อาคเนย์ ◈ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อาคเนย์ ◈ THE END  (อ่าน 168736 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #270 เมื่อ03-06-2019 22:10:03 »

ลองกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น  :กอด1:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #271 เมื่อ03-06-2019 22:31:37 »

ขอให้ก้าวผ่านให้ได้ทั้งคู่นะ :m15:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #272 เมื่อ03-06-2019 23:36:32 »

ดีใจที่ทั้งคู่ยอมทิ้งความกลัว เพื่อร่วมกันขจัดความกลัวที่มากกว่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #273 เมื่อ04-06-2019 00:26:50 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ปลดล็อกปลดพันธนาการที่ค้างคาอยู่ออกไปให้ได้จนหมด

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #274 เมื่อ04-06-2019 00:39:55 »

ขอบคุณคุณจิตติ ที่ยังให้ความเข้มข้นเหมือนเดิมค่ะ
ตอนนี้นอกจากจะตาแดง ตาปูด แล้วยังคัดจมูก หายใจลำบากค่ะ..  :hao5:
ง่าาาา.. ณจุดนี้ บูรพาและอาคเนย์ พวกเทอต้องสู้นะ..
เราก็จะสู้เหมือนกัน.. ตอนนี้ขอไปหยิบทิชชู่แป๊บ..

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #275 เมื่อ04-06-2019 00:48:46 »

สู้นะ มันจะดี

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #276 เมื่อ04-06-2019 13:01:44 »

เหมือนที่ผ่านมาเราจมน้ำ อึดอัดหายใจแทบไม่ออก หน่วงใจมาตลอด จนมาถึงตอนนี้ ฮิอออออออออออออออ
กลับมาแล้ว บูรพาอาคเน่ย์ จะกลับมาปลดล็อกปลดพันธนาการที่ค้างคาออกไป แล้วสร้างความทรงจำร่วมกันใหม่อีกครั้ง ฮือออออออออออออออออออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2019 13:06:10 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #277 เมื่อ04-06-2019 13:17:55 »

ได้กลับมาอยู่ด้วยกันหวังว่าจะช่วยกันให้หลุดออกไปได้นะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #278 เมื่อ04-06-2019 14:43:09 »

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่เลยนะ

ออฟไลน์ มาดามพีพี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #279 เมื่อ04-06-2019 16:31:59 »

จากน้ำตาซึมเพราะหน่วงมาตลอด ตอนนี้ไหลเพราะความดีใจ ที่เค้าสองคนวนมาเจอกัน เชื่อว่าเค้าจะปลดล็อคความเจ็บปวดซึ่งกันและกันได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
« ตอบ #279 เมื่อ: 04-06-2019 16:31:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #280 เมื่อ04-06-2019 16:41:21 »

เนย์บอกจะกลับมาหมายถึงจะลองมาอยู่ด้วยกันใช่มั้ย
แค่นี้หัวใจมันก็ฟูฟ่องแล้ว ยอมทุกอย่างถ้าเนย์มาอยู่ในชีวิตอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าอาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่ก็ดีกว่าไม่มีเนย์อยู่ในชีวิตเลย
ที่ต้องเหงา โหยหา เจ็บปวด คิดถึง ตอนนี้เนย์มาอยู่ตรงหน้าตัวเป็นๆแล้วนะ
จะถนอมรักษาไว้อย่างดีได้มั้ย
ฮิอออออออ



ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #281 เมื่อ05-06-2019 03:01:33 »



CHAPTER 12
PAINFUL FEELING



ผมเป็นได้ทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่เขาอยากให้ผมเป็น

   

   อยากตบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อปลุกให้ตื่นจากฝัน

   แล้วพอรู้สึกเจ็บก็อยากหยิกแขนตัวเองซ้ำๆ เพื่อย้ำให้แน่ใจอีกรอบ มันเหมือนไม่ใช่ความจริงที่อาคเนย์ตัดสินใจก้าวเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้งทั้งที่เคยหมดหวังไปแล้ว เมื่อก่อนอาจเคยก่นด่าว่าทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับผมนัก ตอนนี้เลยอยากถอนคำพูด ขอบคุณที่พาเขากลับมา...

   “ยิ้มอะไร” ผมสะดุ้ง หันไปมองยังเจ้าของคำถาม

   “เปล่า”

   “เหนื่อยมานานแล้วคืนนี้จิบเบียร์ชิลๆ กันหน่อยมั้ย” หลังก้าวขึ้นมาเรียนชั้นคลินิกเราก็แทบไม่รู้จักคำว่าเวลาว่างอีกเลย ทั้งเรียน ทั้งทำรายงาน แถมต้องตื่นมาราวน์วอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กว่าจะเลิกเวลาก็ปาไปเกือบหกโมงเย็น

   หากวันไหนมีเวลาหน่อยเพื่อนๆ ก็มักจะชวนกันออกไปผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการนั่งจิบเบียร์ ฟังเพลงเบาๆ ก่อนที่วันต่อมาจะต้องเผชิญหน้ากับศึกใหญ่เหมือนอย่างเคย

   “ไม่ล่ะ” แต่วันนี้ต่างจากทุกวัน ตรงที่ผมไม่ได้ตอบรับคำชวนนั้น

   “โหหห โดนปฏิเสธว่ะ ปกติพี่บูไม่เป็นแบบนี้” เรียนอยู่ปีเดียวกันแท้ๆ แต่ยังเรียกพี่อยู่ได้ เคยพูดไปหลายครั้งจนเหนื่อยสุดท้ายก็กลับมาเรียกเหมือนเดิม

   “ช่วงนี้อาจจะไม่ได้ออกไปไหนด้วย พอดีมีเพื่อนมาอยู่ที่ห้อง”

   “แล้วไง ต้องเทคแคร์เหรอ”

   “อืม”

   “เพื่อนหรือสาว?” ผมถึงกับส่ายหน้า อีกฝ่ายเลยหาเรื่องแซวต่อ “มีแฟนก็ดีเหมือนกันนะพี่ เวลาเรียนเหนื่อยๆ จะได้มีคนให้กอด ที่ผ่านมาพี่เล่นไม่สนใจใครเลย พอเห็นแบบนี้เลยหายห่วงหน่อย”

   “คิดเองเออเองเก่งนะมึง กูได้บอกเหรอว่าแฟน”

   “แค่มองตาก็รู้ใจแล้ว” ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลังได้ยินประโยครู้ทัน “โอเค ช่วงนี้ไม่ว่างไม่เป็นไร เบื่อเมื่อไหร่ก็ค่อยชวนผมแล้วกัน”

   “เออ!” ผมคว้ากระเป๋า โบกมืออำลาอีกฝ่ายก่อนย่ำเท้าไปยังลานจอดรถ

   โชคดีเหลือเกินที่เดือนนี้ผมได้ทำงานในวอร์ดซึ่งมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดังนั้นจึงมีเวลาว่างพอจะสร้างความทรงจำที่ดีกับไอ้เนย์อยู่บ้าง

   หลังเพิ่งเจอกันในตอนเช้าเราก็ได้พูดคุยเพียงสั้นๆ สรุปก็คือช่วงดึกอาคเนย์จะเริ่มขนของบางส่วนและย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องกับผม ยอมรับว่าฉุกละหุกนิดหน่อยแต่นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือเปิดห้องปิดตายซึ่งเก็บความทรงจำในอดีตอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด ก่อนที่มันจะกลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของผู้มาเยือนในอีกไม่ช้า

   แต่บังเอิญเกิดผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยตรงที่ไอ้เนย์มาถึงห้องเร็วกว่ากำหนดหลายชั่วโมง

   “มีของแค่นี้เหรอ” ผมถามหลังเปิดประตูห้องพร้อมกับเชื้อเชิญให้คนตัวเล็กกว่าเข้ามาด้านใน

   “อืม”

   ภาพนี้ไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อนเท่าไหร่ ตอนที่ผู้ชายอายุยี่สิบก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ ถึงวันนี้มันก็ยังมีของสำคัญน้อยชิ้นเหลือเกิน

   “แล้วจะเข้าไปยังไง ล็อกซะแน่นขนาดนี้” เจ้าตัวถามพลางขมวดคิ้ว หลังหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องซึ่งถูกคล้องโซ่อย่างแน่นหนา แถมยังถูกตอกตะปูปิดทับไปอีกรอบ

   “โทษที ตอนแรกคิดว่ามึงจะมาดึกกว่านี้”

   “ไม่เคยคิดจะเปิดเข้าไปเลยหรือไง” เสียงบ่นงึมงำถามกลับ “ตอนนั้นกูก็เห็นมันล็อกอยู่แบบนี้”

   ‘ตอนนั้น’ ที่ว่าคงหมายถึงครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน

   “อือ คงเพราะกลัวจะทนไม่ไหวกลับเข้าไปในชีวิตมึงอีกล่ะมั้งกูถึงอยากลืม”

   “...”

   ผมคิดว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดไป ต่างคนเลยต่างเงียบ จนกระทั่งร่างบางหมดความอดทนเป็นฝ่ายลากกระเป๋าไปยังโซฟาห้องนั่งเล่นแทน

   ความอึดอัดหลังจากลากันยาวนานส่งผลให้ผมทำอะไรไม่ถูก มัวแต่งุ่นง่านจัดระเบียบความคิดสะเปะสะปะในหัว กว่าจะรู้ตัวว่าควรเปิดประตูห้องปิดตายตรงหน้าก็ใช้เวลาอยู่นาน

   กลิ่นฝุ่นมหาศาลปะทะเข้าจมูก ความมืดถูกแทนที่ด้วยแสงนวลจากหลอดไฟเพียงหนึ่งเดียวบนเพดาน ผมก้าวเท้าฉับไปยังเตียงเป็นอันดับแรก เอื้อมมือคว้ากล่องบรรจุนาฬิกาขึ้นมาไว้ในครอบครอง ตั้งใจจะเอามันไปเก็บไว้ในห้องส่วนตัว ทว่าร่างกายกลับปะทะเข้ากับคนตัวเล็กเสียก่อน

   “สภาพแม่งไม่น่าอยู่เลย” คนตรงหน้าบ่นงึมงำ

   “คืนนี้มึงไปนอนห้องกูก่อนเถอะ เดี๋ยวกูขอจัดการทำความสะอาดก่อน”

   “ไม่เป็นไรกูทำเอง ถ้าไม่เสร็จก็จะนอนโซฟา”

   “งั้นช่วยกันมั้ย”

   “อืม...” ทุกอย่างดูง่ายดายไปซะหมด จนผมไม่แน่ใจว่าอาคเนย์ในตอนนี้กำลังแปลงตัวเองเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันปะทุอยู่หรือเปล่า

   “งั้นเริ่มจากเช็ดฝุ่นตามตู้กับเตียงก่อนมั้ย”

   คนฟังพยักหน้าพลางกวาดสายตามองรอบห้อง

   “ที่ผ่านมาขังทุกอย่างไว้ในสภาพนี้เหรอ”

   “มีบ้าง ในบางครั้งที่ทนไม่ไหวเลยนอนอยู่ในห้องนี้ แต่ก็...นานแล้วล่ะ” ผมเคยเป็นบูรพาที่ถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง กอดตัวเองอยู่ท่ามกลางความเย็นเยือก เอาแต่จ้องมองบาดแผลเหวอะหวะตรงข้อมือ และถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะไม่เจ็บอีกแล้วร่องรอยเหล่านั้นก็ยังคงอยู่

   “หลังจากกันวันนั้น เคยร้องบ้างไห้มั้ย” ไอ้เนย์ถามอีก คราวนี้ผมฉีกยิ้มในสภาพริมฝีปากสั่นเทา

   “ไม่หรอก”

   “ไม่เคยร้องไห้เลยเหรอ”

   คราวนี้ผมไม่ตอบนอกจากจ้องมองใบหน้าขาว ก่อนความร้อนผ่าวบริเวณขอบตาจะค่อยๆ ทวีขึ้น ผมไม่รู้ว่าหน้าของตัวเองในตอนนี้บิดเบี้ยวแค่ไหน แต่เมื่อได้อยู่กับเขามันจึงอดไม่ได้ที่จะเผลอร้องไห้ออกมา

   “กูขอโทษเนย์ ที่ผ่านมา...กูขอโทษ” สุดท้ายผมไม่อาจฝืนตัวเองได้ นอกจากปล่อยน้ำตาไหลรินอาบหน้าอย่างไม่นึกอาย

   “เป็นแบบนี้เหมือนไม่ใช่มึงเลย”

   “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ กูเป็นคนยังไง” บางครั้งก้าวร้าว บางครั้งนิ่งเงียบ หากแต่บางทีกลับขี้แยเหมือนเด็กอนุบาล ทุกอย่างผสมปนเปเป็นคนที่ชื่อว่าบูรพา ซึ่งเผชิญกับความเป็นจริงมาแล้วหลากหลายรูปแบบ

   “ช่างเถอะ เวลานานขนาดนี้ มันต้องมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง”

   “...”

   “ผ้าขนหนูเก่าๆ อยู่ไหน กูจะได้เริ่มทำความสะอาด” เนย์ไม่รอฟังคำตอบแต่รีบผละออกไป ทิ้งผมให้ยืนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าแล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าควรควบคุมอารมณ์ให้มากกว่าเดิม

   นาฬิกาถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของลิ้นชัก จากนั้นผมจึงเริ่มต้นภารกิจทำความสะอาดครั้งใหญ่

   ถึงห้องจะเล็กและมีข้าวของไม่มากนัก แต่กลับใช้เวลาทำความสะอาดค่อนข้างนานเนื่องจากถูกปิดมานานแรมปี กว่าจะเสร็จสิ้นต่างคนต่างก็ใช้แรงไปไม่น้อย   

   เราสองคนนั่งพิงหลังตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น เบื้องหน้าเปิดรายการทีวีทำลายความเงียบ แม้จะรู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีใครจดจ่ออยู่กับมันเท่าไหร่ ส่วนอาหารเย็นที่ทำง่ายที่สุดคือข้าวกล่อง เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการยัดไมโครเวฟ แถมไม่ต้องพิถีพิถันสามารถยกมากินหน้าทีวีได้เลย

   วันนี้เป็นวันแรกของการสร้างความทรงจำร่วมกัน...

   ซึ่งมันมาพร้อมกับกฎของการอยู่ร่วมห้อง

   โพสต์อิตสีฟ้าถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ตัวหนังสือขยุกขยุยของให้เนย์ไม่เปลี่ยนไปเลย ข้อความเหล่านี้ถูกเขียนเป็นข้อๆ เพื่อบอกสิ่งที่เราต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด


   ‘หนึ่ง ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันโดยไม่ได้รับอนุญาต’


   “จับมือก็ไม่ได้เหรอ” ผมเงยหน้าถาม หลังอ่านข้อความในบรรทัดแรกจบ

   “ไม่ได้” และไอ้เนย์ก็ตอบกลับมาโดยแทบไม่เสียเวลาคิด


   ‘สอง ห้ามก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว เรื่องเพื่อน รวมถึงห้ามโผล่ไปที่มหา’ลัย’


   “นั่นรวมถึงแฟนมึงด้วยใช่มั้ย” แม่งเอ๊ย...พูดเองก็เจ็บเอง ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ดีทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แม้แต่เพื่อนก็ไม่ใช่

   “กูยังไม่มีแฟน”

   “...!!” คำตอบของคนเคียงข้างไม่ต่างจากการจุดดอกไม้ไฟนับร้อยขึ้นในหัว จังหวะการเต้นของหัวใจเองก็ถี่ระรัวจนผลักให้ผมอยากรู้อยากเข้าไปอีก “แล้ว...แล้วคนชื่อปราชญ์ล่ะ มึงไม่ได้คบกันเหรอ”

   “ปราชญ์เป็นเพื่อน ที่ผ่านมากูไม่ได้สนใจเรื่องความรัก ความฝันต่างหากที่สำคัญ”

   “ดีใจว่ะ”

   “เกี่ยวอะไรกับมึง”

   “ไม่รู้แต่ดีใจ”

   ผมไม่ได้ยิ้มกว้างแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว แม้เวลาที่ก้มลงอ่านข้อความถัดไปปากก็ยังคงค้างอยู่ท่าเดิม นี่หรือเปล่าที่เรียกว่ารอยยิ้มแห่งความสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน


   ‘สาม ห้ามยุ่งกับของส่วนตัว’

   
   “กูสัญญาว่าจะไม่ยุ่งอะไรของมึง แต่ของในห้องนี้มึงใช้ของกูได้ทุกอย่างนะเนย์”

   “เออ”


   ‘สี่ ห้ามโทรศัพท์หรือติดต่อหากัน’

   
   “จะไม่ให้เบอร์กูเลยเหรอ”

   “ไม่”

   “ไลน์หรือเฟซบุ๊กอะไรก็ได้”

   “ไม่จำเป็นหรอกบู”


   ‘ห้า ห้ามพาบุคคลหรือผู้หญิงเข้ามาในห้องไม่ว่ากรณีใดก็ตาม’


   ข้อสุดท้ายทำได้ง่ายที่สุด

   “เนย์ ตั้งแต่มึงหายไป กูก็ไม่เคยนอนกับใครอีกเลย” เมื่อก่อนผมอาจเคยแหกกฎข้อนี้ด้วยความแค้นหรือเหตุผลห่าเหวอะไรก็ช่าง แต่มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง “มึงรู้ดี...ถึงจะเริ่มต้นใหม่สักกี่ครั้ง กูก็รักใครไม่ได้อีก”

   “รู้เหรอว่าความรักจริงๆ คืออะไร”

   “ไม่รู้หรอก” จนป่านนี้ก็ยังนิยามความหมายของคำว่า ‘รัก’ ไม่ได้ “มึงล่ะ รักของมึงเป็นแบบไหน”

   “เป็นแบบที่แม่กูมีให้ไง”

   “ไม่ดิ กูหมายถึงรักที่ไม่ได้มาจากครอบครัว ไม่ได้มาจากเพื่อน แต่เป็นรักที่มีให้กับใครสักคนต่างหาก”

   “งั้นยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ เพราะฝืนเข้าใจคำว่ารักผิดไปตั้งหลายปี”

   “นั่นเคยเป็นรักที่ให้กูหรือเปล่า”

   “ช่างเถอะ บางทีความรู้สึกพวกนี้อาจไม่จำเป็นกับชีวิตเราก็ได้”

   ประเด็นดังกล่าวถูกตัดจบ แม้รู้ดีว่ายังมีบางอย่างที่ค้างคา

   “ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   “ถามอะไรอีกล่ะ เก็บไว้ถามวันอื่นบ้างก็ได้” ไอ้เนย์พูดพลางตักข้าวใส่ปากด้วยสีหน้าเย็นชา ผมจึงเฝ้ามองเสี้ยวหน้าได้รูปอย่างเงียบเชียบ กระเพาะอิ่มขึ้นมาซะดื้อๆ ความจริงแค่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนี้ ในระยะห่างเพียงไม่กี่เซ็นต์ ความรู้สึกก็เต็มตื้นจนกินอะไรไม่ลงอีก

   “กลัวว่าถ้าถามวันอื่นมึงก็อาจจะผลัดไปอีก”

   “งั้นก็ว่ามา”

   “ทำไมมึงถึงตัดสินใจย้ายมาอยู่กับกูที่ห้อง คงไม่ใช่เพราะข้อเสนอที่อาจช่วยให้มึงหายจาก PTSD อย่างเดียวใช่มั้ย” อาคเนย์อาจมีบางอย่างที่มากกว่านั้น แล้วสมองของผมมันก็มัวแต่คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาหากไม่ได้รับคำตอบ

   “มึงน่าจะรู้อยู่แล้ว”

   “กูไม่รู้หรอก ไม่อยากคิดไปเองด้วยซ้ำ”

   เสียงผ่อนลมหายใจดังผะแผ่ว กระทั่งใบหน้าได้รูปหันมาประสานสายตากัน ความสงสัยส่วนหนึ่งก็คลี่คลายลง

   “มึงฝันร้ายทุกคืนเลยไม่ใช่หรือไง”

   “อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ “อยากให้กูหายนี่เอง”

   “นั่นมันส่วนหนึ่ง แต่มึงก็รู้ดีว่าเหตุผลที่ยังคงฝันร้ายเพราะรู้สึกติดค้างกูอยู่ แล้วถ้าสมมติกูหาย อย่างน้อย...ความรู้สึกผิดในใจของมึงก็จะลดลงตามไปด้วยไม่ใช่เหรอ”

   “...”

   “ที่ผ่านมามึงเจ็บเพราะไม่เคยชดใช้อะไรให้กูได้ นี่ไง กูมาให้มึงชดใช้แล้ว”

   









   ตีสี่เป็นเวลาที่ผมมักตื่นจากฝัน ร่างกายยังคงเคยชินกับอะไรเดิมๆ แม้หลายอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม

   ไอ้เนย์ครอบครองห้องนอนเล็กไปแล้ว และตอนนี้มันคงกำลังหลับสบาย ดังนั้นผมจึงไม่อยากรบกวนนอกจากค่อยๆ ย่างเท้าเข้าห้องน้ำอย่างเงียบเชียบ ก่อนออกมาเตรียมอาหารง่ายๆ ให้อีกฝ่ายได้กินรองท้องก่อนไปเรียน เพราะกว่าเจ้าตัวจะตื่นผมคงวิ่งวุ่นกับการราวน์วอร์ดคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาล

   เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการไปรับไปส่ง หรือโผล่หัวไปยังมหา’ลัยเพื่อสานสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรู้จัก คล้ายกับว่าโลกของบูรพากับอาคเนย์ถูกจำกัดกรอบอยู่เพียงในห้อง หรือหากต้องออกไปที่ไหน ที่นั่นก็จะมีแค่เราสองคนเท่านั้น ซึ่งเงื่อนไขนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก   

   บูรพาอยู่ได้เสมอหากที่นั่นมีอาคเนย์

   ช่วงเย็นผมแวะซื้อกับข้าวอยู่สองสามอย่างกลับไปยังห้อง ตระเตรียมเทใส่ชามเพื่อรออุ่นอีกครั้งหลังคนตัวเล็กกลับมา ทว่าเวลาผันผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม ห้องก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของอีกฝ่ายจนอดเป็นห่วงไม่ได้

   ด้วยไม่มีเบอร์โทรติดต่อ ผมจึงเอาแต่เดินวนไปวนมาจนไม่เป็นอันทำอะไร จะต่อสายหาแม่ก็กลัวทำให้ท่านเป็นกังวลเลยหยุดความคิดไว้เท่านั้น

   ผมเกลียดการนับเลข เกลียดการเฝ้ารอ แต่ไม่สามารถฝืนตัวเองให้ปล่อยวางได้สักที

   แกรก!

   จนในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อไอ้เนย์ย่างเท้าเข้ามาในห้อง มันวางคีย์การ์ดไว้บนตู้วางรองเท้า ก่อนเดินไหล่ตกกลับมาในชุดช็อปวิศวะ ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนผมต้องเอ่ยทักท้วง

   “ไอ้เนย์ กลับมาเหนื่อยๆ กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”

   “ไม่ล่ะ กูกินมาแล้ว กะจะอาบน้ำนอนเลย”

   “เนย์วันนี้...”

   พูดยังไม่ทันจบประโยคประตูห้องนอนเล็กๆ พลันปิดลง ปล่อยผมยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว จ้องมองอาหารที่ซื้อรอไว้ครู่หนึ่งก่อนจะจับมันยัดตู้เย็นอย่างเงียบๆ

   สำหรับมื้อนี้ ผมเองก็ไม่หิวแล้วเหมือนกัน









   ผมสามารถเลิกบุหรี่ได้ตามคำแนะนำของหมอ ดังนั้นเลยอยากให้ไอ้เนย์ได้ลองเลิกบุหรี่ก่อนข้ามไปขั้นตอนอื่น ช่วงสัปดาห์แรกของการอยู่ร่วมห้องแม้จะไม่ค่อยได้คุยกันแต่ผมก็พยายามหาโอกาสซักถามให้มากที่สุด ไอ้เนย์อยู่ปีสามแล้ว ทั้งเรียนและรับงานพิเศษจนตารางเวลาแน่นขนัด

   ส่วนผมไม่ต้องพูดถึง จะว่างเฉพาะตอนเย็นกับวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น

   แต่ที่หนักกว่าคือคนตัวเล็กแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกันเลย บางวันไม่เมากลับมาก็หายหัว กลับดึกดื่นค่อนคืน ตอนเช้าเราไม่ค่อยคุยกันอยู่แล้วเพราะผมต้องรีบไปราวน์วอร์ด อาหารที่ทำไว้ให้ก็ไม่ถูกแตะแม้แต่นิดเดียว

   แฮม ไข่ดาว เบค่อน ถูกทำในตอนเช้าก่อนจะถูกเทลงถังขยะในตอนเย็น

   แต่ผมไม่เสียใจหรอก ยินดีด้วยซ้ำที่ได้สิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่ พรุ่งนี้เราอาจจะได้คุยกัน ส่วนวันหยุดเนย์อาจว่างพอออกไปข้างนอก หน้าที่ของผมคือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรเป็น

   อย่างน้อย...การไม่เจ้ากี้เจ้าการกันมากนัก อาจช่วยให้มันยังอยู่กับผมนานขึ้นกว่าเดิม



   หนึ่งเดือนแล้วที่เราอยู่ร่วมห้องกัน

   ไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งอาการ PTSD หรือฝันร้ายที่ทำให้ผมวิตก วันนี้เลยอยากหาโอกาสคุยกันเล็กน้อย เผื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา

   อาคเนย์กลับถึงห้องตอนสองทุ่มเศษ สีหน้าดีขึ้น ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเหมือนทุกวัน ผมจึงมีความกล้าพอขอรบกวนเวลาสักเล็กน้อย

   “เนย์ กินข้าวยัง” คำถามแรกพุ่งจู่โจมคนตัวเล็ก

   “อืม มึงล่ะ” มันถามกลับ

   “ยัง พอดีมีเรื่องสำคัญที่อยากคุยกับมึงก่อนน่ะ”

   “ไว้ก่อนได้มั้ย ขออาบน้ำก่อน”

   “แป๊บเดียว มันสำคัญกับมึงมาก” คนฟังช่างใจเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบรับคำขอด้วยการทิ้งตัวลงนั่งโซฟา โดยไม่ลืมทิ้งระยะห่างระหว่างเราเอาไว้พอสมควร

   “มีอะไร”

   “เห็นว่ามึงยังไม่เลิกบุหรี่ กูคุยกับหมอมา บางทีการเลิกสูบมันอาจช่วยให้อาการของมึงดีขึ้น”

   “ไม่ล่ะ” ไอ้เนย์ปฏิเสธเสียงแข็ง “มันไม่ช่วยอะไรหรอก”

   “แต่มึงยังไม่ได้ลองเลย”

   “กูลองหลายอย่างแล้วบู ลองย้ายมาอยู่กับมึง แล้วดูดิ! ในตอนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย กูก็ยังไม่กล้าขับรถเหมือนเดิม ส่วนมึงพูดมาสิว่าตั้งแต่กูมาอยู่ด้วยมึงไม่เคยฝันร้ายอีก”

   “ทุกอย่างอาจต้องใช้เวลา อีกอย่างเรายังไม่ได้พยายามทำอะไรร่วมกันเลยสักอย่าง โอเคกูไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมึง ไม่ยุ่งเรื่องเพื่อนของมึง แต่ขอได้มั้ย ให้เราได้ลองทำอะไรร่วมกันบ้าง”

   เวลาผ่านมานานนับเดือน เราอยู่เหมือนแค่ให้รู้ว่าอยู่ ยิ่งเมื่อลองนับประโยคสนทนาตอบตอบโต้ในแต่ละวันดูแล้วก็ยิ่งน้อย มันเลยไม่มีอะไรคืบหน้าสักที

   “แล้วกูต้องทำยังไงวะ”

   “เลิกบุหรี่ให้ได้ก่อน แล้วใช้เวลากินข้าวในตอนเย็นด้วยกัน กูขอแค่นี้ได้มั้ย”

   “จะพยายาม แต่วันไหนที่กูออกไปกับเพื่อนค่อยว่ากันอีกที” ยอมรับว่าค่อนข้างพอใจในคำตอบ ร่างกายเลยเผลอเอื้อมมือหมายจะลูบหัวอีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ แต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กับที่เมื่ออาคเนย์ผงะถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ

   “ทะ...โทษที กู...”

   “ช่างเถอะ กูไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

   มือของผมยังคงสั่น นึกเสียใจปนเสียดายที่สุดท้ายคว้าได้เพียงอากาศ









   การเลิกบุหรี่โดยไม่ทรมานคือค่อยๆ ลดปริมาณลงทีละเล็กทีละน้อย หากปกติสูบวันละสองมวน ก็เปลี่ยนเป็นลองสูบวันละมวนแทน หมากฝรั่งสำหรับเลิกบุหรี่ผมซื้อมาไว้แล้ว หรือหากวันไหนที่ไอ้เนย์เริ่มเครียดก็ยังมีแผนสำรองอีกมากมายซึ่งทุกขั้นตอนนั้นมีหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

   วันนี้คนตัวเล็กกลับมาก่อนผม ทว่าสิ่งที่ไม่น่ายินดีเลยก็คือมันกำลังพ่นควันสีขาวขุ่นซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นของนิโคตินอยู่ตรงระเบียง หากจำไม่ผิด วันนี้มันมีตารางห้ามสูบไม่ใช่หรือไง

   “เนย์ มึงทำผิดเงื่อนไข”

   ร่างบางหันมามองผมแว๊บหนึ่งก่อนกลับไปจดจ่อกับท้องฟ้าตรงหน้า

   “วันนี้ขอได้มั้ย มีเรื่องเครียดนิดหน่อย”

   “มีอะไรก็ปรึกษากูได้” ผมย่างเท้าเข้าไปประชิด ทว่ากลับไม่สามารถสัมผัสได้แม้กระทั่งบ่าทั้งสองข้าง

   “กูเคยบอกแล้วไงว่าเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน”

   “โอเค ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ให้แค่วันนี้นะ”

   “อืม”

   ท่ามกลางความขมุกขมัวของควันบุหรี่ ผมมองอะไรไม่ชัดเลยแม้กระทั่งอนาคตของเรา









   สองเดือนหลังใช้ชีวิตร่วมกันมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หนึ่งเลยคือเรามีเวลาพูดคุยและทานข้าวเย็นด้วยกันบ่อยครั้ง ได้นั่งดูหนังเรื่องโปรดด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น และเรื่องน่ายินดีที่สุดคืออาการอยากบุหรี่ของไอ้เนย์น้อยลงจนตอนนี้มันแทบไม่แตะอีกเลย

   “เย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าวนะ กูจะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน”

   “แล้วจะกลับดึกมั้ย กูจะได้รอ”

   “ไม่ต้องรอหรอก กูยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนมันจะกลับกี่โมง”

   “ยังไงก็ดูแลตัวเองแล้วกัน” ผมบอกด้วยความเป็นห่วง แม้ที่ผ่านมาเจ้าตัวจะไม่เคยกลับห้องในสภาพเมาหัวราน้ำแต่ลึกๆ ก็ไม่อยากให้มันไปกับเพื่อนอยู่ดี

   “รู้แล้ว...”

   สองทุ่มไอ้ปราชญ์มารับอาคเนย์ถึงหน้าคอนโด ส่วนผมนอนไม่หลับเลยโทรหาแม่ครู่หนึ่งก่อนใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสืออยู่ในห้อง รอคอยก็แต่คนตัวเล็กที่จะกลับมาเมื่อไหร่

   แกรก!

   ตีสามครึ่งผมได้ยินเสียงดังกุกกักของประตู ช่างใจอยู่ไม่กี่นาทีจึงตัดสินใจเดินออกไปดูว่าคนตัวเล็กยังโอเคอยู่หรือเปล่า

   “ไหนมึงบอกว่าเลิกได้แล้วไง” ภาพที่เห็นทำเอาสติที่เหลืออยู่ขาดผึง

   รีบสับเท้าไปยังระเบียงซึ่งมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ จังหวะนั้นผมคว้าข้อมือเล็กข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นมาพร้อมกับออกแรงบีบเค้นแน่นจนเกิดริ้วแดงบนผิวขาว ไอ้เนย์ตกใจพยายามสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม แต่มันสู้แรงของผมไม่ไหวเลยยื้อยุดกันอยู่นาน

   “อย่ามาจับตัวกู!” เจ้าของร่างบางตวาดลั่น ผมจึงได้สติรีบดึงมือออก เพราะยั้งตัวเองไม่อยู่จนเผลอทำลายข้อตกลงที่เคยพูดไว้จนหมด

   “มึงกำลังทำลายความพยายามของตัวเองอยู่นะเนย์”

   “แล้วไงวะ กูเลิกสูบแล้วไง แม่งไม่เห็นมีเหี้ยไรดีขึ้นเลย”

   “...”

   “กูยังกลัวอยู่เลยบู ยิ่งตอนที่ได้ลองจับพวงมาลัยรถ ภาพของจีนก็ผุดขึ้นมาในหัวจนกูอยากอ้วก มันโคตรอึดอัดเลยนะเว้ยที่ต่อให้พยายามอีกกี่ครั้งมันก็ไม่หายสักที”

   “ใช่ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววันซะเมื่อไหร่”

   “กูเริ่มทนไม่ได้แล้วว่ะ บางทีเดินไปข้างหน้าโดยที่สลัดทิ้งบางอย่างไปไม่ได้อาจเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้แล้วก็ได้”

   “แล้วมึงจะไปจากกูทั้งอย่างนี้เหรอ”   

   ไร้ซึ่งคำตอบจากปากของคนตัวเล็ก ที่หนักกว่านั้นคือมันยังพยายามจะสูบบุหรี่มวนนั้นต่อ

   “เนย์ ทิ้งมันซะแล้วไปอาบน้ำนอน”

   “...”

“กูจะนับหนึ่งถึงสามทิ้งบุหรี่ในมือลง” ผมกัดฟันพูด แต่ไอ้เนย์กลับใจแข็งเกินกว่าจะยอมทำตามคำสั่ง “หนึ่ง...สอง...สาม”

ขวับ!

เพียงเสี้ยววินาทีบุหรี่ยี่ห้อหรูก็ถูกริบมาอยู่ในกำมือ ก่อนมันจะถูกส่งเข้าปากเป็นการตัดรำคาญ ผมเคี้ยวมันทั้งที่ยังติดไฟ ปล่อยให้ความร้อนลุกลามไปทั่วโพรงปาก

ไอ้บูรพาตอนนี้ไม่ต่างจากคนโง่ที่เอาแต่ทำเรื่องสิ้นคิด รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวกับทุกอย่างจนอยากร้องไห้

“ไอ้บูมึงทำอะไรคายออกมา!” ดวงตาของอาคเนย์เบิกโพลง มันปราดเข้ามาประชิดตัว พร้อมเอื้อมมือสั่นเทาพยายามล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากปากของผม

“ไอ้เหี้ยมึงมันโง่!”

แรงบีบเค้นจากคนตัวเล็กส่งผลให้ริมฝีปากยอมคายเศษซากบุหรี่ที่มอดดับลงบนพื้นในที่สุด และถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ความร้อนที่ยังไหลวนในโพรงปากยังคงเป็นอุปสรรคกับการเปล่งเสียงอยู่ดี

   สองขาของผมอ่อนแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น ไอ้เนย์ทิ้งตัวลงตาม ระดมกำปั้นทุบอกผมทั้งสีหน้าแดงก่ำ

   “กูเกลียดตัวเองฉิบหาย”

   “...”

   “เพราะมึงกูถึงเป็นแบบนี้บู”

   “กูขอโทษ...”

   “เพราะมึงกูถึงต้องทรมานขนาดนี้”

   “ขอโทษ”

   เพื่อชดใช้ให้กับสิ่งที่ทำลงไป ไม่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอะไร ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งไหน บูรพาจะทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการที่อาคเนย์ไม่ต้องทุกข์ทนในวังวนนี้อีก

   “เนย์อย่าร้อง กูเจ็บ...”

   แผลกรีดข้อมือ ความร้อนจากบุหรี่ ไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่ากับการเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทนอยู่ตรงหน้า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทั้งมันไม่เคยกล่าวโทษผม หนำซ้ำยังเอาแต่พูดว่าไม่ถือโทษโกรธกันแล้วทั้งๆ ที่แม่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

   “เจ็บจนจะตายอยู่แล้ว”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:50:19 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #282 เมื่อ05-06-2019 03:46:22 »

เกือบลืมไปแล้วเนย์ก็เจ็บปวด
เหมือนว่าเดินต่อไปได้ ใช้ชีวิตของตัวเองได้ แต่เราเชื่อว่าไม่มีวันไหนเลยที่เนย์จะไม่คิดบู
เห็นได้ชัดๆเลยว่ายังรักแล้วก็ยังห่วงบูขนาดไหน ที่ยอมกลับมาเพราะเห็นบูกรีดแขนตัวเองแล้วก็มีอาการฝันร้าย
มันก็ยังเจ็บอยู่ทั้งคู่น่ะแหละ
ส่วนที่บูยังไม่รู้ก็คือ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดอย่างเดียวแต่ตัวเองรักเนย์ไปทั้งใจแล้วนะ
พอรู้ว่าเค้าโสดก็ดีใจ ต้องการให้บูเลิกบุหรี่ถึงขนาดยัดเข้าปากตัวเอง ไม่ใช่แค่ร้อนอย่างเดียวเป็นหมอรู้ดีว่านั่นพิษทั้งนั้นนะ ถ้าเผลอกลืนเข้าไปแม้แต่นิดเดียวมีหวังเข้าห้องฉุกเฉิน
ไม่เคยอ่านพิษรัก แต่เราเริ่มมีความหวังละว่าจะมี Happy end อยากให้ลงท้ายทั้งสองคนมีความสุขซักที


ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #283 เมื่อ05-06-2019 04:16:20 »

  :pig4:

 ปกติคนชอบพูดว่า ความรักมันไม่ควรยาก ไม่มีเรื่องซับซ้อน
 
 แต่เอาเข้าจริง รักมันก็เหมือนอากาศ  ที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ มีทั้งช่วงดีดี และเลวร้าย
 
 ซึ่งมีแต่คนในความสัมพันธ์นั่นแหละที่จะเข้าใจ ไม่ว่าจะยังไง รักก็คือรัก แต่จะยอมรับได้ในรูปแบบไหน มันก็อีกเรื่องนึงอ่ะนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2019 17:49:05 โดย wildride »

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #284 เมื่อ05-06-2019 07:58:23 »

ลองเปิดใจให้มากกว่านี้ อาการน่าจะดีขึ้นนะเนย์

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #285 เมื่อ05-06-2019 09:04:49 »

ทุกอย่างมันจะดีขึ้น ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #286 เมื่อ05-06-2019 09:13:54 »

กล้าเสี่ยงกันกน่อยนะ ขอร้อง และคนอ่านก็ได้ร้องจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #287 เมื่อ05-06-2019 11:43:50 »

ลองทำอะไรร่วมกันอย่างที่บูบอกก็ดีนะเนย์ เผื่อว่าอาการมันจะดีขึ้น

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #288 เมื่อ05-06-2019 12:52:59 »

ลองค่อยๆ เปิดใจให้กันที่ล่ะนิด ต่างคนก็เจ็บปวดกับความผิดพลาดมากเกินพอแล้ว
นึกว่าเห็นใจเราเถอะ ร้องไห้จนน้ำตาจะท่วมเล้าเเล้วว จะอ่านทีก็ต้องซุกหามุม มาแอบอ่าน อายเขา เดี๋ยวคนจะหาว่าบ้า นั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เพราะแอบอ่าน นย.  :sad4:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #289 เมื่อ05-06-2019 22:25:41 »

เรื่องนี้อ่านแล้วไห้หนักมาก    :o7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
« ตอบ #289 เมื่อ: 05-06-2019 22:25:41 »





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #290 เมื่อ05-06-2019 23:28:52 »

นึกว่าจะดีขึ้น ที่ไหนได้ปวดตับเหมือนเดิม  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #291 เมื่อ06-06-2019 01:31:04 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 12 [05/06/62] *หน้า10
«ตอบ #292 เมื่อ07-06-2019 00:23:44 »

สู้ๆนะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #293 เมื่อ07-06-2019 02:03:56 »



CHAPTER 13
COMPLICATED RELATIONSHIP



จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เผลอตกอยู่ในหลุมรักที่เป็นไปไม่ได้
หนึ่ง ยอมอยู่ในวังวนของความไม่สมหวังนั้น
หรือสอง ตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน มันก็เจ็บปวดไปแล้วอยู่ดี



   ความมืดครอบครองทุกตารางเมตรภายในห้อง มีเพียงแสงไฟจากตึกสูงภายนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา ผมเห็นไอ้เนย์ห่อตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบสนอง

   ยังไม่หลับใช่มั้ย

   ผมพำพึมในใจพลางเปิดประตูห้องนอนเล็กให้กว้างขึ้นเล็กน้อย แทรกตัวเข้าไปภายในก่อนย่ำเท้าไปยังเตียงหลังเล็กอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้หรอกว่าเผลอทำผิดเงื่อนไขอะไรมั้ย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆ ผมจึงทำทุกอย่างตามใจคิด

   ในมือผมถือหมอนและผ้าห่มติดมาด้วย หลังวางมันลงพื้นข้างเตียงและล้มตัวลงนอน ความกังวลในคราแรกก็ค่อยๆ จางหาย ดีที่ไม่ถูกว่า หรือบางทีไอ้เนย์อาจจะโกรธจนด่าไม่ออกแล้วก็ได้

   “ขอนอนด้วยคนนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจจากอีกฝ่าย “นอนไม่หลับหรือไง”

   “อือ”

   “กูขอโทษนะที่ทำมึงร้องไห้อีกแล้ว”

   เหตุการณ์ตรงระเบียงจบลงอย่างง่ายดายหลังแข่งกันร้องไห้อยู่เกือบยี่สิบนาที พอรวบรวมสติและควบคุมอารมณ์ได้ ต่างคนเลยต่างแยกย้ายห้องใครห้องมัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ยังกังวลจนต้องแอบย่องมานอนพื้นข้างเตียงของคนตัวเล็ก แม้รู้ดีว่าการกระทำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ก่อนหน้าดีขึ้น

   “กูผิดเองแหละ แม่ง...ฟุ้งซ่านไปคนเดียว” คนในกองผ้าห่มตอบกลับเสียงอู้อื้อ อาจเพราะร้องไห้มาอย่างหนัก สิ่งที่ได้ยินจึงจับใจความได้ไม่ชัดนัก “ปวดหัวเลยแม่งเอ๊ย”

   “เอายามั้ย” ผมรีบผงกหัวขึ้นมาถาม ก่อนจะเห็นเสี้ยวหน้าซึ่งมีแสงไฟส่องสะท้อนกำลังส่ายหัวพัลวัน

   “ไม่ต้องหรอก เป็นบ่อยจนชิน มึงล่ะ...แผลที่ปากเป็นยังไงบ้าง”

   “ไม่เจ็บหรอก” ที่พูดไปไม่ได้ต้องการให้คนฟังสบายใจอะไรหรอก ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง อย่างน้อยมันก็รู้สึกเจ็บน้อยกว่าการกรีดมีดลงบนข้อมือวันละแผลล่ะนะ

   “กูตัดสินใจแล้วว่าจะลองเลิกบุหรี่ จะพยายามอีกครั้ง” ประโยคนั้นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจคนฟังไม่น้อย   

   “ดีแล้ว แรกๆ กูก็เป็นแบบมึงแหละ โคตรทรมาน” ตอนได้สูบ สารเสพติดพวกนั้นช่วยให้สมองโล่ง หายวิตกกังวล ราวกับยืมความสุขชั่วขณะมาใช้ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ดังนั้นสมองมันเลยจดจำและสั่งการให้พึ่งพามันเสมอเวลาที่รู้สึกเครียด

   การเลิกสูบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเราไม่อาจตัดใจจากการยืมความสุขมาใช้ในตอนกำลังทุกข์

   “แต่พอเวลาผ่านไป ตอนที่มึงเลิกได้มันก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกัน” ต่อให้ชีวิตล้มเหลวมามากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังมีสักอย่าง...สักอย่างที่ผมทำมันได้สำเร็จ

   อาคเนย์เงียบไปราวกับใช้ความคิด เสียงเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีเลยเป็นสิ่งเดียวที่ได้ยินผ่านโสตประสาท ความจริงเวลานี้เราควรจะนอนกันได้แล้ว ทว่าผมช้ากว่าตรงที่ยังไม่ทันเอ่ยประโยคใดออกไปน้ำเสียงติดอู้อี้ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “กูไม่เคยเล่าอดีตของตัวเองให้เพื่อนคนอื่นฟังนอกจากปราชญ์” คราวนี้ผมไม่ได้ชันตัวขึ้นนั่งหรือสบตากับคนบนเตียง แต่ยังคงเลือกนอนนิ่งๆ เพื่อฟังถ้อยคำจากปากของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว “แต่คืนนี้ไอ้ปราชญ์ไม่อยู่ กูเลยต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมถึงกลัวการขับรถซ้ำๆ ในวงเหล้า”

   “...”

   “กูไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วังวนนี้จะจบสักที ลองก็ลองมาหมดแล้ว พยายามไปก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนจนบางครั้งนึกอยากล้มเลิกมันทั้งหมด”

   “หรือจริงๆ แล้วการที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่อาจทำให้มึงเจ็บกว่าเดิมวะ” ผมเริ่มตั้งคำถาม เป็นผมเองหรือเปล่าที่เห็นแก่ตัวรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ทั้งที่ไม่รู้เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ

   “ไม่รู้ดิ”

   “เนย์ ถ้ามึงอยากเลิกก็บอกได้เลยกูจะไม่รั้งมึงไว้” คิดว่าการมีเขาอยู่ด้วยในตอนนี้มันทั้งสุขและเศร้า หรือต่อให้ชีวิตต้องกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ ผมก็พร้อมยอมรับ หากมันแลกกับการที่ทำให้อาคเนย์เจ็บปวดน้อยที่สุด “ขอแค่มึงสบายใจที่จะทำมันก็พอ”

   “ความสบายใจเหรอ ไม่มีอะไรสบายใจหรอก เลือกทางไหนก็รู้สึกไม่ต่างกัน”

   “...”

   “แต่มันดีกว่าแต่ก่อนเยอะนะบู อย่างน้อยก็ได้เดินหน้าเพื่อทำอะไรหลายๆ อย่าง ได้เรียนในสิ่งที่ฝัน ได้ตัดใจจากรักโง่ๆ ที่มีให้มึง ได้สลัดทิ้งความโกรธเกลียดที่เรามีต่อกัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กูไม่ใช่อาคเนย์เหมือนแต่ก่อนอีก”

   “ใช่ มึงเป็นอาคเนย์ที่เข้มแข็ง”

   “นั่นสิ เข้มแข็งมาขนาดนี้แล้ว แถมยังได้ลองทำอะไรยากๆ ตั้งหลายอย่าง เพราะงั้นลองพยายามอีกสักอย่างจะเป็นไรไป”

   นั่นคงเป็นคำตอบของคำถาม...

   “บู กูยังอยากอยู่กับมึง”

   เชื่อหรือเปล่า แค่ประโยคสั้นๆ ของเพื่อนในวัยเด็ก มันกลับทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลย

   “กูเองก็อยากอยู่กับมึงเหมือนกัน พรุ่งนี้เรามาพยายามกันใหม่เถอะ”

   “อืม”

   “เนย์”

   “กูง่วงแล้ว”

   “ฝันดีนะ แล้วอย่าฝันร้ายอีกเลย”

   “บอกตัวเองดีกว่ามั้ย”

   ความเงียบเกาะกุมพื้นที่ เสียงเดินของเข็มวินาทียังคงทำงานไม่มีหยุด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้หลับในทันทีแต่เฝ้านอนฟังเสียงจากคนบนเตียงอยู่พักใหญ่ รอจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าสู่ภวังค์แล้วผมจึงสามารถหลับลงได้

   จวบจนแสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานยักษ์ในตอนเช้า นี่เป็นครั้งแรก...

   ที่ผมไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายเหมือนอย่างทุกคืน











   ไอ้เนย์ติดบุหรี่แต่ไม่ได้ติดเหล้า มันบอกว่าจุดประสงค์ของการดื่มก็เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนเท่านั้นผมเลยไม่ขัดอะไร อาจเพราะไม่อยากจำกัดสิทธิ์ในชีวิตของอีกฝ่ายมากนักเราถึงต้องมานั่งถามความเห็นก่อน

   เกือบเดือนแล้วที่คนตัวเล็กไม่แตะต้องบุหรี่อีก ผมเลยอยากลองก้าวไปอีกขั้นด้วยการพามันออกไปขับรถแถวบ้าน ครั้งหนึ่งเราเคยปั่นจักรยานด้วยกันในวัยเด็ก ทว่าวันนี้แตกต่างก็ตรงที่เราโตขึ้นแล้ว แถมพาหนะที่ใช้ก็ยังเปลี่ยนไป

   “คาดเข็มขัดด้วย”

   “รู้แล้วน่า” ใบหน้าขาวยับยู่ตอนผมย้ำเตือน

   เราไม่เคยขับรถออกไปไหนด้วยกันสักครั้ง อย่างมากสุดก็นัดเจอกันตามห้างเพื่อกินข้าวบ้างก่อนจะกลับมาเจอกันที่คอนโด ดังนั้นการกลับบ้านคราวนี้จึงพิเศษกว่าที่ผ่านมา

   “แม่กูบอกว่าเตรียมกับข้าวไว้ให้หลายอย่างเลย มึงต้องชอบแน่ๆ”

   “แล้วเราต้องซื้ออะไรไปฝากแม่มั้ย”

   “ไม่ต้องหรอก แค่มึงแวะไปหาก็ดีมากแล้ว”

   รถยนต์เคลื่อนตัวจากคอนโดตัดเข้าสู่ถนนสายใหญ่ นานมาแล้วที่ผมใช้ถนนเส้นเดิมเดินทางไปกลับเป็นประจำ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสังเกตสิ่งที่อยู่รายรอบ ตึกมันก็อยู่ตรงนั้นมานับสิบปี ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ซึ่งไม่เคยเหลียวมองว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่แบบ เพราะที่ผ่านมามัวแต่โฟกัสจุดหมายและใช้ชีวิตอย่างรีบเร่งมาโดยตลอด

   ผมเริ่มมองเห็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการมีอาคเนย์ในชีวิต จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเรามีกันตลอดไปมันจะดีขนาดไหน

   เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มโลภ จากที่มีอยู่แล้วก็อยากได้เพิ่มอีกจนกลัวว่าอาจถลำลึกจนกู่ไม่กลับ

   “เนย์” ผมเรียกร่างบางซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ

   “หืม...” เจ้าตัวตอบรับพึมพำทั้งที่ยังไม่หันมามอง เพราะกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่นอกกระจก

   “ถามได้มั้ยว่าหลังจากที่มึงตัดสินใจออกไปจากชีวิตกูเมื่อหลายปีก่อน มึงกับแม่ใช้ชีวิตยังไง” เวลาหลายปีที่ไม่ได้รับรู้ ผมอยากเข้าใจ

   “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่รู้จักกับคนที่พอจะแนะนำทาวน์โฮมถูกๆ ให้ แม่มีเงินจำนวนหนึ่งจากสินสมรสหลังหย่า เลยใช้มันอย่างประหยัด เก็บส่วนหนึ่งไว้สำหรับการรักษาและค่าเทอม แล้วก็อย่างที่เห็น การตัดสินใจเดินไปข้างหน้าไม่ได้แย่อย่างที่กลัว”

   “แล้วมึงมีเป้าหมายอื่นๆ หลังจากนี้มั้ย”

   “กูว่าจะเรียนต่อ อยากเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา”

   “ก็เหมาะกับมึงดี”

   “มึงล่ะ เรียนจนถึงตอนนี้ยังอยากเป็นหมออยู่หรือเปล่า”อาคเนย์ผินหน้ากลับมา แววตาสนใจใคร่รู้จนผมอยากเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่ก็หยุดมันเอาไว้ให้เป็นเพียงความคิด

   “โลกเปลี่ยนกูไปมากขนาดนี้ แต่ตลกเหมือนกันที่การเป็นหมอคือสิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมอยู่”

   “สมกับเป็นมึง”

   “แล้วเคยคิดมั้ย...”

   “ทำไมวันนี้คำถามมึงเยอะจังวะ”

   “ก็มันเงียบ”

   “เปิดเพลงฟังสิ” เรียวนิ้วขาวเอื้อมมือกดปุ่มบริเวณคอนโซล ก่อนเพลงโปรดของผมจะบรรเลงขึ้น ซึ่งมันค่อนข้างเข้ากับบรรยากาศระหว่างทางอย่างพอดิบพอดี “ว่ามาดิ” เจ้าตัวเอ่ยต่อ

   “หืม?”

   “หมายถึงที่มึงอยากถาม”

   “อ๋อ กูก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าเวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีเราสองคนจะเป็นยังไง”

   “ถึงตอนนั้นกูคงตายไปแล้วมั้ง” ไอ้เนย์ตอบติดตลก ลืมนึกไปเลยว่าเราอาจตายก่อนจะได้ใช้ชีวิตวัยเกษียณ

   “เศร้าว่ะ”

   “ความตายไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้น”

   “ไม่มีมึงแม่งก็ต้องเศร้าดิ”

   “ใกล้ถึงบ้านแล้วนี่” หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนปุบปับ อาคเนย์เม้มปากแน่น หันไปจดจ่อกับสิ่งที่เห็นด้านนอก ผมเดาว่ามันคงคิดถึงที่นี่ไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดหรือแสดงความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนั้น

   รถเลี้ยวเข้าซอยโครงการหมู่บ้าน ส่วนแม่สแตนบายรออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเปิดโอกาสให้ทั้งคู่คุยกันจนกว่าจะพอใจก่อนเริ่มตั้งโต๊ะและใช้เวลาไปกับการกินอาหาร ภาพที่เคยจินตนาการในความฝันเป็นจริงขึ้นมา ทว่าก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะมาถึงจุดนี้

   ช่วงใกล้ค่ำอากาศเย็นสบาย ถนนหน้าหมู่บ้านเลยถูกเลือกมาเป็นสนามทดสอบความกล้า เนื่องจากเราต่างคุ้นเคยและปลอดภัยจากรถรา จึงค่อนข้างเหมาะที่จะให้เพื่อนในวัยเด็กได้ลองขับรถสักครั้ง แม้ต้องใช้ความกล้ามหาศาลไม่ต่างจากตอนเริ่มปั่นจักรยานครั้งแรกก็ตาม

   ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก ผมฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจให้คนตรงหน้าพลางแทรกตัวเข้าไปนั่งประจำฝั่งคนขับ ปรับเบาะถอยไปด้านหลังให้เหลือพื้นที่ว่างพอสำหรับการนั่งของคนสองคน

   “ลองวันอื่นดีมั้ย” คนตัวเล็กพูดต่อรองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   “วันนี้แหละดีแล้ว ถ้าไม่เริ่มวันนี้มึงก็จะผลัดไปอีกเรื่อยๆ”

   “แล้วจะรู้ได้ไงว่ากูจะปลอดภัย”

   “กูอยู่นี่ไง”

   เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก ดวงตาสองข้างแสดงความไม่มั่นใจแต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าอย่างจำยอม

   อาคเนย์แทรกตัวเข้ามาในรถอย่างช้าๆ โดยมีผมคอยช่วยเหลือไม่ห่าง เขานั่งอยู่ในพื้นที่ว่างของเบาะ เอนแผ่นหลังพิงกับอกของผม เข็มขัดนิรภัยถูกดึงคาดตัวของเราทั้งคู่พร้อมกับเริ่มจัดท่านั่งให้สบายตัวขึ้น

   เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงเริ่มขั้นตอนต่อไป

   “ยังจำได้มั้ยว่าต้องเริ่มยังไง”

   “อืม” แววตามุ่งมั่นปนหวาดกลัวฉายชัด ทั้งน่าสงสารและชวนเห็นใจ ทว่าหากหยุดเพียงเท่านี้ไอ้เนย์ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยการได้ลองทำมันในครั้งแรกแม้ต้องล้มเหลวก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

   “สตาร์ทเครื่องก่อน” ร่างบางทำตามคำสั่ง ผมจึงไม่ลืมเอ่ยชมเป็นการให้กำลังใจ “ดีมาก”

   “แล้ว...กูต้องเหยียบเบรกก่อนใช่มั้ย”

   “ถูกต้อง” สองตาหลุบต่ำมองพื้นเบื้องล่าง เห็นเท้าขวาติดสั่นเคลื่อนไหวอย่างสะเปะสะปะ แต่ผมไม่คิดกดดัน นอกจากเปิดโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง

   “ยะ...เหยียบเบรกแล้ว”

   “จากนั้นก็เข้าเกียร์”

   ให้มันค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน

   เท้าเหยียบเบรก มือปลดเบรกแล้วขยับเข้าเกียร์ หลังจากนั้นจึงค่อยย้ายฝ่ามือไปควบคุมพวงมาลัยตรงหน้า ขับรถไม่ได้ยาก แต่ที่มันยากสำหรับคนๆ หนึ่งเพราะความเจ็บปวดฝังลึกต่างหาก

   “พร้อมมั้ย”

   “อื้อ”

   “งั้นปล่อยเบรก ยังไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แค่ปล่อยให้มันเคลื่อนที่ไปเอง”

   “...”

   “ที่นี่ไม่มีรถเพราะงั้นมึงไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ไหวก็บอกได้เสมอ กูจะหยุดถ้ามึงบอกให้หยุด”

   “กูจะพยายาม” อาคเนย์ไม่ได้เงยหน้าสบตาแต่กำลังจดจ่อกับถนนข้างหน้า สองมือ สองเท้า ทุกส่วนในร่างกายสั่นหงักแต่ไม่มีใครคิดหยุด

   รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ผมมองเท้าเล็กๆ ของมันสลับกับถนนสายกว้าง

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...

เก่งมากๆ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก

   ระยะทางทวีเพิ่มขึ้น ผมเริ่มรู้สึกเบาใจไปเปราะหนึ่งเพราะเจ้าของแผ่นหลังที่พิงอยู่ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม แต่กลับมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม

   เงียบเกินไป เงียบจนน่าใจหาย

   “เนย์”

   “...”

   “อาคเนย์...”

   หัวใจร่วงลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มเมื่อผมสังเกตเห็นเสี้ยวหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย มันไม่ยอมพูดหรือบอกอะไรนอกจากกัดฟัน แต่ผมไวกว่านั้นรีบเหยียบเบรกในทันที

   รถยนต์หยุดตัวลง สองหูได้ยินเพียงเสียงสะอื้นสลับกับจังหวะการหายใจหอบกระชั้น ผมกอดร่างสั่นเทาแนบแน่น ซบหน้าลงกับไหล่บาง พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด

   “ไม่เป็นไร เก่งแล้ว”

ต่อให้พูดประโยคปลอบใจมากมายแค่ไหน มันเทียบไม่ได้เลยกับการต้องเห็นความเสียใจท่วมท้นของคนตัวเล็ก

   “กูทำไม่ได้”

   “ไม่เป็นไร”

   “กูทำไม่ได้ ฮือ...”

   หนึ่งวันจบลงพร้อมกับความร้าวรานของอาคเนย์ ส่วนความรู้สึกของเราทั้งคู่แม่ง...ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น











   ไอ้เนย์หนีไปดื่มเหล้าย้อมใจกับเพื่อน ความจริงไม่อยากให้ไปเลยแต่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์จะห้าม ที่พอทำได้จึงเป็นการอยู่ห้องเพื่อรอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมา

   ผมไม่มีเบอร์โทร

   ไม่รู้ว่าต้องติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ ของมันยังไง   

   ไม่รู้ว่าคืนนี้มันไปเมาที่ร้านไหน

   สิ่งเดียวที่รู้คือความเสียใจที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา นี่เป็นครั้งแรกที่ลองขับรถหลังเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน และมั่นใจว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับความเสียใจซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน

   ผมได้แต่หวังว่าไอ้เนย์จะมีแรงใจพยายามทำมันต่อ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถปลดล็อกความทุกข์ที่ฉุดรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของมันได้

   “เนย์”

   ประตูห้องเปิดออก ผมรีบวิ่งเข้าถึงตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่กล้าแตะต้องเพราะยังไม่ได้รับอนุญาต รอบกายได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั้งห้องจนเผลอขมวดคิ้ว

   “บู” ร่างบางปรือตามองนิ่ง เดินโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย “กูง่วง ขอนอนก่อนนะ”

   ว่าแล้วมันก็หอบสังขารอ่อนเปลี้ยสืบเท้าไปยังห้องนอนอย่างเงียบเชียบ แต่ผมไม่วางใจยังคงเดินตามราวกับคนโง่

   ร่างเล็กโถมตัวลงบนเตียง นอนคว่ำหน้าลงกับหมอนก่อนจะแน่นิ่งไปในสภาพย่ำแย่

   “เช็ดตัวก่อนมั้ย”

   ไร้ซึ่งคำตอบ...

   “เนย์ กูขอเช็ดตัวมึงได้มั้ย”

   “อือ”

   หลังได้ยินเสียงครางอืออาตอบกลับ ผมจึงค่อยๆ พลิกตัวอีกฝ่ายให้นอนหงายและจัดท่าทางการนอนให้สบายตัวขึ้น ที่ผ่านมาก็ละเมิดข้อตกลงไปหลายข้อแล้ว ต่อให้เช้าขึ้นมาแล้วไอ้เนย์ยังจำได้ ผมก็ยินยอมให้มันด่าจนกว่าจะพอใจอยู่ดี

สองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวยับยู่ออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนซึ่งแดงเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไอ้เนย์ไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่ เอาแต่ขยับยุกยิก กว่าจะถอดเสื้อผ้าได้สำเร็จก็ทำเอาปาดเหงื่อไปหลายรอบ

ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดปัดป่ายไปตามร่างกาย เริ่มจากแขนทั้งสองข้างระเรื่อยไปยังหน้าอก ยิ่งตอนรับรู้ถึงลมหายใจคลุ้งกลิ่นเหล้าซึ่งกำลังเป่ารดใบหน้า ยิ่งฉุดให้ความตั้งใจแรกของผมถูกตีแตกกระจาย ต้องพยายามอย่างหนักถึงจะควบคุมลมหายใจที่ทวีความถี่กระชั้นให้กลับมาเป็นดังเดิม

เสื้อยืดสีฟ้าผืนบางถูกหยิบมาสวมลวกๆ ก่อนผมจะหันมาจัดการกับกางเกงยีนซึ่งเกาะกุมเอวบางอย่างหมิ่นเหม่

“ขอโทษนะ” ผมเอ่ยอีกรอบ

ไอ้เนย์ปรือตาขึ้นมองก่อนฉีกยิ้มยั่ว

“เมาหนักใช่มั้ย” แม่งป่วนประสาทกันได้ พอถามก็ได้รับคำตอบเพียงรอยยิ้มที่เหมือนถูกตั้งด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ

กางเกงถูกถอดออกเป็นลำดับถัดมาหลังต้องใช้ความพยายามมหาศาลไปกับมัน และแน่นอนผมยังคงดูแลอีกฝ่ายเหมือนเดิมด้วยการเช็ดเอาคราบเหงื่อและกลิ่นของแอลกอฮอล์ออกไป

“บู” ยังไม่ทันได้สวมกางเกงตัวใหม่ มือบางกลับรั้งข้อมือของผมเอาไว้ซะก่อน

“อะไร” สายตาสองคู่สอดประสาน ท่ามกลางความคุกรุ่นของอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“ถ้ากูอนุญาตให้มึงเอาตอนนี้...มึงจะทำมั้ย”

ผมชะงักค้าง กะพริบตาถี่คล้ายไม่เข้าใจกับความต้องการของคนตัวเล็ก

“ถามทำไม”

“ไม่รู้ กูแค่ถามเผื่อมึงอยากเอา”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนที่กูเหี้ยกว่านี้...กูจะไม่ลังเลเลย” ตอบคำถามจบผมคว้ากางเกงนอนขึ้นสวมให้คนตัวเล็กอย่างรีบเร่งก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก

ปัง!

ประตูปิดลง แข้งขาอ่อนแรงจนยืนแทบไม่อยู่ ผมทรุดตัวลงนั่งพิงหลังกับบานประตู ร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก ทำได้อย่างเดียวคือก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอแสดงสีหน้าและท่าทางแบบนั้นใส่อีกฝ่าย

อดีตของผมกับมันไม่เคยสวยงาม แต่ก็ยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง...

ผมไม่อยากทำให้อาคเนย์ต้องเจ็บ

ไม่อยากทำให้ต้องร้องไห้ อยากดูแล อยากตอบแทนสิ่งดีๆ ที่มันเคยมอบให้ ขณะเดียวกันก็อยากชดใช้กับสิ่งที่เคยก่ออย่างสาสม การมีชีวิตอยู่ของผมเริ่มเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปทุกที

มีชีวิตเพื่อคนอื่น มีชีวิตเพื่อครอบครัว และในตอนนี้กลับมีจุดมุ่งหมายอีกอย่างเพิ่มเข้ามา นั่นคือการมีชีวิตเพื่อทำทุกอย่างให้อาคเนย์มีความสุข

   มันเป็นความรู้สึกแบบไหนวะ

   จู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาดซะดื้อๆ เพราะไม่กล้าหาคำตอบให้ตัวเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้...

   การมีเขาอยู่ทำให้ชีวิตของผมมีคุณค่ากว่าที่เคยเป็น









   เช้าวันอาทิตย์ชีวิตยังวนเวียนอยู่แต่ความจำเจ เมื่อคืนผมหอบผ้าห่มและหมอนเข้าไปนอนในห้องไอ้เนย์อย่างถือวิสาสะ จนตอนนี้พื้นห้องข้างเตียงได้กลายเป็นพื้นที่ประจำของนายบูรพาไปซะแล้ว

   “โทษที ตื่นสาย” เจ้าของห้องเล็กๆ ยื่นหน้าอิงกรอบประตู สีหน้าที่เห็นเต็มไปด้วยความอิดโรย ทรงผมยุ่งเหยิง แถมเนื้อตัวยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าย้วยๆ ที่ผมพยายามสวมให้เมื่อคืน แต่กลับน่ามองอย่างประหลาด

   “ไม่เป็นไร ยังแฮงก์อยู่มั้ย”

   “นิดหน่อย”

   “ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มแก้แฮงก์อยู่”

   “ไม่ต้องๆ กูเป็นแบบนี้ประจำ แล้ววันนี้มึงมีแพลนออกไปไหนมั้ย” ไอ้เนย์เดินเกาหัวออกจากห้อง ไม่รู้ว่ามันยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้มั้ย ผมเฝ้าถามอยู่ในใจแต่ไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยปากถาม

   “ไม่มี มึงล่ะ”

   “พอดีนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะออกไปทำงานที่คณะ”

   “ให้กูไปส่งมั้ย” ผมถามทันที ด้วยคาดหวังว่าจะได้รับการตอบตกลงอย่างคนไม่รู้จักพอ

   “ไม่ต้องหรอก เออแล้วนี่ทำอะไร”

   “กูเพิ่งลงไปซื้อข้าวต้มให้มึงมา อยากกินมั้ย” นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้อง เรายังไม่เคยร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันสักครั้ง “อืม เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”

   เผื่อใจไว้แล้ว ทว่าไม่คิดมาก่อนว่าจะมีความหวังขนาดนี้

   “งั้นรอเดี๋ยว กูจะรีบเวฟให้”

   “โอเค กูขอไปแปรงฟันก่อนแล้วกัน”

   “ได้ๆ” คนตัวเล็กหมุนตัวเข้าห้อง ส่วนผมกุลีกุจอวิ่งวุ่นจัดการกับอาหารเช้า แม้ตอนนี้เวลาจะปาไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตาม

   ชีวิตของเราเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา เมื่อกินข้าวด้วยกันเสร็จไอ้เนย์ก็อาสาเป็นฝ่ายล้างจาน ก่อนรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปด้านนอก ระหว่างรอผมใช้เวลาไปกับการโทรปรึกษาหมอเรื่องการรักษา PTSD หลังทดลองให้ไอ้เนย์ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากมาแล้วครั้งหนึ่ง

   คำตอบที่ได้ไม่มีอะไรแตกต่าง แค่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย และมุ่งมั่นกับการลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะดีขึ้น

   ห้าโมงเย็นฝนเริ่มเทลงมาไม่ขาดสาย ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้ เมื่อไหร่กันที่สมองเริ่มกังวลจนฟุ้งซ่านกับเรื่องเล็กน้อยของอีกฝ่าย จะกลับยังไง จะเปียกฝนมั้ย กังวลแม้กระทั่งว่าฝนอาจทำให้คนตัวเล็กป่วยถึงขั้นนอนซม

   ผมต้องตบตีกับความคิดเหล่านั้นคนเดียวนับชั่วโมง กระทั่งความอดทนขาดสะบั้นจึงคว้าร่มซึ่งอยู่มุมห้องแล้วขับรถออกไป

   จุดหมายคือภาควิชาคอมพิวเตอร์ของคณะวิศวะ ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าอาคเนย์มีกำหนดทำงานถึงแค่ไหน จะให้ก้าวลงจากรถถามคนนั้นคนนี้ก็กลัวผิดเงื่อนไขที่เคยตกลงไว้ ทั้งๆ ที่ได้ทำลายเงื่อนไขเหล่านั้นไปไม่รู้ตั้งกี่ข้อ

   ผมไม่ต่างจากคนโง่

   แต่กลับยอมให้ตัวเองโง่

   นั่งรออยู่ในรถ จดจ้องไปยังทางออกฟากหนึ่งของคณะ เพราะเดาว่าถึงยังไงซะนักศึกษาที่นี่ก็ต้องเดินออกมาที่ลานจอดรถอยู่ดี

   เวลาจากหกโมงเย็นเคลื่อนผ่านเป็นหนึ่งทุ่มยังไร้ซึ่งวี่แววของคนที่มองหา ผมอดทนรอต่อ

   สองทุ่มมาเยือน มีเด็กกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากคณะ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีอาคเนย์อยู่

   สามทุ่ม ลานจอดรถเริ่มโล่ง กว่าจะมีคนเดินลงจากตึกทีก็ทิ้งระยะห่างนับครึ่งชั่วโมง ผมเริ่มกลับมานั่งคิด หรือความพยายามที่ทำมาในวันนี้จะเปล่าประโยชน์ ผมถามตัวเองซ้ำๆ ทว่ากลับไม่ยอมไปไหน

   เวลาปาไปห้าทุ่มกว่า ฝนได้หยุดตกแล้ว ส่วนรถคันเกือบสุดท้ายก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกไป ผมจึงได้ข้อสรุปว่าควรกลับห้องสักที

   มันดูโง่มาก โง่อย่างที่ใครมองก็ต้องหัวเราะ แต่ผมไม่เสียใจ...ไม่เสียใจที่ทำอย่างนี้ อาจเพราะทนนิ่งดูดายอยู่ที่ห้องเพื่อมองไอ้เนย์เปียกไปทั้งตัวไม่ได้ผมถึงต้องทำ

   เวลาเที่ยงคืนสิบห้าผมกลับมาถึง

   ทันทีที่ไขประตูเข้าไปสิ่งแรกซึ่งปรากฏในม่านสายตาก็คือคนที่ต้องการเจอมากที่สุด ไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงโซฟาในชุดนอน มันกำลังส่งสายตามองคล้ายกับตั้งคำถาม

   “ขอโทษที่กลับมาช้านะ” ผมบอกเสียงเรียบก่อนวางร่มลงจุดเดิมที่มันเคยอยู่

   “ไม่เป็นไร แล้วไปไหนมา”

   “ก็...ออกไปข้างนอกนิดหน่อย พอดีมีธุระด่วน” การปัดปฏิเสธอาจดีสำหรับสถานการณ์นี้ที่สุด “แล้วมึงล่ะ กลับมาเมื่อไหร่”

   “ตอนสามทุ่ม”

   “กินข้าวมายัง”

   “กินกับเพื่อนมาแล้ว มึงล่ะ”

   “อ๋อ กูยังไม่หิว” โคตรน่าสมเพชจนไม่รู้จะด่าตัวเองยังไง

   “มึง...ไม่ได้ออกไปหากูใช่มั้ย” คำถามจากริมฝีปากบางทำให้ร่างกายทุกส่วนชะงักค้าง

   “เปล่า กูมีธุระจริงๆ”

   “ปราชญ์บอกเห็นรถมึงจอดอยู่ที่คณะ”

   “...”

   “มึงคิดอะไรอยู่กันแน่”

   “กูไม่รู้” ผมส่ายหัว ก้มหน้าก้มตามองเพียงปลายเท้า

   นี่ไม่ใช่บูรพาเลยสักนิด ไม่ใช่ตัวตนของผมอย่างที่ทุกคนรู้จัก อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหวง ทั้งห่วง พออีกฝ่ายไม่อยู่ก็ฟุ้งซ่าน ไม่อยากให้เขาได้รับอันตราย เอาแต่อยากปกป้องโดยไม่คิดถึงตัวเองเพราะสมองสั่งการแค่ว่าเขาต้องมาก่อนเสมอ

   นี่หรือเปล่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่กล้าตั้งคำถาม เพราะกลัวว่าจะได้รับคำตอบอย่างไม่คาดคิด

   ครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยถามผม ‘รู้หรือเปล่าว่าความรักเป็นยังไง’

   จริงๆ แล้วคำถามไม่ได้ยาก

   “บูรพา” ความยุ่งเหยิงในหัวถูกตีแตกกระจายก่อนจะปักใจเชื่อในคำตอบ ผมหันเงยหน้าสบตากับร่างบางซึ่งนั่งห่างออกไปไม่กี่เมตร พร้อมกับเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้รับคำตอบ

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...

“อย่ารักกูเลย”

“...!!”

“เพราะสุดท้ายแล้วมึงอาจต้องเสียใจเมื่อวันนั้นมาถึง”

เข้าใจแล้ว...

ในที่สุดวันที่ผมได้รู้จักกับความรักอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นวันเดียวกับที่ผมหมดหวังกับมันเช่นกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:55:51 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Cutebangg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #294 เมื่อ07-06-2019 08:01:56 »

 :sad11: ไม่นะ ไม่นะ ไม่อยากผิดหวังเลย ให้ตายเถอะ รอบุ๊คนะคะไรท์

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #295 เมื่อ07-06-2019 08:06:55 »

 :ling3: :ling3: จะหยุดรักได้อย่างไรในเมื่อมันรักไปแล้ว

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #296 เมื่อ07-06-2019 09:45:19 »

ก็ไม่ต้องหยุดรัก แต่ก็รักให้เป็นแบบที่บูเคยคิดไง
แค่อยากเห็นเนย์มีความสุข ถ้าความสุขของเนย์คือตรงที่ข้างกายไม่ใช่บู บูก็ต้องเข้าใจ เสียใจน่ะมีแน่นอน แต่จะไม่ทรมานเพราะติดหนี้กับเนย์นะ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #297 เมื่อ07-06-2019 17:12:04 »

 
 :serius2:   
                  :sad4:   
                                     :o12:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #298 เมื่อ07-06-2019 20:30:20 »

หืมมม.. พวกเทอต้องผ่านมันไปให้นะ..
ให้รักนำทาง ..

ออฟไลน์ makuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #299 เมื่อ07-06-2019 21:46:52 »

 :hao5:สงสารใครก่อนดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด