พิมพ์หน้านี้ - ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข== END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: CHESS. ที่ 23-09-2018 22:30:50

หัวข้อ: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข== END
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-09-2018 22:30:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------


►3KINGS ตอน ประมุข◄

ความรักสามรูปแบบของพี่น้องสามคิง จักรพรรดิ ฮ่องเต้ ประมุข
ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีนะคะ ฮาาา

'ต่อให้พื้นที่ข้างคุณอันตรายกว่านี้อีกเป็นล้านเท่าผมก็ไม่สนใจ ขอแค่ให้เราได้รักกัน...เท่านั้นก็พอแล้ว'


Fan Page: Chesshire. (https://www.facebook.com/Chesshire04/)
Twitter: @Chesshire04 (https://twitter.com/Chesshire04)


.
.

นิยายของเรา
Oxygen ออกซิเจน #โซโล่กีล์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56726.0)
Nitrogen ไนโตรเจน #คุณภูชายเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.0)
ANAKIN อนาคิน #ภามเจได (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66695.0)
3KINGS ตอน จักรพรรดิ #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
3KINGS ตอน ประมุข #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68472.0)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-09-2018 22:31:52
คู่ที่ 2 ของสามพี่น้อง

[เกรย์ x ประมุข]



-0-

[GRAY]

เราพันผูกกัน...ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ




“รู้ไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมเสียเวลา มิสเตอร์ทอม”

ใบหน้าคมคายของชายผู้ได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งใบบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในฝรั่งเศสสามปีซ้อนประดับประดาไปด้วยรอยยิ้ม เส้นผมสีเทาซึ่งถูกเซตอย่างเป็นระเบียบเริ่มลู่ลงละใบหน้าเพราะเจ้าของรำคาญจนต้องยกมือสางอยู่หลายครั้ง และนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ทุกคนในห้องรู้ว่าการประชุมครั้งนี้ควรจบลงได้แล้ว

“เอ่อ...หมายความว่ายังไงหรือครับท่าน” ชายร่างท้วมซึ่งกำลังนำเสนอผลงานอยู่หน้าห้องสะดุ้งจนเกือบหงายหลังเมื่อได้มองสบกับดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบคู่นั้นเข้าอย่างจัง หากเพียงวินาทีเดียว ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในห้องกลับเปลี่ยนสีหน้ากลับไปยิ้มแย้มเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว...แม้รอยยิ้มนั้นจะส่งไปไม่ถึงดวงตาก็ตาม

“ไม่ผ่าน กลับไปคิดมาใหม่”

ร่างสูงสง่าผุดลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ใบหน้ายิ้มแย้มกวาดมองไปโดยรอบราวกับจะถามว่ามีใครจะขัดอะไรอีกไหม เมื่อพบว่าทุกคนต่างก้มหน้าลงต่ำ ไม่มีใครพูดอะไร เขาจึงหมุนกายเดินไปที่ประตูโดยมีเลขาคนสนิทตามออกไปพร้อมกัน

“นายครับ” จิมส่งเสียงเรียกเจ้านายของตนขณะที่กำลังเดินตามอีกฝ่ายไปที่รถ “เรื่องที่บริษัท...”

“ฉันรับปากว่าจะช่วยแม่ดูแลแค่สองอาทิตย์” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มหลอกลวงปรากฏเมื่อได้อยู่กับคนสนิทที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่เด็ก

“ทราบแล้วครับ”

“ฉันจะบินคืนนี้ เตรียมตัวให้เรียบร้อย”

“แต่คืนนี้นายมีนัดทานข้าวกับคุณผู้หญิงนะครับ”

“เลื่อนไป” ผู้เป็นนายพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดราวกับไม่ต้องการให้ถามต่อ ได้ยินดังนั้นจิมจึงค้อมหัวลงต่ำ ก่อนจะเดินไปประจำตำแหน่งข้างกายของอีกฝ่ายเมื่อกำลังจะพ้นออกจากประตูบริษัท

บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำท่าทางทะมัดทะแมงเกินห้าคนเดินเข้าประกบรอบกายเจ้าของร่างสูงสง่าไว้อย่างพร้อมเพรียง มองดูคล้ายกับบุคคลสำคัญที่ต้องได้รับการคุ้มกันตลอดเวลา ซึ่งด้วยสถานะของ ‘เกรย์’ คำว่าบุคคลสำคัญคงไม่อาจเรียกได้ว่าเกินจริงนัก

บรรดาพนักงานที่แอบเหลือบมองความยิ่งใหญ่ของลูกชายเจ้าของบริษัทอัญมณีระดับประเทศต่างซุบซิบพูดคุยกันอย่างออกรส ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่องอำนาจและความหล่อเหลาของเจ้านาย ที่แม้จะไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งเต็มตัว แต่กลับได้ความเคารพนับถือจากทุกผู้ทุกฝ่าย

“ถ้าฉันได้คุณเกรย์เป็นแฟนคงเหมือนขึ้นสวรรค์เลยละแก” พนักงานคนหนึ่งของบริษัทกระซิบกระซาบกับเพื่อนสาวขณะมองตามหลังรถคันหรูที่เพิ่งออกตัวไปอย่างเพ้อฝัน

“ฝันไปเถอะ...แม่เป็นเจ้าของบริษัทอัญมณีระดับประเทศ พ่อเป็นนักการทูต แล้วแกเป็นใครคิดจะไปเป็นแฟนเขา”

“ขอฝันหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า”

ทุกคนต่างรู้ดีว่าชายคนนั้นไม่เคยเปิดตัวคนรักเลยสักครั้ง แม้แต่คู่ควงก็ไม่มีให้เห็น เธอเคยไปงานเลี้ยงที่ได้พบกับคุณเกรย์อยู่ครั้งหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาทั้งยังสุภาพอ่อนโยนของเขาทำให้ใครหลายคนตกหลุมรักได้ไม่ยาก สาวๆ ในงานต่างพยายามเข้าหา หากผ่านมานานหลายปีก็ยังไม่เห็นตัวจริงของเขาเสียที แล้วจะแปลกอะไรหากเธอจะคิดว่ายังมีหวัง

หากยังไม่ทันได้เพ้อไปมากกว่านั้น หญิงสาวอีกคนซึ่งมองเห็นท่าทีของเพื่อนกลับยกมือขึ้นฟาดไหล่บางเป็นการดับฝันแบบฉับพลัน

“ไม่ได้!” เธอขยับเข้าไปแนบชิด ก่อนกระซิบข้างหูเพื่อนสาวซึ่งกำลังลูบไหล่ตัวเองป้อยๆ “ฉันได้ยินมาว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณเกรย์น่ากลัวมากเลยนะ แล้วที่สำคัญ...ดูเหมือนเขาจะมีคนรักอยู่แล้วด้วย”

คนรักของคุณเกรย์...ตำแหน่งที่ใครหลายคนฝันถึง ถ้าได้เป็นคนคนนั้นจะโชคดีขนาดไหนกันนะ






“จิม นายคอยเคลียร์งานอยู่ที่นี่ระหว่างที่ฉันไม่อยู่”

“ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับว่านายจะไปไหน” ในฐานะเพื่อนและเลขาคนสนิท จิมได้รับสิทธิ์ที่ไม่มีใครเคยได้รับ โดยเขาสามารถถามคำถามเจ้านายของตัวเองได้โดยไม่โดนมองด้วยแววตาเย็นเยียบ ถึงเจ้าตัวจะไม่แน่ใจนักว่าไม่โดนมองหรือโดนจนชินแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่เกรย์ยอมตอบคำถามก็นับเป็นเรื่องดี

“ไทย”

“ไทย?” เลขาคนเก่งถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ลูกแกะจะแสดงละครเวทีทั้งที...ฉันจะพลาดได้ยังไง” ชั่วพริบตาใบหน้าเย็นชาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยทอดมองรูปถ่ายเก่าๆ ในมือที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีนิ่งงัน “ฉันสัญญากับคิงว่าจะไม่ยุ่งกับเด็กคนนั้นก่อนเวลา แต่ตอนนี้มันนานเกินพอแล้ว”

ขืนเขายังเล่นตัวอยู่แบบนี้ เห็นทีลูกแกะคงงอนยาวแน่ๆ

“นาย โทรศัพท์สั่นครับ” จิมเอ่ยเตือนคนที่กำลังเหม่อ เมื่อสายตาเหลือบเห็นว่าใครที่ทักเข้ามาในโทรศัพท์ของผู้เป็นนาย

ถ้าไม่เตือนแล้วนายตอบช้าจนอีกฝ่ายหายไปก่อน ถึงตอนนั้นคิ้วเข้มคู่นั้นต้องขมวดมุ่นแล้วพาลไปลงกับเรื่องอื่นแน่

เกรย์ยกโทรศัพท์ขึ้นดูก่อนจะรีบกดเข้าไปในโปรแกรมแชทที่ใครบางคนทักมา ริมฝีปากหยักยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจริงใจอันหาได้ยาก ยามเห็นข้อความที่ปรากฎบนหน้าจอ


GP.MUK : คุณจะมาดูผมจริงๆ เหรอ

M.GRAY : ฉันสัญญาไปแล้วนี่

GP.MUK : ผมคิดว่าคุณลืมไปแล้ว...

M.GRAY : ฉันไม่เคยลืมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาย

GP.MUK : ขอบคุณนะครับ *สติกเกอร์ยิ้มกว้าง*

M.GRAY : รออีกนิดนะ ลูกแกะของฉัน

GP.MUK : ครับ ผมจะรอคุณ


จิมลอบถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของเกรย์ เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทที่รู้เรื่องเกี่ยวกับ ‘คนของนาย’ เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้คอยส่งจดหมายให้คนคนนั้นบ่อยๆ ในช่วงแรกก่อนที่ทั้งคู่จะติดต่อกันผ่านทางโซเชียลมีเดีย บรรดาคนสนิทต่างรู้ดีว่าสถานะและความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในจุดที่เรียกว่าคนรู้จัก แต่มันเกินกว่านั้นไปไกล

เขาเคยคิดว่าที่เกรย์ยังไม่ปรากฎตัวให้คนคนนั้นเห็น เป็นเพราะห่วงว่าอันตรายจะย่างกรายไปถึงคนที่อยู่อีกประเทศ หากความจริงแล้ว เหตุผลที่นายยังไม่แตะต้อง เป็นเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนสนิทอย่างคุณคิงต่างหาก ในตอนแรกเขาไม่แน่ใจนักว่าสำหรับนาย...คนคนนั้นไม่สำคัญพอจะต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย หรือสำคัญมากจนอยากให้มาอยู่ข้างกายกันแน่

มาถึงตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว...

“บอกให้ทีมเอไปกับฉันทุกคน ส่วนทีมบีคอยดูแลอยู่ฝั่งนี้ อำนาจการสั่งการทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญนายตัดสินใจแทนได้เลย” คำสั่งสบายๆ ไม่มีวี่แววของความเข้มงวดเหมือนทุกทีดังขึ้นจากปากของคนอารมณ์ดี จิมพยักหน้ารับคำ ก่อนกดโทรศัพท์โทรออกเพื่อสั่งงานตามที่ได้รับมอบหมาย

ถึงขนาดเอาทีมเอไปด้วย...

เห็นทีเขาคงได้ต้อนรับนายคนที่สองเร็วๆ นี้


สำหรับเกรย์...หากได้รักแล้วเขาจะไม่มีวันปล่อยมือ

สิ่งเดียวที่จะพรากเราออกจากกันได้...มีเพียงความตายเท่านั้น


————————————


[อ่านต่อด้านล่าง]







หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-09-2018 22:32:25
-0-

[LAMB]

เราเป็นของกัน...ทั้งตัวและหัวใจ



ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการจัดงานกิจกรรมใหญ่ของมหา’ลัยแบบนี้ ภาพของบรรดานักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งกำลังซ้อมละครเวทีอยู่ใต้ตึกเป็นภาพที่เห็นได้จนชินตา อาจเป็นเพราะห้องซ้อมถูกปิดปรับปรุงชั่วคราวจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหล่านักแสดงจึงจำเป็นต้องออกมาอวดโฉมซ้อมละครกันอยู่ใต้ตึกเรียนที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย แม้หนึ่งในทีมจะบอกให้หาห้องเรียนซ้อมกันแทน แต่ผู้กำกับก็ยังเลือกที่จะซ้อมอยู่ใต้ตึกเหมือนเดิม และให้เหตุผลว่าเป็นการโปรโมทไปในตัว

“หมดเวลาพัก ซ้อมต่อได้แล้ว!” เสียงกึกก้องของสาวประเภทสองผู้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับดังสนั่นจนทำเอาใต้ตึกที่มีผู้คนพลุกพล่านเงียบสงัดไปชั่วอึดใจ เหล่านักแสดงต่างพากันลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมอย่างกะตือรือร้น ไม่มีท่าทีสะดุ้งสะเทือน เพราะเคยชินกับเสียงแปดหลอดของเจ้าหล่อนแล้ว “โอเค ถ้าพร้อมแล้วก็มา...”

“พี่ดีดี้คะ...” หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้รับบทเป็นนางเอกของเรื่องยกมือขออนุญาต “คือ...คนยังมาไม่ครบเลยค่ะ”

“ขาดใคร!” ใบหน้าสะสวยของดีดี้เปลี่ยนเป็นทะมึงทึงแทบจะทันที เธอย้ำแล้วย้ำอีกว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญ นี่จะต้องแสดงจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนสาย...

“พี่ประมุขค่ะ” หนิงพูดเสียงอ่อยแล้วพยักพเยิดไปด้านหลัง ที่ซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจโลกอยู่ พลันใบหน้าของผู้กำกับสาวแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี ยามขยับกายเดินเยื้องย่างเข้าไปหาเจ้าของชื่อที่ยังไม่รู้สึกตัว

“มุขจ๊ะ”

“อ้าว...ดีดี้” เจ้าของใบหน้าใสเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกงงๆ ก่อนจะเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านักแสดงเข้าแถวกันเรียบร้อยแล้ว “ขอโทษด้วยนะ เราตอบแชทอยู่เลยไม่รู้เรื่องเลย”

ใบหน้าซื่อๆ ของพ่อหนุ่มเสน่ห์แรงขวัญใจสาธารณชนทั่วมหา’ลัยฉายแววสำนึกผิดขณะวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นยืน เห็นแบบนั้นแล้วใครจะโกรธลงได้อีก...นอกจากดีดี้

เพียะ!

“อีมุข หยุดคุยกับผัวแล้วมาซ้อมก่อนได้ไหมยะ!”

“โอย...หลังจะหัก” ประมุขคู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร ท่าทางเกินจริงที่เรียกร้องความสนใจจากใครต่อใครทำให้ผู้กระทำดูเป็นนางมารร้ายมากขึ้นทุกที

“หลุดตอแหลแล้วลุกมาสักที” ดีดี้ดึงโทรศัพท์ออกจากมือเพื่อนสนิท ก่อนจะลากแขนอีกฝ่ายให้ลุกตามไปเข้าแถวรวมกับคนอื่น แล้วดูสิ...ดูแต่ละคนมองมันด้วยแววตาสงสารและอยากจะเข้าไปกอดปลอบเสียเต็มประดา

ดูไม่ออกหรือไงว่ามันมารยา!

‘ประมุข’ คือบุคคลที่ได้รับการโหวตให้เป็นขวัญใจคนทั้งมหา’ลัยติดอันดับสามปีซ้อน อาจเพราะเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เมื่อผนวกเข้ากับดวงตาเอ๋อๆ ซื่อๆ คล้ายจะตามคนไม่ค่อยทันเลยทำให้เขาดูเหมือนเด็กปีหนึ่งทั้งที่อยู่ปีสาม หลายคนจึงให้ความเอ็นดูและอยากปกป้อง จนกลายเป็น ‘เจ้าชายน้อย’ ของสาวๆ ไปแล้ว

“ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนสนิทมึง ขากลับบ้านต้องโดนดักตบแน่ๆ” ดีดี้กระซิบกระซาบข้างหูเพื่อนระหว่างที่คนอื่นกำลังซ้อมบท

“น่าเสียดาย...ถ้ามึงโดนกูจะได้สมน้ำหน้าสักหน่อย” ประมุขหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางเหมือนอยากจะเข้ามากัดหัวกันของเพื่อนรัก

“หุบปากไปเลย ว่าแต่...คุณคนนั้นของมึงทักมาหรือไง ถึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกูตะโกนเรียก”

คนฟังอมยิ้มจนแก้มตุ่ย เหมือนจะอารมณ์ดีมากเกินจนดีดี้นึกหมั่นไส้ เธอเลยจัดการผลักหัวคนบ้าเป็นการเรียกสติหนึ่งครั้งเพื่อให้มันหันกลับมาสนใจกัน

“อือ...เขารับปากว่าจะมาดูกูแสดง”

“ไหนตอนนั้นมึงบอกว่าเขารับปากไปส่งๆ ไง”

“ก็ถ้าเขาย้ำแบบนี้...น่าจะมาแหละมั้ง” ชายหนุ่มเม้มปากเมื่อโดนถามซ้ำ จากที่มั่นใจในตอนแรกเริ่มใจฝ่อลงเล็กน้อย กลัวเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะมาบอกกะทันหันว่าไม่ว่างอีก

แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เจอกันเสียที...

รอมานานจนจะเรียนจบอยู่แล้วนะ

“ถามจริงเหอะมุข ถ้าเขาอยากเจอมึงจริงๆ ทำไมต้องรอนานขนาดนี้ด้วยวะ”

ในฐานะของเพื่อนสนิทที่รู้เรื่องราวทุกอย่าง ตามติดตูดกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ประเทศอื่น จนกระทั่งกลับมาอยู่ไทยแล้วยังบังเอิญมาเจอกันอีก ดีดี้นึกเป็นห่วงเพื่อนรักแสนซื่อของเธอไม่น้อย กลัวว่ามันจะไปโดยคุณคนนั้นของมันหลอกให้ความหวัง ถึงเวลาถ้าต้องเจ็บช้ำขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสดใสอย่างมันจะเป็นยังไง

“กูเชื่อว่าเขามีเหตุผล” หากประมุขก็ยังตอบด้วยความมั่นใจ “เขาสัญญาว่าถ้าเราได้เจอกัน เขาจะเล่าทุกอย่างให้กูฟัง”

“มึงเชื่อคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยสักครั้งเนี่ยนะ”

เจ้าของใบหน้าใสสะอาดยิ้มกว้าง แววตาทอประกายระยิบระยับไร้วี่แววของความลังเล

“เชื่อสิ”

ดีดี้ถอนหายใจยาวเหยียด อยากจะโบกหัวทุยๆ ของคนที่เอาแต่ยิ้มดูสักที หรือถ้าจะให้ดีเธออยากแหวกหัวมันออกมาดูเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายไม่แบ่งสมองมาให้มันบ้าง

“แล้วถ้าเขาเป็นตาแก่ลงพุง ตัวอ้วน หน้าสิว แบบนี้มึงจะทำยังไง”

“ไม่มีทางหรอกน่า” ประมุขโบกมือปฏิเสธ

“มึงรู้ได้ไง”

“ใจบอก”

“ปวดหัว...” ใบหน้าสะสวยบิดเบี้ยว มือสองข้างยกขึ้นกุมขมับแทบจะทันทีที่ได้ยินคำตอบของเพื่อน “กูอยากจะบ้าตายกับมึงจริงๆ”

“เลิกชวนกูคุยแล้วไปดูซ้อมไป” ประมุขโบกมือไล่เพื่อนสาวแล้วเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสปรากฎบนใบหน้าแทบจะทันทีที่เห็นว่ามีข้อความในแชทเพิ่มขึ้นมา ทำเอาบรรดาคนที่กำลังแอบมองตาพร่ากับออร่าใสสะอาดนั้นกันเป็นแถบๆ



M.GRAY : ซ้อมอยู่เหรอ

GP.MUK : ใช่ครับ รอคิวอยู่

M.GRAY : วันนี้จะกินอะไร

GP.MUK : ผมมีมาม่าอยู่ที่ห้อง

M.GRAY : มาม่าอีกแล้วเหรอ

GP.MUK : ทำไงได้ ก็ผมทำกับข้าวอะไรไม่เป็นเลยนี่นา

M.GRAY : ถ้าบอกว่าไม่ให้กิน ยังจะกินอยู่ไหม

GP.MUK : เอาเป็นว่าถ้าได้เจอคุณเมื่อไหร่ผมจะเลิกกินแล้วกัน

GP.MUK : ผมไปซ้อมก่อนนะ

M.GRAY : ไว้เจอกัน

GP.MUK : บายยยยย *สติกเกอร์แกะโบกมือ*

M.GRAY : นี่

GP.MUK : ครับ

M.GRAY : กลับไปอย่าลืมบอกลามาม่านะ : )



สำหรับประมุข...หากได้รักแล้วเขาจะรักให้ถึงที่สุด

สิ่งเดียวที่จะพรากเราออกจากกันได้...มีเพียงยามคนคนนั้นไม่ต้องการเขาแล้วเท่านั้น



————————————


TALK:  นิยายเรื่องนี้เป็นคู่ที่สองจากเซตสามคิง คู่แรกเขียนจบไปแล้วเป็นคู่ของพี่ใหญ่จักรพรรดิ
(อ่านแยกได้ทุกเรื่องค่ะ)

มีความรู้สึกอยากเขียนอะไรเวอร์ๆ จนได้คุณเกรย์ออกมา นี่จะเป็นพระเอกที่มีอำนาจมากที่สุดของเราค่ะ เห็นพระเอกมีอำนาจแล้วมันกร๊าวใจเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 23-09-2018 23:10:42
สมใจที่เมียง ๆ มอง ๆ รอเลยค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 23-09-2018 23:15:37
ตื่นเต้นเลยค่ะ รับรู้ถึงความเว่อร์วังมาก โอ่ยย รอนะคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 24-09-2018 00:13:45
รอค่ะะะ เค้าจะได้เจอกันแล้ววว งื้อออ  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-09-2018 02:43:47
รอหนูมุขแสดง จะเล่นเป็นตัวอะไรน่ะ   :hao4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Riik ที่ 24-09-2018 08:28:19
ละมุน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-09-2018 13:29:50
รอเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 25-09-2018 09:16:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Maleewong ที่ 25-09-2018 11:24:12
รอคู่นี้มานานละ มาซะที :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-09-2018 19:53:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-09-2018 00:00:22
ปรบมือรัวๆ ให้กับคู่ของน้องคนเล็ก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 30-09-2018 05:52:55
โอ๊ยยย ลุ้นมากค่ะ เห็นอาการทั้งคู่ตอนเรื่องคิงภีมแล้ว
ไม่แค่รู้จักธรรมดาแล้ว หนุนตักโชว์กันขนาดนั้น

เชื่อได้น่ารักมากค่ะประมุข
เกรย์ก็รอคอยมาตลอด

บอกลามาม่า คือเจอกันชัวร์ คืนนี้
รอลุ้นเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-09-2018 07:29:33
ปรบมือรัวๆ ให้กับคู่ของน้องคนเล็ก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 30-09-2018 15:06:29
ว๊ายๆๆๆ คู่นี้มาแล้ว  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 30-09-2018 16:17:17
 :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-10-2018 14:30:39
คู่ที่สองมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ahpanpit ที่ 02-10-2018 18:12:55
หลังจากอ่านของ จักรพรรดิ จบก็มาอ่านของคู่ประมุขคนน้องต่อเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.0]==[23/09/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-10-2018 22:17:36
-1-



“มึงจะชะเง้อชะแง้อีกนานไหม”

“กูยังไม่เห็นเขามาเลย...”

“อีมุข... เขาจะมาทำบ้าอะไรตั้งแต่ตีห้าหา!” สาวประเภทสองคนสวยจัดการโบกหลังเจ้าชายน้อยของคนทั้งมหา’ลัยอย่างแรงจนอีกคนร้องโอดโอย นี่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยเธอคงไม่กล้าทำขนาดนี้หรอก กลัวโดนรุมตบ แต่เพราะโดนเพื่อนสนิทตัวดีลากมามหา’ลัยแต่เช้า โดยให้เหตุผลว่ากลัวคุณคนนั้นของมันจะมาแล้วไม่เจอ ตอนนี้เลยยังไม่มีใครให้กลัวสักคน ต่อให้ฆ่ามันหมกส้วมด้วยความหัวร้อนก็คงไม่มีใครรับรู้

“ก็ต้องมารอก่อนอยู่ดีไหมวะ” ประมุขบ่นพึมพำแล้วหดหัวกลับเข้าไปในโรงละครแบบหงอยๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเวลานัดของทุกคนคือเจ็ดโมงเช้า แต่เขาก็ยังอยากมาก่อนอยู่ดี เพราะกลัวว่าถ้ามาหาแล้วไม่เจอ คนที่รอมานานจะหนีกลับไปจนคลาดกันอีก

ครั้งนี้เขาคาดหวังมาก...มากจนคิดว่าตัวเองคงทนรับความผิดหวังไม่ไหว

ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกให้ประมุขรู้ว่าคนคนนั้นมีงานยุ่งมาก และพร้อมจะยกเลิกทุกสิ่งที่เคยพูดไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายได้ตลอดเวลา ดังนั้นหลังจากครั้งแรกที่แอบเสียใจไปหลายวัน พอมีครั้งต่อไปเขาก็มักจะเผื่อใจไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ผิดหวังมากเกินไปนัก เพราะถึงจะไม่ใช่คนฉลาดอะไร แต่เขาก็ยังเข้าใจว่าชีวิตของตัวเองและคนคนนั้นแตกต่างกัน จะให้งอแงเอาแต่ใจ โกรธไร้สาระไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี

ทว่าครั้งนี้เขาเฝ้าถามอยู่ทุกวันว่าจะมาจริงหรือเปล่า แล้วก็ได้รับคำตอบเดิมๆ ว่าจริงอยู่ทุกครั้ง กระทั่งเมื่อวานก็ยังได้รับคำตอบเดียวกัน เพราะแบบนั้นความหวังที่เคยกดข่มไว้ในใจถึงได้ทวีคูณขึ้นมามากมายขนาดนี้

“มุข มึงฟังกูนะ” สาวสวยที่มองเห็นใบหน้าลังเลไม่มั่นใจของเพื่อนสนิทกอบกุมไหล่ทั้งสองข้างของมันให้หันมามองหน้าเธออีกครั้ง “ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา มึงก็ต้องทำให้เต็มที่ แล้วถ้าสุดท้ายต้องผิดหวัง มึงค่อยมานั่งร้องไห้งอแงปัญญาอ่อนข้างๆ กู เข้าใจหรือเปล่า”

คนฟังเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเพื่อนรักที่ส่งผ่านกำลังใจมาให้แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก แม้จะไม่อยากผิดหวัง แต่เขาก็ไม่อาจทำให้งานเสียเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวได้ ดีดี้และนักแสดงคนอื่นๆ ทุ่มเทกับงานนี้มาก ถ้าเขาทำพังคงไม่มีหน้าไปเจอใครอีก

“กูจะทำให้เต็มที่”

คราวนี้ประมุขไม่ได้โผล่หัวออกไปดูบริเวณทางเดินด้านนอกทุกๆ ห้านาทีเหมือนเก่า แต่เขาก้มหน้าลงกดโทรศัพท์ พร้อมกับหยิบบทที่ท่องได้จนขึ้นใจมาทบทวนอีกครั้งเพื่อกันไม่ให้มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น

GP.MUK : ผมจะรอจนกว่าคุณจะมา

ทิ้งข้อความไว้แล้วเขาก็เริ่มซ้อมเพียงลำพังอย่างจริงจัง บทบาท ‘พระเอก’ ที่ได้รับมีความสำคัญที่สุดในเรื่อง ละครเวทีที่ดีดี้กำกับเป็นละครย้อนยุคซึ่งคิดบทขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่ได้อ้างอิงจากที่ใด หลังจากได้อาจารย์ช่วยดูและแก้ไขอยู่หลายรอบก็กลายมาเป็นหนึ่งในละครที่ได้รับการรอคอยมาที่สุด ทั้งบทประพันธ์หรือทีเซอร์ที่ปล่อยไปทางโซเชียลมีเดียล้วนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เจ้าชายของคนทั้งมหา’ลัยมาเล่นเป็นตัวหลักแบบนี้

ขึ้นชื่อว่าศิลปกรรม... ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง

“ใส่อารมณ์ให้มากกว่านี้!” เสียงของผู้กำกับดังก้องไปทั่วโรงละครหลังจากสมาชิกทุกคนมาถึงกันหมดแล้ว เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะเริ่มเปิดให้ผู้คนเข้ามาจับจองที่นั่ง พวกเขามีเวลาซ้อมอีกเพียงรอบเดียวก่อนจะต้องเข้าไปเตรียมตัวด้านใน

“ดี้” ประมุขเดินเข้าไปสะกิดไหล่เพื่อนสาวแล้วพยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าถึงเวลาต้องเข้าไปด้านในแล้ว อีกเพียงหนึ่งชั่วโมงคนจากด้านนอกก็จะเข้ามา พวกเขาต้องใช้เวลาจัดการตัวเอง ไม่อาจปรากฏตัวให้ใครเห็นในตอนนี้ได้

“โอเค... ทุกคนรีบเข้าไปเตรียมตัว!”

เมื่อผู้กำกับสาวพยักหน้า เหล่านักแสดงก็พากันกรูไปหลังเวทีอย่างรีบร้อนเพื่อทานข้าว ใส่เสื้อผ้า แล้วก็ทบทวนบทบาทของตน ประมุขเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปด้านใน เขาตรงไปที่โต๊ะแต่งหน้า ปล่อยให้เพื่อนผู้หญิงเข้ามาจัดการทรงผมให้อย่างเคยชิน จากนั้นก็ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นโทรศัพท์อีกครั้ง

ยังไม่ตอบเลย...

เขาถอนหายใจ กดเข้าไปดูในแชทของพี่ชายที่เพิ่งส่งข้อความมาหาแทน

HONGTAE: กูคงไปดูมึงไม่ได้นะ เคลียร์งานที่มหา’ลัยเสร็จก็คงดึก เดี๋ยวว่าจะโทรไปถามภีมเรื่องพี่จักรด้วย

GP.MUK : ไม่เป็นไร ภีมว่ายังไงมึงบอกกูด้วยก็แล้วกัน

HONGTAE: อือ ทำให้เต็มที่

GP.MUK : แน่นอน!

ประมุขขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วงเมื่อพี่ชายคนรองพูดถึงพี่ชายคนโตขึ้นมา เขากับฮ่องเต้เรียนอยู่คนละที่ ต่างคนต่างเลือกทางเดินของตัวเอง นานๆ จะได้กลับบ้านไปเจอกันสักที ไม่เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องกลับไปนอนบ้านเพราะไม่อยากให้พี่ชายคนโตอยู่เพียงลำพัง

หากไม่นับพ่อที่ทำงานอยู่ไกล เทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับต่างประเทศ ครอบครัวของประมุขก็มีกันเพียงสามพี่น้องเท่านั้น เขาอยู่กับฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก เพิ่งกลับมาเรียนต่อที่ไทยตอนปีหนึ่ง แล้วหลังจากกลับมาไม่นาน พี่ชายคนโตที่ถูกแม่พาตัวไปเพียงลำพังเมื่อสิบปีก่อนก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ตอนแรกประมุขไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายถึงกลับมาหาพวกเขา ทั้งที่อีกฝ่ายกลายเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้ว แต่เมื่อได้เห็นที่สนามบินถึงได้เข้าใจ

พี่จักรประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้...

ต่อให้ไม่ต้องอธิบายอะไร สองพี่ร้องก็รู้ว่ามารดาต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ชายของพวกเขากลับมาที่นี่แน่นอน เพราะตั้งแต่แรกก็คิดจะพาไปใช้ประโยชน์อยู่แล้ว พอเห็นว่าพี่เป็นแบบนี้ถึงได้เขี่ยทิ้งให้พ้นทาง ประมุขยังจำได้ดีว่าเขาคือเป้าหมายที่แม่ต้องการพาตัวไป แต่เพราะพี่ช่วยปกป้องถึงต้องก้าวไปอยู่ในจุดนั้นแทน ความรู้สึกผิดที่ได้เห็นพี่จักรกลายเป็นคนเย็นชาน่ากลัวทำให้เขาและฮ่องเต้ต้องการทดแทนทุกอย่างให้ด้วยใจ

พวกเขาช่วยกันดูแลพี่จักร ช่วยกันทำกายภาพให้ทุกวัน อ้อนวอนขอให้พี่ไปรักษา แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนพี่จักรชอบดอกไม้ ชอบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ชอบไปเล่นกับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อภีม พวกเขาจึงติดต่อทางฝั่งนั้น ขอร้องให้พี่จักรไปพักผ่อนอยู่ที่นั่นสักระยะ ซึ่งแน่นอนว่าคุณอาเจ้าของสวนดอกไม้กับลูกชายยินดีเป็นอย่างมาก

หลังจากไปส่งพี่จักรเรียบร้อยแล้ว ประมุขกับฮ่องเต้จึงกลับมาเรียนอีกครั้ง ตั้งใจว่าถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็จะไปหา แล้วก็คอยตามข่าวสารผ่านทางภีมอยู่ตลอด โชคดีที่คนคนนั้นยินดีจะช่วยดูแลพี่ชายคนโต เขากับพี่คนรองถึงได้สบายใจขึ้นมาก

“เสร็จแล้วจ้ะมุข รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ” เสียงเตือนพร้อมแรงตบเบาๆ ที่บ่าของพี่ช่างแต่งหน้าทำให้ประมุขรู้สึกตัว เขาเงยหน้ามองกระจก ยิ้มให้เงาของตัวเองที่ดูดีได้เสมอต้นเสมอปลายหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากนะครับ”

พื้นที่ด้านหลังเวทีวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้เวลาแสดงมากขึ้นทุกที เหล่านักแสดงต่างแยกกันทำสมาธิและขอให้การทำงานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะมันไม่ใช่แค่แสดงให้จบๆ แต่เป็นการแสดงที่เป็นหน้าเป็นตาของคณะและมหา’ลัย มีแขกคนสำคัญมากดูงานมากมายหลายท่าน แล้วยิ่งบอกว่ามีการแสดงเพียงรอบเดียว ใครต่อใครเลยให้ความสำคัญยิ่งเข้าไปใหญ่

“ทำให้เต็มที่นะทุกคน” ผู้กำกับสาวยิ้มให้กำลังใจทีมงานทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกันกับที่เสียงปรบมือด้านนอกดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ประมุขหันไปมองโทรศัพท์เป็นครั้งสุดท้าย คาดหวังว่าจะได้เห็นข้อความจากใครบางคน ที่ปกติมักจะส่งกำลังใจมาให้กันเสมอ หากก็พบเพียงความว่างเปล่า

“มุข!”

ไม่มีเวลามาผิดหวังแล้ว...

“โอเค!” ประมุขสูดหายใจเข้าจนสุด เตรียมตัวเดินไปหาคนเรียกเพื่อรอขึ้นเวที แต่แล้วเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกลับเรียกความสนใจได้ชะงัก เขารีบหันกลับไปหา ตากวาดมองข้อความที่เด้งขึ้นมาด้วยความคาดหวัง

M.GRAY: ทำให้เต็มที่ ฉันรอดูอยู่

เพียงเท่านั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้า หัวใจที่หนักอึ้งด้วยความกังวลและหวาดกลัวพองโตจนคับอก ความตั้งใจที่มีมากอยู่แล้วราวกับจะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก เขารีบกดส่งสติกเกอร์ลูกแกะยิ้มไปให้เพราะไม่มีเวลาพิมพ์ จากนั้นก็วิ่งไวๆ ไปเตรียมตัวขึ้นเวทีอย่างอารมณ์ดี

“เต็มที่นะมึง” เพื่อนสาวคนสนิทที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วตบบ่ากันเป็นเชิงให้กำลังใจ

ประมุขยิ้มให้เพื่อน หลับตาลงเพื่อทำสมาธิ แม้จะไม่ใช่การขึ้นเวทีครั้งแรก แต่ในฐานะของนักแสดงตัวหลักในงานใหญ่แบบนี้ จะไม่ให้ตื่นเต้นเลยคงไม่ได้

แล้วคนคนนั้นยังมาดูอีก...

ดวงตาใสซื่อเปล่งประกายอย่างมีความสุข หากเพียงชั่ววินาทีที่คนบนเวทีส่งสัญญาณว่าฉากพร้อมแล้ว ใบหน้าร่าเริงก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ สมบทบาทคุณชายเล็กผู้เป็นพระเอกของบทละครนี้

“เริ่ม!” ดีดี้หันไปมองเหล่านักแสดงที่ยืนรอคิว ในขณะที่ประมุขก้าวเท้าขึ้นไปด้านบน พร้อมกันกับที่ม่านสีเลือดหมูซึ่งปิดบังฉากไว้ถูกเปิดออก

โรงละครขนาดใหญ่ที่จุคนได้มากมายถูกจับจ้องพื้นที่จนทั่วไม่เว้นแม้แต่บริเวณชั้นสามซึ่งต้องยืนดู ประมุขอาศัยช่วงเวลาที่ต้องเดินพูดบทไปที่โต๊ะทำงานของฉากกวาดสายตาไปหาผู้ชม พยายามค้นหาความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ หากความมืดที่บดบังบริเวณที่นั่งคนดูทั้งสองชั้นทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาดึงสมาธิกลับมาสนใจการแสดง พูดบทและใส่อารมณ์ตามที่ซ้อมมาอย่างจริงจัง

“คุณชาย...”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องคุกเข่า”

ประมุขสวมบทบาทเป็นคุณชายเล็กได้อย่างแนบเนียน สมกับที่ได้รับคำชมมากมายจากครูหลายท่าน แม้บุคลิกส่วนตัวจะไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกับบทบาทที่ได้รับเลยก็ตาม

ใครต่อใครต่างบอกว่าเขามีพรสวรรค์ในด้านการแสดง และการทำงานในครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคน เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในวงการหลายท่านให้ความสนใจกับโปรเจกต์ละครเวทีในครั้งนี้ หากได้อาจารย์ช่วยแนะนำอีกแรง จะเข้าวงการก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่ว่า...

คนคนนั้นไม่อยากให้เขาเป็นนักแสดง และตัวเขาเองก็ล้มเลิกความฝันในวัยเด็กมานานมากแล้ว นี่เลือกเรียนด้านนี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถนัดเท่านั้น

“ซับเหงื่อให้มุขเร็ว!” เสียงออกคำสั่งของใครสักคนดังขึ้นเมื่อเขากลับเข้ามาที่หลังเวทีเพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับฉากถัดไป ขณะนี้บนเวทีเป็นฉากเปิดตัวของนางเอกที่กินเวลานิดหน่อย ประมุขรีบเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าชุดถัดไป จากนั้นก็เดินไปประจำที่ แอบมองออกไปด้านนอกผ่านช่องเล็กๆ ของเวทีเผื่อจะได้เจอคนที่ตามหา

“อยู่ตรงไหนนะ...”

“มุข เตรียมตัว”

ยังไม่ทันได้กวาดสายตาขึ้นไปมองบนที่นั่งชั้นสอง เสียงเตือนจากทางด้านข้างก็ดังขึ้นก่อน ประมุขพยักหน้า จับเสื้อผ้าให้เข้าที่เพื่อความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีอีกรอบเมื่อถึงเวลา

นักแสดงและทีมงานทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้จุดยืน ไม่มีใครก้าวก่ายหรือสร้างปัญหาอะไรให้ตามแก้ ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน และสุดท้ายก็ดำเนินไปได้ด้วยดีจนจบงาน เสียงปรบมือดังก้องโรงละคร แม้ไม่มีฉากเลิฟซีนใดๆ แต่กลับได้รับคำชื่นชมไม่ขาดสาย

ประมุขก้าวเท้าไปยืนอยู่ด้านข้างผู้กำกับคนสวยบนเวทีพร้อมนักแสดงและทีมงานทุกคน เขาฟังเพื่อนสนิทพูดขอบคุณด้วยความตื้นตัน หากสายตายังคงกวาดมองไปรอบด้านเพื่อตามหาใครบางคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหน

หรือว่าจะหลอกกัน...

“ขอบคุณผู้ใหญ่เสร็จแล้ว จะเอาของให้ใครก็เชิญเลยจ้า” ดีดี้พูดออกไมค์ติดตลกทั้งที่มือยังยกขึ้นปาดน้ำตาไม่หยุด เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั่วโรงละครได้เป็นอย่างดี

บรรดาผู้ชมที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาพากันลุกขึ้นยืน เอาดอกไม้ไปให้กำลังใจนักแสดงและทีมงาน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้รับเยอะกว่าใครเพื่อนก็คือคุณพระเอกที่ได้รับคำชมมากที่สุด

“แหม น้องมุขของแฟนๆ ขนกลับไม่ไหวแล้วมั้งเนี่ย” ผู้กำกับสาวที่ถือครองไมค์อยู่เพียงคนเดียวเอ่ยแซวสร้างบรรยากาศ ความเครียดที่มีจางหายไปเมื่อผลงานทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาจนหมด ทั้งจากบทที่เธอสร้างขึ้นและจากนักแสดงที่ช่วยกันทำออกมาได้เป็นอย่างดี จะเครียดอีกทีก็คงเป็นตอนที่ต้องไปพูดคุยกับอาจารย์และพวกผู้ใหญ่หลังจากนี้

“ดี้ ทีมงานขนดอกไม้ไม่ไหว มึงมาช่วยหน่อย” ประมุขหันไปกวักมือเรียกเพื่อนที่ยืนกอดอกอยู่นิ่งๆ เล่นเอาคุณผู้กำกับที่ไม่ยอมรับดอกไม้สะดุ้ง พอรู้สึกตัวก็รีบหันไปถลึงตาใส่ คิดในใจเคืองๆ ว่านอกจากจะปั้นยิ้มส่งให้ใครไปทั่วจนน่าหมั่นไส้แล้วมันยังกล้ามาใช้เธออีก

“ดีจริงๆ นะมึงเนี่ย”

ประมุขยกยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เขาหันไปให้ความสนใจกับรุ่นน้อง รุ่นพี่ แล้วก็เพื่อนๆ ที่เอาดอกไม้มาให้ พยายามดึงความสนใจไว้กับเรื่องตรงหน้า เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความผิดหวังออกไปจนคนอื่นๆ สังเกตเห็น

ที่บอกว่าดูอยู่... โกหกงั้นเหรอ

“มุข... มาเถอะ” คนที่เฝ้ามองอาการของเพื่อนสนิทอยู่ตลอดตรงเข้าไปแตะไหล่ที่ลู่ลงเล็กน้อย ลากพาให้เดินกลับไปหลังเวทีด้วยกัน ดีดี้รู้ดีว่าเพื่อนกำลังเศร้า ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่ได้เจอกับคนที่อยากเจอมากที่สุด แต่เธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป ได้แต่พามันไปรวมกับคนอื่นๆ ที่กำลังยืนมุงกันอยู่

“พี่ดีดี้...”

“ทุกคน หันมาฟังทางนี้หน่อย” ดีดี้ปรบมือเรียกให้นักแสดงและทีมงานล้อมวงเข้ามาหา รอกระทั่งทุกคนพร้อมกันหมดแล้วเธอก็ฉีกยิ้มกว้าง พูดด้วยใบหน้าสดใส ไม่เหลือคราบของผู้กำกับสุดโหดอีกเลย “ขอบคุณจริงๆ ที่พยายามด้วยกันมาโดยตลอด ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปงานนี้ก็คงไม่สำเร็จ ทุกคำชมที่ได้รับ ดีดี้ขอมอบมันให้ทุกคนเลย ดังนั้น...”

“ดังนั้น...” เหล่าทีมงานต่างพากันทำตาโตอย่างคาดหวัง ในขณะที่ดีดี้หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมพยักหน้าหงึกหงัก

“ตอนนี้แยกย้ายกันไปดูงานกิจกรรมก่อน เจอกันตอนทุ่มตรงที่ร้านเดิม ดีดี้กับมุขเลี้ยงเอง”

“เย้!”

“เดี๋ยว...” ประมุขอ้าปากค้าง มองฝูงชนที่แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วแบบเหวอๆ เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าไปรับปากจะออกเงินด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่

“กูไปหาอาจารย์ก่อนละ มึงก็ไปเดินงานให้สนุกแล้วกัน อย่าร้องไห้ตอนอยู่คนเดียวนะ” แซวเพื่อนเสร็จแล้วดีดี้ก็ไม่ปล่อยให้โดนเถียงกลับ เธอสะบัดผมเดินจากไปแบบสวยๆ ในทันที ทิ้งให้คุณพระเอกที่หอบกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขนยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง

ประมุขถอนหายใจ ก้าวเท้าเดินช้าๆ ผ่านบรรดาทีมงานที่กำลังเก็บของไปหาสัมภาระของตัวเอง พออยู่คนเดียวแล้วเรี่ยวแรงที่มีคล้ายจะหดหายไปจนหมด ไม่มีอารมณ์อยากไปเดินงานต่อเลยสักนิด แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่อยากจะหยิบขึ้นมาดู

“โกหก...”

ครั้งนี้จะไม่ให้โกรธเลยคงไม่ได้...

ครืด

เขาสะพายกระเป๋า ยกโทรศัพท์ขึ้นมามองโดยไม่คาดหวัง คิดว่าอีกคนคงทักมาสารภาพว่าไม่ได้มาดู แล้วก็หาเรื่องมาทำให้หายโกรธเหมือนทุกครั้ง

แต่ข้อความภาษาอังกฤษที่เด้งขึ้นมาบนจอกลับทำให้ต้องเบิกตากว้าง...

M.GRAY: ลูกแกะของฉันเก่งที่สุด

ตั้งแต่ได้รู้จักมา ไม่ว่าจะผ่านทางจดหมายหรือทางไลน์ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ประมุขร้องขอให้คนคนนั้นยอมรับโทรศัพท์ เขาไม่เคยกล้ากดคอลหา ทั้งที่อยากได้ยินเสียงใจแทบขาด หลายปีที่ผ่านมาคือความเสมอต้นเสมอปลาย และเพราะไม่ต้องการให้คนคนนั้นลำบากใจ เขาถึงไม่เคยล้ำเส้น ไม่เคยร้องขออะไรให้รำคาญเลยสักครั้ง

นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่สมองและเหตุผลไม่อาจต้านทานความรู้สึกและหัวใจได้

ถึงโอกาสจะน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ว่า...ช่วยรับทีเถอะ

[หืม…]

ประมุขมือไม้สั่น ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงพึมพำด้วยความประหลาดใจดังมาจากอีกฝั่ง เขาดึงโทรศัพท์ออกมามอง จ้องมองหน้าจอด้วยความตกใจยามเห็นว่ามันขึ้นตัวเลขจับเวลาอันเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าคนที่โทรหารับสายแล้ว

“คุณ...” เขาเม้มปากแน่น พยายามควบคุมความตื่นเต้นไว้ในใจ แต่เสียงก็ยังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด “คุณได้มาดูผมหรือเปล่า”

[…]

“คุณไม่ได้ผิดสัญญาใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ถูกส่งกลับมาแม้แต่คำเดียว ทว่าคนพูดก็ยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อไม่ได้วางสาย แสดงว่าอย่างน้อยก็ยังฟังอยู่ “ถ้าครั้งนี้โกหก ผมไม่ให้อภัยแล้วนะ”

[…]

“อย่างน้อยถ้าจะไม่มาก็น่าจะบอกกันแต่แรก รู้หรือเปล่าว่าผมมองหาคุณตลอดเลย” ประมุขพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่อาจปิดบังความผิดหวังเอาไว้ได้ “รู้ไหมว่าวันนี้ผมดูดีมากขนาดไหน ถ้าออกไปเดินข้างนอกต้องโดนมองตามเป็นแถบแน่”

[…หึหึ]

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าของคนที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศตามบทคุณชายก็บูดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ

“แล้วก็จะไม่เปลี่ยนชุดด้วย จะเดินทั่วมหา’ลัยให้คนมองให้หมดเลย” คนพูดถอนหายใจแรงๆ หนึ่งทีเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ เช่นเคย ความหงุดหงิดที่ไม่เคยกล้าแสดงออกกับใครอีกคนปะทุขึ้นมาจนควบคุมไว้ไม่ไหว เขากัดริมฝีปาก กระแทกเสียงใส่คนนิสัยไม่ดีที่ผิดสัญญาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกดวางสายอย่างรวดเร็ว “ผมไม่คุยกับคุณแล้ว!”

นอกจากจะไม่ยอมมาตามสัญญาแล้วยังไม่ยอมคุยด้วยอีก...

“บางทีอาจมีแค่เราที่อยากเจอ” ประมุขพึมพำกับตัวเองแล้วมองจอโทรศัพท์แบบหงอยๆ รู้ดีว่าต่อให้คนคนนั้นไม่ทักมาก่อน สุดท้ายเขาก็ต้องทักไปขอโทษอยู่ดี

เป็นแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ...

เขาก้มลงมองสภาพตัวเอง ที่บอกว่าดูดีอะไรนั่นเหลวไหลทั้งเพ จริงๆ เสื้อแขนยาวข้างในเป็นเสื้อของเขาอยู่แล้ว ส่วนสูทตัวนอกก็ต้องถอดคืน จะเอาอะไรไปโดดเด่นให้คนมองอย่างที่พูดกัน

ประมุขเสียบหูฟังกับโทรศัพท์ จากนั้นก็เดินล้วงกระเป๋าออกไปด้านนอก ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง จากที่นอนคิดมาหลายวันว่าจะพาคนคนนั้นไปไหนบ้าง ตอนนั้นกลับต้องเดินเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย จะกลับหอพักก็ไม่อยากทำ เพราะขืนกลับไปคงเอาแต่นั่งคิดถึงจนต้องทักไปขอโทษก่อน ดังนั้นทางเลือกเดียวที่มีก็คือการไปเดินดูงานกิจกรรมของคณะต่างๆ ที่จัดอยู่ในตอนนี้

เพราะเป็นพวกอัธยาศัยดีมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง เวลาเดินไปไหนมาไหนก็มักจะโดนทักเสมอ ต่อให้อยู่ในช่วงอารมณ์ที่ไม่อยากคุยกับใคร อย่างเช่นเวลางอแงใส่คนคนนั้นอยู่ เขาก็มักจะต้องส่งยิ้มและหันไปพูดคุยกับคนที่เข้ามาทักอยู่ดี แต่เมื่อมาใส่หูฟังแบบนี้ ใครต่อใครเลยแค่ยิ้มให้ ไม่ได้เดินเข้ามาพูดคุยเหมือนปกติ คงต้องขอบคุณคนที่แนะนำ...

“นึกถึงเขาอีกจนได้” ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็โยงไปหาได้เสมอ ขนาดในช่วงเวลาที่บอกว่าต้องโกรธให้นานๆ ยังทำไม่ได้อย่างที่คิดเลย

ในช่วงเวลาที่มีกิจกรรมของคนทั้งมหา’ลัยแบบนี้ ไม่แปลกที่ตามทางเดินจะมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ หนึ่งในข้อดีของการเดินอยู่กลางฝูงชนก็คือไม่มีใครเป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจใดๆ ประมุขไม่ต้องฉีกยิ้มจนเมื่อยแก้ม เดินฟังเพลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่ทำหน้าเศร้าอยู่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

ทว่าผ่านไปได้ครู่หนึ่งเขากลับต้องชะงัก...

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รอบกายกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าราวกับทุกคนพากันตีตัวออกห่าง ประมุขหยุดเท้าอยู่กับที่ ถอดหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยความงุนงง สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนเป็นตัวประหลาดทำให้ต้องก้มลงมองตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า ทว่าเมื่อได้เงยหน้ามองชัดๆ กลับพบว่าจุดสนใจของทุกคนมันไม่ได้อยู่ที่เขา...

แต่อยู่ที่ด้านหลังเขาต่างหาก

เป็นเพราะเอาแต่เหม่อ ไม่ยอมเดินตีวงออกไปด้วย ตอนนี้เลยเหมือนถูกล้อมวงไว้กับใครบางคนที่เป็นเป้าสายตาของทุกคน

“โดนเดินตามมาตั้งนานยังไม่รู้ตัว แบบนี้จะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง” เสียงพูดภาษาอังกฤษไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกความสนใจได้ชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับไปหาคนพูด แล้วก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าเป็นประกายเข้าอย่างจัง

[ต่อด้านล่าง]
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-10-2018 22:18:45


ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวสูงกว่าประมุขพอสมควร ดูแล้วอายุน่าจะพอกันกับจักรพรรดิที่เป็นพี่ชายคนโต เส้นผมสีเทากับดวงตาสีฟ้าและทุกองค์ประกอบบนใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวต่างชาติ ทั้งยังเป็นชาวต่างชาติที่หน้าตาดีเอามากๆ ด้วย รูปร่างและการแต่งตัวทำให้เหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารไม่มีผิด ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับตำแหน่งการยืนที่มีชายชาวต่างชาติตัวโตในชุดสูทยืนอยู่ด้านหลังเกินห้าคน คนคนนี้ก็ยิ่งดูเหมือนบุคคลที่ไม่อาจแตะต้องยิ่งเข้าไปใหญ่

“คุณ…” ประมุขเกือบจะอ้าปากค้าง มือปล่อยสายหูฟังที่ถือไว้ตั้งแต่แรกลงโดยไม่รู้ตัว แววตาแสดงความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายได้ แม้แต่หัวใจยังเต้นแรงขึ้นจนแทบทะลุออกมาจากอก

คนแปลกหน้าที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนยกยิ้มจาง หันกลับไปรับดอกกุหลาบช่อใหญ่มาจากบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะก้าวเท้าเข้าหาช้าๆ จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“เห็นหรือเปล่าว่าฉันไม่ได้ผิดสัญญา”

“ก็คุณไม่ยอมคุยกับผม...” ถ้าออกมาหาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องนอยไปเองแบบนี้

“ทำไงได้ เห็นคนเอาดอกไม้ให้นายเยอะแยะเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่าต้องให้ด้วยก็เลยออกไปหามา” ว่าแล้วก็ยื่นกุหลาบช่อโตที่ว่าไปให้ “รางวัลสำหรับคนเก่ง”

ประมุขไม่ได้รับดอกไม้มาถือไว้ในทันที แต่เขาเลือกจ้องมองใบหน้าของอีกคนนิ่งงัน มองราวกับต้องการสลักลึกไว้ในใจ ตอกย้ำให้รู้ว่าได้เจอกันแล้วจริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันแบบที่คิด

เกือบสิบปีที่พูดคุยโดยไม่เห็นหน้า ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอ ในที่สุด...

“ในที่สุดก็ได้เจอกัน” เขากอดช่อดอกไม้เอาไว้แน่น อาศัยมันบดบังดวงตาสั่นไหวร้อนผ่าวของตัวเองไม่ให้ใครเห็น แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เมื่อคนตรงหน้ายื่นมือมาหา จ้องมองมาด้วยดวงตาแสนอ่อนโยนที่อยากเห็นมาโดยตลอด

“ไปกันเถอะ”

ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ประมุขก็ยื่นมือออกไปหา กอบกุมมืออบอุ่นนั้นไว้แน่น แล้วเดินตามแรงชักจูงไปอย่างว่าง่าย ไม่คิดถามสักนิดว่าอีกฝ่ายจะพาไปไหน ไม่สนใจกระทั่งผู้คนรอบกายที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ในโลกใบเล็กของเขามีคนเพียงไม่กี่คนที่มีความสำคัญมากพอจะอยู่ในนั้น หากไม่นับครอบครัวก็คงมีเพียงดีดี้ที่คอยประคับประคองไปในทิศทางที่ถูกต้อง และอีกหนึ่งที่ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวใจไปเกือบหมดก็คือคนคนนี้

“คุณ…”

“เรียกว่าเกรย์” คนที่จูงมือกันอยู่หันมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ประโยคธรรมดาๆ ที่ได้ยินกลับทำให้ประมุขตาเป็นประกาย เขาอมยิ้มจนแก้มแทบแตก ก้มหน้าลงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเองคนเดียว

เมื่อก่อนตอนที่คุยกันทางจดหมาย ชื่อที่อีกคนใช้คือ Gin. ประมุขเลยเข้าใจว่าเป็นชื่อจริงๆ มาโดยตลอด พอมาคุยกันผ่านทางไลน์ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ แต่เพราะกลัวไปหมดว่าถ้าถามเรื่องส่วนตัวมากเกินไปจะถูกรำคาญ เขาจึงต้องติดอยู่กับความสงสัยว่าชื่อในไลน์ที่เขียนว่า M.GRAY ใช่ชื่อที่แท้จริงหรือเปล่ามาโดยตลอด

วันนี้ได้รู้แล้ว...

“คุณ...เกรย์” ประมุขเงยหน้าเรียกด้วยความไม่มั่นใจนัก ยามถูกจูงมาหยุดอยู่หน้ารถหรูที่จอดเรียงกันอยู่สามคัน

“เกรย์เฉยๆ ก็พอ ฉันอนุญาต” คนพูดดึงช่อดอกไม้ที่เขากอดไว้ออกไปส่งให้บอดี้การ์ดข้างตัว แล้วออกแรงดันเบาๆ ให้ตรงเข้าไปนั่งในรถ

ประมุขทำตามความต้องการนั้นอย่างว่าง่าย รอกระทั่งเกรย์ขึ้นมานั่งด้านข้างแล้วถึงได้หันไปจ้องเขม็ง จ้องจนอีกฝ่ายหันมามองพร้อมรอยยิ้มขำขัน มือยกขึ้นลูบหัวกันราวกับเห็นเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“เกรย์...”

“ว่าไง”

“เกรย์...”

เกรย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรวบตัวคนที่ทำตาแป๋วใส่ไม่หยุดเข้ามากอดไว้เต็มอ้อมแขน คนรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าปิดกระจกกั้นหน้าหลังให้อย่างรู้งาน พื้นที่ตรงนี้จึงมีเพียงเขากับลูกแกะตัวน้อยเท่านั้น

“ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักที...” คนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอมากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วสูดกลิ่นกายของคนที่รอมานานเข้าจนเต็มปอด รอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจซึ่งไม่ได้เป็นเพียงหน้ากากปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

“คุณจะไม่หายไปแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง กดจูบลงบนขมับของคนที่แอบสูดน้ำมูกเงียบๆ เป็นเชิงปลอบประโลม “เราจะไม่แยกจากกันอีก”

“ถ้าโกหกผมจะโกรธ”

“คำนี้ได้ยินบ่อยจนชินแล้ว”

“ครั้งนี้ผมพูดจริงๆ นะ” ประมุขเขย่ามือที่กำเสื้อเกรย์แรงๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริง แม้จะคิดแบบนี้มาเป็นร้อยรอบและไม่เคยทำสำเร็จสักรอบก็ตาม

เมื่อก่อนไม่เห็นหน้ากันยังโกรธได้ไม่นาน แล้วนี่มาอยู่ต่อหน้า...จะยังไงก็ไม่มีทางโกรธลงแน่

“ไม่ต้องห่วงหรอก จากนี้ไปจะไม่มีใครแยกเราออกจากกันได้อีกแล้ว” เกรย์โยกตัวไปมาพร้อมลูบผมคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกเขาเบาๆ ดวงตาอ่อนโยนยามใช้มองใครอีกคนฉายแววเย็นเยียบเมื่อนึกถึงคำว่าแยกจาก หากก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่กะพริบตา “เราจะอยู่ด้วยกันไป...ตลอดกาล”

ตลอดกาล...คือจนกว่าจะตายจากกัน


------------------------



TALK: เล่นใหญ่เหลือเกิน...
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 03-10-2018 22:25:07
 :man1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 03-10-2018 22:30:21
หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดูเลยค่ะ เค้าเจอกันแล้วว :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 03-10-2018 23:17:09
เขินนนนนน :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-10-2018 02:34:06
อ้าววววว เจอคนที่อยากเจอแล้วก็โดยพาขึ้นรถไปแล้ว ลืมดีดี้กับงานเลี้ยงไปหรือป่าว เจ้าภาพหายไปคนแล้ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 04-10-2018 07:16:40
ประมุขเด็กน้อย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-10-2018 07:28:35
หวังว่าคงจะมีคนรู้ว่ามุขหายไปนะ เล่นกลับไม่บอกใครเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 04-10-2018 13:52:45
ตามมมากรี้ดคุณเกรย์ ฮรืออ เขินไปหมด 555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-10-2018 21:27:14
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 04-10-2018 21:49:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-10-2018 10:32:15
มุขน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 05-10-2018 12:57:34
ตามมาจากเรื่องของพี่จักรค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-10-2018 19:52:25
เจอกันแล้วว ดีต่อใจมากเลย
เอ็นดูประมุข ส่องแล้วส่องอีก

เกรย์จะหวานมากกว่านี้ได้อีก
แต่เป็นกับคนเดียวนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 06-10-2018 21:41:31
 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 07-10-2018 11:30:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 07-10-2018 19:07:13
น้องมุข ขี้อ้อน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.1]==[03/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 11-10-2018 22:56:18
-2-


[อะ…อีมุข มึงมันคนเลว]

“แล้วมึงที่ลากกูไปเลี้ยงเหล้าชาวบ้านโดยไม่ปรึกษานี่ไม่เลวเลยเนอะ”

[ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง!] ปลายสายเหวี่ยงกลับมาจนหูคนฟังแทบดับ [เขามาแล้วก็เทกูเลยนะ!]

“ดี้…” ประมุขถอนหายใจ ยอมรับว่าลืมเพื่อนไปชั่วขณะจริงๆ แต่ก็เพราะรู้สึกตัวถึงได้รีบโทรมาบอกว่าคงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองตอนกลางคืนด้วยไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอยากเบี้ยวหรืออะไร แต่คนคนนั้นขอร้องเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งออกไปไหนวันนี้ พอเห็นแววตาจริงจังที่น่าจะไม่ได้มีเพียงเหตุผลว่าอยากอยู่ด้วยอย่างเดียว ประมุขก็เผลอตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย

ใช่ว่าเขาไม่รู้... ว่าหากก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตระหว่าง ‘คนธรรมดา’ กับ ‘คนไม่ธรรมดา’ ไป ถึงตอนนั้นจะไม่มีทางหันหลังกลับได้อีก เพราะงั้นที่เลือกมานั่งอยู่บนโซฟานุ่มๆ ในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูแห่งนี้จึงเป็นความต้องการของตัวเองที่ไตร่ตรองมาแล้วอย่างรอบคอบ และต่อให้เป็นคนซื่อจนติดจะบื้อเพียงใด ก็ยังเข้าใจว่าหากต้องการยืนอยู่ใน ‘ตำแหน่งนี้’ การเชื่อฟังเกรย์คือสิ่งที่ดีที่สุด

“กูขอโทษนะ” เขาพูดด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง “ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าลืมจริงๆ ว่ะ”

[โอย...] ดีดี้ถอนหายใจเสียงดัง อารมณ์ร้ายๆ ที่ใส่มาทางน้ำเสียงจนเต็มที่จางหายไปจนหมด [มาทำเสียงหงอยใส่แบบนี้แล้วใครจะเหวี่ยงมึงลง อีคนเลว]

ประมุขอมยิ้มเมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น อันที่จริงถ้ามองจากภายนอก ใครต่อใครคงบอกว่าดีดี้น่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าขัดใจเจ้าชาย เป็นเพื่อนที่น่าจะคอยตบหัวสั่งสอนไม่ให้คนที่ถูกตามใจจนชินเหลิงเกินไปนัก ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดเท่าไหร่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดีดี้คนสวยไม่ต่างจากคนอื่น นั่นก็คือเธอแพ้เสียงหงอยๆ และหน้าเศร้าๆ ของประมุขเอามากๆ ขอแค่สิ่งที่แสดงออกเป็นเรื่องจริง ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้ง เธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ยินยอมเพื่อนได้ทุกอย่างในทันที

“เดี๋ยวกูออกเงิน...”

“คุยกับใครอยู่”

เสียงทุ้มต่ำเป็นภาษาอังกฤษที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังจะออกปากขอออกเงินเหมือนเดิมแม้จะไม่ได้ไปหยุดชะงัก ประมุขเอนหัวพิงพนักโซฟา แหงนคอมองคนที่ยืนก้มหน้ายิ้มให้เขาอยู่แล้วก็หลุดยิ้มตาม

“คุยกับดีดี้”

“เพื่อนสนิทของนายสินะ”

“ใช่ครับ” เขาพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ ไม่ได้สงสัยเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยหลุดพูดชื่อดีดี้ให้ฟังเลยสักครั้ง

“คุยต่อเถอะ” เกรย์ยกมือแตะแก้มใสแล้วลูบไปมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ไม่ได้แปลกใจกับความซื่อบื้อและเอ๋อเหรอของลูกแกะเท่าไหร่ เพราะเขาคุ้นชินกับมันดีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มคุยกันทางจดหมาย ต่อให้ไม่เห็นหน้าก็ยังรับรู้ได้ถึงความใสซื่อที่ส่งผ่านมาทางตัวอักษร และมันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชื่นชอบเอามากๆ

“คุณรอก่อนนะ” ลูกแกะตัวน้อยส่งเสียงออดอ้อน พอเห็นเขาพยักหน้าให้ก็ฉีกยิ้มกว้าง หันกลับไปขมวดคิ้วตั้งใจคุยกับเพื่อนเหมือนเดิม “ดีดี้ ยังอยู่หรือเปล่า”

เกรย์ก้าวเท้าเดินไปนั่งลงบนโซฟา สายตาจับจ้องใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังงอแงกับเพื่อนไม่เลิกนิ่งงัน ถึงจะฟังรู้เรื่องไม่กี่คำเพราะลูกแกะพูดภาษาไทยไวมาก แต่ก็ยังจับใจความได้บ้าง เนื่องจากเรียนรู้เกี่ยวกับภาษานี้มามากพอควร เขาหันไปหยิบโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมากดโทรออก ไม่ต้องเสียเวลารอนานปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว

[ครับนาย]

“เพื่อนสนิทของลูกแกะจะไปร้านเหล้า รอจนพวกเขาดื่มเสร็จแล้วให้คนของเราจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ด้วย บอกไปว่าฉันเลี้ยงเอง”

[ได้ครับนาย]

เมื่อกดวางโทรศัพท์เรียบร้อย เกรย์ก็หันกลับไปมองคนที่ยังเถียงกับเพื่อนไม่หยุดแทน ท่าทางลูกแกะคงจะติดอยู่ในโลกส่วนตัวไปแล้ว เพราะขนาดเขาพูดให้ได้ยินอยู่ข้างๆ ยังทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด

“มึงบอกคนอื่นอย่ากินเยอะเกินไปนะ กูจ่ายไม่ไหว”

ไม่ได้ยินจริงๆ ด้วย...

หากใครได้มาเห็นเกรย์ในเวลานี้คงพากันตะลึงตาค้าง เพราะคุณเกรย์ผู้น่ากลัวแม้จะยิ้มอยู่เสมอ ยามนี้ดูอ่อนโยนมากจนน่าตกใจ อีกทั้งรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนริมฝีปากตลอดเวลายังดูจริงใจอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้เป็นคนธรรมดาทั่วไปก็มองออกได้โดยง่าย

เขากวาดตามองรูปร่างที่ถือได้ว่าสูงพอควรสำหรับคนไทยของลูกแกะตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า จ้องมองใบหน้าใสสะอาดน่ามองที่คงทำให้ใครๆ สนใจได้ไม่ยาก ก่อนจะหยุดอยู่ที่ดวงตาใสซื่อเหมือนลูกแกะตัวน้อยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปแม้จะผ่านมานานกี่ปีแล้วก็ตาม

ดวงตาที่ทำให้ใครต่อใครรู้สึกเอ็นดู... ไม่เว้นแม้แต่คนที่ได้มองจากในรูปถ่ายเก่าๆ

และเป็นดวงตาที่ทำให้เขารู้สึกอยาก ‘ครอบครอง’ ตั้งแต่แรกเห็น

“เกรย์...” คนที่ถูกจับจ้องไม่วางตาโคลงหัวไปมา พอไม่ได้รับการตอบรับก็นึกห่วง เผลอยื่นมือออกไปแตะหน้าผากอีกคนโดยไม่รู้ตัว แต่กลับทำให้เจ้าของใบหน้าคมคายผงะค้าง รอยยิ้มที่มีคล้ายจะเลือนหาย ดวงตาฉายแววเย็นเยียบน่าหวาดกลัวเพียงชั่วครู่ มือที่วางทาบไว้เลยถอยห่างอัตโนมัติ ความกังวลเริ่มก่อเกิดในใจเพราะไม่รู้ว่าเผลอล้ำเส้นไปหรือเปล่า “คือผม...”

“ขอโทษด้วย” เกรย์เอ่ยเสียงนุ่ม คว้าจับมือที่ทำท่าจะถอยหนีไว้แล้วดึงมาแนบริมฝีปาก “ฉันไม่ชินก็เลยตกใจนิดหน่อย อย่ากลัวไปเลย”

สำหรับบุคคลที่ใครต่อใครต่างต้องก้มหัวให้ อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย เพราะแม้แต่มือของเขาก็ยังไม่มีใครกล้าแตะ สัมผัสครั้งล่าสุดที่จำได้คือฝ่ามือของมารดาที่วางลงบนบ่าเมื่อครึ่งปีก่อน พอโดนวางมือทาบลงบนหน้าผากเลยเผลอตัวไปชั่วขณะ ถ้าลูกแกะกลัวขึ้นมาเขาคงต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ

“ไม่เป็นไรครับ” แต่คนเอ๋อเหรอก็ยังเป็นคนเอ๋อเหรออยู่วันยันค่ำ นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยังกล้าบีบแก้มเขาแล้วฉีกยิ้มให้อีกต่างหาก “น่าแปลกนะ ก่อนหน้านี้ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณเยอะแยะเลย แต่พอได้เจอจริงๆ กลับพูดอะไรไม่ออกซะงั้น”

ประมุขรู้เพียงว่าเขามีความสุขมากจนหุบยิ้มแทบไม่ได้ โดนดีดี้หลอกด่าในโทรศัพท์มากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกหัวร้อน ขนาดต้องเสียเงินทั้งที่ไม่ได้ไปด้วยยังรู้สึกเฉยๆ เพราะยังไงก็อยากใช้เวลาอยู่กับคนข้างกายมากกว่าอยู่แล้ว

“เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ค่อยๆ คิดไปก็ได้” เกรย์ยกยิ้มมีความหมาย ดึงมือที่กอบกุมลงไปวางที่หน้าขาแล้วแตะสำรวจไปมาด้วยความสนใจ

“เริ่มจากบอกว่าเหตุผลของคุณคืออะไรก่อนเลยได้ไหม...”

“หืม”

ประมุขหลุดสีหน้าไม่มั่นใจเมื่อเห็นอีกคนเลิกคิ้วมอง แต่เพราะยังถูกลูบมือไปมาเหมือนอยากให้เขาผ่อนคลายอยู่ จึงสรุปเอาเองว่าคงไม่ถูกโกรธหากถามออกไปตามตรง

“ทำไมถึงไม่ยอมมาเจอกันสักที”

ช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มรู้จักยังคิดว่าระยะห่างของสองประเทศมีมากเกินไป ไม่ใช่ว่าใครๆ จะบินข้ามประเทศไปหากันได้โดยง่าย แต่เมื่อใช้เวลาพูดคุยนานเข้าก็เริ่มเข้าใจ ว่าสำหรับคนคนนี้ขอเพียงเอ่ยปากก็คงมาหากันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นที่ยังเว้นระยะห่าง รอเวลามาจนถึงตอนนี้ย่อมต้องเป็นเพราะการตัดสินใจของตัวเอง

ถึงจะสงสัยมาตลอด ทว่าเมื่อคนสำคัญบอกให้รอ เขาก็ยินยอมที่จะรอโดยไม่คิดถามขึ้นมาอีก

“เพราะพี่ชายของนาย” คำตอบเรียบๆ ชนิดไม่เล่นตัวเลยแม้แต่นิดเดียวเรียกความสนใจได้มากพอควร เกรย์รอกระทั่งลูกแกะเงยหน้ามองตาปริบๆ แล้วจึงพูดต่อ “ฉันให้สัญญาเอาไว้ว่าจะไม่แตะต้องลูกแกะก่อนเวลา เพราะแบบนั้นถึงได้อดทนมาโดยตลอด ถ้าคิงรู้ว่าฉันมาหาแล้ว เห็นทีคงโมโหจนลุกขึ้นเดินได้แน่”

คำพูดติดตลกไม่ได้ทำให้คนฟังขำเลยแม้แต่น้อย ประมุขหลุบตาลงต่ำ หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรงอย่างไร้เหตุผล เพียงแค่เอาคำพูดนั้นมาประกอบกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่พบเจอก็ได้รับคำตอบแทบทุกอย่าง

“หมายความว่าที่ปฏิเสธเวลาผมชวน...”

“เพราะสัญญา” เกรย์พูดแทรกโดยไม่รอฟังจนจบประโยค “ทั้งหมดเป็นเพราะสัญญาที่ให้ไว้กับคิง ต่อให้ทำท่าทางเย็นชาใส่ หรือแสดงออกเหมือนลืมเรื่องราวของครอบครัวไปจนหมดแล้ว แต่พี่ชายคนนั้นรักและหวงน้องมากทีเดียว ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่เชื่ออีกไหม”

ประมุขส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพิมพ์เล่าให้เกรย์ฟัง บอกว่าพี่ชายคนโตไม่สนใจ กลับมาอยู่ด้วยกันแต่เย็นชาเอามากๆ ถึงขั้นตัดพ้อว่าพี่อาจจะลืมเรื่องครอบครัวไปหมดแล้ว พออีกฝ่ายตอบกลับมาว่าพี่จักรรักและหวงน้องมาก เขาก็พูดกลับไปว่าไม่เชื่อแทบจะทันที แต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วหัวใจก็พองโต... ทั้งดีใจที่พี่ชายรักและห่วง รวมถึงดีใจที่เหตุผลของเกรย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแบบที่คิดไว้

สารพัดความคิดในแง่ลบที่เคยนึกไว้ในหัวจางหายไปเมื่อถูกไขข้อข้องใจ ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะดีดี้เคยกรอกหูว่าให้เตรียมใจไว้บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเขาเองที่ชอบคิดว่าเกรย์อาจจะมีความลับ เคยคิดถึงขั้นว่าอีกฝ่ายอาจจะมีคนรักอยู่แล้วด้วยซ้ำ ที่พูดคุยด้วยนานๆ อาจเป็นเพราะทำแก้เบื่อก็ได้

โชคดีจริงๆ ที่ไม่ใช่...

“ยังมีอะไรจะถามอีกหรือเปล่า” คนที่เฝ้าสังเกตอาการของลูกแกะอยู่เงียบๆ เอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบ

“ยังคิดไม่ออกเลย” ประมุขส่ายหน้า ตอนนี้ในหัวโล่งไปหมด ทั้งดีใจทั้งอะไรก็ไม่รู้ปนกัน ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“งั้นไปอาบน้ำก่อนเถอะ ฉันวางชุดไว้ให้แล้ว”

ประมุขพยักหน้าอย่างว่าง่าย เคยชินกับการตอบรับที่ไม่ต้องถามคำถาม กระทั่งเรื่องที่น่าสงสัยอย่างเอาชุดจากไหนมาให้เขาก็ลืมถามไปเสียสนิท หากไม่เป็นเพราะเมื่อเดินเข้าห้องแล้วสะดุดตากับชุดนอนลายแกะสีขาวเข้าอย่างจังจนนึกสงสัยก็คงลืมไปทั้งแบบนั้น

หลังจากใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก ผู้มาเยือนที่คิดช้าเป็นเต่าคลานก็สังเกตเห็นว่าข้าวของใหม่แกะกล่องทุกอย่างถูกจัดวางไว้เป็นคู่อย่างเข้าที่เข้าทางจนเกินไป เขาก้มลงมองชุดนอนของตัวเองเป็นลำดับแรก ตามด้วยเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ มองแปรงสีฟันที่วางอยู่คู่กันสองอันจนแน่ใจว่าเป็นของใหม่แน่ๆ จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า กะพริบตามองชุดที่มีสองขนาดอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่พูดอะไร นอกจากนั้นยังมีของใหม่เอี่ยมในลิ้นชักอย่างพวกกางเกงชั้นในหรือบ๊อกเซอร์อีก

เกรย์เพิ่งมาถึงไทย ทั้งยังเป็นคนรวย จะซื้อของใหม่มาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือทำไมถึงมีของเข้าคู่กันถูกจัดเตรียมไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าขนาดพอดีกับประมุขหรือแปรงสีฟันที่วางไว้ให้แล้ว...

“ทำอย่างกับจะให้มาอยู่ที่นี่...” ผู้มาเยือนพึมพำกับตัวเองยิ้มๆ คิดตามประสาคนเด๋อว่าคงไม่ใช่หรอก บางทีเกรย์อาจเตรียมเสื้อผ้าไว้เผื่อสำหรับแขกที่จะมาค้างก็ได้ แล้วบังเอิญมันดันพอดีตัวเขาก็เท่านั้น

เมื่อสรุปกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็ก้าวเท้าออกไปจากห้อง เดินลงจากบันไดชั้นสองของเพนท์เฮ้าส์ไปชั้นล่าง พยายามมองหาเงาร่างเจ้าของห้องแต่ก็ไม่พบ เมื่อมั่นใจว่าคงไม่ได้อยู่ในห้องจริงๆ เลยเดินไปเปิดประตูเพื่อโผล่หัวไปมองข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปก็ต้องชะงักค้าง เมื่อพบเข้ากับร่างของบอดี้การ์ดหลายคนยืนอยู่ด้านนอก

“เอ่อ...” คนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวแข็งเป็นหิน มองซ้ายมองขวาอย่างคนไม่รู้ว่าควรพูดหรือถามอะไร เพราะหน้าตาการ์ดแต่ละคนล้วนเรียบนิ่ง ไม่มีวอกแวกแม้จะเห็นเขาใส่ชุดลูกแกะออกมายืนอยู่ด้านนอก และในตอนนั้นเองที่ใครคนหนึ่งเดินมาจากอีกทาง ตรงเข้ามาพูดคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มจาง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ขอโทษด้วยครับ” ประมุขผงกหัวขอโทษอย่างมีมารยาท แอบลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้เจอคนที่ไม่ได้ทำตัวแข็งทื่อเสียที ถึงชายชาวต่าวชาติตัวสูงใหญ่ตรงหน้าจะใส่ชุดสูทเต็มยศ ดูแล้วน่าจะเป็นบอดี้การ์ดเหมือนกันก็ตาม “คือผมกำลังมองหาเกรย์...”

ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาห้วนๆ เรียกความสนใจได้มากเกินกว่าที่คาดไว้ เพราะแทบจะทันทีที่เขาเอ่ยจบ ทุกสายตาจากบรรดาลูกน้องของเกรย์คนที่ว่าก็เบนไปมองชาวไทยที่ดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับชาวต่างชาติตัวหนาด้วยความประหลาดใจ คล้ายกำลังลังเลว่าจะยกปืนขึ้นมาเล็งหัวคนที่เรียกเจ้านายห้วนๆ ดีหรือเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

“นายไม่ได้อยู่ในห้องเหรอครับ” ชายคนที่ยืนคุยกับประมุขยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุดความคิดแล้วถอนสายตากลับไป “ตั้งแต่กลับมาพร้อมคุณ นายยังไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ”

“เหรอครับ...” ประมุขขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกือบโดนเชือดทิ้งเลยแม้แต่น้อย “แต่ผมเดินหาทั่วห้องแล้วไม่เจอนี่นา”

“อยู่ที่ระเบียงหรือเปล่าครับ”

“เออใช่!” จะว่าไปแล้วเขายังไม่ได้เปิดม่านออกไปดูตรงระเบียงเลยนี่นา “ขอบคุณมากนะครับ เอ่อ...”

“เรียกว่าลูคัสก็ได้ครับ”

“งั้นก็ขอบคุณมากนะครับลูคัส ขอโทษที่รบกวนพี่ๆ ทุกคนด้วยนะ” คนอารมณ์ดีบอกเสียงใส ก้มหัวให้อย่างสุภาพทั้งที่ไม่จำเป็นแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องไป...

ทิ้งให้ ‘ทีมเอ’ และ ‘หัวหน้าทีม’ อย่างลูคัสมองตามไปด้วยความสนใจ

พื้นที่ในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น เน้นการตกแต่งที่หรูหราดูมีระดับ จัดสัดส่วนได้อย่างชัดเจน โดยบริเวณชั้นหนึ่งจะมีประตูเชื่อมกับระเบียงขนาดใหญ่ด้านนอก ซึ่งมีพื้นที่เพียงพอให้จัดปาร์ตี้ได้แบบสบายๆ มีทั้งส่วนของสระว่ายน้ำ จุดนั่งพัก แล้วก็สวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม

ประมุขเปิดประตูออกไปมองรอบด้านครั้งแรกก็อดร้องโอ้โหออกมาไม่ได้ จำได้ว่าสมัยเด็กมากๆ ตอนที่ยังไม่ได้แยกกับพี่ชายคนโต พ่อของเขาก็พอจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงหลังๆ ที่ลำบากกันพอควร แม้แต่รถวีลแชร์แบบไฟฟ้าที่อยากซื้อให้พี่ชายยังไม่มีปัญญาซื้อ กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้บ้างก็ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่คนธรรมดาอย่างเขาจะตื่นตาตื่นใจยามได้เห็นสถานที่ที่หรูหราขนาดนี้

“จิม…”

เสียงพูดคุยภาษาฝรั่งเศสที่ประมุขฟังไม่ออกดังขึ้นจากบริเวณสวนเล็กๆ ทางด้านข้าง เขาก้าวเท้าเข้าไปหา พยายามไม่ส่งเสียงรบกวน แล้วก็พบว่าเกรย์กำลังยืนล้วงกระเป๋าคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล สายตาทอดมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกซึ่งเต็มไปด้วยตึกมากมายกับท้องฟ้ากว้างขวาง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหันหลัง เขาจึงไม่อาจเห็นสีหน้ายามพูดคุยกับคนอื่นได้

ไม่ได้รู้เลยว่ามันเย็นชาและน่ากลัวขนาดไหน...

“แล้วเรื่องแม่มดได้ความว่ายังไงบ้าง” เกรย์เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทที่คอยจัดการงานอยู่อีกฝั่งด้วยน้ำเสียงเฉยชา ลืมระวังตัวจนไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งยืนรออยู่ด้านหลัง

[เธอทำตามที่คุณคิงวางแผนไว้จริงๆ ครับ... เอาบ่อนใต้ดินมาเสนอเราตามคาด]

“หืม…” ใบหน้าราบเรียบดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบท่ีต้องการ “เก็บหลักฐานไว้ ยังไม่ต้องทำอะไร”

[แล้วเรื่องบริษัททางฝั่งนั้น นายจะให้หยุดหรือว่า...]

“ทำต่อไป เอาให้มั่นใจว่ามันจะล้มละลายแน่ๆ ส่วน...”

ความเคลื่อนไหวที่ส่งผลให้เกิดเสียงดังเพียงเล็กน้อยยามคนแอบฟังเผลอเอนตัวไปพิงรั้วต้นไม้ทำให้คนที่ยืนอยู่รู้สึกตัว เกรย์หมุนตัวหันไปมองผู้มาเยือนด้วยแววตาเย็นเยียบ อาวุธที่พกติดกายอยู่ตลอดเวลาถูกดึงออกมาถือไว้ด้วยความรวดเร็ว โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าตื่นๆ ที่มองกลับมาเสียก่อนจึงยั้งมือเอาไว้ทัน ไม่ได้เล็งอาวุธแสนอันตรายไปที่ศีรษะของคนสำคัญจนถูกหวาดกลัวไปมากกว่านี้

“ลูกแกะ” เขาเรียกเสียงอ่อน รีบบอกลาคนในโทรศัพท์เป็นภาษาฝรั่งเศสสั้นๆ แล้วกดวางสาย อาวุธที่ถืออยู่ข้างตัวถูกเก็บเอาไว้ที่เดิม ขณะที่ขาก้าวไวๆ เข้าไปหาคนที่ยังดูตกใจอยู่นิดหน่อย “ลูกแกะ...”

“คือผม...” ประมุขกลืนน้ำลาย ก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติ “ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์เลยยืนรออยู่ด้านหลัง... แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ นะ”

เกรย์จ้องมองคนสำคัญที่อยากจะเก็บไว้ข้างกายไม่ให้ใครได้พบเจอนิ่งงัน ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ต้องหวาดกลัว อยากปกป้องดูแลให้ลูกแกะยังเป็นลูกแกะที่ใสซื่อต่อไป แต่สุดท้ายก็เผลอตัวทำให้หวาดกลัวตั้งแต่วันแรกไปเสียได้

ตัวเขาเองเคยชินกับการยืนอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดมาตั้งแต่ยังเด็ก พื้นที่ส่วนตัวพื้นที่เดียวที่มีคือภายในห้องพักที่ถูกตรวจสอบไว้ล่วงหน้าอย่างเข้มงวด หากการที่ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองไม่ได้หมายความว่าจะวางภาระบนบ่าหรือคลายความระวังตัวลงได้ ในทางตรงกันข้าม เขาต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ต้องพกพาอาวุธที่จะช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ตาม และความเคยชินที่อยู่คนเดียวมาโดยตลอดนั่นเองที่ทำให้ลืมเลือนไปว่ายามนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว

จากนี้ไป... ที่ไหนที่มีเกรย์ก็ต้องมีลูกแกะของเขาอยู่ด้วย

“ฉันไม่ได้โกรธ” โชคดีเหลือเกินที่ลูกแกะไม่ได้หวาดกลัวมากเกินไปจนถอยห่าง หากมือที่ยื่นไปหาถูกปฏิเสธ เขาคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร “ฉันทำให้กลัวหรือเปล่า”

คนฟังส่ายหน้าจนผมสะบัด รีบคว้าจับมือที่ยื่นมาหาแล้วยิ้มอ้อนโดยอัตโนมัติ เพราะไม่ว่าเหตุผลที่เกือบโดนเล็งปืนใส่จะเป็นอะไร เขาก็ไม่อยากให้เกรย์ทำหน้าเศร้าแบบนั้นอยู่ดี

“แค่ตกใจนิดหน่อย...” พูดแล้วก็ต้องเม้มปากเมื่ออีกคนยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ประมุขลอบคิดหนัก ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจางหายไปจนหมด เหลือเพียงความเป็นห่วงเท่านั้น “นิดเดียวจริงๆ นะ”

ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งที่ชูขึ้นมาแตะให้ดูว่านิดเดียวขนาดไหนทำให้เกรย์เริ่มยิ้มออก เขารวบมือทั้งสองข้างของลูกแกะตัวน้อยมากุมไว้ ไล่บีบนวดนิ้วเรียวเบาๆ อย่างอ่อนโยน ส่งผ่านคำขอบคุณมากมายไปให้จากใจ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะยังยืนอยู่ตรงนี้ไหม แค่ได้พบกันวันแรกก็เกือบโดนชักปืนจ่อหัว ทั้งยังโดนมองด้วยแววตาน่ากลัวไปแล้ว

แต่ก็เพราะลูกแกะเป็นแบบนี้เขาถึงได้เสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น...

“เข้าไปข้างในกันเถอะ อากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เกรย์โอบไหล่คนข้างกายให้เดินตามเข้าไปด้านใน พาให้ไปนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มที่เจ้าตัวบอกว่าชอบมากตั้งแต่ที่ได้เห็น แล้วก็นั่งบีบมืออีกคนต่ออย่างชอบใจ

“เสื้อผ้าในตู้คุณ... ซื้อไว้เผื่อแขกเหรอครับ” คำถามเด๋อด๋าที่พูดออกมาทำเอาบรรยากาศอึมครึมลอยหายไปจนหมด เกรย์เงยหน้ามองคนพูด จ้องใบหน้าที่เหมือนจะลืมทุกอย่างไปหมดแล้วก่อนจะเลิกคิ้ว สายตากวาดมองสำรวจชุดแกะสีขาวที่เข้ากันได้ดีกับคนใส่แล้วก็หัวเราะออกมา

“ฉันคงไม่เอาเสื้อผ้าลายแกะให้แขกใส่หรอก แล้วอีกอย่าง... ไม่มีใครมีสิทธิ์มานอนค้างที่นี่ทั้งนั้นนอกจากนาย”

“หมายความว่าทั้งหมดนั่นของผมเหรอ”

“ใช่” เขาพยักหน้ายืนยันคำพูด มือยื่นไปบีบแก้มขาวๆ ที่น่าฟัดสุดๆ อย่างอดใจไม่ไหว “ลูกแกะคงเดาได้อยู่แล้วว่าถ้าเราได้เจอกัน อะไรต่อมิอะไรจะยากขึ้นหลายอย่าง... จำคำถามที่ฉันเคยถามเอาไว้ ตอนที่นายบอกว่าอยากเจอได้หรือเปล่า”

“จำได้ครับ” ประมุขรีบพยักหน้า ถึงจะเอ๋อยังไงก็ไม่มีทางลืมเรื่องสำคัญแบบนั้นแน่นอน

ถ้าเราได้เจอกัน นายจะยอมทิ้งความเป็นส่วนตัวที่เคยมีมาทั้งชีวิตเพื่อฉันได้หรือเปล่า

ในเวลานั้นเขาตอบว่าได้อย่างไม่เสียเวลาคิด ชีวิตที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ห่างไกลจากครอบครัว ได้คุยกับพี่ชายและพ่อบ้างบางโอกาส เกรย์คือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเขา ไม่ว่าเวลาจะตรงกันหรือไม่ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ขอเพียงแค่ทักไปหา คนคนนั้นก็จะตอบกลับอย่างรวดเร็วเสมอ ความเป็นส่วนตัวนั่นหมายถึงอะไรเขาไม่เคยสน รู้เพียงว่าหากได้เจอกันแล้วจะยินยอมทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ และจนถึงตอนนี้คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิม

“ที่ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้ ก็เพราะอยากให้มาอยู่ด้วยกัน” เกรย์พูดเสียงอ่อน ตามองท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยของคนข้างกายแล้วเริ่มพูดต่อ “อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัวที่อยากให้ลูกแกะมาอยู่ข้างกายแล้วทิ้งชีวิตแบบเดิมๆ ไป แต่เชื่อเถอะว่าความปลอดภัยของนายคือเรื่องที่ฉันเป็นห่วงที่สุด”

“ผมรู้ดี” คนที่เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นคลี่ยิ้ม ไม่ได้นึกเสียใจเลยสักนิดที่ตัดสินใจเลือกทางนี้ “ผมบอกคุณแล้วว่าผมยอมทิ้งทุกอย่างได้ ยกเว้นครอบครัว ต่อให้ต้องมีพี่การ์ดเดินตามเป็นขบวนก็ไม่เป็นไร ใช่ว่าคุณอยากอยู่กับผมฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่”

“…”

“พรุ่งนี้ผมจะกลับไปเก็บของที่หอ... แล้วเรามาอยู่ด้วยกันนะครับ”

“เด็กดี” รางวัลของคนทำดีก็คือคำชมและรอยยิ้มอ่อนโยนกับสัมผัสนุ่มนวลที่ฝ่ามือ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผู้ได้รับยิ้มจนแก้มแทบแตก “ช่วงไหนที่ฉันต้องกลับฝรั่งเศสแล้วนายติดเรียนก็อยู่ที่นี่ได้เลย เข้าใจหรือเปล่า”

ประมุขพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย เดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องนอน แล้วก็นั่งยิ้มอยู่บนเตียงระหว่างรอเกรย์เข้าไปอาบน้ำโดยไม่ขยับไปไหน กระทั่งอีกฝ่ายเดินโชว์เรือนร่างน่าอิจฉาออกมาแต่งตัวให้เห็นต่อหน้า เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง เพราะชุดที่เจ้าตัวใส่มันคือชุดนอนลายแกะในแบบเดียวกัน แตกต่างแค่เป็นสีดำเท่านั้นเอง

“คุณมีกี่ชุดเนี่ย”

“เยอะอยู่เหมือนกัน ต่างกันตรงสีกับหน้าแกะ”

พวกเขามองหน้ากันแล้วก็มองชุดบนตัวแต่ละฝ่ายสลับไปมาอยู่สามสี่รอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกที สำหรับคนอารมณ์ดีอย่างประมุขอาจไม่ใช่เรื่องยากที่จะหัวเราะออกมาจนเต็มเสียง แต่หากเปรียบเทียบกับความสุขที่ได้รับ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้ ส่วนเกรย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... เอาแค่รอยยิ้มจริงใจที่ไม่ใช่หน้ากากเหมือนตอนทำงานเขาก็ไม่เคยทำแล้ว นับประสาอะไรกับการหัวเราะกัน

ได้อยู่กับคนสำคัญเพียงวันเดียวก็มีความสุขขนาดนี้...

“แล้วใครจะปล่อยไปได้...”

“คุณพูดอะไรหรือเปล่า” ลูกแกะที่หัวเราะจนลืมฟังถามซ้ำ มือยกขึ้นทำท่าแคะขี้หูอย่างน่าเอ็นดูจนโดนบีบแก้มไปอีกทีด้วยความมันเขี้ยว

“ไม่มีอะไร”

“ว่าแต่นี่มันยังไม่ค่ำเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมเราใส่ชุดนอนกันแล้วล่ะ”

“เพิ่งมาถามเอาตอนอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเนี่ยนะ” เกรย์เลิกคิ้วถาม แล้วก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้าหน่ายยามเห็นลูกแกะยิ้มแห้งใส่ แสดงออกชัดเจนว่าเพิ่งรู้สึกตัวจริงๆ

จะทำให้หลงไปถึงไหนกัน...

“ลืมสงสัยไปเลย”

“โตมาโดยไม่โดนหลอกได้ยังไงเนี่ย” ขืนเขาได้อยู่ใกล้มาตั้งแต่ต้น ป่านนี้ลูกแกะตัวผอมคงเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว คงต้องขอบคุณพี่ชายคนรองแล้วก็เพื่อนสนิทที่ชื่อดีดี้ของเจ้าตัวที่คอยดูแลให้ ไม่อย่างนั้นลูกแกะของเขาคงโดนหมาป่าที่ไหนไม่รู้หลอกไปนานแล้ว

“ใครจะมาหลอก” ประมุขพูดเสียงอู้อี้เมื่อโดนบีบปาก ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะดึงมืออีกคนออกมาจับกุมไว้ได้ “แล้วสรุปว่ายังไงครับ หรือว่าคุณง่วงนอนแล้ว”

“เปล่า ปกติถ้าไม่ใช่เวลานอนฉันใส่แต่ชุดสูท จะบอกว่าไม่ค่อยมีชุดไปรเวทเหมือนคนอื่นเขาก็คงได้ ถ้าอยู่บ้านก็ใส่แต่ชุดนอนแบบนี้แหละ พอจะออกไปไหนค่อยเปลี่ยนเป็นชุดทำงาน” หรือหากให้พูดจริงๆ คงต้องบอกว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่เฉยๆ ในบ้านอยู่แล้ว ปกติมีแต่ต้องออกไปไหนมาไหนตลอด เรื่องเที่ยวเลิกพูดถึงไปได้เลย แล้วจะมีเสื้อผ้าทั่วไปเอาไว้ใส่อยู่บ้านทำไมกัน “สงสัยจะชินไปหน่อยเลยคิดว่านายเป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าธรรมดาไว้ให้เลย”

“ไม่เป็นไร ผมใส่เหมือนคุณก็ได้”

“หืม…”

“ใส่คู่กันแบบนี้ก็น่ารักดี...” ลูกแกะตอบแล้วก็หาวหวอดหน้าตาเฉย “ว่าแต่ชุดนอนของคุณทำให้ง่วงได้ด้วยเหรอ ตาจะปิดเฉยเลย”

เกรย์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะคิดว่าคนพูดคงไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ เขาเพียงผลักประมุขให้เอนกายลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงอกแล้วก็นั่งพิงพนักเตียงคอยลูบหัวให้คนที่น่าจะตื่นแต่เช้าอย่างอ่อนโยน

“นอนเถอะ”

“ถ้าจะไปไหนปลุกผมด้วยนะ”

ไม่ได้บอกว่าห้ามไป... แต่ให้ปลุกเพราะจะได้ไปด้วย

บนโลกใบนี้คงไม่มีใครน่ารักมากเท่าลูกแกะของเขาอีกแล้ว



----------------------------




หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 11-10-2018 23:42:58
ลูกแกะน้อยเดินเข้ากรงทองแล้วววว รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-10-2018 00:58:13
ต่อไปจะเรียก "ประมุข" ว่า "แกะมุข"  :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-10-2018 01:04:19
คงต้องปรับตัวกันอีกเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 12-10-2018 01:37:24
ชุดนอนแกะคู่ มันมุ้งมิ้งมากค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 12-10-2018 02:13:01
รอเรื่องนี้มานานมากกกก เจอคุณเกรย์จากเรื่องพี่จักรแล้วชอบ ชอบประมุขด้วย เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเลยย จะติดตามทุกคู่เลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 12-10-2018 03:18:21
มดขึ้นจอหมดล่าววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-10-2018 10:07:41
ชุดนอนแกะคู่เนี่ยนะ จะหวานไปไหนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 13-10-2018 09:26:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 13-10-2018 12:35:43
ลูกแกะน่ารักมากกกก เอ็นดูน้อง :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-10-2018 18:47:18
ผู้ชายร้ายๆ พอทำอะไรให้คนที่รักแล้วมันดีเนาะ
น่ารักไปเลยค่ะ อบอุ่นขึ้นมาทันที
ใครมาเจอเกรย์ตอนนี้ อาจเป็นบ้าได้นะ

ประมุขก็ไม่ได้ซื่อขนาดนั้น แต่เป็นคนคิดไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เค้าพูด เค้าทำอะไร ไม่ทันได้คิดหรอก แต่อีกไม่นาน
ลูกแกะคงเป็นลูกเสือ เรียนรู้ไวเหลือเกิน

น่ารักดีค่ะ อยากใช้เวลาด้วยกัน เพราะพึ่งได้เจอกันเอง
แล้วดูนะ ตอนอยู่ด้วยกัน ไม่มีเขินกันเลย สมแล้วที่คุยกันมานาน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 13-10-2018 21:16:26
 :impress2: ก็ถ้าจะน่ารักขนาดนี้นะ ชุดคู่ไปอี๊กกก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 13-10-2018 21:28:46
 :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.2]==[11/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-10-2018 20:35:46
-3-


“นายออกไปทำงานครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเอาของที่หอพักเอง”

“มาไทยก็ต้องทำงานด้วยเหรอ” ประมุขกะพริบตาปริบๆ ถามคุณบอดี้การ์ดด้วยความงุนงง ตอนที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่เห็นคนข้างกาย เขาก็คิดว่าอยู่แล้วว่าเกรย์คงออกไปข้างนอก โน้ตที่วางไว้บนโต๊ะก็บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะกลับมากินข้าวกลางวันด้วย แต่บอกว่าไปทำงานก็ออกจะเกินไปหน่อย

เพิ่งมาถึงเมื่อวานแท้ๆ... น่าจะพักสักหน่อยนะ

“ไม่ว่าไปที่ไหนนายก็ต้องทำงานครับ”

“ผมเข้าใจ... แต่คงเหนื่อยน่าดูเลย” เขาว่าแล้วเงยหน้ามองพี่การ์ดคนเดิมที่เมื่อวานเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมคุยด้วย “พี่ๆ ก็คงเหนื่อยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

“…”

“ว่าแต่คุยกับผมได้แล้วเหรอ เมื่อวานยังเงียบใส่อยู่เลย”

“คุยได้ครับ” รองหัวหน้าทีมเอตอบรับสั้นๆ โดยไม่อธิบาย จะให้บอกตามตรงว่าเป็นคำสั่งของนายที่ไม่อยากให้คนของตัวเองเหงาก็คงไม่เหมาะนัก ปกติพวกเขาทำแต่งานเบื้องหลัง ไม่เคยต้องออกไปไหนมาไหนหรือพูดคุยกับใครคนอื่นนอกจากนาย พอได้ยินคำสั่งก็สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อยเหมือนกัน

“พวกคุณชื่ออะไรกันบ้างเหรอ” คนอัธยาศัยดีชวนคุยทั้งที่ยังยืนอยู่ในท่ายื่นหัวออกมาจากหลังประตูเหมือนเดิม

“เรียกผมว่าวิกเตอร์” รองหัวหน้าทีมที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับคนอื่นๆ ต่ออีกทอด “แนะนำตัว!”

“อเล็กซ์ครับ!”

“มาร์ตินครับ!”

ประมุขกวาดตามองทุกคนที่แนะนำตัวแล้วพยายามจดจำชื่อให้ได้มากที่สุด ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูเคร่งเครียดจนดูน่าขำ หากเป็นคนทั่วไป ไม่ใช่ทีมบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีคงหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

“ผมจะพยายามจำชื่อให้ได้นะ... เดี๋ยวไปหยิบของแล้วจะรีบออกมานะครับ” เขาหันไปผงกหัวให้วิกเตอร์ที่พยักหน้ารับหนึ่งครั้งแล้วรีบมุดกลับเข้าไปในห้อง ตรงไปคว้าข้าวของจำเป็นมาถือไว้ เตรียมออกไปเก็บข้าวของที่หอตามคำบอก ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวไปไหนโทรศัพท์ก็สั่นครืดติดต่อกันหลายทีจนต้องก้มลงมอง

ครืด ครืด

ขนาดเขาหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วยังสั่นต่อไม่หยุดอีก

DD: อีมุข

DD: นี่มึงเจอผัววันแรกก็ใช้อำนาจของเขาแล้วเหรอ

DD: อะไรคือการให้ลูกน้องมาจ่ายค่าเหล้าให้เน่ีย

DD: พวกกูตกใจหมดเลยรู้ไหม

DD: ว่าจะทักมาตั้งแต่เมื่อคืนแต่เมาหนักไปหน่อย

DD: กูเพิ่งฟื้น เดี๋ยวไปหาที่หอ

GP.MUK: เดี๋ยว...

GP.MUK: มึงจะมาตอนไหน เมื่อคืนกูค้างที่ห้องเขา นี่กำลังจะกลับไปเอาของแล้วคงมาอยู่ที่นี่เลย

DD: แรด!!

ประมุขหัวเราะเมื่อเห็นคำด่าของเพื่อน ไม่นึกโกรธเคืองหรือเถียงอะไรเลยสักนิดเพราะรู้นิสัยดีดี้ดีอยู่แล้ว ถึงจะพูดแบบไหนออกมาแต่มันก็เป็นคนที่เข้าใจเขาดีที่สุด แถมยังคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ต่อให้ด่าออกมาแบบจริงจังก็คงต้องน้อมรับไว้

GP.MUK: กูรู้ว่ามึงเข้าใจ

DD: เออ เข้าใจย่ะ งั้นเอาไว้เจอกันวันจันทร์เลยแล้วกัน กูยังไม่ว่างไปตอนนี้ คงไม่ทันมึงละ

GP.MUK: อือ เจอกัน

ในช่วงเวลาแย่ๆ ที่คิดน้อยใจขึ้นมาหลายรอบเพราะไม่ได้เจอกันสักที คงจะมีแค่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยรับฟังปัญหาของเขาอยู่เสมอ เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่ประมุขจะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง อาจไม่ได้ลงลึกอะไรมากหากเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เนื่องจากตัวเองก็ไม่ได้รู้อยู่แล้วว่าเกรย์ทำอะไร ยิ่งใหญ่ขั้นไหน อาศัยคาดเดาเอาจากคำพูดโดยมีดีดี้ช่วยเดาอีกคน สิ่งที่เขากับมันรู้เลยมีเทียบเท่ากัน

และแน่นอนว่าดีดี้เองก็รู้... ว่าถ้าประมุขเลือกที่จะเจอเกรย์ เขาจะไปไหนมาไหนเพียงลำพังไม่ได้อีก

ชีวิตที่ติดอยู่กับอันตรายที่ไม่รู้ว่าคืออะไรต้องน่ากลัวอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเขาเองที่เลือกจะมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อนที่เคารพการตัดสินใจของเพื่อนแม้จะด่าว่าโง่อยู่หลายหนจึงยินยอมให้ทำตามใจ

“ไปกันเถอะ” ประมุขโผล่หน้าออกไปหาบรรดาบอดี้การ์ดที่ยืนรออยู่พร้อมรอยยิ้ม เขาเดินตามหลังวิกเตอร์ไปขึ้นลิฟต์ มองสำรวจแล้วก็พบว่ามีการ์ดเดินตามมาอีกสามคน ส่วนที่เหลือยังยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม ทุกคนยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ แม้แต่วิกเตอร์ที่พูดด้วยมากที่สุดก็ไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนลูคัส ราวกับที่ยอมพูดด้วยเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านายเท่านั้น

รถที่จอดรอเขาอยู่เป็นรถตู้หรูหราคันหนึ่ง มีคนนั่งอยู่ในนั้นแล้วหนึ่งคน ซึ่งน่าจะเป็นบอดี้การ์ดเช่นเดียวกันเพราะแต่งตัวเหมือนกันไปหมด ประมุขมองไปด้านหลังก็พบว่ามีรถเล็กอีกคันขับตามมาด้วย มาถึงตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกับเกรย์ ใครที่มีคนตามเยอะกว่ากันแน่

“จริงๆ หอผมก็ไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่ ต้องไปกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“คุณควรทำตัวให้ชินตั้งแต่ตอนนี้” วิกเตอร์หันมาตอบเสียงเรียบ “ต่อให้เดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใต้คอนโดก็ต้องมีคนตามติดตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่นายเจอมาตั้งแต่ยังเด็ก”

“แสดงว่าปกติเกรย์มีคนตามเยอะกว่านี้อีกใช่ไหมครับ” เขาถามต่อด้วยความสนใจ พอเห็นวิกเตอร์พูดถึงเรื่องคนสำคัญขึ้นมาแล้วก็อดสงสัยต่อไม่ได้ “แล้วนี่ที่เขาไปทำงานมีคนดูแลหรือเปล่า มาอยู่กับผมเยอะเลย”

“วันนี้นายแบ่งคนไว้ดูแลคุณสามจากสี่ส่วน”

“ทำไมล่ะ” ประมุขเริ่มเครียดเมื่อได้ยินว่าเกรย์เอาคนไปด้วยแค่ส่วนเดียว คนคนนั้นมีความสำคัญและยังน่าเป็นห่วงมากกว่าด้วย ถ้าไม่นับเรื่องออกมาเก็บของที่หอ เขาแทบจะอยู่ในห้องเฉยๆ ไม่ได้ไปไหนเลยด้วยซ้ำ

“เพราะคุณสำคัญ” คำตอบตรงๆ ที่ได้รับทำเอาคนฟังชะงักกึก เผลอหลุบตาลงต่ำอย่างทำอะไรไม่ถูก แอบรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ เมื่อเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

“การที่ผมกับเกรย์ได้เจอกันทำให้พวกคุณลำบากหรือเปล่าครับ”

วิกเตอร์เหลือบมองคนถามด้วยความประหลาดใจ แล้วก็ได้สบเข้ากับดวงตาใสซื่อที่นายเคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเหมือนลูกแกะเข้าอย่างจัง เขาถอนหายใจ ถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยคล้ายผู้ใหญ่ที่ต้องการตักเตือนเด็ก

“ถ้าบอกว่าใช่ คุณจะไปจากนายหรือเปล่า”

“ไม่มีทาง”

“งั้นก็ไม่ต้องสนใจ...” เขาคิดจะพูดแค่นั้นแล้วไม่สนใจอะไรอีก แต่เมื่อเห็นใบหน้าหมองๆ เหมือนลูกแกะหงอยนั่นเข้าก็ยอมแพ้ “งานของพวกผมคือการปกป้องและทำตามคำสั่งของนาย ในเมื่อนายต้องการให้พวกเราปกป้องคุณ มันก็ถือเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติ แม้จะอยากหรือไม่อยากก็ตาม”

“…”

“แต่ถ้าให้พูดในฐานะคนที่รู้จักกันมานาน... ถ้าการมีอยู่ของคุณทำให้นายมีที่พักพิง พวกเราก็ยินดีจะเหนื่อยเพื่อการนั้น”

“ขอบคุณนะครับ” ประมุขเริ่มยิ้มออกเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ดูเหมือนจะปลอบประโลมกันอยู่หน่อยๆ

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะคนที่ต้องเหนื่อยที่สุดก็คือคุณกับนายนั่นแหละ” วิกเตอร์พูดเพียงเท่านั้น แล้วก็เบนหน้าหันออกไปมองหน้าต่างเป็นการจบบทสนทนา

ดูเหมือนเขาจะดูถูกความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเด็กคนนี้มากเกินไปหน่อย ตอนที่จิมเล่าให้ฟังว่านายให้ความสำคัญกับคนคนนี้มากขนาดไหน เขายังแอบหัวเราะในใจอยู่เลย ถึงภายนอกเจ้านายของเขาจะดูสมบูรณ์แบบ มีรูปลักษณ์และฐานะแบบที่ใครๆ ต่างก็อยากเข้าหา แต่หากได้รู้จักหรือมองดูดีๆ ก็จะพบว่าชีวิตที่ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องน่าสนุก คงไม่มีใครยอมก้าวเดินออกจากพื้นที่ที่ปลอดภัยเพื่อมายืนอยู่ข้างคนที่ต้องเสี่ยงตลอดเวลาแน่

ครั้งแรกที่ได้เจอเขาจึงคิดว่าเด็กนี่อาจจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่... ต่อให้ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ร้ายแรงด้วยตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนจะรู้มากพอควร ทั้งยังพูดด้วยความมั่นใจว่ายังไงก็จะยืนอยู่ข้างนายอีกต่างหาก

เอาเถอะ... ของแบบนั้นไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำหรอก

แล้วอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน คนระดับนายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการและรังเกียจคนอ่อนแอเป็นที่สุด กลับเรียกทีมเอที่มีไว้เพื่อทำภารกิจลับมาดูแลเด็กคนหนึ่ง ทั้งยังให้มาอยู่ด้วยกันเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยตลอดเวลา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ระดับความสำคัญที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของเบี้ยบนกระดาน

เด็กอารมณ์ดีที่นั่งอยู่ข้างเขาคือคนสำคัญของนาย...

“จอดตรงนี้เลยครับ ถึงแล้ว” เสียงพูดอย่างสดใสดังขึ้นเมื่อรถหรูตรงเข้าไปในเขตหอพักขนาดกลาง ประมุขเดินลงจากรถเมื่อคนที่นั่งอยู่ติดประตูนำลงไปก่อนและมองสำรวจรอบด้านเรียบร้อยแล้ว เขาอยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็พูดไม่ออก เพราะรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของงาน รวมถึงเข้าใจด้วยว่าความประมาทอาจทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายได้มากมาย

“พวกเราจะขึ้นไปช่วยคุณขนของ” วิกเตอร์บอกแล้วหันไปเรียกการ์ดอีกสามคนให้เดินตามมาด้วย

“โอเค เดี๋ยวขนเสร็จแล้วผมค่อยไปคุยกับเจ้าของหอ”

ห้องพักของประมุขเป็นห้องขนาดกลางที่ไม่ได้มีข้าวของอะไรมากมาย ปกติเขาเป็นเด็กกิจกรรมอยู่แล้ว กว่าจะกลับหอก็ทำนั่นทำนี่จนเย็น อาบน้ำกินข้าวเสร็จก็หลับสนิทจนเช้า ของที่ขนมาจากที่บ้านจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าเสื้อผ้าและโน้ตบุ๊กอีกหนึ่งเครื่อง ขนลงไปพร้อมกันห้าคนก็หมดในรอบเดียว

เขาเข้าไปคุยกับคุณป้าเจ้าของหอเรื่องการคืนห้องพัก โดยพยายามไม่สนใจแววตาหวาดกลัวของท่านยามมองไปยังฝรั่งร่างโตที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถึงจะแอบเสียใจบ้างที่ป้าไม่ถามอะไรเลยสักอย่าง ทั้งที่เอาขนมมาให้ก็ออกจะบ่อย แต่ประมุขก็พอเข้าใจว่าท่านคงอยากให้คุณการ์ดทั้งหลายรีบออกไปไวๆ ก่อนจะเป็นลม

ครืด ครืด

เมื่อขนของขึ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นแบบพอดิบพอดี ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอหลังจากเพิ่งเมมไว้เมื่อวานทำเอาอารมณ์นอยๆ ที่ป้าเจ้าของหอไม่สนใจจางหายไปจนหมด

“เกรย์!”

[หืม… เรียกซะดังเชียว] ปลายสายหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก ในขณะที่ประมุขยิ้มแห้ง ยกมือเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเดินขึ้นรถ เมื่อกี้เผลอดีใจจนลืมควบคุมตัวเอง จะบอกว่าเขาตื่นเต้นเพราะเพิ่งได้คุยกับเกรย์ทางโทรศัพท์ก็ไม่ผิดนัก ถามว่าต่างจากตอนโทรหาทางไลน์ยังไงก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน รู้เพียงว่าเมื่อวานกว่าจะกล้าขอเบอร์ก็ใช้เวลาอยู่นาน

“ขอโทษครับ ผมลืมตัว แล้วนี่คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอ”

[จะว่าเสร็จแล้วก็ได้... เราไปกินข้าวกันก่อนกลับห้องดีไหม]

“ได้เหรอ” พอโดนพาเปลี่ยนเรื่อง ลูกแกะคนซื่อก็ยอมตามน้ำไปง่ายๆ โดยไม่คิดอะไร ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเสร็จของเกรย์คือเสร็จอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเขาปฏิเสธการพูดคุยที่ยืดเยื้อจนน่ารำคาญไปแล้ว นับจากวิกเตอร์ส่งข้อความรายงานว่าลูกแกะแอบลูบท้องหิวข้าว

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอยากรอกินพร้อมกัน แต่เพราะไม่อยากเอาแต่ใจถึงได้อดทนไม่ยอมบอกใคร

[ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ลูกแกะอยากกินร้านไหนบอกวิกเตอร์ได้เลย เดี๋ยวฉันตามไป]

“ผมจะรอนะ” ประมุขวางสายอย่างอารมณ์ดี ในหัวเริ่มนึกภาพร้านอาหารอร่อยๆ ที่เคยไปกินกับเพื่อนแล้วจดไว้ในใจว่าอยากพาเกรย์ไปกินด้วย หลังจากนั่งเอ๋อลังเลอยู่นานโดยไม่รู้ว่ารถจอดนิ่งรอรับคำสั่งอยู่ ในที่สุดเขาก็เลือกจุดหมายปลายทางได้ “ไปร้านข้าวมันไก่ที่xxxแล้วกัน เดี๋ยวผมบอกทางเอง”

อันที่จริงแค่เห็นฝรั่งขับรถในกรุงเทพฯ ได้ก็น่าแปลกใจพอแล้ว นี่ขืนพูดไปคุณคนขับไปถูกได้ด้วยตัวเองคงต้องมีการลุกขึ้นปรบมือให้อีกที ประมุขยื่นหน้าไปมองทิศทางแล้วเกาะเบาะพูดคุยกับคนขับรถอย่างเป็นกันเอง เดี๋ยวบอกทางเดี๋ยวชวนคุยนั่นนี่จนบอดี้การ์ดผู้พูดไม่เก่งไปแทบไม่ถูก ขนาดเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร คนอัธยาศัยดีก็ยังหาเรื่องมาพูดคุยได้เรื่อยๆ

“คุณขับรถเก่งมากเลยนะเนี่ย ตอนผมกลับมาอยู่ไทย กว่าจะชินกับถนนหนทางยังใช้เวลาตั้งนาน”

“อ่า...ครับ”

“ว่าแต่ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้หมดเลยเหรอ ผมคิดว่าจะพูดได้แค่บางคนซะอีก”

“ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ทุกคนในทีมต้องพูดให้ได้ครับ”

“ผมก็อยากพูดภาษาฝรั่งเศสได้บ้างจัง”

“คุณลอง...”

วิกเตอร์เบนสายตาไปมองใบหน้าด้านข้างของคนช่างพูดก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนคนคนนี้จะเก่งกว่าที่คาด เพราะใช้เวลาแค่ครู่เดียวก็ตีสนิทกับคนที่พูดน้อยที่สุดในทีมได้แล้ว ซึ่งเหตุผลที่ทำแบบนั้นได้ง่ายๆ คงเป็นเพราะใบหน้า แววตา กับการพูดจาที่ดูใสซื่อไร้สิ่งใดเจือปน เห็นแล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมนายถึงได้หวงมากขนาดนี้

ร้านข้าวมันไก่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของประมุขตั้งอยู่ริมถนนกว้างแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมามากนัก และเนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา ร้านที่เพิ่งเปิดเลยยังไม่มีคน ค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัวมากพอควร ประมุขยิ้มแห้งให้แม่ค้าที่เกือบทำมีดหลุดจากมือตอนเห็นชายในชุดดำเดินลุยเข้ามาพร้อมกันหลายชีวิต เขาตรงไปนั่งที่โต๊ะตรงกลางเพียงลำพัง เนื่องจากการ์ดคนอื่นไม่ยอมนั่งลงด้วยกัน ทั้งยังแบ่งคนให้มาเฝ้าข้างโต๊ะและเฝ้านอกร้านกระจัดกระจายไปทั่ว

เด่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว...

“ทีหลังสั่งให้ไปส่งเอาดีกว่า...” ตอนนี้ประมุขเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนคุยกันทางโทรศัพท์ เกรย์ถึงบอกว่าถ้าไม่ได้กินข้าวระหว่างคุยงาน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปกินที่ร้านเท่าไหร่

“นายบอกให้คุณทานก่อนได้เลยครับ อีกสิบนาทีน่าจะถึง” วิกเตอร์ที่ยืนสังเกตการกระทำของนายคนใหม่อยู่ตลอดบอกเสียงเรียบเมื่อเห็นอีกฝ่ายลูบท้องเป็นรอบที่สาม

“ไม่เป็นไร” คนที่หิวจนเริ่มแสบท้องส่ายหน้า ยังคงยืนยันตามความตั้งใจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “ผมรอดีกว่า”

ไม่มีประโยคสนทนาใดๆ ดังขึ้นหลังจากนั้น ประมุขตั้งหน้าตั้งตาจ้องมองออกไปนอกร้าน รอคอยคนที่กำลังเดินทางอย่างตั้งใจ ผ่านไปแค่ประมาณห้านาทีรถหรูคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดในเขตหน้าร้าน ร่างสูงสง่าในชุดสูทก้าวลงมาจากรถอย่างเร่งรีบโดยไม่รอให้คนเปิดประตูให้ เกรย์เดินตรงเข้ามาในร้านทั้งหน้าเครียด ไม่แม้แต่จะรับการทักทายจากการ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่โดยรอบ

“มาแล้วเหรอ” แน่นอนว่าพ่อคนซื่อไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศกดดันนั้นเลยสักนิด ประมุขรีบลุกขึ้นยืน ไม่รอให้อีกคนทักก็จูงมือให้เดินไปหาแม่ค้าที่ยืนตัวสั่นอยู่ “ร้านนี้อร่อยมากๆ ผมเคยมากินกับเพื่อนเมื่อหลายเดือนก่อน คุณเอาไก่ต้ม ไก่ทอด หรือยังไงดี”

เกรย์จ้องมองลูกแกะหิวโซที่ใกล้น้ำลายไหลเต็มทนอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะตำหนิหรือสั่งสอนให้กินข้าวให้ตรงเวลาก็ทำไม่ลง ที่เขาชวนกินข้าวกลางวันก็เพราะนึกว่าเจ้าตัวกินข้าวเช้าไปแล้ว ถ้ารู้ก่อนคงไม่ยอมปล่อยให้หิวขนาดนี้เพียงเพื่อมากินข้าวข้างนอกด้วยกัน

“เอาเหมือนนายแล้วกัน” เขาดึงท่าทีเคร่งเครียดทั้งหมดกลับมาแล้วลูบมืออีกคนเบาๆ แม้จะโดนจูงให้เดินตามหลังไปนั่งในแบบที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ

“เดี๋ยวถ้าลองดูแล้วคุณไม่ชอบไก่ต้มสั่งใหม่ได้เลยนะ ผมเหมาสองเอง”

“หิวขนาดนั้นเลยเหรอ”

“หิวจนกินไก่ได้สองตัวแล้วเนี่ย”

คนฟังยิ้มจางเมื่อเห็นลูกแกะน้อยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี หากเพียงครู่เดียวก็เหลือบไปมองวิกเตอร์ผู้ถูกฝากฝังให้ดูแลคนสำคัญด้วยแววตาเป็นคำถาม แม้จะรู้ดีว่าลูกน้องคงไปเคาะห้องเรียกกินข้าวตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ลูกแกะหลับสนิทไม่รู้เรื่องเอง ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในความรับผิดชอบของคนรับคำสั่งอยู่ดี

“เกรย์...”

“หืม” เขารีบหันกลับไปหาคนที่หุบยิ้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ให้วิกเตอร์กับคนอื่นๆ มากินด้วยกันสิครับ”

คนอื่นๆ ที่ว่าไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของนายคนที่สอง จะอย่างไรก็รู้ตัวดีว่าเรื่องแบบนั้นไม่มีวันได้รับอนุญาต แค่นายยอมมากินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ก็น่าแปลกใจมากอยู่แล้ว หากยอมทำตามคำพูดที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั่นอีกก็คง...

“วิกเตอร์”

“ครับนาย”

“สลับให้ทุกคนเข้ามากินข้าว”

วิกเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามย้ำเพื่อความมั่นใจ ลูคัสก็เดินไปเลื่อนเก้าอี้ ทรุดตัวลงนั่งแล้วก้มมองเมนูโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วนการ์ดคนอื่นๆ แม้จะไม่ได้แสดงอาการมากมาย หากแววตาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าแปลกใจจนถึงขีดสุด

“คุณเอาอะไรครับ เดี๋ยวผมสั่งให้ คุณด้วย” คนพูดไทยได้คล่องเพียงหนึ่งเดียวในร้านหันไปถามลูคัสแล้วก็เผื่อแผ่ไปพยักหน้าให้วิกเตอร์ที่ยืนนิ่งอยู่อีกคน

เกรย์นั่งยิ้มมองคนที่เดินถือกระดาษกับปากกาเข้าไปถามบรรดาบอดี้การ์ดทุกคนของเขาว่าอยากกินอะไรโดยไม่คิดห้าม แค่ได้มองตามก็รู้สึกมีความสุข ราวกับช่วงเวลาที่ผ่านมาได้รับการชดเชยเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ที่ได้คุยกับลูกแกะทางจดหมายหรือทางโทรศัพท์ เขามักจะยิ้มแล้วคิดว่าอีกฝ่ายน่ารักอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้มาเจอตัวจริง ได้เห็นใบหน้าใสซื่อกับรอยยิ้มอารมณ์ดีนั่นด้วยตาตัวเองจึงรู้ว่ามันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด

ใช้คำว่าน่ารักยังน้อยไป...

“จ้องจนจะท้องแล้วมั้ง” หัวหน้าทีมเอผู้ได้ชื่อว่าเป็นมือซ้ายและเป็นเพื่อนสนิทของเกรย์มาตั้งแต่เด็กเอ่ยแซว นอกจากลูคัสที่ได้อภิสิทธิ์นั่งโต๊ะเดียวกับเจ้านายทั้งสองคนแล้ว การ์ดคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่นั่งห่างออกไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งโต๊ะ จะมีก็แค่วิกเตอร์ซึ่งเป็นรองหัวหน้าเท่านั้นที่ได้รับคำสั่งให้นั่งลงอีกคนเพราะต้องคุยธุระกัน

“รีบคุยระหว่างที่คนของนายยังไม่กลับมาเถอะ” วิกเตอร์เอ่ยอย่างเป็นการเป็นงาน หากยังไม่ทันเริ่มเกรย์ก็ส่ายหน้าและปฏิเสธด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ต้อง ฉันอยากให้เขาฟังด้วย”

“แต่นายครับ…”

“เอาน่าวิก” ลูคัสยักไหล่ เท้าค้างมองเจ้านายคนที่สองซึ่งกำลังสั่งข้าวกับแม่ค้าตาไม่กะพริบ “คนที่ถูกปกป้องเพียงอย่างเดียวโดยไม่รู้อะไรเลยไม่มีทางยืนอยู่ข้างนายของเราได้หรอก”

“เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร” คำพูดประโยคสั้นๆ ที่มีความหมายชัดเจนจากเจ้านายทำให้วิกเตอร์เงียบเสียงลง เขาหันไปมองคนที่กำลังหัวเราะกับแม่ค้าแล้วก็นิ่งไป

ประมุขเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมถือจานข้าวที่แม่ค้าเพิ่งทำเสร็จมาเสิร์ฟด้วย เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเกรย์ จ้องมองใบหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคนที่มองมาแบบแปลกๆ จนรอยยิ้มที่มีเริ่มแห้งเหี่ยว

“เอ่อ... มีอะไรหรือเปล่า”

ลูคัสยังไม่เท่าไหร่ แค่มองและยิ้มนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก แต่วิกเตอร์ที่จ้องเขาเขม็งเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างนี่คือยังไง

“ลูกแกะ”

“ครับ” เขาหันไปตอบพร้อมยกยิ้มเอ๋อๆ ส่งไปให้คนข้างกายตามความเคยชิน และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนิดๆ ของเกรย์ ความกดดันและไม่มั่นใจก็คล้ายจะจางหายไปได้อย่างรวดเร็ว

“ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องหารือกับลูคัสแล้วก็วิกเตอร์...”

“อา... งั้นให้ผมไปนั่งโต๊ะอื่นไหม”

เกรย์ส่ายหน้าขณะยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวออกจากมุมปากของคนว่าง่าย ถึงจะอยากเก็บลูกแกะน้อยให้อยู่ในเซฟโซนมากเพียงใด แต่เขาย่อมรู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันปกปิดไปได้ตลอด ต่อให้ลูกแกะพอเดาอะไรได้และไม่เคยคิดถาม ทว่าวันหนึ่งย่อมต้องเกิดความสงสัยหรืออยากรู้ขึ้นมาอยู่แล้ว หากเวลานั้นมาถึงคงตอบคำถามได้ยากยิ่งกว่าเก่า แล้วความรู้สึกที่มีต่อกันมากมายก็อาจถูกบั่นทอนได้โดยง่ายตามไปด้วย

“ฉันเคยให้สัญญาเอาไว้ว่าถ้าเราได้เจอกัน ฉันจะไม่ปิดบังอะไรอีก ลูกแกะจำได้หรือเปล่า”

“จำได้”

“เพราะแบบนั้นฉันถึงอยากให้ลูกแกะอยู่ฟังด้วยกัน” เขาบอกพร้อมยื่นมือไปตักข้าวป้อนใส่ปากคนที่นั่งหน้านิ่งมองมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ “ที่เลือกมาคุยที่ร้านอาหารแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เครียด”

“ความลับใช่ไหมครับ”

“หืม…"

“มันเป็นความลับใช่ไหม” ประมุขกระซิบถาม “เราไม่ต้องเข้าห้องปิดเสียงอะไรแบบนั้นเหรอ คุยแบบนี้อาจจะมีศัตรูฟังอยู่ก็ได้นะ”

คำถามที่หลุดออกมาจากปากคนดูหนังมากเกินไปทำเอาลูคัสที่ไม่คิดเก็บอาการขำพรืด ส่วนวิกเตอร์ทำหน้าตายด้านประหนึ่งหุ่นยนต์ มีเพียงเกรย์เท่านั้นที่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

“ดูหนังมากเกินไปแล้ว” เขาบีบแก้มขาวๆ ของคนที่ทำเด๋อด๋าไม่เลิกเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “ถ้าเป็นงานสำคัญอะไรแบบนั้นอาจเป็นไปได้ที่จะประชุมในห้องเก็บเสียง แต่ศัตรูที่ไหนจะมาดักฟังที่ร้านอาหารกัน นายเป็นคนเลือกร้านเองไม่ใช่เหรอ พวกมันคงไม่สุ่มติดเครื่องดักฟังไปทั่วหรอก”

แม้จริงๆ แล้วทุกที่ที่เกรย์ไปจะมีคนของเขาส่วนหนึ่งนำหน้าไปตรวจสอบไว้ก่อนแล้วก็ตาม... แต่เรื่องนี้ไม่บอกลูกแกะน้อยน่าจะดีกว่า เดี๋ยวจะตื่นตระหนกจนขนฟูไปหมด

“ขอโทษครับ” ประมุขยกมือเกาหัวแกรกๆ แบบเขินๆ โดยไม่ลืมตักข้าวเข้าปากเพราะยังหิวอยู่ “พวกคุณคุยธุระกันเถอะ เดี๋ยวผมจะนั่งฟังเงียบๆ”

คนพูดทำตามที่บอกจริงๆ เพราะหลังจากพูดจบเขาก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำเดียว มีแค่หันไปยิ้มให้เกรย์บ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น

เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้านายให้เริ่มพูด ลูคัสที่ดูผ่อนคลายที่สุดก็เริ่มจริงจังขึ้นมานิดหน่อย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู จากนั้นก็รายงานเรื่องสำคัญด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“หนึ่งร้อยแปดรายชื่อคือจำนวนของพวกคิดไม่ซื่อทั้งหมด”

“ไม่ต้อง” เกรย์โบกมือเมื่อลูคัสยื่นจอโทรศัพท์ซึ่งมีรายชื่อที่ว่ามาให้ “บอกให้จิมจัดการตามสมควร อย่าเหลือเศษขยะทิ้งไว้ให้รำคาญตา”

“รับทราบ”

ในขณะที่เรื่องราวมากมายถูกยกมาพูดเพื่อให้นายสูงสุดตัดสินใจ ประมุขที่ทำตัวเหมือนเป็นอากาศรอบเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้อย่างเงียบงัน คิดเอาไว้ว่าถ้าไม่มีความลับระหว่างพวกเราจริงๆ หากเขาสงสัยก็จะเก็บเอาไว้ถามตอนอยู่ด้วยกันตามลำพังแน่นอน แม้จะมีสะดุ้งอยู่หลายรอบเมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบหรือน้ำเสียงเฉยชาที่ออกคำสั่งโหดร้ายของคนข้างตัว แต่เขาก็ยังนั่งนิ่งตั้งใจฟังต่อไปโดยพยายามไม่สนเรื่องราวเหล่านั้น

เรื่องพวกนี้เขาเตรียมใจมานานมากแล้ว... ต่อให้หวาดกลัวขนาดไหนก็จะไม่มีวันหันหลังให้แน่นอน

“แล้วก็เรื่องของแม่มด...” เสียงพูดของลูคัสที่หยุดไปพร้อมกับสายตาสามคู่ที่จับจ้องไปยังคนคนเดียวกันทำให้บรรยากาศดูกดดันขึ้นมาวูบหนึ่ง ประมุขกะพริบตาปริบๆ มองทุกคนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ลูคัสก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “ดูเหมือนรายนั้นจะจองไฟล์ทบินเรียบร้อยแล้ว”

“หมดความอดทนจนได้สินะ” เกรย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากหากส่งไปไม่ถึงดวงตา “โง่จริงๆ...”

“จะให้รวบตัวเลยไหมครับนาย”

“ชู่ว…” ลูคัสส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมทีมเงียบ เมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนั่งนิ่งและเหยียดยิ้มราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “รวบตอนนี้ก็หมดสนุกสิ นายไม่มีทางทำอะไรที่น่าเบื่อแบบนั้นหรอก”

คนเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยหลุบตาลงต่ำเมื่อหันไปเห็นท่าทางน่ากลัวของคนสำคัญเข้าพอดี ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเหยียดหยามของเกรย์ มันน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่พี่ชายคนโตของเขาโมโหเสียอีก

“เกรย์...” ประมุขตัดสินใจยื่นมือไปดึงชายเสื้อคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดเบาๆ รอกระทั่งดวงตาคู่นั้นหันมาเห็นเขาแล้วเริ่มอ่อนแสงลงจึงยกยิ้มให้ “ผมเห็นคุณเงียบไป”

“กลัวหรือเปล่า”

“กลัวครับ” เขาพยักหน้าโดยไม่ปิดบัง “แต่ไม่มาก... เพราะคุณไม่เคยมองผมด้วยแววตาแบบนั้น”

ขอแค่ความน่ากลัวที่แสดงออกมาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา... แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“ฉันไม่มีวันมองนายด้วยแววตาแบบนั้น”

“งั้นผมจะอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจคุณตลอดไปเลยดีไหม” คนพูดยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาอย่างจริงใจ

“ดีสิ”

เกรย์ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้งเมื่อได้รับคำตอบที่ถูกใจ คำถามที่เตรียมไว้เพราะอยากรู้ว่าลูกแกะพร้อมจะก้าวเข้ามาในโลกนี้หรือยังถูกพับเก็บไป เนื่องจากการแสดงออกทุกอย่างชัดเจนมากพออยู่แล้ว

ไม่ใช่เพียงก้าวเข้ามา... แต่จะคอยอยู่ข้างๆ ตลอดไป

นั่นเป็นคำตอบที่ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้มากทีเดียว


 ----------------------



TALK: คิดภาพชาวต่างชาติใส่สูทเป็นสิบไปนั่งกินข้าวร้านข้าวมันไก่แล้วแอบขำ ฮ่าๆ

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 23-10-2018 21:35:04
นุ้งมุขขขข หนูน่ารักมากเลย เกรย์หลงแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 23-10-2018 22:09:21
ประมุข​น่ารัก​  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 23-10-2018 23:28:39
น้องมุขน่าเอ็นดู  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 24-10-2018 02:17:36
เด็กน้อย...น่ารักจริงๆเลย :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-10-2018 02:18:25
แกะมุขกินไก่เก่งนิ จะกิน 2 ตัวเลยหรอ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-10-2018 09:48:40
เอ็นดูประมุขแต่สงสารแม่ค้าข้าวมันไก่จริงคงขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-10-2018 11:35:52
ต่อไปทุกคนก็จะเอ็นดูน้องมากขึ้น  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 24-10-2018 11:38:39
ไม่ใช่แกะแน่ๆ มันต้องห่มหนังแกะมาแน่นอน บรรยากาศมันไม่แกะเลยมุขเอ้ย // ประมุขผู้ห่มหนังแกะ //
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-10-2018 16:14:29
ประมุข หนูจะใช้ชีวิตส่วนตัวไปทั่วไปไม่ได้แล้วนะ
ไม่ใช่อะไรหรอก สงสารคุณป้าที่หอกับป้าแม่ค้า 55555
น่ารักดีค่ะ เป็นคนสดใส ซื่อตรงดี และน้องตั้งใจดี
กว่าจะได้เจอกันก็ยากแล้ว จะให้ทิ้งไปยากกว่าเนาะ

เกรย์ก็ตกหลุมแล้วตกหลุมอีก แบบนี้อาจต้องมีทีมเอบวก
แหมมม รอคำตอบน้องอยู่ล่ะสิ แต่ถามตรงๆ อีกสักรอบนะคะ
อยากได้โมเมนท์ฟินๆ

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 25-10-2018 14:17:41
เอ็นดูน้องมุข น่ารักจริงๆเลยลูก :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 25-10-2018 17:58:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 26-10-2018 01:35:11
เป็นลูกแกะที่ทั้งน่ารักแล้วก็เข้มแข็งดีจังเลยน้าาา ชอบที่น้องมองโลกตามความเป็นจริง ยอมรับเรื้องต่างๆได้ง่าย ชอบการทำใจว่าเออ ถ้าจะรักกับคนนี้ต้องทิ้งอะไรหลายๆอย่างนะ เนี่ยย ชอบตอนที่กำลังค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน มันดีมากเลยย  o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-10-2018 20:44:39
ลูกแกะน่ารักจัง เหมือนจะอ่อนแอแต่ไม่ใช่ ใครอยู่ด้วยก็เอ็นดู :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.3]=[P.2]==[23/10/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 07-11-2018 19:28:28
-4-


“หลังลูกแกะสอบเสร็จ เราไปหาพี่ชายของนายกันไหม”

“คุณหมายถึงพี่จักรเหรอ” ประมุขผุดลุกขึ้นนั่ง หลังนอนเปื่อยอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างคนที่เอาแต่ทำงานมาหลายชั่วโมง ชื่อของพี่ชายที่ไม่ได้ไปเยี่ยมมาหลายเดือนเรียกความสนใจได้ชะงัก จนเขาเกือบจะโยนหนังสืออ่านสอบทิ้งทั้งที่เพิ่งกราบไหว้ไปเมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่แล้ว

“ใช่”

“ไปครับไป เต้เพิ่งทักมาคุยเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นว่าพี่จักรเริ่มดีขึ้นแล้ว”

ตอนที่ได้โทรคุยกับพี่คนรองแล้วรู้เรื่องที่พี่จักรอาการดีขึ้น เขาดีใจขนาดไหนคงอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แม้แต่ฮ่องเต้ที่เก็บอาการได้ดีกว่ายังแสดงออกมาทางน้ำเสียงอย่างชัดเจน หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพักก็ตกลงกันว่าช่วงปิดเทอมจะไปเหนือด้วยกัน แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนอะไร เพราะพี่คนรองของเขาต้องพูดคุยกับคนรักที่อยู่คนละประเทศก่อนด้วย

“แล้วต้องนัดกับครอบครัวหรือเปล่า”

“นัดครับ เห็นเต้บอกว่าพ่อก็จะไปเยี่ยมพี่จักรด้วยเหมือนกัน” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง แค่คิดถึงตอนที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็มีความสุขแล้ว “แต่คงต้องดูอีกทีว่าจะเจอกันได้ช่วงไหน เต้ปิดเทอมหลังผมด้วย”

“งั้นพอลูกแกะปิดเทอม เราไปเที่ยวที่นั่นรอกันก่อน ถึงเวลานัดเมื่อไหร่ค่อยไปหาพี่ชายดีไหม”

เพียงแค่ได้ยินคำว่าเที่ยว ลูกแกะตัวน้อยผู้ใช้ชีวิตผูกติดอยู่กับตัวเมืองมานานก็ตื่นเต้นจนตาวาว พยักหน้าหงึกหงักอย่างแรงทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ทำเอาคนมองเกือบไปไม่เป็น ต้องรั้งตัวเองเอาไว้ไม่ให้ตรงเข้าไปฟัดตามใจอยาก ที่เคยดูจากรูปว่าน่ามันเขี้ยวแล้ว พอมาอยู่ด้วยจริงๆ แบบนี้น่าบีบกว่าเดิมอีกเป็นร้อยเท่า

“เกรย์...”

ครืด

ดวงตาสองคู่เบนไปมองโทรศัพท์ที่สั่นขัดจังหวะบนโต๊ะพร้อมกัน และแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างเมินมันโดยสิ้นเชิง เมื่อเวลานี้คนตรงหน้าคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรให้ความสนใจ

“ว่าไง”

“ผม…”

ครืด

“ทำหน้าแบบนี้มีอะไรจะถามสินะ”

“ครับ คือว่า...”

ครืด ครืด ครืด ครืด

“เหมือนจะได้กลิ่นไหม้หรือเปล่านะ” เกรย์ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นลูกแกะทำตาโต

“ผมต้มขาหมูทิ้งไว้!” พูดจบพ่อครัวตัวน้อยที่บอกว่าจะทำอาหารให้เขาชิมก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ครัวด้วยความว่องไว

เกรย์มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปจนสุดสายตา เมื่อมั่นใจว่าลูกแกะจะไม่ออกมาในเร็วๆ นี้จึงหุบยิ้มลง มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาของคนสำคัญขึ้นมาดู ก่อนดวงตาคมจะหรี่ลงเล็กน้อยยามเห็นการแจ้งเตือนของโปรแกรมโซเชียลมีเดียที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ

เขากดปลดล็อกโทรศัพท์ของประมุขด้วยความรวดเร็ว กวาดตามองตัวอักษรภาษาไทยที่ทักมาทางข้อความด้วยความตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ เนื่องจากศึกษามาเพียงภาษาพูด แต่แค่ได้เห็นว่าคนที่ทักมากดหัวใจให้รูปของลูกแกะรัวๆ เขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าข้อความที่ส่งมาน่าจะเกี่ยวกับอะไร

เสน่ห์แรงจริงๆ...

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดคำสั่งปลดล็อกประตูห้องเป็นลำดับแรก จากนั้นก็กดส่งข้อความไปหาคนสนิทที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เพียงครู่เดียวเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน

“นายครับ”

“สรุปเจตนาเจ้าของข้อความพวกนี้ในหนึ่งประโยค” คำสั่งราบเรียบดังขึ้นพร้อมกันกับที่โทรศัพท์ของลูกแกะน้อยถูกยื่นไปให้บอดี้การ์ดหนุ่มผู้ควบตำแหน่งล่ามส่วนตัวซึ่งพูดได้มากถึงหกภาษา

ปีเตอร์กวาดตามองหน้าจอวูบเดียวก็กลับไปยืนตัวตรง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ตามประสามืออาชีพ ทว่าหากพูดถึงความรู้สึกในใจ หากเลือกวิ่งหนีไปได้เขาคงวิ่งหนีไปนานแล้ว

“เจตนาต้องการทำความรู้จักแบบไม่บริสุทธิ์ใจครับ”

“อืม” ผู้เป็นนายยังคงไม่คลายรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ล่ามคนสนิทอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ส่งข้อความเตือนไปหน่อยแล้วกัน”

“ระดับไหนดีครับนาย”

“ชวนคุยไปก่อนแล้วค่อยเตือนเบาๆ ว่าเขาเป็นคนของใคร อย่าลืมส่งสัญลักษณ์นี่ไปด้วย” เขาก้มลงขีดเขียนสัญลักษณ์ที่ว่าในไอแพด ก่อนจะหันจอไปให้ปีเตอร์ดู

“ได้ครับ”

“เร่งมือหน่อยแล้วกัน ลูกแกะใกล้จะออกมาแล้ว”

ล่ามหนุ่มรีบลงมือปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่ลืมใส่สัญลักษณ์ที่เขาไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่กลับทำให้ขนลุกโดยใช่เหตุลงไปในประโยคสุดท้าย

^_^ สัญลักษณ์นี่...

^_____^ หรืออันนี้

ทั้งที่เหมือนจะดีแต่ทำไมมองว่าดีไม่ได้เลยนะ...

“นายครับ สัญลักษณ์พวกนี้มันหมายถึงอะไรเหรอครับ” ท้ายที่สุดล่ามหนุ่มก็ทนไม่ไหว ต้องหันไปถามนายด้วยความอยากรู้ส่วนตัว โชคดีที่หน้าที่หลักของเขาคือการทำงานด้านเอกสารมากกว่าไปบู๊แบบการ์ดคนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เวลาจำเป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องรักษามาดอะไรมากนัก

“หน้ายิ้มน่ะ เหมือนฉันที่กำลังยิ้มอยู่นี่ไง”

“…” คนฟังก้มหัวให้เจ้านายหนึ่งครั้งโดยไม่แสดงสีหน้า หากขาที่ก้าวถอยหลังเดินออกไปตามทางเดิมอย่างรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร

ปากยิ้มก็จริง... แต่ภาพลักษณ์โดยรวมที่เหมือนอยากจะฆ่าคนแบบนั้น หากไม่ใช่คุณประมุขที่รับมือ ไม่ว่าใครก็ต้องรีบชิ่งหนีเหมือนเขาแน่นอน

หลังจากปีเตอร์ออกจากห้องไปแล้ว เกรย์ก็กลับไปจ้องมองหน้าจออีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าคนที่อยู่อีกฝั่งและบังอาจอยากทำความรู้จักกับลูกแกะของเขาได้อ่านข้อความ ‘เตือนเบาๆ’ แล้ว ชายหนุ่มก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาคนที่กำลังหัวหมุนอยู่กับอาหารในครัวแทน

ลูกแกะในชุดผ้ากันเปื้อนลายแกะน้อยสีขาวดูน่ามองแม้จะหันหลังอยู่หน้าเตา เกรย์ค่อยๆ เดินไปยืนอยู่ด้านหลัง แล้วยื่นหน้าข้ามไหล่ผอมของคนตัวเล็กกว่าไปมองอาหารหน้าตาน่ากินที่อีกคนตั้งใจทำให้พร้อมรอยยิ้ม

จริงๆ ตอนแรกเขาก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ต้องทำก็ได้ แต่คนดื้อด้านก็ยังพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าอยากทำให้กิน ทั้งยังเลือกเมนูทำยากที่ต้องใช้เวลาอีก ถึงจะได้ยินคำโอ้อวดว่าตัวเองทำอาหารอร่อยมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เจอกัน และคิดอยู่เสมอว่าสักวันอยากจะลองชิมฝีมือลูกแกะดู แต่เขาก็ไม่อยากให้คนสำคัญต้องลำบากอยู่ดี

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

คนที่ถูกยืนซ้อนหลังอยู่ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจใดๆ เมื่อเขาจงใจพูดข้างหู ไม่รู้ว่ารู้แต่แรกหรือมีสมาธิกับอาหารมากเกินไปกันแน่ เพราะพอกดปิดเตาเรียบร้อยแล้ว ลูกแกะก็แค่หันหน้ามาหาและส่งยิ้มสดใสน่ามองมาให้ตามปกติเท่านั้น

“เสร็จพอดีเลย”

“เดี๋ยวฉันช่วยยก” เกรย์วางคางลงบนบ่าผอม ดวงตาแวววาวมองคนน่ารักที่ไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายหรือตกอกตกใจอะไรด้วยความพอใจ เขาชื่นชอบความใสซื่อตามธรรมชาติของลูกแกะ แล้วก็ชอบที่แม้จะดูไร้พิษสงเพียงใด อีกคนก็ยังมีสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้เสมอ

แม้บางครั้งจะไม่มั่นใจว่าควบคุมเก่งหรือเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยก็ตามที...

“คุณไปนั่งรอดีกว่า” คุณพ่อครัวบอกขณะที่หยิบจานมาตักขาหมู โดยยังปล่อยให้เกรย์ยึดพื้นที่บนไหล่ไว้ตามใจชอบ “ผมเห็นคุณตื่นมาก็นั่งทำงานตลอดเลย ไปนั่งพักก่อนเถอะครับ”

ได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่ขัดใจอะไรอีก เพียงส่งเสียงอืออาเป็นคำตอบแล้วผละออกไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารเงียบๆ เพราะอันที่จริงการได้มานั่งมองลูกแกะเดินไปเดินมาทำอาหารด้วยท่าทางมีความสุขแบบนี้ก็รู้สึกดีไม่แพ้กัน

“หลังทานอาหารเสร็จแล้วเรามานั่งคุยกันดีไหม” เกรย์ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนไม่คิดอะไร บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ทั้งปากและตา ยิ่งได้เห็นท่าทีตกใจเหมือนเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ของคนที่กำลังตักข้าวใส่จาน เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

“คุณ...รู้”

“ตอนเราคุยกันทางโทรศัพท์โดยไม่เห็นหน้า เวลาลูกแกะไม่สบายใจ มีครั้งไหนที่ฉันไม่รู้ไหม”

ประมุขทำท่าทีครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบ เมื่อตลอดระยะเวลาหลายปีที่คุยกันมาโดยไม่เห็นหน้า ไม่มีครั้งไหนเลยที่อีกคนไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน ต่อให้คิดว่าปกปิดได้ดีแล้ว เกรย์ก็ยังหาหนทางมาพิสูจน์ความรู้สึกที่แท้จริงจนต้องยอมรับอยู่ดี

“ไม่มี”

“ขนาดเราไม่เห็นหน้ากันฉันยังรู้ว่านายรู้สึกยังไง แล้วนี่มาอยู่ต่อหน้าแล้ว คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าคนของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่” พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปลูบแก้มขาวของคนที่นั่งลงด้านข้างอย่างปลอบโยน “เคยบอกแล้วใช่ไหมให้ถามได้ทุกเรื่อง ฉันสัญญาว่าจะตอบตามความจริง”

คนฟังเริ่มยิ้มออกเมื่อได้รับความอ่อนโยนจากฝ่ามืออุ่นและดวงตาคู่นั้น ประมุขพยักหน้าเข้าใจ ดันจานข้าวไปตรงหน้าคนสำคัญ ก่อนจะเริ่มชวนคุยเรื่องอาหารอย่างร่าเริง

“นี่ขาหมูที่ผมเคยบอกคุณว่าไปกินกับเพื่อนข้างนอกแล้วไม่อร่อย จำได้ไหมครับ”

“อา... เมื่อสองสามปีก่อนหรือเปล่า”

“ใช่” เขายกยิ้มดีใจเมื่อเกรย์จำได้จริงๆ “ตอนนั้นผมบอกคุณว่าผมทำอร่อยกว่าอีก แล้วคุณก็บอกว่าถ้าได้เจอกันจะขอชิม...”

“แบบนี้นี่เอง”

“จริงๆ ตอนนั้นผมโกหก” คนขี้โกหกยอมรับเขินๆ ท่าทางดูอายมากจริงๆ ที่ต้องสารภาพเรื่องราวในอดีตซึ่งผ่านมานานแล้ว “นอกจากมาม่า ไข่เจียวแล้วก็ไข่ดาว ผมทำอะไรแทบไม่เป็นเลย แต่เพราะสัญญาไว้ว่าจะทำให้คุณกินก็เลยฝึกมาโดยตลอด”

“ให้พี่ชายสอนตอนอยู่บ้านเหรอ”

“ใช่ครับ”

ฮ่องเต้เป็นพวกเก่งรอบด้านอยู่แล้ว ตอนอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยไม่มีใครคอยดูแลเพราะพ่อทำงานอยู่ไกล คนที่ต้องทำอาหารและดูแลเขากับพี่จักรก็คือเต้ ตอนที่ประมุขบอกว่าอยากเรียนทำอาหารบ้าง อีกฝ่ายยังทำหน้าตาประหลาดใจใส่อยู่เลย ถึงสุดท้ายจะยอมสอนให้จริงๆ แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ก็เสียเหงื่อไปมากและโดนด่าจนหูแฉะอยู่เหมือนกัน

“หน้าตาน่าอร่อยดี” เกรย์ก้มหน้ามองขาหมูในจานด้วยความสนใจ ยิ่งได้ยินว่าลูกแกะทำทั้งหมดเพื่อเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ากินยิ่งเข้าไปใหญ่ หรือต่อให้สุดท้ายรสชาติออกมาไม่ถูกปากยังไง เห็นทีก็คงต้องบอกว่าอร่อยและกินจนหมดจานอยู่ดี

“ลองดูนะ ถ้าไม่ถูกปากผมจะทำอย่างอื่นให้” ปากว่าไปนั่น แต่หน้าตาคาดหวังสุดๆ แล้วใครจะบอกว่าไม่ถูกปากได้กัน

คนที่โดนบังคับให้ตอบว่าอร่อยแบบอ้อมๆ ตักอาหารคำแรกเข้าปาก แล้วค่อยๆ เคี้ยวเพื่อรับรู้รสชาติช้าๆ อย่างตั้งใจ ปกติเกรย์เป็นคนทานยากอยู่แล้ว อาหารทุกมื้อของเขาล้วนแล้วแต่ถูกปรุงตามความชอบเป็นอย่างดี หากไม่นับข้าวมันไก่ที่ลูกแกะพาไปกินเมื่อวานซึ่งถือว่าอยู่ในระดับพอไหว นี่น่าจะเป็นข้าวมื้อแรกที่เขายอมกินโดยไม่สนใจว่ามันคืออะไร

“อร่อย” เกรย์เงยหน้าบอกด้วยความประหลาดใจ เพราะนอกจากมันจะถูกปากเขาเอามากๆ แล้ว ยังอร่อยตามที่พูดจริงๆ ด้วย คงเพราะลูกแกะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ชอบอะไรหวานๆ เลยจงใจปรุงรสในแบบที่ชอบโดยเฉพาะ

“จริงเหรอ” คนฟังตาเป็นประกายวาววับด้วยความดีใจ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตรงหน้าตัวเองก็มีข้าวอยู่จานหนึ่ง เอาแต่จ้องหน้าเกรย์มองดูเขากินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เหมือนทุกคำที่ตักเข้าปากเป็นการตอกย้ำว่ามันอร่อยจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น

“เลิกมองแล้วกินของตัวเองได้แล้ว”

“เกือบลืมเลย”

พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะ เป็นเหมือนการผ่อนคลายก่อนที่จะต้องกลับไปพูดถึงเรื่องเครียดๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเกี่ยวกับอะไร

เกรย์มองตามหลังคนที่เดินถือจานไปล้างที่อ่างโดยไม่ได้ห้าม เพราะรู้ดีว่ายังไงลูกแกะก็ต้องดื้อล้างเอง ไม่ยอมทิ้งไว้ให้แม่บ้านจัดการอยู่แล้ว เขาไม่ได้เดินหนีกลับไปนั่งรอที่โซฟาสบายๆ แต่เลือกที่จะนั่งรอบนเก้าอี้ไม้ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน รอจนลูกแกะทำอะไรเสร็จหมดแล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องรับแขกพร้อมกัน

“พร้อมจะถามหรือยัง” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ เมื่อเห็นลูกแกะยกขาขึ้นขัดสมาธิบนโซฟา หันหน้ามาจ้องเขาเขม็งด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ

“คือ…” ประมุขเผยสีหน้าลังเล ครั้งนี้ไม่ได้กังวลว่าควรถามดีไหม แต่เหมือนจะกังวลเกี่ยวกับคำตอบที่จะได้ยินมากกว่า

หลังจากครุ่นคิดอยู่ทั้งคืนเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินที่ร้านข้าว เขาเริ่มจับสังเกตเกี่ยวกับอะไรบางอย่างได้ อย่างเรื่องที่ทุกคนหันมามองตอนเกรย์พูดคำว่า ‘แม่มด’ หรือความเชื่อมโยงระหว่างคนคนนั้นกับพี่จักร แม้จะไม่ใช่คนฉลาดนักจึงต้องใช้เวลาคิดมากกว่าคนอื่น แต่ประมุขก็ยังเดาได้ว่าแม่มดที่ว่าหมายถึงใคร

“พร้อมแล้วค่อยพูด” สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือร้อนวางทับลงบนมือของเขาราวกับจะปลอบโยน เพียงแค่ได้สบดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ประมุขก็รับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเข้าใจอยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่ก็ยังใจเย็นนั่งรอเงียบๆ เพื่อให้พร้อมก่อน ความอบอุ่นที่ได้รับแผ่ซ่านไปถึงกลางใจ ทำให้คนอ่อนแอกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่หลบเลี่ยงมานาน

“แม่มดที่คุณพูดถึง...หมายถึงแม่ของผมกับพี่จักรใช่ไหมครับ”

“ใช่”

คำตอบตรงไปตรงมาไม่เสียเวลาคิดทำให้คนฟังใจหล่นหายไปวูบหนึ่ง ความทรงจำที่ไม่ดีนักในวัยเด็กยามถูกแม่แท้ๆ ดึงแขน พยายามลากให้ไปด้วยกันยังติดค้างอยู่ในหัวจนเผลอกำมือเกรย์แน่น

“เขาจะ...ทำร้ายพี่จักรอีกแล้วเหรอ” ประมุขถามเสียงค่อย อึดอัดใจและเป็นกังวลไปหมดเพียงแค่ได้นึกถึง ลำพังความรู้สึกผิดที่มีตอนที่พี่ชายถูกเอาตัวไปใช้ประโยชน์แทนก็ติดค้างอยู่ในใจมากพออยู่แล้ว หากผู้หญิงคนนั้นจะมาทำร้ายพี่อีกเขาไม่มีทางยอมแน่

แต่ไม่ยอมแล้วทำอะไรได้... คนอ่อนแออย่างเขาจะทำอะไรได้

“ลูกแกะ” เสียงทุ้มที่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งเรียกสติที่เกือบจะหลุดลอยให้กลับคืนมาอีกครั้ง ประมุขเงยหน้ามองคนเรียก มือบีบกันแน่นด้วยความกังวล ทว่าแววตาที่จ้องมองมากลับทำให้ความรู้สึกทั้งหมดจางหายไปอย่างช้าๆ

“เกรย์...”

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ตรงนี้”

ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกเขาว่าคำพูดดีๆ ไม่ว่าใครก็พูดกันได้ เพราะสุดท้ายจะทำตามที่พูดได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น แต่เมื่อคำพูดที่ว่าหลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่เขาเชื่อถือมาเป็นสิบปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ประมุขก็มั่นใจว่าเขาจะต้องทำตามที่พูดได้อย่างแน่นอน

“คุณจะช่วยพี่จักรใช่ไหมครับ”

“ฉันจะช่วยเท่าที่ช่วยได้” เกรย์ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยหรอกนะลูกแกะ... แต่พี่ชายของนายก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง ถ้าเขาคิดจะจัดการเอง ฉันก็จะยืนดูอยู่ห่างๆ”

“…”

“แต่ถ้าลูกแกะขอร้องก็เป็นอีกเรื่อง”

“ผม…” ประมุขกัดริมฝีปากเมื่อเข้าใจดีว่านิสัยของพี่ชายคนโตเป็นแบบไหน ขนาดเพื่อนสนิทที่เจอกันตอนพี่ถูกแม่พาไปฝรั่งเศสยังเข้าใจและเลือกดูอยู่ห่างๆ แล้วเขาจะไปตัดสินใจแทนพี่ได้อย่างไร “ผมเคารพการตัดสินใจของพี่จักร แต่คุณช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม ว่าพี่จักรต้องการจะทำอะไรกันแน่”

“ได้สิ” สิ้นคำตอบรับ เกรย์ก็ดึงแขนของคนข้างกายเบาๆ ให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เขาเอนกายพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยแก้มลูกแกะน้อยของตัวเองไปด้วย “ตอนที่ฉันได้รู้จักกับคิง พี่ชายของนาย เรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่มีนิสัยคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วเหตุผลที่ฉันช่วยเหลือคิงเป็นเพราะเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน”

“ผลประโยชน์?”

“สำหรับคิงฉันคือเพื่อนที่ใช้การได้ มีอำนาจ มีเงิน มีพร้อมทุกอย่างที่จะช่วยให้เขาต่อสู้กับแม่ตัวเองได้ในอนาคต”

“แล้วสำหรับคุณล่ะครับ”

“ความสนุก” คนพูดเหยียดยิ้มน่าขนลุก ทว่าวินาทีถัดมาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว “ส่วนเหตุผลที่สำคัญกว่าความสนุก...ก็คือนาย”

“ผมเหรอ...”

“จำรูปนี้ได้หรือเปล่า” รูปเก่าๆ ที่พกติดตัวไว้ตลอดถูกหยิบยื่นให้เจ้าของมันดู เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าสมัยเด็กของตัวเองในนั้น ประมุขก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมมันไปอยู่กับคุณได้... แล้วทำไมมีแค่ผมคนเดียว รูปขาดเหรอครับ”

“อา...ฉันฉีกออกมาเอง” เกรย์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น “พอดีไปเห็นรูปถ่ายสามพี่น้องของคิงเข้า เห็นแล้วถูกใจลูกแกะก็เลยฉีกออกมาแล้วเหมารวมเป็นของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ฟังคำสารภาพง่ายๆ ที่ได้ยินด้วยใบหน้าเอ๋อเหรอ สมองคล้ายจะประมวลผมไม่ทันไปชั่วขณะ กระทั่งรู้แล้วว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องราวที่สำคัญมากมายขนาดไหน ใบหน้าขาวก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน พร้อมกันกับที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นโดยไม่อาจควบคุมได้

“คุณ...สนใจผมตั้งแต่ตอนนั้น”

“ใช่ หลังจากนั้นฉันก็ส่งจดหมายคุยกับนายมาโดยตลอด”

“ละ...แล้วเรื่องพี่จักรกับผู้หญิงคนนั้น” เมื่อสัญญาณเตือนภัยเริ่มร้องเตือนให้เปลี่ยนเรื่องก่อนจะต้องอับอายเพราะไม่อาจหุบยิ้มได้ ประมุขก็รีบดึงกลับเข้าเรื่องเก่าที่พูดคุยทิ้งไว้ ท่าทางน่าเอ็นดูทำให้คนที่มองอยู่ตลอดยิ้มตามด้วยความอารมณ์ดี แต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ได้ขัดอะไร

“อย่างที่นายรู้ว่าคิงถูกแม่มดพาตัวไปเพราะต้องการให้กลายเป็นหุ่นเชิด ตัวเองจะได้กุมอำนาจของสามีใหม่ไว้คนเดียว แต่เพราะคิงไม่ใช่พวกหัวอ่อน เขาถึงได้วางแผนเขี่ยแม่ตัวเองออกนอกวงจรธุรกิจเอาไว้ตั้งแต่แรก สิ่งที่นอกเหนือจากการคาดการณ์ก็คงมีแค่เรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เดินไม่ได้ พอเกิดเรื่องขึ้นแม่มดก็ผลักคิงกลับมา เพราะเขากลายเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว ซึ่งพี่นายก็เสียศูนย์ไปเหมือนกัน คงถึงขั้นตัดสินใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางนี้อีก แม้แต่แผนที่เริ่มทำกับฉันไปแล้วก็คิดจะโยนทิ้ง”

“แผนคืออะไรเหรอครับ”

“ตอนที่พ่อเลี้ยงของคิงตาย เขาเริ่มลงมือดึงแม่มดให้เข้าสู่วังวนของการพนัน ใช้ประโยชน์จากเพื่อนสนิทของเธอให้เป็นประโยชน์ แต่ก็ผิดคาดไปหน่อยที่เธอเข้าไปยุ่มย่ามกับธุรกิจผิดกกฎหมาย ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดินจนถอนตัวไม่ขึ้น คิงให้ฉันช่วยรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เธอทำเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่เพราะฉันเห็นว่ามันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่...ก็เลยส่งคนเข้าไปในบริษัทของแม่มด ค่อยๆ บ่อนทำลายจากข้างในช้าๆ หลังจากที่คิงถูกเด้งออกจากตำแหน่ง”

“…”

“ตอนแรกฉันคิดว่าคงต้องหยุดเพราะคิงไม่เล่นด้วย แต่ดูเหมือนอีกไม่นานเขาต้องเริ่มแผนการต่อแน่นอน ลูกแกะรู้ไหมว่าเพราะอะไร”

“ภีม…”

“เก่งมาก” เกรย์เอ่ยชมด้วยแววตาอ่อนโยน “ดูเหมือนแม่มดจะเล่นนอกกติกา คิดจะยุ่มย่ามกับคนของคิง อีกไม่นานเขาต้องเริ่มดำเนินการต่อแน่”

“คุณติดต่อกับพี่จักรแล้วเหรอครับ” ประมุขถามด้วยความแปลกใจ เมื่ออีกคนพูดราวกับรู้ว่าพี่เขากำลังคิดหรือทำอะไรอยู่

“ยังหรอก... แต่ถ้าคิงไม่ติดต่อมา ฉันก็คงจะไปหาเอง”

มันก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายนั้นจะอดทนได้อีกนานแค่ไหน... แต่ในเมื่อหาคนสำคัญของตัวเองเจอแล้วแบบนี้ อีกไม่นานก็คงทนไม่ไหวเอง

“เกรย์... คุณส่งคนตามพี่เหรอ”

“อย่าเรียกว่าตามเลย” เขาโคลงหัวไปมา กลับไปสนุกสนานกับการเขี่ยแก้มลูกแกะน้อยอีกครั้ง “เรียกว่าช่วยดูแลอยู่ห่างๆ... ป้องกันไม่ให้ลูกแกะต้องเสียใจทีหลังดีกว่า”

คนที่ถูกสอนให้มองเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ไกลๆ อย่างเกรย์ไม่มีทางยอมพลาดแน่นอน ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายแม่ลูกคู่นั้นก็ต้องแตกหักกันไปข้าง เขาจึงช่วยดูเหตุการณ์ของทั้งสองฝ่ายเพื่อเอาไว้ใช้ประเมินสถานการณ์สำหรับแผนขั้นต่อไปก็เท่านั้น ถ้าบอกว่าทั้งหมดเพื่อไม่ให้ลูกแกะต้องเสียใจทีหลังก็คงไม่ผิด เพราะหากคิงพลาดท่าเสียที โดนแม่ทำร้ายหรือเอาตัวไปเสี่ยงอีกรอบ เด็กคนนี้ต้องปวดใจแน่ๆ

ก็อย่างที่บอกไป... นอกจากความสนุกแล้วก็มีแค่ลูกแกะเท่านั้นที่สำคัญสำหรับเขา

“มีอีกเรื่องที่ผมอยากถาม...”

“หืม” เกรย์เลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนพูด

“พี่จักรเคยบอกว่าคุณเป็นพวกไว้ใจไม่ได้... เหมือนคนที่ใส่หน้ากากตลอดเวลา” พูดไปก็ขมวดคิ้วไปจนหน้ายุ่ง คล้ายไม่มั่นใจว่าควรถามหรือเปล่าทั้งที่จริงๆ พูดออกไปหมดแล้ว “ทำไมพี่จักรต้องใส่ร้ายคุณเหรอครับ ผมก็เห็นคุณนิสัยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นเหมือนใส่หน้ากากอะไรอย่างที่ว่าเลย”

หน้าตาจริงจังกับน้ำเสียงที่เชื่อมั่นจนเต็มเปี่ยมของลูกแกะทำให้เกรย์นิ่งงันไปครู่ใหญ่ อารมณ์ร้ายๆ ซึ่งถูกสั่งสมมาจากการทำงานคล้ายจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าซื่อๆ ของคนที่บอกว่าพี่ชายตัวเองใส่ร้ายเขา

“ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ” เกรย์หัวเราะหึหึในลำคอขณะยื่นมือไปดึงลูกแกะให้เอนตัวมาอยู่ในอ้อมกอด

“คุณยังไม่ตอบเลย”

“อา...จะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย” เขาทำหน้าคิดหนักเมื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ลูกแกะเข้าใจ อันที่จริงคงต้องบอกว่ามันผิดตั้งแต่อีกฝ่ายเข้าใจว่าคิงใส่ร้ายเขาแล้ว เพราะที่พี่ชายของเจ้าตัวพูดมามันถูกหมดทุกอย่าง “เอาเป็นว่าฉันในเวลาที่อยู่กับลูกแกะ กับฉันในเวลาที่อยู่กับคนอื่นไม่เหมือนกันก็แล้วกัน”

“ไม่เหมือนยังไงเหรอครับ”

“ลูกแกะคิดว่าตอนฉันคุยกับนายเหมือนตอนฉันคุยกับพวกการ์ดไหม”

“…ไม่เหมือน” ประมุขส่ายหน้าทันควัน ปกติเวลาเห็นเกรย์คุยกับพี่การ์ดมักจะเป็นเรื่องงาน แล้วท่าทางตอนพูดคุยก็ไม่่ใช่ท่าทางสบายๆ แบบตอนอยู่กับเขาด้วย จะบอกว่า...น่ากลัวก็คงไม่ผิดนัก

“นิสัยตอนฉันอยู่กับลูกแกะคือนิสัยที่แท้จริง นิสัยตอนฉันอยู่กับพวกนั้นก็ใช่ แต่สถานะที่แตกต่างทำให้การแสดงออกไม่เหมือนกันก็เท่านั้น” เกรย์นิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดว่าควรพูดอะไรต่อให้คนฟังเข้าใจมากขึ้น “ลูกแกะเป็นคนสำคัญของฉัน ส่วนพวกการ์ดก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อน เป็นลูกน้องที่ไว้ใจได้ เพราะงั้นฉันถึงแสดงนิสัยที่แท้จริงได้โดยไม่ต้องปกปิด แต่กับคนอื่นที่ไม่สนิทก็เป็นอีกเรื่อง”

“อย่างพวกคู่ค้าหรือคนที่ทำธุรกิจร่วมกันใช่ไหม”

“ใช่” หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือนอกเหนือจากครอบครัว ลูกแกะ แล้วก็พวกการ์ดที่สนิทสนมกันมานาน พวกที่เหลือล้วนเข้าข่าย ‘คนอื่น’ ทั้งหมด “เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฉันมีความจำเป็นต้องสวมหน้ากากน่ะ เพราะงั้นที่คิงพูดก็ไม่ผิดหรอก”

“แต่คุณไว้ใจได้” ประมุขเถียง ขณะที่มือกอดเอวคนตัวสูงเอาไว้แน่น เหมือนจะไม่ชอบใจเท่าไหร่กับคำว่าไว้ใจไม่ได้ซึ่งถูกเอามาใช้กับคนสำคัญ แต่เมื่อถูกเชยคางให้เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าไม่พอใจก็แปรเปลี่ยนเป็นใสซื่อตามนิสัยของคนไม่คิดมากเหมือนเดิม

“แค่ลูกแกะไว้ใจฉันก็พอ” เพียงแค่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีฟ้าน่าหลงใหล ประมุขก็เผลอพยักหน้าแล้วตอบอืออาไปอย่างง่ายดาย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกกดหัวให้แนบลงกับอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นมั่นคงจนตาเริ่มปรือลงช้าๆ

“อืิอ...”

“นอนเถอะ”

ฝ่ามืออุ่นร้อนที่ช่วยลูบหัวลูบหลังให้สบายตัวทำให้สติของคนที่บ่นว่าง่วงเริ่มจางหายไปช้าๆ เกรย์ก้มลงมองคนในอ้อมกอดเมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักบนอกเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากคนง่วงหลับสนิทไปแล้ว ถึงอย่างนั้นสองแขนที่กอดเอวเขาไว้ก็ยังไม่ปล่อยออก ไม่รู้ว่ากลัวจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวหรือต้องการความอบอุ่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหนก็ทำให้เขาไม่คิดขยับไปที่ใดทั้งนั้น

พอลูกแกะพูดถึงหน้ากากขึ้นมาถึงได้รู้สึกตัว...

จะว่าไปก็หลายวันแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ใส่หน้ากากเข้าหาใคร คงเป็นเพราะทั้งวันเอาแต่ขลุกอยู่กับลูกแกะ หรือถ้าต้องไปทำงานก็จะมีคนส่งข้อความมาทำให้ยิ้มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหน้ากากการค้าหรือหน้ากากอื่นๆ ที่สวมไว้จึงหลุดออกอยู่บ่อยครั้ง

“ตอนฉันจำเป็นต้องสวมหน้ากาก นายคงไม่ทำให้ทุกอย่างพังนะ” เกรย์เขี่ยแก้มขาวๆ ของคนในอ้อมกอดเบาๆ จนเจ้าตัวส่งเสียงอือออาไม่พอใจพลางพลิกหน้าหนี เพียงแค่ได้เห็นท่าทีเล็กน้อยเหล่านี้ เขาก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงยามคนน่าเอ็นดูทำหน้าเอ๋อๆ หรือออดอ้อนใส่เลย

แบบนี้ต่อให้เขายกปืนจ่อหัวใครอยู่ ถ้าลูกแกะบอกให้หยุด เห็นทีเขาคงต้องหยุดตามคำสั่งเป็นแน่

“ก็เลือกแล้วนี่นะ...”

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าลูกแกะตัวนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของตัวเอง แต่หากต้องกลับไปเลือกทางเดินใหม่อีกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังยืนยันว่าจะเลือกทางเดิม

ได้แต่หวังว่าลูกแกะจะคิดเหมือนกัน...



---------------------------


TALK: ถ้าใครเคยอ่านจักรพรรดิมาแล้วสงสัยว่าคุณเกรย์เวลาใส่หน้ากากเป็นยังไง ให้คิดถึงตอนอยู่ในเรื่องนั้นเลยค่ะ นั่นคือหน้ากากยิ้มของเขาแหละ เราว่าคนที่แสดงบุคลิกออกมาได้หลายอย่างน่ากลัวนะ คุณเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เล่นละครเก่ง น่ากลัวววว

ปล.ที่หายไปนานเพราะเราพักมือค่ะ เคยแจ้งในหน้าเพจกับทวิตไว้ว่าปวดมือเลยต้องหยุดพิมพ์ไปช่วงหนึ่ง ท้ายตอนที่แล้วลืมบอกในหน้านิยายไป

สำหรับใครที่ต้องการติดตามข่าวงานเขียนของเรา ตามได้ทางเพจ Chesshire. หรือทวิต @Chesshire04 เลยค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-11-2018 19:40:35
เด๋วก็ชินกับหลายอารมณ์ของคนใกล้ตัว  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-11-2018 20:25:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 07-11-2018 23:59:02
เกรย์มีความเป็นแด๊ดดี้มากกกก
ปล. ขอให้มือหายเจ็บไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 08-11-2018 00:23:06
หลงน้องหนักมากอ่ะ ฟิน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 08-11-2018 03:14:17
ลูกแกะน้อยขี้อ้อน คุณเกรย์ใจบางหมดแล้วค่ะ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-11-2018 07:26:42
ประมุขมีความเด๋อมาก หรือคิดว่าคุ้นมาก
เลยดูชินกับเกรย์หรือเปล่า

ขนาดเกรย์ยังมีงง ว่าน้องเด๋อหรือเขินกลบ

ประมุขน่ารักนะ คิดบวก สดใส ที่สำคัญคือปลดล็อคเกรย์
ได้มีโมเมนท์คลอเคลีย ได้อ้อน แบบไม่ต้องขอ
แล้วเกรย์ก็ปลื้มมากด้วยที่มีน้องมาอ้อน มาใกล้

แต่หนูจะว่าพี่จักรแบบนั้นไม่ได้นะ 55555
พี่จักรไม่ได้โกหก แต่คนเรามีหลายมุม
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-11-2018 10:06:32
ลูกแกะก็คือลูกแกะ
น่ารักจังเลยคับบ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 08-11-2018 12:40:03
อยู่ในวงการแบบนี้มันก็ต้องแบบนี้แหละ ต้องสวมหน้ากากบ้าง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 10-11-2018 11:41:10
ลูกแกะน่ารักจังเลยค่ะ กับคุณเกรย์นี่เหมือนอยู่คนละขั้วกันแต่ก็เหมาะกันจริงๆ คุณเกรย์เลยหลงจะแย่แล้ว :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 15-11-2018 21:32:34
ประมุขดูน่าทะนุถนอม มากๆคุณเกรย์ยังต้องเกรงใจหนึ่งในสมาคมพ่อบ้านใจกล้ารอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 16-11-2018 20:09:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-11-2018 21:26:50
-5-


หลังจากขลุกอยู่กับกองหนังสือมานานหลายวัน ในที่สุดช่วงเวลาของการสอบปลายภาคก็ผ่านพ้นไป ช่วงปิดเทอมที่เคยคิดว่าน่าเบื่อกลายเป็นน่าตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อยามนี้มีคนอยู่เคียงข้างรอเดินทางไปหาครอบครัวพร้อมกัน ประมุขตื่นมาจัดกระเป๋าแต่เช้า เนื่องจากเมื่อวานทิ้งตัวลงเตียงหลับเป็นตายตั้งแต่หกโมง เพราะตาค้างอ่านหนังสือโต้รุ่งมาหลายวัน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมทำอาหารทิ้งไว้ให้คนที่ออกไปทำงานยังไม่กลับ

พอลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นว่าข้างกายมีใครบางคนนอนหลับอยู่ ซึ่งหมายความว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขาตื่นก่อนก็อารมณ์ดีขึ้นมาเฉยๆ ลูกแกะของเกรย์ย่องลงจากเตียงด้วยฝีเท้าที่คิดไปเองว่าเบาเหมือนแมว จากนั้นก็หันไปหยิบกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบออกมา คิดว่าจะจัดเสื้อผ้าให้เกรย์ด้วย แต่ทำไปแล้วครึ่งหนึ่งถึงนึกได้ว่าพวกเขายังไม่ได้คุยกันว่าจะอยู่ที่นั่นกี่วัน

“อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งเดือน... เพราะนัดกับภีมไว้ต้นเดือนหน้า”

เพราะคุยกันไว้แค่ว่าจะไปเที่ยวรอระหว่างที่ยังมีเวลาว่างจากนัด อีกทั้งเกรย์ยังต้องไปจัดการงานอะไรนิดหน่อยที่นั่นด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะเดินทางไปก่อนเวลา ในตอนแรกประมุขยังลังเลว่าจะไปหาพี่ก่อนดีหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็ต้องส่ายหน้า เพราะเขายังเกร็งเวลาอยู่กับพี่จักรสองคนไม่น้อย ให้ไปหาคนเดียวไม่มีเต้อยู่ด้วยคงทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวกับเกรย์ก่อนแล้วรอให้เต้กับพ่อมาค่อยไปหาพี่พร้อมกันน่าจะดีกว่า

“เหม่ออะไร ไม่จัดต่อแล้วเหรอ” เสียงทักจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หลุดจากภวังค์ ประมุขหันหน้ากลับไปหาคนเพิ่งตื่นที่นั่งมองเขาจากบนเตียง ก่อนจะส่งยิ้มสดใสต้อนรับวันใหม่ไปให้

“อรุณสวัสดิ์ครับ ผมว่าจะจัดกระเป๋าให้คุณด้วย แต่ไม่รู้ว่าเราจะไปกันนานแค่ไหน...”

“ใส่กระเป๋าได้แค่ไหนก็เอาไปแค่นั้น ถ้าไม่พอหรือต้องใช้อะไรเพิ่มเติมค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้” เกรย์บอกแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ โดยไม่ลืมเดินเข้าไปลูบหัวลูกแกะเป็นการทักทายในยามเช้าเหมือนเช่นทุกวัน “นั่งจัดไปก่อน ฉันอาบน้ำเสร็จจะออกมาช่วย”

“อื้อ”

ประมุขนั่งพับผ้าใส่กระเป๋าอย่างตั้งใจ ปกติช่วงที่อยู่ด้วยกันกับพี่ชาย ไม่มีใครคอยดูแล เขากับเต้ก็ผลัดกันทำงานบ้านพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ใช้เวลาอยู่สิบยี่สิบนาทีกระเป๋าเสื้อผ้าส่วนตัวก็จัดเสร็จ เป็นเวลาเดียวกันกับที่เกรย์ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“เสร็จแล้วเหรอ”

“เหลือของคุณครับ ผมกำลังพับอยู่” เขาหันไปตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน หยิบชุดสูทที่เลือกไว้ไปส่งให้ด้วยตัวเอง เกรย์จะได้ไม่ต้องเดินข้ามมาหน้าตู้เสื้อผ้าที่ตอนนี้มีกระเป๋าเดินทางวางขวางอยู่ “ใส่ชุดนี้ได้หรือเปล่า คุณต้องไปทำงานด้วยใช่ไหม”

“ชุดไหนก็ได้” คนที่ไม่เคยมีใครมาทำอะไรแบบนี้ให้ยกยิ้มจาง ยื่นมือไปรับเสื้อผ้าและลูบแก้มคนน่ารักแถมไปอีกที

“เกรย์”

“หืม”

“คุณมาอยู่ไทยนานๆ แบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ” ประมุขถามด้วยความสงสัย เพิ่งนึกได้ว่าอีกคนจะขลุกอยู่ที่นี่กับเขาไปอีกเป็นเดือน ถึงจะไม่รู้ว่าปกติเกรย์ทำงานอะไรบ้าง แต่ดูจากการวางตัวและการ์ดที่ติดตาม ไหนจะเรื่องศัตรูอะไรอีก ยังไงก็น่าจะยุ่งพอควร

“อา... ไม่เป็นไรหรอก คิดซะว่ามาพักร้อน” คนพูดไหวไหล่ไปมาแบบสบายๆ ขณะเริ่มแต่งตัวช้าๆ โดยไม่อายสายตาของคนที่ยืนอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย “ฉันเป็นแค่เจ้าของธุรกิจธรรมดาๆ ค่อนข้างจะมีอิสระอยู่ไม่น้อย ลูกแกะไม่ต้องเป็นห่วง”

เจ้าของธุรกิจธรรมดาๆ... มองยังไงก็เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

“ผมยังไม่ถามเรื่องนี้ดีกว่า” ประมุขส่ายหน้าแล้วเดินกลับไปจัดกระเป๋าต่อ โดยมีแววตาประหลาดใจของคนที่คิดว่าน่าจะโดนซักฟอกมองตามไปด้วย

“ทำไมล่ะ คิดว่าพูดแบบนี้แล้วลูกแกะจะถามต่อซะอีก”

“สมองผมยังไม่พร้อมรับเรื่องเครียดๆ” ว่าจบก็ยกมือนวดขมับเหมือนจะบอกว่ามันปวดจริงๆ นะเนี่ย “คุณก็เห็นว่าตอนอ่านสอบสองตัวสุดท้ายอาการผมแย่ขนาดไหน บอกเลยว่าตอนนี้รอยหยักหายไปหมดแล้ว ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นค่อยพูดเรื่องเครียดๆ เนอะ”

คำตอบของคนไม่ชอบคิดมากน่าเอ็นดูเสียจนเกรย์อดไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้าวเดินเข้าไปกอดเจ้าของร่างผอมที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยความมันเขี้ยว หากไม่กลัวลูกแกะไหวตัวทันแล้วชิ่งหนีไปก่อน เขาคงจับอีกฝ่ายฟัดจนเยินไปแล้ว

“มาช่วยกันเก็บของแล้วรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันกินข้าวเช้า”

“ครับ”

พอได้ใช้เวลาไปกับการจัดของจริงๆ ไม่ใช่หยอกล้อกันไปด้วยแบบสบายๆ เพียงแค่สิบนาทีกระเป๋าเดินทางใบโตสองใบก็พร้อมสำหรับการเดินทาง ประมุขรีบวิ่งออกไปทำกับข้าวสำหรับสองคน แต่มองนาฬิกาไปก็เครียดไป คิดว่าถ้ายังเสียเวลาอยู่คงไม่ทันแน่ๆ สุดท้ายจึงจบลงด้วยการจัดข้าวใส่กล่องเอาไปกินบนรถ เล่นเอาคนที่นั่งเช็กงานรออยู่มองตามด้วยความมึนงง

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้นะ”

“ไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่ทันขึ้นเครื่อง รีบไปเถอะครับ” ว่าจบก็กวักมือเรียกแล้ววิ่งไปลากกระเป๋าสองใบออกมาจากห้อง เอาไปส่งให้พี่การ์ดที่ยืนรออยู่ด้านนอกด้วยความว่องไว

เกรย์มองสภาพรีบร้อนวุ่นวายของลูกแกะด้วยรอยยิ้ม ไม่คิดห้ามอะไรแม้เขาจะไม่เคยรีบถึงขนาดเอาข้าวไปกินบนรถเลยก็ตาม อันที่จริงก็อยากจะบอกอยู่ว่าเครื่องบินส่วนตัวมันไม่จำเป็นต้องไปรอก่อนเวลา แต่ขืนพูดไปตอนนี้ลูกแกะน้อยคงเสียกำลังใจแย่ อุตส่าห์เตรียมการทุกอย่างพร้อมเชียว

“เสร็จแล้วเหรอ”

“เหลือแค่อุ้มคุณไปขึ้นรถแล้ว” คำพูดจริงจังที่ไม่ได้ตั้งใจให้ตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังได้เป็นอย่างดี นี่ถ้าไม่กลัวลูกแกะหลังหัก เขาก็อยากจะลองให้มาอุ้มไปขึ้นรถดูเหมือนกัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเสียงบ่นงุ้งงิ้งไปตลอดทางจะน่าฟังขนาดไหน

“งั้นไปกันเถอะ”

เกรย์จูงมือลูกแกะเดินออกไปขึ้นรถด้วยกัน สายตายังคงลอบมองท่าทีร้อนใจเหมือนกลัวไปไม่ทันขึ้นเครื่องของคนข้างกายด้วยความเอ็นดู ยิ่งเห็นเจ้าตัวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยิ่งชอบใจ เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เฉลยออกไป และไม่ลืมหันไปส่งสายตาบอกการ์ดคนอื่นๆ ให้ทำแบบเดียวกันด้วย

“กินข้าวก่อนนะครับ” ถึงจะเครียดขนาดไหน ลูกแกะกินจุก็ยังไม่ลืมหยิบเอาอาหารออกมาเปิดกล่องยื่นให้ เกรย์มองท่าทางนั้นแล้วยิ้มขำ รับกล่องข้าวผัดกลิ่นหอมมาถือไว้แล้วตักเข้าปากตามคำบอกโดยไม่ได้พูดอะไร

ตอนที่เดินทางไปถึงสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวซึ่งมีพนักงานต้อนรับและนักบินยืนรอพร้อมสรรพคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด หน้าตาของลูกแกะน้อยที่ถูกหลอกต้มจนเปื่อนน่ารักจนต้องส่งสัญญาณให้ลูคัสถ่ายภาพไว้ให้ ท่าทางราวกับโลกจะถล่มลงตรงหน้าทำเอาการ์ดบางคนหลุดยิ้มออกมาอย่างหมดมาด

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะตกเครื่อง” เอ่ยแซวจนถูกถลึงตาใส่หนึ่งทีแล้วเกรย์ก็โอบไหล่พาลูกแกะเดินขึ้นเครื่องอย่างอารมณ์ดี

จะว่าไปแล้วการได้หยอกล้อกันแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีอยู่ไม่น้อย เพราะมันทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขาลดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ต่อให้พูดคุยกันมานาน แต่สำหรับคนที่เพิ่งได้เจอหน้า ถึงจะมีความรู้สึกพิเศษต่อกันอย่างไรก็คงต้องเกร็งอยู่พอสมควร แม้หลังจากที่ได้นอนบนเตียงเดียวกันมาหลายวัน เกรย์จะคิดว่าลูกแกะคงไม่มีความคิดแบบนั้นเหลืออยู่แล้วก็ตาม

ช่างเป็นคนง่ายๆ เสียเหลือเกิน... แต่ก็เพราะเป็นคนง่ายๆ นี่แหละ เขาถึงปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เลย

“เครื่องบินสวยมากเลย...” คนลืมง่ายที่เปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่าอะไรดีพึมพำขณะมองสำรวจเครื่องบินส่วนตัวไปมาด้วยความสนใจ จากที่ตอนแรกแกล้งทำเป็นหัวร้อนใส่เพราะถูกหลอก ตอนนี้ถูกความสวยงามของบรรยากาศโดยรอบดึงดูดความสนใจไปจนหมดแล้ว

เกรย์หัวเราะหึหึในลำคอเมื่อเห็นท่าทีของลูกแกะ ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าเป็นคนสบายๆ มาวันนี้เขาเชื่อแล้วว่ามันคือความจริง เพราะนอกจากเรื่องที่ยอมลืมความหัวร้อนเพียงเพราะเขายื่นขนมให้แล้วชวนดูบรรยากาศ ยังมีเรื่องโทรศัพท์ที่เขาบอกว่าขอยืมหน่อยแล้วเจ้าตัวก็ยื่นให้ง่ายๆ โดยไม่ถามอะไรสักคำด้วย

จะว่าไปแล้ววันนั้นที่เขาเข้าไปตอบไอจีแทนก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ เผลอๆ คงไม่ได้เข้าไปเช็กเลยด้วยมั้ง

“ลูกแกะ”

“ครับ” คนหน้ายิ้มหันมาพยักหน้าหงึกหงักรอฟังคำถามอย่างตั้งใจ

“รู้ไหมว่าเมื่อหลายวันก่อนฉันยืมโทรศัพท์ไปทำอะไร”

“ไม่รู้”

“เอาไปใส่เครื่องติดตามแบบพิเศษ แล้วก็ปรับอะไรในนั้นอีกนิดหน่อย” เกรย์เท้าคางกับที่วางแขน ตาจ้องมองลูกแกะด้วยความสนใจ อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าบอกไปอย่างนี้แล้วจะได้รับปฏิกิริยาแบบไหนตอบกลับมา

“ว้าว...” แล้วก็ตามคาด ประมุขแสดงปฏิกิริยาที่เขาไม่คาดคิดด้วยการทำตาแวววาว มือหยิบโทรศัพท์ที่ถูกปิดเครื่องเอาไว้ออกมาดูด้วยความตื่นเต้น “หมายความว่าตอนนี้มันไม่ใช่โทรศัพท์ธรรมดาใช่ไหม เหมือนพวกสายลับเลยหรือเปล่า”

“หึหึ ไม่ขนาดนั้นหรอก”

“แล้วพวกพี่การ์ดของคุณล่ะ พวกเขาต้องมีอุปกรณ์พิเศษอะไรแบบนั้นไหม”

พอเห็นท่าทีของเด็กที่ชอบดูหนังบู๊เป็นชีวิตจิตใจ เกรย์ก็ได้แต่กลืนเสียงหัวเราะลงคอ ทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปตามความจริง

“ถ้าตอนที่ต้องทำงานจริงๆ จังๆ ก็อาจจะมีบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่เกินจริงไปมากแบบที่นายคิดหรอก”

“งั้นเหรอ...” ประมุขสลดลงเล็กน้อยเมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด หลังจากนั้นก็นั่งทำหน้าเหมือนเด็กอดได้ของเล่นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง กระทั่งตอนที่จะลงจากเครื่องแล้วก็ยังหน้าหงอยไม่หาย

แล้วแบบนี้เกรย์จะทำอะไรได้...

“อุปกรณ์อาจจะไม่พิเศษเหมือนในหนัง แต่เรื่องคิวบู๊น่าจะคล้ายคลึงอยู่นะ ถ้าอยากรู้เรื่อง ตอนว่างๆ ก็ไปขอให้วิคเตอร์เล่าให้ฟังแล้วกัน”

“ได้เหรอ” ลูกแกะน้อยกลับมาทำตาโตด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง บ่งบอกชัดเจนว่าชอบหนังมากจริงๆ และถ้าได้เห็นอะไรแบบในหนังก็คงจะตื่นเต้นจนตาวาว นี่ขนาดบอกให้เล่าเฉยๆ ยังดีใจขนาดนี้เลย

“ได้สิ” เกรย์ลูบหัวคนข้างกายเบาๆ ก่อนจะจูงมือให้เดินลงไปจากเครื่องพร้อมกัน “เดี๋ยวฉันต้องไปธุระก่อน ลูกแกะไปรอที่ที่พักนะ ระหว่างนั้นถ้าเบื่อก็เรียกวิคเตอร์ให้เข้าไปเล่าเรื่องภารกิจที่เคยทำให้ฟังแล้วกัน”

“อื้อ” คนฟังพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่คิดก้าวก่ายถามเลยสักนิดว่าเขาจะไปไหน “ว่าแต่...ภารกิจพวกนั้นมันไม่ใช่ความลับเหรอครับ ปกติต้องเล่าให้ฟังไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

เกรย์หัวเราะออกมาอีกครั้งขณะเดินไปส่งลูกแกะน้อยจนถึงรถที่ต้องแยกกันไปคนละคัน เขาหันไปพยักหน้าให้วิคเตอร์เป็นการออกคำสั่ง เพียงเท่านั้นบอดี้การ์ดหนุ่มก็เดินไปเปิดประตูข้างคนขับอย่างรวดเร็ว

“ฉันบอกว่าได้ก็คือได้” เขาหมุนตัวไปเผชิญหน้าคนที่เดินตามหลังมา มือยกขึ้นจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงเพราะเจ้าตัวถูไถไปมากับเบาะนิ่มบนเครื่องให้อย่างอ่อนโยน “เป็นเด็กดีแล้วรออยู่ที่ห้อง ถ้าอยากได้อะไรก็บอกวิคเตอร์ เข้าใจไหม”

“ครับ ผมจะรอกินข้าวพร้อมคุณนะ”

“ฉันจะรีบกลับ”









จากที่เคยคุยกันไว้ว่าจะไปเที่ยว กลายเป็นเกรย์ต้องจัดการงานทางไกลอยู่นานถึงหนึ่งอาทิตย์ ชายหนุ่มเอาแต่นั่งจ้องจอโน้ตบุ๊ก คุยกับประมุขได้แป๊บเดียวก็ต้องกลับไปรับโทรศัพท์ต่อ ภาษาฝรั่งเศสที่ใช้พูดคุยกับปลายสายทำให้ประมุขไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไร แต่แค่เห็นสีหน้าเยือกเย็นไม่เหมือนปกติของเกรย์ เขาก็รู้แล้วว่าไม่ควรถามอะไรในตอนนี้

โชคยังดีที่ช่วงเวลากินข้าวคนน่ากลัวจะวางภาระทุกอย่างลงแล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะ แววตาที่จับจ้องเขาดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ต่างจากเวลาทำงานโดยสิ้นเชิง แม้จะรู้สึกดีแต่ก็ต้องยอมรับว่าบางทีก็หวาดกลัวท่าทางที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเหล่านั้นอยู่เหมือนกัน แต่ประมุขก็ยังเป็นประมุขคนเดิม...

เขาเป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว และการได้รับสิทธิ์พิเศษจากคนสำคัญมันก็น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อย ถ้ามีคนอิจฉาก็จะยืดอกอวดให้เห็นจะๆ ไปเลย

“ไปห้างกันไหม” เสียงถามจากทางด้านหลังทำให้มือที่กำลังจิ้มจอโทรศัพท์หยุดกึก ลูกแกะสายพันธุ์ใหม่ มีตาสะท้อนแสงได้หันขวับกลับไปเกาะขาคนพูดแทบจะทันที

“งานเสร็จแล้วเหรอ”

“ยัง” จบคำใบหน้าตื่นเต้นของคนถามก็หงอลงทันควัน แต่ยังไม่ทันได้บอกว่าไม่เป็นไรก็ถูกบีบแก้มแล้วบังคับให้กลับไปสบตากันเหมือนเดิมเสียก่อน “แต่อยากพาลูกแกะไปเดินเล่น วันนี้ไปได้แค่ใกล้ๆ เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จแล้วค่อยไปที่ไกลๆ กันนะ”

“อื้อ” ประมุขยิ้มกว้าง รีบวิ่งตึงตังกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่ต้องให้บอก ทิ้งให้คนมองตามส่ายหน้าหน่ายด้วยความเอ็นดู

เป็นลูกแกะที่มีพลังงานล้นเหลือจริงๆ...

เกรย์ยกนาฬิกาข้อมือราคาแพงขึ้นดูเวลา ในหัวคำนวณแผนการเงียบๆ และเมื่อมีข้อความรายงานเด้งมาทางโทรศัพท์ว่าคนที่รอเดินทางไปที่ห้างแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ รอให้ลูกแกะเดินออกมาจากห้องแล้วจึงเดินทางไปพร้อมกัน

ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในตัวเมืองอยู่ห่างจากโรงแรมห้าดาวที่พวกเขาพักไปไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางสิบนาทีก็ถึงจุดหมาย เกรย์ยังคงมีคนตามติดเป็นจำนวนมากเหมือนเคย นอกจากรถคันที่นั่งมายังมีรถการ์ดวิ่งนำและวิ่งตามอีกสองคัน ทว่าเมื่อไปถึง การ์ดทุกคนก็แยกย้ายกันไปคนละทางอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงวิคเตอร์กับอเล็กซ์ที่ตามเข้าไปข้างในด้วยเท่านั้น

“เกรย์... ลูคัสไปไหนเหรอ ผมไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว” ประมุขหันไปถามคนข้างกายที่กำลังก้มกดโทรศัพท์อยู่ด้วยความสงสัย เพราะปกติลูคัสดูจะเป็นคนที่สนิทกับเกรย์มากที่สุดแล้วก็ไปทำงานด้วยกันบ่อยๆ เห็นวิคเตอร์บอกว่าลูคัสเป็นหัวหน้าทีมนี้ เขาจึงคิดมาว่าตลอดว่าอีกฝ่ายต้องอยู่ข้างเกรย์ตลอดเวลา

“ลูคัสไปจัดการธุระให้ฉันน่ะ เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอ”

“อ๋อ…” คนฟังพยักหน้าอย่างว่าง่าย “งั้นเราไปทำอะไรกันดี”

“แล้วแต่ลูกแกะเลย”

ได้ยินแบบนั้นประมุขก็ไม่เกรงใจอีก เขาจัดการดึงแขนคนข้างกายให้เดินไวๆ ตามไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาแวววาวเป็นประกายสอดส่องมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรทำด้วยความตื่นเต้นตามประสาคนเก็บกดที่ขลุกอยู่กับหนังสือมานานจนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเสียที

แม้ครั้งนี้พวกเขาจะไม่ได้เดินมากันเป็นสิบ มีการ์ดตามเป็นแถว หากรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของคนทั้งสี่ก็ยังดึงดูดสายตาได้ไม่น้อยอยู่ดี เกรย์รับแว่นตาสีชาจากวิคเตอร์มาสวมเพื่อป้องกันสายตาน่ารำคาญของคนรอบข้าง ดีที่หันไปเห็นลูกแกะของเขาดูร่าเริงไม่สนใจโลกเลยแม้แต่น้อย อารมณ์ดีๆ ที่ถูกรบกวนจึงยังคงอยู่เหมือนเดิม

“คุณว่าผมไปซื้อของฝากเตรียมไว้ให้พี่เลยดีไหม” คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันกลับมาถามความเห็นด้วยสีหน้าไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ เห็นแบบนั้นแล้วเกรย์ก็ได้แต่พยักหน้าเออออ ทั้งที่จริงๆ เขาควรจะบอกว่าเหลือเวลาอีกตั้งสามอาทิตย์ ค่อยหาซื้อตอนอาทิตย์สุดท้ายก็ยังไม่สาย แต่เอาเถอะ...

“นายครับ...” น้ำเสียงจริงจังของวิคเตอร์ทำให้เกรย์ต้องชะลอเท้าลงเล็กน้อย ปล่อยให้ลูกแกะเดินนำหน้าไปโดยมีอเล็กซ์เดินตามอยู่ไม่ห่าง

“มาแล้วใช่ไหม”

“ครับนาย ‘แมลงวัน’ รออยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนจะเดินตามมาสักพักแล้ว”

“อืม…”

“ดูเหมือนคุณคิงจะอยู่ที่นี่ด้วยครับ”

“คิงอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”

“ครับนาย ตอนนี้กำลังเดินไปร้านอาหารกับผู้ชายอีกคน นายจะไปพบคุณคิงเลยหรือเปล่าครับ”

“ยังก่อน เดี๋ยวพาลูกแกะเดินเล่นสักพักแล้วจัดการแมลงน่ารำคาญเสร็จค่อยไปเจอ” ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางด้านขวามือ พอเห็นชายผู้หนึ่งซุ่มมองลูกแกะของเขาด้วยแววตาเป็นประกาย รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“เกรย์... โอ๊ย!”

ผัวะ!

เหตุการณ์ที่ดูเป็นปกติมาโดยตลอดคล้ายจะกลายเป็นความวุ่นวายกะทันหัน เมื่อลูกแกะน้อยหันกลับมาหาเขาพร้อมรอยยิ้ม ในเวลาเดียวกันกับที่มีชายตัวใหญ่ตรงเข้าไปชนอีกฝ่ายจนตัวเซ โชคดีที่อเล็กซ์รับร่างที่เอนจะล้มเอาไว้ทัน ก่อนจะหันไปต่อยสวนกลับทีเดียวจนชายร่างใหญ่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น หัวใจของเกรย์ที่เกือบจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะเห็นลูกแกะร้องด้วยความเจ็บปวดจึงยังทนได้อยู่

“ลูกแกะ” เขาก้าวไวๆ เข้าไปหาคนที่ยังกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะรั้งคนตัวผอมเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตัวเองแล้วใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวทุยเบาๆ เพื่อปลอบประโลม จนลูกแกะหันกลับมากอดเอาไว้แน่น

เกรย์ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองมา เขาหันไปพยักหน้าให้อเล็กซ์จัดการตรงนั้นต่อ แล้วส่งสัญญาณให้วิคเตอร์เรียกคนอื่นเข้ามาแทน

“เกรย์...”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“คนเมื่อกี้” ลูกแกะกระซิบเสียงค่อย หัวยังซุกอยู่กับอกเขา แม้ตอนนี้จะนั่งลงบนม้านั่งบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านแล้วก็ตาม “คนเมื่อกี้เขากระซิบบอก...”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาอ่อนโยนฉายแววดุดันขึ้นมาทันควัน เมื่อรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นการตั้งใจทำเพื่อบอกสารบางอย่างแก่คนของเขา

“มันพูดว่าอะไร”

“เขาบอกให้...เลิกยุ่งกับคุณ” เสียงพูดแผ่วเบาราวกระซิบกับแรงกอดรั้งเอวที่แนบแน่นกว่าเดิมทำให้ความขุ่นมัวในใจของคนที่ใกล้จะเดือดเป็นไฟจางหายไปกว่าครึ่ง เกรย์ข่มความดำมืดเอาไว้ภายใน ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความออกคำสั่งให้อเล็กซ์คาดคั้นเอาข้อมูลจากไอ้ลูกกระจ๊อกนั่นมาให้หมด

“แล้วลูกแกะจะเลิกยุ่งกับฉันหรือเปล่า”

“ไม่” หัวทุยที่ซุกอยู่กับอกเขาส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพียงเท่านั้นเกรย์ก็ยิ้มกว้าง สองมือประคองแก้มใสให้เงยขึ้นมองกันแล้วจูบลงบนหน้าผากขาวเพื่อให้รางวัลอย่างอ่อนโยน

“เก่งมาก” เขาชมแล้วดึงลูกแกะเข้ามากอดอีกครั้ง โดยไม่ลืมเหลือบไปมองคนที่แอบซุ่มดูอยู่ซึ่งกำลังกัดฟันกรอดพร้อมส่งยิ้มไปให้ ถึงจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาแทรกก็ยังมีโอกาสแสดงความรักให้แมลงน่ารำคาญดูอยู่ดี เห็นแบบนี้จะได้เลิกหวังสูง คิดอยากแย่งลูกแกะไปเสียที

หลังจากเห็นชื่อของคนที่ทักลูกแกะมาแบบไม่เกรงกลัวในไอจี เกรย์ก็จดจำใบหน้านั้นเอาไว้ในใจ โดยไม่คิดทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคาม แต่คาดไม่ถึงว่าการได้มาเหนือในครั้งนี้จะทำให้ได้พบเจอกับแมลงน่ารำคาญนั่นโดยบังเอิญที่ร้านดอกไม้ของภีม คนสำคัญของเพื่อนเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน กลายเป็นจากที่จะได้เจอเพื่อนต้องเลื่อนไปทีหลัง แล้วเอาเวลาไปเตือนให้เลิกยุ่งกับคนของตัวเองแทน แน่นอนว่าการพูดเตือนกันด้วยหน้ากากยิ้มแย้มคงทำให้กลัวไม่ได้ เขาจึงบอกให้มาที่ห้างในวันนี้ เพื่อให้แมลงนั่นได้เห็นกับตาตัวเองว่าลูกแกะตัวนี้เป็นของใคร

“ยังอยากไปซื้อของอยู่หรือเปล่า” เกรย์ก้มหน้าถามคนในอ้อมแขนอีกรอบ ซึ่งก็ได้รับการส่ายหน้าตอบกลับมา ตัวเขาเข้าใจดีอยู่แล้ว เพราะต่อให้ทำเหมือนไม่ได้กลัวมากมาย หากมือที่เกาะกันไว้ไม่ปล่อยก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกแกะหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย

“กลับห้องก่อนได้ไหม เอาไว้วันหลังค่อยมาใหม่นะ”

“ได้” เขาพาลูกแกะเดินไปด้านนอก พาไปส่งถึงรถ แต่ไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย “ลูกแกะกลับไปพร้อมวิคเตอร์ก่อนได้หรือเปล่า”

“คุณมีธุระเหรอครับ”

“อืม คนของฉันบอกว่าคิงอยู่ที่นี่ คงต้องไปทักทายสักหน่อย หรือนายอยากไปด้วยกันไหม”

แม้จะเป็นห่วงคนที่ต้องกลับไปก่อน แต่เกรย์ก็ไม่อาจปล่อยเวลาไปมากกว่านี้ ยิ่งได้เห็นว่าลูกแกะถูกเตือนให้ออกห่าง เขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าจะต้องรีบจบศึกระหว่างเพื่อนกับแม่มดเสียที เพราะไม่ว่าแม่นั่นจะเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่การต้องจัดการเรื่องพวกนี้พร้อมๆ กันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

“ผม...กลับก่อนดีกว่า” ลูกแกะน้อยที่ยังไม่พร้อมจะเจอพี่ชายคนโตส่ายหน้า มือเอื้อมมาจับปลายนิ้วของเขาแล้วส่ายไปมาเบาๆ “คุณรีบกลับนะครับ”

“เข้าใจแล้ว” คนที่ถูกเร่งแบบอ้อนๆ ตอบรับพร้อมรอยยิ้มยืนยัน “ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงฉันจะตามกลับไป ดูหนังรอไปก่อนนะ”

“อื้อ”

หลังจากส่งลูกแกะขึ้นรถไปแล้ว เกรย์ก็เดินกลับเข้าไปในตัวห้างอีกครั้ง คราวนี้เพื่อจัดการธุระเรื่องแมลง แล้วก็เดินมั่วๆ ให้ไปเจอเพื่อนสนิทโดย ‘บังเอิญ’ หากเมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านใน การ์ดคนหนึ่งของเขาก็เดินตรงเข้ามาหา มือลากแขนของชายหนุ่มที่ได้รับฉายาว่าแมลงให้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า และเพียงแค่ได้สบตากัน เกรย์ก็ฉีกยิ้มกว้าง หยิบหน้ากากที่ถูกใช้เป็นประจำกับคนไม่สนิทออกมาใส่

“ไง มาจริงๆ ด้วยสินะ”

“ปล่อยกู!”

“จุ๊ๆ อย่าพูดหยาบคายสิ ไอไม่คิดเลยนะเนี่ยว่ายูจะมาจริงๆ” ภาษาไทยแปร่งๆ ที่พอจะใช้สื่อสารได้บ้างถูกพูดออกไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับตัวตนที่แท้จริงของเขาโดยสิ้นเชิง “ทีนี้จะเลิกยุ่งกับคนของไอได้หรือยังหือ”

“กู…”

“นายครับ”

ชายหนุ่มยกมือห้ามไม่ให้แมลงน่ารำคาญพูด ก่อนจะหันไปสนใจการ์ดที่เดินเข้ามากระซิบข้อความบอกว่าเพื่อนของเขาอยู่ในร้านอาหารแล้วแทน

“อา... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปด้วยกันเลยแล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินนำไปที่ร้านอาหาร ปล่อยให้การ์ดลากคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกให้ปล่อยมือเดินตามมาด้านหลัง กระทั่งไปถึงร้านอาหารซึ่งเป็นจุดหมายแล้ว เกรย์ก็คีบแขนเสื้อแมลง ลากให้เดินเข้าไปในร้านด้วยตัวเอง

(ต่อด้านล่าง)
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.4]=[P.3]==[06/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 23-11-2018 21:27:10



“คิง?” เขาแสร้งส่งเสียงประหลาดใจ เมื่อเดินไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคุ้นเคยซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์โดยที่ข้างกายมีชายหนุ่มท่าทางสุภาพนั่งอยู่ด้วยอีกคน

อา... คงจะเป็นคนสำคัญของเพื่อนเขาสินะ

“เกรย์” คนที่ไม่ได้เจอมานานนับปีหันมาเลิกคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ เป็นเวลาเดียวกันกับที่คนตัวขาวที่นั่งอยู่ด้านข้างหันมาสบตาเขาพอดี เกรย์มองใบหน้าสะอาดสะอ้านของคนที่ดูร้ายลึกด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะแพ้ทางคนแบบนี้ แต่เอาเถอะ...

“ปล่อยกู!”

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”

เกรย์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะใช้มือดันแมลงที่น่าจะเอามาใช้ประโยชน์ได้เข้าไปนั่งติดกระจกแล้วแทรกตัวนั่งปิดทางออกไว้ พอได้มองหน้าเพื่อนที่ดูสงสัยอย่างเห็นได้ชัดก็ยักไหล่ ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับพูดเรื่องจริงทั้งที่โกหกแทบทุกคำ

“ตอนแรกจะมาหายูนั่นล่ะ แต่พอดีเจอหมาบางตัวคิดจะโขมยกระดูกซะก่อน...” คงจะมีแค่เรื่องหมาคิดโขมยกระดูกที่เป็นเรื่องจริง “เลยเลื่อนเวลาไปหน่อย กะจะไปหายูอาทิตย์หน้า ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอที่นี่พอดี”

“อืม” จักรพรรดิรับคำสั้นๆ หากดวงตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อสิ่งที่เกรย์พูดเลยแม้แต่คำเดียว

“ว่าแต่นั่นคือ...” คนหน้าหนาลากเสียงยาวขณะหันไปมองแขกอีกคนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“อย่ามายุ่งกับคนของฉัน” ภาษาฝรั่งเศสดุดันพร้อมแววตาเชือดเฉือนที่มองมาไม่ได้ทำให้เกรย์หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่เห็นเพื่อนสนิทเป็นได้มากถึงขนาดนี้

“โอเคๆ” สองมือยกขึ้นข้างศีรษะเป็นเชิงบอกยอมแพ้ ทว่าปากกลับยกยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่ภาษาก็ยังเลือกใช้ภาษาไทยที่ไม่ถนัด บอกให้รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาพูดเรื่องสำคัญอะไร “ว่าแต่ทำไมยูไม่ติดต่อมาเสียที”

“กำลังจะติดต่อไป แต่นายมาก่อน” คนพูดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปใช้ภาษาฝรั่งเศสที่คนบนโต๊ะฟังไม่ออกอีกครั้ง “มีคนจับตาดูฉันอยู่”

“หืม…”

“การที่นายมาที่นี่ด้วยตัวเองจะทำให้ฝั่งนั้นรู้ตัวเร็วขึ้น มินตราคงจะรู้แล้วว่าฉันคิดจะทำอะไรบางอย่าง”

“ยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่” เกรย์ตอบเป็นภาษาบ้านเกิด ใบหน้ากลับมาเฉยชาอีกครั้งเมื่อต้องพูดเรื่องจริงจัง “ทำให้เห็นแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงเธอก็ไม่กล้าทำอะไรเกินกว่าเหตุอยู่แล้ว”

“แล้วเรื่องบริษัทเป็นยังไง”

“กว้านซื้อหุ้นมาหมดแล้ว อยากจะบีบให้ตายก็ทำได้ แต่ในเมื่อนายอยากจัดการเองก็แล้วแต่ อย่าให้มันนานเกินไปก็แล้วกัน”

“เรื่องนี้ไปคุยกันที่อื่น” จักรพรรดิเอ่ยเมื่อรู้สึกเหมือนคนที่เกรย์พามาและรู้จักกับคนของเขาฟังภาษาฝรั่งเศสรู้เรื่อง ดวงตาล่อกแล่กที่ลอบมองมาหลายทีบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวตั้งใจฟังอยู่ และเมื่อเห็นเกรย์พยักหน้า เขาจึงหันไปพูดกับคนข้างกายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  “ภีม...พี่ขอไปเดินเล่นกับเกรย์หน่อยนะ”

ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังร่ำลากัน ชายหนุ่มตาฟ้าก็หันกลับไปหาแมลงน่ารำคาญที่มองเขาแบบหวาดๆ อีกครั้ง พร้อมกันกับที่รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า แทนที่รอยยิ้มร่าเริงในตอนแรกซึ่งเป็นเพียงหน้ากากจอมปลอม

“อยู่เป็นเพื่อนคนของคิงจนกว่าเขาจะขอตัวไปเอง แล้วก็อย่ายุ่งกับคนของฉันอีก เพราะครั้งหน้าจะไม่ใช่การเตือนเด็กๆ แบบนี้แน่” จบคำเขาก็ผุดลุกขึ้นเต็มความสูง เข็นรถวีลแชร์พาเพื่อนเดินออกไปด้านนอกโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังอีกเลย

เมื่อได้มาอยู่กับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเห็นสันดานกันมาตั้งแต่เด็ก เกรย์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่หน้ากากอีก เขาคลายรอยยิ้มน่ารำคาญที่ไม่ได้มาจากใจ ให้การ์ดคนหนึี่งเข้ามาเข็นรถเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมๆ กันแทน

“นายต้องรีบจบเรื่องได้แล้ว” เกรย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพราะให้คำสัญญาว่าจะให้คิงตัดสินใจทุกอย่างตั้งแต่แรก แม่มดคงถูกจัดการไปนานแล้ว

“หลักฐานครบแล้วหรือไง”

“ก็มากพอจะทำให้เข้าไปอยู่ในคุกได้ แต่ถ้าต้องการมากกว่านี้ ไม่ให้เหลืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียว ก็ต้องลากทรัพย์สินอย่างบ่อนใต้ดินพวกนั้นออกมาด้วย”

“จัดการเลย”

“หืม... ยอมลุยต่อแล้วเหรอ”

คนฟังเพียงเหลือบตามองด้วยแววตาเย็นชาโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะมั่นใจว่าเกรย์รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาโดนบีบให้กลับมาลงสนามต่อ

“ฉันไม่ต้องการให้ภีมเป็นอันตราย”

“พอถึงเวลาตัดสินใจให้เด็ดขาดแบบนี้ก็แล้วกัน” คนรู้ทันพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่มีสายเข้าขึ้นมาดู “เดี๋ยวจะให้คนพากลับไปหาคนของนาย ไว้เจอกัน”

“อืม”

เกรย์หมุนตัวเดินไปอีกทาง พร้อมกดรับสายของวิคเตอร์ด้วยความรู้สึกกังวลใจแบบแปลกๆ ตอนนี้เขาโยนหน้าที่เกี่ยวกับงานให้ลูคัสทำ โดยให้วิคเตอร์รับหน้าที่ดูแลลูกแกะเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะโทรมาพูดเรื่องงาน

“หนึ่งประโยค” น้ำเสียงที่ถูกกดต่ำลงทำให้ปลายสายสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และในวินาทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท คนที่ใจเย็นได้กับทุกเรื่องก็ออกตัววิ่งเต็มฝีเท้า มุ่งหน้าไปที่รถโดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น

[ตอนนี้คุณประมุขอยู่ที่โรงพยาบาลครับ]



------------------------


TALK: เหตุการณ์ช่วงนี้จะซ้อนทับกับในเรื่องจักรพรรดิค่ะ แต่พอมาอยู่ในมุมมองของเกรย์ก็จะให้ฟีลลิ่งอีกแบบ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-11-2018 22:53:05
เออ ชัดเจนดีเนาะ ประโยคถึงกับมีเรื่องต้องพุ่งตัวเลย

ประมุขคือจะซื่อก็ไม่ใช่ จะเด๋อก็ไม่เชิง
แค่เลือกจะรับรู้มากกว่า เลยมองโลกค่อนข้างบวก

โอ๊ยยยย แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ ประมุขถึงไปอยู่รพ.
แล้วสองก็พาซื่อเนาะ มาตามนัดจริงด้วย

คิงภีมก็ชีวิตวุ่นวายไปอีกค่ะ รอลุ้นทางฝั่งเกรย์ว่าจะทำยังไง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-11-2018 00:07:52
อ้าว..... ลูกแกะมุข ไปเจออะไรเข้าล่ะถึงกับเข้าโรงบาล  :a5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 24-11-2018 00:55:48
ประโยคสุดท้ายนี่สั้นตรงประเด็นดีจัง โอ๊ยย ลูกแกะเป็นอะไร๊ ใครทำอะไรน้องง อ่านเรื่องของคิงมาก่อน แอบจิ้นคุณเกรย์กับแมลงวันด้วยทีแรก พอมามองมุมนี เอ๊ะ ตอนนั้นจิ้นไปได้ยังไงกันนะ 555555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 24-11-2018 13:08:30
ประมุขลูกกก เป็นอะไรคะเนี่ย :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-11-2018 14:00:06
ประมุขเป็นอะไรทำไมเข้ารพ. ล่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 24-11-2018 18:40:05
ค้างงงง น้องมุขเป็นอะไร ทำไมถึงต้องเข้ารพ. มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-11-2018 22:43:58
น้องมุขทำไมอยู่รพ. น้องเป็นอะไรรึเปล่า :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-11-2018 03:06:03
ใครทำอะไรลูกแกะะะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 25-11-2018 18:21:43
เกิดอะไรกับลูกแกะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-11-2018 22:07:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 27-11-2018 12:32:42
ประมุขเป็นอะไรนิ้
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 30-11-2018 15:54:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-12-2018 19:32:05
-6-


“ระวังอย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะครับ” นายแพทย์หนุ่มกล่าวเตือนขณะตรวจสอบผ้าพันแผลเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเรียบร้อยจึงลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้คนไข้ที่นั่งกะพริบตามองขาตัวเองเงียบๆ เหมือนไม่เจ็บเลยสักนิดอีกรอบ

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

หลังจากแพทย์คนดังของโรงพยาบาลผู้ถูกเรียกตัวมาทำแผลให้ประมุขเดินออกไปแล้ว คนที่นั่งนิ่งมาตลอดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าที่ถูกบังคับให้นิ่งเฉยแสดงอาการเจ็บปวดออกมาเล็กน้้อยเมื่อได้อยู่คนเดียว แต่ผ่านไปไม่ถึงนาทีเสียงพูดคุยและเปิดประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นจนเขาต้องกลับไปแสดงสีหน้าเหมือนเดิมอีกครั้ง

“นายครับ...”

“ยังไม่ต้องพูด” น้ำเสียงดุดันดังเล็ดลอดเข้ามาในห้องเมื่อผู้พูดผลักประตูเข้ามาพอดี ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นที่ดูเย็นชาจนน่าใจหายจับจ้องมาที่เขานิ่งงัน เพียงเท่านั้นประมุขก็เผยความอ่อนแอออกมา โดยการยื่นแขนออกไปหา เรียกร้องให้คนตัวโตเดินเข้ามากอดกันด้วยสีหน้าออดอ้อน

“มาแล้วเหรอ” เขาซุกหัวลงกับหน้าท้องของเกรย์ สองแขนกอดรอบเอวสอบเอาไว้แน่น ทั้งเพื่อควบคุมความสั่นไหวในจิตใจ และเพื่อทำให้คนน่ากลัวกลับมายิ้มให้กันเหมือนเดิม

ผ่านไปครู่ใหญ่ที่ทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา ในที่สุดเกรย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดันไหล่ลูกแกะในอ้อมแขนให้ผละออกแล้วนั่งลงด้านข้าง มือจับแขนจับตัวหมุนไปหมุนมาเพื่อมองหาว่ามีส่วนใดที่ได้รับบาดเจ็บนอกจากที่ขาอีกหรือเปล่า

“เจ็บมากไหม”

“นิดเดียว” ประมุขคลี่ยิ้มเพื่อเสริมให้คำพูดดูน่าเชื่อถือ แต่เหมือนมันจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นักในเวลาแบบนี้

“โกหก วันนี้นอนโรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวฉันให้คนกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้”

“ไม่เอา” คนฟังรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงจะไม่ได้มีอคติอะไรกับโรงพยาบาล แต่ถ้าไม่จำเป็นแล้วต้องมานอนก็อดหวาดระแวงไม่ได้เหมือนกัน เต้ยิ่งชอบเอาเรื่องน่ากลัวๆ มาเล่าให้ฟังอยู่ด้วย “ผมไม่เป็นไรจริงๆ กลับห้องกันเถอะนะครับ”

เกรย์มองคนกลัวผียิ่งชีพที่จับมือเขาเอาไว้แน่นเพื่อออดอ้อนเงียบๆ ขณะไล่สายตาลงไปมองขาข้างขวาของเจ้าตัวที่มีผ้าพันแผลพันทับเอาไว้ แม้ตอนเดินเข้ามาหมอจะบอกว่ามีแผลแค่จุดเดียวและไม่ได้อันตรายอะไรมาก แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดีที่มันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับคนของตัวเอง

“รู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”

ประมุขเอียงคอสงสัย สมองประมวลผลอยู่ครู่ใหญ่จึงเข้าใจว่าเกรย์ต้องการถามเรื่องอะไร เขารีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างรู้งาน ตั้งใจจะทำให้คนข้างกายพอใจ จะได้ไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลทั้งที่ไม่จำเป็น

“คุณลุงที่ขับรถอีกคันบอกว่าหลับในก็เลยพุ่งมาชนรถเราครับ จริงๆ ถ้ากระจกไม่แตกจนมาบาดขาผมก็คงไม่เป็นอะไรมาก แล้วแกก็ขอโทษหลายรอบแล้วด้วย”

“บอกไหมว่าทำไมหลับใน”

“แกบอกว่าเมื่อคืนเฝ้าไข้ลูกสาวจนดึกก็เลยไม่ได้นอน”

“แล้วเชื่อไหม”

หน้าตาคนถูกถามบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ไม่เชื่อ เหมือนฟังมาแล้วไม่คิดอะไรมากกว่า พอมีคนมาสะกิดแบบนี้จึงรู้สึกลังเลขึ้นมา เริ่มคิดในใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใช่ความบังเอิญหรือเปล่า

“เขา...จงใจเหรอครับ”

“ลูกแกะ...” เกรย์ถอนหายใจ ตามองคนสบายๆ ที่มองโลกในแง่ดีด้วยแววตาอ่อนลง “รู้ใช่ว่าถ้าก้าวมาในโลกทางนี้... ก้าวมายืนอยู่ข้างฉันแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

“คุณบอกผมแล้ว”

“ฉันไม่ได้จะบอกให้ลูกแกะเปลี่ยนไป แต่อยากให้ระวังตัวแล้วก็มองการณ์ให้ไกล ถ้ามีคนมาทำให้เจ็บตัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อย่าปล่อยเรื่องไปง่ายๆ แบบนี้อีก” เขาเชยคางลูกแกะที่เริ่มทำท่าทีสำนึกผิดให้กลับมาสบตากันเหมือนเดิม “วิคเตอร์คือลูกน้องของฉัน และลูกน้องของฉันทุกคนได้รับคำสั่งให้ทำตามคำสั่งนาย เพราะงั้นการที่นายยืนยันให้พวกเขาปล่อยคนทำผิดไปมันจึงถือเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม แม้มันจะมีอะไรน่าสงสัยเต็มไปหมด เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“ฉันไม่ได้ดุ ไม่ได้ไม่พอใจ แต่เป็นห่วงมาก”

“ผมรู้” ลูกแกะน้อยพยักหน้า “ทีหลังผมจะไม่คิดอะไรง่ายๆ แบบนี้แล้ว”

“ดีมาก” เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ เกรย์ก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง “ความใจดีของนาย เก็บไว้ใช้กับฉันคนเดียวก็พอ”

เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจ ลูกแกะตัวน้อยก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินเอง เกรย์เป็นคนอุ้มคนที่พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถลงไปนั่งที่รถเข็น เห็นท่าทีไร้ความเขินอาย ซ้ำยังดูชอบใจของอีกฝ่าย เขาก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินไปพร้อมกันโดยมีวิคเตอร์เข็นรถให้

“ชอบเหรอ” และแล้วก็ทนไม่ไหวจนต้องถาม ขณะมองคนที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในอ้อมแขน ระหว่างที่กำลังจะอุ้มขึ้นไปนั่งบนรถ ตอนแรกๆ ก็บ่นอยู่หรอกว่าเดินเองได้ แต่ไม่รู้ทำไมพอโดนบังคับอุ้มไปทีเดียว หลังจากนั้นก็ยื่นแขนให้อุ้มด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น

“ชอบมาก”

“งั้นจะอุ้มบ่อยๆ”

ลูกแกะอมยิ้มจนแก้มตุ่ย ไม่มีท่าทีปฏิเสธใดๆ ซ้ำยังแสดงสีหน้าเห็นใจ เหมือนจะบอกว่าถ้าหนักผมขี่หลังแทนก็ได้นะใส่เขาด้วย

เมื่อขึ้นมาอยู่บนรถแล้วคนที่ถูกสถาปนาเป็นคนป่วยก็เอนตัวมาพิงไหล่เกรย์ด้วยท่าทีอ่อนเพลีย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะต้องเจออะไรมากมายในวันเดียว ทั้งโดนชน โดนขู่ แล้วยังถูกรถชนจนกระจกแตกมาบาดขาอีก

เจอกันไม่ทันไรก็เจ็บตัวแล้ว...

ยามอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่ถิ่นตัวเองอันตรายอย่างไรเกรย์ย่อมรู้ดี เพราะแบบนั้นเขาจึงเรียกทีมเอให้มาพร้อมกัน ทั้งหมดเพื่อปกป้องคนสำคัญให้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรเรื่องการจัดฉาก แสร้งทำให้เกิดอุบัติเหตุพวกนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก หากคนขับรถไม่ใช่มืออาชีพในทีมของเขา ผลสุดท้ายอาจไม่จบลงด้วยการที่ลูกแกะโดนกระจกบาดก็ได้

“วิคเตอร์”

“ครับนาย”

“มันเป็นใคร” เกรย์ก้มลงมองลูกแกะที่หลับตาพริ้มพิงไหล่เขาไว้ด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะช่วยจัดท่าให้อีกคนลงไปนอนบนตักดีๆ จะได้สบายตัวมากขึ้น

“ชื่อโชคชัย เป็นพนักงานธนาคารที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงานเมื่อเดือนก่อน สถานะโสด ไม่มีครอบครัว ไม่มีภรรยาหรือลูกติด ปัจจุบันผันตัวมารับจ้างทั่วไป รวมถึงรับทำงานสกปรกตามที่มีคนต้องการ ตอนนี้คนของเรากำลังเค้นเรื่องผู้ว่าจ้างอยู่ครับ”

“ต่อไปถ้าไปไหนกับลูกแกะแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก บอกข้อมูลหรืออะไรที่ผิดสังเกตกับเขาตามตรงแล้วค่อยให้ตัดสินใจ อนุญาตให้ตักเตือนได้ตามสมควร”

“ครับนาย”

ถึงตอนมีอุบัติเหตุลูกแกะจะบอกว่าไม่เป็นไร ยิ่งได้ฟังเหตุผลของคนทำก็ยิ่งใจอ่อน และแม้ลูกน้องของเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งให้ปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่ถกเถียง ทว่ามืออาชีพย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และเกรย์ให้สิทธิ์ขาดแก่การ์ดทุกคนในเรื่องของการหาข้อมูล เขาไม่ชอบความผิดพลาด ไม่ชอบความล่าช้า เพราะฉะนั้นถ้าต้องการรู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญแบบนี้ ทุกคนต้องให้คำตอบได้ในทันที

การบอกให้วิคเตอร์และคนอื่นๆ บอกข้อมูลหรืออะไรที่ผิดสังเกตแก่ลูกแกะจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องให้อยู่ด้านหลังอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการให้สิทธิ์ขาดแก่เจ้าตัวในการตัดสินใจเรื่องราวตามสมควร ถ้าการ์ดบอกว่ารถคันนั้นตั้งใจชน เขาเชื่อว่าลูกแกะต้องไม่ตัดสินใจปล่อยไปแบบนี้แน่ คนที่เขาเลือกไม่ใช่พวกหัวอ่อน ลูกแกะน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาที่มองโลกในแง่ดีและใช้ชีวิตแบบธรรมดามาโดยตลอด

แต่เมื่อไหร่ที่ปรับตัวได้... เกรย์เชื่อว่าลูกแกะจะกลายเป็นคนที่คู่ควรจะยืนอยู่ข้างเขาอย่างแน่นอน

“อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ทำให้ฉันได้รับคำตอบเรื่องหนึ่ง”

แม้จะเจอปัญหาน่ากลัวขนาดไหน ลูกแกะก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างเขาเหมือนเดิม

ดวงตาเย็นชาอ่อนแสงลงและเริ่มปรากฏประกายแวววาวมีความสุข ในใจอบอุ่นขึ้นมาจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มลูบหัวลูกแกะที่หลับสนิทไปแล้วโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

มันคือ...ความรู้สึกที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว





สามอาทิตย์ต่อมา ถึงเวลานัดหมายกลับไปเจอครอบครัวรวมถึงพี่ชายคนโต ประมุขนั่งจัดข้าวของด้วยความกังวลใจอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเสียดายที่คนสำคัญมีงานด่วน ไม่อาจไปพบเจอครอบครัวพร้อมกันได้ แม้เกรย์จะบอกล่วงหน้าไว้เป็นอาทิตย์แล้ว แต่เขาก็ยังไม่หายหงอยเสียที แถมสามอาทิตย์ที่ผ่านมายังแทบไม่ได้ไปไหนเลยด้วย เพราะเหมือนคนคนนั้นจะยุ่งวุ่นวายมากจนเขาไม่กล้าพูดเรื่องไปเที่ยวอีกเลย

เอาเถอะ... แค่กลับมากินข้าวพร้อมกัน นอนกอดกันจนหลับทุกวันก็ดีมากแล้ว

อาการหงอจนไม่รู้จะหงอยังไงของลูกแกะอยู่ในสายตาของเกรย์ตลอดเวลา ตัวเขาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่อาจพาคนสำคัญไปเที่ยวได้ตามที่พูดไว้ แต่เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญและมีเรื่องให้จัดการหลายอย่าง เขาจึงจำเป็นต้องขอเลื่อนนัดไปก่อน กระทั่งไปเจอครอบครัวเพื่อพักผ่อนด้วยกันก็ยังไปด้วยไม่ได้

“ลูกแกะ”

“ครับ” คนที่ทำหน้ามุ่ยมาตั้งแต่เช้าเพราะต้องแยกกับเกรย์หันไปหาตามเสียงเรียก พอเห็นอีกฝ่ายตบลงบนเตียงข้างตัวก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ อย่างว่าง่าย

“จำเรื่องที่มีคนขู่นายที่ห้าง แล้วก็จงใจขับรถชนนายได้หรือเปล่า”

“จำได้” ประมุขยืดตัวตั้งตรงเมื่อได้ยินหัวข้อพูดคุยที่เหมือนจะจริงจังพอควร

“ตอนแรกลูกแกะคิดว่าใครทำ”

“…” คนฟังเม้มปาก ตาหลุบลงต่ำราวกับกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ ทั้งที่ในใจมีคำตอบตั้งแต่แรกแล้ว

“คิดว่าแม่มดใช่ไหม”

“ครับ... แต่ผมไม่รู้ว่าแม่จะทำร้ายผมทำไม” เขายอมรับง่ายๆ อดรู้สึกปวดใจไม่ได้ ยามรู้ว่าจนถึงตอนนี้แม่ก็ยังคิดทำร้ายพวกเขาสามพี่น้องไม่เลิกรา

“ไม่ใช่หรอก” เกรย์ส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นลูกแกะทำท่าทางตกอกตกใจ เหมือนจะถามว่าถ้าไม่ใช่แม่แล้วจะเป็นใครไปได้ “ลูกแกะรู้หรือเปล่าว่าฉันทำงานอะไร”

“คุณเคยบอกว่าทำธุรกิจ”

“ฉันเป็นเจ้าของธุรกิจ...หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค แล้วก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ล่าสุดคือธุรกิจร้านอาหารที่ทำร่วมกับพี่นาย” แน่นอนว่าที่พูดไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้โกหกลูกแกะเลยแม้แต่นิดเดียว “และนอกเหนือจากนั้นคือแม่ของฉันเป็นเจ้าของบริษัทอัญมณีรายใหญ่ ส่วนพ่อเป็นนักการทูตที่มีชื่อเสียง”

“…”

“การค้าขายแต่ละครั้งมีมูลค่าเป็นพันล้าน ลูกแกะพอจะจินตนาการออกไหมว่าถ้าคู่ค้าของฉันเป็นพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาแล้วตกลงกันไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น”

“เขาจะ...ทำร้ายคุณ”

“หึหึ ใช่แล้ว” เกรย์หัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดน่ารักๆ ของลูกแกะ แม้ในความเป็นจริงมันจะเกินกว่าคำว่าทำร้ายไปไกลก็ตาม “ที่ฉันอยากบอกก็คือแม่มดไม่ใช่คนใจกล้า ถึงจะทำเหมือนร้ายกาจขนาดไหน แต่ก็ยังสู้พี่ชายของนายหรือฉันไม่ได้หรอก เธอไม่มีทางใช้วิธีสกปรกทำแบบนี้แน่ ยิ่งถ้ารู้ว่านายเป็นคนของฉันยิ่งไม่กล้า”

“เธอไม่รู้เหรอครับ”

“ไม่รู้หรอก ทุกอย่างระหว่างเรายังคงเป็นความลับ ถ้าไม่ใช่พวกที่จงใจเล่นงานฉันโดยตรงและสืบหาข้อมูลมาอย่างดีไม่มีทางรู้แน่ และนั่นคือจุดสำคัญ”

“หรือที่ผมโดนขู่นั่น...”

“ใช่ ทั้งที่โดนขู่แล้วก็โดนรถชน พวกมันต้องการพิสูจน์ว่านายสำคัญสำหรับฉันมากขนาดไหน”

“พวกเขาเป็นใครเหรอครับ” ประมุขขยับเข้าไปหาคนข้างกายมากขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ตอนที่ทำใจได้ว่าคนคนนั้นอาจเป็นแม่แท้ๆ เขายังพอจะมองในแง่ดีได้ว่าเธอคงไม่คิดถึงขั้นฆ่าแกงกัน แต่นี่มันไม่ใช่...

“เรื่องนี้ยังไม่แน่ใจ เพราะศัตรูของฉันไม่ได้มีแค่คนเดียว พวกที่เข้ามาหาเรื่องนั่นก็ถูกจ้างมาทั้งคู่ โอกาสค้นหาต้นตอเจอแทบจะเป็นศูนย์ แต่ฉันให้คนของเราที่อยู่ฝรั่งเศสสืบต่อแล้ว ช่วงนี้ก็ต้องระวังตัวมากหน่อย” พูดจบเกรย์ก็ยกมือขึ้นคลึงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของลูกแกะเบาๆ ให้คลายออก “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ยอมให้ลูกแกะเจ็บตัวอีกเป็นอันขาด”

“ผมเชื่อคุณ”

“จะไม่ถามต่อเหรอ”

“ถาม?” ลูกแกะน้อยเอียงคอ เหมือนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต้องถามอะไรต่ออีก

“ถามว่าทำไมฉันถึงเลือกให้นายมาอยู่ในอันตราย ทั้งที่รู้แต่แรกแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้”

“นั่นเพราะคุณต้องการปกป้องผมไม่ใช่เหรอ”

“มันก็ใช่ แต่ถ้าฉันเลือกไม่มาเจอ เราอาจจะไม่ต้อง...”

“หยุดเลย” คนฟังขมวดคิ้วไม่พอใจ “คุณจะดูถูกความตั้งใจของผมไม่ได้นะ ก็บอกแล้วว่ารอเจอมาตลอด แล้วคุณก็เตือนผมแล้วว่าถ้ามาอยู่ตรงนี้จะถอยกลับไม่ได้อีก หรือต่อให้รู้แต่แรกว่าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ผมก็ยังจะเลือกทางเดิมอยู่ดี”

เกรย์ที่กลายเป็นคนผิดยิ้มกว้าง ไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้าลูกแกะแสนน่ารักตรงหน้าดี สุดท้ายจึงได้แต่รั้งเข้ามากอดไว้เป็นการไถ่โทษ ไม่รู้ต้องพูดอีกสักกี่ครั้งว่าเขาดีใจมากจริงๆ ที่เลือกคนคนนี้

“ขอบคุณ”

“ผมรอมาตั้งนาน ไม่ให้ไล่ไปไหนง่ายๆ หรอกนะ”

“ไม่มีทางไล่หรอก”

หากถามว่าความผูกพันจากการคุยกันผ่านจดหมายหรือผ่านโทรศัพท์มันมากพอจะทำให้คนสองคนยึดติดในกันและกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ เกรย์คงตอบง่ายๆ ว่าใช่ และคิดว่าลูกแกะก็คงตอบแบบเดียวกัน แม้จะไม่เคยเจอหน้า ทำได้เพียงพูดคุยกันไปเรื่อยๆ แต่พวกเขาล้วนมีจุดหมายร่วมกันคือวันหนึ่งจะต้องได้เจอ คงต้องบอกว่าโชคดีที่มีความคิดเดียวกันในแง่ของความสัมพันธ์ ต่อให้ไม่ต้องพูดออกมา ก็รู้อยู่แล้วว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในสถานะอะไร

 สำหรับเขา ลูกแกะคือคนที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการทุกๆ อย่าง เป็นคนแรกที่ทำให้เกรย์รู้จักคำว่าอดทน ความช่วยเหลือที่หยิบยกให้และความรู้ใจที่เขาสร้างผ่านตัวอักษรคงทำให้อีกคนเริ่มคิดไปในทางเดียวกัน อันที่จริงก็คงเป็นอย่างที่คิงว่า... เขาใช้ช่องว่างเรื่องอายุ อาศัยช่วงเวลาที่ลูกแกะอ่อนแอและยังเป็นเด็กเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ว่างในหัวใจของเจ้าตัวมา ไม่รู้ว่าถ้าไม่ได้เข้าหาและทำให้อยากเจออยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่แรก วันนี้จะได้คนคนนี้มาอยู่ข้างกายหรือเปล่า

“เกรย์”

“หืม”

“ผมเห็นคุณคุยโทรศัพท์กับพี่เมื่อเช้า มีเรื่องอะไรเครียดๆ หรือเปล่า” คนขี้เป็นห่วงถามเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังกอดเขาไว้แน่น “เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”

“เดาเก่ง”

“เห็นคุณคุยกับพี่ทีไรก็มีแต่เรื่องเครียดๆ ตลอดเลยนี่นา” ว่าจบคนพูดก็ถอนหายใจซ้ำอีกที เหมือนจะบอกว่าเรื่องเครียดๆ เหล่านั้นทำให้คนสดใสเครียดตามไปด้วย “คุณกับพี่ทำอะไรอยู่เหรอ ที่ไปเจอกันที่ห้างวันนั้นก็คุยเรื่องนี้ใช่ไหม”

“ใช่” เกรย์ตอบโดยไม่ปิดบัง เพราะตอนคุยโทรศัพท์เขาก็คุยให้ลูกแกะได้ยินทุกเรื่องอยู่แล้ว “พี่ชายนายต้องการให้แม่มดลากธุรกิจที่ตัวเองพัวพันทั้งหมดออกมาด้วย และหนึ่งในนั้นคือบ่อนใต้ดินที่เป็นเครื่องทำเงินของเธอ”

“พี่ให้คุณทำอะไรเหรอ”

“ปล่อยข่าวว่าฉันต้องการบ่อน จริงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เตรียมการมาพักใหญ่แล้ว พอพี่นายยอมลุยต่อเลยไม่ได้ยากเย็นอะไร แม่มดไม่มีอะไรน่ากลัว คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการมาตั้งแต่แรกอย่างเธอคงไม่คิดว่ามันจะเป็นกับดับ เผลอๆ อาจจะคิดว่าฉันทำธุรกิจสีเทาอยู่แล้ว ไม่น่ากล้ายุ่งกับตำรวจ อีกไม่กี่วันต้องติดต่อมาแน่” พูดถึงตรงนี้เขาก็ลุกขึ้นยืน จูงมือลูกแกะให้เดินออกไปพร้อมกันเมื่อเห็นว่าถึงเวลาต้องเดินทางแล้ว “แม่มดยังหวังสูงต้องการบริษัทคืนอยู่ เดี๋ยวคงเอาบ่อนมาเสนอ ไม่ขอให้ฉันหยุดทำลายบริษัทนั่นก็คงขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างเธอกับคิง เราจะใช้หลักฐานทางคำพูดพวกนั้นมัดให้ดิ้นไม่หลุด”

“หลักฐานแค่เท่าที่มีอยู่ยังไม่พออีกเหรอ”

“ไม่พอสำหรับตลอดชีวิต”

ใช่... บทจะโหดร้ายเพื่อนของเขาก็โหดร้ายได้อย่างน่ากลัว คงคิดจะถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลืออะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ถ้าไม่ใช่ติดคุกจนวันตาย ตอนออกมาก็ต้องไม่เหลืออะไรให้ยึดติดอีกเลย

ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าคิงจะกล้าพอจะลงมือด้วยตัวเองหรือเปล่า

เพราะถ้าไม่กล้า...เขาจะเป็นคนจัดการเอง

.
.
(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.5]=[P.3]==[23/11/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-12-2018 19:32:24

(ต่อจากหน้าสาม)


“ขอบคุณนะครับ” ลูกแกะรั้งแขนตัวเองไว้ไม่ยอมเดินต่อ พอเขาหันไปหาก็ยิ้มให้อย่างร่าเริง ดวงตาฉายชัดถึงความขอบคุณและความดีใจที่ปิดไม่มิด “คุณบอกว่าจะไม่ปิดบังผมแล้วก็ทำแบบนั้นจริงๆ ขอบคุณนะ”

“ครับ” เกรย์ตอบกลับเป็นภาษาไทยที่ไม่ถนัด ทำเอาคนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิมจนเขาอารมณ์ดีตามไปด้วย “กลับไปเจอกันที่กรุงเทพฯ นะ ครั้งนี้จะพาไปเที่ยวจริงๆ ไม่สิ...ต้องให้ลูกแกะพาฉันเที่ยวมากกว่า”

“ได้เลย”

พวกเขาไม่ได้เกี่ยวก้อยสัญญาเป็นเด็กๆ แต่เกรย์รู้ดีว่าลูกแกะเป็นคนยังไง ต่อให้สุดท้ายเขาไม่ว่างไปเที่ยวด้วย เจ้าตัวก็คงไม่โกรธเหมือนเดิม ทว่าคราวนี้ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนเขาก็ต้องทำตามคำพูดให้ได้ แค่ต้องผิดคำพูดในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว

“ตอนลูกแกะอยู่กับครอบครัว คนของฉันจะคอยตามดูอยู่ห่างๆ จะได้ไม่อึดอัด ตอนกลับก็ไปสนามบินพร้อมครอบครัวได้เลย วิคเตอร์กับคนอื่นๆ จะขับรถตามไปแล้วค่อยกลับพร้อมกัน”

“รับทราบ” คนฟังยกมือตะเบ๊ะรับทราบแล้วยิ้มขำ ก่อนแยกกันไปคนละทางยังไม่วายยื่นมือมาจับแขนเขาไว้อีกรอบ “ระวังตัวด้วยนะครับ”

“นายเองก็ด้วย”

หลังจากร่ำลากันโดยการลูบหัวลูบหลังเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดประมุขก็ยอมเดินขึ้นรถแต่โดยดี แต่แม้จะขึ้นมาแล้วก็ยังไม่วายหันกลับไปมองคนที่ยืนโบกมือให้จากด้านหลังเหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องหันไปมอง และเมื่อรถเลี้ยวไปอีกทาง ร่างของคนยืนส่งก็ถูกแทนที่ด้วยรถของการ์ดที่ขับนำหน้ากับตามหลังอย่างละคัน เพียงเท่านั้นหน้าตาของคนร่าเริงก็หงอยลงแทบจะทันที

“เราจะเข้าไปส่งถึงที่ จากนั้นจะตามอยู่ห่างๆ ไม่ให้ครอบครัวของคุณรู้ ถ้ามีอะไรให้รีบติดต่อผมทันที” วิคเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันมาบอกด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่พอเห็นสีหน้าอึนๆ ปนเศร้าสร้อยของนายคนที่สอง บอดี้การ์ดหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเพิ่มเติมคำพูดจากเดิมไปนิดหน่อย “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมช่วงนี้นายทำงานหนักจนต้องกลับห้องดึกทุกวัน”

“ทำไมเหรอ” พอได้ยินคำถามที่เกี่ยวข้องกับเกรย์ ประมุขก็รีบเงยหน้าถามทันควัน

“เพราะนายเร่งเคลียร์งาน จะได้มีเวลาไปเที่ยวกับคุณหลังจากนี้”

ได้ฟังดังนั้นประมุขก็อมยิ้มจนแก้มพองแบบไม่มีความเขินอายทั้งยังไม่คิดปิด ส่วนวิคเตอร์ที่สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ตลอดก็หันกลับไปนั่งหลังตรง ก้มหน้ากดโทรศัพท์รายงานผู้ที่ทักมาบอกให้เขาทำให้คนหน้างออารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว

เมื่อเข้าเขตสวนดอกไม้รังสิมันตุ์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประมุขก็หันไปเกาะขอบหน้าต่างมองบรรยากาศของสวนด้วยดวงตาแวววาว คิดในใจว่าสักวันต้องพาเกรย์มาเที่ยวที่นี่ด้วยกันให้ได้ เผลอมองดอกไม้ที่เรียงรายอยู่ตามทางกระทั่งรถมาโผล่อยู่หน้าจุดนัดพบซึ่งเป็นรีสอร์ทอยู่ในเขตสวน สติสตังที่เหม่อลอยจนหายไปไหนไม่รู้จึงกลับมาเข้าที่อีกครั้ง

“เดี๋ยวผมยกเข้าไปเอง พี่ชายคนรองอยู่ข้างในแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาบอกการ์ดของเกรย์พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปดึงกระเป๋าเดินทางมาถือไว้เอง “ถ้ามีอะไรจะโทรไปบอกแน่นอนครับ พวกพี่ๆ ไปพักเถอะ”

“เข้าใจแล้ว” วิคเตอร์ซึ่งเป็นตัวแทนของการ์ดทั้งหมดพยักหน้ารับคำ และหันไปส่งสัญญาณให้ทุกคนกลับไปขึ้นรถประจำที่ “หากเจออะไรน่าสงสัย ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม คุณต้องบอกผมทันที ไม่มีข้อยกเว้น”

“ครับ” ประมุขรับคำอย่างแข็งขัน เมื่อวิคเตอร์พยักหน้าให้แล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินลากกระเป๋าเข้าไปในตัวรีสอร์ทที่พี่ชายคนรองบอกว่ารออยู่ก่อนแล้ว

พื้นที่รองรับแขกของตัวรีสอร์ทเป็นโถงกว้างขนาดใหญ่ มีมุมเฉพาะสำหรับแขกวีไอพีแยกอยู่ด้านข้าง ประมุขก้าวเข้าไปถึงก็เดินไวๆ ไปที่โซนวีไอพี พอเห็นพี่ชายคนรองที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันนั่งอยู่ที่โซฟาก็วิ่งเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม

“เต้!”

“มุ…อุก!” คนที่กำลังจะยิ้มให้น้องชายชะงักกึก จากที่จะอ้าแขนกอดกลับกลายเป็นต้องงอตัวลงด้วยความจุก เมื่อไอ้น้องเวรมันพุ่งเข้าหาแล้วเอาตัวที่มีขนาดไม่ต่างกันกระแทกเขาอย่างแรง

“คิดถึงมึง”

“แต่กูไม่คิดถึงมึง ไอ้น้องเวร!”

ผัวะ!

พูดจบก็ตบหัวไอ้คนที่บอกว่าคิดถึงแต่จงใจแกล้งไปหนึ่งทีจนมันหน้าบูด ยอมผละออกจากอ้อมแขนแล้วหันไปยกมือไหว้คนที่ยืนมองสถานการณ์เงียบๆ มาโดยตลอดแทน

“พี่พายุ สวัสดีครับ”

“สวัสดี” ชายหนุ่มต่างชาติตัวสูงท่าทางเข้มงวดตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ดวงตาสีเขียวที่ตอนได้เห็นครั้งแรกทำเอาประมุขหวาดผวา ยามนี้ก็ยังดูดุดันไม่ต่างจากเดิม ทว่าความเคยชินที่เกิดจากการได้พบเจอกันมาหลายปีทำให้มันกลายเป็นความคุ้นเคยไปแล้ว

พายุ หรือชื่อจริงๆ คือวลาดิเมียร์เป็นคนรักชาวรัสเซียของฮ่องเต้ พี่ชายของเขาที่คบกันมานานแล้ว และแม้จะไม่รู้ว่าไปคบกันได้ยังไงโดยที่ประมุขไม่รู้เรื่องเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าทั้งคู่รักกันมาก ไม่ว่าพี่พายุจะวุ่นวายกับงานที่รัสเซียหรือมีปัญหาอะไร เต้ก็จะเป็นห่วงแล้วคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ นานๆ ได้มาเจอกันทีนี่แทบจะขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไม่เคยเห็นแยกจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ยอมรับเลยว่าเขาเคยนึกอิจฉาจนพาลเอาไปลงกับเกรย์ที่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่พอเห็นนานเข้าก็เริ่มกลายเป็นเห็นใจ เพราะพี่พายุกับเต้ได้เจอกันปีละนับครั้งได้ อย่างปีก่อนก็มีแค่ช่วงปีใหม่สามสี่วัน เสร็จแล้วก็ต้องบินกลับไปทำงานต่อ และถึงจะดูเข้มแข็งขนาดไหน แต่ประมุขก็รู้ดีว่าเต้เศร้ามาก

เมื่อก่อนเขากับเกรย์ยังไม่เคยเจอกันมันเลยไม่อะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ได้เจอ ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าต้องแยกจากบ่อยๆ แล้วได้เจอแค่ไม่กี่วัน เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเต้เท่าไหร่นัก

แค่คิดก็เศร้าแล้วเนี่ย...

“เป็นอะไรของมึง จู่ๆ ก็ทำหน้าหมาหงอย”

ประมุขรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วส่ายหัว สายตากวาดไปโดยรอบเพื่อมองหาพ่อกับพี่ชายคนโตที่ยังไม่เห็นตั้งแต่มาถึงที่นี่เพราะแยกมาคนละทิศคนละทาง

“พ่อกับพี่จักรยังไม่มาเหรอ”

“พ่อจะถึงแล้ว ส่วนพี่จักรเห็นภีมบอกว่าอาบน้ำอยู่ เรามาไวไปหน่อย” ฮ่องเต้ตอบก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แต่หันไปได้ครึ่งเดียวก็หันขวับกลับมาอีกรอบด้วยสีหน้าดุๆ ตาจ้องขาของน้องชายคนเล็กเขม็ง “ขามึงไปโดนไรมา ทำไมมีรอยแผลเป็นทางแบบนั้น”

คนที่มีความผิดติดตัวตาโต รีบดึงขากางเกงให้ปิดบริเวณที่มีรอยแผลเอาไว้ ในใจก่นด่าตัวเองเป็นร้อยรอบที่ดันเลือกกางเกงขาสั้นมาใส่ ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเต้มันขี้สังเกตขนาดไหน

“ไม่มีไร”

“กูพี่มึงนะมุข อย่ามาตอแหล”

เมื่อได้ยินพี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ประมุขก็หน้ามุ่ย ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแต่โดยดี ทั้งเรื่องที่เขาเจอเกรย์และเรื่องที่น่าจะมีศัตรูที่ไม่ใช่แม่คอยจ้องเล่นงานอยู่ ยิ่งพูดมากเท่าไหร่สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นเท่านั้น น้องชายคนเล็กที่ชอบทำกร่างพูดหยาบกับพี่คนรองถึงกับตัวลีบ แม้แต่เสียงก็เบาลงเรื่อยๆ อย่างเป็นกังเวล

“มึงอย่าบอกพี่จักรกับพ่อนะเต้ กูสัญญาจะดูแลตัวเองดีๆ”

“เด็กโง่แบบมึงจะดูแลตัวเองยังไงได้” ฮ่องเต้พูดเสียงดุแล้วจิ้มนิ้วลงตรงกลางหน้าผากน้องชายหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “แต่เอาเถอะ กูไม่อยากให้พ่อเส้นเลือดในสมองแตกเพราะลูกชายเข้าไปยุ่งกับอันตรายทุกคน ส่วนพี่จักรก็มีเรื่องแม่ให้เครียดอยู่แล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ”

“แต่มึงก็ดูแลตัวเองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”

“เอ้า!” ประมุขหน้ามุ่ยเมื่อโดนด่าซ้ำ อยากจะเถียงมันหรือด่ากลับก็ทำไม่ได้อีก เพราะไอ้เต้มันห่างจากคำว่าโง่ไปไกล ขืนด่าไปด้วยเรื่องเดียวกันคงเข้าตัวเองเปล่าๆ “กูไม่คุยกับมึงแล้ว”

พูดจบก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมารายงานเกรย์ว่าเจอพี่ชายแล้ว รอไม่ถึงสิบวินาทีอีกคนก็ตอบกลับมาว่าให้ดูแลตัวเองด้วย เขานั่งจ้องจอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นคนบ้า ไม่ต้องนั่งอิจฉาเวลาเต้อยู่กับพี่พายุแล้วต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว

เรื่องของเกรย์ที่ประมุขพูดคุยด้วยมานานอยู่ในการรับรู้ของฮ่องเต้ตลอด ตอนที่พี่จักรยังไม่กลับมา พวกเขาสองพี่น้องก็อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน จึงไม่แปลกที่จะรู้ความลับของกันและกันแทบทุกเรื่อง แล้วเต้ก็ไม่เคยห้ามปรามหรือพูดตัดกำลังใจเลยสักครั้ง มีแต่บอกว่าให้คิดอะไรให้รอบคอบและตัดสินใจดีๆ อย่าให้ต้องเสียใจในภายหลังก็เท่านั้น

“มุข”

“หือ”

“มึงโตแล้วนะ ต่อจากนี้จะทำหรือจะพูดอะไรคิดดีๆ ด้วย เข้าใจหรือเปล่า”

“รู้แล้วน่า”

ประมุขรู้อยู่แล้วว่าต่อจากนี้นอกจากดูแลตัวเองแล้วเขายังต้องดูแลใครอีกคนด้วย...

ถึงแม้เกรย์จะบอกว่าจะปกป้องดูแล ไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย แต่หน้าที่ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างตอนที่อีกฝ่ายต้องการก็สำคัญไม่แพ้กัน

เพราะงั้นเขาจะทำมันให้ดี ไม่ยอมแพ้เต้แน่นอน



------------------------


TALK: ขออภัยที่มาช้านะคะ จริงๆ อยากจะเขียนให้จบไวๆ เลยไม่ค่อยว่างนั่งอ่านทวน ตอนนี้ก็เขียนนำเกินครึ่งเรื่องไปแล้ว (ถึงตอนสิบห้าจากยี่สิบตอน) ไม่มีเทแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 03-12-2018 20:07:37
นุ้งมุข มีความเด็ดเดี่ยวภายใต้ความใสๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 03-12-2018 21:14:59
 o13 น้องมุขน่ารักจังเลย...ต้องอดทน และเข้มแข็งเข้าไว้นะ
 o13  :man1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 03-12-2018 21:31:16
สรุปว่า 3kings บ้านนี้เขามีลูกชาย 1 ลูกสาว 2 สินะ 555  น่าเห็นใจคุณพ่อเขานะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 03-12-2018 21:40:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-12-2018 22:30:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-12-2018 02:49:12
คู่ที่ 3 โผล่มาแล้วววว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 04-12-2018 06:27:39
อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงน้องเต้เลยค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-12-2018 06:49:01
บ้านนี้คงต้องขอเด็กมาเลี้ยงหรืออุ้มบุญแทนแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-12-2018 12:22:00
มุขน่ารักแล้วก็เข้าใจเกรย์ดีจัง ฮือออ สู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 04-12-2018 20:03:41
:-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-12-2018 00:01:24
น่ารักนะ ประมุข คนซื่อคนเด๋อของเกรย์
ยิ้มที โลกสดใส หงอยที ทำการ์ดงานเข้า 5555

เกรย์ถึงจะร้ายยังไง แต่ไม่เคยใจร้ายกับประมุขได้เลย
แพ้ทางความขี้อ้อน ความคิดบวก และยิ้มตาปิด

คืออะไรคะประมุข สงสารพี่ แต่ก็อิจฉาด้วยอีก
ตอนนี้ก็ไม่แล้วเนาะ มีคนให้อยู่ด้วย และคิดถึง

ลุ้นแล้วค่ะ ว่าประมุขจะเจออะไรอีก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 06-12-2018 17:45:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 09-12-2018 03:02:49
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 09-12-2018 12:52:05
น้องมุขต้องแข็งแกร่งมากขึ้นแน่ๆ สู้ๆลูกหนูทำได้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhapsodies21 ที่ 13-12-2018 21:49:28
น้องน่ารักจังเลย รอด้วยใจจดจ่อนะคะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-12-2018 20:17:33
-7-


เมื่อครอบครัวมาอยู่กันพร้อมหน้า อีกทั้งพี่ชายคนโตยังดูอ่อนโยนลงอย่างไม่น่าเชื่อ คนร่าเริงที่เหมือนมีไฟส่องสว่างตามตัวตลอดเวลาก็ยิ่งอารมณ์ดี เอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นบอทั้งวันในแบบที่ถ้าเกรย์มาเห็นคงยิ้มตามไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่กับพี่ชายคนรองที่เห็นหน้ากันมานานจนเบื่อ

“เป็นบ้าเหรอ”

“บ้าอะไร ตบปาก!” ประมุขชี้หน้าพี่ชายแบบเคืองๆ ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองหน้าพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่กับภีมภัทรริมสระน้ำอีกด้าน “เราตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ที่ให้พี่จักรมาที่นี่”

“กูก็ว่างั้น”

ดีจริงๆ ที่ตอนนั้นฮ่องเต้นึกถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อขึ้นมาได้ และจำได้ว่าพวกเขามีเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งอยู่ที่สวนดอกไม้ ทั้งยังเป็นคนที่เคยสนิทสนมกับพี่จักรเอามากๆ การวางแผนพาพี่คนโตมาบำบัดที่นี่จึงเริ่มต้นขึ้น แล้วภีมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้คนป่วยยอมกลับไปรักษาตัวจนอาการทั้งทางกายและทางใจดีขึ้นมากขนาดนี้

“อิจฉาเหรอ”

“มึงมากกว่าที่อิจฉา ตอนเด็กๆ ติดพี่เป็นตังเม” ฮ่องเต้เถียงแล้วยิ้มเยาะไอ้เด็กติดพี่ที่พยายามจะโยนความขี้อิจฉามาให้เขา

“กูเปล่าอิจฉา”

“เหรอ”

“เออ” หน้าเชิดๆ เริ่มบูดเบี้ยวเมื่อโดนถามซ้ำ

“อือฮึ”

“…จริงๆ ก็นิดนึง” สุดท้ายประมุขก็สารภาพเสียงอ่อย พลางยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดบนเก้าอี้ “พี่กลับมาอยู่กับเราตั้งนาน แค่ทำให้กลับไปรักษายังทำไม่ได้เลย แต่พอมาอยู่กับภีม...”

เทียบกับฮ่องเต้ที่เก็บอารมณ์ได้ดีกว่าแล้ว เขาก็เหมือนเด็กขี้อิจฉาคนหนึ่งที่ดีแค่คิดกับพูด ไม่กล้าทำอะไรเลยสักอย่าง แค่เห็นพี่ชายคนโตทำท่าทางน่ากลัวก็หงอ ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย ขนาดมีโอกาสได้เจอพี่ก่อนใครยังเลือกที่จะรอฮ่องเต้ก่อนแล้วค่อยมาเจอพร้อมกันเลย

“อย่าคิดแบบนั้น ถึงจะเป็นครอบครัวก็ใช่ว่าเราจะทำได้ทุกอย่างนะ” ฮ่องเต้ปลอบน้องชายที่นั่งทำหน้าหงอย แล้วหันไปรับแก้วเครื่องดื่มจากคนรักพร้อมส่งยิ้มให้ “บางทีอาจเป็นเพราะกูกับมึงต่างก็ยังเกรงพี่จักรอยู่ทั้งคู่ พอได้มาเจอภีมที่ไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาเลยเข้าใกล้พี่ได้มากกว่า”

เพราะคิดว่าพี่มีบาดแผลจึงไม่กล้าขัดใจ พี่บอกให้ออกไปก็ยอมออกไปง่ายๆ หากไม่นับเรื่องที่ฝืนเข้าไปทำกายภาพให้ทุกเช้าเพื่อรักษาอาการให้ยังทรงตัวไว้ทั้งที่พี่ไม่เต็มใจ พวกเขาก็แทบจะเป็นน้องชายที่ไร้ปากไร้เสียงโดยสิ้นเชิง

“นั่นสินะ...” พอคิดตามที่ฮ่องเต้พูดแล้วประมุขก็ยิ้มออก “แค่พี่จักรดีขึ้นก็พอ”

“อือ”

เมื่อเห็นพี่ชายคนรองหันกลับไปคุยกับพี่พายุ ประมุขก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาคนของตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้จะกลับห้องเตรียมนอนพักหรือยังลุยงานต่อ แต่ถ้าให้เดาคงเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

GP.MUK: อย่าลืมกินข้าวนะ

ตูม!

เสียงอะไรบางอย่างตกน้ำทำเอาคนที่กำลังนั่งมองโทรศัพท์เพลินๆ สะดุ้งเฮือก ทว่าในวินาทีถัดมาก็ต้องนิ่งค้างไป ยามได้ยินเสียงพี่ชายคนโตหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง เพราะแกล้งคนสำคัญให้ตกลงไปในน้ำได้สำเร็จ

เนื่องจากนั่งอยู่คนละมุมทำให้เสียงเถียงกันของสองคนนั้นส่งมาไม่ถึง ประมุขได้แต่มองคนสองคนยิ้มให้กันเงียบๆ ความรู้สึกอบอุ่นและดีใจวาบเข้ามา เพียงแค่ได้เห็นว่าในที่สุดพี่จักรก็ดูเหมือนพี่จักรก่อนที่จะถูกแม่เอาตัวไปเสียที แม้จะรู้ว่าคงไม่อาจกลับไปเป็นพี่ชายที่ยิ้มง่ายเหมือนเดิมได้ แต่แค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับน้องชายอย่างเขา

ครืด

M.GRAY: ลูกแกะก็ด้วย

“พี่ยุดูมัน ยิ้มเป็นคนบ้าอีกแล้ว” เสียงบ่นเป็นภาษาอังกฤษให้แฟนฟังของพี่ชายไม่ได้น่าสนใจมากเท่าข้อความในโทรศัพท์ ประมุขก้มลงกดพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสิ่งที่ฮ่องเต้พูดเลยแม้แต่น้อย

“อย่าแซวน้อง”

พอได้ยินพี่เขยพูดจาเข้าหู เขาก็เงยหน้าชูนิ้วโป้งชื่นชมให้หนึ่งทีจนเกือบโดนเต้ตบหัวอีกรอบ โชคดีที่ลุกหนีได้ทันเลยไม่ต้องโดนฟาดด้วยฝ่ามือของไอ้คนแรงควาย

GP.MUK: *ส่งรูปภาพ*

GP.MUK: เราจัดปาร์ตี้เล็กๆ กันด้วย ผมอยากให้คุณมาด้วยจัง

M.GRAY: เอาไว้ครั้งหน้านะ

GP.MUK: ครับ คุณอย่านอนดึกมากนะ ผมเป็นห่วง

M.GRAY: รับทราบ พรุ่งนี้จะโทรหานะ

GP.MUK: *สติกเกอร์แกะพยักหน้า*

ร่ำลากับคนที่อยู่ห่างไกลเรียบร้อยแล้วก็ได้แต่กลับมานั่งหงอยเหงาเหมือนเดิม ประมุขพาดคางลงบนเข่าทั้งสองข้าง สายตาจับจ้องมองไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปนั่งที่ชิงช้าซึ่งอยู่ห่างจากสระน้ำไปนิดหน่อยเพียงลำพัง

การได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวย่อมทำให้เขามีความสุขอยู่แล้ว เพียงแต่พอคิดถึงตอนที่ต้องแยกกันไปคนละทิศคนละทางเหมือนเดิมก็อดทอดถอนใจไม่ได้ จริงอยู่ที่ตั้งแต่เด็กๆ พ่อของเขาก็ต้องไปทำงานไกลๆ หรือไม่ก็กลับดึกตลอด ทำให้ทุกคนในบ้านเคยชินกับการอยู่คนเดียวพอสมควร แต่จะให้ทำใจแยกจากแบบที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกันพร้อมหน้าอีกมันก็ยากอยู่เหมือนกัน

“มานั่งเป็นพระเอกเอ็มวีอะไรตรงนี้”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” ประมุขหันหน้ากลับไปมองพี่ชายคนรองที่เดินมาเพียงลำพัง ทิ้งให้แฟนตัวเองนั่งดื่มเหล้ากับพ่ออยู่ที่ม้าหินไม่ไกลนัก “เต้”

“หือ”

“ตอนอยู่คนเดียว แบบที่ไม่มีพี่พายุอยู่ข้างๆ มึงคิดถึงครอบครัวไหม”

“มึงถามทำไม”

“ตอบมาเหอะน่า”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีหงอยเหงาของน้องชาย แต่พอได้มองนานเข้าก็เริ่มปะติดปะต่อได้ว่ามันคิดอะไรอยู่ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมพยักหน้าแล้วตอบกลับไปสั้นๆ ตามความจริง

“เออ คิดถึง”

“แล้วเวลาที่เราได้เจอกันแต่ละทีแค่แป๊บเดียวก็ต้องแยกกันอีกแล้ว มึงทำยังไงให้ชินวะ”

“มึงรู้ได้ยังไงว่ากูชิน”

“ก็กูเห็น...” เห็นฮ่องเต้ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเวลาที่ต้องแยกกันไปคนละทิศคนละทาง อย่างตอนที่ต้องแยกกันอยู่กับเขาเพราะมหา’ลัยอยู่ห่างกันก็มาช่วยขนของโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“อะไรๆ มันไม่ได้เป็นแบบที่มึงเห็นเสมอไปหรอกมุข กูไม่พูดไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึก แต่ก็อย่างที่มึงเคยพูด เราต่างมีทางเดินเป็นของตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเอง และมันก็ไม่ใช่แค่กูหรือมึง แต่รวมถึงพี่กับพ่อด้วย”

“…”

“ที่มึงเล่าเรื่องคนของมึงให้กูฟัง บอกว่ามึงเกือบเป็นอันตรายเพราะเขา คิดว่ากูไม่รู้สึกอะไรหรือไง” ฮ่องเต้ส่ายหน้า อยากจะยื่นมือไปโบกหัวไอ้เด็กซื่อที่พยักหน้าตอบรับง่ายๆ สักที “กูเป็นพี่ กูห่วงมึงอยู่แล้ว ถามว่าอยากให้ยุ่งกับเขาหรือเปล่าก็บอกเลยว่าไม่ แต่เพราะมึงมีทางเดินของมึง และมึงก็เลือกแล้ว อย่างนี้จะให้กูพูดทำไมอีก สู้ให้กำลังใจแล้วคอยเตือนคอยสอนมึงไม่ให้ก้าวพลาดไม่ดีกว่าหรือไง”

“อือ…” ประมุขกลั้นยิ้มจนหน้าบาน แค่ได้ยินพี่ชายพูดว่าห่วงก็มีความสุขจนลืมเรื่องที่ถามตอนแรกไปหมดแล้ว และฮ่องเต้ก็รู้นิสัยของน้องชายดี เพราะแค่เห็นมันทำหน้าเด๋อใส่ เขาก็รู้แล้วว่ามันโยนความเครียดทิ้งไปแล้ว

“มึงรู้ไว้แค่ว่าวันไหนที่คิดถึงจนทนไม่ได้หรือเหนื่อยจนทนไม่ไหว เรายังมีบ้านให้กลับและมีครอบครัวรออยู่ก็พอ”

“อื้อ”

“ทีนี้ก็เลิกทำตัวเป็นหมาหงอย ใช้ชีวิตของมึงให้เต็มที่ อย่าให้ต้องเสียใจทีหลัง แล้วก็ห้ามลืมว่ามีใครรออยู่บ้างก็พอ”

“เข้าใจแล้ว”

ในระหว่างที่สองพี่น้องมองหน้ากันแบบแหยงๆ เพราะบรรยากาศมันชวนให้พุ่งเข้ากอดกันเสียเหลือเกิน เสียงล้อรถที่ขูดไปกับพื้นหินก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง พร้อมกันกับที่ใครบางคนเริ่มพูดต่อจากที่ฮ่องเต้พูด ราวกับเขาฟังเรื่องราวมาตั้งแต่แรกแล้ว

“คิดถึงก็มาหาสิ”

“พี่จักร!” ประมุขเรียกเสียงดัง ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปเข็นรถให้พี่ชายขยับมาอยู่ตรงกลางระหว่างชิงช้าของเขากับเต้ “มาตอนไหนเนี่ย มุขไม่ได้ยินเสียงเลย”

“ก็มึงมัวแต่เหม่อไง”

“พูดเหมือนมึงรู้อะเต้”

“รู้ก่อนมึงแล้วกัน”

“เถียงกันเป็นเด็ก” เสียงบ่นราบเรียบไม่จริงจังนักของพี่ชายคนโตทำให้สองพี่น้องหันขวับไปคนละทางเป็นเด็กๆ ท่าทางที่ไม่ได้เห็นมานานทำเอาคนมองอดยิ้มออกมาไม่ได้ ชายหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวน้องสองสามที พอหายหน้ามุ่ยกันแล้วถึงได้พูดต่อจากเดิม “พี่เพิ่งมาไม่นาน แต่พอจะเดาได้ว่าคุยอะไรกันอยู่”

“ไอ้มุขมันงอแง พี่จักรไม่ต้องสนใจมันหรอก” ฮ่องเต้บอกแล้วเบนหน้าหนีน้องที่หันมาถลึงตาใส่ ทำเหมือนพูดเรื่องทั่วไปธรรมดา ไม่ได้เพิ่งหลอกด่าใครไปเลยแม้แต่น้อย

“มุขไม่ได้งอแงนะพี่จักร”

“งอแง”

“ไม่ได้งอแง!”

“พอแล้ว” พี่ชายคนโตห้ามศึกด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากดวงตากลับดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งจนสองพี่น้องพูดอะไรต่อไม่ออก ได้แต่ยอมยุติสงครามแล้วหันไปพูดคุยกับพี่ชายแต่โดยดี

“ที่บอกว่าคิดถึงก็มาหา แสดงว่ามุขมาหาพี่จักรตอนไหนก็ได้ใช่หรือเปล่า” ประมุขลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเกาะขาพี่ชายพูดเสียงออดอ้อน พออีกคนส่งมือมาลูบหัวลูบหางก็หลับตายิ้มรับอย่างสบายใจ

“ใช่ อยากมาตอนไหนก็ได้ เราไม่ได้อยู่ห่างกันแล้วนี่”

ไม่ใช่คนละประเทศ ไม่ใช่ไม่มีทางติดต่อได้เลยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว...

“งั้นมุขจะมาหาบ่อยๆ นะ พี่จักรรีบรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้พามุขไปเที่ยวเล่น จำตอนเด็กๆ ที่เราไปเที่ยวงานวัดกันได้ไหม มุขอยากไปปาลูกโป่งอีก”

“เด็กจริงๆ”

“ไอ้เต้!”

คุยดีได้ไม่นานก็ต้องมีคนหาเรื่องให้หัวร้อนใส่ตลอด ไม่ใช่ฮ่องเต้กวนประมุขก็เป็นประมุขกวนฮ่องเต้ ภาพการเถียงกันของสองคู่หูที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เกิดทำให้คนห้ามทัพตัดสินใจปล่อยวาง เพราะรู้ดีว่าต่อให้ห้ามไปเดี๋ยวอีกแป๊บเดียวก็ต้องหาเรื่องตีกันต่อ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกันของสองพี่น้อง...ที่อาจจะดูมากเกินไปนิดหน่อย

“แล้วนี่ภีมไปไหนเหรอพี่จักร” ฮ่องเต้หันไปถามจักรพรรดิ เมื่อเห็นว่าประมุขยอมแพ้กลับไปนั่งเกาะขาให้พี่ชายลูบหัวเหมือนเดิมแล้ว

“พี่ไล่ให้กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

คนฟังได้แต่ตอบรับอืออาในลำคอ เชื่อว่าถ้าภีมอยู่ตรงนี้คงถามว่า ‘แล้วจะผลักผมลงน้ำทำไม’ เป็นแน่

ทั้งที่ตอนแยกกันอยู่คิดเอาไว้ว่าพอได้เจอคงมีเรื่องให้พูดคุยมากมาย ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ พวกเขาก็แค่นั่งมองท้องฟ้า ดูดาวด้วยกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แม้แต่ประมุขที่พูดเก่งที่สุดและร่าเริงได้ตลอดเวลาก็ยังนั่งเงียบ ราวกับอยากซึมซับบรรยากาศดีๆ เอาไว้ให้นานกว่านี้ ก่อนจะต้องแยกย้ายเพื่อเดินไปตามทางของตัวเองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“พอเรียนจบมีงานทำเมื่อไหร่ เต้กับมุขคุยกันไว้ว่าจะไม่ให้พ่อทำงานแล้ว” ฮ่องเต้เกริ่นออกมาช้าๆ ขณะลอบมองสังเกตอาการของพี่ชายที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับพ่อแท้ๆ เท่าไหร่นักไปด้วย “พี่จักรคิดว่ายังไง”

“อืม ก็ดี”

คนฟังทั้งคู่ถอนหายใจโล่งอก ดีใจที่อย่างน้อยตอนนี้พี่ก็ไม่ได้ดูปิดกั้นพ่อเหมือนช่วงแรกๆ ถึงจะรู้ดีว่าที่พี่จักรไม่อยากยุ่ง เป็นเพราะในใจยังโทษที่พ่อปกป้องตัวเองเอาไว้ไม่ได้จนถูกแม่พาตัวไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่พวกเขาก็หวังว่าสักวันพี่จะให้อภัย อย่างน้อยยอมกลับไปคุยกับพ่อดีๆ ท่านก็คงมีความสุขมากแล้ว

“พี่จักร” น้องชายคนเล็กกระตุกขากางเกงเรียกให้จักรพรรดิหันกลับไปมอง ในขณะที่ฮ่องเต้กลอกตาใส่คนติดพี่อย่างอดไม่ได้ แค่เห็นพี่จักรเหม่อไม่สนใจตัวเองนิดหน่อยก็ต้องหาเรื่องเรียกร้องความสนใจแล้ว

“ว่าไง”

“พรุ่งนี้พี่จักรพามุขไปเดินเล่นนะ อยากเที่ยวสวนดอกไม้ของภีม”

“อืม” คนเย็นชาตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มือก็ยังลูบหัวทุยของน้องไม่หยุด เผลอแป๊บเดียวประมุขก็ทำท่าคล้ายจะงีบหลับตามประสาคนขี้เซา จนเขาต้องหันไปสะกิดเรียกฮ่องเต้ให้มาช่วยจัดการอีกที เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่า...

“หลับแล้วยังทำหน้าโง่ไม่เลิกอีก”

“ไม่ได้โง่!”

จักรพรรดิกับฮ่องเต้มองคนตาแดงที่แพ้คำว่าโง่ด้วยสายตาจะขำก็ไม่ใช่จะสงสารก็ไม่เชิง แค่ดูหน้าแวบเดียวก็รู้แล้วว่าง่วงขนาดไหน แต่พอโดนจี้จุดเข้าหน่อยก็ตื่นขึ้นมาง่ายๆ ไม่รู้จะเรียกว่าน่าเอ็นดูดีหรือเปล่า

“เต้ พามุขไปนอนดีๆ เถอะ”

“ครับ พี่จักรก็กลับไปพักเถอะ ภีมมานั่นแล้ว”

จักรพรรดิเป็นฝ่ายแยกตัวไปก่อนเมื่อภีมภัทรเดินมารับถึงที่ เหลือก็แต่ฮ่องเต้ที่ต้องฉุดกระชากลากถูไอ้น้องตัวดีที่กำลังทำตัวเป็นเด็กพยายามจะปีนขึ้นหลังเขาเพราะไม่อยากเดินเอง

“ไอ้มุข กูหนัก!”

“กูเบากว่ามึงตั้งเยอะ แบกๆ ไปน่า”

“เบาอะไรของมึง ตัวก็เท่าๆ กัน” ฮ่องเต้บ่นไปก็ลากน้องไปด้วย จนกระทั่งถึงจุดที่พวกพ่อๆ นั่งดื่มกันอยู่ เขาก็รีบกวักมือเรียกให้คนตัวสูงที่นั่งนิ่งเป็นตอไม้มาช่วย “พี่ยุ ช่วยที”

“ไม่ต้องช่วยหรอก ปล่อยให้พี่น้องลากกันกลับไปเองนั่นแหละ”

“พ่อ” คนฟังขมวดคิ้วมุ่น ตัวเอนจนแทบจะล้มอยู่ล่อมล่อเพราะถูกถ่วงน้ำหนักโดยคนตัวพอๆ กันที่ทำเหมือนเมาทรงตัวไม่อยู่ ทั้งที่มันแค่ง่วงเฉยๆ ไม่รู้ฮ่องเต้ควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่พ่อตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้เลยคุยกับพี่ยุรู้เรื่อง แถมดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเชื่อฟังคำของพ่อมากกว่าเขาเสียด้วย

“เต้ พากูไปเตียงได้แล้ว”

“…” ฮ่องเต้กลอกตาเหนื่อยหน่าย ตัดสินใจหยุดความพยายามผลักประมุขลงจากหลัง แล้วเริ่มใช้สมองประมวลผลคิดหาแผนการดีๆ ที่จะทำให้มันดิ้นลงไปเอง “มุข”

“อือ”

“มึงวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ตรงชิงช้าทำไมวะ สั่นใหญ่เลยนั่น ใครโทรมาหรือเปล่า”

คราวนี้ไม่ต้องรอให้ใครมาฉุด ลูกชายคนเล็กของบ้านก็ผลักพี่คนรองออกไปให้พี่พายุแล้วพุ่งกลับไปที่ชิงช้าอย่างรวดเร็ว อารมณ์ง่วงๆ ที่มีตอนแรกจางหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนสติสตังที่มีจะหายไปด้วย ถึงได้ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในประโยคที่พี่ชายพูดเลยสักนิด

“ไอ้เต้!!”

“พี่ยุรีบกลับห้องกันเร็ว” ฮ่องเต้คว้าแขนคนรักไว้แล้วรีบลากให้ลุกตามไปอย่างรวดเร็วเมื่อน้องชายหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ คงรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก เพราะโทรศัพท์มันก็เหน็บอยู่ในกางเกงตั้งแต่แรก ไม่ได้ทิ้งไว้ตรงนั้นตามที่เขาบอก

“โดนหลอกซะแล้วไอ้เสือ”

“พ่อไม่ต้องพูดเลย” ประมุขหน้าบูด เดินกลับไปหาพ่อตัวเองแบบเนือยๆ โชคดีที่คุณอาวิบูลย์ พ่อของภีมเมาจนฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องคอยรักษาท่าทีมากนัก

“โกรธพี่แล้วมาลงที่พ่อซะงั้น”

“เปล่าสักหน่อย พ่อไปนอนได้แล้ว ให้มุขช่วยพาคุณอาเข้าไปไหม”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อจัดการเอง เราไปนอนเถอะ”

ประมุขพยักหน้าหงึกหงักพลางหาวหวอด เมื่อโบกมือร่ำลาผู้ใหญ่แล้วก็เดินเอื่อยๆ เข้าไปในตัวบ้านพักที่พวกเขาเหมาอยู่รวมกันทั้งครอบครัว แต่เป็นเพราะไม่มีคู่เหมือนใครเขาเลยต้องนอนคนเดียว กลิ้งไปกลิ้งมาได้พักใหญ่ก็ยังนอนไม่หลับ สุดท้ายต้องลุกมานั่งกดโทรศัพท์หาคนที่ไม่รู้ว่านอนหลับไปแล้วหรือยัง

GP.MUK: ฝันดีครับ

M.GRAY: ฝันดี : )

“ยังไม่นอนอีก” ประมุขบ่นอยู่กับตัวเองเมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา เชื่อว่าป่านนี้เกรย์คงยังทำงานอยู่เป็นแน่ แต่ถ้าให้ชวนคุยต่อก็กลัวว่าจะไม่ได้นอนกันทั้งคู่ สุดท้ายเขาจึงวางโทรศัพท์ลงแล้วค่อยๆ หลับตา พอได้ส่งข้อความที่ปกติต้องบอกกันทุกคืนไปแล้ว ความง่วงก็เข้ามาครอบงำจนสติหลุดลอยไปไกลอย่างรวดเร็ว

(ต่อด้านล่าง)
.
.


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.6]=[P.3]==[03/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-12-2018 20:17:49



ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไวจนน่าตกใจ ในที่สุดวันที่ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางก็มาถึง ตอนเช้าตรู่ประมุขถูกพี่ชายคนรองลากให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถแบบง่วงๆ งุนๆ โดยลืมร่ำลาพี่ชายคนโตไปเสียสนิท รู้สึกตัวอีกทีรถซึ่งมีผู้โดยสารสี่คนไม่นับคนขับของสวนก็ออกตัวมาได้พักใหญ่แล้ว

“กูยังไม่ได้ลาพี่จักรเลย”

“มึงงัวเงียเอง” ฮ่องเต้ที่นั่งคั่นตรงกลางระหว่างประมุขกับพายุหันไปตอบด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ได้กลับมาอยู่กับน้องแค่ไม่กี่วันรู้สึกเหมือนอายุสั้นลงเพราะต้องคอยมารองรับอารมณ์บ้าบอของคนที่ชอบทำตัวเป็นเด็กเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อก่อนเขาก็ไม่คิดอะไรหรอก แต่ตอนนี้ชักรู้สึกว่าทุกคนจะตามใจมันมากเกินไปแล้ว

“ช่างเหอะ เดี๋ยวกูค่อยโทรไปหาบ่อยๆ ก็ได้” คนเด๋อพยักหน้ากับตัวเองแล้วก็ไหลไปพิงกระจกเอาไว้อย่างเกียจคร้าน

“แล้วนี่มึงกลับไปเจอคนคนนั้นที่กรุงเทพฯ เลยใช่ไหม”

“อือ เขาบอกให้ไปเจอกันที่นั่นเลย” ประมุขตอบพี่ชายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เผื่อคนที่บอกว่าจะตอบข้อความไม่ได้สักพักจะว่างคุยด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีวี่แวว

หลังจากใช้เวลาเดินทางอยู่พักใหญ่ รถก็แล่นเข้าไปจอดหน้าสนามบิน ประมุขกับฮ่องเต้หันไปไหว้ขอบคุณลุงคนขับรถจากสวนรังสิมันตุ์ ก่อนจะพากันลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้านใน โดยตกลงกันไว้ว่าพวกเขาจะกลับกรุงเทพฯ พร้อมกันก่อน จากนั้นถึงจะแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหน คนคุ้นหน้าคุ้นตาที่คอยดูแลประมุขจากที่ลับๆ มาตลอดหลายวันก็วิ่งเข้ามาหา

“วิคเตอร์” ประมุขทักทายคนคุ้นเคยด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมผงกหัวให้พี่การ์ดคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายด้วย

“คุณรออยู่ที่นี่ก่อน”

“หือ มีอะไรหรือเปล่าครับ เกรย์บอกให้ผมไปเจอที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ”

“นายเปลี่ยนแผน ตอนนี้กำลังเดินทางมาที่นี่ คุณแคนเซิลตั๋วเครื่องบินได้เลย” บอดี้การ์ดหนุ่มบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พร้อมยื่นโทรศัพท์ที่มีข้อความจากเจ้านายให้ประมุขดูเพื่อยืนยัน

“อ๋อ…” พอรู้ว่าเกรย์กำลังจะมาหา คนที่ดูห่อเหี่ยวมาตลอดก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันใด ประมุขรีบหันหน้าไปหาครอบครัว ตั้งท่าจะอธิบายความ แต่พอเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของพ่อกับพี่ แล้วก็ใบหน้าไร้อารมณ์ของพี่พายุ รอยยิ้มที่มีก็จางหาย กลายเป็นเสียงหัวเราะแหบแห้งแทน “คือว่า...”

“ดีใจยิ่งกว่าเจอพ่ออีกนะ” กฤษณ์มองลูกชายแล้วส่ายหน้าหน่าย เพราะแม้จะไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก แต่ลูกของเขาก็ไม่เคยปิดบังเรื่องความรักความชอบของตัวเอง พอได้เจอทีก็เข้ามาเล่าให้ฟังโดยไม่ต้องถาม ถึงจะไม่ได้รู้มากเท่าพี่น้องที่อยู่ด้วยกันตลอด แต่ก็ยังรู้ว่าลูกชายทุกคนดูจะชื่นชอบคนอันตรายกันเสียเหลือเกิน

จะยกเว้นก็แต่จักรพรรดิ...ที่น่าจะเป็นตัวอันตรายเอง

“โธ่พ่อ... มุขไม่ได้ดีใจยิ่งกว่าเจอพ่อสักหน่อย” ประมุขรีบเข้าไปกอดพ่ออย่างออดอ้อน แล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงฮ่องเต้โดยการยื่นมือไปจับแขนเสื้อพี่ชายไว้เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้ลืมอีกต่างหาก

“พ่อเตือนให้มันดูแลตัวเองหน่อย กลัวจริงๆ ว่าจะเด๋อไปโดนใครเขาหลอก”

“กูไม่ได้โง่นะเต้”

“กูยังไม่ได้ด่ามึงโง่เลย”

คนฟังทำหน้าย่นแล้วหันไปกอดพ่อเหมือนเดิม คราวนี้เอามือออกจากแขนเสื้อฮ่องเต้เป็นเชิงบอกว่าไม่พอใจด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพี่ชายที่รักน้องแบบไม่แสดงออกย่อมต้องสนองอาการเหล่านั้นด้วยการยื่นมือไปบิดแก้มขาวๆ ด้วยความหมั่นไส้

“น่าบิดให้เขียว”

“พี่ยุ แฟนพี่แกล้งมุข” ประมุขยกมือกุมแก้มแล้วหันไปฟ้องพี่เขยที่เอาแต่ยืนนิ่งเป็นตอไม้ไร้ตัวตน พอเห็นพี่ชายตั้งท่าจะตบตีอีกก็รีบวิ่งไปหลบหลังคนตัวสูงแล้วเกาะเสื้อไว้แน่น

“ไอ้มุข ออกมาจากหลังพี่ยุเดี๋ยวนี้!”

“ไม่ออก... มึงเอากระเป๋าใบนั้นกลับไปไว้ที่บ้านด้วยนะ กูกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่จะไปเอา”

“กูไม่รับฝาก!”

สองพี่น้องหมุนไปหมุนมาโดยมีพายุเป็นตัวคั่นกลางซึ่งก็ยอมหมุนตามแรงบังคับโดยไม่พูดอะไร ไม่ได้มีใครรู้ตัวเลยว่าถูกจับจ้องขนาดไหน พวกเขาดึงดูดสายตาของคนรอบข้างได้มากมายทั้งจากรูปร่างหน้าตา เสียงพูดคุยเฮฮา และที่สำคัญที่สุดคือการที่มีชาวต่างชาติในชุดสูทยืนล้อมอยู่เกือบสิบคน

รอจนเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว กฤษณ์ที่ยืนหัวเราะเงียบๆ จึงส่งสัญญาณให้ลูกเขยคว้าแขนคนรักกับน้องชายอีกคนเอาไว้ จะได้หยุดวิ่งไปวิ่งมาน่าปวดหัวเสียที

“ตีกันเป็นเด็กๆ เลย พ่อกับพี่ต้องไปแล้วนะเจ้ามุข”

“ไปแล้วเหรอ” คนที่ยืนหอบแฮ่กอยู่ถามเสียงอ่อย เหมือนจะไม่อยากแยกกับครอบครัว แต่ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าจะรอใครบางคนอยู่ที่นี่ ทั้งที่จริงๆ จะขอกลับกรุงเทพฯ พร้อมพ่อกับพี่ให้ได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ก็ได้

“ดูแลตัวเองดีๆ นะมุข พ่ออยู่ไกล คงมาหาในทันทีไม่ได้ เพราะงั้นถ้ามีปัญหาให้รีบติดต่อเต้หรือจักรเลย เข้าใจหรือเปล่า”

“อื้อ แล้วพ่อไม่อยู่รอเจอเกรย์ก่อนเหรอ”

“อยากอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ทันแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกันแบบครบๆ นะ” กฤษณ์ลูบหัวลูกชายคนเล็กที่มีนิสัยน่าเป็นห่วงที่สุดในบ้านแล้วก็ดึงเจ้าตัวเข้ามากอดแน่นๆ หนึ่งที “ต่อจากนี้ถ้าต้องตัดสินใจทำอะไรก็คิดดีๆ หรือถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ก็ถามเต้นะ พี่เราฉลาดจะตายไป”

“พ่อจะบอกว่ามึงโง่อะมุข”

“ไอ้เต้!” ประมุขหันไปถลึงตาใส่พี่ชาย ตั้งท่าจะเข้าไปบวกกันอีกรอบ แต่พายุก็เดินเข้ามาแทรกแล้วยกมือลูบหัวเขาเป็นเชิงลา ก่อนจะลากพาฮ่องเต้เดินจากไปเสียก่อน

“ดูแลตัวเองด้วยไอ้น้องเอ๋อ!”

“กูไม่เอ๋อสักหน่อย...” สุดท้ายก็ทำได้เพียงพึมพำกับตัวเองแบบหงอยๆ เมื่อพ่อเดินตามหลังพี่เขยกับพี่ชายไปแล้ว เหลือเพียงเขาและบรรดาบอดี้การ์ของเกรย์ที่ยืนรออยู่

ประมุขเดินตามหลังวิคเตอร์ไปนั่งรอที่ห้องรับรองพิเศษของสนามบิน พอได้หย่อนก้นลงนั่งปุ๊บตัวก็ไหลไปตามโซฟาปั๊บ ท่าทางที่ดูไร้ชีวิตชีวาของนายอีกคนทำให้เหล่าการ์ดที่เฝ้ามองอยู่ได้แต่ขนลุกขนพอง กังวลไปหมดว่าเจ้าตัวจะเป็นอะไรหรือเปล่า และถ้าเจ้านายมาเห็นท่าทางแบบนี้เข้า...

ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าบรรยากาศจะเย็นเยียบชวนหนาวสันหลังเพียงใด

“วิคเตอร์”

ทว่าจู่ๆ คนที่เอนตัวอยู่ก็เด้งขึ้นมาเท้าคางกับพนักโซฟามองวิคเตอร์ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีร่าเริง ทำเอาคนที่ดูอยู่กะพริบตาปริบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูกกับการเปลี่ยนอารมณ์ที่รวดเร็วยิ่งกว่าอะไรดี

“ผมฟังอยู่”

“เกรย์ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ”

“นายบอกว่าอีกสิบห้านาที ให้คุณนอนรอก่อนก็ได้” วิคเตอร์ตอบคำถามแล้วเงียบไป ก่อนใบหน้าจะแข็งค้างเมื่อคนฟังพยักหน้าหงึกหงัก แล้วตบเบาะข้างตัวเบาๆ

“มานั่งคุยกันเถอะ ผมเหงาแล้ว” พูดไปแล้วก็มองไปรอบๆ เห็นสีหน้ากลั้นหัวเราะของพี่การ์ดคนอื่นๆ ก็นึกว่าอยากมานั่งด้วย เขาเลยฉีกยิ้มแล้วเชิญชวนอย่างใจกว้าง “คนอื่นๆ ก็มานั่งด้วยกันสิครับ เกรย์ไม่ว่าหรอก”

“ไม่เป็นไรครับ” อเล็กซ์ที่ยืนห่างจากวิคเตอร์ไปไม่ไกลกระแอมแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง เนื่องจากเมื่อครู่เกือบจะหลุดขำออกมา แล้วก็แทบสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของนายคนใหม่ เห็นแบบนั้นประมุขก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ถึงจะมีแค่การ์ดที่เขาสนิทด้วยไม่กี่คนที่ยอมแสดงท่าทีน่าตลกออกมาให้เห็น แต่นั่นก็มากพอจะทำให้อารมณ์หงอยๆ จางหายไปแล้ว

“ผมล้อเล่นน่า รู้อยู่หรอกว่าหน้าที่ของทุกคนคืออะไร”

“ล้อเล่นอะไรเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวันทำให้ลูกแกะตัวกลมที่เอาแต่แกล้งชาวบ้านฉีกยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาคนมาใหม่อย่างว่องไว

“คุณมาแล้ว”

“อือ มาแล้ว” คนตัวสูงในชุดสูทเต็มตัวยิ้มจาง แขนอ้าออกรับลูกแกะน้อยเข้ามากอดให้หายคิดถึง และใช้โอกาสนั้นกวาดสายตามองการ์ดที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลลูกแกะ เมื่อได้รับคำตอบผ่านการแสดงออกว่าไม่ได้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เขาก็ก้มหน้าลงสนใจคนสดใสที่วันนี้ดูขอบตาดำผิดปกติอีกครั้ง “ทำไมขอบตาดำแบบนี้ นอนไม่หลับเหรอ”

“ครับ ไม่รู้ทำไมตอนกลางคืนนอนไม่หลับ ชอบมาง่วงตอนกลางวันแทนจนโดนเต้ตีตั้งหลายรอบ”

“เพราะฉันหรือเปล่า”

“ใช่ เพราะคุณเลย” ได้ทีลูกแกะก็โยนความผิดให้คนที่ไม่ยอมมาด้วยยกใหญ่ “เพราะคุณทำให้ผมนอนคนเดียวไม่ได้แน่ๆ”

หากเป็นคนอื่นพูดเกรย์คงคิดว่าเป็นคำพูดล้อเล่นขำๆ แต่พอมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากลูกแกะซึ่งกำลังทำหน้าจริงจัง เขาก็หัวเราะออกมาโดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“งั้นเอาไว้ไปนอนต่อบนเครื่องนะ มีฉันอยู่ด้วยก็นอนหลับแล้ว”

“เราจะไปไหนกันเหรอ”

“ลงใต้น่ะ” คนพูดคลี่ยิ้มจาง ดวงตาเป็นประกายประหลาดแบบที่หากไม่สังเกตดีๆ คงมองไม่เห็น “ลูกแกะคงเบื่อกรุงเทพฯ ตอนนี้ฉันเคลียร์งานเสร็จแล้ว มีเวลาเที่ยวสบายๆ อยู่หลายวัน เราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันดีกว่า”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ... เดี๋ยวเราจะไปเจอคิงที่นั่นด้วยนะ ดูเหมือนพี่นายจะต้องเดินทางไปร่วมงานอะไรสักอย่าง”

“งั้นเรารีบไปกันเถอะ!” พอได้ยินว่าจะได้เจอพี่ชายคนโตอีกรอบ ประมุขก็ตาสว่างเต็มที่ รีบคว้าจับแขนคนข้างกายไว้แล้วดึงให้เดินออกไปด้วยกัน โดยมีการ์ดทีมเอตามหลังไปติดๆ

“ไม่ต้องรีบก็ได้ คิงจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้เหมือนเรา”

ดูเหมือนคำพูดของเกรย์จะส่งไปไม่ถึงคนอารมณ์ดีที่จูงมือเขาเดินไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของลูกแกะน้อยที่น่าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่รู้ทางเงียบๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพาเดินเล่นไปทั่วโดยไม่คิดขัด

แค่ได้เห็นท่าทีมีความสุขที่จะได้ไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้... เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เร่งทำงานจนแทบไม่ได้พักผ่อนในช่วงเวลาตลอดหลายวันที่ผ่านมา


---------------------------

TALK: ขออภัยที่หายไปนานเลยนะคะ เดือนนี้วุ่นวายหลายล้านประการมากกก ไม่มีเวลาอ่านทวนมาลงเลย แต่พอพ้นวันที่27ก็สบายตัวแล้วค่ะ จะมาอาทิตย์ละตอนเป็นอย่างต่ำน้า เจอกันแน่นอนน (เขียนจบแล้วด้วยเย้)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 16-12-2018 20:51:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
น้องมุขน่าเอ็นดูจริงลูก :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 16-12-2018 20:54:34
ชอบความมีมิติของน้องมุขจังเลยค่ะ น่ารักน่าน้วยสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 16-12-2018 21:01:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-12-2018 00:22:18
มีแต่คนตามใจจริงๆน่ะแหละ
เขาเอ็นดูหนูกันหมดเลยลูก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-12-2018 00:27:01
ครอบครัวนี้น่ารักจังเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-12-2018 05:57:51
5555 อะไรที่จักรคิดว่าน้องสนิทกันมาก มากเกินพอดี
ก็น้องแค่บ้าบอ หยอกกันทุกคำไม่ให้ว่างแค่นั้นเอง

ประมุขน่ารัก น้องน้อยอะเนาะ ต้องมีอ้อนต้องมีหงอยอยู่แล้ว
แหมมม พอจะเจอเกรย์ ดีดเลยนะ เหมือนพ่อบอก ดีใจกว่าไปอีก

จักรเปิดใจ อะไรก็ดี ทุกคนมีความสุข

แต่ตอนนี้เหมือนไม่ได้แค่ไปเที่ยวไหม หรือยังไงนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 19-12-2018 03:04:14
ลูกแกะของคุณเกรย์ ขี้อ้อนมากกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 20-12-2018 12:23:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 21-12-2018 01:18:03
ลูกแกะติดคุณเกรย์มาก สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 21-12-2018 16:50:18
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 27-12-2018 22:54:18
ลูกชายบ้านนี้ชวนให้หลงทุกคนเลย น่ารักมากกก :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.7]=[P.4]==[16/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 31-12-2018 20:27:09
-8-


“ทำหน้าคิดหนักอะไรอยู่”

“เกรย์...” ประมุขหันไปยิ้มให้คนที่เดินมาจากด้านหลัง รอให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างกายแล้วจึงขยับเข้าไปใกล้จนแนบชิด เอียงตัวพิงโดยใช้โซฟาช่วยรับน้ำหนัก เป็นท่าทางออดอ้อนประจำตัวที่ใครมองก็ได้แต่อมยิ้ม ยิ่งเป็นคนที่โดนอ้อนยิ่งแล้วใหญ่

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ”

“คิดเพลินซะหน้าเครียดเชียว” เกรย์ลูบหัวคนในอ้อมแขนเบาๆ ก่อนจะดันคางให้เงยขึ้นสบตาเขา แค่มองเห็นดวงตาสดใสคู่นั้นดูผิดแปลกไปจากเดิมเพียงนิดเดียว เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องที่ลูกแกะคิดอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องทั่วไปแน่นอน “บอกฉันสิว่าอะไรทำให้ลูกแกะคิดมาก”

“ผมแค่...คิดว่ามีเรื่องอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด ทั้งเรื่องแม่แล้วยังมีเรื่องคนที่พยายามจะหาเรื่องคุณด้วย” แม้เรื่องแรกจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะแม่น่าจะเปิดศึกกับพี่จักรมากกว่า แต่อย่างไรพี่จักรก็เป็นพี่ชายของเขา ส่วนเรื่องหลังที่เป็นเรื่องของเกรย์นั่นเรียกว่าได้รับผลกระทบตรงๆ เพราะฝั่งนั้นน่าจะเหมารวมเขาไปด้วยแล้ว

พอคิดมาถึงตรงนี้ก็อดเครียดไม่ได้...

“อย่าคิดมากเลย...” คนที่เฝ้ามองสีหน้าและท่าทางของประมุขมาโดยตลอดบอกเสียงอ่อน มือข้างที่โอบไหล่เจ้าตัวไว้วางทาบลงบนหน้าผากขาว ดันให้เงยกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง “ฉันจะดูแลลูกแกะเอง”

“แล้วคุณไม่เหนื่อยเหรอ”

“หืม”

“คุณทำอะไรคนเดียวตั้งหลายอย่าง ไม่เหนื่อยเหรอครับ”

คำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินทำเอาคนฟังชะงักค้างไปครู่ใหญ่ เกรย์กะพริบตาช้าๆ มองสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่มีอะไรแอบแฝงของลูกแกะเงียบๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ขณะประทับริมฝีผากลงบนขมับอีกคนเป็นเชิงปลอบประโลม

“ฉันไม่เป็นไรหรอก” อันที่จริงต้ังแต่จำความได้ก็เคยชินกับอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อมีคนเป็นห่วง สิ่งที่ถูกกักเก็บไว้จะโดนดึงออกมาจนหมด เขาเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองเหนื่อยหน่ายกับเรื่องราวน่ารำคาญพวกนี้ขนาดไหน ใจจริงถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล ไปใช้ชีวิตเงียบๆ แบบที่ไม่ต้องแบกอะไรมากมายไว้บนบ่ากับลูกแกะสองคน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้...

“เกรย์...”

“แค่นายอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก” กับคนน่ารักที่ไม่เคยพูดจาเป็นห่วงตัวเองเลยสักนิด ยังไงเขาก็ต้องดูแลให้ดี จะไม่ยอมให้มีใครหรืออะไรมาทำร้ายโดยเด็ดขาด

“ผมบอกคุณแล้วว่าไม่ไปไหนแน่นอน” ประมุขในชุดนอนลายแกะสีขาวสะอาดหันไปกอดเกรย์ไว้แน่น แต่ไม่รู้กอดยังไง ไปๆ มาๆ ตาเริ่มปรือจนถูกแกะมือออก ดันให้นอนลงบนตักดีๆ ก็เหมือนจะไม่รู้สึกตัว ทั้งยังขยับขยุกขยิกหาท่านอนอย่างสบายอกสบายใจอีกต่างหาก

“เดี๋ยวคิงจะมาหานะ ไม่รอเจอก่อนเหรอ”

“ฮื่อ…” รับคำคล้ายอยากเจอ แต่สุดท้ายก็นิ่งสนิทไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เกรย์มองตามแล้วลูบหัวให้อย่างอ่อนใจ

หลังจากที่เดินทางมายังภาคใต้ โดยพูดคุยเอาไว้ว่าจะพากันเที่ยว สองวันมานี้ประมุขยังไม่ได้ออกไปไหน เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องกับเขาทั้งวัน เจ้าตัวบอกว่าได้ยินวิคเตอร์รับโทรศัพท์ ฟังดูก็รู้ว่าเกรย์ถูกตามให้จัดการงาน เพราะดันปิดโทรศัพท์เพื่อรักษาสัญญาจะพาไปเที่ยว จากนั้นมาลูกแกะตัวน้อยก็บอกให้เคลียร์งานอีกวันสองวัน เอาไว้เจอพี่ชายก่อนค่อยไปเที่ยวกันก็ได้

สุดท้ายที่อุตส่าห์พาลูกแกะไปพักโรงแรมริมทะเลระหว่างรอเวลานัดก็เปล่าประโยชน์ เขาใช้เวลาสองวันจัดการงานยิบย่อย ตอนเช้าของวันนี้ถึงได้ย้ายมานอนโรงแรมเดียวกันกับเพื่อน เพื่อรอพูดคุยกันในตอนกลางคืนก็คือตอนนี้

แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว...

หนุ่มต่างชาติตาฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด รอกระทั่งปลายสายกดรับแล้วจึงออกคำสั่งสั้นๆ ได้ใจความในประโยคเดียว

“อีกสิบนาทีถ้ายังไม่มาบอกว่าฉันนอนแล้ว”

[คุณคิงขึ้นลิฟต์มาแล้วครับนาย]

“อา... งั้นให้เข้ามาได้เลย”

โชคดีที่ก่อนเขาจะตัดสินใจพาลูกแกะไปนอนในห้อง คนที่เหมือนรู้ทันกันไปหมดเพราะคบมานานก็โผล่มาพอดีเสียก่อน เกรย์ก้มลงมองหน้าลูกแกะอย่างใจเย็น กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูจึงใส่หน้ากาก ยกยิ้มขึ้นช้าๆ เนื่องจากรู้ดีว่าเพื่อนคงพาคนสำคัญมาด้วย เขาหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะยกนิ้วแตะริมฝีปากเพื่อบอกให้เงียบโดยไม่ได้อธิบายอะไร รอจนทั้งคู่เดินมาตรงหน้าแล้วจึงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“มุข” เสียงเรียกของคนหวงน้องดังขึ้นพร้อมกันกับที่ใบหน้าเย็นชาของจักรพรรดิแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวน่ากลัว ชายหนุ่มบนรถวีลแชร์เบนสายตาดุดันไปมองเพื่อน แล้วเอ่ยเตือนโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสที่เข้าใจกันเพียงสองคน “นายบอกว่าจะไม่แตะต้องเขา”

“ก่อนเวลา” เกรย์ต่อคำโดยใช้ภาษาไทยแปร่งๆ ของตัวเอง “ไอบอกว่าจะไม่แตะต้องลูกแกะก่อนเวลา”

“…”

“ไม่เอาน่าคิง... นี่มันก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วนะ”

อันที่จริงจักรพรรดิควรจะขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำที่ยอมอดทนรอมาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่คนอย่างเกรย์ หากอยากได้อะไรแล้วไม่เคยต้องรอ ขอแค่ชี้นิ้วสั่งทุกสิ่งก็พร้อมจะมากองอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญานั่น เขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองและลูกแกะรอนานขนาดนี้

“เราเลิกพูดเรื่องลูกแกะของฉันแล้วมาคุยกันเรื่องของนายดีกว่าไหม ฉันยังอยากรักษาสัญญาอีกข้อของเราอยู่นะ” เกรย์เอ่ยเตือนเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ภีมภัทรเข้าใจด้วย ขณะที่มือยังคงลูบหัวลูกแกะตัวน้อยที่เริ่มขยับตัวอย่างอ่อนโยน

ดูท่าอีกสองคนในห้องคงไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ซึ่งเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้อยากให้รู้เท่าไหร่นัก เห็นแบบนั้นเกรย์จึงไม่ได้พูดบอกอะไร เพียงปล่อยให้ลูกแกะแอบฟังตามที่ต้องการ

“คือว่า...” ภีมภัทรที่นั่งเงียบมานานเอ่ยแทรกขึ้นมาลอยๆ ใบหน้าดูงุนงงจนถึงขีดสุด “สัญญาที่ว่านี่อะไรเหรอ บอกได้ไหม”

“อา...บอกได้ไหมคิง” เพียงแค่ได้เห็นท่าทีมึนตึงของเพื่อนที่ไม่ได้เห็นมานาน เกรย์ก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ใส่ใจบรรยากาศที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองหน้าเพื่อนด้วยความสนใจ คิดว่าคนอย่างคิงจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้ภีมภัทรฟังหรือเปล่า และการที่อีกฝ่ายดึงมือคนสำคัญให้นั่งลงบนโซฟาก็เป็นคำตอบของคำถามนั้น

“เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่พี่รู้จักเกรย์เราเคยสัญญากันไว้สองข้อ”

“สัญญา...”

“ข้อแรกคือถ้าพี่ยอมให้รูปถ่ายรูปหนึ่งกับเกรย์ เขาจะยอมช่วยจนกว่าพี่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของมินตรา”

เกรย์ก้มหน้าลงมองลูกแกะน้อยที่ตัวกระตุกราวกับได้ยินเรื่องไม่คาดฝันแล้วยกยิ้มจาง คงเพราะเขาไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่แรกก็เลยตกใจ ท่าทางน่าเอ็นดูของคนแกล้งหลับทำเอาเขาเกือบอดใจไม่ไหว อยากจะก้มลงไปจูบหน้าผากขาวๆ นั่นเหลือเกิน แต่ขืนทำอย่างนั้นเห็นทีคงมีคนพุ่งเข้ามาบีบคอแน่

“รูปถ่าย...” เสียงพึมพำด้วยความงุนงงของภีมภัทรทำให้เกรย์รู้สึกตัวอีกครั้ง เขาหยิบรูปถ่ายที่ว่าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเรียกให้อีกคนหันมาดู

“รูปนี้ไง”

“พี่พกรูปนี้ไว้ในกระเป๋าตอนที่ถูกแม่พาตัวไป ใครจะไปคิดว่าแค่หยิบขึ้นมามองแล้วจะโดนเจ้านั่นหมายตาแทบจะทันที นอกจากนั้นยังกล้าฉีกรูปอีกครึ่งที่มีพี่กับเต้ออกด้วย” จักรพรรดิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่เจือความไม่พอใจเอาไว้จนเต็มเปี่ยม

“ฉะ...ฉีกออก”

“ก็ไออยากได้แค่รูปของลูกแกะนี่นา” เกรย์แสร้งจีบปากจีบคอพูดเป็นภาษาไทยเพื่อเสริมความน่าหมั่นไส้ให้ตัวเอง แล้วมันก็ได้ผลเมื่อเพื่อนสนิทหันมาจ้องเขาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อ

“เพราะเห็นว่าเกรย์สนใจมุขจริงๆ...จริงมากเกินไป พี่เลยขอให้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องมุขก่อนเวลาที่สมควร”

“พี่จักรรักน้องๆ น่าดูเลยนะครับ”

“ถึงแม้พอเวลาผ่านไปพี่จะจำความทรงจำที่มีกับน้องได้ไม่มากนัก แต่รูปที่เก็บไว้ทำให้พี่ไม่เคยลืมว่าเต้กับมุขคือน้องที่ต้องดูแล...ถึงจะโดนฉีกไปคนก็เถอะ”

“ถ้าภีมรู้ล่วงหน้าว่าพี่จักรจะไป ภีมจะหารูปตัวเองให้พี่เอาติดตัวไปด้วย”

“ถ้าพี่รู้ล่วงหน้า พี่ก็จะมาขอรูปภีมไปเหมือนกัน”

เกรย์นั่งมองท่าทีอ่อนโยนที่ไม่เคยเห็นของคิงผู้แสนเย็นชาด้วยความสนอกสนใจ และสุดท้ายเขาก็ลอบยิ้มออกมาอย่างจริงใจเมื่อเห็นว่าตอนนี้เพื่อนมีคนคอยดูแลแล้ว ถึงจะทำเหมือนนึกถึงแต่เรื่องของผลประโยชน์ แต่คนที่คบกันมานานย่อมมีความหวังดีต่อกัน หากไม่นับลูกแกะกับครอบครัว ผู้ที่อาจนับได้ว่ามีความสำคัญกับเขาก็คงมีเพียงคิงเท่านั้น

แต่ตอนนี้คงปล่อยให้หวานกันต่อไม่ได้... เพราะลูกแกะคงไม่อยากแกล้งหลับแล้ว

“มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ไอจะได้พาลูกแกะกลับเข้าไปนอนในห้องเสียที” เขาเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้นเล็กน้อย ดวงตาและริมฝีปากไม่มีรอยยิ้มเหมือนเคย

“ว่ามา”

“ข้อมูลผิดกฎหมายของบริษัทหลังจากที่แม่นายเข้ามาบริหารงานด้วยตัวเองรวมถึงคนผิดทั้งหมดถูกรวบรวมไว้แล้ว ทั้งจากที่นายเคยรวบรวมไว้ให้ แล้วก็จากที่ฝ่ายนั้นพยายามเอางานผิดกฎหมายมาเสนอขายฉัน เหลือแค่รอคำสั่งจากนายว่าจะให้เปิดเผยตอนไหน แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าแม่นายจะโยนความผิดมาให้ ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอน แต่นายแค่อาจต้องกลับไปจัดการอะไรๆ ที่ฝรั่งเศสสักพัก” ประโยคบอกเล่าเป็นภาษาอังกฤษที่จงใจให้ภีมภัทรและคนแกล้งหลับฟังรู้เรื่องไปด้วยทำให้บรรยากาศรอบห้องดูอึดอัดกว่าที่เคย

เกรย์ลอบมองท่าทีของเพื่อนสนิทก็บอกได้ในทันทีว่าคิงที่เคยอยู่เหนือใครกำลังรู้สึกเช่นไร แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวซึมซับความอ่อนโยนจากใครบางคนมามากหรือเพราะอะไร เขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังอีก

ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องจัดการ...

“ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย จะเอายังไงก็ว่ามา” เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วนั่งรอคำตอบอย่างใจเย็น

“วันนี้มินตราส่งคนเข้ามาใกล้ฉันกับภีม” จักรพรรดิเริ่มเอ่ยขึ้นถึงเรื่องที่กังวลใจ “พวกนั้นเข้ามาถึงตัวฉันได้ง่ายๆ ถ้ามินตราได้เข้าไปอยู่ในคุกแล้วเกิดแค้นขึ้นมาจริงๆ ฉันกลัวว่าภีมจะเป็นอันตราย”

“ตอนนี้ก็อันตรายอยู่แล้วคิง...ก็แค่แม่นั่นยังไม่กล้าพอจะเล่นจนมีอันตรายถึงชีวิต คนจิตใจต่ำตมแบบนั้นพอถึงเวลาต้องกล้าทำแน่ และถ้ายังปล่อยให้ลอยไปลอยมาสั่งการอยู่ข้างนอก มันคงน่ากลัวกว่าให้ไปสั่งการอยู่ในคุกมากเลยล่ะ” เกรย์พูดออกมาตามความจริงโดยไม่มีท่าทีล้อเล่นเหมือนเคย “ฟังนะคิง...ฉันรู้ว่านายไม่อยากให้ฉันช่วยไปมากกว่านี้ แต่ถ้าอยากปกป้องคนที่อยู่ข้างนาย ยอมลดศักดิ์ศรีลงแล้วให้คนของฉันไปติดตามนายซะ พอส่งแม่นั่นเข้าคุกจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องใครจะมาทำร้ายอีก เก็บกวาดได้หมดนายก็ค่อยคืนคนมาก็แค่นั้น”

“…”

“ฉันพูดในฐานะเพื่อน...” เขาเว้นช่วงไปเล็กน้อยยามก้มลงมองคนบนตัก “และช่วยในฐานะน้องเขย”

“เกรย์” จักรพรรดิจ้องหน้าคนที่สถาปนาตัวเองเป็นน้องเขยของเขาด้วยแววตาดุดัน บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่จางหายไปกว่าครึ่ง และมันช่วยให้ภีมภัทรที่นั่งลุ้นอยู่หายใจได้คล่องขึ้นเล็กน้อย

“เก็บไปคิดเถอะคิง อย่าลืมว่าตอนนี้ถึงนายจะมีธุรกิจที่ทำร่วมกับฉันหรือมีหุ้นที่เล่นไว้เยอะขนาดไหน แต่อำนาจของนายมันไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดา ถ้าคิดจะสู้กับคนแบบนั้น ให้ฉันช่วยดีที่สุดแล้ว”

“…”

“มันคือสายใยระหว่างแม่ลูกใช่ไหม” เกรย์ชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท

“ฉัน…”

“ต่อให้โดนทำร้ายขนาดไหน วางแผนจะเอาคืนมานานกี่ปี แต่นั่นก็คือแม่แท้ๆ เพราะแบบนั้นนายถึงลังเลว่าควรจะส่งหล่อนเข้าคุกด้วยตัวเองหรือเปล่า” เขายังคงพูดจี้ใจดำเพื่อนต่อไป และไม่ได้คิดจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าคนแกล้งหลับเริ่มขยับตัวขยุกขยิกด้วยความไม่สบายใจจึงต้องถอนหายใจออกมาแล้วเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เอาเถอะ...ฉันเองก็เข้าใจ เพราะงั้นใช้เวลาคิดให้คุ้มค่าก็แล้วกัน อย่าให้มันนานเกินไปจนนายต้องสูญเสียก็พอ”

“อืม”

“ฉันไม่อยากให้ลูกแกะร้องไห้” คนพูดหยิบมือขาวของประมุขขึ้นมาแล้วกดจูบลงไปเบาๆ ต่อหน้าต่อตาจักรพรรดิ แต่คงเพราะมีอะไรอยู่ในหัวมากมาย พี่ชายหวงน้องจึงไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นอกจากหันไปหาคนข้างกายและบอกให้อีกฝ่ายพากลับห้อง

หลังจากคนทั้งคู่ออกไปจากห้องแล้ว ผู้ที่หลับตานิ่งมาตลอดก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ประมุขหมุนตัวเข้าไปหาเจ้าของตัก ก่อนจะกอดเอวแกร่งไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ถ้าเป็นลูกแกะ...จะตัดสินใจแบบไหนเหรอ” เกรย์ถามขึ้นลอยๆ ขณะที่มือยังลูบหัวทุยของคนขี้อ้อนเบาๆ

“ไม่รู้” เสียงอู้อี้ตอบกลับ “ผมคงไม่กล้าตัดสินใจ”

“อืม…”

“แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ” ประมุขเงยหน้าขึ้นถาม พริบตาหนึ่งเขาเห็นดวงตาคู่นั้นฉายแวววาววับน่ากลัวจนเกือบเผลอผละกายออกห่างถ้าไม่ติดว่าคนรู้ทันรั้งตัวไว้ก่อน

“ฉันไม่ได้ใจดีเหมือนพี่นายหรอกนะ เพราะนอกจากจะไม่ส่งตำรวจแล้วฉันยังจะหั่นมันเป็นชิ้นๆ ด้วย” คำพูดเหล่านั้นดูขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับใบหน้าอ่อนโยนยามก้มลงมองหน้าเขา ประมุขเผลอกำชายเสื้อนอนสีดำแน่นและเกือบจะแสดงความหวาดกลัวให้ได้เห็น แต่แล้วเมื่อได้ยินประโยคต่อไปเขาก็ชะงักและเป็นฝ่ายขยับเข้าไปกอดคนตัวโตเอาไว้ด้วยตัวเอง “และถ้าคนที่ต้องเจ็บปวดเป็นนาย...”

“…”

“ฉันจะทำให้มันตายทั้งเป็น”

“ฮือ น่ากลัว”

“น่ากลัวแล้วยิ้มทำไม” เกรย์หัวเราะเมื่อเห็นลูกแกะอมยิ้มจนแก้มพอง เหมือนจะพออกพอใจกับคำตอบของเขาสุดๆ แต่กลับบอกว่าน่ากลัวออกมาซะอย่างนั้น น่าตีจริงๆ

“เออใช่...” คนที่เอาแต่ยิ้มขยับขยุกขยิก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ที่คุณบอกพี่ว่าผู้หญิงคนนั้นเอางานผิดกฎหมายมาเสนอแล้ว..."

“อา... ตอนนี้แม่มดเดินเข้ามาในกับดับที่เราวางไว้แล้ว ฉันมีหลักฐานทุกอย่างที่จะทำให้เธอไม่อาจโผล่ออกมาข้างนอกได้อีกตลอดชีวิต เหลือก็แต่รอการตัดสินใจของพี่ชายนายเท่านั้น”

“อือ…”

เกรย์มองใบหน้าคิดหนักของลูกแกะน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร แม้ตอนเพื่อนทำเหมือนจะใจอ่อนกับคนที่ทำร้ายตัวเองมาโดยตลอดเขาจะแอบหงุดหงิดกับความอ่อนแอนั้นอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อคนที่คิดมากกลายเป็นลูกแกะ ความรู้สึกแบบนั้นกลับไม่มีอยู่ในหัวเลยสักนิด

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” อ้อมแขนที่กอดรัดไหล่ผอมเอาไว้ออกแรงบีบกระชับมากกว่าเดิม “คนอย่างแม่มดไม่มีทางยอมถอย ถึงยังไงคิงก็ต้องถูกบีบให้ลงมืออยู่ดี”

และถ้าคิงไม่ยอมลงมือ...

หากเขาเห็นว่าแม่นั่นคิดจะดึงลูกแกะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเมื่อไหร่ ครั้งนี้จะไม่มีคำว่าใจเย็นเหลืออยู่อีกต่อไป








เช้าวันถัดมา หลังจากเมื่อคืนประมุขนอนหลับคาอกของคนตัวโตบนโซฟา เขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนิ่มแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครพามา ใบหน้าของเกรย์ในยามหลับไม่ได้ดูอ่อนโยนไร้พิษสงแบบใครเขา ทว่ากลับดูเฉยชาน่ากลัว มีอำนาจโดยไม่ต้องทำอะไร กระทั่งตอนหลับก็ยังไม่อาจลดทอนมันลงไปได้

หลังจากเขี่ยหน้าคนที่ปกติจะรู้สึกตัวไวจนมั่นใจว่าอีกคนคงเพิ่งนอนได้ไม่นาน เพราะน่าจะเคลียร์งานจนดึก เขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปอาบน้ำช้าๆ โดยไม่ได้ปลุกคนหลับขึ้นมาเหมือนทุกที เนื่องจากรู้ดีว่าที่เกรย์ยอมหลับสนิทแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่าเอามากๆ ช่วงแรกที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน อีกฝ่ายมักจะตื่นง่ายเหมือนยังไม่คุ้นชินกับการมีคนมานอนอยู่ข้างๆ พอเห็นทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็อดดีใจไม่ได้

“คุณจะไปไหน”

เสียงทักที่ดังขึ้นแทบจะทันทีที่เปิดประตูห้องทำเอาคนที่หลงลืมไปเสียสนิทว่าหน้าประตูมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสะดุ้งจนตัวโยน แต่พอเห็นว่าเป็นวิคเตอร์ที่ยืนจ้องกันอยู่ก็ถอนหายใจออกมาจนหมดปอด

“จะไปซื้อกาแฟข้างล่างครับ พาผมไปหน่อยนะ” ประมุขยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ดื้อเพ่งจะลงไปคนเดียวให้ใครรำคาญใจ แต่ร้องขอในสิ่งที่รู้ดีว่ายังไงการ์ดก็ต้องอนุญาต สุดท้ายก็มีวิคเตอร์กับอเล็กซ์เดินตามหลังมาด้วยสองคน ขณะที่บนห้องยังคงมีคนอื่นๆ ยืนเฝ้าระวังให้เจ้านายที่ยังไม่ตื่นนอนตามปกติเหมือนเคย

พื้นที่ด้านล่างของโรงแรมที่ประมุขพักอยู่มีร้านกาแฟชื่อดังตั้งอยู่ด้านใน เมื่อเดินมาเห็นว่าร้านไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรนัก อีกทั้งยังไม่มีลูกค้า เขาจึงบอกให้วิคเตอร์กับอเล็กซ์ยืนรออยู่หน้าประตูร้าน แล้วเดินเข้าไปส่ังกาแฟด้านในเพียงลำพัง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงหันไปยืนมองตู้กระจกเพื่อเลือกของกินต่อด้วยความสนอกสนใจ

“ซื้ออะไรให้เกรย์ดีนะ...”

คนสบายๆ ที่พิถีพิถันอยู่แค่เรื่องเดียวคือเรื่องความชอบของคนสำคัญจ้องมองขนมให้ตู้อยู่นาน ลังเลไปหมดว่าจะเลือกอันไหนดี อาจเรียกได้ว่ามีสมาธิยิ่งกว่าตอนซ้อมบทละครเสียอีก กระทั่งมีใครบางคนเดินมายืนอยู่ด้านข้างก็ยังไม่รู้สึกตัว

“เธอ…” เสียงเรียกเป็นภาษาไทยที่ดังขึ้นในระยะประชิดทำให้คนที่กำลังก้มหน้ามองของกินต้องยืดตัวตรงแล้วหันไปมองคนข้างกายด้วยความไม่เข้าใจ แต่แล้วเมื่อได้เห็นใบหน้าสะสวยของหญิงสาววัยกลางคน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ

ระยะเวลานับสิบปีที่ไม่ได้เจอหน้าไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่สะท้อนความโลภและมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินตัวนั่น ไม่ว่าจะผ่านมานานเพียงไรก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ประมุขกลับมาคลี่ยิ้มอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัว หากรอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา มือสองข้างลอบกำกางเกงเอาไว้แน่น ขณะหันไปส่ายหน้า ส่งสัญญาณไม่ให้วิคเตอร์กับอเล็กซ์เดินเข้ามาหาในตอนนี้

เขาอยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไร...

“ไม่เจอกันนาน ทักทายแม่แบบนี้เหรอ” รอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียนปรากฏขึ้นบนใบหน้าสะสวยของคนจิตใจสกปรกที่ประมุขนึกชังมาโดยตลอด และยิ่งได้รู้ว่าเธอทำอะไรกับพี่จักรเอาไว้บ้าง เขาก็ยิ่งเกลียดเธอมากขึ้นเท่านั้น

“คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”

“อกตัญญูจริงๆ...” มินตราฉีกยิ้ม ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้ลูกชายคนเล็กที่ไม่ได้เจอมานาน “ไปบอกพี่ชายของเธอซะ ว่าถ้ามันทำให้ไอ้ฝรั่งนั่นเลิกยุ่งกับฉันได้ ฉันจะยอมคืนฐานะให้มัน”

วินาทีที่ได้ยินคำพูดของแม่แท้ๆ ประมุขเผลอกำหมัดแน่น ดวงตาที่ใสซื่ออยู่เสมอทอประกายเกลียดชัง กระทั่งหลุดปากพึมพำออกไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

“จะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้วยังไม่รู้สึกตัว...”

“แกว่าอะไรนะ!”

“คุณลูกค้า... กาแฟได้แล้วครับ”

ประมุขหันกลับไปยิ้มขอบคุณพนักงานที่มองมาแบบหวาดๆ มือรับแก้วกาแฟมาถือไว้แล้วหันกลับไปมองผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่แท้ๆ อย่างไร้ความรู้สึกอีกครั้ง

“ลาก่อนครับ” เขาพูดเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน เพราะไม่ต้องการให้แม่เห็นว่าตัวเองมีการ์ดตามติดมาด้วย ดูท่าทางเธอคงไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับเกรย์ ไม่อย่างนั้นคงไม่นิ่งขนาดนี้แน่

ต่อให้เป็นลูกแกะซื่อบื้อ แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนสำคัญประมุขไม่มีทางประมาท ในเมื่อไม่มีกำลังพอจะทำอะไร เขาก็จะไม่ยอมเป็นภาระ ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองกับเกรย์โดยเด็ดขาด

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่จ้องมองลูกชายคนเล็กด้วยแววตากราดเกรี้ยว หากก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เธอปรายตามองเด็กที่เคยขี้กลัวซึ่งตอนนี้ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

ประมุขมองแม่แท้ๆ เดินหายไปจนลับสายตาแล้วจึงเดินเข้าไปหาการ์ดทั้งสองคนที่ยืนรออยู่ เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มไปให้ และเดินไวๆ ไปที่ลิฟต์เพราะอยากเจอคนคนหนึ่งไวๆ จนขึ้นมาถึงห้องแล้วคนที่ตามหลังมาตลอดก็ไม่ได้พูดถาม เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะอย่างไรประมุขก็ต้องเล่าให้เจ้านายฟัง

ตอนแรกประมุขคิดว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวอะไรต่อแม่แล้ว เพราะไม่ได้เจอกันมานาน แม้จะมีหวาดๆ บ้างยามนึกถึง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่คิดเลยว่าแท้จริงเขายังคงหวาดกลัวผู้หญิงคนนั้นอยู่มาก ภาพเหตุการณ์ที่เธอเคยบีบแขน พยายามเอาตัวเขาไป หรือพูดจาไม่ดีใส่สมัยเป็นเด็กยังคงตามหลอกหลอน ช่วงแรกๆ ที่รู้เรื่องแม่กับพี่จักรก็ฝันร้ายจนเกรย์ต้องปลุกขึ้นมากอด พอเผลอเล่าเหตุการณ์ในวัยเด็กให้ฟัง คนคนนั้นก็ทำแววตาดุดัน ก่อนจะบอกว่าจะเอาคืนให้อย่างสาสม

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุด... เพราะงั้นตอนนี้ต้องรีบกลับไปหา

“ฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้นมาจากคนที่นั่งกอดอกอยู่บนโซฟาทำให้ประมุขก้าวเท้าช้าลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา รอจนคนที่ยังอยู่ในชุดนอนหันมาเห็นและอ้าแขนออกจึงโถมตัวเข้าไปกอดไว้แน่น

“คุยต่อเถอะครับ” พอยึดพื้นที่ประจำตัวมาได้แล้วเขาก็เงยหน้ากระซิบบอกคนข้างกายที่กำลังคุยโทรศัพท์ยิ้มๆ คราวนี้เกรย์หัวเราะออกมา ก่อนจะส่งมือมาลูบหัวกันด้วยความเอ็นดู แม้แต่ภาษาที่ใช้ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ เหมือนอยากให้เขารู้เรื่องด้วย

“ธุระยิบย่อยช่างมันก่อน เอาเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยเป็นหลัก...อืม...ถึงเวลาต้องเร่งอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว ดูเหมือนแม่นั่นจะบังอาจมายุ่งกับคนของฉัน”

ประมุขตาโตเมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนจะรู้ว่าเขาเพิ่งไปเจอกับแม่แท้ๆ มา ซึ่งเมื่อได้เห็นดวงตาเป็นประกายแวววาวของคนสำคัญ คำถามทั้งหมดในใจก็จางหายไป

หากเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา... ไม่มีเรื่องไหนที่เกรย์ไม่รู้

“ทำยังไงก็ได้ให้บริษัทนั่นตกต่ำลงจนถึงขีดสุด เดี๋ยวแม่มดก็หาทางดิ้นด้วยวิธีโง่ๆ เอง ทีนี้คิงจะได้ตัดสินใจเด็ดขาดเสียที” ความดุดันเย็นชาที่ถูกส่งผ่านมาทางน้ำเสียงของคนที่ดูราวกับคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้อยู่แล้วทำให้ประมุขเผลอย่นคิ้วจนหน้ามุ่ย ต้องแอบสะกิดเตือนให้คุณเกรย์รู้สึกตัวสักหน่อย

“น่ากลัว” เขากระซิบบอกเมื่อเกรย์ก้มลงมองเป็นเชิงถาม แล้วก็ได้รับรอยยิ้มขำขันตอบกลับมา

“เราจะรับศึกสองทางไม่ได้ นายรีบจัดการตามที่บอก ส่วนอีกเรื่อง...ฉันให้เวลามามากพอแล้ว หาข้อมูลมาให้มากกว่านี้ อย่าทำให้ฉันผิดหวัง จิม”

หลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว เกรย์ก็หันกลับมาบีบลูกแกะโดยใช้อ้อมแขนของตัวเองด้วยความมันเขี้ยว บีบไปบีบมาจนลูกแกะเริ่มหัวเราะคิกคักถึงได้ยอมปล่อยออก

“คุณรู้เรื่องที่ผมเจอผู้หญิงคนนั้นด้วยเหรอครับ”

“ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่วิคเตอร์ต้องรายงานฉันอยู่แล้ว” เขาตอบตามความจริงพลางบีบจมูกลูกแกะไปหนึ่งทีคล้ายเป็นการลงโทษ “ทำไมไม่ปลุกให้ลงไปด้วยหืม”

“เห็นคุณนอนสบายก็เลยไม่อยากปลุก เออใช่...” ลูกแกะน้อยกระดุกกระดิกให้หลุดออกจากอ้อมกอด ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นหันมาสบตาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนที่เจอแม่ เธอบอกให้ผมบอกพี่จักรว่าถ้าเขาทำให้คุณเลิกยุ่งเรื่องของเธอได้ เธอจะคืนฐานะให้เขา”

“งั้นเหรอ...” เกรย์รับคำเสียงเรียบ ไร้ซึ่งความประหลาดใจ ไม่แปลกที่แม่มดจะไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับลูกแกะ ยังดีที่มีดวงอยู่บ้าง ไม่คิดดึงเด็กคนนี้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องรอให้คิงตัดสินใจอะไรอีกแล้ว “แล้วลูกแกะตอบว่ายังไง”

“ผมโกรธจนไม่ได้ตอบอะไรเลย”

“เหรอ...” เกรย์รับคำยิ้มๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่รู้ดีว่ายังไงแม่มดก็ต้องพูดจาไม่ดีใส่ลูกแกะแน่ๆ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยากให้มองข้ามไป เขาก็จะยอมทำตามนั้นแล้วกัน

“คุณรีบไปอาบน้ำเถอะครับ จะได้ออกมากินข้าวกัน”

“โอเค... แต่วันนี้ลูกแกะไม่ต้องทำอาหารนะ ฉันสั่งเอาไว้แล้ว นั่งดูทีวีไปก่อนเลย”

“อื้อ”

เกรย์ลูบหัวคนที่พยักหน้าหงึกหงักรับคำด้วยความรักใคร่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในส่วนของห้องนอน ทว่าเขาไม่ได้เดินเข้าไปในห้องน้ำตามที่พูดในทันที แต่เลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารอการรายงานแทน

แล้วก็ตามคาด...

[คุณประมุขลงไปที่ห้องคุณคิงแล้วครับ]

การเคลื่อนไหวทุกอย่างของลูกแกะอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด...

แม้แต่เรื่องที่แม่มดมาเหยียบไทย เขาก็รู้ว่าเธอจะมาถึงตอนไหนตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะจองตั๋วเมื่อไหร่ หรือเปลี่ยนจุดหมายปลายทางเป็นที่ใดก็รู้หมด และแน่นอนว่าคำเตือนที่จำเป็นย่อมถูกส่งให้คิงอยู่แล้ว

แต่ในเมื่อลูกแกะน้อยอยากลงไปเตือนพี่ชายกับเพื่อนด้วยตัวเอง เขาก็จะปล่อยให้ทำตามที่ต้องการ

“ดูแลลูกแกะให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”

[ครับนาย]




---------------------


TALK: ขออภัยที่หายไปนาน กลับมาแล้วค่ะ หมดภารกิจเรียบร้อย พร้อมลุยงานต่อ มาติดตามไปพร้อมๆกันน้า





หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-01-2019 01:46:07
ดูซิ นางชะนีมารจะทำอะไรแกะมุขได้บ้าง  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-01-2019 17:55:34
ลูกทั้งคนนะ ทำกันได้เนาะคนเรา
ตอนนี้คิงคงไม่รออะไรแล้ว

เอ็นดูประมุข คิดบวกมาก อารมณ์ดีมาไวมาก
นอยด์แปบๆ ก็หาย ดีจัง อย่างน้อยน้องก็ไม่ต้องระแวง
แล้วคืออะไร บอกน่ากลัว แต่อมยิ้ม ให้เกรย์ได้ฟัด

เกรย์กลายเป็นคนอบอุ่นไปเลย ตอนอยู่กับประมุข
และเปิดเผยมากขึ้นด้วย ไม่อยากให้น้องรู้สึกแปลกแยก ดีจัง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-01-2019 23:32:21
กำลังสนุกเลย อย่างที่ลูกแกะบอก จะตายวันตายพรุ่งแล้วยังไม่รู้ตัว :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-01-2019 01:00:16
เก่งมากๆแล้วเจ้าลูกแกะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 02-01-2019 11:51:03
ลูกแกะพูดได้ดีมาก 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 02-01-2019 16:31:36
ลูกแกะเข้มแข็งมาก ตอกหน้ายัยแม่มดหงายไปเลย o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 06-01-2019 17:23:28
รอค้าบบบบ :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 07-01-2019 18:53:41
-9-


นับเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ที่ประมุขได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วในอาณาเขตภาคใต้ เขากับเกรย์ไปค้างแรมกันหนึ่งถึงสองวัน จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง หากไม่นับช่วงดึกที่เกรย์ต้องโทรคุยงาน พวกเขาก็แทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และพูดคุยแต่เรื่องทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ

แต่ถึงอย่างนั้นประมุขก็ไม่ได้ลืมเลือนความเป็นจริงที่ต้องกลับไปเผชิญ...

การหยุดทำงานทั้งวันของคนระดับเกรย์ย่อมส่งผลมากมายเป็นวงกว้าง แม้จะเคลียร์ไว้ก่อนแล้ว หรือมีคนช่วยอยู่อีกทาง แต่ก็ยังมีภาระมากมายรอให้สะสาง ช่วงเวลาที่คนสำคัญต้องกลับไปลุยงานหนักในอีกไม่กี่วัน เขาเองก็ใกล้จะเปิดเทอมขึ้นปีสี่เต็มที หากเกรย์ต้องกลับไปจัดการงานที่ฝรั่งเศสสักพักตามที่เคยบอก พวกเขาก็จะต้องห่างกัน...ครั้งนี้อาจนานหลายเดือน

“ลูกแกะ... ถึงเวลาแล้วนะ”

“อือ” ประมุขขยับขยุกขยิกเมื่อคนข้างกายส่งมือมาลูบศีรษะกันเป็นเชิงปลุก กว่าจะแคะขี้ตา ยอมเกาะเกรย์เดินลงจากรถได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที “ถึงแล้วเหรอ”

“ถึงแล้ว” คนตัวสูงเพิ่มแรงโอบกระชับไหล่ผอมให้แน่นขึ้นเมื่อรู้สึกคล้ายลูกแกะจะยังทำตัวเป็นของเหลว พร้อมจะไหลลงไปกองอยู่กับพื้นได้ทุกเมื่อ แต่หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง เพราะเมื่อวานเพิ่งไปเที่ยวกันมา พอได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่องก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเครื่องกลับมาเหนืออีกรอบ ทำเอาคนขี้เซาไม่มีแรงแม้แต่จะถามว่าทำไมต้องมาเหนืออีก ขึ้นเครื่องบินยันมาขึ้นรถก็เอาแต่หลับตลอดทาง

“ง่วงอยู่เลย...”

“แบบนี้ในอนาคตจะบินไปไหนมาไหนพร้อมกันได้เหรอ บางวันฉันต้องเดินทางไปหลายที่เลยนะ ทั้งเครื่องบิน รถ หรือเรือก็ต้องไปหมด” เกรย์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เพียงเท่านั้นคนง่วงนอนก็ตาโต ตั้งตัวตรงโดยอัตโนมัติ ขณะหันมาตอบด้วยความมุ่งมั่น

“ได้แน่นอน ผมแค่ง่วงเฉยๆ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ไหวนะ”

“หึหึ”

ลูกแกะตัวน้อยถูกขยี้หัวขยี้ตัวจนขนฟูก็ยังไม่รู้ว่าลืมอะไรไป กระทั่งได้หันไปมองบรรยากาศรอบกายถึงได้ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้เสียที

“เรามาเหนือกันทำไมเหรอครับ”

“ถ้าบอกว่าตอนแรกสัญญาจะพาเที่ยวแล้วดันผิดสัญญาเลยพามาแก้ตัวอีกรอบ ลูกแกะจะเชื่อหรือเปล่า” เกรย์ลองถามด้วยความอยากรู้ ทั้งที่รูปประโยคบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าใสซื่อของคนที่กำลังตั้งใจฟังคำถาม เขาก็ต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนจะได้รับคำตอบมาเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าคุณอยากให้เชื่อแบบนั้น ผมก็จะเชื่อ”

“เด็กดี” เขาให้รางวัลด้วยการโอบคนน่ารักเข้ามากอดหนึ่งครั้ง โดยที่อีกฝ่ายก็ยกมือกอดตอบคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ เมื่อผละออกจากกัน เกรย์จึงอธิบายความจริงให้ฟังโดยไม่คิดปิดบัง “คนของฉันที่คอยจับตาดูแม่มดส่งข่าวมาบอกว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง และเพราะอยากให้เรื่องนี้จบไวๆ ฉันถึงต้องมาเตรียมพร้อมตลอดเวลา ถ้าแม่นั่นคิดดึงคนของคิงเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยังไงคิงก็ต้องขอให้ฉันช่วยแน่”

“และถ้าเราอยู่ไกลอาจจะมาช่วยไม่ทัน”

“เก่งมาก”

“แบบนี้นี่เอง” คนฟังยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบแทบทุกซี่ ดูมีความสุขที่รู้ว่าเกรย์ต้องการมาช่วยพี่ชายตัวเองเอามากๆ จนคนอธิบายต้องหยุดพูดเพียงเท่านั้น ไม่ได้บอกต่อว่าอันที่จริงที่แม่มดรีบเร่งถึงขั้นนี้เป็นเพราะใคร และให้ลูกแกะเข้าใจแบบนี้ น่าจะดีกว่ารู้ความจริงว่าเขาต้องการผลักเรื่องที่ชักจะน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งไปจึงตัดสินใจรีบมาที่นี่

ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์สั่งงานจิมก็นั่งอยู่ข้างๆ แท้ๆ ท่าทางคงเที่ยวเพลินจนเอาเรื่องต่างๆ มาผูกกันไม่ถูกแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน... ให้ลูกแกะร่าเริงแบบนี้ดีกว่าต้องมานั่งเครียดเพราะเรื่องราวน่ารำคาญพวกนั้น

“แต่เรื่องที่บอกจะพามาแก้ตัวอีกรอบก็ไม่ได้โกหกนะ” เกรย์เปลี่ยนกลับไปยิ้มเหมือนเดิม ขณะพาลูกแกะน้อยเดินเข้าไปในตัวโรงแรมซึ่งมีพนักงานยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้า “ถือว่าเป็นผลพลอยได้ อันที่จริงฉันอยากพาขึ้นดอย ไปที่ที่ไม่มีสัญญาณ แต่ว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็...”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือหน้าตาคนพูดล้วนบ่งบอกชัดเจนว่าคิดตามนั้นจริงๆ ไม่ได้ประชดประชันหรือไม่พอใจอะไรเลยแม้แต่น้อย “สองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เที่ยวมาเยอะแล้ว ถึงส่วนใหญ่จะนอนเล่นในที่พักมากกว่า แต่ผมก็ยังดีใจที่ได้ใช้เวลาร่วมกับคุณ”

เกรย์ได้แต่จ้องมองคนข้างกายด้วยแววตาลึกซึ้ง สุดท้ายเมื่อก้าวไปถึงห้องพัก เขาก็ดันประตูปิดอย่างรวดเร็ว และดึงแขนของลูกแกะเข้ามากอดไว้ทั้งตัว ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ออกมาอย่างไรดี เพราะเจ้าตัวขยันทำดาเมจใส่กันเสียเหลือเกิน

ช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่พวกเขาไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ออกไปเดินเล่นเที่ยวชมพื้นที่เหมือนคนอื่น ลูกแกะไม่เคยบ่นอะไรออกมา หรือทำให้เกรย์รู้สึกลำบากใจเลยสักนิด ต่อให้ไม่พูดอธิบายอะไรออกไป แต่พอเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ คนซื่อแสนซื่อก็ยังเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

‘คุณเคยบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ถิ่นคุณ เพราะแบบนั้นมันถึงอันตรายมาก ยังไงเราก็คงเดินล่อนไปล่อนมาทั้งวันไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก...แค่เห็นวิวจากที่พักผมก็มีความสุขมากแล้ว’

เพราะแบบนั้นเขาจึงย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ แม้ไม่อาจพาลูกแกะไปเดินบริเวณที่โล่งในช่วงเวลาที่กำลังโดนใครก็ไม่รู้จ้องเล่นงานอยู่ แต่หากเปลี่ยนสถานที่ พาลูกแกะไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ ไม่ว่าจะทะเลหรือภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก

ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกแกะเบื่ออยู่ดี

“เกรย์...” คนที่อยู่นิ่งได้ไม่นานเริ่มส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง เหมือนเห็นว่าเขาเงียบไปจึงทักขึ้นมาเพื่อถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“แค่อยากกอด”

“ไปกอดที่โซฟากันนะ ยืนแบบนี้ผมเมื่อยมากเลย คุณตัวสูงเกินไป” ว่าจบคนเมื่อยคอเพราะต้องเงยหน้านิดๆ เวลากอดตลอดก็เป็นฝ่ายดึงแขนเกรย์ให้เดินตามไปที่โซฟาด้วยตัวเอง ปล่อยให้เขามองตามไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนเคย แม้ยามถูกกดให้นั่งลง จัดท่าจัดทางให้อ้าแขนออก ก่อนลูกแกะขนฟูจะมุดมาซุกอกในท่าประจำก็ยังไม่อาจหุบยิ้มได้

ดูเหมือนตั้งแต่ได้เจอกัน คุณเกรย์ผู้น่ากลัวจะกลายเป็นคนยิ้มง่ายไปแล้ว อีกทั้งรอยยิ้มของเขายังเป็นรอยยิ้มจากใจทั้งปากทั้งตาที่ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อนอีกต่างหาก

“เก่งจริงๆ นะ ตัวแค่นี้”

“หือ” ประมุขเงยหน้ามองคนพูด เมื่อจู่ๆ ก็ถูกชมโดยไม่รู้ตัว แต่พอเห็นรอยยิ้มของคนที่ต้องเหนื่อยล้ากับการทำงานตลอดเวลา เขาก็ยิ้มเอ๋อๆ ส่งไปให้แล้วกอดเอวคนตัวสูงเอาไว้เหมือนเดิม

นับเป็นเวลานานหลายนาทีที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เพียงแค่นอนกอดกันนิ่งๆ บนโซฟาเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเท่านั้น เกรย์มีความสุขอยู่กับการลูบหัวลูกแกะในอ้อมกอด ขณะที่ประมุขซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น พอได้ที่ได้ทางที่ถูกใจตาก็เริ่มปรือเหมือนทุกครั้ง ทว่าคราวนี้แตกต่างจากวันก่อนๆ ตรงที่เกรย์ไม่ได้ปล่อยให้เขาหลับแล้วอุ้มกลับไปนอนบนเตียง รอจนถึงเวลากินข้าวถึงจะปลุก แต่อีกฝ่ายค่อยๆ แกะมือเขาออกจากเอว เพียงเท่านั้นประมุขก็ตาโต เงยหน้าจ้องเขม็งคล้ายจะถามว่าจะไปไหน

“ลูกแกะ... อยากไปน้ำตกหรือเปล่า”

“น้ำตกเหรอ” คนว่าง่ายทวนถามซ้ำคล้ายไม่แน่ใจ แต่ตาเปล่งประกายเป็นคำตอบตั้งแต่ได้ยินคำว่าน้ำตกแล้ว

“ใช่ ไปเตรียมของแล้วไปกันเถอะ”

“โอเค... เดี๋ยวก่อนนะ”

“มีอะไรหรือเปล่า” เกรย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่อคนร่าเริงหยุดเท้าที่กำลังจะวิ่งไปยังห้องนอน และหันกลับมาจ้องหน้าเขาด้วยแววตาเคร่งเครียดอีกครั้ง

“เราไปได้เหรอครับ ไม่ใช่ว่าต้องระวังตัวเหรอ” สีหน้าและท่าทางทุกอย่างของประมุขล้วนบ่งบอกว่าเขากังวลมากจริงๆ เพราะมันไม่ใช่เพียงความปลอดภัยของตัวเขา แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยของบุคคลที่มีความสำคัญอย่างเกรย์ด้วย ถ้าความต้องการส่วนตัวทำให้เกรย์ต้องลำบาก เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองแน่

“ลูกแกะ เลิกทำหน้าคิดมากแล้วมานี่” น้ำเสียงที่ดูดุดันแบบไม่จริงจังนักทำให้ประมุขหลุดจากภวังค์ เผลอเดินดุกดิกเข้าไปหาคนเรียกโดยไม่ทันคิด หลังจากนั้นทั้งตัวก็ถูกจับกดลงบนโซฟา มีร่างสูงใหญ่ของชาวต่างชาติตาสีฟ้าคร่อมทับอยู่ด้านบน

“คุณจะกินผมเหรอ”

“อยากจับปั้นแล้วกลืนลงท้องอยู่เหมือนกัน” ดวงตาสีฟ้าคู่สวยฉายประกายวาววับ คล้ายจะย้ำให้รู้ว่าอยากทำอย่างที่พูดมากขนาดไหน เพียงเท่านั้นลูกแกะที่หวุดหวิดจะโดนกินก็ทำหน้ายู่ สองแขนโอบรอบคอแกร่ง รั้งให้คนด้านบนโน้มลงมากอดเขาเอาไว้ตามที่ใจอยาก

“ผมเป็นห่วงนี่นา ไม่อยากให้คุณลำบาก พี่การ์ดทุกคนก็คงลำบากเหมือนกันที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยในที่โล่งกว้างแบบนั้น”

“การที่ลูกแกะดูหนังเยอะนี่...จะบอกว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษดีนะ” บางอย่างก็รู้ดีรู้ลึกจนน่ากลัว ส่วนบางอย่างก็ดูจะเหนือจินตนาการตามหนังไปด้วย ถึงจะพูดได้ว่าคิดระวังอะไรเอาไว้เยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน แต่บางครั้งระวังมากไปก็ดูจะเป็นผลเสียอยู่ไม่น้อย อย่างการโดนดักฟังที่ร้านข้าวมันไก่อาจจะเกินจริง แต่สำหรับเรื่องนี้... “จริงอย่างที่ลูกแกะคิดนั่นแหละ ออกไปเล่นน้ำตกแบบนี้ก็ดูจะอันตรายอยู่ไม่น้อย"

“นั่นไง ผมว่าแล้ว”

“แต่ว่า...” เกรย์พลิกตัวลงไปนอนคว่ำเท้าคางมองประมุขจากทางด้านข้าง ก่อนจะแสร้งกดมุมปากลงเล็กน้อยให้หน้าดูเศร้า นี่อาจจะนับเป็นครั้งแรกที่เขาสวมหน้ากากให้ลูกแกะเห็น แต่หากไม่ใช้วิธีนี้คนขี้เป็นห่วงคงไม่ยอมไปไหนแน่ “ฉันอยากไปเที่ยวน้ำตกมากๆ เลย... เมื่อสามสี่ปีก่อนก็เคยบอกลูกแกะไม่ใช่เหรอ”

“บะ...บอกผมเหรอ” คนฟังหน้าซีด ดวงตาหลุกหลิกไปมาเพราะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

“ลูกแกะจำไม่ได้เหรอ”

“คือว่า...”

“มิน่าถึงได้พยายามขัดฉัน” คราวนี้นักธุรกิจหนุ่มผู้มีหน้ากากนับร้อยพยุงตัวลุกขึ้นนั่งทำสีหน้าเศร้าสร้อย ท่าทางดูผิดหวังมากจนคนมองเริ่มอยู่ไม่สุข ต้องรีบผุดลุกขึ้นตามแล้วตรงเข้าไปจับมือไว้แน่น

“ผมขอโทษครับ งั้นเราไปเที่ยวน้ำตกกันนะ ขอโทษจริงๆ ที่จำไม่ได้ ผม...ผมจำไม่ได้จริงๆ” ลูกแกะตัวน้อยที่ถูกหลอกทำหน้าตาน่าสงสาร เหมือนพร้อมจะร้องไห้อยู่ลอมล่อหากถูกโกรธจริงๆ เพียงเท่านั้นเกรย์ก็แกล้งต่อไม่ลง รีบรั้งคนน่ามันเขี้ยวเข้ามากอดเอาไว้แน่นเพื่อปิดบังรอยยิ้มที่ไม่อาจควบคุมได้

“ไม่เป็นไร แค่ไปเที่ยวกับฉันก็พอ เราเล่นแค่แป๊บเดียวแล้วรีบกลับ พวกการ์ดจะได้ไม่เหนื่อยที่ต้องคอยดูแลด้วย แบบนี้ดีไหม”

“อื้อ”

เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ประมุขที่ฝากกระเป๋ากลับไปกับฮ่องเต้หนึ่งใบได้เสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับใส่เที่ยวมาหลายชุดตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน ส่วนเกรย์ที่ไม่มีชุดไปรเวทเองก็ได้เสื้อผ้าสำหรับเที่ยวเมืองไทยโดยเฉพาะเช่นกัน พอได้เห็นคนหน้าตาดีตัวสูงใหญ่ในชุดเสื้อฮาวายกับกางเกงขาสั้น ประมุขก็ยิ้มออกมาจนแก้มบวม ช่วยเดินเข้าไปติดกระดุมให้อย่างอารมณ์ดี นึกดีใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ หลังจากได้เห็นเกรย์ในรูปแบบที่คนอื่นไม่เคยเห็น

“อารมณ์ดีมากเลยเหรอ”

“มากกกกก” คนอารมณ์ดีพยักหน้าไปด้วยหัวเราะไปด้วย นี่ถ้าดีดี้อยู่ข้างๆ คงจะตบหัวแล้วด่าว่าบ้า แต่เพราะคนที่อยู่ตรงนี้คือเกรย์ที่หลงลูกแกะยิ่งกว่าอะไร เขาจึงยกมือลูบหัวทุยเบาๆ แล้วยิ้มตามโดยไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น

วันนี้การ์ดทุกคนยังคงอยู่ในชุดไปรเวทเช่นเดิมตามที่ประมุขเคยออกความเห็น พอให้เหตุผลดีๆ แล้วทิ้งท้ายว่าเห็นในหนังเขาชอบทำกันแล้วมันดูเนียนพอควร เกรย์จึงออกคำสั่งให้ทุกคนทำตามความต้องการนั้น แม้เหตุผลหลักๆ จะไม่ใช่เพราะมันเนียนตามที่เจ้าตัวว่า แต่เป็นเพราะเขาอยากเห็นลูกแกะอารมณ์ดีก็ตาม

“นี่มันแก๊งฝรั่งใส่เสื้อฮาวายนี่นา” พอเดินกันเป็นกลุ่มกลายเป็นโดดเด่นเหมือนเดิมแบบช่วยไม่ได้ แต่ในเมื่อคนที่ตัวเล็กที่สุดเพราะเป็นชาวเอเชียอยู่คนเดียวบอกว่ามันเนียน ทุกคนจึงต้องเชื่อตามนั้นโดยไม่อาจขัดข้อง

“เรื่องแบบนี้ก็ตลกเหรอ” เกรย์ก้มลงถามคนที่หัวเราะเป็นเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู แต่พอเห็นว่านอกจากจะขำแล้ว ลูกแกะยังยิ้มจนตาปิด เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าหน่าย เดินจูงมือเจ้าตัวไปขึ้นรถโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ

ประมุขเป็นคนอารมณ์ดีที่เหมือนพกพาความสดใสเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าใครเห็นต่างก็รู้สึกเอ็นดูไปหมด ไม่เว้นแม้แต่บรรดาบอดี้การ์ดหน้าเข้มผู้แสดงความรู้สึกไม่เก่ง นับตั้งแต่ที่ได้ติดสอยห้อยตามไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากว่าสองอาทิตย์ นายคนที่สองมักจะหาของกินประหลาดๆ มาเสิร์ฟให้ถึงที่ตลอด หากทำท่าจะปฏิเสธ เจ้าของใบหน้าร่าเริงก็จะห่อไหล่ ทำท่าเศร้าหมองจนใครก็ไม่ปฏิเสธไม่ลง ไหนจะมีเจ้านายที่คอยมองด้วยแววตาเย็นเยียบที่ไม่รู้ว่าจะบังคับให้ทำตามความต้องการของคนสำคัญ หรือจะไล่ให้ไสหัวไปไกลๆ อย่ามาแย่งความสนใจของตัวเองอีก

ยิ่งวิคเตอร์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสนิทสนมและพูดคุยตักเตือนกันบ่อยที่สุด ประมุขเลยดูจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษจนต้องเหงื่อตกเพราะถูกนายมองด้วยแววตาเชือดเฉือนไม่รู้วันละกี่รอบ หากไม่มีลูคัสที่ถือเป็นเพื่อนของนายคอยหัวเราะแกมห้ามปรามอยู่ด้านข้าง เห็นทีรองหัวหน้าทีมเอจะได้เหลือแต่ชื่อก็งานนี้

“จากจุดนี้เราต้องเดินเข้าไปครับนาย”

เผลอแป๊บเดียวก็ถึงที่หมาย วิคเตอร์ในชุดเสื้อฮาวายสีเขียวที่ประมุขเลือกให้หันไปบอกนายทั้งสองที่นั่งจู๋จี๋กันอยู่ด้านหลัง แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะถูกนายคนที่สองมองด้วยแววตาประเมิน สัญญาณเตือนในร่างกายร้องบอกให้รีบชิ่งลงจากรถ หากเพียงแค่เอื้อมมือไปเปิดประตู...

“ผมบอกแล้วว่าวิคเตอร์เหมาะกับเสื้อสีนี้ ใส่แล้วดูดีมากๆ เลย”


(ต่อด้านล่าง)
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.8]=[P.4]==[31/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 07-01-2019 18:54:19
“…”

“…”

“นายครับ...”

“วิคเตอร์ นายไปหาซื้อตุ๊กตาหมาป่าสีชมพูขนาดเท่าคนจริงมาให้ฉัน ถ้าหาไม่ได้ไม่ต้องกลับมา”

“คุณจะเอาไปทำอะไรเหรอ” ประมุขกระตุกเสื้อคนที่ออกคำสั่งเสียงเย็นให้หันกลับมามองด้วยความสงสัย “เราเพิ่งถึงน้ำตกเองนะครับ ให้วิคเตอร์ไปเล่นด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอ”

“หาตุ๊กตาแกะแบบเดียวกันมาด้วย”

“ครับนาย” วิคเตอร์รับคำเสียงเข้ม ก่อนจะรีบชิ่งออกจากรถไปก่อนจะได้หาตุ๊กตาสีชมพูเพิ่มเป็นตัวที่สาม ทิ้งให้คนไม่รู้เรื่องรู้ราวมองตามหลังไปด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อตัวน่ารำคาญหายไปแล้ว เกรย์ก็หันกลับมาลูบหัวลูบหน้าลูกแกะอย่างอ่อนโยน “วิคเตอร์ไม่อยากเล่นน้ำอยู่แล้ว เราไปกันเถอะ”

คนว่าง่ายกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยังตามออกไปโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม หันไปอีกทีก็เห็นวิคเตอร์ขึ้นรถอีกคันขับออกไปเพียงลำพังแล้ว แม้แต่ลูคัสกับคนอื่นๆ ก็ดูจะงุนงงไม่แพ้กัน

“วิคไปไหนน่ะ” ลูคัสเดินเข้ามาหาประมุข เมื่อเจ้านายยกมือขอแยกไปคุยโทรศัพท์อีกทาง

“เกรย์บอกให้ไปซื้อตุ๊กตาหมาป่ากับแกะสีชมพูตัวเท่าคนครับ แล้วบอกด้วยว่าถ้าหาไม่ได้ไม่ต้องกลับมา... เขามีปัญหากันหรือเปล่าลูคัส”

“อา…” หัวหน้าทีมเอส่ายหน้าหน่าย เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ในทันทีโดยไม่ต้องถามอะไร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้คนที่อยู่ในสถานการณ์แต่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างฟังเหมือนกัน “ไม่เป็นไรหรอก นายคงสั่งไว้นานแล้วแต่วิคลืมเลยต้องรีบไปจัดการมั้ง”

“อ๋อ... แบบนี้นี่เอง”

ว่าง่ายจนน่าหลอกพาไปซ่อนให้นายหัวร้อนเล่นจริงๆ...

บอดี้การ์ดหนุ่มหัวเราะในลำคอ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าที่วิคเตอร์โดนไล่ไปไกลๆ เห็นทีคงหนีไม่พ้นไปทำอะไรให้นายขัดอกขัดใจเกี่ยวกับเรื่องคนสำคัญเข้า หรือบางทีอาจจะโชคร้ายโดนเล่นงานเองโดยไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ยังไงก็โดนเขม่นทุกครั้งที่ประมุขเดินเข้าไปคุยด้วยอยู่แล้วนี่นะ

“ลูกแกะ มาเถอะ” เสียงของคนที่ถูกนินทาอยู่นานดังขึ้น พร้อมกันกับที่ผู้พูดอ้าแขนออก รอให้ลูกแกะวิ่งเข้าไปหาแล้วจึงโอบไหล่ไว้ พาเดินตามหลังการ์ดคนอื่นๆ เข้าไปตามทางของป่ารกที่มีคนคุ้มกันทุกทิศทาง เหลือเพียงลูคัสที่ยังยืนกดส่งข้อความให้กำลังใจวิคเตอร์อยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าขำขันเพียงลำพัง

น้ำตกที่เกรย์ส่งคนมาดูและสำรวจเป็นน้ำตกธรรมชาติที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลและลึกพอสมควร ตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปด้านในก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินสวนออกไปแค่สองกลุ่ม พอเข้าไปถึงก็กลายเป็นที่โล่งว่างเปล่าที่ไม่มีคนไปแล้ว

คนที่โกหกว่าอยากมาเที่ยวน้ำตกมองภาพบรรยากาศรอบด้านด้วยความเฉยชาเช่นเดียวกันกับการ์ดคนอื่นๆ ที่เดินตามหลัง แต่แล้วใบหน้ามึนตึงดุดันของทุกคนก็ต้องแปรเปลี่ยนไป ยามเมื่อคนร่าเริงเพียงหนึ่งเดียวร้องโอ้โหออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ขณะวิ่งไปสำรวจตามจุดต่างๆ อย่างสนุกสนาน

“ทุกคน มาปูผ้าเร็ว!” เมื่อนายคนที่สองหันมาตะโกนเรียก บรรดาการ์ดที่ถือผ้า ถือตะกร้าอาหารมาด้วยก็รีบตรงเข้าไปจัดที่จัดทางเป็นพื้นที่นั่งสะอาดริมน้ำตกแทบจะทันที

เกรย์ที่ถูกดึงแขนเดินตามแรงจูงของลูกแกะน้อยไปนั่งลงบนผืนผ้านิ่ม ก่อนจะรับแซนด์วิชที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเอาไว้ แล้วมองตามหลังลูกแกะที่เดินถือตะกร้าไปแจกแซนด์วิชให้การ์ดคนอื่นๆ อย่างพูดไม่ออก ตอนแวะไปซื้อของกินก็อุตส่าห์บอกว่าไม่ต้องซื้อให้คนอื่น แต่พูดยังไงก็ไม่ฟัง จะซื้อให้ครบคนให้ได้ สุดท้ายเขาเลยได้แต่ตามใจ แม้จะหงุดหงิดที่การ์ดของตนดูจะเอ็นดูลูกแกะตัวน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม

เอาเถอะ... แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้คอยดูแลด้วยใจน่าจะดีกว่าการทำตามคำสั่งแบบหุ่นยนต์ไปวันๆ

“ลูกแกะ มากินส่วนของตัวเองได้แล้ว” เกรย์รีบส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าลูกแกะชักจะพูดคุยกับบรรดาการ์ดมากเกินไป ขนาดเขากินแซนด์วิชหมดชิ้นแล้วยังไม่ยอมเดินกลับมา

“ขอโทษด้วยครับ ผมกำลังคุยกับอเล็กซ์เรื่อง...”

ผู้ที่ถูกดึงเข้าไปในการสนทนาสูดหายใจเฮือก ตัวหมุนร้อยแปดสิบองศา หันหลังให้เจ้านายทั้งสองคนโดยอัตโนมัติ ไม่อย่างนั้นคงได้โดนสั่งทางสายตาให้ไปหาตุ๊กตาเหมือนวิคเตอร์แน่นอน

“รีบกินแล้วลงไปเล่นน้ำเถอะ จะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป ลูกแกะไม่อยากอยู่นานไม่ใช่เหรอ”

“จริงด้วย” ประมุขพยักหน้าหงึกหงักพลางหันไปมองรอบกาย นอกจากเขากับเกรย์ที่นั่งอยู่แล้ว ด้านข้างยังมีลูคัสกับอเล็กซ์ยืนอยู่ไม่ไกลด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็กระจัดกระจายกันอยู่ตามจุดต่างๆ มองผ่านๆ เหมือนนักท่องเที่ยวแยกกันอยู่ แต่หากสังเกตอย่างตั้งใจก็รู้ได้ไม่ยากว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังล้อมใครไว้

การมาเที่ยวแบบนี้ทำให้ประมุขรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรมากมาย อาจเป็นเพราะเขาเริ่มเคยชินกับการถูกตามเหมือนกับเกรย์แล้ว อีกทั้งยังมีคนข้างกายมองมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอด ความรู้สึกแย่ๆ จึงไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง

หลังจากนั่งรอจนประมุขกินแซนด์วิชหมดอัน หนุ่มฝรั่งเศสตาฟ้าก็เดินนำลงไปในน้ำ ตั้งท่าจะหันกลับไปรับลูกแกะลงมายืนอยู่ข้างกัน แต่เพียงแค่หันไปก็เห็นเจ้าเด็กซนกางแขนกางขา ท่าทางเตรียมพร้อมเต็มที่รออยู่ก่อนแล้ว

“เดี๋ยว...”

ตูม!

“…”

“…”

จู่ๆ ก็เหมืือนเวลาถูกหยุดเอาไว้ ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวหรือขยับตัวแม้แต่คนเดียว บรรดาบอดี้การ์ดที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างต่างพากันสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ในขณะที่คนร่าเริงเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเพิ่งกระโดดลงมาในน้ำคล้ายจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“น้ำตื้นนี่นา... ทุกคน เป็นอะไรกันครับ” ประมุขกะพริบตามองคนรอบด้านด้วยสีหน้างุนงง ทว่าเมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงต้องหันกลับไปด้านหลัง ตั้งใจจะถามคนที่น่าจะตอบได้ทุกเรื่อง แต่ว่า...

“ลูกแกะ...” ชายหนุ่มผมเทาซึ่งล้มลงไปนั่งกองอยู่ในน้ำยกมือขึ้นลูบใบหน้าเปียกโชกช้าๆ ดวงตาคมที่ดูดุดันกว่าทุกครั้งค่อยๆ เลื่อนไปมองคนที่กระโดดลงมาในสระตื้นๆ กะทันหันจนเขาเผลออ้าแขนรับแล้วโดนชนล้มลงมากองกับพื้นนิ่งงัน

“ผม...ทำเหรอ”

“ยังจะยิ้มอีก มานี่เดี๋ยวนี้” เกรย์กวักมือเรียกคนที่ไม่เคยกลัวเขาเลยสักนิดโดยยังไม่คลายสีหน้า กระทั่งลูกแกะที่โดนดุหุบยิ้มแล้วเดินตัวลีบเข้ามาหา เขาก็คว้าข้อมือผอมแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างแรงจนร่างนั้นล้มลงมากองอยู่ด้วยกัน

“แค่กๆ”

“สมน้ำหน้า ชอบทำให้ห่วงดีนัก ไม่ดูเลยว่าน้ำมันตื้น กระโดดลงมาแล้วบาดเจ็บจะทำยังไง” ว่าจบคนเป็นห่วงก็บีบจมูกของลูกแกะน้อยที่สำลักจนหน้าแดงเพราะกลืนน้ำลงไปอึกใหญ่ด้วยความมันเขี้ยว ทำเอาคนรอบข้างที่แอบมองอยู่เพราะกลัวเจ้านายโกรธถึงขนาดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ขอโทษก็ได้”

“ทำไมพอมาเที่ยวแล้วเหมือนเด็กนักนะ”

“ก็ผมไม่ค่อยได้เที่ยวนี่ อันที่จริงตั้งแต่แยกกับพี่จักรตอนเด็กๆ ก็แทบไม่ได้ไปไหนเลย” ประมุขตอบตามความจริง ขณะพลิกตัวขยับไปนั่งอยู่ข้างๆ เกรย์แทน

เวลาที่มหา’ลัยมีกิจกรรมก็แทบไม่ได้ไปไหนไกลเท่าไหร่ เนื่องจากตอนแรกมีพี่จักรอยู่ด้วย วันไหนทั้งเขาทั้งเต้ไม่ว่างพร้อมกันคงแย่ ถ้าเป็นไปได้เลยไม่ค่อยอยากทิ้งพี่ไว้ที่บ้านคนเดียว หากเป็นกิจกรรมที่เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องคุยกับเต้ นัดแนะกันให้ดี เพราะหากต้องไปทำกิจกรรม ไปเที่ยวกับเพื่อนโดยที่ต้องห่วงเรื่องทางบ้านอยู่ตลอด ยังไงเขาก็คงสนุกไม่ลงอยู่แล้ว มีแต่จะภาวนาให้เวลาผ่านไปไวๆ เสียมากกว่า

“สบายไหม”

“ฮือ มากๆ เลย” ประมุขร้องฮือในลำคอ ก่อนจะเอนตัวให้คนด้านหลังลูบหัวนวดไหล่ให้อย่างสบายอกสบายใจ มองยังไงก็เหมือนจะเป็นนายใหญ่มากกว่าเกรย์ เพราะดูจะได้รับการดูแลดีกว่าใคร

“จะหลับไหมเนี่ย”

“ไม่หลับ...มานี่ดีกว่า ผมทำให้คุณบ้าง”

เกรย์ชะงักเมื่อคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสบายๆ หันกลับมามองเขาด้วยแววตามุ่งมั่นตั้งใจ แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา ยินยอมให้ลูกแกะขยับไปซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วออกแรงบีบนวดให้ตามที่ต้องการ

“ไปเรียนนวดมาจากไหน”

“ทำบ่อยตอนที่พี่จักรยังอยู่บ้านครับ แต่ตอนนั้นนวดขานะ”

“หืม... เก่งเหมือนกันนี่”

“จริงเหรอ” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจจากทางด้านหลังทำให้เกรย์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ตอบออกไปว่าจริงหรือเปล่า เพราะความจริงเขาแทบไม่รู้สึกถึงแรงบีบนวดของเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ ลูกแกะคงจะเกร็งจนไม่กล้าออกแรงเยอะ จะให้พูดก็กลัวจะเกร็งหนักกว่าเดิม เพราะงั้นปล่อยให้เข้าใจไปแบบนี้น่าจะดีกว่า

“ลูกแกะ วันนี้อยากไป...”

“นายครับ!” เสียงเรียกแทรกของอเล็กซ์ที่อยู่ใกล้ขอบน้ำตกที่สุดทำให้คนทั้งคู่หลุดจากภวังค์ เกรย์ลืมตาขึ้นช้าๆ ขณะมองไปยังอเล็กซ์เป็นเชิงถามว่าจากใคร “โทรศัพท์จากคุณคิงครับ”

“คิงไม่เคยโทรมาเวลานี้...” เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะผุดลุกเดินขึ้นจากน้ำตก มือรับผ้าขนหนูจากการ์ดมาห่มตัวเองไว้พร้อมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ไง”

[ส่งคนของนายมา]

เกรย์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิด...ว่าจะได้ยินไวขนาดนี้ แต่ฟังจากน้ำเสียง ท่าทางจักรพรรดิคนนั้นคงใกล้ถึงจุดเดือดเต็มทน

“…เกิดอะไรขึ้นสินะ”

[มันเอาตัวภีมไป]

“จะเอายังไง” คนฟังถามเสียงเรียบ ไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไร เพราะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าแม่มดคงทำอะไรสักอย่าง แต่ลักพาตัวคนนอกไปแบบนี้ก็ดูจะน่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน

แต่ก็นะ... คนสกปรกย่อมกล้าทำอะไรสกปรกๆ อยู่แล้ว

[เอาตัวภีมคืนมา ไปล่ามัน แล้วส่งคนมาคุ้มกัน]

“เข้าใจแล้ว”

เมื่อสายถูกตัด เกรย์จึงหันกลับไปหาคนที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากน้ำตก เขาอ้าปาก คิดจะอธิบายทุกอย่างให้ลูกแกะที่ถูกผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อตัวไว้ฟัง แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้ายิ้มๆ และเดินเข้ามาเกี่ยวนิ้วกันไว้ราวกับต้องการให้กำลังใจ

“คุณไปจัดการธุระก่อนเถอะครับ เอาไว้กลับมาค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้ สัญญาว่าจะเป็นลูกแกะที่ดี รออยู่ในห้องไม่ไปไหนจนกว่าคุณจะกลับมา”

เกรย์ยกมือเกลี่ยแก้มใสอย่างอ่อนโยน แม้แต่ดวงตาก็ทอประกายรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ไม่รู้ว่าคนคนนี้จะทำให้เขาหลงมากขนาดไหนถึงจะพอ ทว่าสุดท้ายเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเตือนจากลูคัส มือที่เกาะเกี่ยวกันไว้ก็จำเป็นต้องละออก

“ฉันจะรีบกลับไปหา นอนก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ”

“ครับ”

หากยังไม่ทันได้ก้าวเดินไปไหน คนที่ทำท่าจะผละจากไปก็ต้องชะงักเท้า ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวกลั่นกรองออกมาเป็นคำถามง่ายๆ ที่เขาควรตอบได้ด้วยตัวเอง

การพาลูกแกะกลับไปที่ห้อง...เป็นการปกป้องเจ้าตัวจริงๆ หรือเปล่า

ดวงตาคมมองใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยปนสงสัยของลูกแกะน้อยนิ่งงัน กระทั่งเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง เขาจึงยื่นมือไปหาพร้อมส่งยิ้มไปให้อีกครั้ง

“อยากไปด้วยกันไหม ฉันจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”

“คุณ…”

“ฉันมั่นใจว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูกแกะไม่ใช่ในห้องพัก...แต่เป็นข้างกายฉัน เราคิดเหมือนกันหรือเปล่า”

ประมุขมองมือที่ยื่นมาหาด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรจึงจะพูดแทนความรู้สึกในใจของเขาได้ชัดเจนที่สุด สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงการยื่นมือออกไปหา จับมือนั้นไว้แน่นแล้วพยักหน้าให้เป็นคำตอบ

“ครับ”

พื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา...คือข้างกายเกรย์เท่านั้น




--------------------


TALK: น้องแกะน่ารักขนาดนี้ ใครจะไม่รักได้เล่าาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 07-01-2019 19:49:08
น้องแกะทำพี่ๆบอร์ดี้การ์ดหวาดผวากันเลยทีเดียว 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 07-01-2019 22:05:00
แล้วไม่รู้ป่านนี้วิคเตอร์จะหาตุ๊กตาขนาดเท่าคนได้ยังไม่รู้ จะต้องไปช่วยภีมแล้ว ลูกแกะน่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-01-2019 01:23:37
สงสารวิคเตอร์ จะหาได้ไหมตัวเท่าคนนะ ให้หาชุดมาสคอสต์จะง่ายกว่าไหม  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-01-2019 16:21:05
จะหาแบบลูกแกะได้อีกที่ไหน TT
น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-01-2019 17:05:06
สงสารวิคเตอร์จะหาได้ไหมเนี่ยไอ้ตุ๊กตาสีชมพูเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-01-2019 00:18:24
วิคเตอร์จะหาตุ๊กตาได้มั้ย :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 09-01-2019 00:25:11
คุณเกรย์และลูกแกะ น่ารักมากกกกกก  :-[

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-01-2019 02:35:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-01-2019 13:58:56
ถึงเกรย์จะเหี้ยมกับใครก็แล้วแต่ แต่กับน้อง แม้แต่ดุยังไม่อยากทำ
เอ็นดูประมุขมาก น้องรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และดีใจที่ได้อยู่ด้วยกัน

ว้าววว เกรย์พัฒนานะ ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่ด้วยกัน ในอ้อมอกนี้

วิคเตอร์จะเจอไหม หรือไง จะรอดกลับมาไหม 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-01-2019 23:30:28
มาปักไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 15-01-2019 18:37:36
-10-


คนของเกรย์ทำงานได้เร็วมากจนน่ากลัว ยังไม่ทันพ้นวันที่จักรพรรดิโทรมาบอกเรื่องคนสำคัญถูกพาตัวไป ข่าวคร่าวต่างๆ ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว หากสิ่งที่ไวยิ่งกว่ากลับเป็นภีมภัทรที่หลบหนีการจับกุมออกมาด้วยตัวเอง ทำเอาแม้แต่เกรย์ยังเผลอทำสีหน้าถูกอกถูกใจออกมา ขณะที่ประมุขในเวลานั้นเบิกตากว้างจนแทบถลน

คนคนนั้นเหมาะกับพี่ชายของเขามากจริงๆ... ไม่รู้ว่าถ้าเป็นตัวเอง เขาจะเข้มแข็งได้เท่าภีมหรือเปล่า

หลังจากนั่งรอฟังข่าวจากบรรดาทีมเอที่ออกไปลงพื้นที่ได้พักหนึ่ง ในที่สุดเกรย์ก็ได้รับคำตอบที่ต้องการ จักรพรรดิให้จัดการส่งหลักฐานการทำผิดทั้งหมดของมินตราไปให้ตำรวจก่อนได้เลย เมื่อได้พูดคุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะส่งตัวตามไปทีหลัง ทั้งยังย้ำให้จัดข้อหาที่หนักที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ไม่นานหลังจากนั้นคนที่กำลังรอก็เป็นฝ่ายติดต่อมาด้วยตัวเอง พวกเขายกโขยงไปที่ไร่อาชาวินซึ่งเป็นไร่ที่ช่วยเหลือภีมภัทรเอาไว้ ประมุขที่ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในจ้องมองภาพพี่ชายกับภีมที่กำลังกอดกันด้วยดวงตาร้อนผ่าว กระทั่งถูกดึงตัวเข้าไปโอบไว้หลวมๆ เขาจึงกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาออกไป ก่อนจะเงยมองคนข้างกายพร้อมรอยยิ้ม

“พี่จักรจะมีความสุขจริงๆ แล้วใช่ไหมครับ”

เกรย์ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาที่ยู่ยี่ยิ่งกว่าสองคนด้านในให้อย่างอ่อนโยน รอจนถูกจ้องด้วยดวงตาน่าเอ็นดูมากเข้า เขาจึงพยักหน้าแล้วหมุนตัวพาลูกแกะเดินไปอีกทาง

“แน่นอน”

กลางดึกคืนนั้น ประมุขรู้สึกเหมือนคนที่นอนอยู่ข้างกายขยับลุกขึ้นจากเตียง ด้วยความที่นอนต่อไม่หลับเขาจึงเดินงัวเงียตามเกรย์ออกไปด้วย แต่แล้วก็ต้องไปหยุดยืนอยู่ตรงมุมเสา เมื่อพบว่าพี่จักรกับเกรย์นั่งคุยกันอยู่ตามลำพังที่ห้องรับแขกของไร่อาชาวินที่ยินยอมให้พวกเขาค้างคืนกันที่นี่

ประมุขไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เพราะมันเป็นภาษาฝรั่งเศสล้วนๆ ซึ่งเขาเข้าใจแค่บางคำ แต่ดูเหมือนเกรย์จะให้พี่จักรยืมคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การ์ดที่ถูกเรียกว่าทีมเอ แต่เป็นการ์ดอีกทีมที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ พวกเขาเหล่านั้นหันไปพูดคุยกับพี่จักรสักพัก จากนั้นก็แยกตัวเดินออกจากบ้านไป

คืนนั้นประมุขกลับไปนอนต่อด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อคนสำคัญกลับมากอดกันไว้ เขาก็หลับต่ออย่างง่ายดาย และได้รับคำตอบในวันถัดไป... เมื่อต้องตามเข้าไปในตัวป่า ตรงไปยังสถานที่ที่ภีมภัทรถูกจับไปเมื่อคืน

“ถ้าลูกแกะไม่อยากลง นั่งรออยู่บนรถก็ได้นะ”

“ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณ” เขาส่ายหน้าปฏิเสธในทันที แม้ในใจจะหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ

ภาพของชายชาวต่างชาติตัวใหญ่ที่ถูกมัดห้อยหัวไว้กับต้นไม้ในสภาพยับเยินหลายคนทำให้ผู้ที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนสั่นไปหมดทั้งตัว ทว่าอ้อมแขนที่โอบรัดกายไว้กลับทำให้รู้สึกปลอดภัยโดยไร้เหตุผล ยิ่งยามได้หันไปเห็นดวงตาห่วงใยที่ฉายแววไม่มั่นใจของเกรย์เข้า เขาก็ยิ่งไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกไปให้เห็น

ประมุขพยายามทำท่าทีให้เป็นปกติ เมื่อเห็นภีมเข็นวีลแชร์พาพี่จักรออกมาจากบ้านไม้หลังเล็ก ซึ่งเกรย์บอกว่าเป็นที่ที่แม่ของเขาถูกจับมัดเอาไว้ นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่บรรดาการ์ดของเกรย์เก็บกวาดคนที่ถูกห้อยหัว จัดการเอามามัดไว้บนพื้นเสร็จเรียบร้อยพอดี

“เดี๋ยวจัดการต่อให้เอง” คนที่มีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่างบอกเสียงเรียบ ไม่ได้คาดหวังจะเอาอะไรจากเพื่อนผู้แสนเย็นชา ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป...

“ขอบคุณ” จักรพรรดิตอบแค่นั้นแล้วส่งสัญญาณให้คนด้านหลังพาไปที่รถโดยไม่สนใจใบหน้าแปลกใจสุดขีดของเกรย์กับประมุขที่มองตามหลัง

พื้นที่บริเวณนั้นถูกส่งต่อให้อเล็กซ์จัดการ เมื่อเกรย์รู้สึกเหมือนลูกแกะเริ่มหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเลือดมากเกินไป หรือเพราะเห็นความโหดร้ายของบรรดาพี่การ์ดคนสนิทที่ลากคนของแม่มดไปทางนั้นทางนี้แบบไม่ยั้งแรง

“ลูกแกะคงไม่มีอะไรอยากพูดกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายใช่ไหม”

คนฟังชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดจากปากของเกรย์ แต่พอได้นิ่งคิดไปสักพัก เขาก็ต้องส่ายหน้าออกมา เพราะถ้าไม่ได้ยินคำว่า ‘แม่’ บางทีอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าคนที่กำลังจะถูกจับเข้าตาราง ไม่มีโอกาสได้ออกมาข้างนอกอีกตลอดชีวิตคือแม่แท้ๆ ของตัวเอง

“เรากลับกันเถอะครับ”

ตลอดระยะเวลากลับที่พัก ประมุขเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอมาและจบลงไปของพี่ชายด้วยความโล่งอก ในที่สุดครั้งนี้พี่จักรก็จะได้มีความสุขจริงๆ เสียที แต่ดูเหมือนคนที่นั่งด้านข้างจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ

“กลัวเหรอ” เกรย์เผยสีหน้าหวั่นไหวออกมาเมื่อเห็นท่าทีของลูกแกะ ใจนึกกังวลไปสารพัดว่าอีกคนอาจจะกลัวภาพที่เห็นจนอยากถอยห่าง ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เจ้าของดวงตาใสซื่อก็หันกลับมามองกันด้วยใบหน้างุนงงจนถึงขีดสุด

“กลัวอะไรเหรอ”

กลายเป็นแทบไม่ได้สนใจเลยเสียอย่างนั้น...

“ฉันคิดว่าลูกแกะจะกลัวจนไม่อยากอยู่ใกล้แล้ว” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ดึงคนน่าฟัดเข้ามาโอบไว้หลวมๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองอีกครั้ง

“กลัว... อ๋อ ที่เห็นเมื่อกี้เหรอครับ” ประมุขพยักหน้าเข้าอกเข้าใจเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งเจอเหตุการณ์อะไรมา แต่คงเป็นเพราะเขาลืมง่ายเอามากๆ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งยังมีภูมิต้านทานไม่จำในเรื่องที่ไม่อยากจำ พอขึ้นรถมาเลยแทบไม่ได้นึกถึงอะไรพวกนั้นเลย “ผมลืมหมดแล้ว”

“หืม ง่ายขนาดนั้นเชียว” เกรย์เอียงคอถามยิ้มๆ

“อื้อ ง่ายแบบนี้แหละ ผมเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว คุณก็รู้”

“หึหึ”

สุดท้ายคนง่ายๆ ก็โดนขยี้จนขนฟูฟ่องไปหมดทั้งตัวด้วยความมันเขี้ยว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่บ่นไม่ว่าอะไรออกมาสักคำ ยังคงเงยหน้าหลับตาพริ้ม รอให้เกรย์ลูบหัวลูบหางให้เข้าที่เหมือนเดิมด้วยความสบายอกสบายใจ มองยังไงก็เป็นลูกแกะที่น่าเอ็นดูที่สุดในโลกเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“เกรย์... แล้วหลังจากนี้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงเหรอครับ”

“ไม่ได้ออกมาข้างนอกอีกแน่ๆ” คนตอบว่าเสียงเรียบไร้ความรู้สึก “แต่คิงอาจจะต้องกลับไปเคลียร์ธุระต่างๆ ที่ฝรั่งเศสให้เรียบร้อยก่อนถึงจะย้ายมาที่นี่ได้ถาวร อย่างน้อยก็ควรไปรับรู้เรื่องพินัยกรรมของพ่อเลี้ยง ถึงจะรู้แต่แรกว่าคงไม่ได้อะไรเลยก็ตาม”

“พี่ไม่ได้อะไรเลยเหรอ”

“อ่า... ถึงได้ก็คงไม่เอาหรอก เรื่องนี้ลูกแกะไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะคอยช่วยพี่ชายของนายเอง อีกไม่กี่วันก็คงจะเดินทางแล้ว” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้คนทั้งคู่ก็นิ่งค้างไปนาน

ประมุขค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะส่งยิ้มไปให้คนที่น่าจะเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้บอกเขาเรื่องที่ต้องกลับฝรั่งเศสโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่

“ผมเองก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วเหมือนกัน คุณกลับไปทำธุระให้เรียบร้อยเถอะครับ ถ้าว่างค่อยมาหาใหม่ก็ได้ อีกปีเดียวผมก็เรียนจบแล้ว”

“จริงๆ ฉันน่าจะมาเจอลูกแกะตอนเรียนจบมากกว่า” เกรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แอบยอมรับในใจว่าตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตัวเอง “ถ้าเจอตอนเรียนจบแล้ว เวลาต้องไปไหนก็พาไปด้วยกันได้ ไม่ต้องแยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว”

ที่สำคัญคือลูกแกะยังเป็นเป้าหมายของคนไม่หวังดีที่เก็บตัวได้เงียบจนน่าประหลาดใจนั่นด้วย...

ตั้งแต่ที่เริ่มมีคนเข้ามาขู่ เกรย์ก็ให้คนติดตามดูเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งทางฝั่งไทยและฝั่งฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาคู่ค้าที่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่าง ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าไปมีเรื่องกับใครมาบ้าง เพราะมันเยอะมากจนต้องมีทีมบอดี้การ์ดหลายทีมเป็นของตัวเอง ทว่าจนถึงตอนนี้ คำตอบที่ได้รับจากจิม คนสนิทที่มีความสามารถรอบด้านกลับมีเพียงความว่างเปล่า

‘เป็นเพราะฝ่ายนั้นไม่ได้ลงมือต่อเนื่อง แล้วยังรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเราถึงจะจับไม่ได้ ตอนนี้เราเลยไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลยครับ’

ทั้งจิมทั้งลูคัสที่ถูกสั่งให้ติดตามเรื่องนี้ตอบเป็นเสียงเดียวกันจนน่าแปลกใจ ตัวเขาเองก็รู้ดีอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เจอมันเป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามาแล้วเงียบหายไป แต่เกรย์กลับไม่ไว้วางใจว่าถ้าหากเขากลับฝรั่งเศสไปแล้วทิ้งลูกแกะอยู่ที่นี่ ทุกอย่างจะยังเงียบเหมือนเดิม

“แต่ผมดีใจนะที่เราได้เจอกันตั้งแต่ตอนนี้”​ น้ำเสียงร่าเริงไม่ต่างจากสีหน้าของคนพูดทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เกรย์หันกลับมามองหน้าลูกแกะขี้อ้อนอีกครั้ง แล้วก็ถูกคำพูดกับการกระทำของเจ้าตัวทำให้ความคิดตีรวนกันจนวุ่นวายไปหมดเหมือนเช่นทุกที “ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วผมก็ต้องมายืนข้างคุณอยู่ดี เพราะงั้นต่อให้เจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงคุณก็ต้องหาทางปกป้องผมอยู่แล้วนี่นา”

“ไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหนหืม” เกรย์บีบจมูกอีกคนด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ได้รอยยิ้มกว้างตอบกลับมาตามคาด

“จากคุณนั่นแหละ”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“คุณคนเดียวเลย”

“เหรอ...”

ลูกแกะตัวน้อยถูกดึงจมูกจนยืดยาว แต่ก็ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว เพราะพอเกรย์เผลอ เขาก็ถูกลูกแกะบีบแก้มกลับแบบไม่เกรงใจ ทำเอาการ์ดที่ขับรถอยู่หน้าซีดเหมือนกลัวระเบิดลงอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้น เมื่อคนที่ถูกแกล้งเพียงแค่จับหัวลูกแกะมาซุกอยู่กับอกเพื่อห้ามปรามเท่านั้น

“คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ระหว่างที่คุณกลับฝรั่งเศส ผมจะไปกลับระหว่างมหา’ลัยกับห้องพักอย่างเดียว สัญญาจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด”

“ถึงอย่างนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่ดี” เกรย์ลูบแก้มลูกแกะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพาเดินลงจากรถเข้าไปในตัวโรงแรมพร้อมกัน “ถ้าไม่ได้อยู่ในสายตา ยังไงก็วางใจไม่ได้หรอก”

“อย่าเพิ่งคิดมากเลย ผมจะระวังตัวนะ คุณเองก็ต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน”

เกรย์ยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร และไม่ได้บอกให้ลูกแกะตื่นกลัว ว่าสถานที่ที่อันตรายสำหรับเขาคือนอกประเทศแบบนี้นี่แหละ เพราะยามอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ตัวเขามีแขนขาและหูตากว้างไกลกว่านี้หลายเท่า หากใครคิดจะหาเรื่องคุณเกรย์ที่มีอำนาจมากจนน่ากลัว เห็นทีเรื่องคงไม่มีทางจบได้ด้วยดีแน่นอน

เพราะงั้นคนที่ถูกพบว่าเป็นคนสำคัญสำหรับเขาและอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้จึงอันตรายกว่ามากนัก

“ฉันก็จะระวังตัว ไม่ทำให้ลูกแกะเป็นห่วง” ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงรับคำทั้งรอยยิ้ม

“ดีมาก”

“หัดพูดจาเป็นผู้ใหญ่เหรอ” เกรย์หยิกแก้มลูกแกะเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ก่อนจะโอบไหล่ผอมเข้ามาใกล้ ตั้งใจจะพาขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน หากยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น ลูคัสก็ส่งเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง

“นาย”

“ว่าไง”

“สายสำคัญ”

เกรย์หรี่ตาขณะรับโทรศัพท์มาจากลูคัส ทว่าเมื่อได้เห็นชื่อบนหน้าจอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากที่จะก้าวเท้าขึ้นลิฟต์กลายเป็นหยุดกะทันหัน ซึ่งคนที่อยู่ด้านข้างอย่างประมุขก็ได้แต่หยุดเดินตามแล้วหันไปมองแบบงงๆ

“ลูกแกะ ขึ้นไปรอข้างบนก่อนนะ แม่ฉันโทรมาน่ะ”

“เดี๋ยวผมไปรอที่ร้านเค้กก็ได้” ลูกแกะน้อยยิ้มจนเห็นฟันครบทุกซี่ พอเกรย์เห็นหน้าตาอยากกินขนมจนเต็มแก่นั่นก็เถียงอะไรไม่ลง ได้แต่พยักหน้า ส่งสัญญาณให้การ์ดชุดหนึ่งเดินตามไป แล้วก็เดินแยกเข้าไปในห้องรับรองแขก VIP ของโรงแรมแทน

[รับช้านะ] เสียงเยือกเย็นที่ดังมาตามสายทำให้คนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอมาเผลอชักสีหน้าอยู่วูบหนึ่ง ทว่าเมื่อเขายกมือขึ้นลูบหน้า ความผิดปกติทุกอย่างก็ถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้ว่าง” เกรย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่แพ้กัน

[ไม่ได้ว่าง...แต่ก็ยังบินไปไกลถึงไทย]

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

[นี่แม่นะเกรย์]

“ก็เพราะเป็นแม่ ผมถึงยอมคุยไร้สาระด้วยนานขนาดนี้”

[แล้วตอนอยู่กับเด็กคนนั้นไม่ได้คุยไร้สาระกันหรือไง]

ดวงตาคมของคนฟังวาววาบด้วยความไม่พอใจ แม้แต่มือที่กำโทรศัพท์เอาไว้ก็ออกแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนต้องหลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้เผลอดิ้นไปตามเกมของนักธุรกิจสาวผู้สั่งสมประสบการณ์มานานหลายสิบปี

“ผมจะคุยอะไรกับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ”

[หวงน่าดูเลยนะ ไม่พามาให้พ่อกับแม่เจอหน่อยเหรอ]

“ไม่ใช่ตอนนี้”

[แม่ไม่ได้มีความอดทนมากนักหรอกนะ] แว่วเสียงหัวเราะในลำคอดังเล็ดลอดเข้ามาอย่างจงใจ เพียงเท่านั้นดวงตาสีฟ้าของคนฟังก็ขุ่นมัวขึ้นหลายระดับ ใจนึกกังวลเกี่ยวกับคนที่น่าจะเลือกเค้กอยู่ที่ร้านด้านข้างขึ้นมากะทันหัน

“ห้ามแตะต้องเขา”

[ถ้าลูกยังอยากต่อเวลาออกไปสักหน่อย อีกสามวันกลับมากินข้าวพร้อมพ่อกับแม่ที่บ้าน]

“…”

[แล้วแม่จะรอ อย่าลืมดูแลคนของตัวเองให้ดีก็แล้วกัน]

จบคำพูดนั้น สายก็ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว หากคนที่รู้จักคาร่าดีกว่าใคร มีหรือจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าเธอ ‘ไม่รับปาก’ หากถามว่าในโลกนี้มีอะไรที่เกรย์อ่านไม่ออก คาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง นอกเหนือไปจากลูกแกะที่ขยันทำให้เขายิ้มได้โดยไม่รู้ตัว ก็คงมีเพียงพ่อกับแม่แท้ๆ ที่รู้จักกันดีจนเหมือนไม่รู้จักเท่านั้น

ปัง! 

“นาย!”

(ต่อด้านล่าง)
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.9]=[P.5]==[07/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 15-01-2019 18:37:54
“มีอะไร” เกรย์ผุดลุกขึ้นยืนเมื่อลูคัสที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าเปิดประตูเข้ามาเรียกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และเมื่อได้เห็นท่าทีจริงจังของหัวหน้าทีมเอ เขาก็รีบเดินออกไปด้านนอกโดยไม่รอคำตอบ

ภาพความวุ่นวายด้านนอกที่มีทั้งการ์ดโรงแรมซึ่งกำลังจับกุมตัวผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้และบรรดาแขกกับพนักงานที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบด้านด้วยสีหน้าตกใจ ไม่ได้ทำให้เกรย์สนใจได้มากเท่าการได้เห็นลูกแกะยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังการ์ดของเขาเกือบสิบคน

“ลูกแกะ!” เกรย์ส่งเสียงเรียกดังก้อง กดดันจนทุกสรรพเสียงรอบด้านเงียบกริบราวสั่งได้ เขาอ้าแขนออกรับลูกแกะที่ทำหน้าตื่นวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะรวบคนตัวสั่นเข้ามากอดเอาไว้แน่น

“เกรย์...”

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่ครับ... ผมอยากขึ้นห้องแล้ว” คนเสียงสั่นตอบเบาๆ แล้วเอาแต่ซุกหน้าเข้าหาอกเขา ไม่ยอมให้ดันตัวออกเพื่อมองสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

อาการหวาดกลัวที่พยายามไม่แสดงออกของลูกแกะทำให้เกรย์ใจหายวาบ เขารับเสื้อนอกมาจากลูคัส ก่อนจะเอามาคลุมหัวคนในอ้อมแขนเอาไว้แล้วพาเดินขึ้นหนีสายตาน่ารำคาญไปที่ลิฟต์ โดยไม่ลืมส่งสัญญาณให้ลูคัสคอยจัดการสถานการณ์ด้านล่างต่อ

เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องส่วนตัวด้านบนเรียบร้อยแล้ว เกรย์ก็รีบพาลูกแกะเข้าไปในห้อง โดยไม่ลืมส่งสายตาให้อเล็กซ์ตามเข้าไปด้านในอีกคน พอพ้นจุดที่คนพลุกพล่าน เข้ามาอยู่ในสถานที่ส่วนตัว ลูกแกะน้อยก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายที่สั่นเทาเริ่มกลายเป็นปกติ ทว่าก็ยังไม่หยุดซุกหน้ากอดเขาไว้ จนเกรย์ต้องอ้าขาออกให้อีกคนนั่งอยู่ตรงกลางบริเวณช่องว่าง ขณะลูบหัวลูบหลังปลอบประโลมไม่หยุด

“เกิดอะไรขึ้น” เขาหันไปถามอเล็กซ์ที่ทำหน้าเครียดเป็นการเป็นงานยืนอย่างสงบอยู่ข้างโซฟา

“ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะใช้มีดทำร้ายคุณประมุขครับ”

“พูดต่อ”

“ตอนคุณประมุขเลือกเค้กอยู่หน้าตู้ จู่ๆ เธอก็พุ่งเข้าไปหา แต่ผมกับคนอื่นๆ สังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่แรกเลยกันเอาไว้ได้ทัน จากนั้นพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงเข้ามารวบตัวเธอไว้”

คนฟังก้มหน้าลงอย่างควบคุมอารมณ์ โชคยังดีที่ตอนนี้เขากอดลูกแกะเอาไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ไอ้คนที่ถูกจ้างให้มาทำร้ายลูกแกะเป็นใคร มันก็ไม่มีวันได้เข้าไปอยู่ในคุกเพียงวันสองวันแน่นอน

“เกรย์...” เสียงเรียกเบาๆ จากคนที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอดทำให้เกรย์หลุดจากภวังค์ เขาหันไปส่งสัญญาณบอกให้อเล็กซ์ออกไปด้านนอก ก่อนจะก้มลงเชยคางคนหน้าซีดให้เงยขึ้นสบตากันอย่างอ่อนโยน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร”

“แล้วทำไมทำหน้าแบบนี้หืม”

“ผมอยากกินเค้ก” ว่าแล้วก็ทำหน้าบูดเบี้ยวจนเกรย์หลุดยิ้มจางออกมา พอเห็นเขายิ้มได้ เจ้าลูกแกะตัวน้อยก็อมยิ้มตาม ท่าทางดูดีขึ้นเร็วมากสมเป็นคนที่มีพลังบวกอยู่ในตัวตลอดเวลา หากเกรย์ก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี เพราะไม่อยากให้ลูกแกะแสดงท่าทีเป็นปกติเพื่อให้เขาสบายใจ แล้วเก็บเอาเหตุการณ์ทั้งหมดไปคิดอยู่เพียงลำพัง

“เดี๋ยวจะให้ลูคัสซื้อขึ้นมา”

“อื้อ”

เกรย์มองสบตาคนที่พยายามทำตัวเป็นปกติโดยไม่พูดอะไรอยู่นานหลายนาที แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ทนไม่ไหว ต้องวางหน้าผากลงบนบ่าของลูกแกะอย่างหมดแรง

“กลัวมากหรือเปล่า”

“ตกใจมากกว่า... ผมรู้สึกเหมือนเขาอยากเข้ามาฆ่ากันจริงๆ เลย” ประมุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงจะทำเหมือนไม่คิดอะไรแล้ว แต่ช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนถูกหมายหัวก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ แน่นอนว่าเขาคาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะมีอะไรพวกนี้เกิดขึ้น ทว่าก็คงต้องยอมรับ ว่าในความคิดกับในความเป็นจริงมันแตกต่างกันมาก

“ฉันน่าจะพานายขึ้นมาก่อน”

“คุณมีสายสำคัญนี่ครับ” แม้จะยังใจสั่นไม่หาย แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนจะโทษตัวเองของคนสำคัญ ประมุขก็ยังตอบกลับพร้อมรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ “ไม่รับสายครอบครัวไม่ได้นะ ถ้าเป็นครอบครัวโทรมา ผมก็ต้องไปรับเหมือนกัน”

เกรย์เงยหน้าขึ้นช้าๆ ตามองใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนตอนแรกของลูกแกะด้วยความพอใจ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องพูดต่อไป ร่างกายก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน

“แล้วถ้าฉันบอกว่าแม่โทรมาบอกให้กลับบ้านภายในสามวัน ลูกแกะจะยังอยากให้ฉันรับโทรศัพท์อีกหรือเปล่า”

“สามวันเหรอ...” คนฟังใจหายวาบ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าแทบจะทันทีที่ได้ยิน ต่อให้ทำใจไว้แล้วว่าเดี๋ยวช่วงเปิดเทอมต้องแยกกันสักพัก แต่พอเวลามาถึงไวกว่าที่คิดก็อดตกใจไม่ได้

“ใช่ แต่ว่าถ้า...”

“งั้นก็ต้องรีบกลับสิครับ”

“ว่าไงนะ” เกรย์จ้องมองใบหน้าของลูกแกะที่ดูตื่นตระหนกด้วยแววตาประหลาดใจ

“ถ้าแม่คุณโทรมาเร่งแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปพบท่านเถอะ”

“…ฉันจะทำยังไงกับลูกแกะตัวนี้ดีนะ”

ไม่ว่านานแค่ไหนก็ชินกับนิสัยของเจ้าตัวไม่ได้เสียที...

“แค่คุณส่งข้อความมาหาทุกวันก็พอแล้ว อันนี้ห้ามลืมเลยนะ” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนถูกปลอบกลายเป็นคนให้กำลังใจเสียเอง เพราะเพียงแค่เห็นใบหน้าลังเลและเป็นกังวลอันหาได้ยากของเกรย์ เขาก็ลืมเรื่องราวร้ายๆ ก่อนหน้าไปได้จนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงความรู้สึกอยากทำให้อีกฝ่ายหายเครียดเท่านั้น

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกันกับที่ลูคัสเดินเข้ามาด้านใน เกรย์มองจนแน่ใจว่าลูกแกะไม่เป็นไรแล้วจึงหันไปหาลูกน้องด้วยใบหน้านิ่งสนิท ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้รายงานสถานการณ์ทั้งหมดมาได้

“ตามที่คาด เหมือนเดิมทุกอย่าง”

“งั้นเหรอ...” หน้าตาของคนฟังดูเย็นชาขึ้นสองระดับ บรรยากาศรอบกายก็คล้ายจะติดลบจนประมุขที่เพิ่งคิดตามทันต้องยื่นมือไปสะกิดให้รู้ว่าเขานั่งอยู่ด้วย

“พวกคุณหมายถึงมีคนสั่งการเธอคนนั้นเหมือนตอนที่ให้เข้ามาขู่ผมหรือตอนที่จงใจขับรถชนใช่ไหมครับ”

“เก่งมาก” เกรย์ให้รางวัลคนฉลาดโดยการยกมือลูบหัวทุยสองสามรอบ พอเรียบร้อยแล้วก็หันกลับไปหาลูคัส พยักพเยิดให้พูดต่ออีกครั้ง

“ถ้าใช้วิธีเดิมแบบนี้คงเป็นพวกเดิมแน่นอน แต่ถ้าอิงจากครั้งก่อนจิมที่ไปสืบค้นต่อรู้แค่ว่าต้นทางมาจากฝรั่งเศส นอกเหนือจากนั้นไม่เจออะไรอีกเลย”

“แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้” ผู้เป็นนายพูดต่อประโยคด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “พรุ่งนี้ฉันจะบินกลับฝรั่งเศส สั่งทีมเอกับการ์ดคนอื่นๆ ทั้งหมดให้คอยดูแลลูกแกะอยู่ทางนี้ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามคลาดสายตาเด็ดขาด นายกลับไปกับฉันแค่คนเดียวพอ”

เมื่อได้ยินคำสั่งปิดการสนทนา ลูคัสก็พยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป ทว่าคนที่อยู่ไม่สุขกลับกลายเป็นลูกแกะตัวน้อยที่นั่งฟังด้วยความเคร่งเครียดมาโดยตลอด

“คุณไปกับลูคัสสองคนจะดีเหรอครับ” ประมุขท้วงด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก เพราะยังไงเกรย์ก็ควรมีคนดูแลมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่ลูคัสคนเดียว

“ไม่ต้องห่วง เราจะเดินทางไปสนามบินพร้อมกันอยู่แล้ว ถึงฝรั่งเศสเมื่อไหร่จะมีการ์ดอีกชุดมารอรับฉัน ลูกแกะอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ ฉันจัดการธุระเรื่องคิงกับธุระของแม่เสร็จจะรีบมาหา”

“งั้นเหรอ...”

“ลูกแกะไม่ต้องเป็นห่วง ลูคัสคือการ์ดที่เก่งที่สุดของฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคนสนิทที่เข้าขาที่สุด ฉันก็อยากจะให้เป็นคนดูแลลูกแกะอยู่เหมือนกัน”

หลังจากได้รับการยืนยันซ้ำ ประมุขก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ในขณะที่เกรย์ทำได้เพียงลอบถอนหายใจ เพราะอันที่จริงระยะเวลาที่เหลืออยู่ เขาจะให้ลูกแกะบินไปด้วยกันก็ได้ ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจว่าต้นเหตุของเรื่องราวพวกนี้เป็นศัตรูทางธุรกิจ หรือเป็น ‘คนใน’ กันแน่ เพราะถ้าเป็นประเภทแรก พาลูกแกะกลับถิ่นอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากเป็นประเภทหลัง...

“ลูกแกะรู้ไหมว่าฉันทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งได้ง่ายๆ โดยที่คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ” ถ้อยคำที่ดูคล้ายกำลังพูดเรื่องธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งทำเอาคนฟังตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ ซึ่งเกรย์ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มเยือกเย็น อธิบายต่อตามความจริงเท่านั้น “คงเป็นเพราะความดีในตัวยังหลงเหลืออยู่บ้าง ฉันถึงไม่เคยยกหลักฐานเท็จอะไรขึ้นมาใช้เลย อย่างเรื่องของแม่มดที่ทำกับคิงก็ใช้เวลายาวนานเพื่อทำตามแผนการอย่าง ‘ใสสะอาด’ ไม่ได้ใช้อำนาจอะไร ทั้งที่จริงๆ แค่กระดิกนิ้วฉันก็สร้างเรื่องให้เธอโดนประหารได้แล้ว”

“…”

“แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอยากจะทำตัวเลวๆ โดยการลากไอ้พวกชั่วที่มันคิดจะทำร้ายนายออกมาให้หมด แล้วฆ่ามันให้ตายด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่แค่นั้น เพราะฉันจะส่งคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมดเข้าไปอยู่ในตารางด้วย ไม่ว่าจะทำผิดหรือไม่ก็ตาม” ยิ่งพูดท่าทางของเกรย์ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่คมแข็งกร้าวจนน่ากลัว ทำราวกับคนที่เขาพูดคุยด้วยไม่ใช่ประมุข แต่เป็นใครบางคนที่คิดจะมาทำร้ายคนสำคัญ และสิ่งเหล่านั้นก็จางหายไป เมื่อฝ่ามืออุ่นของคนข้างกายวางทาบลงบนแขนของเขา

“เกรย์” ประมุขเริ่มเครียด แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดูงุนงงเหมือนเคย เขาเข้าใจแทบจะทุกเรื่องที่เกรย์พูดออกมา และสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายก็บ่งบอกชัดเจนว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

“ฉันก็แค่คิดน่ะ” แม้คนพูดจะเพิ่งรู้สึกตัวจนมายิ้มเอาตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะลูกแกะของเขาเอาแต่ขมวดคิ้วทำหน้าเครียด ไม่มีรอยยิ้มให้กันเหมือนเคย “อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย”

“ทำไมคุณถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา...”

“ดูเหมือนลูกแกะจะตามฉันทันไวขึ้นทุกวันแล้วนะ”

“ไม่ตลก” ลูกแกะที่ถูกชมทำหน้ายุ่ง มือพยายามปัดนิ้วที่ยื่นมาจิ้มแก้มออกเป็นพัลวัน ทั้งยังต้องพยายามหลบสายตาของคนที่เอาแต่เคลื่อนหน้าตาม เพราะอยากให้เขาหันไปสบตา จะได้หลุดยิ้มออกมาอีกต่างหาก

“ไม่ตลกแล้วยิ้มทำไม”

“หยุดแกล้งผมเลย” สุดท้ายก็จบลงด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็ยอมยิ้มออกมาจนได้ “ตอบมาได้แล้ว สรุปว่าทำไมถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมากันแน่”

เกรย์ยกยิ้มตาม รู้สึกราวกับทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ เขาหยิบมือของลูกแกะมากุมไว้ที่ตัก ในใจครุ่นคิดว่าควรจะพูดอย่างไรดีจึงจะเหมาะสมมากที่สุด

“ฉันพูด...เพราะอยากขอโทษที่ทำตามที่คิดไม่ได้”

“ก็ดี...” ประมุขเม้มปาก กลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นเกรย์ส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกให้ฟังต่อให้จบก่อน

“ฉันยังบอกว่าใช่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่อยากให้ลูกแกะเตรียมใจไว้ เพราะบางที...คนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี่อาจจะเป็นคนใน”

“คุณหมายถึง...”

“หมายถึงพ่อแม่ฉันเอง”

เกรย์มั่นใจว่าหากเป็นพ่อแม่ของเขาจริงๆ เจตนาที่มีคงเป็นเพียงการขู่ ไม่ได้คิดจะทำร้ายกันจริงจัง ถึงอย่างนั้นการให้คนตั้งท่าจะเข้ามาทำร้ายลูกแกะของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่น่าไว้วางใจ แม้จะเดาได้ว่าฝ่ายนั้นคงรู้อยู่แล้วว่าการ์ดของเขาจะปกป้องได้ แต่คนที่เกือบถูกทำร้ายคงไม่คิดเช่นนั้น และถ้าหากเป็นแบบที่คิดจริงๆ เขาก็จะตอบคำถามทั้งหมดที่ค้างคาใจได้ในทันที รวมถึงเรื่องที่ไม่อาจสืบหาที่มาของคนสั่งการได้ด้วย

“พ่อแม่คุณ...ท่านไม่ชอบผมเหรอ” คนที่สับสนจนหัวตื้อแต่ก็ยังพยายามควบคุมสติเอาไว้เอ่ยถามเสียงสั่น

“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่กลับไปครั้งนี้จะเอาคำตอบมาให้ได้ และเพราะไม่อยากปิดบังลูกแกะ ฉันถึงบอกทุกสิ่งที่คิดให้ฟังตั้งแต่ตอนนี้” เกรย์มองลูกแกะที่ยังดูตกใจด้วยแววตาอ่อนโยนปนรู้สึกผิด “ฉันยัดเยียดทุกอย่างให้ลูกแกะมากเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่ครับ” คนหน้าซีดส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “ผมดีใจที่คุณไม่ปิดบัง ผมแค่...ตกใจนิดหน่อย”

เกรย์ไม่ได้พูดอะไรเมื่อได้ฟังคำตอบแบบเดิมซ้ำเป็นรอบที่สองของวัน เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าลูกแกะในเวลานี้หวาดกลัวและเป็นกังวลมากขนาดไหน แต่ที่ไม่ยอมพูดออกมา ก็เพราะไม่ต้องการให้เขาเป็นห่วงหรือคิดมากตามเท่านั้น

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปแล้ว ลูกแกะไม่อยากกอดกันนานๆ เหรอ”

คล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ เพราะเมื่อเกรย์อ้าแขนออก ประมุขก็ตรงเข้าไปซุกหน้ากอดอย่างออดอ้อนแบบไม่เสียเวลาคิด แม้ในหัวจะยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็แค่หลับตาลง และเชื่อใจเกรย์เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว...

นับตั้งแต่ที่เขาได้รับจดหมายฉบับแรก...

ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่เชื่อคำพูดของเกรย์



----------------------------


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 15-01-2019 19:10:34
อันตรายรอบด้านจริงๆ ลูกแกะเอ้ยย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 15-01-2019 20:52:20
 :hao5: เห้อออออ....เป็นคนสำคัญของคนอันตรายต้องระวังตัวนะหนูมุข
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-01-2019 22:27:13
เกร์ยเคลียร์กับพ่อแม่ให้เรียบร้อยนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-01-2019 23:27:37
อัตรายรอบตัวเลยลูกแกะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 16-01-2019 01:18:03
ปัญหาเรื่องคนในก็จะแก้ยุ่งยากหน่อยนะ ขอให้ไม่เป็นคนใกล้ตัวมากละกัน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 16-01-2019 01:32:46
อุปสรรคความรักของคุณเกรย์กับลูกแกะเพิ่งเริ่มสินะ ฮืออออ :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-01-2019 02:22:02
ส่งแกะมุขไปเรียนศิลปป้องกันตัวดีป่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 16-01-2019 20:59:47
เอายาวเลยยยยย พี่ไรต์   ลูกแกะๆ ลูกแกะๆ!!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-01-2019 23:24:28
ประมุขไม่ใช่คนเด๋ออะไร แต่น้องแค่เลือกสนใจ
จะต้องห่างกันอีกแล้ว หงอยกันไปอีก

เกรย์บอกว่าประมุขคาดเดาไม่ได้ คือจริง
กลัวแต่ก็ห่วงขนม หงอยแต่ก็ไม่อยากยื้อไว้

ประมุขคือทุกอย่างของเกรย์จริง
ชอบตอนประมุขอ้อน ตอนทำตัวสั่นและกอดแน่น
เห็นโมเมนท์แบบนี้แล้วคือต่อให้อันตราย ก็ยอมล่ะ

ทีมแม่จะร้ายกันแบบนี้ทุกคนไม่ได้นะคะ
ทำไมใจร้ายกับลูกกันแบบนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-01-2019 23:05:25
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
จะเป็นฝีมือ “คนใน”หรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-01-2019 18:53:17
-11-


สวัสดี

นายอาจสงสัยว่าฉันเป็นใคร รู้เอาไว้แค่ฉันคือผู้หวังดีที่อยากจะเป็นเพื่อนของนายก็แล้วกัน แต่ถ้ายังกังวลว่าฉันจะคิดอะไรไม่ดี ฉันจะบอกความลับอีกข้อ...คือฉันเป็นเพื่อนรักของพี่ชายนาย ทีนี้คงจะไว้ใจกันบ้างแล้วสินะ

ตอนนี้นายคงอยากถามว่าพี่ชายเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่อาจพูดได้ว่าเขาสบายดี และไม่ขอรับปากว่าจะพูดถึงเรื่องราวของพี่ชายนายในจดหมายทุกฉบับ แต่จำไว้ว่าเขาจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน เพราะงั้นจงใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะถึงวันที่เขากลับไป นายค่อยชดเชยทุกอย่างให้

จากนี้ก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว เข้าใจหรือเปล่า

ปล.หากต้องการตอบจดหมายของฉัน แค่นายเขียนใส่กระดาษ แล้วเอาไปใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านทุกวันอาทิตย์ก่อนเจ็ดโมงเช้า ฉันจะได้รับจดหมายของนายอย่างแน่นอน

ด้วยรัก

Gin.


ความรู้สึกในตอนที่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคนแปลกหน้าเป็นเช่นไร ประมุขยังคงจดจำได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจดหมายฉบับนั้นส่งมาพร้อมกับความหวังที่ช่วยหยุดน้ำตาของเขาได้จริงๆ

ในเวลานั้นบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสุขมีเพียงความเงียบเหงา พ่อของเขาต้องออกไปทำงานแต่เช้ามืด และกลับมาตอนดึกดื่นทุกวัน ประมุขกับฮ่องเต้แยกกันอยู่คนละห้อง แม้ยามอยู่ด้วยกันจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าเมื่อได้อยู่คนเดียว ความหดหู่ไร้ที่มากลับตีรวนจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก

ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่วันหรือกี่ปีแล้วที่พี่ชายคนโตถูกพาตัวไปและติดต่อไม่ได้ มีเพียงข่าวคราวนานๆ ครั้งที่จะได้ยินเฉพาะเวลาพ่อคุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่บอกให้รู้ว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่ เด็กชายประมุขในตอนนั้นไม่ได้เข้มแข็งเหมือนฮ่องเต้กับพ่อ เขายังแอบร้องไห้อยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พี่ชายถูกพาตัวไป

แต่แล้ววันหนึ่งจดหมายฉบับนั้นก็ส่งมาถึง...

ลายมือภาษาอังกฤษที่ดูสวยงามทำให้เขาจดจ้องมันด้วยความรู้สึกประหลาดๆ อยู่นาน ทว่าเมื่อได้อ่านเนื้อความจนครบถ้วน หยาดน้ำก็เอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง เขาสะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง ขณะที่สองแขนโอบกอดตุ๊กตาลูกแกะสีชมพูเอาไว้แน่น กระทั่งสายตามองเห็นถ้อยคำที่บอกว่าอย่าร้องไห้อีกครั้ง สองมือเล็กจ้อยจึงยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วฮึบน้ำตาเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มันไหลออกมาอีก

ในเมื่อเพื่อนรักของพี่ชายบอกให้หยุดร้องไห้ รอวันที่พี่ชายกลับมาค่อยชดเชยให้ เขาก็จะเชื่อตามนั้น

ประมุขฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากสมุดเรียน ก่อนจะรีบขีดเขียนข้อความลงไปบนนั้นด้วยความตั้งใจ เขาได้รับจดหมายตอนวันเสาร์เวลาเจ็ดโมงเช้า เพราะงั้นพรุ่งนี้เช้าเขาต้องรีบเอามันไปใส่ไว้ในกล่องไปรษณีย์ ซึ่งด้วยนิสัยซื่อๆ ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาจึงไม่เคยสงสัยเลยสักนิด ว่าจดหมายโต้ตอบของตัวเองกับคนคนนั้นมันจะถูกส่งข้ามประเทศโดยการใส่ไว้ในตู้จดหมายของตัวเองได้อย่างไร

หลังจากวันนั้นเด็กชายประมุขก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาเข้าไปลากฮ่องเต้ถึงในห้องนอนเพื่อให้ลงไปเล่นที่สนามด้วยกัน วันไหนพ่อกลับไวก็จะเดินเข้าไปพูดคุยด้วย จนบ้านที่เงียบเหงากลับมาเป็นบ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง ทุกๆ อาทิตย์เขาจะได้รับจดหมายจากคนคนเดิม นับเป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาพูดคุยกันผ่านทางจดหมาย กระทั่งฮ่องเต้ก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพียงบอกให้ระวังตัวเท่านั้น

“มุข!” ดีดี้ที่ตอนนั้นยังอยู่ในร่างน้องดินคนแมนวิ่งเข้ามาหา พร้อมชูไม้ชูมือโบกจดหมายที่เก็บมาจากตู้ให้ดูอย่างร่าเริง “จดหมายของมุขมาแล้ว ดินหยิบมาให้ด้วย”

“ขอบใจนะ” ประมุขฉีกยิ้มกว้าง รับจดหมายจากเพื่อนชาวไทยที่บังเอิญเจอในต่างแดนมาแกะดูด้วยความตื่นเต้นเหมือนเช่นทุกครั้ง


ลูกแกะ

ฉันชอบดอกไม้แห้งที่นายแนบมาในจดหมายมาก ขอบคุณนะลูกแกะน้อย

ที่บอกว่าอยากเจอกัน ใช่ว่าฉันไม่อยากไปเจอ แต่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น นายช่วยอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้นได้หรือเปล่า ฉันสัญญาว่ามันต้องคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอน และถึงตอนนั้นเราจะไม่แยกจากกันอีกตลอดไป ลูกแกะเชื่อฉันเถอะ

ส่วนเรื่องงานแสดงละครเวทีในอีกสามวัน ฉันมั่นใจว่าพ่อของนายและพี่ชายต้องอยากไปดูแน่ๆ แต่เพราะพวกเขามีเหตุจำเป็นที่อาจจะสำคัญมากๆ จึงไปดูไม่ได้ เหมือนกันกับฉันที่อยู่ห่างจากลูกแกะ ต่อให้อยากไปดูแค่ไหนก็ทำไม่ได้

แต่ฉันสัญญาว่าวันหนึ่งจะต้องไปดูลูกแกะแสดงละครเวทีแน่นอน

ปล.มองหาคนในชุดหลากสี เขาจะเป็นตัวแทนของฉัน เอารางวัลไปให้ลูกแกะคนเก่ง

ด้วยรัก

Gin.



วันงานโรงเรียนที่พ่อแม่ของเด็กทุกคนต่างพากันมาดูลูกๆ ของตัวเอง เด็กชายประมุขยืนอยู่เพียงลำพังในชุดลูกแกะ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครมาหา ไม่มีใครมาให้กำลังใจ เพราะคุณพ่อต้องไปทำงาน ขณะที่ฮ่องเต้ปวดท้องจนต้องนอนโทรมอยู่ในโรงพยาบาล

แม้จะบอกตัวเองแล้วว่าต้องสู้ให้เต็มที่ หากเมื่อมองไปรอบๆ ก็อดเศร้าใจไม่ได้อยู่ดี

การแสดงละครเวทีจบลงโดยที่ลูกแกะประมุขซึ่งได้เป็นตัวเอกของเรื่องยืนทำหน้าจ๋อยอยู่หน้าเวที เฝ้ามองบรรดาผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ เอาดอกไม้และของรางวัลมาส่งให้เป็นการชื่นชม มีเพียงเขาเท่านั้นที่สองมือว่างเปล่า ไม่มีใครมาดูหรือให้กำลังใจเลยแม้แต่คนเดียว ทว่าในตอนนั้นเอง...

“คุณตัวตลก!”

“มีลูกโป่งด้วย!”

“แม่ฮะ ผมอยากได้บ้าง”

“คุณตัวตลก ผมขอลูกโป่งด้วยสิฮะ”

ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาเด็กๆ บนเวที สายตาของลูกแกะน้อยจ้องมองเพียงร่างของคุณตัวตลกในชุดหลากสีสัน ที่เดินมาพร้อมกับลูกโป่งลายสัตว์นับสิบลูก

มองหาคนในชุดหลากสี เขาจะเป็นตัวแทนของฉัน เอารางวัลไปให้ลูกแกะคนเก่ง

ข้อความในจดหมายวาบผ่านเข้ามาในความทรงจำ ลูกแกะตัวน้อยพุ่งเข้าไปหาคุณตัวตลกแล้วกอดขาอีกฝ่ายเอาไว้แน่น กระทั่งถูกลูบหลังปลอบเบาๆ จึงปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่อยู่

“คนคนนั้นฝากบอกให้คุณอดทนอีกนิด สักวันหนึ่งจะได้เจอกันอย่างแน่นอน” เสียงกระซิบของคุณตัวตลกไม่ได้ดังก้องเพียงในหัวของคนฟัง หากกลับฝังรากลึกลงไปในความทรงจำ กลายเป็นคำสัญญาที่เขาตั้งมั่นให้เป็นจุดมุ่งหมายมาโดยตลอด

สักวันหนึ่งเราจะได้พบกัน...

ระยะเวลาปีแล้วปีเล่าผ่านพ้นไป คนคนนั้นไม่เคยมาหาประมุขเลยสักครั้ง ไม่ว่าเขาจะชักชวนล่วงหน้าอย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่อีกฝ่ายไม่เอาของขวัญมาให้หรือไม่ส่งคนมา ทุกๆ รอบ ทุกๆ งานที่ประมุขบอกว่าต้องอยู่เพียงลำพังเพราะพ่อติดงาน ส่วนพี่ชายก็มีกิจกรรมเป็นของตัวเอง คนคนนั้นมักจะส่งคนมาหาเสมอ ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้เขายิ้มได้และไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร

วันปีใหม่ซึ่งเป็นวันครบรอบอายุสิบหกปีเต็มของประมุข นั่นเป็นครั้งแรกที่จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งให้จากมือของคนในชุดคอสตูมหมาป่า ซึ่งเป็นตัวแทนของคนคนนั้นที่เอาของรางวัลมาให้เนื่องในโอกาสที่ประมุขได้ขึ้นแสดงบนเวทีในกิจกรรมของโรงเรียน ไม่ใช่ได้รับจากตู้จดหมายทุกวันเสาร์เหมือนปกติ

“มุข ไปกินข้าวด้วยกันไหม” น้องดินที่พัฒนาเป็นเพื่อนสาวดีดี้เรียบร้อยแล้ววิ่งเข้ามาชักชวนประมุขเมื่องานทุกอย่างจบลง แต่พอได้เห็นจดหมายในมือของเพื่อนสนิท เธอก็เบะปากโดยอัตโนมัติ เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ไม่ดีกว่า ดีดี้ไปเลย”

“เห็นจดหมายนั่นก็รู้แล้วย่ะ... ว่าแต่นี่มันวันอังคารไม่ใช่เหรอ ทำไมได้จดหมายแล้วล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ถึงได้อยากรีบกลับไปดูที่บ้านไง” ใบหน้ารื่นเริงของเขาคงตอบคำถามได้ดียิ่งกว่าอะไร พอเห็นเพื่อนทำท่าอยากกลับบ้านเต็มแก่ ดีดี้ก็รีบโบกไม้โบกมือ ไล่ให้ไปไกลๆ ด้วยความหมั่นไส้

ประมุขกลับบ้านไวที่สุดในรอบปีเป็นประวัติการณ์ เพราะปกติเขาเป็นเด็กกิจกรรม หากไม่ได้แสดงละครเวที ไม่ได้มีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็จะใช้เวลาไปกับการเล่นกีฬากับเพื่อนๆ จนเกือบค่ำถึงกลับบ้าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาต้องฉลองปีใหม่เพียงลำพัง เพราะพ่อต้องไปสัมมนา ขณะที่ฮ่องเต้ไปคุยงานห้องเพื่อน บางทีอาจจะไม่ได้กลับบ้าน

แต่ไม่เป็นไร... วันนี้เขาได้จดหมายแล้ว เขามีเพื่อนคุยแล้ว

จดหมายที่ใส่อยู่ในซองวันนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะมันไม่ได้มีเพียงกระดาษเอสี่สีขาวแบบปกติ แต่กลับมีการ์ดสีชมพูอ่อนซึ่งมีกลิ่นหอม ที่ด้านหน้าเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษอย่างบรรจงสวยงามว่า ‘Happy Birthday & Happy New Year’ แนบมาด้วย

ประมุขลงมือเปิดจดหมายสีขาวก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็กวาดสายตาไล่อ่านข้อความทุกๆ ประโยคอย่างตั้งใจเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา


ลูกแกะ

ตกใจหรือเปล่าที่ได้รับจดหมายในวันนี้ ฉันคิดวนไปวนมาอยู่หลายรอบเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดคุยกันผ่านจดหมายเพียงอาทิตย์ละครั้ง แล้วก็ได้คำตอบว่ามันน่าจะถึงเวลาที่ฉันจะได้พูดคุยกับลูกแกะมากกว่าเดิมเสียที จะอย่างไรมันก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงที่ฉันให้ไว้กับพี่ชายของนายอยู่แล้ว (ไม่ต้องถามหรอกนะ เพราะฉันยังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่สัญญาว่าหากได้เจอกันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างแน่นอน)

วันนี้เหนื่อยมากหรือเปล่า เป็นวันเกิดแท้ๆ ยังต้องไปแสดงในงานกิจกรรมอีก น่าแปลกจริงๆ ที่วันปีใหม่ทั้งทียังจัดกิจกรรมกันอยู่ อา...คงเป็นเพราะเกิดเหตุให้โดนเลื่อนสินะ แต่เอาเถอะ เพราะถ้าไม่มีกิจกรรม คนที่ฉันส่งไปก็คงไม่ได้เอาจดหมายฉบับนี้ให้ลูกแกะ

เปิดการ์ดดูสิ... นั่นคือของขวัญในปีนี้ที่ฉันมอบให้นาย

ด้วยรัก

Gin.


ประมุขวางจดหมายลงบนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆ บรรจงเปิดการ์ดที่ได้รับจากคนสำคัญอย่างทะนุถนอม ดวงตากวาดผ่านตัวอักษรทุกตัวอย่างตั้งใจ ไล่ตั้งแต่ตัวแรกยันตัวสุดท้าย และวนซ้ำไปซำ้มาอยู่หลายรอบ


ของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ลูกแกะยิ้มได้หรือเปล่านะ...

MGRAY



ยิ้มเหรอ...

แค่ยิ้มยังน้อยไป!

ตัวอักษรสั้นๆ แค่ห้าตัวนั่นมันทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าตอนได้ลูกโป่งเสียอีก พิสูจน์เอาจากมือที่กำลังกดโทรศัพท์ซึ่งสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดก็รู้แล้ว

ประมุขรีบเข้าโปรแกรมแชท ใส่ชื่อที่ได้มาลงไป จากนั้นก็จ้องรูปโปรไฟล์ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนแกะน่ารักๆ อยู่นานหลายนาที ใจยังคงไม่กล้ากดแอดไป ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เพราะตื่นเต้นจนสั่นไปหมดทั้งตัว

“แต่ถ้าไม่กดสักทีก็คงไม่ได้คุยกัน” เขาพึมพำและกลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย สุดท้ายก็ฮึบแล้วกดแอดไปอย่างรวดเร็ว ห้องแชทที่เด้งขึ้นมามีเพียงความว่างเปล่า ประมุขจ้องมองมันนิ่งงัน มือพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายรอบก็ยังไม่ได้กดส่ง จนกระทั่ง...

M.GRAY: กดแอดมาแล้วแต่ไม่ยอมทัก ฉันรอนานแล้วนะ

คนอ่านจ้องจอโทรศัพท์จนตาแทบถลน สองแก้มกลมดิกเพราะกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจทนได้นาน ต้องเผยรอยยิ้มกว้างออกมาตามใจอยากจนได้

GP.MUK: ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นอยู่

M.GRAY: ดีใจกับของขวัญชิ้นนี้หรือเปล่า

GP.MUK: มากที่สุดเลย ขอบคุณมากๆ เลยนะ

GP.MUK: *สติกเกอร์แกะยิ้มกว้าง*

ประมุขในเวลานั้นยังคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง เขารู้เพียงว่าคนคนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว และบางทีเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันผ่านจดหมายหรือผ่านโทรศัพท์ อาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขาดียิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเสียอีก

วันเวลาผันผ่าน จากที่ต้องคอยเฝ้ารอรับจดหมายทุกวันเสาร์ กลับกลายเป็นได้รับคำทักทายอรุณสวัสดิ์และบอกฝันดีในตอนกลางคืนของทุกวัน ประมุขยังคงใช้ชีวิตตามปกติ แต่เขาไม่เคยเหงาอีกเลย เวลาใดที่รู้สึกท้อ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ถึงห้านาทีถัดมาอีกฝ่ายก็จะตอบกลับมาแล้วปลอบประโลมจนอาการดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

มันคือความรู้สึกพิเศษที่ถูกส่งผ่านมาทางตัวหนังสือ...

หากใครมารู้เข้าแล้วพูดเหมือนดีดี้ ถามว่าเขายึดติดกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้อย่างไร จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่จะเกิดความรู้สึกพิเศษให้แก่คนคนนั้น ประมุขคงยิ้มแล้วหยิบจดหมายฉบับแรกให้ดู บอกให้รู้ว่าระยะเวลาที่พวกเขาแสดงความสม่ำเสมอต่อกันมันไม่ใช่เพียงวันสองวัน แต่ผ่านมานานหลายปีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แม้จะไม่เห็นหน้าแล้วอย่างไร เขารู้เพียงในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด คนคนนั้นคือแสงสว่างที่ฉุดรั้งกันเอาไว้ ทำให้เขายังคงยิ้มได้อยู่จนถึงวันนี้

และถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ยังไม่เข้าใจอีกว่าคนคนนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับเขามากขนาดไหน ก็คงต้องพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนประมุขอายุครบสิบเก้าปี ในเวลาที่เขากับพี่ชายย้ายกลับมาอยู่ไทยด้วยกันเป็นวันแรก

“มึงแน่ใจนะว่าไปซื้อได้”

“ได้ดิ แค่ไปซื้อของแค่นี้เอง มึงทำความสะอาดบ้านรอไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” คนอวดเก่งบอกพี่ชายที่กำลังหรี่ตามองมาคล้ายไม่เชื่อ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว

นานแล้วเหมือนกันที่ประมุขไม่ได้กลับมาเหยียบประเทศไทย เขาแทบจะลืมไปหมดแล้วว่าถนนหนทางและการเดินทางที่นี่ทำอย่างไร เพราะตอนที่มาครั้งล่าสุดก็เด็กเกินกว่าจะทำอะไรตามลำพัง แต่ถ้าไม่ลองออกไปไหนมาไหนด้วยตัวเองบ้าง เห็นทีคงต้องพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต

“เอาน่า... แค่นั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้ายเอง”

นั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้าย... แต่สุดท้ายกลับหลงไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ มองซ้ายมองขวาไม่มีใครเดินผ่านมาให้ถามเลยสักคน ไหนจะท้องฟ้ามืดมิดมองแทบไม่เห็นทางนี่อีก รถที่ผ่านไปผ่านมาก็แทบจะไม่มี

ประมุขนั่งหงอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์นานหลายนาทีก็ยังไม่มีรถเมล์คันอื่นๆ มาถึง สุดท้ายความกลัวก็เอาชนะทิฐิจนต้องโทรไปหาฮ่องเต้ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่รับสายเสียอย่างนั้น

“ทำความสะอาดจนไม่ได้สนใจโทรศัพท์แน่เลย...”

เมื่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปจึงทำได้เพียงมองซ้ายมองขวากอดตัวเองแล้วรอคอยรถอย่างใจเย็น หากจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผ่านมาสักคัน จากที่แค่หนาวเฉยๆ เริ่มกลายเป็นความวิตกหวาดกลัว โทรศัพท์ที่เหลือแบตอยู่แค่สองเปอร์เซนต์ทำเอาใจหายวาบ และในตอนนั้นเอง...

ครืด

M.GRAY: ทำไมวันนี้เงียบๆ ไป ถึงไทยหรือยัง

คนที่เริ่มหวาดกลัวกำโทรศัพท์แน่นทั้งที่ตัวสั่นใจสั่น มือรีบกดตอบข้อความอย่างรวดเร็ว บอกเล่าสถานการณ์ที่กำลังพบเจอให้อีกคนรู้ตามความเคยชินที่ไม่ว่าจะมีเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็บอกกันเสมอ

GP.MUK: ผมนั่งรถเมล์มาลงป้ายไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ไม่มีรถผ่านมาเลยครับ ทำยังไงดี แบตจะหมดแล้วด้วย

M.GRAY: รีบแชร์โลเคชั่นมาให้ฉัน

GP.MUK: *ส่งโลเคชั่น*

GP.MUK: คุณครับ ผมหนาว มองไม่เห็นอะไรเลย

M.GRAY: รอที่นั่น อย่าเดินไปไหน

ประมุขสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อแสงจากจอโทรศัพท์ดับไปเฉยๆ โดยที่เขายังไม่ได้ตอบข้อความ ทว่าความเชื่อใจที่มีมากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็ยังทำให้เขากอดตัวเองและนั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น แม้จะไม่รู้ว่าคนคนนั้นที่อยู่คนละประเทศจะช่วยกันได้อย่างไรก็ตาม

ห้านาทีหลังจากที่เขานั่งกอดตัวเองอยู่ที่เดิมอย่างอดทน มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นเป็นครั้งแรก ประมุขรีบหันไปมองเผื่อว่าจะเจอคนที่มานั่งรอรถเมล์เหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นท่าทางแปลกๆ ไม่น่าไว้วางใจของชายวัยกลางคนร่างท้วม เขาก็เปลี่ยนกลับไปมองถนนด้วยความคาดหวังเช่นเดิม

“ไง น้องชาย” เสียงทักทายจากคนด้านข้างทำให้คนที่ปกติอัธยาศัยดีขนลุก ระยะห่างที่อีกฝ่ายนั่งลงข้างกายทำให้เขาอึดอัดขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยได้ เพราะตรงจุดนี้มีคนอยู่เพียงสองคนเท่านั้น

“ครับ...”

“นั่งรอรถเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ดูท่าจะรอมานานแล้วสินะ หิวหรือเปล่า”

กลิ่นเหล้าที่ลอยมากระทบจมูกทำเอาคนที่เพิ่งได้กลับมาเหยียบประเทศนี้รู้สึกอยากวิ่งหนีไปให้ไกล แน่นอนว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไม่สู้คน แต่ดูจากขนาดตัวที่มองเห็นผ่านๆ แล้ว ประมุขไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าเขาจะเอาชนะได้หรือเปล่า

“ไม่หิวครับ”

“ไม่ต้องโกหกหรอกน่า ไปหาอะไรกินก่อนดีไหม ยังไงก็รอนาน...”

เอี๊ยด!

เสียงเบรกของรถราคาแพงที่วิ่งมาจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์แบบพอดิบพอดีทำให้คนสองคนที่กำลังสนทนากันลืมเลือนเรื่องที่พูดคุยไปชั่วขณะ ประมุขรีบลุกขึ้นอย่างมีความหวัง และเมื่อได้เห็นชายชาวต่างชาติสองคนในชุดสูทสีดำสนิทเดินลงมาจากรถ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคนด้านหลังอีก

“เฮ้ย!” ชายวัยกลางคนโวยวายเมื่อเห็นเหยื่อที่เล็งไว้ทำท่าจะถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากบอกว่าตัวเองจองก่อนแล้ว ชายในชุดสูทคนหนึ่งก็สะบัดชายเสื้อ เผยให้เห็นอาวุธอันตรายที่เหน็บอยู่ข้างเอว เพียงเท่านั้นคำพูดทั้งหมดก็จางหาย ต้องรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวตาย

“ขึ้นรถเถอะครับ” หนุ่มต่างชาติหันกลับไปเอ่ยกับแขกคนสำคัญเป็นภาษาอังกฤษด้วยความสุภาพ ก่่อนจะยื่นแบตสำรองกับสายชาร์จที่เตรียมมาไปให้ตามคำสั่ง

“คุณเป็น...”

“คนคนนั้นส่งพวกเรามาครับ”

แค่ได้ยินคำว่าคนคนนั้นประมุขก็ฉีกยิ้มกว้าง รีบขึ้นไปนั่งบนรถแล้วรอโทรศัพท์ติดอย่างใจจดใจจ่อ โดยที่ชายในชุดสูทสองคนด้านหน้าเองก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไร ราวกับรู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็คงถามเอาจากคนคนนั้นมากกว่า

ทันทีที่เปิดเครื่องติด โปรแกรมแชทก็แจ้งเตือนถึงข้อความที่เปิดค้างไว้และยังไม่ได้อ่าน ประมุขเอียงคอมองด้วยความสงสัย เมื่อพบว่ามันมีเพียงสามข้อความเท่านั้น ไม่ได้เยอะแบบที่เขาคิด

M.GRAY: ลูกแกะ

M.GRAY: แบตหมดแล้วสินะ

M.GRAY: ถ้าติดแล้วบอกฉันด้วย

หากมองดูอาจคิดว่าเป็นคนใจเย็นเหลือเกิน แต่การที่ส่งคนมาหาได้ภายในเวลาไม่นานบ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงกันมากมายขนาดไหน ในวินาทีนั้นประมุขอบอุ่นไปทั้งใจ แม้แต่ตอนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ หยาดน้ำใสๆ ก็เอ่อคลอสองตาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

GP.MUK: ผมอยู่บนรถแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง

GP.MUK: ขอบคุณนะครับ

M.GRAY: น่าลงโทษจริงๆ ทำยังไงถึงไปหลงอยู่ตรงนั้นได้หืม

GP.MUK: ผมอาสาออกมาซื้อของแล้วให้พี่ชายทำความสะอาดบ้านรอ แต่เหมือนจะนั่งเพลินจนเลยป้าย

M.GRAY: น่าตี

GP.MUK: มาตีสิครับ ผมยอมให้คุณตีสิบทีเลย จริงๆ นะ

M.GRAY: อยากให้ไปหาก็พูดมาตรงๆ

ประมุขหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นข้อความ แม้จะรู้ว่ายังไงเขาก็คงมาไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ หากเขาก็ยังเลือกที่จะตอบกลับไปตามตรงเหมือนเช่นทุกครั้ง

GP.MUK: ผมอยากให้คุณมาหา ผมอยากเจอคุณ

M.GRAY: ขอโทษที่ต้องบอกให้รออีกแล้ว นายเบื่อจะฟังคำนี้หรือยัง

GP.MUK: ไม่ครับ ถ้าคุณบอกให้รอแสดงว่ายังมีความหวังอยู่ คุณก็รู้ว่าผมเชื่อฟังคำพูดของคุณมาโดยตลอด

M.GRAY: เด็กดี

คนที่กำลังจะเข้าเรียนมหา’ลัยในอีกไม่กี่วันอมยิ้มจนแก้มตุ่ย ท่าทางดูดีอกดีใจที่ได้รับคำชมราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ และแน่นอนว่าทุกการแสดงออกของเจ้าตัวถูกชายในชุดสูทที่ลอบมองอยู่จากเบาะหน้าจดจำเอาไว้จนหมด เพราะหลังจากไปส่งคนสำคัญของนายถึงที่แล้ว พวกเขายังต้องไปรายงาน ‘ท่าทางการแสดงออก’ ทั้งหมดของอีกฝ่ายให้นายรู้ด้วย

GP.MUK: คุณครับ แล้วคุณส่งคนมารับผมได้ยังไงเหรอ คุณอยู่ฝรั่งเศสนี่นา

M.GRAY: มาสงสัยอะไรเอาป่านนี้ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีคนของฉันวนเวียนอยู่รอบตัวนายตลอดไม่ใช่หรือไง

GP.MUK: นั่นก็ใช่... แต่ปกติพวกเขาจะมาแค่ตอนที่ผมต้องการกำลังใจนี่นา อีกอย่างคือผมเพิ่งมาไทยวันนี้ด้วย ไม่คิดว่าจะมีคนของคุณอยู่ที่นี่

M.GRAY: หึหึ ฉันจะปล่อยให้ลูกแกะน้อยไปผจญโลกกว้างได้ยังไง แล้วก็คิดถูกแล้วจริงๆ นั่นแหละ ถ้าคนของฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นนายจะทำยังไงหืม

GP.MUK: ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“คือว่า...” นึกมาถึงตรงนี้ลูกแกะน้อยก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ตาเบนไปมองคุณฝรั่งตัวโตทั้งสองคนด้วยความรู้สึกผิด “ขอบคุณมากๆ เลยนะครับที่มาช่วย ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ลำบาก”

หนุ่มต่างชาติที่รักษาสีหน้าราบเรียบมาโดยตลอดเผลอแสดงความประหลาดใจออกมาวูบหนึ่ง ราวกับไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำขอบคุณจากคนสำคัญของนาย ทว่าสุดท้ายคนที่ยื่นส่งแบตสำรองให้ประมุขก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ไม่เป็นไรครับ”

เมื่อได้พูดในสิ่งที่ต้องการแล้ว ลูกแกะนิสัยดีก็ก้มหน้าก้มตาคุยแชทในโทรศัพท์ต่ออย่างร่าเริง

GP.MUK: เมื่อกี้ผมขอบคุณพี่ๆ ที่มาช่วยด้วย

M.GRAY: หืม...หมายถึงการ์ดของฉันเหรอ

GP.MUK: อ๋อ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดสินะครับ มิน่าถึงได้ดูมาดดีกันทั้งคู่เลย

M.GRAY: ใช่ เป็นการ์ดของฉันเอง เพราะงั้นถึงต้องรายงานทุกเรื่องให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่เมื่อกี้นายเกือบจะโดนไอ้ขี้เมาที่ไหนก็ไม่รู้ลากไปด้วย ทำไมไม่ยอมบอกฉัน

GP.MUK: ผมคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว

M.GRAY: ก็เลยไม่บอก?

GP.MUK: ขอโทษครับ

M.GRAY: เอาเถอะ ส่งนายเสร็จฉันจะให้คนไปจัดการ

GP.MUK: จัดการอะไรครับ คุณจะทำอะไรเขาเหรอ

M.GRAY: ทำให้จำว่าอย่ามายุ่งกับคนของฉัน

GP.MUK: อย่าให้เกินไปเลยนะครับ เขายังไม่ได้แตะโดนตัวผมเลย จริงๆ นะ ถามพี่การ์ดดูก็ได้

M.GRAY: แค่อย่าทำเกินเลยเหรอ คิดว่าจะห้ามเสียอีก

GP.MUK: ต้องห้ามด้วยเหรอ ก็เขาผิดจริงๆ นี่นา ขอแค่คุณไม่ทำอะไรร้ายแรงก็พอแล้ว

M.GRAY: ทำไมล่ะ ฉันทำให้มันเข้าไปอยู่ในคุกได้เป็นสิบปีเลยนะ เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก

GP.MUK: นั่นแหละที่เรียกว่าเกินไป ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่อย่าใช้อำนาจในทางที่ไม่ดีสิ

M.GRAY: ลูกแกะไม่ชอบ?

GP.MUK: เมื่อไม่นานมานี้พ่อผมโดนใส่ความจนเกือบได้เข้าไปอยู่ในคุก เพียงเพราะไม่ยอมทำตามความต้องการผิดๆ ของคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต กว่าจะผ่านมาได้พวกเราลำบากกันมากจนต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมด เพราะแบบนั้นผมถึงได้เกลียดคนที่ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ชอบทำอะไรผิดกฎหมาย

M.GRAY: เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่มีวันทำอะไรที่ลูกแกะไม่ชอบเด็ดขาด

GP.MUK: ขอบคุณครับ

M.GRAY: แต่ทำไมลูกแกะถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทำไมไม่บอกว่านายกำลังลำบาก

GP.MUK: เพราะผมไม่อยากรบกวนคุณ ถึงจะรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดาและต้องช่วยครอบครัวของผมได้แน่ๆ แต่ผมก็ยังอยากลองพยายามดูก่อน แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นะ พวกเรารักกันมากๆ เลย

M.GRAY: ดื้อจริงๆ

GP.MUK: ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง

GP.MUK: *สติกเกอร์กระต่ายยิ้มกว้าง*

เพียงแค่นึกถึงช่วงเวลาอันยากลำบากของครอบครัวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประมุขก็เผลอคลี่ยิ้มเศร้าโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงแม้แต่ตอนนี้สถานะทางการเงินของพวกเขาก็ยังไม่คงที่นัก แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดือนก่อน และอีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งมันก็แลกมากับการที่พ่อลูกต้องแยกกันอยู่คนละที่ ยังดีที่ประมุขกับฮ่องเต้เคยชินกับการอยู่กันแบบสองพี่น้องแล้วจึงไม่ต้องทำใจมากนัก

ครืด

แรงสั่นสะเทือนที่มือทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยหลุดออกจากภวังค์ รีบก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความอย่างเร่งด่วน เพราะไม่อยากปล่อยให้คนคนนั้นรอนาน

M.GRAY: ถ้ามีปัญหาอะไรที่รับไม่ไหว ต้องบอกฉันเป็นคนแรก เข้าใจหรือเปล่า

และเพียงแค่ได้อ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ความอึดอัดในใจก็จางหายไปแทบจะทันที สำหรับเขาที่ทั้งชีวิตมีเพียงครอบครัวที่สำคัญ การที่มีใครบางคนมาเสนอความช่วยเหลือ ทั้งยังคอยให้กำลังใจ ช่วยดูแลมานานหลายปี มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด แล้วแบบนี้จะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร

วินาทีนั้นประมุขรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าสำหรับเขา คนที่คุยกันโดยไม่เห็นหน้ามานานหลายปีไม่ใช่เพียงเพื่อนคุยธรรมดา แต่เป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กชายประมุขที่มีเพียงความเศร้าให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง

เกรย์คือคนสำคัญ...ที่เขาจะไม่ยอมเสียไปเป็นอันขาด

(ต่อด้านล่าง)
.
.

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.10]=[P.5]==[15/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-01-2019 18:54:14



ประมุขวางจดหมายสีเหลืองซีดที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีลงบนโต๊ะ ข้อความทุกตัวอักษรที่ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตยังคงตอกย้ำให้เขารู้อยู่เสมอว่าเกรย์มีความสำคัญมากขนาดไหน ในตอนนั้นเขาไม่อาจตอบแทนความดีทุกอย่างให้ได้ และในตอนนี้เองก็อาจจะเป็นเช่นเดิม ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ประมุขมั่นใจว่าเขาทำได้ดีกว่าใคร

เขาจะไม่ปล่อยให้เกรย์ยืนต่อสู้กับเรื่องราวมากมายเพียงลำพังอีกแล้ว ต่อให้ต้องถูกหมายหัวไปด้วย หรือต้องเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เป็นไร

เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ประมุขรีบหันไปคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมากดโทรออก ขณะที่สายตามองตุ๊กตาแกะกับหมาป่าสีชมพูขนาดเท่าตัวคนที่นั่งขนาบข้างอยู่อย่างอ่อนโยน

[ลูกแกะ เป็นอะไรหรือเปล่า]

“เปล่าครับ ผมแค่คิดถึงคุณ”

[หืม...มาแปลกนะเนี่ย] เสียงทุ้มต่ำเจือความประหลาดใจและพอใจไปพร้อมๆ กันทำให้คนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิม [ได้ข่าวว่าวิคเตอร์หาตุ๊กตามาให้ได้แล้วใช่ไหม]

“ใช่ครับ แต่ก็ใช้เวลาสามวันเลยนะ ตอนมาหาผมนี่หน้าซีดเชียว” ประมุขหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงสภาพของคุณการ์ดหน้าดุที่แบกตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเองมาให้ถึงห้อง ดูจากหน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือดที่พยายามบังคับให้ราบเรียบแล้วน่าจะไม่ได้นอนมาหลายวัน ทั้งดูน่าสงสารแล้วก็น่าตลกไปพร้อมๆ กัน

[สมควร… แล้วนี่ลูกแกะทำอะไรอยู่]

“ผมแวะไปที่บ้าน แล้วก็เอากล่องเก็บจดหมายกับของที่คุณให้ไว้มานั่งดูที่ห้องของเราครับ”

[จดหมายเหรอ...]

“อื้อ การ์ดวันเกิดก็ยังอยู่ เห็นแล้วนึกถึงอดีตเลย” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะเขานึกย้อนกลับไปถึงวันแรก ลากยาวมาจนปัจจุบัน ทุกความทรงจำยังคงชัดเจนราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “เกรย์...”

[หืม]

“จำตอนที่คุณส่งคนมารับผมที่ป้ายรถเมล์ วันที่ผมเพิ่งกลับมาถึงไทยเป็นวันแรกได้หรือเปล่า”

[อา...ที่มีลูกแกะดื้อดึงออกไปซื้อของแบบไม่รู้ทิศทาง]

“ใช่ครับ” ลูกแกะที่ว่าอมยิ้มจนแก้มตุ่ย มือลูบไล้การ์ดสีชมพูในมือไปมาอย่างอ่อนโยน “ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งกับคุณ”

[อะไรเหรอ]

“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”

[…]

“ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณต้องต่อสู้กับเรื่องราวมากมายเพียงลำพังอีกแล้ว” ประมุขพูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้รู้สึกเขินอายเลยสักนิดที่ต้องสารภาพความรู้สึกทุกอย่างออกไป เพราะสำหรับพวกเขา ทุกอย่างมันชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้ว

[แม้ว่ามันจะอันตรายขนาดไหนก็ตามเหรอ] เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าปลายสายจะตอบกลับมา ทว่าน้ำเสียงที่ดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดกลับทำให้คนฟังยิ้มตามได้ไม่ยาก

“ครับ”

[ลูกแกะ...]

“ต่อให้พื้นที่ข้างคุณอันตรายกว่านี้อีกเป็นล้านเท่าผมก็ไม่สนใจ ขอแค่ให้เราได้รักกัน...เท่านั้นก็พอแล้ว”

[…]

“คุณคือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม ขอบคุณมากนะครับ” ความรู้สึกในใจทั้งหมดถูกพูดออกไปในคราวเดียวโดยไม่ได้เห็นหน้าคู่สนทนา คนพูดไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเหนือไปจากมีความสุข

แต่สิ่งที่ประมุขไม่รู้ก็คือ...

[ขอบคุณเหมือนกันที่ยอมตอบจดหมายในวันนั้น]

คำพูดของเขาเองก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งที่เกือบจะหลงระเริงอยู่ในความมืดมิดให้หันกลับมายืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างได้อีกครั้งเช่นเดียวกัน


----------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 29-01-2019 19:31:18
 :hao5:
เป็นสว่างของกันและกันสินะ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 29-01-2019 19:37:14
พี่เกรย์ก็เป็นแหล่งกำลังใจชั้นดีให้ประมุขนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2019 19:37:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-01-2019 21:38:51
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-01-2019 03:22:36
ความหลังที่น่าประทับใจ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-01-2019 11:23:00
เป็นการรู้จักกันที่น่ารักมากค่ะ ใช้จม.สื่อรักอ่ะ โรแมนติกจัง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 30-01-2019 16:45:43
มาต่อเร็วน๊าาาา งื้ิิิิออออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 31-01-2019 01:47:19
ฮืออออ รู้สึกดีมากกกกกกก

ที่ได้รู้ว่าคุณเกรย์ดูแลลูกแกะมาตลอด

ขอให้ความรักของทั้งคู่ชนะทุกสิ่ง เพี้ยง!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 31-01-2019 07:50:32
เติมเต็มซึ่งกัน :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-02-2019 05:21:47
น่ารักมากค่ะ กลายเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาทันทีเลยเกรย์
แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นจ้า คือทำเพื่อลูกแกะน้อยคนเดียว

ประมุขน่ารัก น้องต้องเจออะไรมาเยอะแยะ
แต่เพราะจดหมายและคำปลอบใจ มีแรงใจมาจนวันนี้

ก็จริงเนาะ ทำไมถึงมั่นใจคนที่ไม่มีตัวตน หรือไม่เคยเจอ
ก็นะ เค้าทำให้เห็นไงว่า อย่างน้อย ก็มีตัวตน
ใกล้จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว แถมทำเกรย์หลงหนักกว่าเดิมไปอีก
แถมจะอยากบินมารับไปเองเลยมั้ง เจอคำน้องไปแบบนี้
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 06-02-2019 23:01:47
อ่านถึงตอนนี้ มีแต่คำว่า น่ารัก น่ารัก น่ารัก เต็มไปกมดเลย
หงงรักลูกแกะน้อย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-02-2019 20:39:52
-12-


[พอเขาไม่อยู่ก็เห็นหัวกูขึ้นมาเลยนะ]

“อย่างอแงน่า ได้ข่าวว่ามึงก็เพิ่งไปเที่ยวมาไม่ใช่หรือไง”

ประมุขกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาที่ดูกว้างใหญ่กว่าทุกครั้งเมื่อไม่มีใครบางคนอยู่ข้างกาย ขณะที่ปากยังคงไม่หุบยิ้ม แม้จะโดนเพื่อนประชดประชันใส่ไม่หยุดมาพักใหญ่แล้ว

[กูโดนบังคับไปเถอะ... ไม่รู้แหละ ยังไงวันนี้มึงก็ต้องมาเจอกู]

“ที่โทรมาก็เพราะจะนัดเจอนี่แหละ”

หลังจากเมื่อเช้าโทรไปขออนุญาตคนทางไกล บอกว่าอยากออกไปเจอเพื่อนสักหน่อย เนื่องจากอยู่แต่ห้องออกจากเหงาหงอยอยู่ไม่น้อย จะกลับไปหาฮ่องเต้ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวขลุกอยู่กับพี่พายุทั้งวี่ทั้งวัน พากันไปเที่ยวถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ สุดท้ายประมุขก็ได้รับคำอนุญาตตอบกลับมา แลกกับการต้องพาวิคเตอร์ไปอยู่ข้างกายและให้การ์ดคนอื่นๆ ตามดูแลอยู่ตลอด แล้วแบบนี้คนว่าง่ายจะปฏิเสธทำไมอีก ยังไงเขาก็เคยชินกับการมีพี่การ์ดที่เปรียบเสมือนเพื่อนตามไปไหนมาไหนด้วยอยู่แล้ว

[ทำเป็นพูด เขาอนุญาตให้มาก็บอกเถอะ ถ้าไม่อนุญาตมีหรือมึงจะโผล่มาได้]

“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทัน สิบเอ็ดโมงที่ร้านกาแฟในมหา’ลัยนะ”

[แหม...จะเจอกันทั้งทียังเจอในมหา’ลัย ไปไกลๆ ไม่ได้เลยนะ หมั่นไส้จริงๆ]

“ไปอาบน้ำดีกว่า แล้วเจอกันนะน้องดิน”

[อีมุข!]

ประมุขรีบกดตัดสายก่อนจะโดนเพื่อนรักบ่นยาว ลองถ้าให้คุณเธอได้พูดกว่าจะยอมวางโทรศัพท์ได้ก็กินเวลาเป็นชาติ ยิ่งถ้าไม่ได้เจอกันนานแบบนี้ ต่อให้บอกว่าเดี๋ยวเจอแล้วค่อยเล่าให้ฟัง ดีดี้ก็ต้องให้เล่าหมดเปลือกก่อนเจอให้ได้อยู่ดี จะเรียกว่าเป็นสายขี้เผือกระดับต้นๆ ก็ไม่ผิดนัก จะแตกต่างจากคนอื่นก็ตรงที่มันรู้จักเก็บความลับ ไม่ได้ชอบเอาไปเล่าต่อก็เท่านั้น

หลังจากเตรียมความพร้อมก่อนออกไปพบเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็เดินออกจากห้องไปทักทายวิคเตอร์และคนอื่นๆ ที่ถูกสั่งให้คอยดูแลเขาพร้อมรอยยิ้ม เหล่าการ์ดที่ได้รับคำสั่งตั้งแต่เช้าเดินตามกันออกไปเป็นแถว เตรียมพร้อมคุ้มกันและดูแลคนของนายเต็มที่ กระทั่งวิคเตอร์ที่กลายเป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวก็ดูเคร่งเครียดไปด้วย อาจเป็นเพราะตั้งแต่นายไปประมุขไม่เคยออกไปไหนมาไหนเลย เขาเชื่อฟังคำพูดของเกรย์อย่างเคร่งครัด พอจะออกทั้งทีก็ยังโทรไปขอก่อน ทำเอาเหล่าการ์ดที่ได้รับโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าตื่นตัวกันไปหมด

‘ดูแลเขาให้ดี’ คำคำนี้หมายรวมถึงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการใดๆ ล้วนห้ามปฏิเสธ และที่สำคัญที่สุดคือห้ามให้มีอันตรายแม้แต่ปลายก้อย คราวก่อนที่มีบาดแผลเล็กน้อยจากอุบัติเหตุที่ไม่อาจควบคุมได้ก็เพราะประมุขช่วยพูดไว้จึงผ่านมาโดยไม่มีใครโดนอะไร แต่ครั้งนี้โชคดีไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแน่

“ทำไมครั้งนี้ไปกันเยอะจังครับ” ท้ายที่สุดคนขี้สงสัยก็ยังอดถามไม่ได้เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว วิคเตอร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ และคอยสังเกตการณ์รอบด้านตลอดเวลาจึงต้องเป็นผู้ตอบคำถามโดยไม่อาจเลี่ยง

“เป็นคำสั่งของนาย”

อันที่จริงหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ทีมเอทุกคนยกเว้นลูคัสก็ถูกสั่งให้ติดตามประมุขอยู่ตลอด เพียงแต่บางคนคอยดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้ามาพูดคุยด้วย คนที่โดนคุ้มครองอย่างแน่นหนาตลอดเวลาจึงไม่รู้ตัว ซึ่งหากนับการ์ดทั่วไปที่ไม่ใช่ทีมเอด้วย บางทีหากบอกว่ามีคนคอยตามดูอยู่เท่าไหร่ นายคนใหม่อาจจะตกใจจนไม่กล้าออกไปไหนเลยก็ได้

ประมุขไปถึงร้านกาแฟของมหา’ลัยโดยมีรถตามไปเพียงคันเดียว ขณะที่คนอื่นๆ พากันแยกย้ายไปอยู่ตามจุดต่างๆ เขาพยายามมองข้ามความยิ่งใหญ่ของขบวนเดินทางไป เพราะถึงแม้จะใช้รถต่างรุ่นและหากไม่เพ่งมองคงไม่รู้ว่ามาด้วยกัน แต่ก็ยังดูโดดเด่นด้วยรุ่นรถราคาแพงที่ทำเอาตกเป็นเป้าสายตาได้ไม่ยากอยู่เหมือนเดิม

โชคดีที่ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แม้นักศึกษาที่ไม่ได้กลับบ้านหรือมีกิจกรรมจะเริ่มมาเตรียมซ้อมอะไรต่างๆ กันแล้ว แต่คนก็ยังไม่ได้เยอะมากนัก โดยเฉพาะบริเวณร้านกาแฟที่ปกติจะเป็นพวกขาจรเข้ามาซื้อมากกว่า

“ผมกับอเล็กซ์จะนั่งหลบอยู่ที่มุมร้าน คุณกับเพื่อนจะได้ไม่อึดอัด ส่วนคนอื่นๆ จะอยู่ด้านนอกทั้งหมด ถ้ามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลืออะไร หากส่งเสียงเรียกไม่ได้ให้ส่งสัญญาณโดยการยกมือแตะขมับแบบนี้” วิคเตอร์สาธิตวิธีการส่งสัญญาณให้เห็นหนึ่งครั้ง เมื่อประมุขพยักหน้ารับอย่างเคร่งครัดแล้วจึงเปิดประตูให้ลงไปจากรถได้

“ผมเข้าไปได้เลยหรือเปล่าครับ”

“ได้เลย อเล็กซ์นำเข้าไปก่อนแล้ว”

ลูกแกะน้อยแสนว่าง่ายของเกรย์ยังคงทำให้บรรดาการ์ดรู้สึกเอ็นดูอยู่เรื่อยๆ เมื่อเจ้าตัวทำความเข้าใจกับสถานะของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และไม่เคยแสดงท่าทีให้ต้องลำบากใจเลยสักครั้ง กระทั่งวิคเตอร์ที่เคร่งครัดกับหน้าที่การงานมาตลอดก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ มาถึงตอนนี้เขาเริ่มคิดจริงจังแล้วว่าคนคนนี้เหมาะกับนายมากจริงๆ ถึงอย่างนั้นข่าวเรื่องศัตรูที่ได้ยินมา และดูท่าจะเป็นความจริงไปแล้วแปดสิบเปอร์เซนต์ก็ทำให้สงสารเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย

บอดี้การ์ดหนุ่มมองตามแผ่นหลังของคนที่ดูใสซื่ออย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับแข็งแกร่งกว่าที่คิดไปจนสุดสายตา มาถึงตอนนี้คงได้แต่หวังว่าถ้าได้พบเจอกัน ศัตรูที่ไม่ใช่ศัตรูคนนั้นจะเอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนที่นายหรือการ์ดทั้งหมดเอ็นดู

ร้านกาแฟในเขตมหา’ลัยร้านนี้มีขนาดกว้างขวาง เป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตสำหรับคนที่ต้องการอ่านหนังสือในช่วงสอบแบบสบายๆ และมีคนอ่านเป็นเพื่อนมากหน้าหลายตา โซนนั่งแบ่งออกเป็นสามส่วนคือโต๊ะเคาน์เตอร์สำหรับผู้ที่มาคนเดียว โต๊ะคู่สำหรับสองคนซึ่งอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนที่เหลือทั้งหมดและอาจเรียกได้ว่ามีจำนวนมากที่สุดคือโซฟาสำหรับรองรับนิสิตเป็นกลุ่ม

ในช่วงเวลายามปิดเทอมแบบนี้มีคนแวะมานั่งแช่ไม่มากนัก ตอนที่ประมุขเข้าไปก็เห็นอยู่แค่สี่ห้าโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนสนิทของเขาที่จับจองโซฟามุมกระจกด้วยท่านั่งไขว่ห้างสวยสง่าราวกุลสตรี แต่ปากกลับพ่นภาษาอีสานใส่โทรศัพท์รัวๆ จนคนที่เพิ่งมาถึงได้แต่อมยิ้มขำ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงโดนพ่อแม่โทรมาบ่นที่แวบกลับไปเยี่ยมไม่กี่เดือนก็กลับมากรุงเทพฯ ทั้งที่มหา’ลัยยังไม่ได้เปิดเทอม

“มาแล้วเหรอมึง!... แค่นี้ก่อนนะคะแม่ เพื่อนหนูมาแล้ว” พอหันมาเห็นกันเข้า ดีดี้คนสวยร่างนางยักษ์ก็กลับมาเป็นนางฟ้าอีกครั้ง แต่ท่าทางคงจะลืมไปแล้วว่าประมุขรู้เรื่องทุกอย่าง คุยกับพ่อแม่เพื่อนก็เคยคุยมาแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าปกติมันพูดเพราะที่ไหน

“มารักษาภาพพจน์ต่อหน้ากูตอนนี้ไม่ทันแล้วมั้ง”

“เออน่า” ดีดี้วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนจะเสยผมทัดหูด้วยมาดนางพญาอย่างสวยสดงดงาม ชนิดที่คนทั่วไปคงมองตาค้าง แต่เผอิญคนที่ยืนให้ยั่วอยู่ตรงนี้ดันเป็นไอ้ซื่อบื้อที่ไม่เคยมองใครเลยนอกจากคนคนนั้นของตัวเอง ความสวยของเธอจึงดูเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง

“อะ... อยากซักฟอกอะไรก็เต็มที่เลย มาให้มึงด่าถึงที่ละ” เจ้าชายน้อยของคนทั้งมหา’ลัยเอนกายพิงโซฟาอย่างสบายอกสบายใจ ดูจากหน้าตาผ่อนคลายแล้วคงพูดได้ทันทีว่าไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเห็นวิคเตอร์เดินผ่านไปยังเกือบโบกมือให้ตามความเคยชิน ดีที่นึกได้ว่าไม่ควรแสดงออกจึงเก็บท่าทีแล้วแอบยิ้มให้ตอนอีกฝ่ายเดินไปนั่งด้านในกับอเล็กซ์เท่านั้น

“ไม่ต้องให้กูซักฟอกหรอกค่ะ มึงเล่ามาให้หมดเลย”

“หมดเลยเหรอ”

“เออ หมดเลยนั่นแหละ” สาวสวยทำหน้าตาดุดัน แววจริงจังบ่งบอกชัดเจนว่าจะไม่มีการล้อเล่น เห็นท่าทางแบบนั้นของเพื่อนแล้วประมุขก็ได้แต่ยิ้มออกมา เพราะเข้าใจดีว่ามันเป็นห่วงกันมากขนาดไหน

“ช่วงปิดเทอมใหม่ๆ กูนัดกับเต้ไว้ว่าจะไปเยี่ยมพี่จักรที่สวนดอกไม้ของภีม แต่เต้มันปิดเทอมทีหลังกูก็เลยไปกับเขาก่อน ตอนแรกก็กะจะเที่ยวรอแหละ แต่เขามีงานเยอะเลยไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่ พอว่างก็ไปได้แค่ห้างใกล้ๆ แล้วก็นั่นแหละ...”

“เกิดอะไรขึ้นสินะ”

“อือ กูโดนคนเดินเข้ามาชนแล้วขู่ให้เลิกยุ่งกับเขา ตอนขากลับที่ต้องแยกกันก็มีคนจงใจขับรถเข้ามาชนอีก ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นก็...”

ประมุขเล่าทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟังโดยไม่ปกปิด ดีดี้เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาไม่มีความลับด้วย แม้บางเรื่องจะพูดให้ฟังไม่หมด แต่เมื่อไหร่ที่ถูกถามก็พร้อมจะตอบทุกอย่าง ซึ่งดีดี้เองก็ไม่ต่างกัน เพราะแบบนั้นพวกเขาถึงเป็นเพื่อนรักกันมาอย่างยาวนานจวบจนทุกวันนี้

“น่ากลัวกว่าที่คิดอีกนะ” ดีดี้ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เหลือท่าทีเล่นๆ เหมือนเก่า พอเข้าสู่หัวข้อจริงจังเธอก็กลายเป็นที่ปรึกษาที่สำคัญสำหรับประมุขเหมือนเช่นหลายปีที่ผ่านมา “แล้วนี่มึงโอเคหรือเปล่า”

“กูโอเค”

“เออ ก็เป็นพวกไม่คิดอะไรเลยนี่หว่า ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่มึงมีนิสัยแบบนี้เนี่ย” พอมองหน้าไอ้เพื่อนเอ๋อที่เอาแต่ยิ้มเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะรู้ดีว่าจริงๆ ในใจมันคงสั่นไหวอยู่ไม่น้อย “กูจะไม่บอกให้มึงถอยหรอกนะ เพราะรู้ว่าคำแนะนำนี้ยังไงมึงก็ไม่ทำแน่”

“อือ” คนฟังยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเบะปากใส่

“กูเข้าใจดีว่ามึงยึดติดกับเขาแล้วก็รักเขามากขนาดไหน ซึ่งฟังจากที่พูดมาทางฝั่งนั้นเองก็คงคิดเหมือนกัน แต่มึงต้องคิดถึงตัวเองด้วยนะ ถ้าสุดท้ายคนที่คิดไม่ดีกับมึงเป็นครอบครัวของเขาจริงๆ มึงจะทำยังไง” จริงอยู่ที่ดีดี้ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของคนคนนั้น ไม่รู้ว่าคนของเพื่อนเชื่อฟังครอบครัวขนาดไหน แต่สำหรับคนดีๆ แบบประมุข คนที่ยึดครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างมันไม่มีทางยอมให้คนอื่นทะเลาะกับครอบครัวเพราะตัวเองแน่

แต่มันก็ไม่ใช่คนที่จะยอมถอยไปเพียงเพราะเรื่องนั้นเช่นกัน...

“กูก็ยังไม่แน่ใจ” ประมุขหลุบตาลงต่ำเมื่อคิดตามสิ่งที่เพื่อนพูดแล้วพบว่าเขาไม่มีคำตอบให้จริงๆ “บางทีกูอาจจะพึ่งพาเขามากเกินไป คิดว่าเขาจัดการให้ได้ทุกอย่าง ถ้ามึงไม่ถามขึ้นมาก็คงลืมนึกถึงไปเลย”

“ไม่แปลกหรอก กูเข้าใจดีว่ามึงกับเขารอคอยที่จะได้เจอกันมานาน ขนาดเจอเรื่องน่ากลัวๆ แบบนี้มึงยังเลือกจะอยู่ต่อ ไม่มีลังเลเลยสักนิด แค่นี้กูก็รู้แล้วว่ามึงไม่มีทางถอยแน่ แต่ก็อย่างที่บอก...นอกจากคิดถึงเขา อย่าลืมคิดถึงตัวเองให้มากๆ วันใดวันหนึ่งไปเจออะไรที่มันหนักหนาก็คิดให้ดีๆ ว่าจะทำยังไง”

“…”

“พยายามให้มาก เลือกสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด แล้วก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง จำเอาไว้แค่นี้ก็พอ”

“อือ” ประมุขรับคำอย่างเหม่อลอย ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว เห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นแล้วดีดี้ก็ได้แต่กลอกตา กระแอมเบาๆ แล้วเปลี่ยนคำพูดให้ดูร่าเริงเหมือนเดิม เพราะไม่เคยชินกับประมุขในแบบฉบับที่ดูนิ่งๆ หงอยๆ

ก็มันน่าสงสารน้อยเสียเมื่อไหร่... ใครใจแข็งใส่ได้คงต้องเป็นพระอิฐพระปูน

“ก็นะ... สมองแบบมึงแนะนำอะไรเยอะๆ ไม่ได้หรอก รู้แค่นี้พอละ ทีนี้มาฟังเรื่องของกูบ้างดีกว่า”

“อะ...เออ” คนเด๋อที่เหมือนจะตามอารมณ์เพื่อนไม่ทันเท่าไหร่นักได้แต่รับคำแบบอ้ำๆ อึ้งๆ จากนั้นก็กะพริบปริบๆ มองดีดี้เล่าเรื่องไปเที่ยวกับที่บ้านตอนกลับอีสานด้วยอารมณ์ดุเดือดแบบมึนๆ งงๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธอะไรเพราะสมองประมวลผลตามไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีเพื่อนรักก็วางแก้วที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะเสียงดัง

“พูดจนคอแห้ง กูไปสั่งชาอีกแก้วแป๊บ”

ประมุขหัวเราะขำขันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูฆ่าเวลา แม้สิ่งที่เพื่อนพูดจะยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่จางหายไปง่ายๆ หากเมื่อได้เห็นว่าใครส่งข้อความมาหาก็อารมณ์ดีขึ้นมาเสียเฉยๆ

M.GRAY: เป็นยังไงบ้าง

GP.MUK: ดีดี้พูดไม่หยุดเลยครับ นี่ก็ลุกไปสั่งเครื่องดื่มแก้วที่สองแล้ว

M.GRAY: งั้นเหรอ ดูแลตัวเองดีๆ นะ

GP.MUK: คุณก็เหมือนกัน

“มุข!” เสียงเรียกของสาวสวยที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทำให้ประมุขหยุดมือที่กำลังพิมพ์ข้อความโดยอัตโนมัติ เขาหันไปหาเพื่อนแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เมื่อเห็นดีดี้ส่งสัญญาณโดยการชี้ไปที่โทรศัพท์และยกมือขอโทษขอโพยก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงมีธุระด่วน

“ไปเถอะ” เขาโบกมือให้เพื่อนรักเป็นเชิงร่ำลา ก่อนจะมองตามแผ่นหลังบอบบางของคนที่วิ่งจากไปอย่างว่องไวชนิดไม่เหลือภาพของสาวน้อยอ่อนโยนที่พยายามรักษามาโดยตลอดไปจนสุดสายตา

คนที่นานๆ จะได้ออกมาข้างนอกสักครั้งไม่ได้หันไปเรียกวิคเตอร์กับอเล็กซ์เพื่อเตรียมตัวกลับห้องในทันที แต่เลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความคุยกับเกรย์ต่อ ซึ่งฝ่ายการ์ดทั้งสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงปล่อยให้นายอีกคนทำตามความต้องการของตัวเองต่อไปเท่านั้น

GP.MUK: ดีดี้กลับไปแล้ว เหมือนจะมีธุระ

GP.MUK: *ส่งรูปภาพ*

M.GRAY: หืม... ส่งรูปตัวเองมาให้คิดถึงหรือไง

GP.MUK: ใช่แล้ว

M.GRAY: น่าตีจริงๆ รอหน่อยนะ จะรีบกลับไปหา

GP.MUK: ครับ คุณไปทำงานเถอะ ผมก็จะกลับห้องไปเล่นเกมแล้ว

M.GRAY: เดี๋ยวว่างแล้วจะโทรหา

GP.MUK: อื้อ

“ไง”

ประมุขเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทักไม่คุ้นเคย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยามพบว่ามีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขา แทนที่ดีดี้ซึ่งเพิ่งจะเดินออกจากร้านไปไม่นานนัก

“คุณเป็นใครครับ”

“ผู้หวังดี” หนุ่มฝรั่งตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะเลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งส่งมาให้ โดยที่ประมุขไม่ได้ยื่นมือไปรับแต่อย่างใด เขาเพียงก้มลงมองมันจนเห็นชื่อ ‘เซดริก’ บนนั้น แล้วก็เบนสายตากลับไปมองคนที่วางนามบัตรลงบนโต๊ะช้าๆ

“คุณต้องการอะไรจากผม”

“แค่ต้องการมาเตือนเฉยๆ ไม่ต้องทำหน้าตาเคร่งเครียดขนาดนั้นก็ได้”

“เตือนอะไร”

“เตือนให้นายออกห่างจากคนคนนั้น... ถ้าไม่อยากลำบากมากไปกว่านี้”

เพียงแค่ได้ยินคำเตือนไม่เข้าหู คนฟังก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินตอนอยู่ที่ห้างเขาก็เกลียดคำเตือนพวกนี้มาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีคนเดินเข้ามาบอกกันตรงๆ อีกรอบ

“ไม่มีอาวุธใช่ไหมครับ”

“หืม” เซดริกเลิกคิ้ว ท่าทางประหลาดใจกับคำถามมากพอควร แต่ก็ยังยกมือขึ้นทั้งสองข้างและตอบอย่างชัดเจน “ไม่มีแน่นอน เข้ามาค้นดูด้วยตัวเองก็ได้นะ”

“ดี... วิคเตอร์!!!”

เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบรับคำเรียกของประมุขเป็นคำพูด แต่กลับลุกขึ้นจากที่นั่งและจ่ออาวุธซึ่งถูกเสื้อคลุมทับไว้ที่ขมับของเซดริกอย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้คนมาใหม่มีโอกาสลุกหนีไปไหนทั้งสิ้น

“เล่นแบบนี้เลยเหรอ...”

“ไม่ใช่แค่นี้ครับ” ประมุขในโหมดหน้านิ่งวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะพร้อมกดเปิดลำโพงให้พร้อมสรรพ เพียงเท่านั้นทุกคนก็มองเห็นชื่อของคนที่อยู่อีกฝั่งได้อย่างชัดเจน “คุณอยากเตือนอะไรก็พูดกับเขาเลยแล้วกัน”

[เซดริกงั้นเหรอ]

(ต่อด้านล่าง)
.
.

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.11]=[P.6]==[29/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-02-2019 20:40:17


น้ำเสียงเย็นเยียบที่ดูเย็นชากว่าปกติหลายระดับทำให้บรรยากาศรอบด้านดูกดดันขึ้นมาทั้งที่ไม่มีใครเห็นหน้าคนพูด เกรย์แค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอหนึ่งครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ ก่อนความอึดอัดนั้นจะจางหายไป ยามเขาเรียกชื่อใครอีกคนขึ้นมาแทน

[ลูกแกะ]

“ครับ” ประมุขหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้แล้วตอบพร้อมรอยยิ้ม

[ปล่อยเขาไปเถอะ ตอนนี้ฉันเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างหมดแล้ว ที่มาปรากฏตัวก็คงต้องการให้รู้ว่าใครคือต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่าง]

“ได้ครับ... วิคเตอร์”

บอดี้การ์ดหนุ่มก้มหัวรับคำสั่ง และยอมหลีกทางปล่อยให้เซดริกที่ดูประหลาดใจกับท่าทีของประมุขไม่น้อยเดินจากไปง่ายๆ โดยยังคงทิ้งนามบัตรไว้บนโต๊ะตามเดิม

“เขาไม่ใช่ชาวต่างชาติธรรมดาใช่ไหมครับ” ประมุขหันกลับมาสนใจคนในสายอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าคนแปลกหน้าเดินออกจากร้านไปแล้ว เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่ลืมผายมือให้วิคเตอร์กับอเล็กซ์นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เพราะรู้ดีว่าท่าทางคงไม่ได้วางสายง่ายๆ แน่นอน

[รู้ได้ยังไง]

“สังเกตจากตอนที่วิคเตอร์เข้ามาหา ขนาดโดนเอาอาวุธขู่เขายังดูเฉยๆ อยู่เลย จะเห็นสะดุ้งบ้างก็แค่ตอนได้ยินเสียงคุณ”

[พัฒนาขึ้นมากเลยนะ]

คนได้รับคำชมอมยิ้มภาคภูมิใจจนแก้มตุ่ย ลืมเลือนสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่งพบเจอมาได้อย่างรวดเร็วเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เหมือนคำชมแค่นั้นจะไม่พอ เพราะประมุขยังคงยกเรื่องที่ทำเมื่อครู่ขึ้นมาพูดซ้ำอีกรอบ

“ผมเห็นคนแปลกหน้าเดินมานั่งลงที่โต๊ะเดียวกันก็เลยกดโทรหาคุณ... พอมั่นใจว่าเขาไม่มีอาวุธถึงได้เรียกวิคเตอร์ ผมเก่งใช่ไหม”

[หึหึ... เก่งที่สุดเลย]

“ขอบคุณครับ” พอได้รับคำชมแบบที่ต้องการแล้วลูกแกะของเกรย์ก็เริ่มนึกออกว่าอีกฝ่ายน่าจะต้องไปทำงาน รอยยิ้มแบบเด็กๆ ที่มีจึงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ “คุณต้องไปทำงานหรือเปล่า เอาไว้ว่างแล้วเราค่อยคุยกันก็ได้”

[ไม่เป็นไร งานรอได้ คุยกับลูกแกะให้เข้าใจก่อนดีแล้ว]

คำพูดที่บ่งบอกชัดเจนว่าเขาสำคัญกว่าสิ่งใดแม้กระทั่งงานที่มีมูลค่าหลายพันล้านของเจ้าตัวทำให้ประมุขยิ้มออกอีกครั้ง เขากดข่มความรู้สึกผิดน้อยๆ เอาไว้ในใจ แล้วเลือกเห็นแก่ตัวนิดๆ หน่อยๆ โดยการตอบรับคำพูดนั้นตามตรง

“ถ้าอย่างนั้น...คนเมื่อกี้เขาเป็นใครเหรอครับ”

[ลูกแกะพูดถูกแล้ว เซดริกไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นคนสนิทฝีมือดีของพ่อฉันเอง]

“พ่อคุณ...”

[อา... แต่คิดว่าคำสั่งให้มาเตือนนี่น่าจะมาจากแม่มากกว่า]

“แล้วที่คุณบอกว่าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างหมดแล้ว...”

[อย่างที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง ดูเหมือนคนที่ส่งคำขู่มาให้และสร้างสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นมาจะเป็นครอบครัวของฉันเอง ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแม่คือตัวการ แต่ที่ฉันยังไม่เข้าใจคือเหตุผลที่ทำแบบนั้น]

ประมุขเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำยืนยันว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงครอบครัวของเกรย์จริงๆ คำพูดที่ดีดี้เพิ่งเตือนกันไปวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง และเขาก็ยังไม่อาจตอบได้เช่นเคยว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“คุณได้เจอคุณแม่หรือยังครับ”

[เจอแล้ว แต่แม่ไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย] พูดจบเกรย์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับจะบอกว่าเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้มากจริงๆ [ขอโทษที่ทำให้ต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้นะลูกแกะ]

“ไม่เป็นไรเลย ผมเข้าใจดี แค่ท่านไม่คิดเอาชีวิตกันจริงๆ ก็พอแล้ว... หรือว่าจะคิดนะ” ลูกแกะน้อยเริ่มเครียดหนักเมื่อไม่แน่ใจนักว่าคนบงการต้องการชีวิตของเขาหรือเปล่า เพราะถึงจะให้คนเข้ามาเตือนถึงสองครั้ง แต่เหตุการณ์ตอนที่รถชนจนได้แผลหรือถูกคนถือมีดพุ่งเข้ามาหาก็ยังฝังอยู่ในหัว

[ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด ฉันก็ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่]

“อื้อ”

[อย่าคิดมากเลยนะ รอให้มาอยู่ข้างกันก่อนแล้วค่อยงอแง ห้ามเครียดตอนที่อยู่คนเดียวเด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่า]

เมื่อได้ยินน้ำเสียงแอบดุของคนขี้เป็นห่วง ประมุขก็เริ่มหายเครียดตามที่เกรย์บอกจริงๆ หากดีดี้อยู่ตรงนี้ด้วยคงด่าว่าเขาใจง่าย แต่ก็ต้องยอมรับว่าโชคดีแล้วที่เขาเป็นคนสบายๆ แบบนี้ พอเจอเรื่องราวมากมายแบบที่ไม่เคยเจอจึงยังไม่เป็นบ้าตายไปเสียก่อน

“ครับ”

[ลูกแกะ]

“หือ”

[มาที่นี่ดีไหม]

“มาที่นี่... คุณหมายถึงให้ไปหาคุณเหรอครับ” ประมุขตาโตเมื่อเข้าใจคำถาม ถึงเขาจะไปหาเกรย์ได้จริงๆ เพราะยังพอมีเวลาก่อนจะเปิดเทอม แต่ปุบปับจู่ๆ มาบอกให้ไปหากันเลยแบบนี้มันก็น่าตกใจอยู่ไม่น้อย “ทำไมมาพูดตอนนี้ล่ะ”

[ฉันไม่อยากให้ลูกแกะอยู่คนเดียว อีกอย่าง...ตอนแรกที่ไม่อยากให้มาก็เพราะอยากเลี่ยง ยังไม่อยากให้แม่เข้าไปวุ่นวายกับนาย แต่ดูเหมือนต่อให้ฉันกลับมาตามคำบอกแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ถึงขั้นส่งเซดริกไปแบบนี้ ยังไงก็คงไม่ยอมหยุดง่ายๆ แน่]

“…”

[ลูกแกะพร้อมจะมายืนข้างฉันอย่างเต็มตัวหรือยัง]

“เรื่องนั้น...” คนฟังนิ่งไปนานเมื่อไม่แน่ใจนักว่าควรตอบอย่างไร หากถามว่าพร้อมหรือเปล่าก่อนจะได้รู้ว่าเบื้องหลังเกรย์มีครอบครัวที่คอยจับตามองอยู่ เขาคงตอบได้อย่างง่ายดายว่าพร้อม แต่ในยามนี้เมื่อได้รู้ว่าคนที่ทำท่าคล้ายจะขัดขวางกันไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากเป็นคนในครอบครัวของเกรย์เอง เขาจึงเกิดความลังเลขึ้นมาวูบหนึ่ง

แต่ว่า...ถ้าบอกว่าไม่พร้อมแล้วเมื่อไหร่จะพร้อม หรือสุดท้ายก็ยังต้องถอยออกไปอยู่ดี

ไม่มีทาง... ไม่เอาเด็ดขาด เขารอมานานเกินพอแล้ว

[ไม่เป็นไร ถ้า...]

“พร้อม”

[…]

“ผมพร้อมจะยืนอยู่ข้างคุณ ไม่ว่ามันจะอันตรายขนาดไหนก็ตาม ผมเคยบอกคุณไปแล้วนี่”

ประมุขเป็นคนง่ายๆ มาแต่ไหนแต่ไร จะให้เปลี่ยนไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ดังนั้นในเมื่อไม่มีทางเลือก เพราะยังไงเขาก็ไม่ยอมถอย งั้นก็ต้องพุ่งชนให้รู้เรื่อง และถ้ามันจะมีปัญหาอะไรตามมาก็ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน

[งั้นกลับไปพักเถอะ]

“ครับ?”

[เดินทางคืนนี้เลย พรุ่งนี้ฉันจะได้กอดลูกแกะเสียที]

“อื้อ!”

เมื่อได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็ลุกขึ้น เดินนำวิคเตอร์กับอเล็กซ์ออกไปด้านนอกโดยที่ยังไม่ได้วางโทรศัพท์ ท้องฟ้าที่ว่าสดใสในยามนี้ยังสดใสสู้ลูกแกะน้อยที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขไม่ได้

[ฉันให้คนแคนเซิลงานพรุ่งนี้แล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน]

“จริงเหรอครับ ดีจังเลย ผมจะเอาขนมไปฝากคุณด้วยนะ ไม่สิ... เดี๋ยวไปทำให้กินที่โน่นเลยดีกว่า ช่วงว่างๆ สองสามวันมานี้ผมเปิดดูวิธีทำขนมตั้งหลายอย่าง ถึงจะสู้เต้ไม่ได้แต่น่าจะถูกปากคุณนะ”

[งั้นเราออกไปซื้อวัตถุดิบด้วยกันดีไหม]

“ดี!”

[หึหึ อารมณ์ดีเชียว]

“แน่นอนสิ” ประมุขรับคำพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไร้จุดหมาย แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีรถสีดำขับมาขนาบข้าง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นการ์ดทีมอื่น แต่เมื่อมองดูดีๆ กลับไม่คุ้นเคย จนสุดท้ายก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้และต้องหันไปมองวิคเตอร์ในที่สุด

[ลูกแกะ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป]

“เหมือนจะมีรถขับขนาบข้างเรามาสักพักแล้ว...”

[ปิดผ้าม่านเอาไว้แล้วส่งโทรศัพท์ให้วิคเตอร์] น้ำเสียงเยือกเย็นที่เปลี่ยนแปลงไปกะทันหันของเกรย์ทำเอาคนฟังตัวเกร็งไปครู่หนึ่ง ทว่าวินาทีถัดมาก็รีบส่งโทรศัพท์ไปให้วิคเตอร์ตามคำบอกอย่างรวดเร็ว

“ครับนาย” บอดี้การ์ดหนุ่มที่สังเกตเห็นเหตุการณ์แปลกๆ มาตั้งแต่ต้นเช่นกันรับโทรศัพท์ไปสื่อสาร โดยที่สายตายังคงมองออกไปด้านนอกอย่างพิจารณา “คนของเราล้อมไว้อีกทีแล้วครับ... คิดว่าพวกเขาไม่น่ามีเจตนาร้าย ไม่ได้มีท่าทีคุกคามอะไร เหมือนขับตามไปเรื่อยๆ เพราะต้องการพูดคุยมากกว่า... เข้าใจแล้วครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย”

ประมุขรับโทรศัพท์กลับคืนมาอย่างเป็นกังวล กระทั่งได้ยินเสียงเกรย์เรียกดังเล็ดลอดออกมาแล้วเขาก็ยังต้องควบคุมสติอยู่นานกว่าจะตอบกลับไปได้

“เกรย์...”

[ลูกแกะ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น คุยกับฉันก็พอ โอเคไหม]

“แต่ว่า...”

[วิคเตอร์จะจัดการทั้งหมดเอง นายแค่รออยู่บนรถ ไม่ต้องลงไปพูดคุยด้วย ไม่ต้องกังวลนะ ไม่มีใครทำอะไรลูกแกะของฉันได้ทั้งนั้น] เกรย์เอ่ยปลอบโยนคนที่น่าจะหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากเขาอยู่ตรงนั้นด้วย ขอแค่กอดลูกแกะเอาไว้ในอ้อมแขน อีกฝ่ายก็คงรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อะไรๆ จึงยากเย็นไปหมด

“เป็นเพราะผมอยากออกมาข้างนอกหรือเปล่า” ประมุขเอ่ยถามเสียงค่อยอย่างรู้สึกผิด หากก็ยังเชื่อฟังคำพูดด้วยการไม่หันออกไปมองหรือสนใจอะไรด้านนอก แม้ยามที่รถหยุดวิ่งเพราะเข้ามาสู่เขตโรงแรมแล้วเขาจะเผลอกัดปากด้วยความวิตกหนักกว่าเดิมก็ตาม

[อย่าคิดมาก ใครกันจะอยู่แต่ในห้องได้ตลอดเวลา แค่ลูกแกะเชื่อฟังฉัน เลือกสถานที่ใกล้ๆ และไปไม่นานก็น่ารักมากแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ ต่อให้ฉันอยู่ด้วยก็ต้องพบเจออยู่ดี]

“อื้อ...”

“คุณประมุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณห้ามลงจากรถเด็ดขาดนะ” วิคเตอร์ที่กำลังจะเปิดประตูรถหันมาตักเตือนด้วยใบหน้านิ่งสนิท ไม่มีวี่แววของความเคร่งเครียด เมื่อเห็นดังนั้นประมุขจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง ในใจคล้ายจะคลายความกังวลลงไปเปราะหนึ่ง

หลังจากวิคเตอร์ลงไปจากรถ ประมุขก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก นอกไปจากเสียงพูดของคนในโทรศัพท์ที่สรรหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาทำให้เขาผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง แม้มันจะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างเพราะนิสัยง่ายๆ สบายๆ ไม่อาจใช้ในยามที่มีเสียงพูดคุยเป็นภาษาฝรั่งเศสดังเล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทอยู่หลายประโยค หากก็ยังดีกว่าต้องนั่งกัดเล็บเครียดเพียงลำพัง

[กลัวอยู่เหรอ]

“ไม่เลย”

[เด็กขี้โกหก น่าตีจริงๆ]

ยังไม่ทันได้พูดตอบอะไร เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกันกับที่วิคเตอร์กลับขึ้นมานั่งบนรถอีกครั้ง ประมุขถอนหายใจโล่งอกเมื่อไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นแบบที่คิด ไม่ต้องรอให้วิคเตอร์บอกเขาก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อย่างรู้งาน ทว่าคำรายงานในครั้งนี้กลับเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง ประมุขจึงได้แต่กะพริบรออย่างอดทน จนผ่านไปพักหนึ่งวิคเตอร์ที่ดูมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยถึงส่งโทรศัพท์กลับมาให้

“คุณครับ... มีอะไรหรือเปล่า”

[ลูกแกะ...]

“ผมฟังอยู่”

[กลับไปเก็บของใช้จำเป็นที่ห้องนะ พวกเสื้อผ้าไม่ต้องเอามาเยอะ เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่]

“ทำไม...”

[นายต้องออกเดินทางตอนนี้เลย]



----------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 10-02-2019 23:52:18
ใครมันกล้ากระตุกขนแกะนะ สงสัยอยากรู้อิทธิฤทธิ์เจ้าพ่อแกะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-02-2019 01:14:03
น้องมุขเก่งจังเลย  :hao5:
หนูเป็นที่รัก ใครๆก็เอ็นดู อย่ายอมแพ้นะลูก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 11-02-2019 13:24:05
รอตอนต่อไปงับ  :really2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-02-2019 16:10:16
แกะมุข ไปคราวนี้ต้องได้อะไรๆ ที่เด็ดๆ ติดตัวกลับมาบ้างนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 11-02-2019 23:47:15
เก่งมากๆลูกแกะ เข้มแข็งมากเลย o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-02-2019 06:06:57
จังหวะยังโชคดีที่ประมุขคุยกับเกรย์อยู่
ไม่งั้นก็ต้องมีผวาบ้างล่ะ ใครมาจากไหนก็ไม่รู้

แต่น้องเข้มแข็งนะ อดทนและพยายามมากด้วย
ก็ทำไงได้เนาะ จุดที่อยู่เพราะคนที่รัก อันตรายรอบด้าน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 12-02-2019 08:57:45
 :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 18-02-2019 18:13:03
ลูกแกะคือ ฉลาด เฉลียว มีสติ และเข้มแข็งมาก :katai2-1:
น้องมีแววควีนมากกกกกก o13

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-02-2019 08:47:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 20-02-2019 08:50:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 28-02-2019 21:22:48
-13-


ประมุขเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เขาเก็บข้าวของจนเสร็จ และได้ขึ้นไปนั่งเกร็งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว บรรดาการ์ดตัวโตที่ไม่เคยเห็นหน้าหลายคน ซึ่งเขารู้มาจากวิคเตอร์ว่าเป็นคนของแม่เกรย์ที่ถูกส่งให้มารับตัวเขาก็นั่งอยู่ด้วย และแม้รอบกายจะถูกรายล้อมด้วยการ์ดทีมเอของเกรย์ เขาก็ยังอดรู้สึกเกร็งไม่ได้อยู่ดี

บทสนทนาที่ทั้งสองฝ่ายคุยกันตอนวิคเตอร์ลงไปจากรถเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพาประมุขไปพบเกรย์และครอบครัว ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่อยากทนรออีกต่อไปแล้ว ถึงได้ส่งคนมาเชิญกันถึงที่โดยเกรย์เองก็เพิ่งรู้พร้อมกัน และฟังจากคำพูดดูแล้วคล้ายเจ้าตัวจะโมโหอยู่พอสมควร หากไม่ใช่เพราะประมุขพูดบอกให้ใจเย็นๆ คงมีคนบรรดาลโทสะแบบไม่ต้องสงสัย

“คุณโอเคหรือเปล่า” เสียงถามของวิคเตอร์ที่คอยนั่งประกบอยู่ด้านข้างตลอดทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยได้สติอีกครั้ง มือสองข้างที่กำไว้แน่นใต้ผ้าห่มเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นคลายออกช้าๆ เมื่อถูกดึงให้หลุดออกจากเรื่องเครียดๆ ที่คิดอยู่ในใจเพียงลำพัง

“โอเค”

วิคเตอร์ยังคงจ้องมองคนของเจ้านายอย่างละเอียดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรจริงๆ จึงยอมหันกลับไปมองด้านหน้าตามเดิม แต่แทบจะทันทีที่หันกลับ คนข้างกายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บอกให้รู้ว่าที่พูดโอเคนั่นไม่ได้ออกมาจากใจเลยสักนิด

“อยากถามอะไรผมไหม”

“ผมถามได้เหรอ”

ได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่เล่นจ้องด้วยแววตาคาดหวังขนาดนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธลง... บอดี้การ์ดหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบว่าได้ ก่อนจะพูดยืนยันซ้ำอีกที

“ได้ทุกเรื่อง ถ้ารู้ผมจะตอบ”

“ถ้างั้น...” ประมุขขยับตัวขยุกขยิกไปมาอย่างเป็นกังวล ก่อนจะเอนกายไปหาวิคเตอร์มากขึ้นจนอเล็กซ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแอบเลิกคิ้วมอง “ผมถามจริงจังเลยนะ”

“ได้”

“พ่อแม่เกรย์นี่...ดุมากไหม”

“…”

คล้ายเสียงกระซิบนั้นจะไม่เบาเท่าไหร่นัก เพราะจู่ๆ บรรยากาศรอบด้านก็แปรเปลี่ยนไปกะทันหัน ประมุขถึงขั้นตาโต ยื่นหัวไปมองด้านหลังก็พบว่าทุกคนพากันจับจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์กันหมด ลูกแกะน้อยทำได้เพียงยิ้มแห้งแล้วนั่งลงกับที่ดีๆ หากสายตายังคงจับจ้องไปที่วิคเตอร์อย่างมีความหวัง

แม้จะเดาได้ว่าคำตอบคืออะไรตั้งแต่เห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม...

“ก็…” บอดี้การ์ดหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อไม่รู้ว่าควรตอบยังไงให้ตรงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ทำลายความหวังของคนถามมากเกินไป สุดท้ายจึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดสั้นๆ ได้เพียงคำเดียว “คล้ายกันทั้งบ้าน”

“แสดงว่าคล้ายเกรย์...งั้นก็ต้องใจดีมากเลยสิ”

“…”

แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอดังขึ้นจากทางด้านหลังวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป โชคดีที่ประมุขไม่ได้สนใจจึงยังยิ้มได้อยู่เหมือนเดิม ในใจตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาหนึ่งระดับ ลืมสนใจกระทั่งใบหน้าของวิคเตอร์กับอเล็กซ์ที่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเต็มทน

“ผมเริ่มหายเครียดแล้ว ขอบคุณมากนะ”

คนที่หลงลืมไปแล้วว่าถ้าพ่อแม่เกรย์ใจดีจริงๆ คงไม่สั่งคนให้มาข่มขู่กันแบบนั้นลูบอกตัวเองเบาๆ แล้วเอนกายนอนตามปกติอีกครั้ง คราวนี้ไม่รู้ว่าซื่อจริงๆ หรือหลอกตัวเองอยู่กันแน่ แต่ถ้าให้วิคเตอร์คาดเดา เขาคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“คุณนอนพักเถอะ ลงจากเครื่องก็ได้เจอนายแล้ว”

“อื้อ”

หลังจากรับคำไม่ถึงห้านาที คนว่าง่ายก็หลับสนิทตามที่วิคเตอร์บอกจริงๆ ขนาดทำผ้าห่มล่วงลงไปกองอยู่ที่ตัก ตัวสั่นเทาเป็นลูกนกจนต้องขยับไปมาอยู่หลายรอบก็ยังไม่รู้สึกตัว จนวิคเตอร์หยิบผ้าห่มคลุมให้ถึงคอดีๆ เจ้าตัวถึงได้อมยิ้มมีความสุขแล้วนิ่งไปอย่างรวดเร็ว

การเดินทางกินเวลามากพอควรเนื่องจากทั้งสองประเทศอยู่ห่างกัน นอกจากช่วงที่ถูกปลุกให้กินข้าว ประมุขก็หลับสนิทแทบจะตลอดเวลา ไม่มีลุกขึ้นมาหาอะไรเล่นหรือพูดคุยกับใครอีกเลย พอถูกอเล็กซ์ถามว่าไม่ค่อยได้นอนเหรอ ก็ตอบเพียงว่าตั้งแต่เกรย์ไปนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ พอรู้ว่าจะได้เจอกันแล้วก็ง่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น บรรดาคนได้ยินต่างพากันอมยิ้ม ขณะที่คนพูดแค่หัวเราะเขินๆ แล้วเอาผ้าห่มคลุมหัวหลับไปอีกรอบอย่างรวดเร็ว

“เราควรเตือนหรือเปล่าว่ากินแล้วนอนไม่ดี” อเล็กซ์มองนายคนที่สองคลุมโปงหลับไปด้วยสีหน้าประหลาดๆ ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับความชิวนี้ดี

“ไม่ต้องหรอก... ให้ทำตัวตามสบายตอนที่ยังมีโอกาสเถอะ”

จบคำพูดของวิคเตอร์ การ์ดทีมเอที่นั่งอยู่ไม่ไกลและได้ยินทุกอย่างก็ถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งแน่นอนว่าปกติพวกเขาไม่มีทางแสดงปฏิกิริยาเหล่านี้ออกมาแน่ หน้าที่ของการ์ดมีเพียงการทำตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น แต่ความคิดที่ว่าไม่อาจใช้กับคนที่ชื่อประมุข เพราะตอนนี้เหมือนทุกคนจะมีลูกชายคนเดียวกันไปหมดแล้ว

ความเป็นห่วงเป็นใยและสนิทสนมที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมาคือเรื่องจริง...

“คำสั่งของนายคือให้พวกเราดูแลคุณประมุขให้ดีที่สุด จำไว้ให้มั่น” รองหัวหน้าทีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามั่นคง บรรดาทีมเอที่ได้ยินคำสั่งล้วนพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นไม่ต่างกัน

ลำพังแค่คำสั่งก็มีอำนาจมากอยู่แล้ว นี่มีเรื่องของใจเข้ามาเกี่ยวข้องอีก... ยังไงพวกเขาก็ต้องปกป้องคนคนนี้ให้ได้








กว่าเครื่องบินจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางก็กินเวลานานพอควร ประมุขที่ตื่นก่อนจะถึงได้สักพักตาสว่าง ดูอารมณ์ดีและสดใสมากจนแม้แต่บอดี้การ์ดของฝั่งแม่เกรย์ยังมองตามด้วยความประหลาดใจ แตกต่างจากทีมเอที่ดูเคยชินกับภาพเหล่านี้ไปแล้ว ทุกวันนี้จึงเหลือเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่มอบให้ ยามคนอารมณ์ดีหันมาฉีกยิ้มทักทายเท่านั้น

“นายรอคุณอยู่แล้ว รีบไปเถอะ” วิคเตอร์ที่ปกติจะเดินเยื้องอยู่ด้านหลังประมุขมาโดยตลอด ยามนี้ขยับไปยืนขนาบข้าง เตรียมพร้อมป้องกันนายอีกคนทั้งจากคนนอกและคนในที่เดินตามหลังอยู่ แม้ปากจะบอกว่าถูกส่งให้มาเชิญไปพบและให้มาช่วยดูแลอีกที แต่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

“ครับ ไปกัน” ฝ่ายคนที่ตอนนี้สนใจเพียงจะได้เจอคนสำคัญในอีกไม่ช้าไม่ได้สนใจบรรยากาศกดดันระหว่างการ์ดสองกลุ่มเลยสักนิด ประมุขเอาแต่จ้องไปด้านหน้า เดินตามหลังอเล็กซ์ที่น่าจะเป็นคนติดต่อกับฝั่งเกรย์ไปแบบติดๆ

ภาพของชายหนุ่มชาวเอเชียรูปร่างสมส่วนที่ดูตัวเล็กลงไปมากเมื่อเทียบกับชาวฝรั่งเศสตัวใหญ่ที่รายล้อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบด้านได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนคนนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำเต็มยศไม่ต่ำกว่าสิบคน โชคดีที่ประมุขเคยชินกับการถูกจับจ้องเพราะได้ขึ้นเวทีมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กๆ ทั้งยังเคยอาศัยอยู่ในต่างประเทศมาแล้ว เขาจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลยสักนิด

อเล็กซ์ไม่ได้นำประมุขไปที่ส่วนห้องพักรับรองของสนามบินหรือที่พักแขกแบบที่เขาคิดในตอนแรก หากนำออกไปยังที่จอดรถวีไอพีทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่อยากให้คนที่ถูกห้อมล้อมเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ และแม้จะสงสัยมากเพียงใด ประมุขก็ยังก้าวเท้าเดินตามไปโดยไม่ได้ถามอะไรในทันที เขาเพียงกดปีกหมวกที่วิคเตอร์สวมให้ก่อนลงจากเครื่องให้ปิดบังใบหน้ามากขึ้น ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปให้เร็วที่สุด

ในวินาทีที่เดินไปถึงตัวรถยนต์คันหรูสีดำสนิท และอเล็กซ์เปิดประตูออกจนทำให้เห็นร่างสูงสง่าของคนที่แสนคิดถึงนั่งขมวดคิ้วจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กด้วยสีหน้าเย็นชา ประมุขเผลอเม้มปากระงับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งคนคนนั้นดันโน้ตบุ๊กออกให้พ้นทางและหันมายิ้มให้พร้อมอ้าแขนออก เขาจึงถลาเข้าไปซุกอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั่นอย่างรวดเร็ว

ได้เจอกันเสียที...

“คุณทำให้ผมอยู่คนเดียวได้ยากขึ้นเรื่อยๆ” เจ้าของเสียงอู้อี้ร้องบอกเหมือนจะไม่พอใจ หากน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้งมากมายที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด ซึ่งเกรย์ก็ไม่ได้คิดถาม เพราะความรู้สึกในยามนี้ของเขาไม่ได้แตกต่างกับของลูกแกะเลยสักนิด

“กลัวมากหรือเปล่า” เขากระซิบถามเสียงแผ่ว ขณะที่มือยังคงลูบหัวลูบหลังปลอบคนเก่งที่อดทนมาโดยตลอดไม่มีหยุด “อยู่ด้วยกันไม่ต้องโกหกแล้ว”

“ไม่เลย...” เจ้าของหัวทุยส่ายศีรษะโดยยังไม่ยอมเงยหน้า “ไม่สิ... อันที่จริงก็กลัวนั่นแหละ แต่ผมเชื่อใจคุณ เชื่อใจพี่การ์ดทุกคน แล้วก็อย่างที่คุณรู้...”

“หืม” เกรย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อลูกแกะเงยหน้าจ้องเขาตาแป๋ว

“ผมเป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว กลัวแป๊บเดียว พอมีเรื่องอื่นมาทำให้สนใจก็หายกลัวได้ง่ายๆ เพราะงั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเป็นผมก็จะบอกว่าเป็น ไม่ปิดบังเด็ดขาด”

“ทำไมถึงน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้นะ” ว่าจบก็บีบจมูกคนน่าเอ็นดูหนึ่งทีแล้วดึงเข้ามากอดไว้แน่น ดีที่เบาะนั่งของรถคันนี้เป็นเบาะคล้ายโซฟาขนาดใหญ่ พอลูกแกะมาเกาะติดเป็นตังเมแบบนี้จึงไม่ได้อึดอัดอะไรนัก

หลังจากรถออกตัวไปได้พักหนึ่ง บรรยากาศที่ดูสดใสในทีแรกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ เกรย์สังเกตเห็นอาการหนักอกหนักใจของลูกแกะน้อยได้อย่างชัดเจน แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เงยขึ้นมามองหน้ากัน เขาพอจะเข้าใจว่าประมุขเป็นอะไร เพราะตั้งแต่ที่เจ้าตัวลงจากเครื่อง อเล็กซ์ก็ส่งข้อความรายงานทุกอย่างตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และนั่นก็รวมถึงอาการและคำพูดทั้งหมดของประมุขในตอนที่คุยกับวิคเตอร์ด้วย

แรกๆ คงจะสะกดจิตตัวเองไม่ให้คิดมากได้ผล แต่พอลงจากเครื่อง ใกล้ต้องไปพบเจอพ่อกับแม่ของเขาจริงๆ ก็กลับมาวิตกกังวลอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก” เกรย์ลูบแก้มคนที่เอียงหัวพิงอกเขาไว้อย่างปลอบประโลม โน้ตบุ๊กที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานสำหรับใช้เฉพาะบนรถถูกดันไปไว้ด้านข้างโดยไร้ซึ่งคนสนใจ ในเวลานี้สิ่งที่อยู่ในสายตาของเกรย์มีเพียงลูกแกะน้อยที่เขากอดไว้เท่านั้น “ฉันไม่มีวันปล่อยมือแน่นอน ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม”

“คุณจะไม่มีปัญหากับครอบครัวใช่ไหม”

“กังวลเรื่องนี้เองเหรอ” คนฟังหัวเราะขำขันเมื่อได้รู้ว่าเรื่องที่อีกคนกังวลคืออะไร เขาใช้มือข้างหนึ่งจับมือลูกแกะไว้ ก่อนจะยกขึ้นมองระดับสายตาแล้วค่อยๆ ประสานนิ้วเข้าด้วยกันช้าๆ กระทั่งเห็นคนขี้กังวลมองตามด้วยความสนใจจึงดึงมือนั้นมากดจูบที่ข้อนิ้วเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“เกรย์...”

“ครอบครัวของฉันไม่ใช่ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา กินข้าวหรือทำกิจกรรมพร้อมกันทุกวันหรอกนะ ตั้งแต่เด็กๆ ที่ฉันต้องมีการ์ดตาม ต้องคอยเรียนรู้งานและอะไรต่างๆ มากกว่าเด็กทั่วไป เราก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันมานานมากแล้ว” เกรย์เขี่ยแก้มของคนที่ทำตาโตมองกันด้วยความตั้งใจสองสามที จากนั้นก็เชยคางลูกแกะให้สบตาเขาและพูดต่อด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ครอบครัวแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ลูกแกะต้องห่างกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังรักใคร่ กอดกัน พูดคุยกันได้อย่างสนิทใจ แต่สำหรับครอบครัวของฉัน เราเป็นทั้งครอบครัวและเป็นทั้งคู่แข่ง เป็นทั้งที่ปรึกษาและศัตรู ถึงจะไม่ทำร้ายกันหรืออยู่ข้างเดียวกัน หากยามที่ความคิดเห็นไม่ตรง ต้องแย่งชิงเพื่อกลายเป็นผู้ชนะ เราก็พร้อมจะใช้ทุกวิธีการ และพร้อมจะกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมเมื่อรู้ผลแล้ว พอจะเข้าใจที่ฉันอยากสื่อหรือเปล่า”

“หมายความว่าถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณไม่ชอบผม...”

“เราก็จะสู้จนกว่าจะได้ผู้ชนะ และกลับไปเป็นครอบครัวเหมือนเดิม” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะลูบหัวคนหน้ายุ่งที่พยายามคิดตามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้รางวัล “แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น”

“ไม่เหมือนยังไงเหรอ”

“ไม่เหมือนตรงที่เรื่องของลูกแกะฉันไม่มีทางแพ้เด็ดขาด”

ในพจนานุกรมของเกรย์ไม่มีคำว่าแพ้ ตั้งแต่เริ่มต่อกรกับครอบครัว แย่งชิงพื้นที่หรือแหล่งเงินตรามากมายเพื่อฝึกปรือฝีมือกับพ่อแม่ตัวเอง เขาเคยแพ้เพียงครั้งเดียวคือครั้งแรกเริ่ม สมัยที่ยังไม่เข้าใจว่าจะชนะไปทำไม เพราะแบบนั้นจึงได้รับความเคารพมากมาย แม้แต่พ่อแม่ก็ชูคอบอกว่าลูกชายมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าตัวเอง และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน...ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องแข่งเลยด้วยซ้ำ เพราะมันเห็นผลตั้งแต่แรกแล้ว

“พ่อแม่ของคุณเคยหาลูกสะใภ้ให้บ้างหรือเปล่าครับ” เสียงใสๆ ของลูกแกะน้อยช่างพูดดึงเกรย์ออกจากภวังค์แห่งความมืดมิดได้เหมือนเช่นทุกครั้ง เขายกยิ้มให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะต้องนิ่งคิดไป เพราะเป็นพวกจำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สนใจไม่ค่อยจะได้นัก

“เคย”

“จริงเหรอ เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”

จากที่นึกออกแค่รางๆ กลายเป็นเกรย์ต้องนั่งนึกอยู่นานเพื่อทำให้ลูกแกะสบายใจ กว่าจะจำได้ว่าเรื่องราวในนั้นเป็นอย่างไรก็ต้องให้ปีเตอร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังกระซิบเตือน พอถูกสะกิดเข้าหน่อยเรื่องราวในคราวนั้นก็ไหลเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ แม้จะจำหน้าคนที่แม่คิดจะจับคู่ให้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังพอจำรายละเอียดได้บ้าง

“ตอนนั้นเหมือนจะไปงานวันเกิดเพื่อนพ่อสักคน น่าจะสี่ห้าปีก่อน...”

“เพิ่งจะปีก่อนครับนาย”

“เหรอ...” เกรย์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินถ้อยคำที่ปีเตอร์กระซิบบอก คิดว่าผ่านมานานมากแล้วเสียอีกถึงจำไม่ได้ กลายเป็นเพิ่งปีก่อนซะอย่างนั้น “อา...นั่นแหละ เหมือนจะเป็นลูกสาวเจ้าของวันเกิดที่พ่อฉันพามาแนะนำ แล้วแม่ก็ดูจะถูกใจพอสมควร คงเพราะเป็นตระกูลมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม”

“ถ้าต้องแต่งงานกับใครสักคนเพราะชื่อเสียงกับฐานะทางสังคม แบบนั้นจะมีความสุขจริงๆ เหรอ”

“แปลก... ทำไมทำน้ำเสียงไม่พอใจแบบนั้นล่ะ” พอก้มลงมองก็พบว่าลูกแกะน้อยขมวดคิ้วจนหน้ายู่ ท่าทางไม่พอใจอย่างหนัก ไม่แตกต่างจากน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดเลยสักนิด “ปกติลูกแกะไม่เคยหงุดหงิดแบบนี้เลยนะ”

“ผมไม่ชอบเรื่องพวกนี้ คุณก็รู้ว่าแม่เป็นคนยังไง พอพูดถึงชื่อเสียง พูดถึงฐานะขึ้นมาก็อดหงุดหงิดไม่ได้” ว่าจบก็ถอนหายใจเฮือกแล้วทำหน้าหงอยซุกเข้าหาอกเขามากขึ้น “ทำไมผู้ใหญ่ที่มีหน้ามีตาทางสังคมถึงได้มองเปลือกนอกมากกว่าภายในนะ ถึงในความเป็นจริงมันจะมีส่วนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรจะเอามาเป็นเกณฑ์ตัดสินหลัก เลือกคนนั้นคนนี้ให้ลูกทั้งที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอไม่ใช่หรือไง”

“นั่นสินะ... แล้วลูกแกะคิดว่าคนแบบไหนจะเหมาะกับฉันล่ะ” เกรย์กลั้นยิ้มจนปวดแก้มเมื่อลูกแกะเงยหน้าจ้องเขาตาแป๋ว แววตาแสดงออกถึงความมั่นอกมั่นใจจนเต็มเปี่ยม

“แน่นอนว่าต้องเป็นผม... หมายถึงผมคนเดียวนะ ไม่ใช่คนแบบผม”

“คนเดียวเลยเหรอ”

“คนเดียวสิ ไม่มีใครทำให้คุณได้เท่าผมหรอก”

“ไม่เถียง” คนที่ใครๆ ต่างมองว่าน่ากลัวในยามนี้ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม สองมือใหญ่ประกบลงบนแก้มใสของคนน่าเอ็นดู ประคองให้เจ้าของใบหน้าขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากบางเบาๆ ก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว “รางวัลของคนเก่ง”

.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.12]=[P.6]==[10/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 28-02-2019 21:23:36


“ระ...รางวัลเหรอ” ลูกแกะคนเก่งทำตาโต จากที่ไม่เคยเขินเคยอายอะไรเท่าไหร่ ยามนี้สองแก้มแดงก่ำน่าเอ็นดู เหมือนจะอึ้งค้างไปนาน ถูกรวบเข้าไปกอดก็ยังไม่รู้สึกตัว

“ไม่อยากฟังต่อแล้วเหรอว่าฉันจัดการยังไง”

“อยาก...อยากครับ”

เกรย์กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นด้วยความมันเขี้ยว ซ้ำยังโคลงตัวลูกแกะของเขาไปมาราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ครั้งนี้ยินยอมไม่ดันใบหน้าอีกคนให้เงยมองกันเพราะสงสาร แค่ลูบหัวปลอบธรรมดา รอให้เจ้าตัวหายจากอาการเขินไปเองเท่านั้น

“ตอนนั้นเหมือนฝ่ายผู้หญิงก็สนใจฉันมากพอควร แรกๆ ทั้งพยายามเข้าหา พยายามมาเกาะแกะน่ารำคาญตลอดเวลา ฉันเลยบอกเธอว่าการอยู่ข้างกายฉันต้องโดนเพ่งเล็งชีวิตแทบจะตลอดเวลา ไม่รู้ว่าต้องตกอยู่ในอันตรายวันละกี่รอบ ซึ่งแน่นอนว่าฉันปกป้องคนของฉันได้ แต่ว่า...คนที่พ่อแม่เลือกไม่ถือเป็นคนของฉัน ถ้าคิดจะมาเป็นสะใภ้บ้านนี้แล้วดูแลตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพากันได้ก็ลองดู”

“ใจร้ายจัง...แล้วเธอว่ายังไงบ้าง”

“ก็เหมือนจะตกใจพอควร แต่โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นฉลาด ได้ยินแค่นั้นก็ยิ้มแล้วบอกว่าเข้าใจ ทั้งยังพูดว่าคนของฉันจะต้องน่ารักมากแน่ๆ คงเพราะคำพูดประโยคนั้นเราเลยยังติดต่อธุรกิจกันได้อยู่”

แม้ตอนนี้เขากับเธอจะไม่ได้พูดคุยกันมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่หากได้เจอกันและถูกทักทายในงานเลี้ยงต่างๆ เกรย์ก็คงจะพูดคุยเรื่องธุรกิจอื่นๆ ได้เช่นเดิม หมายถึงถ้าจำหน้าได้นะ เพราะนอกจากจะฉลาดแล้วเธอคนนั้นยังมองออกได้ทะลุว่าเขาชื่นชอบอะไร และรู้ดีว่าเขามีคนของตัวเองอยู่แล้วโดยไม่ต้องพูดตรงๆ ลักษณะนิสัยที่ดูไม่จู้จี้น่ารำคาญเหมือนช่วงแรกทำให้เขาพอใจไม่น้อย โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่าลูกแกะจะต้องน่ารักมากแน่ๆ...

ก็มันเป็นความจริงนี่นะ

“แล้วพ่อแม่คุณไม่ว่าอะไรเหรอ” คนขี้สงสัยที่น่าจะลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเป็นคำถาม แต่พอสบตาได้พักเดียวก็เหมือนจะนึกออกขึ้นมาอีกรอบ ถึงได้รีบหลุบตาหลบยกใหญ่แล้วกลับไปซุกอกกันเหมือนเดิม เกรย์มองท่าทางเหล่านั้นพร้อมรอยยิ้ม ตัดสินใจยอมปล่อยไปเพราะไม่อยากให้ลูกแกะเขินจนตัวแตก

“จะว่าอะไรได้ พอพูดกันแบบส่วนตัวจนเข้าใจ ทั้งฉันและเธอต่างไม่ได้คิดหรือพยายามเข้าหากันต่อ สุดท้ายพวกผู้ใหญ่ก็เงียบไปเอง”

“แล้ว...ผมต้องเตรียมตัวอะไรไหม หมายถึงก่อนไปเจอพ่อแม่คุณ”

“ไม่ทันแล้ว” จบคำพูดของเกรย์ รถคันหรูก็จอดนิ่งไปในที่สุด ลูกแกะน้อยในอ้อมแขนของเขาที่นิ่งเงียบมาตลอดสะดุ้งจนตัวโยน รีบเด้งไปนั่งบนเบาะด้านข้างแล้วเปิดม่านมองออกไปด้านนอกด้วยท่าทีตกอกตกใจ

“ทำไมไวแบบนี้!”

“อันที่จริงก็ไม่ได้ไวนะ...” เป็นเพราะเขาตั้งใจชวนคุยให้ลูกแกะผ่อนคลายต่างหาก แต่เหมือนจะผ่อนคลายเกินไปนิด พอถึงเวลาเลยแตกตื่นแบบนี้ “ลูกแกะ หันมามองฉัน”

“อือ” ถึงจะทำเหมือนสติแตกขนาดไหน เมื่อได้ยินเกรย์บอกให้ทำอะไร ประมุขก็หันไปทำตามแทบจะทันทีโดยไม่คิดถาม เขาหันกลับไปหาคนเรียก จ้องมองดวงตาสีฟ้าแสนสงบคู่นั้นอยู่นานจนรู้สึกใจชื้นขึ้นจึงบีบมืออีกคนตอบเพื่อสร้างกำลังใจ

“ลูกแกะแค่เป็นตัวเองก็พอ... โอเคไหม”

“แค่...เป็นตัวเองเหรอ” ประมุขแสดงสีหน้าไม่มั่นใจนัก เพราะเคยโดนด่าว่าซื่อบื้อบ่อยๆ ความมั่นใจเรื่องนิสัยของตัวเองจึงแทบเป็นศูนย์ แต่เพียงแค่คิดจะทำหน้าหงอยก็ถูกฉุดดึงให้หันกลับไปสนใจคนที่เริ่มขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่พอใจอีกครั้ง

“ใช่สิ ขนาดฉันคนนี้ยังหลงรักลูกแกะที่เป็นตัวเอง แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอีก สนใจแค่ฉันก็พอ เชื่อเถอะว่าสองคนนั้นใจแข็งได้ไม่นานหรอก”

ลูกแกะตัวน้อยที่เชื่อฟังคำพูดของเกรย์ยิ่งกว่าอะไรมาตั้งแต่แรกยอมพยักหน้าเมื่อถูกจ้องด้วยแววตามั่นคงไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งใด หลังจากชาร์จพลังโดยการบีบมือคนตัวสูงอยู่นานเกือบนาที ในที่สุดเขาก็ยอมเดินลงจากรถ ปล่อยให้การ์ดเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังตามปกติ ขณะที่สายตากวาดมองสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตรงหน้านิ่งงัน

‘บ้าน’ ของพ่อแม่เกรย์ไม่ใช่บ้านธรรมดาๆ แต่เป็นคฤหาสน์หรูที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ มีบอดี้การ์ดยืนอยู่ตามจุดต่างๆ หลายจุด ยังไม่นับบรรดาพวกที่เฝ้าอยู่นอกรั้วซึ่งประมุขไม่ทันมองเพราะมัวคุยกับเกรย์อยู่บนรถอีกไม่รู้กี่คน มองๆ ไปแล้วที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นแหล่งกบดานของคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น

“ที่นี่เป็นบ้านพักส่วนตัวของครอบครัวฉัน ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาโดยพลการ เว้นแต่ว่าจะมีคนในพาเข้ามา...ซึ่งก็ไม่มีมานานมากแล้ว” เกรย์ก้าวเท้าลงไปยืนข้างลูกแกะที่มองทางเข้าบ้านของเขาตาลอย ก่อนจะจับมืออีกคนไว้ เรียกให้ลูกแกะกลับมาได้สติอีกครั้ง “อย่างที่เห็นว่าค่อนข้างจะเล็ก ไม่ได้มีพื้นที่มากมายเท่าไหร่ เอาไว้ตอนว่างๆ ฉันจะพาลูกแกะข้ามไปที่เกาะส่วนตัว ที่นั่นสวยกว่านี้หลายเท่า”

“นี่เล็กเหรอ...”

“เล็กสิ ไม่กี่ร้อยไร่เอง” เขาทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นลูกแกะน้อยมองมาด้วยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“เอาเถอะ... ผมพร้อมแล้ว” คนน่ารักสูดหายใจเข้าแล้วยิ้มอย่างสดใส ทำให้โลกที่ดูมืดมนของเขามีสีสันตามไปด้วย เกรย์กระชับมือที่จับไว้ให้แน่นขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มกลับไปให้ และค่อยๆ พาลูกแกะเดินเข้าไปด้านใน โดยไม่มีการ์ดคนใดก้าวเท้าตามเข้าไปแม้แต่คนเดียว

พื้นที่ด้านในของบ้านขนาดใหญ่กว้างขวางมากจนมองแทบไม่ออกว่าต้องเดินไปทางใดจึงจะถูก ประมุขได้แต่หันซ้ายหันขวามองการประดับตกแต่งที่ดูงดงามและมีราคาอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟ แจกัน กระทั่งของชิ้นเล็กๆ ที่ใช้วางตกแต่งก็ดึงดูดความสนใจของเขาได้หมด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกจูงมือไว้ เห็นทีคงวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ตามนิสัยคนชอบของแปลกไปแล้ว

“ลูกแกะ...”

“ครับ” ประมุขหันไปตอบรับคำเรียกพร้อมรอยยิ้ม หากยังไม่ทันได้ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เสียงแก้วกระทบโต๊ะที่ดูจงใจทำให้ได้ยินก็ดังขึ้นแบบพอดิบพอดี

“ยืนทำอะไรไร้มารยาทอยู่ได้ ทำไมไม่เข้ามาทักทายเจ้าของบ้าน”

ประมุขกะพริบตาปริบๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นจากห้องที่เปิดประตูทิ้งไว้ทางด้านขวา ขณะที่เกรย์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังจูงมือคนข้างกายเดินเข้าไปในนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร

ห้องรับแขกที่แยกมาจากโถงกลางอีกทีเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามไม่ต่างจากด้านนอก หากสิ่งที่ทำให้ประมุขสนใจมากที่สุดในยามนี้ไม่ใช่ชั้นวางของที่เต็มไปด้วยของมีราคา หรือโคมไฟระย้าที่น่าจะแพงระยับ แต่เป็นสองสามีภรรยาชาวฝรั่งเศสที่นั่งนิ่งจิบชาอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่ตรงหน้าเขา

ชายวัยกลางคนที่ยังคงดูดีและหน้าตาคล้ายเกรย์เกินหกส่วน กับหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ดูราวอายุสามสิบต้นๆ ทั้งที่จริงๆ ควรจะมากกว่านั้น พวกเขาดูราวกับไม่ใช่คนธรรมดาในสายตาของประมุข เพราะนอกจากจะมีใบหน้าเยือกเย็นราวกับคนที่ผ่านโลกมามาก บรรยากาศกดดันรอบกายยังชัดเจนเสียจนคนสบายๆ อย่างเขายังสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน

“จะไม่แนะนำตัวหรือไง” หญิงสาวที่นั่งหน้านิ่งคนเดิมพูดซ้ำเป็นเชิงเตือน ขณะหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทางของผู้ดีมีมารยาท

“สวัสดีครับ” ประมุขที่เพิ่งรู้สึกตัวปล่อยมือเกรย์ออก ก่อนจะยกมือไหว้แล้วยิ้มกว้างตามนิสัย “ผมชื่อประมุขครับ”

“เรียกฉันว่า...” เจ้าของบ้านเหลือบตามองประมุขด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่เพียงแค่เอ่ยประโยคถัดมา ใบหน้าของคนร่าเริงก็ดูซึมลงไปเล็กน้อยในทันที “คุณผู้หญิง”

“ไม่ต้อง”

“เกรย์...” ลูกแกะน้อยหันกลับไปมองคนพูดแทรกอย่างตกใจ ไม่คาดคิดว่าเกรย์จะตัดบทคำพูดของแม่ตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบนั้น

“ผมไม่ได้พาเขามาที่นี่เพื่อเป็นคนนอก และยิ่งไม่ได้พามาเพื่อเป็นคนใช้หรือบอดี้การ์ด เพราะงั้นไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเรียกคุณแบบนั้น”

“ไร้มารยาท”

“พอได้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำของชายผู้อยู่เหนือทุกคนในบ้านดังขึ้นเป็นการตัดบทสนทนาระหว่างลูกชายกับภรรยาของตัวเอง เอริคจ้องมองคาร่าเป็นเชิงปราม ก่อนจะหันกลับไปมองคนมาใหม่ที่ดูตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวแฝงอยู่ในดวงตาเลยแม้แต่น้อยเป็นเชิงสำรวจ ดวงตาคู่คมที่เหมือนเกรย์ราวถอดแบบกันมากวาดมองร่างของประมุขอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็หันกลับไปมองลูกชายที่ยืนสงบนิ่ง หากสีหน้ากลับบ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมปกป้องคนข้างกายตลอดเวลา “พาเขาไปพัก พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน”

“คุณคะ...”

“ขอบคุณครับพ่อ” เกรย์พยักหน้าให้บิดาเล็กน้อยแล้วหันไปจับมือลูกแกะที่ยังดูจับต้นชนปลายไม่ถูก กึ่งลากกึ่งจูงให้เดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้คุณผู้หญิงของบ้านมองตามด้วยท่าทางไม่พอใจไปจนสุดสายตา

“ทำไมปล่อยให้ไปง่ายแบบนี้” คาร่าหันไปมองสามีที่ยังคงยกน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทีไร้อารมณ์ “เอริค คุณก็รู้ว่าเด็กนั่นเป็นคนธรรมดา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า...”

“อย่าพูดว่าเขาไม่รู้ คุณส่งคนไปเล่นงานเขามาแล้วไม่ใช่หรือไง”

“เรื่องนั้น...”

“ทำอะไรให้มันมีขอบเขตบ้าง ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเรา อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย คุณอยากจะทดสอบเขาหรืออยากจะผลักเขาออกไปผมไม่ว่า แต่อย่าได้เล่นนอกกติกาของกฎหมายโดยเด็ดขาด” ดวงตาคมดุดันมองหน้าภรรยาเป็นเชิงตักเตือน แม้แต่น้ำเสียงก็เข้มขึ้นหลายส่วน “อย่าลืมว่าคุณเป็นคนปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดมาถึงขั้นนี้เอง ทั้งที่มีโอกาสกำจัดเขาทิ้งตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่เกรย์ยังไม่แข็งแกร่งพอแล้ว”

“นั่นเพราะฉันไม่คิดว่าลูกจะจริงจังถึงขั้นนี้”

“แล้วยังจะโทษใครได้อีกเล่า...” เอริคทอดถอนใจเบาๆ เพราะเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างจากภรรยาเท่าไหร่นัก “แน่นอนว่าผมไม่ได้ชอบใจที่คนรักของลูกเป็นผู้ชาย แต่คุณก็รู้ว่าสิ่งที่ผมไม่ชอบยิ่งกว่าคืออะไร เพราะงั้นอย่าได้ทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง”

“คุณพูดเหมือนยอมรับได้”

“ได้หรือไม่ได้ผมจะตัดสินใจเอง คุณอยากทำตัวเป็นแม่ใจร้ายก็ทำไป แต่อย่าลืมแล้วกันว่าถ้าลูกชายของคุณโมโหขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผมก็ช่วยคุณไม่ได้หรอกนะ” พูดจบผู้นำของบ้านก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ ทิ้งให้คุณผู้หญิงถอนหายใจและส่ายหน้าอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง

“เหมือนกันแทบทุกอย่าง...”


 --------------------



สำคัญ : สำหรับคนที่ต้องการเก็บน้องมุขแบบเป็นรูปเล่ม รบกวนเข้าไปทำแบบสอบถามความต้องการให้หน่อยนะคะ

ลิงก์แบบสอบถาม: https://drive.google.com/open?id=1_rJXCX8iXW144Pv9nqF6n8KfdNoAq9SwbGy33lYMLOw (https://drive.google.com/open?id=1_rJXCX8iXW144Pv9nqF6n8KfdNoAq9SwbGy33lYMLOw)


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 28-02-2019 22:21:15
คุณพ่อนิสัยโอเคเลย....รับได้ไม่ได้นั้นต้องดูกันต่อไป
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-02-2019 22:56:52
เดี๋ยวคุณแม่ก็ใจอ่อนเนอะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2019 00:10:54
ยังดีที่คุณพ่อพอจะรับฟัง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2019 06:26:32
สรุปตระกูลนี้ใครใหญ่สุด  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 01-03-2019 13:50:25
 :pig4:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 01-03-2019 18:10:47
เปนครอบครัวที่อบอุ่นมากเกิ๊นน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 01-03-2019 21:01:14
ที่คุณพ่อเตือนคุณแม่นี่ กลัวเกรย์ถล่มบ้านสินะ :try2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-03-2019 11:24:42
ประมุขน่าเอ็นดู ถึงจะกลัว แต่แค่มีเกรย์อยู่ ไม่ต้องห่วงอะไร

เกรย์เหมือนได้ดวงใจมาไว้กับตัวอีกครั้งน่ะ กอดฟัดมาก

ชอบทีมการ์ดที่เอ็นดูประมุข และทำให้น้องสบายใจได้บ้าง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 07-03-2019 22:51:11
เราว่าพ่อเกรย์น่าจะเอ็นดูมุขอยู่น้าาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 09-03-2019 21:04:39
-14-



“ลูกแกะ...”

“…”

“ตื่นได้แล้ว”

“ฮื่อ”

เกรย์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีของเด็กว่าง่ายที่ปกติไม่เคยดื้อ ท่าทางคงจะง่วงมากจริงๆ ถึงงอแงแบบนี้ ตอนอยู่ไทยแค่เรียกนิดเดียวก็ยอมลืมตาขึ้นมาอ้อนกันแล้วแท้ๆ ที่วิคเตอร์บอกว่าอยู่บนเครื่องเอาแต่นอนเกือบตลอดเวลาคงจะจริง เพราะเมื่อคืนกว่าเจ้าตัวจะหลับได้ก็พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบ พอต้องสลับเวลาไปหมดถึงได้ดูงัวเงียจนน่าสงสาร

ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนเขาคงจะปล่อยให้นอนตามสบาย แต่นี่ไม่ใช่...

“ลูกแกะ เราต้องลงไปกินข้าวพร้อมพ่อแม่นะ” เขากระซิบบอก ขณะที่มือยังคงลูบแก้มขาวของคนง่วงนอนเบาๆ ในช่วงแรกดูราวกับลูกแกะน้อยคล้ายจะหลับไปแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น แต่แล้วเมื่อเกรย์ทำท่าจะผละออก ปล่อยให้อีกคนนอนต่อตามใจ มือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้แน่น หันไปมองอีกทีก็เห็นคนที่เมื่อครู่ดูง่วงงุนเกินกว่าจะลุกเบิกตาโตมองเขาคล้ายเห็นผี

“เกินเวลากินข้าวหรือยังครับ!”

“ก็...อีกสิบนาที”

“ผมจะรีบอาบน้ำ” ว่าจบเจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัว วิ่งตึงตังเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งให้คนปลุกนั่งกะพริบตาปริบๆ มองตามอยู่เพียงลำพัง กว่าเกรย์จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตอนที่ลูกแกะน้อยเดินออกมาจากห้องน้ำในเวลาห้านาทีต่อมา

“ไม่ต้องรีบมากก็ได้” เขาบอกคนตัวขาวที่รีบคว้าหยิบเสื้อผ้ามาใส่เหมือนจะรีบร้อนไปไหน

“ไม่รีบได้ยังไง ถ้าลงไปสายเดี๋ยวพ่อแม่คุณจะตำหนิเอา”

“ไม่หรอก”

“ต่อให้ไม่ว่าก็คงตัดคะแนนในใจแน่ๆ จากที่ติดลบอยู่แล้วจะติดลบหนักกว่าเดิมนะครับ”

ที่แท้ก็มีคนไม่อยากถูกตัดคะแนน...

เกรย์คว้าแขนคนที่ตั้งท่าจะวิ่งออกไปจากห้อง ก่อนจะดึงรั้งให้เจ้าตัวนั่งลงข้างกาย มือลูบหัวลูบหางจนลูกแกะขนฟูที่ดูเร่งรีบจนน่าตลกใจเย็นขึ้นแล้วจึงพูดต่อ

“คิดจะทำอะไร ไหนบอกมาสิ”

“ผมจะทำให้พ่อแม่คุณยอมรับให้ได้” คนฟังตอบง่ายๆ แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงจริงจัง คล้ายคนที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างได้แล้ว “เมื่อคืนที่นอนไม่หลับก็เพราะคิดกังวลเรื่องนี้ด้วย แต่พอนึกไปนึกมากลายเป็นคำตอบมันง่ายแค่นี้เอง ในเมื่อพ่อแม่คุณไม่ชอบ ให้คะแนนติดลบอยู่ ผมก็แค่ต้องเพิ่มคะแนนพวกนั้นขึ้นมา ทำให้พวกท่านยอมรับให้ได้”

“ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้” เกรย์ทอดสายตามองลูกแกะอย่างอ่อนโยน ไม่รู้จะกลั้นยิ้มได้อีกนานแค่ไหน ทั้งที่เมื่อคืนเขาอุตส่าห์ปลอบให้หายคิดมาก บอกว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้แท้ๆ เพราะถึงอย่างไรหากเขาไม่ยอม จะพ่อหรือแม่ก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับอะไรทั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่ยอมดันเป็นคนข้างกายเสียนี่

“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สบายใจถ้าคุณกับครอบครัวต้องผิดใจกัน ถึงคุณจะบอกว่าสุดท้ายใครชนะ อีกฝ่ายก็ต้องยอมลง แต่คุณกับผมจะมีความสุขจริงๆ เหรอที่ได้รับการยอมรับแค่เพียงเพราะพวกเขาไม่อยากสู้ต่อ ผมอยากให้เราชนะจริงๆ มากกว่า ถ้าพ่อแม่คุณยอมรับผมจากใจเมื่อไหร่ นั่นต่างหากที่หมายถึงชัยชนะจริงๆ”

เกรย์จ้องมองใบหน้าจริงจังที่ดูน่ารักน่าชังในสายตาของเขาเอามากๆ แล้วนิ่งงันอยู่นานนับนาที กระทั่งถูกเจ้าของดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเขย่ามือไปมาเป็นเชิงเรียกสติ เขาจึงหลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“หัดพูดแบบนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่หืม”

“ผมก็จริงจังเป็นหรอก” ประมุขยืดอกขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะโอ้อวด แต่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปดูลุกลี้ลุกลนเหมือนเดิม ยามหันไปเห็นนาฬิกาที่กำลังจะบอกเวลาเจ็ดโมงตรงในอีกไม่ถึงหนึ่งนาที “รีบไปเร็วเข้า!”

แม้นึกอยากมองท่าทางน่ารักน่าชังนั่นให้นานกว่านี้อีกสักนิด แต่ขืนยังลีลาเล่นตัวไม่ยอมตามลงไปเสียที ลูกแกะคงได้โทษว่าเขาทำให้ตัวเองถูกลดคะแนนเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นเจ้าของร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ เดินตามคนที่แทบจะวิ่งไปยังห้องอาหารช้าๆ ไม่ได้เร่งรีบแต่ก็ไม่ปล่อยให้ละสายตา

ประมุขทำให้แม่บ้านและสาวใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาแตกตื่นไปหมด เมื่อเขาไม่รู้ว่าห้องอาหารอยู่ที่ส่วนไหนของคฤหาสน์กว้างขวางที่มีห้องเป็นสิบ เดินไปเดินมาก็เริ่มงงจนต้องวิ่งกลับไปหาคนที่เดินยิ้มตามมาด้านหลัง ซึ่งดูเหมือนจะรู้ทางดีแต่ไม่ยอมพูดอะไร ครั้นจะหันไปถามคุณแม่บ้านทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าพวกเธอพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า

“รีบพาผมไปห้องอาหารเร็วเข้า... ไหนบอกว่าที่นี่เล็กไง เล็กตรงไหนเนี่ย แค่ในบ้านก็หลงจนปวดหัวไปหมดแล้ว” ลูกแกะผู้ได้มาเหยียบบ้านของมหาเศรษฐีเป็นครั้งแรกบ่นงึมงำ เหมือนจะหงุดหงิดนิดหน่อยแล้วด้วยที่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที “เกินเวลามาสองนาทีแล้ว...”

เกรย์รีบจับมือคนหน้างอเอาไว้แล้วดึงรั้งให้เดินตามไปในทิศทางตรงกันข้าม ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คงต้องบอกว่าเขาชื่นชอบท่าทีของลูกแกะตัวน้อยเอามากๆ ทั้งหน้าตาเวลากังวลหรือหงุดหงิดล้วนแล้วแต่น่ามองไปหมด หากเป็นไปได้ก็อยากจะยืนมองทั้งวัน น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลา และเขาก็ควรพาอีกฝ่ายไปกินข้าวเสียที

“มาอยู่บ้านคนอื่นวันแรกก็ลงมาสายแล้ว” เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตห้องอาหารกว้างขวางที่มีโต๊ะตัวยาวสำหรับคนเป็นสิบแบบเดียวกันกับที่ประมุขเคยเห็นในหนัง คุณผู้หญิงที่นั่งเรียบร้อยอยู่ข้างเจ้าของบ้านก็ส่งแววตาตำหนิติเตียนพร้อมคำพูดเชือดเฉืิอนมาให้

“ขอโทษครับ” ลูกแกะน้อยได้ฟังความผิดก็หงอลงเล็กน้อย หากยังไม่ทันให้เกรย์พูดอะไรขึ้นมา เจ้าตัวก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสดใส “ผมยังไม่รู้ทิศทางในบ้านเลยเดินหลงไปหมด จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอนครับ”

คำพูดที่จะมองเป็นการถือดีหรือการเถียงก็ได้หากคนฟังต้องการดูอ่อนนุ่มลงเกือบเก้าสิบเปอร์เซนต์ยามออกมาจากปากของคนที่ดูใสซื่อทั้งดวงตาและนิสัย กระทั่งคาร่าที่จ้องจับผิดคนของลูกชายแทบทุกฝีก้าวยังไม่เอ่ยอะไรออกมา มีเพียงเกรย์เท่านั้นที่มองบรรยากาศของห้องอาหารด้วยสีหน้าพอใจ

“ลูกแกะ... ไปนั่งเถอะ”

“จริงด้วย” คนที่ถูกเตือนเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเขินแบบเด๋อๆ ขณะก้าวเท้าไปนั่งลงด้านข้างเกรย์ที่นั่งอยู่ข้างเจ้าของบ้านอีกที

หลังจากที่ได้รับสัญญาณจากเจ้าภาพ อาหารก็เริ่มทยอยจัดขึ้นโต๊ะทีละอย่างๆ ประมุขจ้องมองช้อนส้อมหลายคันที่วางอย่างเป็นระเบียบตามตำแหน่งที่เขาไม่รู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรบ้างแบบเกร็งๆ หากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็สั่งให้แอบมองคนข้างกายแล้วหยิบช้อนใช้ตามอย่างถูกต้องทุกท่วงท่า แม้จะไม่ได้ดูสง่างามเท่าเจ้าบ้านหรือคุณหญิงของบ้าน แต่แค่เห็นว่าเกรย์ก็ไม่ได้รักษาท่าทีเป็นคุณชายอะไรขนาดนั้น เขาก็พอจะทำใจให้กินข้าวแบบธรรมดาๆ ที่พยายามให้ดูสุภาพมากกว่าเดิมนิดหน่อยได้โดยไม่รู้สึกแปลกประหลาด

หลายครั้งหลายคราที่คุณผู้หญิงเหลือบมองดูแขกอยู่บ่อยครั้ง ทว่าผ่านไปไม่นาน คนที่ดูเกร็งอยู่ไม่น้อยก็ทำตัวเป็นธรรมชาติ ยิ้มแย้มทานอาหารด้วยท่าทีเช่นคนธรรมดา หากแต่ดูเอร็ดอร่อยอย่างมากไปจนหมดจาน ซ้ำยังแอบหันไปชูนิ้วโป้งให้บรรดาเมดสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังจนพวกเธอหลุดยิ้มกันเป็นแถว

“ถูกปากหรือเปล่า”

โดยไม่คาดคิด... จู่ๆ ผู้ที่นั่งเงียบอยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะมาโดยตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ทำเอาคาร่าหันไปมองอย่างตกใจ เกรย์เองก็เลิกคิ้วประหลาดใจไม่น้อย หากคนที่ได้ยินคำถามและไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดกลับยิ้มกว้าง หันไปหาแล้วพยักหน้าหงึกๆ อย่างอารมณ์ดี

“อร่อยมากๆ เลยครับ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กินอาหารที่พูดได้เต็มปากว่าชอบสุดๆ แบบนี้ น่าจะตั้งแต่ที่เริ่มทำอาหารกินเองได้ แล้วพี่ชายที่ทำอาหารอร่อยมากๆ ก็ไม่ยอมทำให้กินอีกเลย” พอได้พูดถึงพี่ชายประมุขก็ลอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้ แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าชื่นชมฮ่องเต้มากขนาดไหน “จริงด้วย... คุณท่านกับคุณผู้หญิงอยากลองกินอาหารไทยบ้างไหมครับ ตั้งแต่กลับมาเรียนที่ไทยผมก็ฝึกทำอาหารไทยได้หลายอย่างเลย”

“ลูกแกะ...” เกรย์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่ลูกแกะน้อยของเขาใช้เรียกพ่อแม่ เมื่อวานก็บอกชัดแล้วแท้ๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเรียกแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าออดอ้อนของคนด้านข้างที่ดูไม่ได้คิดอะไรมากกับคำเรียกที่ไร้ซึ่งความสนิทสนม เขาก็ได้แต่ทอดถอนใจแล้วปล่อยเลยตามเลย

“ฉันไม่ทานอาหารไทย”

“คุณผู้หญิงไม่ชอบอาหารไทยเหรอครับ” ประมุขรีบหันไปถามพร้อมรอยยิ้ม กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าถ้าไม่ชอบอาหารไทย เขายังทำอาหารชาติอื่นๆ ได้อีก ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปาก คำพูดถัดมากลับทำลายความหวังและรอยยิ้มบนใบหน้าจนหมดสิ้น

“เปล่า ฉันไม่ชอบเธอต่างหาก”

คนพูดบอกตามตรงโดยไม่ได้คำนึกถึงความรู้สึกของใคร แต่คนฟังกลับจ๋อยสนิททั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้ว คงต้องยอมรับว่าการถูกใครคนหนึ่งบอกว่าไม่ชอบตรงๆ เป็นครั้งแรกแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกกันมากพอดู ประมุขตักข้าวเข้าปากแบบหงอยๆ อยู่สองสามคำ ขณะที่เกรย์จ้องหน้าแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าพ่อของเขากำลังจ้องมองลูกแกะน้อยอย่างพิจารณา เหมือนกำลังรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ เขาไม่มีทางยอมให้แม่มาทำให้คนสำคัญหงอยแบบนี้แน่

ประมุขไม่ทำให้ใครผิดหวัง เมื่อผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีเจ้าตัวก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม และไม่เพียงไม่เมินเฉยต่อสิ่งที่คาร่าพูด แต่เขายังผงกหัวขออนุญาตอย่างสุภาพ แล้วหันกลับไปหาบรรดาเมดสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง

“ถ้าว่างๆ...ผมขอเข้าไปช่วยงานในครัวหน่อยนะครับ อย่างน้อยเข้าไปดูก็ยังดี”

“อะ...ค่ะ” พวกเธอตอบรับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแตกตื่นที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิด แม้สำเนียงภาษาฝรั่งเศสของผู้มาใหม่จะดูแปร่งๆ หรือติดขัดไปบ้าง แต่ก็ยังฟังรู้เรื่องและสัมผัสถึงความตั้งใจได้อย่างชัดเจน

“ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ คุณยังไม่ชอบกันตอนนี้ก็ไม่เป็นไร”

“…” คนที่ถูกจ้องด้วยแววตามุ่งมั่นไม่ได้ตอบอะไร เพียงเบนสายตาออกและยกน้ำขึ้นจิบเท่านั้น โชคยังดีที่มีคนชวนคุยต่อ ลูกแกะน้อยที่ถูกเมินจึงไม่มีเวลาเศร้ามากนัก

“พูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วยเหรอ” ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวโต๊ะส่งเสียงถามเป็นภาษาอังกฤษ ใบหน้าเย็นชาไม่แตกต่างจากเกรย์ฉายชัดถึงความประหลาดใจ

“พยายามฝึกอยู่ครับ เพิ่งจะมาเริ่มศึกษาจริงจังก็ช่วงนี้ แต่ถ้าฟังเวลาเกรย์พูดเร็วๆ ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม” คำอธิบายตามความจริง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปทำให้ดวงตาอ่านยากของเอริคฉายแววพออกพอใจออกมาวูบหนึ่ง หากเพียงไม่นานก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ลองทำมา”

“ครับ?”

“พรุ่งนี้เย็น อาหารไทยที่ว่า ลองทำขึ้นโต๊ะมาแล้วกัน” เอริคยกผ้าขึ้นซับบริเวณมุมปากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน “แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าไม่ถูกปาก ฉันพร้อมเททิ้งทุกเมื่อ”

คนได้รับโอกาสแบบงงๆ ฟังจนจบก็ทำตาโต รีบหันไปเขย่าแขนเกรย์ด้วยความยินดีเมื่อผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านเดินจากไปแล้ว ฝ่ายลูกชายเจ้าของบ้านเห็นแล้วก็ได้แต่ยกยิ้มตาม มือลูบหัวลูกแกะตัวน้อยด้วยความเอ็นดู เห็นอีกฝ่ายมีความสุข เขาเองก็มีความสุขตามไปด้วย

“วันนี้ไม่ต้องให้ใครเข้ามารบกวนฉันในห้องจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น” คาร่าหันไปสั่งเมดสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดหรือเหลือบแลไปมองแขกอีกเลย

เกรย์กระซิบบอกความหมายของสิ่งที่แม่พูดให้ลูกแกะน้อยฟังเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ลูบหัวทุยเบาๆ เป็นเชิงชื่นชมที่ทำตัวได้น่ารักสมกับที่เขาเลือก

เมื่อห้องอาหารไม่เหลือใครแล้วนอกจากเมดสาวที่คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง คนที่แอบกดดันในใจไม่น้อยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

“พ่อแม่คุณน่ากลัวมากๆ เลย”

“จริงเหรอ... แต่ฉันไม่เห็นลูกแกะทำท่าเหมือนกลัวเลยนะ” เกรย์แสร้งเลิกคิ้วประหลาดใจ ได้ยินดังนั้นลูกแกะที่รู้สึกเหมือนได้รับคำชมก็อมยิ้มจนแก้มตุ่ย

“แสดงว่าผมเก็บอารมณ์ได้แนบเนียนใช่ไหม ดีใจจัง”

“เก่งมาก” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนแก้วไปให้คนที่น่าจะคอแห้งเพราะไม่ได้แตะน้ำเลยสักหยดแบบเนียนๆ

ต่อให้ลูกแกะน้อยเก็บอารมณ์เก่ง ไม่แสดงออกทางสีหน้าหรือแววตาให้เห็นเลยสักนิดว่าหวาดกลัว แต่สำหรับเขาที่เฝ้าสังเกตทุกอย่างแม้แต่มือที่สั่นเล็กน้อยตอนจับช้อน หรือความผิดปกติที่เจ้าตัวเผลอแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวอย่างการไม่ยกน้ำขึ้นดื่มทั้งที่ปกติเป็นคนกินน้ำเก่ง เพียงแค่อะไรเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้รู้ได้แล้วว่าคนสำคัญกำลังรู้สึกอย่างไร

ลูกแกะมีพรสวรรค์ทางด้านการแสดง แล้วก็เอามาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างเยี่ยมยอด แต่ขืนบอกไปว่ายังมีจุดอ่อนอยู่อีกนิดๆ หน่อยๆ เกรย์เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องหาทางแก้ จนสุดท้ายเขาคงไม่อาจจับความรู้สึกใดๆ ได้อีกแน่ เพราะงั้นปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปดีที่สุดแล้ว

“แล้วนี่ลูกแกะจะเข้าครัวตอนเย็นวันพรุ่งนี้จริงๆ เหรอ”

“จริงครับ...” คนฟังพยักหน้าจริงจัง ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยความหวัง แต่พริบตาเดียวก็หงอยลงทันควันเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “แต่ผมอาจจะคุยกับพวกคุณเมดไม่รู้เรื่อง ผมยังฟังไม่เก่งเท่าไหร่เลย”

“กังเวลเรื่องนั้นเองเหรอ” เกรย์ส่ายหน้าหน่าย มือกดมุมปากลูกแกะน้อยแล้วบังคับให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหมือนเดิม ซึ่งคนว่าง่ายก็ยินดีทำตามแบบเด๋อๆ โดยไม่คิดถามอะไรเลยสักนิด เห็นแล้วเกรย์ก็ได้แต่หัวเราะอารมณ์ดี คิดในใจว่าตั้งแต่ได้เจอกันเขาก็กลายเป็นพวกยิ้มง่ายหัวเราะง่ายไปซะแล้ว “แอนนา”

“ค่ะ คุณชาย” เมดสาวคนหนึ่งขานรับและเดินมายืนอยู่ด้านข้างเจ้านายกับแขกคนสำคัญที่ตอนนี้หันมามองเธอตาแป๋วอย่างน่าเอ็นดู

“พรุ่งนี้เธอดูแลเขาด้วย”

“รับทราบค่ะ”

“ว้าว... คุณพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเหรอ” ประมุขถามคุณเมดที่กำลังจะเดินกลับไปที่เดิมเสียงใส ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหยุดเท้าและหันกลับมายิ้มให้อย่างใจดี

“ได้ค่ะ ดิฉันเรียนจบทางด้านภาษาโดยตรง”

“สุดยอดเลยครับ”

.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.13]=[P.6]==[28/02/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 09-03-2019 21:04:58

บรรดาเมดที่ยืนมองกันอยู่แอบหัวเราะโดยไม่ออกเสียงเพราะยังเกรงใจ กลัวคุณชายผู้เย็นชาจะไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ดูแตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือแววตาของอีกฝ่าย พวกเธอก็ยิ้มออกมาโดยไม่คิดปิดบัง แม้จะไม่เข้าใจว่าพูดคุยอะไรกัน แต่แค่เห็นบรรยากาศสดใสที่แขกแปลกหน้าปล่อยออกมา ทั้งยังกล้าพูดกล้ายิ้มให้คุณผู้หญิงกับคุณท่าน ทำให้ห้องอาหารที่ปกติมีเพียงความเย็นชาน่ากลัวดูผ่อนคลายลงจากปกติ เหตุผลเพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้พวกเธอชื่นชอบแขกผู้มาใหม่คนนี้แล้ว

หลังจากจัดการอาหารจนเสร็จเรียบร้อย เกรย์ก็พาลูกแกะของเขาเดินไปเดินมา แนะนำห้องต่างๆ จนทั่วคฤหาสน์ ลูกแกะแสนซื่อมองไปมองมาเริ่มตาลาย สุดท้ายได้แต่จดจำเฉพาะห้องที่จำเป็นต้องรู้ ห้องไหนเข้าได้เข้าไม่ได้ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ขอให้เจ้าของบ้านพาเดินออกไปด้านนอก เพราะเห็นเมดคนหนึ่งถือตะกร้าใส่ดอกไม้เดินเข้ามา พอเข้าไปพูดคุยด้วยภาษามือและคำศัพท์ที่รู้แบบจำกัดจึงรู้ว่าด้านหลังบ้านมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่

“เริ่มพูดเก่งแล้วนะ” เกรย์ที่ยืนมองลูกแกะพยายามพูดคุยกับเมดสาวเอ่ยชมเพื่อให้กำลังใจ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มักจะดีใจทุกครั้งยามได้รับคำชมยกยิ้มกว้างกลับมาให้เขาตามคาด ลูกแกะในโหมดอารมณ์ดีสุดๆ จูงมือ ลากพาให้เขาเดินตามออกไปด้านนอกอย่างร่าเริง โดยที่เหมือนจะลืมไปแล้วว่าจริงๆ มันมีประตูทะลุออกไปด้านหลังได้โดยตรง ไม่ต้องอ้อมไปทางหน้าบ้านก็ได้

อยากจะเตือนก็กลัวว่าอีกคนจะหุบยิ้ม เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เดินตามไปเงียบๆ จนถึงจุดหมาย...

“โห…”

เสียงพึมพำด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นแทบจะทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในโซนสวนหลังบ้าน สวนที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเล็กมีการปลูกดอกไม้หลากสีเรียงกันเป็นทิวแถวอย่างงดงาม หากนั่นก็ยังไม่โดดเด่นเท่าน้ำพุขนาดกลางที่มีทางเท้าทำจากหินเทเป็นทางยาว เชื่อมต่อไปยังศาลาไม้สีขาวที่มีต้นไม้หลากสีเลื้อยพันตามเสาไปจนถึงหลังคา โดยมีบ่อน้ำขุดเป็นสระล้อมรอบศาลาเอาไว้อีกที

ภาพบรรยากาศที่ดูราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายทำให้ประมุขหลุดยิ้มกว้าง สวนดอกไม้ของที่นี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าสวนดอกไม้รังสิมันตุ์ แต่ชนิดของดอกไม้และการตกแต่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลังจากมองไปมองมาจนแน่ใจว่าเดินเข้าไปได้ น่าจะไม่มีใครว่า เขาก็รีบดึงคนข้างกายให้เดินเข้าไปที่ศาลากลางน้ำและตรงไปเกาะรั้วมองวิวรอบๆ อย่างอารมณ์ดี

“ชอบมากเลยเหรอ”

“มากๆ”

“เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะพาไปเจอแขกคนสำคัญคนหนึ่ง ที่บ้านท่านก็มีสวนดอกไม้เหมือนกัน แถมยังสวยกว่านี้มากด้วย”

“ใครเหรอครับ”

“เป็นคนที่ฉันนับถือน่ะ เอาไว้ถ้าได้เจอแล้วจะแนะนำให้รู้จัก”

“โอเคครับ” ลูกแกะน้อยตอบรับแทบจะทันที ใช้เวลามองไปมองมาอยู่นานเกือบสิบนาทีก็ยังไม่เต็มอิ่ม กระทั่งนึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้จึงยอมถอยไปนั่งดีๆ แล้วขมวดคิ้วหันไปจ้องหน้าเกรย์เขม็ง “เกรย์”

“หืม”

“ทำไมแม่คุณถึงส่งคนไปรับผมมาที่น่ีเหรอครับ”

เมื่อได้ยินคำถามที่เกือบลืมเลือนไปแล้ว เกรย์ก็หุบยิ้มลงช้าๆ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะดึงมือลูกแกะมากุมเอาไว้ ดวงตาที่มองสบกันฉายชัดถึงความจริงจัง

“คนที่ส่งคนไปเชิญลูกแกะมาคือพ่อของฉัน”

“พ่อของคุณเหรอครับ”

“ใช่... ดูเหมือนพ่อจะรู้แล้วว่าแม่เล่นนอกกติกา แล้วก็รู้ว่าฉันจะต้องไม่ยอมแน่ๆ ถึงอยากให้ลูกแกะมาที่นี่ มาเจอกับพ่อแม่โดยตรงเพื่อตัดปัญหา ไม่ให้ฉันหลบซ่อนนายเอาไว้แบบตอนแรก คงอยากให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไง”

“ที่คุณบอกว่านอกกติกา...”

“ตามที่นายคิดถูกแล้ว...” เกรย์พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนยัน แค่มองใบหน้าสับสนของลูกแกะก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไร “พ่อฉันไม่ได้รู้เห็นเรื่องที่แม่ส่งคนไปเตือนนาย รวมถึงไม่รู้เรื่องอุบัติเหตุที่จงใจทำเพื่อทดสอบว่าลูกแกะสำคัญสำหรับฉันมากขนาดไหนด้วย พอมารู้ทีหลังถึงได้หัวเสีย เพราะพ่อไม่ชอบการเล่นนอกกติกาเอามากๆ”

“แบบนั้นเองเหรอ” คนฟังทำหน้าคิดหนัก คิ้วขมวดมุ่นจนดูแตกต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิง “มิน่าจู่ๆ ถึงได้เปิดเผยตัวเอง ออกมาทั้งที่ตอนแรกเหมือนไม่อยากให้คุณรู้ว่าเป็นใคร”

“ถ้ารู้แต่แรกแม่ก็จะทำอะไรยากขึ้น คงไม่อยากให้ฉันรู้เพราะต้องการให้ลูกแกะเลิกยุ่งกับฉัน โดยใช้วิธีทำให้คิดว่าเป็นศัตรูทางธุรกิจที่ทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งการเอาชีวิต”

“เพราะถ้าท่านเปิดเผยตัว พวกเราก็จะรู้ว่าท่านไม่ได้ต้องการทำร้ายอะไร แล้วผมก็คงไม่หวาดกลัวใช่ไหมครับ”

“ใช่” เกรย์พยักหน้ายิ้มๆ ให้คนที่เริ่มคิดตามได้ไวขึ้น ไม่รู้เพราะเป็นเรื่องเครียดๆ หรือเปล่า แต่คงต้องยอมรับว่าเวลาลูกแกะทำหน้าเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ก็น่าดูไปอีกแบบ ทั้งที่จริงๆ เขาควรปลอบว่าไม่เป็นไร ยังเผลอปล่อยเวลาให้เสียเปล่าและมองค้างอยู่นานโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็รู้ว่าตอนนี้ไม่มีใครต้องการทำร้ายลูกแกะแล้ว ที่ฉันเครียดมาตลอดก็เพราะหาเบาะแสอะไรไม่ได้ ไม่รู้เลยว่ามันเป็นใคร ทั้งที่คิดว่าปกปิดดี ไม่มีใครรู้เรื่องของเราแท้ๆ บอกตามตรงพอรู้ว่าเป็นครอบครัวตัวเองก็ทั้งโล่งใจและหนักใจไปพร้อมๆ กัน”

“ทำไมเหรอ”

“เพราะต่อให้พ่อกับแม่ของฉันไม่ใช่พวกชอบเล่นสกปรกหมายเอาชีวิต แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาที่น่าเล่นเกมด้วย ถ้าไม่ชอบพวกเขาก็จะกีดกันจนเต็มที่ คงจะทำให้ฉันหงุดหงิดได้มากพอควร แต่พอเห็นว่ามีแค่แม่ที่ดูแสดงออกอย่างออกนอกหน้าก็โล่งขึ้นมาหน่อย รู้หรือเปล่าว่าที่พ่อบอกให้นายทำอาหารขึ้นโต๊ะ หมายถึงกำลังให้โอกาสอยู่”

“พอรู้ครับ” ลูกแกะน้อยพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ผมจะทำให้เต็มที่”

“ลูกแกะ...”

“ครับ”

“พรุ่งนี้ฉันต้องไปธุระกับพ่อแต่เช้า คงไม่ได้อยู่กินข้าวเช้าด้วย บ่ายๆ จะให้คนพาไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารนะ คิดไว้ก่อนแล้วกันว่าอยากทำอะไร”

ในตอนแรกประมุขเพียงแค่พยักหน้ารับเป็นการขอบคุณ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของเกรย์จึงนึกได้ว่าพรุ่งนี้เขาต้องร่วมโต๊ะอาหารกับแม่ของอีกฝ่ายตามลำพัง วูบหนึ่งความกังวลผุดวาบขึ้นกลางใจ เป็นความรู้สึกตื่นเต้นแบบที่ใครต่อใครมักเป็นกันก่อนจะต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทว่าเพียงแค่ก้มลงเห็นมือใหญ่ที่จับกุมมือตัวเองไว้ อาการเหล่านั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไรหรอก แค่แม่คุณไม่ได้คิดอยากทำร้ายกันก็พอแล้ว เรื่องคำพูดมีผลกับผมนิดเดียวเท่านั้นแหละ” ลูกแกะของเกรย์ทำหน้าตามั่นอกมั่นใจ ขณะเขย่ามือเขาไปมาอย่างคนอารมณ์ดี ยามนี้ความกังวลจางหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความร่าเริงสดใสของคนคนหนึ่งที่อยากทำให้คนสำคัญยิ้มได้เท่านั้น

“อืม... แล้วนี่ลูกแกะอยากเจอคิงหรือเปล่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าฉันจะได้พาไปหา” เกรย์ถามพร้อมยกมือข้างที่ว่างลูบหัวคนข้างกายอย่างอ่อนโยน

“อยากครับอยาก เต้บอกอยู่ว่าพี่จะมาจัดการธุระที่ฝรั่งเศส แต่ผมไม่รู้ว่ามาตอนไหน” เมื่อได้ยินว่าครอบครัวอยู่ที่นี่ ดวงตาที่ดูสดใสอยู่แล้วก็เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ลูกแกะน้อยผู้ที่รักครอบครัวยิ่งกว่าอะไรยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ ท่าทางราวกับเด็กเล็กๆ ที่ได้รับของเล่นทำเอาคนมองต้องยิ้มตามอย่างอดไม่ได้

“รออาทิตย์หน้าก็ได้เจอกันแล้ว”

“อื้อ”

พวกเขานั่งพูดคุยกันอยู่ที่สวนนานหลายนาที เป็นเพราะประมุขมาในช่วงที่อากาศไม่เย็นและไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้อะไรๆ ดูลงตัวไปหมด แค่นั่งรับลมอยู่กับที่ก็ทำให้สบายใจได้โดยไม่ต้องทำอะไร โดยเฉพาะสำหรับเกรย์ที่วันนี้รักษาสัญญาว่าจะอยู่กับคนสำคัญทั้งวัน เขาไม่ได้แตะงานมาตั้งแต่เช้า ทว่ากลับไม่รู้สึกขัดเลยที่ต้องอยู่เฉยๆ ทั้งที่ปกติมือไม่เคยว่าง

ต่อให้นั่งคุยกับลูกแกะทั้งวันก็ไม่มีทางเบื่อ...

“นายครับ” เสียงเรียกที่ดังรบกวนบรรยากาศทำให้ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนายขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ ตาคมเหลือบมองการ์ดคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาเป็นเชิงถามว่ามีอะไร “จิมมาขอพบครับ”

“ฉันบอกแล้วว่าวันนี้ไม่คุยเรื่องงาน”

“เรื่องนั้น...”

“ขออนุญาตครับนาย” ยังไม่ทันที่คนมารายงานจะตอบ เสียงของชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่งก็ดังแทรก เจ้าของร่างยกมือขึ้นดันกรอบแว่นบนใบหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้การ์ดในตอนแรกถอยหลัง ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้านายด้วยท่าทางที่ไม่ดูอ่อนและแข็งจนเกินไป “ต้องขอโทษที่มารบกวนครับ แต่เรื่องนี้รอช้าไม่ได้จริงๆ ผมเห็นนายไม่รับโทรศัพท์ถึงต้องมาหาที่นี่”

เกรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นหน้าของมือขวาคนสนิทในเวลาพักผ่อน ลองมาถึงที่แบบนี้ให้ตายก็คงไม่ยอมกลับไปแน่ ทั้งยังหวังดีถือโน้ตบุ๊กกับเอกสารมาให้พร้อมสรรพ เขาหันไปมองลูกแกะข้างกายที่ยกยิ้มซื่อๆ แล้วก็ได้แต่อ่อนอกอ่อนใจ จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันทีไรเป็นต้องมีคนมาขัดทุกที

“ลูกแกะ...”

“คุณคุยงานเถอะครับ... แต่ให้ผมอยู่ด้วยได้หรือเปล่า” ท้ายประโยคคนพูดแอบกระซิบถามราวกับไม่ต้องการให้จิมได้ยิน เห็นท่าทีน่ารักแบบนั้นแล้วคนฟังจะปฏิเสธอะไรได้ มีแต่ต้องพยักหน้าให้เท่านั้น

“ได้สิ... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลูกแกะรู้จักจิมไว้หน่อยแล้วกัน เขาเป็นคนสนิทของฉัน จะเรียกว่าเป็นเลขาฯ ก็ไม่ผิดนัก”

“สวัสดีครับคุณประมุข”

“สวัสดีครับ” ลูกแกะน้อยยกมือไหว้พาซื่อ ไม่ได้หนักใจอะไรเมื่อถูกจิมเลื่อนสายตามองอย่างพิจารณา แต่กลับหันไปถามเรื่องอื่นกับเกรย์แทนยามพบว่าบอดี้การ์ดที่อยู่รอบตัวพวกเขาไม่ใช่บอดี้การ์ดหน้าเดิมที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว “เกรย์ แล้วพวกลูคัส วิคเตอร์ แล้วก็คนอื่นๆ ไปไหนเหรอ ตั้งแต่มาถึึงที่นี่ผมยังไม่เจอเลย”

“เรื่องนั้นคงต้องถามจิม” ผู้เป็นนายเบนสายตาไปมองคนสนิทเป็นเชิงบอกให้ตอบแทน ขณะที่ตัวเองกำลังพิจารณาเอกสารมากมายที่ถูกหยิบยื่นมาให้ ได้ยินดังนั้นประมุขจึงหันไปมองเจ้าของชื่อตาแป๋ว และแน่นอนว่าท่าทางน่าเอ็นดูทั้งที่ไม่ใช่คนตัวเล็กอะไรนั้นทำให้เลขาฯ ผู้เก่งกาจรู้สึกไม่ต่างจากที่การ์ดคนอื่นๆ เอามาเล่าให้ฟังเลยสักนิด

น่าเอ็นดูจริงๆ นั่นแหละ...

“ต้องขอโทษด้วยครับคุณประมุข ตอนนี้ทีมเอกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ ปกติทีมที่คอยคุ้มครองดูแลข้างกายนายจะเป็นทีมบี พวกเขาถูกฝึกมาเพื่อการคุ้มกันโดยเฉพาะ แม้ฝีมือการต่อสู้และทำภารกิจจะสู้ทีมเอไม่ได้ แต่เรื่องการปกป้องทำได้ดีไม่แพ้กันแน่นอน”

“แบบนี้นี่เอง... งั้นแสดงว่าผมจะไม่ได้เจอทีมเอแล้วเหรอ”

“ได้เจอแน่นอนครับ การ์ดทุกทีมของนายจะถูกส่งไปทำงานตามความเหมาะสม หากไม่ต้องเข้าศูนย์ฝึกหรือไปรายงานตัวที่ไหน เมื่อไหร่ที่ว่างก็จะผลัดกันมาอยู่ข้างกายนายตลอดเวลา”

“แล้ว...”

เกรย์เหลือบตามองคนที่ยกเรื่องนู้นเรื่องนี้มาถามจ้อไม่หยุดปากทั้งรอยยิ้ม ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าเริ่มรู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับเขามากขึ้นทุกที และดูจากสายตาของจิมก็คล้ายจะชื่นชอบนายคนใหม่อยู่ไม่น้อย

ลูกแกะน้อยกำลังแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเขาและคนรอบตัวช้าๆ...

พริบตาหนึ่งที่ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องทำให้มือที่กำลังกดแป้นพิมพ์หยุดชะงัก ดวงตาคู่คมเบนไปมองหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์ ซึ่งมองลงมาเห็นสวนด้านหลังได้พอดี เกรย์สบตากับมารดาที่กำลังมองมาด้วยแววตาไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งถูกเขย่าแขนเบาๆ เขาจึงหันกลับไปยิ้มและให้ความสนใจกับคนข้างกายเช่นเดิม

เอาเถอะ...

อยากจะรู้เหมือนกันว่าแม่ของเขาจะใจแข็งได้อีกนานแค่ไหน


---------------------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 09-03-2019 21:58:34
ลูกแกะน่ารักอย่างนี้ขอให้คุณผู้หญิใจอ่อนเร็วๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-03-2019 22:24:41
น่ารัก น่าเอ็นดู สดใสขนาดนี้ใครจะไม่รักได้ลง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-03-2019 23:25:24
ขอให้แกะมุขเป็นที่รักใคร่กับทุก ๆ คนด้วยเถอะ  :call:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 09-03-2019 23:44:02
ก็คงมีคำเตือนอยู่บนหัวว่า "อย่าทำเฮียโกรธ อย่าทำเฮียโกรธ" 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-03-2019 02:34:49
ลูกแกะทำได้ ใครไม่รักลูกแกะก็ถือว่าใจแข็งมากเลยนะ
น่าบีบขนาดนี้ น้องงงงงงงง  :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 10-03-2019 09:16:19
ลูกแกะทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 10-03-2019 12:35:37
ลูกแกะน่ารักแบบนี้ อีกไม่นานคุณแม่ก็คงใจอ่อน
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 10-03-2019 13:44:33
น้องน่ารักขนาดนี้คุณแม่ใจแข็งได้ไม่นานหรอก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Piiiimsen ที่ 10-03-2019 16:46:59
ฮืออ น่ารักก มาต่อเร็วๆน๊าา นี่ตามมาจากคู่ของจักรกับภีมม  :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-03-2019 00:36:42
น่ารักมากเลยประมุข น่าเอ็นดูด้วย
อยากสร้างความประทับใจและพยายามได้ดี
โชคดีที่น้องเป็นคนนอยด์ได้ไม่นาน

เกรย์ก็เอาใจช่วย และเอ็นดูเด็กน้อยของเค้าเสมอเลยนะ

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-03-2019 13:44:12
ลูกแกะน่ารักสดใสมากๆ เลย เดี๋ยวก็ชนะใจคุณพ่อคุณแม่ได้ ไม่นานแน่  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 23-03-2019 19:09:46
ออร่าความน่ารักสดใสของประมุขแผ่กระจายมากกกกกก

แม่ของเกรย์ต้องหลงหนูแน่ๆค่ะ เชื่อพี่!! o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-03-2019 19:19:26
-15-


เช้าวันถัดมาเกรย์ออกไปทำงานแต่เช้า ทิ้งให้ลูกแกะหัวฟูนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเพียงลำพัง แต่ก่อนไปยังไม่วายก้มลงไปจูบหน้าผากใสเบาๆ แล้วก็โดนดึงเสื้อเอาไว้เหมือนไม่อยากให้ไปตามระเบียบ กว่าจะแงะมือปลาหมึกออกได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที คำพูดงึมงำบอกให้รีบกลับที่น่าจะพูดแบบไม่รู้ตัวทำให้คนที่ต้องไปทำงานอารมณ์ดีแทบทั้งวัน

ประมุขที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนหกโมงครึ่ง ก่อนนาฬิกาปลุกจะแจ้งเตือนห้านาที เขารีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ จัดการทำความสะอาดร่างกายจนเรียบร้อยแล้วจึงส่งข้อความไปบอกคนที่น่าจะกำลังเดินทางให้สู้ๆ รอไม่ถึงหนึ่งนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเป็นคำเดียวกัน

“สู้ๆ” ลูกแกะของเกรย์สำรวจใบหน้าของตัวเองในกระจกจนแน่ใจว่าพร้อมแล้วก็รีบเดินออกจากห้อง เตรียมลงไปกินข้าวร่วมกับคุณผู้หญิงด้านล่าง แต่เมื่อเดินลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายกลับทำได้เพียงมองความวุ่นวายอันเกิดจากการที่เมดสาวพากันวิ่งไปวิ่งมาแบบงงๆ

“คุณประมุข” เสียงเรียกชื่อๆ แปร่งๆ ไม่ชัดเจนนักของแอนนาที่เดินอย่างสุภาพเข้ามาหาทำให้ผู้ที่ทำอะไรไม่ถูกถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“พวกคุณทำอะไรกันอยู่เหรอ”

“วันนี้คุณผู้หญิงจะเข้าบริษัทค่ะ พวกการ์ดต้องเตรียมความพร้อมกัน บรรดาเมดเลยยุ่งวุ่นวายตามไปด้วย คุณจะให้ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ คุณผู้หญิงคงไม่ทานที่นี่”

“งั้นไม่...”

“มายืนเกะกะอะไรตรงนี้”

แอนนาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบขยับออกห่างจากบันไดและก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างประสานกันแน่น เห็นท่าทีของเมดสาวแล้วประมุขก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ รีบขยับถอยไปบังเธอไว้แล้วหันไปยิ้มให้คนที่เพิ่งเดินลงมาจากบันได

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง”

คาร่าเหลือบมองใบหน้าของคนทักทายอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปทางหน้าบ้านโดยไม่ตอบรับอะไร จนแม้แต่แอนนาที่ถูกบังตัวไว้ยังอดรู้สึกแย่แทนไม่ได้

“คุณประมุข...”

“เกือบไปแล้ว” ประมุขหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วยกยิ้มกว้างส่งไปให้ ไม่มีท่าทีเศร้าสลดใดๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย “ไม่ต้องกังวลนะ ผมว่าคุณผู้หญิงคงลืมไปแล้ว”

“อะ...ค่ะ” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปกป้องรีบค้อมศีรษะลงอย่างตกใจ “ขอบคุณมากนะคะ”

“ด้วยความยินดีครับ เออใช่... เดี๋ยวผมออกไปกินมื้อเช้าข้างนอกนะ คุณกลับไปทำงานเถอะครับ” เมื่อร่ำลาอยู่ฝ่ายเดียวเสร็จแล้วประมุขก็รีบวิ่งออกไปนอกบ้าน ตามหลังคุณผู้หญิงที่เพิ่งเดินออกมาไปติดๆ และก่อนที่ท่านจะขึ้นรถ เขาก็วิ่งไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว

การ์ดของคาร่าทำท่าจะยกมือกันไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ค้อมศีรษะให้แล้วรอคำสั่งเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แม้แต่คาร่าเองก็หันไปมองคนที่เธอไม่ชอบด้วยความประหลาดใจลึกๆ ซึ่งไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

“คุณผู้หญิงจะไปไหนเหรอครับ ให้ผมไปด้วยได้ไหม”

“นี่เธอ...” คำพูดที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินทำคนฟังเขวไปไม่น้อย หากท่าทีภายนอกกลับยังคงเฉยชาเช่นเดิม คาร่าจ้องมองคนที่ดูคล้ายจะใสซื่อ ทว่ากลับคาดเดาได้ยากยิ่งกว่าอะไรอย่างพิจารณา สุดท้ายก็เพียงแค่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกวาดตามองการแต่งตัวของอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม และเปลี่ยนคำพูดที่ตอนแรกจะบอกว่าไสหัวไปกะทันหัน “จะไปกับฉันงั้นเหรอ... มาสิ”

ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ยกยิ้มกว้าง รีบเดินขึ้นไปนั่งบนรถตู้ที่มีเบาะวีไอพีอยู่เพียงหกเบาะอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าถ้าช้าคุณผู้หญิงอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้เขาไปด้วย ประมุขนั่งบีบมือด้วยความตื่นเต้นไปตลอดทาง เพราะไม่กล้าชวนคนที่ก้มหน้าทำงานแม้กระทั่งตอนอยู่บนรถคุย

แม้ตอนอยู่กับเกรย์ อีกฝ่ายก็ทำงานตลอดเวลาไม่ต่างกันนัก แต่เขายังเข้าไปเกาะแกะชวนคุยได้บ้าง หรือบางทีถ้าเงียบไปก็จะถูกดึงเข้าไปกอดเอง ไม่เคยต้องนั่งกัดปาก บังคับตัวเองให้เงียบแบบนี้เลยสักครั้ง

ไม่เป็นไรหรอก... ต้องอดทนไว้ อย่างน้อยก็ได้กำลังใจจากคนสำคัญมาแล้ว

คนมองโลกในแง่ดียิ้มให้ตัวเอง พอนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนที่น่าจะกำลังเครียดกับงาน อารมณ์และสีหน้าก็ผ่อนคลายลงจนเกือบเป็นปกติ

หลังจากผ่านไปเกือบสี่สิบนาที รถตู้คันหรูก็แล่นเข้าไปจอดหน้าบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ประมุขที่นั่งอยู่ริมประตูจำเป็นต้องเดินลงไปด้านล่างก่อนเพื่อไม่ให้ขวางทางคนที่อยู่ด้านใน เขายืนมองตึกสูงตระหง่านที่บ่งบอกได้ดีถึงความสำเร็จของบริษัทแห่งนี้ ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของตัวเอง ที่แม้ไม่นับว่าน่าเกลียด แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมนักสำหรับการเดินเข้าไปด้านในพร้อมผู้เป็นประธานบริษัท

“รออะไรล่ะ มาสิ” น้ำเสียงเย็นๆ กับแววตาเยาะเย้ยที่ถูกส่งมาทำให้ประมุขเข้าใจได้ในที่สุดว่าทำไมคุณผู้หญิงถึงยินยอมให้เขาตามติดมาด้วย ทั้งยังยืนรอให้เดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน

ชั่ววูบหนึ่งเขารู้สึกหน้าชาไม่น้อยกับการที่ต้องไปเจอคนอื่นๆ ในสภาพไม่พร้อม และยังถูกจับผิดจากแม่ของเกรย์ตลอดเวลา เพียงมองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำให้ขายหน้า แต่เพียงวูบเดียวที่นึกถึงชื่อของคนสำคัญขึ้นมา ไหล่ที่ลู่ลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวังก็กลับมาตั้งตรง พร้อมกันกับที่รอยยิ้มสุภาพอ่อนน้อมปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ครับ คุณผู้หญิง”

คาร่าจ้องมองคนที่เดินมายืนเคียงข้างเธอนิ่งงัน เมื่อรับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวของเด็กคนนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ามีมาดของนักธุรกิจ หากก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูสุขุมเยือกเย็นอยู่ไม่น้อย

แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก...

“ขออนุญาตครับ”

ในช่วงเวลาที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปในตัวบริษัท เสียงคุ้นเคยของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง ประมุขเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่เดินมาหาคือวิคเตอร์ซึ่งหายไปตั้งแต่เมื่อวาน ในมือของอีกฝ่ายถือเสื้อสูทสีเข้มตัวหนึ่งมาด้วย

“วิคเตอร์...”

“ต่อจากนี้ผมได้รับหน้าที่ให้ติดตามคุณตลอดเวลา” ว่าจบชายหนุ่มหน้าตายก็สวมสูทให้คนเอเชียที่ตัวเล็กกว่ามากอย่างสุภาพ พร้อมช่วยจัดเสื้อให้เข้าที่จนเรียบร้อยจึงถอยห่างไปก้าวหนึ่ง

เมื่อมีเสื้อสูทมาคลุมทับเสื้อคอวีด้านใน บวกกับท่าทีสุขุมของผู้สวมใส่ที่คนใกล้ชิดย่อมมองออกว่าเป็นความสามารถของนักแสดง ประมุขก็ดูเป็นทางการขึ้นหนึ่งระดับ อีกทั้งความมั่นใจยังดูจะเพิ่มพูนขึ้นมาเล็กน้อยยามพบว่ามีคนสนิทคมาอยู่ข้างกายเช่นเดิมด้วย

“ดูแลกันดีจังนะ” คาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากดวงตากลับแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้มาใหม่เองก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร เพียงแค่ค้อมศีรษะให้เล็กน้อยทั้งที่ใบหน้ายังไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

“นายให้เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับคุณประมุขอยู่แล้วครับ หากคุณผู้หญิงไม่พอใจ ขอเวลาให้ผมเอาชุดสูทเต็มตัวให้คุณประมุขเปลี่ยนสักครู่...”

“ไม่ต้อง เสียเวลา”

เมื่อผู้นำเดินเข้าไปด้านในพร้อมคนติดตามจำนวนมากเรียบร้อยแล้ว ประมุขที่พยายามเก็บรอยยิ้มอย่างสุดความสามารถก็รีบหันไปยิ้มให้วิคเตอร์ ใจนึกอยากพูดคุยต่อ แต่ก็กลัวว่าจะตามเข้าไปไม่ทัน พอได้รับการพยักหน้าตอบกลับมาจากการ์ดหนุ่มหน้านิ่งแล้ว เขาก็รีบวิ่งตามเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

ประมุขตามเข้าไปรวมกลุ่มทันตอนที่ประธานฯ บริษัทกำลังจะเดินขึ้นลิฟต์พอดี พอเห็นเขามาคนที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นพนักงานของบริษัทก็หลีกทางให้อย่างพร้อมเพรียง แม้บางคนจะไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่เมื่อเห็นมาดและการ์ดที่เดินตามหลังก็พอจะเข้าใจได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“ไม่ว่าจะมาในฐานะอะไรก็ควรรักษาเวลา” คำพูดเฉยชาที่ลอยมาตามลมทำให้คนฟังต้องกะพริบตาปริบๆ อยู่นาน เพราะต่อให้ดูเหมือนจะตำหนิกันเพียงใด หากในสายตาของประมุข เขากลับรู้สึกเหมือนมันเป็นคำสั่งสอนของผู้ใหญ่มากกว่า

“คราวหน้าผมจะระวังครับ”

คาร่าสะบัดไปอีกทางโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้คนยิ้มเก่งฉีกยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งถึงชั้นที่เธอต้องการจึงเดินนำออกไปด้านนอกโดยไม่ได้พูดอะไร

ปกติห้องของผู้บริหารย่อมต้องอยู่ชั้นบน เรื่องนี้แม้แต่ประมุขที่ไม่ค่อยรู้เรื่องงานบริษัทนักก็ทราบดี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนำหยุดลิฟต์ที่ชั้นเก้า เขาจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ หากขาก็ยังก้าวตามต่อไปทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอะไรได้

ประมุขไม่ใช่คนขี้กลัว เขาเป็นคนที่ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่างก็จะสู้จนสุดแรง ทำอย่างเต็มความสามารถเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ หลังจากใคร่ครวญไว้แล้วว่าถ้าขืนอยู่แบบนี้ไปวันๆ คงไม่ได้อะไร เขาจึงเสนอตัวขอติดตามแม่ของเกรย์มาด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อให้รู้นิสัยใจคอของท่าน และอีกส่วนเพื่อทำให้ท่านรู้ว่าเขาตั้งใจและจริงใจมากเพียงใด และเพราะแบบนั้น...ต่อให้ต้องเจอเหตุการณ์แบบไหนเขาก็เตรียมใจมาหมดแล้ว

อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกไล่ให้ไสหัวไปไกลๆ ต่อให้ถูกทดสอบหรืออาจจะถูกกลั่นแกล้ง แต่สำหรับเขาล้วนมองว่ามันคือโอกาสทั้งหมด ยังไงคนอย่างประมุขก็ไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว

“อดทน” เสียงกระซิบที่ข้างหูระหว่างกำลังเดินตามหลังคุณผู้หญิงเข้าไปด้านในทำประมุขชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองหน้าวิคเตอร์ที่ไม่ได้มีท่าทีจะพูดอธิบายอะไรมากกว่านั้น ก่อนจะส่งยิ้มและพยักหน้าให้เงียบๆ

พื้นที่บริเวณชั้นเก้าเป็นเหมือนแผนกทำงานแผนกหนึ่ง โซนต่างๆ ถูกแยกอย่างเป็นระเบียบและดูสะอาดเรียบร้อยมาก หากประมุขเป็นคนคนหนึ่งที่อยากทำงานในรูปแบบนี้ เขาคงประทับใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดายที่เขารักอิสระ ไม่ชื่นชอบการทำงานอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมแคบๆ แม้จะล้มเลิกความคิดอยากเป็นนักแสดงไปแล้ว หากก็ยังอยากอยู่ในสายงานนั้นเหมือนเดิม

“ท่านประธานฯ สวัสดีค่ะ”

“ท่านประธานฯ สวัสดีครับ”

“ท่าประธานฯ...”

เสียงทักทายดังขึ้นจากบรรดาพนักงานซึ่งต่างพากันลุกขึ้นต้อนรับคนที่เดินตรงไปยังห้องด้านในสุดโดยไร้รอยยิ้ม ท่าทางแข็งเกร็งไม่เป็นธรรมชาติเหล่านั้นไม่ได้รับความสนใจจากท่านประธานฯ ผู้เข้มงวด พอคาร่าเดินผ่านไปแล้วพวกเขาต่างก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“คิดว่าจะตายแล้ว...”

“ฉันคิดว่าท่านจะมาเร่งงานเสียอีก”

ท่ามกลางเสียงพูดคุยเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ประมุขฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง มีอยู่ไม่กี่เสียงที่พึมพำออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เขาเงี่ยหูฟังแล้วก็พบว่าทุกคนต่างหวาดกลัวแม่ของเกรย์กันทั้งนั้น และในตอนนั้นเองที่ผู้มาใหม่เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับดึงดูดความสนใจจากทุกคนในแผนกให้หันกลับไปจับจ้อง

“อะ... ขอโทษด้วยครับ” ชาวเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ก้มหัวขอโทษทั้งรอยยิ้ม ด้านหลังมีบอดี้การ์ดตัวสูงท่าทางน่าเกรงจามยืนเป็นฉากให้อีกที เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทุกคนรู้ได้แล้วว่าเขาย่อมไม่ใช่ผู้บุกรุกธรรมดา

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษได้ส่งเสียงถามแทนคนทั้งหมด

“ผมชื่อประมุขครับ มากับท่านประธานฯ”

นั่นไง... ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย

ความคิดเดียวกันดังขึ้นในใจของผู้ฟังแทบทุกคน ลองถ้าบอกว่ามากับท่านประธานฯ ทั้งยังแต่งตัวธรรมดา ไม่ต้องเป็นพิธีการมาได้โดยไม่โดนต่อว่าแบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่คนติดตามแน่นอน

“แล้วคุณเป็น...”

“เด็กรับใช้ที่บ้าน”

เหล่าพนักงานสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อเจ้านายเดินออกมาจากห้องของหัวหน้าและตอบคำถามนั้นแทน ขณะที่ประมุขเพียงกะพริบตาปริบๆ พลางหันไปมองโดยยังไม่หุบยิ้มเท่านั้น

“คุณผู้หญิง เสร็จแล้วเหรอครับ”

คาร่าปรายตามองคนที่ไม่ได้ดูสลดเลยสักนิดยามได้ยินสิ่งที่เธอพูดเงียบๆ กระทั่งได้ยินคำพูดตอบรับโดยใช้สรรพนามที่เธอบอกให้เรียกแต่โดยดีก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอดูราวกับเป็นนางมารร้ายยิ่งเข้าไปใหญ่

คงไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้เจ้าตัวรู้สถานะอีกแล้ว... เพราะดูท่าทางคงไม่ได้ผลแน่ๆ ลูกชายของเธอช่างเลือกคนได้ถูกต้องจริงๆ

“วิคเตอร์ พาเจ้านายของเธอกลับไปซะ” ว่าจบผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนี้ก็สะบัดหน้าเดินจากไปโดยไม่รอฟังอะไรอีก ซึ่งประมุขเองก็ไม่ได้คิดตามไปเกาะแกะ เขารอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ย้อนกลับมาจึงลอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ผมจะหมดแรงแล้ว” ประมุขหันไปกระซิบกับบอดี้การ์ดประจำตัวเสียงค่อย ก่อนจะเดินจากไปยังไม่ลืมหันไปยิ้มโปรยเสน่ห์ใส่บรรดาพนักงานที่ยังยืนแข็งค้างอยู่กับที่ “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”

หลังจากพ่อหนุ่มแปลกหน้าเดินจากไป ฝูงชนในชั้นเก้ารวมถึงหัวหน้างานที่พุ่งออกมาจากห้องหลังซุ่มดูอยู่นานก็สุมหัวพูดกันยกใหญ่ ในเวลาเที่ยงของวันนั้นเองที่มีข่าวลือกระจายไปทั่วบริษัท เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กรับใช้ของท่านประธานฯ ที่มีบอดี้การ์ดหน้าดุคอยดูแลตลอดเวลา

บ้างบอกว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ธรรมดา บ้างบอกว่าเขาเป็นคนในครอบครัวที่ถูกท่านประธานฯ ดัดนิสัยอยู่ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าอีกไม่นานหลังจากนั้น เขาจะกลับมาตอบคำถามคาใจอย่างยิ่งใหญ่...

ชนิดที่ใครต่อใครต่างก็ต้องก้มหัวให้ด้วยความยินยอม

หลังจากแยกออกมาจากบริษัทพร้อมวิคเตอร์ ประมุขก็ขึ้นรถอีกคันไปพร้อมการ์ดของเกรย์อีกหลายคน ทว่าน่าแปลกที่นอกเหนือจากวิคเตอร์แล้วกลับไม่มีสมาชิกทีมเออยู่เลย เขามองไปมองมาอยู่หลายรอบเพื่อตามหาคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน พอแน่ใจว่าไม่มีจึงถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ไม่ได้รู้เลยว่าทุกสีหน้าและการกระทำถูกคนข้างกายสังเกตการณ์อยู่ตลอด

“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกสองวันถึงจะกลับมา”

“แล้ววิคเตอร์ไม่ต้องไปอยู่ด้วยเหรอ” ประมุขหันกลับมาคุยกับคนที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างแทน เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีทีมเออยู่ตรงนี้จริงๆ

“อย่างที่บอกว่าต่อจากนี้ผมจะมาดูแลคุณ นายคงอยากให้คุณมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ถึงผมจะมั่นใจว่าอีกแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวคุณก็สนิทกับพวกทีมบีก็ตาม” คนที่ต้องสังเกตลักษณะนิสัยของผู้เป็นนายเอ่ยประโยคสุดท้ายเบาๆ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เรื่องนี้ไม่ต้องเดาหรืออะไรเขาก็รู้ว่ายังไงเดี๋ยวเจ้านายคนนี้ก็ต้องสนิทสนมกับการ์ดคนอื่นๆ ได้แน่นอน เผลอๆ จะรวมทุกผู้ทุกคนที่พบเจอเข้าไปทั้งหมดด้วยซ้ำ

อีกหน่อยพูดฝรั่งเศสคล่องปรื๋อเมื่อไหร่ก็เตรียมดูได้เลย...

“ดีแล้วที่คุณมาอยู่ข้างๆ ผมใจชื้นขึ้นเยอะเลย” คนอารมณ์ดีลูบอกตัวเองเป็นเชิงบอกว่าโล่งมากจริงๆ และเขาก็คิดแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปในบริษัท แค่ได้เห็นวิคเตอร์โผล่มาพร้อมชุดสูทก็รู้สึกราวกับมีพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้ตามติดมาด้วย “เออใช่... แล้วคุณเอาเสื้อสูทนี่มาจากไหนเหรอ”

“นายบอกให้ผมเตรียมมาด้วย หลังมีคนรายงานว่าคุณออกไปพร้อมคุณผู้หญิง”

“เกรย์เดาออกหมดเลยเหรอ เก่งจัง”

“ผมบอกแล้วว่าครอบครัวนี้นิสัยคล้ายกัน” วิคเตอร์ออกความเห็นส่วนตัวเพียงแค่นั้นและเงียบไป อันที่จริงการนินทาเจ้านายไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมเห็นคนอารมณ์ดีด้านข้างทีไรเขามักควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ทุกที อย่างกับมีลูกชายซนๆ คอยเซ้าซี้ถามนั่นถามนี่อยู่ตลอดเวลายังไงก็ไม่รู้ สุดท้ายเป็นต้องหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปตลอด “คุณจะแวะที่ไหนหรือเปล่า เห็นนายบอกว่าคุณต้องไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารด้วย”

“ใช่ครับ วันนี้ตอนเย็นผมจะทำอาหารขึ้นโต๊ะให้คุณท่าน เดี๋ยวจะเอาไปให้ชิมด้วยนะ”

“ได้ถามนายหรือเมดมาหรือเปล่าว่าคุณท่านชอบทานรสชาติแบบไหน”

จบประโยคคำถามนั้นคนยิ้มเก่งก็แข็งค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งแบบกะทันหัน เห็นท่าทางอันหาได้ยากนั่นแล้ววิคเตอร์ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งไปให้นายอย่างรวดเร็ว รอกระทั่งนายตอบกลับมาว่า ‘เซฟแล้ว ทำดีมาก’ อีกคนก็ยังนั่งตัวแข็งเป็นหินเหมือนเดิม มองไปมองมาชักเริ่มสงสาร เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกรอบ

“แอนนา คุณท่านชอบกินอาหารรสชาติแบบไหน” คำถามของวิคเตอร์ที่พูดกับคนในโทรศัพท์ดูราวกับเสียงสวรรค์ในสายตาของประมุข เขาหลุดจากภวังค์คนเอ๋อแล้วหันไปมองคนข้างกายด้วยแววตามีความหวัง “อืม ขอบใจ”

“ว่าไงบ้างครับ”

“คุณท่านกับนายชอบอาหารคล้ายกัน ไม่ชอบของรสจัดแล้วก็ไม่ชอบอะไรหวานๆ ส่วนคุณผู้หญิงจะยากหน่อย เพราะจะมีแค่ถูกปากกับไม่ถูกปากสองอย่าง”

“งั้นคงต้องตั้งเป้าที่คุณท่านเป็นหลัก...” ประมุขพึมพำกับตัวเองแล้วหลับตาลงทั้งที่คิ้วขมวดมุ่น ในใจครุ่นคิดถึงเมนูอาหารที่ควรจะหยิบยกมาทำเพื่อให้ครอบครัวของเกรย์พอใจ ขณะที่วิคเตอร์ไม่ได้พูดรบกวนอะไรอีก เขาหันไปสั่งคนขับรถให้พาไปยังแหล่งซื้อขายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไทย ก่อนจะปล่อยให้นายอีกคนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปตลอดทาง

.
.
(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.14]=[P.7]==[09/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 29-03-2019 19:19:50
ห้องครัวของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงา เพราะทุกคนต่างแยกกันทำหน้าที่ของตัวเอง ยามนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงเมื่อมีคนอารมณ์ดีที่พูดเก่งยิ่งกว่าวิทยุเข้ามาร่วมวงกำกับทุกอย่าง ใครที่ไม่เคยคุยกัน ใครที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา คุณชายผู้มาใหม่จัดการดึงเข้ามาร่วมวงสนทนาทั้งหมดจนมีแต่เสียงหัวเราะและความสุขอบอวลไปทั่วบริเวณ

“คุณมุข น้ำเดือดแล้วนะคะ”

“แอนนาเอาไก่ลงไปต้มได้เลยครับ”

“โอเคค่ะ แล้วก็เลล่าบอกว่าผักเรียบร้อยแล้วนะคะ”

“พักไว้ก่อนนะครับ ผัดผักเอาไว้ทำอย่างสุดท้ายเลย แค่แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

“ทางนั้นมีคนส่งข้อความกลับมาแล้วค่ะ”

“จริงเหรอครับ ไหนๆ” ผู้กลายเป็นที่รักได้ในระยะเวลาอันสั้นรีบวิ่งกลับไปดูจอโทรศัพท์ที่ให้เมดสาวคนหนึ่งช่วยเฝ้าดูให้ พอเห็นว่าพี่ชายคนรองที่เขาทักไปหาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนตอบกลับมาก็รีบกดเข้าไปดูทันที

HONGTAE: อาหารไทยที่ไม่หวานไม่เผ็ดจนเกินไปเหรอ

HONGTAE: มึงจะทำให้ใครกิน

GP.MUK: ครอบครัวเกรย์ ช่วยคิดหน่อยว่าจะทำอะไรเพิ่มดี

HONGTAE: ตอนนี้มีอะไรแล้วบ้าง

GP.MUK: กะจะทำผัดผักรวม หมูผัดพริกหยวก ไข่ตุ๋น แต่ไม่รู้จะเอาแกงอะไรดี นี่ก็ต้มไก่ไว้ก่อนระหว่างที่ยังคิดไม่ออก

HONGTAE: ต้มข่าไก่ไหม มึงทำอร่อยนี่ ถ้ากลัวเผ็ดก็ใส่พริกน้อยหน่อย ยังไงก็เน้นเปรี้ยวอยู่แล้ว รสจะได้ตัดกับอย่่างอื่นด้วย

GP.MUK: จริงด้วย พี่พายุก็เคยบอกว่ากูทำอร่อยนี่นา

HONGTAE: อือ พี่ยุบอกว่าอร่อย

GP.MUK: ขอบใจมาก ก่อนเปิดเทอมจะแวะเอาของฝากไปให้นะ

HONGTAE: ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย

GP.MUK: รู้แล้วน่า มึงก็ด้วย

หลักจากพูดคุยกับพี่ชายจนได้คำแนะนำดีๆ มาแล้ว ประมุขก็รีบหันไปมองนาฬิกาที่เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลากินข้าวหนึ่งครั้ง และรีบเร่งลงมือเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำเมนูที่คิดเอาไว้โดยเร่งด่วน โชคดีที่ตอนไปเดินซื้อของเขาหยิบของมาหลายอย่าง ซึ่งกะทิก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

“คุณมุขจะมาอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยหรือเปล่าคะ”

“หือ ผมเหรอครับ” ประมุขหันไปมองแอนนาด้วยความงุนงง ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ แล้วตอบกลับไปตามความจริงพร้อมรอยยิ้ม “ไม่หรอกครับ อีกไม่นานผมก็ต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอมถึงมาที่นี่ได้”

“น่าเสียดายจังนะคะ... ดิฉันคิดว่าที่นี่จะดูสดใสแบบนี้ตลอดไปเสียอีก”

“แอนนาพูดเหมือนปกติที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนี้”

“ก็ใช่น่ะสิคะ” เมดสาวผู้ทำงานที่นี่มานานหลายปีอมยิ้มเล็กน้อยพลางมองดูคนพูดที่น่าจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทำให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างด้วยความเอ็นดู “ปกติพวกเราไม่ได้ยิ้ม หัวเราะ หรือหัวหมุนร่วมกันแบบนี้หรอกค่ะ ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง อย่างที่คุณเห็นว่าคุณท่านกับคุณผู้หญิงก็ทำแต่งาน ส่วนคุณเกรย์ก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไหร่ บ้านหลังนี้ไม่ได้มีชีวิตชีวามานานมากแล้ว ต้องขอบคุณคุณคนเดียวเลยค่ะ”

“งั้นผมขอรับคำชมไว้เลยแล้วกันเนอะ” ประมุขหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วรับคำชมเหล่านั้นเอาไว้ด้วยความยินดี หากเมื่อดวงตาเบนไปมองฝ่ามือของตัวเองที่วางอยู่บนเขียง เห็นภาพที่คนสำคัญของเขากอบกุมมือกันไว้ ความมั่นใจและความอบอุ่นก็แพร่กระจายไปทั่วร่าง “ผมจะต้องเอาชนะใจคุณท่านกับคุณผู้หญิงให้ได้ครับ ทั้งเพื่อตัวเองแล้วก็เพื่อเกรย์ด้วย”

“พวกเราจะเอาใจช่วยนะคะ"

“ขอบคุณมากครับ” คนที่ยังไม่หุบยิ้มเลยสักวินาทีหันไปมองหน้าแอนนา และขยับยิ้มขี้เล่นให้กว้างกว่าเดิมขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “บอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมมันตัวกระจายความสุขอยู่แล้ว แม้แต่คุณท่านกับคุณผู้หญิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอก”

“ทุกคนเชื่อแน่นอนค่ะ” แอนนายิ้มรับคำพูดโอ้อวดแต่โดยดี เพราะเธอเชื่อว่าคุณมุขจะต้องทำเช่นนั้นได้จริงๆ

เอริค คาร่า และเกรย์เดินทางกลับมาถึงบ้านพร้อมกันในเวลาทานอาหารเย็นแบบพอดิบพอดี หลังจากเดินเข้าไปในห้องอาหาร กับข้าวหน้าตาน่ารับประทานก็วางรอพร้อมอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว หากวันนี้รูปแบบของโต๊ะอาหารกลับต่างไปจากเดิม เมื่อช้อนส้อมมากมายถูกเก็บไป เหลือไว้เพียงจานข้าวคนละจาน ช้อนส้อมอย่างละคัน และช้อนกลางที่วางอยู่ข้างจานกับข้าวเท่านั้น

“ผมให้พี่การ์ดที่อยู่นอกประตูโทรมาบอกถ้าพวกคุณมาถึงกันแล้ว พอกลับมาจะได้กินเลย ไม่ต้องรอยกมาเสิร์ฟ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อาหารเพิ่งขึ้นจากเตา ยังร้อนอยู่แน่นอน” พ่อครัวคนใหม่ที่ยืนต้อนรับอยู่ข้างโต๊ะอาหารอธิบายบอกทีเดียวเสร็จสรรพ ก่อนจะอ้าปากพูดต่อเมื่อเห็นคุณผู้หญิงของบ้านขมวดคิ้วมองรูปแบบการจัดโต๊ะอาหาร “เพราะวันนี้เรากินอาหารไทยกัน แล้วผมก็ทำเป็นกับข้าวหลายอย่าง ดังนั้นก็เลยจัดโต๊ะในรูปแบบของคนไทยตามสมควร คุณท่านกับคุณผู้หญิงคงไม่ถือใช่ไหมครับ”

“อืม” เอริคเป็นผู้พึมพำตอบรับ ขณะนั่งลงตามตำแหน่งและจ้องมองกับข้าวหน้าตาประหลาดโดยไม่บ่งบอกอารมณ์ เห็นแบบนั้นลูกแกะน้อยของเกรย์ก็ใจหายวูบไปนิดหน่อย แต่วินาทีถัดมากำลังใจก็ถูกเติมจนเต็ม ยามคนสำคัญแอบกุมมือกันจากใต้โต๊ะและส่งยิ้มมาให้

“คุณท่านกับคุณผู้หญิงลองดูนะครับ อันนี้คือต้มข่าไก่ เดี๋ยวผมตักให้นะ” ประมุขรีบหยิบถ้วยใบเล็กที่เตรียมไว้มาตักต้มข่าไก่ใส่ทีละถ้วยและเสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็หันไปส่งให้เกรย์พร้อมรอยยิ้มหวาน “ต้มข่าไก่จะมีรสเปรี้ยวนำครับ กินกับอย่างอื่นจะได้ตัดรสกัน ลองทานดูว่าถูกปากหรือเปล่า”

ท่ามกลางบรรยากาศที่เคยเงียบสงบบนโต๊ะอาหาร แขกตัวน้อยที่น่าจะถูกทำให้หวาดกลัวตั้งแต่มาถึงกลับพูดจ้อบรรยายสรรพคุณอาหารด้วยน้ำเสียงน่าฟังไม่หยุดปาก รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา กับรสชาติอาหารที่ไม่เคยลิ้มลองแต่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าอร่อยทำให้ไม่มีใครต่อว่าอะไร แม้ช่วงแรกคาร่าจะจ้องมองด้วยความไม่พอใจก็ตาม

“แล้ว...เป็นยังไงบ้างครับ” คนที่อดทนไม่ถามมาโดยตลอด รอจนทุกคนกินข้าวเสร็จและเมดพากันมาเก็บโต๊ะหมดแล้วอดใจไม่ไหว สุดท้ายก็ถามด้วยสีหน้าคาดหวังจนเต็มเปี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ตอบคนแรกย่อมต้องเป็นคนที่ไม่ว่าลูกแกะของตัวเองจะทำอะไรก็คิดว่าดีไปหมดอยู่แล้ว

“อร่อยมาก”

“จริงเหรอ...” ประมุขฉีกยิ้มจนแก้มพอง พอจ้องหน้าเกรย์จนพอใจแล้วก็รีบหันไปมองเอริคต่อด้วยแววตาคาดหวังหนักกว่าเก่า แม้ตอนแรกไม่หวังว่าจะได้คำชม เพราะแค่เห็นอีกฝ่ายยอมกินจนหมด ไม่ได้เททิ้งแบบที่คาดก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังอดอ้อนวอนในใจไม่ได้

“ถูกปากฉันมากทีเดียว”

สีหน้าและท่าทางของเอริคไม่ได้ดูเกินจริงหรือพูดเอาใจ เขาพูดตามความจริงโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองชื่นชอบคนของลูกชายหรือไม่ เพราะจะอย่างไรก็เป็นคนหยิบยื่นโอกาสให้เอง หากเจ้าตัวทำดีย่อมต้องได้รับคำชม

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะ...

“ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แกงนี่มันเกินไป”

ในสายตาของสองพ่อลูกและเมดที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้างล้วนมองออกว่าสิ่งที่คาร่าพูดคืออคติส่วนตัวล้วนๆ ต่อให้ประมุขทำดีแค่ไหนก็ต้องถูกตำหนิอยู่แล้วแบบไม่ต้องสงสัย ทว่าคนที่ถูกชิงชังกลับไม่แสดงท่าทีเศร้าสลดแต่อย่างใด ลูกแกะตัวน้อยของเกรย์หยิบสมุดเล่มเล็กกับปากกาที่พกติดตัวออกมาจดบันทึกข้อความบางอย่างลงไปอย่างเคร่งเครียด

“ลูกแกะ ทำอะไรน่ะ” เกรย์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

“อ๋อ... ผมกำลังจดว่าคุณผู้หญิงไม่ชอบทานอะไรมันๆ ครับ ทีหลังจะได้ไม่ลืม” คนยิ้มเก่งตอบเสียงใสไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใดๆ “จริงๆ ในนี้มีสิ่งที่คุณกับคุณท่านชอบหรือไม่ชอบด้วยนะ ผมรอบคอบไหม”

ขณะที่ถูกมองด้วยแววตาประหลาดใจปะปนไปกับตกตะลึง เกรย์เป็นคนแรกที่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบตามองท่าทีนิ่งค้างของมารดาเงียบๆ เขาลูบหัวลูกแกะน้อยอารมณ์ดีด้วยความเอ็นดู ต่อให้ไม่ต้องช่วยอะไร นิสัยที่แท้จริงบวกกับท่าทางใสซื่ออย่างเป็นธรรมชาติของเจ้าตัวก็ทำให้ใครหลงรักได้ไม่ยาก

“เก่งที่สุดเลย”

ดูเหมือนจะไม่ต้องรอนานแบบที่คิด...

ในเมื่อเกรย์หลงลูกแกะตัวนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น มีหรือพ่อกับแม่ที่มีแต่คนบอกว่านิสัยเหมือนเขา ทั้งยังชื่นชอบอะไรเหมือนๆ กันจะหนีรอดไปไหนได้ ยังไงก็ต้องตกลงมาในบ่วงเช่นเดียวกันกับเขาแน่นอน


------------------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 29-03-2019 19:42:25
 :hao3: น้องมุขน่าเอ็ดดู....เจอแบบนี้เข้าไปจะไม่รักน้องก็เอาสิ5555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-03-2019 23:16:04
เสร็จแกะมุขแน่ ๆ คุณหญิง  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-03-2019 19:51:02
อีกไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณผู้หญิงก็ตกหลุมความน่ารักของลูกแกะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-03-2019 20:05:36
ลูกแกะน่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-03-2019 02:52:58
สู้เขานะลูกกกกก
ความเป็นตัวหนูจะช่วยหนูเอง  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 02-04-2019 22:14:31
ความสดใส จริงใจนี่แหละอาวุธของประมุข o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-04-2019 05:38:38
น่ารัก ประมุขทำดีมากค่ะ ความเป็นตัวเอง ช่วยได้เยอะเลย

ตลกวิคเตอร์ ถึงขั้นต้องถ่ายรูปส่งให้เกรย์ดูน่ะ
อาการนี้ไม่เคยมีเลยว่างั้น 55555

เกรย์ดูแลดีมาก เอาใจใส่ดีมากเลย เพื่อน้อง
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-04-2019 19:13:55
-16-


“งานเลี้ยงในครั้งนี้ ลูกต้องเข้าร่วมด้วย”

“เหตุผลล่ะ”

“งานวันเกิดท่านทูต ท่านเกริ่นเองว่าอยากเจอลูก”

เกรย์มองหน้ามารดาที่เป็นคนพูดโดยไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติ่ม ก่อนจะเบนสายตาไปหาบิดาที่นั่งจิบน้ำเงียบๆ ไม่ปฏิเสธหรือตอบรับ เห็นท่าทีเหล่านั้นแล้วเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าที่แม่พูดคงเป็นเรื่องจริง แต่มีหรือที่จะอ่านเจตนาของฝั่งคนชวนไม่ออก คงจะเห็นด้วยที่อยากให้ไปเจอกับลูกสาวของฝ่ายนั้นถึงไม่ยอมปฏิเสธมากกว่า

ทั้งที่รู้ว่าเขาพาลูกแกะมาที่นี่ด้วยแท้ๆ...

“เกรย์...” เสียงของคนที่ขลุกอยู่ในครัวตั้งแต่เช้าดังขึ้นอย่างร่าเริง พร้อมกันกับที่เจ้าตัวเดินถือจานขนมเข้ามาด้านใน ประมุขดูจะตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อม แต่เมื่อเห็นคนสำคัญยิ้มและพยักหน้าให้เข้าไปหา เขาก็รีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “อันนี้คุ้กกี้กาแฟไม่หวานครับ แต่ผมไม่ได้ทำเองนะ เห็นพี่เมดทำอยู่เลยเข้าไปยืนดูด้วยเฉยๆ เรื่องขนมนี่ไม่ไหวจริงๆ”

ประมุขหันไปอธิบายให้พ่อแม่เกรย์ฟังแล้วเลื่อนจานไปให้ ท่านผู้นำบ้านหน้านิ่งไม่แสดงอาการใดๆ แต่ก็ยังหยิบตามมารยาทไปทานหนึ่งชิ้น ต่างจากคุณผู้หญิงที่นั่งเชิดไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หากยังไม่ทันที่ลูกแกะน้อยจะรู้สึกตัวว่าถูกเมิน คนที่นั่งอยู่ข้างกายก็โน้มตัวไปหยิบจานคุ้กกี้มาถือไว้และเริ่มลงมือทานด้วยตัวเอง

“กินด้วยกันสิ” เกรย์ส่งคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งให้ถึงปาก ซึ่งแน่นอนว่าคนว่าง่ายย่อมอ้าปากรับโดยไม่เสียเวลาคิด

“อร่อย”

เมื่อเห็นคนของตัวเองยิ้มได้ เกรย์ก็ป้อนให้ไม่ขาดช่วง สายตาเบนไปมองมารดาที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความไม่พอใจ คล้ายจะมีประกายไฟกำเนิดขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ โชคดีที่พ่อของเขากระแอมเบาๆ เพื่อดึงความสนใจของทุกคนกลับไปเสียก่อน

“ชวนไปด้วยกันสิ”

“คุณคะ!”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ เถอะ โตๆ กันหมดแล้ว” พอถูกเตือนด้วยน้ำเสียงที่ดูดุดันขึ้นหนึ่งระดับ คาร่าก็ยอมถอนหายใจแล้วนั่งขมวดคิ้วนิ่งๆ โดยไม่ขัดอะไรอีก เห็นดังนั้นเอริคจึงส่ายหน้าหน่าย หันกลับไปหาลูกชายอีกครั้ง “ถ้าอยากทำอะไรให้มันชัดเจน ก็ชวนเขาไปด้วยกัน พิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่แล้วก็คนอื่นๆ เห็นว่าเขาสมควรจะยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ”

“พูดเรื่องอะไรกันเหรอครับ”

เกรย์มองหน้าคนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ก่อนจะหันไปมองหน้าพ่อ พยายามค้นหาความจริงเบื้องหลังสายตาอ่านยากที่เหมือนกันกับเขาแทบทุกอย่าง กระทั่งแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดแบบที่พูดและไม่มีอะไรแอบแฝง จึงหันกลับมาพูดกับลูกแกะที่นั่งรอฟังคำตอบอีกครั้ง

“อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงวันเกิดของท่านทูตเพื่อนพ่อ ฉันเองก็ต้องไปเหมือนกัน ลูกแกะอยากไปด้วยไหม” เกรย์ถามอย่างไม่กดดัน คล้ายจะบอกว่าหากไม่อยากไปเขาก็จะไม่บังคับ ทว่าลูกแกะตัวน้อยที่ได้ฟังคำพูดของพ่อเขาไปแล้วมีหรือจะยอมถอยง่ายๆ แม้จะยังไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่พ่อแม่อยากให้เกรย์ไปงานนี้คืออะไร แต่แค่ได้ยินคำว่าพิสูจน์ตัวเอง เจ้าตัวก็ไม่แสดงท่าทีลังเลใดๆ ออกมาแล้ว

“ไปครับ” ประมุขพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ หลังจากนั้นบรรยากาศรอบด้านก็เงียบลงด้วยไม่มีใครพูดอะไรออกมา คาร่าไม่ได้ขัดเมื่อคนที่ไม่ชอบร้องบอกจะไปด้วย เช่นเดียวกันกับคนที่หยิบยกโอกาสให้ ซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงมีเจตนาดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้พูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็น แต่กลับต้องไปพบเจอกับแขกใหญ่โตมากมายในงาน

“ไม่ต้องห่วง”

ความมั่นใจที่มีมากอยู่แล้วทวีคูณขึ้นหลายส่วนเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของคนสำคัญที่ส่งรอยยิ้มและแววตาอบอุ่นมาให้ มาถึงตอนนี้แม้ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ประมุขก็มั่นใจว่าเกรย์จะอยู่เคียงข้าง ไม่หนีไปไหนแน่นอน

“คุณผู้หญิงครับ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากถามให้แน่ใจ... คุณท่านด้วย”

“ว่ามาสิ” เอริคเป็นผู้ตอบแทน เพราะรู้ว่าภรรยาคงไม่ยอมตอบคำถามง่ายๆ

“ผมอยากทราบว่าทำไมพวกคุณถึงไม่ชอบผม ทำไมถึงไม่อยากให้ผมยุ่งกับเกรย์ และทำไมต้องกีดกันกันมากขนาดนั้น ช่วยบอกกันตรงๆ ได้ไหม ผมจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อ”

ถามตรงๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ...

เกรย์เลิกคิ้วมองใบหน้าของลูกแกะน้อยที่ดูจริงจังเอามากๆ แล้วก็ลอบยิ้มขำ ลองเจอคนซื่อถามตรงๆ แบบนี้เข้าไป ต่อให้เป็นพ่อหรือแม่ของเขาก็ต้องมีเหวอกันบ้าง ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาภายนอกให้เห็นจะๆ เพราะเก็บอารมณ์เก่งกันทั้งบ้าน หากคนที่อยู่ด้วยกันมานานย่อมมองเห็นแววตาที่ดูวูบไหวด้วยความประหลาดใจนั่นได้อย่างชัดเจน

“ฉันไม่ได้ดีใจที่ลูกชายรักกับเธอ... แต่ก็ไม่ได้คิดกีดกันอะไร ตราบเท่าที่เธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ และมีความสามารถเหมาะสมที่จะยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ” เอริคเป็นผู้ที่พูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ทุกสิ่งล้วนออกมาจากใจจริง

“ผมเข้าใจครับ” ประมุขพยักหน้ารับ มือทั้งสองข้างกอบกุมกันไว้แน่น ขณะหันไปมองคุณผู้หญิงของบ้านที่ยังนั่งเชิดไม่สนใจอะไร แต่เพราะสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการรอฟังคำตอบ ประมุขจึงจ้องค้างอยู่อย่างนั้นจนคล้ายเป็นการกดดัน กระทั่งผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจและช่ำชองในเรื่องของการเจรจาต่างๆ ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

เธอไม่ชอบแววตาใสซื่อนั่นเลยจริงๆ...

“ครอบครัวของฉันไม่เหมือนครอบครัวของเธอ” ในที่สุดคาร่าก็เริ่มพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเคย “เราทุกคนต่างมีหน้ามีตาในสังคม เกรย์น่าจะเคยบอกแล้วว่าหากอยู่ที่นี่ แทบจะไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับเรา นั่นเป็นเพราะอำนาจและชื่อเสียงที่สั่งสมมาเนิ่นนาน และถึงสามีของฉันจะบอกว่าขอแค่เธอเหมาะสมก็พอ แต่คิดหรือว่าการที่เธอเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งจะคู่ควรใช้คำว่าเหมาะสมได้”

“…”

“ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเพศเดียวกัน แต่ยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรเกรย์ได้ มีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลเธอ แบบนั้นไม่ใช่ว่าเธอเข้ามาเพื่อทำให้ลูกชายของฉันเหนื่อยขึ้นหรือไง”

“ผม…”

“แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาดูแลเธอได้ เผลอๆ ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่าเดิมอีกกี่เท่าก็คงบอกว่าไม่เป็นไร แต่เธอคิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะยินดีหรือไง แม้ฉันจะเป็นแม่ที่ไม่ค่อยได้พูดคุยดีๆ กับลูกนักก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจอะไรเลย”

ประมุขพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร่าเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา เขาเงียบและนิ่งไปนานจนคนที่นั่งอยู่ด้านข้างและพยายามไม่พูดอะไรแทรกเพราะถูกขอร้องทางสายตาเริ่มเป็นห่วง เกรย์กอบกุมมือลูกแกะน้อยเอาไว้ รั้งแขนอีกคนให้ลุกขึ้นยืนและจูงคนที่ยังขมวดคิ้วเหม่อลอยไม่เลิกให้ตามออกไปด้านนอก

“ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่มีวันยอมให้ลูกแกะหายไปแน่นอน” เขาพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพาคนสำคัญเดินออกไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังอีกเลย

คาร่ามองตามแผ่นหลังของลูกชายที่โตไวมาแต่ไหนแต่ไรไปจนสุดสายตา มาถึงตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือไม่ที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นดูแลตัวเอง คิดและตัดสินใจอะไรได้ตั้งแต่เด็กๆ จนแทบไม่เคยต้องร้องขออะไรจากเธอเลย

“เด็กคนนั้นเหมือนคุณขึ้นทุกวันเลยนะคะ”

“หึ…” เอริคหัวเราะในลำคอโดยไม่ได้ตอบอะไร ในใจคิดว่าลูกชายเหมือนเขามากก็จริง แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าเขาคิดเหมือนกันกับเกรย์ ไม่ยอมแต่งงานหรือเลือกคนที่พ่อแม่เลือกให้ ทุกอย่างคงไม่ได้ออกมาในรูปแบบอย่างที่เป็นอยู่

อันที่จริงมันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน... ไม่รู้ว่าถ้าในเวลานั้น เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเขามีคนของตัวเองอยู่แล้ว การแต่งงานเพื่อชื่อเสียงและธุรกิจระหว่างเขากับคาร่าจะยังเกิดขึ้นหรือเปล่า

แต่สิ่งหนึ่งที่เอริคแน่ใจก็คือ...ลูกชายของเขาคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกคนผิดแน่นอน เหลือก็แต่ให้เจ้าตัวพิสูจน์ออกมาให้เห็นเท่านั้น



นับตั้งแต่เกรย์พาลูกแกะของเขาออกมานอกบ้าน อีกคนก็เอาแต่เหม่อลอย ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาจนเขาไม่อยากกวน กระทั่งพาขึ้นมานั่งบนรถเย็นๆ โดยยังไม่เริ่มเดินทางไปไหนก็ยังนิ่งไม่ขยับ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เปิดหน้าต่างบอกวิคเตอร์และการ์ดคนอื่นให้เตรียมพร้อม อีกสิบห้านาทีจะออกไปข้างนอก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของคนคุ้นเคย

[มีอะไร]

“เดี๋ยวฉันจะพาลูกแกะไปหา”

[มุขมาที่นี่?]

“อืม” เกรย์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของลูกแกะน้อยแล้วตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศส “เจอแม่พูดอะไรใส่นิดหน่อยเลยคิดมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าคิดอะไร นายช่วยดูหน่อยแล้วกัน ลูกแกะบ่นอยากเจอมาหลายวันแล้ว”

[พาไปเจอพ่อแม่แล้วเหรอ]

“หลายวันแล้ว”

[ถ้าให้เดาคงเรื่องอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะสมสินะ] เสียงเรียบเย็นจากปลายสายเอ่ยอย่างรู้เท่าทัน ได้ฟังดังนั้นมุมปากของเกรย์ก็ยกขึ้นเล็กน้อย

“สมแล้วที่อยู่ในวงการเดียวกันมานาน นายคงรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกผู้ใหญ่คิดยังไง แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่มีทางปล่อยลูกแกะไปแน่นอน จริงๆ จะให้ปลอบเองก็ทำได้ แค่คิดว่าถ้าได้เจอพี่ชายคนโตเขาน่าจะดีใจมากกว่าก็เท่านั้น” เจ้าของใบหน้าคมคายผู้มีรอยยิ้มขี้เล่นติดอยู่บนใบหน้าเสมอเบนสายตาออกไปมองนอกรถ เพื่อไม่ให้คนด้านข้างที่เริ่มรู้สึกตัวและหันมามองด้วยความสงสัยเห็นสีหน้าเย็นชาของเขายามพูดประโยคถัดไป “เพราะงั้นอย่าได้คิดพูดให้ลูกแกะไปจากฉันเด็ดขาด...”

เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าลูกแกะตัวน้อยรักครอบครัวมากขนาดไหน แม้เขาจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมไปจากกันง่ายๆ พิสูจน์เอาจากหลายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าลูกแกะจะไม่คิดจากไป หากได้รับคำแนะนำผิดๆ จากพี่ชายในช่วงเวลาที่ยังอ่อนแอและคิดมากอยู่

ถ้าเป็นแบบที่พูดจริงๆ ต่อให้เป็นเพื่อนเขาก็ไม่เอาไว้แน่

[หึหึ... ความมั่นใจหายไปไหนหมด ปกติเกรย์ไม่ใช่คนขี้กลัวแบบนี้ไม่ใช่หรือไง]

“ก็คงเหมือนกับนายตอนที่มีคนสำคัญเป็นของตัวเอง” เกรย์สวนกลับทันควันพร้อมรอยยิ้ม มือยกขึ้นลูบหัวลูกแกะน้อยที่ยื่นหน้ามาหาเพราะเขาไม่ยอมหันกลับไปมองอย่างเอ็นดู “เราก็เป็นเพื่อนกันมานาน... นายคงไม่มานึกอยากรู้เอาตอนนี้ว่าฉันทำอะไรได้บ้างใช่ไหม คิง”

[…]

“อย่าลืมว่าตอนนี้นายไม่เหลืออำนาจอะไรแล้ว เพราะงั้นคงไม่อยากเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นอย่างอื่นใช่ไหม” ประกายเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาสีฟ้าคู่สวยไปวูบหนึ่ง หากกลับทำเอาคนที่จ้องมองอยู่สะดุ้งจนตัวโยน แต่แค่พักเดียวก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่นแทน

“เกรย์... คุณคุยกับพี่จักรเหรอ ห้ามขู่พี่จักรนะ”

“ฉันจะดีใจหรือเสียใจที่นายเริ่มเข้าใจภาษาฝรั่งเศสแล้วดีนะ” เกรย์รีบเก็บอารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดลงไปและบ่นงึมงำใส่ลูกแกะที่เริ่มกลับมายิ้มได้เป็นภาษาอังกฤษ

“ต้องดีใจสิ”

[จะมาตอนไหน]

พอได้ยินเสียงคนกลางเล็ดลอดเข้ามาในสาย อารมณ์ของชายหนุ่มสองคนก็กลับมาคงที่อีกครั้ง คนที่เกือบจะตีกันกลับมาเป็นเพื่อนสนิทเช่นเคย โดยที่ไม่มีใครคิดยกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ขึ้นมาพูดถึงอีกเลย

“สี่สิบนาทีน่าจะถึง”

[อืม]

หลังจากสายถูกตัดไปแล้ว เกรย์ก็เปิดม่านโบกมือออกคำสั่งให้การ์ดทั้งหลายเข้าประจำที่เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย วิคเตอร์ที่ปกติจะนั่งอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังเวลาประมุขไปไหนมาไหนเปิดประตูขึ้นไปนั่งด้านหน้าเคียงคู่คนขับ กลายเป็นการ์ดประจำตัวของประมุขที่ต้องตามติดกันไปทุกที่โดยสมบูรณ์

“คุณคุยอะไรกับพี่เหรอ แล้วนี่เราจะไปไหนกันครับ”

“ไปทำให้ลูกแกะอารมณ์ดีไง”

“ผม…”

“ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องพูด” เกรย์ยกมือปิดปากคนที่ทำท่าจะเล่าทุกอย่างออกมาให้ฟังอย่างง่ายดายเอาไว้แล้วส่งยิ้มไปให้ “เอาไว้ไปคุยกับตัวช่วยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่ต้องรีบหรอก”

“ตัวช่วย... คุณหมายถึงพี่เหรอ” ลูกแกะน้อยทำตาโต ท่าทางตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอพี่ชายเอามากๆ จนเขาอดคิดในใจไม่ได้ว่าถ้าลูกแกะมีหูเหมือนสัตว์อื่นๆ มันคงจะกระดุกกระดิกไปมาอย่างร่าเริงแน่ๆ

“ฉันบอกแล้วว่าจะพาไปหา ลูกแกะคิดว่าฉันจะผิดสัญญาเหรอ”

“ไม่อยู่แล้ว”

“ใช่แล้ว... ฉันไม่มีทางผิดสัญญา และไม่มีทางผิดคำพูดด้วย” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองคนสำคัญอย่างมีความหมาย แม้ใจจริงไม่ค่อยอยากให้ลูกแกะไปเจอพี่ชาย เพราะกลัวจะติดฝ่ายนั้นจนลืมสนใจกัน แต่เขาก็ยังดีใจที่อย่างน้อยชื่อของเพื่อนก็ทำให้อีกคนลืมเรื่องเครียดๆ ไปได้ชั่วคราว

ใช้เวลาเดินทางสามสิบกว่านาที รถตู้คันใหญ่พร้อมรถการ์ดอีกสองคันก็มาหยุดอยู่หน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง แทบจะทันทีที่เกรย์ก้าวเท้าลงจากรถ พนักงานของโรงแรมก็วิ่งเข้ามาหา และให้การต้อนรับอย่างใกล้ชิดจนคนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกตกใจ ประมุขต้องคอยโค้งให้บรรดาพนักงานทั้งหญิงและชายไปตลอดทางด้วยความเกรงใจ กว่าทุกอย่างจะกลับสู่โหมดปกติก็ตอนที่เขาขึ้นลิฟต์มาพร้อมเกรย์แล้ว

“ตกใจเหรอ หน้าเหวอเชียว” คนขี้แกล้งหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดเฉลยว่าอันที่จริงจะบอกให้พวกที่มารับสลายตัวไปแต่แรกก็ได้ หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ลูกแกะน้อยเอง เพราะขยันทำหน้าทำตาน่าเอ็นดูให้เขาเห็นบ่อยเหลือเกิน

“ตกใจสิครับ พวกเขาทำอย่างกับคุณเป็นเจ้าของที่นี่” ว่าจบคนพูดก็ยกมือลูบหน้าลูบตาที่เพิ่งหลุดจากอาการตกอกตกใจยกใหญ่ กว่าจะรู้สึกตัวว่ารอยยิ้มของเกรย์ที่ไม่ได้ปฏิเสธอะไรมีความหมายว่าอย่างไรก็ตอนที่อีกฝ่ายจูงมือเดินออกจากลิฟต์ไปแล้ว

ที่บอกว่ามีธุรกิจหลายอย่างนี่ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด....

ห้องพักซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขามีขนาดกว้างขวาง เมื่อขึ้นมาถึงการ์ดทุกคนก็เดินไปประจำที่อย่างรู้งาน ราวกับคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว เกรย์เปิดประตูเดินเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะพร้อมลูกแกะข้างกาย จากนั้นก็เดินไปกอดอกพิงกำแพง รอให้ลูกแกะน้อยที่กำลังมองสำรวจรอบๆ หันไปเห็นเจ้าของห้องเอง

“พี่จักร!”

แล้วก็เป็นไปตามคาด...

เพียงแค่ได้หันไปเห็นพี่ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา โดยมีรถวีลแชร์จอดทิ้งอยู่ด้านข้าง ลูกแกะตัวน้อยก็ตะโกนเรียกด้วยความดีใจแล้วพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เกรย์ยืนยิ้มมองคนเย็นชาทำอะไรไม่ถูกเมื่อน้องชายตรงเข้าไปกอดเอวตัวเองไว้แน่นขำๆ รอจนเห็นว่าลูกแกะของเขาชักจะกอดคนอื่นนานเกินไปจึงเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟา แล้วเกี่ยวเอวเจ้าตัวให้กลับมานั่งด้านข้างตามที่ควรเป็น

“คุณพาผมมาหาพี่จริงๆ ด้วย” ลูกแกะขนฟูหันมาพูดกับเกรย์พร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ชายผู้หวงน้องขมวดคิ้วยามเห็นมือของเกรย์เกาะอยู่ที่เอวผอมพอดี

“ฉันบอกว่าจะพามาหาตั้งแต่อยู่บนรถแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ไม่เชื่อกันหรือไง” คนที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแววตาเย็นชาของจักรพรรดิพูดกับคนในอ้อมแขนเสียงนุ่ม ทั้งยังยกมือขึ้นบีบจมูกลูกแกะด้วยความมันเขี้ยว “ฉันอนุญาตให้ลูกแกะสนใจคนอื่นมากกว่าฉันสองชั่วโมง รีบคุยก่อนจะหมดเวลาเร็วเข้า”

พอถูกกำหนดเวลาแบบไม่จริงจังนัก คนที่เชื่อฟังเกรย์ยิ่งกว่าอะไรก็เบิกตากว้าง พยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและหันไปหาจักรพรรดิพร้อมรอยยิ้มหวานจ๋อยอีกครั้ง

“พี่จักร มาอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง มุขคิดถึงมากเลย” ถึงจะได้รับอนุญาตให้สนใจพี่ชายแล้ว แต่ประมุขก็ยังไม่เมินเฉยต่อคนข้างกาย เขาเลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อให้เกรย์ฟังได้ง่าย ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าแม้อีกฝ่ายจะพูดภาษาไทยได้แบบประหลาดๆ และอ่านเขียนไม่ได้ หากก็ฟังออกแทบทุกคำ

ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับทำให้คนขี้หวงยิ้มกริ่ม มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยงานกับจิมเงียบๆ และยินยอมให้ลูกแกะของตัวเองพูดคุยกับพี่ชายโดยไม่ขัดอะไรอีก

“สบายดี แล้วอยู่กับเกรย์เป็นยังไงบ้าง” จักรพรรดิตอบน้องชายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้อ่อนลงอย่างสุดความสามารถ

“ดีมากเลยครับ เกรย์ดูแลมุขดีมากเลย”

“เหรอ... แล้วที่บ้านเกรย์ดูแลดีด้วยหรือเปล่า” คนรู้ทันหรี่ตามองสังเกตท่าทีของน้องชายที่ชะงักไปครู่หนึ่งอย่างพิจารณา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคำตอบคืออะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าอยู่แล้วไม่สบายใจก็ถอยออกมา”

.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.15]=[P.7]==[29/03/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-04-2019 19:14:34


เกรย์ตวัดสายตาเย็นเยียบไปมองเพื่อนทันทีโดยที่ประมุขซึ่งนั่งหันหน้าไปหาจักรพรรดิในทิศทางเดียวกันไม่ทันเห็น ทว่าวินาทีถัดมาเขาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง ยามได้ยินคำตอบของลูกแกะที่ไร้ซึ่งความลังเลโดยสิ้นเชิง

“ไม่ได้หรอกครับ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะมุขสัญญาแล้วว่าจะไม่ไปไหน ต่อให้ต้องเจออันตรายหรือถูกกดดันมากกว่านี้อีกกี่เท่าก็จะไม่ยอมทิ้งเกรย์ไว้เพียงลำพัง มุขอยากอยู่เคียงข้างเขา”

ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่แสดงออกถึงความรักที่มีจนเต็มเปี่ยม เพราะแม้แต่สีหน้าและแววตาใสซื่อคู่นั้นก็บ่งบอกความรู้สึกแบบเดียวกัน น่าเสียดายที่เกรย์ไม่เห็น เพราะหากเขาเห็นเหมือนที่จักรพรรดิเห็น ลูกแกะน้อยคงถูกรวบตัวเข้าไปกอดตั้งแต่แรกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้เต็มที่” จักรพรรดิส่งยิ้มจางให้น้องชายคนเล็ก “คนในครอบครัวของเราไม่มีใครอ่อนแอ แสดงให้คนนอกเห็นว่าไม่มีใครเหมาะจะยืนอยู่ตรงนี้นอกจากมุขเท่านั้น”

คนฟังกะพริบตาช้าๆ มองพี่ชายด้วยแววตาเชื่อมั่นสุดหัวใจ และเพียงไม่กี่วินาทีถัดมา ประมุขก็ฉีกยิ้มกว้างพร้อมตอบรับคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ครับ”

เมื่อได้พูดคุยกับคนในครอบครัว แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ หากก็ยังทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก ประมุขเริ่มกลับมาสดใสและเต็มไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง ในดวงตาใสแจ๋วที่หันไปจ้องมองเกรย์ไม่มีวี่แววของความลังเลหลงเหลืออยู่อีก

‘พยายามให้มาก เลือกสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด แล้วก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง’

คำพูดที่ดีดี้เคยบอกย้อนกลับเข้ามาในหัว ทำให้ความสับสนในใจที่เกิดจากคำถามของคุณผู้หญิงจางหายไปช้าๆ ถึงเวลานี้จะยังไม่เหมาะจะให้คำตอบอะไร เพราะพูดไปท่านก็คงไม่เชื่อ แต่อีกไม่นานเขาต้องแสดงออกให้พวกท่านเห็นว่าเขาเหมาะสมจะยืนอยู่ตรงนี้อย่างที่พี่จักรบอกให้ได้

ถึงเวลานั้นจะได้ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ...ว่าเขาไม่ได้อยู่เฉยๆ เพียงเพื่อให้เกรย์ดูแลและทำให้เกรย์เหนื่อยอย่างเดียว

“คิง” เกรย์ลูบหัวลูกแกะที่เอนมาพิงเขาไว้และหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อีกสองวันฉันต้องพาลูกแกะไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนพ่อ”

“เพื่อน...”

“อืม... ตาลุงโทมัสนั่นแหละ”

“ไว้ใจไม่ได้ รายนั้นศัตรูเยอะเกินไป” จักรพรรดิขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาเย็นชาจ้องมองน้องชายที่ดูไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ด้วยความเป็นห่วง “แม่นายคงไม่ได้คิด...”

“ตามนั้น... ใจจริงฉันก็ไม่อยากให้ลูกแกะไป แต่ถ้าช้ากว่านี้คงถูกมัดมือชก เผลอๆ อาจจะประกาศกลางงาน ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้ฉันปฏิเสธตรงๆ อะไรๆ ก็คงไม่ง่าย แม่ฉันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งกว่าอะไร นายเองก็รู้ดี”

“นายจะเปิดตัวมุขที่นั่น?”

“ใช่ ฉันจะลงมือก่อน ไม่ต้องถึงขั้นพูดออกไมค์อะไร แค่แนะนำตัวให้เจ้าของงานกับแขกที่มีความสำคัญรู้ก็พอ”

“เรื่องนั้นไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่าความปลอดภัยของมุข” จักรพรรดิมองประมุขด้วยแววตาอ่านยาก ไม่ว่าจะกวาดมองยังไงก็ไม่เห็นหนทางที่เด็กคนนี้จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายได้เลย หากเป็นเรื่องของจิตใจเขาคงไม่ห่วงอะไรมากนัก แต่นี่มันหมายถึงชีวิต “นายคงไม่คิดว่างานเลี้ยงนี่จัดขึ้นเพื่อฉลองวันเกิดอย่างเดียวใช่ไหม”

“ย่อมไม่ใช่” มีหรือที่คนอย่างเกรย์จะมองไม่ออกว่างานเลี้ยงครั้งนี้ปิดซ่อนอะไรอยู่ นอกจากไปจากการพยายามจับคู่ให้เขากับลูกสาวเจ้าของงาน “ลูคัสสืบเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว หลังจากที่นายกลับไปไทย อูโก้ ลูกชายของสตีฟที่เพิ่งถูกลุงโทมัสจับเข้าคุกก็ปีนป่ายขึ้นมาบริหารงานแทน แล้วยังเล่นแง่ตั้งท่าจะตีกับลุงอยู่หลายรอบ ใครๆ ก็รู้ว่ายังไม่ปลอดภัย แต่จู่ๆ ลุงโทมัสก็มาจัดงานเอาช่วงนี้ มองยังไงก็จัดฉากล่อเสือออกจากถ้ำชัดๆ คงอยากถอนรากถอนโคนตระกูลนั้นจนเต็มแก่”

“ไม่กลัวมีใครโดนลูกหลงเลยสินะ”

“คงคิดว่าถ้ามีใครเป็นอะไรไป ความผิดทั้งหมดก็ต้องถูกโยนไปให้คนร้ายที่บุกเข้ามาอยู่แล้ว” เกรย์ยักไหล่อย่างไม่แปลกใจ เพราะเขาเคยชินกับเรื่องสกปรกในโลกธุรกิจอยู่แล้ว ไอ้ความคิดประเภทขอแค่ตัวเองไม่เป็นอะไรก็พอนั่นมันหาได้ทั่วไปในหมู่คนในแวดวงนี้ เชื่อเถอะว่าเจ้าของงานไม่มีทางจ้างการ์ดมาเพื่อดูแลคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเองหรอก

“เพราะแบบนั้นแม่นายถึงได้คิดว่างานนี้น่าจะสะดวกสินะ”

“อืม ทั้งยอมเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อดูเหตุการณ์น่าสนุกของชาวบ้าน สุดท้ายไม่ว่าจะจบลงแบบไหน หากปลอดภัยออกมาก็ต้องได้รับความเห็นใจจากคนทั่วไปที่คิดว่านักธุรกิจกับท่านทูตและลูกชายต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์อันตรายอยู่ดี แล้วก็คงคิดว่ายังไงฉันก็ไม่กล้าพาลูกแกะไปด้วยแน่ๆ จะจับคู่ให้ลูกสาวเจ้าของงานหรือลูกสาวคนสำคัญคนอื่นๆ ก็เป็นเรื่องง่าย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“อุตส่าห์หลบไม่ไปออกงานกับพ่อแม่มาได้ตั้งหลายปี สุดท้ายก็ไม่รอดสินะ” จักรพรรดิยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และแอบหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูงงเป็นไก่ตาแตกของน้องชาย

“ตอนนี้ลูกแกะอยู่ข้างๆ แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องหลบอีก พาไปเปิดตัวซะก็สิ้นเรื่อง” หนุ่มตาฟ้าว่าเสียงเรียบ ก่อนจะมองไปตามสายตาของเพื่อน แล้วก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ทำหน้าอะไรของลูกแกะเนี่ย”

“คือ…” คนที่ดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจเรื่องราวที่ได้ยินกะพริบตาปริบๆ พร้อมยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ “ผมว่าจะไม่งงแล้วนะ แต่ก็ยังงงอยู่ดี สรุปว่างานที่เราจะไปกันไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดเหรอครับ”

คำถามซื่อๆ กับหน้าตาเด๋อด๋าของลูกแกะน้อยผู้ตามใครไม่ทันทำให้บรรยากาศเงียบสงบกดดันแลดูสดใสขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จักรพรรดิส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ขณะที่เกรย์ยิ้มจางไม่ถือสา ค่อยๆ บอกค่อยๆ เล่าให้ลูกแกะเข้าใจตามไปด้วยอย่างใจเย็น

“งานวันเกิดเป็นแค่ฉากหน้า จริงๆ แล้วเจ้าของงานต้องการลากอูโก้ ประธานบริษัทส่งออกอาหารแช่แข็งคนปัจจุบันที่ทำธุรกิจเบื้องหลังเกี่ยวกับยาเสพติดออกมา แต่ถ้าไม่เชิญแขกคนไหนมาเลยก็ดูจะไม่เนียนและอาจเป็นอันตรายต่อตัวเอง เพราะแบบนั้นถึงเลือกเชื้อเชิญแขกคนสำคัญมาอย่างจริงจัง คงคิดว่าถ้าอูโก้ลงมือทำเรื่องไม่ดีจริงๆ ยังไงก็ดิ้นไม่หลุดแน่”

“ซึ่งอูโก้ที่ว่าคือลูกชายของคนชื่อสตีฟที่เพิ่งถูกเจ้าของงานจับเข้าคุกใช่ไหมครับ”

“คนเก่ง...” เกรย์ลูบแก้มของลูกแกะคนเก่งที่อมยิ้มแก้มตุ่ยรับคำชมอย่างเอ็นดูจนคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันต้องกลอกตาอย่างเอือมระอา “สตีฟพัวพันกับคดีค้ายาเสพติดมานาน ลุงโทมัสใช้เวลาหลายปีกว่าจะร่วมมือกับตำรวจรวบตัวได้ แต่ฝ่ายนั้นก็เก่งใช่ย่อย ขนาดเข้าคุกไปแล้วยังผลักลูกชายอย่างอูโก้ให้หลุดออกมาได้ ลุงโทมัสคงอยากให้เข้าคุกไปทั้งพ่อทั้งลูกถึงได้ดึงดันอยู่อย่างนี้ ก็นะ...เจ้านั่นเป็นพวกหัวรุนแรง ใจร้อนยิ่งกว่าอะไร ถ้าไม่ยอมกำจัดให้พ้นทาง ประมาทขึ้นมาคงถูกเล่นงานเองแน่ ตอนนี้ยังไม่ลงจากตำแหน่งยิ่งต้องใช้อำนาจที่มีแบบเต็มกำลังให้เด็ดขาด”

“แล้วถ้าเขารู้ว่าบรรดาคนสำคัญมากันเยอะแบบนี้จะกล้าทำอะไรไม่ดีเหรอครับ”

“คนเยอะสิดี จับมือใครดมแทบไม่ได้ งานใหญ่หวังชีวิตแบบนี้มือปืนรับจ้างต้องเป็นมืออาชีพ ถ้าไม่ตายก็ไม่มีทางเปิดปากบอกตัวตนของผู้ว่าจ้างแน่นอน อีกอย่าง...ดูจากนิสัยเสียๆ อูโก้คงจะอยากให้เป็นข่าวใหญ่อยู่แล้ว”

“คุณหมายถึงลุงโทมัสที่ว่าเขามั่นใจว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”

“ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นหรอก ต้องบอกว่าห้าสิบห้าสิบมากกว่า ถ้าเกิดขึ้นจริงก็เป็นไปตามแผน แต่ถ้าไม่มาก็เลี้ยงวันเกิดธรรมดา พยายามจับคู่ให้ลูกสาวกับฉัน ไม่มีอะไรเสียหาย” เกรย์ยกยิ้มเมื่อเห็นลูกแกะน้อยขมวดคิ้วครู่หนึ่งยามได้ยินคำว่าจับคู่ที่เขาพูด “มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือมันไม่มีทางทำร้ายคนอื่นๆ โดยไม่จำเป็นแน่นอน ยังไงเป้าหมายที่สำคัญก็คือลุงโทมัส และฝ่ายนั้นก็คงเตรียมแผนรวบตัวไว้อยู่แล้ว ฉันไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก แต่ถ้าพ่อแม่อยากไปร่วมสนุก อยากได้ผลประโยชน์จากเหตุการณ์พวกนี้ด้วยก็คงต้องไป”

“แล้วผม...”

“แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้ลูกแกะต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์น่ากลัวๆ แม้จะมั่นใจว่าฉันปกป้องลูกแกะได้หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ และไม่มีทางให้ใครได้แตะต้อง...”

“พูดกล่อมขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องถามความเห็นหรอก” จักรพรรดิที่เงียบไปนานเอ่ยกัดด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว คำพูดคำจาของเพื่อนดูจะย้อนแย้งในตัวเองสุดๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าน้องชายแสนซื่อของเขาคงตามคนเจ้าเล่ห์อย่างเกรย์ไม่ทัน

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ...

“มุขจะไปครับ” ลูกแกะผู้ยึดมั่นกับคำพูดที่เคยเอ่ยไปแล้วบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “มุขบอกพ่อแม่เกรย์แล้วว่าจะไป แล้วก็จะไม่ยอมให้ใครจับคู่ให้เขาด้วย อีกอย่างคือถ้ามันอันตราย มุขก็อยากจะอยู่ตรงนั้นกับเขา”

“แล้วถ้าพี่บอกว่าไม่ให้ไปล่ะ”

ครั้งนี้เกรย์ไม่ได้มองเพื่อนด้วยแววตาเชือดเฉือน เพราะดูออกว่าอีกฝ่ายเพียงแค่อยากรู้ว่าลูกแกะของเขาจะตอบว่าอะไร อีกทั้งเขาเองก็อยากรู้ไม่ต่างกัน จึงทำเพียงแค่กอบกุมมือขาวไว้แล้วส่งยิ้มไปให้เท่านั้น

“มุขจะพูดจนกว่าพี่จักรจะเข้าใจ” คำตอบที่ดูรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย แต่กลับแฝงความต้องการของตัวเอง และแอบยกคนสำคัญมาไว้ในระดับเทียบเท่าครอบครัวทำให้คนฟังทั้งสองแสดงอาการแตกต่างกันไป

จักรพรรดิลอบส่ายหน้าโดยไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่เกรย์จ้องมองลูกแกะแสนน่าฟัดด้วยความพอใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกคิง เพราะที่บอกว่าจะไม่ให้ใครได้แตะต้อง... ”

“…”

“ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ”

ถ้าใครกล้าก็ลองดู...


-----------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 12-04-2019 20:01:13
จะมีใครโดนแกะเชือดไหมนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-04-2019 22:04:32
แกะมุขโตแล้ว แกะมุขจะไปไหนก็ได้ ใครจะทำไม  :a14:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 12-04-2019 22:44:38
 :impress2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 12-04-2019 22:48:41
ลูกแกะเตรียผจญภัย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-04-2019 01:12:32
อย่าโดนลูกหลงเลยน้าลูกแกะ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 13-04-2019 09:55:35
ถ้าใครแตะต้องลูกแกะ คนนั้งต้องตายอย่างทรมานแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 13-04-2019 16:31:45
น้องมุขน่ารักมากกกกกกกก ลูกแกะน้อยเข้มแข็งจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-04-2019 19:00:23
-17-


ประมุขจัดแต่งชุดสูทสีครีมของตัวเองให้เข้าที่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับไปหาคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลังแล้วถามด้วยน้ำเสียงภูมิใจทั้งที่ยังไม่ได้รับคำชมใดๆ

“ผมใส่สูทแล้วดูดีไหม”

ดีใจไปล่วงหน้าอย่างนี้แล้วจะถามทำไมอีก...

“ลูกแกะเหมาะกับสีนี้มาก” เกรย์เอ่ยชมจากใจตามประสาคนหลงแกะ และช่วยติดกระดุมสูทตัวนอก รวมถึงจัดไทด์สีดำที่เข้ากันกับเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในให้ลูกแกะน้อยอย่างปราณีต “อันที่จริงน่าจะบอกว่าเหมาะกับทุกสีมากกว่า”

“คุณต่างหากที่เหมาะกับทุกสี” ไม่ว่าเปล่า เพราะทันทีที่พูดจบลูกแกะก็เป็นฝ่ายลากเกรย์ไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ บังคับให้เขาหันไปมองสภาพตัวเองในชุดสูทสีเทาเข้มเข้ากับไทด์สีเดียวกันและเสื้อเชิ้ตสีดำด้านในซึ่งเจ้าตัวเป็นผู้เลือกให้อีกรอบ “นี่ถ้าไม่กลัวคุณเด่นเกินไป ผมอยากให้ลองสีเลือดหมูนะ ต้องดูดีมากแน่ๆ เลย”

“งั้นเรารีบไปก่อนลูกแกะจะบอกให้ฉันเปลี่ยนดีกว่า”

“ผมไม่บอกให้เปลี่ยนหรอกน่า”

ชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนเดินพูดคุยขำขันกันไปจนถึงด้านล่าง ซึ่งคุณท่านกับคุณผู้หญิงของบ้านยืนรออยู่ก่อนแล้ว เอริคในชุดสูทภูมิฐานยังคงดูดีแม้จะอายุขึ้นเลขห้า ขณะที่คาร่าในชุดราตรีดูสวยสดงดงามราวกับหญิงสาวอายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น ความหน้าตาดีที่สืบทอดกันมาถึงคนเป็นลูกทำให้แม้แต่ประมุขที่เพิ่งเดินลงมายังอดมองด้วยความตกใจไม่ได้

“คุณผู้หญิงสวยมากๆ เลยครับ คุณท่านเองก็ดูดีมากเหมือนกัน” หากเป็นคนอื่นมาพูดคงไม่พ้นถูกกล่าวหาว่าประจบสอพลอ แต่พอออกมาจากปากของคนที่ดูซื่อทั้งเสียงทั้งหน้า มันก็กลายเป็นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาจนคาร่าลอบเชิดหน้าด้วยความพอใจอยู่ครู่หนึ่ง

การเดินทางไปงานเลี้ยงในครั้งนี้ใช้รถสองคัน ไม่นับรถการ์ดที่ขับนำและขับตามอีกหลายคัน ประมุขแยกนั่งอยู่กับเกรย์ที่รถคันหลัง ตามติดรถของเอริคและคาร่าไปติดๆ หากยังไม่ทันได้ออกจากตัวบ้าน ลูกแกะน้อยก็ต้องหันซ้ายหันขวา มองหน้ามองหลังด้วยความสนใจอยู่หลายครั้ง เพราะเหมือนคราวนี้คนติดตามของพวกเขาจะเยอะมากเป็นพิเศษ

“งานอันตรายแบบนี้ แขกทุกคนต้องขนการ์ดตามติดไปเยอะเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พวกที่จะเข้าไปในเขตงานด้านในมีจำนวนจำกัด เพราะแบบนั้นเราถึงต้องระมัดระวังตลอดเวลา”

“ผมจะระวังตัวให้ดี คุณห่วงตัวเองด้วยนะ”

“เข้าใจแล้ว” เกรย์ยิ้มจางให้ลูกแกะน้อย มือลูบแก้มขาวไปมาเบาๆ ด้วยความรักใคร่ จากนั้นก็ปล่อยให้อีกฝ่ายแง้มม่านมองวิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืนตามต้องการโดยไม่ได้กวนอีก

หลังใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูติดทะเลที่โทมัสใช้สำหรับการจัดงานสังสรรโดยเฉพาะ ขบวนรถยาวเหยียดและบอดี้การ์ดในชุดสูทที่เดินผ่านไปมาพร้อมสรรพบ่งบอกได้ดีว่างานเลี้ยงในครั้งนี้มีคนสำคัญมาร่วมเยอะขนาดไหน แม้แต่ประมุขยังประหลาดใจจนต้องหันไปถามคนข้างกาย เมื่อได้รับคำตอบว่ามันเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดและเป็นปีสุดท้ายในตำแหน่งของโทมัสด้วยจึงเข้าใจ

จากที่คิดว่าทำใจได้หลายวันแล้ว พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ประมุขก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เขาสูดลมหายใจเข้าเพื่อควบคุมสติอยู่หลายครั้ง ซึ่งการ์ดที่รออยู่ด้านนอกก็ไม่ได้มีท่าทีจะเปิดประตูกดดัน ราวกับจะรอให้คนด้านในพร้อมที่สุดก่อน และในช่วงเวลาที่กำลังทำใจอยู่นั่นเอง จู่ๆ คนที่นั่งด้านข้างก็ประคองหน้าเขาให้หันไปหา แล้วจ้องมองมาด้วยดวงตาเยือกเย็นที่ทำให้จิตใจสงบตามไปด้วย

“ลูกแกะช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งได้หรือเปล่า”

“ได้ครับ” ประมุขพยักหน้ารับคำทันควันโดยไม่เสียเวลาคิด แล้วก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมาเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าก่อนจะได้ถามว่าอยากให้ช่วยอะไร ฝ่ามือข้างหนึ่งก็วางทับลงบนใบหน้าจนเขาต้องหลับตาลงตามสัญชาตญาณ

“หลังจากฉันปล่อยมือออก นายต้องใส่หน้ากากนักแสดงเอาไว้ คิดเสียว่ากำลังเล่นละครอยู่บนเวทีที่มีผู้คนจับจ้องอยู่มากมาย อย่าให้ใครเห็นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทำได้หรือเปล่า”

ประมุขไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ค่อยๆ คิดตามคำพูดนั้น และใช้เวลารวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าตัวเองทำได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าช้าๆ รอคอยให้เกรย์ปล่อยมือออก

“ผมทำได้...เพื่อคุณ” สีหน้ายากจะคาดเดา ดวงตาสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่น และใบหน้าที่ถูกประดับประดาด้วยรอยยิ้มสุภาพตามมารยาทซึ่งดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงทำให้คนมองยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

เกรย์เคาะกระจกรถเบาๆ จากนั้นเขาก็สวมหน้ากากการค้าที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาเช่นเดียวกันกับประมุข หากดูลึกลับซับซ้อนกว่ามากด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินนำลงไปก่อนเมื่อการ์ดเปิดประตูให้

โชคดีที่งานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นงานภายในที่มีการตรวจตราดูความปลอดภัยอย่างเข้มงวด บรรดานักข่าวจึงถูกกั้นให้ถ่ายรูปได้เฉพาะภายนอกรั้วคฤหาสน์ซึ่งอยู่ห่างไกลพอสมควร หมายความว่าแม้จะถ่ายภาพได้อย่างไรก็ไม่มีทางเห็นชัดและไม่มีโอกาสสัมภาษณ์อะไรได้เลย

ระหว่างทางเดินเข้าไปในคฤหาสน์หรูพร้อมพ่อแม่ของเกรย์และบรรดาการ์ดที่ห้อมล้อมทุกทิศทาง ประมุขมองไปรอบกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเหมือนปกติ เขาเชื่อฟังเกรย์ทุกคำพูดโดยการสวมหน้ากากตลอดเวลา แม้แต่เอริคและคาร่าที่ลงจากรถมาเห็นในทีแรกยังมองด้วยความประหลาดใจ...

ความประหลาดใจที่เกรย์เชื่อว่ามันจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก หากเข้าไปในงานแล้วพ่อกับแม่ของเขาได้เห็นว่าลูกแกะคนนี้ทำอะไรได้บ้าง

เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมการ์ดสี่นายที่ถูกคัดเลือกไว้แล้ว ครอบครัวของผู้มาใหม่ก็กลายเป็นเป้าสายตาแทบจะทันที ทั้งนี้เพราะมีชื่อเสียงกันทั้งครอบครัวและยังมากันครบ แม้กระทั่งลูกชายคนสำคัญของเอริคที่ไม่ได้ออกงานมานานก็ยังมาด้วย นอกเหนือจากนั้นยังมีหนุ่มน้อยชาวเอเชียที่ดูโดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางคนฝรั่งเศสจำนวนมากมาดึงความสนใจให้ทวีคูณขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะถูกจับจ้องยิ่งกว่าใคร

การ์ดที่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในงานแบบหนึ่งคนต่อหนึ่งเจ้านายกระจายตัวยืนอยู่ตามจุดต่างๆ อย่างแนบเนียน หากลูคัสที่ประกบเกรย์และวิคเตอร์ซึ่งอยู่ข้างกายประมุขกลับไม่เดินไปไหน หูคอยฟังถ้อยคำรายงานจากสมาชิกในทีมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ตามองสังเกตสภาพแวดล้อมรอบด้านตามไปด้วย

“นาย…” เสียงกระซิบเรียกของลูคัสทำให้เกรย์ที่กำลังเดินตามหลังพ่อแม่หยุดเท้าและเอียงหัวไปหาโดยอัตโนมัติ “หนอนรายงานว่าตัวตลกเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

“อืม ดูท่าพ่อแม่ก็ได้รับรายงานแล้วเหมือนกัน เรารีบเข้าไปทักทายแล้วแยกตัวออกมาเถอะ”

ประมุขที่พอจะจับใจความทุกอย่างได้โดยไม่ต้องให้ใครบอกคลี่ยิ้มจริงใจที่ไม่ใช่หน้ากากให้คนสำคัญที่หันมามองวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบปกปิดความรู้สึกทั้งหมดลงไปและเดินนำไปก่อนโดยไม่ได้พูดหรือถามอะไรสักคำ ทิ้งให้เจ้าของแกะยืนมองด้วยความพอใจและมันเขี้ยวอยากจับมาฟัดอยู่ครู่ใหญ่

“มัวชักช้าอะไรอยู่” คาร่าที่ยืนถือแก้วไวน์์รออยู่ก่อนแล้วหันไปมองลูกชายกับคนของอีกฝ่ายที่เพิ่งเดินเข้ามาหาด้วยแววตาตำหนิ “รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็เร่งหน่อย”

เพียงแค่ได้เห็นสายตาแหลมคมคู่นั้น ประมุขก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขาเป็นผู้ถูกตำหนิอยู่เพียงคนเดียว หากลูกแกะน้อยของเกรย์กลับไม่แสดงอารมณ์หรือถกเถียงอะไร เพียงแค่ก้มหัวน้อยๆ โดยไม่คลายรอยยิ้ม และตอบกลับด้วยความสุภาพเท่านั้น

“ขออภัยด้วยครับคุณผู้หญิง”

“คุณแม่อย่าว่าน้องเลยครับ” คนที่เพิ่งเดินตามมาถึงวาดยิ้มและเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงโทนนุ่มเหมือนเช่นที่ลูกที่ดีควรใช้กับพ่อแม่ หากดวงตาเยือกเย็นกลับทอประกายวาววับราวกับจะบอกให้มารดาหยุดคิดหักหน้าคนของเขา และการที่เกรย์ยกมือโอบบ่าประมุขเอาไว้เป็นเชิงปกป้องก็ดูจะได้ผลดีในหลายๆ ด้าน เพราะนอกจากจะเรียกสายตาของคนรอบด้านให้หันมามองด้วยความสนใจแล้ว ยังเป็นการทำให้แม่ของเขาพูดอะไรต่อไม่ได้ เนื่องจากต้องรักษาหน้าเอาไว้อีกด้วย

หากสิ่งที่คาร่าและเอริคคาดไม่ถึงกลับไม่ใช่การแสดงออกของลูกชายที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว...

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเดินมาช้าจะถูกคุณผู้หญิงตักเตือนก็ไม่แปลกอะไร ปล่อยให้เจ้าของงานรอนาน ไม่ยอมเข้าไปทักทายแบบนี้ถือว่าผิดมารยาทอยู่มาก ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

แม้ประมุขจะไม่ได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร แต่เพราะแขกคนสำคัญของที่นี่เกินครึ่งล้วนรู้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว พวกเขาจึงได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้นเข้าเต็มๆ น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอของหนุ่มเอเชียซึ่งดูจะมีความสำคัญกับชายผู้ได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในฝรั่งเศสสามปีซ้อนอย่างเกรย์ทำให้เริ่มมีเสียงพูดคุยนินทาในเชิงบวกดังขึ้นโดยรอบ กระทั่งผู้ที่ใครต่อใครต่างหลีกทางให้อย่างเอริคยังดูพอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไปเถอะ” คราวนี้ชายผู้เป็นใหญ่ที่สุดในครอบครัวเป็นผู้แตะแขนภรรยาซึ่งยืนนิ่งอยู่เป็นเชิงเตือน และเดินนำไปยังจุดที่เจ้าของงานยืนอยู่ด้วยตัวเอง การแสดงออกที่เหมือนจะช่วยเหลือของพ่อทำให้เกรย์ลอบมองคนข้างกายด้วยความยินดี น่าเสียดายก็ตรงที่ลูกแกะของเขาดูจะไม่รับรู้และไม่ได้สังเกตเห็นว่าพ่อของเขาเริ่มเปิดใจให้แล้ว

ลุงโทมัสที่เกรย์เรียกเป็นชายผมขาวสูงอายุ หน้าตาดูน่ากลัวและมากเล่ห์คล้ายจิ้งจอกจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักการทูตคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้เอริค และทันทีที่อีกฝ่ายหันมาเห็นว่าใครกำลังเดินเข้าไปหาก็รีบตัดบทกับคนที่พูดคุยอยู่แล้วหันมายิ้มต้อนรับอย่างรวดเร็ว

“เอริค...” ชายสูงวัยทั้งสองกอดและตบบ่ากันไปมาราวกับจะให้กำลังใจ หลังจากนั้นก็เอ่ยคำทักทายอีกสองสามประโยคก่อนจะหันมาหาคาร่าและเกรย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “คาร่า... เกรย์ นี่หลานก็มาด้วยหรือ”

“วันเกิดคุณลุงทั้งที จะไม่มาได้ยังไงกันครับ” เกรย์ยกยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ขณะที่โทมัสเองก็ยิ้มแย้มตอบอย่างอารมณ์ดี หากยังไม่ทันได้ชวนหลานชายพูดคุยเรื่องอื่น คาร่าก็ก้าวเท้าเข้าไปหาและยื่นของขวัญในมือไปให้เพื่อตัดบทเสียก่อน

“คุณโทมัส นี่ของขวัญจากครอบครัวดิฉันค่ะ” 

“ไม่น่าต้องลำบากเลยคาร่า แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะ น่าเสียดายจริงๆ ที่วันนี้ลูกสาวของฉันมาไม่ได้ รถเสียกลางทางน่ะ” ท่าทางที่ดูราวกับจะขอโทษอยู่ในทีขัดกันโดยสิ้นเชิงกับคำพูดที่ดูไร้เหตุผลเป็นอย่างยิ่ง และคนฟังก็ดูจะยิ้มค้างไปครู่หนึ่งเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเอริคหรือคาร่าที่หน้าเริ่มนิ่ง หรือเกรย์ที่สีหน้าดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม

จากข้อตกลงของผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งที่ต้องการพาลูกชายและลูกสาวมาทำความรู้จักกัน โดยแยกชัดเจนว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะยอมทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่หากไม่มีก็จะเข้าทางของการจับคู่โดยแท้จริง การที่โทมัสจงใจไม่พาลูกสาวมาแต่แรกและมาบอกหลังได้รับข่าวว่าอูโก้เริ่มเคลื่อนไหวย่อมหมายถึงการไม่ทำตามคำพูด ยึดเอาความปลอดภัยของลูกสาวเป็นหลัก และล่อให้ครอบครัวของเกรย์มากันให้ครบเพื่อให้กลายเป็นพยานคนสำคัญรวมถึงทำให้งานดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

ทว่าเกรย์ไม่ได้โกรธที่ตัวเองถูกดึงมา... เพราะสิ่งที่ทำให้เขาโมโหคือการที่อุตส่าห์พาลูกแกะน้อยมาด้วยเพื่อเปิดตัวในงานที่เห็นได้ชัดว่าอันตราย แต่กลับไม่มีความจำเป็นต้องทำเลยสักนิด เนื่องจากอีกฝ่ายไม่คิดพาลูกมาแนะนำตัวตั้งแต่แรกแล้ว

“น่าจะบอกกันก่อนนะ โทมัส” เอริคที่เก็บอารมณ์ด้านลบกลับมาได้เป็นคนแรกยังคงยกยิ้ม หากดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

“ถ้าบอกก่อน พวกนายก็คงไม่มาที่นี่กันน่ะสิ ธุรกิจก็เป็นแบบนี้ เอริค... ฉันจำเป็นต้องใช้ชื่อเสียงของคนสำคัญบางคนเพื่อเชื้อเชิญให้แขกคนอื่นๆ มาร่วมงานด้วย น่าเสียดายที่นายดันเป็นคนที่มีชื่อเสียงและน่าไว้วางใจมากที่สุด ทั้งที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งหลัก ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาภายในแทนแล้วแท้ๆ หากไม่ใช่เพราะนายตอบรับ มีหรือคนอื่นๆ ที่รู้ดีว่าฉันมีปัญหากับอูโก้อยู่จะยอมตามมา”

คาร่าที่ได้ยินถ้อยคำอธิบายเหล่านั้นถึงกับกำมือแน่นด้วยความหัวเสียที่ดันเสียรู้ให้ตาแก่คนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะโทมัสเป็นตาแก่ที่มีอำนาจและฐานะเหมาะสม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจมืดใดๆ เธอคงไม่คิดอยากจับคู่ให้ลูกชายจนต้องยอมมาถึงที่นี่ กระทั่งเรื่องผลประโยชน์ที่จะได้รับ หากต้องมาเจอสถานการณ์ย่ำแย่ในงาน อย่างเช่นเรื่องที่อูโก้จะมาจัดการโทมัสก็คิดไว้หมดแล้ว

แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือตาแก่โทมัสมั่นใจแต่แรกแล้วว่ายังไงอูโก้ก็ต้องมา...

“คุณมีสายอยู่ในนั้นสินะคะ”

“ฉลาดสมเป็นภรรยาของเอริค” โทมัสชมจากใจจนใบหน้าเจ้าเล่ห์ดูจริงใจขึ้นมาชั่วครู่ แต่แล้วเมื่อสายตาเบนไปสบเข้ากับดวงตาสงบนิ่งคู่หนึ่งที่จ้องมองมา ชายสูงวัยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แล้วนั่น...”

“ประมุข คนของผมเองครับ” เกรย์ที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อบอกให้คนข้างกายได้รู้ไปในตัวว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเจ้าตัวอยู่ และเมื่อได้ยินดังนั้น โทมัสจึงหันไปทักทายประมุขเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง หลังจากใช้ภาษาฝรั่งเศสพูดคุยกับแขกมาตั้งแต่แรก

“เธอดูน่าสนใจดีนะ”

“ขอบคุณครับ”

เกรย์ลอบยิ้มพอใจเมื่อลูกแกะของเขาตอบตามมารยาทและไม่คิดพูดอะไรมากไปกว่านั้น ดูท่าคงจะจับสัญญาณความไม่พอใจของเขากับพ่อแม่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ แม้จะฟังไม่เข้าใจก็ยังรู้ว่าควรทำอย่างไร

“เชิญลุงโทมัสเตรียมตัวให้พร้อมเถอะครับ” เขาหันไปตัดบทบอกเจ้าของงานที่ดูจะสนใจคนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ แค่เห็นสายตาก็รู้แล้วว่ายังอยากชวนคุยต่อ หากไม่ใช่เพราะสีหน้าน่าสนใจของลูกแกะ ก็คงเป็นเพราะสถานะที่เขาบอกไปอย่างชัดเจนว่าเป็นคนของตัวเอง “จะว่าไปแล้วการที่คุณลุงไม่พาลูกสาวมาก็ดีเหมือนกัน... ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหักหน้าใครเพราะมีคนของตัวเองอยู่แล้ว”

ประมุขที่ครั้งนี้เข้าใจคำพูดทุกประโยคอย่างชัดเจนแอบหันไปมองเอริคกับคาร่าเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าทั้งคู่เพียงยืนมองลูกชายพูดจาไม่เหมาะสมใส่คนสูงอายุโดยไร้ท่าทีใดๆ แม้เขาจะถูกแนะนำในฐานะคนของเกรย์ก็ยังไม่คิดปฏิเสธ

เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ...
.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.16]=[P.8]==[12/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-04-2019 19:01:13

ลูกแกะน้อยได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจโดยไม่แสดงออกให้ใครเห็น แม้ยามเจ้าของงานที่ยิ้มมาโดยตลอดหุบยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของเกรย์ และเขาถูกคนข้างกายโอบไหล่พาเดินถอยออกมาแล้ว ความงุนงงก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

“เกรย์... เราจะกลับกันแล้วเหรอ” ประมุขเงยหน้าถามเมื่อถูกพาเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่โทมัสอยู่ หันไปมองข้างหลังก็พบว่าเอริคกับคาร่ารวมถึงการ์ดทั้งสี่คนล้วนเดินตามมากันหมด

“ยังกลับไม่ได้หรอกลูกแกะ แต่ตอนนี้โอกาสที่อูโก้จะส่งคนมาที่นี่กลายเป็นหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์แล้ว เราต้องระวังตัวให้ดี”

“ครับ”

เนื่องจากงานในครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทลที่ไม่ได้มีโต๊ะนั่งประจำอะไร แขกทั้งหลายจึงเดินไปมาหาสู่พูดคุยกันได้ตามสะดวก เพราะเหตุนั้นเองกลุ่มของครอบครัวเกรย์เลยถูกคนจับจ้องอยากเข้ามาพูดคุยด้วยตลอดเวลา ทว่าการที่มีการ์ดยืนขวางสายตาย่อมบ่งบอกได้ว่าหากไม่ใช่ผู้ที่มีความสนิทสนมกันจริงๆ พวกเขาจะไม่ต้อนรับ ดังนั้นผู้คนที่ยืนมองมาด้วยความสนใจจึงทำได้เพียงวนเวียนอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้ามาหาในทันที ราวกับจะรอดูว่าใครจะเป็นผู้กล้ากลุ่มแรก

“คุณพ่อคุณแม่ของคุณไม่ต้องไปพูดคุยกับแขกเหรอครับ” สุดท้ายลูกแกะของเกรย์ก็ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ต้องหันไปกระซิบถามคนสำคัญเสียงค่อย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ผู้ที่ถูกพูดถึงได้ยิน ซึ่งดูจะเป็นไปได้ยากหากพวกเขายังยืนรวมกันอยู่อย่างนี้

“ไม่ต้องหรอก เพราะถ้ามีคนอยากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญมากพอ เดี๋ยวพวกเขาก็เข้ามาหาเอง” เกรย์พยายามอธิบายอย่างเป็นกลาง ไม่ให้ครอบครัวของเขาดูยิ่งใหญ่เกินไปนักสำหรับลูกแกะน้อย แม้ความเป็นจริงเขาควรจะบอกว่าสถานะของตนอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ ในงานนี้ก็ตาม “ส่วนเรื่องที่ลูกแกะสังเกตเห็นความผิดปกติตอนคุยกับตาลุงนั่น... เอาไว้ถึงบ้านแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”

“ครับ ผมจะรอฟังนะ”

ลูกแกะแสนว่าง่ายก้มลงมองนิ้วมือเย็นเฉียบของตัวเองที่ถูกใครอีกคนกอบกุมไว้แล้วยิ้มออกมาจากใจ ดวงตาสงบนิ่งฉายแววสดใสออกมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้รู้เลยว่าการกระทำและสีหน้าทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่สองคนที่ลอบสังเกตอยู่ตลอดเวลา

“นาย…” เสียงเรียกจากลูคัสที่ยืนบังอยู่ด้านหน้าทำให้คนทั้งหมดรู้สึกตัวและหันไปมองอีกทาง พอพบว่ามีหญิงชราบนรถวีลแชร์กับชายสูงวัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วเดินเข้ามาหาพร้อมผู้ติดตามนับสิบอันบ่งบอกถึงสถานะพิเศษได้อย่างชัดเจน เกรย์จึงพยักหน้าน้อยๆ เพื่อให้การ์ดถอยออกไป และเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาหญิงชราผู้นั้นด้วยตัวเอง

“ท่านย่า มางานนี้ด้วยเหรอครับ”

“หากไม่มาจะได้เจอหลานหรือเกรย์” อลิเซียจ้องมองพันธมิตรทางธุรกิจที่เธอมองเป็นหลานชายคนสำคัญนิ่งงัน หากดวงตาเยือกเย็นอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ในโลกสายนี้มานานหลายสิบปีกลับยังคงดูสว่างจ้าและเต็มไปด้วยความรอบรู้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน และเธอก็สังเกตเห็นความสำคัญของประมุขได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้ถูกแนะนำ “แนะนำพ่อหนุ่มคนนั้นให้ย่ารู้จักหน่อยสิ คงพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้สินะ”

“ถ้าเป็นคำง่ายๆ ก็พอรู้เรื่องบ้างครับคุณผู้หญิง” โดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน ประมุขเป็นผู้ก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงชราและเอ่ยบอกด้วยภาษาฝรั่งเศสชัดถ้อยชัดคำ รวมถึงหันไปก้มศีรษะให้ลูกชายของเธอด้วยตัวเอง “ผมกำลังศึกษา ต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจคุยเป็นภาษาฝรั่งเศสได้”

“จริงๆ เท่านี้ก็น่าประหลาดใจแล้วนะ” ประโยคภาษาอังกฤษแท้ที่แค่ฟังก็รู้ว่าเจ้าของภาษามาเองทำให้ประมุขเผลอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกไปชั่วครู่ “ฉันเป็นลูกครึ่ง เกิดที่่อังกฤษก่อนจะย้ายมาที่นี่ จะบอกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกที่พูดได้ก็ไม่ผิดนัก... นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ออกจากบ้านมาใช้ภาษานี้ มาคุยกับฉันหน่อยเป็นไงพ่อหนุ่ม”

ประมุขสบตาเกรย์เป็นลำดับแรก แม้ใจนึกอยากเข้าไปพูดคุยกับผู้เรียกหาอยู่แล้ว เพราะเขารู้สึกอบอุ่นเมื่อได้สบตากับหญิงชราผู้นั้น ทว่าในความเป็นจริงกลับเลือกที่จะถามความเห็นของคนที่เชื่อฟังมาโดยตลอด หากเกรย์ส่ายหน้าเพียงนิดเดียวเขาก็พร้อมจะปฏิเสธทุกเมื่อ

“ลูคัส”

“อีกสี่สิบห้านาทีพวกมันน่าจะมาถึง”

เกรย์พยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบจากการ์ดคนสนิทที่รู้ทันทุกความต้องการของเขา หนุ่มตาฟ้าหันกลับไปหาหญิงชราที่จ้องมองมาอย่างรอคำตอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มจางที่ดูจริงใจกว่าทุกครั้ง

“สิบห้านาทีครับท่านย่า”

“สิบห้านาทีจะพออะไร ไม่ใช่ว่าให้เขามาอยู่กับย่าจะปลอดภัยกว่าหรือ หลานไปจัดการดูละครให้สนุก ปล่อยให้เด็กคนนี้จิบชารอกับย่าดีกว่าไหม”

“ผมเชื่อว่าเขาจะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ข้างกายผมครับ”

อลิเซียกลอกตาให้เห็นจะๆ ขณะให้ลูกชายของเธอที่เงียบไม่แพ้พ่อแม่ของเกรย์พยุงลุกขึ้นยืน และยื่นมือไปให้ประมุขประคองต่อด้วยตัวเอง

“พาฉันไปเดินเล่นหน่อยแล้วกันพ่อหนุ่ม เดินไปแบบนี้จะได้ช้าหน่อย พ่อหลานชายของฉันคงไม่ใจร้ายถึงขนาดนับรวมเวลาเดินของคนแก่ด้วยหรอกใช่ไหม”

คนฟังอมยิ้มขำและหันไปพยักหน้าให้เกรย์ที่ยืนกอดอกมองด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน รวมถึงเผื่อแผ่การขออนุญาตไปยังคาร่ากับเอริคที่แลดูจะเงียบผิดปกติด้วย

“ค่อยๆ เดินนะครับคุณผู้หญิง”

“เรียกย่าเหมือนเกรย์เถอะ สมัยนี้ใครเขาจะมากีดกันคนรักของลูกของหลานที่นิสัยน่ารักรู้จักวางตัวอย่างเธอกัน แค่มองตาก็รู้แล้วว่าเป็นคนใสซื่อแต่ไม่โง่ คนประเภทนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน ใครมองก็รู้ว่าไม่ใช่เด็กรับใช้ ถ้าแม่ของเกรย์ไม่ยอมรับก็มาอยู่กับย่าก็ได้”

เสียงพูดคุยของคนต่างวัยค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เนื่องจากประมุขพาหญิงชราเดินห่างไปไกลแล้ว หากประโยคสุดท้ายที่ได้ยินกลับกระทบกลางใจคาร่าเข้าอย่างจังจนเธอเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“ขอโทษด้วยนะครับคุณคาร่า” ลูกชายของอลิเซียที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามผู้เป็นแม่ไปด้วยเพราะถูกห้ามด้วยสายตาได้แต่ยิ้มแห้ง ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอโทษสองสามีภรรยาที่อายุพอๆ กันด้วยท่าทีที่ไม่ได้ดูแข็งกร้าวหากก็ไม่ได้ดูนอบน้อมจนเกินไป

“ขอโทษอะไรกันคะคุณนิโคลัส ท่านอลิเซียมีความสุขก็ดีแล้วค่ะ”

“ผมเกรงใจคนรักของเกรย์น่ะครับ ดูก็รู้ว่าคงรักกันมาก พ่อหลานชายจ้องไม่ละสายตาเลย ท่าทางคงไม่อยากปล่อยให้ไกลหูไกลตา โดยเฉพาะช่วงเวลาอันตรายแบบนี้” นิโคลัสยกมือตบบ่าเกรย์เบาๆ เป็นเชิงแซว ทั้งยังพูดคำว่าช่วงเวลาอันตรายออกมาได้หน้าตาเฉย ราวกับรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งสำหรับคนระดับนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก

“อานิคไม่ต้องเป็นห่วงครับ คนของผมเขาน่ารักมาก พอเห็นท่านย่าก็ตาเป็นประกาย คงจะนึกถึงครอบครัวขึ้นมาเลยอยากเข้าไปพูดคุยด้วยอยู่แล้ว” เกรย์จำได้ว่าอีกฝ่ายเคยพูดถึงญาติผู้ใหญ่ที่เสียไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ ให้ฟัง แล้วก็บอกว่าคิดถึงท่านมาก การได้เห็นท่านย่าคงจะทำให้นึกถึงจนอยากเข้าไปออดอ้อนตามนิสัย

“แต่ท่านย่าของหลานชอบใจตั้งแต่แรกเห็นแบบนี้ เห็นทีหลานคงต้องพาไปเยี่ยมบ่อยหน่อยนะเกรย์”

“ด้วยความยินดีครับอานิค”

สองอาหลานต่างสายเลือดพูดคุยกันต่อหลายประโยค ขณะที่เอริคกับคาร่าได้แต่ฟังคำพูดเกี่ยวกับเรื่องของประมุขและความชอบพอของอลิเซียที่มีต่ออีกฝ่ายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีแขกคนไหนกล้าเข้ามาทักทายอีกเลย คงเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าผู้ที่มีความสำคัญมากในงานกำลังพูดคุยกับแขกที่สำคัญมากกว่าทั้งยังไม่มีใครคาดว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ จึงทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ เท่านั้น

“เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ปีกว่าแล้วหรือเปล่า”

“น่าจะเกือบสองปีแล้วครับอานิค ตั้งแต่ที่อากับท่านย่าไม่เปิดรับแขกที่คฤหาสน์ และไม่ไปออกงานสังคมใดๆ อีกเลย”

“อา... นั่นสินะ” นิโคลัสคลี่ยิ้มจนเห็นรอยยับย่นบนใบหน้า ทว่าประกายในดวงตากลับเต็มไปด้วยความสุขเสียจนคนมองยังอดแปลกใจไม่ได้ “พอหยุดมือจากงานทุกอย่างมันก็ว่างอยู่ไม่น้อย แต่พอได้เห็นลูกๆ หลานๆ วิ่งไปวิ่งมา ได้พักผ่อนโดยไม่ต้องสนใจอะไรอีกมันก็มีความสุขมากทีเดียว ก็อย่างว่า... อยู่มาเกินครึ่งชีวิตขนาดนี้แล้ว คนแก่ๆ อย่างเราจะต้องการอะไรนอกจากการได้เห็นคนที่เรารักอย่างลูกๆ หลานๆ มีความสุข ว่าไหมครับคุณคาร่า”

คนที่ถูกเรียกชื่อโดยตรงมีหรือจะไม่เข้าใจว่านิโคลัสต้องการสื่ออะไร แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจ กลับเป็นคำถามที่ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมามากกว่า

“ดิฉันขออนุญาตถามตามตรงนะคะ ทำไมคุณกับท่านอลิเซียถึงได้ดูชื่นชอบเด็กคนนั้นนัก”

“คาร่า!” เอริคที่ยืนเงียบมานานตวาดใส่ภรรยาด้วยเสียงไม่เบาไม่ดัง ราวกับจะต่อว่าที่เธอเสียมารยาทกับแขกคนสำคัญ แต่นอกจากจะไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจแล้ว นิโคลัสยังยิ้มออกมาและส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอาใจให้เห็นจะๆ อีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเอริค ผมเองก็อยากจะตอบคำถามนั้นอยู่เหมือนกัน”

“…”

“อันที่จริงเรื่องที่คุณแม่ชื่นชอบเด็กคนนั้นก็ออกจะเหนือความคาดหมายของผมเช่นกันครับ แต่เพราะทั้งผมและคุณแม่ต่างก็รักเกรย์ราวกับเป็นหลานแท้ๆ เห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนตัวโตขนาดนี้แล้ว คุณคาร่าคงไม่คิดว่าแปลกหากเราสองแม่ลูกจะเป็นห่วงหลานคนนี้ และอยากเจอจนถึงขั้นยอมลงทุนมาที่งานเลี้ยงอันตรายๆ โดยไม่บอกล่วงหน้า ส่วนเรื่องที่ผมกับคุณแม่พูดก็คงจะเป็นเพราะมองเห็นความรักที่ถูกส่งออกมาจากแววตาของหลานคนสำคัญทั้งที่ปกติเจ้าตัวไม่เคยหลุดอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยสักนิด อีกอย่าง...ต่อให้เป็นคนนอกก็มองออกครับว่าคุณไม่ชอบเขานัก ฟังเอาจากคำที่ใช้เรียกก็พอจะเข้าใจ ดังนั้นถึงได้เผลอพูดแนะนำอะไรออกไป อย่าได้ถือสาเลยนะครับ”

“ดิฉันไม่ได้...”

“คุณแม่ของผมผ่านโลกมามาก แค่มองตาท่านก็รับรู้ได้ว่าใครเป็นคนอย่างไร และในเมื่อท่านชื่นชอบมากถึงขนาดนี้ ผมจึงมั่นใจว่ายังไงเด็กคนนั้นก็ต้องเป็นคนดีแน่นอน แล้วยังไม่นับเรื่องที่เขาทำให้ลูกชายผู้แสนเย็นชาของคุณรักได้อีก เหตุผลเท่านี้ยังไม่เพียงพอจะทำให้คุณยอมรับเขาอีกหรือครับ” นิโคลัสพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็หันไปมองหน้าหลานชายคนโปรดอีกครั้ง “ท่านย่าเองก็เคยผ่านเหตุการณ์คล้ายกันกับหลานมา เพราะแบบนั้นถึงได้เข้าใจ และพูดให้อาเข้าใจด้วยเสมอ หากคำพูดของอาในครั้งนี้ช่วยให้แม่หลานยอมรับได้ง่ายขึ้นสักหน่อย ก็อย่าได้ถือว่าเป็นโชคดี จำไว้ว่ามันเป็นผลจากการที่หลานกับเด็กคนนั้นพยายามมาโดยตลอด”

“ขอบคุณครับอานิค” เกรย์เอ่ยคำขอบคุณและยิ้มออกมาจากใจจริง ขณะที่คาร่าได้แต่ยืนเงียบเพราะพูดอะไรไม่ออก

แม้จะไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ นำหน้าเหมือนเช่นต้นตระกูลในอดีต หากผู้ที่อยู่สูงกว่าก็ยังอยู่สูงกว่าอยู่วันยันค่ำ ทว่านั่นไม่ใช่เพราะพวกเขากดขี่คนอื่น หากเป็นเพราะความดีความชอบที่มีอยู่มากมายทำให้ถูกมองเป็นคนที่คู่ควร และการที่ถูกคนเหล่านั้นตักเตือนย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้

“ดิฉันจะจำเอาไว้ค่ะ”

เกรย์มองมารดาที่ค้อมศีรษะลงต่ำ ก่อนจะหันไปหาอาคนสนิทที่ขยิบตาใส่อย่างขี้เล่นแล้วผงกหัวขอบคุณท่านอย่างจริงใจ

นับจากที่ได้รู้จักกับท่านย่าและอานิคโดยบังเอิญเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เขาเข้าไปช่วยหลานคนหนึ่งของท่านที่ถูกทำร้ายร่างกายอยู่ เกรย์ก็กลายเป็นหลานอีกคนของครอบครัวคนใหญ่คนโตที่มีมากกว่าอำนาจและเงินทอง ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้ชายตัวน้อยที่ตนหลงชอบตั้งแต่เห็นภาพถ่ายให้ท่านย่าฟัง และให้คำสัญญาว่าหากได้เจอกันแล้วและความรู้สึกของเขายังไม่เปลี่ยนไปก็จะพามาพบท่านย่า เวลาผ่านมานานนับสิบปี ท่านยังคงจดจำคำพูดนั้นได้และมาหาด้วยตัวเองเพื่อช่วยเหลือ เพราะรู้ดีว่าแม่ของเขามีนิสัยแบบไหน ความเมตตาในครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะใช้คำพูดใดๆ อธิบายได้

แม้รู้ว่าลำพังคำพูดของท่านย่ากับอานิคไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ในทันทีทันใด แต่เขาก็ยังเชื่อว่าหากแม่เปิดใจเพียงนิด ลูกแกะตัวน้อยของเขาจะต้องเจาะกำแพงสูงตระหง่านนั้นเข้าไปได้อย่างแน่นอน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น...คือผลจากความอดทนและความพยายามของเกรย์กับประมุขที่สั่งสมมานานนับสิบปี




--------------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 19-04-2019 19:58:28
ลูกแกะน่ารัก ใครๆก็ต้องรักอยู่แล้ว o13
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 19-04-2019 20:50:41
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 19-04-2019 21:00:44
ลูกแกะน่ารักออกอย่างนี้จะทนใจแข็งไปทำไม  ว่าแต่งานเลี้ยงอันตรายอย่างนี้ขอให้ไม่เกิดเรื่องกับลูกแกะน๊า :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-04-2019 22:14:16
อันตราย ๆ อยู่หนใด อยากรู้ อยากเห็น  :hao4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 21-04-2019 13:32:46
ไม่มีใครไม่แพ้ความดีเจ้าลูกแกะ ฮ่าๆๆ คุณแม่ใจอ่อนซะเถอะ!
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 21-04-2019 14:36:55
ยอมเถอะคุณแม่ ยอมอ่อนให้ลูกแกะเถอะ ขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-04-2019 20:37:06
เอ็นดูประมุข ขนาดคนไม่รู้จักยังอยากเจอ
เจอแล้วก็ชอบใจกันทันที ไม่ธรรมดานะ

ประมุขวางตัวได้ดี น้องเรียนรู้ที่จะเติบโต
แถมมีเกรย์อยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ห่าง
แบบนี้ยิ่งโตยิ่งมีคุณภาพแน่นอนค่ะคุณหญิง

พ่อเกรย์เปิดใจให้น้องแล้ว คุณหญิงคงจะทำได้เร็วๆ นี้

ชอบที่เกรย์แกล้งน้องอยู่ได้ กับน้อง ร้ายตลอด 5555
ชอบที่ประมุขอ้อนคิง น่ารักดี ถึงจะห่างกันไปบ้าง
แต่เพราะความผูกพัน ความรัก เป็นตัวเชื่อมที่ดี
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-04-2019 00:48:18
เป็นที่รักจริงๆลูกแกะ
หวังว่าต่อจากนี้แม่เขาจะเปิดใจขึ้นเรื่อยๆนะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 23-04-2019 12:39:41
ลูกแกะกับเกร์ยรักกันและอดทนจับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคไปได้แน่นอน :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-04-2019 12:54:26
ลูกแกะน่ารัก
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.17]=[P.8]==[19/04/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 04-05-2019 20:06:05
-18-


“จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับท่านย่า”

“ไม่เป็นไรหรอก เชื่อย่าสิ”

“แต่ว่า...”

ปัง!

“ลองทานนี่ดู ย่าให้คนอบมาจากบ้าน”

“ครับ...”

ปัง!

บนรถคันหรูที่มีพื้นที่มากพอจะจัดเป็นโต๊ะกินข้าว ประมุขกะพริบตามองหญิงชราผู้มีฐานะไม่ธรรมดาตาปริบๆ ก่อนจะหยิบคุ้กกี้ชิ้นเล็กบนโต๊ะขึ้นมาชิมอย่างเสียมิได้ หากเป็นเวลาปกติเขาคงชื่นชมและกินจนหมดจานแบบไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากจะเป็นขนมที่ชื่นชอบแล้วยังมีรสชาติถูกปากเอามากๆ อย่างกับคนทำรู้ว่าเขาชอบอะไร

ทว่าในยามที่มีเสียงกึกก้องของกระสุนปืนดังประกอบ เห็นทีคงไม่มีใครมีอารมณ์สุนทรีย์พอจะพูดถึงรสชาติของขนม อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนหนึ่ง

“ท่านย่าครับ ผมเป็นห่วงเกรย์ แล้วยังมีคุณท่านกับคุณผู้หญิงที่อยู่ในงานด้วย”

อลิเซียจ้องมองใบหน้าของเด็กน้อยจิตใจดีที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงคนที่ยังอยู่ในงานมากจริงๆ ด้วยความเอ็นดู ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้พูดคุยก็ยิ่งชื่นชอบเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่ามากเสียจนอยากพามาอยู่ด้วยกัน ให้พูดจ้อนั่นนี่ให้เธอฟังทั้งวันเห็นทีคงไม่มีทางเบื่อ แต่หากทำเช่นนั้นจริง เห็นทีหลานชายคนโปรดคงจะโยนความเป็นย่าหลานต่างสายเลือดทิ้งและบุกมาชิงตัวคนรักคืนเป็นแน่

“น่าเสียดายจริงๆ” ถ้าคนที่ได้เจอเด็กคนนี้ก่อนเป็นหลานแท้ๆ ของเธอก็คงจะดี หากเป็นแบบนั้นเธอคงไม่ลังเลเลยที่จะรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

“ท่านย่า... ผมต้องกลับไปหาเกรย์จริงๆ ครับ” คราวนี้คนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ดูกังวลอยู่ตลอดเวลาเริ่มอยู่ไม่สุข ดวงตาที่เคยอ่อนน้อมฉายแววมุ่งมุ่นไม่ยินยอม ราวกับจะบอกว่าหากยังคิดจะรั้งเขาไว้ ไม่ยอมพาไปส่งคืนทั้งที่เลยเวลามากว่าสี่สิบนาทีแล้ว คนที่อ่อนนอกแข็งในก็พร้อมจะเปิดประตูและวิ่งออกไปด้วยตัวเอง

“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะพ่อมุข” หญิงชราจ้องมองท่าทีที่ได้เห็นด้วยความพอใจ ก่อนจะเอนกายพิงพนักนุ่มช้าๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หากเจอเหตุการณ์แค่นั้นยังมีบาดแผลกลับมา แสดงว่าเกรย์ยังไม่พร้อมจะดูแลใคร เชื่อเถอะว่าเขาจะตามหาเราจนเจอแน่ๆ”

“ผมถามได้ไหมครับว่าท่านย่าทำแบบนี้ทำไม”

“ทำอะไรเหรอ”

“ให้ผมพามาเดินเล่นแล้วก็บอกให้ขึ้นมานั่งพักเป็นเพื่อนบนรถคันนี้ที่อยู่ห่างจากงานมาไกลพอสมควร ท่านย่ากักตัวผมไว้ทำไมเหรอครับ” แม้ประมุขจะเป็นคนซื่อ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ กระทั่งฮ่องเต้ที่ชอบด่ากันอยู่บ่อยๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี บางทีอาจเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องที่คิดว่าควรใส่ใจจึงปล่อยผ่านไปราวกับไม่ได้คิดจะฟังตั้งแต่แรก ทำให้ใครต่อใครเข้าใจไปเองว่าเขาเป็นพวกบื้อหัวช้า ทว่าเรื่องราวในครั้งนี้มีความสำคัญ ทั้งเกี่ยวพันกับตัวเองและคนที่รักมาก มีหรือที่ลูกแกะของเกรย์จะไม่สนใจ “ตอนที่พาท่านย่าเดินมาทางนี้ สองข้างทางในตอนแรกเป็นสวนดอกไม้ก็จริง แต่จู่ๆ ก็ทะลุเชื่อมมายังจุดที่คล้ายจะเป็นป่า เหมือนกับมีใครเตรียมทางไว้อยู่แล้ว ผมพอจะเข้าใจว่าท่านย่าต้องมีทางที่ปลอดภัยกว่าคนอื่น...”

“แต่ที่ไม่เข้าใจคือย่าพาเรามาด้วยทำไมสินะ” อลิเซียหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดีจนใบหน้าสูงวัยมีร่องรอยยับย่นปรากฏให้เห็น “ไหนเกรย์เคยบอกว่าลูกแกะของตัวเองเป็นลูกแกะตัวน้อยๆ แสนใสซื่อกัน ดูท่าทางจะเก่งกว่าที่เห็นมากเลยนะนี่”

“คงเพราะผมไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของเกรย์”

“ย่าแค่ยื่นมือมาช่วยเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าเกรย์จะโมโหหรอก เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าหากอยู่กับย่า มุขจะไม่เป็นไรแน่นอน อาจจะดูเป็นการคิดแทนไปสักหน่อย แต่งานในวันนี้จะมีคนเสียเลือดเนื้อ และย่าคิดว่ามุขยังไม่ควรได้เห็นอะไรพวกนั้น อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบและได้มาอยู่เคียงข้างเกรย์ตลอดเวลา”

ประมุขหลุบตาลงต่ำเมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่มองเขาออกจนทะลุปรุโปร่ง ต่อให้เป็นคนสบายๆ อย่างไร เขาก็ไม่ได้โง่พอจะทำอะไรโดยไม่รู้จักประมาณตนเอง อันที่จริงเขาหวาดกลัวมาโดยตลอด ทั้งกลัวว่าจะเผลอถอยหนีเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์น่าหวาดกลัว และหากทนผ่านมันไปได้ก็ยังกังวลว่าพอต้องแยกกับเกรย์เพื่อไปเรียนต่อให้จบจะต้องตกอยู่ในภวังค์ เห็นภาพหลอนของอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นในวันนี้เพียงลำพัง

หากถึงตอนนั้นแล้วเกรย์ไม่อยู่เคียงข้างจะทำอย่างไร...

“ไม่จำเป็นต้องรีบ” อลิเซียวางมือทาบทับลงบนฝ่ามือที่กำแน่นของเด็กน้อยซึ่งกำลังสับสน ก่อนจะเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ “แค่เห็นแววตาของมุข ย่าก็รู้แล้วว่าเราเข้าใจดีทุกอย่าง แต่เพราะรักถึงเลือกหนทางที่จะช่วยเหลือเกรย์ได้มากที่สุด แม้ตัวเองจะต้องเจ็บหรือหวาดกลัวขนาดไหนก็ตาม"

“…”

"แต่จำเอาไว้ว่าการถอยหลังเพื่อมองหาหนทางใหม่ที่จะไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องผิด และยิ่งไม่ได้หมายถึงความพ่ายแพ้ เพราะบางครั้งชัยชนะก็ไม่ได้หมายถึงการเผชิญหน้าเสมอไป”

“ท่านย่า...”

“หากอยากได้รับการยอมรับก็จงพยายามให้มาก จับจุดให้ถูกแล้วค่อยๆ คิดและลงมือทำ การพยายามเผชิญหน้ากับสิ่งสกปรกและความสูญเสียไม่ได้ช่วยยกใครให้สูงกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ก็เลี่ยงมันเสียดีกว่า เพราะต่อให้เรายืนมองคนยิงกันได้โดยไร้ความรู้สึกใดๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ใครมองเราด้วยความเชิดชูอยู่ดี”

อลิเซียยิ้มให้เด็กน้อยที่เธอนึกเอ็นดูอีกครั้ง ก่อนจะเคาะกระจกรถเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้คนด้านนอกรับรู้ และหลังจากนั้นไม่นานนักประตูรถก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มตัวสูงผู้มีดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นซึ่งกำลังจ้องมองไปที่ประมุขโดยไม่ละสายตา

“ลูกแกะ... ฉันมารับแล้ว”

ผู้ถูกเรียกหันกลับไปหาอลิเซียเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มจาง เขาก็สูดลมหายใจเข้าจนสุดและเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปกอดใครอีกคนเอาไว้แน่น

“คุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”

“ไม่มีใครเป็นอะไร เรากลับบ้านกันเถอะ” เกรย์อาศัยช่วงเวลาที่ลูกแกะยังซุกอยู่กับอกเบนสายตาไปมองท่านย่าของเขาด้วยความสงสัย แต่เมื่อไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ กลับมา นอกจากสีหน้าที่เหมือนจะบอกให้กลับไปถามกันเอง เขาก็ถอนหายใจและผงกหัวร่ำลาตามมารยาท “กลับบ้านดีๆ นะครับ”

“อย่าลืมพามุขมาหาย่าบ้างล่ะ”

“ถ้าเกรย์ลืม ผมจะเตือนให้เขาพาไปแน่นอนครับท่านย่า” เสียงพูดแทรกของคนร่าเริงทำให้เกรย์ที่กำลังจะตอบชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ เพราะดูท่าลูกแกะของเขาคงไม่ยอมผิดคำพูดแน่ๆ

“แล้วเจอกันครับท่านย่า”

หลังจากแยกกับอลิเซีย เกรย์ก็จูงมือพาลูกแกะไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลพร้อมการ์ดสี่คนที่คอยระแวดระวังภัยให้ตลอดเวลา กระทั่งขึ้นมาอยู่บนรถแล้วลูกแกะตัวน้อยก็ยังเกาะติดอยู่กับอกไม่ไปไหน โดนโจมตีด้วยท่าทีออดอ้อนที่แสนแพ้ทางเข้าไป สุดท้ายก็ต้องหยุดปากที่กำลังจะถามว่าเจ้าตัวคุยอะไรกับท่านย่าบ้าง แล้วกลายเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังแทน

“จำตอนที่พวกเราเดินเข้าไปทักลุงโทมัสได้หรือเปล่า...”

“จำได้ครับ”

“ตอนนั้นเขาบอกว่าลูกสาวรถเสียเลยมางานไม่ได้ แต่จริงๆ คือไม่ได้กะจะให้มาตั้งแต่แรกแล้ว ที่ทำทั้งหมดก็เพราะต้องการให้ฉันกับพ่อแม่มางานนี้เพื่อดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ”

“แบบนี้นี่เอง” พอได้ฟังคำอธิบายประมุขก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมในช่วงเวลานั้นทุกคนถึงทำหน้าตาน่ากลัวกันหมด “แล้วตอนที่ผมอยู่กับท่านย่าเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ผมได้ยินเสียงปืนด้วย”

“เกิดความวุ่นวายขึ้นในงานน่ะ เหมือนฝั่งอูโก้จะส่งคนแฝงเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว พอได้รับสัญญาณก็มีคนบุกเข้ามาเพิ่ม โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรเพราะฝั่งนั้นวางแผนมาดี แต่ที่วางแผนดียิ่งกว่าก็คงเป็นลุงโทมัสที่ให้ตำรวจปะปนอยู่ในงานเกินสิบคน สุดท้ายก็จับได้หมด เหลือก็แต่สาวไปหาตัวการแล้วลากเข้าคุกเท่านั้น เรื่องนี้คงไม่ยากเท่าไหร่เพราะยังไงก็มีสายอยู่ในนั้นแล้ว ยิ่งมาเกิดเรื่องนี้ขึ้น มีคนสำคัญๆ เสี่ยงอันตรายอยู่หลายชีวิต ยังไงก็ดิ้นไม่หลุด โทษอย่างต่ำคือตลอดชีวิตแน่นอน”

“คุณไม่กลัวใช่ไหม” คำถามซื่อๆ ที่ดังออกมาจากปากคนน่ารักทำให้เกรย์ชะงักไปนานเกือบนาที ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงเป็นใยของลูกแกะน้อยที่ไร้ซึ่งวี่แววของการล้อเล่น

“ฉันชินแล้ว สำหรับงานนี้ถือว่าเสียเลืิอดเสียเนื้อน้อยมาก แต่บอกตามตรงว่าพอเห็นความวุ่นวายพวกนั้นก็อดดีใจไม่ได้เหมือนกันที่ท่านย่าพาลูกแกะออกมาไกลถึงที่นี่ เพราะภาพพวกนั้นมันไม่ใช่อะไรที่น่าดูนัก...” ท้ายประโยคเขาเบาเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าคนข้างกายกำลังจ้องมองกันอยู่ก็รีบพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “แล้วท่านย่าพูดอะไรกับลูกแกะบ้างเหรอ เหมือนจะคุยเพลินจนไม่ยอมพากลับไปส่งเสียด้วย”

“ตอนแรกท่านย่าเล่าเรื่องคุณให้ฟังครับ” พอพูดถึึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประมุขก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง “ท่านเล่าให้ฟังว่าเจอคุณได้ยังไง ตอนเด็กๆ คุณเป็นคนแบบไหน แล้วก็เล่าเรื่องที่คุณพูดถึงผมให้ท่านฟังด้วย”

“หึหึ... ดีแล้วที่ฉันเคยหลุดเล่าเรื่องของลูกแกะให้ท่านฟัง เพราะแบบนั้นท่านถึงได้มาที่งานนี้เพราะอยากจะเจอ แล้วก็ช่วยพาลูกแกะออกมาที่นี่ ทำให้ไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์พวกนั้น...”

เพียงแค่นึกถึงภาพของเลือดที่เจิ่งนองเต็มพื้นซึ่งเขาชินชามาตั้งแต่เด็ก เกรย์ก็อดรู้สึกหนักอึ้งในอกไม่ได้ ลำพังตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับลูกแกะที่อยู่ในโลกสีขาวสะอาดมาโดยตลอด คงต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ

จะว่าไปแล้ว...

“เกรย์... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ลูกแกะ” เกรย์จับมือของคนสำคัญเอาไว้หลังจากนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กลัวมากหรือเปล่า”

“ครับ?”

“พอรู้ว่าต้องมาเจอเหตุการณ์พวกนี้ นายกลัวมากหรือเปล่า”

“…”

ความเงียบและใบหน้าหงอยๆ ของลูกแกะน้อยแลดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคำถามของเขา เพียงแค่นั้นหัวใจคนมองก็กระตุกวูบ สองแขนรีบรั้งคนสำคัญเข้ามากอดแล้วลูบหัวปลอบเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“ขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเต็มใจมาที่นี่เอง แล้วสิ่งทำให้ผมกลัวก็ไม่ใช่การที่จะต้องพบเจอกับเหตุการณ์พวกนั้นหรอก” ประมุขยกแขนขึ้นกอดตอบ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ และพูดความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่ปิดบัง “ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น กลัวว่าภาพของมันจะติดตา กลัวว่าถ้าต้องแยกกลับไปเรียน ไม่มีคุณคอยอยู่เคียงข้างแล้วจะทนไม่ไหว ผมคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะเจอเรื่องราวน่ากลัวเหล่านั้นเพียงลำพัง ไม่พร้อมจะก้าวผ่านมันไปโดยไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง”

“ลูกแกะ...”

“เป็นเพราะผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ของคุณยอมรับ แต่กลับลืมนึกถึงเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นไป ท่านย่าบอกว่าการที่ผมพยายามเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนั้นไม่ได้เป็นการยกตัวเองให้สูงขึ้น แล้วก็ไม่ได้ช่วยทำให้ใครหันมาเชิดชู บางครั้งการหลีกเลี่ยงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า... ผมขอโทษที่ไม่ได้วิ่งกลับไปอยู่เคียงข้างคุณ”

“ลูกแกะไม่ผิด ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว” เกรย์โคลงตัวไปมาช้าๆ เพื่อปลอบประโลมลูกแกะน้อยที่ดูจะคิดมากกว่าที่เห็นภายนอก “เป็นฉันเองที่ผิด เอาแต่มองเป้าหมายของตัวเองโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของนายเลย”

“คุณไม่ผิด”

“งั้นเราผิดกันคนละครึ่งแล้วกัน” เขาจับใบหน้าของคนในอ้อมแขนด้วยมือทั้งสองข้าง ค่อยๆ ประคองให้เงยขึ้น และส่งผ่านความรักความห่วงใยทั้งหมดไปให้ผ่านทางแววตา “ท่านย่าพูดถูกแล้ว ฉันควรจะปกป้องลูกแกะจากเรื่องสกปรกที่ไม่ควรพบเจอ ไม่ใช่พาไปเผชิญหน้าทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเพียงเพื่อเป้าหมายเล็กๆ ที่จะมาตามแก้ทีหลังก็ไม่ได้สายเกินไป อีกอย่าง...ฉันเป็นคนบอกเองให้ลูกแกะเป็นตัวของตัวเองเวลาเจอพ่อแม่ แต่กลับบีบบังคับให้มาที่นี่ สวมใส่หน้ากากที่ไม่จำเป็นเพียงเพื่อแนะนำให้คนอื่นรู้จักและทำให้พ่อแม่ยอมรับ นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดที่สุด”

พอเห็นแววตาสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัดของคนพูด ลูกแกะน้อยที่รักเกรย์ยิ่งกว่าอะไรก็เป็นฝ่ายยกมือขึ้นประคองใบหน้าคมเอาไว้ และกดจูบลงที่ปลายคางของคนตัวสูงอย่างอ่อนโยน

“เราตัดสินใจร่วมกันครับ คุณไม่เคยบังคับผม เป็นผมเองที่ไม่ยอมพูดว่ากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร”

“งั้นต่อจากนี้เราจะบอกกันทุกเรื่อง... ไม่ใช่แค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เหมือนปกติ แต่รวมถึงสิ่งที่กำลังคิดหรือรู้สึกด้วย ดีไหม” เกรย์ใช้ปลายนิ้วไล้แก้มใสของคนน่ารักด้วยความรักใคร่ ยิ่งได้เห็นลูกแกะของเขาพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความยินดีก็ยิ่งมันเขี้ยวจนอยากจับฟัดสักหลายรอบ “จากนี้เป็นตัวเองให้เต็มที่ ถ้าถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอะไร หรือต้องสวมใส่หน้ากากเพราะความจำเป็นเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนบอกและจะอยู่ตรงนั้นกับลูกแกะ ไม่ปล่อยให้เก็บไปคิดหรือนึกถึงเพียงลำพังแน่นอน”

“ครับ ผมเชื่อคุณ”

หลังจากพูดคุยกันจนเข้าใจ พวกเขาก็นั่งจับมือกันไปเงียบๆ ตลอดทางกลับบ้าน กระทั่งเดินลงจากรถเข้าไปด้านในแล้วก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น หากในความรู้สึกกลับเหมือนได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

ประมุขกวาดตามองไปรอบโถงด้วยความประหลาดใจเมื่อไม่เห็นเจ้าของบ้านทั้งสองคน และดูเหมือนเกรย์จะจับความสงสัยของเขาได้ จึงอธิบายให้ฟังโดยไม่ต้องรอให้ถาม

“วันนี้พ่อกับแม่ไปนอนโรงแรม เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องคุยธุระในเมือง แล้วก็อีกสามสี่วันพ่อน่าจะต้องบินไปธุระต่างประเทศ ถึงจะไม่ได้ทำหน้าที่ทูตต้องไปประจำที่ไหนแล้วแต่ก็ยังงานหนักเหมือนเดิม ช่วงนั้นฉันก็คงต้องไปดูงานเหมือนกัน แล้วก็จะถือโอกาสพาลูกแกะไปเที่ยวด้วยเลย”

“หมายถึงให้ผมไปกับคุณด้วยเหรอ”

“ฉันไม่อยากปล่อยลูกแกะไว้คนเดียว ไปด้วยกันได้ไหม”

“ได้อยู่แล้ว!”

เกรย์อ้าแขนรับร่างของคนที่พุ่งเข้ามากอดเขาอย่างอารมณ์ดีเพราะได้ยินคำว่าเที่ยวด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ลูกแกะตัวนี้ก็ยังทำให้เขายิ้มได้เสมอ

โชคดีจริงๆ...

โชคดีที่วันนี้ลูกแกะไม่ต้องไปเจอเหตุการณ์น่ากลัว

โชคดีที่ลูกแกะของเขายังยิ้มได้อยู่

“ขอบคุณครับท่านย่า”



สามวันต่อมา เอริคเดินทางไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เช้า ส่วนเกรย์กำลังจะพาลูกแกะของเขาตามติดไปทำงานด้วย เพื่อจะได้แวะพาเที่ยวทิ้งท้าย เพราะอีกไม่นานประมุขก็ต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อที่ประเทศไทยแล้ว พวกเขาช่วยกันถือกระเป๋าลากไปส่งให้การ์ดเอาขึ้นรถ ก่อนจะยืนยิ้มมองบรรยากาศในยามเช้าด้วยความสดใส

อากาศในเวลานี้ไม่ได้ร้อนและไม่ได้เย็นจนเกินไป ให้ความรู้สึกสบายเหมาะแก่การเดินทางไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนจะหนาวเย็นขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อคุณผู้หญิงของบ้านเดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้านนอกและส่งให้การ์ดของเธอเอาขึ้นรถคันเดียวกันกับเกรย์และประมุขหน้าตาเฉย

“ทำอะไร”

คาร่าเหลือบตามองลูกชายอย่างเย็นชา ก่อนจะดึงแว่นกันแดดที่ใส่อยู่ออกช้าๆ และค่อยๆ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

“ได้ข่าวว่าจะไปเที่ยว แม่อยากพักผ่อนพอดีเลยจะไปด้วย”

“ผมจะแวะไปทำงานก่อน” เกรย์หรี่ตามองมารดาอย่างระแวดระวัง ไม่ไว้ใจการกระทำใดๆ ของแม่บังเกิดเกล้าเลยสักนิด แม้ยามนี้แม่ของเขาจะไม่ได้มองลูกแกะด้วยแววตาน่ากลัวเหมือนช่วงแรกๆ แล้วก็ตาม

“ทำก็ทำสิ แม่อยู่เป็นเพื่อนคนของลูกจะได้ไม่เหงา ไม่ดีหรือไง”

“ไม่…”

“ดีสิครับ!” ลูกแกะน้อยที่ได้ยินว่าจะมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนรับคำทันควัน ดวงตาเป็นประกายแสดงออกถึงความดีใจอย่างชัดเจน ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ จนคนมองทั้งสองที่ตั้งท่าจะเถียงกันต่อต้องหยุดพูดไปโดยไม่รู้ตัว

“คนอะไรอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มชายหนุ่มและบอดี้การ์ดตัวโตพึมพำอยู่กับตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายเดินไปขึ้นรถโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้เกรย์ขมวดคิ้วมองตามด้วยความไม่พอใจ ซึ่งก็จางหายไปอย่างรวดเร็วยามพบว่าลูกแกะของเขาดูจะดีใจเอามากๆ ที่แม่จะไปด้วย

พื้นที่บนรถตู้คันหรูที่ใช้ในครั้งนี้ประกอบไปด้วยโซฟาตัวยาวซึ่งจุคนได้หลายคน ทั้งยังมีโต๊ะทำงานและพื้นที่สำหรับวางเครื่องดื่มรวมถึงข้าวของพร้อมสรรพ มีการ์ดนั่งอยู่ด้านหน้าหนึ่งคนเคียงข้างคนขับรถ ส่วนที่เหลือขับรถประกบอยู่ด้านหน้ากับด้านหลังไม่ต่ำกว่าสองคัน ต้นเหตุมาจากที่คราวนี้มีผู้ร่วมเดินทางคนสำคัญมากกว่าหนึ่ง

“คุณผู้หญิงลองกินขนมหน่อยไหมครับ” คุ้กกี้ของโปรดที่เตรียมไว้กินในยามหิวถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะและเลื่อนไปให้คนที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยอย่างใจดี แต่แค่มองดูใครก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากกินมากขนาดไหน ที่ต้องยื่นส่งให้ผู้ใหญ่ก่อนก็เพราะต้องทำตามมารยาทเท่านั้น

“เพิ่งทานข้าวเช้าไป เธอหิวอีกแล้วเหรอ”

“ปกติหลังอาหารผมจะกินขนมด้วยครับ” ประมุขหัวเราะอารมณ์ดีและรีบหยิบคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปากเมื่อคาร่าส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากนั้นเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนบ้างานก้มหน้าก้มตาคุยกับโน้ตบุ๊กอยู่อีกคนจึงรีบหยิบคุ้กกี้รสกาแฟไปป้อนให้ถึงที่ ซึ่งเกรย์ก็อ้าปากรับขนมเข้าไปเคี้ยวตามความเคยชินโดยไม่สนใจสายตาของมารดาที่มองมาด้วยความสนใจ

“เกรย์ก็กินด้วยงั้นเหรอ” คาร่าเลิกคิ้ว จำได้ว่าลูกชายของเธอไม่เคยแตะต้องขนมชนิดใดเลยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าใครจะบอกว่าอร่อยเพียงใดก็ไม่สนใจ หากเมื่อถูกเด็กคนหนึ่งป้อนให้กลับรับไปกินอย่างง่ายดาย ต่อให้ชอบพอกันอย่างไรก็ดูจะน่าประหลาดใจเกินไปหน่อย “ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือไง”

“ผมไม่ได้ฝืน” คนที่ก้มหน้าก้มตามานานเหลือบมองมารดาครู่หนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก กลายเป็นคนทำคุ้กกี้ที่ยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะเฉลยคำตอบให้คนที่สงสัยฟัง

“ผมรู้ว่าเกรย์ชอบรสชาติแบบไหนก็เลยลองผิดลองถูกทำดูครับ ตอนแรกๆ เขาก็ไม่กินหรอก แต่เพราะคอยบอกตลอดว่าหวานไป ขมไป หรืออะไร สุดท้ายก็เลยได้รสชาติที่เขากินได้ออกมา คุณผู้หญิงลองทานดูสิครับ” พอพูดจบลูกแกะน้อยก็ขยับกล่องคุ้กกี้ไปให้คาร่าอีกครั้ง ทั้งยังเฝ้ามองด้วยแววตาคาดหวังชนิดที่ไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ลง แม้แต่คนที่เกือบจะทำตัวเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายก็ยังต้องเบนหน้าหนีความใสซื่อนั้นเช่นกัน

สุดท้ายคาร่าก็หยิบคุ้กกี้รสกาแฟขึ้นมาหนึ่งชิ้น และค่อยๆ ชิมรสชาติของมันด้วยความสนใจ คุ้กกี้รสกาแฟที่ประมุขทำไม่ได้อร่อยเลิศจนเทียบเท่ากับแบรนด์ดังๆ แล้วก็ยังห่างไกลจากความชอบของคาร่าไปมาก หากในฐานะแม่ เธอกล้าพูดว่ามันคือรสชาติแบบที่ลูกชายของเธอกินได้จริงๆ เป็นรสแบบที่ต่อให้ลงมือเข้าครัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้หรือเปล่า

“ขมไปหน่อย” ดวงตาคมคล้ายลูกชายเหลือบมองใบหน้าจ๋อยสนิทของคนฟัง ก่อนจะกระแอมออกมาและพูดต่ออย่างไม่แน่ใจนัก “มีรสอื่นที่หวานกว่านี้หรือเปล่า”

คำถามนั้นไม่ได้ทำให้ประมุขตกใจเพียงผู้เดียว เพราะแม้แต่เกรย์ซึ่งกำลังทำงานแต่ก็ยังเงี่ยหูฟัง เนื่องจากกลัวมารดาพูดจาทำร้ายลูกแกะของเขาก็ยังเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ กระทั่งผ่านไปนานนับนาที เมื่อคาร่ากระแอมอีกครั้ง ประมุขจึงหลุดออกจากภวังค์และยิ้มด้วยความยินดี

“มีครับ ด้านนี้จะเป็นรสวนิลากับช็อกโกแลต ครั้งหน้าผมว่าจะลองทำรสอื่นๆ เพิ่มอยู่เหมือนกัน ถ้าอยากลองรสไหนบอกได้เลยนะครับ”

“อืม”

พอเห็นว่าคาร่ายอมพูดคุยด้วย ลูกแกะของเกรย์ก็ยิ่งอารมณ์ดี หานั่นหานี่มาชวนคุยไม่มีหยุด หากสิ่งที่น่าแปลกกลับเป็นการที่คาร่าไม่ได้เอ่ยขัดหรือหันหน้าหนีอะไร เธอเพียงพยักหน้าบ้างเป็นบางคราว และตอบเท่าที่อยากตอบ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดบนรถดูดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว

หลังจากใช้เวลาเดินทางนานเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่เกรย์ต้องเข้าไปคุยงาน ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้ลูกแกะนอนรออยู่บนรถ แต่พอมีแม่มาด้วยอีกคนจึงไม่แน่ใจนักว่าจะเอาอย่างไร หากในขณะที่กำลังคิดอยู่ ลูกแกะที่ดูอารมณ์ดีเกินกว่าจะง่วงนอนก็หันมาเขย่าแขนออดอ้อนทั้งหน้าซื่อๆ ที่เขาแพ้ทาง

“คุณรีบไปทำงานสิครับ เดี๋ยวสายนะ เราจะได้รีบไปเที่ยวกันต่อด้วย”

“ฉันไม่อยากปล่อยให้นายอยู่คนเดียว”

“ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีพี่การ์ดอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณผู้หญิงอีกคน”

ก็นั่นแหละที่น่าเป็นห่วง...

เกรย์มองแม่ตัวเองด้วยความไม่ไว้วางใจ แม้เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาจะดูเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แต่เขาก็ยังไม่อยากให้ลูกแกะพูดคุยกับแม่เพียงลำพังสองคนอยู่ดี

“แม่ไม่รังแกคนของลูกหรอก” เสียงเย็นๆ ของคาร่าทำให้คนทั้งคู่หันกลับไปสนใจอีกครั้ง ซึ่งประมุขที่ได้ฟังก็ทำได้เพียงยิ้มและหันมาพยักหน้าเด๋อๆ ให้คนข้างกาย ขณะที่เกรย์ขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่อยากยินยอมเท่าไหร่นัก

“ฉันจะรีบกลับมา รออยู่บนรถนะ”

“ครับ” คนว่าง่ายพยักหน้าหงึกๆ หลับตาลงให้คนตัวสูงก้มลงจูบที่หน้าผากตามความเคยชินโดยไม่ได้สนใจสายตาของใคร ก่อนจะโบกมือส่งจนเกรย์เดินลงจากรถไปหาจิมที่รออยู่ด้านนอกแล้วก็รีบหันกลับมาทางเดิมอีกครั้ง

พอเกรย์จากไป บรรยากาศบนรถก็กลับมาเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากการ์ดกับคนขับด้านหน้าทำตัวเป็นอากาศธาตุอันไร้ตัวตนมาตั้งแต่ต้น คาร่าเองก็เอาแต่จับจ้องคนสำคัญของลูกชายคล้ายอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเกรย์คอยให้เอาหน้าแล้ว หากเด็กคนนี้ไม่ได้จริงใจกับเธอจริงๆ ก็คงเผยตัวตนออกมาจนหมด

ทว่า...

“คุณผู้หญิงจะทำอะไรระหว่างรอดีครับ ผมเห็นบนรถมีหมากรุกอยู่ เรามาเล่นด้วยกันดีไหม” รอยยิ้มใสซื่อและคำพูดที่ไม่ได้แตกต่างจากยามอยู่กับเกรย์ทำให้เธอดูราวกับเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้คิดอะไรแบบนั้นออกไปได้ยังไง ทั้งที่มองคนขาดมาโดยตลอดแท้ๆ

คงจะจริงอย่างว่า... พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูก ผู้เป็นแม่ก็ดูจะเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่โดยไม่รู้ตัว

“เอาสิ”

“รอสักครู่นะครับ” คนที่สดใสเหมือนดวงตะวันคลี่ยิ้มกว้าง รีบหันไปคุ้ยหาเกมกระดานที่ตัวเองหยิบติดมาด้วยเพราะกะจะเอามาเล่นในช่วงที่ว่างออกมา พอตั้งกระดานเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “คุณผู้หญิงจะเริ่ม...”

“เธอเริ่มก่อนเลย”

“งั้นผมขอเล่นเต็มที่ ไม่เกรงใจนะครับ”

“เอาสิ”

คาร่าเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ ขณะลอบสังเกตท่าทีของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสนใจไปด้วย มีหลายครั้งที่เจ้าของใบหน้าใสซื่อเผยสีหน้าเฉียบคมออกมายามต้องวางแผน และมีอีกหลายครั้งที่เผยใบหน้ามู่ทู่ยามพบว่าเธอดักทางได้หมด แต่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้สักกี่เกม บนใบหน้านั้นกลับไม่ปรากฏวี่แววของการยอมแพ้เลยสักครั้ง

ยิ่งเล่นเกมที่ต้องใช้สมองมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้เห็นอะไรๆ ในตัวประมุขมากขึ้น และสิ่งที่ดูจะชัดเจนมากที่สุดก็คือความพยายามกับความอดทน...

“รุกฆาต!” เสียงประกาศชัยชนะด้วยความดีอกดีใจเป็นครั้งแรก หลังจากเล่นเกมมาเกือบสิบตาของประมุขไม่ได้ทำให้ผู้ฟังแสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ ออกไป ตรงกันข้าม...คาร่ากลับมองคนที่ฉีกยิ้มกว้างและมองหน้าเธอด้วยแววตาคาดหวังราวกับอยากได้รางวัลเป็นคำชมนิ่งงัน

วินาทีนั้นเธอเพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรก...ว่าเธอโง่มากเพียงใดที่ใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่ากับการพยายามไล่เด็กคนนี้ออกไปจากชีวิตเกรย์

“ฉันแพ้แล้ว” ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ก่อนร่างบอบบางของผู้ที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมาโดยตลอดจะเอนกายพิงพนักโซฟาอีกครั้งด้วยความสบายใจ ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังใดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีก

แม้จะยังไม่ได้อ้าแขนรับอย่างเต็มตัว ทว่าหัวใจของเธอกลับเริ่มเปิดออกทีละน้อย

และสักวันหนึ่งก็คงจะพ่ายแพ้ให้แก่เด็กตรงหน้าเหมือนเช่นหมากรุกตานี้

พ่ายแพ้...เหมือนเช่นลูกชายของเธอ

----------------
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 04-05-2019 20:31:25
 :hao3: น้องน่ารักขนาดนี้ไม่รักได้ไง
 :impress2:  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 04-05-2019 21:32:44
สรุปสุดท้ายบ้านนี้แพ้แกะทุกคนจ้า ลูกแกะชนะเลิศ 5555
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 04-05-2019 23:20:37
เสร็จลูกแกะหมดทุกคนสุดท้ายคุณแม่จะหวงลูกแกะมากกว่าใครๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-05-2019 23:38:24
เหลือใครที่แกะมุขยังไม่ได้ปราบบ้างเนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 05-05-2019 05:59:53
ความน่ารักและจริงจของลูกแกะ ชนะใจคุณแม่แล้ว หนทางข้างหน้าเริ่มสดใส :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 05-05-2019 10:15:54
รุกฆาต :mc3: :mc2: เอาชนะใจคุณแม่ได้แล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-05-2019 00:41:37
ความเป็นตัวน้องจะชนะทุกอย่าง  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 06-05-2019 10:19:04
ลูกแกะทำได้แล้ว :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kimmoominn ที่ 06-05-2019 19:24:35
เปิดใจยอมรับแล้วว เย้ :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-05-2019 17:30:17
ท่านย่ามาถูกเวลาใช่ไหม เกรย์

เอ็นดูประมุขค่ะ ความห่วงใยก็มีมาก แต่ก็กลัวมากเหมือนกัน
ก็จริงอย่างย่าบอก ถ้าไปเจอแล้วจะไหวหรอ จะรับได้ไหม
เพราะแบบนี้ ก็ควรเลี่ยงไปก่อน เพื่อตั้งรับ เตรียมตัวใหม่ ดีกว่า

เกรย์ ประมุข ได้เปิดใจคุยกันบ้าง ก็ช่วยได้เยอะเลยค่ะ
บางที การเติบโตคนละแบบ ก็ลืมคิดถึงความเป็นไปของอีกคน
คุยกันแล้ว ก็ชัดเจนขึ้นมากด้วย แต่เรื่องให้ปล่อยไป ไม่มีทาง

ว้าววว ประมุขทำได้แล้วค่ะ อย่างน้อยคุณแม่ก็เปิดใจ
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 14-05-2019 23:11:46
ติดตามมาทุกเรื่องเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
รอตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.18]=[P.8]==[04/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 17-05-2019 19:54:52
-19-


เกรย์ไม่แน่ใจนักว่าบรรยากาศระหว่างลูกแกะกับแม่ของเขาเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร รู้เพียงว่ามันเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาเดินกลับมาขึ้นรถ เมื่อพูดคุยเรื่องทางธุรกิจกับคู่ค้าเรียบร้อยแล้ว คาร่าไม่ได้พูดจาหวานหูหรือยิ้มแย้มให้ประมุขแต่อย่างใด ทว่าการที่เธอมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความไม่ชอบใจเหมือนก่อนหน้านี้ก็เป็นการกระทำที่ชัดเจนมากพอจะทำให้เกรย์รู้ว่าแม่ของเขาล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว

ลำพังคำพูดของท่านย่ากับอานิคคงไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด หากจะพูดไปแล้วคงต้องบอกว่าพวกท่านช่วยให้คิดได้มากกว่า เพราะถ้าลูกแกะของเขาไม่ดีจริง ต่อให้คนใหญ่คนโตขนาดไหนมาพูด มีหรือจะต้องสนใจเหมือนเช่นตอนนี้

“ว่าแต่เราจะไปไหนกันเหรอ”

ดูเหมือนคนที่นั่งรถมาเกินครึ่งทางแล้วจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าลืมถามเรื่องนี้ไป เมื่อครู่ประมุขเอาแต่สนใจโปรแกรมแชทที่ดีดี้ทักมาหา พูดคุยเรื่องงานกิจกรรมที่จะเริ่มต้นตอนเปิดเทอม กว่าจะนึกขึ้นได้ก็ตอนที่เพื่อนถามว่ากำลังนั่งรถไปไหนนี่เอง

“เดี๋ยวเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักก่อน เสร็จแล้วฉันจะพาไปทุ่งลาเวนเดอร์ที่ลูกแกะเคยบอกว่าอยากไป” คำตอบง่ายๆ แต่แสนจะใส่ใจของเกรย์ทำให้ประมุขอมยิ้มจนแก้มแทบปริ ขนาดเขาเองยังเกือบจะลืมไปแล้วว่าเคยอยากไปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ซึ่งได้เห็นจากโปสการ์ดที่เกรย์ส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อน หากคนที่ในยามนั้นให้สัญญาว่าจะพาไปกลับไม่เคยลืม

“ขอบคุณครับ”

หลังจากนั่งรถมาด้วยกันหลายชั่วโมง และตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะลองเปิดใจมองดูประมุขใหม่ คาร่าก็เคยชินกับความใกล้ชิดของคนทั้งคู่ รวมถึงเริ่มมีภูมิต้านทานนิสัยประหลาดของลูกชายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมานิดหน่อย เธอได้แต่คิดว่าตราบใดที่เกรย์เป็นแบบนี้แค่กับประมุขก็คงไม่เป็นไร ถึงจะน่าตกตะลึงขนาดไหน แต่การที่คนเย็นชาแสดงออกอย่างอ่อนโยนกับใครย่อมหมายความว่าคนคนนั้นเป็นคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษ พอเข้าใจเรื่องราวก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่แล้ว

“แล้วตอนเย็นฉันจะพาไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน น่าจะมีของฝากให้เลือกเยอะ ลูกแกะจะซื้อไปฝากพี่กับเพื่อนใช่ไหม”

“ใช่ครับ เต้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ดีดี้นี่ถ้าไม่ซื้อไปให้ มีหวังโดนกระโดดกัดหัวแน่ๆ”

“เธอจะกลับตอนไหน” เสียงถามแทรกของคาร่าเรียกความสนใจจากคนที่นั่งติดกันจนแทบจะเกยตักให้หลุดออกจากโลกส่วนตัวอีกครั้ง ประมุขยิ้มซื่อส่งไปให้คุณผู้หญิง จากนั้นก็นั่งนับนิ้วอยู่สักพักก่อนจะตอบตามความจริง

“อีกหกวันก็ต้องกลับแล้วครับ ผมต้องไปช่วยกิจกรรมก่อนเปิดเทอม”

“ตอนนี้ข่าวเรื่องที่เกรย์มีคนสำคัญแพร่กระจายไปทั่ว แม้แต่พนักงานในบริษัทของฉันก็พูดถึง จากนี้ไปต้องระวังให้มากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ช่วงที่ต้องห่างกับเกรย์ควรจะให้ทีมการ์ดที่เก่งที่สุดไปดูแล ครั้งนี้ไม่ใช่การละเล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ อีกแล้ว ทุกย่างก้าวมีแต่อันตราย เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี”

คำพูดที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นห่วง หากก็ไม่อาจมองเป็นการพูดออกมาเฉยๆ ของคาร่าทำให้คนฟังนิ่งค้างไปครู่ใหญ่ กระทั่งประมุขเผยรอยยิ้มกว้างออกมา เกรย์ที่ดูเย็นชากับมารดามาโดยตลอดจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับคุณผู้...”

“น้า”

“ครับ?”

“ต่อจากนี้เรียกฉันว่าคุณน้า แล้วก็เรียกพ่อเกรย์ว่าคุณอา เมื่อไหร่ที่เรียนจบ พิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นแล้วว่าเธอเหมาะสมจริงๆ ค่อยเปลี่ยนคำเรียกขานกันใหม่ตามที่ควรจะเป็น” คาร่าพูดออกมารวดเดียวจบโดยไม่หยุดพักหายใจ เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่รถจอดนิ่งพอดี และทันทีที่ประตูรถเปิดออก เธอก็ตรงออกไปด้านนอก ไม่สนใจใบหน้าดีอกดีใจจนออกนอกหน้าของคนที่หันไปเขย่าแขนเกรย์ยกใหญ่ราวกับทำอะไรไม่ถูก

“เกรย์!!” เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าประมุขจะหาเสียงตัวเองเจอ และเมื่อหาเจอเขาก็พูดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆ คล้ายจะให้กำลังใจ

“เก่งมาก”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่เป็นลูกแกะก็ชนะขาดแล้ว” เกรย์หัวเราะหึหึในลำคอ จากนั้นก็จูงมือพาลูกแกะน้อยเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปในตัวที่พักซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราท่ามกลางธรรมชาติ ขับรถไปไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงทุ่งลาเวนเดอร์ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่แรกของพวกเขาแล้ว

ห้องพักที่ชายหนุ่มให้คนจองไว้เป็นห้องสวีทขนาดใหญ่ ด้านในนอกจากจะมีห้องรับแขกกับครัวแล้ว ยังแบ่งห้องนอนออกเป็นสองห้องพอดี ทำให้คาร่าที่เพิ่งตัดสินใจเดินทางมาด้วยอย่างกะทันหันมีที่พักโดยไม่ต้องใช้อำนาจมืดขอห้องใหม่จากทางโรงแรม

หลังจากเอาของเข้าไปเก็บในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็เดินไปเคาะประตูห้องของคุณน้าคนใหม่อย่างกระตือรือร้นเพื่อบอกให้เธอออกไปเที่ยวด้วยกัน

“คุณน้า...”

ทั้งยังติดใจคำว่าคุณน้ามากเสียจนเรียกไม่ยอมหยุด เดี๋ยวก็คุณน้าอย่างนั้น เดี๋ยวก็คุณน้าอย่างนี้ หากเป็นคนอื่นมาทำคงมีถูกรำคาญบ้าง ทว่าพอมันออกมาจากปากของคนอารมณ์ดีที่มีใบหน้าใสซื่อ ความน่ารำคาญก็กลายเป็นความเอ็นดูที่ทำให้ต่อว่าไม่ลง ได้แต่ปล่อยให้เจ้าตัวพูดจ้อไปเรื่อยแทน

พอหายเกร็งคาร่า...หมายถึงจากที่ไม่ค่อยเกร็งอยู่แล้วกลายเป็นไม่เกร็งอีกเลย ประมุขก็หันไปพูดคุยด้วยมากขึ้น ทว่ากลับไม่เคยลืมหันมาสนใจคนข้างกายที่ใช้ช่วงเวลายามอยู่บนรถไปกับการทำงาน หากช่วงไหนที่รู้ว่าเกรย์เครียดอยู่ เขาก็จะไม่ชวนคุย แต่ส่งมือไปลูบนิ้วบ้าง แตะแก้มให้หันมามองแล้วยิ้มให้กำลังใจบ้าง จากนั้นก็หันไปคุยกับคาร่าต่อ เป็นแบบนี้ไปตลอดทางจวบจนไปถึงจุดหมายในที่สุด

“คุณก็มาด้วยเหรอครับ” ลูกแกะของเกรย์ตาโตเมื่อเห็นเซดริก การ์ดของคาร่าซึ่งเขาไม่ค่อยได้เจอนักเป็นผู้เดินมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง หลังจากรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของใคร ทั้งยังเข้าใจกันกับคาร่าแล้ว ประมุขก็สนิทใจที่จะพูดคุยด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กลายเป็นการ์ดหนุ่มเองที่ไม่รู้ว่าควรจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรดีกับผู้ที่น่าจะกลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ในเร็วๆ นี้

“เขาเป็นคนสนิทของฉัน ถ้าจะออกไปไหนต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว” กลายเป็นคาร่าเองที่ช่วยตอบคำถามนั้นให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดเบี่ยงความสนใจของเจ้าเด็กพูดเก่ง เพื่อไม่ให้ถูกลากคุยยาวจนไม่ได้ไปไหนกันเสียที “รีบไปตามเกรย์ลงมาเถอะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

“ได้ครับ คุณน้ารอสักครู่นะ” ประมุขรับคำอย่างร่าเริงแล้วรีบมุดขึ้นรถไปอีกรอบเพื่อเรียกคนที่ยังติดพันงานอยู่ให้ลงมาเดินเล่นด้วยกัน เขาไม่ได้เข้าไปเขย่าตัวหรือพูดเร่งอะไรเพราะเข้าใจว่างานของเกรย์มีเยอะอยู่แล้ว แค่พามาเที่ยวทั้งที่ตัวเองยุ่งก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ดังนั้นลูกแกะน้อยแสนดีจึงทำเพียงจ้องหน้าคนที่กำลังทำงานเขม็งอย่างเฝ้ารอ ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยรอเจ้าของพาออกไปเดินเล่น ต่างกันแค่ประมุขเป็นลูกแกะ ไม่ใช่ลูกสุนัขก็เท่านั้น

ฝ่ายคนที่โดนจ้องตลอดเวลามีหรือจะไม่รู้ตัว เขาให้ความสนใจลูกแกะอยู่ตลอดไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แม้กระทั่งเรื่องที่อีกคนหันไปพูดคุยกับคาร่าก็จดจำได้ทุกคำ แต่ที่ยังนิ่งอยู่แบบนี้เป็นเพราะอยากจะรู้ว่าลูกแกะน้อยจะทนได้นานสักแค่ไหนกันเชียว ซึ่งเมื่อผ่านไปได้ห้านาที เกรย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ หันกลับไปบีบแก้มคนน่ามันเขี้ยวเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะจับมือพาเดินออกไปนอกรถด้วยกัน

ทุ่งลาเวนเดอร์ที่พวกเขาเดินทางมาเที่ยวชมเป็นทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด และเกรย์ก็คัดสรรเป็นอย่างดีเพื่อหาจุดที่สวยที่สุดรวมถึงไม่มีคนพลุกพล่านนักเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะยังไงพวกเขาก็คงเดินจนทั่วไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าเมื่อผนวกรวมสามเจ้านายเข้ากับบรรดาการ์ดทั้งของเกรย์และของคาร่า จำนวนคนที่มีจึงทำให้พวกเขาดูเหมือนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวขนาดกลางกลุ่มหนึ่ง ห่างไกลจากคำว่าเป็นส่วนตัวไปไกลในสายตาของคนนอก

ประมุขไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือไม่พอใจที่ต้องมีพี่การ์ดหลายคนล้อมหน้าล้อมหลัก เขาเคยชินกับการกระทำแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนปรับตัวได้แล้ว ทั้งยังชวนคนนั้นคนนี้พูดคุยเรื่อยเปื่อยอย่างสนิทสนมไปทั่ว เวลาจำชื่อใครไม่ได้ก็ถามใหม่ซ้ำๆ จนกว่าจะจำได้ ซึ่งคงต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่เกิดมามีพรสวรรค์อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าจะพูดมากพูดซ้ำถามจุกจิกอะไรเพียงใดก็ไม่เคยทำให้ใครรำคาญเลยสักครั้ง หรือจะบอกว่าไม่มีใครรำคาญลงก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ถ่ายรูปๆ เรามาถ่ายรูปรวมกันเถอะครับ” คนที่เพิ่งนึกได้ว่ามาเที่ยวทั้งทีแต่ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลยสักใบร้องบอกด้วยความตื่นเต้น โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่มั่นใจนักว่ากล้องเล็กๆ นี่จะจับภาพได้หมดหรือเปล่า แล้วยังไม่รู้ว่าจะให้ใครถ่ายให้ด้วย

“ผมถ่ายให้เอง” วิคเตอร์ที่ทำตัวเป็นเงาของประมุขและไม่ยอมพูดอะไรสักคำตั้งแต่เดินทางมาถึงยื่นมือออกมาเพื่อรอรับโทรศัพท์ แต่เจ้าของมันกลับกำไว้แน่นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

“ถ่ายรวมกันทั้งหมดหนึ่งรูปก่อน”

“คงไม่เหมาะ...”

“เหมาะสิครับ ได้ไหมครับคุณน้า นะครับเกรย์ ผมอยากเอาไปให้เต้กับดีดี้ดู”

วิคเตอร์เริ่มทำสีหน้าปั้นยาก เช่นเดียวกันกับการ์ดคนอื่นๆ ที่มองว่ามันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ถามว่าจะมีใครปฏิเสธคำขอของคุณประมุขได้ไหมก็คงไม่มีอีก สุดท้ายก็เป็นคาร่าที่ดูจะเข้าใจเรื่องราวดีที่สุด และยังกล้าเอ่ยปากปรามประมุขอยู่บ้าง

ในตอนนี้น่ะนะ...

“การ์ดพวกนี้ไม่ควรแสดงตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพถ่ายร่วมกับเจ้านายแบบเห็นหน้าทุกคนชัดเจนแบบนี้ เกรย์ไม่เคยบอกเธอเหรอ”

“จริงด้วย” พอได้ฟังแบบนั้นเข้าคนฟังก็พยักหน้าเข้าอกเข้าใจ หันไปขอโทษขอโพยคนอื่นๆ ยกใหญ่ โดยมีเสียงถอนหายใจโล่งอกของทุกผู้ที่ได้ยินดังตามหลัง

ต่อให้ประมุขพยายามทำตัวสนิทสนมกับทุกคนขนาดไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เขากำลังจะเป็นเจ้านายอีกคนของการ์ดทั้งหมดได้ แล้วนี่คุณผู้หญิงกับนายยืนอยู่ด้วยแล้วจะให้ถ่ายรูปร่วมกัน ใครกล้าก็คงบ้าเต็มทน

ส่วนเรื่องที่คาร่าพูดนั้นถือว่าจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง อันที่จริงพวกเขาไม่ได้เคร่งครัดอะไรในเรื่องที่ว่า ยกเว้นก็แต่คนในทีมเออย่างวิคเตอร์ซึ่งได้รับภารกิจลับให้ทำอยู่บ่อยครั้งเท่านั้นที่ไม่ควรเปิดเผยตัวตนโจ่งแจ้ง และการที่เธอเลือกพูดให้ประมุขเข้าใจผิดเพื่อรักษาน้ำใจไม่ให้อีกฝ่ายอึดอัดก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะมันบอกให้รู้ว่าเธอเริ่มเปิดใจให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

แน่นอนว่าคนที่จับสัญญาณนั้นได้และเข้าใจดีทุกอย่างย่อมต้องเป็นเกรย์

“งั้นเราถ่ายรูปกันสาม...”

“ฉันขอไปคุยโทรศัพท์เสียหน่อย เธอเดินเล่นกับเกรย์ไปก่อน”

เกรย์ยกยิ้มมุมปากเมื่อมารดาเดินชิ่งหนีไปอีกทางพร้อมการ์ดกลุ่มหนึ่ง นอกจากประมุขแล้วทุกคนล้วนรู้ดีว่าคนอย่างคาร่าไม่มีทางยอมถ่ายรูปแน่ๆ แต่เพราะการจะปฏิเสธลูกแกะแสนซื่อนั้นยากเต็มทน หนทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลี่ยงไปแบบเนียนๆ และปล่อยให้เจ้าตัวลืมไปเอง

“คุณน้าก็งานยุ่งเหมือนกันนะครับเนี่ย” คนมองโลกในแง่ดีหันไปยิ้มเด๋อด๋าใส่หน้าเกรย์ จากนั้นก็ได้รับรอยยิ้มขำขันตอบกลับมาตามระเบียบ

“ไม่อยากถ่ายรูปแล้วเหรอ”

“ถ่ายครับถ่าย วิคเตอร์ถ่ายให้ผมหน่อยนะ” ประมุขส่งโทรศัพท์ไปให้วิคเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วก็รีบดึงแขนคนตัวสูงข้างกายให้วิ่งไปที่ทุ่งลาเวนเดอร์ หาจุดที่เหมาะสมนั่งเก๊กท่าอย่างมีชั้นเชิงจนเกรย์ที่ไม่ค่อยถนัดทำอะไรแบบนี้ได้แต่กะพริบตาปริบๆ

“ฉันต้องทำท่าแบบนั้นด้วยเหรอ”

“ไม่ต้องเหมือนผมหรอก คุณถนัดท่าไหนก็ทำท่านั้นเลย”

การถ่ายรูปแบบเก้ๆ กังๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อลูกแกะน้อยที่แสนใสซื่อมีวิญญาณนักแสดงเข้าสิง อยู่หน้ากล้องทีไรเป็นต้องหลงลืมความเป็นจริงทุกที ทั้งนั่งทั้งนอนยิ้มแย้มแจ่มใส หลากหลายท่าทางจนเหมือนนายแบบมาเอง สิ่งที่เหมือนกันในทุกรูปคงมีเพียงดวงตาที่เปล่งประกายมีความสุขของประมุข กับเกรย์ที่มีสีหน้าอ่อนโยนยามมองไปยังคนข้างกาย

สงสารก็แต่วิคเตอร์ที่ต้องตามน้ำถ่ายรูปให้เจ้านาย ทั้งนั่งยองๆ ทั้งนอนถ่าย ทำทุกอย่างเพื่อให้รูปออกมาดูดีที่สุดเท่าที่มือสมัครเล่นจะทำได้ ขัดกับใบหน้าโหดๆ โดยสิ้นเชิง ทำเอาการ์ดคนอื่นๆ หันหน้าหนีกันเป็นแถบ ถ้าลูคัสหรือทีมเอคนอื่นๆ อยู่ตรงนี้ด้วยคงมีการเก็บเอาไปแซวข้ามปีข้ามชาติแน่นอน

“พอแล้วลูกแกะ” เกรย์คว้าแขนคนที่เดินลุยทุ่งมาไกลแบบไม่รู้ตัวเพราะถ่ายรูปจนเพลินเอาไว้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์คืนมาจากวิคเตอร์ที่กำลังถอนหายใจโล่งอก ส่งให้ลูกแกะตัวน้อยดูผลงานรูปถ่ายเป็นร้อยๆ รูปของตัวเอง “เอาไว้เปลี่ยนที่แล้วค่อยถ่ายใหม่ วิคเตอร์เมื่อยตัวไปหมดแล้ว”

“จริงเหรอ... ขอโทษด้วยนะครับ” ลูกแกะแสนซื่อหันไปยิ้มแห้งใส่ช่างภาพจำเป็น รอจนวิคเตอร์พยักหน้ารับคำขอโทษแล้วจึงก้มลงดูรูปตัวเองกับเกรย์ในโทรศัพท์อย่างกระตือรือร้น “ผมเอารูปนี้ขึ้นจอดีกว่า”

“ส่งมาให้ฉันบ้างสิ”

“คุณก็จะเอาขึ้นจอเหมือนกันใช่ไหม”

เห็นแววตาเป็นประกายแบบนั้นแล้วจะพูดอะไรได้อีก เกรย์เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ลูกแกะจัดการทุกอย่างให้โดยไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้ สายตาของเขาก็ยังสนใจเพียงใบหน้าสดใสที่ดูจะสว่างจ้ากว่าเดิมของคนสำคัญเท่านั้น

หลังจากพวกเขาเก็บโทรศัพท์เข้าที่กันได้ไม่เท่าไหร่ คาร่าก็เดินกลับมาราวกับรู้เวลาอยู่แล้ว ประมุขเห็นแบบนั้นก็หันไปคุยกับคุณน้าด้วยความร่าเริง โดยที่มือยังจับกุมมือของเกรย์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเขาก้าวเดินไปพร้อมกัน มีกลุ่มบอดี้การ์ดร่างสูงคอยระวังหน้าหลังให้เหมือนเช่นเคย

ภาพที่ดูธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาบ่งบอกให้รู้ว่าประมุขกำลังจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างแท้จริง

“เกรย์บอกว่าตอนเย็นเราจะไปเดินในหมู่บ้านกัน...”

“พวกเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะนั่งรถอีกคันกลับโรงแรมก่อน มีธุระต้องจัดการนิดหน่อย” คาร่าตอบกลับก่อนที่จะถูกเจ้าเด็กอารมณ์ดีชักชวนไปด้วยจนปฏิเสธไม่ลง

“แต่ว่า...”

“มีเวลาอีกหลายวัน จะรีบไปไหนกัน”

คนที่วางแผนอยากสนิทสนมกับแม่ของเกรย์มากกว่าเดิมหงอยลงเล็กน้อยเพราะอะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่คิด เห็นท่าทีเหมือนเด็กอดได้ของเล่นนั่นแล้ว หญิงแกร่งผู้รักษาสีหน้าได้ดีเสมอมาก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่คิดในใจว่าพอเปิดใจ เจ้าเด็กนี่ก็ดูจะอันตรายมากขึ้นทุกที

“ไปเดินเล่นเผื่อด้วยแล้วกัน” ฝ่ามือที่ไม่ได้อ่อนนุ่ม ทว่าอบอุ่นเอามากๆ ในความรู้สึกของประมุขวางทาบทับลงบนศีรษะของเขาและขยับลูบไปมาเบาๆ สองสามที หลังจากนั้นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มก็เหลือบไปมองเกรย์ที่กำลังเหยียดยิ้ม เชิดใบหน้าใส่เขาและหมุนตัวเดินกลับไปในทิศทางเดิม

“เกรย์ เกรย์...” ประมุขหันไปเขย่าแขนคนข้างกายด้วยความดีใจ ท่าทางน่ารักน่าชังเสียจนเกรย์อดใจไม่ไหว ต้องรวบตัวเข้ามากอดแล้วโยกตัวไปมา ฟังเสียงหัวเราะคิกคักซึ่งดังอยู่ที่อกอย่างอารมณ์ดีตามไปด้วย

“ดีใจมากหรือไงหืม”

“มากที่สุดเลย... แย่แล้ว!” จู่ๆ คนที่ซุกหน้าอยู่กับอกของเกรย์ก็เบิกตากว้าง รีบผละตัวออกกะทันหันแล้วหันไปมองทิศทางที่คาร่าเพิ่งเดินจากไป “ผมลืมบอกคุณน้า!”

ยังไม่ทันที่เกรย์จะได้อ้าปากถามว่าลืมบอกอะไร ลูกแกะตัวน้อยก็วิ่งผ่านฝูงการ์ดตามหลังคาร่าไป ทิ้งให้เกรย์ยืนเลิกคิ้วมองด้วยความงุนงง โชคดีที่วิคเตอร์รู้สึกตัวเร็ว รีบวิ่งตามหลังไปพร้อมกับการ์ดอีกสองสามคน เขาจึงพอเบาใจได้บ้าง และค่อยๆ เดินตามหลังไปช้าๆ

ฝ่ายคนที่วิ่งเร็วยิ่งกว่านักกีฬาทีมชาติเพราะมีเรื่องติดค้างในใจที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอกคุณน้าให้ได้ยืนหอบอยู่ครู่ใหญ่ โดยมีคาร่าที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถมองตามด้วยความไม่เข้าใจ หากก็ไม่ได้เร่งให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมา ซ้ำยังส่งสัญญาณบอกให้เซดริกที่อยู่ด้านข้างช่วยเข้าไปลูบหลังให้อีกต่างหาก

“คะ...คุณน้าครับ ผมมีเรื่องต้องบอกคุณน้า”

“ว่ามาสิ” คาร่าจ้องมองคนที่เริ่มควบคุมลมหายใจของตัวเองได้นิ่งงัน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้พูด เห็นแบบนั้นประมุขก็ไม่รั้งรออะไรอีก เขาพูดเข้าเรื่องด้วยความรวดเร็วราวกับไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

“เกรย์จะไม่เหนื่อยขึ้นแน่นอนครับ”

“อะไรนะ...”

“คุณน้าเคยบอกว่าผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรเกรย์ได้ มีแต่เขาที่ต้องปกป้องดูแลผม นั่นเท่ากับผมเข้ามาเพื่อทำให้เกรย์เหนื่อยขึ้น...” ทุกประโยคและทุกคำพูดที่คาร่าเคยบอกออกไป ประมุขจดจำเอาไว้ทุกคำ และนั่งนึกถึงมันมาโดยตลอด เพราะไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆ ได้เลย ทว่ามาถึงตอนนี้ ตอนที่คุณน้าเปิดใจแล้ว ตอนที่เขาได้เห็นว่าเกรย์ต้องการกันมากขนาดไหนถึงได้เข้าใจขึ้นมา “พี่ชายของผมเคยบอกว่าคนที่ไม่เปิดใจ ต่อให้เราพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางเห็นค่า”

“…”

“เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ระหว่างเรา ผมถึงได้คิดนั่นคิดนี่สารพัด พอหาข้อดีของตัวเองได้ก็ต้องมีเหตุผลแย่ๆ มาหักล้างตลอด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีอะไรคู่ควรกับเกรย์เลยสักอย่าง แต่พอคุณน้าบอกว่าจะเปิดใจ ผมเลยนึกได้ว่าจริงๆ ตัวเองทำอะไรได้มากมายขนาดไหน...” ประมุขเงยหน้าขึ้นสบตาคาร่า จากนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “ผมทำอาหารได้ เล่นกีฬาได้ แสดงละครเก่ง ถึงจะไม่ได้เกียรตินิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดงหรือเบื้องหลังอะไรที่เกี่ยวกับการแสดง ผมมั่นใจว่าทำได้ดีไม่แพ้ใครแน่นอน แล้วก็อย่างที่คุณน้าเห็นว่าผมพูดเก่ง ยิ้มเก่ง แล้วยังเป็นคนสบายๆ ที่มองโลกในแง่ดีเอามากๆ ด้วย”

“อืม...แล้วยังไงต่อ” เมื่อผู้ฟังเริ่มยกยิ้มน้อยๆ อย่างที่ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายๆ ประมุขก็เหมือนได้รับกำลังใจจนเต็มที่ เขาฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พูดจ้อบรรยายสรรพคุณของตัวเองต่อไปโดยไร้ซึ่งความเขินอาย

“เรื่องเป็นคนธรรมดาหรือต้องให้เกรย์คอยปกป้องผมคงจะเถียงไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องแค่นั้นไม่ทำให้เกรย์เหนื่อยขึ้นแน่นอน ผมจะไม่เป็นตัวถ่วงของเขา จะคิดให้เยอะๆ ว่าเรื่องไหนที่ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้เขาต้องเหนื่อย แล้วก็จะคอยทำตัวเป็นที่ชาร์จพลัง ทำให้เขายิ้มได้ในทุกวันแล้วก็มีพละกำลังในการทำงานต่อไปด้วย อย่าหาว่าโม้เลยนะครับ แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนคนเดียวที่ทำให้เกรย์ยิ้มออกมาจากใจได้ ไม่มีใครทำให้เขามีความสุขได้เท่าผมหรอก... แต่พูดมาเยอะขนาดนี้คุณน้าอาจจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าผมทำได้”

“…”

“แต่ขอแค่คุณน้าเปิดใจก็พอครับ ขอแค่เปิดใจ...แล้วผมจะแสดงให้เห็นเองว่าผมมีประโยชน์ต่อเกรย์ยิ่งกว่าใคร”

หลังจากได้พูดความในใจออกไปจนหมดแล้ว ประมุขก็ลูบอกตัวเองด้วยความโล่งอก ต่อจากนี้ไม่ว่าคุณน้าจะตอบกลับมาอย่างไรก็พร้อมรับฟัง คิดเอาไว้ตอนวิ่งมาว่าถ้าคำตอบเป็นไปในแง่ดีก็จะยิ้มให้ แต่ถ้าไม่ก็จะวิ่งกลับไปให้เกรย์ปลอบแล้วค่อยสู้ใหม่คราวหน้า แต่เหมือนอะไรๆ จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อคำตอบที่ได้ยินไม่ใช่ทั้งดีหรือไม่ดี

“พูดจาอย่างกับตัวเองเป็นของกิน” คาร่าพูดแค่นั้นแล้วมองเลยไปทางด้านหลัง พอสบตาเข้ากับลูกชายของเธอ กำแพงหินในใจก็พังถล่มไม่เหลือชิ้นดี

แม้จะไม่ได้พูดจาดีๆ ใส่กันนัก แต่ลูกชายคนเดียวของเธอย่อมสำคัญยิ่งกว่าใคร ในเมื่อเขาเลือกแล้ว เธอจะขัดขวางไปเพื่ออะไรกัน คงจะเป็นอย่างที่คุณย่ากับคุณอาคนสนิทของเกรย์ว่าไว้

อายุปูนนี้แล้ว... อะไรจะสำคัญมากไปกว่าการได้เห็นลูกหลานมีความสุข

“ดูแลเขาให้ดี” เจ้าของใบหน้าสะสวยที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไหร่นักเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เธอดูเปล่งประกายขึ้นหลายเท่าออกมาเป็นครั้งแรก และเมื่อได้เห็นว่าที่ลูกอีกคนพยักหน้ารับแบบเหม่อๆ เธอก็หมุนตัวเดินขึ้นรถไปโดยไม่รั้งรออะไรอีก

ประมุขได้แต่มองตามหลังรถคันหรูไปจนสุดสายตา ไม่รู้ว่าควรจะตีความคำพูดนั้นอย่างไร หัวสมองคล้ายจะประมวลผลไม่ออกไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อใครคนหนึ่งเดินมาหาจากทางด้านหลัง สองแขนแข็งแกร่งรวบกอดเอวเขาไว้ และวางคางลงบนบ่าอย่างนุ่มนวล สติสตังที่กระจัดกระจายก็กลับมาคืนมาอีกครั้ง ทั้งยังมีความรู้สึกตื้นตันบางอย่างแทรกเข้ามาในใจ จนทำให้ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวไปหมด

“คุณแม่ของคุณ...”

“อืม... ฉันได้ยินแล้ว” เกรย์รับคำเสียงแผ่ว ดวงตาคมทั้งสองข้างปิดลงช้าๆ ขณะที่สองแขนกระชับกอดเอวผอมของคนสำคัญเอาไว้แน่น “ลูกแกะคนเก่งได้รับการยอมรับแล้ว”

“ผมได้รับการยอมรับแล้ว...”

“ไหนขอฉันดูหน้าลูกแกะหน่อย” จบคำพูดนั้นเขาก็ผละตัวออก ปล่อยประมุขให้เป็นอิสระ ทว่ายังไม่ทันได้หมุนตัวอีกฝ่ายให้หันมาหาตามที่ใจคิด ร่างของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากลับหมุนมาหาด้วยตัวเองและพุ่งเข้ามากอดกันอย่างรวดเร็ว “ลูกแกะ...”

“ดีใจจัง”

เกรย์ก้มลงมองคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกเขาไม่ไปไหน ทั้งยังไม่ยอมเงยขึ้นสบตากัน พยายามขอดูหน้าเท่าไหร่ก็ได้รับเพียงการปฏิเสธ สุดท้ายจึงได้แต่กอดตอบแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวลูบหลังคนขี้แยด้วยความรักใคร่

หลังจากปลอบโยนลูกแกะอยู่พักใหญ่ เกรย์ก็รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนอาการดีขึ้นแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าจะทำอย่างไรลูกแกะก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดเอวเขาไว้ กระทั่งเกรย์พาขึ้นมานั่งบนรถแล้วก็ยังเกาะเป็นลูกลิงอยู่เหมือนเดิม ผ่านไปสักพักเขาถึงได้รู้ว่าเพราะอะไรลูกแกะจึงดึงดันอยู่อย่างนี้

“แล้วพ่อล่ะ ไม่กลัวด้วยเหรอ”

สิ้นคำถามกลั่นแกล้งที่ได้ผลเกินคาดของเกรย์ ลูกแกะของเขาก็ผละออกแล้วเบิกตากว้าง เผยให้เห็นดวงตาแดงๆ ที่พยายามหลบซ่อนไม่ให้เห็นมาโดยตลอด เกรย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ลูบไล้ใต้ตาช้ำของคนที่แอบงอแงในอ้อมกอดของเขาอย่างอ่อนโยน

“ผมลืมเรื่องคุณท่าน...หมายถึงคุณอาไปเลย”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พ่อพูดง่ายกว่าแม่มาก ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบลูกแกะอยู่แล้ว”

ประมุขได้แต่จ้องมองคนที่พูดจาสับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ตอนแรกถามว่าไม่กลัวพ่อเหรอ พอเขาจะกลัวก็อธิบายว่าไม่ต้องเป็นห่วงเสียอย่างนั้น ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าลูกแกะตัวน้อยจะเข้าใจว่าเกรย์พูดแบบนั้นขึ้นมาเพื่อล่อให้เขาผละออก คิดได้แล้วริมฝีปากที่กำลังยิ้มแย้มยินดีก็คว่ำเป็นสระอิ

“คุณหลอกผม”

“ฉันไม่ได้หลอก แค่ถามว่าไม่กลัวเหรอ”​

“คุณหลอกให้ผมผละออกเพื่อจะดูหน้าผม”

“ก็ใครใช้ให้ลูกแกะกอดฉันไม่ปล่อยเพราะจะซ่อนตาแดงๆ นี่กันล่ะ” เกรย์ลูบใต้ตาแดงๆ อีกหนึ่งทีเป็นการเตือน ก่อนจะมองคนที่เถียงอะไรไม่ออกอย่างอารมณ์ดี แล้วก็หัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามากอดกันไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ซุกหน้าเข้าหาอกไม่ให้มองเห็นแบบตอนแรกแล้ว

“ผมอยากกอดคุณนานๆ ต่างหาก”

“เดี๋ยวนี้หัดโกหกเหรอ”

“ไม่ได้โกหกนะ แค่พูดไม่หมดเฉยๆ”

ความหมายของประมุขคือเขากอดเกรย์ไว้เพราะต้องการซ่อนดวงตาแดงช้ำหลังจากแอบร้องไห้ด้วยความดีใจของตัวเองเอาไว้ แล้วก็อยากกอดเกรย์ตามที่พูดจริงๆ ไม่มีส่วนไหนที่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว

“ชักเจ้าเล่ห์ใหญ่แล้วนะเรา” เกรย์ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ของลูกแกะยิ้มเก่งเอาไว้ ส่วนอีกข้างหันไปหยิบกล่องขนมที่เตรียมไว้เพื่ออีกคนโดยเฉพาะออกมาวางบนโต๊ะ “ขนมกล่องนี้แอนนาแอบเอามาให้ เห็นว่าเป็นสูตรพิเศษที่เพิ่งทำขึ้นมา”

“จริงเหรอ” พอได้ยินว่าแอนนาฝากของมาให้ตัวเอง ลูกแกะตัวน้อยก็ดี๊ด๊าออกจากอ้อมแขนเกรย์ หันไปทุ่มเทความสนใจให้ขนมที่ว่าทั้งหมดจนเขาได้แต่ส่ายหน้าหน่าย

คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เอามาให้ตอนนี้ ขืนเขาเอาให้ตั้งแต่เช้า เห็นทีคงมีลูกแกะพุงป่องเพราะยัดขนมเข้าปากทีเดียวหมดแน่

“ค่อยๆ กิน”

“คุณกินด้วยกันสิครับ อันนี้อร่อยมากเลย รสนมแหละ”

“ลูกแกะกินเถอะ”

เกรย์จ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนที่เชื่อฟังคำสั่งของเขา หันกลับไปกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่เซ้าซี้นิ่งงัน เพียงแค่ได้มองก็เหมือนมีพลังใจในการทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมาย

ที่ลูกแกะบอกว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อเขายิ่งกว่าใคร... นั่นไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว



------------------



TALK: ตอนหน้าจบแล้วนะคะ จะลงวันที่ 21 น้า

ติดตามข่าวสารได้ทาง
FB: Chesshire.
Twitter: @Chesshire04


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 17-05-2019 20:21:18
มองเห็นภาพลูกแกะจูงมือเกรย์วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์เลย  :o8: น่ารักสุดๆ 
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 17-05-2019 20:46:19
น่าเอ็นดูจริงๆลูกแกะเอ๊ยย
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-05-2019 21:49:40
ลัลลาใหญ่เลยนะ ลูกแกะมุข  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 17-05-2019 22:03:37
ประมุขเป็นลูกแกะที่น่าเอ็นดูมากเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 17-05-2019 22:04:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 18-05-2019 00:48:58
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-05-2019 02:19:30
ลูกแกะน่ารักที่สุด  :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 18-05-2019 14:42:04
ยินดีกับลูกแกะตาใส :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-05-2019 15:53:01
อยากจับประมุขมาฟัดบ้างจังเลยค่ะ ชอบในความดีใจ ความยินดี
สิ่งที่น้องเป็นมันใสซื่อ จริงใจ สดใส พอผลออกมาดี แม่เกรย์ยอมรับ
อาการเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกเลย ถึงขั้นต้องเกาะเกรย์เป็นลูกลิง

มันจริงนะ ที่น้องบอกไม่ได้โม้ แต่น้องเป็นคนเดียวที่ทำให้เกรย์ยิ้มจากใจได้

เกรย์ก็ยิ่งหลงใหลได้ปลื้มไปกันใหญ่ บอดี้การ์ดก็บันเทิงกันมาก
เพราะความป่วนของคนของนาย 5555


หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 19-05-2019 01:24:34
ลูกแกะคือมีแต่พลังบวกส่งมาให้ตลอด น่ารักจังลูก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 20-05-2019 18:47:53
ลูกแกะของคุณเกรย์น่ารักมากมาย หอมหัวน้องมุขหนึ่งที :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 21-05-2019 23:13:58
-20-


เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวยิ่งกว่าโกหก เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันที่ประมุขต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อที่ประเทศไทยแล้ว หลายวันมานี้เขาทำตัวติดกับเกรย์มาก โดยเฉพาะช่วงสองสามวันที่ผ่าน กระทั่งคาร่าหรือเอริคก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากเจ้าตัวได้ ทั้งที่ปกติต้องวิ่งเข้าไปหา วนเวียนทำขนมไปให้คุณน้ากับคุณอาชิมอยู่เสมอ

เกรย์ไม่เคยมีภูมิต้านทานเชื้อออดอ้อนของลูกแกะอยู่แล้ว พอโดนเกาะติดเข้าหน่อยเขาก็ยิ้มได้ทั้งวัน งานการก็ขนมาทำที่บ้านโดยมีจิมแวะเวียนมาบ่อยๆ แทน วันไหนจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ก็ต้องพกลูกแกะใส่กระเป๋าไปด้วย ถ้าไม่มีที่ที่เหมาะสมให้นั่งก็จะให้รออยู่บนรถ ซึ่งคนที่ถูกพกไปมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ซ้ำยังดูชอบมากเสียด้วยที่ได้อยู่ใกล้เกรย์ตลอดเวลา

พวกเขากลับมาจากการไปเที่ยวค้างแรมเมื่อหลายวันก่อน พอกลับมาแล้วได้เจอกับเอริค ประมุขก็ยิ้มกว้าง ขออนุญาตเรียกคุณอาอย่างตรงไปตรงมาจนคนฟังนิ่งไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้ารับและเริ่มคาดเดาได้ว่าภรรยาคงจะเป็นผู้อนุญาตด้วยตัวเอง บรรยากาศในบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ จนใครๆ ต่างก็สัมผัสได้ เห็นคุณผู้หญิงกับคุณท่านและคุณเกรย์ดูมีความสุข ไม่ได้ทำท่าทีน่ากลัวใส่กันแบบปกติ คนงานในบ้านก็ยิ่งชื่นชอบเจ้านายคนใหม่ยิ่งขึ้นไปอีก

น่าเสียดายก็ตรงที่วันนี้ช่วงเย็นประมุขต้องกลับประเทศไทยแล้ว...

“คุณมุขต้องกลับจริงๆ เหรอคะ พวกเราไม่อยากให้คุณกลับเลย” แอนนาเป็นตัวแทนของเมดสาวทั้งหมด หันไปบอกคนที่ยืนยิ้มทำขนมอยู่หน้าเตาในยามเช้าด้วยความเศร้าสร้อย แค่คิดว่าความสดใสของบ้านจะจางหายไปอีกครั้ง พวกเธอก็รู้สึกแย่แล้ว

“ผมต้องกลับไปเรียนต่อครับ อีกแค่ปีเดียวเอง” คนอารมณ์ดีทำหน้าหงอยเล็กน้อยเพราะตัวเองก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน แต่เมื่อคืนเข้ากอดเกรย์เติมพลังไว้จนเต็มหลอดแล้ว อีกทั้งวันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมง ยังไงก็อยากจะร่าเริงเอาไว้ก่อน “ระหว่างนี้ผมจะไปเรียนภาษาฝรั่งเศสด้วย กลับมาอีกทีจะได้คุยกับทุกคนรู้เรื่อง”

“แสดงว่าถ้าเรียนจบแล้วคุณจะมาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”

คำถามที่เจือความคาดหวังเอาไว้จนเต็มเปี่ยมทำให้ประมุขหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่เคยพูดคุยกับเกรย์หรือคิดเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะลืม แต่เป็นเพราะคำตอบจากการกระทำและคำพูดทุกๆ อย่างล้วนชัดเจนดีอยู่แล้ว

“ผมจะอยู่ในทุกๆ ที่ที่มีเกรย์ครับ”

“จริงเหรอ”

เสียงถามที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันสะดุ้ง แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าคนมาใหม่คือใคร ประมุขก็ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดรเ็ว

“จริงสิ”

“ฉันเชื่อ” เกรย์ยื่นมือไปลูบหัวลูกแกะของเขาอย่างเอ็นดู ก่อนจะโอบไหล่พาอีกคนเดินออกไปด้านนอกพร้อมๆ กัน “ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า ยังไม่ถึงเวลากินข้าวเลย”

“พอรู้ว่าท่านย่าจะมาหาผมเลยตื่นเช้ามาทำขนมไว้ให้ท่านย่าลองชิมกับแอนนาแล้วก็พี่เมดคนอื่นๆ ครับ... แต่ผมช่วยทำอาหารเช้าเสร็จแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วง คุณลองดมดูก็ได้ มีกลิ่นติดอยู่แน่นอน” ประมุขทำสีหน้าจริงจัง ขณะยกแขนให้จับไปดมจริงๆ ตามที่พูด ซึ่งเกรย์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ ออกมา เขาเพียงคว้าแขนที่ถูกหยิบยื่นมาให้เอาไว้ ดันออกไปด้านข้าง จากนั้นก็โน้มตัวลงดมกลิ่นอาหารจากแก้มขาวๆ แล้วแถมจูบที่มุมปากให้หนึ่งที

“มีกลิ่นติดอยู่จริงๆ ด้วย... แถมยังดูเหมือนจะมีคนแอบชิมอาหารก่อนจนมีรสติดปากมาอีกต่างหาก”

คนที่ตอนโดนจุ๊บไม่ได้มีทีท่าเขินอายใดๆ ทั้งยังส่งยิ้มชอบใจมาให้ พอถูกล่วงรู้ความลับว่าแอบชิมอาหารก่อนเจ้าของบ้านเข้ากลับหน้าแดงก่ำ แอบแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองเพื่อทำลายหลักฐานยกใหญ่

“ผมชิมไปนิดเดียว...”

“คุณมุขคะ คุณลืมซุปไก่ไว้ในครัวค่ะ”

ประมุขหันไปมองแอนนาที่เดินถือถ้วยน้ำซุปใบเล็กมาให้เหมือนเห็นผี แต่มือก็ยังรับของที่ว่ามาถือไว้ รอจนเธอเดินจากไปแล้วจึงหันไปยิ้มแห้งให้เกรย์ที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว

“คือผม...หิวนิดหน่อย ก็เลยแยกซุปถ้วยเล็กเอาไว้ทานรองท้องครับ แบบว่า...กินไปทำขนมไปมันก็เพลินดี”

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” เกรย์หัวเราะในลำคอ มือหยิบถ้วยซุปของประมุขมาถือไว้เอง แล้วยังช่วยตักป้อนส่งให้ถึงที่ ซึ่งแน่นอนว่าคนว่าง่ายยอมอ้าปากกินแบบไม่เกรงใจ เห็นแก้มพองๆ ของคนที่กินไปอมยิ้มไปแล้วก็มันเขี้ยวจนแทบทนไม่ไหว ถ้าไม่ติดว่าถือถ้วยซุปอยู่ เห็นทีแก้มขาวๆ นั่นคงโดนเขาฟัดจนเละเทะแน่

“คุณกินด้วยกันสิครับ ถึงจะไม่ได้ทำเองทั้งหมด แต่ซุปไก่นี่ผมก็ช่วยพี่เมดทำด้วยเหมือนกันนะ”

“เดี๋ยวฉันรอกินข้าวทีเดียว ลูกแกะกินเถอะ”

“เอางั้นก็ได้ แต่ผมไม่ได้ตะกละนะ แค่รู้ว่าปกติคุณไม่กินอะไรก่อนอาหารเช้าเฉยๆ” คนร้อนตัวอธิบายหน้าตาตื่น มองอย่างไรก็ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง แต่เพราะไม่อยากให้ลูกแกะอับอายไปมากกว่านี้ เกรย์จึงยิ้มนิดๆ โดยไม่ได้พูดตอบรับหรือปฏิเสธอะไร “เออใช่ ผมให้พี่เมดต้มอีกหม้อเอาไว้ให้ท่านย่าด้วย เผื่อท่านจะเอาไปกินที่บ้าน บอกเลยว่าอร่อยสุดๆ”

“ชอบท่านย่าจังนะ”

“ชอบสิครับ ท่านย่าใจดี แถมยังให้คำแนะนำกับผมตั้งมากมาย”

“หึหึ” เกรย์ยกยิ้มโดยไม่ได้เฉลยความจริงออกไป ว่าอันที่จริงกรณีที่ท่านย่าจะใจดีกับใครนั้นเกิดขึ้นได้ยากมากๆ ท่านคือหญิงแกร่งผู้มองคนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ต่อให้ไม่มียศศักดิ์พ่อกับแม่ของเขายังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน

แต่เอาเถอะ...ให้เข้าใจแบบนั้นก็ดีแล้ว

หลังจากกลับจากไปเที่ยวได้ไม่เท่าไหร่ อานิคก็ติดต่อมาหาเกรย์โดยตรง ถามว่าลูกแกะของเขาจะกลับไทยวันไหน พอตอบไปตามความจริง อีกฝ่ายก็บอกว่าท่านย่าจะมาหา น่าเสียดายที่วันก่อนๆ ไม่ว่าง มาสะดวกเอาวันนี้ ผลสรุปจึงลงท้ายด้วยการที่ท่านย่ากับอานิคจะเดินทางมาหลังเวลาอาหารเช้า รอส่งลูกแกะขึ้นรถไปสนามบินพอดี

มื้อเช้าบนโต๊ะอาหารที่มีสมาชิกทุกคนของครอบครัวนั่งอยู่ร่วมกันยังคงดูรื่นเริงเมื่อมีคนพูดมากอยู่บนโต๊ะด้วย แม้แต่เอริคกับคาร่ายังอดส่ายหน้าหน่ายด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ทั้งยังไม่คิดห้ามปรามคนที่สรรหาเรื่องมาคุยได้ตลอดเวลา แล้วคนที่ตามใจประมุขยิ่งกว่าอะไรอย่างเกรย์ หรือพวกเมดที่รักเจ้านายคนใหม่เสียเหลือเกิน มีหรือจะพูดขัดอะไร ไม่มีใครคิดเอ่ยตักเตือนเรื่องมารยาทบนโต๊ะเลยสักคน

“แล้วนี่ท่านอลิเซียจะมาตอนไหน”

“ท่านย่าบอกว่าประมาณสิบโมงครับคุณน้า” คนที่ตอนนี้ถึงขั้นมีเบอร์ส่วนตัวของอลิเซียตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง ตื่นเต้นไปหมดที่จะได้เจอท่านย่าแสนใจดีอีกครั้ง “ผมกับพี่เมดช่วยกันทำขนมไว้หลายอย่าง เดี๋ยวรอท่านย่ามาแล้วเราทานพร้อมกันนะครับ”

“หวานหรือเปล่า” เอริคที่ทานข้าวเสร็จเป็นคนแรกถาม ขณะยกผ้าขึ้นซับมุมปากด้วยมาดผู้ดี

“ของคุณอากับของเกรย์ไม่หวานแน่นอนครับ ส่วนของคุณน้าก็ไม่ขมจนเกินไป... คุณอาอิ่มแล้วเหรอ กับข้าวไม่ถูกปากหรือเปล่าครับ” ท้ายประโยคคนสดใสถามด้วยใบหน้าเป็นกังวล ทั้งยังหันไปสบตาเกรย์เหมือนจะถามว่าทำยังไงดี ไม่ได้คิดเลยว่าที่นายท่านของบ้านกินหมดเร็วเป็นเพราะมันอร่อยถูกปากมาก แล้วแบบนี้คนฟังจะทำอะไรได้ รู้ตัวอีกทีเอริคก็วางผ้าเช็ดปากลงบนตัก พร้อมหันไปส่งสัญญาณให้เมดเข้ามาตักข้าวเพิ่มให้แล้ว

“เห็นทีคนในบ้านจะน้ำหนักขึ้นกันทุกคน” ถ้อยคำเอ่ยแซวอันหาได้ยากจากผู้เป็นเจ้าบ้านทำให้ประมุขหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ยังไม่เลิกคะยั้นคะยอให้คุณอากินต่อโดยการตักกับข้าวไปให้อย่างกระตือรือร้น

“เดี๋ยวเย็นนี้ผมไม่อยู่ก็ไม่มีคนมาพูดมากให้คุณอากับคุณน้าฟังแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ต้องรีบคะยั้นคะยอไว้ก่อนครับ” ประมุขบอกเอริคกับคาร่าเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับคนข้างกายที่เอาแต่นั่งเงียบ ไม่ค่อยได้ออกความคิดเห็นหรือพูดคุยอะไรด้วยนัก “ต่อไปคุณก็ต้องกินข้าวเยอะๆ แบบนี้นะ"

แม้จะสังเกตได้ว่าคนในครอบครัวนี้มีลักษณะแปลกๆ อย่างหนึ่งคือพวกเขาไม่ค่อยคุยกันเอง หลายวันมานี้ประมุขเป็นเหมือนตัวกลางเชื่อมคำพูดของทุกคน แต่ผู้ที่มองโลกในแง่ดีก็ไม่เคยถามให้ใครอึดอัดใจเลยสักครั้ง คิดเอาเองว่าคงจะพูดไม่ค่อยเก่งกันทั้งครอบครัวมากกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะคุยกันไม่ได้เลยหรือเกลียดชังกัน

“แล้วถ้าฉันทำงานเพลินล่ะ”

ประมุขหันขวับไปมองคนที่พูดแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องหน้าคนสำคัญด้วยความไม่พอใจ กระทั่งเกรย์หัวเราะออกมาแล้วจึงตอบคำถามนั้นแบบเคืองๆ

“ผมจะกินให้พุงแตกแล้วก็ถ่ายรูปอวดคุณ เสร็จแล้วจะไม่คุยด้วยสามชั่วโมง”

“แบบนั้นก็แย่สิ” เกรย์ยื่นมือไปยีหัวเจ้าของคำขู่แสนน่ากลัวหนึ่งครั้ง ก่อนจะยกมือยอมแพ้อย่างหมดท่า “ฉันยอมแพ้แล้ว จะไม่ลืมกินข้าวแน่นอน”

“ดีมาก”

เอริคกับคาร่าลอบสบตากันอย่างเงียบงัน มาถึงตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าประมุขมีประโยชน์ต่อเกรย์มากจริงๆ สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเขาทำให้คนเย็นชาและน่ากลัวมีหัวใจขึ้นมา และทำให้รอยยิ้มจริงใจที่ไม่ได้เป็นเพียงหน้ากากเอาไว้ใช้หลอกบรรดาคนนอกเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

“เธอไปเข้าครัวมาใช่ไหม รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนท่านอลิเซียจะมาเถอะ” คาร่าที่ได้สติก่อนเอ่ยเตือนคนที่คุยกุ๊กกิ๊กอยู่กับเกรย์สองคนจนเพลิน พอได้ยินดังนั้นประมุขก็เบิกตากว้าง พยักหน้าหงึกๆ รับคำ แต่ไม่วายคว้าแขนคนสำคัญพาลากไปด้วยเหมือนไม่อยากห่างเลยแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งเกรย์ก็ดูจะชอบใจ ถึงได้ไม่ปฏิเสธอะไรและเดินตามหลังไปเงียบๆ

ประมุขใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเพียงครู่เดียว แต่นัวเนียกอดอ้อนเกรย์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะเดินตัวปลิวลงไปด้านล่าง หลังจากพูดคุยกันแล้วได้ความว่าจะทิ้งข้าวของไว้ที่นี่เลย เขาจึงไม่ต้องเก็บอะไรให้เสียเวลา อย่างไรที่ไทยก็มีเสื้อผ้าส่วนตัวกับส่วนที่ฝากฮ่องเต้กลับไปอยู่แล้ว

เวลาสิบโมงตรงรถหรูสี่คันตรงเข้ามาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ ทั้งเจ้าบ้านและเมดทุกคนที่ยืนรอต้อนรับแขกคนสำคัญต่างโค้งตัวให้หญิงชราที่เดินลงมาจากรถพร้อมนิโคลัสอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ประมุขก็ยังทำแบบนั้นด้วย แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็ฉีกยิ้ม วิ่งเข้าไปช่วยประคองท่านย่าของตัวเองอย่างกระตือรือร้น

“ท่านย่ามาตรงเวลามากๆ เลย คุณอากับคุณน้าเพิ่งจะให้คนจัดเตรียมพื้นที่สวนด้านหลังเสร็จ เราไปนั่งตรงนั้นกันนะครับ”

“ตามใจพ่อมุขเถอะ แต่รีบประคองย่าไปก่อนตานิคจะบังคับให้นั่งวีลแชร์ก็ดีเหมือนกัน”

“คุณแม่ครับ...” นิโคลัสที่ถูกมารดาสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดีร้องเสียงอ่อย ได้แต่มองตามหลังอลิเซียกับหลานชายคนใหม่ไปจนสุดสายตา ข้างกายมีเอริคกับคาร่าที่ถูกลืมเช่นกันมองตามไปด้วย

ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสังเกต เกรย์ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ฟังคำพูดที่บอกว่ากำลังจะถึงของใครบางคนในสายเงียบๆ แล้วส่งสายตาบอกพ่อแท้ๆ ว่าให้เข้าไปก่อนได้เลย กระทั่งพื้นที่หน้าคฤหาสน์ไม่เหลือใครนอกจากลูกชายเจ้าของบ้านกับสาวใช้อีกสองคน รถคันหนึ่งที่เขาเป็นผู้ส่งไปก็เข้ามาจอดตรงหน้า

“มุขล่ะ”

“ลูกแกะพาท่านย่าไปที่สวนหลังบ้านแล้ว” เกรย์ยกยิ้มทักทายเพื่อน ก่อนจะเข้าไปช่วยประคองให้จักรพรรดิลงจากรถมานั่งที่วีลแชร์ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพาเดินเข้าไปด้านใน ตัดผ่านตัวบ้านไปที่สวนด้านหลังซึ่งถูกจัดเตรียมใหม่ให้กลายเป็นพื้นที่รับรองแขก

หลังจากคิดได้ว่าจักรพรรดิยังต้องอยู่จัดการธุระที่นี่อีกนาน แถมกลับไปไทยก็ใช่ว่าจะได้เจอน้องชาย เขาจึงติดต่อเเพื่อน บอกให้มาที่บ้านเพื่อร่ำลาลูกแกะน้อย อีกฝ่ายคงดีใจยิ่งกว่าอะไรถ้าได้้เจอพี่ชายก่อนกลับ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อคนที่วิ่งกลับเข้ามาในบ้านทางประตูด้านหลังเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหายไปยืนตะลึงตาค้าง จ้องมองพี่ชายด้วยดวงตาแวววาว

“พี่จักร!”

“ไง…” ยังไม่ทันที่จักรพรรดิจะได้เอ่ยทักทายกลับ รถวีลแชร์ก็เกือบจะเอนหงายหลังเพราะถูกน้องชายตัวไม่น้อยพุ่งเข้ามากอด ยังดีที่เกรย์ยืนอยู่ด้านหลัง ช่วยดันรถกลับเข้าที่ได้ทันก่อนจะต้องเจ็บตัวทั้งคู่

“พี่จักรมาส่งมุขใช่ไหม... ดีจัง ทุกคนมาหามุขหมดเลย” ลูกแกะตัวน้อยของเกรย์พึมพำอยู่กับตัวเองงุ้งงิ้ง แต่ด้วยระยะห่างที่ไม่ได้มากมายทำให้ผู้เป็นพี่ชายได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน ดวงตาเย็นชาของจักรพรรดิทอประกายอ่อนลงยามก้มลงมองหัวทุยๆ ของคนในอ้อมแขน สุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องลูบหัวลูบหน้าน้องชายอยู่หลายที กว่าจะผละออกจากกันก็ตอนที่เกรย์สะกิดเป็นเชิงเตือนให้รู้ว่ามีผู้ใหญ่รออยู่

ในตอนที่จักรพรรดิยืนยันว่าจะเข็นรถออกไปด้านนอกด้วยตัวเอง ประมุขอาศัยโอกาสนั้นคว้าแขนคนตัวสูงที่อยู่ข้างกายเอาไว้ จนเมื่อเกรย์หันมามอง เขาก็โถมเข้ากอดเต็มแรง อ้อมแขนรัดแน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

“ขอบคุณครับ”

ต่อให้ซื่อบื้อยังไงก็ไม่มีทางที่ประมุขจะไม่รู้ว่าคนคนนี้ทำเพื่อเขามากมายขนาดไหน กระทั่งเรื่องที่ทีมเอกลับมารวมตัวกันครบหลังจากที่หายไปทำภารกิจมานานผิดปกติประมุขก็รู้ วิคเตอร์เป็นคนบอกเขาเองว่าที่ทีมเอหายไปนานเป็นเพราะต้องไปเคลียร์ภารกิจให้ลุล่วง เพื่อให้ระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้มีเวลากลับไปทำภารกิจที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการไปดูแลเขาที่ไทย

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกรย์วางแผนเอาไว้หมดแล้ว และการที่ทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ ทั้งท่านย่ากับพี่จักรที่มาส่ง หรือทีมเอที่เตรียมเดินทางกลับไปไทยพร้อมกันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกรย์ทำเพื่อเขาทั้งสิ้น

“ขอบคุณอะไรหือ”

“ขอบคุณทุกอย่างเลย” ประมุขเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่ยังไม่คลายอ้อมกอด รอจนเกรย์ก้มลงมามองกลับ เขาจึงเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อย กดจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนเป็นครั้งแรก

“ทำแบบนี้นี่ไม่กลัวโดนจับฟัดเลยใช่ไหม” เกรย์หรี่ตาอันตราย ก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผากที่ใครบางคนเพิ่งประทับลอยลงมาอย่างควบคุมอารมณ์

“ไม่กลัวหรอก คุณไม่มีทางทำร้ายผม”

“มั่นใจจังนะ...” ไม่พูดเปล่า เขาจับเอวของคนในอ้อมแขนเอาไว้ บังคับไม่ให้ผละหนีออกไปกะทันหัน จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนคนที่เขินไม่ค่อยเป็นเริ่มหน้าแดงขึ้นมา แต่ในขณะที่กำลังจะเอาคืนนั่นเอง...

“จะลวนลามน้องชายฉันก็ช่วยไปลวนลามไกลๆ ได้ไหม”

น้ำเสียงเรียบเย็นไม่แพ้สีหน้าคนพูดทำให้คนสองคนที่กำลังตระกองกอดกันหลุดจากโลกที่มีเพียงเราสอง คราวนี้ประมุขหน้าแดงเถือกของจริง แต่จะแกะมือเกรย์ออกก็ทำไม่ลง สุดท้ายจึงได้แต่ซุกซบอยู่กับอกแกร่งไม่หันไปมองพี่ชาย ทิ้งให้เกรย์ทนรับสายตาแช่แข็งของจักรพรรดิเพียงลำพัง

เห็นทีถ้าลุกขึ้นเดินได้ด้วยตัวเอง พี่ชายหวงน้องรายนั้นต้องเข้ามาแหกอกกันแน่ๆ

“ไปกันเถอะ ป่านนี้ขนมคงเสิร์ฟขึ้นโต๊ะแล้ว” เกรย์ยกยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนที่จ้องมองมาตาเขม็ง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยประมุขให้เป็นอิสระเสียทีเดียว เขาโอบเอวอีกคนเอาไว้ แล้วก็พาเดินออกไปด้านนอกพร้อมกันทั้งอย่างนั้น

ตอนที่ทั้งสามเดินออกไปด้านนอก ทั้งเอริคและคาร่ารวมถึงแขกผู้มาเยี่ยมเยียนก็นั่งรวมกันอยู่ที่ศาลากลางน้ำก่อนแล้ว บนโต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดมีจานขนมที่ประมุขเข้าครัวไปช่วยทำแต่เช้าจัดเรียงอยู่อย่างสวยงาม และแขกทั้งสองก็กำลังหยิบมันขึ้นชิมแบบพอดิบพอดี

“ผมมาแล้วครับ!” เสียงร่าเริงของคนที่กำลังเข็นรถให้พี่ชายร้องบอกดังก้องจนคนทั้งหมดหันมามอง แต่ก็ไม่มีใครคิดเอ่ยตำหนิแต่อย่างใด รอกระทั่งเข้าไปใกล้พอควรแล้วประมุขจึงแนะนำพี่ชายคนโตให้ทุกคนรู้จักด้วยตัวเอง “นี่พี่จักรครับ พี่ชายของผมเอง เป็นเพื่อนกับเกรย์ด้วย”

“ผมเรียกเขาว่าคิง” เมื่อเกรย์เอ่ยคำว่าคิงออกไป คาร่ากับเอริคที่ตอนแรกไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักก็หันมองไปเพื่อนของลูกชายที่ได้ยินกิตติศัพท์มานานอย่างพิจารณา ขณะที่อลิเซียเพียงพยักหน้าน้อยๆ เท่านั้น เพราะเธอกับนิโคลัสต่างรู้จักคนคนนี้อยู่แล้ว เนื่องจากหลานชายคนโปรดพูดถึงมาตั้งแต่เด็ก

“พี่จักรลองกินดูนะ อันนี้มุขทำเอง”

พอมีพี่ชายเข้ามาร่วมวงด้วย ประมุขก็เอาอกเอาใจยกใหญ่ แต่ก็ยังไม่ลืมหันไปคุยกับท่านย่าบ้าง คุณอาคุณน้าบ้างตามโอกาส จะมีก็แต่เกรย์เท่านั้นที่เขาไม่ได้หันไปพูดด้วยเลย หากมือกลับกอบกุมกันไว้ไม่มีปล่อย ทั้งยังหยิบขนมไปจ่อให้ถึงปากอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นเรื่องที่ปกติก็ทำอยู่แล้ว

“ดูเหมือนจะยอมรับแล้วสินะ” อลิเซียที่แสดงท่าทีมึนตึงต่อคาร่ามาโดยตลอดพูดขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่ประมุขมัวแต่พูดคุยกับพี่ชาย ไม่ได้หันมาสนใจพวกเธอ

“ค่ะ... เป็นอย่างที่บอกจริงๆ พอเปิดใจแล้วถึงได้เห็นว่าเจ้าตัวยุ่งนี่ทำให้บ้านหลังนี้สดใสขึ้นมากขนาดไหน”

“ยังดีที่เธอรักลูก ไม่ได้เอาความชอบของตัวเองมากำกับเขาไปเสียหมด”

“เป็นเพราะพวกเราทำผิดต่อเขามาตั้งแต่เด็กค่ะ ถ้าไม่ได้ท่านช่วยสอนสั่ง เด็กคนนั้นอาจจะเดินออกนอกเส้นทางไปแล้ว” เป็นเพราะหลายวันมานี้ได้มีโอกาสนั่งคิดถึงเรื่องราวในอดีตอย่างจริงจัง คาร่าจึงรู้ว่าตัวเองและสามีละเลยเกรย์ในตอนเด็กมากขนาดไหน ทั้งปล่อยให้เขาอยู่ในวงล้อมของบอดี้การ์ดโดยไม่ใส่ใจ แล้วยังให้เขาศึกษาเล่าเรียน กำหนดทิศทางในอนาคตให้โดยไม่ถามความเห็น

“ไม่ใช่ฉันหรอก...”

หากคำกล่าวปฏิเสธของผู้ที่คาร่าคิดว่าน่าจะมีส่วนในการทำให้เกรย์ไม่ได้เลือกเดินผิดเส้นทางกลับทำให้เธอชะงัก ตาเหลือบมองตามสายตาของอลิเซียไปโดยไม่รู้ตัว

“หรือว่า...”

“เป็นเด็กคนนั้นต่างหาก”

ไม่ใช่เพียงเพิ่งเจอแล้วรักกัน แต่เพราะรู้จักมานาน และสั่งสมความเชื่อมั่นกับความอดทนมาโดยตลอดถึงได้รักมากมายขนาดนี้

ภาพของประมุขที่หันไปป้อนขนมให้เกรย์ และภาพของเกรย์ที่ค่อยๆ เช็ดมุมปากให้คนกินเก่งอย่างอ่อนโยนปรากฏในสายตาของผู้ใหญ่ที่ลอบมองอยู่

คงไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว...

ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงรอเวลาที่เหมาะสม รอวันที่เด็กคนนั้นจะมายืนข้างเกรย์ได้ตลอดไป ได้แต่หวังว่าสิ่งที่จะได้พบเจอในวันข้างหน้าจะไม่ทำให้ความซื่อกับความสดใสของคนที่มองโลกในแง่ดีจางหายไปทั้งหมด

แต่ถึงอย่างไรก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง...

ดูเหมือนเมื่อประมุขได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง จะไม่ได้มีเพียงแค่เกรย์ที่คอยปกป้องเขาเพียงผู้เดียวอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอลิเซีย นิโคลัส หรือแม้แต่เอริคกับคาร่าก็อยากจะรักษาความน่ารักเหล่านั้นเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ไม่จำเป็นต้องรีบเอาสิ่งสกปรกเข้าไปแปดเปื้อน

เพราะถึงเวลา...เด็กที่อ่อนนอกแข็งในคนนั้นจะต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
.
.
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข==[CH.19]=[P.9]==[17/05/19]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 21-05-2019 23:15:18

หลังจากเข้าสู่ช่วงบ่าย บรรดาคนที่พากันมาร่ำลาส่งประมุขกลับไทยก็เริ่มทยอยกลับ โดยที่เขาเป็นฝ่ายแสดงความต้องการอยากให้ทุกคนกลับไปก่อนเอง อลิเซียกับนิโคลัสลากลับโดยเอาซุปไก่กับขนมที่ประมุขทำไว้ให้กลับไปด้วย ส่วนจักรพรรดิที่ถูกน้องชายกอดไม่ปล่อยอยู่นาน สุดท้ายก็โดนเกรย์ไล่กลับไปเพราะมาแย่งความสนใจของลูกแกะ ขณะที่คาร่ากับเอริคกลับขึ้นห้องส่วนตัวไปอย่างรู้งาน

ทุกคนล้วนรู้ดีว่าประมุขต้องการเวลาส่วนตัวเพื่ออยู่กับเกรย์ตามลำพังก่อนต้องแยกจากอีกครั้ง...

“จะว่าไปแล้ว แขกคนสำคัญที่คุณเคยบอกว่าอยากพาผมไปเจอ...คุณหมายถึงท่านย่าใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“ว่าแล้วเชียว” ลูกแกะน้อยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยคล้ายภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง ซึ่งคนมองเองก็ไม่ได้เถียงอะไร แม้มันจะผ่านมานานมากแล้วกว่าเจ้าตัวจะรู้ก็ตาม

“ตอนแรกว่าจะพาไปหาตอนว่าง แต่กลายเป็นท่านย่ามาเจอด้วยตัวเองที่งานเสียก่อน ฉันยังไม่ทันได้พยายาม ลูกแกะก็กลายเป็นหลานรักของท่านไปแล้ว”

“แล้วไม่ดีเหรอ”

“ดีสิ”

พวกเขามองหน้ากันแล้วยิ้มจาง ก่อนประมุขจะซุกหน้าเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นอีกครั้ง

“คุณจะไปหาผมที่ไทยอีกไหมครับ”

“ถ้าว่างจะไปแน่นอน แต่ช่วงเดือนสองเดือนแรกคงไม่ได้ ฉันต้องช่วยพี่นายจัดการเรื่องธุรกิจแล้วก็เคลียร์งานหลายๆ อย่างให้เรียบร้อย” เกรย์ลูบหัวคนที่พิงแขนเขาอยู่อย่างอ่อนโยน แล้วหัวเราะออกมาเมื่อลูกแกะปีนขึ้นมานอนทับบนตัวเขาอย่างออดอ้อน “ทำแบบนี้ต้องการอะไรหือ”

“แค่อยากกอดคุณเฉยๆ”

เกรย์ลูบหัวทุยที่ซบอยู่กับอกเขาเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แต่พอหันไปมองนาฬิกา เห็นว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกทีก็อดใจหายไม่ได้ อ้อมกอดจึงกระชับแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

“กลับไปทางนั้นแล้ว อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”

“คำพูดนี้ผมต้องบอกคุณต่างหาก”

ประมุขดันหัวขึ้นมองหน้าคนสำคัญ มองไปมองมาสายตาก็เลื่อนไปที่ริมฝีปากบางเฉียบของอีกคนโดยอัตโนมัติ และเกรย์ก็ไม่ปล่อยให้ลูกแกะน้อยมองเก้อ เขาวางมือทั้งสองข้างลงบนแก้มนุ่ม บังคับดึงใบหน้านั้นให้ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะกดจูบลงไปบนริมฝีปากนิ่มเป็นเวลาเนิ่นนาน ราวกับจะซึมซับความรู้สึกในตอนนี้ไว้เผื่อเวลานับเดือนที่จะไม่ได้เจอกัน

ผ่านไปพักใหญ่กว่าเขาจะยอมผละออก แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของลูกแกะน้อยก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ประมุขก็เป็นฝ่ายวางมือแปะลงบนแก้มเขา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาจูบต่อด้วยตัวเอง คราวนี้เกรย์ไม่ปราณีลูกแกะน้อยจอมหาเรื่องอีก เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวผอมเอาไว้แนบตัว ส่วนมืออีกข้างวางกดลงบนท้ายทอยคนด้านบน ริมฝีปากงับลงไปเบาๆ จนลูกแกะตาโต และใช้โอกาสนั้นดุนดันปลายลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากอีกคนอย่างอ่อนโยน

ลูกแกะตัวน้อยที่ไม่เคยจูบใครแบบลึกซึ้งมาก่อนหน้าแดงก่ำ สองมือไหลลงไปกำเสื้อคนใต้ร่างเอาไว้แน่น ใช้เวลานานหลายนาทีกว่าเกรย์จะยอมผละออก ให้เขาพักหายใจจริงๆ แบบที่ไม่ใช่ผละวูบหนึ่งแล้วรังแกกันต่อ

“คะ...คุณแกล้งผม”

“ทำไมปรักปรำกันแบบนี้ล่ะ” เกรย์หัวเราะ มือลูบแก้มแดงๆ ของคนที่ยังหอบไม่หยุดไปมาอย่างเพลิดเพลิน ความหวานซึ่งเกิดจากความรู้สึกส่วนตัวยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากจนอยากจะชิมอีกสักรอบ แต่มองลูกแกะตัวน้อยที่ไม่เคยชินแล้วก็สงสาร ทำต่อไม่ลง ได้แต่ดึงเข้ามากอดไว้แน่นๆ เหมือนเดิมแทน “ลูกแกะ”

“ว่าไงครับ”

“รู้ใช่ไหมว่ารักมาก”

“…” คนที่พลิกหน้าไปมาอยู่บนอกแกร่งผุดหัวขึ้นมองคนพูดฉับพลัน ดวงตาใสสะอาดที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็สะกดเกรย์ได้อยู่หมัดทอประกายวาววับน่ามอง แล้วรอยยิ้มสวยที่มีความหมายมากกว่าทุกครั้งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ไม่รู้ครับ เพราะงั้น...บอกอีกทีได้ไหม”

“รักมาก”

คำพูดง่ายๆ หลุดออกมาจากปากอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และประมุขที่ได้ยินมันอย่างชัดเจนก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า ท่าทางมีความสุขมากจนไม่ว่าใครก็คงละสายตาไปไหนไม่ได้

“ผมก็รักคุณ”

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหน เพราะมันสั่งสมมาเรื่อยๆ เป็นความรู้สึกเก็บเล็กผสมน้อยที่ใช้เวลานานนับสิบปี จนสุดท้ายก็มั่นคงจนไม่อาจพังทลายลงได้ ต่อให้มีปัญหาใดๆ เข้ามาก็มีแต่ต้องฝ่าฟันไปด้วยกัน โดยที่ไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาด

ความรู้สึกของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกันมาตั้งแต่ต้น...

“ฉันรู้” เกรย์ฟังคำหวานหูที่ได้ยินเป็นครั้งแรกพร้อมรอยยิ้ม แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เมื่อได้ยินออกมาจากปากอย่างตรงไปตรงมาก็ทำให้ดีใจไม่น้อย และลูกแกะของเขาก็คงคิดแบบเดียวกัน ดวงตาถึงได้เปล่งประกายวิบวับเช่นนั้น

“ไม่อยากกลับแล้ว”

“ไหนเมื่อคืนบอกว่าไม่งอแงแล้วไง” เขาถามอย่างไม่จริงจังนัก ออกจะขำเสียด้วยซ้ำที่เห็นคนเก่งเริ่มออกอาการอิดออดไม่อยากกลับ ถึงขั้นถอดนาฬิกาข้อมือของเขาออกไม่ยอมให้มองเวลา

“คุณอยากให้ผมกลับเหรอ” ลูกแกะน้อยเงยหน้ามองด้วยแววตาน่าสงสาร ทำเอาหัวใจที่ไม่เคยแข็งแกร่งอยู่แล้วยามอยู่กับคนสำคัญของเกรย์อ่อนยวบ อยากจะยกเลิกการเดินทางในวันนี้ให้หมด จะได้ขลุกอยู่กับคนขี้อ้อนต่อไป ไม่ต้องแยกกันให้ปวดใจเหมือนที่กำลังจะเป็น

แต่ทำแบบนั้นไม่ได้...

“ไม่อยาก” เขาแตะแก้มใสเบาๆ แล้วลูบไล้ไปมาเพื่อปลอบประโลมไม่ให้คนขี้อ้อนเลิกล้มความตั้งใจเดิมจนพากันตบะแตกทั้งคู่ “แต่ลูกแกะต้องกลับไปเรียน จำได้ไหม”

“…จำได้”

“อดทนอีกหน่อยนะ แค่เดือนเดียวแล้วฉันจะบินไปหาบ่อยๆ หลังจากนั้นพอนายเรียนจบ เราก็ไม่ต้องแยกกันไปไหนอีกแล้ว”

“อื้อ”

พอได้ฟังเหตุผลที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจน ประมุขก็เริ่มสงบสติอารมณ์ได้และไม่พูดให้อีกคนต้องลังเลอะไรอีก เขาแค่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เบียดตัวเข้าหาคนสำคัญแล้วซุกหน้าอยู่ที่ซอกคอหอมๆ ไม่ยอมผละไปไหน

ช่วงเวลาแห่งความสุขก่อนจะต้องแยกจากคงอยู่เพียงชั่วครู่ในความรู้สึกของคนที่ไม่อยากให้มันมาถึง แต่พอเกรย์สะกิดบอกให้รู้ว่าถึงเวลาแล้ว ลูกแกะน้อยของเขาก็ผงกหัวขึ้น ยอมปีนลงจากตัวไปนั่งคุกเข่าหงอยอยู่ด้านข้างโดยไม่อิดออด รอจนเขาส่งยิ้มไปให้ เจ้าตัวจึงสูดหายใจเข้าจนสุดแล้วเผยยิ้มออกมา

“เก่งมาก”

ลูกแกะขนฟูหลับตาปล่อยให้คนสำคัญเอามือลูบหน้าอย่างสบายใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายจับมือเกรย์ไว้ แล้วจูงพาเดินออกไปนอกห้องนอนซึ่งเป็นอาณาเขตส่วนตัวของพวกเขาด้วยตัวเอง

ประมุขพูดไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าไม่อยากให้เกรย์ไปส่งที่สนามบิน เพราะกลัวตัวเองจะอดใจไม่ไหว ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักจึงว่าอะไรไม่ได้ ลองคิดตามดูแล้วก็จริงเหมือนกัน เลยได้แต่พยักหน้ารับ ตกลงกันว่าจะส่งแค่หน้าคฤหาสน์เท่านั้น

และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ว่าแล้ว...

บริเวณหน้าคฤหาสน์มีคนอยู่มากกว่าสิบคน ทั้งบรรดาเมดที่ออกมารอส่งเจ้านายคนใหม่ และการ์ดทีมเอแบบครบทีมซึ่งทำให้ประมุขยิ้มได้ทันทีที่เห็น ใจนึกอยากวิ่งเข้าไปทักทายพูดคุย แต่พอหันไปเห็นคนที่เดินจับมืออยู่ด้านข้างก็เริ่มหงอยลงนิดหน่อยเพราะรู้ว่าต้องแยกกันแล้ว

“ลูกแกะลาพ่อกับแม่แล้วใช่ไหม” เกรย์ชวนคุยเพื่อไม่ให้คนร่าเริงหงอยหนักกว่าเก่า

“ลาพร้อมท่านย่าแล้วครับ คุณอากับคุณน้าบอกว่าอาจจะต้องออกไปข้างนอกก่อนจะได้ส่งผมกลับ ผมเลยลาตั้งแต่ตอนนั้นเลย”

ตอนที่ประมุขไปยกมือไหว้พ่อแม่เกรย์ พวกท่านเพียงพูดว่าให้รีบกลับมา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากยกมือลูบหัวเขาสองสามที แต่เพียงแค่นั้นคนร่าเริงก็ได้พลังบวกมาจนเต็มเปี่ยม สดใสอยู่หลายนาทีก่อนจะห่อเหี่ยวลงเพราะยังไม่อยากแยกกับเกรย์ หากพอได้มานึกถึงคำพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้งก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

พวกท่านอยากให้เขารีบกลับมา...

“ถ้าอย่างนั้นพร้อมแล้วใช่ไหม” เสียงถามของเกรย์ทำให้คนที่หลุดอยู่ในภวังค์กลับมาสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง

ประมุขที่กำลังเกาะเอวคนสำคัญเป็นลูกลิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปในดวงตาอ่านยากคู่นั้น จนเห็นความรู้สึกไม่ยินยอมที่คล้ายคลึงกับเขาด้านใน จึงเผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด

“ครับ”

ไม่มีอะไรให้เสียดายหรือลังเลอีกแล้ว

เขาต้องรีบไป จะได้รีบกลับมาไวๆ มาหาทุกคน มาอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง

“งั้นก็ไปเถอะ”

สองแขนที่เกาะเกี่ยวเอวสอบเอาไว้คลายแรงออกช้าๆ ทว่าก่อนที่เจ้าตัวจะได้หันหลังเดินไปขึ้นรถจริงๆ คนที่บอกให้ไปก็เป็นฝ่ายคว้าเอวผอมนั่นไว้แล้วรวบเข้ามากอดแน่น

ประมุขไม่ได้แสดงท่าทีตกใจใดๆ ออกมา เพียงหลับตาลงแล้วยกแขนขึ้นกอดตอบด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่เขามั่นใจว่าทุกคนต้องเข้าใจความรู้สึกของเกรย์และความรู้สึกของเขา

กว่าจะได้เจอกันเราใช้เวลานานเป็นสิบปี ได้อยู่ด้วยกันไม่เท่าไหร่ก็ต้องแยกจากกันแล้ว แม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม

การต้องบอกลาซ้ำๆ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด

แต่ไม่เป็นไร...

อย่างน้อยการบอกลาในครั้งนี้ก็มีจุดหมาย ทั้งยังเป็นจุดหมายที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากเสียด้วย

“ถ้าเราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ผมไม่มีวันยอมห่างจากคุณอีกแน่”

“หึหึ... นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก” เกรย์ผละตัวออกเล็กน้อย ขณะมือข้างหนึ่งเชยคางลูกแกะขึ้นมา แล้วกดจูบลงบนหน้าผากขาวแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว “ถ้าคิดถึงก็โทรมา ไม่ว่าตอนไหนก็ตามฉันจะรีบรับ เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจครับ!” คนร่าเริงที่เริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้งร้องบอกเสียงหนักแน่น แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเกรย์ทำหน้าหน่าย เขาซุกหน้าลงกับอ้อมแขนอบอุ่นอีกครั้ง พร้อมกระซิบบอกถ้อยคำแสนสำคัญเป็นการลาครั้งสุดท้าย “ผมจะรอคุณนะ”

“ฉันจะรีบไปหา”

สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยมือออก ยืนยิ้มให้กันเงียบๆ ก่อนประมุขจะหันไปร่ำลาเมดสาวทั้งหลายแล้วขึ้นรถไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก ทิ้งให้เกรย์ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองตามไปจนสุดสายตา

“ยากใช่ไหม” เสียงถามของการ์ดคนสนิทควบตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กอย่างลูคัสทำให้เกรย์ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“อืม…”

“…”

“ยากกว่าพยายามไม่ไปเจอเยอะเลย”

แต่ว่า...

ครืด

เขาก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลังรถตู้คันหรูที่ยังเห็นได้อยู่ลิบๆ อีกครั้งแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

GP.MUK: ผมคิดถึงคุณแล้ว

GP.MUK: *สติกเกอร์แกะร้องไห้*

ลูกแกะนะลูกแกะ...

ทำแบบนี้แล้วเขาจะยอมปล่อยไปได้ยังไง

“ลูคัส บอกจิมให้เลื่อนกำหนดการให้ไวกว่าเดิม สองอาทิตย์ทุกอย่างต้องเรียบร้อย”

หากถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ประมุขมีความสำคัญต่อเกรย์มากมายขนาดนี้ เห็นทีคงต้องย้อนเวลากลับไปนาน จนแม้แต่ตัวเขาเองยังตอบไม่ได้ รู้เพียงว่าเวลาที่ผันผ่านกับความสม่ำเสมอระหว่างพวกเขาทำให้รากฐานของต้นไม้ที่ควรจะไหวลู่ไปตามลมได้อย่างง่ายดายแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน จนไม่มีอะไรมาหักโค่นได้อีก

ไม่น่าเชื่อว่าความรักที่เกิดจากความชื่นชอบจากรูปถ่ายเพียงใบเดียวจะผลิดอกออกผล ทำให้คนสองคนรักกันได้มากมายขนาดนี้ แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นพรหมลิขิตทั้งหมด เพราะกว่าครึ่งเกิดจาก ‘ความตั้งใจ’ และ ‘ความต้องการ’ ของเกรย์ ทว่าผลก็จบลงที่ความสุขเช่นเดียวกัน

ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น...

รอเวลาที่จะได้กลับมาจับมือกันอีกครั้ง

และคราวนี้...พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยมือจากกันอีกตลอดกาล


END


TALK: จบแล้ววววววววววว

หลังจากเดินทางด้วยกันมานาน ในที่สุดน้องคนเล็กของพี่ๆก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วค่ะ T_T

สำหรับน้องมุขของพี่ๆนี่ จริงๆถูกวางให้เป็นเด็กผู้ชายแสนสดใสที่เป็นเด็กแมนๆทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมไปๆมาๆกลายเป็นลูกรักตัวเล็กตัวน้อยของทุกคนไปได้ เราอ่านความคิดเห็นแล้วอมยิ้มทุกที ส่วนคุณเกรย์คงไม่มีอะไรต้องพูดเยอะเพราะหล่อเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งรักทั้งหลงจนไม่รู้จะว่ายังไง

ความรักของน้องมุขที่มีต่อคุณเกรย์น่าจะดูออกง่าย ถูกช่วยเหลือ ถูกป้อ ถูกเต๊าะมาแต่เล็กแต่น้อย เป็นใครจะไม่หวั่นไหว แล้วยิ่งอยู่ห่างไกลขนาดนี้แล้วยังใส่ใจน้อยตลอดเวลา ทำมันสม่ำเสมอมาเป็นสิบปี ใครบ้างจะไม่หลงรักล่ะเนอะ

ส่วนของคนพี่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ แรกๆเหมือนความถูกใจ แต่ทำไปนานวันเข้ากลายเป็นเสพติดโดยไม่รู้ตัว ต่อให้กาลเวลาเปลี่ยนนิสัยของคุณเกรย์ไปขนาดไหน แต่ด้วยความที่ทำทุกอย่างให้น้องแบบนี้มาเป็นปกตินิสัย ไม่แปลกเลยที่น้องจะกลายเป็นคนคนเดียวที่คุณเกรย์ยังใจดีด้วยเหมือนเก่า

เราว่าความรักของสองคนนี้มันถูกพิสูจน์ผ่านกาลเวลามาแล้วค่ะ เพราะงั้นตอนที่ได้เจอ พวกเขาถึงได้รักกันมากขนาดนี้...

ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดมากๆเลยนะคะ ไม่ว่าจะเพิ่งมาอ่านเป็นเรื่องแรกหรือตามกันมาตั้งแต่เรื่องแรกที่เราเขียนก็ตาม ไม่รู้จริงๆว่าจะขอบคุณยังไงถึงจะพอ แต่ยังคาดหวังว่าจะได้เจอกันอีกในเรื่องต่อๆไปที่จะมีตามมาเรื่อยๆแน่นอนนะคะ : )

รัก

Chesshire



ช่องทางการติดตาม

FB: Chesshire.

Twitter: @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข== END
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 21-05-2019 23:26:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼3KINGS▲┘==ประมุข== END
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-05-2019 23:55:20
แกะมุขทำเอาเลือดคนอ่านกระจายอีกแล้วววเป็นการส่งท้าย  :pighaun:
งั้นก็ส่ง หนูเต้มาให้คนอ่านไว ๆ เด้อ จะนอนรอจ้า  :a12: