CHAPTER 1
EVERYTHING AT ONCE
ผมไม่เคยรู้เลยว่า...การที่เรารู้สึกเกลียดใครสักคนมากๆ
มันจะกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าคนคนนั้น
เริ่มมีความสำคัญกับเรามากขึ้นทุกที
‘รู้มั้ยว่ากูเคยรักอะไรมากที่สุดในโลก’
‘ไม่รู้’
‘คำตอบคือมึง’
‘…’
‘แล้วรู้อีกหรือเปล่าว่ากูเกลียดอะไรที่สุดในโลก’
‘ถามทำไม’
‘กูอยากตอบ เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวของกูก็คือมึง’ ภาพในวันวานเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมจนชีวิตแทบไม่รู้จักกับคำว่าความสุข ทุกครั้งที่หลับตา หลายคราที่ละเมอ น้ำเสียงและแววตาแข็งกร้าวของไอ้บูยังคงฝังลึกในสมอง แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเนิ่นนานนับปีแล้วก็ตาม
“ต่อไปผมขอเช็คชื่อก่อนนะครับ”
ความคิดในหัวถูกตีกระจายทันทีที่ได้ยินเสียงอาจารย์คุมแลปพูดขึ้น เขากวาดตามองนักศึกษาตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มขานชื่อเด็กปีสองเซคที่ห้าซึ่งยืนเรียงแถวอยู่หน้าห้องปฏิบัติการทีละคน
“กิตติศักดิ์”
“มาครับ” แม่งเป็นภาพจำที่โคตรน่าเบื่อ แต่คงทำได้อย่างเดียวคือทนให้มันผ่านไป
ผมไม่ได้มีความสุขกับการเรียนในคณะนี้มากนัก จริงๆ จะบอกว่าไม่ชอบเลยก็คงใช่ แต่คงไม่มีใครสนหรอกในเมื่อหาญกล้าถึงขนาดสอบเข้ามาได้แล้ว หน้าตาทางสังคมและอนาคตต่างหากที่ทุกคนสนใจ
“วราภัทร”
“มาครับ”
คนข้างตัวขานรับ มันชื่อ ‘อั๋น’ เป็นเพื่อนสนิทของผม ด้วยใบหน้าที่ดูไม่สู้คนบวกกับแว่นกรอบหนาที่เจ้าตัวเลือกหยิบมาสวมในทุกๆ วัน ทำให้เพื่อนๆ พากันตั้งฉายาให้มันว่าไอ้จืด แม้ความจริงแล้วไอ้อั๋นจะมีนิสัยตรงข้ามกับหน้าตาแบบสุดกู่ก็ตาม
“อาคเนย์”
“มาครับ” ผมตอบกลับเสียงเรียบ
อาจารย์เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“หน้าไปโดนอะไรมา”
“อุบัติเห็นนิดหน่อยครับ”
“อย่าให้มีปัญหาการทะเลาะวิวาทในคณะ เพราะถ้าเกิดเรื่องถึงที่ประชุมคุณอาจจะถูกสอบความประพฤติ”
“ครับ” ผมตอบเป็นเชิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ใครมองก็รู้แล้วว่าแผลบวมช้ำบนหน้าได้มาจากสาเหตุอะไร แถมบางคนก็เก่งกว่านั้นตรงที่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นคนทำ
“เมธากร” อาจารย์ก้มมองรายชื่อในกระดาษแล้วขานเรียกคนถัดไป
“ครับ!” ไอ้นี่ก็เพื่อนในกลุ่มเหมือนกัน มันชื่อเม...นิสัยแม่งโคตรติสต์ บ้านเกิดจริงๆ อยู่ภูเก็ตแต่เพิ่งย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงลำพังหลังสอบเข้ามหา’ลัยได้
“บูรพา”
จู่ๆ ร่างกายก็แข็งค้างไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินชื่อของใครคนหนึ่งดังก้องในโสตประสาท
“บูรพา” คนอายุมากกว่าถามย้ำ เจ้าของใบหน้าซึ่งมีริ้วรอยตามวัยละสายตาจากสมุดรายชื่อ ก่อนเพ่งมองมายังพื้นที่ว่างข้างตัวผม
เหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องชินชาของเซคเราไปแล้วล่ะ
“นักศึกษาบูรพา ขาด!”
อาจารย์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ขยับข้อมือขวาตวัดปลายปากกาสองครั้งเป็นเครื่องหมายกากบาท จากนั้นจึงเปลี่ยนไปขานชื่อนักศึกษาคนต่อไปทันที
“วิจิตรา”
“บูรพามาครับ!”
ผมหันไปมองยังต้นเสียง ก่อนสายตาจะโฟกัสไปยังร่างสูงของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล เสื้อกาวน์สีขาวถูกพาดไว้บนบ่าอย่างหมิ่นเหม่ มันแตกต่างจากทุกคน โดยเฉพาะผมสีแดงเพลิงซึ่งถูกย้อมให้รับกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหมาะเจาะ
ทุกคนในคณะแพทย์ล้วนรู้จักบูรพา อย่างหนึ่งที่จำได้ก็คงเป็นความมั่นหน้าที่ไม่มีใครกล้าเทียบมันได้อีก
“คุณมาสาย ผมเช็กขาดไปแล้ว” เจ้าของวิชาเอ่ยประโยคซ้ำซากเป็นรอบที่ร้อย และคิดว่าบูรพาคงทำลายสถิติตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีสิทธิ์สอบในสักเทอม
“ไม่เป็นไรครับ” แล้วน้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ไม่ต่างจากคำว่า ‘ช่างแม่ง’ สักเท่าไหร่
“เรื่องสีผมที่เคยสั่งให้ย้อมกลับ ทำไมตอนนี้ถึงยังเหมือนเดิมอยู่อีก”
“ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุดครับ”
ไอ้บูตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก้าวเท้าเดินมาหยุดตรงตำแหน่งที่มันมักยืนเป็นประจำ ซึ่งก็คือข้างๆ ผม
“สายเป็นสันดาน”
“อย่าเสือก”
ผมหัวเราะร่วนในลำคอเมื่อได้ยินประโยคกระแทกกระทั้น
“ถ้าจะหมกมุ่นแต่กับการเอาผู้หญิง มึงก็ไม่สมควรมาเรียนคณะนี้”
สงครามประสาทที่เกิดขึ้นแต่ละวันเริ่มต้นมาจากคำถามโง่ๆ ที่ว่า...ใครจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมากกว่ากัน วันนี้ผมเริ่มก่อน อีกวันไอ้บูอาจเป็นฝ่ายแก้แค้นคืน วนเวียนอยู่แบบนั้นไม่รู้จบ
ถามว่าเหนื่อยมั้ย คงตอบได้ว่าเหนื่อย...
เหนื่อยแทบขาดใจ ทว่าผมก็ไม่สามารถหยุดได้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าตัวเองต้องแพ้ แต่ที่กลัวคือการต้องทนเจ็บปวดขณะที่อีกฝ่ายกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่างหาก
“แล้วไอ้พวกที่วันๆ ชอบหาเรื่องชาวบ้านนี่ดีนักหรือไง”
“ก็ดีกว่ามึงแล้วกัน ระวังไว้เถอะ พรุ่งนี้ผู้หญิงของมึงอาจกลายเป็นของกูอีกก็ได้”
“ถ้าทำได้ก็เอาไปเลย กูเข้าใจว่าคนที่ไม่มีใครรักอย่างมึงคงโหยหามันมาก”
“มึง...”
คำพูดประโยคนั้นเสียดลึกเข้ามาในอก
ผมกำหมัดแน่น พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากซัดหมัดหนักๆ ใส่หน้าของมันเอาไว้
“หึ! พอพูดความจริงมึงถึงกับเถียงไม่ออกเลยเหรอ”
“มึงไม่มีวันเข้าใจหรอก...”
“สองคนนั้นจะยืนคุยกันอีกนานมั้ย เข้าห้องได้แล้ว” อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจถูกกดทับกะทันหัน ผมพยายามสลัดมันทิ้ง จากนั้นก็ก้าวเท้าตามเพื่อนเข้าห้องไปติดๆ
“เปิดหนังสือไปหน้าเก้าสิบแปด แล้วดูเซลล์ที่มีเข้มปักอยู่บนกล้องว่าเหมือนในรูปหรือเปล่า”
ผมกับไอ้บูไม่ได้กระตือรือร้นกับการตั้งใจเรียนมากนัก นอกจากมองหยั่งเชิงกันอยู่ห่างๆ
เราเป็นเด็กหลังห้อง ถึงสอบเข้ามาเรียนในคณะแพทย์ได้แต่คะแนนกลับอยู่ในอันดับท้ายๆ ที่ผ่านปีหนึ่งมาอย่างหืดจับก็เพราะเพื่อนคอยช่วยเหลือทั้งนั้น ทว่าตอนนี้เห็นทีว่าเพื่อนคงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากมองอย่างเอือมระอา
เทอมนี้ซวยหน่อยก็ตรงถูกจัดให้มานั่งทำแลปติดกัน เราเลยต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากไม่ให้ถลาเข้าไปแลกหมัดก่อนหมดคาบ
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้บูค่อนข้างแปลกประหลาด เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่จำความได้ บ้านอยู่ติดกัน แม่ๆ เองก็สนิทกันมาหลายสิบปี ทุกอย่างเหมือนจะดีไปหมดจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นในช่วงมัธยมปลายปีหนึ่ง...
เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนเราจากรักเป็นเกลียด เปลี่ยนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจากเพื่อนเป็นศัตรู ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป คงเหลือแต่บูรพากับอาคเนย์คนใหม่ที่ไม่มีทางกลับมารักกันได้อีก
“เมื่อวานแม่มึงมาที่บ้าน” ความเงียบเกาะกุมไปพักหนึ่ง เสียงทุ้มของคนเคียงข้างพลันแทรกขึ้น
“แล้วไง”
“ได้ข่าวว่าเขาจะหย่ากับพ่อของมึง”
“...”
ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปาก บางทีการเห็นชีวิตครอบครัวของผมล่มจมคงเป็นความสุขของไอ้บูเหมือนกัน
ที่ผ่านมาผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ลูกและความอบอุ่น สิบกว่าปีที่เติบโตขึ้นมาผมไม่เคยขาดอะไรเลยแม้กระทั่งความรัก โลกมักเข้าข้างผมเสมอจนวันหนึ่งเพิ่งได้รู้...
ทุกอย่างไม่มีอะไรเหมือนเดิม
พ่อมีบ้านเล็ก จริงๆ ก็เกือบห้าปีได้แล้ว เขามีลูกกับผู้หญิงคนนั้น เป็นเด็กผู้ชายอายุสามขวบที่น่ารักน่าชังแต่ผมกลับเกลียดเข้าไส้ มันแย่งความรักของพ่อไปจากผม แย่งพ่อไปจากแม่ และอีกไม่นานเราก็จะเสียผู้ชายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไป
ควรรู้สึกยังไงดี ถึงวันนั้นอาจทำได้แค่ยิ้มและโบกมือให้พ่ออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับเอ่ยประโยคสั้นๆ เป็นการสั่งลาว่าอย่ากลับมาอีก
เพราะผมไม่ต้องการความรักจอมปลอมของเขาอีกต่อไปแล้ว
“ก็ไม่ได้อยากเสือกหรอกนะ ถ้าแม่มึงไม่มาขอร้องแกมฝากฝังให้คนเหี้ยๆ อย่างมึงมาพักอยู่กับกูที่ห้อง”
“ไม่ต้องห่วง กูไม่บากหน้าไปอยู่กับมึงหรอก”
ปัญหานี้เพิ่งได้รับการพูดคุยเมื่ออาทิตย์ก่อน พ่อกับแม่กำลังทำเรื่องหย่า สินสมรสแบ่งกันคนละครึ่ง ค่าเลี้ยงดูผมพ่อเสนอเงินออกให้ครึ่งหนึ่งโดยจะทำการโอนเข้าบัญชีให้ทุกเดือน
ถึงแม้ครอบครัวเราจะเหลือกันแค่สองคน ทว่าค่าใช้จ่ายก็ยังเท่าเดิมเลยตัดสินใจขายคอนโดที่ผมอยู่ เพื่อเปลี่ยนไปเช่าห้องถูกๆ แถวมหา’ลัยแทน
เราตกลงกันแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าแม่จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างบ้าน
“ขอให้มันจริงอย่างที่ปากว่า เพราะกูโคตรขยะแขยงที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับคนอย่างมึงเลย”
“คิดเหรอว่ากูอยากอยู่ แค่ทุกวันนี้ก็อึดอัดฉิบหาย”
“แล้วมึงคิดว่ากูไม่อึดอัดหรือไงวะ” ดูเหมือนไอ้บูจะเหลืออดเต็มทน
การมีบ้านอยู่ใกล้แถมแม่ยังเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันด้วยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผมต้องปั้นหน้าบอกว่ายังเป็นเพื่อนรักกับไอ้บูอยู่ แม้จะเป็นการนัดเจอกันแค่เดือนละสองครั้ง แต่การทำดีและพูดจาเพราะๆ ต่อหน้าคนในครอบครัวกลับเป็นอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงของผมเหลือเกิน
แม่ไม่เคยรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปแค่ไหน อาจเพราะพยายามอย่างมากที่จะปกปิดมันเอาไว้ และฝืนทำเหมือนว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
“เมื่อไหร่เรื่องระหว่างกูกับมึงจะจบสักที” คำถามนี้หลุดออกมาจากปากคนตัวสูงกว่า ผมมองหน้าอีกฝ่าย แค่นยิ้มสมเพชอย่างที่มักทำเสมอ
“จบยังไง”
“เลิกยุ่งกับกู เลิกแย่งผู้หญิงกู จะไปตายที่ไหนก็ไป”
“ความจริงมันควรจบตั้งนานแล้ว แต่มึงไม่ใช่เหรอที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ จะโทษใครได้วะ”
“มันเป็นความผิดของมึง”
“มึงก็ดีแต่โทษคนอื่น ถามจริงๆ เถอะ ไม่เคยคิดสักนิดเลยเหรอว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพราะตัวมึงเองเหมือนกัน”
“...”
“กูยังจำได้ จำได้ดีเลย...มึงเคยทำกูเจ็บแค่ไหน” แล้วมันผิดอะไรที่ผมจะตามจองล้างจองผลาญไม่ให้คนที่เกลียดแสนเกลียดอยู่อย่างสงบ ถึงรู้ว่าชีวิตคงไม่มีทางรู้จักกับความสุขอีกแล้ว แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอที่ใครอีกคนก็ต้องทนทุกข์กับความรู้สึกเดียวกัน
นี่แหละคือความทรมาน
ช่วงดึกของวันเดียวกัน ผมตัดสินใจออกมาแฮงก์เอาท์กับเพื่อนต่างคณะเพื่อหลีกเลี่ยงความจำเจในชีวิต
ร้านเหล้าย่านมหา’ลัยยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกของผมตายด้านหรือหมดความตื่นเต้นไปแล้วกันแน่ ถึงได้ไม่รู้สึกสนุกหรือคล้อยตามไปกับบรรยากาศรอบตัว แม้เสียงเพลงจะถูกเปิดบิลด์มาพักใหญ่แล้วก็ตาม
“เป็นอะไรของมึงวะ ทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ได้”
“เซ็ง”
หลายคนวาดลวดลายบนฟลอร์ ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะหิ้วหญิงมาอวดอยู่ตรงหน้าทว่ากลับไม่มีผลใดๆ ต่อความรู้สึก คงมีอยู่อย่างเดียวคืออารมณ์เบื่อหน่ายซึ่งเกาะกุมอยู่ภายใน
“ออกไปเต้นสิ”
“ทำอย่างกับไม่รู้จักกู” ผมไม่ชอบเต้น ไม่ชอบเข้าหา มีแต่ให้คนเสนอมาอย่างเดียว
“งั้นก็กระดกให้หมดแก้ว คืนนี้ยังอีกยาวไกลเว้ยเพื่อน”
ผมมีก๊วนแก๊งต่างคณะที่มักจะเจอกันเฉพาะตอนสังสรรค์เท่านั้น นิสัยแต่ละคนก็คล้ายๆ กันคือเป็นพวกปาร์ตี้จัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่ก็ยังเอาตัวรอดกับการเรียนโคตรมหาโหดในมหา’ลัยได้
“เฮ้ยไอ้เนย์ คู่แค้นมึงมาว่ะ”
นั่งกระดกเหล้าเข้าปากอยู่เกือบชั่วโมง ความสนใจทั้งหมดก็ถูกใครคนหนึ่งชักจูงไปในที่สุด
จู่ๆ ความเบื่อหน่ายที่มีในคราแรกก็จางหาย แทนที่ด้วยความตื่นเต้นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้แค่ว่ามันรู้สึกดี
“โผล่มาคนเดียวซะด้วย นัดหญิงอีกแน่ๆ” เพื่อนร่วมโต๊ะเริ่มจับกลุ่มคุย ทุกสายตาเพ่งมองไปยังเจ้าของผมสีแดงเพลิงซึ่งยืนห่างจากเราไม่ไกลนัก
ถึงจะเป็นแค่กลุ่มเพื่อนที่ชวนกันปาร์ตี้ ไม่ได้สนิทสนมอย่างลึกซึ้งจนรู้ตื้นลึกหนาบางในชีวิตของกันและกันไปซะทุกเรื่อง แต่กับเรื่องง่ายๆ อย่างความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียดก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิด
ใครต่างก็รู้ ผมกับบูรพาไม่มีทางญาติดีกัน
“เอาไงดีไอ้เนย์ อยากหาอะไรทำแก้เซ็งมั้ย” คนเคียงข้างถามด้วยรอยยิ้ม ไอ้นี่ชื่อดิน เป็นทุกอย่างทั้งคนดี คนเลว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และบางครั้งก็เห็นแก่ตัว ผมชอบมันนะ ตัวตนแบบนี้แหละที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
“ให้กูทำไง” ผมถามกลับ จิตใจเต้นเร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“จัดมันเลย ถือว่าเอาคืนที่มันทำหน้ามึงพัง”
“เดี๋ยวอีกวันมันก็โผล่มาซัดกูอีก”
“ก็เอาให้เข็ดไปเลยไง ให้สาสมกับที่มึงเกลียดมัน”
ไอ้ดินไม่เคยรู้ว่าผมกับไอ้บูแตกหักกันเพราะเรื่องอะไร มันรู้อย่างเดียวเลยคืออดีตของเรานั้นย่ำแย่เกินกว่าจะจินตนาการ และผมก็เลือกระบายความรู้สึกนั้นออกมาผ่านความโกรธแค้นและชิงชัง
“แล้วมึงว่ากูควรทำยังไง”
“ทำไมต้องถามวะ อยากทำอะไรมึงทำเลย หรือจะให้กูออกตัวก่อน”
แน่นอนว่าผมไม่ขัดความหวังดีของเพื่อน นอกจากพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายออกตัวจัดการ สิบนาทีให้หลังผมถูกเรียกมายังหลังร้าน สองขาเดินไปยังมุมหนึ่งของกำแพง ก่อนจะเห็นเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่แสนคุ้นเคยยืนรออยู่ก่อนแล้ว
บรรยากาศด้านนอกต่างจากด้านในลิบลับ ทว่าแสงสลัวในบริเวณนี้ก็พอจะช่วยไม่ให้ใครสงสัยมากนัก
“ไง”
“ถึงตามึงแล้ว” ทุกคนหลบทางให้ผมย่างเท้าไปหาคนที่นอนกองกับพื้น
กลิ่นคาวเลือดผสมรวมกับความสกปรกแผ่ซ่านในจมูก ผมหรี่ตามองสภาพคนที่ถูกลากมาซ้อมจนอยู่ในสภาพร่อแร่ เสื้อผ้าแบรนด์เนมอย่างดีตอนนี้ไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้ว
ผมอยากหัวเราะกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่กลับหัวเราะไม่ออก
“เป็นไงมึง ยังไม่ตายนี่หว่า” ผมใช้เท้าเขี่ยคนที่นอนหอบหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าซึ่งกลบไปด้วยเลือดหันมามอง แววตาเคียดแค้นจนสังเกตได้
มันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมในวันนั้น...
“เป็นแค่หมาลอบกัด...อย่างมึง กูสมเพชว่ะ” คนถูกกระทำกัดฟันพูดแม้ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกระดิกตัวได้แล้วก็ตาม
ผมย่อเข่าลงมา เอื้อมมือไปจับลำคอแกร่งไว้เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยทำกับผม ก่อนถามประโยคที่คั่งค้างอยู่ในความรู้สึก
“เจ็บมั้ย”
“...”
“แต่เชื่อเถอะว่านี่ยังไม่ถึงครึ่งกับที่มึงเคยทำ”
“มึงสมควรโดน”
“งั้นมึงก็สมควรโดนเหมือนกัน ที่นี่มีแต่คนของกู ถ้ามึงยังไม่อยากตายตอนนี้ก็พูดขอร้องกูซะ! เผื่อกูจะใจดีปล่อยมึงไป”
แต่จนแล้วจนรอดไอ้บูก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา นั่นยิ่งทำให้ผมโกรธหนักกว่าเก่า
“พูดสิวะ! ขอร้องกูเหมือนที่กูเคยขอ”
“...”
“เร็วสิ! แล้วกูจะช่วยมึง” พูดไปผมก็ยิ่งออกแรกบีบคออีกฝ่ายแน่นขึ้น จนนานเข้าทนไม่ไหวต้องยื้อคอเสื้อของมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงร่างชุ่มเลือดกระแทกกับกำแพงด้วยความเดือดดาล
ตุบ!
ไอ้บูล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ แต่ริมฝีปากกลับยังแค่นยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นมานานแล้ว
ความรู้สึกหนาวยะเยือกเข้ามาแทนที่ความร้อนรุ่มในอก ผมถอยหลังไปสองก้าว มองดูแววตาคู่คมที่จดจ้องไม่กะพริบ
“ในเมื่อมึงไม่ขอร้องกูก็คงปล่อยมึงไปไม่ได้” เพื่อนผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ต่างจากหมาป่า มันเมา รู้สึกกระหายเลือดและอยากกระทืบใครสักคนจนกว่าจะพอใจ ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้าไอ้บูไม่เจ็บปางตายก็คงไม่มีใครหยุด “กูฝากจัดการให้ด้วย”
ผมหมุนตัวกะเดินกลับเข้าไปในร้าน เปิดโอกาสให้เพื่อนในกลุ่มได้จัดการในสิ่งที่พวกมันอยากทำ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวไปข้างหน้าเสียงทุ้มติดแหบพร่ากลับรั้งเรียกผมเอาไว้
“เนย์”
ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาไม่คาดเคลื่อน
และผมกลัว... นี่เป็นความรู้สึกลึกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้มองหน้าของคนบนพื้น อาการเริ่มเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดหรือด่าประโยคไหนกลับไปนอกจากยืนนิ่ง รอคอยว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะสาดซัดคำเจ็บๆ ออกมา ซึ่งแน่นอนว่าคนชื่อบูรพาไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนานเลยสักครั้ง
“อยากทำอะไรก็ทำ เพราะมึงไม่ได้สำคัญถึงขนาดที่กูต้องขอร้อง”
ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่
“จะตายก็ช่างแม่ง ยังไงมึงก็ลบอดีตไม่ได้อยู่ดี”
ทั้งที่รู้สึกเต็มอกว่าความรักของเรา…
“สุดท้ายมึงก็เป็นได้แค่คนที่โดนกูเอาแล้วทิ้งเท่านั้นแหละอาคเนย์” เป็นเพียงอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนอย่างที่หลายคนรู้กันดี จิตติเคยเขียนนิยายเรื่องนี้ใช้ชื่อ Damage พิษรัก เมื่อปี 2014
แต่เนื่องจากว่าเนื้อเรื่องไม่มีความสมเหตุสมผลเท่าที่ควรเลยเอากลับมาปัดฝุ่นใหม่
ซึ่งบอกเลยว่าเปลี่ยนใหม่ทั้งเรื่องจริงๆ เหมือนเอาโครงเรื่องมา ส่วนดีเทลในเรื่องนั้นเปลี่ยนเกือบทั้งหมด
รวมไปถึงครึ่งหลังที่รื้อเขียนใหม่ด้วย ยังไงฝากติดตามอาคเนย์ในเวอร์ชั่น 2018 ด้วยนะคะ
#อาคเนย์