44 [Part 2/3]
ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย มันเบลอๆแบล๊งก์ๆราวกับถูกทุบด้วยค้อนปอนด์เข้าอย่างจังตรงหัว บ้านเรากำลังจะมีข่าวดี ข่าวดีอะไรที่ทำให้พ่อกับอาแตงต้องยิ้มหวานขนาดนี้ อาแตงท้องเหรอ? อาแตงเนี่ยนะ? อาแตงที่น่าจะอายุสี่สิบกว่าแล้วน่ะนะกำลังท้อง ผมไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างผู้หญิงวัยสี่สิบเริ่มตั้งครรภ์ หรือครรภ์นี้คือครรภ์ที่ห้า ผมได้แต่มองหน้าป๊าด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไม ทำแบบนี้ทำไม อาแตงก็อายุเยอะแล้ว สุขภาพไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยสาวๆ ทำไมถึงเสกเด็กเข้าท้องให้เป็นภาระ ทำไมต้องให้อาแตงเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วยในเมื่อตอนนี้สมาชิกในบ้านก็ล้นจนต้องแย่งกันใช้ห้องน้ำแล้ว
“พ่อทำอาแตงท้องเหรอ?”
“ภพกำลังจะแต่ง --”
ผมไม่น่าโพล่งออกไปเลย การพูดแบบนั้นทำให้พ่อกับอาแตงเหวอไปพักหนึ่ง ส่วนย่านั่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อก้องเกียรติพูดจาแปลกๆ แต่พอได้ยินคำเกริ่นที่พ่อพูดไม่ทันจบประโยค ผมก็พอเข้าใจแล้วว่าข่าวดีที่ว่าไม่เกี่ยวกับบ้านเราโดยตรงหรอก มันคือข่าวดีของเฮียภพต่างหาก เฮียภพกำลังจะแต่งงาน แต่ผมดัน – คิดว่าอาแตงท้องเสียได้
“อยากมีน้องมากเลยเหรอ?”
พ่อถาม ผมส่ายหน้าและยิ้มแหยก่อนจะฟังข่าวสำคัญต่อไป เฮียภพตั้งใจจะจัดงานแต่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราซึ่งเป็นญาติอาจจะต้องคอยช่วยงานเฮียด้วย ส่วนเรื่องชุดไปงานเย็นยังไม่ได้กำหนดว่าจะใช้สีโทนไหน พ่อแค่บอกให้ทราบเฉยๆ เผื่อใครมีแผนอยากลดหุ่นจะได้สวยๆในวันงาน พ่อพูดแบบนั้นก่อนจะปรายตามองส้มจีน
“อะไร? ส้มไม่ได้อ้วนซะหน่อยอ่ะ!”
ผมยิ้มขำ รู้สึกโล่งใจที่ข่าวดีคืองานแต่งงานแทนที่จะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ เพราะถ้าอาแตงท้องลูกอีกคนจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆน่าดู พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันจนเกลี้ยง หลังกินเสร็จผมก็ช่วยอาแตงเก็บจานชามไปล้างตามเวรประจำวันของตัวเอง ส่วนมะนาวอวดกระเป๋าดินสอใบใหม่ให้ส้มจีนดู ยายตัวจี๊ดของผมคุยฟุ้งกับทุกคนเลยว่าพี่อู๋ใจดีแค่ไหน ขนาดส้มจีนกับแอปเปิ้ลไม่ได้ไปก็ยังมีกะจิตกะใจซื้อกระเป๋าดินสอมาฝากด้วย ผมมองเด็กสองคนคุยอวดแล้วได้แต่นึกขำ ถ้าพี่อู๋มีเซนส์กว่านี้ซักหน่อย เขาอาจจะไม่ซื้อกระเป๋าดินสอลายเจ้าหญิงดิสนีย์ให้แอปเปิ้ลกับส้มจีน ลำพังส้มจีนยังพอถูๆไถๆได้ แต่แอปเปิ้ลที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยดูไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร
“เฮียต้องบอกพี่อู๋บ้างนะว่าเปิ้ลไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้”
แอปเปิ้ลมองกระเป๋าดินสอในมือ ผมได้แต่ยิ้มขำสงสารน้อง พี่อู๋เขาถือคติซื้ออะไรต้องซื้อให้เหมือนๆกันน่ะ ดังนั้นถ้าเขาซื้อของแบบไหนให้มะนาว แอปเปิ้ลก็ต้องรับของแบบนั้นไปโดยไม่มีข้อแม้ เขากลัวพวกเธอน้อยใจถ้าซื้อของให้ไม่เหมือนกัน
หลังช่วยกันเก็บจานชามเข้าตู้ พี่อู๋ก็ปลีกตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผลของการดื้อไม่ฟังคำเตือนของก้องเกียรติสำฤทธิ์ผลแล้ว ผิวของพี่อู๋ไหม้แดงเพราะแดดเผานอกร่มผ้า ผมได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจที่เขาไม่เชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็บอกเขาว่าจะเอาเจลว่านหางจระเข้มาให้ ไม่รู้กระปุกใหญ่ที่แช่ในตู้เย็นเป็นของใคร เดี๋ยวจะลองถามอาแตงดูอีกที
พี่อู๋เดินขึ้นชั้นสองหายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมรื้อตู้เย็นหาเจลว่านหางไปทาผิวไหม้ๆของแฟน ระหว่างที่กำลังรื้อนั่นรื้อนี่ อาแตงก็เรียกให้ไปช่วยแกะเกาลัดให้ย่าหน่อย พอดีอาแตงกับอาป๊ากำลังจะออกไปทำธุระที่โรงงาน กว่าจะกลับคงอีกพักใหญ่ ก้องไปแกะเกาลัดให้อาม่าหน่อยนะ แกะไม่ยากหรอก มีที่แกะอยู่ในถุงแล้ว
ผมไม่ค่อยอยากทำแต่จำใจรับปาก นึกอยากสกายคิกใครก็ตามที่ซื้อเกาลัดมาฝากย่าจริงๆ ผมหยิบถุงกระดาษที่ใส่เกาลัดสีแดงกับถังขยะใบเล็กและเดินตรงไปห้องนั่งเล่น ย่านั่งอยู่บนรถเข็นดูรายการตลกช่องเดียวกับที่แนชอบดู ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ามาหาย่าทำไมนอกจากนั่งลงบนพื้นและเริ่มแกะเกาลัดให้ ย่าเหลือบตามองผมครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า
“แกะเป็นเหรอ?”
“เป็นครับ”
พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ได้กินเกาลัดบ่อยก็เลยไม่ค่อยชัวร์ว่าพลาสติกสีขาวมีรอยหยักตรงปลายมีไว้ทำอะไร ผมยกมันขึ้นมาดู ลองแคะๆแงะๆบนเปลือกเกาลัดแต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นก็เลยโยนเกาลัดใส่ปาก กัดจนแตกโผล๊ะแล้วคายออกมาแกะเนื้อให้ย่ากิน
“แกะไม่เป็นก็บอกว่าแกะไม่เป็นสิ อาม่าจะได้สอนให้”
ผมเงยหน้ามองย่าและยอมรับตามตรงว่าใช่ ผมแกะไม่เป็น ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เกาลัดก็เลยไม่รู้ว่าต้องแกะยังไงถึงจะออกมาสวยๆ ย่าหยิบเกาลัดขึ้นมาจากถุงหนึ่งเม็ด ชี้ให้ดูว่าส่วนไหนคือหัวส่วนไหนคือก้น ที่เป็นแหลมๆเหมือนจุกเด็กคือหัว วิธีแกะก็ง่ายมาก ใช้นิ้วออกแรงบีบตรงหัวให้แตะโผล๊ะ พอแตกก็ไล่บี้เรื่อยๆ มันจะแตกตามรอยผ่าครึ่งของลูก ไหนลองทำให้อาม่าดูหน่อยซิ
โพล๊ะ!
“ได้แล้วๆ!”
ผมตื่นเต้นดีใจเมื่อเกาลัดเม็ดแรกที่ไม่เปื้อนน้ำลายได้ออกมาอวดโฉมให้โลกดู ย่ายิ้มกว้าง แกชมผมว่าเก่งมากก่อนจะรับเกาลัดที่ปอกโดยหลานชายมากิน พอเห็นผมแกะอย่างเดียวแต่ไม่กิน ย่าก็บอกให้แบ่งไปบ้าง เกาลัดถุงนึงตั้งใหญ่แกกินคนเดียวไม่หมด ดังนั้นย่ากับหลานชายก็เลยมีกิจกรรมได้ทำด้วยกันเป็นครั้งแรกนั่นคือการกินเกาลัดหน้าทีวี
ผมแกะเกาลัดให้ย่าไปสลับกับดูรายการตลก รสชาติมันๆหวานๆของเกาลัดทำเอาเพลินจนลืมไปเลยว่าพี่อู๋กำลังรอว่านหางจระเข้อยู่ เรากินไปหัวเราะไปกับมุขตลก พอเข้าช่วงคั่นโฆษณา ย่าจึงชวนผมคุยเป็นครั้งแรกเมื่อได้อยู่กันลำพังสองคน
“ไปเที่ยวกับอู๋สนุกไหม?”
ผมตอบว่าสนุกครับและเล่าให้ฟังว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง ผมพามะนาวไปเล่นทราย เล่นน้ำ เช่าห่วงยางด้วย เล่าว่ามะนาวร้องจะเล่นบานาน่าโบ้ท ย่าถามว่าบานาน่าโบ้ทคืออะไร ผมจึงต้องสาธิตให้ย่าดูด้วยการทำไม้ทำมือว่ามันคือห่วงยางรูปกล้วยที่โดนเรือลากอีกทีหนึ่ง มันจะวิ่งฉิวบนผิวน้ำแบบนี้ๆๆ น่าสนุกมาก ย่าดูผมอธิบายแล้วก็บอกว่าอันตราย ไม่ให้มะนาวเล่นน่ะดีแล้ว ผมทำถูกต้องแล้ว ก้องเป็นพี่ชายที่ดีมาก
ผมเขินนิดหน่อยตอนย่าชมว่าเป็นพี่ชายที่ดี เขินนะ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากคุยเรื่องทั่วไป ย่าถามว่าทำไมผมไม่ซื้ออะไรมาฝากย่าเลย ผมจึงบอกว่าพี่อู๋ซื้อสาลี่ญี่ปุ่นมาให้แล้วไง ย่าส่ายหน้าและบอกว่าอยากได้ของฝากจากผม
“จริงๆผมไม่รู้จะซื้ออะไรให้ย่า อาแตงบอกว่าย่าเป็นความดัน ย่ากินไข่เค็มไม่ได้” ผมเกาแก้มแบบแก้เก้อไม่รู้จะอธิบายยังไง “ย่าชอบอะไรล่ะ คราวหน้าผมจะซื้อให้”
“ลื้อซื้ออะไรมาอาม่าก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
“งั้นคราวหน้าผมซื้อของกินมาให้นะ ย่าไม่น่าจะชอบของจุ๊กจิ๊ก”
“ซื้อต้นไม้มาก็ได้ เดี๋ยวให้อาแตงปลูกหน้าบ้าน”
พอได้ยินว่าจะให้อาแตงเป็นคนปลูก ผมก็รู้สึกว่าย่าใช้งานอาแตงหนักเกินไปหรือเปล่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือคนงานทำหน้าที่นี้แทนที่จะเป็นลูกสะใภ้ล่ะ ดูเหมือนย่าจะอ่านสีหน้าเคลือบแคลงใจของผมออก ย่าบอกว่าอาแตงเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้น ออกดอกออกผลสวยๆทั้งนั้น หน้าที่ปลูกต้นไม้จึงเป็นของอาแตง
“มือเย็นมันมีจริงเหรอย่า?”
ผมถามด้วยความสงสัย ย่ายิ้มดีใจใหญ่เลยที่เรามีเรื่องให้คุยกันมากขึ้น ย่าบอกว่าเป็นความเชื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเป็นจริงตามที่โบราณว่า ดูอย่างอาป๊าก้องสิ ปลูกอะไรก็ตายหมด ไม่เคยได้ออกดอกให้ดูเลยซักต้น ในขณะที่อาแตงแค่โยนใส่หลุม ใช้เท้ากลบก็งอกเงยเหมือนคนสวนมาเอง ของแบบนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ว่าแต่ก้องมือร้อนหรือมือเย็น
“ผมไม่เคยปลูกต้นไม้เลย บ้านผมไม่มีที่”
ผมพูดถึงบ้านหลังเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก ก่อนจะเงียบไปเมื่อบทสนทนานั้นทำให้เราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ย่าปล่อยให้เสียงโทรทัศน์ดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นต่อ มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับก้องเกียรติเหมือนเดิมเพียงแค่ไม่มีคำถามจี้ใจดำอย่าง ลำบากไหมอยู่กันสองคนแม่ลูก แม่เลี้ยงมายังไง ได้กินของอร่อยหรือเปล่า ย่าถามแค่ว่าผมอยากลองปลูกต้นไม้ไหม ปลูกดาวเรืองก็ได้จะได้มีดอกไม้ไปถวายพระ ผมตอบคำถามย่าไปเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน ย่าเองก็คงตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกันจึงเปลี่ยนจากการซักไซ้ถามความมาเป็นการเล่าเรื่องแทน
“เมื่อก่อนนะ บ้านหลังนี้คนยั๊วะเยี๊ยะ เวลากินข้าวทีโต๊ะไม่เคยพอ ต้องมีคนยืนกิน”
ย่าเริ่มต้นรำลึกความหลังของตัวเอง ยังดีที่ไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องราวดีๆของชีวิตให้นายก้องเกียรติเจ็บใจเล่น ย่าแค่เล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยใช้เวลาด้วยกันยังไงบ้าง เฮียภพแก่กว่าผมเจ็ดปี ตอนนั้นเปรี้ยวซ่าชนิดที่อาป๊าของผมปวดหัวประจำ ถ้าแปะโป้ง พ่อของเฮียภพกับเมียไม่ตายไปเสียก่อน ป่านนี้อาป๊าก็คงไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังคงเที่ยวเล่นเถลไถลแน่ๆ
“อาม่านะ เคยอุ้มลื้อมาตากแดดตรงนี้ด้วย”
ย่าชี้ไปชานหน้าบ้านและหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราสองคน ย่าบอกว่าเมื่อก่อนเฮียภพมีลูกบอลลูกหนึ่งแต่ไม่รู้เล่นอีท่าไหน ลูกบอลกระเด้งใส่หน้าผมที่กำลังยืนเกาะเสาจนล้มก้นจ้ำเบ้า หลังจากนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านแตกอย่างกับมีสงคราม แม่โกรธเฮียภพมากจนไม่ยอมให้ผมลงมาเล่นข้างล่างอีก เล่าถึงตรงนี้ย่าก็เผลอหลุดปากออกมาว่าแม่ผมเหมือนจงอางหวงไข่ ใครขออุ้ม ขอพาไปเล่นไม่ได้ต้องคอยจิกคอยเฝ้าตลอด เวลาแม่พาผมออกจากห้องแต่ละครั้ง ทุกคนจะชอบมาป้วนเปี้ยน มาหอมมากอดจนแม่ไม่พอใจ สุดท้ายไม่ยอมพาผมลงมาข้างล่างเลยจนขวบกว่า แม่ถึงเอามารับลมบ้างเพราะย่าสั่ง
ผมเคยได้ยินบางส่วนจากพ่อจึงไม่อยากคุยกับย่ามากไปกว่านี้ ผมกลัวว่าถ้ารู้เรื่องราวในอดีต ภาพจำที่มีต่อแม่จะเปลี่ยนไป ผมจึงนั่งเงียบ ไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะไม่อยากหงุดหงิดอารมณ์เสีย โชคดีที่ย่าเองก็คงสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นเหมือนกัน ย่าจึงชวนผมคุยเรื่องอื่นก่อนจะถามถึงเงินหนึ่งหมื่นที่ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีก่อนว่าใช้หมดหรือยัง
“หมดแล้วครับ”
ผมพูดพลางนึกถึงเงินก้อนที่ย่าให้ ซึ่งเป็นเงินก้อนแรกและก้อนเดียวเพราะหลังจากนั้น ย่าไม่ให้เงินผมเยอะขนาดนั้นอีกเลย แต่ล่าสุดย่าเพิ่งให้ชมพู่เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แถมให้มากกว่าผมตั้งสองเท่า หรือจริงๆแล้วย่าไม่ได้พิศวาสหลานชายอย่างที่ทุกคนคิดหรอก เพราะสุดท้ายย่าก็ให้ชมพู่และน้องสาวคนอื่นๆมากพอๆกับที่ให้ก้องเกียรติ
“ไอ้หยา เงินตั้งหมื่น – ลื้อใช้หมดเลยเหรอ?”
ย่าแสดงออกว่าผิดหวังมาก ส่วนผมเหวอว่าตกลงแล้วย่าต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ เงินหนึ่งหมื่นมันไม่ได้มากมายถึงขนาดใช้ได้ไม่มีหมดสำหรับยุคสมัยนี้ที่ข้าวราดแกงเริ่มต้นที่จานละสามสิบห้าบาท ผมจึงบอกย่าว่าอย่าโมโหเลย คราวก่อนที่ไปศาล ผมได้เงินชดเชยมาตั้งเยอะ ตอนนี้เก็บเข้าบัญชีไม่เอาออกมาใช้ซักบาท พอพูดถึงเรื่องนี้ ย่าก็หงุดหงิดหัวเสียทันที ย่าบ่นว่าไม่น่ายอมความเลย ฟ้องให้หมดจะได้เก็บเงินเข้ากระเป๋าเยอะๆให้คุ้ม
“อย่าไปรังแกเขาเลยย่า บางคนอายุเท่าส้มจีน พ่อแม่เขาไม่มีจ่ายหรอก”
ผมแกะเกาลัดให้ย่าต่อ รายการตลกมาถึงพอดี เราจึงจบบทสนทนาไว้ตรงนี้และกลับมาคุยกันอีกเมื่อเข้าช่วงโฆษณา ดูเหมือนย่าจะรู้อะไรๆเกี่ยวกับผมเยอะมาก เดาเอาว่าพ่อน่าจะเล่าให้ย่าฟังทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องที่พี่อู๋ช่วยผมจากสะพาน ย่าเองก็รับรู้ แถมยังถามอีกว่าอู๋ไปไหน ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาว่านหางจระเข้ไปให้เขา เพราะผิวไหม้แดดแรงมาก เหมือนเบค่อนบนเตาเลย
ผมขอตัวย่าครู่หนึ่งเพื่อเอาเจลไปให้พี่อู๋ แต่เขาก็เดินลงบันไดมาพอดี ย่าจึงชวนพี่อู๋ให้กินเกาลัดด้วยกัน ทีแรกย่าไม่ยอมบอกวิธีแกะง่ายๆต้องทำยังไง เรานั่งดูว่าพี่อู๋แกะเกาลัดด้วยวิธีไหน พอเห็นเขาเอาใส่ปากและกัดกร๊อบก็หัวเราะทันที
“ทำแบบนี้ครับ บีบๆให้มันแตก”
ผมสาธิตให้พี่อู๋ดู จากนั้นเรากินเกาลัดกันอีกหน่อยจนกระทั่งพี่อู๋บ่นว่าแสบ ผมจึงควักเจลเย็นๆในกระปุกทาตามผิวแดงๆของเขา พี่อู๋ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าย่า เขานั่งเป็นคุณลุงพุงพลุ้ยโดยไม่ลืมขออนุญาตเพราะไม่ไหวจริงๆ มันแสบร้อนไปหมด ย่าไม่ว่าอะไรเพราะเห็นหลักฐานคาตาว่าผิวเขาไหม้จริงๆ แต่คนที่รับไม่ได้คือพ่อ เขาเดินเข้ามาและถอนหายใจก่อนจะบอกพี่อู๋ว่าใส่เสื้อเถอะ บ้านหลังนี้มีผู้ชายเซ็กซี่ได้แค่คนเดียวซึ่งก็คือพ่อเท่านั้น
อาแตงหัวเราะขำและยิ้มกว้างเมื่อเราใช้ช่วงเวลาย่าหลานด้วยกันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายายตัวแสบของเราหายไป อาแตงหายขึ้นไปชั้นสองพักใหญ่ก็เดินลงมาบอกว่ามะนาวสลบคาฟูกไปแล้ว สงสัยเหนื่อยเพราะเล่นทั้งวันแถมยังกินจนพุงกางอีก เราใช้เวลาด้วยกันในห้องนั่งเล่นไม่นานก็ถึงเวลานอนของย่า ผมเข็นย่าไปส่งถึงเตียงกับอาแตง เราสองคนช่วยกันจัดแจงห่มผ้าและเปิดพัดลมให้ หลังจากนั้นก่อนดับไฟ ผมบอกย่าว่าฝันดีครับ แต่การบอกฝันดีคงไม่อยู่ในวัฒนธรรมที่ย่าคุ้นเคย ย่าจึงอวยพรผมกลับว่าขอให้รวยๆเฮงๆนะก้องนะแทน
☁
บ้านของเราวุ่นวายมากเพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นงานแต่งของเฮียภพ พ่อยกขโยงพวกเราทุกคนไปเช่าชุดที่ร้าน วันนั้นผมจึงได้มีโอกาสพบคนอื่นๆในครอบครัวของพ่ออีกครั้ง
พูดกันตามตรง นอกจากอาแตงและน้องสาวทั้งสี่คน ผมไม่รู้สึกอยากเข้าหาใครอีกเลย มันเป็นการลองเสื้อผ้าที่อึดอัดทรมาน ถ้าไม่มีมะนาวกับส้มจีนคอยป่วนอยู่ข้างๆ ผมอาจจะกัดลิ้นตายในร้านที่มีแต่ผู้หญิงวุ่นวายกับการเลือกชุดให้เข้าธีมสีงานแต่งก็ได้ งานเช้าเราจะสวมชุดกี่เพ้าสีแดง งานเย็นสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแลคสีครีม จริงๆพ่อไม่ต้องพาผมมาเลือกที่ร้านก็ได้เพราะพวกเสื้อเชิ้ตกับกางเกงผมสามารถขอให้พี่อู๋ช่วยได้ แต่พ่อก็ยังหนีบผมมา เขาตั้งใจไว้ว่าหลังเลือกเสื้อผ้าเสร็จเราจะไปกินข้าวกัน
ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศในตอนนี้เท่าไหร่ มันอึดอัดและรู้สึกแปลกแยกยังไงพิกลเมื่อต้องนั่งท่ามกลางญาติๆที่แทบไม่รู้จักกันมาก่อน หนำซ้ำญาติเหล่านั้นก็มีแต่ผู้หญิงซึ่งผมประหม่าทุกครั้งเพราะทำตัวไม่ถูก ผมกลัวว่าความเด๋อด๋าของตัวเองทำให้ภาพลักษณ์ออกมาตลก แต่พอมีโอกาสนั่งคุยและกินข้าวร่วมกันซักพัก ผมก็ค้นพบว่าถ้าไม่ปริปากพูดก็ไม่มีใครชวนคุยเท่าไหร่ บรรดาลูกพี่ลูกน้องไม่มีใครกล้ายุ่งกับผมเลยเพราะเป็นผู้ชาย พวกเธอเขินอายเกินกว่าจะชวนคุยเพราะผมไม่เหมือนเฮียภพที่ยิ้มใจดีตลอดเวลา
งานแต่งของเฮียภพทำให้ผมเห็นว่าพ่อมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เป็นพ่อเจ้าบ่าว เขาอารมณ์ดียิ้มร่า เดินสายแจกการ์ดตลอดหลายเดือนเพื่อบอกข่าวดีให้คนมาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายบุญธรรม บางทีพ่อคงตระหนักได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำหน้าที่พ่อเจ้าบ่าว นอกนั้นเป็นพ่อเจ้าสาว เพราะก้องเกียรติลูกแท้ๆในไส้เป็นเกย์ คงจัดงานเชิดหน้าชูตาอวดใครไม่ได้หรอก ดังนั้นพ่อจึงทุ่มเทกับงานแต่งของเฮียภพเต็มที่เพราะโอกาสดีๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในครอบครัวของเราอีกแล้ว
หากถามว่าผมเสียใจไหมที่เห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพมากกว่าตัวเอง คำตอบก็มีทั้งใช่และไม่ใช่ ลึกๆผมเองก็เสียใจที่ทำให้เขาพลาดโอกาสเป็นพ่อเจ้าบ่าวของก้องเกียรติ ชาตินี้พ่อคงไม่มีวันได้ไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหน ไม่มีหลานจากลูกชายให้อุ้ม แต่อีกใจก็ยังคิดว่าเห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพแทนที่จะเป็นผมก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อจะได้ไม่ต้องช้ำใจมากที่งานแต่งไม่เคยเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง
พูดถึงงานแต่งงาน – ผมก็คิดถึงพี่อู๋
เพราะกฎหมายประเทศนี้ยังไม่รองรับให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้ ผมจึงไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดยังไงกับการแต่งงาน มีบ้างบางครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าในห้วงความคิดของเขา มีซักครั้งไหมที่เขาอยากแต่งงานกับผมหรือทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เวลาจ้องตาพี่อู๋เพื่อดูว่าเขาคิดยังไง ผมก็จะได้คำตอบเป็นความว่างเปล่าเพราะแววตาไม่สามารถเล่าได้ว่าอยากแต่งหรือไม่แต่ง ผมจึงลองถามพี่อู๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะบอกว่า อืม ก็เคยคิดนะ ก่อนหน้านี้เขาเคยจะแต่งงานกับคุณหมูพี
“แต่ไม่ได้แต่งเพราะเลิกกันไปก่อน ไม่งั้นเปลืองเงินแย่”
คำพูดของเขาทำเอาผมนอยด์ไปหลายวัน ไม่ได้นอยด์ที่พี่อู๋บอกว่าเคยคิดจะแต่งงานกับคุณหมูพี แต่นอยด์ตรงที่เขาพูดว่าเปลืองเงิน สำหรับพี่อู๋ พิธีกรรมนี้คงไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเพราะเพื่อนสนิทของเขาก็เพิ่งหย่ามา พี่อู๋คงมีมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก้องเกียรติหลายขุมนัก ในขณะที่ผมแบ่งเวลามาเพ้อฝัน อยากมีงานแต่งงานของตัวเองเหมือนเฮียภพบ้าง แต่พอคิดถึงการจัดงาน มันก็เริ่มคิดต่อว่าเรื่องสินสอดล่ะจะเอายังไง ใครจะเป็นฝ่ายสู่ขอในเมื่อเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋ต้องเป็นฝ่ายขอผมสิ หากเขาคิดจะพาผมออกจากบ้านมาสร้างครอบครัว เขาต้องเป็นฝ่ายเข้าไปขอพ่อ แต่พี่อู๋ก็มีพ่อมีแม่ หรือเราต่างเรียกสินสอดด้วยกันทั้งคู่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนสำหรับเริ่มชีวิตใหม่ อ่า – แล้วแบบนี้พ่อจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ ผมชักสงสัยจึงถามพ่อตรงๆ แต่พ่อก็โพล่งขึ้นมาว่าไม่ให้แต่ง
“ยังเรียนไม่จบเลย คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ?” พ่อที่สวมแว่นสายตายาวเหลือบมองผมแล้วส่ายหน้าราวกับระอาในความแก่แดดของก้องเกียรตินักหนา “เพิ่งคบกันมากี่ปีเอง อู๋เขาว่ายังไงล่ะ?”
“พี่อู๋ยังไม่ได้พูดอะไร ผมแค่ถามพ่อเฉยๆ”
“ก้องเป็นผู้ชาย ป๊าเรียกสินสอดไม่ได้หรอก” คำตอบของพ่อทำเอาผมยิ้มกว้าง แต่ประโยคถัดมาก็ดูดรอยยิ้มนั้นหายวับในพริบตา “คบกับอู๋นานกว่านี้อีกหน่อยสิ ซักสิบปี เอาให้ชัวร์ว่าไม่ทิ้งกันแน่แล้วค่อยคุยเรื่องนี้ใหม่”
ตั้งสิบปี – สิบปีเลยนะ ผมกับพี่อู๋เพิ่งคบกันได้สองปีกว่าเอง อีกตั้งแปดปีแน่ะกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนเป็นครอบครัว พอลองยกนิ้วขึ้นมานับ ตอนนั้นพี่อู๋ก็คงสี่สิบสามหรือสี่สิบสี่ โห แก่ขนาดนั้นแล้วเพิ่งได้แต่งงาน เขาจะไม่เหี่ยวตายไปก่อนใช่ไหม ผมถามพ่อว่าตอนอายุสี่สิบห้า พ่อทำอะไรอยู่ เขานั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่าทำโรงงานลูกชิ้นนี่แหละ มะนาวเกิดช่วงนั้นพอดี ทำไม ถามทำไม
“ผมว่าสิบปีมันนานเกินไป พี่อู๋จะรอไหวเหรอ เขาคงแก่มากแล้ว”
“รอไม่ไหวก็ช่างซี อาป๊าไม่สนใจหรอกว่าอู๋รอไหวไหม ไม่ไหวก็ไปเลย”
พ่อยักไหล่ไม่สนใจใยดีก่อนจะก้มหน้ากดเครื่องคิดเลขต่อ ปล่อยให้ผมเดินกลับไปนั่งบนโซฟาข้างมะนาวที่กำลังเล่นเกมในมือถือของอาแตง พลางครุ่นคิดว่าอนาคตของเราจะจริงจังจนถึงขั้นนั้นไหม ผมนึกภาพตัวเองในชุดเจ้าบ่าวไม่ออกเลยจริงๆ
☁
ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยค่ะ