ตอนที่ 20
เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนผมมาตลอดคืนลืมตาขึ้นช้าๆ ตอนที่ผมฝากความอุ่นร้อนบนพวงแก้มเนียนใสของเขา เมื่อคืนพอผมโทรหาสายน้ำ เจ้าตัวก็มาถึงคอนโดฯ ผมในเวลาอันรวดเร็ว เพราะระยะทางระหว่างคอนโดฯ ของผมกับเขาไม่ไกลกันมากนัก
“หิวหรือยัง” ผมถาม โอบร่างเล็กแน่นขึ้น เมื่อคืนผมไม่ได้ทำอะไรสายน้ำมากไปกว่าจูบเล็กๆ น้อยๆ และกอดเขาไว้ในอ้อมแขนจนหลับไปทั้งคู่ ตอนนั้นผมยังไม่มีอารมณ์ทำเรื่องอย่างว่า เพราะหลายสิ่งที่ทับถมอยู่ในใจ บวกกับสภาพร่างกายที่ผ่านเรื่องบนเตียงกับจิระมาหลายรอบและแอลกอฮอล์ในร่างกายด้วยที่ทำให้ผมไม่อยากออกแรงไปกับกิจกรรมบนเตียง ทว่าตอนนี้ผมมีความรู้สึกอยากกอดสายน้ำให้สมกับความน่ารักน่าขย้ำของเจ้าตัวขึ้นมาเสียแล้ว
วูบหนึ่งที่คำพูดของผู้ชายที่ชื่ออารยะวิ่งเข้ามาในหัว
‘ระหว่างความอยากของร่างกายที่จะเป็นใครก็ได้... กับสัมผัสที่มันมาจากความรักล้วนๆ แค่คนเดียว มันต่างกันมากนะพี’
ใช่... มันต่างกันมาก
สิ่งที่ผมรู้สึกกับร่างกายของสายน้ำ มันก็แค่ความอยาก ที่พอผมปลดปล่อยออกมาเมื่อไร ความอยากก็จางหายไป ไม่เหมือนกับคนที่เรารัก มันไม่ใช่แค่ความอยากชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือการกระทำที่เป็นยิ่งกว่าการบอกรัก เพราะมันคือการบอกกับเขาว่า... เราขาดเขาไม่ได้
...และทุกอย่างที่เขาเป็น ไม่ว่าดีหรือร้าย อ่อนโยนหรือเกลียดชัง มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่ให้เขาลดน้อยถอยลงไป มีแต่จะมากขึ้น เพิ่มขึ้น
“พี่พีจะทำหรือครับ”
“ได้ไหม ?” ถึงผมจะซื้อสายน้ำมา ให้เงินเขาเพื่อแลกกับเซ็กซ์ แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่จะใจร้ายใส่เด็กที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ได้ลงคอ ด้วยการฝืนใจเขาให้มารองรับอารมณ์ความอยากของผู้ใหญ่ แม้ตอนแรกผมจะทำแบบนั้นก็เถอะ แต่ครั้งหลังผมก็ถามความสมัครใจของสายน้ำและเจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธ จะว่าไปตั้งแต่ที่ผมซื้อตัวสายน้ำมา ผมนอนกับเด็กคนนี้แค่สองครั้งเอง ซึ่งครั้งที่สองก็ตอนที่พาไปดูคอนโดฯ ที่ผมซื้อให้เขา
“ได้ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า “แต่ผมขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะครับ”
“ไปด้วยกัน” ผมจบคำพูดด้วยการดึงเอาร่างนุ่มนิ่มของสายน้ำขึ้นจากเตียง ก้าวขาลงมายืนบนพื้นห้องก่อนจะช้อนร่างของเด็กน้อยขึ้นมาในวงแขน ก้าวพาไปยังประตูห้องน้ำเพื่อต้อนรับวันใหม่ด้วยร่างกายของกันและกัน... ตามความอยากของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของหัวใจ
และไม่นานความอยากของผมก็ได้รับการปลดปล่อยภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ชุ่มไปด้วยสายน้ำ ก่อนจะเริ่มต้นอีกครั้งที่เตียงนอนหนานุ่มของตัวเอง
“อ๊ะ...อ๊าาา...จะ...เจ็บครับ...อือออ...พี่พี...ผมเจ็บ...อ๊าาาา!” เสียงกรีดร้องเป็นรอบที่เท่าไรของสายน้ำแล้วไม่รู้ ไม่ได้ทำให้ผมลดแรงส่งจากสะโพกเข้าไปในตัวของเด็กน้อยลงเลย มีแต่เพิ่มมากขึ้น... มากขึ้น
“อืม...อีกนิดธาร...ทนอีกนิด...” ผมอัดเอาทุกความคับแค้นในหัวใจออกมาผ่านร่างกายที่แข็งแกร่งและมากด้วยกำลังกว่าอีกฝ่าย ฝากฝังความเจ็บปวดของหัวใจลงไปในช่องทางคับแคบที่บีบรัดนับครั้งไม่ถ้วน
“คะ....อ๊าาา...ครับ...พี่พี...อ๊ะ...” ริมฝีปากบางของสายน้ำยังคงปลดปล่อยทุกความเจ็บปวดออกมา เสียงนั้นสะท้อนก้องอยู่ภายในห้องนอน แทรกตัวเข้าไปในหัวใจผม มันเหมือนเสียงของเมื่อวันวานในอดีตที่ไม่เคยลืมลงสักครั้งของผม
...ผมเคยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแบบสายน้ำมาก่อน
“อือ...อ่า...” ความอดทนของสายน้ำสิ้นสุดลงเมื่อผมถอนแก่นกายออกมาจากช่องทางบวมช้ำ ร่างเล็กฟุบลงไปกับที่นอนแทบจะทันที ผมได้ยินเสียงสะอื้นออกมาเบาๆ จากความเจ็บปวดของร่างกายบอบบางที่โดนบดขยี้ ขณะที่ผมดึงเครื่องป้องกันออกจากกาย พร้อมกับรูดรั้งความร้อนระอุของตัวเองให้กลายเป็นลาวาขาวข้นทะลักทลายออกมา
เมื่อร่างกายปลดปล่อยออกมาจนหมด ผมก็ทิ้งตัวลงไปทาบทับร่างกายนุ่มนิ่มของสายน้ำ กระซิบถ้อยคำขอโทษข้างใบหูเล็กของเจ้าตัว
“พี่ขอโทษ ขอโทษนะธาร”
“ฮึก...มะ...ไม่เป็นไรครับ...ฮึก...ผมเป็นของพี่” เจ้าตัวฝืนแรงสะอื้นตอบกลับมา แม้ใบหน้านั้นจะฝังลงไปกับหมอนใบโตอยู่ก็ตาม
“เจ็บมากไหม ?” ผมพลิกตัวกลับลงไปนอนบนเตียง ดึงร่างบอบช้ำเข้ามาอยู่ในวงแขน กดศีรษะเล็กๆ ไว้กับอกของตัวเอง ลูบแผ่นหลังเรียบลื่นอย่างปลอบโยน
“เจ็บครับ...แต่ไม่เป็นไร ผมทนได้”
“เด็กน้อย” ผมแนบริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมที่เปียกชื้น “ขอบใจนะที่ทนเพื่อพี่”
“ผมอยากให้พี่พีมีความสุข เพราะพี่พีดีกับผมมาก” เจ้าตัวเงยหน้าเนียนใสชุ่มเหงื่อและคราบน้ำตาขึ้นมายิ้มจนตาหยี ไม่เหลือร่องรอยว่าเมื่อครู่ได้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างไรบ้าง
“ธารก็ดีกับพี่เหมือนกัน” เพราะสายน้ำยอมให้ผมทำอะไรกับร่างกายเขาก็ได้ ตัวเล็กแค่นี้แต่ก็ทนเพื่อให้ผมระบายความเจ็บปวดทั้งหมดลงไปที่เขา แม้เขาจะทำเพื่อเงิน แต่มากกว่านั้นเขาก็เต็มใจทำเพื่อผม เพราะผมสัมผัสความจริงใจของเด็กคนนี้ได้
...สายน้ำไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใสสะอาดเหมือนชื่อของเขา
“เมื่อคืนพี่พีไปเจอเขามาหรือครับ” สายน้ำเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมเล่าเรื่องอดีตของตัวเองให้สายน้ำฟัง เล่าเท่าที่อยากจะเล่า บางส่วนก็ข้ามไป บางอย่างก็ไม่พูดถึง โดยเฉพาะชื่อของคนคนนั้น สายน้ำเลยรู้แค่ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กผมผ่านอะไรมาบ้าง โดนผู้ใหญ่ใจร้ายเอาคำว่ารักมาหลอกเพื่อเอาเปรียบร่างกายผมอย่างไรบ้าง
“อืม...” ผมพยักหน้ารับ โอบร่างเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้น ราวกับว่าสายน้ำคือตัวผมในวันวานที่ผมอยากปลอบโยนก่อนที่จะแตกสลายไป
“เขาทำร้ายพี่พีอีกหรือครับ” เจ้าตัวกอดผมตอบ แรงน้อยนิดของสายน้ำทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าตอนที่กระแทกความเจ็บปวดเข้าใส่ตัวเขาเสียอีก
“เขาใจร้ายกับพี่มาก พี่ไม่เข้าใจเลยทำไมเขาถึงอยากให้พี่เจ็บปวด” ผมเริ่มพรั่งพรูความรู้สึกของค่ำคืนที่ผ่านมาที่ถูกทำร้ายจากคนคนนั้น “เขาเหมือนอยากให้พี่ตายไปต่อหน้าเขา เขาไม่อยากให้พี่มีความสุขเลยหรือไง ทำไมเขาต้องการให้พี่เจ็บปวด ทำไม...ฮึก...ทำไมพี่ต้องรักเขาด้วย...ทำไมพี่ถึงเลิกรักเขาไม่ได้นะธาร...ฮึก...ทั้งที่เขาใจร้ายกับพี่ขนาดนี้ เขาฆ่าพี่มาตลอดชีวิต...แต่พี่...พี่ก็ยังเลิกรักเขาไม่ได้...พี่...เลิกรักเขาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว...พี่อยากเลิกรักเขา...” ผมซุกหน้าลงกับไหล่เล็กของคนในอ้อมแขน ปล่อยสายน้ำตาร้อนจัดออกมาอย่างเก็บกักไว้ไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่ต้องเลิกรักเขาหรอกครับ” มือของสายน้ำประคองใบหน้าของผมขึ้นมา นิ้วเล็กๆ ช่วยเช็ดเม็ดน้ำตาออกไปจากแก้ม แต่เช็ดเท่าไรก็ยังคงไม่หมด เพราะผมก็ยังปล่อยความเจ็บปวดออกมาออกมาพร้อมกับน้ำตา “...ถ้าการอยากเลิกรักเขามันทำให้พี่พีทรมานขนาดนี้ ก็ไม่ต้องพยายามที่จะเลิกรักเขาหรอกครับ”
“แต่เขาไม่รักพี่เลย เขาเกลียดพี่ เขา...ฮึก...อยากให้พี่ตาย” ผมกลายเป็นเด็กน้อยแสนอ่อนแอในวันเก่า ร่างกายที่เติบโตเป็นชายหนุ่มและสูงใหญ่ ไม่ได้ขับไล่ความอ่อนแอของเด็กชายพีรัชออกไปจากตัวผมได้เลย “ฮึก...เขาไม่รักพี่ เขาไล่พี่ออกไปจากชีวิตเขา ทำเหมือนพี่เป็นตัวน่ารังเกียจ ใช้คำพูดทำร้ายหัวใจพี่ตลอด”
“ไม่รักก็ช่างเขา เกลียดก็ช่างเขา” เสียงใสๆ ของสายน้ำบอกออกมาราวกับเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดาย “สิ่งที่พี่พีทำได้ ไม่ใช่การเปลี่ยนความรู้สึกของเขา แต่คือการที่พี่พีรักเขาเท่าที่อยากรัก รักไปเถอะครับ ถ้ามันดีกว่าการที่พี่บังคับตัวเองให้เลิกรัก เขาไม่เห็นความรักของพี่ก็ช่างเขาสิครับ พี่แค่เห็นความรักของตัวเองก็พอแล้วนี่นา” เจ้าตัวพูดเสียยืดยาว
“ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน” คำแนะนำของสายน้ำทำให้ผมมีรอยยิ้ม นึกเอ็นดูคำปลอบโยนที่แปลกประหลาดนี้
“เอามาจากตัวเองนี่แหละครับ” เจ้าตัวยิ้มอายๆ “ถึงแม้เขาของผมจะไม่ใจร้ายเท่ากับเขาของพี่พี แต่ตอนเห็นเขาเดินข้างคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมก็เจ็บมากนะครับ เคยอยากให้ตัวเองหยุดรักเขาซะที แต่พยายามแล้วมันทรมานมาก ทรมานกว่าตอนที่ผมรักเขาหมดหัวใจซะอีก ยิ่งผมรักเขามาก ผมก็ยิ่งมีความสุขที่ได้รักเขา ต่อให้เขาไม่เห็นว่าผมรักเขา แต่ผมก็เห็นว่าตัวเองมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้รักเขา”
“เด็กน้อย” ผมส่ายหัวให้กับการเปรียบเทียบของสายน้ำ เจ้าตัวยังเด็ก ความรักแบบแอบรักเพื่อนและเห็นเพื่อนมีแฟน มันเทียบไม่ได้กับการถูกคนที่เรารักฟาดฟันหัวใจของเราด้วยความเกลียดชังหรอก
สายน้ำยังไม่เคยถูกคนที่ตัวเองรักฟาดฟันด้วยความเกลียดชังแบบผม เจ้าตัวถึงยังไม่เคยเจอความเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็นที่ผมกำลังเผชิญอยู่
“ถ้าธารเจอแบบพี่แล้วค่อยมาพูดละกัน” ผมบอก แต่ก็ใช่จะปฏิเสธคำแนะนำของสายน้ำเสียทีเดียว อย่างน้อยผมก็จะจดบางส่วนของคำแนะนำเอาไว้
...แค่เห็นความรักของตัวเองก็พอ
ผมเห็นความรักของตัวเองเติบโตขึ้นทุกวัน ราวกับว่าความเจ็บปวดของผมในแต่ละวินาทีเป็นน้ำหล่อเลี้ยงต้นกล้าของความรักให้เติบโตและแข็งแกร่งเกินกว่าลมพายุหรือสายฟ้าฟาดใดๆ จะทำลายมันลงมาได้
...ยิ่งเจ็บปวดก็ยิ่งคล้ายกับว่าผมจะรักเขามากขึ้นและมากขึ้น ไม่เคยน้อยลง
Rrrrr...
เสียงโทรศัพท์ของสายน้ำดังขึ้น มันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ผมเอื้อมไปหยิบเพราะมันอยู่ใกล้มือผม ก่อนยื่นให้เจ้าของมัน
คนที่โทรมาชื่อ ‘วิน’ เป็นเพื่อนที่สายน้ำแอบรักนั่นแหละ
“ขอบคุณครับพี่พี” สายน้ำเอ่ยขอบคุณตอนที่ผมยื่นโทรศัพท์ให้เขา “ว่าไงวิน มีอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวขยับออกห่างผมนิดหนึ่งตอนที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
ส่วนผมก็ขยับลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเอาคราบอะไรต่อมิอะไรออกจากร่างกาย แต่ติดที่ต้องหันมาตอบคำถามของคนตัวเล็กเสียก่อน
“หา!! รออยู่หน้าคอนโดฯ ...รอทำไม ทำไมไม่กลับไปนอนที่ห้อง...ก็...ก็ไม่รู้อีกนานไหม...กลับไปก่อนสิ ไม่ต้องรอ...บอกว่าไม่ต้องรอไง...ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับตอนไหน...ก็ได้ๆ ...ขอถามพี่พีก่อน” จบประโยคนั้นเจ้าตัวก็ลดโทรศัพท์ลง เอามือปิดโทรศัพท์ไว้ด้วยกันเสียงพูดระหว่างผมกับตัวเองลอดเข้าไปให้บุคคลที่สามได้ยิน “พี่พีจะให้ผมกลับตอนไหนครับ”
“เพื่อนรอเหรอ” ผมถามกลับ ทั้งที่พอจะจับบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองได้
“ครับ เมื่อคืนผมให้วินมาส่ง แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะนั่งรออยู่ในรถจนถึงตอนนี้” ตอนนี้ที่สายน้ำว่าคือเวลาเกือบเที่ยง “คือ...เอ่อ...ถ้าผมจะขอกลับตอนนี้เลยได้ไหมครับ” ถามอย่างเกรงใจ
“ไปสิ” ผมบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง หยิบเอากระเป๋าตังค์ออกมา ดึงเอาแบงก์สีเทาที่มีอยู่ในกระเป๋าออกมาทั้งหมด ไม่เยอะหรอกครับแค่หกใบเอง “พี่ว่าจะพาเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร ธารไปกินกับเพื่อนละกันนะ” ผมยื่นเงินให้สายน้ำ เจ้าตัวส่ายหน้าจนผมเส้นเล็กกระจายเลยทีเดียว
“เงินที่พี่พีใส่บัญชีให้ก็ยังไม่หมดเลยครับ”
“อย่าปฏิเสธ” ผมยัดเงินใส่มือเล็กๆ “ตอบแทนสำหรับคำแนะนำดีๆ ของธาร ห้ามปฏิเสธ”
“คือว่า...ผมเกรงใจ”
“ถ้าไม่รับก็ไม่ต้องกลับ” ผมแกล้งขู่ เลิกยัดเงินใส่มือที่กำแน่นแบบไม่ยอมแบให้ผมวางเงินลงไปได้ ผมเลยเอาไปยัดใส่กระเป๋าตังค์ของเจ้าตัวแทน “ไปอาบน้ำได้แล้ว เพื่อนจะรอนาน”
“ครับ... ขอบคุณครับพี่พี” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ผม ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลงจากเตียงในสภาพขาสั่นๆ ผมรู้ดีว่าร่างกายบอบบางที่ผ่านแรงกระแทกมาหลายรอบไม่มีทางที่จะปกติได้ ขานี่คงแทบไม่มีแรงยืนด้วยซ้ำ ผมเลยรีบลงจากเตียงขึ้นไปประคองตัวสายน้ำเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงไปกองพื้น
“พี่อุ้มดีกว่า” ผมจัดการอุ้มพาคนตัวเบาไปห้องน้ำเป็นรอบที่สองของวันนี้ ถึงแล้วก็ปล่อยให้เจ้าตัวจัดการตัวเองต่อ ส่วนผมก็เดินไปเปิดตู้หยิบเสื้อคลุมมาใส่ปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองไว้ก่อน
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีสายน้ำก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา เข้าใจอารมณ์เลยว่าคงอยากลงไปหาคนที่ตัวเองแอบชอบเร็วๆ แล้ว
ออกมาก็แต่งตัวด้วยความรวดเร็วไม่ต่างจากตอนอาบน้ำ ร่างกายนุ่มนิ่มที่ถูกผมใช้งานหนักทำท่าจะล้มกองพื้นหลายครั้ง ก็มีผมนี่แหละที่ช่วยประคองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปจริงๆ
“จะไหวไหมเนี่ย” ผมพูดออกอย่างห่วงๆ ก็เป็นตัวเองนี่แหละที่ทำให้สายน้ำตกอยู่ในสภาพขารับน้ำหนักตัวเองไม่ค่อยได้
“ไหวครับ”
“ไม่ไหวแน่นอน เอาเป็นว่าพี่พาลงไปหาเพื่อนละกัน”
“ไม่ต้องครับพี่พี ผมไหวจริงๆ แล้วอีกอย่าง...คือ...เอ่อ...วินไม่ชอบพี่พีเท่าไรน่ะครับ” สีหน้าของสายน้ำคล้ายจะกลัวผมโกรธ ผมก็รู้สึกโกรธจริงนั่นแหละ ผมทำอะไรให้เด็กนั่นไม่ชอบผมล่ะ ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาไม่ชอบผม ไม่รู้สำนึกเลยใช่ไหมว่าเงินที่ตัวเองกินใช้อยู่ทุกวันเป็นเงินของผม
“เพื่อนของธารไม่ชอบพี่เพราะอะไร” เสียงผมขุ่นจัดเลยตอนที่ถาม ทำเอาสายน้ำหน้าซีดทันที เจ้าตัวคงนึกด่าตัวเองในใจแล้วมั้งที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ก็...คือ...” เจ้าตัวอึกอักอยู่นานกว่าจะเอ่ยถึงสาเหตุที่เพื่อนตัวเองไม่ชอบผม “เอ่อ...วินไม่ชอบที่พี่พีทำผมเจ็บตัว”
อ้อ... เข้าใจแล้ว ก็สมควรที่เพื่อนของสายน้ำจะไม่ชอบหน้าผม ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าผมเลยสักครั้ง เพราะห่วงเพื่อน... หรือหวงเกินเพื่อนกันแน่
“ผมไปนะครับ” เจ้าตัวยกมือไหว้ผม แล้วเดินขาลากไปที่ข้างเตียง หยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกง ทำท่าจะออกห้องไป ผมเห็นก็สงสารนะ ความผิดผมเองที่ทำให้สายน้ำตกอยู่ในสภาพนี้
“พี่พีไม่ต้องครับ” เสียงใสๆ เอ่ยห้ามตอนผมช้อนตัวเขาขึ้นมาอุ้ม
“อุ้มลงไปข้างล่างเท่านั้นแหละ ไม่ไปถึงหน้าคอนโดฯ หรอกน่า” ผมดุเบาๆ จากนั้นก็อุ้มพาสายน้ำลงไปชั้นล่าง เอาไปปล่อยลงพื้นตรงหน้าประตูห้อง ต่อจากนั้นเจ้าตัวก็พาร่างกายที่ไม่เต็มร้อยออกจากห้องผมไป
.
.
.
ผมกลับขึ้นมาบนห้องหลังจากอุ่นอาหารแช่แข็งกินจนอิ่มท้องแล้ว พออิ่มหนังตาก็เริ่มหนัก เปิดประตูเข้ามาได้ก็เดินตรงไปที่เตียงและทิ้งตัวลงนอนทันที ไม่นานก็หลับสนิท มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเทาและใครบางคนที่ล้มตัวลงมานอนข้างตัวผม พร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดไม่ต่างจากกอดหมอนข้าง
เป็นใครไม่ได้นอกจาก...จิระ
“เหนื่อยโคตร” เจ้าตัวบ่นงึมงำ ลูกตาสีฟ้าน้ำทะเลซ่อนอยู่หลังเปลือกตาและขนตายาว จิระเป็นผู้ชายที่มีขนตายาวมากจริงๆ “ไอ้ศิลปินซกมกนั่นใช้ผมจนคุ้ม แต่ก็ดีแล้ว ไม่ต้องได้เจอหน้ามันอีก เกลียดมัน ถ้าเจอคุณลุงกับคุณป้านะจะฟ้องให้เข็ดว่ารสนิยมของมันเป็นยังไง” แอบคิดว่าจิระนี่ละเมอหรือเปล่า แต่ก็ได้คำตอบว่าเจ้าตัวไม่ได้ละเมอแต่บ่นงึมงำเท่านั้นเอง เพราะพอผมถามเขา เขาก็ตอบกลับมาได้ทันที
“กินอะไรมาหรือยัง”
“หื้อ...ยังเลย แต่ไม่หิว ง่วงมากกว่า ขอผมนอนก่อนนะ” และเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจของจิระเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟ้องว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้ว
ผมค่อยๆ เอาตัวออกมาจากวงแขนของจิระ ตอนนี้ตาสว่างแล้ว เลยฝืนนอนต่อไม่ได้ ก็เลยต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากห้องลงมาหาอะไรกินที่ชั้นล่าง เพราะพอตื่น ความหิวก็มาทักทายทันที
พอลงมาถึงชั้นล่าง ยังไม่ทันเดินไปถึงตู้เย็น เสียงข้อความในแชตไลน์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายจากห้องครัวเป็นโต๊ะกินข้าวแทน บนโต๊ะผมเห็นกระดาษโน้ตที่มีข้อความที่ปาลินเขียนบอกผมไว้ว่าเขาจะไปทะเล ตัวหนังสือของปาลินอ่านยากกว่าทุกที เหมือนกับว่าเจ้าตัวเขียนมันด้วยมือที่สั่นพอสมควร
ผมเอะใจกับสิ่งที่ไม่ปกตินี้ ทว่าเสียงข้อความไลน์ที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมลืมมันไปเสียและกลับไปให้ความสนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมแทน
เป็นอาฟ้าที่ส่งข้อความไลน์มาหาผม เจ้าตัวพิมพ์มารัวๆ เลย
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : พรุ่งนี้อาฟ้าไปหาไม่ได้แล้วนะครับน้องพี
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อย่างอนที่ไม่ได้กินอาหารฝีมืออาฟ้าล่ะ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แต่จะให้เด็กที่ร้านเอาเค้กกับน้ำผลไม้ไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิมนะ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ว่าแต่น้องพีอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
น้ำฟ้า ตรัยธาด : เค้ก คุกกี้ ขนมปัง
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าจะทำไว้คืนนี้เลย
P.Phirach : พีกินอะไรก็ได้ครับ
P.Phirach : ยกเว้นอันที่มันทำ
...อาฟ้ารู้ดีว่าผมหมายถึงใคร และอีกเช่นเคยที่อาฟ้าจะดุผมกลับที่พิมพ์คำพูดไม่เพราะลงไปในแชต เรียกคนอื่นว่า ‘มัน’ ...คนที่คุณฟ้าเอ็นดูไม่ต่างจากผม ทั้งที่มันไม่สมควรได้รับความเอ็นดูและเห็นใจจากคนดีๆ แบบอาฟ้าด้วยซ้ำ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เรียกเขาแบบนี้ไม่เพราะเลยนะน้องพี
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าไม่อยากให้น้องพีเรียกเขาว่ามัน
P.Phirach : มันเรียกพีว่ามึงด้วยซ้ำ
P.Phirach : อาฟ้าทำไมไม่ดุมัน
P.Phirach : ดุแต่พี
...แอบน้อยใจเหมือนกันนะ กลัวว่าอาฟ้าจะรักมันมากกว่าผมด้วย ทำไมใครๆ ถึงได้รักมัน คนอย่างมันน่ารักตรงไหน
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : รู้ได้ไงว่าอาฟ้าไม่ดุเขา
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าดุทุกคนที่พูดไม่เพราะ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : น้องพีเลิกเกลียดเขาได้ไหม
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าขอนะ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เขาน่าสงสารมากนะครับ
...ก็สมกับสิ่งที่มันทำไว้กับผม ผมอยากจะพิมพ์ตอบอาฟ้าไปแบบนั้น แต่ก็ยั้งมือตัวเองไว้ทัน และก็พิมพ์เปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทน
P.Phirach : พรุ่งนี้อาฟ้ามีธุระอะไรหรือครับ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : คุณย่าจะคุยเรื่องแต่งงานของพี่ยะ
...ผมไม่น่าถามเลยจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องนี้
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ไม่เป็นไรใช่ไหม
...ผมจะเป็นอะไรได้ล่ะ นอกจากเจ็บปวดเหมือนเดิม เมื่อวานก็เจ็บ วันนี้ก็เจ็บ
P.Phirach : พีจะเป็นอะไรล่ะครับ
P.Phirach : พีไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว
...มีแค่สองอย่างที่ผมยังเกี่ยวข้องกับเขา คือชื่อที่ผมใช้ กับหัวใจที่ผมให้เขาไป
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แต่น้องพีกลับมาตอนนี้ยังทันนะ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าอยู่ข้างน้องพีเสมอ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งถือว่าน้องพียังมีสิทธิ์
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : แหวนของน้องพี คุณย่าก็ยังเก็บไว้ ไม่ได้ให้ใคร
...แหวนของคุณปู่ที่สวมให้คุณย่าในวันแต่งงาน และคุณย่าให้มันกับผมตอนที่ความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะถูกจับได้ แต่สุดท้ายผมก็คืนให้คุณย่าไปในวันที่ผมก้าวออกมาจากตรัยธาดา ผมไม่ได้คืนแค่แหวนแต่คืนนามสกุลที่ผมใช้มาตั้งแต่เกิดไปด้วย
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : อาฟ้าอยากให้น้องพีกลับมาหาพวกเรา
...ผมจะกลับไปได้ยังไงในเมื่อคนคนนั้นไม่ต้องการให้ผมกลับไป
P.Phirach : อาฟ้าครับ พีหิวแล้ว ขอตัวไปหาข้าวกินก่อนนะ
P.Phirach : คุยกันวันหลังนะครับ
น้ำฟ้า ตรัยธาดา : เปลี่ยนเรื่องตลอด
...ผมก็ได้แค่ส่งสติกเกอร์ยิ้มแป้นไปให้อาฟ้า ส่วนเจ้าตัวส่งหัวใจดวงโตๆ มาให้ จบบทสนทนาผ่านหน้าจอแชตไว้แค่นี้ แต่เรื่องที่ยังไม่จบคือสิ่งที่ค้างอยู่ในหัวใจของผม เรื่องของเขา... เรื่องของครอบครัวที่ผมก้าวออกมาและยังไม่พร้อมกลับเข้าไปหาคนสำคัญคนหนึ่งของผม... คุณย่า
.
.
.
“ตายแล้วหลานย่า ไปมีเรื่องกับใครมา ไหนมาให้ย่าดูหน้าหน่อยสิ” เสียงคุณย่าร้องโวยวายขึ้นมาทันทีที่เห็นผมเดินผ่านหน้าไป อันที่จริงผมก็มองซ้ายมองขวาแล้วนะ คิดว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ กะว่าจะเดินเร็วๆ เท่าที่สภาพร่างกายจะทำได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่คุณย่าที่เดินออกมาจากห้องสมุดก็ดันเห็นผมซะก่อน
ผมพยายามเดินเข้าไปหาคุณย่าให้ดูเป็นปกติที่สุด ต่อให้ช่วงล่างเจ็บขนาดไหนก็ต้องไม่แสดงอาการออกมา ไม่อย่างนั้นคุณย่าต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายผม แค่เฉพาะแก้มที่บวมๆ อยู่นี่ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรแล้ว สงสัยผมคงต้องโกหกอีกตามเคย
“อ้อยไปเอากล่องยามาให้ฉันเร็ว” ท่านสั่งพี่อ้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งตัวยาวใต้ต้นปีบ ดอกของมันร่วงพราวอยู่บนพื้นรอบบริเวณ
ผมทรุดตัวลงนั่งข้างท่าน มือของคุณย่าแตะแก้มข้างที่โดนคุณยะตบอย่างเบามือที่สุด
“เจ็บมากไหมลูก” น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความห่วงใย ไม่มีดุด่าที่ผมไปมีเรื่องกับใครมา (ตามความคิดของท่านที่คิดว่าผมไปมีเรื่องชกต่อยมา)
“ไม่ครับ” ...ที่เจ็บคือหัวใจ แต่บอกคุณย่าไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้ด้วย
“ทะเลาะกับหนูปีมาเหรอลูก” คุณย่าเดา คงไม่รู้จะเดาว่าอะไรแล้ว ท่านไม่คิดหรอกว่าผมเป็นเด็กเกเรที่จะไปมีเรื่องชกต่อยกับใครได้ นอกจากจะทะเลาะกับเพื่อนสนิทอย่างปาลิน “หรือว่าทะเลาะกับเพื่อนคนนั้น ชื่ออะไรนะ ที่มากับพีวันนั้น” ท่านทำท่านึก แต่ก็ยังนึกไม่ออก
“ชื่อดีนครับ”
“ใช่ๆ หนูดีน” คุณย่าชอบเรียกปาลินว่าหนูปี พอรู้จักดีน ก็เรียกดีนว่าหนูด้วยอีกคน “แล้วยังไง สรุปหลานย่าไปมีเรื่องกับใครมา”
“กับปีครับ” ให้ท่านเข้าว่าผมมีเรื่องทะเลาะกับปาลินก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่รู้จะโกหกท่านด้วยเรื่องไหน
“แล้วนี่หนูปีเป็นยังไงบ้าง เจ็บเหมือนหลานย่าไหมเนี่ย” ท่านก็ยังเป็นห่วงไปถึงปาลิน ทำเอาผมรู้สึกผิดเลยที่ทำให้ท่านหลงเข้าใจผิดไปแบบนั้น “คืนดีกันหรือยัง ยังไงก็ต้องคืนดีกันไหวๆ นะ เป็นเพื่อนกัน อย่าโกรธกันนาน”
“คุณย่าครับ” ผมขยับตัวเข้าไปกอดร่างผอมของคุณย่า ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าพีไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณย่าจะคิดถึงพีไหมครับ” แต่เรื่องที่เปลี่ยนก็ทำเอาผมน้ำตารื้น ถามเองก็รู้สึกเจ็บปวดเอง เมื่อนึกถึงวันที่ผมถูกลูกชายคนโตของท่านไล่ออกจากครอบครัวตรัยธาดา แต่คุณย่ากลับเข้าใจไปอีกอย่าง
“อะไรกันลูก” ท่านทำหน้าตกใจ “อย่าบอกนะว่าอยากจะย้ายไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ไม่ได้ ย่าไม่ยอมนะ พียังเด็ก ไว้ให้เข้ามหา’ลัยก่อนไหม ถ้าตอนนั้นอยากย้ายไปอยู่ใกล้ๆ มหา’ลัย ย่าก็จะไม่ห้าม”
“เปล่าครับ”
“อ้าว... แล้วมันยังไงละลูก”
“คือ...” เป็นเหตุผลที่บอกไม่ได้ ผมไม่อยากให้คุณย่ารู้... ว่าผมรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นหลานแท้ๆ ของคุณย่า ผมไม่อยากกลายเป็นคนนอกครอบครัว “พีแค่ถามเผื่อไว้ครับ ถ้าวันหนึ่งพีไม่ได้อยู่กับคุณย่า คุณย่าจะคิดถึงพีไหม จะลืมพีหรือเปล่า” ผมกอดร่างผอมแน่นขึ้น ก็คงต้องมีสักวันที่ผมจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แค่เมื่อไรเท่านั้นเอง
“จะคิดเผื่อไว้ทำไมล่ะลูก พีเป็นหลานย่า ไม่อยู่กับย่าแล้วจะไปอยู่กับใคร หลานคนนี้ย่ารักที่สุดเลยรู้ไหม” ท่านกอดผมตอบ ก่อนดึงตัวผมออกมาและหอมแก้มข้างที่ไม่บวมของผมหนักๆ ตามน้ำหนักความรักของท่านที่มีให้ผม
“รักมากกว่าซัน แซน น้องเนตร หรือเปล่าครับ” เด็กทั้งสามคือหลานแท้ๆ ของคุณย่า ท่านจะรักผมมากกว่าหลานทั้งสามของท่านจริงเหรอ ในใจของผมมีคำถาม และไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้กลับมาเป็นความจริงมากแค่ไหน
“ต้องรักมากกว่าอยู่แล้วสิ ก็พีเป็นหลานคนแรกของย่านะ” ว่าแล้วท่านก็หอมแก้มผมซ้ำอีกหลายครั้ง ราวกับว่าท่านใช้มันเป็นคำยืนยันว่าทุกคำที่บอกกับผมล้วนเป็นความจริง
“พีก็รักคุณย่าที่สุดเลยครับ” ผมกอดคุณย่าอีกครั้ง กอดแน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ กอดเผื่อไว้สำหรับวันหนึ่งที่จะไม่มีโอกาสได้กอดอีก เพราะผมรู้สึกว่าเวลาของผมกับที่นี่เหลือน้อยลงทุกวัน “อยากอยู่กับคุณย่าไปทั้งชีวิตเลย”
...ถ้าผมยังหน้าด้านอยู่ในครอบครัวตรัยธาดาต่อไปล่ะ ต่อให้ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้จะไล่ผมเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ผมก็จะไม่ไปไหน จะอยู่กับคุณย่า คุณปู่ อานุ อาภา ซัน แซน และน้องเนตร ส่วนอีกคนผมจะปล่อยเขาให้เป็นแค่ตอไม้แห้งๆ ตอหนึ่งเท่านั้น... แบบนี้แล้วผมจะหน้าด้านเกินไปหรือเปล่า ?
.
.
.
อ่านต่อด้านล่าง