chapter 14Fear eats the soul ไม่มีเงื่อนไขใด
ไม่มีใครนิยาม
หรือกฎเกณฑ์ที่ต้องตาม
ยามที่เธอลองให้รักบอกหัวใจตัวเอง
ผมนั่งฟังเพลงเดิมซ้ำไปมาเหมือนคนบ้า ปกติแล้วจะชอบเพลงบรรเลงมากกว่าเพลงที่มีเนื้อร้องแต่ได้ยินเพลงนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนที่พี่นันต์เลือกเพลลิสต์ใหม่ให้ร้าน ช่วงเวลาที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์เนื้อเพลงก็ติดอยู่ในหัวเล่นซ้ำวนไปมาจนต้องเสียเงินซื้อ และเป็นเพลงไทยเพียงเพลงเดียวในเพลลิสต์ของตัวเอง
“เมื่อเช้าอาจารย์แวะมาที่ร้านก่อนไปสอน” พี่นันต์พูดขึ้น ลูกค้าในร้านไม่เยอะ ยังเป็นเวลาเพิ่งเตรียมของ ผมตื่นตั้งแต่เช้าเหมือนเคย ออกไปวิ่ง กลับมาอาบน้ำ นั่งทำธีสิสให้เสร็จไวๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เริ่มสอบแล้วมั้ง ช่วงนี้อาจารย์ไม่ค่อยแวะมาที่นี่”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าใกล้สอบอาจารย์จะอยู่ที่คณะให้คำปรึกษาเด็กๆ ปีนี้ผมไม่ได้เข้าไปเป็นทีเอที่ห้องเรียนเหมือนปีก่อนๆ เพราะกว่าจะจัดการเรื่องงานบวชพ่อและอื่นๆ ของตัวเองเรียบร้อยอาจารย์ก็จ้างนักศึกษาปีสี่เป็นทีเอช่วยงานสอนในห้องแล้ว
“ผ่านไปไวเหมือนกันนะ”
“ครับ?”
“จะครบเทอมแล้วน่ะสิ”
ผมเห็นด้วย แต่หนึ่งเทอมของเด็กมหาวิทยาลัยก็ไม่กี่เดือน อาจารย์เล่นไม่อยู่สอนไปเสียครึ่งเทอมยิ่งไวเข้าไปใหญ่ “อาจารย์ให้เข้าไปเอารายงานของนักศึกษามาตรวจ จะฝากไอ้มาร์คมาไหม”
ผมนิ่งไปชั่วขณะ พักหลังมานี้ธูปไม่ค่อยเข้ามาที่ร้าน หรือถ้ามาก็เกาะแจที่เคาน์เตอร์ แสดงอาการหวาดระแวงชัดเจน
เด็กที่โกหกใครไม่เป็นอย่างมัน
คิดแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกับความซื่อบื้อที่ผกผันกับไอคิวดี
“ทะเลาะกับธูปเหรอ”
“เปล่าครับ”
“พักหลังๆ ไม่เห็นเข้ามา” ถ้าผมคิดได้ทำไมคนไหวพริบดีอย่างพี่นันต์จะคิดไม่ได้ “มาก็ไม่ไปนั่งด้วย แปลกๆ มองระแวงห่างๆ ไปดุอะไรมันหรือไง”
“ผมน่ะนะจะดุมัน” พูดกลั้วหัวเราะ ตามใจอย่างกับอะไรดี พี่นันต์ไหวไหล่ หันไปตักน้ำแข็งแล้ววกกลับมาที่เครื่องชงซึ่งกำลังทำงาน
“บางทีไอ้ธูปก็น่าด่าจะตายชัก”
“ก็จริง แต่เจอมันทำท่าหูลู่หางตกผมก็ดุไม่ได้แล้วว่ะพี่”
“แสดงงง” พี่นันต์ลากเสียงยาว “หงอได้ไม่ถึงสิบนาทีจ้า ลุกขึ้นมาทำเรื่องผีห่าซาตานอีกเหมือนเดิม”
“พี่ก็ไปว่าน้องมัน” ผมปฏิเสธไม่ได้ ไอ้ธูปเป็นแบบนั้นจริง ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียแต่ก็น่ารักดี “พี่ไม่รำคาญไอ้มาร์คเหรอครับ เมื่อก่อนเห็นทำท่าเหม็นหน้ามันบ่อยๆ”
“รำคาญ” เบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาก บาริสต้ากู “มันก็เหมือนเพื่อนมันนั่นแหละ น่ารำคาญแต่ทำอะไรได้ สนใจมากประสาทเสีย”
นับว่าพี่นันต์เป็นคนชัดเจน เด็ดขาดฉิบหาย ยอมแพ้ครับ อย่างเดียวที่ทำให้พี่นันต์สงบเห็นทีจะมีคอลัมนิสต์สาวที่เทียวไปเทียวมามากกว่าเจ้าของร้านนั่นแหละ
“แล้วช่วงนี้คุณกานดาไปไหนอะพี่”
“ต่างประเทศ” คู่สนทนาตอบห้วน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตะโกนเรียกลูกค้ามารับเครื่องดื่ม เขากระตุกมุมปากกระชากใจสาวเหมือนเคย นับวันยิ่งกลายเป็นอปป้าแสนอบอุ่นขัดกับนิสัย “ถามทำไม”
ตาคมค้อนขวับ ก่อนพูดต่อ “ถ้าไม่นับไอ้ธูปก็มึงเนี่ย อะไรกับคุณกานดาจัง ชอบหรือไง”
“ผมอะเหรอ เปล่าเว้ย พี่ต่างหาก” ผมยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อสัพยอกเข้าตรงจุด พี่นันต์เงียบ ไม่เถียง ว่าไม่ชอบ
“มึงเคยชอบใครที่เป็นไปไม่ได้ไหมวะ”
“เคยดิ” ตอนนี้เลยแหละ “ผมไม่อยากนับว่าใครเป็นไปไม่ได้มากกว่านะ ระหว่างผมกับพี่ มันไม่มีหน่วยที่แน่นอน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเหตุผลที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะตามหลักปรัชญาหรือเศรษฐศาสตร์”
“ไอ้ธูปเข้าสิงร่างหรือไง พูดเหี้ยอะไร” ผมหัวเราะเมื่อนึกขึ้นว่านี่มันเป็นวิธีการพูดของไอ้เด็กนั่น อาจอยู่ด้วยกันบ่อยเกินไป บ่อยจนลอกเลียนพฤติกรรมบางอย่างมาโดยไม่เจตนา
“หมายถึงเรื่องฟลุ๊กมันมีจริงอะพี่ บางทีคุณกานดาอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากเท่าที่พี่คิดก็ได้นะ”
“ไม่หรอกว่ะ” คู่สนทนาทำหน้าเซ็ง แต่เชื่อมั่นในความไม่เชื่อมั่นของตัวเอง “คนเราโตขึ้นมันก็ต้องคิดหลายอย่าง ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่แค่ชอบคนนี้ เออ ลองจีบ เขาชอบเหมือนกันก็คบ ไม่ชอบก็จบ ยิ่งคิดตรงกันยิ่งยาก ยากที่สุดไม่ใช่ตอนจีบ ตอนจะไปต่อยังไงต่างหาก”
คำพูดของพี่นันต์ทำเอาผมสะอึก เรื่องระหว่างผมกับธูปดูกลายเป็นเรื่องของเด็กทันทีเมื่อเทียบกับความจริงจังของคนตรงหน้า
“กูไม่อยากดึงเขามาลำบาก กูไม่มีอะไร การศึกษา หน้าตาทางสังคม อนาคต พยายามแค่ไหนก็ไม่ทันอยู่ดี”
ผมถอนหายใจ ตบบ่า ไม่รู้ว่าจะปลอบคนตรงหน้ายังไง ทุกอย่างที่พี่นันต์พูดก็ถูก ผมหมายถึงบางเรื่องพยายามแค่ไหนก็ไร้ความหมาย
“แล้วยังไง มึงจะไปหาอาจารย์เองหรือให้ใครหิ้วงานมาให้ กูจะได้บอกไอ้มาร์คให้”
“ไม่เป็นไรพี่ มันยิ่งเหม็นขี้หน้าผมด้วย”
ขโมยรถไปสองครั้ง และอาจจะมีอีกหลายครั้งในอนาคต ผมเก็บแต้มให้มันรำคาญไว้ใช้เรื่องอื่นดีกว่า
แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ
คำพูดของพี่นันต์ยังเป็นปริศนาที่ผมพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง ผ่านค่ำคืนแสนหวานตื่นเพื่อพบกลางวันอันขื่นขม มีเพียงผมและธูปที่รู้ว่าความลับในห้องใต้บันไดนอกจากดาวเรืองแสงที่ไม่ดีต่อสุขภาพแล้วมีอะไร บางเรื่องที่อาจารย์พิภพระแคะระคายแต่ทุกคนทำเมินเฉยเหมือนว่าลืมมันไป
ผมส่งข้อความหาธูป ไม่มีคนตอบและไม่มีคนอ่าน รู้สึกว่ามันทำตัวติดต่อได้ยากมากขึ้น มาที่ร้านน้อยลง พูดอีกทีเหมือนถูกหลบหน้าทั้งที่ตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ พยายามบอกว่าเด็กก็แบบนี้ อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว หุนหันพลันแล่น หรือบางทีอาจจะเครียดเรื่องสอบ อย่างสุดท้ายที่นึกออกคือมันไม่ตั้งใจจะมีสัมพันธ์กับผมจริงๆ
อย่างนี้เรียกว่าหลอกฟันหรือเปล่าวะ
หัวใจผมวูบโหวงเหมือนมีอะไรมาควักเนื้อออกไปจนแหว่งวิ่น ยิ่งนานวันยิ่งลึกละขยายวงกว้าง อาจเป็นรอยเน่าของหนอนบางชนิดเจาะกินไว้ ผมยังหาตัวการไม่ได้ และดูเหมือนมันจะทำลายความรู้สึกให้ท้อแท้หดหู่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไล่ข้อความย้อนกลับไปไม่เห็นว่ามันอ่านมาหลายวันแล้ว อยากไปตามมันที่บ้านอีกครั้ง จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ผมวิ่งตามมันโดยไม่รู้ความผิดของตัวเอง
ผู้ชายเป็นเพศที่ซื่อบื้อ แฟนเก่าผมบอกไว้อย่างนั้น พอเป็นผู้ชายสองคนที่คบกันแม่งก็ยิ่งซื่อบื้อไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์แล้วก็นึกออกยากเหลือเกินว่าเราเข้ากันดีฉิบหายโดยไม่ต้องสื่อสารล่วงหน้าได้ในเรื่องไหนอีกบ้าง
หรือบางที ผมกับธูปอาจไม่เคยสื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกมาจริงๆ กันทั้งคู่เท่านั้นเอง
เวรเอ๊ย แล้วมีอะไรที่ผมจะทำได้อีก หรือต้องยอมให้มันเป็นคนทำบ้าง
จะว่าไป วันนั้นผมก็ไม่ไดไ้ม่อนุญาตมันสักหน่อย เพียงแต่สถานการณ์ดำเนินไปให้เป็นไปในรูปแบบที่มันอ่อนระโหยโรยแรงเมื่อผมจุดไฟเผามันด้วยสายตาเท่านั้นเอง
“เจ้ก้อง!”
เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ไอ้ชื่อหลังน่ะคุ้น แต่คำนำหน้านี่มันอะไรวะ ผมหันกลับไปมอง เด็กสาวคนคุ้นเคยโบกมือจากอีกฝั่งถนน เมื่อไม่มีรถโบว์ก็วิ่งข้ามฝั่งมาคล้องแขน
“เรียกตั้งนานไม่หัน อีกนิดจะเรียกว่าคุณแม่แล้ว”
“คุณแม่อะไรวะ”
“ก็เอาไว้เรียกเพื่อนสาวตัวท็อปไง”
ผมเอาแฟ้มรายงานที่พกมาด้วยตีหัวคนพูด ไม่ได้แกะมือออกจากแขน “เลอะเทอะใหญ่แล้ว”
“แซวเล่น มาทำอะไรคะ อ๊ะ หรือเลี้ยงเด็กไว้ที่นี่”
“เด็กกับผีอะไรล่ะ เอางานมาส่งอาจารย์พิภพ เอาข้อสอบไปตรวจด้วย”
“ข้อสอบปีโบว์หรือเปล่า”
“ถ้าใช่จะแกล้งตรวจผิดให้คะแนนน้อยๆ”
“โอ๊ย ทำไมร้ายจัง อย่าแกล้งโบว์เลยแค่นี้ก็กลัวไม่ผ่านจะแย่”
ผมหัวเราะ ตั้งแต่รู้ความลับของกันและกันทำให้ผมกับโบว์สนิทสนมกันมากขึ้น ไม่ได้คุยบ่อยเท่าช่วงที่ไปค่าย แต่โบว์มักทักมาเรื่องปัญหาที่ไม่แน่ใจว่าจะปรึกษาใครนานๆ ที ผมตอบเท่าที่ตอบได้ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษเพราะในหัวมีแต่เรื่องของคนบางคนตลอดเวลา
“ยังไม่รู้หรอก นี่ก็ยังไม่ได้ไปเอางาน แล้วไม่มีเรียนเหรอ ใส่ชุดลำลองมามหา’ลัย”
“มาอ่านหนังสือค่ะ” เด็กสาวตอบ โชว์กระเป๋าผ้าที่หิ้วมาด้วย ใบใหญ่จนต้องยื้อมาช่วยถือให้ “ไม่เป็นไรพี่ โบว์ถือเอง”
“พี่แข็งแรงกว่า แล้วจะไปไหนเดี๋ยวเดินไปส่งก่อน พี่มาก่อนเวลานัดอาจารย์ ยังพอไปได้”
“โบว์อ่านเสร็จแล้ว เพิ่งแยกกับเพื่อนเมื่อกี้ จะไปขึ้นรถเมล์หน้ามอ.แล้วแต่เจอศิษย์รักของอาจารย์พิภพก่อนนี่ล่ะ”
“งั้นพี่ไปส่งที่ป้ายรถเมล์”
“โห มาถึงมอ.ทั้งทีไม่เลี้ยงข้าวน้องหน่อยเหรอ” เจ้าของประโยคตัดพ้อทำท่าน่าสงสาร ผมแพ้ผู้หญิงน่ารักแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ชอบผู้ชายแล้วก็ไม่ยกเว้น “โบว์รอพี่คุยกับอาจารย์เสร็จก่อนก็ได้ สัญญาว่าจะนั่งอ่านหนังสือเรียบร้อยๆ ใต้ตึกคณะ ไม่ขึ้นไปแอบดูข้อสอบเลย”
“โอเคๆ” ผมยอมเลี้ยงข้าวโรงอาหารในที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าใช้เวลาไปคิดเรื่องไอ้ธูปที่ไม่เห็นทางออก ผมควรจะวางเรื่องนั้นก่อนเป็นบ้า “ไม่รับปากนะว่าเสร็จกี่โมง ถ้ารอไม่ไหวก็กลับไปได้เลย ติดไว้วันหลัง”
“รอได้อยู่แล้ว”
เด็กสาวซบลงบนแขน ออดอ้อนออเซาะ สงสัยผมจะเป็นเจ้ในสายตาโบว์ไปแล้วจริงๆ ถึงกล้าเล่นถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังเขินบิดไปทั้งตัว
“กลุ่มตัวอย่างที่เอามาเป็นข้อมูลก็โอเคแล้ว แต่ผมว่าเรฟเฟอเรนซ์ตรงนี้ยังไม่ชัด มีทฤษฎีของอีกหลายคนที่ตั้งขึ้นมาก่อนคนนี้ เป็นการบันทึกต่อยอดประวัติศาสตร์ คุณลองทบทวนอีกทีว่าควรใส่ชื่อใครในการอ้างอิงน่าจะสรุปออกมาได้ดีกว่านี้”
ภายในห้องพักอาจารย์ ห้องหัวหน้าภาคแยกออกมาอีกชั้นหนึ่ง เสียงพลิกกระดาษดังในความเงียบ กลิ่นที่โอบล้อมเป็นกลิ่นอับและกลิ่นของเอกสารที่วางท่วมหัวจากโต๊ะหนึ่งสู่อีกโต๊ะหนึ่ง อาจารย์พิภพอ่านรายงานผ่านแว่นสายตา วิจารณ์งานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บทนี้ก็แก้อีกนิด ส่งพร้อมบทหน้าเลย ไม่น่ามีอะไร เอ้อ ผมจะฝากข้อสอบของนักเรียนให้คุณไปตรวจ เป็นข้อเขียน อ่านแล้วอาจจะเอาไปใช้กับงานได้ในเรื่องของความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่”
เขาว่าพลางยกเอกสารที่ถูกมัดด้วยเชือกฟาง ห่อล้อมมิดชิดด้วยกระดาษสีน้ำตาล “เป็นข้อสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายของปีสี่ เสร็จแล้วไว้ที่ร้านเลยก็ได้ วันเสาร์ผมน่าจะได้เข้าไปดูอีกที”
“ครับ” ผมรับกระดาษมาอุ้มไว้ น้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม “เท่านี้เหรอครับ”
“แค่นี้แหละ ผมเคลียร์บางส่วนแล้ว”
“เปล่าครับ” ผมไม่ได้หมายถึงงาน “ผมหมายถึง...”
“เอาล่ะ รีบกลับก่อนฝนตกดีกว่า มีเอกสารด้วยเดี๋ยวจะลำบาก” เขาตัดบทสนทนาเรียบง่าย “ ช่วงนี้พายุเข้าด้วย”
เก้าอี้หนังถูกหมุนกลับไปหาโต๊ะที่เปิดคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมไว้ เบาะที่นั่งเอนไปด้านหลังเมื่อชายวัยกลางคนทิ้งน้ำหนักลง เขาถอดแว่น นวดขมับ ราวกับต้องการตัดโลกข้างนอกออกไปจากหัว แม้ว่าเป็นโลกที่กำลังทำให้วุ่นวายใจก็ตาม
คนเราก็เป็นเท่านี้ ไม่แก้ปัญหาก็หนีปัญหา หลับตาแสร้งไม่รับรู้ เพิกเฉยและหยิ่งผยองเกินกว่าจะยอมรับว่าพ่ายแพ้
แพ้ให้กับปัญหาที่ใหญ่เกินตัวมนุษย์คนหนึ่งจัดการได้เท่านั้นเอง
“พี่ก้องลงมาพอดี!”
เสียงของเด็กสาวดังเมื่อเห็นผมเดินลงมาจากบันได โบว์นั่งอ่านหนังสือรออย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอย่างรับปากไว้ แต่เรื่องที่จะทำให้ไม่เรียบร้อยเห็นจะเป็นคนมาใหม่ที่ยืนคุยอยู่ไม่ไกล
“คราวนี้หนีไม่ได้แล้วนะน้องธูป”
“หนีอะไรกัน” ผมถาม พยายามมองหน้าเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าลง เตะปลายเท้ากับอากาศไปมา
“น้องมาหาอาจารย์พิภพน่ะค่ะ โบว์บอกว่าให้รอไปกินข้าวกับพี่ก้องก็บอกว่าน่าจะนาน จะรีบไปอ่านหนังสือต่อ เนี่ย ถ้าช้ากว่านี้อีกนาทีโบว์ไม่รู้จะรั้งไว้ยังไงแล้วนะ”
ผมพยายามมองแกมบังคับให้สายตาคู่นั้นหันกลับมา แต่ธูปยังคงเฉไฉมองไปทางอื่น เอามือล้วงกระเป๋า เกร็งไหล่เพื่อไม่ให้เป้คู่ใจไหลลงจากบ่า
“ไปด้วยกันสิ”
“ผมมีนัดติวหนังสือกับเพื่อน”
“ติวก็ต้องกินข้าว เย็นแล้ว”
“เดี๋ยวจะไปกินกับเพื่อนต่อเลย”
“จะไปกินกับเพื่อนทำไม ก็อยู่ด้วยกันตรงนี้แล้ว” ผมพยายามใจเย็น หงุดหงิดกับท่าทีเมินเฉยของอีกฝ่าย “โบว์ก็ไปด้วย”
เสนอทางเลือกให้สบายใจว่าจะไม่เป็นที่จับตา ธูปเหลือบมองผมผ่านแว่น ใช้นิ้วดันแว่นกลับขึ้นไปแล้วล้วงกระเป๋าต่อ
“ก็ไปกันเลย สองคนกำลังดี”
“กำลังดีอะไร” ผมถามเสียงเครียด ไม่ตลกสักนิด แค่การหลบหน้ากันก็ทำเอาผมป่วนแทบแย่ จับตัวได้ก็ยังรั้นหาทางหนีท่าเดียว “ชวนมาร์คมาด้วยก็ได้”
“มันคงมาเจอพี่หรอก”
“บอกมันว่ากูเลี้ยง”
“มาร์คมันกินดีกว่าโรงอาหารอยู่แล้ว”
ไอ้ห่าแว่นนี่ชักกวนตีน ผมกอดอก กดดันมันด้วยท่าทาง “เป็นอะไร”
“ถ้าน้องไม่อยากไป...”
“ไม่มีอยากหรือไม่อยาก แต่วันนี้ธูปต้องไป” ผมพูดขัดคอโบว์ เจ้าของชื่อเงยหน้ามองช้าๆ เมื่อเห็นท่าทางของผมก็เม้มปากเข้าหากัน ตามันแดง แดงจนเห็นรอยช้ำรอบๆ กรอบตา เมื่อหรี่ตาลง จ้องมองให้ชัดขึ้น ก็พบความกลัวซ่อนลึกอยู่ด้านใน
หรือบางทีอาจารย์อาจจะไม่พูดกับผม แต่ไปกดดันที่ธูปให้เลิกคุยกันแทน
ขณะที่ความเงียบเหงาและห่างเหินคืบคลาน สิ่งที่ก่อตัววนซ้ำคือความกระวนกระวายไม่อาจรักษาความสงบนิ่งให้ตัวเองได้ ธูปรักษาระยะระหว่างผมกับมันจนน่าอึดอัด นั่งอยู่ตรงข้ามกันแต่แน่นิ่งราวกับว่าถ้าขยับตัวแล้วจะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม มันละเลียดกินอาหารในจานเชื่องช้า สั่งเป็นข้าวราดแกงง่ายๆ กับน้ำผสมน้ำเชื่อมง่อยๆ แก้วละ 12 บาทมาดื่ม สมัยผมเรียนราคามันถูกกว่านี้ และคิดว่าก่อนหน้าผมอาจจะไม่ใช่ราคา 10 บาทเช่นกัน
“พักนี้ก็เลยอยู่ที่มหา’ลัยอย่างเดียวเลยสิ”
เสียงเด็กสาวเอ่ยถาม ธูปละสายตาจากจานข้าวของตัวเองขึ้นสบตาแล้วพยักหน้าลง ผมลอบมองอากับกิริยานั้นเงียบๆ เป็นความเศร้าที่แฝงความอึดอัดใจ ไม่ใช่ธูปแบบที่เคยรู้จัก
“เครียดแย่เลย”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“ได้นอนบ้างหรือเปล่า” โบว์ถาม คู่สนทนายังคงตอบด้วยท่าทางขณะตักข้าวใส่ปาก มันไม่ได้กระตือรือร้นในการกินอย่างในภาพจำ เหมือนกินให้หมดๆ จะได้รีบลุกออกไปจากตรงนี้
ผมเผลอถอนหายใจ ยาวเหยียดเหมือนผ่องถ่ายลมหายใจออกมาจากปอดจนหมด
“เอ้า ถามคนนั้น คนนี้ทำท่าเหนื่อย คืออะไรอ้ะ”
“เปล่า แค่อยากให้ธูปดูแลตัวเองดีๆ”
“นี่ล่ะน้าศิษย์โปรดอาจารย์พิภพ” โบว์ยิ้มยิงฟัน แกล้งยวนโดยไม่รู้สถานการณ์ ผมไม่โทษว่าเป็นความผิดโบว์ ไม่โทษที่ธูปมีท่าทีประดักประเดิด ถ้าทั้งหมดเป็นความผิดก็อาจเป็นผมเองที่เสือกเป็นศิษย์โปรดอาจารย์พิภพ
“โบว์ เดี๋ยวพี่มา”
ผมพูด ตักน่องไก่ในชามก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่กินให้ธูป ”กินให้หน่อย ถ้าเสร็จแล้วจะกลับไปอ่านหนังสือก็ไป ไม่กวนแล้ว”
“เดี๋ยวค่ะ พี่ก้อง” มือขาวคว้าไว้ ผมเห็นสายตาธูปจ้อง แต่ไม่พูดอะไร นิ่งแน่แชเชือนราวกับระหว่างเราไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ลึกซึ้งกันมาก่อน “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ โบว์มีบุหรี่ไหม พี่ขอตัวนึงสิ”
“เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไปที่ร้าน สักห้าทุ่ม” ในที่สุดธูปก็เปล่งเสียงออกมาบ้าง เด็กหนุ่มรวบช้อนส้อมเข้าหากันไม่ยอมกินมากไปกว่านี้
“ไปตอนร้านปิด?” เผลอดุนลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้ม กลอกตาขึ้นมองบนเพดาน ความหงุดหงิดงุ่นง่านเพิ่มทวีเท่าตัว หัวเราะหึออกมากลั้วลมหายใจ
“ตามใจ... โบว์...” ผมทวงบุหรี่กับรุ่นน้องอีกครั้ง เด็กสาวมีทีท่าอิดออดแต่ก็ยอมหยิบให้พร้อมไฟแช็ก ผมรู้ว่าโบว์ติดมันและใช้บุหรี่เพื่อคลายเครียด ไม่คิดห้าม แต่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะใช้วิธีนี้ในการระบายสิ่งที่อัดอั้น ซ่องสุม กัดกินอยู่ในใจ
“ธูปนั่งเป็นเพื่อนพี่ก่อนนะ” เจ้าของบุหรี่บอกคนฝั่งตรงข้ามที่ทำหน้าไม่สู้ดีเหมือนกัน
ปลายมวนบุหรี่มอดไหม้ด้วยเปลวสีแดง กัดกินกระดาษสีขาวให้เป็นสีดำ กลิ่นมินต์อวลตลบคลุ้งในอุ้งปาก พ่นออกมาทางจมูก ชำระล้างแรงกดตึงของคล้ามเนื้อท้ายทอย แต่ทำให้น้ำลายเหนียวข้น
ผมเลิกบุหรี่มานานแล้ว อันที่จริงก็ไม่เคยติด แต่สูบเพื่อเรียกร้องความสนใจในวัยเด็กทั้งที่พ่อแม่ก็เคยรักและสนใจดีทุกประการ อาจเป็นความคะนองและอยากได้รับการยอมรับในกลุ่มเพื่อน ผมเคยเป็นหัวโจกของแก๊ง ไม่ได้เจ้าชู้ประตูดินแต่ไม่เคยดิ้นรนถ้าจีบผู้หญิงสักคนไม่ติด เดี๋ยวก็มีคนที่สอง คนที่สาม ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีสาระอะไรให้จำ
แต่นี่...กำลังเป็นบ้าอะไร เป็นบ้าเพราะถูกปั่นหัว รู้สึกไร้ค่าเมื่อถูกซุกซ่อนทั้งที่เข้าใจเหตุผลได้ ผมไม่ต้องมีใครให้แคร์นักเลยพูดได้ว่าอยากคบกันเหมือนคนอื่น เข้าใจทุกอย่าง ในกรอบปฏิบัติของไอ้ธูปที่จำเป็นต้องปิดบัง แต่เมื่อความปิดบังเข้มข้นตามประสาวัวสันหลังหวะกลับทรมานเสียยิ่งกว่ามันปฏิเสธกันด้วยซ้ำไป
สรุปแล้วผมเป็นของทดลองชิ้นใหม่ของมัน หรือมันชอบผมจริงๆ กันแน่
“ธูปไม่ชอบบุหรี่นะเฮีย”
เงาทาบลงมาบนผนังปูนริมห้องน้ำ คนมาใหม่เอนตัวใช้แผ่นหลังพิง ผมหันหน้าหนี ไม่อยากคุยกับใครในเวลานี้
“มันบอกว่ามากินข้าวที่โรงอาหารผมเลยตามมาดู แวะมาเจอเฮียที่ห้องน้ำก่อน”
“เฮียพ่อมึงสิ” หันไปบอกลูกครึ่งอเมริกัน มันหัวเราะ ไม่ยักจะโกรธเหมือนตอนรถถูกใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
“พี่คบกับมันจริงอะ”
“มันบอกเหรอ”
“ที่จริงก็สังเกตได้ วันที่พี่เปิดซิงมันแล้วมันมาเรียน คือนะ มันแปลกๆ แต่คงไม่คิดจะเค้นมันถ้าไม่เห็นรอยตอนมันก้ม”
“ก้มอะไร”
“ไอ้ธูปใส่เสื้อตัวใหญ่ บางครั้งนั่งอ่านหนังสือกันใต้คณะแล้วร้อนมันก็ปลดกระดุมบน ก้มทีเห็นไปถึงสะดือ แต่ไม่มีใครถือหรอก มันเป็นผู้ชาย ผมแค่รู้สึกว่ามันลุกนั่งแปลกๆ แล้วก็ถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหน หลักฐานมัดขนาดนั้นก็ต้องสารภาพ”
ผมถอนหายใจ สัญชาตญาณเสือกของคนนี่มันรุนแรงจริงๆ “แล้วมันว่าไง”
“ก็คบแหละ แต่ระแวงสัส กลัดกระดุมถึงเม็ดบนสุดยันวันนี้ โคตรเพี้ยน รอยดูดหายแล้วมั้ง เห็นเดินเหินได้ปกติ อย่ารุนแรงนักดิ ไอ้ธูปมันไม่เคย พี่ต้องใจเย็นๆ กับมัน แล้วซื้อเควายติดห้องไว้ด้วย you know it’s the best for sex อ่า แต่อาจทำให้ถุงแตกง่ายนะ” มาร์คเลิกคิ้วขึ้น “หรือไม่ใส่? ไม่ได้เลยนะเว้ย อันตราย”
“คราวหน้าจะใส่” ตอนนั้นอารมณ์พาไป รู้แค่ว่ามันกับผมไม่เป็นโรค แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องการเกิดแผลภายในและการติดเชื้อ งี่เง่าฉิบหาย
“พี่แม่ง อะไรวะ พึ่งได้จริงปะเนี่ย ขอบุหรี่ตัวดิ”
“กูก็ไปไถน้องโบว์มา”
“น้องงโบบบว์” ไอ้เชี่ยมาร์คลากเสียงยาว หลิ่วตามอง “เหมาคู่เลยปะเนี่ย”
“แค่เพื่อนมึงก็ป่วนประสาทกูจะแย่แล้ว”
ผมพ่นควัน สีเทาของมันเหมือนความอึมครึมระหว่างเรา มาร์คไหวไหล่ มองกลุ่มลมหายใจย้อมสีของผมจางออกไปช้าๆ
“พี่แม่งเหมือนควันจริงด้วย”
“อะไร”
“มองเห็น ได้กลิ่น แต่จับไว้ไม่ได้ พร้อมพลิ้วไปตามลม พี่แบบ เป็นคนยังไงก็ได้เกินไป มันดูไม่จริงจัง ไม่ต่อสู้อะไรสักอย่างจะให้ธูปมันไว้ใจอะไร”
“มันทิ้งกูเป็นรอบที่สามแล้ว” นับรวมกับสองครั้งแรกที่หายไปโดยให้ผมไปตามที่บ้าน สารพัดจะดูแลเพื่อให้เกิดครั้งถัดไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้เบื่อที่จะง้อ แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ก่อนหรือเปล่าวะว่ามันโกรธหรือเป็นอะไร
“จริงๆ มันก็ดีนะที่ you flexible แบบ... มีความยืดหยุ่น ปรับตัวกับสถานการณ์ง่ายเพราะไม่ลงใจกับอะไร ผมหมายถึง ถ้าธูปเซย์โน พี่ก็คงไม่เดือดร้อนอะไร”
“ใครบอกมึง”
“เดา”
“อย่า judge คนอื่นไปทั่ว”
“แล้วใช่หรือเปล่า”
ผมนิ่งไปชั่วขณะ สูบบุหรี่ครั้งสุดท้ายแล้วฝังปลายมวนลงในถังทรายเหนือถังขยะใกล้ๆ ระบายลมหายใจออกมาเชื่องช้า ไม่เร่งรีบ ใบไม้ไหวทำให้เงาที่ทอดลงมากระดิกระริก สีเทาดำแทรกด้วยแสงจากพระอาทิตย์ใต้ต้นพิกุลสูงใหญ่ นึกถึงต้นพิกุลที่แม่ปลูก ไม่เคยเลี้ยงจนโตก็ต้องขายต่อ ส่งต่อ บ้านเราไม่ได้มีพื้นที่ลงดินให้มันขยายตัวนัก แต่แม่ก็ยังชอบปลูกต้นไม้ เพาะชำ แข็งแรงแล้วก็ขายไปเป็นงานอดิเรก
“กูไม่อยากสูญเสียแล้ว”
ทั้งแม่ และพ่อ ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งสถานการณ์บังคับ หรือเลือกที่จะจากไปด้วยตัวเอง
“โกงอะ พี่เล่นพนันแต่ไม่จ่ายเงิน”
“อีกคนก็ไม่ลงเงินเหมือนกัน”
“Okay, That’s fair but both of you not get any reward from this situation”
มาร์คหมายถึงทั้งผมและธูปเมื่อไม่มีใครวางเดิมพันก็ไม่มีใครได้รับรางวัลที่เรียกว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรืออย่างน้อยอาจจะยั่งยืน
"พูดเหมือนมึงลงทุนกับพี่นันต์จนกูต้องเอาเป็นอย่าง”
“No. Anan so cute when angry but I don’t really like him”
“มึงแซวเขาขนาดนั้นแต่บอกว่าไม่ได้ชอบพี่นันต์จริงๆ?”
“มันง่ายไงที่ปากเราว่างแล้วก็มีใครว่างตรงนั้นพอดี พูดว่าชอบใครสักคนมันง่ายจะตาย ยูก็รู้ ใครๆ ก็พูดได้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เห็นด้วยตา คู่ไปกับมองให้ออกด้วยใจปะ”
“เอาไอนสไตล์มาเล่นกับกูอีกแล้ว”
“หรือจะโสดไปตลอดชีวิตแบบนิวตันล่ะ เอาเถอะ ผมไม่ได้เนิร์ดเท่าไอ้ธูปหรอก คำพวกนี้ก็จำมันมา so you know what he really want from you”
ผมมองหน้ามาร์คที่เดินห่างออกไปแล้วหยุดเพื่อทิ้งประโยคหลังไว้เท่ๆ
“ชื่อธูปก็จริงแต่มันไม่ได้ชอบควันนะ”
ผมล้วงมือใส่กระเป๋า มองขึ้นไปด้านบน ใบไม้ปลิวตามแรงลม จากกิ่งก้านสู่ปลายยอด มีจังหวะกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยเมื่อกระรอกวิ่งจากกิ่งหนึ่งกระโดดไปสู่กิ่งหนึ่ง
หรือเป็นที่ผมเองซึ่งไม่แข็งแรงพอให้มันคิดพึ่งพาให้ผ่านความกังวลใจนี้ไปได้ด้วยกัน
มาแหล่วว ขอโทษค่ะมาซะดึ้กดึกเลย ชื่อตอนนี้ fear eat the soul หมายถึง ความกลัวกัดกินจิตใจค่ะ เป็นเวลาที่ต่างคนต่างกลัวละ สู้นะ อย่ายอมนะ เฮ่ แปะศัพท์กิ๊กๆ ก๊อกๆ นิดนึง ตามความเข้าใจของอิฉัน ถ้าผู้รู้ท่านใดมีความเห็นอื่นแนะนำแก้ไขกันได้เน่อ
ปล. เรื่องนี้ 16 ตอนจบ แล้วจะไปเขียนพล็อตใหม่แล้วค่ะ วิ่งในหัวเยอะมาก จะร้อง
flexible = สามารถยืดหยุ่นได้
judge = ตัดสิน
That’s fair but both of you not get any reward from this situation = นั่นแฟร์สำหรับมึงทั้งสองตัวที่จะไม่ได้รางวัลอะไรไปเลยจากสถานการณ์นี้ หรือทำนองว่าไม่ทำอะไรซักอย่างก็แห้วไปเถอะ สมควรแล้ว
Anan so cute when angry but I don’t really like him = พี่นันต์น่ารักมากตอนโกรธ แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบเขาจริงๆ
so you know what he really want from you = ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วปะว่าธูปมันต้องการอะไรจากพี่
เจอกันวีคหน้าเด้อ