ตอนที่ 4
ช่วงเวลาที่ร่ำร้องหา ‘คุณพ่อของน้องพี’ ผ่านไปนานจนลืมเลือนว่าอยากกอด ของของน้องพีชิ้นอื่นกลับมามีความสำคัญอย่างเคย และนานไม่กี่เดือน หรืออาจนานเป็นปี คุณพ่อของน้องพี ของของน้องพี คนตัวโตในจอก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า มาให้เห็นในสายตา ภาพจำคือตอนที่เด็กชายนอนบนเตียงของโรงพยาบาลเพราะป่วยเป็นไข้หวัด ความทรงจำเลือนรางเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จำได้ชัดเจนคือมือใหญ่แสนอบอุ่นที่วางลงบนศีรษะ ...คำที่เอ่ยบอกกับเด็กชายตัวน้อยว่า
‘หายไวๆ’
‘คุณพ่อของน้องพีมาให้น้องพีกอดหน่อย’
มือน้อยไขว่คว้าหา พบเจอเพียงความว่างเปล่า คนตัวโตเพียงแค่ทอดสายตามองลงมา มือแสนอบอุ่นนั้นถูกดึงกลับไปแล้ว เสียงพูดคุยอะไรต่อมิอะไรแว่วดังเข้ามา จับใจความอะไรไม่ได้นอกจากความรู้สึกง่วงที่รุมเร้าและเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายด้วยฤทธิ์ยา
เหตุการณ์วันนั้นจึงจำได้แค่มือแสนอบอุ่นที่วางบนศีรษะ น้ำเสียงทุ้มที่บอกให้หายไวๆ และไม่ได้กอดคุณพ่อของน้องพีแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งโตขึ้น เด็กชายพีรัชจำความได้ชัดขึ้น รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้ใหญ่ได้มากขึ้น ภาพของวันนั้นคือผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม แต่เปลี่ยนจากตักคุณย่าเป็นตักอานุ และบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเครื่องเดิมก็ยังเป็นผู้ชายตัวโต
คุณพ่อของน้องพี... ‘ของของน้องพี’
แต่วันนี้เด็กชายพีรัชรู้แล้วว่า ‘คุณพ่อ’ มีความหมายว่าอย่างไร คือสถานะของผู้ให้กำเนิด ไม่เหมือนคุณหมีของน้องพี กระเป๋าของน้องพี เสื้อผ้าของน้องพี และไม่ใช่ ‘ของ’ ที่จะเอามาเป็นของตัวเองได้
และไม่ต้องรอให้อานุบอก เด็กชายพีรัชในวัยใกล้เจ็ดขวบก็ยกมือขึ้นไหว้คุณพ่อทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาสีขาว
“สวัสดีครับคุณพ่อ”
คนตัวโตในจอสี่เหลี่ยมมองหน้าผม สายตาของเราประสานกันก่อนที่เขาจะหันไปคุยกับใครสักคนด้วยภาษาต่างชาติ คนคนนั้นไม่ได้อยู่ในจอภาพแต่เสียงที่เล็ดลอดเข้ามาก็บอกได้ว่าคู่สนทนาคือผู้หญิง จบบทสนทนากับฝ่ายนั้นแล้วคุณยะก็หันกลับมา เขาจ้องหน้าผม เอ่ยถ้อยคำที่ผมได้แต่สงสัย
“ต่อไปให้เรียกฉันว่า... คุณยะ”
“ให้ลูกเรียกแบบนั้นได้ยังไงตายะ มีพ่อที่ไหนเขาทำกันแบบนี้หะ!” เสียงคุณย่าเอ็ดขึ้นมาทันที ตามด้วยความสงสัยของคนที่เหลือ ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าคุณปู่ อานุ อาภา พูดอะไรกับคนในจอบ้าง เพราะเอาแต่ก้มหน้าฟังเสียงในหัวของตัวเอง
‘คุณพ่อของน้องพี’ คือของของน้องพี
ส่วน ‘คุณยะ’ ไม่ใช่ของของน้องพี
คนตัวโตที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาอีกครั้งหนึ่ง ต่อไปนี้ไม่ใช่ของของผมอีกแล้ว เขาจะเป็น ‘คุณยะ’ ผู้ชายที่ผมไม่เคยได้กอดเขาเลยสักครั้ง
“เรียกคุณยะสิ” คนตัวโตสั่งซ้ำ คราวนี้ไม่มีเสียงคัดค้านจากคุณปู่ คุณย่า อานุ และอาภาอีกแล้ว มีเพียงความเงียบที่เฝ้ารอคำพูดจากปากเด็กชายพีรัช
ผมจำได้จนมาถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกในวันนั้นเหมือนกระดาษแผ่นบางที่ถูกฉีกให้ขาด จำได้ว่าน้ำตาไหลด้วยความจำยอม ผมร้องไห้แต่ไม่มีเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุณปู่สั่งให้อานุอุ้มผมเข้าไปในห้องนอนทันที
“คุณยะ...คุณยะ...คุณยะ...คุณยะ...”
ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่า ‘คุณยะ’ ไปกี่ครั้งตอนที่ถูกอานุอุ้มพาเข้ามาในห้องของตัวเอง จำได้แค่ว่าผมพูดคำนั้นซ้ำไปมา กอดคออานุแน่นกว่าครั้งไหน ไม่ยอมปล่อยมือจากตัวอานุ จนอีกฝ่ายต้องอุ้มผมไว้อย่างนั้นจนผมเผลอหลับไปพร้อมกับน้ำตา
พอกลับมาเจอกันผ่านหน้าจออีกครั้ง หลังจากผ่านไปอีกหลายเดือน ผมจำไม่ได้ว่ามันกี่เดือนกันแน่ เมื่อคุณยะปรากฏตัวบนหน้าจอ ผมก็ทำตามที่เขาสั่งเอาไว้ในครั้งก่อนทันที
“สวัสดีครับ... คุณยะ”
ไม่มีอีกแล้ว... คุณพ่อของน้องพี
คุณยะแค่มองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วหันไปทักทายคุณย่า วันนี้ไม่มีอานุที่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่มีอาภาที่ไปเข้าค่ายติวอะไรสักอย่างหนึ่งที่ต่างจังหวัดเช่นกัน ส่วนคุณปู่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง ไกลออกไปพอสมควร
ผมทำไม่สนใจคนตัวโต เพราะความรู้สึกเสียใจและน้อยใจจากเหตุการณ์ล่าสุดยังติดค้างอยู่พอสมควร และอยากให้เขาง้องอนเอาใจเหมือนที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ทำเวลาที่ผมโกรธหรือเสียใจ
“หลานแม่งอนเรา ง้อหน่อยนะตายะ”
“น้องพีเปล่างอน” โดนพาดพิงด้วยความจริง ผมก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนตักคุณย่าทันที กอดคอท่าน ซบหน้าลงบนไหล่ ใจก็ลุ้นรอคอยว่าอดีตคุณพ่อของน้องพีจะง้อเอาใจให้เด็กคนนี้หายน้อยใจด้วยคำพูดไหน
“พี... หันมาหาคุณยะ” เสียงดุๆ กรีดลึกลงไปบนหัวใจเด็กน้อย
...ความหวังดับสิ้นลงทันที คนตัวโตไม่ยอมเป็นคุณพ่อของน้องพีอีกแล้ว แถมยังเรียก ‘พี’ เฉยๆ ด้วย ไม่เรียก ‘น้องพี’ เหมือนทุกคนในบ้าน น้อยใจที่สุดเลย
“...” ผมส่ายหน้ารัวเร็ว ไม่ยอมหันกลับไปหา ความน้อยใจมันคับอก
“พี” เสียงเข้มเอ่ยเรียกชื่อเพื่อกดดัน ผมอยากจะดื้อไม่ยอมหันไปหาคนในจอ เพราะไม่อยากเจอสายตาดุๆ นั้น แต่คุณย่าก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย
“หันไปคุยกับคุณยะหน่อยนะครับน้องพี เดี๋ยวคุณยะจะเสียใจน้า”
“ครับ” ผมจำยอม ด้วยการขยับลงจากตักคุณย่า เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนในจอ ทั้งที่ใบหน้าเหมือนคุณปู่กับอานุขนาดนั้น แต่ทำไมใจร้ายกับน้องพีนักนะ ก็ได้แต่คิดด้วยความน้อยอกน้อยใจ อยากร้องไห้งอแงเอาแต่ใจ แต่ก็รู้ว่าคงไม่ได้รับการเอาใจอย่างที่หวังหรอก
...คุณยะใจร้าย
“ของขวัญที่ส่งไปให้ชอบไหม ?”
...มีเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละที่ใจดี
“ชอบมากครับ” เจ้ากระต่ายหูยาวกลายเป็นตุ๊กตาตัวโปรดแทนตัวอื่นๆ ตัวมันใหญ่กว่าผมในวัยนั้นเกือบสองเท่า ตอนนี้มันนั่งอยู่ข้างๆ ผม ผมขยับไปดึงแขนเจ้ากระต่ายยักษ์มากอด ดึงใบหน้ามันให้ต่ำลงมา ก่อนจะ ‘จุ๊บ’ แก้มนุ่มนิ่มโชว์คนให้ บอกย้ำว่าผมชอบมันมาก รักกระต่ายหูยาวของคุณยะที่สุด
“ถ้ายังอยากได้ของขวัญวันเกิดจากคุณยะอีก ห้ามดื้อ ถ้าขืนยังดื้อ เอาแต่ใจตัวเองอยู่ละก็ ต่อไปจะไม่ได้อะไรจากคุณยะอีก”
หึ... ก็มีแค่ชิ้นเดียวที่ผมได้จากคุณยะ
“น้องพีไม่เห็นอยากได้!” ผมเผลอขึ้นเสียง “ตัวอะไรก็ไม่รู้น่าเกลียด” ว่าแล้วก็ผลักเจ้ากระต่ายยักษ์จนหงายหลังไปเลย สงสารมันเหมือนกันนะ
...เอาไว้ตอนหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่มีคุณยะเมื่อไร น้องพีจะขอโทษนะเจ้ากระต่ายยักษ์
“พี!” เสียงเข้มกระชากดุ จนผมสะดุ้ง โผเข้ากอดกอดคอคุณย่าทันที กอดแน่นด้วย “อย่าทำนิสัยเสีย!”
“ตายะ! แม่ให้ง้อลูก ไม่ใช่ให้ขู่ลูก หลานแม่กลัวจนตัวสั่นแล้วเห็นไหม” คุณย่าดุทันควัน ยกมือโอบกอดผมไว้ จูบขมับอย่างปลอบโยน เพราะผมกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น สาเหตุมาจากถูกกล่าวหาว่า ‘ดื้อและเอาแต่ใจ’ บวกกับตกใจเสียงเข้มดุของคุณยะด้วย
“คุณแม่ก็โอ๋หลานเกินไป” คุณยะว่า ผ่อนน้ำเสียงให้เบาลง
“น้องพีเป็นหลานของแม่ แม่เลี้ยงมากับมือ ไม่ให้รัก ไม่ให้โอ๋ได้ยังไงหะตายะ เราอยู่ใกล้นะแม่จะตีให้ตายเลย... โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลูก”
“ฮึก... น้องพีไม่ได้ดื้อ...ฮึก...น้องพีน่ารัก ทุกคนรักน้องพี”
...มีแต่คนตัวโตในจอเท่านั้นแหละที่ไม่รักน้องพี
“ใช่แล้วครับน้องพี น้องพีไม่ดื้อ น้องพีน่ารักที่สุดเลย พรุ่งนี้คุณย่าจะพาน้องพีไปซื้อรถบังคับคันใหญ่ๆ เลย ดีไหมครับ แต่น้องพีต้องหยุดร้องไห้ก่อนนะ” ถึงจะเสียใจที่ถูกคุณยะกล่าวหาและตะคอกใส่ แต่พอคุณย่าเอาของเล่นมาล่อ ผมก็รีบเก็บน้ำตานาทีนั้นเลย
“ฮึก...คันใหญ่ๆ เลยนะครับ” ผมคลายอ้อมแขนจากตัวคุณย่า เพื่อจะเอามือออกมากางทำท่าประกอบความใหญ่ของรถบังคับที่อยากได้ “เอาคันเท่านี้เลย น้องพีอยากได้คันเท่านี้” ...ถ้าได้รถบังคับคันใหญ่มาเมื่อไร จะเอามานอนกอดแทนเจ้ากระต่ายยักษ์เลย
“เดี๋ยวก็เสียเด็ก โตมาถ้าดื้อมากๆ ผมจะไม่ยุ่งด้วยแล้วนะครับ”
“ฮึ! ทำยังกับว่าทุกวันนี้เราสนใจหลานแม่นักนี่ ถ้าแม่รู้ว่าเราจะเป็นแบบนี้นะตายะ วันนั้นแม่ไม่ยอมให้เราพาหนู...พะ...”
“พอแล้วๆ คุณหญิง หลานโตแล้ว เดี๋ยวก็จำเอาไปคิดหรอก” เสียงคุณปู่ดังแทรกเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างคุณย่า
“ก็น่าโมโหนี่คะท่านนายพล ลูกชายท่านสร้างเรื่องไว้แท้ๆ ตอนแรกบอกจะดูแลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เอาเข้าจริง ดูสิคะ ไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดสักอย่างเดียว ดิฉันละอยากตีให้หลังลายนัก นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ดิฉันจะตีให้ร้องเป็นเด็กเลยเชียว” คุณย่าว่าอย่างมีอารมณ์
“เอาเถอะคุณหญิง เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แล้วดูตอนนี้สิ หลานคุณหญิงน่ารักน่าหลงแค่ไหน” คุณปู่พูดกับคุณย่า ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ “คนไหนเป็นหลานของปู่ครับ”
“น้องพีครับ” ถามมาแบบนี้ ผมในวัยเด็กก็เอาหน้าออกมาจากไหล่คุณย่า หันไปยิ้มทั้งน้ำตาเต็มแก้มยุ้ย ยกมือแสดงตัวว่าเป็นหลานของคุณปู่ท่านนายพลทันที
“หลานของปู่ขี้แยหรือเปล่า”
“ไม่ครับ น้องพีไม่ขี้แย” พูดแล้วก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแรงๆ “น้องพีเก่ง น้องพีกล้าหาญ น้องพีอดทน ใครชนห้ามล้ม ถ้าทำผิดต้องขอโทษ” สโลแกนของผมในวัยเด็กถูกเอ่ยออกมาด้วยความภูมิใจ ทุกวันนี้ยังจำได้อยู่เลย เป็นคำพูดในวัยเด็กที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ แม้แต่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มของคุณปู่ในวันนั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึก ไม่เคยลืม ยังคงคิดถึงท่านและรักท่านมากเหมือนเคย
“เมื่อกี้ปู่เห็นใครทำผิด ใช่น้องพีหรือเปล่าเอ่ย” มืออุ่นๆ ของคุณปู่ยกขึ้นมาวางบนศีรษะผมด้วยความปรานี
“ครับ” ผมพยักหน้า รู้ตัวว่าผิดที่ขึ้นเสียงใส่คุณยะ ผิดที่รังแกเจ้ากระต่ายตัวยักษ์ ครั้นเหลือบแลไปทางหน้าจอสี่เหลี่ยม ก็เห็นว่าคนในนั้นพิงแผ่นหลังไว้พนักโซฟา สองมือยกขึ้นกอดอก ท่าทางเหมือนรอคอยคำที่จะออกมาจากเด็กชายตัวน้อย
“เด็กดีต้องทำยังไงครับ” คุณปู่ถามยิ้มๆ แล้วอุ้มเอาตัวผมไปนั่งบนตัก เหมือนเป็นการบังคับให้ผมหันหน้าเข้าหาจอสี่เหลี่ยม ผมเลยหนีสายตาของคนตัวโตไปไม่ได้ และรู้ว่าตัวเองต้องเอ่ยคำไหนออกมา
“ขอโทษครับคุณยะ น้องพีผิดไปแล้ว” ผมยกมือไหว้ “ดีกันนะครับ” จากไหว้ก็เปลี่ยนเป็นยื่นนิ้วก้อยไปข้างหน้า สัญลักษณ์ของการง้อขอคืนดี อีกฝ่ายแค่มองเฉยๆ ไม่ได้ส่งนิ้วก้อยมาให้แต่อย่างใด ผมเลยค่อยๆ ลดมือลง เอามากุมไว้บนตัก
“ต่อไปอย่าทำอีก” น้ำเสียงคุณยะผ่อนความเข้มลง แต่ผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายโกรธผม
“ครับ” ผมพยักหน้าหงอยๆ หันไปซุกหน้ากับอกคุณปู่ ซ่อนความน้อยใจไว้อย่างนั้น คุณยะไม่เหมือนทุกคนในบ้านที่จะคอยเอาใจผม ตามใจผม ชมผมว่าน่ารัก ต่อให้ผมดื้อ เอาแต่ใจแค่ไหน ก็ไม่มีใครใช้น้ำเสียงเข้มดุอย่างคุณยะสักคน
...แต่ก็เพราะความ ‘ไม่เหมือน’ นี่แหละที่ทำให้ผมอยากเจอคุณยะเหลือเกิน นึกถึงมืออุ่นๆ ที่ลูบศีรษะผมแล้ว หัวใจมันอุ่นวาบไปหมด
“ตายะนี่ก็นะ ลูกง้อแล้วยังมาตั้งท่าดุ ต่อไปแม่จะไม่เอาหลานมาคุยด้วยแล้วนะ” คุณย่ายังบ่นต่อ แต่คำขู่ของคุณย่าเล่นเอาผมร้องเสียงหลงทันที ใจนี่หล่นไปตาตุ่มแล้ว กลัวไม่ได้นั่งมองคนตัวโตในจอสี่เหลี่ยมอีกต่อไป
“ไม่เอาๆ คุณย่าอย่านะ น้องพีจะคุย จะคุยๆๆๆ” ปากแบะไปแล้ว เตรียมจะปล่อยน้ำตาอีกรอบ คุณย่ารีบโอ๋ทันที
“โอ๋ๆ ย่าพูดเล่น ไม่ร้องนะลูก ย่าจะให้น้องพีคุยกับคุณยะทุกวันเลยดีไหม”
ผมพยักหน้ารัวเร็วด้วยความดีใจสุดๆ คิดว่าจะได้คุยกับคนที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศทุกวัน หัวใจก็ฟูแล้วฟูอีก แต่แล้วคำพูดของคนในจอก็ทำเอาความน้อยอกน้อยใจทับถมในหัวใจเด็กน้อยอีกจนได้
“ถามผมสักคำไหมครับคุณแม่ ว่าอยากคุยทุกวันหรือเปล่า”
คุณยะใจร้าย!
ใจร้ายที่สุด!!
ผมได้แต่คร่ำครวญในใจ
“โอ๊ย! แม่อยากเอาพัดฟาดเราให้หลังลายจริงๆ นะตายะ อยู่ใกล้แม่ละก็ เราโดนแน่” คุณย่าโวยเสียงแหลมปรี๊ด
ผมเห็นพัดในมือคุณย่ากระตุกแล้วกระตุกอีก นึกอยากตะโกนบอกคุณย่าไปว่า ‘ตีเลย เอาให้ร้องสะอึกสะอื้นเลยครับ’ แต่ก็ได้แค่คิด ไม่อยากให้คุณยะเจ็บ
“อย่าไปฟังคุณยะมากนะลูก คุณยะอิจฉาที่เห็นน้องพีได้อยู่กับคุณปู่คุณย่า ส่วนตัวเองต้องไปอยู่ไกลๆ อยู่คนเดียว ไม่มีใครคอยโอ๋เอาใจเหมือนน้องพี”
วัยนั้นผมไม่รู้หรอกว่าต่างประเทศไกลแค่ไหน แต่คงไกลกว่าการที่ป้าพิศนั่งรถไปซื้อของที่ตลาดแน่ๆ เพราะป้าพิศยังกลับมาทุกวัน แต่คนตัวโตที่ไปต่างประเทศไม่กลับมาสักที
ผมพยักหน้าอีกตามเคย และยังคงนั่งกอดคุณปู่ไว้เหมือนเป็นตัวเองเป็นลูกลิง จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป โดยที่คุณปู่เป็นฝ่ายเริ่มต้น
“รู้หรือยังเจ้ายะว่ากำหนดผ่าคลอดวันไหน”
“วันที่ยี่สิบสองเดือนหน้าครับคุณพ่อ”
“แม่เขาจะไม่เอาลูกจริงๆ แล้วใช่ไหม”
“ครับคุณพ่อ คลอดแล้วก็คงย้ายไปอยู่กับแฟนเขาเลย”
“นี่ก็อีกราย ไม่รักไม่ผูกพันกับลูกที่อุ้มท้องมาแปดเก้าเดือนเลยหรือไง แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ จิตใจทำด้วยอะไรกัน”
“โลกนี้มีอะไรให้เราไม่เข้าใจอีกหลายเรื่องนะคุณหญิง เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาโฟกัสที่เรื่องน่ายินดีดีกว่า ได้หลานทีเดียวสองคนเลย”
“น่ายินดีอยู่หรอกนะคะท่านนายพล แต่ดิฉันก็ไม่อยากเห็นหลานกำพร้า...”
“คุณหญิง... ไม่เอาน่า หลานฟังอยู่”
“ขอโทษค่ะท่านนายพล ดิฉันก็ลืมตัวไปหน่อย แต่ก็น่าโกรธจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
ผมเงียบฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน ได้ยินทุกคำพูดแต่ไม่เข้าใจทั้งหมด ในวัยนั้นผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ
“น้องพีครับ เดือนหน้าจะได้เห็นหน้าน้องชายฝาแฝดแล้วนะ ดีใจไหม”
“น้องชาย...ฝาแฝด คืออะไรครับคุณย่า”
ตอนนั้นผมรู้ว่า ‘น้องชาย’ คือเด็กที่มีอายุน้อยกว่าผม ส่วน ‘ฝาแฝด’ นั้น ผมยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร
ผมดึงสายตาจากใบหน้าคุณย่าไปมองคนในจอ แต่พอประสานสายตากันผมก็รีบเอามันกลับมาไว้ที่คุณย่าต่อ ...ใจสั่นอย่างไรบอกไม่ถูก
“ฝาแฝดคือเด็กสองคนที่หน้าตาเหมือนกัน” ผมขมวดคิ้ว ยังไม่เข้าใจเท่าไรนัก คุณย่าจึงอธิบายเพิ่ม “เหมือนมีน้องพีสองคนไงครับ คนที่หน้าตาเหมือนน้องพีทุกอย่าง” ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ มีผมสองคนอย่างนั้นเหรอ มันจะเหมือนตอนที่ผมส่องกระจกหรือเปล่า
“ท่านนายพลช่วยดิฉันอธิบายให้หลานฟังหน่อยสิคะ” เพราะคงเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจคำว่าฝาแฝด คุณย่าถึงกลับไปขอความช่วยเหลือจากคุณปู่
“เอาไว้เห็นของจริงเลยละกันนะน้องพี” คุณปู่ไม่ได้อธิบายแต่บอกให้ผมรอ
“ครับ” ผมก็รออย่างใจจดใจจ่อ
และแล้วก็ถึงวันที่ผมรู้ว่า ‘ฝาแฝด’ เป็นแบบไหน มันเริ่มจากวันแรกที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวในห่อผ้าสีฟ้ากับสีเขียว ตัวแดง ปากเล็กนิดเดียว มองไม่เห็นลูกตาด้วย เพราะเจ้าตัวจิ๋วเอาแต่นอนหลับในอ้อมแขนของคุณยะ แขนซ้าย แขนขวา... ภาพนั้นทำให้ผมตั้งคำถามว่า ผมเคยตัวเท่านี้มาก่อนใช่ไหม แล้วคุณยะก็เคยอุ้มผมแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
แต่ก็นั่นแหละ ภาพน้องชายฝาแฝดก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่หลังจากครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กที่เรียกว่าทารกในอ้อมแขนของคุณยะ มันก็มีครั้งต่อๆ ไป จากวันผ่านไปเป็นเดือนและผ่านไปเป็นปี น้องชายฝาแฝดเริ่มโต หน้าตาเปลี่ยนไปจากตอนเป็นทารก แต่ทั้งสองก็ยังมีใบหน้าที่เหมือนกัน รวมถึงขนาดตัว สีผิว และสีตา ผมเข้าใจแล้วว่า ‘ฝาแฝด’ คืนคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกัน เหมือนส่องกระจกนั่นแหละ
น้องชายฝาแฝดของผมชื่อทานตะวันกับถิร
‘ทานตะวัน’... คนพี่ คุณย่าตั้งชื่อให้
ส่วน ‘ถิร’... คนน้อง ก็นั่นแหละเป็นคุณปู่ตั้งให้
.
.
.
**ต่อด้านล่าง**