บทที่ 9
“นะครับ” มันจะไม่อะไรเลยถ้ามีแค่เสียงอ้อนกับดวงตาระยิบระยับแบบเด็ก แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หลังคอถูกมือหนาดันให้ศีรษะผมขยับเข้าหาจนสันจมูกของเราถูไถกัน ริมเขื่อนคลี่ยิ้มหลับตาพริ้ม คล้ายรอคล้ายไม่รอ ขยับเข้ามาเอาผิวปากเฉียดบ้างโดนบ้าง แต่ไม่ได้กดจูบลงเหมือนอยากให้ผมเป็นคนทำเอง
แต่ผมนิ่ง...
นิ่งเพราะกำลังสบถกับตัวเองอยู่ว่า สถานการณ์นี้นี่มันอะไรกันวะ
ถ้าถามว่าตกใจไหม... เอาตรงๆ คือไม่เท่าไหร่
ผมก็งงเหมือนกัน
ไอ้ปากสีชมพูระเรื่อนี่ก็เคยดูดมาแล้วตอนถ่ายแบ... นั่นแหละ มันเหมือนกับว่าพอมีครั้งแรก ก็ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่าครั้งนั้นอีกแล้ว แต่ผมก็ยังลังเลอยู่ดี
คือ... คนเราจะจูบกัน มันต้องมีสถานะไม่ใช่เหรอ
“ไผ่ ช้า”
เสียงประท้วงเรียกให้หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากัน ผมรั้งหน้าตัวเองออกห่างจากเขื่อน แต่ฝ่ามือยังดันท้ายทอยผมไว้จนคอผมหดขึ้นรอยพับเหนียงแทน
“ทำไมกูต้องจูบ”
“ล้างปากไง กูถูกออสตินจูบมานะ”
ตรรกะประหลาดจังว้อย
“ไปแปรงฟันดิ” ผมบ่นงึมงำ มุดหัวตัวเองออกมาจากทั้งอ้อมแขนที่กักกันไว้จนได้ หัวเหอรวมถึงเสื้อผ้ายับย่นเละเทะจนหมด ผมมองหน้าตัวเองในกระจก มันแดงก่ำจากการออกแรงไม่สักครู่ รวมถึงเส้นผมสีน้ำตาลแดงก็ชี้ฟูไม่เป็นทรง
เขื่อนทำหน้ายับ แต่ไม่ได้ตามมาคว้าตัวผมกลับไปนอนกอดอีก ผมเลยทิ้งตัวลงนอนแล้วหยิบหมอนข้างขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน อ้าปากหาววอดใหญ่
“กลับห้องได้แล้ว กูจะนอนแล้ว”
“นอนด้วย” เขื่อนไม่ยอมลุกจากเตียงอย่างเด็ดขาด ผมเลยต้องพยักหน้าแล้วลากตัวเองเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แม้มันจะเพิ่งสามทุ่มนิดๆ เท่านั้น
เขื่อนต่อคิวอาบน้ำและถือวิสาสะขโมยชุดตัวที่ใหญ่ที่สุดของผมไปใส่ เสื้อยืดก็ยังพอถูไถ แต่กางเกงบอลนี่สิ สั้นจนเห็นขาขาวๆ ไร้ขนสักเส้นโผล่ออกมาให้รำคาญตา
ผมเอามือไปลูบอย่างลืมตัว
“ไปเลเซอร์ขนมาเหรอวะ” เมื่อก่อนขาน้องเขื่อนขนยุบยับยิ่งกว่าผมเสียอีก
“อืม มันต้องทำ รักแร้กูก็เกลี้ยงนะ” อีกคนว่าพร้อมถลกแขนเสื้อชูใต้วงแขนเนียนกริบให้ผมเห็นเต็มตา
“นี่ถ้ามึงตัวเล็กกว่านี้สักหน่อย กูแยกเพศไม่ออกแล้วนะเขื่อน” ผมบอกอย่างหยอกเล่น เรียกเสียงหัวเราะจากริมเขื่อนดังลั่น
“แต่ตรงนั้นกูไม่ได้เลเซอร์นะ”
“ตรงไห-” ผมคิดได้ก่อนพูดจบประโยค เลยได้แต่ขมวดคิ้วมองเพื่อนที่หน้าสวยกว่าอิสตรี แต่คำที่มันพูดจานี่คือถ้าเป็นลูกสาว ผมคงผูกคอตายวันละร้อยรอบเพราะรับไม่ได้
ผมชูนิ้วกลางให้มัน ทิ้งตัวลงนอนแล้วยกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหัว
“ไผ่ มาจูบล้างปากกันก่อน”
“ไม่!” ผมบอกแค่นั้นแล้วพลิกตัวหนีทันที
เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันวะ ไอ้นี่นี่!
[ริมเขื่อน’s part]ผมเท้าแขนนอนมองคนที่ยังหลับเหมือนตายอยู่บนเตียงข้างๆ ท่าทางจะหลับสนิทมากเพราะเมื่อคืนอยู่ท่าไหนตอนนี้ก็ยังอยู่ท่าเดิม มีบ้างที่ขยับตัวคลายเมื่อย
ผมมองนาฬิกาบนจอโทรศัพท์ เพิ่งจะตีสามกว่าๆ แต่เพราะปวดห้องน้ำเลยตื่นมาเข้า แล้วถือโอกาสมาแอบลอบมองหน้าไผ่เงิน หนุ่มลูกครึ่งที่ไร้ซึ่งความฝรั่งโดยเกือบจะสมบูรณ์
“อืออ” ผมถือโอกาสลากร่างที่ขนาดตัวห่างกันไม่มากมาไว้ในอ้อมแขน กดจูบลงบนหน้าผาก พวงแก้ม แล้วจบที่ริมฝีปากสีซีดเบาๆ ได้ยินเสียงไผ่เคี้ยวอากาศดังแจ๊บๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งสงบเหมือนเดิม
ขนตายาว แก้มตอบไปนิดหน่อย กับริมฝีปากที่ผมติดใจจนอยากกดจูบค้างไว้ทั้งวันคือองค์ประกอบบนใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อไผ่เงิน
ชื่อที่ไทยจ๋ามาก ขัดกับหน้าตาที่ฝรั่งจ๋าเช่นกัน
ตาของไผ่สีฟ้ากระจ่าง ผมชอบมองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว รวมถึงสันจมูกที่โด่งชัดแบบที่ได้รับจากคุณน้ามาเต็มๆ ทุกอย่างรวมกันทำให้ใบหน้าของเขาน่ามองแบบชาวลูกครึ่ง
ผมรู้จักกับไผ่มาตั้งแต่จำความได้ เพราะบ้านของเราสองคนอยู่ติดกัน พ่อกับแม่สานสัมพันธ์ไมตรีไว้เนื่องจากเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ผมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับไผ่จึงมักไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ แต่ด้วยความที่ตัวเล็กกว่า และตอนเด็กๆ ผมออกจะขี้แยไม่น้อย เนื่องจากมักถูกรังแกจากคนอื่นๆ ไผ่ถึงได้วางตัวเป็นพี่ชายผมและวิ่งโร่มาดูแลแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
หน้าตาของผมเหมือนเด็กผู้หญิงมาตั้งแต่เด็กๆ เสื้อผ้าน่ารักๆ รวมถึงชุดผู้หญิงจึงเต็มบ้านไปหมดเพราะคุณแม่ชอบจับแต่งตัวถ่ายรูปเก็บไว้เป็นอัลบั้ม ในขณะที่ตัวผมเองก็ต้องไว้ผมถักเปียเพราะที่บ้านบอกว่ามันเข้ากับผมเอามากๆ
ต่างจากเพื่อนคนอื่นในโรงเรียน ที่มองว่าผมแปลกจากเขา ทั้งล้อเลียนและด่าทอว่าผมเป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ผมเสียใจร้องไห้ทุกวัน ยิ่งพวกเขาแกล้งผมได้ ทุกอย่างก็เริ่มหนักขึ้น จนจากแค่คำพูดและเขียนกระดานเขียนโต๊ะ ผมถูกทำร้ายร่างกายและบาดเจ็บกลับบ้าน
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเพื่อนข้างบ้านโกรธจัด
ไผ่เงินเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนมาตลอด เขาเป็นคนใจดีและมีรอยยิ้มมอบให้กับทุกคนเสมอ แต่วันนั้นไม่ใช่ ผมนั่งร้องไห้อยู่ที่บ้านด้วยความตกใจ จนกระทั่งฟ้ามืด ไผ่ก็กลับมาพร้อมบาดแผลและรอยฝุ่นโคลนเต็มตัว
ตาของเขาแดงก่ำ ปากแตกเลือดไหลไม่หยุด รวมถึงหัวเข่าและข้อศอกที่เป็นแผลถลอกยาว มันไม่ใช่แค่นั้น แต่ผมที่น้ำตาคลอเต็มเบ้าไม่สามารถสังเกตอะไรได้มากไปกว่านี้ ไผ่รีบปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วพุ่งเข้ามากอดผม ลูบหัวปลอบใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กัดฟันกลั้นน้ำตาแทบตาย สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเราทั้งคู่แหกปากร้องไห้ประสานกัน จนทั้งแม่ทั้งคุณน้ารีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
ไผ่ไม่ได้ถูกดุ คุณน้าแค่มานั่งทำแผลแล้วสอบถามว่าไปทำอะไรมา พอบอกว่าไปมีเรื่องกับคนที่แกล้งผม คุณน้าก็ยกนิ้วให้แล้วบอกว่าคราวหลังต้องอัดให้น่วม หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไผ่เงินก็กลายเป็นองครักษ์ประจำตัวผมไปเรียบร้อยแล้ว
นั่นเป็นความประทับใจตอนที่เรายังเด็ก แต่มันไม่ได้เพียงพอให้ผมคิดเกินเลยกับเขาหรอก
จริงๆ บ้านไผ่มีปัญหามาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของพ่อกับแม่ของเขา ถามว่าผมรู้ได้ยังไง เพราะผมได้ยินเสียงทะเลาะออกมาบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เลิกรากันไป เหมือนแค่ว่าความคิดเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น
ช่วงมอต้น ผมถามไผ่ว่า โอเคไหม ในวันที่คุณน้าโกรธจัดแล้วหนีออกไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนอยู่สามสี่วัน แต่ไผ่ก็แค่หัวเราะและบอกว่า
‘ไร้สาระน่า ทะเลาะกันเป็นปกติ บางทีแค่เรื่องกับข้าวยังตีกันได้เลย’
ผมเชื่อมาตลอดว่ามันไม่มีอะไร เพราะไผ่บอกผมแบบนั้น และเขาก็ยังยิ้มแย้มเฮฮาเหมือนเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเดินไปเห็นไผ่แอบร้องไห้อยู่หลังตึกเรียน
ตอนนั้นเป็นช่วงมอสาม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งเรื่องเรียนและเรื่องความคิด ไผ่เริ่มรู้ความ เริ่มมีความคิดมาก และเริ่มที่จะรู้จักการเก็บเรื่องร้ายๆ ไว้เงียบๆ คนเดียว จนสุดท้ายมันก็ย้อนมาทำร้ายหัวใจเราเรื่อยๆ
ผมทำอะไรไม่ได้ จะเข้าไปปลอบก็ไม่กล้า เพราะไผ่เลือกที่จะไม่เล่าให้ผมฟัง
พวกเราโตขึ้น ผมก็ยังเป็นเด็กที่มีไผ่เงินคอยดูแลจนกลายเป็นเรื่องชินชาสำหรับเพื่อนในสายชั้น เรื่องล้อเลียนค่อยๆ หายไป กลายเป็นว่าผมดันป๊อปปูล่าในหมู่เด็กผู้หญิง รวมไปถึงผู้ชายบ้างนิดหน่อย ส่วนมากจะเอ็นดูเหมือนผมเป็นน้องเล็กมากกว่า
ผมอยู่กับไผ่มา ตัวติดกันตลอดเวลา ได้เห็นด้านอ่อนแอของไผ่เยอะขึ้น
คนที่เข้มแข็งเสมอ คนที่คอยยืนอยู่ด้านหน้า แล้วปกป้องผมไว้จากทุกเรื่อง คือคนเดียวกับที่แอบนอนร้องไห้เงียบๆ กลั้นเสียงสะอื้นจนตัวโยนทุกคืน
เรื่องพ่อกับแม่ ไผ่อาจจะชิน
แต่เรื่องอื่น... ไผ่ไม่มีทางชิน
ครั้งแรกที่ผมคิดว่าผมอยากปกป้องไผ่ คือช่วงมอสาม ที่หัวผมเริ่มสูงกว่าไผ่แล้ว และสามารถก้มลงพูดคุยกับเขาได้ ทั้งๆ ที่ตลอดสิบสี่ปี ผมเป็นฝ่ายที่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอยู่เสมอ
ไผ่เป็นเด็กที่พ่อเลี้ยงแบบไทยๆ แม่เลี้ยงแบบฝรั่งๆ แต่เขาก็ได้รับอิสระชีวิตพอสมควร เขามีแฟน คะนองไปเรื่อยตามเพื่อนฝูง แม้ไม่มากนัก แต่มันก็ทำให้เขาเจ็บตัวหนักจนเข้าโรงพยาบาล
ไผ่ถูกทำร้าย ด้วยข้อหาว่าไปแย่งผู้หญิงของรุ่นพี่มอหก
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า ผมอยากยืนอยู่ข้างหน้าเขาบ้าง เหมือนที่ไผ่เคยทำมาตลอด
และครั้งต่อไปคือช่วงมอปลาย นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความรู้สึกของผมค่อยๆ ชัดเจนและแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไผ่ถูกเพื่อนหักหลังแย่งแฟนไป เขาเสียใจหนักมาก ไม่ใช่เพราะอกหัก แต่เพราะคนๆ นั้นเป็นเพื่อนสนิทของไผ่เอง
ผมอยากดูแลเขาบ้าง และก็ลงมือทำเท่าที่ตัวเองจะทำได้
ผมสูงปรี๊ดของไผ่บ่นงอแงทุกวัน ถามหาน้องเขื่อนตัวเล็กๆ ตลอด และนั่นทำให้ผมน้อยใจไม่น้อยเลย บางครั้งก็ไม่พอใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องตัวสูงขึ้นมาขนาดนี้ กลัวว่าไผ่จะไม่เอ็นดู ไม่รักกันอีกแล้ว
ยิ่งตอนที่เราต้องแยกกันไปเรียนมหา’ลัย ผมยิ่งทำใจไม่ได้
แต่สังคม สภาพแวดล้อม ความห่างไกลทำให้เราค่อยๆ จะห่างกันไปอย่างช้าๆ
งานถ่ายแบบที่ค่อยๆ ลองทำเริ่มมีมาเรื่อยๆ จนสามารถเก็บเกี่ยวชื่อเสียงและเงินทองได้เป็นกอบเป็นกำ ผมพอใจในหน้าตาตัวเอง แต่ก็ต้องฟิตหุ่นหนักไม่น้อยเนื่องจากเป็นงานขายความสวยงามของร่างกาย
เราห่างกันไป ผมไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้วแม้ตอนแรกๆ จะยังคิดถึงและอยากกลับไปหาบ่อยๆ
แต่ผมก็ยังติดตามข่าวคราวอยู่ตลอด รู้ว่าไผ่ขี้เมาแค่ไหน รู้ว่าเบื่อวิศวะและหันไปจับกล้องตอนอายุเท่าไหร่ และรู้ว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่อะไรในชีวิต
บางทีเราก็ช่วยทุกคนในทุกปัญหาไม่ได้ ผมเลยให้กำลังใจไผ่ผ่านคำพูดแทน
จนกระทั่งผมได้โอกาสกลับมาอยู่ในชีวิตไผ่อีกครั้ง อะไรๆ เหมือนจะเต็มใจ จากที่เมื่อก่อนได้เจอกันแค่แปบเดียวในแต่ละปี กลายเป็นว่าไผ่เข้ามาขอความช่วยเหลือ อะไรหลายๆ อย่างค่อยๆ ขมวดพวกเรากลับเข้ามาบนถนนเส้นเดียวกันอีกครั้ง
ผมที่รู้ใจตัวเองแต่ปล่อยให้มันเป็นแค่เรื่องดีๆ ในชีวิตเริ่มละโมภ
เมื่อมีโอกาส ผมคว้ามันไม่เต็มสองมือ เพราะเราห่างกันไปนาน จนผมไม่สามารถปล่อยวางเรื่องของเขาลงได้อีก พื้นที่ว่างข้างๆ ตัวที่เคยปล่อยร้างมาหลายปี บางทีผมต้องลงมือทำอะไรกับมันสักหน่อย
ไม่อย่างนั้นคงต้องมานั่งเสียใจแน่ๆ
“อือ เขื่อน ร้อน” คนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของผมส่งเสียงประท้วง ไผ่ปรือตาขึ้นมามองผม ออกแรงผลักเล็กๆ เพื่อบอกว่าเขารำคาญการกอดรัดของผมมากแค่ไหน
ผมยอมคลายอ้อมแขนออก ฉีกยิ้มบางๆ ให้เพื่อนที่หมายจะเอามาเป็นอย่างอื่น
กดจูบลงบนริมฝีปากแห้งเพราะลมแอร์เบาๆ เป็นครั้งสุดท้าย
“นอนไปมึง”
ไผ่หลับไปแล้ว ทันทีที่ผมปล่อยเขาออกจากอก
แต่ผมกลับยังนั่งมองหน้าคนที่อีกหน่อยจะได้นอนกอดกันทุกคืนยันเช้า...
[END]ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ง่วงจนกว่าจะลุกได้ก็ต้องให้มันแผดเสียงร้องขึ้นมาอีกรอบ
ริมเขื่อนยกหมอนขึ้นปิดหูอย่างรำคาญ ผมเลยรีบกดปิดเสียงเตือนแล้วลากตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้มีนัดถ่ายรูปให้ลูกค้าตอนเที่ยง แต่ที่ผมตื่นแต่เช้าขนาดนี้เพราะต้องมาเคลียร์เมมกล้องที่น่าจะแดงแจ๋เพราะไม่เคยลบรูปออกเลย ผมมานั่งย้ายไฟล์ภาพลงคอม ในระหว่างรอก็เข้าครัวไปหาอะไรกินง่ายๆ
ผมทำอาหารไม่เป็น เบรคฟาสต์ที่ได้จึงเป็นขนมปังปิ้ง ไข่ดาวและไส้กรอกทอดเกรียมๆ ผมทำเผื่อริมเขื่อนด้วย เมื่อจัดจานเสร็จก็เดินเข้าไปเอาเท้าเขี่ยๆ เขื่อนให้ตื่นขึ้นมากินอาหาร
“เขื่อน ทำข้าวเช้าไว้ให้”
ผมบอกเสียงดัง เขื่อนปรือตาขึ้นมามองแล้วบอกว่าเดี๋ยวไปกิน ก่อนจะฟุบหลับไปอีกรอบ
ผมเกรงใจเพื่อนเลยหอบโน๊ตบุคออกมานั่งเล่นที่โซนห้องนั่งเล่น ถือโอกาสเปิดทีวีดูข่าวยามเช้าเพลินๆ พลางจิบกาแฟแล้วยัดเบรคฟาสต์เข้าปาก
ลืมเล่าไปว่าคอนโดนี้กว้างขวางมาก แบ่งโซนห้องเรียบร้อย แต่อย่าถามถึงภายในห้องผมว่าเป็นยังไง เพราะยังเต็มไปด้วยกล่องลังกับของใช้ที่เกลื่อนกลาดไม่ได้เก็บ
กว่าจะย้ายไฟล์ที่เยอะประมาณ 30 GB ลงคอมเสร็จ ก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง ผมเปิดหนังในคอมฯ ดู แต่ก็ปล่อยให้ทีวีส่งเสียงคลอไปด้วยเช่นกัน
ติ๊ง
ผมคว้าโทรศัพท์ที่ส่งเสียงเตือนดังลั่นขึ้นมา เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่ส่งข้อความมาว่า
‘คืนนี้ออกกัน’ผมรีบกดเข้าไปในห้องสนทนา เหลือบมองปฏิทินก็พบว่าวันนี้คือวันศุกร์แห่งชาติ มีใครหลายคนที่กดข้อความมาบวกหนึ่งเต็มไปหมด ผมรีบจิ้มข้อความเอาด้วยทันที
Bamboo: ไปๆ ร้านไหนถึงผมจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์ แต่วิศวะก็หล่อหลอมผมมาอย่างยาวนาน
อันที่จริงต้องเรียกว่าพวกเพื่อนๆ พี่ๆ ทั้งหลายที่หล่อหลอมผมมามากกว่า
นายอย่ามามั่ว: ร้านเดิม เพิ่มเติมคืออยากเจอคนสวย
Bamboo: อะไรวะคนสวย
นายอย่ามามั่ว: นายแบบมึงไง อยากเห็นตัวจริง
Bamboo: กล้ามแขนมันใหญ่กว่ามึงอีกนายผมตอบไปแบบนั้น ก่อนที่เพื่อนๆ จะเข้ามาถล่มว่าอยากเห็นตัวจริงของเขื่อน ผมได้แต่ส่งรูปไปยั่วก่อนจะอัดเสียงหัวเราะแสนชั่วร้ายส่งไปให้
ถึงจะเอาเงินมากองตรงหน้าก็ไม่พาเขื่อนไปหรอกครับ
ไม่ใช่อะไร ริมเขื่อนมีงานรอบดึก ยังไงก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว
ผมปิดโทรศัพท์เพราะใกล้เวลาต้องออกไปทำงาน เมื่อเข้าไปในห้องนอนหมายจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เห็นคนตัวสูงลุกขึ้นมานั่งหน้าง่วงอยู่บนเตียงเรียบร้อย ผมยาวๆ พันกันยุ่งไปหมด เขื่อนพยายามใช้นิ้วสาง แต่เมื่อมันไม่ออกก็เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น
“ไผ่ ไปไหนมา”
“นั่งอยู่ตรงโซฟา”
“ทำไมตื่นเช้าจัง หาวววว”
“เดี๋ยวกูต้องออกไปทำงาน”
“อ้าวเหรอ” เขื่อนพยักหน้ารับรู้ “ข้าวอยู่ข้างนอกใช่ป่ะ”
“อืม” ผมบอกพลางรื้อหาเสื้อผ้าที่พอจะดูดีขึ้นมา ก่อนจะพาดผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป
ออกมาอีกทีก็เห็นริมเขื่อนนั่งเคี้ยวไข่ดาวตุ้ยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่แปรงฟัน ผมคว้ากระเป๋ากล้องมาสะพาย พร้อมแบกอุปกรณ์มากมายไว้ในมือ
“คืนนี้มึงนอนห้องมึงนะ”
“ทำไมล่ะ”
“จะไปเมากับเพื่อน”
“นอนด้วย” เขื่อนยังคงหน้ามึนไม่ฟังที่ผมพูด
“ใครจะเปิดห้องให้มึง กูกลับตีสองตีสามนู้น”
“มีกุญแจ”
“...ห๊ะ”
“กูปั๊มมาแล้ว”
ไอ้เขื่อน มึง!
_________________
Talk: จากลับมาอัพบ่อยๆ แล้ววว
จบสิ้นกันที โปรเจคนี้ ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนนนนนน รว้องห้าย
ว่าจะอ่านทวนก่อนลง ปรากฎว่า ทำไม่ได้ ต้องปั่นเจค ฮึก เดี๋ยวมาแก้คำผิดนะคะ
ตอนแรกอดีตไผ่เขื่อน ว่าจะยังไม่ลงตอนนี้ แต่อ่านเม้นไปมา ลงเลยดีกว่า ฮา
ฝากคอมเม้นติชมกันด้วยค่า รักทุกคนๆๆๆๆ อันไหนไม่ดีจะน้อมรับพิจารณา