คิดถึงกันบ้างนะครับ
สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์ครับผม
บทที่ 19 “หึง”
อนุภาพตื่นนอนแต่เช้าตรู่ด้วยความสดชื่น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับสนิททั้งคืนเช่นนี้ ชายหนุ่มออกไปวิ่งออกกำลังกายได้ประมาณ 45 นาทีแล้วกลับมาเก็บประเป๋า เตรียมตัวกลับไปสู้รบปรบมือกับความวุ่นวายในกรุงเทพฯ
มีเพียงพจนีย์กับเขาทานอาหารเช้าด้วยกัน ทีมงานคนอื่นๆ ยังไม่มีใครตื่นสักคน
“ผู้กองคงหลับเป็นตาย เมื่อคืนดวดเหล้าไปเป็นถัง” พจนีย์ติดจะพูดเกินจริงเหมือนสมบัติ
“ใครชนะดวลเหล้า”
“ผู้กองนะสิพี่นุ กินเหล้ายังกะน้ำ พี่เขตต์ที่ว่าคอแข็งต้องยอมแพ้ อธิปก็คอพับคาวงเหล้า นี่ไม่รู้จะตื่นหรือเปล่า แต่ผู้กองไม่เมาเลยนะ หน้าตึง แดงๆ สงสัยแค่มึน”
'อธิคมคอแข็งขนาดนั้นเชียวหรือ' - ไม่น่าแปลก เห็นตำรวจดื่มเหล้ากันเก่งทุกคน
“พี่ภูมิก็ยังไม่ตื่น ก่อนนอนยังบอกให้ทีมงานตื่นมาทำงานหลังเคารพธงชาติ” พจนีย์ยังรายงานไม่หยุด “นี่คงสิบโมงละมั๊ง เบรคฟาดไม่ต้องฟาดกันพอดี”
อนุภาพยิ้ม พจนีย์เข้าใจล้อเลียน
“แล้วเมื่อไหร่เราจะได้กลับกันก็ไม่รู้ เมื่อคืนพจน์ห้ามไม่ให้คนขับรถตู้ดื่มเหล้า พ่อคุณยังอุตส่าห์แอบกรึ๊บไปหลายแก้ว”
“รถนั่งกันกี่คน” อนุภาพถาม เผื่อจะมีที่ว่างให้เขาแทรกตัวขึ้นไปด้วยอีกคน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าอธิคมจะยอมปล่อยให้เขาไปกับรถของทีมงานหรือไม่
“เต็มค่ะ ถึงไม่เต็มก็เต็ม แต่ละคนตัวใหญ่ๆ กันทั้งนั้น ขยับที เสียงแหนบรถลั่นเอี๊ยดอ๊าด”
“พจน์ คารมชักจะใกล้เคียงพี่บั๊ดเข้าไปทุกที” อนุภาพอดพูดไม่ได้
“ก็พจน์เป็นน้องรักพี่บั๊ดนี่นา”
สายตาชายหนุ่มชะงัก...อธิคมเดินเข้ามาพร้อมกับอัสนัย ทั้งสองแต่งตัวสบายๆ อัสนัยสวมเสื้อเชิ้ทแขนสั้นสีอ่อนเปิดกระดุมเม็ดบนสุดเผยให้เห็นแผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ กางเกงขาสั้นสีเข้ม ส่วนอธิคมสวมเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า กางเกงสแล๊คสีกากีอ่อน ศรีษะยังเปียกแสดงให้เห็นว่าเพิ่งอาบน้ำ
“ทานข้าวกันอร่อยไหมครับ” อัสนัยทักยิ้มแย้ม
“อร่อยครับ แต่อิ่มพอดี” อนุภาพเสียงเรียบ
“คุณนุ ตื่นแต่เช้าจังเลยครับ” อธิคมนั่งลงข้างๆ ส่วนอัสนัยนั่งตรงข้ามอธิคม
“พอดีผมนอนแต่หัวค่ำ ก็เลยตื่นเช้าเป็นธรรมดา”
“เมื่อคืนผมดื่มหนักไปหน่อยเลยตื่นสาย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ขับรถได้สบายมาก”
“จะออกเดินทางกี่โมงครับ เพราะถ้าผู้กองอยากอยู่ต่ออีกซักหน่อย ผมจะกลับรถตู้พร้อมทีมงาน” อนุภาพยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“กลับด้วยกันสิครับ ทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปเลย รอผมอีกแป๊บเดียว”
“ผมขอติดรถกลับด้วยนะครับ คนขับรถผมกลับไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนเพราะต้องรับผู้บริหารอีกคนจากเมืองกาญจน์เข้ากรุงเทพฯ พี่คมคงไม่รังเกียจ” อัสนัยหันไปมองนายตำรวจหนุ่ม
'พี่คม...อัสนัยเรียกผู้กองว่าพี่คม...ไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน หรือหลังจากวงเหล้าเมื่อคืน'
“ดีครับ ผู้กองอธิคมจะได้มีเพื่อนนั่งเข้ากรุงเทพฯ ด้วย เผื่อง่วงจะได้ชวนคุย” อนุภาพพูดเสียงเรียบ
อธิคมหันมามองอนุภาพด้วยแววตาอ่อนโยน
“มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิครับคุณนุ เลือดสุพรรณทิ้งกันได้ยังไง”
อธิคมร้อนตัว กลัวว่าอนุภาพจะเข้าใจผิดที่เห็นเขากับอัสนัยเดินมาด้วยกันเหมือนเพิ่งจะตื่นนอนพร้อมกัน
'ขออย่าให้คิดอกุศลกับเขาเลย' ชายหนุ่มหวั่นว่าอนุภาพจะคิดว่าอัสนัยค้างกับเขา เลยตื่นนอนสายและเดินมาทานข้าวพร้อมกัน ทั้งที่จริงเขาพบอัสนัยที่ทางเดินใกล้ๆ ห้องพัก
พจนีย์ขอตัวไปเก็บกระเป๋า แต่ที่จริงรีบเดินอ้าวตรงไปห้องสมบัติเพื่อรายงานสถานการณ์ที่ ‘ไม่ชอบมาพากล’
..................................
ช่วงที่อัสนัยเดินกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบกระเป๋า อธิคมรีบเดินไปดักอนุภาพที่หน้าห้องพัก เขากลัวว่าชายหนุ่มจะแอบหนีไปกับรถตู้ของทีมงาน
“คุณนุครับ ผมมาช่วยถือกระเป๋า” อธิคมเห็นอนุภาพกำลังปิดประตูห้องพัก กระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่บนพื้นใกล้ๆ ชายหนุ่มหอบแฟ้มเอกสารและสะพายกระเป๋าคอมพิวเตอร์
“เดี๋ยวผมเอาไปไว้ที่รถเลยนะ” อธิคมถือโอกาสหยิบกระเป๋าขึ้นมา
“ผู้กองกลับพร้อมคุณอัสนัยเถอะ ผมจะกลับกับพี่บั๊ด จะได้คุยกันสนุกๆ”
“อ้าว แล้วผมจะทำยังไง ใครจะคุยสนุกๆ กับผม”
“มีคุณอัสนัยทั้งคน คงไม่เหงาปากหรอก” อนุภาพยื่นมือจะคว้ากระเป๋าคืน แต่อธิคมเบี่ยงตัวหนี
“คุณนุ...งอนผมหรือ”
“จะไปงอนคุณทำไม”
“ไม่งอนก็กลับด้วยกัน ผมไม่ให้คุณทิ้งผมกลางคันหรอก อย่าลืมนะครับว่า...”
“โฆษณาถ่ายจบแล้ว ไม่ต้องมายื่นคำขาดอะไรอีกแล้ว ไม่ได้ผล” อนุภาพเสียงเข้ม
“งั้นเหรอ ยังไงคุณก็ต้องกลับกับผม มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน รถตู้เขาเต็มกันแล้วจะไปนั่งเบียดเขาทำไม” อธิคมเดินลงบันไดสะพายกระเป๋าของชายหนุ่มลงไปด้วย
ก่อนที่จะเกิดการต่อล้อต่อเถียงกัน สมบัติก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
“รอด้วย รอบั๊ดด้วย ขอกลับด้วยคน”
สมบัติบอกว่ารถตู้เต็ม นั่งไม่สบาย และพลพรรคบางคนยังไม่ตื่น กว่าจะได้กลับก็คงเกือบเที่ยง
“พวกนั้นยังคิดจะแวะเมืองกาญจน์อีก อธิปเมาหลับเป็นตาย ไม่รู้จะแซะออกจากเตียงได้เมื่อไหร่ ขอนั่งรถหรูๆ นิ่มๆ กลับกรุงเทพด้วยคน พี่ต้องรีบไปดูตั้มบันทึกเทป”
อธิคมยิ้มแป้น รู้ว่าอนุภาพหมดทางดื้อดึง ชายหนุ่มเดินดุ่มๆ ไปที่รถปล่อยให้อธิคมกับสมบัติเดินตามมาห่างๆ
อัสนัยยืนรออยู่ข้างรถแลนด์โรเวอร์คันใหญ่ สมบัติไม่แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วจากคำบอกเล่าของพจนีย์ที่วิ่งกระหืดกระหอบไปเคาะประตูห้อง
“หัวเปียกทั้งคู่เลยพี่บั๊ด เหมือนเพิ่งตื่น แต่งตัวเสร็จใหม่ๆ แล้วเดินเข้ามากินเบรคฟาสท์ด้วยกัน แล้วคุณอัสนัยก็ขอติดรถเข้ากรุงเทพฯ ด้วย”
สมบัติรีบกระวีกระวาดเก็บของ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนที่อัสนัย ‘เดินไปส่ง’ อธิคมแล้วผู้บริหารหนุ่มรูปหล่อกลับห้องหรือไม่ เขาเกรงว่าสิ่งที่กังวลเมื่อคืนอาจจะเป็นจริง...คนหนึ่งดื่มเหล้าเข้าไปมึนๆ เคลิ้มๆ อีกคนก็อ่อยจนเปิดเผย
'ไม่ได้...ต้องไปเป็นกว้างขวางคอ ปล่อยให้นุไปคนเดียวคงเอาแต่นั่งนิ่งเงียบ'
------------------------
สมบัติทำตาขวางที่อัสนัยขึ้นไปนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ แต่จะว่าอะไรได้ เพราะเมื่ออธิคมเปิดล๊อครถยนต์อนุภาพก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังก่อนเสียแล้ว สมบัติจึงจำต้องขึ้นนั่งหลังสารวัตรหนุ่ม
รถแลนด์โรเวอร์คันใหญ่เดินทางด้วยความเร็วคงที่ ถนนค่อนข้างโล่ง อธิคมใช้ความเร็วปานกลาง เปิดเพลงเบาๆ อนุภาพนั่งนิ่งมองออกไปนอกรถทำเป็นสนใจภูมิประเทศข้างทาง ชายหนุ่มฟังเพลงที่สถานีวิทยุกำลังเปิด เนื้อหากินใจทำให้นึกถึงชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาในชีวิตเขา
I have never felt like this
For once I’m lost for words
Your smile has really thrown me...
This is not like me at all
I never thought I’d know
The kind of....
“ขอฟังข่าวหน่อยนะครับ ช่วงเป็นดาราไม่ได้ฟังข่าวสารบ้านเมืองมาตั้งสองวันแล้ว”
พลันอธิคมเปลี่ยนคลื่นวิทยุเป็นสถานีรายงานข่าว
ห้วงคำนึงของอนุภาพสะดุด ภาพของธนาภาพหายไป คงเหลือไว้เพียงอธิคม...ชายหนุ่มสงสัย รอยยิ้มของใครระหว่างสองหนุ่มที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ...
*****
อัสนัยหัวเราะกับการพูดเล่นของอธิคม ชายหนุ่มชวนอธิคมคุยเรื่องการถ่ายทำโฆษณา เรื่องรถรุ่นที่กำลังทำตลาดอยู่
อัสนัยหันมาถามความเห็นอนุภาพเรื่องโฆษณาที่จะช่วยดันยอดขายของรถแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นๆ ชายหนุ่มเป็นคนคุยสนุก คุยได้สารพัดเรื่อง บุคลิกสนุกสนานร่าเริงของอัสนัยทำให้ทุกคนในรถคุยกันได้ตลอดทาง ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นหัวข้อใด
“พี่คมยังขับฮาเล่ย์ เดวิตสันอยู่หรือเปล่าครับ” อัสนัยหันมาถามอธิคม
ผู้กองหนุ่มนิ่งชั่วครู่ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าอัสนัยกำลังจะทำอะไร
“ก็...เอ่อ...มีแลนด์โรเวอร์แล้วจะขับมอเตอร์ไซด์ทำไม”
“ผู้กองขับฮาเล่ย์ด้วยเหรอ...เท่ห์จัง” สมบัติตามอัสนัยทัน เขารู้ว่าอัสนัยกำลังจะบอกว่าเคยรู้จักกับอธิคมมาก่อน
“นั่นสิ...” อัสนัยรับคำสั้นๆ
เกิดความเงียบขึ้นในรถชั่วขณะ
“แต่มอเตอร์ไซด์มันขับสนุกกว่านะ...ทำให้รู้สึกถึงความอิสระเสรี ไร้ขอบเขต”
“ผมอายุมากขึ้น ก็ชอบอะไรที่แตกต่างไป” อธิคมตอบเสียงเรียบ แอบชำเลืองมองอนุภาพผ่านกระจกมองหลัง
“ผู้กองจำได้ไหม ตอนที่ขับขึ้นไปบนสะพานลอยฟ้าแล้วบอกว่าอยากจะทะยานออกไปให้เหมือนในหนัง คงตื่นเต้นน่าดู”
“โอ้โห ทำยังงั้นก็ได้ตายกันพอดี” อธิคมหัวเราะ อดเหลือบมองอนุภาพทางหางตาไม่ได้
'เอาว่ะ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด' อธิคมนึกอยู่ในใจ...อัสนัยกำลังจะบอกว่าเคยรู้จักกับเขามาก่อน แต่ตอนนี้ทั้งหมดก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่พูดอะไรที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป ถ้าถึงขนาดนั้นก็คงน่าเกลียด อัสนัยเองก็ทำงานระดับผู้บริหารคงรู้ว่าความสัมพันธ์ทางกายชั่วไม่กี่อาทิตย์ที่เคยมีกับเขาไม่ใช่เรื่องจะเอามาบอกกันอย่างนี้
“คุณอัสนัยกับผู้กองรู้จักกันมานานตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” อนุภาพถามให้จบเรื่อง จะได้ไม่ต้องมาวางฟอร์มกัน
อธิคมสะดุ้งไม่นึกว่าอนุภาพจะทะลุกลางปล้อง นี่คือแง่มุมใหม่ของชายหนุ่มที่เขาเพิ่งจะเห็น นายตำรวจหนุ่มอมยิ้ม รู้ว่าอนุภาพคิดอย่างไร
‘คุณนุ...คุณนี่ไม่เบาเลยนะ’
อัสนัยบอกว่ารู้จักกับอธิคมหลังจบมัธยมปลายได้เกือบปีเพื่อรอไปเรียนต่อต่างประเทศ และเคยไปเที่ยวด้วยกัน มีธงรบกับเพื่อนอีกคนหนึ่งไปด้วย พอไปต่างประเทศก็ขาดการติดต่อ
“ตอนเห็นรูปผู้กองผมตกใจ ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีก ตอนนั้นผู้กองเพิ่งจบนายร้อยตำรวจมาใหม่ๆ” อัสนัยเล่าอดีตคร่าวๆ ให้ฟัง
อธิคมโล่งอก อย่างน้อยอัสนัยก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดอะไรออกมา เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นอดีตที่นานมาแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้มันแทรกเข้ามาในช่วงเวลานี้...ช่วงเวลาที่อนุภาพเริ่มจะเป็นมิตรกับเขา...ช่วงเวลาที่เขาอดคิดไม่ได้ว่าอนุภาพเองก็เริ่มจะชอบๆ เขาบ้างแล้ว
อธิคมจำใบหน้าของชายหนุ่มได้เมื่อตอนที่เขาพาไปดูดาวตก อนุภาพดูเคอะเขินและประหม่าเวลาอยู่ใกล้ๆ เขาสองต่อสองในบรรยากาศโรแมนติก...
'ถ้ารุกอีกซักหน่อย...คราวนี้ได้หอมแก้มแน่...ขออย่างเดียวอย่าให้อัสนัยหรืออดีตของเขาคนไหนมาทำให้เสียเรื่องเลย...'
***********************************************************