**รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)  (อ่าน 27481 ครั้ง)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 35

‘แหวน’

ที่คุณย่าหยิบออกมาจากกล่องกำมะหยี่สีขาวคือแหวนที่ผมเห็นท่านใส่ติดนิ้วนางข้างซ้ายมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็ก และมีช่วงหนึ่งที่แหวนของคุณย่าเคยมาอยู่กับผม บนนิ้วของผม ก่อนผมจะทิ้งมันไว้ข้างหลังเหมือนของทุกชิ้นที่ผมเคยได้รับจากท่านและจากครอบครัวตรัยธาดา ครั้งที่หนีไปนั้น ผมไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเลยนอกจากความทรงจำและความเจ็บปวดที่ถูกลูกชายคนโตของท่านฝากเอาไว้

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ผมควรนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเพื่อสะสางงานที่ทำค้างไว้ให้เรียบร้อยเร็วที่สุดก่อนกลับอเมริกา แม้จะเหลือเวลาอีกเป็นเดือนก็ตาม ผมก็ต้องจัดการให้เสร็จโดยเร็ว ผมกะไว้ว่าถ้าเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แล้วส่งต่อความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับคนที่จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์โครงการต่อจากผมเรียบร้อยแล้ว ก็จะบินไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งก่อนเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง แต่เพราะโทรศัพท์ของคุณย่าในตอนสายและคำชวนกึ่งบังคับให้มาร่วมมื้อเที่ยงด้วยกัน ผมถึงต้องวางงานกองโตไว้บนโต๊ะและขับรถมาที่บ้านตรัยธาดา

หลังมื้ออาหารที่มีผมกับคุณย่าแค่สองคน ท่านก็เดินพาผมกลับมาที่เรือน ให้ผมประคองตัวท่านไปในห้องนอน ก่อนหยิบกล่องกำมะหยี่สีขาวออกมาจากตู้นิรภัย

“ย่าคืนให้เรานะ” ท่านว่า แล้วดึงมือผมไปหา วางแหวนทองที่ประดับตัวเรือนด้วยทับทิมสีแดงเข้ม แหวนที่คุณปู่สวมให้คุณย่าในวันแต่งงาน ท่านสวมมันมาจนถึงวันที่ถอดให้ผมตอนที่เรื่องระหว่างผมกับคุณยะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

ครั้งนั้นผมดีใจกับความรักและเมตตาที่ท่านให้มาในรูปแบบของสิ่งที่สำคัญของท่าน ครั้งนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนวันนั้น เพียงแต่ผมไม่กล้ารับในสิ่งที่ตัวเองไม่สมควรได้ ผมไม่มีสิทธิ์ได้แหวนของคุณย่า เกิดลูกชายคนโตของท่านรู้ เกรงว่าเขาจะไม่พอใจที่ของของแม่ตนตกมาอยู่กับคนแบบผม

“เดือนหน้าพีก็จะกลับอเมริกาแล้วครับ” ผมไม่ได้ปฏิเสธไปตรงๆ คุณย่าดูไม่ตกใจ ท่านเพียงแค่ลดรอยยิ้มลง พรูลมหายใจออกมาเบาๆ

“ย่าไม่ได้ถามว่าพีจะทิ้งย่าไปตอนไหน” พูดพลางก็รวบมือผมให้กำแหวนในมือเอาไว้ แล้วละมือออกไป ผมจำต้องกำแหวนทับทิมที่ผ่านเวลามาหลายสิบปี ดึงมือกลับมาวางไว้บนตักตัวเอง รู้สึกเลยว่ามือตัวเองสั่น “ย่าแค่จะคืนแหวนให้เรา หรือว่าพีไม่อยากได้” เสียงท่านหม่นลง ไม่ต่างกับแววตาที่ทอดมองมายังผมและทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปอีก

“พีไม่มีสิทธิ์แล้วต่างหากครับ” ผมตอบ และผมที่กำลังจะกลับไปอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเอง ไม่ควรเอาแหวนวงนี้ติดตัวไปด้วย แม้ผมอยากจะได้ แต่ผมรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์

“คิดเอาเองอีกแล้วลูก” ท่านพูดเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อย พลางส่ายหน้า “พีจะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปที่นั่น แล้วทิ้งให้ย่าอยู่คนเดียวแบบนี้ไปจนตาย แหวนก็ยังเป็นของพี พีมีสิทธิ์เอามันไปกับพีด้วย”

“แต่พี...” ผมอยากจะปฏิเสธคำพูดของคุณย่า ทว่าท่านก็เอ่ยแทรกและทำลายความตั้งใจของผมลง

“รับคืนไปนะลูก ทำให้ย่าสบายใจหน่อยนะ” ท่านเอ่ยอย่างไม่ยอมให้ผมปฏิเสธความตั้งใจของท่าน ซ้ำคำพูดต่อมาของท่านก็ทำให้ผมใจหาย เมื่อต้องถึงวันที่ท่านเอ่ยมาจริงๆ “ย่าจะได้นอนตายตาหลับ นี่ก็ไม่รู้เมื่อไรจะได้ไปอยู่กับท่านนายพล แต่ก็ใกล้แล้วละ”

“คุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลยครับ” คำพูดที่คล้ายจะปลอบใจตัวเองมากกว่า ผมไม่อยากนึกถึงวันที่ท่านต้องจากไปเลย

“ตอนนี้ย่าอาจจะแข็งแรงก็จริง แต่ใช่จะตลอดไปนะลูก ขนาดพีเองยังอยู่กับย่าตลอดไปไม่ได้เลย” น้ำเสียงของท่านบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ท่านกำลังน้อยใจ คงคิดว่าผมอกตัญญูเหลือเกิน “รู้ไว้นะลูก ย่าไม่กลัวหรอกความตายน่ะ ย่ากลัวแค่ว่าก่อนไปย่าจะไม่ได้เห็นหน้าหลานรักของย่า”

“คุณย่า...” ผมพูดไม่ออกเลย มันเหมือนว่าผมกำลังทิ้งคนที่รักผมมากๆ ไป คนที่เลี้ยงผมจนเติบโต ให้ทั้งความรักและความอบอุ่น แต่ผมก็ยังใจร้ายคิดจะหนีจากไป แม้แต่วาระสุดท้ายของท่าน ผมก็อาจจะไม่ได้มาอยู่ข้างท่าน

“อยู่กับย่านะลูก” ท่านเอ่ยช้าๆ เรียบง่ายแต่กดลึกเข้ามาในหัวใจของผม “...อยู่กับย่าก่อน ให้ย่าเห็นพีก่อนตายนะลูก”

ผมอยากจะพูดว่า

‘คุณย่าไม่ตายหรอก คุณย่าต้องไม่ตายสิ’

มันก็พูดออกมาไม่ได้ ไม่มีใครหนีความตายพ้น

“พีจะกลับมาหาทุกย่าทุกปีครับ” ผมเป็นคนใจร้าย แม้แต่กับคุณย่า ผมก็ยังใจร้ายใส่ท่าน เพราะผมอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ผมทนเห็นลูกชายคนโตของคุณย่ามีความสุขอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมไม่ได้ ทนให้เขาให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าผมไม่ได้... ผมถึงต้องไป ก่อนที่จะทุรนทุรายไปมากกว่านี้

....................................................

เพราะคำตอบของผมทำให้คุณย่าเสียใจ ผมจึงต้องชดใช้ความเสียใจของคุณย่าด้วยการรับปากว่าจะอยู่ในรั้วบ้านตรัยธาดาจนกว่าจะกลับอเมริกา แค่เดือนเดียว ผมน่าจะพอทนได้... มั้ง

ดังนั้นหลังคุณย่าเข้านอน ผมจึงต้องเดินกลับมานอนในห้องของตัวเองที่เรือนหลังเดิม เพราะคุณย่าไม่ยอมให้ผมนอนที่เรือนของท่าน ขอร้องยังไงท่านก็ไม่ยอม

“อย่านอนดึกนะปี อ้อ...แล้วอย่าลืมส่งรูปตึกที่จะเช่าเปิดคลินิกให้เราดูด้วย... ฝันดี” ผมกดวางสายจากปาลินในจังหวะที่เดินมาพ้นบันไดบ้านขั้นสุดท้าย ซึ่งจังหวะนั้นก็เจอเข้ากับพี่เลม่อนเข้าพอดีด้วย ด้านหลังของเจ้าตัวแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เหมือนว่ากำลังจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง แต่จะออกไปตอนสี่ทุ่มนี่นะ ดึกไปไหน

“ให้ผมขับไปส่งไหม?” ผมคว้าแขนเล็กเอาไว้ ตอนที่เจ้าของมันกำลังเดินผ่านผมไป

“ยุ่ง!” เจ้าตัวมองผมตาขวาง ดวงตาแดงช้ำกับขอบตาบวมเป่งทำให้ผมค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนของพี่เลม่อน เอาเข้าจริงพอเห็นใบหน้าสวยงามที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวดก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจ แม้ไม่รู้ว่าอะไรหรือใครทำให้พี่เลม่อนมีน้ำตา

แต่คนที่ผมนึกถึงก็มีแค่คนเดียว คือ...คุณยะ

ถึงจะตะคอกผมกลับมา สักพักก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“ก็ได้ ก็ไปสิ” แล้วเจ้าตัวก็เดินลงบันไดไป โดยมีผมเดินตามหลัง

“พี่จะไปเที่ยวไหนหรือครับ” ผมชวนคุย ก้าวขึ้นมาเดินเคียงกับอีกฝ่าย จังหวะเดียวกันนั้นผมก็ดึงกระเป๋าเป้ใบใหญ่จากแผ่นหลังผอมบางของพี่เลม่อนมาถือ ดวงตาคู่สวยหวานตวัดมองยิ่งกว่าคำก่นด่าภายใต้แสงนวลของโคมไฟตามทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้า

“กูไม่ได้อ่อนแอ” ว่าแล้วก็หันหน้ากลับไปมองทางตามเดิม และมือก็ไม่ได้เอื้อมมาแย่งกระเป๋าตัวเองคืนแต่อย่างใด

“ผมก็ไม่ได้ว่าพี่อ่อนแอ” พอพูดจบก็รอว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับมาด้วยถ้อยคำและอารมณ์แบบไหน แต่ก็ไม่มี จนผ่านไปสักพักใหญ่ เจ้าของกระเป๋าเป้ที่ย้ายมาอยู่บนหลังผมก็ตอบคำถามก่อนหน้านี้

“กูไม่ได้ไปเที่ยว” พูดเสียงสั่น ภายใต้สุ้มเสียงนั้นเดาได้ง่ายมากว่าเจ้าตัวกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ใด

“แล้วพี่จะไปไหน?” ผมถามออกไปอย่างสงสัย มองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย เห็นเม็ดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาคู่สวยงามของอีกฝ่าย พอหันมาเห็นผมจ้องอยู่ เจ้าตัวก็รีบใช้หลังมือปาดมันทิ้ง ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอยู่พักใหญ่เลย กลีบปากทั้งสองถึงได้คายออกจากกัน

“กูคืนพี่ยะให้มึง” ไม่ใช่คำตอบ แต่ก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุด ขาของผมพานก้าวไม่ออกซะอย่างนั้น ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่ห่างออกไป แต่แค่นิดเดียวเจ้าของมันก็หยุดปลายเท้าไว้และหันกลับมา “กูเหนื่อยแล้วว่ะ พี่ยะก็คงเหนื่อยเหมือนกัน ส่วนมึง...” คำพูดนั้นหยุดลง พร้อมกับที่เจ้าตัวหันกลับไปทางเดิม และเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง

ผมเดินตาม แค่ไม่กี่วินาทีก็เดินอยู่ข้างพี่เลม่อนได้เหมือนเดิม แล้วเจ้าตัวก็เอ่ยประโยคที่ค้างไว้จนจบ

“มึงก็คงเหนื่อยมากสินะ” สุ้มเสียงสงบอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ก่อนหน้านี้ผมกับพี่เลม่อนไม่มีคำพูดจาที่ดีต่อกันเลย ต่างฝ่ายก็ต่างเกลียดอีกคนหนึ่งไม่ต่างกัน

“อืม” ผมรับคำเบาๆ ในลำคอ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้เรื่องจริงหรือโกหก คนคนนี้จะยอมจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

ง่ายไปหรือเปล่า...

ยอมง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ...

“มึงไม่ต้องหนีไปไหนหรอก” คนตัวเล็กกว่าผมพูดขึ้นมาอีกหลังจากไร้คำพูดระหว่างกันมากกว่านาที

“พี่รู้?”

“เขาก็รู้กันหมดนั่นแหละ ถึงได้วางแผนให้มึงกลับมาที่นี่ไง”

“ยังไงครับ” ผมงงว่าแผนคืออะไร ในเมื่อผมกลับมาที่นี่เพราะบังเอิญวันนั้นผมอยู่ที่ร้านเชิญครับ คุยอยู่กับอานุ แล้วได้ยินว่าคุณย่าไม่สบายถึงได้ขอตามอานุกลับมาที่บ้านตรัยธาดาด้วย

“วันนั้นมึงมาเพราะคิดว่าคุณหญิงจีรนันท์ป่วยใช่ไหมล่ะ แล้วตอนที่มึงมาถึง มึงเห็นว่าท่านเป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอย่างที่มึงกลัวไหม”

ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้น คุณย่ายังดูแข็งแรงและห่างไกลจากสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของผมมากทีเดียว ท่านไม่ได้ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังดูสุขภาพแข็งแรงไม่ต่างจากตอนที่ผมยังอยู่ที่นี่ ต่างไปนิดเดียวก็คงเป็นร่างกายที่ผอมลงกว่าเดิมนิดหน่อย

“พวกเขาวางแผนให้มึงกลับมา เพื่อให้คุณหญิงเกลี้ยกล่อมมึงให้เปลี่ยนใจ ท่านอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็ใช้เรื่องสุขภาพของตัวเองกล่อมมึงใช่ไหมล่ะ ทุกคนอยากให้มึงเปลี่ยนใจและกลับมาอยู่ที่นี่”

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณย่าถึงเอาแต่พูดเรื่องความตาย ทั้งที่ผมคิดว่าท่านแข็งแรงและห่างไกลจากคำนี้มาก

“แต่มึงก็ใจแข็ง ไม่สิ มึงไม่ได้ใจแข็งหรอก แต่เพราะกูนี่แหละที่ทำให้มึงไม่ยอมอยู่ที่นี่” คล้ายกับว่าได้ยินอีกฝ่ายกัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด

ถึงพี่เลม่อนจะพูดถูก นั่นก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด

“เป็นเพราะเขาต่างหากที่เลือกพี่” ...แทนที่จะเลือกผม ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็เลือกแต่พี่เลม่อน

ถ้าคุณยะเลือกผม ยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน ผมก็คงไม่ต้องสู้จนได้บาดแผลกลับไปทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้ ไม่สามารถทรมานตัวเองได้มากไปกว่านี้

“เขาก็แค่ปกป้องกู”

ปกป้อง?

ผมไม่เข้าใจ คืนนั้นพี่เลม่อนก็พูดเรื่องปกป้อง ถามผมว่าสามารถปกป้องเขาได้ไหม ผมไม่ได้เอะใจ มาตอนนี้ได้ยินอีกครั้งก็เริ่มมีคำถาม

“มีคนจะทำร้ายพี่เหรอ” ผมลองเดา

พี่เลม่อนไม่ตอบในทันที ผ่านไปเกือบนาทีนั่นแหละริมฝีปากบางถึงได้ขยับ

“ไม่มีใครอยากทำร้ายกูหรอก แค่อยากทำให้กูตายเท่านั้นเอง”

ตาย?!

ผมตกใจกับคำบอกนั้น เกินกว่าที่ผมจะนึกไปถึง มีคนอยากให้พี่เลม่อนตายนี่นะ คนแบบพี่เลม่อนไปสร้างปัญหาให้ใครหรือทำให้ใครโกรธแค้นถึงต้องตามฆ่า ผมไม่เห็นความเป็นไปได้เลย พูดตามตรงว่าไม่อยากเชื่อ เจ้าตัวพูดเกินจริงหรือเปล่า

“มึงไม่เชื่อสินะ” พูดอย่างรู้ทันความคิดผม “กูยังไม่เชื่อเลย ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ”

“ทำไมไม่แจ้งตำรวจ” ผมถามต่อ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องถึงตำรวจแล้วนะ

“หึ...” เขาทำเสียงในลำคอ “ถามพี่ยะเองสิ”

ที่คุณยะทิ้งพี่เลม่อนไม่ได้ เพราะเขาต้องปกป้องไม่ให้พี่เลม่อนถูกฆ่าอย่างนั้นหรือ แถมยังไม่แจ้งตำรวจอีก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

“มึงส่งกูแค่นี้ก็พอ” ปลายเท้าของพี่เลม่อนหยุดลง พลอยทำให้ผมหยุดตาม “เอากระเป๋ามาให้กู”

“พี่ไม่กลัวถูกฆ่าแล้วเหรอ?” ผมอดถามด้วยเป็นห่วงไม่ได้ แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่าเจ้าของเรื่องเล่าให้ฟังก็ตาม “อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ คุณยะช่วยพี่ได้ไม่ใช่หรือไง”

“พี่ยะทำมามากพอแล้ว” ริมฝีปากบางแต้มรอยยิ้มเศร้า นัยน์ตาฉ่ำน้ำ “กูทรมานเขามาสิบกว่าปีแล้ว พอแล้วว่ะ กูก็เหนื่อย เขาก็เหนื่อย”

...ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน

“พี่ยะ...” คนพูดสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยคำที่เหลือออกมาด้วยเสียงสั่นเทา ราวกับว่าคำที่เอ่ยออกมาคือคำว่ายอมแพ้แล้ว “...รักมึง”

...ไม่ใช่คำที่ผมคาดไม่ถึง ผมเลยไม่ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย

“ตอนนี้ก็ยังรัก”

...อันนี้ผมไม่แน่ใจ แม้เมื่อหลายวันก่อน คืนที่เขากอดผมไว้จนเกือบเช้า กระซิบคำรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้ากระซิบแผ่วเบาให้ผีเสื้อในหัวใจผมตีปีกโบยบินท่ามกลางละอองคำหวาน แต่เขาก็ทิ้งผมไว้กับความว่างเปล่า ทิ้งผมไว้บนเตียงแล้วหนีไปกอดพี่เลม่อนที่รอคอยอยู่ในห้องของเขา ผมเลยไม่มั่นใจว่าคำรักที่เอ่ยออกมาทุกคำนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหกหรือมีความจริงบ้างหรือเปล่า 

“ผมว่าพี่อย่าคิดแทนเขาดีกว่า”

“ก็แล้วแต่ทิฐิของมึงละกัน”

ผมอยากจะสวนกลับไปนักเชียวว่า... ผมทิฐิตรงไหน คำพูดเชือดเฉือนของคนคนนั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว เขาใช้คำพูดทิ่มแทงหัวใจผมแบบไม่นึกปรานีเลยสักครั้ง ยกเว้นคืนนั้นคืนเดียวที่มีคำพูดหวานให้ผมหลงใหล แต่ก็ทำลายมันด้วยการกระทำของตัวเขาเอง

“เอากระเป๋ามาให้กู” เจ้าตัวทวงกระเป๋าอีกครั้ง

“พี่จะไปจริงเหรอ ไม่เห็นจำเป็นที่พี่ต้องไปเลย” ผมก็ยังถาม ยังไม่ยอมคืนกระเป๋าให้อีกฝ่าย อยากให้พี่เลม่อนเปลี่ยนใจ ทั้งที่ผมควรจะดีใจด้วยซ้ำที่พี่เลม่อนเป็นฝ่ายยอมแพ้และเดินออกไปเอง ผมอาจจะดีใจก็ได้ ถ้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าตัวเล่าว่ามีคนอยากให้เขาตาย

“จำเป็นสิ” เจ้าตัวเค้นยิ้ม “กู พี่ยะ แล้วก็มึง จำเป็นที่ต้องมีความสุขซะที มึงว่าไหมล่ะ”

“นั่นสินะ” ผมไม่อยากปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองอยากได้มาเนิ่นนาน...ความสุขที่ควรยืนยาวซะที “แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่าพี่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ถ้าคุณยะปกป้องพี่มาได้จนถึงวันนี้ ทำไมพี่ไม่ให้เขาทำหน้าที่ต่อล่ะ ไม่จำเป็นที่พี่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงกับคนที่อยากให้พี่ตาย ส่วนเรื่องของผมกับเขา มันไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้หรอก”

“มันไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว ในเมื่อไม่มีตัวมารแบบกูคอยขัดขวางความรักของมึงกับพี่ยะ” พูดจบก็เอื้อมมือมาดึงกระเป๋าของตัวเองไปจากหลังผม เอาไปแบกไว้บนหลังของตัวเองเหมือนเดิม “มึงก็ไม่ต้องห่วงกู กูมีคนที่จะคุ้มกะลาหัวกูได้แล้ว เอาละ ฟังคำพูดจากใจกูให้ดี”

พี่เลม่อนมองตาผมนิ่งใต้แสงของโคมไฟทางเดิน ดวงตาคู่หวานดูจริงจังกว่าทุกครั้ง ไม่มีความรู้สึกอย่างเช่นในวันเก่า ไม่เหลือความเกลียดชังอยู่ในนั้น และดูจะเป็นมิตรอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“คืนดีกับพี่ยะซะ มึงสงสัยอะไรมึงก็ถามเขาให้หมด ตอนนี้พี่ยะพร้อมตอบคำถามคาใจของมึงทุกอย่าง... กูไปละ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หมุนตัวกลับ สาวเท้าไปยังทิศทางที่จะพาตัวเองออกไปจากชีวิตของคุณยะ... และผม

“พี่เลม่อน” ผมเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนที่แผ่นหลังนั้นจะหายไปจากการมองเห็น เจ้าของชื่อหยุดปลายเท้าลง ก่อนหันกลับมาหาผม เพื่อฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดและคำพูดนี้ออกมาจากความรู้สึกแท้จริง “...ผมขอโทษ”

“กูรับคำขอโทษของมึง” อีกฝ่ายตอบมาในทันที

พี่เลม่อนรู้ว่าผมขอโทษเขาเรื่องอะไร ก็เรื่องที่ผมทำลายอนาคตของเขา ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้หน้ากากและแว่นตาปกปิดใบหน้าสวยงามจากสายตาผู้คน อนาคตที่ควรสดใสและสวยงามต้องมาจมอยู่แค่หลังร้านเค้ก เพื่อหลีกหนีผู้คนที่ยังจดจำคลิปและรูปฉาวของเขาได้อยู่ แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังเชื่อว่าพวกมันก็ยังคงอยู่ในมุมลึกลับบนโลกอินเทอร์เน็ต โลกที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือลบทิ้งสิ่งเลวร้ายนั้นได้อย่างหมดจดถาวร

รูปและคลิปของพี่เลม่อนไม่มีวันจะจางหายไป มันยังอยู่และยังคงอยู่ในตลอดไป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตามหามันเจอ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้หนึ่งครั้ง ผมคงอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้น ผมจะไม่ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งด้วยความโกรธแค้น เพื่อความสะใจของตัวเองเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่วนฝ่ายนั้นต้องอยู่กับสิ่งที่ผมทำไปตลอดทั้งชีวิต

“กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน สำหรับเรื่องวันนั้นที่ทำให้มึงต้องหนีพี่ยะไป” พี่เลม่อนพูด ทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องวันนั้น เรื่องที่ทำให้เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้น “ที่จริงพี่ยะตกลงกับกูแล้ว ว่าเขาจะดูแลกูเหมือนเดิมแต่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นกับกูอีก พักหลังๆ เขาก็ไม่มาหากู ถ้ากูไม่โทรหา เขาก็ไม่โทรมา แต่วันนั้นกูทนคิดถึงเขาไม่ไหว กูเลยไปหาเขา แล้วขู่เขาว่าถ้าไม่นอนกับกู กูจะเอาที่อยู่ของแม่มึงไปให้มึง พี่ยะไม่อยากให้มึงรู้เรื่องพ่อกับแม่ของมึง เพราะกลัวมึงจะทิ้งเขาไปหาคนพวกนั้น แล้วมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งนั้นที่มึงเห็น ทุกครั้งที่มีอะไรกันนั่นแหละที่กูใช้เรื่องพ่อแม่ของมึงมาขู่เขา"

ทำไมคุณยะต้องกลัวเรื่องที่ไม่น่ากลัวพวกนี้ด้วย ถ้าเขาบอกผมตรงๆ ว่าพ่อแม่ผมเป็นใคร ผมก็ไม่คิดจะทิ้งเขาหรือคนในครอบครัวตรัยธาดาไปไหนหรอก

“มึงเลิกโกรธพี่ยะเถอะ อย่างน้อยมึงก็รู้แล้วว่าเขาไม่เคยเต็มใจนอนกับกู... กูไปละ” ว่าแล้วพี่เลม่อนก็ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่ถูกบดบังโดยกระเป๋าใบใหญ่ ร่างนั้นไกลออกไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็หายไปจากการมองเห็น

แต่ก็หอบเอาเมฆหมอกดำมืดในหัวใจของผมออกไปทีละน้อย จนกระทั่งท้องฟ้าสีราตรีด้านบนก็ยังดูสดใสกว่าทุกค่ำคืนที่ผมเคยเห็น


......................................................................


ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน ผมยังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นชืดที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายจากสายลมยามค่ำคืน นาทีนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอในความเงียบที่โอบล้อมด้วยความมืดของรัตติกาล ตัวเรือนทั้งหลังไร้แสงไฟส่องสว่าง มีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้าสีเข้มที่ทาบทับลงมา ขณะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมก็ทิ้งลมหายใจออกจากปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนดำดิ่งลงไปในมวลน้ำเย็นจัด ดิ่งลึกจนลงไปแตะพื้นสระ ทิ้งตัวอยู่แบบนั้น... นานเท่าที่จะนานได้

นานจนต้องบอกตัวเองว่าพอได้แล้วถึงได้ทะยานขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือคนที่ผมรอคอยการกลับมาของเขา

“ผมรอคุณ” ผมว่ายไปที่ขอบสระตรงที่เขายืนอยู่ ขณะที่เขาย่อตัวลงมา ให้ระดับสายตาของผมกับเขาใกล้กันมากขึ้น

“ฉันมาแล้ว” ใบหน้าคมเข้มและดวงตาสีดำของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ทุกอย่างมันดูจริงไปหมด

“ผมจะถามคุณทีละข้อ” ผมเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ไม่อยากปล่อยเวลาให้ช้าไปแม้แต่วินาทีเดียว เพราะผมปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างน่าเสียดายที่สุดมาเกือบสิบปีแล้ว

“เอาสิ” เขาดูไม่แปลกใจ ซ้ำยังเต็มใจ จากนั้นก็ขยับตัวลงนั่งข้างขอบสระ

ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ตัวยังแช่อยู่ในสายน้ำเย็นชืดที่ชื่นชอบ แม้จะเตรียมคำถามมากมายไว้ครบถ้วนแล้ว ผมก็ยังรู้สึกประหม่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องถามออกไปจริงๆ จังหวะนั้นเองมือที่ไม่ได้เย็นชืดแบบมือผมก็วางลงมาบนเส้นผมชุ่มน้ำของผม หัวใจพลันอบอุ่นไปทั่วพื้นที่ ผีเสื้อในนั้นกลับมาขยับปีกและโบยบินอย่างร่าเริง

“แต่ก่อนอื่น” เขาทิ้งคำพูดไว้แค่สามคำ ก่อนยิ้มที่ทำให้ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลายิ่งขึ้น ลูบหัวผมเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “...เรียกฉันว่าคุณยะเหมือนเดิมก่อน” เสียงทุ้มนุ่มของเขาฟังแล้วสบายใจ นานแค่ไหนแล้วที่ผมกับเขาไม่ได้พูดกันด้วยความสงบสุขแบบนี้

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วเอ่ยเอาคำถามแรกที่จะทำให้คำถามอื่นๆ ที่จะตามมาอีกนั้นง่ายขึ้น

“คุณยะยังรักผมอยู่ไหม” ผมจบคำถามด้วยการมองลึกเข้าไปในดวงตาที่มีแต่รอยยิ้มอบอุ่น ริมฝีปากของเขาก็มีรอยยิ้มด้วยเช่นกัน ก่อนที่มันจะขยับ เอ่ยเป็นคำตอบออกมา

“คืนนั้นเธอได้คำตอบไปแล้วนะ” เขาว่า ริมฝีปากยังแต้มรอยยิ้มอยู่เช่นเคย “เธอจำไม่ได้หรือว่าไม่อยากจำกันแน่ว่า...ฉันรักเธอ”

คืนนั้นที่เขากอดผม ผมบอกรักเขา เขาเองก็ตอบกลับมาว่า ‘เหมือนกัน’ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากได้ความมั่นใจในตอนนี้

“ผมอยากได้คำตอบ อยากได้ความมั่นใจ” แล้วผมก็ถามคำถามเดิมอีกครั้ง “คุณยะยังรักผมอยู่ไหม”

“เหมือนเดิม” มือข้างเดิมของเขาที่ลูบหัวผมอยู่นั้น เลื่อนลงมาบนแก้มเย็นชืดของผม เขาลูบมันแผ่วเบา ทว่าความอุ่นร้อนของมือนั้นก็ทำให้ผิวแก้มร้อนไปหมด “...เคยรักยังไง วันนี้ก็ยังรักแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” คำพูดของเขาหนักแน่น

ผมยิ้มให้กับความหนักแน่นที่ถูกเปล่งออกมาด้วยสุ้มเสียงทุ้มหวาน ความสุขพลันฟุ้งเต็มหัวใจผม จนล้นทะลักในความเงียบของค่ำคืนที่มีแค่ผมกับเขา... มีแค่เราสองคนแล้วจริงๆ

.


.


.


อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
นานกว่าผมจะหุบยิ้มลงได้ ทว่าความสุขสีชมพูก็ยังโอบล้อมอยู่รอบตัว ผมเริ่มต้นคำถามที่สองโดยไม่ต้องสูดหายใจเข้าลึกอย่างคำถามแรก สำหรับคำถามข้อนี้ ผมเดาคำตอบล่วงหน้าไม่ได้เลย

“รักแต่ทำไมไม่ตามไปง้อ” ขอบตามันเริ่มรื้นร้อน เสียงของผมก็เริ่มสั่น ไม่ใช่เพราะความเย็นชืดที่โอบล้อมแต่เพราะความรู้สึกที่ค้างคามานานเกือบจะสิบปี “ผมรอมาตลอดนะ รอให้คุณยะบินไปหา รอให้คุณยะไปง้อ”

“ฉันมีงานต้องทำ มีพนักงานเป็นร้อยๆ ที่ต้องดูแล” เขาทอดสายตาอ่อนโยนลงมา “แล้วถ้าฉันตามไปง้อถึงที่นู่น เธอจะยอมให้ฉันเจอไหม ยอมให้ฉันง้อหรือเปล่า หรือยอมให้อภัยฉันทันทีเลยไหมล่ะ” คำตอบของเขาจบลงด้วยคำถาม ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ต่างจากข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

“ข้ออ้างมากกว่า” ผมกระแทกเสียงเล็กน้อย พลางเอาตัวขึ้นจากสระเพราะปากเริ่มสั่นแล้วหลังจากแช่น้ำมามากกว่าชั่วโมง

“ก็คงจะใช่” พูดพลางถอดเสื้อสูทออกจากตัว

และตอนนี้ผมกับเขาก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ใบหน้าใกล้กันมากขึ้นเพราะเขากำลังใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดเส้นผมชุ่มน้ำให้กับผม หลังจากที่เขาถอดสูทสีเข้มคลุมลงบนตัวผมเรียบร้อยแล้ว ความหนาวเย็นเมื่อครู่พลันหายวับไปจากร่างกาย ที่แทนเข้ามาคือความอบอุ่นราวกับถูกห่อไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา

“ทำไมถึงไม่ไปง้อผม บอกความจริงผมมาได้ไหม” ผมถามอีกครั้ง มือที่วุ่นวายอยู่กับการทำเส้นผมของผมให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะขยี้เส้นผมของผมต่ออีกเกือบครึ่งนาทีถึงได้ละออกไป

“เพราะฉันไม่อยากเห็นเธอกลับมาเจ็บปวดกับสิ่งที่ฉันทำให้เธอไม่ได้” เขาพูดมันออกมาช้าๆ ไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของผม “ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าฉันขี้ขลาด ฉันไม่กล้าทิ้งเลม่อน ฉันทำให้เธอไม่ได้ ฉันไม่อยากใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิมด้วยการหลอกเธอ ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ซ้ำๆ ฉันถึงต้องยอมปล่อยเธอไป... อยู่ที่นั่นเธอมีความสุขไหม?” อีกครั้งแล้วที่เขาจบมันด้วยคำถาม

“แล้วคุณยะมีความสุขไหมตอนที่ไม่มีผม” ผมย้อนถามเขาบ้าง เขาส่ายหน้าทันที

“ไม่มี”

“ผมก็ไม่มีความสุขเลยสักวัน”

“งั้นเราก็เหมือนกัน”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าเรื่องค้างคาใจก็ยังไม่หมด มีคำถามเยอะแยะที่ผมอยากได้คำตอบจากเขา

“แล้วทำไมถึงยังใจร้ายกับผมอยู่ล่ะ ทำไมถึงพูดทำร้ายจิตใจผม บอกว่าไม่ต้องการผม พูดว่าผมน่ารำคาญ ทำเหมือนรังเกียจผม แม้แต่หน้าก็ไม่อยากมอง ผมเจ็บนะ ยิ่งตอนคุณยะบอกว่า...พื้นที่ข้างตัวคุณยะไม่ได้มีไว้สำหรับผม” นึกถึงตอนนั้นแล้ว หัวใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาอีก “ทำไมต้องพูดถึงขนาดนั้นด้วย เหมือนคุณยะไม่รักผมเลย” ผมอดที่จะตัดพ้อไม่ได้ ตอนนั้นผมเชื่อไปแล้วว่าเขาหมดรักผม แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง

“ฉันมีความสุขมั้งที่เห็นเธอเจ็บปวด” ดูคำตอบของเขาสิครับ ลูกตาสีดำใต้แสงจันทร์ที่ระยิบระยับด้วยความสนุกสนานนั้นด้วย

“อย่าทำเป็นพูดเล่นสิครับ ผมเสียใจนะ เสียใจมากๆ ด้วย” ผมย้ำเสียงจริงจัง อยากให้เขารับรู้ว่าผมเจ็บปวดมากเหลือเกินกับคำพูดพวกนั้นของเขา แต่เขาก็ยังย้อนผมกลับได้อีก

“เธอก็พูดว่าเกลียดฉันเหมือนกันนะ”

“คุณยะ!” ผมเริ่มไม่ซึ้งแล้วนะ “นั่นผมพูดประชด ตอนนั้นคุณยะก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าผมไม่ได้เกลียดคุณยะจริงๆ สักหน่อย”

“นั่นสินะ” เขายิ้ม เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม พูดเสียงเบาแต่นุ่มนวลอย่างที่สุด แต่ก็ดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อยเลย “ฉันยังรู้เลยว่าเธอพูดประชด ยังอ่านสายตาของเธอออก สายตาที่เต็มไปด้วยคำว่า ‘รักฉัน’ แล้วทำไมเธอถึงดูไม่ออกล่ะว่าฉันก็ประชดเธอ ไม่รับรู้เลยหรือไงว่าฉันไม่มีวันที่จะหยุดรักเธอได้”

“...” ตอนนี้ผมยังไร้คำพูด ได้แต่จ้องเข้าไปในดวงตาสีราตรีที่หวานซึ้งนั้นด้วยนัยน์ตาที่ฉ่ำน้ำอุ่นร้อน ผมชอบคำพูดของเขา ชอบเสียจนอยากมอบน้ำตาให้กับคำพูดเหล่านั้น

ไม่ว่าเมื่อไร คำพูดของเขาก็มีอิทธิพลกับหัวใจผมเสมอ บางคำก็ทำให้ผมเจ็บปวดเหลือเกินจะทานรับไหว เหมือนตกลงไปในหุบเหวลึกและก้นเหวนั้นคือกองไฟกองใหญ่มหึมา บางครั้งก็ทำให้ผมตกลงไปในห้วงความรักอย่างยากที่จะถอนตัวออกมาได้ ได้แต่จมลงไปในนั้น อิ่มเอมกับคำหวานที่เป็นของผมเพียงคนเดียว

“ฉันรักเธอ” เจ้าของดวงตาหวานย้ำลงมาอีก ราวกับจะย้ำให้ผมจดจำและอย่าได้ถามคำนี้อีก

“คุณยะรักผม แต่ก็ชอบทำร้ายจิตใจผม” มันก็อดตัดพ้อแบบเดิมไม่ได้ การทำร้ายผมด้วยคำพูดไม่น่าฟังต่างๆ ล้วนตอกลึกอยู่บนก้อนเนื้อหัวใจ

คราวนี้เขาลดรอยยิ้มลงเหลือเพียงใบหน้าที่ราบเรียบกับเหตุผลที่เขาทำร้ายจิตใจผม

“ที่ฉันทำแบบนั้นเพราะอยากให้เธอเลิกรักฉัน ไม่อยากให้เธอยึดติดอยู่กับฉันที่ไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธออยากได้ในตอนนั้น”

“ต่อให้คุณยะฆ่าผมให้ตาย ผมก็ไม่มีวันเลิกรักคุณยะได้” คำพูดของผมเป็นความจริง ผมไม่มีวันเลิกรักเขา เขาจะทำร้ายจิตใจผมมากแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้ผมรักเขาน้อยลงเลย ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมคงไม่มาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าเขา ไม่ทนมาจนถึงวันนี้หรอก

“ฉันรู้”

“แต่ก็ยังทำ”

“ก็ดีกว่าฉันไม่ทำอะไรไม่ใช่หรือไง”

“ไม่ทำซะยังดีกว่า”

“ไม่ทำ เธอก็กลับเข้ามาในชีวิตฉันอีกน่ะสิ”

“คุณยะพูดเหมือนชีวิตคุณยะไม่มีผมก็ได้ คุณยะสามารถใช้ชีวิตมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีผม” มันอดคิดแบบที่พูดออกไปไม่ได้เลยจริงๆ ขอบตาร้อนผ่าวบีบรัดจนกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลไปตามผิวแก้ม

“อย่าคิดแบบนั้น” เขายกมือขึ้นจะเช็ดน้ำตาให้ แต่ผมชิงเช็ดน้ำตาตัวเองเสียเอง

“คุณยะพูดให้ผมคิดแบบนี้เองนี่นา” เสียงผมทั้งสั่นและพาล มองเขาตาขวางทั้งที่น้ำอุ่นร้อนเต็มหน่วยตา

“ฉันบอกไปแล้วว่าไม่อยากให้เธอเสียน้ำตาเพราะฉันอีก ถ้าฉันดึงเธอกลับเข้ามา ฉันก็ต้องหลอกเธอ ทำเธอเสียใจเหมือนเดิม”

“มันไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไง” ผมไม่ชอบวิธีแก้ปัญหาของเขาเอาซะเลย

“มี แต่ฉันไม่กล้าเสี่ยง” เขาตอบ “ฉันปล่อยเธอไปได้เพราะแน่ใจว่าเธออยู่ได้โดยไม่ต้องมีฉัน แต่เลม่อนต้องมีฉันคอยปกป้อง ถ้าฉันทิ้งเขา เขาก็จะมีอันตราย”

“ตอนนี้คุณยะไม่ต้องปกป้องพี่เลม่อนแล้วเหรอ” ผมถาม

“เขาไม่ยอมให้ฉันดูแลเขาอีกแล้ว”

“ทำไมครับ”

“เลม่อนบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง”

ผมนึกถึงคำพูดของพี่เลม่อนขึ้นมาทันที

‘มึงก็ไม่ต้องห่วงกู กูมีคนที่จะคุ้มกะลาหัวกูได้แล้ว’

“ถ้าพี่เลม่อนไม่ยอมไปเอง ผมก็คงไม่ได้กลับเข้ามาในชีวิตคุณยะงั้นสินะ” อดไม่ได้ที่จะประชดซ้ำลงไปอีก รู้สึกว่าตัวเองสำคัญน้อยกว่าพี่เลม่อน ถึงผมจะรู้สาเหตุที่ทำให้คุณยะต้องเลือกพี่เลม่อน มันก็ห้ามความรู้สึกน้อยใจไม่ให้ผุดขึ้นมาไม่ได้ ทั้งที่ผมเป็นคนที่คุณยะรัก แต่กลับเป็นคนที่ไม่ถูกเลือก

“แต่เธออยู่ในใจฉันนะ”

“ผมต้องภูมิใจใช่ไหมที่ได้เป็นคนที่คุณยะรัก แต่ไม่ใช่คนที่คุณยะเลือก”

“แค่ฉันรักเธอก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง” คำตอบของเขาแต่ละอย่างดูง่ายไปเสียหมด เหมือนผมเจ็บไม่เป็นอย่างนั้นแหละ เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าผมไม่เคยพอใจกับแค่การที่เขารักผม ผมต้องการทั้งความรักและการได้เป็นเจ้าของเขา ได้อยู่ข้างเขา เป็นคนที่เขาเลือก

“อย่าคิดเอาเองสิครับ” ผมพูดเสียงขุ่น มองตาขวาง “ผมไม่พอใจแค่ได้เป็นคนที่ถูกรักแต่ถูกทิ้งหรอกนะครับ ผมต้องการเป็นเจ้าของคนที่ผมรักด้วย” คนฟังหัวเราะกับคำพูดประชดประชันของผม ไม่เห็นน่าขำตรงไหนเลย

“ฉันรู้” เขาเปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นรอยยิ้มหวานซึ้งและคำพูดหวานหู กล่อมให้ความขุ่นข้องหมองใจจางลงไปทีละน้อย “ตอนนี้ฉันพร้อมให้เธอกลับเข้ามาในชีวิตฉันแล้วนะ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีคำพูดหรือการกระทำที่จะทำให้เธอเสียน้ำตาเพราะฉันอีกแล้ว”

“ผมเชื่อคุณยะได้ใช่ไหม” แม้จะเชื่อหมดทั้งหัวใจแล้วก็ตาม

“เชื่อได้สิ”

“ถ้าพี่เลม่อนกลับมาล่ะ” คำถามผุดขึ้นมาอีก ผมกลัวพี่เลม่อนเปลี่ยนใจ หรือใครคนนั้นปกป้องพี่เลม่อนได้ไม่เท่ากับที่คุณยะทำมาตลอด จนพี่เลม่อนต้องกลับมาหาที่ที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุด “คุณยะจะทิ้งผมไหม”

“ถ้าเลม่อนกลับมา ฉันก็จะดูแลเขาเหมือนเดิม” เขาเอื้อมมาดึงมือผมไปกุมไว้ “แต่ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว มันถึงจุดที่ฉันต้องเลือกเธอแล้วล่ะพี”

“เพราะอะไรครับ” แม้อากาศรอบตัวจะเต็มไปด้วยสายลมเย็นของยามดึก ทว่ามือของเขาที่กอบกุมมือผมไว้ก็ยังคงอุ่นอยู่แบบนั้นและอุ่นไปถึงหัวใจ

“เพราะเธอรักฉันไง”

“เพราะคุณยะก็รักผมด้วย” เขายิ้มรับคำพูดของผม “คุณยะ ถ้าพี่เลม่อนกลับมา ผมสัญญาว่าจะไม่งอแง ไม่บังคับให้คุณยะอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว” เพราะตอนนี้ผมสงสารพี่เลม่อนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน อาจเป็นเพราะผมรู้แล้วว่าพี่เลม่อนต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ชีวิตตกอยู่ในอันตรายจากคนที่อยากให้เขาตาย

“เลม่อนไม่กลับมาแล้วล่ะ”

ผมก็คิดแบบเขา เพราะแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของพี่เลม่อนและหายไปในที่สุดนั้น มันบอกถึงความเด็ดเดี่ยวของเจ้าตัว

“คุณยะ” ผมเรียกเขา น้ำเสียงเริ่มไม่มั่นคง เมื่อต้องเอ่ยคำถามนี้ออกมา “...คุณยะโกรธผมไหมที่ทำให้คุณปู่ตาย”

แทนที่เขาจะตอบ เขากลับดึงตัวผมเข้าไปหา บังคับให้ผมทิ้งตัวลงนั่งพาดบนตักเขา

“ไม่เอาคุณยะ ตัวผมหนัก” ผมดิ้นจะลงจากตักเขา น้ำหนักตัวผมไม่ได้เบาเหมือนตอนเป็นเด็ก ผมกลัวเขาจะเมื่อย แล้วจะมานึกเสียใจทีหลังว่าไม่น่าให้ผมนั่งตักเขาเลย แต่ท่อนแขนแข็งแรงก็โอบรัดช่วงเอวผมเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้เคลื่อนย้ายตัวไปไหนได้

“มันจะหนักก็ตอนที่เธอดิ้นนี่แหละ นั่งนิ่งๆ” ปลายเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ปนไปกับความเอ็นดู ผมถึงหยุดดิ้น แต่ก็เกร็งตัวสุดๆ ไม่อยากให้น้ำหนักตัวทำให้เขาลำบาก “เกร็งทำไม ฉันไม่หนักหรอกน่า ตัวเธอแค่นี้เอง”

“ตัวแค่นี้ที่ไหนกันล่ะ” นึกอยากกลับไปตัวเล็กแบบเดิม จะได้นั่งบนตักเขาโดยไม่ต้องรู้สึกกลัวว่าจะทำให้เขาเมื่อย

“ตัวแค่นี้แหละกำลังดี” เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น “ตอนกอดเธอ ฉันจะได้ไม่กลัวว่าจะทำตัวเธอหัก”

“คุณยะบอกว่าหุ่นผมน่าเกลียด”

“เธอจะจำทุกคำพูดของฉันเลยหรือไง”

“ผมจำทุกคำพูดที่คุณยะทำร้ายจิตใจผม” ไม่เคยลืมเลยด้วยซ้ำ

“ไม่จำคำที่เธอชอบบ้างล่ะ”

คำที่ผมชอบน่ะเหรอ... คงเป็นคำว่า ‘ฉันรักเธอ’ ที่เขาพูดออกมาและทำให้ผมเชื่อหมดหัวใจ ก่อนจะทำให้หัวใจของผมแตกสลายเพราะความสัมพันธ์ของเขากับพี่เลม่อนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดไปจากกันไม่ได้

“ฉันรักเธอ” ริมฝีปากของเขากระซิบเสียงเบาข้างแก้มของผม ทว่ามันกลับดังเสียจนก้องไปทั้งหัวใจของผม “ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้...ฉันก็รักเธอ”

“ห้ามหลอกผมนะ”

“เธอโตเกินกว่าที่ฉันจะหลอกด้วยคำหวานหูแล้ว” เขาพูดกลั้วรอยขำ ก่อนร่องรอยนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังขึ้น เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ “เรื่องคุณพ่อ ทุกคนรู้ว่ามันคืออุบัติเหตุ ไม่มีใครโทษเธอ”

“แต่ถ้าผมไม่โทรหาคุณย่า คุณปู่ก็คง...” ก้อนร้อนจัดมาจุกที่ลำคอผมอีกแล้ว ไม่ต่างจากขอบตาที่กลับมาร้อนผ่าว จวนเจียนจะกลายเป็นสายน้ำตา สุดท้ายมันก็ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า “...ผมขอโทษ”

“อย่าโทษตัวเอง” ปลายนิ้วของคุณยะปัดเม็ดน้ำตาออกไปจากแก้มให้ผม “มันไม่ใช่ความผิดของเธอ”

“แต่ผมรู้สึกผิด” ถึงทุกคนบอกว่าไม่ใช่ความผิดผมก็ตาม “คุณยะโทษว่าเป็นความผิดผมหน่อยได้ไหม ให้ผมได้ขอโทษ แล้วคุณยะก็พูดว่ายกโทษให้ผม” อย่างน้อยผมก็อยากให้ใครสักคนโทษว่าเป็นความผิดของผม เพื่อผมจะได้ขอโทษและได้รับการยกโทษ อาจจะช่วยให้ผมปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปได้

“งั้นเธอก็ขอโทษมาสิ”

“ผมขอโทษนะครับ”

“ยกโทษให้แล้วครับ” คำพูดนุ่มนวลนั้นทำให้ผมยิ้มทั้งน้ำตาที่ยังคงไหลเต็มแก้ม ผมโอบแขนรอบลำคอเขาและซบใบหน้าลงกับไหล่กว้างนิ่งนานอยู่อย่างนั้น

“ง่วงแล้วเหรอ เข้าไปนอนไหม” เขาขยับตัว ทำท่าว่าจะยกตัวผมขึ้นจากตัก ผมรีบส่ายหน้า

“ยังไม่ง่วงครับ” ผมอยากนั่งอยู่แบบนี้ ท่ามกลางแสงจันทร์และความอบอุ่นที่ได้จากร่างกายของคนคนนี้ และผมก็ยังไม่หมดคำถาม

“แล้วเรื่องคลิปกับรูปล่ะ คุณยะโกรธผมไหม ถ้าโกรธ แล้วตอนนี้หายโกรธหรือยัง”

“ฉันควรโกรธไหม?” เขายังชอบตอบคำถามผมด้วยการย้อนถามเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ให้กับคำถามของเขา “ฉันโกรธที่เธอตั้งใจปล่อยรูปกับคลิปพวกนั้นเพื่อแก้แค้นเลม่อน แต่คนที่ฉันโกรธที่สุดเป็นตัวฉันเอง ฉันทำให้เธอกับเลม่อนต้องมาเกลียดกัน”

“ตอนนี้ผมไม่ได้เกลียดพี่เลม่อนแล้วครับ” ผมรีบบอก นอกจากจะเลิกเกลียดพี่เลม่อนแล้ว ผมยังสงสารเจ้าตัวอีกด้วย เพราะเรื่องที่ผมทำกับเขา ทำลายอนาคตของเขา รวมทั้งเรื่องที่รู้ว่าชีวิตของพี่เลม่อนถูกใครบางคนเกลียดชังถึงขั้นอยากให้ตายเลยทีเดียว ทั้งหมดทำให้พี่เลม่อนดูน่าสงสารมากกว่าจะเกลียดชัง

“ดีแล้ว” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณยะ”

“มีเรื่องอะไรอยากจะขอโทษฉันอีก” เขาถามอย่างรู้ทัน

“ก็ทุกเรื่องเลย” ผมบอกเสียงเบา นึกย้อนไปในช่วงสองปีที่ผมกลับมาและเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีแบบเด็กๆ (ตามที่เขาว่า) ส่วนมากก็เป็นเรื่องธุรกิจ อย่างเช่นซื้อตัวลูกน้องฝีมือดีของพุฒิธาดา แย่งซื้อที่ดินสร้างโรงแรมตัดหน้าเขา ขโมยลูกค้าระดับวีไอพีของพุฒิธาดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายจากต่างแดน ศิลปินและคนดังระดับโลก โดยอาศัยความสามารถของจิระทั้งนั้น (จิระเป็นคนที่มีเพื่อนมาก เจ้าตัวรู้จักคนเยอะ คอนเน็กชันก็เยอะตามไปด้วย มันจึงง่ายที่จะเข้าถึงคนระดับสูงเหล่านั้น) และล่าสุดก็คือมาร์คัส รอสส์

“ทุกเรื่องที่เธอหมายถึง รวมเรื่องที่เธอขัดคำสั่งฉันด้วยไหม” แววตาเขาเข้มขึ้น น้ำเสียงก็ด้วย ทำเอาผมไม่กล้าสบนัยน์ตานั้น ซุกหน้ากลับลงไปที่ไหล่กว้างใหม่ ปากขยับเป็นคำพูดแผ่วเบาว่า

“รวมด้วยครับ” ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ของเขาแว่วเข้ามาในหู ใจผมก็หดเหลือนิดเดียว “พีขอโทษ”

คำสั่งของเขาคือ... ห้ามให้ใครแตะต้องของของเขา นั่นก็คือร่างกายของผม

“ถ้าเธอมีความสุขตอนที่กอดคนอื่นหรือตอนที่ยอมให้คนอื่นกอด ฉันอาจจะโมโหน้อยกว่านี้” เขารู้ว่าผมไม่ได้มีความสุขกับการนอนกับคนที่ไม่ใช่เขา “แต่เธอไม่มีใช่ไหม” น้ำเสียงของเขาปนไปกับความขมขื่นที่ปิดไม่มิด จากนั้นก็ดึงใบหน้าผมออกมา

“แต่ตอนนี้ผมมีความสุขแล้วครับ” ได้กลับมาอยู่กับเขา ถูกเขารัก กลายเป็นคนที่เขาเลือก ความทุกข์ทรมานที่เคยผ่านมาก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมอยากได้และได้มันมาแล้ว

“ฉันรู้...ฉันก็เหมือนกัน”

“คุณยะมีความสุขเพราะผม” ผมอยากให้เขายืนยัน

“ใช่ ความสุขของฉันคือเธอ”

“แล้วเรื่องระหว่างคุณยะกับคุณชลัช มีปัญหาอะไรกันหรือครับ” ตั้งแต่รู้ว่าเขาทั้งสองคนเกลียดกัน อันที่จริงเป็นฝ่ายคุณยะมากกว่าที่เกลียดคนเป็นพ่อของผม ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาของคนทั้งคู่

“แค่เรื่องเดียวพี” เสียงของเขาเข้มขึ้น กลิ่นความขุ่นเคืองฟุ้งออกมาทันที “แค่เรื่องเดียวที่ฉันจะไม่พูดถึงคือเรื่องพ่อของเธอ”

“บอกหน่อยไม่ได้หรือครับ” ผมอยากรู้จริงๆ

“ไม่ได้”

“ก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นก็ได้ เรื่องระหว่างฉันกับพ่อของเธอ มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” เขาพูด น้ำเสียงกลับมาเป็นปกติ คือนุ่มนวลและหวานซึ้ง “สนใจแค่เรื่องของเราสองคนก็พอ... แค่รู้ว่าฉันรักเธอก็พอพี” แล้วคุณยะก็จบคำพูดด้วยริมฝีปากหนาที่แนบชิดริมฝีปากของผม ทำให้ผมหมดแล้วทุกคำถาม เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับจูบของเขาไปตลอดทั้งคืน


จบตอนที่ 35

เมาท์ ๆ
นี่ก็ไม่ต่างจากตอนจบแล้วนะคะ
จบแบบเรียบง่าย ไม่เกรงใจดรามาที่มีมาทั้งเรื่องเลย
ส่วน 36 กับ 37 จะเป็นเหมือนสะเก็ดดาวหาง ผลจากการกระทำของน้องพีนิดหน่อย
สีเหลืองอ่อน
ปล. สไตล์นิยายของคนเขียนคือดราม่าหนักแต่จุดจบเรียบง่ายทุกเรื่องเลย


  :hao5:



ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
มันจบง่ายจนไม่รู้ว่าที่ผ่านมาทำกันไปเพื่ออะไร...... :katai1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เรื่องเลม่อนยังไม่เคลียร์เลยนะ
คนปองร้ายเลม่อนมานาน
ทำไม่ไม่ลงมือทั้งๆที่มีโอกาศตั้งเยอะ
แล้ววันที่ได้กับพีล่าสุดอล้วหนีไปหาเลม่อน
แม้แต่ในบ้านก็ไม่ปลอดภัยหรือยังไง สงสัยหน่อยเถอะน้องพี

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จบแบบเรียบง่าย ไม่เกรงใจดรามาที่มีมาทั้งเรื่องเลย
^
^
เราจะไม่มีเหตุผลตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ไม่ได้น๊าาาาาาา
ตอนดราม่าก็สุดฟ พอจะดีกันก็ง่ายเกิ๊นนนนนนนนน

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านจบตอน1ไปแล้ว ชอบนะ น่าจะมีความหน่วงๆในใจ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
มันง่ายไปหรือเปล่า แค่เลม่อนไปก็ยอมคืนดีกันง่าย ๆ แบบนี้ ไม่หนีไปให้คุณยะตามง้ออะไรเลยเหรอ แล้วคนที่น่าสงสารสุดคงเป็นจิระที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อพีแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอน2 : พีใจร้าย กับเพื่อนยังร้ายได้อีก อยากประชดจนไม่ห่วงความรู้สึกเพื่อนคนเดียวที่มี เลย

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่3 : มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกิน พีไปเจออะไรมานะ แล้วทำไมต้องทำให้พีกลายเป้นคนใจร้ายไปได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอน4 : โอ้ย!!!กุมขมับ เรื่องราวย้อนไปย้อนมา ต้องไปอ่านเรื่องก่อนๆนี้มั้ยอ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2019 22:00:02 โดย i.am.wee »

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
5-6-7  เริ่มจะรู้ที่มาที่ไปแบบรางๆล่ะ แต่ไม่เข้าใจตายะ จะร้ายใส่น้องพีทำไม

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านยาวรวดเดียจนตามทันละ ก้อนะวังวนของความรัก ความรักของพี รักมากรักสุดใจทุ่มให้หมดตัว  อยากครอบครอง พอไม่ได้ก็โกรธ ดึงลากคนอื่นเข้ามา เพื่อประชด อีตาพี่ยะ ก็เหลือเกิน อมพนำเรื่องราวอะไรตั้งหลายอย่าง  ถ้ารู้ว่ารักษาคำสัญญาไม่ได้ ก็ไม่ควรพูดให้ความหวังตั้งแต่แรกป่ะ มันไม่ควรเป็นพระเอกเลยนะเนี้ย

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 36

หลังจากคืนนั้น คืนที่ได้เยียวยาหัวใจตัวเองด้วยคำถามมากมาย ผมก็ยอมกลับไปเป็นคนโง่คนเดิมด้วยความเต็มใจ ยอมเชื่อคำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมาอย่างแสนหวานจากริมฝีปากของคุณยะ มีความจริงในนั้นมากน้อยแค่ไหน ผมก็โง่พอที่จะไม่ตั้งคำถามกับตัวเอง ยอมเชื่อ ยอมฟัง ยอมวางหัวใจไว้บนกำมือเขาอีกจนได้

ผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทุกคำพูดของคุณยะ ทุกคำที่คนคนนี้เอ่ยออกมา ผมพร้อมยอมเชื่อจนหมดหัวใจ เชื่อจนเหมือนคนโง่ที่ไม่เคยเข็ดกับความย่อยยับของหัวใจตัวเอง

ในคืนที่ผมยอมซุกใบหน้าลงบนอกเขา ทิ้งกายอยู่อ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย และหลับฝันหวานตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า จนถึงวันนี้ที่เวลาไหลผ่านมาร่วมเดือน ทุกอย่างสวยงามไปเสียหมด แค่เห็นหน้าเขาก็มีความสุขแบบล้นทะลัก ยิ่งได้มองเข้าไปในดวงตาสีราตรีก็เห็นความรักฝังลึกอยู่ในนั้น

ก๊อก...ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งดึงผมกลับมาอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างที่ควรเป็น ก่อนที่จะได้ขยับริมฝีปากเอ่ยคำอนุญาตออกไป ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน

“คุยกันหน่อยสิ” ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงเรียบ ระหว่างที่เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขก

ถึงจะผูกพันด้วยสถานะพ่อลูกที่มีสายเลือดเดียวกัน ซ้ำยังทำงานอยู่ที่เดียวกัน ทว่าน้อยครั้งที่เจ้าของสยามชโยดมจะเดินมาเคาะประตูห้องทำงานของผม

“ครับ” ผมตอบรับ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินไปยังชุดโซฟาขนาดใหญ่ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของคุณชลัช

“กับมันเป็นยังไงบ้าง”

‘มัน’ คนที่คุณชลัชหมายถึงคือ ‘คุณยะ’

มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่วันที่ผมเดินมาหาเขาอย่างนกปีกหัก บอกเขาว่าผมเป็นลูก หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงคุณยะกับผมเลย จนกระทั่งตอนนี้เองที่เขาเอ่ยถึง

“ก็ดีครับ” ผมตอบ

“แน่ใจไหมว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอแบบเดิมอีก” เขาถามเสียงเรียบ ส่วนผมพอเจอคำถามนี้เข้าก็เหมือนกับว่าถูกรื้อบาดแผลขึ้นมาใหม่ “ฉันไม่ไว้ใจมัน กลัวมันจะทำกับเธอเหมือนเดิมอีก” คำพูดเหล่านี้คล้ายเอ่ยออกมาพร้อมความห่วงใย ที่นานครั้งเขาจะแสดงออกมาให้ผมรู้สึก

ระหว่างผมกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ หรือแม้แต่คุณพิมดาวผู้เป็นแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราสามคนห่างเหินอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นมาตลอด กับคุณพิมดาวยังมีโอบกอดบ้างแต่อ้อมกอดนั้นก็จืดจาง ไม่ต่างจากโอบกอดตามหน้าที่ของความเป็นแม่ ส่วนคุณชลัชไม่เคยแม้แต่จะอ้าแขนออกมาเพื่อรับผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมเองก็ไม่ได้เจ็บปวดไปกับความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เข้าใจว่ามันยากที่จะโอบกอดกันด้วยความรักและผูกพัน แต่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทุกอย่างมันเป็นไปตามสิ่งที่ต้องเป็น พวกเขาให้การเลี้ยงดูเท่าที่ผมอยากได้รับและให้มากกว่าที่ผมอยากได้จากพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

“ผมไว้ใจเขาก็พอครับ” ตอนที่ผมตอบคุณชลัชไปแบบนั้น เจ้าของคำถามก็พ่นลมหายใจออกมาทันที สีหน้าเขาดูหงุดหงิดและเป็นกังวลในคราวเดียวกัน

“พี...” มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ฉันอยากขอให้เธอเลิกกับมัน...ได้ไหม?”

“ไม่ได้ครับ” ผมตอบทันที ไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว

“ฉันขอในฐานะพ่อ” นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่คุณชลัชเอาความเป็น ‘พ่อ’ มาใช้ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่ามันไม่มีทางได้ผล เพราะไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ให้ผมรักคุณยะได้

“ไม่ว่าคุณชลัชจะขอในฐานะอะไร ผมก็ไม่เลิกกับเขา”

“เธอไม่กลัวเลยหรือไงว่าจะถูกมันหลอกเหมือนที่ผ่านมา”

กลัวสิ... แต่ความรู้สึกที่อยากรักเขามีมากกว่าความกลัวเป็นร้อยพันเท่า

ในใจคิดแบบนี้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ได้แต่บอกออกไปว่า

“ไม่กลัวครับ”

คำตอบของผมทำให้คุณชลัชเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ย

“มันเกลียดฉัน” เขาถอนหายใจอีกครั้ง คล้ายไม่อยากพูด เงียบไปสักพัก ถึงได้เอ่ยออกมาอีกครั้ง “บางทีมันอาจจะใช้ความเจ็บปวดของเธอเป็นการแก้แค้นฉัน”

ผมก็เคยคิดแบบที่เขาพูด เคยคิดว่าที่คุณยะเกลียดผมก็เพราะเกลียดคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผม

“คุณชลัชทำอะไรให้เขาเกลียดครับ”

เขานิ่งไปพักใหญ่ ถอนหายใจ แล้วจึงค่อยตอบคำถามของผม

“ฉันเคยทำร้ายมัน”

“ทำร้าย?” ผมทวนคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเบาๆ

“ใช่” เขาพยักหน้า “มันถึงได้เกลียดฉันมาจนถึงวันนี้”

ผมจินตนาการไม่ถูกเลยว่า คุณชลัชทำร้ายเพื่อนรุ่นน้องของตัวเองแบบไหนกัน ถึงทำให้อีกฝ่ายเกลียดได้ฝังลึกจนถึงวันนี้ จนกระทั่งเรื่องราวในอดีตถูกถ่ายทอดออกมาช้าๆ แต่ความรุนแรงของมันไม่ได้เชื่องช้าเลยสักนิด

.................................


เพราะเรื่องราวที่ผ่านระยะเวลามามากกว่าชีวิตผมถูกบอกเล่าออกมา และเป็นเรื่องราวความบาดหมางในรูปแบบที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผมไปมากจริงๆ คนที่อยู่หลังโต๊ะทำงานหลังใหญ่ถึงได้ไม่ยอมตอบคำถามของผมและไม่ยอมให้ผมถามมันกับเขา

แต่ผมก็รู้แล้ว และคิดว่าตัวเองไม่ควรอยากรู้เลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องเจ็บปวดไปกับสิ่งที่คุณยะเคยเผชิญหน้ากับมัน

“คุณยะ...” ยามเอ่ยเรียกชื่อเขา เสียงของผมสั่นเทา แม้จะพยายามฝืนบังคับให้เป็นปกติแล้วก็ตาม เพราะความรู้สึกในใจของผมกำลังปวดร้าวแทนคนที่อยู่ตรงหน้า

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะ ปากกาในมือถูกวางลงบนแผ่นกระดาษสีขาวที่บนนั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือและตารางตัวเลข ไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัวลุกจากเก้าอี้มาหาผมด้วยสีหน้าตกใจกับสภาพใบหน้าชุ่มน้ำตาที่เห็น ผมก็เดินไปถึงตัวเขาก่อน ทิ้งตัวลงนั่งบนตักเขาอย่างไม่กลัวว่าเจ้าตักจะหนัก กอดร่างกายหนาที่แสนอบอุ่นไว้แน่นด้วยความรู้สึกอยากปลอบโยนความเจ็บปวดของเขาในอดีตที่ยาวนานมากกว่าชีวิตของผม พร้อมกับใช้ไหล่กว้างของเขาเป็นที่รองรับน้ำตาซึ่งไหลทะลัก ทั้งที่ร้องไห้มาตลอดทางแล้วแท้ๆ ร้องจนน้ำตาชุ่มแก้ม พนักงานและลูกค้าของพุฒิธาดาเห็นยังตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผม พี่แอลที่อยู่หน้าห้องตกยิ่งกว่า ถามผมใหญ่ว่าเป็นอะไร แต่ผมไม่มีเวลาที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย

เจ้าของไหล่ปล่อยให้ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น โดยไม่ถามอะไรสักคำ จนผ่านไปหลายนาที จนน้ำตาผมน้อยลง เสียงสะอึกสะอื้นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเบาบางลงนั่นแหละ คำถามถึงได้ดังขึ้น

“เป็นอะไร โดนใครทำอะไรมา” เสียงอ่อนโยน มือก็ลูบแผ่นหลังผมไปพลาง

“ฮึก...คุณยะ...” ผมก็ได้แต่เรียกชื่อเขาปนไปกับเสียงสะอื้นเบาบางของตัวเอง ผมอยากเกลียดคนที่ทำร้ายเขา แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นคือพ่อ

“พี” เขาเรียกผม อะไรในน้ำเสียงนั้นฟ้องว่าเขาเริ่มรู้แล้วว่าเรื่องไหนที่ทำให้ผมมาที่นี่พร้อมน้ำตานองหน้า “...ฉันบอกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงไม่ฟัง”

“ก็...” ผมพูดไม่ออกตอนที่ถูกดึงใบหน้าออกมาจากไหล่เขา แววตาเขาดูโกรธจนเห็นได้ชัด ผมไม่อยากถูกเขาโกรธเลย ไม่อยากทะเลาะกันด้วย “...ผมขอโทษ”

“รู้แล้วมันทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม” เขาถาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาและสายตาที่ใช้มองผมลดความขุ่นมัวลง ขณะเดียวกันก็ใช้ปลายนิ้วอุ่นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน “รู้แล้วก็ต้องมานั่งร้องไห้บนตักฉัน”

...เขาพูดผิดไปนิดหนึ่ง ผมไม่ได้นั่งร้องไห้บนตักเขาเท่านั้น ผมน่ะร้องไห้ตั้งแต่เรื่องราวเริ่มไหลออกมาจากปากคุณชลัชด้วยซ้ำ

คุณชลัชบอกว่า...เขาเคยข่มขืนคุณยะ แม้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย แต่มันก็ทำให้กลายเป็นฝันร้ายของคนที่ถูกทำแบบนั้นได้เหมือนกัน และเพราะเรื่องที่ตัวเองต้องพบเจอมันโหดร้ายสำหรับคนถูกกระทำเหลือเกินหรือเปล่านะ คุณยะถึงได้รู้สึกผิดและต้องรับผิดสิ่งที่ตัวเองเคยพลั้งเผลอทำร้ายพี่เลม่อนไปในตอนนั้น

“ก็ผมเสียใจ ผมไม่อยากให้คุณยะเจอเหตุการณ์แบบนั้น”

“มันผ่านไปแล้วพี” ต่อให้คุณยะบอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าคุณยะยังไม่ลืมและเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ยังเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน

“คุณยะ...เกลียด...ผมไหม เกลียดที่ผมเป็นลูกเขา” แม้คุณยะจะเคยบอกว่าไม่ได้เกลียดผม ทว่าพอมารู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าคุณยะจะเกลียดผมที่เป็นลูกของผู้ชายที่ใช้กำลังฝืนใจเขา

“เพิ่งผ่านมาได้กี่วันเอง เธอก็จะมาถามคำถามเดิมกับฉันอีกแล้ว” เขาเริ่มมีรอยยิ้มแม้จะไม่มากก็ตาม ปลายนิ้วโป้งหยอกล้ออยู่กับจุดสีดำบนแก้มของผม “ฉันจะเกลียดเธอได้ยังไง รักจะตายไป”

พร้อมกับคำหวานหูที่เอ่ยเอาใจผม คือปลายนิ้วที่ละออกไปแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากอุ่นบนแก้มชื้นน้ำตา ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากติดจะสั่นเพราะแรงสะอื้นของผม

“แต่คุณชลัชบอกว่าคุณยะอาจจะเกลียดผม แล้วก็ใช้ผมแก้แค้นเขา” ผมพูดขึ้นตอนที่ปากของตัวเองถูกปล่อยให้เป็นอิสระ คำพูดของคุณชลัชยังค้างอยู่ในหัว เจ้าตัวยังเชื่อว่าคุณยะแค้นตัวเองอยู่ และเชื่อด้วยว่าคุณยะไม่ได้รักผมจริง

“เชื่อพ่อมากกว่าเชื่อฉันหรือไง” เขาถาม รอยยิ้มหายไป

ผมก็ไม่อยากเชื่อที่คุณชลัชพูดเท่าไรหรอก แต่ก็อดเชื่อไม่ได้ ยังจำตอนที่ผมเดินเข้าไปบอกคุณชลัชว่าเป็นลูกเขา ตอนนั้นคุณชลัชสั่งผ่านคุณพิมดาวให้คุณยะมาคุยด้วย แต่คุณยะก็ไม่ยอมมาคุย แม้แต่ตอนที่คุณชลัชไปหาถึงที่ทำงาน เพื่อบอกว่าผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คุณยะก็ไม่สนใจ ซ้ำยังบอกอีกว่าผมไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย จะไปอยู่ที่ไหนหรือไปอยู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมารับรู้ ผมก็เพิ่งรู้วันนี้เอง

สิ่งที่คุณยะบอกผมเมื่อคืนนั้น ต่างจากคำบอกเล่าของคุณชลัชในวันนี้

“คุณยะเคยพูดใช่ไหม...ว่าผมไม่ได้มีความสำคัญกับคุณยะ ผมจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับคุณยะ เพราะผมก็แค่ลูกของคนที่คุณยะเกลียดจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย คุณยะเกลียดเขา แล้วก็เกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา” พอผมถาม คุณยะก็เงียบไปเลยและไม่มองหน้าผมด้วย เขาเอาสายตาไปไว้ที่อื่น

“ใช่ไหมครับ” ผมถามย้ำ “คุณยะเกลียดผมเหมือนที่เกลียดเขา...ใช่ไหม” นานเลยที่ผมได้แต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่สายตาคมกริบนั้นไม่ได้มองมาที่ผม แม้ไม่มีคำตอบ ทว่าความเงียบและสายตาที่หนีจากใบหน้าผมไปนั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตอบว่า ‘ใช่’ เลยด้วยซ้ำ

ผมพยายามกลั้นน้ำตาเมื่อคำตอบที่ชัดเจนแสดงออกมาผ่านความเงียบของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ไม่ได้ผล ความพยายามของผมถูกทำลายลงด้วยความเจ็บปวดในอกซ้าย น้ำตาไหลเต็มสองแก้ม เสียงสะอื้นของผมดึงสายตาของคุณยะให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว

“ใช่ ฉันเคยพูดแบบนั้น” เขาเช็ดน้ำตาให้ผม ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลพรากกับคำตอบที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังรับกับมันไม่ได้ “...แต่ฉันก็มีเหตุผลที่พูดไปแบบนั้น เธออยากฟังไหม”

“ฮึก...อยาก” ผมรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว อยากฟังเหตุผลของเขา เผื่อว่าจะช่วยลดความเจ็บปวดจากความจริงที่ว่าเขาเกลียดผม เกลียดเพราะผมเป็นลูกของคนที่ทำร้ายเขา

“อยากฟัง เธอก็ต้องหยุดร้องไห้ก่อน”

ได้ผลทันที ผมกลั้นน้ำตาไว้สุดพลัง ปล่อยให้สองมือของเขาปัดเอาเม็ดน้ำตาที่ค้างอยู่บนใบบนหน้าออกไป จนรู้สึกได้ว่าบนหน้าของตัวเองไม่เหลือคราบน้ำตาอีกแล้ว

“ฉันอยากให้เธอไปมีชีวิตที่ไม่มีฉัน...อย่าร้อง” เขารีบห้ามตอนที่เห็นน้ำตากลับมาปริ่มล้นอยู่ที่ขอบตาผม แต่ก็ห้ามไม่สำเร็จ น้ำตาผมไหล ขณะที่เขาจะใช้มือเช็ดน้ำตาให้เช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าครั้งนี้ผมกลับปัดมือเขาออกไปอย่างแรง ปฏิเสธความอ่อนโยนของเขาด้วยสุ้มเสียงขุ่นขวาง

“ผมจะร้อง!” ผมตอบอย่างหงุดหงิด เจ็บปวดกับเหตุผลของเขา เหตุผลแบบนี้ไม่ต้องมีซะดีกว่า

“ตามใจเธอละกัน อยากร้องก็ร้อง แต่ต้องออกไปร้องนอกห้องฉัน” ว่าแล้วเขาก็จับเอวผม ทำท่าจะยกตัวผมขึ้นจากตักเป็นเชิงไล่อย่างที่พูด ผมเลยรีบกอดตัวเขาไว้ ซุกหน้ากับไหล่ที่ยังคงชุ่มด้วยน้ำตาของผม กอดเขาไว้แน่นเพราะไม่อยากถูกลากตัวออกไปจากห้องนี้

“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” ผมตะโกนด้วยอารมณ์ขัดใจผสมไปกับความน้อยใจ น้ำตาพรั่งพรู “ทำไม...ฮึก...ทำไมไม่เคยง้อผมเลย มีแต่ทำร้ายจิตใจผม...ฮึก...คุณยะไม่เคยรักผมเลยใช่ไหม...ฮึก...ที่พูดว่ารักผม ก็โกหกใช่ไหม...เกลียดผมมากเลยใช่ไหมล่ะ...ฮื่อออ...” ผมร้องไห้ฟูมฟายด้วยเจ็บปวดหัวใจ แต่ร้องถึงขนาดนี้แล้วเจ้าของไหล่ที่ชุ่มด้วยน้ำตาของผมก็ยังคงเงียบ ไม่มีคำปลอบโยน แม้แต่มือก็ยังไม่ยอมที่จะยกขึ้นมากอดปลอบเพื่อให้ผมเบาน้ำตาลง

ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของผมกับความเงียบของเขา

“ใจร้าย...ฮึก...คุณยะใจร้าย”

ได้ยินเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบรอบตัวผม

“ถ้าเธอมั่นใจในความรู้สึกของฉันสักนิด เธอก็คงจะไม่เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอใช่ไหม ฉันไม่รักเธอใช่ไหม...อยู่แบบนี้หรอกพี” คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองไม่หนักแน่นเอาซะเลย “เธอจะเชื่อฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” คำพูดของเขาฟังดูอ่อนล้า

“ผมเชื่อทุกคำพูดของคุณยะ”

“เชื่อ... แต่ก็เอาแต่ถามฉันนี่นะ”

“ก็ผม...” ผมเถียงไม่ออก สุดท้ายก็ต้องพูดคำที่ติดปากออกมา “...ผมขอโทษ” ผมเอ่ยตอนที่เอาหน้าเปรอะน้ำตาขึ้นมาจากไหล่ของเขา มือของคุณยะก็ช่วยซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเดิม

“โตแล้วนะ ร้องไห้ให้น้อยลงได้แล้ว”

ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ส่วนในใจนั้นกลับค้าน ผมรู้ว่าทำอย่างที่เขาบอกไม่ได้หรอก ผมเป็นคนอ่อนแอ มีเรื่องอะไรมาโดนนิดเดียวก็พร้อมจะน้ำตาแตกได้เสมอ โดยเฉพาะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณยะ

“ไม่ว่าฉันจะเคยพูดอะไรแบบไหนออกไป เธอรู้ไว้เลยว่าฉันไม่เคยพูดมันออกไปเพราะว่าเกลียดเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ ฉันรักเธอ เธอจำแค่นี้ก็พอ...ทำได้ไหมคนดี” เขาทอดเสียงหวานในประโยคสุดท้าย ความเจ็บปวดที่ทำเอาน้ำตาแตกไปหลายรอบคล้ายกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย

“ครับ” ผมตอบรับคำขอของเขาอย่างว่าง่าย แต่ผมก็ยังมีคำถาม “คุณชลัชบอกว่า...” ผมพูดแค่นี้เขาก็ตีหน้ายุ่งแล้ว

“ไม่ต้องไปฟังมันมากได้ไหม” สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมให้ผมพูดต่อ “มันพูดอะไรอีก พูดมาให้หมดทีเดียวเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงมันให้ฉันฟังอีก”

เมื่อเขาเปิดโอกาสแล้ว ผมก็เริ่มพูดต่อจากที่ค้างไว้

“คุณชลัชบอกว่าที่คุณยะเลี้ยงผมเพราะมีแผน คุณยะจะสอนให้ผมเกลียดคุณชลัช จากนั้นก็จะใช้ให้ผมไปทำเรื่องไม่ดี ทำให้ธุรกิจโรงแรมของเขาเจ๊ง พอผมทำสำเร็จก็จะบอกความจริงว่าผมเป็นลูกเขา” ครั้งนี้คุณยะไม่หลบตาผม ซ้ำยังตอบกลับมาทันที

“ใช่ ฉันตั้งใจทำแบบนั้นเพราะฉันเกลียดมัน” คำตอบของเขาทำให้ผมได้แต่กัดปากตัวเองจนเจ็บ เพื่อห้ามความเสียใจที่จะหลุดออกมาเป็นเสียงสะอื้น “อย่ากัดปากตัวเอง ไม่เจ็บหรือไง” ปลายนิ้วอุ่นแตะลงมาที่ริมฝีปากของผมให้คลายตัวออกจากกัน

“มันไม่เจ็บเท่าที่ข้างในเจ็บหรอกครับ” ขอบตาผมร้อนจัด จนกลัวว่าจะได้เสียน้ำตาเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามจะกลั้นเอาไว้สุดพลังไม่ให้น้ำตาล้นออกมาเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ที่กั้นเอาไว้ไม่ได้คือคำตัดพ้อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากติดสั่น “งั้น...ที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็เลยอยากให้ผมเกิดมา...ก็ไม่จริงสินะครับ”

“ช่างจำ” เขาว่ายิ้มๆ

“ผมจำทุกคำพูดของคุณยะได้หมดนั่นแหละ” ผมหรี่ตามองเขาด้วยโมโหที่เขายังยิ้มได้ทั้งที่ผมกำลังเสียอกเสียใจกับความจริง

“ฟังฉันนะพี ตอนนั้นที่ฉันบอกกับแม่เธอไปแบบนั้น มันก็แค่ความคิดของวัยรุ่นที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่” เขาอธิบาย “แล้วมันก็เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว พูดแล้วฉันก็ลืม”

“แต่เหตุผลที่คุณยะอยากให้ผมเกิดมาก็เพื่อแก้แค้น” มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด ผมมีโอกาสเกิดมาก็เพราะความแค้นของคนคนนี้ มันไม่น่าภูมิใจเลยสักนิด

“ฉันยอมรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันขอโทษที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะใช้เธอแก้แค้นคนที่ฉันเกลียด ยกโทษให้ฉันได้ไหม”

ผมพยักหน้าให้กับคำขอของเขา ถึงผมจะเจ็บปวดกับความจริงก็ตามเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณยะที่คิดแบบนั้นกับคนที่ตัวเองเกลียด

“คุณยะ...” ผมแค่เรียกชื่อเขา ยังไม่ทันเอ่ยไปมากกว่านั้น เจ้าของชื่อก็เหมือนรู้ว่าผมจะเอ่ยถึงเรื่องใด เขาถึงได้รีบห้าม

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ถ้าไม่อยากให้ฉันกลับไปเกลียดมันเหมือนเดิม” เขาพูดแบบนี้ก็แสดงว่า...

“ตอนนี้คุณยะไม่เกลียดคุณชลัชแล้วหรือครับ” ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ถึงการกระทำของคุณชลัชจะสมควรถูกเกลียดก็ตาม

“เพราะเธอไงที่ทำให้ฉันต้องเลิกเกลียดมัน” เอ่ยเสียงขุ่น ดูเขาไม่พอใจเท่าไรที่ต้องยกโทษให้คนที่เคยทำร้ายตัวเอง “ขืนฉันยังเกลียดมันอยู่ มันคงได้นั่งปั่นหูเธอให้เลิกกับฉันทุกวันแน่ๆ”

“คุณชลัชไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” ผมแก้ตัวแทนฝ่ายที่ถูกเอ่ยถึง

“รู้จักแก้ตัวแทนมันตั้งแต่เมื่อไร” เสียงขุ่นไม่พอใจ ตาก็เริ่มขวาง “แล้วที่เธอมานั่งร้องไห้บนตักฉัน เอาแต่ถามว่าฉันเกลียดเธอไหม รักเธอไหม ไม่ใช่เพราะโดนมันเป่าหูมาหรือไง”

“ไม่ใช่สักหน่อย คุณชลัชแค่หวังดีกับผม กลัวว่าผมจะถูกคุณยะหลอก” ระหว่างผมกับคุณชลัชจะไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่น เราสองคนมีความห่างเหินมากั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขานะ ตั้งแต่เขารู้ว่าผมคือลูก เขาก็มองผมด้วยสายตาของความเป็นพ่อ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาในรูปแบบของความใกล้ชิดเท่านั้นเอง

“งั้นเธอก็กลับไปบอกมันซะ ว่าฉันจริงจังกับเธอ ไม่มีวันเลิกกับเธอแน่นอน” คำพูดของเขาหนักแน่น ทำเอาริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม

“ผมก็ไม่มีวันเลิกกับคุณยะ” ถ้าเขายังรักผม ยังต้องการผม ผมก็จะอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขาไปตลอดชีวิต

...สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดออกมาเลย เมื่อวันหนึ่งผมต้องเป็นฝ่ายกลับคำพูดนี้เสียเอง


...............................................

“เจย์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

ผมโพล่งคำถามออกมาทันทีที่ประตูห้องพักของโรงแรมพุฒิธาดาเปิดออก คนที่ควรลากกระเป๋าเดินทางไปที่คอนโดมิเนียมของผม หรือถ้านึกอยากจะเข้าพักในโรงแรมจริงละก็ควรเป็นที่สยามชโยดมมากกว่าที่นี่มีรอยยิ้มคุ้นตาส่งมาให้เป็นคำทักทายแรก ทว่ารอยยิ้มนั้นแปลกไปเพราะภายในใจของเจ้าตัวเต็มไปด้วยบาดแผล...ที่เกิดจากการตัดสินใจครั้งล่าสุดของผม

‘เจย์... เขารักผมแล้ว ผมสมหวังแล้วนะ’

ครั้งล่าสุดที่จิระโทรมาหาผม ผมก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยประโยคด้านบน จิระเงียบไปพักใหญ่ กว่าที่เจ้าตัวจะเอ่ยถามออกมาด้วยสุ้มเสียงเจือความเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง

‘แล้วที่บอกว่าจะกลับมาอยู่กับผมล่ะ’

‘ขอโทษนะเจย์ คือผม...’ ไม่รอให้ผมพูดจบ อีกฝ่ายก็พูดตัดบททันที

‘อืม...เข้าใจแล้ว’

แล้วจิระก็วางสายไปและไม่ติดต่อมาอีกเลย ผมพยายามโทรไปหาทุกวัน เจ้าตัวก็ไม่ยอมรับสาย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วจิระก็โทรเข้ามา บอกกับผมว่าตอนนี้อยู่ที่พุฒิธาดา ผมถึงได้รีบออกมาจากเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองทั้งที่เพิ่งเปิดประตูเข้าไปไม่ถึงห้านาที

“หิวข้าว ไปหาอะไรกินกันไหม” เจ้าตัวไม่ได้ตอบคำถามของผม กลับพูดไปอีกเรื่อง

ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ผมเองก็เริ่มรู้สึกหิวเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำให้หายเหนื่อยจากการนั่งประชุมทั้งวัน แล้วค่อยลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารของโรงแรมตามลำพัง เพราะวันนี้คุณยะไม่อยู่ เขาบินไปดูที่ดินที่เชียงใหม่เมื่อเช้านี้เอง พรุ่งนี้ถึงจะกลับ

“ไปสิ ผมก็หิวเหมือนกัน”

ที่แรกผมคิดว่าจิระจะแค่ลงมากินมื้อค่ำที่ร้านอาหารของโรงแรม ทว่าอีกฝ่ายกลับถามผมว่าจอดรถไว้ที่ไหน ถามแบบนี้ผมก็เข้าใจว่าจิระอยากจะไปร้านอาหารที่เจ้าตัวชอบไปประจำ

“ผมขอขับเองนะ” พอผมเปิดประตูรถ ยังไม่ทันก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถ จิระก็เอ่ยขึ้น ซ้ำยังดึงตัวผมออกมาและเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับแทน ผมเลยต้องเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งแทน

ถึงจิระจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ประเทศไทย ทว่าการที่เขาบินมาหาผมปีละสองครั้ง รวมถึงกลับมาเยี่ยมตายายชาวไทยของตัวเอง แต่ละครั้งก็ไม่เคยต่ำกว่าสิบวัน ทำให้เจ้าตัวคุ้นเคยและรู้จักเส้นทางในกรุงเทพฯ พอสมควร และยิ่งเส้นทางที่มุ่งไปยังสถานที่ที่เจ้าตัวชอบนั้น ยิ่งไม่ลืม

ดังนั้นผมจึงไม่ห่วงเมื่อรถของผมเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดรถ แต่ที่เป็นห่วงคือใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่ขมขื่นของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยรถต่างหาก

“เจย์...เรื่องนั้น...” ผมตั้งใจจะพูดเรื่องที่ตัวเองผิดสัญญากับจิระ เพียงแค่เอ่ยออกมาไม่กี่คำอีกฝ่ายก็ชิงพูดไปเรื่องอื่นเสียก่อน

“ผมอยากเห็นรูปนั้นจัง เห็นมาร์คัสบอกว่าเป็นรูปของพีรัชกับเขาคนนั้น” คำพูดของจิระเรียบเรื่อยก็จริง แต่ฟังยังไงก็ไม่ต่างจากคำตัดพ้อกึ่งประชดประชัน

“เจย์...โกรธผมใช่ไหม ผมขอโทษ”

ผมนึกไปถึงภาพวาดที่มาร์คัส รอสส์มอบให้ก่อนที่เจ้าตัวจะบินกลับ ภาพนั้นสวยมากจริงๆ มองแล้วเหมือนถูกดึงเข้าไปในความทรงจำแสนหวาน กลับไปหาวันนั้นที่ผมกับคุณยะถ่ายรูปด้วยกันเป็นครั้งแรก ตอนนี้ภาพของคุณยะและภาพของผม แขวนคู่กันอยู่บนผนังเหนือเตียงนอนในห้องเพนต์เฮ้าส์ที่พุฒิธาดา สถานที่ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของผม ผมย้ายมาอยู่กับคุณยะได้สองสัปดาห์แล้ว

“ไม่ต้องทำเสียงเศร้าขนาดนี้ก็ได้” จิระหันกลับมายิ้มขื่น ราวกับว่ายิ้มนั้นไม่ใช่สำหรับผมแต่เป็นของเขา ระหว่างที่ชะลอความเร็วรถลงเมื่อตรงหน้าคือสัญญาณไฟแดง “ผมก็แค่อยากเห็นรูปที่ผมต้องใช้ตัวเข้าแลก อยากรู้ว่ามันคุ้มกับเวลาสิบวันที่ผมต้องใช้ชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรกกับศิลปินผู้โด่งดังคนนั้นไหม”

“...” ผมพูดไม่ออก ยิ่งเห็นหน่วยตาที่เริ่มแดงและคลอด้วยหยาดน้ำใส ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ใช้ความรักและความจริงใจของจิระเพื่อประโยชน์ของตัวเองมาตลอด สุดท้ายผมก็พูดคำเดิมออกมา “...ผมขอโทษ ต่อไปเจย์ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมอีกแล้วนะ”

“พอสมหวัง ผมก็หมดประโยชน์เลยสินะ”

“เจย์อย่าประชดได้ไหม” ผมเริ่มหงุดหงิด รู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่อยากถูกประชดแบบนี้

“สิบวัน...มันไม่น้อยเลยนะพีรัช” เสียงของจิระสั่น เจ้าตัวดึงสายตากลับไปยังถนนด้านหน้า เงียบอยู่นาน จนกระทั่งสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เจ้าตัวถึงได้เอ่ยขึ้นมาในจังหวะที่ล้อรถกลับมาหมุนใหม่ “...ไม่ถามหน่อยเหรอว่าสิบวันที่ผมต้องอยู่กับมัน ผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อจ่ายค่าภาพนั้นแทนพีรัช”

“...” ผมรู้ว่าจิระเจ็บปวด

“บ้านพักตากอากาศของมันอยู่บนเกาะ มองจากระเบียงบ้านพักเห็นทะเลสวยมากเลยนะพีรัช แต่เสียดายที่ผมได้แค่มอง... สิบวันที่นั่น ผมก็อยู่ได้แค่ในบ้าน แต่ที่มากที่สุดคงเป็นบนเตียง”

“เจย์... ผมขอโทษ” ขอบตาผมร้อนผ่าวไปกับคำพูดเรียบเรื่อยของจิระแต่แฝงไว้ด้วยทุกข์สาหัสที่เจ้าตัวต้องพบเจอและเรียกมันว่า...นรก ความหงุดหงิดเมื่อครู่จางหายไปกับถ้อยคำขมขื่น ที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเหลือเกิน

“ไม่ต้องขอโทษหรอก” เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ระหว่างพาล้อรถไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งที่พาออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ “พีรัชก็แค่ขอร้องให้ผมทำ ไม่ได้ขู่บังคับผมซะหน่อย แล้วผมก็เต็มใจทำเพื่อพีรัชด้วย หวังว่าสิ่งที่ผมทำให้พีรัชมาตลอดจะทำให้คำสัญญานั้นเป็นความจริงในสักวันหนึ่ง แต่ก็... เป็นความเพ้อฝันของคนโง่ๆ พีรัชไม่ต้องใส่ใจก็ได้ ยังไงผมก็ยังรักพีรัชเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”

“ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ต้องขอโทษ ผมก็ยังเอามันออกมา เพราะไม่มีคำไหนที่จะใช้แทนความรู้สึกผิดได้เท่าคำนี้แล้ว แม้รู้ดีว่าสิ่งที่จิระต้องการจากผมไม่ใช่คำขอโทษที่ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เป็นการรักษาสัญญาที่ผมพร่ำพูดไว้ในอดีต คำสัญญาที่ผมใช้บีบบังคับให้จิระยอมทำทุกอย่างเพื่อผม

“ไม่เป็นไร” ใบหน้าด้านข้างที่ผมเห็น ไม่ได้เป็นอย่างคำที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเลย มือของจิระที่จับพวงมาลัยรถเกร็งอย่างเห็นได้ชัด

“เจย์...ผม...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ขอผมอยู่เงียบๆ สักสองสามนาทีนะ”

“อืม...” ผมพยักหน้า ทำตามคำที่อีกฝ่ายขอ

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ความเงียบเริ่มกลืนกินทุกสิ่งอย่างภายในรถที่เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าจากการจราจรที่หนาแน่นในคืนวันศุกร์ ทั้งที่บอกว่าขอเวลาแค่สองสามนาที เอาเข้าจริงสามสี่ชั่วโมงแล้วความเงียบก็ยังคงทำงานอย่างแข็งขัน แข่งกับรถที่เคลื่อนตัวหลุดพ้นจากสภาพสาหัสที่แทบขยับไม่ได้บนท้องถนนของกรุงเทพฯ เข้าสู่อีกจังหวัดหนึ่งในเวลานี้

ผมไม่ได้ถามว่าจิระจะขับไปไหน เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไปทะเลก็ได้ ผมปล่อยให้จิระขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เมื่อความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ยิ่งคนขับไม่คุ้นชินกับเส้นทางด้วย ด้านนอกกระจกรถยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อมันมีเม็ดฝนหล่นมากระทบ แม้ไม่มากถึงขั้นต้องใช้ที่ปัดน้ำฝน แต่ไม่แน่ว่าทางข้างหน้าจะมีสายฝนกระหน่ำอยู่หรือเปล่า ผมก็ยิ่งห่วงเรื่องของอุบัติเหตุ

“เจย์ขับเร็วเกินไปแล้วนะ ช้าลงหน่อย” ผมอดห่วงไม่ได้ จิระไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยด้วย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะนึกถึงสภาพหลังจากนั้น

“กลัวผมพาไปตายหรือไง” สุ้มเสียงที่เอ่ยแปลกแปร่งกว่าทุกที

“พูดอะไรแบบนั้นเจย์ ใครเขาให้พูดเรื่องตายกัน” ผมอดที่จะดุอีกฝ่ายเสียงขุ่นไม่ได้ รู้หรอกว่าจิระแค่ประชดไปตามอารมณ์ความน้อยใจที่ถูกผมทอดทิ้งคำสัญญา แต่ผมก็ไม่ชอบคำว่าตายเลย

“ผมพูดความจริง” จิระหันมามองผมนิดหนึ่ง ริมฝีปากกดเป็นรอยยิ้มที่ยากจะเดาว่าภายใต้ใบหน้าแต้มยิ้มนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็หันกลับไปมองทางตามเดิม พลางปลายเท้าก็เพิ่มความเร็วของล้อรถขึ้นไปอีก “พีรัชคิดว่าถ้าผมขับฝ่าไฟแดงตรงนั้น เราสองคนจะตายไปด้วยกันไหม”

“เจย์! อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ นะ” ผมร้องห้ามออกมาด้วยความตกใจ คำพูดของจิระทำให้ผมคิดในแง่ดีไม่ได้เลย ตัวผมสั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองใบหน้าแต้มรอยยิ้มขมขื่นสลับกับสัญญาณไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ไม่อยากไปกับผมขนาดนั้นเชียว” จิระชะลอความเร็วของรถลงจนหยุดอยู่กับที่ตรงสัญญาณไฟแดง ผมพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ราวกับปีนขึ้นมาจากหน้าผาได้ก่อนที่จะร่วงหล่นลงไป “ผมเสียใจนะที่พีรัชไม่อยากตายไปกับผม ทั้งที่ผมอยากจะตายไปพร้อมกับพีรัชแทบบ้าแล้วรู้ไหม”

“ไม่ตลกนะเจย์” ผมตวัดสายตาขุ่นคลั่กใส่อย่างเหลืออด ไม่ชอบที่จิระเอาเรื่องความตายมาประชดประชัน

“ผมก็ไม่ได้อยากจะให้มันตลก อยากให้มันเป็นความจริงมากกว่า” ดวงตาเศร้าสร้อยแต่เจือไปด้วยความโกรธแค้นแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม “ทางเดียวที่จะไม่ให้ใครมาแย่งพีรัชไปจากผมก็คงเป็นความตายนี่ละมั้ง”

“ไม่ได้คิดจะทำจริงๆ ใช่ไหมเจย์” เกือบสิบปีที่ผมรู้จักจิระ เพิ่งมีตอนนี้แหละที่ผมเหมือนไม่รู้จักจิระคนนี้เลย “พูดเล่นใช่ไหม”

“อยากให้พูดเล่นหรือพูดจริงล่ะ” พูดจบ สัญญาณไฟก็เปลี่ยนสี รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเดิมอีกครั้ง “แต่ผมจริงจังนะเรื่องที่อยากตายพร้อมกับพีรัช”

“เจย์! จอดรถ!!” ครั้งนี้ผมตะโกนใส่อีกฝ่าย เนื้อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ที่มากกว่าคือความกลัว กลัวว่าจิระจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

แล้วทางข้างหน้าก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ จากฝนเม็ดเล็กตามทางที่ขับผ่านมา มาถึงตรงนี้ได้กลายเป็นสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

“เจย์! จอด!!” ผมตะโกนสั่งอีกที จิระยังคงเงียบและความเร็วของรถก็ยังเท่าเดิม สายฝนกระหน่ำด้านนอกไม่ได้เป็นอุปสรรคกับปลายเท้าที่เหยียบคันเร่งของจิระเลย

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจิระถึงขอขับรถเอง แต่ก็ช้าเกินไป ถ้าผมเอะใจตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้

“เจย์!! ผมบอกให้จอดไง” ไร้ประโยชน์ จิระไม่สนใจคำพูดของผมสักนิดเดียว เจ้าตัวทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงเร่งความเร็วของรถฝ่าม่านฝนหนาสีขาวอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว

“ผมอยากตาย” จิระพูดขึ้น “แต่ตอนนี้ผมก็ตายไปครึ่งหนึ่งแล้วนะ เพราะพีรัชไม่เลือกผม เพราะพีรัชไม่รักษาสัญญา ทั้งที่ผมทำทุกอย่างเพื่อพีรัช ยอมนอนกับใครก็ได้ตามที่พีรัชสั่ง ทำทุกอย่างเพราะหวังว่าสักวันหนึ่ง พีรัชจะเป็นของผมคนเดียว แม้ไม่ได้หัวใจ แค่พีรัชอยู่กับผมไปตลอดชีวิต ผมก็พอใจแล้ว”

น้ำตาของจิระไหลอาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความเจ็บปวด

“ฮึก...ผมขอแค่นี้เอง แต่ทำไมพีรัชทำให้ผมไม่ได้” ถ้อยคำตัดพ้อกรีดหัวใจที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของผม

ผมหวนนึกไปถึงอดีตที่ถูกหลอกลวงด้วยคำสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเจ็บปวดนั้นสาหัสแค่ไหนผมรู้ดี ผมถึงได้รู้ว่าตอนนี้จิระเจ็บปวดอย่างที่สุด ไม่ต่างจากความเจ็บปวดของผมในอดีตกับคำสัญญาที่เป็นเพียงลมปากของคุณยะ

“เจย์...ผมขอ...” ริมฝีปากผมขยับไปด้วยความเคยชิน ทว่าคนฟังกลับไม่อยากได้ยินคำที่ไม่ได้ช่วยให้บาดแผลในหัวใจบรรเทาลงได้เลย

“ไม่ต้องพูด!” เป็นครั้งแรกที่จิระตวาดใส่ผม และครั้งแรกด้วยเช่นกันที่ผมเห็นอีกฝ่ายมีน้ำตามากขนาดนี้ จิระไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ เขาแทบไม่เคยร้องไห้เลยด้วยซ้ำ

“เจย์จอดรถก่อนนะ ผมขอร้อง นะเจย์นะ จอดรถก่อน” ผมเปลี่ยนมาขอร้อง ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล เพื่อให้สิ่งที่บีบอัดอยู่ข้างในของจิระคลายตัวลง ก่อนที่อีกฝ่ายจะสติหลุดไปมากกว่านี้ “เรื่องสัญญา ผมจะทำตามก็ได้ ผมจะกลับไปกับเจย์ ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่กลับมาด้วย”

“โกหก!”

“ผมพูดจริงนะ” ผมรีบยืนยัน แม้ความจริงผมกำลังโกหกอยู่ก็ตาม “เจย์บอกว่าอยากได้แค่ตัวผมใช่ไหม หัวใจผมจะรักใครก็ช่างไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ผมยอมแล้ว ผมจะไปอยู่กับเจย์ จะไม่หนีเจย์ไปไหน เราสองคนจะอยู่ด้วยกันจนแก่เลย ผมสัญญา”

“สัญญาใช่ไหม?” จิระหันมาถามผ่านม่านน้ำตาที่เหมือนจะไม่มีวันเบาบางลง เจ้าตัวคลี่ยิ้มอย่างมีความหวัง

“ใช่” ผมพยักหน้า “ผมสัญญา” คำสัญญาที่ผมพูดออกไป ไม่มีความจริงเลยสักนิด ผมใช้มันแค่ทำให้จิระเปลี่ยนใจ

“สัญญาแล้วนะ”

“อืม...สัญ...เจย์!!”

แต่สวรรค์ก็ลงโทษคำโกหกของผมและดับทุกความหวังของผมลงเพียงเสี้ยววินาที แต่นานเหมือนร้อยปีที่เสียงล้อรถบดถนน เสียงตัวรถที่เหมือนถูกเหวี่ยงด้วยกำลังมหาศาล ก่อนที่เสียงดังสะนั่นจะสะท้านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เลือดในกายพลันเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง

โครม!!!

และก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ ถูกความมืดมิดกลืนกินจนไม่เหลือซาก ถ้อยคำหนึ่งดังแผ่วเบาแต่ก้องอยู่ในประสาทการรับรู้สุดท้ายของผม

“ผมรักพีรัช...อย่าทิ้งผมไปไหนนะ...”

..........................................

ตายแล้วแน่ๆ ผมคงตายจากโลกที่อยู่มายี่สิบกว่าปีไปแล้ว ผมนึกอย่างนั้น คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าคนที่ผมรักอีกต่อไป แต่เมื่อเพ่งมองภาพตรงหน้าที่เป็นเพดานห้องสีขาวและกลิ่นเฉพาะที่คงมีแค่ในสถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาลเท่านั้น ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ลมหายใจยังติดอยู่กับร่างกาย พลันหัวใจก็กลับมาเต้นเป็นปกติ

“พี!”

ประตูห้องพักฟื้นถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจที่เอ่ยเรียกชื่อผม ดึงสายตาผมให้ละจากเพดานห้องสีขาวลงมายังเจ้าของเสียงเรียกที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าอิดโรยของคุณยะประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาของเขาเป็นประกายยินดีอย่างที่สุดทั้งที่ขอบตาคล้ำมากทีเดียว ไม่ต่างจากผมที่ดีใจเหลือเกินที่รอดจากความตายกลับมาเห็นหน้าของเขา... นึกว่าจะไม่มีวันได้เห็นใบหน้านี้อีกแล้ว

“คุณ...ยะ...” เสียงแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงตัวเองหลุดออกมาจากริมฝีปากที่หนักยิ่งกว่าก้อนหิน ผมดีใจที่ตัวเองหนีความตายมาได้ แต่พลันก็นึกจิระขึ้นมาทันที  “ผม...แคกๆ... เจย์...ปลอดภัย...ไหม...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรพี เธอยังเจ็บอยู่ อยู่นิ่งๆ ฉันจะไปตามหมอก่อน” โดยไม่ทันที่มืออันหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกและยังถูกเสียบไว้ด้วยสายน้ำเกลือจะคว้าแขนอีกฝ่ายได้ทัน ร่างสูงใหญ่ก็รีบร้อนออกจากห้องไปเสียแล้ว

ผมได้แต่นึกในแง่ดีที่สุดว่าจิระจะโชคดีเหมือนผม ถึงจะคิดอย่างมีความหวัง น้ำตาผมก็ไหลซึมออกมาจากหางตา เมื่อจำได้ว่าจิระไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภาพ ครั้นพอสะอื้นก็เจ็บร้าวไปทั้งร่าง ไม่นานนักทั้งคุณยะ คุณหมอ และพยาบาลวัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา

“คุณยะ...เจย์ล่ะ...เจย์...” เห็นคุณยะ ผมก็ถามคำถามเดิมอีก เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าจิระยังคงมีลมหายใจติดตัวเช่นเดียวกับผมใช่ไหม

“มันปลอดภัย” ในที่สุดคุณยะก็ตอบคำถามของผม

...โล่งอก

“แล้วตอน...” ผมอยากจะถามอีกว่าตอนนี้เจย์อยู่ที่ไหน ผมอยากจะไปเยี่ยมเขา ทว่าถูกคุณยะดุด้วยเสียงที่เข้มจัดเสียก่อน

“หยุดพูด หยุดถาม แล้วให้หมอตรวจก่อนพี เรื่องอื่นช่างมัน”

ผมเข้าใจว่าคุณยะห่วงผมมาก ถึงไม่ยอมให้ผมใช้เรี่ยวแรงที่ดูจะน้อยนิดในการตั้งคำถามถึงจิระ แต่ว่าผมก็ยังต้องตอบคำถามของคุณหมอมากวัยเป็นระยะด้วยเสียงที่แหบแห้ง และระหว่างนั้นผมก็รู้ว่าตัวเองหมดสติไปสองวันเต็ม แต่ที่น่ายินดีคือร่างกายของผมไม่เป็นอะไรมากไปกว่าบอบช้ำภายใน ที่พักฟื้นอีกสักระยะก็จะกลับมาเป็นปกติได้ กับแผลตามร่างกายภายนอกและบนหน้าผากซ้ายที่เกิดจากกระจกรถบาด

โชคดีที่ผมไม่เป็นอะไรมาก แต่โชคดีเป็นของผมแค่คนเดียว เนื่องจากรถที่เสียหลักเพราะถนนลื่นในคืนวันฝนตกหนักแล้วหมุนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะพุ่งไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางนั้นเป็นฝั่งคนขับ ความรุนแรงจึงไปกองอยู่ที่จิระเสียทั้งหมด

ทำไมไม่เป็นผม

ทำไมต้องเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผมด้วย

ทำไมจิระต้องมาทนทุกข์ทรมานกับสภาพที่ไม่ปกตินี้ด้วย

ในหัวของผมมีแต่คำถามตอนที่คุณยะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยของผม

“หมอนั่นยังไม่ฟื้น”

“แล้วเมื่อไรจะฟื้นครับ” ผมถามด้วยความร้อนใจ ได้แต่หวังว่าอีกไม่นาน อาจจะสองสามชั่วโมงข้างหน้า หรือไม่ก็อีกวันสองวันก็ได้ ผมคิดอย่างมีความหวัง แต่คุณยะก็ปัดความหวังของผมทิ้งไปโหดร้ายที่สุด แต่ก็โทษคุณยะไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะผม

...เพราะผมคนเดียวที่ใช้คำสัญญาหลอกลวงจิระมาโดยตลอด

“ฉันไม่ใช่หมอ” คุณยะถอนหายใจ นิ้วอุ่นเกลี่ยเม็ดน้ำตาออกจากหางตาของผมอย่างอ่อนโยนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด “แต่หมอเองก็บอกไม่ได้ว่าจะฟื้นเมื่อไร อาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี หรือตลอดทั้งชีวิตของเขา”

“ฮึก...เพราะผม...เจย์ถึงต้อง...ฮึก...” ผมพูดออกมาได้เท่านี้ เรี่ยวแรงไม่เหลือที่จะเอ่ยคำไหนได้อีก ไม่ฟื้นก็หมายถึงเจ้าชายนิทรา นอนเป็นซากผักแห้งเหี่ยว ไม่ต่างจากตายเลยสักนิด

“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ นอนก่อนนะพี เธอต้องพักผ่อน” มืออุ่นเลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะผมช้าๆ “อย่าคิดอะไรมาก มันเป็นอุบัติเหตุ”

มันเป็นอุบัติเหตุก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดที่เรียกว่าอุบัติเหตุ ทุกอย่างมันเริ่มจากคำพูดหลอกลวงที่ให้ความหวังจิระ เมื่อความหวังถูกทำลาย คนถูกผมหลอกลวงถึงได้ตัดสินใจอะไรบ้าๆ และนำไปสู่อุบัติเหตุในค่ำคืนนั้น

....................................

“เจย์ตื่นได้แล้ว หลับนานเกินไปแล้วนะ” ผมเอ่ยกับร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง วางมือบนท่อนแขนที่วางนิ่งอยู่ข้างลำตัว ข้างเตียงเต็มไปด้วยสายต่างๆ มากมายกว่าของผมเยอะ ตอนนี้ผมกลับมาเป็นปกติแล้ว ร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วภายในเวลาแค่เดือนกว่าๆ ผิดกับคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ยังคงนอนสงบนิ่งมานานถึงสองเดือน

จิระเหมือนกำลังหลับ แต่ความจริงคือเขากำลังเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่รู้ว่าอีกกี่วัน กี่เดือน หรืออาจเป็นปีที่ต้องรอคอยให้ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลพ้นจากเปลือกตาออกมาได้

อาการบาดเจ็บของจิระร้ายแรงกว่าผมหลายเท่า เพราะฝั่งคนขับปะทะกันต้นไม้ใหญ่อย่างรุนแรง ต้องผ่าตัดเอาเลือดคลั่งในสมองออก และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือร่างกายที่จะไม่เหมือนเดิม ถ้าจิระตื่นขึ้นมาก็ยังต้องพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว ผมไม่รู้เลยว่าเวลานั้นอีกฝ่ายจะเจ็บปวดกับความจริงนี้มากแค่ไหน ทว่าทีมแพทย์ก็ยังให้ความหวังกับผมและครอบครัวของจิระว่าอาการอัมพาตนี้มีโอกาสหาย แม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม นั่นก็ดีมากแล้ว

ครอบครัวของจิระ คือคุณนิโคลัส โจแวน กับ คุณอัญญา คีนส์ ลงความเห็นกันแล้วว่า หากภายในเดือนนี้จิระยังไม่ฟื้น พวกเขาจะพาลูกชายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ดีกว่านี้

“ตื่นเถอะเจย์” ผมเขย่าแขนที่ไร้การตอบสนองของจิระเบาๆ ทำเหมือนว่ากำลังเขย่าแขนอีกฝ่ายให้ตื่นจากความขี้เซาในเช้าที่อากาศแจ่มใส

ผมทำเหมือนทุกวัน คือปลุกจิระให้ตื่นขึ้นมานิทราที่แสนยาวนานเกินไป ช่วงแรกก็มีความหวังเต็มเปี่ยมว่าทำแบบนี้แล้วคนบนเตียงผู้ป่วยจะตื่นขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจะเผยความสดใสแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์ขึ้นมามองสบตาผม แต่พอนานวันเข้า ความหวังเริ่มริบหรี่ จากนั้นก็เหลือเพียงน้อยนิด และตอนนี้ก็แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย

“ตื่นมาอยู่กับผมนะเจย์”

ทว่า... พอไม่หวัง ทุกอย่างกลับมาสว่างไสวยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า

“เจย์...” ผมครางแผ่วเบาในลำคอ ทั้งที่อยากตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เมื่อปลายนิ้วสีซีดนั้นขยับอย่างเชื่องช้า

ผมรีบกดปุ่มที่ข้างเตียงทันที

“หมอครับ!!”

จิระฟื้นแล้ว

ส่วนผมก็ได้รับโอกาสแก้ตัวกับสิ่งที่ทำไปด้วยความเห็นแก่ตัวที่น่าชิงชัง
.....................................

จากวันที่จิระฟื้นจากอาการเจ้าชายนิทราจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดมากทีเดียว เจ้าตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการสับสน จำไม่ได้ว่าตัวเองไปเจออะไรมาถึงทำให้ต้องมานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เนื่องจากความทรงจำบางช่วงหายไป สาเหตุมาจากสมองบางส่วนได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติในคืนนั้น หนุ่มลูกครึ่งจำเหตุการณ์ในคืนที่ประสบอุบัติเหตุไม่ได้เลย จำได้แค่ช่วงเวลาที่ขึ้นเครื่องมาหาผม สองสามครั้งได้มั้งที่จิระพยายามคิดทบทวนสิ่งที่ตนสูญเสียมันไป เมื่อพยายามคิดอาการที่เกิดขึ้นคือเขาจะปวดหัวรุนแรง ถึงขั้นอาเจียนออกมา แต่หมอก็บอกว่าความทรงจำที่หายไป ถ้าหากได้รับการดูแลที่ดีและกินอาหารเสริมบำรุงสมอง ความทรงจำจะเริ่มกลับมาทีละน้อย

ถ้าถามผมว่าอยากให้ความทรงจำส่วนนั้นของจิระกลับคืนมาไหม ตอบเลยว่าผมไม่อยากให้จิระจำสิ่งที่ตัวเองคิดทำในคืนนั้นได้ ผมอยากให้จิระรู้แค่ว่าผมกับเขาขับรถไปต่างจังหวัด แล้วไปเจอกับฝนที่ตกหนักทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางเท่านั้นก็พอแล้ว

แต่จิระกลับคิดต่างจากผม เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นแค่การนึกสนุกขับรถไปต่างจังหวัดตอนดึกๆ จิระใส่ใจกับความทรงจำที่หายไปมากกว่าร่างกายที่ไม่ปกติของตัวเองเสียด้วยซำ

ใช่... จิระเข้มแข็ง เขาไม่เสียน้ำตาสักหยดเมื่อต้องตื่นมารับรู้ว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว แถมยังยิ้มแย้มให้กับร่างกายตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า... เขาจะได้มีผมคอยดูแลทุกวัน ตลอดชีวิตเลยยิ่งดี

‘สงสัยผมคงมารับตัวพีกลับมั้ง’ เจ้าตัวพึมพำกับตัวเอง หลังจากผ่านอาการปวดหัวและอาเจียนออกมาแล้ว จากนั้นก็หันมาพูดกับผม ‘พีเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ดีๆ เราจะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา ผมให้คนทำความสะอาดห้องของพีไว้แล้วนะ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ให้ด้วย รับรองพีต้องชอบแน่ๆ’ เจ้าตัวพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังในสิ่งที่ตัวเองรอคอย

ผมก็ทำได้แค่พยักหน้าไปกับคำพูดของจิระ นึกถึงคำสัญญาหลอกลวงของตัวเองก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุไปด้วย

จิระถามผมว่า... สัญญาใช่ไหม

ส่วนผมก็ตอบจิระไปว่า... ใช่ สัญญา

ตอนนั้นผมแค่อยากให้จิระใจเย็นลง มาตอนนี้ผมกลับคิดว่าตัวเองควรรักษาสัญญากับจิระเสียที เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้จิระพิการ เดินไม่ได้ ถึงเจ้าตัวจะไม่เห็นว่าความพิการของตัวเองคือโลกที่มืดมิดก็ตาม สำหรับผมแล้ว แค่วันเดียวที่จิระเดินไม่ได้ ความผิดก็ท่วมท้นอยู่ในอกผมแล้ว

ผมผิด...และผมควรรับผิดชอบความผิดของตัวเอง   

“พี ผมหิว หาอะไรให้กินหน่อยสิ” ถ้อยคำของคนบนเตียงผู้ป่วยดึงผมออกมาจากภวังค์ความคิด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากอุบัติเหตุคราวนั้น

นอกจากจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยังมีสมองส่วนของความอิ่มความหิวด้วยที่ได้รับผลกระทบ จิระกลายเป็นคนที่หิวตลอดทั้งวัน อย่างเช่นตอนนี้ ทั้งที่เพิ่งกินอิ่มไปไม่ถึงชั่วโมงก็กลับมาหิวอีก โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกินจนอิ่มไปแล้วเมื่อชั่วโมงก่อน

“เดี๋ยวค่อยกินนะเจย์”

“ไม่เอา! ผมจะกินตอนนี้ หรือว่าพีขี้เกียจไปหาอะไรให้ผมกิน” ว่าเสียงขุ่น “ก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าผมเดินเองไม่ได้ ถ้าเดินเองได้ ผมไม่ขอให้พีหาข้าวให้ผมกินหรอกนะ”

อารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายกว่าเมื่อก่อนของจิระก็เป็นผลมาจากสมองที่ได้รับความกระทบกระเทือนด้วยเช่นกัน

จิระไม่เหมือนเดิมก็เพราะผม

ถ้าผมไม่ให้ความหวัง ไม่หลอกลวงด้วยคำสัญญา และไม่รักษาคำสัญญาของตัวเอง จิระก็คงไม่ต้องมาเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่แบบนี้ คิดแล้วขอบตาก็ร้อนผ่าว พร้อมกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดของตัวเอง

“ร้องไห้ทำไม ผมไม่ได้ว่าพีสักหน่อย ผมแค่...แค่...อึก...ปวดหัว...” ใบหน้าจิระเหยเก สองมือยกขึ้นมากุมขมับ

“ผมเปล่าร้องไห้ อย่าคิดมากสิ เห็นไหม พอคิดเยอะก็ปวดหัว” ผมรีบเข้าไปกอดจิระไว้ในวงแขน ลูบแผ่นหลังเบาๆ ช่วยให้เจ้าตัวผ่อนคลายขึ้น ทุกครั้งที่ผมกอดจิระ เจ้าตัวจะอาการสงบลง

“พี” สองมือของจิระเลื่อนลงมากอดผมตอบ แนบใบหน้าไว้กับอกผม “ผมอยากกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันเถอะนะ”

“รอฟังผลตรวจจากหมอก่อน ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เจย์กับผมก็ได้กลับบ้านแล้ว”

บ้าน...ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย

“จริงนะ ห้ามหลอกผมนะ” บางครั้งจิระก็กลายเป็นเด็กน้อยที่ต้องการการเอาใจจากผม

“ไม่หลอกหรอก ก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะกลับไปกับเจย์ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน นี่ผมก็ยื่นใบลาออกแล้วนะ อนุมัติแล้วด้วย ผมเป็นอิสระจากที่นี่แล้ว พร้อมจะไปกับจิระแล้ว” ผมพูดเอาใจอีกฝ่าย

“แน่นะ” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผม ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลเป็นประกายสดใส

“แน่สิ” ผมยิ้มให้กับอีกฝ่าย ส่วนข้างในกลับว่างเปล่าและเจ็บปวดไปพร้อมกันกับสิ่งที่ตัวเองเลือกจะทำ เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดที่กัดกินความรู้สึกอยู่แทบทุกวินาที

“หิวมากเลยพี หาอะไรให้กินหน่อยนะ นะๆ” พอสบายใจแล้ว จิระก็กลับมาหิวอีกครั้ง ส่วนผมเองก็ทำหน้าที่ที่ทำประจำตั้งแต่เจ้าตัวฟื้นนั่นแหละ คือออกไปหาอะไรที่จิระกินได้มาให้เจ้าตัวกิน

.................................

“คุณยะ” ที่ว่างข้างเตียงยวบลงไปตามน้ำหนักตัวเจ้าของชื่อ ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความมืดไร้แสงไฟส่องสว่าง ผมพลิกตัวเข้าไปกอดร่างอุ่นๆ ของคุณยะ อีกฝ่ายสอดแขนข้างหนึ่งมาให้ผมใช้หนุนแทนหมอน “ผมมีเรื่องจะบอก”

เรื่องที่ผมรวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน เพื่อจะบอกเขาถึงการตัดสินใจของผม

“ฉันรู้” เสียงทุ้มแสนนุ่มนวลดังอยู่เหนือศีรษะ ก่อนริมฝีปากจะกดซับลงมาบนกลุ่มผมนิ่งนานและยังไม่ยอมผละออกไป

“คุณยะรู้?” ผมไม่แน่ใจว่าที่เขาบอกว่ารู้นั้น รู้เรื่องไหน ใช่เรื่องที่ผมจะพูดหรือเปล่า

“ฉันเป็นใครล่ะพี”

...เป็นคนที่ผมรัก

“เธออยากเลิกกับฉัน”

...ไม่ได้อยากเลิก ผมแค่ต้องรับผิดชอบ

“ฉันไม่เลิกกับเธอหรอกนะพี ยังไงฉันก็จะไม่เลิกกับเธอเด็ดขาด

...แต่ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจ

“แต่ฉันจะปล่อยเธอไป”

“ทำไมครับ”

“ฉันไม่อยากรั้งเธอไว้ ทั้งที่เธออยากจะไป และฉันก็อยากให้เธอทำทุกอย่างตามที่เธออยากทำ ชีวิตเป็นของเธอ ไม่ใช่ของฉัน แม้ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นก็ตาม”

“แต่ถ้าคุณยะห้าม ผมก็อาจจะ...”

“ฉันไม่ห้ามหรอกพี” เขาพูดแทรกก่อนที่ผมจะทันได้พูดจบ “ฉันรักเธอมากนะ ฉันถึงอยากเห็นเธอมีความสุข ต่อให้ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ แต่ฉันก็พร้อมจะยอมรับการตัดสินใจที่เธอคิดมาดีแล้ว ถ้าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอเลือกจะทำเป็นสิ่งที่สมควรทำ ฉันจะมีอะไรไปขัดขวางเธอได้”

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยออกมาแผ่วเบา

“แต่จำไว้นะพี เราไม่ได้เลิกกัน”

“ครับ” ผมกอดเขาแน่นขึ้น รับรู้ถึงความรักที่ส่งผ่านริมฝีปากอุ่นที่กดลงมาบนขมับ นิ่งนานราวกับจะให้มันคงอยู่ตลอดกาล “แต่ผมขอได้ไหมครับ คุณยะอย่าโทรหาผม อย่าติดต่อไม่ว่าทางไหนก็ตาม รับปากผมนะ”

...ไม่เช่นนั้นผมคงใช้ชีวิตด้วยความโหยหามากแน่ๆ

“ได้สิ” เขาตอบผมกลับมา

“คุณยะห้ามมีใครใหม่นะ” ต่อให้ผมกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ผมก็ยังหวังว่าหัวใจของเขาจะเป็นของผมเพียงคนเดียว ไม่เอามันไปให้ใคร และไม่ให้ใครมายืนข้างเขาแทนที่ผม “ต้องรักผมแค่คนเดียว ห้ามรักใครเด็ดขาด” ผมเงยหน้าขึ้นมามองสบตาสีราตรี ที่คงเห็นได้เพียงเลือนราง แต่ในความเลือนรางนั้นผมกลับสัมผัสได้ถึงแววตาที่จริงจัง ยามเขาเอ่ยออกมาว่า

“ฉันรักเธอคนเดียว”

“ผมก็เหมือนกัน” ผมซุกลงไปในอกอุ่นอีกครั้ง หลับตาลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นของร่างกายนี้เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่รุ่งเช้ามาถึง และเวลานั้นผมจะเดินออกไปจากเขา ออกไปจากความสุขสมหวังที่เฝ้ารอมาตลอด แทนที่จะได้ดื่มด่ำกับมันไปทั้งชีวิต กลับต้องตัดใจจากไป...
จบตอนที่ 36
เมาท์ๆ
บอกแล้วว่าเป็นสะเก็ดดาวหาง ความจริงคือเนื้อหาจบตั้งแต่บทที่ 35 แล้วววววว
ตอนหน้าก็ตอนจบแล้วนะคะ ^_^
สีเหลืองอ่อน
ปล. คนเขียนปูเรื่องมาแบบนี้แล้ว ฮืออ...
น้อมรับทุกความขัดใจของทุกคนน้า
เอาใหม่ ขอแก้ตัวในเรื่องต่อไป
เลม่อนกับความฝันของเขามาแน่ๆๆ





ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จะจบยังไงน้อเรื่องนี้ เดาไม่ถูกเลยจริงๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
โห เล่นเอาบ่อน้้ำตาแตกเลยค่ะ
แต่ดึแล้วที่พีรักษาคำมั่นสัญญากับจิระ
และคุณยะก็เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของพี
เชื่อว่าสักวัน คงมีวันของทั้งคู่แน่นอนค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อื้อหืออออออออออออ
รออ่านบทสุดท้ายเลยค่าา
ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จบแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะเราสงสารจิระมากกว่าใคร ถึงจิระจะเป็นคนตัดสินใจที่จะทำ
แต่นั่นมันเพราะมีผลตอบแทนที่คุ้มพอที่จะได้ทำ แต่พีกลับไม่รักษาสัญญา
คือพีก็รู้ว่าทำไม่ได้จะสัญญาทำไมรู้ทั้งรู้ที่แต่ก็ยังทำ นี่ละนะมนุษย์

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
สมควรนะ สัญญาอะไรไว้ก็ควรรับผิดชอบ ทีหลังจะได้คิดให้มากก่อนจะรับปากอะไรใคร เจย์เองก็เสียไปไม่น้อยเลยเพื่อพี ให้อีตาคุณยะมันอยู่คนเดียวรับกรรมไป :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อยู่กับความไม่ชัดเจน ความย้อนแย้ง การแก้แค้น
และไม่ได้รับรู้ความจริง และความเป็นไปใดๆ
พีเลยเลือกทางของตัวเองที่ทำร้ายใครไปหลายคน
เด็กน้อยในวันวาน เจ็บปวดกับการกระทำของคนที่รัก
เลยเลือกจะละทิ้ง และทำร้ายให้เจ็บปวดกันไปข้าง

พอได้คุยกัน ได้กลับมาเปิดใจกัน กลายเป็นต้องห่างกัน
เพราะคำสัญญาที่จับต้องไม่ได้ไปอีก

ยะก็พยายามมาตลอด แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่
ปากแข็ง และไม่พูดมาก เลยต้องทนรับกับความเจ็บไปลำพัง

สงสารเลม่อนนะ แต่เพราะต่างคนต่างร้ายมาก่อน
ก็จะมีความเบาบางและเจือจางไปเยอะ
โชคดีที่ได้ขอโทษและยกโทษให้กัน จะได้ไม่ติดค้าง

จิระคือที่สุด ยอมให้ทุกอย่าง เป็นให้ทุกอย่าง
เพราะคำว่ารัก และคำว่ารอ

ปาลินยังเจ็บปวดไม่หาย ชีวิตกำลังดี ต้องมาเสียใจ

เป็นการเดินทางที่เจ็บปวดมากค่ะ ทั้งพีและยะ
เป็นคนก่อให้เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย
ทำให้คนรอบข้างเสียใจ แต่ยะทำได้ไม่เท่าพีทำ

บางทีพีก็ต้องเจอและยอมรับกับผลที่จะเกิดเหมือนกัน

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวมีความซับซ้อน เดาทางยาก
แต่ก็อ่านได้เรื่อย ๆ และทำให้เราอินมากค่ะ


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนจบ

เพล้ง!!


เสียงของแข็งตกกระทบพื้นและแตกหักนั้นเร่งให้ผมที่กำลังเอื้อมมือไปจับลูกบิดต้องรีบผลักประตูเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเปิดเข้ามาเจอภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกันในหลายครั้ง แผลที่อุ้งเท้าของมาร์คัส รอสส์เพิ่งหายสนิทไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนแผลที่ถูกมีดปลายแหลมแทงตรงหน้าท้องแต่ไม่โดนจุดสำคัญและไม่ได้ลึกมากเมื่อสองวันก่อนก็ยังคงไม่หายดี ตอนนี้หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวล้ำลึกก็ได้รับแผลบนหน้าผากเพิ่มมาอีก ทั้งเลือดและนมสีขาวแทบจะไหลปนกันกองอยู่บนพื้น

“คุณรอสส์ไปทำแผลก่อนนะครับ” ผมรีบปราดเข้าไปหาคนเจ็บ ความตกใจนั้นมีอยู่น้อยนิดเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เห็นเลือดของศิลปินหนุ่ม ใบหน้าของมาร์คัส รอสส์ชุ่มไปด้วยเลือด นัยน์ตาสีเขียวนั้นไม่ได้เสียเวลาหันมาหาผมเลยแม้แต่น้อย จับจ้องอยู่แต่กับคนบนเตียงด้วยแววตาขุ่นจัด แต่ไม่ถึงกับโกรธแค้นสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตัวเองหลายครั้งหลายหน

“พีรัชไม่ต้องไปสนใจเขา!” จิระตวาดด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ดวงตาเป็นประกายกร้าวและเจ็บแค้น “ออกไปจากห้องผม ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาอีก!!”

“เจย์ นายผิดนะ” ผมหันไปปรามเจ้าของห้องที่ยังคงมีความคับแค้นใจกับมาร์คัส รอสส์ไม่ลดลงเลย  “ผมว่าไปให้หมอดูแผลให้ดีกว่านะครับ ผมขับรถให้” ผมหันกลับมาพูดกับศิลปินชื่อดังอีกครั้ง เพ่งดูแผลบนหน้าผากของมาร์คัส รอสส์ใกล้ๆ แล้วพบว่าแผลขนาดนี้ต้องรักษาด้วยการเย็บเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเลือดได้ไหลหมดตัวแน่นอน

“พีรัช! ถ้าคุณไปกับเขา ผมจะไม่ทำกายภาพบำบัดอีกต่อไป” จิระขู่ขึ้นมา ใบหน้าบึ้งตึงปนน้อยใจ ก่อนตวัดสายตาที่ยังคงเปี่ยมด้วยความคับแค้นและเกลียดชังไปยังเจ้าของบ้าน “ไปสิ ยืนอยู่ทำไม รำคาญลูกตา!!”

“คุณอยู่กับเขาเถอะ ผมขับรถเองได้” มาร์คัส รอสส์บอก สุ้มเสียงเจ้าตัวยังคงปกติดี ยกเว้นสายตาที่แลดูอ่อนลง... หรือหม่นแสงขึ้นนะ

“ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้า ผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ กับปัญหาระหว่างสองคนนี้ ครั้นจะห้ามไม่ให้มาร์คัส รอสส์มาที่นี่ก็ไม่ได้ เพราะบ้านหลังงามในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนยักกี้ เป็นหนึ่งในบ้านพักหลายสิบหลังของศิลปินชื่อดัง

ผมพาจิระมาที่นี่เพื่อง่ายต่อการรักษาและทำกายภาพบำบัด ชื่อเสียงของศูนย์กลางแพทย์ของที่นี่อยู่ในระดับที่มาก และนักกายภาพบำบัดที่มีชื่อเสียงก็อยู่ที่นี่ด้วย มิหนำซ้ำยังเป็นคนรู้จักของมาร์คัส รอสส์อีกด้วย

“เจย์” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อนใจเมื่อประตูห้องถูกปิดลงโดยฝีมือเจ้าของบ้าน ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงคนป่วย ดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ “ผมรู้ว่าเจย์โกรธเกลียดเขา แต่ยังไงเขาก็ดีกับพวกเรามากนะ”

ครึ่งปีมาแล้วที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เจ้าของบ้านก็คอยดูแลและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แม้แต่อาหารมาร์คัส รอสส์ก็ลงมือทำให้ผมกับจิระกินทั้งสามมื้อ ทั้งผมและจิระแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ผมแค่อยู่ข้างจิระ ให้กำลังใจอีกฝ่ายในการทำกายภาพบำบัดในแต่ละครั้ง ส่วนจิระก็มีหน้าที่แค่ทำกายภาพบำบัดไปตามตารางที่จัดเอาไว้เพื่อให้เจ้าตัวกลับมาเดินได้เร็วที่สุดและเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจ้าตัวก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง สาเหตุก็เพราะเจ้าของบ้านอย่างมาร์คัส รอสส์นั่นแหละ

ผมรู้ว่าจิระก็อยากกลับมาเดินได้อีกครั้ง เพียงแต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจทำกายภาพบำบัดก็เพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ ถ้าไม่เป็นเพราะผมขอร้องและยืนยันว่าจะให้จิระรักษาตัวอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ไม่มีวันแม้แต่จะเหยียบเข้าบ้านพักของมาร์คัส รอสส์อย่างแน่นอน

“ชอบมันหรือไง?” คนบนเตียงถามเสียงห้วนจัด แววตาระแวงชัดเจน “ห้ามชอบมันนะพีรัช”

“จะชอบได้ไงล่ะ” ผมส่ายหน้า อ่อนใจเข้าไปอีก อาการอีกอย่างของจิระหลังจากประสบอุบัติเหตุก็คือความหึงหวง แค่เห็นผมนั่งคุยกับมาร์คัส รอสส์ เจ้าตัวก็คิดเป็นตุเป็นตะไปว่าผมกำลังหลงเสน่ห์นัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำเข้าให้เสียแล้ว ไม่ได้มองความจริงเลยว่าคนที่ศิลปินดังให้ความใส่ใจมากที่สุด ถึงขั้นทิ้งงานของตัวเองและรายได้งามๆ จากการขายภาพวาด เพื่อมาดูแลคนป่วยทั้งวันแบบไม่มีวันไหนจะได้หยุดพัก ขนาดผมเองยังดูแลจิระได้ไม่มากเท่ากับมาร์คัส รอสส์เลย

“ผมเคยเห็นมาร์คัสแอบถ่ายรูปพี หลายครั้งด้วย” เจ้าตัวว่า “ผมแอบดูมือถือเขาก็มีแต่รูปพี”

“หือ? ถ่ายรูปผม?” ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ตอนไหนที่มาร์คัส รอสส์ถ่ายรูปผม แล้วถ่ายไปทำไม

“อืม...บางทีมาร์คัสอาจจะชอบพี” พูดแล้วก็ทำหน้ายุ่ง น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์หึงหวง “โรคจิตอย่างมัน พีอยู่ห่างๆ นะ เอาเป็นว่าอยู่ใกล้ผมเข้าไว้ มันชวนไปไหนก็ไม่ต้องไปด้วย อย่างเมื่อกี้ ถ้าพีไปกับมันนะ มันอาจจะลวนลามพีก็ได้”

ผมส่ายหน้าให้กับจินตนาการของจิระ ที่ดูจะมากเกินไป อย่างมาร์คัสหรือจะชอบผม สายตาที่มองผมติดจะรำคาญและอยากไล่ออกจากบ้านเขาด้วยซ้ำ ยิ่งตอนที่ผมต้องอาบน้ำให้จิระแล้วด้วย สายตานี่อยากจะเผาผมทั้งเป็นเลยเถอะ

“มาร์คัสไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอกน่า” ...แต่กับเจย์น่ะ คิดแน่ๆ ผมพูดต่อในใจ

“ห้ามรักเขานะ” จิระเป็นฝ่ายพลิกมือขึ้นมากุมมือผมไว้แทน จากนั้นก็ดึงมือผมเข้าไปใกล้ใบหน้า ก่อนจรดริมฝีปากลงบนหลังมือของผม ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลช้อนขึ้นมามองผมด้วยความรักและหลงใหล

“ไม่รักหรอก”

...ผมจะรักใครได้อีกล่ะ

“สัญญาแล้วว่าจะอยู่กับเจย์ไง” ผมยิ้ม ขณะที่หัวใจแห้งแล้งลงไปทุกนาที เกือบครึ่งปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนคนนั้น ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นหน้า ไม่รู้ว่าแต่ละวันแต่ละนาทีเขาทำอะไรอยู่ที่เมืองไทย มีเพียงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่มาร์คัส รอสส์ หยิบขึ้นมาเอ่ยถึงยามที่จิระหลับ

“ผอมไปหรือเปล่า” ถามพลางใช้มืออีกข้างลูบไปตามโครงหน้าของผม

...ผมกินข้าวน้อยลงทุกวัน มันไม่รู้สึกหิวหรืออยากอะไรเลย

ผมกินข้าวยิ่งกว่าแมวดมซะอีก ผิดจากเมื่อก่อนตอนที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวโจแวน เพราะตอนนั้นผมอยากโตเร็วๆ มีร่างกายที่แข็งแรงและสูงใหญ่ ผมกินทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร แม้อาหารแต่ละจานจะไม่ถูกปากเหมือนอาหารไทยก็ตาม

“คิดถึงเขาเหรอ” ดวงตาสีฟ้าสวยงามหม่นแสงลง มือข้างที่ยังกุมมือผมไว้สั่นเล็กน้อย

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ ความรู้สึกรุนแรงวิ่งขึ้นมาจุกที่คอ มันทั้งขมปร่าและปวดร้าว ก่อนความรู้สึกโหยหาจะตั้งหน้าทำงานอย่างหนักหน่วง

คำตอบแบบไร้คำพูดของผมไม่มีทางทำให้จิระเชื่อได้ แน่ละ ขนาดผมเองยังไม่เชื่อเลย ไม่คิดถึงได้อย่างไร ทุกคืนผมต้องเสียน้ำตาให้กับความคิดถึงเสมอ

“คิดถึงได้ แต่ห้ามกลับไปหาเขานะ”  ดวงตาของจิระเริ่มแดง มันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ผมไม่อยากเสียพีให้เขา ผมรักพีรัชนะ” ท้ายประโยคเจ้าตัวเสียงสั่นพร่า ผมรีบขยับตัวเข้าไปใกล้พอที่จะดึงคนที่ผอมลงไปมากกว่าผมซะอีกเข้ามากอด

“ไม่ไปไหนหรอก จะอยู่กับจิระไปทั้งชีวิตเลย” ผมกอดจิระอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ถอนอ้อมกอดออกมา พลางเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเมื่อกี้โกรธอะไรมาร์คัส” ถามเอาสาเหตุจากจิระก่อน แล้วค่อยไปคุยกับมาร์คัส รอสส์ ว่าควรจะรับมือกับจิระอย่างไรไม่ให้เกิดโมโหขึ้นมาอีก

“มาร์คัสกล่าวหาว่าผมแกล้งความจำเสื่อม” เจ้าตัวตอบคำถามผม ก่อนจะถามกลับ “พีคิดว่าผมแกล้งความจำเสื่อมไหม”

“ผมรู้ เจย์ไม่ได้โกหก เจย์จำไม่ได้จริงๆ ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ที่ผมมั่นใจว่าจิระสูญเสียความทรงจำในคืนนั้นไปจริงๆ เพราะเจ้าตัวชอบถามผมเสมอว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จิระไม่เชื่อว่าผมกับเขานึกอยากจะไปเที่ยวทะเลกันตอนที่ท้องฟ้าฉาบไว้ด้วยสีดำเทา และที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อต้องเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน ผมจะเป็นฝ่ายขับรถเองทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าจิระไม่คุ้นเส้นทางต่างๆ และเจ้าตัวเป็นคนขับรถเร็วด้วย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ผมจะยอมให้เขาขับรถไปต่างจังหวัดและเป็นกลางคืนอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องคิดมากนะเจย์ เรื่องคืนนั้นไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็เหมือนที่ผมบอกเจย์ไปทุกครั้งแหละ ผมเมาแล้วอยากไปทะเล เจย์ห้ามแล้วแต่ผมไม่ฟังเอง เจย์เลยต้องขับรถพาผมไปทะเล เรื่องก็มีแค่นี้” เพื่อความสบายใจของจิระ ผมจำต้องโกหก แม้รู้ว่าสักวันความทรงจำที่หายไปของเจ้าตัวอาจกลับคืนมาก็เถอะ

ความทรงจำของจิระและอาการต่างๆ ที่เป็นผลกระทบมาจากสมอง หากได้การรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง สมองก็จะกลับมาได้เร็วขึ้น รวมถึงความทรงจำที่จะกลับมาด้วย ถึงอย่างนั้น ผมก็อยากจะให้ตอนนี้เวลานี้จิระเชื่ออย่างที่ผมเล่า ในเมื่อยังจำไม่ได้ ก็อยากให้เจ้าตัวใช้ความทรงจำที่ผมปั้นแต่งขึ้นมานี่แหละ

“ผมน่ะไม่ได้โกหกพีเลยนะ ผมจำเหตุการณ์คืนนั้นไม่ได้จริงๆ” เจ้าตัวว่า น้ำเสียงจริงจังขึ้น มองหน้าผมอย่างคาดคั้นเอาเรื่องจริง “แต่พีกำลังโกหกผมเกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น บอกผมมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราสองคนต้องไปทะเล ทำไมพีปล่อยให้ผมขับรถเอง”

“ผมบอกเจย์ไปแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนเป็นการตัดบท “เดี๋ยวผมไปหาอะไรมาเก็บเศษแก้วก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็หมุนตัวเดินไปที่ประตู มือยังทันแค่จับลูกบิดเท่านั้น คนบนเตียงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาบางแต่ก็ยังได้ยินชัดเจน

“ถึงผมจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น...”

ผมหันกลับมาหาคนพูด ใบหน้าของจิระเต็มไปด้วยความลังเลกับสิ่งที่ตัวเองจะพูด ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันไปหลายวิ ก่อนจะคลายออกจากกันได้เพื่อเอ่ยต่อคำพูดที่เหลือ

“แต่ผมจำได้ว่าตั้งใจไปที่นั่นเพื่อจะพาพีกลับมากับผม ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน ผมก็ต้องเอาตัวพีมาจากคนคนนั้นให้ได้” เจ้าตัวเค้นยิ้ม ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลแวววาวด้วยน้ำที่รอเวลาร่วงหล่น “คิดกระทั่งว่าจะพาพีไปตายด้วยกัน เพราะผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี สู้ตายไปพร้อมกับพีเสียจะดีกว่า”

ผมเดินกลับไปหาจิระ ทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงที่เดิมอีกครั้ง ขณะที่คนบนเตียงยังคงเอ่ยเรื่องราวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่ากำลังระบายความทุกข์ใจทั้งหมดออกมา

“คืนนั้นผมคิดจะฆ่าพีใช่ไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเข้มข้นไปด้วยความเจ็บปวด

“ไม่ใช่หรอก” ผมไม่อยากให้จิระรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตอนนั้นเจย์กำลังจะจอดรถ แต่ทางข้างหน้ามันเป็นทางโค้ง เจย์ไม่ชินเส้นทางด้วย แถมยังเป็นตอนกลางคืน ไฟข้างทางก็ไม่สว่างเท่าไร ฝนยังมาตกอีก ถนนก็ลื่น เลยทำให้รถเสียหลักพุ่งไปชนต้นไม้”

“บอกความจริงผมมาเถอะ ผมไม่ได้อ่อนแอจนยอมรับการกระทำงี่เง่าของตัวเองไม่ได้หรอกนะ แค่บอกมาว่าเป็นความผิดของผม เพราะผมมันเห็นแก่ตัว คิดแต่จะให้พีเป็นของผมคนเดียว ผมถึงได้ทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น”

“ผมผิดเองที่ไม่รักษาสัญญา ทำให้เจย์ต้องเป็นแบบนี้” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้จิระ ตอนนี้เจ้าตัวดูอ่อนแอเหลือเกิน

“ที่แท้ก็เพราะผมทำตัวเองให้ต้องมาเป็นคนพิการแบบนี้” เจ้าตัวว่า พร้อมกับรอยยิ้มขื่นขม “แทนที่จะตายกลับต้องมาพิการ แต่ก็ดีแล้ว สมแล้วกับความโง่ของตัวเอง ผมขอโทษนะพีที่ทำให้ต้องมาอยู่กับคนพิการแบบผมไปตลอดชีวิต”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” ผมรีบดุ “หมอบอกแล้วไงว่ากลับมาเดินได้แน่นอน”

“แต่ก็อีกนาน”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา จะให้เดือนสองเดือนเดินได้มันก็ไม่ใช่...ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ หัดเดินให้มากๆ เจย์ก็จะกลับมาได้เร็วขึ้น” ผมรีบให้กำลังใจ

“อืม ผมจะพยายาม” เจ้าตัวคลี่ยิ้มอ่อน มองตาผมนิ่งนานก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด เพราะต้องฝืนพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ “แต่ผมอยากให้พีกลับไปหาเขา ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำลายความสุขของพีเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง”

ครั้งนี้เป็นผมบ้างที่ยิ้มอ่อน เอ่ยสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจร่ำร้อง

“ไม่กลับหรอก ไม่ต้องมาไล่”

...อยากกลับไปใจแทบขาด ก็กลับไปไม่ได้

ผมทิ้งจิระไว้แบบนี้ไม่ได้ จิระต้องการผมมากกว่าคนคนนั้นเสียอีก

..........................................

จิระหลับสนิทไปแล้ว ผมถึงได้ลุกจากเตียงเปิดประตูห้องออกมา พอปิดประตูลงน้ำตาก็ซึมออกมาทันที ผมใช้หลังนิ้วชี้ปาดเม็ดน้ำเม็ดเล็กๆ ออกไปจากหน่วยตา ฝืนยิ้มกับตัวเองเพื่อให้ความรู้สึกข้างในเบาความคิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งลง

ที่นี่เที่ยงคืนแล้ว ที่นู่นก็คงจะเต็มไปด้วยแสงของดวงอาทิตย์ร้อนแรง

ตอนออกจากห้องผมหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วย ผมก้มมองเครื่องมือที่ทำให้ระยะห่างระหว่างซีกโลกหดสั้นลงดังใจนึก ด้วยความรู้สึกที่อยากจะกดปุ่มโทรไปหาเขาเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่ได้เห็นหน้าก็ขอแค่ได้ยินเสียง ทว่าผมก็ต้องรีบวางโทรศัพท์เครื่องบางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่นราวกับว่ามันเป็นของร้อน เป็นสิ่งต้องห้ามที่ควรอยู่ห่างให้ไกลที่สุด

ผมมองมันอย่างนั้นเนิ่นนาน ด้วยความคิดที่ว่าอยากให้มันหายไปซะ ก่อนที่ผมจะพ่ายแพ้ให้กับความคิดถึงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาอย่างสุดหัวใจ

“คิดถึงก็โทรไปสิครับ”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาผมต้องรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม กลืนก้อนสะอื้นที่น่าสงสารลงไปในอก ไม่ต้องหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในระยะสายผมเรียบร้อยแล้ว

“ผมก็เพิ่งวางสายจากหมอนั่น เห็นบอกว่าหมอจะให้รอดูอาการต่ออีกสักคืนหนึ่ง แต่หมอนั่นไม่ยอม ตอนที่ผมโทรไปหาก็กำลังเถียงกับหมออยู่” เจ้าตัวพูดเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าผมอยากฟังเรื่องราวของเพื่อนเขาไหม

แต่ก็นั่นแหละ ผมอยากฟัง เพียงแต่แสดงออกมาว่าไม่สนใจ เรื่องที่เขาโหมงานหนักจนเข้าโรงพยาบาลรอบที่แล้ว ผมก็แทบอยากจะบินกลับไปดูแลเขา ผ่านไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ต้องกลับเข้าไปใหม่ เพราะไส้ติ่งอักเสบ แม้จะรู้ว่าแค่การผ่าตัดไส้ติ่งไม่ทำให้เขาทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสิ้นใจตายหรอก แต่ก็ห้ามความคิดไม่ให้เป็นห่วงความเจ็บปวดของเขาไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเดินกลับเข้าไปในห้องและจัดการเป๋าเดินทางทันที กว่าจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ตอนที่เงยหน้าขึ้นสบตาสีน้ำทะเลของจิระ

แล้วล่าสุดหลังออกจากโรงพยาบาลได้แค่สองวัน คุณยะก็ขับรถไปชนกำแพงรั้วบ้านของคนอื่น ไม่รู้ว่าระดับความรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำให้ต้องกลับไปนอนบนเตียงผู้ป่วยอีกรอบหนึ่ง ทว่าครั้งนี้ที่มาร์คัส รอสส์ พูดลอยๆ มาเข้าหูผมระหว่างที่จิระหลับ ผมก็มีสติมากกว่าเดิม หักห้ามความรู้สึกห่วงแสนห่วงด้วยการกำมือตัวเองไว้แน่นที่สุด

“ไม่ต้องบอกผมหรอกครับ ผมไม่ได้อยากรู้” ผมพูดตัดบท แล้วเอื้อมมือลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะกระจก ตั้งใจจะกลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่ถึงสิบนาที แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยต้องหันกลับไปถามเจ้าของบ้านว่า “คุณรอสส์ถ่ายรูปผมไปทำไมครับ”

“มีคนอยากเห็นว่าตอนนี้คุณมีความสุขดีไหม”

...ไม่มีเลย

ยิ่งกว่าตอนที่หนีจากเขามาตอนนั้นซะอีก

ความโหยหาในครั้งเก่ากับครั้งนี้ เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

“กลับไปเถอะ” เจ้าตัวลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีเขียวนั้นจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าผมเป็นตัวขัดขวางความสัมพันธ์ของเขากับจิระ ไม่มีผมสักคนหนึ่ง เขาคงจัดการความรู้สึกของจิระได้ง่ายกว่านี้ “การที่คุณยังอยู่ข้างกายเจย์ โดยที่ไม่ได้รักเขา แต่อยู่เพราะความสงสาร มันยิ่งทำให้เขาน่าสงสารเกินจำเป็น” ดวงตาสีเขียวลึกล้ำจ้องผมเขม็ง ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกจับโยนเข้ากองไฟร้อนๆ

“เจย์ต้องการผม” คำพูดของผมคือคำปฏิเสธที่ทำเอาดวงตาสีเขียวลุกวาว

“ใช่ เจย์ต้องการคุณ แต่คุณให้ในสิ่งที่เจย์อยากได้จากคุณไหม” อีกฝ่ายถามกลับด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ใกล้จะถีบผมลงกองไฟเบื้องล่างเต็มที “คุณให้เขาได้ไหม!”

...ถ้าเป็นเรื่องความรัก ผมให้จิระไม่ได้เลย

“คุณรู้ไหมว่าที่การทำกายภาพบำบัดไม่คืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ก็เพราะเจย์ไม่อยากจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง เขากลัวว่าถ้าเดินได้ คุณก็จะเลิกสงสารเขา แล้วก็จะไปจากเขา”

“ผมรู้” ใช่ว่าผมจะไม่รู้ ว่าจิระไม่อยากจะเดินได้ เขาถึงทำกายภาพบำบัดแบบขอไปที ไม่จริงจัง ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเดินได้

“รู้แล้วก็แก้ไขมันซะ! ถ้าคุณไม่อยากเห็นเจย์เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

“แต่ผมสัญญากับเจย์แล้ว ว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหน” ผมไม่อยากผิดคำสัญญา ไม่อยากให้จิระผิดหวังและทำร้ายตัวเอง ผมกลัวว่าถ้าไม่มีผม จิระจะไม่อยากมีชีวิตอยู่

“กลับไปนอนคิดซะ คุณอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ เจย์ก็เหมือนกัน หมอนั่นก็ด้วย และผมด้วยอีกคน” เขาว่า สีหน้าจริงจัง คุกคามผมด้วยลูกตาสีเขียวเข้มจัด เอ่ยสำทับมาอีกว่า “คืนนี้คุณกลับไปนอนห้องตัวเอง ส่วนเจย์ คืนนี้และคืนต่อๆ ไป ผมจะดูแลเขาเอง” และไม่ทันให้ผมได้ปฏิเสธ อีกฝ่ายก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเสียแล้ว

ครั้นพอผมเดินตามไปก็ทันเห็นแต่แผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในห้องนอนจิระ จะเปิดประตูตามเข้าไปก็ไม่ได้เพราะมันถูกล็อกเรียบร้อย ที่จริงผมจะเคาะประตูเรียกก็ได้ แต่ไม่อยากให้จิระตื่นขึ้นมาอาละวาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพอตอนเช้ามาเจ้าตัวจะอาละวาดขนาดไหน เมื่อลืมตามาเห็นคนที่นอนบนเตียงเดียวกันไม่ใช่ผม

เมื่อเข้าห้องจิระไม่ได้ ผมก็เดินไปที่บันไดซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวบ้านหลังใหญ่ของมาร์คัส รอสส์ ห้องนอนของผมอยู่บนชั้นสอง เป็นห้องของผมที่เจ้าของบ้านจัดเตรียมไว้ให้แต่ไม่เคยได้นอนเลย เพราะผมนอนกับจิระทุกคืน

ทันทีที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับมาไหลใหม่ ไม่มีคืนไหนที่ผมไม่ร้องไห้เพราะคิดถึงเขา

“คุณยะ...”

ผมอยากเรียกชื่อของเขา โดยที่เขายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่หลับตาแล้วนึกจินตนาการไปเอง ว่าเขาอยู่ตรงหน้า ยิ้มให้ผม ก่อนดึงผมเข้าไปกอด กระซิบคำรัก และเติมเต็มความโหยหาของผมด้วยจูบที่นุ่นและแสนอ่อนหวาน

ครั้งแรกที่ผมออกไปจากชีวิตเขา หนีมาที่อเมริกา ความเสียใจนั้นล้นอยู่ในอก ความโหยหาก็มากมาย เพียงแต่เทียบไม่ได้กับครั้งนี้เลย นั่นเพราะครั้งแรกผมจากมาด้วยความเจ็บปวดเพราะคิดว่าเขาไม่รักผม ซึ่งมันไม่เหมือนครั้งนี้เลยสักนิด

ครั้งสุดท้ายที่ได้สบตาของเขาคือเช้าวันรุ่งขึ้นหลังคืนที่บอกความต้องการของตัวเองออกไป และเขาก็ไม่เหนี่ยวรั้งและยังยินยอมด้วยความเข้าใจ

‘ฉันรักเธอ’

คำพูดที่ดังอยู่ในหัวใจผมและไม่เคยเบาลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว รวมทั้งน้ำเสียงของเขาตอนที่เอ่ยคำนี้ออกมา ก็ยังฝังลึกอยู่ในความรู้สึก อบอุ่นแม้ยามต้องห่างไกล แต่ก็ทำให้ความโหยหานั้นไม่เคยลดลงได้เลย

“...ผมก็รักคุณยะ”

เพราะหูแว่วได้ยินเสียงบอกรัก ผมถึงตอบกลับไปด้วยคำพูดในแบบเดียวกัน ด้วยความรู้เดียวกัน คือความรู้สึกรักล้นอยู่ในอก แม้รู้ว่าคำพูดประโยคนี้คงดังไปไม่ถึง ผมก็ได้แค่หวังว่าหูของเขาจะแว่วได้ยินประโยคบอกรักของผมบ้าง


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย

.

.

.

ต่อด้านบน


เช้านี้ผมตื่นสายกว่าทุกวันไปเกือบสองชั่วโมง เพราะเมื่อคืนเป็นคืนที่ผมร้องไห้หนักที่สุด เนื่องจากเป็นคืนแรกที่ได้นอนคนเดียวตั้งแต่มาที่ลุยส์วิลล์ สารพัดความคิดถึงคนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งรุมทึ้งตลอดทั้งคืน แล้วยังต้องคิดเรื่องที่มาร์คัส รอสส์ พูดไว้

จิระพิการก็เพราะผม

เจ้าตัวจะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตก็เพราะผม

พอส่องกระจก ภาพสะท้อนของใบหน้าตัวเองที่เห็นนั้น ฟ้องสิ่งที่เกิดเมื่อค่ำคืนได้อย่างชัดเจน หน่วยตาแดงก่ำ เบ้าตาบวม ยิ่งขับให้ใบหน้าที่ซูบผอมลงไปมากนั้นดูซีดขึ้นไปอีก ผมแทบไม่อยากออกจากห้องไปให้จิระเห็น มันเป็นแค่ความคิด ให้ทำอย่างที่คิดคงไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จิระกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลแค่ไหนที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอหน้าคนที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียดแทนที่จะเป็นผม

ผมรีบอาบน้ำในเวลาอันรวดเร็วกว่าปกติ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็รีบออกจากห้อง เดินลงบันไดที่ไม่ต่างจากการวิ่งไปยังข้างล่าง พอลงไปถึง ผมตั้งใจจะไปที่ห้องของจิระ ทว่าได้ยินเสียงของจิระดังออกมาจากห้องกินข้าวเสียก่อน ปลายเท้าจึงรีบเปลี่ยนทิศทาง

ภายในห้องอาหาร ที่นั่งประจำของผมข้างตัวจิระถูกยึดไปโดยเจ้าของบ้าน สิ่งที่คิดเอาไว้ดูผิดคาดไปหมดจนไม่น่าเชื่อว่าคือเรื่องจริง ชายหนุ่มลูกครึ่งนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลไม่มีอาการหงุดหงิดหรืออารมณ์ร้อนจัดที่พร้อมจะพังบ้านทั้งหลังได้ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหารเพื่อสุขภาพที่พ่อครัวประจำบ้านทำให้กินทุกมื้อ ซึ่งก็คือหนุ่มตาสีเขียวผู้ซึ่งนั่งแทนที่ผมนั่นแหละ

“พีตื่นสาย ผมหิวเลยกินก่อน” เจ้าของใบหน้าที่ดูแล้วสภาพไม่ได้ไกลจากผมเท่าไรเลย หน่วยตาแดงก่ำ ขอบตาบวมช้ำ คล้ายผ่านการร้องไห้หนักมาทั้งคืน

ผมมองหน้าเจ้าของดวงตาสีเขียวลึกล้ำอย่างมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไร ทำไมจิระถึงมีสภาพแบบนี้ ที่ไม่ได้ถามจิระไปตรงๆ เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวเกิดความรู้สึกอยากอาละวาด สถานการณ์เงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่หาได้น้อยมากตั้งแต่อยู่ที่นี่มาครึ่งปี ฝ่ายมาร์คัส รอสส์ ก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขายักไหล่น้อยๆ ยักคิ้วหน่อยๆ ริมฝีปากใต้จมูกโด่งสวยอย่างชาวต่างชาตินั้นขยับเป็นรอยยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก็หันไปตักอาหารอีกชุดใหญ่ใส่ลงไปในจานของจิระ

ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านจากจิระแม้แต่นิดเดียว ผิดจากทุกมื้อที่ผ่านมา หากอีกฝ่ายทำท่าจะตักอาหารใส่จานให้จิระละก็ เจ้าตัวจะยกจานหนีทันที หรือถ้ายกหนีไม่ทันก็จะเขี่ยทิ้งแทน หรือไม่ก็ทิ้งลงพื้นทั้งจานนั่นแหละ แต่นี่กลับนิ่ง ซ้ำยังเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายด้วย แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูดก็เถอะ

“ขอบคุณ”

“กินเยอะๆ จะได้กลับมาอ้วนเหมือนเดิม”

“ฉันไม่เคยอ้วน”

“โทษที ฉันใช้คำพูดผิด ต้องเรียกว่ามีเนื้อมีหนัง”

“มีกล้ามต่างหาก”

สองคนโต้ตอบกันด้วยสุ้มเสียงที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า

เกิดอะไรขึ้นกับจิระ?

ดูไม่เหมือนจิระคนเดิมที่เกลียดขี้หน้าอดีตพี่ชายข้างบ้านเลยสักนิด

ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในตำแหน่งประจำของมาร์คัส รอสส์ คือฝั่งตรงข้ามกับจิระ

“เจย์” พอเอ่ยเรียก เจ้าของชื่อก็เงยหน้าขึ้นมา ผมไม่กล้าเอ่ยถามขณะที่มาร์คัส รอสส์ ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เลยเอ่ยบอกไปว่า “อิ่มแล้วไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันนะ เจย์ไม่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกมานานแล้ว” ตั้งใจว่าจะพาออกไปเดินเล่นแล้วถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน

จิระไม่ชอบออกไปข้างนอกในสภาพที่ตัวเองต้องนั่งบนวีลแชร์ ครั้งนี้เจ้าตัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเดิม เพียงแต่ต่างไปจากเดิมตรงที่ว่า

“ไว้วันหลังนะพี วันนี้ผมจะออกไปซูเปอร์ฯ กับมาร์คัส”

...จะไปกับมาร์คัส รอสส์ นี่นะ 

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ใจเริ่มไม่ดีด้วย นึกไปถึงว่ามาร์คัส รอสส์ ต้องขู่อะไรจิระแน่ เจ้าตัวถึงได้เปลี่ยนไปเพียงแค่ข้ามคืนที่ผมไม่ได้นอนอยู่ข้างจิระ

แล้วที่ออกมานั่งกินข้าวโดยไม่รอผมพาไปอาบน้ำแต่งตัว มันก็น่าแปลกสุดๆ เหมือนกัน จิระไม่เคยยอมให้มาร์คัส รอสส์ อาบน้ำให้ตัวเองเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ และถ้าจะคิดว่าเช้านี้จิระไม่อาบน้ำ ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน จิระไม่มีวันที่จะไม่อาบน้ำตอนเช้า

คิดว่าต้องมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นแน่ๆ ผมถึงได้หันไปหาจิตรกรหนุ่มลูกครึ่งอเมริกา-เยอรมันอีกครั้ง เอ่ยเสียงเรียบแต่เน้นหนักออกไปว่า

“รบกวนคุณมาร์คัสช่วยออกไปก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจย์”

“โอเค” หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวเอ่ยออกมาง่ายๆ ไม่คิดกีดกัน แล้วลุกเดินออกไปจากห้องอาหาร

“มาร์คัสทำอะไรนาย” ผมถามทันทีที่แผ่นหลังกว้างของหนุ่มต่างชาติลับสายตาไป

แทนที่จะตอบ จิระกลับพูดไปอีกเรื่อง หลังจากที่วางช้อนกับส้อมในมือลง

“ผมอยากให้พีกลับไทย”

“นี่ไม่ใช่คำตอบนะเจย์ ผมถามว่ามาร์คัสทำอะไรนาย”

“มาร์คัสไม่ได้ทำอะไรผม” แววตาของจิระสั่นระริก ยามที่เอ่ยออกมาว่า “เขาบอกว่าเขารักผม ผมก็คิดว่าควรจะหันกลับไปมองคนที่รักผมเสียที อย่างน้อยมันก็ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าเอาอคติออกไปให้หมด มาร์คัสก็เป็นคนดีที่ผมไม่ควรปล่อยให้เขาหลุดมือไป”

ถึงผมจะรู้มาตลอดจากการดูแลเอาใจใส่จิระทุกอย่างนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลที่สะท้านไหวตรงหน้าผมนั้น ไม่ได้บอกว่าห้วงหัวใจของตัวเองปลาบปลื้มและมีความสุขกับคำบอกรักของอดีตพี่ชายข้างบ้านแม้แต่นิดเดียว

“เจย์ อย่าฝืนตัวเอง” ผมบอก พลางลุกเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ประจำของตัวเอง เอื้อมไปกุมมือจิระที่วางอยู่บนตักของเจ้าตัว “อยู่กับคนที่เราไม่ได้รักไปตลอดชีวิต มันไม่มีความสุขหรอกนะ” ผมพูดโดยลืมคิดว่าคำพูดของตัวเองมีช่องให้สวนกลับ และผมก็ปฏิเสธคำพูดนั้นของจิระไม่ได้

“งั้นตอนนี้พีรัชก็คงไม่มีความสุข และคงจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตจริงไหม”

คำพูดของจิระมีความจริงที่ทำให้ริมฝีปากผมไม่กล้าหลุดคำปฏิเสธออกมา ได้เพียงแต่บีบมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้น และจิระคงรู้ว่ามือของผมสั่นแค่ไหน

“ไปเถอะนะพีรัช ผมอยู่ได้ ถ้าพีรัชกลับไปแล้ว ผมสัญญาว่าจะทำกายภาพบำบัดทุกวัน ไม่เบี้ยวนัดหมอ แต่ถ้าพีรัชยังจะอยู่ที่นี่ ผมก็จะทำแบบเดิม ผมจะเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต... พีรัชชอบแบบไหนล่ะ เลือกเลย ผมให้โอกาสพีรัชเลือก”

“ผมจะอยู่ที่นี่ อยู่กับเจย์ไปตลอดชีวิต” ผมตอบ มั่นใจว่าคำตอบนี้ของผมคือสิ่งที่จิระต้องการที่สุด

“พีรัชทำไม่ได้หรอก” เจ้าตัวว่า ใช้สายตาปวดร้าวมองผมและทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างที่สุด

“ผมทำได้” ผมก็ยังยืนยันคำเดิม

“ถ้าพีรัชกลับมากับผมด้วยสภาพนกปีกหักเหมือนในวันแรกที่ผมเจอพีรัช ผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าเมื่อไรพีรัชจะทิ้งผมไป เพราะทนความคิดถึงเขาคนนั้นไม่ไหว” จิระยิ้มเศร้า “ตอนนี้พีรัชเหมือนคนที่ทิ้งหัวใจไว้ที่นั่น และสุดท้ายพีรัชก็ต้องกลับไปอยู่กับหัวใจตัวเอง ร่างกายของเราขาดหัวใจไม่ได้หรอกนะ” ครั้งนี้เจ้าตัวเป็นฝ่ายกุมมือสั่นเทาของผมไว้ด้วยมือที่สั่นยิ่งกว่าของเขา


“...” ผมไร้คำพูด ได้แต่นิ่งฟัง

“ผมอาจจะเคยคิดว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพีรัช แต่ตอนนี้ผมเชื่อว่าผมอยู่ได้แม้จะไม่มีพีรัชก็ตาม” ยิ้มของจิระยิ่งขมขื่น เห็นแล้วผมก็อยากจะให้เจ้าตัวหยุดพูดเสียที แต่ผมก็ยังเงียบฟังเสียงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงผมนะ...ผมก็แค่เป็นนกปีกหัก ไม่ได้ลืมหัวใจไว้ที่ไหน แต่ถ้าจะต้องเสียหัวใจไป ผมก็จะมีความสุขมากกว่าทุกข์ทรมานอย่างทุกวันนี้”

“ผมรักพีรัช”

“...”

“แต่สักวัน... ผมจะรักคนอื่นที่ไม่ใช่พีรัชได้”

...ผมก็เคยคิดแบบจิระ ว่าสักวันหนึ่งจะเลิกรักคุณยะได้ ซึ่งก็ไม่เคยมีวันนั้นเลย แม้แต่วันนี้ก็ยังทำไม่ได้ แม้แต่อนาคตก็คงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

“ไม่เชื่อเหรอ?”

ผมพยักหน้าให้กับคำถามนั้น

“ผมไม่เหมือนพีรัชนะ” เจ้าตัวฝืนยิ้ม “...ที่จะรักมั่นคงได้ขนาดนั้น”

“เจย์ อยากให้ผมกลับจริงๆ ใช่ไหม?” ผมถาม ความเจ็บปวดบนใบหน้าของจิระยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“ใช่” คำตอบนั้นเบาบางต่างจากความเจ็บปวดของเจ้าตัว “กลับไปเถอะนะพีรัช ถ้าไม่กลับไป ผมก็คงจะนั่งอยู่บนรถนี่ไปตลอดทั้งชีวิต พีรัชอยากให้ผมเป็นแบบนี้ไปจนวันตายหรือ?” เจ้าตัวถามกลับมาบ้าง

“ผมอยากเห็นเจย์กลับมาเดินได้” ผมให้คำตอบที่ไม่ได้ตอบรับว่าจะไปจากที่นี่ ทิ้งคำสัญญาที่จิระแลกมาด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของตัวเอง

“เดินได้เมื่อไรผมจะไปหานะ” คนพูดบีบมือผมแน่นขึ้น “มาร์คัสจะดูแลผมเอง เขาสัญญาว่าจะทำให้ผมกลับมาเดินได้อีกครั้ง ความจริงแล้ว ผมก็พูดถึงเขาเกินจริงไปมากทีเดียว เขาไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ผมจะอยู่ร่วมบ้านกับเขาไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่...” เจ้าตัวหยุดพูด เมื่อเหลือบไปเห็นคนที่ถูกเอ่ยถึงเดินกลับเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวประดับด้วยรอยยิ้ม ไม่มีแววขุ่นมัวแม้แต่น้อยที่เห็นจิระกุมมือผม ถ้าเป็นทุกทีมาร์คัส รอสส์จะออกอาการหน้าบึ้งตึง แสดงความหึงหวงออกมาโดยไร้คำพูดและไร้การกระทำ เนื่องจากเจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นได้ ในเมื่อเป็นได้แค่คนที่จิระเกลียด

มาร์คัส รอสส์ ไม่ได้เดินกลับเข้ามามือเปล่า ในมือเขาถือบางอย่างมาด้วย

บางอย่างที่ดูคล้ายตั๋วเครื่องบิน

ไม่คล้ายหรอก

ใช่เลยต่างหาก

ผมเห็นชัดเจนตอนที่ศิลปินหนุ่มยื่นสิ่งที่อยู่ในมือมาตรงหน้าผม

“กลับไปได้แล้ว” พอผมไม่ยื่นมือไปรับทั้งที่จิระก็ปล่อยมือผมเป็นอิสระแล้ว ยิ้มบนใบหน้ามาร์คัส รอสส์ ก็วับหายไป เหลือไว้เพียงรอยขุ่นขวางจากดวงตาสีเขียวเข้ม และเป็นฝ่ายยัดตั๋วเครื่องบินใส่มือผมอย่างกระแทกกระทั้นแทน “ไฟท์คืนนี้ ไปเก็บของซะ... ส่วนนายก็ไปเตรียมตัวทำกายภาพได้แล้ว ตอนนี้โธมัสใกล้มาถึงแล้ว” มาร์คัส รอสส์พูดกับผมเสียงขุ่นพอประมาณ แต่เมื่อหันกลับไปพูดกับจิระน้ำเสียงปรับมานุ่มนวลได้อย่างรวดเร็ว

“ผมไม่กลับ” บอกไปแบบนั้นกับคนที่กำลังจะพาจิระออกไป จิตรกรหนุ่มตวัดสายตาขุ่นๆ มองผม บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์กับคำพูดที่ได้ยินจากปากผมสักเท่าไร แต่ก็ไม่มีน้ำเสียงขุ่นจัดออกมาจากริมฝีปาก เป็นคนบนวีลแชร์เองที่เอ่ยออกมา

“ผมให้มาร์คัสซื้อตั๋วให้เอง...” หน่วยตาสีสวยเคลือบไว้ด้วยน้ำวาววับ “กลับไปเถอะนะพีรัช ผมอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ สักวันผมจะกลับมาเดินได้... วันหนึ่งผมจะมีคนที่ผมรักหมดหัวใจ...เหมือนที่พีรัชมีคนคนนั้นไง”

“...”

ผมมองจิระที่พยายามยิ้มไม่ให้เศร้าที่สุด ขณะที่มือตัวเองกำแผ่นกระดาษไว้แน่น ราวกับเป็นลมหายใจอย่างไรอย่างนั้น

“ไปหาหัวใจตัวเองนะ”

“อืม...”

ผมไม่กล้าตอบด้วยคำพูดใด กลัวจะทำให้น้ำตาของจิระร่วงหล่น ทำได้เพียงตอบรับด้วยเสียงเบาบางในลำคอ ยิ้มให้จิระ ก่อนลุกจากเก้าอี้ ย่อตัวลงและคลุกเข่าข้างวีลแชร์ที่จิระนั่งอยู่ โอบกอดเจ้าตัวไว้

“ขอบคุณ...เจย์”

“เหมือนกัน”

..........................................
ห้องนอนของ ‘เรา’ ที่ผมกำลังยืนมองอยู่นั้น ไม่เหมือนคืนสุดท้ายที่ผมได้อยู่ที่นี่ บนเตียงนอนกลางห้อง และในอ้อมกอดแสนอบอุ่นและอ่อนหวาน มันต่างออกไปจากเดิม ผนังด้านที่ไม่ได้กรุด้วยกระจกใสเต็มไปด้วยกรอบรูปทั้งใหญ่เล็ก แขวนติดเรียงรายด้วยรูปถ่ายในช่วงเวลาแสนหวานของผมกับเขา...คนที่ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย แต่อีกสักสามหรือสี่ชั่วโมงเท้าของเขาคงได้แตะแผ่นดินไทย

ผมละสายตาจากรูปถ่ายในกรอบบนผนังห้องสีขาวสะอาดตาที่มองทั้งวันก็ไม่มีเบื่อ เพราะผมทำมาแล้วตั้งแต่เมื่อวานที่กลับมาถึงและพบว่าคุณยะไม่อยู่แล้ว จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังยิ้มให้กับพวกมัน แต่ละภาพคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของความรักและความสุข ผมปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว... อย่างรอคอย

เมื่อวันที่เท้าของผมแตะพื้นสนามบินไทย อีกฝ่ายหนึ่งก็ด้วยเช่นกัน เขาเหยียบลงบนพื้นสนามบินของอีกดินแดนหนึ่ง สถานที่ที่ผมเพิ่งจากลา ขณะที่เขาเดินทางถึงมัน

ใช่แล้ว...

ตอนที่ผมขึ้นเครื่อง คุณยะก็ด้วยเช่นกัน

เราสองคนอาจจะสวนกันบนอากาศตรงไหนสักแห่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้... มารู้ก็ตอนมาถึงแล้วไม่เจอเขา โทรไปหาคุณย่าถึงได้รู้ว่าเขาบินไปอเมริกา

ผมใช้เวลาในห้องน้ำเนิ่นนาน ทว่าทุกวินาทีผ่านไปอย่างเฝ้ารอ แม้อยากให้เวลาหมุนเร็วแค่ไหนก็ทำได้แค่อยาก จนออกมายืนรับลมเย็นฉ่ำของค่ำคืนที่ท้องฟ้าถูกแสงนวลของจันทร์ดวงสวยห่มเอาไว้ ริ้วฟ้าสวยงามจนไม่อยากถอนสายตาจากไป

แต่ก็นั่นแหละ ความสวยงามที่อยู่บนฟ้าสีราตรี... จะสำคัญเท่ากับท่อนแขนที่โอบกอดร่างของผมให้พิงพักไว้กับแผ่นอกแสนอบอุ่นได้อย่างไร

“คิดถึง...” เสียงกระซิบแผ่วหวานดังราวกับกลัวใครได้ยิน “...คิดถึงฉันไหม”

ผมไม่ตอบหรอก ในเมื่อคนถามย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“สัญญาแล้วว่าจะไม่ไปหาผมที่นั่น”

...ที่ผมกลับมาแล้วไม่ได้เห็นหน้าเขาอย่างใจปรารถนาให้เป็น เพราะเขาบินไปหาผม มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมบินกลับมาหาเขา แอบคิดไม่ได้ว่าทั้งผมและเขาถูกมาร์คัส รอสส์ กลั่นแกล้ง ทั้งที่จิตรกรหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำควรจะโทรไปบอกเพื่อนของตัวเองว่าผมจะบินกลับไทยคืนนั้น เขาหลอกให้ผมขึ้นเครื่อง หลอกให้คุณยะเหยียบพื้นสนามบินของที่นั่นก่อน แล้วถึงโทรไปบอกว่าผมกลับไทยแล้ว

“ฉันไปรับเธอกลับบ้านต่างหาก” เขาตอบมาแบบนี้ พร้อมกับความอุ่นหวานที่เกิดบนแก้มของผม ผมซึมซับความรู้สึกนั้นเข้ามาเต็มอกที่ล้นทะลักด้วยความคิดถึงเขา

“คุณยะไม่เคยรักษาสัญญาได้เลยสักครั้ง” ผมแกล้งต่อว่า แต่ทำไมเสียงของตัวเองถึงแกล้งขุ่นเคืองไปกับคำพูดที่เอ่ยออกมาไม่ได้เลย

“ฉันเป็นคนไม่รักษาสัญญาอยู่แล้ว... เธอก็รู้” คำตอบที่ทำเอาผมอยากดึงผิวเนื้อที่หลังมือของเขาที่ทาบทับกันอยู่บนหน้าท้องของผมไม่ได้ ทว่าผมก็ทำได้แค่ลูบแผ่วเบาลงไป ก่อนจะวางทาบไว้อย่างนั้น และรับรู้ได้เลยว่ามือของเขาสั่นไม่ต่างจากผม

...ไม่ใช่ความกลัว

ที่มือผมกับมือเขาสั่น คงเพราะความคิดถึงที่ล้นออกมา ผสมไปกับความยินดีที่เรากลับมากอดกันได้อีกครั้ง ไม่ต้องห่างกันไปครึ่งโลก และไม่ต้องจากกันไปตลอดทั้งชีวิต

“คุณยะ...คิดถึงผมมากไหม” และเป็นผมที่นึกอยากถามคำถามเดียวกันกับเขาบ้าง ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากฟังจากปากเขา

“...มากที่สุด”

“เหมือนผมเลย”

“ผมไม่ไปไหนแล้วนะ”

“ฉันก็เหมือนกัน”

End.

เย้!!!!!!!!!
จบแล้วววว ใจหายเนอะ
แต่ไม่เป็นไร
มาเจอกันในตอนพิเศษในเล่มหนังสือนะคะ
เราจะพาไปเจอมุมของคุณยะกัน
ปล. อาจจะเปิดจองกันได้ช่วงเดือนมิถุนายนน้า
ช่วยรับ “คุณยะน้องพี” ไปดูแลด้วยย เราดูแลคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ
สีเหลืองอ่อน




ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ใจหายใจคว่ำไปหลายตลบ
อยากจะตีคุณยะน้องพี่ไปร้อยรอบ
กว่าจะได้ลงเอยกัน อิอิ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
 :monkeysad:สงสารจิระจังหวังว่าจะทำใจได้โดยเร็วนะจิระ และหวังว่ามาร์คัสจะไม่ไปกวนอารมณ์ให้จิระขุ่นมัวล่ะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เฮ้ออออ ทุกข์ใจมาทั้งเรื่อง สุขแค่ไม่กี่บรรทัด แต่ก็คุ้ม เพราะต่อจากนี้น้องพีคงจะมีความสุขจริงๆและมั่นคงสักที
สงสารจิระ อยากรู้ว่ามาคัสพูดอะไรกับจิระในคืนนั้น

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2019 13:21:31 โดย snowboxs »

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ yumenari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เราอินมากกกก
อ่านไปอินไป
ก่อนอื่นจ้องบอกเลย ที่จะเม้นต่อจากนี้คือเกิดจากความอินล้วนๆ

บองตอนน้ำตาเราไหลพรากก
บางตอนเราเกรี๊ยวกราดเกลียดคุณยะมากอะ แบบทำไมเป็นคนแบนนี้วะ

อยากแก้แค้นอะไรแรงๆ ให้รุ้สึก
แต่นั้นแหละ เพราะเราไม่เคยอ่านในมุมของคุณยะเลย

บางมุมเราก็รุ้สึกว่า น้องพี หนุจะทำอย่างนั้นทำไมลุก ยิ่งทำยิ่งแพ้

อ่านๆไปก็รุ้สึก ว่าน้องพี ก็หลอกใช้คนอื่นไม่ต่างจากคุณยะ
มันไม่มีข้ออ้างที่ใครจะทำร้ายใครได้ขนาดนี้   ยิ่งตอนไหนขัดใจเรานะ
เราโคตรโกรธ คนเขียนเลย (เข้าใจนะว่าเราอิน แต่จริงๆรักมาก ทำเราอารมเหวี่ยงตลอด)  แบบเห้ยจะโทดตัวละครไม่ได้แล้ว

ต้องโทษไปถึงคนเขียนเลย
อะไรจะขนาดนั้น
ถ้าไม่เขียนมาแบบตัวละครคงไม่หน่วงขนาดนี้

555 เข้าใจเนอะ ก้คนมันอิน
ดูจากลอคอินเราก็จะรู้ เราไม่ใช่สายเม้น เน้นแต่ช่วยซื้อ

แต่เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะเม้น
บาวตอนเราอยากจับคนเขียนมาเขย่าๆ ว่าทำไมเขียนแบบนี้มันหน่วงอะ เพราะเขียนใฟ้เรา ตกหลุมรัก เอาใจช่วย สนิทสนม กับตัวละครแต่ละตัวมากไปแล้ว

สรุปคือ แต่งดีมากค่ะ เราอินมากๆๆๆๆๆ

ขอบคุรมากค่ะ
แล้วเราจะมาอุดหนุนนะคะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย ลุ้นแล้วลุ้นอีกค่ะ จะลงเอยดีไหม จะจบยังไง
คิดหนักมากเลยค่ะ แต่ในที่สุดก็สุขสม ได้อยู่ด้วยกันสักที

กว่าจะเปิดใจ เปิดตัว เปิดเผยกันได้ว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
ก็อมพะนำกันไว้ ให้พีคิดมาก และทำให้ตัวเองเสียใจ
ทำให้คนอื่นเจ็บปวด และแบกรับเรื่องที่พีทำไปหลายเรื่องเลย

สงสารปานมาก หวังว่าจะได้กลับมารักกันใหม่นะ
สงสารเจย์ที่ยอมทุกอย่างเพื่อให้มีพีอยู่เคียงข้าง

แต่สุดท้ายทุกความเจ็บปวดก็อยู่ที่พี ยอมเปิดใจ

ขอบคุณมากค่ะ เรื่องราวปรี๊ดสุด และดิ่งสุด จนเครียดด้วยเลย
แต่พอทุกอย่างลงตัว ผ่านไปด้วยดี ก็รอลุ้นและส่งแรงใจให้คนเศร้าต่อค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด