บทที่ 12
ริมเขื่อนมองหน้าผมอย่างจริงจัง ทั้งยังใช้มือมาเนียนลูบศีรษะผมอีก แต่ก็ได้แค่แปบเดียวเท่านั้นเพราะผมขยับหัวหนีก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอาให้
“ไปต่อยมวยไป จะได้กลับไปนอนสักที” ผมบอกแล้วขยับตัวหนีออกมา โซฟาไม่ไกลจากสนามมวยคือจุดหมายปลายทางที่เล็งเอาไว้ แอบได้ยินริมเขื่อนหัวเราะร่าตามมาแต่ผมไม่ยอมหันกลับไปมอง
ไม่มีทางที่ผมจะให้เขื่อนมันเห็นหน้าของผมตอนนี้
คงเพราะออกแรงวิ่งบนลู่มานาน หัวใจเลยทำงานดีไม่น้อย เลือดที่สูบฉีดไปตามร่างกายเลยวิ่งมากองไวบนหน้าผมจนหมด แม้แอร์ในฟิตเนสจะแรงแต่ผิวแก้มของผมกลับร้อนผ่าว
‘กูจะดูแลมึงเอง กูสัญญา’เกลียดว่ะ ไอ้ความรู้สึกหัวใจพองโตแบบนี้เนี่ย
ผมทรุดตัวนั่งบนโซฟาตัวไม่ใหญ่นัก เอนหลังพิงพนักและปล่อยสายตาให้มองเหม่อไปยังเพดาน เสียงตุบตับของนวมกระทบเป้ากับเสียงพูดคุยจอกแจกดังแว่วมาจางๆ ผมที่ยังไม่ได้ถอดหูฟังเลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงในแอพลิเคชั่นฟังระหว่างรอ เพลย์ลิสต์เดิมๆ ที่ฟังจนเบื่อถูกจับมาวนเล่นซ้ำไปเรื่อย
ผมเลื่อนสายตาลงมาที่ริมเขื่อน ผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามบางที่เปียกเหงื่อจนแนบไปตามลำตัว สวมนวมบนมือเรียบร้อย ฝั่งตรงข้ามคือเทรนเนอร์ที่มีเป้าล่ออยู่บนมือทั้งสองข้าง ร่างกายริมเขื่อนดูดีแม้กระทั่งตอนเหงื่อโทรมกาย ทุกครั้งยามที่ออกแรงเหวี่ยงแขนและขา ผมเห็นสายตาทุกคู่ที่มองไปยังริมเขื่อนล้วนพราวระยับอย่างชอบอกชอบใจ
มัดกล้ามขึ้นชัดเมื่อเจ้าของมันเกร็งร่างกายเพื่อออกแรงซัดหมัด ยิ่งยามที่เม็ดเหงื่อไหลผ่าน ใบหน้าสวยแดงก่ำจากการใช้แรง เส้นผมหลุดลุ่ยในทุกการขยับเขยื้อนกาย ราวกับนางอัปสรกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าดุดัน ผมมองริมเขื่อนไม่ละสายตา คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูปคนตรงหน้าเก็บไว้นับสิบรูป
เสียดายที่ไม่ได้พกกล้องมาด้วย
ผมนั่งเล่นนอนเล่นรอสักพัก นานเป็นชั่วโมงได้กว่าริมเขื่อนจะเสร็จสิ้นธุระกับนวมในมือ ร่างสูงโปร่งในสภาพเปียกทั้งตัวเดินมาหาด้วยรอยยิ้ม มือขวากระพือคอเสื้ออย่างแรงจนมันเลิกขึ้นโชว์อะไรต่อมิอะไรหมดสิ้น
“เพราะแบบนี้ไง ล่อเสือล่อตะเข้” ผมบอกพลางเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อเขื่อนไว้ไม่ให้สะบัดโชว์ลอนหน้าท้องอีก คนตัวสูงยิ้มเผล่อย่างอารมณ์ดี เมื่อผมลุกขึ้นยืนก็เอื้อมมือมาโอบไหล่กันไว้ แย่งกระเป๋าสะพายข้างไปถือก่อนจะลากกันกลับขึ้นห้องพักตามเดิม
ริมเขื่อนมาส่งผมที่ห้องก่อน จากนั้นก็แยกย้ายกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องตัวเอง ผมขัดขี้ไคลสระผมอยู่นานก่อนจะออกมานอนแผ่ทั้งๆ ที่ทั้งหัวยังเปียกซก
ขี้เกียจเป่าผมมากเลยครับ เฮ้อ
“ไผ่... ทำไมไม่เป่าผม” คนที่คิดว่าคงไม่เจหน้าแล้วในวันนี้กลับชะโงกหัวเข้ามาในห้องนอนอย่างง่ายดาย ตั้งแต่มันหลุดปากว่ามีกุญแจห้องผมไว้ในมือ ริมเขื่อนก็ไม่เคยเคาะประตูห้องอีกเลย
“นอนด้วยอีกแล้วเหรอ” ผมหาวหวอดขณะถาม
“ใช่” คนตัวสูงเดินเข้ามา กระชากแขนผมให้ลุกขึ้นนั่งก่อนหยิบผ้าขนหนูบนบ่ามาขยี้เส้นผมของผมให้อย่างแผ่วเบา ผมที่ตาจะปิดนั่งคอพับปล่อยให้อีกคนทำอะไรตามใจ
ริมเขื่อนซับน้ำออกจากผมของผมจนหมาด ลุกขึ้นขยับพัดลมหันมาจ่อตัวให้ก่อนบังคับให้ผมนั่งรอจนกว่าผมจะแห้ง เพราะด้วยความที่ผมยังไม่ได้รื้อของใช้ออกจากกล่อง พวกไดร์เป่าผมจึงยังอยู่สักที่ในลังพวกนั้น
“มึงจะย้ายของมาวันไหน” อยู่ๆ ริมเขื่อนก็โพล่งถามขึ้นมา ผมเงยหน้าจากการก้มให้ลมเป่าตรงหลังศีรษะ หันไปมองผู้ชายที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเดียวกันพร้อมกับเลิกคิ้วถาม “เอ้า เดี๋ยวคุณโจเซฟเขาก็จะมาดูห้องทำสัญญาแล้วป่ะ เห็นเขาบอกว่าอาจย้ายเข้ามาเลยด้วยถ้าทางเราพร้อม”
“เออว่ะ” ผมขึ้นเสียงสูงเมื่อนึกขึ้นได้
คุณโจเซฟคือชาวต่างชาติที่จะมาเช่าห้องของผมอยู่ ด้วยราคาเกินครึ่งแสนที่ผมยังไม่เชื่อหูตัวเองเลยจนตอนนี้ว่าทำไมค่าเช่าแพงจัง แต่ถ้าพูดถึงทำเล ความหรูหราและกว้างขวางของคอนโดนี้ เขื่อนก็บอกว่าสมราคา เพราะต่างชาติเค้าไม่คิดเรื่องถูกแพงกว่าผ่อนเองหรอก เขาแค่จะมาอยู่ชั่วคราว ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ
“ยังไม่ได้จัดห้องเลย” ผมบ่นอย่างขี้เกียจ
“พรุ่งนี้กูหยุด เดี๋ยวมาช่วย”
“ใจดีจังวะช่วงนี้” ผมหยอกพลางทิ้งตัวลงนอน ถึงเส้นผมจะยังไม่แห้งแต่ผมขี้เกียจนั่งตากลมต่อแล้ว เปิดทั้งแอร์ทั้งพัดลม หนาวจะตายชัก ผมบ่นในใจขณะสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่แย่งจากริมเขื่อนมาใช้คนเดียว
เขื่อนกดโทรศัพท์เล่นสักพักก่อนวางลงแล้วหันมามองหน้าผมยิ้มๆ
“ทำดีหวังผลต่างหาก”
“จะกินอะไร เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” ผมตบอกอย่างป๋ามากๆ แต่กลับถูกลากเข้าไปไว้ในอ้อมแขน ริมเขื่อนทั้งพาดมือพาดขามากกผมไว้ แทบจะม้วนผ้าห่มกับตัวผมจนกลายเป็นซูชิโรลอยู่แล้วเนี่ย
“กินมึง”
“...”
กวนตีน!
ผมตวัดหางตาไปมองไอ้ตัวร้าย ตอนแรกว่าจะไม่ดิ้นแล้วนะเพราะไม่มีแรง แต่พอริมเขื่อนพูดมาแบบนี้ผมก็ออกแรงสะบัดร่างกายให้หลุดพ้นจากการถูกตัวหนักๆ ของเพื่อนทับมาเกือบครึ่ง
“มึงปล่อย!” ผมตะโกนอัดหูคนที่ทำเป็นหลับตาพริ้ม
“ดิ้นให้หลุดดิ”
“พ่อมึง”
“เออ พ่อกูอยากคุยกับมึงอยู่เหมือนกัน”
แม่ง แม่งๆๆๆ!
ผมทำปากมุบมิบก่อนจะฉีกฟันงับลงไปบนต้นแขนแน่นไปด้วยมัดกล้ามอย่างหมั่นไส้ ริมเขื่อนร้องโอดโอ๊ย ขยับตัวหนีไปสุดฝั่งเตียงทันที
ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอเบ้า หันมามองกันอย่างตัดพ้อ ทั้งยังกดมุมปากลงจนโค้งอย่างแง่งอน ผมรับประกันได้ว่าภาพที่กำลังมองอยู่ตรงหน้าคือแฟนสาวในอุดมคติอย่างแท้จริง
เห็นแล้วก็อยากจับมาโอ๋แนบอก แต่ต้องห้ามใจเอาไว้เพราะเนื้อแท้กระต่ายตรงหน้ามันไม่ใช่น้องเขื่อนที่น่ารักอีกแล้ว!
“มึงกลับไปนอนห้องมึงเลย ขี้เกียจเห็นหน้า”
“ไผผผผผ่ เอาจริงเหรอ” เสียงออดอ้อนพร้อมร่างสูงที่คลานเข้ามาหาอย่างช้าๆ เส้นผมยาวสลวยปล่อยทิ้งละผิวแก้มและหัวไหล่กว้าง ไม่เท่าการที่ชุดนอนคอกว้างถูกแรงโน้มถ่วงรั้งลงมาจนเห็นไปถึงขอบกางเกงนอน
ผมเผลอมองหัวนมสีอ่อนนั่นอีกจนได้!
“มองอะไร...”
แล้วไอ้เจ้าของนมมันดันรู้ไง
กลบเกลื่อนแทบไม่ทัน ผมรีบเบือนสายตาหนี ซ่อนหูแดงๆ กับอาการร้อนผ่าวทั่วร่างไว้อย่างแนบเนียน โชว์ดีที่อะไรๆ ไม่ได้ตั้งโด่ขึ้นมาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะไปตัดมันทิ้งจริงๆ ด้วย
ตั้งกับใครไม่ตั้ง มาตั้งกับเพื่อนสมัยเด็กที่มองเห็นเป็นน้องนุ่งมาตลอดเนี่ย เฮงซวย!
“มึง ไม่ให้กูนอนด้วยเหรอ กูเหงานะ”
อาจจะมีอีกอย่างที่เหมือนกันมาแต่เล็กจนโต
น้องเขื่อนขี้อ้อนยังไง ริมเขื่อนก็ขี้อ้อนแบบนั้น
ตอนเด็กๆ เด็กชายเขื่อนมักจะอยากกินขนมเป็นประจำ แล้วไม่รู้ว่าเอาแนวคิดที่ว่าต้องขอผมก่อนซื้อของมาจากไหน ถึงได้ชอบวิ่งโร่มาหาแล้วถูไถหัวออเซาะขอซื้อขนมกินก่อนกลับบ้าน ดวงตากลมโตเต็มไปความใสซื่อน่าเอ็นดู ตัวเล็กๆ กับผมเปียสองข้างขับให้คนตรงหน้ายิ่งน่ารักกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก
ผมมักแพ้สายตาแมวน้อยเสมอ
แต่กับริมเขื่อนตอนโต การอ้อนมันออกจะแตกต่างนิดนึง แม้จะสกินชิพแตะมือไถหัวไม่ต่างกันนัก แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ฝ่ามือทั้งนุ่มทั้งร้อนนั้นถึงลูบไล้ไปทั่วหน้าอกผมขนาดนี้
“นะมึง อยากนอนด้วย”
อาการช้อนตามองทั้งที่หัวซบอยู่บนไหล่ผมยังไม่เท่ามือนิ่มที่วางทาบบนอกข้างซ้าย ปลายนิ้วนั้นตอนแรกก็แค่นวดเฟ้นร่างกาย สักพักเริ่มยุ่มย่ามเกินกว่าเหตุ เพราะอีกฝ่ายใช้เล็บสะกิดยอดอกผมเล่นเป็นพักๆ
ไอ้ภาพเมื่อเช้าที่เขื่อนเล่นนมตัวเองก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดทันที
ชิบหายเอ้ย!
ป้าบ!
“โอ๊ย”
ผมเตะก้นริมเขื่อนไปทีนึงก่อนจะพาตัวเองเขยิบมาไกลสุดขอบ รั้งผ้าห่มมาคลุมตัวเองจนเห็นเพียงแค่ตา ริมเขื่อนลูบบั้นท้ายตัวเองเบาๆ พลางทำหน้าเหยเกใส่
“เจ็บ”
“สมน้ำหน้า”
“เล่นแรงจังวะไผ่ ก้นกูเป็นรอยจะทำไง”
“มึงใช้ก้นถ่ายแบบรึไง”
“ใช้สิ เผื่อมึงอยากถ่ายภาพนู้ด กูจะได้ใส่จีสตริงตัวเดียวให้มึงถ่ายไง”
ทุเรศชิบหายเลยโว้ย!
ผมย้ายของมาแล้วครับ ย้ายตั้งแต่สิบโมงเช้า จนหกโมงเย็นแล้วถึงค่อยจัดการอะไรต่อมิอะไรเสร็จ ด้วยความที่ค่าเช่าห้องแพงผมเลยยกพกเฟอร์นิเจอร์มาจัดทำความสะอาดให้อย่างเรียบร้อย ที่ยกมาไว้ห้องริมเขื่อนก็มีแค่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้น
ตอนแรกจะขนที่นอนหมอนมุ้งไปด้วย แต่พอเข้ามาดูจริงๆ คือริมเขื่อนมีพร้อมทุกอย่างเลย แม้กระทั่งแปรงสีฟันอันใหม่ก็ยังมี คือจริงๆ ผมมาแค่ตัวพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวยังได้เลยครับ
แต่อย่างหนึ่งที่ออกจะย่ำแย่หน่อยเพราะริมเขื่อนเป็นคนเสื้อผ้าเยอะมาก ขนาดผมเอามานิดหน่อยยังไม่มีที่ให้ผมเก็บเลย ทำได้แค่พักเป็นทบเล็กๆ แล้วยัดไว้มุมหนึ่งของตู้ โดยมีคนตัวสูงย้ำอยู่เสมอว่าใช้เสื้อผ้าด้วยกันก็ได้ จะใช้กางเกงในด้วยเลยก็ได้นะ ผมเลยเตะป้าบเข้าให้อีกครั้งนึง
น้องเขื่อนโตมาเป็นคนแบบนี้ ผมชักอยากเห็นหน้าผองเพื่อนที่หลอมมันมาจริงๆ
“หิวอ่ะ” ผมบ่นเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่เพราะอยู่ห้องโล่งๆ ของตัวเองมานาน ตอนแรกก็กะจะนอนห้องตัวเองไปก่อน แต่ยังไงก็ขนของออกมาขนาดนี้แล้ว วันมะรืนคุณโจเซฟก็จะเข้ามาแล้ว ห้องจะได้เรียบร้อยไม่ต้องทำความสะอาดใหม่อีก
“กินอะไรดี ในห้างไหม” เขื่อนเงยหน้าขึ้นมาจากไอแพดและเสนอความเห็น
ผมพยักหน้า อย่างไรคอนโดนี้ก็ติดรถไฟฟ้า เพราะฉะนั้นการไปห้างคงง่ายกว่า ริมเขื่อนก็เป็นถึงนายแบบชื่อดัง ออกไปข้างนอกทีก็โดนทักโดนแอบถ่ายรูปจนอดสงสารไม่ได้
อย่างน้อยไปห้างตอนสองทุ่มกว่าๆ แบบนี้คนคงไม่เยอะเท่าไหร่
ผมที่อยู่ในชุดเตรียมนอนเลยต้องเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าอันเนืองแน่นเพื่อหาอะไรที่ดีกว่านี้มาใส่ ทว่ากว่าจะค้นเสื้อผ้าตัวเองได้ก็ยากลำบากไม่น้อยเลย ด้วยความที่ริมเขื่อนของเยอะ ผมจึงทุลักทุเลมากในการมุดหัวหาเสื้อผ้าตัวเองที่โดนฝังหลบอยู่ในซอกหลืบ
“เอาชุดกูไปใส่ก็ได้” ร่างสูงเดินมาขนาบข้างก่อนรื้อๆ หาเสื้อยืดกางเกงผ้าขายาวมาให้สวม ผมยอมรับมันมาอย่างไม่อิดออด เพราะหิวจะตายอยู่แล้ว
กว่าจะเปลี่ยนชุดและเดินทางมาถึงห้างที่ใกล้ที่สุดก็ปาไปเกือบชั่วโมง ห้างปิดสี่ทุ่ม และขณะนี้สามทุ่มเศษแล้วคนภายในตึกใหญ่แห่งนี้จึงบางตาลงมาก
ผมกับเขื่อนเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใกล้ที่สุด สั่งอาหารด้วยความหิวโหยก่อนจะปล่อยช่วงเวลาระหว่างรอข้าวผ่านไปด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น
“อ๊ะ ริมเขื่อน?”
ท่ามกลางความเงียบบนโต๊ะอาหาร อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เอ่ยทักเรียกคนที่มาด้วยกันกับผม ร่างกายเงยหน้ามองอย่างอัตโนมัติแม้คนๆ นั้นจะไม่ได้เรียกผมด้วยซ้ำ
เจ้าของเสียงหวานใสคือผู้หญิงสูงชะรูดในชุดกางเกงสกินนี่รัดรูปกับเสื้อเปิดไหล่สีกุหลาบหม่น รูปร่างของเธอดีมากเพราะหน้าท้องที่เผยแก่สายตานั้นมีลอนเล็กๆ สวยงาม ขาก็ทั้งยาวทั้งเร็ว ส่วนใบหน้าเห็นได้ไม่ชัดนัดเพราะมีแว่นกันแดดทรงกลมอันโตปิดอยู่ เห็นเพียงสันจมูกทรงสวยกับริมฝีปากเป็นกระจับแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูนู้ด
“ไม่เจอตั้งนาน” ผู้หญิงคนนั้นขยับเข้ามาหาริมเขื่อนด้วยรอยยิ้ม
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมก็ยิ้มทักทายกลับ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้มีเหงื่อเม็ดโตไหลซึมจากหน้าผากไม่แคบไม่กว้างของเขาเสียหลายเม็ด
“เชอร์รี่ มาทานข้าวเหรอครับ”
“ค่ะ มากับเพื่อน” เธอชี้นิ้วที่แต่งเล็บมาอย่างดีไปยังกลุ่มเพื่อนสาวที่หน้าร้าน “แล้วนี่ริมเขื่อนมากับ...”
“เพื่อนครับ ชื่อไผ่” ผมออกปากแนะนำตัวเองเมื่อใบหน้าใต้แว่นสีชาหันมามอง เธอยิ้มรับคำทักทายของผม ก่อนจะเบนความสนใจกลับไปหาริมเขื่อนที่นั่งเขย่าขาด้วยท่าทีแปลกประหลาด
ผมขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัยว่าเขื่อนเป็นอะไของมัน
“ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายงานคู่กับเขื่อนเลย” เสียงหวานติดจะอ้อนน้อยๆ ในน้ำเสียง เธอลงทุนนั่งลงข้างๆ เพื่อนของผม ก่อนจะเท้าแขนไว้กับโต๊ะและหันหน้าเข้าหาริมเขื่อน
ตัดผมออกจากวงสนทนาโดยสมบูรณ์
แต่ไม่เป็นไรครับ ผมขี้เสือก ผมสามารถเงี่ยหูฟังทั้งๆ ที่เล่นโทรศัพท์ได้ ผมไม่ได้ต้องการร่วมวงพูดคุย ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมผู้หญิงที่ชื่อเชอร์รี่คนนี้ถึงทำให้ริมเขื่อนแสดงอาการกระวนกระวายออกมา
“ผมไม่ได้รับงานเยอะเหมือนเดิมแล้วน่ะครับ”
“เอ๋ น่าเสียดายจังค่ะ มีตั้งหลายแบรนด์ติดต่อเชอร์รี่มา บอกว่าอยากให้ถ่ายคู่กับเขื่อน แต่เชอร์รี่ก็ติดต่อเขื่อนไม่ได้ เลยต้องถ่ายคู่กับคนอื่น”
ฟังๆ ดูแล้วผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนในวงการ
และคงหวังเคลมไอ้เขื่อนไม่น้อยเลย
นี่ฮอตกับผู้ชายไม่พอ ยังฮอตกับผู้หญิงด้วยสินะ
ผมรวบรวมข้อมูลคนที่หวังเคลมริมเขื่อนไว้ในใจ ออสตินล่ะหนึ่งที่จะติดแบล็กลิสต์ผม ต้องรอดูว่าเชอร์รี่จะแสดงออกคุกคามมากแค่ไหน แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงคงได้แค่ยั่วแค่อ่อยเท่านั้นแหละมั้ง
“นั่งนานแบบนี้ เพื่อนไม่รอแย่เหรอครับ” เขื่อนถามอย่างสุภาพ แต่ก็ดูออกว่าคงอยากให้เชอร์รี่ออกไปสักที
“ไม่เป็นไรค่ะ รอกันได้”
“อ่ะ ครับ”
ริมเขื่อนเงียบไปแล้ว ราวกับไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี
“จริงสิ ถ้าช่วงนี้เขื่อนไม่ค่อยได้รับงานเยอะๆ แล้ว คงว่างใช่ไหมคะ” เธอเด้งตัวตั้งตรงราวนึกเรื่องดีๆ ขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นเราไปเที่ยวด้วยกันไหมคะ”
“ผมยังไม่...”
“ไม่ปฏิเสธเชอร์รี่น้า”
“คือ...”
“เราไม่ได้เที่ยวด้วยกันสักพักแล้วนะคะ” เธอบอกพลางค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดลงจากใบหน้า นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นองค์ประกอบหูตาจมูกปากของเธอได้ครบถ้วน เชอร์รี่เป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ แม้ไม่สวยมากทว่าหน้าตามีเอกลักษณ์ มองแล้วจำได้ขึ้นใจ มองแล้วก็อยากมองอีก โดยเฉพาะยามที่อีกฝ่ายฉีกยิ้มกรีดกรายยั่วยวนอย่างคนมีจริตจะก้าน
“หรือถ้าเขื่อนไม่อยากไปข้างนอก ไปเที่ยวห้องเชอร์รี่ก็ได้นะ”
โว้ๆๆ รุกไม่เบา
ผมที่ไถทวิตเตอร์เล่นกำลังมือสั่น บอกไม่ถูกว่าจะลุ้นหรือจะโกรธดี ไฟหวงในใจกระพือหนัก แต่ความอยากรู้ว่าริเขื่อนจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้กดให้ผมนั่งตีหน้านิ่งอยู่เงียบๆ ตามเดิม
“เชอร์รี่คือผม...”
“เชอร์รี่จะรอนะคะ ห้องเดิมเพิ่มเติมคือมีไวน์ที่เขื่อนชอบแล้วด้วยน้า”
ผมเงียบเมื่อความคิดในหัวเชื่อมต่อเหตุการณ์กับคำพูดต่างๆ จนวุ่น
ห้องเดิม... ไวน์ที่เขื่อนชอบ...
“ไปแล้วนะคะ แล้วเจอกันค่ะ”
จุ๊บ
ลิปสติกนู้ดติดลงบนแก้มของริมเขื่อนอย่างชัดเจน
แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคือความจริงที่ผมเพิ่งค้นพบ ผมมองหน้าริมเขื่อน คิ้วขมวดอย่างพิจารณา ผู้ชายตรงหน้าหันมามองผมแล้วฉีกยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้ พลางใช้ทิชชู่เช็ดรอยลิปสติกเป็นพัลวัน
อ๋อ ห้องเดิม...
เชอร์รี่คงไม่ได้หวังเคลมมันหรอก
มันไปเคลมเขามาแล้วต่างหาก!!!
__________________________
Talk: พี่ไผ่ต้องมองน้องเขื่อนใหม่ นอกจากงูพิษแล้วยังเป็นหมาป่าโด้ยยย
กินทั้งวงการรึยังยังไม่รู้ รู้แต่ไม่ซิงแน่ๆ 5555555555555
ตอนหน้า เจ้าเขื่อนจะเอาตัวเข้าแลกแล้วววว //อุ๊ป
ทนได้ทนไป ผมจะอ่อยเอง ริมเขื่อนไม่ได้กล่าว