บทที่ 20
แสนเสน่ห์
หลังจากที่มันให้ผมคุยกับเฮียแล้วมันก็มาปิดปากผมไว้ แล้วคุยกับเฮียต่อ ผมฟังเงื่อนไขที่พวกมันยื่นให้กับเฮียแผนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วจ้องหน้าพี่สรัญนิ่งๆ พอคุยจบมันก็เอามือออกแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่ออยู่กับพี่สรัญตามลำพังผมก็เหลือบไปมองที่ประตู เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาแล้วก็ถามพี่สรัญเบาๆ ด้วยความสงสัย
“พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าคดีอาญามันถอนฟ้องและยอมความกันไม่ได้” พี่สรัญยิ้มให้ผมก่อนจะตอบ
“รู้สิ พี่รู้ดี”
“อ้าว!” แล้วทำไมไม่ห้ามล่ะ ปล่อยให้มันเรียกร้องต่อทำไม!
“พี่ลองหลอกถามดูแล้ว แม่พี่ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนคนพวกนี้ก็เป็นพวกนักเลงปลายแถวที่แม่ใช้เงินพี่จ้างมาไม่รู้เรื่องกฎหมายพวกนี้หรอก” พี่สรัญถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“พี่เลวมากใช่ไหมที่อยากจะให้ตำรวจจับแม่ตัวเองเข้าคุก”
“ไม่หรอกครับ ในความคิดผม ถ้าพี่สรัญเข้าข้างแม่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องต่างหากถึงจะผิด”
“พี่ขอโทษด้วยนะที่ดึงแสนมาเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่รู้เรื่องคดีนี้ดีแต่พี่ก็ไม่ห้ามแม่ พี่ร่วมมือกับเขาแล้วปล่อยให้เขาเดินตามแผนต่อ เพราะพี่รู้ว่าเจ้าสัวสุธนกับคุณขุนแผนจะไม่มีวันยอมให้ใครก็ตามที่แตะต้องแสนลอยนวลไปได้แน่ๆ”
“แต่พี่จะติดร่างแหไปด้วย” ผมมองพี่สรัญด้วยสีหน้ากังวล นอกจากเรื่องที่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแล้ว ในความคิดของผม พี่สรัญก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย เพราะพี่สรัญก็พยายามดูแลปกป้องผมเต็มที่แล้ว ไม่ควรจะต้องมารับโทษไปกับแม่ของเขาด้วยเลย
“พี่บอกแล้วไงว่าพี่ยอมรับผลจากการกระทำของตัวเอง ถ้ามันจะทำให้แม่หมดโอกาสที่จะไปทำร้ายแม่บุญธรรมของพี่และทำร้ายคนอื่นๆ อีก พี่ก็ยินดีจะรับโทษ” พี่สรัญบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ผมได้แต่มองพี่สรัญด้วยความสงสาร ทำไมพี่สรัญต้องมาเกิดเป็นลูกของผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ เคยเจอแต่ในข่าวที่แม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายและจิตใจลูก เพิ่งจะเคยเจอกับคนใกล้ตัวก็คราวนี้แหละ
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไงดี เอาเป็นว่าขอให้รอดไปได้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยปรึกษากับเฮียแผนอีกที
“แสนไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลแสนให้ดีที่สุด จะไม่ให้ใครทำร้ายได้แน่” พี่สรัญกลับเดาอาการผมไปอีกทาง ซึ่งผมก็ไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้น ได้แต่ยิ้มตอบพี่สรัญไป แต่ก่อนที่เราจะได้คุยอะไรต่อก็มีคนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะล่วงหน้าสักนิด
ไร้มารยาทจริงๆ!
“คุณ คุณผู้หญิงให้ไปหา” ไอ้คนที่เข้ามาเรียกเป็นคนเดียวกับที่ไปจับผมมา มันจ้องหน้าผมเขม็งแล้วแสยะยิ้มให้เหมือนจงใจกวนประสาท
เห็นแล้วอยากเอารองเท้ายัดปากจริงๆ
“อืม รู้แล้ว ไปสิ” พี่สรัญรับคำ แล้วยืนรอให้มันออกไปก่อนถึงได้เดินตามไป สงสัยกลัวมันจะเข้ามาทำร้ายผม
ผมมองตามไอ้คนเดินนำไปอย่างหมั่นไส้ นี่ถ้าไม่มีปืนขู่และมีจูดี้ตัวประกันละก็ อย่าหวังว่าจะจับผมได้ง่ายๆ เลย แน่จริงตัวต่อตัวไหมล่ะ เหอะ!
ระหว่างที่พี่สรัญไม่อยู่ พี่สรัญก็ล็อคห้องผมไว้ บอกว่าไม่ได้ล็อคเพื่อกันไม่ให้ผมหนี แต่เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับผมมากกว่า พอถึงเวลาอาหารก็เอามาให้เอง แล้วหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเป็นเพื่อนด้วย
ตอนแรกพี่สรัญจะนอนที่พื้น แต่ผมบังคับให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน เพราะเตียงมันใหญ่พอสำหรับนอนสองคนได้สบายๆ หลังจากตกลงกันได้ ผมก็รีบนอนเพื่อเก็บแรงไว้เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะต้องเจอต่อไป
*********************************************************************
ปัง!
ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ไกลๆ ก่อนจะลุกพรวดพราดไปเปิดไฟแล้วหันมามองหน้าพี่สรัญที่ยังนั่งทำหน้าตกใจอยู่บนเตียง
“เกิดอะไรขึ้น” พี่สรัญถามก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหาผม
ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบ ก็นอนอยู่ด้วยกัน แล้วจะไปรู้ไหมว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น!
ปึงๆๆๆ
“เปิดประตู! เปิดประตูเร็วๆ” เราสองคนมองหน้ากันเมื่อมีคนมาเคาะประตูรัวๆ พี่สรัญตัดสินใจเดินไปเปิดประตูแล้วถามคนเคาะที่มีสีหน้ากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนบุกรุก แต่ไม่รู้ว่าใคร เราต้องหนีกันก่อน ไปเร็ว!”
“ต้องเก็บของไหม” พี่สรัญถามอย่างละล้าละลัง
“ไม่ต้อง ไม่ทันแล้ว ต้องไปเดี๋ยวนี้”
“ได้ๆ ฉันขอหยิบโทรศัพท์ก่อน” ระหว่างที่พี่สรัญเดินไปหยิบของ มันก็สั่งให้คนที่มาด้วยอีกสองคนมัดแขนผมไพล่หลังแล้วคอยประกบผมไว้ก่อนที่จะเดินนำไป
เมื่อออกไปข้างนอกก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนรออยู่ เดาว่าน่าจะเป็นแม่พี่สรัญ เพราะมีเค้าหน้าคล้ายๆ กัน พร้อมกับคนติดตามอีกสองคนซึ่งทั้งหมดมีปืนอยู่ในมือ ผมคงจะหนีไปตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ คงต้องหาโอกาสหนีทีหลัง
“นำทางไปเลย” เธอบอกไอ้คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่จับผมมา
“คนที่เหลือล่ะครับ” พี่สรัญถามแม่ของเขา แต่ไอ้คนที่เป็นหัวหน้าตอบแทนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ารำคาญ
“ให้ล่อพวกมันไปอีกทางแล้ว ไปได้แล้ว อย่าชักช้า!” พูดจบมันก็รีบเดินนำไปทันที
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อย อย่าลีลา เดี๋ยวกูยิงไส้แตก”
ผมกลอกตา เมื่อไอ้คนที่จับผมมาขู่ตามแบบตัวร้ายในละครเป๊ะ นี่ก็รีบจนขาจะขวิดแล้ว เดินมืดๆ กลางป่าแบบนี้ไม่หัวทิ่มก็บุญแล้ว แถมโดนมัดมือแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เสียการทรงตัวเข้าไปใหญ่
แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพราะรู้ดีว่ามันจงใจหาเรื่องกันเฉยๆ ดีที่มีพี่สรัญคอยประกบอยู่ข้างๆ มันเลยทำอะไรผมไม่ได้ ที่มันยังเกรงใจพี่สรัญก็เพราะมันยังไม่ได้ค่าจ้างทั้งหมดจากแม่พี่สรัญหรอก ไม่งั้นผมคงแย่
ปังๆๆๆ!
ผมเผลอชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืนดังอยู่ด้านหลัง รู้สึกว่าเสียงน่าจะใกล้ๆ กับบ้านหลังที่เราเพิ่งจะออกมาเลย อดจะหวังไม่ได้ว่าเฮียกับธงรบจะมาช่วยผม แล้วก็อดจะห่วงทั้งคู่ไม่ได้เหมือนกัน
“เดินไป อย่าหยุด เดี๋ยวกูก็ยิงทิ้งหรอก” เมื่อเห็นผมหยุด ไอ้คนรอหาเรื่องมันก็ผลักหลังผมจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่สรัญประคองไว้ทัน ไม่งั้นคงเจ็บตัวแน่
“มึงอย่าเพิ่งหาเรื่องมันไหมได้ไหมไอ้เหี้ย! รีบหนีก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดหรอก” ไอ้หัวหน้ามันหันมาด่าลูกน้องมัน เมื่อมันหาเรื่องผมมาตลอดทางไม่ยอมหยุด
“จิ๊” มันจุ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเงียบแต่โดยดี
สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เห็นใบหน้ากวนประสาทของมันลางๆ เห็นแล้วอยากให้เสือออกมาลากไปกินให้มันจบๆ ซะ จะได้ไม่หนักแผ่นดิน ผมคิดในใจอย่างดุเดือด
“ใกล้ถึงรึยัง” หลังจากที่เดินมาได้สักพักใหญ่ๆ แม่พี่สรัญถามด้วยน้ำเสียงหอบๆ เพราะมันพาเดินมานานโดยไม่ได้พักเลย
“ใกล้แล้วคุณนาย ทนอีกนิด” หัวหน้ามันตอบแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันพาเดินมาท่ามกลางความมืดโดยไม่ต้องมีแสงสว่างนำทางสักนิด เหมือนกับว่ามันชินกับเส้นทางแถวนี้ดี
ผมกวาดตามองรอบๆ ตัวเผื่อหาทางหนีทีไล่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาก็เห็นเพียงต้นไม้และได้ยินแค่เสียงแมลงที่ร้องระงม ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นบ้านคนเลยสักหลัง คิดแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความเครียด ตอนนี้คงต้องพึ่งตัวเองอย่างเดียวแล้ว คงขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แน่
ยิ่งเสียงปืนที่ดังไล่หลังมาเงียบไปแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวล ทั้งกลัวว่าคนที่มาช่วยจะตามหาไม่เจอ ทั้งกลัวว่าพวกเขาจะเป็นอันตรายด้วย
มันพาเดินต่อไปอีกไม่นานอย่างที่ว่า มันก็หยุดเดินแล้วบอกให้ทุกคนเงียบ ก่อนที่มันจะผิวปากเป็นสัญญาณ ไม่นานก็มีเสียงผิวปากตอบกลับมาและมีคนเดินออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนบุกไปที่นั่น ไป! เอารถออกเลย เราต้องหนีไปจากที่นี่ก่อน”
“ครับหัวหน้า” หลังจากรับคำแล้วมันก็เดินไปเอารถที่แอบไว้ไม่ไกลแล้วขับมาหาหัวหน้ามัน
ผมอดจะชมในใจไม่ได้ว่าพวกมันรอบคอบจริงๆ ที่เตรียมรถกับคนไว้อีกทางด้วย เมื่อรถมาจอดอยู่ข้างๆ แล้ว ไอ้คนที่ชอบหาเรื่องผมมันก็ถามขึ้น
“แล้วไอ้นี่ล่ะหัวหน้า” หัวหน้ามันมองหน้าผมก่อนจะมองหน้าลูกน้องมันแล้วพยักหน้า ลูกน้องมันก็หันปืนมาหาผม พี่สรัญเลยรีบเข้ามาขวางทันที
“แม่! ไหนว่าจะไม่ทำร้ายแสนไง” พี่สรัญหันไปพูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย มันเห็นหน้าพวกเราแล้ว จะปล่อยมันไปได้ยังไง” หัวหน้ามันบอกอย่างหัวเสีย
ผมก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าที่พวกมันเปิดเผยหน้าตาให้ผมเห็นแบบนี้ ก็คงไม่ปล่อยให้ผมรอดไปได้แน่ๆ
“แต่เราต้องใช้แสนต่อรองอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณแผนขอฟังเสียงแสนอีกจะทำยังไง” พี่สรัญพยายามหาเหตุผมมาต่อรอง
“ผมมีวิธีของผมน่า หลีกไป!” หัวหน้ามันหันปืนเข้ามาขู่พี่สรัญ
“แม่! อย่าทำอะไรแสนเลยนะ” พี่สรัญขอร้องแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“หลีกไปสรัญ” แม่เขาบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ลูกน้องของมันสองคนเดินมาล็อคตัวพี่สรัญไว้แล้วลากออกไป
“แม่! อย่านะ ฆ่าคนโทษหนักนะครับ แม่อย่าทำผิดอีกเลย” พี่สรัญพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของเขาต่อ
“เงียบไปเลยนะสรัญ ถ้าครอบครัวมันไม่จับพ่อแกเข้าคุก มันก็คงไม่ต้องโดนแบบนี้หรอก ถ้าจะโทษก็โทษพ่อโทษพี่มันโน่น”
ผมอยากเถียงว่าถ้าไม่ทำผิดแล้วจะโดนจับเข้าคุกไหม แต่ไม่อยากกระตุ้นอารมณ์เธอให้เธออารมณ์ขึ้นกว่านี้ เพราะกลัวจะตายไวกว่าเดิม เลยต้องยอมอยู่เงียบๆ และมองหาทางหนีให้เร็วที่สุด
“ก็ถ้าเขาไม่โกง ไม่ทำผิด เขาก็คงไม่ต้องถูกจับหรอก!” ถึงผมจะไม่พูดแต่พี่สรัญก็พูดแทนให้แล้ว
“นี่แกเข้าข้างคนอื่นเหรอ เขาเป็นพ่อแกนะสรัญ!”
“พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่เคยมาใส่ใจแบบนั้นไม่มีซะยังจะดีกว่า!
“สรัญ!”
“แน่จริงแม่ก็ฆ่าผมไปด้วยเลยสิ ยังไงแม่ก็ไม่เคยรักผม ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกอยู่แล้วนี่ พอผมมีความสุขแม่ก็มาทำลายมันทุกครั้ง เอาสิ! ฆ่าผมไปพร้อมกับแสนเลย!”
“สรัญ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“พอเถอะคุณนาย อย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลย เสียเวลา จัดการไปให้มันจบๆ ดีกว่าจะได้รีบหนีซะที” หัวหน้ามันรีบห้ามเมื่อสองแม่ลูกยังทะเลาะกันไม่ยอมจบ พอจบคำไอ้คนที่มันเกลียดขี้หน้าผมก็หันมาแสยะยิ้มให้
“ลาก่อนนะมึง”
ผมรีบกระโดดหลบ เพราะหวังว่าจะมีโอกาสหลบพ้นได้บ้าง
ปัง!
“โอ๊ย!”
ผมเผลอหลับตาเมื่อได้ยินเสียงปืน คิดว่าคงถูกยิงแน่ๆ แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้เจ็บที่ตรงไหนก็รีบลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นว่าคนที่ถูกยิงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของมัน
“อย่าเพิ่งยิงมัน เก็บไว้เป็นตัวประกันก่อน” หัวหน้ามันหันมาสั่ง เมื่อเห็นว่ามีคนลอบโจมตี ทำให้ผมยังหนีไปไหนไม่ได้ เพราะไอ้คนที่จะยิงผมหันหน้าจากทิศทางที่ได้ยินเสียงปืน หันปืนมาจ่อผมต่อ
ปังๆๆ!
พอตั้งตัวได้พวกมันที่เหลือก็ระดมยิงไปรอบๆ ตัว เพราะคนที่ยิงใส่พวกมันน่าจะอยู่ไม่ไกล
พลั่ก! ระหว่างที่พวกมันกำลังจะหาที่กำบัง พี่สรัญก็ศอกไอ้คนที่จับตัวไว้ ก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดจากการล็อคตัวของพวกมันได้
ผมจึงได้โอกาสกระโดดเข้าไปเตะปืนในมือไอ้คนที่จ่อผมไว้ ตอนที่มันกำลังเสียสมาธิเพราะเสียงปืนที่ยิงโต้มาจนปืนกระเด็นไปไกล แขนผมหลุดจากเชือกที่มัด เพราะได้คัตเตอร์ที่พี่สรัญแอบยัดใส่มือไว้ตัดเชือกขาดพอดี ผมจับตัวมันโน้มลงมาเข่าที่ท้อง ตามด้วยประสานมือฟาดลงที่ท้ายทอยแรงๆ จนมันล้มลงแล้วเหยียบหลังซ้ำ
“โอ๊ย!”
“แสนระวัง!”
ปัง!
“กรี๊ด สรัญ!”
ผมมองพี่สรัญที่เข้ามาบังกระสุนไว้ด้วยความตกใจ พอหันไปมองที่มาของกระสุนก็เห็นว่าปืนอยู่ในมือของแม่เขา เธอคงเก็บปืนที่หล่นเมื่อครู่แล้วตั้งใจจะยิงผม แต่พี่สรัญเข้ามาขวางไว้ก่อน พอเห็นเธอยืนอึ้งอยู่แบบนั้น หัวหน้ามันก็ลากเธอไปหลบหลังต้นไม้ใกล้ๆ และตอบโต้กับคนที่ยิงมาจนไม่มีเวลาสนใจผมอีก
“พี่สรัญ!”
“แสน...หนีไป” พี่สรัญกุมท้องตัวเองไว้แล้วพยายามบอกให้ผมหนี
“ไม่ครับ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน” ผมพยายามลากร่างพี่สรัญไปหาที่กำบัง จะให้ทิ้งคนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตตัวเองไปได้ยังไง
“พี่...ขอโทษนะ” พี่สรัญเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ จนผมใจไม่ดี
“ผมไม่รับคำขอโทษของพี่ จนกว่าพี่จะหายแล้วมาขอโทษอีกที ผมถึงจะยกโทษให้ แฮ่กๆ” ผมพูดไปหอบไป เพราะพี่สรัญตัวใหญ่และหนากว่าผม ทำให้ผมต้องออกแรงลากจนหอบ
“อย่างน้อย...พี่ก็ปกป้อง...แสนได้” สายตาผมพร่ามัวไปด้วยน้ำตา เมื่อพี่สรัญยังยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย ก่อนที่พี่สรัญจะบ่นว่าเจ็บแผลแล้วสลบไป
“พี่สรัญ! ตื่นก่อน อย่าเพิ่งหลับ พี่สรัญ อดทนไว้ก่อนนะครับ!”
“อย่าอยู่เลยมึง” ผมเงยหน้าไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นไอ้คนที่คิดว่าสลบไปแล้วถือปืนเดินเข้ามาหา
ปัง!
ตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่มารับกระสุนแทนอีกคน
“คล้าว!!!”
ปังๆๆ! ไอ้คนที่ตั้งใจจะยิงผมถูกยิงเจาะกลางหน้าผากจังๆ จนมันล้มลงไปทันที
ผมถลาเข้าไปหาคล้าวที่ล้มอยู่ใกล้ๆ แล้วกวาดตามอง ก็เห็นว่าคล้าวใช้มือกดบริเวณท้องไว้ ผมได้แต่มองอย่างใจเสียและทำอะไรไม่ถูก
“พี่แสน...ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ไม่...ฮึก ไม่เป็นไร คล้าวอดทนไว้นะ”
“แสน! เป็นอะไรรึเปล่า” เมื่อเห็นคนที่โผล่ออกมาจากต้นไม้ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮีย! ฮึก คล้าวถูกยิง พี่สรัญก็ถูกยิง ฮึก ทำยังไงดี” ก่อนที่น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะไหลออกมาทันทีที่เห็นเฮียแผน เฮียกวาดตามองผมเร็วๆ พอเห็นผมไม่เป็นอะไรก็บอก
“แสนไปหลบหลังต้นไม้ก่อน” เฮียพูดจบก็รีบลากคล้าวไปหลบหลังต้นไม้ทันที
“เดี๋ยวแสนช่วย”
“ไปหลบเดี๋ยวนี้ ที่เหลือเฮียจัดการเอง” เฮียบอกเสียงดุๆ ผมจึงยอมเดินมาหลบแต่โดยดี เพราะตอนนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจอ่อนล้าจนแทบจะไม่ไหวแล้ว
“ระวังด้วยนะเฮีย” ผมบอกเฮียด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าเฮียลากพี่สรัญตามมาและเห็นว่าเฮียปลอดภัยดีแล้ว ก็รีบมาดูคล้าวที่เลือดไหลออกจากแผลด้วยความกังวล
“ตำรวจประสานกับโรงพยาบาลให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสักพักรถพยาบาลก็คงมาถึง” ปากบอกผม มือก็ช่วยกดแผลพี่สรัญไปด้วย ผมจึงดูคล้าวได้อย่างวางใจมากขึ้น
“ได้ยินไหมคล้าว อดทนไว้ก่อนนะ” ผมวางมือทับมือคล้าวไว้เพื่อช่วยกดห้ามเลือด
“พี่แสน”
“ครับ”
“ผมขอโทษ” ทำไมคนที่รับกระสุนแทนผมทั้งสองคนต้องขอโทษผมทั้งคู่ด้วยนะ ถึงจะไม่รู้ว่าคล้าวขอโทษเรื่องอะไร แต่ผมก็ก้มลงไปจ้องตาคล้าวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ไม่รับ คล้าวต้องมาขอโทษพี่อีกครั้งหลังจากหายดีแล้ว พี่ถึงจะยกโทษให้ เข้าใจไหมครับ” ผมบอกกับคล้าวไม่ต่างจากที่บอกพี่สรัญ เพราะหวังว่าอย่างน้อยคนทั้งคู่จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับพิษบาดแผล เพื่อกลับมาขอโทษผมอีกครั้ง
“พี่แสน” คล้าวยกมืออีกข้างมาแตะแก้มผม
“ครับ”
“ผม...รัก” พูดได้แค่นั้นคล้าวก็มีสีหน้าเหมือนเจ็บปวดมาก ใบหน้ามีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่คล้าวจะหลับตาลง
“คล้าวอย่าเพิ่งหลับนะ อดทนไว้ก่อนนะคล้าว อดทนเพื่อพี่นะครับคนดี” ผมกุมมือคล้าวข้างที่แตะแก้มผมไว้แน่น ทำให้คล้าวพยายามลืมตาขึ้นมามองผม
“คุณแผนครับ เคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับ” ผมหันไปมองคนที่เดินมาหาเฮีย เมื่อมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าเสียงปืนเงียบไปแล้ว
“ตรงนี้มีคนถูกยิงสองคน รถพยาบาลใกล้มาถึงหรือยังครับ” พอเฮียแผนถามจบ ผู้ชายคนนั้นก็วอถามทันที
“รถพยาบาลใกล้มาถึงแล้ว เราย้ายคนเจ็บไปรอที่ถนนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปตามคนมาช่วยก่อน” พูดจบก็เดินไปทันที ไม่นานก็มีคนอีกหลายคนเอาอุปกรณ์มาช่วยปฐมพยาบาลคล้าวกับพี่สรัญก่อนจะยกคนทั้งคู่ไป
แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินตามไป เฮียก็ก้าวมาหาแล้วรวบตัวผมไปกอดแน่นซะก่อน
“ปลอดภัยแล้วนะแสน” ผมกอดตอบเฮียแน่นไม่แพ้กัน
“แสนคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าเฮียอีกแล้ว”
“ไม่มีทาง เฮียไม่ปล่อยให้แสนเป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”
“ขอบคุณนะครับเฮีย แสนรักเฮียนะ”
“เฮียก็รักแสนเหมือนกัน” เฮียเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูงมือผมเดินตามคนอื่นๆ ไป
เมื่อเดินไปถึงรถที่จอดอยู่ ก็เห็นธงรบยืนมองหาอะไรสักอย่างด้วยสีหน้ากระวนกระวาย แต่พอมันหันมาเห็นผม มันก็ก้าวเร็วๆ มาแล้วรวบตัวผมไปกอดไว้แน่น
“ดีจริงๆ ที่มึงปลอดภัย” ผมกอดตอบมันแล้วตบหลังมันเบาๆ
“ขอบใจนะรบ”
“มึงเป็นน้องกูนี่” ผมอดจะยิ้มไม่ได้ เมื่อมันยังคงมุ่งมั่นจะเป็นพี่ผมให้ได้
พอได้ยินเสียงไซเรนเข้ามาใกล้ ธงรบก็ปล่อยผม ผมรีบเดินไปดูคล้าวที่ตอนนี้มีตำรวจช่วยดูแลอยู่ แล้วก็มีไม้นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าคล้าวหลับตาอยู่ ผมก็เรียกชื่อน้องมันเบาๆ
“คล้าว” เมื่อได้ยินเสียงของผม คล้าวก็พยายามลืมตาขึ้นมามองด้วยสีหน้าอ่อนล้าจนผมกังวล
เมื่อรถพยาบาลจอดลง เจ้าหน้าที่ก็รีบเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลทันที พอเห็นคล้าวอยู่ในมือเจ้าหน้าที่แล้วผมก็พอจะวางใจได้บ้าง
ผมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปส่งพวกเราที่โรงพยาบาลก่อน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคล้าวและพี่สรัญเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เฮียเลยลากผมไปให้หมอตรวจร่างกายผมด้วย
เมื่อหมอบอกว่าผมไม่มีอาการอะไรผิดปกติ นอกจากมีอาการฟกช้ำแค่บางจุดและอ่อนเพลียเท่านั้น เฮียถึงวางใจยอมให้ผมไปรอหน้าห้องผ่าตัดได้ เราทั้งห้าจึงมานั่งรอหน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ
ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทั้งคู่ปลอดภัย
รีบกลับมาหาพี่นะคล้าว พี่รอคล้าวอยู่
คล้าว
ผมฝัน.... ฝันเห็นเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก
ฝันเห็นตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก เพราะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกๆ วันพ่อจะพาผมออกไปหาปลา เก็บหอย จับปู เก็บผักกับพ่อแล้วเอามาให้แม่ทำกับข้าวกินด้วยกัน
ในตอนนั้นบ้านของผมมีควายอยู่หลายตัว เพราะพ่อเริ่มผสมพันธุ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีจนได้ควายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากที่พ่อตายไป แม่ก็ต้องขายควายเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้และเอาเงินมาไว้ใช้จ่ายในบ้าน เนื่องจากตอนนั้นแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ จึงทำให้ออกไปทำงานไม่ได้เหมือนแต่ก่อน
ต่อให้ผมไปทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ค่าจ้างไม่มากนัก เพราะผมยังเด็กอยู่ แม่จึงตัดสินใจขายควายจนหมดคอก เพื่อที่จะนำเงินมาใช้และเก็บบางส่วนไว้เป็นทุนให้ผมเรียนต่อไป
จนลุงคนหนึ่งที่สนิทกับพ่อสงสารเราที่ต้องไปจ้างให้คนอื่นไถนาให้ ก็เลยใจดีให้เรายืมควายตัวเมีย เพื่อให้เอาไปผสมพันธุ์และเลี้ยงดูจนกว่ามันจะคลอดลูก เมื่อลูกมันหย่านม เราก็ค่อยเอาแม่ควายไปคืนเจ้าของ แล้วลูกควายตัวนั้นก็จะเป็นของเรา
ผมรับหน้าที่เลี้ยงควายแทนแม่ เพราะตอนนั้นแม่ผมป่วยหนักขึ้นจนแทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากทองกวาวเกิดมาได้ไม่นาน แม่ผมก็จากไปอีกคน ทำให้ผมผูกพันกับทองกวาวมาก เพราะนอกจากผมจะเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือแล้ว ผมก็ถือว่าทองกวาวเป็นเพื่อนที่แม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากไปอีกด้วย
ผมเห็นตัวเองเติบโตมาพร้อมกับทองกวาวเรื่อยๆ จนในวันหนึ่ง ผมเห็นทองกวาวถูกงูกัดตายในวันที่ผมไม่อยู่ เพราะผมไปช่วยคนในหมู่บ้านสีข้าวในตอนกลางคืน ผมเห็นทองกวาวร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงแล้วค่อยๆ หายแผ่วลงเรื่อยๆ
“ทองกวาว อย่าเป็นอะไรไปนะ ทองกวาว ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยทองกวาวด้วย”
ผมร้องเรียกทองกวาวและตะโกนให้คนมาช่วยทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน และผมก็ไม่สามารถสัมผัสตัวทองกวาวได้เลย ได้แต่มองทองกวาวสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา
ผมเห็นวิญญาณของทองกวาวออกจากร่างไป ก่อนที่จะมีวิญญาณของใครคนหนึ่งตามทองกวาวมาแล้วก็เข้าไปในร่างของทองกวาวแทน ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เพราะผมรู้จักคนๆ นั้นเป็นอย่างดี
พี่แสน!!!
หลังจากนั้น วิญญาณของพี่แสนในร่างของทองกวาวก็อยู่กับผมมาตลอด นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ผมรู้สึกว่าทองกวาวเปลี่ยนไปและฉลาดผิดปกติ
น้ำตาผมไหลอีกครั้งเมื่อเห็นพี่แสนในร่างทองกวาวถูกยิงตายเพราะเข้ามาช่วยผมไว้ เห็นความพยายามของพี่แสนในการตามหาผมหลังจากที่วิญญาณกลับเข้าร่างจนฟื้นขึ้นมาและจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
ยิ่งเห็นก็ยิ่งซาบซึ้งกับสิ่งที่พี่แสนทำเพื่อผมและมันก็ยิ่งทำให้รู้สึก ‘รัก’ พี่แสนมากขึ้นไปอีก
ผมมองไปรอบๆ ตัว เพื่อหาทางกลับไปหาพี่แสน ก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงคอกของทองกวาวที่บ้านริมทุ่งของผมเอง เมื่อหันกลับมาจากตัวบ้านผมก็เห็นทองกวาวยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ทองกวาว”
“มออออออ”
ผมก้าวเข้าไปหาทองกวาว ในขณะที่ทองกวาวก็เดินเข้ามาหาผมเหมือนกัน เมื่อไปถึงตัวทองกวาวผมก็เข้าไปกอดคอมันไว้แล้วซบหน้าลงกับคอของมันด้วยความคิดถึง
“พี่คล้าวคิดถึงทองกวาวเหลือเกิน”
“มออออ”
“มันมาลาเอ็งน่ะคล้าว” ผมเงยหน้าขึ้นจากคอทองกวาว เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
“หลวงตา” ผมปล่อยมือจากทองกวาวแล้วก้มลงกราบท่าน
“ทองกวาวมันเป็นห่วงเอ็ง มันก็เลยไปไหนไม่ได้ แต่ตอนนี้เอ็งมีคนดูแลและหมดเคราะห์หมดโศกแล้ว มันก็เลยหมดห่วง ถึงเวลาที่มันต้องไปในที่ที่มันควรไปแล้ว”
ผมหันไปมองทองกวาวก็เห็นมันผงกหัวให้เหมือนจะยืนยันคำพูดของหลวงตา ผมลุกขึ้นไปลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเข้าไปกอดมันอีกครั้ง
“ขอบใจนะทองกวาวที่อยู่เคียงข้างพี่มาตลอด ขอให้ทองกวาวไปสู่ภพภูมิที่ดี... พี่คล้าวรักทองกวาวนะ” พูดจบผมก็จูบหัวทองกวาวเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยออกมา
ถ้าตาไม่ฝาดผมว่าผมว่าผมเห็นทองกวาวยิ้มให้ทั้งน้ำตา ผมจึงยิ้มตอบทองกวาวทั้งน้ำตาไม่ต่างกัน ก่อนที่ร่างของทองกวาวจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีทองแล้วจางหายไป
ลาก่อน... ทองกวาวของพี่คล้าว
“เอ็งก็กลับไปได้แล้ว คนทางโน้นคงร้อนใจแย่แล้ว”
“ผมกลับไปได้เหรอครับหลวงตา”
หลวงตาไม่ได้ตอบแต่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย แล้วอยู่ๆ ก็มีลมพัดมาอย่างแรงจนผมต้องหลับตาลง ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป
********************************************************************************
ทุกคนคิดถูกแล้วค่ะ พระเอกเรื่องนี้คือทองกวาว พี่คล้าวหลบปายยยยยยย
เห็นรูปนี้แล้วนึกถึงพี่คล้าวกับทองกวาวเลยค่ะ