Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.16 GO THROUGH TOGETHER(14|11|18) p.11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.16 GO THROUGH TOGETHER(14|11|18) p.11  (อ่าน 130242 ครั้ง)

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #270 เมื่อ25-10-2018 05:18:28 »

เค้าได้กันแล้วววววว......เวสเขียนฉากเซ็กส์ได้แบบล้ำอ่ะ เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศเลย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #271 เมื่อ25-10-2018 07:13:11 »

จากนี้จะเป็นไงต่อละ..

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #272 เมื่อ25-10-2018 10:07:23 »

วั้ยยยย ในที่สุดด พี่มังกรก็กินน้องธูปล้าววว

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #273 เมื่อ25-10-2018 19:46:03 »

หนักเข้าไปอีก เด็กเดินไม่ได้แน่ ไม่น่าหลงคารมพี่มังกรเลย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #274 เมื่อ25-10-2018 23:05:11 »

นึกคำจะเม้นไม่ออกเลย

รู้แต่มันดีมาก คุณสื่อสารอารมณ์ได้เยี่ยมมาก

ออฟไลน์ MooMiew

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #275 เมื่อ25-10-2018 23:45:56 »

 :-[ :-[

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #276 เมื่อ28-10-2018 08:07:12 »

ไฟลุกแล้วธูป แอร๊ยยยยนนนนนน
น้อนนนนนนนน

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #277 เมื่อ28-10-2018 14:54:13 »

sexy กันจริงๆ  :m25: :m25: :m25:

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #278 เมื่อ29-10-2018 05:04:59 »

น้องธูป ดู tedtalk อันเดียวกันด้วย

สะบัด 12 ครั้ง

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
«ตอบ #279 เมื่อ29-10-2018 18:02:49 »

ฝ่าฟันกันไปเนาะ จับมือกันให้แน่นเข้าไว้นะ

ทั้งคู่สู้ไม่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.13 Geek is sexy (25|10|18) p.09
« ตอบ #279 เมื่อ: 29-10-2018 18:02:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #280 เมื่อ01-11-2018 00:59:06 »

chapter 14
Fear eats the soul


 

 

 

ไม่มีเงื่อนไขใด

ไม่มีใครนิยาม

หรือกฎเกณฑ์ที่ต้องตาม

ยามที่เธอลองให้รักบอกหัวใจตัวเอง



          ผมนั่งฟังเพลงเดิมซ้ำไปมาเหมือนคนบ้า ปกติแล้วจะชอบเพลงบรรเลงมากกว่าเพลงที่มีเนื้อร้องแต่ได้ยินเพลงนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนที่พี่นันต์เลือกเพลลิสต์ใหม่ให้ร้าน ช่วงเวลาที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์เนื้อเพลงก็ติดอยู่ในหัวเล่นซ้ำวนไปมาจนต้องเสียเงินซื้อ และเป็นเพลงไทยเพียงเพลงเดียวในเพลลิสต์ของตัวเอง

          “เมื่อเช้าอาจารย์แวะมาที่ร้านก่อนไปสอน” พี่นันต์พูดขึ้น ลูกค้าในร้านไม่เยอะ ยังเป็นเวลาเพิ่งเตรียมของ ผมตื่นตั้งแต่เช้าเหมือนเคย ออกไปวิ่ง กลับมาอาบน้ำ นั่งทำธีสิสให้เสร็จไวๆ

          “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

          “เริ่มสอบแล้วมั้ง ช่วงนี้อาจารย์ไม่ค่อยแวะมาที่นี่”

          ผมพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าใกล้สอบอาจารย์จะอยู่ที่คณะให้คำปรึกษาเด็กๆ ปีนี้ผมไม่ได้เข้าไปเป็นทีเอที่ห้องเรียนเหมือนปีก่อนๆ เพราะกว่าจะจัดการเรื่องงานบวชพ่อและอื่นๆ ของตัวเองเรียบร้อยอาจารย์ก็จ้างนักศึกษาปีสี่เป็นทีเอช่วยงานสอนในห้องแล้ว

          “ผ่านไปไวเหมือนกันนะ”

          “ครับ?”

          “จะครบเทอมแล้วน่ะสิ”

          ผมเห็นด้วย แต่หนึ่งเทอมของเด็กมหาวิทยาลัยก็ไม่กี่เดือน อาจารย์เล่นไม่อยู่สอนไปเสียครึ่งเทอมยิ่งไวเข้าไปใหญ่ “อาจารย์ให้เข้าไปเอารายงานของนักศึกษามาตรวจ จะฝากไอ้มาร์คมาไหม”

          ผมนิ่งไปชั่วขณะ พักหลังมานี้ธูปไม่ค่อยเข้ามาที่ร้าน หรือถ้ามาก็เกาะแจที่เคาน์เตอร์ แสดงอาการหวาดระแวงชัดเจน

          เด็กที่โกหกใครไม่เป็นอย่างมัน

          คิดแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกับความซื่อบื้อที่ผกผันกับไอคิวดี

          “ทะเลาะกับธูปเหรอ”

          “เปล่าครับ”

          “พักหลังๆ ไม่เห็นเข้ามา” ถ้าผมคิดได้ทำไมคนไหวพริบดีอย่างพี่นันต์จะคิดไม่ได้ “มาก็ไม่ไปนั่งด้วย แปลกๆ มองระแวงห่างๆ ไปดุอะไรมันหรือไง”

          “ผมน่ะนะจะดุมัน” พูดกลั้วหัวเราะ ตามใจอย่างกับอะไรดี พี่นันต์ไหวไหล่ หันไปตักน้ำแข็งแล้ววกกลับมาที่เครื่องชงซึ่งกำลังทำงาน

          “บางทีไอ้ธูปก็น่าด่าจะตายชัก”

          “ก็จริง แต่เจอมันทำท่าหูลู่หางตกผมก็ดุไม่ได้แล้วว่ะพี่”

          “แสดงงง” พี่นันต์ลากเสียงยาว “หงอได้ไม่ถึงสิบนาทีจ้า ลุกขึ้นมาทำเรื่องผีห่าซาตานอีกเหมือนเดิม”

          “พี่ก็ไปว่าน้องมัน” ผมปฏิเสธไม่ได้ ไอ้ธูปเป็นแบบนั้นจริง ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียแต่ก็น่ารักดี “พี่ไม่รำคาญไอ้มาร์คเหรอครับ เมื่อก่อนเห็นทำท่าเหม็นหน้ามันบ่อยๆ”

          “รำคาญ” เบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาก บาริสต้ากู “มันก็เหมือนเพื่อนมันนั่นแหละ น่ารำคาญแต่ทำอะไรได้ สนใจมากประสาทเสีย”

นับว่าพี่นันต์เป็นคนชัดเจน เด็ดขาดฉิบหาย ยอมแพ้ครับ อย่างเดียวที่ทำให้พี่นันต์สงบเห็นทีจะมีคอลัมนิสต์สาวที่เทียวไปเทียวมามากกว่าเจ้าของร้านนั่นแหละ

          “แล้วช่วงนี้คุณกานดาไปไหนอะพี่”

          “ต่างประเทศ” คู่สนทนาตอบห้วน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตะโกนเรียกลูกค้ามารับเครื่องดื่ม เขากระตุกมุมปากกระชากใจสาวเหมือนเคย นับวันยิ่งกลายเป็นอปป้าแสนอบอุ่นขัดกับนิสัย “ถามทำไม”

          ตาคมค้อนขวับ ก่อนพูดต่อ “ถ้าไม่นับไอ้ธูปก็มึงเนี่ย อะไรกับคุณกานดาจัง ชอบหรือไง”

          “ผมอะเหรอ เปล่าเว้ย พี่ต่างหาก” ผมยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อสัพยอกเข้าตรงจุด พี่นันต์เงียบ ไม่เถียง ว่าไม่ชอบ

          “มึงเคยชอบใครที่เป็นไปไม่ได้ไหมวะ”

          “เคยดิ” ตอนนี้เลยแหละ “ผมไม่อยากนับว่าใครเป็นไปไม่ได้มากกว่านะ ระหว่างผมกับพี่ มันไม่มีหน่วยที่แน่นอน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเหตุผลที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะตามหลักปรัชญาหรือเศรษฐศาสตร์”

          “ไอ้ธูปเข้าสิงร่างหรือไง พูดเหี้ยอะไร” ผมหัวเราะเมื่อนึกขึ้นว่านี่มันเป็นวิธีการพูดของไอ้เด็กนั่น อาจอยู่ด้วยกันบ่อยเกินไป บ่อยจนลอกเลียนพฤติกรรมบางอย่างมาโดยไม่เจตนา

          “หมายถึงเรื่องฟลุ๊กมันมีจริงอะพี่ บางทีคุณกานดาอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากเท่าที่พี่คิดก็ได้นะ”

          “ไม่หรอกว่ะ” คู่สนทนาทำหน้าเซ็ง แต่เชื่อมั่นในความไม่เชื่อมั่นของตัวเอง “คนเราโตขึ้นมันก็ต้องคิดหลายอย่าง ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่แค่ชอบคนนี้ เออ ลองจีบ เขาชอบเหมือนกันก็คบ ไม่ชอบก็จบ ยิ่งคิดตรงกันยิ่งยาก ยากที่สุดไม่ใช่ตอนจีบ ตอนจะไปต่อยังไงต่างหาก”

          คำพูดของพี่นันต์ทำเอาผมสะอึก เรื่องระหว่างผมกับธูปดูกลายเป็นเรื่องของเด็กทันทีเมื่อเทียบกับความจริงจังของคนตรงหน้า

          “กูไม่อยากดึงเขามาลำบาก กูไม่มีอะไร การศึกษา หน้าตาทางสังคม อนาคต พยายามแค่ไหนก็ไม่ทันอยู่ดี”

          ผมถอนหายใจ ตบบ่า ไม่รู้ว่าจะปลอบคนตรงหน้ายังไง ทุกอย่างที่พี่นันต์พูดก็ถูก ผมหมายถึงบางเรื่องพยายามแค่ไหนก็ไร้ความหมาย

          “แล้วยังไง มึงจะไปหาอาจารย์เองหรือให้ใครหิ้วงานมาให้ กูจะได้บอกไอ้มาร์คให้”

          “ไม่เป็นไรพี่ มันยิ่งเหม็นขี้หน้าผมด้วย”

          ขโมยรถไปสองครั้ง และอาจจะมีอีกหลายครั้งในอนาคต ผมเก็บแต้มให้มันรำคาญไว้ใช้เรื่องอื่นดีกว่า

 

          แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ

          คำพูดของพี่นันต์ยังเป็นปริศนาที่ผมพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง ผ่านค่ำคืนแสนหวานตื่นเพื่อพบกลางวันอันขื่นขม มีเพียงผมและธูปที่รู้ว่าความลับในห้องใต้บันไดนอกจากดาวเรืองแสงที่ไม่ดีต่อสุขภาพแล้วมีอะไร บางเรื่องที่อาจารย์พิภพระแคะระคายแต่ทุกคนทำเมินเฉยเหมือนว่าลืมมันไป

          ผมส่งข้อความหาธูป ไม่มีคนตอบและไม่มีคนอ่าน รู้สึกว่ามันทำตัวติดต่อได้ยากมากขึ้น มาที่ร้านน้อยลง พูดอีกทีเหมือนถูกหลบหน้าทั้งที่ตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ พยายามบอกว่าเด็กก็แบบนี้ อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว หุนหันพลันแล่น หรือบางทีอาจจะเครียดเรื่องสอบ อย่างสุดท้ายที่นึกออกคือมันไม่ตั้งใจจะมีสัมพันธ์กับผมจริงๆ

          อย่างนี้เรียกว่าหลอกฟันหรือเปล่าวะ

        หัวใจผมวูบโหวงเหมือนมีอะไรมาควักเนื้อออกไปจนแหว่งวิ่น ยิ่งนานวันยิ่งลึกละขยายวงกว้าง อาจเป็นรอยเน่าของหนอนบางชนิดเจาะกินไว้ ผมยังหาตัวการไม่ได้ และดูเหมือนมันจะทำลายความรู้สึกให้ท้อแท้หดหู่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไล่ข้อความย้อนกลับไปไม่เห็นว่ามันอ่านมาหลายวันแล้ว อยากไปตามมันที่บ้านอีกครั้ง จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ผมวิ่งตามมันโดยไม่รู้ความผิดของตัวเอง

          ผู้ชายเป็นเพศที่ซื่อบื้อ แฟนเก่าผมบอกไว้อย่างนั้น พอเป็นผู้ชายสองคนที่คบกันแม่งก็ยิ่งซื่อบื้อไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์แล้วก็นึกออกยากเหลือเกินว่าเราเข้ากันดีฉิบหายโดยไม่ต้องสื่อสารล่วงหน้าได้ในเรื่องไหนอีกบ้าง

          หรือบางที ผมกับธูปอาจไม่เคยสื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกมาจริงๆ กันทั้งคู่เท่านั้นเอง

          เวรเอ๊ย แล้วมีอะไรที่ผมจะทำได้อีก หรือต้องยอมให้มันเป็นคนทำบ้าง

          จะว่าไป วันนั้นผมก็ไม่ไดไ้ม่อนุญาตมันสักหน่อย เพียงแต่สถานการณ์ดำเนินไปให้เป็นไปในรูปแบบที่มันอ่อนระโหยโรยแรงเมื่อผมจุดไฟเผามันด้วยสายตาเท่านั้นเอง

          “เจ้ก้อง!”

          เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ไอ้ชื่อหลังน่ะคุ้น แต่คำนำหน้านี่มันอะไรวะ ผมหันกลับไปมอง เด็กสาวคนคุ้นเคยโบกมือจากอีกฝั่งถนน เมื่อไม่มีรถโบว์ก็วิ่งข้ามฝั่งมาคล้องแขน

          “เรียกตั้งนานไม่หัน อีกนิดจะเรียกว่าคุณแม่แล้ว”

          “คุณแม่อะไรวะ”

          “ก็เอาไว้เรียกเพื่อนสาวตัวท็อปไง”

          ผมเอาแฟ้มรายงานที่พกมาด้วยตีหัวคนพูด ไม่ได้แกะมือออกจากแขน “เลอะเทอะใหญ่แล้ว”

          “แซวเล่น มาทำอะไรคะ อ๊ะ หรือเลี้ยงเด็กไว้ที่นี่”

          “เด็กกับผีอะไรล่ะ เอางานมาส่งอาจารย์พิภพ เอาข้อสอบไปตรวจด้วย”

          “ข้อสอบปีโบว์หรือเปล่า”

          “ถ้าใช่จะแกล้งตรวจผิดให้คะแนนน้อยๆ”

          “โอ๊ย ทำไมร้ายจัง อย่าแกล้งโบว์เลยแค่นี้ก็กลัวไม่ผ่านจะแย่”

          ผมหัวเราะ ตั้งแต่รู้ความลับของกันและกันทำให้ผมกับโบว์สนิทสนมกันมากขึ้น ไม่ได้คุยบ่อยเท่าช่วงที่ไปค่าย แต่โบว์มักทักมาเรื่องปัญหาที่ไม่แน่ใจว่าจะปรึกษาใครนานๆ ที ผมตอบเท่าที่ตอบได้ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษเพราะในหัวมีแต่เรื่องของคนบางคนตลอดเวลา

          “ยังไม่รู้หรอก นี่ก็ยังไม่ได้ไปเอางาน แล้วไม่มีเรียนเหรอ ใส่ชุดลำลองมามหา’ลัย”

          “มาอ่านหนังสือค่ะ” เด็กสาวตอบ โชว์กระเป๋าผ้าที่หิ้วมาด้วย ใบใหญ่จนต้องยื้อมาช่วยถือให้ “ไม่เป็นไรพี่ โบว์ถือเอง”

          “พี่แข็งแรงกว่า แล้วจะไปไหนเดี๋ยวเดินไปส่งก่อน พี่มาก่อนเวลานัดอาจารย์ ยังพอไปได้”

          “โบว์อ่านเสร็จแล้ว เพิ่งแยกกับเพื่อนเมื่อกี้ จะไปขึ้นรถเมล์หน้ามอ.แล้วแต่เจอศิษย์รักของอาจารย์พิภพก่อนนี่ล่ะ”

          “งั้นพี่ไปส่งที่ป้ายรถเมล์”

          “โห มาถึงมอ.ทั้งทีไม่เลี้ยงข้าวน้องหน่อยเหรอ” เจ้าของประโยคตัดพ้อทำท่าน่าสงสาร ผมแพ้ผู้หญิงน่ารักแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ชอบผู้ชายแล้วก็ไม่ยกเว้น “โบว์รอพี่คุยกับอาจารย์เสร็จก่อนก็ได้ สัญญาว่าจะนั่งอ่านหนังสือเรียบร้อยๆ ใต้ตึกคณะ ไม่ขึ้นไปแอบดูข้อสอบเลย”

          “โอเคๆ” ผมยอมเลี้ยงข้าวโรงอาหารในที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าใช้เวลาไปคิดเรื่องไอ้ธูปที่ไม่เห็นทางออก ผมควรจะวางเรื่องนั้นก่อนเป็นบ้า “ไม่รับปากนะว่าเสร็จกี่โมง ถ้ารอไม่ไหวก็กลับไปได้เลย ติดไว้วันหลัง”

          “รอได้อยู่แล้ว”

          เด็กสาวซบลงบนแขน ออดอ้อนออเซาะ สงสัยผมจะเป็นเจ้ในสายตาโบว์ไปแล้วจริงๆ ถึงกล้าเล่นถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังเขินบิดไปทั้งตัว

     





          “กลุ่มตัวอย่างที่เอามาเป็นข้อมูลก็โอเคแล้ว แต่ผมว่าเรฟเฟอเรนซ์ตรงนี้ยังไม่ชัด มีทฤษฎีของอีกหลายคนที่ตั้งขึ้นมาก่อนคนนี้ เป็นการบันทึกต่อยอดประวัติศาสตร์ คุณลองทบทวนอีกทีว่าควรใส่ชื่อใครในการอ้างอิงน่าจะสรุปออกมาได้ดีกว่านี้”

          ภายในห้องพักอาจารย์ ห้องหัวหน้าภาคแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง เสียงพลิกกระดาษดังในความเงียบ กลิ่นที่โอบล้อมเป็นกลิ่นอับและกลิ่นของเอกสารที่วางท่วมหัวจากโต๊ะหนึ่งสู่อีกโต๊ะหนึ่ง อาจารย์พิภพอ่านรายงานผ่านแว่นสายตา วิจารณ์งานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “บทนี้ก็แก้อีกนิด ส่งพร้อมบทหน้าเลย ไม่น่ามีอะไร เอ้อ ผมจะฝากข้อสอบของนักเรียนให้คุณไปตรวจ เป็นข้อเขียน อ่านแล้วอาจจะเอาไปใช้กับงานได้ในเรื่องของความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่”

          เขาว่าพลางยกเอกสารที่ถูกมัดด้วยเชือกฟาง ห่อล้อมมิดชิดด้วยกระดาษสีน้ำตาล “เป็นข้อสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายของปีสี่ เสร็จแล้วไว้ที่ร้านเลยก็ได้ วันเสาร์ผมน่าจะได้เข้าไปดูอีกที”

          “ครับ” ผมรับกระดาษมาอุ้มไว้ น้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม “เท่านี้เหรอครับ”

          “แค่นี้แหละ ผมเคลียร์บางส่วนแล้ว”

          “เปล่าครับ” ผมไม่ได้หมายถึงงาน “ผมหมายถึง...”

          “เอาล่ะ รีบกลับก่อนฝนตกดีกว่า มีเอกสารด้วยเดี๋ยวจะลำบาก” เขาตัดบทสนทนาเรียบง่าย “ ช่วงนี้พายุเข้าด้วย”

          เก้าอี้หนังถูกหมุนกลับไปหาโต๊ะที่เปิดคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมไว้ เบาะที่นั่งเอนไปด้านหลังเมื่อชายวัยกลางคนทิ้งน้ำหนักลง เขาถอดแว่น นวดขมับ ราวกับต้องการตัดโลกข้างนอกออกไปจากหัว แม้ว่าเป็นโลกที่กำลังทำให้วุ่นวายใจก็ตาม

 

คนเราก็เป็นเท่านี้ ไม่แก้ปัญหาก็หนีปัญหา หลับตาแสร้งไม่รับรู้ เพิกเฉยและหยิ่งผยองเกินกว่าจะยอมรับว่าพ่ายแพ้

แพ้ให้กับปัญหาที่ใหญ่เกินตัวมนุษย์คนหนึ่งจัดการได้เท่านั้นเอง

 

          “พี่ก้องลงมาพอดี!”

          เสียงของเด็กสาวดังเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากบันได โบว์นั่งอ่านหนังสือรออย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอย่างรับปากไว้ แต่เรื่องที่จะทำให้ไม่เรียบร้อยเห็นจะเป็นคนมาใหม่ที่ยืนคุยอยู่ไม่ไกล

          “คราวนี้หนีไม่ได้แล้วนะน้องธูป”

          “หนีอะไรกัน” ผมถาม พยายามมองหน้าเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลง เตะปลายเท้ากับอากาศไปมา

          “น้องมาหาอาจารย์พิภพน่ะค่ะ โบว์บอกว่าให้รอไปกินข้าวกับพี่ก้องก็บอกว่าน่าจะนาน จะรีบไปอ่านหนังสือต่อ เนี่ย ถ้าช้ากว่านี้อีกนาทีโบว์ไม่รู้จะรั้งไว้ยังไงแล้วนะ”

          ผมพยายามมองแกมบังคับให้สายตาคู่นั้นหันกลับมา แต่ธูปยังคงเฉไฉมองไปทางอื่น เอามือล้วงกระเป๋า เกร็งไหล่เพื่อไม่ให้เป้คู่ใจไหลลงจากบ่า

          “ไปด้วยกันสิ”

          “ผมมีนัดติวหนังสือกับเพื่อน”

          “ติวก็ต้องกินข้าว เย็นแล้ว”

          “เดี๋ยวจะไปกินกับเพื่อนต่อเลย”

          “จะไปกินกับเพื่อนทำไม ก็อยู่ด้วยกันตรงนี้แล้ว” ผมพยายามใจเย็น หงุดหงิดกับท่าทีเมินเฉยของอีกฝ่าย “โบว์ก็ไปด้วย”

          เสนอทางเลือกให้สบายใจว่าจะไม่เป็นที่จับตา ธูปเหลือบมองผมผ่านแว่น ใช้นิ้วดันแว่นกลับขึ้นไปแล้วล้วงกระเป๋าต่อ

          “ก็ไปกันเลย สองคนกำลังดี”

          “กำลังดีอะไร” ผมถามเสียงเครียด ไม่ตลกสักนิด แค่การหลบหน้ากันก็ทำเอาผมป่วนแทบแย่ จับตัวได้ก็ยังรั้นหาทางหนีท่าเดียว “ชวนมาร์คมาด้วยก็ได้”

          “มันคงมาเจอพี่หรอก”

          “บอกมันว่ากูเลี้ยง”

          “มาร์คมันกินดีกว่าโรงอาหารอยู่แล้ว”

          ไอ้ห่าแว่นนี่ชักกวนตีน ผมกอดอก กดดันมันด้วยท่าทาง “เป็นอะไร”

          “ถ้าน้องไม่อยากไป...”

          “ไม่มีอยากหรือไม่อยาก แต่วันนี้ธูปต้องไป” ผมพูดขัดคอโบว์ เจ้าของชื่อเงยหน้ามองช้าๆ เมื่อเห็นท่าทางของผมก็เม้มปากเข้าหากัน ตามันแดง แดงจนเห็นรอยช้ำรอบๆ กรอบตา เมื่อหรี่ตาลง จ้องมองให้ชัดขึ้น ก็พบความกลัวซ่อนลึกอยู่ด้านใน

 

          หรือบางทีอาจารย์อาจจะไม่พูดกับผม แต่ไปกดดันที่ธูปให้เลิกคุยกันแทน

            ขณะที่ความเงียบเหงาและห่างเหินคืบคลาน สิ่งที่ก่อตัววนซ้ำคือความกระวนกระวายไม่อาจรักษาความสงบนิ่งให้ตัวเองได้ ธูปรักษาระยะระหว่างผมกับมันจนน่าอึดอัด นั่งอยู่ตรงข้ามกันแต่แน่นิ่งราวกับว่าถ้าขยับตัวแล้วจะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม มันละเลียดกินอาหารในจานเชื่องช้า สั่งเป็นข้าวราดแกงง่ายๆ กับน้ำผสมน้ำเชื่อมง่อยๆ แก้วละ 12 บาทมาดื่ม สมัยผมเรียนราคามันถูกกว่านี้ และคิดว่าก่อนหน้าผมอาจจะไม่ใช่ราคา 10 บาทเช่นกัน

          “พักนี้ก็เลยอยู่ที่มหา’ลัยอย่างเดียวเลยสิ”

          เสียงเด็กสาวเอ่ยถาม ธูปละสายตาจากจานข้าวของตัวเองขึ้นสบตาแล้วพยักหน้าลง ผมลอบมองอากับกิริยานั้นเงียบๆ เป็นความเศร้าที่แฝงความอึดอัดใจ ไม่ใช่ธูปแบบที่เคยรู้จัก

          “เครียดแย่เลย”

          “ก็นิดหน่อยครับ”

          “ได้นอนบ้างหรือเปล่า” โบว์ถาม คู่สนทนายังคงตอบด้วยท่าทางขณะตักข้าวใส่ปาก มันไม่ได้กระตือรือร้นในการกินอย่างในภาพจำ เหมือนกินให้หมดๆ จะได้รีบลุกออกไปจากตรงนี้

          ผมเผลอถอนหายใจ ยาวเหยียดเหมือนผ่องถ่ายลมหายใจออกมาจากปอดจนหมด

          “เอ้า ถามคนนั้น คนนี้ทำท่าเหนื่อย คืออะไรอ้ะ”

          “เปล่า แค่อยากให้ธูปดูแลตัวเองดีๆ”

          “นี่ล่ะน้าศิษย์โปรดอาจารย์พิภพ” โบว์ยิ้มยิงฟัน แกล้งยวนโดยไม่รู้สถานการณ์ ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดโบว์ ไม่โทษที่ธูปมีท่าทีประดักประเดิด ถ้าทั้งหมดเป็นความผิดก็อาจเป็นผมเองที่เสือกเป็นศิษย์โปรดอาจารย์พิภพ

          “โบว์ เดี๋ยวพี่มา”

          ผมพูด ตักน่องไก่ในชามก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่กินให้ธูป ”กินให้หน่อย ถ้าเสร็จแล้วจะกลับไปอ่านหนังสือก็ไป ไม่กวนแล้ว”

          “เดี๋ยวค่ะ พี่ก้อง” มือขาวคว้าไว้ ผมเห็นสายตาธูปจ้อง แต่ไม่พูดอะไร นิ่งแน่แชเชือนราวกับระหว่างเราไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ลึกซึ้งกันมาก่อน “เป็นอะไรหรือเปล่า”

          “เปล่าค่ะ โบว์มีบุหรี่ไหม พี่ขอตัวนึงสิ”

          “เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปที่ร้าน สักห้าทุ่ม” ในที่สุดธูปก็เปล่งเสียงออกมาบ้าง เด็กหนุ่มรวบช้อนส้อมเข้าหากันไม่ยอมกินมากไปกว่านี้

          “ไปตอนร้านปิด?” เผลอดุนลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้ม กลอกตาขึ้นมองบนเพดาน ความหงุดหงิดงุ่นง่านเพิ่มทวีเท่าตัว หัวเราะหึออกมากลั้วลมหายใจ

          “ตามใจ... โบว์...” ผมทวงบุหรี่กับรุ่นน้องอีกครั้ง เด็กสาวมีทีท่าอิดออดแต่ก็ยอมหยิบให้พร้อมไฟแช็ก ผมรู้ว่าโบว์ติดมันและใช้บุหรี่เพื่อคลายเครียด ไม่คิดห้าม แต่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะใช้วิธีนี้ในการระบายสิ่งที่อัดอั้น ซ่องสุม กัดกินอยู่ในใจ

          “ธูปนั่งเป็นเพื่อนพี่ก่อนนะ” เจ้าของบุหรี่บอกคนฝั่งตรงข้ามที่ทำหน้าไม่สู้ดีเหมือนกัน

 





          ปลายมวนบุหรี่มอดไหม้ด้วยเปลวสีแดง กัดกินกระดาษสีขาวให้เป็นสีดำ กลิ่นมินต์อวลตลบคลุ้งในอุ้งปาก พ่นออกมาทางจมูก ชำระล้างแรงกดตึงของคล้ามเนื้อท้ายทอย แต่ทำให้น้ำลายเหนียวข้น

          ผมเลิกบุหรี่มานานแล้ว อันที่จริงก็ไม่เคยติด แต่สูบเพื่อเรียกร้องความสนใจในวัยเด็กทั้งที่พ่อแม่ก็เคยรักและสนใจดีทุกประการ อาจเป็นความคะนองและอยากได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อน ผมเคยเป็นหัวโจกของแก๊ง ไม่ได้เจ้าชู้ประตูดินแต่ไม่เคยดิ้นรนถ้าจีบผู้หญิงสักคนไม่ติด เดี๋ยวก็มีคนที่สอง คนที่สาม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีสาระอะไรให้จำ

          แต่นี่...กำลังเป็นบ้าอะไร เป็นบ้าเพราะถูกปั่นหัว รู้สึกไร้ค่าเมื่อถูกซุกซ่อนทั้งที่เข้าใจเหตุผลได้ ผมไม่ต้องมีใครให้แคร์นักเลยพูดได้ว่าอยากคบกันเหมือนคนอื่น เข้าใจทุกอย่าง ในกรอบปฏิบัติของไอ้ธูปที่จำเป็นต้องปิดบัง แต่เมื่อความปิดบังเข้มข้นตามประสาวัวสันหลังหวะกลับทรมานเสียยิ่งกว่ามันปฏิเสธกันด้วยซ้ำไป

           สรุปแล้วผมเป็นของทดลองชิ้นใหม่ของมัน หรือมันชอบผมจริงๆ กันแน่

         “ธูปไม่ชอบบุหรี่นะเฮีย”

          เงาทาบลงมาบนผนังปูนริมห้องน้ำ คนมาใหม่เอนตัวใช้แผ่นหลังพิง ผมหันหน้าหนี ไม่อยากคุยกับใครในเวลานี้

          “มันบอกว่ามากินข้าวที่โรงอาหารผมเลยตามมาดู แวะมาเจอเฮียที่ห้องน้ำก่อน”

          “เฮียพ่อมึงสิ” หันไปบอกลูกครึ่งอเมริกัน มันหัวเราะ ไม่ยักจะโกรธเหมือนตอนรถถูกใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

          “พี่คบกับมันจริงอะ”

          “มันบอกเหรอ”

          “ที่จริงก็สังเกตได้ วันที่พี่เปิดซิงมันแล้วมันมาเรียน คือนะ มันแปลกๆ แต่คงไม่คิดจะเค้นมันถ้าไม่เห็นรอยตอนมันก้ม”

          “ก้มอะไร”

          “ไอ้ธูปใส่เสื้อตัวใหญ่ บางครั้งนั่งอ่านหนังสือกันใต้คณะแล้วร้อนมันก็ปลดกระดุมบน ก้มทีเห็นไปถึงสะดือ แต่ไม่มีใครถือหรอก มันเป็นผู้ชาย ผมแค่รู้สึกว่ามันลุกนั่งแปลกๆ แล้วก็ถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหน หลักฐานมัดขนาดนั้นก็ต้องสารภาพ”

          ผมถอนหายใจ สัญชาตญาณเสือกของคนนี่มันรุนแรงจริงๆ “แล้วมันว่าไง”

          “ก็คบแหละ แต่ระแวงสัส กลัดกระดุมถึงเม็ดบนสุดยันวันนี้ โคตรเพี้ยน รอยดูดหายแล้วมั้ง เห็นเดินเหินได้ปกติ อย่ารุนแรงนักดิ ไอ้ธูปมันไม่เคย พี่ต้องใจเย็นๆ กับมัน แล้วซื้อเควายติดห้องไว้ด้วย you know it’s the best for sex อ่า แต่อาจทำให้ถุงแตกง่ายนะ” มาร์คเลิกคิ้วขึ้น “หรือไม่ใส่? ไม่ได้เลยนะเว้ย อันตราย”

          “คราวหน้าจะใส่” ตอนนั้นอารมณ์พาไป รู้แค่ว่ามันกับผมไม่เป็นโรค แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องการเกิดแผลภายในและการติดเชื้อ งี่เง่าฉิบหาย

          “พี่แม่ง อะไรวะ พึ่งได้จริงปะเนี่ย ขอบุหรี่ตัวดิ”

          “กูก็ไปไถน้องโบว์มา”

          “น้องงโบบบว์” ไอ้เชี่ยมาร์คลากเสียงยาว หลิ่วตามอง “เหมาคู่เลยปะเนี่ย”

          “แค่เพื่อนมึงก็ป่วนประสาทกูจะแย่แล้ว”

          ผมพ่นควัน สีเทาของมันเหมือนความอึมครึมระหว่างเรา มาร์คไหวไหล่ มองกลุ่มลมหายใจย้อมสีของผมจางออกไปช้าๆ

          “พี่แม่งเหมือนควันจริงด้วย”

          “อะไร”

          “มองเห็น ได้กลิ่น แต่จับไว้ไม่ได้ พร้อมพลิ้วไปตามลม พี่แบบ เป็นคนยังไงก็ได้เกินไป มันดูไม่จริงจัง ไม่ต่อสู้อะไรสักอย่างจะให้ธูปมันไว้ใจอะไร”

          “มันทิ้งกูเป็นรอบที่สามแล้ว” นับรวมกับสองครั้งแรกที่หายไปโดยให้ผมไปตามที่บ้าน สารพัดจะดูแลเพื่อให้เกิดครั้งถัดไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้เบื่อที่จะง้อ แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ก่อนหรือเปล่าวะว่ามันโกรธหรือเป็นอะไร

          “จริงๆ มันก็ดีนะที่ you flexible แบบ... มีความยืดหยุ่น ปรับตัวกับสถานการณ์ง่ายเพราะไม่ลงใจกับอะไร ผมหมายถึง ถ้าธูปเซย์โน พี่ก็คงไม่เดือดร้อนอะไร”

          “ใครบอกมึง”

          “เดา”

          “อย่า judge คนอื่นไปทั่ว”

          “แล้วใช่หรือเปล่า”

          ผมนิ่งไปชั่วขณะ สูบบุหรี่ครั้งสุดท้ายแล้วฝังปลายมวนลงในถังทรายเหนือถังขยะใกล้ๆ ระบายลมหายใจออกมาเชื่องช้า ไม่เร่งรีบ ใบไม้ไหวทำให้เงาที่ทอดลงมากระดิกระริก สีเทาดำแทรกด้วยแสงจากพระอาทิตย์ใต้ต้นพิกุลสูงใหญ่ นึกถึงต้นพิกุลที่แม่ปลูก ไม่เคยเลี้ยงจนโตก็ต้องขายต่อ ส่งต่อ บ้านเราไม่ได้มีพื้นที่ลงดินให้มันขยายตัวนัก แต่แม่ก็ยังชอบปลูกต้นไม้ เพาะชำ แข็งแรงแล้วก็ขายไปเป็นงานอดิเรก

          “กูไม่อยากสูญเสียแล้ว”

          ทั้งแม่ และพ่อ ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งสถานการณ์บังคับ หรือเลือกที่จะจากไปด้วยตัวเอง

          “โกงอะ พี่เล่นพนันแต่ไม่จ่ายเงิน”

          “อีกคนก็ไม่ลงเงินเหมือนกัน”

          “Okay, That’s fair but both of you not get any reward from this situation”

          มาร์คหมายถึงทั้งผมและธูปเมื่อไม่มีใครวางเดิมพันก็ไม่มีใครได้รับรางวัลที่เรียกว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรืออย่างน้อยอาจจะยั่งยืน

          "พูดเหมือนมึงลงทุนกับพี่นันต์จนกูต้องเอาเป็นอย่าง”

          “No. Anan so cute when angry but I don’t really like him”

          “มึงแซวเขาขนาดนั้นแต่บอกว่าไม่ได้ชอบพี่นันต์จริงๆ?”

          “มันง่ายไงที่ปากเราว่างแล้วก็มีใครว่างตรงนั้นพอดี พูดว่าชอบใครสักคนมันง่ายจะตาย ยูก็รู้ ใครๆ ก็พูดได้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เห็นด้วยตา คู่ไปกับมองให้ออกด้วยใจปะ”

          “เอาไอนสไตล์มาเล่นกับกูอีกแล้ว”

          “หรือจะโสดไปตลอดชีวิตแบบนิวตันล่ะ เอาเถอะ ผมไม่ได้เนิร์ดเท่าไอ้ธูปหรอก คำพวกนี้ก็จำมันมา so you know what he really want from you”

          ผมมองหน้ามาร์คที่เดินห่างออกไปแล้วหยุดเพื่อทิ้งประโยคหลังไว้เท่ๆ

          “ชื่อธูปก็จริงแต่มันไม่ได้ชอบควันนะ”

          ผมล้วงมือใส่กระเป๋า มองขึ้นไปด้านบน ใบไม้ปลิวตามแรงลม จากกิ่งก้านสู่ปลายยอด มีจังหวะกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยเมื่อกระรอกวิ่งจากกิ่งหนึ่งกระโดดไปสู่กิ่งหนึ่ง



          หรือเป็นที่ผมเองซึ่งไม่แข็งแรงพอให้มันคิดพึ่งพาให้ผ่านความกังวลใจนี้ไปได้ด้วยกัน







มาแหล่วว ขอโทษค่ะมาซะดึ้กดึกเลย ชื่อตอนนี้ fear eat the soul หมายถึง ความกลัวกัดกินจิตใจค่ะ เป็นเวลาที่ต่างคนต่างกลัวละ สู้นะ อย่ายอมนะ เฮ่ แปะศัพท์กิ๊กๆ ก๊อกๆ นิดนึง ตามความเข้าใจของอิฉัน ถ้าผู้รู้ท่านใดมีความเห็นอื่นแนะนำแก้ไขกันได้เน่อ

ปล. เรื่องนี้ 16 ตอนจบ แล้วจะไปเขียนพล็อตใหม่แล้วค่ะ วิ่งในหัวเยอะมาก จะร้อง

flexible = สามารถยืดหยุ่นได้

judge = ตัดสิน


That’s fair but both of you not get any reward from this situation = นั่นแฟร์สำหรับมึงทั้งสองตัวที่จะไม่ได้รางวัลอะไรไปเลยจากสถานการณ์นี้ หรือทำนองว่าไม่ทำอะไรซักอย่างก็แห้วไปเถอะ สมควรแล้ว

Anan so cute when angry but I don’t really like him = พี่นันต์น่ารักมากตอนโกรธ แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบเขาจริงๆ

so you know what he really want from you = ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วปะว่าธูปมันต้องการอะไรจากพี่

       

เจอกันวีคหน้าเด้อ

ออฟไลน์ Sykes

  • ♥ Hope Heals the Heart ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #281 เมื่อ01-11-2018 01:19:09 »

หน่วงหัวใจจัง  :mew6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #282 เมื่อ01-11-2018 04:00:37 »

รึต้องลากมือกันไปสารภาพกับอาจารย์

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #283 เมื่อ01-11-2018 05:07:16 »

บางที ก็เน็วหปสำหรับการเริ่มต้น หรือจริงจังกับความรัก
การไม่พูด ความไม่ชัดเจน คือคำตอบว่าไม่มั่นคง

เฮ้อออ ธูปเอ้ยย หนูอย่าพึ่งถอยนะลูก กลับมาคุยกับพี่เค้าก่อน
มังกรอาจจะคิดน้อยไปนิด แค่รักมันไม่พอกับทุกสิ่ง
ธูปคิดเยอะ คิดมาก ด้วยความสมบูรณ์แบบที่น้องมี

ว้าวววว มาร์คโผล่มารอบนี้ ทำคะแนนได้ดีเลยค่ะ
คนนอกมักมองออก คนในเอง เหมือนฝุ่นเข้าตาน่ะ

เราชอบเรื่องนี้และทุกเรื่องของคุณเวสต์เลยจ้า
เรื่องนี้ได้ฟีลแบบว่าพาเด็กทำตัวนอกกรอบ
ทั้งที่ความจริงแล้วธูปแค่ทำตัวไม่เหมือนเด็กคนอื่น
อยู่ในกรอบจนชิน แคร์สังคมเยอะ ด้วยบทบาทพ่อแม่
มังกรก็หลุดความเป็นตัวตน จากที่เคยมีพ่อแม่ครบ
จนวันนึงแม่จากไป พ่อเหมือนลืมว่ามีลูก
มังกรก็เคว้ง ชีวิตพลิก น่าสงสาร แต่โชคดีที่คิดเป็น
 
ก็ได้แง่คิดอีกแบบนะคะ คนเราชีวิตไม่มั่นคงตลอดเวลา
และความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง ในจิตใจก็ต้องมีความแปลกแยกบ้าง
แต่แค่ไม่พาตัวเองเข้าไปให้สิ่งที่จะทำให้มันแย่กว่าเดิมก็พอ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #284 เมื่อ01-11-2018 07:55:01 »

ธูปสู้ๆนะหนู  :กอด1:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #285 เมื่อ01-11-2018 10:04:44 »

มาร์คดูฉลาดขึ้นมาเพระาเป็นคนกลางนี่แหละ555555555

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #286 เมื่อ01-11-2018 10:20:09 »

เดินวนอยู่ในดง เควสชั่นมาร์คต่อไป

สู้ๆพี่มัง น้องธูป

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #287 เมื่อ01-11-2018 12:04:58 »

น้องจะกังวลก็ไม่แปลกอ่ะเจอแบบนี้ TT

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #288 เมื่อ01-11-2018 13:36:45 »

อะไรหลายๆอย่างยังดูไม่เคลียร์เลย จะจบแล้วหร่า ขออ่านต่อยาวๆได้มั้ยอ่า

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #289 เมื่อ01-11-2018 16:21:28 »

นอกจากมอเตอร์ไซต์แล้ว คำพูดน้องมาร์คก็มีประโยชน์ 5555


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
« ตอบ #289 เมื่อ: 01-11-2018 16:21:28 »





ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #290 เมื่อ01-11-2018 17:47:12 »

 :hao6:   :ling1:  สนุกมากกกกกกกกกกก.......อ่านรวดเดียวถึงตอนนี้  ......ค้างเลยสวยสวยสวย.....

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #291 เมื่อ01-11-2018 19:00:27 »

อีกสองตอนก้อจะจบแล้ว..วววว  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #292 เมื่อ01-11-2018 20:27:48 »

วันนี้เด็กมาร์คทำตัวดีมีประโยชน์
คำว่าจริงจังนี่จะให้พี่มังกรวิ่งไปชนกับอาจารย์พ่อรึ แต่ก็สมควรอยู่นะ กินลูกเขาไปแล้วนี่

ออฟไลน์ MooMiew

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 325
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #293 เมื่อ02-11-2018 01:06:18 »

ตบเข่าฉาด มาร์คอ่านพี่มังขาด ความรู้สึกตงิดๆ กับพี่มังมานานแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ได้คำตอบก็ตอนนี้  :serius2:

สงสารแต่น้องธูป สู้ๆนะน้อง อย่าเพิ่งแตกสลายไปก่อน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #294 เมื่อ02-11-2018 13:44:51 »

พี่มังมีอะไรให้เสีย?

ความสัมพันธ์แบบเกือบจะเป็นครอบครัวกับบ้านธูปไง

มีมูลค่าเท่ากับสิ่งยึดเหนี่ยวให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีค่า

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #295 เมื่อ05-11-2018 10:57:57 »

ออกเป็นหนังสือเลยเถอะ อยากอ่านมาก ลุ้นๆตลอดเลย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #296 เมื่อ07-11-2018 20:18:06 »

วันพุธแล้วนะฮะ น้องธูปเด็กเนิร์ดจะมาไหม ๆ

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
chapter 15
EMBARRASS YOUR FEELING


   

          ผมไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยเมื่อกลับไปที่โต๊ะอีกครั้งจะเห็นโบว์นั่งกินขนมอยู่คนเดียว ธูปหายไปพร้อมมาร์ค คงเอาเพื่อนมาเป็นข้ออ้างจะแยกตัวกับผมแต่แรก ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่ยอมรับว่าคำพูดของมาร์คที่มันคงบอกเชิงกระแนะกระแหน ไม่ชอบใจนักก็สะกิดผมให้คิดวกวนในหัวแทนที่เรื่องเก่า ว่ากันว่ามนุษย์ไม่เคยหยุดคิด เห็นจะเป็นเรื่องจริง

          แสงที่เหลือในความมืดเป็นแสงของไฟหลอดประหยัด บวกกับโคมที่เพิ่มความสว่างให้งานเอกสาร ผมเอนตัว นวดตาเมื่อพบว่าอ่านข้อสอบไปเกินครึ่ง มีวูบไหวบ้างในช่วงเวลาหยุดพัก วูบไปกับความคิดถึงคนหนึ่งคนที่ทำเอากว่าจะตั้งสมาธิเริ่มงานใหม่อีกครั้งได้ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

 



          “พี่ทำงานเหรอ”

          เสียงทุ้มต่ำกล้าๆ กลัวๆ ของเด็กหนุ่มดังแทรกความเงียบในคืนนั้น ผมหันไปมองและพบว่าเขาสวมเสื้อผ้าสบายๆ ไม่เหมือนที่ใส่ไปเรียน แสร้งเมินเฉยเย็นชากลับบ้าง อยากให้ทำให้รู้สึกเหมือนที่ผมได้รับอย่างสาสม

          “อืม ตรวจข้อสอบ”

          “พ่อรีบหรือเปล่า ผมช่วยไหม”

          “ไม่เป็นไร” วางปากกา ถอนหายใจ เหลือบดูนาฬิกาก็เห็นว่าห้าทุ่มกว่าแล้ว “มายังไง”

          “แท็กซี่ หนีพ่อออกมา”

          “แล้วทำไมไม่บอกเขาดีๆ ว่าจะมาค้างที่นี่” ผมถาม คราวก่อนๆ ก็เคยพูดตรงไปตรงมาได คราวที่เราตกลงปลงใจเป็นของกันและกันครั้งแรกหลังจากรู้ว่าอาจารย์พิภพระแคะระคายด้วยซ้ำ

          “ผม...ไม่ได้มาค้าง”

          ผมหรี่ตาลง มองนาฬิกาอีกครั้ง “นี่มันห้าทุ่มแล้วนะ”

          ธูปยังคงมีท่าทีประดักประเดิด วางมือไม่ถูกที่ ผมรวบเอกสารเข้าแฟ้ม ปิดโคมไฟตั้งโต๊ะแล้วเดินไปหา เด็กหนุ่มกวาดแขนไปมาเล็กน้อย เป็นอาการของคนไม่มั่นใจ

          “พี่โกรธผมไหม”

          “เรื่องไหน”

          “ผม...โกหกไม่เก่ง”

          เพราะทั้งชีวิตมันไม่เคยใช้ความเจ้าเล่ห์ตบตาใคร เป็นตัวของตัวเอง พกความมั่นใจในทุกการกระทำ ธูปไม่เคยลงมือถ้าไม่แน่ใจว่าหมากเกมนั้นจะชนะ เรื่องที่มีความเสี่ยงที่สุดที่ธูปเคยทำอาจเป็นเรื่องคุณกานดาที่มันลงมือจีบเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่มีในหนังสือเรียนทั้งที่ยังไม่มั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว ธูปคือคนเขลาที่ยังไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกเลยสักอย่าง

          “หมายถึงที่มาร์ครู้เรื่องเราน่ะเหรอ”

          “ครับ ผมกลัวว่าคนอื่นๆ จะรู้เพราะผมระวัง”

          เรายังคงหลอกตัวเองว่าอาจารย์พิภพหรือพี่นันต์อาจไม่รู้เบื้องลึกลงไปในความสัมพันธ์ของผมกับธูป เข้าใจไปว่าลูกชายคนเก่งไม่ได้มีใจฝักใฝ่เรื่องชู้สาว

          เพราะธูปไม่เคยถูกเรียกไปคุยหรือสอบถามสักครั้ง

           เด็กหนุ่มเม้มปาก กรอบตาแดงช้ำ เมื่อหยิบเอาแว่นสายตาออกจากหน้า ผมยิ่งสังเกตเห็นความทรุดโทรมชัดขึ้นกว่าเก่า

          “ได้นอนบ้างหรือเปล่า ปกติช่วงสอบมึงไม่อดนอนไม่ใช่เหรอ” ธูปเป็นคนแบบเดียวกับผมคือถนอมร่างกายตัวเองที่สุด ไม่โหมอ่านหนังสือจนซูบโทรม

          “นอนไม่ค่อยหลับเลยลุกมาอ่านหนังสือ”

          “ร้องไห้ด้วยหรือเปล่า”

          ในวันที่ผมไม่ได้ไปปลอบใจได้ ในวันที่ผมไม่สามารถทำให้มันเชื่อมั่นในตัวเองอีกแล้ว

          “ผมกลัว”

          ความรู้สึกผิดบาปที่แปลกแยกไปจากสังคม ธูปก้มลงมองปลายเท้า เสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็ทำใจโกรธต่อไม่ได้ ผมโกรธธูปไม่ได้ไม่ว่ามันจะป่วนประสาทสักแค่ไหนก็ตาม

          “พี่มังกร” สองขาขยับก้าว นิ้วโป้งเปลือยเปล่าของธูปเหยียบนิ้วโป้งเปลือยเปล่าของผม เด็กหนุ่มเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อง ใช้หน้าผากชนก่อนผมต้องรั้งเอวเอาไว้ไม่ให้มันเสียการทรงตัว

           ธูปค่อยๆ เอียงคอ ขณะที่ผมโน้มตัวลงต่ำ ลมหายใจหดสั้น คล้ายควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนัก เราค่อยๆ ใช้ริมฝีปากเกลี่ยแตะกัน สลับกับจมูก หน้าผาก ให้ผมหน้าเกี่ยวพันก่อนผมจะอุ้มมันขึ้นจูบอย่างตะกละตะกลาม

          เสียงของน้ำลายเหนียวดังฉ่ำแฉะ เราโอบกอดกันด้วยความโหยหา รักที่ซ่อนเร้นด้วยความหวาดกลัว กรอบที่ขังเราไว้ให้สามารถแสดงออกมาในห้องใต้บันได ธูปดึงเสื้อผมขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าติดแขนก็เปลี่ยนเป็นถอดเสื้อตัวเองออกอันดับแรก

          “ทำกัน”

          เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายร้องขอ บดเบียดสะโพกในอ้อมแขนให้ผมสัมผัสได้ถึงการตื่นตัวและแรงปรารถนา

          “ตรงนี้ไหม”

          “ไม่…ไปในห้อง” ผมใช้ริมฝีปากขบแผ่นอก เน้นย้ำตรงส่วนยอดที่เปล่งสีของเลือดฝาด ชูชันจากผิวขาว ธูปขืนตัวหนี ปฏิเสธซ้ำอีกครั้ง “ทำในห้อง”

          ผมยอมหยุดชั่วคราว หอบหายใจก่อนเดินลงบันไดทั้งที่อุ้มเด็กผู้ชายวัยยี่สิบไว้ในแขน เปิดห้องแห่งความลับด้วยมือเพียงข้างเดียว โยนธูปลงไปบนฟูก ล็อกประตูแน่นหนา หยิบถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นที่เตรียมไว้ก่อนคืบคลานตามไป

          ความกดดันที่ถูกข่มลงไว้ปะทุแรงกล้า ทั้งผมและมัน ร่างกายไม่ปฏิเสธความรู้สึกที่อยากแสดงออกตรงไปตรงมาและเปิดเผย เสียงของผิวเนื้อกระทบกัน ร่างกายหลอมรวมบดเบียด รสจูบที่คล้ายดูดและถ่ายวิญญาณให้อีกฝ่าย เหมือนหนอนดักแด้ที่นอนแน่นิ่งขยับปีกออกโผบินในช่องท้อง หนึ่งตัว สองตัว สามตัว ไม่อาจนับว่ามากมายเท่าไหร่ ความวาบหวามและอิ่มสุขภายในใจ ชั่วขณะหนึ่งที่เราต่างใช้เวลาด้วยกันเพื่อเป็นตัวของตัวเอง ขจัดความเศร้าหมองและอดีตที่ขีดเส้นเอาไว้

          “ธูป ถ้ากูรักมึงมากจนยอมเสียทุกอย่าง มึงไปกับกูได้ไหม”

          ผมมองตามัน เร่งเร้าจังหวะการเต้นของหัวใจด้วยการขยับร่างกาย จับขาเรียวแยก ธูปมองผม ตาแวววาวไหวระยับแต่ไม่ตอบคำถาม จากนั้นก็ปิดลงเชื่องช้า ปล่อยให้ร่างกายหลอมละลายเป็นหยาดหยดแม้ไม่สัมผัสแตะส่วนอ่อนไหวยามใกล้ฝั่ง เสียงกรีดร้องดัง เม็ดเหงื่อไหลจากจุดหนึ่งมายังอีกจุด ผมถอนตัวเพื่อใช้มือปลดปล่อยบนหน้าท้องอีกฝ่ายเช่นกัน



          “..อึก...”

 

          เหลือเพียงเสียงหอบหายใจ ดาวเรืองแสงบนผนังสมจริงขึ้นเมื่อสายตาพร่ามัว หลุดคว้างท่ามกลางความมืดมิดแต่อ่อนโยนราวได้รับอ้อมกอดจากผ้ากำมะหยี่ นัยน์ตาของธูปสะท้อนเงาวาววับจากแสงด้านนอกที่ลอดผ่านช่องเล็กๆ คล้ายความรู้สึกที่อัดแน่นเป็นมวลใหญ่ภายในห้องใต้บันไดที่เล็ดรอดออกไปกับอากาศ พัดลมดูดอากาศหมุนคว้าง เราจูบกันอีกครั้ง เนิบช้า อ่อนโยน เคล้าคลอลมหายใจด้วยลมหายใจ บอกรักผ่านอุณหภูมิที่ขึ้นสูงและลงต่ำ กวาดนิ้วหัวแม่มือไปบนแก้มนิ่มแต่เหนียวชื้นจากเหงื่อ จูบลงบนหน้าผากอีกครั้งก่อนหยิบเอาทิชชูมาทำความสะอาด ทิ้งตัวข้างกาย แน่นิ่งเงียบงัน มองดูดาวจอมปลอมบนเพดานเมลืองมลังสว่างไสว ประสานมือเกี่ยวไว้แทนความรู้สึก



          “ผมต้องไปแล้ว”

          ธูปว่าทั้งที่จับมือแน่น ผมแย้งด้วยเหตุผลนานาที่พอจะนึกได้

          “ค้างที่นี่แหละ พรุ่งนี้เช้าจะได้ออกไปวิ่งด้วยกันอีก”

          “ไม่ได้” มันหยัดตัวขึ้นนั่ง ผมเห็นเงาสีดำเคลื่อนไหว ธูปควานหากางเกง เปิดดูนาฬิกาจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงอีกที “ถ้าแม่ตื่นแล้วผมจะกลับเข้าไปในบ้านยาก”

          “ดึกมากแล้ว อันตราย”

          “ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” ธูปตอบเสียงสั่น ควานหาเสื้อในที่มืดไม่เจอ ยอมแพ้ด้วยการเปิดไฟให้สว่าง “ผมไม่อยากให้แม่รู้”

          “ธูป เราอยู่ใกล้กันจนคบกันเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ไม่ได้หรอก”

          “ผมถึงได้พยายามทำตัวห่างจากพี่ออกมาไง”

          “ไม่ใช่ทางแก้ปะวะ”

          “พี่มังกร...พี่ก็รู้ว่าผมแบกอะไรเอาไว้บ้าง”

          “วางลงดิ แล้วจับมือกันไป” ผมรู้ว่าฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้าคบกันแล้วยิ่งห่างหรือบนเส้นทางของความหวาดระแวงก็ยิ่งรู้สึกแย่ ผมรู้สึกแย่ที่ธูปทำแบบนี้ ที่เมินเฉย เย็นชา กลับมาอุ่นให้ร้อน แล้วก็ผุดลุกเดินหนี เมินเฉย เย็นชา ผลิตซ้ำความเจ็บยอกที่อยู่เบื้องลึก “นะธูป มึงเก่ง ทำไมจะไปด้วยกันไม่ไหว”

          “แต่พี่บอกว่าเราคบกันเงียบๆ ได้ไม่ใช่เหรอ ผมยังมีคนที่ต้องแคร์นะ”

          ประโยคหลังดังแผ่วในลำคอแต่ผมได้ยินชัด ใช่ เพราะผมไม่มีใครต้องแคร์อีกแล้ว คนเดียวที่ยึดโยงไว้กับโลกก่อนหน้านี้คืออาจารย์พิภพ คนที่คอยโยนโจทย์ข้อสอบชีวิตให้ผมได้รู้สึกสนุกกับการอยู่บนโลกต่อไป แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เวลานี้ผมแคร์ที่สุดคือคนตรงหน้า

          “มึงประสาทแดกที่เราเจอกันต่อหน้าคนอื่นทุกครั้ง ในบรรดาคนที่ต้องแคร์ไม่มีกูรวมอยู่ในนั้นเลยเหรอ”

          “หึ ต่อหน้าคนอื่นพี่เองก็ดูแฮปปี้นะครับ” เพราะไฟสว่างแล้ว ธูปเพิ่งหยิบแว่นจากพื้นผมเลยสังเกตว่าน้ำตามันคลอตลอดเวลา “ที่จริงผมก็อยากพูดเรื่องนี้ ผมไม่ใช่คนใจกว้างนัก”

          “หมายถึงอะไร”

          เสียงสูดลมหายใจดังผมมองหน้าคนพูดเขม็ง

          “ผมเป็นคนที่พี่ควงอวดใครไม่ได้ แต่ผมให้ความสุขเรื่องนั้นกับพี่ได้ เพราะงั้น ผมไม่ให้พี่…ไปนอนกับใคร”

          “คิดว่ามันแค่เรื่องเซ็กซ์หรือไงเล่า!”

          ผมเผลอตวาดเสียงลั่น มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด ธูปใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แก้มของมันเป็นปื้นแดงจากรอยขูดของผิวเนื้อสู่ผิวเนื้อ

          “ผมแค่...จะบอกว่า ถ้าพี่ต้องการ...”

          “พูดเหี้ยอะไร!”

          ผมไม่เข้าใจ คนที่ทำตัวเมินเฉยเย็นชาก็มันทั้งนั้น “กูถามว่าพูดอะไร!”

          ธูปตัวสั่น ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือกลัว ผมเองก็เจ็บปวดไปทั้งใจจนไม่อาจคุมให้ตัวเองใจเย็นได้อีกต่อไป

          รู้สึกเหมือนถูกดูถูกความรู้สึกจนไม่มีค่า

          “มึงกลับไปซะ ก่อนจะไม่ได้กลับ”

          ผมข่มเสียงนั้นให้เบาลง ขณะที่ภายในแผดเผาย่อยยับ ธูปไม่มีโอกาสได้พูดจนจบ มันเลือกทางแรกที่กลับไปก่อนจะไม่ได้กลับจริงๆ

 

          ประตูปิดลง แขกที่มาเยือนกลางดึกจากไปในคืนเดียวกัน เข้ามาเยียวยาบาดแผลที่บอบช้ำและกระหน่ำซ้ำซัดด้วยคำพูดมีกี่คำ ทุกอย่างเหมือนฝันดีตามด้วยฝันร้าย ลืมตาตื่นบนที่นอนซึ่งเคยสุขสมก่อนพบว่าตัวเองลอยคว้างลำพังในอวกาศ ไม่ได้จับมือใครไว้ ไม่ใช่ยานอพอลโลที่พาไลก้าออกไป แต่เป็นขยะอวกาศชิ้นใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการเช่นเคย เหมือนเคย เหมือนที่มันเป็นมาเสื่อสามปีก่อน สามเดือนก่อน ละสามนาทีก่อน

หันซ้ายขวาก็พบเพียงความมืดในห้องสว่าง ความมืดที่เป็นบ่อลึกดำในจิตใจ คล้ายอยู่ในดินแดนที่ไม่เคยมีพระอาทิตย์แวะมาเยี่ยมเยียนหลายศตวรรษ

          ทั้งมืดและหนาวจนไม่อาจข่มตาหลับลง

 





          เช้าวันใหม่ค่อยๆ พาพระอาทิตย์ลืมตาตื่น ผมทำงานที่อาจารย์ฝากไว้จนเสร็จ มิหนำซ้ำยังแก้ทีสิสไปอีกหลายบท

          พี่นันท์เดินทางมาถึงตามเวลาปกติ พร้อมจักรยานคันเดิมมองผมที่นอนฉ่ำแฉะบนบีนแบ็คด้วยแววตาประหลาเด เขาถอดเครื่องป้องกันอันตราย หมวก สนับข้อศอก สนับเข่า ล้างมือที่ซิงค์แล้วสวมผ้ากันเปื้อนที่ซักตากไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

          “ไม่สบายเหรอ”

          “ครับ” ผมตอบคำถามแบบขอไปที

          “ไปหาหมอไหม ออกไปได้นะ”

          “ไม่หรอกพี่ แค่นอนไม่พอ แก้งานจนเช้าเลย”

          “น่าสงสาร” ฟังดูเวทนาแต่ก็ยิ้มหยัน กวนประสาท

          “เออพี่ พี่เช่าหออยู่ใช่ปะ”

          “อ่าฮะ ทำไม”

          “มีห้องว่างไหมอะ ผมอยากย้ายออกจากที่นี่”

          “มีอยู่นะ แต่ห้องมันไม่ค่อยมีของอำนวยความสะดวก มึงอาจะได้ยินเสียงผัวเมียตีกันตอนเช้า ตกดึกเยกันจนบ้านถล่ม ไม่ก็อีกข้างเป็นฝรั่งสกปรกชอบถุยน้ำลายบนทางเดิน” พี่นันท์บรรยายพลางทำท่าเบื่อหน่าย “ หอถูกๆ อะ”

          “ไม่ไกลจากที่นี่ใช่ปะ”

          “ปั่นจักรยานได้ เดินก็ได้ มึงชอบวิ่งจะวิ่งมาก็ได้ แล้วทำไมอยากย้ายออกวะ มีเรื่องกับไอ้ธูปจริงๆ ใช่ไหม”

          บาริสต้าเค้น จะพูดว่ามีเรื่องก็มี ไม่มีเรื่องก็ไม่มี เป็นเรื่องระหว่างผมกับธูปที่ถ้าธูปไม่อยากเปิดเผยผมก็เคารพในการตัดสินใจของมัน

          “นิดหน่อย แต่คิดว่าถ้าออกไปอยู่ข้างนอกจะสบายใจกว่า”

          “ลองไปอยู่กับกูก่อนก็ได้ ถ้าอยู่ได้ค่อยคุยกับเจ้าของหอ” พี่นันต์เสนอทางเลือก ซึ่งเป็นทางที่ดีกว่าเพราะถ้าย้ายเข้ากลางเดือนน่าจะยุ่งยาก แต่ให้อยู่ที่นี่อีกครึ่งเดือนก็คงทำให้ธูปลำบากใจที่ต้องคอยหลบไม่มาที่ร้าน ยิ่งช่วงสอบที่เจ้าตัวบอกว่าเมื่อก่อนถ้าอ่านหนังสือดึกๆ ก็จะนอนที่นี่มากกว่ากลับบ้านเพราะเสียเวลาเดินทาง “กูไม่อยากให้มึงไปถือสาน้องมันนะ ไม่ว่ามันจะทำอะไรแปลกๆ จะพูดยังไงล่ะ ธูปมันเข้ากับคนอื่นยาก อาจารย์ให้มึงมาอยู่ด้วยน่าจะคิดเหมือนมึงเป็นคนในครอบครัว ธูปก็เคารพพ่อมันเสมอ ติดรั้นบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำไปเพราะเกลียดมึงหรอก”

พี่นันต์พูดโดยรวม ไม่ได้ถามรายละเอียดยิบย่อย แต่จริงอย่างเขาว่า ธูปไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่เจตนาดีเกินไปมากกว่า

          “ผมไม่โกรธมันหรอกครับ”

          ส่วนมันจะโกรธผมที่ไล่ไปคืนนั้นหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง

 





          ผมลังเลใจระหว่างการปรึกษาธูปก่อนหรือตัดสินใจเองตั้งแต่เมื่อคืน ผลคือการที่มายืนตรงหน้าอาจารย์พิภพ ในห้องทำงานส่วนตัวของเขาที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เอกสารที่ให้ช่วยเมื่อวานเสร็จสมบูรณ์ ผมไม่ค่อยทำอะไรผิดพลาด หรือถ้าพลาดมักเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่า

          “จะรีบเคลียร์ธีสิสหรือ ตรวจเสร็จเร็วจัง”

          “เปล่าครับ พอดีนอนไม่ค่อยหลับก็เลยลุกมาทำ”

          “นอนไม่หลับบ่อยหรือเปล่า” เขาถามพลางพลิกตรวจทานคร่าวๆ ยังไม่พบจุดที่ไม่ชอบใจ ข้อสอบของอาจารย์พิภพเป็นข้อสอบบรรยาย ผมเริ่มจับหลักวิธีให้คะแนนของเขาได้หลังจากเรียนวิชาที่สอง หลังจากนั้นก็เป็นคนเดียวที่ได้คะแนนเต็ม หรือไม่ก็ได้คะแนนสูงสุดของคลาส

          แต่ต่อให้ได้คะแนนไม่มาก ผมก็ไม่ได้สนใจนัก ขอแค่ไม่ต้องกลุ้มใจในเทอมหลังๆ ว่าจะเรียนจบหรือไม่เหมือนเพื่อนหรือรุ่นพี่บางคนก็พอ วิทยาศาสตร์เป็นวิชาน่าเบื่อ ข้อดีคือไม่พลิกแพลงมากถ้าเป็นการเรียนรู้ถึงอดีตที่ถูกพิสูจน์มาแล้ว ข้อเสียคือการค้นคว้าอะไรใหม่ๆ และนำเสนอให้เป็นที่น่าสนใจต่างหากที่ทำให้ทั้งตื่นเต้นและรู้สึกว่ามันยากจนอยากถอดใจดื้อๆ เหมือนกัน         

          “เพิ่งเป็นเมื่อไม่นานมานี้ครับ”

          ผมตอบคำถามที่เขาถามค้างไว้ อาจารย์พิภพไม่ได้มองหน้า แต่ก็รับรู้ถึงความเป็นห่วง อย่างที่พี่นันต์ว่าเขามองผมเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง

“ผมคิดว่าจะย้ายไปพักกับพี่นันต์สักพักแล้วเช่าหอข้างนอกอยู่ต้นเดือนหน้าครับอาจารย์”

          ถ้าหากจะทำให้ธูปเป็นตัวของตัวเองเหมือนเมื่อก่อน เรื่องที่พักไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย และเพราะที่มันพูดในวันนั้นว่ามันมีคนที่ต้องแคร์ก็ช่วยเตือนให้ผมรู้สึกตัวว่าผมก็ควรแคร์ความรู้สึกของอาจารย์พิภพทั้งในฐานะคนที่เป็นพ่อของธูป และผู้มีพระคุณของผมเช่นกัน อาจดูย้อนแย้งสับสนเพราะผมและธูปเลือกจะปิดบังสถานะที่เป็นอยู่เพื่อความสบายใจของคนอื่น แต่สุดท้ายนั่นก็เป็นการโกหก และความจริงก็คือผมคบกับธูปในลักษณะที่ไม่มีใครเห็นด้วยอยู่ดี

          เหมือนกับ คบหากันเพื่อรอวันที่ธูปกล้าเดินออกจากความสัมพันธ์มากกว่าเมื่อไรมันจะกล้ายอมรับการเป็นตัวของตัวเองต่อคนที่รักรอบตัว

          แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะเลิกกับมันอยู่ดี

          “ทำไมถึงย้ายเสียล่ะ ที่นั่นไม่สะดวกสบายหรือ”

          “เปล่าครับ” ผมตอบ เขายังคงไม่มองหน้า อาจารย์พิภพไม่แซวเล่นกับผมอีกแล้ว ไม่ตั้งแต่ที่เจอโปสการ์ดฉบับนั้น “ผมแค่คิดว่าอาจารย์กับธูปอาจไม่สบายใจกับความรู้สึกของผม”

          “ที่มีต่อเจ้าธูป?”

          ผมเม้มปาก ยอมรับแต่เพียงผู้เดียว “ครับ ผมชอบธูปแต่ว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียว”

          “ไอ้ตัวแสบมันว่าแบบนั้นเหรอ”

          อาจารย์พิภพถาม เขารู้จักธูปดี ขณะเดียวกันก็เข้าใจความตั้งใจของผม “มันลำบากใจน่ะนะถ้ารู้ว่าลูกศิษย์ตัวเองมาชอบลูกชายที่เจอกันเพราะเรา”

          “ผมทราบครับ”

          “แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ผมเองก็เหมือนกัน แต่ถ้ากังวลว่าจะโกรธจนไม่เอ็นดูกันอีกแล้วก็อย่ากังวลเลย ผมยังเห็นคุณเป็นลูกหลานเหมือนเดิม”

          อาจารย์พิภพสบตาผมในที่สุด เป็นแววตาที่ตรงกันกับการกล่าวอ้างคำพูดนั้น ความรู้สึกของผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำที่ชัดเจนได้ แต่มันทั้งอบอุ่นและกระอักกระอ่วนใจไปพร้อมกัน

          “ผมก็ยังเคารพอาจารย์เหมือนเดิมครับ”

          “ถ้าอย่างนั้นที่อยากย้ายออกเพราะกลัวว่าเจ้าเด็กนั่นจะลำบากใจอย่างเดียวแล้วสิ เอาอย่างนี้นะ ผมจะโทรหาธูปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ตรงหอพักที่นันต์อยู่มันอันตราย เจ้านั่นอาศัยเป็นคนในพื้นที่ เกิด โตที่นั่น กลัวว่าคนต่างถิ่นไปแล้วจะมีปัญหาได้”

          เขากดโทรศัพท์โดยไม่รอคำตอบจากผม เปิดสปีกเกอร์โฟนให้ฟังไปพร้อมๆ กัน รอสายไม่นานนักธูปก็รับ ต่างจากที่ผมโทรไปก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน         

          “ว่าไงไอ้ตัวแสบ ทำอะไรอยู่”

          “เพิ่งพักครับ ติวหนังสือให้เพื่อนอยู่ที่ภาค พ่อมีอะไรป่าว”

          “พี่ก้องเขามาบอกว่าจะย้ายออกน่ะ เราว่าไง”

          อาจารย์พูดโดยไม่เกริ่นที่มาที่ไป ผมแทบหยุดหายใจเมื่อประโยคนั้นจบลง ปลายสายก็เงียบไปคล้ายบื้อใบ้ชั่วขณะ

          “เอ้า รีบๆ ว่ามา แล้วแต่เขาหรืออยากให้เขาอยู่ หรืออยากให้เขาไป”

          “เขาบอกพ่อตอนไหน”

          “นี่ล่ะ” อาจารย์มองนาฬิกา “ประมาณห้านาทีที่แล้วได้”

          “เขาไม่ย้ายออกหรอก ผมไม่ให้ย้าย จะย้ายไปอยู่ไหน อยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว ผม...”

          “แล้วทำไมต้องไม่ให้เขาย้ายด้วยล่ะ”

          ผมรู้สึกเหมือนอาจารย์พิภพกำลังเย้า หรือไม่ก็ไล่ต้อน พิสูจน์เอาประโยคที่ผมบอกว่าเป็นความรู้สึกของคนแค่คนเดียว ธูปอึกอัก บอกซ้ำว่าผมจะไม่ย้ายแล้วรีบวางสายไปติวหนังสือให้เพื่อนต่อ อาจารย์พิภพเก็บโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่วิจารณ์หรือออกความเห็นใด

          “ถ้าจะย้ายออกผมคงไม่ขัด แต่ไปคุยกับธูปเอาหน่อย เจ้าเด็กนี่ไม่ค่อยมีเพื่อนมาก กดดันตัวเอง เวลาเขาอยู่กับคุณแล้วดูสบายใจดี คงเป็นคนที่เขาเปิดรับเข้ามาในชีวิตแค่ไม่กี่คน” อาจารย์พิภพพูดนิสัยที่แม้แต่ธูปก็ไม่เคยเห็น ก่อนหมุนเก้าอี้กลับไปยังคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนเป็นภาพพักหน้าจอเมื่อละความสนใจมานานเกินไป “วันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว ตัดสินใจยังไงก็ข้อความทิ้งไว้แล้วกัน ช่วงนี้ผมยังยุ่งกับเด็กๆ ที่นี่ ปิดเทอมแล้วคงได้พากันออกต่างจังหวัดอีกรอบ ผมกับคุณแล้วก็ทีมเก่าๆ”

          ผมครางรับ เป็นแบบนี้ทุกปิดเทอม หลังจากตรวจข้อสอบ ส่งคะแนนให้มหา’ลัยประกาศ

          ผมหมุนตัว ยังไม่ทันก้าวออกจากห้องโทรศัพท์ก็ดัง เบอร์โทรเข้าเป็นคนที่อ้างว่าจะไปติวหนังสือให้เพื่อนเมื่อครู่

          “พี่อยู่ไหน ผมจะไปหา เราต้องคุยกัน”

          เมื่อเอี้ยวตัวกลับไป อาจารย์พิภพยังคงมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เล่นเป็นภาพพักหน้าจอ ภาพของธูปตั้งแต่เล็กจนโต มองมันนิ่งคล้ายหลุดไปยังโลกใบอื่น         







tbc

ตอนหน้าจบแล้วเด้อ

เรื่องนี้ง่ายๆ สบายๆ (ยังมีหน้ามาพูด) ดราม่าไม่หนักมากค่ะ อยากให้เห็นในตอนจบว่าสาเหตุที่เรื่องมันยากคืออะไรกันแน่ พล็อตนิยายเรื่องนี้เราตั้งใจจบตรงที่การสะสางปัญหา อาจไม่ได้มีเซอร์วิสต่อจากเรื่องเคลียร์แล้วมากเพราะเจตนาให้เป็นตะกอนคลุ้งในใจให้เราต่างได้กลับไปทบทวนเรื่องราวของตัวเอง

เราดีใจมากที่ตัวละครเราสามารถสะท้อนให้เห็นความเป็นคนในมิติต่างๆ ออกมาได้ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้มาถึงจุดนี้ สำหรับเราแล้วนิยายเรื่องนี้สำคัญกับใจมากๆ เป็นทั้งการพิสูจน์ตัวเองหลังจากกลับมาอีกครั้ง แล้วก็ใส่สาระเรื่องที่รู้ลงไปเยอะมาก (เยอะจนกลัวว่าจะเบื่อกันมั้ยน้า)

ขอบคุณอีกครั้ง

เจอกันอีกทีกับตอนจบในสัปดาห์หน้าค่ะ

รักหัวใจทุกคนมากๆ เลยนะ


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #298 เมื่อ07-11-2018 22:48:14 »

รู้สึกว่าอารมณ์แต่ละคนลอยฟุ้งอยู่ในหมอกหนา ๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่จากประสบการณ์ในอดีตของอาจารย์พ่อ
คงไม่ปล่อยลูกชายคนเดียวต้องเป็นทุกข์แน่
แถมพี่มังกรยังเป็นลูกศิษย์คนโปรดอีกด้วย
ยังไงซะงานนี้ลงพนันข้างอาจารย์พ่อก็แล้วกัน ฮีโร่ตัวจริง

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Sᴇxʏ ɴᴀᴜɢʜᴛʏ ɴᴇʀᴅʏ CH.14 Fear eats the soul (01|11|18) p.10
«ตอบ #299 เมื่อ07-11-2018 22:51:01 »

ขอให้น้องธูปเข้าใจพี่มังกือเขาหน่อยน้าาาาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด