ตอนที่ ๑๘
แมวเถื่อนข้างถนนกับถังขยะโสโครก
เมื่อมีพยานหลักฐานพร้อมสรรพ ลุดวิก ชไนเดอร์ในฐานะผู้นำกองทัพและดยุคแห่ออลบานีก็มีคำสั่งจับกุมเจ้าชายอ๊อตโต้ คาร์ล เออร์เนส พร้อมกับสมาชิกของตระกูลเกอเจ้น แม้แต่ประธานรัฐสภายังถูกโหวตไม่ไว้วางใจโดยสมาชิกสภาถูกเด้งออกจากตำแหน่งไปในบัดดล ส่วนคนที่ขึ้นมารักษาการณ์ก็คือ ลูคัส เออร์เนส สมาชิกรัฐสภาที่เดิมทีได้ชื่อว่าพูดน้อยยิ่งกว่าอะไร
แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ชัดแจ้งแล้วว่า ลูคัสไม่ใช่ไม่พูด แต่เขาแสร้งที่จะไม่พูดมาตั้งแต่ต้นต่างหาก การเสแสร้งของเขา ทำให้คาร์ลผู้เป็นน้องชายเข้าใจว่าลูคัสจะไม่สามารถประสานงานกับลุดวิกได้ถ้าไม่มีเขา ใครจะนึกว่าที่แท้ลูคัสมองน้องชายของตนเองขาดตั้งแต่ต้น ทั้งยังแอบจับมือกับลุดวิกอย่างสนิทสนมลับหลังคาร์ล สุดท้ายแฉเรื่องอื้อฉาวของน้องชายกลางสภาและจับน้องแท้ๆโยนเข้าคุกไปอย่างเลือดเย็น เรียกได้ว่านี่คือศึกพี่น้องหักเหลี่ยมโหดที่เลือดเย็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น กรณีลูคัสกับคาร์ลก็ยังโหดเหี้ยมน้อยกว่าเจ้าชายอ๊อตโต้กับลุดวิกนิดหน่อย เพราะลุดวิกนั้นทันทีที่ตนเองเป็นต่อ ท่านสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงอิทธิพลท่านนี้ก็ใช้มวลชนบีบกษัตริย์ให้ปลดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกจากการเป็นรัชทายาท ใช้เวลาไม่ทันข้ามวัน เจ้าชายอ๊อตโต้โดนข้อหากบฏขายดาวแม่ เมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ไม่ต้องไต่สวนเขาก็ถูกปลดและถูกสั่งกักบริเวณ ส่วนคาร์ลอดีตเพื่อนรักโดนจับขังคุกทหาร ตระกูลเกอเจ้นโดนปลดจากทุกตำแหน่งในคณะรัฐบาล ส่วนเจ้าหญิงเฟรเซียมีความดีความชอบจากการเปิดเผยความจริง เธอได้รับอนุญาตให้หย่าขาดจากเจ้าชาย และถอนตัวจากการเป็นสมาชิกตระกูลเกอเจ้น ยามนี้เธอจึงขอสมัครเข้ามาทำงานเป็นเลขานุการให้กับกิลเบิร์ตแทน
เมื่อสิ้นวันทุกอย่างกลับตาลปัตร ลุดวิกได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทตามกฎหมาย คนของเขาครอบครองตำแหน่งประธานรัฐสภา ส่วนกิลเบิร์ตผู้เป็นภรรยาได้รับความชื่นชมจากทุกฝ่ายและต่างยอมรับเขาเป็นชายาของเจ้าชายอย่างถูกต้องและสมเกียรติ เรียกได้ว่านี่คือชัยชนะอย่างเด็ดขาดของท่านดยุคกับชายา
หลายวันต่อมาคฤหาสน์ของท่านดยุคแม้ไม่ได้มีการจัดเลี้ยงใดๆอย่างออกนอกหน้า แต่ใครบนดวงดาวนี้ไม่รู้บ้างว่า คนในคฤหาสน์นี้อีกไม่นานก็จะกลายเป็นครอบครัวเจ้าอาณานิคมคนใหม่แห่งอาทีเรีย และชายาของท่านเจ้าอาณานิคมในอนาคตก็จะชายหนุ่มผมสีดำตาสีดำที่ถูกเหยียดว่าเป็นกุลีต่ำต้อยในคราแรกคนนั้นนั่นเอง นับว่านี่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดาวดวงนี้โดยแท้
เช้านี้ลุดวิกออกมาทำงานแต่เช้าปล่อยให้กิลเบิร์ตอยู่กับฟินน์และเฟรเซีย ส่วนตัวเขามีธุระปะปังต้องสะสางมากมาย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นงานในกรมทหารที่นิโคลัสแทบไม่อาจยอมปล่อยวาง ยิ่งเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย ก็ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังในทุกทาง เพียงแต่ว่าในบรรดาเรื่องที่สมควรต้องใส่ใจสำหรับเจ้านายของเขานั้น ยามนี้อาจรวมไปถึงเรื่องภายในครอบครัวด้วย แม้ผู้คนจะเริ่มยอมรับภรรยาของท่านนายพลของเขาได้ แต่นิโคลัสกลับยังคงเว้นระยะห่าง
กิลเบิร์ตคนนั้นต่อให้ตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกทิ้ง แต่ก็ยังมีข้อน่าสงสัยมากมาย คนๆนั้นเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่อาทีเรีย ทำไมถึงสามารถช่วงชิงความสนใจไปจากเจ้านายของเขาได้อย่างรวดเร็ว กับทั้งเรื่องที่มีคดีกับพวกโจรสลัดแล้วกลับยังสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยด้วย คนๆนั้นไม่ธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดานี่กลับทำให้ยิ่งรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ
“วันนี้ก็มีเทียบเชิญจากท่านสมาชิกรัฐสภามาอีกแล้วนะครับ ท่านนายพลจะไม่ตอบรับคำเชิญไปทานมื้อค่ำสักหน่อยหรือครับ” นิโคลัสถามผู้เป็นเจ้านายที่นั่งทำงานอยู่ตามปกติ เพียงแต่ช่วงนี้ท่านนายพลลุดวิกออกจะแอบเหม่อบ้างเป็นบางครั้ง และดูนาฬิกาบ่อยขึ้น หลังเลิกงานหากไม่มีธุระปะปังที่อื่นก็จะตรงกลับบ้านทันที คนนอกใครดูก็รู้ว่านี่คืออาการของคนที่กำลังหลงภรรยาอย่างโงหัวไม่ขึ้น แต่จะให้หลงใหลคนแบบนั้นจนมองข้ามเทียบเชิญของตระกูลผู้ดีอื่นๆเขาก็เห็นว่าผิดแผกและน่าเสียดาย เจ้านายของเขาควรได้คู่ครองที่ดีงามกว่านั้น “ตระกูลเจรามี ได้ข่าวว่ามีคุณชายรูปงามมากนะครับ แถมตระกูลนั้นสืบเชื้อสายจากมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูง คุณชายสามารถตั้งครรภ์ตามธรรมชาติได้ด้วย”
“แล้วไงรึ” ลุดวิกตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางลงชื่อในเอกสารต่อ
“เมื่อท่านนายพลขึ้นเป็นเจ้าอาณานิคมย่อมสมควรมีทายาทและคู่ครองที่คู่ควรมิใช่รึครับ” นิโคลัสพูดต่อในขณะที่ลุดวิกเหลือบสายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารดังป้าบ สีหน้าท่าทีแสดงออกถึงความมึนชาชัดเจน
“ฉันมีภรรยาที่ดีพร้อมอยู่แล้ว เรื่องลูกสมัยนี้ไม่ใช่ว่าเราสามารถใช้ครรภ์เทียมให้กำเนิดเด็กได้แล้วหรอกรึ นี่คุณยังดักดานอยู่กับวิสัยในโลกเก่าหรือไง” ตอบพลางยืดตัวกอดอกมองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพินิจ นิโคลัสเป็นผู้ภักดีโดยแท้ และเขาไม่เคยสงสัยในความภักดีนั้น ทว่า ต่อให้ภักดีต่อกันมากแค่ไหน ความจงรักภักดีนั่นก็ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึงกิลเบิร์ต ในสายตานิโคลัส กิลเบิร์ตยังเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควร “นิโคลัส คุณควรรู้ว่าเขาเป็นคนที่ฉันเลือก”
“แต่ท่านสามารถเลือกได้มากกว่านั้นไม่ใช่รึครับ หากท่านรักคุณกิลเบิร์ตท่านจะให้เขาเป็นภรรยาเอกต่อไปก็ได้ แต่จะไม่เหลียวแลพันธมิตรตระกูลอื่นเลย ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียโอกาส” เขายังคงยืนกรานเสียงแข็งในความเห็นของตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ตาม กิลเบิร์ตก็ไม่อาจเป็นชายาที่ชอบธรรมของเจ้าอาณานิคมได้ คนๆนั้นนิโคลัสให้ค่าไว้อย่างมากก็แค่นางบำเรอคนหนึ่ง เลี้ยงดูให้ความรักได้ แต่เอาออกงานนั้นย่อมไม่ได้ “หากเป็นไปได้ ผมปรารถนาให้ท่านหย่าขาดจากเขาเสียด้วยซ้ำ”
“หยุดพูดซะ!” ลุดวิกตวาดขึ้นตัดบท ดวงตาสีฟ้าจ้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโกรธขึ้งไม่พอใจ แม้รู้อยู่เต็มอกว่านิโคลัสนั้นหวังดี แต่ความหวังดีนี้กลับทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยว นั่นคือกิลเบิร์ตภรรยาของเขา เป็นคนที่เขาเลือก เป็นคนที่เขาพอใจ แต่เพราะคนๆนั้นสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีอะไรเลย ในยามนี้เขาถึงถูกดูแคลนว่าไม่คู่ควร “ยามที่ฉันลำบากกิลเบิร์ตอยู่กับฉัน นิโคลัส!”
“ท่านนายพล...”
“ดังนั้นฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาในยามที่ฉันได้ดีมีสุข คุณตัดใจเถอะ” ตัดบทเพียงเท่านั้นพลางหยัดกายลุกขึ้นยืนจากโต๊ะทำงาน “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่เฉพาะเรื่องในครอบครัวของฉัน คงต้องขอให้คุณปล่อยวาง”
วินาทีนั้นนิโคลัสอับจนด้วยคำพูด เขาจะพูดอะไรได้อีกเล่าในเมื่อผู้บังคับบัญชาของตนเองปิดประตูนี้ทิ้ง แทนที่จะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นที่คู่ควรมากกว่า แต่สุดท้ายก็ยังยึดติดอยู่กับคนไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง แม้เป็นสุภาพบุรุษน้ำงามที่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ทว่า ท่านนายพลลุดวิกก็ได้ทิ้งโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่านี้ทิ้งไปแล้ว
“ผมเองก็จะยอมรับในสิ่งที่ท่านเลือกครับ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม ท่านนายพล” นิโคลัสตอบก่อนจะโค้งคำนับและเดินออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ขุ่นมัว
ฝ่ายลุดวิกสุดท้ายเขาก็ฝืนตัวเองทำงานต่อไปจนเสร็จ ตกมืดค่ำจึงได้ให้คนขับรถขับพาไปในเมือง ในวันนี้เขาขับผ่านร้านรวงหลายที่และเห็นผู้คนจับกลุ่มพูดอะไรมากมาย เขาในยามนี้ไม่อาจปลอมตัวเข้าไปสุงสิงกับผู้คนดังเดิมได้แล้ว แต่ย่อมอดไม่ได้ที่จะลอบฟังตามร้านค้าต่างๆว่าผู้คนพูดคุยอะไรกัน
หัวข้อสนทนายังคงเป็นเรื่องเดิมๆ เรื่องการเมือง เรื่องอำนาจ เรื่องการเปลี่ยนยุคสมัย ไปจนถึงเรื่องคู่ครอง น่าแปลกที่คำพูดของนิโคลัสกลับมาวนเวียนหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อยามนี้ประชาชนเองยังเอาเรื่องครอบครัวของเขามาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งยังพูดถึงกิลเบิร์ตในหลายแง่มุม
แม้พยายามแสดงให้เห็นแล้วว่ากิลเบิร์ตคือคนที่เขายอมรับเป็นภรรยา และเป็นคนเก่งมีความสามารถ แต่ในสายตาประชาชน ด้วยรูปลักษณ์และชาติกำเนิด หลายต่อหลายคนก็ยังวิจารณ์อยากให้ลุดวิกในฐานะเจ้าอาณานิคมคนใหม่รับภรรยาเพิ่ม ผู้คนมากมายต่างคาดหวังความสมบูรณ์แบบ พวกเขาเชื่อว่าลุดวิกคือผู้นำที่สมบูรณ์แบบ และพานคาดหวังให้ภรรยาของท่านผู้นำไร้ที่ติไปด้วย ทว่า สำหรับลุดวิก ยามนี้เขากลับรู้แน่แก่ใจว่าตนเองไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าแมวเถื่อนตัวนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยวางไปได้ หากเขาปล่อยไปกิลเบิร์ตจะเป็นอย่างไรต่อไป จะไปตกอยู่ในมือของอเล็คเซ่ ไปถูกใครกลั่นแกล้งรังแก ถูกใครทำร้าย หรือแม้แต่สุดท้ายจะต้องร้องไห้จนใบหน้าเปียกปอนอย่างครานั้นที่ถูกเจ้าชายอ๊อตโต้ทำร้ายหรือเปล่า ยิ่งคิด ยิ่งไม่อาจปล่อยวาง
“เจ้าแมวเถื่อนตัวนี้ข่วนซะหน้าอกของฉันเป็นรอยเลยนะ” ลุดวิกยิ้มกับตัวเอง ใช่แล้ว เล่นข่วนเสียจนหัวใจของเขาเป็นแผลเลยทีเดียว
ในเวลาเดียวกับที่ลุดวิกถูกบีบคั้นอย่างหนักจากสังคม กิลเบิร์ตกลับไม่ได้สนใจเรื่องราวที่คนภายนอกจะมองเขานัก ค่ำนี้เขาใช้เวลาทานข้าวกับเฟรเซียและฟินน์ ใช้เวลาทั้งวันสอนสองพี่น้องให้หัดใช้พลังจิตในฐานะเอสเปอร์ เริ่มจากการควบคุมปริมาณที่เหมาะสม และเทคนิคง่ายๆหลายๆแบบ แม้คนที่อเล็คเซ่ส่งมาสอนพวกเขาตอนแรกจะทำได้ไม่เลว แต่นั่นยังไม่พอเพียง เมื่อดาวดวงนี้เปลี่ยนแปลงไป ยุคสมัยของเอสเปอร์แห่งอาทีเรียจะต้องมาถึง เมื่อถึงวันนั้นเขาไม่อยากให้เด็กสองคนนี้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใครอีก
“พวกโจรสลัดจะไม่ตามพวกเราแล้วหรือครับ” ฟินน์เอ่ยถามขณะที่การฝึกประจำวันจบลง วันนี้พวกเขาได้รับคำชมจากกิลเบิร์ตค่อนข้างมาก เด็กหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “คนที่ชื่ออเล็คเซ่จะไม่มาราวีคุณกับท่านดยุคแล้วหรือครับ”
“อ้อ ไม่หรอก เพราะว่าเขามีของแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าพวกเธอแล้วน่ะ” กิลเบิร์ตลูบศีรษะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆพลางจิบชา ในตอนนั้นเฟรเซียก็เอนตัวมาพิงเขาและกอดแขนออดอ้อนบ้าง “นั่นปะไร คุณหนูคนนี้อยากได้อะไรเอ่ย”
“คุณกิลเบิร์ตเลี่ยงคำตอบใช่ไหมคะ ไม่อยากให้พวกเรารู้เหรอว่าคุณแลกอะไรกับโจรสลัดใจร้ายคนนั้น” เฟรเซียอ้อนเสียงหวาน หลังจากถอดคราบเจ้าหญิงออก เธอก็กลับมาเป็นสาวน้อยคนเดิมอย่างที่เคยเป็น แม้อายุยี่สิบปีแล้วแต่เธอก็ติดการอ้อนคนอื่นอย่างที่พี่ชายชอบทำ ท่าทีของเธอนั้นย่อมถูกใจกิลเบิร์ตอย่างยิ่ง เขาชื่นชมเด็กหนุ่มสาวคู่นี้ เพราะนอกจากจะมองแล้วสบายตามากๆ ยังรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก ยิ่งเป็นเด็กที่ผ่านเรื่องร้ายๆมา เขายิ่งรู้สึกว่าฟินน์กับเฟรเซียสมควรได้รับความเอ็นดู กิลเบิร์ตรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนเองที่ต้องปกป้องเด็กคู่นี้
และบางทีในอนาคต อาจรวมถึงเอสเปอร์ที่ยังหลับใหลบนดาวดวงนี้ด้วย
“พวกเธอจะปลอดภัย อเล็คเซ่จะได้ของที่เขาต้องการโดยไม่ต้องมายุ่มย่ามกับพวกเธออีก ฉันรับรอง” กิลเบิร์ตตอบพลางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ในแวบหนึ่งฟินน์กับเฟรเซียรู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นใครจะไปสน กิลเบิร์ตจะโหดร้ายกับใครก็ได้ ขอแค่คนๆนี้ดีกับพวกเขาก็พอ พวกเขาชอบกิลเบิร์ตและอยากอยู่กับคนๆนี้ “วันนี้ดึกแล้ว ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ พรุ่งนี้ยังต้องฝึกแต่เช้านะ”
“เข้มงวดจัง!” ฟินน์เอ่ยเล่นๆขึ้นมา แต่ฝ่ายคนโตกว่ากลับหัวเราะ
“ถ้าเข้มงวด พวกเธอก็จะเก่งขึ้นไวๆ ยิ่งเก่งขึ้นมากเท่าไหร่ก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น จำไว้นะ จักรวาลนี้สำหรับเอสเปอร์ หากไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกเธอก็จะเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในอันตราย” นั่นคือคำตอบที่ทำให้เด็กทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน การที่กิลเบิร์ตพูดกับพวกเขาเช่นนี้ นั่นจะเป็นเพราะการมองโลกในแง่ร้าย หรือว่าแท้ที่จริงเขารู้สึกเช่นชั้นจริงๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จักรวาลนี้ก็ไม่น่าจะใช่สถานที่ๆดีสำหรับพวกเขาเลย “อย่าเข้าใจผิดนะ มีคนดีอยู่มากมายเลยล่ะ เพียงแต่ว่า...เก่งไว้ย่อมดีกว่า”
สุดท้ายกิลเบิร์ตส่งเด็กทั้งสองขึ้นนอน ส่วนตัวเองนั่งอ่านหนังสือจิบน้ำชาอยู่คนเดียวเช่นเคย เพียงระยะเวลาไม่กี่เดือนเกิดเรื่องขึ้นมากมายในชีวิตเขา จากเดิมที่อยู่บนจุดสูงสุดร่วงลงมากระแทกพื้นแตกยับ หากเขาไม่ใช่เอสเปอร์ที่เก่งกาจ ยามนี้มิต้องถูกอารอนกับเฟรเดอริคจับไปประหารด้วยกิโยตินจนหัวหลุดจากบ่าแล้วหรือ ถึงที่สุดก็มีแต่ตัวเองที่ต้องพึ่งพาตัวเอง การที่เขามาถึงอาทีเรียและได้พบกับลุดวิก ท้ายที่สุดลุดวิกก็จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของเขา แล้วเฉดหัวทิ้งหรือเปล่า
ยิ่งลุดวิกได้สิ่งที่ต้องการไวเท่าไหร่ กิลเบิร์ตก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีแต่ความไม่มั่นคง เขาย่อมรู้สึกดีในตอนนี้ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนั้นในฐานะผู้ชนะ แต่นั่นก็แค่ตอนนั้น เพราะยิ่งหลายวันนี้ได้เห็นภาพของผู้คนที่ชื่นชมลุดวิก เห็นคนๆนั้นคว้าชัยชนะได้ทุกอย่าง มันก็เหมือนการตอกย้ำว่าว่าท้ายที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อลุดวิกได้เป็นเจ้าอาณานิคมแล้วก็จะเขี่ยเขาทิ้งแบบเดียวกับที่เฟรเดอริคทำหรือเปล่า
“ก็...เราตกลงกันไว้แค่นั้นนี่นะ” กิลเบิร์ตพูดกับตัวเองพลางทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าเมื่อจัดการเรื่องอารอนกับอเล็คเซ่ได้แล้ว อีกไม่นานคำสัญญาทั้งหมดก็จะบรรลุผล ลุดวิกก็ไม่มีเหตุที่จะต้องรั้งเขาไว้เป็นภรรยาแต่เพียงในนามอีกแล้ว คิดถึงตรงนี้ที่กลางอกมันก็พานปวดแปลบขึ้นมา ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์กับการเอาตัวรอดแท้ๆ แต่มาถึงจุดนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาเหมือนกัน
“เจ้าโง่ มาอ่อนแอไม่เข้าท่าอะไรเอาป่านนี้” ตำหนิตัวเองและปิดหนังสือลง พอดีกับที่ได้ยินเสียงรถที่หน้าบ้าน ดูเหมือนคุณสามีจะกลับมาแล้ว
ฝ่ายลุดวิกหลังจากเหนื่อยอ่อนใจมาทั้งวัน ปรากฏว่าเมื่อลงจากรถแล้วเห็นกิลเบิร์ตยืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าบ้าน เขากลับรู้สึกหัวใจพองโตอย่างกะทันหัน ความเหน็ดเหนื่อยหรือหงุดหงิดใจทั้งหลายทั้งมวลล้วนอันตรธารหาย เหลือเพียงความรู้สึกที่อยากจะสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วรั้งตัวภรรยามากอดให้เต็มมือเท่านั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็ทำไปจนหมดแล้ว ทั้งยังจูบข้างแก้มอีกฝ่ายจับมือคู่นั้นมาแนบแก้มดอมดมให้สมอยาก
“อุตส่าห์มารอรับหรือ เด็กๆล่ะ” ลุดวิกยิ้มหวานให้พลางถามถึงเฟรเซียกับฟินน์ซึ่งช่วงนี้เขาก็เริ่มชินกับการมีเด็กหนุ่มสาวคู่นั้นในบ้านแล้ว
“สองคนนั่นขึ้นข้างบนแล้ว คุณกลับดึกขนาดนี้เด็กหนุ่มสาววัยกำลังโตจะรอไหวหรือ อะ แต่ฉันไม่ได้มารอคุณหรอกนะ! แค่อ่านหนังสือเพลินจนคุณมาเท่านั้นเอง!” คำแก้ตัวไม่เป็นโล้เป็นพายนั่นทำเอาพ่อบ้านเบนจามินอดกระแอมขัดขึ้นไม่ได้ อ่านหนังสือรอยันเที่ยงคืนแบบนี้มันต้องเป็นหนอนหนังสือขนาดไหนกัน แน่ล่ะว่าลุดวิกจับโกหกที่ไม่เนียนเลยนี่ได้ แต่เขาเลือกจะมองข้าม ส่งเสื้อโค้ทให้เบนจามินแล้วจูงมือกิลเบิร์ตไปที่ห้องโถง ได้กลิ่นสบู่กับแชมพูอ่อนๆจากอีกฝ่ายซึ่งก็หอมเสียจนเขาอยากหอมฟัดร่างนั้นทั้งร่างเสียเดี๋ยวนี้ “อย่านะ! คุณเหม็นมากเลย!”
“มีภรรยาที่ไหนปฏิเสธสามีที่กำลังจะแสดงความคิดถึงน่ะ” ลุดวิกหัวเราะเบา ถ้าเป็นภรรยาบ้านอื่นคงยอมให้เขาจูบปากไปแล้ว แต่กิลเบิร์ตกลับผลักไสเขาซะงั้น ช่างเป็นแมวที่เรื่องมากจริงๆ
“อะไรเล่า! ถ้าไม่ยอมก็จะขอหย่าเร็วขึ้นหรือไง!” กิลเบิร์ตพูดอย่างติดตลก แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเจือความไม่มั่นใจเล็กๆไว้จนคนฟังสัมผัสได้ ความรู้สึกไม่มั่นคงนั่นสะท้อนออกมาโดยที่เจ้าตัวคนพูดไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ และบังเอิญว่าคำพูดนี้มันกลับกระตุ้นความขุ่นเคืองเล็กๆในในของลุดวิกขึ้นมาเช่นกัน
“ไม่หย่าหรอก” เขาพูดเสียงแข็ง
“เอ๋!” กิลเบิร์ตเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าดันเจอใบหน้าขมึงทึงของลุดวิกมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ฉันไม่หย่าให้เธอหรอก!”
“หะ!”
วินาทีนั้นเองที่กิลเบิร์ตผงะไป ส่วนลุดวิกสาวเท้าเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอน ในขณะที่เบนจามินที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่งสายตาอิดหนาระอาใจมาให้กิลเบิร์ต เขาเห็นความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้มาตั้งแต่คืนแรกที่ลุดวิกพากิลเบิร์ตมาที่นี่ ในสายตาคนนอกเขาเห็นแต่คุณผู้ชายเป็นฝ่ายพะเน้าพะนอคุณผู้หญิงท่านนี้ แต่กิลเบิร์ตกลับบ่ายเบี่ยงมาตลอด แม้จนสุดท้ายร่วมหอลงโลง ร่วมเป็นร่วมตาย แต่ก็ยังมีกำแพงตั้งตระหง่านขวางทางรักเอาไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาย่อมมองว่านี่เป็นปัญหาของฝ่ายภรรยา
“หมอนั่นโกรธอะไรน่ะ!” กิลเบิร์ตโวยขึ้นโดยไม่ได้รับรู้เลยว่า ปัญหาก็คือตัวเขานั่นล่ะ
“ก็สมควรโกรธนะครับ สามีกลับบ้านมา ภรรยาพูดขอหย่าซะอย่างนั้น เป็นผมก็โกรธครับ” เบนจามินทอดถอนใจ เขากำลังคิดว่าหรือเพราะลุดวิกกับกิลเบิร์ตโดยพื้นฐานเป็นผู้ชายทั้งคู่ เรื่องจะให้หวานกันตลอดนั้นจะเป็นไปได้ยาก แต่คิดไปคิดมา นั่นไม่น่าเป็นปัญหา มีใครปัจจุบันนี้บ้างที่เอาเรื่องเพศมาเป็นปัญหาใหญ่ นี่น่าจะเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวมากกว่า “คุณต้องไปง้อแล้วล่ะนะผมว่า”
“ง้อ? ฉันน่ะนะ!” กิลเบิร์ตโวยอีกรอบ นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองผิดอะไร ทำไมเขาต้องง้อล่ะ!
“ไม่ได้สำนึกความผิดเลยจริงๆสินะ เฮ่อ! ความสัมพันธ์สามีภรรยาไม่เหมือนการขัดรองเท้าที่คุณจะขัดไปเรื่อยตามแต่ใจโดยอีกฝ่ายไม่บ่นนะ! ของแบบนี้มันต้องดูแลกันหน่อย! เอ้า! รีบไปง้อเร็ว!” เบนจามินถือโอกาสนี้ใช้ความอาวุโสและฐานะอดีตหัวหน้างานตบบ่าให้กำลังใจกิลเบิร์ต ไอ้เรื่องแบบนี้มันต้องมีความกล้ากันหน่อย! “ว่าแต่ขอถามหน่อย คุณน่ะต้องใช้ครรภ์เทียมไหม”
“ฉัน?” งงไปอีกรอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร
ครรภ์เทียมที่ว่าไม่ได้หมายถึงการปลูกถ่ายมดลูกเทียมอะไร แต่หมายถึงเทคโนโลยีการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตจากเซลล์สืบพันธุ์ของคู่สามีภรรยาไม่ว่าเพศเดียวกันหรือต่างเพศ มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ตั้งแต่มาตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพศหญิงไม่จำเป็นต้องรับภาระให้กำเนิดบุตร แต่สามารถใช้มดลูกเทียมเพื่อการนี้ได้ ทว่า ก็ยังมีเพศหญิงที่นิยมการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ และเพศชายบางกลุ่มที่เกิดการกลายพันธุ์จากวิวัฒนาการจนสามารถให้กำเนิดทารกโดยธรรมชาติได้เช่นกัน เรียกได้ว่า วิวัฒนาการพันธุกรรมศาสตร์นั้นก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว และอาจเพราะเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งงานไม่ว่ากับเพศใดอีก
คำถามของเบนจามินจึงตีความได้ว่า กิลเบิร์ตเป็นเพศชายที่สามารถให้กำเนิดลูกได้โดยธรรมชาติ หรือเขาต้องการให้กำเนิดทารกโดยการใช้ครรภ์เทียมในโรงพยาบาล สองอย่างนี้ย่อมต่างกันที่ความยากง่ายและการดูแล เพียงแต่คำถามนี้ทำเอากิลเบิร์ตอึ้งไปเหมือนกัน
เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าตัวเองท้องได้หรือเปล่า?
“จะไปรู้เรอะ!” สุดท้ายกิลเบิร์ตปัดคำถามนั้นตกอย่างรวดเร็ว อันที่จริงจะมาคิดทำไมว่าจะมีลูกแบบไหน ยังไงเสียเขาก็ไม่มีวันมีลูกกับลุดวิกหรอก!
เมื่อจบสัญญานี้ พวกเขามีชะตากรรมที่ต้องต่างคนต่างไป!
แม้จะกระอักกระอวลใจ แต่สุดท้ายกิลเบิร์ตก็ต้องด้อมๆมองๆหาโอกาสเดินเข้าห้อง ไม่ใช่จะง้อหรอกนะ เขาก็แค่ต้องเข้ามานอนในห้องเท่านั้นเอง!
“เอ๋ อาบน้ำหรือ” กิลเบิร์ตไม่เห็นลุดวิกในห้องแต่ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำเลยลิงโลดรีบปีนขึ้นเตียงห่มผ้า หมายจะแกล้งหลับ ถือเสียว่าคืนนี้ทะเลาะกันพอพรุ่งนี้เช้าก็ลืมๆไปเองแหละ!
ทว่า ในตอนที่ใกล้จะเคลิ้มหลับนั่นเองที่พลันรู้สึกว่าเตียงยวบลง มิหนำซ้ำแขนปลาหมึกกลับยั้วเยี้ยมากอดเข้าเต็มรักตามด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่กดลงบนร่างของเขา รู้ตัวได้สติอีกทีก็ถูกริมฝีปากอีกฝ่ายจูบเข้าเต็มที่ เรียวลิ้นนุ่มแต่สากโลมเลียริมฝีปากของเขาก่อนจะสอดแทรกเข้ามาลิ้มเลียชมไปทั่วโพรงปาก ส่วนมือไม้นั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะจัดการกลัดกระดุมเสื้อทิ้งและใช้ปลายนิ้วแตะลงบนยอดอกของเขาจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน
“หยุดนะ! ลุดวิก!” กิลเบิร์ตพยายามผลักไส แต่พอสบตาเจ้าคนหน้าไม่อายตรงๆ อีกฝ่ายกลับตีสีหน้าขมึงทึงมุ่นคิ้วเสียแก่กว่าอายุไปหลายปี ก่อนจะลงมือจูบฟัดข้างต้นคอเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “อย่านะ! ฉันง่วงแล้วนะ! ไม่มีอารมณ์อย่างว่ากับคุณหรอก!”
“ถ้าไม่มีก็แค่ทำให้เธอมีเท่านั้นเองนี่ เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง” ลุดวิกตอบอย่างเฉยชาพลางลงมือกระชากกางเกงคู่กรณีและลูบไล้เรียวขางามที่เขาชมชอบอย่างยิ่ง “ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้เธอจะเข้าใจผิดว่าฉันคิดหย่าขาดจากเธอนะ”
“หา!” เบิกตากว้าง ไหงลุดวิกเอาเรื่องหย่ามาเป็นเหตุผลแบบนี้เล่า นี่มันข้ออ้างอะไรกัน!
“สามีที่ไม่เชยชมภรรยาบ่อยๆจะถูกหาว่าแหนงหน่ายหมดรัก นี่ฉันก็กำลังแสดงให้เธอเห็นว่าฉันทั้งรักทั้งหลงเธออยู่ไง” คนหน้าไม่อายหยิบยกเหตุผลบ้าบอที่สุดเท่าที่กิลเบิร์ตจะเคยได้ยินมามาแอบอ้าง ทั้งยังทำร้ายเขาเสียจนเนื้อตัวอ่อนยวบยาบ “ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่หย่ากับเธอ ต่อให้เธออยากหย่า ฉันก็ไม่หย่า!” นั่นคือข้อสรุปของเขาหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยจนหัวโล่งแล้ว ไม่ว่าใครจะว่ายังไงหรือกิลเบิร์ตจะเถียงยังไง ถ้าเขาไม่หย่าเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเขาได้!
“เดี๋ยวสิ! แล้วข้อตกลงของเราล่ะ!” กิลเบิร์ตประท้วง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงจะเป็นสามีภรรยากำมะลอ จบงานแล้วต่างคนต่างไปเรอะ! “นี่เข้าใจรึเปล่าว่าคุณกำลังผิดคำพูดน่ะ!”
“ฉันพูดตอนไหนว่าจะเป็นฝ่ายขอหย่า เธอพูดเองเออเองทั้งนั้น!”
“!”
“ทำไมฉันจะต้องหย่ากับภรรยาที่เพียบพร้อมที่สุดของตัวเองด้วย! ไร้สาระที่สุด!” ลุดวิกตอบอย่างจริงจัง เขาในตอนนี้เข้าใจดีถึงความอ่อนไหวในหัวใจของกิลเบิร์ต ยิ่งเรื่องราวเดินมาถึงจุดนี้ยิ่งเข้าใจดีว่าความไม่มั่นคงนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนเพียงใด แม้แต่คนรอบข้างของเขายังยุแยงให้เขามีภรรยาใหม่ ประสาอะไรกับกิลเบิร์ตที่มีปมในเรื่องนี้ที่คลายไม่ออก “เธอเป็นภรรยาของฉัน และฉันในตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไป ฉันจะเป็นเจ้าอาณานิคม และจะช่วยเธอจัดการปัญหาที่กำลังจะตามมารังควานเธอ ไม่ใช่แค่ตอบแทนที่เธอช่วยฉัน แต่นี่คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะสามีภรรยา!”
คำพูดของลุดวิกนั้นเรียกได้ว่าทั้งชัดเจนและมั่นคงจนกิลเบิร์ตนึกสั่นสะท้านขึ้นมา เขาย่อมอดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวไปกับคำพูดที่คลับคล้ายจริงใจอย่างที่สุดนั่น ก่อนหน้านี้รู้สึกหดหู่กับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกเศร้าใจลึกๆอย่างไม่มีสาเหตุ คำพูดของลุดวิกที่ดูจริงใจมากๆนี่กลับยิ่งทำให้รู้สึกสั่นไหว
“คำพูดคน พูดได้ก็ลืมได้” กิลเบิร์ตตอบ ใช่แล้ว วันนี้ไม่ แต่อนาคตล่ะ “ถ้าคุณเจอใครคนใหม่ที่ดีกับคุณมากกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า คุณจะมาไยดีอะไรกับฉัน ก็แค่แมวข้างถนนที่คุณเก็บได้เท่านั้น” ยิ่งคิดน้ำตามันก็พานจะไหลออกจากหางตา เจ็บที่กลางอกจนต้องซุกใบหน้าลงกับหมอน ทำไมถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้ รวดร้าวขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพูดปาวๆว่าเพื่อผลประโยชน์ แต่มาตอนนี้เขากลับเป็นคนที่พูดได้ไม่เต็มปากเสียแล้ว พอคิดว่าจะถูกลุดวิกทิ้งอีกคนก็รู้สึกวูบโหวงในอก
“งั้นฉันเองก็แค่ถังขยะโสโครกที่แมวตัวนั้นมานอนอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน”
“!”
“เราอยู่คู่กัน ไม่ว่าจะเป็นในตรอกมืดมนหรือกลางฟลอว์เต้นรำที่หรูหรา”
“ฉัน...” ลุดวิก อยากพูดอะไรกันแน่
“กิลหันมาหาฉัน” ลุดวิกสั่งเบาๆ น้ำเสียงของเขายามนี้อ่อนลงหลายส่วน “หันมาเถอะ ขอฉันเห็นหน้าเธอ” ว่าพลางรั้งรอจนผู้ฟังนั้นค่อยๆผินหน้ามา แม้พยายามปาดน้ำตาออก แต่ความรวดร้าวที่สะท้อนในนัยน์ตาคู่นั้นกลับมากมายนัก “อยู่กับฉันเถอะ อยู่ข้างๆฉัน ในยามลำบากเรามีกันและกัน ดังนั้นในยามที่รุ่งโรจน์ ฉันก็จะมีเธอเพียงคนเดียว”
คำพูดนั้นช่างแปลกประหลาด เหตุเพราะมันไม่ใช่คำสารภาพรัก ไม่ใช่คำขอแต่งงาน ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการบอกกล่าว บอกกล่าวถึงความจริงใจ และความบริสุทธิ์ใจที่จะมีให้กัน ประหนึ่งคนพูดนั้นรู้แก่ใจว่าสิ่งที่คนฟังต้องการมากที่สุดหาใช่คำรัก สิ่งที่กิลเบิร์ตปรารถนามากที่สุดในตอนนี้กลับเป็นคำมั่นสัญญาสามัญธรรมดา
หากสามีเก่าของเธอทอดทิ้งเธอยามมั่งมี เช่นนั้นตัวฉัน...ก็จะมีเธอเพียงคนเดียวในทุกวินาทีของชีวิต
“ฉัน เชื่อคุณได้หรือ” กิลเบิร์ตถาม เขาเคยเชื่อ เขาเคยเจ็บ จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรเชื่อดีหรือไม่ ทว่า คำตอบของลุดวิกกลับเป็นจูบแสนอ่อนโยนที่มอบให้ ดวงตาสีฟ้าสวยที่มองเขาอย่างตั้งใจ แววตาเช่นนี้กิลเบิร์ตคลับคล้ายว่าไม่เคยเห็นมันจากผู้ใดมาก่อน ไม่เคย แม้แต่กับอดีตสามี
“ฉันจะเป็นคนแบกรับภาระการพิสูจน์นั้นเอง”
“ลุดวิก...”
“ให้ฉันได้พิสูจน์มันต่อหน้าเธอด้วยเถอะ”
ภาระการพิสูจน์รักในครั้งนี้ ลุดวิก ชไนเดอร์จะเป็นผู้แบกรับไว้เอง
จบตอน
ดีใจหากทุกคนชอบนะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวายก็จริง แต่ก็เป็นนิยายไซไฟเช่นกันค่ะ หลังจากนี้จะค่อยๆเผยปมของตัวละครค่ะ
ส่วนตอนหน้าเตรียมต้อนรับตัวละครชุดใหม่กันค่ะ