Love tangled รักยุ่งเหยิงของคุณชายขาโหด (บทที่1 - 30 (จบ) +ตอนพิเศษ-จบ/ 13 ก.ค. 63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love tangled รักยุ่งเหยิงของคุณชายขาโหด (บทที่1 - 30 (จบ) +ตอนพิเศษ-จบ/ 13 ก.ค. 63  (อ่าน 62247 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
วรุตมีคู่แข่งแล้วสิเนี่ย :hao7:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทที่ 15

Behind those walls



เสียงเพลงแบบฟังสบายๆ ขับกล่อมอย่างแผ่วเบาในรถมินิคูเปอร์ที่ขับเสมือนอยู่ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน มันช่างเป็นอะไรที่ย้อนแย้ง สีหน้าที่ราบเรียบของคนขับกับการขยับพวงมาลัยไปมาจนแทบจะรู้สึกว่าล้อรถข้างใดข้างหนึ่งยกลอยพ้นพื้นถนนทุกครั้งที่หักเลี้ยว

“ทำไมนาย มนุษย์สัมพันธ์ดีขนาดนี้วะ?!” ประโยคหนึ่งหลุดออกมาหลังจากที่คนขับรถตัวสูงจนเกือบถึงเพดานรถพูดขึ้นประสานกับเสียงเพลงที่ขับกล่อมจนแทบเคลิ้มหลับ

“อืม...... ก็เปล่านี่!! เราแทบไม่ได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ” ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจคำถามเสียเท่าไหร่

“จำเป็นไหมว่าต้องพูดดี ทำดีกับมันด้วย! จำไม่ได้รึไงว่ามันจะทำอะไรนาย!” วรุฒชะลอความเร็วลงนิดหน่อยเหมือนว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว
“แต่... เขาไม่ได้ทำนี่ แล้วเขาก็ขอโทษแล้วด้วย”
“นายนี่มัน...... เป็นคนดีเกินไปแล้ว!! นายไม่จำเป็นต้องดีกับทุกคนก็ได้นะ!!”
“แล้วจะให้เราทำแบบนายน่ะเหรอ? เราทำให้คนเกลียดไม่ค่อยเป็นซะด้วย!!”
“แปลว่า ...... เราทำให้นายเกลียดงั้นเรอะ?”
“ก็...... เคยนะ.... แต่ตอนนี้.....” พอชานนท์พูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจเต้นตึกตักจนแทบหายใจไม่ออก
“ตอนนี้ทำไม?” วรุฒขึ้นเสียงเล็กน้อยเพื่อเร่งขอคำตอบ
“ก็.......เกลียดน้อยลงน่ะ”  ชานนท์รู้สึกหมั่นไส้เลยตอบกลับไปแบบนี้ วรุฒแอบมีรอยยิ้มที่มุมปากเพราะคำว่าเกลียดจากปากคนตัวเล็กมันช่างไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย

“งั้นที่ผ่านมา.... เรา.... ขอโทษก็แล้วกัน” วรุฒพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่ละสายตาจากถนน
“............” ชานนท์ไม่สามารถคิดหาประโยคใดมาโต้ตอบคำพูดนี้ได้เพราะไม่คิดว่าวรุฒจะตอบคำนี้ออกมา เป็นคนที่เดาอารมณ์ไม่เคยออกเลยจริงๆ
“ทำไมเงียบไป!” คนตัวสูงหันมาพูดเหมือนขอการตอบสนองของชานนท์และมองอากัปกิริยาของชานนท์
“อืม” สายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งทำให้ชานนท์ได้เแต่ตอบในลำคอ แต่ก็สร้างรอยยิ้มที่มุมปากอีกครั้งแก่คนขับรถได้จนแทบไม่ทันสังเกต มันเหมือนภาพลวงตาที่ปรากฎเพียงชั่วครู่ก็หายไป

หลังจากที่อยู่ในความเงียบมาพักใหญหลังจากประโยคนั่น รถของพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

“มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?” ชานนท์เอ่ยประโยคคำถามขึ้นหลังจากร่างกายโผล่พ้นออกจากรถ
“เออน่าตามมา เดี๋ยวก็รู้!”

โครก..........

เสียงท้องของชานนท์โวยวายเนื่องจากขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยงตั้งแต่เข้า

“อืม.... นั่นสิ ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นะ” วรุฒเอ่ยขึ้นหลังจากหยุดฟังเสียงโครกครากจบจบ
“.............” ชานนท์รู้สึกอายที่ร่างกายส่งเสียงคำรามต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะไอ้ขี้เก็กสุดหล่อตรงหน้า
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนนะ!” วรุฒพูดจบก็เดินนำหน้าไปเร็วรี่ จนลืมไปว่าด้วยสมรรถนะของชานนท์ตอนนี้คงเดินตามการก้าวเท้ากว้างของคนตัวสูงไม่ทันแน่ กว่าจะรู้ตัวว่าเดินนำมาไกลโข วรุฒก็เดินห่างจากชานนท์ที่ค่อยๆเดินอย่างช้าๆ ไปหลายก้าวจนวรุฒมองเห็นชานนท์ตัวเล็กลงกว่าเดิมเสียอีก

“ช้าจริง!!” วรุฒที่หยุดยืนรอคนตัวเล็กจรเดินมาในระยะเอื้อมมือพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“เพราะใครล่ะ เรายังเจ็บอยู่เลยนะ”
“หึ.....” เสียงหัวเราะในลำคอของคนตัวสูงบวกกับรอยหยักที่มุมปากที่ยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้ม เสมือนศิลปินแสดงความพึงใจกับผลงานตัวเอง จนทำให้ชานนท์แอบสบถด่าในใจ

“มานี่” วรุฒก้าวไปคว้ามือข้างหนึ่งของชานนท์และฉุดรั้งอีกฝ่ายไปข้างหน้า ทำให้ชานนท์เดินเร็วขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ชานนท์พยายามสะบัดและคลายมือจากอีกฝ่ายแต่ก็ทำไม่สำเร็จได้แต่ถูกลากไปเรื่อย โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะอายไม่น้อย ชานนท์หลังจากรู้ว่าความพยายามของเขาเปล่าประโยชน์จึงได้ก้มหน้าเดินตามฝีก้าวข้างหน้าให้ทันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้การเดินแต่ครั้งจะเจ็บแปลบที่แผลก็ตาม

แม้คนตัวสูงจะบีบจับแน่นหนาด้วยมือหยาบใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้ชานนท์รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว มันเป็นการจับเหมือนเด็กที่กลัวของเล่นจะลื่นหลุดมือ ทุกครั้งที่เขาปล่อยแรงตามกำลังขาของคนข้างหน้า วรุฒก็จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อมี่มือให้จับกับแบบสบายๆ แต่หากเขาพยายามจะสะบัดดิ้นให้หลุดอีกฝ่ายก็จะกำแน่นเสียจนเจ็บขึ้นมา ทุกครั้งที่ชานนท์แอบร้องเพราะกระทบกระเทือนแผล วรุฒก็จะพยายามชะลอฝีเท้าจนชานนท์รู้ดีขึ้น ต่อมาสักพักก็จะเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีก พอชานนท์โอดร้องเขาก็จะชะลอลงอีก เป็นแบบนี้สลับไป

“กินอะไร?” วรุฒหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันจนชานนท์แทบจะเดินเข้าไปชนอีกฝ่าย
“อะไรก็ได้”
“..........” วรุฒมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอือมๆ “จะกินอะไร?” วรุฒถามเขาอีกครั้ง
“อืม.....” ตามสัญชาตญาณ เขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่าอาการของคนตัวสูงต้องการให้เขาเลือก เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ว่า พอให้วรุฒเลือกแล้วชานนท์ไม่ชอบ วรุฒก็จะรู้สึกหงุดหงิดทันที
“งั้นเอาร้านนี้!” ชานนท์เรื่องร้านอาหารอิสานที่มีสีสันในร้านที่จัดจ้านและภายในร้านประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบโบราณ วรุฒมีอาการตกใจเล็กน้อยทางสีหน้าแต่ก็พยักหน้าแต่โดยดี

.....................

หลังจากที่ชานนท์รู้สึกสะใจกับการนั่งมองวรุฒเขี่ยนอาหารในจานโน่นนี่ไปมาทั้งส้มตำ ลาบหมูและสารพัดอาหารอีสานทั้งต้ม ปิ้ง ย่าง ซึ่งในแต่ละจานชานนท์สั่งมาแบบไม่เกรงใจคนที่มาด้วยเลย เขารู้ว่าวรุฒไม่ถนัดกับการกินอาหารรสจัด เขาเลยจัดเมนูรสแซ่บชนิดแค่เห็นสีแดงในจานก็รู้สึกเผ็ดฉุนขึ้นจมูกเสียแล้ว

ระหว่างการกินอาหารชานนท์ตักโน่นนี่ให้วรุฒตลอด ส่วนวรุฒก็รับไว้ด้วยอาการเก้ๆกังๆ อาหารปิ้งย่างดูจะไม่เป็นปัญหา วรุฒสามารถจัดการมันพร้อมข้างเหนียวเข้าปากได้อย่างดูชำนิชำนาญ ชานนท์เผลอคิดว่าไอ้คุณชายจะไม่เคยกินของอะไรพวกนี้ แต่กลับกินได้อย่างคุ้นเคย ระหว่างเคี้ยววรุฒมีสีหน้าเหมือนยิ้มเยาะคนที่พาเขาเข้ามาที่ร้านอาการสไตล์นี้

แต่การเข้าร้านแบบนี้ก็ไม่ทำให้ชานนท์ผิดหวังไปเสียทีเดียวเมื่อเขาช้อนบรรดาอาหารจานเผ็ดให้วรุฒได้ชิมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่น่ารักใสซื่อ วรุฒได้แต่เขี่ยอาหารพวกนั้นไปจนสีหน้าบ่งบอกถึงเรื่องกลืนไม่เจ้าคายไม่ออกขึ้นมา  แต่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชานนท์แปลกใจเพราะเขาคิดว่าวรุฒจะต้องหงุดหงิดและปฏิเสธแน่นอน วรุฒกลับพยายามตักอาหารที่ชานนท์ตักให้เหล่านั้นเข้าปากพร้อมเคี้ยวกรุบกร๊วบด้วยสีหน้าที่ดูกึ่งพอใจกึ่งทรมาน จนช่วงท้ายของการกินข้าวมื้อนี้ทำให้ชานนท์อดสงสารคนหน้าแดงและสูดลมหายใจเข้าออกทางปากอย่างหอบถี่ตรงหน้าไม่ได้

“เผ็ดก็ไม่เห็นต้องกินทุกคำที่ตักให้ก็ได้ไหมเนี่ย? ทำไมไม่ปฏิเสธ!” ชานนท์ทักขึ้นจากการเห็นวรุฒดื่มน้ำเย็นในแก้วจนหมดในครั้งเดียว
“พอใจหรือยังล่ะ?”
“หา??”
“หายกันแล้วนะ”
“พูดอะไรของนาย”
“ก็..... เราแกล้งนายไว้เยอะ.... ก็เลยปล่อยให้นายแกล้งเราคืนบ้าง”
“ไอ้บ้าเอ้ย!! เราไม่ได้คิดถึงขนาดนั้นเสียหน่อย!! เรื่องที่นายทำร้ายเราก่อนหน้านี้ เราลืมไปหมดแล้ว ไม่ได้เก็บเอาแค้นฝังใจอะไรขนาดนั้นหรอก!”
“เราก็รู้อยู่แล้ว ว่านายเป็นคนแบบนี้....แค่อยากทดสอบดูนิดหน่อย”
“ทดสอบ???”
“ไม่มีอะไรหรอก! ... ความจริงเราเห็นนายกินน่าอร่อยดี และพอนายตักให้ก็เลยลองกินดูเสียหน่อย”
“แล้วเป็นไงล่ะ?”
“ก็โคตรเผ็ดเลยไง นายกินของแบบนี้เข้าไปได้ไงเนี่ย ไม่ท้องเสียบ้างหรือไง?”
“ไม่นะ ก็กินแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เคยท้องเสียเลย รสชาติแบบนี้สิดี มันคือรสชาติของชีวิต ดีกว่าไอ้ของแพงๆ เลี่ยนๆ มันๆ ที่นายแนะนำให้กินคืนนั้นตั้งเยอะ”
“ไอ้คืนนี้นที่ว่าเนี่ย....หมายถึง อาหารหารหรือ.... อย่างอื่น?”
“ไอ้.... ไอ้บ้า!!!” ชานนท์รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรเลยทำได้แต่เกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายไปด้วยหน้าที่ร้อนผ่าวไปหมด แม้สมองจะพยายามจะลืม แต่จิตใต้สำนึกกลับผุดภาพในคืนนั้นขึ้นมาเสียหลายฉาก ทั้งกลิ่นและรสสัมผัสมันยังรู้สึกว่ามันยังอยู่ในตัวเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า....” วรุฒหัวเราะสะใจด้วยใบหน้าที่จริงใจ ชานนท์เพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายขนาดนี้ เหมือนกำแพงที่วรุฒเคยตั้งไว้เสียดฟ้าค่อยๆ ทลายลงมาทีละนิดจนเขาทั้งสองดูสนิทกันมากขึ้น

................

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ชอบเขาจริงป่ะเนี่ย การกระทำดูไม่ใช่ ยิ่งคำพูดก็ยิ่งไม่ใช่ ไม่ให้เกียรติกันเลย คือยังไงเนี่ย งง

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“พามาร้านของเล่นทำไมเนี่ย?”  ชานนท์หันไปมองหน้าคนตัวสูงที่ยืนมองความละลานตาของร้านขายของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
“เลือกให้หน่อย” วรุฒพูดสั้นๆ พร้อมด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ซื้ออะไร? ซื้อให้ใคร?” ชานนท์ถามกลับด้วยสีหน้างงๆ
“เหอะน่า!! อยากหาของเล่นสักหลายๆ ชิ้น!” วรุฒพูดจบก็เดินนำหน้าเข้าไปในร้าน
“เดี๋ยวก่อน!! ขอข้อมูลเพิ่มอีกนิด อายุประมาณเท่าไหร่?”
“อืม..... ก็เด็กๆ น่ะ ประมาณนี่แล้วก็.......ประมาณนี้” คนตัวใหญ่ใช้มือเป็นมาตรบอกความสูงเป็นการตอบคำถามคนตัวเล็ก
“อืม.... โอเค!!” ชานนท์ทำท่าทางเข้าใจแต่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

วรุฒเดินไปลากรถเข็นคันใหญ่ของร้านออกมาและชี้ให้ชานนท์เดินไปเลือกของเล่นที่ชั้นวางของที่มีขนาดความสูงท่วมหัวมากมายในร้าน ทุกครั้งที่ชานนท์เห็นของเล่นชิ้นไหนที่ดูเข้าท่า บ้างน่ารัก บ้างมีสาระ ก็จะถูกศรีษะที่มีสีหน้าเรียบเฉยของวรุฒพยักหน้าลงอย่างพึงใจ และใช้นิ้วชี้เป็นคำสั่งให้นำสิ่งของชิ้นนั้นลงรถเข็ญทันที พวกเขาทำแบบนี้จนชานนท์ไม่ได้นับแล้วว่าเขาเลือกของเล่นไปกี่ชิ้น จนกระทั้งรถเข็นกองพูนไปด้วยของเล่นนานาชนิดน้อยใหญ่จนเกือบล้น

......................……

“โอ้โห!” เสียงอุทานของชานนท์ที่มองใบเสร็จของร้านขายเล่นขณะเดินกลับไปที่รถ ส่วนคนตัวสูงที่เดินนำหน้าพร้อมเข็นรถเข็นที่มีสิ่งของบรรจุอยู่จนล้นได้แต่เหลืบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“นี่นายไม่คิดว่ามันเยอะไปเรอะ? เอาไปทำอะไรเนี่ย! ราคาขนาดนี้เรากินอยู่ได้หลายเดือนเลยนะ!” ชานนท์พูดต่ออย่างรู้สึกเสียดาย
“ก็ไม่ได้แพงอะไรขนานั้น”  ชายตัวสูงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชานนท์ได้แต่มองดูเลขห้าหลักในใบเสร็จและถอนหายใจ

หลังจากทั้งสองขนทุกอย่างขึ้นรถจนสิ่งของทั้งหมดเรียงตัวไปมาอย่างเป็นระเบียบด้วยฝีมือของชานนท์แต่ถึงกระนั้นก็ยังแทบไม่มีช่องว่างเลยทั้งที่เก็บของท้ายรถและเบาะนั่งทางด้านหลัง

วรุฒขับรถพาทั้งคนตัวเล็กและทั้งของเล่นที่เหมือนซื้อมาถมที่ออกมาจากห้างสรรพสินค้าและออกเดินทางไปตามถนนที่ชานนท์ไม่คุ้นเคย ลึกเข้าไปในซอยไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ถนนเส้นทางที่ขับเข้าไปเริ่มหดแคบลงเรื่อยๆ จนแทบจะวิ่งสวนกันไม่ได้ สองฝากฝั่งเต็มไปด้วยทุ่งนาและป่าหญ้าที่ขึ้นอย่างไร้ระเบียบ ในที่สุดก็ถึงเขตชุมชนขนาดกลางที่มีคนไม่พลุ่นพล่านเท่าไหร่  มีร้านค้าประปราย ทั้งที่อยู่ในย่านใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังแต่กลับเงียบเหงาผิดกับย่านด้านหลังมหาวิทยาลัยมากนัก ถนนเส้นนี้ทอดยาวไปจนถึงช่วงที่มีแต่ทุ่งนาทั้งสองฝากฝั่ง และมองไปที่สุดสายตาก็จะเจอกับวัดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แต่มีสภาพเก่าพอสมควร และนั่นน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของวรุฒ เพราะทันทีที่ภาพวัดนั้นปรากฏขึ้นในคลองสายตา วรุฒก็รำพันขึ้นมาว่า “เฮ้อ! ถึงเสียที!!”
“นายพาเรามาวัดแถวนี้ทำไม?” ชานนท์รีบตั้งคำถามเพราะแถวนี้มันเปลี่ยวและสภาพวัดนั้นก็ดูน่ากลัวเกินกว่าจะมาทำบุญ

“เออน่า!! เดี๋ยวก็รู้ นายนี่มีแต่คำถามนะ!!!” วรุฒเหมือนลำบากใจที่จะพูดจนต้องทำเกรี้ยวกราดตอบกลับไป

คนตัวเล็กพยายามเพ่งมองไปที่วัด อาราม ศาลาต่างๆ ภายในรั่วที่ความสูงกว่าพงหญ้าด้านหน้าไม่มาก เมื่อรถกำลังขับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ รั่วของวัดที่ทรุดโทรมจนแทบจะมีกำแพงไม่ล้อมรอบทำให้มองเห็นสภาพภายในได้พอให้รู้สึกถึงความน่ากลัวของสถานที่นี้ได้

‘หรือว่าหมอนี่มันเล่นของ ของเล่นพวกนี้จะมาเซ่นไหว้ กุมารทองหรืออะไรหรือเปล่าเนี่ย?’ ชานนท์คิดในใจขณะที่รถขับผ่านขนานกำแพงวัดไปเรื่อยๆ

ตัวรถขับไปตามถนนลาดยางมะตอยที่ไม่ค่อยเรียบร้อยและมีสภาพไม่ต่ำกว่าห้าปี มันแตกต่างจากเขตชุมชุนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ที่ซึ่งปูถนนด้วยคอนกรีตเรียบร้อย สถานที่ตรงนี้เหมือนเป็นสถานที่ตกสำรวจ รถกำลังขับเคลื่อนเขตวัดเก่าไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่มีรั่วติดกำแพงวัด สภาพดูดีกว่าไม่มากนัก มึสิ่งปลูกสร้างคล้ายโรงนอนขนาดใหญ่ของทหารอยู่หนึ่งหลังใหญ่ อีกอาคารที่ปลูกติดกันนั้นเป็นอาคารที่เปิดโลงสามฝั่งหลังคาโปร่งสูงทำให้มองเห็นสิ่งของต่างๆ ภายในที่คล้ายกับโรงอาหารคือมีโต๊ะยาวสีขาวขุ่นต่อกันหลายตัวกับเก้าอี้ยาวสีฟ้าซีดที่วางขนาบทั้งสองข้างเต็มพื้นที่

ก่อนที่วรุฒจะเลี้ยวเข้าไปในพื้นที่ปริศนาดังกล่าว สภาพรั่วที่นี่ดูพังยังเยินเสียกว่าวัดที่อยู่ข้างๆ เสียอีก โดยเฉพาะป้ายที่แสดงชื่อสถานที่แห่งนี้ก็พังชนิดเหมือนมีหินก้อนใหญ่กลิ้งเข้าไปทุบจนพังยับเยินจนไม่ทราบว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร

รถเคลื่อนตัวเข้าไปในถนนเล็กๆ ผ่านพื้นที่โล่งด้านหน้าอาคารเหล่านั้น และจอดสนิทที่ด้านหน้าอาคารคล้ายโรงนอนขนาดใหญ่

เพียงเสี้ยววินาทีเดียวจากความเงียบเหงาที่ปรากฏก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวเข้ามาก็เปลี่ยนไป เสียงฝีเท้าและเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจก็ดังมาจากทางด้านในอาคารและเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้รถมาขึ้นเรื่อยๆ จนชานนท์ที่กำลังจะจับคันโยกที่ประตูรถเพื่อเตรียมตัวเปิดก็เปลี่ยนมาจับประตูไว้แน่นจนไม่กล้าที่จะเปิด วรุฒที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มเยาะในใจและยกริมฝีปากขึ้นและหันไปทางชานนท์ด้วยความรู้สึกขบขัน วรุฒส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากรถไปทางอาคารด้านหน้า

ในที่สุดต้นกพเนิดเสียงปริศนาเหล่านั้นก็ได้รับการเฉลย ชานนท์เห็นเด็กจำนวนหนึ่งทีมีอายุคละกันทั้งชายและหญิง ต่างวิ่งกรูออกมาทางประตูบานใหญ่ที่เพิ่งเปิดกว้างออก อายุของเด็กกลุ่มนั้นน่าจะอยู่ราวๆ 5-10 ขวบ และตามมาด้วยผู้หญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความใจดีแผ่ออกมาจากวงหน้า

“ไม่คิดว่าคุณจะมาจริงๆ” เสียงที่แหบสากของหญิงวัยกลางคนพูดทักทายขึ้นระหว่างก้าวเดินมายังรถที่จอดอยู่ ชานนท์หันไปตามทิศทางของเสียงขณะกำลังก้าวขาลงจากรถ
“ก็สัญญาไว้แล้วนี่ครับ” วรุฒตอบด้วยเสียงสุภาพจนทำให้ชานนท์หันไปมองหน้าคนตัวสูงอย่างไม่เชื่อหูตนเอง สีหน้าและน้ำเสียงมันเหมือนคนละคน

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกคะ เด็กพวกนี้เจอใครเขาใจดีด้วยก็ขอให้กลับมาอีกครั้งทุกคน” หญิงวัยกลางคนยิ้มกลับมาที่วรุฒและวาดสายตาลงมาดุเหล่าเด็กๆที่ต่างเดินสำรวจทั้งคนและรถ ตอนนี้ชานนท์ถูกห้อมล้อมไปด้วยเด็กๆ ที่มีการแต่งกายแบบไม่ได้ถูกดูแลได้ดีเท่าที่ควร เสื้อผ้าทั้งซีดและมีรอยขาดเป็นบางช่วง

“อุ้ย! มีของเล่นเต็มรถเลย!!” เด็กที่ตัวสูงที่สุดประสบความสำเร็จในส่องข้าวของในตัวรถตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กที่เหลือก็มีทีท่าลิงโลด ไชโยโห่ร้อง บ้างวิ่งไปรอบๆ รถด้วยความดีใจ
“อื้อ ใช่ วันนี้พี่เอาของมาฝากด้วย”  วรุฒพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนชานนท์ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง

สิ้นเสียงวรุฒ เด็กๆ ทั้งบริเวณต่างร้องขึ้นมาอย่างดีใจอีกครั้งและต่างเรียกร้องให้ทั้งสองช่วยรีบแจกจ่ายของในรถแก่พวกตนโดยเร็ว ความดีใจของเด็กๆ เหล่านี้ทำให้ชานนท์อดที่จะทำท่าทางเอ็นดูเด็กๆเหล่านี้ไม่ได้

“หยุด!!” เสียงเข้มดุดังขึ้นจนทำให้ทั่วทั้งบริเวณหยุดนิ่งเหมือนหยุดเวลา เสียงที่ดังก็หยุดชะงักลงเหมือนการปิดเสียงลำโพง
“เข้าไปด้านในทำตัวให้เรียบร้อย แล้วจะให้พี่เขาแจก หากใครดื้อก็อด!!” เสียงเข้มดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์สงบไปพักใหญ่
เด็กทั้งหมดต่างขานรับพร้อมกันอย่างสุภาพและทยอยเดินเข้าไปในอาคารทรงใหญ่อย่างเรียบร้อยผิดจากตอนแรกที่วิ่งกรูกันออกมาอย่างไร้ระเบียบ ชานนท์ยืนมองพฤติกรรมเหล่านั้นโดยไม่ปริปากอะไร เพราะบรรยากาศมันพาไป เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นส่งผลกระทบกับเขาด้วยเช่นกัน เธอมีลักษณะเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ดุแต่มีคนรักและเคารพ

“ขอโทษด้วยนะคะ เด็กก็เป็นแบบนี้ พวกเขาตื่นเต้นกับทุกอย่างล่ะคะ” หญิงคนนั้นหันมายิ้มอย่างสุภาพกับวรุฒและชานนท์
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าก็น่ารักดี” วรุฒตอบกลับอย่างสุภาพและรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“อย่าไปชมให้พวกเขาได้ยินเชียว เดี๋ยวจะเหลิงจนคุมไม่อยู่” หญิงวัยกลางคนตอบกลับด้วยท่าทีขบขัน ส่วนวรุฒและชานนท์ได้แต่หัวเราะในลำคอตอบกลับไป

“เดี๋ยวผมขอไปขนของไปให้น้องๆ ก่อนนะครับ” วรุฒขอตัว
“อะ.. จริงสิ.... ได้จ๊ะ.....” สิ้นเสียงหญิงวัยกลางคน วรุฒก็พยักหน้าให้ชานนท์ช่วยกันขนของลงจากรถ
“ให้น้าช่วยไหม?”
“ไม่ต้องหรอกครับ พวกผมไหว” คนตัวสูงตอบกลับไปขณะขนย้ายสิ่งของต่างๆในรถย้ายมาไว้ที่มือตัว ท่ามกลางสายตาไม่เห็นด้วยจากชานนท์ ที่ตอนนี้ถือของจนเต็มสองมือแล้วแต่ยังมีของเหลืออยู่ในรถอยู่อีกจำนวนหนึ่ง

ในที่สุดการขนของลงจากรถอย่างทุลักทุเลก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี ของเล่นทุกชิ้นที่ซื้อมากองอยู่บนโต๊ะใหญ่โต๊ะหนึ่งที่มุมห้อง

ลักษณะของอาคารนี้ไม่มีการแบ่งเป็นห้อง มีเป็นโถงยาว เพดานสูง และมีตู้และชั้นโทรมๆ อยู่ตามผนังทั้งสี่ด้าน และก็จัดข้าวของอย่างเป็นระเบียบดี

“น้าล่ะเกรงใจจริง ความจริงไม่ต้องขนมาเยอะขนาดนี้ก็ได้นะ เด็กๆ ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นหลังจากเห็นจำนวนของทั้งหมดตรงหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ สัญญากับน้องๆ ไว้แล้ว” วรุฒยิ้มกลับจนชานนท์รู้สึกว่าวรุฒต้องถูกผีเข้าแน่ๆ
“คราวที่แล้วก็ซื้อขนมมาฝากเสียเยอะจนต้องให้เด็กๆ แบ่งเอากลับบ้าน น้าเกรงใจจริงๆนะ ทีหลังไม่ต้องซื้อเยอะขนาดนี้นะ!” คราวนี้ชานนท์เห็นด้วยกับหญิงวัยกลางคน เพราะวรุฒเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จักความพอดี ทุกอย่างมันต้องดูเยอะเกินไป เขาใช้เงินจนเหมือนไม่รู้จักคุณค่าของเงิน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร” คนตัวสูงตอบกลับมาอย่างไม่รู้เลยว่าคุณน้าคนนี้กำลังสอนสั่งอยู่

“เอาล่ะ เรามาเล่นเกมส์เพื่อชิงของเล่นที่พี่ซื้อมาฝากดีกว่า” วรุฒหันไปพูดกับเด็กๆ ด้วยรอยยิ้มที่แสนใจดี เด็กๆในห้องร้องดีใจจนเสียงดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องที่ดูโล่งกว้าง

ชานนท์เองก็อดที่จะยิ้มตามกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของวรุฒมันช่างเหมาะกับรอยยิ้มที่จริงใจนั่นเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่เคยเห็นภาพมุมนี้ของวรุฒ

“เดินทางมาเหนื่อยๆ ร้อนๆ แบบนี้เดี๋ยวน้าหาอะไรเย็นมาให้ดื่มดีกว่า” หญิงวัยกลางคนพูดพร้อมลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวผมไปช่วยครับ” ชานนท์รีบลุกขึ้นทันที แรกๆ หญิงวัยกลางคนก็ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ก็ทนลูกตื้อของชานนท์ไม่ไหวเลยให้เขาเดินตามไปที่อีกอาคารหนึ่งด้วย

หญิงวัยกลางคนนั้นเดินพาชานนท์ไปจนถึงด้านหลังอาคารอีกด้านหนึ่ง ลักษณะเป็นพื้นที่ปลูกยื่นออกมาจากอาคารและมักษณะคล้ายห้องครัวขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ผ่านการใช้งานมามากมายนัก เตาซึ่งมีอยู่มากกว่าหนึ่งถูกใช้งานอยู่เพียงหนึ่งถึงสองเตา ตู่เก็บอุปกรณ์ทำครัว มีฝุ่นและหยากไหย่เกาะอยู่อย่างไร้การดูแล

“รกหน่อยนะ น้าดูแลคนเดียวไม่ไหว” หญิงวัยกลางคนหันมายิ้มด้วยใบหน้าที่ดูมีอายุมากกว่าเสียง
“ไม่เป็นไรครับ ครัวใหญ่ขนาดนี้ดูแลคนเดียวคงแย่” ชานนท์ตอบอย่างสุภาพ
“เอ่อ.... เราชื่ออะไรล่ะ อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับคุณรุฒใช่ไหม?” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นขณะเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำในชั้นที่ดูสะอาดและเป็นระเบียบที่สุด
“ครับ ผมชื่อนนท์ครับ เอ่อ.......น้า.....” ชานนท์ยื่นมือเพื่อไปรับถาดและแก้วที่ลำเลียงออกมาจากตู้
“ตายจริง! น้าลืมแนะนำตัวไปเลย ห้วงแต่ดูแลเด็กๆ กลัวจะไปทำอะไรไม่เข้าท่ากับพวกคุณ น้าชื่อแก้วนะ” หญิงวัยกลางคนหันมายิ้มจนเห็นริ้วรอยมากมายรอบดวงตาที่ดูอิดโรย

“ไม่เป็นไรครับ น้าแก้ว ผมเองก็ลืมแนะนำตัว ความจริง รุฒเขาควรจะเป็นคนแนะนำน้ากับผมนะ ไม่ใช่ให้ผมยืนเป็นไอ้บื้ออยู่แบบนี้” หลังจากชานนท์บ่นอุบอิบจบ น้าแก้วก็หันมายิ้มด้วยท่าทีขำขันกับท่าทางของชานนท์

“คุณรุฒเนี่ยคนดีนะ ไม่นึกว่าคนแบบนั้นจะดูเรียบง่ายแบบนี้ เขาเข้ากับเด็กได้ทุกคนเลย” น้าแก้วกล่าวพลางรินน้ำหวานสีแดงอ่อนจากตู้เย็นลงแก้วที่ชานนท์จัดเตรียมไว้เต็มถาด น่าจะเป็นน้ำหวานชนิดเข้มข้นที่ชงผสมน้ำเตรียมไว้ในตู้เย็นอยู่แล้ว มือที่หยาบกร้านนั่นรินน้ำลงแก้วด้วยความบรรจงและใจเย็น ชานนท์มองมือนั่นจนลืมที่จะโต้ตอบน้าแก้วกลับไป มันทำให้เขาคิดถึงแม่ของเขา

“มาครับ เดี๋ยวผมช่วยถือ” ชานนท์ยื่นมือออกไปคว้าขอบถาดเพื่อแสดงความช่วยเหลืออีกฝ่าย
“ขอบใจจ๊ะ น้าเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเป็นเพื่อนกันได้ ทั้งสองคนดูเป็นเด็กดีทั้งคู่เลย” น้าแก้วยิ้มจนเห็นรอยย่นยับรอบดวงตาชัดเจน ส่วนชานนท์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป เพราะภายในใจนั่นคิดต่างจากน้าแก้วพอสมควร ‘ไอ้คนแบบนั่นมันห่างจากคำว่าดีมาไกลโขเลยครับ’ ชานนท์ได้แต่คิดในใจไม่กล้าตอบไป

“ว่าแต่..... ที่นี่คือ สถานรับเลี้ยงเด็กเหรอครับ? แล้วน้าเป็นคนดูแลคนเดียวหรือครับ?” ชานนท์สอบถามน้าแก้วขณะเดินตามน้าแก้วไปที่โรงนอนขนาดใหญ่ที่ตอนนี้มีแต่เสียงดังเจี้ยวจ้าวข้ามมาถึงอาคารฝั่งนี้ เป็นคำถามที่ค้างคาใจชานนท์มาพักใหญ่หลังจากที่ได้ใช้สายตาสำรวจสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในพื้นที่ที่แทบไม่มีการบำรุงรักษา

“จ๊ะ ที่นี่เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กในชุมชนบริเวณนี้ พ่อแม่เด็กพวกนี้เป็นพวกหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลาเลี้ยงเด็กพวกนี้หรอก ส่วนน้าก็เป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ดูแลเด็กพวกนี้ต่อ”

“ทำไมล่ะครับ ทำไมเหลือน้าคนเดียว ดูจากสถานที่แล้ว น่าจะรองรับเด็กได้หลายคนเลยนะครับ ทำไมถึงปล่อยให้โทรมขนาดนี้?” ครั้นพอชานนท์ได้ถาม ด้วยนิสัยอย่างเขา หากเขายังไม่เข้าใจทั้งหมด เขาก็จะถามเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ

“เรื่องมันยาวน่ะจ๊ะ.....” น้าแก้วทำทีเหมือนไม่อยากจะเอ่ยถึงและพอหันมาเจอสายตาที่ดูสนใจฟังของชานนท์ก็ได้แต่ถอนหายใจและเล่าให้ฟังต่อ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอน้าแก้วเล่าประวัติต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เดิมทีนั่นที่นี่เป็นสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนที่ได้อนิสงค์จากเจ้าอาวาสวัดที่อยู่ข้างๆเอื้อเรื่องสถานที่และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เงินทุนส่วนใหญ่ก็มาจากเงินทำบุญของญาติโยมทั้งหลายในชุมชน ทุกอยากไปได้ด้วยดีทั้งหมดจนกระทั้งเจ้าอาวาสท่านอาภาส ก็เกิดการโกงกินเงินทำบุญขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์ของท่าน เรื่องมันแดงตอนที่เจ้าอาวาสมรณภาพไปไม่นาน ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างหนีหายไปกันหมด วัดหมดความเชื่อถือ จนเกือบกลายเป็นวัดร้าง สถานที่แห่งนี้พอขาดเงินทุนหล่อเลี้ยง จึงได้มีสภาพอย่างที่เห็น น้าแก้วซึ่งเคยเป็นหัวหน้าศูนย์ดูแลที่นี่ น้าแก้วเป็นลูกศิษย์ที่ยังศรัทธาในตัวเจ้าอาวาสเลยยังคงสานต่องานของท่าน น้าแก้วมีกิจการส่วนตัว พอจะช่วยสนับสนุนที่นี่ได้บ้าง จึงยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่กำลังจะทำไหว

“ทำหน้าแบบนี้มีคำถามล่ะสิ” น้าแก้วที่มองชานนท์ที่ทำหน้าเหมือนมีอะไรคาใจอยู่ ขณะที่เดินมาถึงห้องที่เหล่าเด็กกำลังเล่นเกมส์กับ ‘พี่รุฒ’ ของเขาอย่างสนุกสนาน
“อยากรู้ล่ะสิว่ารุฒ รู้จักที่นี่ได้ยังไง?” น้าแก้วพูดแทงใจชานนท์อย่างถูกต้อง อาจเพราะสายตาที่ชานนท์มองไปที่วรุฒมันฟ้องว่าเขาคิดแบบนั้น

“เรื่องมันยาวเหมือนกัน”  น้าแก้วทำท่านึก
“ขนาดนั้นเลยหรือครับ?” ชานนท์ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนี้อีกครั้ง เพราะเรื่องแรกก็นับว่าเรื่องมันยาวจริงๆ
“น้าล้อเล่นน่ะ เห็นหน้านนท์น้าก็อดที่จะแกล้งไม่ได้” น้าแก้วหัวเราะไปพลางจัดแก้วออกจากถาดแล้วค่อยๆ จับเรียงเป็นหน้ากระดาน
“น้าแก้ว!!” ชานนท์ไม่คิดว่าคนอย่างน้าแก้วก็ยังอดที่จะแกล้งเขาไม่ได้ ทำไมช่วงนี้เขาเจอแต่คนแบบนี้เนี่ย!
“น้าขอโทษ งั้นน้าเล่าให้ฟังเลยก็แล้วกัน สั้นๆ ...... นนท์เห็นป้ายที่ด้านนอกตรงกำแพงไหมจ๊ะ?”
“อ๋อ.... ที่พังๆ อันนั้นใช่ไหมครับ” ชานนท์พูดพลางชี้นิ้วออกไปข้างนอก
“ก่อนหน้าที่จะเจอคุณรุฒเนี่ย มันยังไม่พังนะ โอเคมันอาจจะเก่าจนเกือบพังแต่ก็ไม่ถึงขั้นยุบเข้าไปขนาดนั้นจนอ่านไม่ออก” น้าแก้วเล่าไปพร้อมรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก
“อ้อ.......” ชานนท์ลากเสียงออกมายาวอย่างเข้าใจ เป็นไปได้ว่าคนที่ทำมันพังน่าจะเป็นวรุฒ สันนิษฐานจากความเสียหายขนาดนั้น อาวุธที่ทำน่าจะเป็นรถยนต์ วรุฒน่าจะเมาจนขับรถมาชนจนยับ และหนีไป พอคิดมาถึงตรงนี้ชานนท์ก็นึกถึงวันที่วรุฒเปลี่ยนรถ อาจจะพังจนต้องส่งซ่อม นั้นแปลว่า....ที่มาทำดีกับที่นี่เพราะรู้สึกผิดอย่างนั้นเหรอ?!

“เอ้า! นนท์ เหม่อไปไหน คิดอะไรไปไกลเลยล่ะสิ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ!” น้าแก้วโบกมือเพื่อเรียกสติชานนท์กลับมา
“อ่ะ... ครับ?” ชานนท์เริ่มสงสัยว่าน้าแก้วคนนี้น่าจะเป็นคนอ่านใจคนอื่นได้ หรืออาจเพราะประสบการณ์ชีวิตเยอะกันแน่ถึงได้รู้ใจเขาไปเสียหมด

“คุณรุฒน่ะมาสารภาพในวันถัดไปหลังจากเกิดเรื่อง และพร้อมที่รับผิดชอบทั้งหมด แต่วันนั้นไม่ได้มาเจอน้าคนเดียวแต่มาเจอพวกเด็กๆ ด้วย ดูท่าทางเข้ากันได้ดีตั้งแต่วันแรกๆ เลยแวะมาเยี่ยมอีกน่ะ ส่วนเรื่องรั่ว น้านัดกับช่างไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องเงินน่ะ คุณรุฒจัดการให้หมดแล้ว”
“ใช้เงินแก้ปัญเหมือนเคย!” ชานนท์ฟังน้าแก้วพูดจบก็พูดขึ้นมาลอยๆ ส่วนน้าแก้วยกมุมปากยิ้มให้ชานนท์ด้วยความเอ็นดู
“ดื่มอะไรเย็นๆก่อนไหม?” น้าแก้วยกน้ำหวานสีแดงขึ้นมาตรงหน้าชานนท์

“เย้!! น้ำแดง!!” เด็กผู้ชายตัวผอมคนหนึ่งในกลุ่มร้องขึ้นมาพร้อมชี้ทางชานนท์ ในขณะที่เขากำลังจะรับแก้วจากน้าแก้วและกล่าวขอบคุณแต่โดนเสียงตะโกนของเด็กขัดจังหวะเสียก่อน

เพียงเวลาไม่กี่วินาทีเด็กที่กำลังเล่นเกมส์ตอบคำถามกับ “พี่รุฒ’ ก็กรูกันมาจัดแถวอยู่ตรงหน้าน้าแก้วอย่างเป็นระเบียบด้วยสีหน้าตื่นเต้น ชานนท์ทึ่งกับความมีวินัยอย่างน่ารักของเด็กกลุ่มนี้ แสดงว่ามีการอบรมสั่งสอนมาดี และชานนท์ยังรู้สึกหน่วงๆ ในใจเมื่อเห็นเด็กๆเหล่านี้ดีใจกับอะไรง่ายๆ แบบนี้ ของธรรมดาๆ ในชีวิตของเขาแต่กลับเป็นสิ่งที่แสนวิเศษในสายตาของเด็กกลุ่มนี้

หลังจากเด็กๆจัดการน้ำหวานตรงหน้าก็เข้าสู่โหมดซุกซนเช่นเดิม วิ่งเข้ามาหยอกเย้ากับวรุฒเพื่อเซ้าซี้ให้แจกของเล่นให้หมดกอง โชคดีที่น้าแก้วเข้ามาหยุดความวุ่นวายไว้ และวางกฏเกณฑ์ว่า หลังจากแจกกันจนครบให้เก็บที่เหลือไว้บ้างเผื่อโอกาสอื่นๆ ของเล่นชิ้นใหญ่ๆ ควรเก็บไว้เป็นส่วนกลาง

ช่วงเวลาต่อจากนั้นก็เป็นช่วงของการเห่อของใหม่ บรรดาเด็กๆ ต่างแกะของเล่นที่ออกจากหีบห่อ เพราะเนื่องด้วยไม่รู้จุดประสงค์ในตอนแรก ทำให้ชานนท์ซื้อของเล่นแบบคละแบบคละวัย ทำให้เด็กที่ได้ของเล่นมาหลายคนมีปัญหากับการเข้าใจในการละเล่น และด้วยความเนิร์ดของชานนท์ ทำให้ของเล่นที่ได้มามีแต่ของที่ใช้พัฒนาทักษะทั้งสิ้น ไม่มีพวกหุ่นยนต์ ตุ๊กตา หรือของไร้สาระทั้งหลาย ดังนั้นเด็กทุกคนจึงต้องวิ่งไปหาวรุฒเพื่อสอบถามวิธีการเล่น จนกลายเป็นความวุ่นวายขึ้นอีกรอบ

ชานนท์เห็นความโกลาหลและการจัดการเด็กๆ ที่ไม่ได้เรื่องของวรุฒจึงต้องออกตัวไปช่วยดูแลเด็กๆ จนเข้าที่เข้าท่า
‘ไอ้ทีกับคนรุ่นเดียว ทำไมเกรี้ยวกราด แต่กับเด็กๆ นี่อ่อนยวบแบบนี้ว่ะ’ ชานนท์คิดและต่อว่าวรุฒทางสายตาจนวรุฒรู้สึกได้ และวรุฒกลับยิ้มกลับมาอย่างสดใส ทำให้ชานนท์รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอย่างประหลาด

..................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

บทที่ 16

The Mess


“อย่าไปบอกใครนะ!!”

เสียงกำชับหนักแน่นหลังจากที่ทั้งสองขับรถกลับหอพัก
“อะไรนะ?” ชานนท์ไม่ได้ตั้งใจฟังตั้งแต่แรกเนื่องจากกำลังอยู่ในโหมดหมดแรง
“เรื่องนี้........ เก็บไว้แค่เราสองคนได้ไหม?” วรุฒพูดเสียงติดขัดจนชานนท์เกือบจะฟังไม่เข้าใจ
“อืม! ได้สิ” ชานนท์ตอบรับกลับไปทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไม เรื่องดีๆแบบนี้ทำไมถึงต้องปิดด้วย หลังจากนั้นวรุฒก็ยิ้มให้ชานนท์ และก็ไม่ปริปากใดๆ เลยจนกระทั้งถึงหอพัก

“อืม....... รถคันเก่าไปไหนแล้วล่ะ” ชานนท์สะกดความสงสัยไม่ได้อีกต่อไปหลังจากเดินลงจากรถมินิคูเปอร์คันงาม
“ก็... อืม... ส่งซ่อม..... เลยเอารถสำรองมาใช้ ถามทำไมวะ”
“ไม่มีอะไรแค่สงสัย”
“นี่แสดงว่า รู้เรื่องจากน้าแก้วหมดแล้วสิเนี่ย?”
“อืม...ก็.... นิดหน่อย” ชานนท์พยักหน้าอย่างกลัวๆ
“มันเป็นอุบัติเหตุ!”
“แต่มันก็อันตราย ไม่ใช่เหรอ แปลว่าที่นายขับรถตอนเมาหรือเปล่า?”
“เป็นห่วง?” วรุฒยกมุมปากเล็กน้อยเหมือนจะยิ้มให้เห็นในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำสีหน้าราบเรียบตามเดิม
“เพื่อนกัน มันก็ต้องห่วงกันธรรมดานี่หว่า” ชานนท์ตอบกลับแต่ไม่มองหน้าคู่สนทนาและเดินนำหน้าไปที่อาคารหอพัก ชานนท์ก็ไม่เข้าใจว่าเขาถึงทำปฏิกิริยาแบบนี้ออกไป

“เพื่อน?” วรุฒเน้นคำขึ้นมาเหมือนเป็นการตั้งคำถามอีกฝ่าย แต่ชานนท์ก็เดินนำไปไกลแล้ว ความจริงแล้วชานนท์ก็ได้ยินที่วรุฒพูดคำสุดท้ายอย่างถนัดถนี่แต่ร่างกายมันก็ตอบโต้โดยการนิ่งเฉยและเดินหน้าต่อไป เขาเกิดอาการโหวงเหวงในช่วงท้องแบบอธิบายไม่ถูก

“เอ้า!! ไอ้น้อง!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นในขณะที่ชานนท์กำลังเหม่อลอย เขามองไปทางต้นเสียงก็เห็นพี่เอกกำลังเดินออกจากอาคารหอพักและมาทางเขา

“พี่เอก! สวัสดีครับ” ชานนท์ทักทายตอบทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนหาตัวยากเหมือนกันนะเนี่ย?” พี่เอกเดินมาในระยะประชิดและส่งยิ้มหวานให้เหมือนเคย หน้าตาที่ดูน่ารักของพี่เอกนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดมากๆ หากเป็นพวกบรรดาแฟนคลับของพี่เอกมาเจอแบบนี้คงล้มลงไปกองด้วยความดีใจ
“ช่วงนี้..... ผมมีธุระนิดหน่อยครับ” ชานนท์พยายามหาคำแก้ตัวที่ดูเข้าท่า จนมือไม้ทำท่าทางไม่ถูก
“ชุดมาแล้วนะ!”
“ชุด?” ชานนท์ทำหน้าตาสงสัยตอบกลับไป
“อ้าว!! พี่ก็ส่งข้อความไปทางไลน์แล้วไง!!”
“อ้อ เรื่องชุดที่จะใส่ในงานการแสดงสดคัดตัวดาวเดือนคณะฯ”
“ใช่ไง อย่าบอกว่าลืมมาหาพี่ด้วยวันนี้ พี่ได้ชุดมาแล้วไง แสดงว่าไม่อ่านไลน์พี่เลย?  นี่ถ้าไม่ป่วยอยู่นะจะเขกกะบาลแยกตอนนี้เลย!!” พี่เอกกำมือหลวมยกขึ้นสูงเหนือศรีษะคนตัวเล็กตรงหน้า
“ขอโทษครับ...” ชานนท์ขออภัยคนตรงหน้าด้วยท่าทีสลด
“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ พี่ล้อเล่น เราซ้อมมาก็เยอะแล้ว พี่มั่นใจว่าเราทำได้น่า!!” พี่เอกพูดจบก็เดินมาโอบไหล่และใช้มือข้างที่โอบตบไหล่ชานนท์เบาๆ
“.... ครับ..... เย้....” ชานนท์ตอบด้วยท่าทีไม่มั่นใจและน้ำเสียงที่ไม่เต็มร้อย

“พอได้หรือยัง?” เสียงดุเข้มดังขึ้นจากทางด้านหลังจนทำให้ทั้งสองคนที่กำลังโอบไหล่กันด้วยความสนิทสนมหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน

“มาแล้ว!! ไอ้คนหวงเพื่อน!! พาน้องกูไปไหนทั้งวันวะ!! กูนึกว่ามึงไม่คบกับใครเสียอีก!!” พี่เอกน้ำเสียงขุ่นเคืองจากการถูกขัดจังหวะ

“จะพาไปไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่หรือเปล่าวะ!” วรุฒเดินเข้าใกล้มากขึ้นจนเห็นดวงตาที่ฉายอารมณ์ไม่พอใจจนเหมือนจะยิงเลเซอร์ออกจากดวงตาทั้งสองข้างได้

“เออ! จริงสิ ยัยวิ มาหานายด้วยวันนี้ ป่านนี้คงรออยู่หน้าห้อง”  พี่เอกตัดบท
“เพื่อ?” วรุฒถามกลับเสียงขุ่น
“คงเอาเสื้อผ้าในวันงานมาให้ลองมั้ง?”
“แค่เนี่ย! เอาวางไว้หน้าห้องก็ได้ ไม่เห็นต้องรอ!”
“เรื่องนี้เอ็งไปถามเธอเองก็แล้วกัน นั่นไง!! มาโน่นแล้ว!!” จบประโยคพี่เอกก็ชี้ไปทางอาคารหอพัก

“รุฒ!!!!!” เสียงแหลมสูงสไตล์พี่วิดังขึ้นก่อนที่วรุฒจะหันสายตาไปปะทะกับร่างระหงโอดองค์ เอวคอดในชุดรัดรูป ทั้งเลคกิ้งสีดำสายดอกไม้สีชมพู และเสื้อสไตล์สปอร์ตบรา

ท่ามกลางสายตาที่งงงวยของทั้งวรุฒและชานนท์ที่อึ้งกับการปรากฏตัวด้วยท่าทีเช่นเดิมของผู้หญิงที่พวกเขาวางแผนที่จะกำจัดไปจากชีวิต กลับกำลังวิ่งเข้ามาหาเขาด้วย แผนที่วางไว้อย่างดีกลับให้เขามีเวลาพักหายใจอยู่เพียงไม่กี่วัน! ทั้งสองถึงกลับมีส่งสายตาให้กันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลพรรคเพลย์บอยของวรุฒ คนกลุ่มนั้นยังไม่สามารถสยบความแรงของผู้หญิงคนนี้ได้!!?!
“รุฒจ้า..... ชุดมาแล้วนะ ไป! เราไปลองชุดกัน” พี่วิยิ้มสวยในการแต่งหน้าสไตล์นู้ด
“ส่งมา เดี๋ยวไปลองเอง ใส่ได้หรือไม่ได้เดี๋ยวบอก!” น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับไปเช่นเดิม
“แหม... ไม่ได้หรอก ใส่ไม่ได้ก็ต้องรีบเปลี่ยนเลย ในฐานะสปอนเซอร์ เป็นผู้รับผิดชอบในการฟิตติ้ง เนี่ยเสื้อผ้านะก็ดันมาช้า ทำให้ไม่มีเวลาพอจะไปแก้ไขเลย วันนี้เลยต้องรีบส่งเรื่องไปแก้ทันที หากใส่ไม่พอดี! เนี่ย นะนะนะ...” พี่วิบ่นยาวตามประสาลูกคุณหนูเอาแต่ใจ และจบประโยคด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเข่นเดิม

“เฮ้อ...........” วรุฒถอนหายในด้วยความรำคาญ พร้อมกับตอนนี้มือไม้ของพี่วิต่างพยายามเกาะแกะที่แขนของเขาและพยายามใช้แรงลากจูงเขาออกจากจุดนั้น
“เออๆ รีบไปเลย!! ให้เวลานิดเดียวพอนะ?!”
วรุฒแอบมองสายตาของชานนท์ที่กำลังจับจ้องการกระทำระหว่างเขากับพี่วิ จนเขารู้สึกรำคาญผู้ที่ก่ายเกาะเขาอยู่จนตอบตกลงไปเพื่อตัดรำคาญ

“แน่นอนอยู่แล้ว พี่น่ะ นัดกับบอยไว้ที่ยิมมหา’ลัย จะไปออกกำลังกายด้วยกัน ใช้เวลากับเธอไม่นานหรอก” หลังจากที่ได้ฟังพี่วิพูดจบวรุฒแอบโล่งใจจนเผลอผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ และพอเหลือบไปมองชานนท์เองก็ทำแบบเดียวกัน
“งั้นเปลี่ยนตรงห้องรับรองแขกนี่แหละ!!” วรุฒเดินนำและพูดแบบขอไปที
“เธอจะบ้าเหรอ! ต้องถอดชุดที่ใส่ออกก่อนนะ ชุดมัน...ใส่ยาก! จะมาเปลี่ยนตรงนั้นได้ไง! ไปเปลี่ยนห้องเธอสิ!!” พี่วิร้องเสียงหลง
“........” วรุฒแอบถอนใจก่อนจะพยักหน้าตกลง เขาหันหลังกลับ และส่งสายตาไปที่ชานนท์ที่กำลังถูกรุ่นพี่เอกเขิญไปลองชุดที่ห้องของตัวเองเช่นกัน

.....................

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


ชานนท์ถูกพี่เอกพาตัวมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเขาเอง เนื่องจากไม่อยากไปวุ่นวายกับพี่วิและคนของเธอที่ห้องชั้น 5 ห้องของวรุฒและชานนท์ จึงขอลากตัวชานนท์มาลองชุดที่ห้องตัวเองตามที่เขาเองก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

ส่วนชานนท์เองที่พยายามหลีกเลี่ยงพี่วิอยู่แล้วจึงจำใจต้องตามมา ทั้งที่ความเป็นจริงก็แอบห่วงวรุฒอยู่เหมือนกัน อาจเพราะเรื่องที่พี่วิพูดเกี่ยว’บอย’ ที่ยังดูตัวติดกันอยู่ในช่วงนี้ ชานนท์จึงพอเบาใจได้บ้าง  สุดท้ายเขาเองก็งงกับตัวเองว่าจะห่วงวรุฒทำไม ในเมื่อไอ้คุณชายนั่นน่าจะหาทางออกได้อยู่แล้ว

“เอ่อ......” ชานนท์มองดูเครื่องแบบสำหรับใช้ในงานแสดงสดของคณะฯ ด้วยความรู้สึกอึ้งกึ่งเสียใจ เพราะชุดที่ได้จากพี่เอกมานั้น มันช่างดูฉูดฉาด บางช่วงบางใสจนแทบไม่ปกปิด บางช่วงเข้ารูปจนดูรูปทรงเล็กเกินกว่าจะยัดร่างกายเข้าไปได้

“เออ! พี่เข้าใจ พี่เองก็เพิ่งเคยเห็นแบบนี่แหละ ไอ้คนออกแบบก็โคตรภูมิใจ แต่พี่ว่า.....มันแม่งไม่มีรสนิยมเลย!!” พี่เอกเดินมาจับเนื้อผ้าพร้อมบ่นเสียงดัง

“แต่ก็เปลี่ยนแบบไม่ทันแล้วใช่ไหมครับ มันน่าอายจะตายไป ไอ้สีส้มตัดแดงแบบนี้ ไหนจะเนื้อผ้าแบบนี้นี้อีก” ชานนท์พลิกชุดนั้นไปมาให้พี่เอกได้เห็นมันแบบ 360 องศา
“ไม่นะ พี่ว่า.. เหมือนชุดพวกซูเปอร์ฮีโร่อะไรงี้!!” พี่เอกส่ายหน้าอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางแหยงๆ ของชานนท์
“เฮ้อ... งั้น.... ผมขอตัวไปเปลี่ยนในห้องน้ำก่อนนะครับ”  ชานนท์พาดชุดที่ได้รับมาที่ท้องแขนและหันหลังไปทางทิศของห้องน้ำ
“เฮ้ย! เปลี่ยนตรงนี้ก็ได้!”
“........” ชานนท์ทำหน้าแปลกใจ
“คือ.... พี่เพิ่งล้างน้ำน่ะ พื้นน่าจะยังเปียกอยู่ พี่ไม่อยากให้ชุดเปียกน่ะ” พี่เอกพยายามรีบพูดโน้วน้าวรั้งชานนท์ให้อยู่ไกลจากห้องน้ำ
“เอ่อ..... คือ.....” ความกังวลเข้ามาจู่โจมชานนท์ เพราะเขาไม่รู้ว่าร่องรอยจากการกระทำของวรุฒยังเหลืออยู่มากน้อยมากแค่ไหน เขาคิดคำแก้ตัวไม่ออกจริงๆ หากพี่เอกเจอรอยพวกนั้นเข้า
“ผู้ชายด้วยกัน จะกลัวอะไร พี่ไม่ปล้ำเราหรอกน่า!” 
ชานนท์ไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผู้ชายนี่แหละน่ากลัว! แต่สุดท้ายเขาก็อยากให้ทุกอย่างมันจบโดยเร็ว ความกังวลที่ก่อเกิดจากที่ใดไม่ทราบเขาดันคิดเรื่องที่วรุฒและพี่วิอยู่ด้วยกันในสภาพเสื้อผ้าน้อยชิ้นแบบนี้ขึ้นมาในหัว ไม่รู้ว่าทำให้ไฟราคะมันติดขึ้นมาอีกหรือเปล่า

ชานนท์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกโดยไว ท่อนบนผ่านไปได้โดยดี แต่ท่อนล่างนั้นกลับมีปัญหา ขาของเขาดันไปติดอยู่ที่ขากางเกงทรงเดฟที่ใส่มาจนทำให้การทรงตัวของเขาเสียไป ร่างกายค่อยๆ เอนเอียงเป็นภาพสโลโมชั่น ล้มลงทีละช้าๆ ในขณะที่ชานนท์กำลังเตรียมใจรับแรงปะทะ ก็มีมืออ้อมใหญ่วงหนึ่งปราดเข้ารับร่างของเขาไว้ก่อนที่จะกระทบถึงพื้นห้อง ทำให้ชานนท์รอดพ้นจากการบาดเจ็บอีกครั้ง (ช่วงนี้รู้สึกมีแต่เรื่องเจ็บตัว เขาจะตายก่อนเรียนจบไหมเนี่ย!)

“เนี่ยนะ! ทำไมต้องรีบร้อน เกือบเจ็บตัวแล้วไหมล่ะ?” คนที่วิ่งมารับตัวเขาไว้พูดอย่างห่วงใย ใบหน้าใสสว่างออร่าของคนพูดอยู่ห่างจากใบหน้าชานนท์เพียงคืบ ชานนท์รู้สึกถึงลมหายใจอันอบอุ่นตกกระทบใบหน้า

“ขอโทษครับ” ชานนท์ตอบกลับด้วยใบหน้าสลด
“โอ๋ๆ พี่ไม่ได้ดุเรานะ พี่เป็นห่วง” พี่เอกยกมืออีกข้างขึ้นมาขยี้หัวชานนท์เบาๆ จนทำให้ชานนท์หลับตาหยี

“อืม..... เรานี่ก็....ซนใช้ได้นะ” พี่เอกพูดพลางลำรวจร่างกายที่เกือบเปลือยเปล่าของชานนท์

ชานนท์หลังจากได้ยินคำพูดนี้ถึงกับรีบสำราจร่างกายตัวเอง และพยายามใช้มือปกปิดส่วนพกช้ำที่เห็นได้ชัด แต่มันก็มีมากมายเกินกว่าชานนท์จะปิดหมด ใบหน้าร้อนผ่าวแดงก่ำ

“เอ่อ...... ผมขอลุกขึ้นยืนได้ไหมครับ?” ชานนท์พูดตัดบทเพราะเขารู้สึกถึงไอร้อนจากร่างกายพี่เอกที่สูงขึ้นได้ ด้วยท่าทางที่เป็นอยู่แบบนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับอีกฝ่ายมากขึ้น
“โอเค... จริงสิ พี่ขอโทษนะ” พี่เอกตอบด้วยท่าทางประหม่า พูดจบพี่เอกก็ประคองชานนท์ยืนเหยียดตรง แต่ตัวพี่เอกเองกลับนั่งขดลงไปกับพื้น
“อ้าว! พี่นั่งลงทำไมล่ะครับ” ชานนท์ถามขึ้นขณะพยายามถอดกางเกงยีนส์เข้ารูปออกจากขา ทำให้เขาตอนนี้เหลือเพียงกางเกงในตัวบางตัวเดียว

“เอ่อ.... พี่.... ลงไปรับน้องเมื้อกี้ทำให้เคล็ดขานิดหน่อย ขอพี่นั่งอีกสักพักนะ” พี่เอกทำท่าทางอึกอักและพยายามชันขาขึ้นมาและบีบนวดตรงช่วงต้นขา ความจริงแล้วเหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำให้บางอย่างในตัวตื่นขึ้นจนเขาไม่สามารถควบคุมได้ เขากลัวว่าหากลุกขึ้นมาจะทำให้มองเห็นชัดเลยตัดสินใจนั่งลงไปจนกว่าทุกอย่างจะสงบลงไปเช่นเดิม

“พี่ครับ ผมขอโทษนะครับ เจ็บมากไหมครับ?” ชานนท์คุกเข่าลงข้างๆ พร้อมใช้มือช่วยบีบนวดช่วงต้นขา ชานนท์ไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนจะทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลง ชานนท์ได้ไปกระตุ้นเจ้าเอกน้อยที่กำลังสงบให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“เอ่อ.... ไม่เป็นไรครับ คือ.... พี่นั่งสักพักก็หาย น้องไปลองชุดเถอะ” พี่เอกป่ายปัดมือของอีกฝ่ายให้หยุดสัมผัสตัวเอง

“โอ....โอเคครับ..” ชานนท์ทำหน้างงๆและลุกเดินไปหยิบชุดที่วางบนเตียงขึ้นมาสวมใส่ ระหว่างที่พี่เอกกำลังทำสมาธิก็แอบสำรวจร่องรอยพกช้ำบนร่างกายของรุ่นน้องตัวเองมากขึ้น จนกระทั้งไปพบรอยหนึ่งบริเวณหลังหู เป็นรอยที่ทำให้เขารู้สึกวูบวาบในช่องอกอย่างอธิบายไม่ถูก รอยแบบนั้นเขารู้จักดีว่ามันเป็นรอยจากอะไร ความซุ่มซ่ามของรุ่นน้องของเขา ไม่น่าจะไปเกิดรอยอะไรบริเวณนั้น ทำให้เขาคิดไปถึงคำพูดและกิริยาของเพื่อนร่วมห้องของรุ่นน้องเขาหลายอย่าง ทฤษฎีต่างๆ มากมายผุดขึ้นมาในหัวของเขาจนเขาจมดิ่งไปในห้วงความคิดของตนเอง

“พี่เอกๆ โอเคไหมครับ?” เสียงของชานนท์วิ่งมาปะทะโสตประสาทเข้า ดึงเขาออกจากห้วงความคิด
“เอ่อ......” รุ่นพี่รีบใช้สายตาสำรวจรุ่นน้องตรงหน้าที่แต่งตัวด้วยดีไซน์สุดแปลก แต่ก็ยอมรับว่ามันช่วยขับความต้องการทางเพศแก่ผู้ที่พบเห็นได้พอควร หรือนี่คือเป้าของคนอออกแบบ!

“ว่าไงครับ? มันไม่รัดไปใช่ไหมครับ?” ชานนท์ หมุนซ้ายขวาอย่างลวกๆ ทำให้เห็นส่วนนูนส่วนเว้าได้ทุกส่วน ส่วนที่ควรเปิดก็รัดแน่นนูน ส่วนที่ควรปิดก็แง้มเปิดเล็กน้อย มันเป็นชุดที่ทำให้คิดไปไกลได้มากจริงๆ ชุดแบบนี้จะผ่านการอนุมัติจากสภาคณาจารย์ไหมเนี่ย? เขาคิดไปพร้อมใช้สายตาชื่นชมความน่ารักของคนตรงหน้า

“ก็..... ดีครับ” พี่เอกพูดจบก็ลุกขึ้นมาสำรวจอย่างใกล้ชิดพร้อมใช้มือลูบไล้เนื้อผ้าเบาๆ
“เอ่อ... พี่ครับ อย่าลูบเยอะเลยครับมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้!” ชานท์ขยับถอยห่างไปครึ่งก้าว
“ฮ่า! บ้าจี้เหรอเรา?” รุ่นพี่ได้ทีขยับเข้าไปหยอกใกล้ขึ้นโดยการใช้นิ้วจี้เข้าไปที่จุดต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ชานนท์ร้องบอกให้หยุดจนตัวงอพลางขยับถอยหลังไปเรื่อยๆ

ฝ่ายรุ่นพี่เห็นแบบนั้นยิ่งได้ใจ ก้าวเข้าไปหยอกล้อแบบเดิมต่อพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนานจนลืมไปว่าห้องที่พวกเขาอยู่กันมันไม่ได้กว้างขวางเท่าใดนัก ชานนท์ถอยจนเท้าไปปะทะกับขอบเตียงและล้มลงไปขดงออยู่ที่เตียงของรุ่นพี่อย่างหมดแรง รุ่นพี่ไม่รอช้าโถมตัวเองลงไปแกล้งรุ่นน้องตัวเล็กต่ออย่างไม่ปราณี

โป๊ก!!!!!

เสียงศรีษะปะทะกับหัวเตียงเสียงดังลั่น พร้อมเสียงร้องโอดโอยของรุ่นน้องที่นอนขดกุมศรีษะตนเองอยู่บนเตียงอันยับยู่

“เฮ้ย! พี่ขอโทษ!! เป็นอะไรไหม?” พี่เอกรี่ก้มลงดูศรีษะอีกฝ่ายโดยทันที
“ไม่... ไม่เป็นไรครับ” ชานนท์ไปพลางใช้มือลูบหลังศรีษะไปด้วย
“ไหน? ดูหน่อยซิ?” พี่เอกเกาะกุมมือของรุ่นน้องทางด้านล่างออกมาและใช้มือของตนเองแหวกเส้นผมของรุ่นน้องไปมาเพื่อตรวจหาบาดแผล
“เป็นไงบ้างครับ?” ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงสู้ไม่ดี
“แค่แดงๆ น่ะ ไม่มีแผล หัวแข็งใช้ได้นะเอ็งเนี่ย!” พี่เอกใช้มือลูบไล้บริเวณพื้นผิวที่เปลี่ยนเป็นสีเรื่อๆ สีแดงอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งใช้ลมจากริมฝีปากเป่าลงไปที่พื้นผิวเหล่านั้นเป็นจังหวะเบาๆ ด้วยสภาพตอนนี้ทำให้ศรีษะชานนท์อยู่ใกล้แผงอกของพี่เอกแค่ไม่กี่เซ็นติเมตร เสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่ปลดกระดุมออกไปสองเม็ดทางด้านบน เผยให้เห็นแผงอกที่แน่นและลีนสวย เนินตุ่มสีชมพูกลางแผงอกนั่นเด่นชัดจนต่อสายตาชานนท์ต้องเลี่ยงไม่มองไปตรงๆ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายราคาแพงที่น่าดึงดูดโชยมาเข้าจมูก ไม่รู้ทำไมชานนท์ชอบกลิ่นน้ำหอมกลิ่นนี้มากๆ

“นนท์....” พี่เอกพูดเสียงแผ่ว
“อ่ะ ...... ครับ!” ชานนท์สะดุ้งตอบรับในขณะที่กำลังเพลินเพลินกับการนวดศรีษะและกลิ่นตัวของพี่เอก
“คิดยังไง...... หาก....... มีผู้ชายมาชอบ.....?” พี่เอกค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ เหมือนแค่ละคำเปรียบดั่งของที่หนักอึ่งที่จะส่งออกมาจากปากอย่างยากลำบาก
“เอ่อ....... ทำไมพี่ถามแบบนี้?” ชานนท์รู้สึกตกใจและใจเต้นสั่น ลำตัวแข็งเกร็ง
“เออน่ะ! ตอบเหอะ!” พี่เอกเน้นคำ ชานนท์รู้สึกถึงไอร้อนแผ่ออกมาจากพี่เอกได้
“ก็......” ชานนท์เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ที่ลำคอ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายได้เช่น คำถามนี้ทำให้เขานึกถึงหน้าเพื่อนร่วมห้องของเขาขึ้นมาทันที ความสับสนจู่โจมเข้ามาจนเขาจมอยู่ในความคิดของตนเองจนลืมสถานการณ์ ณ ตอนนี้ไปเสียสนิท
“พี่มีเรื่อง.... อยากจะบอกเรา” พี่เอกเลื่อนหน้าตัวเองลงมาพอดีกับหน้าของชานนท์ ทำให้ใบหน้าทั้งอยู่ในองศาที่ตาประสานตาอย่างจงใจ ชานนท์ตกใจหลุดออกจากความคิดในหัวของตนเองทันที

“ครับ..... พี่เอก...” ชานนท์ตอบเสียงสั่นและพยายามเลื่อนตัวออกจากองศาของพี่เอก แต่พี่เอกนั้นไวกว่าชานนท์มาก เขาใช้มือกระชับไหล่ชานนท์ไว้ ไม่ให้ขยับจากไป และใช้สายตาดุจเหยี่ยวจ้องมองเหยื่อตรงหน้า

“พี่ชอบนนท์นะ” พี่เอกพูดออกมาอย่างนุ่มนวลและแฝงรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ใบหน้า พี่เอกโน้มศรีษะตัวเองอย่างช้าๆ เพื่อพยายามกดริมฝีปากสีชมพูอ่อนนั้นลงไปบนเป้าหมายทางด้านล่าง

“แต่ผมไม่ได้ชอบพี่แบบนั้น!!” ชานนท์โพล่งพูดออกมาและเบี่ยงหน้าหลบ ทำให้ริมฝีปากที่กดลงมานั้นปะทะไปที่ซอกคอแทนริมฝีปาก
“พี่รู้ว่ามันทำใจยาก แต่ให้โอกาสพี่นะ” พี่เอกพูดขึ้นในขณะที่ริมฝีปากยังคงแนบชิดอยู่กับผิวหนังที่ซอกคอรุ่นน้อง ลมหายใจที่อุ่นชื้นราดรดลงมาอย่างต่อเนื่อง มือทั้งสองข้างของชานนท์ถูกกรุ่นพี่ประกบไว้แน่นหนา

“ไม่เอาครับ อย่างทำแบบนี้!” ชานนท์ร้องโอดครวญ พยายามดิ้นรนให้พ้นจากอีกฝ่าย แต่ก็สู้กำลังอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าไม่ได้
“จะบอกว่า ไม่ยอมพี่แต่ดันไปยอมให้ไอ้ลูกเศรษฐีนั่นใช่ไหม? ไอ้เด็กมีปัญหานั่นมันดีกว่าพี่ตรงไหน?” พี่เอกยกหน้าขึ้นโวยวายใส่คนตัวเล็กที่นอนขนานอยู่ทางด้านล่าง

“พี่.....พี่รู้....” ชานนท์ตอบเสียงสั่น
“พี่ไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ! พี่จะพิสูจน์ว่าพี่ก็มีดีไม่แพ้มัน!!” พี่เอกพรมริมฝีปากตัวเองไปทั่งหน้าและซอกคอของรุ่นน้องจนไอร้อนจากตัวรุ่นพี่ถูกราดรดไปทั่วบริเวณ รุ่นน้องได้แต่ดิ้นรนโวยวายพยายามหลบหลีกจากอีกฝ่ายแต่ก็ไร้ประโยชน์ ชานนท์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไร เขาถึงรู้สึกไม่อินกับพี่เอกเลย เขารู้สึกอยากจะหนัไปให้พ้นจากตรงนี้ให้ได้ เขาทั้งโกรธและอายที่พี่เอกทำกับเขาแบบนี้

“พี่ครับ ผมขอร้อง!!” คำไม่กี่คำสั้นๆที่หลุดออกมาจากปากชานนท์ทั้งน้ำตาจนทำให้พี่เอกหยุดการกระทำทุกอย่างลงทันที รุ่นพี่ผละออกจากรุ่นน้องที่นอนตัวสั่นอยู่ทางด้านล่าง

“พี่ขอโทษว่ะ......” เสียงตอบของพี่เอกที่ลุกขึ้นมานั่งทิ้งขาลงข้างเตียงอย่างแผ่วเบา

“...........” ชานนท์รีบลุกขึ้นมานั่งชันเข่าหลังพิงหัวเตียง เขามองรุ่นพี่ที่เขาเคารพด้วยสายตาผิดหวัง
“อย่ามองพี่ด้วยสายตาแบบนั้นสิวะ พี่ขอโทษ.... แต่พี่ก็คนนะโว้ย พี่ก็มีความต้องการ พี่ไม่อยากเสียงเอ็งให้กับไอ้ลูกเศรษฐีบ้าอำนาจนั่น!” พี่เอกมองสายตาของชานนท์วาบหนึ่งก่อนที่จะหลบสายตามองออกไปนอกหน้าต่างและพร่ำบรรยายความรู้สึกของตัวด้วยน้ำเสียงเกือบกระซิบ

“นนท์!  บอกพี่มาว่านนท์โดยมันขืนใจ หรือยอมมันเพราะชอบมันเข้าแล้ว!!” พี่เอกลุกพรวดขึ้นมาและใช้แขนวางบนหัวเตียงเพื่อล้อมร่างของคนตัวเล็กไว้อย่างรวดเร็วพร้อมพูดกับชานนท์ด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบ

ส่วนชานนท์นั้นพอได้ยินคำถามแบบนั้นก็ได้แต่นิ่งและนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขามันจะเรียกว่าขืนใจก็ได้ สมยอมก็ได้ แต่ไอ้เรื่องชอบไอ้บ้าอำนาจนั่น เขาเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่? เขาได้นิ่งและจ้องมองแววตาจริงจังที่ส่งมาจากคนที่สูงกว่า

ปึง!!!!

เสียงประตูเปิดกระชากออกอย่างไม่เต็มใจ พร้อมปรากฏเงามืดดำขนาดใหญ่ที่เกิดจากแสงทางด้านนอกก้าวเข้ามาในห้อง บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไป รู้สึกอุณหภูมิสูงขึ้นทันที ไม่รู้ว่าเกิดจากคนที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างอุจอาจหรือบรรยากาศลมร้อนจากภายนอกพัดเข้ามาก็ไม่อาจทราบได้ ชานนท์ทราบแต่คนที่เข้ามานั้นมีแววตาที่คมกริบดุร้าย เขากวาดสายตามาทางทิศทางที่เขาสองคนอยู่อย่างมุ่งร้าย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“ทำอะไรกัน!!??” เสียงที่แสนกราดเกรี้ยวพูดขึ้นทันทีที่เข้ามาในพื้นที่ห้อง ประตูที่คาดว่าจะพังไม่มีชิ้นดีต่างดีดตัวแกว่างไปมาอย่างไร้น้ำหนักทางด้านหลัง

“กูก็แค่ช่วยน้องกูดูแลเสื้อผ้า” พี่เอกหันไปพูดและเปลี่ยนอริยาบทเป็นยืนขึ้นเหมือนพร้อมรับพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ทางด้านหน้า

“...........” ชายร่างสูงใหญ่ผู้เปิดตัวเข้ามาอย่างรุนแรง มองไปที่คนตัวเล็กบนเตียงนอนอย่างสำรวจถี่ถ้วน โดยไม่ปริปากตอบกลับไป แต่ได้ยินเสียดบดของฟันดังออกมาอย่างชัดเจน

“ที่บ้านมึงไม่ได้สอนหรือไงให้เคาะประตูขออนุญาติก่อนเข้าห้องมาดีๆ!” พี่เอกก้าวไปด้านข้างเพื่อบดบังสายตาของวรุฒที่มองทางชานนท์อย่างน่ากลัว

“ที่บ้านมึงไม่ได้สอนหรือไงว่า อย่าไปพยายามอยากได้อะไร หากเขาไม่เต็มใจ!!” วรุฒสวนกลับตาเขียวเข้ม
“คำพูดนี่ กูน่าจะเป็นคนพูดนะ มึงฝืนใจคนอื่นเขาจนกลัวไปหมด แบบนี้คือคนดีๆ เขาทำกันหรือไง!!”
“เฮอะ!! กูฝืนใจใคร? ฝืนใจมันก็ได้แค่ครั้งสองครั้ง แต่นี่กูกับนนท์นี่นับครั้งไม่ถ้วน อย่างนี้ไม่เรียกว่าเต็มใจจะเรียกว่าอะไร!!”
“..........” คราวนี้เป็นพี่เอกที่ไร้คำพูดใดๆ โต้กลับ เขาหันกลับไปมองหน้าชานนท์ที่มองมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างกลั้นโทสะ

“พูดอะไรกันวะ!!” คนที่อยู่ในชุดปลุกอารมณ์ดีไซน์ประหลาดตะโกนสุดเสียง เขารู้สึกอายกับสถานการณ์ที่เขาถูกเปรียบเสมือนสิ่งของที่ถูกเด็กเอาแต่ใจแย่งชิงกัน เขารู้สึกอายที่ถูกพูดเรื่องน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้า หลังจากจบประโยค เขาลุกขึ้นและวิ่งออกจากเตียงอย่างสุดฝีเท้าทั้งที่ยังสวมใส่ชุดนั้นอยู่

“เดี๋ยว!” พี่เอกคว้าแขนชานนท์ได้ทันก่อนที่ชานนท์จะแล่นผ่านตัวไป

“ปล่อยผม!!” ชานนท์สะบัดแขนสุดแรง และเขาก็ทำสำเร็จ เขาวิ่งผ่านพี่เอกทันทีในขณะที่พี่เอกก็ร้องเรียกชานนท์อย่างรู้สึกเสียใจ เขาวิ่งผ่านเพื่อนร่วมห้องของเขา ชานนท์มองวรุฒด้วยหางตาอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้วรุฒรู้สึกเจ็บแปลบที่อกอย่างรุนแรง วรุฒปล่อยให้ชานนท์วิ่งผ่านหน้าไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีชานนท์ก็วิ่งพ้นประตูไปแล้ว

“มึงไม่ต้องตามมา!! จำไว้ว่าอย่ามายุ่งกับคนของกูอีก!!” วรุฒชี้หน้าพี่เอกอย่างมาดร้ายและวิ่งตามคนตัวเล็กไปทันที
ส่วนพี่เอกได้แต่โวยวายลั่นห้องด้วยความโมโห

ชานนท์วิ่งออกมาอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ร่างกายวันนี้ยังไม่พร้อมกับการออกแรงมากมายขนาดนี้และแล้วเท้าของเขามาหยุดที่ห้องของเขาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ในครั้งแรกที่ออกฝีเท้าเขาไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหน รู้แต่ต้องวิ่งออกไปให้ไกลจากจุดนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกมันพาไป แต่สุดท้ายเท้าของก็ดันมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องตัวเอง เขายืนมองประตูห้องตัวเองอย่างโมโห

‘ที่ทางก็ตั้งเยอะ แล้วทำไมเรามาหยุดอยู่ตรงนี้วะ?’ เขาบ่นกับตัวเองในใจพร้อมหอบหายใจถี่รัว

“เฮ้อ!! นึกว่าจะวิ่งไปไหนไกลเสียอีก!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล ชายร่างสูงใหญ่เดินกึ่งวิ่งเดินเข้ามาหาชานนท์พร้อมเสียงลมหายใจเข้าออกหอบใหญ่

 ชานนท์ไม่ได้มองและตอบกลับวรุฒที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกโกรธและสับสนของเขายังคงวนเวียนอยู่ในความคิดจนแสดงออกมาทางสีหน้า

“โกรธหรือไง! ที่กูเข้าไปขัดจังหวะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มของพวกมึง!!” วรุฒพูดขึ้นอย่างดุดัน
“.........” ชานนท์ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงกับคำถามกับวรุฒ เขาแค่รู้สึกว่าไม่อยากแม้แต่มองคู่สนทนาคนนี้
“เป็นเชี้ยอะไร ไม่พูดไม่จา อยากเอากับมันมากก็ลงไปเลยกูไม่ห้ามแล้ว!!” คนตัวสูงพูดใส่หูคนตัวเล็กอย่างจงใจ

ผั๊วะ!!

เสียงหมัดเล็กๆ ของชานนท์แหวกอากาศไปปะทะกับแก้มของวรุฒเสียงดังด้วยแรงทั้งหมดที่มีด้วยความโกรธ

“เราไม่ใช่คนใจง่ายแบบนั้น!! ไม่รู้ทำไม เวลาที่พี่เอกจะทำแบบนั้นถึงได้มีหน้านายลอยมาในความคิด ทำไมถึงถึงรู้สึกรังเกียจที่พี่เอกทำแบบนี้กับเราก็ไม่รู้ แต่พอกับนาย โธ่! เว้ย กับนายทำไมเราถึงยอม!! กับนาย!! ไอ้คนเลวอย่างนาย!!” ชานนท์ร้องโวยวายทั้งที่ดวงตาร้อนผ่าวแดงฉาน เขาเหวี่ยงมือรัวที่ไปร่างของอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ แต่กลับโดนเป้าหมายทุกหมัดทุกมีอ เพราะวรุฒนั้นยอมรับหมัดเหล่านั้นทั้งหมด หลังจากที่ได้ยินคนตัวเล็กบรรยายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมา

“เราโคตรเกลียดนายเลยว่ะ!!”  คำพูดสุดท้ายถูกเปล่งออกมาพร้อมกับการเหวี่ยงหมัดเต็มแรงไปที่อกด้านซ้ายของอีกฝ่าย
“นายเกลียดเราจริงๆ เหรอ ทำไมหมัดมือที่นายทุบตีเรามันช่างเบาขนาดนี้วะ?  แล้วนายจะทุบตีคนที่เกลียดด้วยน้ำตาทำไมล่ะ?” วรุฒเสียงดูอ่อนโยนพร้อมจับข้อมือทั้งสองข้างของชานนท์ชูขึ้น

“ปล่อย!!” ชานนท์ฟึดฟัดขัดขืน
“ดูสิ มือแดงช้ำไปหมดแล้ว ทุบตีหัวใจตัวเอง ยิ่งจะทำให้ตัวเองเจ็บนะ” วรุฒมองลงมาที่ตาที่ช้ำแดงของชานนท์
“ใจอะไรว่ะ โคตรเชยเลย ปล่อยได้แล้วเจ็บ!!” ชานนท์หน้าแดงดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอีกฝ่าย ส่วนวรุฒได้แต่หัวเราและคลายมือของอีกฝ่ายทันที  ชานนท์ถือโอกาสหลบหน้าหันหลังและมองสภาพตัวเองในชุดแปลกประหลาดแบบนี้ พอเริ่มสติก็เริ่มอายกับสิ่งที่ตัวเองทำ และสิ่งที่ใส่อยู่ขึ้นมา

“แอบชอบเราอยู่เหมือนกันใช่ไหม?” วรุฒโอบกอดคนตัวเล็กจากทางด้านหลัง
“เราไม่ได้ชอบผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายอย่างนาย!!” ชานนท์พยายามขัดขึ้นอีกครั้ง
“แน่ใจนะ?” วรุฒถามขึ้น
“.........” ชานนท์คิดวนเวียนในหัวจนแทบระเบิดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้
“เราถามว่า.... แน่ใจแล้วใช่ไหมที่ตอบแบบนี้ออกมา!!?” วรุฒก้าวเข้าใกล้จนแนบชิดแผ่นหลังอีกฝ่ายจนไม่มีอากาศแทรกผ่านได้
“.............” ยิ่งคนตัวใหญ่เข้าใกล้ ไออุ่นและกลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งออกมาบางเบายิ่งทำให้ความคิดในใจของชานนท์ตอนนี้ปั่นป่วนจนหาคำตอบไม่ได้
“ถามด้วยเสียงอาจจะยังไม่เข้าใจ งั้นต่อไปจะถามด้วยการกระทำแล้วนะ!!” วรุฒกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่าย
“โอ้ยยยยย.... ไม่เข้าใจโว้ยยยยย ไม่เข้าใจตัวเองเลยโว้ยยยยยย” ชานนท์ตะโกนลั่นอย่างอึดอัดใจ ในขณะที่เขาจะเบี่ยงตัวเพื่อต้องการจะหลบหนีจากอีกฝ่าย ชานนท์ก็ถูกวรุฒจับตัวไว้แน่นและดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกลับเหมือนเป็นเพียงเด็กห้าขวบที่ลอยเข้าในอ้อมกอดผู้ใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ชานนท์จะปล่อยเสียงอุทานออกไป วรุฒก็กดริมฝีปากไปที่ริมฝีปากเข้าอย่างเหมาะเจาะ ลีลาเล้าโลม เกลี้ยกล่อมโดยใช้ปลายลิ้นฉวัดเฉวียนไปมารอบช่องปาก ทำให้ชานนท์รู้สึกอ่อนละทวยจนแทบยืนไม่อยู่ เขาพยายามขัดขืนโดยการดีดดิ้นไปมาภายในอ้อมแขนที่ล่ำสันของคนตัวสูงแต่ก็ไม่เป็นผล

“ลองถามใจตัวเองดูนะว่า.... ใช่ไหม?” วรุฒถอนปากออกมาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงถี่หอบ ก่อนที่จะบดริมฝีปากลงไปอีกครั้งหนึ่ง ชานนท์ยังไม่ทันได้ตอบโต้ไปก็ถูกจู่โจมให้โอนอ่อนอีกครั้ง น้ำเสียงที่วรุฒถามยังคงก้องอยู่ในหัว ภายใต้ลีลาจังหวะรักของวรุฒ ทั้งการโลมลันจูบอย่างดูดดื่ม ทั้งมือไม้ที่ลูบไล้ไปทั่วต้นคอและลำตัว มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าร่างกายของเขาก็ต้องการ แต่เขาแค่อยากรู้ว่าสิ่งนี้มันใช่ความรักความชอบพอหรือไม่ เขาจึงตัดสินลืมตาและจ้องพินิจรูปหน้าของคนที่กำลังบดริมฝีปากและใช้ลิ้นพยายามล่วงล้ำพื้นที่ภายในของเขา วงหน้าที่เนียนใสที่ตอนนี้เรื่อไปด้วยสีแดงเหมือนผลมะเขือเทศสด วงคิ้วและเส้นผมที่ได้รูปดูดี ทำให้เขารู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จังหวะที่ร่างกายของชายร่างสูงทางด้านบนบดเบียดเข้ามาให้พวกเขาได้แลกไออุ่น ทำให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรสั่นกระพือภายในอกอย่างบอกไม่ถูก ใช่ว่าเขาไม่เคยกอดกับผู้ชายเลย แต่การกอดกันฉันท์เพื่อน ฉันท์พี่น้องมันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ หรือนี่คือความรักจริงๆ!! พอคิดได้แบบนี้ เขาก็ปล่อยให้ตัวเองล่อยลอยไปกับจังหวะรักที่วรุฒเป็นผู้นำในการบรรเลงอย่างว่าง่าย

และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของรุ่นพี่ที่คิดจะมาคืนเสื้อผ้าและสัมภาระของชานนท์มาคืนให้ เขาถือของในมือด้วยอาการสั่นระรัว เขาตัดสินใจหลบฉากและซ่อนตรงทางขึ้นลงบันไดด้วยอาการเจ็บจี๊ดที่หน้าอกข้างซ้าย

........................

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่เอกนี่เป็นได้แค่มดแดงแฝงพวงมะม่วง555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชานนท์ถูกวางลงบนเตียงอย่างอ่อนนุ่มและตามติดด้วยชายร่างสูงที่โถมตัวลงมาซ้อนทับร่างของเขาอย่างบรรจงเหมาะเจาะ ระหว่างที่ชานนท์กำลังถูกเล้าโลมอย่างเต็มรูปแบบ เขากลับรู้สึกแปลกใจขึ้นมาว่าชายร่างสูงตรงหน้ามีความสามารถขนาดไหน ในการปลดล็อคประตูและพาเขามาถึงเตียงได้พร้อมกับการโลมรัดพัวพันรัญจวนชานนท์ไปได้พร้อมกัน

ความคิดที่เผลอไผลเพียงชั่วไม่กี่พริบตา เสื้อผ้าของเขาทั้งหมดก็อันตธานหายไปกองอยู่ที่ข้างเตียงโดยที่เขาทำได้เพียงเล่นไปตามจังหวะที่ริมฝีปากและลิ้นของอีกฝ่ายป่ายปัด พรมจูบประสานโลมเลียจุดสำคัญของเขาไปทั่วทั้งร่าง

“ถอดให้หน่อย....” ชายร่างสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงอาการหอบเล็กน้อย แก้มที่แดงเรื่ออ่อนนั้น มันเย้ายวนใจชานนท์อย่างไม่สามารถบรรยายออกเป็นคำพูดใดๆ ได้

ชานนท์พยักหน้าและปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เขาใช้มือจับที่ชายเสื้อและดึงขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสัดส่วนที่สวยงามของชายหนุ่มที่แข็งแรงสมชาย กล้ามได้รูปบริเวณช่องท้องขึ้นไปจนถึงเนินอกนูนต่ำที่กำยำ ผิวที่ขาวเนียน หลังจากดึงเสื้อไปจนพ้นศรีษะของวรุฒ ชายร่างสูงก็สบัดจัดทรงผมให้เข้ารูปจนคนตัวเล็กทางด้านล่างอดที่จะอิจฉาความได้รูปของคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะมีผมทรงอะไรก็ดูดีไปเสียหมด

“ตานายบ้าง” วรุฒดึงชานนท์เข้าไปกอดแนบชิด ใบหน้าของชานนท์แนบชิดไปกับเนินอกที่เนียนแน่นของอีกฝ่าย ปากของเขาไปต่อติดกับตุ่มสีชมพูอ่อนกลางอกพอดีอย่างตั้งใจ กลิ่นน้ำหอมเย็นแบบดอกไม้และสมุนไพรเมืองหนาวโชยอ่อนมา ทำให้ชานนท์รู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างประหลาด หลังวรุฒพูดจบชานนท์ก็ใช้ลิ้นที่ชุ่มอุ่นชิมรสชาติของตุ่มเนื้อสีชมพูตรงหน้า เขาใช้เวลากับตรงนั้นอย่างเพลิดเพลินจนเปียกชุ่มไปทั้งบริเวณ วรุฒมีเสียงครือครางในลำคออย่างต่อเนื่อง

“ดี!! ต่อไป” พูดจบวรุฒก็กดศรีษะคนตรงหน้าให้ถอยร่นลงต่ำจนไปถึงขอบกางเกง กลิ่นสาปอ่อนๆ ลอยออกมากระทบจมูก  ชานนท์ที่กำลังโดนกดให้ริมฝีปากอยู่เสมอขอบกางเกงทำได้แค่เพียงดอมดมสิ่งเหล่านั้นจนความคิดในหัวปั่นป่วนไปหมด สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดและหลงไหลนั่นคับแน่นอยู่เบื้องล่าง สิ่งนั่นมันเหมือนจะขยับได้ มันเหมือนสัตว์ร้ายที่โดนขังไง้และกำลังอาละวาดอยู่

“ถอดออก!!” คำสั่งต่อไปถูกกำหนดขึ้น ชานนท์จึงใช้มือทั้งสองข้างปลดอาภรณ์ที่สวมทับท่อนล่างของชายตรงหน้าอย่างรีบร้อน เผยให้เห็นของสงวนขิงวรุฒที่ตอนนี้คึกคักแข็งขันสีสวยชูเด่นอยู่ตรงหน้า ชายร่างสูงจัดการจับศรีษะของคนตัวเล็กให้สิ่งที่ชูชันอยู่นั้นตรงกับช่องปากพอดี และใช้แรงดันให้สิ่งนั้นนั้นรุกล้ำเจ้าไปในช่องปากอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง วรุฒกระทำท่านี้อยู่จนกระทั้งชานนท์ถอนตัวหนี ขยับออกมาหายใจหอบถี่เพราะการทำแบบนี้เขาแทบไม่มีช่องให้หายใจ

วรุฒไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนง่าย เขาโถมตัวลงไปจัดการให้ร่างเล็กตรงหน้านอนแผ่หงายและยกขาทั้งสองขึ้น

“รุฒ..... เรา.... ยังเจ็บ... อยู่เลย...” ชานนท์พูดกระท่อนกระแท่นออกมาอย่างเหนียมอาย และมีอาการหอบเหนื่อย

วรุฒยิ้มตอบอย่างเอ็นดูคนที่นอนแผ่อยู่ทางด้านล่าง เขาปรับท่าทางของชานนท์ให้ผ่อนคลาย และร่นศรีษะตัวเองลงมาพรมจูบที่หน้าอกอันบอบบาง ผิวที่ขาวใสภายใต้ร่มผ้าที่ผ่านการดูแลอย่างดี ถูกโลมลันไปด้วยลิ้นที่บรรจงมอบความสุขให้แก่อักฝ่ายจนตัวยกขึ้นจากที่นอนเล็กน้อย

วรุฒไม่หยุดตัวเองแค่ช่วงอกแต่ยังคงไล่ลิ้นวนลงมาเรื่อยๆ จนไปถึงท้องน้อย ผ่านพงหญ้าบอบบางไปจนถึงท่อนยุทธศาสตร์ที่กลางลำตัว เขาใช้ริมฝีกปากสัมผัสส่วนนั่นอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ชานนท์ถึงกับร้องออกมาด้วยความรู้สึกดีอย่างลืมตัว ชายร่างสูงใช้ศรีษะค่อมท่อนล่างคนร่างเล็กอย่างทะนุถนอม และใช้ทุกเทคนิคที่ตัวเองมีถ่ายทอดไปที่ชายตัวเล็กบอบบางที่เขาพึงใจอย่างสุดกำลัง ชานนท์ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ที่เขาหลงไหลกับการบริการของอีกฝ่ายอย่างลุ่มหลง ในที่สุดเขาก็บรรลุปลายทางแห่งความสุข ส่งของขวัญแห่งความปรารถไปในปากของวรุฒอย่างหมดจรด กล้ามเนื้อแเกร็งของเขาชักอยู่เล็กน้อยก่อนจะนอนสงบราบไปกับพื้นที่นอนของวรุฒ ชายร่างใหญ่เห็นท่าทีแบบนั้นก็เร่งรีบลัดขึ้นมาจุมพิตกับชานนท์อย่างหื่นกระหาย ก่อนจะใช้มือของคนตัวเล็กทางด้านล่างสำเร็จตัวเองจนซากของความปรารถนาไหลรดเต็มร่างของชานนท์

............................

เสียงจิ๊บจิ๊บ ของบรรดาสัตว์ปีกตัวเล็กนอกห้องนอนส่งเสียงแทรกผ่านกำแพงหนาและหน้ากระจกที่ปิดสนิทเข้ามาที่ห้องชั้นบนสุดห้องมุมสุดท้ายของปีกตะวันออก

ชานนท์ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงรบกวนดังกล่าวภายใต้อ้อมแขนของชายกึ่งเปลือยบนเตียงที่ไม่ใช่ของเขา แรกเริ่มจากการลืมตาตื่นเขาเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจที่ตื่นขึ้นในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อยู่แนบชิดกับชายหนุ่มสุดฮอตของมหาวิทยาลัยในสภาพที่แทบไม่ปกปิดสิ่งใดต่อกัน หลังจากได้เพ่งพิศไปที่ใบหน้าที่คมกริบ หลับตานอนสงบอยู่เคียงข้างเขา พลันรู้สึกถึงความอบอุ่นเกิดขึ้นภายในช่วงอก ทำให้เขาผ่อนคลายและเรียกสติกลับมาได้หมด วงหน้าที่หมดจดนี้ หากเป็นเมื่อก่อนแรกเริ่มที่เจอกัน มันเป็นใบหน้าที่เขาแทบไม่อยากจะมอง ความรู้สึกในแง่ลบมันจะก่อเกิดขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้ชานนท์กลับหันไปเพ่งมองอย่างเพลินตา ยิ่งเห็นในระยะใกล้แบบนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าชายร่างสูงที่นอนแนบชิดเขาอยู่นั้นบุญหนักขนาดไหน วงหน้าสันกรามที่ชัดสวยได้รูป จมูกที่ทรงสวยแต่กำเนิด รูปตาดูดีส่วนขนตานั้นหนางอนกำลังดี คิ้วดกโค้งสวยรับกับดวงตา และผิวพรรณที่เนียนใสละเอียดอย่างกับเด็ก เป็นคนที่มองกี่ทีก็ไม่เบื่อจนชานนท์เผลอยิ้มออกมาหลังจากมองไปได้สักพัก

พั่บ!!

เสียงฝ่ามือแหวกอากาศมาคว้าตัวชานนท์ให้เข้าไปแนบชิดกว่าเดิม

“มัวแต่จ้องมองอยู่นั่นแหละ! ไม่ทำอะไรเสียที” ชายที่หลับตาพริ้มพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้บ้า!! ไม่ได้คิดจะทำอะไรเสียหน่อย!!” ชานนท์ดิ้นขัดขืนภายใต้อ้อมกอดที่หนาแน่น
“จูบ ดูด เลีย อะไรก็ทำได้ เราโอเค”
“ไอ้ทะลึ่ง!! แค่มองเฉยๆ”
“แต่ก็ยอมรับสิ ว่าจ้องเราอยู่” วรุฒยิ่งเพิ่มแรงบีบรัดมากกว่าเดิมจนชานนท์หมดโอกาสดิ้นรน
“ปล่อย และก็ตื่นได้แล้ว สายมากแล้ว!!” ชานนท์ได้โอกาสเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่หัวเตียงพอดี
“ไม่เอา ขอกอดแฟนก่อน”วรุฒพูดจบก็เอาหน้าซุกไซ้ไปที่ซอกคออีกฝ่าย
“อะ....อะไรนะ?”
“ขอกอดไง!” วรุฒพูดทั้งๆที่ปากยังแนบชิดกับผิวที่ลำคอ
“ไม่ใช่!!” ชานนท์รู้สึกใบหน้าค้อนผ่าว
“ขอกอด ‘แฟน’ ไง!” คราวนี้วรุฒพลิกตัวขึ้นมาพูดย้ำเน้นที่คำตรงกลาง
“ใครแฟนนาย?” ชานนท์เริ่มดีดดิ้นอีกครั้ง
“นายไง!!”
“ใครไปตกลงกับนายกัน!!”
“เราอยู่ด้วยกันขนาดนี้แล้ว ยังไม่ใช่แฟนอีกเรอะ!!?”
“............” ชานนท์นิ่งไปเพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำพูดคำนี้หลุดออกจากพ่อปลาไหลคนนี้
“มากอดหน่อย” วรุฒใช้ฟันขบไปที่ต้นคอของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างตั้งใจ
“โอ้ย!! ไม่เอาโว้ย..... ใครเขารับเป็นแฟนนายกัน” ชานนท์ดิ้นรนเพื่อหนีจากอ้อมกอดอีกฝ่ายและริมฝีปากที่ชอนไช
“ไม่ยอมรับใช่ไหม? งั้นมานี่เลย!!” วรุฒจับแขนคนตัวเล็กทางด้านล่างแผ่ออกและกดให้ติดกับพื้นที่นอน กระโดดขึ้นคล่อมอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันที่กดริมฝีปากไปที่คนทางด้านล่าง และจุมพิตไปที่ริมฝีปากคนข้างล่างอย่างดูดดื่ม จากอาการขัดขืนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นโอนอ่อนและเริ่มใช้ลิ้นรับกับจังหวะจู่โจมของอีกฝ่ายอย่างรู้งาน วรุฒถอนปากออกและเริ่มไล่ลิ้นเลียลงมาเรื่อยๆ จนถึงเนินอกและตุ่มเต่งสีชมพูอ่อน และใช้วิชาที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตจัดการกับมันจนชานนท์ร้องเสียงหลง

“โอย.... ยะ...อย่า... พอแล้ว.... พอ.... เดี๋ยว.... สาย.... ไม่เอาแล้ว!!” ชานนท์ร้องขออย่างสุดแรงฝืน
“ยอมรับแล้วใช่ไหม?”
“ยอม.....รับ......อะ......ไร?”
“เป็นแฟนกัน!!”
“โอเคๆ”
“นายเนี่ยนะ ชอบให้ใช้พลังเสียจริง” เสียงสั่นของวรุฒบรรจงพูดลงข้างหู จบท้ายด้วยการพรมจูบทั้งซอกคอ
“พอเถอะ เรา...... ขอร้อง เดี๋ยว....ไปเรียนสาย” ชานนท์อดทนต่อแรงปรารถนาที่ลุ่มลึกในจิตใจตอบขัดขืนออกไป
“แค่ไปเรียน ไม่ต่องรีบร้อนก็ได้...... นายน่ารักขนาดนี้ ......จะให้เราทนรอถึงเย็นได้ยังไง? ขอสักยกก่อนนะ” วรุฒไล่ตัวเองลงต่ำเรื่อยจนถึงสะดือของอีกฝ่ายจนชานนท์เผลอครางในลำคอ
“ไม่.... ไม่ได้!! ไปอาบน้ำได้แล้ว” ชานนท์ฝืนใจพูดขึ้นอีกครั้ง
“เฮ่อ!! นายเนี่ยนะ ห่วงเรียนจริงเชียว แต่.....” ชานนท์รู้สึกว่าสายตาคนตัวสูงสว่างอยู่วาบหนึ่ง

“ช่วยพูดคำวิเศษให้ฟังหน่อย ได้ยินแล้วจะหยุด!!”
“อะไร?”
“เราเป็นอะไรกับนาย?”
“เอ่อ......ไอ้บ้า! ก็.....ยอมรับแล้วไงจะเอาอะไรอีก!!” ชานนท์พูดขึ้นด้วยสีหน้าแดงปลั่ง
“พูดมา!! อยากให้นายยอมรับด้วยปากตัวเอง!” พูดจบวรุฒก็พ่นลมหายใจจากปากเบาๆ ไออุ่นไหลลู่ผ่านช่วงท้องไปจนถึงท้องน้อยที่ถูกมือใหญ่ดึงขอบกางเกงชุดนอนร่นลงไปเล็กน้อย อีกมือหนึ่งก็ใช้นิ้วที่เรียวยาวไล่รอยช่วงท้องที่ผอมบางของอีกฝ่ายอย่างปราณีต ชานนท์อดกลั้นกับการส่งเสียงครางออกมาอย่างขีดสุด มือของชานนท์พยายามดันร่างของวรุฒอย่างไม่ลดละแต่ไม่เป็นผล
“เออๆ เรา..... เราเป็น.... แฟนกัน!!” ชานนท์กลั้นใจโพล่งพูดออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า..... ดีมากที่รักของเรา จำไว้นายเป็นของเราคนเดียว!!” วรุฒดีดตัวขึ้นมาจูบที่แก้มของชานนท์อย่างที่ชานนท์ไม่ทันตั้งตัว และอุ้มชานนท์ลอยจากที่นอน
“เฮ้ย!! ทำอะไร?”
“จะพาไปอาบน้ำไง!!”
วรุฒยิ้มอย่างมีชัย

..........................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ขออภัยอย่างสูง
ช่วงนี้งานยุ่งจนไม่สามารถมาอัพได้
จะหาทางชดเชยให้นะครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

คาบเรียนแรกในช่วงเช้า สร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งห้องพอสมควรเมื่อเห็นพ่อยอดเทพบุตรสุดเท่อย่างวรุฒนั่งเรียนหนังสืออยู่ที่แถวเกือบหน้าสุด เพราะปกติเขามักจะนั่งอยู่ที่ท้ายห้องอยู่เป็นประจำ โดยแสดงออกในการสนใจการเรียนอย่างน้อยที่สุด ส่วนใหญ่เขาจะนั่งก้มหน้าเล่นสมาร์ตโฟนของเขา หรือไม่ก็นั่งหลับไปเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นการสอบย่อยแบบใด วรุฒก็มักจะติดอันดับคนทำคะแนนสามอันดับแรกเสมอ ผิดกับชานนท์ที่เขาตั้งใจเรียนทุกคาบทุกวิชาอย่างหนัก แต่กลับไม่สามารถเอาชนะวรุฒได้เลยสักวิชาเดียว

เขาไม่เพียงสร้างความประหลาดใจแก่เพื่อนร่วมเอกแล้ว ยังสร้างความประหลาดใจอย่างมากกับอาจารย์ผู้สอนเช่นกัน  เพราะอาจารย์ถึงกับหันมามองด้วยความประหลาดใจหลายครั้งกับตำแหน่งที่นั่ง .....แต่ความตั้งใจเรียนนั้นยังเท่าเดิม เพราะแทบจะไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนเลย เพราะเขามัวแต่แอบมองชานนท์เป็นระยะ ว่าชานนท์ทำอะไรบ้าง คอยแอบบอกโน่นนี่เวลาชานนท์จดแลคเชอร์ผิด จนชานนท์เริ่มมีอาการรำคาญ

“นี่!! พอเสียทีเหอะ!!” ชานนท์แอบกระซิบดุใส่คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“พออะไร?” วรุฒซุบซิบกลับ
“เลิกทำตัวผิดปกติเสียที”
“ผิดปกติยังไง?”
“ก็นายมานั่งหน้า แล้วยังมาคอยแกล้งกันอีก!!”
“แกล้งอะไรยังไงวะ?”
“ก็กวนประสาทกันแบบนี้ไง!”

“อะแฮ่ม!!” เสียงกระแอมดังขึ้นในระยประชิด อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นอยู่ๆก็มาปรากฎตัวอยู่ที่ด้านหน้าทั้งสองคน ทำให้ชานนท์ตัวแข็งทื่อและค่อยๆ หันไปมองทางต้นเสียงอย่างหวาดกลัว
“ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็ออกไป!!” อาจารย์ที่สวมแว่นตาหนาจนทำให้ดวงตาของเขาเล็กลงจนดูขบขันเอ่ยขึ้นเสียงเข้มด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ชานนท์ชอบมองอาจารย์เพราะมันดูตลกดีกลับไม่กล้ามองหน้าอาจารย์ในขณะนี้เลย

“ไป! งั้นไปกันนนท์ กำลังเบื่อๆ อยู่พอดี!” วรุฒลุกขึ้นคว้าแขนชานนท์ให้ลอยเหนือโต๊ะเลคเชอร์ที่นั่งอยู่แต่ร่างกายของชานนท์กลับไม่ได้ขยับเลย
“นายจะไปไหนก็ไปเราจะเรียน!!” ชานนท์จ้องมาที่วรุฒด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดและพูดเสียงเข้มอย่างที่วรุฒไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งด้วยความที่เขาไม่เคยโดนปฏิเสธเลยทำให้วรุฒรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่สุดท้ายวรุฒก็ทำได้แค่นั่งลงไปที่เดิม
“นายไม่ไป เราก็ไม่ไป!” วรุฒพูดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ไม่ได้สนใจอาจารย์ที่มองเขาด้วยสายตาดุดัน สีหน้าแสดงความไม่พอใจถึงขีดสุดแต่ก็พยายามสะกดใจไว้

“อาจารย์ครับ ขอโทษครับ” ชานนท์ยกมือไหว้ขอโทษด้วยสีหน้าสำนึกผิด ส่วนวรุฒนั้นได้แต่นั่งหันหน้าไปทางอื่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“เฮ้อ! หากไม่เห็นพวกเธอเรียนดีอยู่แล้ว อาจารย์จะไล่ออกนอกห้องเลยนะ เอ้า! เห็นว่าสำนึกอาจารย์ก็จะไม่ถึอสาก็แล้วกัน แล้วก็ตั้งใจเรียนด้วย!!” อาจารย์ดุใส่และหันหลังไปประจำที่สอนต่อ แต่ก่อนไปก็แอบเหลือบไปมองวรุฒด้วยสายตาไม่พอใจและส่ายหน้า

...........................


ท่ามกลางความสับสนอลม่านในช่วงพักกลางวันของโรงอาหารประจำมหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออก ชานนท์มานั่งกินข้าวมื้อกลางวันที่เดิม เวลาเดิม อาหารจานเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือมีคนติดสอยห้อยตามมาเพิ่มอีกหนึ่งคน คนที่ทำให้คนทั้งโรงอาหารฮือฮา และจ้องมองเป็นตาเดียว ตัวเก็งเดือนมหาวิทยาลัยและคนที่มีแฟนคลับมากที่สุดคนหนึ่ง คนที่ไม่เคยปรากฎตัวมา ณ ที่แห่งนี้เลย และไอ้คนที่ว่านี้ ได้นั่งเขี่ยอาหารในจานไปมาอยู่ข้างชานนท์

“อาหารไม่ถูกปาก!?! แล้วตามมานั่งกินด้วยทำไม?” ชานนท์รู้สึกหมั่นไส้คุณชายข้างๆ
“ไม่นะ.... อาหารก็รสชาติดี เราไม่ติดเรื่องอาหารของที่นี่ แค่ไม่ชอบบรรยากาศ” วรุฒพูดจบก็จ้วงข้าวราดแกงสีจืดชืดเข้าปากด้วยสีหน้าขุ่นมัว ชานนท์เข้าใจในทันทีเพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน สายตาเกือบทุกสายตาในโซนนี้ต่างแอบมองมาทางนี้แทบจะเป็นตาเดียว รู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัว

“แล้วทำไมไม่ไปกินที่อื่นเหมือนปกติล่ะ?” ชานนท์หันมาถามขณะที่วรุฒพยายามกลืนอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจสายตามากมายที่จ้องมองมา
“ก็ชวนนายแล้ว นายไม่ไป!”
“ก็เราไม่อยากไปไหนไกลๆ นี่นาเดี๋ยวกลับมาเรียนช่วงบ่ายไม่ทัน” อีกนัยหนึ่งคือ โดยปกติวรุฒไม่เคยเข้าเรียนคาบแรกของช่วงบ่ายได้ทันเลย บ่อยครั้งถึงขั้นไม่เข้าเรียนเลยก็มี ชานนท์ไม่ต้องการแบบนั้น

“ห่วงอะไรไม่เข้าเรื่อง!!”
“ใครจะไปรวยล้นฟ้าจนไม่สนใจอะไรแบบนายล่ะ อีกอย่างเรานึกว่านายน่าจะชินแล้วเสียอีก!!”
“ไม่ชิน....... ไม่เคยชินเลย.....” วรุฒพูดด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรมากมายในหัว ทำให้ชานนท์ไม่สามารถที่จะต่อปากต่อคำได้อีกต่อไป ในอกมันเหมือนมีอะไรแล่นแปลบไปที่หัวใจ อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกเศร้าสร้อยไปด้วย ชานนท์หันไปจัดการอาหารของตัวเองต่อโดยไม่ได้สนใจอะไร

“แกๆ” เสียงสาวห้าวจากอีกข้างหนึ่งของชานนท์ดังขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
“อะไร? ทำไมแกต้องกระซิบด้วยวะ” ชานนท์หันไปถามกลับด้วยเสียงกระซิบด้วยถ้อยคำที่สนิทสนมกับสาวห้าวอย่างเมย์ ซึ่งตอนนี้เขากับเธอสนิทกันขึ้นเยอะจนชานนท์เผลอใช้สรรพนามแบบเดียวเมย์ไปเรียบร้อย
“ฉันมีคำถาม”
“อะไร?”
“พวกแกสองคนไปสนิทกันขนาดนี้กันตอนไหนวะ?”
“...........” ชานนท์ถึงกับคิดคำตอบไม่ถูก
“เอ้า! อ้ำอึ้งอะไร? แกนี่ทำตัวน่าสงสัย ฉันนึกว่าแกจะได้กับพี่เอกเสียแล้ว ทำไมมาลงเอยกับไอ้คุณชายนี่วะ ฉันจิ้นไม่ลงเลย”
“พูดอะไรของแก แล้วจิ้นนี่อะไร?”
“โอ้ย!! แกเนี่ย ไม่ได้ดั่งใจเลย ทำไมใสจังวะ!!” เมย์เผลอขึ้นเสียงดังขึ้น
“เสียงดังทำไม?”
“เออๆ โทษทีว่ะ จิ้นก็แบบมโนให้ได้เสียกันไง”
คำพูดนี้ทำใหชานนท์นึกไปถึงเรื่องเมื่อวานนี้ขึ้นมาจนถึงขั้นทำสีหน้าไม่ถูก
“เอะๆ น่าสงสัย! อะไรยังไงบอกมา!!” เมย์ทำท่ากระซิบซาบและจับแขนชานนท์แน่น
“เฮ้ย..... ไม่มี” ชานนท์ทำเป็นกลบเกลื่อน แต่ก็ได้ไม่แนบเนียนไม่ว่าจะพูดอย่างไร สีหน้าก็แสดงออกได้ตรงกันข้าม จนทำให้เมย์เซ้าซี้จนชานนท์บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่เอกเมื่อวาน ในขณะที่วรุฒถอนหายใจเสียงดังและลุกหนีหายไป คงเพราะเบื่อผู้หญิงช่างเม้าส์อย่างเมย์

“ร้ายกาจ!!” เมย์อุทานหลังฟังจบ
“ใช่ไหมล่ะ! พี่เอกเนี่ย!” ชานนท์ทำท่าทีเห็นด้วย
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงแกนั่นแหละ!”
“ฉันเนี่ยนะ!?!”
“เออ สิ เผลอแป๊บเดียวถึงกับให้อดีตเดือนคณะฯกับอนาคตเดือนคณะฯ มาจีบได้พร้อมกัน!!”
“หา!!” ชานนท์ทำท่าตกใจกับสิ่งที่เมย์พูดอย่างมาก
“แกก็ระวังตัวไว้เถอะ ชะนีแถวนี้จะรุมลงโทษ โทษฐานแย่งสามีแห่งคณะฯไป!!” เมย์ย้ำด้วยสีหน้านางร้าย
“อะไรวะ?!? และมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!!”
“เฮ้อ..... นี่ยังไม่รู้ตัวใช่ไหม? ไม่เอ๊ะใจบ้างเหรอว่าคะแนนเสียงในการโวตเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาของนายน่ะ ส่วนใหญ่มากจากผู้ชายน่ะ!” เมย์ใช้นิ้วชี้แตะไปที่หน้าผากชานนท์เบาๆ ส่วนชานนท์ได้แต่ทำหน้าประหลาดใจและไร้ซึ่งคำพูดใดๆ

“ก็นายมันน่ารักจนดึงดูดเพศเดียวกันไง!” เมย์ยิ้มตอบอย่างชื่นชม
“เราไม่ได้อยากได้แบบนั้นเสียหน่อย!” ชานนท์ ทำท่างอแงใส่เพื่อนสาว

“นนท์!! อยู่นี่เอง” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลจากทางด้านหลัง ทำให้เพื่อนชายหญิงคู่นี้หันกลับไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
“พี่ว่าจะมากินข้าวด้วยเสียหน่อย พี่มาไม่ทันใช่ไหมเนี่ย อาจารย์พี่เลิกคาบช้าเลยมาเอาป่านนี้ งั้นนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม?” ชายรูปร่างปานกลางกับชุดนักศึกษาและกระเป๋าแบรนด์เนมพูดชักชวนอย่างไม่สนใจคำตอบ

“พี่เต๋า!” ชานนท์หันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ

“ร้ายกาจ!!!!” เมย์หันมาหาชานนท์ด้วยสีหน้าชื่นชม

........................

เวลาใกล้บ่ายโมงเต็มที แต่โรงอาหารฝั่งตะวันออกวันนี้กลับยังคึกคักผิดปกติ สาเหตุก็มาจากสองในกลุ่มเทพบุตรประจำมหาวิทยาลัยมานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก เพราะปกติคนกลุ่มนี้ไม่เคยมานั่งกินข้าวในโรงอาหารให้เห็นเท่าไหร่ แต่วันนี้กลับอยู่กันถึงสองคนด้วยกัน ทำให้สาวแท้สาวเทียม สาวในจิตใจ ต่างกัน ‘แอ๊บ’ ว่ายังคงกินมื้อเที่ยงไม่เสร็จ คนหนึ่งมาดดีแต่งตัวดีเป็นที่เรียกว่าสายเปย์ที่แท้จริง ส่วนอีกคนที่นอกจากหน้าตาที่โดดเด่นแล้ว ตัวสูงหุ่นนายแบบและมีพ่อแม่เป็นถึงคนดังไฮโซตัวจริง

ทั้งสองกำลังนั่งร่วมอยู่โต๊ะเดียวกันกับชายร่างเล็กเด็กเฟรชชี่คนหนึ่งที่ตอนนี้น่าจะเข้าไปอยู่ในทำเนียบการเม้าส์มอยในเพจเฟซบุ๊คกอสซิบซุบซิบของมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บรรยากาศโดยรวมจากคนที่พบเห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตึงเครียดถึงขีดสุดเพราะหน้าของไฮโซตัวสูงนั้น ดุดันจนแทบจะไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ รังสีอำมหิตรุนแรงจนคนรอบข้างต่างเว้นการนั่งโต๊ะโดยรอบพวกเขาไว้

“อันนี้อร่อยดีนะ สีมันแดงไปหน่อยแต่รสชาติดีเลย” เต๋าตักอาหารในจานขึ้นมองอย่างชื่นชม ในขณะที่ชานนท์กำลังสบถด่าเพื่อนสาวของเขาในใจ เพราะเมย์ขอตัวออกจากโต๊ะไปทันทีที่วรุฒเดินกลับมาถึงโต๊ะด้วยท่าทางดุร้าย

“อ้อ ไส้กรอกผัดซอสมะเขือเทศ... ใช่ครับ อร่อยดีผมก็ชอบครับ” ชานนท์ยิ้มตอบไปอย่างไม่เต็มที่นัก
“ที่นี่มีของดีหลายอย่างนะเนี่ย พี่จะมาบ่อยๆ ได้ไหมเนี่ย” เต๋าพูดขึ้นก่อนตักไส้กรอกชิ้นนั้นเข้าปาก

“มึงมีร้านประจำอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!!” วรุฒเกรี้ยวกราดใส่เสียงเข้ม
“ร้านนั้นมันไม่มีบางอย่างที่ที่นี่มีนี่หว่า” เต๋าพูดจบก็ยิ้มและยักคิ้วใส่ชานนท์ ส่วนชานนท์ทำหน้าแบบไม่เข้าใจตอบกลับไป
“อยากรู้ไหม?” เต๋าพูดและขยับเข้ามาใกล้ชานนท์
“เอ่อ......” ชานนท์ก็พอรู้บ้างแล้วว่าเต๋าหมายถึงอะไรแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ในเมื่อแฟนหนุ่มที่เขาเพิ่งยอมรับมาหมาดๆ กำลังจ้องมองมาตาเขียว

ท่ามกลางบรรยากาศคล้ายสงครามกำลังจะปะทุ อยู่ก็มีเชื้อไฟให้โหมมากขึ้น ชายร่างสูงโปร่งขาวใสหน้าตี๋ได้เดินเข้าไปกลางวง ท่ามกลางสายตานับสิบที่หันมามองอย่างสนใจ

“นนท์พี่ขอคุยด้วยหน่อย!” พี่เอกเดินสีหน้าเรียบเฉยมาเรียกชานนท์ในระยะประชิดท่ามกลางสายตาของเทพบุตรทั้งสองที่จ้องมองคนมาใหม่เป็นตาเดียว

“เอ่อ...... ครับ” ชานนท์ขานรับ เขาลุกขึ้นและเดินไปหารุ่นพี่หน้าตี๋อย่างว่าง่าย ในใจหนึ่งรู้สึกโล่งอกที่ออกมาจากสถานการณ์อันแสนอึดอัดที่โต๊ะในโรงอาหาร และอีกใจหนึ่งก็รู้ตื่นเต้นและเกิดอาการทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเดินมากับพี่เอกที่มีบรรยากาศจริงจังแฝงอยู่มากมาย

“นนท์......” พี่เอกหยุดเท้าบริเวณที่โล่งด้านข้างโรงอาหารที่ค่อนข้างปลอดคน เขาพูดกับชานนท์ทั้งๆยังหันหลังอยู่

“คะ....ครับ” ใจที่ลอยไปกับความคิดต่างๆ นานา ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รีบกลับเข้ามาในอกพร้อมกับขานรับพี่เอกแบบไม่ทันตั้งตัว

“เรื่อง..... เมื่อวาน.......” พี่เอกมีอาการพูดติดขัด จนชานนท์รู้สึกเริ่มอึดอัด เขารู้สึกไม่ดีเช่นกันหลังจากเรื่องเมื่อวาน เพราะตั้งแต่เขาวิ่งออกจากห้องพี่เอก เขาก็ไม่เห็นพี่เอกอีกเลย เสื้อผ้ากับข้าวของที่เขาลืมไว้ที่ห้องพี่เอก ก็ถูกนำมาวางไว้หน้าห้องตอนเช้า เขายังไม่เปิดโอกาสให้พี่เอกได้เอ่ยคำขอโทษเสียด้วยซ้ำ ชานนท์จึงได้แต่นิ่งเฉยเพื่อรอการอธิบายจากพี่เอก เปิดโอกาสให้พี่เอกได้อธิบายเต็มที่

“พี่.... อยากจะ.... ขอ.... ขอโทษ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่รู้ว่านนท์ไม่ได้คิดอะไรกับพี่แบบนั้น แต่เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม?” พี่เอกหันมาอธิบายด้วยสีหน้าประหม่า ชานนท์ไม่เคยเห็นพี่เอกเป็นแบบนี้เลย คนที่มีความมั่นใจมากมายคนนั้นหายไปไหนกัน

“ผม....ผมเองยอมรับว่าตกใจและก็กลัวมาก..... แต่.... ผมเข้าใจนะครับ ผมคงทำให้พี่เข้าใจผิดหลายอย่าง.... ผม..... เห็นพี่มาขอโทษแบบนี้แล้ว มันยังไงไม่รู้....ผม....ไม่โกรธพี่หรอกครับ” ชานนท์เดินไปตบไหล่พี่เอกเบาๆ แต่ในใจก็ยังเกร็งๆ กับพี่เอกอยู่เล็กน้อย

“จริงๆ นะ!! นนท์ไม่โกรธพี่จริงๆ นะ!!” พี่เอกเปลี่ยนสีหน้าเป็นลิงโลดทันทีพร้อมขยับเข้ามาใกล้ชานนท์มากขึ้น
“ครับ” ชานนท์ตอบเสียงหนักแน่น
“เย้!! พี่นึกว่าจะโดนเราตัดพี่ตัดน้องไปแล้ว!!” พี่เอกโผเข้ากอดชานนท์แน่น จนทำให้ชานนท์ตกใจแต่ก็ถอยหลังไม่ทันแล้ว ชานนท์เขาคิดจะสบัดดิ้นให้หลุดแต่พอได้ยินเสียงพี่เอกสั่นด้วยความดีใจก็เลยจำให้ให้เขากอดแบบนั่นไปจนพี่เอกปล่อยเขาเป็นอิสระทั้งรอยยิ้ม

“งั้นเรามาช่วยกันสู้จนไปถึงจุดหมาย ‘เดือนคณะ’ ด้วยกันนะ!!” พี่เอกกุมมือชานนท์แน่น
“อ่ะ...ครับ” สีหน้าของชานนท์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกือบจะลืมออกไปจากความทรงจำจนหมดสิ้นแล้ว
‘ซวยแล้ว!!’ ชานนท์คิดในใจ เขาแทบไม่ได้ซ้อมเลยนี่นา!!

.........................

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด