chapter 03
LOVE THEN EVOL
ผมสงสัยว่าวิธีการจีบสาวอันแสนหวานของเด็กเนิร์ดอย่างเนติธรจะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน
คืนก่อนหน้านั้นผมแทบนอนไม่หลับเมื่อนึกถึงเรื่องสนุกๆ ของไอ้ธูป สารพัดจะเดาว่ามันจะทำยังไงกับรักแรกของตัวเอง หวังว่าคงไม่ใช่เดินเข้าไปบอกเซ่อๆ ซ่าๆ ว่าชอบ เป็นแฟนกันเถอะ เพราะก็ตระเตรียมแผนการไว้ตั้งแต่ก่อนผมจะได้โอกาสกึ่งแกล้งกึ่งเชียร์เจ้าตัวด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผมยังไม่รู้จักธูปดี แต่ถ้าให้คาดเดาจากบทสนทนาสั้นๆ หรือลักษณะท่าทางก็ประเมินได้ว่าเป็นพวกล้มไม่เป็น แต่ครั้งนี้พนันกับตัวเองได้เลยว่าคุณกานดาไม่สนใจมันแน่ๆ
ครอบครัวของธูปดูแลมันอย่างดี ถ้าจะมีหนึ่งอย่างที่เกินการควบคุมคงเป็นเพื่อนสนิทที่สลัดไม่หลุด ถ้าให้เปรียบให้ชัดว่าธูปเป็นปลาทอง ไอ้มาร์คก็เป็นขี้ปลาทอง ติดสอยห้อยตามไปด้วยบ่อยๆ จนกว่าพี่นันต์จะเป็นคนจับมันแยกจากกัน และอีกหนึ่งความควบคุมที่พ่อแม่ หรือใครก็ไม่อาจปกป้องได้คือหัวใจ หัวใจที่ใสและซื่ออย่างคนไม่เคยเจอโลกมาก่อน ธูปอาจเป็นหนอนหนังสือ เป็นเด็กเนิร์ดที่ดีตามครรลอง นิยายประโลมโลกคงไม่ใช่บทเรียนที่สอนมันได้เท่าการเผชิญหน้ากับความจริง ถ้าให้นึกถึงตัวเองแล้วผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างกับปีศาจที่หยิบยาพิษให้มันลองชิม ไม่ตายหรอก แต่อาจจะทรมานเมื่อได้ลิ้มรสชาติของชีวิตนิดๆ หน่อยๆ
“ไอ้มาร์คก็น่ารักดีนะ พี่ไม่สนใจเหรอ”
อีกคนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความบันเทิงในช่วงที่ตัวเองเป็นอิสระแบบนี้ก็คือพี่นันต์กับมาร์ค คนหนึ่งวิ่งพันแข้งพันขา อีกคนไม่ สะบัดให้หลุด แต่ถ้าบังเอิญเหยียบจะไม่ออมแรง พี่นันต์ใจร้ายกว่าทุกคนที่ผมเคยเจอคือเย็นชา ไม่แสดงว่ารังเกียจหรือให้ความหวัง ทำเหมือนมาร์คเป็นธาตุอากาศ เป็นเกมที่ยากกว่าปั่นหัวธูปขึ้นมาอีกระดับ
“กูไม่ใช่เกย์” พี่นันต์พูดเสียงเรียบ วันนี้ลูกค้าเยอะ ผมมาช่วยพี่นันต์หลังเคาน์เตอร์ คอยล้างถ้วยชามและเครื่องมือให้ เมื่อไม่มีความรักเป็นของตัวเองการได้เย้าแหย่คนอื่นก็เป็นเรื่องสนุกสนาน แต่เมื่อสบตาจริงจังกับคู่สนทนาก็ได้แต่ยักไหล่เบาๆ
“โทษที ผมไม่รู้ว่าพี่ไม่ชอบ”
“ไม่เชิงไม่ชอบ แบบหยาบคายเลยคือตอนประถมกูก็เคยแกล้งตุ๊ดในโรงเรียน แต่โตมาก็เข้าใจความต่างของคน แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น กูแค่แน่ใจว่าชอบผู้หญิง”
“ผู้ชายมันต้องแน่ใจด้วยเหรอวะว่าชอบผู้หญิง” ผมหัวเราะ พี่นันต์ก็พูดประหลาด “เหมือนพี่ลองคบผู้ชายมาก่อนแล้ว”
“ก็เคย”
เอ้า แล้วบอกว่าไม่ใช่เกย์
“ไม่เชิง เป็นกะเทย ก็ดี ไม่จุกจิก ให้เงินใช้อีกต่างหาก เป็นคนเก่ง แต่สุดท้ายก็ยังชอบผู้หญิงมากกว่า ไม่รู้ว่ะ บางคนก็ไปกันรอด แบบนี้ถึงเรียกว่ารสนิยมส่วนตัวมั้ง”
“ผมเก็ต” ก็ได้วะ “ผ่ายัง?”
“มึงนี่หยาบคาย เรื่องส่วนตัว ไอ้สัด”
“เอ้า ก็พูดกันตรงๆ” ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสือก ชอบนักเรื่องชาวบ้าน "ตุ๊ดกับกะเทยต่างกันยังไงพี่”
“เมื่อก่อนก็เรียกกะเทยกันหมด จน Tootsie เข้าไทย เป็นหนังฮอลลีวูด ก็เลยใช้แยกตุ๊ดออกมา” ไอ้เชี่ยพี่นันต์ตอบแบบที่ผมคิดว่ากำลังถามรากศัพท์จากอาจารย์ที่ปรึกษา “แฟนเก่าเล่าให้ฟัง จริงๆ กะเทยมีความเป็นอยากเป็นผู้หญิงมากกว่า มึงรู้จักตุ๊ดหัวโปกไหมล่ะ”
“แล้วอย่างมาร์คนี่เรียกตุ๊ดปะพี่”
“เกย์มั้ง หรือไบเซ็กชวล กูไม่รู้ มันจ้องคุณกานดาตาเขม็ง บางทีก็งงว่าสรุปมันชอบธูปหรือคุณกานดา”
“ตลกละ”
ผมก็เห็นมันเทียวไล้เทียวขื่อแต่พี่นันต์ เจ้าตัวทำหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน อยากถามว่าเป็นพี่น้องกับเดอะทอย หน้าเดียวหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือทำไมพี่นันต์คิดว่าไอ้มาร์คมันชอบธูป
“มันสลัดเพื่อนออกทุกทีที่เจอพี่”
“มาร์คก็คือมาร์ค มึงจะไปเอาอะไรกับมัน มันพร้อมจะสลัดทุกคนออกถ้าเจออะไรที่สนุกกว่านั่นแหละ เอ้า ล้างแก้วเสร็จยัง ตักน้ำแข็งให้หน่อย” พี่นันต์หันมาสั่ง ที่ร้านเปิดเพลงคลอเบาๆ เสียงเครื่องปั่นทำงานในกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมครางหึ่ง เมื่อเปิดออกเสียงใบมีดตัดน้ำแข็งดังลั่นจนกลบเพลง ไม่นานบาริสต้าก็ปิดเครื่อง เทเครื่องดื่มใส่แก้ว ล้างเครื่องปั่นด้วยน้ำเปล่าแล้วเทน้ำแข็งที่ผมตักให้ลงไปในเครื่องปั่นตัวเดิม ระหว่างนั้นก็จัดท็อปปิ้งเมนูเฟรปเป้ของลูกค้ารวดเร็ว สวยงาม แล้วหันมาชงชาเขียวเติมในใส่เครื่องปั่นลูกรักไม่ยอมให้พักร้อน
“ไวท์ช็อคเฟรปเป้ได้แล้วนะครับ!”
ผมเดินออกจากเคาน์เตอร์เมื่อลูกค้าบางคนลุกไป จัดเก็บแก้วกาแฟใส่ถาดแล้ววนกลับมา ร้านนี้ดีอย่างตรงที่ไม่ต้องยกเสิร์ฟ เป็นร้านกาแฟขนาดเล็กที่ลูกค้าบริการตัวเอง แต่โชคร้ายตรงที่ผมต้องคอยเก็บแก้วให้ทันก่อนลูกค้าใหม่เข้ามา
“วันนี้ลูกค้าเยอะสัด”
ผมได้ยินพี่นันต์บ่น เทชาเขียวร้อนใส่เครื่องปั่น น้ำแข็งละลายแต่ยังเป็นสีเข้มข้น เขาสวมเสื้อมัดย้อมสีฟ้า คอกว้าง ตัดกับสีน้ำตาลของผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มร้าน ข้อดีของผ้ามัดย้อมคือเบาสบาย แต่ข้อเสียคือร่วงจากหัวไหล่ง่าย ทุกครั้งที่เขาดึงแขนเสื้อขึ้นอวดรอยสักและกล้ามที่เกิดจากการทำงานก็ร่วงกลับที่เดิม
“เออ วันนี้ฝากปิดร้านหน่อยดิ ขอออกก่อนครึ่งชั่วโมง ตอนแรกว่าจะไม่อาบน้ำแต่สงสัยต้องกลับหอไปอาบน้ำก่อนไปอีกร้าน”
“ทำไมไม่อาบที่นี่เลยล่ะครับ”
“ไม่ได้ทิ้งเสื้อผ้าไว้”
“เอาเสื้อผมไปใส่ก่อนได้นะ ถ้าไม่รังเกียจ” พี่นันต์ยักไหล่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “พี่รับงานเยอะเหมือนกันเนอะ”
ทั้งบาริสต้า นักร้องร้านเหล้า บางครั้งก็มีอีเวนท์งานแต่ง
“ความจนมันน่ากลัว”
คนพูดนี่มีของแบรนด์เนมพอกรุบกริบ ผมเหลือบตามองโดยไม่ย้อนแต่เจ้าตัวก็แก้ตัวอัตโนมัติ
“ลูกค้าซื้อให้ทั้งนั้น”
“โห มีแฟนคลับ”
“เคยทำวงกับเพื่อน ส่งไปแคสที่ค่ายเพลงอยู่นะ” เขาว่า ไม่มีถ่อมตัว “แต่เงื่อนไขมันแปลกๆ เลยไม่เอาดีกว่า”
“เช่น...”
“ในสัญญาไม่มีอะไรหรอก แต่ตอนคุยกับผู้จัดการวงเขาเหมือนหว่านล้อมให้ไปขายด้วย” พี่นันต์ยักคิ้ว มือยังคงทำงานเป็นระวิง ส่วนผมเหวอแดกไปแล้ว
“ขายอะไรวะ”
“เดาดิ” ไอ้พี่นันต์หันมาขยำก้นผมแล้วหัวเราะในลำคอ”
“พูดเป็นเล่น”
“ช่วยไม่ได้ เสือกหน้าตาดี พอถามพวกเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการก่อนแล้วเขาเล่าว่าธรรมดา ถ้าพื้นฐานไม่ได้มีมากก็ต้องหาสปอนเซอร์คอยดัน”
ผมหัวเราะ พี่นันต์แม่งสุดจริง
“พี่เลยไม่เป็นแม่งก็ได้ นักร้อง ยอมทำงานหนักดีกว่า เท่สัด”
“เมื่อก่อนก็ขายนะ ขายเองเลือกลูกค้าเองได้ไง หาแต่ผู้หญิง โชคดีฉิบหายที่ไม่ติดเอดส์ก่อนเลิก คือ มึงต้องเข้าใจก่อนว่าแต่ละคนมีโอกาสไม่เท่ากัน บางคนข้าวมื้อนึงสามร้อย บางคนสามสิบบาทตอนสิ้นเดือนก็แพงแล้ว อย่างกูเนี่ย โตมากับมาม่าของลุง พอเขาตายแฟลตที่เคยอยู่ญาติเขาก็เข้ายึด กูไม่ใช่เลือดเนื้อก็เลยต้องย้ายมาหาทางรอดที่กรุงเทพฯ กับเพื่อน มันมันทำบาร์มาก่อน บาร์โฮสต์นะ ไม่ใช่บาร์เกย์” เขาว่าติดตลกในเรื่องที่ไม่ตลก ยกหลังมือปาดเหงื่อก่อนเงียบเสียงไปเมื่อหนึ่งในลูกค้าประจำเข้ามา เขย่งจากเคาน์เตอร์มองเมนูแนะนำประจำวันที่เขียนไว้ด้านหลัง
“สมูธตี้สตอเบอรี่บานาน่านี่สตอเบอรี่สดหรือเปล่าคะ”
พี่นันต์ชะงักครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “มีใส่ไซรัปสตอเบอรี่เพิ่มครับ แต่มีสตอเบอรี่สดด้วย”
“งั้นกานขอแบบหวานน้อยที่นึงค่ะ”
หญิงสาวยิ้ม เล่นเอาพี่ชายผู้คล่องแคล่วเงอะงะไปครู่หนึ่ง พอเจอใกล้ๆ ก็เข้าใจว่าทำไมไอ้แว่นถึงชอบคุณกานดา ต่อให้บอกว่าอายุสามสิบก็เถอะ สามสิบยังแจ๋วแม่งเป็นแบบนี้นี่เอง
“กานได้โต๊ะหรือยัง วันนี้ลูกค้าเยอะหน่อย โต๊ะประจำโดนฉกไปแล้ว”
“กานเห็นข้างในยังมีว่างอยู่ แอบเอากระเป๋าไปจองแล้วค่ะ” หมายถึงโต๊ะที่ไอ้แว่นนั่งเมื่อวาน พอกวาดตาไปรอบๆ แม่งโต๊ะเต็มทุกที่จริงๆ “วันนี้มาเลทหน่อยตื่นสาย”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับล่ะสิ”
“ปั่นงานด้วยแหละ”
พี่นันต์ยิ้มละมุนแบบที่ไม่ค่อยมีโอกาสเห็น เอาจริงๆ ผมชอบมองรอยยิ้ม ไม่ว่าใบหน้าใครก็ตามเมื่อเปื้อนรอยยิ้มมักสวยงามเสมอ
“ผมเตือนแล้วว่าไม่ต้องเพิ่มช็อต” พี่นันต์เสียงสองจนผมเผลอทำเสียงหัวเราะในโพรงจมูก เสียงนุ่มทุ้มต่ำ พูดสุภาพกว่ากับเพื่อนๆ คนไหน สุภาพกว่าลูกค้าคนไหนๆ ด้วยซ้ำ แน่ล่ะ ผมรู้ มาร์คก็รู้ คงมีคนเดียวที่ไม่รู้ว่าพี่นันต์กับคุณกานดารู้สึกต่อกันแบบไหนคือไอ้เด็กที่ผมแสร้งบอกให้เดินหน้าจีบให้มันจบๆ ไป จะได้ไม่คาราคาซังคนเดียว
นั่นล่ะ ที่เรียกว่าความรักทำให้ตาบอด
เรามักเข้าข้างตัวเองเสมอแม้ในวันที่ไม่มีอะไรให้เข้าข้าง
“ที่จริงกานไม่เห็นต้องทำงานหนักเลย ที่บ้านก็สบายอยู่แล้ว”
“กานชอบทำงานนี่คะ” ฟังแล้วอยากซื้อต่อความขยันมาใช้กับธีสิสของตัวเองบ้าง ทั้งสองผูกบทสนทนาไว้ด้วยกันครู่หนึ่งก่อนคุณกานดาจะแวะวนมากล่าวถึงผมที่แอบฟังอยู่ใกล้ๆ บ้าง “วันนี้ลูกค้าเยอะจนต้องยืมลูกมือมาจากโซนสินค้าเลยสิ แล้วน้องธูปไปไหนคะ”
“ยังไม่เห็นเหมือนกันครับ แต่ข้อความไปให้มาช่วยแล้ว กานไปนั่งรอก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมให้มังกรไปเสิร์ฟให้”
เดี๋ยวไอ้พี่นันต์ ที่นี่บริการตัวเองไม่ใช่เหรอวะ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกานมาเอาเอง”
โชคดีที่คุณกานดาไม่ใช่ผู้หญิงประเภทลูกค้าที่งี่เง่า ส่วนพี่นันต์ก็ไม่ใช่บาริสต้าแสนดี เขาไม่เซ้าซี้ ยิ้มเคารพการตัดสินใจของหญิงสาวจนเธอเลี่ยงหลบตา ผมเห็นละอองสีชมพูลอยฟุ้ง แน่นอนว่าพี่นันต์โคตรจะแมนอย่างที่เจ้าตัวบอก และเดาได้ไม่ผิดแน่ว่าต่างฝ่ายต่างรู้สึกตรงกัน
“น่ารักดีนะครับ” ผมพูดลอยๆ บาริสต้าหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็มีท่าทีท้อใจแฝงออกมา
“ทั้งๆ ที่บ้านรวยนะ แต่ก็ทำงานหนักเหมือนคนลำบาก”
“ที่จริงผมว่าถ้าพี่ค้างที่นี่อาจารย์คงไม่ว่า จะได้ไม่ต้องทำงานหนักแข่งคุณกานดา”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องใครทำงานเยอะกว่าใคร มีรายได้มากกว่าใคร ผู้ชายมักจะมีอีโก้บางอย่างเป็นของตัวเอง จะบอกว่ากูมองดอกฟ้าก็ได้ ถึงเขาไม่ได้ชอบกูแต่ก็อยากทำตัวให้เข้มแข็งสมเป็นหมาวัดที่เอาตัวรอดด้วยตัวเองได้” พี่นันต์ว่า เสริมด้วยวลี “ด้วยวิธีถูกกฎหมาย”
“พูดแบบนี้ผมแม่งเหมือนเหลือบไรไปเลยที่เกาะบ้านอาจารย์เป็นที่พัก” พูดพลางหัวเราะ แต่พี่นันต์แย้ง
“มึงทำงานช่วยอาจารย์หลายอย่าง แทบตลอดเวลาเลยมั้ง งานสอนของอาจารย์ก็ทำด้วย อยู่นี่ก็ถูกแล้ว”
“แค่ตรวจการบ้านกับพวกข้อสอบเก็บคะแนนเอง”
“นั่นล่ะๆ อย่าคิดมากเอาไปเทียบกับกู ยังไงเสียกูก็อายุมากกว่ามึงหลายปี มากินอยู่เอาที่นี่จะมีหน้าไปจีบสาวที่ไหน”
พี่นันต์กลับไปทำงานด้วยความกระฉับกระเฉงอีกครั้ง ส่วนผมยังคงเรื่อยเปื่อยกับงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องขยับร่างกายมาก หางตาวูบไปเห็นการเคลื่อนไหวหลังประตูกระจกใส สักพักคนที่คุณกานดาพูดถึงเมื่อครู่ก็เข้ามา วันนี้ธูปไม่ใส่แว่น ตากลมหน้าใสจนต้องมองให้แน่ใจว่าไม่ผิดคน
“กว่าจะโผล่หัวมา ไอ้ธูป” พี่นันต์บ่นมันก่อนทักเรื่องอื่น ธูปย่นจมูกเหมือนที่ชอบทำตอนแว่นร่วงจากหน้า คงติดเป็นลักษณะจำเพาะไปแล้ว “ละนั่นไปทำอะไรมา ทำไมไม่ใส่แว่น”
“ทำไม แค่อยากลองใส่คอนแท็กเลนส์ ดูไม่ดีเหรอ ผมว่าดีออก” ธูปถาม แต่ไม่รอคำตอบ คิดเองเออเองก่อนหันมายักคิ้วให้ผมหนึ่งข้าง เชิงข่มว่าเห็นไหมล่ะคนจะหล่อจริงเขาไม่พูดเยอะ เจ็บคอ
“ก็เหมือนเดิม”
พี่นันต์ตัดความมั่นใจฉับ ไม่สนใจท่าทางเหวอแดกของมัน แต่ผมว่าดูดีขึ้นนะบุคลิกดีขึ้นมากแต่ไม่รู้พูดไปแล้วจะยิ่งเหลิงหรือเปล่า
“ได้ไง...ผมใส่บิ๊กอายเลยนะ พี่รู้ไหมมันใส่โคตรรรร! ยาก!”
บรรยายถึงความลำบากในชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่างเผื่อว่าพี่ชายนอกสายเลือดจะเห็นใจบ้าง แต่เปล่า พี่นันต์ชี้นิ้วที่เครื่องดื่มของคุณกานดาแล้วพูดเสี้ยงห้วน “แรด มาช้าแล้วยังพูดมาก วางกระเป๋าแล้วยกไปให้พี่กาน น่ารำคาญจริงๆ มึงน่ะ”
“พี่นันต์แม่งใจแห้งแล้งมาก” ไม่รู้ว่าเป็นคำด่าประเภทไหน เพราะไม่ว่าธูปจะบ่นอะไรพี่นันต์ก็ยังคงไม่ใส่ใจ เขาสะบัดมือไล่ อ่านออร์เดอร์ที่ลัดคิวไปทำให้คุณกานดาก่อนพูดลอยๆ ถึงลูกชายเจ้าของร้าน
“พ่อมึงเจอหัวใจวายตายห่า เล่นอะไรไม่รู้เรื่องไอ้ธูป”
ผมเลิกคิ้ว เขาหันมาชี้ถังน้ำแข็งพอดี หมายถึงให้เตรียมตักใส่แก้วรอ
“มึงรู้ปะอาจารย์พิภพหวงมันฉิบ เขาว่าตอนเด็กๆ น่ารักน่าชัง พาไปมหา’ลัยโดนหยิกจนแก้มย้วยจนต้องให้มันอยู่แต่ที่บ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องพาไปด้วยจะให้มันไปอยู่ในห้องสมุดจะได้ไม่เจออาจารย์ป้าๆ ผลัดกันอุ้ม กลัวเฉามือตาย”
ผมหัวเราะ พี่นันต์เทียบธูปได้กับลูกหมาแรกเกิด จริงที่ว่าอาจารย์ไม่ค่อยเล่าเรื่องธูปให้ฟังนัก ไม่เคยเอาการบ้านลูกชายมาให้ช่วยตรวจหรือช่วยทำเหมือนอาจารย์คนอื่น ไม่เคยให้ผมไปรับธูปจากคณะหรือโรงเรียนสาธิตที่อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าทั้งหมดทำเพราะไม่อยากให้คนในภาคเย้าลูกชายตัวเองคล้ายของเล่น อาจารย์พิภพเป็นคนใจดี มีเหตุผล ยิ่งพานให้นึกไม่ออกว่าเมื่อเห็นลูกชายน่ารักถูกใจใครต่อใครแล้วจะมีปฏิกิริยายังไง ผมเคยได้ยินว่ายิ่งคนใจเย็น เย็นแค่ไหน ถึงคราวร้อนจะพลิกกลับมาร้อนเป็นฟืนเป็นไฟได้เท่าตัว
“ไม่รู้ว่าหวงมาแต่อ้อนแต่ออกหรือหวงตั้งแต่คบเพื่อนอย่างไอ้มาร์ค”
ผมหัวเราะแทนคำตอบ ไม่วายวกกลับไปกัดคนที่ยังไม่โผล่หัวมาอยู่ดี
“มึงก็เห็นมันเป็นยังไง” พี่นันต์ถอนหายใจยาว พยักเพยิดไปทางคนเพิ่งหัดแต่งตัว “เดี๋ยวได้แรดจนน่าเตะเหมือนกัน”
หลังจากคลื่นลูกค้าระลอกใหญ่ผ่านไป งานที่ล้นมือบาริสต้าก็ซาลง ผมกลับไปนั่งในฝั่งร้านในความรับผิดชอบของตัวเอง มองคุณกานดากับเด็กแก่แดดหัวเราะคิกคัก จริงๆ แล้วถ้ามีคนบอกว่าคุณกานดาอายุสักยี่สิบห้าผมก็เชื่อ อาจเพราะรอยยิ้มที่ยิ้มทีเหมือนโลกทั้งใบสดใส ส่วนธูปก็ได้เปรียบตรงแว่นที่ทำให้มันดูแก่ลงโข ยกเว้นตอนนี้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ตาดำโตใสแบ๊ว แต่ยังไงๆ ก็ไม่เหมาะเป็นคู่รักอยู่ดี
ผมเข้าใจว่าธูปเป็นคนเฉิ่มเพราะสภาพแวดล้อมชวนเฉิ่ม แต่จากที่พี่นันต์ว่ามันไม่แต่งตัวเพราะพ่อหวงกลับคิดได้ว่าจริงๆ แล้วถ้ามันดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้มีหวังสาวติดตรึม วาดภาพถึงสองหนุ่มคู่ซี้ คนหนึ่งลูกครึ่งหน้าติดไปโซนยุโรป ส่วนอีกคนทรงญี่ปุ่น คิขุ อาโนเนะ คล้ายเด็กมัธยมวัยหวาน ตัวติดกันไปไหนมาไหนคงดังกระหึ่มโซเชียล ยิ่งยุคที่หนุ่มหน้าตาดีจะถูกยกเป็นเซเลปตัวแทนมหา’ลัยง่ายๆ แล้วก็นึกดีใจแทนอาจารย์พิภพที่ลูกชายเนิร์ดเข้าขั้นกี๊ก ซึ่งในความเท่ของมนุษย์กี๊กก็มีเส้นกั้นบางๆ ที่ทำให้ใครไม่อยากสุงสิงด้วยมากเท่าไหร่
ในโลกโซเชียล ธูปก็คล้ายเป็นบุคคลสาปสูญ มันใช้แอคเคาท์ที่เป็นชื่อประหลาดๆ สำหรับจัดแต่งหน้าเพจร้านแทนพ่อ ทำเว็บไซต์ง่ายๆ ไม่รู้ว่าจัดเป็นสไตล์มินิมอลหรือขี้เกียจ โปรโมตร้านที่ไม่ค่อยมีคนแชร์นักเพราะไม่สนใจเรื่องมาร์เก็ตติ้ง ส่วนอย่างอื่นไม่มีความจำเป็นเลย ไม่มีภาพถ่าย ไม่มีเพื่อน ผมแอดไปมันยังไม่รับด้วยซ้ำ แสร้งทำพูดซื่อว่าเล่นไม่เป็น เล่นไม่เป็นเตี่ยมึงสิถึงขั้นทำเว็บไซต์ของร้านได้ตั้งแต่ม.ต้น แต่ผมไม่ถือสา เพราะสำหรับผมเฟซบุ๊กก็นับเป็นการใช้เวลาให้หมดประโยชน์อันดับต้นๆเหมือนกัน ผมใช้มันต่อเมื่อไม่มีอะไรทำจริงๆ ซึ่งไม่เคยมีช่วงเวลานั้นสำหรับนักศึกษาปริญญาโท สัปดาห์ที่แล้วเพิ่งเข้าไปค้นหนังสือในห้องสมุด พุธหน้านัดกลุ่มตัวอย่างสำหรับคุยเรื่องงานวิจัย ไม่นับรวมวันศุกร์ที่มีทีมเด็กๆ มาทัศนศึกษา ผมขอแรงไอ้ธูปมาช่วยเพราะวันนั้นนักเรียนมาเที่ยวเล่นที่ร้านสองชุด แบ่งเป็นครึ่งวันเช้ากับบ่าย เป็นโรงเรียนลูกคนรวย นักเรียนไม่เยอะ แต่คุณภาพชีวิตดี ดีแบบที่พี่นันต์เปรียบเทียบเมื่อกี๊ทำให้ผมนึกถึงระดับความแตกต่างของชนชั้นชัดเจนขึ้นถนัก
ค่าเทอมหนึ่งเทอมแพงกว่าผมกินใช้ตลอดทั้งปีด้วยซ้ำ