chapter 05SOMETHING WRONG
ข้อดีที่ธูปยังคงตั้งหน้าตั้งตาจีบคุณกานดาคือทำให้ระหว่างเราไม่เกิดความรู้สึกประดักประเดิดกับพฤติกรรมประหลาดๆ ที่ผ่านเข้ามาเกินไปนัก ผมยังนึกถึงแต่สะบัดความคิดออกคล้ายเห็บหมัดที่วกวนรบกวนจิตใจ ให้พอเจ็บๆ คันๆ น่ารำคาญ เห็นมันปรี่เอาช็อกโกแลตไปให้คุณกานดาก็เบะปากแกมสะใจที่หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจขนมของมันนัก
ผมไม่เห็นฟีดแบ็คที่ชัดเจนนักหลังจากนั้น เป็นช่วงที่ตรงกับธูปเหมางานกลุ่มมาทำคนเดียวที่บ้าน หายหน้าไปพักหนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเอางานกลุ่มมาทำเดี่ยว แต่ไม่ทักท้วง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องการระยะห่างเว้นว่างให้ความรู้สึกที่ฟุ้งกระจายตกตะกอนลงมาเหมือนกัน
ถ้าบอกว่าชอบ ผมก็น่าจะหงุดหงิดใจเรื่องคุณกานดาบ้าง แต่เพราะรู้ว่าโอกาสที่มันจะจีบคุณกานดาติดน้อยมากเลยตัดความไร้สาระนั้นออกไปโดยง่าย ไม่ใช่แค่เพราะคุณกานดาชอบพี่นันต์ ไม่ใช่เพราะอายุที่ห่างกันมาก แต่เพราะตัวธูปเองกำลังทดลองในเรื่องที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายตัวเองจะดีใจหรือเสียใจถ้าธูปคอตกมาบอกว่า ‘ผมอกหักจริงๆ แล้วครับ’
ผมพยายามละความสนใจจากทั้งคู่ แค่ลำพังตัวเองก็สับสนเต็มทน หลังจากวันนั้นระหว่างเราเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง มันยังสนใจเรื่องวิ่ง แต่ยังไม่มีโอกาสไปอีกครั้ง ส่วนผมยังคงทำตัวเหมือนก่อนที่จะสอนให้ธูปหัดวิ่ง และออกวิ่งในระยะทางที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ความรู้สึกสงบตอนที่วิ่งถูกพังทลายทั้งหมด เผลออยู่เฉยๆ เป็นต้องคิดถึงเรื่องไอ้เด็กนั่นขึ้นมาบ่อยๆ
คิดถึงมากขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ชอบจะเป็นอะไรได้อีก
ผมนึกถึงขั้นที่ว่าถ้าอาจารย์พิภพรู้ว่าผมชอบลูกชายสุดรักสุดหวงของแกขึ้นมาจะไล่ตะเพิดผมออกจากร้าน ยึดทุน หรือไม่ให้ผมเรียนจบ น่าตลกดีที่ทุกอย่างผมสมมติขึ้นมาทั้งที่เห็นอยู่ว่าธูปไม่ได้คิดเหมือนกัน
ไอ้เด็กคนเดิมยังฉอเลาะคุณกานดาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำตาเล็กตาน้อยใส่อย่างมีชั้นเชิง นับเป็นชั้นเชิงประมาณหนึ่งที่ดีขึ้นมากจากวันแรกที่รู้จักกัน
บ้าฉิบ ผมไม่ชอบความรู้สึกตกหลุมรัก มันทำให้กระวนกระวาย ไม่เป็นสุข ยิ่งตกหลุมรักกับคนที่ไม่สมควรแล้วยิ่งว้าวุ่นจนยากที่จะซ่อนความกระสับกระส่าย เคยคิดว่าหลุดพ้นทุกเงื่อนไข แต่นี่มันยิ่งกว่าบ้าของบ้า คือบ้าที่เผลอไปชอบผู้ชายด้วยกันทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบได้
หรือบางทีอาจเพราะผมให้ความสนใจมันมากเกินไป อาจเป็นความเข้าใจผิดเพราะไม่ได้คบใครจริงจังมาพักใหญ่ ความเหงาของการเป็นมนุษย์วัยกลัดมันอย่างที่ธูปเคยเรียก เวรเอ๊ย แต่สาเหตุที่ไม่อยากคบใครก็เพราะต้องการจะรีบเรียนให้จบโดยไม่ต้องสละเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ
พยายามสลัดความคิดออกไปจากหัว เจ้าของตัวมันก็มานั่งจ๋องอยู่ข้างๆ ไม่รู้สึกรู้สา ธูปเป็นคนความตั้งใจสูง แน่นอนมันตั้งใจจีบคุณกานดาขนาดนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ผ่านมามันเจตนาทำให้ผมคิดเกินเลยไปหรือเปล่า ถ้าตั้งใจแล้วยังมึนมานั่งทำท่าสลดใส่คงเรียกได้ว่าเป็นคนเย็นชาฉิบหาย
“ผมว่าผมอกหักจริงๆ ว่ะ”
ประโยคนั้นจบแทบไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าทำไมในเมื่อดูออกตั้งแต่แรก ผมไม่รู้ว่าตัวเองผิดหรือเปล่าที่บอกให้ธูปลองจีบคุณกานดา แต่ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปใหม่ก็ยังคงเชียร์เหมือนเดิม มันไม่ได้ดูเศร้า แต่หมดความมั่นใจลงประมาณหนึ่ง
“ก็คุยกันดีนี่”
“ผมชวนพี่กานไปกินข้าวอะ พี่กานไม่ไป บอกว่าต้องทำงาน”
“แปลว่าเขายุ่งไง”
“คนยุ่งแค่ไหนก็ต้องกินข้าวปะ” ก็จริงของมัน “คำตอบแบบนี้เหมือนไม่อยากไปกับผมมากกว่า”
“คิดมากไป” ผมตอบคำถามแบบไม่ใส่ใจนัก มองหน้าจอโน้ตบุ๊ก กระทั่งสัมผัสได้ถึงมืออุ่นๆ นาบข้างแก้มทั้งสอง ธูปจับหน้าให้ผมมองมัน จ้องหน้าหางตาตก
“สนใจผมหน่อย”
เวรละ
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ห้ามตัวเองไม่ให้คิดเกินเลย สะบัดหน้าหนีออกการเกาะกุมของมัน สูดลมหายใจแล้วปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลงก่อนธูปจะทำอะไรมากไปกว่านี้
“อืม...ว่าไง”
“ผมรู้สึก...เหมือนพี่กานมองผมเป็นน้องชาย” ผมกระแอมไอในลำคอ ไม่รู้ว่าควรบอกมันแบบไหนให้รู้สึกดีขึ้นกับความจริงข้อนี้ “เหมือนกับผมไม่สามารถทำให้พี่กานต์มองผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งได้เลย”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ผมถามกลับ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ธูปรับรู้ได้เองโดยไม่มีใครแนะนำ ส่วนที่คนอื่น ไม่ว่าจะผม หรืออาจจะพี่นันต์มองเห็นความรู้สึกที่คุณกานดามีต่อธูปนั้นเพราะต่างมองจากภายนอก ในระยะที่ห่างออกมา อีกทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมามากกว่าไอ้ธูป ที่เป็นเพียงเด็กเห่อมอยคนหนึ่ง
ธูปถอนหายใจ กำมือบนหน้าตัก ไหล่ลู่ลงทั้งสองข้าง
“ไม่รู้สิครับ อาจเพราะบรรยากาศไม่เหมือนตอนเห็นเพื่อนที่จีบกันอยู่ด้วยกันมั้ง”
“คุณกานดาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความเป็นแม่จะสูงกว่าคนอายุวัยเรา” ผมหมายถึงวัยเพื่อนๆ ของมัน “จะให้มากระดี๊กระด๊าอะไรก็ประหลาด”
“ไม่ใช่อะ พี่กานปล่อยให้ผมจับมือแต่ไม่เขินเลย ผมอ้อนหรือทำตาหวานใส่แค่ไหนก็ยิ้มๆ ไม่เห็นรู้สึกว่าจะเขินเลยสักนิด ถ้าคนที่คิดเป็นอย่างอื่นบ้าง สักนิดก็ยังดีน่าจะมีปฏิกิริยากับการกระตุ้นของผม”
มันยังคงติดใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องความสัมพันธ์ แต่คนที่เกิดปฏิกิริยากับมันโดยเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจใส่สารกระตุ้นลงไปกลับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ
“อื้ม” ผมไม่เถียง คุณกานดาไม่อยู่แล้ว มันใช้เวลาทั้งวันกับหญิงสาวจนถึงเวลาปิดร้าน พี่นันต์นั่งทำบัญชีหลังจากเดินไปหมุนป้ายหน้าร้านว่า closed
“เซ็งว่ะ”
“ธรรมดา เดี๋ยวก็หาย”
“ไปกินเหล้ากันไหมพี่”
ผมเลิกคิ้ว ก่อนหน้านี้มันบอกว่าตัวเองไม่ชอบดื่มแท้ๆ หรือที่จริงมันเสียใจมากกว่าที่แสดงออกมา
“อยากลอง เผื่อจะหายอึดอัด อธิบายไม่ถูก”
“ลองพาราไหม”
“ครับ?”
“อกหักแล้วกินพาราหายนะ ที่รู้สึกจี๊ดๆ ในใจอะ”
“พูดจริงปะ”
“กูเกิ้ลเลย” ผมท้า แต่มันส่ายหน้า
“อยากกินเหล้า ไปร้านพี่นันต์ก็ได้ คืนนี้ผมนอนด้วยดิ พรุ่งนี้จะได้ออกไปวิ่งด้วยกันอีก” ธูปยิ้มแกนๆ “วันนั้นสนุกดีนะ”
ผมอยากห้าม แต่ปากก็ไม่ขยับ ได้แต่พยักหน้าให้มันงงๆ
ร้านที่พี่นันต์ทำงานอยู่ตั้งระหว่างมหาวิทยาลัยที่ธูปเรียนกับคาเฟต์ มันยืมเสื้อผ้าผมใส่ออกเที่ยว ยืมตั้งแต่เสื้อ กางเกง รวมไปถึงบ็อกเซอร์เพราะกางเกงยีนที่สวมหลวมเกินไป โชคดีที่แฟชั่นกางเกงหลุดตูดไม่ตกรุ่นเท่ากางเกงขาบานของธูป กับช่วงนี้มันใส่คอนแท็กส์เลนบ่อย ผมช่วยเซ็ตผมให้เป็นทรงก็ดูเป็นหนุ่มสุดเฟี้ยวเฮี้ยวกระชากใจสาวๆ ได้ไม่ยาก
ผมไม่ได้ออกเที่ยวร้านเหล้านานแล้ว เดิมเป็นคนไม่สุงสิงกับคนหมู่มาก นิสัยของคนประเภทอินโทรเวิร์ทคือออกมาสังสรรค์กับสังคมได้บ้าง แต่ต้องชาร์จพลังด้วยการกลับไปอยู่เงียบๆ สักพัก ระหว่างที่มีแฟนถ้าเป็นผู้หญิงประเภทปาร์ตี้จ๋าแล้วต้องพาผมออกไปอวดวงศาคณาญาติทั้งคณะก็เหนื่อยหน่อย มีปากเสียงกันบ่อย แต่ถ้าเป็นคนเงียบๆเหมือนกันวันๆ ก็ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งอ่านหนังสือคนละมุมห้อง
พี่นันต์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเมื่ออยู่บนเวที เขาแค่เจ้าเล่ห์มากขึ้น ร้องเพลงเสียงทุ้ม กังวาน เหมาะกับเพลงช้าๆ มากกว่าเพลงร็อก แต่คลับของวัยรุ่นมักมาพร้อมเพลงกระแทกอารมณ์ซึ่งคนที่ดูเฉยเมยอย่างพี่นันต์ก็ทำได้ดีพอๆ กัน ผมรู้ว่าเขาคุยกับลูกค้าเก่ง แต่ไม่เคยคิดว่าจะเล่นมุกโปกๆ แบบที่คนทั่วไปเล่นก็ได้ดีจนต้องตาค้าง
“พี่นันต์แม่งประหลาด”
ไม่ใช่แค่ผม แต่ไอ้คนที่เมาแอ๋ข้างๆ ก็ด้วย ผมสั่งเหล้าปั่นมาดื่ม ติดรสหวานอมเปรี้ยว น่าจะทำให้นั่งได้นานกว่าเบียร์หรือเหล้า ซึ่งผมคิดผิดที่ไอ้ธูปกลับซดเอาๆ ไม่ใช่เพราะรันทดกับชีวิตรักแต่เพราะมันอร่อยกว่าที่คิดต่างหาก
“ก็ไม่เห็นมีใครปกติสักคน”
ทั้งมัน ทั้งพี่นันต์ ไอ้มาร์คที่ช่วงนี้หายหน้าหายตา คุณกานดาที่ใช้เวลาทั้งวันไปกับร้านกาแฟร้านเดิมๆ ได้เป็นเดือน ผมเริ่มเชื่อที่เคยมีคนบอกว่าคนไม่ประหลาดต่างหากคือคนประหลาด ไม่มีใครเหมือนกันทั้งนั้น ไม่โดยสิ้นเชิงแต่เรากลับตัดสินคนที่ไม่เหมือนตัวเองง่ายดายว่าเขาผิดเพี้ยน คิดแล้วตลกดี
“จริง พี่ก็ประหลาด”
“ยังไง”
ที่แน่ๆ คือการที่ยอมมานั่งร้านเหล้า ฟังเพลงอึกทึกทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชอบเพียงเพราะคำขอของเด็กคนหนึ่ง มันเคาะมือไปตามเสียงดนตรี แค่เคาะให้ตรงตามจังหวะยังไม่ลงห้องดนตรีด้วยซ้ำ
นึกมาถึงตรงนี้ที่คิดว่าไอ้ธูปเป็นเด็กเนิร์ดอัจฉริยะก็ตระหนักรู้ชัดเจนว่าบางเรื่องไอ้ธูปก็ห่วยแตกกว่าที่คิดเอาไว้
“พี่น่าจะหาแฟนได้ไม่ยาก”
“ใครบอกว่ากูหายาก”
“ก็พี่ไม่มีแฟนอะ”
“ไม่อยากมี” มันมีจริงๆ นะคนที่คิดแบบนี้ เชื่อกันบ้างสิโว้ย
“ไม่เหงาเหรอ”
“ทำไมต้องเหงาวะ ดูเมลที่พ่อมึงสั่งงานกูไหม นี่คิดว่าจบโทน่าจะสอนแทนอาจารย์พิภพได้แล้ว ทั้งธีสิส ทั้งเขียนบทความลงวารสาร นี่นะ มีการบ้านกับออกข้อสอบเด็กอีก”
“เออ ใช่ จะสอบแล้ว”
“มึงไม่อ่านหนังสือเหรอ ปิโตรเคมีเรียนง่ายนักหรือไง”
ผมถามถึงคณะที่ธูปเรียนอยู่ มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ผมจบ คือมหา’ลัยเดียวกับที่พ่อมันสอนนั่นแหละ
“ก็อ่านที่บ้านดิ ไม่ก็อ่านรอเรียนวิชาถัดไป แต่ส่วนมากอ่านแค่โน้ตก็พอแล้ว ถ้าพี่ตั้งใจเรียนในห้องนะ บางวิชาไม่ต้องอ่านยังได้เลย พี่รู้ไหมการรับรู้ของคนผ่านทางหูจะจำได้ง่ายกว่าตา บางครั้งตาต้องใช้สีหรือรูปภาพเป็นตัวช่วย สื่อพวกนี้มันเข้าพร้อมกันหมดตอนอาจารย์สอนในห้องเรียน”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ที่ผ่านมาก็ต้องอ่านก่อนสอบอยู่ดี ผมเป็นคนขี้เกียจที่จะเรียนแค่ในห้องเรียนกับอ่านทวนจากเล็กเชอร์ของเพื่อนช่วงสอบแล้วได้คะแนนดี เป็นที่น่าหมั่นไส้จนหลังๆ ต้องเปิดติวก่อนสอบ เป็นการอาศัยด้วยกันกับเพื่อนมหา’ลัยแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
“ถ้าพี่เป็นอาจารย์ต้องฮอตมากแน่ๆ”
“อะไรของมึง”
“พี่เท่” มันบอก วางมือบนหลังมือผม ตาเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้า ลากปลายนิ้วชี้ไปตามเส้นเลือด ผมหดมือกลับมากอดอก แต่มันยิ้ม ไอ้เด็กเปรต “พี่เท่จริงๆ นะ พี่นันต์ก็เท่”
“ไอ้มาร์คเพื่อนมึงไง”
“ไอ้นั่นกระจอก” ผมหลุดขำ เสียงเพลงกลบบนสนทนาบางบนของเราให้กลืนหายไป “มันจีบพี่นันต์เป็นปีแล้วยังจีบไม่ติดเลย”
“มันไม่จริงจังมากกว่า เหมือนหมาหยอกไก่”
“พูดถึงหมา พี่รู้ปะผมชวนมันมาร้านพี่นันต์โคตรบ่อยเลย เนี่ย จะได้มาเห็นว่าสาวๆ แม่งโคตรติดพี่นันต์ มัวแต่ห่วงหมา” ธูปหัวเราะคิก เผลอเอามือดันจมูกเหมือนครั้งยังสวมแว่น ตาแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าแดงเพราะเหล้าหรือเพราะใส่คอนแทกเลนส์นานเกินไป “มันเลี้ยงฮัสกี้ที่บ้านตัวหนึ่ง เลี้ยงเป็นลูกเลย ติดหมามาก ตอนกลางคืนแงะออกมาไม่ได้เลย ถ้ากลางวันไม่มีแม่บ้านมาเฝ้าให้มันจะไม่ห่างจากหมาเลยด้วยซ้ำ”
“ท่าทางรักมาก”
“มันบอกว่าจะไม่ยอมให้หมาอยู่ตัวเดียว” ธูปเอียงคอไปมา เทเหล้าปั่นใส่จอกตัวเองเพิ่มแล้วยกซดทีเดียวหมด สาบานว่าผมไม่ได้มอมมัน ปรามจนเลิกปรามแล้ว คิดอีกทีปล่อยให้เมากับผมก็ยังปลอดภัยกว่าไปเมากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน “บางทีมันก็มองผมเป็นหมาของมัน”
ผมมองธูปวางนิ้วชี้ลงบนขอบแก้วใบเล็กสำหรับตักแบ่ง วนไปรอบๆ ตาเศร้าลงเพราะกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่เป็นองค์ประกอบ
“ผมไม่ใช่ฮัสกี้ของมันที่อยู่คนเดียวไม่ได้”
“อืม กูรู้”
“ผมรู้ว่าพี่เข้าใจผม เพราะพี่ก็อยู่คนเดียว”
ผมไม่เคยบอกหรือกระทั่งตั้งคำถามให้ตัวเองว่าโลกมันน่าอยู่ยังไง ปัญหาและความผิดหวังของแต่ละคนถาโถมเข้ามาในรูปแบบต่างกัน ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครมองเห็นความว่างเปล่าที่เต็มพื้นที่ของความทรงจำ แต่ธูปทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าบางทีผมก็ไม่ได้ชอบที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวนัก แต่มันก็อิสระมากกว่าคนคอยมีใครตามห่วงเป็นพรวนอย่างธูปมากจริงๆ
“ก็ไม่เห็นพี่เป็นอะไร”
“อึดอัดที่คนรอบๆ ตัวเป็นห่วงเหรอ”
มันพยักหน้าหงึก เอนตัวไปด้านหลังทั้งที่นั่งเก้าอี้จนต้องรีบดึงคอเสื้อไว้ “ผมน่าจะจีบพี่กานติด”
คงปลดปล่อยพันธะที่โอบรัดมันไว้ให้หลุดไปได้บ้าง ผมถอนหายใจ เป็นธูปก็มีความเครียดในแบบของมัน ไม่ใช่แค่ปีนี้เกรดจะดีสมศักดิ์ศรีหรือไม่ แต่ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา
พิสูจน์ว่ามันเป็นผู้ใหญ่มากพอสำหรับโลกใบนี้ แต่ไม่มีใครอนุญาตให้มันเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น
“กลับกันเหอะ ขี่หลังแล้วห้ามอ้วกใส่กู”
“ผมไม่รู้”
“ไม่รู้อะไร”
“ไม่รู้ว่าจะอ้วกไหม มันคลื่นไส้ แต่คิดว่า...คิดว่าไม่ ถ้าผมไม่รับปาก...”
“กูจะทิ้งมึงไว้นี่” ผมพูดเสียงแข็ง แม้เดาว่าจะสามารถแบกมันไปขึ้นแท็กซี่และแบกลงจากรถได้ก็ไม่อยากถูกอ้วกใส่ หลังผมเคยเป็นที่รองอ้วกให้เพื่อนสองคน แฟนอีกหนึ่งคน แย่ฉิบหาย เสียดายที่ไม่เคยเมาก่อนใครสำเร็จบ้าง
“งั้นผมรับปากว่าจะไม่อ้วก”
ชิ พวกคำพูดคนเมา
จนแล้วจนรอดผมก็ไปลาพี่นันต์ เขาถามอาการไอ้ธูปสั้นๆ เพราะยังวุ่นวายกับสาวๆ ที่สลับกันส่งแก้วเหล้าให้ดื่ม ผมบอกแค่ธูปง่วงแล้ว จากนั้นก็ลากมันขึ้นแท็กซี่ แบกขึ้นหลังเข้ามาในร้านได้สำเร็จโดยที่อีกฝ่ายปิดปากสนิท ไม่แสดงอาการคลื่นไส้ให้เห็นแม้แต่น้อย
ธูปเป็นคนที่จัดว่าเมาเรียบร้อย มันบ่นงุบงิบในปาก ไม่อาละวาด เอะอะมะเทิ่ง ไม่ร้องไห้ร่ำไร่ ไม่เรื้อนทำตัวกากเกรียน เป็นโชคดีของผมแต่ก็ยังเดาได้ว่าสำหรับพี่นันต์คงไม่เรียกว่าน่ารักเท่าไหร่
“นอนในห้องกูนะ”
ผมหมายถึงห้องใต้บันได ที่ประตูสูงและลาดต่ำลงในทางลึก ขนาดกว้างพอสำหรับนอน เวลาธูปนอนที่ร้านจะมีมุมของตัวเองด้านนอก ไม่ก็ชั้นสอง เที่ยงคืนแล้ว ตัวเหนียวไปด้วยเหงื่อ ผมไม่อยากจัดแจงกับมันอีก สุดท้ายก็ยัดเจ้าของร่างสูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตรเข้าห้องแคบๆ นอนแผ่บนฟูกหมดสภาพ
“อยู่ในนี้แหละ พรุ่งนี้ตื่นสายพี่นันต์จะได้ไม่ต้องบ่น”
ผมบอกมัน ถอดเสื้อยืดของตัวเองออกจากหัวตามด้วยกางเกงยีนขายาว ธูปลุกขึ้นนั่ง ถอดเสื้อชื้นเหงื่อและเต็มไปด้วยกลิ่นควันบุหรี่จากในร้านออกบ้าง
“จะอาบน้ำไหม” ผมถาม มันส่ายหน้าปฏิเสธ เขี่ยกางเกงออกจากข้อเท้า เหลือแค่บ๊อกเซอร์ ส่วนผมก็สวมทรงด้วยกางเกงขาสั้นใส่นอนที่หยิบได้ง่ายๆ จากพื้นที่เล็กๆ ของห้องเช่นกัน
“พี่”
มีหมอนใบเดียว สละให้ธูปใช้ ส่วนตัวเองใช้ผ้าเช็ดตัวม้วนวาง ห่างออกมา ฟูกที่นอนสูงกว่าพื้นเย็นๆ หนึ่งถึงสองเซ็นติเมตร ช่วยไม่ให้ปวดหลังได้มาก แต่ข้อดีของการนอนพื้นในห้องที่คับแคบคือเย็นกว่าเห็นๆ
“เอาอะไรป่าว ปิดไฟแล้วนะ”
ผมเปิดพัดลมตั้งพื้นส่าย ไม่มีเสียงตอบกลับมาก็จัดการปิดไฟให้มืดสนิท ดาวเรืองแสงสีเขียวสะท้อนแสงลอยเด่นท่ามกลางความมืด เงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจ ผมล้มตัวลง ใช้แขนหนุนหัวอีกชั้น ระหว่างคิดเรื่องของธูป วกวนเป็นวงเวียน นึกถึงที่มาร์ติน เอมิสเคยกล่าวว่าบางทีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการได้อยู่ใกล้ๆ คนที่เราหลงรักอาจเป็นแค่เพื่อน เพราะแม้ว่าผมจะชอบมันมากที่สุดตอนนี้ ก็ไม่ลืมว่าธูปเองก็มีคนที่ชอบมากที่สุดเหมือนกัน
“พี่”
ธูปยังเรียก ผมขยับตัวเข้าใกล้มัน ฟังเสียงที่อีกฝ่ายพยายามพูดต่อ
“ขอจับได้ไหม”
ช่วงจังหวะนั้นผมกลั้นหายใจทันที ครางฮือเชิงอนุญาต ผมไม่รู้ว่า ‘ขอจับ’ ของธูปคืออะไร เสี้ยววินาทีที่มือเล็กวูบไหวผ่านความมืด คำตอบก็คลี่คลายด้วยการแตะนิ้วลงบนหน้าท้อง ผมมองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่าธูปเริ่มที่ปลายนิ้วชี้ จากนั้นก็เป็นนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ในที่สุดนิ้วหัวแม่มือก็ทาบทับพร้อมอุ้งมืออุ่น
รู้สึกหน้าท้องเกร็งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ แสงของดาวเรืองแสงสะท้อนพอให้เห็นเพียงรูปหน้าของเด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อนึกได้ว่าวันนี้ธูปไม่ได้ใส่แว่น
“ลุกก่อน”
“หือ?”
“ลุกมาถอดคอนแท็กเลนส์ก่อน”
จะนอนยังยากเย็นเข็นใจ ผมขยับตัวห่างออกจากมือเพื่อเปิดไฟอีกรอบ ค้นกระเป๋าเป้ที่เบียดเสียดด้วยหนังสือเล่มหนาอย่างถือวิสาสะ ไม่นานเซ็ตตลับคอนแท็กเลนส์ลายสไปเดอร์แมนก็ตกอยู่ในมือ ผมออกไปนอกห้องเพื่อล้างมือให้สะอาด กลับมาอีกครั้งเพื่อจัดการกับคนเมาที่ยังไถหัวไปใต้หมอน หลบจากไฟแสงแยงตาอย่างไรความรับผิดชอบ
“ธูป ถอดคอนแท็กเลนส์ก่อน”
มันส่ายหน้าอยู่ใต้หมอน ผมไม่รอถามอีกครั้ง ดึงแขนทั้งสองข้างให้ลุกขึ้นมานั่งชันเข่าประจันหน้ากันแล้วล็อกขาเอาไว้กับเอวให้แน่นหนา ไม่ยอมให้ดื้ออีก
“มันอันตรายนะ แต่จะให้ถอดให้ไหม”
“อื้อ”
ผมถอนหายใจ ใช้เนื้อนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือหนีบพลาสติกบางๆ บนลูกตาดำให้เกิดฟองอากาศและหลุดติดออกปลายนิ้วมาอย่างง่ายดาย ส่วนอีกข้างก็ทำแบบเดียวกัน เก็บคอนแท็กเลนส์เจ้าปัญหาเข้าที่ แช่ในตลับเรียบร้อย ที่เหลือให้มันไปจัดการของตัวเอง
“พี่เคยได้ยินไหม ถ้าคนเราจ้องตากันเกิน 4 นาทีแล้วมีโอกาสที่คนเราจะรักกันมากขึ้นถึงขั้นแต่งงานเลยนะ”
ผมหันกลับมา เห็นธูปกำลังจ้อง ตาเราประสานกันโดยไม่มีอุปสรรค์ใดกั้น นิ่งค้างรอคอยอยู่แบบนั้น หนึ่ง สอง สาม.. ผมเผลอนับจำนวนวินาทีอยู่ในใจ แรงดึงดูดบางอย่างระหว่างคนสองคนเกิดขึ้น ผมค่อยๆ โน้มตัวเข้าหา ริมฝีปากของธูปเป็นสีสดกว่าอวัยวะส่วนอื่น นั่นดึงดูดให้ผมมองตามหลายครั้ง มันวาว ฉ่ำชุ่ม ดูนุ่มหยุ่นจนอยากลองสัมผัส ธูปไม่ขยับตัวหนี มันเอียงคอเล็กน้อยเพื่อไม่ให้จมูกของเราชนกัน กระทั่งริมฝีปากได้ทาบลงบนกลีบปากรสหวานของเหล้าปั่นที่ดื่มไปได้สนิท
เรานิ่งค้างเช่นนั้น ผมรู้สึกตัวตลอดเวลาที่จูบธูป แต่ไม่แน่ใจว่ามันรู้สึกอะไร หรือล่องลอยอยู่แห่งหนไหน ผมผละออกมาเล็กน้อยเพื่อหันหลังกลับไปปิดไฟให้ทั้งห้องเหลือเพียงความมืดมิด เสียงหัวใจเต้นดังจนเหมือนจะดังออกไปให้คนข้างๆ ได้ยิน แต่ทำได้เพียงนิ่งเฉย นอนตะแคงหันหลังให้กลบความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้โดยดี
“พี่มังกร”
“นอนได้แล้ว”
“โกรธผมเหรอ”
ธูปถามขยับตัวกอดผมจากด้านหลัง เวรเอ๊ย ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ผมข่มตาหลับแต่คราวนี้ได้ไม่นาน ร่างกายของเราเหนียวเหนอะ เปลือยเปล่า แผ่นหลังของผมรับรู้ถึงไออุ่นจากแผ่นอกของธูป ลมหายใจผ่อนช้าคลุ้งไปด้วยกลิ่นหวานของไซรัป สุดท้ายก็หยุดความพยายามที่จะเมินเฉย แกะแขนเล็กออกจากเอว กดวางบนเบาะให้อีกฝ่ายนอนหงายแล้วปีนคร่อมทับ
เสียงสวบสาบของผ้าเมื่อขยับตัวดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนแทนด้วยเสียงฉ่ำแฉะ ความมืดไม่ได้ทำให้ผมกะเกณฑ์ตำแหน่งของริมฝีปากพลาด บดลงเนิบช้าแล้วใช้ปลายลิ้นแทรกกลีบปากให้เผยอออก จูบของผู้ชายมีกลิ่นสาบของผู้ชาย ไม่ได้หอมละมุนเหมือนประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่กลับกระตุ้นอารมณ์ได้รวดเร็วและรุนแรงจนไม่อยากถนอมหรืออ้อยอิ่ง ผมจูบธูปหนักขึ้น จูบจนจมูกชนแก้มมัน ฟันเรียงขูดครากเป็นจังหวะที่โถมตัวเข้าหา ดูดกลืนและแทรกลิ้นเข้าไปอย่างจาบจ้วง
“จูบกลับสิ”
ผมกระซิบ จับมือธูปมาวางบนหน้าท้องตัวเอง เด็กหนุ่มคลำแตะเหมือนเด็กหาของเล่น มันส่ายหน้าสะบัดปฏิเสธ
“เหมือนดูดน้ำแข็งที่อมไว้” เสียงนั้นพร่าจนตัวเองยังตกใจ ผมเกร็งหน้าท้อง เลือดไหลลงไปคั่งค้าง ณ อวัยวะหนึ่งของร่างกาย เคลื่อนมือให้ธูปไปจับก่อนจะเผลอครางออกมาจากลำคอแผ่วเบา
“ผมเคี้ยว”
“หืม?”
“ผมเคี้ยวน้ำแข็ง”
เวรละ จะมาเคี้ยวลิ้นกูเล่นไม่ได้นะ ผมสูดหายใจเข้า จับข้อมือมันที่วางบนอวัยวะที่ขยายตัวขึ้นออก เห็นความเรียบใสของธูปแล้วก็ฉวยโอกาสมากกว่านี้ไม่ลง
“ชอบไหม”
“เสียวฟัน แต่ก็ดี”
ผมหัวเราะ จูบหน้าผากอีกครั้งแล้วล้มตัวลงข้างๆ ธูปนิ่งไป ไม่งอแงอีก ไม่ถึงนาทีหลังคำพูดนั้นจบลงด้วยซ้ำ เสียงกรนเบาๆ จากคนเมาก็ดังกลมเสียงหัวใจ ผมยกมือขึ้นพาดหน้าผาก
เห็นทีจะเป็นอีกคืนที่หลับไม่ลงเหมือนเคย
tbc
เจอกันวีคหน้านะคะ แง มาสายอีกแล้ว
เขียนแล้วไม่รู้จะหมั่นไส้ใครเลยอะค่ะ ศีลเสมอกันสุด ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ อ่อยเลยละกัน แงงง
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ