-9-
นับเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ที่ประมุขได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วในอาณาเขตภาคใต้ เขากับเกรย์ไปค้างแรมกันหนึ่งถึงสองวัน จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง หากไม่นับช่วงดึกที่เกรย์ต้องโทรคุยงาน พวกเขาก็แทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และพูดคุยแต่เรื่องทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ
แต่ถึงอย่างนั้นประมุขก็ไม่ได้ลืมเลือนความเป็นจริงที่ต้องกลับไปเผชิญ...
การหยุดทำงานทั้งวันของคนระดับเกรย์ย่อมส่งผลมากมายเป็นวงกว้าง แม้จะเคลียร์ไว้ก่อนแล้ว หรือมีคนช่วยอยู่อีกทาง แต่ก็ยังมีภาระมากมายรอให้สะสาง ช่วงเวลาที่คนสำคัญต้องกลับไปลุยงานหนักในอีกไม่กี่วัน เขาเองก็ใกล้จะเปิดเทอมขึ้นปีสี่เต็มที หากเกรย์ต้องกลับไปจัดการงานที่ฝรั่งเศสสักพักตามที่เคยบอก พวกเขาก็จะต้องห่างกัน...ครั้งนี้อาจนานหลายเดือน
“ลูกแกะ... ถึงเวลาแล้วนะ”
“อือ” ประมุขขยับขยุกขยิกเมื่อคนข้างกายส่งมือมาลูบศีรษะกันเป็นเชิงปลุก กว่าจะแคะขี้ตา ยอมเกาะเกรย์เดินลงจากรถได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที “ถึงแล้วเหรอ”
“ถึงแล้ว” คนตัวสูงเพิ่มแรงโอบกระชับไหล่ผอมให้แน่นขึ้นเมื่อรู้สึกคล้ายลูกแกะจะยังทำตัวเป็นของเหลว พร้อมจะไหลลงไปกองอยู่กับพื้นได้ทุกเมื่อ แต่หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง เพราะเมื่อวานเพิ่งไปเที่ยวกันมา พอได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่องก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเครื่องกลับมาเหนืออีกรอบ ทำเอาคนขี้เซาไม่มีแรงแม้แต่จะถามว่าทำไมต้องมาเหนืออีก ขึ้นเครื่องบินยันมาขึ้นรถก็เอาแต่หลับตลอดทาง
“ง่วงอยู่เลย...”
“แบบนี้ในอนาคตจะบินไปไหนมาไหนพร้อมกันได้เหรอ บางวันฉันต้องเดินทางไปหลายที่เลยนะ ทั้งเครื่องบิน รถ หรือเรือก็ต้องไปหมด” เกรย์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เพียงเท่านั้นคนง่วงนอนก็ตาโต ตั้งตัวตรงโดยอัตโนมัติ ขณะหันมาตอบด้วยความมุ่งมั่น
“ได้แน่นอน ผมแค่ง่วงเฉยๆ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ไหวนะ”
“หึหึ”
ลูกแกะตัวน้อยถูกขยี้หัวขยี้ตัวจนขนฟูก็ยังไม่รู้ว่าลืมอะไรไป กระทั่งได้หันไปมองบรรยากาศรอบกายถึงได้ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้เสียที
“เรามาเหนือกันทำไมเหรอครับ”
“ถ้าบอกว่าตอนแรกสัญญาจะพาเที่ยวแล้วดันผิดสัญญาเลยพามาแก้ตัวอีกรอบ ลูกแกะจะเชื่อหรือเปล่า” เกรย์ลองถามด้วยความอยากรู้ ทั้งที่รูปประโยคบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าใสซื่อของคนที่กำลังตั้งใจฟังคำถาม เขาก็ต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนจะได้รับคำตอบมาเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าคุณอยากให้เชื่อแบบนั้น ผมก็จะเชื่อ”
“เด็กดี” เขาให้รางวัลด้วยการโอบคนน่ารักเข้ามากอดหนึ่งครั้ง โดยที่อีกฝ่ายก็ยกมือกอดตอบคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ เมื่อผละออกจากกัน เกรย์จึงอธิบายความจริงให้ฟังโดยไม่คิดปิดบัง “คนของฉันที่คอยจับตาดูแม่มดส่งข่าวมาบอกว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง และเพราะอยากให้เรื่องนี้จบไวๆ ฉันถึงต้องมาเตรียมพร้อมตลอดเวลา ถ้าแม่นั่นคิดดึงคนของคิงเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยังไงคิงก็ต้องขอให้ฉันช่วยแน่”
“และถ้าเราอยู่ไกลอาจจะมาช่วยไม่ทัน”
“เก่งมาก”
“แบบนี้นี่เอง” คนฟังยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบแทบทุกซี่ ดูมีความสุขที่รู้ว่าเกรย์ต้องการมาช่วยพี่ชายตัวเองเอามากๆ จนคนอธิบายต้องหยุดพูดเพียงเท่านั้น ไม่ได้บอกต่อว่าอันที่จริงที่แม่มดรีบเร่งถึงขั้นนี้เป็นเพราะใคร และให้ลูกแกะเข้าใจแบบนี้ น่าจะดีกว่ารู้ความจริงว่าเขาต้องการผลักเรื่องที่ชักจะน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งไปจึงตัดสินใจรีบมาที่นี่
ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์สั่งงานจิมก็นั่งอยู่ข้างๆ แท้ๆ ท่าทางคงเที่ยวเพลินจนเอาเรื่องต่างๆ มาผูกกันไม่ถูกแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน... ให้ลูกแกะร่าเริงแบบนี้ดีกว่าต้องมานั่งเครียดเพราะเรื่องราวน่ารำคาญพวกนั้น
“แต่เรื่องที่บอกจะพามาแก้ตัวอีกรอบก็ไม่ได้โกหกนะ” เกรย์เปลี่ยนกลับไปยิ้มเหมือนเดิม ขณะพาลูกแกะน้อยเดินเข้าไปในตัวโรงแรมซึ่งมีพนักงานยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้า “ถือว่าเป็นผลพลอยได้ อันที่จริงฉันอยากพาขึ้นดอย ไปที่ที่ไม่มีสัญญาณ แต่ว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็...”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือหน้าตาคนพูดล้วนบ่งบอกชัดเจนว่าคิดตามนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชดประชันหรือไม่พอใจอะไรเลยแม้แต่น้อย “สองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เที่ยวมาเยอะแล้ว ถึงส่วนใหญ่จะนอนเล่นในที่พักมากกว่า แต่ผมก็ยังดีใจที่ได้ใช้เวลาร่วมกับคุณ”
เกรย์ได้แต่จ้องมองคนข้างกายด้วยแววตาลึกซึ้ง สุดท้ายเมื่อก้าวไปถึงห้องพัก เขาก็ดันประตูปิดอย่างรวดเร็ว และดึงแขนของลูกแกะเข้ามากอดไว้ทั้งตัว ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ออกมาอย่างไรดี เพราะเจ้าตัวขยันทำดาเมจใส่กันเสียเหลือเกิน
ช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่พวกเขาไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ออกไปเดินเล่นเที่ยวชมพื้นที่เหมือนคนอื่น ลูกแกะไม่เคยบ่นอะไรออกมา หรือทำให้เกรย์รู้สึกลำบากใจเลยสักนิด ต่อให้ไม่พูดอธิบายอะไรออกไป แต่พอเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ คนซื่อแสนซื่อก็ยังเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
‘คุณเคยบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ถิ่นคุณ เพราะแบบนั้นมันถึงอันตรายมาก ยังไงเราก็คงเดินล่อนไปล่อนมาทั้งวันไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก...แค่เห็นวิวจากที่พักผมก็มีความสุขมากแล้ว’
เพราะแบบนั้นเขาจึงย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ แม้ไม่อาจพาลูกแกะไปเดินบริเวณที่โล่งในช่วงเวลาที่กำลังโดนใครก็ไม่รู้จ้องเล่นงานอยู่ แต่หากเปลี่ยนสถานที่ พาลูกแกะไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ ไม่ว่าจะทะเลหรือภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก
ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกแกะเบื่ออยู่ดี
“เกรย์...” คนที่อยู่นิ่งได้ไม่นานเริ่มส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง เหมือนเห็นว่าเขาเงียบไปจึงทักขึ้นมาเพื่อถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“แค่อยากกอด”
“ไปกอดที่โซฟากันนะ ยืนแบบนี้ผมเมื่อยมากเลย คุณตัวสูงเกินไป” ว่าจบคนเมื่อยคอเพราะต้องเงยหน้านิดๆ เวลากอดตลอดก็เป็นฝ่ายดึงแขนเกรย์ให้เดินตามไปที่โซฟาด้วยตัวเอง ปล่อยให้เขามองตามไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนเคย แม้ยามถูกกดให้นั่งลง จัดท่าจัดทางให้อ้าแขนออก ก่อนลูกแกะขนฟูจะมุดมาซุกอกในท่าประจำก็ยังไม่อาจหุบยิ้มได้
ดูเหมือนตั้งแต่ได้เจอกัน คุณเกรย์ผู้น่ากลัวจะกลายเป็นคนยิ้มง่ายไปแล้ว อีกทั้งรอยยิ้มของเขายังเป็นรอยยิ้มจากใจทั้งปากทั้งตาที่ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อนอีกต่างหาก
“เก่งจริงๆ นะ ตัวแค่นี้”
“หือ” ประมุขเงยหน้ามองคนพูด เมื่อจู่ๆ ก็ถูกชมโดยไม่รู้ตัว แต่พอเห็นรอยยิ้มของคนที่ต้องเหนื่อยล้ากับการทำงานตลอดเวลา เขาก็ยิ้มเอ๋อๆ ส่งไปให้แล้วกอดเอวคนตัวสูงเอาไว้เหมือนเดิม
นับเป็นเวลานานหลายนาทีที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เพียงแค่นอนกอดกันนิ่งๆ บนโซฟาเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเท่านั้น เกรย์มีความสุขอยู่กับการลูบหัวลูกแกะในอ้อมกอด ขณะที่ประมุขซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น พอได้ที่ได้ทางที่ถูกใจตาก็เริ่มปรือเหมือนทุกครั้ง ทว่าคราวนี้แตกต่างจากวันก่อนๆ ตรงที่เกรย์ไม่ได้ปล่อยให้เขาหลับแล้วอุ้มกลับไปนอนบนเตียง รอจนถึงเวลากินข้าวถึงจะปลุก แต่อีกฝ่ายค่อยๆ แกะมือเขาออกจากเอว เพียงเท่านั้นประมุขก็ตาโต เงยหน้าจ้องเขม็งคล้ายจะถามว่าจะไปไหน
“ลูกแกะ... อยากไปน้ำตกหรือเปล่า”
“น้ำตกเหรอ” คนว่าง่ายทวนถามซ้ำคล้ายไม่แน่ใจ แต่ตาเปล่งประกายเป็นคำตอบตั้งแต่ได้ยินคำว่าน้ำตกแล้ว
“ใช่ ไปเตรียมของแล้วไปกันเถอะ”
“โอเค... เดี๋ยวก่อนนะ”
“มีอะไรหรือเปล่า” เกรย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่อคนร่าเริงหยุดเท้าที่กำลังจะวิ่งไปยังห้องนอน และหันกลับมาจ้องหน้าเขาด้วยแววตาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“เราไปได้เหรอครับ ไม่ใช่ว่าต้องระวังตัวเหรอ” สีหน้าและท่าทางทุกอย่างของประมุขล้วนบ่งบอกว่าเขากังวลมากจริงๆ เพราะมันไม่ใช่เพียงความปลอดภัยของตัวเขา แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยของบุคคลที่มีความสำคัญอย่างเกรย์ด้วย ถ้าความต้องการส่วนตัวทำให้เกรย์ต้องลำบาก เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองแน่
“ลูกแกะ เลิกทำหน้าคิดมากแล้วมานี่” น้ำเสียงที่ดูดุดันแบบไม่จริงจังนักทำให้ประมุขหลุดจากภวังค์ เผลอเดินดุกดิกเข้าไปหาคนเรียกโดยไม่ทันคิด หลังจากนั้นทั้งตัวก็ถูกจับกดลงบนโซฟา มีร่างสูงใหญ่ของชาวต่างชาติตาสีฟ้าคร่อมทับอยู่ด้านบน
“คุณจะกินผมเหรอ”
“อยากจับปั้นแล้วกลืนลงท้องอยู่เหมือนกัน” ดวงตาสีฟ้าคู่สวยฉายประกายวาววับ คล้ายจะย้ำให้รู้ว่าอยากทำอย่างที่พูดมากขนาดไหน เพียงเท่านั้นลูกแกะที่หวุดหวิดจะโดนกินก็ทำหน้ายู่ สองแขนโอบรอบคอแกร่ง รั้งให้คนด้านบนโน้มลงมากอดเขาเอาไว้ตามที่ใจอยาก
“ผมเป็นห่วงนี่นา ไม่อยากให้คุณลำบาก พี่การ์ดทุกคนก็คงลำบากเหมือนกันที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยในที่โล่งกว้างแบบนั้น”
“การที่ลูกแกะดูหนังเยอะนี่...จะบอกว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษดีนะ” บางอย่างก็รู้ดีรู้ลึกจนน่ากลัว ส่วนบางอย่างก็ดูจะเหนือจินตนาการตามหนังไปด้วย ถึงจะพูดได้ว่าคิดระวังอะไรเอาไว้เยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน แต่บางครั้งระวังมากไปก็ดูจะเป็นผลเสียอยู่ไม่น้อย อย่างการโดนดักฟังที่ร้านข้าวมันไก่อาจจะเกินจริง แต่สำหรับเรื่องนี้... “จริงอย่างที่ลูกแกะคิดนั่นแหละ ออกไปเล่นน้ำตกแบบนี้ก็ดูจะอันตรายอยู่ไม่น้อย"
“นั่นไง ผมว่าแล้ว”
“แต่ว่า...” เกรย์พลิกตัวลงไปนอนคว่ำเท้าคางมองประมุขจากทางด้านข้าง ก่อนจะแสร้งกดมุมปากลงเล็กน้อยให้หน้าดูเศร้า นี่อาจจะนับเป็นครั้งแรกที่เขาสวมหน้ากากให้ลูกแกะเห็น แต่หากไม่ใช้วิธีนี้คนขี้เป็นห่วงคงไม่ยอมไปไหนแน่ “ฉันอยากไปเที่ยวน้ำตกมากๆ เลย... เมื่อสามสี่ปีก่อนก็เคยบอกลูกแกะไม่ใช่เหรอ”
“บะ...บอกผมเหรอ” คนฟังหน้าซีด ดวงตาหลุกหลิกไปมาเพราะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ลูกแกะจำไม่ได้เหรอ”
“คือว่า...”
“มิน่าถึงได้พยายามขัดฉัน” คราวนี้นักธุรกิจหนุ่มผู้มีหน้ากากนับร้อยพยุงตัวลุกขึ้นนั่งทำสีหน้าเศร้าสร้อย ท่าทางดูผิดหวังมากจนคนมองเริ่มอยู่ไม่สุข ต้องรีบผุดลุกขึ้นตามแล้วตรงเข้าไปจับมือไว้แน่น
“ผมขอโทษครับ งั้นเราไปเที่ยวน้ำตกกันนะ ขอโทษจริงๆ ที่จำไม่ได้ ผม...ผมจำไม่ได้จริงๆ” ลูกแกะตัวน้อยที่ถูกหลอกทำหน้าตาน่าสงสาร เหมือนพร้อมจะร้องไห้อยู่ลอมล่อหากถูกโกรธจริงๆ เพียงเท่านั้นเกรย์ก็แกล้งต่อไม่ลง รีบรั้งคนน่ามันเขี้ยวเข้ามากอดเอาไว้แน่นเพื่อปิดบังรอยยิ้มที่ไม่อาจควบคุมได้
“ไม่เป็นไร แค่ไปเที่ยวกับฉันก็พอ เราเล่นแค่แป๊บเดียวแล้วรีบกลับ พวกการ์ดจะได้ไม่เหนื่อยที่ต้องคอยดูแลด้วย แบบนี้ดีไหม”
“อื้อ”
เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ประมุขที่ฝากกระเป๋ากลับไปกับฮ่องเต้หนึ่งใบได้เสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับใส่เที่ยวมาหลายชุดตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน ส่วนเกรย์ที่ไม่มีชุดไปรเวทเองก็ได้เสื้อผ้าสำหรับเที่ยวเมืองไทยโดยเฉพาะเช่นกัน พอได้เห็นคนหน้าตาดีตัวสูงใหญ่ในชุดเสื้อฮาวายกับกางเกงขาสั้น ประมุขก็ยิ้มออกมาจนแก้มบวม ช่วยเดินเข้าไปติดกระดุมให้อย่างอารมณ์ดี นึกดีใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ หลังจากได้เห็นเกรย์ในรูปแบบที่คนอื่นไม่เคยเห็น
“อารมณ์ดีมากเลยเหรอ”
“มากกกกก” คนอารมณ์ดีพยักหน้าไปด้วยหัวเราะไปด้วย นี่ถ้าดีดี้อยู่ข้างๆ คงจะตบหัวแล้วด่าว่าบ้า แต่เพราะคนที่อยู่ตรงนี้คือเกรย์ที่หลงลูกแกะยิ่งกว่าอะไร เขาจึงยกมือลูบหัวทุยเบาๆ แล้วยิ้มตามโดยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
วันนี้การ์ดทุกคนยังคงอยู่ในชุดไปรเวทเช่นเดิมตามที่ประมุขเคยออกความเห็น พอให้เหตุผลดีๆ แล้วทิ้งท้ายว่าเห็นในหนังเขาชอบทำกันแล้วมันดูเนียนพอควร เกรย์จึงออกคำสั่งให้ทุกคนทำตามความต้องการนั้น แม้เหตุผลหลักๆ จะไม่ใช่เพราะมันเนียนตามที่เจ้าตัวว่า แต่เป็นเพราะเขาอยากเห็นลูกแกะอารมณ์ดีก็ตาม
“นี่มันแก๊งฝรั่งใส่เสื้อฮาวายนี่นา” พอเดินกันเป็นกลุ่มกลายเป็นโดดเด่นเหมือนเดิมแบบช่วยไม่ได้ แต่ในเมื่อคนที่ตัวเล็กที่สุดเพราะเป็นชาวเอเชียอยู่คนเดียวบอกว่ามันเนียน ทุกคนจึงต้องเชื่อตามนั้นโดยไม่อาจขัดข้อง
“เรื่องแบบนี้ก็ตลกเหรอ” เกรย์ก้มลงถามคนที่หัวเราะเป็นเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู แต่พอเห็นว่านอกจากจะขำแล้ว ลูกแกะยังยิ้มจนตาปิด เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าหน่าย เดินจูงมือเจ้าตัวไปขึ้นรถโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ
ประมุขเป็นคนอารมณ์ดีที่เหมือนพกพาความสดใสเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าใครเห็นต่างก็รู้สึกเอ็นดูไปหมด ไม่เว้นแม้แต่บรรดาบอดี้การ์ดหน้าเข้มผู้แสดงความรู้สึกไม่เก่ง นับตั้งแต่ที่ได้ติดสอยห้อยตามไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากว่าสองอาทิตย์ นายคนที่สองมักจะหาของกินประหลาดๆ มาเสิร์ฟให้ถึงที่ตลอด หากทำท่าจะปฏิเสธ เจ้าของใบหน้าร่าเริงก็จะห่อไหล่ ทำท่าเศร้าหมองจนใครก็ไม่ปฏิเสธไม่ลง ไหนจะมีเจ้านายที่คอยมองด้วยแววตาเย็นเยียบที่ไม่รู้ว่าจะบังคับให้ทำตามความต้องการของคนสำคัญ หรือจะไล่ให้ไสหัวไปไกลๆ อย่ามาแย่งความสนใจของตัวเองอีก
ยิ่งวิคเตอร์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสนิทสนมและพูดคุยตักเตือนกันบ่อยที่สุด ประมุขเลยดูจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษจนต้องเหงื่อตกเพราะถูกนายมองด้วยแววตาเชือดเฉือนไม่รู้วันละกี่รอบ หากไม่มีลูคัสที่ถือเป็นเพื่อนของนายคอยหัวเราะแกมห้ามปรามอยู่ด้านข้าง เห็นทีรองหัวหน้าทีมเอจะได้เหลือแต่ชื่อก็งานนี้
“จากจุดนี้เราต้องเดินเข้าไปครับนาย”
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงที่หมาย วิคเตอร์ในชุดเสื้อฮาวายสีเขียวที่ประมุขเลือกให้หันไปบอกนายทั้งสองที่นั่งจู๋จี๋กันอยู่ด้านหลัง แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะถูกนายคนที่สองมองด้วยแววตาประเมิน สัญญาณเตือนในร่างกายร้องบอกให้รีบชิ่งลงจากรถ หากเพียงแค่เอื้อมมือไปเปิดประตู...
“ผมบอกแล้วว่าวิคเตอร์เหมาะกับเสื้อสีนี้ ใส่แล้วดูดีมากๆ เลย”
(ต่อด้านล่าง)
.
.