มุมมอง
— กันต์
พอโตขึ้นผมถึงได้รู้ว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน มันเป็นเรื่องของครอบครัว เป็นความเข้ากันได้ทั้งในฐานะ แนวทางการใช้ชีวิต และสุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะจับมือกันแน่นพอหรือเปล่า
“แบบนี้ ดีไหม” ผมถามคนที่กำลังยุ่งกับการจับแมวลงจากมุ้งลวดตรงระเบียง เขาหันมามองก่อนจะตอบ
“ดีแล้วนี่”
“ต้องสุภาพกว่านี้ไหม”
เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้ามาหา ผมมองตัวเองในกระจก เห็นผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์สีดำที่สีหน้าไม่ดีนัก
“ดีแล้ว” กันย์ตอบ ผมที่ไม่เหลือความมั่นใจในตัวเองเลยมองหน้าเขา
“แล้ว...”
“ดีแล้ว” เขาย้ำอีกรอบ ผมหลุบตามองพื้นก่อนจะจับมือตัวเองไว้แน่น
“ถ้าที่บ้านมึงเขาไม่โอเค บอกได้นะ” ผมบอกเขาเบาๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ผมก็กลัวเหลือเกิน ผมกลัวว่าถ้าหลังจากวันนี้ผมต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกผมจะทำได้ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า เราจะมองหน้ากันได้อีกหรือเปล่า
กันย์จับมือสองข้างผมให้แยกจากกันก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาที่มือข้างซ้าย
“ถ้าบอกแล้วหนีไป คงไม่บอก” เขาเดาถูก ผมคงจะอยู่ไม่ไหวถ้าพ่อหรือแม่เขาบอกให้ผมไป ผมรู้ว่าครอบครัวของกันย์อาจจะไม่เหมือนครอบครัวของภัทร แต่ผมกับเขา...เราต่างกันมากจริงๆ ผมไม่เคยวาดฝันว่าวันหนึ่งผมจะได้ยืนจับมือมองเขาแบบนี้ด้วยซ้ำ
“มีลูกด้วยกันแล้ว เขาไม่ว่าอะไรหรอก” กันย์พูดติดตลก แต่ผมกลับไม่สนุกไปด้วยเลย
“กันย์”
“คิดมาก” เขายิ้มให้ก่อนจะลูบแหวนวงเล็กๆที่อยู่บนนิ้วก้อยของผม
“เขารู้อยู่แล้วว่ากูคบกับใคร”
“แต่…”
“แต่อะไร” เขาถามพร้อมกับเลิกคิ้วเพื่อรอฟังข้ออ้างของผม
“กู...กลัว”
กันย์จับมือผมไว้แน่นก่อนจะเดินนำออกไปที่หน้าประตู
“ไม่มีอะไรน่ากลัว”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนที่น่าจะเป็นแม่เขา แม่ของกันย์ตัวสูงและดูสง่าแม้อายุจะเยอะแล้ว
“สวัสดีค่ะ ทานอะไรกันมายัง”
“ยังเลยครับ” ลูกชายเขาตอบก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในบ้านหลังใหญ่กลางเมือง ที่รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ผมเคยสงสัยนะว่าคนที่มีบ้านอยู่ในที่ดินแบบนี้ต้องทำงานอะไร เพิ่งจะได้รู้ก็วันนี้เอง
“กินข้าวกันก่อนลูก แม่ให้ป้าเขาทำพวกข้าวต้มไว้ กินได้ใช่ไหม” ปลายประโยคแม่ของกันย์หันมาถามผม ผมรีบตอบแบบที่ดูยังไงก็รู้ว่ากำลังประหม่า
“ได้ครับ”
“ชื่ออะไรนะเรา เจ้ากันย์ไม่ยอมบอกชื่อแม่สักที ไม่รู้จะหวงไว้ทำไม”
ผมมองหน้าลูกชายเขาที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะรีบตอบ
“กันต์ครับ ผมชื่อกันต์ ต.เต่าการันต์”
แม่เขาดูตกใจในทีแรกแต่สุดท้ายก็ขำ
“กันย์กับกันต์เหรอ แม่ตั้งชื่อโหลไปเหรอเนี่ย”
ผมยิ้มรับแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ความกังวลตั้งแต่เมื่อคืนที่รู้ว่าต้องมาบ้านกันย์เหมือนจะเบาบางลง แต่พอผมเห็นว่าผู้บริหารบริษัทที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ ตอนที่ท่านยังทำงานอยู่เดินมาใกล้ ผมกลับเครียดยิ่งกว่าเดิม
...เขาคือพ่อแท้ๆของกันย์...
“ทำไมวันนี้มาแต่เช้า” ท่านถามลูกชายก่อนจะหันมามองผม
“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือใหว้
“คนนี้เหรอที่จุ๋มบอกว่าเป็นแฟนแก”
พ่อของกันย์รับไหว้ผมแต่ก็ยังจี้ถามกับลูกชาย กันย์พยักหน้าให้ก่อนที่พ่อของเขาจะหันกลับมาที่ผมอีกรอบ ท่านมองหน้าผมนิ่ง มันอาจจะเป็นเวลาไม่กี่วินาที แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน
“คนนี้ฉันเคยเห็นนี่ ตอนประชุมใหญ่ ใช่ไหม”
ท่านถามขึ้นในตอนที่นึกอะไรออก
“ครับ” ผมตอบรับ
“ตอนนั้นเธอเข้าไปกับจุ๋มใช่ไหม”
“ครับ เข้าไปช่วยสรุปแผนงาน” พอบอกออกไปแบบนั้นท่านก็ทำหน้าเหมือนโล่งใจที่จำไม่ผิด
“เห็นไหม คนแก่ก็ยังไม่เลอะเลือนนะ”
แม่ของกันย์ส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าพ่อของเขาดูดีใจที่จำผมได้
“คุณจะรับข้าวต้มพร้อมลูกเลยไหมคะ”
“ก็ได้”
ผมมองบ้านของกันย์ที่ดูธรรมดากว่าที่คิด ผมที่คิดไปไกลว่าจะต้องมาเจอคำถามที่ตอบยากมองไปรอบห้องกินข้าวบรรยากาศเรียบง่าย
“ที่นี่ไม่ค่อยมีพิธีรีตองหรอก อยากทำอะๆไรก็ทำ บังคับกันมามากแล้ว”
ผมเคยได้ยินพวกพวกพี่จุ๋มคุยกันว่าพ่อของกันย์ในตอนเป็นหนุ่มเขาค่อนข้างเข้มงวด แต่พอแก่ตัวลงก็ทำงานด้วยง่ายมากขึ้น
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับแม่ของกันย์ ท่านมีบรรยากาศรอบตัวสงบนิ่ง แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด
“พ่อแม่ทำงานอะไรล่ะ”
“ขายกับข้าวครับ” ผมหันไปตอบเจ้าบ้าน
“ที่ไหน” พ่อของกันย์ถามต่อ
“อยู่ที่ตลาดในนครสวรรค์ครับ”
“เจ้ากันย์เคยไปยัง” ผมส่ายหน้า กันย์ถอนหายใจก่อนจะบอก
“ไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย”
สำหรับผม เราเหมือนคนที่กำลังเรียนรู้กัน ตัวผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขามีแม่ที่สวยและสง่ามาก ไม่แปลกที่เขาจะยังไม่รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับผม
“เป็นไง ธุรกิจดีไหม”
“ก็ เรื่อยๆครับ” ผมตอบ
“ถ้าอยากเพิ่มกำไรต้องลดต้นทุน เธอรู้ไหมว่าการทำกำไรของธุรกิจมันมี key and success ของมันอยู่ ...”
ผมนั่งฟังผู้บริหารคนก่อนที่เกษียณอายุออกมาได้ไม่นานอย่างตั้งใจ ผมที่คิดว่าบางทีวันนี้อาจจะต้องร้องไห้กลับกำลังนั่งคิดถึงกำไรของร้านที่บ้านอยู่
“บอกจะวางมือคงวางไม่ได้หรอก” แม่ของกันย์บอกก่อนจะส่ายหน้า
“ผม อยากจะขอบคุณเรื่องแหวนครับ” ผมไหว้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กัน หลังจากทานข้าวกันแล้ว เราก็ออกมานั่งที่สวนข้างบ้าน
“ขอบคุณเหมือนกันนะที่พาลูกชายคนดีของแม่กลับมา” ท่านว่าพร้อมกับยิ้มให้
“ตอนที่กันย์แย่มากๆเขาขอแม่แค่สองอย่าง อย่างแรกคือเขาขอโทษที่เขาไม่เข้มแข็งพอ เขาขอเวลาแม่เพื่อที่จะปรับปรุงตัว กับสองคือเขาขอเลือกรักเอง”
ผมมองคนที่ก้มดูต้นไม้และคุยกับเด็กในบ้านอยู่ไกลๆ
“แต่เรื่องนี้ถึงไม่ขอแม่ก็ให้ได้ สมัยสาวๆแม่ก็เลือกเยอะ”
ผมยิ้มรับคำบอกเล่าของท่าน
“พ่อกันย์แต่ก่อนเขาก็ขี้บังคับ บังคับมากไปก็เป็นผลเสียแบบที่เห็น”
“ผมเข้าใจครับ คนเป็นพ่อแม่ก็ห่วงลูกเป็นธรรมดา”
จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่ได้บอกพ่อแม่เลยเรื่องที่คบกับกันย์ ขนาดพ่อแม่ผมที่เป็นแค่เจ้าของร้านข้าวแกงยังคาดหวังกับลูกชายแบบผมมากมาย แล้วพ่อแม่ของเขาที่มีหน้ามีตาและมีธุรกิจล่ะ ผมเข้าใจจริงๆ
แม่ของกันย์ยิ้มให้ผมก่อนจะส่ายหน้า
“กันย์เป็นครูสอนแม่ได้ดีเลยนะ ว่าลูกก็เป็นคนอีกคน ที่เรารับผิดชอบเขาได้แค่หน้าที่การเลี้ยงดู ตอนที่เขาพัง แม่เอาแต่ถามเขาว่าทำไมเขาไม่เห็นแก่แม่บ้าง พอมองกลับกัน แม่เองก็เห็นแก่ตัวที่มองแต่มุมของตัวเอง ไม่ได้เห็นเลยว่าเขาเจ็บปวดที่ตรงไหนในฐานะลูก”
ผมมองหน้าคนที่เป็นแม่ แต่ถึงแบบนั้นก็เป็นคนหนึ่งคนเหมือนกัน
“กลับมาทำงานให้พ่อได้แบบนี้ก็ดีขนาดไหนแล้ว”
ผมมองตามสายตาคนเป็นแม่
“รักกันก็ดูแลกันดีๆ แม่บอกพ่อว่าในทีวีผู้ชายด้วยกันคบกันแล้วรวยก็เยอะแยะ ผู้ชายผู้หญิงเลิกกันก็มี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศไหนเลย”
ผมมองนิ้วมือตัวเองที่สวมแหวนของท่านไว้
“ไม่ร้องสิลูก ยิ้มดีกว่าเยอะเลย แม่อยากเห็นลักยิ้มที่เจ้ากันย์มันชอบอวด”
“แหวนสวยนะ” ผมมองมือตัวเองที่มีแหวนสวมไว้ทั้งนิ้วก้อยและนิ้วนาง
“อันไหนพี่ปู”
“นิ้วก้อยสวย แต่ที่นิ้วนางคือน่าอิจฉา” ผมยิ้มเขินๆส่งไปให้พี่ที่สนิทกัน
“ต่อไปนี้ข้าวบ้านเธอมันจะไม่มีความหมาย” พี่จุ๋มบอกพี่ปูพร้อมกับหันมายิ้มให้ ผมรีบปฏิเสธเพราะกลัวพี่ปูน้อยใจ เพราะทุกวันนี้ผมยังติดใจน้ำพริกของบ้านพี่เขาอยู่เลย
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
พี่จุ๋มหัวเราะร่วน
“งานแต่งมีธีมสีรึเปล่า พี่จะได้ตัดชุดไว้”
“ไม่มีหรอกครับ”
“ไม่มีได้ไง คุณธนากรต้องขอสิ” พี่ปูแหย่ ผมที่เริ่มพูดอะไรไม่ออกเอาแต่ยิ้มลูกเดียว
“ไม่มีงานเหรอคะ” ห้องเงียบลงทันทีที่ผู้มาใหม่เดินเข้ามา คุณออยเดินถือคอมพิวเตอร์เข้ามาในห้องพี่จุ๋มที่ผมยืนอยู่
“ผมเอางานมาให้พี่จุ๋มครับเลยบังเอิญเจอพี่ปูพอดี ขอโทษที่เสียงดังนะครับ” ผมบอกตามความจริง เพราะเมื่อครู่พวกเราหัวเราะกันค่อนข้างเสียงดัง มันอาจจะดังไปข้างนอก
“ปูเห็นว่าแหวนน้องสวยดีค่ะ เลยทักเฉยๆ” ผมมองหน้าคนที่ไม่ยอมจบอย่างพี่ปู พยายามส่งสายตาให้พอแต่พี่สาวที่ทำงานด้วยกันมานานกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แต่งงานแล้วเหรอคะ”
“มีอะไรกันครับ เที่ยงแล้ว ออกไปกินข้าวกันเลยไหม” ผมหันไปมองตามเสียงของคนมาใหม่ พี่ปูยิ้มน้อยๆ ต่างจากผมที่รู้สึกว่าอึดอัดสิ้นดี
“กำลังนินทาคุณเลยค่ะ” พี่จุ๋มว่าพร้อมกับหัวเราะ
“มีอะไรกันครับ”
“พี่ถามน้องกันต์ว่าสวมแหวนแล้วจะมีงานแต่งหรือเปล่า”
กันย์มองหน้าผมก่อนจะถาม
“อยากแต่งเหรอ”
ผมที่เริ่มเข้าใจว่าพี่จุ๋มกับพี่ปูเล่นอะไรกันพยายามบอกให้กันย์เงียบ ถึงผมกับคุณออยจะไม่ลงรอยกัน แต่ก็ไม่ได้อยากหักหน้าเธอแบบนี้ ผมไม่อยากให้เธอยิ่งรู้สึกแย่
“กันต์เขาใส่แหวนแม่ผมไม่ได้ ผมเลยไปทำแหวนคู่ใหม่มา ให้เขาใส่แหวนแม่ที่นิ้วก้อยแทน แบบนี้ผิดธรรมเนียมไหมครับพี่จุ๋ม”
พี่จุ๋มมองในฐานะผู้ใหญ่ก่อนจะบอก
“รักกัน ไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ”
— ภัทร
เพราะความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน เวลาแตกหักมันถึงมีผลกระทบไปหมด ทั้งเรื่องธุรกิจที่บ้านด้วย เรื่องความสัมพันธ์กับคนในบ้านด้วย
“ภัทรจะหย่ากับน้องแพรได้ยังไง แม่ไม่ให้หย่า”
ผมก้าวเท้าเข้ามาในบ้านที่ตอนนี้อดีตภรรยาผมย้ายของออกไปหมดแล้ว เราจบกันไม่สวยเท่าไหร่
“แพรเขาขอผมหย่าเองครับ” ผมพูดความจริง
“ก็แกทำทุกอย่างพัง” และแม่ผมก็พูดความจริงเช่นกัน
“ผม...ขอโทษครับ”
ไม่มีผู้หญิงที่ไหนหรอกที่ทนความเฉยชาของสามีตัวเองได้ ผมไม่มีอะไรกับเธอเลยมาหลายเดือนแล้ว ทั้งไม่ค่อยกลับบ้าน ไม่เคยพาเธอไปเที่ยวไหนเลย ผมหาข้ออ้างให้ตัวเองมากมายอย่างเช่นว่าผมงานยุ่งบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่สุดท้ายเหตุผลเดียวที่มีคือผมรักเธอไม่เท่ากับที่เธอรักผม หรือบางที ผมอาจจะไม่ได้รักเธอเลย
ผมทะเลาะกับแม่ เพราะแม่กลัวเสียหน้า กลัวเสียดุลทางธุรกิจ แต่สิ่งที่ผมเพิ่งนึกได้เลยคือแม่ไม่เคยคิดว่าผมเสียใจแค่ไหน ผมในวัย 28 ปีเฝ้าถามตัวเองว่าผมจะทำยังไงต่อไปดี แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมหาทางออกได้ด้วยการทำงานแทบถวายหัวในวันธรรมดา และดื่มเหล้าจนกว่าจะหลับในวันหยุด ผมไม่ได้สนใจสุขภาพ ผมไม่กลับไปเหยียบบ้านใหญ่
จนวันที่เกิดอุบัติเหตุ...สุดท้ายแล้วคนที่อยู่กับผมก็ยังเป็นแม่อยู่ดี
“ล้างแผลแล้วนะครับ ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม” ผมส่ายหน้าเมื่อถึงเวลาตรวจในตอน 8 โมงเช้าที่ผมยังไม่ตื่นดีด้วยซ้ำไป
“โอเค งั้นหมอขอดูแผลที่อกหน่อยนะครับ” เขาพูดถึงแผลเป็นทางยาวหลังจากการผ่าตัด มันเป็นรอยบากน่าเกลียด เช่นเดียวกับแผลที่แก้มของผม
“ถ้าแห้งสนิทแล้วเดี๋ยวหมอให้ยาทานะ ขยันทาเดี๋ยวก็หาย” และผมก็ได้รู้ว่าหมอก็หลอกคนไข้เก่งเหมือนกัน
“มันไม่หายหรอก” ผมมองหน้าอกเปลือยของตัวเอง
“หายสิ ให้หมอรักษาให้นะ”
TBC.
__________________________________________________
เราเห็นมีบางคอมเมนต์เหมือนกันที่บอกว่ากันย์ขี้โกง เพราะว่าเคยพังมายังไงครอบครัวก็ต้องรับได้ เราขอตอบว่าจริงค่ะ พล็อตมันไม่แฟร์กับภัทรมาตั้งแต่แรก เพราะกันย์กับภัทรมีเงื่อนไขที่ต่างกันมากจริงๆ ครอบครัวของภัทรที่ค่อนข้างหัวโบราณด้วย การเลี้ยงดูของบ้านนั้นจะไม่ทำให้ภัทรแข็งกร้าวเท่าที่กันย์เป็น
และวันนี้เราจะมาสารภาพว่าเปลี่ยนพล็อตตัวเองค่ะ ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนคู่แต่เป็นการเปลี่ยนปมของเรื่อง
ที่จริงแล้วเรื่องนี้จะมีพระเอกสองคนค่ะ คือภัทรกับกันย์ เพียงแต่ต่างเวลา
อย่างที่หลายคนเดาว่าภัทรจะตาย นั่นคือพล็อตตอนแรกค่ะ ภัทรจะจากไปแบบไม่ได้ลาใครเพราะอุบัติเหตุ และกันต์จะโตขึ้นด้วยตัวเอง แถมต้องแบกแม่ของภัทรที่รู้สึกผิดกับลูกชายไว้ด้วย จะเจอกันย์อีกทีก็ตอนที่ทุกอย่างมันจางลงหมดแล้ว
เราเขียนมันไว้ทั้งหมดแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงเรารีไรท์แล้วร้องไห้และเอาลงไม่ได้ค่ะ เราเครียดมากจนงงว่าทำไมตัวเองถึงอินขนาดนั้น 55พล็อตนั้นทำให้เรานอนไม่หลับ เราสงสารภัทรที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เลือกอะไรด้วยตัวเองเลย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้ปูนิสัยภัทรมาให้ยึดมั่นถือมั่นมาตั้งแต่แรกค่ะ เราคิดอยู่เกือบเดือนว่าจะต้องทำให้ยังไงให้มันสมูทที่สุด แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีหลายจุดที่เชื่อมต่อได้ไม่ดี เราขอน้อมรับความผิดไว้ตรงนี้เลย ขอโทษนะคะ
เอาจริงๆถ้าให้เราเลือกเราจะเลือกภัทรค่ะ เราหลุดไปหลายรอบมากๆ เรื่องที่เรารักภัทร 5555
เพียงแต่น้องกันต์ไม่เลือก และสุดท้ายแล้วแคนาดาก็คือวินเนอร์
ส่วนเรื่องภัทรกับน้องเจเป็นเรื่องที่เราก็คิดไว้อีกทางเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเราก็แค่อยากให้ภัทรมีรักที่ดี เรื่องที่กันต์ร้องให้คงเป็นเรื่องนี้เหมือนกัน เรามองว่าภัทรดีกับกันต์มากๆจนกันต์เองก็เสียใจที่ภัทรไม่มีความสุข
ตอนหน้าจะเป็นตอนของภัทรค่ะ มาลุ้นให้ตี๋มีความสุขดีกว่า และตอนถัดไปจะปิดด้วยกันย์และกันต์กับไดจิพ่อทุกสถาบัน
ทำไมบ่นยาวกว่าเนื้อเรื่องเนอะ