บทที่ 15
Behind those walls
เสียงเพลงแบบฟังสบายๆ ขับกล่อมอย่างแผ่วเบาในรถมินิคูเปอร์ที่ขับเสมือนอยู่ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน มันช่างเป็นอะไรที่ย้อนแย้ง สีหน้าที่ราบเรียบของคนขับกับการขยับพวงมาลัยไปมาจนแทบจะรู้สึกว่าล้อรถข้างใดข้างหนึ่งยกลอยพ้นพื้นถนนทุกครั้งที่หักเลี้ยว
“ทำไมนาย มนุษย์สัมพันธ์ดีขนาดนี้วะ?!” ประโยคหนึ่งหลุดออกมาหลังจากที่คนขับรถตัวสูงจนเกือบถึงเพดานรถพูดขึ้นประสานกับเสียงเพลงที่ขับกล่อมจนแทบเคลิ้มหลับ
“อืม...... ก็เปล่านี่!! เราแทบไม่ได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ” ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจคำถามเสียเท่าไหร่
“จำเป็นไหมว่าต้องพูดดี ทำดีกับมันด้วย! จำไม่ได้รึไงว่ามันจะทำอะไรนาย!” วรุฒชะลอความเร็วลงนิดหน่อยเหมือนว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว
“แต่... เขาไม่ได้ทำนี่ แล้วเขาก็ขอโทษแล้วด้วย”
“นายนี่มัน...... เป็นคนดีเกินไปแล้ว!! นายไม่จำเป็นต้องดีกับทุกคนก็ได้นะ!!”
“แล้วจะให้เราทำแบบนายน่ะเหรอ? เราทำให้คนเกลียดไม่ค่อยเป็นซะด้วย!!”
“แปลว่า ...... เราทำให้นายเกลียดงั้นเรอะ?”
“ก็...... เคยนะ.... แต่ตอนนี้.....” พอชานนท์พูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจเต้นตึกตักจนแทบหายใจไม่ออก
“ตอนนี้ทำไม?” วรุฒขึ้นเสียงเล็กน้อยเพื่อเร่งขอคำตอบ
“ก็.......เกลียดน้อยลงน่ะ” ชานนท์รู้สึกหมั่นไส้เลยตอบกลับไปแบบนี้ วรุฒแอบมีรอยยิ้มที่มุมปากเพราะคำว่าเกลียดจากปากคนตัวเล็กมันช่างไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย
“งั้นที่ผ่านมา.... เรา.... ขอโทษก็แล้วกัน” วรุฒพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่ละสายตาจากถนน
“............” ชานนท์ไม่สามารถคิดหาประโยคใดมาโต้ตอบคำพูดนี้ได้เพราะไม่คิดว่าวรุฒจะตอบคำนี้ออกมา เป็นคนที่เดาอารมณ์ไม่เคยออกเลยจริงๆ
“ทำไมเงียบไป!” คนตัวสูงหันมาพูดเหมือนขอการตอบสนองของชานนท์และมองอากัปกิริยาของชานนท์
“อืม” สายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งทำให้ชานนท์ได้เแต่ตอบในลำคอ แต่ก็สร้างรอยยิ้มที่มุมปากอีกครั้งแก่คนขับรถได้จนแทบไม่ทันสังเกต มันเหมือนภาพลวงตาที่ปรากฎเพียงชั่วครู่ก็หายไป
หลังจากที่อยู่ในความเงียบมาพักใหญหลังจากประโยคนั่น รถของพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย
“มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?” ชานนท์เอ่ยประโยคคำถามขึ้นหลังจากร่างกายโผล่พ้นออกจากรถ
“เออน่าตามมา เดี๋ยวก็รู้!”
โครก..........
เสียงท้องของชานนท์โวยวายเนื่องจากขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงตั้งแต่เข้า
“อืม.... นั่นสิ ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นะ” วรุฒเอ่ยขึ้นหลังจากหยุดฟังเสียงโครกครากจบจบ
“.............” ชานนท์รู้สึกอายที่ร่างกายส่งเสียงคำรามต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะไอ้ขี้เก็กสุดหล่อตรงหน้า
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนนะ!” วรุฒพูดจบก็เดินนำหน้าไปเร็วรี่ จนลืมไปว่าด้วยสมรรถนะของชานนท์ตอนนี้คงเดินตามการก้าวเท้ากว้างของคนตัวสูงไม่ทันแน่ กว่าจะรู้ตัวว่าเดินนำมาไกลโข วรุฒก็เดินห่างจากชานนท์ที่ค่อยๆเดินอย่างช้าๆ ไปหลายก้าวจนวรุฒมองเห็นชานนท์ตัวเล็กลงกว่าเดิมเสียอีก
“ช้าจริง!!” วรุฒที่หยุดยืนรอคนตัวเล็กจรเดินมาในระยะเอื้อมมือพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“เพราะใครล่ะ เรายังเจ็บอยู่เลยนะ”
“หึ.....” เสียงหัวเราะในลำคอของคนตัวสูงบวกกับรอยหยักที่มุมปากที่ยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้ม เสมือนศิลปินแสดงความพึงใจกับผลงานตัวเอง จนทำให้ชานนท์แอบสบถด่าในใจ
“มานี่” วรุฒก้าวไปคว้ามือข้างหนึ่งของชานนท์และฉุดรั้งอีกฝ่ายไปข้างหน้า ทำให้ชานนท์เดินเร็วขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ชานนท์พยายามสะบัดและคลายมือจากอีกฝ่ายแต่ก็ทำไม่สำเร็จได้แต่ถูกลากไปเรื่อย โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะอายไม่น้อย ชานนท์หลังจากรู้ว่าความพยายามของเขาเปล่าประโยชน์จึงได้ก้มหน้าเดินตามฝีก้าวข้างหน้าให้ทันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้การเดินแต่ครั้งจะเจ็บแปลบที่แผลก็ตาม
แม้คนตัวสูงจะบีบจับแน่นหนาด้วยมือหยาบใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้ชานนท์รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว มันเป็นการจับเหมือนเด็กที่กลัวของเล่นจะลื่นหลุดมือ ทุกครั้งที่เขาปล่อยแรงตามกำลังขาของคนข้างหน้า วรุฒก็จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อมี่มือให้จับกับแบบสบายๆ แต่หากเขาพยายามจะสะบัดดิ้นให้หลุดอีกฝ่ายก็จะกำแน่นเสียจนเจ็บขึ้นมา ทุกครั้งที่ชานนท์แอบร้องเพราะกระทบกระเทือนแผล วรุฒก็จะพยายามชะลอฝีเท้าจนชานนท์รู้ดีขึ้น ต่อมาสักพักก็จะเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีก พอชานนท์โอดร้องเขาก็จะชะลอลงอีก เป็นแบบนี้สลับไป
“กินอะไร?” วรุฒหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันจนชานนท์แทบจะเดินเข้าไปชนอีกฝ่าย
“อะไรก็ได้”
“..........” วรุฒมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอือมๆ “จะกินอะไร?” วรุฒถามเขาอีกครั้ง
“อืม.....” ตามสัญชาตญาณ เขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่าอาการของคนตัวสูงต้องการให้เขาเลือก เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ว่า พอให้วรุฒเลือกแล้วชานนท์ไม่ชอบ วรุฒก็จะรู้สึกหงุดหงิดทันที
“งั้นเอาร้านนี้!” ชานนท์เรื่องร้านอาหารอิสานที่มีสีสันในร้านที่จัดจ้านและภายในร้านประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบโบราณ วรุฒมีอาการตกใจเล็กน้อยทางสีหน้าแต่ก็พยักหน้าแต่โดยดี
.....................
หลังจากที่ชานนท์รู้สึกสะใจกับการนั่งมองวรุฒเขี่ยนอาหารในจานโน่นนี่ไปมาทั้งส้มตำ ลาบหมูและสารพัดอาหารอีสานทั้งต้ม ปิ้ง ย่าง ซึ่งในแต่ละจานชานนท์สั่งมาแบบไม่เกรงใจคนที่มาด้วยเลย เขารู้ว่าวรุฒไม่ถนัดกับการกินอาหารรสจัด เขาเลยจัดเมนูรสแซ่บชนิดแค่เห็นสีแดงในจานก็รู้สึกเผ็ดฉุนขึ้นจมูกเสียแล้ว
ระหว่างการกินอาหารชานนท์ตักโน่นนี่ให้วรุฒตลอด ส่วนวรุฒก็รับไว้ด้วยอาการเก้ๆกังๆ อาหารปิ้งย่างดูจะไม่เป็นปัญหา วรุฒสามารถจัดการมันพร้อมข้างเหนียวเข้าปากได้อย่างดูชำนิชำนาญ ชานนท์เผลอคิดว่าไอ้คุณชายจะไม่เคยกินของอะไรพวกนี้ แต่กลับกินได้อย่างคุ้นเคย ระหว่างเคี้ยววรุฒมีสีหน้าเหมือนยิ้มเยาะคนที่พาเขาเข้ามาที่ร้านอาการสไตล์นี้
แต่การเข้าร้านแบบนี้ก็ไม่ทำให้ชานนท์ผิดหวังไปเสียทีเดียวเมื่อเขาช้อนบรรดาอาหารจานเผ็ดให้วรุฒได้ชิมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่น่ารักใสซื่อ วรุฒได้แต่เขี่ยอาหารพวกนั้นไปจนสีหน้าบ่งบอกถึงเรื่องกลืนไม่เจ้าคายไม่ออกขึ้นมา แต่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชานนท์แปลกใจเพราะเขาคิดว่าวรุฒจะต้องหงุดหงิดและปฏิเสธแน่นอน วรุฒกลับพยายามตักอาหารที่ชานนท์ตักให้เหล่านั้นเข้าปากพร้อมเคี้ยวกรุบกร๊วบด้วยสีหน้าที่ดูกึ่งพอใจกึ่งทรมาน จนช่วงท้ายของการกินข้าวมื้อนี้ทำให้ชานนท์อดสงสารคนหน้าแดงและสูดลมหายใจเข้าออกทางปากอย่างหอบถี่ตรงหน้าไม่ได้
“เผ็ดก็ไม่เห็นต้องกินทุกคำที่ตักให้ก็ได้ไหมเนี่ย? ทำไมไม่ปฏิเสธ!” ชานนท์ทักขึ้นจากการเห็นวรุฒดื่มน้ำเย็นในแก้วจนหมดในครั้งเดียว
“พอใจหรือยังล่ะ?”
“หา??”
“หายกันแล้วนะ”
“พูดอะไรของนาย”
“ก็..... เราแกล้งนายไว้เยอะ.... ก็เลยปล่อยให้นายแกล้งเราคืนบ้าง”
“ไอ้บ้าเอ้ย!! เราไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นเสียหน่อย!! เรื่องที่นายทำร้ายเราก่อนหน้านี้ เราลืมไปหมดแล้ว ไม่ได้เก็บเอาแค้นฝังใจอะไรขนาดนั้นหรอก!”
“เราก็รู้อยู่แล้ว ว่านายเป็นคนแบบนี้....แค่อยากทดสอบดูนิดหน่อย”
“ทดสอบ???”
“ไม่มีอะไรหรอก! ... ความจริงเราเห็นนายกินน่าอร่อยดี และพอนายตักให้ก็เลยลองกินดูเสียหน่อย”
“แล้วเป็นไงล่ะ?”
“ก็โคตรเผ็ดเลยไง นายกินของแบบนี้เข้าไปได้ไงเนี่ย ไม่ท้องเสียบ้างหรือไง?”
“ไม่นะ ก็กินแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เคยท้องเสียเลย รสชาติแบบนี้สิดี มันคือรสชาติของชีวิต ดีกว่าไอ้ของแพงๆ เลี่ยนๆ มันๆ ที่นายแนะนำให้กินคืนนั้นตั้งเยอะ”
“ไอ้คืนนี้นที่ว่าเนี่ย....หมายถึง อาหารหารหรือ.... อย่างอื่น?”
“ไอ้.... ไอ้บ้า!!!” ชานนท์รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรเลยทำได้แต่เกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายไปด้วยหน้าที่ร้อนผ่าวไปหมด แม้สมองจะพยายามจะลืม แต่จิตใต้สำนึกกลับผุดภาพในคืนนั้นขึ้นมาเสียหลายฉาก ทั้งกลิ่นและรสสัมผัสมันยังรู้สึกว่ามันยังอยู่ในตัวเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า....” วรุฒหัวเราะสะใจด้วยใบหน้าที่จริงใจ ชานนท์เพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายขนาดนี้ เหมือนกำแพงที่วรุฒเคยตั้งไว้เสียดฟ้าค่อยๆ ทลายลงมาทีละนิดจนเขาทั้งสองดูสนิทกันมากขึ้น
................