CHAPTER 7
TIME MACHINE
ทหารที่ไปสงครามถึงจะโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก
ผมเองก็เช่นกัน...
ตั้งแต่เล็กจนโต ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้สูญเสียของรักไปแล้วเท่าไหร่
ของเล่นชิ้นแรกพังคามือ รองเท้าคู่โปรดหายไประหว่างถอดทิ้งไว้ที่สนามเด็กเล่น พ่อจากไปในเช้าวันหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แม่หัวใจแตกสลายจากอุบัติเหตุในคืนนั้น หรือแม้กระทั่งรักแรก...ก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ คิดดูแล้วชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มันแทบไม่หลงเหลืออะไรในอดีตเอาไว้เลย
แท็กซี่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าบนถนนสายหนึ่งที่การจราจรค่อนข้างบางเบา ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เส้นทางที่กำลังไปเริ่มไม่คุ้นตาแต่ผมก็ยังยืนยันหนักแน่นที่จะไป อาจเพราะไม่อยากฝันอีกเลยต้องออกไปเผชิญความจริงด้วยตัวเอง
“ที่นี่ใช่มั้ย” คุณลุงคนขับแท็กซี่ถาม
“ผมไม่แน่ใจ แต่จอดตรงนี้แหละครับ”
ตัวเลขบนมิเตอร์หยุดลง ธนบัตรใบห้าร้อยถูกส่งให้คนเบาะหน้าก่อนผมจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งกลับมา
นาฬิกาบนมือถือบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว รอบตัวเงียบสงัด แต่ผมก็ยังแบกหัวใจพังๆ เดินไปตามฟุตบาธภายในโครงการหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อเคยบอกว่าหากวันไหนคิดถึงก็อยากให้แวะเวียนมาบ้าง ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ตัดสินใจมาหาเขาอย่างไร้เหตุผล
ผมจำรูปที่พ่อส่งให้ได้คร่าวๆ บ้านของเขาอยู่ในซอยที่สามนับจากทางเข้า แถมหน้าบ้านยังมีกล่องไปรษณีย์สีม่วงอยู่ตรงรั้วมันเลยไม่ยากหากเดินไปเอง
ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่มีในคราแรกเริ่มเจือจางลงเล็กน้อย ผมไม่ได้เดินเซทว่าก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แค่เดินไปเรื่อยๆ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว...ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้านเขา
ชั่งใจอยู่นานจึงตัดสินใจกดกริ่งหน้าประตู ก่อนจะยัดถุงเท้าที่ถือเอาไว้ตลอดทางกลับใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม
“ใครครับ อ้าว” ยังจำได้ดี เสียงที่ได้ยินบ่อยที่สุดในความทรงจำ ก่อนหน้านั้นมันเลือนรางในความฝัน หากแต่คืนนี้ทุกอย่างกลับค่อยๆ ชัดเจนทีละน้อย “เนย์...”
“ขอโทษที่รบกวนตอนดึกๆ ครับ พอดี...พอดี...” ห่วยแตกจริงๆ แม้แต่วินาทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผมก็ยังหาข้ออ้างดีๆ กับเจ้าตัวไม่ได้
“เข้ามาก่อนสิ” พ่อไม่ได้รอฟังคำอธิบาย แต่รีบเปิดประตูให้
“บ้านหลังนี้ใหญ่ดีเนอะ”
“อืม”
“ใหญ่กว่าบ้านของผมกับแม่อีก” ผมยิ้ม เดินไปข้างหน้าโดยไม่คิดสบตา
เคยคิดมาตลอดว่าไม่มีวันที่ผมจะเหยียบมาที่นี่ คราวนี้เลยเหมือนกลืนน้ำลายตัวเองเข้าไปหลายอึก กว่าจะรู้ตัวผมก็ทิ้งก้นลงนั่งบนโซฟาตัวนิ่มซะแล้ว
“เมาเหรอ”
“นิดหน่อย” ไฟตรงชั้นล่างถูกเปิดจนสว่าง พ่อเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาพร้อมกับแก้วทรงสูง
ดูเขาในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเลย เปลี่ยนไปมากทั้งชุดนอนที่สวมใส่รวมถึงท่าทางที่แสดงออกมา กำลังหวังอะไรอยู่วะ รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีอะไรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
“แล้วนี่ไปไหนมา” พ่อถามพลางนั่งลงข้างๆ แต่ผมเลือกขยับตัวเล็กน้อยเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างเรา
“ปาร์ตี้”
“ยังติดปาร์ตี้หนักเหมือนเดิม ดูแลตัวเองบ้าง เข้าไปเรียนหมอแล้วต้องพยายามให้เต็มที่ มันเป็นความฝันที่แกอยากทำมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”
“บ่นซะยืดยาวเลย” ไม่รู้ทำไมถึงอยากหัวเราะออกมา แต่เอาเข้าจริงกลับหัวเราะไม่ออก “ช่วงหลังมานี้ผมไม่ค่อยได้ปาร์ตี้หรอก แต่วันนี้ดันมีฉลองนิดหน่อยน่ะ” ผมกวาดตาไปรอบๆ มุมห้องนั่งเล่นของบ้านซึ่งกำลังนั่งอยู่ก็ถูกตกแต่งด้วยกล่องของขวัญและต้นคริสต์มาสไม่ต่างกัน
“เลยเมาอย่างที่เห็นสินะ”
“ไม่รู้สิ เวลาเมามันทำให้เราลืมได้นะ ลืมว่าพ่อหมดรักผมกับแม่แล้วจริงๆ”
“เนย์...”
“วันนี้วันเกิดผม”
น้ำตาที่เคยเหือดแห้งค่อยๆ เอ่อคลอ ผมพยายามกะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาอย่างสุดความสามารถ คิดดูสิ ขนาดวันที่ผมลืมตาดูโลกเขายังจำไม่ได้เลย
“ใครมาคะ” อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบอะไร คนมาใหม่ก็แทรกขึ้น
เธออยู่ในชุดนอนสีขาว เดินลงจากบันไดชั้นสองมาอย่างช้าๆ ใบหน้าและน้ำเสียงอ่อนเยาว์แม้จะพอรู้ว่าอายุของเธอคงมากแล้ว ดูๆ ไปเธอไม่มีอะไรเหมือนแม่ของผมเลย
“เนย์มาน่ะ คุณขึ้นไปนอนเถอะ”
“กินอะไรมาหรือยังคะ” เธอหันมาถามผม เลยไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากส่งยิ้ม
ไม่นานพ่อก็เป็นฝ่ายตัดประเด็นด้วยการปราดเข้าไปพยุงเธอกลับไปยังบนห้อง ไม่ถึงห้านาทีเขาก็กลับลงมาซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับอยู่พอดี
“เนย์จะไปไหน ถ้าเมาก็นอนที่นี่ก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ เธอ...ท้องเหรอ” มันอดไม่ได้จริงๆ สุดท้ายก็ถามออกไปจนได้ ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าท้องนูนโผล่โพ้นออกมาก็เหมือนเข็มนับพันพุ่งมาปักตรงกลางใจอย่างจัง
“ห้าเดือนแล้ว”
“สร้างเขาขึ้นมาก็เลี้ยงให้ดีด้วยล่ะ”
“เนย์ สุขสันต์วันเกิดนะลูก” เจ้าของคำพูดทำหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย ที่ผ่านมาเราก็เคยฉลองวันเกิดด้วยกันไม่ใช่เหรอ” ผมลุกขึ้นยืน สบสายตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง “ต่อไปพ่อไม่ต้องส่งเงินมาให้ผมแล้วนะ ยิ่งมีเด็กเล็กๆ ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ยิ่งเยอะ อีกอย่าง...ผมเองก็ไม่ได้ใช้นามสกุลของพ่อแล้วด้วย”
“มันเป็นหน้าที่ที่พ่อต้องจ่ายอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกังวล...” ผมเอ่ยแทรกแทบจะทันที
“ถ้ามันเป็นเพราะหน้าที่ก็อย่าเลย เห็นทีต้องกลับแล้วครับ”
พูดไปก็คงได้ยินแต่ประโยคเจ็บแสบที่ไม่ได้ตั้งใจของเขากลับมา ดังนั้นรีบกลับก่อนน่ะดีแล้ว คิดได้เท่านั้นจึงเดินไปสวมรองเท้าและก้าวออกจากบ้านด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งตีวนอยู่ในหัว
พ่อเดินตามหลังมาไม่ห่าง จวบจนวินาทีที่พาตัวเองออกมาอยู่นอกรั้วบ้านหลังนี้ผมก็ยังฉีกยิ้มให้เขา
“ลำบากยังไงก็โทรมาได้เสมอ เงินเดือนพ่อก็ยังจะส่งให้เหมือนเดิม”
“ผมไม่เคยถามพ่อเลย วันนี้เลยอยากถามอะไรสักข้อได้มั้ยครับ”
“ลูกอยากถามอะไร”
“พ่อเคย...ภูมิใจในตัวผมบ้างมั้ย”
“ภูมิใจสิ”
“ผมเองก็เคยภูมิใจในตัวพ่อ แต่แปลกดีที่ตอนนี้กลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว”
“...”
“อีกอย่างเผื่อคุณยังไม่รู้” สรรพนามที่ใช้เรียกเขาเปลี่ยนไป “ความฝันของผมไม่ใช่การเป็นหมอ แต่คือการเป็นวิศวกรอย่างที่คุณเคยเป็นเมื่อสิบปีก่อนต่างหาก”
ไทม์แมชชีนพาผมไปในวันนั้น วันที่ได้เล่าความฝันให้พ่อฟังกันสองคนก่อนมันจะพากลับมายังปัจจุบัน ผมไม่ได้เรียนวิศวะ ผมไม่ได้เป็นลูกที่ดี และคงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกว่าในตอนนี้...ผมไม่มีพ่อที่รักผมเหมือนวันวาน
“ลาก่อนครับ” นาฬิกาบนมือถือบ่งบอกเวลาตีสามสิบสองนาที ผมกลับมาถึงบ้าน พาร่างระโหยโรยแรงขึ้นไปชั้นบนที่ยังคงเปิดไฟเอาไว้อยู่ แม่ไม่ได้หลับอย่างที่คิด พอเห็นผมเปิดประตูห้องนอนเธอก็รีบปรี่เข้ามากอด
“เป็นยังไงบ้าง” วันเกิดปีนี้ผมควรจะมีความสุขที่สุดสิ แต่ทำไม...
“ผมเมานิดหน่อย”
“แม่พอรู้”
“คืนนี้ไม่อาบน้ำได้มั้ยครับ”
“แล้วแต่ลูกเลย”
“ผมขอนอนกับแม่ที่ห้องนี้ได้มั้ย”
“ขึ้นมาสิ”
ผมถูกพาไปที่เตียง ทิ้งหัวลงบนหมอนนุ่ม รอบกายถูกโอบกอดโดยคนอายุมากกว่า ฝ่ามือบางเอาแต่ลูบหลังผมไปมาคล้ายกำลังกล่อมให้หลับเหมือนตอนเด็กๆ
“ก่อนหน้านั้นผมไปหาพ่อที่บ้าน เขาดูเปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่เหมือนพ่อคนเดิมที่เคยรู้จัก”
“แล้วเขาดูมีความสุขมั้ย” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
“มั้งครับ”
“เขามีความสุขก็ดีแล้ว เพราะงั้นเราก็ต้องมีความสุขบ้าง”
“แม่ เราจะมีความสุขได้ยังไง” มันทำได้ยากเหลือเกิน
หลายปีมานี้ผมสลัดจากฝันร้ายในอดีตออกไปไม่ได้เลย ถึงแม้จะพยายามหลอกตัวเองและสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องมากแค่ไหนมันก็ไม่เคยได้ผล ผมต้องฝืนทำตัวมีความสุขต่อหน้าคนอื่น สังสรรค์และทำตัวเหลวแหลก เป็นศัตรูกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ
แล้วไง สุดท้ายผมก็แพ้อยู่ดี
“ต้องเดินไปข้างหน้านะเนย์ ต้องไป เจ็บแค่ไหน เท้าเหวอะหวะแค่ไหนก็ต้องเดิน”
“ผมกลัวครับแม่ กลัวว่าวันหนึ่งที่ผมไม่อยากเดินแล้วมันจะเหลือทางออกเดียว”
“ถ้าลูกเลือกทางออกนั้นแล้วแม่จะอยู่ยังไง”
เราต่างรู้ว่าทางออกที่ว่าหมายถึงอะไร และผมก็เคยเลือกมันมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ตอนนั้น...ผมฝืนตัวเองไม่ได้ เลยกลัวว่าวันหนึ่งผมจะทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่เพื่อแม่”
“อาคเนย์ อยู่เพื่อตัวเอง”
“...”
“ที่แม่อยู่ได้ทุกวันนี้เพื่อเฝ้ารอวันที่ลูกมีความสุขนะ”
“ผมรู้” วงแขนกอดกระชับอีกฝ่ายพลางซุกหัวลงกับซอกคอของเธอ “จะพยายามครับ”
“ดีแล้ว แม่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”
“...”
“ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้ลูก ยังไงแม่ก็ยังอยู่ที่เดิม”
อาคเนย์ไม่ได้โชคร้ายไปซะทุกเรื่องเสียหน่อย อย่างน้อยผมก็ยังมีแม่อยู่นี่ทั้งคน และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนจะส่งให้ผมเข้าไปอยู่ในความฝันที่แสนยาวนาน...
ธันวาคม
‘อาคเนย์’
‘ผมฆ่าคนตาย ผมทำให้จีนตาย...’
‘มันเป็นอุบัติเหตุนะลูก อย่าร้อง อย่าร้องเลย’
‘มันเป็นความผิดของผม’
‘เป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ขับรถมาชนลูกกับจีนต่างหาก ไม่ต้องกลัว มันไม่ใช่ความผิดของลูกเพราะฉะนั้นต้องก้าวต่อไปนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นลูกของแม่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้’
‘ผมจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง ในเมื่อมันไม่เห็นทางเลย’
‘ทำได้สิ อาคเนย์เป็นคนเข้มแข็งเสมอ’
‘…’
‘และเพราะเป็นอาคเนย์ แม่ถึงเชื่อใจว่าลูกจะต้องทำได้’
พฤษภาคม
วันนี้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหม่นหมองแปลกๆ คล้ายกับเมฆก้อนทะมึนกำลังก่อตัว ฝนคงกำลังจะตกในไม่ช้า ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดในหัวสะเปะสะปะจนจัดระเบียบไม่ได้ วันนี้ต้องไปเรียนแต่ลึกๆ กลับไม่อยากไปเลย...
เพื่อนคงรออยู่ที่โต๊ะ ซื้อขนมมากองไว้จากนั้นก็ทำสงครามแย่งชิงกัน ซึ่งผมก็มักมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ แบบนี้เสมอ
‘แม่ครับ วันนี้...วันนี้ไม่ไปเรียนได้มั้ย’
ผมเดินลงไปยังชั้นล่าง บอกกับผู้หญิงที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวโดยไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการกระทำทั้งหมดเป็นความจริงหรือยังอยู่ในความฝัน ปกติผมจะตื่นเต้นกับวันแรกของการเปิดเรียนเสมอ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงไม่ได้มีความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่สักนิด
‘ไม่สบายเหรอเนย์ ปวดหัวหรือเปล่า’
‘ไม่ครับ แค่...แค่ไม่อยากไป เหมือนกับว่าฝนกำลังจะตก’
‘วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสนะลูก’
‘ผมคิดว่าอีกไม่นานมันจะตกครับ’
‘ได้ ถ้าอย่างนั้นก็โทรไปบอกเพื่อนด้วยนะ ส่วนแม่จะติดต่อไปหาครูประจำชั้นของลูกเอง’
‘ครับ’
เท้าสองข้างย่ำออกไปนอกบ้าน ผมไม่เคยสังเกตท้องฟ้าในแต่ละวันเลย ทว่าวันนี้กลับสนใจขึ้นมาเฉยๆ ก้อนเมฆสีเทาเข้มกำลังเคลื่อนต่ำลงอย่างน่ากลัว ไม่ต่างจากปีศาจร้ายในหนังสยองขวัญที่เคยดูเท่าไหร่ หากเป็นแบบนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียวมันคงดูดกลืนผมไปจนหมด
‘เนย์เป็นอะไรหรือเปล่า ลืมอะไรไว้หน้าบ้านเหรอลูก’ แม่เดินตามออกมา สีหน้าดูกังวลไม่น้อย ส่วนผมก็เอาแต่พูดทุกอย่างไปตามความคิด
‘ท้องฟ้าวันนี้ไม่สวยเลย พายุกำลังจะมาแล้ว’
‘เนย์...’
‘ถ้าฝนตกลงมาอีกผมจะปลอดภัยเหรอครับ รถเราจะพังหรือเปล่า จะไถลไปบนถนนเหมือนที่ผมเคยเจออีกมั้ย’
‘เนย์ใจเย็นๆ ลูก ไม่มีพายุ ไม่มีฝน ไม่มีอะไรทั้งนั้น วันนี้ท้องฟ้าสดใส ลูกเห็นดวงอาทิตย์ตรงหน้านั้นมั้ย’
‘ผมไม่อยากนับเลขและเฝ้ารอให้ใครมาช่วยอีกแล้ว’
‘จะไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น’ แม่เดินเข้ามาประชิด เขย่าตัวผมไปมา ผมรู้...รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
‘อีกไม่นาน อีกไม่นานมันจะเกิดขึ้นอีก’
‘ตื่นจากความฝันได้แล้วเนย์ ความเป็นจริงคือลูกยืนอยู่ตรงนี้และยังปลอดภัย’
‘ผมกลัว...’
‘…’
‘ถ้าไม่มีใครมาช่วย คราวนี้คงเป็นผมใช่มั้ยที่ตาย’
ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปากของแม่นอกจากสีหน้าตกใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกันจนสุดท้ายก็ผลักดันให้ผมเผลอร้องไห้อออกมาโดยไม่รู้ตัว
มิถุนายน
หกเดือนหลังจากเกิดอุบัติเหตุในคืนนั้น
‘วันนี้ต้องขอโทษคุณครูด้วยนะคะ พอดีอาคเนย์ไม่ค่อยสบายเลยจะขอลาหยุดอีกหนึ่งวัน ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ’
โทรศัพท์บ้านถูกวางไว้จุดเดิม ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร กับข้าวแสนอร่อยฝีมือแม่พร่องลงไปเล็กน้อยแต่ร่างกายกลับไม่มีความอยากที่จะกินมันอีกแล้ว นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุผมใช้เวลาช่วงปิดเทอมสามเดือนอยู่กับบ้านโดยไม่ออกไปไหน และหลังจากเปิดเทอมได้ไม่ถึงสองเดือนผมก็ยังมาๆ ขาดๆ โดยไม่มีสาเหตุบ่อยครั้ง
ไม่รู้สิ บางที...มันก็ไม่มีเหตุผลรองรับหรอกว่าทำไปทำไม รู้แค่ว่าไม่อยากไป
‘ผมขอขึ้นไปบนห้องได้มั้ย’
‘นั่งรอก่อนได้มั้ยลูก วันนี้พ่อจะลางานครึ่งวันแล้วพาลูกไปหาหมอ’
‘ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย’
‘แค่ให้หมอช่วยดูอาการให้เท่านั้น ไม่ต้องกลัวนะ’
‘ทุกอย่างยังคงปกติดีครับแม่ อีกอย่าง...วันนี้เหมือนฝนจะตกด้วย ถ้าเราออกไปแล้วเกิดอุบัติเหตุจะทำยังไง’
‘ท้องฟ้าของลูกดูหม่นอีกแล้วนะ’ แม่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
‘ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ทำไมท้องฟ้าไม่เคยสดใสเลย แม่...’
‘หืม’
‘เมื่อคืนผมฝันเห็นจีนด้วย เธอบอกว่าจะมารับผมไปที่ไหนสักแห่ง ที่นั่นมีท้องฟ้าสดใส แสงแดดตอนเช้าก็อบอุ่น ผมอยากไปในที่แบบนั้น แม่ว่า...’
‘อาคเนย์! จีนไม่อยู่แล้วนะ’
‘ไม่จริง เธอไม่เคยไปไหนแต่แม่ไม่เคยรู้’
‘...’
‘เธอมาอยู่กับผมได้เดือนกว่าๆ แล้วนะ’คืนหนึ่งกลางเดือนมิถุนายน
‘แม่ครับ ผมขอออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกหน่อยได้มั้ย’
‘งั้นรอก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวเสร็จ...’ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบประโยคผมรีบเอ่ยแทรกทันที
‘ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปแค่นี้เองแล้วจะรีบกลับมาก่อนฝนตกนะครับ’
พูดจบผมไม่รอช้าคว้ารองเท้าขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ จากแม่ แถวหมู่บ้านมีสวนสาธารณะอยู่ ผมมักมาเดินเล่นที่นี่เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความกังวลและอยู่ในอารมณ์เครียดจัด ยิ่งมาดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเพราะมันค่อนข้างเงียบสงบ
‘อาคเนย์’ ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงหวานดังก้องในโสตประสาท
‘จีน’
เธอบอกว่าชอบที่นี่ ผมเองก็ชอบไม่ต่างกัน
‘คืนนี้เล่นน้ำกันมั้ย’ เธอเอ่ยชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ผมไม่สนใจหรอกว่านี่คือเรื่องจริง ความฝัน หรือจินตนาการที่สมองได้สร้างขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็สามารถปลอบประโลมให้ผมไม่ต้องรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมารับเคราะห์กับเหตุการณ์ในคืนนั้น เห็นมั้ย...ตอนนี้จีนก็ยังมีความสุขดี
‘อย่าไปเลย มันมืด’ น้ำเสียงที่ตอบกลับคล้ายกับหุ่นยนต์อัตโนมัติ
‘เดินลงมาสิ น่าสนุกนะ’
‘ไม่เอา เรากลัว...’
‘กลัวเปียกเหรอ ถ้าฝนตกเนย์ก็เปียกอยู่ดี’
‘…’
‘มาเถอะ ใต้น้ำมันสวยมากนะ เนย์ไม่อยากรู้สึกดีเหรอ’ เจ้าตัวไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูด แต่เลือกหมุนตัวเดินลงไปในน้ำอย่างช้าๆ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงตัดสินใจก้าวขาไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์ เบื้องหน้ามีก้อนหินจำนวนมากเรียงรายอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมความคิดเบื้องลึกถึงสั่งให้เอื้อมมือหยิบหินพวกนั้นขึ้นมา รู้ตัวอีกทีร่างกายมันก็ทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไขซะแล้ว
หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน...
หนักนะแต่ก็อยากแบกมันไว้ จากนั้นก็พาตัวเองลงไปในน้ำ
จีนอยู่ตรงนั้น เธอไม่เคยหายไปไหน เราได้ทำอะไรด้วยกันมากมายราวกับที่นี่ถูกสร้างไว้สำหรับเราทั้งคู่ ใต้น้ำคงสวยงามมากสินะ อืม...ผมเองก็คิดอย่างนั้น
กรกฎาคม
หมอวินิจฉัยว่าผมมีอาการ PTSD เรื้อรัง
‘แม่...ผมไม่อยากอยู่แบบนี้ ไม่อยากทรมานแบบนี้ ช่วยผมด้วย...ช่วยที’
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้ม ผมซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม รอบกายคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของสารเคมีเจือจางในโรงพยาบาล
ทุกวันที่ตื่นขึ้นมารับรู้ได้แต่ความเศร้าหมอง ไม่มีวันใหม่ ไม่มีก้อนเมฆและแสงแดดสดใส ผมจมอยู่กับเตียงหลังเดิมอย่างสิ้นหวัง ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีก จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของร่างกายโทรมๆ ที่ชื่ออาคเนย์
‘อดทนอีกหน่อยนะลูก อีกไม่นานลูกก็จะหาย’
‘ผมกลัว’
ถ้าเกิดไม่หายชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง
ไม่มีใครให้คำตอบได้ ทุกคนเอาแต่บอกว่าให้อดทน อีกไม่นานทุกอย่างจะผ่านไป เมื่อไหร่ล่ะ...ผมถามซ้ำๆ นับตั้งแต่อุบัติเหตุในครั้งนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย แรกๆ ผมยังปกติดี ยังปลอบใจตัวเองว่าจะข้ามผ่านทุกอย่างไปได้ แต่พอนานวันเข้า...กลับหนักหนากว่าเดิมราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ
‘ไม่กินยาได้มั้ย’
คนฟังส่ายหน้า
‘ไม่ถามผมถึงเรื่องคืนนั้นได้มั้ย ผมไม่อยากพูด...’
‘เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป’
‘แม่พูดแต่คำว่าเดี๋ยวๆ สุดท้ายผมก็ไม่เคยผ่านมันไปได้เลย’
‘...’
‘ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมในเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องทรมานอยู่ดี’
ในคืนนั้นผมตัดสินใจว่าจะไม่ทนเจ็บปวดอีก ด้วยการหยิบปลอกหมอนขึ้นมารัดคอตัวเอง...
สิงหาคม
ผมแอดมิดเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม และก็อยู่ที่นี่มายาวนานนับเดือน แต่ละวันผันผ่านอย่างทรมานเพราะต้องต่อสู้กับฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง หมอบอกว่าผมต้องเข้ารับการรักษาจากอาการที่เป็นอยู่
ต้องรับยาหลายแขนงที่เขาให้ พอกินทีมันก็ไม่เคยดีขึ้น หนำซ้ำอาการยิ่งแย่กว่าเดิม
‘แม่ ผมไม่อยากกินยาแล้ว’
พร่ำบอกทุกวัน ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่มันก็ไม่เคยได้ผล
ผมไม่ได้อยากทำจิตบำบัด ไม่ได้อยากถูกสะกดจิต ไม่ได้อยากพาตัวเองกลับไปในช่วงเวลาเลวร้าย ทุกคนเอาแต่พูดว่าผมต้องเผชิญหน้าถึงจะผ่านมันไปได้ ไม่จริง ทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำในคืนนั้น ผมสาบานกับตัวเองได้เลยว่ายอมตายซะยังดีกว่าต้องพูดมันออกมา
‘คนเราจะอยากมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร’
‘…’
‘ในเมื่อสักวันก็ต้องตายอยู่ดี สู้เราไปเสียตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ’
กันยายน
ใบสมัครสอบ กสพท. ที่เคยร่อนส่งเมื่อหลายเดือนก่อนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดถึงอนาคตของตัวเองอีกครั้ง
หมออนุญาตให้ผมกลับมาอยู่ที่บ้านได้แต่ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องอยู่คนเดียวเพราะกลัวจะคิดสั้นฆ่าตัวตายทั้งที่ความรู้สึกเหล่านั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว บางทีมันอาจเป็นผลมาจากการรับยาอย่างสม่ำเสมอ ทว่าหมอกลับบอกว่าการทำจิตบำบัดของผมยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ผมไม่ได้หายกลัว ยังคงหลีกเลี่ยงเวลาที่ต้องพูดถึงอุบัติเหตุในคืนนั้น โชคดีที่ไม่มีใครบังคับให้ผมต้องฝืนรักษาอาการให้หายขาดโดยเร็ว เลยอยากขอบคุณโลกนี้ที่มนุษย์ยังรู้จักคำว่า ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ อยู่บ้าง
เมื่ออาทิตย์ก่อนแม่พูดถึงเรื่องสอบเข้ามหา’ลัยซึ่งผมไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ แต่คราวนี้แทนที่จะเห็นด้วยผมกลับคิดต่าง ผมอยากสอบ อยากลองดู ด้วยเหตุผลหนักแน่นข้อหนึ่งที่ว่าหากสอบเข้าไปเรียนได้แล้ว ผมจะยังมีโอกาสไถ่โทษให้กับบูรพาอีกใช่มั้ย
นานมาแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน อยากถามว่ายังไงโกรธอยู่หรือเปล่า หรือถ้าอยากให้ทำอะไรเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป ผมยินดีทั้งนั้น...
อ่านต่อด้านล่าง