Ep.24 Me Before You [Part II]
the sun’s come out
...เมื่อคุณเดินเข้ามา โลกของผมก็พลันสว่างไสวราวกับว่า พระอาทิตย์จะคงอยู่ตลอดเวลาไม่จางหายไปไหน ผมเลิกเล่นแอปพลิเคชันหาคู่นอนโดยอัตโนมัติ รวมไปถึงหยุดการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ทั้งหมด หรือ ถ้าเจาะจงลงไปมากกว่านั้น ผมเลิกสนใจทวิตเตอร์ไปแล้ว
ไม่มีมีคำขอร้อง ไม่มีคำบังคับ มีเพียงความสุขที่มอบให้กันในทุก ๆ ครั้งที่เราได้เจอหน้ากัน แค่เท่านั้นก็เป็นเหตุผลที่มากเพียงพอแล้วที่ผมพร้อมจะหยุดเพื่อใครสักคน
ผมยอมรับว่าอึดอัด จะว่าก็ว่า ผมไม่ชินกับการถูกผูกมัดโดยใครสักคน มันเป็นสถานการณ์ประหลาด หากคุณใช้ชีวิตคนเดียวมาสักพัก คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าการมีใครสักคนเข้ามาอยู่ในห้องของคุณ คือความขัดแย้งอย่างน่าแปลกประหลาดสำหรับคนที่ทำทุกอย่างตามลำพัง
หากแต่ในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา คุณพบว่าแปรงสีฟันของคุณมียาสีฟันถูกบีบทิ้งเอาไว้ก่อนใครบางคนจะออกไปทำงาน
...สิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลต่อจิตใจใครบางคน
ผมอมยิ้ม เดินเข้าห้องน้ำ มองหน้าตัวเองในกระจก ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบที่พบว่าตัวเองยิ้มเก่งได้มากขนาดนี้ มากจนคนรอบ ๆ ตัวสัมผัสได้และเข้าถึงได้มากขึ้น เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในชีวิต หลายครั้งผมมักได้รับคำตอบว่าผม “มีชีวิต” มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
จะบอกว่าเขามอบ “ชีวิตใหม่” ให้กับผมก็คงใช่
แปลกประหลาด เขาไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้ดูดี ไม่ได้มีอะไรที่จะมาการันตีเลยว่าผมจะต้องชอบคนแบบนี้ คนที่ดีกว่านี้มาจีบผม ผมยังเฉย ๆ นับว่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่หัวใจของผมยอมที่จะให้ใครสักคนก้าวเข้ามาไกลมาก ๆ
ไกลเข้าไป ลึกจนถึงสุสานของความทรงจำ ที่ ๆ ผมฝัง “ฝันร้าย“ ไว้ภายใต้การหลงลืม
มีความสุขจนรู้สึกอยากจะลืมหายใจ น่าจะเป็นคำพูดที่นิยามผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด ผมถอดหน้ากากทุกใบทิ้งอย่างไม่ลังเล พร้อมและมั่นใจในตัวของเขา ลึก ๆ ในหัวใจอยากทะนุถนอมช่วงเวลาสำคัญนี้ให้ทอดยาวออกไปอีกนานแสนนาน
...น่าเสียดายที่ความสุขทุกชนิดล้วนมีอายุขัยที่สั้นเกินกว่าใครจะเข้าใจ
the sun’s just gone in....แล้ววันหนึ่งแสงแดดและสายลมก็หายไป ปกติแล้วหากเป็นในนิยายสักเรื่องหนึ่ง การจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นสักอย่างได้ มันต้องมีเหตุ มีผล มีการกระทำต่าง ๆ มารองรับไว้เพื่อ “ความสมจริง” ของเหตุการณ์นั้น ๆ เหมือนอย่างที่โชเคยบอกกับผมไว้ บางครั้งแล้วนิยาย “สมเหตุสมผล” มากกว่าชีวิตจริงของคนเราเสียอีก
เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ผมเจอ
ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย นอกจากแค่ว่า ...
...ผม “ไม่ใช่”
มันเรียบง่ายเหมือนทุก ๆ วัน ผมตื่นนอนมาหลังเราสองคนไปเที่ยวกัน น่าแปลก วันนี้เขาไม่ตอบไลน์ผมทิ้งไว้เหมือนอย่างทุกวันที่ผ่านมา
อะไรบางอย่างในใจส่งเสียงตะโกนออกมาเบา ๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธความรู้สึกและลางสังหรณ์ที่ก่อตัวขึ้นในใจ เมฆหมอกบาง ๆ ปกคลุมจิตใจเอาไว้ แต่ผมพยายามมองโลกในแง่ดี คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงแค่ลืม หรือรีบไปทำงาน
ผมยิ้มให้กับตัวเองในกระจก บอกตัวเองให้เลิกคิดมาก พี่เขาคงยุ่ง และผมต้องออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง พอแต่งตัวเสร็จผมก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ สูดลมหายเข้าปอดลึก ๆ คิดว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายคงติดต่อกลับมา
ตลอดทั้งวันพี่พอร์ชไม่ตอบและไม่อ่านไลน์ผม
เบอร์โทรศัพท์ที่มักจะติดต่อได้เสมอ...ไม่สามารถติดต่อได้เป็นครั้งแรก
ผมจิตตก แต่ไม่ได้เป็นบ้า และจะไม่เป็นบ้าใส่คนอื่นแค่เพียงเพราะความคิดของตัวเอง สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือการ “ไม่คิดไปเอง” ตราบเท่าที่ยังไม่ได้มีอะไรมายืนยันให้ผมมั่นใจแบบเป็นทางการว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ผมจะยังมั่นคง และจะยืนหยัดอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง
ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ เมื่อเดินทางมาถึงระยะทางและเวลาที่เหมาะสม เราจะพบ ‘จุดตัด’ คั่นกลางในความสัมพันธ์ ทางหนึ่งคือถ้าผ่านพ้นมันไปได้ เราจะมั่นคงต่อกันและกันมากขึ้น
...ส่วนอีกทาง เมื่อไม่สามารถไปกันต่อได้ ก็มีแต่ต้องลาจากกันไป
ผมนั่งนิ่ง ไม่หิวข้าว ไม่รับโทรศัพท์ และไม่ตอบไลน์ใครที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ว่าพี่พอร์ช
ผมกำลังรอให้ทุกอย่างชัดเจน
เหมือนพระเจ้ารับรู้คำอ้อนวอน...ไม่สิ ไม่ใช่พระเจ้าหรอก พระเจ้าคงไม่น่าจะใจร้ายกับใครสักคนได้มากขนาดนี้ หรือถ้าจะมีพระเจ้าจริง ๆ ก็คงจะเป็นพี่พอร์ชเองนั่นแหละที่เป็นพระเจ้าสำหรับผม
พี่พอร์ชโทรศัพท์มาหาผมในเวลาต่อมา
หลายคำพูด หลายประโยคถูกกล่าวออกมาจากปากเขา สมองของผมอื้ออึง น้ำหูน้ำตาไหลผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าอันไหนความจริง อันไหนความฝัน รู้สึกตัวอีกครั้งเราก็เดินลาจากกันมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีความขัดแย้ง
สิ่งที่เป็นตัวตัดสินมีแค่เพียง “ความไม่รัก” แล้วก็เท่านั้น
‘มันไม่ใช่ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ที่ผ่านมาไม่มีความสุขแต่มันไม่ใช่...จริง ๆ ’...น่าจะเป็นเศษเสี้ยวคำพูดสุดท้ายที่ผมจับใจความได้จากเขา
ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเคยมีประสบการณ์แบบผมไหม แต่เหมือนความทรงจำของผมหลังจากนั้นขาดหายไปห้วงหนึ่ง ผมจำได้แค่ว่ารู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่โรงพยาบาลในแผนกจิตเวช ชุดผู้ป่วยสีฟ้าที่เห็นตามในหนังในละครกลับมาอยู่บนตัวผม “อีกครั้ง”
ผมคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด หรืออาจจะเพราะผมเคยใส่มันมามากกว่าหนึ่งครั้งรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ
ทุกคืนในโรงพยาบาลผมจะเกิดภาพหลอน ผมมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร ใบหน้าที่นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก ก่อตัวพร้อม ๆ กับเงามืดที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร สุนัขป่า? หรืออะไรสักอย่าง เกินกว่าที่ผมจะสามารถอธิบายออกไปได้ รู้แค่ว่ามันค่อย ๆ ย้อมความรู้สึกของผมให้ดำมืดทีละนิด ๆ
ผมจมลงไปอยู่ภายใต้มหาสมุทรอีกครั้ง มันทั้งมืด ทั้งหนาว เหมือนแสงสว่างด้านบนค่อย ๆ ห่างผมออกไปเรื่อย ๆ อากาศรอบตัวน้อยลงทุกที ๆ ผมเหม่อมองตัวเองจมลงไปอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ฟองอากาศเล็ก ๆ ค่อย ๆ ลอยออกแล้วจางหายไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ บัดนั้นผมจึงได้เข้าใจ อะไรที่สามารถสร้างความสุขให้เราได้ ก็สร้างความทุกข์ให้เราได้เช่นกัน
วันผ่าน เวลาเปลี่ยน เปลือกนอกของผมค่อย ๆ ดีขึ้น ระบบความจำเหมือนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมได้รับกำลังใจจากเพื่อนสนิททุกคนที่มาเฝ้า โดยเฉพาะมาร์ที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ภายหลังให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนนำผมไปส่งแผนกจิตเวชเอง ผมไม่ได้มีอาการอยากฆ่าตัวตาย
แน่ละ มันไร้สาระเกินไปที่จะฆ่าตัวตายเพราะแค่จากการลา แต่สิ่งที่ทำก็คงไม่ต่างกัน เพราะผมนอนหลับไม่สนิท และไม่ทานอะไรไม่ลง เบลอถึงขั้นเกือบจะทานยานอนหลับเพื่อบรรเทาอาการลงไปทั้งกระปุก
เป็นเวลาหลายเดือนกว่าเปลือกนอกของผมจะกลับมามั่นคงอีกครั้งในลักษณะเดิม เป็นอีกครั้งที่ผมสัมผัสได้ ห้องแห่งความลับข้างในจิตใจของผมโดนปิดตายอีกครั้งและอาจจะโดนปิดตายตลอดไป บางสิ่งบางอย่างเฝ้ามันเอาไว้ด้วยความหวงแหน หวาดระแวง และพยายามไม่ให้ใครก็ตามแต่เข้าไปแตะต้องประตูบานนั้น
หรือจริง ๆ แล้ว ‘สิ่งนั้น’ อาจจะแค่พยายามปกป้องผม
ปกป้องไม่ให้จิตใจของผมต้องมาแหลกสลายแบบนี้อีกครั้ง“ขอบคุณนะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงไปส่งเขาที่หน้าหอพัก เราแยกกันตรงร้านอาหาร เขาเดินกลับไปบริเวณซอยหอพักของผมเอง ส่วนผมหันกลับไปมองไล่หลังเขาอีกครั้ง
คนเมื่อกี้ที่ผมเพิ่งมี sex ไปด้วย เขาชื่ออะไรนะ?
ผมส่ายหน้ากับตัวเอง จำไม่ได้ และก็คิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น พอคิดแบบนั้นได้ผมก็ยิ้มให้กับตัวเอง พวกเขาจะชื่ออะไรก็ไม่สำคัญหรอก
...ทุก ๆ คนก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละทั้งหมดนั่นคือเรื่องราวก่อนที่ผมจะพบเจอกับโช ผู้ชายที่ผมทั้งโกรธ ทั้งโมโห หวาดระแวง เอ็นดู รวมไปถึงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร
เหมือนอยากจะก้าวเดินออกไป แต่ก็กลัว กลัวว่ามันจะเป็นแบบเดิม กลัวว่าลึก ๆ ลงไปแล้วผมจะโดนกดให้จมน้ำอีกครั้ง กลัวผมจะต้องกลับไปที่ ๆ เดิมที่เคยจากผม
ผมถึงพยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิเสธความรู้สึกทั้งหมดที่ก่อขึ้นมาในจิตใจ
...และตอนนี้เจ้าของความทรมานตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของผม ก็มายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้ว
“สบายดีไหมครับ?” เขาถาม น้ำเสียงยังเหมือนเดิม พูดจาสุภาพสดใส แต่ใบหน้าไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง และผมว่านั่นคงเป็นใบหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถปั้นแต่งให้ผมเห็นได้
ผมพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ริมฝีปากเริ่มสั่นนิด ๆ แต่ยังควบคุมสติไว้ได้ดีอยู่ สมองเริ่มขาวโพลนจนนึกไม่ออกว่าควรจะตอบอะไรเขากลับไปดี
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้...” เขาว่าต่อ
“....”
“พี่มาลา”
เรายืนมองหน้ากันด้วยความเงียบงัน ตลอดเวลา ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้แค่เพียงมองหน้าเขาและพยายามไม่ให้ตัวเองวิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยการปิดประตูใส่หน้ากัน เมื่ออีกฝ่ายเห็นผมไม่พูดอะไร เขาเลยขยายความขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นสิ่งที่เขาเคยบอกผมไว้ว่าจะทำ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนนี้
“พี่จะย้ายไปอยู่อเมริกาแล้วนะครับ”เหมือนฟ้าผ่ากลางแจ้ง ใจของผมหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไปไกลจากผมมากถึงขนาดคนละทวีปกัน แต่คิดอีกอึดใจก็ไม่ต่างอะไรจากที่เป็นอยู่ เพราะตอนนี้ทั้งผมและเขา เหมือนเราเดินอยู่คนละจักรวาลกันด้วยซ้ำ...
“อ่า...”
“พี่มีเรื่องจะขอร้อง...”
“...”
“ได้โปรดช่วยโทษว่าทั้งหมดนั่นเป็นความผิดของพี่ได้ไหมครับ?”“...”
“ได้โปรด...อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะครับ” เขาว่า ขยายความนัยช้า ๆ มองตาผมด้วยแววตารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด
ผมส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พูดสิ่งที่ควรจะพูดมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
“พี่พอร์ช ผมรักพี่นะครับ”“....”
“...ตอนนี้ผมก็ยังคงรัก” ผมพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงหัวใจเต้นระรัวจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำพูด แต่ผมรู้ดี หลังจากนี้มันคงไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มายืนอยู่ตรงหน้ากันอีกแล้ว
มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะสามารถพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปได้
“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคนผ่านเข้าออกในชีวิตทรอยนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีเลย ไม่มีคนไหนเลยที่ทำให้ทรอยรู้สึกว่าทั้งชีวิตของทรอยรอคอยเพื่อจะได้เจอเขา...นอกจากพี่”
“...”
“แต่ทรอยต้องไปต่อ”ผมพูด ปล่อยให้หยาดน้ำตาชโลมออกมาเลอะใบหน้า หัวใจปวดร้าวไปหมด
“วันนั้น วันที่พี่เดินจากเราไป เราบอกพี่แล้ว เราบอกแล้วก่อนพี่จะไป พี่คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะไป พี่คิดถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม มันจะไม่มีการเดินย้อนกลับมาอีกครั้งแล้วนะ ระหว่างเรามันจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้อีกแล้วทรอยรักพี่นะ
แต่ทรอยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตกับคนที่กดหัวทรอยจมน้ำจนทุรนเจียนตายอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ พี่บอกว่าพี่คิดมาดีแล้ว ทรอยรู้ ทรอยเข้าใจ พี่ไม่ใช่คนที่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งเห็นความมั่นคงในการตัดสินใจของพี่ ทรอยยิ่งรักพี่
รักที่พี่ไม่ทำร้ายทรอยทางอ้อม รักที่พี่เลือกจะบอกการตรง ๆ ทรอยขอบคุณพี่จากใจจริง ๆ ทรอยรับรู้ว่าทั้งหมดนั้นคือความรัก ความปรารถนาดี และความจริงใจที่มีให้กันเป็นครั้งสุดท้ายในความรู้สึกของพี่ ดังนั้นแล้วทรอยจึงไม่คิดจะโกรธพี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าทรอยจะโกรธอะไรสักอย่าง คงโกรธตัวเองมากกว่าที่เกิดมาเป็นแบบนี้”
“....”
“จากนี้ต่อไป ทรอยเชื่อว่าสักวัน ทรอยจะสามารถเคารพการตัดสินใจของพี่ได้จากหัวใจของทรอยจริง ๆ พี่ไม่ผิดเลย พี่ไม่ผิดเลยที่ไม่ได้รักทรอย แต่มันคงไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่วันที่หัวใจของทรอยยังร้องไห้และกรีดร้องทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของเรา
....ไม่ใช่วันนี้จริง ๆ ที่ทรอยจะสามารถทำใจและก้าวข้ามผ่านมันไปได้”
ผมว่า เม้มปาก กัดฟัน ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในห้อง เปิดผ้าปูที่นอนขึ้น ดึงกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมา
“เราไม่อยากให้ของพวกนั้นอยู่ในห้องเราอีกแล้ว แต่เราก็ไม่มีความกล้าหาญมากพอจะเอามันไปทิ้ง” ผมว่า หลังยื่นข้าวของทุกอย่างที่บรรจุความทรงจำของเราสองคนเอาไว้
“ครับ” พี่พอร์ชรับคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตาเล็ก ๆ ไม่ต่างจากผม
“จากนี้ต่อไปขอให้พี่ดูแลตัวเองด้วย และก็...ดูแลเขาให้ดีด้วย หลังจากนี้ผมขอให้เราไม่ได้มาพบ มาเจอกันอีก ขอให้เรากลายเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านและขนานกันไปตลอดชีวิต ผมไม่ได้โกรธ ผมยังรักพี่เสมออย่างที่ผมบอก บนโลกใบนี้จะไม่มีใครรับรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนอีก
...เรื่องราวของเราสองคนที่เกิดขึ้น จะอยู่ในใจผมเสมอ และจะมีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่รับรู้และจดจำมันได้”
“พี่รู้ว่าพี่คงไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้อีก แต่ว่า ....ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” พี่พอร์ช พูดขึ้น
ผมใช้สองมือขยี้น้ำหูน้ำตา ก่อนจะกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายกับเขา
“โชคดีนะครับ... ‘พี่ชาย’”....ก่อนผมจะปิดประตูใส่หน้าเขา และทรุดตัวลงไปแบบนั้น
ผมปล่อยตัวทิ้งอยู่หลังประตู ปล่อยเสียงร้องไห้โฮระบายหยาดน้ำตาทั้งหมดที่เก็บไว้ข้างใน ความทรงจำทั้งหมดผุดขึ้นมา หัวใจของผมเหมือนโดนกรีดด้วยมีดเล็ก ๆ
มองไม่เห็นบาดแผล แต่สัมผัสได้ถึงความเศร้าทุกอณูของความรู้สึก ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไม เพราะอะไร ทำไมถึงไม่ใช่ผม ทำไมผมถึงไม่ใช่ เสียงคำถามดังกึกก้องมากมายในใจ
...แต่ไม่มีเสียงคำตอบใดตอบกลับมา
ผมปล่อยตัวเองจมอยู่แบบนั้นเหมือนไร้สติ ภวังค์ของผมถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผมยันตัวกับพื้น ลุกขึ้นไปเอาโทรศัพท์กดรับสายโดยไม่ได้มองเบอร์เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครโทรมาหา
‘ผมถึงบ้านแล้วนะครับ’ ปลายสายกรอกเสียงมาด้วยความร่าเริง ผมยิ้ม ขอบน้ำตารื้นนิด ๆ เหมือนน้ำตามันจะไหลอีกครั้งหนึ่ง
“ครับ” ผมพยายามกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกไป แต่ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับคน ๆนี้
‘คุณมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม?’ โชว่า น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมา
“.....”
‘.....’
“โชครับ” ผมว่า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
‘ครับ’
“ผมยังรักเขาครับ”ผมว่าเสียงสั่น มือกำโทรศัพท์แน่นจนกลัวว่ามันจะหักคามือด้วยซ้ำ ผมหลับตารอฟังเสียงตัดท้อ ความผิดหวัง หรือคำพูดมากมายอะไรก็ตามแต่ที่เขาอาจจะระบายออกมาให้ผมฟัง
แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่เป็นแบบที่ผมคิด
‘ครับ..แล้ว?’ โชถามเสียงเรียบ เหมือนผมบอกเขาว่าผมเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จ
“มันก็ไม่แล้วยังไง แต่แบบ คุณเข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า คือผมยังรักเขา...ผมหมายถึงคนก่อนหน้าคุณ” ผมขยายความต่อเพื่ออีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมายที่ผมกล่าว
‘ครับ ผมเข้าใจ ผมถึงถามต่อไงว่าแล้วยังไงต่อ คุณยังรักเขาแล้วมันจะเป็นปัญหายังไง?’ เขาตอบกลับ
ผมสะอึกร้องโอ๊ยออกมา คน ๆ นี้บทจะดื้อทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ
“โอ๊ย ผมหมายถึงว่า แล้วผมยังรักเขาแบบนี้ คุณโอเคเหรอ คุณทำใจได้เหรอที่ผมยังรักใครอีกคน คุณไม่กลัวเหรอว่าสุดท้ายแล้วผมจะไม่ได้เลือกคุณ” ผมพูดตามตรง เขาเงียบไปนิดก่อนจะหัวเราะเสียงใสกลับมา
‘คุณรู้ไหม มีประโยคหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาจากคุณ คือ “อย่าคิดแทนอีกฝ่ายไปเอง” และนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้’ เขาว่า
“คุณคิดอะไร?” ผมตอบกลับ
“หน้าที่ของผมคือการทำให้คุณรักผม ส่วนหน้าที่ของคุณคือการตกหลุมรักผมก็พอ”“คุณ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ” ผมว่าเสียงแข็ง
‘ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นกับคำว่ารักที่ผมพูดออกไปครับ’
“คุณแม่งดื้อ” ผมเริ่มโวยวาย ไม่ทันรู้ตัวว่าน้ำตาจางหายไปจากใบหน้าตอนไหน
‘คนแบบคุณกล้าว่าคนอื่นด้วยเหรอ?’ เขาสวนกลับ โอ๊ย เจ้านากเผือกนี่ !!!
“คุณ!!!” ผมเรียกเขาเสียงแข็ง อีกฝ่ายหัวเราะกลับมาที่ไล่ต้อนผมให้จนมุมได้
‘ผมมีเรื่องจะถามคุณ’ เขาว่าเสียงจริงจัง
“ครับ”
‘คุณยังรักเขา และคุณยังรอให้เขากลับมาหาไหมครับ?’
“ไม่ครับ ผมรักเขา แต่ผมต้องไปต่อ ผมยังรักเขาจริง ๆ แต่มันคนละเรื่องกับที่เขาทำให้ผมเจ็บ ผมไม่สามารถไปต่อกับเขาได้หรอกครับ” ผมรีบตอบกลับตามสิ่งที่ตัวเองคิด
‘งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ’ โชว่าต่อ
“คุณ ...ไม่กลัวจริง ๆ เหรอครับ?” ผมว่าต่อ
ไม่แน่ใจว่าเพราะยังเป็นช่วงเริ่มแรกที่จีบกันรึเปล่า เขาถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาทั้ง ๆ ที่ผมบอกไปตามตรงว่าผมยังรักใครอีกคน เขาไม่กลัวจริง ๆ เหรอว่าสุดท้ายปลายทางแล้วมันจะต้องเป็นเขาที่เจ็บปวด ไม่กลัวเหรอว่า ผมอาจจะปิดตัว ปิดใจลงไปอีกแล้ว หรือคุยกับเขาแค่แก้เหงา
‘ตั้งแต่ได้เจอคุณ โลกของผมอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปหมด นอกเหนือจากการอย่าคิดแทนอีกฝ่ายที่คุณสอนผมไปแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณสอนผมอีกฝ่าย คือเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวตนของคนที่เรารัก’
“....”
‘ผมไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมรึยัง แต่ผมรู้สึกแบบนั้นนะ...ผมรู้สึกว่าผม “รัก” คุณ’
“อ่า”
‘คุณ มนุษย์น่ะอายุขัยไม่ได้ยืนยาวเลยนะ ผมขอทำอะไรตรงไปตรงมาอย่างที่ใจผมรู้สึกก็พอแล้วกัน สุดท้ายแล้วเราไม่รู้อนาคต แต่ผมรู้แค่ว่า
ตอนนี้ เวลานี้ ผมยังจะยืนอยู่ตรงนี้ ผมยังจะเดินต่อไป ผมจะทำให้คุณรู้สึกให้ได้ว่าผมรักคุณจริง ๆ ดังนั้นแล้ว....’
“ครับ...”
‘ให้เวลาและหัวใจได้ทำหน้าที่ของมันก็พอครับ ผมจะยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ คุณเสมอ’ เขาว่า น้ำเสียงมั่นคง ไม่มีการหยอกล้อในคำพูดใด ๆ
“ขอบคุณนะครับ” ผมร้องไห้ออกมาอีกระลอก หยดน้ำตาเหมือนกัน แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกันออกไป หัวใจของผมอบอุ่นเหมือนชโลมไปด้วยแสงอาทิตย์ตอนเช้า
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะจริงทุกอย่างรึเปล่า
‘...’
“someday I'll love you”
แต่ตราบเท่าที่เขายังยืนข้าง ๆ ผม ผมขอแค่เพียงเวลา
‘ผมจะรอเสมอครับ’
แล้วสักวันหัวใจของผมคงจะบอกว่าผมรักคุณมากมายแค่ไหน...โช Time talk : ขอโทษด้วยที่มาสายนะครับ พอดีช่วงนี้ชีวิตข้างนอกหัวหมุนนิดหน่อยกับงานใหม่ที่ต้องทำ และงานเก่าที่ยังตามหลอกหลอนครับ ปีใหม่ผ่านมาแล้วเกือบ 10 กว่าวัน ชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ แฮปปี้ดีไหม? พ่อแมวไม่สบายรับต้นปีเลยครับ อากาศแปรปรวนมาก ๆ นี่ก็เพิ่งอัดยาแก้แพ้ไปครับ
ยังไงดูแลรักษาสุขภาพ อยู่นับถอยหลังด้วยกันหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมของเรื่องก็ค่อย ๆ ใกล้เฉลยไปที่ละปม ๆ แล้วเนาะ เหลืออีกแค่ไม่กี่ปมแล้วนะ อิอิ นับถอยหลังได้เลยครับ
แล้วเจอกันใหม่ครับ