CHAPTER 3
AGAIN AND AGAIN
การเรียกร้องในสิ่งที่ยังไม่มั่นใจว่าเราสมควรได้
คือการฆ่าตัวตายด้วยวิธีการอ้อมๆ ที่เจ็บที่สุด
“ไงมึง โทรไปก็ไม่รับ”
“มีเรื่องนิดหน่อย”
“เลยไม่มาเรียนว่างั้น แล้วนี่หัวกับตีนมึงไปโดนอะไรมาวะ”
ไอ้อั๋นถามด้วยความสงสัย เราไม่ได้เจอกันมาสามวันหลังผ่านพ้นสุดสัปดาห์ที่โคตรวุ่นวายไป แถมภาพที่ผมมาเจอมันยังเป็นการเดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับแผลบนหัวอีกต่างหาก
“หกล้ม” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น
“หกล้มแล้วเป็นขนาดนี้เลยเหรอ อย่ามาตอแหลน่า”
“ก็ล้มตกบันได หมุนตลบหลายรอบจนลงไปนอนกองกับพื้นไง มึงสงสัยอะไรอีกมั้ย”
“เออสัด ที่ถามเพราะเป็นห่วงหรอก”
“กูตายยากแค่ไหนมึงก็รู้”
ไอ้อั๋นยุติประเด็น ส่วนผมก็ไม่ได้อยากจะย้อนความหลังของบาดแผลบริเวณข้อเท้ากับหน้าผากนัก เพราะมันไม่ได้เจ็บแค่ตัว แต่ความรู้สึกเสียใจและเอาคืนมาไม่ได้มันก็ปลิดปลิวไปพร้อมกันด้วย
“ได้เก็บชีทให้กูมั้ย” ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวกลับมาโฟกัสถึงเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง
“อาจารย์อัปโหลดไฟล์ลง Google Drive แล้ว เข้าไปดูในกลุ่มได้เลย”
“ขอบใจมาก”
“ตั้งใจเรียนหน่อยนะ เห็นช่วงนี้มึงขาดเรียนบ่อย กลัวว่าจะไม่จบปีเอา” คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียด ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“เออน่ะ”
“ไอ้บูก็ไม่ค่อยมาเรียนเหมือนกัน ถามจริงๆ นะ ช่วงนี้พวกมึงมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
“เปล่านี่” ผมไม่ได้บอกใครว่าได้ย้ายเข้าไปอยู่ห้องเดียวกับไอ้บู กะว่าตอนย้ายออกไปอยู่หอใหม่เมื่อไหร่ค่อยพูดเรื่องนี้อีกที
“ดีแล้ว เดี๋ยวเรียนจบไปก็คงไม่ค่อยได้เจอกันอีก ยังไงก็อดทนหน่อยแล้วกัน” เพื่อนตัวดียังคงพูดไม่หยุด
มันคงเบื่อแล้วมั้งที่ต้องเห็นอาการบอบช้ำทางร่างกายของผมไม่ก็ไอ้บูอยู่บ่อยๆ
“กูไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหนนี่สิ”
“นี่สรุปมึงไปมีเรื่องกันมาจริงๆ ใช่มั้ย”
“เปล่า แค่พูดลอยๆ”
“เนย์ มีอะไรบอกกูได้ ถึงช่วยไม่ได้ก็อยากรับฟัง”
“เชื่อเถอะว่ามึงคงไม่อยากฟังหรอก” กลัวภาพที่มันมองผมจะเปลี่ยนไป
“จริงๆ กูมีเรื่องนึงจะถามมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่กล้าสักที”
“มีอะไร” ที่ผ่านมาเราคุยแต่เรื่องไร้สาระกันมาตลอด เพิ่งจะเห็นว่าไอ้อั๋นแม่งก็ซีเรียสกับเขาเป็นด้วย
“ช่วงนี้เหมือนมีข่าวลือในคณะเรื่องของมึงกับไอ้บู” อีกฝ่ายหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับผม “เขาบอกว่ามึงสองคนเคยรักกัน”
ทุกอย่างรอบตัวของผมคล้ายหยุดนิ่ง เนิ่นนาน....
จนผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรตอบคำถามนี้ออกไปยังไงดี
“รักแบบไหนล่ะ ถ้าแบบเพื่อนก็คงใช่มั้ง”
“เปล่า กูหมายถึงแบบ...แฟนน่ะ”
“ไม่” ผมยิ้ม
“จริงดิ”
“เราแค่เคยเป็นเพื่อนกันเฉยๆ”
“อือดีแล้ว กูก็ว่าอยู่ข่าวลือจะเชื่ออะไรได้วะ”
“รีบเข้าเรียนเถอะว่ะ เดี๋ยวโดนอาจารย์เช็กขาดอีกจะยุ่ง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะลุกขึ้นโยนแฟ้มบนโต๊ะใส่มือของคนตรงหน้าพร้อมกับก้าวฉับๆ ออกไป
ประเด็นนี้ไม่เคยถูกพูดถึงในคณะมาก่อน เพื่อนเก่าสมัยมัธยมก็ไม่เคยปริปาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อยู่สองทาง นั่นคือเป็นเรื่องจากปากของบูรพาเอง หรือไม่ก็เป็นเหตุการณ์ในร้านเหล้าคืนนั้น คืนที่ความลับหลายอย่างของผมไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป
และใช่! ข่าวลือที่ว่านั้นผิดทั้งหมด เพราะบูรพาไม่เคยมองอาคเนย์ในเชิงคู่รัก
มีแต่ผมเท่านั้นที่เคยรักมันอยู่ฝ่ายเดียว...
ผมรู้สึกว่าชีวิตที่มีสีสันของตัวเองลดน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ห้องของไอ้บู
จากที่หลังเลิกเรียนเสร็จจะต้องพาตัวเองกลับห้อง หรือดึกๆ หน่อยค่อยออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หอพักที่ติดต่อขอเช่ายังเข้าพักไม่ได้จนกว่าจะจัดการเรื่องสัญญาและการจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าเสร็จ ด้วยไม่รู้จะไปที่ไหนก็เลยยอมนั่งรถนานหน่อยเพื่อกลับบ้านที่อยู่ในเขตปริมณฑลแทน
แม้ผมต้องหาข้ออ้างเรื่องบาดแผลที่ได้รับมาให้แม่เข้าใจอยู่นาน ทว่าทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีเพราะเจ้าตัวไม่ได้ติดใจจะซักไซ้อะไรเพิ่มเติม
วันนี้ที่บ้านเรายุ่งนิดหน่อยตรงที่แม่กำลังจะไปทัวร์ต่างประเทศกับเพื่อนๆ ข้าวของและเสื้อผ้าบางส่วนเลยถูกจัดใส่กระเป๋าเอาไว้อย่างเรียบร้อย แถมยังมีเวลาได้รื้อค้นเอาของเก่าๆ ออกมาทิ้งเพื่อจัดระเบียบบ้านไปในตัว
“ลูกอยากได้ของฝากอะไรมั้ย” แม่ถามขึ้นมาลอยๆ ขณะสองมือกำลังคัดแยกเสื้อผ้าบางส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ใส่กล่องเตรียมบริจาค
“ผมไม่อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แล้วแต่แม่จะซื้อให้แล้วกัน”
“แม่สัญญาว่าทริปนี้จะประหยัดเงินให้มากที่สุด”
“ไม่ต้องหรอกครับ แม่ไม่ได้เที่ยวมานานเท่าไหร่แล้ว อยากได้อะไร อยากกินอะไรก็ซื้อเถอะ” ที่ผ่านมาเราเหนื่อยกันมามาก ควรถึงเวลาที่แม่จะได้พักผ่อนเหมือนคนอื่นสักที
“ลูกอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”
“โธ่...ผมไม่ใช่เด็กเหมือนแต่ก่อนนะ” ปากว่าแต่มือก็ยังคงช่วยเก็บโน่นนี่ใส่ตู้ไปด้วย กระทั่งมาถึงตู้สุดท้ายที่เราไม่ได้เปิดมานาน “แม่...”
“หืม”
“เสื้อผ้าที่พ่อทิ้งไว้เราจะทำยังไงดี” แม่หันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนตอบเสียงแผ่ว
“เดี๋ยววานลูกหยิบออกมาจัดใส่กล่องแล้วกัน ตัวไหนยังดีอยู่ก็บริจาค ส่วนตัวไหนเก่ามากแล้วก็ทิ้ง”
“ไม่ส่งกลับไปให้เขาเหรอครับ”
“มันเป็นเสื้อแบบเดิมน่ะ” คำว่า ‘เดิม’ พุ่งใส่อกผมอย่างจัง “ตอนนี้เขาไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้แล้ว”
ตอนไป พ่อเก็บข้าวของบางส่วนไปด้วยเกือบหมด แต่ก็ยังมีหลงเหลือเอาไว้ให้ดูต่างหน้าคล้ายกับบอกเป็นนัยๆ ว่าสักวันพ่ออาจจะกลับมา ทว่าเมื่อได้คำตอบจากแม่แล้วในใจของผมก็มีเพียงความสิ้นหวัง
ลืมไปซะสนิทว่าเสื้อผ้าพวกนี้พ่อคงไม่ใส่แล้ว เสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่มีกระเป๋าหน้าอกข้างซ้ายเป็นเพียงภาพจำของเขาที่ผมมีในวัยเด็ก กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปนาน พ่อเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเพราะเขาไม่ได้แต่งตัวแบบนี้อีก
บางอย่างก็มีเพียงอดีตจริงๆ ที่หลงเหลือให้คิดถึง “ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” แม่ถาม ดึงผมออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรครับ แค่กำลังคิดว่าเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนไปหมด”
“แม่ยังอยู่ที่เดิมไง”
“จริงด้วย” แค่ไม่สุขเหมือนเดิม แต่ชีวิตก็ต้องอยู่ อยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา
“นี่ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน มาช่วยแม่เก็บของแบบนี้บอกบูแล้วใช่มั้ย” มือที่กำลังจัดเสื้ออยู่ชะงักค้าง
“ทำไมผมต้องบอกด้วย”
“พรุ่งนี้มีเรียน ถ้าลูกไม่กลับห้องกลัวเพื่อนจะเป็นห่วงเอา”
“มันไม่ห่วงผมหรอก”
“ดูพูดเข้า จัดของเสร็จแล้วโทรหาบูด้วยนะ”
“...”
“เนย์”
“ครับ เดี๋ยวผมโทร”
“ไหนๆ ก็พูดถึงบูแล้ว ตอนที่เก็บของแม่เจอนี่ด้วย” ร่างบางของคนอายุมากกว่าชันตัวขึ้น เดินไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่ตรงโต๊ะ ก่อนจะนำกลับมายื่นให้ผมด้วยรอยยิ้ม
“ลูกกับบูตอนอายุห้าขวบ กำลังน่ารักน่าชังเลย” ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้อีกครั้ง มันนานมากแล้ว นานจนลืมไปซะสนิทว่าเคยมีรูปพวกนี้อยู่ เราสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนรู้สึกใจหายเมื่อในวันนี้ทุกอย่างไม่อะไรเหมือนเดิมอีก
“ผมเกือบลืมไปหมดแล้ว”
“ลูกยังเด็กจำไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลก แต่วันนั้นเด็กชายบูรพากับอาคเนย์หัวเราะเสียงดังมากเลย เป็นวันที่มีความสุขจริงๆ”
“เหรอครับ”
“อืม อีกอย่างลูกเอาแต่เรียกชื่อบูไม่หยุด เรียกบ่อยว่าคำว่าแม่อีกแน่ะ”
“ผมเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันอาจเป็นความผูกพันตั้งแต่แรก ลูกเกิดไล่เลี่ยกัน วิ่งเล่นด้วยกัน เข้าโรงเรียนอนุบาลพร้อมกัน พอโตหน่อยก็เข้าเรียนมัธยมและมหา’ลัยที่เดียวกันอีก จนแม่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันไหนลูกไม่ได้อยู่ด้วยกันมันจะเป็นยังไง”
“แม่ดีใจเหรอที่ผมอยู่กับบู”
“ดีใจสิ ลูกเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“แล้วตอนที่อยู่กับบูลูกยังมีความสุขเหมือนตอนเป็นเด็กอยู่มั้ย”
ผมยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบ...
เรายังคงนั่งคัดแยกเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ นานเหมือนกันกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยและพร้อมขนย้ายเสื้อผ้าบางส่วนที่ต้องนำไปบริจาคลงไปด้านล่าง
แม่เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ส่วนผมหอบกล่องกระดาษลังเดินตามลงไป แผ่นหลังแสนโดดเดี่ยวที่เห็นมันทำให้ผมอยากร้องไห้ เห็นแม่เป็นแบบนี้ผมก็ไม่อยากให้ท่านต้องทุกข์ใจกับอะไรอีกแล้ว
บางที การเก็บความลับบางอย่างเอาไว้ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเหมือนกัน
“แม่”
“ว่าไงเนย์”
“ที่แม่เคยถาม ความจริงแล้วตอนอยู่กับบู...”
“...”
“ผมมีความสุขมากครับ” เพราะความสุขของผมคือการที่ได้เห็นแม่ยังคงเป็นคนเดิม ผู้หญิง...ที่มีความสุขที่สุดในโลก
อ่านต่อด้านล่างค่ะ