่งกาจหน้าตาดีมากมายต่างเข้าร่วมการประลองกันทั้งนั้นคาดว่าน่าจะจัดกันยาวถึงสิบวัน พวกคุณมาช้าไปหน่อยเมื่อวานมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เปิดตัวผู้สมัครกันอลังการมาก ท่านจอมยุทธ์ผมสีเทาตาสีม่วงคนนั้นเก่งมากเลยนะครับ นับว่าเป็นตัวเก็งทีเดียว” คนขับรถอธิบายและชี้ไปที่โบรชัวร์แนะนำผู้สมัครประหนึ่งรายการบันเทิงศึกชิงเจ้ายุทธจักร แต่ลุดวิกนั้นกำลังหงุดหงิดเลยคร้านจะหยิบขึ้นมาดู

ต่อมารถเลี้ยวเข้าไปในเขตเมือง คนขับรถจึงชี้ชวนให้ดูคนมากหน้าหลายตาหลากเผ่าพันธุ์ที่มาเสนอตัวเป็นคู่ครองของฮ่องเต้ แต่ปากก็ยังคงพูดถึงท่านจอมยุทธตาสีม่วงสุดเก่งกาจอยู่ไม่ขาด

“แต่ท่านจอมยุทธหูแหลมคนนั้นก็เก่งมากนะครับ สูสีเป็นตัวเก็งเหมือนกัน แต่ด้อยกว่าท่านจอมยุทธตาสีม่วงหน่อย” ว่าพลางชี้ไปที่โปสเตอร์ติดผนังข้างทาง คราวนี้ลุดวิกเผลอมองตามไปด้วย เห็นเป็นรูปพ่อหนุ่มหน้าอ่อนผมดำยาวสลวยหูแหลมใส่ตุ้มหูกรุยกรายถือหอกยาว สะโอดสะองแต่ท่าทางทะมัดทะแมงแกร่งกล้ามาก อันที่จริงฮ่องเต้ที่เลือกคู่ด้วยวิธีการนี้คาดหวังอะไรจากบรรดาว่าที่ผู้สมัครเป็นฮองเฮากันแน่นะ

   จริงๆนี่คือการรับสมัครสามีที่ใช้สรรพนามว่าฮองเฮาสินะ?

   หลังจากนั่งรถชมเมืองมาสักพัก ลุดวิกก็เริ่มเห็นภาพของดาวดวงนี้ชัดเจนมากขึ้น อันทาเรสในสายตาของลุดวิกคือดวงดาวที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ ผู้คนที่นี่สวมเสื้อผ้ากรุยกรายใช้ลวดลายโบราณแบบในประเทศฮั่นของอดีตเทียร่า ตึกรามบ้านช่องยังเป็นทรงแบบอารยธรรมฮั่นโบราณแลดูเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ แม้แต่ถนนหนทางก็ยังปูด้วยหินและอิฐจำลอง แต่ก็เหมือนกับอาทีเรีย มันคือความโบราณแต่เพียงเปลือกตามรสนิยมของเจ้าอาณานิคมคนแรกที่คลั่งไคล้ของโบราณ ถึงขนาดใช้คำเก่าแก่อย่าง ‘ฮ่องเต้’ เป็นคำเรียกตำแหน่งเจ้าอาณานิคมของตนเอง

แต่ความเป็นจริงที่นี่เป็นดวงดาวที่มีเทคโนโลยีระดับสูง มีท่าอากาศยานอวกาศที่ใหญ่โตโอ่อ่าเป็นหนึ่ง ทั้งยังเป็นดวงดาวสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในส่วนของการโปรโมทการท่องเที่ยวลุดวิกต้องยอมรับว่าอาทีเรียยังต้องเรียนรู้จากอันทาเรสอีกมาก เขาวางแผนว่าถ้าการตามหาความทรงจำของกิลเบิร์ตเป็นไปอย่างราบรื่นก่อนกลับก็อยากจะปรึกษาเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับเจ้าอาณานิคมที่นี่

   ส่วนในตอนนี้ สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ครอบครัวกำมะลอเลือกไว้จากภาพความทรงจำของกิลเบิร์ตคือ อารามเก่าแก่ของเมืองหลวง ซึ่งก็บังเอิญเป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญที่คับคั่งไปด้วยผู้คน และไม่ห่างจากบริเวณที่จัดงานประลองเลือกคู่ด้วย พวกลุดวิกพากันเดินลงจากรถและตีเนียนเป็นนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม หากแต่กิลเบิร์ตกลับสอดส่ายสายตามองทุกสิ่งไม่วางตา เขาย่อมอยากจะฟื้นความทรงจำให้ได้ไม่มากก็น้อย

“ไง คุ้นบ้างไหม” ลุดวิกถามขณะจูงมือกิลเบิร์ตเดินเข้ามาด้านในของอาคารด้วยท่าทางประคบประหงม คนผ่านไปมาย่อมสังเกตได้ว่านี่ย่อมเป็นคู่สามีภรรยาชาวต่างดาวที่แตกต่างกันอย่างน่าประหลาด ฝ่ายสามีนั้นผมสีทองแวววาว ดวงตาสีฟ้าดูแปลกตาแต่หล่อเหลาเจิดจ้า ส่วนภรรยานั้นเป็นชายหนุ่มผมสีดำตาสีดำลักษณะคล้ายชาวอันทาเรส โดยรวมพวกเขาถือว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่ค่อนข้างสะดุดตา   

“ฉันจำไม่ได้ แต่เท่าที่เห็นจากภายนอกที่นี่เป็นอาคารแบบภาพในหัวของฉันจริงๆ” กิลเบิร์ตตอบพลางมองสถาปัตยกรรมภายในอาคารที่ไม่คุ้นตา ทั้งที่แอบหวังว่าจะจำอะไรได้มากขึ้น แต่ตอนนี้กลับมืดมนไปหมด ใบหน้าของเขายามนี้หม่นหมองลงหลายส่วนด้วยความเสียดาย ทว่า ลุดวิกไม่ได้กดดันเขา กลับค่อยจับจูงมือพาเดินไปเรื่อยๆ

“ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ คิดเสียว่ามาเที่ยว มา ฉันจะเล่าเรื่องของที่นี่ให้ฟัง ที่นี่คือหอฟ้า เป็นสถานที่ๆฮ่องเต้ใช้ประกอบพิธีบูชาฟ้าดิน ช่วงนี้เป็นเทศกาลท่องเที่ยวเลยเปิดให้เข้าชม เดี๋ยวเราลองเดินไปเรื่อยๆดู เสร็จแล้วค่อยออกไปทานข้าวเที่ยงกันดีไหม ฉันให้จองร้านดังของที่นี่ไว้แล้ว เธอกับลูกของเราอยากทานอะไรดี กิล” ฝ่ายคุณสามียิ้มหวานจับมือภรรยารักทำตัวประหนึ่งโลกนี้มีเพียงเราสองคน เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้กำลังพาภรรยามาฮันนีมูนกันสองต่อสองหรอกนะ
ยามนี้พวกเขาทั้งคู่จึงหลุดเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัว ทอดทิ้งอีกสามคนที่เหลือไว้ไม่ดูดำดูดี

   แต่นั่นล่ะอีกสามคนที่ว่าย่อมไม่สนใจเลยสักนิด ตอนนี้บิลลี่กำลังสนุกสนานกับการถ่ายรูปด้วยกล้องสามมิติ เดินไปก็โพสต์ท่าถ่ายรูปไป เจ้ากล้องอัตโนมัติก็บินตามเขาถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พอถ่ายเสร็จบิลลี่ก็ชักชวนวิลเลียมกับฟินน์เดินดูนู่นนี่นั่นไปตลอดทาง แน่ล่ะว่าไม่ลืมจะเดินไปซื้ออาหารสีขาวท่าทางดูนุ่มฟูที่เรียกว่าซาลาเปาไส้หมูมากัดชิม ตามด้วยบรรดาขนมจีบ ฮะเก๋าที่หอมฟุ้งน่าดูน่ากินไปหมด มีความสุขีปรีดิ์เปรมเดินไปกินไปจนคนเดินผ่านไปมาแทบจะเห็นเป็นแมวสีทองอ้วนป้อมตัวเขื่องกระโจนไปมาตามกลิ่นอาหารพร้อมกับส่ายหางดิ๊กๆ

ครั้นพอเดินวนจนครบรอบ บิลลี่ก็โบกไม้โบกมือชักชวนวิลเลียมกับฟินน์เข้าไปนั่งที่ร้านอาหารใหญ่โตตามนัดหมายกับพวกกิลเบิร์ต พวกเขาเลือกที่นั่งชั้นสองเพื่อชมความสวยงามของหอฟ้า บิลลี่จัดแจงกางเมนูสั่งอาหารมาจำนวนมาก เจริญอาหารอย่างยิ่งจนเหมือนคนท้องจริงๆเข้าไปทุกที ครั้นพอลุดวิกกับกิลเบิร์ตเดินตามมาสมทบยามเที่ยงวัน ย่อมพบกับเศษซากอาหารที่เจ้าแมวอ้วนจัดการสั่งมากินเสียเต็มที่ แวบหนึ่งลุดวิกเห็นเจ้าแมวอ้วนนี่กำลังนอนตีพุงแปะๆตบหางกับพื้นอย่างสุขีสโมสร เป็นแมวตะกละจริงๆด้วย!

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-33 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ruk21us ที่ 20-04-2019 21:34:57
(ต่อ)

“นั่นไงๆสามีฉันมาแล้ว เก็บเงินที่คนนั้นนะ!” เจ้าแมวอ้วนตีเนียนหาเจ้ามือเลี้ยงอาหาร ในขณะที่วิลเลียมปรายสายตาไปยังลุดวิกที่เดินจู๋จี๋มากับสหายรักของเขาตลอดทาง ว่าที่คุณพ่อดูแจ่มใสอย่างยิ่ง วิลเลียมทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก จากที่นั่งทำหน้าเหม็นเบื่อมาตลอดก็หยิบเมนูจัดการสั่งเหล้ายาปาปิ้งมาเพิ่มกับเขาด้วยอย่างไม่ยั้ง ก่อนจะชี้ไปที่ลุดวิกด้วยอีกคน

“นั่นก็สามีฉัน เก็บเงินที่หมอนั่นนะ”

   วินาทีนั้นลุดวิกประหนึ่งควันออกหูสีหน้าเปลี่ยนเป็นยักษี เจ้าแมวบ้าสองตัวนี่กำลังหาเรื่องเขา! สั่งอะไรมาเยอะแยะมากมายปานนั้น! สุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้นี่คิดจะให้เขาจ่ายเรอะ! คิดว่าพวกนายเป็นใครคิดจะให้ฉันเลี้ยงข้าวจนหมดตัวหรือไง! เจ้าพวกแมวนิสัยเสีย!! เจ้าแมวเถื่อนของเขาน่ารักกว่ามากหลายสิบเท่าตัว!!

“ฉันทานด้วย ขอเมนูหน่อย นี่ลุดวิก! ฉันอยากทานเจ้าเป็ดปักกิ่งนี่ล่ะ!” เจ้าแมวดำผู้ไม่รู้อะไรบ้างเลยวิ่งเข้าไปรวมฝูงกับเพื่อนพ้องพลางยิ้มร่าสั่งอาหารเพิ่ม แต่ไหนแต่ไรลุดวิกก็ไม่เคยเรื่องมากเรื่องเงินเรื่องทองกับเขา เป็นท่านเจ้ามือสายเปย์มาตลอด ดังนั้นครั้งนี้ในความคิดของกิลเบิร์ตก็เหมือนๆกันนั่นล่ะ เขาก็ต้องจ่ายเช่นกัน!

“ที่นี่อาหารอร่อยมากเลย คนก็สวมเสื้อผ้าสวยๆ อาคารแปลกตามาก อร่อยมาก! น่าสนุกจัง!” บิลลี่แฮปปี้ดี๊ด๊าออกนอกหน้า ในขณะที่วิลเลียมคว้าเอาไหเหล้ามารินดื่มไม่อายสายตาคนจ่าย ลืมกระทั่งว่าตัวเองกำลังเล่นบทคนท้อง ส่วนฟินน์นั้นนั่งมองทุกคนอย่างเด๋อด๋า เขาเหลือบมองใบหน้าดำทะมึนของลุดวิกแล้วก็ได้แต่ลอบปลดปลง ทริปนี้แค่วันแรกก็ฉายแววนองเลือดแล้ว

   ฟินน์อดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้วทั้งบิลลี่กับวิลเลียมนี่คือ กำลังหวงเพื่อนงั้นรึ?

“ถ้านายไปไกเซอร์ก็จะมีอาหารแบบชาวอาหรับของเทียร่านะ แต่นี่เขาเรียกว่าอาหารชาวฮั่น จำใส่หัวไว้ซะบิลลี่” วิลเลียมบอกสหายที่ยามนี้เอาแต่พุ้ยข้าวใส่ปากแล้วก็ตักกับข้าวเพิ่มให้บิลลี่ “ส่วนนายเคี้ยวให้ละเอียด เดี๋ยวจะติดคอ เดี๋ยวย่อยยากหลานในท้องจะลำบาก” วิลเลียมเตือนกิลเบิร์ตพลางหยิบผ้าเช็ดปากให้เพื่อน นันย์ตาสีส้มมองเพื่อนตัวเองอย่างเอ็นดูราวกับพี่ชายคนโตที่กำลังดูแลน้องชายจอมวุ่นทั้งสอง

“ลูกฉันหัวแข็งน่า รับรองว่าแข็งแกร่งมาก!” กิลเบิร์ตลูบท้องตัวเองพลางยิ้มเริงร่า ถึงจะโวยวายอย่างนู้นอย่างนี้แต่เขาก็ตื่นเต้นที่จะมีเด็กมาเล่นด้วยเหมือนกันนะ “ไม่รู้ว่าระหว่างฉันคลอด กับบิลลี่เสียเวอร์จิ้นอะไรจะเกิดก่อน”

“หยุดเลย! นายจะมายุ่งอะไรกับเรื่องนี้เล่า!” บิลลี่โวยหน้าแดงก่ำ

ในสายตาคนนอกสามหน่อนี้ดูน่ารักน่าชังมากเจี๊ยวจ๊าวมาก เพียงแต่ว่า แมวสามตัวดูเหมือนจะเฮฮาปาร์ตี้จนหลงลืมทิ้งสามีให้ยืนหัวโด่อยู่เพียงลำพัง ลุดวิกหนังตากระตุกหลายรอบ เจ้าแก๊งแมวซ่านี่มันเจตนาหาเรื่องเขาใช่ไหม!

   ความเจี๊ยวจ๊าวของโต๊ะแก๊งแมวนั้นดูจะเรียกความสนใจจากคนอื่นๆได้ไม่น้อย เพราะอันที่จริงการที่มีผู้ชายผมสีทองเจิดจ้าสูงใหญ่หล่อเหลาขนาดนี้มาเดินเฉิดฉายไปมา แถมยังพาชายหนุ่มหน้าตาดีมาอีกสามคนแถมหนุ่มน้อยอีกหนึ่งคน คนภายนอกต่างมองพวกเขาด้วยฟีลเตอร์ครอบครัวสุขสันต์ นี่คือสามีบุญหล่นทับที่มีภรรยาน่ารักถึงสามคนมานัวเนีย พวกเขาย่อมจินตนาการบรรเจิดถึงเรื่องราวในห้องหอยามร่วมเตียง ผู้ชายคนนี้ช่างโชคดีเกินไปแล้ว!!

“เป็นครอบครัวที่ดีนะครับ ภรรยาคุณน่ารักทั้งสามคนเลย ซาลาเปานี่แถมสำหรับพวกคุณภรรยาครับ คนขับรถของคุณมาบอกผมไว้ก่อนตอนจองร้านว่าภรรยาสามคนของคุณกำลังตั้งท้อง งั้นควรจะทานมากๆบำรุงร่างกายมากๆนะครับ” เจ้าของร้านอาหารซึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีเดินมาเสริ์ฟซาลาเปาไส้หมูแดงเพิ่ม พลางยิ้มให้ลุดวิกที่ตอนนี้กำลังตีมือบิลลี่ให้หยุดใช้มือหยิบอาหารซะ! ลุดวิกอยากตอบเขาใจจะขาดว่าภรรยาของเขามีแต่เจ้าแมวดำตัวข้างๆนี่เท่านั้น ตัวอื่นไม่ใช่! แต่ว่ามันจะผิดแผน!

“ใช่ๆ แต่หมอนั่นเป็นภรรยาเอกนะ ส่วนฉันกับหมอนี่เป็นภรรยารอง คุณสามีเขารักภรรยาเอกมากเลยนะ” ปรากฏว่าท่านสุลต่านวิลเลียมที่นึกสนุกขึ้นมาเอ่ยตอบหน้าตาเฉย แถมยังแสยะยิ้มเย้ยหยันใบหน้าดำๆแดงๆที่โกรธแทบระเบิดของลุดวิก ช่วยไม่ได้ ถึงไม่ได้เกลียดลุดวิกแล้ว แต่เขาหมั่นไส้หมอนี่นี่นา!

   ป๊อก!

   ลุดวิกหักตะเกียบไปแล้ว!!! เดี๋ยว!!!! นายจะทำหน้าเคียดแค้นราวกับจะหักคอเมียตัวเองทิ้งตรงนี้ไม่ได้นะ!!!!

“เป็นครอบครัวที่น่ารักดีนะครับ ผมก็อยากจะมีภรรยาน่ารักๆแบบพวกคุณๆบ้างจัง เอ่อ...” ชายหนุ่มเจ้าของร้านพูดต่อ ในขณะที่พูดก็เผลอหันไปมองหน้าของกิลเบิร์ตไปด้วยจนลุดวิกผิดสังเกตมองค้อนขวับ หมอนี่กำลังเหล่ภรรยาของเขางั้นรึ! “ขอโทษด้วยครับ แต่พอดีภรรยาเอกของคุณผู้ชายหน้าตาคล้ายคนรู้จักของผมมาก ผมเลยเผลอมองตาม”

“เหมือน?” ลุดวิกมุ่นคิ้ว ไอ้กลยุทธิ์จีบหนุ่มจีบสาวโดยอ้างหน้าเหมือนนี่มันเกร่อตกยุคมาหลายร้อยปีแล้ว คิดว่าเขาจะเชื่องั้นหรือ แต่แน่ล่ะว่าสายตาของลุดวิกทำให้ชายหนุ่มต้องรีบแก้ตัวต่อ

“น้องชายครับ! ภรรยาคุณหน้าตาคล้ายน้องชายผม! ไม่ใช่คนรักนะครับ!”

“น้องชาย?” กิลเบิร์ตได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้ามอง เขาไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองกับเจ้าหนุ่มผมยาวหางม้าหน้าอ่อนนี่จะเหมือนกันตรงไหน “แต่เราหน้าไม่เหมือนกันเลยนะ?” ก็ถ้าเป็นน้องชายก็น่าจะคล้ายกันบ้างสิ

   ทว่า ก่อนที่จะได้คุยกันไปมากกว่านั้น ในตอนนั้นเองที่มีเสียงฮือฮามาจากด้านล่างของร้าน ผู้คนกำลังแตกตื่นว่ามีคนสำคัญมาเยือน

“อ้อ นั่นคือผู้ชนะรวดการประลองครับ เห็นว่าเป็นนักเดินทางที่ผ่านมาพอดี เก่งมากเลยนะครับ เที่ยงนี้เขาจองที่ร้านของผมไว้พอดี” พ่อหนุ่มเจ้าของร้านแนะนำ ทำเอาเหล่าสมาชิกครอบครัวกำมะลอชะเง้อคอมอง ขึ้นชื่อว่าคนดังมันก็ต้องอยากรู้อยากเห็นกันบ้าง

   พริบตาที่คนๆนั้นก้าวขึ้นมายังชั้นบนนั่นเองที่นัยน์ตาประสานนัยน์ตา ต่างคนต่างจ้องกันและกันพลางยิ้มแหยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คนๆนี้...เส้นผมสีเทา ดวงตาสีม่วงเข้มเจิดจ้า และรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง

   ใครมันจะลืมเจ้าคนวิปลาสที่โดดเด่นขนาดนี้ได้เล่า!

“นาย! อเล็คเซ่!” กิลเบิร์ตตบโต๊ะโพล่งออกมาก่อนจะอ้าปากเหวอ ส่วนบิลลี่เบิกตาโพลงหน้าซีดหนักมาก

   แน่ล่ะว่า อเล็คเซ่คลี่รอยยิ้มเหยียดอย่างเอ็นดูปนดูแคลนให้ทุกคน

 “ไงครับทุกคน จักรวาลนี้มันแคบจริงๆนะครับ”

   ใช่ แคบเกินไปแล้ว!


หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-04-2019 23:24:52
ว้ายยยยมาเจออเล็กเซ่จนได้จักรวาลตั้งกว้าง  :z3:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-04-2019 12:12:34
 o13



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: 9393 ที่ 11-07-2019 01:39:51
สนุกมากเลยค่ะ การผูกเรื่องดีมากเลย ภาษาที่ใช้ก็อ่านง่าย ชอบมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 12-07-2019 20:09:42
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: 
คิดถึงแล้วนะ เมื่อไหร่จะมาต่อจ๊ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 21-11-2019 00:03:05
จักรวาลเขาว่ากว้างใหญ่สุดท้ายก็วนมาเจอกับอเล็กเซ่จนได้ แมวสีทองบิลลี่จะเป็นยังไงน้า 5555555
อ่านแล้วบันเทิงกับแมวสามสีนี่มาก ว่าไปทั้งสามคนนี้เป็นบุคคลประเภทที่ต้องกำจัดหมดเลยนิ
เอสเปอร์(ที่เปลี่ยนกฎแล้ว) มนุษย์ยีนส์ด้อย? กับผู้ปฏิสสาร นี่น่าจะเป็นคอนเนคชั่นของทั้งสามคนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: sibsong ที่ 08-12-2019 15:26:15
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 17-12-2019 00:10:53
เอ้าจักรวาลกลมเกินไปแล้ว!!!  :hao7:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 22-01-2020 11:09:15
สนุกมากกกกกกกกก​ มาต่อๆๆ
คลอดลูกกะเสียจิ้นอะไร​จะเกิดก่อนกันน้าาา
ขอบคุณ​ครับ​บบบบบ
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-05-2020 09:21:39
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Burden of Proof ภาระรักพิสูจน์ใจ ตอนที่ 31-32 (20/04)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 01-06-2020 06:37:51
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: