ขอบคุณสำหรับค่าน้ำมันและค่าอาหารครับ
ขอค่าหมึกปากกาเขียนนิยายหน่อยสิคร้าบ
เมื่อคืนทนไม่ไหว ไปดูก้นเจมส์ บอนด์มาแล้วครับ สนุกดี
บทที่ 17 มาแล้วครับ ตอนโปรดของผม เขียนไปก็นึกถึงความหลังครั้งเก่าบนสันเขื่อนศรีนครินทร์
อดีตนี่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจริงๆ
คิดแล้วอยากมีแฟนเป็นโดเรมอน
บทที่ 17
บ่ายแก่ ตะวันกำลังทอแสงอ่อนๆ อนุภาพนั่งทำงานอยู่ริมธารน้ำ สายลมเย็นๆ พัดมาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น ชายหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค สบายใจว่าทำงานเสร็จแล้ว แต่พลันต้องสะดุ้งเมื่อหันไปเห็นอธิคมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ชวนไปทานอาหารเย็นอร่อยๆ ที่ร้านอาหารโรแมนติกเชิงเขา
อนุภาพสัพยอกว่า “ต้องยื่นคำขาดหรือไม่ครับว่าถ้าไม่ไปทานจะไม่ยอมถ่ายโฆษณาต่อ ผมจะได้ยุให้บริษัทฟ้องเรียกค่าเสียหาย”
“ผมไม่กลัว ฟ้องก็ฟ้องไป ผมมีเงินจ่าย” ผู้กองคนเก่งท้า
“อ้อ ลืมไปว่ารูปหล่อพ่อรวย” อนุภาพย้อน บอกว่าจะชวนคนอื่นๆ ไปด้วย อธิคมไม่ยอมเพราะต้องการไปกันสองคน
“ถ้าไม่ไปกันแค่สองคน ผมจะไม่ตั้งใจถ่ายทำ แล้วคุณก็จะปวดหัวเพราะงานไม่เสร็จเสียที ท้ายที่สุดผู้กำกับก็ต้องเปลี่ยนตัว...ลองคิดดูนะครับ” อธิคมขู่
“เห็นไหมล่ะ ลงท้ายผู้กองก็ยื่นคำขาดอีกแล้ว...ระวังผมจะยื่นคำขาดบ้างนะ จะหาว่าไม่เตือน”
“กลัวจัง” อธิคมทำท่าทางขนลุก
ความเป็นจริงเขาออกจะหวั่นๆ อยู่ว่า หากอนุภาพยื่นคำขาดเรื่องใดๆ กับเขาขึ้นมาจริงๆ เขาจะทัดทานได้หรือเปล่า ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่เพราะไม่แน่ใจตนเองว่าจะทนใจแข็งกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้หรือไม่
อนุภาพบอกว่าต้องรักษาสัจจะที่ว่าจะไถ่บาปถ่ายโฆษณาให้ เพื่อทดแทนที่โกหกเรื่องรถ
“ผมรู้ครับ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ผมแค่เป็นห่วง เพราะถ้าถ่ายทำไม่ดีคุณก็จะปวดหัวเพราะงานไม่เสร็จ ไม่อยากเห็นคุณนุขมวดคิ้วหน้ายุ่ง เดี่ยวจะดูแก่ก่อนวัย” อธิคมตัดบท
"ไม่เคยกลัวว่าจะดูแก่ก่อนวัย"
“เถอะน่า คุณนุ ไปทานข้าวกับผมแค่วันเดียวไม่เสียหายซักเท่าไหร่หรอก ถือเสียว่าคุณดูแลผมอย่างที่เจ้านายคุณสั่ง” อธิคมอดประชดคำพูดของตฤณไม่ได้---นึกถึงใบหน้าขรึมๆ นั้นแล้วก็เกิดอาการหมั่นใส้
“ไม่ใช่ผม คุณตฤณสั่งพจนีย์ต่างหาก”
“มิน่า คุณพจนีย์ดูแลผมแจ ขยับตัวแทบไม่ได้ นี่ไม่รู้ว่าแอบถ่ายคลิปพฤติกรรมผมไปรายงานฮ่องเต้ด้วยหรือเปล่า”
อนุภาพกลั้นหัวเราะ อธิคมเรียนศัพท์ใหม่จากสมบัติและพจนีย์ได้เร็วมาก เขาอดคิดแผลงๆ ไม่ได้ว่าหากผู้กองอธิคมไปพูดให้ตฤณได้ยิน ฝ่ายนั้นจะออกอาการอย่างไร หวังว่าคงไม่ออกอาการมังกรพ่นไฟอย่างที่สมบัติเคยล้อว่า “คุณตฤณเขาดุไออีกแล้ว ไม่รู้จะดุไปถึงไหน นี่ถ้าพ่นไฟได้คงเผาไอให้ใหม้เป็นจุล”
อนุภาพตัดความรำคาญ “ที่จะไปนี่ไม่ใช่กลัวเสียหายหรอก แต่เพราะหิวข้าว แล้วจะได้เสร็จเรื่องภารกิจการทานข้าวเอาใจนายแบบเสียที ไม่งั้นผู้กองก็คงเซ้าซี้ไม่ยอมหยุด ใช่ไม๊”
“คุณก็รู้อยู่นี่ แล้วยังจะถ่วงเวลาอยู่ได้” นายตำรวจหนุ่มยิ้มกริ่มตามแบบฉบับ ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยนยามทอดสายตามองมายังชายหนุ่มหน้าดุที่กำลังเก็บเอกสารบนโต๊ะ หากอนุภาพที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของอยู่มองไม่เห็นใบหน้าของผู้กองอธิคม
“ขอเอาของไปเก็บก่อนนะ” อนุภาพลุกขึ้น เตรียมจะหันหลังเดินกลับไปห้องพัก
ผู้กองหนุ่มก้าวเท้าเข้าขวาง ผายมือให้ชายหนุ่มเดินไปทางที่จอดรถโดยแย้งว่า “ไม่ต้องหรอกครับ แฟ้มไม่กี่แฟ้ม เก็บเอาไว้ในรถก็ได้ ผมหิวข้าวจนใส้จะขาดอยู่แล้ว”
'ดูเอาเถอะ ยังจะถ่วงเวลาอีก...บทอนุภาพจะรั้นก็ไม่ต่างไปจากเด็กๆ'
อนุภาพทำเสียงฮึดฮัดในลำคอและเดินนำหน้าไปที่ลานจอดรถเพราะรู้ดีว่า คุณตำรวจเจ้าปัญหาคงไม่ยอมให้เขาถ่วงเวลาต่อไปอีก
“หิวข้าวมากเหรอคร้าบ” อธิคมตะโกนยั่วพลางเดินตามหลังมาช้าๆ
อนุภาพยังเดินฉับๆ ไปข้างหน้าไม่หันมามอง ชายหนุ่มกรอกตาเพราะระอากับความช่างยั่วของอธิคม เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคน ‘ยั่วขึ้น’ แต่หลายครั้งก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ส่วนอธิคมนั้นเล่า สดชื่นรื่นเริงไปได้เรื่อยๆ
‘เกลียดนัก หน้าตากรุ้มกริ่มอย่างนั้น ชอบอมยิ้มทำตาระยิบระยับอยู่ได้’
ชายหนุ่มสองคนนั่งทานข้าวเงียบๆ อธิคมปล่อยให้อนุภาพทานอาหารเย็นช้าๆ ไม่ชวนคุยมากนัก ตักอาหารชนิดอื่นให้บ้างเป็นบางครั้งเมื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มทานแต่แกงจืดและผัดผักเป็นส่วนมาก อนุภาพบอกว่าทานเผ็ดไม่ได้ แต่ก็ยอมทานแกงคั่วสับปะรดที่อธิคมตักให้ ใบหน้าขาวเนียนเริ่มแดงระเรื่อเพราะไม่คุ้นกับอาหารรสจัด อธิคมทอดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน...อนุภาพทานข้าวมากกว่าที่เคย
'ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนทานเยอะ'
เขาล้อชายหนุ่มด้วยซ้ำเมื่อสั่งอาหาร “โอ้โหคุณ ไม่ได้ทานข้าวมากี่มื้อแล้วนี่”
แต่อนุภาพกลับย้อนว่า “กลัวไม่มีเงินจ่ายหรือไง”
“เรื่องจ่ายเงินผมไม่กลัวหรอก ผมกลัวว่าคุณนุจะอ้วน พอตุ้ยนุ้ยแล้วเดี๋ยวไม่มีใครมาจีบนะ”
“ดี...มีคนมาจีบแล้วปวดหัว” อนุภาพตอบสั้นๆ แล้วทานอาหารต่อ ทำเป็นไม่สนใจคนที่ชอบล้อ
"ไม่ต้องห่วง ผมมียาพาราให้กิน"
นานแล้วที่เขาไม่รู้สึกสบายใจเช่นนี้ ชายหนุ่มที่กำลังมีความสุขกับอาหารตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลิน นานแล้วที่อาหารเย็นแต่ละวันของเขาจืดชืด ไร้ชีวิตชีวา หลายครั้งที่นั่งทานข้าวคนเดียวในร้านอาหาร หลายครั้งที่ทานข้าวกับคู่หูธงรบ หรือกับสาวๆ ที่เข้ามาติดพันเขา ไม่ก็หนุ่มๆ ที่เขารู้จักและ ‘สนุก’ ด้วยชั่วข้ามคืน
อาหารเย็นวันนี้เป็นอาหารเย็นที่มีรสชาติอย่างที่เขาไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ‘รสชาติ’ นุ่มๆ ที่ทำให้เขารู้สึกอร่อยและอยากจะ “ทาน” อีก...รสชาติที่เขารู้ว่าคงจะหาทานไม่ได้ง่ายๆ...รสชาติที่เขาจะไม่มีวันลืม
ชีวิตหนุ่มของเขาดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้สนุกสนานกับชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสชาติของความหฤหรรษ์จากคนที่เขาพึงใจและคนที่พึงใจเขาแทบจะทุกสุดสัปดาห์ ด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างเขา แถมพ่วงด้วยการเป็นหนุ่มในเครื่องแบบยิ่งดึงดูดใจผู้คนรอบข้าง ยามเขาเดินเข้าไปในแหล่งเที่ยวยามค่ำคืน อธิคมมีเสน่ห์ดึงดูดใจใครต่อใครหลายคนได้ไม่ยาก ไม่มีสักคืนที่เขาจะกลับบ้านคนเดียวหากคืนนั้นอยากจะมีใครสักคนนอนแนบข้าง
อนุภาพรู้ว่านายตำรวจหนุ่มตรงหน้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มรู้สึกขัดเขินที่มีคนจ้องมองจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารแทบไม่เงยหน้าขึ้น เขารู้ว่าร้อยตำรวจเอกอธิคมเริ่มจีบเขาแล้ว ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ และมีความมุ่งมั่นเป็นที่สุดหากอยากได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
สิ่งหนึ่งที่คอยดึงชายหนุ่มไว้คือข้อเท็จจริงที่ว่า บางครั้ง คนหนึ่งเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองปรารถนาแล้วก็จะหมดความปรารถนาอีกต่อไป ผู้ชายสายตากรุ้มกริ่มอย่างอธิคมต้องเจ้าชู้พอสมควร อนุภาพไม่กล้าที่จะนึกถึงอนาคตที่จะตกลงปลงใจไปกับคนเจ้าชู้ เขาเคยได้ยินใครบางคนพูดว่า “คบคนเจ้าชู้ น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า ตัวเราจะเร่าร้อนอยู่ตลอดว่าเวลานี้ ร่างกายของ ‘คนของเรา’ จะไปอิงแอบแนบชิดอยู่กับใครที่ไหน” เขาเองคงทนไม่ได้ที่ ‘คนของเรา’ จะไปเป็นของคนอื่น...แม้เพียงชั่วขณะ
“อาหารอร่อยนะครับ ผมไม่นึกว่าคุณนุจะทานเยอะขนาดนี้ ใครได้ไปเป็นแฟนจะเลี้ยงไหวไหมนี่” อธิคมทำลายความเงียบ
อนุภาพรวบช้อน “ไม่คิดจะให้ใครมาเลี้ยง”
“แล้วถ้ามีคนอยากเลี้ยงล่ะครับ” อธิคมยิ้ม
...อนุภาพหันไปมองไปยังแนวต้นไม้ที่ยืนต้นสล้างอยู่ริมธารน้ำ นิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เหมือนกับจะพูดกับตัวเอง “หายากนะครับ คนที่จะเลี้ยงคนอื่นให้อิ่มได้ คนเราไม่ได้กินข้าวเพียงอย่างเดียวนะ”
อธิคมนิ่ง ไตร่ตรองคำพูดของอนุภาพชั่วครู่
วูบหนึ่ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าอนุภาพจะต้องมีความหลังอะไรบางอย่างแน่นอน ซึ่งเขาจะต้องค้นหาให้ได้ เขารู้สึกว่าราวกับว่าชายหนุ่มหน้าดุกำลังก่อกำแพงกั้นอะไรบางอย่างเอาไว้...แต่ไม่ว่าจะเป็นกำแพงอะไร เขาจะลองฝ่าข้ามไปดู...
'ลองกันสักตั้งหน่อยเถอะ' ร้อยตำรวจเอกหนุ่มมุ่งมั่นกับภารกิจหัวใจครั้งนี้
เมื่อทานข้าวเสร็จ อธิคมชวนอนุภาพไปเดินเล่นที่จุดชมวิวใกล้สันเขื่อน เขาแปลกใจที่อนุภาพไม่อิดออด แม้จะมีคำถามว่า “มืดอย่างนี้จะดูอะไรได้”
ผู้กองหนุ่มบอกว่าดูดาวตก ไปยืนรับลมเย็นอากาศบริสุทธิ์ ชื่นชมกับธรรมชาติ เดินย่อยอาหาร อนุภาพยกมือขึ้นปรามพลางเอ่ยว่า “เหตุผลผู้กองดีๆ ทั้งนั้น...พอแล้ว...ไปครับไป” แล้วเดินตรงลิ่วไปที่รถ
ที่ลานกว้างริมหน้าผาข้างถนนที่ไต่พาดขึ้นไปบนสันเขาอีกฝากหนึ่งของเขื่อนศรีนครินทร์ ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสลัว พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวส่องสว่างทอดแสงตกกระทบผืนน้ำในเขื่อนระยิบระยับเห็นอยู่ไกลๆ ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นเป็นแนวทางด้านซ้ายของลานจุดชมวิว ลมเอื่อยๆ พัดกิ่งใบของปราการธรรมชาติให้ขยับไหว เสียงหวีดหวิวเบาๆ ราวกับกระซิบกระซาบกัน ด้านขวาเปิดโล่งมองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนทอดตัวอยู่ท่ามกลางความมืด
อนุภาพกระชับแขนที่กอดอก พลางเดินออกไปที่แนวรั้วไม้ไผ่เล็กๆ ที่กั้นระหว่างผืนดินกับความว่างเปล่าเบื้องหน้า ลมเย็นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าเบาๆ ชายหนุ่มก้มลงมองไปยังหน้าผาลึกเบื้องล่างเห็นแต่ความมืดดำ
“ดาวสวยนะครับ” เสียงทุ้มข้างหูดังขึ้นทำลายความเงียบ
ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าของเสียง ผู้กองหนุ่มยืนอยู่ใกล้ๆ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า สันจมูกโด่งคมทาบเป็นเงาจางๆ ในแสงเดือนจากพระจันทร์เสี้ยวของคืนข้างแรม ณ วินาทีนี้ อนุภาพตระหนักว่านายตำรวจเจ้าปัญหาคนนี้ตัวสูงใหญ่เหลือเกิน ดูราวกับภูผาทมึนที่ยืนบดบังสายลมเอื่อยๆ ที่พัดมาปะทะร่างเขาเสียหมดสิ้น ในใจอดคิดไม่ได้ว่า...ภูผาแข็งแกร่งนี้ จะเป็นที่พักพิงให้เขาได้ไหมหนอ ภูผาอย่างธนาภพยังพังทลายได้เลย...
“ประเดี๋ยวมีดาวตก” ผู้กองหนุ่มเอ่ยขัดจังหวะความคิดล่องลอยของชายหนุ่ม
“มีญาณวิเศษหรือไง” ชายหนุ่มอดแขวะไม่ได้
ผู้กองภูผาหัวเราะหึๆ ในลำคอ “จากประสบการณ์ที่ผมเคยยืนดูดาวบนภูเขาตอนกลางคืนหลายๆ ครั้ง ผมเห็นดาวตกบ่อยๆ”
“อ้อคงพาใครมาดูบ่อยๆ” ชายหนุ่มอดเน้นเสียง ‘ดู’ ไม่ได้
“คุณนุครับ อย่าทำลายบรรยากาศสิ” นักดูดาวประท้วงอย่างอ่อนใจ...ดูเอาเถอะ บทจะกวนก็กวนได้เหมือนกันนะ...อธิคมนึกในใจ หางตาแอบมองอนุภาพ
ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร บนฟากฟ้าที่ระบายสีด้วยจุดสีขาวระยิบระยับของดวงดาวก็มีดาวตกสองดวงไล่เลี่ยกัน
อนุภาพเบิกตากว้าง อุทานเบาๆ ซึมซับเอาความสวยงามของธรรมชาติที่เขาแทบจะจำไม่ได้ว่าเคยสัมผัสความสวยงามของท้องฟ้าเช่นนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อใด
ตั้งแต่เรียนจบ ชีวิตในเมืองใหญ่ที่วิ่งวุ่นกับงาน แม้พระจันทร์เต็มดวงก็แทบไม่เคยเห็น
“เขาบอกว่า ถ้าเห็นดาวตกให้อธิฐานขอพรอะไรก็ได้” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาวตกเริ่มสาธยาย
“คุณนุลองอธิษฐานสิครับ”
“ผู้กองเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้ายังแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เผื่อจะเห็นดาวตกอีก
นายตำรวจหนุ่มหันมามองชายหนุ่มด้านข้างด้วยสายตาอ่อนโยน “ลองดูก็ไม่เสียหายนี่นา”
ทั้งสองยืนเงียบ ครู่ใหญ่ก็เกิดดาวตกอีกครั้ง ครั้งนี้เห็นเป็นลำแสงสีขาวนวลพาดยาวบนท้องฟ้าอย่างชัดเจน ก่อนจะเคลื่อนคล้อยตกลงอีกฟากหนึ่งของเส้นขอบฟ้าช้าๆ เหมือนจะรอให้สองหนุ่มอธิษฐานได้ทันท่วงที
อธิคมถามว่าอนุภาพอธิษฐานอะไร ชายหนุ่มยักใหล่และบอกว่าขอให้งานสำเร็จ
“แน่ใจหรือครับว่าอธิษฐานแค่นั้น”
“ก็แค่นั้น จะให้ผมขออะไรล่ะ” คนห่วงงานหันมามองตำรวจช่างสงสัยแล้วกลับไปมองท้องฟ้าต่อ
“ก็เขามักอธิษฐานกันว่า ให้เจอเนื้อคู่ เจอคนรัก สมหวังเรื่องความรัก อะไรแบบนี้” อธิคมก้าวเท้ามายืนตรงหน้าอนุภาพ ก้มหน้าลงมองด้วยสายตาแพรวพราว สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงดูผ่อนคลายสบายใจเหลือเกิน
“ใครจะอธิษฐานแบบนั้น งมงาย” อนุภาพอึกอัก ระดับสายตาของเขาอยู่ตรงริมฝีปากของผู้ชายตัวใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังระบายยิ้มอ่อนๆ หนวดเคราที่เพิ่งโกนใหม่เป็นแนวเข้ม ชายหนุ่มได้กลิ่นอ่อนๆ ของครีมโกนหนวด...อมานี่เสียด้วย...อนุภาพคิด เริ่มประหม่า เพราะไม่นึกว่าอธิคมจะรุกประชิดเช่นนี้
“ผมนี่ไง ผมอธิษฐานว่าขอให้เจอคนที่รัก”
“งั้นก็ขอให้สมหวังนะครับ” อนุภาพไม่รู้จะพูดอะไร อธิคมทำให้เขาเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบผสมผสานกับเย็นสะท้าน สายลมเอื่อยเริ่มแรงขึ้น การที่อธิคมผละมายืนข้างหน้าเขาทำให้ลมที่พัดมาด้านข้างปะทะตัวเขาเต็มๆ เพราะ ‘ภูผาสูงใหญ่มีชีวิต’ ไม่ได้ยืนบังเอาไว้อีกแล้ว
“แน่นอน ผมว่าผมใกล้จะสมหวังแล้วล่ะ อย่างน้อยก็เจอคนที่ชอบแล้ว อีกหน่อยก็กลายเป็นรักได้ไม่ยาก”
...อะไรนะ เจออะไรแล้ว...อนุภาพได้ยินเสียงอธิคมอยู่ใกล้ๆ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขากระทบหน้าผากเบาๆ...เป็นตำรวจอะไรใช้ครีมโกนหนวดอมานี่...อนุภาพรู้สึกราวถูกสะกด...เขาอมหมากฝรั่งรสอะไรนี่ กลิ่นเย็นๆ...
อนุภาพยืนนิ่ง
“คุณนุ” เสียงทุ้มๆ เรียก
อนุภาพเผลอเงยหน้าขึ้นมองคนอยากสมหวังตรงหน้า ก็พบว่าสายตาที่อธิคมกำลังทอดมองมานั้นส่องแสงระยิบระยับเหมือนผิวน้ำในเขื่อนที่ถูกสายลมพัดไหวระริกต้องกับแสงจันทร์ที่สาดส่องกระทบ ริมฝีปากได้รูปอมยิ้มนิดๆ ใบหน้ากรุ้มกริ่มทำให้อนุภาพรู้สึกขัดเขิน
ชายหนุ่มหลบตาหันหน้าไปมองความมืดว่างเปล่าซ้ายขวาสลับไปมา พลางกระชับแขนที่กอดอกให้แน่นขึ้น ห่อไหล่เล็กน้อย พ่นลมออกมาเบาๆ หารู้ไม่ว่าลมที่พ่นออกมาปะทะเข้ากับซอกคอของผู้กองหนุ่ม ทำให้อธิคมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าฟาดกระทบที่หน้าอกแผ่ซ่านเป็นริ้วลงไปถึงหน้าท้องแกร่งเกร็ง
“ฮื่อ เริ่มหนาวแล้ว กลับกันเถอะ”
“หนาวเหรอครับ” ผู้กองหนุ่มถามเสียงนุ่ม พลางขยับตัวช้าๆ เข้ามาใกล้อีก ราวกลับจะบอกว่า...ถ้าหนาว ผมจะทำให้หายหนาว
อนุภาพก้าวเท้าซ้ายไปข้างหลัง หันกลับ แล้วรีบเดินอ้าวไปที่รถ อธิคมส่ายหน้าเบาๆ พร้อมระบายยิ้มอย่างถูกใจที่ได้หยอกล้อให้อนุภาพเขิน
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบตลอดทาง ความรู้สึกพึงพอใจกันและกันเริ่มก่อตัวขึ้น...
อนุภาพมองออกไปนอกหน้าต่างฝ่าความมืดออกไปเบื้องหน้า ในใจสับสนพลุ่งพล่าน ต่อสู้กับความรู้สึกข้างใน กำแพงที่เคยสร้างขึ้นปิดกั้นใครต่อใครมานานหลายปีถูกสั่นคลอน แต่เขาเองยังรู้สึกสับสนในใจ ในหัวมีแต่ความวุ่ยวายไม่แน่ใจในเรื่องสารพัดเรื่องซึ่งเขาเองก็บอกเหตุผลไม่ได้
ที่ลานจอดรถของอิงธารรีสอร์ท อนุภาพกล่าวขอบคุณอธิคมเบาๆ ก่อนเปิดประตูรถลงเดินกลับที่พัก นายตำรวจหนุ่มมองตามร่างนั้นไปจนลับตา ความรู้สึกอิ่มเอมเริ่มพองขึ้นในอกเหมือนจะดันทะลุออกมา นี่ล่ะหนาที่เขาพูดกันว่า หัวใจพองโต เขารู้สึกถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นถี่ขึ้น ดังขึ้น เหมือนเสียงกลองยามงานฉลองพิธีสำคัญ
ชายหนุ่มส่ายหน้า หัวเราะกับตัวเองเบาๆ นึกเขินตัวเองที่รู้สึกมีชีวิตชีวิตราวกับเป็นหนุ่มน้อยที่เริ่มริรัก
...'คืนนี้สงสัยคงนอนไม่หลับแน่เลยเรา' ร้อยตำรวจเอกอธิคมคิด 'ถ้าไอ้ธงรบรู้คงหัวเราะเยาะแน่เลย'
อธิคมเดินผิวปากกลับที่พัก สลับกับแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าเป็นระยะ เผื่อจะเห็นดาวตกอีกครั้ง
คืนนี้เขาต้องพยายามนอนหลับให้ได้ "ตื่นมาจะได้หน้าตาหล่อสดใส" อย่างที่อนุภาพเคยบอก
อนุภาพ...อนุภาพ...อนุภาพ...ชื่อนี้ดังก้องอยู่ในหัวเขาทั้งคืน
ภาพใบหน้าขัดเขินของอนุภาพก่อนที่จะหันหลัง “วิ่งหนี” เขากลับไปที่รถ ตามหลอกหลอนจนนอนแทบไม่หลับ
หากมีใครถ่ายรูปผู้กองหนุ่มยามนอนหลับก็คงจะเห็นใบหน้าเหล่อเหลาคร้ามเข้มนั้นระบายยิ้มอ่อนๆ ทั้งคืน
**********
[attachment deleted by admin]