CHAPTER 13
COMPLICATED RELATIONSHIP
จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เผลอตกอยู่ในหลุมรักที่เป็นไปไม่ได้
หนึ่ง ยอมอยู่ในวังวนของความไม่สมหวังนั้น
หรือสอง ตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน มันก็เจ็บปวดไปแล้วอยู่ดี
ความมืดครอบครองทุกตารางเมตรภายในห้อง มีเพียงแสงไฟจากตึกสูงภายนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา ผมเห็นไอ้เนย์ห่อตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบสนอง
ยังไม่หลับใช่มั้ย
ผมพำพึมในใจพลางเปิดประตูห้องนอนเล็กให้กว้างขึ้นเล็กน้อย แทรกตัวเข้าไปภายในก่อนย่ำเท้าไปยังเตียงหลังเล็กอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้หรอกว่าเผลอทำผิดเงื่อนไขอะไรมั้ย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆ ผมจึงทำทุกอย่างตามใจคิด
ในมือผมถือหมอนและผ้าห่มติดมาด้วย หลังวางมันลงพื้นข้างเตียงและล้มตัวลงนอน ความกังวลในคราแรกก็ค่อยๆ จางหาย ดีที่ไม่ถูกว่า หรือบางทีไอ้เนย์อาจจะโกรธจนด่าไม่ออกแล้วก็ได้
“ขอนอนด้วยคนนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจจากอีกฝ่าย “นอนไม่หลับหรือไง”
“อือ”
“กูขอโทษนะที่ทำมึงร้องไห้อีกแล้ว”
เหตุการณ์ตรงระเบียงจบลงอย่างง่ายดายหลังแข่งกันร้องไห้อยู่เกือบยี่สิบนาที พอรวบรวมสติและควบคุมอารมณ์ได้ ต่างคนเลยต่างแยกย้ายห้องใครห้องมัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ยังกังวลจนต้องแอบย่องมานอนพื้นข้างเตียงของคนตัวเล็ก แม้รู้ดีว่าการกระทำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ก่อนหน้าดีขึ้น
“กูผิดเองแหละ แม่ง...ฟุ้งซ่านไปคนเดียว” คนในกองผ้าห่มตอบกลับเสียงอู้อื้อ อาจเพราะร้องไห้มาอย่างหนัก สิ่งที่ได้ยินจึงจับใจความได้ไม่ชัดนัก “ปวดหัวเลยแม่งเอ๊ย”
“เอายามั้ย” ผมรีบผงกหัวขึ้นมาถาม ก่อนจะเห็นเสี้ยวหน้าซึ่งมีแสงไฟส่องสะท้อนกำลังส่ายหัวพัลวัน
“ไม่ต้องหรอก เป็นบ่อยจนชิน มึงล่ะ...แผลที่ปากเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เจ็บหรอก” ที่พูดไปไม่ได้ต้องการให้คนฟังสบายใจอะไรหรอก ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง อย่างน้อยมันก็รู้สึกเจ็บน้อยกว่าการกรีดมีดลงบนข้อมือวันละแผลล่ะนะ
“กูตัดสินใจแล้วว่าจะลองเลิกบุหรี่ จะพยายามอีกครั้ง” ประโยคนั้นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจคนฟังไม่น้อย
“ดีแล้ว แรกๆ กูก็เป็นแบบมึงแหละ โคตรทรมาน” ตอนได้สูบ สารเสพติดพวกนั้นช่วยให้สมองโล่ง หายวิตกกังวล ราวกับยืมความสุขชั่วขณะมาใช้ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ดังนั้นสมองมันเลยจดจำและสั่งการให้พึ่งพามันเสมอเวลาที่รู้สึกเครียด
การเลิกสูบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเราไม่อาจตัดใจจากการยืมความสุขมาใช้ในตอนกำลังทุกข์
“แต่พอเวลาผ่านไป ตอนที่มึงเลิกได้มันก็รู้สึกภูมิใจเหมือนกัน” ต่อให้ชีวิตล้มเหลวมามากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังมีสักอย่าง...สักอย่างที่ผมทำมันได้สำเร็จ
อาคเนย์เงียบไปราวกับใช้ความคิด เสียงเคลื่อนที่ของเข็มวินาทีเลยเป็นสิ่งเดียวที่ได้ยินผ่านโสตประสาท ความจริงเวลานี้เราควรจะนอนกันได้แล้ว ทว่าผมช้ากว่าตรงที่ยังไม่ทันเอ่ยประโยคใดออกไปน้ำเสียงติดอู้อี้ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“กูไม่เคยเล่าอดีตของตัวเองให้เพื่อนคนอื่นฟังนอกจากปราชญ์” คราวนี้ผมไม่ได้ชันตัวขึ้นนั่งหรือสบตากับคนบนเตียง แต่ยังคงเลือกนอนนิ่งๆ เพื่อฟังถ้อยคำจากปากของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว “แต่คืนนี้ไอ้ปราชญ์ไม่อยู่ กูเลยต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมถึงกลัวการขับรถซ้ำๆ ในวงเหล้า”
“...”
“กูไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วังวนนี้จะจบสักที ลองก็ลองมาหมดแล้ว พยายามไปก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนจนบางครั้งนึกอยากล้มเลิกมันทั้งหมด”
“หรือจริงๆ แล้วการที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่อาจทำให้มึงเจ็บกว่าเดิมวะ” ผมเริ่มตั้งคำถาม เป็นผมเองหรือเปล่าที่เห็นแก่ตัวรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ทั้งที่ไม่รู้เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ดิ”
“เนย์ ถ้ามึงอยากเลิกก็บอกได้เลยกูจะไม่รั้งมึงไว้” คิดว่าการมีเขาอยู่ด้วยในตอนนี้มันทั้งสุขและเศร้า หรือต่อให้ชีวิตต้องกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆ ผมก็พร้อมยอมรับ หากมันแลกกับการที่ทำให้อาคเนย์เจ็บปวดน้อยที่สุด “ขอแค่มึงสบายใจที่จะทำมันก็พอ”
“ความสบายใจเหรอ ไม่มีอะไรสบายใจหรอก เลือกทางไหนก็รู้สึกไม่ต่างกัน”
“...”
“แต่มันดีกว่าแต่ก่อนเยอะนะบู อย่างน้อยก็ได้เดินหน้าเพื่อทำอะไรหลายๆ อย่าง ได้เรียนในสิ่งที่ฝัน ได้ตัดใจจากรักโง่ๆ ที่มีให้มึง ได้สลัดทิ้งความโกรธเกลียดที่เรามีต่อกัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กูไม่ใช่อาคเนย์เหมือนแต่ก่อนอีก”
“ใช่ มึงเป็นอาคเนย์ที่เข้มแข็ง”
“นั่นสิ เข้มแข็งมาขนาดนี้แล้ว แถมยังได้ลองทำอะไรยากๆ ตั้งหลายอย่าง เพราะงั้นลองพยายามอีกสักอย่างจะเป็นไรไป”
นั่นคงเป็นคำตอบของคำถาม...
“บู กูยังอยากอยู่กับมึง” เชื่อหรือเปล่า แค่ประโยคสั้นๆ ของเพื่อนในวัยเด็ก มันกลับทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลย
“กูเองก็อยากอยู่กับมึงเหมือนกัน พรุ่งนี้เรามาพยายามกันใหม่เถอะ”
“อืม”
“เนย์”
“กูง่วงแล้ว”
“ฝันดีนะ แล้วอย่าฝันร้ายอีกเลย”
“บอกตัวเองดีกว่ามั้ย”
ความเงียบเกาะกุมพื้นที่ เสียงเดินของเข็มวินาทียังคงทำงานไม่มีหยุด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้หลับในทันทีแต่เฝ้านอนฟังเสียงจากคนบนเตียงอยู่พักใหญ่ รอจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าสู่ภวังค์แล้วผมจึงสามารถหลับลงได้
จวบจนแสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานยักษ์ในตอนเช้า นี่เป็นครั้งแรก...
ที่ผมไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายเหมือนอย่างทุกคืน
ไอ้เนย์ติดบุหรี่แต่ไม่ได้ติดเหล้า มันบอกว่าจุดประสงค์ของการดื่มก็เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนเท่านั้นผมเลยไม่ขัดอะไร อาจเพราะไม่อยากจำกัดสิทธิ์ในชีวิตของอีกฝ่ายมากนักเราถึงต้องมานั่งถามความเห็นก่อน
เกือบเดือนแล้วที่คนตัวเล็กไม่แตะต้องบุหรี่อีก ผมเลยอยากลองก้าวไปอีกขั้นด้วยการพามันออกไปขับรถแถวบ้าน ครั้งหนึ่งเราเคยปั่นจักรยานด้วยกันในวัยเด็ก ทว่าวันนี้แตกต่างก็ตรงที่เราโตขึ้นแล้ว แถมพาหนะที่ใช้ก็ยังเปลี่ยนไป
“คาดเข็มขัดด้วย”
“รู้แล้วน่า” ใบหน้าขาวยับยู่ตอนผมย้ำเตือน
เราไม่เคยขับรถออกไปไหนด้วยกันสักครั้ง อย่างมากสุดก็นัดเจอกันตามห้างเพื่อกินข้าวบ้างก่อนจะกลับมาเจอกันที่คอนโด ดังนั้นการกลับบ้านคราวนี้จึงพิเศษกว่าที่ผ่านมา
“แม่กูบอกว่าเตรียมกับข้าวไว้ให้หลายอย่างเลย มึงต้องชอบแน่ๆ”
“แล้วเราต้องซื้ออะไรไปฝากแม่มั้ย”
“ไม่ต้องหรอก แค่มึงแวะไปหาก็ดีมากแล้ว”
รถยนต์เคลื่อนตัวจากคอนโดตัดเข้าสู่ถนนสายใหญ่ นานมาแล้วที่ผมใช้ถนนเส้นเดิมเดินทางไปกลับเป็นประจำ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสังเกตสิ่งที่อยู่รายรอบ ตึกมันก็อยู่ตรงนั้นมานับสิบปี ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ซึ่งไม่เคยเหลียวมองว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่แบบ เพราะที่ผ่านมามัวแต่โฟกัสจุดหมายและใช้ชีวิตอย่างรีบเร่งมาโดยตลอด
ผมเริ่มมองเห็นข้อดีที่คาดไม่ถึงของการมีอาคเนย์ในชีวิต จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเรามีกันตลอดไปมันจะดีขนาดไหน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มโลภ จากที่มีอยู่แล้วก็อยากได้เพิ่มอีกจนกลัวว่าอาจถลำลึกจนกู่ไม่กลับ
“เนย์” ผมเรียกร่างบางซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ
“หืม...” เจ้าตัวตอบรับพึมพำทั้งที่ยังไม่หันมามอง เพราะกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่นอกกระจก
“ถามได้มั้ยว่าหลังจากที่มึงตัดสินใจออกไปจากชีวิตกูเมื่อหลายปีก่อน มึงกับแม่ใช้ชีวิตยังไง” เวลาหลายปีที่ไม่ได้รับรู้ ผมอยากเข้าใจ
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่รู้จักกับคนที่พอจะแนะนำทาวน์โฮมถูกๆ ให้ แม่มีเงินจำนวนหนึ่งจากสินสมรสหลังหย่า เลยใช้มันอย่างประหยัด เก็บส่วนหนึ่งไว้สำหรับการรักษาและค่าเทอม แล้วก็อย่างที่เห็น การตัดสินใจเดินไปข้างหน้าไม่ได้แย่อย่างที่กลัว”
“แล้วมึงมีเป้าหมายอื่นๆ หลังจากนี้มั้ย”
“กูว่าจะเรียนต่อ อยากเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา”
“ก็เหมาะกับมึงดี”
“มึงล่ะ เรียนจนถึงตอนนี้ยังอยากเป็นหมออยู่หรือเปล่า”อาคเนย์ผินหน้ากลับมา แววตาสนใจใคร่รู้จนผมอยากเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่ก็หยุดมันเอาไว้ให้เป็นเพียงความคิด
“โลกเปลี่ยนกูไปมากขนาดนี้ แต่ตลกเหมือนกันที่การเป็นหมอคือสิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมอยู่”
“สมกับเป็นมึง”
“แล้วเคยคิดมั้ย...”
“ทำไมวันนี้คำถามมึงเยอะจังวะ”
“ก็มันเงียบ”
“เปิดเพลงฟังสิ” เรียวนิ้วขาวเอื้อมมือกดปุ่มบริเวณคอนโซล ก่อนเพลงโปรดของผมจะบรรเลงขึ้น ซึ่งมันค่อนข้างเข้ากับบรรยากาศระหว่างทางอย่างพอดิบพอดี “ว่ามาดิ” เจ้าตัวเอ่ยต่อ
“หืม?”
“หมายถึงที่มึงอยากถาม”
“อ๋อ กูก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าเวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีเราสองคนจะเป็นยังไง”
“ถึงตอนนั้นกูคงตายไปแล้วมั้ง” ไอ้เนย์ตอบติดตลก ลืมนึกไปเลยว่าเราอาจตายก่อนจะได้ใช้ชีวิตวัยเกษียณ
“เศร้าว่ะ”
“ความตายไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้น”
“ไม่มีมึงแม่งก็ต้องเศร้าดิ”
“ใกล้ถึงบ้านแล้วนี่” หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนปุบปับ อาคเนย์เม้มปากแน่น หันไปจดจ่อกับสิ่งที่เห็นด้านนอก ผมเดาว่ามันคงคิดถึงที่นี่ไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดหรือแสดงความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนั้น
รถเลี้ยวเข้าซอยโครงการหมู่บ้าน ส่วนแม่สแตนบายรออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเปิดโอกาสให้ทั้งคู่คุยกันจนกว่าจะพอใจก่อนเริ่มตั้งโต๊ะและใช้เวลาไปกับการกินอาหาร ภาพที่เคยจินตนาการในความฝันเป็นจริงขึ้นมา ทว่าก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะมาถึงจุดนี้
ช่วงใกล้ค่ำอากาศเย็นสบาย ถนนหน้าหมู่บ้านเลยถูกเลือกมาเป็นสนามทดสอบความกล้า เนื่องจากเราต่างคุ้นเคยและปลอดภัยจากรถรา จึงค่อนข้างเหมาะที่จะให้เพื่อนในวัยเด็กได้ลองขับรถสักครั้ง แม้ต้องใช้ความกล้ามหาศาลไม่ต่างจากตอนเริ่มปั่นจักรยานครั้งแรกก็ตาม
ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก ผมฉีกยิ้มเพิ่มความมั่นใจให้คนตรงหน้าพลางแทรกตัวเข้าไปนั่งประจำฝั่งคนขับ ปรับเบาะถอยไปด้านหลังให้เหลือพื้นที่ว่างพอสำหรับการนั่งของคนสองคน
“ลองวันอื่นดีมั้ย” คนตัวเล็กพูดต่อรองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“วันนี้แหละดีแล้ว ถ้าไม่เริ่มวันนี้มึงก็จะผลัดไปอีกเรื่อยๆ”
“แล้วจะรู้ได้ไงว่ากูจะปลอดภัย”
“กูอยู่นี่ไง”
เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก ดวงตาสองข้างแสดงความไม่มั่นใจแต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าอย่างจำยอม
อาคเนย์แทรกตัวเข้ามาในรถอย่างช้าๆ โดยมีผมคอยช่วยเหลือไม่ห่าง เขานั่งอยู่ในพื้นที่ว่างของเบาะ เอนแผ่นหลังพิงกับอกของผม เข็มขัดนิรภัยถูกดึงคาดตัวของเราทั้งคู่พร้อมกับเริ่มจัดท่านั่งให้สบายตัวขึ้น
เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงเริ่มขั้นตอนต่อไป
“ยังจำได้มั้ยว่าต้องเริ่มยังไง”
“อืม” แววตามุ่งมั่นปนหวาดกลัวฉายชัด ทั้งน่าสงสารและชวนเห็นใจ ทว่าหากหยุดเพียงเท่านี้ไอ้เนย์ก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยการได้ลองทำมันในครั้งแรกแม้ต้องล้มเหลวก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“สตาร์ทเครื่องก่อน” ร่างบางทำตามคำสั่ง ผมจึงไม่ลืมเอ่ยชมเป็นการให้กำลังใจ “ดีมาก”
“แล้ว...กูต้องเหยียบเบรกก่อนใช่มั้ย”
“ถูกต้อง” สองตาหลุบต่ำมองพื้นเบื้องล่าง เห็นเท้าขวาติดสั่นเคลื่อนไหวอย่างสะเปะสะปะ แต่ผมไม่คิดกดดัน นอกจากเปิดโอกาสให้เขาได้ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง
“ยะ...เหยียบเบรกแล้ว”
“จากนั้นก็เข้าเกียร์”
ให้มันค่อยเป็นค่อยไป เรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน
เท้าเหยียบเบรก มือปลดเบรกแล้วขยับเข้าเกียร์ หลังจากนั้นจึงค่อยย้ายฝ่ามือไปควบคุมพวงมาลัยตรงหน้า ขับรถไม่ได้ยาก แต่ที่มันยากสำหรับคนๆ หนึ่งเพราะความเจ็บปวดฝังลึกต่างหาก
“พร้อมมั้ย”
“อื้อ”
“งั้นปล่อยเบรก ยังไม่ต้องเหยียบคันเร่ง แค่ปล่อยให้มันเคลื่อนที่ไปเอง”
“...”
“ที่นี่ไม่มีรถเพราะงั้นมึงไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ไหวก็บอกได้เสมอ กูจะหยุดถ้ามึงบอกให้หยุด”
“กูจะพยายาม” อาคเนย์ไม่ได้เงยหน้าสบตาแต่กำลังจดจ่อกับถนนข้างหน้า สองมือ สองเท้า ทุกส่วนในร่างกายสั่นหงักแต่ไม่มีใครคิดหยุด
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไป ผมมองเท้าเล็กๆ ของมันสลับกับถนนสายกว้าง
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...
เก่งมากๆ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก
ระยะทางทวีเพิ่มขึ้น ผมเริ่มรู้สึกเบาใจไปเปราะหนึ่งเพราะเจ้าของแผ่นหลังที่พิงอยู่ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม แต่กลับมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
เงียบเกินไป เงียบจนน่าใจหาย
“เนย์”
“...”
“อาคเนย์...”
หัวใจร่วงลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มเมื่อผมสังเกตเห็นเสี้ยวหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย มันไม่ยอมพูดหรือบอกอะไรนอกจากกัดฟัน แต่ผมไวกว่านั้นรีบเหยียบเบรกในทันที
รถยนต์หยุดตัวลง สองหูได้ยินเพียงเสียงสะอื้นสลับกับจังหวะการหายใจหอบกระชั้น ผมกอดร่างสั่นเทาแนบแน่น ซบหน้าลงกับไหล่บาง พยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด
“ไม่เป็นไร เก่งแล้ว”
ต่อให้พูดประโยคปลอบใจมากมายแค่ไหน มันเทียบไม่ได้เลยกับการต้องเห็นความเสียใจท่วมท้นของคนตัวเล็ก
“กูทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไร”
“กูทำไม่ได้ ฮือ...”
หนึ่งวันจบลงพร้อมกับความร้าวรานของอาคเนย์ ส่วนความรู้สึกของเราทั้งคู่แม่ง...ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น
ไอ้เนย์หนีไปดื่มเหล้าย้อมใจกับเพื่อน ความจริงไม่อยากให้ไปเลยแต่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์จะห้าม ที่พอทำได้จึงเป็นการอยู่ห้องเพื่อรอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมา
ผมไม่มีเบอร์โทร
ไม่รู้ว่าต้องติดต่อเพื่อนคนอื่นๆ ของมันยังไง
ไม่รู้ว่าคืนนี้มันไปเมาที่ร้านไหน
สิ่งเดียวที่รู้คือความเสียใจที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา นี่เป็นครั้งแรกที่ลองขับรถหลังเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน และมั่นใจว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับความเสียใจซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน
ผมได้แต่หวังว่าไอ้เนย์จะมีแรงใจพยายามทำมันต่อ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถปลดล็อกความทุกข์ที่ฉุดรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของมันได้
“เนย์”
ประตูห้องเปิดออก ผมรีบวิ่งเข้าถึงตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่กล้าแตะต้องเพราะยังไม่ได้รับอนุญาต รอบกายได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั้งห้องจนเผลอขมวดคิ้ว
“บู” ร่างบางปรือตามองนิ่ง เดินโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย “กูง่วง ขอนอนก่อนนะ”
ว่าแล้วมันก็หอบสังขารอ่อนเปลี้ยสืบเท้าไปยังห้องนอนอย่างเงียบเชียบ แต่ผมไม่วางใจยังคงเดินตามราวกับคนโง่
ร่างเล็กโถมตัวลงบนเตียง นอนคว่ำหน้าลงกับหมอนก่อนจะแน่นิ่งไปในสภาพย่ำแย่
“เช็ดตัวก่อนมั้ย”
ไร้ซึ่งคำตอบ...
“เนย์ กูขอเช็ดตัวมึงได้มั้ย”
“อือ”
หลังได้ยินเสียงครางอืออาตอบกลับ ผมจึงค่อยๆ พลิกตัวอีกฝ่ายให้นอนหงายและจัดท่าทางการนอนให้สบายตัวขึ้น ที่ผ่านมาก็ละเมิดข้อตกลงไปหลายข้อแล้ว ต่อให้เช้าขึ้นมาแล้วไอ้เนย์ยังจำได้ ผมก็ยินยอมให้มันด่าจนกว่าจะพอใจอยู่ดี
สองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวยับยู่ออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียนซึ่งแดงเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไอ้เนย์ไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่ เอาแต่ขยับยุกยิก กว่าจะถอดเสื้อผ้าได้สำเร็จก็ทำเอาปาดเหงื่อไปหลายรอบ
ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดปัดป่ายไปตามร่างกาย เริ่มจากแขนทั้งสองข้างระเรื่อยไปยังหน้าอก ยิ่งตอนรับรู้ถึงลมหายใจคลุ้งกลิ่นเหล้าซึ่งกำลังเป่ารดใบหน้า ยิ่งฉุดให้ความตั้งใจแรกของผมถูกตีแตกกระจาย ต้องพยายามอย่างหนักถึงจะควบคุมลมหายใจที่ทวีความถี่กระชั้นให้กลับมาเป็นดังเดิม
เสื้อยืดสีฟ้าผืนบางถูกหยิบมาสวมลวกๆ ก่อนผมจะหันมาจัดการกับกางเกงยีนซึ่งเกาะกุมเอวบางอย่างหมิ่นเหม่
“ขอโทษนะ” ผมเอ่ยอีกรอบ
ไอ้เนย์ปรือตาขึ้นมองก่อนฉีกยิ้มยั่ว
“เมาหนักใช่มั้ย” แม่งป่วนประสาทกันได้ พอถามก็ได้รับคำตอบเพียงรอยยิ้มที่เหมือนถูกตั้งด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ
กางเกงถูกถอดออกเป็นลำดับถัดมาหลังต้องใช้ความพยายามมหาศาลไปกับมัน และแน่นอนผมยังคงดูแลอีกฝ่ายเหมือนเดิมด้วยการเช็ดเอาคราบเหงื่อและกลิ่นของแอลกอฮอล์ออกไป
“บู” ยังไม่ทันได้สวมกางเกงตัวใหม่ มือบางกลับรั้งข้อมือของผมเอาไว้ซะก่อน
“อะไร” สายตาสองคู่สอดประสาน ท่ามกลางความคุกรุ่นของอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้
“ถ้ากูอนุญาตให้มึงเอาตอนนี้...มึงจะทำมั้ย”
ผมชะงักค้าง กะพริบตาถี่คล้ายไม่เข้าใจกับความต้องการของคนตัวเล็ก
“ถามทำไม”
“ไม่รู้ กูแค่ถามเผื่อมึงอยากเอา”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเป็นตอนที่กูเหี้ยกว่านี้...กูจะไม่ลังเลเลย” ตอบคำถามจบผมคว้ากางเกงนอนขึ้นสวมให้คนตัวเล็กอย่างรีบเร่งก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
ปัง!
ประตูปิดลง แข้งขาอ่อนแรงจนยืนแทบไม่อยู่ ผมทรุดตัวลงนั่งพิงหลังกับบานประตู ร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก ทำได้อย่างเดียวคือก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอแสดงสีหน้าและท่าทางแบบนั้นใส่อีกฝ่าย
อดีตของผมกับมันไม่เคยสวยงาม แต่ก็ยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง...
ผมไม่อยากทำให้อาคเนย์ต้องเจ็บ
ไม่อยากทำให้ต้องร้องไห้ อยากดูแล อยากตอบแทนสิ่งดีๆ ที่มันเคยมอบให้ ขณะเดียวกันก็อยากชดใช้กับสิ่งที่เคยก่ออย่างสาสม การมีชีวิตอยู่ของผมเริ่มเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปทุกที
มีชีวิตเพื่อคนอื่น มีชีวิตเพื่อครอบครัว และในตอนนี้กลับมีจุดมุ่งหมายอีกอย่างเพิ่มเข้ามา นั่นคือการมีชีวิตเพื่อทำทุกอย่างให้อาคเนย์มีความสุข
มันเป็นความรู้สึกแบบไหนวะ
จู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาดซะดื้อๆ เพราะไม่กล้าหาคำตอบให้ตัวเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้...
การมีเขาอยู่ทำให้ชีวิตของผมมีคุณค่ากว่าที่เคยเป็น เช้าวันอาทิตย์ชีวิตยังวนเวียนอยู่แต่ความจำเจ เมื่อคืนผมหอบผ้าห่มและหมอนเข้าไปนอนในห้องไอ้เนย์อย่างถือวิสาสะ จนตอนนี้พื้นห้องข้างเตียงได้กลายเป็นพื้นที่ประจำของนายบูรพาไปซะแล้ว
“โทษที ตื่นสาย” เจ้าของห้องเล็กๆ ยื่นหน้าอิงกรอบประตู สีหน้าที่เห็นเต็มไปด้วยความอิดโรย ทรงผมยุ่งเหยิง แถมเนื้อตัวยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าย้วยๆ ที่ผมพยายามสวมให้เมื่อคืน แต่กลับน่ามองอย่างประหลาด
“ไม่เป็นไร ยังแฮงก์อยู่มั้ย”
“นิดหน่อย”
“ในตู้เย็นมีเครื่องดื่มแก้แฮงก์อยู่”
“ไม่ต้องๆ กูเป็นแบบนี้ประจำ แล้ววันนี้มึงมีแพลนออกไปไหนมั้ย” ไอ้เนย์เดินเกาหัวออกจากห้อง ไม่รู้ว่ามันยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้มั้ย ผมเฝ้าถามอยู่ในใจแต่ไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยปากถาม
“ไม่มี มึงล่ะ”
“พอดีนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะออกไปทำงานที่คณะ”
“ให้กูไปส่งมั้ย” ผมถามทันที ด้วยคาดหวังว่าจะได้รับการตอบตกลงอย่างคนไม่รู้จักพอ
“ไม่ต้องหรอก เออแล้วนี่ทำอะไร”
“กูเพิ่งลงไปซื้อข้าวต้มให้มึงมา อยากกินมั้ย” นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้อง เรายังไม่เคยร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันสักครั้ง “อืม เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
เผื่อใจไว้แล้ว ทว่าไม่คิดมาก่อนว่าจะมีความหวังขนาดนี้
“งั้นรอเดี๋ยว กูจะรีบเวฟให้”
“โอเค กูขอไปแปรงฟันก่อนแล้วกัน”
“ได้ๆ” คนตัวเล็กหมุนตัวเข้าห้อง ส่วนผมกุลีกุจอวิ่งวุ่นจัดการกับอาหารเช้า แม้ตอนนี้เวลาจะปาไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตาม
ชีวิตของเราเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา เมื่อกินข้าวด้วยกันเสร็จไอ้เนย์ก็อาสาเป็นฝ่ายล้างจาน ก่อนรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปด้านนอก ระหว่างรอผมใช้เวลาไปกับการโทรปรึกษาหมอเรื่องการรักษา PTSD หลังทดลองให้ไอ้เนย์ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากมาแล้วครั้งหนึ่ง
คำตอบที่ได้ไม่มีอะไรแตกต่าง แค่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย และมุ่งมั่นกับการลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะดีขึ้น
ห้าโมงเย็นฝนเริ่มเทลงมาไม่ขาดสาย ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้ เมื่อไหร่กันที่สมองเริ่มกังวลจนฟุ้งซ่านกับเรื่องเล็กน้อยของอีกฝ่าย จะกลับยังไง จะเปียกฝนมั้ย กังวลแม้กระทั่งว่าฝนอาจทำให้คนตัวเล็กป่วยถึงขั้นนอนซม
ผมต้องตบตีกับความคิดเหล่านั้นคนเดียวนับชั่วโมง กระทั่งความอดทนขาดสะบั้นจึงคว้าร่มซึ่งอยู่มุมห้องแล้วขับรถออกไป
จุดหมายคือภาควิชาคอมพิวเตอร์ของคณะวิศวะ ผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าอาคเนย์มีกำหนดทำงานถึงแค่ไหน จะให้ก้าวลงจากรถถามคนนั้นคนนี้ก็กลัวผิดเงื่อนไขที่เคยตกลงไว้ ทั้งๆ ที่ได้ทำลายเงื่อนไขเหล่านั้นไปไม่รู้ตั้งกี่ข้อ
ผมไม่ต่างจากคนโง่
แต่กลับยอมให้ตัวเองโง่
นั่งรออยู่ในรถ จดจ้องไปยังทางออกฟากหนึ่งของคณะ เพราะเดาว่าถึงยังไงซะนักศึกษาที่นี่ก็ต้องเดินออกมาที่ลานจอดรถอยู่ดี
เวลาจากหกโมงเย็นเคลื่อนผ่านเป็นหนึ่งทุ่มยังไร้ซึ่งวี่แววของคนที่มองหา ผมอดทนรอต่อ
สองทุ่มมาเยือน มีเด็กกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากคณะ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีอาคเนย์อยู่
สามทุ่ม ลานจอดรถเริ่มโล่ง กว่าจะมีคนเดินลงจากตึกทีก็ทิ้งระยะห่างนับครึ่งชั่วโมง ผมเริ่มกลับมานั่งคิด หรือความพยายามที่ทำมาในวันนี้จะเปล่าประโยชน์ ผมถามตัวเองซ้ำๆ ทว่ากลับไม่ยอมไปไหน
เวลาปาไปห้าทุ่มกว่า ฝนได้หยุดตกแล้ว ส่วนรถคันเกือบสุดท้ายก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกไป ผมจึงได้ข้อสรุปว่าควรกลับห้องสักที
มันดูโง่มาก โง่อย่างที่ใครมองก็ต้องหัวเราะ แต่ผมไม่เสียใจ...ไม่เสียใจที่ทำอย่างนี้ อาจเพราะทนนิ่งดูดายอยู่ที่ห้องเพื่อมองไอ้เนย์เปียกไปทั้งตัวไม่ได้ผมถึงต้องทำ
เวลาเที่ยงคืนสิบห้าผมกลับมาถึง
ทันทีที่ไขประตูเข้าไปสิ่งแรกซึ่งปรากฏในม่านสายตาก็คือคนที่ต้องการเจอมากที่สุด ไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงโซฟาในชุดนอน มันกำลังส่งสายตามองคล้ายกับตั้งคำถาม
“ขอโทษที่กลับมาช้านะ” ผมบอกเสียงเรียบก่อนวางร่มลงจุดเดิมที่มันเคยอยู่
“ไม่เป็นไร แล้วไปไหนมา”
“ก็...ออกไปข้างนอกนิดหน่อย พอดีมีธุระด่วน” การปัดปฏิเสธอาจดีสำหรับสถานการณ์นี้ที่สุด “แล้วมึงล่ะ กลับมาเมื่อไหร่”
“ตอนสามทุ่ม”
“กินข้าวมายัง”
“กินกับเพื่อนมาแล้ว มึงล่ะ”
“อ๋อ กูยังไม่หิว” โคตรน่าสมเพชจนไม่รู้จะด่าตัวเองยังไง
“มึง...ไม่ได้ออกไปหากูใช่มั้ย” คำถามจากริมฝีปากบางทำให้ร่างกายทุกส่วนชะงักค้าง
“เปล่า กูมีธุระจริงๆ”
“ปราชญ์บอกเห็นรถมึงจอดอยู่ที่คณะ”
“...”
“มึงคิดอะไรอยู่กันแน่”
“กูไม่รู้” ผมส่ายหัว ก้มหน้าก้มตามองเพียงปลายเท้า
นี่ไม่ใช่บูรพาเลยสักนิด ไม่ใช่ตัวตนของผมอย่างที่ทุกคนรู้จัก อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหวง ทั้งห่วง พออีกฝ่ายไม่อยู่ก็ฟุ้งซ่าน ไม่อยากให้เขาได้รับอันตราย เอาแต่อยากปกป้องโดยไม่คิดถึงตัวเองเพราะสมองสั่งการแค่ว่าเขาต้องมาก่อนเสมอ
นี่หรือเปล่าความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่กล้าตั้งคำถาม เพราะกลัวว่าจะได้รับคำตอบอย่างไม่คาดคิด
ครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยถามผม ‘รู้หรือเปล่าว่าความรักเป็นยังไง’
จริงๆ แล้วคำถามไม่ได้ยาก
“บูรพา” ความยุ่งเหยิงในหัวถูกตีแตกกระจายก่อนจะปักใจเชื่อในคำตอบ ผมหันเงยหน้าสบตากับร่างบางซึ่งนั่งห่างออกไปไม่กี่เมตร พร้อมกับเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้รับคำตอบ
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที...
“อย่ารักกูเลย”“...!!”
“เพราะสุดท้ายแล้วมึงอาจต้องเสียใจเมื่อวันนั้นมาถึง”
เข้าใจแล้ว...
ในที่สุดวันที่ผมได้รู้จักกับความรักอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นวันเดียวกับที่ผมหมดหวังกับมันเช่นกัน