chapter 11Let it be เจ็บยิ่งกว่าล่มปากอ่าวต่อหน้าดาราเอวี ก็คือช่วงที่กำลังเข้าได้เข้าเข็มแล้วเด็กหนีกลับแบบไม่อธิบายอะไรให้เข้าใจเลยสักอย่าง ผมจัดการห้องใต้บันไดของตัวเองให้สะอาดเรียบร้อย ไม่เหลือร่องรอยหรือหลักฐานใดไว้ ธูปไม่ปรากฎตัวในวันถัดมา มีแค่พี่นันต์ที่ถามหา แต่ผมจงใจไม่ตอบและมุ่งหน้าเข้าโลกของการทำธีสิสแทน
ไม่รู้ว่าพลาดพลั้งตรงไหน
หรือผิดตรงที่เข้าใจทุกอย่างรวบรัดไปเอง คิดเองเออเองว่าความต้องการของเราเท่ากัน
ธูปเป็นคนที่ยากจะเข้าใจ และผมยังคิดว่าการเข้าใจธูปเป็นเรื่องที่ยากเสมอ
“โห วันนี้หน้าเครียดเชียว”
เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามขยับครืด เด็กสาวคนคุ้นหน้าทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ขออนุญาต แต่ต่อให้ขอ ผมก็ไม่มีทางไม่อนุญาต โบว์มาพร้อมถุงกระดาษ คราวนี้ข้างในเป็นขวดโหลใส่ดาวกระดาษขวดเล็กๆ เป็นดาวที่ทำจากใบอะไรสักอย่างที่แห้งจนเป็นสีเขียวอมน้ำตาล
“เด็กๆ ทำแล้วส่งมาให้ค่ะ โบว์อยากให้ที่ร้านมากกว่า”
“หืม? เด็กๆ ที่ค่ายน่ะเหรอ”
“ช่าย น่ารักเนอะ ตอนแรกคุณครูขอที่อยู่โบว์ไว้ นึกว่าเผื่อมีลืมของ ที่แท้ก็มีเซอร์ไพรส์นี่เอง”
“เด็กๆ คงชอบโบว์มากเลยนะคะ”
“ขวัญใจเด็กๆ เลยล่ะ” เด็กสาวไม่มีท่าทีถ่อมตัว แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ โบว์ยังคงคอนเซปต์สาวเท่ คือแต่งตัวทะมัดทะแมงกับเสื้อคลุมยีน ซ่อนรูปร่างที่แท้จริงไว้ด้านใน อนุญาตให้เห็นว่ามีของแค่เนินเนื้อที่ล้นขอบเสื้อสายเดี่ยวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “แหม พี่ก้องก็ใช่ย่อยเถอะ แต่โบว์น่ะเด็กประถม พี่ก้องสาวอุดมศึกษา ติดแจ”
“จริงเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย”
“ไม่รู้จริงอะ”
ผมหัวเราะ เหลือบมองหน้าอกคนตรงหน้าอีกครั้งตามสัญชาตญาณ ก่อนละสายตาเมื่อพี่นันต์ยกโกโก้ร้อนของหญิงสาวมาเสิร์ฟ “ขอบคุณค่ะพี่นันต์ โบว์ไปเอาที่เคาน์เตอร์เองก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรๆ วันนี้คนน้อย จะได้มาทักโบว์ด้วย” พี่นันต์ทักทายลูกค้าอย่างผิดวิสัย คุณกานดายังไม่มา แน่ล่ะ ถ้าคุณกานดามาถึงเมื่อไหร่พี่นันต์จะไม่มีสายตาไว้มองคนอื่นอีกเลย “เมื่อคืนไปที่ร้านมาเหรอ เหมือนพี่เห็นแวบๆ กว่าจะลงเวทีก็ไม่เจอแล้ว”
“อ๋อ ค่ะ ไปรับเพื่อนน่ะค่ะ”
“โบว์สูบบุหรี่ด้วยเหรอ” พี่นันต์ถามไม่เข้าท่า ผมเหลือบมองคนถามก่อนหันกลับมายังคู่สนทนา โบว์เอียงคอเล็กน้อย ยิ้มเก้อๆ
“ก็ไม่บ่อยค่ะ มีบ้างตอนไปดื่ม”
“เพื่อนที่ไปด้วยกันเพื่อนในมหา’ลัยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ พี่นันต์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบ คุณกานดามาถึงแล้ว แต่เขาไม่ละกลับไปที่เคาน์เตอร์ในทันที “แค่จะบอกว่าโบว์น่าพวกนั้นอันตราย”
“ก็...ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่นันต์”
เสียงสุดท้ายของโบว์ตอบก่อนรอยยิ้มจะหุบลง กลายเป็นสีหน้ากังวลครุ่นคิด ไม่สดใสเหมือนภาพที่เคยเห็น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” ผมถาม มองมือที่กำขวดโหลใส่ดาวกระดาษไว้ โบว์ส่ายหน้า ฝืนยิ้มเฝื่อน “มีอะไรโบว์เล่าให้พี่ฟังได้ตลอดนะคะ”
เด็กสาวยังคงยิ้มเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยแต่ใหญ่หลวงนั่นคือหยดน้ำตา
สำหรับผมแล้วโบว์ก็เหมือนรุ่นน้องที่เพิ่งมาสนิทได้ไม่นาน ซึ่งคำว่าสนิทก็คือสนิท ไม่ได้มีเวลาเข้ามาเป็นปัจจัยบ่งบอกความใกล้ชิด ผมกับโบว์เคมีตรงกันในระดับที่ว่าถ้าไม่ใช่ธูปแล้วอาจเป็นเธอได้
กลิ่นของควันบุหรี่ลอยอวล คลุ้งในอากาศ โบว์อัดมันเข้าปอด เลือกที่จะยืนใต้ลมนอกร้าน ส่วนผมม้วนกิ่งก้านของไม้เลื้อยที่งอกออกจากกระถางเข้าพันหลัก รับฟังเรื่องเล่าระหว่างที่รุ่นน้องสูบและหยุดเพื่อถอนหายใจ
“แล้วโบว์จะทำยังไงต่อ”
ผมถาม เคารพในการตัดสินใจแก้ปัญหาของแต่ละคน หญิงสาวผ่อนลมหายใจอีกครั้ง มันม้วนตัวออกมาเป็นควันสีเดิมแม้ผ่านการฟอกในปอดมาแล้วหนึ่งรอบ
“โบว์ก็อยากเลิกติดต่อกับพวกนี้นะ แต่ก็เพื่อนน่ะค่ะ เพื่อนที่เห็นโบว์วันที่โบว์แย่ที่สุด”
“แต่จะไม่กลับไปใช้มันอีกใช่ไหม” ผมถาม ทั้งหมดนี้หมายถึงกลุ่มเพื่อนที่พี่นันต์ว่าอันตราย เป็นเด็กขี้ยาที่เข้ามามีเรื่องในร้านบ่อยๆ โบว์ไม่ค่อยปรากฏตัวในร้านแบบนี้นัก แต่ก็มีแหล่งมั่วสุมที่ให้ทุกคนไปรวมตัวกันแบบลับเฉพาะ “โบว์รับปากไม่ได้หรอกพี่ โบว์ยังวนเวียนกับพวกนั้น โบว์เคยรู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าวันหนึ่งมีปัญหาขึ้นมาอีกโบว์จะแก้ปัญหาแบบไหน”
“แม่ไม่รู้ใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ โบว์ไม่อยากให้แม่รู้เรื่องนี้ ที่จริงก็ไม่อยากให้ใครรู้หรอก แต่พี่นันต์น่ะ...”
“หูตาไวอย่างกับอะไรดี”
ถ้าเรื่องของผมกับธูปจะโป๊ะแตกขึ้นมารู้ได้เลยว่าเป็นเพราะใคร โบว์หัวเราะ เห็นด้วย แต่ก็เสียใจที่ทำให้ผมเห็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่พยายามซุกซ่อน
“มันไม่เคยหายไปนะคะ เราเคยหลงผิด แต่ต่อให้วันนี้หยุดแล้วก็ยังมีหลักฐาน โบว์รู้ว่ามันเป็นตราบาปที่คนดีๆ อย่างพี่คงไม่อยากรับรู้”
“คิดอะไรแบบนั้น”
“ก็เรื่องจริงนี่คะ”
ในความก๋ากั่น ผมไม่แปลกใจที่โบว์จะหลงผิดไปในบางวัย เด็กสาวที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งวันนี้เคยมีปัญหาที่รุนแรง ไม่เห็นทางออก ความเข้มแข็งของแต่ละคนไม่เท่ากัน สำหรับโบว์เวลานั้นมันเกินผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว
หลังจากหย่า พ่อแต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงทารุณเธอด้วยบุหรี่ เตารีด และยาเสพติด
“โบว์ฟื้นที่โรงพยาบาลก็เห็นหน้าแม่คนแรก โบว์ไม่เห็นพ่ออีกเลย ตอนนั้นแผลเต็มตัวไปหมด โดยเฉพาะหลังโบว์เปิดให้ดู”
“เดี๋ยวๆ” ผมห้ามไม่ทัน เด็กสาวถลกเสื้อขึ้น อวดเนื้อที่ตายไปแล้วซึ่งไม่อาจระบุได้ว่าเป็นฤทธิ์ทำลายล้างจากอาวุธหรือสารเคมีชนิดใด “ขนาดนี้เลยเหรอ”
ผมวางมือบนรอยแผล หรี่ตาลงเมื่อนึกภาพตามว่าเด็กผู้หญิงอายุเท่าโบว์ในตอนนั้นต้องผ่านมันมาลำพัง
“ทรมานมากเลยพี่ก้อง ที่แย่กว่านั้นคือโบว์ย้ายมาอยู่กับแม่ แต่ยังเลิกยาไม่ได้ สุดท้ายก็เจอเพื่อนกลุ่มนี้ มันเสพนะ แต่ตอนโบว์บอกว่าจะเลิกจริงๆ มันก็ไม่ห้าม แล้วแต่โบว์เลย แต่พวกนี้จะยังใช้ยาต่อไปเรื่อยๆ ต่อหน้าโบว์ด้วย แล้วแต่ว่าโบว์จะเข้มแข็งแค่ไหน”
“โบว์เข้มแข็งมาก”
“โบว์รู้ว่าพวกผู้หญิงไม่ชอบโบว์เพราะทำอะไรไม่เป็นกุลสตรี ไม่รู้สิคะ โบว์อาจเป็นคนที่ผิดศีลธรรมในทุกอย่างของคณะเรา แต่โบว์ก็เป็นคนเหมือนกัน”
ผมครางรับในลำคอ ผู้คนต่างวิจารณ์เรื่องราวมากมายโดยใช้ตัวเองเป็นมาตรฐานตัดสิน ความเจ็บปวดของโบว์ ความโดดเดี่ยวของธูป หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ผมเผชิญต่างเป็นความจริงของโลกที่ถูกซ่อนไว้ เรานำเสนอกันแต่แง่งามที่ดี ที่ควรชื่นชม เราไม่เคยพอใจในตัวเองเมื่อเทียบกับความสำเร็จของคนอื่น และเมื่อนั้นหากใครพลาดพลั้งก็พร้อมจะเหยียบย่ำซ้ำเติมเพื่อยกระดับความดีงามของตัวเองให้สูงขึ้น ในฐานะผู้พิพากษาก็ยังดี
“พี่ไม่ได้บอกว่าวิธีที่โบว์ทำจะถูกนะ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้โบว์ได้เรียนรู้”
“พี่ก้องมองโลกบวกจัง”
“ไม่บวกหรอก ก็คนธรรมดา” คนที่ยังโกรธพ่อตัวเองแต่ต้องแสร้งทำเป็นยินดี เป็นผู้ชายที่เมื่อเลือดไหลลงที่ต่ำแล้วก็อยากขืนใจคนที่ชอบให้จบๆ ไปเพื่อครอบครองอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์
ผมยื้อบุหรี่มาจากมือของโบว์ ดูดอัดเข้าปอดบ้าง
“พี่ก้องดูดเป็นด้วย?”
ผมยกมือขึ้นบัง ไม่ให้ลมพัดเข้ามา ทำควันเป็นรูปวงกลมโดนัท ซ้อนกันหลายขนาด
“โห อย่างเซียนเลยอะ”
“ถ้ามีคนบอกพี่ว่าบุหรี่ไม่ดี พี่ไม่เถียงนะ มันทำลายสุขภาพ แต่คนเรามีเรื่องไม่ดีในชีวิตบ้างก็ได้ มีกันทุกคนแหละ แค่ยอมรับมันก่อน จะแก้หรือไม่ก็ค่อยว่ากัน”
แสงอาทิตย์ยามบ่ายอ่อนลง สีส้มของมันไล้ไปตามตึก หน้าตาตึกสูงจากที่เป็นสีขาวกลายเป็นสีนวลอ่อน กระจกสูงเสียดฟ้าเคยเป็นสีฟ้ากลายเป็นอมเขียว พระอาทิตย์เตรียมตัวขนของกลับบ้าน ผมใช้เวลาทั้งวันในการคุยเรื่องของโบว์ อดีตของโบว์ และอยากให้โบว์หลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่ผูกมัดตัวเองไว้
เรื่องราวเริ่มต้นคือไอ้ห่าพี่นันต์พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมานั่นแหละ
“อะไรทำให้พี่ก้องแบบ...คูลได้ขนาดนี้อะ”
“พี่เหรอ ไม่คูลนะ ไม่อะไรเลย เป็นคนขี้เกียจ เห็นแก่ตัวด้วยซ้ำ”
“ไม่จริง ตอนอยู่แคมป์โบว์เห็นพี่ก้องออกวิ่งทุกเช้า ถ้าคนวิ่งได้ขนาดนั้นต้องมีวินัยแล้วก็ขยันมากๆ”
ผมยังคงปฏิเสธ
“เริ่มวิ่งเพราะหนีความจริงต่างหาก แล้วมันก็ติด ติดเหมือนยาเสพติดน่ะ”
ความจริงเมื่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง ความจริงที่รู้ว่าผมไม่มีความสำคัญกับใครบนโลกอีกแล้ว ชั่ววินาทีการวิ่งเป็นช่วงที่หัวใจเต้นแรง สัมผัสถึงการมีชีวิตที่มีชีวิต วิ่งจนเหนื่อย จนอ้วก แต่ก็ยังวิ่งต่อไปทุกเช้าเพื่อลืม
เหมือนที่โบว์ใช้ยาเสพติดเพื่อลืมความเจ็บปวดที่ซ่อนตัวไว้ใต้ภาพที่สวยหรู งดงาม
ลมที่กรุงเทพร้อนแม้จะเย็นย่ำ นกบินไกลๆ เห็นเป็นเลขสามเหมือนนกที่เด็กวาด
“โบว์ชอบพี่ก้อง” เสียงนั้นเอ่ยเรียบ แต่เต็มตื้นไปด้วยความหมาย ผมไม่แปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่ก็ไม่เมินเฉยเกินไปจนเด็กสาวเสียความมั่นใจ
“ยิ่งพี่ก้องเป็นคนที่พร้อมจะเข้าใจทุกอย่าง จากที่ชอบกลายเป็นรักไปเลย รักมากๆ เลยค่ะ”
ผมวางมือบนศีรษะ ดึงโบว์เข้ามากอด กอดในระดับที่ไม่ต่ำกว่าเอว กอดเหมือนพี่ชายกอดน้องสาว
“พี่รู้ว่าโบว์ไม่อยากได้พี่ชาย”
“แต่พี่ก้องให้โบว์ได้เท่านั้นใช่ไหมคะ” เสียงหวานย้อนกลับ เรียงประโยคคล้ายผมในทีแรก
“ถ้าตอนนี้พี่ชอบผู้หญิง พี่คงชอบโบว์เหมือนกัน โบว์ที่เหมือนเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่มีความเป็นมนุษย์ มีความบกพร่องเหมือนคนอื่นๆ พี่ชอบที่โบว์เป็นมนุษย์”
เสียงหัวเราะดังขึ้นควบไปกับแรงสะอื้นน้อยๆ ผมกอดโบว์ไว้แน่น นึกถึงใครอีกคนกับภาพที่สมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง แต่มีร่องรอยเว้าแหว่ง เหว่ว้า ความราบเรียบที่เต็มไปด้วยรอยตำหนิของหลุมบ่อและเนินเขาขาดๆ เกินๆ ซึ่งเจ้าตัวไม่ทันรู้ว่ามีด้วยซ้ำไป
“พี่ก้องไม่ชอบผู้หญิง?”
“นั่นน่ะสิ”
“สมัยเรียนก็คบผู้หญิงนี่คะ”
ผมขำก๊ากใช่ ก็นั่นน่ะสิ
“เห็นไหม ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา”
โบว์เห็นด้วย กระชับอ้อมแขนกอดผม โยกตัวไปมา
หากจะเล่าเรื่องราวของชีวิตคนแล้วไม่มีทางเลยที่จะสามารถพูดจบได้ในหนึ่งถึงสองวัน รายละเอียดเล็กน้อยที่ปั้นแต่งให้คนแตกต่างกันไปถูกเติมเข้ามาและบอกผ่านโดยลืมใส่ใจ ผมพยายามไม่สนใจคนอื่นเพราะเรื่องพวกนี้ มีอีกหลายอย่างและหลายมุมที่ไม่มีวันมองได้ครบทุกทาง
แต่เมื่อมีใครคนหนึ่งที่สำคัญจริงๆ เขาก็เข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว พยายามละสายตาก็ไม่อาจควบคุมความคิดที่ฟุ้งขุ่นให้นิ่งงัน ชั่วจังหวะนั้นผมรู้ว่ากำลังนึกถึงใคร และหาเหตุจูงใจที่ทำให้ธูปหายไปไม่ติดต่อหรือแวะมาที่ร้านอีกหลายวัน
“ทะเลาะกับธูปเหรอ”
แม้แต่พี่นันต์ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป ผมตอบไม่ถูก ถ้าจัดผมเป็นผู้ชายประเภทไม่รู้ห่าอะไรเลย คงเป็นตัวท็อปของผู้ชายประเภทนั้น
“คงงั้นมั้งครับ”
“ไปทำมันโกรธเรื่องอะไรอะ”
“ธูปจะโกรธคนอื่นเรื่องอะไรได้บ้างครับ”
บอกตามตรง ผมไม่เคยเห็นธูปมันโกรธใครจริงจัง อย่างมากก็แค่ทำหน้าขมึงขึงขังเวลาโดนแซวหนักๆ หรือถ้ากับเพื่อนที่ไม่ชอบมัน เจ้าตัวก็ไม่ได้กล่าวร้ายถึงคนพวกนั้นแต่อย่างใด
กูนี่ล่ะ ทำให้มันโกรธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยเข้าใจว่าถูกโกรธเพราะอะไรอยู่ดี
“ไม่รู้สิ เรื่องผู้หญิงมั้ง”
“ครับ?”
“กูไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่มึงกับธูปแอบคบกันอยู่ปะ”
พี่นันต์ถาม คัดแยกเมล็ดกาแฟที่เอามาใส่รวมกันออกตามสายพันธุ์ นับเป็นเกมคลายเครียดในวันที่ไม่มีลูกค้าของเขา “เปล่าครับ”
ผมไม่ได้โกหก ไอ้ธูปน่ะไม่เคยให้ความชัดเจนสักอย่าง พี่นันต์ละสายตาจากเมล็ดสีดำขึ้นมองหน้าผม นิ่งเงียบแล้วก้มหน้าลงแยกเมล็ดกาแฟต่อ กลิ่นหอมจากเครื่องคั่วกาแฟขนาดเล็กที่อาจารย์สั่งซื้อเข้ามาให้พี่นันต์ลองเป็นรสชาติใหม่ของจมูก ร้านอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟ ชวนสดชื่นมากกว่าง่วงงุน
“ได้บอกมันหรือเปล่าว่าคบกับรุ่นน้องคนนั้น”
“น้องโบว์น่ะเหรอ ก็ไม่ได้คบนะพี่ พี่น้องกัน”
“พี่น้องไปทั่วนะมึงน่ะ ระวังจะเสียใจ”
เอ้า ผมมองพี่นันต์ด้วยเครื่องหมายคำถามที่แปะบนหน้าผาก เขาเบะปากไม่อยากขยายความต่อแต่ก็ยอมแนะนำทางออกที่น่าจะดีกว่าตอนนี้ “เมื่อวานเห็นกอดกันกลมอยู่หน้าร้าน”
“เขาชอบผม”
“ก็เลยเล่นด้วย? มึงเลี้ยงทุกคนไว้ไม่ได้นะก้อง ไอ้ทุเรศ”
“เฮ้ย ไม่ได้เลี้ยง ไม่ได้เล่นด้วยเลย ผมก็บอกน้องมันไปว่าเป็นพี่น้อง น้องเจอเรื่องมาเยอะ ผมแค่เห็นใจ”
“จ้า ไอ้พระเอกหนังไทย แสดงเก่งงง”
“พี่ ผมพูดจริง” ทำเสียงซีเรียสขึ้นมา จับมือพี่นันต์ให้อยู่เฉยๆ หยุดแยกกาแฟสักทีเพราะมันกำลังกวนประสาทผม “เมื่อวานธูปมาเหรอ มันเห็นเหรอ”
“ไม่เห็น ไม่มา ไม่มาหลายวันแล้ว ตั้งแต่มึงกลับมาจากค่ายอะ แล้วไหนบอกไม่ได้คบกัน จะห่วงทำไม”
“ก็มันทำท่าเหมือนโกรธผม” ไม่ใช่ทำท่า “มันโกรธผม” นี่ต่างหากประโยคที่ถูกต้อง
พี่นันต์ทำท่าจะย้อนถามกลับว่าไปทำอะไรซ้ำสอง ผมทบทวนตัวเอง ก็จูบกัน กอดกัน สลับกันช่วยตัวเอง ไอ้ธูปใช้ปากให้ผม ผมเองก็ใช้ปากกับมันไม่ได้มีท่ารังเกียจกระทั่ง...
ผมอาจจะใจร้อนไปตอนที่มันบอกว่า…
ถอนหายใจยาว รู้ตัวว่าพยายามมากไปจนเหมือนขืนใจ แต่แรกๆ ก็ต่อต้านเพราะกลัวเจ็บกันทั้งนั้น ผมดึงดันอีกหน่อยก็สำเร็จทุกราย
แต่ไอ้ธูปกลับเป็นคนที่บอกว่าไม่ได้รักผมแบบนั้นหน้าตาเฉย
“ถ้าทะเลาะกันเพราะมึงทำผิดก็ไปขอโทษมัน ไอ้ธูปน่ะยอมหักไม่ยอมงอ เป็นผู้ใหญ่กว่าบางทีก็ต้องยอมๆ ค่อยมาสอนมันทีหลัง”
เวรเอ๊ย ผมน่าจะรู้ว่ามันอีโก้สูง
“ผมผิดว่ะเรื่องนี้”
“อะ รู้ตัวขึ้นมาเลย”
ผมกลอกตา ไม่มีทางสารภาพบาปกับปีศาจในคราบเทพอย่างพี่นันต์แน่ ไอ้มาร์คมาที่ร้านในเวลาที่เหมาะเจาะอีกครั้ง ไม่หรอก มันก็มาบ่อยเท่าที่มันอยากมานั่นแหละ แต่บางครั้งก็พอดีกับต้องการของผมอย่างตอนนี้ พี่นันต์หัวเราะในลำคออย่างรู้ทันว่าผมกำลังจะทำอะไร
“มาร์ค”
“Hello sweeties Anan” มันเย้าเสียงยวน สำเนียงเสียงต่างชาติ วางกุญแจรถไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนเขย่งเท้าขั้นเก้าอี้ทรงสูง “I dreamed about you last night, do you wanna know how’s it?”
“ธูปบอกให้มึงพูดภาษาไทยไง”
“yep, but he isn’t here now”
“yep, ไอ บอโร่ยัวมอเตอร์ไบค์นะ เดี๋ยวรีบเอามาคืน”
ประโยคหลังสุดผมพูดแทรกบทสนทนาของมาร์คกับพี่นันต์ คว้ากุญแจรถของมันหมับ สาวเท้าเร็วแต่ช้ากว่าคำไทยที่มันตะโกนด่าชัดเจน
“ไอค้วยดราก้อน!” ธูปมีแหล่งกบดานไม่กี่ที่ ถ้าไม่ใช่ร้านก็บ้าน ถ้าไม่ใช่บ้าน คงต้องไปค้นกันที่มหาวิทยาลัย
มันเป็นคนชอบแก้ปัญหา แต่จะแก้ปัญหาเมื่อตั้งหลักได้ แต่ผมไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น การสูญเสียบ่อยครั้งเกิดจากการรอคอย ผมเป็นคนประเภทกล้าได้กล้าเสีย พูดให้ถูกคือผมถูกขัดเกลามาใต้ระบบความคิดว่าถ้าคิดว่ามันดีก็ทำตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องรอ สิ่งใดที่จะเกิด ช้าเร็วมันก็ต้องเกิดอยู่ดี
ดังนั้น การปรากฏตัวในบ้านเดี่ยวย่านชานเมืองเพียงลำพังโดยไม่ขออนุญาตทั้งเจ้าของรถและเจ้าของบ้านจึงเกิดซ้ำและไม่สร้างความแปลกใจให้คนที่มาหาได้อีกแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง”
ผมถาม ธูปอยู่ในรั้วบ้าน มันเปิดประตูให้เอารถเข้าไปข้างในก่อนข้างบ้านตะโกนด่าเสียงท่อ ส่วนรถยนต์ทั้งสองคันที่เคยจอดทิ้งไว้ไม่อยู่ เดาว่าอาจารย์พิภพคงออกไปที่มหาวิทยาลัย ส่วนแม่มันไปทำงานตามปกติ ซึ่งทั่วไปธูปจะไม่อยู่บ้านหากไม่เต็มไปด้วยปัญหาที่ค้างคาในหัวซึ่งหาทางออกไม่ได้
“กินอะไรหรือยัง โทรสั่งพิซซ่าไหม”
“กินแล้ว แม่ทำกับข้าวไว้ให้”
มันตอบ เหลือบมองนาฬิกา เลือกโซฟาเดี่ยวเพื่อบังคับให้ผมนั่งโซฟายาวลำพัง
“พี่กินอะไรไหม เอาน้ำไหม ผมหยิบมาให้”
“ไม่เป็นไร ไม่หิว”
“นัดพ่อไว้เหรอ”
“เปล่า” ผมตอบกระชับ ใช้ดวงตาจับจ้องคนที่ก้มหน้างุดไม่สบตา “มาขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ที่ใจร้อน”
คงมีเรื่องอีกมากที่เราต้องเรียนรู้กัน อย่างน้อยคือการดึงธูปออกมาจากคอมฟอร์ตโซน ยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองซึ่งไม่อาจซ่อนเร้นหรือพรางตาไว้ด้วยความสัมพันธ์อื่นได้อีก
“ธูป...”
“ผมอ่านหนังสืออยู่ พี่อยากขึ้นไปที่ห้องไหม”
มันมองแต่มือที่จับกันไว้ พูดเสียงอ่อนแรง ผมรับคำ ยอมเดินตามมันขั้นชั้นสองของบ้านที่แบ่งแยกน้องนอนของมันออกมาเป็นอิสระชัดเจน
ห้องนอนของธูปเต็มไปด้วยภาพของนักวิทยาศาสตร์ยานอวกาศ ดาวดวงน้อยใหญ่ มันเรียนปิโตรเคมีเพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้เกิดการค้นคว้าไม่สิ้นสุด มันเชื่อว่าพลังงานเคมีมีอำนาจเร้นลับที่มนุษย์ยังนำมาใช้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ และอยากให้มันมีประโยชน์มากกว่าเป็นยาวมะตอยระหว่างถนนคอนกรีตที่มีหน้าที่เพียงลดแรงบีบอักเมื่อคอนกรีตขยายตัวยามอากาศร้อน
“อ่านชีวะด้วยเหรอ”
หนังสือที่วางกองรวมกันบนเตียงยับย่น รู้ว่าเกิดจากการอ่านแล้วหลับคาหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า บางส่วนบวมเพราะโดนน้ำ หยดเป็นรอยซึ่งเดาได้ว่าเป็นคราบน้ำตา
“เพิ่งอ่านช่วงนี้ ผมสงสัยว่า บางทีการที่โลกร้อนทำให้ยีนส์ของมนุษย์เปลี่ยนไป”
“หืม?”
“มนุษย์ผลิตพลาสติก โดยเฉพาะเม็ดบีทส์เล็กๆ ที่อยู่ในโฟม ในบุหรี่หรือยาสีฟันเป็นสารเคมีที่กำจัดได้ยากมาก มันไม่ผ่านตัวกรอง มันหลุดลงไปในแม่น้ำ ปลากินมัน แล้วเราก็กินปลาอีกที การทำงานของโครโมโซมเพศทำงานลดประสิทธิภาพลง ทำให้เกิดการจับคู่ของยีนเพี้ยนทำให้เกิดเป็นเพศทางเลือก”
“นั่นมันส่วนน้อย”
“แต่มีอัตราเพิ่มขึ้นเหมือนสมองของคน ในสมัยเก่าสมองคนใหญ่กว่าทุกวันนี้ แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เราใช้สมองในการล่าสัตว์ลดลงมันก็เลยลดหลั่นกันมา คนสมัยใหม่ถึงมีสมองล็กแล้วก็โง่กว่าเมื่อก่อน ไม่สิ เราโง่ในการจดจำแต่ฉลาดขึ้นในการประยุกต์ ส่วนหนึ่งเพราะอุณหภูมิของโลกทำให้ขนาดกะโหลกลดลง”
“ธูป...”
ผมจับมือมันไว้ ไม่ให้เปิดหนังสือหน้าถัดไป มือมันสั่น สั่นจากข้อนิ้วขึ้นไปถึงข้อมือ แววตาที่ซ่อนไว้ใต้กรอบแว่นอ่อนล้า สีผิวหนังรอบดวงตาทรุดโทรมจากการอดหลับอดนอน
“ไม่เป็นไร”
“ผม...จะแก้มัน”
“ธูป” ผมเรียกชื่อมันซ้ำ เบา อ่อนโยนแทบเป็นเสียงเดียวกับลมหายใจ แตะร่างกายด้วยความทะนุถนอมราวแก้วเปราะบาง ก่อนโน้มตัวลงจูบบนหน้าผาก ไม่ต้องดึงเข้ามากอดธูปก็ถลาเข้าอ้อมแขนเหมือนเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความขลาดกลัว
“ผมเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองมากเลย ผมไม่ชอบที่พี่อยู่กับคนอื่น ผมโกรธที่พี่คุยกับพี่โบว์ ผมโมโหที่พี่ไม่ติดต่อกลับมาทั้งที่พ่อยังโทรมาหาผมได้ ผมหงุดหงิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่ ผมไม่ชอบที่ปล่อยให้ตัวเองทำอะไรแบบนั้น ผม...ผมไม่อยากให้พี่ทำเรื่องที่ทำกับผมกับใคร แต่ผมก็รู้...ผมรู้ว่ามันไม่ถูก”
“ธูป ปล่อยมันไป นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ”
“ผมผิดธรรมชาติ”
“แล้ว...กูผิดด้วยเหรอ” ผมถาม มันส่ายหน้าระวิง ธูปร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่สิ้นสุด ผมไม่ห้าม ไม่ปลอบใจ การหลั่งของน้ำตาที่เกิดจากอาการเครียดช่วยบรรเทาเบาบางได้มาก มันโขกหน้าผากกับอกผมทั้งที่ยังกอดเอวเอาไว้
“พี่ไม่ผิด ผมเองที่...ที่อยากให้พี่ทำแบบนั้น ผมยอมให้พี่ทำทุกอย่างเพราะมัน่ทำให้ผมมีความสุข แต่ไม่ใช่ มันมาไกลเกินไป เกินไปแล้ว”
“ธูป ความสัมพันธ์มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนสองคน คนใดคนหนึ่งสร้างมันไม่ได้ ถ้ามึงบอกว่ามึงผิด กูก็ผิด แต่ที่จริงไม่มีใครผิด ไม่มีทั้งนั้น เราปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เราเข้ากันได้ดีทั้งกายภาพและทัศนคติมันก็ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่ธรรมชาติ ผมเป็นผู้ชายเหมือนกับพี่”
ความสับสนนี้เกิดขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะในสภาวะที่ฝ่ายหนึ่งกดดันตัวเองมากเกินไป ห้องนอนของธูปถูกออกแบบให้เป็นสี่เหลี่ยม ของประดับเต็มไปด้วยกรอบเหมือนแว่นตากรอบดำของมัน ธูปไม่ยอมปลดปล่อย สร้างอาณาเขตกักเก็บขึ้นมาตามระเบียบเรียบร้อยอย่างที่มนุษย์พึงปฏิบัติ เติบโตมากับครอบครัวที่เดินตามความต้องการของคนรุ่นเก่า ความเหมาะสม เพียบพร้อม เป็นความกดดันของชนชั้นกลางที่กลัวถูกตัดสินไม่ดีไม่ชอบ เหมือนเคย มันเอาชื่อเสียงของพ่อ ความน่าเคารพของแม่มาประกัน ผูกมัด คล้องคอ ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความรัก
“มันแค่ความรัก”
ความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีความหมาย ไม่มีที่มาที่ไป ตัดสินกันผ่านความต้องการ ความปรารถนา ผมรู้สึกคอแห้งผากเมื่อเจ้าลูกนกตัวสั่นงันงก กอดมันให้แน่นขึ้นแต่ก็เว้นที่ให้พอหายใจได้สบาย
“กูขอโทษที่กดดันมึง”
ทั้งที่รู้ดีมาตลอดว่าธูปเป็นคนที่อ่อนไหวแค่ไหน แต่ก็ยังนึกถึงแค่ตัวเอง มีแต่ตัวเองมาตลอด
“ธูป โกรธกูได้นะ แต่หายโกรธกูด้วยได้ไหม”
“ผมไม่โกรธพี่”
“โกรธกูเถอะ ถ้าการกระทำของเราทำให้มึงโกรธตัวเอง”
ผมกอดมันเอาไว้ กอดขึ้นเรื่อยๆ แน่นที่สุดเท่าที่แน่นได้เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ปล่อยไปไหน
และสุดท้าย ธูปก็ยอมปล่อยโฮออกมา
TBC
ไม่ดราม่าาาาาาา จริงๆ เรื่องนี้แบบ ชิลมาก น้องแค่ตกใจ น้องเลยลั่น น้องขอโทษ ขอน้องสับสนแป๊บ ในความสับสนของน้องยังเป็นเหมือนเดิม คงสเต็ปเนิร์ดดี้คนดีของพี่มัง แต่แน่นอน เรื่องนี้พระเอกของเราคลูๆ ต้องใจเย็น อยู่เป็น ตะล่อมเด็กทีละน้อย /เดี๋ยว
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะะ เป็นเรื่องแรกเลยที่มีเสียงสงสารพระเอก เพราะพระเอกเรื่องนี้เจ็บหนักยิ่งกว่าล่มปากอ่าวจย้า