พิมพ์หน้านี้ - [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-07-2018 22:49:17

หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-07-2018 22:49:17
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนYออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-07-2018 23:00:44

EP.1 Acker




เสียงกระสันดังขึ้นจากร่างบางภายใต้อ้อมกอดของร่างหนาทั้งสองจ้องมองไปในดวงตาของกันและกัน แก่นกลางของร่างกายร้อนเสมือนตกอยู่ใจกลางของภูเขาลาวา....


โอเค พักก่อน ผมว่านั่นมันเป็นบทนำสองบรรทัดแรกที่ค่อนข้างจะ....


อืม ‘เห่ย’ สิ้นดี


...ขอร้องเถอะ ปีนี้ 2018 แล้วยังมีใครใช้คำไวพจน์แทนอวัยวะเพศชายด้วยคำว่า ‘แก่นกลาง’ ของร่างกายอีกเหรอ?


เอาล่ะ ถ้าไม่รู้ผมจะเล่าให้ฟัง ปกติแล้วเวลานัดกันมามี sex น่ะ มันไม่ได้เอ่อล้นไปด้วยความสุขหรืออะไรเทือก ๆ แบบที่เขาว่ากันว่า sex คือการมอบความรักให้กันและกันหรอกนะ just sex อ่ะคุณ มันก็แค่การแลกเปลี่ยน ‘ดีล’ ที่คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) เต็มใจจะยอมรับมัน


กระนั้นแล้ว ผมจะไม่เหมารวมหรอกนะ ว่าคนที่ ‘นัด’ ทุกคนจะไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่ากระทำการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย คนที่รู้สึกก็คงจะมีอยู่จริง และก็คงจะน่าสงสารหน่อย ๆ ที่หมอนั่นจะตกอยู่ในภวังค์ของความฝันที่แสนจะมีความสุขและเช้าวันต่อมาตื่นขึ้นมาก็โดนโลกของความเป็นจริงตบหน้า ถ้าคู่นอนชั่วคราวเมื่อคืนบล็อกไลน์ ทวิต หรือสักช่องทางที่พวกเขาไว้ใช้ติดต่อกัน


มันเป็นเรื่องปกติ เหมือนคุณจุดไฟแช็กขึ้นมา ขอเพียงประกายไฟเล็ก ๆ และแก๊สที่มากพอ ไฟก็จะลุกพรึบให้คุณอย่างง่ายดาย และดับลงไปในเวลาที่เร็วกว่าการก่อเกิดเป็นเท่าตัว


...นั่นแหละครับคือการนัดกันมามี sex หรือถ้าภาษาไทยก็จะมีการกร่อนคำสวย ๆ เป็นคำว่า “นัดเย” ตามที่คุณ ๆ เคยได้ยินกันมา


“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?” คนข้างบนบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักหลังจากควบมาราวสิบนาทีกว่า ๆ ผมชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วเป็นความหมายว่า ขออีกสามนาที เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงปฏิเสธ มุมปากตกลงจนแทบจะเบะออกมา และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมวางมือถือลงในขณะที่กำลังอ่านสปอยล์โตเกียวกูลภาค re ตอนล่าสุดอยู่ ก่อนจะขยับเอวเป็นการวอร์มออกกำลังกายไปในตัว


สีหน้าพอใจมากขึ้น รอยยิ้มมุมปากของเขาตอบผมแทบจะคำต่อคำ


ผมดันอกเขาเบา ๆ ให้พลิกตัวนอนหงายลงไปโดยไม่เสียจังหวะในการนำเข้าใหม่ จับเอวด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเบามือ ก่อนจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วที่มากพอจะทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขอบคุณ


ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาห้านาที ผมถอดคอนดอมออกก่อนมันจะหดตัว มัดปากมันไว้ ก่อนจะเดินเอาไปทิ้งในถังขยะเล็ก ๆ ที่มุมห้อง ส่วนเขาเดินลิ่ว ๆ เข้าห้องน้ำไปแล้ว พอเช็ดคราบอะไรต่อมิอะไรเสร็จผมก็ใส่บ็อกเซอร์ แล้วทิ้งตัวลงไปนอนหงายเล่นรอเจ้าตัวออกมาจากห้องน้ำ


ไม่มีเสียงคราง? นอนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นระหว่างการมี sex ?


คิดจริง ๆ เหรอว่าคนที่ทำหน้าที่รับทุกคนจะเสียวกระสันจนครางออกมาเหมือนในหนัง AV หรือนิยายต่าง ๆ (ที่คนแต่งอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ด้วยซ้ำ) ไอ้เสียงครางอู้ว ๆ อ่า ๆ ซี๊ด ๆ อะไรนั่นอาจจะปลุกเร้าอารมณ์คนบางคน แต่ในทางกลับกัน เสียงก็อาจจะดับอารมณ์  คนบางคนด้วยเช่นกัน


จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบการครางแบบเสแสร้งเท่าไหร่จริง ๆ นั่นแหละ มันก็มีบางคนที่เสียวจนครางออกมา แต่การแสดงน่ะ ถ้าเล่นไม่เก่งจริงมันดูออก


ส่วนเรื่องการ์ตูน ...ก็นะ ผมหาอะไรทำระหว่างทำอีกกิจกรรมไปด้วยมันก็เท่านั้น ผมอ่านการ์ตูน ไม่ได้ทำให้ส่วนที่กำลังใช้งานเสื่อมสมรรถภาพลงนี่ครับ ถ้าคุณเก็บแต้มมากพอ อาจจะเจอกิจกรรมแปลก ๆ ที่ทำพร้อม ๆ ระหว่างการทำเรื่องบนเตียงก็เป็นได้ แค่อ่านสปอยล์การ์ตูนไปด้วยน่ะจิ๊บ ๆ


คุณต้องเข้าใจ เซ็กซ์ไม่ได้เท่ากับความรักเสมอไป บางครั้ง just sex is just sex


“ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวพี่แวะไปส่งก่อนไปทำงาน” เขาออกมาแล้ว ท่าทางจะอิ่มกับการป้อนอาหารให้ความรู้สึกกับกิจกรรมเมื่อกี้ ผมเสียบสายชาร์ตมือถือทิ้งก่อนจะตบบั้นท้ายพี่เขาดังป๊าบแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมานิดหน่อยและเงียบลงหลังผมปิดเกล็ดบานเลื่อนในห้องน้ำ


ผมฮัมเพลง Talia ขึ้นเบา ๆ ได้ยินเสียงคนข้างนอกช่วยเปิดเพลงให้ราวกับรู้ใจผม ผมยิ้ม สระผมลวก ๆ ก่อนจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงไปแล้วละเลงช่องปาก ปกติแล้วผมมักจะชอบอะไรที่เกิดขึ้นและจบลงไปในคืนเดียว แต่อาหารบางจานควรค่าแก่การทานมากกว่าหนึ่งครั้ง


และนั่นคือข้อแตกต่างระหว่างคู่นอนชั่วคราวหรือคำจำกัดความว่า one night stand กับ friend with benefit อ๋อ...บางคนอาจจะเรียกว่าฟูบู (FUBU = F*ck buddy) ก็ได้นะ


จริง ๆ จะเรียกแบบไหนก็ตามสบาย เพราะจุดประสงค์การใช้งานก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก มันก็แค่คำที่บ่งบอกระยะห่างระหว่างคนสองคนในสถานการณ์บนเตียงเท่านั้นเอง


พี่กรเป็นฟูบูของผมอีกคน ...ใช่ครับ ใช้คำว่าอีกคนนั้น แปลว่าผมไม่ได้มีแค่พี่เขาคนเดียว ในมาตรฐานของเส้นศีลธรรมประเทศนี้แล้วสิ่งที่ผมทำอาจจะเป็นเรื่องที่น่าละอาย น่าเหยียดหยาม หรืออะไรต่าง ๆ นานา แต่ตราบเท่าที่ผมยังไม่ได้มีพันธะจริงจังเช่นแฟน และพี่กรก็ยังโสด การที่เราจะคงสถานะความสัมพันธ์ไว้แบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก


และผมไม่แคร์ด้วยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็แค่ sex


ผมเช็ดหัวให้แห้งอีกครั้งก่อนจะแขวนผ้าขนหนูไว้กับตะขอเกี่ยวของห้องน้ำแล้วเดินออกไปข้างนอก ลิสต์เพลงไล่ไปที่ Back To Black ของ Amy Winehouse ผมฮัมเพลงหัวเราะชอบใจ สิ่งหนึ่งที่ประทับใจในตัวพี่กรก็ตรงความใส่ใจในความชอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมเนี่ยแหละ


ผมส่ายหัวโยกตัวเบา ๆ ตามจังหวะ พี่กรละสายตาจากหน้าจอ macbook มามอง


I loved you much


It’s not enough



“เต้นไหม?” พี่กรถาม พร้อมสวมกอดก่อนจะเอื้อมมือมาจับเอวผมเต้นไปตามจังหวะเสียงดนตรี ...จริง ๆ ถ้าจะพูดให้เจาะจงมากไปกว่านั้น คือพี่มันกำลังจับชั้นไขมันส่วนเกินตรงหน้าท้องของผมต่างหาก ชิ ไม่ต้องย้ำ รู้นะว่าช่วงนี้กินจุไปนิดหน่อยเอง ไม่หันกลับไปมองหน้ายังรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งผม


We only said goodbye with words


I died a hundred times


You go back to her and I go back to



เราหมุนตัว ผมไม่รู้หรอกนะว่าเราเต้นจังหวะอะไร แค่อยากเต้นก็เต้น ก็เท่านั้น เสียงเพลงจบลงพร้อมผมเอี้ยวตัวไปงับติ่งหูพี่กรเบา ๆ ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่จริงจังนักเป็นการตอบสนองว่าพึงพอใจแต่ไม่พูดออกมา แต่เพราะนาฬิกาที่ชี้ไปราวหกโมงเช้าแล้ว ถนนเส้นนี้ถ้าออกไปช้ากว่าเจ็ดโมงจะติดมาก ๆ ผมเลยไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากทิ้งไออุ่นเล็ก ๆ ไว้ที่ซอกคอแต่ไม่ทำร่องรอยอะไรเอาไว้


พวกทำรอยน่ะ มันพวกเด็กเห่อหมอน เห่อที่นอน เห่อทุกอย่าง และคิดว่าการทำร่องรอยเท่ากับชัยชนะ ...ซึ่งนั่นมันไม่จริง


“เรานี่ชอบ Amy มากเลยนะ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับ


“มากเกินกว่าใครจะเข้าใจ”


“เจอกันครั้งแรกเราก็พูดกับพี่แบบเนี่ยแหละ”


เขาหมายถึงครั้งแรกหลังจากที่เราทั้งคู่ต่างทดลองชิมรสชาติของกันและกันจนพอจะบอกได้ว่าอาหารจานนี้อร่อยแค่ไหนและเรากินไปกี่จาน ระหว่างนอนพักเพื่อรอบทานรอบต่อไปจึงเกิดเสียงเพลงและบทสนทนาดังกล่าวที่วนลูปออกมาในตอนนี้


“ป่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมพยักหน้า เดินไปเก็บทุกอย่างใส่เป้ใบเล็ก ๆ ที่ใส่ของมา พี่กรใส่รองเท้าคัทชูของตัวเอง ก่อนจะหันมาเช็กว่าไม่ลืมปิดสวิตช์ไฟฟ้า หรือลืมถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ เราออกจากห้องก่อนจะล็อกประตูห้องหรูด้วยคีย์การ์ด


 ต้องบอกว่าผมชอบระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่นะ จะเข้า จะออก ก็ต้องใช้คีย์การ์ดทั้งหมด ข้อเสียคือถ้าระบบไฟฟ้าดับขึ้นมาคงยุ่งยากไม่ใช่น้อย แต่นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ กับคอนโดระดับห้าดาวแบบนี้


“ขออนุญาตนะครับ” ผมพูด เขาพยักหน้าหลังเราเดินมาถึงลานจอดรถ จริง ๆ แล้วจะเดินขึ้นรถเลยก็ได้ แต่ผมติดมารยาทในการขออนุญาต และเชื่อผมเถอะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การมีมารยาทจะเพิ่มความน่าเอ็นดูให้คุณได้เยอะ


“เกรดออกครบรึยังเทอมนี้” พี่กรถามหลังเลี้ยวรถออกมา


“ยังครับ เพิ่งออกมาสามตัว”


“ช้าเสมอต้นเสมอปลายนะ ยูฯ นี้”


“ช้าทุกอย่างยกเว้นเก็บตังค์ค่าเทอมครับ” ผมว่าก่อนเราหัวเราะประสานเสียงกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเงียบลงอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกตัวรถอย่างคนมีมารยาท


วันทำงานปกติแบบนี้ก็ไม่แปลกถ้ารถจะติดอะไรแต่เช้า พี่กรรับสาย และคุยด้วยน้ำเสียงคนละโทนกับที่เราคุยกัน สีหน้าเดี๋ยวอมยิ้ม เดี๋ยวเขินอาย ก่อนจะวางสายไปภายในเวลาไม่นาน


“ฮั่นแน่” ผมยิ้มแซว พี่กรละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาตีแขนผมเบา ๆ แก้เขิน


“คนนี้เป็นไง มีแววจะผ่านโปรไหมพี่?” ผมถามต่อ พี่กรพยักหน้าก่อนจะพูด


“ก็ดีนะ โปรไฟล์พอ ๆ กับพี่แต่จบ ยูฯ นอก ทำงานสายใกล้เคียงกัน”


“เจ๋งดิแบบนั้น แล้วผ่านโปรเมื่อไหร่ แต่งกันตอนไหนพี่” ผมไม่วายหยอก


“ก็ดูไปเรื่อย ๆ แหละครับ ถ้าคนมันจะใช่มันก็ใช่เอง” พี่กรว่า เป็นอันว่าเราจบบทสนทนาหัวข้อ ‘ว่าที่ตัวจริงในอนาคต’ ของพี่กรลงด้วยประโยคนั้น ก่อนจะหันไปคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ และข่าวเศรษฐกิจในรอบวันที่ดังออกมาจากวิทยุ


ไม่นานนักก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยของผม ผมหันไปสวัสดีพี่กรอีกครั้ง โบกมือลา ก้าวเท้าลงจากรถ ยืนรอจนรถเคลื่อนตัวออกไปไกลลิบตา ก่อนจะเดินเข้าไปในซอยหอพักนักศึกษา


ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ‘นัด’ ครั้งต่อไป ถ้าพี่กรพร้อมเมื่อไหร่เขาจะเป็นฝ่ายไลน์มาชวนผมไปนอนค้างห้องเอง


ว่างก็นัด พร้อมก็จัด เสร็จสรรพก็โบกมือลา มันก็แค่ดีล ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาหนึ่ง


ความสัมพันธ์ของเราก็ง่าย ๆ แบบนี้ละครับ








หลังกลับมาจากพี่กร ผมนอนหลับเอาแรงไปชั่วโมงสองชั่วโมงทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป ก่อนจะตื่นมาเปิดคอมฯแล้วล็อกอินเข้าไปในโลกอีกใบ


โลกสมมติอีกใบที่ก็นับว่ามีผลกระทบต่อชีวิตของผมไม่มากไม่น้อย ใน ‘โลกมืด’ ของทวิตเตอร์ที่ใครต่อใครเขาเรียกกันว่า ‘อีกด้านของชีวิต’ ก็เช่นกัน สถานะของผมอีกด้านที่น้อยคนจะรู้ ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะ “แอคเค่อ”  นะครับ


แอคเค่อคืออะไร? เอาเข้าจริง ๆ ผมว่าไม่มีใครทราบที่มาที่ไปชัดเจนหรอกครับ แต่ผมเดาว่ามันมาจากการกร่อนเอาคำว่า ‘แอค’ จากภาษาอังกฤษ คือ account และผสมกับคำว่า ‘เค่อ’ ที่กร่อนมาจากภาษาไทย คอ.วอ.ยอ กลายเป็น ‘แอคเค่อ’ บุคคลที่เล่นทวิตเตอร์ในลักษณะการหาคู่นอน เพื่อมาทำกิจกรรมทางเพศกันโดยละม่อม


สำหรับผมแล้ว การที่คุณเป็นคนดังหรือเป็นที่รู้จักประมาณหนึ่งในโลกออนไลน์นับว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ความโด่งดังนำพามาทั้ง (พวกที่อยากเป็น) มิตรมากมายและกลุ่มบุคคลไม่เป็นมิตร ก็น่าตลกดีที่แม้กระทั่งโลกแห่งการนัดเย ก็ยังมีการทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรค เล่นพวก ประกาศศักดาว่ากลุ่มข้าน่ะเจ๋ง กลุ่มเธอน่ะฟัค ทั้ง ๆ ที่ทุกคนเล่นทวิตก็เพราะแค่มันไม่แบน (ในตอนนั้น เดี๋ยวนั้นเลย แต่นาน ๆ รีพอร์ตไปมันก็แบน) เวลาลงคลิป ‘ผลงาน’ แค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ ?


ผมคลิกเม้าส์ไปที่ direct message ของตัวเองพร้อมเลื่อนดูบรรดา DM ที่ส่งเข้ามา


ไม่อวยตัวเองหรอกนะ แต่ผมก็เป็นผู้ใช้งานอีกคนในทวิตเตอร์ที่ก็มี followers ไม่น้อยเท่าไหร่นัก สถานะในโลกนั้นของผมค่อนข้างจะไม่ค่อยไปยุ่งวุ่นวายกับใครเสียเท่าไหร่ สังเกตได้จาก following ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ followers ของผม


สาเหตุคือผมต้องการใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ทั้งในโลกของความเป็นจริงและในโลกอิเล็กทรอนิกส์ การเป็นคนกลม ๆ ที่สามารถกลมกลืนลงไปกับสังคมจะทำให้คุณเป็นตัวเลือกท้าย ๆ เวลาโดนเพ่งเล็งจากผู้ล่า


กระนั้นเอง ยอด followers ก็ทำประโยชน์ให้กับคุณได้มากมายเช่นกัน (ถ้าคุณรู้จักวิธีการใช้งานมันจริง ๆ จัง ๆ ล่ะนะ)


ในกรณีนี้ เมื่อ followers คุณเยอะ ‘ผลงาน’ ก็จะกระจายออกไปในวงกว้าง สิ่งที่ตามมาคือ ‘กลุ่มคนที่มีความสนใจในตัวคุณ’ จะตามมาหาคุณถึงที่ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้อง DM ไปหาใครก่อน รวมทั้ง followers ยังเป็นเครื่องหมายแสดงอำนาจบางอย่างในหลาย ๆ และบอกไปถึงความโด่งดังของคุณในโลกสมมติแห่งนี้อีกด้วย


จริง ๆ แล้วคุณสมบัติที่จะทำให้คุณโด่งดังในโลกมืดของทวิตเตอร์ได้มีไม่มากมายนัก ถ้าจะแบ่งเป็นช้อยท์ให้เลือก ก็คงจะแบ่งออกได้เป็นสามข้อใหญ่ ๆ


หนึ่ง คุณมีรูปเป็นทรัพย์ ถ้าคุณไม่ได้มีความกล้าหาญที่มากพอจะโชว์ทั้งใบหน้าและของสงวน ก็อาจจะต้องมีหุ่นที่ผอมเพรียว กล้ามหน้าท้องที่พร้อมจะขึ้นเป็นลูก ๆ ชวนให้ผู้คนได้สัมผัส


รวมทั้งส่วนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือขนาดเครื่องเพศที่ใหญ่มากพอจะทำให้ใครก็ตามแต่เห็นแล้วต้องอยากลิ้มลอง (แค่ ‘ทำให้อยาก’ นะ แต่ไอ้จะอยากได้จนนัดจริง ๆ จัง ๆ หรือไม่ ...นั่นก็อีกเรื่อง) ต้องมีสักอย่างในสองสามข้อย่อยที่ว่ามานี้


สอง คุณเป็นประชากรชั้นนำในโลกของเกย์เวิร์ลซึ่งในที่นี้ผมกำลังพูดถึงสถานะบนเตียง ไอ้ที่เขาแซว ๆ กันในเพจศาสนาเพศที่สามชื่อดังว่าเป็นรุกเท่ากับชนะนั้น เอาจริงมันก็ไม่ได้เวอร์ถึงขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเป็นรุก มันเป็นแต้มต่อให้เลือกได้มากกว่าจริง ๆ


ทั้งนี้ต่อให้คุณมีสถานะเป็นรับ แต่ถ้าคุณยั่วเยมากพอ รุกบางคนก็อาจจะยอมพลีกายให้คุณก็เป็นได้


สาม ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ ผลงานในที่นี้ก็หมายถึงคลิปวิดีโอ ความบันเทิงที่นำมาลงในทวิตเตอร์นั่นแหละครับ ยิ่งผลงานคุณมียอดรีทวิต และติดดาวมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความพอปพิวลาร์และเป็นตัวตัดสินใจให้กับใคร ๆ หลาย ๆ คนว่าคุณมีดีมากพอแค่ไหนที่เขาจะเป็นฝ่ายทัก DM มาเพื่อเสนอตัวให้กับคุณ


เมื่อสามสิ่งเวียนมาบรรจบ ก็ตู้มมม เกิดเป็น followers หลักหมื่นอัพ และนั่นจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในการคัดสรรทางธรรมชาติของคุณยิ่งใหญ่มากขึ้น เรียกได้ว่า ‘ผลงานในอดีตสามารถต่อยอดผลงานในอนาคต’ ได้ คำพูดนี้ ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็แลกมากับความน่ารำคาญใจในหลาย ๆ ประการที่เอาไว้ผมจะบ่นให้ฟังเป็นครั้ง ๆ ไป


ผมกดอ่าน DM พร้อมทั้งตอบข้อความที่คุยค้างไว้บ้าง สิ่งที่ต้องระวัง ถ้าไม่อยากให้มีอะไรมากวนใจในโลกความเป็นจริงของคุณ คือการพยายามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ละคน แต่ละท่าน ก็มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเองแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล


 สำหรับผมจะไม่มีการส่งภาพที่ระบุตัวตนของผมให้สำหรับคนในนั้นอย่างเด็ดขาด ตลอดไปจนถึงช่องทางการติดต่อแบบ one way นั่นคือ ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ในโลกของผม คุณก็แค่ต้องหาตัวเลือกอื่นที่คุณรับกฎเกณฑ์ของเขาได้ก็เท่านั้น


หลังจากเช็กตารางนัดพร้อมตารางกิจวัตรประจำวันในชีวิตอื่น ๆ แล้ว ผมก็นัดน้องคนหนึ่งให้มาหาที่ห้องในค่ำคืนนี้ เจ้าตัวทั้งตกใจ และดีใจอย่างน่าขบขันในเวลาเดียวกันที่ผมเลือกเขา สัมผัสได้จากตัวอักษรและความประหม่าเมื่อถามถึงขนาดและความเจ็บปวดในการสอดใส่แล้ว ผมพนันนิด ๆ ว่าเจ้าเด็กนี่เพิ่งจะลองเชิงเล่นทวิตเตอร์ได้ไม่นานนัก


ครั้งแรกก็เลือกของใหญ่เลยเหรอเรา ? ผมคิดในใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไป ความไม่ประสีประสาก็มีเสน่ห์ในตัวมันเองไม่น้อย     
พอบอกสถานที่นัดเจอพร้อมขอเบอร์และช่องทางการติดต่อเอาไว้แล้ว ผมก็ล็อกเอ้าท์ออกจากทวิตเตอร์พร้อมกดลบประวัติการเข้าใช้งานทวิตเตอร์บนหน้าเว็บไซต์ ล็อกคอมพิวเตอร์ กดปิดเครื่อง ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเข้าห้องน้ำ


หมดเวลาของ ‘น้องไทเกอร์’ แล้ว...




“โต๊ะสิบขอน้ำเปล่าเพิ่ม 1 ขวดนะ พอเอาอันนี้ไปเสิร์ฟแล้วกลับมาเอาน้ำไปให้เขาด้วย”


“ครับ” ผมรับคำให้กับพี่ผู้จัดการร้าน พยักหน้าพร้อมดันแว่นสายตาอันหนาเตอะเข้าประกบกับใบหน้า ก่อนจะยกถาดอาหารออกไปเสิร์ฟตามหมายเลขโต๊ะที่ได้รับสั่งมา


ผมเดินก้าวออกไป ยิ้มแย้มพอเป็นพิธีไม่ให้ดูปลอมหรือเป็นรอยยิ้มการค้ามากเกินไป (ตามกฎของบริษัทว่ายิ้มได้ แต่ห้ามทำให้ลูกค้ารู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มเตรียมเชิดเงินเหยื่อ) ก่อนจะค่อย ๆ ยกอาหารเสิร์ฟตามที่ลูกค้ารับสั่ง ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว


วันปกติในช่วงวันใกล้สิ้นเดือนลูกค้าจะบางตาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาแล้ว ลูกค้าน้อยเท่ากับงานสบายและได้เงินเท่าเดิม แต่ถ้าพูดกันแบบอ้อม ๆ หน่อย ก็แอบกังวลเหมือนกันว่าเขาจะปลดเด็กเสิร์ฟพาร์ทไทม์เช่นไอ้แว่นแบบผมออกไหม หากผลประกอบการณ์ออกมาขาดทุนในไตรมาสนี้


แม้ผมจะเป็นแอคเค่อคนหนึ่งที่มียอดฟอลฯหลักหมื่น แต่ในโลกของความเป็นจริง สถานะของผมก็ยังเป็นเจ้าเด็กแว่นหน้าโง่ที่ยังคอยทำหน้าที่บริการเสิร์ฟอาหารและบริการให้กับทุกคนที่พร้อมจะจ่ายเงิน (บวกภาษีอีก 7 %) ให้กับทางร้าน


ผมเองก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป เราอาจจะมีด้านที่คุณไม่ประทับใจนัก แต่วิถีชีวิตของเราก็ยังต้องดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่อปากเพื่อท้องเหมือนกัน


ชีวิตจริง ๆ ก็แบบนั้นแหละครับ ไม่แน่ว่าดาราที่คุณชื่นชอบ เจ้าของแฟนเพจบิ้วตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ครูสอนภาษาทันสมัย รุ่นพี่นักกิจกรรมตัวยงในคณะ นักการเมืองรุ่นใหม่บางคนที่ออกทีวี หรือแม้กระทั่งพนักงานในบริษัทธรรมดาในบริษัทหนึ่ง อีกบทบาทในโลกสมมติของพวกเขาอาจจะเป็นโลกอีกใบที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้


และมันไม่เหมือนในนิยายหรอกนะครับ ที่ชีวิตทุกคนจะเพอร์เฟคหรือโฟลว์แบบไม่มีกระตุกทั้งเรื่อง


ประชากรที่จะสูงหล่อขาวตี๋พ่อแม่รวยลูกเจ้าของบริษัทอะไรเทือก ๆ นั้น ในชีวิตจริงถามว่ามีไหมที่จะมีบทบาทอีกหัวโขนเป็น 
แอคเค่อ? ก็มีครับ แต่มันน้อยอ่ะ น้อยแบบผมกล้าพูดได้ว่าเปอร์เซ็นที่คุณจะเจออะไรแบบนั้นมันมีไม่มากถ้านับจากทั้งหมด (ไม่นับพวกพยายามคีพลุคต่าง ๆ เพื่อการดึงดูด พวกนั้น มันของปลอม ไม่นับแล้วกัน)


เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าในความคิดของคุณ คุณคิดว่าคนเป็นรุกในอุดมคติจะต้องสูงหล่อขาวหน้าตาคมเข้ม เป็นเดือนมหาวิทยาลัย เรียนคณะแพทยศาสตร์หรือวิศวะ ชีวิตของผมและ    เดอะแก๊ง อาจจะไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไหร่นัก ผมคิดว่างั้นนะ


ผมยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม รอยยิ้มอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่การยิ้มช่วยสร้างสถานการณ์ที่ไม่น่าอึดอัดได้เป็นอย่างดี เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของผม คือพยายามกลมกลืนเป็นคนธรรมดาทั่วไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ต้องพยายามกระโดดหาสปอร์ตไลท์หากคุณยังไม่พร้อมจะยอมรับความร้อนจากแสงสว่างที่สาดส่องลงมา


ชีวิตอีกหนึ่งวันของเด็กเสิร์ฟแบบ ‘ธนารักษ์’ กำลังจะจบลง ผมยิ้ม เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลาเลิกงานแล้ว ลูกค้าในร้านเหลือแค่สามโต๊ะ และสองโต๊ะได้ทำการรับประทานอาหารเสร็จสิ้นไปหมดแล้ว ลูกค้าผู้ชายอีกคนกวักมือเรียกบริกรคนหนึ่งไปหา พูดคุยกันไม่นาน เจ้าบริกรนกน้อย (จริง ๆ เขาชื่อเบิร์ด แต่ผมว่า นกน้อยมันน่ารักกว่า) เพื่อนของผมก็เดินออกมาพร้อมกับกวักมือเรียกผมไปหาลูกค้าแทน


“ออกไปคุยกับลูกค้านอกร้านหน่อย” นกน้อยบอกกับผมแบบนั้น


เป็นอันรู้กันว่าปกติแล้วเด็กเสิร์ฟถ้าได้ทิปกับมือ หากยังอยู่บริเวณภายในร้าน ทิปนั้นจะถือเป็นทิปส่วนกลางที่ต้องหารพนักงานในร้านทุกคน ตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน แต่หากลูกค้าอยากให้แบบเฉพาะเจาะจงจริง ๆ ว่า ฉันจะยัดเงินส่วนตัวให้ไอ้เด็กนี่คนเดียว ต้องเรียกออกไปให้บริเวณนอกร้านเท่านั้น จึงจะถือว่าทิปนั้นไม่ต้องใส่กองกลาง


แต่โดยสปิริตแล้วส่วนใหญ่เราก็จะเอามานำเข้ากองกลางกันทั้งนั้น เพราะคาริสม่า โชคชะตาและดาวเหนือของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนเช่นผม หรือไอซ์เด็กเสิร์ฟอีกคน แค่ยิ้มเฉย ๆ ก็ได้แล้วคนละห้าสิบหกสิบ เพราะฉะนั้นแล้วทางร้านไม่บังคับ แต่เพื่อความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เพื่อนร่วมงานรัก การเอาทิปเข้ากองกลางจะช่วยลดความบาดหมางในอนาคตลงได้ 50 %


ผมเดินตามคุณลูกค้าไปถึงนอกร้าน ก่อนจะยิ้มแล้วยกมือสวัสดีตามมารยาท เขาหันมามองหน้าผมพลางยิ้มและคลี่ฟันคู่สวยออกมาให้เห็น จากรูปร่างภายนอกผมคะเนว่า เขาน่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเต็มตัวหรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีสายเลือดตะวันออกไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขาแน่ ๆ


“ธนารักษ์ ... ชื่อจริงเพราะนะครับ” เขาว่าหลังจากมองป้ายชื่อพนักงานของผม พลางทำท่าหยิบแบงก์สีเทาออกมาจากกระเป๋า จะด้วยอะไรสักอย่าง แต่ในหัวของผมพยายามฉายภาพย้อนหลังระหว่างคน ๆ นี้กำลังเข้ามาในร้าน จำได้ว่าบริกรที่บริการไม่ใช่ผมแต่เป็นเจ้าไอซ์ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะเรียกผมมาคุยพร้อมให้ทิปหนักขนาดนี้โดยที่ผมไม่ได้บริการเขา


“แล้วบอกจะบอกชื่อเล่นได้ไหมครับว่าเราชื่ออะไร?” เขาถาม นิ้วทั้งสองนิ้วหนีบแบงก์พันเอาไว้


“ผมชื่อ ‘แทน’ ครับ” ก็ไม่ได้โกหกนะ ชื่อเล่นตัวอักษรแรกของผมเป็นตัวทีจริง ๆ รอยยิ้มประหลาดส่งผ่านกลับมาให้ผม เขายักคิ้วก่อนจะพูดต่อ


“ ‘แทน’ สินะ โอเค ... แทนเลิกงานกี่โมง พอจะมีเวลามานั่งคุยกันหน่อยไหมครับ?” เขาพูดเสียงเรียบ มุมปากมีรอยยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม


“น่าจะไม่สะดวกนะครับ” ผมว่า การเป็นแอคเค่อไม่ได้แปลว่าจะทำให้คุณคุยหรือนัดกับใครที่ไม่มีที่มาที่ไปได้ทุกคนนะครับ


อะไรบางอย่างภายในตัวผมกำลังตะกุยตะกายพื้นพร้อมส่งเสียงเตือนให้ระวัง แม้จะรู้สึกแปลก ๆ พร้อมเตรียมจะชิ่งแต่ผมก็ช้าเกินไปเมื่อเขาพูดประโยคถัดมาให้ฟัง


“ถ้า ‘แทน’ ไม่ว่าแล้ว ‘T-rex’ ละครับว่างไหม?”


ผมตกใจแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า พยายามอย่างมากในการบังคับใบหน้าให้ดูออกเป็นอาการงุนงงค่อนละคนสงสัยมากไปกว่าจะแสดงออกว่าตกใจ พร้อมตีหน้าซื่อและถามกลับไป


“ผมว่าคุณลูกค้าน่าจะจำคนผิดนะครับ ผมชื่อแทนจริง ๆ”


.....จริง ๆ ของผมคือผมใช้ชื่อปลอมในที่ทำงานจริง ๆ จะถามเด็กเสิร์ฟในร้านอีกเป็นร้อยยันผู้จัดการร้านก็ได้คำตอบเดียวกันทั้งร้อยครับ


เขาถอนหายใจทำหน้าปลดปลง พร้อมยกมือถือขึ้นมาจ่อตรงหน้าผม


“ผมขอโทษ แต่ผมแค่มีเรื่องอยาก ‘ขอความช่วยเหลือ’ จากคุณจริง ๆ” เขาพูดออกมา แต่ความสนใจของผมตอนนี้หล่นไปอยู่กับหน้าจอหมดแล้ว


ผมแอบขมวดคิ้ว รู้สึกโกรธแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า การควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องปกติของคนทำงานโดยเฉพาะคนทำงานบริการแบบผมที่ต้องบริหารอารมณ์คน


กระนั้นเองผมก็สัมผัสได้ว่าตัวเองแอบคุกรุ่นไม่น้อยกับหลักฐานที่มัดตัวผมไว้อย่างแน่นหนา ผมถอนหายใจ ดันแว่นเข้ากับใบหน้าอีกครั้ง (ไม่ลืมดึงแบงก์พันใบนั้นเข้าในกระเป๋าอย่างแนบเนียน เพื่อเป็นการไม่หวังน้ำบ่อหน้าพร้อมแยกอีกใบไว้สำหรับเข้ากองกลาง) และให้คำตอบเขาไปอีกรอบ


“ผมเลิกงานหลังสามทุ่ม ไปรอผมข้างบนที่ร้าน... ผมจะไปหาคุณหลังเลิกงาน”


เขาพยักหน้าตกลงก่อนเดินเข้าไปจ่ายค่าอาหาร ผมเดินผ่านไป โดยทำเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ภายในใจคุกรุ่นไปด้วยความโกรธไม่ใช่น้อย ตาสองข้างก็มองตามหลังเขาไปจนลิบตา ไม่รู้เหมือนกันว่าผมผิดพลาดตรงไหน แต่สุดท้ายแล้วผมได้แต่ยอมรับการกระทำของตัวผมเอง


ยิ่งนึกถึงภาพนั้นยิ่งหนักใจ หากจะมีอะไรมัดตัวผมไว้ได้อย่างแน่นหนาก็คงไม่แคล้วรูปภาพของผมกับเจ้า “หน้ากากเสือน้อย” ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวแอคเค่อของผมนั่นแหละ....

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 08-07-2018 12:29:21
เอาจริงๆนะ เราฟอลแอคเค่อไว้เยอะมากกกก ไม่รู้ว่าคนแต่งตั้งใจเอามาแต่งรึป่าว คือนึกถึงแอคน้องเสือน้อยเลย zenotiger คือชอบแอคน้องเป็นการส่วนตัว55555
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 09-07-2018 21:06:53


สวัสดีครับ นิยายเรื่อง ‘แอคเค่อ’ นี้เป็นนิยายเรื่องแรกในนามปากกาของ ‘พ่อแมวพุงโต’

...แม้เราจะเขียนจั่วหัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว่าเป็นนิยาย แต่ข้อมูลหลาย ๆ อย่างก็อาจจะทำให้ทุกท่านสับสนได้ในหลาย ๆ ครั้งคราว ว่าเอ๊ะ คนนั้นคนนี้หรือคนโน้นนที่ใกล้ ๆ ตัว เขาเป็นแอคเค่อรึเปล่านะ ?

เลยต้องขออนุญาตมาย้ำอีกครั้งว่าเรื่อง ‘ทั้งหมด’ ที่แต่งขึ้นมานั้นเป็นเรื่องไม่จริง ชีวิตใครมันจะนิยายขนาดนั้น !!!

จึงขอยืนยันอีกครั้งว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีเค้าโครงเรื่องจริงมาเลยแม้แต่น้อย

จริง ๆ นะ !!!

สำหรับช่องทางการติดตามพ่อแมวพุงโตนะครับ
ทวิตเตอร์ : @chunkydadcat
https://twitter.com/chunkydadcat
แฟนเพจ : พ่อแมวพุงโต
https://web.facebook.com/PotbellyDadcat/
(เราเด๋อเปลี่ยนชื่อลิงก์แฟนเพจไม่เป็น มันเลยกลายเป็นคนละคำกันเฉย แต่ทุกคำก็คือพ่อแมวนั้นแหล่ะนะ !!!)

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามและการรับชม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ และอยู่กับเราไปจนกว่าบทสรุปของเรื่องจะปรากฏออกมา

Ps. สำหรับท่านที่ต้องการกล่าวถึงนิยาย ขอร้องกันตรง ๆ ว่าอย่าใช้ #แอคเค่อ นะครับ แฮชแทกนี้มีเจ้าของทีเป็นกลุ่มคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ถ้าจะพูดถึงน้อง ๆ ทุกคน อยากกราบอ้อนวอนให้ใช้ #แอคเค่อของน้องแมว นะครับ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะมีคนพูดถึงไหม แต่ก็ขอกันมาไว้ก่อน เผื่อเวลาเพื่อน ๆ เสิร์จไปตามอ่านแฮชแทกจะได้ไม่เจออะไรที่ผิดแปลกไปจากที่คิดว่าจะเจอจ้า

แล้วเจอกันนะ :3
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 10-07-2018 07:13:24
ชื่อเรื่องน่าสนใจเลยกดเข้ามา โอโห เหมือนเรากำลังอ่านเรื่องเล่าเลยแฮะ สนุกอ่ะอ่านแล้วสมูธมากกกก
มาติดตามค่าาาา อยากรู้ว่าใครจะเป็นนายเอก พี่กร เด็กที่ทักdmคนนั้น หรือคุณคนนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.2 ขอความช่วยเหลือ | 12/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 12-07-2018 20:55:02
Ep.2 Could you please …?




เวลาเดินช้าลงเสมอเมื่อคุณใจร้อน รอไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน ผมสแกนบัตรพนักงานออกก่อนจะย่ำเท้าด้วยความเร็วแสงวิ่งขึ้นไปที่ร้านกาแฟด้านบน แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไม่ให้ตัวเองทำแบบนั้น

ยิ่งคุณร้อนรนคุณยิ่งเสียเปรียบ ยิ่งคุณนิ่งสงบคุณยิ่งมีอำนาจในการต่อรอง พอคิดได้แบบนั้นก็ฮัมบทสวดมนต์ที่ท่องได้ขึ้นใจ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในร้านกาแฟดังกล่าว

คนเริ่มบางตาเพราะเวลาใกล้ปิดร้าน ผมเดินเข้าไปพร้อมขออนุญาตนั่งฝั่งตรงข้าม เขาผงกหัวรับก่อนผมทิ้งตัวลงฝั่งตรงข้าม เราจ้องตากันแบบนั้นราวครึ่งนาที ก่อนผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เปิดประเด็นคำถามขึ้นมา

“คุณต้องการอะไร” ผมถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ออกมาโทนสูงหรือต่ำจนผิดปกติ เขายันตัวขึ้นมานั่งตัวตรงไม่พิงติดผนัง พร้อมยื่นโทรศัพท์ออกมาบนโต๊ะแก้ว

“ก่อนอื่นเลย ผมขอโทษที่ทำแบบนี้” พูดเสร็จก็ก้มหัวให้ผม

สารภาพตามตรง แม้ผมจะควบคุมอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้ผมตกใจระคนสับสนมากกว่า คน ๆ นี้เดี๋ยวให้ทรัพย์ เดี๋ยวขู่ เดี๋ยวสุภาพ จนผมตามไม่ทัน

“ผมอยากให้คุณสบายใจได้ ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ และผมไม่ได้ขอร้องคุณฟรี ๆ และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจดังกล่าวว่า ผมมีเจตนาแค่มาขอร้องคุณจริง ๆ เชิญคุณลบภาพนั้นทิ้งได้เลย” เขาว่า พร้อมดันโทรศัพท์มาทางฝั่งผม ดวงตานั้นสองข้างสงบนิ่ง หนักแน่นเหมือนคำที่พูดมา

“ตอบคำถามผมมาก่อน คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากผม” ผมพูดเร็วปร๋อพร้อมเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ราคาแพงมาไว้กับตัว ตัดสินใจยังไม่ลบหลักฐานชิ้นนั้นจนกว่าจะชัดเจนอีกว่าฝ่ายต้องการอะไร เขาเอื้อมมือไปคว้าเป้ก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาสองสามเล่ม

“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทีเร็กซ์เคยเห็นหนังสือพวกนี้ไหม แต่ทั้งหมดนี่  ผมเป็นคนเขียนเอง” เขาว่า ก่อนดันหนังสือมาตรงหน้าผม

แม้จะไม่ใช่หนอนหนังสือตัวยง แต่ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็นหนังสือท็อปลิสต์ติดชาร์ตขายดี 10 อันดับแรกของร้านหนังสือ และเป็นหนังสือที่ขายดีติดต่อกันยาวนานในช่วงที่นิยายเรื่องนี้ถูกนำไปทำเป็นซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังทางช่องเคเบิ้ลช่องหนึ่ง

“ไอ้เคยเห็นน่ะเคย แต่ผมจำได้ลาง ๆ ว่านักเขียนเขาไม่ออกมาเปิดเผยตัวไม่ใช่เหรอครับว่าเขาเป็นใคร ผมจำได้ว่าไม่เคยเห็นภาพเขาออกงานเลยสักครั้ง แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณมีภาพแบล็คเมล์ของผม?”

เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหยิบไอแพดออกมาสไลด์ ไม่นานก็วางให้มเห็นภาพหนังสือสัญญาระหว่างนักเขียนและสำนักพิมพ์ รวมไปถึงค่ายทำซีรีส์ชื่อดังดังกล่าว

“นั่นคือหลักฐานยืนยันว่าผมคือคน ๆ นั้นจริง ๆ ก่อนอื่นเลยผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ อิชสึกิ โช เรียกผมสั้น ๆ ว่า ‘โช’ ก็ได้ครับ ผมก็เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่รักอิสระและรักศิลปะที่ตัวเองสร้างมากเกินกว่าจะอยากให้ใครตัดสิน  มันจากอคติทั้งบวกและลบ ไอ้ที่ไม่เปิดเผยตัวน่ะมันทั้งเหตุผลทางการค้าและเหตุผลส่วนตัวครับ

เหตุผลทางการค้าคือ มันเป็นกิมมิคให้คนได้ตามงาน ยิ่งผมที่เป็นนักเขียนเป็นความลับมากเท่าไหร่ คนยิ่งสงสัย ผลงานของผมยิ่งน่าสนใจ ส่วนเหตุผลส่วนตัวก็อย่างที่บอกไป ผมรักผลงานของผม ผมรักศิลปะพวกนั้น ผมไม่ได้ต้องการชื่อเสียง ผมต้องการแค่ถ่ายทอดศิลปะของผมออกไป

มนุษย์เรามีอคติทั้งบวกคือการเข้าข้างในตัวบุคคล และลบคือความไม่ชอบใจในตัวบุคคล ผมอยากให้ผลงานของผมได้รับเสียงตอบรับไม่ว่าจะบวกหรือลบจากตัวผลงาน ...ไม่ใช่เพราะมีส่วนผสมที่เรียกว่าตัวผมเจือจางลงไปในผลงาน"

อาจจะเพราะโชเป็นนักเขียนเลยทำให้คำอธิบายของเขาค่อนข้างชัดเจนและรัดกุม เขาเว้นวรรคเหมือนรอให้ผมได้ย่อยข้อมูลและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะมองหน้าผมและเปิดสไลด์หน้าถัดไป

“ผมเชื่อว่าคุณคงเคยเห็นหรือได้ยินข่าวนี้”

“อ่า” ผมอุทานออกมาเบา ๆ ไอ้ข่าวที่เขาว่ามาน่ะ ผมยิ่งกว่าเคยได้ยินหรือเห็นเสียอีก

“เมื่อประมาณช่วงเดือนก่อนมีข่าวอัตราจ้างข้าราชการคนหนึ่งแบล็คเมล์เยาวชนด้วยการถ่ายคลิปวิดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่ออัดไว้ เพื่อบังคับเหยื่อให้กระทำซ้ำ ....หลาย ๆ แหล่งข่าวยังบอกต่อด้วยว่าบุคคลต้องสงสัยดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ HIV และนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจประเด็นนี้และมาหาทีเร็กซ์ครับ”

ตอนนั้นในโลกสว่างเล่นข่าวกันอึกทึกครึกโครมไปหลายวันอยู่เหมือนกัน และก็นับว่าเป็นวาระแห่งชาติของโลกมืดก็ว่าได้เมื่อแอคเค่อแทบทุกคน ทุกฝ่ายที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักหรืออาจจะเป็นคู่กรณีเก่ากันมาก่อนพร้อมใจกันเล่นประเด็นนี้ ตลอดไปจนถึงการขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว การประสานงานกันอย่างรวดเร็วจนสามารถหาหลักฐานเพิ่มเติมในการมัดตัวและจบเคสนี้ลงได้อย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นสันติสุขช่วงสั้น ๆ ของโลกทวิตด้านมืดก็ว่าได้

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่เขากระทำไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผม หรือแอคเค่อคนอื่น ๆ แต่ขอบอกด้วยความสัตย์จริง พวกเราแม้จะอยู่กันในโลกมืด แต่ก็ไม่เคยตีอกชกหัวหรือบังคับขู่เข็ญให้ใครมานอนทอดกายให้กับเรา ทั้งหมดนั้นคือความสมัครใจของคนทั้งสองคน(หรือมากกว่านั้น) ตั้งแต่การร่วมเพศ ยันการสร้างสรรค์ผลงาน

ต่อให้จะเป็นโลกมืดแต่โลกทุกใบก็มีกฎของมัน แม้ไม่มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ข้อบังคับด้านความปลอดภัย เช่น การสังเกตเรื่องการใส่ถุงยางอนามัย หรือการป้องกันต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเนื่อง ๆ ถึงจะมีกลุ่มคนที่นิยมการไม่ป้องกัน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดที่คิดแบบนั้น ผมอยากบอกไว้ตรงนี้

พวกเราอาจจะไม่ใช่คนดี แต่พวกเราไม่คิดว่าการทำร้ายกันไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนามันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

ทั้งผมและโชต่างจมกับความคิดไปชั่วขณะ ก่อนเขาจะกล่าวจุดประสงค์ในการมาหาผมครั้งนี้

“ผมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแอคเค่อและการใช้ทวิตเตอร์ของเพศที่สามในลักษณะการหาคู่นอน ทั้งจุดประสงค์ ทั้งวิธีการ ทั้งการดำเนินชีวิต และอื่น ๆ เพื่อนำไปประกอบในการเขียนนิยายและบทซีรีส์ของเพศที่สามที่ทางค่ายสนใจ จะจัดทำขึ้นมา

สารภาพตามตรง เราต้องการขายประเด็นของเพศที่สามที่แตกต่างออกไปจากความสดใสในการเป็นเพศทางเลือกของค่ายอื่น ๆ คือมากกว่าการบอกว่าอะไรผิดหรือถูกในเรื่องของรสนิยม เราต้องการนำเสนอภาพอีกด้านของสังคมที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

คือมันไม่ใช่แค่การที่คนที่ “คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย” สองคนตกหลุมรักกัน แต่มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อีกด้านของคนกลุ่มหนึ่งในสังคม ตลอดไปจนถึงการจำลองสถานการณ์รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาที่อย่างน้อยที่สุด ตัวผมเองก็คาดหวังว่าคนดูจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ หากตัวเขาเองต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น มันอาจจะเป็นทางเลือกให้เขาได้สามารถตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้...”

“เพราะสื่อมีผลต่อผู้ชม/ก็สื่อมีผลต่อความคิดของผู้บริโภค”

ผมหยุดชะงักเมื่อเราทั้งคู่ต่อประโยคนั้นด้วยลักษณะความหมายที่ใกล้เคียงกัน โชยิ้มเห็นฟันอีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ

“เพราะแบบนี้ไงผมถึงเลือกคุณ”

แววตาของโชไม่ได้สื่ออารมณ์ไปถึงความรู้สึกลึกซึ้งแบบที่คนอื่นมอบให้ผมเวลากระทำกิจ แต่มันเป็นแววตาของคนที่เชื่อมั่นในบางสิ่งบางอย่าง และหนักแน่นในการตัดสินใจของตนเอง

“ผมจะไม่เขียนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นยังไง คุณลองนึกภาพดูนะ สมมติผมนั่งเทียนเขียนนิยายไปแบบมั่ว ๆ แล้วคนที่เขาอยู่ในสถานการณ์จริง ๆ เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง หรือเขียนเรื่องที่มันไม่เมคเซนส์ออกไป มันคงน่าตลกขบขันหรืออาจจะถูกตำหนิได้ว่าผมหาข้อมูลมาไม่มากพอ” เขาว่า

“แบบที่นิยายวายบางเรื่องชอบอธิบายว่าการหลั่งใน ฝ่ายรับต้องรู้สึกถึงความอบอุ่นของสัมผัสทั้ง ๆ ที่ลำไส้คนเรามันไม่สามารถสัมผัสอุณหภูมิได้น่ะเหรอครับ?” ผมหยอก ใช่ว่าผมไม่เคยอ่านนิยายพวกนั้นแล้วรู้สึกขัดใจเสียเมื่อไหร่

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง เห็นไหมครับ เวลาคนที่เขารู้จริงมาอ่านอะไรที่มันไม่เมคเซนส์ มันจะเกิดอาการหยิกแกมหยอกแรง ๆ แบบที่ทีเร็กซ์ว่ามาน่ะครับ”

เราเว้นช่วงกันอีกครั้ง ตอนนี้ผมเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย และจุดประสงค์แล้ว แต่นั่นก็ยังไม่เคลียร์อยู่ดีว่าทำไมต้องเป็นผม ในเมื่อมีแอคเค่อ อีกเป็นร้อยเป็นพันไม่ใช่มีแต่ผมเสียเมื่อไหร่

“ผมเข้าใจที่คุณพูดมาทั้งหมด แต่นั่นยังถือว่าตอบคำถามของผมไม่หมด แล้วทำไมต้องเป็นผม แอคเค่อคนอื่น ๆ ก็มีอีกตั้งเยอะแยะ” คุณอาจไม่ระแวงคนได้ แต่คุณต้องระวัง นั่นคือสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

โชยกมือสางผมลวก ๆ ก่อนเขาจะแสดงสีหน้าท้อแท้ออกมานิดหน่อย

“ผมขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่ง ช่วงแรกที่ได้ผมตั้งโจทย์กับตัวเอง และต้องหาข้อมูล ผมก็แอบไปไม่เป็นเหมือนกันนะกับทวิตเตอร์ คือมันเปิดโลกของผมมากเลย แบบ ผมไม่คิดว่าคนเราจะกล้าถ่ายอวัยวะเพศตัวเองโชว์ลงบนอินเตอร์เน็ต” โชว่า สีหน้าเริ่มขึ้นเลือดฝาดหน่อย ๆ

“ผมพยายามศึกษาทั้งวิธีการโพสต์ ทั้งการแท็ก การตั้งชื่อทวิตประหลาด ๆ การโต้ตอบสนทนาผู้คนในแวดวงนั้น แต่ก็มีหลายคำถามที่สงสัย เช่นช่วง  แรก ๆ ผมไม่ทราบว่า ‘บิน’ คืออะไร ทำไมต้องบิน? ตลอดไปจนถึงศัพท์แปลก ๆ อีกมากมายที่เอาจริง ๆ ผมไม่รู้ผมจะไปถามใคร ในชีวิตจริงสังคมของผมก็ไม่ได้แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีลักษณะอันเปิดเผยแบบนี้” เขาว่าต่อ

“ขอแทรกหน่อยนะคุณ คือเออ....คุณเป็นผู้ชายแท้ ๆ ถูกไหม?” ผมถามต่อเพื่อความแน่ใจ

“ตอนนี้คิดว่าใช่” เขาว่า ยักไหล่ก่อนจะอธิบายต่อ

“รสนิยมของคนมันเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันนี่คุณ เราอาจจะเคลมก็ได้ว่าวันนี้เราเป็นผู้ชาย แต่ถ้าสักวันผมเกิดชอบผู้ชายขึ้นมาผมจะอธิบายกับตัวเองยังไงล่ะครับ มนุษย์น่ะลื่นไหลทางเพศและรสนิยมได้นะคุณ งานวิจัยเขาบอกมาแบบนั้นนะไม่ใช่ว่าผมมโนเอง”

โชอธิบายต่อ ผมพยักหน้าเห็นด้วย ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ อยากทดลองเสียเมื่อไหร่กัน

“หลังจากพยายามส่องทวิตเตอร์ที่มี followers หลักหมื่นอัพหลายยูสเซอร์ ในที่สุดผมก็พยายามคัดกรองให้เหลือยูสฯที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันในหลาย ๆ ประการ เช่น ยูสฯที่ป้องกันทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ ยูสฯที่มีการรณรงค์เรื่องการป้องกันทั้งทางตรงและทางอ้อม และคุณลักษณะอีกสองสามประการ จนมาเจอทวิตเตอร์ของคุณและคิดว่าคุณน่าสนใจดี”

ถ้าแบบนั้นผมก็เข้าใจได้ ด้วยคุณลักษณะที่ว่ามา แอคเค่อส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายตามนี้ตีความได้เลยว่ารู้จักกับผมแน่ ๆ 70 % ส่วนอีก 30 % ที่เหลือเป็นพวกป้องกันตัวเองรัดกุมมาก ๆ และอาจจะไม่ติดต่อกับใครเลยแม้กระทั่งแอคเค่อด้วยกัน

“คุณเป็นคนที่แบบ ... จะอธิบายยังไงดี?” ผมรู้สึกว่าคาแรคเตอร์ของคุณมันจัดจ้าน และเป็นคาแรคเตอร์ที่สามารถดึงดูดผู้คนเข้าหาตัวคุณได้โดยไม่แบ่งฝักฝ่าย ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่หลาย ๆ คนสามารถไว้วางใจได้ ดูจากบทสนทนาโต้ตอบบทอินเทอร์เน็ตที่รัดกุมและไม่ล่วงเกินใครเลย ไม่เคยมีประวัติเสียหายใด ๆ ผมเลยคิดว่าถ้าผมคุยกับคุณได้ก็คงจะดีแต่...”

โชเว้นวรรค ผมขมวดคิ้วก่อนจะร้องอ้อเมื่ออีกฝ่ายเปิดหน้าจอสไลด์ให้ผมดู

“ผมไม่ตอบ dm คุณ”

“ใช่ คุณหยิ่ง”

“ผมเปล่าหยิ่ง ผมแค่ทำตามกติกา” ผมยักไหล่พร้อมชี้ให้เขาดูไบโอฯของผมเป็นการยืนยัน

“ก็คุณเล่นบอกว่าจะตอบ dm only bottom นี่หว่า ใครมันจะไปสามารถทำตามกติกานั้นได้ ในเมื่อผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายเลยสักครั้งจะรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นอะไร”

 เขาเบ้ปาก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนจะสไลด์ขึ้นลงให้ผมรับรู้ว่าเขาพยายามทัก dm ผมมาหลายรอบขนาดไหน

“เลยหาทางแบล็คเมล์ผมเพื่อลากตัวมาคุยเลยว่างั้น?” ผมเลิกคิ้ว เอาเรื่อง เขาหัวเราะแห้ง ๆ เชิงขอโทษอีกครั้งก่อนจะทำสีหน้าจริงจังและพูดต่อ

“ผมสาบานได้ นอกจากผมแล้วไม่มีใครมีรูปนั้นอีกแล้ว ผมขอโทษที่ผมอาจจะบอกไม่ได้ว่าผมไปได้มันมาได้ยังไง แต่หลังจากคุณลบไปมันจะไม่มีวันโผล่มาอยู่กับใครอีกเด็ดขาดแน่นอน ผมรับประกันด้วยชีวิตของผมได้”

หากคุณเป็นคน ๆ หนึ่งที่มีความลับที่ใหญ่มากเช่นการเป็นแอคเค่อ การไว้วางใจคนผิดนับว่าเป็นเรื่องที่อาจจะนำอันตรายมาสู่ตัวได้

แต่น่าประหลาด โชเป็นคนที่ดูเปิดเผยประการหนึ่ง ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง และการแสดงออกของเขา บ่งบอกว่าเขาคิด พูด และทำตามที่ว่ามาจริง ๆ โดยไม่มีการปิดบัง สัตว์ร้ายในตัวของผมตะกุยพื้นด้วยลักษณะที่คิดตรงกันกับผมว่าเราสามารถเชื่อใจเขาได้

อย่างน้อย ๆ การที่เขายอมมาเสียเวลานั่งอธิบายอะไรพวกนี้โดยไม่มีลักษณะของการข่มขู่ใด ๆ ก็พอจะเป็นความอุ่นใจประการหนึ่งให้กับผมได้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายผม ในลักษณะที่คนอื่น ๆ เคยเจอมาจากการไว้วางใจคนที่ผิดพลาด

เราทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปหลายนาที พนักงานเริ่มทยอยเก็บกวาดและเช็ดถูบริเวณภายในร้าน ผมถอนหายใจปลดปลงครั้งหนึ่งพร้อมตัดสินใจอีกครั้ง แม้อาจจะไม่รู้ว่าอนาคตเรื่องราวจะเดินไปในทิศทางไหน แต่หากการกระทำในครั้งนี้จะไม่ขัดต่อความถูกต้องในใจของผม ผมก็คิดว่าไม่ผิดอะไร ถ้าจะตัดสินใจเชื่อใจและช่วยเหลือคนแปลกหน้าคนนี้สักครั้ง

“ผมต้องทำอะไรบ้าง?” นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา

ก็หวังว่าการตัดสินใจของผมจะไม่ผิดพลาดเป็น ‘ครั้งที่สอง’ ล่ะนะ




“เป็นไงมั่ง โอเครึเปล่า?” ผมถาม เจ้าเด็กน้อยยกนิ้วโป้งขึ้นมาแทนคำตอบก่อนจะนอนหอบสูดอากาศเข้าปอด เหมือนคนเพิ่งผ่านการวิ่งมินิมาราธอนมาหมาด ๆ

“สุดยอด เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็ก ๆ มาหาพี่เยอะ” เขาชม

ผมหัวเราะรับคำก่อนจะปล่อยให้เขาพักเหนื่อยสักแป๊บ พอเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วก็พาเขาไปอาบน้ำ พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้เจ้าเด็กแสบเกิดความรู้สึกต้องการขึ้นมาอีกรอบ

ผมสระผมให้เจ้าแสบ ก่อนจะลูบสบู่เหลวไปตามทุกซอกของร่างกาย ก้มลงไปขัดเท้าทั้งสองข้างให้กับน้องมัน เจ้าตัวชักเท้าหนีนิดหน่อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ผมขัดด้วยดี

“พี่ทำผมเขิน”

“จริงเหรอ คนอะไรเขินยังน่ารักเลย” ผมว่า สวมกอดแล้วจุ๊บต้นคอของเขาเบา ๆ หลังจากยืนขึ้น สีหน้าลูกครึ่งฝรั่งฝาดจนออกจะอมชมพูขึ้นมาหลัง คำชมนั้น หลังจากเอาผ้าเช็ดตัวขยี้ ๆ หัวให้เขาจนศีรษะแห้งเสร็จ เราทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมสวมบ็อกเซอร์ง่าย ๆ ก่อนจะส่งมือถือให้เขาดู

“ลองเช็กดูนะครับว่ามีตรงไหนที่ไม่โอเคหรืออยากให้พี่ลบไหม?”

ทุกครั้งหลังการถ่ายทำ “ผลงาน” ผมจะให้ตัวเอกในคลิปเป็นคนเช็กว่ามีอันไหนบ้างที่เขาสบายใจจะให้เผยแพร่ มีอันไหนบ้างที่เขาอยากให้มันปราศจากโลกใบนี้ไป

ผมยึดเอาความสบายใจของคู่นอนเป็นหลัก การไม่ล่วงเกินขอบเขตของกันและกันคือวิธีการรับมือที่ดีที่สุดในความสัมพันธ์บนเตียงของคนสองคน

น้องแม็กซ์รับมือถือไปอย่างว่าง่าย เขาสไลด์และกดเล่นคลิป ปิดปากหัวเราะอย่างน่ารักก่อนจะบอก

“ตอนเวลาไม่เห็นหน้าผมเต็ม ๆ นี่ผมก็น่ารักไปอีกแบบนะ”

“จะเห็นเต็ม ๆ หรือไม่เห็น พี่ว่าก็น่ารักทั้งหมด” ผมหยอด แต่สาบานได้  เขาน่ารักแบบเด็กวัยรุ่นโตเต็มวัยจริง ๆ

“โหอย่ามา ผมน่ารักสู้เด็กพี่ไม่ได้หรอก” เขาหยอกแกมหยิกกลับ

“อ้าวแล้วเราไม่ใช่เด็กพี่เหรอ” แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้หยอกกลับง่าย ๆ แน่

“โถ่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็ลืมผม” เขาว่าเหมือนตัดพ้อเบา ๆ แต่จากดวงตาที่ผมสัมผัสได้ เขาแค่พูดหยอก ไม่ได้มีความหมายนัยยะใด ๆ อย่างสิ้นเชิง

“ไม่ลืมหรอก ถ้าเราไม่เบื่อพี่ไปซะก่อนเราก็คุยกันไปแบบนี้แหละ” น้องแม็กซ์พยักหน้ารับคำ ผมดึงเขามานอนทับแขนเบา ๆ ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าผม ทำให้ขาเจ้าเด็กนี้ยาวจนพาดเลยตัวผมไปด้วยซ้ำ คล้ายกับพ่อโคอาล่าตัวเตี้ย ๆ กำลังโดนลูกน้อย ๆ กอด

“ขอบคุณนะครับ พี่ทำให้เฟิร์สเซ็กซ์ของผมมันวิเศษมาก” เขาว่า ผมขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะถาม

“จริงเหรอ? พี่ก็นึกว่าเราเคยมาบ้าง” ก็ถึงจะดูไม่ชำนาญเท่าพวกชั่วโมงบินเยอะ ๆ แต่เมื่อกี้ก็มีไม่มีช่วงนะครับที่เจ้าเด็กนี่เอาฟันครูดกับทีเร็กซ์(ไม่)น้อยของผม

“ผมเคยมีแฟนนะ แต่ผมกลัวมาตลอดเลย ผมกลัวว่าถ้าผมมีอะไรกับเขาแล้วมันจะเป็นยังไง ผมจะเจ็บไหม หรือผมจะมีความสุขรึเปล่า? แล้วมันจะปลอดภัยไหม เกิดถุงยางหลุดกลางคันต้องทำยังไง เกิดผมห้ามเขาไม่ได้ ทั้งเรื่องโรคเรื่องอะไร คือมันไม่มีใครมาคอยบอกผมเลยว่าครั้งแรกต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง” แม็กซ์ว่า

“คือที่โรงเรียนสอนสุขศึกษานะ แต่เขาสอนแค่วิธีช่วยตัวเอง แต่ไม่เห็นมีใครแนะนำวิธีการมีเซ็กซ์ที่ถูกต้องหรือปลอดภัยเลย ไอ้ที่บอกว่าให้ใส่ถุงก็เข้าใจ แต่ผมหมายถึงในกรณีที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่นเด็กที่เป็นรับ เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด เป็นเพศที่สามแบบผม ไม่เห็นมีใครมาบอกเลยว่าต้องป้องกันยังไง”

“อ่า” ผมครางรับคำ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจที่เขาพูดมา แต่ก็เข้าใจในบริบทของโรงเรียนเช่นกันว่าเรื่องแบบนี้มันก็คงสอนลำบากพอสมควรกับประเทศที่ยังไม่ได้เปิดกว้างเหมือนกับภาพลักษณ์ที่สร้างเอาไว้

“ผมถึงได้บอกไง ว่าผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงมาหาพี่บ่อย” เขายันตัวขึ้นก่อนจะพูดต่อ

“พี่ไม่ได้น่ารัก ไม่ได้หล่อแบบเวอร์ ๆ แค่ออกไปเดินห้างก็เจอคนหน้าตาดีกว่านี้แล้ว แต่สิ่งที่พี่มีคือความสบายใจ แบบ ผมมั่นใจว่าไอ้คลิปพวกนั้น มันจะไม่กลับมาทำร้ายผมแน่ ๆ คือมันก็น่าแปลกใจนะว่าทำไมผมถึงไว้ใจพี่ได้ขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เราเจอกัน แต่ทุกอย่างที่พี่ทำมันแทนคำตอบจริง ๆ พี่โคตรเซฟผมอ่ะ มีทั้งหน้ากาก มีทั้งผ้าคลุม ทั้งตัดเสียงออก คือมั่นใจได้จริง ๆ ว่ามันจะไม่มีอะไรที่ไม่น่าสบายใจหลุดออกไป แถมพี่ยังแคร์อีกต่างหากว่าผมแฮปปี้ไหม” เจ้าตัวว่าเสียงหวาน

“พี่จะสอนเราอย่าง อย่าเพิ่งไว้ใจคนง่าย ๆ แม้แต่กับพี่ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ คนเราไม่มีใครโชว์ด้านที่ไม่ดีของตัวเองให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ หรอก เราเองก็ต้องระมัดระวังด้วยนะ ถ้าจะไปนัดกับคนอื่น อย่าลืมที่พี่สอนนะ ถ้าจะปิดไฟ ก็สัมผัสถุงยางอนามัยบ้างว่ามีรอยรั่ว รอยขาด หรือมีปัญหาอื่น ๆ ไหม ถุงร่นไปถึงปลายลำรึเปล่า มีโอกาสหลุดจากด้านในไหม อีกฝ่ายดูไว้วางใจได้แค่ไหน” ผมสอนเขาต่อ อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะชอบบอกให้ทุกคนระแวดระวังตัว โลกใบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากโลกสว่าง เรามีทั้งคนที่ไว้วางใจได้และไม่ได้ให้เข้ามาวนเวียนพบเจอเสมอ ๆ

“ขอบคุณนะครับพี่ชาย สัญญากับผมนะ ว่าถ้ามีแฟนแล้วต้องบอกให้ผมรู้ ผมจะได้ไม่เข้าไปรบกวนพี่อีก” เขาว่า พลางส่งนิ้วก้อยมาให้กับผม

“สัญญาครับ พี่ไม่เคยหายไปจากชีวิตใครโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีการบอกกล่าวกันแน่นอน”

เพราะพี่รู้ดีว่าการหายไปจากชีวิตใครคนหนึ่งโดยไม่มีวี่แววมันเจ็บปวดขนาดไหน

ผมกับแม็กซ์นอนคุยกันถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป ความเป็นเด็กม.หกที่ต้องเตรียมตัวสอบพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงระบบการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นว่าเล่นสร้างความหนักใจให้เด็กนี่ไม่น้อย สิ่งที่ผมทำได้คือการแนะนำแนวทางที่จำเป็น เชียร์อัพให้เขาพยายามอ่านหนังสือเตรียมตัวไว้ก่อน ขอแค่เราพร้อมมากพอ  ไม่ว่าจะเป็นระบบแบบไหนเราก็จะสามารถชนะมันได้อย่างแน่นอน

ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็หลับไป ปล่อยให้เสียงเพลงบรรเลงตามท่วงทำนองของมันแบบนั้นไปเรื่อย ๆ


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.2 ขอความช่วยเหลือ | 12/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 12-07-2018 22:58:21
มาตามเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.2 ขอความช่วยเหลือ | 12/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-07-2018 02:03:02
 o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.2 ขอความช่วยเหลือ | 12/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-07-2018 12:51:16
เหมือนกำลังอ่านเรื่องเล่าอยู่เลย เรียลจังค่ะะ มารออัพทุกวันๆ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.2 ขอความช่วยเหลือ | 12/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-07-2018 22:28:27
ตามมมมม น่าสนใจมากกกก
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 15-07-2018 21:43:17


Ep.3 The Informant




หลังจากตื่นนอนกันตอนสาย ๆ ของอีกวัน ผมพาแม็กซ์ไปอาบน้ำ พร้อมพาเจ้าตัวดีไปทานข้าวที่ร้านอาหารใต้หอ พอเสร็จสรรพก็ส่งน้องขึ้นรถประจำทางกลับบ้านไป

เจ้าแม็กซ์ไลน์มาขอบคุณผม สัญญาว่าจะหาเวลามาเจอกันให้ได้ในอีกหลาย ๆ ครั้ง ผมหัวเราะและตอบเขากลับไปว่าเอาที่เขาสะดวกได้เลย

เป็นอันจบการรักษาความสัมพันธ์ระยะสั้นที่อาจจะสามารถกลายเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ในระยะยาวได้ หากเราเว้นวรรคให้คนแต่ละคนมีที่ว่างในการหายใจมากพอ

กิจกรรมของผมในวันหยุดวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เรียกได้ว่ามันกำลังจะเริ่มต้นมากกว่ากับการ “ให้ความช่วยเหลือ” ใครบางคน

โชบอกกับผมว่า ปกติแล้วการสัมภาษณ์ของเขาจะไม่สามารถทำครั้งเดียวแล้วจบได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเขียนนิยายสไตล์เขา เขาบอกว่าเราอาจจะต้องเจอกันจนกว่าพล็อตเรื่องนิยายของเขาจะสามารถนำไปขึ้นรูป และเขียนได้จนจบเล่ม จริง ๆ ผมก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยสัมผัสมา

ดังนั้นถ้าสรุปง่าย ๆ ก็คือเราจะเจอกันอีกหลาย ๆ ครั้งจนกว่าเขาจะหมดข้อสงสัยในความเป็นแอคเค่อนั่นแหละนะ

เรานัดกันที่ร้านกาแฟแถวห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยของผม ที่นี่ค่อนข้างเงียบ ออกจะร้างด้วยซ้ำในบางเวลา แต่ก็เหมาะดีที่จะเป็นสถานที่สำหรับคุยเรื่องอย่างว่า แหมคุณ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ทุก ๆ เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวนะ

ผมแต่งตัวด้วยชุดลำลองเรียบง่าย สวมแว่นตาอันหนา สางผมยาว ๆ แล้วทับลงด้วยหมวกสีน้ำเงินตุ่น ๆ อีกใบ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการการแต่งตัวแบบสามารถค้นหาได้ทั่วไป ผมชอบความธรรมดาของตัวเอง ยิ่งมีคนสามารถมองผ่านผมไปจากคนอื่น ๆ ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

โดยสารรถประจำทางไม่นานก็มาถึงห้าง ผมมาถึงก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย พอไปถึงร้านกาแฟที่เรานัดกันก็พบว่าเขายังไม่มา ผมเลยเลือกจะเดินเข้าไปนั่งในมุมร้านกาแฟ จนเวลาล่วงเลยเวลานัดผ่านไปราวห้านาทีเศษ คนอีกคนที่นัดกันไว้ก็เดินลงมานั่งข้าง ๆ

โชสวมเสื้อสีน้ำอ่อนแขนยาวแต่พับขึ้นมาถึงข้อศอก พร้อมห้อยสร้อยไม้กางเขนอันเล็ก ๆ ไว้ที่คอ พอดูรวม ๆ กับกางเกงยีนส์และรองเท้าสีน้ำตาลนั่น ก็พบว่าหมอนี่แต่งตัวได้ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก เขาผงกหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษที่มาสายกว่าเวลาไปนิดหน่อย หลังจากสั่งเครื่องดื่มจากบริกร (แน่นอนว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลี้ยงผม) เสร็จสรรพโชก็เข้าสู่กระบวนการทำงานทันที

“โอเค ก่อนอื่นเลย ผมขออนุญาตสอบถามก่อนนะครับ ผมขอบันทึกเสียงไว้ได้ไหม? แน่นอนว่าเสียงที่บันทึกนี่จะไม่สามารถมีใครมีได้นอกจากผม” เขาว่า

“จะว่าอะไรกันไหมถ้าผมจะบอกว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่กับการบันทึกเสียง คุณเขียนหรือพิมพ์บันทึกเป็นโน้ตไว้ได้ไหมครับ ส่วนอันไหนไม่แน่ใจหรืออยากสอบถามเพิ่มเติมหรือถ้ากลัวว่าจะตกหล่นประเด็นอะไรก็สอบถามผมได้นะ”

ผมเชื่อใจเขา แต่นั่นมันคนละเรื่องกับการสร้างหลักฐานมัดคอตัวเอง

เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายผม แต่หลักฐานชิ้นนั้นอาจจะตกไปอยู่ในมือใครสักคนที่ไม่หวังดีก็ได้ มันไม่มีใครรู้อนาคตจริง ๆ ว่าชีวิตเรากำลังเดินไปทางไหน เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรที่ระมัดระวังได้ ผมก็ขอระมัดระวังหรือถึงขั้นระแวง ดีกว่าไว้วางใจแล้วมาโดนฮุบทั้งตัวในภายหลัง

“ผมเข้าใจครับ” โชพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเก็บเครื่องบันทึกเสียงลงไปในกระเป๋าเป้ของเขา พอดีกับที่บริกรเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับเราทั้งคู่ เราดูดคนละเล็กน้อยก่อนโชจะเริ่มเปิดปาก

“ก่อนอื่น คุณเล่นทวิตเตอร์มานานรึยังครับ?”

“ถ้านับแล้ว จริง ๆ ครั้งนี้ผมเล่นเป็นครั้งที่สองนะ เคยเล่นครั้งแรกตอนช่วงสมัยม.ปลายเหมือนกัน แล้วก็ปิดตัวลงไปครับ เพิ่งมาเปิดอีกทีเมื่อประมาณช่วงกันยายนปีที่แล้ว แล้วก็เล่นบ้างหยุดบ้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้” ผมตอบกลับ เห็นเขากำลังพิมพ์ขะมักเขม้นลงในแลปท็อปส่วนตัวที่นำมาด้วย และบอกตามตรง หมอนี่พิมพ์แป้นพิมพ์ได้ไวมาก ๆ สมแล้วที่เป็นนักเขียน

“ช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่างสถานะบนเตียงเท่าที่คุณพอจะอธิบายได้ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

“ก็เหมือนที่เคยได้ยินมากันนั่นแหละครับ แต่ถ้าแบ่งตามความเข้าใจผมนะ ในโลกทวิตเตอร์น่ะจะมี รุก ก็ตรงตัวเลย ทำหน้าที่เป็นคนสอดใส่ รับ ก็ตรงข้ามกับที่กล่าวถึงรุก ไบ ก็ผู้ชายที่สามารถมีอะไรได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะมีสถานะเป็นรุกทั้งคู่เท่านั้น ส่วน โบท ก็คล้ายกับไบ เพิ่มเติมแค่สามารถรับได้กรณีมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน จริง ๆ มันก็มีแค่นี้แหละ แต่ก็อาจจะมีบางคนเติมคำขยายลงไป โบทรับ โบทรุก ไบรับ ไบรุก แต่สุดท้ายมันก็แค่การแบ่งคำตามความพึงพอใจของคนเราอ่ะครับ” ผมร่ายยาว

“ผมเคยอ่านผ่าน ๆ มาบ้าง ไบจะค่อนข้างเป็นที่นิยมหรือน่าดึงดูดกว่ารุกอย่างเดียวรึเปล่า?” โชพูดไปพิมพ์ไป ผมสร้างประโยคคำตอบในหัวก่อนจะตอบกลับไป

“มันเป็นเรื่องแปลก ๆ เหมือนกัน แต่ส่วนผสมอะไรที่มีความ ‘ชายแท้’ อยู่ด้วยมันจะน่าดึงดูดมากกว่า คือถ้าบอกว่าเป็นรุกก็เข้าใจตรงกันใช่ไหมว่าคุณเป็นเกย์แน่ ๆ 100 % แต่พอบอกเป็นไบปุ๊บ เอาแล้ว คุณมีความแมนบวกเพิ่มขึ้นมาอีก 50 % ทั้ง ๆ ที่ไบบางคนก็จิกส้นสูง ปัดบัชออนต่าง ๆ เยอะแยะไปคุณ” ผมอธิบายพร้อมหัวเราะสำทับ

“ผมมองว่า คนเรามันมีแรงยุ แรงกระตุ้นในตัวเกี่ยวกับข้อห้ามต่าง ๆ เยอะ ... มันจะอธิบายยังไงดี ? แบบ ถ้าคุณเคลมว่าตัวเองเป็นชายแท้ แปลว่าคุณจะไม่ข้ามเส้นมามีอะไรกับผู้ชายด้วยกันถูกไหม เพราะมัน ‘ดูเหมือนว่า’ จะไม่สามารถเป็นไปได้ พอก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ห้ามข้ามตรงนั้นมาได้ปุ๊บ มันเหมือนคุณได้ปลดปล่อยอารมณ์อะไรบางอย่างในตัวคุณเอง”

 ผมพยายามอธิบายตามความรู้สึกตัวเอง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเข้าใจที่ผมพูดมากน้อยขนาดไหนเพราะเห็นโชเอาแต่พิมพ์พลางสลับถามคำถาม

“คุณมีสถานะบนเตียงเป็นรุกมาตลอดเลยใช่ไหมครับ?พอจะบอกได้ไหม ว่าทำไม และเคยคิดอยากจะลองเป็นรับบ้างไหม?” เขารัวคำถามต่อ แทบไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอ

“ใช่ครับ ผมเป็นรุกมาตลอด ถ้าถามว่าทำไม ส่วนตัวผมไม่คิดว่าตัวเองอยากจะยกขาให้กับใคร หรือจริง ๆ อาจจะยังไม่เจอคนที่ทำให้ผมสามารถยกขาได้ เหตุผลอีกส่วนก็...กลัวเจ็บ” ผมว่า โชเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ

“เอ้า ก็แปลกอะไรละคุณ ผมชอบมอบความสุขให้กับคนอื่นแต่ไม่ได้อยากโดนเองนี่”

“โอเค ๆ “ เขารับคำอย่างยอมแพ้ เว้นวรรค รัวแป้นก่อนจะถามต่อ

“ปกติแล้วคุณหาคู่นอนผ่านช่องทางไหนบ้างครับ?”

“จริง ๆ ก็หลากหลายนะ ก็แอปพลิเคชันเกย์ทั่ว ๆ ไป ฮอร์เน็ต บลูดี แจ็คดี ทวิตเตอร์ ประปรายบ้าง แล้วแต่ว่าจะดีลกันมากกว่า .... ในเฟสฯ ก็เคยมี” เขาหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้ามองผมอีกครั้งคล้ายเชิงให้อธิบายให้ลึกกว่านี้หน่อย

“ก็แบบ คุยเชิงทีเล่นทีจริงกับบางคนอะไรอย่างนี้น่ะคุณ ถ้าเขาเล่นด้วย ก็ดีล ถ้าเขาไม่เล่นด้วยก็ปล่อยไป บางทีเขาก็ทักมาหาเราก่อนบ้าง บางทีเราก็ทักไปหาเขาก่อนบ้าง แล้วแต่อารมณ์และความต้องการ ณ ตอนนั้น” ผมรอให้เขาพิมพ์จนใกล้จะจบ นึกอะไรออกมาขึ้นมาอีกนิดหน่อยเลยพูดต่อ

“อ๋อ ขอเสริมอีกนิด จริง ๆ แล้วจากที่ผมเคยสังเกตและจากคนรอบ ๆ ตัว ทั้งแวดวงทวิตเตอร์และสังคมภายนอก ส่วนใหญ่แล้วชีวิตจริงคู่รักเกย์บางคู่เขาผลัดกันได้ และไม่ได้ยึดติด position ว่าใครต้องเป็นพ่อใครต้องเป็นแม่ขนาดนั้น

เออคุณ จะว่าไปแล้วผมถามหน่อยดิ นิยายที่คุณจะเอาไปเขียนเนี่ย บุคลิกตัวละครมันจะแบบ รุกต้องตัวสูง หล่อ เข้ม แมนสมชายชาตรี เรียนวิศวะ รับต้องเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาว มีเชื้อสายจีน เรียนพวกคณะสายศิลป์อะไรแบบนี้ป่ะ?”

ผมถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย ก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าเด็กประมง เด็กเกษตรมันไม่น่าจิ้นเหรอ?

เขาจิ๊ปากทำหน้ายุ่งยากใจนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับ

“เอาตามความเป็นจริง ผมยังไม่ปั้นคาแรคเตอร์ตัวละครเลยครับ แต่เรื่องนี้พูดยากจริง ๆ ผมคิดว่าทีเร็กซ์น่าจะไม่ค่อยชอบใจรึเปล่า ถ้าคาแรคเตอร์ตัวละครมันจะต้องเป็นแบบอุดมคตินิยม?” โชอธิบายพร้อมโยนคำถามกลับมา

“ไม่ใช่ไม่ชอบใจ ใช้คำว่า ‘ไม่ค่อยเข้าใจ’ จะเห็นภาพมากกว่า คือมองในมุมของเกย์รุกที่ไม่ใช่ไทป์ในอุดมคติของสังคมอ่ะคุณ ผมก็แค่รู้สึกว่าทำไมเหรอ ถ้ารุกจะตัวเล็กกว่ารับ จะอ้วน จะหุ่นไม่ดี หน้าตาไม่เพอร์เฟค ผิวไม่ขาว ถ้าไม่ตรงตามนี้ พวกเราจะไม่มีสิทธิ์เป็นคนที่สมควรได้รับความรักที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดี เหมือน ๆ กับตัวเอกในนิยายเหรอ? หรือเราถูกจำกัดเป็นได้แค่ตัวประกอบเพราะขาดความน่าดึงดูด?”

โชอ้าปากเหวอนิดหน่อย เขาเงียบไปเหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบกลับมาด้วยท่าทีระมัดระวัง

“มันยังเป็นกรอบนะ เป็นกรอบที่ยังติดอยู่กับงานศิลปะของไทย คือสื่อทุกชนิดน่ะไม่ว่าจะนิยาย ซีรีส์ ภาพยนตร์ ละครสุดท้ายแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องของเพศทางเลือก แต่ก็ยังมีกรอบขนบธรรมเนียมของชายหญิงเข้ามาครอบหัวโขนไว้อีกที

เช่น ต่อให้ตัวละครเป็นชายชาย แต่จะต้องมีคนใดคนหนึ่งรับบทบาทสมมติเป็นผู้ชาย ส่วนอีกตัวละครก็ต้องรับบทบาทเป็นสมมติผู้หญิง ภายใต้กรอบของสรีระทางเพศที่เหมือนกัน

ผมพูดอีกครั้งนะ ผมเข้าใจสิ่งที่ทีเร็กซ์ไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่ชอบใจนะ แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ผมว่ามันก็เป็นสิทธิทางเลือกของเขาที่จะเสพงานศิลปะที่เขาชื่นชอบ และถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา นักเขียนน่ะ อยากเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียนทั้งนั้น แต่มันจะมีคุณค่าอะไรตราบเท่าที่งานเขียนนั้น ไม่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนักเขียนได้” โชเว้นวรรค ทำหน้าหนักใจก่อนจะพูดต่อ

“ผมรู้สึกว่ามันโหดร้ายนะ แต่มันก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเผชิญ คนที่เขาชอบความเป็นอุดมคตินิยมเขาก็ไม่ผิดอะไรที่จะชอบความสมบูรณ์แบบ และการที่ทีเร็กซ์ไม่ชอบก็ไม่ผิดอะไรด้วยเช่นกัน ผมว่ามันเป็นเรื่องของมุมมองและวิวัฒนาการทางพหุวัฒนธรรมที่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาน่ะครับ”

“ผมเข้าใจ ๆ ผมเลยไม่คิดจะว่าอะไรหรอก ถ้าตัวละครของคุณมันจะต้องตรงตามไทป์แบบนั้น เพราะสุดท้ายแล้วก็อย่างที่คุณว่ามา มันเป็นสิทธิในการเลือกอ่านของนักอ่านจริง ๆ แล้วบุคคลที่ประกอบอาชีพนักเขียนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างคุณ ถ้าขายงานเขียนไม่ได้มันจะไปมีประโยชน์อะไร คุณไม่ได้สังเคราะห์แสงอาทิตย์แล้วท้องอิ่มนิครับ”

ก็อย่างที่ว่าไป ผมแค่ไม่เข้าใจมากกว่าจะไม่ชอบใจ อาชีพที่คนเราใช้ดำรงชีพ ถ้ามันหาเลี้ยงชีพหรือสร้างผลประโยชน์ไม่ได้ มันก็คงเป็นได้แค่งานอดิเรก

เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่โกรธหรือไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอกครับถ้าตัวละครในเรื่องที่เอาข้อมูลจากผมไปเขียน จะต้องสูง ยาว เข่าดี มีชีวิตที่น่าอิจฉา เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้จุดประสงค์ดีแค่ไหน เราก็ต้องคำนึงถึงเรื่องของผลประโยชน์จากการลงทุนลงแรงเช่นกัน

โชเป็นนักเขียนนิยายมืออาชีพ อาชีพของเขาคือการขายผลงานศิลปะที่ตัวเองรัก ทั้งยังมีการหาข้อมูลและใส่ใจในรายละเอียดของงานที่ตัวเองทำ งานแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวันแล้วจบลงไปซะหน่อย ไหนจะการลงทุนลงแรงในการสัมภาษณ์ไหนจะค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมในการทำงาน แล้วมันจะผิดอะไรถ้าเขาจะพยายามรังสรรค์ผลงานให้ออกมาเป็น                ที่ยอมรับของผู้คนที่พร้อมจะสนับสนุนให้เขามีกำลังใจและทุนทรัพย์ในการทำงานต่อไปละครับ?

เราเอาเงินซื้อความฝันไม่ได้ แต่เราเอาเงินไปต่อยอดเส้นทางในการเดินทางไปตามหาความฝันได้ ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี

โชยิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณในความเข้าใจสภาพและข้อจำกัดด้านงานเขียนของเขา หลังจากรัวนิ้วสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามคำถามถัดไป

“อันนี้ถามลงลึกหน่อย คุณเคยมีอะไรกับผู้หญิงไหม หรือที่ผ่านมาเคยมีอะไรแต่กับผู้ชาย แล้วมันแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดสำหรับคุณ?”

“กับผู้หญิงผมก็เคย และกล้าพูดด้วยว่ามันเป็นเฟิร์สเซ็กซ์ครั้งแรกของผม กับรุ่นพี่ในโรงเรียนตอนม.สาม แน่ละ ผมไม่ได้ป้องกัน แต่หลั่งนอก ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าต่อให้หลั่งนอกก็มีสิทธิ์ท้องได้เหมือนกัน ...

 ส่วนความแตกต่างกันเนี่ย พูดยากอยู่นะคุณ มันก็แตกต่างกันหลายแง่มุม ตั้งแต่ว่าการมีอะไรกับผู้ชายมันยากกว่าการมีอะไรกับผู้หญิงอ่ะครับ”

“ยากกว่าเหรอครับ ยังไง?” โชถามพร้อมคีย์แป้นพิมพ์ตามคำพูด

“ก็ผู้ชายมันไม่มีน้ำหล่อลื่นไงคุณ บอกไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าคุณเคยไปอ่านนิยายวายเรื่องไหนและมีฉากการมีเพศสัมพันธ์กันแล้วมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา นั่นแปลว่านักเขียนคนนั้นทำการบ้านไม่ดีมากพอ ลำไส้ใหญ่คนเรามันผลิตน้ำหล่อลื่นได้ที่ไหนกันล่ะคุณ” ผมว่า หัวเราะปอย ๆ กับความไร้เดียงสาของนักเขียนท่านนั้น

“อีกเรื่องคือ เราต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ช่องทางธรรมชาติหลัก ๆ มันคือส่วนท่อต่อที่เป็นระบบการขับถ่ายของเสียของร่างกาย มันยากตั้งแต่กระบวนการทำความสะอาดหรือในภาษาพูดก็คือ ‘ทำแท้ง’ ไปจนถึงการเชื่อมส่วนประกอบของคนสองคนเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ ตรงนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องสอนกันหน้างานถ้าน้องทำไม่เป็น”

ผมหยุดเว้นวรรค แอบเห็นหน้าน้องแม็กซ์ลอยมาแต่ไกลเล็กน้อย

“ผมถึงได้บอกไงว่าผู้ชายสองคนจะได้กันนะ มันไม่ใช่ง่าย ๆ มากกว่าเข้าได้ เข้าไม่ได้มันเป็นเรื่องของสุขลักษณะอนามัยนะ เพราะงั้นเวลาเจอนิยายที่ตัวเอกเมาแล้วมีอะไรกัน ผมก็อดจะคิดไม่ได้ ว่าถ้าไม่ใส่ถุงยางอนามัยแล้วไม่ได้เคลียร์ช่องทางแล้ว.....”

ผมตั้งคำถามพลางเว้นวรรคให้โชได้คิดตาม โชอ้าปาก เหวอไปนิดหน่อย ก่อนเขาจะดึงสติกลับมาได้แล้วถามต่อ

“ประเด็นนี้น่าสนใจนะครับ จะว่าไปแล้วเวลาอ่านนิยายวายก็ไม่ค่อยจะเจอฉากสุขอนามัยต่าง ๆ จริง ๆ นั่นแหละ” เขาว่า

“มันคงเสียอรรถรสมั้ง ? แบบ พระนายกำลังเข้าได้เข้าเข็ม อยู่ดี ๆ ตัวนายบอก ‘เธอ ๆ เรายังไม่ได้ทำความสะอาดมา ขอไปจัดการตัวเองก่อนนะ’ อะไรแบบนี้ก็อาจจะเสียอารมณ์รึเปล่า แบบ ... จังหวะมันได้?” ผมสันนิษฐาน

เรามองหน้ากัน ทำหน้าปั้นยากทั้งคู่ ก็ถูกที่ทั้งเขาทั้งผมว่ามานั่นแหละ ถ้าจะต้องมานั่งอธิบายในนิยายว่าคนกำลังจะได้กัน แต่ต้องวิ่งไปทำความสะอาดช่องทางก่อน มันก็ออกจะ...แปลก ๆ มั้ง?

“เอาเป็นว่า ผมจะเก็บประเด็นนี้ไว้ แล้วจะพยายามหาทางเขียนออกมาให้มันดูสมูทมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ”

ผมพยักหน้ารับคำ จริง ๆ ต่อให้เขาไม่เขียนถึงกระบวนการเตรียมตัว ผมก็คงไม่คิดจะโทษอะไรเขาหรอก ก็อาจจะแค่แบบ รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยที่ผู้ชายสองคนมีอะไรกันได้แค่จังหวะมันได้โดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน

“โช เรื่องบุคลิกภาพหรือแบล็กกราวน์ของตัวละคร ผมไม่มีอะไรจะขอร้องคุณเลย แต่ผมมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องคุณได้ไหมครับ?”

“ครับ ?” เขาเงยหน้ามาฟังผมพูด หยุดการพิมพ์ไปชั่วครู่

“ผมจะขอว่า ถ้าคุณจะเขียนฉากการมีเพศสัมพันธ์หรือฉากร่วมรัก ผมขอนะ ไม่บรรยายถึงส่วนการเตรียมตัวต่าง ๆ ได้ แต่ตัวละครทุกตัว ต้องมีการกล่าวถึงการป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ... คุณรับปากผมได้ไหม?”

ผมพูด โชทำหน้าหนักแน่นก่อนจะพยักหน้าตกลงกับสิ่งที่ผมขอ

“ผมตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว อาจจะดูเก้ ๆ กัง ๆ หรือผิดแปลกไปจากขนบธรรมเนียมของนิยายวายเรื่องอื่น ๆ แต่ตัวละครในนิยายของผม ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ ผมจะต้องให้พวกเขาป้องกันเสมออย่างแน่นอน ผมจะพยายามหาวิธีการในรอยต่อให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในแต่ละสถานการณ์ ....ผมรับปากครับ”

อย่างที่เราทั้งคู่เคยพูดต่อกันโดยไม่ได้ตั้งใจ สื่อทุกชนิดมีผลต่อผู้บริโภคเสมอ เราอาจจะมองว่าเราเป็นสื่อ เราเป็นแค่เรื่องในจินตนาการ เรามีหน้าที่แค่การให้ความบันเทิง

แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับว่าเรามีผลต่อผู้บริโภค เรามีผลต่อคนในสังคมไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม มันคือความรับผิดชอบของคนทำงานตรงนี้

เพราะผมเป็นคนให้ข้อมูลเรื่องราวทั้งหมด ณ ตรงนี้ ผมไม่อยากเป็นแม้แต่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ส่งผลให้ใครสักคนหนึ่ง ตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดจนส่งผลต่อชีวิตทั้งชีวิตของเขาไป เพราะงั้นแล้วผมไม่แคร์เรื่องตัวละครจะสูงต่ำ ดำขาว อ้วนผอม รวยจน หรืออะไร ผมแคร์แค่ว่าพฤติกรรมของตัวละครนั้น ๆ จะต้องไม่ไปทำให้คนอ่านคนใดคนหนึ่งเกิดการทำตามในพฤติกรรมที่             ไม่เหมาะสมและเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นได้

ผมนั่งรอสักครู่ ไม่ถึงห้านาทีต่อมาโชก็ถามคำถามต่อไป

“คุณเคยรู้สึกอะไรกับคนที่มามี sex ด้วยไหม? ...หมายถึง คนเราสามารถมี sex กับคนแปลกหน้าได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกันจริง ๆ น่ะเหรอ?”

วูบหนึ่งหลังจบคำถาม ภาพอะไรบางอย่างที่ฝั่งอยู่ข้างในหัวผมสะท้อนออกมาอีกครั้ง ระเบียงสีขาว กระถางต้นไม้สีเขียว ที่เขี่ยบุหรี่มุมบิ่น ๆ และกรอบแว่นตาสีดำสนิท .....ผมยิ้มเบาบางสายหนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อถือในคำพูดของตัวเอง

“ผมไม่รู้สึกอะไรหรอก Just sex มันเป็นแค่ดีลหรือข้อตกลงของคนสองคนหรือมากกว่านั้นโดยสมัครใจ มันเป็นแค่อารมณ์วูบหวาบในท้องน้อยที่ก่อตัวขึ้นและหาทางระบายออก พอปลดปล่อยเสร็จสิ้นทุกอย่างก็จบลงไปพร้อม ๆ กับถุงยางอนามัยที่ถอดออกมาจากปลายอวัยวะเพศของคนเรานั่นแหละ”

โชพิมพ์แป้นรัวแต่ก้มหน้าเงียบลงเหมือนต้องการปล่อยให้ผมจมลงกับภวังค์ความคิดของตัวเอง ขอบคุณเขาเป็นอย่างมากที่ไม่ถามหรือสงสัยต่อในท่าทีที่แสดงออกว่ามีอะไรบางอย่างข้างในที่เผลอหลุดออกไป

ผมยกน้ำปั่นขึ้นมาดื่มอีกสองสามอึก พยายามรีเซตความรู้สึกแปลก ๆ ที่โผล่ขึ้นมากลางวงสนทนาเมื่อชั่วครู่ ก่อนจะสำทับต่อ

“แต่ก็ต้องพยายามรักษาระยะห่างระหว่างคนสองคนดี ๆ นะครับ จริงอยู่ว่าเราอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนความต้องการของคนสองคน แต่เรื่องหัวใจของคนเรานะ มันซับซ้อนนะ ... ถ้าไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่แรก ก็ขีดเส้นไปเลยว่าระยะห่างไหนคือระยะปลอดภัยในความสัมพันธ์ที่เปราะบางมากกว่าปีกแมลงปอ แบบการดีลเซ็กซ์

ยกตัวอย่างเช่นผม เอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่เชิงไม่รู้สึก แต่ผมจัดการกับสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ คือผมพยายามทำให้ชีวิตมันง่าย ๆ ผมจะคุยกับคนที่มานอนกับผมทุกคนเลยว่า ผมจะไม่ก้าวล้ำเส้นของใครนะ ผมจะอยู่แค่ในฟากของผม คุณอยากจะไปไหนก็ไปได้ เราต่างไม่มีพันธะใด ๆ ต่อกันและกันมากไปกว่าอดีตคนที่เคยนอนด้วยกัน

ผมจะไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองหรืออีกฝ่ายได้ ‘มีโอกาส’ เพิ่มพูนความรู้สึก ผมจะไม่ก้าวข้ามเส้นของคำว่าเป็นไปไม่ได้ ผมจะคิดอยู่เสมอว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์อะไรหรืออารมณ์แบบไหน หลังจากตื่นขึ้นทุกเช้า ผมจะยังคงเป็นผมคงเดิมที่ไม่มีพันธะอะไรกับใคร มีแค่ผม ...แค่ผมตัวคนเดียวเพียงเท่านั้น”

เราสองคนเงียบลงไป อาจจะเพราะวันปกติทำให้คนในร้านค่อนข้างบางตาจนออกจะเงียบในบางเวลา ผมเหม่อมองออกไปนอกกระจก เมฆฝนตั้งเค้าก่อตัวขึ้นมาแต่ไกล เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความหนาวเย็นจะแผ่ลงมาปกคลุมผืนแผ่นดินอีกครั้ง แสงอาทิตย์และความอบอุ่นจางหายไปแทนที่ด้วยความเย็นฉ่ำของละอองฝนอย่างช้า ๆ ผมนั่งเท้าคางมองก้อนเมฆค่อย ๆ เคลื่อนตัว ก่อนเสียงพิมพ์จะหยุดลงและตามด้วยเสียงของเขา

“ผมชอบคุณชะมัด”

“ครับ?” ผมหันมามองหน้าเขา เมื่อตะกี้ฟังไม่ถนัด

“ผมบอกว่า...ผมโคตรชอบคุณชะมัดเลย”

“........”

“บอกตามตรง ตอนแรกผมแอบผิดหวัง ผมคิดว่าคนที่มี followers เกือบครึ่งแสนน่าจะมีอะไรที่โดดเด่นมากกว่านี้

แต่ไม่เลย คุณกลับธรรมดามากจนน่าตกใจ มันตรงข้ามจนผมคิดว่า หรือผมจะมาหาผิดคนรึเปล่า? ยิ่งตอนคุณแสดงสีหน้าสงสัยแทนสีหน้าแปลกประหลาดใจ ตอนนั้นมือผมเหงื่อออก ตัวเย็นเฉียบมาก คิดแล้วคิดอีกว่า หรือผมจะทักคนผิดจริง ๆ ยิ่งคิดต่อว่าสองพันที่ล่อคุณออกมาจากร้านมันจะสูญเปล่า รึเปล่าวะ?”



ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมากลางร้าน โชหยิบแว่นสายตาสำหรับมองคอมพิวเตอร์ออกมาเช็ดก่อนจะสวมใส่อีกครั้งแล้วพูดต่อ

“แต่คุณ...ภายใต้ตัวคุณ ภายใต้ชั้นผิวหนังหนา ๆ ภายใต้ความธรรมดาทั่วไป ภายใต้ความจืดชืดที่คุณแสดงออก ข้างในตัวคุณมันงดงามมาก ๆ คุณสวยงามมากใน ‘ความเป็นมนุษย์’ ของคุณ

คุณมีความรักที่มอบให้กับผู้อื่นโดยมาจากหัวใจเนื้อแท้ คุณมีความโลภ ในการถวิลหาความหมายของการใช้ชีวิตในแบบของคุณ คุณมีความโกรธ ความไม่พอใจกับบางสิ่งที่ยังดีไม่มากพอสำหรับตัวคุณเอง และคุณก็ยังมีราคะจริตในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ”

“คุณไม่ใช่ตัวละครในนิยาย คุณไม่ได้เป็นเพอร์เฟคแมน คุณเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง มีความเป็นมนุษย์ในตัวและยังเติบโตไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะหมดลมหายใจ สำหรับผม นั้นคือความงดงามของการมีชีวิตอยู่สำหรับคน ๆ หนึ่ง คนเราจะมีลมหายใจต่อไปทำไม ถ้าเราปราศจากความสุขในการมีชีวิต”

ผมนิ่งเงียบ ประมวลทุกคำพูดที่เขาพูดออกมา แม้จะโดนใครต่อใครชมมามากมาย แต่มาโดนชมแบบนี้ก็มีความรู้สึกเขินอายบ้างอยู่เหมือนกันนะครับ

“ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนเกือบห้าหมื่นคนถึงได้ติดตามคุณ มากกว่าคลิปชวนเสียวที่คุณลง ความเป็นมนุษย์ในตัวคุณมันหอมหวานมากจนเชื้อเชิญคนเข้ามาลิ้มลองซะขนาดนี้ คุณน่ะ ทำให้ผมมองข้ามไปหมดเลย มองข้ามความธรรมดาของใบหน้าของคุณ มองข้ามรูปร่างภายนอกที่เป็นอยู่ กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เหลืออยู่กับตัวคุณคือความสบายใจเท่านั้นเองจริง ๆ ”

“ผมจะลอยแล้วคุณ” ผมพูดแก้เขิน โชเลิกคิ้วพร้อมส่ายหน้า

“ไม่หรอก ผมจะยอคุณกว่านี้อีกหลายพันประโยคก็ไม่น่าจะลอย ถ้าประมวลจากค่า BMI ของคุณแล้วน่ะนะ” และประโยคนั้นเองที่ทำให้ผมยิ้มหวานแล้วชูนิ้วกลางให้กับเขา ก่อนเราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน

นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้คุยกับใครอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากกิจกรรมบนเตียงเข้ามามีส่วนร่วม

...จริง ๆ ก็มีส่วนร่วม แต่เป็นแบบทางอ้อมเท่านั้นเอง

ตอนนั้นเองที่ฝนเลยโปรยเม็ดลงมา ท้องฟ้าอึมครึมตามแบบที่มันควรจะเป็น ระหว่างที่โชกำลังจะอ้าปากถามคำถามถัดไป เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนกำลังโทรศัพท์มาหา เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้ผมรับโทรศัพท์ก่อน พร้อมมองออกไปข้างนอกอย่างคนมีมารยาท

‘N.ham’

ผมรับสายพร้อมกรอกเสียงลงไป “ว่าไงเจ้าแฮม วันนี้ได้ไปเรียนรึเปล่า?”

‘.....ฮึก...’

ผมขมวดคิ้ว ปกติแฮมจะไม่โทรศัพท์หาผมเล่นโดยไม่มีเหตุผล เพราะเขารู้จักนิสัยของผมดี และเมื่อตะกี้นี้ผมเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นตามสายมาเบา ๆ

“แฮมครับ ได้ยินพี่ทีไหม? แฮมอยู่ไหน เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมว่า น้ำเสียงร้อนรนนิด ๆ ด้วยความเป็นห่วงคนปลายสาย

‘อึก.....ฮื้อออออออออออออออออออออออออออออ’

จบประโยคของผม เสียงร้องไห้จากปลายสายก็ดังขึ้นมา ผมแอบเกลียดตัวเองที่จินตนาการดีมากเกินไปจนนึกภาพออกว่าเด็กที่ยังมีความบริสุทธิ์มาก ๆ แบบแฮมจะกรีดร้องด้วยความทรมานใจมากขนาดไหน

“แฮม เกิดอะไรขึ้น !! หนูอยู่ไหน” และประโยคต่อมานี่เองที่เรียกความสนใจให้โชกลับมามองหน้าผม ผมแอบกัดริมฝีปากเบา ๆ ใจเต้นรัวเพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย

‘พี่ที...แฮม....ฮึก...แฮมติดเชื้อ HIV’


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-07-2018 00:28:06
 :a5:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 20-07-2018 02:06:35
น้องแฮมมม
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-07-2018 11:58:32
คุณโชนี่เป็นนายเอกใช่มั้ย? ชอบทีมากแบบบรรยายได้ดีจริงๆ
น้องแฮมลูกกกกกกกก ซวยแล้ว
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-07-2018 21:42:46
นี่มัน....  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 24-07-2018 17:55:30
ขออนุญาตรีไรท์เนื้อหาเป็นด้านล่างแทนนะครับ ขอบคุณครับ ;3
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-07-2018 18:35:08
 o13 o13 o13...
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 24-07-2018 21:30:04
เรียลได้ใจจริงๆ ชอบบบบบบบบบ  :katai3:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว (รีไรท์) | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 25-07-2018 00:45:30


Ep.4 FEAR




ผมตกใจจนเผลอสบถคำหยาบ ก่อนสติจะแล่นกลับมาด้วยความเร็วสูง พอสอบถามที่อยู่ในปัจจุบันของน้องแฮม ผมก็วางสายพร้อมเตรียมตัวออกไปหาเขา โอเค ก่อนอื่นผมต้องขอตัวกับโชก่อน  แต่จะบอกเขายังไงดีในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของแฮม

"โช ผมขอโทษนะ แต่ผมมีธุระด่วนมากจริง ๆ" ผมแสดงสีหน้าจริงจัง โชพยักหน้าเข้าใจแต่ก็บุ้ยปากให้ผมมองออกไปข้างนอก

"ไม่ว่าธุระของคุณจะเป็นอะไร แต่ให้ผมไปส่งแล้วกันนะครับ"

"อ่า"

"คุณต้องใจเย็นกว่านี้ รีบเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะไวขึ้นนะครับ"

ผมสบตากับเขาอีกครั้ง และก็เป็นเขาเองที่พูดถูกต้อง ผมต้องใจเย็นมากกว่านี้ จากที่นี่กว่าจะไปถึงคลินิกนิรนามในตอนนี้ที่ฝนโครมครามเม็ดใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายชั่งใจแล้วผมก็ตอบตกลงกับเขาไป

"งั้นรบกวนด้วยนะครับ"

“ได้เลยครับ"

เราสองคนลุกออกไปจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มที่เคาเตอร์หน้าร้าน ก่อนโชจะนำผมก้าวขึ้นไปสู่ลานจอดรถในชั้นสอง เดินไปจนถึง BMW คันหนึ่งที่จอดไว้ เขากดปลดล็อกเบา ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปฝั่งคนขับ

จริง ๆ ก็รู้ตั้งแต่ตอนให้ทิปสองพันแล้วล่ะว่ารวย แต่ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้

“ขออนุญาตนะครับ" ผมพูดก่อนก้าวขึ้นไปนั่งเบาะอีกฝั่ง โชพยักหน้ารับแล้วออกรถยนต์ไปตามเส้นทางที่ GPS บอก ผมนั่งมองถนนและสายฝน ในหัวกำลังพยายามหาทางรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอนึกขึ้นได้ก็หยิบมือถือออกมาโทร.ออกไปหาใครบางคน

“ฮัลโหล มาร์ ทำงานรึเปล่า?” ผมถามหลังปลายสายรับสาย

'คุยได้ ๆ ว่าไงมึง' เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาจากปลายสาย ผมคิดว่าเขาคงอยู่ในห้างสรรพสินค้าสักแห่ง

“มึง คือกูอยากขอคอนแท็กพี่คนที่มึงเคยสัมภาษณ์อ่ะ คนที่เขาติดเชื้อ HIV มาตั้งแต่ปี 2530 " ผมว่า โชยังเป็นคนรักษามารยาทด้วยการทำทีไม่สนใจตามเดิม แต่ผมคิดว่าเขาคงสงสัยไม่น้อย

'ได้ แต่มึงยังบอกกูตอนนี้ไม่ได้ใช่ไหมว่าจะเอาไปทำอะไร?'

"ใช่ กูยังบอกไม่ได้ ขอโทษด้วย"

'ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวกูฟอร์เวิร์ดคอนแท็กไลน์พี่เขาไปให้ในไลน์มึง แล้วเดี๋ยวทักไปบอกพี่เขาไว้ว่ามึงจะแอดไป มึงก็จัดการคุยต่อละกัน'

"โอเคมากมึง แต๊งกิ้ว"

'เค มีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน'

"รักมึงจัง" ผมว่า ผมรักมันจริง ๆ นะ

'เหอะ มึงไม่ได้รักกูหรอก มึงรักพ..'

"สัส เออ แค่นี้นะ วางแล้ว ไม่รักมึงแล้วไอ้ครก" ผมรีบรัวเสียง ก่อนปลายสายจะพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

หลังวางสายไลน์ของผมก็แจ้งเตือนมาว่าไอ้มาร์ส่งคอนแท็กไลน์ของพี่เขามาให้ผมแล้ว ผมแอดไปก่อนจะทักทายอีกฝ่าย ไม่นานเจ้าของไลน์นั้นก็ตอบกลับผมมา

ผมสนทนาตอบกลับไป ก่อนจะขออนุญาตโทรไลน์หาพี่เขา แจ้งความประสงค์ถึงเรื่องที่อยากจะรบกวน ผมดีใจจนยิ้มออกมาที่พี่เขาเข้าใจ และเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผม เรานัดแนะเวลาที่สะดวกสำหรับเรื่องที่คุยกันเสร็จสรรพเรียบร้อยก็วางสายไป

"คุณมีสติมาก" โชกล่าวหลังผมวางสาย

"คนไม่มีสติน่ะ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้หรอกคุณ ผมแค่พยายามควบคุมสติของตัวเองเท่านั้นเอง"

"คุณเป็นคนฉลาดนะ รู้ตัวไหม?" เขาชม ผมส่ายหน้าช้า ๆ ถ้าผมฉลาดจริง ๆ คุณจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้กับผมได้ยังไงกัน? คุณต้องจับผมไม่ได้แล้ว

บทสนทนาของเราเงียบลงไปชั่วครู่ ก่อนโชจะพูดระหว่างเหลียวมองกระจกด้านหลังแล้วหมุนแฮนด์รถไปทางเลนขวามือ

"คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงต้องมาสัมภาษณ์คุณถึงขนาดมาเจอกันตัวเป็น ๆ แบบนี้" เขาถาม ผมพยักหน้ารับ

"ผมไม่รู้นักเขียนคนอื่นเป็นแบบผมไหม แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าจะเขียนเรื่องให้อินจาก 'ประสบการณ์มือสอง' ผมต้องเอาตัวเองลงไปเจอ ซับเหตุการณ์  ให้ได้" โชว่า ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

"ซับเหตุการณ์คืออะไร?"

"จริง ๆ มันเป็นคำที่ผมสร้างเองนะ ถ้านิยามของผม ซับเหตุการณ์คือ เหตุการณ์ที่แทรกขึ้นมาระหว่างเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินต่อเนื่องกัน เช่น วันนี้ผมมาสัมภาษณ์คุณ ถ้าเป็นนิยาย เรื่องมันอาจจะโฟลว์โดยไม่มีสะดุด สัมภาษณ์คุณจนจบโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรมาแทรก แต่พอมีมาแทรกปุ๊บ เนี่ยแหละ มันจะทำให้เนื้อเรื่อง 'ดูเหมือน' ว่ามีเค้าลางของเรื่องจริง

 ซึ่งคุณนึกออกไหม สมมติคุณเป็นหมอ คุณทำงานทุกวัน คุณจะเจอเหตุการณ์ที่หมอทั่วไป 'มีโอกาส' ที่จะเคยเจอหรือเกิดขึ้นกับคุณ พอคุณเขียนออกมา คนเป็นหมอมาอ่านก็จะแบบ ว้าว ทำไมเรื่องนี้มันดูเรียลจัง อะไรทำนองนี้ทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้เป็นหมอ"

ผมพยักหน้านึกตามที่เขาบอก ก็จริงแฮะ ถ้าอย่างผมเป็นแอคเค่อ แล้วลองอ่านนิยายเรื่องแอคเค่อ ถ้ามีเหตุการณ์ไหนที่เคยเกิดขึ้นหรือสามารถเกิดขึ้นได้จริง ผมคงรู้สึกว่านี่มันเป็นมากกว่านิยาย แต่คล้ายกับเอาเรื่องเล่าหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาเขียน ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองอาจจะไม่เคยเล่นแอปพลิเคชันต่าง ๆ หรือคนแต่งอาจจะเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ

"อีกอย่างคือ 'ประสบการณ์มือสอง' น่ะ มันมีข้อควรระวังในการใช้ ผมอาจจะสามารถสัมภาษณ์คุณได้ 100 % ก็จริง แต่กลิ่น 'บรรยากาศของเรื่องราว' อาจจะไม่ติดมาด้วยเลยด้วยซ้ำ

 เพราะเวลาเราจะเขียนนิยายสักตอน เราต้องนึกให้ออกถูกไหม ว่าสถานการณ์ตอนนั้น อารมณ์กำลังอยู่ในโทนไหน เหตุการณ์กำลังดำเนินไปในรูปแบบใด มีอะไรที่ควรทิ้งไว้เป็นตัวบอกใบ้ หรือมีอะไรที่ควรจะเฉลยเลยรึเปล่า

และต่อให้ถ่ายทอดออกมาได้ ก็ไม่ 100 % ถ้าไม่ได้ลองสัมผัสด้วยตัวผมเอง ดังนั้นแล้วผมถึงต้องสัมภาษณ์ชนิดที่ว่าละเอียดยิบเพื่อสามารถถ่ายทอดความเป็นแอคเค่อของคุณได้ออกมาโดยไม่สูญเสียหรือแต่งเติมอะไรให้มันมากเกินไปหรือน้อยเกินไป...."

โชพูดต่อ ก่อนจะเสหน้าออกไปนอกรถ

"ผมไม่อยากตัดสินใคร แม้โลกจะตัดสินเราอยู่ตลอดเวลาก็ตาม...."

สายตาของเขาฉายแววเศร้าออกมา แค่แว่บเดียว เพียงชั่วพริบตาก็หายไปพร้อมกับเม็ดฝน

"โลกก็คือโลก โลกมีทั้งสีขาว สีดำ สีเทา และโลกไม่ได้มีแค่สีใดสีหนึ่ง คนที่พยายามบอกว่าโลกเป็นสีอะไร ก็แค่คนที่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าบางสิ่งไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งเดียว ตอนนี้เป็นสีนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกสี วันวานอาจจะไม่ใช่สีเดียวกัน และวันต่อ ๆ ไปก็ไม่สามารถคาดเดาได้อยู่ดีว่าจะมีสีอะไรเกิดขึ้นได้อีก"

"......"

"ผมชื่นชมที่คุณไม่ตัดสินผมหรือการกระทำของผม แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะทั้งโดนตัดสินและตัดสินคนอื่น มันเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ อาจจะพูดก็ได้ว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้ คุณเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่คุณเปลี่ยนให้คนอื่นเข้าใจโลกในมุมมองของคุณได้มากขึ้นผ่านงานเขียนของคุณ นั่นเป็นสิ่งที่คุณทำได้ และคุณทำได้ดี" ผมพูด เว้นวรรคให้เขาได้ย่อยความคิดก่อนจะพูดต่อ

"เพราะงั้นแล้วต่อให้วันพรุ่งนี้โลกทั้งใบกำลังตัดสินคุณ ก็ไม่เท่าตัวคุณตัดสินตัวคุณเอง..."

เราทั้งสองคนเงียบลงอีกครั้ง เหลือเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ผ่านกระจกที่ส่งให้  ต่อกัน แม้วันนี้สัมภาษณ์ของโชอาจจะไม่สามารถเก็บครบได้ 100 % แต่อย่างน้อย ๆ ผมรู้สึกว่าเราเข้าใจกันและกันมากขึ้นไม่มากก็น้อย รถยนต์เคลื่อนที่ฝ่าถนนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโชจอดรถตามพิกัดโลเคชั่นที่ผมบอกเขา ร่างเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ใต้ป้ายจอดรถเมล์ที่เลิกใช้งานไปแล้ว โชจอดเทียบริมฟุตบาธ ก่อนผมจะรีบลงไปหาเขา

"น้องแฮม !!"

เด็กแฮมเงยหน้าตามเสียงเรียกของผม ตาตี๋เล็ก ๆ คลอเบ้าไปด้วยน้ำตา ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้มใด ๆ เหมือนกับเจ้าเด็กกิจกรรมตัวดีที่ผมเคยเจอที่ค่ายแนะนำคณะของผม แฮมยกสองมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะก้าวไว ๆ มากอดผม

"พี่ทีเร็กซ์ ผมควรจะทำยังไงดี ผมผิดไปแล้ว ผมทำให้ตัวเองกลายเป็นคนแย่ ๆ ไปแล้วพี่" เจ้าแฮมพูดอู้อี้ น้ำหูน้ำตาไหลไม่เป็นทางจนเปรอะเสื้อของผม ผมยังไม่พูดอะไร แค่ลูบหัวให้กำลังใจก่อนจะหันไปมองหน้าโช

"ขึ้นรถก่อนแล้วกันนะคุณ ตรงนี้คงยังไม่เหมาะ คุณไปนั่งข้างหลังกับน้องแล้วกันนะครับ" โชว่า สายฝนยังเทลงมาหนักแบบที่เขาว่าจริง ๆ ผมเม้มปากหนักใจเพราะคิดว่ามันอาจจะไม่สมควรรึเปล่าที่ผมไปนั่งด้านหลังกับน้องสองคน เหมือนโชอ่านใจผมได้ เขาส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ

"ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ ไปนั่งข้างหลังเถอะครับ น้องยังต้องการคุณในเวลานี้" พอเขาพูดออกมาแบบนั้นผมก็ตอบรับด้วยความยินดีในความเข้าใจของเขา ผมถือกระเป๋าจาคอปของเจ้าแฮมก่อนจะพยุงน้องมันเดินไปขึ้นรถด้านหลัง ตามด้วยโชที่อ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ

ผมลังเลเล็กน้อยในการบอกจุดหมายปลายทาง แต่สุดท้ายแล้วสถานการณ์ตรงหน้าสำคัญกว่า ลองได้มาด้วยกันขนาดนี้แล้วต่อให้ไม่อยากไว้วางใจเขา เราก็ต้องไว้วางใจในการตัดสินใจของตัวเราเอง ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะเชื่อใจ ผมก็ไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสถานที่ ๆ ต้องการให้เขาพาไปอีก

"โชครับ ไปส่งผมที่หอผมหน่อยนะ"

"อืม"

บางครั้งคนเราก็ทำได้แค่เพียงภาวนากับการตัดสินใจของตนเองว่า มันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ผมไม่อยากตอบผิดอีกเป็นครั้งที่สอง



ฟ้าฝนไม่เป็นใจที่แท้จริง แม้กระทั่งขับกลับมาจนลงทางด่วนมาแล้ว ก็ยังมีเม็ดฝนโปรยปราย ผมถอนหายใจเหม่อมองออกไปนอกตัวรถ น้องแฮมร้องไห้สลับกับโทษตัวเองไปมาจนหลับไปแล้ว ผมขยับเสื้อกันหนาวของเจ้าตัวขึ้นมาคลุมก่อนจะเปิดปากพูดต่อ

"ถ้าไปถึงหอผมแล้วฝนยังตกแบบนี้ คุณขึ้นไปรอฝนหยุดตกที่หอผมก่อนแล้วกันนะ"

"จะดีเหรอ?" เขาถาม พลางมองกลับมาที่กระจกมองหลัง

"แล้วขับรถฝ่าฝนตกหนัก ๆ ไปมามันปลอดภัยตรงไหน ? ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ผมคิดว่าผมคิดดีแล้ว คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย" ผมย้อนเขากลับ เจ้าตัวจุ๊ปากเบา ๆ ก่อนจะต่อปากต่อคำกับผมต่อ

"ก็กระทั่งไลน์กับเบอร์โทรศัพท์คุณยังไม่ให้ผมเลย อย่างวันนี้ที่มา ผมยังสองจิตสองใจเลยว่าถ้าคุณไม่มาตามสถานที่ที่นัดหมายหรือติดต่อคุณขึ้นมาไม่ได้จะทำยังไง ผมจะขับรถข้ามประเทศมาเก้อรึเปล่า?"

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร จริงอย่างที่โชว่า แม้จะรับปากกันไปแล้ว แต่มันไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่ว่าผมจะมาตามนัด กระทั่งรูปถ่ายแบล็คเมล์นั้นผมก็ลบทิ้งไปแล้ว ถ้าผมจะไม่มาอย่างมากโชก็ทำได้แค่ไปหาร้านกู้ข้อมูล ยอมเสียเงินเพื่อเอาเรื่องผมไปขายล้างแค้นก็เท่านั้น

ที่ไม่ให้ช่องทางการติดต่อ ก็อย่างที่บอกไปอ่ะครับ ผมต้องป้องกันตัวเองก่อน เรียนให้ทราบตามตรงว่าผมก็รำคาญกับนิสัยหวาดระแวงและสัตว์ป่าในร่างตัวเองไม่น้อย แต่จากการใช้ชีวิตคนเดียวมาหลายปี สัญชาตญาณสัตว์ป่าของผมแม่นมากจนผมไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง แม้กระทั่งเหตุการณ์ใหญ่ก่อนหน้าที่จะเจอกับโช สัตว์ร้ายในร่างผมก็ตอบได้แม่นมาก อาจจะเพราะฝ่าฝืนความรู้สึกของตัวเองรึเปล่า ถึงทำให้เจอกับเรื่องแบบนั้น?

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่นานก็ถึงหอพัก ผมบอกให้โชจอดรถพร้อมปลุกน้องแฮมให้งัวเงียตื่นขึ้นมา เจ้าตัวสะดุ้งพร้อมตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้น้ำหููน้ำตาไหลอีกรอบเหมือนมีคนไปกดปุ่มสตาร์ทจนผมต้องปลอมประโลมให้มีสติขึ้นพอจะเดินไหว เราเดินเข้าทางประตูหน้าก่อนจะผมจะกดแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู

ผมกดลิฟท์แสดงหมายเลขชั้นเจ็ด น้องแฮมสะอื้นตัวสั่นซุกหน้ากับแขนผมตลอดเวลา ประตูลิฟท์เปิดออกก่อนผมจะพาโชและเจ้าแฮมเดินมายังห้องริมสุดติดกับบันไดหนีไฟ 7012 คือหมายเลขห้องพักของผม ผมคว้านหากุญแจ เสียบ แล้วไขออกพร้อมหันมามองหน้าโช

"ห้องผมรกหน่อยนะ แล้วก็ ...welcome to my land"

แสงไฟในห้องสว่างขึ้นหลังจบประโยค ผมพาน้องแฮมไปนอนลงที่เตียงก่อนเจ้าตัวจะซุกหน้ากับหมอนแล้วนอนร้องไห้ไปแบบนั้น ผมหันไปมองเข็มนาฬิกา อีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะถึงเวลานัดหมายกับคุณคนนั้น ผมโบ้ยปากออกไปทางริมระเบียงเป็นเชิงให้โชเดินตามผมไป

"ห้องสวยดี" เขาว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าห้องที่มีแต่วอลเปเปอร์ทีมแมนยูฯมันสวยยังไง

"คุณสูบบุหรี่ไหม?" ผมถาม แล้วส่งบุหรี่ที่อยู่บนชั้นระเบียงให้เขา หลังจากโชพยักหน้า เขาคาบไว้ ป้องปาก และจุดไฟ ต่างจากผมที่คาบบุหรี่ไว้เฉย ๆ

"คุณชวนผมออกมานอกระเบียงเพื่อจะดูคุณคาบบุหรี่ไว้เฉย ๆ อ่ะนะ?" เขาทัก หลังผมแค่คาบบุหรี่ไว้แต่ไม่สูบ

"ผมไม่สูบบุหรี่...." ผมว่า

....จริง ๆ คือ ผมสูบบุหรี่ไม่ได้อีกแล้ว

โชยังเป็นคนมีมารยาทตามเดิม เอาจริง ๆ ผมชอบคนแบบนี้มาก ๆ เลยนะ คนที่รู้จังหวะว่าอะไรควรพูด อะไรควรถาม อะไรควรมองข้ามไป อย่างน้อย ๆ อยู่ด้วยแล้วคนพวกนี้จะไม่สร้างความไม่สบายใจให้คุณด้วยการรุกล้ำกล่องดำที่คุณเก็บซ่อนไว้ภายในใจ ผมคงสบายใจมาก ๆ ถ้าเขาเป็นคนแบบนี้ตลอดไปที่เรารู้จักกัน

"น้องแฮม...ติดเชื้อ HIV น่ะ" ผมว่า โชพ่นควันออกมาแล้วพยักหน้ารับ

"น้องยังเด็กอยู่มาก คงไม่แปลกอะไรถ้าจะสติแตก" เขาให้ความเห็น ผมมองกลับเข้าไปในห้อง เจ้าแฮมยังหลับอยู่ พอมองนาฬิกา แล้วก็เห็นว่า อีกสักพักกว่าจะถึงเวลานัดหมายกับคนอีกคน ผมเลยพูดต่อ

"คุณว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งสติแตกได้ขนาดนี้หลังพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย...หรือหมายถึงน้องแฮมก็ได้" ผมตั้งคำถาม โชขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับมา

"เพราะว่ามันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นแล้วต้องเป็นตลอดชีวิต?"

"นั่นก็ถูก แต่เรากำลังพูดถึงสังคม พศ.2560 กันนะคุณ โลกเราตอนนี้มีงานวิจัยออกมามากมายว่าต่อให้คุณป่วยเป็น HIV ถ้าคุณดูแลสุขภาพ ทานยาตรงเวลา ทำจิตใจให้แจ่มใส คุณก็สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้มากกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำไป

หรือจริง ๆ นอกจาก HIV แล้วก็ยังมีโรคอื่นอีกเยอะแยะเต็มไปหมดที่น่ากลัวกว่า HIV ด้วยซ้ำ แต่ .. Why ? ทำไมละ ทำไมพอเป็นโรคนี้แล้วคน ๆ หนึ่งถึงได้หวาดกลัวได้ขนาดนี้" ผมทิ้งคำถามให้เขาได้คิดต่อ

"คุณกำลังจะพูดถึงภาพจำของสังคมที่มีเกี่ยวกับตัวผู้ป่วย?" โชพูดพร้อมทำตาโต

"บิงโก คุณเริ่มมองสังคมแบบที่ผมกำลังมองขึ้นมาแล้วส่วนหนึ่ง" ผมว่า สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ

"ผมถึงพูดเสมอว่า 'สื่อ' ทุกประเภทมีผลต่อคนในสังคม เราฟอลโล่วกันและกัน คนทั่วไปนะอาจจะคิดว่าสื่อน่ะสร้างออกมาเพื่อเป็นต้นแบบให้คนในสังคม แต่สังคมก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าสื่อฟอลโล่วตามสังคมที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทอะไรก็ขับเคลื่อนตามกระแสที่สังคมพาไปทั้งนั้น

ตลกดีที่สังคมที่มีอำนาจในการฟอลโล่วอัพสื่อกลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงทั้งสังคมที่ตัวเองอยู่ และทั้งสื่อที่ขับเคลื่อนตามตัวเอง"

"อ่า...." โชครางรับคำและพยักหน้าเห็นด้วยตาม

"น้องแฮมน่ะ ..เด็กนั่นแม้จะใสซื่อ แต่ไม่ได้โง่ ภาพที่คุณเห็นตอนนี้ คือภาพของเด็กสิบหกคนหนึ่งที่กำลังสติแตกและตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง ท่ามกลางสังคมที่ติดภาพจำไปว่าคนติดเชื้อ HIV เท่ากับสำส่อน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีรายละเอียดมากมายมากกว่าแค่คน ๆ หนึ่งไม่ได้ป้องกันตัวเองตอนกำลังมีเพศสัมพันธ์

โอเค คุณอาจจะบอกก็ได้ว่าเขาโง่เองที่พลาด ซึ่งก็พลาดจริง ๆ แต่คนผิดพลาดไปแล้วคือผิดพลาด เขาแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้แล้ว แต่เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาหลังความผิดพลาดนั้นได้"

ผมเชื่อมั่นในตัวเจ้าแฮมและเชื่อมั่นในตัวคนรอบ ๆ เจ้าแฮม โดยเฉพาะ สองแฝด และ หนึ่งโต ถ้ายังมีเพื่อนที่ดีอยู่รอบ ๆ ตัวแบบนั้น ไม่ว่าจะเกิด อะไรขึ้น ผมว่าแฮมจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวของเขาเอง

"คุณรู้ไหมว่าเกย์ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมไปตรวจเลือด? เพราะความกลัวยังไงล่ะ แค่คุณคิดจะไปตรวจเลือดก็จะมีคนบางคนความคิดบางอย่างแล่นออกมาแล้วว่าคนไปตรวจเลือดเท่ากับสำส่อน ทั้ง ๆ ที่จริงการตรวจเลือดมันก็แค่การเช็กสุขภาพในรูปแบบหนึ่งด้วยซ้ำ การตรวจเลือดไม่ได้บอกได้ว่าคุณมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ แต่ยังบอกว่าในกระแสเลือดของคุณมีอะไรอยู่บ้าง

คนบางคนกลัวการไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม การถูกกีดกัน มากกว่ากลัวตัวเองจะอายุสั้นเพราะไม่ได้รับยาอีก จริงอยู่ มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบของตัวบุคคลต่อสังคม แต่เราก็ต้องยอมรับว่าอีกด้านสังคมก็มีผลต่อการตัดสินใจกระทำการใด ๆ ของคน ๆ หนึ่งเช่นกัน"

ผมพูดยาว ก่อนเว้นวรรคแล้วสำทับอีกครั้ง

"ถ้าเราคิดว่าสังคมที่เราอยู่มันเหี้ย เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเรากำลังอยู่ ในสังคมแบบไหน และเรามีส่วนมากน้อยเพียงใดที่ทำให้เกิดสังคมแบบนี้ขึ้นมา สำหรับผมแล้วคนทุกคนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับสังคมกันทั้งนั้น คุณอาจจะบอกก็ได้ว่าแม่งไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่ตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในสังคม ทุกการกระทำของคุณส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคมไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่ก็ตามแต่ ...นั่นแหละคือสังคมของ 'มนุษย์'"

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว (รีไรท์) | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 25-07-2018 00:48:29
เรานิ่งกันไปเนิ่นนาน เหม่อมองเพียงควันบุหรี่จาง ๆ ที่ลอยไปรอบ ๆ ตัว

"นอกจากนั้นแล้ว ผมจะเล่าถึงเหตุการณ์ ๆ หนึ่งให้ฟัง ว่าสังคมมีส่วนร่วม ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ... ตอนผมปีหนึ่ง ผมได้ออกไปทำค่ายอาสาต่างจังหวัดเกี่ยวกับปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายที่ตัวเองออกมาเยอะมาก ๆ

สิ่งที่พวกผมคิด คือการหาทางป้องกันให้กับน้อง ๆ ด้วยการแจกถุงยางอนามัยและสอนการสอดใส่อย่างถูกวิธี สถิติทางตัวเลขบอกกับเราว่ายอดการตั้งครรภ์น้อยลง พวกเราดีใจกันมาก พอปีถัดมาเราตั้งใจไปทำค่ายเดิมอีกครั้ง แต่ชาวบ้านกลับขับไล่และบอกว่าพวกเรากำลังทำให้เด็กพวกนั้นใจแตก"

"อ่า...."

"ปีถัดมา ยอดตัวเลขกลับมาเท่าเดิม...อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ" ผมยิ้ม แค่นหัวเราะด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหนกันอยู่ เราเงียบกันไปหลายนาทีกับข้อความที่เราสนทนาแลกเปลี่ยนกันไปมา สักพักใหญ่ ๆ โชก็ทำตาโต ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบแลปท็อปขึ้นมา

"คุณทำให้ผมคิดได้แล้ว"

"อะไรนะ?" ผมงง

"ผมนะ ตอนแรกคิดมาตลอดเลยว่าจะนำเสนอเรื่องแอคเค่อยังไงดี กับสังคมที่คนส่วนใหญ่มองว่าพวกที่ one nigth stand น่ะเป็นพวกสำส่อนหรือมีความผิดปกติทางจิตใจ ผมคิดว่าจะทำยังไง ให้นำเสนอออกมากลาง ๆ แบบที่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณทำมันผิดหรือถูุก จะทำยังไงที่จะเป็นแค่โจทย์ที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด จะเขียนยังไงให้ไม่ชี้นำว่ามันเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี ผมอยากทำแค่โยน message ลงไปแล้วให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสินใจเอาเอง ว่าจะตอบคำตอบแบบไหน                 

แล้วผมก็คิดได้ว่า เห้ย งั้นทำไมผมถึงไม่เล่าถึงเรื่องของ แอคเค่อ ในมุมมองของคนที่มาหาข้อมูลแบบตัวผมเองกับคุณเลยล่ะ คือไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือไม่ดี แค่บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ สร้างซีนสัมภาษณ์เหมือนที่ผมกำลังทำกับคุณ แล้วก็โยนให้คนอ่านตัดสินใจเอาเองเลยว่ามันดีไม่ดียังไง ผมว่ามันน่าจะแฟร์ที่สุดแล้วในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง"

"what ? หมายถึงคุณจะเอาเรื่องที่คุณมาสัมภาษณ์ผมอ่ะนะ ไปเขียนเป็นนิยาย"

"อื้ม คร่าว ๆ ที่ผมสเก็ตช์ไว้ในหัวคือจะจำลองสถานการณ์ว่านักเขียนสักคนหนึ่งที่ต้องการเขียนเรื่องแอคเค่อแล้วมาสัมภาษณ์แอคเค่อด้วยกลวิธีต่าง ๆ เพื่อนำไปสร้างเป็นงานเขียน

แบบนี้นอกจากจะเรียลแล้วมันจะได้สามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเขียนชี้นำไง ให้อิสระกับคนอ่านไปเลยว่าคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณว่าเป็นไง?" เขาถามกลับ นิ้วมือรัวคีย์บอร์ดจดสาระสำคัญ ๆ ที่ผมยังไม่เข้าใจว่าจะจดเอาไว้ทำไม

"ก็ได้นะ แต่ยังไงก็ช่วยเปลี่ยนข้อมูล สถานที่ต่าง ๆ ไม่ให้สามารถรับรู้ได้แล้วกันว่าใครคือผม ตกลงไหม?"

"แน่นอน แล้วถ้ามันทำได้จริง ....มันอาจจะเป็นอีกส่วนที่ช่วยลบความกลัวของผมด้วยก็เป็นได้”

"เรื่องที่คุณกลัว?" ผมถามกลับ ยกตัวขึ้นไปนั่งพิงระเบียง 

"จริง ๆ ผมไม่อยากพูดถึงมันเลย แต่ไหน ๆ คุณก็ให้ผมได้ทำความรู้จักกับคุณแล้ว ดังนั้นผมจะให้คุณได้รู้จักโลกของผมบ้างก็แล้วกัน ...ผมน่ะ กำลังกลายเป็นนักเขียนที่หมดไฟ ผมท้อแท้จนเขียนนิยายไม่จบมาหลายเรื่องแล้ว" เขาพูด พร้อมพ่นควันออกสุดสาย แล้วขยี้ปลายบุหรี่ทิ้งในที่เขี่ยบุหรี่

"แรกเริ่มแล้ว ผมใช้งานเขียนเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพราะงานเขียนเป็นสนามรบที่ใคร ๆ อยากทำก็ทำได้ และต่อให้คุณมีต้นทุนที่ดีกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป

ผมเขียนเพราะผมอยากเขียน นิยายเล่มแรกที่ผมเขียนออกมาได้รับคำวิจารณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งบอกว่าไม่สมเหตุสมผลบ้าง ทั้งไม่สนุกบ้าง จบไม่ตรงใจบ้าง แต่ผมกลับดีใจทุก ๆ รีแอคชั่นที่ตอบกลับมา....." โชเว้นช่วงไปสักพักแล้วพูดต่อ

"แต่พอมาตอนนี้ ผมกลัว...กลัวที่จะเขียนงานชิ้นใหม่ ๆ ออกมา ผมถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกของทุนนิยมที่ปลายทางของการทำงาน ความประสบผลสำเร็จ ถูกวัดเป็นมูลค่าจากกระแสตอบรับหรือยอดขาย คือคุณเข้าใจใช่ไหมว่าทำงานน่ะมันต้องหวังผลตอบแทน มันเป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นงานที่เรารัก แต่มันคงไม่ดีแน่ ๆ ถ้ามันทำให้เราอิ่มไม่ได้

ท้องผมอิ่มก็จริงแต่หัวใจผมกำลังห่อเหี่ยว ยิ่งนิยายเล่มหลัง ๆ ของผม ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการยอมรับเพราะนามปากกาของผม ผมยิ่งรู้สึกกลัวว่าจริง ๆ แล้วผมกำลังขายงานได้เพราะแค่บุญเก่ารึเปล่า? ผมถึงขนาดว่าจะเขียน แต่ละฉากแต่ละตอน ต้องมานั่งพะว้าพะวงว่าคนอ่านจะเข้าใจผมไหม จะเข้าใจกับการตัดสินใจของตัวละครรึเปล่า จะตัดสินพวกเขาไหม จะยังสนใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมต้องการสื่อสารต่อไหม ผมกลัวไปหมดเลย"

"คุณดูแคลนตัวเองไปรึเปล่า?" ผมตั้งข้อสังเกต โชส่ายหน้าช้า ๆ

"ผมไม่ได้ดูแคลนตัวเอง แต่ผมกลัวจริง ๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนให้ตอนจบไม่ได้จบลงด้วยความรักที่ดีงามแต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ของพวกเขาทั้งสองคน นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมโดนวิจารณ์อย่างเละเทะ ยอดขายต่ำจนผมรู้สึกว่าผมผิด ใช่ไหมที่มองว่าความรักมันมีวันหมดอายุ ผิดไหมที่บางครั้งความรักมันเป็นแค่การเรียนของคนสองคนในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และตอนจบของเรื่องราวบางอย่างไม่ได้แปลว่าต้องสมหวังเสมอไป มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เหรอ?"

"แล้วหลังจากนั้นมา ก่อนจะเขียนนิยายสักตอน ผมต้องมานั่งถามตัวเองว่าผมกำลังทำอะไร ผมกำลังทำให้ทุกคนพอใจในผลงานของผมโดยมองข้ามความรู้สึกของตัวผมเองรึเปล่า?  นี่ใช่นิยายที่ผมอยากเขียนจริง ๆ เหรอ นี่ใช่เรื่องราวที่ผมต้องการบอกทุกคนจริง ๆ ใช่ไหม ผมสงสัย สับสน และตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอด"

"......."

"เพราะงั้นแล้ว...ผมอยากพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง"


"พิสูจน์ตัวเอง?"

"อืม ผมตั้งใจว่าจะถอดนามปากกาเดิมทิ้งไป อาจจะตลกดี แต่ผมอยากกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากศูนย์ ผมอยากลองเป็นผม เป็นแค่ตัวผมเอง อยากลองดูว่าถ้าไม่ใช้นามปากกาเดิมแล้วผมยังมีฝีมือมากพอให้คนมาตามงานของผมรึเปล่า ผมยังสามารถทำให้พวกเขาสนุกสนาน หัวเราะ ร้องไห้ ไปกับเรื่องราวที่ผมเขียนขึ้นมาไหม

และท้ายที่สุดแล้ว ผมยังจะได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจจนจบเส้นทาง นี้ไหม...หรือผมอาจจะท้อแท้จนเลิกล้มกลางคัน ปล่อยให้มันกลายเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ไม่มีตอนจบก็เป็นไปได้ทั้งนั้น"

"คุณ..ฝืนตัวเองไปรึเปล่า?" ผมถาม

 แม้จะไม่เข้าใจเขามากนัก แต่ผมเองก็เคยเริ่มต้นใหม่ตอนทวิตเตอร์ปลิว การต้องมาสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้โดนใจผู้คนจนยอดฟอลโล่วกลับมาเท่าเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเริ่มต้นจากศูนย์ที่แปลว่าคุณจะไม่สามารถใช้กระแสจากบุญเก่าได้ นั่นแปลว่าทุกอย่างจะถูกตัดสินจากทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่จริง ๆ

"ไม่หรอก ผมไม่ได้ฝืน มันเป็นแค่บททดสอบสำหรับคนหมดไฟในตัวเอง สำหรับผมแล้ว ถ้านิยายของผมทำให้คนอื่นมีความสุขได้ ผมก็อยากจะบอกพวกเขาเหมือนกันว่าทุกสิ่งที่เขาตอบกลับให้กับตัวผมไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นท์ การกดไลก์ กดแชร์ หรือแม้กระทั่งยอดขาย ทั้งหมดคือกำลังใจในการทำให้ผมสามารถยืนหยัดได้ในวันที่ผมล้มลง ผมน่ะ ไม่ใช่พวกชอบร้องขออะไรจากใคร ผมแค่รู้สึกว่าการได้รับโดยไม่ได้ร้องขอมันมีมูลค่ามากกว่าเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่าเราอยากได้อะไรจากพวกเขา เพราะงั้นแล้วผมว่า ผมจะต้องทำมันให้ได้"

"ผมเชื่อมั่นว่าผมสามารถเขียนนิยายที่ทำให้คนอ่านยิ้มได้ โดยสามารถส่งสาส์นที่ตัวเองตั้งใจออกมาได้ไปในเวลาเดียวกัน ผมทำได้แค่เชื่อมั่นและภาวนาในความพยายามของตัวเองเท่านั้น ถ้าผลงานของผมมันดีมากพอ ผมเชื่อมั่นว่ามันจะสามารถส่งไปถึงใจของผู้อ่านได้แน่ ๆ"

โชยิ้มโดยไม่ฝืน แววตาทั้วสองข้างมั่นคงในคำพูด ฟันคูู่สวยคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

"ถ้าแบบนั้นแล้ว ผมก็ขออวยพรล่วงหน้าให้คุณและงานเขียนของคุณประสบความสำเร็จอีกครั้งครับ" ผมให้กำลังใจเพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้าของโช คงยากลำบากมากโข เราสองคนเงียบลงไปก่อนที่เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรออก

"เออ อันนี้เป็นค่าเหนื่อยสำหรับวันนี้" เขาว่า พลางทำท่าหยิบแบงก์พันขึ้นมาจากกระเป๋า

"โน ๆ ผมว่าไม่ต้องให้ผมหรอก เราคุยกันยังไม่ถึงครึ่งชมด้วยซ้ำ" แม้จะตกลงกันไว้แล้วว่าจะมีค่าสัมภาษณ์ แต่ผมไม่อยากเอาเปรียบเขา เพราะมันยังไม่เต็มเวลาที่เราตกลงกันเลยด้วยซ้ำ

"ไม่หรอก คุณรับไปเถอะ ยังไงผมก็ได้กำไรเป็นกำลังใจในการทำงานแล้วไง" โชดื้อ และยื่นแบงก์พันมาตรงหน้าผมอีกครั้ง

ผมเม้มปาก หลับตา และถามตัวเอง สัตว์ร้ายในร่างกายของผมก้มหมอบในเชิงลักษณะไม่ยินดียินร้าย จมูกฟุดฟิดไปมาราวกับกำลังทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พึ่งเข้าฝูง ผมตัดสินใจได้ในทันทีแล้วบอกกับเขาไป

"เอางี้แล้วกัน ผมไม่รับเงินของคุณแล้วล่ะ แต่คุณกับผม เรามาแลกเปลี่ยนกัน"

"ครับ?" โชทำหน้างง ผมสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้งก่อนจะกล่าว

"ผมบอกว่า เรามาแลกเปลี่ยนโลกของกันและกันดูไหม?"

"....."

ผมตอกย้ำคำพูดของตัวเองด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อก แล้วกดเข้าไปที่ไลน์ของตัวเอง

"เริ่มต้นด้วยการรู้จักผมจริง ๆ จัง ๆ ... คุณว่าแบบนี้จะดีไหม?"

โชไม่ตอบคำถาม แต่รับมือถือของผมไปกดไอดีไลน์ของเขา

"อืม...ยินดีอีกครั้งที่เราได้รู้จักกันครับ ทีเร็กซ์"

เรายิ้มให้กันและกันอีกครั้งในลักษณะที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นกันด้วยการทำความรู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ ตอนนั้นเองที่ไลน์ของผมสั่นแจ้งเตือน ผมยิ้มออกมาหลังเห็นข้อความของบุคคลที่ได้ทำการนัดหมายกันว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่เรื่องที่ผมขอร้อง

"ได้เวลา wake up เจ้าเด็กน้อยแล้วละ..."



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว (รีไรท์) | 24/07/2561
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 30-07-2018 21:04:09
เราเพิ่งได้เข้ามาอ่าน เขียนได้เท่จังเลยค่ะเราชอบมากก อยากมาให้กำลังใจในนี้เยอะๆ  :กอด1:
ก่อนอื่นเลยคือประทับใจlogicของตัวละครทั้งคู่ เราอินกับคำพูดของทีเร็กซ์เป็นพิเศษเพราะมีมุมมองต่อค่านิยมในสังคมและต่อสิ่งรอบๆ ตัวคล้ายเราเลย555
ส่วนสำนวนในเรื่องออกโทนเย็น (อธิบายไม่ค่อยถูก555) แต่ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายจากนักเขียนที่เคยเขียนแนวความเรียงหรือเรื่องสั้น เป็นสำนวนแบบที่ไม่ค่อยเจอในงานเขียนนิยายวายเท่าไหร่ สำหรับเราแล้วเลยคิดว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นอีกอย่างในนิยายเรื่องนี้

ปล.เราเองก็มีเพื่อนสนิทที่อยู่ในวงการแอคเค่อนัดเจอกันเป็นคืนๆ ชอบไปคุยกับเขาแล้วได้ข้อมูลหลายอย่างที่คล้ายของคุณมากค่ะ (มีอันนึงเราว้าวมาก เขาบอกว่าตัวเองไม่อยากเป็นรุกเพราะเหนื่อย แต่ดีใจที่ได้เป็นผู้ให้) การคุยในเรื่องนี้เหมือนเปิดโลกที่เราไม่เคยสัมผัส ดีใจที่มีคนเอาเรื่องนี้ออกมาเปิดประเด็นในนิยายนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 01-08-2018 23:56:26


Ep.5 Wake up the boy




ผมกับโชก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แม้จะไม่ได้นัดแนะ แต่จากบทสนทนาบนรถที่ผมคุยกับคุณคนนั้น ผมคาดว่าโชน่าจะพอเดาออกว่าผมกำลังจะทำอะไร เขาแสดงสีหน้าให้กำลังใจก่อนผมจะตัดสินใจปลุกเจ้าหนูน้อยตื่นขึ้นมาเจอกับฝันร้ายในโลกของความเป็นจริง

ก่อนจะเติบโตทุกคนก็ต้องเดินฝ่าพายุสักลูกเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะนะ...

"แฮมครับ ..." ผมสะกิด จากเท่าที่เคยนอนในค่ายที่หอในมอร่วมกันมา แฮมค่อนข้างเป็นคนประสาทสัมผัสไว และก็เป็นแบบที่ผมคิด น้องสะดุ้งตัวตื่น ลุกขึ้นมากอดผมไว้

"พี่ทีเร็กซ์..." เขาเรียกชื่อผมเสียงสั่น แค่นั้นก็ทำได้แค่ซุกตัวลงกับพุงผม ก่อนจะร้องไห้อีกรอบ

"แฮมครับ หยุดร้องก่อน มองหน้าพี่ก่อนนะครับ" ผมว่า แม้ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ ผมลูบหัวเจ้าตัวดีก่อนจะพยายามทำให้น้องมองหน้าผม ดวงตาใส ๆ ทั้งสองข้างคล้ำและหม่น น้ำหมงน้ำมูกไหลเลอะเทอะเปอะเปื้อนไปทั่วทั้งใบหน้า

"หนูไปตรวจเลือดมาเมื่อเช้าถูกไหม?" ผมถาม น้องแฮมพยักหน้า แล้วทำท่าจะร้องอีกรอบ แต่โดนผมถามต่อก่อน

"หนูไปมีความเสี่ยงมาเกินสามสิบวันแล้วเหรอครับ?"

 ผมถามต่อถึงระยะที่ความเสี่ยงจะแสดงผลออกมา น้องแฮมหยุดสะอื้น ใบหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมไม่ชอบเท่าไรที่ตัวเองต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายขุดความทรงจำแย่ ๆ ขึ้นมา แต่เชื่อผมเถอะ บางครั้งบ่มหนามเจ็บครั้งเดียวแล้วจบดีกว่าปล่อยให้มันเป็นหนองไว้แบบนั้น ทอดเวลาต่อไปจนแผลบาดลึก

"ก็..ก็เกินนะครับ ผมไปมีอะไรมาน่าจะตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาฯ" ผมแอบคำนวณเวลาในใจ ตอนนี้เกือบ ๆ จะปลายเดือนมีนาคมแล้วเกินระยะเวลาที่เชื้อจะฟักตัวในระหว่างสามสิบถึงเก้าสิบวันพอดีหลังมีความเสี่ยง

"แล้วได้ตรวจซ้ำรึยังครับ?"

"ยั..ยังครับ พอคุณหมอที่คลินิกนิรนามแจ้งว่าผมติดเชื้อ HIV ผมก็ไม่มีสติเลยพี่ เขาพูดอะไรต่อจากนั้นผมก็จำไม่ได้แล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโทรศัพท์ไปหาพี่" แฮมว่า พลางก้มหัวขอโทษ

ผมมองปฏิทิน วันนี้วันที่ 20 แล้ว พรุ่งนี้ผมมีเรียน ส่วนวันพุธผมยังว่าง ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นวันพุธที่ผมจะพาน้องแฮมไปตรวจเลือดย้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผล

"วันพุธเราเลิกเรียนกี่โมง?"

"สามโมงครึ่งครับ"

"โอเค งั้นเราจะไปตรวจเลือดฟังผลซ้ำกันอีกครั้งวันนั้นหลังเราเลิกเรียน พี่ไม่ได้บอกให้ดีใจนะ แต่บางครั้งผลการทดสอบบางอย่างเราต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมครับ?"

น้องแฮมพยักหน้ารับคำ สีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อยแต่น้ำตาจะไม่หยุดไหลดี ส่วนโชนั่งที่เก้าอี้ทำการบ้านของผมเงียบ ๆ

"พี่มีเรื่องจะถามแฮม"

"ครับพี่?"

"ผู้ป่วยโรค HIV กับผู้ป่วยโรคมะเร็งแตกต่างกันไหมครับ?" ผมถาม เว้นวรรคคำตอบให้น้องได้คิดตาม

"แตกต่างครับ" น้องแฮมว่า

"ในแง่ไหน?"

"มะเร็งมันติดต่อกันไม่ได้ครับ...แต่ที่ผมเป็นมันติดต่อกันได้ และเป็นโรคร้ายแรงที่สังคมรังเกียจ"

"ติดต่อผ่านทาง?" ผมถามต่อ เว้นวรรคให้น้องแฮมได้คิดตามเรื่อย ๆ

"ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยครับ"

"ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่จริง ๆ แล้วการจะติดเชื้อ HIV ได้มันจะต้องมีทั้งช่องทางรับและช่องทางส่ง สารคัดหลั่งในร่างกายคนเราไม่ได้สัมผัสกันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น ....ปัจจุบันเองสังคมก็ค่อนข้างเปิดกว้างมากขึ้นแล้วนะครับ แล้วทำไมเราถึงร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนั้น?" ผมตั้งคำถามกับรีแอคชั่นของแฮม เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะตอบผมกลับมา

"เพราะจริง ๆ แล้วแฮมรู้สึกผิดกับตัวเอง แฮมรู้สึกผิดกับครอบครัว กับคนที่รักแฮม แฮมรู้สึกว่าแฮมไม่ได้รักตัวเองมากพอที่จะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้" เขาว่าจบ เขื่อนน้ำตาก็ทำท่าจะพังทลายลงอีกครั้ง ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปรบมือสองสามครั้งเรียกสติแฮมจนเจ้าตัวสะดุ้ง

"Wake up the boy ...มองตาพี่ แล้วตอบคำถาม ใครผิดหวังในตัวเธอ?"

"ก็..ครอบครัวแฮ.."

"เขาบอกแล้วเหรอว่าผิดหวังในตัวเรา เขาบอกรึยัง บอกตอนไหนว่าผิดหวัง?" ผมว่าสวนกลับ ประสานตากับเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า

"ก็..ก็ยังครับ แต่ว่ามัน..."

"มันทำไม?"

"มันก็น่าจะ..ผิดหวังไม่ใช่เหรอครับ?" เจ้าตัวว่าเสียงค่อย สีหน้าดูมีสติขึ้นตามลำดับ

"...หรือต่อให้ผิดหวังจริง ๆ แล้วยังไงต่อ? มีใครบ้างไม่เคยผิดพลาด มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่แล้วยังไงอ่ะ เราจะขอโทษอีกกี่พันครั้งก็เปลี่ยนผลเลือดของตัวเองไม่ได้

แต่ที่พี่จะบอกเราคือ ครอบครัวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีกันและกันเสมอ เพราะมันเป็นแบบนั้นมาตลอด และจะเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ใช่เหรอ เพราะแบบนั้นต่างหากเราถึงเรียกนั้นว่าครอบครัว"

"........"

"หนูยังต้องโต ยังต้องเจอเรื่องบัดซบกว่าแค่ผลเลือดบวก ยังต้องเจอใครมากมายอีกหลายคนที่ทั้งผิดหวัง ทั้งภาคภูมิใจ ทั้งชอบใจ ทั้งไม่ชอบใจในตัวเราเสมอ ๆ จะเลือดบวกเลือดลบเราก็ยังเจอเรื่องบัดซบที่เราต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่า 'กูต้องเกิดมาเพื่อเจอเรื่องเหี้ย ๆ แบบนี้จริง ๆ เหรอ?' และยังต้องเจอต่อไปจนกว่าเราจะตายจากโลกใบนี้ไป แล้วถามว่าทำไมเราจะต้องทุกข์ล่วงหน้ากับความบัดซบที่ยังมาไม่ถึงด้วย?"

"ครับ...."

"เสียใจได้ ใคร ๆ ก็ร้องไห้เป็น ไม่แปลก พี่ก็ร้องไห้บ่อย ๆ" ผมเว้นวรรค  ไม่กล่าวต่อด้วยว่าตอนตัวเองร้องไห้ทุเรศแค่ไหน "แต่หลังผ่านพ้นมรสุมของหยาดน้ำตาแล้ว เราต้องลุกให้เป็น โลกใบนี้อาจจะมีคนเข้าใจเราไม่มาก หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แต่ชีวิตเรายังต้องเดินต่อไปเสมอ ๆ "

"แฮมเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่งที่พี่รู้จัก แต่จำไว้นะครับ ตราบเท่าที่เรายังเป็นมนุษย์ ใคร ๆ ก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ฉลาดแค่ไหนก็ทำเรื่องโง่ ๆ ได้ในบางเวลา บางสถานการณ์ หนูแค่ก้าวพลาดไปหนึ่งก้าว หนูยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ยังมีพี่ มีเจ้าโต เจ้าแฝด มีคนอีกมากที่ต้องเข้าใจในตัวหนูแน่ ๆ และพี่ไม่เคยผิดหวังในตัวเราเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา เพราะงั้นแล้ว ... อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ" ผมกอดเจ้าตัวพลางลูบหัวเบาบาง

"พี่ที" เจ้าแฮมครางชื่อผมเสียงสั่น พลางกอดพุงผมแน่น

"เอาล่ะ พี่จะยังไม่ถามแล้วกันว่าไปทำอะไรกับใครมา เพราะคิดว่าเราน่าจะยังไม่พร้อมจะตอบคำถามของพี่ แต่ฟังพี่ไว้นะครับ การมีเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ที่ผิดคือเซ็กซ์ที่ไม่ปลอดภัย และการที่เราเป็น HIV แล้วไม่ได้แปลว่าจะสามารถมีเซ็กซ์ได้โดยไม่ป้องกันนะครับ แฮมเข้าใจที่พี่พูดไหม?"

"เข้าใจครับพี่" เจ้าแฮมรับคำเสียงใส สีหน้าดีขึ้นแม้จะยังมีขี้มูก อย่างน้อยที่สุดประกายตาของน้องแฮมดีขึ้นมาก แม้จะไม่ได้กลับมาสดใสเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้หม่นหมองราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาได้แตกสลายไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

"หลังวันพุธ ถ้าไปตรวจแล้วผลเลือดยังเป็นบวก เราต้องไปหาหมอ ต้องปรึกษากันต่อเนาะว่าจะทำยังไงต่อไป หลังจากนี้เราก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ อ๋อ ถึงพี่จะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่พี่อยากแนะนำอีกเรื่องก็คือ ควรเตือนคน ๆ นั้นซะนะ ว่าเขามีเชื้อ HIV เขาจะไม่ได้ไปมั่วซั่วกับใครจนทำให้ใครสักคนต้องหัวใจสลายแบบนี้อีก"

ผมว่า แม้ผมจะยังไม่คาดคั้นในตอนนี้ว่าใครหน้าไหนที่กล้ากระทำการอุกอาจแบบนี้ แต่ก็ขอมองโลกในแง่ดีไว้ก่อนว่าเจ้าตัวอาจจะไม่รู้เรื่องที่ตัวเองมีเชื้อ HIV จริง ๆ อย่างน้อยที่สุด ถ้าน้องแฮมไปบอกให้หมอนั่นรู้ตัว จะได้ป้องกัน ไปรับยาต้าน และจัดการชีวิตตัวเองได้เป็นลำดับขั้นตอนต่อไป

ก็หวังแต่ว่าเขาจะไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าตัวเองไม่ปลอดภัย ไม่ใช่ตั้งใจไม่ป้องกันเพื่อหวังผลทำลายชีวิตคนอื่น ๆ อีกมากมายหลายคน เพราะไม่อย่างงั้นเราอาจจะต้องเจอกันอีกหลายแมทช์มากกว่าแค่รู้จักกันผ่านคำพูดของบุคคลที่สามแน่ ๆ ผมรับประกันได้...

น้องแฮมรับปากผมเรื่องที่ผมบอกไว้ แม้จะยังไม่เล่ารายละเอียดถึงต้นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมเชื่อว่าถ้ามันถึงเวลาที่พร้อมแล้ว เขาจะสามารถบอกเล่าให้ผมฟังได้อย่างปลอดโปร่งถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องต้องปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน ตอนนี้ผมเองก็ถือว่าได้ทำเท่าที่ทำไปได้จนเกือบจะหมดแล้ว

"นอกจากนั้น พี่อยากให้เราได้ลองคุยกับใครบางคนด้วย" ผมว่า พลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์แล้วกดโทรไลน์ไปหาปลายสายที่กำลังรออยู่ น้องแฮมทำหน้างง ส่วนโชไม่แสดงออกว่ารู้สึกยังไงนอกจากแววตาที่ดูุประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็ก ๆ รอไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย

"สวัสดีครับพี่เอก" ผมพูดนามแฝงตามที่อีกฝ่ายขอร้อง พร้อมเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ทุกคนได้ฟังพร้อมกัน

'สวัสดีครับ จริง ๆ อาจจะกระดากปากไปหน่อยถ้าต้องเรียกผมว่าพี่ เพราะอายุผมอาจจะเป็นรุ่นพี่พ่อของพวกน้อง ๆ ได้แล้ว แต่ยังไงเอาตามที่สะดวกก็ได้นะครับ' เสียงทุ้มต่ำปลายสายตอบกลับมา จากเสียงปลายสายที่ตอบกลับมา สามารถสื่อสารให้คนในห้องทั้งหมดรับฟังได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีอายุระดับหนึ่งจริง ๆ ตามโทนเสียงและวิธีการพูดที่สื่อสารออกมา

"เอ้า น้องแฮม สวัสดีพี่...โอเค เอางี้ ผมขอเรียกว่าคุณน้าเอกจะได้ไหมครับ? จะได้ไม่เคอะเขินกันเท่าไหร่?" ผมเสนอทางเลือกอื่น ปลายสายรีบตอบกลับผมมา

'ได้ครับ ๆ ผมก็อายตัวเองเหมือนกัน หลักห้าแล้วยังให้เด็ก ๆ มาเรียกพี่เนี่ย ฮ่าๆ'

"ฮ่า ๆ ครับคุณน้าเอก ตอนนี้ผมอยู่กับน้องผมนะครับ ผมอยากให้น้าเอก ลองคุยกับน้องผมหน่อยได้ไหมครับ?" ผมเปิดประเด็น เจ้าแฮมยังทำหน้างง จนผมพยักหน้าให้ส่งเสียงทักทายอีกฝ่ายไป

"สวัสดีครับคุณน้าเอก" เจ้าตัวว่าเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงงง ๆ ว่าผมให้คุยทำไม

'สวัสดีครับหนู ฟังจากเสียงแล้วเด็กจริง ๆ ด้วยแฮะเรา ... อายุเท่าไหร่แล้วครับ?'

น้องแฮมหันกลับมามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าควรตอบไหม? ผมพยักหน้าไปเจ้าตัวจึงกรอกเสียงกับไปตามสาย "ปีนี้ผม 16 ครับ"

'อ่าห๊ะ...อายุเรามากกว่าหลานน้าปีเดียวเอง แล้วเป็นยังไงบ้างตอนนี้?'

"อ่า...." เจ้าแฮมครางเสียงต่ำ ใบหน้าหายงง ๆ แต่เหมือนระคนสับสนว่าตัวเองควรจะสื่อสารยังไงดี

'ไม่ต้องกลัวนะ พี่เราเขาไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าแค่หนูกำลังมีเรื่องไม่สบายใจเท่านั้น ไหนเราพอเล่าให้น้าฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วหนูรู้สึกยังไงบ้าง'

ผมไม่ได้เล่าอะไรนอกจากบอกใบ้กลาย ๆ ว่าน้องคนสนิทของผมกำลังมีปัญหาที่หนักและคล้ายกับตัวคุณน้าเขาในอดีตเท่านั้นเองครับ

ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผมนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองเคยทำโครงการประวัติการรักษา HIV ตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มแพร่ระบาดใหม่ ๆ ในประเทศไทย พร้อม มีสัมภาษณ์ผู้ป่วยท่านหนึ่งที่อายุหลักห้าสิบแล้ว แต่ยังแข็งแรงและยังดำรงชีพในสังคมตามปกติ ตอนนั้นที่ฟัง ผมรู้สึกว่าคำตอบและ mindset ของคุณน้าเขาค่อนข้างโอเค ไม่คิดว่าสักวันจะมีเรื่องรบกวนกันจริง ๆ จัง ๆ จนได้

การให้กำลังใจเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ข้าง ๆ กัน แต่คนที่จะเข้าใจกันและกันมากที่สุด คือคนที่เคยผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายคล้าย ๆ กัน ผมเชื่อแบบนั้น จึงลองเสี่ยงทายดูว่ามันจะได้ผลไหม และดูเหมือนคำตอบในครั้งนี้จะทำให้ผมเบาใจลงไปได้ในเรื่องของน้องแฮม

"ผมติดเชื้อ HIV ครับน้า" น้องแฮมว่า ตอบเสียงฉะฉาน แต่แววตาไม่ได้โรยราเหมือนแรกเริ่ม "ถามว่ารู้สึกยังไง ตอนแรกผมรู้สึกเหมือนโลกของผมมันพังทลายลงเลย ผมรู้สึกหมดคุณค่า ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมกลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมเราไม่สามารถยอมรับได้อีกแล้ว แต่ว่า..." น้องแฮมหยุด เว้นวรรคเหมือนใช้ความคิดอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไป

"ผมเชื่อว่า ชีวิตของผมยังไปได้ต่ออีกไกล และผมยังทำอะไรให้กับสังคมได้อีกเยอะมาก ๆ ครับ ผมจะยังมีความสุขได้ ตราบเท่าที่ผมยังพยายามใช้ชีวิตต่อไปครับ"

แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยผมสัมผัสได้ว่าหัวใจและความสดใสของเจ้าดาวค่ายคนเดิมของคณะผมได้กลับมาอีกครั้ง น้องแฮมยิ้มออกมานิดหน่อย ส่งสายตาขอบคุณมาให้กับผม

'อาการเบากว่าที่น้าคิดแฮะ ... แต่ได้ฟังแบบนี้ก็ดีใจ ตอนนั้นนะ น้าอายุแค่ 14 เอง สมัยนั้นไม่มีหรอก การให้ความรู้ การป้องกันตัวเอง กระทั่งถุงยางยังไม่มีใครกล้าหยิบ กล้าซื้อเลย เพราะถ้าใครซื้อก็จะโดนสายตาของทุกคนรุมประณามว่าเป็นพวกมักมากในกามา'

ปลายสายตอบกลับมา ทุกคนในห้องต่างให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของคน ๆ หนึ่ง แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่แม้กระทั่งผมเองก็ยังสนใจบรรยากาศของสังคมในยุคก่อนจากปากคนที่เคยผ่านมันมา

'ช่วงที่น้าเป็นนะ ตอนนั้นโรคมันเพิ่งเข้ามาถึงไทยได้ปีสองปีเองมั้ง ความรู้ในการป้องกัน ยาเยออะไรไม่ต้องไปถามหาเลย เพราะไม่มีใครรู้จัก สื่อเองยังไม่ได้นำเสนอข่าวอะไรพวกนี้ด้วยซ้ำ น้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไง รู้แค่ว่าตัวเองป่วยเป็นโรค ที่รักษาไม่หาย สุดท้ายก็เลยออกจากโรงเรียน กลับไปคุยกับที่บ้านว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี'

"แล้วครอบครัวว่ายังไงบ้าง หลังคุณน้าบอกออกไปครับ?" น้องแฮมถามต่อ เจ้าตัวตอนนี้ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่ปลายสายเรียบร้อยแล้ว

'จะว่ายังไงเหรอ? บอกไปคำแรกก็โดนด่าเช็ดเลยหลานเอ๊ย น้ำหูน้ำตาไหล ไม่คุยกับน้าไปสามสี่วัน.....' ปลายสายกล่าวด้วยน้ำเสียงซีเรียส ผมมองหน้าเจ้าแฮมที่แอบซีดลงนิด ๆ ก่อนน้าเอกจะกล่าวต่อว่า '... ก่อนวันที่ห้าแกจะต้มสมุนไพรให้ทาน'

"อ่า"

'ก็นั่นแหละ แกก็ด่าทุกวันนั่นแหละ ลูกทรพีบ้าง ลูกไม่รักดีบ้าง แต่ก็มีสมุนไพรหยูกยามาไม่ขาด อะไรที่เขาว่าดี เขาว่าช่วยบำรุง ช่วยรักษาก็หามาให้หมด เมื่อก่อนแกไม่เคยหรอกออกกำลังกาย แต่ทุกเย็นหลังทำงานเสร็จก็จะบังคับน้าไปวิ่งกับแก

กลายเป็นว่าทั้งบ้านหันมาใส่ใจกันเรื่องสุขภาพ หาของดีๆ ทานกันทั้งบ้าน หาของบำรุง ออกกำลังกายกันสารพัด ท่ามกลางคำด่ามากมาย เดี๋ยวก็ว่าปีสองปีก็ตาย เดี๋ยวก็ว่าอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็เดธ ....ปัจจุบันนี้คนที่พูดเนี่ยไปก่อนน้าหลายคนแล้วหนูเอ๊ย'

ปลายสายกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อถึงพูดถึงตอนท้ายของประโยค บรรยากาศในห้องดีขึ้นตามลำดับ เจ้าแฮมยิ้มอย่างสดใสก่อนจะถามคำถามต่าง ๆ ที่ตัวเองสนใจต่ออย่างร่าเริง

"แล้วเรื่องที่ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ?"

'ก็คนไม่มีการศึกษานะหนู ทำอะไรได้นอกจากพวกงานใช้แรงงาน คิดอีกแง่ก็เหมือนน้าได้ออกกำลังกายทุกวันนะเพราะมันต้องใช้แรงกาย จะไปทำงานอะไรพวกที่เข้าระบบไม่ได้หรอกเพราะเขาตรวจเลือดไง เขาไม่เอาหรอกพวกที่เลือดบวกนะ มันเป็นกฎของบริษัทนะว่าไม่รับบุคคลที่มีโรคติดต่อร้ายแรงเข้าไปทำงาน'

เราเงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนน้องแฮมจะแสดงความคิดเห็น

"เลือดบวก เลือดลบไม่เห็นเกี่ยวข้องกับทักษะการทำงานเลยนี่ครับ จริงอยู่ว่ามันเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ แต่ไม่ได้แปลว่าแค่อยู่ใกล้ ๆ กันก็จะติดโรคกันแล้วนี่นา?" น้องแฮมว่า คิ้วน้อย ๆ ขมวดเข้ากับตาคู่ตี่

"อันนี้พี่ขอแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหม?" โชพูดขึ้นพร้อมกับที่ผมกับน้องแฮมหันไปมองเขา เจ้าตัวกระแอมไอก่อนจะพูดต่อ

"โอเค พี่เข้าใจที่แฮมว่านะ จริงอยู่ว่าโรคนี้ไม่ได้ติดต่อเพราะแค่อยู่ใกล้ ๆ กัน แต่พี่มองสองประเด็นดังนี้ หนึ่ง สังคมยังมีภาพจำที่ไม่ดีต่อโรคนี้มาก ๆ เป็นต้นว่าหนัง ละคร ภาพยนต์ สื่อต่าง ๆ ในตั้งแต่ในอดีตพยายามสร้างภาพจำว่าเป็นโรคที่น่ากลัวเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครคิดออกนอกกรอบเพราะสมัยนั้นยังไม่มีข้อมูลการรักษาอะไรที่แน่ชัด

แต่พี่ว่าข้อสองสำคัญกว่า คือระดับคนทำงานหรือหัวหน้าบริษัท หรือพวก HR นะ เวลาจะรับคนเข้าทำงานในระบบเนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวบุคคลเท่านั้นนะครับที่เสียทรัพยากรในการมาทำงาน แต่ตัวบริษัทเองก็เสียทรัพยากรเช่นกันในการเทรนด์การทำงานให้แต่ละบุคคล ดังนั้นแล้วทุก ๆ การลงทุน เจ้าของทุนก็ต้องมองด้วยว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วยไหม?

จริงอยู่ เราอาจจะบอกได้ว่าแม้จะเป็นโรคนี้แต่เราก็ยังแข็งแรง ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมนุษย์คนหนึ่งที่พึงจะกระทำให้แก่บริษัท แต่เราต่างไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วในร่างกายเราแข็งแรงหรืออ่อนแอมากขนาดไหนในช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้น

ดังนั้นก็ตัดปัญหาตั้งแต่แรก เลือกลงทุนบนความ 'ไม่เสี่ยง' แต่แรกเลย พี่ไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องนะ แต่พี่แค่อยากให้เราลองมองหลาย ๆ มุมมอง จากทั้งคนตั้งกฎและคนที่ต้องปฏิบัติตาม การหาเส้นแบ่งตรงกลางที่จะทำให้ทุกคนพอใจนะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จริง ๆ นั่นแหละครับ"

ทุกคนเงียบหลังจากที่เขาพูดจบ ผมว่าที่โชพูดออกมานั้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก ๆ หลาย ๆ ครั้งเรามักจะมองเรื่องราวหลาย ๆ อย่างแต่ในมุมมองของตน โดยปราศจากการมองผ่านมุมมองของอีกฝ่ายที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับเรา

'การคิดต่าง' นะมันไม่ใช่ปัญหา แต่ 'การคิดต่างแล้วพยายามบังคับให้คนอื่นคิดตาม' นั่นแหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมมากมายหลายประการ

เพราะบางคำถาม ไม่ได้มีแค่หนึ่งคำตอบ หรือแม้กระทั่งหนึ่งคำตอบก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทต่าง ๆ ทั้งสังคม ทั้งยุคสมัย ทั้งกาลเวลา

ดังนั้นเราจึงทำได้แค่เพียงมีสติและมองปัญหาต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ ทั้งบวกและลบ อย่างที่โชเคยพูดกับผมเท่านั้นเอง เราแค่มองโลกแบบที่โลกเป็น ไม่จำเป็นต้องมองให้บวกเกินไปหรือสิ้นหวังเกินไปจนแทบมองไม่เห็นเส้นทางอนาคตของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

'ใช่เลยครับ ผมว่ามองมุมนั้นก็ไม่ผิดอะไรนะ ใจเขาใจเราเนาะ เขาจ้างเรา ก็คงอยากได้คนที่สามารถทำงานให้เขาได้เต็มประสิทธิภาพแหละ เราเองก็ต้องเกรงใจเขาเหมือนกัน' น้าเอกกล่าวเสริม

ผมมองท้องฟ้า ราวเกือบสองทุ่มแล้ว ฝนด้านนอกหยุดตก ท้องฟ้าและอากาศกลายเป็นความชุ่มช่ำเย็น ๆ หลังพายุฝนพัดผ่านไป หันไปมองโชที่กำลังพิมพ์อะไรไม่หยุดมือก็ได้แต่คิดว่าควรจะไปส่งเขากลับบ้านได้แล้ว ก่อนที่มันจะดึกไปมากกว่านี้

"โชครับ เดี๋ยวกลับบ้านเลยไหม?" ผมหันไปถามเบา ๆ เขาหมุนข้อมือตัวเองดูนาฬิกาก่อนจะพยักหน้าตกลงตามที่ผมบอก

"น้องแฮมครับ งั้นคุยกับน้าเอกไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งพี่โชแป๊บ" ผมว่า เจ้าแฮมพยักหน้ารับคำ พลางหันไปสวัสดีพี่โชตามที่ผม ผมหยุดคิดนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

"แล้วก็ เดี๋ยวพี่โทรศัพท์บอกแม่เราให้ว่าวันนี้นอนค้างห้องพี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะว่าจะทำยังไงต่อไป" ผมเสนอทางออก ให้เวลาเจ้าแฮมได้ตั้งสติว่า จะจัดการปัญหานี้ยังไงต่อไป เพราะยังไงถ้าต้องรักษากันเป็นเรื่องเป็นราว คงต้องบอกผ่านไปยังผู้ปกครองของเจ้าตัวเท่านั้น

"ผมรักพี่ที่สุดเลย" เจ้าตัวว่าเสียงใส พลางกอดผมแน่น ส่วนผมก็ได้แต่ลูบหัวปลอบใจมันไป...คงจะดีมากกว่านี้ถ้ามึงไม่ร้องไห้จนเสื้อกูเลอะไปหมดน่ะ ไอ้แฮมเอ๊ย !

หลังเก็บของลงกระเป๋าเป้เสร็จ โชก็หิ้วข้าวของส่วนตัวขึ้นพร้อมพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงให้เดินนำออกไป ผมก้าวเท้าออกจากห้อง ปิดประตูหลังจากเขาเดินตามออกมา

"คุณ...เก่งกว่าที่ผมคิดเยอะเลยนะ" โชว่าหลังใส่รองเท้าเสร็จ

"หื้ม?"

"ก็แบบ ถ้าลองกลับกัน เป็นผมคงสติแตกถ้าคนสนิทมาบอกว่าติด HIV ผมคงหัวหมุนและตั้งสติไม่ได้ไปพักใหญ่ ทำไดัก็คงแค่ปลอบโยนทำนองนั้นมั้ง?" เขาว่า

"ก็นะ...ผมบอกไปแล้วว่าคนไม่มีสตินะแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละ"

เราสองคนยืนรอที่หน้าลิฟท์ ใบหน้าของโชแสดงเครื่องหมายคำถาม และมีข้อสงสัยแต่เจ้าตัวไม่ได้พูดออกมา พอเห็นแบบนั้น ผมเลยให้เขาเป็นคนพูดออกมา

"มีอะไรอยากถามผมรึเปล่า?"

"เออ..จะละลาบละล้วงไหม ถ้าผมจะถามว่า แล้วคุณล่ะ ไม่กลัวติดเชื้อ HIV บ้างเหรอ?" เขาว่าเสียงอ่อย ทำท่าเหมือนเด็กตัวโต ๆ ที่กลัวว่าถามคำถามไปแล้วจะเสียมารยาทไหมกับคนอายุมากกว่า

"คุณทำหน้าเหมือนเด็กที่กำลังกลัวโดนดุ"

"ผม 26 แล้วนะ ไม่เด็กแล้ว" เขาว่า ผมหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ตอนแรกคิดว่าโชน่าจะไล่ ๆ กับผม ห่างกันไม่มากสักสองสามปีเสียอีก

"หน้าคุณเด็ก" ผมชม แต่พอเห็นเขายิ้มจนเห็นฟันขาว ก็เลยย้อนกลับไปเรื่องเดิมเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ

"อืม HIV นะเหรอ?...ก็กลัวนะ แต่ผมก็ป้องกันในส่วนที่ทำได้ ผมน่ะใช้ถุงยางทุกครั้งเลย" กับคนแปลกหน้าและคนที่ไว้วางใจไม่ได้...ผมต่อความในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป

"แล้วก็..นอกจากถุงยางอนามัยแล้ว ผมทาน PrEP ด้วยนะครับ"

"เพร็บ ? มันคืออะไรอ่ะครับ?" เขาถามกลับ

"คุณไม่รู้จักเหรอ?" โชส่ายหน้ากลับเป็นการปฏิเสธ ลิฟท์เปิดกว้างออกมาให้เราสองคนเดินก้าวไปด้านใน

"มันคือยาอะไร ช่วยยังไง ราคาเท่าไหร่ สรรพคุณแบบไหน มีผลข้างเคียงไหม แล้วก็..."

เจ้าตัวควักโน้ตขึ้นมาจดพร้อมถามคำถามมารัว ๆ แต่ก็หยุดเงียบลง เมื่อเจอสายตาพิฆาตจากผมเป็นเชิงให้ใจเย็น ๆ โชหัวเราะแหะ ๆ เอาโน้ตเกาหัวแก้เก้อที่ลืมตัว เห็นแบบนั้นผมก็ได้แต่ถอดใจ ก่อนจะเปิดปากอธิบายให้เขาฟัง

"จะอธิบายยังไงดี ...คืองี้ PrEP" ผมหยุดพูดหลังเห็นเขากำลังจดเลยสะกดให้ฟัง

"สะกดด้วยพีพิมพ์ใหญ่ อาร์พิมพ์เล็ก อีพิมพ์ใหญ่ พีพิมพ์ใหญ่ ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis อธิบายง่าย ๆ มันคือยา Anti-virus ประเภทหนึ่ง สรรพคุณของมันคือการดักจับ HIV ก่อนที่มันจะลุกลามในร่างกาย มันช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 92% จริง ๆ มันมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่คุณลองไปรีเสิร์ชเพิ่มเติมมาก่อน แล้วรอบหน้าผมจะเอามาให้ดู"

ผมพยายามอธิบายให้กระชับที่สุดหลังลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง หันไปมองอีกที พ่อนักเขียนคนดีก็ตะบี้ตะบันจดข้อมูลที่ผมพูดอย่างเอาเป็นเอาตาย

สำหรับผมแล้ว โชค่อนข้างทุ่มเทให้กับการทำงานมากจริง ๆ จนดูเกือบจะสุดโต่งในบางมุมเลยแฮะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูตารางนัดหมายของเดือนถัดไป ไม่อยากจะชมหรอกนะ แต่โชเข้ามาถูกจังหวะที่ผมจะต้องไปรับยาเพิ่มพอดี

"เอางี้ 30 มีนาฯที่จะถึง คุณว่างไหม?" ผมถาม เขารีบสไลด์หน้าจอ ดูตารางงานของตัวเองก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงตกลง

"งั้นเราจะเจอกันอีกทีวันนั้นเลยก็ได้ แล้วเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังตั้งแต่ที่มาที่ไปของยา ยันว่าไปรับได้ยังไง คุณจะได้ไปสถานที่จ่ายยาจริง ๆ เลยดีไหม?" ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มาถึงขนาดนี้ การพาเขาไปให้เห็นกับตา ได้ยิน กับหูเลย ก็น่าจะดีที่สุด

อย่างน้อยถ้ามีอีกสักคนในวงการสื่อเข้าใจว่ายา PrEP มีข้อดีข้อเสียยังไงและกระจายข้อมูลออกไปในวงกว้าง ....บางทีวันนี้เจ้าแฮมอาจจะไม่ได้มานั่งร้องไห้แบบนั้นก็เป็นได้

"ตกลงครับ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความช่วยเหลือนะคุณ" เขาว่า หลังเราเดินมาถึงลานจอดรถ

"ผมก็ภาวนาขอให้คุณได้ช่วยเหลือผมบ้างเหมือนกัน" ผมว่า โชทำท่าขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ผมเลยต้องขยายความ "หมายถึงว่าที่คุณช่วยเขียนเรื่องราวอีกด้านให้สังคมได้รับฟังนะ อย่างน้อยขอแค่สัก 1 % เข้าใจและออกไปตรวจเลือด ดูแลสุขภาพตัวเองเพิ่มขึ้นสักนิดก็ดี"

โชยิ้มหลังผมพูดจบก่อนจะตอบกลับสั้น ๆ ว่า

"อืม ผมจะพยายามนะครับ"

"ครับ บาย"

"บายครับทีเร็กซ์" พูดจบเจ้าตัวก็ขึ้นรถ ผมหันหลังกลับเตรียมเดินเข้าหอ

"เดี๋ยว"

"หื้ม?"

"อ่า..เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมไลน์หานะ"

"อ่าห๊ะ"

"โอเค บาย ๆ อีกครั้งนะคุณไดโนเสาร์ตัวกลม"

สาบานได้ว่าถ้าเขาปิดกระจกรถไม่เร็วมากพอ ผมจะเขวี้ยงอะไรสักอย่าง ใส่หน้ามัน ผมส่ายหน้ากับผู้ใหญ่ยี่สิบหกที่ยังไม่รู้จักโต ก่อนจะเดินเข้าประตูหอไป ระหว่างรอลิฟท์ ไลน์ผมก็แจ้งเตือนข้อความใหม่

'ขอบคุณมากสำหรับวันนี้ ไว้เจอกันพฤหัสหน้านะ'

ผมส่ายหน้าอีกครั้งหลังเขากดส่งสติกเกอร์ไลน์เป็นรูปไดโนเสาร์ตัวกลม ๆ และเพราะไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไรดีเลยแค่ส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งตอบกลับไป

ถ้าไม่นับ 'เขา' ก็คงมีแค่โชแหละมั้ง ที่เราเริ่มความสัมพันธ์ประหลาด ๆ กันโดยไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ... ไม่สิ จริง ๆ แล้วนั้นมันเรื่องหลักเลยต่างหาก แต่ช่างเถอะ ผมขี้เกียจคิดมากกับเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเองคอนโทรลไม่ได้อยู่แล้ว สุดท้ายแล้วบางเรื่องก็แล้วแต่โชคชะตาจะนำพา

ก็หวังแค่ว่าปลายทางที่ยังมองไม่เห็น จะไม่ใช่ใต้ท้องทะเลลึก ๆ แบบที่ผมกำลังอาศัยอยู่

ใต้ท้องทะเลที่เป็นใจกลางห้วงมหาสมุทรของหยาดน้ำตา ...ปรภพที่ใครต่อใครเขาเรียกกันว่า "ความรัก"



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 02-08-2018 00:51:18
เหมือนกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับเพศศึกษาเลยค่ะ
เป็นนิยายที่แฝงความรู้ด้านนี้มากจริงๆ ได้แง่มุมต่างๆเยอะมาก
เนื้อเรื่องเอาจริงๆเราว่าก็ค่อนข้างวิชาการเลยนะ
แต่สื่อออกมาในรูปแบบของนิยาย ซึ่งเราว่ามันดีมากๆเลยค่ะ
คือมันไม่ใช่วิชาการแบบนั้นนะ แต่มันเป็นความรู้ที่มันสามารถใช้ได้จริง
หรืออ่านเพื่อรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย มันเป็นสิ่งที่ควรจะรู้และตระหนักอะ
ดีจนต้องไปแชร์ให้เพื่อนๆมาอ่านเลยค่ะ ชอบความเรียลของเนื้อหามากเลย
เหมือนคุณคนเขียนคือโชที่มาถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟังแล้วอะ
นี่เรากำลังอ่านนิยายของโชมั้ยคะ
55555555555555555555
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-08-2018 03:02:13
มันเป็นอะไรที่อธิบายยากทางความรู้สึก แต่ที่บอกได้ชัดเจนก็คือ ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 03-08-2018 19:00:34
เหมือนทีเร็กซ์มีความรักที่ฝังใจกับใครซักคนใช่มั้ย
อ่านแล้วได้ความรู้ค่ะ เหมือนกำลังอ่านบทความดีๆอยู่เลย

ติดตามต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้  o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 10-08-2018 22:38:42


Ep.6 Helter-skelter




คุณเคยแหวกว่ายสายน้ำราวกับว่าตัวเองเป็นปลาตัวหนึ่งไหม?

....มากกว่าการดำดิ่งลงไปในน้ำ ลึกลงไปในระดับที่คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งที่ผิดแผกและแปลกประหลาดไปจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน  แค่จะขยับตัวไปทางไหนก็เห็นระลอกระริ้วของน้ำพริ้วไหวเป็นคลื่นเบา ๆ ทุกครั้งที่ขยับร่างกาย

เย็นเฉียบไปทั้งตัว ไม่สามารถใช้คำว่าเปียก เพราะทั่วทุกอณูของร่างกายสัมผัสกับน้ำตลอดเวลา คุณไม่รู้สึกว่าในร่างกายของตัวเองมีอะไรอบอุ่นอีกเลย

กระทั่งหัวใจของคุณก็ยังเย็นเฉียบไปตามกระแสน้ำที่ไหลวนอยู่รอบ ๆ ร่างกาย

มืดสนิทจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น แม้กระทั่งฝ่ามือของคุณยังมองเห็นเส้นลายมือได้อย่างเลือนราง แค่จะลืมตายังทำได้อย่างยากลำบาก ขยับตัวได้ไม่เท่าไหร่คุณก็เจอกับกรงยักษ์ขนาดมหึมาที่กักขังตัวคุณเอง ทั้งกรีดร้อง ทั้งตะโกนออกไปจนสุดเสียง แต่สัมผัสรับที่ตอบกลับมาคือความเงียบงัน ฟองอากาศที่ผลิตออกมาจากปอดฟองแล้วฟองเล่า ลอยขึ้นไปด้านบนเหนือศีรษะและไม่กลับออกมาอีก

ผมทรุดตัวลงตรงนั้น

ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว

ราวกับเป็นแค่เศษซากของอะไรสักอย่าง ผมไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าหัวใจของผมยังเต้นอยู่รึเปล่า

“.....ท..”

เสียงเบาราวกับกระซิบ แต่ดังกึกก้องขึ้นมาในหัวราวกับออกมาจากลำโพงยักษ์ ผมสะดุ้งตัวมองไปรอบ ๆ พยายามค้นหาต้นตอของเสียงดังกล่าว

ไม่เห็น ไม่มีแม้ร่องรอยหรือคำอธิบายด้วยซ้ำว่ามันมาจากไหน

“.....ทร....”

ผมหันซ้ายหันขวาหาต้นเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง แม้กระทั่งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ผมยังสัมผัสได้ถึงเหงื่อของตัวเองที่ไหลออกมาจากขมับ

แสงสว่างเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นอยู่บริเวณมุมหนึ่งของ “ข้างนอก” กรงยักษ์ที่ขังผมเอาไว้ สองขาเดินตามราวกับหิ่งห้อยต้องแสงจันทร์ แม้จะเป็นแสงสว่างที่เล็กขนาดไหน แต่กับท้องทะเลที่ไร้แสงสว่าง มันมีค่าไม่ต่างอะไรจากพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาโปรดโลก ผมพยายามส่งเสียงตอบกลับ แต่ไม่มีการสั่นไหวใด ๆ สามารถนำพาเสียงของผมไปถึงเป้าหมายได้

“ทรอ......”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมแสงสว่างที่เจิดจ้ามากจนบดบังสายตาของผมไว้ ผมยกมือขึ้นมาบังตาจากแสงดังกล่าว รู้ตัวอีกทีก็มายืนชิดอยู่ริมลูกกรง สัมผัสอบอุ่นบางอย่างแล่นเข้ามาสัมผัสที่ไหล่ทั้งสองข้าง แสงสว่างเบาบางลง จนผมมองเห็นคนที่ยืนอยู่อีกด้านของกรงขัง ‘เขา’ ยืมยิ้มให้ผมก่อนจะส่งเสียงทักทายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

“ทรอย”

“เชี่ย !!!”


ผมหวีดร้อง สะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มเสียงยันตัวลุกขึ้น ก่อนสติจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พอมองไปรอบ ๆ แล้วเจอเจ้าแฮมนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ถึงพึ่งระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากฝันร้ายเมื่อชั่วครู่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดและหายใจออกอย่างช้า ๆ เป็นจังหวะคงที่ เพื่อปรับระดับความตื่นเต้น บอกตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อกี้มันเป็นแค่ฝัน ผมแค่ฝันร้าย ตอนนี้ผมตื่นนอนแล้ว แล้วก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องปลุกเจ้าเด็กน้อยที่นอนข้าง ๆ ให้ตื่นนอนขึ้นมาด้วย

หลังจากเมื่อวานที่ผมไปส่งโชขึ้นรถเสร็จ พอกลับขึ้นมาก็พบว่าเจ้าแฮมยังนั่งคุยต่อไปเรื่อย ๆ กับน้าเอก ด้วยความไม่อยากรบกวน ผมจึงออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงจนกระทั่งเจ้าแฮมมาคืนโทรศัพท์ให้กับผมนั่นแหละ เรานั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเลยเพราะต่างคนต่างยุ่งมาก ๆ เจ้าแฮมเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นของสองแฝดและการผจญภัยโชคหล่นทับของหนึ่งโต บางเรื่องผมก็ขำ บางเรื่องผมก็เศร้าตาม ก็ทำได้แค่แนะนำไปตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมา

“น้องแฮมครับ ตื่นเร็ว” ผมว่า หลังนาฬิกาปลุกดังขึ้นบอกเวลา เพราะต้องส่งเจ้าเด็กนี่นั่งรถตู้กลับไปยังเส้นบีทีเอสให้ทันเวลาเข้าเรียน ทำให้ต้องตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพการจราจรที่ติดขัดตั้งแต่เช้า เจ้าแฮมงัวเงียยันตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะหงายตัวล้มลงไปนอนอีกครั้ง เล่นเอาผมต้องเปลืองพลังงานไปหลายก๊อกกว่าจะไล่เจ้าตัวแสบไปอาบน้ำได้

แม้จะมี sex ได้กับคนแปลกหน้า แต่ free sex ของผมก็ยังคงมี zone ที่ไม่ใช่ว่าใครจะข้ามเส้นมาก็ข้ามได้ เช่น ถ้าเรารู้จักกันในโลกของความเป็นจริง ในฐานะพี่น้องพ้องเพื่อนแบบเจ้าแฮม ผมจะไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่ก้าว เพื่อรักษาสัมพันธภาพอันเดิมให้คงอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยได้เพื่อน..หรือความสัมพันธ์บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนจากจุดเริ่มต้นแบบนี้หรอกนะครับ ผมไม่มีปัญหากับจุดเริ่มต้นอะไรทั้งนั้น ต่อให้เริ่มต้นจาก sex ....ถ้าคนมันจะใช่ มันก็ใช่ ในทางกลับกัน ต่อให้เราเริ่มต้นกันด้วยรูปแบบอื่น ๆ ถ้ามันไม่ใช่ ให้รั้งเขาไว้ยังไงก็ทำไม่ได้

โลกใบนี้ ทุกอย่างไม่ได้สมหวังไปเสียหมดอย่างที่เราคิด ดังนั้นแล้วเราก็ทำได้แค่ประคับประครองบางสิ่งบางอย่างที่เราพอจะทำได้ การไม่เปิดโอกาสให้ความสัมพันธ์มันเริ่มต้นขึ้น ผมว่าบางครั้งมันก็ดีต่อหัวใจของคนเราในอีกรูปแบบหนึ่ง

ต้องเริ่มจากการรักตัวเองให้เป็น เราจึงจะมีหัวใจที่ส่งมอบให้กับผู้อื่นได้

ผมส่ายหน้าไปมา ไล่ความคิดทั้งหมดออกไปด้วยการเดินออกไปสูดอากาศยามเช้าที่ระเบียง เสียงนกเสียงกาแว่วดังมาแต่ไกล เสียงหยดน้ำกระทบพื้นกระเบื้องห้องน้ำดังออกมาแว่ว ๆ ก่อนจะเงียบลงเมื่อเจ้าตัวเล็กเดินออกมาแต่งตัวพร้อมฮัมเพลงไปมา

“จะไม่ให้พี่ไปด้วยจริง ๆ เหรอ?”  ผมว่า เมื่อคืนหลังจากคุยกันไป ๆ มา ๆ เจ้าแฮมเลือกที่จะไปตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งพร้อมครอบครัว

“ครับพี่ ผมตั้งใจแล้วว่าจะบอกครอบครัวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแล้ว เราทำได้แค่ยอมรับสภาพและผลจากการกระทำของเรา ส่วนเรื่องที่พี่ขอผม...ผมขอเวลาอีกนิด ผมสัญญา ผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแน่นอน”

เจ้าแฮมตอบกลับเสียงหนักแน่น แววตาของน้องแฮมเดือนค่ายของคณะผมกลับมาสดใสอีกครั้ง ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้จะมีความไม่มั่นใจเจือปนในแววตา แต่อย่างน้อยผมสัมผัสได้ว่าน้องเองก็โตขึ้นไปโดยที่เขาอาจจะไม่รู้สึกตัวในอีกก้าวใหญ่ ๆ ของชีวิต

ไม่มีอุปสรรค ชีวิตก็ไร้ความหมาย ต่อให้เราไม่อยากจะยอมรับ แต่รสชาติของหยาดน้ำตา จดจำได้ยาวนานมากกว่าความสุขจริง ๆ หากให้เขียนระหว่างความสุขและความทุกข์ น่าแปลกประหลาดที่คนส่วนใหญ่หรือแม้กระทั่งผม จับปลายปากกาเล่าเรื่องของเสียงร้องไห้ได้ง่ายกว่าเสียงหัวเราะ

หลังแต่งตัวเสร็จ ผมพาเจ้าแฮมไปส่งที่ท่ารถตู้ พร้อมทั้งโอบกอดเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง

“กลับบ้านดี ๆ นะครับแฮม” ผมลูบหัวเขาอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะยกมือไหว้ผมแล้วก้าวขึ้นรถไป

ผมหวังว่าทั้งเขาและผม เราจะได้ฟังข่าวดีอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้.....



 
“สัส เนี่ย พอมาถึงหน้างานแม่งก็บอกกูเว้ย ‘โหพี่ ผมไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ ขอภายนอกแล้วกันนะครับ’ กูแบบ อีเวร ไหนที่มึงเคลมนักเคลมหนาว่าตัวเองเป็นรับตัวท็อป แค่ใส่ถุงยางไซซ์ 56 ยังกลัวแหกเลย โคตรป๊อดสัส ๆ” เจ้ามาร์ว่า พร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยความหัวเสีย แล้วกระดกกาแฟขึ้นจิบ

ขอบคุณมึงมาก ๆ นะครับเพื่อนรัก ที่เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในมหา’ลัยของกูด้วยการเล่าเรื่องดี ๆ แบบนี้

“แหมมึง เด็ก ๆ ก็แบบนี้ป่ะวะ ปากกล้าใจป๊อด กูนึกว่ามึงชินแล้วนะ เรื่องคนรีเจกภายในเพราะขนาดน้องมึงเนี่ย” ไอ้ส้มเพื่อนกะเทยในกลุ่มกล่าว เจ้ามาร์ย่นจมูก พร้อมนั่งไขว้ห้างโดยไม่ได้แคร์สักนิดว่าตัวเองครอง top position

“ก็กูไม่ชอบอ่ะส้ม คือกูอ่ะจริงจังไง เตือนก็เตือนแล้ว ตอนเตือนก็มาหัวเราะกู คงคิดว่ากูโม้ไง เป็นไง เจอพญามังกรสะบัดธงชัยที วิ่งหนีกระเจิง” เจ้ามาร์พูดไปพร้อมไขว้ห้างไป ผมกับเพื่อนในกลุ่มหัวเราะ แม้จะบ่นด้วยอารมณ์ร้าย แต่เราทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าของมังกรเก้านิ้วค่อนข้างชินชาไปเสียแล้วกับการโดนบอกปัดเพราะอาวุธที่ใหญ่เกินไป

ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหัวอกเจ้ามาร์นะ ผมเองก็มีบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่โดนปฏิเสธเพราะขนาดที่ใหญ่กว่าไซซ์ค่าเฉลี่ยของเพื่อนร่วมชาติ แต่จะทำยังไงได้ครับ ไม่เป็นคนที่มายืนตรงจุดนี้ก็คงไม่เข้าใจ มันไม่ใช่การโอ้อวดอะไรเลย แต่มันเป็นเรื่องของความพอดีในความพอใจของแต่ละตัวบุคคลล้วน ๆ

คนเล็ก ๆ อยากใหญ่ คนใหญ่ ๆ ก็อยากกลับไปไซซ์กลาง ๆ ครับ บางครั้งมนุษย์ก็แบบนั่นแหละ หาความพอดีไม่ค่อยเจอ

“ว่าแต่ส้ม เจ้าน้องหนูใส่แว่นในสตอรี่ไอจีที่แกควงไปดูหนังด้วยคือใครจ๊ะ?” ทิพย์พูดขึ้นมา อ้าว new topic ก็มาว่ะ ตอนนี้เพื่อนทั้งกลุ่มหันไปมองเจ้าส้มคนสวยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอน นางเล่นตัวจนถึงที่สุดด้วยการนั่งไขว้ห้างเลียนแบบไอ้มาร์ พร้อมจิบกาแฟแล้วดัดเสียงสองตอบ

“ก็ดู ๆ กันอยู่อ่ะค่ะซิส” นางว่าพร้อมเอียงคอยิ้มมุมปาก เพื่อนทั้งกลุ่มรุมปาทิชชู่ที่พันมากับแก้วเครื่องดื่มใส่มันเป็นการแก้เลี่ยน

“อีเวร เปลี่ยนแฟนมากี่คนแล้ววะ  ว่าแต่..ได้ยัง?” ไอ้มาร์เบะปากตอนต้น ก่อนจะทำหน้าตาหื่นกามในท้ายประโยค ส่วนเจ้าส้มไม่ตอบอะไร แค่ยิ้มมุมปากและส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นอันว่ากูไม่บอกค่ะซิส โอเค? จนโดนเจ้ามาร์ปาทิชชู่ใช้แล้วใส่ไปอีกครั้งข้อหาได้กินเด็กกางเกงน้ำเงิน(อีกแล้ว)

“ว่าแต่มึงเหอะที เป็นไงบ้าง?” พลอย เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มถามขึ้น ก่อนสายตาทุกคอจะหันมาโฟกัสผม

“โอเคเรื่องไหนวะ? ก็ไม่มีอะไรไม่โอเคนี่ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมขยับแว่นตาและยักคิ้วให้พวกมันทั้งโต๊ะกลม

“ก็ถ้ามึงโอเค พวกกูก็โอเค แต่ถ้ามีอะไรไม่โอเค..บอกพวกกูนะ  โอเคไหม?” ทิพย์ว่า ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ผมคอลหาพวกมันไม่มีเกรงใจอยู่แล้วครับ

บรรดาเพื่อน ๆ พากันส่ายหน้าเอือมกับความดื้อของผม ก่อนทิพย์จะช่วยเปลี่ยนท็อปปิคอีกรอบเมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรต่อ

“ว่าแต่วันเกิดพี่โต้ง วันอาทิตย์ที่จะถึงพวกมึงจะไปกันป่ะเนี่ย?” ทิพย์ถามขึ้น ทุกคนพยักหน้าขึ้นลงยกเว้นผม

พี่โต้งเป็นรุ่นพี่ในเอกของเราท่านหนึ่งที่นับว่ามีบุญคุณกับพวกเราหลากหลายประการ อีกทั้งเป็นคนแรก ๆ ด้วยซ้ำมั้งที่เสนอให้ผมเรียนแบบโครงการเด็กทุนพิเศษเพื่อจบภายในสามปีครึ่งก่อนเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ด้วยเงื่อนไขในชีวิตบางอย่างที่พ่วงเข้ามาของผม

“กูติดทำงานว่ะ” แม้จะน่าเสียดาย แต่หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อน 

เสียงโห่ดังขึ้นมาเป็นทิวแถว ผมส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับอาการแสนงอน  ของพวกมัน

“มึงจะอินโทรเวิร์ดเกินไปแล้วสัสที ไม่รู้ล่ะ กูงอนจริงจัง มึงเลิกงานกี่โมง เอาชุดไปเปลี่ยนก็ได้ เดี๋ยวกูขับรถไปรับที่ห้าง” ดาวตก เพื่อนในกลุ่มอีกคนใช้ไม้ตายที่ทำให้ผมคิดหนัก สุดท้ายหลังโดนทุกคนจ้องหน้าผมก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างขัดเสียไม่ได้

“เย้ ลากเจ้าไดโนเสาร์ออกถ้ำได้แล้วโว้ย ฉลอง!” มาร์ว่า ยกแก้วกาแฟขึ้นมาชน พร้อมปรบมือด้วยจริตจะก้านที่ทำให้ผมอยากประเคนเท้าใส่บั้นท้ายมัน ....มึงช่วยรักษาภาพพจน์ของคนเป็นรุกสักนิดก็ยังดีเถอะ เนี่ย ผมถึงได้  บอกไง ว่าลักษณะภายมันบอกอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับสถานะบนเตียงนอน

“โอเค งั้นตามนั้นนะ ดาวตกไปรับไอ้ทีที่ห้างหลังมันเลิกงาน ส่วนพวกกูจะล่วงหน้าไปก่อน เคไหม?” ส้มสรุปอีกครั้ง ทุกคนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนเจ้ามาร์จะปรบมือเบา ๆ ชวนขึ้นตึก

“ป่ะมึง ขึ้นห้องกัน กูอยากไปเจอพ่อนิติยอดรักของกูแล้ว รักจังเลยเวลาเรียนเซคใหญ่กับพวกนิติเนี่ย...”

“มีคนไหนบ้างที่มึงไม่รักวะ?” อดไม่ได้ที่จะแซวมัน เจ้าตัวหันขวับมาทำตาขวางใส่ผม ก่อนจะเบ้ปากแล้วบ่นพึมพำ

“เห็นว่ารอบนี้หนักหรอกนะ จะไม่เอาคืนก็ได้” มันว่า ก่อนจะแลบลิ้นให้กับผม แม้มาร์จะเป็นคนนิสัยดูเหมือนเด็ก แต่ช่วงหนึ่งในชีวิตของผมก็ดีขึ้นมาได้เพราะได้มันช่วยเหลือเหมือนกัน มาร์เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก มากจนมันต้องพยายามลดทอนความสามารถนั้นลงด้วยการทำตัวปัญญาอ่อน และเรื่องนั้นมีแต่พวกเราที่เป็นเพื่อนมันจริง ๆ เท่านั้นที่รับรู้ทุก ๆ สาเหตุที่เกิดขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคารพในตัวเพื่อนคนนี้และรักมันมาตลอดในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง

เราเดินกันเป็นกลุ่มเดินขึ้นบันไดวน ก่อนที่ไลน์ของผมจะเด้งข้อความเข้ามาสองข้อความในเวลาไล่เลี่ยกัน

‘ทาโร่ครับ วันนี้เลิกคลาสกี่โมง? ให้พี่ไปรับไหม พอดีวันนี้พี่หยุดนะครับ’

‘ผมไปเสิร์จข้อมูลมาเมื่อคืน เรื่องยาเพร็บน่าสนใจมาก ๆ เลยนะ อยากให้ถึงวันพฤไว ๆ จังเลย’

ข้อความแรกมาจากรุ่นพี่สจ๊วตคนหนึ่งที่รู้จักกับผม ส่วนอีกคน ก็ผู้ชายที่เพิ่งจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตผมได้ไม่นาน และก็อาจจะมีบทบาทในชีวิตผมไปอีกนาน ดูจากปริมาณข้อมูลทั้งเปเปอร์และเรฟเฟอเรนซ์อีกเป็นกะตั้กที่เขาส่งมาให้ผมดูเพื่อถามตอบเรื่องเพร็บ ก็น่าจะพออนุมานได้ว่าผมควรจะไว้วางใจให้เขารับรู้ทุกเรื่องของเพร็บเพื่อเอาไปขยายต่อจริง ๆ นั่นแหละ

ผมตอบกลับเวลาเลิกเรียนให้กับพี่สา ก่อนจะไลน์ไปกดอ่านข้อความของโช พร้อมกับนึกไปด้วยว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี

‘สู้ ๆ นะครับ ข้อมูลเยอะหน่อย แต่ผลงานที่ดีก็มาจากการคัดกรองหลาย สิ่งกลั่นออกมานะครับ’

น่าจะเป็นการให้กำลังใจที่สุภาพและไม่รุกล้ำอีกฝ่ายมากเกินไป ผมคิดแบบนั้นนะ

ข้อความของผมขึ้น read ในไม่กี่วินาทีต่อมา ก่อนอีกฝ่ายจะพิมพ์กลับมาเช่นกัน

‘คุณก็ตั้งใจเรียนล่ะ วันพฤ หลังเสร็จเรื่องเพร็บ ผมจะพาคุณไปทานข้าวนะ’

ผมตาโตนิดหน่อย เพราะไม่ได้อยู่ในกำหนดการณ์ที่คุยกันไว้ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะพิมพ์อะไรตอบกลับไปดี สุดท้ายก็ทำได้แค่ส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งเป็นเชิงตกลงไปให้กับเขา

ก็คงอยากคุยเรื่องงานต่อละมั้ง?

   

 “สวัสดีครับเฮีย” ผมยกมือไหว้หลังก้าวขึ้นรถเบนซ์และปิดประตูเสร็จ

“สวัสดีปลาเส้น เป็นไงบ้าง สบายดีไหมครับ?” สารถีจำเป็นสำหรับวันนี้ถาม ก่อนจะสตาร์ทรถและขับวนออกไปตามทางที่มหาวิทยาลัยทำเส้นทางเอาไว้ ผมพยักหน้าขึ้นลงก่อนอีกฝ่ายจะเอามือมาวางไว้ที่ตักของผมเป็นเชิงขออนุญาต

“คิดถึงจัง” เขาว่า มือลูบไล้ไปตามซิบกางเกงสแล็คของผมทีละนิ้ว ๆ จนทีเร็กซ์เริ่มไม่เล็กและขยายตัวด้วยความแออัด ปกติผมเองก็เป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว ยิ่งบนรถแบบนี้ยิ่งเป็นไปได้ยากที่ผมจะทำสมาธิให้สงบนิ่งได้

“ไปหิวมาจากไหนเนี่ยพี่?” ผมแซว พี่สาไม่พูดอะไรแต่ยังเอามือบังคับทั้งคันรถและคันโยกส่วนตัวของผม ก่อนจะเอามือรูดซิบเปิดอ้าแล้วควักดาบซามูไรคู่กายของผมออกมาเล่น

“วันนี้อยากลองขับรถเองไหม?” เขาถาม

ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

ผมไม่ปฏิเสธรีเควสที่พี่สาว่ามา เห็นแบบนั้นเจ้าตัวจึง ขับรถไปจอดข้างทาง ก่อนที่เราจะสลับที่นั่งกันโดยไม่เสียจังหวะ แค่ทุลักทุเลนิดหน่อยตอนผู้ชายตัวโต ๆ สองคนปีนป่ายข้ามตัวกันไปมา ผมมานั่งประจำที่คนขับก่อนกางเกงของผมจะโดนรูดลงไปกองกับพื้นรถ เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในที่คาเอาไว้ตรงหัวเข่า

“ไปไหนดีครับ?” ผมถาม พี่สายักคิ้วก่อนจะตอบกลับมา

“ไปบ้านร้างดีมะ?” เขาว่า ผมร้องอ่าออกมา

ก็ไม่ใช่ไม่เคยไปหรอกนะ แต่จริง ๆ ผมไม่ใช่สายเอ้าท์ดอร์ซะเท่าไหร่น่ะสิ ไอ้ให้ไปก็ไปได้ แต่คงต้องถอดเนคไทที่มีตรานศ.ออกก่อนพร้อมใส่เสื้อลำลองลงไป โชคดีที่ผมสวมทับมาด้วยเพราะต้องไปเรียนที่อาคารเรียนรวม(ที่หนาวราวกับเลี้ยงฝูงเพนกวินไว้ในห้อง) ผมพยักหน้าตกลง ก่อนจะขับรถยูเทิร์นไปตามเส้นทางที่จำได้ในหัว

“อื้ม....”

ผมครางรับคำ ไม่พูดดังไปมากกว่านั้น ปลายลิ้นร้อน ๆ ของพี่สาไล่ขึ้นลงตั้งแต่เส้นลำก่อนจะลากลิ้นลงมาถึงปลายโคน พี่สาเงยหน้ามองผม เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมต้องเหยียบคันเร่งเพื่อไปต่อ

ในรถดังไปด้วยเสียงครางเบา ๆ ในลำคอ กับเสียงคนพยายามดูดของแข็งแล้วดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ผมสะดุ้งตัวนิดหน่อยตอนช่วงเวลาที่รถติดแล้วมีคนเดินมาขายพวงมาลัย แม้จะรู้ว่าฟิล์มมืด แต่ถ้าคุณกำลังขับรถไป เกียร์คาปากใครอีกคนไป การจะรู้สึกเสียวแบบแปลกประหลาดยามเมื่อมีคนจ้องมองเข้ามาผมว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลย

นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของพวกชอบไปเอ้าท์ดอร์ก็เป็นได้ ความรู้สึกหวาดกลัวปนระลึกใจท่ามกลางตัณหาที่ไหลท่วมทุ่งในกายาของคุณ เหมือนเป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ระหว่างความผิดชอบชั่วดียังไงยังงั้นเลยแฮะ .....

ผมขับขึ้นทางยกระดับ ก่อนรถจะเคลื่อนตัว และขึ้นทางยกระดับอีกครั้งพร้อมชิดริมถนน เลี้ยวเข้าไปในซอยที่เป็นสถานที่ตั้งดินแดนลึกลับแห่งโลกทวิตเตอร์ เลี้ยวซ้าย ตรง เลี้ยวขวา ตรง และเลี้ยวซ้ายอีกครั้งบริเวณเกือบซอยสุดท้าย พร้อมฝ่าดงพุ่มกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา

แม้จะถูกขนานนามว่า “บ้านร้าง” แต่ในความเป็นจริงรถยนต์ที่จอดไล่จากบริเวณต้นซอยนับลงไปจนถึงท้ายซอยราว 6-7 คัน บ่งบอกเลยว่ามันไม่ได้ร้างอย่างที่ใครเขาเรียกกันเลยสักนิด

 ..นี่เพิ่งจะบ่ายสองเองนะ? คนพวกนี้ไม่ทำงานทำการกันรึยังไง? ผมสงสัยแต่ไม่ได้ถามและไม่คิดจะว่าใคร เพราะตัวเองก็มาด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเขา

คำแนะนำสั้น ๆ ถ้าคุณคิดอยากจะมา “เล่น” ที่นี่ หาบัดดี้เป็นของตัวเองมาครับ อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า เพราะต่อให้มีน้ำก็ไม่ได้แปลว่าน้ำนั้นจะน่าดื่ม สู้หาบัดดี้ที่เราคิดว่าเราโอเคกับเขา เขาโอเคกับเรา จะโอเคกว่าเที่ยวรถมาถึงที่นี่แล้วมาหวังว่าจะเจอคนที่ตรงไทป์กับคุณ ของแบบนี้อย่าคาดหวังนักเลยครับ ของแรร์ไม่ได้ออกบ่อย ๆ แบบในนิยายหรอก

ผมขับรถย้อนตรงบริเวณเนินดินสุดซอย ก่อนจะจอดไว้โดนหันหน้าออกไปทางปากซอยทางเข้า พี่สาเลิกดูดของแข็งของผม เพื่อปล่อยให้ผมสามารถเปลี่ยนชุดออกเป็นเสื้อลำลองได้โดยสะดวก พอจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินลงจากรถพร้อมเอาลงติดตัวมาแค่กระเป๋ากับมือถือ เจล บวกถุงยางอีกสองชิ้นในกระเป๋า

ทางเข้าเป็นแนวหญ้าที่โดนเหยียบจนกลายเป็นทางเดิน เพราะสังเกตเห็นคนที่จองพื้นที่เล่นในบ้านแล้ว ผมจึงชวนพี่สาเข้าไปเล่นในป่าไผ่ติดลำคลองบริเวณด้านหลังแทน เดินลัดเลี้ยวกอไผ่ไม่นานก็มาถึงจุดบริเวณติดกับลำคลอง อีกฝั่งไม่มีบ้านคน ส่วนด้านนอกถ้ามองเข้ามาก็ยากจะมองเห็นเพราะกอไผ่บังไว้ทั้งหมด

ถ้าจะเห็นได้คงต้องโรยตัวลงมาจากฟากฟ้าเท่านั้นแหละครับ นั่นคือสาเหตุที่ใครต่อใครกล้าหรือหน้าด้านมากพอจะถอดเสื้อผ้าบริเวณแถวนี้ แต่ก็ต้องระมัดระวังมือกล้องที่ไม่ได้รับเชิญด้วยเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน ที่เอาจริง ๆ ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคุ้มค่ากับประสบการณ์ความเสียวที่ได้รับครั้งนี้ไหม?

พี่สามองซ้ายมองขวา ก่อนจะถกเสื้อผมขึ้นมาพักไว้ที่ท้ายทอยพร้อมตวัดลิ้นสะกิดไปที่หัวนมของผมเบา ๆ ผมลูบหัวเขาแล้วขยับมือไปตามสรีระของร่างกาย ก่อนจะไปหยุดที่บั้นท้ายพร้อมบีบเบา ๆ ให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวเล่นเป็นจังหวะ พอเห็นว่าได้ที่แล้วผมก็ปลดกางเกงลงไปที่ข้อเท้า กดศีรษะของอีกฝ่ายลงไปอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น

ปลายลิ้นร้อน ๆ ถูกห่อแล้วรูดเข้ารูดออกกับของแข็งของผม ผมเงยหน้ามองฟ้า ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงสายลมและแสงแดดยามบ่าย หัวใจเต้นเป็นจังหวะตึกตัก ๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งเสียว ทั้งหวาดกลัว เป็นสภาวะอารมณ์ที่ยากจะแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าผมแข็งแรงมากถึงขนาดสามารถต่ออีกรอบได้ โดยไม่ต้องหยุดพัก จังหวะจากริมฝีปากจึงไม่คิดจะลดความเร็วลง กลับเพิ่มมากขึ้นจนผมสัมผัสได้ถึงของเหลวที่กำลังถูกปั๊มออกมาจากร่างกาย

‘หวี่ หว๊อ’

เชี่ยยย พ่อมึงมา !!!

ผมสะดุ้งตัวดึงออกมาจากปากของพี่สา ก่อนเราทั้งคู่จะตกใจจนกระเจิงไปคนละทาง แม้จะเป็นคนที่ใจเย็น แต่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวหรือสติแตกไม่เป็น ในหัวผมประเดประดังไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง แต่อย่างแรกสุดที่ขึ้นมาในหัวเลยคือผมต้องรอดออกไปจากที่นี่ก่อน ผมหันไปมองรอบ ๆ พี่สาวิ่งหนีหายไปอีกทางแล้ว

หลังจากพิจารณาจากเวลาสามวินาทีและเสียงตำรวจที่ดังขึ้นมาใกล้ ๆ สุดท้ายแล้วผมเลือกจะวิ่งกลับเข้าไปด้านในให้ลึกไปมากกว่าเดิม มากกว่าที่ผมเคยเดินเข้าไปเล่น

และในตอนจังหวะที่ผมกำลังจะเลี้ยวตัวไปนั้นเอง จู่ ๆ ผมก็ถูกแรงดึงมหาศาลของใครบางคนขึ้นเข้าไปข้างกอไผ่อีกฟาก ผมตาโต เตรียมจะร้องด้วยความตกใจสุดเสียง แต่มือลึกลับคู่หนึ่งก็ปิดปากผมอย่างสนิทจากด้านหลัง กระทั่งเสียงในลำคอผมยังไม่รอดออกไปแม้แต่พยางค์เดียว....


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2018 23:41:32
ลุ้นนะคะ ปกติไม่ค่อยอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องเล่าที่มาจากชีวิตจริงเท่าไร และนิยายเรื่องนี้ก็เข้าเค้าทางความรู้สึกดิฉันด้วย คือกลัว 5555 ว่ามันจะหักจะเหชีวิตของคนๆหนึ่งให้ไปเจอกับอะไรบ้าง กลัวอินตามแล้วนอยด์ตาม อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือ กลัวค่ะ จริงๆนะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 11-08-2018 08:17:54
เป็นกำลังใจให้เรื่องส่วนตัวด้วยนะคะ​ ขอให้ผ่านมันไปได้​  :mew1:

ทีเร็กจริงๆชื่อทรอยหรือ​ หรือยังไง​ แล้วคือใครปิดปากที :katai1: จะตามอ่านไปเรื่อยๆงี้แหละค่าจนกว่าจะจบ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 11-08-2018 08:26:22
ตามเลย เป็นนิยายที่ให้อะไรมากกว่าความบันเทิงจริงๆ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 11-08-2018 15:20:22
เป็นกำลังใจให้นะคะ สำหรับทุกๆเรื่องเลย ไม่ว่าจะชีวิตจริงหรือนิยายก็ขอให้สู้ๆนะคะ
ทุกปัญหามีทางออกค่ะ ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยค่อยหาวิธีการเนอะ อย่าเครียดเลยค่ะ
เค้าป้ายยาให้เพื่อนได้ตั้งหลายคนนนนน มีเพื่อนหลายคนของเราติดตามเรื่องนี้อยู่นะคะ
เค้ารอน้าาาา ปล.แอบเขินๆที่โดนพูดถึงเหมือนกันน้า .//////.
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-08-2018 00:52:12
มันล้ำค่ามากเลย

อ่านแล้วร้องอู้หูววววว โอ้โหวววววววววว

นิยายเรื่องนี้ มาถึงตอนนี้ มีทุกอย่างที่เราเคยตั้งคำถามกับนิยายวาย
(แบบ...เฮ้ย...เดี๋ยวนะ....ชายกับชายมีเพศสัมพันธ์กันมันไม่ได้ง่ายแบบชายหญิงป่ะ?   เดี๋ยวนะ....รสนิยมมันหลากกลายมากกว่ารุกตัวโตมาดแมน รับตัวเล็กออกสาวป่ะ )

สิ่งที่เลอค่าที่สุดคือ ทัศนคติที่ของตัวละคร ที่มาจากทัศนคติของคุณพ่อแมวพุงโตเอง

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ที่คุณเขียนเรื่องนี้แล้วมาแบ่'ปันให้พวกเราได้อ่าน

เป็นกำลังใจให้นะ ทั้งเรื่องส่วนตัวและงานเขียน
ขอให้ทุกวันของคุณดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ   

This, too, shall pass.

 
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-08-2018 13:26:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.0 จดหมายจากปลายเล็บ+กิจกรรมร่วมสนุก | P2 | 16/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 16-08-2018 21:12:04


ขออนุญาตปิดกิจกรรมจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.7 กับคนแปลกหน้า | P2 | 18/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 18-08-2018 21:22:11


Ep.7 Stranger




สัมผัสที่ผมรับรู้ได้ต่อจากแรงกระแทกเข้ากับคนด้านหลัง คือกลิ่นของนิโคตินขนาดหนักที่ฝังอยู่ในร่างกายของเขา กลิ่นมันแรงมากถึงขนาดที่จมูกของผมแทบจะอึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เสียง “ชู่ว” เบา ๆ จากคนด้านหลังก็ทำให้ผมเลือกที่จะสงบปากสงบคำ เมื่อได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังขึ้นที่ด้านนอก

“ทางนี้น่าจะไม่มีแล้วครับ รถยนต์ด้านหน้าก็ไปหมดแล้ว” เสียงใครสักคนดังแว่วผ่านตามสายลมมา สัมผัสอีกสัมผัสที่ผมสังเกตได้คืออาการสั่นของคนที่โอบกอดผมไว้จากด้านหลังทั้งตัว มันไม่ใช่อาการสั่นของคนหวาดกลัว สำหรับผมมันคล้าย ๆ อาการสั่นของคนที่กำลังป่วยหนักหรือหนาวมาก ๆ มากกว่า

ผมได้ยินเสียงคนเหยียบใบ้ไม้แห้ง ๆ และกอหญ้าห่างไกลออกไป เวลาผ่านไปราวห้านาทีเศษ ทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน เจ้าของมือถอนมือทั้งสองข้างออกมาจากริมฝีปากผม ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวให้ผมได้หันหลังไปเผชิญหน้ากับเขา

เขาสูง สูงมากกว่าผมหรือโช คะเนจากสายตาแล้วสูงมากกว่า 180 เซนฯ  ไปไกล ตาทั้งสองข้างโหลราวกับคนอดหลับอดนอนมาชาติเศษ ริมฝีปากแห้งแตกเหมือนคนขาดน้ำ ที่หูและจมูกมีจิลเล็ก ๆ เจาะไว้อย่างละสองสามชิ้น ทรงผมกระเซอะกระเซิง เหมือนตัดแล้วปล่อยให้ยาวไปเรื่อย ๆ โดยไม่จัดทรง เสื้อผ้าแม้จะไม่ใช่ไฮแบรนด์แต่จากการแสกนแบบหยาบ ๆ แต่ผมว่าราคาก็เอาเรื่อง

เรามองสำรวจกันและกัน ก่อนเขาจะแค่นเสียงออกมาราวกระซิบ

“คนในโปสเตอร์แบบคุณ ไม่น่ามาทำอะไรที่แบบนี้นะ” เขาว่า ผมเงียบ เม้มริมฝีปากไม่ตอบคำถามหรือคำแซะทั้งหมดของเขา มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเตรียมตัวหาทางเดินออกไปจากด้านในป่าไผ่ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาดึงมือของผมไว้

“เดี๋ยวไปส่งหน้ามอ”

“..........”

“..........”

“รถเราอยู่ทางนี้” เขาว่าง่าย ๆ ผมจิ๊ปากขัดใจตัวเองเล็กน้อย แต่หันซ้ายแลขวาก็คิดว่าคงดีกว่าเดินดุ่ม ๆ ออกไปโบกแท็กซี่กลับหอ แถมยังต้องตามกระเป๋าที่อยู่บนรถของพี่สาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหนีตำรวจรอดไม่รอดแต่อย่างไร ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งอึก เซ็งเล็กน้อยกับการโดนขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่ถ้าพูดกันตามข้อบังคับทางกฎหมายแล้ว ยังไงฝ่ายผิดก็เป็นฝ่ายเราอยู่ดี แม้จะบอกว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ส่งผลกระทบหรือทำให้ใครเดือดร้อนก็เถอะ

จริง ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนผมก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าการ outdoor นับว่าเป็นเรื่องที่ละเมิดสิทธิของคนอื่น ๆ รึเปล่า แรกเริ่มคำตอบที่ผมตั้งธงไว้ในใจคือ “ผิด” ก็แน่นอนสิ คนอื่นทุกคนไม่ได้อยากเห็นคุณร่วมเพศกันต่อหน้าต่อหน้านี่ครับ แต่พอโตขึ้น มุมมองต่อเรื่องสิทธิและเสรีภาพของผมก็โตตาม คำถาม ถามว่าถ้าเป็นการ outdoor ในสถานที่ ๆ ไม่มีผู้คนเดินผ่าน หรือเป็นสถานที่ไพรเวทโซน แบบนี้นับว่าเป็นการ outdoor ไหม แล้วนับว่าละเมิดสิทธิของใครรึเปล่า?

ยิ่งโต โลกยิ่งซับซ้อน ความคิด สังคม สถานการณ์และบริบทต่าง ๆ ล้วนมีผลต่อบทสรุปของคำถามหนึ่งคำถาม และคำถามที่ผมถามตัวเองข้างต้น ก็ยังเป็นคำถามที่ผมยังไม่สามารถตอบตัวเองได้เช่นเดียวกันว่ามันนับว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่มนุษย์พึงกระทำ บางคำถามก็ยังตอบไม่ได้จริง ๆ

ผมคิดอะไรไปเรื่อย รู้สึกตัวอีกทีเขาก็พาผมเดินอ้อมป่าไผ่ด้านหลัง ลัดเลาะผ่านไปยังถนนทางออกอีกซอย ก่อนจะชี้ไปที่เบนซ์ซีดานคันหนึ่งที่จอดเอาไว้ เขากดรีโมทคอนโทรลง่าย ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไปแล้วเหล่มองผมในเชิงให้ก้าวเดินขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ผมขึ้นไปนั่งเงียบ ๆ ไม่ได้พูดขออนุญาตแบบที่เคย

“เกร็งเหรอ?” เขาถาม

“..................”

“กำลังคิดว่าจะวางตัวแบบไหนหรือพูดยังไงกับคนที่มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้เหรอ?”

หมอนี่เดาใจเก่ง เมื่อสิบนาทีก่อนผมเพิ่งโดนเขาโอบปิดปากจากด้านหลังแถมยังไม่นับรวมว่าเขาอาจจะรู้จักผมอีกก็เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพยายามหยิบกุญแจรถออกมาเสียบ ผมมองอาการสั่นที่เห็นได้ชัดจากการจับกุญแจแล้วก็ยื่นมือออกไปเป็นเชิงขอ พอเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วไม่เช้าใจผมเลยยอมเปิดปากพูด

“ถ้าคุณขับ เราอาจจะกลับไม่ถึงมอ”

“แน่ใจได้ไงว่านายขับแล้วจะกลับถึงมอ”

“ก็แน่ใจว่าผมน่าจะขับแล้วมีโอกาสรอดมากกว่าคนที่กำลังสั่นเพราะฤทธิ์ยา”

เพราะความดื้อของอีกฝ่ายที่ฉายออกมาทางแววตานั่นแหละ ผมถึงได้กล้าแซะแรง ๆ กับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก เขาขมวดคิ้ว นั่งนิ่ง  ก่อนจะยอมยื่นกุญแจรถให้ผมแต่โดยดี

“โอเค เราสลับที่นั่งกัน” ผมว่า เตรียมจะขยับตัว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับตาม

“คุณ อย่าดื้อสิครับ” ผมเอ็ด เขายังนั่งนิ่ง

“คุณรู้ได้ไงว่าผมเล่นยา?”

“........”

“........”

“ผมเดา”

“แน่ใจเหรอว่าเดา”

เขาถอนสายตาออกมาก่อนจะมองผมแล้วถามด้วยคำถามใหม่

“ห้องคุณมี ‘งาน’ ไหม?”

“ผมไม่มีอะไรที่คุณต้องการทั้งนั้น”

ผมว่าอย่างเบื่อหน่าย พ่นลมหายใจออกจากจมูก วันนี้ดูท่าจะเป็นวันที่ไม่โอเคสำหรับผมจริง ๆ หนีจากตำรวจมาได้ก็ดันมาเจอพวกนศ.ติดยา สงสัยจบทริปนี้ ถ้าไม่ไปล้างซวยก็คงต้องไปถวายสังฆทานสักชุด

เรานั่งเงียบกันไปหลายนาที ผมมองซ้ายแลขวา แถวนี้ก็ไม่ได้มีตัวช่วยให้ผมตัดสินใจในการไปจากเขาง่าย ๆ ซะแบบนั้น ผมกำลังคิดว่าตัวเองควรจะเลือกตัวเลือกไหนดี สุดท้ายอีกฝ่ายก็เอนตัวลงกับเบาะ ก่อนจะหลับไปง่าย ๆ ซะแบบนั้น เล่นเอาผมอ้าปากออกมาน้อย ๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามาหลับต่อหน้าคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“คุณ คุณ...” ผมดึงแขนของเขาเล็กน้อย ก่อนตัวเองจะสังเกตเพิ่มได้สองอย่าง หนึ่งคือ เขาผอมมากจนแทบจะมีแต่กระดูก จนผมแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นเจ้าของแรงที่เยอะถึงขนาดลากผมเข้าไปหลบโดยไร้สุ่มเสียง สองคือตัวเขาร้อนมาก ไม่รู้ว่าร้อนเพราะไม่สบายจริง ๆ หรือร้อนเพราะฤทธิ์ยาไอซ์ที่เขาเพิ่งเสพเข้าไปกันแน่

ผมกัดปากล่างอย่างหัวเสีย อยากจะเป็นคนใจร้ายที่เดินลงไปจากรถง่าย ๆ แล้วปล่อยเขาไว้แบบนั้น แต่มนุษยธรรมในใจก็ค้ำคอ ไหนที่เขาบอกว่า “เดี๋ยวไปส่งหน้ามอ” นะ หมายถึงให้ผมเป็นคนขับออกไปส่งใช่ไหม พอตั้งสติ ตัดสินใจได้ ผมก็ขยับตัวไปนั่งบนตักของเขา

“อย่าบ่นแล้วกันว่าตัวหนัก”

ผมบ่นกับอากาศ ก่อนจะข้ามไปนั่งลงบนตักของอีกฝ่าย ถ้าจะให้ผมพยายามอุ้มอีกฝ่ายมานั่งอีกฝั่ง ให้นั่งทับตักเขาไปเลยน่าจะประหยัดพลังงานมากกว่า ก่อนขึ้นรถผมก็ลืมมองด้วยว่าฟิล์มมืดรึไม่มืด เอาเป็นว่าค่อยไปจอด แถว ๆ  ที่ไม่มีคน ปลุกเขา และค่อยลาจากกัน แบบนั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้

หลังจากได้กุญแจรถ ผมพยายามนั่งแบบไม่ทิ้งน้ำหนักตัว รู้สึกแปลกประหลาดมากถึงมากที่สุดที่อยู่ดี ๆ ต้องมานั่งตักคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แม้จะมีคนแปลกหน้ามากมายเคยมานั่งทับตัก(และส่วนนั้นของ)ผม ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร เวลาที่ตัวเองจะต้องไปนั่งทับตักและส่วนอื่น ๆ ของคนอื่นบ้าง

ผมจินตนาการไม่ออกหรอกว่าถ้าตัวเองต้องไป on top มันจะเป็นยังไง และไม่อยากจินตนาการด้วย เพราะคนที่ทำให้ผมยอมที่จะยกขาให้ไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว

ผมสตาร์ทรถ ก่อนจะกดปุ่มคลิกไปมานิดหน่อย เสียงเพลงดังขึ้นมาจากเพลย์ลิสต์ที่หยุดค้างเอาไว้ ผมชะงักไปกึกก่อนจะมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง

I need to grow and find myself before I let somebody love me

Because at the moment I don't know me


เขามีเทสที่ดี...ผมคิดในใจพร้อมกับเคาะพวกมาลัยและฮัมเพลงตามไป เบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งตัวเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวมากอดเอวผมไว้หลวม ๆ ผมหันกลับไปมอง เขายังคงปิดตาสนิท แขนทั้งสองข้างแค่โอบเบา ๆ พอให้ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนนั้น แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร

“ถ้าตื่นแล้วก็ขยับไปนั่งอีกข้างได้ไหม ผมจะได้ขับรถถนัด ๆ” ผมว่า เขาไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากหลับไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่โอบกอดผมไว้แบบนั้น พอรถวิ่งไปได้สักพักถึงได้ยินเสียงแหบแห้งพูดกลับมา

“ใจดีกับทุกคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันรึเปล่า”

เขาแซวหรือแซะผมก็ไม่แน่ใจ แต่ตัวเองก็ปากไวตอบกลับไปแล้ว

“แรงจะพูดยังไม่มีเลย เงียบไปเถอะคุณ”

“เงียบก็ได้ แต่ถอยไปที่เพลงก่อนหน้าให้ที”

“Teenage Fantasy อ่ะนะ” ผมว่า เขาลืมตาขึ้นมาข้าง มองหน้าผมผ่านกระจกก่อนจะพูดตอบ

“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ? คุณมีเทสที่ดีนะ”  เขาว่าก่อนจะกอดผมไว้หลวม ๆ อีกครั้งแล้วหลับตาลงไป

ไม่อยากบอกเลยว่าผมก็แอบชมเขาในใจแบบนั้นเหมือนกัน

ผมทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะพยายามขับรถแล้วเลี้ยวขึ้นทางถนน วกกลับไปรีเทิร์นเพื่อย้อนกลับไปหน้ามหาวิทยาลัยของตัวเอง มือถือของผมสั่นนิดหน่อยเพราะแมสเสจจากพี่สา โอเค ผมจะสงบสติอารมณ์ก่อนว่าพี่ที่ทิ้งผมไป แต่เอาเถอะ สถานการณ์แบบเมื่อกี้ไม่อยากนับเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายผิด แต่อาจจะไปเอากระเป๋าแล้วบล็อก ๆ ไลน์ไปก็ได้ คงต้องรอดูอารมณ์ ณ ตอนนั้นก่อน

หลังจากยูเทิร์นผ่านมาถึงแถวอเวนิวหน้ามอ ผมจอดรถเทียบฟุตบาธ ก่อนจะปลุกเขาเบา ๆ

“คุณ.....คุณโว้ย” ผมโวยวายเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือให้ผมขยับไปนั่งข้าง ๆ ได้อย่างสบายใจสักเท่าไหร่นัก เขาฮึดฮัดพ่นลมออกจากจมูก ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นและกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ขออีกแป๊บไม่ได้เหรอ ตัวคุณอุ่นมาก ๆ เลยนะ” ผมขมวดคิ้วกับคำพูดที่ดูไม่มีเหตุผลสักเท่าไหร่

“ตัวผมอุ่น แต่คุณนะร้อน ถ้าไม่สบายก็นั่งเฉย ๆ ก่อน ผมจะลงไปซื้อยามาให้” ถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่ร้อย ไหน ๆ วันนี้ก็ซวยจัดขนาดนี้แล้ว ผมจะช่วย ๆ เขาให้มันจบ ๆ ไปก็คงไม่ต่างอะไรนัก

ในที่สุดความดื้อของอีกฝ่ายก็เบาบางลง เมื่อผมสามารถขยับตัวได้ ผมคว้ากระเป๋าตังค์ที่หน้าคอนโซลรถ อีกฝ่ายหันมามองหน่อย ๆ ก่อนจะหลับตาลงไป

“ไม่กลัวผมขโมยรึไง?” ผมว่า

“คนในโปสเตอร์แบบคุณทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก แค่เรื่องวันนี้ยังถือว่าผมแบล็คเมล์คุณได้ด้วยซ้ำ” เขาว่าพลางหลับตาลงไปอีกรอบ ไม่อยากจะยอมรับว่าผมแอบสะดุ้งนิด ๆ แต่พยายามอย่างมากในการไม่แสดงออกว่าเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

พอลงมาจากรถผมก็เดินเข้าแฟมิลี่มาร์ท เลือกซื้อโจ๊กกับผ้าเย็น พร้อมยาแก้ปวดหัวและน้ำดื่มขวดกลางอีกสองขวด เสร็จสรรพก็เปิดกระเป๋าเงินของเขาออกมาจ่าย สิ่งที่ทำให้ผมถอนหายใจหนัก ๆ คือแบงก์พันเป็นฟ่อน ๆ ที่อยู่ในกระเป๋า คะเนด้วยสายตาแล้วมีไม่ต่ำกว่าสิบใบ จนแอบคิดว่าทำไมเขาถึงขาดความระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้

คุณคิดว่าปกติแล้วคนที่เสพยาต้องเป็นคนชนชั้นใด ? ถ้าตอบจากประสบการณ์ส่วนตัว คิดว่าชนชั้นใดพอจะมีทุนทรัพย์มากถึงขนาดเอามาละลายเล่นกับยาได้ละครับ ผมไม่ได้บอกว่าคนชนชั้นล่างหรือคนชนชั้นกลาง ไม่มีอะไรทำนองนี้หรอกนะ แต่ถ้าพูดกันถึงความเป็นไปได้ในการซื้อสิ่งของผิดกฎหมายที่มีราคาแพงลิบลิ่วขนาดนั้น ก็ต้องเป็นคนที่มีสภาพคล่องทางการเงินในระดับหนึ่งหรืออาจจะคล่องมาก ๆ  ด้วยซ้ำ

รอของเวฟไม่นานก็ได้รับ ผมเดินย้อนกลับไปฝั่งคนนั่ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วเอาโจ๊กวางไว้ข้าง ๆ อีกฝ่าย

“คุณ....” ผมเรียก เขายังนิ่งไม่ตอบสนอง

ผมหมดอารมณ์จะถอนหายใจ เลยลงมือฉีกผ้าเย็นแล้วบรรจงเช็ดบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย ลูบไปทางซ้ายที ทางขวาที ให้เขาได้รับสัมผัสเย็น ๆ จากผ้าเย็นเพื่อปลุกให้ตื่น ได้ผล เจ้าตัวลืมตาขึ้นมาก่อนจะเอนตัวมาทางผมและพยายามจะจูบ

เดี๋ยว... จูบ !!!!

“โอ๊ย”

นั้นคือเสียงร้องของเขาหลังผมได้สติทันก่อนริมฝีปากแห้ง ๆ นั้นจะได้จูบปากผม ผลคือนอกจากจะไม่ได้จูบแล้วยังโดนผมซัดเข้าให้เต็มอกอีกหนึ่งตุ๊บ

“ทำบ้าอะไรของคุณ” ผมว่า พร้อมปาผ้าเย็นใส่เขาอย่างหงุดหงิดในความไร้กาลเทศะ

“ไม่เห็นเหมือนในนิยายเลย ฉากแบบนี้ผมควรได้จูบคุณไม่ใช่เหรอ”

ผมขมวดคิ้วกับคำตอบที่ไม่มีเหตุผลอีกครั้ง พร้อมทดลงไปในใจตัวเอง รีมาร์กไว้ว่าต้องบอกโชให้ได้ว่าการเป็นแอคเค่อไม่ได้แปลว่ากูจะจูบกับใครก็ได้ (โว้ยยยยยยยยยยยยย)

“ทำไมอ่ะ ทีกับคนนั้นคุณยังถึงขนาดให้เขาดูดให้ได้เลย”

“แล้ว?”

“แล้วยังไงน่ะเหรอ ก็ถ้าคุณทำแบบนั้นได้ ผมก็น่าจะทำกับคุณได้”

เขาว่า พร้อมกะพริบตาปริบ ๆ มองผม ผมนับหนึ่งถึงร้อยก่อนจะพยายามอธิบายเหตุผลของตัวเองออกไป

“นั่นผมรู้จักกับเขา แต่ผมไม่รู้จักคุณ”

“งั้นก็รู้จักกันสิ จะได้จูบได้”

“ถามผมสักคำรึยังว่าผมอยากรู้จักกับคุณไหม?” ผมถาม คิ้วขมวดแสดงอารมณ์อย่างถึงที่สุด

“............”

“............”

“กินโจ๊กซะ คุณจะได้มีแรงขับรถเองได้ แล้วผมจะได้รีบ ๆ ไปสักที” ผมว่าพร้อมดันชามโจ๊กที่เวฟมาแล้วให้กับเขา

“คุณรู้ได้ไงว่าผมยังไม่กินอะไร” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพออ่านสถานการณ์เป็นอยู่บ้างเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของผม เลยยอมรับโจ๊กอุ่นไปกินแต่โดยดี

“คุณเสพยา พวกเสพอะไรพวกนี้มันไม่ค่อยกินอะไรหรอก”

ผมว่าตามการสันนิฐานของตัวเอง ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีอะไรกับคนที่ ไฮ มาก่อนจะมาเจอกัน ผมไม่อะไรกับคนที่เล่นยาในกรณีที่เล่นก่อนจะมาเจอกัน แต่ผมไม่อนุญาตโดยเด็ดขาดสำหรับสารเสพติดทุกชนิดถ้าคิดจะมามีอะไรกันในห้องของผม ผมไม่เสี่ยงด้วยอย่างเด็ดขาด

อีกฝ่ายไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น เขาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ราวกับคนไม่รู้รส แค่กินพอให้รู้ว่ากิน ก่อนจะพูดออกมาเบา  ๆ

“ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนอกจากน้ำเปล่า ยาทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอาหารเลย”

เขาว่า สายตาเหม่อมองผมผ่านกระจกมองหลัง ผมเบนสายตาหลบออกไป ไม่รู้ว่าตัวเองควรต่อบทสนทนาแบบไหนดีกับคนที่เพิ่งเจอกัน เพิ่งสารภาพว่า ไม่กินอะไรมาสองวันเพราะเล่นไอซ์

“คุณเป็นคนมีมารยาทและมีน้ำใจ”  เขาว่าต่อ

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น”

“คุณตำหนิผมก็จริง แต่คุณไม่ถาม ไม่ซักไซ้ ไม่สงสัยว่าทำไม เหตุผลอะไร ทำไมผมเสพไอซ์ ทำไมผมไม่กินข้าว ทำไมผมไม่รักตัวเอง คุณไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกจากมองว่าทั้งหมดที่ผมทำ มันเป็นเรื่องของผม”

อีกครั้งที่เขาเดาถูก ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ อาจจะเพราะนิสัยที่ติดมาจากการเป็นแอคเค่อ การไม่สงสัยหรือตั้งคำถามอะไรในตัวอีกฝ่ายนอกเหนือจากคำถาม ที่อยู่ในขอบเขตของกิจกรรมบนเตียง เป็นการวางตัวแบบหนึ่งของผม เพราะบางคำถาม คนถูกถามก็ไม่ได้อยากตอบ หรืออยากบอกเหตุผลของตัวเอง

“ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง”

ผมว่าแบบนั้น เพราะคิดอยู่เสมอว่าจะเอาอะไรไปตำหนิเขา ในเมื่อตัวผมยังมีเหตุผลในการเป็น “แอคเค่อ” ของตัวเองด้วยซ้ำไป ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น ต่อให้เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่คนในสังคมมองเข้ามา ผมก็ยังเลือกที่จะไม่พูดอะไรซะมากกว่าด้วยซ้ำไป โอเค แม้อีกด้านผมจะแอบเบลมเขาในใจนิดหนึ่งก็เถอะ ที่ขับรถออกมาโดยไม่มีสติขนาดนี้ แต่พูดออกไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

“คุณ”

“ว่า”

“คุณไม่อยากรู้จักกับผมจริงๆเหรอ?”

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“แค่ผมลงไปจากรถคุณ ทุกอย่างก็จบลงแล้ว”

“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”

“อืม”

“ผมจะคอยดู” เขาว่าแบบนั้น ก่อนเราทั้งคู่จะเงียบไปดื้อ ๆ ปล่อยให้เสียงเพลง teenage fantasy ยังคงเล่นวนต่อไป รอจนอีกฝ่ายกินเสร็จ พร้อมกระดกน้ำตาม ผมก็เตรียมตัวจะก้าวลงจากรถ วันนี้เกิดเรื่องมากมายเกินกว่าจะถือว่าเป็นวันที่ปกติอีกวันของชีวิตการเป็นแอคเค่อ แม้ผมจะเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชินชากับทุกเหตุการณ์นักหรอกนะ

ผมเตรียมจะเปิดประตูก้าวลงไปจากรถเพื่อกลับหอสักที แล้วก็เป็นอีกครั้ง ที่เขารั้งผมไว้

“คุณ”

“ว่า”

“ก่อนคุณลงจากรถไป ผมขออะไรคุณหน่อยได้ไหม?”

“..............”

“คุณช่วยกอดผมสักครั้งก่อนคุณจะลงไปจากรถของผม...ได้ไหมครับ?”



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.7 กับคนแปลกหน้า | P2 | 18/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-08-2018 22:23:18
ดูเหมือนจะซับซ้อนพอสมควร

ก็นะ...ชีวิตใครก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ถ้าเลือกทำร้ายตัวเอง ใครก็คงจะช่วยได้เท่าที่ช่วยได้นั่นแหละ

ปล. 1  เราอยากแนะนำให้นะ แต่ทำได้แค่แนะนำนิยายให้เพื่อนตรง ๆ ไป ไม่สะดวกออกสื่อใด ๆ  ขออภัยจริง ๆ

ปล. 2 คุณเป็นนักศึกษาที่มีความคิดน่าสนใจมาก
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.7 กับคนแปลกหน้า | P2 | 18/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-08-2018 01:04:09
 o13 o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.7 กับคนแปลกหน้า | P2 | 18/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 20-08-2018 11:51:12
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.7 กับคนแปลกหน้า | P2 | 18/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 21-08-2018 06:25:13
อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ​ เราติดตามอยู่เสมอ
หูยยยยยยคนเสพไอซ์นี่ใคร​ พระเอกหรอ?
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 26-08-2018 20:53:45


Ep.8 P&P (Part 1)




“อะไรเป็นแรงจูงใจให้ตัวคุณเองทาน PrEP ในตอนแรกครับ?”

“โอเค ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันทุกอย่างได้ 100% คือในทางการแพทย์แล้วไม่ว่าอะไรก็ไม่ปลอดภัย 100 % ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย” ผมว่า เท้าชะลอเบรกเมื่อเห็นไฟแดง ส่วนโชนั่งพิมพ์ก๊อกแก๊ก ๆ ไปมา

“เช่น?” เขาถาม ไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอ ส่วนผมเงียบเพราะเขาผิดกติกา

“....”

“....”

“ขอโทษ ๆ โอเค คุณถามกลับมา ๆ ” เขาหันมาทำหน้าร้อนรนขอโทษผม ก่อนจะพับหน้าจอลง

“คุณนี้มัน..” ผมสบถแบบนั้น โชยิ้มเห็นเหงือกหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเกาหัวแกรก ๆ ด้วยปากกาไอแพด ผมถอนหายใจกับความบ้างานของเขาอย่างจริงจัง ก่อนจะถามคำถามกลับไป

“อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเขียนนิยาย” พอถามจบก็พอดีกับที่สัญญาณไฟจราจรขึ้นเป็นสีเขียว ผมเหยียบคันเร่งพร้อมหมุนพวงมาลัยหักเลี้ยวไปตามทางของถนน

“อะไรยากที่สุดสำหรับการเขียนนิยายเหรอ?....อืมมมม จริง ๆ ก็ยากทุก  โพรเซสเลยคุณ ตั้งแต่กระบวนการหาไอเดีย พล็อตตั้งต้นเรื่อง เปิดเรื่องแบบไหนให้คนประทับใจดี กลางเรื่องมีจุดพีคอะไรไหม ตอนจบควรจบยังไง แล้วก็ต้องมานั่งคำนวณเส้นเรื่องต่อว่าตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนจบตัวละครแต่ละตัวมีพัฒนาการด้านมิติยังไงบ้าง

 แบบ มันไม่เหมือนในละครไง นิยายของผมจะไม่มีตัวร้ายแบบกรี๊ด ๆ วิ่งตามผู้ชายอะไรทำนองนั้น พอไปถึงตอนจบคนอ่านเขาต้องเห็นถึงพัฒนาการของตัวละครไง บ้างอาจจะเติบโตขึ้น บ้างอาจจะสมบูรณ์มากขึ้น แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ทั้งหมดนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะแบ่งเฉลี่ยยังไงให้ความยาวของนิยายไม่มากไป ไม่น้อยไป ยาวมากไปคนอ่านก็ไม่ซื้อนะ มันแพง ยาวน้อยไป ทำออกมาก็ไม่ได้กำไรอีก ต้องหาบาลานซ์ครับ”

ผมพยักหน้าพอใจในคำตอบ ก่อนจะรออีกฝ่ายอ้าปากถามคำถามถัดไป ในเทิร์นของตัวเอง

ถามว่าทำไมอยู่ดี ๆ เราถึงได้มาเล่นคำถามถามตอบกันแบบนี้นะเหรอ?...

 
 

เมื่อวานนี้หลังจากผ่านพ้นวันบ้า ๆ ของผมอีกวันในชีวิต ผมตัดสินใจทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง ตั้งแต่การไปเอากระเป๋าในรถพี่สาพร้อมบล็อกไลน์หลังอีกฝ่ายตำหนิผมว่าไม่เตือนตอนเขาชวนไปบ้านร้างหลังนั้น ทั้งกลับห้องไปล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะหาของอร่อย ๆ ยัดลงท้องเป็นการปลอบใจตัวเองที่ดันไปเจอเรื่องไม่ดี ๆ เข้า

น่าแปลกประหลาดที่ผมทำตามคำขอร้องของคนแปลกหน้าหลังจากมองเห็นสายตาคู่นั้น

หมอนั่น...คนแปลกหน้าคนนั้น เขา “แตกสลาย” และโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา น่าเสียดายที่ผมให้เขาได้แค่เพียงไออุ่นชั่วคราวจากอ้อมกอดของตัวเอง เพราะถึงที่สุดแล้ว กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายเราก็ต้องปล่อย มนุษย์น่ะ เราช่วยเหลือทุกคนไม่ได้หรอก บางครั้งแล้วเราก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะกอดปลอบตัวเองบ้าง

ไม่ว่าปรภพหรือมหาสมุทรที่เขา ‘จม’ อยู่จะเป็นสถานที่แบบไหน สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าผมควรเอาตัวเองให้รอดออกจากปรภพของตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปใส่ใจคนอื่น และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจลาจากโดยไม่มีแม้กระทั่งการทำความรู้จักหรือแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับอีกฝ่าย

คงไม่เจอกันอีกแล้ว...ผมคิดแบบนั้น และในใจก็ภาวนาเงียบ ๆ กับตัวเองไปแบบนั้นเช่นกัน

ผมไม่พร้อมจะโอบกอดความแตกสลายของคนอื่นตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่หัวใจตัวเองก็ยังไปไหนไม่รอดนักหรอก

ผมถอนหายใจ ซ้อมลาจากโลกนี้อีกครั้งด้วยการนอนหลับก่อนจะไม่ลืมว่าพรุ่งนี้ผมยังมีนัดกับใครอีกคนที่กำลังเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าสนใจ ผมอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วนิยายเรื่องแอคเค่อจะออกมาในรูปแบบไหน ตัวละครจะโดนดีไซน์ยังไงบ้าง และข้อมูลทั้งหมดที่ผมเล่าให้โชฟังจะมีประโยชน์กับคนอ่านมากน้อยเพียงใด และผมจะโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดีไหมแค่เพราะผมมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า

แต่สุดท้ายก่อนหน้านั้นผมคงต้องบอกกับโชไว้เป็นกรณีพิเศษ....

‘เป็นแอคเค่อไม่ได้หมายความว่าจะจูบได้กับคนแปลกหน้าทุกคน’

ยกเว้นแต่จูบหน้าผากปลอบใจอีกฝ่ายที่กำลังแตกสลาย ....ถือว่าน่าจะเป็นข้อยกเว้น

ผมถอนหายใจให้ตัวเองอย่างเงียบงันเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจตุสัมผัสทั้งหมดจะจางหายไปพร้อมความมืดแสนสงบที่เข้ามาแทนที่สติทั้งหมด....




“สวัสดี กินน้ำเต้าหู้ไหม ผมซื้อมาฝาก?”

ก่อนผมจะพบว่าตัวเอง(แหกตา)ตื่นแต่เช้าเพื่อมาเปิดประตูห้องหลังได้ยินเสียงเคาะประตู และมาเจออีกฝ่ายยืนยิ้มแฉ่งที่หน้าประตูพร้อมน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋อีกห้าตัว เหลือบมองนาฬิกาถ้าผมดูไม่ผิด คือเพิ่ง 8 โมงเช้า เหมือนผมจำได้ลาง ๆ นะว่าตัวเองนัดอีกฝ่ายไว้ตอนประมาณสาย ๆ หรือเปล่า หรือผมเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงเปลี่ยนเวลานัดกะทันหัน?

“คุณ.....” ผมขมวดคิ้วพร้อมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงต้องการคำตอบสำหรับการมาปลุกผมแต่เช้า

“อ้าวคุณบอกผมไม่ใช่เหรอว่าฝากปลุกด้วย?” เขาว่า วางถุงน้ำเต้าหู้ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะทำตาปริบ ๆ ใส่ผมเป็นการถามว่าเขาผิดอะไรเหรอ?

ไอ้ฝากปลุกนั้นมันก็ใช่ แต่ไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าอยากให้มาปลุกถึงห้องนอนแบบนี้น่ะ !!!

ผมถอนหายใจกับตัวเอง ปลดปลงกับชีวิตที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขนานใหญ่ ๆ ตราบเท่าที่งานของเขายังไม่สำเร็จ ก็หวังว่าการโดนบุกรุกชีวิตในครั้งนี้จะคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาได้รับและมอบให้กับสังคมต่อไป พอคิดได้ดังนั้นผมก็ลงมือทานของฝากที่คนแปลกหน้าที่ชักจะเจอหน้ากันบ่อยขึ้นทุกวัน ๆ เอามาฝาก

“รู้ไหมว่าตอนเช้า ๆ ไม่มีใครเขาอยากรับแขกนักหรอกนะ” ผมว่า พลางมองสภาพห้องที่รกหน่อย ๆ

“ผมไม่ถือสา” ยังมีหน้ามาพูดอีก

“แต่ผมถือ” ผมว่ากลับพร้อมเอาหมอนมาบังส่วนสงวนที่ตื่นตัวเป็นปกติยามเช้าของผู้ชาย และเหมือนโชจะคิดได้ว่าผมกำลังเขินเรื่องอะไร สีหน้าของเขาฝาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

“ขอโทษ ผมลืมนึกว่าคุณอยู่ในวัยกำลังกินกำลังโต”

รู้แล้วยังจะมาทำเป็นพูดดี ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งทานเงียบ ๆ จนน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋หมดลงไป

“คุณกินข้าวมารึยัง?” ผมเปิดบทสนทนา

“จริง ๆ แล้วตอนเช้าปกติผมจะทานแค่กาแฟและขนมปังนะ” เขาว่า ผมพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ ก่อนเขาจะมานั่งข้าง ๆ ที่ปลายเตียง

“คุณ”

“ว่า?”

“ง่วงเหรอ?”

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะง่วงหรือเพราะกินของอุ่น ๆ อิ่มแล้วถึงอยากนอนต่ออีกรอบ จำได้ว่าหัวเอนไปซบกับไหล่ของโช แต่พอเห็นเขาไม่ขยับตัวหนีผมก็เลยขี้เกียจขยับตัวตาม

“คุณเหมือนโคอาล่าตัวโต ๆ ที่กินใบไผ่เสร็จแล้วก็ง่วงนอน” โชว่า ปลายเสียงติดหัวเราะนิด ๆ

“8 โมงเช้าถ้าเป็นคนอื่นผมด่ากระเจิงไปแล้วนะ” ผมงัวเงียตอบ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอนดึกอะไรขนาดนั้นนะ แต่ร่างกายเหมือนจะเสพติดการนอนหลับไปซะแล้ว

“ขอบคุณที่ไม่ว่าผมครับ ขอโทษที จริง ๆ ผมต้องรีบออกจากบ้านน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนบังคับ”

“บังคับ?” ผมถามทิ้งแต่สติเริ่มจางหาย ได้ยินเขาตอบกลับมาอีกสองสามประโยค แต่ผมหมดสติในการรับฟังไปหมดแล้ว

“ฝาก...ล็อกประตูห้องด้วย ผมจะรีบตื่น”

ผมเค้นเสียงตอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับลงไปทั้ง ๆ ที่ซบไหล่เขาแบบนั้น

...ตัวนิ่มดีเหมือนกันนะ พ่อตัวนากเผือก

 

 

.....................................

 

 

“กูไม่ได้เข้าบริษัทวันนี้ มีเอกสารอะไรส่งเข้าเมล์ให้ด้วย แล้วอันไหนเห็นสมควรตัดสินใจได้ก็ฝากเซ็นปั๊มอนุมัติไปก่อนเลย กูมั่นใจว่ามึงไม่ทำบริษัทเจ๊งแน่นอน”

“ถ้าพ่อถามหาเหรอ ...ไม่ถามหรอกมั้ง กู 26 แล้วนะคุณโต้ง”

“เออ ๆ แค่นี้ก่อนนะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าจ้างเลขาถูกคนแล้ว ตามจิกงานอย่างกับพ่อไก่ตัวโต ๆ”

“ใช่ไง ถ้าไม่ใช่เพื่อนมึง มึงจะกล้าจิกกูเหรอ ไอ้ไก่โต้งเอ๊ย”

ผมสะลึมสะลือ ลืมตาตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงเหมือนโชกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน แต่จับใจความไม่ได้เพราะสติยังกลับมาไม่ครบถ้วน รู้สึกตัวอีกที พอลืมตากว้าง ๆ อีกฝ่ายก็ส่งแก้วน้ำมาให้ดื่มเป็นการปลุกให้ตื่นไปในตัว

“ขอโทษที ผมคุยโทรศัพท์เสียงดังไปหน่อย” เขาว่า ยิ้มเห็นฟัน

“ไม่หรอก ผมตื่นเวลานี้ประจำอยู่แล้วนะ ผมน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องนอนเกิน 7 ชม.เสมอ ๆ ร่างกายมันฮีลตัวเองน่ะ” ผมว่า บอกไปตามตรงเลยว่าตัวเองใช้งานร่างกายหนักในหลาย ๆ ความหมายยังไงบ้าง โชพยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนเขาจะเปิดสมุดโน้ตแล้วมานั่งข้าง ๆ ผมอีกครั้ง

“งั้นผมขอสัมภาษณ์คุณต่อเลยได้ไหมครับ?” เขาว่า ทำตาปริบ ๆ

ผมอยากกุมขมับตัวเองแล้วร้องโว้ยยยย ออกมาดัง ๆ ในสายตาของผม โชเหมือนเด็กกำลังเห่อของเล่นชิ้นใหม่จนบางครั้งมองข้ามอะไรหลาย ๆ อย่างไป เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มันอาจจะยังใหม่สำหรับเขา แต่ผมว่าเราอาจจะต้องมานั่งลิมิตกันใหม่แล้วล่ะ ว่าเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับคนสองคนในหลาย ๆ บริบทดี

“1 คำถาม ต่อ 1 คำถาม” ผมว่า จ้องตาอีกฝ่าย

“คุณว่ายังไงนะ?” เขาทำหน้างง

“คุณถามผม 1 คำถาม ผมตอบ และผมจะถามคุณกลับไป 1 คำถาม และคุณต้องตอบคำถามของผม ตกลงไหม ? ผมไม่คิดเงิน แต่ผมเองก็ไม่ชอบที่โดนถามฝ่ายเดียวเหมือนกัน”

ผมว่า ส่วนหนึ่งเพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นนักเขียนนิยายสักเรื่องมันต้องทำอะไรบ้าง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ชอบที่โดนถามคนเดียวเหมือนกันนั่นแหละ

“ดีล”

“ดีล”

“แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันก่อน โอเค คุณนั่งเตรียมคำถามที่คุณอยากจะถามผมไว้ แล้วเดี๋ยวผมจะหาคำถามมาถามคุณบ้าง” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนผมจะลุกไปเปิดเพลง Chivalry Is Dead พร้อมคว้าผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ ผมเดินมาเช็ดตัวที่หน้ากระจก เห็นโชกำลังพิมพ์อะไรก๊อกแก๊ก ๆ อยู่ตามประสาเขาไป ผมเลือกสวมเสื้อแขนสั้นให้สะดวกสำหรับการที่พี่เจ้าหน้าที่จะสามารถเจาะเลือดได้โดยง่าย พร้อมกางเกงยีนส์หัวเข่าขาดสีตุ่น ๆ อีกตัว รองเท้าผ้าใบสีเทา เสร็จสรรพผมก็พร้อมแล้ว สำหรับการไปรับ PrEP ประจำรอบนี้

“ไปกันคุณ” ผมว่า โชทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักพักก่อนจะถามผมง่าย ๆ ว่า

“คุณขับรถเป็นใช่ไหม?”

“ก็เป็นนะ”

“งั้นมาเล่นพนันกับผมไหม?”

“...”

“ทายหัวก้อยกัน ถ้าใครทายผิดคนนั้นต้องเป็นคนขับรถสำหรับขาไป โอเคไหม?”

...และแน่นอน คนที่ไม่เคยมีโชคแบบผมน่ะ ยังไงก็แพ้ทางเขาเห็น ๆ

เจ้านากเผือกนี่ นับวันจะร้ายกาจกับผมขึ้นทุกที ๆ





ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ผมพยักหน้ายอมรับคำถามของเขา อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งเป็นตัวนากเผือกได้ขนมก่อนจะถามต่ออย่างร่าเริง

“แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่คุณถึงรู้สึกว่าตัวเองยังต้องกิน PrEP ทั้ง ๆ ที่ก็ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง รวมไปถึงไม่เบื่อเหรอที่ต้องกินยาทุกวันเลย” เขาถามตาใส ผมเรียบเรียงคำตอบในหัวก่อนจะตอบกลับไป

“โอเค เราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน ก่อนอื่นคือผมไม่ใช่คนทำอะไรวู่วาม ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นแอคเค่อผมต้องศึกษาความปลอดภัยทั้งหมดอยู่แล้ว และผมนับว่าตัวเองเป็น ‘ผู้ที่มีความเสี่ยง’ คนหนึ่งเพราะมีเพศสัมพันธ์บ่อยกว่าคนปกติทั่วไป แต่ผมเองก็ต้องการรักษาสถานภาพทางอนาคตของตัวเอง คือรักสนุกได้แต่ไม่ต้องการของแถม

 การกินยาสำหรับผมแล้วนับว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง ทั้งต่อตัวเอง ทั้งต่อคนรอบข้าง ทั้งกับคู่นอนของตนเอง ทั้งต่อสังคม ผมคิดแบบนั้นเลยไม่เบื่อทุกครั้งที่จะต้องทานยาทุกวัน เพราะมันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ หากเราเลือกที่จะอยู่ในความเสี่ยงดังกล่าว PrEP จะเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการป้องกันความปลอดภัย คือนอกจากถุงยางแล้วเรายังมั่นใจได้ว่าต่อให้เกิดแอกซิเด้นท์เราจะยังมีเกราะป้องกันอีกชิ้นหนึ่ง”

ผมว่ายาว เว้นวรรคให้เขาจดเนื้อหา ก่อนจะแถมให้ด้วยความใจดี

“อย่างถุงยางนะ มันมีดีเทลเล็ก ๆ ที่คนอื่นมองข้ามไป เช่นเป็นต้นว่า ถุงยางอนามัยที่แจกฟรีน่ะ จุดประสงค์หลักคือแจกเพื่อ ‘กันท้อง’ ไม่ใช่ ‘กันโรค’ ดังนั้นแล้วเนื้อยางมันจะหนากว่าปกติ ทีนี้พอเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋ากางเกงก็มีโอกาสจะโดนทับจนรั่ว ขาด ซึมได้ ดังนั้นถ้าจะให้ผมแนะนำ ก็ควรจะซื้อตอนจะใช้งานจะดีกว่า”

“อ่า แต่ว่ามันก็ออกจะ....” เขาว่า เว้นวรรคให้ผมพูดต่อ

“ใช่ มันจะไม่ทันการณ์น่ะสิ บางทีแข็งโด่แล้วจะให้วิ่งลงไปซื้อก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นแล้วผมว่าควรซื้อแบบเป็นกล่องเก็บไว้มากกว่ายัดใส่กระเป๋าสตางค์ น่าจะเพิ่มโอกาสให้ถุงยางยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในสถานการณ์นั้น ๆ ” ผมว่าจนจบ เขาพยักหน้าเห็นด้วย และรอให้ผมถามกลับไป

“คุณ...คิดจะเล่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องยา PrEP ก็แบบ เอาจริง ๆ ผมยังไม่เห็นนิยายที่พูดเรื่องทำนองนี้เท่าไหร่ ผมกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ว่าจะเล่ายังไงให้คนอ่านไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดสาระมากเกินไป” ผมว่า นิ้วเคาะพวงมาลัยไปด้วย

“จริง ๆ ผมก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ คือคนอ่านนิยายวายนะ ต้องบอกว่ากลุ่มลูกค้าฐานหลักของเราคือผู้หญิง ถูกต้องไหม เราจะอธิบายยังไงให้พวกเขาเห็นความสำคัญของการใช้ยา PrEP สำหรับคนที่เป็นผู้ชายได้โดยไม่น่าเบื่อ ไม่รู้สึกเหมือนกำลังโดนยัดเยียดน่ะเหรอ....อืม ก็แบบนี้ไง” เขาเว้นวรรคพร้อมดีดนิ้ว

“แบบไหน?”

“แบบคุณกับผมไง” โชพูดต่อ พร้อมชี้ไปที่ตัวเองชี้มาทางผม

“ก็เนี่ย ที่เรานั่งคุยกัน ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่สบาย ๆ มากเลยนะ เราก็อาจจะเซตฉากประมาณว่าตัวละครในเรื่องไปหาหมอพร้อมกัน หรือไปดู เรื่องการรับ PrEP ไปเลยจริง ๆ จัง ๆ ไง ในเมื่อมันเป็นสถานที่ ๆ มีอยู่จริง เราก็เล่าไปเลยสิ ว่าเรากำลังไปที่ไหน อะไรยังไง และระหว่างขับรถมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบไหนยังไงบ้าง เอาแบบไม่ต้องยัดลงไปตู้มเดียว ค่อย ๆ เล่าไปทีละฉาก ๆ ให้เขาเข้าใจว่า PrEP มันเป็นยาแบบไหน มันดีไม่ดียังไง คุณว่าแบบนี้ คนอ่านจะเบื่อไหม?” โชกล่าวสรุปพร้อมหันมาขอคำแนะนำจากผม

“ถ้ามีฉากตัดสลับกับเรื่องยาไปด้วย ผมว่าเขาก็น่าจะไม่เบื่อหรอกมั้ง ...แต่แบบนั้นมันเหมือนผมกลายเป็นตัวเอกของเรื่องเลยสิ?”

“ก็ใช่ไง” เขาตอบกลับ ผมขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ

“งั้นก็อาจจะเป็นผมในโลกคู่ขนาน ที่เกิดมาเบ้าหน้าดี เป็นเดือนมหา’ลัย สูง หุ่นดี มีซิกแพค รวย มีรถขับ มีเมียเป็นผู้ชายแมน ๆ ที่ประกาศศักดาว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่พอโดนผมเสียบครั้งเดียวก็กลายเป็นคนขี้แง ติดแฟนตลอดเวลา ประมาณนั้นใช่ป่ะ?”

ผมหยอก โชนั่งหัวเราะคิกคักในความร้ายของผมก่อนจะตอบกลับมา

“คุณนี่กัดเก่งจริง ๆ เลยนะ แบบนี้ต่อไปจะมีนิยายทำนองแบบที่คุณว่าออกมาสู่ท้องตลาดไหมเนี่ย”

“ผมไม่ได้กัดนะ” ผมย้ำ ตามองถนนไปด้วย “คือผมหมายความตามนั้น จริง ๆ เพราะถ้าคุณจะเขียนว่าใครสักคนเป็นแอคเค่อ นอกจากเรื่องมีเมียเป็นผู้ชายแท้ ๆ แล้วอย่างอื่นถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของบุคคลที่สามารถเป็นแอคเค่อได้ไง” ผมว่า พอเห็นเขาทำหน้างงเลยขยายความ

“เอาละ ก่อนอื่นคือคุณจะเป็นแอคเค่อได้ คุณต้องมีห้องที่ใช้สำหรับการประกอบภารกิจนึกออกไหม? แล้วคุณคิดว่าคนที่ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้มีรูมเมทหรือแชร์ห้องกับใคร ในขณะที่ค่าหอพักแถวย่านมหาวิทยาลัยแพงขนาดนี้ต้องเป็นคนฐานะยังไง อันนี้ข้อหนึ่ง ต่อมาเรื่องเบ้าหน้า หุ่น ฐานันดร อันนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการเลือกว่าจะนอนหรือไม่นอนกับใคร พวกนี้มันมีผลต่อการตัดสินใจ ถูกไหม อันนี้ข้อสอง

 ส่วนเรื่องรถ เป็นออฟชั่นที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าจะเป็นแอคเค่อที่ฮอตมาก ๆ ก็สมควรมีรถขับ เพราะเวลานัดกันส่วนใหญ่จะเป็นยามค่ำคืน ถ้าให้ระบุช่วงเวลาคือหลังตีหนึ่งตีสอง ออกจากผับเสร็จคนจะเริ่มมีอารมณ์อยากทั้งเป็นคนกระทำและโดนกระทำ ไอ้ครั้นจะนั่งแท็กซี่เพื่อไปซั่มอีกฝ่ายก็ดูจะเป็นการลงทุนมากเกินไป อันนี้ข้อสาม และที่สำคัญสุด แอคเค่อนะ ต้องมีเวลาในการมี SEX แล้วคนที่จะมีเวลาได้มันจะวน ๆ กับพวกที่มีคุณสมบัติข้อบน ๆ  คือสำคัญสุดต้องรวย รวยมากพอจะมีเวลาว่างไปทำเรื่องแบบนี้

สรุปแล้ว แอคเค่อที่ หล่อ รวย เบ้าหน้าดี มีรถขับ เป็นคนมีฐานะ เป็นหนึ่งในไทป์ที่มีอยู่จริงและสามารถเป็นได้จริง ....คอนเฟิร์ม นี่ผมยังไม่นับนะว่าการเป็นแอคเค่อแปลว่าคุณต้องใช้ถุงยางอนามัยเยอะมากกว่าชาวบ้าน และไหนจะเจลหล่อลื่นที่ราคาแพงมาก ๆ อีก และถ้าเป็นแอคเค่อที่ขนาดน้องชายใหญ่แบบผม ก็จะเสียเงินเพิ่มมากขึ้นเพราะขนาดไซซ์ถุงยาง 56 ขายแพงกว่าชาวบ้าน !!! เนี่ย เห็นไหม เป็นแอคเค่อไม่ใช่แค่โชว์ของลับของสงวนแล้วจะเป็นได้เลยนะ มันมีองค์ประกอบอีกเยอะ”

ผมกล่าวร่ายยาวพร้อมสรุป โชกะพริบตาปริบ ๆ หันมามองหน้าผม

“นี่แม้กระทั่งการนัดเยยังมีต้องมีเรื่องความสัมพันธ์ในมิติทางชนชั้นของคนในสังคมมาเป็นตัวกำหนดด้วยเหรอเนี่ย?” เขาว่าเสียงอ่อย ๆ ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมชอบในตัวโชคือเขาไม่โง่ และเขาเข้าใจว่าเรื่องที่ผมพูดมันสัมพันธ์กันในรูปแบบใด ผมเดาว่าพื้นเพเขาน่าจะคลุกคลีกับการเรียนรู้มิติสัมพันธ์ทางสังคมมาบ้าง ไม่สิ เขาเป็นนักเขียน เรื่องพวกนี้ก็สมควรจะรู้บ้างแหละ ถูกต้องแล้ว

“ถูกต้อง การจะเป็นคนที่ดูดีจนเป็นที่น่าหมายปองได้นะ มันไม่ใช่แค่   เกิดมาแล้วจะเป๊ะเลยนะเว้ย มันต้องผ่านกรรมวิธีการและกระบวนการในการปรุงแต่งมากมาย เอาตั้งแต่เริ่มต้นก็มีพ่อแม่ที่ดีเป็นต้นทุนความสวยความหล่อก่อน ต่อมาก็มีการบำรุงที่ดีคือพวกสารอาหารที่ได้รับในช่วงที่ร่างกายกำลังพัฒนาการมากที่สุด ต่อมาอีกก็การดูแลตัวเอง เช่น การทาครีมกันแดด การดัดฟัน การไม่ออกแดดบ่อย ๆ  การเปลี่ยนแปลงแก้ไขศัลยกรรมต่าง ๆ

ต่อมาอีกก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ตั้งแต่การกินของที่มีประโยชน์แต่ราคาแพงมาก ไปจนถึงของที่กินแล้วบำรุงสุขภาพ ตลอดไปจนถึงการมีเวลา ในการไปออกกำลังกาย ไปเข้ายิม ไปฟิตหุ่น ทุกอย่างมีต้นทุนและราคาที่ต้องจ่ายมาตั้งแต่ต้น ถามว่าคนชนชั้นล่างมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้เหรอครับ เอาแค่อาหารเราก็เลือกทานไม่ได้แล้วว่าจะทานอะไร ไม่ทานอะไรด้วยปัจจัย    จากเรื่องราคา ถูกต้องไหม? เพราะงั้นแล้ว หล่อ รวย หุ่นดี มีรถขับ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานเลยด้วยซ้ำของการเป็นแอคเค่อที่ฮอต

และที่สำคัญ ความสัมพันธ์ของคนสองคนจะดำเนินไปได้น่ะ มันต้องอาศัยระยะเวลาและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทำ ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันถูกไหม แล้วผมถามว่าคนที่ต้องทำงานตลอดเวลา วัน ๆ เอาแต่เรียนแล้วก็วิ่งไปทำงานแล้วก็กลับมาเรียนอีกเนี่ย จะมีโอกาสได้เป็นตัวเอกในนิยายสักเรื่องยังไงอ่ะ?”

ผมอธิบายยาวอีกรอบ ก่อนเราทั้งคู่จะพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน

“คนหน้าตาดีนี่...ไม่ได้เป็นกันได้ง่าย ๆ เลยเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“คนที่มีต้นทุนที่ดีมากกว่าคนอื่นมาตั้งแต่ต้น ก้าวหน้ามากกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางทุนทรัพย์หรือต้นทุนทางด้านกายทรัพย์ คือผมหมายถึงมีรูปเป็นทรัพย์นะ ก็ใคร ๆ ก็ชอบแต่คนหน้าตาดี ๆ นี่เนาะ แล้วพวกเขาก็ไม่ผิดอะไรด้วยที่ชอบแต่คนหน้าตาดี ๆ คนทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ” ผมว่า

“แต่มากกว่าความหน้าตาดีมันก็มีอย่างอื่นนะ” โชตอบกลับ เขาพิมพ์แก๊ก ๆ ก่อนจะหยุดพิมพ์แล้วพูดต่อ

“คุณอาจจะคิดว่าคนหน้าตาดีมีต้นทุนที่ดีกว่า ซึ่งเอาตามตรง นั่นก็เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดมาจากการฝังรากของวัฒนธรรมในการเชิดชูสิ่งสวย ๆ งาม ๆ อะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่เจ๋งไม่แพ้คนหน้าตาดีกลุ่มแรก อาจจะยาก...ไม่สิ ก็ยากเลยแหละในการที่จะขึ้นมาเสมอ คนหน้าตาดีได้โดยที่ตัวคุณอาจจะไม่ได้มีหน้าตาที่เทียบเท่า แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณทำได้ มันก็ตีแต้มโต้คืนได้นะ และไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ คุณเป็นคนที่มีคุณสมบัติแบบนั้นนะครับทีเร็กซ์” โชพูดก่อนเขาจะหันมามองหน้าผม

“ผมอ่ะนะมีคุณสมบัติอะไรแบบนั้น?” ผมว่า หัวเราะแห้ง ๆ ติดตลก เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนประเภทแบบที่โชว่า

“คุณ ถ่อมตัวได้ แต่อย่ามองข้ามตัวเอง ผมจะบอกอะไรให้อย่าง สปอร์ตไลท์น่ะมันเลือกคนส่อง ในขณะที่บางคนพยายามแทบตายเพื่อให้ตัวเองได้ไปอยู่ท่ามกลางของแสงสว่าง แต่มันจะมีคนบางแบบที่มีสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และคุณเป็นคนจำพวกที่ผมว่า ...คุณเป็นที่รักของแสงสว่างนะ รู้ตัวไหม”

เขาว่า แต่ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด

“คุณเป็นคนพิเศษ พิเศษในตัวคุณเองโดยไม่ต้องปรุงแต่ง คุณดึงดูดคนอื่นได้ด้วยทั้งหมดภายในตัวคุณ เวลามองคุณนะ ผมจะไม่เกิดคำถามอะไรเลยกับสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ คุณทำให้ผมมองข้ามไปเลยว่า คุณเป็นคนหน้าตาแบบไหน แต่ผมจะเกิดคำถามกับตัวเองตลอดเวลามากกว่า คุณโตมาแบบไหน ผ่านประสบการณ์ชีวิตแบบใดมา ทำไมคุณถึงได้หลุดออกมาจากกรอบเดิม ๆ ได้ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณเองก็พูดเสมอว่ามันยากที่จะหลุดพ้นจากกรอบตรงนั้นออกมา

คุณไม่ได้มีแนวความคิดแบบคนชนชั้นล่างหรือชนชั้นกลาง คุณไปไกลมากถึงขนาดมองเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะ มันส่งผลกระทบยังไงต่อคนรอบข้างและสังคม มันเป็นแนวคิดของกลุ่มคนที่ ‘มีมากพอแล้วจึงสามารถแบ่งปันไปให้คนอื่นได้’ต่างหาก รู้ไหมว่าเวลาคุยกับคุณ ผมต้องมานั่งลุ้นตลอดเลยว่าคุณกำลังจะพูดอะไรออกมาอีก ทัศนคติที่เป็นบวกแบบเป็นกลางโดยละทิ้งอคติทั้งด้านบวกและด้านลบเป็นสิ่งที่ผมโคตรชอบในตัวคุณเอง”

“.........”

ผมเงียบกริบ ขับรถไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาพิมพ์ก๊อกแก๊กอีกนิดหน่อยถึงค่อยหันมายิ้มหวานให้กับผมแล้วพูดต่อ

“ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ ตลอดเวลาทีเราอยู่ด้วยกัน คุณรู้ไหมว่าผมละสายตาไปจากคุณไม่ได้เลย....”



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 26-08-2018 20:54:37


time talk

ได้เวลาทอล์กกะพ่อแมวแย้ววววว

วันนี้มีเรื่องมาคุยด้วยหลายเรื่องเลยครับยาวหน่อยนะ กิ๊ว ๆ จะบอกว่าตอนนี้ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมยาวเป็นพิเศษ มันมีหลายพาร์ทมากกกก อย่างที่โชกล่าวบอกกับทุกคนนั้นแหละครับ ถ้าอัดตู้มลงไปทีเดียวเลยมันจะเปลี่ยนสถานะจากนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกสนุกแล้วได้ของแถมเป็นสาระ กลายเป็นนิยายสอนสุขศึกษาไป ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์ที่เราตั้งใจ อยากให้สนุกแล้วได้สาระเป็นของแถมมากกว่า ก๊าก แต่ทั้งที่เนื้อเรื่องมันก็กำลังดำเนินต่อไปในรูปแบบของมันอยู่

ปกตินิยายตอนหนึ่งพ่อแมวจะพิมพ์ประมาณ  8 หน้ากระดาษ cordia new 14 พอยท์ แต่ตอนนี้ตัดแบ่งเป็นสามพาร์ท พาร์ทละ 10 หน้ากระดาษ เพื่ออธิบายรายละเอียดทั้งเรื่องยาและเรื่องราวของคนสองคนให้สมูธมากยิ่งขึ้น และกำลังใกล้ ๆ จะเข้าสู่ช่วงปลายของครึ่งแรกแล้วนะครับ ตอนแรกที่วางสเกลเรื่องนี้ไว้ เราวางไว้แค่ประมาณ 30 ตอน ทั้งเหตุผลเรื่องโครงสร้างหลักของนิยายและเหตุผลทางการค้า

แต่ไป ๆ มา ๆ ใจอยากทำให้มันเป็น The best ของชีวิตอีกเรื่อง ตีทาบไปมาก็นับสิริรวมตอนพิเศษที่แต่งไว้คร่าว ๆ แล้วประมาณ 5 ตอนแล้ว เบ็ดเสร็จแล้วตกประมาณ 40 ตอน เกือบ ๆ 700 ร้อยหน้ากระดาษ ;_: (ข้อยก็ตกใจเหมือนกันเด้อตอนเอาไปทำเป็นไฟล์ A5 แล้วช็อกเวอร์) ก็ตีไปเลยว่าเก็บตังค์กันเกิน 700 บาทแน่นอนฮะสำหรับนิยายเรื่องนี้แบบยังไม่รวมค่าส่ง UU (แต่ปกสวยมาก ๆ นะ ถ้าเธอได้เห็นปกเธอจะกำเดาไหลแบบที่เรากรี๊ดกับตัวเองมาหลายวันแล้ว เรากล้าพูดด้วยเกียรติของพ่อแมวเลย นี้เป็นปกนิยายที่โคตรๆ "แอคเค่อ" เลยเธอ !!!)

และนั้นคือสาเหตุที่เราถามไปในทวิตเตอร์ว่าเราควรทำเล่มเดียวหรือสองเล่มดี ? เพราะเรากลัวว่าถ้าเล่มเดียวมันจะหนาไปไหม (ใครยังไม่มีทวิตเตอร์ตามไปฟอลฯ ไปเม้าท์มอยท์กับเราได้นะ ชื่อทวิตเตอร์ "พ่อแมวพุงโต" @chunkydadcat แฟนเพจชื่อ "พ่อแมวพุงโต" เช่นกันครับ ส่วนแท็กนิยายเรื่องนี้ ใช้แท็ก #แอคเค่อของน้องแมว นะครับ ที่ไม่ใช้แท็ก #แอคเค่อ สาเหตุเพราะมันไปซ้ำกับเจ้าที่ที่เข้าใช้กันอยู่แล้วนะครับ แหะ ๆ ดังนั้นแล้วขอความรบกวนหวีดน้อง ๆ รุนแรงได้เลยครับ กิกิ

อีกประกาศอีกหนึ่งประกาศคือ เราจะลงนิยายทุก ๆ 4 วันนะครับ จากปกติที่จะลงวีคละ 1 ตอน จุดพลุ !!! นั้นหมายความว่านิยายเรื่องนี้ก็จะจบลงเร็วกว่ากำหนดการณ์เดิม ดังนั้นแล้วน้องแมวมีเรื่องจะรบกวนเพื่อน ๆ ตรงนี้นะครับ จากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของเด็กดี ทำให้นิยายเรื่องนี้จะขึ้นหน้าเว็บไซต์แค่วีคละ 1 ครั้งเฉพาะตอนอัพใหม่เท่านั้น ดังนั้นแล้วมีเรื่องจะขอรบกวนเพื่อน ๆ ดังนี้ครับ

อันนี้ถ้าใครสะดวก ชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน ฝากหวีดฝากเชียร์น้อง ๆ แล้วติด #แอคเค่อของน้องแมว , #รีวิวนิยายวาย , #แนะนำนิยายวาย ในช่องทางโปรโมทอื่น ๆ ทางโซเชียลให้น้อง ๆ และพ่อแมวหน่อยนะครับ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่สะดวกไม่เป็นไรน๊า คือแมวเข้าใจทุก ๆ บริบทของทุกคนจริง ๆ ครับ มีนักอ่านบางท่านหลังไมค์ว่าเขาไม่สามารถหวีดออกสื่อสาธารณะได้ ได้แค่แนะนำเพื่อน ๆ พี่ๆ  ในชีวิตจริงไป จะด้วยข้อกำหนดกฎเกณฑ์อะไรต่าง ๆ อยากบอกว่าพ่อแมวเข้าใจมาก ๆ นะครับ แค่มาชอบ มาเชียร์กันผ่านคอมเม้นท์ พ่อแมวจะบอกว่าแค่นั้นก็ชื่นใจหลาย ๆ แล้วอ้าย

คือพ่อแมวอ่ะ ไม่อยากทำแบบคนอื่น แบบอัพแค่ 30 % 60 % แล้วค่อยมา 100 % หรืออัพหลาย ๆ ตอนแบบนั้น เพราะมันจะเด้งไปหน้าเว็บจริง แต่มันดูขี้โกงอ่ะ พ่อแมวไม่อยากโกงคนอ่านของพ่อแมว พ่อแมวอยากให้เขาเปิดมาเจองานที่พ่อแมวตั้งใจมอบให้เขาได้อ่านอย่างครบถ้วนทั้งบท โดยไม่จำเป็นต้องรอว่าเมื่อไหร่กันนะเนื้อหาในส่วนที่เหลือถึงจะมา เราต้องให้ใจคนอ่านสิ ถ้าเราอยากได้ใจคนอ่านกลับคืนมา (แต่พ่อแมวก็ไม่ได้เบลมนะครับว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ทริคใครทริคมันครับ แค่เราไม่ถนัดทริคนั้นเท่านั้นเอง)

สุดท้ายแล้ว ขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง ๆ ครับ ที่รัก ที่ชอบน้อง ๆ ไม่ว่าพ่อแมวจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตามแค่ ขอให้รู้ไว้นะครับ คุณคือส่วนหนึ่งของกำลังใจ ที่ทำให้ผมยิ้มได้ในทุก ๆ วันที่ได้เปิดอ่านและเล่าถึงชีวิตน้อง ๆ ของทุกคนให้ฟัง ดีใจมากจริง ๆ ที่นิยายเรื่องนี้ทำให้ใคร ๆ หลาย ๆ คนออกปากได้ว่าแตกต่างจากนิยายเรื่องอื่น

เพราะนั้นคือทั้งหมดที่เราอยากทำ อยากมอบให้แก่สังคม อยากมอบให้แก่ทุกคน

อยากมอบมันให้กับ "เพื่อน" ของเรา

รักผู้อ่านเสมอนะครับ


พ่อแมวพุงโต

26/08/2018
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-08-2018 21:28:44
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-08-2018 22:31:08
อ่านแล้วเซอร์ไพรส์กับเนือหามาก ไม่เคยรู้แอคเค่อคืออะไร มีอะไรแบบนี้อยู่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ได้ความรู้มากๆ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.8 P&P (Part1) | P2 | 26/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-08-2018 12:06:20
ชอบ
บทสนทนาและเหตุการณ์มีที่มาที่ไป

เรียลจนบางทีก็ปวดตับไต ฮ่า ๆ ๆ ๆ
คุณโกงความตายไม่ได้ คุณโกงโรคภัยไข้เจ็บไม่ได้ ทำได้คือป้องกันตัวเอง รับผิดชอบกับตัวเองและสังคม
นับถือใจทีเร็กซ์ตรงนี้มาก

เคยเจอคนที่เหมือนทีเร็กซ์นะ คนที่ดึงดูดความสนใจได้เสมอ มีสเน่ห์โดยที่ไม่ต้องหน้าตาดีมากมาย

และสงสัยว่า อะไรทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้ อะไรทำให้คิดแบบนี้ เขาผ่านอะไรมา

เกาพุงพ่อแมวให้กำลังใจค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-08-2018 16:45:19


Ep.9 P&P [Part2]




ผมหันหน้าหนีสายตาของเขาไปอีกทางก่อนจะนิ่งเงียบ สายตามองไปที่กระจกข้างของรถยนต์ เราทั้งคู่เงียบลงไปดื้อ ๆ หลังจบประโยคนั้นของเขา

“คุณ”

“ว่า?”

“เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดรึเปล่า?” เขาถาม โน้มตัวมาข้าง ๆ

“ได้ยินชัดเจน” ผมตอบกลับพร้อมหันหน้าไปมองเจ้านากเผือกที่กำลังทำหน้าระคนปนสงสัย

“ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่แบบ ผมชมคุณไง แถมชมแบบมันเหมือนฟังแล้วมีนัยยะด้วย เลยสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่มีรีแอคชั่นอะไรเลยกับคำพูดที่ผมพูดออกไป” เขาว่า  คิ้วบาง ๆ ขมวดเป็นเส้นตรง เหม่อมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย

“ทำไมอ่ะ คุณอยากให้ผมเขินที่คุณมองผมตลอดเวลาแบบนั้นเหรอ?” ผมถามกลับ หัวเราะเล็ก ๆ ในลำคอ

“ก็..จริง ๆ ก็ควรจะเขินไหม?” พอเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ผมก็ถอนเท้า เบา ๆ แล้วเหยียบคันเร่งขึ้นก่อนจะเริ่มชะลอเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟจราจรกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ขอบคุณนะครับที่ชมผม เอาจริง ๆ ก็ดีใจนะที่มีคนชม แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร คือผมมองว่าอาจจะเพราะคุณไม่เคยเจอคนประมาณผมรึเปล่า เลยตื่นตาตื่นใจอะไรแบบนี้ 

ในขณะที่ตัวผมเองน่ะ ผมไม่ได้เบลมตัวเองหรอกนะ แต่ผมแบบ ถามว่ามั่นใจในตัวเองไหม?  ใช่ ผมก็มั่นใจในระดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความคิด การมองโลกใบนี้ในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป เพราะทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของผม

แต่แค่ความคิดมันไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ใครสักคนหนึ่งมาชอบเรานะ มันมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมากที่ผมเรียนรู้มาจากการใช้ชีวิต แค่ความคิดดี ๆ น่ะ มันไม่พอจริง ๆ นะคุณ .....”

ผมว่า เว้นวรรคไว้แบบนั้นให้เราทั้งคู่ได้จมลงไปในความคิดของใครของมัน ก่อนจะกระทุ้งเขาต่อ

“ถึงเทิร์นคุณแล้ว ถามต่อได้เลยนะ”

“อ่า ๆ ... โอเคครับ งั้นก็ PrEP กับ PEP ต่างกันยังไง” เขาว่า ผมกรอกตา ไปมาก่อนจะตอบ

“เป็นคำถามที่ดี ถ้าจะตอบแบบกวน ๆ ก็ขอตอบว่าคุณสมบัติของมันใกล้เคียงกันคือจัดอยู่ในหมวด ‘ยาต้านเชื้อ HIV’ แค่กินก่อนการมีเพศสัมพันธ์หรือกินหลังมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงมา ต่างกันแค่นั้นเอง เอางี้ คุณสังเกตง่าย ๆ  คำว่า PrEP นะ ตัวพีกับตัวอาร์สองตัวแรก ย่อมาจาก Pre ที่เป็นรากศัพท์แปลว่า ‘ก่อน’ ก็จำง่าย ๆ ว่าตัวนี้ ต้องกินก่อนการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7-10 วัน ส่วน PEP ไม่มีตัวพีที่เป็นรากศัพท์แปลว่าก่อนก็ตีความง่าย ๆ ว่ากินทีหลัง หลังจากไปมี ‘ความเสี่ยง’ มา ก็ไปกิน PEP ซะ”

เพราะเห็นเขาจดทุกคำพูดของผมอย่างตั้งใจ ผมเลยอยากช่วยเหลืออะไรเขาสักหน่อยเพื่อทำให้งานของเขาง่ายเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ผมเรียบเรียงข้อมูลในหัวเท่าที่เคยศึกษามาก่อนจะพยายามคัดกรองข้อมูลที่ตัวเองเห็นว่าน่าสนใจสำหรับการให้เขานำไปเขียนประกอบนิยายแล้วค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนครูกำลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ตัวน้อย ๆ ฟัง

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่สมัย PrEP ยังไม่เกิด ....นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเชื้อ HIV ในร่างกายของคนเราที่เกิดขึ้นหลังติดเชื้อจากสัมผัสที่ไม่ปลอดภัยนะ ปกติแล้วเวลาคุกคามหรือพัฒนาไปเป็นเอดส์นั้นมันใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการแพร่กระจายไปทั่วทุกอณูของร่างกาย มันจะไม่ใช่ว่าคุณได้รับเชื้อมาปุ๊บ คุณจะเป็นเอดส์ปั๊บ ณ ตอนนั้นทันที ทุกอย่างมีกระบวนการในการทำงานของมัน แม้กระทั่งเชื้อโรคเองก็เช่นกัน

นั่นหมายความว่า หากได้รับยาต้านหรือที่เรารู้จักชื่อกันในนามว่า PEP เข้าสู่ร่างกายในเวลาที่เร็วมากพอ ร่างกายก็มีความสามารถมากพอที่จะกำจัด เชื้อร้ายตัวนั้นออกไปได้จนหมดในเวลาไม่นาน แต่อนิจจา สิ่งที่ไม่หวนกลับ คือการเดินหน้าของกาลเวลา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อหลายท่านรู้สึกตัวช้าเกินไปที่จะมารับยาต้านหรือ PEP ตั้งแต่ตอนที่เชื้อยังอยู่ในสภาวะที่สามารถกำจัดออกไปได้ หรือชี้ชัดเป็นเวลาเลยก็คือไม่เกิน 48 ชม. หลังมีความเสี่ยง หรือถ้าอุ่นใจสุดก็ไม่ควรเกิน 24 ชม.หลังจากมีความเสี่ยงทุกชนิด แต่ก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน ความเสี่ยงอันดับหนึ่งของการติดเชื้อมันยังเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน

นักวิทยาศาสตร์ก็เลยเกิดพหุปัญญา นิพพานได้ว่า ‘เฮ้ย ถ้า PEP มันกินช้าเกินไป ทำไมเราไม่ทำยาให้มันกินล่วงหน้าสำหรับการป้องกันเลยวะ?’ ศึกษาไป ศึกษามา ก็เกิดการค้นคว้าทดลองกำเนิดออกมาเป็น PrEP ที่เป็นยาต้านสำหรับการรับประทานล่วงหน้า โดย PrEP มีเงื่อนไขไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไรเลย แค่ต้องทานก่อนการเกิดความเสี่ยง 7-10 วัน จึงจะมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อ HIV ได้ประมาณ 92 % ....”

ผมหยุดเว้นวรรคหลังลากยาว มองไปที่โชก่อนจะถามเขา

“ตามทันนะ?”

“ทัน ๆ จัดมาเลยครับ ขอยาว ๆ ไม่ต้องสนใจผม พูดต่อได้เรื่อย ๆ เลยครับ” โชรีบพูดจนลิ้นพัน  สายตาจดจอกับแป้นพิมพ์และหน้าจอ พอผมเห็นเจ้าตัวนากเผือกตั้งใจมากขนาดนี้เลยเสริมข้อมูลต่อไปให้เขาต่อ

“ส่วนสำคัญมาก ๆ ที่คุณต้องตระหนักและย้ำกับคนทุกคนเลย คือ ‘ตัวเลข 92 % แปลว่า 92 % เท่านั้น’ การมีเปอร์เซ็นการป้องกันที่สูงมากขนาดนั้น ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยจนคนที่ทาน PrEP สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องป้องกัน เพราะอย่าลืมว่านอกจาก HIV แล้ว ก็ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากมายที่น่ากลัวไม่แพ้ HIV อาทิ ซิฟิลิส หนองใน เริม โรคพวกนี้ แม้รักษาแล้วแต่ก็ไม่หายขาดนะครับ แค่อาจจะไม่แสดงอาการเท่านั้นเอง แล้วก็นะ

PrEP น่ะ เขามีหน้าที่เข้าไปรอกำจัดเชื้อ HIV ในร่างกายของเราตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เราไปมีความเสี่ยงแล้วได้รับเชื้อมา ก็ว่าง่าย ๆ เขาทำหน้าที่เป็นคนไปคอยตามจุดต่าง ๆ ที่ร่างกายเราจะเชื่อมต่อกับอีกฝ่าย เช่นปลายองคชาติ หรือ ทวารหนัก และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องทาน PrEP ทุกวันสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ เพราะวัน ๆ คนเราขับถ่ายของเสียออกมาหลายทาง การปัสสาวะเองก็เป็นการขับถ่าย PrEP ออกจากร่างกายเช่นกัน เราจึงต้องทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีเพศสัมพันธ์ตอนไหน

ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ เอาแบบสไตล์ผมเลยนะ ให้เราคิดว่าเรากำลังเป็นอัศวินเกราะเหล็กที่กำลังต่อสู้กับศัตรูที่หมายปองเอาชีวิตเรา แล้วเราก็เลยใส่เกราะอ่อนชิ้นเล็ก ๆ ไว้ชั้นในเพื่อป้องกันเกราะหนักหรือก็คือถุงยางอนามัยแตกก็พอ อารมณ์ประมาณเราเซฟชีวิตเราไว้กันตาย เป็นเกราะอีกชั้นหนึ่งในการเล่นเกม

เสริมไปอีกนิดเลยก็ได้ว่ารีเสิร์จงานวิจัยล่าสุดจนกระทั่งถึงปี 2017 ปีนี้ ทั่วโลกที่เขาร่วมการทดสอบ PrEP จากผู้เข้าร่วมโครงการหลายพันคน มีผู้เข้าร่วมโครงการทดสอบยา PrEP สองคนที่แม้จะมีการใช้ PrEP แต่ก็เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ผมไมได้ตามต่อจนถึงดีเทลลึก ๆ ว่าเขาทานยาต่อเนื่องไหม ไปมีความเสี่ยงมาเท่าไหร่ หรือมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่ทำให้แม้แต่ทาน PrEP ก็ยังติดเชื้อ HIV ได้ ดังนั้นก็ให้ติงไว้ก่อนก็ได้ครับว่าไม่ใส่ถุงยางอนามัย เท่ากับมีความเสี่ยงแน่ ๆ ไม่มากก็น้อย”

บรรยากาศในรถแปรเปลี่ยนเป็นเสียงบรรยายของผมกับเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดของโช ที่รัวขึ้นราวกับว่าเขากลัวว่าจะตกหล่นแม้เพียงครึ่งคำที่ผมพูดออกไป เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากโชคือความมุ่งมั่นและสมาธิในการทำงานของเขาในทุก ๆ สภาพแวดล้อม เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อห้านาทีที่แล้วเขากำลังใช้สายตาแบบไหนกับผม

และทั้งหมดนั้นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ

สายตาของเขา... สายตาของโชน่ะ เป็นสายตาคู่เดียวกับที่ผมเคยได้รับและเคยได้มอบมันให้กับใครบางคน

ผม...ยังไม่พร้อมให้ใครมารู้สึกอะไรกับผมมากไปกว่าแค่คู่นอนไม่ได้ทั้งนั้น

ผมไม่อยากทำร้ายใครอีกแล้ว

...และผมก็ไม่อยากโดนทำร้ายอีกแล้วเช่นกัน

สัตว์ร้ายในร่างของผมยันกายเอาขาหน้าหมอบกรานไปกับพื้น ถูจมูก ส่ายหน้าพับหูไปมาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกไปกับโช แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เงียบสงบลงเมื่อผมตระหนักได้อยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร และคนข้าง ๆ แตกต่างจากผมมากเพียงใด ถึงได้สามารถสูดลมหายใจสั้น ๆ เข้าปอดได้โดยไม่คิดอะไร และไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายได้แสดงความรู้สึกอะไร

 ไม่ว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดจะมาจากอะไรก็ตามแต่ ผมไม่ควรเปิดช่องว่างให้ทั้งเขาและเราได้เริ่มต้นอะไรบางอย่างทั้งนั้น....

“1 ต่อ 960 และ 1 ต่อ 260”

“หื้ม มันคือตัวเลขอะไร?” โชเงยหน้าขึ้นจากแป้นพิมพ์มามองผมเป็นครั้งแรก หลังเขาพิมพ์รัวตอนที่ผมพูดยาว ๆ ไป เขาดันแว่นตาสำหรับใส่มองหน้าจอแลปท็อปเข้ากับใบหน้าก่อนจะหยุดฟังผมพูด

“อัตราส่วนจากความเสี่ยงของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ถ้างงหรือนึกภาพไม่ออกตามที่ผมพูดไป...เอางี้ คุณเคยเล่นเกมทอยลูกเต๋าไหม?” ผมถาม โชพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้งผมจึงพูดต่อ

“ปกติแล้วลูกเต๋ามีหกหน้า อัตราส่วนจึงเท่ากับ 1 ต่อ 6 แต่ถ้าอัตราส่วนเพิ่มขึ้น ก็นึกภาพง่าย ๆ ว่าลูกเต๋าเพิ่มหน้ามากขึ้นก็ได้ เช่น ในกรณีแบบนี้ เท่ากับว่าคนเป็นรุกกำลังทอยลูกเต๋าที่มีหน้าทั้งหมด 960 หน้า โดยมีหน้าหนึ่งเป็นโบนัสว่าทอยออกหน้านี้แล้วจะต้องติดเชื้อ HIV ”

“อ๋อ เข้าใจแหละ ....แล้วทำไมถึงมีสองตัวเลขครับ?” เขาว่า ผมเบ้ปากนิดหนึ่งก่อนจะตอบ

“ถ้าคุณเป็น Top หรือผมหมายถึงคนที่เป็นฝ่ายรุกอ่ะนะ อัตราความเสี่ยงของการสอดใส่โดยไม่ป้องกัน คุณจะมีความเสี่ยงอยู่ที่ 1 ต่อ 960 แต่ผมย้ำตรงนี้เลยนะ ขอเน้นตรงนี้ซ้ำ ๆ เลยนะคุณ คือหนึ่ง ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสดถึง 960 ครั้งคุณถึงจะติดเชื้อ HIV แต่มันเป็นอัตราสุ่มที่แปลว่าแค่ไม่ป้องกันครั้งเดียวคุณก็มีสิทธิ์ได้รับของแถมถาวรได้

และสอง อันนี้เป็น fun fact ที่ผมอ่านมาตั้งแต่สมัยปี 2559 แล้ว วิทยาศาสตร์และงานวิจัยน่ะเปลี่ยนแปลงทุกวัน ดังนั้นแล้วสถิติที่เคยใช้อ้างอิงได้ อาจจะใช้อ้างอิงไม่ได้แล้วก็เป็นได้เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เราต้องอัปเดตข้อมูลเสมอ ๆ นะครับ”

“ผมเข้าใจครับ งั้นหมายความว่าอัตราส่วนที่คนเป็น bottom หรือ รับ จะมีความเสี่ยงในกรณีที่ไม่ป้องกันหรือพูดง่าย ๆ ว่าสดเนี่ย คือ 1 ในส่วนของลูกเต๋า 260 หน้าใช่ไหมครับ?” โชถาม

“ถูกต้องนะครับ แต่อันนี้ผมลองตามไปอ่านเปเปอร์แล้ว เขาไม่ได้ลงดีเทลลึกถึงขนาดที่จะรู้ว่ามีปัจจัยเรื่องการกำหนดเวลาในการมีเซ็กซ์มาเป็นตัวข้องเกี่ยวด้วยไหมนะครับ ผมเลยบอกไม่ได้ว่าตัวแปรที่มีผลขึ้นลงต่อการวิจัยอันนี้มีอะไรบ้าง ข้อมูลตรงนี้ก็ถือว่าผมแชร์ Fun Fact สนุก ๆ แล้วกันนะครับ และถ้าจะเอาไปเขียนเล่นก็อย่าลืมย้ำด้วยนะครับ ว่ามันเป็นงานวิจัยเก่าไปหนึ่งปีแล้ว” ผมย้ำอีกครั้ง เพราะกลัวว่าถ้าเขาเอาไปเขียนแบบไม่เคลียร์ อาจจะมีคนนึกสนุกเล่นพิเรนท์ ๆ จนต้องมาร้องไห้กันทีหลังอีกก็เป็นได้

 “ทำไมตัวเลขความเสี่ยงระหว่างคนเป็นรุกกับคนเป็นรับมันถึงต่างกันหลายเท่าตัวแบบนี้ละคุณ?” เขาถามหลังพิมพ์ข้อความทั้งหมดจบ

“ถ้าเท่าที่ผมเคยอ่านเหตุผลมา ก็ง่าย ๆ นะครับ คือปกติเวลาจะติดเชื้อเนี่ยมันต้องมีสามองค์ประกอบ หนึ่งคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อที่พร้อมถ่ายทอดไปสู่คนอื่น สองคือช่องทางในการถ่ายทอด เป็นต้นว่าช่องทางการสอดใส่ทางทวารหนัก และสามคือพาหนะในการถ่ายทอด ในขณะที่รุกสอดใส่เข้ามาในร่างกายของรับ มีโอกาสที่จะเกิดการเสียดสีของช่องทางจนมีเลือดออก และนั่นแหละครับ บิงโก  คือ... ถ้าจะถามว่าเชื้อ HIV จะอยู่ในสารคัดหลั่งใดของร่างกายมากที่สุด นอกจากโลหิตของมนุษย์แล้วก็มีในอสุจิ นี่แหละครับ”

“เป็นรับนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ ทั้งต้องเจ็บตัว ทั้งมีความเสี่ยงมากกว่าคนเป็นรุกไปอีก” โชว่า เบ้ปากส่ายหน้าไปมาประหนึ่งว่าตัวเองเคยเป็นรับมาอย่างไรอย่างนั้น

“เป็นรุกก็เหนื่อยนะครับ รู้ไหมว่าการเอาขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมาพาดบ่าเนี่ยมันเหมือนแบกน้ำหนักครึ่งหนึ่งของคน ๆ นั้นเลยนะครับคุณ ไหนจะต้องโยกเอว ไหนจะต้องออกแรงยกกำลัง ไหนจะต้องเล้าโลม ในขณะที่รับนอนนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ”

ผมเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ คุณจะมาเคลมได้ยังไงว่ารับเหนื่อยกว่า ในเมื่อตลอดเวลาที่มีเซ็กซ์กัน คนรับน้ำหนักตัวส่วนใหญ่น่ะเป็นรุกนะครับ !!!

“แล้วตอน on top รับไม่เหนื่อยรึไง?” เขาเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เอ้า ก็นั่นมันท่าที่คุณเป็นคนควบคุมนี่ แต่เอ๊ะ.... คุณรู้ได้ไงว่าเขาทำกันยังไง ไหนคุณบอกว่าตอนนี้คุณเป็นผู้ชาย?” ผมเถียงกลับในตอนแรกก่อนจะย้อนถามเขากลับไปในท้ายประโยค พร้อมเหล่ตามองเจ้านากเผือกที่กำลังทำตัวล่อกแล่ก ๆ

“ก็...ก็” เขาตอบตะกุกตะกักจนผมต้องกระทุ้งอีกครั้ง

“ก็อะไร?”

“ก็นิยายวายนะคุณ ยังไงมันก็ต้องมีฉาก NC อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแอคเค่อ ต่อให้ไม่อยากค้นหาข้อมูลยังไงก็ต้องผ่านหูผ่านตาบ้าง ผมก็แค่ค้นหาข้อมูลไว้สำหรับใช้ในการทำงานไง !!!!” โชตอบ หน้าขึ้นสีชมพูเป็นริ้ว ๆ ผมผิวปากเหล่ตามองแซวเขาอย่างอารมณ์ดี ก่อนเจ้าตัวจะเฉไฉเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“ไกลเอาเรื่องเหมือนกันเนาะ จากมหาวิทยาลัยของคุณ กว่าจะเข้ามาถึง  ในกรุงเทพฯ” เขาว่า ผมก้มมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังแสดงเส้นทางการเดินทาง ก่อนจะตอบเขากลับไป

“อีกไม่นานหรอกคุณ ไม่กี่กิโลเมตรเองอดทนหน่อย” เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบสิ่งที่ผมบอก

“เออ ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องระยะทางแล้ว มีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าให้ฟัง แต่ไม่รู้ว่าคุณจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม” ผมว่า จริง ๆ เรื่องนี้จะเห็นได้ชัดกว่านี้ถ้าเราไม่มีรถยนต์มา แต่พอมีรถยนต์ขับผมก็เกือบจะลืมไปแล้วว่า มันเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกันสำหรับผม

“ว่ามาได้เลยครับ” โชว่า ทำท่าเตรียมพิมพ์ข้อมูลอีกครั้ง

“ปกติรายได้ขั้นต่ำของคนไทยอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน คุณรู้ใช่ไหม?”

“อ่าห๊ะ ใช่ครับ”

“ทีนี้ผมถามต่อว่า ปกติแล้วคนเราทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์หรือบางที่ทำงานก็กำหนด 6 วันต่อสัปดาห์ใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ”

“แล้วคุณรู้ไหมครับว่าประเทศไทยมี PrEP แจกฟรี แต่ศูนย์แจกที่เข้าร่วมโครงการแจก PrEP ฟรีมีไม่กี่แห่งในประเทศไทย คือภูเก็ต กรุงเทพ และพัทยา และ PrEP นะ ปกติแล้วมีมูลค่าทางการตลาดถึงกระปุกละ 3500 บาทเลยนะคุณ ตีคร่าว ๆ ก็เม็ดละสามสิบห้าบาท”

ผมพูด พร้อมหยุดเว้นวรรคให้เขาตามทัน โชพิมพ์เสร็จก่อนจะชะงักแล้ว หันมามองหน้าผม

“คุณอย่าบอกนะว่า....”

“อื้ม แม้กระทั่งการหาทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มให้กับตัวเองเช่นการไปรับ PrEP ก็ยังมีต้นทุนที่คุณต้องจ่าย ทั้งเวลาที่จะต้องเสียไป ทั้งค่าโดยสารค่าเดินทางในการมารับ PrEP สำหรับคนที่อยู่ห่างไกล หรือต่างจังหวัด ทั้งหมดนับว่าเป็นทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่ทำให้หลาย ๆ คนยังไม่มีโอกาส หรือ มีโอกาสแล้วแต่ยังไม่พร้อมสำหรับการมารับ PrEP”

เป็นอีกครั้งที่เราถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนผมจะพูดต่อ

“อาจจะนอกเรื่องไปนิด แต่ขอบ่นนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วกัน ผมเข้าใจคนที่อาศัยในกรุงเทพฯ คนที่อยู่ในเมืองหลวง ที่ชินกับความสะดวกสบายมาโดยตลอด ชินจนอาจจะลืมมองไปว่าต่างจังหวัดยังไม่ได้มีอะไรที่เจริญเท่าเมืองหลวง และเพราะที่นี่คือศูนย์กลางทางความเจริญ คนหลากหลายแห่งจึงต้องดิ้นรนจากบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ”

“อ่าห๊ะ”

“หลาย ๆ คนชอบแซะชาวต่างจังหวัดว่า ทำไมเวลาเทศกาลหยุดยาวต้องแห่แหนกันกลับต่างจังหวัดจนรถติดไปหมด หรือพวกเซเลปที่ชอบออกมาพูดว่า วันหยุดยาวไม่ไปไหนหรอกเพราะเปลืองพลังงานไปกับการฝ่าฟัน คือก็อยากให้เขาทำความเข้าใจว่า หลาย ๆ คนเลือกไม่ได้ว่าจะได้หยุดช่วงไหน นอกเหนือจากช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันทำให้สามารถกลับออกไปต่างจังหวัดได้

ถ้าความเจริญมันไปถึงทุกที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับสิ่งที่คนเรียกว่า 'ศูนย์กลาง' ของประเทศนะ ปัญหานี้ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก จริง ๆ หลาย ๆ ปัญหามันก็มาจากการกระจายความเจริญที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นแหละที่ทำให้เกิดขึ้นมา เช่น การโทษว่าคนใช้รถ ใช้ถนนเยอะเนี่ย ต้องถามก่อนว่าคุณเคยสำรวจตัวเลขจริง ๆ ไหมว่าคนในกทม.มีผู้อยู่อาศัยจำนวนเท่าไหร่ สัดส่วนที่คิดได้นับว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพฯ พื้นที่เท่าเดิม แต่คนเยอะขึ้น  ถ้ารถไม่ติด มันก็แปลว่าปาฏิหาริย์แล้วล่ะคุณ”

ผมบ่นยาวทิ้งท้ายแบบนอกเรื่องไปไกล โชคดีที่โชแค่หัวเราะร่วนตามไปด้วย นั่นแปลว่าเขาเองก็น่าจะพอเข้าใจถึงสภาพของปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นในมุมมองที่คล้ายกันหรือใกล้เคียงกับผม

“พูดถึงเรื่องรถติดแล้ว คุณเคยเห็นข่าวนี้ไหม?” โชว่า พลางเปิดหาข่าวประกอบ เสิร์จไม่นานเขาก็สไลด์หน้าจอหันมาทางผม พาดหัวข่าว ‘โดนถล่มเละ! หนุ่มแชร์ภาพกทม.ถนนโล่ง-โพสต์แรง “พวกบ้านนอกกลับตจว.หมดแล้ว’

ผมร้องอ๋อก่อนจะตอบเขา “ก็เคยเห็นนะ ทำไมเหรอ?”

“คุณคิดยังไงกับวลีพวกบ้านนอกกลับตจว.หมดแล้ว?” โชถามผมกลับ

“ถ้าตอบว่าไม่คิดอะไรเลยคุณจะว่าผมไหม” ผมตอบแบบหยิกแกมหยอกก่อนจะขยายความ “ก็มันไม่มีอะไรนี่ครับ คนบ้านนอกก็กลับต่างจังหวัดถนนในกรุงเทพฯมันก็เลยโล่ง ก็เป็น FACT นี่ครับ?” ผมว่า

“คุณไม่รู้สึกว่าเขากำลังเหยียดหยามคุณเหรอ แบบคุณมาจากบ้านนอกอะไรอย่างนี้” โชถามผม นัยน์ตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์แปลก ๆ แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้วตอบคำถามเขาแทน

“เขาเหยียดผมตรงไหน คำไหนในประโยคที่แปลว่าเขากำลังเหยียดผม?” ผมถามกลับ พร้อมไล่ไปทีละตัว “พวกบ้านนอก ก็ถูกแล้วนี่ ใช่ ผมบ้านนอกจริง นั่นเป็นคำเหยียดยังไงอ่ะ ในเมื่อบ้านนอกมันหมายถึงพื้นที่ ๆ ไม่มีความเจริญ หรือความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงว่าบางพื้นที่ความเจริญมันยังเข้าไม่ถึงจริง ๆ นะครับ

กลับต่างจังหวัดหมดแล้ว นั่นก็เรื่องจริงอีก ก็ถนนมันโล่งทั้ง ๆ ที่ปกติมันการจราจรมันติดขัด แปลว่าคนหายออกไปต่างจังหวัดหมดไงคุณ อันนี้ก็ FACT อีกนั่นแหละ ถูกไหม? แล้วการที่คนที่มาจากพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญเขากลับไปเยี่ยมบ้านเขาเนี่ย มันถือเป็นประโยคเหยียดหยามหรือดูแคลนผมยังไง ทำไมผมถึงต้องไม่รู้สึกดีด้วยล่ะ?”

“ผมชอบที่คุณตีความแบบนั้น” เขาว่า ยิ้มมุมปาก

“ผมแค่ไม่ใส่น้ำเสียงลงไปในเท็กซ์ก็เท่านั้น” ผมว่า พอเห็นเขาขมวดคิ้ว เลยอธิบายอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการสื่อสารไหม แต่สำหรับผมนะ ถ้าไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียง ผมจะอ่านข้อความหรือตัวอักษรทุกชนิดบนโลกใบนี้แบบไม่มีน้ำเสียงดังในหัว มันจะเป็นอารมณ์แบบกูเกิลอ่ะคุณ คืออ่านจับใจความและวิเคราะห์เรียบ ๆ โดยปราศจากการใส่น้ำเสียงทุกชนิดลงไป เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรมันเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผม 

มันขาดองค์ประกอบที่เรียกว่าอารมณ์ร่วมในการสนทนา เพราะงั้นแล้ว จะเป็นข้อความแบบไหน สำหรับผมมันก็แค่อ่านแล้วตีความเจตนารมณ์ของคนเขียน โดยปราศจากอคติทั้งบวกและลบก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายแล้วเราต้องถามใจตัวเองอยู่ข้างในลึก ๆ เสมอ เวลาที่คิดว่าคนอื่นเขามาเหยียดหยามเราเนี่ย ต้องถามตัวเองก่อนว่าเขาเหยียดเราจริง ๆ หรือเรากำลังเหยียดตัวเองอยู่

เช่นที่คุณยกตัวอย่างมา ถ้าคิดว่าเขากำลังเหยียดหยามตัวคุณแค่เพราะ คำว่า ‘คนบ้านนอก’ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าคำว่าบ้านนอกมันให้ความรู้สึกแบบเป็น negative เพราะในความหมายจริง ๆ คนบ้านนอก มันก็แค่คำที่อธิบายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป

แล้วการเป็นคนในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป มันถือว่าเป็นเรื่องแย่ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพวกคุณที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาและการดูแลจากภาครัฐมากเพียงพอ ผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่เราเกิดมาในพื้นที่ ๆ ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”

ผมเหยียบเบรกอีกครั้งหลังเห็นสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลือง ได้ยินเสียงแตรรถจากด้านหลังบีบมานิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ สัญญาณไฟจราจรสีเหลืองคือให้เตรียมหยุด ไม่ใช่ให้เร่งเดินทางเสียหน่อย

“เฮ้อ” โชถอนหายใจ พร้อมไถตัวลงไปนอนเล่นกับเบาะรถ

“เป็นอะไรคุณ?” ผมถาม เจ้าตัวนากเผือกยิ้มแก้มป่อง ก่อนจะย่นจมูกแล้วมองหน้าผม

“เหอะ ๆ ‘ผมมันคนธรรมดา’ เอย ‘คุณแค่ตื่นตาตื่นใจ’ เอย คุณพูดแบบนั้น ในขณะที่แอตติจูดของคุณเรืองแสงจนแทบจะทำผมตาบอดเนี่ยนะ? คุณน่ะ มันบียอร์นไปไกลมากกว่าแค่คนที่พกสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไว้แล้ว รู้ตัวไว้ซะบ้างว่าตัวเองนะเป็นคนพิเศษ ใส่ไข่ด้วยก็ได้เลยเอ้า” เขาว่าพลางกระแทกปลายเสียงสุดท้ายหยอกล้อผม 

“ธรรมดา” ผมว่า

“ไม่ธรรมดา” เขาตอกกลับ

“ปกติทั่วไป” ผมไม่ยอมแพ้

“เพิ่งเข้าใจว่าเด็กปกติทั่วไปเขามานั่งวิเคราะห์หลักภาษาศาสตร์และความสัมพันธ์อำนาจในการปกครองของภาครัฐกับการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท” โชแซะคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมย่นจมูกใส่ผม

“คนทั่ว ๆ ไปเขาก็คิดแบบผม”

“ขอเอาหัวหมูเป็นเดิมพันว่าถ้าคนที่อายุเท่ากันกับคุณ มีไม่ถึง 10 % ที่คิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทำท่าฟันธงฉับเป็นการประกอบคำพูด

“ทำไมชอบพูดให้ผมเป็นคนพิเศษ?” ผมถามอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ตรง ๆ ผมไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบที่ถูกย้ำบ่อย ๆ ว่าผมแตกต่างจากคนทั่วไป

“ก็คุณเป็นคนพิเศษ”

“..............”

“อย่างน้อยที่สุด คุณก็พิเศษสำหรับผม ...โอเคไหม?” โชพูดเสียงเบาหวิว จนผมไม่ทันได้ยินทันประโยคชัด  ๆ

“อะไรโอเคนะครับ?” ผมถามกลับ

“เปล่าครับ ผมบอกว่าโอเคก็โอเค คุณเป็นคนจืดจางธรรมดาแบบที่คุณอยากเป็นก็พอแล้ว” เขาตอบ ผมพยักหน้าแล้วคิดตาม

“คนแบบที่ผมอยากจะเป็น...เหรอ?”

“อืม”

“จะตลกไหม ถ้าผมจะตอบคุณว่า เอาเข้าจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นคนแบบไหน จริง ๆ แล้วผมอาจจะแค่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ” พอนั่งคิดตามกับที่เขาพูดแล้ว ผมก็เพิ่งจะเอะใจกับตัวเองเหมือนกันแฮะ...

“คุณประหลาดดี ตอนอยู่กับคุณบางครั้งผมรู้สึกว่าคุณเข้าใจเรื่องยาก ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ในขณะที่เรื่องง่าย ๆ ทั่วไปคุณกลับเข้าใจยากหรืออาจจะไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” โชบ่น ผมหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับเขาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ถูกต้องนะ ผมโดนบ่นแบบนั้นบ่อย ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากแก้นิสัยตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ยังไงดี”

เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่พูดกับผมแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่หัวเราะไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเราดีมากที่สุด อาจจะไม่ใช่ตัวเราเองด้วยซ้ำไปในบางแง่มุมของชีวิต

หลังจากคุยเล่นหยอกล้อฟังเพลงพักเหนื่อยกันไปพอสมควร อีกไม่กี่กิโล ก็จะถึงสถานที่ตั้งของโครงการที่ผมเข้าร่วมการเป็นสมาชิกเพื่อรับยา PrEP แล้ว ผมจึงกระทุ้งบอกเขาอีกครั้งเผื่อมีอะไรตกหล่นอีกที่เขายังไม่ได้ถามผม

“ใกล้ถึงแล้วนะคุณ มีอะไรที่อยากถามผมไว้ไหม เพื่อข้อมูลตรงไหนขาดคุณจะได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่” ผมว่า โชเปิดแลปท็อปขึ้นมาก่อนจะคลิกเลื่อนข้อความดูไม่กี่ครั้งแล้วถามผมมาอีกข้อ

“ผมเกือบลืมถามไปแล้ว คุณมีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหมครับหลังทานยาน่ะ ผมหมายถึง Side effect หลังจากการใช้ยานะครับ แบบ ยังไงยามันก็เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งนะ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นยาก็เถอะ” เขาตั้งประเด็นคำถามได้ดีจากส่วนที่สัมภาษณ์ผมไปช่วงแรก ผมชมเขาเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองรู้

“ต้องบอกแบบนี้ก่อน ก่อนการรับ PrEP มาทานนะ จะมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำก่อนอยู่แล้วว่าสารเคมีทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง คนที่ทาน PrEP เองบางคนช่วงแรก ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียนบ้างเพราะร่างกายปรับสภาพกับสารเคมีที่ได้รับจากฤทธิ์ของยา แต่บางคนก็ไม่มีผลกระทบอะไรเลยเช่น ผมเป็นต้น

อ่อ แล้วก็นะ มันเคยมีช่วงหนึ่งมีข่าวลือเหมือนกันว่า PrEP นะ ทานมาก ๆ แล้วทำให้กระดูกพรุน แต่จนแล้วจนรอด ผมพลิกแผ่นดินตามหาเปเปอร์ก็ยังไม่มีอันไหนที่บ่งชี้หรือมีการพิสูจน์ว่าการทาน PrEP นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระดูกเกิดการพรุนได้ ดังนั้นถ้าต้องตอบตามข้อมูลที่มีอยู่ ผมคงบอกว่าตัวผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทาน PrEP มาเกือบ ๆ ปีหนึ่ง เพราะผมตรวจเลือดและตรวจค่ามวลกระดูกทุก ๆ สามเดือนด้วยแหละ”

ไม่รู้ว่าผมอธิบายละเอียดมากพอไหม แต่โชก็ยังพยายามก้มหน้าก้มตา ตั้งใจจนทุก ๆ คำพูดของผมไว้เป็นอย่างดี เสียงพิมพ์กุกกัก ๆ ดังขึ้นรัว ๆ ก่อนเขาจะเว้นช่วงแล้วหันมาถามผมอย่างหนักแน่น

“แล้วคุณต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่?”

“........”

“ผมหมายถึง...คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันอยากจะเลิกเป็นแอคเค่อ?”


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-08-2018 16:45:50

“ผมชอบที่คุณตีความแบบนั้น” เขาว่า ยิ้มมุมปาก

“ผมแค่ไม่ใส่น้ำเสียงลงไปในเท็กซ์ก็เท่านั้น” ผมว่า พอเห็นเขาขมวดคิ้วเลยอธิบายอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการสื่อสารไหม แต่สำหรับผมนะ ถ้าไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียง ผมจะอ่านข้อความหรือตัวอักษรทุกชนิดบนโลกใบนี้แบบไม่มีน้ำเสียงดังในหัว มันจะเป็นอารมณ์แบบกูเกิลอ่ะคุณ คืออ่านจับใจความและวิเคราะห์เรียบ ๆ โดยปราศจากการใส่น้ำเสียงทุกชนิดลงไป เพราะการสื่อสารผ่านตัวอักษรมันเป็นการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผม

มันขาดองค์ประกอบที่เรียกว่าอารมณ์ร่วมในการสนทนา เพราะงั้นแล้ว จะเป็นข้อความแบบไหน สำหรับผมมันก็แค่อ่านแล้วตีความเจตนารมณ์ของคนเขียน โดยปราศจากอคติทั้งบวกและลบก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายแล้วเราต้องถามใจตัวเองอยู่ข้างในลึก  ๆ เสมอ เวลาที่คิดว่าคนอื่นเขามาเหยียดหยามเราเนี้ย ต้องถามตัวเองก่อนว่าเขาเหยียดเราจริง ๆ หรือเรากำลังเหยียดตัวเองอยู่

เช่นที่คุณยกตัวอย่างมา ถ้าคิดว่าเขากำลังเหยียดหยามตัวคุณแค่เพราะคำว่า ‘คนบ้านนอก’ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกว่าคำว่าบ้านนอกมันให้ความรู้สึกแบบเป็น negative เพราะในความหมายจริง ๆ คนบ้านนอกมันก็แค่คำที่อธิบายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่  ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป

แล้วการเป็นคนในพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญออกไป มันถือว่าเป็นเรื่องแย่ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของพวกคุณที่อยู่ในพื้นที่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนาและการดูแลจากภาครัฐมากเพียงพอ ผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะแค่เราเกิดมาในพื้นที่ ๆ ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”

ผมเหยียบเบรกอีกครั้งหลังเห็นสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเหลือง ได้ยินเสียงแตร่รถจากด้านหลังบีบมานิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ สัญญาณไฟจราจรสีเหลืองนะคือให้เตรียมหยุด ไม่ใช่ให้เร่งเดินทางเสียหน่อย

“เฮ้อ” โชถอนหายใจ พร้อมไถตัวลงไปนอนเล่นกับเบาะรถ

“เป็นอะไรคุณ?” ผมถาม เจ้าตัวนากเผือกยิ้มแก้มป่องก่อนจะย่นจมูกแล้วมองหน้าผม

“เหอะ ๆ ‘ผมมันคนธรรมดา’ เอย ‘คุณแค่ตื่นตาตื่นใจ’ เอย คุณพูดแบบนั้น ในขนาดที่แอตติจูดของคุณเรืองแสงจนแทบจะทำผมตาบอดเนี้ยนะ? คุณนะ มันบียอร์นไปไกลมากกว่าแค่คนที่พกสปอร์ตไลท์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดไว้แล้ว รู้ตัวไว้ซะบ้างว่าตัวเองนะเป็นคนพิเศษ ใส่ไข่ด้วยก็ได้เลยเอ้า” เขาว่าพลางกระแทกปลายเสียงสุดท้ายหยอกล้อผม

“ธรรมดา” ผมว่า

“ไม่ธรรมดา” เขาตอกกลับ

“ปกติทั่วไป” ผมไม่ยอมแพ้

“เพิ่งเข้าใจว่าเด็กปกติทั่วไปเขามานั่งวิเคราะห์หลักภาษาศาสตร์และความสัมพันธ์อำนาจในการปกครองของภาครัฐกับการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท” โชแซะคืนกลับมาอีกครั้งพร้อมย่นจมูกใส่ผม

“คนทั่ว ๆ ไปเขาก็คิดแบบผม”

“ขอเอาหัวหมูเป็นเดิมพันว่าถ้าคนที่อายุเท่ากันกับคุณ มีไม่ถึง 10 % ที่คิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทำท่าฟันธงฉับเป็นการประกอบคำพูด

“ทำไมชอบพูดให้ผมเป็นคนพิเศษ?” ผมถามอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ตรง ๆ ผมไม่ได้โกรธ แต่ไม่ชอบที่ถูกย้ำบ่อย ๆ ว่าผมแตกต่างจากคนทั่วไป

“ก็คุณเป็นคนพิเศษ”

“..............”

“อย่างน้อยที่สุด คุณก็พิเศษสำหรับผม ...โอเคไหม?” โชพูดเสียงเบาหวิว จนผมไม่ทันได้ยินประโยคหลังสุดอย่างชัด  ๆ

“อะไรโอเคนะครับ?” ผมถามกลับ

“เปล่าครับ ผมบอกว่าโอเคก็โอเค คุณเป็นคนจืดจางธรรมดาแบบที่คุณอยากเป็นก็พอแล้ว” เขาตอบ ผมพยักหน้าแล้วคิดตาม

“คนแบบที่ผมอยากจะเป็น...เหรอ?”

“อืม”

“จะตลกไหม ถ้าผมจะตอบคุณว่า เอาเข้าจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นคนแบบไหน จริง ๆ แล้วผมอาจจะแค่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ” พอนั่งคิดตามกับที่เขาพูดแล้ว ผมก็เพิ่งจะเอ๊ะใจกับตัวเองเหมือนกันแหะ...

“คุณประหลาดดี ตอนอยู่กับคุณบางครั้งผมรู้สึกว่าคุณเข้าใจเรื่องยาก  ๆ ได้ง่ายมาก ๆ ในขณะที่เรื่องง่าย ๆ ทั่วไปคุณกลับเข้าใจยากหรืออาจจะไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ” โชบ่น ผมหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับเขาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ถูกต้องนะ ผมโดนบ่นแบบนั้นบ่อย ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี อยากแก้นิสัยตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะแก้ยังไงดี”

เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่พูดกับผมแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่หัวเราะกับไปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ สุดท้ายแล้วคนที่รู้จักเราดีมากที่สุดอาจจะไม่ใช่ตัวเราเองด้วยซ้ำไปในบางแง่มุมของชีวิต

หลังจากคุยเล่นหยอกล้อฟังเพลงพักเหนื่อยกันไปพอสมควร อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงสถานที่ตั้งของโครงการที่ผมเข้าร่วมการเป็นสมาชิกเพื่อรับยา PrEP แล้ว ผมจึงกระทุ้งบอกเขาอีกครั้งเผื่อมีอะไรตกหล่นอีกที่เขายังไม่ได้ถามผม

“ใกล้ถึงแล้วนะคุณ มีอะไรที่อยากถามผมไว้ไหม เพื่อข้อมูลตรงไหนขาดคุณจะได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่” ผมว่า โชเปิดแลปท็อปขึ้นมาก่อนจะคลิกเลื่อนข้อความดูไม่กี่ครั้งแล้วถามผมมาอีกข้อ

“ผมเกือบลืมถามไปแล้ว คุณมีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหมครับหลังทานยานะ ผมหมายถึง Side effect หลังจากการใช้ยานะครับ แบบ ยังไงยามันก็เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งนะ ถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นยาก็เถอะ” เขาตั้งประเด็นคำถามได้ดีจากส่วนที่สัมภาษณ์ผมไปช่วงแรก ผมชมเขาเงียบ ๆ ในใจก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองรู้

“ต้องบอกแบบนี้ก่อน ก่อนการรับ PrEP มาทานนะ จะมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำก่อนอยู่แล้วว่าสารเคมีทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง คนที่ทาน PrEP เองบางคนช่วงแรก ๆ ก็มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียนบ้างเพราะร่างกายปรับสภาพกับสารเคมีที่ได้รับจากฤทธิ์ของยา แต่บางคนก็ไม่มีผลกระทบอะไรเลยเช่น ผมเป็นต้น

อ่อ แล้วก็นะ มันเคยมีช่วงหนึ่งมีข่าวลือเหมือนกันว่า PrEP นะ ทานมาก ๆ แล้วทำให้กระดูกพรุน แต่จนแล้วจนรอด ผมพลิกแผ่นดินตามหาเปเปอร์ก็ยังไม่มีอันไหนที่บ่งชี้หรือมีการพิสูจน์ว่าการทาน PrEP นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระดูกเกินการพรุนได้ ดังนั้นถ้าต้องตอบตามข้อมูลที่มีอยู่ ผมคงบอกว่าตัวผมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการทาน PrEP มาเกือบ ๆ ปีหนึ่ง เพราะผมตรวจเลือดและตรวจค่ามวลกระดูกทุก ๆ สามเดือนด้วยแหละ”

ไม่รู้ว่าผมอธิบายละเอียดมากพอไหม แต่โชก็ยังพยายามก้มหน้าก้มตา ตั้งใจจนทุก ๆ คำพูดของผมไว้เป็นอย่างดี เสียงพิมพ์กุกกัก ๆ ดังขึ้นระรัว ก่อนเขาจะเว้นช่วงแล้วหันมาถามผมอย่างหนักแน่น

“แล้วคุณต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่?”

“........”

“ผมหมายถึง...คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันอยากจะเลิกเป็นแอคเค่อ?”



time talk : 4 วันถัดมาก็ลงต่อได้อย่างปากว่าจริง ๆ นะครับ อิอิ ตอนนี้จะหนักนิดหนึ่งนะ แต่พ่อแมวก็พยายามทำให้มันบาลานซ์เท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว คือไม่อยากให้เครียดไป แต่ก็ไม่อยากให้เบาไปเช่นกัน คิดกำลังอ่าน FUN FACT สนุก ๆ แล้วกันนะครับ

Ps ข้อมูลตรงไหนที่คิดว่ามีข้อผิดพลาด สามารถแจ้งให้ตรวจสอบแก้ไขได้เลยนะครับ โดยเฉพาะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพราะจากที่รีเสิร์จมาก็เกือบ ๆ สองเดือนได้แล้วครับ เพื่อมีอะไรอัปเดตใหม่ ๆ เนาะ ขอบคุณครับสำหรับทุก ๆ กำลังใจ

ตอนนี้ยาวจนต้องลงสองช่องอ่ะ 5555555555555  :katai5:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 31-08-2018 17:25:48
 o13 o13 o13  สนุกกกกกก
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-08-2018 21:19:13
แอบเดาอดีตของทอย
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.9 P&P (Part 2) | P2 | 31/08/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-08-2018 22:24:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 17-09-2018 22:22:43


Ep.10 P&P and .....




เสียงแอร์ในรถดังกระหึ่มขึ้นราวกับเสียงปืนใหญ่ ไม่สิ ไม่ใช่เพราะมันเสียงดังขึ้น แต่เพราะเราทั้งคู่เงียบลงต่างหาก คำถามที่โชถาม จัดว่าเป็นคำถามที่ถือเป็น black box แพนโดร่าอีกชิ้นของผมเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าตอบได้ไหม ผมตอบได้ แต่เขาอยากได้คำตอบแบบไหนในสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก นั้นแหละคือสิ่งที่น่ากังวลและน่าสงสัย

“ผมขอโทษ ข้ามมันไปเถอะ” เขากล่าวเสียงเรียบก่อนจะเงียบลงไปอีกครั้ง

“คิดสิ”

“............”

“ไม่มีใครอยากเป็น ‘คนที่นอนกับใครก็ได้’ ไปตลอดทั้งชีวิตหรอกคุณ คนทุกคนก็อยากมีใครสักคนที่เป็นของ ๆ เราคนเดียวทั้งนั้น แต่บางทีทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปแบบที่เราคาดหวัง ผม..ไม่รู้สิ ผมเองก็อยากมีนะ ใครคนนั้น....”

“อ่า”

“แต่ว่า......”

“ครับ?” เขาถาม ผมเหยียบเบรกรถอีกครั้งเมื่อสัญญาณไฟจราจรกลับกลายเป็นสีแดง

“ผมยังรอคอยอะไรบางอย่าง”

“............”

“....รออะไรบางอย่างหรือใครสักคนอยู่”  ผมว่า ไม่ได้หันไปมองหน้าว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนหรือกำลังทำท่าทางแบบใด

“ข้างในตัวผม.....มีอะไรหลายอย่างที่ยังอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นเล่าถึง ‘มัน’ ยังไงดี และผมก็ทำอะไรกับมันไม่ได้มากกว่าแค่พยายามจะใช้ชีวิตในทุก ๆ วันให้มันดีที่สุด ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเลว เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งในสังคมที่ก็แค่มีชีวิตและใช้มันในรูปแบบของตัวเอง”

ผมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะถอนหายใจระบายความรู้สึกข้างในออกมา ผมทราบว่าโชไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไป “แตะต้อง” กล่องดำของผม แต่บังเอิญเหลือเกินว่า สิ่งที่ผมเพิ่งเจอมามันไม่ใช่แผลที่กำลังตกสะเก็ด แต่เป็นแผลสดใหม่เหวอะหวะ สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองนอยด์ออกไปแบบนั้น โดยพยายามเก็บสีหน้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“คุณครับ” เสียงเขาเรียก ผมหันไปมองหน้าเขาเหมือนต้องการจะถามว่า มีอะไร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกแล้วพูดต่อว่า

“ปกติเคยขับรถมือเดียวไหม?” โชถาม

“เคยสิ ขับรถสองมือแล้วทำอะไรไปด้วยก็เคย” ....หมายถึงขับรถแบบตอนไปกับพี่สาน่ะครับ

“งั้นแปลว่าสมาธิคุณจะไม่หลุด ถูกไหม?”

“อืม ผมขับรถมาตั้งแต่อายุยังน้อย สมาธิไม่หลุดแค่เพราะขับมือเดียวหรอก” แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ขับรถมือเดียวล่ะนะ ผมคิดต่อในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“โอเคครับ งั้น.....”

“...?”

“ผมขอมือหน่อยครับ”

ผมหันขวับไปมองหน้าคนอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนกับคำพูดของเขา โชไม่พูดอะไรต่อแต่มองออกไปนอกกระจกรถ มือที่ยื่นหงายออกมาวางไว้ตรงเบาะตรงกลางแอบสั่นเล็กน้อยจากที่ผมมองเห็น จากที่สับสนกับสิ่งที่เขาถามอยู่แล้วผมยิ่งสับสนขึ้นไปอีก

...แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะวางมือซ้ายไว้บนมือของเขา

มือของโชที่สั่นในตอนแรกค่อย ๆ สั่นน้อยลงจนกลายเป็นปกติ เขาหุบมือเก็บไว้แบบไม่ได้ออกแรงนักและแค่จับแบบหลวม ๆ ทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไรนัก

ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมควรพูดอะไรออกไปต่อดีไหม?

“คุณ” และก็กลายเป็นเขาที่ชิงทำลายความเงียบนั้นก่อน

“ครับ”

“ไม่ว่าใช่ไหมที่....”

“ถ้าผมไม่ต้องการต่อให้คุณบังคับผมก็ไม่ทำ” ผมพูดก่อนเขาจะถามจบด้วยซ้ำ โชเงียบลงไปเหมือนเขาหมดคำถามที่สงสัยแล้ว พอ ๆ กับผมที่เงียบลงไปเพราะได้ยินเสียงอะไรกำลังดังขึ้นมาในหัว

‘สัตว์ร้าย’ ในหัวของผมกำลังส่งเสียงราวกับว่ามันกำลังหัวเราะเยาะคนที่อยู่ดี ๆ ก็ไปไม่เป็นแบบผมซะอย่างนั้น

แล้วไอ้หัวใจน่ะ ...ไม่ต้องมาสูบฉีดเลือดเต้นแรง ๆ จนได้ยินเสียงไปแบบนี้ได้ไหมเล่า !!!

ผมปล่อยทุกสิ่งเป็นไปแบบนั้น พยายามอย่างยิ่งในการตั้งสมาธิกับการมองทางและขับรถ ยิ่งพยายามมากขึ้นไปอีกที่จะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงหัวใจที่เต้นแรงมาจนกลัวว่าคนข้าง ๆ จะได้ยิน สารภาพตามตรงว่า ผมรับมือไม่ถูก จะบอกว่ารู้สึกไม่ดีก็ไม่ใช่ จะพูดว่ารู้สึกดีก็ไม่เชิง สมองของผมเหมือนเบลอแปลก ๆ สุดท้ายก็ได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นจนกระทั่งมาถึงด่านกั้นทางขึ้นห้างสรรพสินค้าอย่างสีลมแห่งหนึ่ง

เพราะต้องเปิดกระจกยื่นมือไปรับบัตรลานจอดรถ โชเลยปล่อยมือผมออกจากที่เขากุมเอาไว้ แต่พอผมเลื่อนกระจกรถปิด โชก็ยื่นมืออกมาไว้ที่เดิม และที่งงไปมากกว่านั้นคือแล้วผมจะยื่นมือไปให้เขาอีกรอบทำไมวะ?

ผมขับรถขึ้นไปถึงชั้นสาม ก่อนจะถอยหลังเข้าซองที่ว่าง พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็ปล่อยมือออก เราเงียบเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมดึงกุญแจรถออกมาแล้วส่งให้เขาง่าย ๆ ก่อนจะกระชับกระเป๋าขึ้นแล้วก้าวเดินออกจากรถ โชเดินตามลงมาเงียบ ๆ พอเห็นเขาล็อกรถเรียบร้อยแล้ว ผมจึงพูดต่อ

“เดินเข้าห้างแล้วไปออกตรงทางเชื่อม BTS นะครับ เราต้องออกประตูหนึ่ง” ผมว่า โชพยักหน้ารับก่อนเราจะเดินคู่กันไปเงียบ ๆ เข้าห้างแล้วเดินทะลุออกอีกทางเพื่อเดินไปยังทางฝั่งประตูหนึ่งของ BTS ศาลาแดง

“ปกติแล้วผมจะมารับยาผ่านทาง BTS ก็จะจำไว้ว่าต้องออกตรงประตูที่มีการขายเวย์” ผมว่าพร้อมชี้ไปทางร้านขายเวย์ อาหารเสริมสำหรับเพิ่มกล้ามเนื้อ “ปกติแล้วผมเป็นคนหลงทิศง่าย ไม่ค่อยสันทัดกับการไปไหนที่ไม่คุ้นเคย” ผมพูดต่อ โชพยักหน้ารับพร้อมจดลงไปในโน้ตกระดาษเล็ก ๆ ที่เขาเอาไว้ติดกระเป๋าเสื้อ

“พอลงบันไดมาเสร็จเราก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปากซอยที่มีร้านขายพิซซ่าเจ้านี้” ผมว่า หลังจากเราเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าปากซอยทางเข้าคลินิก โชพยักหน้ารับ พอจดโน้ตเสร็จผมก็พาเขาเดินเข้าไปจนเกือบจะสุดซอย แล้วเลี้ยวเข้าทางเข้าตึกเล็ก ๆ โชมองป้ายพลาสติกด้านบนสลับกับทางเข้า ก่อนจะหันหน้ามาหาผม

“ผมมาครั้งแรกก็เหวอ ๆ แบบคุณเนี่ยแหละ แต่มันไม่มีอะไรแบบที่คุณคิดหรอก”

ผมเดาใจโชได้ เพราะโชไม่ใช่คนแรกที่ผมพามาคลินิกนี้แล้วทำหน้าแบบนี้ ก็ต้องยอมรับแหละนะว่าทางเข้าเล็ก ๆ มันดูลึกลับและดูน่ากลัวจนเหมือนกับว่ามันเป็นทางเข้าไปสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่สำหรับเพื่อสุขภาพ ผมหัวเราะหยอก ๆ คลายสถานการณ์ ก่อนจะตบไหล่เขาปุ ๆ ให้เดินเข้าไปข้างในลิฟท์ตรงทางขึ้น แล้วกดที่หมายเลข 5 สำหรับชั้นของคลินิก

“คุณไม่ได้หลอกผมมาฆ่าใช่ไหม?” เขาว่า สายตาไม่มั่นใจนัก ผมตวัดมองค้อนไปรอบหนึ่งนั่นแหละ เจ้าตัวเลยรีบผิวปากแล้วมองไปทางอื่นกลบเกลื่อนคำถามเมื่อกี้

ลิฟท์จอดลงที่ชั้นห้า ผมก้าวเดินออกไป เขาเดินตามหลังมา ก่อนผมจะผลักประตูเข้าไปด้านในคลินิก

“สวัสดีครับพี่แอมป์” ผมยิ้มยินดีที่เจอพี่ที่รู้จักกันก่อนจะยกมือสวัสดี

“อ้าว สวัสดีครับน้องไทม์ ครบกำหนดแล้วเหรอเรา?” พี่แอมป์พยักหน้ารับไหว้ก่อนจะถามกลับ

“ครบแล้วครับพี่ ยาเหลืออีกประมาณ 5 เม็ดเอง ผมเลยมารับก่อนครับ”  ผมตอบกลับ พี่แอมป์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะให้ผมเดินไปรับบัตรคิว เพราะมีคนมาก่อนหน้าเราประมาณสองสามคน  พอรับบัตรคิวเสร็จผมก็เดินไปนั่งที่โซฟา ในระหว่างที่โชมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสนอกสนใจ

“คุณมีคำถามอะไรที่อยากถามเจ้าหน้าที่ก็เตรียมไว้ได้เลยนะครับ” ผมว่ากับเขา โชเหม่อมองสายตาไปรอบ ๆ กรอกตาไปมาหนึ่งเที่ยวก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

“ 6 ห้องย่อย หนึ่งประตู มีทางเชื่อมต่อขยาย” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ผมขมวดคิ้วก่อนจะชะโงกหน้าไปดูโน้ตในมือของเขา พอเห็นแล้วก็อดที่จะเบิกตากว้างนิด ๆ ไม่ได้

“คุณ...ไม่ได้เป็นวิศวกรรมศาสตร์หรือพวกสถาปัตออกแบบอะไรงั้นใช่ไหม?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ ในมือของโชคือแบบแปลนทางเข้าตั้งแต่หน้าตึกยันตอนนี้ ไม่ได้สวยงามแต่เป็นภาพร่างที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วสามารถระบุได้ถึงขนาดห้องคร่าว ๆ และจำนวนห้องทั้งหมด ที่ผมทึ่งคือตรงความไวในการเก็บข้อมูลของเขาต่างหาก ผมเดาว่านอกจากงานของการเป็นนักเขียนแล้ว โชต้องทำงานอะไรสักอย่างที่คาบเกี่ยวกับการใช้ความจำไว ๆ หรือการสังเกตมาก ๆ เพราะเขาดูแทบจะเก็บทุกรายละเอียดจนไม่ตกหล่นเลย

พอคิดได้แบบนั้นก็แอบสีหน้าฝาดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ก็ไอ้คนที่นั่งข้าง ๆ และกำลังใจลอยมองไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ไม่ใช่เหรอครับที่พูดกับผมว่า ‘ผมไม่เคยละสายตาไปจากคุณได้เลย’ เวลาไม่กี่นาที เขายังเก็บรายละเอียดตึกรามบ้านช่องได้ขนาดนี้ แล้วช่วงระหว่างก่อนมารู้จักกันจนมาถึงตอนนี้ที่เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม...

....ผมในสายตาเขากำลังเป็นแบบไหนกันอยู่นะ?

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นวิศวแมนหรือสถาปัตแมนทั้งนั้นครับ แต่งานที่ผมทำก็คาบเกี่ยวดองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่” โชว่า แต่ยังไม่ได้หันมามองผมเหมือนกับว่าสมาธิของเขากำลังตั้งมั่นไปอยู่กับโน้ตในมือและสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมทิ้งตัวลงกับโซฟา ก่อนจะนั่งเงียบ ๆ ไประหว่างรอเขาเก็บรายละเอียด พอเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ถึงคิวผมโดนเรียกพอดี

“คุณเดินมาดูด้วยก็ได้” ผมว่า ขั้นตอนเบื้องต้นไม่ใช่ความลับอะไร ผมสามารถให้โชมายืนฟังผมใกล้ ๆ ระหว่างกระบวนการข้างต้นได้

ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนจะยื่นบัตรประชาชนไปให้พี่แอมป์ พร้อมยื่นแขนออกไปให้พี่แอมป์ได้วัดความดัน พร้อม ๆ กับที่พี่แกกดปุ่มเครื่องวัดความดันและเอาปืนวัดไข้ขึ้นมายิงผม

“อุณหภูมิ 37 องศา ปกติดีไม่มีไข้นะครับ ....ความดันปกตินะครับ 125/86 โอเคครับ ทำแบบสอบถามต่อได้เลยนะ” พี่แอมป์ว่า พร้อมยื่นบัตรประชาชนกลับมาให้ผมและแฟ้มประวัติคนไข้ของผม พอรับกลับมาผมก็หันไปคลิกเม้าส์เพื่อเริ่มทำแบบสอบถามตามปกติที่มาที่นี่

“ขั้นตอนแรกก็มีแค่นี้นะคุณ พอหลังจากพี่เจ้าหน้าที่ตรวจสุขภาพเราในขั้นต้นแล้วเขาก็จะให้เรานั่งรอเรียกตามคิวครับ คุณมีอะไรอยากถามพี่เขาไหม?” ผมเปิดประเด็นให้หลังเขาทำหน้าสงสัย

“สวัสดีครับ” โชว่าพร้อมยกมือไหว้พี่แอมป์ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ข้างๆผม แล้วพูดต่อ “ผมสอบถามหน่อยได้ไหมครับ ปกติแล้วที่นี่ได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงอะไรรึเปล่าครับ?”

“ได้รับสิครับ จริง ๆ ถ้าจะให้เล่าก็คงจะยาว แต่ถ้าสรุปเลยคืองบประมาณของเราได้รับการสนับสนุจากองค์กรอนามัยโลกหรือ WHO ครับ โดยเขาก็ให้งบประมาณสนับสนุนผ่านทางระเบียบช่องทางของเขา ก่อนจะไล่มาที่กระทรวงในไทย แล้วแตกแขนงออกมาที่นี่ครับ” พี่แอมป์ตอบกลับ ก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“อันนี้ผมสงสัยนะครับ นอกจากไทยแล้วยังมีที่ไหนอีกไหมครับที่ WHO ให้การสนับสนุนทั้งเรื่องงบประมาณและเรื่องยาที่ใช้ในการจำหน่ายให้กับผู้ที่มาติดต่อรับยาน่ะครับ แล้วก็ ผมทำรีเสิร์จมาบ้าง ปกติยา PrEP ในท้องตลาดจะมีทั้งหมด 30 เม็ด ราคากลางอยู่ที่ประมาณสามพันถึงสามพันห้าร้อยบาท ผมอยากทราบว่าแล้วทำไมถึงสามารถแจกฟรีได้ผ่านตามโครงการเหรอครับ?” โชตั้งข้อสงสัย ผมพยักหน้าตาม นั่นสิ ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลยว่า เขาเอางบประมาณมาจากไหน และทำไมถึงสามารถเอามาแจกฟรีได้

พี่แอมป์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะอธิบายต่อ

“คืองี้ครับ ต้องเล่าให้เห็นภาพตรงกันก่อน จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะองค์กรทางการแพทย์ของประเทศไทย ๆ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานสายวิทย์เองก็เถอะ เรามองว่าราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการ ‘ป้องกัน’ ราคาถูกกว่าการจ่ายหลังสูญเสียไปครับ ดังนั้น WHO จึงสนับสนุนงบประมาณมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องยา PrEP จริง ๆ แล้ว PrEP เพิ่งมีมาเมื่อไม่กี่ปีเองครับ ตรงนี้เองก็ต้องยอมรับก่อนว่าตัวยาทั้งหมดยังอยู่ในขั้นตอนที่เรียกว่าการ ‘ทดสอบ’ ประสิทธิผลขั้นสุดท้ายกับมนุษย์ ดังนั้นแล้วถ้าประเทศโลกที่หนึ่ง จะสนับสนุนเรื่องยาตรงนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะเขาเองก็ได้ผลประโยชน์  เราเองก็ได้ควบคุมการระบาดของ HIV ไปในตัว จึงเป็นดีลที่ลงตัวครับ”

“อ้าว แบบนี้แปลว่ายาตัวนี้ก็มีความเสี่ยง?” โชขมวดคิ้วหันมามองหน้าผมเชิงถาม

“คุณ เอาง่าย ๆ ยาเท่ากับสารเคมี มีสารเคมีตัวไหนบ้างที่ไม่เสี่ยง?” ผมตอบเนือย ๆ เรื่องนี้ผมเองก็ศึกษามาพอประมาณ และบวกลบคูณหารระหว่างข้อดีข้อเสียแล้ว ผมถึงกล้าที่จะรับยา PrEP ไปรับประทาน

“ยังไงขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีอะไรสงสัยเดี๋ยวผมมาสอบถามเพิ่มเติมนะครับ” โชกล่าวขอบคุณ ก่อนเราจะเดินไปนั่งรอที่โซฟาด้านนอกเค้าเตอร์หลังผมทำแบบทดสอบประเมินความเสี่ยงระหว่างสามเดือนก่อนมารับ PrEP เสร็จสิ้น

“ก็สรุปง่าย ๆ มาครั้งแรกก็มาลงทะเบียนประวัติผู้ใช้บริการ แล้วคุณก็จะได้บัตรสมาชิกแบบนี้” ว่าเสร็จก็ยื่นบัตรสมาชิกสีชมพูบานเย็นให้เขาดู “วัดความดัน วัดไข้เสร็จ ก็มานั่งรอเรียกคิวสำหรับการเข้าไปเจาะเลือดเพื่อตรวจดูด้วยว่าในเลือดเป็นบวกหรือลบ เพราะถ้าเป็นคนที่ผลเลือดเป็นบวกจะไม่สามารถทาน PrEP ได้ครับ” ผมอธิบายต่อ

“เพราะ?”

“เชื้อมันจะดื้อยาไงคุณ คุณที่ป่วยเป็น HIV เองก็ต้องไปรับยาอีกแขนงหนึ่ง อาจจะมีส่วนผสมที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็แตกต่างจากการทาน PrEP ดังนั้นแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยาก็จะต้องมีการตรวจเลือดก่อนว่าคุณมีผลเลือดเป็นบวกหรือเป็นลบ ถ้าเป็นลบคุณก็สามารถรับ PrEP ไปทานได้

โดยที่นี่น่ะ จะแจก PrEP ให้ตามเดือนครับ ก็คือเดือนแรกที่มาจะได้รับไปแค่ 1 กระปุก มี 30 เม็ด เท่ากับรับประทานได้ 30 วัน หลังจากนั้นก็มาตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบความผิดปกติอีกครั้งว่าเป็นยังไงต่อไป ถ้าปกติดีรอบต่อมา ก็ได้รับ PrEP ไปสองกระปุก พอยาใกล้หมดอีกสองเดือนก็มาหาเจ้าหน้าที่ใหม่

พอเดือนที่สาม ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากนี้ไปก็จะได้รับยาครั้งละ 3 กระปุก เท่ากับว่าคุณมาเจอหมอแค่ สามเดือนต่อหนึ่งครั้ง ปีหนึ่งก็จะได้ตรวจเลือดทั้งหมด 4 ครั้งต่อปี สำหรับผมบวกลบคูณหารแล้วก็ถือว่าดี ได้ป้องกัน ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น ถือว่าดีลตรงกัน ก็เลยเลือกที่จะเข้าร่วมโครงการ”

ผมอธิบายยาวเหยียด โชพยักหน้าขึ้นลงทำความเข้าใจในถ้อยคำที่ผมสื่อสารออกไป หลังจากรอไม่นานก็ถึงคิวผมเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อทำการเจาะเลือด

“ในห้องนะ ปกติแล้วเราจะต้องเป็นคนนำป้ายชื่อของเราไปมอบให้คุณ ซึ่งมอบไปสำหรับพันรอบขวดเลือดเองเพื่อป้องกันผลเลือดสลับกัน โดยป้ายชื่อ จะมีแค่พยัญชนะตัวแรกของชื่อผม” ผมว่า พร้อมให้เขาดูป้ายชื่อที่ขึ้นต้นด้วย ธ.ธง ส่วนพยัญชนะอีกตัวเป็น ต.เต่าที่เป็นพยัญชนะตัวต้นนามสกุลของผม พร้อมต่อท้ายด้วยวันเดือนปีเกิด

“ปกติการเจาะเลือดจะเป็นสองรูปแบบ ถ้าไม่ใช่ครบรอบการเจาะใหญ่เพื่อเอาเลือดเข้าแลปไปประเมินค่าตับค่าไต ก็จะเจาะแค่ปลายนิ้วแล้วรีดเลือดเอา แต่ถ้าเป็นเจาะใหญ่ก็จะต้องเจาะผ่านเส้นเลือดตรงข้อต่อข้อพับนะครับ ซึ่งก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น คล้าย ๆ มดกัด” ผมเล่าต่อขณะออกมาจากห้องพร้อมก้อนสำลีสำหรับกดทับเลือดไม่ให้ไหลออกไป  เพราะในห้องไม่ให้คนนอกเข้า ผมจึงเดินมาอธิบายให้เขาฟังที่ด้านนอก

“นั่งรอผลไม่ถึง 20 นาที ก็จะได้รับเอกสารใบนี้” ผมว่าพร้อมโชว์ผลเลือดที่แสดงผล Negative ทั้งของ HIV และซิฟิลิส “หลังจากได้รับแล้วเราก็นั่งรอคิวเรียกเข้าไปรับยา PrEP และอีกสามเดือนก็มาใหม่” และตอนนี้เราก็เสร็จทุกขั้นตอน  สวัสดีพี่แอมป์และคุณหมอที่เจาะเลือดพร้อมเดินข้ามกลับมาที่ห้างที่เราจอดรถไว้แล้ว

“ปกติโครงการหนึ่งมีอายุไม่เกิน 3 ปี ก็ราว ๆ 36 กระปุกเห็นจะได้” ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“แล้วหลังจากนั้น?”

“หลังจากนั้น?”

และเพราะผมเป็นคนขับขามาเสร็จแล้ว ขากลับโชจึงเป็นฝ่ายที่จะต้องไปนั่งเบาะคนขับ แม้เขาจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้จดข้อมูลเพิ่มเติมนอกจากฟังผมพูดไปพลาง ๆ

“ก็ ถ้าไม่มียา PrEP แล้วคุณจะทำยังไงต่อ แบบ จะซื้อมาทานต่อไหม หรือเลิกทาน หรือเลิกเป็น...แอคเค่อ?”

โชขยายความในคำถามปลายเปิดของเขา สายตามองลอดผ่านกระจกมองหลังมาหาผม โดยเรามีจุดหมายปลายทางคือสยามพารากอนเพื่อไปร้านหนังสือ คิโนะและไปทานข้าวตามที่เขาแพลนไว้ว่าอยากจะเลี้ยงขอบคุณ

“ผมไม่คิดจะเป็นแอคเค่อไปตลอดหรอกนะ” ผมว่า เขาบุ้ยปาก แล้วพูดต่อ

“จริงนะ”

“จริงสิ จริง ๆ ก็เคยเลิกมาแล้วนะ”

“เหรอ แล้วทำไมถึงกลับมาเล่นใหม่ล่ะ......ไม่สิ”  เขาพูดถามต่อ กรอกตาไปมาก่อนจะเว้นวรรคเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“อะไร...หรือใครเหรอครับ ที่ทำให้คุณเคยเลิกเป็นแอคเค่อไปได้ ครั้งหนึ่ง?”

ฉลาด..ฉลาดจนน่ากลัวเกินไป โชเป็นนักสังเกตการณ์ที่ชาญฉลาดมาก จนผมแทบจะต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวไม่ให้ตัวเองเผลอแสดง message อะไรแปลก ๆ ออกไป ผมซ่อนสีหน้าทั้งหมดภายใต้กรอบแว่นสีดำของตัวเอง ก่อนจะตอบเขากลับไปอย่างระมัดระวัง

“....ผมแค่เบื่อ ๆ น่ะช่วงนั้น” ผมว่า สัตว์ร้ายในร่างตะโกนเห่าหอนตอบสนองผมราวกับว่ากำลังขบขันกับท่าทีของนักโกหกมือใหม่ที่ไม่ประสีประสา

โชมองลอดกระจกมาอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าดวงตาของเขาสามารถอ่านผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ผมไม่ได้หันหน้าหนี ผมมองตอบกลับแววตาที่กำลังสงสัยคู่นั้นกลับไป และท้ายที่สุดก็เป็นเขาที่ยอมยกธงขาวให้กับผมด้วยการหันกลับไปมองถนนตามเดิม

“ผมถามกลับได้ไหม?” ผมว่า เขาพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง

“ทำไมเมื่อกี้ตอนขาไปคุณถึงจับมือผมล่ะ”

เอี๊ยดดดด!!!


และเพราะคำถามนั้นแหละที่ทำให้เขาเบรกรถดังเอี๊ยดจนลั่นถนน และผมเกือบจะหน้าทิ่มคอนโซลรถยนต์ พอตั้งสติหันกลับไปมองคนข้าง ๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าเอามะเขือเทศทั้งลูกมาละเลงบนใบหน้าจนแดงเถือกไปหมด

“คุณนี่มัน....” ผมสบถอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าตัวเองควรโกรธเขาไหมกับการ ไร้สติแค่เพราะคำถามเล็ก ๆ ของผม

“ก็คุณถามอะไรผมแบบนั้นเล่า !!”

“ก็คุณยังถามผมได้เลย”

“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้น”

“เรื่องนั้นมันเรื่องไหนกันวะ มันแปลกอะไรอ่ะ ก็ผมสงสัยไหม อยู่ดี ๆ ก็มาจับมือผม”

“ก็..ก็....”

“ก็อะไร” เพราะเห็นอีกฝ่ายทำท่าตลก ๆ แบบนั้น อดไม่ได้จริง ๆ ที่ผมจะแกล้งเขาด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ

เอี๊ยดดดดด!!!

....และดูเหมือนว่า กูเนี่ยแหละครับคนที่กำลังโดนแกล้ง

“โอ๊ย คุณจะตกใจง่ายจนเวอร์ไปไหมว่ะ” ผมโวยวายหลังคว้าแว่นตามาสวมไว้ได้สำเร็จอีกครั้ง

“แล้วใครใช้ให้คุณแกล้งผม !!!” เขาว่า ขึ้นเสียงเล็ก ๆ แบบไม่ได้น่ากลัวสักนิด

“แค่ยื่นหน้าไปใกล้ ๆ แค่นี้นี่นะ แกล้ง?” ผมแกล้งถาม

“ใช่ นั่นแหละ คุณแกล้งผม เห็นไหมคุณยอมรับแล้ว”

“อะไร ใครยอมรับ? คุณคิดไปเองรึเปล่า”  ผมตะแบงกลับไม่ยอมแพ้

“คุณนั่นแหละ ยอมรับได้แล้วว่าตัวเองผิด”

“ผมไม่ยอมรับ ผมจะเป็นรุก”

“โอ๊ย ไอ้บ้า” เจ้าตัวนากเผือกฮึดฮัดก่อนจะตะโกนว่าผมอย่างน่าขบขัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับท่าทีไม่ประสีประสาของเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็อายุตั้ง 26 แล้วแท้ ๆ

“คุณ”

“อะไร”

“เสมอกันแล้วนะ” ผมว่า พร้อมแบมือยืนไปขอมือจากเขา

“แน่นอนดิ เราเคยขาดดุลเสียดุลกันที่ไหน?” เจ้านากเผือกว่ากลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าแดงซ่านไปทั่วทุกอณู

“ก็..ไม่แน่” ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ก่อนจะฮัมเพลงเบา ๆ ตามเสียงเพลงที่ลอดออกมาจากคอนโซลรถยนต์

“กินอะไรดี”

“อะไรก็ได้แล้วแต่เจ้าภาพ”

“เจ้าภาพอยากตามใจคนทาน“

“คนทานก็อยากตามใจเจ้าภาพ”

“คุณนี่....”

“ทำไม?”

“เปล่า”

“อื้อ”

“ทานเสร็จกลับมหา’ลัยเลยไหม?” โชถาม

“จริง ๆ ก็ยังว่าง ๆ นะ ไปเดินเล่นกับคุณก่อนก็ได้”

“โอเค งั้นไปดูหนังกัน”

“หื้ม มันชักจะแถมเยอะไปมั้ง?” ผมว่า

“ไหนบอกตามใจเจ้าภาพ”

“นั่นผมหมายถึงเรื่องอาหาร”

“มันก็ควรจะตามใจทุกเรื่องไหม?”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”

“แล้วสรุปดูไม่ดู” เขาถาม หันมาทำหน้าดุใส่ผม โดยที่ดูยังไงก็ไม่ได้รู้สึกกลัวสักนิด

“ดู”

“โอเค ก็แค่นั้น”

“บ่นเก่ง”

“แต่กวนไม่เก่งเท่าคนแถวนี้หรอก”

“เพิ่งรู้เหรอ”

“คุณ!!” และก็เป็นอีกครั้งที่เขาน็อตหลุด

“อะไร เรียกทำไม” แน่ละ ใครบอกว่าผมจะเลิกกวน

“เปล่า” โถ่ ... หงอว่ะ คิคิ

“ไปกินร้านนี้กัน ผมไปทานรอบที่แล้วอร่อยอยู่ มีเป็ดย่างแล้วก็มี....” หลังจากนั้นสารพัดเมนูก็หลั่งไหลออกมาจากปากของโชพร้อมทั้งสาธยายสรรพคุณของบรรดาอาหารต่าง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะกินจุมากถึงขนาดนี้

ผมหัวเราะพร้อมกับตอกกลับเขาไปอีกหลายดอกเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เสียงพูดคุยของคนสองคนดังไปทั่วคันรถ พร้อม ๆ กับเสียงเพลงเบา ๆ ที่คลอเคลียไปด้วยกัน ผมอมยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกข้างในจริง ๆ ไม่แน่ใจว่านอกจากเพื่อนแล้ว เขาเป็นคนแรกไหมที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้กับสถานการณ์ง่าย ๆ ที่อยู่ตรงหน้าของผม

และสุดท้ายก็ตัวผมเองนั่นแหละที่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะมองข้ามเสียงเห่าหอนจากสัตว์ร้ายในร่างกายของผม มันส่ายหน้าไปมาพร้อมพ่นลมหายใจออกมาฟึดฟัด ราวกับมันกำลังเวทนาให้กับความปากแข็งของใครบางคนอย่างสุดความสามารถก็ไม่ปาน...


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-09-2018 22:53:22
เหยยยยยย มันดีย์อ่ะ

มันเป็นธรรมชาติ  มันสบายใจ

สงสัยเรื่องก่อนจะเจอโชมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วววว



ปล. หายใจเข้าลึก ๆ ผ่อนออกมายาว ๆ นะ 

This, too, shall pass เช่นเคย  ก็ชีวิตเนอะ บางช่วงก็มรสุมแหละ ประคองเรือไปให้ดี เดี๋ยวก็ฟ้าใสแล้ว
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-09-2018 23:11:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.10 P&Pand....(Part 3) | P2 | 17/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-09-2018 00:42:48
โชตกหลุมรักไปแล้วหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 19-09-2018 19:40:38

Ep.จิบน้ำชา พักเบรกคุยกันทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร คอมเม้นท์ และ "อื่น ๆ" นะเหมี๊ยว



สวัสดีครับ แวะมาจิบน้ำชาคุยกันสักนิดก่อนนะครับ จริง ๆ ก็ไม่นิดนะ ยาวพอสมควรเลย ฮ่า ๆ

หลังจากนิยายเรื่องนี้ลงได้ 10 ตอน ก็ถือว่าเราเดินทางกันมาถึง 1/3 ของเนื่อหาทั้งหมดแล้ว  เอาหละ จริง ๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ (เหรอ?) แค่อยากจะแวะมาบอกว่าคิดถึงทุกคนมาก ๆ UU หลังจากวันนี้ไปเราคงได้มาเจอหน้าเจอตากันบ่อยมากขึ้น เพราะสถานะของพ่อแมวตอนนี้กลายเป็น #แมวตกงาน2018 ไปซะแล้วครับ เย้ !!!  นั้นแปลว่าเราว่างมาอัพนิยายให้เธออ่านในทุก ๆ วันแล้วนะ

ทุกสิ่งไม่จีรัง อนิจจังจึงเที่ยงแท้ แม้ไม่ทราบว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ขอบากบั่นฝ่าฟันจนกว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คิดอีกแง่ว่าการเปลี่ยนแปลงของบริษัทเพื่อความอยู่รอดขององค์กรในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยที่สุดแล้วทางบริษัทก็ได้บอกเหตุผลและความจำเป็นที่ชัดเจน ตลอดจนทั้งการให้เตรียมตัวล่วงหน้าในการหางานใหม่

พ่อแมวเป็นนักเขียน no name คนหนึ่ง ทั้งในนามปากกานี้และนามปากกาเก่า เขียนหนังสือจบบ้าง ไม่จบบ้าง ขายได้บ้าง ขายไม่ออกบ้าง แต่ก็มีความสุขอยู่บนพื้นฐานของการได้เขียนอะไรออกไปเพื่อตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง พอมาถึงตรงจุดนี้หลาย ๆ คนคงจะพอมองสไตล์งานเขียนของพ่อแมวออกแล้วว่าพ่อแมวมีสไตล์เขียนงานในรูปแบบใด

‘แอคเค่อ’ เป็นอีกหนึ่งงานเขียน ที่เอาจริง ๆ คนเขียนก็รู้สึกเองว่ามันโหดมาก โหดในแง่ที่ว่า เราจะคงคอนเซปต์ของ   ”สิ่งที่สังคมมองข้ามไป” แก่นเรื่องที่เป็นตัวตนของทุกองค์ประกอบในเรื่องไปจนถึงตลอดการจบเรื่องได้ไหม วินาทีแรกที่เขียนจบ ผมอ่านแล้วอ่านอีก อ่านทบทวนตกตะกอนหลายครั้งกับตัวเองมาก ๆ ว่าทั้งหมดนั้นดีพอสำหรับงานที่เราอยากให้มันเป็น เดอะเบสต์สักครั้งของชีวิตเรารึยัง?

เพราะพล็อตหลักหรือปมเรื่องคู่ขนานที่วางเอาไว้ ทำให้สิบตอนแรกอาจจะยังออกมาไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่สำหรับความสัมพันธ์ของคนสองคน (ผมใช้คำว่า “คนสองคน” แปลว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้นะครับ อิอิ) จริง ๆ แล้วถึงขนาดมีนักอ่านท่านหนึ่งเคยหลังไมค์มาหาผมด้วยซ้ำ ว่าเขารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดีนะ แต่เขากลัวเราขายไม่ออก เขาเป็นห่วงเราจริง ๆ ....

ถามว่ากลัวไหม? กลัวสิครับ !!!

แต่ทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองกำลังกลัวว่ามันจะกลายเป็นผลงานที่ขายไม่ออก ผมก็นึกย้อนกลับไปยังวันแรกที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เหตุผลที่เราหนักแน่นมากพอจนยอมเขียนจนจบเล่มถึงขนาดค่อยเอามาลงเว็บ และเพราะแบบนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่า เห้ย เราต้องไหว เราต้องรอดซิ นิยายเรามันต้องดีมากพอให้ใครสักคนเห็น

ช่วง 5 ตอนแรกที่นำลงเว็บไซต์ เป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสสำหรับผม ความไร้ฐานแฟนคลับและการปรับตัวของเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์ ส่งผลให้นิยายที่มาจากนักเขียนหน้าใหม่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะทะยานขึ้นไปบนยอดเขา แถมนิยายเรื่องนี้ยังแทบไม่มีอิมเมจให้คนได้จินตนาการด้วยซ้ำว่าตัวละครหน้าตาเป็นแบบไหน มีความน่ารักไม่น่ารักยังไง แถมตัวละครทั้งคู่ยังดูเหมือนว่าจะไม่พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกันเล๊ย

เรื่องคอมเม้นท์ ผมขออนุญาตพูดกันตามตรงนะครับ คือนักเขียนหลาย ๆ ท่าน เขียนงานขึ้นมาด้วยตัวคนเดียวหรือเพียงลำพังครับ เอาจริง ๆ ผมคิดเหมือนพี่นักเขียนท่านหนึ่งที่เคยทวิตไว้ในทวิตนั้นแหละครับ ว่าไม่มีนักเขียนคนไหนหรอกที่สามารถขับรถเกวียนก้าวเดินไปตามลำพัง แล้วก็พราวด์อยู่ในใจว่ารถเกวียนของเราช่างแข็งแกร่งทนทานเสียนี่กระไร  นึกออกไหมครับ ไม่มีฟีดแบคตอบกลับ ไม่มีนักเขียนคนไหนทราบได้เลยจริง ๆ ว่านิยายของเรามีอะไรที่ควรบกพร่องไหม ชอบไม่ชอบยังไง นักเขียนยังมีตัวตนอยู่จริงไหม หรือสุดท้ายแล้วกลายเป็นเราเองที่เขียนเอง อ่านเอง ฟินเอง ร้องไห้เอง “คนเดียว”

แต่ผมเข้าใจฟากความเป็นนักอ่านนะครับ สารภาพตามตรง ผมเข้าใจว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ดีแบบดีมาก ๆ แต่นึกไม่ออกว่าจะคอมเม้นท์อะไรก็มี ผมก็เคยเป็นครับ อ่านนิยายตอนหนึ่งจบแล้วรู้สึกว่าเห้ย ตอนนี้โคตรดีเลย แต่พอจะล็อกอินเข้าไปตอบก็ดันขี้เกียจซะก่อน oiz (ขอบคุณเด็กดีมาก ๆ ที่ทำระบบกดหัวใจ นี่คือแง่ของการมีตัวตนแบบไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง ฮ่าา)

ที่นี้ผมเลยพยายามหาตรงกลางระหว่างตัวเองกับคนอ่าน ตรงจุดไหนที่เราสามารถ “คาดหวัง” ต่อกันและกันได้ดี? แต่คิดไปคิดมาผมก็รู้สึกว่าจุดตรงกลางของความคาดหวัง “ไม่มี” อยู่จริง มนุษย์คือบ่อน้ำที่ไม่มีวันเต็ม ยิ่งได้รับการเติมก้นบ่อยิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ การคาดหวังในตัวคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเราเองก็ผิดหวังกับตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนดูจะเป็นอะไรที่เอาแต่ใจตัวเองจนเกินไป เพราะฉะนั้นแล้ว

ถ้าสะดวกคอมเม้นท์ คอมเม้นท์ได้ตามสะดวก แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่สะดวกคอมเม้นท์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรหรือแม้กระทั้งขีเกียจ อย่างน้อย ๆ แวะผ่านไปทักทาย ไปพูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์ @พ่อแมวพุงโต @chunkydadcat ได้นะครับ จะหวีด จะเม้ามอยท์ จะคุยเรื่องอะไรก็แวะมาทักทายกันได้ครับ หรืออย่างน้อยที่สุดแวะเข้าไปรีทวิต แชร์ลิงก์ต่าง ๆ เท่าที่ตัวเองสะดวกก็โอเคแล้วครับพ้ม จริง ๆ แค่แวะมาผ่าน เป็น 1 ยอดวิว ผมก็รู้สึกแล้วว่าเราไม่ได้ขับเกวียนตามลำพัง UU

ไม่รู้สิ ถามว่าคอมเม้นท์ผมอยากได้ไหม? อยากได้นะ อยากได้มาก ทุกครั้งเวลาเห็นคอมเม้นท์ยาว ๆ ผมจะรู้สึกว่า เห้ยยย ดีย์อ่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่คุณอุตส่าห์พิมพ์อะไรยาว ๆ แบบนั้นให้เราอ่านนะ บางครั้งก็ดีใจจนร้องไห้ไปเลย ไม่เวอร์นะ เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ มันได้รับการตอบสนอง  แต่ผมกับโชเราเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง ผมรู้สึกว่าการขอร้องดูจะเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวและหนักหน่วงจนเกินไป มันรู้สึกเหมือนกับว่าเราทำทุกอย่างโดยอยากได้รับการตอบแทนจากอีกฝ่ายตลอดเวลา

ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น ผมชอบการแลกเปลี่ยนแบบใจให้ใจ ผมให้ใจกับคุณ ถ้าใจนี้คุณยินดีรับเอาไว้ ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะตอบแทนตอบกลับมาก็ย่อมเป็นใจที่เราทัชกันได้ซึ่งกันและกัน และนั้นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมไม่เคยขอร้องตรง ๆ สักครั้งเลยว่าผมอยากอ่านคอมเม้นท์ หรือมากสุดกํแค่บอกใบ้ว่าผมกำลังแย่นะ ผมกำลังอ้อนนะ

เพราะผมรู้สึกว่าทั้งคนเขียน ทั้งคนอ่าน เราต่างโอบอุ้มและดูแลซึ่งกันและกัน คนเขียนเองก็ถือเป็นแสงไฟนำทางที่พาคนอ่านออกผจญภัยไปในโลกต่าง ๆ คนอ่านเองก็ช่วยคนเขียนเติมพลังใจด้วยการสนับสนุนคบเพลิงในมือนักเขียนให้โชติช่วงชัชวาลต่อไป เราต่างดีลกันและกัน ไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบในความสัมพันธ์ที่ใจของคนเราแฟร์ต่อกันและกันหรอกครับ ^^

กระนั้นเอง ผมก็ถือว่าสวรรค์ยังปราณีผมอยู่บ้าง เมื่อมีนักอ่านที่เป็นนักรีวิวท่านหนึ่งช่วงรีวิวให้ หลังจากลงตอน 6 ได้ไม่นาน อยู่ดี ๆ นิยายเรื่องนี้ก็ก้าวกระโดดจากนิยายที่แทบจะไม่มีคนคอมเม้นท์เลย (ผมหมายถึงตามนั้นจริง ๆ ครับ เวลากด F5 แต่ละครั้ง หัวใจผมกระตุก ๆ มาก ๆ) โผล่มาอยู่ที่ในหลักที่ผมแฮปปี้ และมีแฟนคลับที่ตามกันแบบตอนต่อตอนอย่างสม่ำเสมอ บอกตามตรงคำว่าผมน้ำตาไหลมาก

ผมกลัวนะ กลัวมากเลย เพราะการเอาบาลานซ์ระหว่างพล็อตหลักและสาระที่แทรกเข้าไปเป็นระยะ ๆ เป็นอะไรที่ยากและหนักมาก  อย่างช่วง P&P จะเป็นช่วงที่เป็นข้อมูลที่เป็น FACT แบบผิดพลาดไม่ได้ ทำให้ผมพยายามทำการบ้านโดยการเทียวไปเทียวกลับระหว่างหอพักและสถานคลินิกที่ให้ข้อมูลตรงนี้ได้หลายรอบมากครับ แต่ก็สะใจดีไปอีกแบบเพราะมั่นใจได้ว่าเราเขียนเรื่องที่เรารู้จริง ๆ ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอา

แต่พอมาถึงตอนนี้ที่นักอ่านหลาย ๆ ท่าสนยังอยู่กับผม ยอดนักอ่านที่ยังคงสม่ำเสมอ ผมก็มั่นใจแล้วว่าเรามาถูกทางแล้ว สำหรับบางท่านที่ถามผมมาทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ ว่าสุดท้ายแล้วนิยายเรื่องนี้ต้องการให้อะไรกับสังคมหรือผู้อ่านกันแน่ ...ถ้าไม่ใช่คำขอร้องที่มากเกินไป ผมอยากขอให้เราลองมาอยู่ด้วยกันจนกว่าเส้นทางเดินในครั้งนี้จะจบลงนะครับ ผมไม่โกรธนะ ผมต้องขอบคุณเพราะผมสัมผัสได้ถึงความหวังดีจริง ๆ ผมเข้าใจทุกคำที่พูดเลยถ้าอยากอ่านสาระไปอ่านที่ไหนก็ได้ นิยายวายถ้าไม่มีเรื่องของความรักเข้ามาดำเนินเรื่องมันจะไปเป็นสัปปะรดได้อย่างไร?

แต่ความรักมีหลายรูปแบบ

ต้องบอกก่อนว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นมนุษย์เหมือน ๆ กันกับเรากับท่าน เขามีทั้งความคาดหวัง มีทั้งความผิดหวัง มีบาดแผลที่ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น และที่สำคัญที่สุด ทั้งคู่เพิ่งจะเจอกันภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์เลยนะครับ จริง ๆ การพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสอง มีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่ภายใต้ความลับมากมายของกล่องดำ ไม่ว่าจะเป็นทีเร็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นโช หรือแม้กระทั้ง "ใครบางคน" เราทุกคนต่างมีอะไรบางอย่าง "ซ่อน" เอาไว้

ท่าทีที่ไม่ชัดเจน ไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดเลยครับ นึกดูว่าถ้าเราเป็นคนที่มีความลับที่สามารถทำลายเราได้เป็นชิ้น ๆ ต่อให้อีกฝ่ายดีแสนดีแค่ไหน เวลาแค่ไม่กี่วันคงไม่พอจะเปิดกล่องดำที่แม้แต่เราในบางครั้งก็ลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำไป

แต่ทุกอย่างจะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทุก ๆ วินาทีหลังจากนี้ไป ความสนุกโหดมันส์ฮ่าจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริงครับ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรายังยืนยันเสมอนะ ว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทุกอย่างมันมีเหตุและผลที่จะร้อยเรียงเราทุกคนเข้าไว้ด้วยกันจริง ๆ ครับ

“ใครบางคน” เองก็กำลังพยายามดำเนินชีวิตด้วย “ความรัก” อย่างสุดความสามารถเช่นกัน

ทั้งความรักจากในอดีต ความรักที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และความรักที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยพยุงและผลักดันให้คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถก้าวเดินไปถึงอนาคตอันไกลออกไปแสนไกลได้

“แอคเค่อ” เป็นเพื่อนที่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เขาอาจจะเป็นคนเงียบ ๆ เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอะไร อาจจะช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาอาจะทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ ในวันที่คุณเหนื่อยล้า แล้วบอกกับคุณว่า “บางครั้งการเป็นคน ‘ธรรมดา’ ที่สุด ก็เป็นพรที่ดีที่สุดที่ฟ้าประทานลงมาให้คุณ”

ขอบคุณจริง ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้

ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป หลาย ๆ บริษัทก็กำลังปรับตัวเช่นกัน คงไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าว่า เรามาพยายามไปด้วยกันนะครับ พ่อแมวเองก็ยังเป็นแค่แมวศึกษาธรรมดา ๆ ตัวหนึ่ง คงไม่มีอะไรจะบอกไปมากกว่าขอบคุณทุกแรงสนับสนุนนะครับ ไม่มีพวกท่านเอง แมวพเนจรแบบผมก็คงไปจรลีหรือจรจากไปจากโลกนี้อย่างถาวรครับ

แมวนะไม่เคยบอกรักหรืออ้อนมนุษย์หรอกนะ ถ้ามันไม่รักนะ เหมี้ยว !

 

19/09/2018

บันทึกโดยอุงเท้ากลม ๆ ของพ่อแมวพุงโต ภายใต้วันสุดท้ายของการเป็นพนักงานประจำ เหมี๊ยว !



Ps. ใครมีข้อสงสัย หรือคำถามอะไร ถ้าอันไหนเรามั่นใจว่าไม่สปอล์ยเราจะตอบให้ทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ สามารถทิ้งคำถามที่ท่านสนใจไว้ได้เลยนะครับ เหมี้ยว !
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-09-2018 20:21:55
เรานี่เป็นคนนึงเลยค่ะ ที่อ่านจบก็อยากคอมเมนต์นะ แต่ดันไม่รู้จะพิมพ์อะไรดี เราก็อยากให้รู้นะว่ามีเราคนนึงแหละที่ตามอ่านอยู่ ก็เลยกดสติกเกอร์ตลอดเลย  :3123: :3123:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1: :กอด1:
เราก็จะตามอ่านไปจนจบแน่นอนค่ะ  :mew1: :mew1:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 19-09-2018 21:58:35
ฮืออออออ​ คิดถึง​ อ่านอยู่นะคะแต่ลืมเม้นเลย
นี่ก็พยายามขายเรื่องนี้ให้เพื่อนๆมาอ่านมาก​ เราชอบ

เป็นกำลังใจให้พ่อแมวนะคะ​รออ่านเสมอ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-09-2018 22:04:30
เราพยายามแสดงตัวตนในการเป็นผู้อ่านเสมอ เพราะรู้ดีว่าการเดินทางคนเดียวในทะเลนั้นมันยากแค่ไหน

ส่งกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-09-2018 23:33:39
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่ชอบมาก เพราะมีเรื่องราวและสาระ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างสรรค์ออกมาให้น่าติดตามได้ เปิดมุมมอง เปิดโลกใหม่ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 20-09-2018 01:19:14
ชอบคาแร็กเตอร์ของตัวเอกมากเลย เป็นคนมีเสน่ห์ที่พยายามห่มความเป็นคนธรรมดาไว้แต่สุดท้ายเสน่ห์ก็ทะลุทะลวงออกมาอยู่ดี 55
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.พิเศษ พักจิบน้ำชา พูดคุยกันถึงน้อง ๆ | P2 | 19/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-09-2018 15:24:05
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 23-09-2018 22:15:06


Ep.11 Who ? 




ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเศษผมกับโชก็ย้ายร่างของเราทั้งสองจากแถวสีลมมาจนถึงห้างสยามพารากอน เพราะความห่างไกลของสถานศึกษาของผมทำให้ปกติผมไม่ค่อยได้เข้ามาในตัวเมืองเท่าไหร่ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจะต้องเข้ามา เราสองคนเดินวนหาร้านที่น่าทานและลูกค้าไม่มากนัก ไป ๆ มา ๆ ก็ตัดสินใจเลือกทานบุฟเฟ่ต์อาหารแบรนด์หนึ่งที่โด่งดังในห้าง

“จริง ๆ ผมว่าจะถามนานแล้ว แต่ลืมตลอดทุกทีเลย ผมถามได้ไหมครับ ผมอยากรู้อ่ะคุณ ว่าปกติแล้วพวกแอคเค่อในทวิตเตอร์เขามีวิธีการตั้งชื่อทวิตเตอร์กันยังไง อย่างคุณเนี่ย ทำไมถึงตั้งชื่อแอคเค่อว่า ‘เสือน้อย’ (little tiger) ” เขาถาม หลังคีบเนื้อแซลมอนมาใส่ลงบนจานผม ผมมองลอดกรอบแว่นก่อนจะผงกหัวขอบคุณแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ  ๆ เรียง ๆ

 “อันนี้บอกก่อนนะ ว่ามันไม่ได้มีสูตรตายตัวอะไรขนาดนั้นหรอก ตอนแรกเริ่มทวิตเตอร์แรก ๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่พอเล่นไปสักพักก็จับทริคบางอย่างได้”

 “นั่นคือ?” เขาถาม ผมเว้นวรรคการพูดด้วยการคีบผักเครื่องเคียงลงบนจานอีกฝ่าย แล้วตอบคำถามนั้นต่อว่า

“การสร้างภาพจำ เอกลักษณ์ และคาแรคเตอร์ให้กับแอคเค้าท์ของคุณ”

พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อาจจะต้องใช้ทีไร โชก็แทบจะปล่อยวางทุกสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าไปจดจ่อกับเรื่องตรงนั้นแทน เอาล่ะ ผมว่านี่อาจจะนับเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต เพราะงั้นผมจะต้องแก้ไขมัน ณ ตอนนี้

“โช ขอนอกเรื่องแป๊บ ผมเข้าใจว่าคุณจริงจังกับการทำงาน แต่ผมอยากให้คุณจัดลำดับความสำคัญในการใช้ชีวิตดี ๆ โอเค ผมรู้ว่าคุณไม่อยากพลาดประเด็นอะไรก็ตามที่สามารถนำไปเขียนบอกเล่าได้ แต่ผมไม่เบื่อหรอกนะ ถ้าจะต้องพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ให้คุณฟัง ผมยังอยู่ตรงนี้ ยังนั่งอยู่ตรงหน้าคุณ คุณต้องไว้ใจผมบ้างในฐานะเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่คุณควรจะรับประทานอาหารกับผมไปพร้อมกัน คุยกันเรื่อย ๆ มากกว่าแค่จะจดจ่อกับการเขียนข้อมูลไม่กี่ประโยค หรือไม่งั้นก็อย่าเพิ่งคุยเรื่องงานบนโต๊ะอาหาร” ผมดุ เจ้านากเผือกหน้าจ๋อยลงไปนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

“ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะว่างมาสัมภาษณ์คุณแบบนี้ทุกวันไหม” เขาว่า ผมพยักหน้าเข้าใจได้ คิดว่าเขาคงทำงานอะไรสักอย่างประกอบการเขียนนิยายหาเลี้ยงชีพไปด้วย และเพราะผมเคยทำงานประจำช่วงปิดเทอมทำให้เข้าใจในความหมายของการอาจจะไม่ว่างมาตามข้อมูลอะไรก็ตามแต่ที่เขาจะเอาไปเป็นองค์ประกอบในการเขียนได้ พอได้ฟังแบบนั้นผมก็ใจอ่อน

“เห็นว่ามีเหตุผลนะครับ จะยอมเล่าให้ฟังก็ได้” พอผมพูดแบบนั้น เจ้านากเผือกจากทำหน้างอก็ทำหน้ากระดี๊กระด๊าเป็นตัวนากได้อาหาร ผมเบ้ปากหมั่นไส้เลยแย็บต่ออีกหมัด

“แต่กฎเดิม 1 คำถามต่อ 1 จานที่ผมลวกให้” ผมหมายถึงหลังถามผม เขาต้องทานอาหารที่ผมลวกให้ไปด้วย ในระหว่างที่ผมอธิบายให้ฟัง ไม่ใช่เอาแต่จดข้อมูลอย่างเดียวไม่ใส่ใจอะไรเลย พออีกฝ่ายพยักหน้าตกลง ผมเลยเปิดปากพูดต่อ

“จะโลกสว่างหรือโลกมืด สังคมก็คือสังคมนั่นแหละคุณ การสร้างเอกลักษณ์ให้คนจดจำ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งในการกระจายผลงานออกไปในวงกว้าง เอางี้ ผมสมมติแบบนี้ละกัน สมมติว่าแอคเค่อทุกคนคือ แบรนด์สินค้าตัวหนึ่ง สินค้าทุกตัวที่มีประเภทใกล้เคียงกัน ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง ไทป์ของเขาอ่ะนะ สินค้าที่คนจดจำได้มากกว่า คนก็จะเลือกซื้อมากกว่า

แล้วทำยังไงให้คนจำได้? นึกง่าย ๆ สิ่งแรกที่คนจะเห็นผ่านหน้าไทม์ไลน์ของพวกเขาคือชื่อทวิตเตอร์ โปรไฟล์ และหน้า cover ของพวกคุณ อ๋อ ทริคเล็ก ๆ ที่พวกมือเก๋าจะรู้กัน ถ้าอยากให้ทวิตเตอร์ติดตาคนนะ อย่าพยายามเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ รูป cover มากนัก แล้วก็ รูปที่ตั้งปกและโปรฯ ไม่ควรเป็นรูปอนาจาร แม้ทวิตเตอร์จะไม่แบน แต่ทันทีที่คุณตั้งมันจะเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงที่อัลกอรึทึมจะจับได้แล้วทำการตรวจสอบขึ้นมา ถ้าไม่อยากโดนล็อกบัญชี ก็ควรจะตั้งเป็นรูปธรรมดา ๆ หรือเป็นรูปสัญลักษณ์แอคเค่อของตัวเอง เช่นผมก็จะเป็นหน้ากากเสือน้อย

ส่วนเรื่องชื่อ ก็ต้องมานั่งคิดต่อแล้วว่าจะตั้งชื่อแบบไหนให้สะดุดตาคน ซึ่งแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์และวิธีการในการตั้งชื่อแตกต่างกันออกไป บางคนก็ตั้งด้วยไทป์ก่อน ว่าตัวเองเป็นรุก ตามด้วยช่วงอายุ แล้วตามด้วยพิกัดต่าง ๆ ไปเลยก็มี อารมณ์แบบ ‘รุก มหาลัย สามย่าน’ เป็นการผสมกันระหว่างไทป์ วัย และพิกัดคร่าว ๆ

ไม่งั้นก็จะเป็นพวกที่สร้างคาแรคเตอร์ตัวเองเสร็จแล้วคีพลุคแบบนั้นตลอดการทวิต คลิป รีทวิต ต่าง ๆ เช่น คำที่ใช้ในการเรียกขานตัวเอง นักดาบพาลาดิน ,ชีสชีส,เสือน้อย, อะไรทำนองนี้ ไม่หวาดไม่ไหว เวลาพวกนี้เล่นทวิตก็จะอารมณ์แบบเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อทวิตไปเลย เช่นน้องชีสก็จะอารมณ์แบบ ‘ชีสว่าแบบนั้น ชีสว่าแบบนี้ วันนี้ชีสไป...กับคนนี้มา’ เป็นต้น”

โชจดข้อมูลทั้งหมดเสร็จก็หน้าบูดเล็กน้อยเมื่อผมลวกเนื้อจำนวนหนึ่งไปวางใส่ในจานของเขา  เจ้าตัวย่นจมูกก่อนจะคีบเนื้อจุ่มน้ำจิ้มแล้วนำเข้าปากเคี้ยวหงับ ๆ เป็นตัวนากเคี้ยวผลไม้ พอเคี้ยวเสร็จ กลืนลงคอ กระดกน้ำ ก็ถามต่อ

“แล้วคุณคิดยังไงอ่ะกับการตั้งชื่อแบบนี้ แบบ มองว่ามันได้ผลไหม? หรือวิธีการไหนที่จะดึงดูดคนเข้ามาสนใจผลงานคลิปวิดีโอของเรามากที่สุด” โชถาม

“ได้ผลไหม ผมว่าแล้วแต่ดวงด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็อยู่ที่ตัวผลงานของคุณด้วย แต่ถ้าถามว่าคนสนใจอะไรมากที่สุด ผมว่าคนในทวิตเตอร์สนใจสถานภาพของคนเรามากที่สุด ทั้งช่วงอายุ ประเภท แล้วก็สถาบันหรืออาชีพที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เอาง่าย ๆ ในทวิตเตอร์คุณจะเห็นเลยว่ามีคนอ้างอิงว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยผมเยอะมากแต่นั่นจะจริงไม่จริงก็อีกเรื่อง

ส่วนช่วงอายุที่คนสนใจมากที่สุด จริง ๆ มันก็หลากหลายนะ เพราะคนเราชอบอะไรไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ ผมมองว่าพวกเด็กมัธยมขายดีที่สุด โดยเฉพาะเด็กมัธยมปลาย ไทป์รุกที่มีขนาดอวัยวะเพศที่ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ยิ่งถ้ามีซิกแพคด้วย คอนเฟิร์มว่าเจ้านั่นจะต้องตอบ DM ไม่ต่ำกว่าวันละร้อยฉบับเป็นอย่างน้อย

แต่คุณอย่าไปเชื่อในสิ่งที่เห็นมาก เดี๋ยวอยู่กับผมไปสักพักคุณก็จะเข้าใจว่า ‘โลกคือละคร’ น่ะมันคืออะไร เพราะเด็กมัธยมปลายเป็นไทป์ที่แมสที่สุดก็จริง เลยทำให้มีเด็กมัธยมปลอม ๆ เด็กมหาวิทยาลัยปลอม ๆ เต็มไปหมด บางแอคเค่อนะ ผมเห็นเขียนว่าตัวเองมัธยมปลายบ้าง ปี 1 บ้าง ตั้งแต่ผมเพิ่งเข้าเรียนใหม่ ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าซิ่วทุกปีหรือยังอยากแอ๊บเด็กต่อไปเรื่อย ๆ

สรุป ชื่อก็สำคัญ แต่ตัวโปรดักสำคัญกว่า สมมติว่าชื่อดี แต่คนเข้าไปส่องแล้วไม่ชอบก็ไม่เอา ในขณะที่ชื่อพื้น ๆ ทั่ว ๆ ไป เช่น มัธยมปลายน้อย มัธยมปลายใหญ่ ม.ปลายหัดเล่นต่าง ๆ แต่ถ้างานดีก็มีคนซื้อ เฟิร์สอิมเพรชชั่นสำคัญเท่าไหร่ ตัวสินค้าสำคัญมากกว่าเท่านั้น ขอแค่ ขาว สูง ผอม ใหญ่ แค่มีสี่ข้อนี้ ต่อให้คุณตั้งชื่อทวิตเตอร์ว่าหมาก็มีคนสนใจ”

ผมกล่าวสรุปยิ้ม ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองสรุปหลักการตั้งชื่อแอคเค่อ ศูนย์ศูนย์หนึ่งได้ตรงตามความต้องการหรือไม่ แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นแค่ข้อคิดเห็นจากคนที่เคยเล่นทวิตเตอร์คนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ

รอบนี้ผมจงใจลวกผักและเนื้อเยอะเป็นพิเศษ เจ้าคนตรงข้ามเบะปาก  ก่อนจะเอาตะเกียบคีบเข้าปากทีละชิ้น ๆ จนหมดจานที่ผมลวกไว้ให้แล้วค่อย ถามต่อ แต่ก่อนจะถามเหมือนเจ้าตัวจะเอาคืนผมนิด ๆ ด้วยการลวกผักและเนื้อจำนวนหนึ่ง ก่อนจะตักใส่จานจนผมต้องหันไปมองตาขวางนั่นแหละถึงจะผิวปากและหันหน้าหนีไปทางอื่น

“ขอเจาะประเด็นนิดหนึ่ง ผมสงสัยว่าการบอกชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้ายในชื่อทวิตเตอร์ มีผลมากน้อยแค่ไหนในการดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ” เขารอจนผมเคี้ยวเนื้อในปากเสร็จอย่างมีมารยาท จึงถามต่อ

“มีนะ มีมากด้วย”

“ยังไง”

“คืองี้ ต้องอธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ชื่อมหาวิทยาลัยมันก็เป็นแบรนด์ชนิดหนึ่งอ่ะคุณ เราก็รู้กันดีใช่ไหมว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ มีที่ไหนบ้าง ตรงนี้นะถ้าจะเอาไปเขียนหรือกล่าวถึงหลาย ๆ คนก็จะหลีกเลี่ยงการพูดชื่อมหาวิทยาลัยโดยตรง แต่จะพูดถึงเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยตัวเองแทน เช่น การบอกพิกัดที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

อาทิ เด็กสามย่าน ก็หมายถึงมหาวิทยาลัยที่คะแนนสูงมากเกือบทุกปีที่อยู่ใจกลางเมืองนั่นแหละ หรือถ้าเป็นของมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ก็อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการขึ้นดอย มหาวิทยาลัยแห่งท้องทะเล มหาวิทยาลัยลูกพ่อคนนั้นคนนี้ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง มหาวิทยาลัยที่มีตึกเรียนไม่กี่ตึก เป็นต้น

ยิ่งคุณเป็นบุคลากรในมหาวิทยาลัยชั้นนำ คนก็ยิ่งให้ความสนใจ และให้มูลค่าคุณเพิ่มเป็นพิเศษ ถ้ามีคลิปผลงานที่มีหลักฐานของแบรนด์ติดมาด้วย เช่น หัวเข็มขัดของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ คนยิ่งชื่นชอบ และยิ่งประโคมขายของให้กับคุณ ถามว่าทำไม ก็อาจจะเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมติดภาพจำว่าเด็กที่ติดมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่ากับเด็กฉลาด และก็คิดต่อไปว่า เด็กฉลาดน่ะจะต้องเท่ากับ เด็กที่เรียบร้อย และเด็กที่เรียบร้อยในความคิดของคนส่วนใหญ่คงไม่มีใครคิดหรอกใช่ไหมว่าจะมีมุมที่ควักของลับเข้าออกกันเป็นว่าเล่น”

ผมคิดในใจและแอบขำกับตัวเองนิดหน่อยเมื่อทบทวนดูแล้ว คนที่ผมรู้จักหลาย ๆ คน ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียนเก่ง ยิ่งมีอารมณ์ทางเพศสูงกว่าชาวบ้านชาวช่อง แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเพราะต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่างรึเปล่า เลยหาทางระบายออกผ่านอารมณ์ทางเพศและกิจกรรมที่ทำให้สารเอนโดฟีนในสมองหลั่งออกมา

“อย่างที่ผมเคยบอกคุณไปแล้ว สังคมไทยน่ะปากว่าตาขยิบและมีความย้อนแย้งในตัวเองค่อนข้างสูงเลย อาจจะเพราะสังคมเราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันอย่างเปิดอกเปิดใจจริง ๆ จัง ๆ แถมยังพยายามทั้งทางตรงและทางอ้อมในการปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของคน ผลลัพธ์เลยสะท้อนกลับมาเป็นสังคมที่ตกใจกับการที่ดารารูปหลุดของลับต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันก็แค่อวัยวะเพศส่วนหนึ่งของร่างกาย

คนเรานะ ตอบสนองต่อความรู้สึกว่า ‘มันไม่ถูกต้อง’ แตกต่างกัน ข้อห้ามและขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ก็คล้าย ๆ กับแอปเปิ้ลในสวนเอเดนนั่นแหละ ยิ่งพระเจ้าสั่งห้าม ยิ่งน่าหวาดหวั่นระคนปนสุขใจ แค่เพียงได้คิดว่าตัวเองจะได้ลิ้มลอง สังคมทวิตเตอร์ก็จำลองมาจากสังคมอีกด้านที่สะท้อนกลับจากมาตุภูมิของกลุ่มคนในด้านแสงสว่างนั่นแหละ อะไรที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิ่งเป็นไปได้ ยิ่งชอบ”

ผมเว้นวรรคอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ

“แต่จริง ๆ มันก็มีเหตุผลรองเหมือนกันนะที่ผมเคยวิเคราะห์เล่น ๆ กับเพื่อนว่าทำไมเด็กในมหา’ลัยชั้นนำถึงเป็นที่ต้องการมากจนมีคนอยากเป็นนิสิตนักศึกษาของที่นี่เต็มไปหมด แต่ไม่รู้ว่ามันจะนับเป็นเหตุผลที่อ้อมค้อมและน่าเบื่อเกินไปรึเปล่า คุณจะฟังไหม?” เจ้านากเผือกพยักหน้าขึ้นลง ผมยิ้มแล้วตักของในหม้อให้กับเขาอีกรอบ

แต่เอ๊ะ เหมือนผมจะมองข้ามอะไรบางอย่างไปตั้งแต่ต้นรึเปล่า?

จะว่าไปนั่งคุยไปคุยมาตั้งนาน ผมก็ลืมนึกไปเลยว่าทำไมผมต้องต้มเนื้อ ต้มผักให้อีกฝ่ายด้วย(วะ) ? จริงอยู่ว่าผมอยากให้เขารับประทานอะไรบ้างไม่ใช่ทำแต่งาน แต่จริง ๆ แล้วผมก็บอกให้เขาทำเองก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องบริการอีกฝ่ายขนาดนั้น

ในทางกลับกัน แล้วทำไมโชจะต้องมาคอยผลัดกันลวกเนื้อลวกผักให้กับผมด้วย...

ผมส่ายหน้ากับความบ้าบอของตัวเอง จะพูดออกไปตอนนี้ก็ดูจะแปลก  ๆ แต่เหมือนอาการปากขมุบขมิบของผมจะไม่รอดจากสายตายอดนักสังเกตของคนตรงหน้าไปได้

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ?” เขาว่า ผมส่ายหน้า ไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองคิดอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ในใจ

“มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ” โชย้ำอีกครั้ง ก่อนจะตักช้อนเนื้อผักในหม้อลงมาบนจานผม

....อยากจะพูดเหลือเกินว่าไอ้การกระทำที่คุณกำลังทำให้ผมเนี่ยแหละครับ ที่มันบ้าบอและขัดแย้งในใจผมอย่างแปลกประหลาด  ไม่ใช่ว่าไม่ชิน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยทำให้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบใจ และก็ไม่ใช่ว่าชอบใจอีกนั่นแหละ เพราะตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกอะไรกันแน่ ผมจึงนิยามว่าผมแค่รู้สึก “แปลก ๆ” แบบบอกไม่ถูกเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เราทำทั้งหมดมันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ

ไม่อยากจะยอมรับเลยจริง ๆ ว่าตอนอยู่กับโช ผมไม่ได้ปรุงแต่งความเป็นตัวเองเลยสักนิด ทั้งคำพูด การกระทำ และความคิด ผมไม่จำเป็นต้องพยายามจะใส่ “ความธรรมดา” ลงไปในตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออก ล้วนบ่งบอกว่าผมเป็นผมเท่านั้นเอง

...เหมือนตอนที่ผมอยู่กับ 'คุณ' ช่วงแรก ๆ  เลยแฮะ

“คุณ”

“ครับ?” ผมสะดุ้งตัวหันกลับมามองหน้าเขา เจ้านากเผือกยิ้มให้ผม ก่อนจะหยิบทิชชู่ยื่นมาให้ ถ้าผมมองไม่ผิด ตอนแรกเขาจะเช็ดปากให้ผมด้วยซ้ำ แต่เพราะด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง โชเลือกที่จะยื่นมาให้ผมเฉย ๆ แทน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องมาก ๆ ถ้าเขาคิดอะไรสักอย่างในหัวเหมือนที่ผมกำลังคิด

“ขอบคุณครับ” ผมว่า ขอบคุณสำหรับทิชชู่

“ผมรู้นะว่าเราเพิ่งเจอกันไม่นาน แถมยังเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ เปิดมาผมก็แบล็คเมล์คุณ แม้จะเป็นไปด้วยความไม่ได้ประสงค์ร้ายก็เถอะ...” โชเกริ่น มองหน้าผม แล้วเว้นวรรคให้ผมได้ฟังทัน

“แต่ว่านะ...”

“ครับ?”

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้คุณจมลงไปอยู่กับตัวเองได้แม้กระทั่งในเวลาที่อยู่กับคนอื่น...ผมหมายถึงตอนอยู่กับผม ผมจะไม่ขอให้คุณลืมเรื่องราวเหล่านั้น เพราะผมรู้ว่ามันสำคัญ ถ้ามันไม่สำคัญคุณคงเลือกจะทิ้งมันออกไปจากใจคุณนานแล้ว”

สายตาของเขาจริงจัง มองมาที่ผมอย่างไม่ปิดบัง และเป็นผมเองที่ยอมแพ้เขาด้วยการหันหน้าหนีไปทางอื่น เสียงลมหายใจของเราทั้งคู่ดังขึ้น บริเวณรอบ ๆ ก่อนโชจะพูดต่อถึงสิ่งที่เขาคิด

“แต่ว่า...ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ คุณช่วยเล่าถึง ‘เขา’ ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

“..........”

“ผมอยากรู้จักเขาจริง ๆ ผมอยากรู้มาก ๆ ว่าต้องเป็นคนพิเศษขนาดไหน ต้องเป็นคนแบบใดถึงทำให้คนที่บอกว่าตัวเองนอนกับใครก็ได้โดยไม่ได้สนใจอะไร คนที่บอกกับผมว่าทุกอย่างมันก็แค่ just sex ทำไมเขาถึงสามารถสลักอะไรบางอย่างลงไปใส่ตัวคุณได้ลึกขนาดนั้น”

ผมสะอึก ทำได้แค่นั่งนิ่ง ๆ กลืนก้อนเหนียว ๆ อะไรสักอย่างลงคอไป เสียงเดือดของน้ำซุปในหม้อแทบจะไม่ได้รับการสนใจจากทั้งผมและเขา เราต่างคนต่างเงียบไปหลายนาที ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าท่าทางแบบไหน และต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้ายังไง

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพอเป็นโชแล้ว ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่าเขายุ่งย่ามกับผมมากเกินไป เหมือน ๆ เวลาที่ใครสักคนพยายามจะเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามของผม แต่กับเขา...กับโช เขาก้าวล้ำเข้าไปยืนอยู่ตรงข้างหน้าประตูนั้น แต่ไม่รุกไล่ต่อ แม้กระทั่งในเวลาที่เขาสามารถขอให้ผมกล่าวถึง ‘เขา’ คนนั้นได้ แต่โชก็ยังเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอให้ผมออกปากเล่าถึงคน ๆ นั้นเอง

“ขอบคุณนะครับ” ผมขอบคุณเขาในหลาย ๆ ความหมาย ขอบคุณที่ไม่ลุกล้ำผม หรือไล่จนผมไม่เหลือทางถอยกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วเล็ก ๆ  เมื่อเขาคีบเนื้อหมึกมาจ่อตรงหน้า

“ของโปรดคุณ ทานสิ”

“หื้ม คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานเนื้อหมึก” ผมว่าอย่างแปลกใจ อ้าปากรับเนื้อหมึกเข้าปากก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ แต่โดยดี

“ไม่บอก” เขาอมยิ้มและตีหน้ามึนหลังคำถามของผม

“อ้าว”

“ไม่อ้าวละ ทานก่อนเร็ว ๆ คุณ นี่นั่งนิ่งเสียกำไรกันไปหลายนาทีแล้วนะ” เขาล้อเลียนผมขำ ๆ

ผมส่ายหน้า ถอนหายใจกับคนตรงหน้าที่รู้จักการเปลี่ยนอารมณ์ของสถานการณ์ดีซะจนผมแทบตามไม่ทัน แต่ก็ยังแอบติดใจนิด ๆ ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมชอบทานเนื้อหมึก และเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เราทั้งคู่เลือกจะทานแล้วผลัดกันคุยประเด็นเบา ๆ กันไปช่วงใหญ่ ก่อนจะอิ่มท้องกันพอสมควรแล้ว เราถึงได้วนกลับมาประเด็นเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์เดดแอร์เมื่อสักครู่นี้

“โอเค มาพูดถึงประเด็นรองกันว่าทำไมนิสิตหรือนักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำถึงได้เป็นที่ต้องการของตลาด” ผมเกริ่นนำ คนฟังก็จดข้อมูลยิก ๆ ตามไปด้วย ก่อนผมจะพูดต่อ

“คุณคิดว่าเด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ต้องเป็นเด็กแบบไหน?” ผมถาม โชทำหน้าคิดก่อนจะพูดตอบ

“ต้องเป็นเด็กฉลาดในระดับหนึ่ง” เขาตอบคำถามด้วยความไม่มั่นใจนัก ผมส่ายหน้าแล้วบอกต่อ

“นั่นก็ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด สำหรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในประเทศไทย เด็กที่เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ ส่วนมากคือเด็กที่มี ‘ต้นทุน’ หรือ ‘ความพร้อม’ ที่ดีมาตั้งแต่ต้น ถ้าสมมติยังมองไม่เห็นภาพ ผมจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ตามที่ผมเคยเจอมาให้ฟัง

ต้นทุนที่เราว่ากันในที่นี้ คือความพร้อมของครอบครัวในการสนับสนุนเด็กคนหนึ่งตั้งแต่แรกเกิด เมล็ดพันธุ์ทุกต้นอาจจะโตมามีโอกาสเติบโตเท่า ๆ กัน แต่น้ำที่รดลงพร้อมปุ๋ยที่ดีในการบำรุงต้นไม้ไม่ใช่ว่าต้นกล้าทุกต้นจะโชคดีได้รับโอกาสดี ๆ แบบนั้น พอเริ่มต้นมาก็ไม่เท่ากันแล้ว การแข่งขันในระดับประถมหรือมัธยมต้นอาจจะยังไม่รุนแรงจนคุณมองเห็นภาพไม่ชัดเจน แต่พอเข้าสู่สังคมในระดับมัธยมศึกษาก็จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นอีกครั้ง

มนุษย์น่ะเป็นสัตว์สังคมโดยกำเนิด สภาพแวดล้อมถือเป็นปัจจัยหลักใหญ่ ๆ ส่วนหนึ่งในการกระตุ้นให้คน ๆ หนึ่งมีความคิด ความอ่าน ความสามารถแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน คุณว่าโรงเรียนของรัฐบาลที่มีนักเรียนต่อห้องเกือบห้าสิบคน กับครูหนึ่งคนจะสามารถสอนนักเรียนได้สักเท่าไหร่กัน?

ผมยังไม่พูดถึงความไม่แฟร์ของระบบข้อสอบและระบบการแข่งขันนะ ว่ามันควรฟรีได้แล้วสำหรับการคัดเลือกในการเรียนเข้าต่อ ยิ่งคุณมีต้นทุน คุณยิ่งเป็นต่อ คุณสามารถไปเรียนพิเศษก็ได้ คุณสามารถไปสอบแข่งขัน เพิ่มโอกาส เพิ่มความพร้อมในการทำโจทย์ได้ คนมีเงินน่ะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เพราะงั้นแล้ว เด็กที่หลุดรอดจากระบบชนชั้นที่แบ่งเด็กปกติกับเด็กมีอันจะกินเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ก็แทบจะเรียกได้ว่าขาข้างหนึ่งก้าวข้ามจากกรอบทางชนชั้นของตัวเองก้าวไปสู่ชนชั้นข้างบนอีกระดับ เรื่องคอนแท็กหรือคอนเนคชั่นนะ มันอธิบายกันได้ตรงนี้แหละครับ และอีกนัยยะเดียวกันที่ผมกล่าว เด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ถ้าเขามีความพร้อมทางด้านการศึกษา การที่จะมีความพร้อมในการดูแลตัวเองก็ไม่ได้แปลกอะไรถูกไหม?

พอมีโอกาสในการดูแลตัวเอง การจะมีรูปร่างที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ  อีกประการในการเลือกคู่นอนก็ไม่ยากแล้วถูกไหม ในขณะที่ผมหรือเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่ครอบครัวไม่มีความพร้อมในการดูแล ต้องเอาเวลาตรงนี้ไปประกอบอาชีพต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาสนับสนุนค่าใช้จ่าย เด็กกลุ่มแรกที่โชคดีมากกว่าก็เอาเวลาตรงนั้นในการไปสร้างความเพอร์เฟคให้กับตัวเองได้

สรุป การเลือกที่จะนัดกับแอคเค่อที่เคลมว่าตัวเองเรียนอยู่ในสถานศึกษาชั้นนำ มีโอกาสมากกว่าตามค่าเฉลี่ยว่าคุณจะเจอคนที่งานดีและไม่น่าผิดหวังในการมีเพศสัมพันธ์กันในแต่ละครั้ง หรืออีกแง่ การตั้งชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้าย ก็เพื่อง่ายต่อการระบุพิกัดนัดเจอคนในระแวกเดียวกันหรือมหาวิทยาลัยเดียวกันนั่นแหละ คำศัพท์ที่พวกผมใช้กันคือ ‘บ่อเลี้ยงปลากัดในระบบปิด’ เพราะสุดท้ายมันก็กินกันเองวน ๆ แถว ๆ นี้แหละครับ”

ผมสรุปติดตลกในตอนท้าย โชหลุดขันออกมาจากคำศัพท์ในแก๊งที่พวกผมใช้กันก่อนเขาจะถามต่อ

“แล้วคุณเคยเจอเหตุการณ์ตลก ๆ เกี่ยวกับการกินวนกันไปมาไหม?” เขาว่า

“เหตุการณ์ตลก ๆ  เหรอ? อืมมม ก็มีครั้งหนึ่งนะ ผมเคย....” และก่อนที่ผมจะตอบคำถามของเขาเสร็จ ผมก็เงยหน้าออกไปสบตากับใครบางคนที่กำลังจ้องหน้าผมอยู่เหมือนกันก่อนเราทั้งคู่จะตะโกนเรียกชื่อกันออกมาพร้อม ๆ กัน

“เจ้าที !!!”

“พี่มันนี่ !!!”


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-09-2018 23:24:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-09-2018 23:38:51
อ๊ะๆๆๆ พี่มันนี่เหรอ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 24-09-2018 00:33:43
มันนี่ไหนนนน  :katai1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-09-2018 11:25:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 01-10-2018 21:05:31


Ep.12 Mr.Money




“พี่มันนี่ !!! กลับมาไทยแล้วเหรอพี่” ผมพูดเร็วปร๋อ พร้อมรีบวิ่งเข้าไปกอดผู้ชายหน้าตาดีมากกกกกกที่ยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายหัวเราะ ชอบใจในความเป็นเด็กน้อยของผมก่อนจะลูบหัวแล้วตอบกลับ

“อืม พี่กลับมาแล้ว แล้วนี่มาทำอะไรเนี่ย?” พี่มันนี่ถาม พอตั้งสติได้มองไปด้านหลังผมก็เห็นพี่ผู้ชายอีกคนยืนอยู่ คำเดียวที่พุ่งเข้ามาในหัวเลยคือหล่อ หล่อมาก ๆ แต่เหมือนผมคุ้น ๆ หน้าเขาชอบกลแฮะ....

“มาทานข้าวกับเพื่อนครับ ... โช นี่พี่มันนี่ รุ่นพี่ของผมเอง” ผมว่า พลางแนะนำตัวให้กับคนร่วมโต๊ะ โชขมวดคิ้วบาง ๆ แล้วลุกยืนขึ้นทักทายพี่ของผม

“สวัสดีครับ ผมชื่อโชนะครับ” โชว่าพร้อมยื่นมือออกไปตรงหน้า

“คุณชื่อโช ?” พี่มันนี่ถาม แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปจับมือกับอีกฝ่าย

“รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ?” ผมถาม เมื่อเห็นรีแอคชันของทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าผมแปลก ๆ ไป แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเบาบางของโช ก่อนพี่มันนี่จะแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่สุดหล่อด้านหลัง

“คนนี้เป็นเจ้านายพี่ ชื่อพี่เอก” ผมพยักหน้าทำความเข้าใจก่อนจะหันไปไหว้อีกฝ่าย แต่น่าแปลกใจที่โฟกัสของพี่เอก เจ้านายของพี่ผมกลับไปอยู่ที่โช

“พี่เอกเป็นว่าที่ประธานบริษัทดิสโคเวอร์เรตที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองไง” พี่มันนี่กระซิบ ผมพยักหน้าขึ้นลงตาโต เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้น ๆ หน้าอีกฝ่าย พี่เอกกระซิบกระซาบอะไรกับพี่มันนี่สองสามคำก่อนจะละสายตาจากโช พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินเข้าไปจับมือกับอีกฝ่ายพร้อมบอกขอบคุณ

“คุณเอกครับ ผมชื่อทีเร็กซ์นะครับ เป็นรองประธานค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่เคยของบประมาณสนับสนุนจากบริษัทของคุณเอกไปเมื่อปีที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณมาก ๆ นะครับที่ให้การสนับสนุนค่ายอาสาของเรามาเป็นอย่างดี” ผมว่า พี่เอกทำหน้างงไปชั่วขณะก่อนจะฉีกยิ้มรักษามารยาทแม้ผมจะรู้ว่าเขาไม่มีทางจำผมได้ก็ตามแต่

“กิจกรรมเพื่อสังคมยังไงผมก็ต้องสนับสนุนแน่นอนครับ” คุณเอกตอบแบบกลาง ๆ รักษาทั้งภาพลักษณ์ของบริษัทและภาพลักษณ์ของตัวเอง ...และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งเอาไว้

“ใช่ครับ และในปีนี้เอง ทางคณะของผมและทางมหาวิทยาลัยก็ได้มีการวางแผนโครงการสำหรับการจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบทอีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้จะเป็นการขยายขอบเขตการทำงานเพื่อสานต่อกิจกรรมจากปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนมากไปไหมครับ หากผมอยากขออนุญาตอธิบายตัวโครงการให้คุณเอกฟังสักครั้ง?” ผมฉีกยิ้มอย่างสุภาพพร้อมดันแว่นตาขึ้นในระดับสายตา อยู่ดี ๆ วันนี้โชคก็วิ่งเข้าหา !!!

กิจกรรมอาสาเพื่อสังคมนะ ปกติคณะของผมจัดทำกันทุกปีอยู่แล้ว แต่หลังจากการประกาศการออกจากระบบควบคุมของทางมหาวิทยาลัยทำให้งบประมาณสนับสนุนในหลาย ๆ ภาคส่วนร่อยหรอลงจนกระทบถึงกิจกรรมที่จัดทำกัน

ผมเป็นอีกคนที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับการเปิดรับกล่องบริจาคหรือการไปเล่นดนตรีเปิดในที่สาธารณะ เพราะหนึ่ง ปัญญาชนที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยจะไม่มีวิธีการให้การคิดหากิจกรรมที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้ดีกว่าแค่สันทนาการจริง ๆ น่ะเหรอ และสอง แม้จะบอกว่าเป็นกิจกรรมอาสา ได้บุญได้กุศล ผมก็คิดว่าคนที่นำเงินมาสมทบกับพวกเราควรได้อะไรที่จับต้องได้จริงมากกว่าแค่ความรู้สึกที่ได้ร่วมสนับสนุน

และนั่นคือสาเหตุที่ผมต้องการดึงบริษัทหลาย ๆ บริษัทมาร่วมเป็นแรงทุนในการทำกิจกรรมอาสาตรงนี้ ค่ายได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม บริษัทได้ทำกิจกรรม CSR เด็ก ๆ และชาวบ้านในพื้นที่ได้รับประโยชน์ ขอแค่ดีลนี้เป็นดีลที่ดีและแฟร์มากพอสำหรับทุกคน ทำไมเราจะไม่สามารถหาทุนมาสนับสนุนได้ล่ะครับ?

พี่มันนี่หัวเราะเบาบาง ผมแอบเห็นนะว่าเขายกนิ้วโป้งให้ผมด้วย แต่พอพี่เอกหันไปหา พี่มันนี่ก็เลยช่วยผมด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์แล้วกล่าวเรียบ ๆ

“คุณยังมีเวลาว่างอีกเกือบชั่วโมง และปีนี้ที่บริษัทยังไม่ได้ใช้งบประมาณ ในส่วนของการทำ PR และ CSR ลองฟังที่เด็กคนนี้ว่ามา ผมว่าก็ไม่น่าจะเสียเวลาสักเท่าไหร่นะครับ” ผมแทบจะหันกลับไปขอบคุณพี่มันนี่ แต่ทำได้แค่ทำหน้านิ่ง ๆ ภาวนาในใจให้พี่เอกยอมเสียสละเวลาสักนิดในการฟังแผนโครงการของพวกผม

“ตกลงครับ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วลองฟังกันดูสักครั้งก็ได้”

“แต่ร้านนี้น่าจะไม่สะดวกเท่าไหร่ ผมว่าเรามูฟไปที่อื่นกันดีกว่านะครับ” โชเสนอแนะเรียบ ๆ ผมเห็นพี่มันนี่กับพี่เอกหันไปมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าตกลง ก่อนพี่ทั้งสองคนจะขอตัวไปยืนรอหน้าร้าน ให้ผมกับโชจัดการธุระตรงนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน โชยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานนำไปรูดก่อนจะหันมาถามผมต่อ

“นี่คุณไปรู้จักกับ Mr.money ได้ยังไงน่ะคุณ?” โชถามระหว่างที่รอพนักงานนำใบสลิปมาให้เซ็น ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าโชจะรู้จักกับพี่มันนี่ในอีกฐานะหนึ่งด้วย

“คุณรู้จักเขา?” ผมถาม โชพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ

“เด็กอัจฉริยะแห่งวงการธุรกิจฟรีแลนซ์ ได้ยินมาว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ...ถ้านายจ้างมีเงินจ้างมากพออ่ะนะ” โชกล่าวประโยคหลังด้วยน้ำเสียงเบา ๆ  พร้อมทำหน้าสงสัยเต็มที่

“ที่คุณได้ยินมา ผมขอคอนเฟิร์มเลยว่าจริง ถ้าเงินถึง ...ไม่มีอะไรที่พี่ชายของผมคนนี้ทำไม่ได้” ผมตอบรับกลับเขาด้วยรอยยิ้ม ภูมิใจมากมายในตัวพี่ชาย ที่แม้ถึงเราจะไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ในทางพฤติกรรมแล้วเราเป็นมากกว่าพี่น้องด้วยซ้ำไป สำหรับผม พี่มันนี่เป็นมากกว่าแค่คนรู้จัก เขาคือยอดมนุษย์ที่ผมยังนึกไม่ออกว่ามีอะไรอีกมั่งที่เขาทำไม่ได้ (ถ้ามีเงินมากพอ ผมขอดอกจันทร์ไว้เลยสามร้อยล้านดอก) แม้กระทั่งวิกฤตหลาย ๆ อย่างในชีวิตของผม ที่ผ่านพ้นเป็นตัวเป็นตนได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากพี่มันนี่นั่นแหละครับถึงได้อยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้

“คุณสบายใจจริง ๆ เหรอที่คบกับคนที่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ในหัวน่ะ” เขาตั้งคำถาม ผมเอียงคอแล้วพูดตอบกลับ

“โช คุณใสซื่อเกินไปหรือไม่เข้าใจกันแน่ ผมขอยกคำพูดพี่มันนี่มาพูด เลยแล้วกัน โอเค ในมุมมองของสายตาคนอื่นทั่วไป พี่มันนี่อาจจะเป็นคนร้าย ๆ ขอแค่เงินถึงคุณก็ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็แฟร์ในความสัมพันธ์ของคนสองคนไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเรายังมีผลประโยชน์ต่อกันและกัน ก็ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าสักวันคนอีกคนจะตีจาก

ในทางกลับกัน ต่อให้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์หรือเงินทอง คุณมั่นใจได้ไงว่าเราจะสนิทชิดเชื้อหรือไม่หักหลังกันในภายภาคหน้าแค่เพราะเราไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องผลประโยชน์ และว่ากันตามจริง เราทุกคนต่างก็มีผลประโยชน์ต่อกันและกันไม่ทางใดทางหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ เราถึงมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างต่อกัน”

ผมว่า เรานิ่งไปก่อนผมจะพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของเขา

“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่เชื่อผมเถอะ พี่มันนี่นะ แม้เงินจะซื้อทุกอย่างได้ในชีวิตของพี่เขา แต่เงินไม่ใช่คำตอบที่พี่เขาอยากได้จากผมหรอก อยากให้คุณ สบายใจได้จริง ๆ ครับ” ผมยืนยันอีกครั้ง กับคำถามที่ผมก็เคยถามกับตัวเองมาก่อน ถ้ามีใครสักคนที่สังคมมองว่าเขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่เขาก็ประพฤติดีกับคุณ คุณจะเลือกอะไรระหว่างเชื่อในสิ่งที่สังคมเชื่อ หรือเชื่อในตัวเองอย่างมีสติ

แน่นอน ผมเลือกช้อยท์หลัง

“ถ้าคุณว่าแบบนั้น ผมก็สบายใจได้” เขาระบายลมหายใจออกมาพร้อมตอบกลับ ผมพยักหน้ายืนยันอีกครั้งให้เขาสบายใจ ก่อนเราจะเสร็จธุระ แล้วเดินออกไปสมทบพี่เขาที่หน้าร้าน

“คุณเอกครับ ยังไงเราก็ไม่รีบอยู่แล้ว ผมขอแวะร้านด้านล่างแป๊บหนึ่งนะครับ” พี่มันนี่ว่า พี่เอกแค่พยักหน้าตอบรับ ก่อนพี่มันนี่จะลากผมเดินนำไปข้างหน้าพร้อมปล่อยสองหนุ่มเดินตามหลังต้อย ๆ

“ไงเรา สบายดีไหม ? ได้ทาครีมกันแดดบ้างรึเปล่า” พี่มันนี่ว่า พร้อมจับแขนผมทั้งสองข้างพลิกดูไปมา

“สบายดีครับพี่ ส่วนกันแดด...แหะ ๆ” ผมพูดค้างพร้อมหัวเราะแก้เก้อ แล้วเกาหัว พี่มันนี่ขยี้หัวผมอีกครั้งก่อนจะลากเข้าร้านค้า แล้วซื้อสารพัดครีมกันแดด บำรุงผิว และมาร์กหน้าอีกจำนวนหนึ่งใส่ถุงก่อนจะยื่นให้ผม

“เอาไปใช้ พี่ให้” พี่มันนี่ว่าง่าย ๆ ผมยกมือขอบคุณในความหวังดีของพี่มันก่อนจะรับไว้

“อย่าลืมวางแผนเรื่องการไปดัดฟันด้วย รู้ไหม ไหนอ้าปากซิ” เขาบอก ผมทำตามแต่โดยดี พี่มันนี่ก้มหน้าลงมาดูช่องปากผมก่อนจะนับตัวเลขคร่าว ๆ

“ว่าง ๆ ไปถอนหรืออุดฟันที่โรงพยาบาลรัฐก่อนก็ได้ เรามีสิทธิประกันสังคมของพวกแรงงานใช่ไหม?” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่มันนี่เกาคางก่อนจะพูดต่อ

“ไปถอนฟันซี่ในสุดก่อนก็ยังดีเพราะมันผุจนเหลือแต่รากแล้ว แล้วค่อย ๆ ทยอยเคลียร์ช่องปากให้ครบด้วย หินปงหินปูนก็ไปขูด ๆ ซะ แล้วค่อยเก็บเงินไปทำฟันนะ”

“ครับ”  ผมหัวเราะเขิน ๆ ในความเป็นเด็กน้อยของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้า คนอีกคนที่ไว้วางใจได้เท่าเพื่อนสนิทคนหนึ่ง พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นสองหนุ่มยืนทำหน้าบูด ไม่พูดไม่จา แต่ก็แอบเห็นนะว่าเขาแอบคุยกันโดยมองมาที่ผมเป็นระยะ ๆ น่ะ นี่อย่าบอกนะว่าโชรู้จักกับคุณเอกด้วย ทำไมไม่เห็นเขาทักทายกันเลยล่ะ?

ผมตั้งข้อสงสัยในใจแต่ไม่ได้ถามอะไร หลังจากเสร็จธุระในการถูกอบรมทั้งเรื่องส่วนตัวและไม่ส่วนตัวจากพี่มันนี่ พร้อมทั้งวิธีการทาครีม การทานอาหาร การดูแลตัวเองในเวลาไม่นานแล้ว เราก็เดินมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่งในห้าง

“4 ที่ครับ” ผมบอกบริกร ด้วยความอาวุโสน้อยสุดในทั้งสี่คนที่เดินด้วยกันมา บริกรยิ้มต้อนรับก่อนจะนำพวกเราทั้ง 4 คนไปนั่งที่โซนหนึ่งในมุมร้าน ผมนั่งลงตรงข้ามพี่มันนี่ ก่อนที่สองหนุ่มจะนั่งตรงข้ามกัน ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกเหมือนเห็นตัวนากกับแมวน้ำกำลังนั่งจ้องหน้ากันอย่างบอกไม่ถูก

“เอาล่ะ ก่อนอื่นผมอยากให้ดูสไลด์นี้ครับ” ผมว่า พร้อมฟอร์เวิร์ดเมล์ไปที่ไลน์พี่มันนี่ ไม่ต้องบอกต่อพี่มันนี่ก็จัดแจงดึงเข้าไอแพดของตัวเองแล้วกางจอออกมาให้คุณเอกดูตาม

“อันนี้คือสรุปงบประมาณของโครงการเมื่อปีที่แล้วกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งการประเมินแผนงานล่วงหน้าของปีหน้าหรือก็คือปีนี้ครับ” ผมว่า ก่อนจะรอให้พี่มันนี่ช่วยไล่ลำดับไทม์ไลน์ให้คุณเอกดู เจ้าตัวรับไอแพด แล้วสไลด์หน้าดูไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมเดาว่าคงเป็นการอ่านแบบ skim คร่าว ๆ เพื่อรอให้ผมพูดต่อ

“จากที่สถิติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าค่ายอาสาพัฒนาชุมชนของมหาวิทยาลัยของเรา สามารถทำให้ชุมชนมีแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสมแก่เยาวชนในพื้นที่  และกระตุ้นให้เด็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยซัพพอร์ตให้พวกเขาเหล่านั้นมีองค์ความรู้ที่เท่าเทียมกันกับเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่เจริญแล้วในประเทศได้” ผมกล่าวสรุปโดยย่อ

“แล้ว?” คุณเอกตั้งคำถาม ผมสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะอธิบายในสิ่งที่พวกผมต้องการ

“แผนงานในปีนี้คือการต่อยอดจากแหล่งการเรียนรู้ดังกล่าว แม้จะมีองค์ความรู้ที่ดีแต่การเรียนรู้ผ่านหนังสือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับการเรียนการสอนโดยตรงกับมนุษย์ด้วยกัน โดยอาศัยงบประมาณการสนับสนุนจากทางบริษัทผู้สนับสนุนในการจัดจ้างนักศึกษาที่ต้องสอนพิเศษให้กับเด็ก ๆ  ผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้น โดยเล็งเห็นว่ามันสมควรเป็นโครงการระยะยาว ทั้งตัวมหาวิทยาลัยเองและตัวบริษัทครับ” ผมกล่าวต่อ คุณเอกกระแอมไออีกครั้งก่อนจะตั้งคำถาม

“ผมพอเข้าใจจุดประสงค์ของคุณนะ แต่คุณต้องไม่ลืมว่าบริษัทผม เป็นบริษัทธุรกิจของเอกชน ไม่ใช่องค์กรการกุศล” คุณเอกพูดพร้อมมองผมด้วยสายตาคมกริบ โชคเข้าข้างผมนิดหน่อยที่พี่มันนี่เอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างคุณเอกเบา ๆ

“คุณ ไม่ต้องกดดันเด็กมันมากขนาดนั้นก็ได้” พี่มันนี่ว่า คุณเอกยักไหล่ก่อนจะตอบกับผม

“ไม่นะ ผมไม่ได้กดดัน ผมพูดจริงจัง ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว แต่มันคือภาระผูกพันระยะยาวกับองค์ประกอบทุกองค์ประกอบที่จะดึงเข้ามาร่วมกันในงานนี้ คำถามของผมคือโจทย์ที่น้องจะต้องเอาไปปรึกษากับทีมและทางมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ว่ามันสามารถเป็นไปได้จริงแค่ไหน

ถ้าทำแล้วนักศึกษาที่จะคัดเลือกมาจะคัดเลือกมาแบบไหน จะมีตารางการสอนยังไง แล้วกลุ่มเด็ก ๆ ที่มาเรียนจะได้ประโยชน์อะไรกลับมา มีแบบประเมินหรือหลักประกันอะไรไหมว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาทั้งตนเองและพื้นที่ท้องถิ่นให้พัฒนายิ่งขึ้นไปได้จากการสนับสนุนของบริษัทและนักศึกษาแบบพวกคุณ

ตัวโครงการจะวาดภาพฝันสวยหรูขนาดไหน แต่หน้างานทุกงานย่อมมีปัญหาเป็นของมัน บริษัทของผมไม่ใช่องค์กรการกุศล เราบริจาคได้ เราทำ CSR ได้ แต่นั่นหมายความว่าบริษัทของเราต้องได้ประโยชน์จริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ดีลที่ดีคือดีลที่ทุกฝ่ายได้ แต่ดีลที่ดีกว่าสำหรับนักธุรกิจคือดีลที่บริษัทลงทุนไปแล้วได้ประโยชน์อะไรกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม” พี่เอกกล่าวเสียงเรียบ เว้นวรรคให้ผมคิดตาม ซึ่งทั้งหมดนั้น มันไม่ได้ผิดเลย

สเกลโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มากๆ จริง ๆ ที่ผมตั้งใจเสนอกับทางมหาวิทยาลัย ผมเสียดายนิดหน่อยที่อาจจะไม่ได้งบประมาณสนับสนุน แต่อย่างน้อยก็ถือว่าสักครั้ง ผมมีโอกาสได้นำเสนอในสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำแล้ว พอเห็นผมทำสีหน้าแบบนั้นแล้ว

“....เพราะฉะนั้นแล้ว ไปประเมินความเสี่ยงทั้งหมดมา ผลดี ผลเสีย แนวทางการเป็นไปได้ที่จะคุยกับภาคเอกชนบริษัทอื่น ๆ ตลอดไปจนถึงการหาแนวร่วมจากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่น ทำสรุปมาให้ผมอ่านอย่างชัดเจน พร้อมสรุปงบประมาณที่คาดการณ์ว่าจำเป็นต้องใช้”

ผมตาโตขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้าย นั่นหมายความว่างบประมาณที่ต้องการอาจจะยังมีความเป็นไปได้ แม้จะต้องทำการบ้านหนักเพื่อเสนออีกครั้งตามที่คุณเอกว่ามา แต่แค่โครงการนี้มีความเป็นไปได้ มันก็คุ้มค่าแล้วที่จะทุ่มเทกับมันสักตั้ง

“ขอบคุณครับคุณเอก ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ผมว่าพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ คุณเอกอมยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ

“เห็นแก่ความตั้งใจของคุณ ผมจะไม่ถือสานะ ที่คุณถือโอกาสมัดมือชก ดึงผมมาคุยอย่างอุกอาจแบบนี้ แต่ทีหลังแล้วถ้าอยากจะดีลเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ จงใจเย็นและค่อย ๆ เข้าหาเหยื่อมากกว่านี้... ถ้าไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจหรือแนวร่วมภาคเอกชน คุณลองสอบถามคนที่อยู่ข้าง ๆ คุณก็ได้” พี่เอกว่า ผมหันไปมองหน้าโชที่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เจ้าตัวทำแค่ยักไหล่โดยไม่สนใจการพาดพิงดังกล่าว

ปรึกษาเรื่องธุรกิจกับนักเขียนเนี่ยนะครับคุณเอก?

“ยังไงผมต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณเอก ที่รับฟังและสนับสนุนโครงการของพวกผมมาโดยตลอด และขอโทษอีกครั้งนะครับหากกิริยาที่ผมแสดงออกในวันนี้อาจจะทำให้คุณเอกเกิดความไม่สบายใจหรือไม่พอใจ” ผมว่า พร้อมยกมือขอโทษอีกครั้ง คุณเอกยกมือรับไหว้ก่อนจะหันไปพูดกับพี่มันนี่

“คุณนี่เทรนด์รุ่นน้องออกมาเหมือนกัน พิมพ์เดียวกันเปี๊ยบเลยนะ” คุณเอกแซว พี่มันนี่ยิ้มก่อนจะหุบยิ้มเมื่อคุณเอกพูดประโยคถัดไป

“ทั้งฉลาด ทั้งกล้าบ้าบิ่น ทั้งเจ้าเล่ห์ รู้จักทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เหมือนกันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องไม่มีผิด..โอ๊ย!”

และรางวัลของคนขี้แซะ ก็เป็นศอกขาว ๆ ของพี่มันนี่ที่กระทุ้งเข้าที่สีข้างคุณเอกอีกครั้ง ผมอู้วเบา ๆ ในใจเมื่อคุณเอกเปลี่ยนสีหน้าแอบเจ็บแต่ไม่แสดงออก ส่วนคนข้าง ๆ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียแบบนั้น

“เอาล่ะ วันนี้ก็พอหอมปากหอมคอ นี่ก็เย็นแล้ว คงได้เวลากันแยกย้ายกันไปตามทาง ยังไงคุณทำรายละเอียดเสร็จหมดแล้วก็ส่งมาที่คุณเลขาของผมก็แล้วกันนะครับ” คุณเอกกล่าวสรุป

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

หลังจากนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในแวดวงข่าวสารบ้านเมือง เราก็เช็กบิลพร้อมเคลื่อนย้ายกันออกมาอยู่บริเวณหน้าร้าน พี่มันนี่กอดพร้อมลูบหัวผมขึ้นลงอีกครั้ง

“พี่ดีใจมาก ๆ นะที่เราโตขึ้นมาขนาดนี้ ทั้งสิ่งที่บอกพี่ไว้ว่าอยากจะทำ แล้วเราก็กำลังทำมันจริง ๆ  แต่อย่าลืมที่พี่บอก กลับไปบำรุงและดูแลตัวเองด้วย และจะดีมาก ๆ ถ้าเราสรุปให้พี่ได้สักทีว่าจะเริ่มทำการเคลียร์ช่องปากและจัดฟันตอนไหน” พี่มันนี่ว่า ผมพยักหน้าและกอดพี่มันนี่อีกครั้ง

“เอาล่ะ พี่กับคุณเอกต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว แล้วยังไงติดต่อมาที่อีเมล์พี่นะครับ” พี่มันนี่กล่าวสรุป ผมพยักหน้าก่อนจะยกมือไหว้คนทั้งสองคนซึ่งก่อนจะเดินจากไปก็ยังไม่วายหันหลังมามองหน้าโชอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำอะไรนอกจากทำตัวนิ่ง ๆ ราวกับว่าบทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพาดพิงอะไรถึงเขา

“คุณนี่รู้จักคนไปทั่วเลยนะ” โชว่า ผมหันไปเหล่ตามองก่อนจะพูดกับเขา

“จริง ๆ คนที่ควรพูดประโยคนั้นควรจะเป็นผมนะ” ผมหันไปมองหน้าเขาตรง ๆ แต่ไม่เอ่ยคำถามที่สงสัยออกไปในใจ และเหมือนโชจะมองออกว่าผมคิดอะไร เจ้าตัวเอามือมาตบหัวผมเบา ๆ ก่อนจะว่า

“ผมย่อยแล้ว ไปเดินคิโนะแล้วไปดูหนังกัน”

“คุณอยากได้หนังสือเหรอ?” ผมถาม

“เปล่า อยากไปดูต่างหากว่าหนังสือของผมขายได้ไหม” เขาตอบ ผมร้องอ๋อเที่ยวหนึ่งก่อนเราทั้งสองคนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปสู่ชั้นด้านบนก่อนโรงหนัง

โชดูจะไฮเปอร์เป็นพิเศษเมื่อเดินมาถึงร้านคิโนะ เจ้าตัวค่อย ๆ เดินด้อม ๆ มอง ๆ ก่อนจะผายมืออย่างภาคภูมิใจไปที่ชั้นหนังสือด้านหน้าที่จัดโชว์นิยาย

“เวลามาเห็นหนังสือที่ตัวเองเขียนอยู่ด้านบนชั้นวางขายเนี่ย มันดีจริง ๆ เลยเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย และแอบเห็นประกายของความสนุกสนานภายในสายตาของเขา เมื่อรอไม่นานเท่าไหร่นักก็มีวัยรุ่นสองสามคนมามุงดูที่แผงชั้นหนังสือ ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงเนื้อหาและตัวละครอย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมหยิบหนังสือของโชติดมือไปด้วย 1 ชุด

“รู้สึกยังไงบ้างกับคำวิจารณ์” ผมถาม หลังลับสายตาเด็กกลุ่มนั้น

“ก็โอเค” โชว่า ตามองเด็กกลุ่มนั้นเดินไปจ่ายเงิน

“แม้มันจะเป็นคำวิจารณ์ที่รุนแรงไปนิดหนึ่งอ่ะนะ?” ผมถามจากบทสนทนาดังกล่าว โชยักไหล่ก่อนจะพูดตอบกลับมา

“สิทธิ์ของคนอ่านคือการวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนของคนเขียน สิทธิของคนเขียนคือการคัดกรองเอาสิ่งที่เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ มิใช่การด่าทอ มาใช้ในการนำมาปรับปรุงและพัฒนางาน สำหรับผมแล้ว ต่อให้เป็นคำต่อว่าหรือไม่พอใจ หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ผมก็สามารถรับฟังได้ ไม่ได้รู้สึกแย่ที่เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อในท้ายที่สุด” โชตอบผมกลับอีกครั้ง ก่อนเราจะเดินวน ๆ ดูหนังสือแปลออกใหม่ที่น่าสนใจหลาย ๆ เล่ม

ผมขอแยกไปเดินดูหมวดหมู่เกมออนไลน์ที่ออกใหม่ ส่วนโชเดินไปดูโซนหนังสือ หลังจากพยายามค้นหานิยายเกมออนไลน์ที่กำลังติดตามและค้นพบว่าไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่ ผมก็เตรียมหันหลังกลับเตรียมจะเดินไปหาโช ก่อนจะพบว่ามีร่างของใครบางคนขวางทางอยู่พร้อมกับกลิ่นฉุนบางอย่างที่ขึ้นจมูกทันทีที่ผมหันไปชนกับร่างของเขา

กลิ่นนิโคตินจัด ๆ ที่ผมเพิ่งเคยได้กลิ่นเมื่อไม่นานมานี้...

“สวัสดี คุณคนในโปสเตอร์”

เสียงแหบแห้งเหมือนคนร้องเพลงจนเสียงขาดกล่าวขึ้น หมอนั่นฉีกยิ้มให้ผมก่อนจะขยับตัวถอยห่างหลังจากผมหันไปชนเต็มอกของเขา ผมเงียบและใช้ความคิดพิจารณาเขาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้เขาดูแต่งตัวเป็นผู้เป็นคนขึ้นจากวันนั้นที่เราเจอกัน ดวงตาสองข้างยังตาโบ๋เหมือนคนไม่ได้นอนตามเดิม แต่พออยู่กับทรงผมที่จัดทรงหน่อย ๆ แล้ว อดจะยอมรับไม่ได้เลยสักนิดว่าหมอนี่ควรจะเป็นสเป็คผู้หญิงบางกลุ่มที่ชอบผู้ชายแนวแบดบอย

แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกมาผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลังอีกครั้ง

“คุณมีหนังสือที่สนใจไหม” โชว่า ผมหันกลับไปมองเขาที่เดินมาหาก่อนจะตอบกลับ

“ไม่มีนะครับ” ผมว่า พลางหันกลับไปมองด้านหลัง

หมอนั่น..หายไปจากบริเวณนั้นแล้ว

“คุณมองหาใครเหรอครับ?” โชถาม หลังผมสอดสายตามองไปมาทั่วร้าน แต่ก็ยังไม่เห็นเขา ผมส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะยักไหล่ แล้วเดินไปใกล้ ๆ โช

“ผมว่าเราขึ้นไปที่โรงหนังเถอะครับ นี่ก็ใกล้เวลาที่รอบหนังจะเริ่มฉายแล้ว” ผมว่า

“โอเค ซื้อป็อปคอร์นด้วยเนาะ?” เขาถาม ผมพยักหน้าก่อนเราจะก้าวออกมาจากคิโนะ แล้วเตรียมก้าวขึ้นบันไดเลื่อน

“ผมชอบรสหวาน”

“งั้นเอาชีสกับหวานเนาะ ผมชอบชีส” เขาว่า ผมพยักหน้าไม่ขัดศรัทธา ก่อนที่เราจะคุยกันถึงตัวอย่างภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าไปดู พร้อมผลัดกันเล่นมุกในหนังภาคแรกที่เข้าโรงไปในปีที่แล้ว

ผมหันหลังหัวเราะ พิงที่จับบันไดเลื่อน ก่อนสายตาจะหันไปเห็นเขา

....เขาคนนั้นที่กำลังฉีกยิ้มให้ผมอย่างเศร้าสร้อย พร้อมคิ้วข้างหนึ่งที่ยักขึ้นในลักษณะกวนอย่างถึงที่สุด



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 01-10-2018 22:28:26
 :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 01-10-2018 22:48:23
พ่อหนุ่มยาสูบมีบทแล้ว  :-[
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-10-2018 23:58:29
ใครเอ่ย
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-10-2018 00:22:19
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 03-10-2018 01:03:54
เป็นนิยายที่อ่านแล้วได้มองอะไรๆในมุมใหม่ๆ o13 o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.13 ปัญหาของแต่ละคน | P3 | 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-10-2018 22:27:36


Ep.13 Problems of each Person




เช้าวันใหม่ของผมเริ่มต้นอีกครั้งหลังโชพาผมกลับมาส่งถึงหอพักอย่างปลอดภัย กว่าทุกอย่างจะจบลงก็ราว ๆ เกือบสามทุ่ม ผมอาบน้ำ ทำงานที่ค้างนิดหน่อย ก่อนจะหลับไปอย่างง่ายดาย เพราะนอนไว วันนี้เลยตื่นไวกว่าปกติ ผมฮัมเพลงแล้วก้าวเท้าลงจากรถราง พร้อมเดินฉับ ๆ  เข้าไปที่คณะ พลางมองหากลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง เอาล่ะ เช้านี้มันต้องเป็นเช้าที่สดใส

“แต่มึงก็ไม่ควรไปพูดใส่พลอยมันแบบนั้นป่ะวะ?” ผมก้าวเท้าถึงตอนที่ไอ้ส้มพูดพอดี

โอเค จากประโยคแรกที่ผมได้ยินหลังจากมาถึงวงสนทนา บ่งบอกให้ผมทราบว่าตอนนี้เกิดสถานการณ์ไม่ปกติขึ้น ผมมาทันพอจะเห็นไอ้พลอยเก็บข้าวของลุกเดินหนีออกจากกลุ่มไปเฉย ๆ พร้อมสีหน้าสำนึกผิดของเจ้ามาร์ที่คาดว่าน่าจะไปทำอะไรไว้ไม่ดีอีกแล้ว

“กูฝากกระเป๋าด้วย เดี๋ยวกูไปตามพลอยให้” ผมว่าง่าย ๆ เพื่อนทุกคน  พยักหน้าก่อนเจ้ามาร์จะโดนรุมประชาทัณฑ์ทางสายตาและวาจาต่อไป ผมเดินตามหลังพลอยไปไว ๆ ก่อนมันจะเดินไปหยุดตรงลานจอดรถยนต์ของคณะ

“มึงโอเคป่ะ?” ผมถาม มันส่ายหน้า แล้วทรุดตัวนั่งลงตรงที่กันรถตก

“แดกไหม?” ผมถามง่าย ๆ อีกครั้งพร้อมยื่นหมากฝรั่งไปให้ ไอ้พลอยรับไปแต่โดยดี ก่อนผมจะเขยิบไปนั่งข้าง ๆ มัน

“มันว่าอะไร? ” ผมถามต่อ พลอยนิ่งไปสักพัก ไม่ตอบคำถาม แต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแทน

“สัส สูบไฟฟ้าดิ ไม่เอาอันนี้” ผมว่าพลางดึงบุหรี่มวนมาจากปากมัน มันจิ๊ปากมองจิกผมอย่างเอาเรื่อง แต่แน่นอนล่ะ ผมไม่โอเคกับการให้เพื่อนสูบบุหรี่เป็นมวนจริง ๆ ครับ พอเห็นผมไม่ยอมมันก็เลยควักที่ดูดบุหรี่ไฟฟ้าออกมานั่งสูบแทน พร้อมส่งให้ผม แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธมัน เรานั่งเงียบกันไปอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนมันจะเอนหัวลงมาซบเสื้อผม

“มึง”

“ว่า”

“ห้ามหัวเราะกูเด็ดขาด กูซีเรียส” มันว่า พลางเงยหัวแล้วมองตาผม

“เออ กูไม่หัวเราะปัญหาของเพื่อนหรอก” ผมว่า พลางมองตามันกลับ แววตามันสั่นระริกก่อนจะพูดออกมา

“เมื่อคืน..กูมีอะไรกับเป้” มันว่า ไอ้เป้คือแฟนมัน แต่ผมว่านั้นไม่น่าใช่ประเด็นซีเรียสเท่าไหร่ เพราะเพื่อนกลุ่มผมไม่น่าจะเขินอายกับแค่การมีเพศสัมพันธ์

“มันเสร็จไปสามน้ำ” ไอ้พลอยว่า เว้นวรรคอีกครั้งก่อนจะสูบบุหรี่เข้าไปเฮือกใหญ่ ๆ มองหน้าผมแล้วพูดต่อ

“แต่กูไม่เสร็จสักน้ำ”

“อ่า...” ผมครางรับ เข้าใจทันทีว่าปัญหาของมันคืออะไร

“กูหงุดหงิด แล้วเช้ามาไอ้มาร์แม่งก็ดันล้อกูถูกจุดพอดี มันถามกูว่า ‘เมื่อคืนผัวทำไม่เสร็จเหรอมึง?’ ซึ่งถ้าเป็นกูวันปกติก็คงแค่ปาเหี้ยอะไรใส่หน้าแม่ง แต่วันนี้มันดันล้อเรื่องจริงกูพอดี กูเลยแบบ...ขอโทษ” มันว่าพลางส่ายหน้าในตอนท้าย

“มึงจะขอโทษทำไม รอบนี้คนผิดคือไอ้มาร์ มันหยอกมึงแรงไป” ผมให้ความเห็นแบบเป็นกลาง

“ก็ถูก แต่กูก็ควรจะชินนิสัยเพื่อนไง ไม่ควรลุกออกมา” ไอ้พลอยว่า

“ไม่ ๆ กูไม่อยากให้มึงชินนิสัยกู” ไอ้มาร์เดินมาตอนไหนไม่รู้ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงตรงข้าง ๆ ไอ้พลอยแล้วพูดต่อ

“ฟังกูก่อน กูได้ยินแล้ว กูพูดก่อนเลยว่ากูขอโทษในความปากหมาของกู คือกูเข้าใจว่าเราสนิทกัน แต่บางทีกูก็ลืมคิดถึงใจมึง มองข้ามความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนไปเพราะแค่เราสนิทกัน กูไม่อยากให้มึงต้องเสียความรู้สึกแล้วเก็บไว้เพราะแค่ชิน เพราะแค่มันเป็นนิสัยกู อันไหนถ้ากูเหี้ย ด่ากู ให้กูปรับปรุงตัว แล้วให้อภัยกูนะ” มันว่า ไอ้พลอยพยักหน้ายิ้มหวานก่อนจะพูดต่อ

“เออ ก่อนให้อภัยขอด่ามึงก่อน อีสัส ผัวกูทำไม่เสร็จจริง ๆ เวรเอ๊ย” พลอยสบถแบบติดตลกก่อนพวกผมจะหัวเราะพร้อมกัน แล้วกลับมาซีเรียสกันอีกครั้ง

“เอางี้มึง กลับไปนั่งคุยกันที่โต๊ะก่อน ส่วนมึงไอ้มาร์ ข้อหาปากดี วันนี้มึงต้องไปซื้อน้ำให้เพื่อนทุกคน” ผมว่า ไอ้มาร์อ้าปากเหมือนจะถามว่าเกี่ยวอะไร แต่พลอยก็ชิงตอบก่อน

“กูเห็นด้วย ข้อหาทำร้ายจิตใจคนสวยแบบกู” พอโจทย์พูด ไอ้มาร์ก็เบะปากตกลงอย่างเสียไม่ได้ และเพราะมันง้อกันเสร็จแล้ว เราเลยมูฟกลับไปกันที่โต๊ะอีกครั้ง ก่อนทุกคนจะสงบนิ่งแล้วรอให้ไอ้พลอยพูดปัญหาของมัน

“เฮ้อ เมื่อคืนเป้มาหากู เรามีอะไรกัน....สัสอย่ามองหน้ากู กูรู้ว่ากำลังทำอะไร ป้องกันเสมอ ถุงยางติดห้องก็มี” ไอ้พลอยว่าหลังทุกคนทำหน้าสงสัยในดีเทล พอมันตอบแบบนั้นเพื่อน ๆ ก็พร้อมใจกันพยักหน้าให้มันเล่าต่อ

“ปัญหาคือ เป้มันเสร็จไวอ่ะ คือแง่หนึ่งกูก็ดีใจนะว่าแฟนกูไม่ได้ชำนาญอะไรมากเพราะก็เข้าใจว่ามันโฟกัสแต่เรื่องเรียน แต่อีกใจก็แบบ กูรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบ คือมันขึ้นสวรรค์ไปสามรอบ แต่กูอ่ะ? ทำไมกูถึงโดนปล่อยทิ้งไว้ทั้ง ๆ ที่มันเป็นกิจกรรมเป็นคู่วะ? แล้วกูพูดไม่ได้ด้วยนอกจากเล่าให้พวกมึงฟังเนี่ย” มันว่าพลางก้มหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะ

“อันนี้กูเข้าใจไอ้พลอย ปัญหาผัวเมียเนี่ยพูดยากมากที่สุดในโลกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องเสร็จไม่เสร็จ ผู้ชายมันเคยใส่ใจที่ไหนว่าเราถึงรึยัง มีแต่จะเอาตัวเองสบาย” ไอ้ส้มว่า

“มึง แต่กูขอพูดหน่อยได้ไหมอ่ะ ในฐานะความเป็นผู้ชายสักครึ่งหนึ่งของกูก็ได้” ดาวตกกระแอมตอบ ก่อนจะพูดต่อ

“คือกูก็เคยมีอะไรกับผู้หญิงไง แล้วทีนี้มึงต้องเข้าใจว่ากูไม่ใช่ผู้หญิง กูไม่รู้ว่า ‘ถึงแล้ว’ ของผู้หญิง มันคือตรงไหนนึกออกไหม? โอเคใช่ ผู้ชายหลาย ๆ คนอาจจะไม่สนใจ แต่ผู้หญิงเองในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ทำกิจกรรมด้วยกัน ก็ควรบอกกันแบบตรงไปตรงมาไหมว่าต้องการให้ทำอะไรบ้าง” ดาวตกว่า

“อันนี้เคสที่กูเคยเจอ ปกติแล้วรับก็เสร็จยากกว่ารุกเหมือนกัน รับหลาย ๆ คนก็ไม่ค่อยบอกนะว่าตัวเองเสร็จไม่เสร็จ บางคนเขาก็ไม่ได้อยากเสร็จอ่ะ เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เอาให้กูเสร็จก็พอ เพราะถ้าเขาเสร็จก่อนเขาจะไม่มีอารมณ์ให้สอดใส่ เพราะมันจะกลายเป็นเจ็บแทนไปเลย” ไอ้มาร์ออกความเห็น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนทั้งสองคน

“มึงว่ากูควรบอกเป้ถูกมะ?” ไอ้พลอยเงยหน้ากับโต๊ะถาม

“ควร” ทั้งโต๊ะประสานเสียงตอบ

“กูเข้าใจเรื่องความไม่คุ้นชินกับการต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นคุยเรื่องนี้ แต่ยังไงถ้าจะคบกันต่อเซ็กซ์มันก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตคู่อ่ะมึง มึงอาจจะอดทนไปได้ แต่มันจะอดทนไม่ได้ตลอดไง แล้วสุดท้ายพอมันสะสมขึ้นมา กลายเป็นระเบิดเวลา เกิดมึงทะเลาะกันปุ๊บ เท่านั้นแหละ มึงอาจจะเผลอพูดประเด็นนี้ก็ได้” ผมว่า ไม่อยากให้เพื่อนสร้างระเบิดเวลา

“แล้วจริง ๆ เป้มันก็ไม่ได้ผิดด้วย มันมีมึงเป็นแฟนคนแรก ทั้งชีวิตมัน อาจจะไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ได้ว่าผู้หญิงก็ต้องการไปถึงฝั่งฝันเหมือนกัน กูว่าถ้าไม่บอกมันก็ดูไม่แฟร์กับเป้อ่ะ เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำผิดอะไร ในเมื่อมันเป็นดีลของคนสองคนพวกมึงก็ควรจะคุยกันนะ” ทิพย์กล่าวสรุป ไอ้ส้มถอนหายใจออกมาอีกเฮือกแล้วพูดต่อ

“กูควรเริ่มต้นพูดยังไงดีวะ? เอาจริง ๆ แบบไม่เผาผัวตัวเองนะ มึงเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่ทำอะไรกันกูต้องเป็นคนสอนเป้มันใส่ถุงยาง แล้วตอนนั้นแม่งทำหน้าเหวอไปเลยว่าทำไมกูใส่เป็น กูก็เนียน ๆ แถไปว่าไปดูจากอินเตอร์เน็ตมา มันก็ดูเชื่อ ๆ แหละ แต่เอาจริง ๆ กูก็ไม่อยากโกหกมันว่ามันเป็นคนแรกของกูอ่ะ” พลอยว่า ผมพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจเพื่อน

“เมื่อไหร่ที่นี่มันจะเท่าเทียมกันจริง ๆ ซะทีวะ การมีเซ็กซ์ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าป้องกันและดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ควรถูกมองด้วยสายตาที่ไม่โอเครึเปล่าวะ จะบอกว่าไม่ต้องไปแคร์สายตาใคร ก็กูยังเป็นมนุษย์อ่ะ ปลดปลงได้แค่บางเวลา ยังไม่ได้นิพพานนะเว้ย จะได้ไม่คิดอะไรกับคำพูดคน” ไอ้พลอยบ่นอีกระลอก เราทุกถอนหายใจออกมาปลดปลงพร้อมกันด้วยความเข้าใจเพื่อน

“จริง ๆ เรื่องนี้ก็ควรถูกพูดถึงนะ ในหลาย ๆ ความหมายเลย เวลาเจอ Topic อะไรเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์แล้วผู้หญิงเป็นคนพูดถึง หรือในแง่ของความไม่เวอร์จิ้นเนี่ย กูชอบเจอแต่คอมเม้นท์อะไรก็ไม่รู้ โคตรประเทศโลกที่สาม” ไอ้ทิพย์ว่า ทุกคนพยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยอีกครั้ง

“จุ๊ ๆ มึงอย่าพูดดังไป เดี๋ยวคณะข้าง ๆ เขาหาว่าเราเหยียดประเทศอีก” ไอ้มาร์ยกมือจุ๊ ๆ พวกเราทุกคนหัวเราะกันเบา ๆ อีกครั้งในความทะเล้นล้อเลียน ดราม่าของคณะข้าง ๆ คณะเรา

“เหยียดแป๊ะอะไร ในหนังสือเรียนก็เขียนอยู่ว่าประเทศโลกที่สาม คือประเทศที่กำลังพัฒนา ถ้าไม่พอใจที่มีคนบอกว่าประเทศตัวเองเป็นประเทศโลกที่สาม คุณต้องไปประท้วงหน้ากระทรวงศึกษาธิการที่ออกหนังสือเรียนมาอธิบายแล้วล่ะ ว่าประเทศโลกที่สามคือประเทศกำลังพัฒนา” พลอยตอบแทนเพื่อน ผมหัวเราะเมื่อมันบังเอิญเป็นเคสที่ผมคุยกับโชบนรถยนต์เมื่อวานเรื่องการคิดไปเองระหว่างการเหยียดไม่เหยียด

เออว่ะ โช ... ผมควรให้เขาเอาประเด็นเรื่องนี้ไปเขียนด้วยดีไหมนะ?

ผมคิดในใจแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แอบเรคคอร์ดไว้ว่ามันก็เป็นมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจดี จริง ๆ ประเด็นนี้ก็แอบน่าสนใจในอีกแง่มุมหนึ่งในความคิดของผมเหมือนกัน จะว่าไปแล้วตัวละครเพศหญิงในนิยายวายหลาย ๆ เรื่อง ก็ไม่ค่อยมีบทบาทจริง ๆ นั่นแหละ มากสุดก็โผล่ออกมาประกอบซีนให้โลกใบนี้รู้ ว่ายังมีผู้หญิงแท้ ๆ อยู่ หรือถ้ามีบทบาทส่วนใหญ่ก็จะได้รับตำแหน่งตัวละครโง่ ๆ น่ารำคาญไอ้ให้คนอ่านด่าทอเล่น ไม่ก็เป็นตัวละครที่อยากได้พระเอก(ที่เคยเคลมว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ) เรื่องเหล่านี้แล้วจะว่าไป มันก็แอบไม่ต่างอะไรจากนิยายทั่วไป แค่เปลี่ยน Position ของสองเพศเท่านั้นเอง น่าสนใจจริง ๆ แฮะ ว่ามันเกิดจากการทับทบของระบบที่กดขี่ทางเพศทุกวันนี้อยู่รึเปล่านะ? ผมเก็บคำถามไว้ในใจ เตรียมไว้คุยกับโชต่อไป

“กูไม่ขออะไรมาก เอาแค่เริ่มต้นก่อนเลย เลิกเอาเรื่องเซ็กซ์มาผูกมูลค่า วัดความเป็นแม่ของลูกให้ผู้หญิงก่อน แหม ‘ใครจะอยากได้ผู้หญิงที่เคยนอนกับใครเป็นว่าเล่นมาเป็นแม่ของลูก’ ถามผู้หญิงพวกนั้นรึยังว่าเขาจะเอาเธอรึเปล่าก่อนไหม” ไอ้พลอยว่า สงสัยเพื่อนผมเริ่มอิน

“มึงแอบเหยียดนะ แต่อันนี้กูเห็นด้วย ฮ่า ๆ” ไอ้ทิพย์ตอบ พยายามเบรกเพื่อนเบา ๆ

“ก็สังคมชายเป็นใหญ่อ่ะมึง โครงสร้างสังคมมันมาแบบนี้ ก็ต้องค่อย ๆ กะเทาะเปลือกกันไป มรดกวัฒนธรรม ‘ความดีสำเร็จรูป’ ที่สืบทอดกันมา มันแก้กันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่มันก็เริ่มต้นที่จุดเล็ก ๆ แบบพวกเราเนี่ยแหละ ในเมื่อเรามีความรู้ ความเข้าใจมากกว่าแล้ว จากนี้เราก็ต้องค่อย ๆ สื่อสารกับคนในสังคม ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงมันเท่าที่พวกเราจะทำได้” ผมว่า ดีจริง ๆ ที่เจอเพื่อนที่มีแนวคิดเปิดกว้างคล้าย ๆ กัน ทำให้เราต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้

“เอาล่ะ ๆ ก่อนจะไปไกลถึงค่านิยมของคนในสังคม ตอนนี้ต้องสรุปประเด็นให้เพื่อนก่อน พลอย มึงต้องลองหาจังหวะคุยกับเป้ดูว่ามึงไม่โอเคเท่าไหร่ แล้วลองค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนแก้ไขกันไป แรก ๆ อาจจะเคอะเขินบ้าง แต่กูเชื่อว่า คนเป็นแฟนกันมันต้องค่อย ๆ ปรับให้กันและกันได้อยู่แล้ว” ไอ้มาร์ว่า

“เรื่องเสร็จช้า เสร็จเร็ว กูพอมีทริก” ไอ้ส้มพูด เพื่อนทั้งกลุ่มหันไปมอง

“กูว่ามึงควรให้ไอ้เป้ฝึกกับ Sex toy” ไอ้ส้มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พอเห็นเพื่อนทั้งกลุ่มไม่เกทพอยท์ มันเลยขยายความต่อ

“คืองี้ ก็อย่างที่เพื่อนทุกคนบอก ไอ้เป้มันเป็นเด็กคงแก่เรียน มันไม่ประสีประสากับเรื่องอย่างว่าถูกไหม? เพราะงั้นแปลว่ามันไม่รู้จังหวะในการควบคุมไงว่าตัวเอง จะหลั่งตอนไหนไม่หลั่งตอนไหน ไม่เชื่อมึงถามไอ้มาร์ ไอ้ทีได้ มันสองตัวควบคุมจังหวะได้ถูกไหม?” ไอ้ส้มว่าพลางโยนคำถามมาให้ผม

“ถูกนะ กูควบคุมได้ว่าจะเสร็จตอนไหนไม่เสร็จตอนไหน” มาร์ว่า

“เซม กูเกทพอยท์ไอ้ส้มแล้ว คืองี้มึง พอมันชำนาญมากขึ้น มึงจะกะจังหวะผ่อนปรนหรือเร่งเครื่องได้เว้ย มันจะรู้ว่าช่วงไหนที่จะ ‘คูลดาวน์’ ให้จังหวะ มันทอดเวลาต่อไปได้ แต่เรื่องนี้มันต้องอาศัยคนที่คุ้นชินประมาณหนึ่งอะไรงี้ ถึงจะรู้ว่าตัวเองควรค่อย ๆ ชะลอหรือเบรกจังหวะไหน ...ถ้าให้กูเดานะ ไอ้เป้มันรัวทีเดียวจบเลยถูกไหม?” ผมหันไปถามไอ้พลอยต่อ มันพยักหน้าขึ้นลงคอนเฟิร์ม ไอ้มาร์ดีดนิ้วแล้วแนะนำเพิ่ม

“งั้นก็ควรหาแบบที่เสมือนของจริงเลย คือต้องมีระดับความอุ่นของการสอดใส่ด้วย เพราะไอ้เป้มันคงแบบ เคยใช้มาแต่มือตลอดชีวิตใช่ไหม ? ถ้าเป็นแบบนั้นพอเจอความต่างของอุณหภูมิระหว่างมือกับช่องทางของผู้หญิง ก็ไม่แปลกอะไร ถ้าร่างกายมันจะตื่นตัวหลั่งไว” ทุกคนเห็นด้วยอีกครั้ง

“สรุป ไปคุยกับไอ้เป้มันซะ แล้วจูงมือกันไปซื้อ sex toy ด้วยกัน ค่อย ๆ ช่วยกันแก้ปัญหาซะ” ไอ้มาร์สรุปลงท้าย พลอยพยักหน้ารับคำ

“กูรักพวกมึงจัง ถ้าไม่ได้มีเพื่อนแบบพวกมึง ปัญหาแบบกูเนี่ยจะเอาไปปรึกษาใครได้วะ?”

“พุททอล์กพุทโทรไงมึง” ไอ้มาร์กล่าว ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง

“สมมติพี่ต้นหอมรับสาย ‘สวัสดีค่ะ วันนี้น้องพะยอมมีปัญหาอะไรจะปรึกษาพวกพี่คะ?’ อีพลอยตอบ ‘พี่ค่ะ แฟนหนูเสร็จไวค่ะ แก้ปัญหายังไงดีคะ?’ อีเหี้ย กูรับรองเรตติ้งทะลุปรอท ฮ่า ๆ” ไอ้ส้มว่าพลางเลียนแบบสมมติ

“อันนี้ซื้อ ๆ ไว้อันไหนกูไม่อยากปรึกษาพวกมึงจะแอบโทรไปพุททอล์กพุทโทร” ไอ้พลอยว่า ก่อนพวกเราจะหมุนวนประเด็นไปเรื่องอื่น แต่ผมก็แอบจดรายละเอียดหลาย ๆ ส่วนไว้เผื่อว่าจะได้นำไปใช้ในการเป็นโจทย์ให้กับโชอีกครั้ง

ประเด็นที่พลอยพูดเรื่องสังคมแวดวงที่พูดถึงเรื่องนี้ได้ ผมว่าค่อนข้างเป็นประเด็นที่น่าสนใจและไม่ค่อยมีใครพูดถึงจริง ๆ นะครับ อย่างสมมติ ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเกิดมีปัญหาแบบเพื่อนผมขึ้นมา แต่ไม่ได้มีคนที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดอก คนที่สามารถแลกเปลี่ยนสนทนาได้ทั้งจากมุมมองผู้ชาย (ครึ่งหนึ่ง) ผู้หญิง และเพศกลาง ๆ อย่างเพศที่สาม ก็คงยากที่จะเริ่มต้นคิดว่าตัวเองควรแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไงดี

...ถ้าโชได้นำไปเขียนบอกเล่าต่อก็คงดี

“มึงเหม่ออะไรเนี่ย” ไอ้มาร์หันมาสะกิดผม ก่อนผมจะหันไปมองหน้ามัน

“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ?” ผมถาม

“นั่นไง มันไม่ได้ฟังกูพูดจริง ๆ กูถามว่าสรุปคืนนี้มึงจะไปแน่ ๆ ใช่ไหม ไอ้ดาวตกจะได้ไปรับมึง” มาร์ถาม ผมพยักหน้าขึ้นลง ทำอย่างกับว่ากูมีทางเลือกซะอย่างงั้นอ่ะ เล่นขู่ เล่นส่งรถมารับซะเบอร์นี้

“แต่มึงฟังกูนะที ถ้าเมื่อไหร่ที่มึงรู้สึกว่ามึงเหนื่อย มึงไม่ไหว มึงต้องให้พวกกูช่วยนะ” ไอ้ส้มหันมาพูดกับผมจริงจัง

“เออ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ กูรบกวนพวกมึงแน่ ๆ” ผมว่า รู้สึกหัวใจพองโตที่ผมมีคนที่พร้อมจะคอยช่วยเหลือในความยากลำบาก

“เอาล่ะ ก่อนจะสายไปมากกว่านี้ กูว่าขึ้นไปเม้าท์กันต่อบนห้องดีกว่าเดี๋ยวไปสาย วรเชษฐ์แดกหัวอีก” ไอ้มาร์พูด พร้อมลุกเดินนำเพื่อน ๆ ขึ้นไปบนห้องเตรียมรอเรียนคาบเช้าวันนี้

สรุปแล้ว ทุก ๆ เช้าของผม ก็ยังคงยิ้มได้เสมอถ้ามีพวกมัน..

 หลังจากเรียนเสร็จ ผมแยกย้ายกับเพื่อน ๆ ก่อนจะตรงไปร้านอาหารที่ตัวเองทำงาน ทักทายเพื่อนร่วมงานทุกคนก่อนจะพบว่าวันนี้มีเด็กใหม่เข้ามาคนหนึ่ง เขาแนะนำตัวกับผมง่าย ๆ ว่าชื่อ อเนก ผมยิ้มต้อนรับก่อนจะขอตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองในขณะที่เขาโดนจัดไปอยู่ในโซนครัวคอยล้างจาน

น่าแปลก อเนกหน้าตาไม่ได้แย่ ทำไมพี่เปิ้ลผู้จัดการร้านของผมถึงส่งแกไปล้างจานนะ?

แม้จะไม่ใช่วันหยุด แต่ลูกค้าวันนี้ก็ยังหนาหูหนาตา ผมกับเจ้าไอซ์เดินเสิร์ฟกันมือเป็นระวิงเพราะเด็กที่ร้านลาไปคนหนึ่ง และเพราะแบบนั้นเองอเนกถึงได้มีโอกาสมาช่วยพวกผมเสิร์ฟ ในช่วงที่ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จู่ ๆ เหมือนจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างในร้านนิดหน่อย รู้เรื่องอีกทีผมก็มาทราบทีหลังว่า เขามีปัญหากับลูกค้าโต๊ะหนึ่งของร้าน

“เฮ้อ เจ้าอเนกนี่ก็ไม่รู้ฝ่าย HR คัดเข้ามาในร้านได้ยังไง เตี้ยดำขนาดนั้นยังให้เอามาทำงานอีก” พี่เปิ้ลบ่นเบา ๆ ผมหันขวับไปมองอเนก เขาสูงไล่เลี่ยกับผม ไอ้คำว่าเตี้ยดำนั่นก็ดูจะห่างไกลจากตัวเขาไปเยอะ จากสายตาที่ผมมอง เหมือนเขารู้ตัวว่าผมมอง เขาหันมายิ้มให้ผมพร้อมตบบ่าผมเบา ๆ

“ถ้าเป็นคนจิตใจสะอาดแบบนาย ก็คงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามไปหมดนั่นแหละ” เขากระซิบบอกเบา ๆ แต่ผมไม่เข้าใจ อเนกยักไหล่และเดินไปล้างจานในครัวอีกครั้งเมื่อลูกค้าบางตาแล้ว

คงอีกนานเลยกว่าผมจะรู้ความจริงว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร....

เวลาผ่านไปจนเกือบสามทุ่มเศษ ผมสวัสดีทุกคนและขอตัวลากลับ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถบริเวณชั้นบนที่นัดกับดาวตกไว้ พอไปถึงก็เจอเพื่อนในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ดาวตกมองหน้าผมและถอนหายใจจนผมต้องยื่นมือ ไปขอกุญแจรถมาจากมัน เพราะกลัวว่าจะพากันไปไม่ถึงร้านซะเปล่า ๆ

พอขึ้นรถมาได้ ดาวตกก็เล่าสิ่งที่เขากำลังเจอในช่วงนี้ให้ฟัง ผมมองหน้าเพื่อนสลับกับถนนเป็นระยะ ๆ พูดหรือแสดงความคิดเห็นน้อยที่สุดเพื่อให้เขาได้ระบายความรู้สึกข้างในออกมาอย่างสุดหัวใจ ดาวตกร้องไห้หนักมากเหมือนไม่ใช่คนเดิมกับที่ผมเจอเมื่อเช้าหรือช่วงที่ผ่านมา ๆ และปัญหาที่เขาเจอก็ไม่ใช่ปัญหาที่ผมสามารถช่วยเขาแก้ไขได้

“กูเชื่อในสิ่งที่มึงพูด” ผมว่า มันหัวเราะแล้วร้องไห้อีกครั้ง

“มึงว่ากูไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมวะ เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ ใช่ไหมมึง?” มันถามทั้งน้ำตา ผมถอนหายใจเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะตอบกลับ

“โลกใบนี้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จะแปลกอะไรถ้าเนื้อคู่เราอาจจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น” ผมว่า มันยกมือขึ้นเช็ดน้ำหูน้ำตาก่อนจะขอบคุณผมอีกระลอก

“กูว่าวันอาทิตย์นี้กูจะไปหาหมอ”

“ให้กูไปด้วยไหม?” ผมอาสา มันส่ายหน้าแล้วบอกผม

“ไม่ต้องกลัว ถ้ากูไม่ไหวจริง ๆ กูจะรบกวนมึงแน่ ๆ” มันบอกผม ผมถอนหายใจออกมาแล้วมองหน้ามัน เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนที่ทำได้แค่นั่งดูผมร้องไห้ในวันนั้นแล้ว

ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องปลอบ ไม่ต้องเข้าข้าง และนั่งอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เราไม่ไหวก็พอ

แค่นั้นคงเพียงพอแล้วล่ะมั้งสำหรับความหมายของการเป็นเพื่อนกันของพวกผม....

วันศุกร์หรรษานรกแตกที่แท้จริง กว่าผมจะขับรถหอบเอาดาวตกมาถึงร้านก็ปาไปเกือบห้าทุ่มกว่า ๆ แล้ว ผมจอดรถแล้วหอบเอาเพื่อนไปนั่งโต๊ะที่พวกเราจองกันไว้ก่อนจะรอเจ้าภาพมาเปิดงาน รอไม่นานพี่โต้งเจ้าของวันเกิดก็เดินออกมาขอบคุณทุกคน พร้อมเปิดปาร์ตี้น้ำเมาที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้

ตอนแรกก็ไม่อยากมาหรอก แต่พอพี่โต้งมานั่งคุยถึงเรื่องค่ายที่ไปทำกันมาเท่านั้นแหละ ทุกคนเหมือนไม่ได้เจอกันมาสามชาติเศษ ขนสารพัดเรื่องราวปูมหลังมาเรียกเสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผมได้โอกาส แอบบอกถึงความคืบหน้าเรื่องการขอทุนสำหรับจัดโครงการในปีนี้ไป ทุกคนตื่นเต้นกับฟีดแบคที่ได้รับตอบกลับ เพราะกระจายงานเพื่อไปสรุปของผมเป็นสรุปที่ดีที่สุดที่จะเรียกทุนสมทบสำหรับภาคเอกชนหลายใหญ่อย่างคุณเอกได้

เป็นปาร์ตี้ที่สนุกกว่าที่คิด ผมคิดแบบนั้นเมื่อแต่ละคนเริ่มเมาจนรั่วได้ที่ อีส้มถอดรองเท้าส้นสูงก่อนจะขึ้นไปโยก ๆ บนโต๊ะ โดยมีพลอยและทิพย์ช่วยถ่ายคลิปแบล็คเมล์ให้ พนันว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะมีคนตื่นมากรี๊ดกับสตอรี่ไอจีเพื่อนรักทั้งสองของตัวเอง สู่สุคตินะไอ้ส้มเอ๊ย ส่วนไอ้มาร์นะเหรอ? เหอะ มันดีลหิ้วเด็กไปตั้งแต่พี่โต้งยังไม่ย้ายโต๊ะด้วยซ้ำ ดาวตกเองก็ดูจะลืมปัญหาส่วนตัวที่เล่าให้ผมฟังชั่วคราวหลังจากสนุกสนานกับงานปาร์ตี้

ผมหัวเราะและปล่อยตัวเองให้สนุกไปกับบรรยากาศ ก่อนจะขอค็อกเทลเบา ๆ สำหรับคนที่ต้องเป็นหน่วยซัพพอร์ตเพื่อนทั้งปาร์ตี้ แม้สองสาวจะไม่เมา แต่ตอนขากลับก็คงกลับพร้อม ๆ กันหมดอยู่ดี เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมจึงเลือกที่จะไม่เมา

พอเสียงเปิดเริ่มดังขึ้น ผมจึงหาทางปลีกวิเวกเตรียมขึ้นไปนั่งเล่นที่ชั้นดาดฟ้า ร้านของพี่โต้งผมเคยมาครั้งสองครั้ง จำได้ว่าข้างบนมีเสื่อให้นอนดูท้องฟ้า อากาศปลอดโปร่ง และที่สำคัญมันคงน่าจะสงบกว่าด้านล่างแน่ ๆ

ผมก้าวเท้าเดินขึ้นไปตามทางขึ้นบันได เดินวนไปจนสุดทางเดินก็พบกับประตูทางออกไปสู่ด้านนอกตัวตึก ผลักออกเบา ๆ แล้วก้าวเท้าข้ามไป ก่อนสายตาจะพบเจอร่าง ๆ หนึ่งนอนเอกเขนกอยู่บนเสื่อ พร้อมปลายนิ้วที่กำลังคีบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่ไม่ห่าง และต้องยอมรับว่าเขาหูดีมาก ๆ เพราะแค่ผมก้าวเท้าเข้าไปเบา ๆ หมอนี้ก็หันขวับมาหาผมด้วยใบหน้าดุ ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วทำหน้าอมยิ้มอีกครั้งเมื่อมองเห็นหน้าผมชัด ๆ

เขายันตัวลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั้น ก่อนริมฝีปากแห้งนั้นจะค่อย ๆ เปิดออก

“สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์...”

...ให้ตายเหอะ ผมเกลียดน้ำเสียงแหบแห้งของเขาชะมัดยาด


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.13 ปัญหาของแต่ละคน | P3 | 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-10-2018 23:15:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.13 ปัญหาของแต่ละคน | P3 | 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 08-10-2018 04:34:14
ตัดฉึบเลย  :ling1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.13 ปัญหาของแต่ละคน | P3 | 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-10-2018 23:18:42
บทสนทนาที่น่าสนใจเช่นเคย

ปล.  มีเสื้อให้นอนดูดาว > เสื่อ
ดาวตกกระแอ่ม > กระแอม
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.13 ปัญหาของแต่ละคน | P3 | 07/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 13-10-2018 01:30:15
 :z3: :z3: เจอกันอีกแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.14 คุณคนในโปสเตอร์ | P3 | 16/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 16-10-2018 20:54:49


Ep.14 Person in Poster




ผมเตรียมตัวจะหันหลังกลับเมื่อพบว่าดาดฟ้านี้ไม่ได้มีแค่เพียงผมเป็นมนุษย์คนเดียวบนนั้น แต่เสียงแหบแห้งนั้นก็รั้งผมไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ เดินหนีคนอื่นมันเสียมารยาทนะ” เขาว่า ผมหันไปสบตา เขาถอดหูฟังที่ซ่อนไว้ใต้หมวกฮู้ดออก ก่อนจะถลกมันไว้ด้านหลังอย่างลวก ๆ ผมเพิ่งสังเกตได้อีกครั้งว่าเขาไปตัดผมมาใหม่แล้ว ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะกว่าตอนนั้นแฮะ...

เพราะสายตาที่จ้องมองผมมาแบบนั้นแหละ ผมเลยเลือกที่จะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เขา

“ไม่ยักรู้ว่าคนในโปสเตอร์แบบคุณจะมาสถานที่แบบนี้ได้ด้วย” เขาว่า ผมหันไปทำตาขวางใส่ก่อนจะตอบ

“คุณ ผมเป็นแค่เด็กทุนฯ และบนโลกใบนี้ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามเด็กทุนเข้าร้านเหล้า” ผมว่า

“ครับ ๆ ๆ ๆ ผมขอโทษนะ” เขาว่าเสียงแหบ พอมานั่งข้าง ๆ กันแบบนี้ กลิ่นนิโคตินก็ลอยมาแตะจมูกผมอย่างง่ายดาย ให้ตายเถอะ หมอนี้สูบวันละกี่ซองกันแน่เนี่ย?

“สูบบุหรี่จัดขนาดนี้ ระวังจะอยู่ไม่ถึงสามสิบ” ผมว่า เขาอมยิ้มให้ผมแล้วพูดโต้กลับ

“ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ....”

“....” ผมเงียบ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความพิเคราะห์

“คนเราเลือกเกิดไม่ได้...เลือกตายก็เลือกไม่ได้ คุณว่าไหม?”  เขาถาม

“คุณได้กินยาที่หมอให้มาไหม?” ผมเดาสุ่ม เขาหันขวับหันมามองหน้าผมก่อนจะผิวปากล้อเลียน

“นอกจากเป็นเด็กทุนแล้วคุณเป็นหมอดูด้วยรึเปล่า? คุณรู้เหรอว่าผมเป็นอะไร” พอพูดจบก็เอนตัวลงไปนอนซะเฉย ๆ แบบนั้น ก่อนชี้ให้ผมมองไปบนท้องฟ้า

“นั่งแบบนั้นมันเมื่อยเกินไป นอนลงมาสิคุณ”

“ก็ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นดีเพรสฯสินะ?” ผมว่าด้วยความไม่มั่นใจ เขาพยักหน้าขึ้นลงอย่างง่ายดายยอมรับในการสันนิษฐานของผม

“ดีเพรสชัน ไบโพลาร์ ดิสออร์เดอร์ โอซีดี .... ผมมีของแถมจากดีเพรสชันเยอะ” เขาว่าง่าย ๆ ผมล้มตัวลงไปนอนข้าง ๆ ก่อนจะมองท้องฟ้าที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากม่านหมอกที่ไม่มั่นใจนักว่านั่นคือหมอกหรือควันกันแน่

“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าคุณเป็นคนนิสัยดี”

“ยังไง”

“คุณไม่ขี้เสือก”

“ไม่หรอก บางทีผมอาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่ธุระอะไรของผมรึเปล่า”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณจะเลือกปฏิเสธคำขอร้องของผมผ่านทางสายตาเมื่อกี้ แล้วเดินหนีไปเลย คุณคงไม่น่ามานอนข้าง ๆ ผมแบบตอนนี้” เขาตีรวนกลับ ผมจิ๊ปากขัดใจแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป

“ขอบคุณนะ”

“อื้อ”

“คุณว่าคนเรามีความสุขยากไหม?” เขาถามเงียบ ๆ ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าด้านบน

“คนปกติก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นคนป่วยก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ผมตอบอย่างระมัดระวัง  หน้าที่ของคนที่อยู่อยู่ฝั่งฟากของความเป็นปกติ คือความเข้าใจ ส่วนหน้าที่ในการดูแลตัวเองต่อไปคือภาระที่คนป่วยต้องเป็นคนกระทำด้วยตัวเอง

“การเป็นคนปกติมันยากจังเลยเนาะ” เขาว่า บอกไม่ถูกว่าน้ำเสียงแสดงออกไปในทางทิศทางที่แสดงความดีใจหรือแสดงความเสียใจออกมา

“จะปกติหรือไม่ปกติ แค่เป็นมนุษย์ก็ยากทั้งหมดแหละคุณ” ผมตอบแบบกลาง ๆ อีกครั้ง เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะถามคำถามต่อไป

“ความสุขคืออะไร”

“ความสุขคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของคุณมีพลังเสริมที่ไม่มีในยามปกติ” ผมว่า เขาหันมายิ้มให้นิด ๆ

“ไม่น่าละผมถึงไม่มีความสุข”

“.....”

“ผมอยากมีความสุขจัง...”

“อื้ม”

“ผม...นอนไม่หลับ ท้องก็ไม่หิวอะไรเลย เหมือนร่างกายของผมต้องการแค่ผงน้ำแข็ง ผมเคยไม่ทานอะไรมาสามวัน แปลก ...ไม่ยักตาย แต่ขาดไอซ์แค่ไม่กี่วันกับทุรนทุรายจนแทบจะกลายเป็นบ้า” เขาว่า ผมทิ้งตัวลงไปนอนข้าง ๆ เขา

“จริง ๆ ผมว่าผมอาจจะไม่ได้เสพติดไอซ์” เขาบอก ดวงตาเหมือนกำลังคิดอะไรไปมาและหลุบต่ำลง

“ผมอาจจะเสพติดการหนีโลกของความเป็นจริงเข้าไปในโลกที่ทุกอย่างสมดังใจเนรมิตละมั้ง?” เขาว่าด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่กลับหัวเราะได้อย่างเบาบางราวกับเส้นเสียงขาดหายไปในอากาศ ผมหลับตาและหลุบลงทำสมาธิ นึกถึงเหตุการณ์ที่คลับคล้ายคลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นกับตัวเองสักครั้งในชีวิต...

“สิ่งใด...คือความจริง” ผมเปิดปากร้องเพลงเสียงเบาบาง เขาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้ผม



“เราต่างถูกทิ้งให้เป็นแค่เพียงตะกอนของเวลา

อดีตถูกสายลมใดนั้นพัดมา เธอจะรู้ว่ามันไม่เคยมีอยู่

ทุกสิ่งที่คิดว่ามันคือความสุข ปลุกเธอจากฝันกลางวันนั้นคือภาพลวงตา

การเติบโตของเธอนั้นเป็นเพียงแค่วันเวลา

จงเติบโตจากความฝันที่มันไม่มีทาง...จะเป็นจริง”




“จักวาลสมมติ เพลงของวง T_047” ผมกล่าวสั้น ๆ เขาพลิกตัวหันหน้ามาทางผม

“ร้องสิ”

“หื้ม?”

“ผมอยากให้คุณร้องต่อ” อีกฝ่ายว่า พร้อมยันตัวลุกขึ้นกึ่งนอนกึ่งนั่งหันมาทางผม ผมยักไหล่ ถอนลมหายใจ และเปิดปากอีกครั้งหนึ่ง



“ล๊า ลา ลา ภาวนาให้ฉันยังมีลมหายใจเดินทางต่อไปพบใครซักคน

ล๊า ลา ลา ให้เสียงเพลงนำพาล่องลอยไป ปล่อยหัวใจในสายธาร ที่คงไม่หวนคืนมา

สักวัน ฮู้ ฮู คงได้รู้ สิ่งที่เธอไม่เคยได้ดูมันจากควันที่ลอย

จะพาทุกเสียงที่เธอนั้นเคยได้เฝ้าคอย

แค่ในวันนี้ไม่มีหนทางจะพบเจอ

 

ล๊า ลา ลา ภาวนาให้ฉันยังมีลมหายใจเดินทางต่อไปพบใครซักคน

ล๊า ลา ลา ให้เสียงเพลงนำพาล่องลอยไป ปล่อยหัวใจในสายธาร ที่คงไม่หวนคืนมา

เธอยังเฝ้ารออยู่ ใช่ไหม

...เธอยังหายใจอยู่ ใช่ไหม”




ผมร้องพร้อมทิ้งโน้ตท่อนสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วปลาย พร้อมจบเนื้อ ผมก็สูดลมหายใจหนัก ๆ เข้าปอด เพราะปกติแล้วตัวเองไม่ได้จำเป็นต้องร้องเพลงอะไรแบบนี้บ่อย ๆ เขาหัวเราะด้วยแววตาเอ็นดูก่อนจะเอ็ดผม

“คุณอย่าใช้ลมจากปอดสิ ใช้ลมจากหน้าท้องแทน เสียงคุณจะนุ่มขึ้นแล้วคุณจะไม่เหนื่อยเท่านี้” เขาว่า ผมจิ๊ปากขัดใจกับคนที่สั่งให้คนอื่นร้องเพลงแล้วยังกล้าตำหนิอีก และเพราะสายตาของผมนั่นแหละที่มองเขาด้วยแววตาหาเรื่อง เจ้าตัวนั่งเหมือนนั่งสมาธิ ประสานมือไว้ตรงจุดกึ่งกลางและค่อย ๆ เปิดปากเปล่งเสียงออกมาด้วยเนื้อเพลงที่เป๊ะ ๆ เหมือนที่ผมร้องเมื่อตะกี้ แต่ถ้าพูดในแง่คุณภาพแล้ว ผมนึกว่าตัวเองกำลังนั่งฟังศิลปินสักคนร้องเพลงอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ผมปรบมือแปะ ๆ รัว ๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ อีกฝ่ายหันมาหาผมด้วยสายตาเหมือนไม่ได้ทำอะไรที่น่าสนใจเลย ราวกับว่าเขาแค่เพิ่งไปดื่มน้ำมาหยก ๆ เท่านั้นเอง

“คุณเคยฟังเพลงนี้มาเหรอ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ แล้วตอบกลับประโยคที่ทำให้ผมตกใจ

“ฟังจากคุณเมื่อสักครู่ไง” เขาว่า ผมทำหน้าเหวอก่อนจะชมเขาต่อ

“คุณเก่ง” ผมว่า แม้จะเป็นเนื้อร้องที่ไม่ได้ยาวนัก แต่การฟังแล้วจับจังหวะพร้อมทั้งเนื้อร้องได้ภายในครั้งเดียวนั้นไม่เรียกว่าเก่งแล้วจะเรียกอะไรได้อีก? 

อีกฝ่ายส่ายหน้าช้า ๆ ยิ้มให้ผมด้วยแววตาเลื่อนลอยอีกครั้ง

“ไม่เลย ในครอบครัวผม สิ่งที่ผมทำ คือสิ่งที่ทุก ๆ คนก็ทำได้ ใคร ๆ ก็ทำได้ นั่นแปลว่าผมไม่ได้เก่งอะไร” เขายักไหล่แล้วตอบ ทิ้งตัวลงไปนอนอีกครั้ง

“ผมไม่สนว่าคุณจะคิดว่าคุณเก่งไม่เก่ง แต่สำหรับผม ผมฟังแล้ว ผมรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด นอกจากความพยายาม คุณมีของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้คุณ” ผมว่า เขายิ้มทั้งหลับตากอดอกทั้งสองข้าง

“คุณอ่อนโยนจังเลย”

“ผมไม่ได้อ่อนโยนกับใครทั้งนั้น ผมแค่พูดออกไปตามเรื่องตามราว”

“ผมไม่สนว่าคุณจะอ่อนโยนจริง ๆ หรือไม่ได้อ่อนโยน แต่แค่ผมรู้สึกว่าคุณอ่อนโยนกับผมมาก ๆ มันก็มากพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” อีกฝ่ายว่าแกมย้อนผม แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาเปลี่ยนไป อย่างน้อย ๆ คำลงท้ายนั้นก็สุภาพมากกว่าประโยคปกติของเขาแล้วหลายเท่าตัว

เราทั้งคู่ปล่อยตัวเองไว้กับหมู่ดาวบนฟากฟ้าแบบนั้น มันเป็นความเงียบแบบที่ไม่อึดอัดสักนิด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เราก็เจอกันโดยบังเอิญถึงสามครั้งแล้ว และในแต่ละครั้งก็มันจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่คิดว่ามันควรจะเกิดขึ้นสักนิด ผมถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองฟ้า กำลังสงสัยว่าใครหรืออะไรบนนั้นกำลังอยากเล่นตลกอะไรกับผมอีกรึเปล่า

“คุณ” เขาเรียก พอผมหันไปมองก็พูดต่อ

“คุณกลัวความตายไหม?” เขาถาม ผมพยักหน้า

“กลัวสิ ไม่ว่าใครก็กลัวตายทั้งนั้น” ผมตอบ

“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้กลัวตายหรอก แค่มนุษย์กลัวความไม่รู้ เราไม่รู้ว่าเราตายแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราหลังจากนั้น และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราอยากทำก่อนจะตายเราได้ทำหมดจริง ๆ รึยัง ผมกลัวตาย เพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากผมตายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่างหาก...” ผมขยายความหมายในคำตอบของตัวเอง อีกฝ่ายยกแขนมาเกยหน้าผากไว้แล้วถามต่อ

“ในเมื่อเรารู้ว่าสักวันเราต้องตาย ทำไมเราถึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”

“ผมก็ไม่รู้” ผมตอบง่าย ๆ เว้นวรรคแล้วพูดต่อ

“...แต่ผมรู้แค่ว่าอย่างน้อยที่สุดความตายก็ไม่ใช่เรื่องแย่สักเท่าไหร่” เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจในคำตอบ ผมอมยิ้มแล้วอธิบายต่อในมุมมองของตัวเอง

“เพราะมีความตายชีวิตของคนเราจึงมีความหมายในการมีลมหายใจต่อไป....”

“ผมไม่เข้าใจ”

“คุณ ผมคิดแบบนี้นะ เวลาที่คนเราซื้อพลุดอกไม้ไฟมาจุดน่ะ เงินที่เราเสียไป เราไม่ได้เสียให้กับแค่ราคาต้นทุนการผลิตของพลุดอกไม้ไฟ แต่เราเสียเงินให้กับภาพความทรงจำของพลุดอกไม้ไฟที่มันจะสว่างไสวไปในความทรงจำของเราไปตลอดกาลต่างหาก...”

“เพราะมีการเกิด เพราะมีการดับ เพราะมีจุดเริ่มต้น เพราะมีจุดสิ้นสุด ชีวิตถึงมีความหมาย ความทรงจำจึงมีคุณค่าในตัวมันเอง มนุษย์เราจ่าย ‘ชีวิต’ ออกไป เพื่อสร้างสรรค์ความสวยงาม และสรรค์สร้างความเลวร้าย เมื่อมีคนที่คิดจะทำลายล้างก็มีคนที่คิดจะปกป้อง คือขาวและดำ คือความงดงามของหยินและหยาง ของโลกใบนี้” ผมร่ายยาว เขาผิวปากรับฟังอย่างตั้งใจ

“คิดดูนะ ถ้าโลกใบนี้ไม่มีความตาย มนุษย์คงดำรงชีวิตด้วยความเบื่อหน่ายไปวัน ๆ เพราะไม่มีจุดจบ ก็ไม่มีจุดหมาย ไม่มีปลายทางให้เดินตามหา เสมือนคนที่ลองทำมาจนหมดทุกอย่าง ทำมาจนไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ ผมไม่คิดว่าโลกใบนั้นจะเป็นโลกที่น่าอยู่นักหรอกนะ ในแง่ของความยากลำบากแล้ว การตายคือชนวนที่ทำให้คนเราดิ้นรน ทำในสิ่งที่ควรจะทำในเวลาที่ทำได้ แม้เข็มนาฬิกาของเราทุกคนจะเดินถอยย้อนกลับไปยังจุดจบเสมอนับตั้งแต่ตื่นลืมตาบนโลกใบนี้ แต่ว่า...”

“.....”

“ถ้าจะต้องตาย อย่างน้อยที่สุดแล้ว ผมจะฝากจารึกอะไรสักอย่าง ร่องรอยที่ยืนยันได้ว่าผมเคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ อาจจะฟังดูบ้า ๆ ไปบ้าง แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการตอบแทนให้กับโลกใบนี้ ตอบแทนให้กับทุกสิ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันบ้ามาก ๆ นะ แต่คุณรู้ไหม ผมไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวผมเองเลยสักครั้ง”

ผมมองหน้า สบตากับเขา แล้วพูดคำนั้นออกมาจากหัวใจ

“...เพราะผมรู้สึกว่า ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนตลอดเวลา”

“ผมอยากเข็มแข็งให้ได้สักส่วนหนึ่งที่คุณทำให้ผมรู้สึก”

“ทำไมคุณต้องอยากเข็มแข็งแบบผม ในเมื่อเราแต่ละคนก็มีความเข้มแข็งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วคุณเป็นผมไม่ได้ คุณทำได้แค่เป็นตัวคุณเองเท่านั้น”  ผมว่า นั่งตัวตรงให้เขาซบมา ทุลักทุเลนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายมีส่วนสูงที่มากกว่าคุณ แต่ผมชินแล้วกับการที่อีกฝ่ายจะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างหรือดีกว่าผม

เพราะสุดท้ายแล้วเราต่างล้วนเป็นมนุษย์ที่กำลังแตกสลาย

“คุณครับ”

“ว่า?”

“ถ้าผมตายคุณจะร้องไห้ให้กับผมไหม?”

“ก็อาจจะร้องมั้ง?”

“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?”

“ไม่รู้สิ ก็อาจจะร้องหรือไม่ร้องก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

“คุณ”

“ว่า?”

“ถ้าผมคิดจะฆ่าตัวตายคุณจะห้ามผมไหม?” เขาถาม ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะบอกกับเขา

“ผมอาจจะไม่เหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่ถ้าพูดกันตามตรง เราไม่รู้จักกันแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ คุณและผม เราต่างเจอกันด้วยความบังเอิญ เป็นแค่การโคจรมาเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จนถึงตอนนี้ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมผมถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ คำถามของคุณตามหลักมนุษยธรรม ไม่มีใครอยากเห็นใครตายหรอก”

“ตามหลักมนุษยธรรมเป็นแบบนั้น แล้วตามหลักการของคุณล่ะ คุณคิดว่ายังไงกับการจะตายหรืออยากจะตายของผม” เขาถาม

“ผมมีสิทธิ์ห้ามคุณเหรอ?” ผมตอบและว่าต่อ

“เพราะความเศร้าเป็นสมบัติส่วนบุคคล คุณไม่สามารถแบ่งปัน หรือลดทอนความเศร้าอันนั้นได้ด้วยการแจกจ่ายให้กับใคร สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่ต้องรับ ‘ทั้งหมด’ นั่นก็คือตัวคุณเอง นั่นคือชีวิตของคุณ นั่นคือการตัดสินใจของคุณ นั่นคือทางเลือกของคุณ สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน....”

“.....”

“...ผมจะเคารพทุก ๆ การตัดสินใจของคน ๆ หนึ่งเสมอ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดี ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนไม่ดี แต่เพราะชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของคุณ แล้วจะให้ผมเอาหลักเกณฑ์อะไรไปบอกว่าสิ่งที่คุณทำมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดหรือถูกต้อง ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคน ๆ นั้น ผมไม่ได้ร่วมรับความเจ็บปวดนั้นไปกับคุณ”

“หากพลุดอกไม้ไฟในชีวิตของคุณเบ่งบานและงดงามมากพอเท่าที่คุณจะพอใจแล้ว ต่อให้มันจะดับลงหรือแหลกสลายลงไป ขอให้รู้ไว้ว่าคุณจะไม่ตายไปจากความทรงจำของผมตลอดไป อย่างน้อยที่สุดผมจะยังจดจำคุณได้เสมอในฐานะที่ครั้งหนึ่งโลกหมุนวนผมมาเจอกับคุณ”

“เพราะงั้นแล้ว ... ถ้าเจ็บปวดก็จงร้องไห้เถอะนะ ผมจะอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ คุณเอง” ผมบอกกับเขาแบบนั้นพร้อมกอดคนข้าง ๆ ที่กำลังนั่งร้องไห้ข้าง ๆ ผมไว้แบบนั้น  ยินดีให้อีกฝ่ายซบอกของผมเป็นการหลบซ่อน และตัดขาดจากโลกใบนี้ชั่วคราว

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ตรงนี้...ผมจะอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะพอใจ”

มนุษย์เราคือสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและแปลกประหลาด

...เรามักใช้หัวใจพัง ๆ ของเราปลอบใจหัวใจพัง ๆ ของใครบางคน  ๆ เสมอ

ในอ้อมกอดของคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อของกันและกัน ผมทำได้แค่กอดและปลอบโยนเขาแบบนั้น จนกว่าเสียงร้องไห้ของเขา จะจางหายไปในอากาศ....


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.14 คุณคนในโปสเตอร์ | P3 | 16/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-10-2018 21:16:19
เยี่ยมมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.14 คุณคนในโปสเตอร์ | P3 | 16/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 16-10-2018 21:32:20
อ่อนโยนจริงๆ อยากมีคุณคนในโปสเตอร์เป็นของตัวเอง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.14 คุณคนในโปสเตอร์ | P3 | 16/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2018 21:37:33
 :mew2: :mew2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.15 รุ่นพี่ รุ่นน้อง | P3 | 23/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 23-10-2018 21:41:53


Ep.15 Senior & Junior




คืนวันศุกร์ของผมจบลงไปพร้อมกับการปลอบประโลมคนแปลกหน้า แม้ความเศร้าไม่จางหาย แต่กาลเวลาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ผมทำได้เพียงปลอบคนที่ตัวโตกว่าผมมาก ๆ ไว้ในอ้อมกอด และปล่อยให้เขาร้องไห้จนหมดแรงจะร้อง นานเท่าไหร่ไม่รู้จนผมเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงผมที่นอนอยู่บนเสื่อ พร้อม ๆ กับเสื้อฮู้ดของใครบางคนที่ตั้งใจสวมไว้ให้ผมกันหนาว รู้สึกตัวอีกทีก็เจ้าดาวตกนั่นแหละครับที่ขึ้นมาเรียกผมจากบนดาดฟ้า

หมอกหรือควันล้วนไม่แน่ใจ แม้จะเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันกับผม เราล้วนแตกสลายในทุก ๆ ค่ำคืน ก่อนจะประกอบตัวใหม่อีกครั้งก่อนฟ้าสาง ผมรับรู้ ผมเข้าใจ แต่มนุษย์เราล้วนมีข้อจำกัด เราทำได้แค่ในสิ่งที่เราพอจะทำได้ก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วบาดแผลในใจของแต่ละคน

...มีเพียงแต่เจ้าตัวเองเท่านั้นที่จะรักษามันได้

อย่างที่ผมบอกไป ไม่ว่าใครก็แบ่งปันความเศร้าจากใครอีกคนไม่ได้ เราทำได้แค่เพียงประคับประคองและนั่งมองอีกฝ่ายแตกสลายลงไปช้า ๆ จนกว่าหัวใจของเขาจะฟื้นคืนกลับมา ผมหวังว่าพรุ่งนี้เช้าจะยังมาถึงสำหรับเขาเสมอ ๆ ....

หลังจากเป็นคนขับรถตระเวนพาทุกคนวนไปส่งกันจนครบ ในที่สุดก็ได้มติเป็นเอกฉันท์จากคนที่ยังพอมีสติอยู่คือผมและดาวตก เราหิ้วพวกมันทุกคนไปยัดรวมกันที่คอนโดของไอ้ส้ม (ซึ่งผมพนัน 10 เหรียญเลย พรุ่งนี้มันต้องตื่นมากรี๊ดร้องกับความชั่วร้ายในสตอรี่ไอจีของเพื่อน ๆ แน่นอน ลาก่อน   ไอ้ตุ๊ด)

เสร็จสิ้นทุกอย่างผมก็ขับรถไปส่งดาวตกเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะบอกลามันแล้วโบกรถมอเตอร์ไซค์กลับหอตัวเอง เป็นอันจบสิ้นแล้วคืนวันศุกร์อันแสนยาวนาน....

...................

เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นด้วยอาการเวียนหัวเล็กน้อย เพราะรู้ขีดจำกัดของตัวเองและดื่มไปน้อยมาก ๆ นอกจากอาการคัดจมูกเพราะตากอากาศหนาวบนดาดฟ้าแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ ผมเตรียมตัวไปทำงานอีกครั้งพร้อมเข้าทวิตเตอร์ที่อาทิตย์นี้ไม่ได้เข้าเลยสักครั้ง กดอ่านอินบ็อกซ์ ตอบข้อความที่ควรจะตอบ และบล็อกบางข้อความที่ไม่น่าสนทนา เสร็จสรรพหลังจากนั้นก็ล็อกเอ้าท์ แล้วเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อไปทำงานพิเศษในช่วงบ่ายต่อ

น่าแปลก เจ้านากเผือกเงียบหายไปเลยตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันศุกร์ แมสเสจสุดท้ายที่ผมได้รับจากเขาคือการส่งมาบอกว่าตัวเขาเองขับกลับ ถึงบ้านแล้วหลังขับรถมาส่งผมตอนที่เราดูหนังด้วยกันเสร็จ

น่าจะติดงานล่ะมั้ง? ผมคิดแบบนั้น  ...จริง ๆ แล้ว ผมค่อนข้างชินกับการหายไปของคนที่เคยอยู่ในชีวิตของผมบ่อย ๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไร ความสัมพันธ์พวกนี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระยะยาวอยู่แล้ว มันเหมือนแค่เชื้อเพลิงที่ติดขึ้นมา ลุกโชน และดับลงไปง่าย ๆ นั้นแหละครับ จะบอกว่าผมค่อนข้างชินแล้วก็ไม่แปลกอะไรนัก

‘ไลน์’

ผมหันขวับตามเสียงแจ้งเตือนที่ตั้งค่าไว้ในมือถือ ไลน์ของผมมีเสียงเด้งแจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา ก่อนจะกดอ่านแล้วพบว่าเป็นคนที่ผมกำลังนินทาเมื่อกี้นี้เอง

‘อยู่ซับโปโร อยากได้อะไรไหม?’

เขาพิมพ์มาสั้น ๆ  พร้อมส่งรูปตัวเองยักคิ้วข้างหนึ่งและชูสองนิ้วตรงถนนอะไรสักอย่างที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผมหัวเราะในกับอารมณ์ขันของเขาก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไป

‘ไปญี่ปุ่นไม่เห็นบอก’

‘ขอโทษที พอดีผมมีงานด่วนนิดหน่อยนะ’

‘จ้า พ่อนักธุรกิจพันล้าน’ ผมกัด

‘คุณรู้ ?’ เขาตอบกลับมา ผมเอียงคอมองข้อความก่อนจะตอบกลับ

‘รู้อะไรคุณ ผมงง?’ ผมถามเขากลับ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นมุกอะไรรึเปล่า

‘เปล่า ๆ ไม่มีอะไร แล้วคุณทำอะไรอยู่’

‘ผมกำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำไปทำงานพิเศษน่ะ’ ผมว่า

‘เหรอ ? ผมโทรไลน์หาแป๊บหนึ่งได้ไหม’ เขาตอบกลับ

หลังจากผมกดส่งสติกเกอร์เป็นรูปหมีโอเคไป รอไม่ถึงนาทีเขาก็โทรไลน์มาหา ผมกดรับสาย ก่อนจะกรอกเสียงลงไปหาคู่สนทนา

“สวัสดีครับ”

‘สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง’

“ผมสบายดี คุณละ เดินทางฉุกละหุกเตรียมตัวทันไหม”

‘ทันครับ ดีว่ามีคนช่วย ใช่ไหมไอ้แจ้’ เขาว่า ท้ายเสียงเหมือนหันไปคุยกับใครอีกคน

“ไปทำงานหรือไปเที่ยววะนั่น” ผมหยอกขำ ๆ เขาหัวเราะตอบกลับ ก่อนจะพูดต่อ

‘อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมซื้อไปฝาก’

“โอก้าโมโต้ 001” ผมหยอกเขาเล่น ปลายเสียงยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

‘ไซซ์ไร’

“56 ผมใส่ได้แค่ไซซ์เดียว” ผมว่า

‘ขิงเก่ง’ เขาตอบกลับ ผมได้ยินเสียงเหมือนคนข้าง ๆ เขาหัวเราะร่วนจนเจ้าตัวหันไปชู่วใส่

“ผมล้อเล่นนะคุณ ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากก็ได้ คุณไปทำงานไม่ใช่เหรอ”  ผมบอกอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นพูดจริงเรื่องของฝาก ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามแต่ ผมไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับเขาถึงขนาดจะฝากให้เขาซื้ออะไรมาฝากได้

‘ครับ แต่ยังไงก็เดี๋ยวจะหาอะไรไปฝากแล้วกันนะ’ เขาตอบกลับ

“อ่า ๆ แล้วนี้กลับวันไหนครับ?”  ผมถาม

‘น่าจะประมาณ.. ไม่พรุ่งนี้ก็อีกวันสองวันมั้งครับ..กลับวันไหนวะแจ้?’ ท้ายประโยคเหมือนหันไปถามคนข้าง ๆ เขาเงียบไปแป๊บ ก่อนอีกเสียงจะตอบกลับว่าช้าสุดกลับตอนมะรืน

‘ไม่น่าจะเกินมะรืนนี้ครับ’

“อ่าห๊ะ ยังไงก็เซฟทริปนะครับ” ผมอวยพร

‘ครับ ไว้กลับไปแล้วผมจะขอนัดหน่อยนะครับ’

“นัด?” ผมทวนคำพูดของเขา เจ้าตัวลากเสียงอ่ายาว ๆ ก่อนจะตอบ

‘ก็นัดสัมภาษณ์งานต่อนั่นแหละครับ ตอนนี้ข้อมูลเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผมว่าจะเอาไปอวดให้คุณดูว่าเนื้อหาประมาณนี้คุณโอเคไหมกับโครงเรื่องของผม’ เขาร่ายยาว

“จริง ๆ ผมยังไงก็ได้นะครับ เพราะยังไงมันก็เป็นนิยายของคุณนี่” ผมว่า เพราะคิดว่ามันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขาที่จะขึ้นโครงเรื่องแบบไหนก็ได้ ขอแค่ข้อมูลมันถูกต้องก็พอแล้ว

‘มันไม่ใช่นิยายของผมคนเดียวซะหน่อย งานนี้ต้องบอกว่าเป็นนิยาย “ของเรา” ต่างหาก ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากคุณ ผมเขียนไปก็คงคล้ายนั่งเทียนเขียน ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเห็นภาพเหมือนอย่างผมที่เขียนเพราะได้ข้อมูลมาจากคุณหรอก’

“คุณพูดแบบนี้กับคนทุกคนที่คุณไปขอข้อมูลจากเขามาเขียนรึเปล่า?” ผมตั้งคำถาม ปลายสายเงียบไปก่อนจะตอบกลับมา

‘ถ้าบอกว่าใช่ก็แปลว่าผมโกหก’

“โอเค งั้นช่วยโกหกให้ผมฟังหน่อยละกัน” ผมพูดติดตลก แต่ปลายสายเงียบไป

“โช เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

‘คุณ....’

“ครับ ...ผมทำไม?” ผมถาม

‘คุณมันเด็กบ้า’

“เอ้า .... เดี๋ยว ๆ เกิดอะไรขึ้นคุณ ทำไมอยู่ดี ๆ ว่าผมแบบนั้น” ผมถาม เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายว่าแบบว่าเล่น ๆ หยอกล้อหรือโกรธอะไรผมจริงจังรึเปล่า

‘เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย บ้าที่สุด ’ เขาไม่ตอบคำถาม แต่ว่าผมเพิ่ม จนผมได้แต่นั่งงงกับตัวเองเป็นไก่ตาแตกว่าตัวเองทำผิดอะไรลงไปรึเปล่า

“นี่ผมทำคุณโกรธรึเปล่า ซีเรียสนะ?” ผมถามเชิงซีเรียส อีกฝ่ายถอนหายใจเบาบางก่อนจะบอก

‘เปล่า คุณไม่ได้ทำผมโกรธ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่รู้จริง ๆ ’ เขาตอบ

“รู้ว่า?” ผมถาม

‘......’

“คุณ ถามจริง ๆ คุณโกรธผมรึเปล่า หรือผมทำอะไรผิดไหม? คุณบอกผมได้นะ แต่อย่าเงียบใส่ผม เพราะบางทีผมก็ไม่ได้มองออกไปหมดทุกอย่าง หรือเข้าใจทุกเรื่องราวได้ขนาดนั้น ถ้าคุณไม่พูด ผมอาจจะไม่มีวันรู้ไปตลอดเลยก็ได้นะ ว่าสิ่งที่คุณต้องการจากผมคืออะไร”

ผมบอกออกไป ไม่ใช่เฉพาะกับโช แต่กับมนุษย์ทุกคนที่เดินทางเข้ามาในชีวิตของผม ผมก็จะพูดประโยคเดียวกันทั้งหมด

“ต้องเข้าใจในความเป็นผมก่อน ผมเป็นคนไม่ชอบเดา และเกลียดการไม่พูดอะไรอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง ผมทราบดีว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถบอกเล่ากันได้โดยสะดวกใจนัก แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว อะไรที่ควรพูดตรง ๆ คุณก็ควรพูดกับผมตรง ๆ เพราะไม่งั้นแล้ว ผมจะไม่มีวันเข้าใจความคิดของคุณ ผมอ่านใจใครไม่ได้ และการคาดเดาว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเป็นเรื่องที่กินพลังงานและไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุด “

ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมามันยากกว่ากันตรงไหน

‘ผมไม่ได้โกรธคุณ และผมรู้แล้วว่าตัวผมควรทำยังไงต่อไป’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

“คุณจะทำอะไร?” ผมถาม

‘หลังกลับไทย ผมจะไปหาคุณ แล้วเราจะคุยเรื่องนี้กัน’

“เรื่องอะไร” ผมถาม ผมได้ยินเสียงโชสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะตอบออกมา

‘เรื่องของผม..กับคุณไง’

จบประโยคนั้น ผมเหมือนโดนชกจนติดสตั้น  ผมเงียบไปราว ๆ ห้าวินาทีก่อนอีกฝ่ายจะทักกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

‘...ฮัลโหล’

“ครับ...”

‘เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดอย่างชัดเจนใช่ไหม?’ เขาว่า

“อ่าห๊ะ”

‘ครับ ก็ตามนั้นแหละ ไว้กลับไทยแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน... แป๊บ ขออีกสามนาที’ เขาพูดเร็วปร๋อเหมือนกลัวผมแย่งพูด ปลายประโยคพูดเสียงเบาบาง ผมคิดว่าเขาน่าจะหันไปพูดกับคนข้าง ๆ ในประโยคหลังนั้น

“โอเคครับ”

‘โอเค เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อแล้ว ยังไงไว้จะทักไลน์หานะครับ’

“ครับ” ผมตอบกลับทั้ง ๆ ที่สมองยังมึน ๆ

‘คุณ’

“....”

‘ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ...ผมเป็นห่วง’

พอจบประโยคนั้น อีกฝ่ายก็ตัดประโยคไปเลย ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างกลางอากาศอยู่คนเดียว ไม่ทันแม้แต่จะตอบกลับหรือพูดอะไรด้วยซ้ำ ผมนิ่งอยู่แบบนั้นเกือบนาทีก่อนอีกฝ่ายจะส่งข้อความมาย้ำ

‘ไปทำงานแล้วนะ ไอ้อ้วน’

...เอาล่ะ ผมว่ามีคนอยากตายหลังกลับจากญี่ปุ่นแล้ว ผมส่ายหัวกับคนในโทรศัพท์ที่ทำเอาผมเปลี่ยนมู้ดไปมาไม่หยุด ไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองควรรู้สึกแบบไหนกับเขา ไม่ทันจะได้เขินก็กวนผมซะบ้าบอแบบนี้ สงสัยกลับจากญี่ปุ่น คงต้องมีคนโดนผมเอาคืนสักดอกอย่างแน่นอน

กระโดดเอาคางเกยหมอนเน่า ก่อนจะพิมพ์ตอบเขาว่า  ‘ครับ พ่อคนตาโต’ พร้อมสติกเกอร์รูปอาตี๋ตาเหลือขีดเดียวเป็นการล้อเลียนอีกฝ่ายกลับไป ไม่นานข้อความก็ขึ้น read ก่อนเขาจะบอกว่าต้องไปทำงานแล้วจริง ๆ เป็นอันจบบทสนทนาของคนที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาอยู่ในความคิด...

...อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาอยู่ในความคิด งั้นเหรอ?

นั่นสินะ จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนคุย คู่นอน หรือใครก็ตามแต่ ผมไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถาม ไม่กระทั่งแม้แต่จะใส่ใจด้วยซ้ำว่าใครจะยังอยู่ หรือจะไปจากชีวิตของผม แล้วทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าโชหายไปทั้ง ๆ ที่มันก็แค่วันสองวันเองที่เขาไม่ได้ตอบไลน์ผมอย่างที่เคย

ผมถอนหายใจออกมากับตัวเอง ทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไว้เบื้องหลัง หลับตาพริ้มปล่อยให้หัวสมองโล่งจากความขัดแย้งในจิตใจที่กำลังประเดประดังเข้ามา วูบหนึ่งในหัวใจของผมพองโตอย่างบอกไม่ถูกกับอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายบอกใบ้ แต่วูบหนึ่งผมก็จิตใจของผมก็เงียบลงไปเมื่อ ‘กรง’ ขนาดมหึมาผุดขึ้นมาในหัวผมอีกครั้งหนึ่ง เสียงสัตว์ร้ายในหัวย่อตัวหมอบและครางหงิง ๆ ไปมา

...ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ผมควรจะทำยังไงดีกับความรู้สึกประหลาด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ผมจะมีได้จริง ๆ น่ะเหรอ? 

...ไอ้ความสัมพันธ์ที่ใครเขาเรียกกันว่า “ความรัก” น่ะ

 

........................................

 

หลังจากปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านสักพักใหญ่ ๆ ผมถีบตัวเองไปอาบน้ำ ก่อนจะแต่งตัวแล้วมาทำงาน เช่นเคยกับทุก ๆ วัน เจ้าไอซ์ นกน้อย และคนอื่น ๆ ก็มาทำงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผมทักทายเพื่อนใหม่ที่เริ่มจะคุ้นเคยกัน ก่อนพวกเราทั้งหมดจะช่วยกันทำงานต่อไป วันนี้ลูกค้าไม่เยอะมากเพราะเป็นช่วงเกือบจะปลายเดือนแล้ว ร้านจะแน่นอีกครั้งก็นั่นแหละครับ ช่วงเงินเดือนออก ชีวิตคนเราก็หมุนวนกับสามสิบวันที่ตังค์ออกเนี่ยแหละครับ

ทำงานจนเกือบสามทุ่มก็ได้เวลาเลิกงาน ผมแตะบัตรกดออกจากที่ทำงาน ฮัมเพลงบลา ๆ เพราะตัวเองมีแพลนจะขึ้นไปดูหนังหลังเลิกงาน ผมเดินไปซื้อตั๋วก่อนจะนั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ ตอนนั้นเองที่ไลน์ของผมเด้งขึ้นมา

‘สวัสดีครับพี่เสือ’

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำทักทายดังกล่าว ก่อนจะกดเข้าไปอ่าน แล้วร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ของเจ้าแม็กซ์

‘สวัสดีเด็กน้อย สบายดีไหม?’ ผมทักทายกลับ อีกฝ่ายอ่านแล้วนิ่งไปเฉย ๆ แบบนั้น สักพักข้อความใหม่ก็ส่งกลับคืนมาให้กับผม

‘สบายดีครับ พี่เสือว่างไหม ผมขอคุยกับพี่แป๊บหนึ่งได้ไหม’

‘ได้สิครับ’ ผมว่า หลังมองเวลาแล้วตัวเองเหลือเวลาอีกสักพักกว่าจะได้เข้าโรงภาพยนตร์ รอไม่นานน้องแม็กซ์ก็โทรไลน์เข้ามาหาผม พอกดรับสายก็ได้ยิน  อีกฝ่ายพูดตอบกลับมาก่อน

‘สวัสดีครับพี่ ขอโทษที่โทรศัพท์มารบกวนดึก ๆ นะครับ’ น้องแม็กซ์เปิดบทสนทนาด้วยการขอโทษขอโพย ผมหัวเราะในความใสซื่อก่อนจะตอบกลับกับเขา

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ดึกหรอกสามทุ่มเอง”

‘ครับพี่ แม็กซ์จะถามว่า วันจันทร์นี้พี่ว่างไหมครับ?’ ผมขมวดคิ้ว แต่ก็เปิดดูตารางนัดหมายของตัวเองแต่โดยดี

“ก็ว่างนะครับ ทำไมเหรอ?” ผมถาม เจ้าตัวเงียบไปนิดก่อนจะบอกกับผม

‘ถ้าสะดวก...พี่อยากมาหาแม็กซ์ไหม?’

ไม่ต้องคิดให้มากความ ผมก็เข้าใจนัยยะของคำว่า “มาหา” ของเจ้าแม็กซ์ คงไม่ใช่การไปหาเพื่อนอนกอดกันใส ๆ อย่างแน่นอน

“ถ้าหลังพี่เลิกเรียนก็ได้นะครับ พี่ไปหาได้ และเราสะดวกให้พี่ค้างไหมล่ะ หรือต้องกลับ?” ผมถาม

‘ค้างได้ครับพี่ บ้านแม็กซ์ว่าง พ่อแม่แม็กซ์ไม่ค่อยกลับ...ไม่สิ ไม่กลับมาบ้านมาเป็นเดือนแล้วครับ’ เขาว่าเสียงอ่อย ๆ ผมสะดุ้งตัวนิดหน่อยกับคำบอกเล่าลงท้ายของเจ้าแม็กซ์

“โอเคครับพี่ไปหาได้”

‘ได้ครับ เดี๋ยวแม็กซ์ส่งโลเคชั่นไปให้นะครับ’ เจ้าตัวว่าเสียงใส แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกถึงความไม่สดชื่นของปลายเสียงนั้น

‘พี่เสือครับ’

“ครับว่า?”

‘พี่ไว้ใจแม็กซ์ไหม?’ เขาถาม ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ก็ไว้ใจนะครับ ไม่งั้นคงไม่ไปหาหรอก” ผมตอบตามความรู้สึก ปกติแล้วผมไม่เคยนึกอยากจะออกจากห้องด้วยซ้ำไป แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ผมคิดว่า ผมอาจจะต้องไปหาเจ้าเด็กน้อยที่นับว่าเป็นรุ่นน้องของผมคนหนึ่งคนนี้ก่อนซะแล้ว

‘งั้น แม็กซ์ขออะไรพี่สักอย่างได้ไหมครับ?’

“ครับ?” ผมตอบกลับด้วยความสงสัย น้องแม็กซ์เงียบเหมือนเว้นวรรคไปสักพักเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง ผมเลยนิ่งรอให้อีกฝ่ายตอบกลับ ก่อนอีกฝ่ายจะพูดประโยคที่ทำให้ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นไปพักใหญ่ ๆ

‘พี่เสือครับ ถ้าแม็กซ์จะบอกว่า แม็กซ์อยากมีอะไรกับพี่แบบไม่ป้องกัน พี่จะโอเคไหมครับ?’

ให้ตายเถอะ เด็กม.ปลายลูกครึ่งวัยขบเผาะกำลังชวนผมทำเรื่องอย่างว่าแบบไม่ป้องกันเนี่ยนะ ผมเผลอกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงคืนนั้นกับเจ้าเด็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

“พี่ว่า....”

 



Time talk : อู้วววววววววววววววว ยังไงดีละที่นี้ ว่าแต่เพื่อน ๆ สบายดีนะครับ ตอนนี้พ่อแมวใกล้จะได้เอาหน้าปกมาให้ทุกคนได้ยลโฉมแล้วนะ นิยายเรื่องนี้ทำเป็น สองเล่ม ความยาวทั้งหมดประมาณ 750 หน้านะครับ ตอนพิเศษตอนนี้เหลืออีกสามตอนก็จะปิดเล่มแล้ว (ตอนพิเศษทั้งหมด 10 ตอน แฮะ ๆ)

อย่าลืมหยอดกระปุกนะพวกเธอว์ น่าจะเปิดจองประมาณกลางเดือนธันวาคมครับ

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ^^

ปล. เจอคำผิด สะกิดได้เลยนะครับ กำลังทยอยแก้ไขสิ่งที่พิมพ์ผิดพลาดไปครับ และก็ ในต้นฉบับที่นำไปพิมพ์จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดและจะมีเนื้อหาที่ครบถ้วนไม่ตกหล่นอย่างแน่นอนครับ เพราะมีการเพิ่มและลดทอนบางฉากไปเพื่อความสมบูรณ์ที่สุดในอรรถรสของการอ่านสำหรับนักอ่านทุกท่าน ยังไงฝากตัวอีกครั้งด้วยนะครับ

             
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.15 รุ่นพี่ รุ่นน้อง | P3 | 23/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-10-2018 23:48:50
ใครๆก็รีกพี่เสือ เสน่ห์แรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.15 รุ่นพี่ รุ่นน้อง | P3 | 23/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2018 04:09:08
 :hao7: :hao7: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.15 รุ่นพี่ รุ่นน้อง | P3 | 23/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-10-2018 19:01:17
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.15 รุ่นพี่ รุ่นน้อง | P3 | 23/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-10-2018 23:55:57
อื้อหือ กล้าเสี่ยงไปนะน้องงงงงงง

เสี่ยงตัวเอง เสี่ยงคนอื่น

พี่เสือมีความคิดมาก ๆ ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 27-10-2018 22:42:49


Ep.16  AGAIN




“พี่ว่า..พี่เป็นคนดูคนเก่งระดับหนึ่ง”

‘...’

“...แล้วพี่คิดว่า พี่ดูเราไม่ผิดไป เพราะเราพูดรู้เรื่องที่พี่พูด พี่ถึงเลือกที่จะให้มี ‘ครั้งต่อมา’ ได้ พี่อยากถามว่า ทั้งหมดในวันนั้นที่พี่บอกเราไป เราไม่เข้าใจเลยเหรอครับ?”

ผมค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ เน้นย้ำในทุกประโยคที่พูดกับแม็กซ์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นมากับเด็กที่เคยรับปากกับผมไว้ว่าจะป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่าย หลังจากผมพูดไปเสร็จก็เกิดเดดแอร์ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังไม่ตัดสาย ผมจึงยังถือสายรออีกฝ่ายพูดอยู่

‘...พี่...ไม่ไว้ใจแม็กซ์เหรอครับ?’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา

“เดี๋ยวนะแม็กซ์ ตั้งสติก่อนแล้วเอาใหม่ ความไว้ใจเกี่ยวอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกัน ?” ผมตั้งคำถามให้อีกฝ่ายได้คิดตาม เจ้าแม็กซ์สะอึกเงียบไป ก่อนจะพูดต่อ

‘ก็..ก็ ถ้าพี่ไว้ใจผม คิดว่าผมไม่มีโรค ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องป้องกันก็ได้นี่ครับ’

“แม็กซ์ครับ...” ผมเรียกเขาเสียงหวาน ก่อนจะพูดประโยคต่อมา

“ถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันแค่โรคครับ ถุงยางอนามัยดูแลทุกอย่าง แม้กระทั่ง ‘ความสะอาด’ แม็กซ์คิดว่าแค่น้ำเปล่าสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรืออะไรที่ไม่พึงประสงค์ทางช่องทางของตัวเราเองได้เหรอครับ? อันนี้เรื่องแรกที่พี่จะพูด อีกเรื่องคือไว้ใจ ไม่ไว้ใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกันเลย คนเรามันพิสูจน์ความไว้ใจผ่านอะไรแบบนี้ได้เหรอครับ หนูจะบ้าไปแล้วเหรอที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่จับต้องไม่ได้แบบนี้” ผมร่ายยาว เว้นวรรคบางช่วงให้เขาฟังและคิดตามทัน

“....และส่วนสุดท้ายนะครับแม็กซ์ แม็กซ์กับพี่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือน แม็กซ์ไว้ใจพี่แค่ไหน แม็กซ์คิดว่าพี่เป็นคนที่น่าไว้วางใจเหรอครับ? สิ่งที่พี่พูดมาทั้งหมดพี่อาจจะแกล้งพูดเพื่อให้แม็กซ์คล้อยตามพี่ก็ได้ มันไม่มีหรอกครับ คนที่บอกว่าตัวเองชั่วแค่ไหนน่ะ ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูเป็นคนดีในสายตาของอีกฝ่ายทั้งนั้น”

‘...’

“เชื่อพี่เถอะครับ พี่ว่าพี่มองน้องพี่ไปไม่ผิดจากที่คิดแน่ ๆ แม็กซ์เป็นเด็กฉลาด..อย่าทำให้พี่ผิดหวังเลยครับ”

ผมกล่าวทุกคำออกมาด้วยเสียงหวานแต่เน้นย้ำทุกคำพูดเพื่อแสดงความจริงจังของตัวเอง แวบหนึ่งที่วูบวาบไปกับภาพในวันวานถูกขับไล่ออกไปด้วยมโนจิตส่วนตัวพร้อม ‘เหตุการณ์’ บางอย่างที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้  คนที่ระแวงระวังอยู่เสมอไม่ว่าคนที่เดินเข้ามาหาจะดูน่าไว้ใจ หรือไม่น่าไว้วางใจ ก็ตามแต่

‘แม็กซ์ขอโทษนะครับ’ ปลายสายว่าเสียงเบาหวิว ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะรีบปลอบอีกฝ่าย

“ไม่ต้องขอโทษพี่ก็ได้ครับ พี่ไม่ได้ว่าอะไร พี่แค่พูดคุยกับเรา อย่างตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง”

ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าเรา การตัดสินใจจะผิดพลาดไปสักหน่อยก็ไม่แปลกอะไร เพราะเคยผิดพลาดจากวัยเยาว์ ผมจึงเข้าใจว่าเวลามีผลแค่ไหนต่อการตัดสินใจในการกระทำของคนในแต่ละช่วงวัย เมื่อเราโตขึ้น ประสบการณ์จะไม่ได้ป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ประสบการณ์จะช่วยให้เราตัดสินใจลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดนั้น ๆ          ขึ้นแทน เพราะแบบนั้นเอง ผมจึงไม่ได้รู้สึกว่าแม็กซ์ทำผิดหรืออะไรไป

‘คือ ...แม็กซ์ไปดูซีรีส์มา’ ปลายสายว่า ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

“ครับ แล้ว..?”

‘ก็ไม่แล้วยังไงหรอกครับพี่เสือ แต่มันก็แบบ... แม็กซ์ก็อยากทำ อยากมีตามซีรีส์บ้างไง’ เจ้าตัวว่าเสียงอุบอิบเหมือนเด็กที่กลัวพูดอะไรออกไปแล้วไม่ตรงใจ ที่ผู้ใหญ่อยากจะฟัง ผมถอนหายใจออก สูดลมหายใจเข้า มือข้างหนึ่งกด ๆ ขมับที่เริ่มปูดออกมาด้วยความเครียด

“แม็กซ์ครับ นั่นมันซีรีส์ ซีรีส์ที่ทำมาจากนิยาย นิยายที่แปลว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องสมมตินะครับ” ผมว่าอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึกว่าก่อนที่โชจะเอานิยายไปลงที่ไหน หรือถึงขั้นไปทำซีรีส์อะไรก็ตามแต่ สงสัยต้องตรวจตราอย่างละเอียดซะแล้วว่าจะสร้างค่านิยมหรือแนวคิดแปลก ๆ ให้กับเด็กที่ไหนรึเปล่า?

‘ก็รู้แหละว่ามันไม่จริง แต่บางทีดูแล้วเราก็แบบ อยากทำตามบ้างบางครั้งอ่ะครับ ...พี่เคยดูซีรีส์วายไหมครับ ?’ ท้ายประโยคเจ้าตัวถามผมกลับ

“ไม่เคยครับ” ผมว่า

‘เหรอ แย่จัง อยากรู้ว่าพี่คิดยังไงอ่ะกับซีรีส์ที่เขาดู ๆ กัน’ แม็กซ์ตอบ

ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ส่วนตัวแล้วถ้าอะไรที่ผมไม่รู้จริง ผมมักจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแสดงความคิดเห็นอะไร กรณีซีรีส์ก็เช่นกัน ในเมื่อผมไม่เคยดู ผมก็ไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ไว้ผมจะลองสอบถามไปกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างโชแทนแล้วกัน

‘แต่ว่า...เขาบอกว่าแบบไม่ป้องกันเสียวกว่า’ หลังจากเงียบไปสักแป๊บ ปลายสายว่าเสียงตุ่ย ๆ ต่อ ผมถอนหายใจเบาบางอีกครั้งก่อนจะถามกลับ

“เขานะใคร?”

‘ก็เขา...เขา’

“เขาไหน?” ผมถามจี้อีกครั้ง

‘ก็เขาบอกต่อ ๆ กันมาอ่ะครับ ขอโทษษษ อย่าดุแม็กซ์เลยนะ’ เจ้าตัวรีบพ่นคำขอโทษออกมารัว ๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยกับคำตอบนั้น

“โอเค แม็กซ์ครับ ฟังพี่พูดช้า ๆ ชัด ๆ นะครับ” ผมว่า ปลายสายเงียบกริบรอฟังผมพูด

“แม็กซ์ครับ พี่เห็นแม็กซ์เป็นน้องของพี่คนหนึ่ง พี่ถึงพูดอย่างตรงไปตรงมา พี่ไม่มีสิทธิ์ห้ามนะครับ ถ้าเราอยากจะไปทดลองหรือไปทำอะไรกับใครแบบที่เราต้องการ อันนั้นมันเป็นเรื่องของเรา พี่ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวอยู่แล้ว...” ผมว่า

‘พี่เสือ....’ เจ้าแม็กซ์เรียกเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนสุนัขที่กำลังหูลู่ตกเพราะโดนดุ แต่ผมยังพูดไม่จบ

“....แต่ถ้าอยากทำอะไรกับพี่ พี่บอกเลยว่าพี่คงเป็นคู่ทดลองให้เราไม่ได้ พี่ไม่เคย ไม่คิด และจะไม่มีวัน มีอะไรแบบไม่ป้องกันกับคนที่พี่คิดกับเขาแค่เป็น ‘คู่นอน’ แน่ ๆ  ....แม็กซ์ครับ พี่เป็นแอคเค่อ แอคเค่อที่หมายถึงคนที่เล่นทวิตเตอร์เพื่อสำหรับนัดเยคนอื่น แม็กซ์เอาอะไรมาไว้ใจคนแบบพี่ และที่สำคัญนะครับ ตัวเลขล่าสุดตอนนี้คือ 1 ใน 3 ของเกย์ทั่วปริมณฑล มีเชื้อ HIV ทั้งแบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว แม็กซ์จะเสี่ยงจริง ๆ เหรอครับ เสี่ยงกับคนแบบพี่ เสี่ยงกับคนที่เห็นเราเป็นแค่น้องน่ะเหรอ?”

ประโยคที่ผมพูดออกไปอาจจะโหดร้ายและรุนแรงไปบางสำหรับความสัมพันธ์ประมาณนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่า ไม่มีอะไรจะรักษาสถานภาพและความสัมพันธ์ ได้เท่ากับการที่เราได้พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมากับคนที่เราห่วงใย

‘ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง’ เจ้าแม็กซ์ว่า ผมเงียบเพื่อรอฟังว่าตัวเองกำลังจะโดนด่ารึเปล่า

‘พี่น่ะ ทำให้ผมเชื่อได้สนิทใจจริง ๆ นะว่าพี่ปลอดภัย ว่าพี่เป็นห่วง มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าผมจะทำหรือทดลองอะไร ถ้าเป็นพี่ มันคงดี มันคงปลอดภัย ผมคิดแบบนั้นเลยถามออกไป แต่ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปเลยไม่เข้าใจในมุมของพี่ แม็กซ์ต้องขอโทษอีกครั้งจริง ๆ นะครับที่ทำตัวดื้อแบบนี้’ เจ้าแม็กซ์พูดต่อจนจบ

“พี่ขอบคุณนะครับ พี่ขอบคุณมาก ๆ ที่แม็กซ์เชื่อมั่นในตัวพี่ แต่เชื่อพี่เถอะครับ อะไรที่มีคุณค่ากับเรามาก ๆ จงรักษาและถนอมมันให้กับคนที่รู้จักคุณค่าของมัน” ผมย้ำอีกครั้งให้ทั้งตัวเขา ทั้งตัวผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในสถานะภาพไหนของกันและกัน

“แต่พี่บอกได้เลยว่าไม่ใช่พี่แน่ ๆ ” ผมปิดท้าย ปลายสายเงียบไปก่อนจะพูดออกมาด้วยโทนน้ำเสียงปกติ

‘ผมถามได้ไหมครับ พี่เสือเคยมีแฟนไหม? หรือคนที่รักมาก ๆ ก็ได้ครับ’ น้องแม็กซ์ถาม

“เคยสิครับ เคยมีทั้งสอบแบบ และก็เคยที่จะไม่มีทั้งสองแบบอีกต่อไปด้วย”

‘เหรอครับ? ....แล้วตอนพี่มีแฟน พี่รักแฟนพี่ไหมครับ?’ เจ้าตัวเล็กถามต่อ ผมอมยิ้มหยุดคิดไปสักครู่ ก่อนจะตอบ

“ถ้าไม่รู้สึกอะไร พี่คงไม่ให้สถานะที่ชัดเจนกับเขาไปตั้งแต่แรก” ผมว่า

‘แปลว่าถ้าพี่มีแฟนแล้ว พี่ก็จะไม่เป็นแอคเค่อ ไม่นัดใครแล้ว งั้นเหรอครับ?’ แม็กซ์ถามกลับทันควัน ผมขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“นี่ พี่มี sex กับใครต่อใครได้ เพราะพี่ไม่มี ‘พันธะ’ อะไรกับใครหรอกนะครับ แต่ถ้าพี่เลือกแล้วว่าจะมีแฟนพี่ก็ต้องหยุดสิครับ เพราะตัวพี่เองคงไม่โอเคเหมือนกัน ถ้าแฟนพี่จะไปมีอะไรกับใครทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นของกันและกัน และมันคือการให้เกียรติทั้งตัวเองและให้เกียรติอีกฝ่าย ถ้าเขาเป็นคน ๆ นั้นที่เราเลือกแล้ว เรามั่นใจแล้วว่าเขาใช่ แต่เรายังไม่ยอมหยุด พี่ว่าแบบนั้นมันเหมือนเราไม่เคารพการตัดสินใจของตัวเองไปหน่อย..”

ผมอธิบายตามความรู้สึกของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมคิดว่าการนอกใจจากพันธะที่ตัวเองเลือกไปมีใครอีกคน แม้จะเป็นแค่เรื่องบนเตียงเพียงชั่วข้ามคืนจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โอเค ผมอาจจะนอนกับใครก็ได้ แม้กระทั่งกับคนที่มีแฟนแล้ว

อ่า...กับคนที่มีแฟนแล้วงั้นเหรอ ผมเกือบลืมเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับตัวเองเหมือนกัน แต่นั่นหมายถึงกรณีที่ว่าเขาและคนในพันธะสัญญาของเขาเคลียร์กันไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่ไม่เคยนะครับ แต่เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ไอ้ ‘การมีเซ็กซ์กับแฟนคนอื่นโดยที่แฟนเขานั่งดูน่ะ’ อื้ม เอาเป็นว่าไว้ผมจะลองมาอธิบายให้ฟังอีกครั้งในโอกาสที่เหมาะสมแล้วกันนะ

...จะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจเหมือนกัน กับการที่ว่าถ้าคู่รักของเรายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราไปมีอะไรกับใครได้ แบบนี้ จะเรียกว่านอกใจได้ไหมเพราะอีกฝ่ายก็สมัครใจ แล้วคนที่ทำแบบนั้นได้จะต้องคิดแบบไหนยังไง ผมว่าเรื่องพวกนี้มีหลากหลายมุมมองจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดด้วยซ้ำ

ผมจดประเด็นที่ตัวเองก็ชักเริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว ใส่ลงในโทรศัพท์มือถือหน้าโน้ตสำหรับจดบันทึก แยกเป็นประเด็นที่ผมคิดว่าผมมีมุมมองยังไงบ้าง ในขณะที่อีกใจก็อยากฟังความคิดเห็นจากโช จะว่าไปแล้ว จดไปจดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมยังอยู่ในสายกับน้องแม็กซ์ !!!

โอ๊ย เพราะเจ้านากเผือกแท้ ๆ พออยู่ด้วยกันนาน ๆ เข้า ผมก็เผลอติดนิสัยแย่ ๆ กับการกลัวหลงลืมประเด็นสำคัญ ๆ ไปโดยปริยายจนต้องหัดบันทึกตามว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ สุดท้ายเลยกลายเป็นลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่

“โทษทีๆ  แม็กซ์ยังอยู่ในสายไหมครับ?” ผมขอโทษน้องแก้เก้อ รู้สึกเขินที่ลืมไป

‘ยังอยู่ครับ แม็กซ์ก็งงเลย อยู่ดี ๆ พี่เงียบสายไป’ เจ้าเด็กน้อยตอบ ผมหัวเราะเสียงแห้งอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอามะเหงกเขกหัวตัวเองเป็นการลงโทษในความโก๊ะแตกครั้งนี้ น้อยครั้งจริง ๆ ที่ผมจะเสียลุคหรือหลุดมาด เพราะความลืมตัว (เรื่องนี้เองก็ต้องจดไว้คิดบัญชีกับเจ้าตัวแสบเหมือนกัน)

‘แล้ว สรุป...พี่จะยังมาหาแม็กซ์ไหมครับ? ’ น้องแม็กซ์ถาม

“ไปสิครับ พี่รับปากแล้วว่าจะไปก็คือไป แต่ก็อย่างที่พี่บอก Safe Sex เท่านั้นครับที่พี่โอเค” ผมว่าเสียงใส ย้ำจุดยืนของตัวเอง

‘โอเคเลยครับ แค่พี่มาหาผม ผมก็ดีใจมาก ๆ แล้วครับ’ เจ้าแม็กซ์ตอบรับเสียงหวาน ภาพในหัวของผมเหมือนเห็นชิบะตัวเล็ก ๆ ที่กำลังพยายามส่ายหางสั้นกุดไปมา

ผมกับน้องแม็กซ์คุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนเจ้าตัวจะขอตัวไปทำการบ้านต่อ ส่วนผมก็นั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ต่อไป อยู่ดี ๆ อะไรบางอย่างในตัวผมก็แหกปากร้องกระเจิง ผมสะดุ้งตัวหันซ้ายหันขวา มองรอบ ๆ พอสายตาปรับโฟกัสกับภาพระยะไกลถึง ‘ใคร’ บางคนได้ ผมก็เผลอลืมหายใจไปซะดื้อ ๆ แบบนั้น

ผมขาสั่น หอบหายใจหนักมากกว่าตอนที่เพิ่ง make love กับใครเสร็จ หัวใจเต้นระรัวจนผมอยากจะทุบให้มันหยุดเต้นไปซะตรงนั้น ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้น อยากจะหายตัวไปเลย และเหมือนทัศนียภาพของผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ หลังหยาดน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง ผมกัดฟันแน่น บอกกับตัวเองในใจว่าจะไม่ร้องไห้ออกมา แต่เหมือนร่างกายปฏิเสธคำสั่งจากสมอง

บางครั้งคนที่เราอยากเจอมากที่สุดในโลก ก็คือคน ๆ เดียวกันกับคนที่เราไม่อยากเจอมากที่สุดในโลก

เจ็บในอก มันแน่นไปหมด ผมแทบจะอาเจียนออกมาด้วยซ้ำ สมองประมวลผลแต่ภาพเก่า ๆ ที่ผม “เคย” ได้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ความรู้สึกหลายอย่างทะลักออกมาราวกับว่ามันเก็บซ่อนไว้ในใจเนิ่นนาน นานมากแล้วจริง ๆ ที่ผมพยายามเก็บทุกอย่างยัดลงกล่องแบล็คบ็อกซ์ใบเดิมที่ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า และมีร่องรอยมากกว่าเดิม พร้อมกับแกล้งทำเป็นลืมมันไปด้วยซ้ำ

...ลืมไปหมดแล้ว แม้กระทั่งใบหน้าที่เคยจ้องมองเพื่อรอว่าเมื่อไหร่ผมจะตื่นขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มของเขาในตอนเช้า

ใกล้มากขึ้น มากขึ้นทุกที ผมต้องหนี ผมต้องไปจากที่นี้ ผมคิดแบบนั้น แต่ร่างกายของผมไม่ทำตามคำสั่งเลย นิ้วมือนิ้วเท้าผมชาจนแทบขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้ามีใครที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ผมตอนนี้คงคิดว่าผมเสพยา ที่ผมกำลังอ้าปากด่าตัวเองว่าฟัคยูตลอดเวลา หลังจากรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

ผมเนี่ยนะ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้?

ผมคือไทเกอร์ ผมคือเสือน้อย ผมคือแอคเค่อ ผมคือคนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับใคร ไม่เคยคิด ไม่แม้แต่จะคิด ไม่มีทาง และไม่มีวันที่ผมจะหยุดลงที่ใคร มีแต่คนผิดปกติเท่านั้นแหละ ที่จะหลงรักกับคนที่ตัวเองนัดมาเพื่อมีเพศสัมพันธ์ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เชื่อมั่นในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นวกไปวนมา ก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืน

ถ้าใกล้มากเกินไปกว่านี้ ‘เขา’ ต้องสังเกตเห็นผมแล้วแน่ ๆ

ยังพอมีเวลา เขายังซื้อตั๋วและยืนคุยกับใครคนนั้นอยู่ ขอแค่ผมเดินเร็ว ๆ ผ่านประตูทางหนีไฟ เรื่องจะจบลงตรงนั้น ผมจะกลับบ้าน จะกลับไปลืมว่าเกิดอะไรขึ้นมาในวันนี้ ผมไม่เจอ ไม่เห็นใครทั้งนั้น แค่มาดูหนัง แต่ก็ไม่อยากดูแล้วเลยรีบกลับบ้าน ผมคิดแบบนั้นย้ำซ้ำ ๆ กับตัวเอง ขาทั้งสองข้างพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวเดินออกไปตามทางของตัวเอง

...ระหว่างผมและเขา เราไม่ควรมีภาพความทรงจำอะไรต่อกันอีกแล้ว

ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองบังคับร่างกายได้แย่มากขนาดนี้ คนที่ถึงขนาดเพื่อนเคยบอกว่าให้เดินช้าลงกว่านี้หน่อยเพราะพวกเขาเดินตามผมไม่ทัน กลับเป็นคน ๆ เดียวกันกับคนที่เดินส่ายไปมาเหมือนคนเมาอย่างยากลำบากแบบนี้งั้นเหรอ? ผมแค่นเสียงหัวเราะ ตลกในความถือดีของตัวเองอย่างถึงที่สุด ผมพยายามปล่อยวางกับหยดน้ำตาที่คลอในเบ้า ในเมื่อควบคุมไม่ได้ก็เลือกที่จะปล่อยมันไปแบบนั้น

อีกแค่นิดเดียวผมก็จะเดินถึงบันไดหนีไฟแล้ว ด้วยระยะเท่านี้ต่อให้เขาหันมาเจอ ก็คงไม่เห็นแล้วว่าผมเป็นใคร

...หรือจริง ๆ แล้วเขาอาจจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยรู้จักกัน

เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าครั้งหนึ่งเคยนอนหนุนอกของผม ครั้งหนึ่งเขาเคยนอนกอดแล้วร้องเพลงรักอันแสนอบอุ่นให้ฟัง ครั้งหนึ่งเขาเคยตื่นมาจ้องหน้าผมเพื่อรอให้ผมตื่นมาเจอรอยยิ้มของเขาเป็นคนแรกของวัน เขาคงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยบีบยาสีฟันไว้ให้ผมทุกเช้าก่อนจะออกไปเข้าเวร

'พี่ชอบนอนกอดเรามากที่สุดเลยรู้ไหม เจ้า 'นักรบ' ของพี่'

เสียงเดิมที่เคยได้ยินย้อนกลับมาในหัวผมอีกครั้ง

ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีผมอยู่บนโลกใบนี้

...แต่หัวใจของผมไม่เคยลืมสักครั้งว่าผมเคยหลงรักใครคนหนึ่งสุดหัวใจ

เรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดไม่ใช่การที่ตัวเองยังไม่ลืมใครสักคน แต่เรื่องที่ผมรู้สึกแย่มากที่สุด คือการที่ใครสักคน หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าชีวิตของเขาเคยเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง

...เขาจะรู้ไหมนะ ว่านอกจากเขาแล้ว ‘แบล็คบ็อกซ์’ ของผม ไม่เคยถูกเปิดให้ใครได้เข้าไปสัมผัสกับร่องรอยบาดแผลข้างใน เขาจะรู้ไหมนะว่าผมยินดีแค่ไหนที่มีคนพยายามเปิดกล่อง ๆ นั้นออกมา เขาจะรู้ไหมนะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ผมใจเต้นทุกครั้งที่เราสัมผัสกัน เขาจะรู้ไหมนะ...เขาคือทุกสิ่งในชีวิตของผม

ฉับพลัน หัวใจผมกระตุกวูบถี่ ๆ อาการปวดที่ไม่ได้เจอมานานแล้วกำเริบอีกครั้ง ผมหอบหายใจหนัก แต่พยายามอย่างยิ่งในการทรงตัวให้เป็นปกติ บอกกับตัวเองว่า ขอแค่อีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวก็จะถึงบันไดหนีไฟแล้ว แค่อีกนิดเดียวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว ผมจะกลับไปนอน แล้วลืมไปแล้วว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น

“เฮ้ย!!”

เสียงร้องแหบแห้งอย่างตกใจดังออกจากคนข้าง ๆ ในขณะที่ผมเกือบเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือคู่หนึ่งช่วยเป็นหลักค้ำพยุงให้ผมไม่เสียการทรงตัว ผมหันหน้าไปหาเขา แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรจะเป็นคนที่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ทำไมวันนี้ผมต้องเจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก(แล้ว)นะ....

“ไหวไหมคุณ?” เขาถามเสียงแหบ กลิ่นนิโคตินลอยมาเตะจมูกผมอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เวลามาใส่ใจ ผมแทบจะก้มหน้า ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนที่เห็นผมในมุมที่อ่อนแอมากขนาดนี้

“คุณจะไปไหน?” เขาถาม

“some where, not here” ผมตอบกลับเร็วปร๋อ เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ทั้ง ๆ ที่ตาสองข้างของเขาเหมือนกำลังจะปิดอยู่ตลอดเวลา

“งั้นไป ‘ที่ ๆ’ ของผมนะ” เขาว่า ฉับพลันเหมือนโลกของผมหมุนติ้ว รู้สึกตัวอีกทีเขาก็อุ้มผมลอยจากพื้น ผมเหวอจนลืมความรู้สึกแย่ ๆ ที่อัดแน่นในอกไปชั่วขณะ

“คุณ !!!” ผมเรียกเขาเสียงสั่น ผมไมได้น้ำหนักตัวน้อย ๆ เหมือนพวกตัวเอกในนิยายนะคุณ ที่ใครจะได้อุ้มง่าย ๆ เหมือนอุ้มคนไม่ได้กินข้าวแบบนั้น

“อย่าเพิ่งเรียกผม ถ้าคุณไม่อยากลงไปนอนกองกับพื้น ผมกำลังใช้สมาธิ” เขาว่าด้วยเสียงสั่นกว่า ใบหน้าเหมือนกำลังยกของหนัก ผมเงียบกริบไม่ทักอะไรอีก แต่หันหน้าเข้ามาซุกอกเขา เพราะตอนนี้ก็ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง โชคดีจริง ๆ ที่เปลี่ยนชุดจากยูนิฟอร์มของร้านที่ทำงานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะว่าผมไหม แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะปล่อยให้หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง

ผมไม่แน่ใจว่านานไหม แต่รู้สึกตัวอีกที เขาก็อุ้มผมลงตรงด้านหลังลานจอดรถยนต์ หลังจากค่อย ๆ ปล่อยให้ผมทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว เจ้าตัวก็นั่งลง หอบหายใจเหนื่อยอ่อนเหมือนวิ่งมาเป็นสิบ ๆ กิโล

“ผมว่า...คุณควรลดน้ำหนักบ้างนะ” เขาว่า ผมหันขวับตวัดสายตาไปมอง ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเข้ามาถูกจังหวะที่ผมต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ประโยคเมื่อกี้เขาจะได้สักตุ๊บสองตุ๊บเป็นรางวัล

“แต่ผมไม่ถือหรอกนะ เพราะผมเต็มใจจะช่วยคุณ ...เหมือนที่คุณเคยช่วยผม” อีกฝ่ายพูดจริงจัง เน้นย้ำทีละคำ พร้อมมองใบหน้าของผม

“....”

“นี่คุณ....” เขาเรียก พร้อมยันตัวลุกขึ้นยืนหลังจากหอบหายใจคลายความเหนื่อยจากการอุ้มผมเสร็จแล้ว ก่อนจะมายืนตรงหน้าผมใกล้ ๆ

“...อยู่กับผม คุณจะร้องไห้ก็ได้นะ”

จบคำพูดของเขา อีกฝ่ายก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เหมือนกันกับวันนั้นที่ดาดฟ้า ต่างกันที่ว่าสถานะของเราสองคนถูกสลับบทบาทกัน ผมซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา กลิ่นนิโคตินเหม็นคลุ้งจนผมขัดจมูกไปหมด แต่นั่นไม่สำคัญเลย ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วเพราะหยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

ในหัวของผมเบลอ สมองเหมือนชัตดาวน์ไปดื้อ ๆ

...ผมทำได้แค่เพียงยืนร้องไห้พร้อมกับให้อีกฝ่ายลูบหัวปลอบไปแบบนั้น



หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 27-10-2018 23:20:52
อดีตไปเจออะไรมาหนอ  :katai1:

ปล. ตรงนี้พิมพ์ตกนิดนึงครับ - “งั้นไป ‘ที่ ๆ’ ของนะ” เขาว่า
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-10-2018 00:05:45
“แม็กซ์ครับ นั้นมันซีรีส์ ซีรีส์ที่ทำมาจากนิยาย นิยายที่แปลว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องสมมตินะครับ” ผมว่าอย่าง ช้าๆ ชัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึก
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2018 01:59:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-10-2018 23:14:01

test
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-10-2018 23:14:34
test2
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-10-2018 23:15:03

Ep.17 two four six zero one




นานจนเบ้าตาทั้งสองข้างของผมชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมสูดลมหายใจเอาอากาศที่ผสมกลิ่นนิโคตินจากเสื้อฮู้ดของเขาหนึ่งเฮือกใหญ่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ดันอีกฝ่ายออกไป ถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดเลนส์ที่เปื้อนไปตาม ๆ กันกับใบหน้า ดีนะว่าในกระเป๋าของผมติดทิชชู่มาด้วย

“คุณโอเคไหม?” เขาถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะมองหน้าเขา

วูบหนึ่งหลังโสตประสาทสัมผัสจับใบหน้าของเขาได้ ผมเพิ่งสังเกตว่า เขาไปตัดผมของตัวเองออกแล้ว นอกจากจะไม่รุงรังแล้วยังเรียบเนียนอีกด้วย เพราะหมอนี่เลือกที่จะไปไถหัวกลายเป็นทรงสกินเฮด พร้อมทำลายลูกศรที่บริเวณด้านขมับทั้งสองด้าน พอรวมกับจิลที่เจาะและแววตาพวกนั้นแล้ว อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเขาเป็นคนที่ลุคแบดบอยที่ดูดีมาก ๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าสบตา คือแววตาที่กำลังมองมาที่ผม

สายตาของเขาไม่ได้สมเพช ไม่ได้หัวเราะเยาะ ไม่สงสัย และไม่สอบถาม สิ่งเดียวที่แววตานั้นบอกผ่านจากผมคือความรู้สึกห่วงใยที่เขามีให้แก่ผม กับคนแปลกหน้าที่เราไม่เคยรู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ

“ถ้าบอกโอเคแปลว่าผมโกหก” ผมว่า สารภาพตามตรงแม้จะร้องไห้ไปหลายปี๊บ แต่สภาพหัวใจของผมไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย กลับกันบาดแผลในวันวานที่เก็บซ่อนไว้ ทะลักออกมาราวกับว่ารอวันนี้มานานแสนนาน

วันที่บาดแผลจะกลับมาชัดเจนอีกครั้งในหัวใจของผม

“ฟังเพลงไหม?” เจ้าตัวถามซื่อ ๆ วางกระเป๋าใบโตลงข้างตัว ก่อนจะหยิบลำโพงแบบบลูทูธออกมาวางไว้ข้าง ๆ ผมไม่ตอบอะไร แต่ทรุดตัวลงไปนั่งกับที่กันรถตก ส่วนเขานั่งงมกับลำโพง ก่อนจะสไลด์มือถือเตรียมเลือกบทเพลง ผมมองพื้น ฟังบทเพลงที่ขับขานออกมาจากลำโพงและจากปากคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม

 

ฟ้า ถ้าหากมีรัก

ฟ้า ถ้าฉันมีความรัก

ความงดงาม อยู่ชั่วพริบตา

ท้องฟ้า ช่วยนำพาฉันไป

ฉันที่ช่างฝัน หวานเหลือเกิน

รักที่หอมหวาน

เก็บดอกไม้ให้เธอ

เติมความรักให้กัน และนั่นคือของขวัญ

ที่เธอให้กับฉัน ...ก่อนจากฉันไป

 

ในที่แสนไกล เป็นเช่นไรหนอ

ถ้าฉันได้ไป อยู่ที่ตรงนั้น

เธอรู้บ้างไหม หัวใจของฉัน

...อยากจะหลุดพ้นจากเธอเสียที



ฟ้า ถ้าหากมีรัก

ฉันขอไม่รักใครอีกได้ไหม

เพราะว่าความรักทำให้เจ็บหัวใจ

เก็บดอกไม้ไว้ แทนใจของเธอ

 

เขาเป็นคนมีรสนิยมที่ดี ...ดีมาก ๆ ผมคิดแบบนั้นหลังจากฟังบทเพลงที่เขาเปิด ผมไม่เคยฟังมาก่อน แต่เนื้อเพลงและทวงทำนองกลับกรีดหัวใจผมออกเป็นริ้ว ๆ น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้า แต่ผมกลับกำลังจมลงไปอยู่กับเสียงเพลงหอมหวานที่กำลังบรรเลง และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวว่าผมกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี เขาค่อย ๆ กดหยุดเล่นเพลงก่อนจะหันมามองหน้าผม

“ชื่อเพลง เก็บดอกไม้ ของวง LANDOKMAI ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับคำสั้น ๆ ก่อนจะกล่าวชม

“เพราะดี” มันเพราะจนกรีดแทงหัวใจผมเลยแหละ

“ใช่ไหม? ผมชอบตรงเสียงแทงทะลุปอดขึ้นมาเนี่ยแหละ ถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกร้องเพลงมาหนัก ๆ เสียงนาสิกแบบนี้จะขึ้นยากมากเลยนะรู้ไหม” เขาว่าพลางอธิบาย ผมฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะตัวเองไม่ใช่คนในแวดวงนี้ รับรู้เพียงแต่ความงดงามของดนตรีนั้น มันไร้พรมแดนจริง ๆ

“คุณมีรสนิยมที่ดี” ผมชมเขาไปตรง ๆ

...และนั่นก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราเคยเจอกันมาที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา

คนแปลกหน้าคนนี้ ยิ้มจนตาหยี๋ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบผม

“ผมเชื่อว่าเทสต์คุณต้องไม่ด้อยไปกว่าผมแน่ ๆ ไหนคุณลองแชร์ยูวลิสต์ของคุณหน่อย ผมอยากเข้าไปในดินแดนของคุณบ้าง” ไม่ว่าเปล่าเขาดันสมาร์ทโฟนของตัวเขาเองมาทางผม

ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นสร้อยไม้กางเขนตรงลำคอของเขาพร้อมกับรอยสักเป็นรูปตัวเลข  ‘24601’ บริเวณลำคอด้านขวาเยื้องไปทางด้านหลัง พร้อมกับรับมือถือของเขามา ผมนั่งปล่อยใจไปกับเสียงเพลงในหัว กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองจะเลือกเปิดเพลงอะไรออกมาให้เขาฟังดี  นิ้วมือของผมระรัวกับแป้นพิมพ์ ก่อนจะกดเปิดให้เพลงไหลออกมาจากลำโพง

 

I remember when I first noticed that you liked me back

We were sitting down in a restaurant waiting for the check

We had made love earlier that day with no strings attached

But I could tell that something had changed how you looked at me then

 

My loved, come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle

 

And on the Lower East Side, you're dancing with me now

And I'm taking pictures of you with flowers on the wall

Think I like you best when you're dressed in black from head to toe

Think I like you best when you're just with me and no one else

 

My loved, come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle

 

And I'm kissing you lying in my room

Holding you until you fall asleep

And it's just as good as I knew it would be

Stay with me, I don't want you to leave

 

.....,come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle



“เพลง K. ของวง Cigarettes After Sex” ผมว่า

“คุณแอบเปลี่ยนเนื้อ” เขาพูดตอบหลังปล่อยให้ผมร้องเพลงนั้นจนจบ

“ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าเราต้องร้องตามเนื้อเพลงทุกท่อน” ผมว่า

“แต่ผมชอบนะ อธิบายเรื่องราวระหว่างคุณกับ ‘เขา’ ได้ดีเลยทีเดียว” เขาแซะ พลางเอียงคอมองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าใช่ในแบบที่เขาคิดไหม และผมตอบคำถามนั้นไม่ได้นอกจากเฉหน้ามองไปทางอื่น เรานั่งเงียบ ๆ แบบนั้นไปอีกราวนาทีเศษโดยไม่ได้เปิดเพลงใด ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดต่อ

“คุณดูแตกสลาย”  เขาพูดต่อ มองหน้าผมแล้วขยับมานั่งข้าง ๆ กัน

“...”

“...ผมเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ เห็นคุณตอนแรกกำลังว่าจะเดินเข้าไปทักทาย หลังจากนั้น จู่ ๆ คุณก็สะดุ้งตัวหันซ้ายหันขวา แล้วเหมือนภาพคุณตัดไปเลย คุณดูไม่เป็นตัวคุณเอง เหมือนคุณควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น...ทั้งหมดนั้นเพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอ?” เขาถาม

“ผมอ่านง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับ

“ตรงกันข้าม เพราะคุณอ่านยากมากต่างหาก ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด คุณซ่อนอารมณ์ทั้งหมดภายใต้ใบหน้าที่ไม่แสดงออก บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ผมทำได้แค่เดาไปเรื่อย ๆ จนมีแค่ครั้งนี้ มีแค่ครั้งนี้ที่แววตาของคุณ ‘ซ่อน’ ความเจ็บปวดไว้ไม่มิดจนฉายออกมาผ่านแววตา” เขาว่าเสียงเรียบ หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน จุดแล้วสูบเข้าปอดช้า ๆ ก่อนจะปล่อยให้ควันสีเทาลอยเอื่อย ๆ อยู่แบบนั้น

“...”

“...แววตาคุณ กำลังขอความช่วยเหลือจากใครสักคน”

“อ่า...”

“ที่แย่ที่สุดคือ คุณไม่ได้ขอร้องผมหรือใคร คุณกำลังขอร้อง ‘เขา’ ต่างหาก”

เขาสูดควันพิษเข้าไปเฮือกใหญ่ พ่นลมหายใจออกมาราวกับกำลังหงุดหงิดกับอะไรบางอย่างที่เขาไม่ชอบใจมาก ๆ พอเสร็จแล้วก็หันหน้าไปด้านตรงกันข้ามกับผมแล้วพูดต่อ

“...น่าอิจฉาเขาชะมัดยาด”

ผมหันขวับไปมองหน้า เจ้าตัวมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าวพิกลแต่ผมสับสนกับท่าทีที่เขากำลังแสดงออกมากกว่าจะทันขบคิดถึงประโยคทั้งหมดที่เขาพูดมา

“ทั้ง ๆ ที่หัวใจของคุณแตกสลายเพราะเขาขนาดนี้ แต่เขากลับไม่เคยเลือนหายไปจากใจของคุณจริง ๆ เลยสักครั้ง คุณแค่ลืม ...ไม่สิ คุณแค่พยายามแกล้งทำเป็นลืม พยายามที่จะไม่สนใจว่าในหัวใจของคุณยังเป็นของเขาทั้งใจ คุณแค่หลอกตัวเองว่าคุณลืมเขาไปได้แล้ว คุณโอเค ทุกอย่างปกติสุขดี....”

“...”

“...ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งหมดที่คุณคิดนั้น มันไม่ใช่”

ควันสีเทาลอยละล่องในอากาศรอบลานจอดรถ ผมเหม่อมองขึ้นไปข้างบนโดยไม่สามารถสนทนากับเขาได้ ไม่ใช่เพราะพูดไม่ออก แต่เพราะทั้งหมดที่เขาพูดมาคือเรื่องที่ผมไม่สามารถโกหกตัวเองได้จริง ๆ แค่สิ่งที่ผมตอบสนองต่อวันนี้ ก็พอบอกได้แล้วว่าระยะเวลาเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจากเขาได้เลย

ผมยังรักเขาอยู่เสมอจริง ๆ สินะ....

“วันนี้คุณพูดมากจัง” ผมต่อว่าเขาเสียงสั่น และเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าพูดอะไรที่ยังไม่เหมาะสมจะพูดออกมา เจ้าตัวฮึดฮัดกับตัวเองก่อนจะบี้ก้นบุหรี่ทิ้งด้วยท่าทางที่อารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด

“ก็ไม่ได้อยากจะแซะหรอกนะ แต่คุณชอบตี๋ ๆ แบบนั้นเหรอ” เขาว่าพลางล้อเลียนผมด้วยการทำตาเหลือขีดเดียว ไม่พอ เจ้าตัวลงทุนหยิบแว่นตากรอบสีดำอันโต ๆ ขึ้นมาสวมใส่แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างกวนตีนจนถึงที่สุด สาบานได้ว่า ถ้าไม่ติดว่าหัวใจผมกำลังเศร้า จะประเคนหลาย ๆ เท้าให้เขาอย่างถึงใจแน่นอน ไอ้เหม่งเอ๊ย !!!

“มันพูดยากนะ เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้อง ‘เขา’ ผมรู้แค่ว่าเขาทำให้ผมอยากมีชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ มันแปลกประหลาดนะที่เราอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้รักจึงเป็นรัก แต่เรากลับตอบได้ว่าทั้งหมดนั้น มันมาจากความรู้สึกข้างในของหัวใจผมจริง ๆ ” ผมว่า หงอยลงนิดหน่อยเลยก้มหน้าไปมองพื้นปูนอีกรอบ

“นั่นแหละ ‘ความรัก’ พลังงานประหลาดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี” เขาว่าตอบ ผมพยักหน้าขึ้นลงคอตกอย่างเห็นด้วยแบบปลง ๆ

ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก สมองกระเจิงไปด้วยข้อมูลทางอารมณ์หลากหลายที่ยังไม่ว่างจะจัดระเบียงความรู้สึกดังกล่าว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เวลาครึ่งปียังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรผมได้ การบังเอิญมาเจอกับเขาวันนี้เหมือนไล่ผมกลับไปนับหนึ่งใหม่ที่จุดสตาร์ทของความรู้สึก ผมหลุบตาลง ปล่อยความรู้สึกแย่ ๆ กระเจิงไปทั่วร่างกายและอากาศ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่คนข้าง ๆ บังเอิญเข้ามาช่วยผมไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

“คุณ” ผมทัก จากตอนแรกที่เขานั่งนิ่ง ๆ เขาก็หันมามองหน้าผมเหมือนถามว่ามีอะไรเหรอ

“ไปสักมาเหรอ?” ผมถาม พลางชี้ไปที่ต้นคอด้านขวาของเขา เจ้าตัวเหล่ตามองผมขึ้นลงก่อนจะพูดตอบ

“ตาไวนะเราอ่ะ เพิ่งไปสักมาเมื่อวันก่อนเอง” เขาตอบ ผมพยักหน้ารับคำ แม้จะยังสงสัยก็ตามว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเลข 24601 ด้วย แต่เหมือนเขาจะรู้ทันความคิดของผม เขาหันมามองหน้าก่อนจะอมยิ้มแล้วถาม

“อยากรู้เหรอว่าทำไม?” เจ้าตัวว่าอย่างหยอกล้อ พลางชี้ไปที่รอยสักดังกล่าว

“ก็อยากรู้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร” ผมว่า ไม่อยากเซ้าซี้ถามอะไรกับใคร ถ้าเขาอยากบอกเขาก็คงบอกออกมาเอง ปกติแล้วนิสัยผมไม่ชอบยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้วน่ะครับ และเหมือนเขาจะรู้ทันความคิดของผมเสมอ ๆ มือบาง ๆ นั้นยกขึ้นมาขยี้หัวผมจนแว่นแทบจะหลุดออกมา

“เพื่อนเล่นเหรอ?” ผมหันขวับไปดุ แต่อีกฝ่ายเหมือนกำลังขบขันกับแววตาของผมมากกว่า

“คุณอย่าทำสายตาแบบนั้นสิ”

“...”

“ผมกลัวตัวเองทำโคอาล่าตกใจจนตาย” เขาว่าพร้อมระเบิดหัวเราะในตอนท้ายสุด ผมหน้านิ่ว คิ้วขมวด เบะปากหันหนีไปกับคำหยอกล้อนั้น น้ำหนักผมตอนนี้ไม่ได้หนักขนาดจะเข้าขั้นอ้วนนะเว้ย เขาเรียกว่าคนตัวใหญ่นะ เข้าใจไหมว่าผมแค่ตัวใหญ่ แต่ไม่ได้อ้วน  ค่าดัชนีมวลร่างกายผมก็.. เกิน นิดหน่อยเอง

“โอ๋ ๆ ไม่แกล้งแล้ว ๆ .. คุณจบห้องศิลป์ภาษามารึเปล่า?” เขาถาม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“ผมจบวิทย์-คณิตฯ” ผมตอบ

“หน้าไม่ให้เนาะ” เขาว่า รอบนี้ผมไม่ตอบอะไรนอกจากยกนิ้วกลางชูให้เขาแทนคำตอบกลับ

“คุณเคยฟังโอเปร่าไหม?” เขาถาม และเป็นอีกครั้งที่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

 เขายักคิ้วก่อนจะยืนขึ้น สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วขันขานออกมาเป็นโอเปร่าลานจอดรถยนต์ที่ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว

 

Look down, look down

Don't look 'em in the eye

Look down, look down,

You're here until you die

Now prisoner 24601

Your time is up

And your parole's begun

You know what that means.

Yes, it means I'm free.


No!

Follow to the letter your itinerary

This badge of shame you'll show until you die

It warns you're a dangerous man

I stole a loaf of bread.

 

My sister's child was close to death

And we were starving.

 

You will starve again

Unless you learn the meaning of the law.


I know the meaning of those 19 years

A slave of the law

Five years for what you did

The rest because you tried to run

Yes, 24601.

 

My name is Jean Valjean

And I am Javert

Do not forget my name!

Do not forget me,

24601.



เขาหอบหายใจเข้าออกช้า ๆ  เหงื่อไหลออกจากขมับทั้งสองข้าง ผมขนลุกจนเผลอลืมตัวลุกขึ้นปรบมือรัวกับการแสดงโอเปร่าของเขาเมื่อตะกี้ ไม่อยากจะเชื่อ คนแบบเขา คนแบบหมอนี่เนี่ยนะ จะมีน้ำเสียงที่ไพเราะ และร้องเพลงโอเปร่าได้ลึกซึ้งมากขนาดนี้ ผมเช็ดน้ำตาที่ขอบหางตา ก่อนจะพูดกับเขา

“คุณร้องโอเปร่าได้ด้วยเหรอ?!” ผมถามด้วยความตื่นเต้น เขาอมยิ้มแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากทำหน้าสงบนิ่งตามเดิมแล้วทอดสายตาออกไปนอกลานจอดรถ บรรยากาศด้านล่างกำลังวุ่นวายด้วยรถนานาชนิดที่พยายามเคลื่อนตัวสัญจรกลับไปยังที่พักอาศัยของแต่ละคน

“...สักวัน”

“...”

“ถ้าผมมี ‘โอกาส’ ผมจะเล่าให้คุณฟัง ว่าทำไมถึงต้องเป็น ‘24601’” เขาว่า จุดบุหรี่อีกมวนขึ้นมาแล้วเสหน้าไปมองถนนอีกทาง

แม้เขาจะไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านั้น แต่ผมจับใจความสำคัญของเนื้อโอเปร่าทั้งหมดเมื่อตะกี้ได้ ผมทอดถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นั่นสินะ ความรู้สึกสับสนที่ว่า “เราเป็นใคร” กันแน่ ทั้งไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ากำลัง “โดนคุมขัง” ตลอดเวลาแบบนั้น....

....กรงของเขาขนาดไม่ได้เล็กไปมากกว่ากรงของผมเลยแม้แต่น้อย

เรายืนอยู่ข้างกันแบบนั้น คนหนึ่งเหม่อมองท้องฟ้า อีกคนมองลงไปพื้นดิน ระยะห่างระหว่างผมกับเขาเหมือนกลายเป็นศูนย์ แขนเสื้อของเราค่อย ๆ สัมผัสกัน อย่างช้าที่สุด ทั้งเขาและผมเราหันมาสบตากัน ใกล้ไปมากกว่าที่คิด มากจนรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าของเรามันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ใกล้จนลมหายใจร้อน ๆ ของอีกฝ่ายปะทะเข้าที่ใบหน้าผม ริมฝีปากแหบแห้งที่ผมเคยปฏิเสธไปในตอนนั้น

ตอนนี้ระยะห่างริมฝีปากของเรากำลังจะเป็นศูนย์ในไม่ช้า.....




Time talk : วันนี้มาดึกหน่อยนะครับ Happy Halloween นะครับ :]

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 31-10-2018 23:40:23
ฮือออ ชอบเรื่องนี้มากเลย บรรยายได้ดีมากๆเลยค่ะ ทุกครั้งที่อ่านจะรู้สึกอินสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2018 01:35:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 06-11-2018 23:04:03


Ep.18 Home Alone [Part 1]




“….ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน คุณรู้ไหมว่าผมละสายตาไปจากคุณไม่ได้เลย”

ผมสะดุ้งตัวก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน สติสัมปชัญญะวิ่งกลับเข้าร่างได้ทันเวลา ผมเฉหน้าไปอีกทาง กลายเป็นวางคางไว้บนไหล่ของเขาแทนผ่านไปสักครู่เขาจึงพูดออกมา

“...ไม่ได้เหรอ?”

ผมไม่ได้มองหน้าเขา แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้ออกมาด้วยความยินดีแน่ ๆ ผมสับสน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเสียงของโชที่พุ่งเข้ามาในจิตใต้มโนสำนึกของผมเมื่อสักครู่คืออะไร ผมทำได้แค่เพียงยกแขนของตัวเองขึ้นกอดคนตรงหน้าแทน

“ขอบคุณนะ” ผมว่า แล้วกอดอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น หลีกเลี่ยงที่จะมองหน้าหรือตอบคำถามดังกล่าวที่เขาถามมา รอจนสักพักเห็นจะได้ เขาถึงได้ยกมือขึ้นมาโอบกอดผมไว้เช่นกัน

“อื้อ ขอบคุณเหมือนกันนะ” เขาว่า เรากอดกันแบบนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไออุ่นจากสัมผัสในตัวของเขาปลุกผมขึ้นมาจากฝันร้ายชั่วคราว มือสาก ๆ ลูบหัวของผมไปมาเหมือนเขากำลังปลอบเด็ก ๆ ชั่วระยะเวลาประมาณหนึ่งก่อนเราทั้งคู่จะถอนตัวออกมาจากอ้อมกอดของกันและกัน

“แล้วกลับยังไงเนี่ย?” ผมถาม ไม่มีกะจิตกะใจไปดูหนังแล้ว

“ขับรถน่ะ” เขาว่าง่าย ๆ พร้อมชี้ไปที่ซีดานคันเก่าที่ผมเคยนั่ง ผมพยักหน้าทำความเข้าใจ ดูนาฬิกา ก่อนจะบอกเขาไป

“ผมคงต้องกลับแล้ว”

“อื้ม”

“นี่คุณ....”

“....”

“กินข้าวเยอะ ๆ นะ หวังว่าถ้า ‘บังเอิญ’ เจอกันคราวหน้า คุณจะอ้วนมากกว่านี้” ผมว่าติดตลก ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกลา

เหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ผมไม่คิดว่าการให้คอนแท็กกับเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาดและระบุอะไรไม่ได้เลยระหว่างเราสองคน

เขาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะโบกมือลา แล้วส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง

....แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ใครก็ดูออกว่ามันเป็นยิ้มที่เศร้ามาก ๆ ก็ตาม

ผมพาตัวเองกลับที่พัก อาบน้ำชำระล้างทั้งสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนร่างกายและในหัวสมอง ถอนหายใจออกมาหลายครั้ง ปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ไหลผ่านจนหัวสมองรู้สึกโล่งแล้วจึงออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัว จากนั้นก็เข้าไปเช็กทวิตเตอร์ DM ยังคงหนาแน่นเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไป คือความรู้สึกของผม

ผม...รู้สึกไม่อยากตอบ DM เหล่านั้นแบบแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่บางคนเราก็เคยมีอะไรกันมาแล้วครั้งสองครั้งด้วยซ้ำไป

ผมถอนหายใจอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ ช่วงนี้เหมือนสมองผมทื่อลง โง่งมงายจนตามไม่ทันว่าตัวเองรู้สึกหรือคิดอะไรกันอยู่กันแน่ ผมแก้ปัญหาด้วยการปล่อยทุกอย่างไว้แบบนั้นชั่วคราว คิดไม่ออกก็ไม่คิด ไม่สนใจจะเข้าไปโพสต์อะไรทั้งหรือรีทวิตให้ใครทั้งนั้น ผมปิดหน้าจอลงเงียบ ๆ แล้วกระโดดลงไปนอนบนเตียง

นี่ผม...กำลังเป็นอะไรกันแน่นะ

เช้าวันถัดมา ผมดำเนินกิจวัตรประจำวันทุกอย่างตามปกติ เช้าไปเรียน สายนั่งเม้าท์มอยท์กับเดอะแก๊ง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือวันนี้ผมจะได้เปลี่ยนที่นอนเป็นการชั่วคราวหนึ่งวัน

หลังจากเมื่อคืนผมกลับถึงห้อง น้องแม็กซ์ก็ไลน์ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมดูแล้วขมวดคิ้วหน่อย ๆ เพราะระยะทางจัดว่าค่อนข้างไกลจากที่พักของผมซะทีเดียว แต่ในเมื่อรับปากว่าจะไปหาแล้วก็ต้องไปหา ผมเก็บข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ (ในหลาย ๆ ความหมาย) ลงกระเป๋า ไม่ลืมแวะซื้อแปรงสีฟันหนึ่งอัน หลังจากนั้นก็พร้อมเดินทาง

ผมโดยสารรถตู้สองต่อ ต่อแรกจากในมอออกไปห้างสรรพสินค้า แล้วต่อไปอีกรอบเพื่อไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกแห่งฝั่งศาลายา พอรถไปถึงก็ต่อสองแถวไปลงแถวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มองซ้าย แลขวา เดินตามพิกัดโลเคชั่นไลน์ไปเรื่อย ๆ ก่อนจะถึงบ้านหลังหนึ่งตามที่อีกฝ่ายไลน์มาบอกทิ้งไว้

ผมกดโทรศัพท์โทรผ่านไลน์ไปหาเจ้าแม็กซ์ ไม่ถึงครึ่งนาทีอีกฝ่ายก็รับสาย

‘สวัสดีครับพี่เสือ’

“ครับ พี่อยู่หน้าบ้านแม็กซ์แล้วนะ”

‘จริงเหรอครับ?’ เสียงเจ้าตัวว่าอย่างตื่นเต้น ผมได้ยินเสียงวิ่งกุกกัก ๆ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะเปิดประตูด้านในโผล่หน้าออกมา

“พี่มาจริง ๆ ด้วย” น้องแม็กซ์ว่า ผมกดวางสายแล้วยิ้มให้เขา

“มาสิ รับปากไว้แล้วว่าจะมาก็ต้องมา”

“มาเพราะรับปากเหรอ นึกว่ามาเพราะอยากมาหาผมซะอีก” เขาว่าเสียงอ้อน เดี๋ยวเถอะ วันนี้จะไม่ได้นอนนะเราน่ะ อ้อนกันตั้งแต่หน้าประตูบ้านแบบนี้ ผมก็แพ้ทางหมดสิครับ

น้องแม็กซ์ยังอยู่ในชุดนักเรียนแต่ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง เขาเดินออกมาเปิดประตูนอกให้ผมเข้าไป ล็อกกลอน ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวบ้านทาวน์เฮ้าท์ขนาดกลางหลังหนึ่งที่มีรถมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ จอดด้านข้าง ผมถอดรองเท้าผ้าใบวางไว้หน้าบ้านแล้วเดินตามหลังเขาเข้าไป ก่อนเจ้าตัวเล็ก จะปิดประตูหลังผมเดินเข้ามาเสร็จ

“คิดถึงพี่จัง” เจ้าตัวเล็กไม่ว่าเปล่า กอดผมเต็มรักพร้อมพูดไปด้วย

“พี่ก็คิดถึงเราครับ” ผมว่าพร้อมกอดเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้วางกระเป๋า เรายืนกอดกันแบบนั้นก่อนผมจะทำจมูกฟุดฟิดไปตามเสื้อผ้าของเขา

“ไปอาบน้ำกันก่อนไหม?” ผมชวน น้องแม็กซ์ย่นจมูกก่อนจะพูดตอบ

“แม็กซ์ชอบอาบน้ำก่อนจะนอนครับ ยังไม่อยากอาบตอนนี้เลย นี่ก็ยังไม่ได้ทำการบ้านเลยครับ” เจ้าตัวว่า ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะปลดกระเป๋าวางไว้บนโต๊ะโล่ง ๆ ตัวหนึ่ง

“ขึ้นไปห้องนอนกัน” เจ้าตัวว่าพร้อมก้าวนำ ผมเดินตามพร้อมมองข้างทางไปด้วย แม้จะมีขนาดกลางแต่พื้นที่ด้านในตัวบ้านกลับมีเนื้อที่ค่อนข้างเยอะ ข้าวของวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ริมผนังบ้านมีกรอบรูปครอบครัวหลายกรอบแขวนไว้ด้านบน รวมไปถึงกรอบรูปพระหลาย ๆ รูปพร้อมหิ้งพระด้านบน ทุกอย่างดูเรียบร้อยไปหมดจนเหมือนไม่มีคนอยู่ด้วยซ้ำ

น้องแม็กซ์พาผมเดินผ่านมาถึงสองห้อง ก่อนจะพบว่าห้องเขาอยู่ชั้นสองห้องในสุด พอเปิดประตูเข้าไปผมก็พบเจอกับโปสเตอร์นักร้องชาวเกาหลีหลายคน

“เป็นติ่งเหรอเรา” ผมทักแซว น้องแม็กซ์ยิ้มเขิน เกาหัวแล้วตอบกลับ

“ไม่ใช่เกาหลีนะ จีนต่างหาก”

“แปลกดี ลูกครึ่งแต่ชอบอะไรจีน ๆ ” ผมว่าตอบ

“ผมขอบอะไรตี๋ ๆ น่ะครับ แบบคนนี้” เขาว่าพร้อมชี้นิ้วไปที่โปสเตอร์ใบหนึ่งที่ติดไว้ “ว่าที่แฟนในอนาคตของผมเอง แฮ่” เจ้าตัวหยอกล้ออย่างขบขัน ผมหัวเราะไปกับมุกตลกนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง พอเห็นแบบนั้นเจ้าแม็กซ์เลยทิ้งตัวลงมานอนบ้างก่อนจะเอาหัวหนุนพุงของผมไว้

“ดีจังเลยที่พี่มาหาผม....”

“...”

“...ไม่งั้นผมคงต้องอยู่คนเดียวไปอีกนาน” เขาว่าเสียงเรียบ

ผมลูบหัวปลอบเจ้าแม็กซ์ สารภาพตามตรงว่าแม็กซ์ไม่ใช่เด็กคนแรกที่ผมรู้จัก ไปหา และปลอบใจเขาเงียบ ๆ แบบนี้ จริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีน้องคนหนึ่งเหมือนกันที่ผมเคยคุย ๆ อยู่บ้าง แต่เราก็ห่างกันไปด้วยสาเหตุบางประการ แต่จุดเริ่มต้นก็คล้าย ๆ กับแม็กซ์ เด็กมัธยมปลายในครอบครัวคนชนชั้นกลางที่พ่อแม่มีปัญหากันเลยปล่อยลูกไว้ตามลำพัง

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นสังคมขนาดเล็กแค่ไหนก็ตามแต่ ขอแค่คนใน ‘สังคม’ พร้อมจะตอบรับเขาเข้าเป็น “สมาชิก” ในครอบครัว บางครั้งแล้วต่อให้รู้ว่าเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ดี แต่ขอแค่มีโอกาสได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ขอแค่มีโอกาสได้มีความสำคัญจากใครสักคน

....หรือแม้แต่มีมูลค่ากับใครสักคนในฐานะเซ็กซ์ทอยมีชีวิตก็ตามแต่

บางครั้งแล้วเด็กพวกนี้ก็เป็นแค่เด็ก ๆ ที่หลงกลอยู่ในวังวนของสังคมที่แหลกเหลว

พวกเขาเป็นแค่ “เหยื่อ” จากความไม่พร้อมของครอบครัว ๆ หนึ่ง เป็นเหยื่อจากสังคมแพ้แล้วคัดออกที่พยายามเขี่ยและจำกัดพวกที่แปลกแยกจากระบบก้มหน้าให้ออกไปเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าเพียงลำพัง

ผมถึงพูดเสมอตลอดระยะเวลาที่เรียนที่คณะของผม การเลี้ยงดูเด็กสักคนให้เติบโตขึ้นมาในสังคมไม่ใช่แค่มีเงินแล้วทุกสิ่งจะสมบูรณ์แบบ มากกว่าเงินทองที่ก็มีความสำคัญมาก ๆ ในการดูแลคน ๆ หนึ่ง อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความรักของคนในครอบครัว

ผมดึงเจ้าแม็กซ์พลิกตัวหันมานอนซบอกผมแทน เจ้าตัวเล็กไม่ขัดขืน เขาขยับตัวขึ้นมากอดผมไว้แน่น เอาหน้าซบลงกับอกก่อนจะพูดเสียงอู้อี้

“ขอบคุณอีกครั้งที่มาหานะครับ”

ผมไม่ตอบอะไรกลับ นอกจากลูบหัวเขาเบา ๆ เข้าใจทุกความรู้สึกของคนวัยเยาว์กว่าที่กำลังนอนคว่ำหน้าซบอกผมอยู่ ผมรู้ด้วยซ้ำแม้กระทั่งว่าทำไมเขาถึงอยากให้ผมมาหา เพราะแบบนั้นแล้วจึงทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ คอยโอบกอด และให้กำลังใจเขา ในวันที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่ไหวแล้วกับความเดียวดาย

หลังจากนอนกอดกันสักพักน้องแม็กซ์ก็ถอนแขนออกไป ขอบตาแดงนิดหน่อยก่อนเจ้าตัวจะเช็ดลวก ๆ แล้วเดินขึ้นไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ผมอมยิ้ม แล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เขา

“พี่นอนเล่นก่อนก็ได้นะ หรือหิวไหม ในตู้เย็นผมมีของกินเยอะเลย ไปเอามาทานได้นะครับ” เขาว่าแบบนั้น เพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังแกล้งทำเป็นจดจ่อกับหนังสือตรงหน้าเพราะไม่อยากให้ผมมองตา ผมเลยก็ถอยให้เขาก้าวหนึ่งด้วยการตกลงว่าจะลงไปหาของกินข้างล่าง แล้วเอาน้ำแดงที่อยู่ในตู้มาฝากเขา

ผมก้าวเดินลงอย่างระมัดระวังกับบันไดไม้ในบ้าน เดินลงไปแล้ว เลี้ยวซ้ายตามทางที่น้องบอก พอผลักประตูไม้ที่เป็นตัวกั้นระหว่างห้องเข้าไป ก็เห็นตู้เย็นตั้งอยู่ ผมเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นออกก่อนจะผงะกับข้าวของที่อยู่ในตู้เย็น

เยอะ ...เยอะมาก ผมคะเนแล้วถ้าทานคนเดียวยังไงก็ไม่หมดแน่นอนภายในหนึ่งเดือนแน่นอน

ที่น่ากลุ้มใจคือทั้งหมดนั้นล้วนเป็นอาหารกล่องแช่แข็งที่ถามว่ามีคุณค่าทางอาหารไหม ใช่ มันมี แต่มันไม่เหมาะสมกับเด็กวัยที่กำลังเจริญเติบโต แบบเจ้าแม็กซ์เลยแม้แต่น้อย ผมสำรวจตั้งแต่ช่องฟิซ เห็นถุงถัวลันเตาแห้งสนิทค้างข้างใน พอไล่ชั้นมาก็เจอแต่ของแช่แข็งกับพวกของที่หมดอายุยาก ๆ เช่นพวกแยม พวกนมข้นต่าง  ๆ

พอละจากตู้เย็น ผมก็เดินสำรวจรอบ ๆ ครัว นอกจากถุงขยะสีดำสนิทใบโตสองใบที่ใส่กล่องข้าวแช่แข็งทานหมดแล้วผมไม่เห็นอะไรอื่นอีกเลย แต่ก็ยังมีอุปกรณ์เครื่องครัวข้าวของต่าง ๆ ให้สามารถใช้ได้ ผมเทสต์เตาแก๊สสองสามรอบ พบว่ายังมีแก๊สเหลือมากพอหากคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาทานง่าย ๆ

เพราะแบบนั้นผมจึงหยิบไปแค่ของวางทานง่าย ๆ ไม่เปื้อนมือสองสามอย่างกับน้ำแดงขึ้นไปให้กับเจ้าของบ้าน ผมเดินเข้าไปในห้องแล้ววางของทั้งหมดไว้ข้าง ๆ เจ้าตัวที่กำลังขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือและทำโจทย์ตรงหน้า พอเขาเห็นผมก็ยิ้มออกมา ก่อนจะรับน้ำแดงยกขึ้นกระดกดื่มแล้วกล่าวว่า

“ชื่นใจจังครับ”

ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนจะนั่งข้างเขา

“แม็กซ์ครับ ปกติทานแต่ของแช่แข็งเหรอ?” ผมถาม เจ้าตัวหันมามองก่อนจะร้องอ๋อเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าผมถามเพราะไปเห็นของในตู้เย็นมา

“ใช่ครับ กินง่าย สะดวกดี อร่อยด้วยย” เจ้าตัวว่าน้ำเสียงทะเล้นลากยาว ผมบิดจมูกน้อย ๆ นั้นด้วยข้อหาหมั่นไส้ก่อนจะบอกความตั้งใจของตัวเองออกไป

“ทำกับข้าวกินกันไหม?” ผมว่า เจ้าแม็กซ์มันมองหน้าผมแล้วถาม

“พี่ทำกับข้าวเป็นเหรอครับ?”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับ อีกฝ่ายก็ส่งเสียงว้าวเหมือนไม่คาดคิด แหม เห็นแบบนี้ผมก็มีเสน่ห์ปลายจวักเป็นของตัวเองนะเว้ย

“มันจะไม่รบกวนเหรอครับ พี่เป็นแขกนะ” เขาว่า

“ใครบอกพี่เป็นแขก พี่เป็นคนไทยต่างหาก“ ผมหยอก เจ้าแม็กซ์เหล่ตามองผมแล้วพูดตอบ

“แม็กซ์จะบอกว่าถ้าแม็กซ์มีเงินแม็กซ์จะขอซื้อมุกนี้ไว้ แล้วพี่อย่าไปเล่นมุกแบบนี้กับใครอีกนะ”

“ร้ายนะเรา” ผมว่าผมขยี้หัวเขาด้วยความหมั่นไส้ เจ้าตัวร้องโอ๊ยแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะไหลตัวลงมากึ่งนั่งกึ่งนอนบนตักผม

“นี้ผมไมได้สนทนากับมนุษย์ในบ้านตัวเองนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย” เขาว่าพร้อมเอาจมูกดัน ๆ ขาผม

“ว่าแต่ใกล้เสร็จรึยังครับ พี่ว่าจะชวนเราออกไปซุปเปอร์มาเกตในห้างใกล้ ๆ แถวนี้” เพราะผมพูดแบบนั้น เจ้าตัวเลยหูตั้งขึ้นมา ก่อนจะยกมือว่า ขอเวลาสักครู่ แล้วเร่งจรดปลายปากกาเขียนอะไรลงไปในหน้าสมุดการบ้านของเขาอีกสักพัก ก่อนจะส่งเสียงไชโยออกมาหลังจากวางปากกาลง

“ไปซื้อของมาทำกับข้าวกัน” เจ้าตัวว่าเสียงใส วิ่งลิ่ว ๆ ไปเปิดตู้ซื้อผ้า ถ้าผมเปรียบโชว่าเหมือนเจ้าตัวนากเผือก น้องแม็กซ์สำหรับผมก็ไม่ต่างอะไรจากชิบะตัวเล็ก ๆ ซึ่งเจ้าชิบะตัวนี้กำลังดีใจเหมือนเจ้าของจะพาออกไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะอย่างไรอย่างนั้น

น้องแม็กซ์ถอดเสื้อนักเรียนพร้อมกางเกงออกเหลือแต่บ็อกเซอร์ข้าวหลามตัดสีเทา ผมผิวปากแซวความขาวเนียนของแผ่นหลังเจ้าตัวดีแล้วเดินไปลูบไหล่เขาเล่น

“พี่”เจ้าแม็กซ์เรียกผมเสียงเข้มทั้ง ๆ ที่ยังหันหลัง

“ครับ”

“อย่าลูบ...เดี๋ยวผม ‘ตื่น’”

ผมหลุดขำความไม่ประสีประสาของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะถอยหลังออกมาตามคำแนะนำนั้น เพราะถ้าน้องแม็กซ์น้อย ‘ตื่น’ เดี๋ยวเราสองคนจะได้ทานข้าวเย็นกันช้าเปล่า ๆ พอผมไม่แกล้งเขาก็จัดการตัวเองเรียบร้อยภายในห้านาที น้องแม็กซ์ใส่เสื้อคอปกสีดำแขนสั้นรูปมิกกี้เม้าส์พร้อมกางเกงยีนต์ขนาดพอดีตัว ก่อนจะเซ็ทผมนิดหน่อยเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแต่งตัวของเขา

พอแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถมอเตอร์ไซค์ และกระเป๋าเงิน น้องแม็กซ์ก็ปิดประตูเล็กก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูใหญ่ ในฐานะคนที่อาวุโสกว่า ผมจึงเป็นฝ่ายรับหน้าที่ในการเป็นสารถีครั้งนี้ พอเข็นออกมาได้น้องแม็กซ์ ก็ยื่นหมวกกันน็อคมาให้กับผม แต่เพราะมีอยู่ใบเดียวผมจึงปฏิเสธเพื่อให้เขาเป็นคนใส่แทน

“พี่ใส่เถอะ ถ้าพี่เป็นอะไรผมช่วยพี่ไม่ได้ แต่ถ้าผมเป็นอะไร พี่ช่วยหรือยกผมไหวแน่ ๆ  ...โอ๊ย” เจ้าตัวร้องโอ๊ย หลังเล่นมุกไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบตอนนี้ ผมยิ้มหัวเราะกับท่าทีทำเป็นเหมือนเจ็บมากของเจ้าเด็กน้อง ก่อนจะรับหมวกมาแล้วเอาไปใส่ไว้ที่หัวของเขา เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายจึงยืนดูผมสวมหมวกให้เขาเฉย ๆ

“ขอบคุณนะครับ” น้องแม็กซ์ว่าเสียงใส ผมยิ้มให้ ก่อนจะสตาร์ทแล้วให้ เจ้าตัวเล็กขึ้นซ้อนมาด้านหลัง พอขับมาได้ มือของน้องแม็กซ์จากจับเบาะก็เปลี่ยนมาเป็นกอดเอวของผมไว้หลวม ๆ แทน

“ไม่ว่าใช่ไหมครับ?” เจ้าตัวว่า ผมตะโกนโต้ลมกลับไป

“ไม่ว่า ๆ กอดแน่น ๆ ได้เลย”

ไม่แน่ใจว่าเพราะต้องการประชดผมรึเปล่า เจ้าแม็กซ์เลยกอดเอวผมซะแน่นจนไขมันรอบเอวผมรัดไปหมด เราสองคนสนทนาโต้กลับสายลมที่พัดผ่านระหว่างการเดินทาง น้องแม็กซ์บอกทางผมไปเรื่อย ๆ ก่อนเราจะมาถึงห้างสรรพสินค้าในย่านแถวนี้ในเวลาไม่นาน

ผมขับรถเข้าไปจอดในชั้น B ก่อนเราจะเดินทะลุประตูเข้ามาในห้าง เพราะตั้งใจว่าจะเดินไปเลือกซื้อพวกของสดกันก่อน เป้าหมายของเราจึงเป็นการเดินลงไปที่แผนกสินค้าสด จำพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักไม้ใบหญ้าพร้อมพวกเครื่องปรุงหรือของแห้งบางชนิดที่เกี่ยวกับการทำอาหาร

พอมาเดินข้าง ๆ กันแบบนี้แล้วต้องบอกว่าเจ้าแม็กซ์เองก็ดูฮอตไม่หยอกเลยครับ จากสายตาที่ทั้งมองมาโต้ง ๆ และแอบ ๆ มองมา ก็แน่ละ เด็กลูกครึ่งที่ทั้งสูงทั้งขาวเบอร์นี้ จะเป็นเป้าสายตาก็คงไม่แปลกอะไร และดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะน้องแม็กซ์ดูไม่ได้ซีเรียสอะไรจากสายตาที่มองเข้ามาเท่าไหร่

“โอ๊ย!!” และก็เป็นผมเองที่ร้องขึ้นครั้งแรกหลังฝ่ามือของเราบังเอิญชนกันและเกิดประจุไฟฟ้าสถิตเข้ามาทำงาน

“แม็กซ์แกล้งพี่” ผมแกล้งบ่น เจ้าแม็กซ์อ้าปากหัวเราะก่อนจะพูดหยอกกลับ

“ถ้าผมช็อตพี่ได้จริงนะ ผมไม่ช็อตแค่นั้นหรอก” เขาว่า

“โห้ย เจ้าเด็กใจร้าย...โอ๊ย!!” ผมร้องขึ้นมาอีกรอบหลังหลังมือของผมเผลอไปโดนแล้วช็อตอีกรอบ แต่รอบนี้เหมือนอีกฝ่ายจะโดนไฟช็อตเหมือนกัน เพราะแอบสะดุ้งกันไปคนละทิศคนละทาง เราร้องอู้ย กะนิดหน่อยแล้วเว้นระยะห่างขึ้นมาอีกนิดเพื่อป้องกันไฟช็อตแบบเมื่อสักครู่อีก เจ้าแม็กซ์หยิบมือถือขึ้นมา กดคลิก ๆ ไม่กี่ครั้งแล้วหันมามองหน้าผม

“พี่เสือ”

“ครับ ว่า?”

“เขาบอกว่าถ้าไม่อยากโดนไฟดูดให้จับมือกันเดินอ่ะครับ”

 ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยื่นมือถือมาให้ผมดูว่าเขาไม่ได้โมเมขึ้นมาเอง ผมรับมาอ่าน ก่อนจะขมวดคิ้วและเข้าใจแล้วว่าประจุในร่างกายคนเราไม่เท่ากันนี่เอง จึงทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นมาช็อตได้และถ้าจับมือกันเดินแบบที่เขาว่า มันจะทำให้ประจุในร่างกายของคนสองคนแลกเปลี่ยนกันไปมาและเท่ากันในที่สุด

“เอาสิ” ผมว่าพร้อมยื่นมือออกไปหาคนข้าง ๆ ไม่ใช่คนแรกของผมซะหน่อยที่จับมือกันเดินทั่วห้างนะ

แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นครั้งแรกของเจ้าเด็กข้าง ๆ ผม น้องแม็กซ์หน้าแดงแปร๊ดเหมือนใครเอามะเขือเทศทั้งสวนมาทาหน้าของน้องมัน ยิ่งเห็นแบบนั้น ผมยิ่งอยากแกล้ง ผมจับมือแล้วดึงเขาเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ

“เขินเหรอ?” ผมว่า เขาพยักหน้ารับคำ

“ผม...ไม่เคย” น้องแม็กซ์ว่าเสียงอ่อน หน้ายังแดงเหมือนเดิม

“ใครบอกไม่เคย วันนั้นกับพี่คืออะไร..อุ๊ก” ผมร้องจุกในตอนท้าย หลังอีกฝ่ายเขินจนทุบแขนผมแรง ๆ

“พี่บ้า พูดอะไรเนี่ย !!” เขาโพล่งเสียงสูงแล้วพยายามกดเสียงให้ต่ำลง เมื่อรู้ตัวว่าพูดเสียงดังไปหน่อย

ผมหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาที่เขาแสดงออกมา ก่อนจะผิวปากเป็นทำนองเพลงแล้วพาเขาเดินลงไปสู่ชั้นล่างต่อไป แม้เขาจะบอกว่าเขินอายมากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือแม็กซ์ดูเหมือนไม่อยากปล่อยมือออกไปจากผมเลย เสียงเพลงจากเสียงตามสายดังขึ้นไปทั่วขณะ เพลงข้าวแสนดีถูกเราร้องล้อเลียนอีกครั้งด้วยโน้ตสูงต่ำไม่เท่ากัน ก่อนเราจะเดินจับมือและหยอกล้อท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาจนถึงบริเวณชั้นล่าง....





Time talk : แฮ่ วันนี้มาดึกเหมือนเคยนะครับ ไหนมีใครคิดถึงความน่ารักและสดใสของน้องแม็กซ์ไหมครับ น้องยังอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่ ๆ เลยนะ เด็กอะไรก็ไม่รู้ เขินทีก็ลงไม้ลงมือที 55555555 ช่วงนี้ผมเหนื่อย ๆ ขออ้อนหน่อยนะครับ แง้ว ๆ /กลิ้งตัวไปมา

ฝากเอ็นดูน้อง ๆ หน่อยนะครับ

Ps. ///"แล้วผมล่ะ?" มนุษย์นากเอยด้วยเสียงแผ่วเบาจากด้านหลังของพ่อแมว

โอเค พ่อแมวต้องรีบหนีไปก่อนแล้วกันนะครับ ไปล่ะนะ เหมี๊ยว !!!

 

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-11-2018 02:16:25
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-11-2018 21:00:58
บางคนก็สามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้ทุกครั้งที่เจอ

ช่วงนี้พี่เสือฮ็อตนะเนี่ย

แม๊กซ์น่ารักจัง สงสารน้องที่ต้องกินแต่ข้าวกล่อง
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 08-11-2018 22:32:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19 Home (not) Alone [Part 2] | P4 | 13/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 13-11-2018 21:13:04



Ep.19 Home (not) Alone [Part 2]







“เอาไข่ 1 แผง” ผมว่า พลางชี้นิ้วบอกให้เจ้าชิบะตัวน้อยวิ่งดุ๊กดิก ๆ ไปเอาไข่มา 1 แผงตามที่ผมบอก

ตอนนี้เราเดินมาถึงชั้น B แล้ว และกำลังวนรถเข็นเลือกของกันในแผนกของสดของห้างแห่งนี้ ผมคะเนเมนูในใจแล้ว อยากทำต้มจืดหมูสับกับข้าวโพดทอดให้เจ้าหนูนี่ทาน ตอนนี้เราได้ข้าวโพดแล้ว ได้ไข่แล้ว ยังขาดเนื้อสัตว์อีกนิดหน่อย กับพวกเครื่องปรุงและเครื่องผสม เช่นแป้งสาลีสำหรับทำของทอด

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเจ้าเด็กน้อยดูจะยิ้มง่ายมากกว่าแค่การนั่งหงอยอยู่ในบ้านเฉย ๆ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะผมว่า ผมแอบถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียผมก็คงไม่ได้สามารถมาอยู่หรือดูแลเจ้าตัวเล็กได้บ่อย ๆ คงต้องหาวิธีการหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เขาเลิกจมกับปัญหาของตัวเอง

หลังจากเลือกซื้อของที่ต้องใช้ทั้งหมดเสร็จสิ้น ผมกับแม็กซ์ก็มาต่อแถวรอคิวชำระค่าสินค้า

“แล้วนี่ใกล้จะสอบรึยังนะ?” ผมถาม น้องแม็กซ์พยักหน้าพลางเปิดดูโทรศัพท์มือถือ ผมคิดว่าคงเป็นตารางส่วนตัวของเขา

“เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว พร้อมรึยัง?” ผมถาม น้องแม็กซ์หัวเราะแห้ง ๆ แล้วส่ายหน้า

“ผมยังอ่านได้ไม่ถึงไหนเลย” เขาว่า

“พี่จะบอกอะไรให้นะ โตแล้ว จัดลำดับความสำคัญดี ๆ เวลาทุกคนมีเท่ากันหมด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจัดลำดับความสำคัญให้กับอะไรบ้าง เรื่องสอบ เครียดได้ เกร็งได้ แต่ให้มองทุกอย่างเป็นเส้นกลาง ๆ หาทางเลือกเผื่อทางหนีไว้บ้าง หรือถ้ามันที่สุดจริง ๆ ว่าต้องเป็นมหาลัยนี้เท่านั้น ก็พยายามอ่านให้เต็มที่ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ทำต่อไปจนกว่าจะได้ในปีหน้า” ผมว่า

“แม็กซ์ก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าซิ่วคนเดียวก็คงแปลก ๆ พี่เสือว่าระหว่างซิ่วแล้วมาอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน กับเรียนปีหนึ่งไปด้วยแล้วอ่านหนังสือไปด้วย อันไหนโอฯ กว่ากันอ่ะ?” น้องแม็กซ์ถาม ผมนั่งคิดก่อนจะตอบ

“พี่ว่ามันต้องมองหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ถ้าน้องแม็กซ์พร้อม ครอบครัวพร้อมในการจะให้เราซิ่ว ออกมาอยู่บ้านก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะถ้าเราเรียนไปด้วย ไหนจะกิจกรรมปีหนึ่ง ไหนจะบรรยากาศต่าง ๆ มันจะทำให้เราหวั่นไหวจนเป้าหมายสั่นคลอนได้นะครับ” ผมแนะนำ เจ้าแม็กซ์ทำหน้าหงอยไปนิดหน่อยตอนผมพูดถึงคำว่า ‘ครอบครัว’

“2560 แล้ว พี่ว่าชื่อมหาวิทยาลัยยังสำคัญอยู่ไหมครับ?” เจ้าตัวเล็กถามต่อพลางดันรถเข็นไปข้างหน้า รออีกสองคิวก็จะถึงรอบชำระของเราแล้ว

“...เอาตามตรงก็ยังสำคัญ และจะยังสำคัญแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนมาถึงอุดมศึกษา  แต่เรื่องนี้ถ้าจะพูดแล้วคงต้องพูดกันยาวตั้งแต่เรื่องระดับรากฐานของการศึกษา ไปยังอำนาจการปกครองของภาครัฐ ฉะนั้นแล้ว ตอบแบบย่อ ๆ ก็อยากให้เราพยายามให้ดีที่สุดให้ถึงมหาวิทยาลัยที่โอเค ๆ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อตัวแม็กซ์เองเวลาจบออกไปนั้นแหละครับ” ผมสรุปอีกครั้ง เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง ตอนนี้รอคิวอีกแค่คิวเดียวแล้ว

“เรียนที่ไหนก็ไม่เหมือนกันเนาะ” เจ้าแม็กซ์ว่า ย่นคิ้วขมวดนิด ๆ

“ถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน แล้วเราจะพยายามดิ้นรนอ่านหนังสือกันไปทำไมละครับแม็กซ์ อีกอย่างนะ เอาแค่พูดกันตามหลักเป็นจริงก่อน คือแค่โครงสร้างหลักสูตรหรือตัวคณาจารย์ผู้สอนก็แตกต่างกันแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ว่าเรียนทีไหนก็เหมือนกัน พี่ว่าเขาหมายความว่าได้มีสถานะว่ากำลังเรียนเหมือน ๆ กัน แต่ไม่ได้บอกว่าคุณภาพเท่ากันนะ...” 

ผมสรุปอีกครั้งก่อนจะถึงคิวเราจ่ายเงินค่าสินค้า  น้องแม็กซ์กับผมช่วยกันยกเอาของในรถเข็นออกมาวางไว้บนตัวเค้าท์เตอร์ชำระสินค้า เบ็ดเสร็จรวมไปทั้งหมดจ่ายไป 400 กว่าบาท ก่อนเราสองคนจะช่วยกันหิ้วขึ้นไปบันไดเลื่อนเพื่ออกไปสู่ลานจอดรถจักรยานยนต์

“พี่เสือ เราแวะตรงโน้นแปปหนึ่งได้ไหม?” น้องแม็กซ์ถามระหว่างทางขึ้น ผมมองตามก่อนจะร้องอ๋อ วันนี้มีงาน Expo พวกสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ อะไรทำนองนี้มาเปิดบูธจำหน่ายน้อง ๆ สัตว์เลี้ยงหลากหลายชนิดที่ห้างสรรพสินค้านะครับ  ผมกับเจ้าแม็กซ์หิ้วของไปฝากไว้ที่ด้านหน้าบริเวณจุดรับฝากของทางเข้างาน ก่อนจะเดินเข้าไปชมสัตว์หลาย ๆ ชนิดที่เขานำมาจัดจำหน่าย

“ตัวนั้นแม็กซ์ว่าน่ารักดี” น้องแม็กซ์ว่า พลางชี้นิ้วไปที่แมวขนสั้น ๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นพันธ์อะไร เจ้าเหมียวตัวนั้นน้องอยู่ในกรง หันหน้ามามองพวกเรา ก่อนจะหันหน้าหนีกลับไปแบบไม่สนใจ

“ขนาดแมวยังเมิน” น้องแม็กซ์พลางหัวเราะแห้ง ๆ ไปกับผม

เราสองคนเดินวนเวียนไปงาน มีสุนัขขนาดเล็กพันธ์ต่าง ๆ มาจัดจำหน่าย พร้อมน้องแมว น้องกระต่าย และสัตว์เล็ก ๆ อีกสองสามชนิด พอวนจนครบเจ้าแม็กซ์ก็พูดกับผมว่า

“พี่เสือ พี่เสือว่าแม็กซ์ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวไหม?” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ทำไมถึงอยากเลี้ยงสัตว์ล่ะ?” ผมถามกลับ เจ้าตัวดีทำหน้าประมวลความคิดก่อนจะตอบกลับ

“ก็ เลี้ยงไว้แก้เหงาไง เพื่อนสนิทที่โรงเรียนแม็กซ์หลาย ๆ คนก็เลี้ยงพวกหมาพวกแมวพันธ์สวย ๆ นะ” ผมพยักหน้ารับคำตอบนั้น ก่อนจะหันไปถามเขา

“แล้วแม็กซ์คิดว่าตัวเองพร้อมจะรับผิดชอบทั้งชีวิตของพวกเขาไปตลอดชีวิตแล้วรึยังครับ?”

“...”

“ไม่รู้สิ จะคน หรือสัตว์พวกนี้ ลองได้มีชีวิตดูแล้ว เราก็ต้องทะนุถนอมพวกเขาไปตลอดอายุขัย พี่ก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน แต่การดูแลสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ มันไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจบนะ มันต้องมีทั้งเวลา มีทั้งความรักและการใส่ใจให้กับพวกเขา หมาแมวพวกนี้อาจจะเป็นพาร์ทหนึ่งในความสุขของเรา...." ผมว่า เว้นวรรคแล้วมองหน้าเด็กน้อยที่กำลังตั้งใจฟังผม

"แต่สำหรับพวกเขา เราเป็น ‘ทั้งหมด’ ของชีวิตพวกเขานะครับ”

ผมอธิบายต่ออีกครั้งหนึ่ง น้องแม็กซ์พยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ

“งั้นแม็กซ์ว่า แม็กซ์คงยังไม่เหมาะจะซื้อพวกเขาไปนะ แม็กซ์ว่าแม็กซ์คงยังไม่พร้อมจะดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่นะครับ” น้องแม็กซ์ว่า

“ดีแล้วครับ อย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้จักการเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองก่อนนะ” ผมพูดพร้อมยกมือขึ้นมาดึงแก้มย้วยๆ  นั้น อย่างหมั้นเขี้ยว ทำไมพระเจ้าถึงรักแกมากขนาดนี้ฮะเจ้าแม็กซ์  เจ้าแม็กซ์หัวเราะน้อย ๆ ก่อนเราจะเดินออกจากบูธขายสัตว์เลี้ยงแล้วมุ่งหน้าไปสู่ชั้นบนต่อ รอบนี้กลายเป็นผมบ้างที่ขอเขาแวะข้างทาง

“แม็กซ์ครับ แวะตรงนี้แปปนะ” ที่แท้วันนี้นอกจากโซนสัตว์เลี้ยงแล้วเขายังมีพวกต้นไม้ขนาดเล็กมาเปิดแผงขายด้วย เจ้าแม็กซ์พยักหน้าแล้วเดินผมตามมา ก่อนเราจะเดินวนดูแผงต้นไม้หลาย ๆ แผงที่มาเปิดบูธในวันนี้

“ตรงนั้นสวยดีนะพี่ว่า” ผมพูดพร้อมชี้ไปที่ต้นคลาสซูล่า  ต้นคลาสซูล่าเป็นต้นไม้ที่มีใบอวบ กลม ออกใบซ้อนกัน และมีขนาดเล็ก ออกดอกสีขาวและสีชมพู ผมเคยศึกษาต้นไม้ขนาดเล็กพวกนี้ผ่านตามาบ้าง

...เพราะเคยมีคนแนะนำผมว่า ถ้าเรายังเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตเช่นหมาแมวยังไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ลองหัดเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตที่ดูจะเลี้ยงดูง่ายกว่านั้นลงมาหน่อยเช่นต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ และต้นไม้ต้นแรกในชีวิตของผมก็คือต้นไม้อวบน้ำขนาดเล็กนั้นเอง

‘พี่ว่าสิ่งมีชีวิตมันช่วยเติมเต็มสิ่งมีชีวิตที่ 'ขาดชีวิตชีวา' ได้จริง ๆ นะ’

ผมชะงัก เหม่อมองต้นคลาสซูล่าอย่างเหม่อลอย ก่อนสติจะกลับมาเพราะน้องแม็กซ์สะกิด

“พี่เสือ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาถาม หลังจากผมหันกลับมามองเขา

“เปล่าครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบประโยคง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าโกหกออกไป เจ้าตัวเล็กพยักหน้าขึ้นลง จับต้นแขนผมแล้วว่าต่อ

“แต่ถ้าพี่เป็นอะไร ...เล่าให้ผมฟังได้นะครับ”

ผมยิ้มกว้างกับคำพูดดังกล่าวก่อนจะขยี้หัวเจ้าตัวดีเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจตัวเองก็มีปัญหาแท้ ๆ แต่ก็ยังใส่ใจคนอื่น ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดว่าตัวเองดูเด็กไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ แต่ต้นไม้ทุกต้นต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโต ปัญหาของเจ้าแม็กซ์ ไม่มีใครแก้ไขได้นอกจากตัวเขาเอง แม้กระทั้งผมเองก็ทำได้แค่ให้เขาได้โตไปในทางของเขาแค่นั้นเอง

“พี่ว่า ถ้าอยากเลี้ยงอะไรสักอย่าง ลองปลูกต้นไม้พวกนี้ดูก็ดีนะ” ผมแนะนำ เจ้าแม็กซ์พยักหน้าขึ้นลงถี่ ๆ เหมือนรับทราบก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ตัว

“อย่างน้อยจะได้มีอะไรทำเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วตบไหล่ให้กำลังใจเบา ๆ ก่อนเราจะเดินวนรอบ ๆ งานเพื่อดูว่ามีต้นไมต้นไหนไหมที่เขาอยากได้กลับไปเลี้ยงดูปูเสื่อ สุดท้ายแล้วน้องแม็กซ์ก็เรียกต้นกระบองเพชรแคระที่สามารถออกดอกได้ตามคำบอกเล่าของคนขาย หากแต่คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ เลยกว่าจะถึงวันนั้น

“แม็กซ์จะตั้งใจดูแลจนกว่ามันจะออกดอกครับ” เขาว่ากับผม ก่อนเราจะช่วยกันหิ้วของทั้งหมดกลับไปที่รถจักรยานยนต์พร้อมต้นกระบองเพชรแคระต้นนั้น น้องแม็กซ์กอดเอวผมแน่นเหมือนเคย ก่อนจะเอาจมูกถูไปมาจนผมจักจี้แล้วหัวเราะลั่นไปตลอดทาง ติดที่ว่าผมดันขับรถอยู่เลยเอาคืนไม่ได้

“ปิดประตูด้วยนะพี่เสือ !!!” พอถึงหน้าบ้านเจ้าตัวก็รีบโดดลงรถวิ่งหนีผมไป

“มานี้เลยนะ !!” ผมตะโกนหลงจอดรถมอไซต์ น้องแม็กซ์ไขกุญแจแล้ววิ่งตัวปลิวไปพร้อมกับถุงข้าวของทั้งหลายที่ซื้อมา พอปิดประตูหน้าบ้านเสร็จผมก็วิ่งตามเข้าไปในตัวบ้าน พอเห็นน้องแม็กซ์วางถุงของทั้งหมดบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยกล้ากอดเขาเต็มแรงจากด้านหลัง

“จับได้แล้ว!” ผมว่าพร้อมจักจี้เอาคืนไปมา น้องแม็กซ์ดิ้นไปมาในอ้อมกอด ก่อนเราทั้งคู่จะทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟาข้าง ๆ รู้ตัวอีกทีน้องแม็กซ์ก็หงายตัวมามองหน้าผมที่กำลังคร่อมเขาอยู่

“พี่...บ้า” เขาว่าพร้อมตีไหล่ผมเบา ๆ ผมอมยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นขยับหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ตัวเขาแทน เจ้าเด็กน้อยหน้าแดงเหมือนยังกะว่าเราไม่เคยได้กันมาก่อน ก่อนผมจะเว้นระยะห่างระหว่างเราเหลือแค่ไม่ถึงคืบ

“เมื่อกี้ว่าไงนะ” ผมถาม ตั้งใจให้ลมร้อน ๆ ปะทะกับใบหูของเขา

“ผมบอกว่า..พี่บ้า ชอบแกล้งผม” น้องแม็กซ์พูดเสียงเบาอู้อี้ออกมาจากในลำคอ ยิ่งเห็นแบบนั้นผมยิ่งแกล้ง ด้วยการลดระดับลงไปที่ต้นคอแล้วพูดกระซิบต่อ

“แบบนั้นเขายังไม่เรียกว่าแกล้ง ถ้าแกล้งจริง ๆ ต้องแบบนี้....” ไม่พูดเปล่า ลิ้นของผมแตะลงไปเบา ๆ ที่บริเวณหลังใบหู น้องแม็กซ์ครางฮื่อเสียงยาวก่อนจะทุบหลังผมดักแอ้กจนผมแกล้งกลิ้งทิ้งตัวลงไปกับพื้นด้านล่างแทน

“โอ๊ย” ผมแกล้งร้องเสียงดังอวดครวญ

“พี่เสือ แม็กซ์ขอโทษ แม็กซ์ตกใจ..พี่อ่ะ เล่นอะไรไม่รู้บ้า ๆ ” เจ้าตัวหน้าเสียรีบปลอบผมที่กลิ้งลงไปนอนกับพื้น ผมแกล้งเบะปากเบา ๆ แล้วพูดต่อ

“วันนั้นทำมากกว่านี้แท้ ๆ”

“พี่เสือ !!!” ยิ่งพูดน้องแม็กซ์ยิ่งหน้าแดง ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเขาแทน

“ก้มหน้าลงมา” ผมว่า น้องแม็กซ์ทำหน้างงจนผมต้องพูดเร็ว ๆ อีกรอบ

“พี่บอกให้ก้มหน้าลงมาไงครับแม็กซ์” พอผมดุนั้นแหละเจ้าตัวถึงได้ก้มหน้าลงมาแบบงง ๆ ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะ (เขย่งเท้าแล้ว)จูบลงเบา ๆ ที่หน้าผากของเขาก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นแล้วเกาหัวพูดเขิน ๆ

“...นี่ถ้าพี่สูงกว่าผมนะ ฉากเมื่อกี้คงโรแมนติกน่าดู”

“แม็กซ์ !!!” ผมเรียกน้องเสียงเข้มเป็นการถามว่าส่วนสูงพี่มันทำไมเหรอ? เจ้าแม็กซ์หัวเราะแห้ง ๆ แล้วรีบวิ่งไปหยิบข้าวของ

“ไปทำกับข้าวกัน นะๆๆๆๆ” เขาอ้อนเสียงหวาน ผมส่ายหน้าหัวเราะในความกะล่อน แจกมะเหงกเบา ๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะเดินพาเจ้าตัวดีเข้าครัวไปทำกับข้าว

เพราะอุปกรณ์พวกนี้ไม่ค่อยได้ผ่านการใช้งาน บางอย่างจึงต้องนำไปเช็ดล้างก่อนอีกรอบ ผมขัดกระทะ ส่วนน้องแม็กซ์ล้างน้ำเปล่า พอเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวครบแล้วเราก็เริ่มลงมือเตรียมวัตถุดิบในการประกอบการทำอาหาร ผมหั่นผักใบเขียวเป็นแว่น ๆ ก่อนส่งให้น้องแม็กซ์นำไปล้างน้ำเปล่ากับล้างน้ำเกลืออีกรอบเพื่อความสะอาด หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ พร้อมแกะข้าวโพดลงมาผสมกับแป้งสาลี่ พร้อมเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็จุดไฟ

ผมเริ่มจากการทำข้าวโพดทอดก่อน เพราะต้มจืดใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะสามารถทำสำเร็จ น้องแม็กซ์ปลีกตัวหลีกน้ำมันด้วยการยืนห่าง ๆ แล้วส่งกำลังใจให้แทน

“พี่เสือสู้ ๆ พี่เสือสู้ตาย” เจ้าตัวส่งเสียงเชียร์พร้อมยกดัมเบลที่มีในบ้านขึ้นลงไปด้วย

...แม็กซ์ครับ พี่แค่ทอดอาหาร ไม่ได้ไปออกรบนะลูกนะ

หลังจากทอดข้าวโพดเป็นแพ ๆ สำเร็จ ผมเอาขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันก่อนจะตั้งหม้อต้มน้ำ รอจนเดือดแล้วจึงค่อย ๆ ใส่วัตถุดิบลงไป เหมือน ๆ กับที่เคยทำอาหารกับใครสักคนในความทรงจำ ผมอมยิ้มไปแล้วหย่อนหมูเป็นชิ้น ๆ ลงไปในหม้อ หลังจากชิมแล้วว่ารสชาติน่าจะโอเค ผมก็ปิดฝาหม้อ ลงมันสุก ถึงค่อยปิดไฟลง

“สุดยอด พี่เสือทำอาหารคล่องแคล่วจัง” น้องแม็กซ์ชมเปราะ ผมหัวเราะนิด ๆ เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องทำอาหารเป็น

หลังจากเราช่วยกันทำอาหาร (หมายถึงผมทำอยู่คนเดียวและมีน้องแม็กซ์ยืนยกดัมเบลให้กำลังใจ...) เสร็จสิ้น ผมกับเจ้าแม็กซ์ก็ช่วยกันยกหม้อหุงข้าว หม้อแกงจืด และจานสองใบออกไปตั้งที่โต๊ะกลางบ้าน เปิดทีวีทิ้งไว้หนึ่งช่องแล้วตักข้าวสวยร้อน ๆ แบ่งกันคนละจาน

“ไม่ได้กินข้าวทำใหม่ ๆ เองแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย” เจ้าแม็กซ์ว่า ผมอมยิ้มแล้วขยี้หัวด้วยความเอ็นดู

“เอานี้ เรากำลังอยู่ในวัยกำลังโต กินเยอะ ๆ” ผมพูดพร้อมตักข้าวโพดทอดชิ้นใหญ่ให้

“ขอบคุณครับ พี่นี่ขุนแม็กซ์เก่งจริง ๆ เลย อ้วนขึ้นมาแล้วจะทำยังไงเนี่ย” เจ้าตัวว่าพร้อมจับพุงตัวเอง ผมเบะปาก คนที่มีดัมเบลติดบ้านแบบแกคงไม่อ้วนง่าย ๆ หรอกเจ้าแม็กซ์เอ๊ย !

“อ้วนก็ดีนะ น่ากอดดี”

“จริงเหรอครับ?”

“จริงสิ...” ผมยืนยันกับเจ้าชิบะตัวน้อยที่กำลังจะมีพุงโต ๆ  มโนภาพเห็นเขากำลังส่ายห่างสั้นกุดไปมา

“จะว่าไปแล้วแม็กซ์ถามได้ไหมครับ” เจ้าแม็กซ์ว่า ตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนก่อนจะพูด

“สเปคพี่เสือเนี่ย ระหว่าง ‘คู่นอน’ กับ ‘คนรัก’ แตกต่างจากกันมากน้อยแค่ไหนครับ?”

จบประโยคคำถามนั้นผมสำลักข้าวจนน้องแม็กซ์รีบเทน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมดื่ม พอผมกระดกเอาเศษอาหารผ่านหลอดลมไปได้ก็ตั้งสติสักแปปก่อนจะถามเขากลับ

“ทำไมอยู่ ๆ ถามเรื่องนี้ละครับ” ผมว่า

“ก็แม็กซ์สงสัยไง พี่เสือบอกว่าแม็กซ์เป็นน้องชายคนหนึ่งที่นอนกับพี่เสือได้ แม็กซ์ก็เลยอยากรู้ว่าอ้าว แล้วคนแบบไหนล่ะครับที่พี่เสืออยากได้เป็นแฟน” เขาถามเสียงซื่อ เอียงคอสงสัยเหมือนไม่ได้ตั้งใจถามออกมาแต่แววตาสื่อออกว่าผมอยากรู้จริง ๆ นะครับพี่ชาย

ผมนั่งคิดสักพักเพราะเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีใครถามผมมาก่อน

“สำหรับพี่นะเหรอ ก็พูดยากนะ ถ้าเอาจริง ๆ พี่ว่าพี่ก็คงชอบคนที่แบบ อายุมากกว่าพี่ โตกว่าพี่ และก็มีความเป็นผู้ใหญ่ละมั่ง ? อันนั้นน่าจะเป็นสเปค ส่วนคู่นอนพี่ไม่ค่อยเลือกมากนะ เพราะคู่นอนก็คือคู่นอน พี่เองก็ไม่ได้งานดีถึงขนาดชี้นิ้วเลือกได้ พี่ก็คงจะเลือกแค่แบบ ไม่ได้แย่จนเกินไปอะไรแบบนั้นอ่ะครับ” ผมให้ความเห็นในมุมมองส่วนตัว น้องแม็กซ์พยักหน้าอีกครั้งแล้วถามต่อ

“เห็นพี่บอกว่าชอบคนอายุมากกว่า แล้วคนอายุน้อยกว่าเคยอยู่ในสายตาพี่บ้างไหมครับ แบบ...พี่เคยมีแฟนอายุน้อยกว่าไหม?”

เป็นอีกครั้งที่ผมสะดุดกึกกับคำถามดังกล่าวที่น้องแม็กซ์ถามผมมา ผมมองจัองผ่านเข้าไปในดวงตาเล็ก ๆ ทั้งสองข้างนั้น สีหน้าลูกครึ่งของเขาไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แม้จะมีวูบหนึ่งที่เขาหวั่นไหวจนเฉหน้าไปทางอื่น

“พี่เสือ...” เขาเรียกผม สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ครับแม็กซ์ .. มีอะไรอยากบอกพี่รึเปล่า?” ผมถาม ใบหน้านั้นขมวดคิ้วเล็ก ๆ กรอกตาไปมา ก่อนจะส่ายหน้าให้กับผม

“ไม่มีอะไรครับพี่ แม็กซ์จะถามว่าทำไมพี่ทำกับข้าวอร่อยจังเลย” เจ้าตัวพูด พร้อมจิ้มข้าวโพดทอดเข้าปากแล้วเคี้ยวง้ำ ๆ เป็นเด็กน้อยอีกครั้ง ผมหัวเราะเบา ๆ แต่ในเมื่อเขาอยากเปลี่ยนเรื่องไม่กล่าวถึงข้อสงสัยบางอย่างที่ผมอยากจะถาม ผมก็ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่เขาต้องการก็ได้

“พี่ทำอาหารทานเองบ่อย ๆ มันประหยัดนะ” ผมเล่าถึงเหตุผลที่ตัวเองทำอาหารเป็น น้องแม็กซ์พยักหน้าก่อนจะถามอะไรต่ออีกสองสามอย่าง เรานั่งคุยกันไป หัวเราะกันไป

...โดยที่บทสนทนาเกี่ยวกับแฟนเก่าที่อายุน้อยกว่าของผมไม่วนเวียนกลับมาที่โต๊ะอาหารอีกเลย 

หลังทานข้าวเย็นเสร็จ น้องแม็กซ์ยกหม้อต้มจืดที่ยังเหลือไปแช่ไว้ในตู้เย็น ส่วนข้าวโพดหมูสับทอดนั้นหมดเกลี้ยงตามที่เราคิด เราสองคนช่วยกันยกข้าวของจานชามทั้งหมดมาล้าง ก่อนจะเช็ดให้แห้งแล้วเอาเข้าตู้เก็บของต่อไป

“น้องแม็กซ์อยากไปอาบน้ำยังครับ?” ผมถาม หลังเห็นว่าเวลานี้ก็ดึกพอประมาณแล้ว เจ้าตัวดียิ้มแฉ่งก่อนจะหันมาพูดกับผมเสียงใส

“พี่จะอาบก่อนหรือผมอาบก่อน?” ผมยักคิ้วให้คำถามนั้นแล้วถามกลับแทน

“อาบพร้อมกันไม่ได้เหรอ?”

เจ้าแม็กซ์หน้าขึ้นสีเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าขึ้นลงเป็นอันตกลง ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปช่วยทำให้ตัวเขาเปลือยเปล่าไว ๆ หลังจากเตรียมผ้าเช็ดตัวสองผืนไว้ราวตากผ้าหน้าห้องน้ำผมกับน้องแม็กซ์ก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน



(เนื่องจากผิดกฎของทางเว็บไซต์ ขออนุญาตเจอกันในรวมเล่มแจ๊ คิคิ)



“พี่เสือคนหื่น !!!” เจ้าชิบะน้อยหน้าแดงหลังเราเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีที่ทำให้อีกคน ‘ตัวเบา’ ขึ้นมาได้ ผมกระดกนิ้วเรียกเขาเข้ามาหา เจ้าตัวทำหน้างอแต่ก็ยอมเดินลงมาหาแต่โดยดี

“ก้มหัวลงมาครับ พี่จะเช็ดหัวให้แห้งให้” ผมว่า แม้จะยันงอน ๆ ที่โดนผมแกล้งไปแต่เขาก็ก้มหัวลงมาแต่โดยดี

ผมค่อย ๆ บรรจงเช็ดศีรษะให้น้องแม็กซ์อย่างเบามือ พอเช็ดเสร็จจนแห้งเจ้าตัวก็ทิ้งหัวลงมาซบกับอกผม

“พี่เสือ แม็กซ์มีความสุขจังเลยครับ”

“เรามีความสุขพี่ก็ดีใจครับ” ผมตอบจากใจจริง ก่อนจะช่วยเจ้าเด็กโข่งสวมชุดนอนผ้าพลิ้ว แล้วแข่งกันล้มตัวนอนลงบนฟูก เจ้าแม็กซ์กับผมผลัดกันจักจี้อีกฝ่ายไปมา พอเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วผมเลยเดินไปปิดไฟก่อนจะล้มตัวนอนแล้วกอดเขาไว้หลวม  ๆ

“พี่เสือ...” น้องแม็กซ์หันหน้ามามองตาผมในความมืด

“ครับ?”

“ไม่ทำ ‘ต่อ’ จากเมื่อกี้เหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อกี้อีกฝ่ายออกอาการว่าเจ็บปวดจากการกระทำดังกล่าว ผมจึงชะงักแล้วเป็นฝ่ายทำให้เขาตัวเบาไปแทน

“พี่ไม่อยากทำเราเจ็บ” ผมว่า แต่ไม่ได้บอกเขาออกไปว่าผมหมายถึงทั้งทางตรงและทางอ้อม

“อ้าว ก็พี่...มาหาแม็กซ์เพราะอยากทำกับแม็กซ์ไม่ใช่เหรอครับ?” น้องแม็กซ์ถามเสียงด้วยน้ำเสียงงุงงง ผมยิ้มมุมปากออกมาแม้จะรู้ว่าเขาน่าจะมองไม่เห็นว่าผมกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน

“แม็กซ์ครับ...ไม่มีพี่ชายคนไหนอยากทิ้งน้องชายไว้บ้าน ‘คนเดียว’ หรอกนะครับ”

“...”

 

“พี่เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่าพรุ่งนี้พี่จะต้องกลับบ้านไป กลับไปที่ ๆ ของพี่ และในทุก ๆ วันแม็กซ์จะต้องทนอยู่กับตัวเองในบ้านหลังนี้ อาจจะเหงา อาจจะเปล่าเปลี่ยวไปบ้าง แต่เราล้วนเปลี่ยนความจริงใน ‘ตอนนี้’ ไม่ได้ ครอบครัวนะ บางครั้งแล้วเราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง ไม่ว่าครั้งหนึ่งมันจะเคยแตกสลายลงไปก็เถอะ”

“สำหรับพี่นะ จะเป็นพี่น้องที่ ‘มีอะไรกันได้’ หรือพี่น้องที่ ‘ไม่มีอะไรกัน’ เราก็ยังรู้จักกันเสมอ แม็กซ์ยังขอความช่วยเหลือพี่ได้ พี่ยังพูดคุยกับเราได้เหมือนเดิม พี่จะไม่หายไปไหนถ้าเราไม่เป็นฝ่ายหายไปจากพี่ก่อน”

“....”

“ถ้าอยากจะมี sex จงมีเพราะเราพึ่งปรารถนาที่จะมีความสุขกับใครอีกคน แต่อย่าใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อคลายความรู้สึกอะไรของตัวเองสักอย่าง หัวใจคนเราก็เหมือนร่างกายนั้นแหละ ตราบเท่าที่ร่างกายยังต้องการสารอาหาร หัวใจของเราก็คงต้องการการเติบเต็มบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่เราต้องมีสติ ต้องรู้ทันมัน ต้องรู้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องผิดชอบชั่วดีต่าง ๆ” ผมว่าต่อ

“ครับพี่...”

“พี่แค่อยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องยินยอมทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ใครสักคนมาอยู่กับเราแค่ในช่วงเวลา ๆ หนึ่งหรอก พี่รู้ พี่เข้าใจ การอยู่คนเดียวมันเจ็บปวดและทรมานแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วหนูจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวหนูเอง หนูจะเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไม่มีความสุข พี่เชื่อว่าหนูทำได้มากกว่าแค่หาคู่นอนชั่วคราวอย่างพี่หรือใคร ๆ มาปลอบใจในบางเวลาที่หนูเหงา...”

“พี่เสือ” น้องแม็กซ์เรียกผมด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ซบหน้าเข้ากับอก

“พี่รักหนูเสมอนะครับ ‘น้องชาย’ ของพี่” ผมพูดพร้อมกอดกระชับอีกฝ่ายมากขึ้น น้องแม็กซ์ร้องไห้ออกมาจนผมทำได้แค่ลูบหับปลอบใจเขาไปเรื่อย ๆ

ยิ่งมอง ยิ่งดู ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองในอดีต

ไม่มีใครหรอกที่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไปแม้กระทั้ง “ครอบครัว” และผมก็ไม่อาจสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในข้อนี้ได้ ผมทำได้แค่ให้กำลังใจ ให้ความอบอุ่นชั่วคราวแก่เขา เพราะงั้นแล้วในทุก ๆ เช้าวันต่อไป...

....ผมหวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขได้แม้จะต้องใช้ชีวิต “อยู่คนเดียว”




Time talk : ฉากในห้องน้ำมัน... ฟหกดเ่้าสสดสดส!!!!

เอาเป็นว่าอาจจะมี Part 19.5 ครับ แฮ่ แต่ผมกำลังลังเลใจเฉย ๆ ว่าจะเอาลงเว็บฯด้วยดีไหม หรือรอร่วมเล่มทีเดียวเลยดี แต่ส่วนตัวเป็นอีกฉาก NC ที่ผมมองว่าผมเขียนออกมาโอเคในแง่ของความไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย อ่านกี่รอบก็ยังรู้สึกว่าน่าจะเป็นฉาก NC ที่คนอ่านเรื่องนี้จะชอบและเข้าใจผมอยู่นะว่าทำไมผมถึงเขียนฉากนี้ประมาณนี้

ว่าแต่ว่า ทุกคนสบายดีไหมครับ? ขอโทษที่พาน้อง ๆ มาหาช้านะครับ เรื่อง 19.5 ขอดูอะไรอีกรอบก่อน แต่ถ้ายังไงเว็บเด็กดีคงไม่มี น่าจะต้องไปเจอที่อื่น ผมจะแจ้งอีกทีผ่านหน้าทวิตเตอร์ "พ่อแมวพุงโต" นะครับ

"ญี่ปุ่นไปง่ายกลับยากขนาดนั้นเลยเหรอ" เสียงบุคคลปริศนาที่หายตัวไปแล้วเกือบ 5 ตอนพูดขึ้นมา โอเค พ่อแมวต้องรีบวิ่งกลับเข้ารังแล้ว ไปก่อนแล้วนะครับเหมี๊ยว !!!
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19 Home (not) Alone [Part 2] | P4 | 13/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2018 01:23:12
 :mew2: :mew2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19.5 In the bathroom | P4 | 18/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 18-11-2018 22:44:04

Ep.19.5 In the bathroom


“มา พี่อาบให้” ผมบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อเจ้าเด็กน้อยตรงหน้ายังหน้าแดงเปร๊ดทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกันครั้งแรกสักหน่อย เจ้าแม็กซ์เอามือกุมแม็กซ์น้อยไว้ ก่อนจะขยับมาใกล้ ๆ แล้วให้ผมค่อย ๆ บรรจงอาบน้ำให้ทั่วร่างกาย มือข้างหนึ่งถือฟักบัว ส่วนมืออีกข้างผมก็ลูบไล้ไปตามร่างกายของเด็กม.ปลายวัย 18

“อ๊ะ...” เจ้าแม็กซ์ร้องออกมาหลังผมเลื่อนมือไปบีบแก้มก้นเขาเบา ๆ เมื่อลูบน้ำไปถึงบริเวณนั้น

ผมแขวนฟักบัวไว้ที่เดิม ก่อนจะค่อย ๆ บีบโฟมอาบน้ำลงใส่มือแล้วลูบจากบริเวณหัวไหล่ปลาร้าไปต้นคอ ก่อนจะย้อนกลับมาที่หน้าอก ไม่วายแอบหยอกเขาเบา ๆ ด้วยการเอานิดสะกิดที่หัวนมทั้งสองข้าง เจ้าแม็กซ์ร้องออกมาอีกคำสองคำ ก่อนผมจะกอดเขาจากทางด้านหลังแล้วสอดนิ้วเข้าไปที่ช่องทางตรงหน้าที่ละนิ้วอย่างช้า ๆ

“ถ้าเจ็บบอกพี่นะครับ” ผมว่า ค่อย ๆ ขยับนิ้วเข้าไปที่ละนิดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บมากเกินไป พร้อมกับมืออีกข้างที่ช่วยปรนเปรอความสุขให้อีกฝ่ายจากด้านหน้า นิ้วของผมสัมผัสได้ถึงสารคัดหลั่งเหลว ๆ ที่ค่อย ๆ หลั่งออกมา ผมขยับเอานิ้วชี้และนิ้วโป้งวนเขี่ยบริเวณปลายท่อปัสสาวะก่อนจะรูดขึ้นลงอย่างเบามือ

เสียงครางออกมาจากลำคออย่างแผ่วเบา แต่กลับดังไปทั่วทั้งห้องน้ำ ก่อนจะค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะการขยับมือของผมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตอนนี้นิ้วของผมเข้าไปเกือบสุดปลายนิ้วแล้ว พร้อมทั้งค่อย ๆ หมุนอย่างแผ่วเบาเผื่อเป็นการรีแลกซ์ให้กับอีกฝ่าย

“พะ..พี่เสือ พอก่อนครับ” น้องแม็กซ์ว่า ผมยิ้มแล้วค่อย ๆ ดึงนิ้วออกมา ไม่วายแอบกระทุ้งน้องเบา ๆ เป็นการแกล้ง เจ้าตัวหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไงหันมาตีผมหนึ่งทีเบา ๆ ข้อหาแกล้งเขาก่อนจะก้มหน้ามองส่วนสงวนของผมที่แข็งโด่ออกมาเต็มที่ ผมเอาหลังพิงกำแพง แกล้งยกมือประสานไว้หลังท้ายทอย รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

“พี่อยากให้ผมทำให้ไหม?” เขาถามเสียงสั่น ๆ ผมอมยิ้มแล้วตอบกลับ

“แล้วแต่เราอยากทำให้พี่เลยครับ”

ผมว่าแบบนั้น ก่อนจะผิวปากเบา ๆ ก้มมองคนอายุน้อยกว่าทำท่าลังเลใจ นิ่งไปอึดใจ น้องแม็กซ์คุกเข่าลงตรงระหว่างขาของผม มือนุ่ม ๆ สองข้างค่อย ๆ จับลำทั้งลำรูดขึ้นลง ก่อนจะก้มหน้าเอาริมฝีปากครอบไว้บริเวณปลายหัว ผมหลับตา แหงนหน้าแล้วครางเบา ๆ เสริมบรรยากาศ ก่อนจะลูบหัวเขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบและให้กำลังใจ

อาจจะเพราะเลเวลไม่สูงมาก ยังมีบ้างที่ฟันน้องแม็กซ์จะครูดไปมาบริเวณส่วนปลายของผม แต่นั้นกับรู้สึกเสียวไปอีกแบบ ผมลืมตามองหน้าเจ้าเด็กที่กำลังพยายามทำให้ผมมีความสุขด้วยท่าทางไม่ประสีประสาก่อนจะสั่งเขาเป็นจังหวะ

“แม็กซ์ครับ มองหน้าพี่” ผมว่า พร้อมดึงแท่งของตัวเองออกมาจากปากเล็ก ๆ ของน้องแม็กซ์

“อ้าปากครับ...เอาลิ้นวนตรงหัวให้พี่หน่อยครับ”

ผมพูด พร้อมจับทั้งแท่งฟาดไปเบา ๆ บริเวณริมฝีปาก และแก้ม น้องแม็กซ์เหมือนรู้งานมากขึ้น หลับตาลงแล้วเอาหน้าถูไปมาจนทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำเหนียว ๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุดของผม สายตาที่มองมาที่ผม เหมือนอ้อนวอนของร้องถึงบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านี้

ให้ตายเถอะเซ็กซี่เป็นบ้า โคตรอ้อน...เลย

ผมจับหัวน้องแม็กซ์ตั้งตรง ก่อนจะค่อย ๆ สอดเข้าไปในโพรงแก้มแล้วดันเข้าไปจนสุดทาง รับรู้ว่าอีกฝ่ายถึงขีดจำกัดตรงไหนก็เอาออกมาไม่ให้อีกฝ่ายสำลักคำ พออีกฝ่ายค่อย ๆ ชินกับจังหวะแล้วผมก็ค่อย ๆ โยกเอวแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ

ยอมรับเลยว่าโพรงปากของน้องแม็กซ์ให้ความรู้สึกที่สุดยอดมากจริง ๆ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเพลิงเผาใจมาก ๆ เวลาที่มีเด็กน้อยวัยละอ่อนกำลังพยายามปรนเปรอเรา ยิ่งเห็นท่าที่ตั้งใจนั้นอารมณ์ผมยิ่งพุ่งทะยานไปถึงขีดสุดด้านบน

“ให้พี่เสร็จก่อนเลยไหมครับ?”

ผมถามไปด้วยโยกตัวไปด้วย น้องแม็กซ์ผงกหัวรับทราบเพราะปากไม่ว่างตอบ ผมอารมณ์พุ่งพล่านจนเผลอกระแทกเข้าไปแรงกว่าปกติ ก่อนจะโยกเอวด้วยความถี่มากกว่าเดิม พอถึงจังหวะที่ผมข้ามไปยังอีกฟากฝั่งของความสุข ผมก็ดึงออกมาก่อนจะรูดขึ้นลงให้กระตุกออกมาเป็นสายน้ำเหนียว ๆ รดไปทั่วบริเวณใบหน้าของน้องแม็กซ์ตามที่อีกฝ่ายชอบให้ทำ

ผมรีบดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาจูบ รสน้ำคาวสัมผัสไปทั่วทั้งโพรงปาก น้องแม็กซ์ไม่ได้ลืมตาเพราะมีน้ำบางส่วนเปื้อนที่ดวงตาแต่หลับตาและตอบสนองกับผมอย่างถึงอารมณ์ ปลายลิ้นเล็ก ๆ แม้จะยังไม่คล่องแคล่วแต่ก็พยายามโต้ตอบอย่างสุดกำลัง ปากของผมกำลังรุกไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ มือข้างหนึ่งปรนเปรอด้านหน้าของอีกฝ่าย มือข้างหลังสอดใส่ลงไปด้วยจังหวะที่เร่งสุดขีดเพราะน้องแม็กซ์หอบหายใจหนักขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากโดนผมรุกไล่ได้ไม่ถึงห้านาทีน้องแม็กซ์ก็ครางหอบในลำคอตัวโยน ก่อนช่วงล่างจะกระตุกหลายครั้งรดตัวผมแล้วทำท่าจะทรุดตัวลงเพราะหมดแรงจนผมต้องพยุงตัวไว้ ผมเอื้อมตัวไปเปิดฟักบัว เปิดน้ำเย็น ๆ ชโลมล้างหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนเจ้าตัวจะลืมตาเงยหน้ามองผมแล้วบอกคำแรกออกมาว่า

“ไอ้พี่เสือคนหื่นกาม!!!”



time talk : ตอนนี้ทั้งตอนไม่สามารถลงหน้าเว็บเด็กดีได้นะครับ เพื่อน ๆ สามารถตามไปอ่านได้ตามลิงก์ที่แปะไว้หน้าทวิตเตอร์ของพ่อแมวพุงโตนะครับ แล้วกลับมาคอมเม้นท์กันที่หน้าเว็บนี้ได้เลยน้า ส่วนเพื่อน ๆ หน้าเว็บอื่น ๆ ก็ตามสบายเลยนะครับ

สำหรับตอนนี้ก็เสิร์ฟสั้น ๆ ว่าในห้องน้ำมันเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง ใบ้ให้นิดหนึ่งว่าในตอนนี้มันอะไรพิเศษ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวละครหลักทิ้งไว้ในฉากด้วยนะครับ แหะ ๆ แต่ค่อย ๆ เฉลยแล้วกันเนาะ เพราะมัน...... หึหึ :]

ตอนต่อไป ไม่ว่าใครก็หยุดการกลับมาของชายคนนี้ย์ไม่ด๊ายยยย

"จะมากเกินไปไหม ถ้าผมจะบอกว่าผมอยากกอดคุณ? "

อ่ะ ๆ ใครพูดไม่รู้ ไม่รู้ว่าใครพูด ไว้ไปลองตามอ่านกันในตอนถัดไปนะครับ :}
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19.5 In the bathroom | P4 | 18/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2018 23:03:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 01-12-2018 22:23:22

EP 01|12
 
สวัสดีครับ ผมชื่อแฮม ธีรเดช เลิศสุภาสิน หรือที่ทุกคนรู้จักผมจาก “เจ้าแฮม” ในเรื่อง #แอคเค่อของน้องแมว เมื่อ Ep.4 ที่ผ่านมา 

ผมได้สารภาพความจริงกับรุ่นพี่ที่สนิทกันไปว่าผมติดเชื้อ HIV

ผมอายุ 16 และผมไม่ใช่เด็กสิบหกคนเดียวในประเทศไทยที่ติดเชื้อ HIV

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ มีอยู่ราว 7.7 หมื่นคน

เรามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 15 คน

ใน 15 คนมีเยาวชนยังไม่บรรลุนิติภาวะราว 40% จากยอดทั้งหมด

สาเหตุของการติดเชื้อมีตั้งแต่การติดต่อจากแม่สู่ลูกไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ผมคือกลุ่มหลังที่ขาดสติในการหาความรู้ในการป้องกัน เกิดจากความไว้ใจ ความรักที่มากเกินไปจนบดบงความปลอดภัยที่ต้องมาก่อน

ผมอาย

ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

ผมหวาดกลัวสายตาของพวกเขา

สายตาที่มองเหมือนกับว่าผมเป็นพวกน่ารังเกียจ เป็นเชื้อโรค หรือเป็นบุคคลที่สังคมควรแบนออกไปจากวงสนทนา

ผมไม่กล้าก้าวออกจากห้อง ไม่กล้าสบตาใคร ไม่กล้าแม้กระทั้งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิท ในหัวของผมตะโกนไปด้วยคำว่าขอโทษเป็นล้าน ๆ ครั้งในความผิดพลาด ละอายต่อบาปที่เกิดขึ้น

จนกระทั้งเสียงของพวกเขาดังมาถึงผม...

"เธอแค่ป่วย เป็นเป็นแค่คนป่วยคนหนึ่ง เธอไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวหรืออายใคร เด็กน้อย พี่จะอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ"
“คนที่ควรละอายใจนะ คือคนที่คิดว่าเอาความลับของคนอื่นมาพูดแล้วมันจะเจ๋ง”
“ใช่ รักเห็นด้วยกับยม คนที่ควรละอายใจไม่ใช่เพื่อนเราสักหน่อย”
“แฮมจะเป็นอะไร แฮมก็ยังเป็นเพื่อนกับโตอยู่ดีนะครับ”

....
เพราะคำพูดของกลุ่มเพื่อนสนิทและพี่ชายที่ผมเชื่อมั่น ทำให้ผมกล้ายืนหยัดในตัวเองได้อีกครั้ง

ผมหันกลับมารักตัวเอง หันกลับมามองหน้าตัวเอง ผมกล้าสบตาตัวเองในกระจกอีกครั้ง

ผมเป็นแค่เด็กสิบหกที่ป่วยเป็นโรค HIV แค่นั้นเอง

วันที่1 ธันวาของทุกปีเป็นวันเอดส์โลก #WorldAIDSDay โดยได้มีคำขวัญประจำปีว่า

“Know Your Status ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ยุติเอดส์”

ผมเป็นแค่เด็ก 16 ธรรมดาคนหนึ่งที่ป่วย และหลายๆคนที่ป่วยก็เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนกันกับผม

เราเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้แตกต่างจากโรคอื่นๆเลย

hiv รู้เร็ว รักษาได้ :)

ผมโชคดีที่มีกลุ่มคนที่รักและเคารพในสิ่งที่ผมเป็น

แต่เด็ก ๆ ผู้ติดเชื้อ HIV อีกหลายคนไม่ได้รับโอกาสนั้น ๆ

สักวัน ค่านิยมของคนในสังคมจะเปลี่ยนแปลงได้

ตราบเท่าที่เราค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนความเชื่อ

HIV จะไม่กลายเป็นตราบาปที่คร่าชีวิตใครทั้งเป็นอีก

ผมเชื่อแบบนั้นเสมอ ในฐานะผู้ป่วยที่ได้ให้ “โอกาส” กับ "ตัวเอง" อีกครั้ง

เพราะการติดเชื้อ HIV นั้น ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ปกติ

ขอบคุณที่อ่านข้อความของผมมาจนถึงตรงนี้...


แฮม
ธีรเดช เลิศสุภาสิน

01/12 #WorldAIDSDay

Ps. แล้วเจอกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ครับ :) ใน #เมื่อศักดิ์ชัยตื่นเช้าขึ้นมาเจอลูกท่านประธานนอนเปลือยอยู่ข้างกาย
แค่แฮชแทกก็แซ่บแล้วป่ะ ?
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2018 22:29:53
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-12-2018 22:31:05
รับรู้และเคารพในชีวิตของคนอื่นน่าจะทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 03-12-2018 21:28:39


Ep.20 HUG




ผมตื่นมาเช้าของอีกวันด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากคนที่นอนข้าง ๆ กัน เมื่อคืนหลังจากปลุกปลอบและรับฟังปัญหาจากบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เจ้าแม็กซ์ก็นอนกอดผมไว้แบบนั้น ไม่ถึงกับร้องไห้ แค่เสื้อกล้ามผมเปียกเป็นหย่อม ๆ เท่านั้นเอง และวันนี้อีกฝ่ายก็ยังต้องไปเรียน ดังนั้นแล้วผมจึงต้องปลุกเขาลุกออกไปอาบน้ำ

“แม็กซ์ครับ ตื่นเร็ว” ผมสะกิดเรียก

“ครับ ๆ ?” เจ้าแม็กซ์สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วมองหน้าผมด้วยความสงสัย และค่อย ๆ ร้องอ๋อออกมา

“ผมลืมไปว่าเมื่อคืนผมไม่ได้นอนคนเดียว”

ผมอมยิ้มกับประโยคนั้น เข้าใจได้ไม่ยากว่าที่ผ่านมาคงจะตื่นมาแล้วเห็นแต่ห้องโล่ง ๆ โดยปราศจากสิ่งมีชีวิตนอกจากตัวเอง พอเพิ่งตื่นใหม่ ๆ แล้วมาเจอผมเข้า เลยสับสนว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ประสบการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน สมัย ‘เกิดเรื่อง’ นั้นใหม่ ๆ

...จะสลับกันก็ตรงผมค้นพบว่าห้องของผมปราศจากสิ่งมีชีวิตหรือผู้คนอื่นนอกจากผมไปเสียแล้ว

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” น้องแม็กซ์ทัก ผมส่ายหน้าแล้วไล่อีกฝ่ายไปอาบน้ำ

“ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวสายนะ” ผมว่า

“แล้วพี่อ่ะ ไม่อาบน้ำเหรอครับ?” เจ้าตัวถามกลับ ผมจ้องตากับน้องแม็กซ์ก่อนจะร้องอ้อเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายบอก ผมทิ้งตัวลงไปขยี้หัวเจ้าคนเพิ่งตื่นนอนมาก็อยากทำเรื่องตัวเบาเลยด้วยความเอ็นดูก่อนจะมองนาฬิกา

“งั้นก็รีบ ๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ” ผมว่า ก่อนจะจูงมือเจ้าชิบะตัวน้อยไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ก่อนจะทำกิจกรรมผ่อนคลายยามเช้ากับเจ้าเด็กหื่นนี่อีกสักรอบ แล้วส่งเขาออกไปแต่งตัวหลังเสร็จสมความต้องการ ผมพอเข้าใจได้นะ วัยรุ่นช่วงมอปลายน่าจะเป็นช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงมากที่สุดแล้วนะครับ จะว่ามันคงเป็นผลมาจากฮอร์โมนก็น่าจะได้

หลังจากผมก้าวออกมาจากห้องน้ำ เจ้าแม็กซ์ก็แต่งชุดนักเรียนเสร็จแล้ว ชิบะตัวน้อยค่อย ๆ บรรจงนำต้นกระบองเพชรขนาดเล็กไปวางไว้ข้างหน้าต่าง มุมที่แสงแดดพอจะส่องลงมาโดนบ้างแต่ไม่เต็มแสงเท่าไหร่นัก

“ผมกะว่าถ้าเลี้ยงต้นกระบองเพชรออกดอกเมื่อได้เมื่อไหร่ ผมถึงจะค่อยซื้อสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงครับ” เจ้าแม็กซ์ว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเช็ดเนื้อ เช็ดตัว ก่อนจะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมกับขามาตอนเมื่อวาน

มองนาฬิกา เราทำเวลากันได้ดีมาก ๆ ตอนนี้เพิ่งราว ๆ เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น ผมนั่งยอง ๆ ใส่รองเท้าผ้าใบ ส่วนเจ้าแม็กซ์ใส่รองเท้าหนัง ก่อนจะหยิบกุญแจสตาร์ทมอเตอร์ไซค์

“เดี๋ยวแม็กซ์ไปส่งที่ท่ารถตู้” เขาบอก

เพราะโรงเรียนของแม็กซ์อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ผมเลยโอเคที่จะให้น้องเป็นคนขับรถไปส่ง พอจัดการทุกอย่าง ล็อกประตูลงกลอนเสร็จสิ้น ผมก็ขึ้นไปซ้อนท้ายก่อนจะจับเอวเข้าไว้หลวม ๆ

“โก” เจ้าแม็กซ์ว่า ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์ออกไป ผมตีหลังเขาเพี๊ยะหนึ่งหลังออกตัวแรงเกินเหตุ

“ค่อย ๆ ขับก็ได้แม็กซ์ พี่ไม่รีบ พี่ยังไม่อยากไปโลกหน้า” ผมบ่น เจ้าแม็กซ์หัวเราะชอบใจ เห็นได้ชัดเจนว่าเอาคืนผมจากเรื่องเมื่อวานชัด ๆ ผมเลยแอบมือปลาไหลเรื่อยไปจับในส่วนตรงกลางของเขา เท่านั้นแหละ รถมอเตอร์ไซค์ค่อย ๆ ชะลอด้วยความเร็วเท่าเดิม ก่อนเขาจะบ่นออกมา

“พี่อ่ะ แกล้งผม!” เจ้าตัวว่า เสียงงอแง ผมหัวเราะเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย

“ไม่แกล้งแล้ว ๆ ขอโทษ  ลืมไปว่าเด็ก ๆ เซนซิทีฟ” ผมว่า หัวเราะเบา  ๆ เมื่ออีกฝ่ายหน้าแดงมองหน้าผมผ่านกระจกข้าง

“อยากเห็นจัง” น้องแม็กซ์บุ้ยปากแล้วพูดออกมา

“เห็นอะไรครับ?” ผมถาม เจ้าตัวเงียบและกรอกไปมาก่อนจะพูด

“อยากเห็นว่าถ้าพี่มีแฟน ต้องเป็นคนประมาณไหนถึงจะสามารถคบพี่ได้”

ผมชะงักไปกับคำพูดนั้น ก่อนจะเกาหัวหัวเราะแก้เก้อเพราะไม่รู้จะตอบเขากลับว่าอะไรดี เอาเข้าจริง ๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนแบบไหนกันนะที่เหมาะสมจะเป็นแฟนกับผม ถ้าพูดในแง่ของคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตคนที่เป็นแฟนกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็เป็นแฟนกันแบบงง ๆ อึน ๆ ด้วยซ้ำ สถานะแฟนเป็นอะไรที่ดูห่างไกลคนแบบผมมาก ๆ

ก็เคยอยากมี แต่คนที่อยากมีด้วยเขาก็...

“ถึงแล้วครับ” เสียงของน้องแม็กซ์ดังขึ้นปลุกผมจากภวังค์ความคิด ผมก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อกสำรองคืนอีกฝ่ายพร้อมส่งยิ้มให้

“ขอบคุณนะครับ ไว้พี่มาหาใหม่นะ” ผมว่า

“ครับ แม็กซ์จะรอพี่มาหาแม็กซ์อีกนะ” น้องแม็กซ์ตอบกลับพร้อมลงมายืนข้าง ๆ ผม

“ก่อนพี่จะกลับไป แม็กซ์ขออะไรหน่อยได้ไหมครับ?” แม็กซ์ว่า พร้อมเกาหัวเขิน ๆ

“อะไรเหรอครับ?”

“พี่..ช่วยจูบหน้าผากให้กำลังใจแม็กซ์หน่อย จะได้ไหมครับ?”

เจ้าตัวว่าพร้อมย่อตัวลงมาหาผม ผมอมยิ้มและตอบรับคำขอนั้นด้วยการกระทำ เขย่าเท้านิดหน่อยก็จะจูบเบา ๆ เหนือระหว่างคิ้วทั้งสองข้างของเจ้าเด็กโตเกินวัยคนนี้ พร้อมทั้งขยี้หัวเขาเบา ๆ ไม่ให้เสียทรงที่เจ้าตัวอุตส่าห์เซ็ตมา

“ไม่ต้องห่วง ยังไงพี่จะแวะมาหาเราอีกแน่ ๆ ” ผมรับปากเขาพร้อมพยักหน้าให้สัญญา เจ้าแม็กซ์อมยิ้มก่อนสีหน้าจะค่อย ๆ สลดลงตามลำดับจนผมสงสัย

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมถาม

“พี่เสือ...พี่เกลียดคนโกหกมากไหม?”

เจ้าแม็กซ์ไม่ตอบคำถามของผมแต่ถามคำถามกลับมาแทน ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาแล้วตอบคำถามกลับไป

“ด้วยความสัตย์จริง พี่ก็ไม่ได้บอกทุกเรื่องที่เป็นเรื่องจริงให้ทุกคนรับรู้ แต่พี่ก็ไม่คิดว่าตัวเองชอบคนโกหกสักเท่าไหร่” ผมว่า

“ครับ” เจ้าแม็กซ์รับคำเสียงอ่อน แล้วเอามือลูบ ๆ จมูก

“มีอะไรรึเปล่าครับแม็กซ์?” ผมถาม ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีอะไรติดค้างในใจรึเปล่า

“ไม่มีครับ...ไม่มีอะไรครับพี่” เขาเงยหน้ามองผมแล้วตอบกลับมา กลายเป็นผมพยักหน้าอีกครั้งแล้วบีบมือเขาเบา ๆ

“ถ้ามีอะไรบอกพี่นะครับ ยังไงเราก็เป็นน้องพี่คนหนึ่งแล้ว ไม่ให้พี่เป็นห่วง ก็คงยากหน่อย” ผมกล่าวจากใจจริง น้องแม็กซ์ยิ้มรับแล้วขอบคุณกลับ

“ขอบคุณนะครับพี่เสือ ...เดี๋ยวแม็กซ์ไปโรงเรียนแล้วนะครับ ถ้ากลับถึงหอแล้วไลน์มาบอกแม็กซ์ด้วยนะครับ” เขาว่า ปรับสีหน้ากลับมาดูสดใสเหมือนเดิม ผมพยักหน้ายิ้มรับอีกครั้ง ยืนโบกมือลา ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับออกไป ปล่อยให้ผมยืนรอคิวขึ้นรถตู้ต่อไป

เรื่องอะไรกันนะที่น้องแม็กซ์ไม่ได้บอกผม?

ผมรับบัตรคิวและยืนต่อแถวรอคิวรถตู้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่แปลกเลยที่แถวจะยาวจนกลายเป็นหลายขดขนาดนี้ ผมเปิดอินเทอร์เน็ต ที่กดปิดสัญญาณไปช่วงระหว่างนอนหลับ ก่อนจะมองข้อความในไลน์หลายสิบข้อความที่เด้งขึ้นมา หนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่เจ้าตัวมัดมือชกนัดผมเอาไว้ดื้อ ๆ

‘โช นข.นิยาย’

ผมเมมชื่อไลน์จากสถานะที่ได้รู้จักกัน พอคิดไปคิดมาก็กดเปลี่ยนชื่อเขากลับมาเป็นชื่อไลน์เต็ม ๆ อีกครั้ง พอเปิดอินเทอร์เน็ตได้สักแป๊บ ข้อความจากไลน์อีกฝ่ายก็เด้งตอบมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังเปิดอ่านไลน์ของเขาอยู่

‘ผมกำลังจะขึ้นเครื่องกลับไปแล้วนะ’

นั่นคือข้อความเมื่อหลายชม.ก่อนหน้านั้น ยังไม่ทันจะพิมพ์อะไรตอบกลับไป ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ

‘ผมถึงไทยแล้วนะ’

‘ทำไมวันนี้ตื่นเร็วจัง’

ประโยคแรกตอบกลับมาหลังผมอ่านไลน์ ประโยคที่สองก็ตามกลับมาติด ๆ กันโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป

‘เมื่อคืนผมไม่ได้นอนที่หอ เลยตื่นเช้า เตรียมตัวกลับไปนอนที่หอ’ ผมว่า ไม่นานก็ขึ้นรีดจากอีกฝ่าย

‘ไปนอนไหนมาครับนั่น’ โชถามกลับมา

‘ปกติคนกลับมาจากนั่งเครื่องบินนาน ๆ เขาน่าจะเหนื่อยไม่ใช่เหรอครับ ทีงี้พิมพ์ซะคล่องเชียว ผมไปนอนห้องน้องชายมาครับ’ ผมว่าตอบกลับ พร้อมขยับตัวไปข้างหน้าหลังแถวขึ้นรถตู้สั้นลงอีกนิดหน่อย

‘ก็เหนื่อยจริง ๆ นั้นแหละ ว่าแต่ ผมโทรหาคุณตอนนี้ได้ไหม?’ เขาถามกลับมาพร้อมสติกเกอร์รูปไดโนเสาร์ยกหูโทรศัพท์ ผมหัวเราะชอบใจในความช่างซื้อสติกเกอร์มาสะสมของเขาก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่าโอเค พอกดขึ้นรีด ได้ไม่นานเขาก็กดคอลไลน์มาหา ผมกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงผ่านสายตอบกลับไปว่า

“ไงครับ”

‘สวัสดีครับ’ โชว่า ผมสังเกตได้ว่าน้ำเสียงเขาแอบเหนื่อยจริง ๆ

“เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม?” ผมทักถาม เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ

‘ที่สุดครับ เหนื่อยมาก ไม่เคยประชุมมาราธอนนานขนาดนี้เลย ...กี่ชมวะแจ้?’ ปลายเสียงเหมือนหันไปถามคนข้าง ๆ

‘ถ้ารวมเวลาทั้งหมดก็ประมาณเกือบ 6-7 ชม.ที่มึงเข้าไปประชุมในห้องนั้น’ ปลายสายว่า ผมถอนหายใจแทนความยาวนานของการทำงาน

“บริษัทคุณกดขี่พนักงานจังให้ทำงานตั้งหลายชมติดต่อกัน ....น่าจะเอาหลักฐานไปฟ้องศาลปกครองนะว่าประธานบริษัทคุณใช้แรงงานเกินเหตุ” ผมว่า ปลายสายหลุดหัวเราะพรืดออกมาก่อนจะตอบผมกลับ

‘ปกติผมก็ฟ้องคนที่มีอำนาจเหนือท่านประธานประจำแหละครับ’ เขาว่าก่อนจะหัวเราะเบา ๆ

‘แล้ววันนี้คุณไม่มีเรียนเหรอ’เขาถามต่อ

“ใช่ครับ วันนี้ผมฟรีไทม์” ผมว่า

‘เหรอ งั้นเดี๋ยวผมไปหานะ สัก....แจ้ กูต้องเข้าบริษัทอีกป่ะ?’ โชตอบกลับแต่ยังไม่จบประโยคก็หันไปถามคนข้าง ๆ อีกครั้ง ผมเงียบรอให้พวกเขาคุยกันต่อ

‘ห่านจิก เข้าสิวะ มึงไม่เข้าท่านประธานบริษัทก็เล่นกูตาย’

‘เวอร์ เขาเอ็นดูมึงขนาดนี้ไม่ฆ่ามึงหรอก’

‘เหอะ เรื่องอะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องลู...’

‘ไก่แจ้’

เสียงคนนั่งข้าง ๆ โชเหมือนจะชะงักไปเหมือนโชขึ้นเสียงสวนกลับไปก่อน

‘....เป็นอะไรของมึง ขัดกูพูดทำไม กูจะบอกว่าเรื่องอะไรท่านประธาน ก็โอเคหมดนั่นแหละ ยกเว้นเรื่อง ‘ลูกน้อง’ เอาเวลาทำงานของบริษัทไปทำอย่างอื่นซะหมด’

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนคนชื่อแจ้แอบเน้นคำน้ำเสียงตอนพูดคำว่าลูกน้อง

‘กูเกลียดมึง’

‘me too’

ผมหัวเราะเบา ๆ ให้กับความสัมพันธ์ของสองเพื่อนสนิท ดูจากทรงก็รู้ ว่าคงคบกันมายาวนานมาก ๆ ถึงสามารถจิกกัดกันได้ขนาดนี้ ถ้าให้เทียบกันแล้วคงสนิทกันมากเหมือนผมกับเจ้ามาร์

‘แล้วสรุปกูจะว่างหลังกี่โมง?’ โชถามอีกครั้ง

‘ก็ถ้าไม่เกิดปัญหาอะไรนอกเหนือความคาดหมาย ไม่เกิน 4 โมงเย็น’ อีกฝ่ายตอบกลับ

‘โอเคครับ จากบริษัทผมไปหาคุณก็น่าจะเกือบชั่วโมงกว่า ๆ ไม่น่าจะเกินสักหกโมงเย็น ไปทานข้าวกันนะ’ เขาว่า แล้วสรุปแบบรวบรัด

“คุณ เพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ? พักก่อนก็ได้นะครับไว้ค่อยมาหาผมก็ได้” ผมว่า ไม่อยากให้เขาลำบากโดยใช่เหตุ

‘ทีเร็กซ์ครับ’ โชว่า เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังออกอาการล้าอยู่บ้าง

“ครับว่าไง เรียกผมซะเต็มยศเชียว” ผมว่าติดตลก เจ้านากเผือกเงียบสายไปสักนิดก่อนจะถามผมกลับ

‘ทีเร็กซ์บอกผมว่า ถ้าผมอยากได้อะไร ให้ผมพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาใช่ไหมครับ?’

“ใช่ครับ” ผมว่าแบบนั้น นึกได้ถึงที่ตัวเองเคยบอกอีกฝ่ายไว้ตอนเขาอยู่ที่ญี่ปุ่น

‘งั้นโชอยากบอกว่าโชอยากจะไปหาทีเร็กซ์ครับ ทีเร็กซ์ให้โชไปหาได้ไหมครับ?’

ผมชะงักลงไปกึกหนึ่งหลังสัมผัสได้ถึงความจริงจังนั้น ถอนหายใจออกมาบางเบาเหมือนคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดอะไรทำนองนี้ออกมา

“ผมไม่ได้ไม่อยากให้คุณมาหาผม แต่ผมกลัวคุณจะเหนื่อยมากเกินไปเฉย ๆ แต่ถ้าคุณอยากมา คุณสะดวกที่จะมา ผมก็ยินดีที่จะให้คุณมาครับโช”

เพราะเขาจริงจังมา ผมจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเหมือนได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเหมือนกัน เราเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

‘โอเคครับ งั้นเลิกงานแล้วผมจะไปหาคุณนะ’

“ครับ ถึงแล้วก็โทรศัพท์มานะ ผมจะรอทานข้าวเย็นพร้อมคุณ” ผมว่า หัวเราะหน่อย ๆ กับน้ำเสียงท่าทางอารมณ์ดีของเขา

‘โอเคครับ งั้นเจอกันนะ’

“ครับ”

‘ทีครับ..’

“ครับว่า?”

‘จริง ๆ อยากบอกต่อหน้ามากกว่า’

“...”

‘แค่อยากบอกว่าคิดถึงนะครับ’

อีกแล้ว !!! พอทำอะไรแบบนี้เสร็จโชก็วางสายหนีผมไปอีกแล้ว ผมจิ๊ปากหงุดหงิดนิด ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ผมตอบกลับหรือตั้งสติทำอะไรเลย รู้สึกเหมือนชกผมเสร็จเขาก็วิ่งหนีหายไป พอเอาโทรศัพท์ออกมาดูก็เห็นอีกฝ่ายไลน์มาบอกว่า ‘ขอตัวนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวไปบริษัทแล้วคงยาวเลย’ พอเห็นแบบนั้นผมเลยไม่ได้โทรกลับไปหาเขาแต่หันไปคิดเรื่องอื่นแทน

จะมาคิดถึงผมทำไมกัน

“ไปลงไหนครับ?” คนจัดคิวรถตู้ถามเมื่อมาถึงคิวของผม

“ลงที่....ครับ”

“ครับ 45 บาทครับ” ผมรับคำพร้อมส่งเงินไปให้อีกฝ่าย

“น้องเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“ครับ?” ผมตอบกลับแบบงง ๆ เมื่อโดนทักแปลก ๆ  ผมเป็นอะไรเหรอ?

“เปล่า พี่เห็นน้องหน้าแดงมาก นึกว่าไม่สบายรึเปล่า”

จบคำของพี่เขา ผมก็พยักหน้าให้ก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถตู้ เดินเข้าไปนั่งด้านในริมสุด พร้อมงัดเอาหูฟังขึ้นมาเปิดเพลง ‘Cameo Lover’ ออกมาฟังแล้วเปิดเสียงให้ดังที่สุด กลบทุกความรู้สึกและสีหน้าที่ผมกำลังแสดงออก

ให้ตายเถอะ...ผมเขินเขาเหรอ?

หลังกลับมาจากนั่งรถตู้ ผมต่อรถกลับหอพัก ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปร้านข้างแกง สั่งราดกับข้าวสามอย่าง ก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ ให้หมด ๆ แล้วรีบขึ้นหอไปอาบน้ำนอนต่ออีกสักหน่อย อาจจะเพราะช่วงนี้ผมเจอเรื่องหนักเป็นพิเศษรึเปล่า ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนเพลียเป็นพิเศษ หรืออาจจะเพราะ  มีเรื่องให้คิดเยอะมากเกินไปหน่อย

พอตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับ ก็เช็กไลน์อีกรอบ โชก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ หรืออาจจะเพราะว่าเขากำลังยุ่งอยู่ก็เป็นได้ ผมเลยเลือก จะนั่งทำงานต่าง ๆ ทั้งตามข้อมูลการประสานงานขอทุนให้กับค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ตอนนี้อยู่ระหว่างการดึงพันธมิตรจากหลาย ๆ สถาบันเข้ามาข้องเกี่ยว

 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล่าวคือปกติแล้ว ในแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะจัดค่ายแยกกันเอง แยกใครแยกมันไม่เคยมีค่ายไหนที่รวบรวมเด็กจากหลากหลายมหาวิทยาลัยเข้ามาอยู่ด้วยกันมาได้ก่อน ดังนั้นรายละเอียดที่ต้องรับผิดชอบจึงตามมาด้วยเป็นเงาตามตัว ก็ไม่แปลกอะไร ต่อให้จุดประสงค์อยากทำเพื่อจิตสาธารณะ แต่เด็กทุกมหาวิทยาลัยก็ต้องการทำอะไรเพื่อเชิดชูแบรนด์ของตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ

รู้ตัวอีกทีก็ราว ๆ เกือบหกโมงเย็นกว่า ๆ แล้ว ผมเช็กไลน์อีกครั้งหนึ่ง ยังไม่ขึ้นรีด พอเห็นแบบนั้นก็ชักลังเลใจว่าจะลงไปทานข้าวก่อนดี หรือจะรอเขาต่อไป? นั่งคิดต่อไปไม่นานเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลาทุ่มกว่า ๆ เพราะปกติแล้วผมเป็นคนทำอะไรตามรูทีนที่ตัวเองตั้งไว้ ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะลงไปหาอะไรข้างล่างทานก่อน ถ้าโชมาถึงค่อยไปทานกับเขาอีกรอบก็ได้

สามทุ่มกว่าแล้ว ยังไรวี่แววของโช ผมเริ่มโกรธเขานิด ๆ เพราะตัวเองเป็นคนนัดเวลาแท้ ๆ นี่ถ้าผมยังนั่งรอเขา ไม่ได้แปลว่าผมต้องท้องกิ่วรอเขาหรอกเหรอ ?

‘ก๊อก ๆ’

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ผมขมวดคิ้วหน่อย ๆ เดินไปส่องตาแมวก่อนจะเห็นคนที่ไม่ตอบไลน์ยืนอยู่อีกฟากฝั่งของประตูห้อง ผมขยับตัวออก เปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามาในห้อง ปากยังไม่ทันจะต่อว่าเขาว่าทำไมปล่อยให้ผมรอ ก็เป็นอีกฝ่ายที่หันมามองหน้าผมก่อนจะพูดเสียงเข้ม

“จะมากเกินไปไหม ถ้าผมอยากบอกว่าผมอยากกอดคุณ?”

เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า แต่สีหน้าโชดูไม่ดีเลย เขาดูเหนื่อยมากเกินกว่าจะมาสายด้วยเรื่องปกติ พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินเข้าไปหาเขา แล้วใช้การกระทำแทนคำตอบ

“กอดได้สิครับ...นี่ไงกอดแล้ว เห็นไหม?”

ผมว่า พร้อมกอดผู้ชายคนตรงหน้าแน่น ๆ

“ขอโทษนะครับที่มาสาย” เขาว่าเสียงเบาเหมือนหมดพลังงาน

“แต่คุณก็มาแล้วนะ”

“ทีเร็กซ์ครับ...” เขาเรียกเสียงเบาหวิว

“ครับ?”

“ขอโทษนะ แต่ผมขอกอดคุณแบบนี้ไปก่อนได้ไหม ผมเหนื่อยจังเลย”

“....”

“อยู่ต่อหน้าคุณ ผมไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่นใช่ไหม” เขาถาม ผมไม่เห็นหน้าเพราะอีกฝ่ายกอดผมอยู่แต่น้ำเสียงดูเหนื่อยเอามาก ๆ ตามที่เขาพูดมาเลย

“อื้อ...”

“...”

“อยู่กับผม อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ”

เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก แต่ดันตัวผมล้มลงไปนอนผมเตียง ก่อนจะกระโดดลงมานอนคร่อมทับผม....

 



Time Talk : นากเผือกศรี นี่เธอกลับมาถึงก็ขึ้นคร่อมผู้ชายเลยเหรอ !!! //ถือแส้

อยากบอกว่าขอโทษที่มาสาย ครั้งหน้าจะพยายามมาให้ไวกว่านี้ทั้งจำนวนวันและความยาวของแต่ละตอนนะครับ แหง่ม ๆ เขาอยากอวดหน้าปกแล้ว แต่หน้าปกเขาใส่อีสเตอร์ลงไปเยอะมาก ๆ จนเขารู้สึกว่าถ้าเอามาโชว์ตอนนี้ 'ทริก' สุดท้ายที่เขาจะเล่น ต้องมีคนเดาทางได้ก่อนแหง่ ๆ เพราะงั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้น จงอดทนนะครับ แต่เราชอบมาก ชอบมากจริง ๆ ในบรรดานิยายที่เคยตีพิมพ์มา นี่น่าจะเป็นหน้าปกที่เรารู้สึกว่าโคตรมีความเป็นเราสุด ๆ แล้ว

อ่ะ ๆ เกิดอะไรขึ้น โปรดติดตาม Ep. ถัดไปนะครับ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 03-12-2018 21:59:32
ไหนว่าเหนื่อย ทำไมถึงมีแรงขึ้นคร่อมผู้ชายล่ะหาาาาา 555555
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-12-2018 22:23:03
เดี๋ยว

อะไรคือนากมีแรงฟัดได้โนเสาร์?


น้องแม็กซ์ซ่อนอะไรไว้?
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-12-2018 22:48:07
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.21 Second | P4 | 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-12-2018 20:28:05

Ep.21 Second




ผมตาโต ใจหายแวบ นึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรรึเปล่า แต่โชแค่เอาหัวมาหนุนที่อกของผมพร้อมพ่นลมหายใจร้อน ๆ ลงมารดบนร่างกายเท่านั้น

“เหน่ยยยยยยยยยย”

เขาพูดพร้อมเอาหน้าซุกอกผมไปมา

“....คุณว่าอะไรนะ” ผมถาม เมื่อกี้ฟังไม่ออกว่าเขาว่าอะไร เจ้านากเผือกเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะดึงแก้มหน่อย ๆ แล้วพูดตอบ

“ผมบอกว่าผมเหนื่อย แต่เพราะผมเหนื่อยผมเลยออกเสียงแค่ว่า ‘เหน่ย’ เท่านั้นเอง” เขาว่า พร้อมเอาหัวทับลงไปบนตัวผมอีกรอบ

พอเห็นคนที่ทำอะไรจริงจังเป็นการเป็นงานตลอดเวลามาอ้อนแบบนี้ ผมก็แอบเหวอไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมอ่อนไหวและผ่อนคลายได้ขนาดนี้  เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกจะเอามือมาลูบหัวและสางผมให้เขาเบา ๆ เป็นการผ่อนคลายอีกฝ่าย มืออีกข้างผมก็นวดขมับทั้งสองข้างให้เขาเบา ๆ อีกฝ่ายครางหงิง ๆ ออกมาอย่างชอบใจ จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นนากเผือกหรือเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ กันแน่

“สบายจัง” โชว่า หลับตาพริ้ม

“แล้วเป็นอะไรครับเนี่ย? ไม่สิ คุณทานอะไรมารึยัง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบว่าเขาจัดการตัวเองมาเรียบร้อยแล้วก่อนมาหาผม

“ผมเหนื่อยกับที่ทำงานนะครับ ทะเลาะกับหัวหน้างานตัวเองนิดหน่อย” โชว่า

ผมพยักหน้ารับทราบแต่ไมได้กล่าวถามอะไรเพิ่มเติม จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ถ้าอีกฝ่ายอยากเล่า เขาจะเป็นฝ่ายเล่าให้คุณฟังโดยไม่จำเป็นต้องมีคำถามอะไร เขานอนหนุนผมแบบนั้นอีกสองนาทีกว่า ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง

“ผมรู้สึกว่าเราทะเลาะกันแบบเรื่องไม่เป็นเรื่องนะครับ  เหมือนผมโดนคาดหวัง โดนกดดัน แล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมต้องคาดหวังหรือกดดันอะไร ผมเยอะขนาดนี้ ผมก็พยายามทำอย่างเต็มที่ที่สุดในรูปแบบของผมแล้วเหมือนกันนะครับ” เขาพูดต่อ ผมลูบหัวเบา ๆ ให้กำลังใจเขา

“ปกติไม่ใช่เหรอครับ ยิ่งองค์กรทุ่มเทให้กับคุณมากเท่าไหร่ เขายิ่งคาดหวังในตัวคุณมากเท่านั้น เราต่างตอบแทนกันไปกันมานี่ครับ” ผมออกความเห็นเรียบ ๆ

“ผมก็รู้ รู้ด้วยว่าเขาค่อนข้างคาดหวังในตัวลูก...น้องแบบผม แต่ผมแค่แบบ....เฮ้อ ผมเหนื่อยครับ” เขาว่า พูดเว้นวรรคแปลก ๆ ไม่ทันจบประโยคก็ซุกหน้าลงไปกับท้องผมอีกรอบหนึ่ง ผมหัวเราะให้กับท่าทีดังกล่าวก่อนจะบอกกับเขาเบา ๆ

“คุณครับ ลุกก่อน ขยับมานอนดี ๆ มา” ผมว่า อยากให้เขาได้จัดท่าทางใหม่ก่อน

พอโชลุกขึ้น ผมเลยขยับเอาหัวชันกับผนังเตียงนอน ก่อนจะตบเบา ๆ ลงบนเตียงให้เขามานอนอีกข้าง โชเดินมาทิ้งตัวลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอาคางเกยไว้ต่ำกว่าระดับหน้าอกของผม พร้อมทั้งดึงแขนผมไปทับตัวเขาไว้เหมือนอ้อนขอให้กอด ดวงตาทั้งสองข้างมองสบตากับผมด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า พอเห็นแบบนั้นผมเลยจิ้ม ๆ แก้มไว้แล้วค่อย ๆ นวดขมับคลายเครียดให้เขาอีกครั้ง

“คุณควรหาเวลาไปพักผ่อนบ้าง” ผมว่า

“ผมจะพยายามนะครับ” เขาบอก สีหน้าดูดีขึ้นตามลำดับ

 เราปล่อยเวลาผ่านไปเงียบ ๆ แบบนั้น นอกจากช่วงคลายเครียดให้กันและกัน ทั้งผมและเขาเราไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ทั้งห้องเหลือเพียงเสียงเข็มนาฬิกาปลุกของผมที่ดังแก๊ก ๆ ไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของมัน พอผ่านไปสักครู่โชก็เป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขาขยับตัวขึ้นมาพิงผนังหัวเตียงนอนเหมือนกันกับผม ก่อนจะกระแอมไอเบา ๆ

“ขอบคุณนะครับ”

เขาว่า แม้จะหันหน้าไปอีกทางผมก็ยังเห็นอยู่ดีว่าใบหน้าของเขาเริ่มแดงมากขนาดไหน ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะเอามือไปขยี้จนทรงผมของเขาไม่เป็นทรงขึ้นมาทันที เจ้าตัวหันมาโวยวายผมผ่านสายตาบ่อย ๆ แต่ก็เงียบลงไม่ว่าอะไรอีกเมื่อผมส่งรอยยิ้มให้กับเขาไป

“ดีขึ้นแล้วนะ” ผมถาม

“มาก ๆ เหมือนชาร์ตแบตเต็มก้อนเลย” โชตอบติดตลก ก่อนเราทั้งคู่จะหัวเราะกันอีกระลอกแล้วเงียบลงไป เขาหันมาสบตากับผมแล้วพูดต่อ

“แล้วอยากคุยเรื่องอะไรก่อน?” เขาถาม

“เรื่องอะไรก่อนนะ มีเรื่องอะไรบ้าง ผมยังไม่รู้เลย” ผมตอบเสียงซื่อ แสดงสีหน้าเป็นเจ้าหนูจำไมไปอย่างแนบเนียน แต่คิดว่าคงเขามองออกนั่นแหละเพราะโชตีแขนของผมลงมาเบา ๆ

“เรื่องแรก ก็เรื่องงานไงครับ นิยายที่ผมเขียนนะ” เขาว่า เสียงสั่น  ๆ

“ครับ แล้วอีกเรื่อง”

“ก็เรื่อง...”

“เรื่อง?”

“คุณอย่าแกล้งผมได้ไหม รู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร” เขาเอ็ด ทำหน้าโกรธ แต่ผมตีความว่าเหมือนลูกนากเผือกแรกเกิดกำลังขออาหารมากกว่า

“เรื่องของคุณกับผม...คุณจะบอกผมแบบนั้นใช่ไหม?”

ผมถาม ชันตัวหันหน้ามาทางอีกฝ่าย

“ใช่ครับ เรื่องของเราสองคน ...ผมให้คุณเลือก เราจะเอาเรื่องไหนก่อนดี” โชโยนสิทธิ์ในการตัดสินใจกลับมาหาผม ผมขมวดคิ้วแล้วนิ่งคิดไปสักพัก นั่นสินะ จะว่าไปมันก็สำคัญทั้งสองเรื่องนั่นแหละ แต่เรื่องที่สองน่าจะยาวกว่าเรื่องแรก  ผมเลยตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเรื่องไหนก่อนดี

“ผมว่า เราเคลียร์ไปทีละเรื่องแล้วกันนะ เอาเรื่องงานก่อนครับ” ผมบอก โชพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเด้งตัวไปหยิบของในกระเป๋าที่อีกฝ่ายสะพายมา เขาหยิบไอแพดคู่ใจออกมาก่อนจะโดดลงมาบนเตียงกลิ้งมาชนกับผมแล้วทับแขนผมข้างหนึ่งต่างหมอนไปดื้อ ๆ พอเป็นแบบนั้นผมเลยขยับตัวไปคร่อมอีกฝ่ายจากด้านบนแล้วมองลงมาตามเขาบอก

“ก็คร่าว ๆ นะครับ ผมคิดว่าซีนเปิดเรื่องจะประมาณนี้ เอาอารมณ์คล้ายกับที่เราเจอกันในวันแรกวันนั้นเลยก็ได้” โชว่า พร้อมค่อย ๆ สไลด์ไฟล์เวิร์ดให้ผมอ่านตามทีละนิด ๆ

“คุณว่ามันจะไม่ดูแฟนตาซีไปใช่ไหมครับ แบบ อยู่ดี ๆ เราก็มาตกลงกันง่าย ๆ เพราะแค่คุณร้องขอนะเหรอ?” ผมถาม โชเอียงคอทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างก่อนจะพูดกับผมต่อ

“ใครสักคนเคยบอกผมไว้ บางครั้งแล้วนิยายหรือบทละครสมเหตุสมผลมากกว่าชีวิตคนจริง ๆ ที่เกิดขึ้นซะอีก เพราะในขณะที่เราต้องพยายามหาเหตุผลรองรับในทุก ๆ การกระทำหรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่ในชีวิตจริง อะไรจะเกิดมันก็เกิดเลยนะครับ” โชตอบ

“อ่า” ผมรับทราบพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา ก็ไม่มีเหตุผลและไม่มีที่มาที่ไปอย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ

“เหมือนอย่างเวลาที่คนเราจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับใครสักคน มันแทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยนะ คุณรู้ไหม?”

 โชพูดตอบพร้อมมองมาทางผมด้วยสายตามีนัย  ผมหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะผลักหัวเขาเบา ๆ

“คุณนี่ หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วดูไม่ถนอมฟอร์มเลยนะ” ผมกัดเขาเบา ๆ อีกฝ่ายส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ

“ผมมีเหตุผลที่ไม่สามารถถนอมฟอร์มอะไรนั่นได้แล้วกันครับ” เขาว่า สีหน้าหนักแน่นขึ้นตามลำดับ

“ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลอะไร ผมจะรับฟังเมื่อมันถึงเวลาแล้วกันนะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนเราจะหันไปสนใจงานต่อ

“ในส่วนของตอนแรก ๆ ผมไม่มีติดขัดอะไรนะครับ แต่เห็นคุณบอกว่า อยากเขียนแนวเรียลไลฟ์ ผมก็เลยนึกว่าจะออกมาในแนวโดนบังคับข่มขู่มากกว่าในการขอความร่วมมือ แต่ขออีกนิดนะครับ ปกติเวลาพวกเรานัดกัน มันไม่มีกำหนดเวลาตายตัวหรอกนะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นกลางคืนด้วย กลางวันแสก ๆ ก็มีนะถ้ามีที่มีทาง” ผมแนะนำพร้อมชี้ไปในจุดที่ผมรู้สึกว่ายังไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่

“ทีแรกผมว่าจะให้ตัวละครที่เป็นนักเขียนแบล็คเมล์ตามที่คุณว่าและเอามาเป็นข้อต่อรอง แต่ไม่รู้สิ ผมมองว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้วในระยะยาว ตัวละครที่เป็นแอคเค่อในเรื่องจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ อารมณ์แบบ แค่ช่วยเพราะโดนบังคับ แต่ไม่ได้ทำเพราะความเต็มใจ” โชบอก

“เหมือนที่ผมเต็มใจบอกทุกอย่างนะเหรอ?” ผมถามกลับ เขายิ้มและพยักหน้าให้

“อาจจะดูแฟนตาซีไปในบางจังหวะ แต่สุดท้ายแล้วถ้ามันบรรลุวัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ทำให้เราเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ทำไมมันถึงจะทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะครับ ยังไงมันก็คือนิยาย เป็นโลกสมมติอีกใบที่เราจะทำอะไรก็ได้ อีกอย่างนะ เหตุผลที่ผมกล้าเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นแค่นิยายเนี่ยแหละคุณ” เขาตอบผมกลับอีกครั้ง

“อ่า”

“เวลาคนอ่านนิยายเขาก็มองว่ามันคือนิยายนั่นแหละ ไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจริงไม่จริง หน้าที่ของคนเขียนคือการเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ส่วนคนอ่านเขาจะตีความไปในแนวทางไหน ผมว่าเราควรปล่อยเป็นพื้นที่ฟรีความคิดให้กับคนอ่านเขาได้ต่อยอดเอา แบบนั้นผมว่าน่าสนุกกว่าสำหรับผม” โชสรุป

“ถ้าคุณคิดว่าทำแบบนั้นแล้วโอเค ผมก็ไม่มีอะไรติดขัดครับ แค่ผมกลัวว่าเกิดเนื้อเรื่องมันดูจริงจังมากเกินไปแล้วจะมีคนมาอ่านไหมแค่นั้นเอง กลัวนิยายคุณขายไม่ออกนะเออ” ผมพูดติดตลก แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจริงจังและความปรารถนาดีจริง ๆ โชยิ้มกับความเป็นห่วงของผมก่อนเจ้าตัวจะพูดขึ้น

“ผมก็กลัว ...กังวลมาก ๆ ด้วย ก็อย่างที่ผมบอกไป ยอดขายน่ะคือผลตอบแทนจินตนาการและการกลั่นกรองที่คนเขียนสร้างขึ้นมาให้กับคนอ่าน  แต่สุดท้ายแล้วมันยังไม่ใช่ทั้งหมด ...ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมอยากได้กลับมา เป็นผลลัพธ์ย้อนกลับมาที่สังคม อาจจะดูเกินตัวมากไปหน่อย แต่เพราะคุณ ผมเลยอยากทำอะไรกลับคืนไปให้กับสังคมบ้าง”

“เพราะผม?”

“ใช่ เพราะคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากทำอะไรกลับคืนไปให้กับสังคมบ้าง นิยายเรื่องแอคเค่อเองก็เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็น เบสเซลล์เลอร์หรือทอฟออฟเดอะทาวน์หรอก ผมแค่หวังว่าใครสักคนจะอ่านมัน เข้าใจ รับฟัง และมองให้ลึกลงไปถึงปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น”

“เพราะสังคมไม่ใช่แค่เรื่องของคน ๆ เดียว / ...เพราะสังคมเป็นเรื่องของคนทุกคน”

และก็เป็นอีกครั้งที่ทั้งผมและโชพูดอะไรคล้าย ๆ กันออกมา ผมและเขา เราต่างอมยิ้มก่อนเขาจะดึงแก้มผมลงมาเล่นบ้างเป็นการเอาคืน

“เพราะแบบนี้ไงผมถึงชอบคุณ”

โชพูดออกมา พร้อมกับมองหน้าผม ไม่ได้หลบสายตา ไม่ได้เขินอายกับความรู้สึกของตัวเองที่กำลังสารภาพอะไรบางอย่างให้ผมฟัง เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังแสดงออกไปตรง ๆ กับความรู้สึกของตัวเอง

“ผมรู้”

“...และผมก็รู้ด้วยว่าคุณพยายามทำเป็นไม่รับรู้” เขาว่า ชันตัวขึ้นมานั่งครึ่งตัวอีกครั้ง พอเห็นเขาเริ่มจริงจังผมเลยชันตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ หันเข้าหาเข้าตรง ๆ

“และคุณรู้ไหมว่าเพราะอะไรผมถึงแกล้งทำเป็นไม่รับรู้” ผมถามต่อ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าตรึกตรองอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดออกมา

“น่าจะเพราะอะไรหรือเพราะใครสักคนมั้ง?” โชเดาได้แทบจะตรงเผง 100% แต่ผมยังแสดงสีหน้าเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรให้เขาเห็นเหมือนเดิม

“ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมอาจจะยังหยุดไม่เป็นก็ได้นะ” ผมแกล้งถาม ด้วยน้ำเสียงซีเรียส โชถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“จริง ๆ ...ก็มีคิดบ้าง แต่ผมก็แอบคิดวิธีการแก้ปัญหาไว้นิดหน่อย” โชว่า

“ยังไงครับ?”

“คืองี้...ผมไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้าแบบ เราคบกัน และคุณก็ยังเด็ก ผมเข้าใจว่าคุณก็ยังมีความต้องการ ยังอยากผจญภัยเจอคนนั้นคนนี้ ผมเลยอยากจะบอกว่า ผมโอเคนะ ถ้าเราจะเป็นแฟนกันแต่คุณจะไปมีอะไรกับคนอื่นได้” เขาพูดต่อ ผมตาโตก่อนจะตีแขนเขาดังเพี๊ยะ

“คุณพูดแบบนี้ คุณไม่ให้เกียรติผมเลยนะ!!!” ผมแอบฉุนจนเผลอขึ้นเสียงไปนิดหน่อย

“เดี๋ยวก่อนทีเร็กซ์ ฟังผมก่อนนะครับ..นะครับ ผมไม่ได้ว่าคุณจริง ๆ ” โชทำตาละห้อยก่อนจะดึงแขนผมไว้เบา ๆ ผมเลยนิ่งเงียบเพื่อรอฟังเขาพูดต่อ โชหลุบตาหลับลง ทำสมาธิ สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะลืมตามองผมด้วยแววตาแน่วแน่

“ผมชอบคุณ...”

“...”

“ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน ตั้งแต่ตอนที่แอบมองคุณในร้านอาหารวันนั้นรึเปล่า ตั้งแต่วันที่เห็นว่ารอยยิ้มของคุณสดใสมากแค่ไหนตอนได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ตั้งแต่เห็นว่าคุณเทคแคร์คนสำคัญของคุณและเป็นห่วงพวกเขามากแค่ไหน ตั้งแต่เห็นแล้วว่าคุณทำอะไรให้กับสังคมตั้งมากมายเท่าไหร่ ตั้งแต่เห็นว่าอยู่กับคุณแล้วผมมีความสุขมากเพียงใด”

“ผมชอบ..ทุกอย่างที่เป็นคุณ ผมถึงไม่ได้อยากเปลี่ยนคุณ  ผมแค่อยากให้คุณเป็นแค่คุณก็พอ ผมกลับไปถามตัวเองว่าผมรับได้ไหมกับสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ที่เป็นคุณ และต่อให้เป็นตัวคุณในอนาคตผมจะยังรับได้ไหม ผมไม่ได้คิดมาเล่น ๆ นะครับทีเร็กซ์ ผมโตแล้วนะ ถ้าจะชอบใครสักคน มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบหรอกนะครับ”

เขาย้ำทุกคำพูดของตัวเองด้วยแววตาที่มองมา และมือทั้งสองข้างที่กุมมือของผมไว้

“ผม...” ผมพูดค้างไว้ ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองควรตอบอะไรกลับไปดี น่าแปลกที่เวลาแบบนี้สัตว์ร้ายในตัวของผมกลับเงียบสงบลง ราวกับว่ามันพร้อมจะยอมรับทุก ๆ การตัดสินใจของตัวผมเอง

“ไม่ต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้นะครับ ผมแค่...ผมแค่ต้องการโอกาสเท่านั้นเอง” โชว่า ผมส่ายหน้าไปมาช้า ๆ จนเขาหน้าเสีย พอเห็นแบบนั้น ผมเลยดึงแก้มเขาเล่นก่อนจะพูดให้เขาคลายใจลง

“ผมยังไม่ได้ปฏิเสธคุณ นั้นคือเรื่องแรกที่คุณต้องรับรู้ก่อน ...” พอผมพูดแบบนี้ หูทั้งสองข้างของเขาก็ตั้งขึ้นมาราวกับเป็นคนละคนกับเจ้านากเผือกคอตกเมื่อกี้

“แต่ผม ...ไม่รู้สิโช ผมยังไม่แน่ใจเลย เรื่องทุกอย่างเหมือนมันเกิดขึ้นเร็วมาก ๆ เร็วมากจนความรู้สึกของผมตามไม่ทัน จริง ๆ แล้วเรายังรู้จักกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำไปนะครับ แล้วก็ ผมเองก็มีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้ คุณเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้บอกผม เราต่างคนต่างยังไม่รู้จักกันดีพอเลย” ผมว่า

ผมเข้าใจในสิ่งที่โชพูด แต่สิ่งที่ผมกังวลคือทั้งหมดนั้นมันจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือฉาบฉวยรึเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าเพราะโชไม่ได้เจอใครบ่อย ๆ พอมาเจอผมเขาเลยเห็นว่าทั้งหมดที่ผมเป็นคือสิ่งที่เขาชอบทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดก็ได้ เราอยู่ด้วยกันแล้วอาจจะทะเลาะกันจนมีเสียงหยาดน้ำตามากกว่ารอยยิ้ม มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ผมถึงอยากให้เขาค่อย ๆ ชะลอความรู้สึก ค่อย ๆ ชะลอความคาดหวังในตัวของผมเอง

...เหมือน ๆ กับที่ผมพยายามชะลอความคาดหวังในตัวของผมเองและความสัมพันธ์ครั้งนี้เช่นกัน

“ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นแฟนกันแล้วอนุญาตให้ผมไปมีอะไรกับใคร ..ผมขอเขกหัวคุณสักที” ไม่พูดเปล่า ผมแจกมะเหงกเบา ๆ เคาะลงตรงกลางหน้าผากให้อีกฝ่าย เป็นการแก้อาการหมั่นไส้ของตัวเองที่มีต่อเขา

“โอ๊ย ผมผิดอะไรละคุณ รู้ไหมว่าผมไปนั่งคิดนอนคิดมาหลายคืนเลยนะ ที่จะให้แฟนตัวเองมีน้อยได้เนี่ย” โชว่า

“ยัง !!!” ผมเบรก เดี๋ยวนี้เริ่มมีพัฒนาการแอบเคลมนะครับเจ้านากเผือกนับวันชักจะร้ายกาจขึ้นทุกที

“ยังก็ยัง แต่ผมก็พยายามคิดเผื่อคุณไง...ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมเข้าใจว่าคุณยังเด็ก คุณยังมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า และอีกฝ่ายคุณเคยเป็นแอคเค่อมาก่อน จะแปลกอะไรถ้าจะมีคนติดคุณแจในด้านนี้ ที่ผมพูดคือผมไม่ได้ใจกว้าง แต่ผมมองว่าถ้าจะไปต่อกันได้เรื่องพวกนี้ก็ควรพูดคุยกันให้ละเอียดนะครับทีเร็กซ์” โชว่า ผมถอนหายใจผมยิ้มกับความคิดนั้นก่อนจะแชร์ความคิดจากฝั่งของตัวเองไปบ้าง

“ผมยังเด็ก ความต้องการทางเพศเยอะจริงไหม? ผมว่าคุณน่าจะรู้คำตอบทั้งหมดนั้นดี แต่เรื่องของเรื่อง ถ้าผมเลือกแล้วว่าจะมีแฟน ผมเลือกแล้วว่าจะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ผมจะนอกใจไปหาคนอื่นได้ยังไงละครับ?” ผมว่า อดไม่ได้ที่จะบี้จมูกเขาเล่นเป็นการหยอกล้ออีกฝ่าย

“โชครับ การที่เราตัดสินใจเลือกใครสักคนหนึ่งมาเป็นแฟนแล้ว เวลาที่เราซื่อสัตย์ต่อคนที่เรารัก เราไม่ได้ให้เกียรติแค่ตัวเขาเองนะครับ แต่เรากำลังให้เกียรติตัวเราเองด้วยเช่นกัน ในฐานะอีกครึ่งหนึ่งของความสัมพันธ์ของคนสองคน ผมน่ะ อารมณ์เยอะจริง แต่ไม่ได้แปลว่าผมอดทนหรืออดกั้นไม่ได้ถึงขนาดต้องไปทำอะไรกับคนอื่นไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังแฟนตัวเองนะครับ” โชพยักหน้ารับคำนั้น แต่สีหน้าก็แอบลำบากใจอยู่หน่อย ๆ ก่อนจะพูดต่อ

“จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่เพราะผมใจกว้างหรือเข้าใจคุณหรอกนะ แต่มันก็แบบ...แอบมีเหตุผลเล็ก ๆ อยู่อีกข้อเหมือนกันที่ทำให้ผมคิดว่าตัวผมเองน่าจะยอมรับได้ถ้าคุณจะไปมีอะไรกับใคร”

“เหตุผลนั้นคือ?” ผมถาม โชหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะพูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ

“ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนในชีวิต”

ผมหันขวับไปตามประโยคบอกเล่าที่เขาพูดออกมา อีกฝ่ายหน้าแดงแปร๊ดแล้วเอานิ้วมือเกาจมูกตัวเองหน่อย ๆ เป็นการแก้เขิน

“...แต่คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมเป็นรุก?” ผมถาม

“ใช่ และก็รู้ด้วยว่าของคุณมัน...มันใหญ่เกินไป ผมกลัวเจ็บ เอาตรง ๆ เลยครับ แค่นิ้วตัวเองผมยังไม่รู้สึกโอเคสักเท่าไหร่เลย ผมเลยไปนั่งคิดทบทวนไปมาว่าถ้าผมมอบให้คุณไม่ได้ ผมก็สมควรจะให้คุณได้รับมันจากคนอื่นไหมเท่านั้นเอง” โชตอบ ก่อนจะเอียงคอมาซบแขนผม

“แปลว่าคุณ 26 แล้วแต่ยังไม่เคยมีอะไรกับใครเลยงั้นเหรอครับ?” ผมเก็บข้อมูลต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงน้อย ๆ แต่ก็พูดเสริมต่อว่า

“นั่นหมายถึงกับผู้ชายนะ กับผู้หญิงผมก็เคยมาบ้าง คือรุ่นพี่ผมเขาเคยพาไปเที่ยวอ่างเหมือนกัน..ว่าแต่คุณถามทำไมวะเนี่ย? เลิกโฟกัสเรื่องนั้นได้ไหมครับ ผมเขิน!!!” เจ้านากเผือกพูดพร้อมออกอาการงอแงมือไม้อยู่ไม่สุขไปมา

“ไม่โฟกัสไม่ได้หรอก มันเรื่องสำคัญนะ” ผมเก็กขรึม ทำท่าจริงจังขึ้นมา เขาพยักหน้าเห็นด้วยขึ้นลงช้า ๆ

“ผมถึงได้บอกไงว่าเราถึงสมควรคุยกันให้มันชัดเจนไปเลยตั้งแต่เริ่มต้น” เขากล่าวซ้ำ

“ก็เพราะแบบนั้นแหละครับ ผมถึงได้บอกไง ว่าผมยินดีที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ผมก็อยากให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ให้เราได้ค่อย ๆ ลองเรียนรู้ทำความรู้จักกันไปเรื่อย ๆ เชื่อผมเถอะโช ถ้าผมใช่สำหรับคุณจริง ๆ ถ้าคุณใช่สำหรับผมจริง ๆ เราหนีกันไม่พ้นหรอกครับ” ผมว่าพลางถอนหายใจ

ผมยังหวาดกลัวกับอะไรหลาย ๆ อย่างมากมายอยู่ในใจ แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อยู่ดี...

...ภายใต้ความสิ้นหวังและการกักเก็บตัวมากมายในใจ ลึกลงไปข้างใน ผมยังรอใครบางคนดึงผมขึ้นมาจากใต้ปรภพแห่งความสิ้นหวัง

รอใครสักคนที่พร้อมจะโอบกอดบาดแผลของผม ใครบางคนที่พร้อมจะยอมรับ “ทั้งหมด” ของผมได้จริง ๆ

ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว

...ผมไม่อยากกลับไป “ที่นั่น” อีกแล้ว

“คุณ”

“ครับ?”

“แปลว่าคุณยังไม่เคยจูบกับใครที่เป็นผู้ชายใช่ไหมครับ?”

ถ้าในเมื่อคุณเดินเข้ามาหาผมลึกถึงใต้ใจกลางมหาสมุทรขนาดนี้...

“ก็...ใช่ครับ”

ผมขอร้องนะครับ

“งั้น..ลองจูบกับผมไหมครับ?”

...ช่วยดึงผมออกไปจากความสิ้นหวังนี้ที



Time talk : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ... ต้องบอกว่าตอนนี้เป็นตอนสิ้นสุดของเล่ม 1 นะครับ (350 หน้า อาจจะมีการเพิ่มหน้านะครับ แต่ไม่น่าจะลดไปมากกว่านี้แล้วละ) สำหรับผมแล้วมันคือช่วงรอยต่อจุดเริ่มต้นของตัวละครหลาย ๆ ตัวละคร ที่ปูเรื่องและบอกกล่าว พัฒนาความสัมพันธ์ผ่านกันไปกันมาตลอด หลังจากนี้ไป ทุกตัวละครจะต้องค่อย ๆ "เคลียร์" ปริศนาและแบล็กบ็อกซ์ของตัวเองไปเรื่อย ๆ ที่ละคน ที่ละคน

ผมย้ำเสมอ และจะย้ำไปตลอด จนกว่าจะถึง "จุดนั้น" ที่ผมเขียนไว้ มันเป็นจุดที่ยากลำบากใจมากจริง ๆ และเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่มาก ๆ ในชีวิตนักเขียนของผม แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจในทุก ๆ การกระทำของทุก ๆ ตัวละครที่ดำเนินอยู่ในเรื่อง

ชีวิตจริงอะไรเกิดขึ้นได้ฉันได้ แอคเค่อนั้นไซร้ก็เกิดขึ้นได้ฉะนั้น

โปรดระวัง :]

Ps. ผมอยากอวดหน้าปกแบบใจจะขาด ลงแดงจะตายแล้ว แต่หน้าปกผมซ่อนอีสเตอร์ไว้เยอะมาก จนคิดว่าหลาย ๆ คนต้องจับได้แน่ ๆ เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อดทนรอนะครับ อีกสักช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดช่วงพีคไทม์ของเรื่อง น่าจะสามารถนำหน้าปกมาให้ดูกันได้แล้ว

จับมือไว้ แล้วไปด้วยกันจนสุดทางนะครับ ช่วงนี้อากาศแปรปรวน รักษาสุขภาพด้วยนะครับทุกคน !

ฝากเชียร์และให้กำลังใจน้อง ๆ กันด้วยนะครับ เย้  :L2:

Pss. ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้อ่านในเล้าเป็ด แต่หลาย ๆ ท่านหายหน้าหายตาไปเลยงับ ตกใจและใจหายมาก ๆ  ผมคิดถึงนะครับ ถ้าผมทำอะไรพลาดไปแวะมาบอกผมได้นะครับ ส่วนเรื่องคำผิดผมก็พยายามแก้ไขให้เรื่อย ๆ น้า อย่าเพิ่งทิ้งกันนะครับชาวเล้าเป็ด UU // อ้อนๆนะเหมียว
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.21 Second | P4 | 07/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-12-2018 02:03:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 19-12-2018 23:02:05


Ep.22 Return




ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทีละนิด สำรวจทั่วโพรงปากของอีกฝ่ายโดยชะลอความเร็วไม่ให้เคลื่อนไหวเร็วมากเกินไปจนเขาตามไม่ทัน ลมหายใจอุ่น ๆ ลดลงใบหน้าของกันและกัน พอเกี่ยวตวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่ายไปมากจนเขาเริ่มตามทันผมก็สปีดเร็วขึ้น ไม่ถึงห้านาทีโชก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปก่อนจะสูดลมหายใจดึงเอาอากาศเข้าไปในปอด

“เกินไป” เขายกหลังมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก ก่อนจะบอกผมหน้าอาย ๆ

“อะไรเกินไป?” ผมถามกลับ

“คุณจูบเก่งเกินไป” โชพูดพร้อมก้มหน้าลงมาซุกกับอกผม พอเห็นเขาอ้อนแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มนั่นเล่น โชตอบรับด้วยการเอาหัวถูไถไปมากับหน้าอกผม ก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะให้กับเราทั้งคู่ออกมา

“คุณต้องหัดหายใจทางจมูกในระหว่างที่ตวัดลิ้นไปด้วยนะ” ผมแนะ โชตีแขนผมแรงดังป๊าบ

“คนบ้า” เขาว่าเบา ๆ เสหน้าไปทางอื่นแก้เขินอาย ผมค่อย ๆ ลูบหัวเขาเบา ๆ เป็นการระบายความรู้สึกให้อีกฝ่ายไปในตัวอีกทางหนึ่ง

“นี่คุณ” เขาเรียกผม

“ครับ?”

“ผมมีความสุขจังเลยครับ”

โชกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่หนักแน่น ผมพยักหน้าแล้วกล่าวสมทบ

“นานแล้วที่ผมไม่ได้จูบใคร แล้วไม่ทำต่อจนเสร็จ...คุณโชคดีนะ” ผมว่า เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดตอบโต้กลับคืนมา

“เสือร้ายจริง ๆ เลยคุณ”

ผมยืนยันคำพูดของเขาด้วยการกระทำ ชันตัวและก้มหน้าลงไปประกบปากกับเขาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ย้อนไปสิบห้านาทีที่แล้วตอนผมถามว่าอยากลองจูบกับผมไหม เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตกลง จนสุดท้ายแล้วเราค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหากันนั่นแหละ และคุณรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามจูบใครโดยไม่ให้รู้สึกอะไรเกินเลยหรือต้องการในตัวอีกฝ่าย

โชเป็นมือใหม่ของการจูบ ยังไม่ต้องไปพูดเรื่องเซ็กซ์ครั้งแรก การเตรียมตัว หรือแม้กระทั่งวิธีการ make love ให้ผมหรอก เอาแค่จูบเนี่ยให้รอดก่อนเถอะครับ แรก ๆ เขายังกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้ลิ้นของผมไหลลื่นไปตามโพรงปากด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลา ตวัดเกี่ยวเลี้ยวลดไปตามทาง กว่าเขาจะยอมคลายฟันออก ให้ลิ้นของผมได้เข้าไปสัมผัสกับข้างในโพรงปากนุ่ม ๆ ของเขา

เราคงต้องเรียนรู้กันแหละกันไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ถึงจะสามารถตอบได้ว่าเรา “ใช่” ต่อกันและกันไหม

ทั้งผมและโช เรายังต้องการระยะเวลาในการจะผูกสัมพันธ์ ไม่ใช่ว่าผมอยากเล่นตัวหรืออะไรหรอกนะ แต่คนเราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นและผมจะระมัดระวังไม่ให้มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไวมากเกินไป จนหัวใจของเราสองคนวิ่งตามไม่ทัน ขอแค่ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้เราละเลียดและใช้เวลาไปกับมัน

...แล้วสักวัน หัวใจของเราสองคนจะตอบคำถามนั่นเองว่าเราจะเป็นยังไงกันต่อไป

ผมถอนจูบออกมาแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังหายใจไม่คล่องกับการจูบ เหงื่อเขาไหลออกมาข้าง ๆ ขมับนิดหน่อย ผมยื่นมือลงไปเช็ดก่อนจะกระซิบเบา ๆ ที่ข้างใบหู

“ขนาดจูบคุณยังไปไม่เป็นขนาดนี้เลย แล้วถ้าเรา make love กัน คุณคิดว่าคุณจะรอดไหมเนี่ย?” ผมแซว และรางวัลที่ได้รับก็คือแรงทุบหลังดังอั๊ก ผมร้องอู๊ย ก่อนจะแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงไปนอนทับอีกฝ่ายเอาไว้

“คุณ ขยับตัวออกไปนะ ไม่ใช่ตัวเบา ๆ ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงและท่าทีไม่จริงจังนัก ผมไม่ตอบอะไร แต่นอนหลับโดยพยายามเทน้ำหนักไม่ให้ลงไปกดทับตัวอีกฝ่าย สุดท้ายแขนทั้งสองข้างก็โอบกอดผมไว้จากด้านล่าง

“ผมเองก็มีความสุขมากเหมือนกันนะครับ...”

“...”

“ขอบคุณนะครับโช ..แต่ผมขอเวลาหน่อยนะครับ” ผมว่า กระซิบข้างหูเขา โชพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจในความลำบากใจของผม ก่อนเจ้าตัวจะกอดผมแน่นเข้าไปอีก

“ผมจะรอจนกว่าวันที่คุณจะเปิดหัวใจให้ผมครับ” โชพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมไม่ตอบอะไรอีกแต่พยายามซึมซับบรรยากาศอันมีความสุขเอาไว้ นานมากแล้วที่ห้องของผมไม่ได้อบอวลไปด้วยความรู้สึกของการสานสัมพันธ์ มากกว่าแค่การแลกเปลี่ยนความต้องการซึ่งกันและกันในช่วงข้ามคืน

เหมือนเขาทำให้ผมได้สัมผัสกับการมีชีวิต “อีกครั้ง” ในห้องนี้

“เรื่องอะไรที่มันต้องใช้เวลาก็ปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันแล้วกันนะครับ เออ โช ผมมีประเด็นอยากลองนำเสนอคุณด้วย” ผมว่า ควักมือถือออกมากด ๆ ดูที่ตัวเองจดบันทึกข้อมูลเอาไว้

“อะไรเหรอครับ?” เขาถาม ยกตัวขึ้นมาพิงผนังเตียง มองสิ่งที่ผมจดไว้ในโน้ตมือถือ

“ประเด็นเกี่ยวกับทวิตเตอร์แล้วก็สังคมที่มีความเกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับแอคเค่อนะครับ ผมว่าจะลองพูดให้คุณฟังดู แต่ไม่รู้หรอกนะว่าเอาประเด็นไหนไปใช้ได้ไม่ได้ยังไงบ้าง” ผมว่า ส่งให้เขาไปสไลด์ดูหัวข้อกับรายละเอียด และคำถามเล็ก ๆ ที่ผมตั้งข้อสงสัยเอาไว้

“นี่คุณจดทั้งหมดนี้ไว้ช่วงผมไม่อยู่เหรอ?” เขาสไลด์หน้าจอพลางถามไปด้วย

“ใช่ครับ”

“ละเอียดพอสมควรเลยครับ หลายประเด็นเองก็น่าสนใจด้วย” โชพูดพร้อมหันมายิ้มให้กับผม กว่าผมจะรู้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงอะไร ก็ตอนที่เขาพูดประโยคต่อไปนั่นแหละครับ

“ผมดีใจนะที่เห็นคุณใส่ใจกับผมขนาดนี้”

เขาว่ายิ้ม ๆ ผมเบะปากและแก้ต่างให้กับตัวเองทันที

“ใครบอกว่าผมใส่ใจคุณ ผมใส่ใจงานของคุณต่างหาก” โชไม่พูดอะไรต่อนอกจากบ่นอุบอิบนิดหน่อยว่าผมชอบรักษามาดมากเกินไป แต่ก็นั่นแหละครับ พอเป็นเรื่องงานปุ๊บเขาก็เข้าโหมดจริงจัง หยิบไอแพดของตัวเองออกมาคัดลอกประเด็นที่น่าสนใจจากผมไป ปากก็บ่นพึมพำไปด้วยว่าคิดไม่ถึง ๆ จนจดเสร็จนั่นแหละถึงได้หันมามองหน้าผมอีกรอบ

“น่าสนใจมากเลยครับ โดยเฉพาะประเด็นซีรีส์วาย ผมไม่เคยคิดในมุมนั้นมาก่อนเลยว่าเราควรระมัดระวังมากแค่ไหนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลียนแบบของผู้ชมทางบ้าน” เขาว่า

“ผมวิจารณ์ไม่ได้ เพราะผมไม่เคยดูซีรีส์วายสักตอน คุณลองเปิดให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?” ผมถาม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมอยากจะลองถกประเด็นนี้ดูสักครั้ง ก็ควรจะทดลองดูไปเลยจริงจัง เขาพยักหน้า ก่อนเราจะพลิกตัวกันลงไปนอนคว่ำแล้วตั้งหน้าจอไอแพดไว้ด้านหน้าเราสองคน โชคลิกเข้าไปที่คลังวิดีโอของตัวเอง ก่อนจะเลือกเปิดซีรีส์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้ผมดู

เราปล่อยให้ซีรีส์ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนจบตอน ก่อนทั้งผมและโชจะหันมามองหน้ากัน

“โชครับ”

“ครับ?”

“นั่นไม่ใช่งานที่คุณเคยทำใช่ไหม?” ผมถาม อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นการยืนยัน

“โล่งอก ผมจะได้วิจารณ์ได้สะดวกปาก” ผมว่า โชหัวเราะไปกับคำพูดของผมก่อนจะรอให้ผมพูดต่อ

“ก่อนอื่นคือเอาสำหรับคนที่ไม่เคยดูซีรีส์วายอะไรพวกนี้นะครับ อยากถามว่าเมื่อกี้นี้เรานับว่าเป็นการแสดงได้เหรอครับ? แข็งมาก ดูไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติเลย แล้วอะไรคือตอนแรกเปิดฉากมาเคลมตัวเองแมนมาก แต่จะมายืนจูบโชว์กันกลางโรงอาหาร และไหนจะตำแหน่งเดือน 4 ปีซ้อนนั่นคืออะไร มีมหาวิทยาลัยไหนให้ตำแหน่งซ้อนแบบนี้ด้วยเหรอครับ คือมันดูหลุดไปไกลจากสามัญสำนึกโลกที่ผมอยู่มากเลย ผมถึงถามก่อนไงว่าไม่ใช่งานคุณใช่ไหม ผมจะได้วิจารณ์ได้สะดวก” ผมร่ายยาว ยังงงบวกอึน ๆ ไม่หายกับซีรีส์ที่ตัวเองได้ดูไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“เอาทีละประเด็นนะครับ เรื่องแสดงแข็ง อันนี้ผมเห็นด้วยเลยครับ เพราะนักแสดงใหม่ยกเซ็ตเลยก็ว่าได้” โชพูด เว้นวรรคแล้วกล่าวต่อว่า

“ถามว่าทำไมต้องใช้นักแสดงใหม่ทั้งหมด ก็ต้องยอมรับก่อนว่าซีรีส์เพศทางเลือกยังไม่ได้เป็นที่นิยมหรือติดกระแสตลาดหลักมากขนาดนั้นนะครับ ก็เหมือนที่ทีเร็กซ์บอกนั่นแหละ ว่าคนไทยยังติดภาพลักษณ์ว่าเพศที่สามทุกคนต้องเป็นคนตลก ต้องสร้างเสียงหัวเราะ และยังไม่สามารถทำความเข้าใจในความแตกต่างของคนได้มากขนาดนั้น

พอตลาดมันยังไม่กว้าง นักลงทุนยังไม่ค่อยมีเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถขายโฆษณาได้ สปอนเซอร์ก็เลยมีน้อยตามไปด้วย เพราะงั้นในส่วนของนักแสดงก็ต้องอาศัยนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้มีผลงาน พอไม่มีผลงาน การเรียนแอคติ้งก็อาจจะไม่ได้มากพอให้เขาเข้าใจธรรมชาติของการแสดงที่ไม่แสดง เงินยังเป็นปัจจัยอีกปัจจัยสำคัญของความก้าวหน้าในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และแวดวงบันเทิงในบ้านเรา ต่อให้อยากสร้างงานอลังการแค่ไหน ถ้าไม่มีนายทุนมาลงทุน มันก็ทำได้แค่ตามมีตามเกิด พอตามมีตามเกิดก็ต้องไปคาดหวังจากพลังแฟนคลับของบทที่เอามาสร้าง

จึงเป็นที่มาว่า ทำไมฟีดแบคของนิยายเรื่องหนึ่งถึงสำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดคอมเม้นท์ ยอดวิว ยอดแฟนคลับ หรือแม้กระทั่งการรีวิวหรือบอกต่อในโลกออนไลน์ เพราะมันไม่ได้ส่งผลแค่กับจิตใจของคนเขียนคนเดียว แต่มันเกี่ยวพันถึงอนาคตของนิยายเรื่องนั้นทั้งหมดเลย อาทิ สมมติว่าถ้าสำนักพิมพ์จะเลือกนิยายสักเรื่องหนึ่งนำออกไปตีพิมพ์ ก็ต้องประเมินแล้วว่าเรื่องนี้พอจะขายได้แน่นอนใช่ไหม เพราะยอดพิมพ์ขั้นต่ำของแต่ละสำนักพิมพ์ส่วนมากก็จะเริ่มต้นกันที่พันเล่มขึ้นไปอยู่แล้ว และทั้งหมดนั่นจึงสอดคล้อง ส่งผลกระทบกันไปมา”

โชอธิบาย ผมพยักหน้ายอมรับและทำความเข้าใจได้ ถ้าเป็นนักแสดงหน้าใหม่ก็น่าจะเป็นพวกเด็กที่กำลังต้องการเส้นทางในการปูไปต่อวงการบันเทิงกระแสหลัก ก็อาจจะดีลง่ายมากกว่าการใช้ดาราและนักแสดงทั่วไปที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ในการทำงานอยู่แล้วมาเป็นนักแสดง พอเป็นแบบนั้น แอคติ้งเลยแข็งเป็นหินอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเวลาซ้อมก็คงน้อย หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้มีโค้ชที่เก่งมากขนาดควบคุมงานได้

“ในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็...คุณ นักเขียนนิยายวายส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงนะครับ อ่ะ ผมถามนะ คุณคิดว่าคุณเข้าใจผู้หญิงมากน้อยขนาดไหน?” โชถาม

“ถามว่าผมเข้าใจผู้หญิงไหม ก็เข้าใจได้ แต่คงไม่เข้าใจได้ทั้งหมด...อ๋อ ! ผมเข้าใจที่คุณจะบอกแล้ว” ผมว่า พร้อมทั้งดีดนิ้วเมื่อตัวเองคิดตามทันโชสำเร็จ อีกฝ่ายพยักหน้าและยิ้มให้กับผม

“นั่นแหละครับ เวลาผู้หญิงเขียนอะไรเกี่ยวกับผู้ชายในโหมดนิยายวายนะ ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับจินตนาการแล้วก็เบสออนสตอรี่ที่เจ้าตัวเคยผ่านมาใช่ไหมครับ เพราะแบบนั้นแหละครับที่ทำให้นิยายวายของผู้หญิงหลายคนกลายเป็นโลกในอุดมคติ เพราะเขาไม่ใช่เกย์ ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจและทัชได้ทั้งหมด 100 % ในกระบวนการความคิดของคนที่เป็นเกย์จริงๆ

ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เขาเขียนออกมาจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเขียนอะไรก็ได้ออกมาอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า มันส่งผลทั้งต่อค่านิยมของคนในสังคมและก็กระทบกลับออกมาหาคนที่เป็นเกย์จริง ๆ เหมือนที่เราเคยคุยกันนั่นแหละว่าทำไมรุกต้องแมน ห้ามออกสาว ทำไมรับต้องตัวเล็กน่ารัก

นิยายวายหลายเรื่องไม่ได้เขียนให้เกย์อ่านนะครับ เขาเขียนให้ผู้หญิงอ่าน ซึ่งนั่นแหละเราต้องยอมรับก่อนว่าในทางการตลาดแล้ว ผู้หญิงค่อนข้างมีกำลังจ่ายมากกว่าผู้ชาย และในเมื่อเขาเขียนมาให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก ถ้าเกย์แบบเราจะดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่จริงก็ไม่แปลกอะไรนี่ครับ มันแค่ไม่ตรงทาเก็ตเราเท่านั้นเอง ” โชว่า

“อ้าว แล้วแบบนี้แอคเค่อจะรอดไหมครับนั่น?” ผมเป็นห่วงกลาย ๆ เขาอมยิ้มอีกครั้งก่อนจะว่า

“ไม่มีใครรู้หรอกครับ ผมเชื่อว่าก่อน เจเคฯจะดัง เธอก็คงผ่านการพิสูจน์มามากมายกว่าที่สื่อจะได้รับรู้อีก แอคเค่อเองก็เหมือนกัน เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ นั่นแหละครับ อะไรที่ใหม่กับตลาดมาก ๆ มันก็มีแนวโน้มจะรอดยากในตอนนี้ แต่พอเวลาผ่านไป มันอาจจะกลายเป็นที่ยอมรับของใครหลาย ๆ คนก็ได้ ผมคิดแบบนั้นนะ”

พอเขาพูดแบบนั้นแล้วผมก็ไม่ขัดอะไรอีก ทำได้แค่บีบมือให้กำลังใจเขา จากทั้งหมดที่ได้เจอกันมา ผมเชื่อว่าแอคเค่อจะต้องออกมาเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคน ๆ หนึ่งได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแล้วปลายทางของนิยายเรื่องนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ก็อย่างที่โชว่าแหละครับ โชคชะตา วาสนา และคนอ่านจะเป็นคนให้คำตอบเราเอง

“ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่ผมสนใจ คือประเด็นเรื่องตัวละครเพศหญิงในซีรีส์วาย” โชพูดต่อ ผมพยักหน้าหงึก ๆ แล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

“จริง ๆ ตรงจุดนี้พูดไปแล้วมันก็เหมือนละครทั่วไปนะครับ มีพระนาง ตัวร้าย นางร้าย ในโลกของนิยายวายของใครหลาย ๆ คนก็เหมือนกัน มันเหมือนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้หญิงด้วยกันเองรับรู้นะครับว่าตัวละครเพศหญิงไม่ควรก้าวเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือถ้าเกี่ยวข้องก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ เพื่อนร่วมกลุ่ม ร่วมห้องต่าง ๆ

 กล่าวคือ ผมก็เคยทำสัมภาษณ์มานะ ว่าทำไมผู้หญิงหลายคนถึงชอบอ่านนิยายวาย ซึ่งคำตอบที่ได้สรุปรวบยอดเลยคือ ‘เขาได้กันเองเสียใจน้อยกว่าเขาไปได้กับใคร(ที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน)’ อารมณ์แบบถ้าเขาชอบกันเองยังไงเขาก็ไม่ชอบเราแน่ ๆ เราไม่ได้แพ้ใคร ประมาณนั้นครับ”

“ได้เหรอคุณ” ผมว่า

“ได้สิครับ ก็ได้ไปแล้วอ่ะ ฮ่าๆ” โชตอบ ผมพยักหน้าขึ้นลงตาม

“พอเป็นแบบนั้นปุ๊บ ถ้าผู้หญิงจะต้องเข้ามามีบทบาทในโลกของนิยายวาย ก็จะได้ตำแหน่งตัวร้าย ซึ่งตัวร้ายในนิยายวายยุคแรก ๆ ก็จะเป็นผู้หญิงขี้อิจฉา ขี้แพ้ ยิ่งเห็นว่าตัวเองแพ้ให้กับเพศตรงข้ามยิ่งวีนเหวี่ยง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของยุคแรกนะ พอหลายปีผ่านมาตัวละครในนิยายก็กลมกล่อมขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวคือในนิยายวายไม่ได้มีแค่เรื่องของผู้ชายกับผู้ชายรักกันอีกต่อไป มันเป็นการพัฒนาไปตามกาลเวลาน่ะครับ”

“ก็ชีวิตจริง สังคมเราไม่ได้มีแต่ผู้ชายหน้าตาดีห้อมล้อมอ่ะเนาะ” ผมว่า โชหัวเราะหน่อย ๆ ตาม

“พูดถึงพัฒนาการแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะครับว่าถึงแม้ซีรีส์หลายเรื่องจะทำออกมาได้ไม่ถึงขนาดว่าขึ้นหิ้ง แต่มันก็เป็นการโอเพ่น เปิดประตูบ้านใหม่  ๆ ให้กับทั้งวงการนิยายวายและซีรีส์เพศทางเลือกนะครับ อย่างสมัยนี้สำนักพิมพ์หลายแห่งก็ต้องมียูนิตย่อยเป็นหมวดชายรักชายโดยเฉพาะ และซีรีส์วายเอง ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับสังคมทั้งกับตัวแฟนคลับและนักแสดงที่พอแสดงเรื่องหนึ่งปุ๊บก็แทบจะได้แฟนคลับที่คอยติดตามและสนับสนุน”

“เหมือนปรากฏการณ์คู่จิ้นอ่ะนะ?” ผมถาม โชพยักหน้า

“อันนี้ในส่วนตัวของผมนะ บางคู่ก็ทำหน้าตามที่ บางคู่ก็อาจจะคิดจริงจัง แต่ทั้งหมดนั่นมันเป็นเรื่องของเขานะครับ คำว่าคู่จิ้นก็บอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่าคู่จิ้น ไม่ใช่คู่เรียล แต่คู่จิ้นก็ก่อให้เกิดโมเม้นท์มากมายตามมาให้คนได้กรี๊ดกร๊าดกันไป ซึ่งคู่จิ้นเนี่ย ไม่ได้มีแค่เฉพาะชายชายนะครับ วงการฝั่งละคร ช่องยักษ์ใหญ่บางช่องเองก็เน้นขายดาราเป็นคู่ ๆ แบบนี้เหมือนกัน”

“แต่ก็แอบส่งผลเสียนะ” ผมว่า

“ยังไงครับ”

“คืองี้คุณ ผมเคยรู้จักเพื่อนผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนั้นมีสองคนเป็นรูมเมทกันและสนิทกันมาก ๆ แต่พอยุคคู่จิ้นมาถึง เขาสองคนก็โดนสาว ๆ ในมหาวิทยาลัยจิ้นกัน และไป ๆ มา ๆ ทั้งคู่ก็เลิกสนิทกันไปเลย เพราะต่างคน ต่างไม่อยากโดนกล่าวหาว่าเป็นเกย์ ผมว่านี่เป็นเส้นอีกเส้นที่ถ้าแฟนคลับไม่รู้ตัวว่ากำลังจะก้าวข้ามไปละเมิดใครก็คงแย่นะครับ”

“มันต้องหาความพอดีน่ะ คือผมก็ยังมองขอบเขตว่าการสนับสนุนให้ผู้ชายหน้าตาดี ๆ สองคนเป็นแฟนกันมันไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ก็ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม อย่างเรื่องที่ทีว่ามา ผมว่าคนเอาไปจิ้นก็เกินไป แต่ก็พูดยากอีกนั่นแหละว่าเพราะคนนอกถึงทำให้เพื่อนสนิทสองคนต้องแตกคอแยกย้ายกันไปเลยเหรอ” เขาทิ้งท้ายไว้

“ไม่รู้สิ ก็คงมีแค่เขาสองคนละมั้งที่รู้ว่าเหตุผลที่เลิกคบกันจริง ๆ เป็นเพราะอะไรกันแน่” ผมกล่าวสรุป เราเงียบกันไปก่อนผมจะตั้งประเด็นใหม่

“แล้วนี่คุณวางแผนจะเอานิยายไปลงเนื้อหาที่เว็บไซต์ไหนบ้างครับ?” ผมถาม โชนับนิ้วก่อนจะไล่ให้ฟัง

“ก็มีเล้าเป็ดแน่ ๆ ล่ะหนึ่ง เด็กดีสอง ธัญวลัยสาม ฟิคชันล็อกสี่ แล้วก็ รีดไรท์ห้า ส่วนที่เหลือผมอาจจะดูก่อนว่ากระแสไปได้ไกลมากน้อยแค่ไหน แล้วค่อยเอาไปลงในเว็บไซต์อื่น ๆ อีก” เขาว่า

“หื้ม มีหลายเว็บไซต์ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมถามต่อ

“ถ้าเมื่อก่อนก็มีไม่กี่เว็บหรอกครับ แต่ก็ปกติของธุรกิจ อะไรทำเงินได้ ก็มีคนมาลงทุนทำทั้งนั้นแหละครับ ที่ผมต้องลงหลายเว็บเพราะผมต้องกระจายความเสี่ยงด้วย และก็เป็นการพีอาร์ให้คนที่ไม่ได้เล่นในเว็บอื่น ๆ เห็นด้วย อาจจะยุ่งยากหน่อยตอนที่ต้องเอาไปลงหลาย ๆ เว็บ แต่เดี๋ยวผลลัพธ์มันออกมาก็คงตอบเราเองว่าคุ้มค่าไม่คุ้มค่า”

“จะว่าไปแล้วผมไม่เคยถามเลย คุณมีนิยายในดวงใจหรือมีนักเขียนที่ชอบไหมครับ?” เพราะประเด็นอื่น ๆ ดูจะเคลียร์ไปหมดแล้ว ผมถึงหันไปถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่มีสาระอะไรสักเท่าไหร่นัก

“มีนะ มีนิยายเรื่องหนึ่งที่มาก่อนกาลมาก ๆ และเป็นนิยายที่ผมชอบมากที่สุดแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน”

“นั่นคือเรื่อง?” ผมถาม อีกฝ่ายทำหน้าอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ

'หรือว่าความรัก' ของคุณฟิกครับ นั่นเป็นนิยายวายที่ดีที่สุดในใจผมตลอดกาล และอาจจะตลอดไปแล้วด้วย” เขาว่า ทำหน้าตาตื่นเต้นจนผมอินตามไปด้วย

“ชักอยากอ่านบ้างแล้วว่านิยายที่คุณว่ามาสนุกขนาดไหน” ผมหยอกเล่นนิด ๆ เขาย่นจมูกก่อนจะตอบกลับ

“อยากอ่านตอนนี้ก็หายากแล้วครับ หรือว่าความรักไม่มีรีปริ้นท์แล้ว แถมคนเขียนเองก็ไม่ทิ้งช่องทางไว้ให้ติดตามต่อ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาหายไป แต่ผมก็เคารพในการตัดสินใจของเขานะ อ๋อ แล้วก็ ราคาหนังสือตอนนี้ พุ่งไปเกือบหมื่นกว่าบาทแล้วครับ” โชว่าตาใส ส่วนผมหันหน้าขวับไปหาเขา

“คุณว่าอะไรนะ?”

“ผมบอกว่านิยายชุดนั้นราคาพุ่งไปเกินหมื่นกว่าบาทแล้ว สำหรับคนที่อยากเก็บสะสม”

“ยอมรับนะว่าผมตกใจมาก ไม่คิดว่านิยายเรื่องหนึ่งจะสามารถมีราคาได้มากขนาดนี้” ผมว่า

“ราคาไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่มันเป็นมูลค่าทางจิตใจของแฟนคลับน่ะครับ คุณต้องเข้าใจ เมื่อก่อนไม่ได้มีสำนักพิมพ์มาอุ้มชูพวกเรามากขนาดนี้ ดังนั้นแล้วจะพิมพ์หนังสือขายได้ก็ต้องมียอดสั่งซื้อประมาณหนึ่งต่อครั้งถึงจะพิมพ์ขายได้ พอรวบรวมเปิดพรีออเดอร์ได้สักรอบแล้ว ถ้าไม่ใช่เจ้าที่ดังจริง ๆ ก็ยากครับที่จะรีปริ้นท์ได้หลายครั้ง” โชตอบ ผมพยักหน้ารับทราบและเข้าใจในข้อจำกัดของในอดีตที่ผ่านมา

“...แต่ถ้าคุณอยากอ่านจริง ๆ ผมเอามาให้ยืมอ่านก็ได้นะ”

“คุณมีเหรอ?” ผมถาม มองหน้าอีกฝ่าย โชพยักหน้าขึ้นลง

“ก็มันของสำคัญทางจิตใจนะครับ ชอบมากก็ต้องทุ่มทุนหน่อย ไปประมูลมาได้”

“ถ้ามันสำคัญมากก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมแค่สงสัยเฉย ๆ ว่าทำไมคุณถึงชอบขนาดนั้น” ผมว่า ชักเกรงใจอีกฝ่าย เพราะดูเป็นของที่มีความสำคัญต่อเขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ‘ของสำคัญ’ กับ ‘สิ่งสำคัญ’ อยู่ด้วยกันก็ถูกต้องแล้วนี่”

เป็นอีกครั้งที่โช ‘จีบ’ ผมอย่างตรงไปตรงมา ให้ตายสิ ถ้านี่เป็นในนิยายคงแปลก ๆ พิลึกที่คนเป็นรับหรือเป็นฝ่ายนางเอกเริ่มเป็นคนจีบก่อน แต่เพราะชีวิตจริงคนเราไม่ใช่นิยาย ก็ไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง ถ้าอีกฝ่ายจะรุกผมแบบนี้

“4 ทุ่มครึ่งกว่า ๆ แล้วนะครับ ไม่รีบกลับเหรอคุณ” ผมว่าแก้เขินพร้อมชี้ไปที่เข็มนาฬิกา อีกฝ่ายทำหน้าตาเหมือนเสียดาย บ่นพึมพำว่าเวลาเดินเร็วมากเกินไปจนผมอดขำไม่ได้

“นั่นสินะ ดึกแล้ว คุณควรได้พักผ่อน” พูดจบโชก็กลิ้งตัวลงไปจากเตียง ก่อนจะเก็บของลงกระเป๋าแล้วนั่งแหมะลงมากับเตียงอีกครั้งหนึ่ง ผมโอบกอดเขาไว้เบา ๆ ก่อนจะพูดปลอบ

“ไม่เป็นไรนะครับ อยากมาหาผมเมื่อไหร่ก็มาแล้วกันนะ ตอนคุณว่าง ๆ” เพราะสัญญาไปแบบนั้นอีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาได้ ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดีใจที่เขาเห็นผมเป็นคนสำคัญ แต่อีกใจก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นคนที่ทำให้รอยยิ้มนี้แตกสลายลงไปรึเปล่า

หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ผมเดินมาส่งเขาที่หน้าประตูเพราะอีกฝ่ายบอกว่าเขากลับเองได้ ไม่จำเป็นต้องลงไปส่งถึงข้างล่าง เราเดินมายืนอยู่ตรงหน้าประตูก่อนเขาจะกอดผมอีกครั้ง

“แล้วผมจะมาหาใหม่นะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้าและกอดตอบกลับไป

“ผมจะพยายามครับ” ผมรับปากและให้สัญญากับเขาไป โชรับรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่ผมต้องการคือเวลาในการจะค่อย ๆ อธิบาย “ทั้งหมด” ที่เกิดขึ้นกับผมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะบอกเล่าทั้งหมดให้เขาได้เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมผมถึงได้คุมขังตัวเองไว้อย่างแน่นหนาขนาดนั้น

“ผมไปแล้วนะ” เขาว่าก่อนจะโบกมือให้ผม และเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายปิดประตูลงจากฝั่งด้านใน เสียงฝีเท้าเดินไปห่างออกไปตามทางเรื่อย ๆ ผมคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะถึงประตูลิฟต์แล้ว

ไม่ใช่แค่คุณหรอกโช ...ผมเองก็คาดหวังไม่น้อยเหมือนกันว่าคุณจะใช่สำหรับผม

ผมถอนหายใจ กระโดดทิ้งตัวลงหมอนเน่า นอนกลิ้งหายใจฟึดฟัดไปมา ห้านาทีก่อน ผมยังไม่รู้สึกเหงาขนาดนี้เลย นี่แปลว่าผมเริ่มเสพติดอีกฝ่ายแล้วรึเปล่านะ?

‘ก๊อกๆ’

ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องเบา ๆ ก็ดังขึ้น สงสัยโชคงลืมของอะไรสักอย่างเอาไว้ ผมยิ้มแล้วรีบหมุนตัวลงไปเปิดประตูให้  อีกฝ่าย

“ไงคุณ ลืมอะไรเอาไ....”

....ไม่ใช่โช ผมนิ่งค้างไปทันทีที่สายตาปรับโฟกัสและจับภาพอีกฝ่ายได้ ผู้ชายตัวโต ๆ ตาตี๋พร้อมแว่นตาสีดำที่ยืนยิ้มอบอุ่นให้กับผมตรงหน้าไม่ใช่โช

“สวัสดีครับ...ทรอย”

ผู้ชายที่ผมอยากเจอมากที่สุดในโลกและไม่อยากเจอที่สุดในโลก ตอนนี้ เขากลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมเข่าอ่อน นึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรต่อดีเลยทำได้แค่ครางชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงต่ำ

“พี่พอร์ช”






Time talk : ขอโทษที่มาสายกว่าที่นัดไว้นะครับ แต่.... อุ๋ย เอาละตุ๋ย เห็นหลายคนอยากรู้จักคุณคนนี้มานานแล้ว เขามายืนตัวเป็น ๆ  ให้เห็นแล้วนะครับ คิคิ ข่าวดี !!! หน้าปกทั้งเล่มหนึ่งเล่มสองเสร็จแล้วเด้ออ เสร็จแบบคอมพลีทแล้ว ดีใจมาก ๆ เพราะออกมาตรงตามที่ต้องการและเข้ากับนิยายเรื่องนี้มาก ๆ แต่เราจะยั่วให้อยากและจากไปแบบนี้ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม อุอิ

เพื่อน ๆ สบายดีไหมครับ? พ่อแมวสบายดีนะครับ คิดถึงทุกคนเลย

ปีใหม่นี้ใครมีแพลนเดินทางไปไหน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับคนที่สำคัญและเป็นกำลังใจให้เราในทุก ๆ วันนะครับ สำหรับก่อนปีใหม่นี้ก็ขอสัญญาว่าจะลงเรื่องนี้ให้ถี่กว่าเดิม เพราะจบภาระหน้าปกแล้ว ผมคงสปีดตัวเองกลับมาได้ไวกว่านี้

ขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และเสียงตอบรับ พวกคุณทำให้ผมมีกำลังใจมากในทุก ๆ วันจริง ๆ ครับ

HNY ล่วงหน้านะครับ พรอันประเสริฐถ้ามีอยู่จริง ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง อยู่กับผมและน้อง ๆ ไปอีกนาน ๆ นะครับ :)
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-12-2018 01:04:31
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 20-12-2018 21:30:28
มีการแก้ไขนะครับ ลองอ่านเพิ่มเติมได้นะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-12-2018 01:30:30
จริงหรือเล่น ที่ว่าหนังสือเรื่อง หรือว่าความรัก ชุดละหมื่น
ตกใจเลยนะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-12-2018 12:09:55
ไปเที่ยวมา เลยหายตัวไปไม่ได้เม้น

โชรุกแรงนะคะ ขอให้สำเร็จผล อิอิ

พี่พอร์ชมาทำไม?
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.23 Me Before You [Part I]| P4 | 31/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-12-2018 21:48:02


Ep.23 Me Before You [Part I]




NO RAIN NO FLOWER.

เมื่อสายฝนพัดผ่านและจางหาย

...สิ่งที่หลงเหลือไว้นั้นคือปาฏิหาริย์ของความเจ็บปวด




 

1 ปีก่อนหน้านั้น

 

“บ้าเอ๊ย” ผมสบถเบา ๆ เดินหัวเสียออกมาจากบริเวณวงเวียนกลับรถหน้าทางเข้าพยาบาล ส่ายหน้าแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากับตัวเอง แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนเทกะทันหันจากคนที่นัดกันผ่านแอปพลิเคชัน แต่ถ้าจะเทกัน ช่วยเทกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ไหม จะได้ไม่เป็นภาระผมต้องแต่งตัวออกมาจากหอพัก แม้มันจะใกล้โรงพยาบาลแห่งนี้ก็เถอะ

‘ครืนน’

เหมือนผมจะไม่ได้โชคร้ายเท่าไหร่ เพราะไม่นานโทรศัพท์ก็ส่งแจ้งเตือนว่ามีคนใหม่ ๆ ทักมา เขาไม่แสดงรูปใบหน้า มีแค่รูปหุ่นกับเสื้อกาวน์ ผมเบ้ปาก หวังว่าจะไม่ใช่เด็กในคณะใกล้ ๆ กัน แต่ก็ตอบแชทเขากลับไปอยู่ดี อีกฝ่ายพิมพ์บอกว่าเขากำลังลงจากเวรพอดี ผมเดาว่าเขาอาจจะเป็นพวกอินเทิร์น ในกรณีที่ไม่ได้ปลอมโปรไฟล์ล่ะนะ เพราะหมอปกติคงไม่ว่างมานั่งตอบแชทผมแบบนี้หรอก

เรานัดกันที่โรงอาหารด้านข้างโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าผมโดนเทจากที่คนอื่นนัดมาคงไม่เดินเข้ามาถึงด้านในนี้ ผมสั่งเครื่องดื่มเป็นนมสดร้อนนั่งรอเขา ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัวมองเด็กคณะวิทย์เคลื่อนตัวผ่านไปมาหลากหลายสาขา ปกติแล้วพวกเด็กสายสังคมแบบผมไม่ได้เดินมาแถวนี้นักหรอกนะ

“สวัสดีครับ”

10 นาที ไม่ช้าไม่เร็วกว่าที่เขาพิมพ์บอกไว้ในแชท ผู้ชายตัวโต ๆ สวมแว่นตาสีดำสนิทคนหนึ่งก็มานั่งตรงข้ามกับผม ผมมองหน้าเขาแล้วเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ทักผิดคนรึเปล่าครับ?” ผมแกล้งแหย่ อีกฝ่ายอมยิ้มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความเข้ามาในแชท และนั่นทำให้โทรศัพท์ของผมสั่นแจ้งเตือน เขามองแล้วอมยิ้มคล้ายกับว่าตัวเองกำลังได้รับชัยชนะ

“หรือให้ผมเปิดทวิตเตอร์คุณประกอบด้วยไหมครับ?” เขาว่า ผมขมวดคิ้วเหล่ตามองอีกฝ่ายหลังจบประโยคนั้น

“แชทถูกคน แต่ทวิตเตอร์ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?” ผมถามกลับ เพราะรูปโปรไฟล์ที่ผมใช้ในแอป ผมไม่เคยอัปโหลดลงในทวิตเตอร์ เขายักไหล่ไม่ตอบคำถามของผมแต่หันไปสนใจเรื่องอื่นแทน

“คุณทานอะไรมารึยัง?”

“ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว” ผมตอบกลับพลางเหล่มองเสื้อกาวน์ของเขาแล้วตั้งคำถามต่อ

 “ช่วงนี้คุณไม่รู้เหรอว่าเขากำลังตั้งคำถามนะ ว่าหมอใส่เสื้อกาวน์ลงมาเดินแบบนี้ มันจะติดเอาเชื้อโรคไปให้ผู้ป่วยในตึกรึเปล่า”

“ผมแต่งคอสเพลย์เฉย ๆ คุณไม่รู้เหรอ” เขาโกหกหน้าตาย ผมยักไหล่ ไม่สนใจ ยังไงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ว่าเขาจะยอมรับรึไม่ก็ตามแต่ใจ ผมไม่ใคร่อยากทราบเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้ว

“ข้างบนมันไม่มีที่แขวนเสื้อกาวน์”

“ครับ?” ผมไม่เข้าใจ เขาอมยิ้มแล้วอธิบายต่อ

“ข้างบนตึก ในห้องพัก มันไม่มีที่แขวนเสื้อกาวน์ ปกติแล้วถ้ามีธุระอะไรต้องทำต่อแล้วต้องลงมาข้างล่าง ถ้าถอดออกจะวางไว้ตรงไหน วางไว้แล้วจะยับไหม ถ้ายับจะเป็นยังไงต่อ นั่นแหละสาเหตุที่บุคลากรในวิชาชีพบางส่วนถึงต้องสวมเสื้อกาวน์ลงมาด้วย แต่สบายใจเถอะ เดี๋ยวก็เอียนกันไปเอง ตอนทำงานจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครอยากใส่หรอก ถ้าไม่ได้ใส่เพราะต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับอีกฝ่ายที่มาใช้บริการน่ะคุณ

ส่วนเรื่องโรค ถ้าเอาตามที่ผมคิด มันไม่ได้มีผลมากขนาดนั้น  บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล และเข้าออกใกล้ชิดกับคนไข้ไม่ได้มีแค่พวกผม อีกอย่าง คุณคิดว่าเชื้อโรคข้างในข้างนอกแตกต่างกันมากขนาดไหนเชียว? แต่อย่าเอาไปบอกใครนะว่าผมพูดแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมไม่สนใจเสียงของประชาชนไปซะหมด”

เขาอธิบายยืดยาวแล้วตบท้ายด้วยการหัวเราะเสียงใส ผมพยักหน้าขึ้นลงรับทราบแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดแค่ว่ามันแปลกดีเหมือนกันที่ถ้ามันจะมีปัญหากับแค่เรื่องตรงนั้น ทำไมไม่จัดการปัญหาให้มันจบ ๆ ไป

เหมือนอ่านใจได้ เจ้าตี๋ตัวโตตรงหน้าผมพูดต่อ

“ผมแก้ปัญหาในส่วนที่ผมสามารถแก้ไขไปได้แล้ว อย่าสงสัยเลย” เขาว่าพลางยิ้มพราย ผมยักไหล่โกหกหน้าตายกลับ

“ใครบอกว่าผมสงสัย”

“แววตาคุณมันฟ้องว่าอยากได้คำตอบจากผม” เขาว่า

“คุณคิดไปเอง” ผมตอบกลับ

“ไม่เป็นไร ผมชอบคิดไปเอง สบายใจดี” เขาไม่ยอมแพ้ เรานั่งจ้องตากันสักพักก่อนเขาจะยื่นมือมาหาผม

“พอร์ช ...ผมชื่อพอร์ช ที่แปลความหมายได้ถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง ไปจนถึงชื่อเล่นของรถยนต์ชั้นยอดที่จัดจำหน่ายในประเทศไทย”

“ไททานิก” ผมโกหกอีกครั้งพร้อมยื่นมือขึ้นไปข้างหน้า

“โอเค ‘ไท’ ผมจะเรียกคุณตามนั้น ไม่ว่าชื่อจริง ๆ ของคุณจะชื่ออะไรก็ตามแต่” เขายิ้มพรายใส่ ดวงตาคู่ตี๋เหมือนกำลังฟ้องว่ารู้ทันทุกเรื่องที่ผมทำ เรากระชับมือก่อนจะยิ้มให้กัน

...นั่นคือครั้งแรกของผมที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้

“มีคนเคยบอกคุณไหมว่าคุณ ...สุดยอด” ผมว่า ปลายจมูกซุกไซร้ไปทั่วซอกคอของเขา ลิ้นตวัดลากผ่านเส้นเลือดปูดที่ขึ้นมาอย่างเด่นชัดบนต้นคออีกฝ่าย

เขายักคิ้วข้างเดียวอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะขยับเอวขึ้นลงจนผมถอนหายใจระบายความรู้สึกจากสัมผัสที่ตอบรับกับช่องทางของเขา

...ให้ตายเถอะ เขา on top เก่งเป็นบ้า ผมแทบจะพวยพุ่งไปถึงสวรรค์หลายรอบแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าผมเองก็เก่งมาก ๆ จนรู้จังหวะว่าจะทำยังไงให้ตัวเองแล่นไปตลอดรอดฝั่งโดยไม่ไปสวรรค์ก่อนอีกฝ่าย

“ต้องถามว่ามีใครบ้างที่ไม่เคยบอกกับผมแบบนั้น” เขาพูดพร้อมโยกตัวขึ้นลงอีกครั้ง กระชับการทรงตัวไว้ด้วยการเอามือสองข้างคล้องกับคอผม ก่อนจะนั่งยอง ๆ เป็นฐาน ผมตอบสนองด้วยการจับเอวและช่วยดันสวนทางกับเขาขึ้นไปอีกแรง ได้ผล อีกฝ่ายไม่รู้ว่าจุกหรือเสียวกันแน่แต่ครางออกมาเสียงหวานชะมัด

“คุณหลงตัวเอง”

“แต่ทุกคนก็หลงผมเหมือนที่ผมหลงตัวเอง”

“Not me” ผมว่า เขาไม่ตอบอะไรกลับแต่ส่ายเอวช้า ๆ แล้วกดขึ้นลงสุดเหมือนจะแกล้งผมแทน และนั่นเป็นการแกล้งที่ได้ผลมากซะด้วย

“ไอ้หมอ...เอ๊ย” ผมสบถหลังสิ้นสุดการกระทำของเขา พอร์ชหัวเราะชอบใจก่อนจะพลิกตัวผมให้ขึ้นมาเป็นฝ่ายคร่อมและเขานอนหงายลงไปแทน

“หมอก็คนเหมือนกันนะคุณ มีอารมณ์ มีความต้องการ มีรสนิยมในการมีเพศสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป ผมไม่ได้เป็นทิพย์” ไม่พูดเปล่า เขาเอานิ้วมาลูบบริเวณริมฝีปากผมเป็นการเชิญชวน ผมยักไหล่แล้วจับขาทั้งสองข้างเขาพาดอย่างแผ่วเบา แต่กลับสวนช่วงล่างอัดกระแทกเข้าไปแรง ๆ จนเขาร้องออกมา มือข้างหนึ่งกดหัวผมลงให้จูบปากกับเขา ส่วนอีกข้างก็บีบหัวไหล่ผมอย่างรุนแรงจนผมต้องระบายมันออกไปด้วยการเพิ่มแรงกับช่วงล่างมากขึ้น

“ถ้าเจ็บก็จิกเล็บลงไปที่หัวไหล่ได้เลยนะครับ” ผมว่าหลังถอนปลายลิ้นออกมาจากการบดปากจูบกับอีกฝ่าย

“....แต่ผมจะไม่ลดแรงกระแทกทั้งหมดที่ผมมีหรอกนะ”

ผมพูดต่ออีกครั้ง พร้อมแสดงให้เขาเห็นว่าผมทำจริงพูดจริงตามที่พูดออกมา พอร์ชครางออกมาเสียงดังกว่าเมื่อสักครู่จนผมต้องเอื้อมมือมาปิดปากเขาเอาไว้

“Quiet....plead”

ผมบอกอย่างใจเย็นเสียงต่ำรอดลำคอ เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบ ดวงตาตี๋เยิ้ม ๆ สองข้างจับจ้องมาที่ผม เหมือนรับรู้ว่าผมต้องการอะไร พอร์ชไม่ส่งเสียงออกมานอกลำคอเลยแม้แต่คำเดียว เขาพยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดรอดออกมาจากลำคอตามที่ผมบอกหรือสั่งก็ไม่ทราบแน่ชัด และนั่นยิ่งทำให้ผมชอบเขาเข้าไปใหญ่

เหมือนลืมตัว ผมยิ่งกระแทกรุนแรงมากขึ้น ยิ่งอยากรู้ว่าเขาจะหลุดออกมาสักคำไหม มันเหมือนผมสนุกที่ได้ “กระทำ” ความต้องการในใจของตัวเองกับอีกฝ่าย กว่าจะรู้ตัวผมก็เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้สัตว์ร้ายใต้จิตสำนึกครอบงำทุกอณูของห้วงความคิดและการกระทำของผม

...ก่อนผมจะหยุดการกระทำทั้งหมดลง หลังผมเห็นเขากำลังร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง

แววตาที่ยิ้มให้ผมในตอนแรกกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดออกมาจากข้างใน แต่เขาก็ยังไม่ร้องไห้ออกมาให้ผมได้รับรู้สักคำ เหมือนผมโดนน้ำเย็น ๆ สาดใส่หน้า ผมได้สติกลับคืนมาว่ากำลังทำอะไรลงไป ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเขา

“ผมขอโทษ ผม...ลืมตัว”

“ไม่เป็นไรครับ พี่แค่เจ็บนิดหน่อย แต่ส่งเสียงบอกไม่ได้ เราปิดปากพี่ไว้ซะแน่นเชียว” เขากระซิบตอบกลับ ตอนที่กำลังทำผมลืมตัวแม้กระทั่งว่ามืออีกข้างของผมปิดปากทั้งปากของเขาไว้ด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจ ระบายความรู้สึกแย่ ๆ ที่ปะทุขึ้นมากลางอากาศ เตรียมจะดึงส่วนที่เชื่อมเราไว้ออกมา แต่เขาเป็นฝ่ายดึงรั้งตัวผมไว้

“ทำต่อเถอะ” เขาว่า ผมถอนหายใจแล้วตอบกลับ

“ผมกลัวทำพี่เจ็บ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น พี่แค่ตกใจนิดหน่อยด้วยที่เห็นเราทำหน้าแบบนั้น”

...ผมไม่อยากคิดเลยว่าหน้าแบบนั้นคือแบบไหน

“ทำต่อเถอะครับ ....นะ” พี่พอร์ชย้ำอีกครั้ง ก่อนเขาจะดึงผมลงไปจูบ ผมพยักหน้าตอบรับกับคำร้องขอนั้น ปลายนิ้วทั้งสองมือของเขาลูบไล้กับทุกส่วนบนใบหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับพี่อยากทำอะไรก็ทำได้” เขาว่าเสียงหวาน ผมพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจตามนั้น ก่อนจะเริ่มต้นทำต่อจากสิ่งที่เราค้างคาไว้เมื่อกี้

และผมก็ลืมคิดไปเลย ว่าตั้งแต่ตอนไหนกันที่ผมเรียกเขาโดยมีคำนำหน้าว่า ‘พี่’ ติดมาด้วย

หรือจริง ๆ แล้วผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมเคยตั้งกฎกับตัวเองไว้

...ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรกับคนที่เจอผ่านแอปพลิเคชัน

 

it’s supposed to clear up late.

เมื่อเมฆหมอกเคลื่อนย้ายคล้ายท้องฟ้ากลับมาแจ่มใส



พี่พอร์ชเป็นคนประเภทที่ผมไม่คุ้นเคยที่จะรับมือ เขาฉลาด ก็แน่ละ ถ้าไม่ฉลาดคงมาเป็นหมอไม่ได้ แต่เขามีวิธีการพรีเซนต์ความฉลาดของตัวเองได้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และเขาทำให้ผมรับรู้ได้ว่าตัวเขาเองฉลาดโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรง ๆ ด้วยซ้ำ

 ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ถามเรื่องส่วนตัว ไม่ยุ่งเวลาผมตอบแชทใคร ตอนเวลาเราอยู่ด้วยกันในห้อง และไม่สงสัยเวลาผมออกไปหาใคร ถามว่า เป็นความฉลาดยังไง ก็ต้องตอบว่าเป็นความฉลาดที่รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด

...และเขาก็ทำให้ผมรู้สึกยินดีกับการมีเขาอยู่ในชีวิตโดยไม่อึดอัด

เราคุยกันบ่อยมากขึ้น เจอกันถี่มากขึ้น และมีอะไรกันมากขึ้น หลากหลายสถานที่จนผมรู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กสิบหกที่กำลังใจแตกอีกครั้ง หลายครั้งเองผมก็คิดว่าเขาน่าจะรู้สึกเหมือนผมเหมือนกัน ยอมรับเลยว่าการมีเซ็กซ์กับเขาช่วยเติมเต็มความรู้สึกอะไรหลาย ๆ อย่างในร่างกายให้กับผมได้เป็นอย่างดี

แววตาที่เขามองตอบกลับผมมา มันเหมือนช่วยเติมเต็มความโหวงในจิตใจของผมไม่ให้กลับไปเป็นตัวผมในวันวานที่อะไรบางอย่าง “ขาด” หายไปจากภายในจิตใจ

ผมไม่ทันรู้ตัว เขาก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมแล้ว ชีวิตที่ล่องลอยคล้ายกับควันบุหรี่ ถูกโอบกอดและพัดเป่าด้วยสายลมที่อบอุ่นของเขา

วันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังสูบบุหรี่ จู่ ๆ เขาก็ถามผมเบา ๆ ว่า “ไม่อยากอยู่กับเขาไปนาน ๆ เหรอ?” ผมนิ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง รู้แต่ว่ามันเป็นประโยคที่เปลี่ยนคนสูบบุหรี่แบบผมไปตลอดกาล

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้อีกเลย

คงจะดีถ้าเรื่องทั้งหมดมันจบลงที่ตรงผมแค่เลิกสูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีในห้องของผมก็มีรองเท้าวิ่งคู่เก่งมาอีกคู่ ผมถูกลากไปออกกำลังกายโดยความไม่สมัครใจ อึดอัด แต่เขามีวิธีการปรนเปรอจนผมไม่สามารถปฏิเสธได้

จากวันผ่านเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์แปรเปลี่ยนเป็นเดือนและชีวิตผมก็กลับกลายเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมากกว่าก่อนจะเจอเขา

พี่พอร์ชบอกกับผมว่า ห้องของผม “ขาด” ความมีชีวิต ผมนั่งเงียบ มองหน้า นึกไม่ออกว่าควรตอบกลับเขาว่าอะไรดี ในที่สุดแล้วผมก็โดนลากไปหาสิ่งมีชีวิตบางอย่างเข้ามาไว้ที่ห้อง เราเลือกกันอยู่นาน เพราะผมกลัว ผมกลัวสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผมไม่ได้กลัวพวกมัน แต่ผมกลัวตัวเอง

ผมกลัวว่าผมจะมีความรับผิดชอบไม่มากพอต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้

เป็นอีกครั้งที่พี่พอร์ชชนะผม

ต้นพืชอวบน้ำต้นหนึ่งประดับอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงของผม มันเป็นพืชที่หน้าตาดูเด๋อด๋ามากที่สุดเท่าที่ผมจะเคยเห็นมา

พี่พอร์ชค่อย ๆ สอนให้ผมรู้จักการดูแล “สิ่งมีชีวิต” อย่างอื่น นอกจากความสัมพันธ์บางอย่างที่ผุพังลงไป ผมเริ่มนัดน้อยลง เริ่มคุยกับคนอื่นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้

ผมเริ่มกลับไปเป็นผมคนเดิมก่อน “แตกสลาย”

...และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง

วันที่ใครบางคน ดึงผมขึ้นมาจากกรงขังที่ใหญ่ที่สุดภายใต้ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของผม

จริง ๆ แล้วผมจำรายละเอียดอะไรแทบจะไม่ได้เลย ผมไปโรงพยาบาลที่ ๆ ผมเจอพี่พอร์ชครั้งแรก หลังทำธุระอะไรบางอย่างเสร็จ เดินออกมา และเจอกับพี่พอร์ชโดยบังเอิญ ก่อนวันนั้นเขาจะมาหาผม พร้อมอ้อมกอดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมคิดว่าเขาคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ไม่บังคับให้ผมพูด ‘เรื่องทั้งหมด’ ให้ฟัง ไม่แสดงความสงสาร ไม่บ่งบอกว่าต้องการทำกับผมเหมือนก่อนหน้าที่จะ “รู้เรื่องนั้น” พี่พอร์ชแค่กอดผม เรามีเซ็กซ์กันเหมือนปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือความอ่อนโยนในทุก ๆ สัมผัส  ที่ผมได้รับรู้ความอ่อนหวานจากการปลอบประโลมที่กระทำกับทั้งร่างกายและหัวใจของผม เหมือนกับว่าเขากำลังเติมหลาย ๆ สิ่งลงลึกเข้าไปในจิตใจ

ขั้นตอนแรกของการรักษาบาดแผล คือการดึงหนามหยอกอกที่ตำอยู่ในใจ

ผมค่อย ๆ เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาผ่านความรู้สึกมากมายที่จมอยู่ภายใน เล่าตั้งแต่สิ่งแรกที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าไปถึงความจริงที่เกิดขึ้นในขณะที่เรื่องทั้งหมดกำลังดำเนิน เล่าไปถึงการตัดสินใจของผมและคนอื่น ๆ ในเหตุการณ์นั้น เล่าไปถึงแม้กระทั่งว่าตอนนี้ผมกำลังเป็นอะไร และทำอะไร

พี่พอร์ชแค่โอบกอดผมไว้ พร้อมบอกกับผมว่าเขาจะร้องไห้แทนผมเอง

อะไรบางอย่างในใจของผมกำลังปะทุและเดือดพล่าน...

...เหมือนผมกลับไปมี “ความหวัง” ในเรื่องที่ผมเคย “สิ้นหวัง” ไปแล้ว

ความสัมพันธ์ ความรัก ผู้คน

ทั้งหมดนั้น ผมเคยมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้สาระที่จะกล่าวถึง ไร้สาระที่จะแคร์ ไร้สาระที่จะให้คุณค่า และไร้สาระที่จะสนใจ ผมปิดตัวเอง กักเก็บทุกอย่างไว้ ไม่มีใครที่เข้ามาหาเราโดยไม่หวังผลประโยชน์ แม้กระทั่งการคาดหวังว่าเราจะดีกับเขาก็เป็นผลประโยชน์ในรูปแบบหนึ่ง

ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่เกินกว่าผมจะควบคุมได้ แต่ในทางกลับกัน ผมชอบอะไรที่ควบคุมได้ ผมชอบอะไรที่ผมรู้ว่าต้องรับมือยังไง

ในที่สุดผมก็รู้ว่าผมต้องจัดการกับความชอบนั้นยังไง

ผมชอบที่จะไม่ “เริ่มต้น” เพราะมันจะไม่มี “จุดจบ” ให้ผมต้องเจ็บปวด

ไม่คาดหวัง ไม่เพ้อฝัน ไม่ยึดติดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความเป็นจริง

....เป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นกับการมีความสัมพันธ์ทางกายในชั่วข้ามคืนกับใครสักคน แต่เมื่อมีคนแรก มันจะมีคนที่สอง สาม สี่ และห้าตามมาเรื่อย ๆ คุณจะเริ่มรู้สึกเฉย ๆ กับคนที่คุณอาจจะเคยคลั่งไคล้อยากได้เขามาก่อน คุณจะเริ่มมองมนุษย์ทุกคนเท่า ๆ กัน ไม่ได้มองแค่หน้าตา แต่มองว่าจะเป็นใครก็เหมือน ๆ กันไปหมด

เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีดีชั่วเหมือนกันกับคุณ

และเมื่อคุณเริ่มชินชากับการมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้า คุณจะเฉย ๆ กับการทักคุยกันไม่ถึงห้านาทีและชวนกันไปทำกิจกรรมที่ห้องน้ำ หรือบนรถยนต์ในลานจอดรถ คุณจะไม่ได้แข็งตัวเพราะคุณต้องการมอบความรู้สึกบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย แต่คุณจะแข็งตัว เพราะต้องการแค่ปลดปล่อยห้วงอารมณ์บางอย่างออกไปจากภายในหัวใจ

คุณจะแค่รู้สึกเหมือนมันเป็นหน้าที่ ๆ คุณต้องทำ คุณจะยิ้ม หัวเราะ พูดน้อย ไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายไปมากกว่าแค่เขาทำความสะอาดมา และพร้อมให้คุณใช้เป็นเครื่องมือระบายความใคร่ไหม คุณจะไม่อยากรู้ ไม่อยากรับทราบ และไม่สงสัยว่าเขาไม่มีใครตามที่เขาบอกจริง ๆ หรือเขาแค่กำลังนอกกายใครสักคนด้วยการเอาตัวมาถวายคุณ

ตลกดีที่บางทีคนเราก็ไม่สามารถมอบ “คุณค่า” และ “มูลค่า” ให้กับตัวเราเองได้ด้วยตัวเอง เหมือนเราสูญเสีย เราเคว้งคว้าง มองเข้าไปในกระจก ก็สงสัยทุกครั้งว่าเรายังมีตัวตนอยู่จริงใช่ไหม เรายังเหลือความรู้สึกไว้นึกถึงใครสักคนรึเปล่า

เหมือนเราต้องการ ต้องการอะไรบางอย่างเข้ามาเติมเต็มในตัวเรา

ถึงขนาดว่าต้องการแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน

เพราะแค่ต้องการใครสักคน

ใครสักคนที่มองมาที่เรา ใครสักคนที่ “ทำเหมือนว่า” เขาต้องการเรา ใครสักคนที่โอบกอดเราไว้

ใครสักคนที่เป็นเครื่อง “ยืนยัน” ว่ามีคนที่ “ต้องการ” เราจริง ๆ

...แม้เพียงชั่วคราวก็ยอม





Time talk : สวัสดีครับ วันนี้มีหลายเรื่องอยากจะมาคุยกับทุกคน แต่ก่อนอื่น สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า 2562 นะครับ สำหรับใครที่อ่านถึงตรงนี้ ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะครับ ในปี 2019 ที่จะมาถึงนี้ พ่อแมวก็ขอให้ทุกๆคนได้มีความสุขกับทุกสิ่งที่ปรารถนา มีสุขภาพที่แข็งแรง มีโชคชะตาที่เหมาะสมในเส้นทางของคนแต่ละคน ปีนี้เราฝ่าฟันกันมาหนักหนามากจริงๆ ปีหน้าต้องดีมากกว่านี้แน่ๆเลยครับ อดทนไปด้วยกันนะครับ พ่อแมวก็จะอดทน และทำในสิ่งที่ต้องทำให้ได้ดีที่สุดครับ

รอติดตามกันให้ดี ๆ นะครับ และพรุ่งนี้เรามาเจอกันนะครับ :)
หัวข้อ: แ อ ค เ ค่ อ | | P4 | 01/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 01-01-2019 22:39:28
ติดตามข่าวสารอัปเดตนิยายตอนใหม่ได้ทาง @พ่อแมวพุงโต https://twitter.com/chunkydadcat  ทั้งในทวิตเตอร์และหน้าแฟนเพจแล้วนะครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: แ อ ค เ ค่ อ | P4 | 01/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-01-2019 23:28:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.23 ME BEFORE YOU [PART I] | P4 | 01/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-01-2019 22:51:46
ยังคงซับซ้อนไม่เปลี่ยนแปลง

ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 12-01-2019 21:11:27


Ep.24 Me Before You [Part II]




the sun’s come out

...เมื่อคุณเดินเข้ามา โลกของผมก็พลันสว่างไสวราวกับว่า พระอาทิตย์จะคงอยู่ตลอดเวลาไม่จางหายไปไหน


 

ผมเลิกเล่นแอปพลิเคชันหาคู่นอนโดยอัตโนมัติ รวมไปถึงหยุดการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ทั้งหมด หรือ ถ้าเจาะจงลงไปมากกว่านั้น ผมเลิกสนใจทวิตเตอร์ไปแล้ว

ไม่มีมีคำขอร้อง ไม่มีคำบังคับ มีเพียงความสุขที่มอบให้กันในทุก ๆ ครั้งที่เราได้เจอหน้ากัน แค่เท่านั้นก็เป็นเหตุผลที่มากเพียงพอแล้วที่ผมพร้อมจะหยุดเพื่อใครสักคน

ผมยอมรับว่าอึดอัด จะว่าก็ว่า ผมไม่ชินกับการถูกผูกมัดโดยใครสักคน มันเป็นสถานการณ์ประหลาด หากคุณใช้ชีวิตคนเดียวมาสักพัก คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าการมีใครสักคนเข้ามาอยู่ในห้องของคุณ คือความขัดแย้งอย่างน่าแปลกประหลาดสำหรับคนที่ทำทุกอย่างตามลำพัง

หากแต่ในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา คุณพบว่าแปรงสีฟันของคุณมียาสีฟันถูกบีบทิ้งเอาไว้ก่อนใครบางคนจะออกไปทำงาน

...สิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลต่อจิตใจใครบางคน

ผมอมยิ้ม เดินเข้าห้องน้ำ มองหน้าตัวเองในกระจก ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบที่พบว่าตัวเองยิ้มเก่งได้มากขนาดนี้ มากจนคนรอบ ๆ ตัวสัมผัสได้และเข้าถึงได้มากขึ้น เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในชีวิต หลายครั้งผมมักได้รับคำตอบว่าผม “มีชีวิต” มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

จะบอกว่าเขามอบ “ชีวิตใหม่” ให้กับผมก็คงใช่

แปลกประหลาด เขาไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้ดูดี ไม่ได้มีอะไรที่จะมาการันตีเลยว่าผมจะต้องชอบคนแบบนี้ คนที่ดีกว่านี้มาจีบผม ผมยังเฉย ๆ นับว่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่หัวใจของผมยอมที่จะให้ใครสักคนก้าวเข้ามาไกลมาก ๆ

ไกลเข้าไป ลึกจนถึงสุสานของความทรงจำ ที่ ๆ ผมฝัง “ฝันร้าย“ ไว้ภายใต้การหลงลืม

มีความสุขจนรู้สึกอยากจะลืมหายใจ น่าจะเป็นคำพูดที่นิยามผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด ผมถอดหน้ากากทุกใบทิ้งอย่างไม่ลังเล พร้อมและมั่นใจในตัวของเขา ลึก ๆ ในหัวใจอยากทะนุถนอมช่วงเวลาสำคัญนี้ให้ทอดยาวออกไปอีกนานแสนนาน

...น่าเสียดายที่ความสุขทุกชนิดล้วนมีอายุขัยที่สั้นเกินกว่าใครจะเข้าใจ

               

the sun’s just gone in

....แล้ววันหนึ่งแสงแดดและสายลมก็หายไป

 

ปกติแล้วหากเป็นในนิยายสักเรื่องหนึ่ง การจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นสักอย่างได้ มันต้องมีเหตุ มีผล มีการกระทำต่าง ๆ มารองรับไว้เพื่อ “ความสมจริง” ของเหตุการณ์นั้น ๆ เหมือนอย่างที่โชเคยบอกกับผมไว้ บางครั้งแล้วนิยาย “สมเหตุสมผล” มากกว่าชีวิตจริงของคนเราเสียอีก

เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ผมเจอ

ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย นอกจากแค่ว่า ...

...ผม “ไม่ใช่”

มันเรียบง่ายเหมือนทุก ๆ วัน ผมตื่นนอนมาหลังเราสองคนไปเที่ยวกัน น่าแปลก วันนี้เขาไม่ตอบไลน์ผมทิ้งไว้เหมือนอย่างทุกวันที่ผ่านมา

อะไรบางอย่างในใจส่งเสียงตะโกนออกมาเบา ๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธความรู้สึกและลางสังหรณ์ที่ก่อตัวขึ้นในใจ เมฆหมอกบาง ๆ ปกคลุมจิตใจเอาไว้ แต่ผมพยายามมองโลกในแง่ดี คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงแค่ลืม หรือรีบไปทำงาน

ผมยิ้มให้กับตัวเองในกระจก บอกตัวเองให้เลิกคิดมาก พี่เขาคงยุ่ง และผมต้องออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง พอแต่งตัวเสร็จผมก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ สูดลมหายเข้าปอดลึก ๆ คิดว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายคงติดต่อกลับมา

ตลอดทั้งวันพี่พอร์ชไม่ตอบและไม่อ่านไลน์ผม

เบอร์โทรศัพท์ที่มักจะติดต่อได้เสมอ...ไม่สามารถติดต่อได้เป็นครั้งแรก

ผมจิตตก แต่ไม่ได้เป็นบ้า และจะไม่เป็นบ้าใส่คนอื่นแค่เพียงเพราะความคิดของตัวเอง สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือการ “ไม่คิดไปเอง” ตราบเท่าที่ยังไม่ได้มีอะไรมายืนยันให้ผมมั่นใจแบบเป็นทางการว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ผมจะยังมั่นคง และจะยืนหยัดอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง

ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ เมื่อเดินทางมาถึงระยะทางและเวลาที่เหมาะสม เราจะพบ ‘จุดตัด’ คั่นกลางในความสัมพันธ์ ทางหนึ่งคือถ้าผ่านพ้นมันไปได้ เราจะมั่นคงต่อกันและกันมากขึ้น

...ส่วนอีกทาง เมื่อไม่สามารถไปกันต่อได้ ก็มีแต่ต้องลาจากกันไป

ผมนั่งนิ่ง ไม่หิวข้าว ไม่รับโทรศัพท์ และไม่ตอบไลน์ใครที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ว่าพี่พอร์ช

ผมกำลังรอให้ทุกอย่างชัดเจน

เหมือนพระเจ้ารับรู้คำอ้อนวอน...ไม่สิ ไม่ใช่พระเจ้าหรอก พระเจ้าคงไม่น่าจะใจร้ายกับใครสักคนได้มากขนาดนี้ หรือถ้าจะมีพระเจ้าจริง ๆ ก็คงจะเป็นพี่พอร์ชเองนั่นแหละที่เป็นพระเจ้าสำหรับผม

พี่พอร์ชโทรศัพท์มาหาผมในเวลาต่อมา

หลายคำพูด หลายประโยคถูกกล่าวออกมาจากปากเขา สมองของผมอื้ออึง น้ำหูน้ำตาไหลผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าอันไหนความจริง อันไหนความฝัน รู้สึกตัวอีกครั้งเราก็เดินลาจากกันมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีความขัดแย้ง

สิ่งที่เป็นตัวตัดสินมีแค่เพียง “ความไม่รัก” แล้วก็เท่านั้น

‘มันไม่ใช่ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ที่ผ่านมาไม่มีความสุขแต่มันไม่ใช่...จริง ๆ ’

...น่าจะเป็นเศษเสี้ยวคำพูดสุดท้ายที่ผมจับใจความได้จากเขา

ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเคยมีประสบการณ์แบบผมไหม แต่เหมือนความทรงจำของผมหลังจากนั้นขาดหายไปห้วงหนึ่ง ผมจำได้แค่ว่ารู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่โรงพยาบาลในแผนกจิตเวช ชุดผู้ป่วยสีฟ้าที่เห็นตามในหนังในละครกลับมาอยู่บนตัวผม “อีกครั้ง”

 ผมคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด หรืออาจจะเพราะผมเคยใส่มันมามากกว่าหนึ่งครั้งรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ

ทุกคืนในโรงพยาบาลผมจะเกิดภาพหลอน ผมมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร ใบหน้าที่นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก ก่อตัวพร้อม ๆ กับเงามืดที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร สุนัขป่า? หรืออะไรสักอย่าง เกินกว่าที่ผมจะสามารถอธิบายออกไปได้ รู้แค่ว่ามันค่อย ๆ ย้อมความรู้สึกของผมให้ดำมืดทีละนิด ๆ

ผมจมลงไปอยู่ภายใต้มหาสมุทรอีกครั้ง มันทั้งมืด ทั้งหนาว เหมือนแสงสว่างด้านบนค่อย ๆ ห่างผมออกไปเรื่อย ๆ อากาศรอบตัวน้อยลงทุกที ๆ ผมเหม่อมองตัวเองจมลงไปอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ฟองอากาศเล็ก ๆ ค่อย ๆ ลอยออกแล้วจางหายไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ บัดนั้นผมจึงได้เข้าใจ อะไรที่สามารถสร้างความสุขให้เราได้ ก็สร้างความทุกข์ให้เราได้เช่นกัน

วันผ่าน เวลาเปลี่ยน เปลือกนอกของผมค่อย ๆ ดีขึ้น ระบบความจำเหมือนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมได้รับกำลังใจจากเพื่อนสนิททุกคนที่มาเฝ้า โดยเฉพาะมาร์ที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ภายหลังให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนนำผมไปส่งแผนกจิตเวชเอง ผมไม่ได้มีอาการอยากฆ่าตัวตาย

แน่ละ มันไร้สาระเกินไปที่จะฆ่าตัวตายเพราะแค่จากการลา แต่สิ่งที่ทำก็คงไม่ต่างกัน เพราะผมนอนหลับไม่สนิท และไม่ทานอะไรไม่ลง เบลอถึงขั้นเกือบจะทานยานอนหลับเพื่อบรรเทาอาการลงไปทั้งกระปุก

เป็นเวลาหลายเดือนกว่าเปลือกนอกของผมจะกลับมามั่นคงอีกครั้งในลักษณะเดิม เป็นอีกครั้งที่ผมสัมผัสได้ ห้องแห่งความลับข้างในจิตใจของผมโดนปิดตายอีกครั้งและอาจจะโดนปิดตายตลอดไป บางสิ่งบางอย่างเฝ้ามันเอาไว้ด้วยความหวงแหน หวาดระแวง และพยายามไม่ให้ใครก็ตามแต่เข้าไปแตะต้องประตูบานนั้น

หรือจริง ๆ แล้ว ‘สิ่งนั้น’ อาจจะแค่พยายามปกป้องผม

ปกป้องไม่ให้จิตใจของผมต้องมาแหลกสลายแบบนี้อีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงไปส่งเขาที่หน้าหอพัก เราแยกกันตรงร้านอาหาร เขาเดินกลับไปบริเวณซอยหอพักของผมเอง ส่วนผมหันกลับไปมองไล่หลังเขาอีกครั้ง

คนเมื่อกี้ที่ผมเพิ่งมี sex ไปด้วย เขาชื่ออะไรนะ?

ผมส่ายหน้ากับตัวเอง จำไม่ได้ และก็คิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น พอคิดแบบนั้นได้ผมก็ยิ้มให้กับตัวเอง พวกเขาจะชื่ออะไรก็ไม่สำคัญหรอก

...ทุก ๆ คนก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ

ทั้งหมดนั่นคือเรื่องราวก่อนที่ผมจะพบเจอกับโช ผู้ชายที่ผมทั้งโกรธ ทั้งโมโห หวาดระแวง เอ็นดู รวมไปถึงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

เหมือนอยากจะก้าวเดินออกไป แต่ก็กลัว กลัวว่ามันจะเป็นแบบเดิม กลัวว่าลึก ๆ ลงไปแล้วผมจะโดนกดให้จมน้ำอีกครั้ง กลัวผมจะต้องกลับไปที่ ๆ เดิมที่เคยจากผม

ผมถึงพยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิเสธความรู้สึกทั้งหมดที่ก่อขึ้นมาในจิตใจ

...และตอนนี้เจ้าของความทรมานตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของผม ก็มายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้ว

“สบายดีไหมครับ?” เขาถาม น้ำเสียงยังเหมือนเดิม พูดจาสุภาพสดใส แต่ใบหน้าไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง และผมว่านั่นคงเป็นใบหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถปั้นแต่งให้ผมเห็นได้

ผมพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ริมฝีปากเริ่มสั่นนิด ๆ แต่ยังควบคุมสติไว้ได้ดีอยู่ สมองเริ่มขาวโพลนจนนึกไม่ออกว่าควรจะตอบอะไรเขากลับไปดี

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้...” เขาว่าต่อ

“....”

“พี่มาลา”

เรายืนมองหน้ากันด้วยความเงียบงัน ตลอดเวลา ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้แค่เพียงมองหน้าเขาและพยายามไม่ให้ตัวเองวิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยการปิดประตูใส่หน้ากัน เมื่ออีกฝ่ายเห็นผมไม่พูดอะไร เขาเลยขยายความขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นสิ่งที่เขาเคยบอกผมไว้ว่าจะทำ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนนี้

“พี่จะย้ายไปอยู่อเมริกาแล้วนะครับ”

เหมือนฟ้าผ่ากลางแจ้ง ใจของผมหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไปไกลจากผมมากถึงขนาดคนละทวีปกัน แต่คิดอีกอึดใจก็ไม่ต่างอะไรจากที่เป็นอยู่ เพราะตอนนี้ทั้งผมและเขา เหมือนเราเดินอยู่คนละจักรวาลกันด้วยซ้ำ...

“อ่า...”

“พี่มีเรื่องจะขอร้อง...”

“...”

“ได้โปรดช่วยโทษว่าทั้งหมดนั่นเป็นความผิดของพี่ได้ไหมครับ?”

“...”

“ได้โปรด...อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะครับ” เขาว่า ขยายความนัยช้า ๆ มองตาผมด้วยแววตารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด

ผมส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พูดสิ่งที่ควรจะพูดมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

“พี่พอร์ช ผมรักพี่นะครับ”

“....”

“...ตอนนี้ผมก็ยังคงรัก” ผมพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงหัวใจเต้นระรัวจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำพูด แต่ผมรู้ดี หลังจากนี้มันคงไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มายืนอยู่ตรงหน้ากันอีกแล้ว

มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะสามารถพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปได้

“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคนผ่านเข้าออกในชีวิตทรอยนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีเลย ไม่มีคนไหนเลยที่ทำให้ทรอยรู้สึกว่าทั้งชีวิตของทรอยรอคอยเพื่อจะได้เจอเขา...นอกจากพี่”

“...”

“แต่ทรอยต้องไปต่อ”

ผมพูด ปล่อยให้หยาดน้ำตาชโลมออกมาเลอะใบหน้า หัวใจปวดร้าวไปหมด

“วันนั้น วันที่พี่เดินจากเราไป เราบอกพี่แล้ว เราบอกแล้วก่อนพี่จะไป พี่คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะไป พี่คิดถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม มันจะไม่มีการเดินย้อนกลับมาอีกครั้งแล้วนะ ระหว่างเรามันจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้อีกแล้วทรอยรักพี่นะ

แต่ทรอยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตกับคนที่กดหัวทรอยจมน้ำจนทุรนเจียนตายอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ พี่บอกว่าพี่คิดมาดีแล้ว ทรอยรู้ ทรอยเข้าใจ พี่ไม่ใช่คนที่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งเห็นความมั่นคงในการตัดสินใจของพี่ ทรอยยิ่งรักพี่

รักที่พี่ไม่ทำร้ายทรอยทางอ้อม รักที่พี่เลือกจะบอกการตรง ๆ ทรอยขอบคุณพี่จากใจจริง ๆ ทรอยรับรู้ว่าทั้งหมดนั้นคือความรัก ความปรารถนาดี และความจริงใจที่มีให้กันเป็นครั้งสุดท้ายในความรู้สึกของพี่ ดังนั้นแล้วทรอยจึงไม่คิดจะโกรธพี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าทรอยจะโกรธอะไรสักอย่าง คงโกรธตัวเองมากกว่าที่เกิดมาเป็นแบบนี้”

“....”

“จากนี้ต่อไป ทรอยเชื่อว่าสักวัน ทรอยจะสามารถเคารพการตัดสินใจของพี่ได้จากหัวใจของทรอยจริง ๆ พี่ไม่ผิดเลย พี่ไม่ผิดเลยที่ไม่ได้รักทรอย แต่มันคงไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่วันที่หัวใจของทรอยยังร้องไห้และกรีดร้องทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของเรา

....ไม่ใช่วันนี้จริง ๆ ที่ทรอยจะสามารถทำใจและก้าวข้ามผ่านมันไปได้”

ผมว่า เม้มปาก กัดฟัน ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในห้อง เปิดผ้าปูที่นอนขึ้น ดึงกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมา

“เราไม่อยากให้ของพวกนั้นอยู่ในห้องเราอีกแล้ว แต่เราก็ไม่มีความกล้าหาญมากพอจะเอามันไปทิ้ง” ผมว่า หลังยื่นข้าวของทุกอย่างที่บรรจุความทรงจำของเราสองคนเอาไว้

“ครับ” พี่พอร์ชรับคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตาเล็ก ๆ ไม่ต่างจากผม

“จากนี้ต่อไปขอให้พี่ดูแลตัวเองด้วย และก็...ดูแลเขาให้ดีด้วย หลังจากนี้ผมขอให้เราไม่ได้มาพบ มาเจอกันอีก ขอให้เรากลายเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านและขนานกันไปตลอดชีวิต ผมไม่ได้โกรธ ผมยังรักพี่เสมออย่างที่ผมบอก บนโลกใบนี้จะไม่มีใครรับรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนอีก

...เรื่องราวของเราสองคนที่เกิดขึ้น จะอยู่ในใจผมเสมอ และจะมีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่รับรู้และจดจำมันได้”

“พี่รู้ว่าพี่คงไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้อีก แต่ว่า ....ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” พี่พอร์ช พูดขึ้น

ผมใช้สองมือขยี้น้ำหูน้ำตา ก่อนจะกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายกับเขา

“โชคดีนะครับ... ‘พี่ชาย’”

....ก่อนผมจะปิดประตูใส่หน้าเขา และทรุดตัวลงไปแบบนั้น

ผมปล่อยตัวทิ้งอยู่หลังประตู ปล่อยเสียงร้องไห้โฮระบายหยาดน้ำตาทั้งหมดที่เก็บไว้ข้างใน ความทรงจำทั้งหมดผุดขึ้นมา หัวใจของผมเหมือนโดนกรีดด้วยมีดเล็ก ๆ

มองไม่เห็นบาดแผล แต่สัมผัสได้ถึงความเศร้าทุกอณูของความรู้สึก ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไม เพราะอะไร ทำไมถึงไม่ใช่ผม ทำไมผมถึงไม่ใช่ เสียงคำถามดังกึกก้องมากมายในใจ

...แต่ไม่มีเสียงคำตอบใดตอบกลับมา

ผมปล่อยตัวเองจมอยู่แบบนั้นเหมือนไร้สติ ภวังค์ของผมถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผมยันตัวกับพื้น ลุกขึ้นไปเอาโทรศัพท์กดรับสายโดยไม่ได้มองเบอร์เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครโทรมาหา

‘ผมถึงบ้านแล้วนะครับ’ ปลายสายกรอกเสียงมาด้วยความร่าเริง ผมยิ้ม ขอบน้ำตารื้นนิด ๆ เหมือนน้ำตามันจะไหลอีกครั้งหนึ่ง

“ครับ” ผมพยายามกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกไป แต่ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับคน ๆนี้

‘คุณมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม?’ โชว่า น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมา

“.....”

‘.....’

“โชครับ” ผมว่า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ

‘ครับ’

“ผมยังรักเขาครับ”

ผมว่าเสียงสั่น มือกำโทรศัพท์แน่นจนกลัวว่ามันจะหักคามือด้วยซ้ำ ผมหลับตารอฟังเสียงตัดท้อ ความผิดหวัง หรือคำพูดมากมายอะไรก็ตามแต่ที่เขาอาจจะระบายออกมาให้ผมฟัง

แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่เป็นแบบที่ผมคิด

‘ครับ..แล้ว?’ โชถามเสียงเรียบ เหมือนผมบอกเขาว่าผมเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จ

“มันก็ไม่แล้วยังไง แต่แบบ คุณเข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า คือผมยังรักเขา...ผมหมายถึงคนก่อนหน้าคุณ” ผมขยายความต่อเพื่ออีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมายที่ผมกล่าว

‘ครับ ผมเข้าใจ ผมถึงถามต่อไงว่าแล้วยังไงต่อ คุณยังรักเขาแล้วมันจะเป็นปัญหายังไง?’ เขาตอบกลับ

 ผมสะอึกร้องโอ๊ยออกมา คน ๆ นี้บทจะดื้อทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ

“โอ๊ย ผมหมายถึงว่า แล้วผมยังรักเขาแบบนี้ คุณโอเคเหรอ คุณทำใจได้เหรอที่ผมยังรักใครอีกคน คุณไม่กลัวเหรอว่าสุดท้ายแล้วผมจะไม่ได้เลือกคุณ” ผมพูดตามตรง เขาเงียบไปนิดก่อนจะหัวเราะเสียงใสกลับมา

‘คุณรู้ไหม มีประโยคหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาจากคุณ คือ “อย่าคิดแทนอีกฝ่ายไปเอง” และนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้’ เขาว่า

“คุณคิดอะไร?” ผมตอบกลับ

“หน้าที่ของผมคือการทำให้คุณรักผม ส่วนหน้าที่ของคุณคือการตกหลุมรักผมก็พอ”

“คุณ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ” ผมว่าเสียงแข็ง

‘ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นกับคำว่ารักที่ผมพูดออกไปครับ’

“คุณแม่งดื้อ” ผมเริ่มโวยวาย ไม่ทันรู้ตัวว่าน้ำตาจางหายไปจากใบหน้าตอนไหน

‘คนแบบคุณกล้าว่าคนอื่นด้วยเหรอ?’ เขาสวนกลับ โอ๊ย เจ้านากเผือกนี่ !!!

“คุณ!!!” ผมเรียกเขาเสียงแข็ง อีกฝ่ายหัวเราะกลับมาที่ไล่ต้อนผมให้จนมุมได้

‘ผมมีเรื่องจะถามคุณ’ เขาว่าเสียงจริงจัง

“ครับ”

‘คุณยังรักเขา และคุณยังรอให้เขากลับมาหาไหมครับ?’

“ไม่ครับ ผมรักเขา แต่ผมต้องไปต่อ ผมยังรักเขาจริง ๆ แต่มันคนละเรื่องกับที่เขาทำให้ผมเจ็บ ผมไม่สามารถไปต่อกับเขาได้หรอกครับ” ผมรีบตอบกลับตามสิ่งที่ตัวเองคิด

‘งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ’ โชว่าต่อ

“คุณ ...ไม่กลัวจริง ๆ เหรอครับ?” ผมว่าต่อ

ไม่แน่ใจว่าเพราะยังเป็นช่วงเริ่มแรกที่จีบกันรึเปล่า เขาถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาทั้ง ๆ ที่ผมบอกไปตามตรงว่าผมยังรักใครอีกคน เขาไม่กลัวจริง ๆ เหรอว่าสุดท้ายปลายทางแล้วมันจะต้องเป็นเขาที่เจ็บปวด ไม่กลัวเหรอว่า ผมอาจจะปิดตัว ปิดใจลงไปอีกแล้ว หรือคุยกับเขาแค่แก้เหงา

‘ตั้งแต่ได้เจอคุณ โลกของผมอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปหมด นอกเหนือจากการอย่าคิดแทนอีกฝ่ายที่คุณสอนผมไปแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณสอนผมอีกฝ่าย คือเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวตนของคนที่เรารัก’

“....”

‘ผมไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมรึยัง แต่ผมรู้สึกแบบนั้นนะ...ผมรู้สึกว่าผม “รัก” คุณ’

“อ่า”

‘คุณ มนุษย์น่ะอายุขัยไม่ได้ยืนยาวเลยนะ ผมขอทำอะไรตรงไปตรงมาอย่างที่ใจผมรู้สึกก็พอแล้วกัน สุดท้ายแล้วเราไม่รู้อนาคต แต่ผมรู้แค่ว่า

ตอนนี้ เวลานี้ ผมยังจะยืนอยู่ตรงนี้ ผมยังจะเดินต่อไป ผมจะทำให้คุณรู้สึกให้ได้ว่าผมรักคุณจริง ๆ ดังนั้นแล้ว....’

“ครับ...”

‘ให้เวลาและหัวใจได้ทำหน้าที่ของมันก็พอครับ ผมจะยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ คุณเสมอ’ เขาว่า น้ำเสียงมั่นคง ไม่มีการหยอกล้อในคำพูดใด ๆ

“ขอบคุณนะครับ” ผมร้องไห้ออกมาอีกระลอก หยดน้ำตาเหมือนกัน แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกันออกไป หัวใจของผมอบอุ่นเหมือนชโลมไปด้วยแสงอาทิตย์ตอนเช้า

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะจริงทุกอย่างรึเปล่า

‘...’

“someday I'll love you”

แต่ตราบเท่าที่เขายังยืนข้าง ๆ ผม ผมขอแค่เพียงเวลา

‘ผมจะรอเสมอครับ’

แล้วสักวันหัวใจของผมคงจะบอกว่าผมรักคุณมากมายแค่ไหน...โช
 


 

 Time talk : ขอโทษด้วยที่มาสายนะครับ พอดีช่วงนี้ชีวิตข้างนอกหัวหมุนนิดหน่อยกับงานใหม่ที่ต้องทำ และงานเก่าที่ยังตามหลอกหลอนครับ ปีใหม่ผ่านมาแล้วเกือบ 10 กว่าวัน ชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ แฮปปี้ดีไหม? พ่อแมวไม่สบายรับต้นปีเลยครับ อากาศแปรปรวนมาก ๆ นี่ก็เพิ่งอัดยาแก้แพ้ไปครับ

ยังไงดูแลรักษาสุขภาพ อยู่นับถอยหลังด้วยกันหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมของเรื่องก็ค่อย ๆ ใกล้เฉลยไปที่ละปม ๆ แล้วเนาะ เหลืออีกแค่ไม่กี่ปมแล้วนะ อิอิ นับถอยหลังได้เลยครับ

แล้วเจอกันใหม่ครับ :)
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 13-01-2019 00:04:14
ก่อนอื่นเลย สวัสดีปีใหม่พ่อแมวนะคะ เราเป็นนักอ่านที่ติดตามเรื่องนี้ มาจนถึงตอนปัจจุบัน เราไม่เคยเม้นให้พ่อแมวเลย เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกของเล้า ตอนแรกสมัครไม่เป็น แต่ตอนนี้เราสามารถเม้นไรท์ได้แล้ว ยินดีด้วยกับหนังสือที่เสร็จพร้อมเปิดจองแล้วนะคะ  เราชอบนิยายของพ่อแมวนะ ชอบความใส่ใจในรายละเอียด ความเล่าเหตุการณ์ เพื่อให้คนอื่นเข้าใจ นิยายพ่อแมวเราชอบมากค่ะ ชอบทุกอย่างที่เป็นแอคเค่อนั่นแหละ ถ้าเราทุนทรัพย์พอ เราจะอุดหนุนหนังสืออย่างไม่ลังเลแน่นอนค่ะ
ดูแลตัวเองด้วยนะคะ รอตอนต่อไป สู้ๆพ่อแมววว.   :mew3:   :mew1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-01-2019 22:49:26
แล้วรอยแผลแรกล่ะ

ใครเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้น

พี่เขาก็ไม่ผิดจริง ๆ แหละ ไม่รักมันคือไม่รัก ใครลงหัวใจไปมากกว่าก็บาดเจ็บมากกว่า

แค่นั้นเอง
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-01-2019 00:02:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 01-02-2019 22:25:27


Ep.25 Deal




‘สวัสดีค่ะ เราเพิ่งเห็นนิยายเรื่องนี้แล้วกรี๊ดดังมากกกก 55555 กำลังหานิยาย ที่ไม่จำเจอ่านพอดี ฮือออออ เรายังไม่ได้อ่านแต่เห็นชื่อนิยายแล้วเก็ท ชอบ พล็อตก็ไม่ซ้ำแล้วแบบ อยากกดเฟบซักพันครั้งเลย คนเขียนสู้ๆนะคะ การเขียนเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้คงต้องหาข้อมูลละเอียดหน่อย แต่เชื่อว่าไรท์ทำได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ’

‘ชื่อเรื่องน่าสนใจเลยกดเข้ามา โอโห เหมือนเรากำลังอ่านเรื่องเล่าเลยแฮะ สนุกอ่ะอ่านแล้วสมูทมากกกก มาติดตามค่าาาา อยากรู้ว่าใครจะเป็นนายเอก พี่กร เด็กที่ทักdmคนนั้น หรือคุณคนนี้’

‘เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากค่ะ เพิ่งรู้จักคำว่าแอคเค่อเลยเนี่ย #เปิดโลก5555’




“คุณว่าเป็นไงบ้าง?” โชถามผม หลังเขาเปิดให้ผมอ่านคอมเม้นท์นิยายตอนแรกจากสองเว็บไซต์ที่เขานำเนื้อหาไปลง

“ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้ตามนิยายที่แบบลงตั้งแต่วันแรก ๆ แต่ดูจากคอมเม้นท์แล้วก็น่าใจชื่นอยู่ไหม หรือมันควรมากกว่านี้?”

ผมถามโชกลับ เจ้าตัวขมวดคิ้วหน่อย ๆ แล้วพูดขึ้น

“สำหรับนักเขียนโนเนม นามปากกาใหม่เอี่ยม ได้เท่านี้ก็โอเคแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ก็ต้องภาวนาแล้วว่าจะมีคนช่วยดันหรือเอานิยายไปรีวิวไหม

แต่คงต้องหวังผลสักช่วงห้า-หกตอน น่าจะกำลังตอนพีค ๆ กำลังดี เพราะผมวางพล็อตไว้ว่ามันจะเข้าช่วงเปิดประเด็นหลักของเรื่องแล้ว” เขาว่า ผมพยักหน้าแล้วถามต่อ

“คุณลงแค่สองเว็บไซต์นี้เหรอครับ?”

“ไม่หรอก คงเอาไปลงอีกหลายเว็บไซต์แหละครับ แต่ถ้านับจริง ๆ จัง ๆ แล้ว สองตลาดนี้คือตลาดหลักสำหรับกลุ่มทาเก็ตนิยายวายน่ะนะ เว็บมีภาษี แล้วก็เป็นสองเว็บแรก ๆ ที่เปิดพื้นที่ให้กับนิยายวาย

โดยเฉพาะเล้าเป็ด ดังนั้นถ้าจะลองเชิงก็ควรให้ทั้งสองเว็บนี้เป็นเว็บหลัก แต่ก็...” โชพูดเว้นวรรคแล้วเงียบไป

“ทำไมเหรอครับ?”

“ไม่ทำไมหรอกครับ ...จริง ๆ ก็มีแหละ ผมแค่คิดว่ามันน่าจะน่าสนใจมากกว่านี้รึเปล่า คือมันอาจจะเป็นแค่ตอนแรก แต่สำหรับเล้าเป็ดที่ใช้ระบบดันนิยายแบบเธรดต่อเธรดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะได้รับกระแสหรือคอมเม้นท์ไปในทิศทางไหน อะไรทำนองนี้นะครับ

เพราะมันตัดสินกันที่ชื่อเรื่องกับตอนแรกและยอดวิว ถ้าภาพรวมมันออกมาไม่สูงมากอาจจะไมได้ดึงดูดคนเท่าไหร่ ในขณะที่เว็บเด็กดียังมีให้เราได้ใส่ภาพ ใส่ข้อความดึงดูดบางส่วน ความยากของเว็บเด็กดีตอนนี้คือผมอัพโหลดให้มันเด้งขึ้นไปหน้าหลักได้แค่ครั้งเดียวต่อตอน

ดังนั้นแล้วตอนนี้ก็อย่างที่บอกไป ภาวนากับการรีวิวและการบอกเล่าแบบปากต่อปากครับ”  เขาว่า หน้าดูซีเรียสนิดหน่อย ผมยิ้มและบีบมือเขาเบา ๆ

“ไม่ต้องห่วง คุณพยายามขนาดนี้แล้ว ผมเชื่อว่ามันต้องสะท้อนออกมาผ่านผลงานให้คนเห็นแน่นอน”

“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ” โชยิ้มละมุน ตอบรับคำปลอบของผมด้วยการซบไหล่ลงมาข้าง ๆ กัน

หลังจากวันที่พี่พอร์ชมาลาผมก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ผมกับโชยังเป็นเหมือนเดิม ไม่สิ จะว่าเหมือนเดิมก็ไม่ใช่ จะว่ามากกว่าที่เป็นอยู่ก็ไม่เชิง เพราะหลังจากวันนั้นก็มีบางวันที่เขางานยุ่งมากจนแทบไม่ได้คุยกับผม หรือบางวันที่ผมเองก็ทำงานพิเศษกลับมาเหนื่อย ๆ จนไม่ได้คุยกับเขาเช่นกัน แต่เราทั้งคู่ก็พยายามค่อย ๆ ปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันไป

“ผมอยากรู้อ่ะ เวลาเขียนนิยายอะไรแบบนี้ มันต้องเขียนเป็นตอน ๆ  ถูกไหม?”

“อาห๊ะ”

“อ้าว แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าตอนไหนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แบบ มันก็ไม่ใช่ตอนสองตอนถูกไหม แล้วถ้าเขียนไปลงไปมันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน?” ผมถามด้วยความไม่รู้ โชยักคิ้วข้างก่อนจะเปิดไอแพด สไลด์หน้าจอว่าง ๆ แล้วเอาปากกาลากแบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสามส่วน

“บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่เคยเรียนเขียนนิยายหรือบทความอะไรมาทั้งนั้น ทั้งหมดนี่คือเทคนิคส่วนตัวที่ก็ไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอก มันแค่เหมาะสมกับผมแค่นั้นเอง”

“ครับ”

“ผมจะแบ่งนิยายออกเป็นสามส่วนดังนี้ โดยในแต่ละส่วนก็จะมีความสำคัญแตกต่างกันไป ส่วนแรกคือการปูเนื้อเรื่อง สำคัญมากโดยเฉพาะตอนแรก

เราต้องทำให้คนอ่านทัชให้ได้ว่า Main ของเราคือใคร ต้องการอะไร เป็นคนประมาณไหน เพราะหลายครั้งแล้วหลาย ๆ คนก็ตัดสินนิยายจากแค่ตอนหนึ่งตอนที่พวกเขาได้อ่านก็เท่านั้น โดยการปูเนื้อเรื่องของผมจะมีความยาวประมาณ 5-10 ตอน คือหลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าไม่ตามต่อ ก็มีแต่เขาพอแล้วกับนิยายของเรา

ต่อมาคือช่วงดำเนินเรื่องตรงกลาง เพราะพล็อตของผมจะแบ่งหยาบ ๆ อยู่แล้วใช่ไหม ต้น กลาง ปลาย ช่วงกลางจะมีความสำคัญมากต่อเนื้อเรื่อง  องค์รวม ตัวละครและเนื้อเรื่องจะต้องมีการพัฒนาอะไรสักอย่างไปร่วมกัน อย่างในที่นี้ก็คือความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง อาจจะดีขึ้น อาจจะแย่ลง แต่จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม

สุดท้ายคือส่วนท้ายสุด หรือถ้าจะพูดก็คือตอนจบ ตอนจบเองก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตอนที่จะเขียนยากมากที่สุด เพราะมันคือการสรุปเรื่องราว การเดินทางที่ยาวนานมาก ๆ ของคนสองคน หรืออาจจะหลาย ๆ คนในเนื้อเรื่อง

แถมยังเป็นตอนที่ผมอ้อนคนอ่านได้อย่างสะดวกใจด้วย เพราะเป็นตอนจบแล้ว ถ้าไม่อ้อนตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อ้อนตอนไหนอีก” โชเขียนและอธิบายพร้อมเว้นวรรคแต่ละช่วงให้ผมได้ฟังตาม

“แล้วตอนจบของเรื่องนี้คือ...” ผมถาม ในเมื่ออีกฝ่ายลงเนื้อหาไปแล้ว ผมว่าเขาคงมีตอนจบในใจที่อยากจะเขียนถึงแล้ว

“ตอนจบของเรื่องก็คือ...” เขาว่าพร้อมเว้นวรรคไว้แบบนั้น

เราสบตากัน ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนรับสายและกดเปิดลำโพงให้คนข้าง ๆ ได้ยินด้วยกัน

“สวัสดีครับพี่มอส พี่เบสท์” ผมกล่าวเปิด โชสไลด์หน้าไอแพดเป็นหน้ากระดาษเปล่า ๆ เตรียมจดประเด็นที่น่าสนใจ ในการสัมภาษณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

วันนี้โชมาหาผมที่ห้องเพราะเรามีนัดสัมภาษณ์อีกหนึ่ง Topic ที่เป็นประเด็นสำคัญที่เขาอยากรู้มาก ๆ นั่นก็คือการมีกิจกรรมทางเพศหลายคนหรือถ้าพูดให้ชัดก็คือ sex group และ swinging นั่นเอง

‘สวัสดีครับไทเกอร์’ ปลายตอบกลับมา

“พี่ ๆ ทั้งสองคนสบายดีนะครับ?” ผมกล่าวทักทาย ปลายสายหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับมาทีละคน

‘พี่สบายดี แต่เจ้าเบสท์ดูจะคิดถึงไทเกอร์น้อยอยู่ไม่หยอก’ พี่มอสว่า

‘คุณ !’ เสียงที่สองดุหรือก็คือพี่เบสท์ดุกลับมา ผมหัวเราะไหลไปตามสถานการณ์ก่อนจะแนะนำตัวฝั่งผมบ้าง

“อย่างที่ผมเกริ่นถาม ๆ พี่ไปในไลน์นะครับ วันนี้มีคนมาสัมภาษณ์อะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับพวกเรา ซึ่งตรงนี้สบายใจได้นะครับ รับประกันว่าจะไม่มีข้อมูลส่วนตัวตรงไหนหลุดออกไปแน่นอน นอกจากแค่เนื้อหาในบทสัมภาษณ์  ที่จะเอาไปดัดแปลงสำหรับใช้ในการลงนิยายต่อไป”

ผมว่า และกล่าวแนะนำโช  “คนสัมภาษณ์วันนี้ชื่อคุณโชนะครับ”

“สวัสดีนะครับคุณเบสท์ คุณมอส” โชว่า

‘สวัสดีครับ ฟังจากเสียงแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าพวกเรา แต่เรียกชื่อพวกผมสองคนเลยก็ได้นะ ยังไงสองชื่อนี้ก็เป็นชื่อปลอมอยู่แล้ว เนาะคุณ?’ แน่นอนว่าเป็นเสียงพี่มอสตอบกลับมา ผมอมยิ้มให้โชก่อนอีกฝ่ายจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำงานของเขา

“โอเคครับ มอสกับเบสท์ อันนี้ผมขออนุญาตถามนะครับ ทั้งสองคนคบกันมานานรึยังครับ?” โชว่า ปลายเสียงเว้นวรรคไปก่อนพี่มอสจะพึมพำออกมา

‘รู้จักกันมานานรึยังเหรอ? ก็อืมมม ถ้านับช่วงที่รู้จักกันเฉย ๆ ก็ตั้งแต่สมัยเรียน ผมสองคนเรียนคณะเดียวกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้จีบกันนะ เบสท์เขามีแฟนเป็นผู้หญิง ส่วนผมก็เอาแต่เรียน มาเจอกันอีกทีก็หลังเรียนจบ ก็เริ่ม ๆ คุยกันว่าตัวเขาเปลี่ยนไปแล้วนะ และพอดีสายงานเรามันใกล้ ๆ กัน

ก็คบกันได้ประมาณปีกว่า ๆ แล้วก็เลิกกัน ....ผมไปมีคนอื่น’ พี่มอสเล่า ก่อนจะเว้นวรรค พอผมหันไปหาโช อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหวอไปนิดหน่อย

‘ผมจับได้ว่าเขามีคนอื่น’ เสียงพี่เบสท์พูดขึ้นมาบ้าง ‘ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าผมไม่โอเคกับการที่ทุ่มเทให้กับอีกฝ่ายไปเต็มร้อย และได้รับการตอบกลับแบบนี้ ตอนนั้นเลยเป็นฝ่ายบอกเลิกเขา แล้วก็ย้ายบริษัทหนีไป ผมเองก็ไปเริ่มต้นใหม่นะ ก็มีคนคุย มีใครหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกอยู่ตัวคนเดียว’ พี่เบสท์ว่า แล้วโยนประโยคต่อให้อีกคน

‘ผมเองก็คบกับคนนั้นได้ไม่นาน สักพักก็รู้ว่าเขาแอบมีคนอื่น เหมือนเวรกรรมเลยเนาะ ทั้ง ๆ ที่ผมไมได้นับถือพุทธแท้  ๆ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกเลยว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายที่โดนผมหักหลังเป็นยังไง ผมก็ไปต่อนะ ประมาณปีสองปีมั้ง ถึงได้กลับมาได้ข่าวว่าเขายังเป็นโสด ตอนนั้นอายุพวกเราก็เกือบ ๆ ยี่สิบหกแล้วเนาะ?’ พี่มอสว่าตอบ ผมได้ยินเสียงอืมจากพี่เบสท์เบา ๆ

‘เขามาง้อผม’ พี่เบสท์เล่าต่อ ‘คือเวลามันก็ผ่านมาสักพัก ถามว่าโกรธเขาไหม มันไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่มันโกรธตัวเองมากกว่า ที่ทำไมคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไรต้องมารู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็มาง้อ มาตามอยู่เป็นปี ๆ จนสุดท้ายเราก็รู้สึกว่า โอเค เรายังมีความสุขกับเขา สิ่งที่เราต้องทำคือการให้อภัยเขา’

“ให้อภัย..เหรอครับ?” โชที่กำลังจดรายละเอียดไป หยุดแล้วถาม

‘ไม่เคยมีใครไม่เคยทำผิดพลาด เรื่องที่ทำมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เราก็ต้องกลับมาถามตัวเราเอง เรื่องของเรามันมีค่ามากพอจนเรายอมให้อภัยเขาไหม และสำหรับผม หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบสิบปีที่ได้รู้จักกัน นอกจากเหตุการณ์นั้นแล้ว เขาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแย่อีกกับการตัดสินใจให้อภัยเขา’ พี่เบสท์ว่ายาว

‘ใคร ๆ ก็อยากได้รับโอกาสในการแก้ไขความผิดพลาดเป็นครั้งที่สองครับโช แต่พอเราได้รับมันมาแล้ว เราจะทำให้มันดี หรือทำให้อีกฝ่ายได้รู้สึกดีมากแค่ไหนกับการตัดสินใจครั้งนั้น เป็นเรื่องยากที่จะตอบจริง ๆ ครับ’

‘ชีวิตคู่อย่าวู่วาม’

“...”

‘อาจจะเพราะเราผ่านวันเวลาที่มันมีค่ามามาก ผมเลยรู้สึกว่า การตัดสินใจอะไรที่มันสำคัญ มันจะไม่ได้มาจากอารมณ์ แต่มันต้องมาจากเหตุผลผสมหัวใจของคนสองคน เราต่างทำผิดพลาดกันคนละอย่างสองอย่าง หลายครั้งเองผมก็รำคาญเขาเหมือนกัน แต่ว่า ...ผมยังอยากตื่นมาเจอเขาในทุก ๆ เช้านะ’

‘ผมชอบเขาตรงที่ทำให้ผมเขินและแข็งได้ในเวลาเดียวกันเนี่ยแหละ’

‘คุณ!!!!’

ผมกับโชหัวเราะกับบรรยากาศสบาย ๆ ที่เกิดขึ้น โชหันมายิ้มและพยักหน้าให้ผมเหมือนจะชมว่าหาคนที่เหมาะสมกับการสัมภาษณ์มาให้ได้ดีมาก ผมยักไหล่แล้วปล่อยให้เขาดำเนินการสัมภาษณ์ต่อไป

“ก็เป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรเลยนะครับสิบกว่าปี งั้นผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ แล้วมันมีจุดเริ่มต้นยังไงเหรอครับ กับการที่รู้สึกว่า ในกิจกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของคนสองคนถึงควรมีคนที่สามหรือสี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?” โชถามต่อ อีกฝ่ายลากเสียงอืมมม เหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะถามกันว่าใครจะเป็นคนเริ่มพูดดี สุดท้ายพี่มอสก็เป็นฝ่ายตอบประเด็นก่อน

‘คุณ ผมกับเบสท์นะ เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว เป็นสิบกว่าปีที่เรามีเซ็กซ์ด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนอื่น คุณว่าเซ็กซ์สำคัญไหมครับ?’ พี่มอสถาม

“ก็...ก็สำคัญ..นะครับ”

‘....สัญชาตญาณของผมบอกว่าคุณยังเวอร์จิ้น หรือว่าคุณยังไม่ได้มีอะไรกับเสือน้อยเหรอ?’ พี่มอสถาม โชหน้าแดงก่ำ ส่วนผมกลั้นขำสุดชีวิตไม่ให้หลุดออกไปหักหน้าโช

‘มอส นั่นไม่ใช่สาระที่เขาถามเราไหม ไม่ต้องอยากไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย’

‘ก็แหม เขาอยู่กับเสือน้อย..’

‘มอส !!!’

‘โอเค ๆ ดุจริงโว้ย เมียใครก็ไม่รู้’ สาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงเพี๊ยะดังมาพร้อมเสียงซู๊ดปากจากปลายสาย ก่อนเราจะหัวเราะเบา ๆ ให้กันแล้วเปลี่ยนกลับมาโหมดจริงจังกันต่อ

‘เพราะเซ็กซ์เป็นอีกกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์นั่นแหละครับ แล้วผมกับเขาน่ะ เรามีเซ็กซ์กันนับครั้งไม่ถ้วน คือคุณเข้าใจไหม มันไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ดี แค่บางทีเราอิ่ม มันจะมีบางครั้งที่ผมแค่แบบอยากภายนอกเฉย ๆ แล้วตอนนั้นก็โดนโวยวายว่าผมกำลังจะนอกใจเขารึเปล่า โถ่คุณ ชอบมีเซ็กซ์ก็ไม่ได้แปลว่าอยากสอดใส่ทุกวันนะ’ พี่มอสว่าเหมือนบ่น

‘ก็คนมีประวัติ ก็ต้องทำใจนะครับ ว่ามันคือผลจากสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งนั้น’ อันนี้ผมว่านอกจากพี่มอสก็มีผมเนี่ยแหละที่สะดุ้งตัวนิดหน่อย ดีนะโชไม่ได้หันมาเห็นอาการผม

‘เพราะเราอยู่ด้วยกัน จากมีเซ็กซ์กันทุกวัน มันก็อิ่ม ชักเบื่อ ๆ จนเปลี่ยนมาภายนอก แล้วมันก็เริ่มรู้สึกว่า เราควรหาอะไรมาเติมเต็มความรู้สึกใหม่ ๆ กันไหม แรก ๆ ก็ใช้ของเล่นหรืออุปกรณ์เสริมมาช่วย แต่มันก็ไม่ได้ไปสุดทางขนาดนั้น ผมก็ค้นหาข้อมูลหลายอย่างแหละ จนมาเจอประสบการณ์การมีเซ็กซ์หลาย ๆ คน ยอมรับว่าแรก ๆ ใจผมก็หวิวครับ เพราะแอบกลัวว่าเขาจะโอเคไหม แล้วก็...’

‘กลัวว่าถ้าแฟนตัวเองไปมีอะไรกับคนอื่นแล้ว เขาจะเปลี่ยนใจไปจากเราไหม?’

‘ใช่ครับเบสท์ ยอมรับเลยว่าผมกลัวอะไรแบบนั้นจริง ๆ....’ พี่มอสว่า หลังพี่เบสท์ต่อประโยคแบบทะลุป้อง ผมนั่งเงียบกริบปล่อยให้พี่ ๆ ทั้งสองคนจัดการเคลียร์ปัญหาภายในบ้านไป

‘เฮ้อ จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันนะกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผมเองก็มองข้ามปัญหานี้แล้วลืมมันไปสนิทเลย ดีนะเนี่ยที่เสือน้อยมาสัมภาษณ์พวกนี้ ก่อนอื่นเลยนะ ไอ้คุณมอสครับ ถ้าผมจะเปลี่ยนใจไปจากคุณ ผมไม่รอจนถึงวันที่คุณกลับมาง้อผมหรอก เพราะงั้นเลิกคิดมากได้แล้ว ผมเป็นของ ๆ คุณนะ’

‘เห็นไหมผมบอกแล้ว เบทส์เขาเก่งเรื่องทำให้ผมเขินและแข็งไปพร้อม ๆ กันได้จริง ๆ ’ ผมกับโชอมยิ้มขำ

‘โอ๊ย เงียบปากไปเลยคุณ อายเด็กมันบ้าง เอาล่ะผมเล่าต่อเอง ก็อย่างที่มอสเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ คือเราก็โตกันทั้งคู่แล้ว ไม่มีอะไรให้มาเหนียมอายกันแล้วล่ะ เขาก็บอกให้ฟังว่าเขามีไอเดียเสนอมานะ คือการหาคนมามีอะไรกับพวกเราสองคนด้วย ตอนแรกผมก็นึกว่าเขาอยากได้รับอีกสักคนมา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขาอยากได้รุกอีกสักคนมามีอะไรกับผมและมีเขาช่วยเหลือต่างหาก’ พี่เบสท์เล่า

‘จริง ๆ ผมก็อยากทั้งสองแบบแหละ แต่ผมอยากเทสต์กับตัวเองก่อนว่าผมรับความรู้สึกแบบนั้นไหวไหม เวลาที่เห็นแฟนตัวเองมีอะไรกับคนอื่นน่ะ เพราะถ้าให้ผมไปมีอะไรกับคนอื่นแล้วเบสท์นั่งดู ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายเราทั้งคู่มากกว่าช่วยซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอไปตามระยะทางของความสัมพันธ์’ พี่มอสต่อ

‘ผมกลับไปคิดเยอะมาก คิดแบบจริงจังเลย จะว่าไปแล้วพักหลัง ๆ เราทั้งคู่ก็ทำเหมือนทำให้มันเสร็จ ๆ ไปจริง ๆ มันกลายเป็นว่าเราทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ ๆ ต้องทำ ไม่ได้ทำเพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะทำมัน ผมมองว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นต่อไป ดีไม่ดีเราอาจจะเลิกกันเพราะปัญหาเรื่องนี้ก็เป็นได้’

‘ผมไม่เลิกแน่นอน !!!’

‘แค่สมมติโว้ยยย ไอ้บ้า’ เป็นอีกครั้งที่ผมกับโชหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งสองคนมีบุคลิกที่สมควรแล้วจริง ๆ ที่คบกันมาได้ยาวนานถึงสิบกว่าปี

‘ไป ๆ มาๆ ก็เริ่มจากการดูหนังโป๊แบบมีเซ็กซ์หมู่ก่อน แล้วก็พบว่าอารมณ์เราทั้งคู่พุ่งพล่านกว่าปกติจริง ๆ ผมก็เลยคิดว่า หรือเราจะลองดูสักครั้งดีไหม ถ้าไม่เวิร์กค่อยหาวิธีการอื่น แล้วก็คุยกับมอส มอสเขาก็โอเค เราก็ทำใจกันมาสักพัก ก่อนจะเริ่มหาว่าแล้วเราจะชวนใครมาร่วมดี’

“แล้วก็ไปเจอไทเกอร์?” โชถาม ผมส่ายหน้าพร้อมกับที่อีกฝ่ายบอกมาก่อน

‘ไม่ใช่ครับ ยังไม่ได้เจอน้องไทตอนนั้น เราไปเจอคนอื่นก่อน แล้วพบว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่ คือเหมือนเขาก็ไม่เคยเหมือนกัน พอมาเจอแบบนี้คือล่มปากอ่าว เพราะของเขามันไม่แข็งตัว’ พี่เบสท์ว่า

‘แล้วผมก็ไปเห็นคลิปของไทเกอร์ในทวิตเตอร์ จริง ๆ ก็เห็นคลิปเขาประปรายแต่ไม่ได้ฟอลโล่วไว้ ตอนนั้นน่าจะเป็นคลิปหมู่มั้ง? ก็เห็นไล่ ๆ ดูไทม์ไลน์แล้วเห็นว่าเขาน่าสนใจดี เลยทักไปคุยสักพักใหญ่ ๆ เลยแหละก่อนเราจะได้เจอกัน และหลังจากนั้นมา ผมก็ได้น้องชายมาหนึ่งคน ส่วนแฟนผมก็มีความสุขเพิ่มมากขึ้น’ พี่มอสตอบกลับ

‘ถ้าไม่ใช่ไทอาจจะไม่ดีขนาดนี้...อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงในแง่ของลีลานะ แต่ไทเป็นเด็กที่อยู่ด้วยแล้วผมสองคนไม่อึดอัด เหมือนเขารู้ตัวว่าตอนไหนควรทำอะไร ไม่งอแง พูดง่าย แล้วก็มีมารยาท พอมันมาเจออะไรแบบนี้ก็เลยคิดว่า เขาเป็นอีกคนที่ดีในช่วยให้พวกเราสองคนมีความสุขมากขึ้น’ พี่เบสท์พูดเสริม

“ชมกันเกินไปแล้วครับ เขินแล้ว” ผมว่าพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ โชทำหน้าหมั่นไส้ผมพร้อมพ่นลมหายใจฮึดฮัดออกทางจมูก

‘อีกอย่างไทเป็นน้องที่ดีอย่างที่แฟนผมชมจริง ๆ พอเขาเห็นแบบนั้น ก็เลยหาคนมาเป็นรับให้ผมบ้าง เพราะถ้าผมหาเองก็กลัวว่าเงาหัวจะขาด’ พี่มอสพูดต่อ อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนงานเขาตัวเอง โชหันขวับมาขมวดคิ้วมองหน้าเหมือนต้องการคำตอบในเรื่องนี้

“คือผมหารับที่เขาสนใจจะหมู่อยู่แล้วไปด้วยน่ะ ไม่ใช่ทั้งคนคุยหรือแฟนผมอะไรทั้งนั้น” ผมว่า กระแอมไอเรียกสีหน้าปกติกลับมา โชทำหน้าเหมือนกับว่าเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แต่ผมแอบเห็นนะว่าสีหน้าเขาดีขึ้นกว่าตอนแรก

“แล้วในด้านความรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” โชถาม

‘ยอมรับเลยนะ ตอนแรกผมหวงมาก อารมณ์แบบ ...ยังไงดี มันแปลก ๆ และอาจจะไม่ดีนะถ้าผมพูดคำนี้ แต่มันเหมือนผมสะใจแปลก ๆ มั้งที่เห็นแฟนตัวเองโดนคนอื่นมากระแทก มันเป็นทั้งความรู้สึกแบบ กึ่งอารมณ์ หึง หวง แล้วก็อะไรหลาย ๆ อย่าง อันนี้แหละที่ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีไหม มันจะดูไม่ดีรึเปล่า?’

“ครับ?”

‘พูดก็พูดเถอะ ไทเกอร์พอจะเล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ แล้ว ผมเห็นว่าน่าสนใจดีเลยให้ความร่วมมือ แต่ผมก็แอบกลัวและกังวลว่าใครจะมองว่าแฟนผมไม่ดีไหม? คือตัวผม ผมสะดวกใจเล่าได้อะไรได้ แต่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งหรือมาวิจารณ์อะไรแฟนผมหรือการตัดสินใจของเราสองคน คุณนึกออกไหมว่าในบางมุมมองสังคมเราก็ตลกดี พยายามเอาทุกอย่างซ่อนไว้ใต้พรมและทำเหมือนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากทั้ง ๆ ที่มันก็แค่อีกหนึ่งทางเลือกของธรรมชาติ’

‘จริง ๆ มอสน่าจะอยากอธิบายว่า การที่เขายอมให้แฟน หรือก็คือผมน่ะ มีอะไรกับคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาไม่หวงหรือไม่ห่วงผม แต่มันเป็นแค่อีกรสนิยมหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้นเอง ใช่แบบนี้ใช่ไหมครับที่คุณจะว่ามา?’

‘ครับ ถูกต้องเลย’

‘ผมเองก็แอบเห็นด้วยนะ มันเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ผมไม่ได้พูดหรอกนะว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ไม้บรรทัดของแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากัน คือเรื่องของผมกับมอสนะ เราทำความเข้าใจได้ไง แต่เราไม่แน่ใจว่ามุมมองที่คนนอกมองเข้ามาจะเข้าใจพวกผมไหม ว่าเราสองคนไม่ใช่ไม่รักกัน เรารักกัน รักมากพอจะเข้าใจว่ามันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของการสร้างความสุขให้กันและกันเท่านั้นเอง’

“ไม่เป็นไรนะครับ” โชว่า

‘...’

“คือจริง ๆ แล้วประเด็นนี้ผมเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะใส่ในการดำเนินเรื่องตรงไหนดี แต่ก็อยากรวบรวมข้อมูลหลาย ๆ อย่างไว้ก่อน แต่ถ้ารู้สึกว่ามันน่าอึดอัดหรือไม่สบายใจ ผมรับรองว่าจะไม่นำข้อมูลไปใช้ในทางใดทางหนึ่งแน่นอนครับ” เขาพูดต่อ

‘ไม่หรอก มันไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะเอาไปใช้ทำอะไรหรือเขียนลงในไหน ชื่อพวกเราทั้งหมดก็ชื่อปลอม ยังไงซะเจ้าเสือน้อยก็คงไม่บอกแน่ ๆ ว่าพวกเราสองคนเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ผมไว้ใจเสือน้อย ย่อมไว้ใจคุณตามไปด้วย ดังนั้นถ้ามันจะทำให้คนอื่นได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ก็เอาเถอะครับ จะว่าไปแล้วมันก็แค่อีกมุมมองที่คนนอกจะมองเข้ามา’ พี่มอสตอบกลับ

‘ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะถึงขนาด educate ผู้คนหรอก เพราะมันก็แค่บทสัมภาษณ์การมีเซ็กซ์หมู่ของคนที่เป็นแฟนกันเท่านั้นเอง เรื่องอารมณ์น่ะ มันมีกันอยู่แล้ว เวลาเห็นแฟนเราไปมีอะไรกับคนอื่น แต่มันจะเป็นในเชิงลักษณะการกระตุ้นหรือปลุกเร้า สร้างความตื่นเต้นในการมีเพศสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่า จริง ๆ ที่ผมกับมอสพูดขึ้น คือพูดในมุมที่เป็นห่วงทั้งสองคนมากกว่า การนำเสนอประเด็นละเอียดอ่อน ต้องพยายามอย่าไปตัดสินอะไร เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนจะตัดสินใจเอาเองว่าพวกเขาจะเชื่ออะไร หรือไม่เชื่ออะไร เราแค่นำเสนอไปก็พอ’ พี่เบสท์เสริม

“ผมก็ตั้งใจแบบนั้นเหมือนกันครับ แอคเค่อจะไม่ใช่หนังสือนิยายวายที่เป็นบรรทัดฐานว่าเกย์ทุกคนต้องทำตามนี้หรือนิยายวายทั้งหมดต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ผมมองว่ามันเป็นนิยายอีกเรื่องที่มีตัวนำเป็นผู้ชายสองคนและมีพล็อตที่แตกต่างออกมาจากชาวบ้าน เป็นทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับตลาด ไม่ได้ต้องการถึงขนาดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งสังคม ส่วนใครจะได้อะไรไปบ้างจากการอ่าน ผมว่าตรงนั้นผมคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอ่านเองครับ” โชกล่าวสรุป ซึ่งผมคิดว่าเป็นบทสรุปที่ดีสำหรับคำตอบของเขา

หลังจากเล่าถึงที่มาที่ไปของการมีเพศสัมพันธ์แบบหมู่ โชก็ถามถึงวิธีการเตรียมตัวและการป้องกันต่าง ๆ เพราะรู้จักกันมาดีอยู่แล้ว และทุก ๆ ครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กันผมและพี่เขาก็ป้องกันตลอด รวมไปถึงพี่ทั้งสองคนก็ทาน PrEP ด้วย ทั้งหมดนั้นทำให้ข้อมูลหลัง ๆ เริ่มซ้ำกับข้อมูลที่เจ้าตัวมีแล้ว แต่ก็ได้รับเกร็ดสาระความรู้หลาย ๆ อย่างเวลาไปออกรอบกับคนอื่น ทั้งเก็บตกเรื่องขำขัน ทั้งภูมิหลังของทั้งสองคน จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวเกือบค่อนชั่วโมง โชก็หมดคำถามสำหรับสัมภาษณ์ทั้งสองคนลง

“ยังไงวันนี้ผมขอบคุณมาก ๆ นะครับที่อนุญาตให้ผมสัมภาษณ์ได้” โชว่า ปลายสายทั้งสองหัวเราะรับคำ ก่อนพี่มอสจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

‘โช ...ถ้ายังไม่เคยยังไงให้ผมสอนไหม?’

ก่อนที่โชจะทันมีรีแอคชันอะไรตอบกลับ กลายเป็นผมที่ไวกว่าตอบกลับไป

“ไม่ได้ครับ...คนนี้ผม ‘หวง’”





Time talk : มาช้า แต่มานะ ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ ยังไงใส่มาร์คปิดปากกันด้วยนะครับ เป็นห่วงเสมอครับ และก็ จะพยายามาให้ถี่กว่านี้ อย่าลืมติดตามข่าวสารใหม่ ๆ ของนิยายเรื่องนี้ผ่านหน้าทวิตเตอร์นะครับ ตอนนี้จัดกิจกรรมอยู่ครับ :L2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 02-02-2019 00:09:10
ขอพิมแบบยาวๆหน่อยนะคะ คือว่ามันตรงมากในแง่ของเพศที่สาม แต่ในแง่ขแงแอคเค่อเราไม่รู้เหะ คือไม่ได้ติดตามเท่าไหร่
เรายอมรับว่าตัวเองเป็นสาววาย เริ่มอ่านนิยายวายตั้งแต่14  ปัจจุบัน 26  แรกเริ่มคือรุกต้องหล่อมาก ส่วนรับก็จะเป็นอะไรที่เหมือนผู้หญิงสุดๆ  แต่พอเริ่มขึ้นม.ปลายก็เหมือน คนเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น คนมาแชร์เรื่องแบบนี้มาหขึ้น ก็จะเป็นรุกหล่อ หรือรับหน้าตาธรรมดา บางทีก็ออกแมน แมน ทั้งคู่ไปเลย พอมหาลัยก็เหมือนเปิดอีกโลกคือรุกสาว อย่างคนใกล้ตัวเรา เพื่อนเรานางเป็นเกย์รุกนะ แต่สภาพข้างนอกคือเกย์รับอะ คือมันไม่ใช่เกย์รุกทุกคนจะคีพลุค นิ่งๆ หล่อ โหดๆ อะไรแบบนั้น เหมือนในนิยายไง และแฟนเพื่อนเราก็แมนมากสูงกว่าเพื่อนเราอีก  แมนกว่าเพื่อนเราอีกคือดูเป็นผู้ชาย นิ่งๆ แต่แอบปากจัดแค่นั้นอะ ถามว่างอแงไหมไม่ค่อยนะ คือเขาเป็นคนนิ่งๆอะ  จนพอมาทำงานรู้จักพี่คนหนึ่ง หลายคนเลยละ นางแต่งหญิงบ้าง บางครั้ง โบ็ะรองพื้น ใส่เสื้อลายเสือ ทาลิปกลอส แต่พี่แกพูดเลยว่านางคือสายรุก และแกก็มีแฟนด้วย แกบอกว่าชีวิตจริง บางที รุกรับ ไบ โบทอะไรนั้น มันไม่ได้ดูกันที่ภายนอกสักหน่อย เคยถามแบบซีเคร็ทเหมือนกันนะว่าแบบ นึกว่าจะเป็นรับเห็นแกสาวๆถามว่าแกเคยคิดลองปะ แกบอกว่าไม่เคยคิดเพราะไม่อยากเจ็บ  ไม่อยากให้ใครมาแทงก้นตัวเอง ไม่ใช่แนว ฮ่าๆ และแกก็ชอบเป็นรุกมากกว่าด้วย  เราถึงบอกเรื่องนี้เรียลไง มันไม่ไช่ว่ารุกต้องหล่อเท่ รับต้องสวยหวานอะไรขนาดนั้น เพศที่สามที่เรารู้จัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้แหละ แต่บางคำถามก็ซีเคร็ทมากๆ อย่างเรื่องคู่นอน ถ้าไม่สนิทมากๆคงไม่ถามและก่อนถาม เราก็เกริ่นขอก่อนทุกครั้งและก็บอกเขาไปตรงๆว่าเราเป็นสาววายนะ แต่เป็นสาววายที่มีจรรญาบรรณอยู้ในขอบเขตและไม่ทำใครเดือดร้อน  เพราะเรื่องแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะพูดกันออกมาเหมือนเรื่องปกติซะเมื่อไหร่ แต่เคยเห็นคนบ่นว่าไทป์รุกหายาก จะบอกไงดีว่าพี่ที่เรารู้จัก เพื่อนด้วย ทุกคนเป็นรุกหมด แต่แค่ภายนอกไม่ได้เรียนวิศวะ เรียนหมอ  ตัวสูง หล่อ รวย  แค่นั้นเอง

ปล.มีเสือร้อนตัวตัว กับนากเผือกขี้หึง
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-02-2019 01:36:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Gnaap ที่ 02-02-2019 04:15:11
ขอบคุณที่ใส่ใจกับการเขียนมากขนาดนี้นะคะ
รู้สึกโชคดีที่ได้เข้ามาอ่าน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 05-02-2019 22:00:30


Ep.26 It’s not you, it’s me.

               


"ไม่ได้ครับ...คนนี้ผมหวง” 

รู้ตัวอีกทีผมก็พูดออกไปซะแล้ว โชหันมามองหน้าผมแล้วนิ่งเงียบไป ส่วนปลายสายผมได้ยินเสียงตุ้บตับ ๆ อยู่ คาดว่าเป็นการสำเร็จโทษจากการเล่นไม่รู้จักเวลานั่นเอง

‘ออกตัวแรงมาก ดี ๆ พี่เองก็อยากให้เราเป็นฝั่งเป็นฝามานานแล้ว ไม่ได้อยากให้อยู่ตรงจุดนั้นนาน ๆ หรอก แต่พวกพี่แค่ไม่สะดวกจะพูดเฉย ๆ ’ พี่มอสพูด

‘ก็อย่างที่พี่มอสพูดแหละ เราอาจจะได้รู้จักกันจากสถานการณ์ที่มันแตกต่างจากคนทั่วไป แต่พี่ทั้งสองคนเห็นเราเป็นน้องคนหนึ่งเสมอนะ จากจุดที่เรายืน พี่เชื่อว่าหลายคนก็คงห่วงแต่พูดอะไรไม่ได้ พอได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาแล้วกันนะทั้งสองคน’ พี่เบสท์เสริมต่อ

ผมยิ้มยินดีจากใจจริง ๆ หลายครั้งแล้วผมก็รู้สึกว่าผมโชคดีมาตลอดที่ได้พบเจอคนดี ๆ จากในโลกออนไลน์มากกว่าคนแย่ ๆ แม้อย่างที่บอกไป เราคงไม่อาจสนิทหรือรับรู้ทุกเรื่องราวในชีวิตของอีกฝ่าย แต่ความรู้สึกผูกพันที่มีให้ต่อกันและกัน ผมเชื่อว่ามันเป็นของจริง เหมือนอย่างที่ผมเห็นพวกพี่เขาทั้งสองคนเป็นพี่ที่เคารพอีกคู่หนึ่งจริง ๆ

“ขอบคุณครับ ผมเองก็คงจะพยายามต่อไปครับพี่” ผมว่าไว้แบบนั้น เราคุยกันเล่นสองสามประโยค ก่อนพี่ ๆ ทั้งสองคนจะชวนผมไปทานข้าวแบบที่แปลตรงตามความหมายของการทานข้าวจริง ๆ ไม่ใช่กิจกรรมเข้าจังหวะสามคน หลังจากนี้ไปผมเองก็ต้องค่อย ๆ เคลียร์ตัวเองจากพันธะทั้งหมดทีละเปาะ ๆ ล่ะนะครับ

“เป็นไงบ้าง วันนี้ได้อะไรไปเยอะไหม?” ผมถามคนข้าง ๆ ตัวหลังวางสายจากพี่ทั้งสองคนไป

“ก็ได้อะไรมาเยอะนะ ...โดยเฉพาะเรื่องที่คุณไปมีส่วนร่วมมากมายอะไรขนาดนี้” ประโยคหลังเขาพูดด้วยน้ำเสียงตวัด ๆ ผมหัวเราะแล้วขยี้หัวเขาเล่น

“ผมถึงบอกไง ว่าค่อย ๆ ให้เวลากับมันน่ะ จริง ๆ ก็มีอีกหลายเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวผม และบอกตามตรง บางเรื่องผมก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเหมาะสมรึยังที่จะเล่าให้คุณฟัง ...อดีตของผมมันไม่ดีเท่าไหร่นักหรอกนะ” ผมว่า ยิ้มเย็นให้กับเขา เจ้าตัวมองตอบกลับแล้วเอาหัวไถมาพิงไว้กับหน้าอกของผม

“ไม่เป็นไรหรอก เราต่างก็เคยทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้แล้ว” เขาว่า หันข้างมาทางผม

“....”

“แต่เวลาที่คนอื่นให้อภัยคุณแล้ว ...คุณต้องให้อภัยตัวคุณเองด้วยนะครับ”

“ผมจะพยายามนะครับ” ผมว่า หลับตาลงแล้วลูบผมเขาเบา ๆ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเร่งรัด แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามทางที่มันควรจะเป็นอย่างน้อยที่สุดที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร

‘ครืดดด’

เสียงข้อความไลน์เด้งเข้ามา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกก่อนจะกดอ่านข้อความในไลน์ โชหันหน้าไปทางอื่นรักษามารยาทตามแบบของเขา จนกระทั่งผมขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแหละ เขาถึงได้ถามออกมา

“มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ?”  ผมมองหน้าเขา นึกย้อนไปถึงปริศนาแรกที่ผมยังไม่เคยถามเขา และผมเองก็เพิ่งมานึกได้ จะว่าไปแล้วถ้าเทียบช่วงเวลามันก็.... พอคิดได้แบบนั้น ผมก็หันไปมองหน้าเขาจริงจังและพูดออกมา

“โช...ผมว่าผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”

 

..................................

 

“คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมรอ” โชถาม ผมส่ายหน้าเบา ๆ

“ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ ก็ขอให้ผมเป็นคนแก้ปัญหาที่ผมก่อขึ้นไว้แล้วกันนะครับ” ผมว่า เขาตบบ่าเบา ๆ ให้กำลังใจ ก่อนผมจะลงจากรถยนต์แล้วโบกมือลาเขาขับรถวนออกไป

ผมหันกลับมามองหน้าป้ายทางเข้าหมู่บ้านหลังยืนส่งเขาเสร็จ สองเท้าก้าวขาเข้าไปข้างใน ส่วนสมองกำลังประมวลผลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันกับโช จริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ที่ผมรับรู้มาเสมอตลอดชีวิตของตัวเอง เรื่องบังเอิญมักไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ผมคิดแบบนั้นนะ

ผมเดินมาถึงหน้าบ้านเจ้าแม็กซ์อีกครั้ง สูดลมหายใจให้เต็มปอด เปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกไว้ ก่อนจะเดินสาวเท้าเข้าไปข้างใน ผมกดล็อกเบา ๆ หลังเข้ามาในตัวบ้าน ข้าวของหลายอย่างยังคงเก็บไว้เป็นระเบียบตามเดิม ตามที่ ๆ มันจะอยู่ ผมเดินเลาะขึ้นไปถึงชั้นสอง ก่อนจะเคาะประตูห้องเบา ๆ

‘ก๊อก ก๊อก’

“....ประตูไม่ได้ล็อกครับพี่”

เสียงใส ๆ ที่สัมผัสได้ถึงความเศร้าดังลอดออกมาจากด้านใน ผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน บอกตัวเองไว้ว่าให้ทำสีหน้าปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะเหม่อมองรอบห้องสำรวจเร็ว ๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เจ้าตัวที่กำลังนั่งร้องไห้บนที่นอน

“เกิดอะไรขึ้นครับแม็กซ์?” ผมถาม มือข้างหนึ่งโอบไหล่เขาไว้

เจ้าแม็กซ์ไม่ตอบคำถามของผม แต่นอนลงไปแล้วดึงตัวผมขึ้นไปทับไว้ ผมเหวอไปนิดหน่อย แต่ก็ยอมนอนทับเขาลงไปแล้วลูบหัวเบา ๆ เป็นการปลอบใจ ทั้งแววตา ทั้งท่าทางของเขาดูเจ็บปวดมากกับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า และผมเองก็รู้ว่ามันคงไม่ง่ายเลยจริง ๆ กับสิ่งที่ตัวของเขาต้องตัดสินใจใน   เวลานี้

“พี่ไทเกอร์ครับ” เขาเรียกผมทั้งน้ำตา

“ครับ?”

“จูบผมหน่อยได้ไหมครับ?”

เขาว่าแบบนั้น ผมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะจูบลงเบา ๆ ที่หน้าผาก

“ผมหมายถึงจูบต่างหาก...” เขาว่าเสียงอ่อน ผมยิ้มแล้วกระซิบข้างหูเขา

“พี่จะจูบน้องชายตัวเองได้ยังไงครับ”

ว่าจบผมก็ดันตัวขึ้นมามองหน้าแม็กซ์อีกรอบ ผมรู้ดีว่าใจของเขาเหมือนกำลังแตกสลาย แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เราทั้งคู่ต้องก้าวเดินกันต่อไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่ผม แค่แม็กซ์ หรือว่าใคร ทุกคนต่างต้องเผชิญกับความผิดหวังกันสักคนละหนสองหน ความเจ็บปวดจะทำให้เราเติบโตมากขึ้น และที่แย่ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ก็คือ...

ผมเข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าทำไมพี่พอร์ชถึงเลือกที่จะบอกเลิกผมตามตรง เพราะการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน แม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่มันจะจบทุกปัญหาที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต

....เหมือนที่ผมกำลังค่อย ๆ แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อไว้ในตอนนี้

“ผม...เป็นได้แค่น้องพี่เหรอครับ?” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ครับ พี่ให้เราได้แค่นั้นจริง ๆ ” ผมยืนยันกับเขาอีกครั้งหนึ่ง

“ทำไม....”

เจ้าแม็กซ์ว่า ตัดพ้อด้วยเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาไหลออกมาอีกระลอกจนดูน่าสงสาร ผมสงสาร ผมเข้าใจ ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมพูดและยืนยันออกไปมันจะทำร้ายเขามากเพียงใด เหมือนละครฉากเดิมแต่เปลี่ยนคนกระทำและโดนกระทำ ความเจ็บปวดที่คนที่เราหลงรักบอกกับปากว่าไม่ใช่เรา มันเจ็บมาก ๆ เลยนะครับ

...ผมไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ยกมือไปปลอบให้อีกฝ่ายให้หยุดร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ในเมื่อน้ำตาเหล่านั้น ผมเองไม่ใช่เหรอที่เป็นผู้กระทำให้มันไหลออกมา?

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!”

อีกเสียงที่คุ้นหูดังลอดออกมา รู้สึกตัวอีกทีผมก็โดนใครบางคนในห้องผลักไปนอนแล้วพลิกตัวทับผม ไม่แม้แต่จะตกใจ ทั้ง ๆ ที่คอเสื้อของผมกำลังโดนอีกฝ่ายดึงจนตะเข็บขาดดังเปรี๊ยะ ผมสบตากับเขา ใบหน้าคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเคยพบเจอทั้งตอนก่อนนอนและหลังลืมตา

ผมถึงได้บอกไง ผมเข้าใจพี่พอร์ชเสมอ

เข้าใจดีเลยจริง ๆ ว่าการไม่ได้รักเขาแล้ว ทำยังไงแล้วมันก็ไม่ได้จริง ๆ

“สวัสดีครับ ....โฟล์ค”

เด็กผู้ชายวัยรุ่นอีกคนที่คร่อมตัวผมอยู่แยกเขี้ยวโกรธ ก่อนหมัดหนึ่งหมัดจะตกกระทบกับหน้าท้องของผม อุ๊ก ผมจุกจนร้องไม่ออกด้วยซ้ำ แต่เวลานี้ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยให้ร่างกายได้ชดใช้ความรู้สึกผิดทั้งหมดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

“มึงแม่งโคตรเหี้ยเลย!!” เขาด่า ผมสัมผัสได้ถึงแรงมากมายจากข้อมือที่เขาจับผมเอาไว้ พอหันไปเห็นน้องแม็กซ์ก็ดูจะตกใจกับการกระทำของโฟล์คที่ดูจะรุนแรงกับผมมากไปหน่อย ผมไม่ห้าม ไม่สิ ต่อให้มีแรงห้ามผมก็คงไม่ห้ามเขา ผมปล่อยให้โฟล์คด่าทอแทบไม่เป็นภาษา ทั้งหมัด ทั้งตบ ทั้งตีที่เขาฟาดลงมา

...ผมรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว แต่คงเจ็บไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความรู้สึกข้างในที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

“โฟล์ค พอแล้ว” น้องแม็กซ์ตั้งสติได้อีกครั้ง ก่อนพยายามรั้งแขนเจ้าโฟล์คไว้ ไม่ให้ทำร้ายผมไปมากกว่านี้ จมูกของผมได้กลิ่นเลือด เจ็บที่มุมปากนิด ๆ สมองของผมกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า ว่าจะอธิบายบาดแผลทั้งหมดนี้ให้ฟังได้ยังไงว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

ดูเหมือนพละกำลังของทั้งสองคนจะแตกต่างกันเกินไป โฟล์คเหวี่ยงน้องแม็กซ์ไปอีกมุมของที่นอน ก่อนจะตะโกนถามเขาเสียงดังลั่น

“มึงรักพี่เขาจริง ๆ ใช่ไหม?”

เจ้าแม็กซ์หลบตาลงต่ำ ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของเขาเหมือนผมได้ยินเบา ๆ ว่าแม็กซ์พูดว่า ‘เราขอโทษ’ อยู่ตลอดเวลา และนั่นยิ่งทำให้น้ำตาของเด็กทั้งสองคนไหลออกมามากกว่าเดิม ผมสัมผัสได้ว่าหมัดของโฟล์คเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะเหลือแค่มือคู่เดิมที่ประทับไว้บนอกของผม หยดน้ำตามากมายล่วงหล่นลงมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างของเขา

ผมจับมือของโฟล์คเอาไว้ ก่อนจะใช้แรงที่มีเหลือ บังคับให้มือข้างนั้นตบลงมาที่ใบหน้าผม

“ทำไม...” เขาตกใจตาโตถามเสียงสั่น ผมไม่ทันสังเกตว่าแม็กซ์กำลังทำสีหน้ายังไง แต่เขาคงสับสนไม่น้อย ขนาดตัวผมเองยังสับสนตัวเองเลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องจริง ๆ รึเปล่า

“ถ้าความเจ็บปวดที่พี่ได้รับ จะทำให้จิตใจของเราทุเลาลง พี่จะอดทน ...จนกว่าสักวันที่เราพร้อมจะยกโทษให้พี่”

เพราะแบบนั้นไง ผมถึงกลัวว่าใครสักคนจะเข้ามาทำร้ายผม และก็กลัวตัวเองเหลือเกินที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปทำร้ายจิตใจใครสักคนโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ทั้งคนที่รู้สึกและหมดความรู้สึกแล้ว เราล้วนปวดร้าวและเจ็บปวดกันไปคนละแบบเสมอ เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจะโกรธพี่พอร์ชมากเท่าใด แต่ผมก็รับรู้เสมอว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อยกับการตัดสินใจของตัวเขาเอง

เหมือน ๆ กับตัวผมที่เจ็บปวดตลอดเวลาหลังการบอกเลิกโฟล์ค

บอกเลิกโฟล์ค เพื่อต้องการยืนยันกับตัวเองว่าผมเลือกพี่พอร์ช

บอกเลิกหนึ่งคนที่รักเรา เพื่อไปโดนเขาบอกว่าผมไม่ใช่อีกต่อหนึ่ง ถ้าในทางหลักพระพุทธศาสนา สิ่งนี้คงเรียกว่าเวรกรรม น่าเสียดายที่ผมนับถือศาสนาคริสต์ แต่ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ผลมันก็มาจากการทำอะไรไม่รอบคอบของผม

ผมเจอโฟล์ค เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีจากแอปพลิเคชัน เราพบกัน เจอกัน มีอะไรกัน แล้วก็บอกรักกัน ทั้ง ๆ ที่มันยังผ่านไปไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ ผมขาดสติ ด่วนตัดสินใจ คิดแค่ว่าชอบและพอจะไปกันได้ก็เลยตอบรับคำว่ารักด้วยการบอกรักตอบ และปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลไปด้วยอารมณ์และเซ็กซ์

รู้ตัวอีกครั้งผมก็ไปต่อไม่ถูก ไม่สิ ไม่ใช่ไม่ถูกหรอก แค่ผมรู้สึกว่าโฟล์คไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

...สำหรับผม ทุกคนล้วนไม่ใช่ เมื่อผมเจอกับพี่พอร์ช

เราต่างเป็นผู้ร้ายในบทละครชีวิตของใครสักคนเสมอ

ผมคือผู้ร้ายในชีวิตของโฟล์ค ผมบอกรักเขา ผมร่วมรักกับเขา แต่ในขณะนั้นใจของผมกลับมองเห็นแต่ใบหน้าของใครบางคน นั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องหยุด ผมต้องเลือกสักทางที่จะทำให้ผมไม่ต้องจมกับความรู้สึกผิดที่มองเห็นเขาเป็นใครอีกคนตลอดเวลา และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะพูดออกไปตามตรง

โฟล์คไม่ได้ผิดอะไร....เขาแค่ไม่ใช่ เหมือน ๆ กับผมที่ไม่ได้ผิดอะไร ผมแค่ไม่ใช่สำหรับพี่พอร์ช

“พี่รู้ไหม....หลายเดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าพี่เลิกกับผมเพราะอยากกลับไปเป็นแอคเค่อ” เขาว่าทั้งหยาดน้ำตา

ผมพยักหน้ารับฟังและเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของเขา ยิ่งเห็นใบหน้าที่เจ็บปวด ผมยิ่งรู้สึกทรมาน ผมรับรู้แล้วว่าการเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์ เราก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าการเป็นฝ่ายโดนบอกเลิกเลย

“พี่ขอโทษที่พี่ไม่ได้บอกไปตรง ๆ”

“....”

“โฟล์คครับ...พี่บอกเลิกเราเพราะตอนนั้นพี่เจอใครที่พี่คิดว่าเขาใช่มากกว่า”

ทุกอย่างเงียบลงจนเราทั้งสามคนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างของเขา มันตกกระทบลงใบหน้าของผม ทั้งเจ็บปวดจากบาดแผลที่โดนกระทำ ทั้งรสชาติเค็ม ๆ ที่ไหลเข้าปาก ผมทำได้แค่เพียงดึงเขาเข้ามากอดไว้กับตัวเองแล้วพูดต่อไปว่า

“แต่รู้ไหมว่า หลังจากนั้นไม่นาน เขาคนนั้นก็บอกกับพี่ว่าพี่ไม่ใช่ แล้วก็หายไปจากชีวิตพี่ถาวร” ผมว่าต่อ ค่อย ๆ พยุงเขาขึ้นมานั่งพิงไหล่ ไม่นานเจ้าแม็กซ์ก็มานั่งข้าง ๆ ผม ผมค่อย ๆ ปล่อยเวลาไหลออกไปช้า ๆ ค่อย ๆ เล่าความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับผมและพี่พอร์ชให้พวกเขาทั้งสองคนฟัง เสียงสะอื้นดังออกมาเป็นระยะ ๆ ก่อนหยาดน้ำตาของเด็กทั้งสองคนจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ตามเวลาที่เราได้นั่งปรับความเข้าใจกัน

“พี่ดู ...ไม่ตกใจที่ได้เจอผมที่นี่” เขาว่าหลังเรานอนกองกันสามคน ผมอยู่ตรงกลาง มีคนข้าง ๆ อีกสองคนนอนเกยแขน

“พี่จำทุกอย่างเกี่ยวกับเราได้ และก็จำได้ด้วยว่าเราเรียนที่ไหน พอเอามาประกอบกับการที่อยู่ ๆ จะมีใครสักคนมีรูปพี่พร้อมหน้ากากเสือน้อย มันก็เลยเดาได้เลา ๆ ว่าน่าจะเป็นเรา แต่ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรนัก จนกระทั่งเห็นข้อความในไลน์ที่แม็กซ์ส่งมาหาพี่ ซึ่งเราเป็นคนพิมพ์...” ผมว่า

“รู้ได้ไง/ทำไมพี่รู้?” เด็กน้อยทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมกัน ผมหัวเราะร่วน แล้วขยี้หัวเจ้าขี้แงที่เพิ่งหยุดร้องไห้กันไปหมาด ๆ ในใจก็แอบดีใจที่แม้จะไม่อยู่ในสถานะที่เป็นอะไรกันมากกว่าแค่พี่น้องแล้ว แต่เจ้าเด็กทั้งสองก็ยังมีสติมากพอจะมีเหตุผลรับฟังความรู้สึกของผมบ้าง แม้ผมจะบอบช้ำทางร่างกายไม่น้อยก็เถอะนะ

“มันเป็นลักษณะนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการพิมพ์แชทน่ะ เมื่อก่อนพี่ก็ไม่ได้สังเกต เพิ่งมาเป็นช่วงหลังเนี่ยแหละ แม็กซ์มันจะลงท้ายด้วยคำพูดซอร์ฟประมาณหนึ่งมีครับ มีจ้า ในขณะที่โฟล์คจะพิมพ์ห้วน ๆ สั้น ๆ ตามสไตล์แบบที่คุยกับพี่ พอประกอบกับข้อมูลของคนที่เราเอารูปพี่ไปให้เขาก็เลยเข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นเราที่พิมพ์ข้อความมาบอกพี่”

‘ผมไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว’

‘ผมอยากตาย’

‘พี่ไทเกอร์มาหาผมหน่อยได้ไหม?’

และทั้งสามข้อความนั่นแหละที่ทำให้ผมขอร้องให้โชขับรถมาส่งผมถึงที่นี่ พร้อมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนของเจ้าเด็กทั้งสองคนว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันยังไงได้บ้าง รวมไปถึงรูปร่างลักษณะของคนที่โชไปขอข้อมูลมาด้วย ผมคาดการณ์ได้เลา ๆ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง หรือที่แม็กซ์เข้ามาหาผมเพื่อจุดประสงค์อะไร

 “ผมกับแม็กซ์ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เรียนม.ต้นด้วยกัน ก่อนผมจะย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง เราติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมไปคบกับพี่...แล้วก็โดนบอกเลิก” ท้ายประโยคเจ้าตัวเสียงเบาลงนิดหน่อย แม็กซ์เอื้อมมือไปบีบมือให้กำลังใจเพื่อน ส่วนผมหัวเราะแห้งในลำคอ

“ก็ตกใจว่าเพื่อนเป็นอะไร พอถามไปถามมาก็พบว่าเพราะพี่...ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น” เจ้าแม็กซ์อธิบายต่อ

“เลยพยายามเข้าหาพี่ และถามคำถามแปลก ๆ เกี่ยวกับแฟนเก่าที่อายุน้อยกว่า ซึ่งก็คืออยากรู้ว่าพี่คิดยังไงกับเพื่อนตัวเองอ่ะนะ” ผมถาม เจ้าแม็กซ์พยักหน้า หลังจากนั้นเรื่องราวทุกอย่างก็ลงล็อกพอดี ทั้งคนที่เอารูปถ่ายผมไปให้โช ทั้งท่าทีแปลก ๆ ที่ผ่านมาของแม็กซ์

“ผมน่ะ...มันทั้งรัก ทั้งแค้นพี่ ทั้งอยากทำให้พี่กลับมาหาผม อยากให้พี่เจ็บปวดแบบที่ผมรู้สึกบ้าง” โฟล์คพูดต่อ ผมถอนหายใจแล้วลูบหัวทั้งสองคน เข้าใจได้ว่ามันเป็นแผลสดสำหรับช่วงวัยรุ่น แต่ผมก็เชื่อว่าแผลเป็นนี้จะตกสะเก็ดในสักวันใดวันหนึ่ง แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ในสักวัน

“นั่นคือสาเหตุว่าทำไมพี่ถึงไม่ติดต่อกลับไป เพราะพี่รู้ดีว่าถ้าพี่ไม่เด็ดขาด มันจะเป็นการให้ความหวังเราต่อไปเรื่อย ๆ ” พอพูดไปแล้วผมก็อดคิดถึงพี่พอร์ชไม่ได้

ผมเว้นวรรคแล้วพูดต่ออีกครั้ง “บางทีเราอาจจะบอกว่าคุยกันในฐานะอื่นก็ได้ไม่เห็นเป็นไร แต่เราต้องถามหัวใจตัวเองด้วยว่าพร้อมเอาเข้ามาเสี่ยงจริง ๆ เหรอ กับความรู้สึกเก่า ๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นในกันและกัน เพราะพี่เข้าใจดี ทั้งความรู้สึกของคนที่บอกเลิกและโดนบอกเลิก พี่ถึงได้ต้องทำ ทำในสิ่งที่พี่ได้กระทำมา”

“ครับ”

“เราต่างวนเวียนเข้าไปสร้างทั้งรอยยิ้มและบาดแผลในชีวิตใครบางคนเสมอ แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก กับสิ่งที่มันผ่านพ้นไปแล้ว พี่เลยทำได้แค่ประคับประคองปัจจุบันให้มันดีที่สุดเท่าที่มันจะดีได้ และพี่ก็เชื่อว่า สักวันทั้งสองคนจะผ่านพ้นความรู้สึกพวกนี้ไป”

ความเจ็บปวดและบาดแผลที่เราได้รับมา พอเราผ่านพ้นมันไปได้ก้าวหนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นภูมิคุ้มกันความเจ็บปวดในอนาคต มันจะกลายเป็นบทเรียนแบบคำสอนที่ไม่มีคำพูดใด ๆ  แต่เราสามารถเข้าใจมันได้ในตัวเราเอง เหมือนที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าทำไมเขาถึงไม่ติดต่อกลับมา ทำไมเขาถึงไม่เหลือความหวังใด ๆ ให้กับผม

บางครั้งคำบอกลาก็คือการบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมอยากรู้ว่าใครที่ทำให้เพื่อนผมเป็นได้ขนาดนี้ ก็เลยลองเข้าไปหาพี่” แม็กซ์ว่าต่อ

“แล้วก็ดันเผลอชอบเขาเข้าให้อีกคน”

“โฟล์ค !!!”

“หรือแม็กซ์จะเถียงโฟล์ค”

“ก็ไม่เถียงแต่มันก็ไม่น่าพูดไหม?”

“ก็โฟล์คพูดเรื่องจริง”

“เรื่องจริงที่เผาเพื่อนก็ไม่ควรพูดโว้ย” เจ้าแม็กซ์โวยวายขึ้น

ผมหัวเราะเสียงดัง นอนแหงนหน้ามองเพดาน ฟังเจ้าเด็กสองคนนี้ทะเลาะกันแบบน่ารักไปมา หลังจากนั้นสักพักเราต่างก็ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำ ก่อนผมจะออกมาให้เจ้าแม็กซ์ช่วยทำแผลให้โดยมีโฟล์คยืนยกมือขอโทษที่หน้ามืดตามัวไปหน่อย ผมหัวเราะแห้ง ๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ ได้แต่คิดซะว่ามันจะเป็นอีกบทเรียนหนึ่งให้ผมรู้จักการประคับประครองใจใครอีกคน

...ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อย่าเพิ่งด่วนพูดคำว่ารักออกไป ถ้ามันยังไม่ใช่จริง ๆ

ค่ำวันนั้นเราสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมาทานกันง่าย ๆ เพราะเด็กทั้งสองคนทำครัวไม่เป็น ส่วนผมก็หมดแรงและบอบช้ำเกินกว่าจะทำแล้วด้วย พอทานกันไปได้สักพัก เราก็มานั่งย่อยอาหารด้วยการเล่าเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ บรรยากาศอย่างกับเข้าแคมป์รอบกองไฟ กว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มกว่า ๆ ผมนอนตรงกลางโดยมีลูกแพนด้าทั้งสองเกาะแขนผมคนละฝั่ง

“นี่พี่...”

“ครับ”

“ตอนนี้ ...พี่เจอคนนั้นแล้วใช่ไหม?”

“หมายถึง”

“คนที่ทำให้พี่อยากเลิกทุกอย่างนะ” โฟล์คถาม ผมพยักหน้าโดยลืมไปว่าเราปิดไฟนอนแล้ว

“ไม่อยากตอบไม่เป็นไรนะครับ”

“ไม่ ๆ พี่ตอบได้ ๆ เมื่อกี้พี่เผลอพยักหน้ารับ ..ใช่ครับ พี่คิดว่านะ พี่น่าจะได้เจอเขาแล้วล่ะมั้ง? พี่ก็ยังไม่มั่นใจ เพราะก็กลัวอะไรหลาย ๆ อย่าง เลยต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปครับ” ผมกล่าวโดยสรุป

“แปลว่าพี่จะมาหาผม..กับเจ้าโฟล์คไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ” แม็กซ์ถามต่อประโยค

“...ถ้าตอบตามตรง พี่คิดว่าก็ใช่ พื่คงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว แต่อาจจะนัดเจอกับเราทั้งสองคน ทักทาย กินข้าว พูดคุยกันทั่วไป”

“ทำทุกอย่างที่ไม่ได้ทำกันในฐานะแฟนสินะครับ” เสียงประโยคเศร้าลงถนัด ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจแล้วลูบหัวเด็กทั้งสองคนเป็นการปลอบใจ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผมจะหยุดที่ใครสักคนจริง ๆ ผมก็คงไม่สามารถมามีความสัมพันธ์ทางกายแค่ชั่วคราวอะไรแบบนี้กับใครได้อีกแล้วนั่นแหละนะ

“ไมรู้แหละ คืนนี้พี่ยังเป็นของผม” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ไม่ใช่ของผมสิ มาทีหลังแท้ ๆ” เจ้าโฟล์คเสริม

ผมเอนหัวขึ้นมองลูกแพนด้าสองตัวที่เกาะแขนผมคนละข้าง แต่มือกลับเริ่มอยู่ไม่สุข ผนวกกับแววตาที่ทั้งคู่มองมาที่ผมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองอีกรอบ รับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เห็นทีท่าทางคืนนี้ของผมจะยังอีกยาว

....สงสัยได้ขาด SECT เช้าวันพรุ่งนี้แน่ ๆ



TIme talk : วันนี้ขอดราม่าหน่อยนะครับ ....

หมายถึงตัวพ่อแมวเองนะครับที่กำลังจะดราม่า คือถ้าใครไม่ชอบดราม่าสามารถข้ามไปได้เลยนะครับ คือพ่อแมวกำลังตกใจครับว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หลังจากเปิดตัวหน้าปกไป หลาย ๆ ท่านที่เคยมาคอมเม้นท์กันประจำก็หายกันไปเลย หายไปแบบไม่มีคอมเม้นท์หรือฟีดแบคอะไรตอบกลับมาเลย ใจหายครับ เพราะตอนช่วงที่ผ่านมาเป็นอีกปมขมวดของเรื่องที่จะส่งไม้ต่อไปปมจบเรื่อง เลยแอบกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หรือไม่พอใจอะไรตรงไหนไหม TT

ถ้ามีตรงส่วนไหนไม่ชอบ ไม่พอใจ หรืออยากให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง บอกกล่าวกันได้เลยนะครับ

ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมา ๆ ผมแอบตกใจ ท้อถอย ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือตัวงานของผมมีตรงไหนที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วทุกคนไม่สบายใจรึเปล่า ยังอยากอ่าน ยังอยากเห็นคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่นะครับ ผมยอมรับเลยว่ารีเข้ามาหน้าเว็บหลายวันที่ผ่านมาแล้วตกใจมากตั้งแต่หลังปีใหม่เป็นต้นมาเลยครับ

ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ ถ้าไทม์ทอล์กครั้งนี้อาจจะทำให้ไม่สบายใจ ช่วงนี้พ่อแมวค่อนข้างเครียดและกดดันเรื่องหนังสือมากจริง ๆ ครับ ยังไงจะกลับมาลบให้อีกครั้งนะครับ ไม่อยากทำให้ทุกคนเครียดตามไปด้วย

เพราะมันมีแต่ความเงียบ พ่อแมวจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ขอบคุณและขอโทษอีกครั้ง หากทำให้ไม่สบายใจนะครับ



พ่อแมว

05/02/19
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 05-02-2019 23:12:55
เข้ามาให้กำลังใจนะคะ เพิ่งเข้ามาอ่าน
สนุกดีค่ะ ได้แนวคิดหงายแง่มุมเลย
ยังมีปมที่ยังงงๆอยู่นิดหน่อย จะรออ่านต่อนะคะ
คุณพ่อแมวสู้ๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-02-2019 01:50:24
ผ่านมาเยอะเชียว มีหลายเรื่องราวในชีวิตจริงๆ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-02-2019 03:49:57
 :3123: :3123: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 06-02-2019 19:03:22
เวลาอ่านนิยายพ่อแมวแล้วรู้สึก ได้เรียนรู้มุมมองด้านอื่นๆ ความคิดใหม่ๆ เข้าใจว่าบางอย่างถ้าไม่ประสยพบเจอเองไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งหรอก แต่... เพราะพ่อแมวถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครและคาแรกเตอร์ออกมาได้ดีมากๆ เลยออน มันเทาไปหมดเลยอ่ะ ดีนะตอนที่ 25 มีบทที่ทำให้ยิ้มมมได้ รอติดตามชมตอนต่อๆไปนะคะ เป็นกำลังใจให้พ่อแมวพุงโต๋โต งับบ จุ๊บบบ :L2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 09-02-2019 00:14:50
เข้าใจว่ายังไม่ตกลงกับโชนะ แต่ก็แอบไม่ชอบตอนนี้เบาๆ แบบ โว้ยยยย ไม่รู้อะมีคนที่กำลังดูกันอยู่ แต่ก็ยัง... ไม่รุ้อะ ไม่ชอบสารภาพว่าอ่านแค่สามบรรทัดสุดท้าย เห็นว่า เลยไม่ขึ้นไปอ่านต่อ แต่เราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของคนอะ รุ่นพี่เรา เพื่อนเราก็มีเป็นงี้บ้าง พอรับฟังเราก็จะเฉยๆไม่ใส่ใจ แอบไม่ชอบหน่อยๆ แต่ไม่เอาความรู้สึกของตัวเองไปตัดสินใคร เพราะเขาไม่ได้เป็นคนรักที่ดีมากสำหรับแฟนเขา แต่เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีมากๆคนหนึ่งเลย ขแรออ่านตอนหน้าเลยแล้วกันนะค้าาา  :ling3: แอบดีใจที่โพสนิยายในนี้ เพราะเราไม่อ่านไนเด็กดี ไม่รู้ทำไม เราการรีพลายเป็นหน้าๆแบบนี้ก็มีเสน่ห์ดี(ถ้ามีappจะดีมาก)
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-02-2019 23:43:21
หายไปทำงานมาาาาาาา

เรื่องเซ็กซ์หมู่เปิดหูเปิดตามาก แต่เข้าใจนะ
ทำไมโลกมันกลมจัง

ห๊ะเล็ก ๆ ตอนท้าย แต่ก็เข้าใจอีกแหละ

ไม้บรรทัดของคนเราไม่เท่ากัน
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 11-02-2019 22:36:26


Ep.27 Type




ผมตื่นมาเช้าของอีกวันด้วยสภาพสุดเพลีย เจ้าลูกแพนด้าทั้งสองเกาะแขนผมไว้คนละข้างไม่ยอมปล่อย พอเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจแล้วปลง ๆ กับคาบเช้าที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จากระยะทางแล้ว อย่างดีผมก็กลับไปทันครึ่งหลังของเซคบ่ายแน่นอน พอเป็นแบบนั้นผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนจะกลับมานอนให้เจ้าพวกลูกแพนด้าเกาะแขนกันอีกคนละรอบ

“มันต้องใส่น้ำมันก่อนรึเปล่าวะ?”

“เบาไฟโว้ยยย เบาไฟก่อน”

เสียงของหมีน้อยสองคนทะเลาะกันปลุกผมขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะเดินงัวเงียลงไปเจอเจ้าเด็กสองคนกำลังพยายามทอด..อะไรสักอย่างที่ผมมองไม่ออกว่ามันคือเนื้อของสัตว์สปีชีย์ใด สาเหตุเพราะมันไหม้เกรียมจนยากจะคาดเดาต้นสายพันธุ์ได้จริง ๆ  พอทั้งสองคนหันมาเห็นผมก็หัวเราะแห้ง ๆ ผมถอนหายใจพลางปัดมือไล่ให้ผลัดกันไปอาบน้ำ ก่อนตัวเองจะเป็นฝ่ายลงมือทำกับข้าวง่าย ๆ

ดีว่าอีกฝ่ายยังพอจะหุงข้าวเป็นบ้าง (แม้มันจะแอบแฉะ ๆ ก็เถอะ ผมคิดว่าดีกว่าข้าวแข็ง) ผมลงมือทอดเนื้อหมู พร้อมไข่ดาว 6 ฟอง พลางอุ่นไข่พะโล้ในตู้เย็นแล้วตั้งโต๊ะไว้รอทั้งสองคน พอทำทุกอย่างเสร็จผมก็เดินขึ้นมาข้างบน ตอนนี้สิบโมงกว่า ๆ แล้ว พอขึ้นไปถึงก็เจอเจ้าโฟล์คยืนเปลี่ยนเสื้อตรงหน้ากระจก

“อย่าแอบดูผมนะ” เจ้าเด็กนั่นว่า ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้า ตอนอยู่ด้วยกันทำมากกว่าแอบดูไปแล้วนะเว้ย จะมาอายอะไรกับอีแค่นี้ นึกไม่ทันจบประโยคน้องแม็กซ์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเลยเป็นฝ่ายเชิญโฟล์คเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วตัวเองก็ไปนั่งแหมะลงบนเตียงนั่งส่องโซเชียลไปเรื่อยเปื่อย

“พี่ไทเกอร์” น้องแม็กซ์เรียกเสียงเรียบ ผมเงยหน้าขึ้นมามองตอบ

“พี่จะเลิกเล่นทวิตเตอร์แล้วใช่ไหมครับ?”

แววตาสงบนิ่งรอคอยคำตอบจากปากของผม ผมนิ่งเงียบสบตาคู่เดิม สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย หลับตา แล้วพยักหน้าตอบเขากลับไป

“ใช่ครับ พี่จะเลิกเล่นทวิตเตอร์...ไม่สิ พี่คงเลิกทุกอย่างนั่นแหละครับ” ผมว่า ยิ้มกว้างให้กับการตัดสินใจของตัวเอง น้องแม็กซ์ผงกหัวขึ้นลงเบา ๆ เป็นการทำความเข้าใจให้กับตัวเอง ผมเดินไปด้านหลัง เตรียมจะช่วยอีกฝ่ายเช็ดศีรษะที่ยังไม่แห้งดี น้องแม็กซ์ส่ายหน้าแล้วดึงผ้าเช็ดศีรษะออกจากมือของผม

“แม็กซ์ดูแลตัวเองได้ครับ”

แม็กซ์บอก พร้อมยิ้มกว้างให้กับผม ผมพยักหน้ารับทราบตามที่เขาบอก ก่อนจะถอยหลังออกมานั่งเงียบ ๆ บนที่นอนรอเจ้าโฟล์คอาบน้ำออกมา พอเจ้าตัวออกมาเสร็จก็ถึงคิวผมเข้าไปอาบน้ำบ้าง ผมอาบน้ำไม่นานออกมาก็เจอเด็กสองคนนั่งเล่นกันอยู่บนที่นอน

“ไม่ลงไปกินข้าวก่อนล่ะครับ” ผมถาม ก่อนเด็กสองคนจะหันมาตอบกันคนละประโยค

“ยังไม่หิวครับ”

“รอพี่ไง”

ผมพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะจัดแจงแต่งตัวในเวลาไม่นานก็กลับมาสู่ชุดลำลองของตัวเอง ก่อนเราสามคนจะลงไปด้านล่างแล้วทานข้าวพร้อมกัน เจ้าแม็กซ์และน้องโฟล์คผลัดกันพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ตามระยะเวลาที่ทั้งสองคนห่างกันไป ส่วนผมนั่งเป็นผู้ฟังที่ดี คอยเสริมในส่วนที่พอจะพูดได้ตามประสาคนนอก ก่อนจะทานเสร็จลง ทั้งสองอาสาเป็นคนล้างจานให้เพราะผมเป็นคนทำกับข้าวแล้ว

ตกบ่ายมา เจ้าโฟล์คชวนดูซีรีส์ทางเน็ตฟลิกซ์ ผมนั่งดูกับเจ้าพวกลูกแพนด้าทั้งสอง ก่อนจะสนทนาตอบไลน์กับเพื่อนในกลุ่มที่ไลน์กันมาตามยิก ๆ ว่าผมหายไปไหน ก่อนผมจะตอบไลน์ของโชที่ทักมาตั้งแต่เมื่อคืนและตอนสายของวันนี้ พร้อมบอกให้เขาสบายใจว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้นผมจะอธิบายเมื่อเรานัดเจอกันอีกครั้งในเย็นวันนี้ โดยผมไม่ลืมที่จะไลน์ไปบอกให้มาร์ตามไปเจอผมที่สยามด้วยกันนั่นเอง

หลังจากดูซีรีส์จบไปสามตอน ในที่สุดก็ได้เวลาที่ต้องแยกย้ายกลับ เราแต่งตัวแล้วเดินลงมาข้างล่างที่หน้าประตูบ้าน น้องแม็กซ์อาสาขับรถพาผมและเจ้าโฟล์คไปส่งที่ท่ารถตู้ซึ่งเราทั้งสองคนก็ไม่ติดขัดอะไร มีเพียงแต่ผมที่ขอเป็นคนอาสาขับเอง แล้วให้เด็ก ๆ สองท้าย โดยเจ้าแม็กซ์ขึ้นก่อน และตามด้วยโฟล์ค

พอไปถึงท่ารถตู้ ผมก็ถอดหมวกคืนให้น้องแม็กซ์เก็บเข้าใส่ไว้ใต้เบาะรถเงียบ ๆ เจ้าโฟล์คยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินมากอดผมแล้วพูดว่า

“ขอบคุณ ขอโทษ โชคดีนะครับ” สั้น กระชับ ห้วน ๆ สมกับเป็นเด็กคนนี้ ผมยิ้มให้กับอวยพรของเขา ลูบหัว แล้วกอดเขากลับเหมือนกัน

“พี่ก็ขอให้เรามีความสุขในเร็ววันนะครับ” ผมว่าแบบนั้น เพราะคิดว่าหลังจากนี้ต่อไป คงยากมากแล้วที่เราจะได้มาเจอกันใหม่แบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เจ้าโฟล์คสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะร้องอีกรอบ แต่เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วฮึบมันไว้ได้ น้องแม็กซ์ยืนเงียบ ไม่พูดอะไร จนเจ้าโฟล์คต้องสะกิดด้วยการกระทุ้งศอกเบา ๆ

“อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้นะที่จะได้เจอพี่เขา” โฟล์คว่า และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวเดินมายืนตรงหน้าผม ผมนิ่ง รอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มต้นพูดออกมาก่อน น้องแม็กซ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดแล้วยกโทรศัพท์แนบหู ไม่นานสายในไลน์ผมก็แจ้งเตือนว่าน้องแม็กซ์โทรมาหา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนจะรออีกฝ่ายพูด

“เราไม่เคยจินตนาการภาพออกเลย ว่าคน ๆ หนึ่งจะมีหน้าตาแบบไหน ภายใต้หน้ากากที่เขาแสดงให้เราเห็น เราไม่รู้เลยว่าข้างในเป็นยังไง พี่อาจจะคิดว่าเราทักไปหาพี่เพราะแค่เรื่องโฟล์ค แต่จริง ๆ แล้ว ใจเราก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน คน ๆ นี้แล้ว จริง ๆ เนื้อแท้ของเขาเป็นยังไงกันแน่”

“...”

“ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่คู่นอนคนหนึ่งแท้ ๆ แต่กลับดูแลซะจนผมรู้สึกไปซะหมดทั้งใจ พยายามบอกให้ตัวเองไม่คิดอะไร แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เราหลับตา ภาพการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พี่ดูแลเรา มันติดอยู่ในหัวตลอดเวลา ความรู้สึกที่อยู่กับพี่ มันคือความสุข มีความสุขมากจนคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันไปแบบนี้นาน ๆ ก็คงจะดี”

“พี่ก็มีความสุขตอนที่ได้อยู่กับเราครับ” ผมว่า น้องแม็กซ์พยักหน้าแล้วพูดต่อ

“แต่ก็ยังไม่ใช่...ใช่ไหม?”

“ครับ...แม็กซ์ยังไม่ใช่คนที่พี่อยากอยู่ด้วยครับ” ผมตอบกลับอย่างหนักแน่น เจ้าตัวหลับตาลง ปล่อยน้ำตาหนึ่งหยดหยดลงบนพื้น ก่อนจะพยักหน้าเหมือนยอมรับในสิ่งที่ผมพูด

“ไร้สาระชะมัดเลยเนาะ ความรู้สึกเนี่ย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่เวลาไม่นานเอง ทำไมถึงรู้สึกได้มากขนาดนี้กันนะ...” เจ้าตัวพูดต่อ ตาสองข้างเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ

“...”

“ขอบคุณนะครับ พี่อาจจะเบื่อที่จะฟังคำนี้แล้วก็ได้ แต่ผมแม่ง..ผมโคตรมีความสุขเลยตอนได้อยู่กับพี่ เป็นไปได้ผมก็อยากเห็นแก่ตัวขอให้พี่อยู่กับผมต่อไป แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ผม....” น้องแม็กซ์สะอื้นจนต่อประโยคไม่จบ ผมก้าวเท้าเข้าไปกอดเด็กตรงหน้า

“ขอบคุณเหมือนกันที่มอบความรู้สึกดี ๆ มากมายให้กับคนแบบพี่ อาจจะเพราะเรารู้จักกันผิวเผิน เราอาจจะเห็นกันแต่ด้านที่เราอยากแสดงออกให้อีกคนได้เห็น ตัวตนของพี่ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราต้องการ เพราะงั้นแล้ว อย่าเสียใจเลยนะครับ มันจะต้องมีใครสักคนที่มองเห็นคุณค่าของความรู้สึกที่แม็กซ์มี และพร้อมจะดูแลมันมากกว่าพี่แน่ ๆ ครับ” ผมบอก เจ้าแม็กซ์กอดตอบ ร้องไห้จนเสื้อผมเปรอะไปด้วยน้ำตา

ผมกอดปลอบประโลมจนอีกฝ่ายเริ่มดีขึ้น พอได้สติมากขึ้นเจ้าตัวก็ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ก่อนจะส่งผมขึ้นรถ

“โชคดีนะครับพี่ไทเกอร์” น้องแม็กซ์ว่า ผมยิ้มให้เขาก่อนจะกระซิบข้างหู

“ไม่มีไทเกอร์อีกต่อไปแล้วครับ พี่ชื่อ ‘ทรอย’ นะ จะเป็นพี่ทรอยของน้องแม็กซ์ต่อไปนะครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะโบกมือลาให้กับผม ผมยิ้มแล้วโบกมือตอบ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถ มองดูเด็กสองคนที่ยืนปลอบ ก่อนรถตู้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออก เมื่อคนขึ้นมาเต็มคันรถ ภาพเด็กทั้งสองคนค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ ในโฟกัสสายตาของผม ก่อนผมจะมองไม่เห็นพวกเขาทั้งคู่อีก ผมถอนหายใจ ก่อนจะกดไลน์ไปหาโชว่าผมกำลังไปหาเขาตามนัด...

บางทีคำบอกลาที่เราให้กัน มันก็คือคำบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย คำบอกลาอาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำตา แต่คำบอกรักที่ไม่ได้มีความรู้สึกว่ารักอยู่ในคำว่ารัก มันไม่แย่กว่าเหรอ ผมนั่งเท้าคาง มองออกไปนอกตัวรถ ก่อนจะถึงอนุสาวรีย์แล้วต่อ BTS ไปที่สยามพารากอน เพื่อไปเจอกับมาร์ที่มาถึงก่อนหน้าผมแล้ว

“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ?” มันถามเมื่อเห็นสารรูปของผม ผมโบกมือไปมาสองครั้งเป็นเชิงไม่อยากตอบ พอมันเห็นแบบนั้นก็เลยไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีก

“วันนี้มีงานอะไรบ้างวะ” ผมถาม มันแจกแจงงานที่ต้องทำให้ผมฟัง ผมถอนหายใจเหนื่อยอ่อน หลังฟังงานทั้งหมดที่มันว่ามา นี่ผมขาดไปแค่วันเดียวก็แทบจะเรียกตามเพื่อนไม่ทันแล้วเหรอวะ ผมกับมาร์แลกเปลี่ยนงานที่ต้องทำรอบริเวณม้านั่งใกล้ ๆ กับหน้าร้าน H&M ไม่นาน คนที่นัดไว้อีกคนก็ตามมา

“สวัสดีครับ” โชทักขึ้นก่อน  ผมรีบแนะนำตัวให้ทั้งสองได้รู้จักกัน

“นี่มาร์ เพื่อนผมครับ ส่วนนั้นพี่โช เขาอายุมากกว่าเรา” ผมบอก ตอนแรกโชก็ทำสีหน้าปกติ ก่อนเขาจะทำหน้าเหวอตอนเห็นใบหน้าและร่องรอยตามร่างกายของผม

“ไหนคุณบอกว่าคุณไม่เป็นอะไร” เขาถาม น้ำเสียงตกใจนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าโชรู้ตัวหรือไม่ รู้สึกตัวอีกทีเขาก็จับตามเนื้อตามตัวผมดูแล้วว่าเกิดร่องรอยอะไรขึ้นบ้าง และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมถึงยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วผมไม่ชอบให้ใครมาซักไซ้หรือถามไถ่ในเรื่องที่ผมไม่ได้อยากจะนำเสนอ

...อาจจะเพราะแววตาที่สะท้อนความเป็นห่วงออกมา ผมถึงไม่กล้าขัดขืนตอนที่เขาเข้ามาหา

“ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ แค่นี้เล็กน้อยมากครับ” ผมว่า พยายามเรียกสติโชว่าตอนนี้เราไมได้อยู่กันสองคน

“ไม่ต้องห่วงครับพี่ เพื่อนผมมันตายยาก” เจ้ามาร์ช่วยซัพพอร์ตอีกแรง แต่ผมแอบเห็นมันทำหน้าสงสัยอยู่ไม่น้อย สงสัยรอบนี้กลับไปผมคงโดนซักฟอกประวัติของโชให้เพื่อน ๆ ในแก๊งได้ฟังจนครบองค์ประชุมแน่ๆ พอเห็นผมทำสีหน้าหนักแน่นจริงจัง อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทราบ แต่ก็แอบถอนหายใจเบา ๆ

“อย่าทำให้เป็นห่วงบ่อย ๆ สิครับ”

ผมทำสีหน้าไม่ถูก ส่วนเจ้ามาร์แอบเหวอไปนิดหน่อยที่ผมไม่ตอบรับหรือบอกปัดอะไรกับคำกล่าวนั้น และเหมือนในที่สุดสติของโชที่หลุดไปก็กลับมา เจ้าตัวกระแอมไอก่อนจะถามผมทั้งสองคน

“แล้วหิวข้าวกันรึยังครับ พี่ว่าไปกินข้าวกันดีกว่าไหม?” เพราะผมแทนตัวโชว่าพี่ไปแล้วต่อหน้าเพื่อน อีกฝ่ายเลยต้องตามน้ำไป ผมพยักหน้า ส่วนเจ้ามาร์ตั้งใจมากินเต็มที่อยู่แล้ว โชเดินนำหน้าพวกเราสองคน ก่อนจะถอดสูทตัวนอกออกแล้วแขวนไว้กับแขนของตัวเอง

“วันนี้ทานอาหารญี่ปุ่นแล้วกันเนาะ” ผมกับเจ้ามาร์พยักหน้า ยังไงเราสองคนก็ทานได้ทุกอย่างอยู่แล้ว อาหารญี่ปุ่นก็ดีไปอีกแบบเหมือนกันสำหรับผม โชเดินนำหน้าพวกเราสองคนไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่ง เราเลือกโต๊ะมุมหลังร้านที่ไม่ติดกับโต๊ะที่มีคนนั่ง ก่อนผมกับโชจะนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนเจ้ามาร์นั่งข้างผม บริกรนำเมนูมาให้ ก่อนเราจะเลือกกันไปคนละสองสามอย่าง เพราะเกรงใจเจ้าภาพจากราคาอาหารที่เริ่มต้นได้โหดร้ายกับกระเป๋าสตางค์เป็นบ้า

“ไหนมึงบอกว่าเขาเป็นนักเขียนธรรมดา ๆ วะ” มาร์กระซิบกับผม ผมหัวเราะแห้ง ๆ เพราไม่รู้จะตอบมันกลับว่ายังไง

ว่าก็ว่าเถอะ ในขณะที่โชดูเหมือนจะรู้จักผมดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมกลับเพิ่งสังเกตได้ ว่าตัวเองแทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย นอกจากเรื่องทั่ว ๆ ไปที่รู้จักผ่านการอยู่ด้วยกัน สงสัยหลังจากวันนี้ไป ผมคงต้องพยายามเรียนรู้เรื่องของอีกฝ่ายให้มากขึ้นกว่านี้นะครับ

เรานั่งคุยเรื่องทั่วไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรออาหาร ผมแอบสังเกตว่ามาร์แอบทดสอบคนตรงข้ามบ่อย ๆ จนผมแอบหยิกอยู่หลายครั้ง ทำเอาผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมชวนมาผิดคนรึเปล่า รู้แบบนี้ผมน่าจะชวนดาวตกมา จมูกของหมอนั่น ดมกลิ่นไม่ได้ไวเท่าเพื่อนสนิทของผม เคราะห์ดีที่โชยังพอเอาตัวรู้ หลบซ้าย หลบขวาจากหลายคำถามที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็แอบทดสอบอีกฝ่ายอยู่เรื่อยไป จนอาหารมาเสิร์ฟครบนั่นแหละครับ เราถึงได้เลิกคุยแล้วต่างคนต่างทานอาหารเงียบ ๆ ก่อนจะฟาดเรียบกันในเวลาไม่ถึงครึ่งชมต่อไป

และก็ได้เวลาที่โชจะได้เริ่มต้นทำงานของเขาสักที

“วันนี้ผมจะสัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับการใช้แอปพลิเคชันของทั้งสองคนนะครับ ถ้าตรงไหนอยากเสริมหรือขาดตกบกพร่องยังไงบอกได้เลยนะครับ” โชว่า

วันนี้ที่เรานัดมาเจอกัน เพราะโชต้องการสัมภาษณ์ผมและเพื่อนอีกคน ในฐานะผู้ใช้งานแอปพลิเคชันเกย์มาสารพัดแอปแล้ว ว่ามีความเหมือน ความต่าง และมีความน่าสนใจจากอะไรตรงไหนบ้าง รวมไปถึงลักษณะของกลุ่มผู้ใช้งานและทาเก็ตกรุ๊ปต่าง ๆ และเพราะเหตุผลนี้ ผมถึงชวนมาร์มาด้วย แม้อีกฝ่ายจะไมได้เล่นทวิตเตอร์แบบผม แต่มาร์เองก็เชี่ยวชาญเรื่องของการนัดเดตไม่น้อยไปกว่าผมแน่ ๆ

“โอเค ก่อนอื่นทั้งสองคนเคยเล่นแอปอะไรกันมาบ้างครับ” โชเปิดประเด็น ผมส่ายหน้าแล้วให้เขาถามข้อถัดไปเลย

“เราทั้งคู่เคยเล่นมาหมดทุกแอปแล้วครับ” ผมว่า มาร์พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นแอปไหนที่ทั้งสองคนชอบมากที่สุด และชอบเพราะอะไร” โชถามต่อ  ผมหันไปมองหน้ามาร์เหมือนถามกันว่าใครจะพูดก่อน

“ผมชอบ blued” มาร์ว่า

“ส่วนผมชอบ hornet” ผมตาม

“ชอบเพราะ?” โชถามต่อ

“คือ บลูมันลบรูปได้ มีการตั้งเวลา ก็ถือว่าช่วยระดับหนึ่งเหมือนกัน เวลาที่ต้องการส่ง ‘บางรูป’ ที่อาจจะไมได้อยากให้ค้างเครื่องอีกฝ่ายหรือกดเซฟไปได้และอีกอย่าง มันมีไลฟ์สดด้วย บางทีผมก็เอาไว้ส่องคนอื่นบ้างทำนองนั้น” เจ้ามาร์ว่า

“ส่วนของผมที่เล่นแอปตัวต่อ เพราะผมรู้สึกว่ามันตอบโจทย์มากกว่า คือไม่ใช่แอปอื่นเราไม่เล่นนะ ก็เล่นหมดแหละ แต่ผมว่าในบรรดาแอปทั้งหมด ตัวต่อดีลง่ายสุด แต่ตรงประเด็นสุดด้วย ผมเคยเล่นบลูแล้วบางทีก็เรื่องเยอะ ขอคอลเสียงก่อนบ้าง หรืออย่างแจ็คดี ผมว่ามันอาจจะเวิร์กสำหรับคนอื่น แต่แถบมหาวิทยาลัยผมแล้วไม่ค่อยมีใครเล่น ส่วนแอปอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้เช่นทินเดอร์ หรือแอปแชทคุยอื่น ๆ มันไม่ได้ตรงจุดประสงค์” ผมสรุปในส่วนของผม

“คิดว่าแอปไหนคนเล่นเยอะสุด?” โชถามต่อ

“ไม่รู้หรอก บอกไม่ได้ แต่ถ้าเอาตามความคิดผม เด่น ๆ ก็วนเวียนแถวนี้แหละ แต่ส่วนตัวผมว่าตัวต่อคนเยอะกว่า รองลงมาก็บลู ละก็ไล่ไปเรื่อย ๆ ” ผมว่า

“แต่ผมคิดว่าบลูน่าจะเยอะกว่า เหตุผลง่าย ๆ คือมันมีไลฟ์โชว์ครับ หลายคนบางทีก็ไม่ได้อยากแชทนัดหาคนอื่น แต่อยากดูแค่คนที่เข้าไปโชว์เฉย ๆ ก็มี ดังนั้นแล้วผมว่าบลูเยอะกว่า” เจ้ามาร์เสนอความคิดเห็นบ้าง โชจดรายละเอียดทั้งหมดลงในเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง ก่อนจะถามต่อ

“ปกติแล้วเล่นแอปกันยังไงบ้างครับ หมายถึง เวลาทัก ทักไปหาอะไรกันยังไงบ้าง นัดแบบไหนกันงี้ เอาเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละคนก็ได้ครับ” โชถามต่อ รอบนี้มาร์เป็นฝ่ายตอบก่อน

“ก็ ผมนะ จะเล่นช่วงเวลาว่างและช่วงเวลา ‘อยาก’ ครับ ก็เปิดส่องดูไปเรื่อย ๆ อย่างบลูนะ มันจะโชว์ใชไหมว่าใครเขามาส่องเราบ้าง ถ้าเราสนใจคนไหนก็อาจจะส่องเขากลับ อารมณ์ประมาณแบบ ‘ผมก็สนใจคุณนะ’ ถ้าเขาสนใจเรา เขาจะเป็นฝ่ายทักมาครับ ผมไม่ค่อยชอบทักหาใครก่อน เพราะการเปิดก่อนเปิดหลังมันเป็นเรื่องอำนาจในการดีลด้วย ระหว่างคนที่อยากได้ กับ คนที่โดนอยากได้ มันจะมีความแตกต่างกันนะ เวลาที่จะต่อบทสนทนากันน่ะ” มาร์ว่า

“มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“ก็มากอยู่นะคุณ คิดดูนะ สมมติว่าเราเป็นฝ่ายทักไปก่อน แปลว่าเราสนใจเขาถูกต้องไหม ดังนั้นแล้วอำนาจในการตัดสินว่าจะเกิดดีลขึ้นหรือไม่เกิดดีลขึ้นอยู่กับคนโดนทักนะครับ ไม่ใช่คนทัก แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่ก็แห้วรับประทานเพราะความเล่นตัวของตัวเอง” ผมตอบแทนมาร์ ส่วนเจ้าตัวพยักหน้าแล้วกล่าวเสริม

“ดังนั้นแล้วถ้าจะ ‘ดีล’ ก็คือจะไม่พูดมากคุยเยอะ ว่างตรงกันไหม สะดวกรึเปล่า ไปห้องใครอะไรยังไงดี เท่านี้ก็เป็นอันจบดีลแล้วสำหรับบลู ฟังค์ชันอื่น ๆ ไม่ได้แตกต่างจากแอปที่เหลือมาก ก็มีปลดล็อกรูปที่ซ่อนไว้ได้ จะโดดออกมาหน่อยก็ตรงมีการตั้งเวลา มีการเรียกรูปคืนกลับ แล้วก็มีไลฟ์สด เผื่อสำหรับใครที่อยากชมแต่ไม่ได้อยากช็อป” เจ้ามาร์สรุป

“ผมชอบความคลาสสิคนะ คือไม่ใช่บลูไม่ดีนะ แต่ผมแค่ชอบตัวต่อมากกว่า เพราะมันมีแค่ช่องแชทกับให้โพสต์นิด ๆ หน่อย ๆ ผมรู้สึกว่าคนที่เล่นบลูอาจจะเล่นเพราะแค่อยากส่องได้ แต่ตัวต่อมันส่องอะไรแทบไมได้เลย นอกจากเลื่อน ๆ แล้วนัดดีลกันเลย ซึ่งผมว่ามันตรงประเด็นและไม่เสียเวลาดี

แล้วอันนี้จากความรู้สึกของผม ตัวต่อมันแม่น GPS มากกว่าในการแสดงระยะห่างอ่ะ เพราะถ้าห่างมากไปก็ไมได้อยากได้ เพราะเดินทางลำบาก ง่าย ๆ คือระยะมาตรฐานที่ส่อง ๆ กันจะพยายามไม่ให้เกิด 1 กิโลเมตร จากรอบตัว หรือมากสุดก็แบบ มหา’ลัยข้าง  ๆ สักสามกิโลเมตรก็ยังดี เน้นเดินทางสะดวกเป็นหลัก”

“ว่าง่าย ๆ ทั้งสองคนเลือกแอปจากความชอบในการใช้งาน ถูกต้องไหมครับ?” โชถามต่อ ผมและเจ้าเกลอพยักหน้า

“แล้วปกติบทสนทนาเจอคำถามอะไรซ้ำ ๆ กันบ้างไหมครับ แบบแพทเทิร์นไหนที่เจอบ่อย ๆ แล้วมีอันไหนบ้างไหมที่เราชอบไม่ชอบ” โชถาม ผมเบะปากและพูดต่อทันที

“คำถามยอดฮิตของการนัดดีลที่เจอประจำคือ ‘แบบไหนครับ’ คือใจ ได้นะว่าต้องการหาคู่ที่แมทซ์กัน แต่แบบ คุณเข้าใจไหม หน้าโปรไฟล์ผมเขียนไว้แล้วไงว่า ‘I’m Top’ หลัง ๆ มาผมเลยเขียนไว้ในชื่อเลยว่า ‘รุก’ นะครับ เพราะหวังจะตัดปัญหา เฉลย คำถามแบบนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น น่าเบื่อมากสำหรับผม มันทำให้รู้สึกว่าไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายไปเลย” ผมว่า โชหัวเราะแห้ง ๆ

“แอบโหดนะคุณนะ”  โชพูดยิ้ม ๆ ผมยักไหล่

“ถ้ากับเรื่องแค่อ่านโปรไฟล์ข้อมูลพื้นฐานอีกฝ่ายคุณยังไม่ทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบนเตียงหรอก เข้ากันไม่ได้แน่นอน พาลจะหงุดหงิดเหม็นขี้หน้ากันเปล่า ๆ” ผมว่า ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ แค่อ่านโปรไฟล์ที่เราบอกรายละเอียดไว้หมดแล้วคุณยังไม่ทำ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องบนเตียง ที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายมากกว่าแค่การอ่านตัวอักษรด้วยซ้ำไป

“อันนั้นผมก็เบื่อเหมือนกัน แต่คำถามที่ผมว่าน่าเบื่อกว่าเยอะ คือคำถามว่า ‘สาวไหม’ กับอารมณ์เหมือนกลัวผมเอาเรื่องที่นัดดีลกันเนี่ยไปเล่าให้ใครฟัง อธิบายความเมื่อยทีละส่วนก่อน ไอ้สาวไหมเนี่ยแม่งโคตรน่าราญสำหรับผมมาก ๆ ถามว่าเข้าใจไหม ใช่ ผมเข้าใจได้นะ ว่าบางทีคาแรคเตอร์ข้างนอกมีผลต่อการตอบสนองกับเรื่องบนเตียง เขามีสิทธิ์ที่จะถาม แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบหรือรำคาญ ถูกไหม?”

“กูโคตรเข้าใจ ” ผมพูดกับมาร์ เว้นวรรคและหันมามองหน้าโช พร้อมพูดต่อ

“คุณนึกอารมณ์ออกไหม แบบ มาถามเราว่าสาวไม่สาว คือเรายอมรับในตัวคำถาม แต่มันไม่ถูกใจเราไง อารมณ์แบบนายแสดงออกไหมเพราะกลัวคนรู้ว่าตัวเองมีรสนิยมแบบนี้ คือยังยืนยันนะว่ามันไม่ผิดอะไร เขาไม่ผิด ถ้าอยากได้คนแมน ๆ ในการดีล แต่มันน่ารำคาญจริงจัง ยิ่งสถานะเป็นรุกด้วยอ่ะคุณ มันจะอารมณ์แบบ เห้ย ผมเป็นรุก ผมจะสาวอ่อนแอ่นอรชรได้ไงวะ มันเลยเป็นคำถามที่ชวนปรี๊ดแตก ไม่อยากคุยต่อมาก ๆ เหมือนกัน”

“ต้องบอกว่า เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่เข้าใจไม่ได้แปลว่าเราจะโอเคกับคำถามแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริง ๆ เรื่องการแสดงออกพวกนี้ มันไม่มีบรรทัดฐานเลยนะครับ ไม่มีมาตรฐานมาวัดว่า อ่อ คุณแสดงออกแบบนี้ เท่ากับคุณออกสาวนะ หรือคุณทำตัวแบบนี้เท่ากับคุณแสดงออกนะ มันเยอะสิ่งไปหมด เหมือนบางคนอยากได้กับผู้ชายที่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ที่เป็นเกย์อ่ะคุณ             ซึ่งทั้งหมดมันแล้วแต่คนนิยามไง มันเลยยุ่งยากไปหมดในแต่ละครั้ง” เจ้ามาร์ช่วยพูดเสริมสนับสนุน

“ส่วนไอ้ที่มาร์พูดแบบ ความลับนะ ไม่ไปบอกใครนะ อ่ะ อันนี้ก็เข้าใจได้ มันมีเกย์บางคนจริง ๆ ที่มีสถานะที่แบบ ต้องตรงไปตาม ‘มาตรฐานเกย์ที่ดีจากมุมมองที่สังคมคาดหวัง’ เพราะนัดดีลเท่ากับว่าคุณเป็นคนไม่ดี หรือถ้าพูดภาษาบ้าน ๆ เขาจะมองว่าคุณร่าน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว มันก็แค่การตกลงแลกเปลี่ยนความต้องการในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง

 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกอีก ในขณะที่สังคมไม่เคยคาดหวังอะไร จากผู้ชายผู้หญิงว่าต้องทำตัวแบบไหน เพศทางเลือกกลับต้องทำตัวให้สังคมยอมรับถึงจะมีที่ยืน อันนี้แหละ เป็นประเด็นที่ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนแบบไหน หรือมีรสนิยมทางเพศยังไง เราไม่เห็นจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้มีที่ยืนเท่ากับเพศชายหญิงเลย ในเมื่อทุกคนก็เป็นคนเท่ากัน”    ผมพูดยาว เจ้ามาร์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วเสริมต่อ

“และผมถามจริงนะ ไอ้ที่เราจะไปบอกคนอื่นน่ะ จะไปบอกยังไง จะแบบ ‘เห้ย ๆ มึง กูเคยได้คนนี้มาแล้วนะเว้ย แม่งเด็ดสัส’ งี้เหรอครับ? ผมว่ามันไร้สาระกับการต้องมาถามอะไรแบบนี้ มันควรเป็นเรื่องปกติของคนที่นัดดีลแล้วว่าจะไม่มีการไปพูดต่อ การดีลคือการกินเงียบ ๆ ผมไม่เคยเห็นใครที่ดีลแบบคนทั้งโลกรับรู้แล้วจะกินได้ยาวนานเลย คนเป็นงานจริง ๆ เขาไม่พูดอะไรหรอก บนเตียงก็ส่วนบนเตียง ชีวิตส่วนอื่นก็ต้องแยกกันสิ” เจ้ามาร์ว่า ส่วนผมพยักหน้าเห็นด้วย





Time talk : สวัสดีครับทุกคน ก่อนอื่นขอโทษมาก ๆ สำหรับความประสาทรับประทานของผมในตอนที่แล้วนะครับ ผมลืมไปเลยว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นกับทุกคน ยังไงถ้าสำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวสอบ พ่อแมวขอเป็นกำลังใจให้ และขอให้ทุกคนสอบออกมาได้สมกับความพยายามที่ผ่าน ๆ มานะครับ ส่วนใครที่เตรียมตัวทำอะไร ขอให้สมหวังในทุกประการที่ปรารถนานะครับ

ช่วงนี้ฝุ่นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ยังไงป้องกันไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

สุขสันต์ล่วงหน้าสำหรับวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงนะครับ


รักทุกคนเสมอ อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะครับ :]

พ่อแมว

11/02/19

 
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-02-2019 03:34:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 12-02-2019 07:16:56
ทั้งคู่ตอบได้ตรงประเด็นมากค่ะ  :katai2-1:
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 19-02-2019 22:32:31


Ep.28 Hope you so




“คิดว่าปัจจัยอะไรที่สำคัญที่สุดในการดีลของคนทั้งสองคนครับ” โชถามต่ออีกครั้ง

“อารมณ์ของคนไงคุณ ไม่มีอะไรจะมากไปกว่าความต้องการ และการตอบสนองของคนเราในช่วงเวลานั้น ๆ แล้ว คือไม่ว่าจะเป็นตัวท็อป ตัวรอง ถ้าจังหวะมันพอดีกัน ดีลนั้นก็มีสิทธิ์สำเร็จสูงครับ ผมถึงได้บอกไง ว่าบางทีจังหวะฟลุก ๆ ได้ตัวท็อปมาก ๆ ก็มี ผมลองสมมตินะ เรานั่งคุยกันเมื่อ 10 นาทีก่อน ถ้าจังหวะมันได้ก็อาจจะมีคนที่ลุกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันแล้วสองคน”    ผมว่า

“ง่ายขนาดนั้นเลยนะครับ” โชต่อบท ผมสองคนพยักหน้าพร้อมกัน

“ง่ายมากกว่าที่ใครคิดอีก การมีเซ็กซ์ไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าจะบอกว่ายากก็คงจะเป็นแค่การเตรียมตัว แต่ถ้าแค่ภายนอก 10 นาทีที่แวบไปห้องน้ำ เป็นเวลาเหลือเฟือที่จะแลกเปลี่ยนความต้องการของคนสองคน ดังนั้นแล้ว อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ” ผมสรุปอีกครั้ง โชพยักหน้ารับทราบข้อมูลก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“แล้วนี่เราสองคนจะกลับมหา’ลัยกันยังไงนะ? ให้ผมไปส่งไหม?” โชถาม พร้อมเสนอตัว

“ไม่เป็นไรครับ ไปมา ๆ คุณจะเหนื่อยเปล่า ๆ เดี๋ยวผมนั่งรถตู้กลับพร้อมเจ้ามาร์ได้” ผมว่า เรานิ่งเงียบ ประสานสายตากัน

“ผมไปเข้าห้องน้ำแปปหนึ่งนะครับ” เจ้ามาร์บอก แล้วลุกออกจากโต๊ะไป พนัน 20 เหรียญเลย มันโกหกเพราะต้องการปล่อยให้ผมอยู่กับโชสองคนแน่ ๆ ไอ้เพื่อนเวร !!!

“คุณกลัวเพื่อนรู้เหรอ?” โชเปิดประเด็น ผมส่ายหน้า

“ไม่หรอก ผมไม่ได้กลัวทั้งนั้น ถ้าจะคบใครสักคน ยังไงเพื่อนผมก็ต้องรู้แหละ เพียงแต่ที่ผมไม่ได้อยากให้คุณไปส่ง เพราะผมคิดว่ามันเสียเวลาคุณเปล่า ๆ ” ผมว่า

“จะขับรถกลับไปกลับมาทำไมหลาย ๆ รอบ ยิ่งคุณทำงานมาเหนื่อย ๆ  อีก”

“ก็ผมเป็นห่วงคุณ”

“...แล้วคิดว่าผมไม่ห่วงคุณที่ขับรถไป ๆ มา ๆ เหรอครับ?”


เราจ้องตากันอยู่นานสองนาน สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ถอนหายใจแล้วโบกไม้โบกมือตรงหน้าผมเป็นเชิงยอมรับในการตัดสินใจของตัวผมเอง

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดแล้วก็...” ผมเว้นวรรค โชมองหน้าเหมือนรอให้ผมพูดต่อให้จบ

“คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีเหมือนกัน ตอนที่ผมยังไม่สามารถดูแลคุณได้นะครับ” ผมพูดต่อจนจบ เจ้านากเผือกสีหน้าขึ้นเลือดฝาดเล็กน้อย ก่อนจะตะแหง่ว ๆ เปลี่ยนเรื่องไปซะแบบนั้น

“ว่าแต่ว่า ไปบ้านน้องเขามา เป็นไงบ้างครับ?” เขาถาม ผมกลืนน้ำลายเหนียว  ๆ ลงคอ กำลังคิดว่าจะพูดความจริงออกไปทั้งหมด กึ่งเดียว หรือไม่พูดอะไรออกไปเลยดี แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะจ้องตาเขาแล้วตอบ

“ผมไปอธิบายเรื่องทั้งหมด ทั้งตัวผมเอง ทั้งเรื่องการตัดสินใจ แล้วก็...” ผมว่า พูดค้างไว้ มองหน้าเขา และพูดต่อ

“เมื่อคืนผมมีอะไรกับน้องเขาด้วย ทั้งสองคนเลย”

พอพูดจบผมก็รอดูรีแอคชันตอบกลับจากโช เขาอ้าปาก ใบหน้าเขินอมชมพู พร้อมทั้งพูดตอบผมกลับว่า

“นี่คุณ...พร้อมกันสองคนได้ด้วยเหรอ แข็งแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เขาว่า เสียงเหมือนติดจะเขิน ๆ

“ก็ ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่มันก็...เดี๋ยวก่อนคุณ โอ๊ย คุณโฟกัสผิดประเด็นรึเปล่าเนี่ย” ผมว่า ไม่รู้ทำไมต้องมาเขินกับข้อสังเกตง่าย ๆ ที่เขาตั้งคำถามด้วย แต่ประเด็นคือ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจำเป็นจะต้องเอามาพูดกันแบบนี้ไหมล่ะครับ

 เขาควรโฟกัสที่ว่าผมกำลังนอกใจเขารึเปล่าไม่ใช่เหรอ?

“แล้วคุณจะให้ผมโฟกัสอะไร...รึเปล่าคุณไม่ได้ป้องกัน?” เขาพูดต่อพร้อมทำตาโต สาบานได้ว่าถ้านั่งข้าง ๆ กัน ผมจะหยิกเอวเขาสักทีสองที ให้เขียวเป็นจ้ำ ๆ ผมตวัดมองค้อนพร้อมตอบกลับ

“ป้องกัน และก็เปลี่ยนถุงยางอนามัยด้วย ตอนที่มีอะไรกับคนที่สอง แต่เรื่องที่ผมคิดว่าคุณน่าจะโฟกัส คือเรื่องที่ผมไปมีอะไรกับคนอื่นรึเปล่า” ผมถามเข้าเป้า เขาร้องอ๋อออกมาหนึ่งคำ แล้วตอบกลับ

“ก็ ไม่เชิงว่าไม่รู้สึกอะไร พอได้ยินตรง ๆ ผมก็ตกใจแหละนะ แต่ก็คิดได้ว่าเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน เป็นแค่คนคุย แล้วอีกอย่าง ผมก็เคยบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมโอเคกับการที่คุณมีอะไรกับคนอื่น แต่ต้องป้องกัน แค่นั้นเอง” เขาว่า และประโยคนั้นยิ่งเหมือนค้อนที่กลับมาทุบผม เพราะผมเองนั่นแหละ    ที่เป็นคนพูดว่าไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น

ผมถอนหายใจออกมาแล้วเอามือเขกกบาลตัวเอง

“คุณกำลังรู้สึกผิด?” โชถาม ผมพยักหน้า

“อ่ะ ถ้าแบบนั้นผมก็อยากจะบอกว่า ผมดีใจนะ นั่นแปลว่าคุณแคร์ผมจนคุณรู้สึกผิดและละอายแก่ใจตัวเอง แต่ยังไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้นก็ได้ เพราะเอาจริง ๆ ผมก็คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะมีอะไรกับคุณนะ” เขาว่า

“ดังนั้นแล้ว มันก็ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าไม่แฟร์อะไรหรอก ที่คุณจะไปมีอะไรกับคนอื่น” โชเสริมต่อ ผมพยักหน้ารับคำแต่ส่ายหน้าเบา ๆ

“คุณไม่ควรใจกว้างมากขนาดนั้น ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่คุณไม่คิดอะไรมาก แต่อีกใจผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าคุณไม่ได้หวงผมจริง ๆ จัง ๆ สักเท่าไหร่” ผมว่า ท้ายประโยคแอบตัดพ้อเบา ๆ

“หวงสิ...”

“...”

“ผมหวงคุณมาก ๆ แต่ผมก็เข้าใจคุณดีมาก ๆ เหมือนกัน คุณเป็นแอคเค่อ เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีความกำหนัด มีความต้องการ และนั่นก็ทั้งเด็กที่คุณเอ็นดู ทั้งคนที่คุณเคยคบหาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นแล้วพฤติกรรมที่แสดงออกมา อย่างน้อยแค่คุณกล้าที่จะยืดอกบอกกับผมตรง ๆ มันก็โอเคมาก ๆ แล้วสำหรับคนที่ยังไม่ได้มีสถานะอะไรกันเลย ผมถึงบอกไงว่าผมดีใจ ที่เหมือนคุณจะแคร์ผมบ้างแล้ว ถึงคิดในการกระทำของตัวเองแต่ละครั้งว่ากระทบกับผมไหม” โชว่า เขายิ้มตาหยี

“ครับ”

“แล้วคิดว่า มันจะมีแบบนี้อีกไหม สำหรับเด็กสองคนนั้น?” เขาถาม

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าถามผม คงไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผมสร้างบาดแผลไว้ให้กับพวกเขามากเกินไปแล้ว สักวันเขาจะก้าวผ่านรอยร้าวนั้นไปได้ ส่วนเซ็กซ์เมื่อคืน สำหรับผมแล้วมันคือคำอธิบายทุกคำพูด ที่ใช้ร่างกายต่างหลอดลมในการตะโกนพูดถ้อยคำหลาย ๆ อย่างออกไป ผมบอกรักพวกเขาผ่านการกระทำของผม แต่เป็นการบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้สิ คุณอาจจะมองว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างในการสนองความต้องการของตัวผมเองก็ได้นะ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับคำแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ก็...ไปเคลียร์ให้จบแล้วกันนะครับ สำหรับทุกเรื่องเลย” โชว่า ผมพยักหน้ารับคำเขาบ้าง

“ขอบคุณนะครับ”

“ผมมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ” เขาพูด ผมถอนหายใจเบา ๆ คน ๆ นี้บทจะดีก็ดีไปหมดจริง ๆ เล่นเอาผมเดาทางไม่ออกเลยว่า ถ้าเวลาที่เขาเจอเรื่องไม่โอเคขึ้นมา เขาจะรับมือกับมันยังไงบ้าง ในโหมดเกรี้ยวกราดจะมีการออกอาการอาละวาดอะไรบ้างไหมนะ?

...ผมรู้เรื่องเขาน้อยเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ

“ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้จังครับโช”

“...”

“สัญญานะ ต้องเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องคุณบ้าง ผมอยากค่อย ๆ รู้จักคุณไปเรื่อย ๆ แบบนี้จังเลย” ผมว่า โชหลับตาลงแล้วพยักหน้าเบา ๆ

“อื้ม ...ผมจะอยู่กับคุณ จนกว่าคุณจะรู้จักผมดีเลยแหละ”

ไม่รีบ ไม่ร้อน เป็นความสัมพันธ์เย็น ๆ ที่ผมสัมผัสได้ระหว่างเราสองคน มีช่องว่างตรงกลางให้ได้อยู่คนเดียวให้หายเหนื่อยบ้าง ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน รับรู้ว่าเราค่อย ๆ ปล่อยให้เรื่องทั้งหมด จากทั้งความรู้สึกและอื่น ๆ พัฒนาตามกาลเวลา และเหตุการณ์ที่เราทั้งคู่ได้พบเจอ ผมค่อนข้างชินกับความสัมพันธ์ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเดินต่อด้วยตัวมันเอง ส่วนเราก็ทำแค่เพียงประคับประคองมัน

…ผมหวังว่า ‘เรา’ จะ ‘ใช่’

เรานั่งคุยกันต่ออีกสักพักถึงเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ก่อนเจ้ามาร์จะกลับมาจากห้องน้ำ หลังผมไลน์ไปบอกมันว่าทุกอย่างโอเคแล้ว ให้กลับมาได้แล้ว ก็เป็นผมเองที่ขอเวลาไปเข้าห้องน้ำชั่วครู่บ้าง พอกลับมาผมก็เห็นโชหน้าแดงนิดหน่อย พนันเพิ่มอีกหนึ่งร้อยเหรียญ ผมว่าเข้ามาร์ต้องแอบปั่นเรื่องของผมให้โชได้ฟังอย่างแน่นอน

ผมกลับไปนั่งคุยที่โต๊ะ เราคุยเรื่องอะไรกันนิดหน่อย ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่าเราคงออกมาเจอกันอีก หมายถึงผมกับโช และอาจจะมีเพื่อน ๆ ผมบางคนมาแจมด้วยในกรณีที่เรามี Topic อะไรที่อยากหาแนวร่วมในการสัมภาษณ์ โชเดินมาส่งผมกับมาร์ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไปลงอนุสาวรีย์ ก่อนจะนั่งรถตู้กลับที่พักและมหาวิทยาลัยของเรา

ก่อนจะแยกย้ายกันหน้าหอพัก เจ้ามาร์ซักไซ้ผมไม่หยุดถึงที่มาที่ไปของโช แต่ก็นั่นล่ะ ใครจะเล่าได้ว่าไปเจอกันอีกท่าไหน สุดท้ายผมใช้ความเงียบสยบทุกคำถาม ไม่ตอบและไม่บอกว่าเรื่องราวของเราสองคนมันเป็นมายังไง แอบปวดหัวไม่น้อยที่พรุ่งนี้ผมน่าจะโดนยิงคำถามจนพรุนแน่ ๆ จากเพื่อน ๆ ทั้งโต๊ะ เพราะตอนนี้ไลน์กลุ่มและไลน์ส่วนตัวผมก็แทบจะลุกเป็นไฟแล้ว จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนานะ เจ้าพวกนี้ กับอีแค่ผมจะมีแฟนแค่นั่นเองนะเว้ย

...แค่นั้นจริง ๆ เหรอวะ?

พอคิดได้แบบนั้น อยู่ดี ๆ ผมก็หน้าแดง เขินอายออกมาแบบไม่มีสาเหตุ..  สาเหตุน่ะมี แต่ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าบทพอมันจะได้เจอใครสักคนแล้วเราก็จะได้เจอกันจริง ๆ ถ้าพูดแบบลงลึกไปมากกว่านั้น พอเวลามีความสุขทีไร ผมจะหวาดกลัวทุกที ว่าฉากต่อไปมันจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดี ๆ ขึ้นระหว่างเราไหม

ในตอนนั้นเองที่ผมได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

กลิ่นนิโคตินจัด ๆ ที่ผมไม่ได้สูดดมมาแล้วสักพักใหญ่ ๆ

เจ้าของกลิ่นนิโคตินที่ผมคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าผม มองตรงมาเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมต้องเดินผ่านมาทางนี้ เขายกมือขึ้นเหมือนจะทักทายกัน ส่วนผมยืนนิ่ง และก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเปิดประโยคพูดขึ้นมาก่อน

“สวัสดี คุณคนในโปสเตอร์”

 

สามทุ่มกว่า แสงไฟในมหาวิทยาลัยของผมมืดดับลงอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะไม่ใช่ช่วงที่มีกิจกรรมอะไร ทำให้เวลานี้ก็แทบจะไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่แล้ว อาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟข้างทาง ผมเดินข้าง ๆ เขา เตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ โดยที่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักประโยค

ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขา ก็คือวันนั้นสินะที่ผมได้เจอกับพี่พอร์ชโดยบังเอิญที่โรงหนัง

“คุณดูอ้วนขึ้นนะ” ผมทักเขายิ้ม ๆ  เขาพยักหน้าขึ้นลงแล้วตอบกลับผมมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“น้ำหนักผมขึ้นมาสามกิโล”

“ยินดีด้วยคุณ” ผมว่า ยินดีกับเขาด้วยจากใจจริง ๆ สภาพเขาดูดีขึ้นกว่าตอนที่เราเจอกันครั้งแรกมาก ๆ อย่างน้อยที่สุดผมก็สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาและตัวตนของเขา จากคนที่แตกสลายจนดูเหมือนจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต

เราจบบทสนทนาที่ตรงนั้น ก่อนจะเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ วนรอบสระน้ำกลางมอ เขาเดินนำผมไปนั่งลงเงียบ ๆ มองน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นลง เหมือนไม่สนใจว่าเราสองคนกำลังนั่งมองอยู่

“คุณ” เขาเรียก แต่สายตาไมได้มองหน้าผม

“ครับ?”

“ทำไมวันนั้นผมถึงจูบคุณไม่ได้เหรอครับ?”

“...”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ที่บ้านร้าง ดาดฟ้า โรงหนัง ไปจนถึงตอนนี้ ทำไมผมถึงจูบคุณไม่ได้เหรอครับ?” เขาถาม น้ำเสียงไม่ได้กวนประสาท แต่เป็นน้ำเสียงที่มาจากความสงสัยจริง ๆ แววตาที่มองมา ก็สื่อชัดถึงความอยากรู้ที่ตนเองต้องการ

“ผมจะจูบกับคุณได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมว่า

“แล้วทำไมคุณถึงจูบคนอื่น ๆ ได้” เขาถามต่อ

“ก็คนเหล่านั้นเขาเป็นคู่นอนผม” เพราะอีกฝ่ายถามด้วยความสงสัยจริง ๆ ผมถึงได้ตอบออกไปด้วยความจริงใจเช่นกัน เราหันมามองหน้ากัน เขาทำหน้านิ่ง ๆ ไปก่อนจะพูดต่อ

“งั้นถ้าผมอยากเป็นคู่นอนของคุณบ้างล่ะ?”

เป็นเวลาเกือบสามสิบวินาทีที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นปริศนาอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนที่ผมรู้สึกเหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน ผมเหมือนรู้สึกว่าเรารู้จักกันก่อนหน้าจะเจอกันที่บ้านร้าง แต่มันไม่มีอะไรชัดเจนเลยนอกจากความรู้สึกว่า ผมไม่สามารถจูบกับคน ๆ นี้ได้

....นั่นสิ ทำไมนะ? ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้มีใคร เขาเอง แม้จะดูโทรมไปบ้างในช่วงนั้นที่เราได้เจอกันเป็นครั้งแรก แต่หน้าตาก็ไมได้แย่ นิสัยที่เจอก็ไม่ได้ถึงขนาดทำเอาผมไม่อยากเจออีกเป็นครั้งที่สอง ทำไมผมถึงวิ่งหนีคน ๆ นี้ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลยแท้  ๆ

ผมส่ายหน้าช้า ๆ มองตอบเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมด

“ตอนนี้...ผมไม่สามารถเป็นคู่นอนให้กับใครได้อีกแล้ว” ผมว่า เขาหันหน้าไปมองหน้าอื่น สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเอ่ยปากแสดงว่าเขาเข้าใจความนัยทั้งหมดที่ผมพูดถึง

“ผมช้าไปอีกแล้วใช่ไหม?”

ผมไม่ได้ตอบคำถามอะไรกับเขา เพราะรู้ดีว่าการพูดอะไรออกไปจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายเพิ่มเติมเปล่า ๆ ที่สุดแล้ว คนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญได้เจอกันในช่วงเวลาต่าง ๆ เราคงไปได้ไกลสุดแค่คนที่เคยผ่านเข้ามาอยู่ในช่วงชีวิตของกันและกันในระยะเวลาสั้น  ๆ ผมระบายลมหายใจออกจากปอด ไม่อยากลุกหนีในสภาวะที่อีกฝ่ายยังไม่พร้อม

“คุณครับ”

“....”

“จะมากไปไหม ถ้าผมจะขออะไรคุณสักอย่าง” เขาว่า แล้วเว้นวรรค ผมเงียบมองหน้าเขา สายตาสัมผัสได้ถึงความต้องการของเขาจริง ๆ ที่ออกมาจากข้างใน ผมนิ่งเงียบเพื่อเป็นฝ่ายรอให้เขาพูดความต้องการของตัวเองออกมา

“...ไปเดทกับผมสักครั้งได้ไหมครับ?”

 

ผมใช้ระยะเวลาในการเดินกลับมาถึงหอพักตัวเองไม่ถึงสิบห้านาที ขึ้นไปชาร์จแบตมือถือ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย พอเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วผมก็กระโดดขึ้นไปนอนบนหมอนและผ้าเน่า ผมกลิ้งตัว ส่ายไปมา นึกไม่ออกว่าควรจะบอกโชยังไงดีกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว

สุดท้ายแล้วคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร มีแต่ต้องคุยกันเท่านั้นถึงจะได้คำตอบในความรู้สึกของเราทั้งสองคน ผมกดโทรศัพท์ออกไปหาโช ใช้ระยะเวลาไม่นานเชาก็กดรับสาย

‘ถึงห้องแล้วเหรอครับ?’ เขาทัก

“ใช่ครับ ผมถึงห้องแล้ว โชล่ะ ถึงไหนแล้ว?” ผมตอบ และต่อบทสนทนา

‘วันนี้ผมนอนที่คอนโดครับ ไมได้กลับบ้าน ...แล้วเป็นยังไงบ้าง หายเจ็บบาดแผลรึยังครับ’  ท้ายประโยคน้ำเสียงเขาอ่อนลงจนผมสัมผัสได้ถึงความห่วยใย

“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ  ผมคิดว่าเด็ก ๆ น่าจะไม่ได้ใส่เต็มแรงมาก” ผมหัวเราะแก้ตัวแทนเจ้าโฟล์ค ทั้ง ๆ ที่จริง อีกฝ่ายแทบจะง้างหมัดใส่ผมสุดแรงเกิดด้วยซ้ำ

‘ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วครับ ผมเป็นห่วงนะ’

“ผมรู้”

‘....’

“ผมเข้าใจดีทุกอย่างเลย และผมดีใจมาก ๆ ด้วยที่โชเป็นห่วงผม” ผมว่า เผลอยิ้มออกมากับผ้าเน่าของตัวเอง ปลายเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยอกผมกลับ

‘อ้อนเก่งแบบนี้ มีอะไรอยากได้รึเปล่าครับ?’ เขาแม่นเหมือนตาเห็น ผมชะงักไปจนอีกฝ่ายถามซ้ำกลับมาอีกครั้ง

‘ฮัลโหล...ผมเดาถูกเหรอ?’ เขาว่า

“อื้ม ผมมีเรื่องอยากถามโชนิดหน่อยนะ ว่าถ้าแบบนี้จะโอเคไหม” ผมเปิดประเด็น

‘แบบไหนครับ?’

“ก็คือว่า...”

แล้วผมก็ค่อย ๆ เล่าเรื่องของคุณคนนั้นให้โชฟัง ตั้งแต่วันที่ผมเจอเขาเป็นครั้งแรก โชรับคำผมเป็นระยะ ๆ ก่อนจะแอบกระแอมแซวผมในบางช่วง เช่นตอนที่ผมไปเอ้าดอร์ และเรื่องบนดาดฟ้า แต่เจ้าตัวก็สุภาพมากพอจะรอให้ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด ก่อนจะเข้าประเด็นที่ผมอยากจะบอกกับเขา

“เขาบอกกับผมว่า เขาอยากขอโอกาส...”

‘...’

“เขาอยากขอ 24 ชม. จากผม แล้วหลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะโอเคตามนั้น” ผมอธิบาย ขยายความหมายเพิ่ม ปลายสายเงียบลงจนผมกลัวใจ

“โชคิดว่าไงบ้างครับ?” ผมถาม อยากรู้ว่าเขาคิดยังไงบ้าง

‘คุณรับปากเขาไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?’ โชถามกลับ ผมร้องอ่าขึ้นมาหนึ่งคำ ก่อนเขาจะพูดต่อ

‘ก็ถ้าคุณไม่คิดจะไป คงไม่พูดเรื่องนี้กับผมตั้งแต่แรก’ เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจนคำพูด ตอนนี้สภาพเหมือนผู้ร้ายที่กำลังสารภาพความผิดกับเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน

“คุณโกรธผมไหม?” ผมถามเขาตรง ๆ

‘จะโกรธเรื่องอะไรละครับ?’ เขาถามกลับ น้ำเสียงคาดเดาไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

‘คุณ เปิดกล้องหน่อยครับ’ เขาว่า แล้วกดคลิกเปิดกล้องมา ผมกดเปิดตาม ก่อนจะตั้งกับหมอนให้ชันเห็นหน้าเราทั้งคู่

“คุณใส่แว่นด้วยเหรอ?” ผมทัก เขาพยักหน้าแล้วชี้ไปที่แลปท็อป

‘แว่นกรองแสงสีฟ้านะ’ ผมร้องอ๋อ แล้วลากน้ำเสียงยาว  ๆ

‘ที่ผมเปิดกล้อง เพราะผมอยากให้คุณเห็นหน้าผมชัด ๆ มันจะได้เป็นการสื่อสารที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ ไม่ต้องตีความไปเอง’ โชว่า ผมพยักหน้ารับคำ เขาสูดลมหายใจเขาปอดลึก ๆ  ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง

‘อย่างแรกเลย.... ผมหึงโว้ย!!!’

ผมสะดุ้งตัวกับเสียงตะโกนของเขา พลางงุนงงกับท่าทีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  โชทำปากจู๋ กอดหน้าอก เอาแว่นคาดไว้ที่หน้าผาก ก่อนจะพูดกับผม

‘คุณนะ น่าหมั่นไส้มากที่สุด ...บทจะฮอตก็ฮอตซะเหลือเกินนะพ่อคุณ โว้ย คุณรู้ไหมว่าผมเดาได้ตั้งแต่คุณเกริ่นนำแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ ต้องมีใครสักคนมาสนใจในตัวคุณแน่ ๆ ทีซื้อหุ้นล่ะไม่เคยเก็งแม่นเท่านี้มาก่อนเลย’ เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ส่วนผมเกาหัวแกรก ๆ เพราะไม่เคยเจอเขาในเวอร์ชันนี้มาก่อน

‘ไปเถอะ ผมไมได้ว่าอะไรหรอก’ เขาสรุปเงียบ ๆ

“...นี่คุณงอนผมรึเปล่า” ผมถามเสียงเบา แอบเริ่มกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา โชตวัดค้อนวงใหญ่มาให้ผม ก่อนจะพองแก้มขาว ๆ แล้วพูดหงุบหงิบตอบกลับมา

‘จะบอกว่าไม่งอนก็ไม่เชิงหรอก แต่ผมแค่หงุดหงิดน่ะ คุณเข้าใจอารมณ์ผมไหม แบบ ผมไม่ได้โกรธคุณ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณเลย และที่ผมให้ไปก็คือผมยินดีให้คุณไปจริง ๆ มันจะได้เคลียร์ให้จบ ๆ ไป ปล่อยไว้แบบนี้มีแต่จะค้างคาใจอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตเปล่า ๆ แต่ว่า...’

“..ว่า?”

‘ก็ผมหวงคุณอ่ะ ผมไม่ได้คิดมากหรอก เรื่องจะไปเดทอะไรนั่น แต่ผมหวง ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับคุณเลย ซึ่งมันบ้ามาก ๆ ที่ผมหวงคนอื่นได้มากขนาดนี้’

“ครับ” ผมรับคำเงียบ ๆ สมองเหมือนโดนทุบด้วยค้อน หน้าอกหน้าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเป็นความรู้สึกทั้งยินดีที่อีกฝ่ายออกอาการมากขนาดนี้ ปนงง ๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้านากเผือกในกล้องกอดอก หรี่ตามองผม แล้วพูดอีกเป็นประโยค

‘ผมเชื่อใจคุณ’

“....”

‘ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว คุณไปเดทกับเขา 24 ชม แล้วระหว่างเรามันจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหม ผมก็จะยอมรับตามนั้น เพราะไม่งั้นแล้วผมคงต้องมานั่งลุ้นทุกนาทีว่าคุณจะเจอใครคนใหม่ที่น่าสนใจจนคุณต้องไปเดทกับเขารึเปล่า ผมทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเชื่อใจในตัวคุณและตัวผมเอง ถ้าคุณเป็นคนแบบที่จะเปลี่ยนแฟนเพราะเจอคนใหม่ที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ แบบนั้นแล้ว ผมเองก็ไม่อยากได้เหมือนกัน คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?’

“ครับ”

‘อาจจะเข้าข้างตัวเองไปหน่อยๆ  แต่ผมเชื่อนะ ...ลึก ๆ แล้ว ยังไงคุณก็ต้องเลือกผม’

“หลงตัวเอง” ผมแซว โชยักคิ้วกวนโอ๊ยใส่

‘ใช่ และหลงคุณด้วย’ เขาแซวกลับ ดอกนี้เล่นเอาผมหน้าแดงไปเหมือนกัน

“งั้นสรุปแล้ว ผมไปเดทกับเขานะครับ” ผมว่า แปลกดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อน ผมคงไม่ต้องทำอะไร แค่ต้องสลับรางตัวเองให้ทันเท่านั้นเอง

‘ครับ ไปเถอะ....’

“...”

‘กลับมาแล้ว ก็ช่วยดูแลความสัมพันธ์ของเราให้ก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนะครับ’ เขาว่า เอาหน้าซุกกับตุ๊กตาเสือในห้อง ผมพยักหน้าแล้วตอบกลับเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมจะดูแลให้คุณรู้สึกได้เลย ...ว่าผมเลือกคุณจริง ๆ นะ”





Time talk : ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ จะพยายามต่อไปนะครับ สำหรับใครที่อีกไม่กี่วันจะสอบแกทแพทแล้ว ก็พยายามเข้านะครับ เชื่อว่าผลลัพท์ของความพยายามต้องออกมาสมใจปรารถนาแน่นอนครับ ในส่วนของพ่อแมวก็จะมีประกาศข่าวสารต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ พรุ่งนี้อาจจะมีประกาศมาเพิ่ม

รักทุกคนเสมอ ฝากน้อง ๆ ด้วยนะครับ

พ่อแมว

19/02/19

 

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-02-2019 01:22:12
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 20-02-2019 20:19:42
นาคน้อยน่ารักมากๆ  :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 21-02-2019 21:45:28
Ep.29  24 HR. [Part I]




เวลา 24 ชม. ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ไม่เยอะ ถ้านับในมุมมองว่าคนเราต้องนอนอย่างน้อย 6-8 ชม. ผมก็คิดแบบนั้น
...แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้นตามผม

“เอาจริงดิ?” ผมถาม ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลา 00.01 นาฬิกา ให้ตายเถอะ อยู่ดี ๆ เขาก็ปลุกผมลงมาหาเขาที่หน้าหอในเช้าวันเสาร์ (เพิ่งจะเป็นวันเสาร์มาหนึ่งนาทีกว่า !!!) ที่เรานัดกันไว้ เหมือนล้อกันเล่น แต่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเอาจริงแค่ไหนกับสภาพแต่งตัวเตรียมพร้อมของเขา

“ขึ้นมาเร็วคุณ คุณทำผมเสียเวลาไปแล้วนาทีกว่า ๆ ” เขาเร่ง ผมทำท่าเอามือไล่ตั้งแต่หัวให้ดูว่าผมไม่ได้พร้อมในการไปไหนมาไหนแม้กระทั่งหน้าปากซอยแถวหอด้วยซ้ำ

“ผมขอไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนได้ไหม” ผมว่า เขาส่ายหน้าช้า ๆ แล้วชี้ไปที่ด้านหลัง

“ผมเตรียมไว้ให้คุณหมดแล้ว” ผมเบ้ปาก ทำหน้าบอกบุญไม่รับกับความเผด็จการของคน ๆ นี้ สุดท้ายตัวเองก็เลือกที่จะขึ้นไปนั่งบนรถพอร์ชคันงาม

ให้ตายเถอะ เลือกรถมารับได้พอดีเป๊ะเกินไปเลยนะคุณนิโคติน

“คุณจะรีบไปไหน” ผมว่า หลังตัวเองคาดเข็มขัดเสร็จ เขาเหยียบรถออกไปก่อนจะพูดกับผมว่า

“ผมมีเวลาไม่มากแล้ว...”

“...”

“24.ชม มันน้อยเกินไป จนผมอยากจะใช้มันในทุกวินาทีไปกับคุณ” เขาว่า

พอเห็นแบบนั้นผมก็ถอดใจ ยอมแพ้กับความดื้อของเขา พยักหน้ารับคำ แล้วคว้าถุงเสื้อผ้าด้านหลังเอาขึ้นมาเปลี่ยนลวก ๆ เอาเข้าจริงแล้วผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพาผมไปไหน

หลังจากวันนั้นที่ผมโทรศัพท์ไปคุยกับโช เจ้านากเผือกบอกกับผมว่าเขาเชื่อใจและไว้ใจผม ดังนั้นแล้วตลอดวันทั้งวันนี้ ผมจะไม่แตะต้องมือถือ หรือจริง ๆ แล้วก็คือแบตฯโทรศัพท์ผมเหลือไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ ผมหลับไปตั้งแต่ช่วงประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ เพิ่งจะได้นอนไปไม่ถึงสองสามชม.เอง

“ง่วงนอนเหรอคุณ?” เขาถาม ผมพยักหน้าสัปหงกแทนคำตอบ

“ไว้ไปนอนบนเครื่องแล้วกันนะ” เขาว่าต่อ ผมหันขวับเหมือนจะถามย้ำให้แน่ใจว่าเอาจริงเหรอ? แต่เจ้าตัวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรอีก ผมเลยถอนหายใจแล้วปล่อยเลยตามเลย มาถึงขนาดนี้ถ้าเขาจะหลอกผมไปขายที่ชายแดน ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากพยายามโบกรถกลับมา

ถนนยามค่ำคืนโล่งเหมือนเป็นใจ ขึ้นทางด่วนมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เข้าสู่สนามบิน เจ้านิโคตินตัวแสบขับมาจอดเทียบชั้นสอง ก่อนจะส่งกระเป๋าให้ผมถือสองใบ ส่วนเขายื่นกุญแจรถให้กับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันมาเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปด้านใน

“อันนี้ของคุณ” เขาว่า พลางส่ง boarding pass ที่แสดงชื่อผมมาให้ ผมทำหน้าปูเลี่ยนนิดหน่อย กลายเป็นว่าเขาเป็นอีกคนที่รู้ทุกข้อมูลของผมทั้งหมดแล้วสินะ แต่ก็เอาเหอะ ผมถอนหายใจเงียบ ๆ กับตัวเอง สุดท้ายแล้วหลังจากนี้ไป ผมก็คงจะกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรต้องปิดบังกับคนอื่นอีกต่อไปแล้วล่ะ

ผมสังเกต boarding pass ที่เขาส่งมาให้ จุดหมายปลายทางของเราคือกระบี่ รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นก็เป็นข้อมูลส่วนตัวของผม กับที่นั่งของเราสองคนที่อยู่ริม เวลาขึ้นเครื่องคือช่วงประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ ถึงที่นั่นเกือบตีสองหรือเร็วกว่านั้น ไม่รู้สิ ผมไม่เคยไปกระบี่ด้วยวิธีนี้

“บ้านคุณผลิตแบงก์ใช้เองเหรอ?” ผมเหน็บไอ้คนรวยข้าง ๆ ตัว เขายักไหล่แล้วบอก

“คุณว่าคนที่เล่นไอซ์ได้ทุกวันต้องรวยไหมล่ะ?” พอเขาแซะตัวเองกลับแบบนั้น ผมเลยเถียงอะไรไม่ออก เออ ไอ้รวย ผมบุ้ยปากทำหน้าหมั่นไส้จนเขาเขกมะเหงกมาทีหนึ่ง

“เจ็บนะเว้ย” ผมว่า เขาแลบลิ้นใส่

“ข้อหานินทาผมในใจ”

“คิดไปเอง” ผมตอกกลับ

“...ก็คิดไปเองมาตลอดแหละ” ท้ายประโยคเขาตอบกลับด้วยเสียงเบาบาง ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี เลยนั่งเงียบ ๆ ไป เขาลุกออกไปสักครา เหม่อไปได้แปปหนึ่งเขาก็กลับมาพร้อมของกินเต็มมือ ผมยิ้มแล้วรับแฮมเบอร์เกอร์ร้อน ๆ เข้าปากแล้วเคี้ยวทานเงียบ ๆ พอกินเสร็จเขาก็ส่งน้ำเปล่าขวดเล็กมาให้

“จะพาผมไปไหนบ้างเนี่ย?” ผมถาม เขายิ้มอย่างมีเลศนัย คิดอยู่แล้วล่ะว่าคงไม่ตอบ แต่ก็ถามอยู่ดี เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะสอด Air pods ใส่หูผมข้างหนึ่ง ส่วนตัวเองใส่อีกข้าง แล้วก็นั่งพิงข้าง ๆ ผม ปลายนิ้วสไลด์ไอโฟน ก่อนจะกดเล่นเพลงที่ค้างไว้

...เป็น Back To Black ของ Amy Winehouse

“คุณดูจะชอบ Amy มากนะ” ผมตั้งข้อสงสัย แต่ไม่ยอมบอกออกไปว่าตัวเองก็ชอบเหมือนกัน

“ตอนแรกก็ไม่ชอบ แต่มีคนมาทำให้ผมชอบ ผมก็เลยตามฟังหลังจากนั้นมาเรื่อย ๆ อีกอย่างประวัติเอมมี่น่ะ น่าสนใจนะ ผมชอบทุกพาร์ทในชีวิตหล่อน มันดู...เป็นชีวิตที่เป็นชีวิตดี คนที่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วก็หล่นลงมาในจุดที่ต่ำที่สุดของชีวิต” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“หล่อนเป็นผู้หญิงโชคร้ายนะ” ผมว่า ใจนึกไปถึงผู้หญิงผมยาว ตาโตเข้ม ร้องเพลงด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ตัวเองมี

“จริงเหรอ?”

“...”

“Amy น่ะเหรอ ผู้หญิงโชคร้าย?” เขาถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่ผม ไม่ได้กดดัน แต่ก็ให้ความรู้สึกเกร็งประมาณหนึ่ง เขายิ้มเย็น ๆ ออกมา ก่อนจะเล่าถึง Amy ‘ในสายตาของเขา’

“เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เกิดมามีพ่อเจ้าชู้ แต่ดันมีพรสวรรค์ กับแม่ที่คิดว่าความรักคือการปลดปล่อย บังเอิญจับพลัดจับพลูโด่งดังขึ้นมาจนกลายเป็นนักดนตรีสุดฮอต หลงรักผู้ชายคนหนึ่งจนหมดหัวใจ ถึงขนาดแทบจะยอมตายแทนกันได้ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตอบแทนความรักทั้งหมดที่เธอมอบให้กับโลกใบนี้ คือการฉีกกระฉากเธอให้ตายทั้งเป็นด้วยสิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวเธอ ...คุณคิดแบบนั้นใช่ไหม?”

“...”

“งั้นเอาใหม่ ... ‘จริงเหรอ’ ของผมน่ะ หมายถึง Amy เลือกไม่ได้จริง ๆ เหรอ? หล่อนเลือกไม่ได้ว่าตัวเองจะดัง เลือกไม่ได้ว่าต้องทำให้การร้องเพลงกลายเป็นธุรกิจ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดนั่นก็เจ้าตัวเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนเลือกเองกับมือ เลือกที่จะเซ็นสัญญา เลือกที่จะเดินทางในสายนี้ แม้กระทั่งแฟนสารเลวนั่น ก็ตัวเธอเองไม่ใช่เหรอที่หลงรักเขาหมดหัวใจ หรือกระทั่งตอนที่เสพยาจนเสียชีวิต ....มีตอนไหนบ้างเหรอที่ใครจับมือหล่อนให้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง?”

เขาพูดยาว น้ำเสียงเย็นจนผมขนลุก แววตาไม่เชิงล้อเล่น เขายิ้ม แต่เหมือนเป็นยิ้มที่เหมือนจะเย้ยหยันอะไรสักอย่างมากกว่า

“คนที่น่าสงสาร คือคนที่ไม่เคยเลือกอะไรสักอย่างให้ชีวิตตัวเองได้เลยต่างหาก”

“งั้นเราทุกคนก็คือคนที่น่าสงสาร...เพราะเราต่างก็มีบางเรื่องที่เรา ‘เลือกไม่ได้’ ทั้งนั้น” ผมว่า เขาพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ก็ต้องถามตัวเองด้วยนะ ‘เลือกไม่ได้’ หรือ ‘ไม่ยอมเลือก’ กันแน่ ความหมายใกล้เคียงกัน แต่หลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกันโข.... Amy น่ะ หล่อนคือคนที่ตายลงไปแล้ว คนตายนะ บอกไม่ได้หรอกว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า หลายคนอาจจะมองว่าการเสพยาจนตายเป็นอะไรที่ไร้คุณค่า...แต่ว่า นั่นมันก็ชีวิตของเขาทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ?”

“...”

“บางครั้งการหลับตาลงแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย มันอาจจะมีความสุขมากกว่าการยังมีลมหายใจแต่เหมือนตายทั้งเป็นก็ว่าได้นะ ... ผมถึงชื่นชอบ ถึงเคารพ ถึงหลงใหลการตัดสินใจของเขา มันคือราคาที่หล่อนต้องจ่าย มันดูโหดร้ายนะ แต่โลกก็เป็นแบบนั้น เมื่อคุณเลือกแล้วว่าจะเดินไปตามหนทางที่มีแต่แสงไฟส่องมาที่ตัว คุณก็ต้องทำใจตามนั้น สปอร์ทไลท์น่ะ สว่าง แต่ก็ร้อนมาก ๆ มันจะเป็นแบบนั้นเสมอ และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”

ผมพยักหน้าเข้าใจทุกสิ่งที่เขาพูด เอนหัวลงไปซบกับไหล่บาง ๆ ของเขา เสียงดนตรีบรรเลงผ่านไป ไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราแสนสั้น

เหมือนกระพริบตา ผมโดนเขาปลุกตื่นขึ้นมาแบบงง ๆ ก่อนจะโดนจูงไปเข้าเกท ผมเหมือนหุ่นยนต์ที่ยังชาร์จแบตเตอรี่ไม่เต็มก้อน จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีก็ขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินแล้ว ส่วนกระเป๋าอีกสองสามใบอยู่กับเขา จะว่าไปแล้วที่เป็นสมบัติของผมจริง ๆ ก็มีแต่กระเป๋ามือถือกับโทรศัพท์สินะ ผมนึกขึ้นได้อีกครั้งแล้วก็หลับลงไปอีกรอบ

เชื่อแล้วว่าการนอนหลับคือการวาร์ปในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาสะกิดตัวผมอีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนเราจะเดินลงเครื่องบินกันอย่างงง ๆ เหมือนเขาจะพูดอะไรกับผมสองสามประโยค แต่บ้าจริง ถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าหูเข้าหัวผมเลย ผมสัปหงกรับคำแต่จับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวโตกำลังสื่อสารอะไรกับผมอยู่

ผมจำได้ว่าตัวเองฟุบกับเก้าอี้ที่สนามบินตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงโหวกเหวกนิดหน่อย ก่อนตัวผมจะลอยได้แบบงง ๆ เกิดอะไรขึ้นนะ สัมผัสต่อมาคือเบาะรถยนต์ ผมนั่งอยู่ในรถสักคัน มีคนคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอ้อมมาทางฝั่งคนขับ ให้ตายเถอะ ผมชักเกลียดตัวเองแล้วที่ขี้เซามากขนาดนี้

ความรู้สึกลอยได้ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น ก่อนร่างทั้งร่างจะฟุบลงกับเตียงนอนนุ่ม ๆ ผมได้ยินเสียงคนเดินวนไปวนมาเพื่อจัดของหรือทำอะไรสักอย่าง อากาศจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบที่ผิวหนัง มือของผมคว้านหาผ้าห่มหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้อุ่นได้มากกว่านี้โดยอัตโนมัติ เหมือนผ้าห่มลอยได้ ผมรู้สึกว่าใครบางคนหยิบมันขึ้นมาห่มให้ผมอย่างเป็นระเบียบ

“ฝันดีนะครับ”

ผมได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสัมผัสอุ่น ๆ จะประทับที่หน้าผาก พื้นที่เตียงข้าง ๆ ยุบตัวลง แล้วผมก็ค้นพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อบอุ่นกว่าผ้าห่มกำลังกอดผมเอาไว้

....ฝันดีครับ


......................................................


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในเวลาต่อมา เหม่อมองรอบ ๆ ตัวก็ยังเป็นแขนขาของใครบางคนพาดผ่านลำตัว พอมองไปทางเขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนอนจ้องผมตาแป๋วอยู่

“ตื่นแล้วก็ลุกสิคุณ” ผมเอ็ดเบา ๆ พยายามไม่พูดใกล้ ๆ ใบหน้าเขามากเพราะกลัวมีกลิ่นปาก

เขาไม่ตอบอะไร อมยิ้ม แต่เลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมไปหนึ่งกอด ก่อนจะกอดไว้แน่นกว่าเดิม ส่วนผมอ้าปากค้างที่จู่ ๆ ก็โดนขโมยหอมแก้มไปซะงั้น

“ฉวยโอกาส” ผมว่า เขายิ้มหยอกแต่ไม่ได้มีท่าที่จะสลด พลางจะทำซ้ำอีกรอบหนึ่ง เขาพยายามหาทางกอดผมไว้ จนผมต้องเอ็ดขึ้นมาเตือนอีกครั้ง

“โอ๊ยย บอกก่อนคุณ ผมต้องไปอาบน้ำแปรงฟงแปรงฟัน” ผมว่า เขาไม่ฟังที่ผมพูด แต่พยายามหาทางกอดผมไว้อีกครั้ง เราดิ้นไปดิ้นมาจนแทบจะกลิ้งตกเตียงสีขาว ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้เพราะกำลังที่น้อยกว่า อีกฝ่ายช้อนแล้วรวบตัวผมไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นมาดื้อ ๆ ผมตาเหลือกเมื่อเขาออกแรงวิ่งออกไปนอกประตู

ผมร้องโวยวายและตะโกนสุดเสียง เหมือนเราทั้งคู่ทะลุออกมาจากนอกตัวบ้าน ปลายทางเป็นหาดทรายและน้ำทะเลสีฟ้าอ่อน พร้อมกับรู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะโดนอะไร “เฮ้ยยยยย คุณโว้ยยอย่าเล่นบ้า ๆ นะ เช้า ๆ แบบนี้มัน ....!!!!!”

‘ตู้ม’

น้ำทะเลเค็ม ๆ ไหลเข้าปากและจมูก ผมดันตัวลุกขึ้นมา ก่อนจะพยายามทั้งคาย ทั้งถุยน้ำทะเลที่เข้ามาเต็มรัก พลางหันไปชี้ทางเจ้าตัวโตที่กำลังยืนหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งผมอย่างมีความสุข พอเห็นแบบนั้นก็เลยปั้นทรายออกมาเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนจะปาใส่เขาคืนอย่างไม่จริงจังนัก

“โอ๊ย ! เจ็บนะคุณ” เขาว่า แต่ผมรู้ว่าเขาแกล้งกวนโอ๊ย ปากบอกเจ็บแต่ตายังยิ้มอยู่เลยนะเว้ย ผมวิ่งไล่ปั้นก้อนทรายปาใส่เขาไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งไล่กลับมาก่อนจะกอดและยกผมลอยขึ้นทั้งตัว ทำเอาสงสัยไปเลยว่าหมอนี่ไปเอาแรงมาจากไหน น้ำหนักผมไม่ใช่สาวน้อยห้าสิบกิโลนะเว้ย !

ผมไม่ดิ้นเพราะกลัวตกลงไป เขาก้าวลงไปในทะเลลึกเลือก ๆ ก่อนจะทิ้งตัวเราทั้งคู่ลงไปในน้ำทะเล ผมดันตัวขึ้นมา สำลักน้ำนิดหน่อย พลางมองซ้ายแลขวาหาเขา ใจก็แอบกังวลว่าเป็นอะไรไปรึเปล่า เพราะผ่านไปหลายสิบวินาทีแล้วเขายังไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลย ผมเกือบจะตะโกนออกไปเสียงดังแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขาโผล่ขึ้นมาแล้วกอดผมไว้จากด้านหลัง

“เล่นอะไรของคุณเนี่ย” ผมตำหนิ เขายื่นหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ ไม่พูดเรื่องที่ผมตำหนิ แต่เพราะเห็นผมตาขวางอยู่เลยหัวเราะแห้ง ๆ แล้วถอยออกไป

“ไปอาบน้ำ กินข้าวกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าเพราะตัวเองเริ่มหิวแล้ว

“ตอนนี้กี่โมงแล้วนะครับ” ผมถาม ตั้งแต่ตื่นมายังไม่รู้วันเวลาเลย

“10 โมงกว่า ๆ” เขาตอบ ผมพยักหน้ารับแล้วพยายามเดินเขย่ง ๆ พื้นทรายใต้น้ำ พอเห็นผมเดินลำบาก เขาก็เลยเดินมาด้านหน้าก่อนจะยื่นมือให้ผมจับไว้เป็นตัวยันพื้น

“เกาะหลังผมก็ได้” เขาเอามือมารองไว้ ก่อนให้ผมขึ้นไปขี่หลัง เขินเหมือนกันแฮะ ผมเกาหัวแกรก ๆ แต่ก็ขี้เกียจจะเดินแล้ว เลยปล่อยให้เขาอุ้มไปเป็นพ่อหมีอุ้มลูกหมีตัว(ไม่)เล็ก หมอนี่ก้าวเท้ายาวจนน่ากลัวชะมัด ผมเพิ่งมีโอกาสได้สำรวจวิวทิวทัศน์เป็นครั้งแรก เรานอนกันที่บังกะโลหรือบ้านพักอะไรสักอย่างสีน้ำเงินเข้มหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ด้านหน้ามีต้นไม้ใหญ่และชิงช้าไกว มีโต๊ะหินอ่อนกับม้านั่งสองด้านประกอบ

“บ้านคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้ารับง่าย ๆ ผมทำหน้าปูเลี่ยนอีกรอบ แต่ก็นั่นแหละ การที่คนรวยใช้เงินเพื่อปรนเปรอความสุขให้กับตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสักหน่อย

“คุณจะเข้าไปอาบน้ำก่อนไหม?” ผมถามตอนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน รอบ ๆ นี้เงียบใช้ได้ นอกจากรถยนต์ที่จอดไว้ข้าง ๆ ตัวบ้านแล้ว ผมมองเห็นบ้านอีกหลังอยู่ไกลลิบ ๆ ออกไปพอหันไปเอาคำตอบ เจ้าตัวก็ทำหน้างง ๆ

“ทำไมต้องแยกกันอาบ ก็อาบด้วยกันเลยสิ” เขาว่าง่าย ๆ

“มะเหงกแหนะ ไม่เอา คุณไปอาบก่อนเลย” ผมไล่ เขาบ่นอะไรนิดหน่อยแต่ผมฟังไม่ทัน สุดท้ายเจ้าตัวโตก็เลือกจะเดินเข้าไปในห้อง ผมร้องโวยวายนิดหน่อยให้เขาระมัดระวังไม่ให้ทำทรายเลอะไปทั่วห้อง แต่แน่ล่ะ เขาสนใจที่ไหน สุดท้ายแล้วก็สะบัดตัวเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำเฉย ผมถอนหายใจปลง ๆ กับความดื้อแล้วเดินออกไปนั่งมองคลื่นหน้าบ้าน

เสียงกระดิ่งปลิวไสวตามสายลม ผมแกว่งชิงช้าไปมา นั่งถอดถอนใจกับตัวเอง ชีวิตคนก็คงจะเป็นแบบนี้ เวลาแค่เพียงเดือนกว่า ๆ ที่เปลี่ยนไป หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผมก็เปลี่ยนตาม จากเคยคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะอยู่คนเดียว กลับมีใครหลายคนเข้ามาหยิบยื่นความรู้สึกดี ๆ เอาไว้ให้ ผมถอนหายใจระบายลมข้างในออกมา

ถ้าชีวิตของคนทุกคนเป็นนิยายสักเรื่องก็คงจะดี

...ผมคงจะขีดเขียนให้ทั้งผม เขา และใครหลาย ๆ คน ได้พบเจอกันในวันและเวลาที่เหมาะสม มากกว่าจะได้เจอกัน ในวันที่เรารู้สึกต่อกันและกันว่ามันสายเกินไปซะแล้ว

คิดไปก็ไมได้อะไร สุดท้ายแล้วชีวิตคนเราก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป ผมเชื่อว่าเราต่างมีปลายทางเป็นของตัวเอง มนุษย์เราไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอก เราทำได้แค่เดินทีละก้าว เดินออกไปจากก้าวหนึ่งสู่อีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว 24 ชม.ที่ให้เวลากับเขาจะเป็นยังไง ผมจะจดจำเขาเสมอในฐานะที่ครั้งหนึ่งเราเคยโคจรผ่านกันและกัน

“คิดอะไรอยู่ครับ ขมวดคิ้วเชียว?” เขาทัก ผมไปหันไปหา เจ้าตัวตอนนี้อยู่ในชุดลำลองง่าย ๆ เสื้อบางลายดอก ทับเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน กางเกงคล้ายกางเกงวอร์ม ผมส่ายหน้าแล้วเตรียมเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาตะโกนตามบอกผมทั้งแปรงสีฟันอีกอันที่เขาซื้อมาเตรียมไว้ให้กับผ้าขนหนูสีขาวบนเตียง

ผมเข้าไปอาบน้ำ สระผม ล้างน้ำทะเลเหนียว ๆ ออกมาจากตัว ผมไม่เคยอาบน้ำนานเลย สะอาดที่สุดของผมก็ไม่เกิน 10 นาที พอออกมาก็เอาผ้าเช็ด ๆ หัวให้แห้ง จะว่าไปแล้วเดือนนี้ผมลืมตัดผมไปเลยแฮะ เพราะชีวิตวุ่นวายสารพัดกับทั้งคนเก่าและคนใหม่ที่เข้าออกในชีวิต ผมแขวนผ้าคุณหนู สวมเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก เจอเขานั่งอยู่กับชามกุ้งเผาขนาดยักษ์พร้อมอาหารทะเลอีกจำนวนหนึ่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน

“กินกุ้งแต่เช้าเลยเหรอคุณ?” ผมแซว เดินไปนั่งตรงข้ามเขา เขาส่งจานพลาสติกใบหนึ่งให้ผม ก่อนจะแกะกุ้งตัวโต ๆ แล้วจิ้มมาให้

“กินนะคุณ เพิ่งขึ้นมาจากทะเลเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง” เขาว่า พลางเล่าให้ฟังว่าแถวนี้มีร้านอาหารทะเลที่เปิดตั้งแต่ช่วงเช้าอยู่

“ผมกินเองได้น่า” ผมบอก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ เพราะเจ้าตัวก็นั่งแกะอาหารทะเลสารพัดแล้วตักมาใส่จานของผม พอสุดความจะห้าม ผมก็เลยทำหน้าที่เป็นผู้ทานที่ดี คือนั่งทานไป ชมไป แต่มันอร่อยจริง ๆ นะครับ โดยเฉพาะน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่แกล้มกับเนื้อกุ้งเนื้อปูสด ๆ  ผมอร่อยจนหลับตาปี๋ไปหลายรอบเลย

“กินเป็นเด็ก ๆ เลยคุณ” เขายิ้ม หัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะส่งทิชชู่มาซับปากผมเบา ๆ

ผมนิ่งเงียบ เดาใจเขาไม่ถูก ยอมรับว่าเซอร์ไพรส์ที่เขาทำอะไรนุ่มนิ่มขัดกับบุคลิกแบบนี้เป็นด้วย จะบอกว่าเขินก็คงอธิบายได้ ยิ่งประกอบกับสายตาที่มองมายิ่งทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ก็แหงละ ย้อนกลับไปครั้งแรกที่เราเจอกัน ผมยังแอบไม่เผาผี ไม่คิดจะเจอกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ?

“เป็นอะไร เขินเหรอคุณ?” ผมชักสงสัยจริง ๆ แล้วว่าเขาเลี้ยงกุมารไว้รึเปล่า ทำไมคน ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะเดาใจผมไปได้ซะอยู่หมัด ผมส่ายหน้า ไม่ตอบคำถามเขา เอาแต่กินอย่างเดียวมากกว่า พอกินได้สักพักก็คิดว่าตัวเองน่าจะต้องทำอะไรบ้าง เลยพยายามแกะกุ้งและเนื้อปูส่งให้เขาบ้างเป็นการตอบแทน

“กินเสร็จแล้วจะไปไหนต่อ?” ผมถามหาจุดหมายต่อไป เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าชุดที่ผมกับเขาใส่เป็นชุดเดียวกัน แค่คนละไซส์เท่านั้นเอง

“ผมจะพาไปแช่บ่อน้ำพุร้อน” เขาว่า

“มีด้วยเหรอครับ” ผมถาม ไม่ยักรู้ว่ากระบี่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติด้วย

“คือมันเป็นน้ำตกที่น้ำค่อนข้างจะมีอุณหภูมินะ แล้วก็มีแอ่งน้ำให้แช่ตัวได้ ก็ฟีลเดียวกับคุณไปแช่น้ำร้อนตามบ่อนั่นแหละครับ จากนั้นแล้วพอแช่น้ำร้อน ๆ ก็ค่อยไปแช่บ่อเย็นต่ออีกรอบเป็นการผ่อนคลาย” เขาอธิบาย

ผมพยักหน้ารับทราบเพราะตัวเองไม่มีข้อมูลอะไรเลย ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งป้อนกุ้ง ป้อนปูให้เขากินไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะพาผมเที่ยวได้สักกี่ที่เพราะต้องเผื่อเวลานั่งเครื่องบินกลับอีก แต่เอาเข้าจริง ผมไม่ได้ฟิกขนาดนั้นหรอก เพียงแต่คนอีกคนคงจะเข้มงวดกับตัวเองและเลข 24 ที่ตัวเองเป็นคนกำหนดขึ้นมาเองแน่ ๆ

“ตั้งแต่เกิดมา ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองอยากจะนอนหลับตลอดเวลา” เขาว่า เหม่อมองไปที่ท้องทะเล

“...”

“ผมไม่เคยอยากตื่นนอนเลย ผมรู้สึกว่าโลกของความเป็นจริงมันไม่มีอะไรโอบอุ้มผมเลย ผมต้องการเป็นแค่ผีเสื้อ ผีเสื้อตัวน้อย ๆ ในความฝัน ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ” ผมพยักหน้ารับทุกถ้อยคำที่เขากล่าว เขาพูดเสร็จแล้วก็หันมามองหน้าผมทำหน้าจริงจัง

“23 ปีที่ตื่นขึ้นมามีชีวิต คุณคือคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะนอนหลับลงไปสักวินาทีเดียว...”

“อ่า”

“....ผมกลัวว่า ช่วงเวลาทีเผลอหลับไป จะเป็นช่วงเวลาที่ผมพลาดวินาทีที่ผมได้อยู่กับคุณไปนะ”



Time talk : สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารป่ะ? 55555 สวัสดีครับ นับถอยหลังสู่ 6 ตอนสุดท้ายของเรื่องราวแล้วนะครับ เรียกได้ว่าเราเดินทางกันมาไกลมากจริง ๆ อีกนิดหนึ่งจะเห็นบทสรุปของเนื้อเรื่องหลักทั้ง 35 ตอนแล้วนะครับ ในส่วนของพ่อแมวเองก็มีอีกหลายเรื่อง อยากจะบอกเล่าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ในส่วนของคำผิดและคำตกไม่ต้องกลัวนะครับ พ่อแมวส่งให้มืออาชีพช่วยพรู๊ฟเล่มให้แล้วนะครับ จะมาเก็บตกรายละเอียดในหน้าเว็บอีกทีหลังจากลงครบทั้ง 35 ตอนแล้วครับ

มาถึงตรงนี้แล้วก็อ้อนตรง ๆ ยังอยู่ด้วยกันก็ส่งเสียงร้องออกมาได้นะครับ เหมี๊ยววว

พ่อแมวพุงโต

21/02/19


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 21-02-2019 22:44:05
……


 :mew1:  :mew4:   :mew1:   :mew3:   :mew1:   :mew4:   :mew1:   :mew3:


………

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-02-2019 01:32:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-02-2019 07:12:16
อีก 6 ตอนเหรอ ยังสนุกอยู่เลย
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 25-02-2019 22:19:19


Ep.30 24 HR. [Past II]



แววตาที่เขามองผมมา เป็นแววตาที่ผมคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดจนใจหาย มันไม่ใช่แววตาของใคร แต่เป็นแววตาของผมเองตอนเวลาที่มองพี่พอร์ช บางอย่างยืนยันได้มากกว่าคำพูด สายตาเองก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ว่า

ผมยิ้ม พยักหน้าตอบรับแล้วตานั้นแล้วเงียบลงไปดื้อ ๆ มือก็ยังแกะกุ้งและเนื้อปูให้เขาทาน

ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ก็ขอให้มันเต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ ที่ไม่ว่าเราจะหวนกลับมานึกถึงมันตอนไหน ก็ขอให้เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เสียดายที่ครังหนึ่งเราเคยให้เวลาและโอกาสในกันและกัน

ไม่เจอกับตัว ไม่รู้ซึ้ง ...ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของมันก็วันนี้

ในวันนั้นผมฟูมฟาย เป็นบ้าเป็นบอมากมาย ผมไม่เข้าใจ ไม่สามารถทำใจยอมรับกับเหตุผลนั้นได้ ว่าเพราะอะไร เพราะทำไม ทุกสิ่งมันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย แต่มาในวันนี้ วันที่ผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายหักหาญน้ำใจของคนอื่น วันนี้ผมถึงได้รู้ ว่าการยืนอยู่ตรงจุดที่ต้องเป็นคนจบเรื่องราวทุกอย่าง มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ

เราทั้งกระทำและถูกกระทำ มนุษย์เรามีชีวิตอยู่และจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ

ผมกับเขา เรานั่งกินปูและกุ้งกันอีกสักพัก ก่อนต่างคนจะต่างลุกออกไปล้างไม้ล้างมือ เขาบอกกับผมว่าให้เอาไปเฉพาะเสื้อผ้าที่จะไว้เปลี่ยนสำหรับลงเล่นน้ำก็พอ ส่วนข้าวของที่เหลือเราเก็บไว้ในบังกะโล จุดหมายปลายทางต่อไปคือน้ำตกร้อนคลองท่อม สระมรกต และถ้ามีเวลาคงได้ขึ้นไปไหว้พระที่วัดถ้ำเสือครับ

“เอาน้ำไปด้วยไหมคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้า ผมเลยหยิบน้ำเปล่ามาสองขวดติดกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เราหิ้วกันมา ข้างในมีขนมและของกินจุกจิกอีกนิดหน่อย

“คุณเตรียมมาพร้อมดีจัง” ผมทัก เขาอมยิ้มแล้วส่ายหน้า

“แม่น่ะ แม่ผมเป็นคนเตรียมให้” เขาเฉลย ผมร้องอ่อรับคำ ๆ หนึ่ง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นของอีกสองสามชิ้นในกระเป๋าก็เงยหน้ามองเขาอีกรอบ

“แม่คุณ..เตรียมไว้ให้ทั้งหมดเลยเหรอ?” ผมถามย้ำอีกครั้ง เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ผมเลยดันกล่อง condom 003 และสารหล่อลื่นเข้าไปไว้ในกระเป๋าตามเดิม ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาเขินกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ

“แม่ผมเป็นเจ้าของโรงพยาบาลน่ะ...” เขากล่าวเงียบ ๆ ผมนั่งฟังพร้อมคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด

“คุณเคยรู้จักโรงพยาบาลชื่อ ‘ภัทรธิดาเวช’ ไหม?”

เขาพูดนิ่ง ๆ ผมนิ่งกึก ตัวแข็งกับเบาะหลังฟังจบประโยค

“...คุณจะบอกอะไรกับผมรึเปล่า?” ผมถาม มองหน้าเขาผ่านกระจกมองหลัง ส่วนเจ้าตัวสตาร์ทรถและกำลังเตรียมตัวขับออกไป ข้างนอกฟ้าเริ่มมืดและมีเมฆมากกว่าช่วงเช้านิดหน่อย อาจจะมีฝนตกในสักช่วงใดช่วงหนึ่งของวันนี้ ผมคิด

“เปล่าครับ ผมแค่จะบอกว่าแม่ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นน่ะ...” ผมพยักหน้ารับทราบเงียบ ๆ แล้วมองออกไปนอกทั่วรถ พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่คิดเชื่อมโยงไปไกลว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น กับตัวผม และ...

“คุณคิดอะไรเหรอ?” เขาถาม ผมส่ายหน้าและเฉไฉออกไป

“ฝนน่ะ ผมคิดว่าอาจจะมีฝนตก” ผมบอก พร้อมชี้ให้เขาดูผืนฟ้า เขาพยักหน้าขึ้นรถเห็นด้วย พร้อมเหยียบรถไวกว่าเดิม

“แปลกจังเนาะ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกฟ้ายังโปร่ง ๆ อยู่เลย” เขาตั้งข้อสังเกต ผมเห็นด้วย

“แบบนี้แหละ ธรรมชาติมันคาดเดาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

“ก็เหมือนใจคนล่ะเนาะ”

เราต่างเงียบไปในอีกช่วงอึดใจ มันไม่ใช่ความเงียบที่เป็นความอึดอัด แต่เป็นช่วงเวลาที่เราต่างให้เวลากับตัวเองได้เงียบลงเพื่อฟังเสียงอะไรบางอย่างภายในใจของกันและกัน

ผมอยากให้โอกาสกับเขา

เพราะเขาร้องขอโอกาส เพราะที่ผ่านมาผมปฏิเสธเขามาโดยตลอด เพราะเรายังไม่ได้เริ่มรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ผมจึงให้โอกาส ไม่ใช่แค่ให้โอกาสเขา แต่ให้โอกาสสุดท้ายสำหรับการไปต่อหรือหยุดอยู่ตรงนี้ระหว่างผมกับโช นึกย้อนกลับไปแล้วก็อดจะใจหวิว ๆ ไม่ได้

ผมยังนึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ถ้าในวันนั้นผมไม่เจอโช วันนี้ผมยังจะรู้สึกแบบนี้กับเขาไหม

จะรู้สึกตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันไหม ว่าผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้อยู่กับเขา

...แต่มันไม่ใช่

ผมสับสน ความรู้สึกในตัวมันยุ่งเหยิง ผมเผลอถอนหายใจออกมาแล้วปิดปากตัวเองเงียบ ๆ ในใจเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการทำร้ายเขาและคนอีกคนด้วยรึเปล่า?

กับโช แม้เขาจะไม่พูดอะไรในเชิงที่คิดมากหรือรู้สึกไม่ดี แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้สึก วันนั้นที่เราคุยกัน ถ้อยคำหลังจากนั้น ทั้งการบอกกับผมไว้ว่าให้ไปคุยกันหลังจากเรื่องตรงนี้จบลง ผมรู้ดีว่ามันชวนให้เขาเจ็บปวดมากแค่ไหนกับความรู้สึกของผม กับคน ๆ นี้ที่อาจจะทำเรื่องให้เขาเสียใจมาก ๆ ขึ้นไปอีกในอนาคต

ผม...กำลังทำร้ายเราทั้งหมดอยู่รึเปล่า?

“ชู่ว..อย่าคิดมากนะครับ คุณนอนมาน้อย หลับตาลงสักหน่อยนะ” เขาว่า พลางเอื้อมมือมาปิดตาของผมลงทั้งสองข้าง ผมเผลอหัวเราะออกมา เพราะเขาเปิดกระจกรถลงมานิดหน่อย ผมเลยพอจะได้กลิ่นดินและกลิ่นละอองความชื้นในอากาศ ผมสูดเข้าปอดแล้วนั่งหลับตาเงียบ ๆ ไป ตามกลางเสียงเพลงที่เขาเปิด

ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมมองคนข้างตัว เขาขับรถต่อไปนิ่ง ๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับท่าทางของผม

“เจ็บมากไหมครับ” ผมถาม เขาหันมายักคิ้วเชิงความหมายว่าผมถามถึงอะไร ผมชี้ไปที่ตามข้อแขนของเขาที่มีรอยเข็มเต็มไปหมด เขาหัวเราะออกบางเบา ก่อนจะเล่าให้ฟัง

“คุณอยากรู้ไหมว่าเขาฉีดกันยังไง” เขาว่า ผมพยักหน้าแล้วรอฟังเงียบ ๆ อย่างน้อยผมก็อยากรู้เรื่องของเขาจากที่เป็นอยู่

...อยากรู้จักกันมากกว่านี้ แม้แต่ในด้านที่ไม่น่ารู้จักก็ตาม

“ผมเล่าทั้งหมดเลยก็แล้วกัน อย่างแรกเลย ‘ของ’ ที่คุณรู้จักนะ จะมีหลายเกรด มาตรฐานและคุณภาพก็ตามราคานั่นแหละ” เขาว่า เว้นวรรคและมองผมว่าตามทันไหม พอเห็นผมไม่พูดอะไรก็เลยพูดต่อ

“ทีนี้ ถ้าเป็นพวกสั่งประจำนะ ก็จะมีราคาอีกเกรด แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร นอกจากรอเขาเอาของมาส่ง เผลอ ๆ สามารถติดเงินไว้ได้ก่อนด้วย จะเรียกว่าเป็นเครดิตก็ได้”

“ดูง่ายดีเนาะ” ผมประชด แต่เขาพยักหน้าเห็นด้วย

“มีเงินอะไรก็ง่าย” เขาว่า อันนี้ผมไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องจริง

“เรื่อง ‘ของ’ คุณไม่ต้องอยากรู้หรอกว่ามันมาจากไหนอะไรยังไง มันก็วน ๆ กันแถวนั้นแหละ ...พอได้ของมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนบ้านเราจะนิยมสูดเข้าปากกัน แต่แบบนั้นมันก็เปลืองของไปหน่อย ส่วนมากพวกไม่มีปัญหาทางรายได้ก็จะใช้สำหรับความบันเทิงอารมณ์อ่ะนะ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง

“แต่ถ้าพูดถึงแบบฉีด เราต้องมีอุปกรณ์ก่อน เข็มสำหรับฉีด ซึ่งก็หาซื้อได้ตามแหล่งทั่ว ๆ ไป ส่วนเหตุผลที่ขอซื้อก็ไปคิดเอาเองหน้างานละกันนะ ผมไม่ชี้โพรงกระรอก อ๋อ..แล้วก็ต้องมี Sterile Water for Injection แปลเป็นไทยบ้าน ๆ หน่อยก็น้ำเกลือบริสุทธิ์สำหรับชำระล้างและปลอดเชื้อไว้ผสม ช้อน สายรัดเส้นเลือด สำลีและแอลกอฮอล์เช็ดบาดแผล หลอดกาแฟหรืออะไรสักอย่างไว้ตัก” เขาร่ายยาว ผมตั้งใจฟังเงียบกริบ พยายามรวบรวมเก็บข้อมูลไปไว้บอกเล่าต่อให้โชฟัง

“ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เราต้องมั่นใจแบบเคลียร์ก่อนมาก ๆ ว่าของพวกนั้นสะอาดแล้ว ดังนั้นแล้วผมจะ ‘ไม่เล่น’ สุ่มสี่สุ่มห้ากับใคร อย่างมากก็เล่นแค่ในห้องตัวเองเท่านั้นเอง” ผมพยักหน้ารับทราบ

แต่เอ๊ะ ...วันนั้นเขายังถามอยู่เลยนะว่าห้องของผมมีของไหม?

“วันนั้นที่ผมถามคุณ ผมแค่อยากหาอะไรคุยถ่วงเวลาเถอะ” เขาพูด หลังเห็นสายตาของผม ชักเริ่มเชื่อแล้วว่าเลี้ยงกุมารจริง ๆ

“ต่อนะ ของที่เราได้มานะ มันมีสถานะภาพเป็นของแข็งอยู่ คุณนึกภาพพวกเกล็ดสารส้มหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ แต่เนื้อผงมันจะละเอียด และสีมันจะเป็นสีนวล ๆ ไม่ใช่สีขาวแบบน้ำแข็งจริงๆที่คนคิดกัน ไม่รู้สิ ตาผมเห็นเป็นสีแบบนั้นนะ” เขาอธิบายต่อ ผมพยักหน้าหงึก ๆ  ใจอยากจะเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจดบันทึก แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เวลา

“ทีนี้เนี่ย อย่างที่ผมบอกไป มันจะมีวิธีการใช้สองแบบ คือสูดกับฉีด ผมเป็นสายหลัง เริ่มแรกก็ทำความสะอาดทุกอย่าง ตั้งแต่เข็มฉีดยันยันช้อน อย่าลืมว่ามันคือการฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง ดังนั้นแล้วผลมันจะแรงกว่า ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดมาก ๆ อีกส่วนที่คนมักจะพลาดบ่อย ๆ คือตรงส่วนแกนดันเข็มฉีดยาก็ไม่ควรจับ...”

“ดูเข้มงวดดีเนาะ” ผมแซะเบา ๆ กับการระมัดระวังในเรื่องที่ไม่ควรทำ เขาส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ เหมือนปลงตกในความชอบแซะของผม

“ก็ตามนั่นแหละครับ หลังจากนั้นก็จุดไฟ แล้วก็....” เขาขับรถไปเรื่อย ๆ พร้อมอธิบายทั้งวิธีการ แหล่งซื้อขาย และผลลัพธ์

ผมชักเข้าใจความรู้สึกของโชตอนเวลามานั่งฟังผมพูดเรื่องของผมแล้ว เวลาที่คนเราได้ไปนั่งฟังอะไรที่มันดูจะห่างไกลจากโลกของเรา มันดูน่าทึ่งเอามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นพื้นฐานของคนที่คลุกคลีกับพวกมันอยู่ทุกวันก็ได้

“เอาตรง ๆ เลย แล้วคุณเสพไปทำไมละ?” ผมถาม หลังเขาอธิบายเรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยเกี่ยวกับการละเล่นของพวกเขา

“คุณจะเอาคำตอบแบบไหน คำตอบแบบตามหลักการเท่าที่ผมจะคิดได้ หรือ คำตอบแบบตามใจผม” เขาถาม

“เอาทั้งหมดเลย” ผมบอก

“ถ้าตามหลักการแล้ว ...สมองผมนะ มันตายไปแล้ว” เขาว่า เว้นวรรคแล้วพูดต่อ

“ตั้งแต่ผมเสพ สมองผมก็ค่อย ๆ ตายไปเรื่อย ๆ ผมรู้ดี มันคือราคาที่ผมต้องจ่ายแลกกับความสุขชั่วขณะหนึ่งที่ผมต้องการมัน ผมมีความสุขยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสารพวกนั้นมันกัดกินสมองของผมไปแล้ว ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ อารมณ์ของผมขึ้นลง มันเหมือน CPU ที่เสียไปแล้ว ผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“...”

“...ผมถึงได้ประหลาดใจ ว่าทำไมผมถึงมีความสุขได้นะ ตอนได้อยู่กับคุณ”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง น่าแปลกประหลาดที่มันสงบกว่าครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากับมัน ผมเอื้อมมือไปตบบ่าให้กำลังใจเขา สายตามองทอดยาวออกไปโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก

ผมมีความสุข ไม่ใช่แค่เพราะผมได้อยู่กับเขา แต่ผมมีความสุขที่ได้เห็นชีวิตคน ๆ หนึ่งกำลังมีความสุข

เขาเหมือนแก้วที่แตกและพยายามจะซ่อมแซมตัวเอง แต่คงลืมไปว่าทุกครั้งที่เขาพยายามจับเศษแก้วประกอบกัน มันก็บาดไปทั่วร่างกายจนเหลือไว้แค่ร่องรอยบาดแผลในใจเต็มไปหมด

รถยนต์เคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ตามการบังคับของเขา ผมนั่งฮัมเพลงไปเงียบ ๆ ไม่ถึงครึ่งชม. เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราสองคน เขาเคลื่อนรถไปจอด มองออกไปนอกตัวรถ ผมเห็นมีรถจอดอยู่ประปราย สมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่

ผมปลดเข็มขัดนิรภัย สะพายกระเป๋าเป้ และเดินลงไปมาจากรถ เขาเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นกว่าเดิม ท้องฟ้าเริ่มมีเมฆหนาขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองหน้าเข้าแล้วชี้ไปด้านบนเป็นเชิงให้มองตาม

“ฝนอาจจะตกได้” เขาว่า

“ก็ภาคใต้ล่ะนะ” ผมตอบ ตามหลักภูมิศาสตร์แล้วภาคใต้แทบจะมีฝนฟ้าคะนองแทบทุกฤดูกาล

“ยังไงก็ลองเดินไปเล่นกันก่อนแล้วกันนะครับ ถ้าไม่เวิร์กค่อยหนีกลับบังกะโล นอนดูเน็ตฟลิกซ์กัน” เขาว่า ผมพยักหน้ารับทราบตามที่เขาว่ามา ไฟท์บินคืนนี้คือ4 ทุ่มกว่า เรายังพอมีเวลาที่จะทำอะไรหลายๆ  อย่างในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ด้วยกัน

เราเดินลัดกันไปตามสะพานไม้ที่เป็นทางทอดยาว ระหว่างเดินเข้าไปก็มีหลาย ๆ คนเดินสวนทางออกมาบ้าง เราต่างยิ้มให้แก่กันและกันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน ผมเหม่อมองสองข้างทาง เพราะไม่เคยมาที่นี่ เลยได้เห็นอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ เต็มไปหมด ระยะทางระหว่างลานจอดรถไปจนถึงจุดหมาย นับว่าค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกันในความคิดผม

ใช้เวลาเดินแบบเรื่อย  ๆ ไม่เร่งรีบเกือบยี่สิบนาทีก็เดินมาถึงบริเวณน้ำพุที่เขาว่า จะให้อธิบายยังไงดีล่ะ มันเป็นเหมือนน้ำตกที่เราเห็นกันในหนังในละครนั่นแหละครับ เขาบุ้ยปากให้ผมค่อย ๆ เดินลงไปดี ๆ เพราะมีโขดหินและทางค่อนข้างชัน พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ  เอามือสัมผัสก็พบความอุ่น มันไม่ได้อุ่นจนร้อน แต่เป็นความอุ่นที่ผมคิดว่ากำลังพอดี ๆ

เนื่องจากชั้นน้ำตกกระจายโขดหินเป็นชั้น ๆ ทำให้คนที่มาเที่ยวนั่งเล่นกันประปราย วันนี้คนที่มาเที่ยวน้ำตก พอรวม ๆ กับคนที่เดินออกไปแล้วก็ถือว่าเยอะพอสมควร ผมคิดว่าอาจจะเพราะอากาศด้านบนด้วยก็เป็นไปได้

เรานั่งเล่นน้ำตกกันสักพักผมก็รู้สึกเบื่อ คือมันก็ว้าว แต่มันว้าวแค่ตอนที่เจอครั้งแรก พอนั่งไปนาน ๆ แล้วก็ชักจะคิดถึงบ่อน้ำร้อนใจกลางเมืองที่สามรถแช่ลงไปได้ทั้งตัว เหมือนเขารู้ว่าผมคิดอะไร เจ้าตัวกวักมือชวนผมขึ้นมาจากน้ำ พร้อมยื่นมือมาช่วยดึงผมลุกขึ้นไป

“คุณว่าเราควรกลับที่พักเลย หรือไปบ่อมรกตกันก่อนครับ?” เขาถาม ผมส่ายหน้าเลือกไม่ตก

“สระมรกตไกลจากตรงนี้ไหมครับ” ผมถามระหว่างเราเดินออกมาจากบ่อน้ำร้อนเรื่อย ๆ

“เดินเท้าประมาณเกือบยี่สิบนาที” เขาตอบกลับ ก่อนที่ผมจะได้ตอบโต้อะไร เม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มทยอยปลดปล่อยลงมาจากท้องฟ้า

“ไปหลบตรงศาลาตรงนั้นก่อน” เขาชี้ พร้อมเรียกให้ผมวิ่งตามเขาต้อย ๆ เข้าไปหลบพักฝนตรงศาลาพักเท้าข้างทาง

 “คุณ”

“ครับ?”

“เบื่อไหม” เขาถาม ผมส่ายหน้าพร้อมทำหน้าตั้งคำถามว่ามีตรงไหนต้องเบื่อเหรอ?

“ผมกลัวคุณเบื่อ...ขำอะไรของคุณ” เขาถามอีกครั้งหลังผมแอบหัวเราะเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณ ผมกำลังสงสัยว่าเราจะรีบวิ่งมาหลบฝนกันทำไม ในเมื่อเราก็เปียกกันทั้งร่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

พูดจบเราสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน นั่นสินะ ในเมื่อเปียกอยู่แล้ว และเราจะวิ่งเข้ามาหลบฝนกันตรงนี้ทำไม? ผมขำไปกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนเราจะพากันเบลอ ๆ ไปชั่วขณะ

“เอาไงต่อครับ จะหลบฝน  ไปต่อ หรือกลับห้องดี?” เขาถาม ผมคิดนิดหน่อย ตอนนี้เกือบบ่ายสองโมงแล้ว จากนี้กลับไปที่พักก็เกือบชั่วโมงกว่า

“ไปบ่อมรกตกับไหว้พระก่อนก็ได้ครับ”  ผมสรุป เราจึงยืนคุยเล่นรอฝนเบาลงกว่าเดิม

เวลาผ่านไปเกือบค่อนชั่วโมง ผมกำลังสนุกกับเรื่องราวที่ฟังมาจากปากเขา ในระหว่างที่เจ้าตัวไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ ทั้งปัญหาเชื้อชาติ เพื่อนฝูง และแฟนที่คบหากันในเวลานั้น บางเรื่องราวก็ทำให้มุมมองของผมที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางเรื่องผมก็ไม่คิดว่าเขาจะซื่อบื้อได้ถึงขนาดนั้น พอเขากำลังจะเล่าเรื่องต่อไป ฝนก็ค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ

“มาทางนี้แล้วกันนะครับ” เขาว่า พลางนำผมเดินตามทางลัดไปเรื่อย ๆ

 เพราะไม่ใช่เส้นทางหลัก ทำให้พื้นดินไม่เหมาะสมกับการเดินทางสักเท่าไหร่ ผมเกือบจะเสียหลักเซล้มไปซะหลายรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจกับมือกับเขาเดินไปตลอดทาง ตอนนี้เกือบ ๆ จะสามโมงเย็นแล้ว ผมเริ่มหิวนิดหน่อยแต่ก็อยากไปเล่นน้ำก่อน เขาแนะนำให้อดทนขึ้นไปหาอะไรทานที่ด้านบนวัด น่าจะพอมีอะไรขายบ้าง ผมเลยได้แต่ประทังหิวด้วยการกินขนมนมเนยที่พอจะติดกระเป๋ามาบ้าง

“คุณต้องลดขนมลงบ้างนะ” เขาเอ็ดเบา ๆ หลังผมส่งช็อกโกแลตเข้าปากอีกครั้ง ผมพยักหน้าขึ้นลงรับทราบแต่ไม่คิดจะทำตาม ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากลดน้ำหนัก มันแค่ยังไม่พร้อมเฉย ๆ หรอก

เรามาถึงบ่อมรกตช่วงสามโมงจะครึ่ง หลังจ่ายเงินค่าเข้า ผมชิงลงไปว่ายน้ำเล่นก่อน ถ้าถามว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน ผมคงต้องบอกว่าผมชอบที่นี่มากกว่าบ่อน้ำพุร้อน

อาจจะเพราะฝนไล่คนออกไปจนหมด ทำให้บริเวณถ้ำมรกตและในน้ำคนค่อนข้างน้อยและกระจัดกระจายกัน เจ้าตัวโตสะพายเป้กันน้ำว่ายน้ำผมดำผุดดำว่ายไปเรื่อย ๆ ผมแอบเอ็ดขำนิดหน่อยที่ชอบฉวยโอกาสกอดจากด้านหลัง และจะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามือเขาไม่ซนเป็นปลาหมึก ไปจับในส่วนที่ไม่ควรจะจับ

“คุณ น้ำมันใส” ผมเอ็ดเบา ๆ หลังเจ้าตัวเล็กในกางเกงเริ่มพองตัวโตออกมา เขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยกระซิบตอบผมกลับ

“ไว้บนรถแล้วกัน” ผมตีไหล่เขาหนึ่งทีข้อหาบ้ากามไม่รู้เวลา ก่อนเราสองคนจะดำผุดดำว่าย ว่ายน้ำเล่นในถ้ำมรกต จนลืมเวลาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ......







Time talk : นับถอยหลัง 5 ตอนสุดท้าย จะจบแล้วนะครับ ^^

เมื่อวานไปสอบ GAT PAT มาเป็นยังไงบ้างครับ? ไม่มีใครได้รับลูกหลงจากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ ส่วนตัวพ่อแมวเองขอเป็นกำลังใจให้กับทั้งตัวผู้ได้รับผลกระทบ ครอบครัวของผู้สูญเสีย และเด็ก ๆ ทุกคนที่ต้องมาเผชิญหน้าเหตุการณ์ที่ไม่สมควรจะต้องเผชิญ ขอให้เรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ

คิดถึงทุกคนเสมอนะครับ ,ขอบคุณครับ

พ่อแมวพุงโต

25/02/19


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-02-2019 01:37:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 26-02-2019 16:19:26
โอ้วว คือรู้จักมาก่อนเหรอ
รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: Gnaap ที่ 26-02-2019 22:59:03
อะไร ยังไง  :katai1:

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-02-2019 08:43:18
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 04-03-2019 21:34:30

Ep.31 Buddy



โชคดีที่เขาเป็นคนพูดจารู้เรื่อง พอไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อแล้ว เขาก็ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ แววตาทั้งสองข้างดูสงบนิ่ง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศ สูดเอาอากาศเหนือพื้นน้ำภายใต้ถ้ำมรกตไปพร้อม ๆ กับพยายามเก็บทุกช่วงเวลานี้ให้อยู่กับตัวเองไปนาน ๆ ผมว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่

จะว่ายังไงดี ก็ไม่ใช่ว่าผม ‘ไม่อยาก’ หรอกนะ แต่ผมเองก็มีหลาย ๆ  เรื่อง รบกวนภายในใจผมเหมือนกัน

‘โช’

ให้ตายเถอะ ถ้าภาพติดตาของผมกับพี่พอร์ช คือการที่ผมรู้สึกฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับเขา ภาพจำของผมกับโช ก็คงจะเป็นความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ยังไม่มีชื่อเรียก ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ทว่ามันกลับมีความสำคัญมาก ๆ กับความรู้สึกของผมประการหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาจากที่ไหนสักที่

ความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ‘สิ่งที่ผิด’

ชั่วขณะนั้นเอง รอยยิ้มและสายตาที่มองผมผ่านการคอลวิดีโอไลน์ก็ย้อนกลับเข้ามาในสมองของผม เหตุผลบางอย่างที่ผมเลือกจะมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างเลือนราง ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาดื้อ ๆ เจ้าตัวโตโอบกอดผมไว้ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

“คิดมากอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ?” เขาถาม

เพราะถูกกอดจากด้านหลัง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากตอบโกหกอะไร ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการสารภาพว่าแอบคิดอะไรเยอะแยะตีกันในหัวจริง ๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะสามารถทำตัวเป็นคนอื่นได้ยังไงบ้าง

“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าคิดแล้วปวดหัว วางมันลงสักแปปก็ได้” เขาว่า พูดจบก็กอดผมไว้แบบนั้น ผมยิ้มเย็น ๆ รู้สึกผิดกับเขา รู้สึกผิดกับโช และรู้สึกผิดกับตัวเอง

คำตอบที่เราถามตัวเราเองแล้วยังไม่ได้คำตอบ บางทีอาจจะเพราะมันยังไม่ถึงเวลาเฉลยรึเปล่า?

“คุณครับ”

“ครับ?” เขารับคำ ผมหันไปหาก่อนจะสบตามองกับเขา

“หลังจากนี้จะยังไงต่อ... ผมหมายถึง หลังจากนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?” ผมถาม จับหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแทนที่ค้ำยัน เขายิ้มเย็น ๆ ให้กับผม ส่ายหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด

“ผมยังไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับผม ผมขอให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้มันผ่านพ้นไปในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ”

...นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ผมได้ ผมคิดแบบนั้น

เราเล่นน้ำกันอีกสักพักใหญ่ ๆ ตอนนี้สี่โมงกว่า ผมหิวมาก ๆ แล้ว เลยชวนเขาขึ้นจากน้ำ เราสองคนเดินออกมาบริเวณภายนอกถ้ำ ก่อนจะหามุมเหมาะ ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมกันมา (จริง ๆ ต้องบอกว่า ที่เขาเตรียมมาให้มากกว่า) พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็พาผมเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่พื้นไม่แฉะมาก

“อากาศยังกับเมื่อกี้ฝนไม่ได้ตกเลยเนาะ?” ผมว่า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็น เมฆโปร่งราวกับว่าฝนตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนเป็นเรื่องโกหก

“ธรรมชาติน่ะ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนแปลงก็บ่อย ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก” เขาตอบประโยคบอกเล่าของผมด้วยประโยคบอกเล่า ผมเห็นด้วยกับเขานะ

“ก็เหมือนชีวิตล่ะนะ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางวันก็มีฝนโปรยปราย แต่สุดท้ายเดี๋ยวท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง” ผมอธิบายในส่วนของความรู้สึกจากในหัว กลิ่นฝนอ่อน ๆ หลังหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นกบที่ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ครับ

เราเดินไปหยุดกันตรงบริเวณร้านขายของที่มีของที่ระลึกและอาหารขายนิดหน่อย ผมเลือกซื้อข้าวเหนียวไก่ชิ้นมาทาน ส่วนเขายัดกล้วยเข้าท้องสองลูกเป็นอันอิ่ม

“ไปไหว้พระกันไหมคุณ?” เขาถาม พร้อมชี้ไปทางบันไดทางขึ้น ผมสบตาเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด บันไดนี้น่าจะมีประมาณพันกว่าขั้น แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยขามาก ๆ แล้ว เหมือนจะรู้ทันความคิดของผม อีกฝ่ายพูดต่อโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น

“ถ้าไม่งั้นก็ซื้อของกินแล้วกลับห้องกัน” เขาว่า ผมยืนคิดสักครู่ ตอนนี้เกือบ 4 โมงแล้ว กว่าจะกลับห้อง เสร็จสรรพก็น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง คงเร็วเกินไปที่จะกลับไปในเวลานี้ ผมกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงชี้ไปทางบันไดทั้งหมด 1260 ขั้น

อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้ง ผมคิด





...........................





“พระเจ้...” ผมอุทานเสียงขาด ทิ้งตัวลงไปนอนหงายหน้ามองฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น หลังจากลากพากายหยาบขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันไดได้ สาบานกับตัวเองได้เลย ผมจะไม่ใจอ่อนยอมขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ ถ้ายังไม่ผอมไปมากกว่านี้

เขายืนยิ้มมองผม ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ พอเห็นผมหายใจได้คล่องแล้ว ก็ส่งขวดน้ำเล็ก ๆ จากกระเป๋าทั้งหมดที่เขาเลือกจะเอาสะพายเอง ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่มีเสียงจะพูด ก่อนจะรับน้ำมาแล้วค่อย ๆ กระดกจิบน้ำทีละนิด ๆ เพื่อป้องกันอาการสำลักน้ำ

เพราะอยากทำเวลาไม่ให้กลับไปเตรียมตัวเก็บของช้าไปนัก คำนวณเวลาแล้ว ทั้งผมและเขา เราอยากใช้ระยะเวลาในการไปกลับไม่เกินชั่วโมงครึ่ง นั่นแปลว่าเรามีเวลาแค่ประมาณ 40 นาทีในการขึ้นมาให้ถึงด้านบนสุด ผมกับเขา เราเลยวิ่งแข่งกัน แรก ๆ ก็สนุกดี แถมยังต้องหลบหลีกกลุ่มคนที่เดินสวนลงมา แต่หลัง ๆ ผมชักเมื่อย เลยได้แต่ปล่อยให้เขาแซงหน้าไป

หมอนี่อึดมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ในส่วนของกำลังขานั้นก็ชัดเจนแล้วว่าทนแค่ไหน ผมไม่กล้าถามว่าที่เขาอึดได้ขนาดนี้เพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า และก็นั่นแหละ เหมือนเขาจะอ่านความคิดของผมได้

“ผมไม่ได้ใช้ยา” เขาว่า

“ผมว่าจะถามมานานแล้ว คุณเลี้ยงลูกกรอกเหรอ ทำไมถึงเดาความคิดผมได้หมดเลย” ผมทักเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจที่ตัวเองอ่านออกสักเท่าไหร่

“เพราะผมรู้ใจคุณต่างหาก...”

“....”

“ผมรู้ว่าความคิดของคุณประมาณไหน คุณมองโลกยังไง อย่างตอนที่คุณมองมาที่ผม แววตาคุณสับสน มันไม่ใช่แววตาของความสับสนในความลังเลใจว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แต่มันเป็นแววตาที่สับสน ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่มาที่นี่กับผม คิดถูกไหมที่บอกกับใครอีกคนของคุณไปแบบนั้น และสุดท้ายแล้ว...คุณสับสนว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมเจ็บปวด”

“...”

“ผมจะเจ็บปวด...ไม่ว่าจะทำยังไงเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว มันต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากกลายเป็นคนที่สมหวังในท้ายที่สุด รสชาติของความผิดหวังน่ะมันขม เพราะคุณสัมผัสมันมา คุณถึงได้อ่อนโยนมากกว่าที่คุณคิด คุณพยายามช่วยผมถือแก้วที่แตกอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มองเห็นรอยร้าวบนแก้วใบนี้เต็มไปหมด”

“ครับ”

“ผมน่ะ...ไม่ต้องคิดมากนะ ผมน่ะพร้อมจะฟังทุกอย่าง ในเวลาที่คุณอยากจะบอกผม ”

เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมระหว่างเรา สายลมบนยอดเขาพัดปลิวไปมา เจ้าตัวโตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ที่สุดแล้วเราพักกันเพียงแค่สิบห้านาทีก็ช่วยกันลุกขึ้นยืน ผมจับมือเขาไว้แน่น ๆ ก่อนจะพูดออกมาบางเบา

“ขอเวลาหน่อยนะครับ” มีเพียงแค่การพยักหน้าขึ้นลง ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขารับทราบแล้ว 

เราเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ  ลมเย็น ๆ ตีหน้าผมไปมา ผมสูดอากาศเข้าปอด ทอดสายตามองไปยังวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว มองไปไกลลิบ ๆ แอบเห็นทะเลเป็นริ้ว ๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ของผมหมดลงไปแล้วเลยไม่สามารถบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้ไว้ได้ ผมค่อย ๆ เดินดูสถาปัตยกรรม ถ้าตามคำบอกเล่า ชาวบ้านที่นี่เขาเชื่อกันว่าเมื่อก่อนมีเสืออยู่บนถ้ำจริง ๆ เลยนำมาตั้งเป็นวัดถ้ำเสือนั่นเอง

เดินวนกันอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมและเขาก็เดินไปหยุดที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

“ผมเป็นคริสต์” ผมออกตัว ผายมือให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปสักการะตามพื้นความเชื่อดั้งเดิมของเขาได้เลย เจ้าตัวรับทราบ เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะจุดธูปแล้วหลับตา พนมมืองึมงำอะไรสักอย่างสองอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินไปปักธูปไว้ที่กระถาง เป็นอันเสร็จสิ้นการสักการะ ผมยกมืออธิษฐานเหนืออก ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา

“คุณขออะไรเหรอ?” ผมถาม เขายักคิ้วให้ผมแล้วตอบกลับมา

“คำอธิษฐานถ้าบอกไปก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิครับ” เขาว่า ผมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกับเหตุผลนั้น

“กลับกันเถอะครับ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินก้าวตามมา ผมสูดอากาศบนยอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันไดทีละขั้น ๆ

ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนลงเราไม่ฝืนแรงโน้มถ่วงรึเปล่า ทำให้สบายกว่าขาขึ้นมาก ๆ ผมเหลือบมองเวลาแล้ว เราลงมาไวกันกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้าโมงเกือบจะครึ่ง พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็พักกันประมาณสิบนาที ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถยนต์ พอผมขึ้นไปนั่งได้อีกฝ่ายก็หันมาถามทันที

“โอเครึเปล่าครับวันนี้?” เขาถาม สีหน้าเหมือนเด็กลุ้นว่าอาจารย์จะรีเจกหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองไหม

“โอเคสิครับ ได้ไปตั้งหลายที่ แถมผมยังไม่เคยไปด้วย แอบเมื่อยนิดหน่อยตอนขึ้นเขา แต่พอขึ้นไปถึงแล้ววิวก็สวยมาก ๆ แถมยังได้ไปเห็นอะไรอีกเยอะด้วย อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรีทั้งหมด คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว” ผมว่า แอบแซวความป๋าของเขาในตอนท้าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขับรถไวขึ้นจนผมประหลาดใจ

“คุณรีบไปไหนรึเปล่า?” ผมถาม เขาหัวเราะตอบกลับมาเบา ๆ

“รู้ด้วยเหรอครับ”

“ผมสังเกตเอา รู้สึกเหมือนคุณอยากรีบกลับที่พัก” ผมบอก เพราะตอนขามาเขาดูขับใจเย็นกว่านี้ แล้วก็ไม่เลาะเลี้ยวเก่งเท่าตอนนี้ เขาไม่ตอบผมแต่ขับรถเร็วขึ้นไปอีก ผมสบถออกมาเบา ๆ พร้อมตะโกนตอบกลับไป

“ชิบ ยังไงก็ตาม ผมขอนะ อย่าเกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ผมว่า เกาะผนังรถแน่น ยิ่งพอเห็นอาการที่กลัวของผม เขายิ่งเหมือนแกล้งกันด้วยการขับเร็วขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังดีที่เขาทำตามที่ผมขอ คือไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างรถเรากับรถคนอื่น ๆ ไม่ตัดกันมากเกินไป

ด้วยอิทธิฤทธิ์ตีนผี จากเดินที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับมาถึงที่พัก แค่ประมาณยี่สิบนาทีเศษ ๆ เขาก็พาผมกลับมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องรีบกลับมามากขนาดนี้ เขาก็ชี้ให้ผมหันหน้าออกไปดูทางทะเล ผมเงียบทันทีที่ได้เห็นมัน เข้าใจแล้วว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทันดูอะไร

“สวยใช่ไหมละ?” เขาถาม

ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองจ้องพระอาทิตย์ดวงโต ๆ กำลังตกลงไปในทะเล สาบานได้ ถ้าตอนนี้ผมกำลังหิว พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือไข่เป็ดทอดที่ไม่สุกและข้างในเต็มไปด้วยเนื้อไข่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานแบบสุกมาก สีส้มอมแดงตัดกับเฉดของท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีเขียวอ่อนปนน้ำเงิน 

มันสวยมากจนถ้าไม่เห็นกับตา ผมก็คิดว่ามันคงมีอยู่แค่ในนิยาย ในภาพซีจี

ที่สุดแล้วธรรมชาติก็ยังมีความงดงามมากมายในตัวมันเองเสมอ ๆ

รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ซ้อนกับนิ้วมือของผม ความรู้สึกอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนมากขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รอยยิ้มของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนส่งออกมาจากใจ แต่มีความเจ็บร้าวซ่อนอยู่ในแววตาทั้งสองข้าง ผมมองหน้าเขา ก่อนจะคว้าคอขยับใบหน้าเข้ามากใกล้ ๆ

ริมฝีปากของเราชนกัน ผมสัมผัสได้ถึงความแตกกระด้างของเนื้อผิว ผมไม่สนใจค่อย ๆ สอดลิ้นเข้าไป เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตวัดลิ้นเกี่ยวกลับมา ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทั่วทั้งโพรงปาก สำรวจหาความหวานของรสจูบนี้

เพลง Rehab ดังขึ้นมาพอดี  ผมกดจูบกับเขากดไว้แบบนั้น จากจูบที่นุ่มนวลค่อย ๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามอากาศในปอดที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ฟันของเขาขบลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม ผมขบกลับไป ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื้น ๆ ที่มาจากใบหน้าของเขา ปลายลิ้นของผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือด เราถอนจูบออกช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าผม

เขาสั่น ...สั่นไปหมดทั้งตัว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผ่านแว่นตาไม่ชัด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเลนส์ที่ไปมัวตอนไหนรึเปล่า

แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่

ผมมองไม่เห็นเขา เพราะน้ำตาของผมบดบังตัวเขาไว้

“คุณ...ร้องไห้ทำไม” ผมถามเสียงสั่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของตัวเองน้ำตาเต็มไปทั้งสองตา เขาเอื้อมมือสั่น ๆ ค่อย ๆ ซับน้ำตาให้กับผม ทั้ง ๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรกัน มือบาง ๆ คู่นั้นดึงผมเข้าไปซุกไว้ที่ตัว ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตามากมายที่ค่อย ๆ หยดลงมาโดนหัวของผม

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ” เขาพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเขา หัวใจของผมเองก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองเห็นสายตา ผมยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้น ผมเห็นความเจ็บปวด ผมเห็นความแหลกสลาย ผมเห็นว่าเขารับรู้ทุกความรู้สึกของผม เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...

...ตอนที่ผมมองหน้าพี่พอร์ช แล้วรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่ามาที่นี่เลย” ผมว่าเสียงสั่น หัวใจเจ็บที่กำลังรับรู้ว่าตัวเองทำร้ายและทำลายคนอีกคนมากมายขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแน่ ๆ ที่จะชวนผมมา ทั้ง ๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมได้ให้ใจใครไปอีกคนตั้งนานแล้ว และเป็นผมเอง เป็นผมเองที่ทำร้ายทุกคนมาตลอด

ผมมาหาเขา เพราะต้องการทดสอบโชว่าเขาจะคิดยังไง ว่าเขาจะหวงผมไหม ว่าความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมรึไม่ เพราะทั้งหมดนั้นผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ขอให้มันอยู่ในวันและเวลาที่เรายังไม่ได้ไปด้วยกันไกลมากไปกว่านี้ เพราะผมคิดแบบนั้น เพราะในใจลึก ๆ ของผมหวาดกลัวการเริ่มต้น

ขอแค่คำเดียวที่เขาพูดมา แค่สายตาที่ผิดหวังในตัวผมตอนที่ผมไปมีอะไรกับใคร

มันคงทำให้ผมตัดใจ คงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร ที่ต้องเดินจากผมมา

ลึก ๆ ข้างในแล้ว ผมขยะแขยงตัวเอง ผมรังเกียจตัวเองที่ทำแบบนี้ เพราะกลัวการเริ่มต้น ถึงไม่เริ่มใหม่กับใคร ต้องการแค่คนที่มานอนเป็นครั้งคราวไป ไม่คาดหวังอะไรนอกจากว่าอีกฝ่ายจะมีคุณค่ามากพอให้ผมรู้สึกอยากจะมีอะไรด้วย

เพราะกลัวมาตลอดว่าทุกคนจะเข้าหาด้วยเรื่องแค่นี้ เลยพยายามห้ามตัวเองไว้ไม่ให้คิดอะไรไปไกลมากกว่าแค่คืนหนึ่งคืนที่ผ่านมาและผ่านไป เพราะลึก ๆ ข้างในแล้วผมขยะแขยงตัวเอง ผมไม่อาจจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะต้องมีอะไรกับใครสักคน เพราะผมกลัว ผมไม่สามารถก้าวข้ามความหวาดกลัวได้

ผมกลัวหลงทางอีกครั้ง เหมือนที่ใครบางคนเคยพยายามนำทางผมและทุกอย่างก็แหลกสลายไปในท้ายที่สุด

ผมถึงทดสอบกับโชครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบว่าเขา..จะรังเกียจคนแบบผมไหม?

ในที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถมีอะไรกับใครคนอื่นได้นอกจากโช ไม่หรอก ผมมีได้ แต่ความรู้สึกที่ตามหลังมาเหมือนกับว่าผมกำลังทำผิดพลาด เหมือนกับว่าผมกำลังหักหลังเขา ผมกำลังหักหลังตัวผมเอง เหมือนที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสองคนนั้น ที่จริงแล้วถ้าผมจะหยุดผมก็คงทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเพื่อทดสอบเขา

...ผมเห็นแก่ตัวกับคนเหล่านี้มากมายเหลือเกิน

“ผมยินดี”

เขาพูดทั้งหยาดน้ำตา คล้ายอ้อมกอดให้ผมได้เห็นใบหน้าที่กำลังมองลงมา

“24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม คุณไม่ต้องเสียใจ คุณไม่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรเลยที่คุณได้ทำผิดพลาดไป ทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเสมอในท้ายที่สุด”

“....”

“พระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบนี้ จนกว่าสักวันโลกจะแตก ที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงไป สุดท้ายแล้วปลายทางของใครสักคนก็ต้องตัดผ่านกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ...ผมยินดี ผมยินดีมาก ๆ แล้วที่ได้มีคุณอยู่ในชีวิต แค่เท่านี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์เท่านี้มันจะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว”

“ครับ...”

“ดังนั้นแล้ว ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะครับ”

น่าเสียดาย ผมไม่สามารถทำตามที่เขาขอร้องได้เลยสักนิด

เหมือนหัวใจผมแตกสลาย น้ำตามากมายไหลออกมาไม่ต่างจากฝนเมื่อยามบ่าย



.....................

 




ผมร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที เราทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้า เปลือยกาย แล้วก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ผมเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่ไม่มีสติอยู่กับตัว ก้มหัวลงให้เขาสระผมให้ มือหยาบกระด้างค่อย ๆ ฟอกแชมพูให้ผม ก่อนจะเทสบู่เหลวลงมือแล้วไล่ไปทั่วร่างกายผม ไม่แม้แต่จุดซ่อนเร้น ผมไม่หลบหนี ปล่อยเขากระทำตามใจกับร่างกายไปเรื่อย ๆ

ผมอยากให้เขามีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก

เขาไม่ได้ทำอะไรผมไปมากกว่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินมากไปกว่าแค่ต้องการชำระล้างร่างกายให้ผมเท่านั้นเอง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับเขา เจ้าตัวช่วยผมเช็ดศีรษะด้วยการเอาผ้ามาพัน ๆ แล้วถูให้จนแห้งสนิท พร้อมเสร็จหลังจากนั้นก็ทาแป้งเบา ๆ ให้ผม ยื่นชุดที่คิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาไปหาไซซ์ผมมาได้ยังไงให้ใส่

เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะต้องขับรถกลับไปสนามบิน ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่นอนกอดเขาเงียบ ๆ เหมือนกับที่เขานอนกอดผม พยายามแล้ว แต่ที่สุดเราสองคนก็ยังนอนกอดกันร้องไห้แบบนั้น เขาเปิดเพลง ‘ฉันดีใจที่ได้พบเธอ’ ของ Whal & Dolph ก่อนเราจะนอนกอดกันร้องไห้ไปแบบนั้นจนหมดเวลา

หลังจากเช็กว่าไม่ลืมอะไรทิ้งไว้เป็นครั้งสุดท้าย ผมก็กดล็อกกุญแจที่พัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ หันไปมองหน้าเขา หันมามองเรา พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สองตาบวม ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำของตัวผมเอง

มันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากสำหรับผมจริง ๆ

ถึงเวลากลับ เรานั่งสายการบินเดิมที่นั่งมาเมื่อเช้า..จริง ๆ ผมต้องบอกว่าเมื่อคืนสินะ? ช่างเถอะ หัวของผมหมุนวนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว เรานั่งเงียบ ๆ เสียบหูฟังกันคนละข้างจนมาถึงกรุงเทพฯ ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนรถเมื่อเช้ายังอยู่รอเราสองคน เขาโค้งให้คนข้าง ๆ ตัวผมก่อนจะยื่นกุญแจรถพอร์ชคันเดิมให้กับเขา

ผมนั่งเงียบ ๆ เหม่อเห็นนาฬิกาเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว เวลา 24 ชม.ที่เกิดขึ้นกำลังจะจบลง ผมเหมือนคนเบลอยา เหมือนหลับแล้วฝันไป ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมากขนาดนี้ เขาขับขึ้นทางด่วน ถนนยามค่ำคืนค่อนข้างโล่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคืนวันเสาร์

เขาขับรถมาเรื่อย ๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว เวลาเองก็กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน น่าแปลกที่ผมกลับเริ่มสงบใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าในที่สุดแล้วผมก็เข้าใจตำแหน่งของใครอีกคนสักที

ความเจ็บปวดที่พี่พอร์ชมอบให้กับผม แม้มันจะเป็นบาดแผลที่ใหญ่และรุนแรง แต่อย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่แผลเรื้อรัง มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปต่อได้ง่ายมากขึ้น

การไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่ในรักครั้งเก่า ก็เป็นประตูอีกบานที่จะส่งเราไปเจอกับความรักครั้งใหม่ ๆ

เขาจอดรถเทียบในมหาวิทยาลัย มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีเศษ เราเงียบ ก่อนเขาจะเป็นคนพูดก่อน

“ไปเดินเล่นกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าและเดินลงไปจากรถ หยิบมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเพียงอย่างเดียว

เราเดินเงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมพูดทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดออกไปหมดแล้ว ผมว่าเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เลยปล่อยให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวได้ทำงานของมัน เสียงแมกไม้ เสียงรถยนต์ที่ดังเข้ามาจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาบางส่วนที่ยังคงค้างและหลงเหลืออยู่ในนี้

ยี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที...

“ส่งผมแค่ตรงนี้ก็พอครับ” ผมพูดออกมาเป็นครั้งแรก หันหน้าไปเจอกันกับเขา

“....”

“คุณครับ...”

“....”

“ได้โปรด...ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” ผมบอก พยายามไม่ให้ความรู้สึกขม ๆ ข้างในทะลักออกมาเป็นทะเลน้ำตา

เขาเงียบสงบกว่าที่ผมคิด ไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือแสดงอาการเสียใจ พยักหน้ารับคำและส่งรอยยิ้มให้กับผม

“ผมชื่อ‘หยก’” เขาบอก ผมพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ บ้าง

หยก ผลึกอัญมณีที่มีค่า สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวมัน

“ผมชื่อทรอย” ผมตอบกลับไป เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบอย่างสงบ

เราเงียบและมองหน้ากัน เหมือนผมได้ยินเสียงเข็มวินาทีดังขึ้น เหลือบตามองหน้าปัดเป็นเวลา 00.00 นาฬิกา

“หยกครับ ทรอยต้องไปแล้วนะ”

“ครับ”

ผมเตรียมตัวจะหันหลังกลับมา แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน

“หยกจะจำชื่อทรอยไปชั่วชีวิตของหยกนะครับ”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับทราบ ทำสิ่งที่สมควรทำครั้งสุดท้ายด้วยการกอดอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาให้กับเขา ถึงที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าสักวันหยกจะเจอกับใครสักคนที่จะมอบความรักทั้งหมดให้กับเขาได้จริง ๆ

ผมหันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป ปราศจากเสียงเรียกรั้งใด ๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองไล่ตามผมจนสุดทาง แต่ผมไม่สามรถหันหลังกลับไปมองได้ ผมไม่สามารถหันกลับไปได้ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเต็มสองตาของผมแบบนี้ ผมไม่ใส่ใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาที่ผม พยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออกมาว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าหอพัก แล้วพบว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนรออะไรบางอย่างที่หน้าประตู

บางอย่างที่ว่า...นั่นคือผม

“กลับมาแล้วเหรอครับ?” เขาว่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ใบหน้าอิดโรยอยู่ในชุดออฟฟิศที่มีเสื้อสูทตัวนอกพาดแขน แม้จะดูเหนื่อยล้าขนาดไหนแต่เขาก็ยังพยายามที่จะส่งยิ้มกลับมาให้ที่ผม

“หิวไหม...ทานอะไรมารึ...” โชพูดได้ไม่ทันขาดคำ ผมก็เขาไปกอดเขาไว้เต็มรัก

“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่กับผมตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”

ไม่ใช่คำขอร้อง แต่คือคำอ้อนวอน

....นานแล้วเหลือเกิน ที่ผมไม่ได้เจอใครสักคน ที่ทำให้ผมกล้ามากพอที่จะร้องไห้ให้เขาฟัง


Time talk : มาติดตามสี่ตอนที่เหลือกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ขอบคุณจริง ๆ เลยนะ ที่ยังอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ใกล้แล้วนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งรีบเดินจากกันไปไหนนะครับ :)

 
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P6 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 04-03-2019 21:38:10
Ep.31 Buddy



โชคดีที่เขาเป็นคนพูดจารู้เรื่อง พอไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อแล้วเขาก็ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ แววตาทั้งสองข้างดูสงบนิ่ง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศ สูดเอาอากาศเหนือพื้นน้ำภายใต้ถ้ำมรกตไปพร้อม ๆ กับพยายามเก็บทุกช่วงเวลานี้ให้อยู่กับตัวเองไปนาน ๆ ผมว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่

จะว่ายังไงดี ก็ไม่ใช่ว่าผม ‘ไม่อยาก’ หรอกนะ แต่ผมเองก็มีหลาย ๆ  เรื่อง รบกวนภายในใจผมเหมือนกัน

‘โช’

ให้ตายเถอะ ถ้าภาพติดตาของผมกับพี่พอร์ชคือการที่ผมรู้สึกฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับเขา ภาพจำของผมกับโช ก็คงจะเป็นความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ยังไม่มีชื่อเรียก ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ทว่ามันกลับมีความสำคัญมาก ๆ กับความรู้สึกของผมประการหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาจากที่ไหนสักที

ความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ‘สิ่งที่ผิด’

ชั่วขณะนั้นเอง รอยยิ้มและสายตาที่มองผมผ่านการคอลวิดีโอไลน์ก็ย้อนกลับเข้ามาในสมองของผม เหตุผลบางอย่างที่ผมเลือกจะมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างเรือนราง ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาดื้อ ๆ เจ้าตัวโตโอบกอดผมไว้ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

“คิดมากอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ?” เขาถาม

เพราะถูกกอดจากด้านหลัง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากตอบโกหกอะไร ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการสารภาพว่าแอบคิดอะไรเยอะแยะตีกันในหัวจริง ๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะสามารถทำตัวเป็นคนอื่นได้ยังไงบ้าง

“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าคิดแล้วปวดหัววางมันลงสักแปปก็ได้” เขาว่า พูดจบก็กอดผมไว้แบบนั้น ผมยิ้มเย็น ๆ รู้สึกผิดกับเขา รู้สึกผิดกับโช และรู้สึกผิดกับตัวเอง

คำตอบที่เราถามตัวเราเองแล้วยังไม่ได้คำตอบ บางที่อาจจะเพราะมันยังไม่ถึงเวลาเฉลยรึเปล่า?

“คุณครับ”

“ครับ?” เขารับคำ ผมหันไปหาก็จะสบตามองกับเขา

“หลังจากนี้จะยังไงต่อ...ผมหมายถึง หลังจากนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?” ผมถาม จับหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแทนที่ค้ำยัน เขายิ้มเย็น ๆ ให้กับผม ส่ายหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่อย่างไร

“ผมยังไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับผม ผมขอให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มันให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ”

...นั้นอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ผมได้ ผมคิดแบบนั้น

เราเล่นน้ำกันอีกสักพักใหญ่ ๆ ตอนนี้สี่โมงกว่า ผมหิวมาก ๆ แล้วเลยชวนเขาขึ้นน้ำ เราสองคนเดินออกมาบริเวณภายนอกถ้ำ ก่อนจะหามุมเหมาะ ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมกันมา (จริง ๆ ต้องบอกว่าที่เขาเตรียมมาให้มากกว่า) พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็พาผมเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่พื้นไม่แฉะมาก

“อากาศยังกับเมื่อกี้ฝนไม่ได้ตกเลยเนาะ?” ผมว่า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็น เมฆโปร่งราวกกับว่าฝนตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนเป็นเรื่องโกหก

“ธรรมชาตินะ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนแปลงก็บ่อย ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก” เขาตอบประโยคบอกเล่าของผมด้วยประโยคบอกเล่า ผมเห็นด้วยกับเขานะ

“ก็เหมือนชีวิตละนะ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางวันก็มีฝนโปรยปราย แต่สุดท้ายเดี๋ยวท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง” ผมอธิบายในส่วนของความรู้สึกจากในหัว กลิ่นฝนอ่อน ๆ หลังหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นกบที่ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ครับ

เราเดินไปหยุดกันตรงบริเวณร้านขายของที่มีของที่ระลึกและอาหารขายนิดหน่อย ผมเลือกซื้อข้าวเหนียวไก่ชิ้นมาทาน ส่วนเขายัดกล้วยเข้าท้องสองลูกเป็นอันอิ่ม

“ไปไหว้พระกันไหมคุณ?” เขาถาม พร้อมชี้ไปทางบันไดทางขึ้น ผมสบตาเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด บันไดนี้น่าจะมีประมาณพันกว่าขั้น แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยขามาก ๆ แล้ว เหมือนจะรู้ทันความคิดของผม อีกฝ่ายพูดต่อโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น

“ถ้าไม่งั้นก็ซื้อของกินแล้วกลับห้องกัน” เขาว่า ผมยืนคิดสักครู่ ตอนนี้ เกือบ 4 โมงแล้ว กว่าจะกลับห้องเสร็จสรรพสรรพก็น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง คงเร็วเกินไปที่จะกลับไปในเวลานี้ ผมกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงชี้ไปทางบันไดทั้งหมด 1260 ขั้น

อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้ง ผมคิด





...........................




“พระเจ้...” ผมอุทานเสียงขาด ทิ้งตัวลงไปนอนหงายหน้ามองฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น หลังพาลากกายหยาบขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันไดได้ สาบานกับตัวเองได้เลย ผมจะไม่ใจอ่อนยอมขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ ถ้ายังไม่ผอมไปมากกว่านี้

เขายืมยิ้มมองผม ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ พอเห็นผมหายใจได้คล่องแล้วก็ส่งขวดน้ำเล็ก ๆ จากระเป๋าทั้งหมดที่เขาเลือกจะเอาสะพายเอง ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่มีเสียงจะพูด ก่อนจะรับน้ำมาแล้วค่อย ๆ กระดกจิบน้ำที่ละนิด ๆ เพื่อป้องกันอาการสำลักน้ำ

เพราะอยากทำเวลาไม่ให้กลับไปเตรียมตัวเก็บของช้าไปนัก คำนวณเวลาแล้ว ทั้งผมและเขา เราอยากใช้ระยะเวลาในการไปกลับไม่เกินชั่วโมงครึ่ง นั้นแปลว่าเรามีเวลาแค่ประมาณ 40 นาทีในการขึ้นมาให้ถึงด้านบนสุด ผมกับเขา เราเลยวิ่งแข่งกัน แรก ๆ ก็สนุกดี แถมยังต้องหลบหลักกลุ่มคนที่เดินสวนลงมา แต่หลัง ๆ ผมชักเมื่อย เลยได้แต่ปล่อยให้เขาแซงหน้าไป

หมอนี้อึดมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ในส่วนของกำลังขานั้นก็ชัดเจนแล้วว่าทนแค่ไหน ผมไม่กล้าถามว่าที่เขาอึดได้ขนาดนี้เพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า และก็นั่นแหละ เหมือนเขาจะอ่านความคิดของผมได้

“ผมไม่ได้ใช้ยา” เขาว่า

“ผมว่าจะถามมานานแล้ว คุณเลี้ยงลูกกรอกเหรอ ทำไมถึงเดาความคิดผมได้หมดเลย” ผมทักเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจที่ตัวเองอ่านออกสักเท่าไหร่

“เพราะผมรู้ใจคุณต่างหาก...”

“....”

“ผมรู้ว่าความคิดของคุณประมาณไหน คุณมองโลกยังไง อย่างตอนที่คุณมองมาที่ผม แววตาคุณสับสน มันไม่ใช่แววตาของความสับสนในความลังเลใจว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แต่มันเป็นแววตาที่สับสน ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่มาที่นี้กับผม คิดถูกไหมที่บอกกับใครอีกคนของคุณไปแบบนั้น และสุดท้ายแล้ว...คุณสับสนว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมเจ็บปวด”

“...”

“ผมจะเจ็บปวด...ไม่ว่าจะทำยังไงเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว มันต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากกลายเป็นคนที่สมหวังในท้ายที่สุด รสชาติของความผิดหวังนะมันขม เพราะคุณสัมผัสมันมา คุณถึงได้อ่อนโยนมากกว่าที่คุณคิด คุณพยายามช่วยผมถือแก้วที่แตกอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มองเห็นรอยร้าวบนแก้วใบนี้เต็มไปหมด”

“ครับ”

“ผมนะ...ไม่ต้องคิดมากนะ ผมนะพร้อมจะฟังทุกอย่าง ในเวลาที่คุณอยากจะบอกผม ”

เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมระหว่างเรา สายลมบนยอดเขาพัดปลิวไปมา เจ้าตัวโตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง  ๆ ผม ที่สุดแล้วเราพักกันเพียงแค่สิบห้านาทีก็ช่วยกันลุกขึ้นยืน ผมจับมือเขาไว้แน่น ๆ ก่อนจะพูดออกมาบางเบา

“ขอเวลาหน่อยนะครับ” มีเพียงแค่การพยักหน้าขึ้นลง ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขารับทราบแล้ว 

เราเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ  ลมเย็น ๆ ตีหน้าผมไปมา ผมสูดอากาศเข้าปอด ทอดสายตามองไปยังวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว มองไปไกลลิบ ๆ แอบเห็นทะเลเป็นริ้ว ๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ของผมหมดลงไปแล้วเลยไม่สามารถบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้ไว้ได้ ผมค่อย ๆ เดินดูสถาปัตยกรรม ถ้าตามคำบอกเล่า ชาวบ้านที่นี้เขาเชื่อกันว่าเมื่อก่อนมีเสืออยู่บนถ้ำจริง ๆ เลยนำมาตั้งเป็นวัดถ้ำเสือนั้นเอง

เดินวนกันอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมและเขาก็เดินไปหยุดที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

“ผมเป็นคริสต์” ผมออกตัว ผายมือให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปสักการะตามพื้นความเชื่อดังเดิมของเขาได้เลย เจ้าตัวรับทราบ เหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะจุดธูปแล้วหลับตา พนมมืองึมงำอะไรสักอย่างสองอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินไปปักธูปไว้ที่กระถาง เป็นอันเสร็จสิ้นการสักการะ ผมยกมืออธิษฐานเหนืออก ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา

“คุณขออะไรเหรอ?” ผมถาม เขายักคิ้วให้ผมแล้วตอบกลับมา

“คำอธิษฐานถ้าบอกไปก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิครับ” เขาว่า ผมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกับเหตุผลนั้น

“กลับกันเถอะครับ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินก้าวตามมา ผมสูดอากาศบนยอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันไดที่ละขั้น ๆ

ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนลงเราไม่ฝืนแรงโน้มถ่วงรึเปล่า ทำให้สบายกว่าขาขึ้นมาก ๆ ผมเหลือบมองเวลาแล้ว เราลงมาไวกันกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้าโมงเกือบจะครึ่ง พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็พักกันประมาณสิบนาที ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถยนต์ พอผมขึ้นไปนั่งได้อีกฝ่ายก็หันมาถามทันที่

“โอเครึเปล่าครับวันนี้?” เขาถาม สีหน้าเหมือนเด็กลุ้นว่าอาจารย์จะรีเจกหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองไหม

“โอเคสิครับ ได้ไปตั้งหลายที่ แถมผมยังไม่เคยไปด้วย แอบเมื่อยนิดหน่อยตอนขึ้นเขา แต่พอขึ้นไปถึงแล้ววิวก็สวยมาก ๆ แถมยังได้ไปเห็นอะไรอีกเยอะด้วย อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรีทั้งหมด คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว” ผมว่า แอบแซวความป๋าของเขาในตอนท้าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขับรถไวขึ้นจนผมประหลาดใจ

“คุณรีบไปไหนรึเปล่า?” ผมถาม เขาหัวเราะตอบกลับมาเบา ๆ

“รู้ด้วยเหรอครับ”

“ผมสังเกตเอา รู้สึกเหมือนคุณอยากรีบกลับที่พัก” ผมบอก เพราะตอนขามาเขาดูขับใจเย็นกว่านี้ แล้วก็ไม่เลาะเลี้ยวเก่งเท่าตอนนี้ เขาไม่ตอบผมแต่ขับรถเร็วขึ้นไปอีก ผมสบถออกมาเบา ๆ พร้อมตะโกนตอบกลับไป

“ชิบ ยังไงก็ตาม ผมขอนะ อย่าเกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ผมว่า เกาะผนังรถแน่น ยิ่งพอเห็นอาการที่กลัวของผม เขายิ่งเหมือนแกล้งกันด้วยการขับเร็วขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังดีที่เขาทำตามที่ผมขอ คือไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างรถเรากับรถคนอื่น ๆ ไม่ตัดกันมากเกินไป

ด้วยอิทธิฤทธิ์ตีนผี จากเดินที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับมาถึงที่พัก แค่ประมาณยี่สิบนาทีเศษ ๆ เขาก็พาผมกลับมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องรีบกลับมามากขนาดนี้ เขาก็ชี้ให้ผมหันหน้าออกไปดูทางทะเล ผมเงียบทันทีที่ได้เห็นมัน เข้าใจแล้วว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทันดูอะไร

“สวยใช่ไหมละ?” เขาถาม

ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองจ้องพระอาทิตย์ดวงโต ๆ กำลังตกลงไปในทะเล สาบานได้ ถ้าตอนนี้ผมกำลังหิว พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือไข่เป็ดทอดที่ไม่สุกและข้างในเต็มไปด้วยเนื้อไข่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานแบบสุกมาก สีส้มอมแดงตัดกับเฉดของท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีเขียวอ่อนปนน้ำเงิน 

มันสวยมากจนถ้าไม่เห็นกับตา ผมก็คิดว่ามันคงมีอยู่แค่ในนิยาย ในภาพซีจี

ที่สุดแล้วธรรมชาติก็ยังมีความงดงามมากมายในตัวมันเองเสมอ ๆ

รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ซ้อนกับนิ้วมือของผม ความรู้สึกอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนมากขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รอยยิ้มของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนส่งออกมาจากใจ แต่มีความเจ็บร้าวซ่อนอยู่ในแววตาทั้งสองข้าง ผมมองหน้าเข้า ก่อนจะคว้าคอขยับใบหน้าเข้ามากใกล้ ๆ

ริมฝีปากของเราชนกัน ผมสัมผัสได้ถึงความแตกกระด้างของเนื้อผิว ผมไม่สนใจค่อย ๆ สอดลิ้นเข้าไป เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตวัดลิ้นเกี่ยวกลับมา ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทั่วทั้งโพรงปาก สำรวจหาความหวานของรสจูบนี้

เพลง Rehab ดังขึ้นมาพอดี  ผมกดจูบกับเขากดไว้แบบนั้น จากจูบที่นุ่มนวลค่อย ๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามอากาศในปอดที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ฟันของเขาขบลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม ผมขบกับไป ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื้น ๆ ที่มาจากใบหน้าของเขา ปลายลิ้นของผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือด เราถอนจูบออกช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าผม

เขาสั่น ...สั่นไปหมดทั้งตัว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผ่านแว่นตาไม่ชัด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเลนส์ที่ไปมัวตอนไหนรึเปล่า

แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่

ผมมองไม่เห็นเขา เพราะน้ำตาของผมบดบังตัวเขาไว้

“คุณ...ร้องไห้ทำไม” ผมถามเสียงสั่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของตัวเองน้ำตาเต็มไปทั้งสองตา เขาเอื้อมมือสั่น ๆ ค่อย ๆ ซับน้ำตาให้กับผม ทั้ง ๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรกัน มือบาง ๆ คู่นั้นดึงผมเข้าไปซุกไว้ที่ตัว ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตามากมายที่ค่อย ๆ หยดลงมาโดนหัวของผม

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ” เขาพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเขา หัวใจของผมเองก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองเห็นสายตา ผมยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้น ผมเห็นความเจ็บปวด ผมเห็นความแหลกสลาย ผมเห็นว่าเขารับรู้ทุกความรู้สึกของผม เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...

...ตอนที่ผมมองหน้าพี่พอร์ช แล้วรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่ามาที่นี้เลย” ผมว่าเสียงสั่น หัวใจเจ็บที่กำลังรับรู้ว่าตัวเองทำร้ายและทำลายคนอีกคนมากมายขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแน่ ๆ ที่จะชวนผมมา ทั้ง ๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมได้ให้ใจใครไปอีกคนตั้งนานแล้ว และเป็นผมเอง เป็นผมเองที่ทำร้ายทุกคนมาตลอด

ผมมาหาเขา เพราะต้องการทดสอบโชว่าเขาจะคิดยังไง ว่าเขาจะหวงผมไหม ว่าความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมรึไม่ เพราะทั้งหมดนั้นผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ขอให้มันอยู่ในวันและเวลาที่เรายังไม่ได้ไปด้วยกันไกลมากไปกว่านี้ เพราะผมคิดแบบนั้น เพราะในใจลึก ๆ ของผมหวาดกลัวการเริ่มต้น

ขอแค่คำเดียวที่เขาพูดมา แค่สายตาที่ผิดหวังในตัวผมตอนที่ผมไปมีอะไรกับใคร

มันคงทำให้ผมตัดใจ คงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร ที่ต้องเดินจากผมมา

ลึก ๆ ข้างในแล้ว ผมขยะแขยงตัวเอง ผมรังเกียจตัวเองที่ทำแบบนี้ เพราะกลัวการเริ่มต้น ถึงไม่เริ่มใหม่กับใคร ต้องการแค่คนที่มานอนเป็นครั้งคราวไป ไม่คาดหวังอะไรนอกจากว่าอีกฝ่ายจะมีคุณค่ามากพอให้ผมรู้สึกอยากจะมีอะไรด้วย

เพราะกลัวมาตลอดว่าทุกคนจะเข้าหาด้วยเรื่องแค่นี้ เลยพยายามห้ามตัวเองไว้ไม่ให้คิดอะไรไปไกลมากกว่าแค่คืนหนึ่งคืนที่ผ่านมาและผ่านไป เพราะลึก ๆ ข้างในแล้วผมขยะแขยงตัวเอง ผมไม่อาจจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะต้องมีอะไรกับใครสักคน เพราะผมกลัว ผมไม่สามารถก้าวข้ามความหวาดกลัวได้

ผมกลัวหลงทางอีกครั้ง เหมือนที่ใครบางคนเคยพยายามนำทางผมและทุกอย่างก็แหลกสลายไปในท้ายที่สุด

ผมถึงทดสอบกับโชครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบว่าเขา..จะรังเกียจคนแบบผมไหม?

ในที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถมีอะไรกับใครคนอื่นได้นอกจากโช ไม่หรอก ผมมีได้ แต่ความรู้สึกที่ตามหลังมาเหมือนกับว่าผมกำลังทำผิดพลาด เหมือนกับว่าผมกำลังหักหลังเขา ผมกำลังหักหลังตัวผมเอง เหมือนที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสองคนนั้น ที่จริงแล้วถ้าผมจะหยุดผมก็คงทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเพื่อทดสอบเขา

...ผมเห็นแก่ตัวกับคนเหล่านี้มากมายเหลือเกิน

“ผมยินดี”

เขาพูดทั้งหยาดน้ำตา คล้ายอ้อมกอดให้ผมได้เห็นใบหน้าที่กำลังมองลงมา

“24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม คุณไม่ต้องเสียใจ คุณไม่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรเลยที่คุณได้ทำผิดพลาดไป ทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเสมอในท้ายที่สุด”

“....”

“พระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบนี้ จนกว่าสักวันโลกจะแตก ที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงไป สุดท้ายแล้วปลายทางของใครสักคนก็ต้องตัดผ่านกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ...ผมยินดี ผมยินดีมาก ๆ แล้วที่ได้มีคุณอยู่ในชีวิต แค่เท่านี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์เท่านี้มันจะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว”

“ครับ...”

“ดังนั้นแล้ว ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะครับ”

น่าเสียดาย ผมไม่สามารถทำตามที่เขาขอร้องได้เลยสักนิด

เหมือนหัวใจผมแตกสลาย น้ำตามากมายไหลออกมาไม่ต่างจากฝนเมื่อยามบ่าย



.....................




ผมร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที เราทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้า เปลือยกาย แล้วก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ผมเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่ไม่มีสติอยู่กับตัว ก้มหัวลงให้เขาสระผมให้ มือหยาบกระด้างค่อย ๆ ฟอกแชมพูให้ผม ก่อนจะเทสบู่เหลวลงมือแล้วไล่ไปทั่วร่างกายผมไม่แม้แต่จุดซ่อนเร้น ผมไม่หลบหนี ปล่อยเขากระทำตามใจกับร่างกายไปเรื่อย ๆ

ผมอยากให้เขามีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก

เขาไม่ได้ทำอะไรผมไปมากกว่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินมากไปกว่าแค่ต้องการชำระล้างร่างกายให้ผมเท่านั้นเอง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับเขา เจ้าตัวช่วยผมเช็ดศีรษะด้วยการเอาผ้ามาพัน ๆ แล้วถูให้จนแห้งสนิท พร้อมเสร็จหลังจากนั้นก็ทาแป้งเบา ๆ ให้ผม ยื่นชุดที่คิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใส่ว่าเขาไปหาไซซ์ผมมาได้ยังไงให้ใส่

เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะต้องขับรถกลับไปสนามบิน ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่นอนกอดเขาเงียบ ๆ เหมือนกันที่เขานอนกอดผม พยายามแล้ว แต่ที่สุดเราสองคนก็ยังนอนกอดกันร้องไห้แบบนั้น เขาเปิดเพลง ‘ฉันดีใจที่ได้พบเธอ’ ของ Whal & Dolph ก่อนเราจะนอนกอดกันร้องไห้ไปแบบนั้นจนหมดเวลา

หลังจากเช็กว่าไม่ลืมอะไรทิ้งไว้เป็นครั้งสุดท้าย ผมก็กดล็อกกุญแจที่พัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ หันไปมองหน้าเขา หันมามองเรา พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สองตาบวม ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำของตัวผมเอง

มันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากสำหรับผมจริง ๆ

ถึงเวลากลับ เรานั่งสายการบินเดิมที่นั่งมาเมื่อเช้า..จริง ๆ ผมต้องบอกว่าเมื่อคืนสินะ? ช่างเถอะ หัวของผมหมุนวนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว เรานั่งเงียบ ๆ เสียบหูฟังกันคนละข้างจนมาถึงกรุงเทพฯ ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนรถเมื่อเช้ายังอยู่รอเราสองคน เขาโค้งให้คนข้าง ๆ ตัวผมก่อนจะยื่นกุญเจรถพอร์ชคันเดิมให้กับเขา

ผมนั่งเงียบ ๆ เหม่อเห็นนาฬิกาเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว เวลา 24 ชม.ที่เกิดขึ้นกำลังจะจบลง ผมเหมือนคนเบลอยา เหมือนหลับแล้วฝันไป ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมากขนาดนี้ เขาขับขึ้นทางด่วน ถนนยามค่ำคืนค่อนข้างโล่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคืนวันเสาร์

เขาขับรถมาเรื่อย ๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว เวลาเองก็กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน น่าแปลกที่ผมกลับเริ่มสงบใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าในที่สุดแล้วผมก็เข้าใจตำแหน่งของใครอีกคนสักที

ความเจ็บปวดที่พี่พอร์ชมอบให้กับผม แม้มันจะเป็นบาดแผลที่ใหญ่และรุนแรง แต่อย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่แผลเรื้อรัง มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปต่อได้ง่ายมากขึ้น

การไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่ในรักครั้งเก่า ก็เป็นประตูอีกบานที่จะส่งเราไปเจอกับความรักครั้งใหม่ ๆ

เขาจอดรถเทียบในมหาวิทยาลัย มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีเศษ เราเงียบ ก่อนเขาจะเป็นคนพูดก่อน

“ไปเดินเล่นกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าและเดินลงไปจากรถ หยิบมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเพียงอย่างเดียว

เราเดินเงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมพูดทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดออกไปหมดแล้ว ผมว่าเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เลยปล่อยให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวได้ทำงานของมัน เสียงแมกไม้ เสียงรถยนต์ที่ดังเข้ามาจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาบางส่วนที่ยังคงค้างและหลงเหลืออยู่ในนี้

ยี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที...

“ส่งผมแค่ตรงนี้ก็พอครับ” ผมพูดออกมาเป็นครั้งแรก หันหน้าไปเจอกันกับเขา

“....”

“คุณครับ...”

“....”

“ได้โปรด...ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” ผมบอก พยายามไม่ให้ความรู้สึกขม ๆ ข้างในทะลักออกมาเป็นทะเลน้ำตา

เขาเงียบสงบกว่าที่ผมคิด ไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือแสดงอาการเสียใจ พยักหน้ารับคำและส่งรอยยิ้มให้กับผม

“ผมชื่อ‘หยก’”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ บ้าง

หยก ผลึกอัญมณีที่มีค่า สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวมัน

“ผมชื่อทรอย” ผมตอบกลับไป เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบอย่างสงบ

 เราเงียบและมองหน้ากัน เหมือนผมได้ยินเสียงเข็มวินาทีดังขึ้น เหลือบตามองหน้าปัดเป็นเวลา 00.00 นาฬิกา

“หยกครับ ทรอยต้องไปแล้วนะ”

“ครับ”

ผมเตรียมหัวจะหันหลังกลับมา แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน

“หยกจะจำชื่อทรอยไปชั่วชีวิตของหยกนะครับ”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับทราบ ทำสิ่งที่สมควรทำครั้งสุดท้ายด้วยการกอดอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาให้กับเขา ถึงที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าสักวันหยกจะเจอกับใครสักคนที่จะมอบความรักทั้งหมดให้กับเขาได้จริง ๆ

ผมหันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป ปราศจากเสียงเรียกรั้งใด ๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองไล่ตามผมจนสุดทาง แต่ผมไม่สามรถหันหลังกลับไปมองได้ ผมไม่สามารถหันกลับไปได้ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเต็มสองตาของผมแบบนี้ ผมไม่ใส่ใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาที่ผม พยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออกมาว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา

จนกระทั้งเดินมาถึงหน้าหอพัก แล้วพบว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนรออะไรบางอย่างที่หน้าประตู

บางอย่างที่ว่า...นั่นคือผม

“กลับมาแล้วเหรอครับ?” เขาว่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ใบหน้าอิดโรยอยู่ในชุดออฟฟิศที่มีเสื้อสูทตัวนอกพาดแขน แม้จะดูเหนื่อยล้าขนาดไหนแต่เขาก็ยังพยายามที่จะส่งยิ้มกลับมาให้ที่ผม

“หิวไหม...ทานอะไรมารึ...” โชพูดได้ไม่ทันขาดคำ ผมก็เขาไปกอดเขาไว้เต็มรัก

“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่กับผมตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”

ไม่ใช่คำขอร้อง แต่คือคำอ้อนวอน

....นานแล้วเหลือเกิน ที่ผมไม่ได้เจอใครสักคน ที่ทำให้ผมกล้ามากพอที่จะร้องไห้ให้เขาฟัง







 
Time talk : มาติดตามสี่ตอนที่เหลือกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ขอบคุณจริง ๆ เลยนะ ที่ยังอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ใกล้แล้วนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งรีบเดินจากกันไปไหนนะครับ :)


 
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-03-2019 21:42:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-03-2019 22:56:28
ซ้ำ 2 กระทู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: Gnaap ที่ 05-03-2019 23:19:30
 :sad4:
ดราม่า แงงงงง
ทรอยร้องไห้ยังมีโช
แล้วหยกล่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 06-03-2019 08:29:19
ทำไมเศร้างี้  :m15:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 06-03-2019 15:46:32
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 09-03-2019 22:00:58
Ep.32 Connect



หลังจากกลับมาวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอ ‘หยก’ อีกเลย...

ผมตื่นมาในเช้าวันใหม่ พร้อม ๆ กับใครบางคนที่กอดผมตลอดทั้งคืน เป็นเช้าที่วุ่นวายพอสมควร อย่างน้อยที่สุดก็คนข้าง ๆ ตัวผมที่ได้แต่อาบน้ำจากห้องผม ก่อนจะรีบแต่งตัวไปทำงานชุดเดิม (โชบอกว่าเขาชอบใส่ชุดเดิมบ่อย ๆ คงไม่น่าจะมีใครจับได้ แต่ผมพนัน 20 เหรียญเลย ผมแอบเห็นนะว่าเขาฝากพี่แจ้ไปเอาชุดให้เขามาเปลี่ยนที่บริษัท)

จริง ๆ คืนนั้นผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ผมแค่..โหวง ๆ ?

ผมยังมีโช ยังมีคน ๆ นี้อยู่ข้าง ๆ ผม แล้วค่ำคืนนั้นหยกผ่านมันไปได้ยังไงนะ

ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เป็นห่วง ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะตั้งคำถามนี้ด้วยซ้ำ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ไอ้ความไม่เด็ดขาดของผมไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นเดือดเป็นร้อน และเป็นห่วงกันมากขนาดนี้ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเจ็บมากขนาดนี้ ผมจมกับความรู้สึกว่าผมกำลังทำร้ายคน ๆ หนึ่งไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยด้วยซ้ำ

ทุกความเจ็บปวดถ้าทำร้ายเราไม่ได้ จะทำให้เราเติบโตขึ้น

“คิดอะไรเหรอครับ?” โชถาม ผมนั่งพิงลำตัวเขาอยู่ ในมือก็ถือชีทสำหรับเตรียมสอบมิดเทอมที่จะมาถึง แม้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมายกับทั้งผมและเพื่อน ๆ  ในแก๊ง แต่นั่นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนี้ครับ เรายังมีหน้าที่เป็นนักศึกษา และยังต้องผ่านนรกมิดเทอมไปให้ได้

“จะเอาที่ผมคิดจริง ๆ หรือจะให้ผมโกหกเพื่อความสบายใจ” ผมถาม

“เราก็รู้อยู่แล้วว่าพี่คิดอะไร” โชตอบ ผมหมั่นไส้จนถอดแว่นตาแล้วเอาหน้าซุกคอเขาเล่น และก็นั่นแหละครับ ผมโดนเข้าเต็ม ๆ ที่หลังหนึ่งตุบ

“โอ๊ย เจ็บนะครับ” ผมว่า แกล้งสำออยทำท่าเจ็บใส่เขา เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วบ่นพึมพำอะไรกับตัวเอง

“แล้วสรุปคิดอะไรอยู่ครับ พี่เห็นเราขมวดคิ้วตั้งนานสองนานแล้ว” เขาพูดต่อ

วันนี้วันเสาร์ ก็อย่างที่รู้กันว่าปกติแล้วผมจะต้องไปทำงานพิเศษ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แต่ในช่วงใกล้สอบผมจะขอที่ร้านหยุดทำงานเป็นกรณีพิเศษ จริง ๆ แล้วถ้าแค่ผมตัวคนเดียวน่ะ เงินจากทุนการศึกษาก็เพียงพอที่จะใช้อย่างประหยัด ๆ โดยไม่ต้องทำงานพิเศษ แต่ว่ามัน....

“อ้าว ถามแล้วเหม่อทิ้งกันแบบนี้ก็ได้เหรอ” โชสะกิดผมอีกครั้งด้วยการเอามือขยี้หัวผมเล่น ผมหลุดออกจาภวังค์แล้วหันไปตอบเขา

“ผมกำลังคิดหลายอย่างเลยครับ ทั้งเรื่องคุณ เรื่องผม เรื่องเขา เรื่องค่าย เรื่องสอบมิดเทอม เรื่องทำงานพิเศษ เรื่อง..”

“พอ ๆ คิดเยอะขนาดนั้น สมองคุณประกอบไปด้วยแผงวงจรไฟฟ้าสำหรับคอมพิวเตอร์เหรอครับ ใจเย็น ๆ  ค่อย ๆ คิดทีละเรื่องนะครับ” โชเบรกผม พร้อมเอานิ้วมานวดที่ขมับให้เบา ๆ สบายตัวจังเลย นี่แหละข้อดีของการคบคนอายุมากกว่า อาจจะเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาก่อน ก็เลยดูเหมือนว่าจะดูออกไปซะหมดเลยว่าผมต้องการหรือไม่ต้องการอะไร

คบคนอายุมากกว่า?

โอเค เอางี้ก่อน ทำความเข้าใจตรงกัน ผมกับโชเรายังไม่ได้ยืนยันสถานะอะไรกันทั้งนั้น นอกจากที่เราบอกว่าจะ ‘ลองคุย ๆ ’ กันดูก่อน อันนั้นคือตามรูปธรรมอย่างที่มันควรจะเป็น หรือจะเรียกว่าทางนิตินัยดีล่ะ? ในขณะที่ทางพฤติกรรมนั้น จะบอกว่ายังไม่คบกัน ทั้ง ๆ ที่เขามานอนค้างทุกคืนวันศุกร์ ใช้เวลาด้วยกันในเช้าวันเสาร์ ผมว่าผมสามารถบอกได้นะว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

ถ้าถามตัวผมเอง ผมมีความสุขนะ ผมแฮปปี้กับสิ่งที่เราทั้งคู่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดแล้วโชก็ไม่ได้เข้าหาผมเพราะแค่วัตถุประสงค์เดียวคือเรื่องเซ็กซ์ และจะพูดก็พูดเถอะ น่าจะเข้าวีคที่สองที่สามแล้วมั้งที่โชมานอนกับผม

ใช่...ขีดเส้นใต้คำว่านอนให้ชัด ๆ ความหมายตรงตัวเลย นอนที่หมายถึงการให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อน ไม่ใช่เพศสัมพันธ์แต่อย่างไร

ไม่อยาก? ไม่ใช่หรอก คุณอย่ามองผมในแง่คนดีมากขนาดนั้น คุณไม่รู้หรอกว่าผมหลับลงไปด้วยอาการ ‘ตั้ง’ ทั้งตัว พร้อมตื่นขึ้นมาด้วยอาการ ‘ตั้ง’ ทั้งตัวมันทรมานยังไง แต่เพราะประโยคเดียวที่เขาพูดมานั่นแหละ ทำให้ผมยังไม่กล้าหรือไม่สามารถที่จะทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาได้มากนัก

‘พี่เป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ จะมาทำรุ่มร่ามกับพี่ไม่ได้’ เขาพูดพร้อมจูบที่หน้าผากผมเบาๆ เหมือนจะโรแมนติกมาก ถ้าไม่ติดว่าช่วงล่างผมกำลังแทงหน้าท้องเขาอยู่ แต่อีกฝ่ายแกล้งไม่สนใจและหลับไปเลยซะงั้น

ครับพี่ครับ เอาเป็นว่าผมได้แต่เกาหัวแกรก ๆ ตอนฟังประโยคนี้ครั้งแรก คืนนั้นผมได้แต่หลับตางง ๆ  และตั้งแต่ตอนนั้นมั้งที่อยู่ดี ๆ สรรพนามคุณ-ผม ก็แอบเปลี่ยนไปแทนตัวเองเป็น ‘พี่’ หรือ ‘เขา’ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ เขาก็คือเขานั่นแหละ จะเรียกแทนตัวเองกันว่ายังไง มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย

อ๋อ แต่อย่างน้อย ๆ โชก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรกับผมถึงขนาดว่าปล่อยให้ผมทรมานทั้ง ๆ ที่มีเขาหรอกนะครับ แต่เขาทำอะไรให้ผมบ้าง ตอนนี้ผมขออุบอิบไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

นี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้ ผมหมายถึง จริง ๆ แล้วผมรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมา ทั้งเรื่องสถานะของเราสองคนจากนี้ต่อไป รวมไปถึง ‘ครั้งแรก’ แบบเต็มรูปแบบระหว่างเราสองคนด้วย จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้มีเซ็กซ์มาสักพักใหญ่ ๆ แล้วนะเนี่ย ถ้าไม่นับช่วงที่ต้องเข้าโรงพยาบาลรอบก่อน นี่น่าจะนานที่สุดแล้วล่ะ ที่คนแบบผมจะว่าง

ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะครับ แต่แบบ เอาละ ผมจะลองอธิบายให้ฟังนะ สมมติว่าคุณวิ่งเป็นประจำเลย คุณวิ่งแทบจะทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คุณไม่ได้วิ่งเลย และอยู่ดี ๆ คุณก็หยุดวิ่ง แรก ๆ มันจะมีความไม่ชิน เหมือนกับว่ากิจวัตรประจำวันที่คุณคุ้นเคยมันขาดหายไป นั่นแหละครับ ความรู้สึกของผม

จริง ๆ แล้วจะบอกว่าผมติดเซ็กซ์ก็ได้นะ ก็แน่ล่ะ คนธรรมดาที่ไหนเขาจะมีเซ็กซ์แทบจะวันเว้นวันแบบผมเป็นเดือน ๆ ถูกไหม ตรงนี้เองผมก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและร่างกายได้เป็นอย่างดี อยากบอกว่าจริง ๆ แล้วช่วงเวลาที่โชไม่อยู่กับผม ผมมีโอกาสมากมายที่จะ ‘นอกกาย’ แบบที่เขาอนุญาตผมบ่อย ๆ

แต่ผมไม่ทำ

ไม่สิ ผมต้องบอกว่าผมทำไม่ได้มากกว่า มันก็มีแหละ บางวันที่ผมรู้สึกว่า ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการมัน และผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วย ว่าเขาอนุญาตแล้วงั้นผมก็ไม่ผิดอะไรสิ ซึ่งตามปกติ สมองส่วน ‘เหตุผล’ จะชนะ  ...แต่แปลกมาก หัวใจผมกับพ่ายแพ้ และยินยอมจะรักษาเรื่องที่รับปากไว้เป็นอย่างดี

ความรัก ทำให้เราอยากทำให้ใครสักคนหนึ่งมีความสุขตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

เท่านี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วมั้ง ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับเขากันแน่

“มีความสุขจังเลยครับ” ผมว่า พักสายตาจากชีทในมือแล้วเงยหน้าทับตัวเขาไว้

“หาเวลาว่างไปออกกำลังกายบ้างนะเรา” เขากึ่งบ่นยิ้ม ๆ ผมย่นจมูกพร้อมชี้ให้เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เป็นเชิงว่าจะให้ผมเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะคุณ เขาอมยิ้มแล้วตอบกลับมา

“จริง ๆ  พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้นานแล้ว พี่ว่าเราเลิกไปทำงานพิเศษก็ดีนะ จะได้มีเวลามาอ่านหนังสือ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นอีกหลาย ๆ อย่าง” โชพูด ผมขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ

“เรามีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง แค่ทุนที่ได้มันไม่พอนะคุณ” ผมตอบกลับด้วยเหตุผล อีกฝ่ายทำหน้าชั่งใจก่อนจะพูดตอบกลับมา

“คือ อย่าหาว่าพี่อย่างงั้นอย่างงี้เลยนะที แต่เอาเป็นว่าพี่จะช่วยเราเป็นรายเดื...”

“ผมขอทำงานแล้วกันนะครับ” ผมตัดบทเรียบ ๆ มองหน้าเขาเพื่อยืนยันการตัดสินใจของตัวเอง เขาถอนหายใจ บ่นกับตัวเองเบา ๆ ว่าก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผมยิ้มกว้าง เข้าใจในความหวังดีของเขา แต่ว่า ....

“ผมสัญญา ถ้าผม ‘ไม่ไหว’ จริง ๆ ผมจะบอกนะ โอเคไหม?” ผมว่า พยายามพูดให้เขาสบายใจ

“ก็รู้แหละว่าเราน่าจะไม่รับ แต่ว่าพี่ก็อยากบอกทีนะ ตอนนี้ทีไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวก็ได้นะครับ มีอะไรก็เล่า ก็บอกให้พี่ช่วยได้” โชบอกมาแบบนั้น ผมยิ้มและพยักหน้ารับ เข้าใจทุกอย่างที่เขาต้องการจะบอกผม ตอนนี้ผมเลยทำได้แค่กอดเขาไว้แน่น ๆ

“ขอเวลาให้ทีหน่อยนะครับ”

“ได้ไม่ได้ ก็ให้ไปจนหมดแล้วทั้งใจ” เขาว่า ผมแหวะเบาๆ  พอให้เขาได้งอนเล่น

ไม่ใช่ว่าผมหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ ถ้าสังเกตกันตั้งแต่แรก ๆ ก็จะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมงกขนาดไหน (และไอ้ความงกนั่นแหละที่ทำให้เราได้มารู้จักกัน) แต่ว่า เรื่องบางเรื่องผมอยากลองพยายามด้วยตัวผมเองอย่างสุดความสามารถก่อน ผมอยากทำให้ได้ด้วยตัวผมเองก่อน

เรื่องเงินน่ะ เป็นปัญหาอีกเรื่องที่เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้มันมาทำลายความสัมพันธ์ของผมกับคนที่ผมรู้สึกดีด้วย

ผมรู้ว่าโชหวังดีและไม่คิดอะไร แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าเขาจะไม่คิดอะไรแบบนี้ตลอดไปจริง ๆ ไหม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว เราคาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ ครับ ในวันนี้มันอาจจะเป็นความรัก ความหวังดีที่อยากให้ผมสบายมากขึ้น อยากให้ผมเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ แต่ในวันข้างหน้า มันอาจจะกลายเป็นภาระผูกพัน ที่ทำให้ผมต้องอดทนและไม่สามารถตีจากเขาไปได้ก็ได้

ผมไม่อยากให้ตัวผมถูก ‘ผูกมัด’ ด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่ใจของผมต้องจำทน ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกชอบเขาในเร็ววันนี้หรืออะไรแบบนั้น แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด ตราบเท่าที่เรายังลืมตามาในเช้าวันใหม่ ไม่เพิ่มขึ้นก็ลดลง มันคือธรรมดาของความไม่แน่นอนจากมนุษย์ด้วยกัน

นอกจากนั้นแล้ว...ผมอยากยืนให้ได้ด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองก่อน

“เอาแต่พูดเรื่องของผมอยู่นั่นแหละ ไหนพี่อ่ะ ไม่มีเรื่องอะไรอยากบอกเล่าให้ผมฟังบ้างเหรอ?” ผมว่า อ้อนเขาด้วยการเรียกว่า 'พี่' และเอาหัวถูแขนไปมาเป็นเด็ก ๆ ได้ผล เจ้าตัวยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ก่อนจะค่อย ๆ หุบยิ้มลง

“มีอะไรไม่โอเครึเปล่าครับ?” ผมถามต่อ เขาพยักหน้ารับ

“พี่ก็แอบเครียดเรื่องงานหน่อยน่ะ มันก็มีหลาย ๆ ปัญหาปะปนกันไป อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่พี่ไม่อยากเล่าให้เราฟัง แต่พี่ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนของความรู้สึกพี่ดี มันแค่แบบ...เครียด ๆ น่ะ” โชว่า ผมพยักหน้าเข้าใจ หลายครั้งผมก็มีเรื่องเครียด ๆ ที่บอกเล่าให้ใครฟังไม่ได้เหมือนกัน

ผมนวดหัวไหล่เขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าพร้อมเล่าให้ผมฟังเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็ได้นะ”

“แน่นอนครับ ถ้าพี่พร้อมจะเล่า พี่จะเล่าให้เราฟังแน่นอน” โชตอบกลับ

หลายครั้งแล้วในความเป็นห่วง เราก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นนิยามวิธีในการแก้ไขปัญหาส่วนตัวไว้ยังไงบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว ปัญหาหลายอย่างมันมีแค่เราที่ต้องแก้ไขและต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ด้วยตัวเราเอง คนที่เป็นห่วงเราก็ทำได้แค่ยืนข้าง ๆ และโอบกอดเราไว้

แล้วมันจะผ่านพ้นไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“จะเป็นยังไงต่อไปนะ ...อนาคต” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ ผมพลิกตัวลงมาจากพุงแล้วเอียงคอหันไปทางเขา

“หมายถึงอนาคตของพี่หรือผม?”

“พี่หมายถึง ‘อนาคตของเรา’ ต่างหาก” โชว่า

“แหวะ ชวนเลี่ยนมาก” ผมตอบกลับ แต่อีกฝ่ายทำตาจริงจังใส่ ไม่ได้ดุ แค่ยืนยันว่าเขาคิดเรื่องนี้จริง ๆ

“ถ้าถามผมเหรอ? เอาตรง ๆ ผมก็ยังไม่รู้เลย เคยมีคนบอกผมไว้ว่ามนุษย์เราไม่ต้องเก่งขนาดพยากรณ์ล่วงหน้าก็ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง การเตรียมพร้อมน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่ขอให้ตัวเราเองได้มีความสุขกับปัจจุบันก่อน เขาบอกว่าเขาไม่เก่งมาก แค่รอดไปในแต่ละวัน แค่วัน ๆ หนึ่งมีรอยยิ้มก็พอแล้ว” ผมตอบตามที่ตัวเองคิด

“พี่อยากเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง” เขาบอก ผมอมยิ้มแล้วบีบแก้มเขาเล่น

“แล้วตอนนี้พี่ไม่มีชื่อเสียงยังไงล่ะ” ผมว่าตอบ โชยิ้มเบาบาง ส่ายหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

เพราะรู้จักกันมาสักพัก เรื่องอะไรที่โชยังไม่อยากพูดต่อเขาจะเงียบไปดื้อ ๆ เฉย ๆ แบบนี้ ผมเลยไม่ถามอะไรให้เขารู้สึกไม่สบายใจเพิ่มเติม

“พี่พยายามเต็มที่แล้ว เพราะงั้น ผมจะไม่บอกว่าไม่ให้เสียใจนะ แต่ก็อยากให้พี่มองรอบ ๆ ดี ๆ ผิดหวังก็ไม่เป็นไร แต่ในความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันมีแต่ความผิดหวังเท่านั้นเต็มไปหมดรึเปล่า?” ผมพูดตอบ เดาได้ลาง ๆ ว่าเขาเครียดเรื่องอะไร แต่ไม่อยากถามต่อให้มันเป็นประเด็นขึ้นมา

“เพราะพยายามเต็มที่แล้วมันยังไม่ประสบผลสำเร็จต่างหาก มันถึงมีคำถามที่ตามมามากมายว่า แล้วต้องเท่าไหร่ล่ะ ต้องแค่ไหนถึงจะมากพอ ต้องเท่าไหร่ถึงจะคู่ควรให้เราประสบความสำเร็จ นั่นแหละที่พี่รู้สึกอยู่ตลอดเวลา แต่พี่ก็เข้าใจที่เราพูดนะ พี่ก็พยายาม แต่บางครั้งการทำใจน่ะมันยากกว่าที่คิด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ผมพยักหน้ารับทราบและยอมรับในสิ่งที่เขาพูด การทำใจไม่ให้รู้สึกมันไม่ง่ายเหมือนยังปากว่าจริง ๆ นั่นแหละ

เขานอนหมอบกับหมอนเงียบกันไปสักพัก ผมพลิกตัวลงไปกดเพลย์ลิสต์เพลงใหม่ที่ตัวเองชอบ ก่อนจะกระโดดมานอนข้าง ๆ เขา

“ผมอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์”

 ผมว่า เขาหันมาตั้งใจฟังที่ผมพูด ก่อนจะมองหน้าเหมือนให้ผมพูดต่อไป พอเห็นเขาเงียบไปแบบนั้นผมเลยถามกลับไปแทน

“ไม่ดีเหรอ?”

“ไม่มีอาชีพไหนไม่ดีหรอก แต่แค่นึกไม่ออกว่าทำไมเราถึงอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์” โชว่า ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จริง ๆ แล้วนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอธิบายได้ แต่ยังไม่พร้อมจะอธิบาย  ผมยิ้มแห้ง ๆ ให้เขารับทราบแทนคำตอบ เจ้าตัวจิ๊ปากเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารัว ๆ ว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อความหมาย

“แล้วนอกเหนือจากนั้นล่ะ มีอะไรที่เราอยากทำอีกไหม” โชถาม ผมทำหน้าคิดไปมา

“นอกจากจะเป็นนักสังคมสงเคราะห์แล้ว ผมว่าผมอยากทำกิจการอะไรสักอย่างสองอย่าง อาจจะเป็นร้านอาหารง่าย ๆ ก็ได้ อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ จริง ๆ ผมแอบคิดมาแล้วล่ะ ผมอาจจะทำงานไม่ตรงสายที่ตัวเองเรียนสักเท่าไหร่ก็ได้ แต่ในที่สุดแล้วถ้าถามว่าอยากทำอะไร ใจผมก็คงยังตอบว่านักสังคมสงเคราะห์อยู่เสมอ

เพียงแต่ผมก็ต้องพยายามมองให้เห็นภาพรวมของความเป็นจริงของชีวิต ถ้าผมเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ ผมก็คงจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้ เพราะงั้นแล้วหนทางต่อจากนี้คงอีกไกล แต่ก็อยากให้มันเป็นเป้าหมายที่ผมจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปถึงมันขึ้นเรื่อย ๆ ก็พอนะครับ”  ผมว่า

“นั่นสินะ” โชพูด ทำหน้าเหมือนคิดได้

“บางทีพี่เองก็มัวแต่มองยอดเขาจนลืมระยะทางในการเดินไปถึง จริงอย่างที่เราว่าแหละ พี่ทุกข์เพราะมันไม่เป็นแบบที่พี่คาดหวังเอาไว้ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ความสิ้นหวังหรือไม่สมหวัง อย่างน้อยที่สุดในระหว่างทางพี่ก็ยังได้เจอคนที่เขาเข้าใจ และยอมรับผลงานของพี่จริง ๆ ” เขาว่า ยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“อาจจะต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของระยะเวลาและโชคชะตาแล้วล่ะครับ” ผมปลอบ โอบกอดเขาเบา ๆ เพราะเห็นแล้วว่าเขาพยายามมากแค่ไหนในการลงมือทำงานชิ้นนี้ เลยไม่รู้อีกว่าอยากให้เขาพยายามเพิ่มตรงไหน นอกจากอยากให้เขาใจเย็น ๆ อย่าหาว่าผมงมงายเลยนะ บางทีโชคชะตาและจังหวะเวลามันก็มีผลกับการทำงานชิ้น ๆ หนึ่งเหมือนกัน

“พี่ชอบบ้านสองชั้น” โชพูดขึ้นมาลอย ๆ  ก่อนจะพลิกตัวคว้าเอาไอแพดมาเปิดขึ้นแล้วเสิร์ชหารูปใน Pinterest พอเจอแบบที่ตัวเองถูกใจแล้วเขาก็เลื่อนมาให้ผมดู

“พี่ชอบหลังนี้ บ้านปูนเปลือยสวยดี รอบ ๆ ก็ดูไม่เกะกะ มีพื้นที่ในการจอดรถยนต์และพื้นที่ใช้สอยพอประมาณ อาจจะไว้เลี้ยงสัตว์สักตัวก็ได้ ....พี่ชอบแบบนี้ เราล่ะชอบแบบไหน?” เขาถาม ผมสไลด์แล้วพยายามเลือกหาบ้านแบบที่ตัวเองชอบ

“จริง ๆ ผมไม่มีแบบที่ชอบจริงจังในใจอะไรขนาดนั้น สำหรับผมที่พักอาศัยมันก็คือที่พักอาศัย ถ้าจะชอบก็คงชอบที่ได้เป็นเจ้าของมัน เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต” ผมพูดตามที่ตัวเองคิด แต่ก็เลือกบ้านในแบบที่ตัวเองชอบให้พี่เขาดูอยู่ดี

“ผมชอบหลังนี้ครับ” ผมว่าพร้อมอธิบายต่อ “ชอบบ้านโปร่ง ๆ สองชั้น ต้นไม้ในบ้านมีบ้างแต่ไม่ต้องเยอะ ผมขี้เกียจทำความสะอาดบ่อย ๆ นอกนั้นขอบก็เป็นกำแพงสำหรับระมัดระวังขโมยขโจรต่าง ๆ สีที่ชอบก็คงจะเป็น..สีคราม น้ำเงิน เขียวอ่อน ประมาณนี้มั้งครับ บ้านที่ผมอยากได้” ผมสรุป

“แต่ยังขาดอะไรไปบางอย่างนะในบ้านของเราทั้งคู่” พี่โชว่า ผมหันไปมองหน้าเหมือนจะถามว่าขาดอะไรเหรอ?

“บ้านของเราสองคนขาด ‘กันและกัน’ ยังไงล่ะ”

“แหวะ เลี่ยนมากครับ” ผมโต้กลับ จริง ๆ ผมก็เขินนะเวลาเขาเล่นมุกที่ดูจะไม่เข้ากับตัวเขาเองเลย แต่พยายามรักษาท่าทีไว้ ไม่ให้เขารู้ว่าผมเขิน

“พี่พูดจริงนะ”

“...”

“บ้านของพี่จะเป็นบ้านได้ยังไง ถ้าพี่ไม่มีเรามาอยู่ใน ‘ครอบครัว’ ของพี่”

ผมอมยิ้ม กระชับอ้อมกอดที่กอดเขาอยู่ให้แนบแน่นมากขึ้น มองผ่านเข้าไปในดวงตาคู่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างที่มองมาที่ผม ไม่คิดเลยว่าคนที่เคยเรียกกันไปกันมาว่าคุณ คนที่ผมเคยตั้งแง่กับเขาอย่างร้ายกาจ จะกลายเป็นคนที่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้กอดเขาไว้ได้เต็มแขนทั้งสองข้างขนาดนี้

“บ้านของผมถ้าไม่มีพี่...ก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกว่าบ้านได้ยังไง”

เหมือนกับรถยนต์ ที่ต้องมีล้อทั้งสองฝั่งถึงจะสามารถเคลื่อนตัวได้ ความสุขเองก็เช่นกัน เราคงไม่รู้ว่ามันมีมูลค่ามากแค่ไหน หากชีวิตเราไม่เคยผ่านความทุกข์มาก่อน

เรื่องที่เราสองคนคุยกันในวันนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไกลมาก ๆ และก็ไม่แน่ด้วยว่าเราจะเดินทางกันไปจนสุดทางรึเปล่า ไม่แน่ว่าจะได้ไปอยู่ในบ้านที่เราต่างคนต่างบอกว่าชอบมันไหม ไม่แน่ด้วยซ้ำว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้า เราจะยังรู้สึกว่าเรา ‘อยากเป็นครอบครัวเดียวกัน ’ เหมือนในตอนนี้ เวลานี้รึเปล่า

...แต่ที่ผมรับรู้คือ ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วในตอนนี้ก็พอแล้ว

‘ติ๊กต๊อก’

เสียงไลน์ของผมเด้งขึ้นมา ผมคลายอ้อมกอดจากเขาแล้วกลิ้งไปหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความ ที่แท้แล้วเป็นข้อความจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมนั่นเอง คืนวันพรุ่งนี้จะมีการจัดการงาน CSR จากบริษัทชั้นนำหลาย ๆ บริษัททั้งของภาครัฐ รัฐวิสาหะกิจ และภาคส่วนเอกชน พี่โต้งเลยอยากให้พวกผมส่งตัวแทนของรุ่นเราไปในงานนี้เพื่อนำเสนอผลงานของปีที่ผ่านมาและถ้าเป็นไปได้ก็ให้ลองเสนอโครงการในปีนี้เพื่ออาจจะได้งบประมาณมาเสริมงบของคณะ

ปกติแล้วงานสังคมพวกนี้ผมไม่ค่อยถนัดจะออกหน้าฉากเท่าไหร่ แต่ไอ้เต้ยหัวหน้าโครงการดังติดภารกิจคอขาดบาดตายที่ถึงขนาดเจ้าตัวไม่สามารถปลีกตัวมาได้จริง ๆ ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไรมันหรอก หน้าฉากมันแทบจะขายบ้านเอาทุนมาให้พวกผมแล้ว ดังนั้นถ้ามันจะติดธุระจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากว่ามันนัก

แน่นอน ปีหนึ่งก็ต้องส่งตัวแทนรุ่นคนอื่น ๆ ให้ไปร่วมงานอยู่ดี ตอนแรกทุกคนก็พร้อมใจจะส่ง(โยนงานไปให้)ส้มส้มไปรวมงาน แต่พอผมเห็นอีเมล์อีกฉบับที่ส่งมาที่อีเมลส่วนตัวของผมจากพี่มันนี่ ก็ทำให้ผมเนี่ยแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวไปร่วมงานในวันพรุ่งนี้

คุณเอกเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานที่จะไปร่วมในวันพรุ่งนี้ ผมอยากแก้ตัวใหม่ รอบนี้ผมทำการบ้านไปพร้อมแล้วสำหรับการให้คุณเอกประเมินโครงการที่จะทำเรื่องขออนุมัติงบประมาณทำค่ายประจำปีนี้ แม้จะส่งอีเมล์ไปหลายฉบับและได้รับฟีดแบคที่ดี แต่ผมก็อยากไปเจอกับพี่เขาด้วยตัวเองอีกสักครั้ง (ไม่นับรวมว่าผมจะได้ไปเจอพี่มันนี่ด้วยแหละ)

“พี่ครับ พรุ่งนี้เราไปทำธุระตอนกลางคืนนะ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับทราบแต่ไม่ถามอะไรต่อ เจ้าตัวสไลด์ดูปฏิทินของตัวเองบ้าง ก่อนจะอุทานบางเบา

“พี่เองคืนพรุ่งนี้ก็มีธุระเหมือนกันน่าจะไม่ได้มาค้าง ไว้พี่มาวันศุกร์หน้าแล้วกันนะ” พี่โชว่า

“โอเคครับ เอาที่พี่สะดวกนะ ไว้เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ครับ”

ผมบอก พร้อมกดล็อกหน้าจอและวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้แล้วพลิกตัวไปกอดเขาเหมือนเดิม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นแล้วผมจะขอมีความสุขกับปัจจุบันให้ถึงที่สุดก่อน

พรุ่งนี้ผมหวังว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ดีสำหรับผม..






Time Talk : อีกสามตอนสุดท้าย ^^ ขอบคุณเสมอที่เธอยังอยู่ข้าง ๆ กันนะครับ


ขอบคุณครับ หวังว่ามันจะเป็นสามตอนสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยครับ :]

UP date link 10/03/19


หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-03-2019 22:43:11
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-03-2019 00:16:35
หวังให้หยกผ่านไปด้วยดีเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 10-03-2019 13:43:28
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-03-2019 22:13:38
หายไปหลายวัน กลับมาอ่านจุใจเลย

ทุกอย่างอยู่ที่เลือกทำ ไม่รู้ว่าหยกไปพบเจออะไรมา ขอให้มีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นนะ

เอ๊ะ  ๆ ๆ เขาจะไปเจอกันที่ในงานไหมนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 16-03-2019 21:48:30


Ep.33 who are you?



เช้าวันต่อมา หลังจากที่โชกลับไปที่คอนโดของตัวเอง ผมก็มาที่มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้ จริง ๆ แล้วงานวันนี้ผมกะจะไปช่วง After party แต่ผมเองต้องมาเตรียมคุยรายละเอียดโครงการกับเพื่อน ๆ ที่เหลือก่อน เพื่อสรุปทิศทางโดยรวมว่าเราจะนำเสนอแผนการของบประมาณสนับสนุนไปในทิศทางใด

“สรุปแล้วติดต่อได้แค่หกมหาวิทยาลัยว่ะ” ไอ้ส้มส้มสรุป ผมพยักหน้ารับทราบ

“ไม่แปลกหรอก ปกติงานพวกนี้เขาแยกกันโดด ๆ นี่หว่า ไอ้จะมารวมกันแล้วทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่ใช่ทางมหาวิทยาลัยแต่ละฝ่ายโคฯงานกันโดยตรง มันก็ยากหมดแหละมึง เอาเท่าที่ทำได้ก็พอ แค่หกมหา’ลัยกูก็พอใจแล้ว เหลือแค่ว่าพอไปถึงตัวงานจริง ๆ จะมีกำลังคนมาสนับสนุนกันมากพอก็โอเค” ผมว่า เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พยักหน้ารับคำแล้วก้มหน้าสรุปข้อมูลในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบต่อไป

“ดาวตกบอกว่าเดี๋ยวเอาชุดที่จะให้มึงใส่ไปในงานนี้ตามมาให้ พอดีมันติดธุระอยู่” มาร์ว่าขึ้นมาลอย ๆ นี่ก็ถือเป็นน้ำใจจากเพื่อน ๆ ที่ผมมักได้รับสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุด ในฐานะตัวแทน ผมก็อยากไปในชุดที่เหมาะสมกับสถานภาพนะครับ

“ว่าแต่...มึงกับพี่เขาเป็นไงบ้างวะ?” เอาล่ะ เพื่อนรักชักเริ่มไม่รักผมแล้ว ทุกคนในวงสนทนาเหมือนพร้อมใจกันวางงานและเงยหน้าขึ้นมาโฟกัสที่ผม  กูขอถอนคำพูดว่ามึงเป็นเพื่อนที่ดีของกู ไอ้มาร์

“ก็..เรื่อย ๆ มั้ง?” ผมตอบ พูดได้เลยว่าตอบไม่เต็มปาก เพราะสถานะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่หว่า

“กับคนนี้มึงจริงจังใช่ไหม?” ไอ้ทิพย์ยิงคำถามตอบ ผมพยักหน้ายอมรับเงียบ ๆ

“เขาเป็นไงวะมาร์ เขาโอเคกับเพื่อนเราป่าว?”  พลอยหันไปถามเจ้ามาร์ มันทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วตอบกลับ

“เป็นไงเหรอ? ลักษณะทางกายภาพก็โอเคเลยมึง ตี๋ ๆ อ่ะ แต่ไม่ขาวมาก ผิวออกแทน ๆ แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ สูงกว่าเจ้านี่ แล้วก็ดูโตกว่า ทำงานแล้ว ที่สัมผัสได้แน่ ๆ คือรวย ส่วนเรื่อง Attitude กูให้ 8.5 เต็ม 10 เลย เสียดายวันนั้นเวลาน้อยไปหน่อยเลยยังคุยกันไม่จุใจ” เจ้ามาร์วิจารณ์ ผมทำปากเป็ดบึนปากออกมาเบา ๆ

“เจอกันครั้งเดียวรู้ได้ไงว่าเขารวย” ผมโยนคำถามกลับ เจ้ามาร์ยักคิ้วใส่แล้วตอบกลับ

“เจอ ‘เพื่อน’ ของ ‘ว่าที่แฟน’ ครั้งแรกก็พาเข้าร้านหรู แถมกุญแจรถนั่นก็ราคาแพง ไม่นับรวมความฉลาดในการตั้งคำถามและตามทันอีก เอาจริง ๆ ถ้ามึงไม่เอา กูเอานะ” มันว่า สายตาไม่น่าไว้วางใจ

“ไม่ให้” ผมรีบตอบกลับทันควัน

“คนนี้หวงด้วยว่ะ ฮิ้วววว” ไอ้ส้มส้มได้ทีชง

“กูไม่อยากจะพูด วันนั้นที่ร้านอาหารนะ กูแทบจะกลายเป็นอากาศธาตุ เขามองหน้ามองตากันซะกูรู้สึกผิดเลยที่เข้าไปเป็นส่วนเกิน” ไอ้มาร์ซ้ำ

“กูว่ากูชักเริ่มอยากเห็นหน้าพี่ตี๋ของมึงจริง ๆ  จัง ๆ แล้ว มีรูปไหมวะ?” ไอ้พลอยว่า ทั้งกลุ่มยกเว้นไอ้มาร์พยักหน้าต้องการเป็นเสียงเดียวกัน ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่าไม่มี

“ยังไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเหรอวะ” ไอ้ทิพย์พูด ผมเบ้ปาก ไอ้มาร์เอ็ดเบา ๆ

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ารอบที่แล้วเกิดอะไรขึ้น” มาร์ว่า

“กูขอโทษ” ไอ้ทิพย์พูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อนึกได้ว่าผมมีความหลังฝังใจอะไรกับรูปถ่าย

ใช่ครับ พี่พอร์ชไม่ชอบถ่ายรูป ในขณะที่ผมกลับชอบ เพราะผมอยากบันทึกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนสองคนเอาไว้ให้ยาวนาน และก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ ไฟล์ ‘ทุกอย่าง’ ถูกผมดีลีททิ้งไปในวันที่เขามาบอกลาผมก่อนไปอเมริกา

“แต่คนนั้นกับคนนี้ไม่ใช่คน ๆ เดียวกันนี่ มึงก็อย่าไปคิดมากล่ะที จริง ๆ จะคนไหนพวกกูก็พร้อมจะยินดีกับมึงทั้งนั้นแหละ แค่เห็นมึงยิ้มออกมาได้ สดชื่นขึ้น กูก็โอเคแล้ว” ส้มส้มว่า

“ใช่มะ กูไม่ได้คิดไปคนเดียวใช่ไหม? พักหลัง ๆ มากูรู้สึกว่ามึงนุ่มนิ่มขึ้นเยอะเลย” ไอ้พลอยว่า

“อะไรคือนุ่มนิ่ม ๆ ของมึงวะ?” ผมถามกลับ

“ก็ดูนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอ่ะ มึงยิ้มจริง แต่ตามึงไม่ยิ้ม เหมือนแบบ...ยิ้มการค้าอ่ะ? ยิ้มเพื่อให้เห็นว่ายิ้ม แต่ไม่ได้ ‘มีความสุข’ เลยยิ้มออกมา เวลาไปไหนมาไหนก็เหมือนจะพกเมฆพกฝนส่วนตัวของตัวเองไปด้วยตลอดเวลา” มันว่า ผมหันไปหาคนอื่น ๆ เพื่อเป็นเชิงถามว่าผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ

“แต่ตอนนี้นะ มึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาก เวลาตอบโทรศัพท์ก็ไม่ได้ตอบห้วน ๆ ไม่ได้ทำหน้าเบื่อโลกแต่ก็กด ๆ ตอบกลับไป แล้วดูบางเวลาก็อารมณ์ดีตอนมองโทรศัพท์ เนี่ย สิ่งที่พวกกูเห็นมาตลอด” ไอ้ทิพย์เสริมให้อีกครั้ง

“คุยอะไรกันวะพวกมึง?” บุคคลผู้มาสายปรากฏตัว ผมหันไปยิ้มให้ดาวตกที่ยื่นถุงเสื้อผ้ามาให้ผมพร้อม ๆ กับนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลืออยู่

“คุยเรื่องว่าที่ตัวจริงของคุณชายทียังไงล่ะ” ส้มส้มรีบตอบ ดาวตกหันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ก็ว่าอยู่ ทำไมช่วงนี้ถึงดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ”

“เห็นไหม ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด” ไอ้มาร์ได้ทีรีบย้ำ ผมกุมขมับกับการโดนรุมในครั้งนี้

แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ผมมีความสุขมากขึ้นจนคนรอบ ๆ ตัวผมสังเกตได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?

....หมายถึง เพราะแค่ผมมีเขาเข้ามาในชีวิต มีโชน่ะนะ?

“เห็นไหม มึงคิดจริงจังกับเขา ไม่งั้นมึงไม่เหม่อขนาดนี้หรอก” ไอ้มาร์สำทับอีกครั้งหลังผมเงียบลงเพราะต้องการใช้ความคิดในการทบทวนอะไรกับตัวเอง

“กูดูมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมถาม ทุกคนรอบวงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันอีกครั้ง

“กูไม่อยากพูดถึงให้มึงเสียใจนะ แต่แบบ กูสังเกตอ่ะ มึงยิ้มต่างจากช่วงก่อนหน้าหลังจบกับพี่พอร์ช คือหลังจากออกจากโรงพยาบาล มึงยิ้มนะ แต่มันยิ้มไม่จริงแบบที่ไอ้พลอยว่า ยิ้มเพราะอยากให้พวกกูสบายใจ ทุกคนดูออก แต่ไม่พูดอะไร เพราะรับรู้เสมอว่ามึงคิดยังไง รู้ว่ามึงไม่อยากให้พวกกูเป็นห่วงเลยพยายามแสดงความเข้มแข็งออกมา

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น มึงยิ้มแบบยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ถามทุกคนได้เลย มันรู้สึกได้จริง ๆ ว่าโลกของมึงดูสดใสมากขึ้นโดยที่มึงก็ไม่รู้ตัวเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกของการอยากจะเข้มแข็ง แต่เพราะมึงเข้มแข็งและต้องการปกป้องใครอีกคน มันเลยปลดปล่อยออกมาเป็นตัวมึงในตอนนี้” ไอ้ทิพย์ค่อย ๆ พูดช้า ๆ ชัด ๆ สรุปให้ผมฟัง

“รู้ไหมว่ากูโคตรมีความสุขเลยที่มีคนแบบพวกมึงมาเป็นเพื่อนกันเนี่ย” ผมว่า อยากกอดพวกมันทุกคน ทั้งอยากขอบคุณและขอโทษมาก ๆ ในการกระทำหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา

“ไม่เป็นไรหรอก คนเราผิดพลาดกันได้ ...หมายถึงพวกกูเนี่ย ผิดพลาดที่ไปคบมึง” ไอ้มาร์ว่า ทุกคนรอบโต๊ะหัวเราะ รวมทั้งหมดที่หัวเราะไปชูนิ้วกลางให้มันไป ผมปรบมือสองสามทีให้พวกมันสงบ ก่อนจะทวนแผนกันใหม่อีกครั้ง

ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมงในการปรับโครงสร้างของแผนการและภาคส่วนที่เราจะทำร่วมกันกับอีกหกมหาวิทยาลัยที่เหลือ ตรงส่วนนี้จะต้องมีการประชุมภายในกันอีกครั้งกับพวกพี่ปีโต สำหรับผมแล้วนี่ถือว่าเป็นทิศทางที่น่าพึงพอใจ อย่างน้อย  ๆ แผนการกระจายองค์ความรู้ไปสู่น้อง ๆ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง

ไม่มีการให้อะไรที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่าการให้ความรู้และการศึกษา จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีการศึกษาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่สุดแล้ว การศึกษาก็ยังเป็นประตูที่จะพาชีวิตไปสู่สถานภาพที่ดีกว่า อีกทั้งการให้ครั้งนี้ยังเป็นการให้ประโยชน์กับสังคมทั้งสังคมโดยตรง ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าบุคลากรที่สามารถก่อประโยชน์ให้สังคมต่อไปได้

หากโครงการนี้เริ่มต้นและค่อย ๆ ต่อยอดไปได้จริงในทุก ๆ ปี ผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด เราจะได้บุคลากรที่มีคุณภาพ และทำประโยชน์ให้แก่สังคมสืบต่อไป ค่อย ๆ ให้กันต่อเป็นทอด  ๆ ไป

ผมเชื่อว่าสักวัน สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน และเด็กหลาย ๆ คน คงจะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

หลังประชุมเสร็จ พวกผมทั้งกลุ่มเลือกจะไปทานชาบูกัน จะว่าไปแล้วตอนที่ได้กินข้าวพร้อมกันกับเพื่อนทุกคนในกลุ่มก็ถือว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เห็น ผมนั่งหัวเราะไปกับการจิกกัดกันระหว่างไอ้ส้มและไอ้มาร์โดยหนีไม่พ้นมุกการเมืองและมุกใต้สะดือที่ขนมาเรียกเสียงหัวเราะพร้อมทั้งการทั้งตบ ชง ขยี้มุกของเพื่อนที่เหลือ ทำให้วงทานข้าวของเราตลอดสองชั่วโมงเต็มไปด้วยหัวเราะ (ผมว่าผมหัวเราะจนน้ำตาเล็ดด้วยซ้ำ)

หลังกินเสร็จ ดาวตกอาสาขับรถพาผมกลับไปส่งที่ห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในค่ำคืนนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปเตรียมอ่านมิดเทอมพร้อมทั้งรับปากว่าจะทำโน้ตย่อเผื่อแผ่มาให้ผมที่เป็นตัวแทนไปทำงานรุ่นในครั้งนี้ และเพราะแยกกันมาสองคน ผมถึงได้มีโอกาสอัปเดตเรื่องราวที่เกิดขึ้นของดาวตกกับ ‘สิ่งนั้น’

หลายครั้ง หลายเรื่อง ประหลาดเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่ผมไม่คิดแบบนั้น จริง ๆ แล้วชีวิตมนุษย์เราประหลาดเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแล้วเรื่องที่ดาวตกเล่าให้ผมฟัง ผมคิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ ส่วนทำไมถึงเกิดขึ้นกับเขา เวลาคงจะพอช่วยตอบคำถามนี้ได้

ดาวตกกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและกำลังใจจากผม หน้าที่ของเพื่อนคือการยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อน ผมไม่รู้ว่าทำไมดาวตกถึงกล้าที่จะเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้ผมมากกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง แต่ถ้าจะให้เดา คงเพราะดาวตกคิดว่าผมน่าจะเป็นคนที่ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับอนุญาตล่ะมั้ง?

ตกเย็น ผมแต่งตัวตามชุดที่เพื่อนสนิทให้ยืมมา วันนี้ใส่เป็นชุดสูทนอก เสื้อคอปกสีขาวด้านใน กางเกงสแล็คสีน้ำเงินเข้ม พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้สีมันตัดกับสีผิวผมมากเกินไป เซทผมเล็กน้อย ตอนนี้ก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะไปงานในวันนี้ ยังไงซะผมกับพี่เขาก็เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ ในงาน แค่เดินตามอาจารย์เฉย ๆ สบายมาก

พี่โต้งขับรถมารับผมที่หน้าหอพร้อมอาจารย์อีกท่านที่เป็นตัวแทนคณะเรา ตามมารยาทแล้วผมเลยขึ้นไปนั่งตีคู่ด้านหน้าคู่กับพี่โต้งแทน และเปลี่ยนให้อาจารย์ท่านไปนั่งหลัง ผมจะได้รู้สึกสบายใจหน่อย ที่ไม่ใช่ตัวเองนั่งหลังคนเดียว อ.เปรมบอกกับพวกผมว่า วันนี้จะมีหลายบริษัทที่เป็นทั้งพันธมิตรทางการค้าและคู่แข่งมาเข้าร่วมในงานเดียวกัน หน้าที่ของเราสองคน คือการใช้จังหวะที่อาจารย์เปิดให้นำเสนอโครงการเพื่อหาทุนสนับสนุนงบประมาณ ไม่ว่าจะได้เพิ่มเติมหรือไม่ก็ตามแต่ นี่ก็ถือเป็นอีกโอกาสที่ดี ที่จะใช้ประชาสัมพันธ์โครงการที่เกิดขึ้นไปในตัว

หลังผ่านสภาพจราจรในเย็นวันอาทิตย์ได้ พวกเราทั้งสามคนมาถึงที่โรงแรมที่จัดงานประมาณเกือบทุ่มกว่า ๆ พี่โต้งจอดส่งอาจารย์เปรมที่หน้าทางขึ้น ก่อนผมกับพี่มันจะขับรถวนไปจอดอีกที่ แล้วเดินตามเข้าไปในงาน

ภายในงานเป็นบรรยากาศกึ่ง ๆ ปาร์ตี้ หลายคนมีเครื่องมือในมือพร้อมทั้งกิน ดื่ม และพูดคุยในบรรยากาศสบาย ๆ ผมกับพี่โต้งในตอนนี้มีหน้าที่เป็นเด็กแบกแฟ้มโครงการและเป็นแบล็คกราวน์เวลามีคนเข้ามาทักทายอาจารย์ของพวกเรา ยิ้ม ยกมือไหว้สวัสดีตอนที่มีโอกาส แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ลองเสนอโครงการของพวกเราดู

ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เสียงฮือฮาที่ด้านหลังของผมก็ดังขึ้นมา ที่แท้หนึ่งในคนที่ทำให้ผมอยากมางานก็มาถึง

คุณเอกก้าวเท้าเข้ามาในงานพร้อมรัศมีคนดังที่แท้จริง วันนั้นว่าหล่อแล้วนะ พอมาวันนี้แกใส่ชุดเต็มยศมาด้วย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูดีเป็นบ้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ชายของผมถึงมีแนวโน้มว่าจะชอบได้ง่าย ๆ ทั้งหล่อ รวย มีสมองในการทำงานครบองค์ประชุมขนาดนี้ ติดแค่เรื่อง ‘ข่าวลือ’ แปลก ๆ ช่วงแรก ๆ ที่พี่แกรับตำแหน่งมาก็เท่านั้น ถ้าไม่มีเรื่องนั้นทุกอย่างคงจัดอยู่ในหมวดหมู่เพอร์เฟคแมน ผู้ชายที่ห้ามพลาดเลยแหละครับ

“ไงเรา” พี่มันนี่ที่แยกตัวออกมาทางเข้าเดินมาถึงผม พอหันไปเห็นว่าอาจารย์ยังติดคุยอยู่กับแขกอีกท่าน ผมเลยถอยหลังออกมาแล้วยกมือสวัสดีพี่มันนี่

“สวัสดีครับพี่ วันนี้ก็ดูดีเหมือนเดิมนะ” ผมแซว แกยิ้มให้ก่อนจะชี้มาที่ปกเสื้อผม

“พี่ว่าจัดแบบนี้ดีกว่า...ดาวตกให้ยืมชุดมาใช่ไหม?” พี่มันนี่จัดปกเสื้อให้ผมพร้อมถาม ผมเกาหัวยิ้มเขิน ๆ แล้วพยักหน้า ชุดราคาแพงขนาดนี้ ตัวผมในตอนนี้คงหาซื้อเองไม่ได้หรอก

“เราเป็นไงบ้าง สบายดีนะ?” พี่เขาถาม ผมยิ้มแล้วบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลาย ๆ เรื่องให้ฟัง ถ้าจะมีใครสักคนที่ผมไว้วางใจว่าจะไม่ทำร้ายผม นอกจากเพื่อน ๆ ในโต๊ะวันนี้ ก็พี่ชายต่างสายเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ พี่มันนี่รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผม โช หยก และคนอื่น ๆ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลและการตัดสินใจของผม

“เจ้าเด็กน้อย” พอฟังจบเขาก็พูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะเอามือขยี้หัวผมเล็ก ๆ เป็นการแก้อาการหมั่นเขี้ยว

“หลาย ๆ เรื่องเราไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากไปกว่านั้น อย่าเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่าเสียใจกับสิ่งที่เราไม่ได้เลือก ถ้าปัจจุบันเรามีความสุขแล้วทุกอย่างคือจบ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากกว่าการตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเองเลย” พี่มันนี่ว่า ผมพยักหน้ารับคำ

“แล้วว่าแต่ว่าเจ้าแช..โชน่ะ ไม่ได้มากับเราเหรอ?” พี่มันนี่ถาม พร้อมทั้งมองไปรอบ ๆ ตัว ผมทำหน้างง ๆ พร้อมกับมองหน้ากลับไป พอเขาเห็นสีหน้าผม พี่มันนี่ก็เอามือเกาต้นคอและจิ๊ปากสบถเบา ๆ เป็นคำที่ผมไม่ได้ยิน

“วันนั้นพี่ยังไม่มีโอกาส และพี่ก็คิดว่ามันอาจจะละลาบละล้วงเรื่องของเรากับเขา เพราะพี่ไม่รู้สถานะของคนทั้งสองคน แต่จริง ๆ แล้วโชน่ะ...”

“คุยอะไรกันอยู่ครับ?” คุณเอกทัก พร้อมเดินมายืนข้าง ๆ พี่มันนี่

“คุณเอก สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็ยกมือรับอย่างผู้ใหญ่ใจดี

“โครงการที่เราอัปเดตรายละเอียดอันใหม่มาให้พี่ อ่านแล้วมีหลายจุดที่ถูกใจ แต่อีกหลาย ๆ  จุดพี่ก็ยังไม่เคลียร์เท่าไหร่นะครับ ตอนนี้พี่มีเวลาว่างให้เราประมาณ 15 นาที พร้อม พรีเซนต์ไหมเด็กน้อย?” พี่เอกว่าพร้อมยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา ผมอ้าปากเล็กน้อย บทจะเข้าถึงตัวก็ง่ายซะเหมือนฟ้าเต็มใจเลย

“ได้ครับพี่ ผมพร้อมครับ” ผมว่าพร้อมหันหลังกลับไปขอยืมแฟ้มมาจากพี่โต้ง พี่โต้งเข้าใจสถานการณ์ในพริบตา รีบส่งแฟ้มโครงการให้ผม พร้อมทั้งอธิบายให้อาจารย์ที่หันมามองเราสองคนพอดี พอส่งแฟ้มเสร็จอีกฝ่ายก็ยกนิ้วโป้งให้กับผม เป็นการส่งไม้ต่อให้เข้าไปนำเสนอแผนงานให้เต็มที่

“งั้นไปคุยกันตรงโต๊ะตรงนั้นเนาะ? มันนี่จะไปกับผมด้วยไหม?” พี่เอกหันไปถามพี่มันนี่ที่ทำสีหน้าไม่ถูก สุดท้ายพี่มันถอนหายใจเล็ก ๆ ยกมือขึ้นบอกปัด

“ช่างเถอะ ใครผูกก็ให้คนนั้นแก้ละกัน ผมไปหาอะไรกินก่อนแล้วกันนะครับ” พี่มันว่าง่าย ๆ ก่อนจะถอยหลังออกจากวงสนทนา ผมกับพี่เอกเดินไปหยุดตรงโต๊ะตัวยาวอีกตัว

“เอาล่ะ ไหนเรามีอะไรจะขายพี่ ขอเป็นในส่วนที่พี่ให้ไปทำการบ้านมาแล้วกันนะครับ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ พี่ยังจำให้ได้อยู่ แล้วก็ ยังไงมันนี่ก็ยังเป็น ‘คนของพี่’ ต่อให้เขาจะพูดเชียร์แต่ถ้าไม่ดีจริงพี่ก็คงไม่ร่วมลงทุนด้วยนะ” พี่เอกว่า ผมกลืนน้ำลายนิดหน่อย มาถึงก็ใส่ผมไปหนึ่งดอกเลยเหรอ ตาคนนี้นี่

“เริ่มจากตรงส่วนนี้ก่อนนะครับ ผมกลับไปพิจารณาแล้ว โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่เกินกว่าหนึ่งไตรมาสหรือหนึ่งเทอมจะทำสำเร็จครับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่สามารถเริ่มต้นได้ และนอกจากมหาวิทยาลัยของพวกผมแล้ว จะมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่สนใจและเตรียมที่จะเข้าร่วมการโคฯงานกับพวกผม ในส่วนตรงนี้ยังเป็นเรื่องของขั้นตอนการพิจารณาและการดำเนินเรื่องครับ” ผมอธิบายอย่างคล่องแคล่วพร้อมค่อย ๆ เปิดแฟ้มผลงานให้พี่มันดูไปด้วย

สิ่งหนึ่งที่พี่มันนี่สอนให้ผมสังเกตผู้คนเสมอ ๆ คือดวงตาของอีกฝ่าย ‘ร่างกายคนเรามันไม่เคยโกหก’ พี่มันนี่บอกกับผมไว้แบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นลักษณ์การเคลื่อนไหวดวงตา การจ้องมองอีกฝ่าย หรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการเคาะนิ้วกับโต๊ะหรืออื่น ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสัญลักษณ์การแฝงความหมายต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

คุณเอกเป็นผู้ชายที่ตาสวยและมีพลังมาก ๆ คนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน ถ้าเป็นคนที่คุมสติไม่อยู่อาจจะเผลอพูดจานอกเรื่องราวไปบ้าง ผมเองก็เกือบ ๆ ดีที่ว่าในใจผมมีใครอีกคนอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องหาใครเพิ่มเติมอีก พอพรีเซนท์เสร็จพี่มันก็ปรบมือให้ผมเบา ๆ

“ตั้งใจทำการบ้านมาเตรียมรูดทรัพย์พี่เต็มที่เลยนะเราน่ะ” คุณเอกว่า ผมหัวเราะแล้วเกาหัวเบา ๆ แก้เขิน ก็ตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ น่ะสิครับ

“เรื่องตัวโครงการ พี่ว่าค่อนข้างโอเค เราตอบคำถามที่พี่สงสัยหลายข้อได้ดี ส่วนข้อที่ยังตอบได้ไม่ชัดเจนก็ไว้เก็บเป็นการบ้านคราวหน้าไป ทำอย่างที่ทำวันนี้แหละ อะไรที่เรายังตอบไม่ได้ก็อย่าพยายามไปชูประเด็น ทุกครั้งเวลาทำอะไรเราไม่มีทางพร้อม 100 เปอร์เซ็นหรอก มันต้องมีบางส่วนที่เรายังไม่พร้อม ไม่มีคำตอบ หรือยังไม่แน่ใจในอะไรทั้งนั้น..” พี่เอกว่าช้า ๆ มองหน้าผม ถึงตรงนี้แหละที่ทำให้ผมมั่นใจว่าพี่มันมองผมด้วยแววตาเดียวกับพี่มันนี่ตอนเวลาสอนอะไรสักอย่างให้ผมฟัง

“ความไม่พร้อมอาจจะทำให้เราแสดงออกได้ไม่ชัดเจนไปบ้าง หรือแสดงออกแล้วคลาดเคลื่อน ปิดบัง หรืออาจจะอธิบายไม่ครบ แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ให้มองภาพรวมเป็นหลักนะครับ...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” พี่มันพูดสำทับ พอเห็นผมทำหน้างงแกก็เลยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

“จะว่าไปแล้ว พี่ถามหน่อยได้ไหม”

“ครับ?”

“ทำไมถึงอยากทำโครงการนี้ให้สำเร็จขนาดนั้น หมายถึง นอกจากได้เก็บเป็นแฟ้มพอร์ตผลงานแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่กระทบกับชีวิตของเราถึงขนาดอยากมอบให้กับคนอื่นขนาดนั้น” คุณเอกถาม ผมยิ้ม พยักหน้ารับคำถาม เป็นคำถามที่ผมมักจะโดนถามบ่อย ๆ หลังอีกฝ่ายสังเกตให้เห็นว่าผมจริงจังกับโครงการนี้มากแค่ไหน

“ไม่รู้สิ คำตอบของผมมันอาจจะโลกสวยไปหน่อยก็ได้...”

“ครับ”

“ผมก็แค่ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องเกิดมาเจอเรื่องแบบผมแค่นั้นเอง”

“เราหมายถึง...”

“อ๊ะ คุณเอกสวัสดีค่ะ” ในตอนที่คุณเอกจะพูดต่อก็มีเสียงเล็ก ๆ ใส ๆ เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ผมหันไปมองตามเสียงเรียกพี่เอกแล้วก็พบบุคคลอีกคนที่กำลังทำหน้าตกใจไม่แพ้กันไปกับผม

“คุณเอกคะ นี่คุณแชมป์ อิทธิพงศ์ รองประธานบริษัทสยามพัฒน์ ที่กำลังมีโครงการจะนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากญี่ปุ่น...”

หูของผมอื้อจนจับใจความท้ายประโยคนั้นไม่ได้ ใบหน้าที่เห็นกันอยู่ตรงนั้นคุ้นเคยจนผมไม่สามารถปฏิเสธว่าเป็นแค่คนหน้าคล้ายหรือใครคนอื่นไปได้

ผู้ชายตรงหน้าผมก็คือ อิทสึกิ ... ‘โช’

 

...........................

 

“ทีเร็กซ์ เดี๋ยว !! ฟังพี่ก่อน” เสียงผู้ชายคนนั้นตะโกนไล่ตามหลังผมมา

หลังผมได้สติชั่วครู่ ผมยกมือไหว้คุณเอกและขอตัวจากวงสนทนา พร้อมทั้งไม่ลืมรักษามารยาทด้วยการเดินไปบอกพี่โต้งและสวัสดีขอลาอาจารย์กลับที่พักไวกว่าที่คิด ผมรู้จักตัวเองดีมากพอ และผมรู้ว่าตอนนี้สติของผมเหลือไม่มากพอจะเสนอโครงการอะไรอีกแล้ว

“พี่ขอร้อง ฟังพี่ก่อนได้ไหม...” เขาตะโกนไล่ตามหลัง ตอนนี้ผมเดินมาถึงแถว ๆ  ลานกว้างเกือบจะถึงถนนใหญ่แล้ว ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้าเขา

“คุณแชมป์มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?” ผมหันไปถาม พยายามเป็นอย่างมากที่จะบังคับไม่ให้น้ำเสียงแสดงออกถึงความเสียใจที่รู้สึกไปหมดทั้งข้างใน

“พี่อธิบายได้” เขาว่า ยืนหอบที่วิ่งตามผมมาแต่ไกล

“....”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเรา พี่แค่...ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เล่าให้เราฟัง”

“ครับ...ไม่มีโอกาส เราคุยโทรศัพท์กันทุกวัน เราเจอหน้ากันแทบจะทุกอาทิตย์ ตลอดเกือบสองสามเดือนที่ผ่านมา นั่นไม่ทำให้พี่ไม่มีโอกาสได้บอกอะไรกับผมใช่ไหม...” ผมว่า เผลอหลุดเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ไปอีกแล้ว

“ที..พี่ขอโทษ อย่าเพิ่งร้องไห้ ฟังพี่ก่อนจะได้ไหม” เขาว่ามาแบบนั้น ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังร้องไห้ตอนไหน

“พี่รู้ไหม ตอนนี้เราไม่แน่ใจอะไรอีกแล้ว...”

“....”

“ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ใช่คนเดียวกับที่นอนกอดเราทุกคืนวันเสาร์อาทิตย์ไหม?”

“....”

“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา แม่งเป็นเรื่องจริงไหมวะ? หรือสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมอีกแล้วใช่ไหมที่เสียใจกับการเปิดใจให้ใครสักคนแล้วมันก็พังลงแบบนี้ พี่โกหกผมทำไมวะ พี่ทำไปเพื่ออะไรอ่ะ มันมีเหตุผลอะไรถึงต้องโกหกกันมากขนาดนี้” ผมระบายออกไปผ่านน้ำเสียง น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

สุดท้ายแล้วเขาก็หลอกผม เหมือนกับที่ใครหลายคนผ่านเข้ามาและเดินจากไป

...ไม่มีใครอยากจะเป็นครอบครัวกับเด็กแบบผมจริง ๆ

“พี่ขอโทษ พี่ยอมรับเอง พี่ผิดเองที่ไม่บอกเรา แต่พี่พยายามหาโอกาส แล้วพี่ก็รอเวลาที่จะบอก...”

“ตอนไหนล่ะพี่ เราต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ ถ้าวันนี้เราไม่ได้บังเอิญเจอกันที่นี่ เราจะต้องถูกหลอกไปอีกนานเท่าไหร่ พี่คิดว่าเราโง่มากใช่ไหม หรือพี่คิดว่าเราเป็นอะไร ทำไมพี่ถึงไม่บอกตรง ๆ แบบนั้นตั้งแต่แรก พี่กลัวอะไรเหรอ กลัวว่าประวัติเราจะทำให้รองประธานบริษัทแบบพี่เสียภาพลักษณ์ลงไปใช่ไหม หรือจริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้กลัวอะไรเลยนอกจากความจริง พี่ตอบเรามาสิ!!!” น้ำเสียงของผมแทบจะเปลี่ยนเป็นตะคอกด้วยซ้ำ

หัวใจข้างซ้ายของผมสูบฉีดเลือดออกมาไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อทุกส่วนแทบจะเกร็งไปทั้งตัว ผมปล่อยโฮออกมาพร้อม ๆ กับทุกความคิดในหัวที่ประดังขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาก็เหมือนคนอื่น ๆ เขาคือคนที่ไม่สามารถยอมรับอะไรในตัวผมได้ เขาถึงเป็นแค่โช เป็นแค่โชที่บอกกับผม

“พี่เลือกไม่ได้”

“พี่เลือกอะไรไม่ได้ พี่เลือกไม่ได้หรือพี่ไม่เลือก!!!”

“พี่เลือกไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยเลือกอะไรได้เองเลยสักครั้ง เพราะคำว่าลูก เพราะครอบครัว เพราะสายเลือด ทุกอย่างไม่เคยอยู่ในการคอนโทรลของพี่ การเรียน หน้าที่การงาน เพื่อนฝูง พี่ไม่เคยเลือกอะไรสักอย่างได้ เพราะพี่คือสมบัติของพวกเขา ทุกอย่างมันถูกเตรียมมาแบบนั้นหมดแล้ว พี่...พี่” เขาพยายามอธิบาย เสียงสั่นคลอนไม่แพ้ผม

“พี่ไม่ใช่เลือกไม่ได้ พี่แค่ไม่เลือก!!! พี่แค่เลือกว่าจะเป็นพี่ที่ยืนตรงหน้าผม”

“ใช่ ที่ผ่านมาพี่อาจจะเลือกไม่ได้ หรือพี่อาจจะไม่เลือกก็ได้ แต่ไม่ใช่กับเรา เพราะพี่เลือกเราแล้วต่างหาก พี่ถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะพี่อยากอธิบายให้เข้าใจ”

“ใช่..พี่เลือกแล้ว”

“...”

“...พี่เลือกจะโกหกผมตั้งแต่ต้น”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไงวะ พี่ต้องทำยังไงเหรอ ต้องเดินเข้าไปบอกว่า ‘สวัสดี ผมแชมป์ รองประธานบริษัท’ บลาๆๆๆ เหรอทีเร็กซ์ ไม่สิ ไม่ใช่หรอก เราอาจจะไม่ได้ชื่อนี้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่โกหก เราต่างก็โกหกตั้งแต่เริ่มต้นกันแล้ว” เขาตะคอกคืนกลับมา ผมยิ่งสะอื้นไม่หยุด ตั้งแต่รู้จักกัน ผมไม่เคยโดนเขาตะคอกใส่แบบนี้ด้วยซ้ำ

“ใช่ เราต่างโกหกปิดบังกันมาตั้งแต่ต้น แต่หลังจากนั้นมาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของผมมันคือ 'เรื่องจริง'” ผมว่า เม้มปากจนเจ็บไปหมด

“...”

“แต่ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่ผมรัก พี่คงไม่มีวันได้เห็นผมร้องไห้เพราะเสียใจมากขนาดนี้”

“ที พี่ขอโทษ พี่” เหมือนเขาจะรู้สึกตัวได้ว่าพูดอะไรกับผมออกมา อีกฝ่ายเริ่มร้องไห้ไม่ต่างจากผม

“...มันผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ”

“ที พี่ขอโทษจริง ๆ  ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหมครับ” เขาว่า พยายามพูดสุดเสียง ผมเม้มปากสนิทไว้แล้วพูดกลับไปเป็นคำสุดท้าย

อะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้ สิ่งนั้นล้วนมอบความทุกข์มากมายแสนสาหัสให้เราไม่ต่างกัน

“ผมว่า...เราหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ดีกว่า”

“ที เดี๋ยวก่อน!!!”

ผมได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้ายแบบนั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นรถแล้วบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับฟัง ผมขอโทษพี่คนขับที่อาจจะร้องไห้เสียงดังไปหน่อย โชคดีของผมที่พี่เขาเข้าใจ ไม่ว่าอะไร และเปิดเพลงเสียงดัง ๆ เพื่อให้กลบเสียงผมร้องไห้ตามคำขอร้องของผม

ถ้ารู้ว่ามันจะจบแบบนี้ตั้งแต่ต้น

...วันนั้นแล้วผมไม่น่ายอมให้พี่เข้ามาในหัวใจของผมเลย







TBC. ตอนนี้เปิดให้สั่งจองหนังสือแล้วนะครับ ปิดจองวันที่ 1 เมษายน 2562 ขอขอบคุณทุก ๆ การสนับสนุนครับ

รายละเอียดหนังสือและแบบฟอร์มสั่งของหนังสือ : >>> https://1th.me/ZBRt

ขอบคุณครับ


Time Talk : อีกสองตอนนะครับ มากอดกันให้แน่น ๆ นะครับสำหรับตอนถัดไปนั้นมันค่อนข้าง...โอ้ว

ขอบคุณครับ มาอยู่ด้วยกันก่อนนะครับ อีกไม่นานแล้วนะ ฮึ้บ ๆ




หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-03-2019 22:59:27
น่าจะซื้อหวย.....

ฮึบ!
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 16-03-2019 23:59:41
เศร้าเลย ในที่สุดเค้าก็เจอกัน
รอตอนต่อไปค่าา  :katai1:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-03-2019 02:08:46
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 18-03-2019 20:51:40
Ep.34 Goodbye



‘ทีเร็กซ์ เราอยู่ไหนครับ พี่โทรศัพท์หาไม่ติดเลย’

‘พี่ขอโทษที่พูดออกไปแบบนั้น พี่เห็นแก่ตัวเอง แต่ฟังพี่หน่อยได้ไหมครับ พี่...พี่ไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้’

‘สองวันแล้วนะครับ เพื่อน ๆ ทีก็ไม่เจอเรา พี่ขอร้อง แค่กลับมาก่อนได้ไหม พี่สัญญาจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเราเลย ขอแค่ติดต่อทุกคนกลับมาก่อน ขอแค่เรายังปลอดภัยก็พอ’

‘มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เราเกลียดพี่มากที่สุดในโลก แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ โทรศัพท์หรือส่งข้อความกลับมาหาพี่นะครับ พี่ขอโทษนะ แต่พี่จะรอให้เราให้โอกาสพี่จริงๆนะครับ’

‘สามวันแล้วนะครับที เราหายไปไหน กลับมาก่อนเถอะนะครับ...’

‘ไอ้เหี้ยที มึงหายไปไหน? เกิดอะไรขึ้นที่งาน ทำไมหายไปดื้อ ๆ แบบนี้อีกแล้ว ทุกคนเป็นห่วงมึงนะ รีบ ๆ กลับมาได้แล้วมึง’

‘ที แกหายไปไหนวะ? มีอะไรที่ฉันควรรู้หรือแกควรบอกฉันป่ะ? ไม่ตลกเลยนะเว้ย ได้สติแล้วโทรศัพท์กลับมาหาด้วย หรืออยู่ไหน แชร์โลเคชันมา จะไปรับ!!’

‘ทีเร็กซซซซซ์ ไอ้เจ้าไดโนเสาร์หนุ่ม แกไม่ได้แข็งแรงหรือตัวใหญ่ขนาดนั้น แกตัวเล็กมาก เล็กมากจนพวกฉันเป็นห่วง เมื่อวานไอ้พลอยมันทะเลาะกับผัวด้วย กลับมาหาเพื่อนได้แล้ว เพื่อนคิดถึง’

‘เมื่อวานกูทะเลาะกับผัว คิดถึงมึงชิบหายเลย สามวันแล้วนะเว้ย กูควรไปแจ้งความได้รึยังวะ? ’

‘ถ้าไม่รู้จะไปไหน มาหาเราได้นะ ,ดาวตก’

.....

‘...พวกมึง กูขอโทษ กูขออยู่คนเดียวสักพัก แล้วกูจะกลับไปนะ’

ผมกดส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่ม ไม่ได้เข้าไปดูอีกแล้วว่ามีใครอ่านไหม แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะทำอะไรสักอย่าง ผมยังไม่พร้อมกลับไปเจอใคร ผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมควรรู้สึกยังไง เสียงโทรศัพท์แทบจะดังขึ้นมาตอนเดียวกันกับที่ผมกดเปิดเครื่อง ผมแหงนหน้าออกจากหมอน กดดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาหา

“ฮัลโหล..”

‘ไอ้ทีเร็กซ์ ไอ้หน้าหมา มึงอยู่ไหน อยู่กับใคร ปลอดภัยดีรึเปล่า ทำไมเพิ่งส่งข้อความตอบกลับมา ทำไมไม่บอกพวกกูตั้งแต่วันนั้น แล้วนี่ทำอะไรอยู่ กินข้าวกินปลารึยัง เจ็บป่วยตรงไหนรึเปล่า’

“...”

‘อ้าว เงียบอีก’

‘..กูว่ามันเงียบเพราะมันนึกไม่ทันรึเปล่าว่าจะตอบคำถามไหนดีก่อน?’ อีกเสียงหนึ่งที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นไอ้ส้มพูดขึ้นมา

‘เออว่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ พร้อมให้พวกกูไปหักคอมึงรึยัง ข้อหาทำพวกกูประสาทเสียเนี่ย’ ไอ้มาร์ก็ยังคงพูดรัวต่อไม่ต่างจากตอนแรก ผมส่ายหน้าฝืนยิ้มเบา ๆ แล้วตอบกลับไป

“กูอยู่แถวนี้แหละ ไม่ไกลมากหรอก ปลอดภัยดี ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง แค่ร้องไห้จนหลับไป แล้วตื่นมาใหม่ ... ที่ไม่ได้ตอบข้อความไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่กูไม่มีตัวชาร์จแบต กูขอโทษนะ” ผมว่า ตอบพวกมันกลับไป

‘มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว และจะกลับมาหาพวกกูตอนไหน?’ อีกเสียงแทรกขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิดก็เสียงไอ้พลอย

“กูขอเวลาสักพัก ดีขึ้นเยอะแล้ว” ผมตอบกลับ เสียงมันถอนหายใจโล่งอกนิดหน่อย

‘มึง จริง ๆ เราก็เพิ่งรู้จักกันมาแค่ปีสองปี...’ ไอ้ทิพย์ว่า เว้นเสียงแล้วพูดต่อ

‘แต่นอกจากจะเป็นเพื่อนกันแล้ว ‘พวกกูทุกคน’ เห็นมึงเป็น ‘คนในครอบครัว’ นะ ... ขาดมึงไป ใครจะคอยห้ามไม่ให้ไอ้ส้มไอ้มาร์ตีกัน ไอ้พลอยก็ไม่มีคนให้คำปรึกษา กูก็ขาดคนแบ่งบุหรี่ไฟฟ้า ดาวตกเองก็มีหลายเรื่องอยากเล่าให้มึงฟัง กูเข้าใจเวลาที่อยากอยู่คนเดียว มึงอยู่คนเดียวได้ แต่มึงไม่ได้อยู่ ‘ตามลำพัง’ ...มึงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม? ’

‘กูเข้าใจที่มึงพูด แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมบทสวย ๆ ถึงไปอยู่กับมึงวะทิพย์ เป็นแค่ตัวประกอบแท้ ๆ ’ ไอ้มาร์ว่า

‘เอ๊ะ อีพวกนี้นี่ ก็พวกมึงมัวแต่พูดไร้สาระ เพื่อนมันจะรู้ไหมว่าเราคิดกันยังไง’ ไอ้ทิพย์จิ๊ปากโต้กลับ

‘ไม่ต้องสาระหรือไร้สาระก็ได้ กูเชื่อว่ากูดูคนไม่ผิด ทีเร็กซ์มันคงไม่โง่มากพอจะไม่เข้าใจหรอกว่ามีคนที่รักมันมากแค่ไหน แล้วก็คงไม่คิดโง่ ๆ  ด้วยว่าไม่มีใครต้องการมัน’ ฉึก เหมือนมีลูกธนูสักดอกพุ่งมาเสียบกลางใจผม ไอ้สัสมาร์!!!

‘เออ นั่นแหละ กูไม่ชอบอ้อมค้อม พวกมึงสำคัญกับกู ไม่มีมึงแล้วใครจะซื้อผ้าอนามัยให้กูในวันที่ไอ้พวกเหี้ยนี่ทิ้งกูแล้วไปดูหนังกัน’ ไอ้ทิพย์พูดต่อ

‘สรุปแล้วมึงยังแค้นพวกกูเรื่องนี้สินะ หน็อยแน่ นางอสรพิษ ที่แท้หาโอกาสปล่อยพิษอยู่สินะ’ ไอ้มาร์ไม่วายโต้กลับ

‘ทั้งสองคนใจเย็น ๆ ก่อนนะ ทีเร็กซ์ ถ้าโอเคแล้วก็รีบ ๆ กลับมานะ’ เสียงดาวตกดังขึ้นมาบ้าง ผมตอบกลับไปบางเบาว่าอืม ไม่รู้เหมือนกันว่าปัญหาส่วนตัวของเขาไปถึงไหนแล้ว ไหนจะชุดที่ผมยังไม่ได้คืนอีก

‘แล้วก็...กูไม่รู้ว่ามึงอยากรู้เรื่องนี้ไหมนะ’

“...”

‘คุณแชมป์ ...หมายถึงพี่โชของมึงน่ะ เขามาหามึงถึงที่คณะทั้งสามวันเลยนะ เขาก็ดูไม่ค่อยได้หลับได้นอนอ่ะมึง เห็นว่าต้องให้พี่อีกคนขับรถมารับมาส่ง ก็มาหาพวกกู ถามเรื่องมึง แล้วก็ฝากบอกมึงว่าให้สบายใจได้ ถ้ามึงจะกลับไป เขาจะยังไม่มาจนกว่ามึงจะขอให้มา เขาไม่อยากทำให้มึงไม่สบายใจ’

ส้มส้มว่า ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มันจะรู้จัก เพราะในแวดวงอุตสาหกรรมครัวเรือนของไอ้ส้ม ก็เป็นอีกเจ้าที่ทำเกี่ยวกับพวกเรื่องรถยนต์นำเข้าส่งออก ผมถอนหายใจแล้วตอบกลับพวกมันไปทุกคน

“กูขอ...อย่าเพิ่งบอกนะว่าติดต่อกูได้แล้ว กูขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักแปปหนึ่ง ขอให้ใจกูได้พักผ่อนและปล่อยวางก่อน ส่วนหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ไว้ให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปนะ” ผมบอกกึ่งขอร้องพวกมันกลาย ๆ

‘พวกกูก็เอาที่มึงสะดวกใจทั้งนั้นแหละ ยังไงก็รอมึงอยู่ดีนะ รีบ ๆ กลับมาล่ะ ไอ้ลูกหมา’ ไอ้มาร์ว่า

‘การบ้านทนงศักดิ์ยากชิบหาย รีบ ๆ มา’ ไอ้ส้มพูดต่อ

‘กูไม่สามารถรับมือแฟนกูได้โดยปราศจากคำแนะนำจากมึงนะไอ้แว่นทั้งสอง’ ไอ้พลอยพูดบ้าง

‘กูรักมึงนะ’ ไอ้ทิพย์กล่าวสั้น ๆ

‘รีบกลับมานะ’ ดาวตกยังพูดอะไรเล็กน้อยเช่นเคย

“...กูก็รักพวกมึงทุกคน ขอโทษที่บางเวลากูก็เอาใจตัวเองชิบหายเลยเหมือนกันนะ” ผมว่า ไอ้ยินเสียงไอ้มาร์เหมือนประชดกลับว่า ‘ก็รู้ตัวนี่หว่า’ ผมอมยิ้มกับน้ำเสียงของทุกคนก่อนจะตอบกลับพวกมันกลับไปอีกครั้ง

“งั้นกูวางสายก่อนนะ” ผมบอก

‘เออ ๆ หาไรกินด้วยล่ะ พวกกูไปละ’ แล้วพวกมันก็วางสายไป

 “เพื่อนเราน่ารักดีนะ” เจ้าของห้องกล่าวเสียงยิ้ม ๆ ก่อนจะมาทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ ผม

“พี่กรก็พูดเป็นเล่นไป พวกมันเนี่ยนะน่ารัก... อ๋อ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ไปซื้อตัวชาร์จมาให้ เดี๋ยวผมโอนเงินให้นะครับพี่” ผมบอก พี่กรส่ายหน้าแล้วพูดต่อ

“พี่ยกให้ ของขวัญครบรอบสองเดือนที่เราได้เจอกัน ไม่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เรามานอนห้องพี่อีก” เขายิ้มแหย่ ผมส่ายหน้ากับความขี้เล่นของเขา

“แต่ถ้าแฟนพี่จะมาหาก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมกลับห้องให้ครับพี่” ผมว่า สายตาจริงจังว่าไม่อยากรบกวนเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่

สามวันก่อนนั้น หลังจากเกิดเหตุผมก็โบกรถแท็กซี่คันหนึ่งให้มาส่งที่แถวมหาวิทยาลัย จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ พี่กรโทรศัพท์มาหาผมพอดี แล้วก็เป็นพี่มันที่ให้ผมยืมห้องนอนตลอดสามวันที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นธุระออกไปซื้อตัวชาร์จโทรศัพท์ให้กับผม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือกันมากขนาดนี้ก็ได้

“ไม่ต้องห่วง พี่เขาไปต่างประเทศหลายวัน” พี่มันหัวเราะคิกคัก ผมอมยิ้มกับความขี้เล่นนี้แล้วพูดตอบกลับ

“ยังกับผมมาแอบเป็นชู้ชาวบ้านเลยแฮะ” ผมว่าเขิน ๆ พี่มันส่ายหน้ารัว ๆ

“จะเป็นชู้พี่ได้ยังไง เรามีอะไรกันครั้งล่าสุดก่อนพี่มีแฟนนี่” พี่กรว่า

ใช่ครับ สามวันที่ผ่านมานี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยกับพี่มัน วันแรกมาถึงผมก็นอนพะงาบ ๆ ติดเตียง ร้องไห้ไม่มีเสียงกับตัวเอง ดีว่าอยากได้กินของร้อนง่าย ๆ ทำนองพวกโจ๊กสำเร็จรูป ข้าวต้มต่าง ๆ ถึงได้ดีมากขึ้นมาหน่อย พอเริ่มมีสติผมก็อยากจะติดต่อกับทุกคนแต่ก็พบว่าโทรศัพท์แบตเตอรี่หมด ไอ้จะกลับไปหอผมก็ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ พี่มันเลยออกไปเป็นธุระให้กับผม

“แล้วเป็นไงมั้งพี่ มีความสุขดีใช่ไหมพี่ครับ กับพี่เขาน่ะ?” ผมถาม พี่กรพยักหน้ารับแล้วยิ้มออกมา

“ก็ดีมาก ๆ เลยแหละ หลาย ๆ เรื่องเลย ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตก็คล้าย ๆ กัน หน้าที่การงานก็มั่นคงดูมีอนาคตดี แล้วก็ ....เรื่อง sex ก็เด็ดไม่แพ้น้องพี่คนนี้เลย” พี่เขาว่า ท้ายประโยคแอบหัวเราะคิกคักมองหน้าผม

“จริงเหรอ? มีคนเด็ดแบบผมด้วยเหรอ” ผมว่า แกล้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น

“พูดเป็นเล่นไป เขาใหญ่กว่าเธอนะ” พี่กรพูดต่อ

“จริงจังเหรอพี่?...โอ๊ย เขกหัวผมทำไม” ผมหันไปถามจริงจังก่อนจะโดนพี่กรเขกมะเหงกใส่เบาๆ  หนึ่งครั้ง

“โอ๊ย ไอ้เสือ ทีเรื่องนี้แหละจริงจังไม่ยอมแพ้เลยนะ...แต่ก็ใกล้ ๆ กันจริง ๆ นั่นแหละ อาจจะยาวกว่าหน่อยมั้ง? ของเธอมันไม่ค่อยยาวนี่” ปากว่าผมจริงจังกับเรื่องแบบนี้ แต่ตัวเองก็ยังพูดบรรยายอวดออกมาอยู่ดี ผมเบะปากมองบนใส่จนโดนพี่มันหยิกเอวเข้าให้อีกรอบ

“พี่อ่ะ รังแกคนอ่อนแอ” ผมว่า แกล้งทำหน้าตาน่าสงสาร พี่กรส่ายหน้าเบา ๆ

“มีอะไรกันมาจะกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว สีหน้า ท่าทาง การแสดงออกเราเป็นแบบไหน พี่ดูออกหมดนั่นแหละ” เขาบอกแบบนั้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ผมพลิกตัวหันไปเอาหน้าจ่อใกล้ ๆ

“มีแฟนแล้วแบบนี้ ผมก็มีอะไรกับพี่หรือมาห้องนี้แล้วไม่ได้แล้วสิ?” ผมตั้งคำถามพร้อมทำหน้าอ้อนที่สุดเท่าที่สภาพใบหน้าของผมจะเอื้ออำนวย พี่กรหัวเราะเบาๆ  ถอยหน้าออกไปแล้วขยี้หัวผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ที่จะมีอะไรกันไม่ได้แล้ว เพราะเราจะไม่ยอมมีอะไรกับพี่ต่างหาก”

“....”

“...เพราะพี่มั่นใจว่าเราเป็นคนแบบนี้ พี่ถึงกล้าให้เรามานอนที่ห้อง พี่ถึงกล้านอนข้าง ๆ เรา เพราะในสายตาเราพี่เป็นแค่พี่คนหนึ่ง และพี่จะไม่มีวันเป็นไปได้มากกว่านั้นในใจของเรา เป็นได้แค่คู่นอนคนหนึ่งเท่านั้นเอง” พี่กรว่า เงยหน้ามองเพดาน

“ทำไมพี่กรคิดแบบนั้นละครับ?” ผมถามต่อ

“เพราะเราไม่เคยมองเห็นพี่ในภาพอนาคตของเรายังไงล่ะ” พี่กรตอบคำถามของผม แต่ดันสร้างคำถามใหม่แทน

“ผมไม่เข้าใจ” ผมครางออกมาเสียงต่ำ พลิกตัวไปนอนคว่ำแทน

“งั้นพี่ถามหน่อย ทำไมที่ผ่านมาตลอดเวลา เราถึงไม่เคยอยากขอพี่เป็นแฟนล่ะ?” พี่กรถาม ผมทำหน้าตาโต ๆ ใส่แล้วบอกกับพี่มันกลับไป

“บ้าเหรอพี่ ผมไม่กล้าคาดหวังอะไรแบบนี้หรอก ก็พี่...”

“พี่ทำไม?”

“...ก็พี่ไม่น่าจะชอบผมไง” ผมว่าเสียงเบา

“แล้วถามพี่รึยัง” พี่กรตามต่อ

“พี่ ถ้าเอาจริงจังเลยนะ ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นกับใครเลย กับใครสักคนจริง ๆ ...หมายถึงผมในตอนนี้นะไม่ใช่เมื่อก่อน ผม.. ไม่รู้สิ ผมคิดว่าผมอาจจะเป็นคู่นอนที่ดี แต่ผมอาจจะไม่ใช่คนรักที่ดีของใครสักคน แล้วก็ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรที่จะทำให้ใครสักคนมาชอบผมได้ ผมเลยคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา...”

“พี่ชอบเรา”

“...”

“...หมายถึงก่อนหน้านี้ พี่ชอบเรา ชอบในความหมายว่าชอบจริง ๆ ไม่ใช่แค่เราหรอกนะที่ไม่ชอบให้ไลน์ใคร พี่เองก็เหมือนกัน หน้าที่การงาน ความรับผิดชอบ หน้าตาทางสังคม พี่คิดมาตลอดเลยนะ แต่ไม่รู้สิ เรามีบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้พี่อยากอยู่ด้วย จากที่คิดว่าเด็กคนนี้คงเป็นแค่คู่นอน แต่ใจพี่อยากให้เราไปไกลมากกว่านั้น” พี่กรพูดต่อ ตามองเพดานไม่ได้จับจ้องไปที่ใดที่หนึ่ง

“อ่า..”

“ในแววตาของเราปราศจากความรักให้กับใคร”

“...”

“มันเลยทำให้พี่ต้องถอยออกมา แล้วก็บอกกับตัวเองว่า นั่นแหละ พี่ไม่สามารถไปเป็นคนนั้นที่ยืนข้าง ๆ เราได้ พี่ไม่มีคุณสมบัติทำให้เรา ‘หลงรัก’ พี่ในรูปแบบนั้น เรามองพี่เป็นแค่พี่ เป็นแค่คนรู้จัก มากสุดก็แค่คู่นอน สายตาเรามันบอกกับพี่ว่าพี่ได้แค่นี้จริง ๆ ไม่สามารถไปกันได้ไกลมากกว่านี้” พี่กรพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วสอดแขนเข้ามากอดผม

“พอมาวันนี้พี่เลยดีใจ อย่างน้อยที่สุดพี่ก็เบาใจได้แล้วตอนที่เห็นเราร้องไห้” พี่กรพูด เว้นวรรคแล้วหอมที่หน้าผากของผม

“น้องพี่กำลังมีความรัก และใครสักคนเขาสามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงหนา ๆ มายืนข้างเราได้จริง ๆ ”

“พี่ดีใจเพราะเห็นผมร้องไห้เนี่ยนะ” ผมว่า ไม่เข้าใจที่พี่มันพูด

“พี่ดีใจที่เห็นใครสักคนมีผลต่อหัวใจเราได้แล้วต่างหาก น้ำตาพวกนั้นน่ะ มันไม่มีทางออกมาจากคนที่ไม่สำคัญในชีวิตเราหรอกนะ เราต่างร้องไห้เสียใจเพราะใครสักคนที่สำคัญมาก ๆ กับเราทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?” พี่กรว่า จ้องมองเข้ามาที่ตาทั้งสองข้างของผมที่กำลังปริ่ม ๆ ขึ้นมา

“ลองกลับกันนะ ถามว่าถ้าพี่บอกเราว่าพี่กำลังจะมีแฟนแล้ว เราจะมาที่นี่ไม่ได้แล้ว เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว กระทั่งอาจจะไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักกัน ถามว่าเราจะเสียใจไหม?” พี่กรถาม

“ต้องเสียใจสิครับ แต่อีกใจหนึ่งก็คงดีใจแหละที่พี่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน มีคนที่รักพี่” ผมตอบ

“นั่นแหละ คำตอบที่พี่ได้ยินจากความรู้สึกของเราตลอดเวลา คือความปรารถนาจากใจให้คนอื่นได้พบเจอกับความสุขในรูปแบบที่เขาควรจะได้รับ แต่ว่า...”

“ครับ?”

“ตัวเราเองล่ะครับ เราไม่เคยจะปรารถนาอยากให้ตัวเองได้มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันบ้างเหรอ..”

“...”

“ให้อภัยตัวเองบ้างนะครับ พี่อยากให้เราลองอนุญาตให้ตัวเราเองได้ ‘มีความสุข’ บ้างนะ”

น้ำตาผมไหลออกมาเป็นสายอีกครั้ง พี่กรกระชับกอดผมไว้หลวม ๆ พอให้ผมได้รับรู้ถึงสัมผัสความอบอุ่นจาก ‘พี่’ คนหนึ่งที่เขาจริงใจและอยากมอบมันให้กับผมจริง ๆ

“ตอนนี้พี่มีแฟนแล้ว พี่มีความสุขกับปัจจุบัน พี่มีความสุขกับการพยายามเดินตามหาอนาคต และพี่จะมีความสุขมาก ๆ ไปกว่านี้ ถ้าเห็นน้องพี่คนนี้เขามีความสุข ได้พบเจอกับคนที่รักเขาอย่างจริงใจ เหมือนที่พี่และคนอื่น ๆ มอบให้กับเราเสมอ ๆ นะครับ ลองให้อภัยในความผิดพลาดของตัวเองสักครั้ง ...ให้อภัยในความรัก”

“พี่บ้า..ผมร้องไห้อีกแล้วเนี่ย” ผมว่าพยายามเอาสองมือเช็ดน้ำตา พี่กรหัวเราะเบา ๆ แบบนั้น แต่ก็ยังกอดผมไว้หลวม ๆ ต่อไป

“นาน ๆ ทีจะได้แกล้งเราบ้าง ปกติแล้วมีแต่เราชอบแกล้งให้พี่เสียน้ำตา” พี่มันว่า

“ก็ถ้าไม่กดเอวเน้น ๆ แล้วมันจะถึงใจไหม!!!” ผมว่า

“พี่ยังไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักคำนะไอ้เสือ!!!” พี่กรตอบกลับเสียงสูงปรี๊ด

“มีอยู่เรื่องเดียวแหละที่ผมทำให้พี่เสียน้ำตาได้” ผมว่า เราสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเสียงใส ผมปวดหัวนิดหน่อยจากการเสียน้ำตามากเกินไป แต่หัวใจเริ่มฟื้นฟูขึ้นมานิดหนึ่งจากบรรยากาศความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นในห้องนี้

ผมเปลี่ยนอดีตไม่ได้

ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้วทั้งนั้น เราทำได้แค่ ‘ยอมรับ’ ‘เรียนรู้’ และ ‘ผ่านพ้น’ มันไป

ทำได้แค่ให้อภัยความโง่เขลาของเราในวันวาน

‘โฮ่ง’

“อ่ะ ชิกกี้ กระโดดขึ้นมาบนเตียงไม่ได้นะ” พี่กรหันไปเอ็ดกับเจ้าลูกปอม ๆ  ตัวน้อยที่ซื้อมาเลี้ยงในห้อง ผมอดหัวเราะไม่ได้ที่ได้ยินว่ามีคนตั้งชื่อหมาเป็นความหมายว่าไก่ เจ้าปอม ๆ ตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะวิ่งวนไปรอบ ๆ แล้วแทรกกลางระหว่างเราสองคนก่อนจะฟุบตัวลงมาอย่างรู้ความ

ผมหัวเราะให้กับความแสนรู้ของมัน ถอนหายใจ แล้วทิ้งตัวลงไปนอนสัมผัสความอบอุ่นจากทั้งอ้อมกอดของคนและสัตว์สี่เท้าตัวน้อยในห้อง อาจจะเพราะผมได้นอนน้อยเกินไป ตอนนี้ผมชักจะง่วงขึ้นมาเฉย ๆ ซะงั้น

โช...ไม่สิ ‘พี่แชมป์’

ผมควรทำยังไงกับความรู้สึกที่มีต่อคุณดีนะ?

 

................................

รุ่งขึ้นของเช้าหลังจากวันนั้น พี่กรขับรถไปส่งผมถึงหน้าหอพักนักศึกษา

“ขอบคุณนะครับพี่กร สำหรับทุก ๆ เรื่องเลย แล้วก็..โชคดีนะครับ” ผมว่า โบกมือให้กับพี่กร ตอนนี้ผมเป็นพี่น้องกับพี่เขาก็จริง แต่สำหรับคนที่มีแฟนแล้ว เราก็ไม่ควรไปยุ่งจุ้นจ้านโดยไม่จำเป็นใช่ไหมล่ะครับ? นั่นแหละ หลังจากนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ คงเป็นไปได้ยากที่เราจะเจอกันอีก

“พี่ก็ขอบคุณเราเองเหมือนกัน สำหรับทุกเรื่องเลย ไว้ว่าง ๆ เราไปกินข้าวกันตามประสาพี่น้องเนาะ?” พี่กรถาม ผมพยักหน้ายิ้มยินดี

“ผมจะรอครับพี่”

“งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“บายครับ” ผมว่า พร้อมโบกมือลา รอจนรถคันงามขับเคลื่อนไปไกล

หลังจากนี้เอง ผมก็ต้องพยายามที่จะใช้ชีวิตให้อยู่กับปัจจุบันเช่นเดียวกัน อาจจะเริ่มจากอะไรง่าย ๆ เช่นการไปขอโทษเพื่อนทั้งกลุ่มก่อน ที่เผลอทำให้ไม่สบายใจ ยังดีว่าวันนั้นผมยังมีสติเหลือมากพอจะสรุปแผนงานก่อนแบตโทรศัพท์จะหมด นับได้ว่าเสียใจแต่ยังรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจริง ๆ

พูดถึงเรื่องเสียใจแล้ว ใจผมยังแหว่ง ๆ อยู่เลยแหละ

ผมมองโทรศัพท์มือถือที่ยังมีสายเรียกเข้าและข้อความจากใครคนหนึ่งอีกมากมาย ยอมรับว่าผมไม่มีความกล้าหาญมากพอจะรับสายโทรศัพท์จากเขาในตอนนี้ และผมก็ไม่กล้ามากพอจะปิดเครื่องหรือตัดขาดการติดต่อจากเขาด้วยเหมือนกัน ใจผมยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง โกรธ โมโห เสียใจ? มันผสมปนเปจนกลายเป็นก้อนอะไรสักอย่างในอกที่ผมแยกไม่ออก

'พี่ยังรอเราโทรศัพท์กลับมาหาพี่เสมอนะครับ'

ผมพยายามใช้เหตุผลเข้าช่วยในการตัดสินใจ แต่หลายครั้งแล้วในเรื่องของความรู้สึก ผมไม่สามารถบังคับอะไรหัวใจตัวผมเองได้เลยจริง ๆ

ผมถอนหายใจ เลือกจะ ‘ช่างมัน’ ไปก่อน ผมยังมีหน้าที่อีกหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ และผมคิดว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม คำตอบที่ดีที่สุดจะปรากฏออกมาให้ผมได้เข้าใจว่าผมควรรับมือหรือตัดสินใจเรื่องแบบนี้ยังไงต่อไป ผมคงต้องปล่อยให้เวลาได้จัดการความรู้สึกให้กับตัวผมเองบ้าง

เป็นอีกวันที่ราบเรียบ ผมเดินเข้าไปหาทุกคน ตั้งใจไว้ว่าจะขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มันเป็นอีกวันที่สงบมาก ๆ อากาศเย็นกำลังดี มีลมพัดเบา ๆ พอให้รู้สึกชื่นใจ ผมเดินเข้าไปแล้วก็พบเพื่อนของผมทุกคนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นตามในแชทไลน์กลุ่มที่พวกมันคุยกัน แต่แปลกที่วันนี้ทุกคนกลับเลือกที่จะเงียบผิดปกติ

“มีอะไรที่กูควรต้องรู้ไหมวะ? ไอ้พลอยเลิกกับแฟนเหรอ” ผมนั่งลงแล้วหยอกไปหนึ่งมุก พลางมองหน้าเพื่อน ๆ ทีละคน มันคือสายตาของความอึดอัด ไอ้พลอยเม้มปากเกร็งจนผมกังวลตาม แม้กระทั่งไอ้มาร์ยังไม่มีรีแอคชันกับมุกของผม ผมนั่งหลังตรงแล้วหันไปหาคนที่ควรจะให้คำตอบผมได้มากที่สุด

“มาร์..เกิดอะไรขึ้น?” ผมถาม มันมองหน้าผมแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะส่งซองจดหมายสีขาวมาให้ผม

“เมื่อเช้านี้มีคุณป้าคนหนึ่งมาที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ฝากสิ่งนี้ไว้ให้กับมึง” มันบอก

ใจผมเต้นระรัวตั้งแต่เห็นตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล ‘ภัทรธิดาเวช’ ปรากฏอยู่ที่หน้าซองจดหมาย มือผมสั่น แต่นิ้วผมกลับพยายามคลี่จดหมายออกมาช้า ๆ เป็นกระดาษเอสี่ใบหนึ่งที่อยู่ในนั้น พร้อมกับลายมือที่ผมไม่คุ้นเคย...

‘สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์ จริง ๆ เรารู้จักชื่อกันอยู่แล้ว แต่ผมขอเรียกคุณแบบนี้แล้วกันนะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบการไม่เรียกชื่อกันหรอกเนาะ’

หยกเหรอ?

ผมไล่สายตาอ่านตามปลายนิ้วก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่ออ่านบรรทัดต่อไป

‘ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพกับคุณ .....ผมไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนะ’

 









Time Talk : ทุกการเดินทางไกลมีจุดจบเสมอ เราต่างเลือกหนทางที่เราเชื่อมั่นและก้าวเดินต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะพร้อมที่จะยอมรับทุก ๆ การตัดสินใจของคนทุกคน ไม่ว่าน้อง ๆ จะมีตัวตนจริง ๆ หรือเป็นเพียงแค่ตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งก็ตาม

รักทุกคนเสมอ และก็ยังรักตลอดไป

เจอกันตอนหน้ากับ Ep.35 'ความหมายของตัว T' ที่จะเป็นตอนจบของเรื่องราวตลอดสามสิบห้าตอนที่ผ่านมานะครับ

หนังสือยังมีให้จับจอง และเรายังต้องการการสนับสนุนทุกรูปแบบจากทุกคนนะครับ^^ > 1th.me/ZBRt 

ขอบคุณครับไว้เจอกันใหม่นะ

พ่อแมวพุงโต

18/03/19

หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-03-2019 21:23:25
 :mew6: :mew6: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 19-03-2019 13:58:34
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 20-03-2019 22:31:48


Ep.35 Meaning of “T”



“ครับ ถึงแล้วใช่ไหมครับ ...โอเคครับ ผมลงไปรับแปปหนึ่ง” ผมบอกกับปลายสาย ก่อนจะกดวางโทรศัพท์ สวมเสื้อยืดตัวบาง ๆ แบบที่ชอบใส่เวลาอยู่ห้องคนเดียว แล้วลงลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อไปเปิดประตูรับใครอีกคน ผมมองดูลิฟต์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเลขอย่างช้า ๆ

จริง ๆ ลิฟต์มันก็คงทำงานปกติของมัน แต่มันดันช้าเกินไปในความรู้สึกของผม

ลิฟต์เปิดประตูออกมา ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เต็มปอด เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับใครอีกคนที่ยอมมาหาตามสายโทรศัพท์ที่ผมโทรกลับไป

พี่แชมป์

เขายืนหันหลัง ยูนิฟอร์มตัวเองเหลือแค่เสื้อตัวใน ส่วนเสื้อสูทตัวนอกถูกถอดออกมาแขวนไว้กับมือ อาจจะเป็นระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน เกือบ ๆ จะแค่สัปดาห์เดียว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขากว้างขึ้นมากเหลือเกิน

“สวัสดีครับ” ผมทัก เขาหันหลังมายิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผมยิ้มตอบอย่างไม่ฝืน ผายมือเชื้อเชิญเขาเดินเข้ามาข้างใน ปิดประตูหน้าหอพัก แล้วเดินตามผมมาเงียบ ๆ ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก เหมือนเขาเองก็คงสัมผัสได้เหมือนกันว่าผมอยากคุยทุกอย่างที่ห้องพัก

เหมือนเวลาเดินช้าลง ลิฟต์ช้าเกินไปจนกลายเป็นความเงียบพิกล

ผมเดินนำออกมาหลังลิฟต์เปิดอีกครั้ง เดินไปที่ห้องก่อนริมสุดก่อนจะบิดลูกบิดเดินเข้าไปข้างใน และกดล็อกลงกลอนหลังอีกฝ่ายเดินตามเข้ามาถึงแล้ว

“สบายดีนะครับ” เขาทักหลังเดินตามเข้ามา ผมกำลังทำท่าจะตอบแต่เขาก็ชิงพูดต่อก่อน

“จริง ๆ มันก็แค่ไม่กี่วันเอง แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่านานขนาดนั้นก็ไม่รู้” พี่โช..ไม่สิ พี่แชมป์พูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเห็นด้วยและชวนเขาออกไปยืนเล่นที่ริมระเบียง ก่อนจะค่อยเปิดปากถาม

“ผมไม่ได้จะแซะอะไรหรอกนะ แต่ผมควรเรียกพี่ว่าอะไรดี?” ผมว่า เขายิ้มแห้ง ๆ ให้กับผมแล้วพูดตอบ

“เรียกพี่โชหรือโชเฉย ๆ เหมือนเดิมก็ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับคำแล้วพูดต่อ

“โอเค ขอบคุณนะครับโช...พี่โช ที่มาหาผมวันนี้” ผมว่า เว้นวรรคแล้วมองหน้าเขาที่กำลังมองมา เหมือนรอฟังคำตัดสินอะไรสักอย่าง

“ผมไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ผมอยากเคลียร์เรื่องทั้งหมดกับพี่ครับ” ผมว่า เขากลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ ไม่ทันสังเกตว่าผมเท้ากับระเบียงที่มีซองจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่บนนั้น เป็นจดหมายของหยก

...จดหมายลาฉบับสุดท้ายจากเขา

“หมายถึงเรื่องไหน?” พี่โชว่า ผมยิ้มแล้วตอบกลับไป

“เรื่องของเราน่ะครับ”

“อ่า” เขาอุทานรับคำ สีหน้ายิ้มขึ้นมาเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่

“พี่จำเพื่อนที่ผมไปเที่ยวกับเขามาเมื่อก่อนหน้านี้ได้ไหมครับ” ผมถาม พี่โชพยักหน้ารับ ผมเหม่อมองท้องฟ้าแล้วส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เขาอ่านเงียบ ๆ พี่โชทำหน้างง ๆ นิดหน่อยแต่ก็ยินยอมรับไป ก่อนจะค่อย ๆ ไล่สายตาและเปลี่ยนสีหน้าไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้ายในใจความของจดหมาย

“เราโอเคไหมครับ?” เขาถามผม แตะที่ไหล่เบา ๆ แสดงออกชัดถึงการอยู่ข้าง ๆ ผมพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ผมไม่ร้องไห้หรอก ผมร้องไห้มามากพอแล้ว และผมจะเข้มแข็งให้มากพอกับทุกการสูญเสียที่จะค่อย ๆ เข้ามาหาผมเรื่อย ๆ ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง

“ผม...ไม่รู้สิ มันไม่เชิงไม่มีสัญญาณหรอก ตั้งแต่วันนั้นที่ผมถามเรื่อง ‘อนาคต’ ของตัวเขาเองแล้วเขาตอบคำถามผมไม่ได้ ผม ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าเขาอาจจะคิดอะไรแนว ๆ นี้ แต่ผมไม่กล้าเลยจริง ๆ ผมไม่มีความกล้าหาญมากพอจะบังคับให้เขาอยู่ต่อ”

“...”

“ผมรู้สึกผิด ลึก ๆ ข้างใน ที่ผมไม่ห้าม ไม่บอกกล่าว หรือไม่พยายามแม้แต่จะรั้งให้เขาอยู่ต่อไป แต่อีกใจผมกลับรู้สึกว่า ถ้าเป็นเขาเองก็คงทำแบบเดียวกัน คืออยู่ข้าง ๆ เขา เคารพการตัดสินใจของเขา มันต้องเสียใจอยู่แล้วเวลาใครสักคนจากเราไป ผมเสียใจ ผมสูญเสีย แต่ว่า ..ความรู้สึกของเขามันทรมานมากเกินกว่าที่ผมจะบังคับให้เขาทรมานกับความรู้สึกของตัวเองต่อไปกับโลกใบนี้ เขาแตกสลาย”

“ครับ พี่เข้าใจนะ” เขาพูด มือข้างหนึ่งโอบไหล่ผมไว้เป็นการปลอบใจ ผมพยักหน้ายิ้มรับมันแล้วพูดต่อ

“หลายคนอาจจะบอกว่าผมใจร้าย ทำไมปล่อยให้เขาตายลงไป ทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองน่าจะมีโอกาสช่วยเหลือให้เขามีชีวิตรอดอยู่ต่อไปแท้ ๆ แต่คนเราจะมีชีวิตรอดต่อไปเพื่ออะไร ถ้ามันหลงเหลือแต่เพียงร่างกาย แต่หัวใจและจิตวิญญาณของเราสลายหายไปนาน จนไม่เหลืออะไรที่มันจะรั้งเราไว้บนโลกใบนี้แล้ว ”

“ครับ”

“ผมยอมรับการตัดสินของเขา ผมเคารพการตัดสินใจของเขา แต่ถ้าเลือกได้ผมไม่อยากให้เขาตาย ...พี่โช ผมอยากให้เขามีความสุข แต่ผมไม่สามารถเป็นความสุขของเขาได้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมเป็นความสุขให้ใครได้แม้กระทั่งตัวผมเอง” ผมว่า รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ขนาดคิดว่าทำใจมานานมากพอจะบอกลาและเคารพการตัดสินใจ

...แต่ความรู้สึกผิดข้างในบอกว่าผมอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขา ‘ตัดสินใจ’ ผมไม่สามารถปลดปล่อยมันลงได้จริง ๆ

“ได้สิ”

“...”

“เราคือความสุขของพี่ครับ”

พี่โชว่า ยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งที่ผมร้องไห้ มันออกจะดูแย่ไปสักหน่อยที่เขาต้องมาปลอบผม แต่จะเป็นไรไปล่ะ ผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ผมคงไม่สามารถที่จะเข้มแข็งได้ตลอดเวลาจริง ๆ หรอกนะ

“เรื่องของหยก ถ้าพี่พูดแบบเป็นกลางไม่อคติ เราอาจเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ที่ทำให้เขาตัดสินใจ แต่อย่าลืมเรื่องหนึ่งที่เราเคยพูดกับพี่ ‘ทุกการตัดสินใจสุดท้ายของเราอยู่ที่เรา’ นั่นแปลว่าต้องให้มีเหตุผลสนับสนุนหรือคัดค้านมากแค่ไหน คนที่เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำก็คือตัวเขาเอง ไม่มีใครจับมือบังคับเขาฆ่าตัวตายได้ และก็ไม่มีใครดึงเขาออกจากหลุมดำตรงนั้นได้ ถ้าเขาไม่กล้าที่จะก้าวข้ามมันออกมา ....เหมือนที่เรากล้าก้าวข้ามมาหาพี่” พี่โชว่า เขาค่อย ๆ พูดชัด ๆ ช้าๆ และมองหน้าผมไปด้วย

“ความตายมันเงียบมากเลยนะพี่..ผมกลัว” ผมว่า น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพังทลายลงไปตรงหน้า

หลังจากอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของหยก ความรู้สึกของผมสับสนสะเปะสะปะจนแทบไม่รู้ความ ผมไม่สามารถทำความเข้าใจกับตัวเองได้ว่าผมควรจะรู้สึกหรือทำยังไงดี ใจทั้งใจของผมมันเบาและโหวงไปหมด เหมือนผมสูญเสียคนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแต่เป็นคนสำคัญที่ผมอยากเห็นเขามีความสุข

หากสิ่งที่หยกเลือกคือหนทางที่จะทำให้เขามีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย ผมพร้อมจะยอมรับการตัดสินใจนั้น

...แต่การยอมรับได้ ไม่ได้แปลว่าผมไม่รู้สึกอะไร หยกมีสิทธิ์ที่จะเลือก ผมเองก็เหมือนกัน และผมก็เลือกแล้วว่าใจของผมมันเศร้า มันเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร สำหรับผมแล้ว หยกเป็นเหมือนอีกคนที่เข้าใจ ‘ใจ’ ของกันและกัน เราต่างมองเห็นเศษเสี้ยวความแตกสลายในแววตาของอีกฝ่าย

แต่มันไม่ใช่ความรัก หรือหากเป็นรัก มันไม่ใช่ความรักที่ผมเฝ้ามองและต้องประสงค์มันในฐานะ ‘คนรัก’

หลังจากอ่านจดหมายฉบับนั้น ผมถึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ผมรู้สึกเหมือนผมสูญเสียพี่ชาย ผมรู้สึกเหมือนผมสูญเสีย ‘ครอบครัว’ ไป ‘อีกครั้ง’

ความรู้สึกนี้มันลามมาถึงคนตรงหน้าผม ผมเกลียดตัวเอง ผมโกรธที่ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมต้องสูญเสียสักกี่ครั้งกัน ผมถึงจะกลัวความสูญเสียกับคนที่อยู่ข้าง ๆ คนที่สำคัญกับผมมาก ๆ และนั่นคือเขา

ผมกลัวสูญเสียพี่โช

ไม่ว่าคนตรงหน้าของผมจะชื่อโชหรือแชมป์ แต่ทั้งหมดนั่นเขาก็คือคน ๆ เดียวกันกับที่ทำให้ผมหลุดออกมาจากความรู้สึกตรงนั้น คนที่ใจทั้งใจของผมยอมรับและเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ

เหมือนเสียงกระซิบที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน ภายใต้ความรู้สึกของการไม่คิดอะไร ภายใต้การมองเห็นว่าคนทุกคนเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นแค่คู่นอนชั่วคราวของผม ผมปฏิเสธทุก ๆ เสียงคำอ้อนวอนจากความรู้สึกข้างในหัวใจลึก ๆ ข้างใน ภายใต้กรงขังขนาดมหึมา ผมตะโกนอ้อนวอนให้ใครสักคนหนึ่งมองลงมา และช่วยดึงผมขึ้นไปให้พ้นจากหลุมดำนี้ที

“เพราะกลัวการจากลา เราเลยกลัวการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนใช่ไหมครับ?”

พี่โชว่า เขาเดาได้ถูกถนัด ผมกลัวจริงๆ  ถ้าต้องเลือกระหว่างความสูญสึกว่าผมสูญเสียใครสักคนที่ผมให้ความสำคัญ ผมขอไม่เริ่มต้นมันตั้งแต่แรกดีกว่า ขอให้มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่วคราว เป็นแค่ใครสักคนหนึ่งให้พอหายเหงาในวันและเวลาที่ผมไม่อยากอยู่เพียงลำพัง เพราะคิดและใช้ชีวิตมาตลอด รู้ตัวอีกครั้งหัวใจของผมก็แทบจะจำแนกความรู้สึกไม่ได้แล้วว่าความรักคืออะไร และนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมเกือบพลาดคนที่รักผมมาตลอด

เขากอดผมไว้แบบนั้น จวบจนผมดีขึ้นมา เขาถึงค่อย ๆ เอ่ยปากเล่าบ้าง

“พี่ชื่อแชมป์ ลูกคนเดียวของที่บ้าน ทุกอย่างมันดูเหมือนจะสบาย ซึ่งพี่ก็ยอมรับว่าพี่สบายจริง ๆ พี่มีทุกอย่างที่พี่อยากได้ ตั้งแต่ของอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพวกของเล่น ไปจนถึงบ้าน รถ ที่ดิน ทรัพย์สิน เหมือนพี่มีพร้อมทุกอย่าง ทุกอย่างถูกปูมาตั้งแต่พี่เกิด ทุกอย่างถูกกำหนดให้ทั้งหมด มันคือสิ่งที่พ่อและแม่เห็นสมควรว่า ‘ดีที่สุด’ สำหรับพี่

ไม่ว่าจะโรงเรียน สายห้องที่เรียน เพื่อนในแวดวงสังคม คณะที่พี่ต้องเรียน งานที่พี่ต้องแข่งขัน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ครบ ทั้งหมดนั่นคือความโชคดีของพี่ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นและเตรียมพร้อมจะส่งต่อทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่กันและกัน แต่ในความพร้อมและ ‘ครบ’ ทั้งหมดที่พี่ได้รับ กลับมีบางสิ่งบางอย่าง ‘หาย’ ไป” พี่โชว่า มองท้องฟ้าแล้วพูดต่อ

“พี่ได้รับการยอมรับในการเป็นลูกของพ่อและแม่ที่เชื่อฟังพวกท่านมาโดยตลอด แต่ไม่เคยสักครั้งที่พี่จะได้รับการยอมรับในฐานะที่พี่เป็นตัวพี่เอง”

“....”

“เรียนเก่งเหรอ? อ่อ ก็บ้านนายรวยนี่ นายเรียนพิเศษ เรียนโรงเรียนดี ๆ มาตั้งแต่แรก พื้นฐานมันก็ต้องดีสิ เล่นกีฬาเก่งเหรอ ก็พ่อแม่นายรวย มีเวลาให้ฝึกซ้อมนี่ ไม่ว่าจะทำอะไรสำเร็จก็ตามแต่ มี ‘เงา’ ของพ่อกับแม่ติดตัวพี่มาเสมอ ตั้งแต่เด็กจนโต ยันพี่ทำงานเป็นถึงรองประธานบริษัท พี่พยายามพิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอด พยายามตั้งใจทำงาน พยายามเข้ากับคนทุกคนไม่แบ่งแยกชนชั้นว่าตัวเองเป็นนาย คนอื่นเป็นลูกน้อง พยายามทำให้มันเท่า ๆ กัน

แต่ไม่มีค่าเลย ทุกความสำเร็จของพี่ไม่มีใครมองเห็นส่วนผสมที่เรียกว่า ‘ความพยายามของตัวพี่เอง’ เลยแม้แต่น้อย  มันตลกร้ายจนพี่ถามกลับตัวเองว่า หรือพี่ผิดที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่วางแผนก่อนการมีบุตร พี่ผิดรึเปล่าที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีความพร้อม มีการสนับสนุนทุกอย่างที่พี่อยากทำให้กับพี่ แล้วทั้งหมดที่พี่ได้รับมาล่ะ

มันไม่มีสักอย่างเลยเหรอ? ไม่มีอะไรสักอย่างเลยจริง ๆ เหรอที่พี่สามารถภูมิใจได้ว่า มันคือความภาคภูมิใจของพี่ มันอาจจะดูเป็นปัญหาที่ดูไม่เหมือนปัญหา และนี่แหละที่ทำให้พี่ไม่สามารถบอกใครได้สักคนว่าพี่ทรมานมากแค่ไหนกับการที่ไม่สามารถภูมิใจอะไรได้เลยเพราะทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”

น้ำเสียงของพี่โชค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ผมค่อย ๆ ทำความเข้าใจคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ผมเริ่มมองเห็นเขาได้เต็มตามากกว่าที่ผ่านมาที่เหมือนเรายังรู้จักกันไม่มากพอ

“พี่ไม่ผิดอะไรที่เกิดมาโชคดีมีครอบครัวที่เตรียมพร้อมให้กับพี่ และพี่ก็ไม่ผิดอะไรที่อยากพิสูจน์ตัวเอง อยากขวนขวายหาความสำเร็จที่มันเป็นของตัวพี่เองจริง ๆ ผมเข้าใจที่พูดนะ เรื่องของฐานะน่ะ ที่สุดแล้วเราต่างมีความยากลำบาก และอุปสรรคในการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองทั้งนั้น” ผมว่า ไม่ได้พูดเอาใจเขา แต่ผมพูดเพราะมองเห็นมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังจมกับปัญหาที่ดูเหมือนจะไร้สาระในสายตาของคนอื่นอยู่

ผมไม่คิดว่าปัญหาของใครสักคนจะเป็นเรื่องไร้สาระ อยู่ที่ว่าเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจมันก็เท่านั้น ในเรื่องของครอบครัวนั้น ผมเองก็มี ‘เรื่อง’ ที่จะต้องเล่าให้เขาฟังเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณเรานะที่เข้าใจพี่ นั่นแหละคือสาเหตุที่เราอาจจะสงสัยมาโดยตลอด ทำไมพี่ถึงจริงจังกับการเขียนนิยาย เพราะมันคือความภาคภูมิใจของพี่ มันคือชีวิตของพี่ คนที่เขาเข้ามาอ่าน เขาไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เป็นลูกใคร มีชีวิตแบบไหน หรืออะไรยังไง เขาสนใจแค่งานของพี่เท่านั้นเอง นี่ยิ่งทำให้พี่อยากพิสูจน์ตัวเอง ” พี่โชพูดต่อ ผมพยักหน้าเข้าใจ

“พี่แค่อยากภาคภูมิใจ อยากมีความสุขและประสบความสำเร็จในสิ่งที่พี่ ‘เลือกเอง’ บ้าง อย่างน้อยถ้ามันจะผิดพลาด ก็ขอให้พี่ได้ทดลองผิดพลาดด้วยตัวพี่เอง ให้พี่ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจถึงรสชาติของการได้รับการยอมรับจากทั้งหมดที่มาจากพี่เอง แค่พี่เองเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใคร

พี่เหนื่อย พี่ต้องสวมหน้ากากใบหนึ่งตลอดเวลา มันไม่ใช่ว่าพี่ต้องการจะหลอกลวงใครหรือไม่เป็นตัวเองหรอกนะ คนทุกคนเขาก็บอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง แต่พอเราเป็นตัวของตัวเอง เขาก็จะตั้งคำถามต่อว่าทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ และพี่สามารถทำแบบนั้นได้ ความพร้อมที่ติดตัวพี่มาจะก่อให้เกิดคำถามมากมาย

พี่อยากเป็นตัวเอง เลือกได้พี่ไม่ได้อยากสวมหน้ากากสักใบ แต่พี่ทำไม่ได้ โลกของความเป็นจริง สังคมปัจจุบัน หรือสถานะภาพของพี่ พี่มีหลายอย่างที่พี่ต้องรับผิดชอบ และพี่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ทั้งหน้าที่การงาน ฐานะหน้าตาทางแวดวงสังคม เกิดมาพร้อมทั้งหมดแต่ก็ต้องแบกรับทั้งหมดนั้นเช่นเดียวกัน คนนอกเขาเห็นแต่ด้านที่มันสว่าง เขาไม่เคยมารับรู้กับพี่หรอกว่าพี่ต้องแบกอะไรไว้มากแค่ไหน

ไม่มีใครสักคนเคยเข้าใจว่าพี่เหนื่อยแค่ไหนกับการเป็น ‘แชมป์’ ที่ดี เพราะถ้าพี่พูดว่าพี่เหนื่อย เขาก็จะตั้งคำถามต่อไปเรื่อย ๆ เกิดมาสบายขนาดนี้ยังเหนื่อยอีกเหรอ ไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ได้มาทุกสิ่ง บลา ๆ ๆ ๆ แต่คนพวกนั้นไม่เคยถามพี่สักคำ ไม่เคยมีใครสักคนเข้ามาถามพี่ตรง ๆ ว่าพี่มีความสุขจริง ๆ เหรอกับความพร้อมที่เลือกไม่ได้”

เขาเว้นวรรคไป ก่อนจะปลดเนคไทลงมา ผมยิ้มและหันไปปลดให้มันหลวม ๆ เพื่อให้เขาหายใจหายคอได้สะดวก

“และทั้งหมดที่พี่แบกรับ ทำให้พี่ต้องปิดบังเรามาตั้งแต่ต้น พี่ขอโทษ พี่ยอมรับผิด อย่างที่พี่พูดไป ไม่ว่าใครจะใส่ปัจจัยอะไรลงมามากแค่ไหน สุดท้ายก็คือตัวพี่เองที่เลือกแคร์สถานะทางสังคม หรือแค่ภาพลักษณ์ของพ่อแม่จนระมัดระวังการเข้าหาคนอื่น การพูดจาหรือทำความรู้จักกับใครสักคนต้องมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ”

“โดยเฉพาะการเข้ามาเกี่ยวข้องกับแอคเค่อแบบผมใช่ไหม?” ผมถามต่อ เขาพยักหน้ายอมรับ

“พี่ก็เหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไปในสังคม พี่ก็มองเห็นแค่ด้านที่พี่เลือกจะมองเห็น แต่ก่อนที่พี่มอง พวกเธอก็แค่เด็กติดเซ็กซ์ หาคู่นอนไปวัน ๆ แล้วก็อื่น ๆ ทั้งหมดที่ความรู้สึกมันเป็นลบ จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังบอกไม่ได้หรอกนะว่าพี่ไม่มีไบแอสหรือมองพวกเขาเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็น ถ้ากับคนอื่นพี่ก็คงมี แต่เพราะพี่มีไบแอสนั่นแหละ พี่ถึงเลือกจะรู้สึกกับเราแตกต่างจากคนอื่น”

“ยังไงนะครับ?” ผมไม่เข้าใจ เขาหันมากอดแล้วจูบหน้าผากผมเบา ๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่ม

“ตอนเวลาเราถ่ายคลิปลงทวิตเตอร์ เราเปิดเผยเรือนร่างแต่เลือกที่จะสวมใส่หน้ากากปกปิดหน้าตา ในขณะที่พี่ปกปิดรูปร่างของพี่ด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่ใบหน้าก็พี่ก็ปกปิดด้วยหน้าการที่เรียกว่า ‘การวางตัวในสังคม’ คิดๆ  ดูแล้วเราแทบไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เราต่างสวมใส่หน้ากากคนละใบสองใบไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่

หน้ากากใบหนึ่งของเราที่สวมใส่ไว้คือการเป็นแอคเค่อ แต่อีกด้านของการเป็นแอคเค่อเราก็เป็นลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ๆ เป็นรุ่นพี่ที่ดีของรุ่นน้อง และเป็นอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะสวมใส่หน้ากากใบไหน ทั้งหมดนั่นมันก็คือ ‘เรา’ คือตัวเราเองที่เลือกว่าเราจะเป็นอะไรแบบไหนในสายตาใคร”

“เพราะเราต่างเป็นมนุษย์/เป็นคนเท่า ๆ กัน”

ผมกับพี่โชมองหน้ากันในประโยคที่พูดออกมาพร้อม ๆ กัน ผมหัวเราะให้กับความบังเอิญนี้ พลางนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เราเจอกัน ตอนนั้นผมกับเขา เราก็ใจตรงกันและพูดอะไรแบบนี้ออกมาพร้อม ๆ กัน

ผมไม่ได้บอกว่าการเป็นแอคเค่อเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มากพอ ๆ กับไม่ได้บอกว่าการเป็นแอคเค่อเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผิดหรือถูก คำตอบขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกจะตอบว่าอะไร มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง เหมือน ๆ กับการเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรเลยที่เหมาะกับคนทั้งโลกโดยปราศจากความแตกต่าง

และทั้งหมดนั่นแหละครับ คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่ทำให้โลกทั้งใบแตกต่างกันออกไป

“แต่พี่พูดผิดไปอย่างหนึ่งนะ” ผมบอก เขาเลิกคิ้วเชิงถามว่าอะไรเหรอ

"ต้องบอกว่าผม ‘เคยเป็น’ แอคเค่อหรอกนะ เพราะหลังจากวันนี้ไป เสือน้อยจะไม่มีตัวตนอยู่ในทวิตเตอร์อีกต่อไป ...ผมพอแล้วครับ ผมคงไม่แก้ตัวว่าที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่หรอก มันคือสิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดจริง ๆ แต่จากตรงนี้ จากต่อแต่นี้ต่อไป...”

“...”

“ผมเลือกแล้วว่าผมจะเริ่มต้นใหม่กับพี่ครับ”

วินาทีที่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกไป เป็นวินาทีเดียวกับที่อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นมาตามลำดับ ผมรู้มาตลอดว่าในความรู้สึกที่มีให้กับผม มันคงมีความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสับสนในอะไรหลาย ๆ  อย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากเขาเลย เพราะเราไม่เคยพูดกันอย่างตรงไปตรงมาถึงเราสองคน เรื่องราวมันถึงได้ลากยาวมาถึงตอนนี้

“รู้ไหมว่านั้นเป็นเรื่องที่พี่ดีใจมากที่สุดเลย” เขาว่า ผมยิ้มรับและพูดต่อ

“ผมอยากเริ่มต้นใหม่ครับพี่ ผมอยากให้เราเริ่มต้นใหม่จาก ‘ตัวตน’ ของเราจริง ๆ นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วที่ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง ...ผมคาดหวังกับพี่ได้ใช่ไหม?” ผมถาม เขาคงสังเกตเห็นแววตาอ่อนล้าของผม พี่โชส่ายหน้าแล้วลูบหัวผมเบา ๆ

“ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร พี่ยังอยู่ตรงนี้” เขาว่า ผมพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าออกหลายรอบ

แบล็คบ็อกซ์ที่ผมไม่เคยเปิดออกมาให้ใครรับฟังเลย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างมาร์หรือคนในกลุ่ม มันจะถูกผมรื้อค้นและขุดคุ้ยออกมาอีกครั้งที่นี่ เวลานี้

ในใจผมภาวนา หวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมต้องขุดมันออกมา เพื่อเริ่มต้นใหม่จริง ๆ จัง ๆ สักครั้งสักที
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 20-03-2019 22:32:46
“ชื่อจริง ๆ ของผมคือทรอย”

ผมว่า หันไปมองหน้าเขา มือของผมสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมัน

“ครับ”

“ไม่ใช่ทรอยที่แปลว่าของเล่น ถ้าพูดให้สวยหรูแบบที่ ‘เขา’ พูดถึงมัน มันคือชื่อเมืองทรอย ...ทรอยในตำนานของพวกกรีก-โรมัน เมืองที่เกิดหายนะกับผู้คนเพราะความลุ่มหลงในอิสตรี ....แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันมาจากคำว่า soul-destroying ที่แปลว่าทำลายหัวใจมากกว่า”

“...”

“พ่อผม.. ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาไม่ได้รักใคร่หรือถูกคออะไรแม่ผมหรอก ปู่ของผมเป็นเพื่อนสนิทของตา น่าจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างกับเศรษฐกิจครอบครัวช่วงนั้นมั้ง? ผมก็ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงมากขนาดไหน แต่ก็ร้ายแรงมากถึงขนาดว่าแม่เขียนบันทึกถึงปู่ไว้ว่า ‘ปู่ขายแม่’ เพื่อให้มีเงินมารอดมาเลี้ยงครอบครัว”

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเล่าด้วยน้ำเสียงหรือท่าทีแบบไหน ทุกครั้งเวลาพูดถึงมัน ผมจะอึดอัด หายใจไม่ออก มันคือประสบการณ์การรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่คุณไม่สามารถหลีกหนีมันพ้นได้ ...ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณคือเรื่องจริง สัมผัสเดียวที่ผมสัมผัสได้คือมือของพี่โชที่จับผมไว้ไม่ปล่อย

“แม่น่ะ เขาเขียนไว้ว่า ‘รู้สึกเหมือนตัวเองโดนข่มขืนโดยคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีในทุก ๆ วัน’ ที่แย่ก็คือ แม่ไม่สามารถบอกเล่าหรือไปขอความช่วยเหลืออะไรจากใครได้ ก็แน่นอนล่ะ ‘เขา’ เป็นสามีถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาบอกว่าฉันโดนสามีของฉันข่มขืน...มันคงไม่มีใครรับฟัง”

“...”

“ผมเกิดขึ้นมาโดยปราศจากความรัก ตอนนั้นผมโตพอจะรับรู้ว่าท่าทีของพ่อที่มีต่อผม..มันไม่เหมือนกับเราเป็นพ่อลูกกัน ไม่นานหลังจากนั้น ผมน่าจะสักม.ต้นได้มั้ง...” ผมเว้นวรรค สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าและน้ำเสียง

“แม่ถูกกล่าวหาว่ามีชู้"

"ใช่ ‘เขา’ บอกว่าผม ‘ไม่ใช่ลูกเขา’ อาการป่วยทางจิตของแม่หลังจากคลอดผมแล้วยิ่งปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็หนักถึงขนาดที่ว่า แม่ไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนได้สักคนเพราะอาการหวาดระแวงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต...ใช่ แม้กระทั่งผม แม่ก็จำไม่ได้”

ผมว่า กลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคอ พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบเพราะความปวดร้าวที่เกิดขึ้น

“หลังจากนั้น ผมย้ายออกจากที่นั่นไปอยู่กับญาติชั่วคราว ส่วนแม่อยู่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นการถาวร แรก ๆ อาการมันก็เหมือนจะดีขึ้น มันก็มีบางครั้ง มีบางวันที่เขาจำได้ว่าผมคือใคร มีบางวันที่เขาเรียกผมว่า ‘ลูก’ และก็มีอีกหลาย ๆ วันที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง ..เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เขาหวาดระแวง กลัวว่าจะเข้าไปทำร้ายเขา” ผมว่า เสียงของผมสั่นและขาดหายไปเป็นช่วง ๆ

“ถ้าไม่ไหวไม่เป็นไรนะครับ พี่ไม่อยากให้เรารู้สึกเจ็บเพราะมัน” พี่โชบอกกับผมแบบนั้น ผมพยักหน้ารับทราบความปรารถนาดีจากเขาแต่ก็เลือกจะพูดต่อ

“ผมไม่รู้หรอกว่าผมเกิดมาทำไม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองมีคุณค่ากับใครไหม โลกนี้มันไม่แฟร์ มันไม่เคยแฟร์ มันจะต้องมีคำถามที่ไม่ว่าจะถามไปยังไงก็ไม่มีคำตอบต่อให้ผมจะตะโกนถามว่าทำให้ผมเกิดมาทำไม ผมไม่ได้อยากเกิดมาเจอเรื่องพวกนี้ ผมไม่ได้อยากเจ็บปวด ไม่ว่าผมจะตะโกนออกไปดังมากแค่ไหน เสียงของผมไม่เคยมีใครได้ยิน

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผมจะเกิดมาด้วยเหตุผลอะไร ผมเกิดมาแล้ว และเป็นผมที่เลือกจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยสองขาของตัวเอง เขาเป็นเพียงต้นกำเนิด แต่ปราศจากความสำคัญในชีวิตของผม สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะเป็นเซฟโซนของตัวเอง พยายามใช้ชีวิตบิด ๆ เบี้ยว ๆ ด้วยการทำให้มัน ‘ปกติ’ ทั้ง  ๆ ที่มันไม่ปกติ”

“พี่เข้าใจแล้วครับ” พี่โชว่า สองตาของเขาซึมออกมาด้วยน้ำตาเล็ก ๆ ผมยกมือขึ้นไปปลอบอีกฝ่ายบ้างทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ร้องไม่ต่างกัน

“ผมถึงไม่เคยใช้ชื่อจริง ๆ ของผมเลยสักครั้ง มันไม่ใช่แค่การปิดบังตัวตน แต่เพราะผมมองว่ามันคือสิ่งที่ผม ‘ไม่ได้เลือก‘ ผมเลือกไม่ได้ว่าผมจะเกิดหรือไม่เกิด เป็นพวกเขาที่เลือก เลือกให้ผมลืมตามาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ว่าบางครั้งแล้วครอบครัวไม่ได้หมายถึงความเป็นพ่อแม่ลูกเสมอไป”

“ครับ”

“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงการมีตัวตนและการคงอยู่ของผมอยู่ดี ผมใช้ชีวิตโดยหวังเพียงแต่ว่าอยากทำให้เด็กแบบผมมีหนทางให้เติบโตและเดินหน้าต่อให้มากที่สุด เราเจ็บปวด เราทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะ ผ่านมันไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่อยู่กับมันให้ได้ก็พอ” ผมว่า ในที่สุดผมก็เค้นรอยยิ้มของตัวเองออกมาจนได้ โชยิ้มตอบ เขาหยุดน้ำตาที่มันไหลออกมาแล้วกระชับกอดของเราให้แน่นมากขึ้น

“แต่รู้อะไรไหมครับ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ เราเป็นครอบครัวของพี่แล้วนะครับ”

“ผมรู้สิครับ ผมรู้แล้วว่าบางครั้งแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยใจออกจากอดีต แล้วเดินต่อไปกับอนาคตที่ผมยังมองไม่เห็นบ้าง ผมจะไม่กลัวแล้วกับการที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าเป็นไปได้..”

“ครับ?”

“ผมก็ไม่อยากให้พี่จากผมไปไหนนะ”

ผมว่า มองหน้า ‘ครอบครัว’ ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวผมเอง

“ไม่ไปไหนหรอก พี่มันคนหน้าทน ไล่ให้ตายยังไงพี่ก็จะไปหายไปจากเราอยู่ดี” เขาว่า โอบกอดผมด้วยอ้อมกอดพอดี ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้แน่นมากเกินไป หรือหลวมเกินไปจนผมไม่รู้สึกถึงมัน

ตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว สีของฟ้าอมส้มกำลังดี ข้างล่างผู้คนสัญจรผ่านไปมา ผมและเขาเราเป็นแค่ส่วนประกอบเล็ก ๆ ของโลกใบนี้เท่านั้นเอง

“งั้นเรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะครับ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับแล้วพูดตอบกลับ

“พี่ชื่อแชมป์ อิทธิพงศ์ ครับ” พี่โช..ไม่สิ พี่แชมป์พูดขึ้นพร้อมมองหน้าผมแล้วดึงแก้มออกมาเบา ๆ ผมยิ้มจนแก้มปริ ยิ้มทั้งน้ำหูน้ำตาแล้วตอบเขากลับไป

“ผมเหรอ? ....ผมชื่อน้องทรอยครับพี่แชมป์”

 

 




สวัสดี

The End

"แด่ทุกความทุกข์ ความสุข ความรัก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และหยาดน้ำตาบนโลกใบนี้"





             Time talk : ขอบคุณจริง ๆ ที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงบรรทัดนี้ ผมไม่เคยขอร้องสักครั้ง แต่ก่อนเราจะพูดคุยกันยาวๆ  อีกครั้งใน Topic หน้าถึงที่มาที่ไปของนิยายเรื่องนี้ ผมขอนะครับ ผมขอสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากรับฟังเสียงของทุกคน ผมอยากได้รับมันจริง ๆ นะครับ

            แล้วพรุ่งนี้เรามาคุยกันใหม่นะครับ



           พ่อแมวพุงโต

           Ps.นิยายเรื่องนี้มีการรวมเล่มนะครับติดตามรายละเอียดได้ผ่านหน้าเฟสบุ้ค / ทวิตเตอร์ได้เลยนะครับ :L2:

 

หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-03-2019 23:10:17
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: Arayajanm ที่ 20-03-2019 23:59:33
ถึง พ่อแมวพุงโต

    ก่อนอื่น ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่อง แอคเค่อ และอัพจนจบให้เราอ่าน นิยายของคุณ มันทำให้หลงเข้าไปในเนื้อเรื่อง เหมือนเราเป็นบุคคลที่ 3 ที่เดินตามเนื้อเรื่องที่คุณแบ่งเป็นพาร์ทๆ ขอบความปูเรื่องตั้งแต่ต้น การให้ข้อมูลของเพศศึกษา จนกระทั่งการใช้ชีวิต กรรเลือกทางเดินชีวิต และแม้แต่การให้กำลัง มุมมองของคนหลายๆคน ในนิยายเรื่อง สุดท้าย ยันคำห่วงใยจากคนแต่งคนดี ที่มักทิ้งท้ายเสมอ    เราตอนนี้คิดแล้วว่าต้องมาจากเรื่องจริงหรือเปล่า ทำไมมันเสมือนจริงขนาดนี้ ดีเทลต่างๆ คือมันดีอ่ะ พ่อแมวคะ รู้ไหม นิยายบางเรื่อง คนอ่านอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้ามีคนอ่านที่เข้าใจและรับรู้การถ่ายทอดทุกๆอย่างจากนิยายของพ่อแมวได้ตรงตามที่คาดไว้ เราคิดว่า มัรคือความประสบความสำเร็จเลยนะ. มันมีหลายตอนที่เราร้องไห้ และมีหลายตอนที่เราปวดใจ
       เราไม่รู้ว่าต้องให้กำลังใจอะไรพ่อแมว แต่คุณทำดีที่สุดแล้ว นิยายเรื่องต่อไปเราจะติดตาม. พ่อแมวอาจมีโลกหลายใบที่เผชิญ และดำเนินไป แต่โลกใบนี้ ตรงนี้เราคิดว่าเราจะรอติดตามผลงานต่อไปนะ สู้ๆในทุกวัน สู้ๆในทุกๆการเริ่มต้นใหม่นะคะ



ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่อง “แ อ ค เ ค่ อ”    :3123:   :L2:
       รัก จาก แฟนคลับคุณ.  :L1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 21-03-2019 00:19:48
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
ชอบที่เนื้อหาค่อนข้างสอดแทรกการเสียดสีสังคม สนุกมากค่ะ
อยากอ่านตอนพิเศษจังค่ะ  :mew3: :hao6:
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-03-2019 00:28:10
เรื่องของทรอยเยอะนะ แต่สรุปจบในบทเดียว

งงตรง ‘ปู่ขายแม่’  ทำไมถึงเป็นปู่ล่ะ 
คนที่ขายแม่ก็ต้องเป็น พ่อของแม่ คือ "ตา" สิ
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-03-2019 12:00:47
 :pig4: เป็นนิยายที่ให้สาระกับเรา  :pig4:  :pig4: แล้วพี่แชมป์กับน้องทรอยก็ทำเราเสียน้ำตา
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: Gnaap ที่ 22-03-2019 19:30:56
รับรู้ได้ถึงความใส่ใจในการเขียน
ตัวเรื่องและการบรรยายค่อนข้างจะแตกต่างจากนิยายทั่วไป
นานๆทีจะมีแบบนี้ให้อ่าน
ขอบคุณนะคะ ชอบมากๆ ได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 23-03-2019 02:34:25
เราเรียงยาวๆไม่เป็น แต่เราชอบหยก รักในตัวตนของหยก และเสียใจที่ไม่เป็นหยก เราชอบเวลาทรอยอยู่กับหยกมากๆเลยนะ เราเสียน้ำตาให้แต่ฉากเธอเลยนะหยก
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-03-2019 19:03:15
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Thx&Apologize |P6|28/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 28-03-2019 01:17:25


Thx&Apologize


พอถึงเวลาต้องเขียนจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะเขียนอะไรดี แต่คิดว่าเปิดมาแบบนี้สุดท้ายก็คงจบยาวอยู่ดี ถือว่ามันเป็นตอนที่เรามาเปิดอก พูดขึ้น ระบายความในใจผ่านกันและกันนะครับ อาจจะมีบางข้อความหรือหลายเนื้อหาที่มันไม่โอเคไปบ้าง ผมขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ก่อนเริ่มเลยแล้วกันนะครับ

แอคเค่อ เป็นนิยายที่มีเรื่องราววุ่นวายมากมายทั้งในโลกของนิยายและความเป็นจริงครับ จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากผมเนี้ยแหละ ผมเป็นมนุษย์ชายขอบ หมายถึง มนุษย์ที่ไม่ได้ตรงหรืออยู่ในบรรทัดฐานกระแสของสังคม ถ้าเอาให้ชัดก็คือเป็นพวกไม่ตรงจริต ไม่ใช่แบบที่มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบ แต่ผมก็มีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นที่ไม่ได้ไปรบกวนใคร ผมภูมิในใจตัวผมเอง

ใครสักคนเคยบอกผมไว้ว่า “ถ้าคุณอยากอ่านอะไรที่ยังไม่มีคนเขียน ,คุณต้องเป็นคนเขียนมันเองก่อน” ผมอ่านแล้วฮึกเหิม แล้วก็คิดแบบนั้นแหละครับ โมเดลแรกสุดในหัว ผมอยากเขียนนิยายที่ตัวหลักเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป เป็นมนุษย์กลม ๆ ที่มีทั้งส่วนที่คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ดี และก็มีส่วนที่คนอื่นมองไม่เห็นเหมือนกัน

ประกอบกับผมต้องทำเรื่องขอทุนการศึกษาสำหรับเทอมต่อไปครับ ใช่ครับ ผมยังเรียนไม่จบในระดับอุดมศึกษาเลย ตรงนี้หลายท่านคงพอทราบบ้าง หลายท่านก็อาจจะยังไม่ทราบ ก็ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ครับ ผมอยากรีบ ๆ เรียนให้จบเช่นกัน แต่น่าจะยากแล้วแหละในหลาย ๆ ความหมาย

ดังนั้นแล้ว ผมจึงอยาก “ทดลอง” ทดสอบด้วยตัวผมเองจริง ๆ ว่านิยายที่ไม่ใช่สายแมสจะขายได้ไหม โจทย์คือ ผลงานนิยายที่ ‘ส่งผลกระทบในทางบวก’ ต่อคนในสังคม (คนอ่าน) + ฟีดแบดนิยายทุกอย่าง ทั้งยอดไลก์ คอมเม้นท์ ยอดวิว ยอดเฟบฯ และยอดขาย ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อการพิจารณาทุนการศึกษาครับ

ช่วงแรก ๆ ผมคิดหนักมากว่าจะดีไซน์ตัวละครออกมายังไงให้สอดรับกับโจทย์ดี เพราะต้องทำให้มันออกมาขายได้ด้วยและต้องเป็นนิยาย ‘ที่ดี’ ในสายตาของคณะกรรมการผู้พิจารณาทุนการศึกษา concept ของเรื่องนี้จึงเป็น ‘pandora box’ ครับ

 “เราไม่มีทางรู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ในกล่อง ถ้าเราไม่เปิดมันออกมาดู”

จุดร่วมของทรอยและแชมป์ คือทั้งสองคนต่างมีหน้ากากกันคนละใบสองใบ เป็นตัวที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังออกมาเป็นลักษณะที่คนสองคนค่อย ๆ เรียนรู้กันและกัน ช่วงแรก ๆ เราเลยอาจไมได้เห็นโมเม้นท์อะไรมากนัก คือพอเรื่องมันดำเนินอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เราต้องเข้าใจก่อนว่าสองคนนี้ไม่ได้รู้จักกันผ่านคนอื่นทั่วไป

ทรอยก็สงสัยว่าแชมป์ไปเอารูปนั้นมาจากไหน (ซึ่งจะมีอธิบายในตอนพิเศษแยกต่างหาก) ส่วนแชมป์เองก็มีสถานะภาพทางสังคมที่ต้องรักษาไว้ จะเห็นได้ว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองมองว่าสำคัญสำหรับตัวเอง และไม่อาจปล่อยให้เสียมันไปได้ ทั้งสองคนต่างเว้นวรรคระยะห่างระห่างกันและกัน

สิ่งที่ทำให้ระยะห่างระห่างคนสองคนค่อย ๆ ลดลง คือการผ่านเรื่องอะไรบางอย่างด้วยกัน และเป็นการผ่านที่ทำให้ต่างคนต่างเห็นอีกฝ่ายมุมมองที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่ตั้งแง่เอาไว้ เรื่องราวจึงดำเนินอย่างช้า ๆ ไม่ได้หวือหวาหรือมีความรู้สึกเป็นบวกในทันที่ ณ เวลาที่ทั้งคู่เจอกัน

จุดพีคของเรื่องทั้งหมด คือปมที่ขมวดในใจ ทรอยเองก็ต้องก้าวเดินต่อไปครับ เขามีคำถามในใจเสมอว่ามันจะเจ็บอีกไหม เขากลัวการเริ่มต้นใหม่ ๆ มันคือบททดสอบของการดำเนิ

จริง ๆ ในช่วงสิบตอนแรกผมก็เห็นคอมเม้นท์แล้วละครับ ก็มีคนทักหลังไมค์มาบอกเหมือนกันนะ ว่าเขาดูไม่มีวี่แววที่จะรักกันได้เลย แต่ก็นั่นแหละครับ เราไม่รู้เลยจริง ๆ ว่ามีอะไรรอเราอยู่ในกล่องดำใบนั้น หากเราไม่คิดที่จะเปิดมันขึ้นมา ดังนั้นแล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากทั้งสองคนไม่กล้าก้าวออกมาจากโลกของตัวเขาเอง

ในส่วนของการเตรียมข้อมูล เค้าโครงเรื่อง ผมแบ่งเป็น ต้น กลาง ปลาย กำหนดเควสใหญ่ ๆ ว่าใครเป็นอะไรแบบไหนอย่างไรบ้าง แล้วค่อย ๆ เพิ่มคาแรคเตอร์ เพิ่มพัฒนาการทั้งในด้านความคิด อารมณ์ โดยที่ใส่ลงไปชัดมาก ๆ คือ ทรอยเป็นเด็กที่โดน “บังคับโต” ในขณะที่แชมป์จะเป็นผู้ใหญ่ที่ “รักษาภาพพจน์” เพราะเขาไม่ได้มองว่าเขาแบกรับแค่หน้าตาของตัวเอง แต่เขาแบกรับหน้าตาของครอบครัว หน้าตาของบริษัท และอื่น ๆ

ในส่วนสิบตอนแรก น่าจะสักประมาณตอนที่ 5-6 มั้งครับ ที่มีคนนำไปรีวิวให้ ขอบคุณมากๆนะครับ มันทำให้ผมมีกำลังใจมากๆ จากตอนแรกที่มันเงียบๆ มันก็เริ่มจะมีกระแสขึ้นมานิดหนึ่ง มีคนพูดถึงในแท็กบ้าง ทำให้ใจชื่นว่า เออ เรามาถูกทางแล้วเนาะ มีคนเขาชอบงานเขียนเราด้วยนะ

กระแสของแอคเค่อ ทรุดๆทรงๆเป็นพัก ๆ ช่วงก่อนเฉลยปมของพี่พอร์ช คนยังเยอะอยู่ ผมลงทั้งหมดห้าเว็บไซต์ เล้าเป็ดเป็นเว็บแรกที่อยู่ดี ๆ คนก็เงียบหายไป ถามว่าผมเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องตอบว่าไม่เลยครับ ผมไม่ร้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยกับงานชิ้นนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือมันเริ่มไปได้ไม่สวยเท่าไหร่แล้ว แต่เด็กดีก็ยังมียอดคอมเม้นท์สม่ำเสมอ

ผมทุ่มหมดหน้าตัก เพราะอยากให้งานชิ้นนี้ออกมาดีที่สุด ออกจากงานพิเศษมานั่งอ่าน นั่งศึกษาข้อมูล มาเขียน แก้ เขียน แก้ ทำแบบนั้นหลายรอบกว่าจะออกมาเป็นแต่ละตอน เพราะอยากให้มันไม่หนักไป ไม่เบาไป จนช่วงก่อนปีใหม่ ที่อยู่ดี ๆ กระแสของนิยายเรื่องนี้ก็เงียบไปเลย เงียบไปแบบคนคอมเม้นท์ประจำก็หายไป ขาจรก็ไม่ค่อยมีมา เป็นช่วงที่ผมเริ่มสุขภาพกายไม่ดีเพราะนั่งเก้าอี้นาน ๆ (ผมแทบจะหลับบนนี้แหละครับ) สุขภาพจิตก็ตกตาม ผมเศร้าและนั่งถามตัวเองว่าผมทำอะไรผิดลงไปรึเปล่า หรือมีส่วนไหนอีกไหมที่ผมสมควรปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเหมือนเดิม

ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย เพราะผมมองว่าถ้างานผมดีจริง คนคงบอกต่อ คนคงคอมเม้นท์บอกเราเอง แต่เพราะมันมีแต่ความเงียบ ผมนั่งนอยด์กับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วทุกอย่างมันก็ค่อย ๆ ล่มลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องทุนการศึกษาที่ผมคิดว่า โอเค ผมคงต้องตัดใจจากมันแล้วละ ปีการศึกษาหน้าผมต้องดรอปเรียน หรือไม่งั้นก็อาจจะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย

แม้กระทั่งตอนสุดท้าย เป็นตอนที่ผมรู้สึกว่า ผมอยากจะขอมันจริง ๆ นะ เพราะผมคิดว่า โอเค อาจจะมีคนตามอ่านมาเรื่อย ๆ แต่เขารอคอมเม้นท์รวดเดียวตอนจบหรืออะไรแบบนั้นแต่ก็นั่นแหละครับ...จริง ๆ มันอาจะไม่มีใครรอผมอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย แอคเค่อเองก็เช่นกัน ผมรักผลงานชิ้นนี้มาก มันเลยคำว่ากรีดเลือดออกมาเขียน ผมเตรียมข้อมูล ทำกรุ๊ปสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่าง ไปแม้กระทั่งสถานที่จริงเพื่อหาข้อมูลมาเขียนงาน  ผมทำไปเยอะมากกว่านั้นมาก ๆ มากจนรู้สึกว่าถ้าขายวิญญาณให้ซาตานได้ผมคงทำไปแล้ว

มันมีคำถามเสมอแหละครับ ว่าทำไม เพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบมันไม่ได้บอกเราไปซะหมดจริง ๆ ว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ประสบความสำเร็จ ผมเขียนผิดเยอะเหรอ โอเค ผมจ้างคนพรู๊ฟงาน ไม่ค่อยมีกระแสเหรอ โอเค ผมไปขอร้องให้พี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนช่วยรีวิว ออกแบบหน้าปก จัดเล่ม ทำของแถม คือพยายามทำทุกอย่างแต่เหมือนมันหลุดไปในหลุมดำ ทุกอย่างไม่เกิดอะไรขึ้นเลย

คำถามที่แย่ที่สุดที่ผมถามกับตัวเองคือ หรือว่าจริง ๆ แล้วผมอาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักเขียนรึเปล่า?

มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองแต่ไม่กล้าบอก เพราะมันเฟลไปหมด มันมีคืนหนึ่งที่ความพีคมันไล่ระดับสูงสุด ผมดาวน์จนพีคมากถึงขนาดวางแผนว่า “เห้ย เอางี้ เดี๋ยวเราทำงานชิ้นนี้เสร็จ เราจะฆ่าตัวตายและทิ้งจดหมายไว้ถึงงานของเรา” คือมันหนักถึงขนาดผมต้องดึงตัวเองกลับมาแล้วบอกตัวเองว่าใจเย็น ๆ ก่อน อาจจะเพราะผมไม่ได้มีคนสำคัญให้ต้องดูแลรักษา ความคิดมันเลยวูบหวาบได้ง่ายขนาดนั้น

มันอาจจะเป็นการล้มลงครั้งเดียว แต่สำหรับบางคน ล้มลงครั้งหนึ่งคือขาหัก และไม่สามารถกลับมายืนได้อีกต่อไป ผมอาจจะไม่ได้หนักถึงขนาดนั้น แต่ผมไม่เคยเหมือนกันที่ต้องนั่งเขียนงานไป ร้องไห้ไป ใจมันเป็นทุกข์จนผมทำอะไรไม่ได้เลย เป็นช่วงที่ผมหายไปหรือไม่อัปเดตนิยาย เพราะหายไปรักษาอาการเนี้ยแหละครับ

“ถ้าเราอยากอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วมันไม่มี,ให้เราเขียนมันขึ้นมา” ....บางทีเขาอาจจะลืมบอกไปว่าที่มันไม่มีเพราะมันขายไม่ได้ ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้วละครับ ใครจะทำงานที่ขายไม่ได้ออกมา สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำตามตลาด ตราบเท่าที่ท้องเรายังหิวและเรายังสังเคราะห์แสงไม่ได้ ผมหมดคำถามว่าทำไมนิยาย สื่อบันเทิง หรือหลาย ๆ อย่างในนี้มันถึงไม่สามารถไปข้างหน้าได้มากกว่านี้

ผมไม่โทษอะไรนอกจากตัวผมเองนะครับ ผมโทษอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ชีวิตมันคือการเดิมพันและเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ชีวิตผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากแบล็กบ็อกซ์ ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะลงท้ายแบบนี้ จนกว่าผมจะทำมันออกมาสำเร็จ และก็นั่นแหละครับ ตอนจบของเรื่องมันอาจจะไม่ใช่ซีนที่เราต้องการเสมอไป

ผมเชื่อว่านักเขียนทุกคน ก็อยากเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียน แต่ก็อยากขายออกได้เช่นเดียวกัน แอคเค่อเป็นนิยายที่พ่ายแพ้ในโลกของทุนนิยมครับ,ผมเองก็เช่นกัน ข้อดีข้อเดียวคือการทดสอบนี้จะดีดผมกลับไปเซฟโซน กลับไปอยู่ในจุดที่มองโลกในแง่ที่มันควรจะเป็นมากกว่าแง่บวกแบบนี้

ถ้ามีโอกาสและพร้อม เวลาเจอนิยายเรื่องไหนที่ถูกใจ ให้กำลังใจเขาเถอะนะครับ การต่อสู้กับตัวเองตามลำพังมันยากลำบากมากจริง ๆ เวลาที่ผมบอกว่าขอบคุณทุกคนนะครับ คือผมขอบคุณจริง ๆ จากใจ ที่คอมเม้นท์พวกนั้นช่วยดึงผมไว้จากเส้นบาง ๆ ที่กั่นไว้ระหว่างผมในตอนนี้กับผมที่ไม่กลับมาอีกแล้ว

มันเหมือนแค่นิดเดียว คือถ้าหลุดไปผมก็คงไปแล้ว ไม่มานั่งพิมพ์อะไรยืดยาวขนาดนี้

ฟีดแบดมีผลต่องานเขียนทั้งหมดครับ ยอดคอมเม้นท์ ยอดรีช ยอดเฟบฯ ทุกอย่างล้วนส่งผลต่อนิยานเรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งการรีวิว การแชร์ต่อ บอกกันแบบปากต่อปาก ทั้งหมดคือการให้กำลังใจและการสนับสนุนเขาในต้นทุนศูนย์บาทครับ และก็เป็นอีกโอกาสที่จะได้รับการทาบทามจากสนพ. เชื่อผมเถอะนะ ผมเคยนั่งอ่านคอมเม้นท์แล้วน้ำตาไหล มันดีใจออกมาจริง ๆ ที่มีคนเห็นคุณค่าในความพยายามของเรา

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับ ผมขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ที่อดทนกับผมและนิยายเรื่องนี้มามากขนาดนี้ ผมพูดเสมอว่าแอคเค่อไม่ใช่นิยายที่เป็นบรรทัดฐานให้กับใครหรืออะไร เราเป็นแค่นิยายเรื่องหนึ่งที่คนเขียนพยายามอย่างมากที่จะเขียนอะไรมากกว่าแต่ What it love?

ผมพยายามแล้ว แต่ผมคงพยายามไม่มากพอมันถึงเป็นแบบนี้

ผมอาจจะไม่พร้อมและเหมาะสมที่จะเป็นนักเขียนหรือคนทำงานสร้างสรรค์อะไรอีก ผมต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ว่าผมจะชอบมันหรือไม่ก็ตามแต่ 

ถ้าเจอนิยายที่คุณชอบ เพลงที่คุณถูกใจ หรืออะไรสักอย่างที่เป็นความสร้างสรรค์ที่คน ๆ หนึ่งพยายามทำออกมา ได้โปรดโอบกอดเขาไว้ด้วยความรักจากคุณสักนิดหนึ่งนะครับ

หวังว่าสักวันเราคงได้พบกันใหม่อีกครั้ง ผมต้องพยายามดึงตัวเองให้ออกมาจากหลุมอากาศให้ได้ก่อน ผมยังไม่สามารถหลุดพ้นสภาวะเขียนไปร้องไห้ไป กลัวไปได้ ผมคงต้องไปหาหมอ และพยายามรักษาให้อาการมันดีขึ้นกว่านี้ ในเร็ว ๆ นี้ ผมก็ยังรักการได้เขียนอะไรยาว ๆ เหมือนเดิม แต่มันคงไม่น่าจะใช่อีกแล้วในเร็ว ๆ นี้

...ที่ผ่านมาขอบคุณมากจริง ๆ นะครับที่เห็นคุณค่าของตัวผม เห็นมูลค่าของงานชิ้นนี้ ผมซาบซึ้งและสิ่งเหล่านั้นหล่อเลี้ยงให้ผมยังมีกำลังใจ มี passion ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปจริง ๆ ครับ

หลังจากนี้ไปคงไม่ต้องอดทนกับผมหรือนิยายเรื่องนี้แล้วนะครับ

ขอบคุณครับ

 

Unknow
28/03/2562


Ps.ในส่วนของหนังสือ ผมจะแจ้งอีเมล์ไปอัปเดตความคืบหน้าเสมอๆนะครับ ตอนนี้ผมได้คิวโรงพิมพ์แล้ว เหลือส่งต้นฉบับตามเววลานัดหมาย และจำทำการจัดส่งหนังสือต่อไปครับ / ขอบคุณมากๆที่สนับสนุนนะครับ
หัวข้อ: Re: [The End] Acker | Update Acker Book I&II | Close Pre-order 5 Apri |P6|31/03/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 31-03-2019 21:33:30


Pre-order Acker I&II | 5 วันสุดท้าย

รายละเอียด/ลิงก์สั่งจอง : เล้าเป็ดไม่ให้แนบลิงก์ รบกวนดูรายละเอียดได้ที่หน้าแฟนเพจ https://web.facebook.com/PotbellyDadcat นะครับ ขอบคุณครับ

รบกวนแชร์/รีทวิตโพสต์นี้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

ในส่วนของผู้ที่ได้ทำการสั่งจองและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว จะมี Email Update รูปภาพหน้าปก รูปภาพที่คั่น ระยะเวลาในการผลิต-กระบวนการจัดส่ง ส่งไปให้กับท่านตามอีเมล์ที่ได้แจ้งไว้นะครับ

*ในส่วนของที่คั่นหนังสือทั้ง 4 แบบ จะจัดส่งและแถมสำหรับผู้ที่สั่งจองและชำระก่อนหน้านี้นะครับ หากต้องการที่คั่นครบทั้ง 4 ลาย จะต้องทำการสั่งจองตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไปนะครับ ขอบคุณครับ

**ในส่วนของของแถมชิ้นสุดท้ายนั้น จะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นในเดือนนั้น ๆ ผมคิดว่า (น่าจะ) สั่งตีพิมพ์กับทางโรงพิมพ์ฟา์สตบุ๊ค ที่คุยกันไว้อาจจะเป็นโปสการ์ดรูปภาพหน้าปกครับ รายละเอียดตรงนี้จะมีการคอนเฟิร์มอีกครั้งผ่าน Email เช่นกันครับ

ขอบคุณครับ ต้องขออนุญาตรบกวนด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [End] Acker | [Sp.1] After acker | Close Pre-order 5 Apri |P6 |03/04/02
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 03-04-2019 22:51:44



[SP1] EP.36 After Acker





‘คร่อกกกก ฟี้’

“....”

ผมถอนหายใจหนัก ๆ ให้กับเสียงกรนดังกล่าวที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าจะเบาลง หลังคนข้าง ๆ ผมนอนหลับไป มือหนา ๆ สองข้างและขาหนัก ๆ อีกข้างพาดผมเอาไว้ด้วยความรัก(?) เหมือนจะชินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ชินอะไรมากเท่าไหร่ ตาผมจับจ้องไปที่ขนคิ้วหนา ๆ ทั้งสองข้างของเขา

ผมอมยิ้มกับตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยกมือมาลูบหัวเขาเล่น ปลดปลงกับเสียงกรน แล้วคิดในใจว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองไปหาซื้อที่อุดหูสำหรับใช้เวลาตัวเองอยากจะเข้านอน มือก็บีบแก้มตัวต้นเหตุที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ เจ้าตัวส่ายหน้าหนีผมไปมาทั้ง ๆ ที่หลับลงไปลึกมาก ๆ แล้ว

ทรอยเป็นคนนอนกรน และผมมั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะไม่มีใครบอกกับเขา

เอาเป็นว่าเสียงกรนนี้สามารถทำให้ผมเป็นไมเกรนได้สบาย ๆ เรื่องนี้ผมหลับรู้ตั้งแต่ช่วงที่ไปนอนกับเขาที่ห้องแถวมหาวิทยาลัยเจ้าตัวนั่นแหละ แรก ๆ ผมก็พยายามทำความเข้าใจ และก็พยายามพลิกตัวเขาบ่อย ๆ เวลาที่เขานอนหงายก็จะจับตะแคงให้หายนอนกรน แต่หลัง ๆ มาผมเองทำงานเสร็จก็หนักมากพอแรงแล้ว พอมาเจอเสียงดัง ๆ รบกวนอีกก็เหนื่อยเหมือนกันครับ

ผมคิดว่าผมน่าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าตัวรับรู้ แต่อาจจะหาสักวันใดวันหนึ่งที่มีโอกาสเหมาะ ๆ จะบอกเขาแบบไม่น่าเกลียดเกินไป ผมคิดในใจพร้อมพยายามข่มตาให้ตัวเองนอนหลับ

เกือบสองวีคแล้วหลังจากวันนั้นที่น้องมันแมสเซจให้ผมไปหาที่ห้อง หลังจากวันนั้นจบลง ผมและทรอยก็เข้าใจกันมากขึ้นในหลาย ๆ ระดับ เข้าใจแล้วว่าท่าทีแข็งกร้าวที่เห็นมาตลอดคือการแสดงออกเพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ยิ่งคิดแบบนั้นผมยิ่งเอ็นดูเจ้าเด็กนี้ ที่พยายามคิดถึงคนอื่นจนหลาย ๆ ครั้งก็ลืมละเลยตัวเอง

ถามว่าการเป็นแฟนกับคนที่เคยเป็น ‘แอคเค่อ’ มีความลำบากอะไรบ้างไหม?

ถ้าตอบตามตรงสำหรับผมมันก็มีบ้างแหละ จริง ๆ ก็ไม่บ้างหรอก เรื่องนี้มันเป็นกำแพงสำหรับผมตั้งแต่แรกเจอเลยมั้ง ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนแรกเจอเขาตัวเป็น ๆ อีก ตั้งแต่ผมทำการรีเสิร์ชเรื่องพวกนี้จนไปเจอเรื่องของเขาผ่านปากแฟนเก่า รวมไปถึงการค่อย ๆ ตามดูพฤติกรรมที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้จักกับทรอยโดยที่เขาไม่เคยได้รู้จักผมเลยด้วยซ้ำ

ก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักคนแบบเขาได้

ผมยังจำวันนั้นได้เลย วันที่ผมเข้าไปที่ร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษ ตาผมก็สอดส่องไปทั่วร้าน ก่อนจะพบกับเจ้าเด็กเสียงหวานที่คอยบริการลูกค้าไม่ขาดสาย หนำซ้ำยังอัธยาศัยดีจนน่าหมั้นไส้ พูดก็พูดเถอะ จากลักษณะภายนอกที่แสดงออกแล้ว ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะมีแอคเค้าท์ทวิตเตอร์ไว้ลงเรื่องอย่างว่าในโลกออนไลน์

การได้พบเจอกับทรอย เปลี่ยนมุมมองที่ผมใช้มองผู้คนไปตลอดกาล

จากมองว่าคนนั้นคนนี้เป็น ‘สีอะไร’ ผมกลับเปลี่ยนไปมองทั้งหมดที่อยู่ในตัวคน ๆ หนึ่ง ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะมีได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นหลังจากได้พบกับเขา เจ้าเด็กใส่แว่นที่ปั้นหน้าตายหลอกซะจนผมต้องงัดไม้เด็ดออกมานั่นแหละถึงได้ยอมรับคำสารภาพอย่างเสียไม่ได้

ผมไม่อยากใช้การหักหาญบังคับอะไรเขา จึงทำได้แค่เพียงสารภาพในความผิดที่ไปได้รูปลับ ๆ ของเขามา พร้อมทั้งภาวนาให้เขาเข้าใจเจตนารมณ์ของผมที่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวพวกนี้ให้ออกมาเป็นตัวหนังสือ อาจจะเป็นโชคดีของผมที่ได้พบเจอกับเขาในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเจอกัน

การไปหาข้อมูล ‘เฉย ๆ ’ กับกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของชีวิตอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งการรับรู้เรื่องราวที่เป็นไป การรับรู้ว่าเจ้าตัวแบกรับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากความรักมากขนาดไหน ทรอยอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ แต่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ผมใจผมกับรู้สึกกับเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใคร

นั่นแหละมั้ง คือเหตุผลที่ใคร ๆ ก็บอกไว้ว่าความรักมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

ทรอยเป็นคนอัธยาศัยดีแบบแปลก ๆ กล่าวคือ เขาเป็นคนชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นคนที่เหมือนจะใช้ชีวิตแบบสัตว์เดียว ออลอโลนในโลกของตัวเอง แต่ไอ้การไปไหนมาไหนคนเดียวของเขา คุณสามารถพบเจอกับผู้คนอันหลากหลายได้แค่คุณร่วมเดินทางไปด้วยกัน ครั้งหนึ่งเราเคยไปทานอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยของเขา

ระยะทางตั้งแต่หน้าประตูห้างยันก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ หมอนี้เจอคนรู้จักที่เข้ามาทักทายตั้งกี่คนต่อกี่คน และถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไรมากไปกว่าการทักทายสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่ผมก็มั่นใจแหละว่าบางคนก็คงเป็นคู่นอนเก่าของเขา สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมแอบหนักใจกับตัวเองอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

...ผมไว้ใจเขา แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะหวาดระแวงอดีตของเขาใช่ไหมนะ?

ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ได้แต่ฝั่งจมูกของตัวเองไว้บนใบหน้าของเขา เจ้าตัวไม่เคยรับรู้อะไรหรอกว่าการอยู่ข้าง ๆ เขาผมต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวภายในใจเงียบ ๆ ของตัวเองเท่าไหร่ ผมรู้ ทรอยไม่ผิดหรอก เพราะตั้งแต่แรกก่อนที่เราจะมาเป็นคนข้าง ๆ กัน ก็เป็นผมเองไม่ใช่เหรอที่เดินเข้าไปถึงโลกของอีกฝ่าย

ผมต้องยอมรับมันได้สิ ผมคิดแบบนั้นนะ และหวังว่าภายในใจของผมจะยอมรับมันได้ทั้งหมดจริง  ๆ โดยไม่ต้องมารู้สึกหวาดกลัวในใจเงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้อีก

เขาคงไม่นอกใจผมหรอก...

..ใช่ไหมนะ?

 

...

 

“ทรอยครับ พี่บอกแล้วไงว่าเวลากินเสร็จให้ล้างจานเลย ทำไมถึงทิ้งจานไว้แบบนั้น?” ผมเอ็ดเขาหลังตื่นมาแล้วจะเข้ามาหาของกินในครัว พอเห็นซิงค์ล้างจานที่มีจานวางอยู่สองสามใบก็ถอนหายใจกับความมักง่ายของอีกฝ่ายที่ทำให้ผมเอ็ดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าตัวเดินเข้าไปก็จะบอกกับผมง่าย ๆ ว่า

“เดี๋ยวค่อยล้างทีเดียวตอนเย็นก็ได้” เขาว่า ผมส่ายหน้าและชี้ไปให้เขาจัดการ ณ เวลานี้ เจ้าตัววางมือจากงานตรงหน้าและเดินมาทำตามที่ผมบอก

“พี่ไม่ชอบอยู่กับคนสกปรกนะ” ผมหลุดปาก เขาหันมามองหน้าผม ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไร ยืนล้างจานไปเงียบ ๆ แบบนั้น เช็ดเสร็จแล้วก็เอาเข้าตู้ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งพิมพ์โครงงานของตัวเองต่อ ผมเห็นอีกฝ่ายยังอารมณ์ไม่ดีก็ไม่อยากเข้าไปกวนใจเขาในเวลานี้ เลยเลี่ยงด้วยการเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแทน

ผมจำได้ว่าสูทที่ผมต้องใช้ในเช้าวันจันทร์นี้ มันควรแขวนไว้ที่แขวนเสื้อด้านในห้องไม่ใช่เหรอ?

หรือทรอยเอาไปไหน?

“ทรอยครับ เห็นเสื้อสูทตัวนอกของพี่ที่แขวนไว้ในห้องไหม?” ผมเดินออกไปถาม เจ้าตัวเงยหน้าออกจากโน้ตบุ๊คมองผมและส่ายหน้าเงียบ ๆ ผมถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“อยู่กันสองคน ถ้าทรอยไม่เปลี่ยนที่แล้วมันจะหายไปไหน?” ผมว่าลอย ๆ อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา เงยหน้าแล้วมองลอดผ่านแว่นตา

“ก็ทรอยบอกว่าทรอยไม่เห็น พี่หาของไม่เจอแล้วจะมาโทษเราได้ไง” เขาโต้กลับ ผมขมวดคิ้วเป็นโบว์

“ก็เราชอบย้ายของในห้องพี่ พี่ก็ต้องถาม เผื่อเราย้ายไปไหนอีก” ช่วงที่มาอยู่ด้วยกัน บางครั้งอีกฝ่ายก็ทำความสะอาดห้องให้ผม แต่กลับกลายเป็นว่าหาของบางอย่างไม่เจอไปซะงั้น หลัง ๆ มาผมเลยห้ามไว้ว่าไม่ต้องทำความสะอาดอีก แค่ไม่ทำรกก็พอใจแล้ว

“พี่แชมป์ เราไม่ใช่ปลาทองนะจะได้จำไม่ได้ถ้าขยับของพี่ ของในห้องนี้นอกจากซิงค์ล้างจานกับที่นอนแล้ว เราแทบไม่ได้แตะต้องอะไรด้วยซ้ำ” เขาว่า น้ำเสียงขึ้นนิด ๆ

“รอบที่แล้วเราก็พูดแบบนี้ แต่ปากกาพี่ก็ไปอยู่ใต้โต๊ะ”

“เราบอกแล้วว่าตรงนั้นเราไม่ได้ไปยุ่งด้วย พี่ทำตกเองหรือเปล่า?”

“เราโทษพี่เหรอ?”

“งั้นแปลว่าพี่จะโทษเราทั้ง ๆ ที่เราบอกไปแล้ว? เรื่องเสื้อก็เหมือนกัน ทรอยเป็นแฟนพี่นะครับ ไม่ใช่เลขาพี่ ถ้าสงสัยทำไมไม่ลองถามพี่ไก่แจ้ดู” เขาว่ากลับ น้ำเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

“ก็ของมันอยู่ในห้องที่เราอยู่กันสองคนนะ ไอ้แจ้มันจะไปรู้ได้ยังไ...” ผมบ่นยังไม่เสร็จเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้คนตายยากโทรศัพท์เข้ามาพอดี ผมแอบขอบคุณมันในใจเงียบ ๆ ที่อีกฝ่ายโทรเข้ามาในช่วงเวลาที่บรรยากาศมาคุพอดี ผมเดินเลี่ยงไปที่ระเบียงก่อนจะกดรับสายโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่เป็นเลขาของตนเอง

“ฮัลโหล ว่าไงมึง” ผมทัก

‘มึง ชุดสูทที่ส่งซักรีดเดี๋ยวร้านจะไปส่งให้ที่คอนโดมึงช่วงเย็นนะ’ มันว่า ผมขมวดคิ้วอีกรอบ

“สูทอะไรวะ?”

‘สูทสีน้ำเงินตัวเก่งที่มึงทำกาแฟหกใส่เมื่อวันศุกร์ไง อะไรวะ สองสามวันลืมของรักของหวงไปแล้วเหรอ’ มันว่า และทำให้ผมระลึกชาติได้ ใช่แล้ว เมื่อวันศุกร์ เพราะผมนอนน้อยจากเสียงกรนของทรอยเลยทำให้เบลอ ๆ หน่อย หนักเข้าก็ทำกาแฟหกใส่เสื้อตัวเอง ผมเลยให้ไอ้แจ้เอาไปส่งร้านซักรีดให้ในวันนั้น

ชิบ...ผมเผลอโทษคนอื่นซะงั้น

“เออ ๆ มึงไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”

‘มี’

“อะไร?” ผมถาม อีกฝ่ายเว้นวรรคช่วงไปก่อนจะตอบ

‘ช่วงนี้ท่านประธานเรียกกูเข้าไปถามเรื่องมึงบ่อย ๆ ว่าทำไมเข้าประชุมสายบ้าง ทำไมถึงตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดพลาดบ้าง ท่านกังวลว่ามึงไป ‘ติดสาว’ ที่ไหนรึเปล่า สบายใจได้ กูตอบไปตามตรงแล้วว่ามึงไม่ได้ไปติดสาวที่ไหน ท่านก็เบาใจลง เพราะกูไม่ได้พูดต่อว่าที่มึงติดนะ ...ไม่ใช่สาว แต่เป็นเสือ’ มันว่า แกมย้ำประโยคลงท้าย

“เออ ขอบคุณมึงด้วย”

‘ยังไงก็ระมัดระวังด้วยแหละกัน มึงก็รู้ว่าพ่อมึงเป็นคนยังไง กูไม่กวนเวลามึงแล้ว บาย’

“บายมึง” ผมตอบกลับก่อนกดวางสายโทรศัพท์

เรื่องครอบครัวของผมก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ผมเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะจัดการยังไงต่อไปดี เพราะแบบนั้นตอนแรกผมถึงไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกไปมากช่วงที่คุยกับทรอยแรก ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ พอเรื่องมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ผมก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะบอกพวกท่านยังไงเดียว

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนแต่เราไมได้อยู่บนโลกที่มีแต่เราสองคน

หลายครั้งแล้วผมถึงได้บอก เราคิดหลายอย่างได้ แต่เราทำตามใจตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก ผมผ่านช่วงชีวิตที่มีหลายอย่างที่อยากจะทำ มีหลายอย่างที่เป็นความต้องการของผมจริง ๆ  แต่ผมกลับไม่สามารถทำมันได้ตามความต้องการเลย

ผมถึงอิจฉาเขานิด ๆ ที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้ใช้ทั้งชีวิต วิ่งไล่ตามความปรารถนาของตัวเองไม่ใช่ชีวิตที่สองของใคร

พอผมย้อนกลับเข้าไปในห้อง เจ้าตัวดีก็กำลังเก็บของลงกระเป๋า

“จะกลับแล้วเหรอครับ” ผมถามเสียงหงอย เขาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม

“ถ้าอยู่ต่อแล้วทะเลาะกันอีก ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้พี่ใจเย็นลงกว่านี้แล้วค่อยมาพูดกัน” เขาว่า เก็บของลงกระเป๋าสะพายไม่สนใจอะไรผมอีก ผมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจกึ่งขอโทษ ปกติแล้วเขาจะอยู่ถึงวันอาทิตย์แล้วค่อยกลับ ช่วงแรก ๆ เราสลับกันคนละวีคให้ต่างฝ่ายต่างเดินทางมาหา แต่พักหลัง ๆ งานผมยุ่งจนเขาจะเป็นฝ่ายมารอผมกลับมาห้องมากกว่า จนบ่อย ๆ  เข้า ผมเลยยกคียการ์ดสำรองให้เขาสำหรับใช้เข้าออกคอนโดนี้เลย

ที่นี้ก็เหมือนบ้านที่เราสองคนอาศัยอยู่ จากห้องที่ไม่ค่อยมีอะไรของผม ห้องที่ไว้ใช้สำหรับหลับนอนแต่ไม่ได้ใช้งานในส่วนอื่น ๆ ก็เริ่มมีข้าวของของเขา มีร่องรอยประสบการณ์และการใช้งานร่วมกันระหว่างเราสองคน

“อาทิตย์หน้าพี่ไปหานะ” ผมบอก เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ระหว่างที่กำลังเก็บของเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เจ้าตัวมองเบอร์แล้วกดตัดสายทิ้ง ผมขมวดคิ้วแล้วเอยปากถามต่อ

“ใครโทรมาเหรอ?” ผมถาม

“เพื่อนนะ” เขาว่า พร้อมยักไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ

“แล้วทำไมไม่กดรับสาย”

“ก็พี่อยู่ด้วย” เขาตอบกลับ น้ำเสียงเริ่มนิ่งขึ้นอีกนิด

“ทำไมพี่อยู่ด้วยแล้วรับสายไม่ได้?” ผมถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ

“นี้ถามคือไม่ได้ประชดเรา ถูกไหม?” เขาว่าเสียงเบา ๆ ถอนหายใจออกมา

“อ้าว พี่แค่อยากรู้ว่าเพื่อนคนไหน ใครโทรมาแล้วทำไมถึงไม่รับสายเขาเฉย ๆ ทำไมมันกลายเป็นประชดเราไปได้ละครับ” ผมให้เหตุผล เจ้าตัวตวัดสายตามอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปพิมพ์มือถือตอบกลับอะไรอีกสองสามอย่าง น่าแปลก ตอนคุยกับผมละทำหน้าบูด แต่พอพิมพ์โทรศัพท์กลับมีรอยยิ้มซะแบบนั้น

“ผมกลับก่อนนะ” ทรอยว่าหลังเก็บของเสร็จ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ทรอยกลับเองได้” เขาพูดตัดบทแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

“ปกติพี่ก็เป็นคนไปส่ง” ผมว่าเสียงเบา ๆ รอบนี้ทรอยถึงกับกุมหัว วางกระเป๋า แล้วเดินมาทางผม

“โอเค ผมว่าเราต้องคุยกันแล้ว พี่เป็นอะไร?” เขานั่งรถบนเตียงแล้วถาม ส่วนผมเงียบ ไม่มีคำตอบอะไรให้เพราะตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ผมทั้งไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แล้วก็ไม่ชอบที่ตัวเองดูไม่มีเหตุผลนิด ๆ แบบนี้ด้วย แต่มันก็...

“ถ้าพี่ไม่มีเหตุผลอะไรงั้นเรากลับก่อนแล้วกันนะ” เขากอดอก ว่าอีกครั้งแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ผมเดินออกไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะยืนมองเขากดลิฟต์ลงไปชั้นด้านล่าง

...เมื่อกี้ที่โทรศัพท์เข้ามา นั่นเป็นเพื่อนเขาจริง ๆ ใช่ไหมนะ?

ผมถอนหายใจ เดินไปจะเปิดตู้หาอะไรทานรองท้องก่อนแล้วค่อยสั่งข้าวจากร้านในคอนโดขึ้นมาส่ง ไอ้ที่จะหาอะไรกินตั้งแต่ตื่นนอนก็ลืมไปเลยเพราะทะเลาะกัน พอเปิดเข้าไปก็เจอข้าวจานหนึ่งที่มีพลาสสิกใสห่อหุ้มเอาไว้ บนจานแปะโน้ตด้วยลายมือห่วย ๆ ว่า ‘กดเวฟเบอร์สองก่อนทานนะครับ’

ผมยกจานเข้าไมโครเวฟ กดเบอร์สองตามที่เขาบอกก่อนจะนั่งเงียบ  ๆ คนเดียว

เพิ่งนึกออกเหมือนกันว่าเมื่อวานผมเปรย ๆ เขาไว้ว่าอยากทานข้าวผัดกุ้ง

พอทานเสร็จ ผมจะเดินเอาจานไปล้าง ก็ถึงได้เพิ่งเห็นว่าสก็อตไบท์ที่อยู่ในซิงค์ล้างจาน มันเหลือขนาดแค่นิดเดียวแล้ว ผมตั้งใจว่าจะซื้อของใหม่เข้าห้องอยู่ แต่ก็ลืมไปเลยเพราะมัวแต่ทำงาน แล้วก็เพิ่งนึกได้อีกว่าจริง ๆ แล้วตอนเย็นนี้ผมบอกกับเขาว่าเราจะไปซื้อของเขาบ้านกันที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้

ผมยังไม่ได้ขอโทษน้องในความประสาทรับประทานเมื่อกี้นี้ด้วยซ้ำ พอคิดแบบนั้นแล้วผมวางข้าวของทุกอย่างลงในซิงค์ เปิดน้ำแช่ไว้ลวก ๆ ก่อนจะเช็ดมือ หยิบกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถออกมา ก่อนจะโทรศัพท์หาอีกฝ่าย

“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีหลังอีกฝ่ายรับสาย

‘ครับ หาอะไรไม่เจออีกล่ะ? ถ้าเป็นถุงเท้าพี่ เราตากไว้ให้แล้วตรงระเบียง นอกนั้นก็น่าจะอยู่ตรงมุมห้องพี่ละเพราะเราไม่ได้ไปยุ่งอะไร แล้วก็เมื่อเช้าเราออกไปซื้อกุ้งสดมา ทำอะไรทานง่าย ๆ แบบกุ้งชุบแป้งทอดแล้วกันนะ เราซื้อแป้งสาลีมาเผื่อไว้ให้แล้ว รีบทำก่อนจะลืมแล้วปล่อยของเน่าคาตู้อีก ส่วน...’

“ไม่ใช่ครับ” ผมตัดบทอีกฝ่ายหลังจากฝั่งมาประมาณเกือบห้าวินาที

‘...’

“พี่ลืมขอโทษเราครับ”

‘ขอโทษเรื่องอะไรครับ?’

“พี่ขอโทษที่ทำตัวประสาทใส่เราเมื่อกี้ คือเมื่อคืนพี่นอนน้อยแล้วมันเพลีย ๆ เพราะ...”

‘เสียงกรนของเรา?’ ปลายสายต่อเสียงที่ขาดห้วงลงของผม

“ครับ” ผมตอบรับคำอย่างแผ่วเบา รอดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไรต่อ

‘เราว่ากำลังจะบอกพี่อยู่พอดีเลย ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้มานอนกับพี่แล้วนะ’ เขาว่าตอบกลับมา ผมอ้าปากเหวอเหมือนเพิ่งโดนเขาบอกเลิก

“เราอยู่ไหนครับตอนนี้?” ผมถามต่อ กดปุ่มลิฟต์แบบไม่กลัวมันหัก

‘ป้ายรถเมล์หน้าคอนโดครับ ทำไมเหรอ?’

“รอพี่อยู่ตรงนั้นแปปนึง” ผมว่า พร้อมรีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ ผมอยู่ชั้นยี่สิบกว่า ๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งนาทีกว่าจะลงมาถึงข้างล่าง ก่อนจะรีบออกไปหาน้องมักที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์คนเดียว

“พี่ขอโทษครับ” ผมบอกกับเขาอีกครั้ง

“พี่จะรีบวิ่งมาทำไมเนี้ย เหงื่อออกเต็มไปหมดแล้วเห็นไหม เดี๋ยวผืนก็ขึ้นอีกรอบหรอก” เขาเอ็ดผม พร้อมควักผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้ อย่างว่าแหละ ทรอยไม่ใช่เด็กโรแมนติก ไอ้เรื่องจะซับเหงื่อให้ผมก็คือลืมไปได้เลย

“ก็พี่กลัวเรากลับไปก่อน” ผมบอกไป เจ้าตัวทำเสียงหึเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง

“อย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ ค้างเถอะนะ เดี๋ยวเย็นพรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้ครับ” ผมง้อเขากลาย ๆ เขาถึงได้หันหน้ามาพูดตอบกลับด้วย

“เราไม่ได้งอนพี่นะ แต่พรุ่งนี้เรามีธุระต้องไปทำจริง ๆ ” เขาบอก

“ก็ไม่เป็นไรครับ แค่คืนนี้นอนด้วยกันต่อก็แล้วกันนะ” ผมง้อเขา เจ้าตัวทำท่าคิดไปแปปนึงก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ

“งั้นกลับห้องเรากันครับ” ผมบอก จงใจเน้นน้ำเสียงตรงคำว่า ‘ห้องเรา’ อย่างมีนัยสำคัญ เขาเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าประชด

“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว ไปห้างฯ ซื้อของเขาห้องกันก่อนแล้วกันนะครับ จะได้ซื้อที่อุดหูด้วย” เขาบอก เน้นประโยคท้าย

“โถ่ ไหนบอกไม่งอนพี่แล้วไง” ผมเอ็ดเบา ๆ

“ไม่ได้งอน นี่เราพูดจริงจังนะ เพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงตัวเองกรน ที่เราบอกว่าเราอาจจะไม่ได้มานอนแล้วช่วงนี้ก็เหมือนกัน เรามีสอบ เที่ยวไป ๆ มา ๆ แล้วเราจะได้อ่านหนังสือตอนไหน? ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นอย่างช่วงแรก ๆ ที่เราโทรศัพท์หากันเอาก็ได้ครับ ที่เรามาหาเนี้ยเพราะเรารู้ว่าพี่ยุ่ง...” เขาร่ายยาว

“ครับ”

“...และเราก็คิดถึงพี่ด้วย ถึงได้มาหา”

พูดจบเจ้าตัวก็หน้าแดงไป ผมยิ้มออกมาอย่างยินดี คุณไม่รู้หรอกว่าทรอยนะปากแข็งขนาดไหน ไอ้ท่าทางนุ่มนิ่มที่เห็นวันนั้น หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวนั้นไปผมแทบไม่ได้เห็นด้านนั้นของเขาอีกเลย เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองขาดความโรแมนติกมากขนาดไหน และเพราะแบบนั้นแหละที่พอเวลามันมีสักทีผมถึงได้ยินดีขนาดนี้

“เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้” ผมว่า เจ้าตัวส่ายหน้า

“ถ้าทำแบบนั้นผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี” เขาตอบ ก็อาจจะจริงก็ได้ เพราะเวลาผมไปหออีกฝ่าย ก็จะเป็นผมเองเนี้ยแหละที่ทำตัวเป็นของเหลว เข้าไปเกะกะวุ่นวายกับเขา

“แต่พี่อยากอยู่กับเรานิหน่า” ผมว่าเสียงเบาหวิว

“ก็อยู่ด้วยแล้วนี้ไงครับ” เขาตอบ จับมือผมไว้เบา ๆ ข้างหนึ่ง ผมยิ้มรับและจับมือตอบกลับกับเขา

“โอเค แต่หลังสอบเสร็จต้องมาหาพี่นะ” ผมว่า เขาพยักหน้าให้สัญญา

“งั้นไปซื้อของกัน” ทรอยว่า ผมพยักหน้าตอบรับและบอกให้เขาเดินกลับเข้าไปในคอนโดก่อน อย่างน้อยก็ฝากกระเป๋าของเขาไว้หน้าเค้าท์เตอร์คอนโดก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องแบกโน้ตบุ้คไป ๆ มา ๆ

หลังจากนั้นผมก็ขับรถพาเขาไปห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโด ก่อนเราจะมานั่งลิสต์กันว่าเราจะซื้ออะไรเข้าห้องบ้าง และก็เป็นอีกฝ่ายที่เปิดโน้ตออกให้ผมฟังว่าห้องของผมอะไรเหลือเท่าไหร่บ้าง อะไรกำลังใกล้จะหมดบ้าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เลยที่ไปกล่าวหาเขาเรื่องชุดสูทเมื่อเช้า

“พี่ขอโทษอีกครั้งนะครับ เราจดไว้ตลอดนิเอง ถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ย้ายเสื้อพี่ไปไหน” ผมว่าเสียงอ่อย ๆ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ

“ก็พี่เองไม่ใช่เหรอ ที่บอกกับทรอยว่าถ้าอะไรที่มันสำคัญแล้วกลัวว่าจะจำไม่ได้ ก็จดบันทึกเอาไว้ให้มันคงอยู่ต่อไปไงครับ”

เขาบอก ผมอมยิ้ม เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยบอกอะไรกับเขาไว้แบบนั้น

ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่เปลี่ยนไปหลังจากเราได้เจอกัน

หลังจากนั้นผมก็ให้เขาเป็นคนนำทัพตลอดทั้งรายการที่จะเลือกซื้อ แล้วก็พบว่าของทั้งหมด เกินกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นของใช้ภายในห้องที่กำลังจะหมด นอกนั้นของกินก็เป็นพวกของกินเล่นแบบที่ผมชอบ กินแล้วไม่หกเลอะเทอะอะไรทำนองนั้น ทั้งหมดนี้มาจากการสังเกตของเขาที่มองผมตลอดเวลางั้นสินะ

เรากลับห้องกันด้วยความสุข ผมแอบโขกหัวตัวเองนิดหนึ่งเหมือนกันที่แอบคิดไปว่าเขาอาจจะแอบนอกใจผมในสักวันใดวันหนึ่ง จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นแอคเค่อ แต่การเป็นแอคเค่อก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะหยุดไม่ได้ หรือจะต้องแอบไปทำอะไรลับหลังผมนิหน่า ถึงแม้ผมจะพูดอย่างใจกว้าง ๆ ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ

 มือเย็นของเรา เจ้าทรอยทำกุ้งที่เหลือจากเมื่อเช้าเป็นกุ้งชุบแป้งทอด พร้อมต้มข่าไก่และทอดไข่เจียวหมูสับเสริมขึ้นมา จริง ๆ ผมเคยทานอาหารที่อร่อยกว่ารสชาติฝีมือเข้ามามาก แต่ไม่มีมื้อไหน ๆ เลยที่ผมจะมีความสุขเท่ากับตอนได้กินข้าวกับคนที่ผมรัก นั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ที่เผลอหวาดระแวงเขาไปแบบนั้น

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ทรอยก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ผมนั่งดูทีวีเล่นก่อนเสียงไลน์จะเด้งขึ้นมา

‘ไลน์’

ไม่ใช่เครื่องของผม? ผมหันไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่ามันดังมาจากของทรอย ใจหนึ่งผมบอกตัวเองให้นิ่ง ๆ ไว้ อย่าไปยุ่งกับของใช้ส่วนตัวของคนอื่น แต่อีกใจผมก็ตอบกลับตัวเองไปว่าคนอื่นที่ว่านั้นก็แฟนเราไม่ใช่เหรอ เหมือนเสียงสองความคิดตีกันในหัว สุดท้ายแล้วผมลากโทรศัพท์ของเขามาอยู่ใกล้ ๆ ตัวผมเอง

ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้ของตัวเอง ผมเม้มปาก กดเปิดโทรศัพท์ พยายามกรอกพาสเวิร์ดที่จดจำได้ เพราะอีกฝ่ายนอนหนุนผมบ่อย ๆ ทำให้ผมเห็นทุกครั้งเวลาที่เขาจะกรอกรหัสผ่านเข้าไปนโทรศัพท์ ผมเลือนปลดล็อก เพราะกดดูพรีวิวของความที่ส่งที่ไลน์ของเขาแต่ไม่กดเข้าไปอ่าน

‘พรุ่งนี้เช้าเจอกันช่วง 11 โมงเช้านะครับ อย่ามาสายละ , P’gavin’

ผมชาวาบทั้งตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นมา มือสั่นจนเกือบทำโทรศัพท์ตก นึกขึ้นมาได้ที่เขาบอกกับผมว่ามี ‘ธุระส่วนตัว’ ที่ต้องไปทำ หรือการไปหาผู้ชายคนนี้จะเป็นธุระที่เขางั้นเหรอ?

ทรอย...นี่คุณไม่ได้นอกใจเราใช่ไหม?

 







(https://www.bpicc.com/images/2019/04/03/Set-Acker-Iii.png)


Pre-order Acker I&II | 3 วันสุดท้าย ตอนพิเศษลงในเว็บหลักแค่ 3 ตอนนะครับ

รายละเอียด/ลิงก์สั่งจอง : https://1th.me/ZBRt

ขอบคุณครับ

 

 

 
หัวข้อ: Re: [End] Acker | [Sp.1] After acker | Close Pre-order 5 Apri | P7 |03/04/02
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-04-2019 23:20:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Acker|[SP2] Ep.37 Believe us | หนังสือเหลือสองชุดสุดท้าย | P7 |07/04/02
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-04-2019 21:05:43


Ep.37 Believer Us





ผมเม้มปากเบา ๆ พยายามบอกตัวเองว่าผมแค่เข้าใจผิดไปเฉย ๆ ไม่หรอก ก็น้องแคร์ผมซะขนาดนี้ น้องจะแอบไปมีคนอื่นลับหลังผมได้ยังไงกัน? มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ ๆ

ผมคิดแบบนั้นแล้วก็นั่งนิ่งไปเลย มันเหมือนน็อตหลุด ผมพยายามจะควบคุมอารมณ์ตัวเอง พยายามแสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คำถามในใจนะ พอลองได้ตั้งคำถามขึ้นมาสักครั้งหนึ่งแล้ว มันยากมาก ๆ ครับที่จะหยุดถามตัวเองว่าตกลงตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่

“พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็มานั่งข้าง ๆ ละถามผมแล้ว ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เหมือนมันจะยังไม่รอดพ้นความสงสัยของเขา

“เอาล่ะ รอบนี้ผมว่าผมต้องถามจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้งแล้วละ พี่แชมป์เป็นอะไรครับ?” เจ้าตัวผูกผ้าเช็ดตัวหลวม ๆ ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าผมแล้วถาม ผมหุบตาลง ไม่กล้าสบตากับเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาถอนหายใจแล้วนั่งมองผมไปเฉย ๆ แบบนั้น

“พี่ เราเคยบอกแล้วใช่ไหม เราอ่านใจใครไม่ได้ และการให้เรารับรู้เองมันยากเกินไปด้วยซ้ำกับคนแบบเรา” ทรอยว่าแบบนั้น ผมยิ่งหุบสายตามองลงพื้น

ยากเกินไปงั้นเหลือ หมายถึงเรื่องที่ไม่เข้าใจพี่

...หรือเรื่องที่ยังมีคนอื่นกันแน่?

“พรุ่งนี้เราจะไปทำธุระที่ไหนเหรอครับ” ผมถามออกไปเสียงสั่น ตัวก็สั่นขึ้นมานิด ๆ เพราะกลัวคำตอบจากปากเขา

“...นี่พี่เปิดโทรศัพท์เราดูเหรอ?” เขาถาม อาจจะเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิม

“เปล่า...คือ....พี่ หมายถึงมันแค่ส่งเสียงดัง พี่ก็เลย...” ผมพูดตะกุกตะกักแก้ตัวไม่ถูก เพราะผิดจริง ๆ ที่ไปรุกล้ำพื้นที่อีกฝ่าย ทรอยยิ่งเป็นพวกประเภทที่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งยากเรื่องของตัวเองมากไป

ผมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวมาก ๆ จากเขา ได้ยินเสียงเขาเกาหัวอย่างแรง แต่ไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมา

“เราไม่ได้นอกใจพี่”

“พี่ก็..ไม่ได้คิดว่า..” ผมพยายามจะตอบอีกฝ่ายกลับไป

“พี่คิด” เขาตัดบท

“พี่ขอโทษนะครับที่พี่ทำแบบนั้น คือพี่..” ผมแก้ตัวไม่ออก ในหัวมันตีบตันไปหมด ผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันจะมีทางออกตรงไหนบ้างของเรื่องราวพวกนี้ ทรอยลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ ผมอีกครั้งแล้วถามเรียบ ๆ

“พรุ่งนี้ไม่ได้ไปไหนใช่ไหมครับ?” เขาถาม

“ก็ไม่ได้ไปครับ ทำไมเหรอ?” ผมตอบพร้อมถามกลับ ทรอยทำหน้าคิดหนักก่อนจะบอกผมต่อ

“งั้นไปทำธุระกับผมแล้วกันนะ” เขาบอกมาแบบนั้น ผมเงยหน้ามองเขาแล้วถามตอบกลับไป

“ที่ไหนครับ?”

“พรุ่งนี้ผมจะไปทำธุระที่โรงพยาบาลภัทรธิดาเวชครับ”

...

เช้าของอีกวัน ผมตื่นมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าตามเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนมีที่อุดหู ผมถึงได้นอนหลับสะดวกหน่อย มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าเขายอมบอกกับผมว่าไปทำธุระอะไร แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเอยปากชวนไปด้วย ผมก็จะไป อย่างน้อย ๆ ผมไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องหวาดระแวงเขาไปตลอดเวลาแบบนี้

“เลี้ยวซ้ายตรงถนนด้านหน้านะครับ” เขาบอกกับผมแบบนั้น ตอนนี้แปดโมงกว่าแล้ว เจ้าตัวดูนาฬิกาข้อมูลไปด้วย ก่อนจะบ่นอะไรพึมพำคนเดียวไปมาว่า ‘ได้เวลาแล้วนะ’ หรือ ‘ ใกล้จะหมดเวลารึยังนะ’ ผมสงสัยแต่ไม่การถามอะไรกับเขามาก เจ้าคนปากหนักดูจะไม่ยอมพูดอะไรเลยจริง ๆ

ผมเลี้ยวซ้ายตามที่เขาบอก ก่อนจะเห็นป้ายรถพยาบาลขนาดใหญ่อยู่ในระยะสายตา พอเลี้ยวเข้าไปอีกทีเจ้าตัวก็บอกทางวนขึ้นไปจอดรถให้ผมอย่างชำนาญ ถ้าผมจำไม่ผิด เหมือนที่นี้จะเป็นโรงพยาบาลที่แม่ของคนที่ชื่อหยกเป็นเจ้าของ หรือจะเกี่ยวข้องอะไรกับหยกรึเปล่า?

ผมเดาไปเรื่อยเปื่อย ขับรถไปจอด ก่อนจะเดินลงตามเข้าไปข้างล่าง โรงพยาบาลแบ่งสัดส่วนออกตามแผนกต่าง ๆ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของทางโรงพยาบาลนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยได้มาใช้บริการอะไรกับเขาหรอกนะครับ ปกติแล้วครอบครัวของผมจะไปใช้บริการกับโรงพยาบาลที่ครอบคลุมกับประกันส่วนบุคคลที่บ้านเราทำกันทั้งบ้าน กับมีคุณหมอมาคอยตรวจเช็กให้มากกว่า ที่นี้นอกเหนือจากเครือข่ายของผมนะ

เจ้าทรอยเดินนำผมมาลิ่ว ๆ ยกมือขึ้นดูนาฬิกาเป็นระยะ ๆ ทำให้ผมยกตามขึ้นมาดูบ้าง ตอนนี้ประมาณเกือบเก้าโมงกว่า ๆ แล้ว เพราะออกมาแต่เช้า เราเลยรองท้องด้วยอาหารง่าย ๆ ที่อยู่ในตู้เย็น ทำให้ผมไม่ได้หิวอะไรมากหรอก แต่ในใจก็แอบคิดว่าเสร็จธุระจากตรงนี้แล้วจะพาเขาไปหาอะไรกันในเมืองกันสักหน่อย

“สวัสดีครับพี่กวิน” พอเดินมาถึงแผนก ๆ หนึ่ง เจ้าตัวแสบก็ยกมือไหว้สวัสดีพี่ที่หน้าเค้าท์เตอร์ ทำให้ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายตาม คนชื่อกวินดูจะมีอายุกว่าผมอยู่หน่อย ๆ เจ้าตัวไหว้เขาเสร็จก็หันมาทางผมแล้วบอกว่า

“นี้ชื่อพี่แชมป์ครับ แฟนทรอยเอง”

ผมสะดุ้งนิดหน่อยกับการเปิดเผยตรงไปตรงมาของทรอย ปกติแล้วผมกับทรอยเราไม่ได้ผูกมัดเรื่องนี้อะไรกันนัก อารมณ์เหมือนกับแบบว่า เราไม่ได้เที่ยวประกาศบอกใครต่อใครว่าเราเป็นอะไรกันไปทั่ว แต่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่ทรอยจะไม่ค่อยชอบพูดถึงมันมากกว่า ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ช่วงแรก ๆ ผมแอบงอแงเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป

ผู้ชายตรงหน้าผมร้องอ๋อ ก่อนจะยื่นมือมาทักทายกับผมแล้วกล่าว “สวัสดีครับ ผมกวินนะครับ เป็นประชาสัมพันธ์ของแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลนี้นะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับคำอย่างยินดีแล้วทักทายกลับ

“สวัสดีครับ”

“รบกวนช่วยสอบถามให้หน่อยได้ไหมครับว่าตอนนี้ผมเยี่ยมแม่ได้ไหมครับ?”

ทรอยพูดขึ้นหลังผมพูดจบลง ผมหันไปมองน้อง เพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ในใจรู้สึกหลาย ๆ อย่างรวมกัน ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกละล้าบละล่วงกับคำว่าธุระของอีกฝ่าย แต่เหมือนอีกฝ่ายอ่านสีหน้าผมออก

“ไม่เป็นไรหรอก ทรอยอยากพาพี่มาเจอแม่อยู่แล้ว” เขาว่า ผมพยักหน้าเงียบ ๆ

“งั้นเดี๋ยวพี่ขออนุญาตสอบถามคนไข้ก่อนนะครับว่าต้องการให้เราเขาเยี่ยมไหม” คนชื่อกวินว่า

“ครับพี่ รบกวนหน่อยนะครับ” เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านในแผนก ผมหันหน้าไปพูดกับน้องมันทันที

“พี่ขอโทษนะครับ พี่...”

“ไว้คุยกันที่ห้องนะครับ” ทรอยตัดผมเรียบ ๆ ผมพยักหน้ารับคำ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ถามอะไร แต่ก็อดจะสงสัยขึ้นมาไม่ได้

“พี่อยากรู้ว่าเราไม่มีสิทธิ์เข้าไปเยี่ยมเลยเหรอครับ? หมายถึง ก็แบบเราต้องขออนุญาตคนไข้ก่อนแบบนี้ ถึงแม้เราจะเป็นลูกก็ตาม?” ผมถามเขา เจ้าตัวพยักหน้ารับและอธิบาย

“ไม่ได้ครับ คนทั่วไปหรือต่อให้เป็นลูกแบบผม หากจะทำการเยี่ยมผู้ป่วยจิตเวช ต้องถามความสมัครใจของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนว่าเขาพร้อมหรือยินยอมจะให้เราเข้าเยี่ยมไหม ถ้าวันไหนเขารู้สึกไม่โอเค หรือไม่อยากให้ใครรบกวน เจ้าตัวมีสิทธิ์ขาดทุกประการในการไม่ให้เข้าเยี่ยมครับ” ทรอยบอก ผมพยักหน้ารับทราบเงียบ ๆ

“ดูยุ่งยากเหมือนกันนะ” ผมว่าต่อ

“แต่ผมชอบนะ สำหรับผมแล้วโรงพยาบาลจิตเวชหลายแห่ง ให้ความสำคัญกับความต้องการของคนไข้เป็นหลักก่อน ซึ่งผมว่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ยุ่งยากหน่อยก็ไม่เป็นไร เขาสบายใจ ผมโอเค” เขาบอกออกมาแบบนั้น พร้อมยิ้มออกมานิด ๆ ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่เขาเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

เรายืนคุยอะไรกันอีกนิดหน่อยเป็นการฆ่าเวลา ไม่ถึงห้านาทีต่อมา เจ้าหน้าที่กวินก็ยิ้มแฉ่งออกมา ก็จะกดเปิดล็อกประตู เชิญให้พวกผมเดินเข้าไปข้างใน

“คุณฟ้าอยู่ที่สวนนะครับ” เขาว่า ทรอยพยักหน้ารับทราบกึ่งขอบคุณ และเดินนำผมไปอย่างชำนาญ ระหว่างผมเดินทาง ผมสำรวจรอบ ๆ ตัวไปด้วย เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจความคิดของผม เข้าเริ่มพูดออกมาเสียงเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

“ข้างในจะแบ่งเป็นผู้ป่วยชายและผู้ป่วยหญิงครับ ฝั่งซ้ายจะเป็นห้องพักของผู้ป่วยชาย ห้องหนึ่งจะมีคนอยู่ 4 คน ฝั่งขวาก็ตรงกันข้าม เป็นห้องโซนผู้หญิง ห้องถัดไปตรงนั้นเป็นห้องสันทนาการใหญ่ ไว้ให้ผู้ป่วยรวมตัวทำกิจกรรมตามที่คุณหมอบอก แล้วแต่วันครับ บางวันก็แค่ปลุกมาออกกำลังกาย บางวันก็มีกิจกรรมง่าย ๆ ให้ได้ลองทำกัน” ทรอยอธิบายไปด้วย พูดไปด้วย

“ละเอียดจังเลยเนาะ” ผมบอก เสียดายที่หาอะไรมาจดไม่ได้ แต่ก็ไว้ค่อยไปถามเขาที่หลังแล้วกันนะ

“ก็ผมเคยอยู่ที่นี้ไงครับ...”

ทรอยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ผมเงียบไปเพราะเพิ่งนึกได้ว่าน้องเคยบอกเรื่องนี้ให้ผมฟังเหมือนกัน แต่ผมแค่ไม่รู้ว่าเป็นที่นี้เท่านั้นเอง

พอเดินผ่านโถงทางเดินใหญ่ เราก็ตัดออกทางประตูกลางด้านหลังไปที่สวนข้างโรงพยาบาล ทรอยเดินนำผมออกไป ก่อนผมจะเห็นผู้ป่วยในชุดสีเขียวอ่อนนั่ง นอนตามต้นไม้ หรือตามโต๊ะหิน ม้านั่งต่าง ๆ ที่ต่างโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ ทรอยเดินนำไปเรื่อยๆ  ก่อนจะไปหยุดที่โต๊ะหินอ่อนตัวหนึ่ง

“สวัสดีครับแม่” เขาพูดขึ้นมา ก่อนผู้หญิงตรงหน้าจะหันมายิ้มรับให้กับทรอย ผมยกมือไหว้ตาม ก่อนน้องจะชวนผมนั่งลงไปฝั่งตรงข้ามกับคุณแม่

“แม่ครับ อันนี้พี่แชมป์นะครับ ...แฟนน้องทรอยเองครับแม่” ทรอยบอก และเป็นอีกครั้งที่แม่ของเขาพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้รับอะไรกลับออกมานอกจากรอยยิ้ม

“แม่กินอะไรรึยังครับ?” เขาชวนคุยต่อ

“กินแล้ว ...วันนี้แม่กินต้มจืดหมูสับ” คุณแม่ตอบกลับ ทรอยพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง

“วันนี้หมอให้ทำอะไรบ้างไหมครับ?”

“ก็เหมือนเดิม วัดความดันเอย ตรวจปัสสาวะเอย แล้วก็ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ แหละ ...แต่ก็มีความสุขดีนะ” คุณแม่พูดอย่างช้า ๆ เสียงเนิบ ๆ

“แม่อยากกินอะไรอีกไหม เผื่อทรอยบอกเขาให้”

“..ไม่เป็นไรหรอก เป็นภาระเขาเปล่า ๆ ”

“ไม่หรอกแม่ อยากทานอะไรบอกได้เลยนะครับ เขาเต็มใจดูแลแม่อยู่แล้วครับ”

แม่ของทรอยเป็นผู้หญิงตัวเล็กครับ ผมคะเนแล้วน่าจะสูงไม่เกิน 165 เซนฯ คิ้วหนา ดวงตาคล้ายกับเจ้าทรอย เหมือนจะได้หน้าทางแม่มาเต็ม ๆ หน้าดูคล้ายเป็นลูกครึ่งมากกว่าจะเป็นคนไทยแท้ ผมตรงสีดำขลับ พอรวม ๆ แล้วเลยดูหน้าเด็กกว่าอายุประมาณหนึ่ง และดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างจากคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

ผมนั่งฟังทรอยชวนคุณแม่คุยไปเรื่อย ๆ บางคำถามก็มีการตอบกลับมา บางคำถามก็นั่งนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอาการตอบสนองอะไร ไม่แสดงความยินดียินร้าย แต่ใบหน้าเปรอะไปด้วยรอยยิ้มอยู่เนื่อง ๆ พอ ๆ กับเจ้าตัวแสบข้างๆ  ผมที่ยิ้มไม่หุบตั้งแต่คำถามแรกยันตอนนี้ พอเวลาผ่านไปได้เกือบประมาณ 45 นาที ดูเหมือนคุณแม่จะเริ่มตอบสนองได้ช้าลงมาก ๆ เจ้าทรอยเลยชวนผมเตรียมตัวกลับกัน

“งั้นผมกับพี่เขากลับก่อนนะครับ” ทรอยว่า

“สวัสดีครับแม่ / กลับก่อนนะครับแม่ สวัสดีครับ” เราสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน พร้อมเตรียมจะหันหลังเดินกลับไป

“เดี๋ยวก่อนทรอย..” และเพราะเสียงเรียกดังกล่าวนั่นแหละครับที่ทำให้เราทั้งคู่หันหลังกลับมา

“คุณคนนี้..ชื่ออะไรนะ” คุณแม่พูดและชี้มาทางผม

“แชมป์ครับ ผมชื่อแชมป์ครับแม่” ผมว่า พร้อมเรียกเขาว่าแม่เหมือนน้องมัน

คุณน้ายิ้มแย้มออกมาอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับคำและพูดต่อไป

“แชมป์ ฝากแชมป์ดูแลทรอยด้วยนะ ดูแลน้องเขาด้วยนะคะ” คุณแม่เขาว่าอย่างสุภาพ ผมยิ้มรับและพูดตอบกลับไป

“สัญญาครับ ผมจะดูแลลูกแม่เป็นอย่างดีเลยครับ”

ไม่มีคำพูดอะไรตอบกลับมาอีก ผมยิ้มให้กับเขา ก่อนจะเดินตามน้องมันออกมาเรื่อย ๆ ปล่อยให้คุณแม่นั่งยิ้มกับตัวเองและเหม่อมองอากาศรอบตัวเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือความสุขจากคนข้าง ๆ ตัว ผมเห็นนะว่าทรอยแอบน้ำตาซึมตอนประโยคสุดท้าย ผมบีบไหล่เขาอีกครั้งเป็นการให้กำลังใจ ก่อนเราจะจูงมือกันกลับออกไปจากที่แห่งนี้
หัวข้อ: Re: [End] Acker|[SP2] Ep.37 Believe us | หนังสือเหลือสองชุดสุดท้าย | P7 |07/04/02
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 07-04-2019 21:10:55
หลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาล ผมพาทรอยไปทานข้าวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นอีกมื้อที่เจ้าตัวดูจะมีความสุขมากกับการทานอาหาร เจ้าตัวเคี้ยวข้าวจนแก้มกลมเป็นลูก ๆ ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะ ผมจะเอื้อมมือไปบีบเล่นสักทีสองที เขาน่ารักในแบบของเขาเสมอ

จริง ๆ แล้วทรอยห่างไกลจาก ‘คนที่คิดว่าน่าจะชอบ’ ของผมไปเยอะมาก ๆ ครับ เอาจริง ๆ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายหุ่นแบบทรอยเลย คือน้องมันไม่ได้อ้วนนะ แต่เป็นคนโครงสร้างใหญ่ พอสูงไม่มากแล้วน้ำหนักขึ้นนิดหน่อยมันก็เลยดูตัน ๆ ไป ผมถึงยังสงสัยไงว่าแบบนี้ทำไมถึงได้ฮอตนัก แต่พอมาลองเจอด้วยตัวเองก็ต้องยอมรับว่าผมมองข้ามไปหมดทุกอย่างจริง ๆ กลายเป็นว่านอนกอดหุ่นเขาอุ่นไปซะแบบนั้น มีความสุขที่ได้ดึงแก้มย้วย ๆ ได้เล่นพุงเขาเล่น

“มองไรครับ” เขาว่า หลังผมเผลอจ้องเขานานไปหน่อย

“มองแฟนตัวเองครับ”

“เหรอครับ รักแฟนตัวเองไหมครับ?” เขาถามอย่างกวน ๆ กลับ

“รักสิครับ รักมากจนแทบจะคลั่งตอนเห็นข้อความ...”

“..ที่มโนไปเอง?” เขาต่อบท ผมหัวเราะแห้ง ๆ ในความคิดไปเอง เข้าใจผิดเอง ทั้งหลายทั้งปวงของผม

ทรอยตักข้าวเข้าปากอีกคำ ก่อนจะควักมือถือขึ้นมาหยิบมือถือแล้วกดพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนเสียงไลน์โทรศัพท์ของผมจะดังขึ้น ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาเลื่อนดูก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นโน้ตที่เขาตั้งไว้ในไลน์

“ไม่เห็นต้องให้พี่ก็ได้นะ พวกพาสเวิร์สอะไรพวกนั้น พี่คงไม่ได้เข้าไปยุ่งยากอะไรแล้วละ พี่จะไม่คิดมากแล้วครับ ขอโทษจริง ๆ ที่พี่เคยเผลอคิดว่าเราจะทำแบบนั้นกับพี่ไป” ผมว่า เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วพูดต่อ

“เอาไปเถอะช่วงนี้เป็นช่วงชดใช้กรรมของผม ผมเข้าใจน่า” เขาว่า พอเห็นผมขมวดคิ้วก็เลยพูดต่อ

“พี่รู้ตัวรึเปล่าว่าช่วงนี้พี่นอนน้อยมาก ๆ พี่กลับถึงตีสองตีสาม หกโมงเช้าพี่ต้องออกไปทำงานแล้ว นอนก็นอนหลับไม่พอ เสาร์อาทิตย์บางทียังมีประชุมอีก เราเห็นแบบนั้น เราถึงมาหาพี่ที่นี้ คิดว่าอย่างน้อยก็อยากทำให้พี่ได้อยู่กับเราในส่วนเวลาสั้น ๆ ก็ยังดี อยากเป็นกำลังใจให้พี่ แต่เราก็ลืมว่าเรานอนกรนเสียงดัง

คนเครียดนะ ไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอกว่าเครียด เราก็เลยไม่รู้ว่าจะบ่นจะว่าอะไรพี่ทำไม เพราะเข้าใจว่าสาเหตุมันมาจากตรงไหน คือเรานึกแทนตัเราเองไง สมมติถ้าเราไปคบกับคนเคยมีประวัติมาแบบเรา โอเค ปัจจุบับกับอนาคตมันไม่มีใครรู้อะไรไง แล้วเราก็เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน จะให้เชื่อใจร้อยเปอร์เซ็นมันคงเป็นไปไม่ได้ เราถึงได้บอกไงว่าเนี้ย ช่วงชดใช้กรรมที่ผ่าน ๆ มาของเรา

ส่วนเรื่องแม่ ทรอยไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรหรอก แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเล่ายังไงดี ก็เลยคิดว่า งั้นพาพี่มาเจอเลยดีกว่า จะได้เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างไปในตัวเลย ซึ่งทรอบว่าทรอยก็คิดถูก อย่างน้อย ๆ พี่ก็รู้จักทรอยมากกว่าใคร ๆ หลายคนในชีวิตทรอยมาก ๆ แล้วนะครับ”

“อ่า” ผมครางรับ จะว่าไปแล้วช่วงนี้ผมก็นอนน้อยจริง ๆ นั่นแหละครับ เพราะช่วงก่อนหน้าผมโดดงานไปหาน้องบ้างบางที เลยพยายามชดเชยให้กับเรื่องราวที่ผ่าน ๆ มา

“...แต่เราก็หวังนะ ว่าสักวันเราจะทำให้พี่มั่นใจได้จริง ๆ ว่าเราชอบพี่แล้ว และเราเลือกแล้วว่าจะอยู่กับพี่” ทรอยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจนตาหยี้ แก้มบุ๋มลึกลงไปจนเห็นลักยิ้มข้างซ้ายของเจ้าตัว ผมอมยิ้มตามและพยักหน้าเบาบางสายหนึ่งนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ว้าวุ่นใจกับคน ๆ นี้

ก็เพราะทรอยเป็นทรอยแบบทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ ผมถึงได้เลือกที่จะชอบและพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาต่อ

เพราะเขาเป็นคนน่ารักแบบที่คุณมักจะคาดไม่ถึงเสมอ ๆ ไม่มีทางเชื่อเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับคุณ จนกว่าวันและเวลานั้น ๆ จะมาถึงจริง ๆ

หลังจากกินข้าวและแวะดูหนังเสร็จ เรากลับมาถึงห้องกันในอีกสามชั่วโมงถัดมา ทรอยนั่งทำโครงงานของตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ส่วนผมนั่งปรับปรุงต้นฉบับ ‘แอคเค่อ’ ไว้ในรูปแบบที่มันควรจะเป็นกับอีกรูปแบบหนึ่ง โดยยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้รูปแบบใดดีในการเป็นตัวหลักที่จะใช้เขียนงาน นั่งทำงานไปสักพักเจ้าตัวแสบก็เอานมอุ่น ๆ อีกแก้วมาวางไว้ให้ผม

นึก ๆ ย้อนดูแล้ว ช่วงโหมงานที่ผ่านมาที่น้องมันมาอยู่ด้วย ก็เจ้าตัวไม่ใช่เหรอครับที่คอยดูแลผมมาตลอดจนถึงตอนนี้ แต่เพราะความกลัวที่มากเกินไปของผมนั่นแหละ ที่เอาแต่โฟกัสอย่างอื่น มากกว่าสิ่งที่เขากระทำให้กัน จนเกือบจะพลาดอะไรสำคัญ ๆ แบบนี้ไป ดีแค่ไหนแล้วที่ทรอยเข้าใจและให้โอกาสผม

ตกเย็น เพราะน้องมันขี้เกียจทำกับข้าว เราเลยสั่งอาหารจานด่วนมากินง่าย ๆ ก่อนจะดูเนทฟลิกอีกเรื่องแล้วผลัดกันไปอาบน้ำ ผมนั่งรอน้องมันอาบน้ำ ในหัวมีความคิดหลายอย่างตีกันไปมา พอน้องมันออกมาเสร็จผมก็เข้าไปอาบน้ำ พลางจัดการธุระที่ควรจะทำ พอเนื้อตัวสะอาดสะอ้านก็ออกมาจากห้องน้ำ

“วันนี้อาบน้ำนานจัง” ทรอยว่า เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามพร้อมกางเกงบ็อกเซอร์ ผมยิ้มแห้ง ๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไม่ได้หันไปให้เขาเห็นด้วยว่าผมหน้าแดงแค่ไหนกับคำพูดของเจ้าตัว พอเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จผมก็มาทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ เขา จริง ๆ แล้วพรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานแต่เช้าด้วยเถอะ แต่ว่า..

“นี่ทรอย”

“ครับ”

“คือว่า...” ผมเว้นวรรค มองหน้าเขาแล้วก็หุบตาลง ทรอยนิ่งเงียบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ

“...ทำไหม?” ผมหลุดออกมาแค่นั้น เจ้าตัวทำหน้างงเพราะปกติแล้วเราก็ทำกันประจำ แต่แค่ภายนอกเท่านั่นแหละครับ และเหมือนเขาเห็นผมหน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าตัวร้องอ่อออกมาหนึ่งคำก่อนจะทำสีหน้าปกติ

“ไม่ต้องก็ได้นะครับ ทรอยไม่ได้รีบแล้ว แค่ภายนอกก็ดี ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรด้วยนะ ทรอยเข้าใจความรู้สึกพี่” น้องมันว่า พลางลูบหัวผม

“...ไม่ใช่ คือ พี่ไม่ได้อยาก ‘ทำ’ เพราะรู้สึกผิด แต่พี่อยากทำเพราะ ‘อยากทำ’” ผมว่า มองหน้าเขาให้เจ้าตัวแน่ใจว่าผมไม่ได้อยากทำเพราะแค่ต้องการขอโทษเขาจริง ๆ

“นี่ เริ่มแล้วผมหยุดไม่ได้นะ?” เจ้าตัวถามเป็นครั้งสุดท้าย ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงตกลง ก่อนจะพูดคำพูดสุดท้ายออกมา

“ก็..ถนอมพี่หน่อยแล้วกันนะครับ” ผมว่า เจ้าตัวยิ้มรับและพยักหน้า ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนตัวผม

ทรอยเป็นคนที่สายตามีอำนาจมาก ๆ ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือไม่งั้นก็แปลว่าผมต้องหลงเจ้าเด็กนี้มากแน่ ๆ  ผมรู้แค่ว่า ทุกครั้งเวลาเขาคร่อมอยู่บนตัวผมและมองลงมา สายตาของเขามันร้อนมาก ๆ เหมือนเสือที่กำลังจ้องเสืออยู่ตลอดเวลา จนทำเอาผมหวิวท้องน้อยไปทั้งตัวได้ง่าย ๆ  ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าออก ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปากนุ่ม ๆ กัดลงมาที่หัวไหล่ของผมอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไหล่วนไปก่อนจะขบงับลงมาพอให้ผมรู้สึก เจ้าตัวไล่ตั้งแต่หัวไหล่เข้ามาถึงลำคอ ก่อนจะใช้ลิ้นตวัดไปมาพร้อมพ่นลมหายใจร้อน ๆ รดเข้าที่ซอกคอของผม มือข้างหนึ่งลูบหัวผมเบา ๆ เป็นการปลอบประโลม มืออีกข้างสอดเข้ามาด้านในเสื้อ ก่อนจะสะกิดที่ปลายหัวนมของผมอย่างแผ่วเบา

พอไล่มาถึงต้นคอก็เลือนมาจูบที่ปากของผม เหมือนจะยอกเย้ากัน ปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาซะมากกว่า แต่เป็นเขาที่พยายามดึงลิ้นผมออกไป เราสัมผัสกันแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มค่อย ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ พอให้อารมณ์กระเจิดกระเจิง ผมพยายามหายใจเข้าออกให้ตรงจังหวะ แต่เหมือนคนตรงหน้าสูดเอาลมหายใจในปอดออกไปจนหมด

รู้ตัวอีกทีกระดุกเม็ดสุดท้ายก็ถูกปลดออก ทรอยค้างและมองภาพบนจากด้านบนจนผมต้องเบื้อนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับเขา ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ เขาก้มหน้าลงมาหอมที่หน้าผากผมและกระซิบบอก

“ขอบคุณนะครับ ทรอยจะพยายามถนอมพี่ให้มากที่สุดนะครับ”

ถ้าต้นคอเป็นส่วนที่โดนลมร้อนของเขาแล้วผมรู้สึกมากที่สุด จะบอกว่าหน้าอกทั้งสองข้างก็ให้สัมผัสที่ได้ต่างกันเลย เหมือนเงยหน้ามองเพดานห้อง มือทั้งสองข้างกุมที่หัวของเขาอย่างไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหนดี แต่ทรอยรู้ดีว่าควรทำยังไง มิอข้างหนึ่งเลือนไปดึงขอบกางเกงของผมให้ต่ำลง มืออีกข้างจัดการกับหน้าอกอีกด้านที่ไม่ได้ถูกครอบครองไว้ด้วยปลายลิ้น

มันจะชำนาญเกินไปแล้วนะเจ้าเด็กนี้ ! ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ไม่สิ ผมไม่มีสมาธิมากพอจะคิดอะไรได้ในตอนนี้หรอก มันกระเจิงไปตั้งแต่ลมร้อน ๆ รดลงมาบนต้นคอผมแล้ว พอปลดกางเกงผมออกจากตัวไปได้ ทรอยก็ถอดเสื้อกล้ามของตัวเองออก ก่อนจะเคลื่อนตัวลงไปข้างล่าง

เหมือนแกล้งกัน ปลายจมูกของเขาไล่ผ่านท้องน้อยผม ก่อนจะหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างกาย ผมยอมรับเลยว่าเขาใช้ลมหายใจร้อน ๆ นั่นได้เป็นประโยชน์เป็นผ้า ปากนุ่ม ๆ ถูไถไปมากับกางเกงในของผมก่อนปลายลิ้นจะแนบสัมผัสกับเนื้อผ้า แบ่งปันความร้อนลงมาตรงจุด ๆ นั้นจนผมรู้สึกไปหมดทั้งร่างกาย

และทั้งตัวผมก็ไม่เหลืออะไรปิดบัง มือทั้งสองข้างได้แต่ขยับหัวของเขาตามจังหวะขึ้นลงที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้กับกึ่งกลางของผม ปลายนิ้วไล่วนตั้งแต่ส่วนบนของตรงนั้น ไปถึงจุดใต้ล่างทั้งสองข้าง ผมหวิวจนหายใจตามแทบไม่ทัน ทรอยช้อนขาผมขึ้นพาดบ่าก่อนจะไล่จมูกไปมากับขาทั้งสองข้างจนผมดิ้นไม่หยุด

“อ๊ะ...อย่า” ผมร้องห้ามหลังเขาก้มต่ำลงไปอีกกับอีกจุดบอบบางของร่างกาย ปลายลิ้นร้อน ๆ ลากผ่านและตวัดขึ้นลง ผมเสียวท้องน้อยและจุดที่โดนกระทำจนขยำผ้าปูที่นอนจนเสียทรง เหมือนมีพายุลูกหนึ่งพัดผ่าน ในหัวของผมนึกอะไรไม่ออก จนกระทั้งเขาขยับขึ้นมาคร่อมตรงหน้า ก่อนจะบอกความปรารถนาของตัวเอง

“ทำให้ทรอยหน่อยครับ” เขาว่า หลังจากที่ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรปกปิดร่างกายแล้วเช่นกัน ผมเริ่มจากการใช้นิ้วมือลูบไปมา ใจก็แอบหวิวกับขนาดห้าสิบหกที่เขาบอกกันว่าเป็นไซซ์เกินค่ามาตรฐานของชายไทยทั่วไป พอมันพองโตแล้วถึงได้พยายามใช้ปลายลิ้นเลียไปมาตั้งแต่ยอดปลายก่อนจะค่อย ๆ ครอบลงไปทั้งหมด

ทรอยเคยสอนผมว่าการทำออรัลเซ็กซ์ที่ดี คือการทานไอศกรีมด้วยริมฝีปาก เพราะถ้าเราไม่เก็บ ฟันมันจะครูดจนอีกฝ่ายอาจจะหมดอารมณ์ได้ง่าย  ๆ เพราะการเกร็งริมฝีปาก ทำให้เมือยได้ง่าย ๆ แต่มันก็เป็นวิธีที่อีกฝ่ายใช้ทำให้กับผม และมันสร้างความรู้สึกที่สุดยอดมาก ๆ จากที่ตัวผมสัมผัสมาด้วยตัวเอง

ทำไปสักพักทรอยก็ดึงออกมา ก่อนจะฟาดลงมาเบา ๆ ที่ใบหน้าของผม เป็นนิสัยอีกอย่างที่เขาชอบทำ ผมไม่ได้รู้สึกแย่นะ กลับกัน มันกลับกระตุ้นอารมณ์ดิบของผมอย่างน่าประหลาด หัวใจผมเริ่มสูบฉีดแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังเจ้าตัวคว้านหยิบกล้องถุงยางอนามัยกับเจลล่อลื่นออกมาจากตู้ข้างหัวเตียง

ปลายลิ้นของเรากลับมาประกอบกันอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่เขาเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามา เราเกี่ยวลิ้นตวัดไปมาเหมือนหยอกเย้ากันและกัน ขาทั้งสองข้างของผมถูกยกพาดบ่า ทรอยถอนปลายลิ้นออกไป ก่อนจะซอกไซร้ไปมากกับขาอ่อนของผมทั้งสองข้าง มืออีกข้างจับซองถุงยางอนามัยก่อนจะฉีกอย่างแผ่วเบา

ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนจากเจลที่ป้ายลงบริเวณจุดบอบบางของร่างกาย ปลายนิ้วค่อย ๆ สอดแทรกเข้ามา ก่อนจะหยุดชะงักเป็นพัก ๆ เหมือนให้ร่างกายของผมได้ปรับตัวกับสิ่งที่แทรกเข้ามา ผมสูดลมหายใจเข้าออกมา พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่เกร็งเวลาที่เขาค่อย ๆ สอดนิ้วเข้ามาตรงจุดนั้น

พอผมเริ่มจะหายเกร็งแล้ว เขาถึงได้ค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วออกมา ทรอยสอดหมอนข้างเข้ามาที่บริเวณสะโพกของผม ก่อนจะจับขาพาดบ่าอีกครั้ง พออะไรตรงตำแหน่งแล้วก็ค่อย ๆ สอดเข้ามา

“อย่าเกร็งนะครับพี่แชมป์” เขาว่า หลังจากส่วนหนึ่งของเขาขยับผ่านเข้ามาจากบริเวณปากทาง มันใหญ่กว่านิ้วไปมาก ๆ ผมน้ำตาเล็ดออกมานิดหน่อยแต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา มือข้างที่เหลือของทรอยจับที่บริเวณมือของผม ก่อนจะดึงให้จับไหล่ของเขาเอาไว้

“ถ้าเจ็บจิกไหล่ผมได้เลยนะครับ” ทรอยบอกกับผมแบบนั้น ก่อนจะกดเข้ามาที่ละนิด ๆ ผมเจ็บจนแทบไม่กล้าจะขยับตัว มันจุกไปหมดจนผมน้ำตาไหลออกมา พอเขาเห็นแบบนั้นก็หยุดขยับก่อนจะจูบซับลงมาแผ่วเบาที่เปลือกตาของผม ปากก็พยายามปลอบผมไปด้วยว่าให้อดทนรออีกนิด มืออีกข้างก็ปรนเปรอส่วนหน้าของผมไม่หยุด

หลังจากเข้าไปได้ช่วงหนึ่ง ทรอยหยุดขยับตัวและก้มลงมากอดพร้อมหอมแก้มผม เขาบอกว่าต้องรออีกนิดถึงจะค่อยทำต่อได้ ความเจ็บปวดจากความจุกของผมเริ่มค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็กลายเป็นความรู้สึกหวิวท้องน้อยอย่างประหลาด พอเขาเข้ามาจนสุดทั้งหมด ผมทั้งเจ็บ ทั้งจุก ทั้งเสียวจนนึกไม่ออกว่าควรทำอะไรต่อไปดี

อย่างช้า ๆ สะโพกของเขาดันเข้าออกไปมา ผมครางหวิวรับอย่างเก้กัง บางครั้งเจ้าตัวก็ก้มหน้าลงมาจูบกับผมไปด้วย จากช้าไปเร็ว ความถี่ของจังหวะค่อย ๆ เพิ่มตามเวลา ยิ่งออกไปใกล้สุดมากเท่าไหร่ เวลาที่เขาถาโถมเอวเข้ามายิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น ทรอยกดเอวลงมาหนัก ๆ จนผมครางรับไม่เป็นภาษา

เขาพลิกตัวผมขึ้นไปอยู่ด้านบนในท่านั่งคร่อมเขา ก่อนจะค่อย ๆ สอนให้ผมขึ้นลงอย่างไม่เกร็งและเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ทรอยทิ้งตัวลงไปนอนหลังสอนให้ผมค้ำพื้นแล้วค่อย ๆ กะจังหวะขึ้นลง บางครั้งก็เหมือนจะแกล้งกัน เขาเด้งเอวสวนขึ้นมาจนผมเผลอร้องออกมาเป็นคำ ๆ ความรู้สึกของผมเริ่มใกล้เข้าไปแตะถึงฝั่ง

“พี่...พี่ใกล้แล้วนะครับ” ผมครางบอก เขาพลิกตัวผมลงไปนอนอีกครั้ง ก่อนจะจับผมงอขาลง ก้มลงมาจูบแล้วใช้มือให้กับผมอีกครั้ง ปลายนิ้วก็ไล่ไปมาตามซอกคอ ปากก็พึมพำบอกรักจนผมหวิวไปทั้งตัวและหัวใจ ความถี่ของเอวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเสียงร้องประสานของเราสองคนที่ดังลั่นห้อง

ทรอยครางออกมาเป็นชื่อผมก่อนจะกระแทกลงมาเป็นครั้งสุดท้ายพร้อม ๆ กับของเหลวเหนียว ๆ ของผมที่พ่นออกมาพร้อม ๆ กัน ทุกอย่างสิ้นสุดลงหลงเหลือแต่เสียงหอบของเราสองคน ยังกับไปวิ่งมาราธอน ผมรู้สึกได้เลยว่าเหงื่อผมออก ทั้ง ๆ ที่ห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้

ทรอยทิ้งตัวลงมานอนกอดอย่างไม่กลัวเลอะก่อนจะค่อย ๆ ดึงส่วนต่อของเขาออกไปจากร่างกาย ใบหน้าซบลงกับหน้าของผมก่อนจะพูดออกมาว่า

“รู้ไหม ผมหลงพี่โคตร ๆ แล้วนะ” เขาบอกออกมาแบบนั้น โดยที่เขาก็คงไม่รู้ว่าผมรู้สึกไม่ต่างอะไรจากเขาเลย ผมโอบกอดเขาด้วยแขนทั้งสองข้าง แม้จะมีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่บ้าง แต่สิ่งที่มีความกว่าคือความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้ร่วมกันกับเขา พอหายเหนื่อยแล้วเจ้าตัวก็ฟัดจมูกลงมาแกล้งผมอีกเป็นระลอก ก่อนเราจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“ผมรักพี่แชมป์นะครับ”

ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินคำว่ารัก แต่มันไม่เคยมีครั้งไหน ๆ เลยที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเท่าครั้งนี้ น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง พยักหน้าบอกกับตัวเองว่าผมต้องมั่นใจในตัวเองและคนที่ผมรักมาก ๆ กว่านี้ ก็เพราะทรอยเป็นทรอยแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ผมถึงหลงรักเขาทั้งหัวใจแบบนี้

“พี่ก็รักทรอยมาก  ๆ ครับ”

ผมบอกกับเขาแบบนั้น ก่อนเราจะไปจัดการล้างเนื้อล้างตัว ทำความสะอาดและทิ้งอุปกรณ์ที่ใช้แล้ว ก่อนจะมานอนกอดกันเป็นกอดกลม ๆ แน่นอน ผมไม่ลืมที่จะใส่ที่อุดหูก่อนนอน ตอนนี้เกือบ ๆ จะเที่ยงคืนกว่าแล้ว พรุ่งนี้เช้าพอเราแยกย้ายกันไปก็คงอีกหลายวันกว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก ผมต้องกอดน้องมันให้คุ้มก่อน

ผมมีความสุขจนแทบอยากจะหยุดเวลานี้ไว้ตลอดไป

นั่นคือความคิดสุดท้ายของผม ก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะหนักลงไปเรื่อย ๆ และหลับไปในที่สุด

 

....





“พี่แชมป์”

“....”

“พี่แชมป์ครับ ตื่นก่อนนะ”

ผมงัวเงียลืมตา เห็นเจ้าทรอยดึงที่อุดหูและปลุกผมลุกขึ้นมา เหม่อมองดูนาฬิกาแล้วก็เพิ่งจะหกโมงเช้าเองไม่ใช่เหรอ? ผมหันไปหาเขาที่กำลังทำหน้าตื่น ๆ และก่อนที่ผมจะได้ตั้งทั้งสติถามว่าทำไมถึงปลุกก่อนเวลาตื่น เจ้าตัวก็ชิงพูดถึงสาเหตุออกมาก่อน

“คือทรอยนอน ๆ อยู่แล้วได้ยินเสียงเคาะประตู ก็เลยออกไปส่องตาแมวดู” ทรอยอธิบาย

“...”

“...ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อพี่อ่ะครับ” เจ้าตัวพูดจบก็ชี้นิ้วโป้งไปทางหน้าประตู ผมฟุบลงไปบนที่นอนอีกครั้งหนึ่ง

...ผมขอนอนต่ออีกสักห้าสิบปีค่อยตื่นมาใหม่จะได้ไหมนะ?



Time talk : ผมสั่งพิมพ์หนังสือไปตามยอดพิมพ์ขั้นต่ำ ตอนนี้หนังสือยังว่างอีกสองชุด รายละเอียดตามรูปภาพด้านล่างเลยนะครับ สนใจสามารถกรอกข้อมูลและรับเลขบัญชีสำหรับโอนสั่งจองได้เลยนะครับ ขออนุญาตให้คนที่โอนก่อนนะครับ ส่วนรีปริ้นท์คิดว่าคงอีกนานมาก ๆ หรืออาจจะไม่มีอีกแล้วครับ

จิ้มจองได้เลยนะครับ : 1th.me/ZBRt           


ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [End] Acker|[SP2] Ep.37 Believe us | หนังสือเหลือสองชุดสุดท้าย | P7 |07/04/02
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-04-2019 21:59:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: พ่อแมวพุงโต ที่ 11-04-2019 20:54:27


[SP3] Ep.38 Letter to my beloved man By YOKE


สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์

จริง ๆ เรารู้จักชื่อกันอยู่แล้ว แต่ผมขอเรียกคุณแบบนี้แล้วกันนะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบการไม่เรียกชื่อกันหรอกน่ะ

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพกับคุณ .....ผมไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนะ

หวังว่าคุณจะยังอ่านจดหมายฉบับนี้ต่อไปเรื่อย ๆ และหวังว่าคุณจะเข้าใจ ให้อภัย และเคารพการตัดสินใจของผม

ผมติดยาเสพติด เรื่องนั้นคุณรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่คุณไม่รู้คือผมมีอายุขัยเหลือไม่มากเท่าไหร่อยู่แล้ว ต่อให้ผมเลือกจะไม่ตายวันนี้ อย่างเก่งผมก็มีพรุ่งนี้เช้าไม่เกินสามปีหลังจากนี้ ผมไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ และก็คงไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงความผิดพลาดมากมายของตัวเองตั้งแต่ในอดีตจนถึงตอนนี้ เอาเป็นว่าผมพาชีวิตไปเจอกับทุกสิ่งที่บรรทัดฐานของคนดีมองว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ๆ แล้วกันนะ

มีเรื่องเดียวในชีวิตตั้งแต่เกิดมาที่ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำพลาดไปคือการได้ทำความรู้จักกับคุณอีกครั้ง

ใช่ อีกครั้ง นั่นหมายความว่าเราไม่ได้เพิ่งเจอกันที่ป่าไผ่เป็นครั้งแรก

คุณอาจจะจำผมไม่ได้หรอก แต่ผมจำได้ดีเลยแหละ เด็กผู้ชายในชุดสีฟ้าที่สายตาเหม่อลอย บอกกับผมว่า ‘โหดร้าย’ ซ้ำไปซ้ำมากับสิ่งที่ตัวเองต้องได้เจอ คุณมองผมตลอดเวลา แต่มองผ่านเลยไปเสมอ เหมือนทุกครั้ง เหมือนทุกคน ผมคือคนที่ใคร ๆ ก็มองผ่านและมองข้ามไปตลอด วันนั้นเองก็เหมือนกัน ผมขอโทษด้วยที่อุตริอยากจะทดลองจูบคุณดู

น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมไม่โดนมองข้ามไป

คุณคิดถูกมาก ๆ เลยนะที่วันนั้นเป็นคนขับรถให้ผม สารภาพตามตรง วันนั้นผมไฮหนักมากจริง ๆ มากถึงขนาดที่ว่าผมไปจอดอยู่หน้ามอยังไงยังจำไม่ได้ ต้องค่อย ๆ มานั่งไล่ทบทวนที่ละนิด ๆ ผมถึงจำได้ว่าใครซื้อโจ๊กร้อน ๆ และผ้าเย็นมาซับหน้าให้ผม รวมไปถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นบนรถยนต์นั้นก็ด้วย

ผมเซอร์ไพรส์ ไม่คิดว่าคุณจะกลับมาเข็มแข็งได้มากขนาดนี้

ใจหนึ่งก็ดีใจที่เห็นคุณกลับไปมีความสุขได้มากขนาดนี้ อีกใจหนึ่งก็เสียใจ ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นเหมือนตอนนั้น คุณอาจจะเข้าใจความรู้สึกของผมมากกว่าใคร ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมรึเปล่า

..เพราะเราทั้งสองคนล้วน ‘แตกสลาย’ จากน้ำมือคนที่เรารักด้วยกันทั้งคู่

ความทรมานในทุก ๆ วันของผม คือการตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองยังมีลมหายใจ  พูดตามตรง ไม่เคยมีสักนาทีเลยบนโลกใบนี้ที่ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ความสุขของผมคือการพึ่งยาเสพติด การใช้ชีวิตแบบละลายชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีความฝัน ไม่มีความต้องการ ไม่มีความปรารถนาใด ๆ ในการมีชีวิตอยู่ต่อไป

มันเหมือนกับผมเป็นแค่เศษซากมนุษย์ที่ผุ ๆ พัง ๆ แค่ยังมีชีวิตอยู่เพราะแค่ยังมีลมหายใจ แต่ปราศจากหัวใจ ปราศจากความสุขใด ๆ ให้ตัวผมเองยังอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป

ผมตายไปนานแล้ว ตายไปจากความต้องการของคนทุกคน

ผมที่ยังอยู่ตรงนี้เพราะแค่ผมยังหาวิธีที่ดีที่สุดในจากจบชีวิตตัวเองไม่ได้

พ่อนะ พูดเสมอ ผมเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องมากที่สุด ไม่สิ เขาอาจจะไม่ได้นับผมเป็นลูกเลยก็ได้มั้ง? แน่นอนสิ วัน ๆ ผมเอาแต่สร้างปัญหา ล้างผลาญเงินทองในบ้านโดยไม่มีอะไรตอบแทนกลับไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกเขาหรอกนะ แค่อยากจะบอกว่า ผมเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวกเขาเลือกได้นะว่าจะให้ผมเกิดมารึเปล่า

ช่างหัวมันเถอะ ชีวิตดราม่าครอบครัวของผมนะ มันไม่มีตอนจบที่ดีที่สุดหรอก ก็แค่ประคับประครองรอวันลูก  ๆ โตแล้วก็แยกย้ายกันไป ถ้ามันจะพังก็พังเพราะความต้องการของคนเราไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งเราเติบโตมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีความต้องการ เรายิ่งปรารถนาที่จะคอบครองหลายสิ่งหลายอย่าง เราวิ่งไล่ตามทุกอย่างที่อยากจะได้จนลืมหยุดพักหายใจ

ผมเวิ่นเว้อไปไหมนะ? ขอโทษด้วยนะ ผมไม่เคยเขียนจดหมายลาตาย

ถ้าเผื่อคุณจะเป็นห่วง ไม่ต้องกลัวนะ นาทีสุดท้ายของชีวิตผม ผมไปด้วยความสบายอย่างถึงที่สุด (ผมคิดแบบนั้นนะ และคุณเอ้ย อย่าให้ผมพูดเลย ในโรงพยาบาลนะ มีทุกอย่างที่คุณอยากได้ แต่เขาไม่บอกคุณหรอกว่าอะไรทำอะไรได้บ้าง ผมแค่อยากให้คุณสบายใจว่าผมไม่มีความทรมานอะไรเลยในการจากไปครั้งนี้)

ผมอิจฉาคุณจังเลย พูดตามตรงนะ ผมอยากเป็นได้แบบคุณจังเลย ทำไมผมถึงไม่เข้มแข็งให้ได้สักส่วนหนึ่งเหมือนที่คุณเข้มแข็งนะ คุณรู้ไหมว่าภาพที่คุณเป็น คือสิ่งที่ผมฝันเห็นว่าตัวเองอยากจะเป็นในทุก ๆ วันเลย ผมอิจฉาในชีวิตที่คุณเลือกทุกอย่างให้กับตัวเองได้ ยิ้มรับความเจ็บปวด โอบกอดความแตกสลายทั้งหมดนั้นไว้

คุณยังไม่เป็นไร คุณยังมุ่งมั่นที่จะมีลมหายใจต่อไปเผื่อวันข้างหน้า

ไม่ว่าคุณจะมองเห็นภาพชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน อยากบอกไว้ว่านั้นคือภาพชีวิตที่ดีที่สุด เท่าที่คน ๆ หนึ่งปรารถนาอยากจะเป็นมันบ้างแค่ชั่วคราวก็ยังดี

ขอผมตั้งสติหน่อยนะ ระหว่างที่กำลังเขียน ผมเผลอสติแตกไปหลายรอบแล้ว ดังนั้นแล้วนี้ไม่ใช่จดหมายเวอร์ชันแรกที่ผมเขียนให้คุณ แต่เป็นอีกหนึ่งเวอร์ชันที่ผมตั้งใจจะบอก จะเล่าทุกอย่าง คุณจะได้ไม่ค้างคาใจกับการจากไปของผม

ว่าแต่ว่า จดหมายฉบับนี้จะไปถึงคุณไหมนะ?

แม่ครับ ถ้าแม่ได้มาอ่าน หยกรักแม่นะ แม่ไม่ต้องเถียงกับเขาหรอกว่าหยกเป็นแบบนี้เพราะอะไร หยกขอโทษด้วยที่หยกไม่เข็มแข็งพอมากจะเอาชนะมันได้ ขอโทษด้วยที่หยกไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย แต่ถ้าจะมีอะไรที่หยกอยากจะขอแม่เป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดให้อภัยกับความเห็นแก่ตัวของหยก และได้โปรดนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้เด็กคนนั้นที

เขาเป็นเด็กผู้ชายน่ารักคนหนึ่ง ชื่อเล่นชื่อว่าทรอย เด็กผู้ชายที่เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของแม่ ช่วงที่เราเพิ่งเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าแม่น่าจะยังพอมีประวัติเขา เขาเรียนสังคมสงเคราะห์ ไปฝากจดหมายไว้ที่นั้นก็ได้ครับ

ถ้าแม่ได้ทำตามนี้แล้ว หยกขอบคุณแม่มาก ๆ นะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ

หยกรักแม่ที่สุดในโลกเลย แม่เป็นม้ามี๊ที่ดีมาก ๆ เท่าที่หยกเคยได้รับมากจากโลกใบนี้เลยนะครับ

ต่อนะ ... แป๊ป ผมขอนึกก่อนว่าจะเขียนถึงคุณว่าอะไรต่อดี 

ผมอยากบอกคุณว่า ความบังเอิญที่คุณเจอกันกับผม มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือที่โรงพยาบาลตอนคุณเข้ารักษาอาการ นอกเหนือจากนั้นทั้งหมด มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันคือความตั้งใจของผมเอง

ได้โปรด อย่าหวาดกลัวผมเลยนะที่ติดตามคุณไปแบบนั้น ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั่งมองหรอก แบบ ผมขี้อายกว่าที่คุณคิดนะ หวังว่าคุณคงจะไม่ตลกผมหรอกใช่ไหม? แต่ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริง ๆ นะ ผมแค่แบบ อยากไปนั่งมองคุณไปเรื่อย ๆ พอเห็นคุณใช้ชีวิตแล้วก็รู้สึกว่านี้เป็นอีกสิ่งที่ค้ำจุนผมเอาไว้

ผมตามไปดูคุณที่ทำงานบ่อย ๆ แต่ก็เท่านั้น แค่นั่งมองว่าคุณทำอะไรบ้าง เฝ้ามองชีวิตที่ดำเนินไปช้า ๆ แต่เดินหน้าอย่างมั่นคง

วันนั้นที่ป่าไผ่ ผมขับรถตามคุณไป จริง ๆ ผมก็ตามคุณห่าง ๆ แบบนี้มาตลอด ผมแค่อยากดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งยากอะไรในชีวิตของคุณ ไม่สิ ต้องบอกว่าผมนะ ไม่กล้ามากกว่า ผมกลัวว่าเริ่มต้นแล้วมันจะจบไม่สวย ผมกลัวว่าผมจะทำคุณหล่นหายไปจากชีวิตที่ได้เฝ้ามองคุณเสมอมา

ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขมากพอแล้วกับการได้เฝ้ามองคุณ

ผมคิดแบบนั้นเสมอมา จนกระทั่งพอได้ลองคุยกับคุณแล้ว คุณเชื่อไหม ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งเข้าใจว่าความสุขมันเป็นยังไง ผมเพิ่งเข้าใจว่าเวลาที่เราเขินใครสักคนมาก ๆ มันเป็นแบบไหน พอยิ่งได้ลองกอดคุณแล้ว มันอบอุ่นมากจนผมแทบไม่อยากคลายอ้อมกอดแบบนั้นออกไปเลย

ผมแม่งโคตรติดสัมผัสจากคุณ โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

คุณรู้ตัวไหม คุณเป็นคนที่ทำให้คนเสพติดได้ง่ายมาก ๆ เลยนะ ถึงแม้คุณจะพยายามกันตัวเองออกมาจากผู้คนมากมาย แต่คุณไม่รู้หรอกว่าตัวตนของคุณมันกลบไม่ได้จริง ๆ คุณไม่สอด ไม่ยุ่ง ไม่สนใจเรื่องของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ผมสบายใจมาก ๆ ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ คุณโดยที่คุณไม่ว่าอะไร (หรือคุณว่าแล้วผมเองไม่ทราบเองก็ไม่รู้)

หลังจากวันนั้น ที่เราบังเอิญเจอที่ดาดฟ้า คุณรู้ไหมว่าเสื้อฮู้ดตัวนั้นเป็นสมบัติอีกอย่างของผมเลยนะ ผมอยากฝากมันไว้กับคุณ เพราะไม่รู้ว่าต่อจากตรงนั้นแล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม จะได้มานั่งคุยกันดี ๆ แบบนี้อีกรึเปล่า? อ๋อ ที่ผมตกใจวันนั้น ไม่ใช่เพราะตกใจที่คุณเดาถูกว่าผมเป็นโรคซึมเศร้า แต่ผมนึกว่าคุณจำได้แล้วว่าเราเคยเจอกันมาก่อน

‘ผมอยากมีความสุขจัง’ ที่ผมพูดออกไป ผมหมายถึงว่าผมอยากมีคุณ

คุณเป็นอีกคนที่ทำให้ผมหายกลัวกับความตาย ไม่รู้สิ ตั้งแต่วันนั้นผมก็คิดว่ายังไงผมก็จะตาย แต่ผมจะตายแบบไม่มีความกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะผมมั่นใจว่าผมจะตายไปจากโลกใบนี้ แต่ไม่ได้ตายไปจากความทรงจำของเราสองคน ยิ่งคุณไม่พยายามห้ามเรื่องที่ผมจะฆ่าตัวตาย ผมยิ่งสบายใจที่จะจากไป

ขอบคุณนะ ที่ให้ผมร้องไห้ให้กับคุณได้เต็มปอด มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ ที่ครั้งหนึ่งชีวิตของผมเคยได้รับการปลอบโยนที่อบอุ่นมากขนาดนี้ ผมถึงได้เข้าใจในตอนนั้นว่าคุณเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจทุกบาดแผลและความเจ็บปวดของผม เขียนไปเขียนมา ผมมันดูขี้แพ้ไปหมดเลยตั้งแต่โรคประจำตัวยันหัวใจของตัวเอง

วันนั้นที่โรงหนัง ผมตั้งใจว่าจะไปดูหนังเป็นครั้งสุดท้าย ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอคุณพอดี ใจผมกำลังสับสนว่าจะเอายังไงต่อไปดี จะเข้าไปทักทายคุณดีไหม แบบนั้นคุณจะหนีผมรึเปล่า หรือผมควรจะต้องทำยังไงไม่ให้มันดูประเจิดประเจ้อมากเกินไปในการเข้าหาคุณ มันเป็นความกลัวไปหมด ผมยืนดูคุณแบบนั้นจนเห็นคุณเริ่มผิดปกติ

เขาคนนั้นใช่ไหม ที่มอบความเจ็บปวดมากมายให้คุณถึงขนาดยืนร้องไห้ไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้

ก่อนอื่นเลย คุณควรลดน้ำหนัก ผมไม่ได้แซวนะ แต่แบบ ถ้าคุณลดน้ำหนัก ผมว่ามันจะดีกับสุขภาพและบุคลิกของคุณ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เสือกกับความสุขของคุณแล้วกัน วันนั้นหนักหน่อย แต่ผมโอเค เอาจริง ๆ ผมทึ่งตัวเองมาก ๆ ด้วยซ้ำที่สามารถแบกคุณหนีออกไปจากที่เกิดเหตุได้

คุณตาไว ขนาดเศร้าเบอร์นั้นคุณยังสังเกตเห็นรอยสักของผมบนต้นคอได้ จริง ๆ แล้วผมไปได้ไอเดียมาจากโอเปร่าที่ผมเคยได้ฟังนะ มันชื่อ ‘Javert Releases Prisoner 24601 On Parole’  คุณอาจจะงงว่ามันคืออะไร ผมขอนึกแป๊ปว่าจะอธิบายยังไงดี เอาแบบนี้แล้วกัน ในคุกนะคุณ เขาจะไม่มีชื่อเรียก แต่จะเรียกนักโทษด้วยรหัสประจำตัว คุณเกทนะ?

ที่นี้เสร็จเนี้ย เจ้าคนที่ชื่อ Jean Valjean เนี้ย เขาเป็นนักโทษในคุกนั่นแหละ และผู้คุมก็เรียกเขาว่า ‘24601’ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เขาเองก็มีชื่อของเขา เขาไม่ได้ชื่อ 24601 แต่เขาคือ Jean Valjean มันอารมณ์เหมือนเราประท้วงนะคุณ เหมือนกับว่าแม้เราจะเป็นนักโทษของคุณ แต่เราก็มีเกียรติ มีศรีของเราเช่นเดียวกัน

ผมติดอยู่ในคุกที่โดนคุมขังด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ ‘24601’ คือการประท้วงในสิ่งที่ผมพยายามจะเป็นมันด้วยตัวผมเอง

ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดรึเปล่า เพราะผมก็พูดงง ๆ หวังว่าคุณจะอ่านและเข้าใจว่ามันสำคัญสำหรับผมมาก ๆ ก็พอ (มากถึงขนาดผมโดนเขาทำร้ายร่างกายเพราะไปสักมา ผมยังไม่ร้องสักคำด้วยซ้ำ แม้คนในครอบครัวของผมจะร้องก็เถอะ ผมว่าพวกเขาก็คงร้องไห้พอเป็นพิธี หรือไม่ก็ตกใจกับการที่ผมเลือดตกยางออกนิดหน่อยละมั้ง?)

แต่สุดท้ายวันนั้นเราก็ไม่ได้จูบกัน

ผมรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธความรักของผม มีคำถามมากมายในหัวว่า ‘ทำไม’ เต็มไปหมด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่ยอมรับว่าผมไม่ใช่ แย่จังเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะใช่ขนาดนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมโดนคุณดีดออกจากโลกใบนั้นอย่างเต็มแรง คุณปลอบโยนผมด้วยความรู้สึกของความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของคนรัก

แน่นอน คนแบบผมใครมันจะมารักได้ลงคอ ถูกไหม?

แต่ผมเองก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมเองก็ยังอยากได้รับความรัก ความเมตตาจากใครสักคน แม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตผมเองก็ยังดี

ผมกลับบ้านไปทำตามที่คุณบอก ผมพยายามดูแลตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมกินข้าวสองจานแหนะ แม่ของผมเองก็ดูจะมีความสุขมาก ๆ เช่นเดียวกัน แม้เขาจะยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรพร้อมหน้าพร้อมตากันก็เถอะ เขาประหลาดใจถึงขนาดออกปากถามด้วยซ้ำว่าอยากกินของแบบนี้ทุกวันเลยไหม (แม่ครับ ใครจะทนกินอะไรซ้ำ ๆ กันได้ทุกวัน)

ผมตั้งใจมาก ๆ ว่า ถ้าเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากบอกความรู้สึกทุกอย่างให้คุณฟังเป็นครั้งสุดท้าย

และมันก็คือโอกาสสุดท้ายของผมจริงๆ

เป็นอีกครั้งที่ผมประหลาดใจ ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน แววตาของคุณค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปที่ละเล็กที่ละน้อย จากสายตาที่ไม่เป็นมิตร ความคิดที่พยายามปิดกั่นผม คุณดูพยายามเข้าใจและเข้าหาผู้คนมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผมได้เข้าไปใกล้ ๆ คุณอีกครั้ง แต่ใกล้ก็ส่วนใกล้ ยังห่างจากหัวใจคุณอีกเยอะมากนัก

ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ถ้าวันนั้นผมสารภาพความรู้สึกไปก่อนเขา ผมจะได้ใจคุณมารึเปล่านะ?

คุณรู้อะไรไหมทรอย ผมรู้คำตอบตั้งแต่ก่อนเวลา 24 ชมสุดท้ายของผมจะเริ่มต้นและจบลงด้วยซ้ำ แววตาของคุณมันบอกทุกอย่าง ทุกอย่างเลยจริง ๆ ผมรับรู้ความรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดี แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความรักแบบที่ผมอยากจะได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะให้มันดำเนินแบบนั้นต่อไป เลือกที่จะไปเก็บความทรงจำพกนั้นเป็นครั้งสุดท้ายกับคุณ

ในบรรดาลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ผมได้ทำทุกอย่างแล้วในวันนั้น

ผมได้โอบกอดคุณตอนคุณนอนหลับ ได้เฝ้ามองคุณใกล้ ๆ ได้ดูแล ทนุถนอม แบ่งปันความสุขและมอบหลายความรู้สึกให้กับคุณ ผมได้ตื่นมาเจอคุณในตอนเช้า ได้นั่งกินอาหารอร่อย ๆ กับคุณ ได้ไปเที่ยวน้ำตก ดำน้ำ ขึ้นไปไหว้พระ และกลับมาดูพระอาทิตย์ตก ทั้งหมดนั้นมันวิเศษยิ่งกว่าพรใด ๆ บนโลกใบนี้จะบันดาลให้ได้กับผม

คุณถามผมใช่ไหมว่าผมจะเอายังไงกับชีวิตต่อจากนั้น? ขอโทษด้วยที่สุดท้ายพอทำทุกอย่างสำเร็จ ผมก็คิดวางแผนมาตลอดว่าจะต้องพอสักทีกับความทรมานในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมาไม่เจอคุณ

ผมลืมไปอีกอย่าง ที่คุณถามผมอีกข้อว่าผมขอพรว่าอะไรไป

ผมอธิษฐานว่า ‘ขอให้คุณได้มีความสุขกับคนที่คุณรัก ขอให้เขาคนนั้นรักและเห็นคุณในสิ่งที่ผมเห็น ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้คุณเสียใจ เสียน้ำตา หรือกลับกลายไปเป็นคนที่หัวใจแตกสลายอีกครั้ง’

ผมรักคุณมาก จนผมกลัวว่าสักวันคุณจะใจสลายเพราะความรักอีก

ผมไม่รู้ว่าจะไปเรียกว่าความรักได้ไหม แต่ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น มันมากกว่าความสุขตลอดทั้งชีวิตของผมมากองรวมกันอีก ผมรู้แค่วาผมพยายามทนุถนอมและประคับประครองทุกความทรงจำให้โลดแล่นในความรู้สึกและจิตวิญญาณก่อนวาระสุดท้ายชองผมด้วยซ้ำไป

อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณกำลังคิดจะโทษตัวเอง ก็ขอให้หยุด

อย่าทำให้ผมผิดหวังในตัวคุณ ได้โปรด ผมอธิษฐานไปแล้วว่าไม่อยากให้คุณร้องไห้ ดังนั้นแล้วผมเองก็ไม่ควรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณร้องไห้เช่นกัน คุณไม่ได้ผิดอะไร และผมเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัว ผมเห็นแก่ตัวที่จะไม่รับความทรมานใด ๆ ต่อจากนี้ไป ผมเห็นแก่ตัวที่จะเลือกจากไปพร้อมความทรงจำที่มีความสุขมากมายขนาดนี้

ผมไม่ได้ตายจากคุณไปไหน ผมจะยังอยู่ในหัวใจ ในความคิดและความทรงจำของคุณเสมอ

ตอนนี้ตัวผมเริ่มชาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ผมเริ่มรู้สึกง่วง ๆ แหละ เปลือกตาก็เริ่มหนักมาก ๆ แล้ว คิดว่าคงใกล้ ๆ จะได้เวลาแล้ว ผมคงต้องขอตัวไปนอนงีบบนโซฟาตัวโปรดของผมก่อน ดังนั้นแล้วผมจะเขียนถึงคุณอีกแค่สามบรรทัด

ทรอยครับ ผมรักคุณนะ

ขอให้คุณมีรอยยิ้มที่สดใสแบบนั้นตลอดไป



แด่ผู้ชายอันเป็นที่รักของผม

,หยก





Time Talk ตอนพิเศษตอนสุดท้ายที่จะลงในเว็บแล้วนะครับ หวังว่าอ่านแล้วจะพอเข้าใจน้องมากขึ้นไม่มากก็น้อย และก็ หนังสือเหลือชุดสุดท้ายแล้วนะครับ หมดจากนี้คงไม่มีรีปริ้นท์แล้วละนะ ส่วน E-book อาจจะต้องรอไปอีกพักใหญ่ ๆ มาก ๆ ดังนั้นแล้วถ้าสะดวกจับจองได้นะครับ

รายละเอียดหนังสือ/ลิงก์จอง : https://1th.me/ZBRt 

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-04-2019 21:32:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-04-2019 20:45:02
เราขอโทษ เรามา ๆ หาย ๆ

ขอบคุณในความมุ่งมั่นทุ่มเทกับนิยายเรื่องนี้ ถ่ายทอดมุมที่เราไม่เคยได้สัมผัสหรือรับรู้มาก่อน

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:00:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 25-05-2020 01:47:14
เป็นอีกเรื่องที่ดีมากๆๆๆในขีวิตเราเลยค่ะคุณคนเขียน เรามีมหาลัยนึงแอบคิดอยู่ในใจนะว่าใช่ที่เรียนของน้องทรอยรึเปล่า ชอบภาษาจิกกัดและการบอกเล่าโลกใบนี้ของคุณผ่านตัวอักษรที่ตรงใจเรา(เราเห็นด้วยแต่เราไม่เคยมีความกล้าจะพูดมันออกมา ทั้งที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาตัวเองขนาดนี้แล้วแท้ๆ) คุณทำให้เรานึกถึงเพื่อนสนิทของเราที่เขาทำให้เราเครียดน้อยลงแค่คำว่า “ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ”

ไม่ได้อ่านนิยายดีๆที่ทุกตัวละครมีมิติ มีความคิด และมีตัวตนของตัวเองอยู่ติดมาในทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนสุดท้ายนานแล้ว (แอบมีขัดใจกับพี่โชนิดหน่อยที่เขาดูจะต่างจากช่วงกลางเรื่องค่อนข้างเยอะทีเดียวเมื่อมาอ่านตอนพิเศษ) เราอยากอ่านตอนพิเศษต่อง่ะ แต่เรามาช้าไปตั้งเป็นปี ไม่รู้จะไปตามอ่านที่ไหนจริงๆ หลังจากกดส่งคอมเม้นเสร็จก็ว่าจะไปเสี่ยงดวงดูว่าจะเจอนิยายของคุณวางขายในที่อื่นอีกบ้างมั้ย แอบหวังถึงebookแต่มันดูจะยากไปนิด เอาเป็นว่าเราชอบนิยายของคุณมาก และหวังว่าคุณจะกลับมาเขียนชิ้นงานอีกนะคะ :pig4: