[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26148 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #30 เมื่อ16-08-2018 00:52:12 »

มันล้ำค่ามากเลย

อ่านแล้วร้องอู้หูววววว โอ้โหวววววววววว

นิยายเรื่องนี้ มาถึงตอนนี้ มีทุกอย่างที่เราเคยตั้งคำถามกับนิยายวาย
(แบบ...เฮ้ย...เดี๋ยวนะ....ชายกับชายมีเพศสัมพันธ์กันมันไม่ได้ง่ายแบบชายหญิงป่ะ?   เดี๋ยวนะ....รสนิยมมันหลากกลายมากกว่ารุกตัวโตมาดแมน รับตัวเล็กออกสาวป่ะ )

สิ่งที่เลอค่าที่สุดคือ ทัศนคติที่ของตัวละคร ที่มาจากทัศนคติของคุณพ่อแมวพุงโตเอง

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ที่คุณเขียนเรื่องนี้แล้วมาแบ่'ปันให้พวกเราได้อ่าน

เป็นกำลังใจให้นะ ทั้งเรื่องส่วนตัวและงานเขียน
ขอให้ทุกวันของคุณดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ   

This, too, shall pass.

 

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #31 เมื่อ16-08-2018 13:26:21 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


ขออนุญาตปิดกิจกรรมจ้า  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2018 21:12:28 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.7 Stranger




สัมผัสที่ผมรับรู้ได้ต่อจากแรงกระแทกเข้ากับคนด้านหลัง คือกลิ่นของนิโคตินขนาดหนักที่ฝังอยู่ในร่างกายของเขา กลิ่นมันแรงมากถึงขนาดที่จมูกของผมแทบจะอึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เสียง “ชู่ว” เบา ๆ จากคนด้านหลังก็ทำให้ผมเลือกที่จะสงบปากสงบคำ เมื่อได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังขึ้นที่ด้านนอก

“ทางนี้น่าจะไม่มีแล้วครับ รถยนต์ด้านหน้าก็ไปหมดแล้ว” เสียงใครสักคนดังแว่วผ่านตามสายลมมา สัมผัสอีกสัมผัสที่ผมสังเกตได้คืออาการสั่นของคนที่โอบกอดผมไว้จากด้านหลังทั้งตัว มันไม่ใช่อาการสั่นของคนหวาดกลัว สำหรับผมมันคล้าย ๆ อาการสั่นของคนที่กำลังป่วยหนักหรือหนาวมาก ๆ มากกว่า

ผมได้ยินเสียงคนเหยียบใบ้ไม้แห้ง ๆ และกอหญ้าห่างไกลออกไป เวลาผ่านไปราวห้านาทีเศษ ทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน เจ้าของมือถอนมือทั้งสองข้างออกมาจากริมฝีปากผม ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวให้ผมได้หันหลังไปเผชิญหน้ากับเขา

เขาสูง สูงมากกว่าผมหรือโช คะเนจากสายตาแล้วสูงมากกว่า 180 เซนฯ  ไปไกล ตาทั้งสองข้างโหลราวกับคนอดหลับอดนอนมาชาติเศษ ริมฝีปากแห้งแตกเหมือนคนขาดน้ำ ที่หูและจมูกมีจิลเล็ก ๆ เจาะไว้อย่างละสองสามชิ้น ทรงผมกระเซอะกระเซิง เหมือนตัดแล้วปล่อยให้ยาวไปเรื่อย ๆ โดยไม่จัดทรง เสื้อผ้าแม้จะไม่ใช่ไฮแบรนด์แต่จากการแสกนแบบหยาบ ๆ แต่ผมว่าราคาก็เอาเรื่อง

เรามองสำรวจกันและกัน ก่อนเขาจะแค่นเสียงออกมาราวกระซิบ

“คนในโปสเตอร์แบบคุณ ไม่น่ามาทำอะไรที่แบบนี้นะ” เขาว่า ผมเงียบ เม้มริมฝีปากไม่ตอบคำถามหรือคำแซะทั้งหมดของเขา มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเตรียมตัวหาทางเดินออกไปจากด้านในป่าไผ่ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาดึงมือของผมไว้

“เดี๋ยวไปส่งหน้ามอ”

“..........”

“..........”

“รถเราอยู่ทางนี้” เขาว่าง่าย ๆ ผมจิ๊ปากขัดใจตัวเองเล็กน้อย แต่หันซ้ายแลขวาก็คิดว่าคงดีกว่าเดินดุ่ม ๆ ออกไปโบกแท็กซี่กลับหอ แถมยังต้องตามกระเป๋าที่อยู่บนรถของพี่สาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหนีตำรวจรอดไม่รอดแต่อย่างไร ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งอึก เซ็งเล็กน้อยกับการโดนขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่ถ้าพูดกันตามข้อบังคับทางกฎหมายแล้ว ยังไงฝ่ายผิดก็เป็นฝ่ายเราอยู่ดี แม้จะบอกว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ส่งผลกระทบหรือทำให้ใครเดือดร้อนก็เถอะ

จริง ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนผมก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าการ outdoor นับว่าเป็นเรื่องที่ละเมิดสิทธิของคนอื่น ๆ รึเปล่า แรกเริ่มคำตอบที่ผมตั้งธงไว้ในใจคือ “ผิด” ก็แน่นอนสิ คนอื่นทุกคนไม่ได้อยากเห็นคุณร่วมเพศกันต่อหน้าต่อหน้านี่ครับ แต่พอโตขึ้น มุมมองต่อเรื่องสิทธิและเสรีภาพของผมก็โตตาม คำถาม ถามว่าถ้าเป็นการ outdoor ในสถานที่ ๆ ไม่มีผู้คนเดินผ่าน หรือเป็นสถานที่ไพรเวทโซน แบบนี้นับว่าเป็นการ outdoor ไหม แล้วนับว่าละเมิดสิทธิของใครรึเปล่า?

ยิ่งโต โลกยิ่งซับซ้อน ความคิด สังคม สถานการณ์และบริบทต่าง ๆ ล้วนมีผลต่อบทสรุปของคำถามหนึ่งคำถาม และคำถามที่ผมถามตัวเองข้างต้น ก็ยังเป็นคำถามที่ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้เช่นเดียวกันว่ามันนับว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่มนุษย์พึงกระทำ บางคำถามก็ยังตอบไม่ได้จริง ๆ

ผมคิดอะไรไปเรื่อย รู้สึกตัวอีกทีเขาก็พาผมเดินอ้อมป่าไผ่ด้านหลัง ลัดเลาะผ่านไปยังถนนทางออกอีกซอย ก่อนจะชี้ไปที่เบนซ์ซีดานคันหนึ่งที่จอดเอาไว้ เขากดรีโมทคอนโทรลง่าย ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไปแล้วเหล่มองผมในเชิงให้ก้าวเดินขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ผมขึ้นไปนั่งเงียบ ๆ ไม่ได้พูดขออนุญาตแบบที่เคย

“เกร็งเหรอ?” เขาถาม

“..................”

“กำลังคิดว่าจะวางตัวแบบไหนหรือพูดยังไงกับคนที่มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้เหรอ?”

หมอนี่เดาใจเก่ง เมื่อสิบนาทีก่อนผมเพิ่งโดนเขาโอบปิดปากจากด้านหลังแถมยังไม่นับรวมว่าเขาอาจจะรู้จักผมอีกก็เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพยายามหยิบกุญแจรถออกมาเสียบ ผมมองอาการสั่นที่เห็นได้ชัดจากการจับกุญแจแล้วก็ยื่นมือออกไปเป็นเชิงขอ พอเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วไม่เช้าใจผมเลยยอมเปิดปากพูด

“ถ้าคุณขับ เราอาจจะกลับไม่ถึงมอ”

“แน่ใจได้ไงว่านายขับแล้วจะกลับถึงมอ”

“ก็แน่ใจว่าผมน่าจะขับแล้วมีโอกาสรอดมากกว่าคนที่กำลังสั่นเพราะฤทธิ์ยา”

เพราะความดื้อของอีกฝ่ายที่ฉายออกมาทางแววตานั่นแหละ ผมถึงได้กล้าแซะแรง ๆ กับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก เขาขมวดคิ้ว นั่งนิ่ง  ก่อนจะยอมยื่นกุญแจรถให้ผมแต่โดยดี

“โอเค เราสลับที่นั่งกัน” ผมว่า เตรียมจะขยับตัว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับตาม

“คุณ อย่าดื้อสิครับ” ผมเอ็ด เขายังนั่งนิ่ง

“คุณรู้ได้ไงว่าผมเล่นยา?”

“........”

“........”

“ผมเดา”

“แน่ใจเหรอว่าเดา”

เขาถอนสายตาออกมาก่อนจะมองผมแล้วถามด้วยคำถามใหม่

“ห้องคุณมี ‘งาน’ ไหม?”

“ผมไม่มีอะไรที่คุณต้องการทั้งนั้น”

ผมว่าอย่างเบื่อหน่าย พ่นลมหายใจออกจากจมูก วันนี้ดูท่าจะเป็นวันที่ไม่โอเคสำหรับผมจริง ๆ หนีจากตำรวจมาได้ก็ดันมาเจอพวกนศ.ติดยา สงสัยจบทริปนี้ ถ้าไม่ไปล้างซวยก็คงต้องไปถวายสังฆทานสักชุด

เรานั่งเงียบกันไปหลายนาที ผมมองซ้ายแลขวา แถวนี้ก็ไม่ได้มีตัวช่วยให้ผมตัดสินใจในการไปจากเขาง่าย ๆ ซะแบบนั้น ผมกำลังคิดว่าตัวเองควรจะเลือกตัวเลือกไหนดี สุดท้ายอีกฝ่ายก็เอนตัวลงกับเบาะ ก่อนจะหลับไปง่าย ๆ ซะแบบนั้น เล่นเอาผมอ้าปากออกมาน้อย ๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามาหลับต่อหน้าคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“คุณ คุณ...” ผมดึงแขนของเขาเล็กน้อย ก่อนตัวเองจะสังเกตเพิ่มได้สองอย่าง หนึ่งคือ เขาผอมมากจนแทบจะมีแต่กระดูก จนผมแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นเจ้าของแรงที่เยอะถึงขนาดลากผมเข้าไปหลบโดยไร้สุ่มเสียง สองคือตัวเขาร้อนมาก ไม่รู้ว่าร้อนเพราะไม่สบายจริง ๆ หรือร้อนเพราะฤทธิ์ยาไอซ์ที่เขาเพิ่งเสพเข้าไปกันแน่

ผมกัดปากล่างอย่างหัวเสีย อยากจะเป็นคนใจร้ายที่เดินลงไปจากรถง่าย ๆ แล้วปล่อยเขาไว้แบบนั้น แต่มนุษยธรรมในใจก็ค้ำคอ ไหนที่เขาบอกว่า “เดี๋ยวไปส่งหน้ามอ” นะ หมายถึงให้ผมเป็นคนขับออกไปส่งใช่ไหม พอตั้งสติ ตัดสินใจได้ ผมก็ขยับตัวไปนั่งบนตักของเขา

“อย่าบ่นแล้วกันว่าตัวหนัก”

ผมบ่นกับอากาศ ก่อนจะข้ามไปนั่งลงบนตักของอีกฝ่าย ถ้าจะให้ผมพยายามอุ้มอีกฝ่ายมานั่งอีกฝั่ง ให้นั่งทับตักเขาไปเลยน่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า ก่อนขึ้นรถผมก็ลืมมองด้วยว่าฟิล์มมืดรึไม่มืด เอาเป็นว่าค่อยไปจอด แถว ๆ  ที่ไม่มีคน ปลุกเขา และค่อยลาจากกัน แบบนั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้

หลังจากได้กุญแจรถ ผมพยายามนั่งแบบไม่ทิ้งน้ำหนักตัว รู้สึกแปลกประหลาดมากถึงมากที่สุดที่อยู่ดี ๆ ต้องมานั่งตักคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แม้จะมีคนแปลกหน้ามากมายเคยมานั่งทับตัก(และส่วนนั้นของ)ผม ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร เวลาที่ตัวเองจะต้องไปนั่งทับตักและส่วนอื่น ๆ ของคนอื่นบ้าง

ผมจินตนาการไม่ออกหรอกว่าถ้าตัวเองต้องไป on top มันจะเป็นยังไง และไม่อยากจินตนาการด้วย เพราะคนที่ทำให้ผมยอมที่จะยกขาให้ไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว

ผมสตาร์ทรถ ก่อนจะกดปุ่มคลิกไปมานิดหน่อย เสียงเพลงดังขึ้นมาจากเพลย์ลิสต์ที่หยุดค้างเอาไว้ ผมชะงักไปกึกก่อนจะมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง

I need to grow and find myself before I let somebody love me

Because at the moment I don't know me


เขามีเทสที่ดี...ผมคิดในใจพร้อมกับเคาะพวกมาลัยและฮัมเพลงตามไป เบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งตัวเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวมากอดเอวผมไว้หลวม ๆ ผมหันกลับไปมอง เขายังคงปิดตาสนิท แขนทั้งสองข้างแค่โอบเบา ๆ พอให้ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนนั้น แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร

“ถ้าตื่นแล้วก็ขยับไปนั่งอีกข้างได้ไหม ผมจะได้ขับรถถนัด ๆ” ผมว่า เขาไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากหลับไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่โอบกอดผมไว้แบบนั้น พอรถวิ่งไปได้สักพักถึงได้ยินเสียงแหบแห้งพูดกลับมา

“ใจดีกับทุกคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันรึเปล่า”

เขาแซวหรือแซะผมก็ไม่แน่ใจ แต่ตัวเองก็ปากไวตอบกลับไปแล้ว

“แรงจะพูดยังไม่มีเลย เงียบไปเถอะคุณ”

“เงียบก็ได้ แต่ถอยไปที่เพลงก่อนหน้าให้ที”

“Teenage Fantasy อ่ะนะ” ผมว่า เขาลืมตาขึ้นมาข้าง มองหน้าผมผ่านกระจกก่อนจะพูดตอบ

“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ? คุณมีเทสที่ดีนะ”  เขาว่าก่อนจะกอดผมไว้หลวม ๆ อีกครั้งแล้วหลับตาลงไป

ไม่อยากบอกเลยว่าผมก็แอบชมเขาในใจแบบนั้นเหมือนกัน

ผมทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะพยายามขับรถแล้วเลี้ยวขึ้นทางถนน วกกลับไปรีเทิร์นเพื่อย้อนกลับไปหน้ามหาวิทยาลัยของตัวเอง มือถือของผมสั่นนิดหน่อยเพราะแมสเสจจากพี่สา โอเค ผมจะสงบสติอารมณ์ก่อนว่าพี่ที่ทิ้งผมไป แต่เอาเถอะ สถานการณ์แบบเมื่อกี้ไม่อยากนับเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายผิด แต่อาจจะไปเอากระเป๋าแล้วบล็อก ๆ ไลน์ไปก็ได้ คงต้องรอดูอารมณ์ ณ ตอนนั้นก่อน

หลังจากยูเทิร์นผ่านมาถึงแถวอเวนิวหน้ามอ ผมจอดรถเทียบฟุตบาธ ก่อนจะปลุกเขาเบา ๆ

“คุณ.....คุณโว้ย” ผมโวยวายเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือให้ผมขยับไปนั่งข้าง ๆ ได้อย่างสบายใจสักเท่าไหร่นัก เขาฮึดฮัดพ่นลมออกจากจมูก ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นและกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ขออีกแป๊บไม่ได้เหรอ ตัวคุณอุ่นมาก ๆ เลยนะ” ผมขมวดคิ้วกับคำพูดที่ดูไม่มีเหตุผลสักเท่าไหร่

“ตัวผมอุ่น แต่คุณนะร้อน ถ้าไม่สบายก็นั่งเฉย ๆ ก่อน ผมจะลงไปซื้อยามาให้” ถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่ร้อย ไหน ๆ วันนี้ก็ซวยจัดขนาดนี้แล้ว ผมจะช่วย ๆ เขาให้มันจบ ๆ ไปก็คงไม่ต่างอะไรนัก

ในที่สุดความดื้อของอีกฝ่ายก็เบาบางลง เมื่อผมสามารถขยับตัวได้ ผมคว้ากระเป๋าตังค์ที่หน้าคอนโซลรถ อีกฝ่ายหันมามองหน่อย ๆ ก่อนจะหลับตาลงไป

“ไม่กลัวผมขโมยรึไง?” ผมว่า

“คนในโปสเตอร์แบบคุณทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก แค่เรื่องวันนี้ยังถือว่าผมแบล็คเมล์คุณได้ด้วยซ้ำ” เขาว่าพลางหลับตาลงไปอีกรอบ ไม่อยากจะยอมรับว่าผมแอบสะดุ้งนิด ๆ แต่พยายามอย่างมากในการไม่แสดงออกว่าเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

พอลงมาจากรถผมก็เดินเข้าแฟมิลี่มาร์ท เลือกซื้อโจ๊กกับผ้าเย็น พร้อมยาแก้ปวดหัวและน้ำดื่มขวดกลางอีกสองขวด เสร็จสรรพก็เปิดกระเป๋าเงินของเขาออกมาจ่าย สิ่งที่ทำให้ผมถอนหายใจหนัก ๆ คือแบงก์พันเป็นฟ่อน ๆ ที่อยู่ในกระเป๋า คะเนด้วยสายตาแล้วมีไม่ต่ำกว่าสิบใบ จนแอบคิดว่าทำไมเขาถึงขาดความระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้

คุณคิดว่าปกติแล้วคนที่เสพยาต้องเป็นคนชนชั้นใด ? ถ้าตอบจากประสบการณ์ส่วนตัว คิดว่าชนชั้นใดพอจะมีทุนทรัพย์มากถึงขนาดเอามาละลายเล่นกับยาได้ละครับ ผมไม่ได้บอกว่าคนชนชั้นล่างหรือคนชนชั้นกลาง ไม่มีอะไรทำนองนี้หรอกนะ แต่ถ้าพูดกันถึงความเป็นไปได้ในการซื้อสิ่งของผิดกฎหมายที่มีราคาแพงลิบลิ่วขนาดนั้น ก็ต้องเป็นคนที่มีสภาพคล่องทางการเงินในระดับหนึ่งหรืออาจจะคล่องมาก ๆ  ด้วยซ้ำ

รอของเวฟไม่นานก็ได้รับ ผมเดินย้อนกลับไปฝั่งคนนั่ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วเอาโจ๊กวางไว้ข้าง ๆ อีกฝ่าย

“คุณ....” ผมเรียก เขายังนิ่งไม่ตอบสนอง

ผมหมดอารมณ์จะถอนหายใจ เลยลงมือฉีกผ้าเย็นแล้วบรรจงเช็ดบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย ลูบไปทางซ้ายที ทางขวาที ให้เขาได้รับสัมผัสเย็น ๆ จากผ้าเย็นเพื่อปลุกให้ตื่น ได้ผล เจ้าตัวลืมตาขึ้นมาก่อนจะเอนตัวมาทางผมและพยายามจะจูบ

เดี๋ยว... จูบ !!!!

“โอ๊ย”

นั้นคือเสียงร้องของเขาหลังผมได้สติทันก่อนริมฝีปากแห้ง ๆ นั้นจะได้จูบปากผม ผลคือนอกจากจะไม่ได้จูบแล้วยังโดนผมซัดเข้าให้เต็มอกอีกหนึ่งตุ๊บ

“ทำบ้าอะไรของคุณ” ผมว่า พร้อมปาผ้าเย็นใส่เขาอย่างหงุดหงิดในความไร้กาลเทศะ

“ไม่เห็นเหมือนในนิยายเลย ฉากแบบนี้ผมควรได้จูบคุณไม่ใช่เหรอ”

ผมขมวดคิ้วกับคำตอบที่ไม่มีเหตุผลอีกครั้ง พร้อมทดลงไปในใจตัวเอง รีมาร์กไว้ว่าต้องบอกโชให้ได้ว่าการเป็นแอคเค่อไม่ได้แปลว่ากูจะจูบกับใครก็ได้ (โว้ยยยยยยยยยยยยย)

“ทำไมอ่ะ ทีกับคนนั้นคุณยังถึงขนาดให้เขาดูดให้ได้เลย”

“แล้ว?”

“แล้วยังไงน่ะเหรอ ก็ถ้าคุณทำแบบนั้นได้ ผมก็น่าจะทำกับคุณได้”

เขาว่า พร้อมกะพริบตาปริบ ๆ มองผม ผมนับหนึ่งถึงร้อยก่อนจะพยายามอธิบายเหตุผลของตัวเองออกไป

“นั่นผมรู้จักกับเขา แต่ผมไม่รู้จักคุณ”

“งั้นก็รู้จักกันสิ จะได้จูบได้”

“ถามผมสักคำรึยังว่าผมอยากรู้จักกับคุณไหม?” ผมถาม คิ้วขมวดแสดงอารมณ์อย่างถึงที่สุด

“............”

“............”

“กินโจ๊กซะ คุณจะได้มีแรงขับรถเองได้ แล้วผมจะได้รีบ ๆ ไปสักที” ผมว่าพร้อมดันชามโจ๊กที่เวฟมาแล้วให้กับเขา

“คุณรู้ได้ไงว่าผมยังไม่กินอะไร” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพออ่านสถานการณ์เป็นอยู่บ้างเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของผม เลยยอมรับโจ๊กอุ่นไปกินแต่โดยดี

“คุณเสพยา พวกเสพอะไรพวกนี้มันไม่ค่อยกินอะไรหรอก”

ผมว่าตามการสันนิฐานของตัวเอง ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีอะไรกับคนที่ ไฮ มาก่อนจะมาเจอกัน ผมไม่อะไรกับคนที่เล่นยาในกรณีที่เล่นก่อนจะมาเจอกัน แต่ผมไม่อนุญาตโดยเด็ดขาดสำหรับสารเสพติดทุกชนิดถ้าคิดจะมามีอะไรกันในห้องของผม ผมไม่เสี่ยงด้วยอย่างเด็ดขาด

อีกฝ่ายไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น เขาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ราวกับคนไม่รู้รส แค่กินพอให้รู้ว่ากิน ก่อนจะพูดออกมาเบา  ๆ

“ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนอกจากน้ำเปล่า ยาทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอาหารเลย”

เขาว่า สายตาเหม่อมองผมผ่านกระจกมองหลัง ผมเบนสายตาหลบออกไป ไม่รู้ว่าตัวเองควรต่อบทสนทนาแบบไหนดีกับคนที่เพิ่งเจอกัน เพิ่งสารภาพว่า ไม่กินอะไรมาสองวันเพราะเล่นไอซ์

“คุณเป็นคนมีมารยาทและมีน้ำใจ”  เขาว่าต่อ

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”

“คุณตำหนิผมก็จริง แต่คุณไม่ถาม ไม่ซักไซ้ ไม่สงสัยว่าทำไม เหตุผลอะไร ทำไมผมเสพไอซ์ ทำไมผมไม่กินข้าว ทำไมผมไม่รักตัวเอง คุณไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกจากมองว่าทั้งหมดที่ผมทำ มันเป็นเรื่องของผม”

อีกครั้งที่เขาเดาถูก ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ อาจจะเพราะนิสัยที่ติดมาจากการเป็นแอคเค่อ การไม่สงสัยหรือตั้งคำถามอะไรในตัวอีกฝ่ายนอกเหนือจากคำถาม ที่อยู่ในขอบเขตของกิจกรรมบนเตียง เป็นการวางตัวแบบหนึ่งของผม เพราะบางคำถาม คนถูกถามก็ไม่ได้อยากตอบ หรืออยากบอกเหตุผลของตัวเอง

“ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง”

ผมว่าแบบนั้น เพราะคิดอยู่เสมอว่าจะเอาอะไรไปตำหนิเขา ในเมื่อตัวผมยังมีเหตุผลในการเป็น “แอคเค่อ” ของตัวเองด้วยซ้ำไป ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น ต่อให้เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่คนในสังคมมองเข้ามา ผมก็ยังเลือกที่จะไม่พูดอะไรซะมากกว่าด้วยซ้ำไป โอเค แม้อีกด้านผมจะแอบเบลมเขาในใจนิดหนึ่งก็เถอะ ที่ขับรถออกมาโดยไม่มีสติขนาดนี้ แต่พูดออกไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

“คุณ”

“ว่า”

“คุณไม่อยากรู้จักกับผมจริงๆเหรอ?”

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“แค่ผมลงไปจากรถคุณ ทุกอย่างก็จบลงแล้ว”

“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”

“อืม”

“ผมจะคอยดู” เขาว่าแบบนั้น ก่อนเราทั้งคู่จะเงียบไปดื้อ ๆ ปล่อยให้เสียงเพลง teenage fantasy ยังคงเล่นวนต่อไป รอจนอีกฝ่ายกินเสร็จ พร้อมกระดกน้ำตาม ผมก็เตรียมตัวจะก้าวลงจากรถ วันนี้เกิดเรื่องมากมายเกินกว่าจะถือว่าเป็นวันที่ปกติอีกวันของชีวิตการเป็นแอคเค่อ แม้ผมจะเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชินชากับทุกเหตุการณ์นักหรอกนะ

ผมเตรียมจะเปิดประตูก้าวลงไปจากรถเพื่อกลับหอสักที แล้วก็เป็นอีกครั้ง ที่เขารั้งผมไว้

“คุณ”

“ว่า”

“ก่อนคุณลงจากรถไป ผมขออะไรคุณหน่อยได้ไหม?”

“..............”

“คุณช่วยกอดผมสักครั้งก่อนคุณจะลงไปจากรถของผม...ได้ไหมครับ?”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 20:42:31 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ดูเหมือนจะซับซ้อนพอสมควร

ก็นะ...ชีวิตใครก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ถ้าเลือกทำร้ายตัวเอง ใครก็คงจะช่วยได้เท่าที่ช่วยได้นั่นแหละ

ปล. 1  เราอยากแนะนำให้นะ แต่ทำได้แค่แนะนำนิยายให้เพื่อนตรง ๆ ไป ไม่สะดวกออกสื่อใด ๆ  ขออภัยจริง ๆ

ปล. 2 คุณเป็นนักศึกษาที่มีความคิดน่าสนใจมาก

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ​ เราติดตามอยู่เสมอ
หูยยยยยยคนเสพไอซ์นี่ใคร​ พระเอกหรอ?

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
«ตอบ #38 เมื่อ26-08-2018 20:53:45 »



Ep.8 P&P (Part 1)




“อะไรเป็นแรงจูงใจให้ตัวคุณเองทาน PrEP ในตอนแรกครับ?”

“โอเค ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันทุกอย่างได้ 100% คือในทางการแพทย์แล้วไม่ว่าอะไรก็ไม่ปลอดภัย 100 % ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย” ผมว่า เท้าชะลอเบรกเมื่อเห็นไฟแดง ส่วนโชนั่งพิมพ์ก๊อกแก๊ก ๆ ไปมา

“เช่น?” เขาถาม ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอ ส่วนผมเงียบเพราะเขาผิดกติกา

“....”

“....”

“ขอโทษ ๆ โอเค คุณถามกลับมา ๆ ” เขาหันมาทำหน้าร้อนรนขอโทษผม ก่อนจะพับหน้าจอลง

“คุณนี้มัน..” ผมสบถแบบนั้น โชยิ้มเห็นเหงือกหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเกาหัวแกรก ๆ ด้วยปากกาไอแพด ผมถอนหายใจกับความบ้างานของเขาอย่างจริงจัง ก่อนจะถามคำถามกลับไป

“อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเขียนนิยาย” พอถามจบก็พอดีกับที่สัญญาณไฟจราจรขึ้นเป็นสีเขียว ผมเหยียบคันเร่งพร้อมหมุนพวงมาลัยหักเลี้ยวไปตามทางของถนน

“อะไรยากที่สุดสำหรับการเขียนนิยายเหรอ?....อืมมมม จริง ๆ ก็ยากทุก  โพรเซสเลยคุณ ตั้งแต่กระบวนการหาไอเดีย พล็อตตั้งต้นเรื่อง เปิดเรื่องแบบไหนให้คนประทับใจดี กลางเรื่องมีจุดพีคอะไรไหม ตอนจบควรจบยังไง แล้วก็ต้องมานั่งคำนวณเส้นเรื่องต่อว่าตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนจบตัวละครแต่ละตัวมีพัฒนาการด้านมิติยังไงบ้าง

 แบบ มันไม่เหมือนในละครไง นิยายของผมจะไม่มีตัวร้ายแบบกรี๊ด ๆ วิ่งตามผู้ชายอะไรทำนองนั้น พอไปถึงตอนจบคนอ่านเขาต้องเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครไง บ้างอาจจะเติบโตขึ้น บ้างอาจจะสมบูรณ์มากขึ้น แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ทั้งหมดนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะแบ่งเฉลี่ยยังไงให้ความยาวของนิยายไม่มากไป ไม่น้อยไป ยาวมากไปคนอ่านก็ไม่ซื้อนะ มันแพง ยาวน้อยไป ทำออกมาก็ไม่ได้กำไรอีก ต้องหาบาลานซ์ครับ”

ผมพยักหน้าพอใจในคำตอบ ก่อนจะรออีกฝ่ายอ้าปากถามคำถามถัดไป ในเทิร์นของตัวเอง

ถามว่าทำไมอยู่ดี ๆ เราถึงได้มาเล่นคำถามถามตอบกันแบบนี้นะเหรอ?...

 
 

เมื่อวานนี้หลังจากผ่านพ้นวันบ้า ๆ ของผมอีกวันในชีวิต ผมตัดสินใจทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ตั้งแต่การไปเอากระเป๋าในรถพี่สาพร้อมบล็อกไลน์หลังอีกฝ่ายตำหนิผมว่าไม่เตือนตอนเขาชวนไปบ้านร้างหลังนั้น ทั้งกลับห้องไปล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะหาของอร่อย ๆ ยัดลงท้องเป็นการปลอบใจตัวเองที่ดันไปเจอเรื่องไม่ดี ๆ เข้า

น่าแปลกประหลาดที่ผมทำตามคำขอร้องของคนแปลกหน้าหลังจากมองเห็นสายตาคู่นั้น

หมอนั่น...คนแปลกหน้าคนนั้น เขา “แตกสลาย” และโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา น่าเสียดายที่ผมให้เขาได้แค่เพียงไออุ่นชั่วคราวจากอ้อมกอดของตัวเอง เพราะถึงที่สุดแล้ว กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายเราก็ต้องปล่อย มนุษย์น่ะ เราช่วยเหลือทุกคนไม่ได้หรอก บางครั้งแล้วเราก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะกอดปลอบตัวเองบ้าง

ไม่ว่าปรภพหรือมหาสมุทรที่เขา ‘จม’ อยู่จะเป็นสถานที่แบบไหน สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าผมควรเอาตัวเองให้รอดออกจากปรภพของตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปใส่ใจคนอื่น และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจลาจากโดยไม่มีแม้กระทั่งการทำความรู้จักหรือแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับอีกฝ่าย

คงไม่เจอกันอีกแล้ว...ผมคิดแบบนั้น และในใจก็ภาวนาเงียบ ๆ กับตัวเองไปแบบนั้นเช่นกัน

ผมไม่พร้อมจะโอบกอดความแตกสลายของคนอื่นตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่หัวใจตัวเองก็ยังไปไหนไม่รอดนักหรอก

ผมถอนหายใจ ซ้อมลาจากโลกนี้อีกครั้งด้วยการนอนหลับก่อนจะไม่ลืมว่าพรุ่งนี้ผมยังมีนัดกับใครอีกคนที่กำลังเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าสนใจ ผมอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วนิยายเรื่องแอคเค่อจะออกมาในรูปแบบไหน ตัวละครจะโดนดีไซน์ยังไงบ้าง และข้อมูลทั้งหมดที่ผมเล่าให้โชฟังจะมีประโยชน์กับคนอ่านมากน้อยเพียงใด และผมจะโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดีไหมแค่เพราะผมมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า

แต่สุดท้ายก่อนหน้านั้นผมคงต้องบอกกับโชไว้เป็นกรณีพิเศษ....

‘เป็นแอคเค่อไม่ได้หมายความว่าจะจูบได้กับคนแปลกหน้าทุกคน’

ยกเว้นแต่จูบหน้าผากปลอบใจอีกฝ่ายที่กำลังแตกสลาย ....ถือว่าน่าจะเป็นข้อยกเว้น

ผมถอนหายใจให้ตัวเองอย่างเงียบงันเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจตุสัมผัสทั้งหมดจะจางหายไปพร้อมความมืดแสนสงบที่เข้ามาแทนที่สติทั้งหมด....




“สวัสดี กินน้ำเต้าหู้ไหม ผมซื้อมาฝาก?”

ก่อนผมจะพบว่าตัวเอง(แหกตา)ตื่นแต่เช้าเพื่อมาเปิดประตูห้องหลังได้ยินเสียงเคาะประตู และมาเจออีกฝ่ายยืนยิ้มแฉ่งที่หน้าประตูพร้อมน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋อีกห้าตัว เหลือบมองนาฬิกาถ้าผมดูไม่ผิด คือเพิ่ง 8 โมงเช้า เหมือนผมจำได้ลาง ๆ นะว่าตัวเองนัดอีกฝ่ายไว้ตอนประมาณสาย ๆ หรือเปล่า หรือผมเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงเปลี่ยนเวลานัดกะทันหัน?

“คุณ.....” ผมขมวดคิ้วพร้อมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงต้องการคำตอบสำหรับการมาปลุกผมแต่เช้า

“อ้าวคุณบอกผมไม่ใช่เหรอว่าฝากปลุกด้วย?” เขาว่า วางถุงน้ำเต้าหู้ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะทำตาปริบ ๆ ใส่ผมเป็นการถามว่าเขาผิดอะไรเหรอ?

ไอ้ฝากปลุกนั้นมันก็ใช่ แต่ไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าอยากให้มาปลุกถึงห้องนอนแบบนี้น่ะ !!!

ผมถอนหายใจกับตัวเอง ปลดปลงกับชีวิตที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขนานใหญ่ ๆ ตราบเท่าที่งานของเขายังไม่สำเร็จ ก็หวังว่าการโดนบุกรุกชีวิตในครั้งนี้จะคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้รับและมอบให้กับสังคมต่อไป พอคิดได้ดังนั้นผมก็ลงมือทานของฝากที่คนแปลกหน้าที่ชักจะเจอหน้ากันบ่อยขึ้นทุกวัน ๆ เอามาฝาก

“รู้ไหมว่าตอนเช้า ๆ ไม่มีใครเขาอยากรับแขกนักหรอกนะ” ผมว่า พลางมองสภาพห้องที่รกหน่อย ๆ

“ผมไม่ถือสา” ยังมีหน้ามาพูดอีก

“แต่ผมถือ” ผมว่ากลับพร้อมเอาหมอนมาบังส่วนสงวนที่ตื่นตัวเป็นปกติยามเช้าของผู้ชาย และเหมือนโชจะคิดได้ว่าผมกำลังเขินเรื่องอะไร สีหน้าของเขาฝาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

“ขอโทษ ผมลืมนึกว่าคุณอยู่ในวัยกำลังกินกำลังโต”

รู้แล้วยังจะมาทำเป็นพูดดี ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งทานเงียบ ๆ จนน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋หมดลงไป

“คุณกินข้าวมารึยัง?” ผมเปิดบทสนทนา

“จริง ๆ แล้วตอนเช้าปกติผมจะทานแค่กาแฟและขนมปังนะ” เขาว่า ผมพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ ก่อนเขาจะมานั่งข้าง ๆ ที่ปลายเตียง

“คุณ”

“ว่า?”

“ง่วงเหรอ?”

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะง่วงหรือเพราะกินของอุ่น ๆ อิ่มแล้วถึงอยากนอนต่ออีกรอบ จำได้ว่าหัวเอนไปซบกับไหล่ของโช แต่พอเห็นเขาไม่ขยับตัวหนีผมก็เลยขี้เกียจขยับตัวตาม

“คุณเหมือนโคอาล่าตัวโต ๆ ที่กินใบไผ่เสร็จแล้วก็ง่วงนอน” โชว่า ปลายเสียงติดหัวเราะนิด ๆ

“8 โมงเช้าถ้าเป็นคนอื่นผมด่ากระเจิงไปแล้วนะ” ผมงัวเงียตอบ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอนดึกอะไรขนาดนั้นนะ แต่ร่างกายเหมือนจะเสพติดการนอนหลับไปซะแล้ว

“ขอบคุณที่ไม่ว่าผมครับ ขอโทษที จริง ๆ ผมต้องรีบออกจากบ้านน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนบังคับ”

“บังคับ?” ผมถามทิ้งแต่สติเริ่มจางหาย ได้ยินเขาตอบกลับมาอีกสองสามประโยค แต่ผมหมดสติในการรับฟังไปหมดแล้ว

“ฝาก...ล็อกประตูห้องด้วย ผมจะรีบตื่น”

ผมเค้นเสียงตอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับลงไปทั้ง ๆ ที่ซบไหล่เขาแบบนั้น

...ตัวนิ่มดีเหมือนกันนะ พ่อตัวนากเผือก

 

 

.....................................

 

 

“กูไม่ได้เข้าบริษัทวันนี้ มีเอกสารอะไรส่งเข้าเมล์ให้ด้วย แล้วอันไหนเห็นสมควรตัดสินใจได้ก็ฝากเซ็นปั๊มอนุมัติไปก่อนเลย กูมั่นใจว่ามึงไม่ทำบริษัทเจ๊งแน่นอน”

“ถ้าพ่อถามหาเหรอ ...ไม่ถามหรอกมั้ง กู 26 แล้วนะคุณโต้ง”

“เออ ๆ แค่นี้ก่อนนะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าจ้างเลขาถูกคนแล้ว ตามจิกงานอย่างกับพ่อไก่ตัวโต ๆ”

“ใช่ไง ถ้าไม่ใช่เพื่อนมึง มึงจะกล้าจิกกูเหรอ ไอ้ไก่โต้งเอ๊ย”

ผมสะลึมสะลือ ลืมตาตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงเหมือนโชกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน แต่จับใจความไม่ได้เพราะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน รู้สึกตัวอีกที พอลืมตากว้าง ๆ อีกฝ่ายก็ส่งแก้วน้ำมาให้ดื่มเป็นการปลุกให้ตื่นไปในตัว

“ขอโทษที ผมคุยโทรศัพท์เสียงดังไปหน่อย” เขาว่า ยิ้มเห็นฟัน

“ไม่หรอก ผมตื่นเวลานี้ประจำอยู่แล้วนะ ผมน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องนอนเกิน 7 ชม.เสมอ ๆ ร่างกายมันฮีลตัวเองน่ะ” ผมว่า บอกไปตามตรงเลยว่าตัวเองใช้งานร่างกายหนักในหลาย ๆ ความหมายยังไงบ้าง โชพยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนเขาจะเปิดสมุดโน้ตแล้วมานั่งข้าง ๆ ผมอีกครั้ง

“งั้นผมขอสัมภาษณ์คุณต่อเลยได้ไหมครับ?” เขาว่า ทำตาปริบ ๆ

ผมอยากกุมขมับตัวเองแล้วร้องโว้ยยยย ออกมาดัง ๆ ในสายตาของผม โชเหมือนเด็กกำลังเห่อของเล่นชิ้นใหม่จนบางครั้งมองข้ามอะไรหลาย ๆ อย่างไป เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มันอาจจะยังใหม่สำหรับเขา แต่ผมว่าเราอาจจะต้องมานั่งลิมิตกันใหม่แล้วล่ะ ว่าเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับคนสองคนในหลาย ๆ บริบทดี

“1 คำถาม ต่อ 1 คำถาม” ผมว่า จ้องตาอีกฝ่าย

“คุณว่ายังไงนะ?” เขาทำหน้างง

“คุณถามผม 1 คำถาม ผมตอบ และผมจะถามคุณกลับไป 1 คำถาม และคุณต้องตอบคำถามของผม ตกลงไหม ? ผมไม่คิดเงิน แต่ผมเองก็ไม่ชอบที่โดนถามฝ่ายเดียวเหมือนกัน”

ผมว่า ส่วนหนึ่งเพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นนักเขียนนิยายสักเรื่องมันต้องทำอะไรบ้าง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ชอบที่โดนถามคนเดียวเหมือนกันนั่นแหละ

“ดีล”

“ดีล”

“แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันก่อน โอเค คุณนั่งเตรียมคำถามที่คุณอยากจะถามผมไว้ แล้วเดี๋ยวผมจะหาคำถามมาถามคุณบ้าง” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนผมจะลุกไปเปิดเพลง Chivalry Is Dead พร้อมคว้าผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ ผมเดินมาเช็ดตัวที่หน้ากระจก เห็นโชกำลังพิมพ์อะไรก๊อกแก๊ก ๆ อยู่ตามประสาเขาไป ผมเลือกสวมเสื้อแขนสั้นให้สะดวกสำหรับการที่พี่เจ้าหน้าที่จะสามารถเจาะเลือดได้โดยง่าย พร้อมกางเกงยีนส์หัวเข่าขาดสีตุ่น ๆ อีกตัว รองเท้าผ้าใบสีเทา เสร็จสรรพผมก็พร้อมแล้ว สำหรับการไปรับ PrEP ประจำรอบนี้

“ไปกันคุณ” ผมว่า โชทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักพักก่อนจะถามผมง่าย ๆ ว่า

“คุณขับรถเป็นใช่ไหม?”

“ก็เป็นนะ”

“งั้นมาเล่นพนันกับผมไหม?”

“...”

“ทายหัวก้อยกัน ถ้าใครทายผิดคนนั้นต้องเป็นคนขับรถสำหรับขาไป โอเคไหม?”

...และแน่นอน คนที่ไม่เคยมีโชคแบบผมน่ะ ยังไงก็แพ้ทางเขาเห็น ๆ

เจ้านากเผือกนี่ นับวันจะร้ายกาจกับผมขึ้นทุกที ๆ





ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ผมพยักหน้ายอมรับคำถามของเขา อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งเป็นตัวนากเผือกได้ขนมก่อนจะถามต่ออย่างร่าเริง

“แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่คุณถึงรู้สึกว่าตัวเองยังต้องกิน PrEP ทั้ง ๆ ที่ก็ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง รวมไปถึงไม่เบื่อเหรอที่ต้องกินยาทุกวันเลย” เขาถามตาใส ผมเรียบเรียงคำตอบในหัวก่อนจะตอบกลับไป

“โอเค เราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน ก่อนอื่นคือผมไม่ใช่คนทำอะไรวู่วาม ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นแอคเค่อผมต้องศึกษาความปลอดภัยทั้งหมดอยู่แล้ว และผมนับว่าตัวเองเป็น ‘ผู้ที่มีความเสี่ยง’ คนหนึ่งเพราะมีเพศสัมพันธ์บ่อยกว่าคนปกติทั่วไป แต่ผมเองก็ต้องการรักษาสถานภาพทางอนาคตของตัวเอง คือรักสนุกได้แต่ไม่ต้องการของแถม

 การกินยาสำหรับผมแล้วนับว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง ทั้งต่อตัวเอง ทั้งต่อคนรอบข้าง ทั้งกับคู่นอนของตนเอง ทั้งต่อสังคม ผมคิดแบบนั้นเลยไม่เบื่อทุกครั้งที่จะต้องทานยาทุกวัน เพราะมันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ หากเราเลือกที่จะอยู่ในความเสี่ยงดังกล่าว PrEP จะเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการป้องกันความปลอดภัย คือนอกจากถุงยางแล้วเรายังมั่นใจได้ว่าต่อให้เกิดแอกซิเด้นท์เราจะยังมีเกราะป้องกันอีกชิ้นหนึ่ง”

ผมว่ายาว เว้นวรรคให้เขาจดเนื้อหา ก่อนจะแถมให้ด้วยความใจดี

“อย่างถุงยางนะ มันมีดีเทลเล็ก ๆ ที่คนอื่นมองข้ามไป เช่นเป็นต้นว่า ถุงยางอนามัยที่แจกฟรีน่ะ จุดประสงค์หลักคือแจกเพื่อ ‘กันท้อง’ ไม่ใช่ ‘กันโรค’ ดังนั้นแล้วเนื้อยางมันจะหนากว่าปกติ ทีนี้พอเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋ากางเกงก็มีโอกาสจะโดนทับจนรั่ว ขาด ซึมได้ ดังนั้นถ้าจะให้ผมแนะนำ ก็ควรจะซื้อตอนจะใช้งานจะดีกว่า”

“อ่า แต่ว่ามันก็ออกจะ....” เขาว่า เว้นวรรคให้ผมพูดต่อ

“ใช่ มันจะไม่ทันการณ์น่ะสิ บางทีแข็งโด่แล้วจะให้วิ่งลงไปซื้อก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นแล้วผมว่าควรซื้อแบบเป็นกล่องเก็บไว้มากกว่ายัดใส่กระเป๋าสตางค์ น่าจะเพิ่มโอกาสให้ถุงยางยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในสถานการณ์นั้น ๆ ” ผมว่าจนจบ เขาพยักหน้าเห็นด้วย และรอให้ผมถามกลับไป

“คุณ...คิดจะเล่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องยา PrEP ก็แบบ เอาจริง ๆ ผมยังไม่เห็นนิยายที่พูดเรื่องทำนองนี้เท่าไหร่ ผมกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ว่าจะเล่ายังไงให้คนอ่านไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดสาระมากเกินไป” ผมว่า นิ้วเคาะพวงมาลัยไปด้วย

“จริง ๆ ผมก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ คือคนอ่านนิยายวายนะ ต้องบอกว่ากลุ่มลูกค้าฐานหลักของเราคือผู้หญิง ถูกต้องไหม เราจะอธิบายยังไงให้พวกเขาเห็นความสำคัญของการใช้ยา PrEP สำหรับคนที่เป็นผู้ชายได้โดยไม่น่าเบื่อ ไม่รู้สึกเหมือนกำลังโดนยัดเยียดน่ะเหรอ....อืม ก็แบบนี้ไง” เขาเว้นวรรคพร้อมดีดนิ้ว

“แบบไหน?”

“แบบคุณกับผมไง” โชพูดต่อ พร้อมชี้ไปที่ตัวเองชี้มาทางผม

“ก็เนี่ย ที่เรานั่งคุยกัน ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่สบาย ๆ มากเลยนะ เราก็อาจจะเซตฉากประมาณว่าตัวละครในเรื่องไปหาหมอพร้อมกัน หรือไปดู เรื่องการรับ PrEP ไปเลยจริง ๆ จัง ๆ ไง ในเมื่อมันเป็นสถานที่ ๆ มีอยู่จริง เราก็เล่าไปเลยสิ ว่าเรากำลังไปที่ไหน อะไรยังไง และระหว่างขับรถมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบไหนยังไงบ้าง เอาแบบไม่ต้องยัดลงไปตู้มเดียว ค่อย ๆ เล่าไปทีละฉาก ๆ ให้เขาเข้าใจว่า PrEP มันเป็นยาแบบไหน มันดีไม่ดียังไง คุณว่าแบบนี้ คนอ่านจะเบื่อไหม?” โชกล่าวสรุปพร้อมหันมาขอคำแนะนำจากผม

“ถ้ามีฉากตัดสลับกับเรื่องยาไปด้วย ผมว่าเขาก็น่าจะไม่เบื่อหรอกมั้ง ...แต่แบบนั้นมันเหมือนผมกลายเป็นตัวเอกของเรื่องเลยสิ?”

“ก็ใช่ไง” เขาตอบกลับ ผมขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ

“งั้นก็อาจจะเป็นผมในโลกคู่ขนาน ที่เกิดมาเบ้าหน้าดี เป็นเดือนมหา’ลัย สูง หุ่นดี มีซิกแพค รวย มีรถขับ มีเมียเป็นผู้ชายแมน ๆ ที่ประกาศศักดาว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่พอโดนผมเสียบครั้งเดียวก็กลายเป็นคนขี้แง ติดแฟนตลอดเวลา ประมาณนั้นใช่ป่ะ?”

ผมหยอก โชนั่งหัวเราะคิกคักในความร้ายของผมก่อนจะตอบกลับมา

“คุณนี่กัดเก่งจริง ๆ เลยนะ แบบนี้ต่อไปจะมีนิยายทำนองแบบที่คุณว่าออกมาสู่ท้องตลาดไหมเนี่ย”

“ผมไม่ได้กัดนะ” ผมย้ำ ตามองถนนไปด้วย “คือผมหมายความตามนั้น จริง ๆ เพราะถ้าคุณจะเขียนว่าใครสักคนเป็นแอคเค่อ นอกจากเรื่องมีเมียเป็นผู้ชายแท้ ๆ แล้วอย่างอื่นถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของบุคคลที่สามารถเป็นแอคเค่อได้ไง” ผมว่า พอเห็นเขาทำหน้างงเลยขยายความ

“เอาละ ก่อนอื่นคือคุณจะเป็นแอคเค่อได้ คุณต้องมีห้องที่ใช้สำหรับการประกอบภารกิจนึกออกไหม? แล้วคุณคิดว่าคนที่ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้มีรูมเมทหรือแชร์ห้องกับใคร ในขณะที่ค่าหอพักแถวย่านมหาวิทยาลัยแพงขนาดนี้ต้องเป็นคนฐานะยังไง อันนี้ข้อหนึ่ง ต่อมาเรื่องเบ้าหน้า หุ่น ฐานันดร อันนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการเลือกว่าจะนอนหรือไม่นอนกับใคร พวกนี้มันมีผลต่อการตัดสินใจ ถูกไหม อันนี้ข้อสอง

 ส่วนเรื่องรถ เป็นออฟชั่นที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าจะเป็นแอคเค่อที่ฮอตมาก ๆ ก็สมควรมีรถขับ เพราะเวลานัดกันส่วนใหญ่จะเป็นยามค่ำคืน ถ้าให้ระบุช่วงเวลาคือหลังตีหนึ่งตีสอง ออกจากผับเสร็จคนจะเริ่มมีอารมณ์อยากทั้งเป็นคนกระทำและโดนกระทำ ไอ้ครั้นจะนั่งแท็กซี่เพื่อไปซั่มอีกฝ่ายก็ดูจะเป็นการลงทุนมากเกินไป อันนี้ข้อสาม และที่สำคัญสุด แอคเค่อนะ ต้องมีเวลาในการมี SEX แล้วคนที่จะมีเวลาได้มันจะวน ๆ กับพวกที่มีคุณสมบัติข้อบน ๆ  คือสำคัญสุดต้องรวย รวยมากพอจะมีเวลาว่างไปทำเรื่องแบบนี้

สรุปแล้ว แอคเค่อที่ หล่อ รวย เบ้าหน้าดี มีรถขับ เป็นคนมีฐานะ เป็นหนึ่งในไทป์ที่มีอยู่จริงและสามารถเป็นได้จริง ....คอนเฟิร์ม นี่ผมยังไม่นับนะว่าการเป็นแอคเค่อแปลว่าคุณต้องใช้ถุงยางอนามัยเยอะมากกว่าชาวบ้าน และไหนจะเจลหล่อลื่นที่ราคาแพงมาก ๆ อีก และถ้าเป็นแอคเค่อที่ขนาดน้องชายใหญ่แบบผม ก็จะเสียเงินเพิ่มมากขึ้นเพราะขนาดไซซ์ถุงยาง 56 ขายแพงกว่าชาวบ้าน !!! เนี่ย เห็นไหม เป็นแอคเค่อไม่ใช่แค่โชว์ของลับของสงวนแล้วจะเป็นได้เลยนะ มันมีองค์ประกอบอีกเยอะ”

ผมกล่าวร่ายยาวพร้อมสรุป โชกะพริบตาปริบ ๆ หันมามองหน้าผม

“นี่แม้กระทั่งการนัดเยยังมีต้องมีเรื่องความสัมพันธ์ในมิติทางชนชั้นของคนในสังคมมาเป็นตัวกำหนดด้วยเหรอเนี่ย?” เขาว่าเสียงอ่อย ๆ ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมชอบในตัวโชคือเขาไม่โง่ และเขาเข้าใจว่าเรื่องที่ผมพูดมันสัมพันธ์กันในรูปแบบใด ผมเดาว่าพื้นเพเขาน่าจะคลุกคลีกับการเรียนรู้มิติสัมพันธ์ทางสังคมมาบ้าง ไม่สิ เขาเป็นนักเขียน เรื่องพวกนี้ก็สมควรจะรู้บ้างแหละ ถูกต้องแล้ว

“ถูกต้อง การจะเป็นคนที่ดูดีจนเป็นที่น่าหมายปองได้นะ มันไม่ใช่แค่   เกิดมาแล้วจะเป๊ะเลยนะเว้ย มันต้องผ่านกรรมวิธีการและกระบวนการในการปรุงแต่งมากมาย เอาตั้งแต่เริ่มต้นก็มีพ่อแม่ที่ดีเป็นต้นทุนความสวยความหล่อก่อน ต่อมาก็มีการบำรุงที่ดีคือพวกสารอาหารที่ได้รับในช่วงที่ร่างกายกำลังพัฒนาการมากที่สุด ต่อมาอีกก็การดูแลตัวเอง เช่น การทาครีมกันแดด การดัดฟัน การไม่ออกแดดบ่อย ๆ  การเปลี่ยนแปลงแก้ไขศัลยกรรมต่าง ๆ

ต่อมาอีกก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ตั้งแต่การกินของที่มีประโยชน์แต่ราคาแพงมาก ไปจนถึงของที่กินแล้วบำรุงสุขภาพ ตลอดไปจนถึงการมีเวลา ในการไปออกกำลังกาย ไปเข้ายิม ไปฟิตหุ่น ทุกอย่างมีต้นทุนและราคาที่ต้องจ่ายมาตั้งแต่ต้น ถามว่าคนชนชั้นล่างมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้เหรอครับ เอาแค่อาหารเราก็เลือกทานไม่ได้แล้วว่าจะทานอะไร ไม่ทานอะไรด้วยปัจจัย    จากเรื่องราคา ถูกต้องไหม? เพราะงั้นแล้ว หล่อ รวย หุ่นดี มีรถขับ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานเลยด้วยซ้ำของการเป็นแอคเค่อที่ฮอต

และที่สำคัญ ความสัมพันธ์ของคนสองคนจะดำเนินไปได้น่ะ มันต้องอาศัยระยะเวลาและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำ ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันถูกไหม แล้วผมถามว่าคนที่ต้องทำงานตลอดเวลา วัน ๆ เอาแต่เรียนแล้วก็วิ่งไปทำงานแล้วก็กลับมาเรียนอีกเนี่ย จะมีโอกาสได้เป็นตัวเอกในนิยายสักเรื่องยังไงอ่ะ?”

ผมอธิบายยาวอีกรอบ ก่อนเราทั้งคู่จะพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน

“คนหน้าตาดีนี่...ไม่ได้เป็นกันได้ง่าย ๆ เลยเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“คนที่มีต้นทุนที่ดีมากกว่าคนอื่นมาตั้งแต่ต้น ก้าวหน้ามากกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางทุนทรัพย์หรือต้นทุนทางด้านกายทรัพย์ คือผมหมายถึงมีรูปเป็นทรัพย์นะ ก็ใคร ๆ ก็ชอบแต่คนหน้าตาดี ๆ นี่เนาะ แล้วพวกเขาก็ไม่ผิดอะไรด้วยที่ชอบแต่คนหน้าตาดี ๆ คนทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ” ผมว่า

“แต่มากกว่าความหน้าตาดีมันก็มีอย่างอื่นนะ” โชตอบกลับ เขาพิมพ์แก๊ก ๆ ก่อนจะหยุดพิมพ์แล้วพูดต่อ

“คุณอาจจะคิดว่าคนหน้าตาดีมีต้นทุนที่ดีกว่า ซึ่งเอาตามตรง นั่นก็เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดมาจากการฝังรากของวัฒนธรรมในการเชิดชูสิ่งสวย ๆ งาม ๆ อะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่เจ๋งไม่แพ้คนหน้าตาดีกลุ่มแรก อาจจะยาก...ไม่สิ ก็ยากเลยแหละในการที่จะขึ้นมาเสมอ คนหน้าตาดีได้โดยที่ตัวคุณอาจจะไม่ได้มีหน้าตาที่เทียบเท่า แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณทำได้ มันก็ตีแต้มโต้คืนได้นะ และไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ คุณเป็นคนที่มีคุณสมบัติแบบนั้นนะครับทีเร็กซ์” โชพูดก่อนเขาจะหันมามองหน้าผม

“ผมอ่ะนะมีคุณสมบัติอะไรแบบนั้น?” ผมว่า หัวเราะแห้ง ๆ ติดตลก เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนประเภทแบบที่โชว่า

“คุณ ถ่อมตัวได้ แต่อย่ามองข้ามตัวเอง ผมจะบอกอะไรให้อย่าง สปอร์ตไลท์น่ะมันเลือกคนส่อง ในขณะที่บางคนพยายามแทบตายเพื่อให้ตัวเองได้ไปอยู่ท่ามกลางของแสงสว่าง แต่มันจะมีคนบางแบบที่มีสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และคุณเป็นคนจำพวกที่ผมว่า ...คุณเป็นที่รักของแสงสว่างนะ รู้ตัวไหม”

เขาว่า แต่ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด

“คุณเป็นคนพิเศษ พิเศษในตัวคุณเองโดยไม่ต้องปรุงแต่ง คุณดึงดูดคนอื่นได้ด้วยทั้งหมดภายในตัวคุณ เวลามองคุณนะ ผมจะไม่เกิดคำถามอะไรเลยกับสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ คุณทำให้ผมมองข้ามไปเลยว่า คุณเป็นคนหน้าตาแบบไหน แต่ผมจะเกิดคำถามกับตัวเองตลอดเวลามากกว่า คุณโตมาแบบไหน ผ่านประสบการณ์ชีวิตแบบใดมา ทำไมคุณถึงได้หลุดออกมาจากกรอบเดิม ๆ ได้ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณเองก็พูดเสมอว่ามันยากที่จะหลุดพ้นจากกรอบตรงนั้นออกมา

คุณไม่ได้มีแนวความคิดแบบคนชนชั้นล่างหรือชนชั้นกลาง คุณไปไกลมากถึงขนาดมองเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะ มันส่งผลกระทบยังไงต่อคนรอบข้างและสังคม มันเป็นแนวคิดของกลุ่มคนที่ ‘มีมากพอแล้วจึงสามารถแบ่งปันไปให้คนอื่นได้’ต่างหาก รู้ไหมว่าเวลาคุยกับคุณ ผมต้องมานั่งลุ้นตลอดเลยว่าคุณกำลังจะพูดอะไรออกมาอีก ทัศนคติที่เป็นบวกแบบเป็นกลางโดยละทิ้งอคติทั้งด้านบวกและด้านลบเป็นสิ่งที่ผมโคตรชอบในตัวคุณเอง”

“.........”

ผมเงียบกริบ ขับรถไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาพิมพ์ก๊อกแก๊กอีกนิดหน่อยถึงค่อยหันมายิ้มหวานให้กับผมแล้วพูดต่อ

“ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ ตลอดเวลาทีเราอยู่ด้วยกัน คุณรู้ไหมว่าผมละสายตาไปจากคุณไม่ได้เลย....”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 21:09:11 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
«ตอบ #39 เมื่อ26-08-2018 20:54:37 »



time talk

ได้เวลาทอล์กกะพ่อแมวแย้ววววว

วันนี้มีเรื่องมาคุยด้วยหลายเรื่องเลยครับยาวหน่อยนะ กิ๊ว ๆ จะบอกว่าตอนนี้ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมยาวเป็นพิเศษ มันมีหลายพาร์ทมากกกก อย่างที่โชกล่าวบอกกับทุกคนนั้นแหละครับ ถ้าอัดตู้มลงไปทีเดียวเลยมันจะเปลี่ยนสถานะจากนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกสนุกแล้วได้ของแถมเป็นสาระ กลายเป็นนิยายสอนสุขศึกษาไป ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์ที่เราตั้งใจ อยากให้สนุกแล้วได้สาระเป็นของแถมมากกว่า ก๊าก แต่ทั้งที่เนื้อเรื่องมันก็กำลังดำเนินต่อไปในรูปแบบของมันอยู่

ปกตินิยายตอนหนึ่งพ่อแมวจะพิมพ์ประมาณ  8 หน้ากระดาษ cordia new 14 พอยท์ แต่ตอนนี้ตัดแบ่งเป็นสามพาร์ท พาร์ทละ 10 หน้ากระดาษ เพื่ออธิบายรายละเอียดทั้งเรื่องยาและเรื่องราวของคนสองคนให้สมูธมากยิ่งขึ้น และกำลังใกล้ ๆ จะเข้าสู่ช่วงปลายของครึ่งแรกแล้วนะครับ ตอนแรกที่วางสเกลเรื่องนี้ไว้ เราวางไว้แค่ประมาณ 30 ตอน ทั้งเหตุผลเรื่องโครงสร้างหลักของนิยายและเหตุผลทางการค้า

แต่ไป ๆ มา ๆ ใจอยากทำให้มันเป็น The best ของชีวิตอีกเรื่อง ตีทาบไปมาก็นับสิริรวมตอนพิเศษที่แต่งไว้คร่าว ๆ แล้วประมาณ 5 ตอนแล้ว เบ็ดเสร็จแล้วตกประมาณ 40 ตอน เกือบ ๆ 700 ร้อยหน้ากระดาษ ;_: (ข้อยก็ตกใจเหมือนกันเด้อตอนเอาไปทำเป็นไฟล์ A5 แล้วช็อกเวอร์) ก็ตีไปเลยว่าเก็บตังค์กันเกิน 700 บาทแน่นอนฮะสำหรับนิยายเรื่องนี้แบบยังไม่รวมค่าส่ง UU (แต่ปกสวยมาก ๆ นะ ถ้าเธอได้เห็นปกเธอจะกำเดาไหลแบบที่เรากรี๊ดกับตัวเองมาหลายวันแล้ว เรากล้าพูดด้วยเกียรติของพ่อแมวเลย นี้เป็นปกนิยายที่โคตรๆ "แอคเค่อ" เลยเธอ !!!)

และนั้นคือสาเหตุที่เราถามไปในทวิตเตอร์ว่าเราควรทำเล่มเดียวหรือสองเล่มดี ? เพราะเรากลัวว่าถ้าเล่มเดียวมันจะหนาไปไหม (ใครยังไม่มีทวิตเตอร์ตามไปฟอลฯ ไปเม้าท์มอยท์กับเราได้นะ ชื่อทวิตเตอร์ "พ่อแมวพุงโต" @chunkydadcat แฟนเพจชื่อ "พ่อแมวพุงโต" เช่นกันครับ ส่วนแท็กนิยายเรื่องนี้ ใช้แท็ก #แอคเค่อของน้องแมว นะครับ ที่ไม่ใช้แท็ก #แอคเค่อ สาเหตุเพราะมันไปซ้ำกับเจ้าที่ที่เข้าใช้กันอยู่แล้วนะครับ แหะ ๆ ดังนั้นแล้วขอความรบกวนหวีดน้อง ๆ รุนแรงได้เลยครับ กิกิ

อีกประกาศอีกหนึ่งประกาศคือ เราจะลงนิยายทุก ๆ 4 วันนะครับ จากปกติที่จะลงวีคละ 1 ตอน จุดพลุ !!! นั้นหมายความว่านิยายเรื่องนี้ก็จะจบลงเร็วกว่ากำหนดการณ์เดิม ดังนั้นแล้วน้องแมวมีเรื่องจะรบกวนเพื่อน ๆ ตรงนี้นะครับ จากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของเด็กดี ทำให้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นหน้าเว็บไซต์แค่วีคละ 1 ครั้งเฉพาะตอนอัพใหม่เท่านั้น ดังนั้นแล้วมีเรื่องจะขอรบกวนเพื่อน ๆ ดังนี้ครับ

อันนี้ถ้าใครสะดวก ชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน ฝากหวีดฝากเชียร์น้อง ๆ แล้วติด #แอคเค่อของน้องแมว , #รีวิวนิยายวาย , #แนะนำนิยายวาย ในช่องทางโปรโมทอื่น ๆ ทางโซเชียลให้น้อง ๆ และพ่อแมวหน่อยนะครับ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่สะดวกไม่เป็นไรน๊า คือแมวเข้าใจทุก ๆ บริบทของทุกคนจริง ๆ ครับ มีนักอ่านบางท่านหลังไมค์ว่าเขาไม่สามารถหวีดออกสื่อสาธารณะได้ ได้แค่แนะนำเพื่อน ๆ พี่ๆ  ในชีวิตจริงไป จะด้วยข้อกำหนดกฎเกณฑ์อะไรต่าง ๆ อยากบอกว่าพ่อแมวเข้าใจมาก ๆ นะครับ แค่มาชอบ มาเชียร์กันผ่านคอมเม้นท์ พ่อแมวจะบอกว่าแค่นั้นก็ชื่นใจหลาย ๆ แล้วอ้าย

คือพ่อแมวอ่ะ ไม่อยากทำแบบคนอื่น แบบอัพแค่ 30 % 60 % แล้วค่อยมา 100 % หรืออัพหลาย ๆ ตอนแบบนั้น เพราะมันจะเด้งไปหน้าเว็บจริง แต่มันดูขี้โกงอ่ะ พ่อแมวไม่อยากโกงคนอ่านของพ่อแมว พ่อแมวอยากให้เขาเปิดมาเจองานที่พ่อแมวตั้งใจมอบให้เขาได้อ่านอย่างครบถ้วนทั้งบท โดยไม่จำเป็นต้องรอว่าเมื่อไหร่กันนะเนื้อหาในส่วนที่เหลือถึงจะมา เราต้องให้ใจคนอ่านสิ ถ้าเราอยากได้ใจคนอ่านกลับคืนมา (แต่พ่อแมวก็ไม่ได้เบลมนะครับว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ทริคใครทริคมันครับ แค่เราไม่ถนัดทริคนั้นเท่านั้นเอง)

สุดท้ายแล้ว ขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง ๆ ครับ ที่รัก ที่ชอบน้อง ๆ ไม่ว่าพ่อแมวจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตามแค่ ขอให้รู้ไว้นะครับ คุณคือส่วนหนึ่งของกำลังใจ ที่ทำให้ผมยิ้มได้ในทุก ๆ วันที่ได้เปิดอ่านและเล่าถึงชีวิตน้อง ๆ ของทุกคนให้ฟัง ดีใจมากจริง ๆ ที่นิยายเรื่องนี้ทำให้ใคร ๆ หลาย ๆ คนออกปากได้ว่าแตกต่างจากนิยายเรื่องอื่น

เพราะนั้นคือทั้งหมดที่เราอยากทำ อยากมอบให้แก่สังคม อยากมอบให้แก่ทุกคน

อยากมอบมันให้กับ "เพื่อน" ของเรา

รักผู้อ่านเสมอนะครับ


พ่อแมวพุงโต

26/08/2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
« ตอบ #39 เมื่อ: 26-08-2018 20:54:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
«ตอบ #40 เมื่อ26-08-2018 21:28:44 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
«ตอบ #41 เมื่อ26-08-2018 22:31:08 »

อ่านแล้วเซอร์ไพรส์กับเนือหามาก ไม่เคยรู้แอคเค่อคืออะไร มีอะไรแบบนี้อยู่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ได้ความรู้มากๆ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
«ตอบ #42 เมื่อ27-08-2018 12:06:20 »

ชอบ
บทสนทนาและเหตุการณ์มีที่มาที่ไป

เรียลจนบางทีก็ปวดตับไต ฮ่า ๆ ๆ ๆ
คุณโกงความตายไม่ได้ คุณโกงโรคภัยไข้เจ็บไม่ได้ ทำได้คือป้องกันตัวเอง รับผิดชอบกับตัวเองและสังคม
นับถือใจทีเร็กซ์ตรงนี้มาก

เคยเจอคนที่เหมือนทีเร็กซ์นะ คนที่ดึงดูดความสนใจได้เสมอ มีสเน่ห์โดยที่ไม่ต้องหน้าตาดีมากมาย

และสงสัยว่า อะไรทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้ อะไรทำให้คิดแบบนี้ เขาผ่านอะไรมา

เกาพุงพ่อแมวให้กำลังใจค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
«ตอบ #43 เมื่อ31-08-2018 16:45:19 »



Ep.9 P&P [Part2]




ผมหันหน้าหนีสายตาของเขาไปอีกทางก่อนจะนิ่งเงียบ สายตามองไปที่กระจกข้างของรถยนต์ เราทั้งคู่เงียบลงไปดื้อ ๆ หลังจบประโยคนั้นของเขา

“คุณ”

“ว่า?”

“เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดรึเปล่า?” เขาถาม โน้มตัวมาข้าง ๆ

“ได้ยินชัดเจน” ผมตอบกลับพร้อมหันหน้าไปมองเจ้านากเผือกที่กำลังทำหน้าระคนปนสงสัย

“ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่แบบ ผมชมคุณไง แถมชมแบบมันเหมือนฟังแล้วมีนัยยะด้วย เลยสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่มีรีแอคชั่นอะไรเลยกับคำพูดที่ผมพูดออกไป” เขาว่า  คิ้วบาง ๆ ขมวดเป็นเส้นตรง เหม่อมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย

“ทำไมอ่ะ คุณอยากให้ผมเขินที่คุณมองผมตลอดเวลาแบบนั้นเหรอ?” ผมถามกลับ หัวเราะเล็ก ๆ ในลำคอ

“ก็..จริง ๆ ก็ควรจะเขินไหม?” พอเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ผมก็ถอนเท้า เบา ๆ แล้วเหยียบคันเร่งขึ้นก่อนจะเริ่มชะลอเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ขอบคุณนะครับที่ชมผม เอาจริง ๆ ก็ดีใจนะที่มีคนชม แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร คือผมมองว่าอาจจะเพราะคุณไม่เคยเจอคนประมาณผมรึเปล่า เลยตื่นตาตื่นใจอะไรแบบนี้ 

ในขณะที่ตัวผมเองน่ะ ผมไม่ได้เบลมตัวเองหรอกนะ แต่ผมแบบ ถามว่ามั่นใจในตัวเองไหม?  ใช่ ผมก็มั่นใจในระดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความคิด การมองโลกใบนี้ในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป เพราะทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของผม

แต่แค่ความคิดมันไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ใครสักคนหนึ่งมาชอบเรานะ มันมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมากที่ผมเรียนรู้มาจากการใช้ชีวิต แค่ความคิดดี ๆ น่ะ มันไม่พอจริง ๆ นะคุณ .....”

ผมว่า เว้นวรรคไว้แบบนั้นให้เราทั้งคู่ได้จมลงไปในความคิดของใครของมัน ก่อนจะกระทุ้งเขาต่อ

“ถึงเทิร์นคุณแล้ว ถามต่อได้เลยนะ”

“อ่า ๆ ... โอเคครับ งั้นก็ PrEP กับ PEP ต่างกันยังไง” เขาว่า ผมกรอกตา ไปมาก่อนจะตอบ

“เป็นคำถามที่ดี ถ้าจะตอบแบบกวน ๆ ก็ขอตอบว่าคุณสมบัติของมันใกล้เคียงกันคือจัดอยู่ในหมวด ‘ยาต้านเชื้อ HIV’ แค่กินก่อนการมีเพศสัมพันธ์หรือกินหลังมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงมา ต่างกันแค่นั้นเอง เอางี้ คุณสังเกตง่าย ๆ  คำว่า PrEP นะ ตัวพีกับตัวอาร์สองตัวแรก ย่อมาจาก Pre ที่เป็นรากศัพท์แปลว่า ‘ก่อน’ ก็จำง่าย ๆ ว่าตัวนี้ ต้องกินก่อนการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7-10 วัน ส่วน PEP ไม่มีตัวพีที่เป็นรากศัพท์แปลว่าก่อนก็ตีความง่าย ๆ ว่ากินทีหลัง หลังจากไปมี ‘ความเสี่ยง’ มา ก็ไปกิน PEP ซะ”

เพราะเห็นเขาจดทุกคำพูดของผมอย่างตั้งใจ ผมเลยอยากช่วยเหลืออะไรเขาสักหน่อยเพื่อทำให้งานของเขาง่ายเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ผมเรียบเรียงข้อมูลในหัวเท่าที่เคยศึกษามาก่อนจะพยายามคัดกรองข้อมูลที่ตัวเองเห็นว่าน่าสนใจสำหรับการให้เขานำไปเขียนประกอบนิยายแล้วค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนครูกำลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ตัวน้อย ๆ ฟัง

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่สมัย PrEP ยังไม่เกิด ....นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเชื้อ HIV ในร่างกายของคนเราที่เกิดขึ้นหลังติดเชื้อจากสัมผัสที่ไม่ปลอดภัยนะ ปกติแล้วเวลาคุกคามหรือพัฒนาไปเป็นเอดส์นั้นมันใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการแพร่กระจายไปทั่วทุกอณูของร่างกาย มันจะไม่ใช่ว่าคุณได้รับเชื้อมาปุ๊บ คุณจะเป็นเอดส์ปั๊บ ณ ตอนนั้นทันที ทุกอย่างมีกระบวนการในการทำงานของมัน แม้กระทั่งเชื้อโรคเองก็เช่นกัน

นั่นหมายความว่า หากได้รับยาต้านหรือที่เรารู้จักชื่อกันในนามว่า PEP เข้าสู่ร่างกายในเวลาที่เร็วมากพอ ร่างกายก็มีความสามารถมากพอที่จะกำจัด เชื้อร้ายตัวนั้นออกไปได้จนหมดในเวลาไม่นาน แต่อนิจจา สิ่งที่ไม่หวนกลับ คือการเดินหน้าของกาลเวลา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อหลายท่านรู้สึกตัวช้าเกินไปที่จะมารับยาต้านหรือ PEP ตั้งแต่ตอนที่เชื้อยังอยู่ในสภาวะที่สามารถกำจัดออกไปได้ หรือชี้ชัดเป็นเวลาเลยก็คือไม่เกิน 48 ชม. หลังมีความเสี่ยง หรือถ้าอุ่นใจสุดก็ไม่ควรเกิน 24 ชม.หลังจากมีความเสี่ยงทุกชนิด แต่ก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน ความเสี่ยงอันดับหนึ่งของการติดเชื้อมันยังเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน

นักวิทยาศาสตร์ก็เลยเกิดพหุปัญญา นิพพานได้ว่า ‘เฮ้ย ถ้า PEP มันกินช้าเกินไป ทำไมเราไม่ทำยาให้มันกินล่วงหน้าสำหรับการป้องกันเลยวะ?’ ศึกษาไป ศึกษามา ก็เกิดการค้นคว้าทดลองกำเนิดออกมาเป็น PrEP ที่เป็นยาต้านสำหรับการรับประทานล่วงหน้า โดย PrEP มีเงื่อนไขไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไรเลย แค่ต้องทานก่อนการเกิดความเสี่ยง 7-10 วัน จึงจะมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อ HIV ได้ประมาณ 92 % ....”

ผมหยุดเว้นวรรคหลังลากยาว มองไปที่โชก่อนจะถามเขา

“ตามทันนะ?”

“ทัน ๆ จัดมาเลยครับ ขอยาว ๆ ไม่ต้องสนใจผม พูดต่อได้เรื่อย ๆ เลยครับ” โชรีบพูดจนลิ้นพัน  สายตาจดจอกับแป้นพิมพ์และหน้าจอ พอผมเห็นเจ้าตัวนากเผือกตั้งใจมากขนาดนี้เลยเสริมข้อมูลต่อไปให้เขาต่อ

“ส่วนสำคัญมาก ๆ ที่คุณต้องตระหนักและย้ำกับคนทุกคนเลย คือ ‘ตัวเลข 92 % แปลว่า 92 % เท่านั้น’ การมีเปอร์เซ็นการป้องกันที่สูงมากขนาดนั้น ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยจนคนที่ทาน PrEP สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องป้องกัน เพราะอย่าลืมว่านอกจาก HIV แล้ว ก็ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมายที่น่ากลัวไม่แพ้ HIV อาทิ ซิฟิลิส หนองใน เริม โรคพวกนี้ แม้รักษาแล้วแต่ก็ไม่หายขาดนะครับ แค่อาจจะไม่แสดงอาการเท่านั้นเอง แล้วก็นะ

PrEP น่ะ เขามีหน้าที่เข้าไปรอกำจัดเชื้อ HIV ในร่างกายของเราตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เราไปมีความเสี่ยงแล้วได้รับเชื้อมา ก็ว่าง่าย ๆ เขาทำหน้าที่เป็นคนไปคอยตามจุดต่าง ๆ ที่ร่างกายเราจะเชื่อมต่อกับอีกฝ่าย เช่นปลายองคชาติ หรือ ทวารหนัก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องทาน PrEP ทุกวันสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ เพราะวัน ๆ คนเราขับถ่ายของเสียออกมาหลายทาง การปัสสาวะเองก็เป็นการขับถ่าย PrEP ออกจากร่างกายเช่นกัน เราจึงต้องทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีเพศสัมพันธ์ตอนไหน

ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ เอาแบบสไตล์ผมเลยนะ ให้เราคิดว่าเรากำลังเป็นอัศวินเกราะเหล็กที่กำลังต่อสู้กับศัตรูที่หมายปองเอาชีวิตเรา แล้วเราก็เลยใส่เกราะอ่อนชิ้นเล็ก ๆ ไว้ชั้นในเพื่อป้องกันเกราะหนักหรือก็คือถุงยางอนามัยแตกก็พอ อารมณ์ประมาณเราเซฟชีวิตเราไว้กันตาย เป็นเกราะอีกชั้นหนึ่งในการเล่นเกม

เสริมไปอีกนิดเลยก็ได้ว่ารีเสิร์จงานวิจัยล่าสุดจนกระทั่งถึงปี 2017 ปีนี้ ทั่วโลกที่เขาร่วมการทดสอบ PrEP จากผู้เข้าร่วมโครงการหลายพันคน มีผู้เข้าร่วมโครงการทดสอบยา PrEP สองคนที่แม้จะมีการใช้ PrEP แต่ก็เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ผมไมได้ตามต่อจนถึงดีเทลลึก ๆ ว่าเขาทานยาต่อเนื่องไหม ไปมีความเสี่ยงมาเท่าไหร่ หรือมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่ทำให้แม้แต่ทาน PrEP ก็ยังติดเชื้อ HIV ได้ ดังนั้นก็ให้ติงไว้ก่อนก็ได้ครับว่าไม่ใส่ถุงยางอนามัย เท่ากับมีความเสี่ยงแน่ ๆ ไม่มากก็น้อย”

บรรยากาศในรถแปรเปลี่ยนเป็นเสียงบรรยายของผมกับเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดของโช ที่รัวขึ้นราวกับว่าเขากลัวว่าจะตกหล่นแม้เพียงครึ่งคำที่ผมพูดออกไป เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากโชคือความมุ่งมั่นและสมาธิในการทำงานของเขาในทุก ๆ สภาพแวดล้อม เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อห้านาทีที่แล้วเขากำลังใช้สายตาแบบไหนกับผม

และทั้งหมดนั้นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ

สายตาของเขา... สายตาของโชน่ะ เป็นสายตาคู่เดียวกับที่ผมเคยได้รับและเคยได้มอบมันให้กับใครบางคน

ผม...ยังไม่พร้อมให้ใครมารู้สึกอะไรกับผมมากไปกว่าแค่คู่นอนไม่ได้ทั้งนั้น

ผมไม่อยากทำร้ายใครอีกแล้ว

...และผมก็ไม่อยากโดนทำร้ายอีกแล้วเช่นกัน

สัตว์ร้ายในร่างของผมยันกายเอาขาหน้าหมอบกรานไปกับพื้น ถูจมูก ส่ายหน้าพับหูไปมาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกไปกับโช แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เงียบสงบลงเมื่อผมตระหนักได้อยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร และคนข้าง ๆ แตกต่างจากผมมากเพียงใด ถึงได้สามารถสูดลมหายใจสั้น ๆ เข้าปอดได้โดยไม่คิดอะไร และไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายได้แสดงความรู้สึกอะไร

 ไม่ว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดจะมาจากอะไรก็ตามแต่ ผมไม่ควรเปิดช่องว่างให้ทั้งเขาและเราได้เริ่มต้นอะไรบางอย่างทั้งนั้น....

“1 ต่อ 960 และ 1 ต่อ 260”

“หื้ม มันคือตัวเลขอะไร?” โชเงยหน้าขึ้นจากแป้นพิมพ์มามองผมเป็นครั้งแรก หลังเขาพิมพ์รัวตอนที่ผมพูดยาว ๆ ไป เขาดันแว่นตาสำหรับใส่มองหน้าจอแลปท็อปเข้ากับใบหน้าก่อนจะหยุดฟังผมพูด

“อัตราส่วนจากความเสี่ยงของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ถ้างงหรือนึกภาพไม่ออกตามที่ผมพูดไป...เอางี้ คุณเคยเล่นเกมทอยลูกเต๋าไหม?” ผมถาม โชพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้งผมจึงพูดต่อ

“ปกติแล้วลูกเต๋ามีหกหน้า อัตราส่วนจึงเท่ากับ 1 ต่อ 6 แต่ถ้าอัตราส่วนเพิ่มขึ้น ก็นึกภาพง่าย ๆ ว่าลูกเต๋าเพิ่มหน้ามากขึ้นก็ได้ เช่น ในกรณีแบบนี้ เท่ากับว่าคนเป็นรุกกำลังทอยลูกเต๋าที่มีหน้าทั้งหมด 960 หน้า โดยมีหน้าหนึ่งเป็นโบนัสว่าทอยออกหน้านี้แล้วจะต้องติดเชื้อ HIV ”

“อ๋อ เข้าใจแหละ ....แล้วทำไมถึงมีสองตัวเลขครับ?” เขาว่า ผมเบ้ปากนิดหนึ่งก่อนจะตอบ

“ถ้าคุณเป็น Top หรือผมหมายถึงคนที่เป็นฝ่ายรุกอ่ะนะ อัตราความเสี่ยงของการสอดใส่โดยไม่ป้องกัน คุณจะมีความเสี่ยงอยู่ที่ 1 ต่อ 960 แต่ผมย้ำตรงนี้เลยนะ ขอเน้นตรงนี้ซ้ำ ๆ เลยนะคุณ คือหนึ่ง ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสดถึง 960 ครั้งคุณถึงจะติดเชื้อ HIV แต่มันเป็นอัตราสุ่มที่แปลว่าแค่ไม่ป้องกันครั้งเดียวคุณก็มีสิทธิ์ได้รับของแถมถาวรได้

และสอง อันนี้เป็น fun fact ที่ผมอ่านมาตั้งแต่สมัยปี 2559 แล้ว วิทยาศาสตร์และงานวิจัยน่ะเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังนั้นแล้วสถิติที่เคยใช้อ้างอิงได้ อาจจะใช้อ้างอิงไม่ได้แล้วก็เป็นได้เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เราต้องอัปเดตข้อมูลเสมอ ๆ นะครับ”

“ผมเข้าใจครับ งั้นหมายความว่าอัตราส่วนที่คนเป็น bottom หรือ รับ จะมีความเสี่ยงในกรณีที่ไม่ป้องกันหรือพูดง่าย ๆ ว่าสดเนี่ย คือ 1 ในส่วนของลูกเต๋า 260 หน้าใช่ไหมครับ?” โชถาม

“ถูกต้องนะครับ แต่อันนี้ผมลองตามไปอ่านเปเปอร์แล้ว เขาไม่ได้ลงดีเทลลึกถึงขนาดที่จะรู้ว่ามีปัจจัยเรื่องการกำหนดเวลาในการมีเซ็กซ์มาเป็นตัวข้องเกี่ยวด้วยไหมนะครับ ผมเลยบอกไม่ได้ว่าตัวแปรที่มีผลขึ้นลงต่อการวิจัยอันนี้มีอะไรบ้าง ข้อมูลตรงนี้ก็ถือว่าผมแชร์ Fun Fact สนุก ๆ แล้วกันนะครับ และถ้าจะเอาไปเขียนเล่นก็อย่าลืมย้ำด้วยนะครับ ว่ามันเป็นงานวิจัยเก่าไปหนึ่งปีแล้ว” ผมย้ำอีกครั้ง เพราะกลัวว่าถ้าเขาเอาไปเขียนแบบไม่เคลียร์ อาจจะมีคนนึกสนุกเล่นพิเรนท์ ๆ จนต้องมาร้องไห้กันทีหลังอีกก็เป็นได้

 “ทำไมตัวเลขความเสี่ยงระหว่างคนเป็นรุกกับคนเป็นรับมันถึงต่างกันหลายเท่าตัวแบบนี้ละคุณ?” เขาถามหลังพิมพ์ข้อความทั้งหมดจบ

“ถ้าเท่าที่ผมเคยอ่านเหตุผลมา ก็ง่าย ๆ นะครับ คือปกติเวลาจะติดเชื้อเนี่ยมันต้องมีสามองค์ประกอบ หนึ่งคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อที่พร้อมถ่ายทอดไปสู่คนอื่น สองคือช่องทางในการถ่ายทอด เป็นต้นว่าช่องทางการสอดใส่ทางทวารหนัก และสามคือพาหนะในการถ่ายทอด ในขณะที่รุกสอดใส่เข้ามาในร่างกายของรับ มีโอกาสที่จะเกิดการเสียดสีของช่องทางจนมีเลือดออก และนั่นแหละครับ บิงโก  คือ... ถ้าจะถามว่าเชื้อ HIV จะอยู่ในสารคัดหลั่งใดของร่างกายมากที่สุด นอกจากโลหิตของมนุษย์แล้วก็มีในอสุจิ นี่แหละครับ”

“เป็นรับนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ ทั้งต้องเจ็บตัว ทั้งมีความเสี่ยงมากกว่าคนเป็นรุกไปอีก” โชว่า เบ้ปากส่ายหน้าไปมาประหนึ่งว่าตัวเองเคยเป็นรับมาอย่างไรอย่างนั้น

“เป็นรุกก็เหนื่อยนะครับ รู้ไหมว่าการเอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมาพาดบ่าเนี่ยมันเหมือนแบกน้ำหนักครึ่งหนึ่งของคน ๆ นั้นเลยนะครับคุณ ไหนจะต้องโยกเอว ไหนจะต้องออกแรงยกกำลัง ไหนจะต้องเล้าโลม ในขณะที่รับนอนนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ”

ผมเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ คุณจะมาเคลมได้ยังไงว่ารับเหนื่อยกว่า ในเมื่อตลอดเวลาที่มีเซ็กซ์กัน คนรับน้ำหนักตัวส่วนใหญ่น่ะเป็นรุกนะครับ !!!

“แล้วตอน on top รับไม่เหนื่อยรึไง?” เขาเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เอ้า ก็นั่นมันท่าที่คุณเป็นคนควบคุมนี่ แต่เอ๊ะ.... คุณรู้ได้ไงว่าเขาทำกันยังไง ไหนคุณบอกว่าตอนนี้คุณเป็นผู้ชาย?” ผมเถียงกลับในตอนแรกก่อนจะย้อนถามเขากลับไปในท้ายประโยค พร้อมเหล่ตามองเจ้านากเผือกที่กำลังทำตัวล่อกแล่ก ๆ

“ก็...ก็” เขาตอบตะกุกตะกักจนผมต้องกระทุ้งอีกครั้ง

“ก็อะไร?”

“ก็นิยายวายนะคุณ ยังไงมันก็ต้องมีฉาก NC อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแอคเค่อ ต่อให้ไม่อยากค้นหาข้อมูลยังไงก็ต้องผ่านหูผ่านตาบ้าง ผมก็แค่ค้นหาข้อมูลไว้สำหรับใช้ในการทำงานไง !!!!” โชตอบ หน้าขึ้นสีชมพูเป็นริ้ว ๆ ผมผิวปากเหล่ตามองแซวเขาอย่างอารมณ์ดี ก่อนเจ้าตัวจะเฉไฉเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“ไกลเอาเรื่องเหมือนกันเนาะ จากมหาวิทยาลัยของคุณ กว่าจะเข้ามาถึง  ในกรุงเทพฯ” เขาว่า ผมก้มมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังแสดงเส้นทางการเดินทาง ก่อนจะตอบเขากลับไป

“อีกไม่นานหรอกคุณ ไม่กี่กิโลเมตรเองอดทนหน่อย” เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบสิ่งที่ผมบอก

“เออ ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องระยะทางแล้ว มีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าให้ฟัง แต่ไม่รู้ว่าคุณจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม” ผมว่า จริง ๆ เรื่องนี้จะเห็นได้ชัดกว่านี้ถ้าเราไม่มีรถยนต์มา แต่พอมีรถยนต์ขับผมก็เกือบจะลืมไปแล้วว่า มันเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกันสำหรับผม

“ว่ามาได้เลยครับ” โชว่า ทำท่าเตรียมพิมพ์ข้อมูลอีกครั้ง

“ปกติรายได้ขั้นต่ำของคนไทยอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน คุณรู้ใช่ไหม?”

“อ่าห๊ะ ใช่ครับ”

“ทีนี้ผมถามต่อว่า ปกติแล้วคนเราทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์หรือบางที่ทำงานก็กำหนด 6 วันต่อสัปดาห์ใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ”

“แล้วคุณรู้ไหมครับว่าประเทศไทยมี PrEP แจกฟรี แต่ศูนย์แจกที่เข้าร่วมโครงการแจก PrEP ฟรีมีไม่กี่แห่งในประเทศไทย คือภูเก็ต กรุงเทพ และพัทยา และ PrEP นะ ปกติแล้วมีมูลค่าทางการตลาดถึงกระปุกละ 3500 บาทเลยนะคุณ ตีคร่าว ๆ ก็เม็ดละสามสิบห้าบาท”

ผมพูด พร้อมหยุดเว้นวรรคให้เขาตามทัน โชพิมพ์เสร็จก่อนจะชะงักแล้ว หันมามองหน้าผม

“คุณอย่าบอกนะว่า....”

“อื้ม แม้กระทั่งการหาทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มให้กับตัวเองเช่นการไปรับ PrEP ก็ยังมีต้นทุนที่คุณต้องจ่าย ทั้งเวลาที่จะต้องเสียไป ทั้งค่าโดยสารค่าเดินทางในการมารับ PrEP สำหรับคนที่อยู่ห่างไกล หรือต่างจังหวัด ทั้งหมดนับว่าเป็นทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่ทำให้หลาย ๆ คนยังไม่มีโอกาส หรือ มีโอกาสแล้วแต่ยังไม่พร้อมสำหรับการมารับ PrEP”

เป็นอีกครั้งที่เราถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนผมจะพูดต่อ

“อาจจะนอกเรื่องไปนิด แต่ขอบ่นนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วกัน ผมเข้าใจคนที่อาศัยในกรุงเทพฯ คนที่อยู่ในเมืองหลวง ที่ชินกับความสะดวกสบายมาโดยตลอด ชินจนอาจจะลืมมองไปว่าต่างจังหวัดยังไม่ได้มีอะไรที่เจริญเท่าเมืองหลวง และเพราะที่นี่คือศูนย์กลางทางความเจริญ คนหลากหลายแห่งจึงต้องดิ้นรนจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ”

“อ่าห๊ะ”

“หลาย ๆ คนชอบแซะชาวต่างจังหวัดว่า ทำไมเวลาเทศกาลหยุดยาวต้องแห่แหนกันกลับต่างจังหวัดจนรถติดไปหมด หรือพวกเซเลปที่ชอบออกมาพูดว่า วันหยุดยาวไม่ไปไหนหรอกเพราะเปลืองพลังงานไปกับการฝ่าฟัน คือก็อยากให้เขาทำความเข้าใจว่า หลาย ๆ คนเลือกไม่ได้ว่าจะได้หยุดช่วงไหน นอกเหนือจากช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันทำให้สามารถกลับออกไปต่างจังหวัดได้

ถ้าความเจริญมันไปถึงทุกที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับสิ่งที่คนเรียกว่า 'ศูนย์กลาง' ของประเทศนะ ปัญหานี้ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก จริง ๆ หลาย ๆ ปัญหามันก็มาจากการกระจายความเจริญที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นแหละที่ทำให้เกิดขึ้นมา เช่น การโทษว่าคนใช้รถ ใช้ถนนเยอะเนี่ย ต้องถามก่อนว่าคุณเคยสำรวจตัวเลขจริง ๆ ไหมว่าคนในกทม.มีผู้อยู่อาศัยจำนวนเท่าไหร่ สัดส่วนที่คิดได้นับว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพฯ พื้นที่เท่าเดิม แต่คนเยอะขึ้น  ถ้ารถไม่ติด มันก็แปลว่าปาฏิหาริย์แล้วล่ะคุณ”

ผมบ่นยาวทิ้งท้ายแบบนอกเรื่องไปไกล โชคดีที่โชแค่หัวเราะร่วนตามไปด้วย นั่นแปลว่าเขาเองก็น่าจะพอเข้าใจถึงสภาพของปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นในมุมมองที่คล้ายกันหรือใกล้เคียงกับผม

“พูดถึงเรื่องรถติดแล้ว คุณเคยเห็นข่าวนี้ไหม?” โชว่า พลางเปิดหาข่าวประกอบ เสิร์จไม่นานเขาก็สไลด์หน้าจอหันมาทางผม พาดหัวข่าว ‘โดนถล่มเละ! หนุ่มแชร์ภาพกทม.ถนนโล่ง-โพสต์แรง “พวกบ้านนอกกลับตจว.หมดแล้ว’

ผมร้องอ๋อก่อนจะตอบเขา “ก็เคยเห็นนะ ทำไมเหรอ?”

“คุณคิดยังไงกับวลีพวกบ้านนอกกลับตจว.หมดแล้ว?” โชถามผมกลับ

“ถ้าตอบว่าไม่คิดอะไรเลยคุณจะว่าผมไหม” ผมตอบแบบหยิกแกมหยอกก่อนจะขยายความ “ก็มันไม่มีอะไรนี่ครับ คนบ้านนอกก็กลับต่างจังหวัดถนนในกรุงเทพฯมันก็เลยโล่ง ก็เป็น FACT นี่ครับ?” ผมว่า

“คุณไม่รู้สึกว่าเขากำลังเหยียดหยามคุณเหรอ แบบคุณมาจากบ้านนอกอะไรอย่างนี้” โชถามผม นัยน์ตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์แปลก ๆ แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้วตอบคำถามเขาแทน

“เขาเหยียดผมตรงไหน คำไหนในประโยคที่แปลว่าเขากำลังเหยียดผม?” ผมถามกลับ พร้อมไล่ไปทีละตัว “พวกบ้านนอก ก็ถูกแล้วนี่ ใช่ ผมบ้านนอกจริง นั่นเป็นคำเหยียดยังไงอ่ะ ในเมื่อบ้านนอกมันหมายถึงพื้นที่ ๆ ไม่มีความเจริญ หรือความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงว่าบางพื้นที่ความเจริญมันยังเข้าไม่ถึงจริง ๆ นะครับ

กลับต่างจังหวัดหมดแล้ว นั่นก็เรื่องจริงอีก ก็ถนนมันโล่งทั้ง ๆ ที่ปกติมันการจราจรมันติดขัด แปลว่าคนหายออกไปต่างจังหวัดหมดไงคุณ อันนี้ก็ FACT อีกนั่นแหละ ถูกไหม? แล้วการที่คนที่มาจากพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญเขากลับไปเยี่ยมบ้านเขาเนี่ย มันถือเป็นประโยคเหยียดหยามหรือดูแคลนผมยังไง ทำไมผมถึงต้องไม่รู้สึกดีด้วยล่ะ?”

“ผมชอบที่คุณตีความแบบนั้น” เขาว่า ยิ้มมุมปาก

“ผมแค่ไม่ใส่น้ำเสียงลงไปในเท็กซ์ก็เท่านั้น” ผมว่า พอเห็นเขาขมวดคิ้ว เลยอธิบายอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการสื่อสารไหม แต่สำหรับผมนะ ถ้าไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียง ผมจะอ่านข้อความหรือตัวอักษรทุกชนิดบนโลกใบนี้แบบไม่มีน้ำเสียงดังในหัว มันจะเป็นอารมณ์แบบกูเกิลอ่ะคุณ คืออ่านจับใจความและวิเคราะห์เรียบ ๆ โดยปราศจากการใส่น้ำเสียงทุกชนิดลงไป เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรมันเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผม 

มันขาดองค์ประกอบที่เรียกว่าอารมณ์ร่วมในการสนทนา เพราะงั้นแล้ว จะเป็นข้อความแบบไหน สำหรับผมมันก็แค่อ่านแล้วตีความเจตนารมณ์ของคนเขียน โดยปราศจากอคติทั้งบวกและลบก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายแล้วเราต้องถามใจตัวเองอยู่ข้างในลึก ๆ เสมอ เวลาที่คิดว่าคนอื่นเขามาเหยียดหยามเราเนี่ย ต้องถามตัวเองก่อนว่าเขาเหยียดเราจริง ๆ หรือเรากำลังเหยียดตัวเองอยู่

เช่นที่คุณยกตัวอย่างมา ถ้าคิดว่าเขากำลังเหยียดหยามตัวคุณแค่เพราะ คำว่า ‘คนบ้านนอก’ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าคำว่าบ้านนอกมันให้ความรู้สึกแบบเป็น negative เพราะในความหมายจริง ๆ คนบ้านนอก มันก็แค่คำที่อธิบายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป

แล้วการเป็นคนในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป มันถือว่าเป็นเรื่องแย่ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพวกคุณที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาและการดูแลจากภาครัฐมากเพียงพอ ผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่เราเกิดมาในพื้นที่ ๆ ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”

ผมเหยียบเบรกอีกครั้งหลังเห็นสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลือง ได้ยินเสียงแตรรถจากด้านหลังบีบมานิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ สัญญาณไฟจราจรสีเหลืองคือให้เตรียมหยุด ไม่ใช่ให้เร่งเดินทางเสียหน่อย

“เฮ้อ” โชถอนหายใจ พร้อมไถตัวลงไปนอนเล่นกับเบาะรถ

“เป็นอะไรคุณ?” ผมถาม เจ้าตัวนากเผือกยิ้มแก้มป่อง ก่อนจะย่นจมูกแล้วมองหน้าผม

“เหอะ ๆ ‘ผมมันคนธรรมดา’ เอย ‘คุณแค่ตื่นตาตื่นใจ’ เอย คุณพูดแบบนั้น ในขณะที่แอตติจูดของคุณเรืองแสงจนแทบจะทำผมตาบอดเนี่ยนะ? คุณน่ะ มันบียอร์นไปไกลมากกว่าแค่คนที่พกสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไว้แล้ว รู้ตัวไว้ซะบ้างว่าตัวเองนะเป็นคนพิเศษ ใส่ไข่ด้วยก็ได้เลยเอ้า” เขาว่าพลางกระแทกปลายเสียงสุดท้ายหยอกล้อผม 

“ธรรมดา” ผมว่า

“ไม่ธรรมดา” เขาตอกกลับ

“ปกติทั่วไป” ผมไม่ยอมแพ้

“เพิ่งเข้าใจว่าเด็กปกติทั่วไปเขามานั่งวิเคราะห์หลักภาษาศาสตร์และความสัมพันธ์อำนาจในการปกครองของภาครัฐกับการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท” โชแซะคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมย่นจมูกใส่ผม

“คนทั่ว ๆ ไปเขาก็คิดแบบผม”

“ขอเอาหัวหมูเป็นเดิมพันว่าถ้าคนที่อายุเท่ากันกับคุณ มีไม่ถึง 10 % ที่คิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทำท่าฟันธงฉับเป็นการประกอบคำพูด

“ทำไมชอบพูดให้ผมเป็นคนพิเศษ?” ผมถามอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ตรง ๆ ผมไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบที่ถูกย้ำบ่อย ๆ ว่าผมแตกต่างจากคนทั่วไป

“ก็คุณเป็นคนพิเศษ”

“..............”

“อย่างน้อยที่สุด คุณก็พิเศษสำหรับผม ...โอเคไหม?” โชพูดเสียงเบาหวิว จนผมไม่ทันได้ยินทันประโยคชัด  ๆ

“อะไรโอเคนะครับ?” ผมถามกลับ

“เปล่าครับ ผมบอกว่าโอเคก็โอเค คุณเป็นคนจืดจางธรรมดาแบบที่คุณอยากเป็นก็พอแล้ว” เขาตอบ ผมพยักหน้าแล้วคิดตาม

“คนแบบที่ผมอยากจะเป็น...เหรอ?”

“อืม”

“จะตลกไหม ถ้าผมจะตอบคุณว่า เอาเข้าจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นคนแบบไหน จริง ๆ แล้วผมอาจจะแค่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ” พอนั่งคิดตามกับที่เขาพูดแล้ว ผมก็เพิ่งจะเอะใจกับตัวเองเหมือนกันแฮะ...

“คุณประหลาดดี ตอนอยู่กับคุณบางครั้งผมรู้สึกว่าคุณเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ในขณะที่เรื่องง่าย ๆ ทั่วไปคุณกลับเข้าใจยากหรืออาจจะไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” โชบ่น ผมหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับเขาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ถูกต้องนะ ผมโดนบ่นแบบนั้นบ่อย ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากแก้นิสัยตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ยังไงดี”

เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่พูดกับผมแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่หัวเราะไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเราดีมากที่สุด อาจจะไม่ใช่ตัวเราเองด้วยซ้ำไปในบางแง่มุมของชีวิต

หลังจากคุยเล่นหยอกล้อฟังเพลงพักเหนื่อยกันไปพอสมควร อีกไม่กี่กิโล ก็จะถึงสถานที่ตั้งของโครงการที่ผมเข้าร่วมการเป็นสมาชิกเพื่อรับยา PrEP แล้ว ผมจึงกระทุ้งบอกเขาอีกครั้งเผื่อมีอะไรตกหล่นอีกที่เขายังไม่ได้ถามผม

“ใกล้ถึงแล้วนะคุณ มีอะไรที่อยากถามผมไว้ไหม เพื่อข้อมูลตรงไหนขาดคุณจะได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่” ผมว่า โชเปิดแลปท็อปขึ้นมาก่อนจะคลิกเลื่อนข้อความดูไม่กี่ครั้งแล้วถามผมมาอีกข้อ

“ผมเกือบลืมถามไปแล้ว คุณมีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหมครับหลังทานยาน่ะ ผมหมายถึง Side effect หลังจากการใช้ยานะครับ แบบ ยังไงยามันก็เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งนะ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นยาก็เถอะ” เขาตั้งประเด็นคำถามได้ดีจากส่วนที่สัมภาษณ์ผมไปช่วงแรก ผมชมเขาเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองรู้

“ต้องบอกแบบนี้ก่อน ก่อนการรับ PrEP มาทานนะ จะมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำก่อนอยู่แล้วว่าสารเคมีทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง คนที่ทาน PrEP เองบางคนช่วงแรก ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียนบ้างเพราะร่างกายปรับสภาพกับสารเคมีที่ได้รับจากฤทธิ์ของยา แต่บางคนก็ไม่มีผลกระทบอะไรเลยเช่น ผมเป็นต้น

อ่อ แล้วก็นะ มันเคยมีช่วงหนึ่งมีข่าวลือเหมือนกันว่า PrEP นะ ทานมาก ๆ แล้วทำให้กระดูกพรุน แต่จนแล้วจนรอด ผมพลิกแผ่นดินตามหาเปเปอร์ก็ยังไม่มีอันไหนที่บ่งชี้หรือมีการพิสูจน์ว่าการทาน PrEP นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระดูกเกิดการพรุนได้ ดังนั้นถ้าต้องตอบตามข้อมูลที่มีอยู่ ผมคงบอกว่าตัวผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทาน PrEP มาเกือบ ๆ ปีหนึ่ง เพราะผมตรวจเลือดและตรวจค่ามวลกระดูกทุก ๆ สามเดือนด้วยแหละ”

ไม่รู้ว่าผมอธิบายละเอียดมากพอไหม แต่โชก็ยังพยายามก้มหน้าก้มตา ตั้งใจจนทุก ๆ คำพูดของผมไว้เป็นอย่างดี เสียงพิมพ์กุกกัก ๆ ดังขึ้นรัว ๆ ก่อนเขาจะเว้นช่วงแล้วหันมาถามผมอย่างหนักแน่น

“แล้วคุณต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่?”

“........”

“ผมหมายถึง...คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันอยากจะเลิกเป็นแอคเค่อ?”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 21:43:59 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
«ตอบ #44 เมื่อ31-08-2018 16:45:50 »


“ผมชอบที่คุณตีความแบบนั้น” เขาว่า ยิ้มมุมปาก

“ผมแค่ไม่ใส่น้ำเสียงลงไปในเท็กซ์ก็เท่านั้น” ผมว่า พอเห็นเขาขมวดคิ้วเลยอธิบายอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการสื่อสารไหม แต่สำหรับผมนะ ถ้าไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียง ผมจะอ่านข้อความหรือตัวอักษรทุกชนิดบนโลกใบนี้แบบไม่มีน้ำเสียงดังในหัว มันจะเป็นอารมณ์แบบกูเกิลอ่ะคุณ คืออ่านจับใจความและวิเคราะห์เรียบ ๆ โดยปราศจากการใส่น้ำเสียงทุกชนิดลงไป เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรมันเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผม

มันขาดองค์ประกอบที่เรียกว่าอารมณ์ร่วมในการสนทนา เพราะงั้นแล้ว จะเป็นข้อความแบบไหน สำหรับผมมันก็แค่อ่านแล้วตีความเจตนารมณ์ของคนเขียน โดยปราศจากอคติทั้งบวกและลบก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายแล้วเราต้องถามใจตัวเองอยู่ข้างในลึก  ๆ เสมอ เวลาที่คิดว่าคนอื่นเขามาเหยียดหยามเราเนี้ย ต้องถามตัวเองก่อนว่าเขาเหยียดเราจริง ๆ หรือเรากำลังเหยียดตัวเองอยู่

เช่นที่คุณยกตัวอย่างมา ถ้าคิดว่าเขากำลังเหยียดหยามตัวคุณแค่เพราะคำว่า ‘คนบ้านนอก’ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าคำว่าบ้านนอกมันให้ความรู้สึกแบบเป็น negative เพราะในความหมายจริง ๆ คนบ้านนอกมันก็แค่คำที่อธิบายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่  ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป

แล้วการเป็นคนในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป มันถือว่าเป็นเรื่องแย่ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพวกคุณที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาและการดูแลจากภาครัฐมากเพียงพอ ผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่เราเกิดมาในพื้นที่ ๆ ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”

ผมเหยียบเบรกอีกครั้งหลังเห็นสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลือง ได้ยินเสียงแตร่รถจากด้านหลังบีบมานิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ สัญญาณไฟจราจรสีเหลืองนะคือให้เตรียมหยุด ไม่ใช่ให้เร่งเดินทางเสียหน่อย

“เฮ้อ” โชถอนหายใจ พร้อมไถตัวลงไปนอนเล่นกับเบาะรถ

“เป็นอะไรคุณ?” ผมถาม เจ้าตัวนากเผือกยิ้มแก้มป่องก่อนจะย่นจมูกแล้วมองหน้าผม

“เหอะ ๆ ‘ผมมันคนธรรมดา’ เอย ‘คุณแค่ตื่นตาตื่นใจ’ เอย คุณพูดแบบนั้น ในขนาดที่แอตติจูดของคุณเรืองแสงจนแทบจะทำผมตาบอดเนี้ยนะ? คุณนะ มันบียอร์นไปไกลมากกว่าแค่คนที่พกสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไว้แล้ว รู้ตัวไว้ซะบ้างว่าตัวเองนะเป็นคนพิเศษ ใส่ไข่ด้วยก็ได้เลยเอ้า” เขาว่าพลางกระแทกปลายเสียงสุดท้ายหยอกล้อผม

“ธรรมดา” ผมว่า

“ไม่ธรรมดา” เขาตอกกลับ

“ปกติทั่วไป” ผมไม่ยอมแพ้

“เพิ่งเข้าใจว่าเด็กปกติทั่วไปเขามานั่งวิเคราะห์หลักภาษาศาสตร์และความสัมพันธ์อำนาจในการปกครองของภาครัฐกับการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท” โชแซะคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมย่นจมูกใส่ผม

“คนทั่ว ๆ ไปเขาก็คิดแบบผม”

“ขอเอาหัวหมูเป็นเดิมพันว่าถ้าคนที่อายุเท่ากันกับคุณ มีไม่ถึง 10 % ที่คิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทำท่าฟันธงฉับเป็นการประกอบคำพูด

“ทำไมชอบพูดให้ผมเป็นคนพิเศษ?” ผมถามอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ตรง ๆ ผมไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบที่ถูกย้ำบ่อย ๆ ว่าผมแตกต่างจากคนทั่วไป

“ก็คุณเป็นคนพิเศษ”

“..............”

“อย่างน้อยที่สุด คุณก็พิเศษสำหรับผม ...โอเคไหม?” โชพูดเสียงเบาหวิว จนผมไม่ทันได้ยินประโยคหลังสุดอย่างชัด  ๆ

“อะไรโอเคนะครับ?” ผมถามกลับ

“เปล่าครับ ผมบอกว่าโอเคก็โอเค คุณเป็นคนจืดจางธรรมดาแบบที่คุณอยากเป็นก็พอแล้ว” เขาตอบ ผมพยักหน้าแล้วคิดตาม

“คนแบบที่ผมอยากจะเป็น...เหรอ?”

“อืม”

“จะตลกไหม ถ้าผมจะตอบคุณว่า เอาเข้าจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นคนแบบไหน จริง ๆ แล้วผมอาจจะแค่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ” พอนั่งคิดตามกับที่เขาพูดแล้ว ผมก็เพิ่งจะเอ๊ะใจกับตัวเองเหมือนกันแหะ...

“คุณประหลาดดี ตอนอยู่กับคุณบางครั้งผมรู้สึกว่าคุณเข้าใจเรื่องยาก  ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ในขณะที่เรื่องง่าย ๆ ทั่วไปคุณกลับเข้าใจยากหรืออาจจะไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” โชบ่น ผมหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับเขาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ถูกต้องนะ ผมโดนบ่นแบบนั้นบ่อย ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากแก้นิสัยตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ยังไงดี”

เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่พูดกับผมแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่หัวเราะกับไปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเราดีมากที่สุดอาจจะไม่ใช่ตัวเราเองด้วยซ้ำไปในบางแง่มุมของชีวิต

หลังจากคุยเล่นหยอกล้อฟังเพลงพักเหนื่อยกันไปพอสมควร อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงสถานที่ตั้งของโครงการที่ผมเข้าร่วมการเป็นสมาชิกเพื่อรับยา PrEP แล้ว ผมจึงกระทุ้งบอกเขาอีกครั้งเผื่อมีอะไรตกหล่นอีกที่เขายังไม่ได้ถามผม

“ใกล้ถึงแล้วนะคุณ มีอะไรที่อยากถามผมไว้ไหม เพื่อข้อมูลตรงไหนขาดคุณจะได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่” ผมว่า โชเปิดแลปท็อปขึ้นมาก่อนจะคลิกเลื่อนข้อความดูไม่กี่ครั้งแล้วถามผมมาอีกข้อ

“ผมเกือบลืมถามไปแล้ว คุณมีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหมครับหลังทานยานะ ผมหมายถึง Side effect หลังจากการใช้ยานะครับ แบบ ยังไงยามันก็เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งนะ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นยาก็เถอะ” เขาตั้งประเด็นคำถามได้ดีจากส่วนที่สัมภาษณ์ผมไปช่วงแรก ผมชมเขาเงียบ ๆ ในใจก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองรู้

“ต้องบอกแบบนี้ก่อน ก่อนการรับ PrEP มาทานนะ จะมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำก่อนอยู่แล้วว่าสารเคมีทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง คนที่ทาน PrEP เองบางคนช่วงแรก ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียนบ้างเพราะร่างกายปรับสภาพกับสารเคมีที่ได้รับจากฤทธิ์ของยา แต่บางคนก็ไม่มีผลกระทบอะไรเลยเช่น ผมเป็นต้น

อ่อ แล้วก็นะ มันเคยมีช่วงหนึ่งมีข่าวลือเหมือนกันว่า PrEP นะ ทานมาก ๆ แล้วทำให้กระดูกพรุน แต่จนแล้วจนรอด ผมพลิกแผ่นดินตามหาเปเปอร์ก็ยังไม่มีอันไหนที่บ่งชี้หรือมีการพิสูจน์ว่าการทาน PrEP นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระดูกเกินการพรุนได้ ดังนั้นถ้าต้องตอบตามข้อมูลที่มีอยู่ ผมคงบอกว่าตัวผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทาน PrEP มาเกือบ ๆ ปีหนึ่ง เพราะผมตรวจเลือดและตรวจค่ามวลกระดูกทุก ๆ สามเดือนด้วยแหละ”

ไม่รู้ว่าผมอธิบายละเอียดมากพอไหม แต่โชก็ยังพยายามก้มหน้าก้มตา ตั้งใจจนทุก ๆ คำพูดของผมไว้เป็นอย่างดี เสียงพิมพ์กุกกัก ๆ ดังขึ้นระรัว ก่อนเขาจะเว้นช่วงแล้วหันมาถามผมอย่างหนักแน่น

“แล้วคุณต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่?”

“........”

“ผมหมายถึง...คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันอยากจะเลิกเป็นแอคเค่อ?”



time talk : 4 วันถัดมาก็ลงต่อได้อย่างปากว่าจริง ๆ นะครับ อิอิ ตอนนี้จะหนักนิดหนึ่งนะ แต่พ่อแมวก็พยายามทำให้มันบาลานซ์เท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว คือไม่อยากให้เครียดไป แต่ก็ไม่อยากให้เบาไปเช่นกัน คิดกำลังอ่าน FUN FACT สนุก ๆ แล้วกันนะครับ

Ps ข้อมูลตรงไหนที่คิดว่ามีข้อผิดพลาด สามารถแจ้งให้ตรวจสอบแก้ไขได้เลยนะครับ โดยเฉพาะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพราะจากที่รีเสิร์จมาก็เกือบ ๆ สองเดือนได้แล้วครับ เพื่อมีอะไรอัปเดตใหม่ ๆ เนาะ ขอบคุณครับสำหรับทุก ๆ กำลังใจ

ตอนนี้ยาวจนต้องลงสองช่องอ่ะ 5555555555555  :katai5:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
«ตอบ #45 เมื่อ31-08-2018 17:25:48 »

 o13 o13 o13  สนุกกกกกก

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
«ตอบ #46 เมื่อ31-08-2018 21:19:13 »

แอบเดาอดีตของทอย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
«ตอบ #47 เมื่อ31-08-2018 22:24:26 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
«ตอบ #48 เมื่อ17-09-2018 22:22:43 »



Ep.10 P&P and .....




เสียงแอร์ในรถดังกระหึ่มขึ้นราวกับเสียงปืนใหญ่ ไม่สิ ไม่ใช่เพราะมันเสียงดังขึ้น แต่เพราะเราทั้งคู่เงียบลงต่างหาก คำถามที่โชถาม จัดว่าเป็นคำถามที่ถือเป็น black box แพนโดร่าอีกชิ้นของผมเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าตอบได้ไหม ผมตอบได้ แต่เขาอยากได้คำตอบแบบไหนในสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก นั้นแหละคือสิ่งที่น่ากังวลและน่าสงสัย

“ผมขอโทษ ข้ามมันไปเถอะ” เขากล่าวเสียงเรียบก่อนจะเงียบลงไปอีกครั้ง

“คิดสิ”

“............”

“ไม่มีใครอยากเป็น ‘คนที่นอนกับใครก็ได้’ ไปตลอดทั้งชีวิตหรอกคุณ คนทุกคนก็อยากมีใครสักคนที่เป็นของ ๆ เราคนเดียวทั้งนั้น แต่บางทีทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปแบบที่เราคาดหวัง ผม..ไม่รู้สิ ผมเองก็อยากมีนะ ใครคนนั้น....”

“อ่า”

“แต่ว่า......”

“ครับ?” เขาถาม ผมเหยียบเบรกรถอีกครั้งเมื่อสัญญาณไฟจราจรกลับกลายเป็นสีแดง

“ผมยังรอคอยอะไรบางอย่าง”

“............”

“....รออะไรบางอย่างหรือใครสักคนอยู่”  ผมว่า ไม่ได้หันไปมองหน้าว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนหรือกำลังทำท่าทางแบบใด

“ข้างในตัวผม.....มีอะไรหลายอย่างที่ยังอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นเล่าถึง ‘มัน’ ยังไงดี และผมก็ทำอะไรกับมันไม่ได้มากกว่าแค่พยายามจะใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้มันดีที่สุด ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเลว เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งในสังคมที่ก็แค่มีชีวิตและใช้มันในรูปแบบของตัวเอง”

ผมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะถอนหายใจระบายความรู้สึกข้างในออกมา ผมทราบว่าโชไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไป “แตะต้อง” กล่องดำของผม แต่บังเอิญเหลือเกินว่า สิ่งที่ผมเพิ่งเจอมามันไม่ใช่แผลที่กำลังตกสะเก็ด แต่เป็นแผลสดใหม่เหวอะหวะ สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองนอยด์ออกไปแบบนั้น โดยพยายามเก็บสีหน้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“คุณครับ” เสียงเขาเรียก ผมหันไปมองหน้าเขาเหมือนต้องการจะถามว่า มีอะไร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกแล้วพูดต่อว่า

“ปกติเคยขับรถมือเดียวไหม?” โชถาม

“เคยสิ ขับรถสองมือแล้วทำอะไรไปด้วยก็เคย” ....หมายถึงขับรถแบบตอนไปกับพี่สาน่ะครับ

“งั้นแปลว่าสมาธิคุณจะไม่หลุด ถูกไหม?”

“อืม ผมขับรถมาตั้งแต่อายุยังน้อย สมาธิไม่หลุดแค่เพราะขับมือเดียวหรอก” แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ขับรถมือเดียวล่ะนะ ผมคิดต่อในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“โอเคครับ งั้น.....”

“...?”

“ผมขอมือหน่อยครับ”

ผมหันขวับไปมองหน้าคนอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนกับคำพูดของเขา โชไม่พูดอะไรต่อแต่มองออกไปนอกกระจกรถ มือที่ยื่นหงายออกมาวางไว้ตรงเบาะตรงกลางแอบสั่นเล็กน้อยจากที่ผมมองเห็น จากที่สับสนกับสิ่งที่เขาถามอยู่แล้วผมยิ่งสับสนขึ้นไปอีก

...แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะวางมือซ้ายไว้บนมือของเขา

มือของโชที่สั่นในตอนแรกค่อย ๆ สั่นน้อยลงจนกลายเป็นปกติ เขาหุบมือเก็บไว้แบบไม่ได้ออกแรงนักและแค่จับแบบหลวม ๆ ทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไรนัก

ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมควรพูดอะไรออกไปต่อดีไหม?

“คุณ” และก็กลายเป็นเขาที่ชิงทำลายความเงียบนั้นก่อน

“ครับ”

“ไม่ว่าใช่ไหมที่....”

“ถ้าผมไม่ต้องการต่อให้คุณบังคับผมก็ไม่ทำ” ผมพูดก่อนเขาจะถามจบด้วยซ้ำ โชเงียบลงไปเหมือนเขาหมดคำถามที่สงสัยแล้ว พอ ๆ กับผมที่เงียบลงไปเพราะได้ยินเสียงอะไรกำลังดังขึ้นมาในหัว

‘สัตว์ร้าย’ ในหัวของผมกำลังส่งเสียงราวกับว่ามันกำลังหัวเราะเยาะคนที่อยู่ดี ๆ ก็ไปไม่เป็นแบบผมซะอย่างนั้น

แล้วไอ้หัวใจน่ะ ...ไม่ต้องมาสูบฉีดเลือดเต้นแรง ๆ จนได้ยินเสียงไปแบบนี้ได้ไหมเล่า !!!

ผมปล่อยทุกสิ่งเป็นไปแบบนั้น พยายามอย่างยิ่งในการตั้งสมาธิกับการมองทางและขับรถ ยิ่งพยายามมากขึ้นไปอีกที่จะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงหัวใจที่เต้นแรงมาจนกลัวว่าคนข้าง ๆ จะได้ยิน สารภาพตามตรงว่า ผมรับมือไม่ถูก จะบอกว่ารู้สึกไม่ดีก็ไม่ใช่ จะพูดว่ารู้สึกดีก็ไม่เชิง สมองของผมเหมือนเบลอแปลก ๆ สุดท้ายก็ได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นจนกระทั่งมาถึงด่านกั้นทางขึ้นห้างสรรพสินค้าอย่างสีลมแห่งหนึ่ง

เพราะต้องเปิดกระจกยื่นมือไปรับบัตรลานจอดรถ โชเลยปล่อยมือผมออกจากที่เขากุมเอาไว้ แต่พอผมเลื่อนกระจกรถปิด โชก็ยื่นมืออกมาไว้ที่เดิม และที่งงไปมากกว่านั้นคือแล้วผมจะยื่นมือไปให้เขาอีกรอบทำไมวะ?

ผมขับรถขึ้นไปถึงชั้นสาม ก่อนจะถอยหลังเข้าซองที่ว่าง พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็ปล่อยมือออก เราเงียบเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมดึงกุญแจรถออกมาแล้วส่งให้เขาง่าย ๆ ก่อนจะกระชับกระเป๋าขึ้นแล้วก้าวเดินออกจากรถ โชเดินตามลงมาเงียบ ๆ พอเห็นเขาล็อกรถเรียบร้อยแล้ว ผมจึงพูดต่อ

“เดินเข้าห้างแล้วไปออกตรงทางเชื่อม BTS นะครับ เราต้องออกประตูหนึ่ง” ผมว่า โชพยักหน้ารับก่อนเราจะเดินคู่กันไปเงียบ ๆ เข้าห้างแล้วเดินทะลุออกอีกทางเพื่อเดินไปยังทางฝั่งประตูหนึ่งของ BTS ศาลาแดง

“ปกติแล้วผมจะมารับยาผ่านทาง BTS ก็จะจำไว้ว่าต้องออกตรงประตูที่มีการขายเวย์” ผมว่าพร้อมชี้ไปทางร้านขายเวย์ อาหารเสริมสำหรับเพิ่มกล้ามเนื้อ “ปกติแล้วผมเป็นคนหลงทิศง่าย ไม่ค่อยสันทัดกับการไปไหนที่ไม่คุ้นเคย” ผมพูดต่อ โชพยักหน้ารับพร้อมจดลงไปในโน้ตกระดาษเล็ก ๆ ที่เขาเอาไว้ติดกระเป๋าเสื้อ

“พอลงบันไดมาเสร็จเราก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปากซอยที่มีร้านขายพิซซ่าเจ้านี้” ผมว่า หลังจากเราเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าปากซอยทางเข้าคลินิก โชพยักหน้ารับ พอจดโน้ตเสร็จผมก็พาเขาเดินเข้าไปจนเกือบจะสุดซอย แล้วเลี้ยวเข้าทางเข้าตึกเล็ก ๆ โชมองป้ายพลาสติกด้านบนสลับกับทางเข้า ก่อนจะหันหน้ามาหาผม

“ผมมาครั้งแรกก็เหวอ ๆ แบบคุณเนี่ยแหละ แต่มันไม่มีอะไรแบบที่คุณคิดหรอก”

ผมเดาใจโชได้ เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่ผมพามาคลินิกนี้แล้วทำหน้าแบบนี้ ก็ต้องยอมรับแหละนะว่าทางเข้าเล็ก ๆ มันดูลึกลับและดูน่ากลัวจนเหมือนกับว่ามันเป็นทางเข้าไปสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่สำหรับเพื่อสุขภาพ ผมหัวเราะหยอก ๆ คลายสถานการณ์ ก่อนจะตบไหล่เขาปุ ๆ ให้เดินเข้าไปข้างในลิฟท์ตรงทางขึ้น แล้วกดที่หมายเลข 5 สำหรับชั้นของคลินิก

“คุณไม่ได้หลอกผมมาฆ่าใช่ไหม?” เขาว่า สายตาไม่มั่นใจนัก ผมตวัดมองค้อนไปรอบหนึ่งนั่นแหละ เจ้าตัวเลยรีบผิวปากแล้วมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนคำถามเมื่อกี้

ลิฟท์จอดลงที่ชั้นห้า ผมก้าวเดินออกไป เขาเดินตามหลังมา ก่อนผมจะผลักประตูเข้าไปด้านในคลินิก

“สวัสดีครับพี่แอมป์” ผมยิ้มยินดีที่เจอพี่ที่รู้จักกันก่อนจะยกมือสวัสดี

“อ้าว สวัสดีครับน้องไทม์ ครบกำหนดแล้วเหรอเรา?” พี่แอมป์พยักหน้ารับไหว้ก่อนจะถามกลับ

“ครบแล้วครับพี่ ยาเหลืออีกประมาณ 5 เม็ดเอง ผมเลยมารับก่อนครับ”  ผมตอบกลับ พี่แอมป์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะให้ผมเดินไปรับบัตรคิว เพราะมีคนมาก่อนหน้าเราประมาณสองสามคน  พอรับบัตรคิวเสร็จผมก็เดินไปนั่งที่โซฟา ในระหว่างที่โชมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสนอกสนใจ

“คุณมีคำถามอะไรที่อยากถามเจ้าหน้าที่ก็เตรียมไว้ได้เลยนะครับ” ผมว่ากับเขา โชเหม่อมองสายตาไปรอบ ๆ กรอกตาไปมาหนึ่งเที่ยวก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

“ 6 ห้องย่อย หนึ่งประตู มีทางเชื่อมต่อขยาย” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ผมขมวดคิ้วก่อนจะชะโงกหน้าไปดูโน้ตในมือของเขา พอเห็นแล้วก็อดที่จะเบิกตากว้างนิด ๆ ไม่ได้

“คุณ...ไม่ได้เป็นวิศวกรรมศาสตร์หรือพวกสถาปัตออกแบบอะไรงั้นใช่ไหม?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ ในมือของโชคือแบบแปลนทางเข้าตั้งแต่หน้าตึกยันตอนนี้ ไม่ได้สวยงามแต่เป็นภาพร่างที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วสามารถระบุได้ถึงขนาดห้องคร่าว ๆ และจำนวนห้องทั้งหมด ที่ผมทึ่งคือตรงความไวในการเก็บข้อมูลของเขาต่างหาก ผมเดาว่านอกจากงานของการเป็นนักเขียนแล้ว โชต้องทำงานอะไรสักอย่างที่คาบเกี่ยวกับการใช้ความจำไว ๆ หรือการสังเกตมาก ๆ เพราะเขาดูแทบจะเก็บทุกรายละเอียดจนไม่ตกหล่นเลย

พอคิดได้แบบนั้นก็แอบสีหน้าฝาดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ก็ไอ้คนที่นั่งข้าง ๆ และกำลังใจลอยมองไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ไม่ใช่เหรอครับที่พูดกับผมว่า ‘ผมไม่เคยละสายตาไปจากคุณได้เลย’ เวลาไม่กี่นาที เขายังเก็บรายละเอียดตึกรามบ้านช่องได้ขนาดนี้ แล้วช่วงระหว่างก่อนมารู้จักกันจนมาถึงตอนนี้ที่เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม...

....ผมในสายตาเขากำลังเป็นแบบไหนกันอยู่นะ?

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นวิศวแมนหรือสถาปัตแมนทั้งนั้นครับ แต่งานที่ผมทำก็คาบเกี่ยวดองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่” โชว่า แต่ยังไม่ได้หันมามองผมเหมือนกับว่าสมาธิของเขากำลังตั้งมั่นไปอยู่กับโน้ตในมือและสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมทิ้งตัวลงกับโซฟา ก่อนจะนั่งเงียบ ๆ ไประหว่างรอเขาเก็บรายละเอียด พอเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ถึงคิวผมโดนเรียกพอดี

“คุณเดินมาดูด้วยก็ได้” ผมว่า ขั้นตอนเบื้องต้นไม่ใช่ความลับอะไร ผมสามารถให้โชมายืนฟังผมใกล้ ๆ ระหว่างกระบวนการข้างต้นได้

ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนจะยื่นบัตรประชาชนไปให้พี่แอมป์ พร้อมยื่นแขนออกไปให้พี่แอมป์ได้วัดความดัน พร้อม ๆ กับที่พี่แกกดปุ่มเครื่องวัดความดันและเอาปืนวัดไข้ขึ้นมายิงผม

“อุณหภูมิ 37 องศา ปกติดีไม่มีไข้นะครับ ....ความดันปกตินะครับ 125/86 โอเคครับ ทำแบบสอบถามต่อได้เลยนะ” พี่แอมป์ว่า พร้อมยื่นบัตรประชาชนกลับมาให้ผมและแฟ้มประวัติคนไข้ของผม พอรับกลับมาผมก็หันไปคลิกเม้าส์เพื่อเริ่มทำแบบสอบถามตามปกติที่มาที่นี่

“ขั้นตอนแรกก็มีแค่นี้นะคุณ พอหลังจากพี่เจ้าหน้าที่ตรวจสุขภาพเราในขั้นต้นแล้วเขาก็จะให้เรานั่งรอเรียกตามคิวครับ คุณมีอะไรอยากถามพี่เขาไหม?” ผมเปิดประเด็นให้หลังเขาทำหน้าสงสัย

“สวัสดีครับ” โชว่าพร้อมยกมือไหว้พี่แอมป์ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ข้างๆผม แล้วพูดต่อ “ผมสอบถามหน่อยได้ไหมครับ ปกติแล้วที่นี่ได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงอะไรรึเปล่าครับ?”

“ได้รับสิครับ จริง ๆ ถ้าจะให้เล่าก็คงจะยาว แต่ถ้าสรุปเลยคืองบประมาณของเราได้รับการสนับสนุจากองค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ครับ โดยเขาก็ให้งบประมาณสนับสนุนผ่านทางระเบียบช่องทางของเขา ก่อนจะไล่มาที่กระทรวงในไทย แล้วแตกแขนงออกมาที่นี่ครับ” พี่แอมป์ตอบกลับ ก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“อันนี้ผมสงสัยนะครับ นอกจากไทยแล้วยังมีที่ไหนอีกไหมครับที่ WHO ให้การสนับสนุนทั้งเรื่องงบประมาณและเรื่องยาที่ใช้ในการจำหน่ายให้กับผู้ที่มาติดต่อรับยาน่ะครับ แล้วก็ ผมทำรีเสิร์จมาบ้าง ปกติยา PrEP ในท้องตลาดจะมีทั้งหมด 30 เม็ด ราคากลางอยู่ที่ประมาณสามพันถึงสามพันห้าร้อยบาท ผมอยากทราบว่าแล้วทำไมถึงสามารถแจกฟรีได้ผ่านตามโครงการเหรอครับ?” โชตั้งข้อสงสัย ผมพยักหน้าตาม นั่นสิ ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลยว่า เขาเอางบประมาณมาจากไหน และทำไมถึงสามารถเอามาแจกฟรีได้

พี่แอมป์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะอธิบายต่อ

“คืองี้ครับ ต้องเล่าให้เห็นภาพตรงกันก่อน จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะองค์กรทางการแพทย์ของประเทศไทย ๆ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานสายวิทย์เองก็เถอะ เรามองว่าราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการ ‘ป้องกัน’ ราคาถูกกว่าการจ่ายหลังสูญเสียไปครับ ดังนั้น WHO จึงสนับสนุนงบประมาณมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องยา PrEP จริง ๆ แล้ว PrEP เพิ่งมีมาเมื่อไม่กี่ปีเองครับ ตรงนี้เองก็ต้องยอมรับก่อนว่าตัวยาทั้งหมดยังอยู่ในขั้นตอนที่เรียกว่าการ ‘ทดสอบ’ ประสิทธิผลขั้นสุดท้ายกับมนุษย์ ดังนั้นแล้วถ้าประเทศโลกที่หนึ่ง จะสนับสนุนเรื่องยาตรงนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะเขาเองก็ได้ผลประโยชน์  เราเองก็ได้ควบคุมการระบาดของ HIV ไปในตัว จึงเป็นดีลที่ลงตัวครับ”

“อ้าว แบบนี้แปลว่ายาตัวนี้ก็มีความเสี่ยง?” โชขมวดคิ้วหันมามองหน้าผมเชิงถาม

“คุณ เอาง่าย ๆ ยาเท่ากับสารเคมี มีสารเคมีตัวไหนบ้างที่ไม่เสี่ยง?” ผมตอบเนือย ๆ เรื่องนี้ผมเองก็ศึกษามาพอประมาณ และบวกลบคูณหารระหว่างข้อดีข้อเสียแล้ว ผมถึงกล้าที่จะรับยา PrEP ไปรับประทาน

“ยังไงขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีอะไรสงสัยเดี๋ยวผมมาสอบถามเพิ่มเติมนะครับ” โชกล่าวขอบคุณ ก่อนเราจะเดินไปนั่งรอที่โซฟาด้านนอกเค้าเตอร์หลังผมทำแบบทดสอบประเมินความเสี่ยงระหว่างสามเดือนก่อนมารับ PrEP เสร็จสิ้น

“ก็สรุปง่าย ๆ มาครั้งแรกก็มาลงทะเบียนประวัติผู้ใช้บริการ แล้วคุณก็จะได้บัตรสมาชิกแบบนี้” ว่าเสร็จก็ยื่นบัตรสมาชิกสีชมพูบานเย็นให้เขาดู “วัดความดัน วัดไข้เสร็จ ก็มานั่งรอเรียกคิวสำหรับการเข้าไปเจาะเลือดเพื่อตรวจดูด้วยว่าในเลือดเป็นบวกหรือลบ เพราะถ้าเป็นคนที่ผลเลือดเป็นบวกจะไม่สามารถทาน PrEP ได้ครับ” ผมอธิบายต่อ

“เพราะ?”

“เชื้อมันจะดื้อยาไงคุณ คุณที่ป่วยเป็น HIV เองก็ต้องไปรับยาอีกแขนงหนึ่ง อาจจะมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็แตกต่างจากการทาน PrEP ดังนั้นแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยาก็จะต้องมีการตรวจเลือดก่อนว่าคุณมีผลเลือดเป็นบวกหรือเป็นลบ ถ้าเป็นลบคุณก็สามารถรับ PrEP ไปทานได้

โดยที่นี่น่ะ จะแจก PrEP ให้ตามเดือนครับ ก็คือเดือนแรกที่มาจะได้รับไปแค่ 1 กระปุก มี 30 เม็ด เท่ากับรับประทานได้ 30 วัน หลังจากนั้นก็มาตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบความผิดปกติอีกครั้งว่าเป็นยังไงต่อไป ถ้าปกติดีรอบต่อมา ก็ได้รับ PrEP ไปสองกระปุก พอยาใกล้หมดอีกสองเดือนก็มาหาเจ้าหน้าที่ใหม่

พอเดือนที่สาม ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากนี้ไปก็จะได้รับยาครั้งละ 3 กระปุก เท่ากับว่าคุณมาเจอหมอแค่ สามเดือนต่อหนึ่งครั้ง ปีหนึ่งก็จะได้ตรวจเลือดทั้งหมด 4 ครั้งต่อปี สำหรับผมบวกลบคูณหารแล้วก็ถือว่าดี ได้ป้องกัน ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ถือว่าดีลตรงกัน ก็เลยเลือกที่จะเข้าร่วมโครงการ”

ผมอธิบายยาวเหยียด โชพยักหน้าขึ้นลงทำความเข้าใจในถ้อยคำที่ผมสื่อสารออกไป หลังจากรอไม่นานก็ถึงคิวผมเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อทำการเจาะเลือด

“ในห้องนะ ปกติแล้วเราจะต้องเป็นคนนำป้ายชื่อของเราไปมอบให้คุณ ซึ่งมอบไปสำหรับพันรอบขวดเลือดเองเพื่อป้องกันผลเลือดสลับกัน โดยป้ายชื่อ จะมีแค่พยัญชนะตัวแรกของชื่อผม” ผมว่า พร้อมให้เขาดูป้ายชื่อที่ขึ้นต้นด้วย ธ.ธง ส่วนพยัญชนะอีกตัวเป็น ต.เต่าที่เป็นพยัญชนะตัวต้นนามสกุลของผม พร้อมต่อท้ายด้วยวันเดือนปีเกิด

“ปกติการเจาะเลือดจะเป็นสองรูปแบบ ถ้าไม่ใช่ครบรอบการเจาะใหญ่เพื่อเอาเลือดเข้าแลปไปประเมินค่าตับค่าไต ก็จะเจาะแค่ปลายนิ้วแล้วรีดเลือดเอา แต่ถ้าเป็นเจาะใหญ่ก็จะต้องเจาะผ่านเส้นเลือดตรงข้อต่อข้อพับนะครับ ซึ่งก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น คล้าย ๆ มดกัด” ผมเล่าต่อขณะออกมาจากห้องพร้อมก้อนสำลีสำหรับกดทับเลือดไม่ให้ไหลออกไป  เพราะในห้องไม่ให้คนนอกเข้า ผมจึงเดินมาอธิบายให้เขาฟังที่ด้านนอก

“นั่งรอผลไม่ถึง 20 นาที ก็จะได้รับเอกสารใบนี้” ผมว่าพร้อมโชว์ผลเลือดที่แสดงผล Negative ทั้งของ HIV และซิฟิลิส “หลังจากได้รับแล้วเราก็นั่งรอคิวเรียกเข้าไปรับยา PrEP และอีกสามเดือนก็มาใหม่” และตอนนี้เราก็เสร็จทุกขั้นตอน  สวัสดีพี่แอมป์และคุณหมอที่เจาะเลือดพร้อมเดินข้ามกลับมาที่ห้างที่เราจอดรถไว้แล้ว

“ปกติโครงการหนึ่งมีอายุไม่เกิน 3 ปี ก็ราว ๆ 36 กระปุกเห็นจะได้” ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“แล้วหลังจากนั้น?”

“หลังจากนั้น?”

และเพราะผมเป็นคนขับขามาเสร็จแล้ว ขากลับโชจึงเป็นฝ่ายที่จะต้องไปนั่งเบาะคนขับ แม้เขาจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้จดข้อมูลเพิ่มเติมนอกจากฟังผมพูดไปพลาง ๆ

“ก็ ถ้าไม่มียา PrEP แล้วคุณจะทำยังไงต่อ แบบ จะซื้อมาทานต่อไหม หรือเลิกทาน หรือเลิกเป็น...แอคเค่อ?”

โชขยายความในคำถามปลายเปิดของเขา สายตามองลอดผ่านกระจกมองหลังมาหาผม โดยเรามีจุดหมายปลายทางคือสยามพารากอนเพื่อไปร้านหนังสือ คิโนะและไปทานข้าวตามที่เขาแพลนไว้ว่าอยากจะเลี้ยงขอบคุณ

“ผมไม่คิดจะเป็นแอคเค่อไปตลอดหรอกนะ” ผมว่า เขาบุ้ยปาก แล้วพูดต่อ

“จริงนะ”

“จริงสิ จริง ๆ ก็เคยเลิกมาแล้วนะ”

“เหรอ แล้วทำไมถึงกลับมาเล่นใหม่ล่ะ......ไม่สิ”  เขาพูดถามต่อ กรอกตาไปมาก่อนจะเว้นวรรคเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“อะไร...หรือใครเหรอครับ ที่ทำให้คุณเคยเลิกเป็นแอคเค่อไปได้ ครั้งหนึ่ง?”

ฉลาด..ฉลาดจนน่ากลัวเกินไป โชเป็นนักสังเกตการณ์ที่ชาญฉลาดมาก จนผมแทบจะต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวไม่ให้ตัวเองเผลอแสดง message อะไรแปลก ๆ ออกไป ผมซ่อนสีหน้าทั้งหมดภายใต้กรอบแว่นสีดำของตัวเอง ก่อนจะตอบเขากลับไปอย่างระมัดระวัง

“....ผมแค่เบื่อ ๆ น่ะช่วงนั้น” ผมว่า สัตว์ร้ายในร่างตะโกนเห่าหอนตอบสนองผมราวกับว่ากำลังขบขันกับท่าทีของนักโกหกมือใหม่ที่ไม่ประสีประสา

โชมองลอดกระจกมาอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าดวงตาของเขาสามารถอ่านผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผมไม่ได้หันหน้าหนี ผมมองตอบกลับแววตาที่กำลังสงสัยคู่นั้นกลับไป และท้ายที่สุดก็เป็นเขาที่ยอมยกธงขาวให้กับผมด้วยการหันกลับไปมองถนนตามเดิม

“ผมถามกลับได้ไหม?” ผมว่า เขาพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง

“ทำไมเมื่อกี้ตอนขาไปคุณถึงจับมือผมล่ะ”

เอี๊ยดดดด!!!


และเพราะคำถามนั้นแหละที่ทำให้เขาเบรกรถดังเอี๊ยดจนลั่นถนน และผมเกือบจะหน้าทิ่มคอนโซลรถยนต์ พอตั้งสติหันกลับไปมองคนข้าง ๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าเอามะเขือเทศทั้งลูกมาละเลงบนใบหน้าจนแดงเถือกไปหมด

“คุณนี่มัน....” ผมสบถอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าตัวเองควรโกรธเขาไหมกับการ ไร้สติแค่เพราะคำถามเล็ก ๆ ของผม

“ก็คุณถามอะไรผมแบบนั้นเล่า !!”

“ก็คุณยังถามผมได้เลย”

“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้น”

“เรื่องนั้นมันเรื่องไหนกันวะ มันแปลกอะไรอ่ะ ก็ผมสงสัยไหม อยู่ดี ๆ ก็มาจับมือผม”

“ก็..ก็....”

“ก็อะไร” เพราะเห็นอีกฝ่ายทำท่าตลก ๆ แบบนั้น อดไม่ได้จริง ๆ ที่ผมจะแกล้งเขาด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ

เอี๊ยดดดดด!!!

....และดูเหมือนว่า กูเนี่ยแหละครับคนที่กำลังโดนแกล้ง

“โอ๊ย คุณจะตกใจง่ายจนเวอร์ไปไหมว่ะ” ผมโวยวายหลังคว้าแว่นตามาสวมไว้ได้สำเร็จอีกครั้ง

“แล้วใครใช้ให้คุณแกล้งผม !!!” เขาว่า ขึ้นเสียงเล็ก ๆ แบบไม่ได้น่ากลัวสักนิด

“แค่ยื่นหน้าไปใกล้ ๆ แค่นี้นี่นะ แกล้ง?” ผมแกล้งถาม

“ใช่ นั่นแหละ คุณแกล้งผม เห็นไหมคุณยอมรับแล้ว”

“อะไร ใครยอมรับ? คุณคิดไปเองรึเปล่า”  ผมตะแบงกลับไม่ยอมแพ้

“คุณนั่นแหละ ยอมรับได้แล้วว่าตัวเองผิด”

“ผมไม่ยอมรับ ผมจะเป็นรุก”

“โอ๊ย ไอ้บ้า” เจ้าตัวนากเผือกฮึดฮัดก่อนจะตะโกนว่าผมอย่างน่าขบขัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับท่าทีไม่ประสีประสาของเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็อายุตั้ง 26 แล้วแท้ ๆ

“คุณ”

“อะไร”

“เสมอกันแล้วนะ” ผมว่า พร้อมแบมือยืนไปขอมือจากเขา

“แน่นอนดิ เราเคยขาดดุลเสียดุลกันที่ไหน?” เจ้านากเผือกว่ากลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าแดงซ่านไปทั่วทุกอณู

“ก็..ไม่แน่” ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ก่อนจะฮัมเพลงเบา ๆ ตามเสียงเพลงที่ลอดออกมาจากคอนโซลรถยนต์

“กินอะไรดี”

“อะไรก็ได้แล้วแต่เจ้าภาพ”

“เจ้าภาพอยากตามใจคนทาน“

“คนทานก็อยากตามใจเจ้าภาพ”

“คุณนี่....”

“ทำไม?”

“เปล่า”

“อื้อ”

“ทานเสร็จกลับมหา’ลัยเลยไหม?” โชถาม

“จริง ๆ ก็ยังว่าง ๆ นะ ไปเดินเล่นกับคุณก่อนก็ได้”

“โอเค งั้นไปดูหนังกัน”

“หื้ม มันชักจะแถมเยอะไปมั้ง?” ผมว่า

“ไหนบอกตามใจเจ้าภาพ”

“นั่นผมหมายถึงเรื่องอาหาร”

“มันก็ควรจะตามใจทุกเรื่องไหม?”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”

“แล้วสรุปดูไม่ดู” เขาถาม หันมาทำหน้าดุใส่ผม โดยที่ดูยังไงก็ไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด

“ดู”

“โอเค ก็แค่นั้น”

“บ่นเก่ง”

“แต่กวนไม่เก่งเท่าคนแถวนี้หรอก”

“เพิ่งรู้เหรอ”

“คุณ!!” และก็เป็นอีกครั้งที่เขาน็อตหลุด

“อะไร เรียกทำไม” แน่ละ ใครบอกว่าผมจะเลิกกวน

“เปล่า” โถ่ ... หงอว่ะ คิคิ

“ไปกินร้านนี้กัน ผมไปทานรอบที่แล้วอร่อยอยู่ มีเป็ดย่างแล้วก็มี....” หลังจากนั้นสารพัดเมนูก็หลั่งไหลออกมาจากปากของโชพร้อมทั้งสาธยายสรรพคุณของบรรดาอาหารต่าง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะกินจุมากถึงขนาดนี้

ผมหัวเราะพร้อมกับตอกกลับเขาไปอีกหลายดอกเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เสียงพูดคุยของคนสองคนดังไปทั่วคันรถ พร้อม ๆ กับเสียงเพลงเบา ๆ ที่คลอเคลียไปด้วยกัน ผมอมยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกข้างในจริง ๆ ไม่แน่ใจว่านอกจากเพื่อนแล้ว เขาเป็นคนแรกไหมที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้กับสถานการณ์ง่าย ๆ ที่อยู่ตรงหน้าของผม

และสุดท้ายก็ตัวผมเองนั่นแหละที่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะมองข้ามเสียงเห่าหอนจากสัตว์ร้ายในร่างกายของผม มันส่ายหน้าไปมาพร้อมพ่นลมหายใจออกมาฟึดฟัด ราวกับมันกำลังเวทนาให้กับความปากแข็งของใครบางคนอย่างสุดความสามารถก็ไม่ปาน...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 22:13:31 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
«ตอบ #49 เมื่อ17-09-2018 22:53:22 »

เหยยยยยย มันดีย์อ่ะ

มันเป็นธรรมชาติ  มันสบายใจ

สงสัยเรื่องก่อนจะเจอโชมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วววว



ปล. หายใจเข้าลึก ๆ ผ่อนออกมายาว ๆ นะ 

This, too, shall pass เช่นเคย  ก็ชีวิตเนอะ บางช่วงก็มรสุมแหละ ประคองเรือไปให้ดี เดี๋ยวก็ฟ้าใสแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-09-2018 22:53:22 »





ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
«ตอบ #50 เมื่อ17-09-2018 23:11:55 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
«ตอบ #51 เมื่อ18-09-2018 00:42:48 »

โชตกหลุมรักไปแล้วหรือเปล่า

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

Ep.จิบน้ำชา พักเบรกคุยกันทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร คอมเม้นท์ และ "อื่น ๆ" นะเหมี๊ยว



สวัสดีครับ แวะมาจิบน้ำชาคุยกันสักนิดก่อนนะครับ จริง ๆ ก็ไม่นิดนะ ยาวพอสมควรเลย ฮ่า ๆ

หลังจากนิยายเรื่องนี้ลงได้ 10 ตอน ก็ถือว่าเราเดินทางกันมาถึง 1/3 ของเนื่อหาทั้งหมดแล้ว  เอาหละ จริง ๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ (เหรอ?) แค่อยากจะแวะมาบอกว่าคิดถึงทุกคนมาก ๆ UU หลังจากวันนี้ไปเราคงได้มาเจอหน้าเจอตากันบ่อยมากขึ้น เพราะสถานะของพ่อแมวตอนนี้กลายเป็น #แมวตกงาน2018 ไปซะแล้วครับ เย้ !!!  นั้นแปลว่าเราว่างมาอัพนิยายให้เธออ่านในทุก ๆ วันแล้วนะ

ทุกสิ่งไม่จีรัง อนิจจังจึงเที่ยงแท้ แม้ไม่ทราบว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ขอบากบั่นฝ่าฟันจนกว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คิดอีกแง่ว่าการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเพื่อความอยู่รอดขององค์กรในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยที่สุดแล้วทางบริษัทก็ได้บอกเหตุผลและความจำเป็นที่ชัดเจน ตลอดจนทั้งการให้เตรียมตัวล่วงหน้าในการหางานใหม่

พ่อแมวเป็นนักเขียน no name คนหนึ่ง ทั้งในนามปากกานี้และนามปากกาเก่า เขียนหนังสือจบบ้าง ไม่จบบ้าง ขายได้บ้าง ขายไม่ออกบ้าง แต่ก็มีความสุขอยู่บนพื้นฐานของการได้เขียนอะไรออกไปเพื่อตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง พอมาถึงตรงจุดนี้หลาย ๆ คนคงจะพอมองสไตล์งานเขียนของพ่อแมวออกแล้วว่าพ่อแมวมีสไตล์เขียนงานในรูปแบบใด

‘แอคเค่อ’ เป็นอีกหนึ่งงานเขียน ที่เอาจริง ๆ คนเขียนก็รู้สึกเองว่ามันโหดมาก โหดในแง่ที่ว่า เราจะคงคอนเซปต์ของ   ”สิ่งที่สังคมมองข้ามไป” แก่นเรื่องที่เป็นตัวตนของทุกองค์ประกอบในเรื่องไปจนถึงตลอดการจบเรื่องได้ไหม วินาทีแรกที่เขียนจบ ผมอ่านแล้วอ่านอีก อ่านทบทวนตกตะกอนหลายครั้งกับตัวเองมาก ๆ ว่าทั้งหมดนั้นดีพอสำหรับงานที่เราอยากให้มันเป็น เดอะเบสต์สักครั้งของชีวิตเรารึยัง?

เพราะพล็อตหลักหรือปมเรื่องคู่ขนานที่วางเอาไว้ ทำให้สิบตอนแรกอาจจะยังออกมาไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่สำหรับความสัมพันธ์ของคนสองคน (ผมใช้คำว่า “คนสองคน” แปลว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้นะครับ อิอิ) จริง ๆ แล้วถึงขนาดมีนักอ่านท่านหนึ่งเคยหลังไมค์มาหาผมด้วยซ้ำ ว่าเขารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดีนะ แต่เขากลัวเราขายไม่ออก เขาเป็นห่วงเราจริง ๆ ....

ถามว่ากลัวไหม? กลัวสิครับ !!!

แต่ทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองกำลังกลัวว่ามันจะกลายเป็นผลงานที่ขายไม่ออก ผมก็นึกย้อนกลับไปยังวันแรกที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เหตุผลที่เราหนักแน่นมากพอจนยอมเขียนจนจบเล่มถึงขนาดค่อยเอามาลงเว็บ และเพราะแบบนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่า เห้ย เราต้องไหว เราต้องรอดซิ นิยายเรามันต้องดีมากพอให้ใครสักคนเห็น

ช่วง 5 ตอนแรกที่นำลงเว็บไซต์ เป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสสำหรับผม ความไร้ฐานแฟนคลับและการปรับตัวของเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์ ส่งผลให้นิยายที่มาจากนักเขียนหน้าใหม่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะทะยานขึ้นไปบนยอดเขา แถมนิยายเรื่องนี้ยังแทบไม่มีอิมเมจให้คนได้จินตนาการด้วยซ้ำว่าตัวละครหน้าตาเป็นแบบไหน มีความน่ารักไม่น่ารักยังไง แถมตัวละครทั้งคู่ยังดูเหมือนว่าจะไม่พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกันเล๊ย

เรื่องคอมเม้นท์ ผมขออนุญาตพูดกันตามตรงนะครับ คือนักเขียนหลาย ๆ ท่าน เขียนงานขึ้นมาด้วยตัวคนเดียวหรือเพียงลำพังครับ เอาจริง ๆ ผมคิดเหมือนพี่นักเขียนท่านหนึ่งที่เคยทวิตไว้ในทวิตนั้นแหละครับ ว่าไม่มีนักเขียนคนไหนหรอกที่สามารถขับรถเกวียนก้าวเดินไปตามลำพัง แล้วก็พราวด์อยู่ในใจว่ารถเกวียนของเราช่างแข็งแกร่งทนทานเสียนี่กระไร  นึกออกไหมครับ ไม่มีฟีดแบคตอบกลับ ไม่มีนักเขียนคนไหนทราบได้เลยจริง ๆ ว่านิยายของเรามีอะไรที่ควรบกพร่องไหม ชอบไม่ชอบยังไง นักเขียนยังมีตัวตนอยู่จริงไหม หรือสุดท้ายแล้วกลายเป็นเราเองที่เขียนเอง อ่านเอง ฟินเอง ร้องไห้เอง “คนเดียว”

แต่ผมเข้าใจฟากความเป็นนักอ่านนะครับ สารภาพตามตรง ผมเข้าใจว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ดีแบบดีมาก ๆ แต่นึกไม่ออกว่าจะคอมเม้นท์อะไรก็มี ผมก็เคยเป็นครับ อ่านนิยายตอนหนึ่งจบแล้วรู้สึกว่าเห้ย ตอนนี้โคตรดีเลย แต่พอจะล็อกอินเข้าไปตอบก็ดันขี้เกียจซะก่อน oiz (ขอบคุณเด็กดีมาก ๆ ที่ทำระบบกดหัวใจ นี่คือแง่ของการมีตัวตนแบบไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง ฮ่าา)

ที่นี้ผมเลยพยายามหาตรงกลางระหว่างตัวเองกับคนอ่าน ตรงจุดไหนที่เราสามารถ “คาดหวัง” ต่อกันและกันได้ดี? แต่คิดไปคิดมาผมก็รู้สึกว่าจุดตรงกลางของความคาดหวัง “ไม่มี” อยู่จริง มนุษย์คือบ่อน้ำที่ไม่มีวันเต็ม ยิ่งได้รับการเติมก้นบ่อยิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ การคาดหวังในตัวคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเราเองก็ผิดหวังกับตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนดูจะเป็นอะไรที่เอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป เพราะฉะนั้นแล้ว

ถ้าสะดวกคอมเม้นท์ คอมเม้นท์ได้ตามสะดวก แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่สะดวกคอมเม้นท์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรหรือแม้กระทั้งขีเกียจ อย่างน้อย ๆ แวะผ่านไปทักทาย ไปพูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์ @พ่อแมวพุงโต @chunkydadcat ได้นะครับ จะหวีด จะเม้ามอยท์ จะคุยเรื่องอะไรก็แวะมาทักทายกันได้ครับ หรืออย่างน้อยที่สุดแวะเข้าไปรีทวิต แชร์ลิงก์ต่าง ๆ เท่าที่ตัวเองสะดวกก็โอเคแล้วครับพ้ม จริง ๆ แค่แวะมาผ่าน เป็น 1 ยอดวิว ผมก็รู้สึกแล้วว่าเราไม่ได้ขับเกวียนตามลำพัง UU

ไม่รู้สิ ถามว่าคอมเม้นท์ผมอยากได้ไหม? อยากได้นะ อยากได้มาก ทุกครั้งเวลาเห็นคอมเม้นท์ยาว ๆ ผมจะรู้สึกว่า เห้ยยย ดีย์อ่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่คุณอุตส่าห์พิมพ์อะไรยาว ๆ แบบนั้นให้เราอ่านนะ บางครั้งก็ดีใจจนร้องไห้ไปเลย ไม่เวอร์นะ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ มันได้รับการตอบสนอง  แต่ผมกับโชเราเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง ผมรู้สึกว่าการขอร้องดูจะเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวและหนักหน่วงจนเกินไป มันรู้สึกเหมือนกับว่าเราทำทุกอย่างโดยอยากได้รับการตอบแทนจากอีกฝ่ายตลอดเวลา

ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น ผมชอบการแลกเปลี่ยนแบบใจให้ใจ ผมให้ใจกับคุณ ถ้าใจนี้คุณยินดีรับเอาไว้ ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะตอบแทนตอบกลับมาก็ย่อมเป็นใจที่เราทัชกันได้ซึ่งกันและกัน และนั้นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมไม่เคยขอร้องตรง ๆ สักครั้งเลยว่าผมอยากอ่านคอมเม้นท์ หรือมากสุดกํแค่บอกใบ้ว่าผมกำลังแย่นะ ผมกำลังอ้อนนะ

เพราะผมรู้สึกว่าทั้งคนเขียน ทั้งคนอ่าน เราต่างโอบอุ้มและดูแลซึ่งกันและกัน คนเขียนเองก็ถือเป็นแสงไฟนำทางที่พาคนอ่านออกผจญภัยไปในโลกต่าง ๆ คนอ่านเองก็ช่วยคนเขียนเติมพลังใจด้วยการสนับสนุนคบเพลิงในมือนักเขียนให้โชติช่วงชัชวาลต่อไป เราต่างดีลกันและกัน ไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบในความสัมพันธ์ที่ใจของคนเราแฟร์ต่อกันและกันหรอกครับ ^^

กระนั้นเอง ผมก็ถือว่าสวรรค์ยังปราณีผมอยู่บ้าง เมื่อมีนักอ่านที่เป็นนักรีวิวท่านหนึ่งช่วงรีวิวให้ หลังจากลงตอน 6 ได้ไม่นาน อยู่ดี ๆ นิยายเรื่องนี้ก็ก้าวกระโดดจากนิยายที่แทบจะไม่มีคนคอมเม้นท์เลย (ผมหมายถึงตามนั้นจริง ๆ ครับ เวลากด F5 แต่ละครั้ง หัวใจผมกระตุก ๆ มาก ๆ) โผล่มาอยู่ที่ในหลักที่ผมแฮปปี้ และมีแฟนคลับที่ตามกันแบบตอนต่อตอนอย่างสม่ำเสมอ บอกตามตรงคำว่าผมน้ำตาไหลมาก

ผมกลัวนะ กลัวมากเลย เพราะการเอาบาลานซ์ระหว่างพล็อตหลักและสาระที่แทรกเข้าไปเป็นระยะ ๆ เป็นอะไรที่ยากและหนักมาก  อย่างช่วง P&P จะเป็นช่วงที่เป็นข้อมูลที่เป็น FACT แบบผิดพลาดไม่ได้ ทำให้ผมพยายามทำการบ้านโดยการเทียวไปเทียวกลับระหว่างหอพักและสถานคลินิกที่ให้ข้อมูลตรงนี้ได้หลายรอบมากครับ แต่ก็สะใจดีไปอีกแบบเพราะมั่นใจได้ว่าเราเขียนเรื่องที่เรารู้จริง ๆ ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอา

แต่พอมาถึงตอนนี้ที่นักอ่านหลาย ๆ ท่าสนยังอยู่กับผม ยอดนักอ่านที่ยังคงสม่ำเสมอ ผมก็มั่นใจแล้วว่าเรามาถูกทางแล้ว สำหรับบางท่านที่ถามผมมาทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ ว่าสุดท้ายแล้วนิยายเรื่องนี้ต้องการให้อะไรกับสังคมหรือผู้อ่านกันแน่ ...ถ้าไม่ใช่คำขอร้องที่มากเกินไป ผมอยากขอให้เราลองมาอยู่ด้วยกันจนกว่าเส้นทางเดินในครั้งนี้จะจบลงนะครับ ผมไม่โกรธนะ ผมต้องขอบคุณเพราะผมสัมผัสได้ถึงความหวังดีจริง ๆ ผมเข้าใจทุกคำที่พูดเลยถ้าอยากอ่านสาระไปอ่านที่ไหนก็ได้ นิยายวายถ้าไม่มีเรื่องของความรักเข้ามาดำเนินเรื่องมันจะไปเป็นสัปปะรดได้อย่างไร?

แต่ความรักมีหลายรูปแบบ

ต้องบอกก่อนว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นมนุษย์เหมือน ๆ กันกับเรากับท่าน เขามีทั้งความคาดหวัง มีทั้งความผิดหวัง มีบาดแผลที่ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น และที่สำคัญที่สุด ทั้งคู่เพิ่งจะเจอกันภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์เลยนะครับ จริง ๆ การพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสอง มีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่ภายใต้ความลับมากมายของกล่องดำ ไม่ว่าจะเป็นทีเร็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นโช หรือแม้กระทั้ง "ใครบางคน" เราทุกคนต่างมีอะไรบางอย่าง "ซ่อน" เอาไว้

ท่าทีที่ไม่ชัดเจน ไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดเลยครับ นึกดูว่าถ้าเราเป็นคนที่มีความลับที่สามารถทำลายเราได้เป็นชิ้น ๆ ต่อให้อีกฝ่ายดีแสนดีแค่ไหน เวลาแค่ไม่กี่วันคงไม่พอจะเปิดกล่องดำที่แม้แต่เราในบางครั้งก็ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำไป

แต่ทุกอย่างจะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทุก ๆ วินาทีหลังจากนี้ไป ความสนุกโหดมันส์ฮ่าจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริงครับ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรายังยืนยันเสมอนะ ว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทุกอย่างมันมีเหตุและผลที่จะร้อยเรียงเราทุกคนเข้าไว้ด้วยกันจริง ๆ ครับ

“ใครบางคน” เองก็กำลังพยายามดำเนินชีวิตด้วย “ความรัก” อย่างสุดความสามารถเช่นกัน

ทั้งความรักจากในอดีต ความรักที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และความรักที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยพยุงและผลักดันให้คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถก้าวเดินไปถึงอนาคตอันไกลออกไปแสนไกลได้

“แอคเค่อ” เป็นเพื่อนที่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เขาอาจจะเป็นคนเงียบ ๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอะไร อาจจะช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาอาจะทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ ในวันที่คุณเหนื่อยล้า แล้วบอกกับคุณว่า “บางครั้งการเป็นคน ‘ธรรมดา’ ที่สุด ก็เป็นพรที่ดีที่สุดที่ฟ้าประทานลงมาให้คุณ”

ขอบคุณจริง ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้

ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป หลาย ๆ บริษัทก็กำลังปรับตัวเช่นกัน คงไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าว่า เรามาพยายามไปด้วยกันนะครับ พ่อแมวเองก็ยังเป็นแค่แมวศึกษาธรรมดา ๆ ตัวหนึ่ง คงไม่มีอะไรจะบอกไปมากกว่าขอบคุณทุกแรงสนับสนุนนะครับ ไม่มีพวกท่านเอง แมวพเนจรแบบผมก็คงไปจรลีหรือจรจากไปจากโลกนี้อย่างถาวรครับ

แมวนะไม่เคยบอกรักหรืออ้อนมนุษย์หรอกนะ ถ้ามันไม่รักนะ เหมี้ยว !

 

19/09/2018

บันทึกโดยอุงเท้ากลม ๆ ของพ่อแมวพุงโต ภายใต้วันสุดท้ายของการเป็นพนักงานประจำ เหมี๊ยว !



Ps. ใครมีข้อสงสัย หรือคำถามอะไร ถ้าอันไหนเรามั่นใจว่าไม่สปอล์ยเราจะตอบให้ทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ สามารถทิ้งคำถามที่ท่านสนใจไว้ได้เลยนะครับ เหมี้ยว !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2018 01:10:45 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
เรานี่เป็นคนนึงเลยค่ะ ที่อ่านจบก็อยากคอมเมนต์นะ แต่ดันไม่รู้จะพิมพ์อะไรดี เราก็อยากให้รู้นะว่ามีเราคนนึงแหละที่ตามอ่านอยู่ ก็เลยกดสติกเกอร์ตลอดเลย  :3123: :3123:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1: :กอด1:
เราก็จะตามอ่านไปจนจบแน่นอนค่ะ  :mew1: :mew1:
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ฮืออออออ​ คิดถึง​ อ่านอยู่นะคะแต่ลืมเม้นเลย
นี่ก็พยายามขายเรื่องนี้ให้เพื่อนๆมาอ่านมาก​ เราชอบ

เป็นกำลังใจให้พ่อแมวนะคะ​รออ่านเสมอ :katai2-1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เราพยายามแสดงตัวตนในการเป็นผู้อ่านเสมอ เพราะรู้ดีว่าการเดินทางคนเดียวในทะเลนั้นมันยากแค่ไหน

ส่งกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่ชอบมาก เพราะมีเรื่องราวและสาระ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างสรรค์ออกมาให้น่าติดตามได้ เปิดมุมมอง เปิดโลกใหม่ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นเลยทีเดียว

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบคาแร็กเตอร์ของตัวเอกมากเลย เป็นคนมีเสน่ห์ที่พยายามห่มความเป็นคนธรรมดาไว้แต่สุดท้ายเสน่ห์ก็ทะลุทะลวงออกมาอยู่ดี 55

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
«ตอบ #59 เมื่อ23-09-2018 22:15:06 »



Ep.11 Who ? 




ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเศษผมกับโชก็ย้ายร่างของเราทั้งสองจากแถวสีลมมาจนถึงห้างสยามพารากอน เพราะความห่างไกลของสถานศึกษาของผมทำให้ปกติผมไม่ค่อยได้เข้ามาในตัวเมืองเท่าไหร่ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจะต้องเข้ามา เราสองคนเดินวนหาร้านที่น่าทานและลูกค้าไม่มากนัก ไป ๆ มา ๆ ก็ตัดสินใจเลือกทานบุฟเฟ่ต์อาหารแบรนด์หนึ่งที่โด่งดังในห้าง

“จริง ๆ ผมว่าจะถามนานแล้ว แต่ลืมตลอดทุกทีเลย ผมถามได้ไหมครับ ผมอยากรู้อ่ะคุณ ว่าปกติแล้วพวกแอคเค่อในทวิตเตอร์เขามีวิธีการตั้งชื่อทวิตเตอร์กันยังไง อย่างคุณเนี่ย ทำไมถึงตั้งชื่อแอคเค่อว่า ‘เสือน้อย’ (little tiger) ” เขาถาม หลังคีบเนื้อแซลมอนมาใส่ลงบนจานผม ผมมองลอดกรอบแว่นก่อนจะผงกหัวขอบคุณแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ  ๆ เรียง ๆ

 “อันนี้บอกก่อนนะ ว่ามันไม่ได้มีสูตรตายตัวอะไรขนาดนั้นหรอก ตอนแรกเริ่มทวิตเตอร์แรก ๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่พอเล่นไปสักพักก็จับทริคบางอย่างได้”

 “นั่นคือ?” เขาถาม ผมเว้นวรรคการพูดด้วยการคีบผักเครื่องเคียงลงบนจานอีกฝ่าย แล้วตอบคำถามนั้นต่อว่า

“การสร้างภาพจำ เอกลักษณ์ และคาแรคเตอร์ให้กับแอคเค้าท์ของคุณ”

พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อาจจะต้องใช้ทีไร โชก็แทบจะปล่อยวางทุกสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าไปจดจ่อกับเรื่องตรงนั้นแทน เอาล่ะ ผมว่านี่อาจจะนับเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต เพราะงั้นผมจะต้องแก้ไขมัน ณ ตอนนี้

“โช ขอนอกเรื่องแป๊บ ผมเข้าใจว่าคุณจริงจังกับการทำงาน แต่ผมอยากให้คุณจัดลำดับความสำคัญในการใช้ชีวิตดี ๆ โอเค ผมรู้ว่าคุณไม่อยากพลาดประเด็นอะไรก็ตามที่สามารถนำไปเขียนบอกเล่าได้ แต่ผมไม่เบื่อหรอกนะ ถ้าจะต้องพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ให้คุณฟัง ผมยังอยู่ตรงนี้ ยังนั่งอยู่ตรงหน้าคุณ คุณต้องไว้ใจผมบ้างในฐานะเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่คุณควรจะรับประทานอาหารกับผมไปพร้อมกัน คุยกันเรื่อย ๆ มากกว่าแค่จะจดจ่อกับการเขียนข้อมูลไม่กี่ประโยค หรือไม่งั้นก็อย่าเพิ่งคุยเรื่องงานบนโต๊ะอาหาร” ผมดุ เจ้านากเผือกหน้าจ๋อยลงไปนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

“ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะว่างมาสัมภาษณ์คุณแบบนี้ทุกวันไหม” เขาว่า ผมพยักหน้าเข้าใจได้ คิดว่าเขาคงทำงานอะไรสักอย่างประกอบการเขียนนิยายหาเลี้ยงชีพไปด้วย และเพราะผมเคยทำงานประจำช่วงปิดเทอมทำให้เข้าใจในความหมายของการอาจจะไม่ว่างมาตามข้อมูลอะไรก็ตามแต่ที่เขาจะเอาไปเป็นองค์ประกอบในการเขียนได้ พอได้ฟังแบบนั้นผมก็ใจอ่อน

“เห็นว่ามีเหตุผลนะครับ จะยอมเล่าให้ฟังก็ได้” พอผมพูดแบบนั้น เจ้านากเผือกจากทำหน้างอก็ทำหน้ากระดี๊กระด๊าเป็นตัวนากได้อาหาร ผมเบ้ปากหมั่นไส้เลยแย็บต่ออีกหมัด

“แต่กฎเดิม 1 คำถามต่อ 1 จานที่ผมลวกให้” ผมหมายถึงหลังถามผม เขาต้องทานอาหารที่ผมลวกให้ไปด้วย ในระหว่างที่ผมอธิบายให้ฟัง ไม่ใช่เอาแต่จดข้อมูลอย่างเดียวไม่ใส่ใจอะไรเลย พออีกฝ่ายพยักหน้าตกลง ผมเลยเปิดปากพูดต่อ

“จะโลกสว่างหรือโลกมืด สังคมก็คือสังคมนั่นแหละคุณ การสร้างเอกลักษณ์ให้คนจดจำ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งในการกระจายผลงานออกไปในวงกว้าง เอางี้ ผมสมมติแบบนี้ละกัน สมมติว่าแอคเค่อทุกคนคือ แบรนด์สินค้าตัวหนึ่ง สินค้าทุกตัวที่มีประเภทใกล้เคียงกัน ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง ไทป์ของเขาอ่ะนะ สินค้าที่คนจดจำได้มากกว่า คนก็จะเลือกซื้อมากกว่า

แล้วทำยังไงให้คนจำได้? นึกง่าย ๆ สิ่งแรกที่คนจะเห็นผ่านหน้าไทม์ไลน์ของพวกเขาคือชื่อทวิตเตอร์ โปรไฟล์ และหน้า cover ของพวกคุณ อ๋อ ทริคเล็ก ๆ ที่พวกมือเก๋าจะรู้กัน ถ้าอยากให้ทวิตเตอร์ติดตาคนนะ อย่าพยายามเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ รูป cover มากนัก แล้วก็ รูปที่ตั้งปกและโปรฯ ไม่ควรเป็นรูปอนาจาร แม้ทวิตเตอร์จะไม่แบน แต่ทันทีที่คุณตั้งมันจะเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงที่อัลกอรึทึมจะจับได้แล้วทำการตรวจสอบขึ้นมา ถ้าไม่อยากโดนล็อกบัญชี ก็ควรจะตั้งเป็นรูปธรรมดา ๆ หรือเป็นรูปสัญลักษณ์แอคเค่อของตัวเอง เช่นผมก็จะเป็นหน้ากากเสือน้อย

ส่วนเรื่องชื่อ ก็ต้องมานั่งคิดต่อแล้วว่าจะตั้งชื่อแบบไหนให้สะดุดตาคน ซึ่งแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์และวิธีการในการตั้งชื่อแตกต่างกันออกไป บางคนก็ตั้งด้วยไทป์ก่อน ว่าตัวเองเป็นรุก ตามด้วยช่วงอายุ แล้วตามด้วยพิกัดต่าง ๆ ไปเลยก็มี อารมณ์แบบ ‘รุก มหาลัย สามย่าน’ เป็นการผสมกันระหว่างไทป์ วัย และพิกัดคร่าว ๆ

ไม่งั้นก็จะเป็นพวกที่สร้างคาแรคเตอร์ตัวเองเสร็จแล้วคีพลุคแบบนั้นตลอดการทวิต คลิป รีทวิต ต่าง ๆ เช่น คำที่ใช้ในการเรียกขานตัวเอง นักดาบพาลาดิน ,ชีสชีส,เสือน้อย, อะไรทำนองนี้ ไม่หวาดไม่ไหว เวลาพวกนี้เล่นทวิตก็จะอารมณ์แบบเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อทวิตไปเลย เช่นน้องชีสก็จะอารมณ์แบบ ‘ชีสว่าแบบนั้น ชีสว่าแบบนี้ วันนี้ชีสไป...กับคนนี้มา’ เป็นต้น”

โชจดข้อมูลทั้งหมดเสร็จก็หน้าบูดเล็กน้อยเมื่อผมลวกเนื้อจำนวนหนึ่งไปวางใส่ในจานของเขา  เจ้าตัวย่นจมูกก่อนจะคีบเนื้อจุ่มน้ำจิ้มแล้วนำเข้าปากเคี้ยวหงับ ๆ เป็นตัวนากเคี้ยวผลไม้ พอเคี้ยวเสร็จ กลืนลงคอ กระดกน้ำ ก็ถามต่อ

“แล้วคุณคิดยังไงอ่ะกับการตั้งชื่อแบบนี้ แบบ มองว่ามันได้ผลไหม? หรือวิธีการไหนที่จะดึงดูดคนเข้ามาสนใจผลงานคลิปวิดีโอของเรามากที่สุด” โชถาม

“ได้ผลไหม ผมว่าแล้วแต่ดวงด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็อยู่ที่ตัวผลงานของคุณด้วย แต่ถ้าถามว่าคนสนใจอะไรมากที่สุด ผมว่าคนในทวิตเตอร์สนใจสถานภาพของคนเรามากที่สุด ทั้งช่วงอายุ ประเภท แล้วก็สถาบันหรืออาชีพที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เอาง่าย ๆ ในทวิตเตอร์คุณจะเห็นเลยว่ามีคนอ้างอิงว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยผมเยอะมากแต่นั่นจะจริงไม่จริงก็อีกเรื่อง

ส่วนช่วงอายุที่คนสนใจมากที่สุด จริง ๆ มันก็หลากหลายนะ เพราะคนเราชอบอะไรไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ ผมมองว่าพวกเด็กมัธยมขายดีที่สุด โดยเฉพาะเด็กมัธยมปลาย ไทป์รุกที่มีขนาดอวัยวะเพศที่ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ยิ่งถ้ามีซิกแพคด้วย คอนเฟิร์มว่าเจ้านั่นจะต้องตอบ DM ไม่ต่ำกว่าวันละร้อยฉบับเป็นอย่างน้อย

แต่คุณอย่าไปเชื่อในสิ่งที่เห็นมาก เดี๋ยวอยู่กับผมไปสักพักคุณก็จะเข้าใจว่า ‘โลกคือละคร’ น่ะมันคืออะไร เพราะเด็กมัธยมปลายเป็นไทป์ที่แมสที่สุดก็จริง เลยทำให้มีเด็กมัธยมปลอม ๆ เด็กมหาวิทยาลัยปลอม ๆ เต็มไปหมด บางแอคเค่อนะ ผมเห็นเขียนว่าตัวเองมัธยมปลายบ้าง ปี 1 บ้าง ตั้งแต่ผมเพิ่งเข้าเรียนใหม่ ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าซิ่วทุกปีหรือยังอยากแอ๊บเด็กต่อไปเรื่อย ๆ

สรุป ชื่อก็สำคัญ แต่ตัวโปรดักสำคัญกว่า สมมติว่าชื่อดี แต่คนเข้าไปส่องแล้วไม่ชอบก็ไม่เอา ในขณะที่ชื่อพื้น ๆ ทั่ว ๆ ไป เช่น มัธยมปลายน้อย มัธยมปลายใหญ่ ม.ปลายหัดเล่นต่าง ๆ แต่ถ้างานดีก็มีคนซื้อ เฟิร์สอิมเพรชชั่นสำคัญเท่าไหร่ ตัวสินค้าสำคัญมากกว่าเท่านั้น ขอแค่ ขาว สูง ผอม ใหญ่ แค่มีสี่ข้อนี้ ต่อให้คุณตั้งชื่อทวิตเตอร์ว่าหมาก็มีคนสนใจ”

ผมกล่าวสรุปยิ้ม ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองสรุปหลักการตั้งชื่อแอคเค่อ ศูนย์ศูนย์หนึ่งได้ตรงตามความต้องการหรือไม่ แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นแค่ข้อคิดเห็นจากคนที่เคยเล่นทวิตเตอร์คนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ

รอบนี้ผมจงใจลวกผักและเนื้อเยอะเป็นพิเศษ เจ้าคนตรงข้ามเบะปาก  ก่อนจะเอาตะเกียบคีบเข้าปากทีละชิ้น ๆ จนหมดจานที่ผมลวกไว้ให้แล้วค่อย ถามต่อ แต่ก่อนจะถามเหมือนเจ้าตัวจะเอาคืนผมนิด ๆ ด้วยการลวกผักและเนื้อจำนวนหนึ่ง ก่อนจะตักใส่จานจนผมต้องหันไปมองตาขวางนั่นแหละถึงจะผิวปากและหันหน้าหนีไปทางอื่น

“ขอเจาะประเด็นนิดหนึ่ง ผมสงสัยว่าการบอกชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้ายในชื่อทวิตเตอร์ มีผลมากน้อยแค่ไหนในการดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ” เขารอจนผมเคี้ยวเนื้อในปากเสร็จอย่างมีมารยาท จึงถามต่อ

“มีนะ มีมากด้วย”

“ยังไง”

“คืองี้ ต้องอธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ชื่อมหาวิทยาลัยมันก็เป็นแบรนด์ชนิดหนึ่งอ่ะคุณ เราก็รู้กันดีใช่ไหมว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ มีที่ไหนบ้าง ตรงนี้นะถ้าจะเอาไปเขียนหรือกล่าวถึงหลาย ๆ คนก็จะหลีกเลี่ยงการพูดชื่อมหาวิทยาลัยโดยตรง แต่จะพูดถึงเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยตัวเองแทน เช่น การบอกพิกัดที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

อาทิ เด็กสามย่าน ก็หมายถึงมหาวิทยาลัยที่คะแนนสูงมากเกือบทุกปีที่อยู่ใจกลางเมืองนั่นแหละ หรือถ้าเป็นของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ก็อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการขึ้นดอย มหาวิทยาลัยแห่งท้องทะเล มหาวิทยาลัยลูกพ่อคนนั้นคนนี้ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง มหาวิทยาลัยที่มีตึกเรียนไม่กี่ตึก เป็นต้น

ยิ่งคุณเป็นบุคลากรในมหาวิทยาลัยชั้นนำ คนก็ยิ่งให้ความสนใจ และให้มูลค่าคุณเพิ่มเป็นพิเศษ ถ้ามีคลิปผลงานที่มีหลักฐานของแบรนด์ติดมาด้วย เช่น หัวเข็มขัดของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ คนยิ่งชื่นชอบ และยิ่งประโคมขายของให้กับคุณ ถามว่าทำไม ก็อาจจะเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมติดภาพจำว่าเด็กที่ติดมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่ากับเด็กฉลาด และก็คิดต่อไปว่า เด็กฉลาดน่ะจะต้องเท่ากับ เด็กที่เรียบร้อย และเด็กที่เรียบร้อยในความคิดของคนส่วนใหญ่คงไม่มีใครคิดหรอกใช่ไหมว่าจะมีมุมที่ควักของลับเข้าออกกันเป็นว่าเล่น”

ผมคิดในใจและแอบขำกับตัวเองนิดหน่อยเมื่อทบทวนดูแล้ว คนที่ผมรู้จักหลาย ๆ คน ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียนเก่ง ยิ่งมีอารมณ์ทางเพศสูงกว่าชาวบ้านชาวช่อง แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเพราะต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่างรึเปล่า เลยหาทางระบายออกผ่านอารมณ์ทางเพศและกิจกรรมที่ทำให้สารเอนโดฟีนในสมองหลั่งออกมา

“อย่างที่ผมเคยบอกคุณไปแล้ว สังคมไทยน่ะปากว่าตาขยิบและมีความย้อนแย้งในตัวเองค่อนข้างสูงเลย อาจจะเพราะสังคมเราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันอย่างเปิดอกเปิดใจจริง ๆ จัง ๆ แถมยังพยายามทั้งทางตรงและทางอ้อมในการปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของคน ผลลัพธ์เลยสะท้อนกลับมาเป็นสังคมที่ตกใจกับการที่ดารารูปหลุดของลับต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันก็แค่อวัยวะเพศส่วนหนึ่งของร่างกาย

คนเรานะ ตอบสนองต่อความรู้สึกว่า ‘มันไม่ถูกต้อง’ แตกต่างกัน ข้อห้ามและขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ก็คล้าย ๆ กับแอปเปิ้ลในสวนเอเดนนั่นแหละ ยิ่งพระเจ้าสั่งห้าม ยิ่งน่าหวาดหวั่นระคนปนสุขใจ แค่เพียงได้คิดว่าตัวเองจะได้ลิ้มลอง สังคมทวิตเตอร์ก็จำลองมาจากสังคมอีกด้านที่สะท้อนกลับจากมาตุภูมิของกลุ่มคนในด้านแสงสว่างนั่นแหละ อะไรที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิ่งเป็นไปได้ ยิ่งชอบ”

ผมเว้นวรรคอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ

“แต่จริง ๆ มันก็มีเหตุผลรองเหมือนกันนะที่ผมเคยวิเคราะห์เล่น ๆ กับเพื่อนว่าทำไมเด็กในมหา’ลัยชั้นนำถึงเป็นที่ต้องการมากจนมีคนอยากเป็นนิสิตนักศึกษาของที่นี่เต็มไปหมด แต่ไม่รู้ว่ามันจะนับเป็นเหตุผลที่อ้อมค้อมและน่าเบื่อเกินไปรึเปล่า คุณจะฟังไหม?” เจ้านากเผือกพยักหน้าขึ้นลง ผมยิ้มแล้วตักของในหม้อให้กับเขาอีกรอบ

แต่เอ๊ะ เหมือนผมจะมองข้ามอะไรบางอย่างไปตั้งแต่ต้นรึเปล่า?

จะว่าไปนั่งคุยไปคุยมาตั้งนาน ผมก็ลืมนึกไปเลยว่าทำไมผมต้องต้มเนื้อ ต้มผักให้อีกฝ่ายด้วย(วะ) ? จริงอยู่ว่าผมอยากให้เขารับประทานอะไรบ้างไม่ใช่ทำแต่งาน แต่จริง ๆ แล้วผมก็บอกให้เขาทำเองก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องบริการอีกฝ่ายขนาดนั้น

ในทางกลับกัน แล้วทำไมโชจะต้องมาคอยผลัดกันลวกเนื้อลวกผักให้กับผมด้วย...

ผมส่ายหน้ากับความบ้าบอของตัวเอง จะพูดออกไปตอนนี้ก็ดูจะแปลก  ๆ แต่เหมือนอาการปากขมุบขมิบของผมจะไม่รอดจากสายตายอดนักสังเกตของคนตรงหน้าไปได้

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ?” เขาว่า ผมส่ายหน้า ไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ในใจ

“มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ” โชย้ำอีกครั้ง ก่อนจะตักช้อนเนื้อผักในหม้อลงมาบนจานผม

....อยากจะพูดเหลือเกินว่าไอ้การกระทำที่คุณกำลังทำให้ผมเนี่ยแหละครับ ที่มันบ้าบอและขัดแย้งในใจผมอย่างแปลกประหลาด  ไม่ใช่ว่าไม่ชิน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยทำให้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบใจ และก็ไม่ใช่ว่าชอบใจอีกนั่นแหละ เพราะตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกอะไรกันแน่ ผมจึงนิยามว่าผมแค่รู้สึก “แปลก ๆ” แบบบอกไม่ถูกเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เราทำทั้งหมดมันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ

ไม่อยากจะยอมรับเลยจริง ๆ ว่าตอนอยู่กับโช ผมไม่ได้ปรุงแต่งความเป็นตัวเองเลยสักนิด ทั้งคำพูด การกระทำ และความคิด ผมไม่จำเป็นต้องพยายามจะใส่ “ความธรรมดา” ลงไปในตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออก ล้วนบ่งบอกว่าผมเป็นผมเท่านั้นเอง

...เหมือนตอนที่ผมอยู่กับ 'คุณ' ช่วงแรก ๆ  เลยแฮะ

“คุณ”

“ครับ?” ผมสะดุ้งตัวหันกลับมามองหน้าเขา เจ้านากเผือกยิ้มให้ผม ก่อนจะหยิบทิชชู่ยื่นมาให้ ถ้าผมมองไม่ผิด ตอนแรกเขาจะเช็ดปากให้ผมด้วยซ้ำ แต่เพราะด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง โชเลือกที่จะยื่นมาให้ผมเฉย ๆ แทน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องมาก ๆ ถ้าเขาคิดอะไรสักอย่างในหัวเหมือนที่ผมกำลังคิด

“ขอบคุณครับ” ผมว่า ขอบคุณสำหรับทิชชู่

“ผมรู้นะว่าเราเพิ่งเจอกันไม่นาน แถมยังเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ เปิดมาผมก็แบล็คเมล์คุณ แม้จะเป็นไปด้วยความไม่ได้ประสงค์ร้ายก็เถอะ...” โชเกริ่น มองหน้าผม แล้วเว้นวรรคให้ผมได้ฟังทัน

“แต่ว่านะ...”

“ครับ?”

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้คุณจมลงไปอยู่กับตัวเองได้แม้กระทั่งในเวลาที่อยู่กับคนอื่น...ผมหมายถึงตอนอยู่กับผม ผมจะไม่ขอให้คุณลืมเรื่องราวเหล่านั้น เพราะผมรู้ว่ามันสำคัญ ถ้ามันไม่สำคัญคุณคงเลือกจะทิ้งมันออกไปจากใจคุณนานแล้ว”

สายตาของเขาจริงจัง มองมาที่ผมอย่างไม่ปิดบัง และเป็นผมเองที่ยอมแพ้เขาด้วยการหันหน้าหนีไปทางอื่น เสียงลมหายใจของเราทั้งคู่ดังขึ้น บริเวณรอบ ๆ ก่อนโชจะพูดต่อถึงสิ่งที่เขาคิด

“แต่ว่า...ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ คุณช่วยเล่าถึง ‘เขา’ ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

“..........”

“ผมอยากรู้จักเขาจริง ๆ ผมอยากรู้มาก ๆ ว่าต้องเป็นคนพิเศษขนาดไหน ต้องเป็นคนแบบใดถึงทำให้คนที่บอกว่าตัวเองนอนกับใครก็ได้โดยไม่ได้สนใจอะไร คนที่บอกกับผมว่าทุกอย่างมันก็แค่ just sex ทำไมเขาถึงสามารถสลักอะไรบางอย่างลงไปใส่ตัวคุณได้ลึกขนาดนั้น”

ผมสะอึก ทำได้แค่นั่งนิ่ง ๆ กลืนก้อนเหนียว ๆ อะไรสักอย่างลงคอไป เสียงเดือดของน้ำซุปในหม้อแทบจะไม่ได้รับการสนใจจากทั้งผมและเขา เราต่างคนต่างเงียบไปหลายนาที ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าท่าทางแบบไหน และต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้ายังไง

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพอเป็นโชแล้ว ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่าเขายุ่งย่ามกับผมมากเกินไป เหมือน ๆ เวลาที่ใครสักคนพยายามจะเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามของผม แต่กับเขา...กับโช เขาก้าวล้ำเข้าไปยืนอยู่ตรงข้างหน้าประตูนั้น แต่ไม่รุกไล่ต่อ แม้กระทั่งในเวลาที่เขาสามารถขอให้ผมกล่าวถึง ‘เขา’ คนนั้นได้ แต่โชก็ยังเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอให้ผมออกปากเล่าถึงคน ๆ นั้นเอง

“ขอบคุณนะครับ” ผมขอบคุณเขาในหลาย ๆ ความหมาย ขอบคุณที่ไม่ลุกล้ำผม หรือไล่จนผมไม่เหลือทางถอยกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วเล็ก ๆ  เมื่อเขาคีบเนื้อหมึกมาจ่อตรงหน้า

“ของโปรดคุณ ทานสิ”

“หื้ม คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานเนื้อหมึก” ผมว่าอย่างแปลกใจ อ้าปากรับเนื้อหมึกเข้าปากก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ แต่โดยดี

“ไม่บอก” เขาอมยิ้มและตีหน้ามึนหลังคำถามของผม

“อ้าว”

“ไม่อ้าวละ ทานก่อนเร็ว ๆ คุณ นี่นั่งนิ่งเสียกำไรกันไปหลายนาทีแล้วนะ” เขาล้อเลียนผมขำ ๆ

ผมส่ายหน้า ถอนหายใจกับคนตรงหน้าที่รู้จักการเปลี่ยนอารมณ์ของสถานการณ์ดีซะจนผมแทบตามไม่ทัน แต่ก็ยังแอบติดใจนิด ๆ ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานเนื้อหมึก และเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เราทั้งคู่เลือกจะทานแล้วผลัดกันคุยประเด็นเบา ๆ กันไปช่วงใหญ่ ก่อนจะอิ่มท้องกันพอสมควรแล้ว เราถึงได้วนกลับมาประเด็นเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์เดดแอร์เมื่อสักครู่นี้

“โอเค มาพูดถึงประเด็นรองกันว่าทำไมนิสิตหรือนักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำถึงได้เป็นที่ต้องการของตลาด” ผมเกริ่นนำ คนฟังก็จดข้อมูลยิก ๆ ตามไปด้วย ก่อนผมจะพูดต่อ

“คุณคิดว่าเด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ต้องเป็นเด็กแบบไหน?” ผมถาม โชทำหน้าคิดก่อนจะพูดตอบ

“ต้องเป็นเด็กฉลาดในระดับหนึ่ง” เขาตอบคำถามด้วยความไม่มั่นใจนัก ผมส่ายหน้าแล้วบอกต่อ

“นั่นก็ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด สำหรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในประเทศไทย เด็กที่เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ ส่วนมากคือเด็กที่มี ‘ต้นทุน’ หรือ ‘ความพร้อม’ ที่ดีมาตั้งแต่ต้น ถ้าสมมติยังมองไม่เห็นภาพ ผมจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ตามที่ผมเคยเจอมาให้ฟัง

ต้นทุนที่เราว่ากันในที่นี้ คือความพร้อมของครอบครัวในการสนับสนุนเด็กคนหนึ่งตั้งแต่แรกเกิด เมล็ดพันธุ์ทุกต้นอาจจะโตมามีโอกาสเติบโตเท่า ๆ กัน แต่น้ำที่รดลงพร้อมปุ๋ยที่ดีในการบำรุงต้นไม้ไม่ใช่ว่าต้นกล้าทุกต้นจะโชคดีได้รับโอกาสดี ๆ แบบนั้น พอเริ่มต้นมาก็ไม่เท่ากันแล้ว การแข่งขันในระดับประถมหรือมัธยมต้นอาจจะยังไม่รุนแรงจนคุณมองเห็นภาพไม่ชัดเจน แต่พอเข้าสู่สังคมในระดับมัธยมศึกษาก็จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นอีกครั้ง

มนุษย์น่ะเป็นสัตว์สังคมโดยกำเนิด สภาพแวดล้อมถือเป็นปัจจัยหลักใหญ่ ๆ ส่วนหนึ่งในการกระตุ้นให้คน ๆ หนึ่งมีความคิด ความอ่าน ความสามารถแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน คุณว่าโรงเรียนของรัฐบาลที่มีนักเรียนต่อห้องเกือบห้าสิบคน กับครูหนึ่งคนจะสามารถสอนนักเรียนได้สักเท่าไหร่กัน?

ผมยังไม่พูดถึงความไม่แฟร์ของระบบข้อสอบและระบบการแข่งขันนะ ว่ามันควรฟรีได้แล้วสำหรับการคัดเลือกในการเรียนเข้าต่อ ยิ่งคุณมีต้นทุน คุณยิ่งเป็นต่อ คุณสามารถไปเรียนพิเศษก็ได้ คุณสามารถไปสอบแข่งขัน เพิ่มโอกาส เพิ่มความพร้อมในการทำโจทย์ได้ คนมีเงินน่ะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เพราะงั้นแล้ว เด็กที่หลุดรอดจากระบบชนชั้นที่แบ่งเด็กปกติกับเด็กมีอันจะกินเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ก็แทบจะเรียกได้ว่าขาข้างหนึ่งก้าวข้ามจากกรอบทางชนชั้นของตัวเองก้าวไปสู่ชนชั้นข้างบนอีกระดับ เรื่องคอนแท็กหรือคอนเนคชั่นนะ มันอธิบายกันได้ตรงนี้แหละครับ และอีกนัยยะเดียวกันที่ผมกล่าว เด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ถ้าเขามีความพร้อมทางด้านการศึกษา การที่จะมีความพร้อมในการดูแลตัวเองก็ไม่ได้แปลกอะไรถูกไหม?

พอมีโอกาสในการดูแลตัวเอง การจะมีรูปร่างที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ  อีกประการในการเลือกคู่นอนก็ไม่ยากแล้วถูกไหม ในขณะที่ผมหรือเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่ครอบครัวไม่มีความพร้อมในการดูแล ต้องเอาเวลาตรงนี้ไปประกอบอาชีพต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาสนับสนุนค่าใช้จ่าย เด็กกลุ่มแรกที่โชคดีมากกว่าก็เอาเวลาตรงนั้นในการไปสร้างความเพอร์เฟคให้กับตัวเองได้

สรุป การเลือกที่จะนัดกับแอคเค่อที่เคลมว่าตัวเองเรียนอยู่ในสถานศึกษาชั้นนำ มีโอกาสมากกว่าตามค่าเฉลี่ยว่าคุณจะเจอคนที่งานดีและไม่น่าผิดหวังในการมีเพศสัมพันธ์กันในแต่ละครั้ง หรืออีกแง่ การตั้งชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้าย ก็เพื่อง่ายต่อการระบุพิกัดนัดเจอคนในระแวกเดียวกันหรือมหาวิทยาลัยเดียวกันนั่นแหละ คำศัพท์ที่พวกผมใช้กันคือ ‘บ่อเลี้ยงปลากัดในระบบปิด’ เพราะสุดท้ายมันก็กินกันเองวน ๆ แถว ๆ นี้แหละครับ”

ผมสรุปติดตลกในตอนท้าย โชหลุดขันออกมาจากคำศัพท์ในแก๊งที่พวกผมใช้กันก่อนเขาจะถามต่อ

“แล้วคุณเคยเจอเหตุการณ์ตลก ๆ เกี่ยวกับการกินวนกันไปมาไหม?” เขาว่า

“เหตุการณ์ตลก ๆ  เหรอ? อืมมม ก็มีครั้งหนึ่งนะ ผมเคย....” และก่อนที่ผมจะตอบคำถามของเขาเสร็จ ผมก็เงยหน้าออกไปสบตากับใครบางคนที่กำลังจ้องหน้าผมอยู่เหมือนกันก่อนเราทั้งคู่จะตะโกนเรียกชื่อกันออกมาพร้อม ๆ กัน

“เจ้าที !!!”

“พี่มันนี่ !!!”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 22:38:47 โดย พ่อแมวพุงโต »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด