“นี่ครับ คุณวรุฒ” ชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดซาฟารี ยื่นถุงโลโก้สีเขียวสดใสซึ่งเป็นของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายใหญ่ ค่ายหนึ่งส่งให้วรุฒทันทีที่เปิดประตูห้อง
“อืม... ขอบคุณนะครับ แล้วรถที่ให้ไปรับมา โอเคไหม?” วรุฒรับถุงนั้นมาตรวจสอบของข้างใน พร้อมกับถามต่อ
“เรียบร้อยครับ ได้ตามที่ขอครับ ผมเช็คเรื่องเครื่องยนต์และเติมน้ำมันให้เต็มถังเรียบร้อยครับ” ชายวัยกลางคนตอบอย่างฉะฉาน
“อืม.... โอเค งั้นระหว่างผมจัดการกับสิ่งนี้ ผมวานน้าขับรถให้ผมก่อนได้ไหมครับ ผมว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่”
“ได้ครับ คุณวรุฒ”
“ไปกันได้แล้ว” วรุฒหันมาคุยกับชานนท์ที่นั่งฟังบทสนทนาอย่างสนใจ
“โอเคๆ” ชานนท์รีบลุกขึ้นและรวบรวมกระเป๋าทั้งหมดของเขาที่จะนำกลับบ้าน
“นายจะเอาของอะไรไปเยอะแยะเนี่ย! จะไปสี่วันหรือจะไปสี่ปี?”
“ของจำเป็นทั้งนั้น ใครจะเหมือนนาย กระเป๋าเป้แค่ใบเดียวเอาอะไรไปบ้างเนี่ย”
“ของเราน่ะ มีแต่ของจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ของไร้สาระเหมือนนาย”
“เขาเรียกว่าเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ต่างหาก”
“โอเคๆ ตามใจ” วรุฒรู้ว่าเถียงไปก็คงไม่ชนะ คนตัวเล็กที่แสนจะดื้อรั้นเกินขนาดตัวแบบนี้ ยิ่งช่วงหลังๆ วรุฒเริ่มอ่อนข้อให้ ชานนท์ก็แสดงความดื้อดึงออกมามากขึ้น ซึ่งวรุฒก็มองว่าน่ารักดี
ส่วนชานนท์ ตอนแรกที่เขาวางแผนกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเพียงคน เขาก็มีกระเป๋าใบใหญ่เพียงใบเดียว แต่ตอนนี้กลับงอกเพิ่มขึ้นมาอีกใบ เพราะมีคนคิดจะพาไปส่งถึงที่ เลยนำของที่อยากจะใช้ใส่ไปเที่ยวที่บ้านเกิดติดมือไปด้วย (พวกเสื้อผ้าที่วรุฒซื้อให้) เลือกไม่ได้ เวลาเลือกน้อยก็เลยเอาไปทั้งหมดเลย
ขณะที่ชานนท์กำลังถือสัมภาระที่น่าจะเกินตัวเขาออกจากประตู ชายวัยกลางคนๆ นั้นก็รีบเข้ามาช่วยเหลือโดยการคว้าทุกอย่างในมือชานนท์ไปอยู่บนมือเขาอย่างง่ายดาย
“ให้ผมช่วยนะครับ” ชายวัยกลางคนพูดกับขานนท์อย่างสุภาพ
“เอ่อ.... ไม่เป็นไรครับ” ชานนท์รีบปฏิเสธ และกลับไปคว้ากระเป๋ามาคืน
“ไม่เป็นไรหรอก!! ให้เขาช่วยเถอะ!!” วรุฒพูดสวนมาขณะเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเขาที่โต๊ะ
“ไม่เป็นไร” ชานนท์หันไปพูดด้วยสีหน้าเกรงใจ
“น้าเสิดครับช่วยเอากระเป๋าไปไว้ที่รถให้หน่อยครับ”
วรุฒพูดสวนขึ้นมาทั้งที่ชานนท์ยังพูดไม่จบประโยค
“ได้ครับ แล้ว กระเป๋าคุณวรุฒล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง ผมถือไปเองครับ”
“ได้ครับ” สิ้นประโยค น้าเสิดแกก็เดินก้าวเร็วไปจากหน้าประตูทันที
...........................
“เอ้านี่ เสร็จแล้ว” วรุฒยื่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจอใหญ่กว่าของที่พังไม่มีชิ้นดีของชานนท์ยื่นให้คนตัวเล็กอย่างภูมิใจ
“อะไร!!” ชานนท์ตอบด้วยท่าทีรำคาญผสมโกรธใส่อีกฝ่าย แต่ก็แอบทึ่งกับความคล่องแคล้วในการทำงานกับเทคโนโลยีขนาดนี้ด้วยความรวดเร็ว วรุฒพยายามกู้ข้อมูลในเครื่องสมาร์ตโฟนที่พังเป็นส่วนๆ ของชานนท์อยู่พักใหญ่ในที่สุดก็สามารถกูคืนข้อมูลทุกส่วนเข้าเครื่องใหม่ได้สำเร็จ
“รับไปเถอะ เราอุตส่าห์ให้น้าเสิดรีบไปหาซื้อเครื่องใหม่ให้ อันนี้รุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะ”
“ไม่ต้องการ”
“แล้วนายมีโทรศัพท์ใช้หรือไง? เดี๋ยวพอถึงบ้านแล้วนายจะติดต่อแม่ยังไง? เดานะ นายคงยังไม่ได้บอกแม่นายใช่ไหมว่าจะกลับ?”
“เอ่อ.....”
“รับไปเหอะน่า ถือว่าเราทำเครื่องนายพัง เราอยากชดใช้ให้”
“อ่ะ... ก็ได้ แต่เราไม่ได้เห็นแก่ของหรอกนะ!! และเรายังไม่หายโกรธนายเรื่องนี้ด้วย!!” ชานนท์รับมาถือไว้และทำเหมือนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่ก็แอบหยิบขึ้นมาเช็คทุกมุมอย่างละเอียด มือก็เล่นไปเล่นมาเลื่อนดูนู่นนี่ไม่หยุด
แม้จะพยายามแอบทำแต่ก็ไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของอีกฝ่ายได้ วรุฒแอบยิ้มกับความน่ารักของแฟนตัวเองอยู่ที่เบาะด้านหลังข้างๆตัวเอง
“นนท์” วรุฒเรียกอีกฝ่ายที่กำลังจัดการกับแอปพลิเคชั่นต่างในโทรศัพท์ใหม่ที่เพิ่งได้รับ
“อะไร!” ชานนท์รู้ตัวว่าเริ่มถูกอีกฝ่ายจ้องมองอยู่จึงรีบวางโทรศัพท์ลง
“อ่ะนี่ นายจะไม่ถามถึงพวก แอสแซสซอรี่ กับกล่องของโทรศัพท์หรือไง” วรุฒชูถุงสีเขียวอ่อนขึ้นสูงให้เห็นชัด
“เอ่อ.... ขอบใจ” ชานนท์รับมาอย่างเขินๆ
“เราชาร์จแบตเตอรี่สำรองให้แล้วนะครับ อย่าลืมชาร์จ ระวังอย่างเล่นจนแบตหมดตั้งแต่เริ่มใช้นะ”
“โอ..เค ขอบใจ” ตอนนี้ชานนท์รู้สึกเขินตัวเองจนไม่อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายที่เอาแต่จ้องเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีชัย ในที่สุดเขาก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้เหมือนเดิม เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคืนดีกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ชานนท์ก็มักจะมีหงุดหงิดใส่เขาเวลาเห็นโทรศัพท์ที่พังของตนเอง แม้การซื้อของใหม่ให้จะไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้น แต่การที่มีเครื่องใหม่พร้อมการกู้ข้อมูลเก่ามาให้ด้วยก็ทำให้แฟนตัวเล็กของเขาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
รถ SUV ขนาดใหญ่ ภายในโอ่อ่านั่งได้สะดวกสบาย ที่น้าเสิดขับมาให้จากบ้านของวรุฒ ถูกขับมาจอดอยู่ที่สถานจ่ายน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งริมถนนทางหลวงไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร
งั้นผมขอส่งคุณวรุฒถึงตรงนี้นะครับ คุณวรุฒแน่ใจนะครับว่าจะขับเองจริงๆ” น้าเสิดคนขับรถประจำบ้านของวรุฒเอ่ยถามเมื่อจอดรถในที่จอดสนิท
“ครับ ผมขอขับเองครับ น้ากลับบ้านเถอะ เผื่อคุณนายที่บ้านเรียกใช้ ผมอยากขับเองครับ” วรุฒพับเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและตอบกลับอย่างสุภาพ
“งั้น ผมขอตัวนะครับ” น้าเสิดพูดจบก็เดินลงจากรถไป
“เดี๋ยวนะ นายจะปล่อยให้น้าเขาลงตรงนี้แล้วจะกลับยังไง?”
ชานนท์ทักขึ้นด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวให้คนขับรถอีกคันมารับก็จบแล้ว น้าเสิดน่ะเป็นคนดูแลคนขับรถให้ที่บ้านนะ ไม่ลำบากหรอก”
“โห... บ้านนายมีคนขับรถกี่คนเนี่ย แล้วรถเนี่ยมีกี่คัน”
“คนขับก็ 4 มั้ง ส่วนรถก็.....” วรุฒทำท่านึก
“ไม่ต้องๆ แล้วไม่อยากรู้แล้ว” ชานนท์มีความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม เพราะเขาแค่ถามไปงั้นๆ ไม่คืดว่าวรุฒจะตอบกลับมาหน้าตาย หากมีคนอื่นฟังอยู่อาจจะมองว่าวรุฒอวดรวย แต่ความจริงเขาก็แค่ตอบตามความจริง
“ไป!! ไปกันเถอะ!!” วรุฒเอ่ยปากชวนพร้อมลงจากรถ
“ไปไหน?”
“แล้วนนท์จะไม่ไปนั่งเป็นเพื่อนเราข้างหน้าเหรอ? นายจะให้เราเป็นคนขับรถให้นายงั้นเหรอ?” วรุฒทำหน้ายียวนใส่คนตัวเล็ก
“แหม.... บอกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องประชดเลย” ชานนท์แอบค้อนใส่อีกฝ่ายและลงจากรถ
การเดินทางครั้งนี้วรุฒทำการบ้านมาอย่างดี ไม่ว่าจะผ่านถนนเส้นไหนที่มีสถานที่ควรแวะเขารู้มากกว่าขานนท์เสียอีก และวรุฒวางแผนว่าจะแวะทุกจุด จนกระทั้งชานนท์เอ่ยปากถามถึงกำหนดการทั้งหมดของวรุฒ เขาเซ้าซี้จนวรุฒยอมส่งอีเมลรายละเอียดทั้งหมดให้ ซึ่งทำให้ชานนทึ่งกับสิ่งที่อยู่หน้าจอมากกว่า 5 แผ่นกระดาษ จังหวัดที่เขาอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก แต่วรุฒสามารถทำรายการดังกล่าวมากมายเสียจนชานนท์คิดว่าเขาน่าจะถึงบ้านคงจะเป็นพรุ่งนี้ช่วงเย็นแน่ๆหากไปสถานที่เหล่านี้ครบ
“โอโห!! นายแน่ใจนะว่าจะไปให้ครบ!!”
“อืม.. ก็วางแผนไว้แบบนั้น” วรุฒตอบไปมองถนนไป
“นายจะบ้าเหรอไง! ขืนไปหมดนี่ คงไม่ถึงบ้านเราหรอก!!”
“งั้น...... นายก็เลือกให้หน่อยสิว่าจะไปไหนบ้าง จะได้ลดลง” วรุฒยิ้มขำกับอากัปกิริยาของคนด้านข้าง
“อืม..... โห..... เราไม่รู้จักตั้งหลายที่ เลือกไม่ถูกล่ะ”
“เอาน่า อยากไปตรงไหนก็ไป รีบเลือกหน่อย เอาอันที่ใกล้ๆ ก่อนด้วย เพราะตอนนี้เราเริ่มง่วงแล้วด้วย!” วรุฒทำท่าหาวให้ชานนท์เห็น
“สมน้ำหน้า เมื่อคือใครให้คึกคักขนาดนั้น!!”
“5555 ใครใช้ให้นายน่ารักล่ะ?” วรุฒหันกลับยิ้มให้ชานนท์ ยิ้มที่ทำให้ทุกคนละลายทันทีเมื่อหันมาเจอ แต่ยิ้มนี้หันมาให้เขาคนเดียว จนชานนท์รู้สึกเขินอายความหล่อเหลาของอีกฝ่าย
“โอ้ย ไม่คุยด้วยแล้ว!! เดี๋ยวสิ!!”
“อะไร?”
“ ก็นายเพิ่งจะแวะดื่มกาแฟ ไปเมื่อร้านคาเฟ่เมื่อกี้อยู่เลย นายจะง่วงอีกแล้วได้ยังไง นี่ยังขับมาไม่ถึงชั่วโมงเลย!!”
“ก็คนมันง่วง เรากลัวอุบัติเหตุนะ หรือนายจะมาเปลี่ยนกันขับ?”
“นายก็รู้ว่าเราขับไม่เป็น!”
“งั้นก็หาที่แวะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะถึง!”
“แล้วจะรีบไปไหน?”
“นายนี่มัน!!”
“อุตส่าห์ได้มาเที่ยวกันตามลำพังครั้งแรก ตามใจเราหน่อยสิ”
“ไม่อยากจะตามใจนายมากเกินไป นายโดนตามใจมาทั้งชีวิตแล้ว!!”
“โอเคๆ งั้นขอจับมือหน่อย... จะได้ไม่ง่วง”
“แล้วนายจะขับถนัดเรอะ? ขับมือเดียว?”
“สบาย!!” วรุฒตอบกลับอย่างมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ แต่ชานนท์ด้วยความที่อยากกลับถึงบ้านเร็วๆ จึงยอมทำแต่โดยดี เขายื่นมือไปหาอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายกุมไว้และวางบนตักของคนขับ ชานนท์เห็นอีกฝ่ายดีใจอย่างประหลาด สีหน้าแฝงความสุขจนเขาไม่อาจชักมือกลับได้ แม้จะเหมื่อยอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็ยังให้อีกฝ่ายกุมมือเขาไว้แน่น เหมือนมีไออุ่นและความรู้สึกบางอย่างจากคนตัวใหญ่ไหลเวียนเข้าไปในร่างกายเขาเช่นกัน ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างประหลาด เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลย แบบนี้เขาเรียกว่ารักหรือเปล่านะ? เขาเฝ้าถามกับตัวเอง
“ เดี๋ยวขับไปอีกครึ่งชั่วโมงค่อยแวะร้านนี้ก็ได้นะ” ชานนท์หยิบยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายเห็นหน้าจอที่เขาอ่านอยู่
“ทำไมถึงอยากจะแวะแล้วล่ะ?” อีกฝ่ายหนึ่งถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร อยากให้นายพักบ้างก็ดี เราเหมื่อยมือจะแย่แล้ว!” ชานนท์ตอบกลับอย่างขัดเขิน เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้สึกว่าเหตุผลที่วรุฒไม่อยากไปถึงที่หมายเร็วๆ เพราะต้องการอยู่กับเขาตามลำพังให้มากขึ้นเท่านั้นเอง และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้เข่นกัน
............
ผ่านการเดินทางแบบหยุดพักทุกๆ ตำบลที่แวะผ่าน ทำให้กว่าชานนท์จะถึงบ้านก็เกือบพลบค่ำ แสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ทำให้สีของท้องฟ้าเปลี่ยนไป ถนนทางเข้าบ้านของชานนท์มืดสลัวขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป แม้ชานนท์จะรู้สึกสนุกกับช่วงเวลาที่ผ่านมาของวันนี้ แต่ก็อดตื่นเต้นกับการได้พบกับแม่ตัวเองไม่ได้ ที่สำคัญวันนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว ชานนท์พยายามกำชับวรุฒหลายครั้งในเรื่องการพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขากับแม่ของตนเอง ทุกครั้งวรุฒก็พยักหน้าและตอบอย่างขอไปที ทำให้ชานนท์ไม่มั่นใจว่าวรุฒจะสามารถทำตามที่รับปากไว้ได้หรือไม่
“อย่าลืมนะ!!” ชานนท์พูดเสียงเข้ม
“เรื่องอะไร?” วรุฒตอบเสียงขุ่น เพราะทางเข้าบ้านของชานนท์ถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาต้องพยายามหลบหลุมเล็กหลุมใหญ่พัลวันไปหมด
“ก็เรื่องของพวกเรา อย่าได้หลุดปากไปเลยนะ เราจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน เข้าใจไหม?”
“เออๆ นี่พูดครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“ก็นายตอบแบบเนี้ย! ใครจะไปมั่นใจได้”
“ เรารู้กาละเทศะดีน่า ว่าแต่ถนนบ้านนายเนี่ยมันสุดยอดเลย!”
“โทษที เราพามาทางลัดน่ะ อีกนิดเดียวก็พ้นแล้ว!!”
“ให้มันจริงนะ ขับแบบนี้มาสิบนาทีแล้วเนี่ย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชานนท์หัวเราะกลบเกลื่อนไป
ถนนสายที่ชานนท์แนะนำให้เข้ามายาวต่อไปอีกประมาณห้านาที ก่อนที่จะเจอถนนตัดใหม่ที่สวย เรียบใหม่และสว่างกว่าเส้นทางที่ผ่านมามาก ชานนท์บอกทางต่ออีกสองสามโค้ง แล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ขับเข้าไปอีกระยะหนึ่งก็ถึงบ้านหลังหนึ่งที่เป็นไม้กึ่งปูน ลักษณะค่อนข้างเก่า สีไม้และสีขาวที่ทาบนส่วนผนังปูนต่างซีดไปตามกาลเวลา บ้านสองชั้นปลูกบนพื้นที่ขนาดไม่เกิน30 ตารางเมตร มีพื้นที่ที่เป็นสวนหย่อมเล็กๆโดยรอบ ไฟนีออนสีขาวอ่อนที่เปิดสลัวอยู่ที่หน้าและบริเวณประตูรั่วยิ่งทำให้บ้านดูเงียบสงัดและวังเวง รถของวรุฒมาหยุดอยู่ที่ประตูรั่วอย่างนิ่มนวล ไฟหน้าของรถ suv สาองสว่างเข้าไปในซอยที่มีแสงสลัวและลึกยาวเข้าไป แสงหน้ารถยังสว่างกว่าแสงที่รั่วหน้าบ้านของชานนท์เสียอีก หากเปรียบเทียบกับบ้านข้างเคียงทั้งสองข้าง บ้านหลังนี้ดูจะมีความแปลกแยกพอสมควรเลยเพราะสองหลังที่ขนาบข้างดูใหม่กว่า มีการซ่อมแซมต่อเดิมมากกว่า
“นายอยู่บ้านแบบเนี้ยน่ะเหรอ? เงียบจังมีใครอยู่ไหมเนี่ย” วรุฒก้มตัวมองลอดผ่านกระจกหน้ารถเข้าไปในตัวบ้าน
“ใช่ บ้านเราเอง อืม.... สงสัยแม่น่าจะอยู่ในบ้านแล้ว” ชานนท์เข้าใจสิ่งที่วรุฒพูด เขาคงไม่เคยอยู่บ้านมือสองซ่อมซ่ออย่างนี้ เขากับแม่ภูมิใจกับบ้านหลังนี้มาก บ้านที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของแม่ของเขา
“อยู่มานานแล้วเหรอ?” วรุฒถามต่อ
“เปล่า เพิ่งย้ายมาอยู่ช่วง ม.ปลายน่ะ” ชานนท์มองเข้าไปในบ้านอย่างสงสัยพร้อมหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขาขึ้นมากดโทรหาแม่ของเขา
เพียงไม่กี่เสียงสัญญาณรอสาย เสียงอีกปลายทางหนึ่งของสายก็รับทันที
“ว่าไงลูก? โทรมาเสียดึกเชียว?”
“แม่ครับ ผมอยู่หน้าบ้านแล้วครับ เปิดประตูให้หน่อยครับ”
“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ ทำไมจะมาไม่บอกกันล่วงหน้า และก็มาเสียดึกเชียว งั้นรอสักเดี๋ยวนะ” แล้วแม่ของชานนท์ก็วางสายไป
“ยังไม่สองทุ่มเลย เรียกว่าดึกแล้วเหรอ?” วรุฒที่ได้ยินบทสนทนาของแม่ลูกคู่นี้อดที่ถามไม่ได้
“แหม นี่มันต่างจังหวัดนะ สองทุ่มก็เข้าบ้านนอนกันหมดแล้ว!”
“อืม... งั้นเหรอ?” วรุฒตอบกลับแบบไม่เชื่อสิ่งที่ชานนท์พูด
เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากประตูรั่วที่ทำจากเหล็กเก่าๆ ที่มีสนิมขึ้นไปทั่ว หญิงวัยกลางคนรูปร่างบอบบางกำลังทำการเปิดประตูอยู่ เธอเปิดไว้เพียงช่องแคบๆ ที่เพียงพอให้เธอเดินออกมาได้ เธอเดินออกมายืนมองหาบางสิ่งบางอย่างและสงสัยถึงรถที่จอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าบ้านของเธอ
“เออ! จริงสิ ไม่ได้บอกแม่ว่า เรามากับนาย!” ชานนท์พูดจบก็รีบลงจากรถและรี่ไปหาผู้เป็นแม่ทันที
เมื่อหญิงผู้เป็นแม่เห็นลูกชายอันเป็นที่รักของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจและโผเข้ากอดอย่างโหยหา ชานนท์ก็รีบกอดเธอกลับอย่างไม่รีรอ
สองแม่ลูกพูดคุยกันพักหนึ่งก็มองมาที่รถของวรุฒ วรุฒจึงเปิดประตูรถลงไปทักทายผู้เป็นแม่ทันที แต่เพียงแค่เอ่ยคำสวัสดี ผู้เป็นแม่ก็รีบตอบรับ และชวนให้นำรถไปจอดภายในบ้านก่อนทันที
ภายในรั่วบ้านมีพื้นที่สำหรับจอดรถภายในบ้านสำหรับสองคันพร้อมหลังคาบังแดดฝน แม้มันจะไม่ได้สวยหรูใหญ่โตแต่ก็สะอาดสะอ้านดี
“สวัสดีครับแม่” วรุฒรีบลงไปทักทายแม่ของคนตัวเล็กอย่างเป็นทางการทันที ตอนนี้วรุฒได้เห็นแม่ของชานนท์ชัดเจนขึ้นในระยะประชิดและแสงไฟหน้าบ้านที่สว่างกว่าตอนแรกมาก เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างบอบบาง ร่างเล็ก เป็นคนที่ยังดูแลรูปร่างตัวเองดีอยู่แม้จะมีใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าและริ้วรอยของวัยปรากฎขึ้นหลายแห่ง หลังจากดูในระยะนี้แม่ของชานนท์ก็ยังดูสาวและสวยมากๆ คนหนึ่ง วรุฒเข้าใจเลยว่า หน้าสวยหวานของชานนท์ได้มาจากใคร
“ไหว้พระเถอะลูก” คนเป็นแม่พูดจบก็พินิจเพื่อนของลูกอย่างละเอียด
“เพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน พักอยู่ห้องเดียวด้วยครับ บังเอิญว่าอยากมาเที่ยวต่างจังหวัดครับเลยขอมาพักด้วยครับ” ชานนท์รีบขยาย
“อืม...” คนเป็นแม่ทำท่านึกอะไรในใจ
“อะไรแม่?” ชานนท์เริ่มรู้สึกร้อนรนในใจ
“หน้าตาดี ดูจากรถก็น่าจะฐานะดี ไม่ได้เป็นดาราใช่ไหมเรา? หน้าคุ้นมากเลย” คนเป็นแม่ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ได้เป็นครับ ไม่คิดจะเป็นด้วยครับ สงสัยผมหน้าโหลมั้งครับ” วรุฒตอบกลับอย่างร่าเริง
“แม่ว่า หน้าอย่างนี้ไม่น่าโหลนะ หล่อขนาดนี้ แม่ว่าแม่คุ้นมาก แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเราที่ไหน?” คนเป็นแม่มีท่าทางสงสัยจริงจัง
“เพื่อนผมมันคงหล่อเหมือนดารามั้งแม่ดูละครเยอะไปมั้ง แม่อย่าไปถามเซ้าซี้เลย เข้าบ้านกันเถอะ” ชานนท์พยายามตัดบท
“แม่ไม่อยากให้เราสองคนคบกันเป็นเพื่อนสนิทเลย” คนเป็นแม่ทำหน้าจริงจัง
“อ้าวทำไมล่ะ” ชานนท์ถามกลับอย่างตกใจ ในขณะเดียวกันกับที่วรุฒก็ทำท่าตกใจไม่แพ้กันเพราะยังไม่ทันจะเข้าประตูบ้านก็ถูกแม่อีกฝ่ายกีดกันเสียแล้ว หรือว่าแม่ของชานนท์จะเป็นหมอดูหรือมีญาณวิเศษ!
“ก็คบเพื่อนหน้าตาดีขนาดนี้แล้วลูกของแม่จะมีสาวที่ไหนมาสนใจล่ะเนี่ย?” คนเป็นแม่ยิ้มหวานและหยิกแก้มลูกชายอย่างหยอกล้อ
“แม่น่ะ!! ขอบเล่นมุกแบบนี้อีกแล้ว บอกกี่ทีแล้วว่าผมไม่ขำด้วยนะ” ชานนท์มีอาการงอนกับคนเป็นแม่เล็กน้อย ส่วนวรุฒได้แต่อมยิ้มเพราะคำพูดของคนเป็นแม่ เนื่องจากต่อให้มีสาวมาสนใจวรุฒจริงๆ เขาคงไม่ยอมให้ผ่านเขาไปได้แน่นอน เพราะเขาเป็นเจ้าของนนท์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“โอเคๆ เข้าบ้านกันลูก รุฒจ๊ะมีกระเป๋าข้าวของอะไรไหม จะได้ให้นนท์ไปช่วยขนลงมา” คนเป็นแม่ชวนลูกตนเองและเลยไปมองเพื่อนอย่างวรุฒที่สะพายกระเป๋าเป้แค่ใบเดียวยืนเก้ๆกังๆ อยู่
“มีแค่นี้เอง ผมถือไหวครับ”
“แม่จะไปถามเขาทำไม? ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ เขาสิควรจะช่วยผม” ชานนท์บ่นอุบอิบ ส่วนวรุฒเองก็เดินไปชานนท์หยิบกระเป๋าของชานนท์ออกจากท้ายรถ
“เป็นลูกผู้ชายทำไมขี้บ่นขนาดนี้นะ” คนเป็นแม่ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยยกให้ ไหนๆ ก็ต้องมารบกวนนอนบ้านคุณแม่ด้วย”
“รูปหล่อแล้วยังน่ารัก แบบนี้ลูกแม่คงยิ่งไม่มีใครสนใจเลยสิเนี่ย” คุณแม่กล่าวอย่างอารมณ์ดี
“โห... สร้างภาพล่ะสิ!!” ชานนท์มองคนส่วนสูงอย่างขุ่นเคือง
“อ่ะๆ แม่ไม่แกล้งแล้ว กินข้าวกินปลามาหรือยัง? ให้แม่ทำอะไรให้กินไหม? ดึกป่านนี้แล้วคงหาร้านอาหารกินยากแล้วนะ” คนเป็นแม่ยิ้มกับลูกชายตนเองอย่างหยอกเย้า และเดินนำทั้งสองเข้าประตูบ้านไป
“กินมาแล้วครับแม่” ชานนท์กลับไปทันทีพร้อมจับท้องตนเองที่แน่นไปหมดเพราะระหว่างเดินทางมานี้ยังไม่ได้หยุดกินเลย
“ถึงแม้จะคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่แต่ไว้พรุ่งนี้ดีกว่าครับจะกินให้เต็มคราบเลย!!” ชานนท์รีบกล่าวแทรกทันทีที่เห็นสีหน้าผิดหวังของแม่ตนเอง แม่เขาเป็นคนชอบทำอาหารมาก และภูมิใจกับฝีมือตนเองมากๆด้วย การที่ลูกชายตนเองกินอาหารที่ตนเองทำจนแกลี้ยงเป็นความสุขของผู้เป็นแม่อย่างมาก มันเป็นที่มาของกระเพราะมหัศจรรย์ของชานนท์ โชคดีของชานนท์ที่เป็นคนเผาผลาญดี ไม่อย่างนั้นคงอ้วนกลมไปแล้ว
“งั้นเดี๋ยวลูกๆ นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวแม่ไปเตรียมห้องให้ทั้งสองคนให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวผมไปทำเอง” ชานนท์อาสา
“ห้องลูกน่ะ ไม่เท่าไหร่ เพราะแม่ทำความสะอาดให้เรื่อยๆ แต่ห้องรับรองแขกน่ะ ยังไม่ได้ทำเลย”
“ผมนอนห้องเดียวกับนนท์ได้ครับแม่ แม่ไม่ต้องลำบากหรอกครับ” วรุฒพูดแทรกอย่างสุภาพ ส่วนชานนท์นอกจากจะแปลกใจกับวิธีการพูดของวรุฒแล้ว ยังรู้ถึงความคิดของวรุฒอีกด้วย ความคิดทะลึ่งๆ ในหัวของคนตัวสูง
“ได้ยังไง เตียงเล็กนิดเดียวจะให้ผู้ชายสองคนเบียดกันนอนได้ยังไง?!?” แม่ตอบอย่างไม่เห็นด้วย
“ใช่ๆ” ชานนท์เสริม จนวรุฒมองด้วยหางตาดุใส่
“ดึกแล้วครับไม่เป็นไร หาอะไรปูพื้นให้ผมนอนก็ได้ครับ”
วรุฒไม่ยอมแพ้
“แม่จะให้แขกมานอนพื้นแข็งๆได้ยังไงล่ะ แม่ไปเตรียมเดี๋ยวเดียวเอง!” แม่ยื่นคำขาด
“จริงๆ ครับแม่ ผมเกรงใจ แม่อย่าลำบากเลย ผมนอนง่ายๆ แค่นี้เองสบายมาก” วรุฒยืนยันเสียงแข็ง
ส่วนชานนท์ได้ทำหน้าเหลือเชื่อตอบกลับไปยังวรุฒที่ยังคงทำหน้าสุภาพน่ารักใส่แม่ของตนเอง ชานนท์รู้ดีว่าเหตุผลเดียวที่วรุฒอยากมานอนห้องเดียวกับตน มีแค่เหตุผลหื่นๆ แค่อย่างเดียวเท่านั้น!
“อ่ะก็ได้จ๊ะ เดี๋ยวนนท์ไปช่วยแม่ขนที่นอนสำรองจากห้องนอนแขกมาให้เพื่อนที่ห้องด้วยนะ” แม่หันมาหาชานนท์และถอนหายใจ
“ครับ...” ชานนท์ถลึงตาใส่วรุฒที่ยิ้มทะเล้นลับหลังแม่ของเขา ‘โธ่.... ไอ้คนขี้หื่น!!’ ชานนท์ด่าคนตัวใหญ่ในใจ
ภายในห้องชานนท์ตกแต่งแบบเรียบง่าย ห้องสีฟ้าซีดขนาน 5 คูณ 3 เมตร มีเฟอร์นิเจอร์กึ่งเก่ากึ่งใหม่วางอยู่ที่มุมหนึ่ง และมีเฟอร์นิเจอร์อื่นๆที่มีลักษณะตกแต่งเหมือนห้องพักรายวันระดับสามดาวทั่วไป มีรูปชานนท์แขวนอยู่ในห้องเรียงรายมากกว่าสิบรูป คล้ายๆกับการที่วรุฒได้มองเห็นการเติบโตในช่วงวัยต่างๆ ของวรุฒ ผ่านผนังห้องๆนี้
“ห้องเราก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ย้ายมาแล้วล่ะ เฟอร์นิเจอร์นี่ของดั่งเดิมเลย น่ากลัวไหม?” ชานนท์เดินขนที่นอนสำรองเข้ามาให้ห้องขณะที่วรุฒกำลังสำรวจห้องของเขา
“ไอ้เด็กแว่นหนา ผอมๆ น่าเกลียดนี่ใคร?” วรุฒชี้ไปที่รูปๆหนึ่งที่แขวนบนผนัง
“นายถามแบบนี้เพื่ออะไรน่ะ นายก็รู้ว่านี่ห้องเรา มันจะเป็นรูปใครไปได้?!?” ชานนท์โยนสิ่งที่ตัวเองโอบอยู่ลงกับพื้นอย่างจงใจ ใบหน้าแสดงความไม่พอใจกับคำถาม
“เราล้อเล่น จะว่าไป นายเนี่ยพัฒนาการมาไกลเหมือนกันนะเนี่ย?” วรุฒเดินเข้าไกลและขยี้ศรีษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เออ! เรามันน่าเกลียด!!” ชานนท์พูดอย่างน้อยใจ และเดินปึงปังไปเก็บข้าวห้อง เขาแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าตัวเองทำไมต้องทำกิริยาแบบนั้นออกไป
“โอ๋ๆ อย่านอยสิ ความจริงนายหน้าเหมือนแม่มากนะ แม่นายน่ะเราว่าสมัยสาวๆ เนี่ยคงฮอตน่าดู ขนาดอายุขนาดนี้แล้วยังดูสวยสะกดอยู่เลย!” วรุฒมองไปที่ภาพบนผนังที่วรุฒวัยเด็กถ่ายกับคุณแม่สมัยสาวๆ
“ไอ้บ้า นี่นายกำลังพูดถึงแม่เรานะ อย่าทำน้ำเสียงแบบนั้นสิ!!”
“เฮ้ยๆ ล้อเล่นน่า แต่เราจะบอกว่านาย หน้าตาน่ารักอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่รู้จักดูแลตัวเองเท่านั้นเอง!!”
“โอเคๆ พอเถอะ เราเหนื่อยแล้ว นอนเถอะ” ชานนท์พูดจบก็รีบจัดที่นอนให้คุณชายทันที
“ทำอะไรน่ะ?” วรุฒถามแบบกวนบาทา
“ก็ปูที่นอนให้นายไง!!”
“ใครบอกจะนอนตรงนี้ เราจะนอนตรงนั้น” วรุฒชร้ไปที่ที่นอนสำรองเสร็จก็ย้ายไปชี้ที่เตียงเดี่ยวของชานนท์
“นายจะบ้าเรอะ!! ที่นี่มันบ้านเรานะ แม่ก็นอนอยู่ห้องข้างๆ!” ชานนท์พูดลดเสียงลงจนเหมือนเสียงกระซิบ
“แล้วนายใจร้ายให้เรานอนพื้นๆ จริงๆ หรือ?” วรุฒก็ทำเลียนแบบอีกฝ่ายจนน่าหมั่นไส้
“ก็นายบอกว่าได้!”
“ก็เราอยากนอนกับนาย”
“ไม่เอาโว้ย เดี๋ยวนายหื่น เราไม่ทำแบบนั้นในบ้านแม่!!”
“โอเค! เราไม่ทำหรอก!!”
“ใครจะไปเชื่อนายวะ!! พูดแบบนี้กี่ครั้งแล้ว!!”
“เชื่อเราเถอะ เราคงไม่บ้าขนาดทำอะไรในขณะที่แม่นายนอนอยู่ห้องข้างๆ หรอก!!”
“ให้มันจริง!! จะบอกอะไรให้นะ ผนังที่นี่บางมาก เราทำปากกาตกแม่ยังได้ยินเลย!!”
“โห.... งั้นนายช่วยตัวเองยังไง?”
“ยังอีกยังจะทะเล้นอีก”
“โอเคๆ งั้นตกลงใช่ป่าว”
“เออๆ นอนข้างบนเตียงด้วยกันก็ได้!!”
“เย้!!!”
“ชู่วววว เสียงดังทำไม?”
“เอ่อ.... ขอโทษครับ”
“งั้นเราไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ไปด้วยสิ!”
“นั่นไง ยังไม่ทันไรก็เอาเสียแล้ว!!”
“เรื่องมากจริง!!” วรุฒตีสีหน้าไม่พอใจ
“อยู่ที่นี่ห้ามเรื่องอย่างว่า.!!!!”
“ฆ่ากันเลยเถอะ!”
“อดทนหน่อยนะ เรายังไม่พร้อมที่จะบอกแม่เรื่องของเรา อย่าให้แม่รู้เรื่องด้วยวิธีการแบบนี้เลยนะ!!”
“เออๆ ก็ได้”
สิ้นสุดการสนทนาแบบกระซิบกระซาบ ทั้งสองคนแยกกันอาบน้ำและต่างมานอนในเตียงฟากของตนเองที่ชานนท์จัดพื้นที่ไว้ให้ แต่เมื่อกลางดึกชานนท์ก็ถูกปลุกด้วยอาการขยับไปมาของคนที่นอนอยู่ด้านข้าง เตียงเล็กทำให้รู้สึกถึงอาการนอนไม่หลับของอีกฝ่ายได้ทันที
“เป็นไร? นอนไม่หลับ?” เสียงงัวเงียของชานนท์ทักอีกฝ่ายที่นอนพลิกไปมาหลายรอบ
“อืม..... แปลกที่แปลกเตียงมั้ง”
“ดื่มนมอุ่นๆ ไหม เดี๋ยวเราลงไปทำให้ แม่ทำให้เราดื่มบ่อยเวลานอนไม่หลับ”
“ไม่ล่ะ...... อยาก..... อย่างอื่นมากกว่า น่าจะทำให้หลับเหมือนกัน”
“อะไร? .... หรือว่า.... ไม่นะ”
“เมียจ๋า ผัวนอนไม่หลับ ช่วยผัวหน่อยนะ” วรุฒขยับตัวเข้ากอดอีกฝ่ายแนบชิดจากทางด้านข้าง ชานนท์รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวใต้ร่มผ้า
“ไม่เอา!!”
“น่านะ”
“เฮ้อ.... กอดอย่างเดียวได้ไหม?”
“ก็ทำอยู่เนี่ย แต่ยังไม่ง่วงเลย”
“โอ้ย!! งั้นก็ไม่ต้องนอน”
“นะนะ”วรุฒตื้อเก่งขึ้นเรื่อยๆ
“กอดอย่างเดียวห้ามทำอย่างอื่น!!”
“อ่ะจ๊ะ” วรุฒกระชับวงแขนให้แนบแน่นขึ้น ทำใหชานนท์ได้รับไออุ่นจากอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับอวัยวะของวรุฒก็บดเบียดร่างกายของชานนท์แทบจะทุกส่วนจนเขาเผลอใจเต้นแรง แต่เขาก็ต้องคุมสติตนเองให้อยู่ ตอนนี้กลายเป็นว่าเขานี่แหละที่นอนไม่หลับเสียเอง
..................