[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26092 ครั้ง)

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
«ตอบ #90 เมื่อ31-10-2018 23:15:03 »


Ep.17 two four six zero one




นานจนเบ้าตาทั้งสองข้างของผมชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมสูดลมหายใจเอาอากาศที่ผสมกลิ่นนิโคตินจากเสื้อฮู้ดของเขาหนึ่งเฮือกใหญ่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ดันอีกฝ่ายออกไป ถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดเลนส์ที่เปื้อนไปตาม ๆ กันกับใบหน้า ดีนะว่าในกระเป๋าของผมติดทิชชู่มาด้วย

“คุณโอเคไหม?” เขาถาม ผมส่ายหน้าก่อนจะมองหน้าเขา

วูบหนึ่งหลังโสตประสาทสัมผัสจับใบหน้าของเขาได้ ผมเพิ่งสังเกตว่า เขาไปตัดผมของตัวเองออกแล้ว นอกจากจะไม่รุงรังแล้วยังเรียบเนียนอีกด้วย เพราะหมอนี่เลือกที่จะไปไถหัวกลายเป็นทรงสกินเฮด พร้อมทำลายลูกศรที่บริเวณด้านขมับทั้งสองด้าน พอรวมกับจิลที่เจาะและแววตาพวกนั้นแล้ว อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเขาเป็นคนที่ลุคแบดบอยที่ดูดีมาก ๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าสบตา คือแววตาที่กำลังมองมาที่ผม

สายตาของเขาไม่ได้สมเพช ไม่ได้หัวเราะเยาะ ไม่สงสัย และไม่สอบถาม สิ่งเดียวที่แววตานั้นบอกผ่านจากผมคือความรู้สึกห่วงใยที่เขามีให้แก่ผม กับคนแปลกหน้าที่เราไม่เคยรู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ

“ถ้าบอกโอเคแปลว่าผมโกหก” ผมว่า สารภาพตามตรงแม้จะร้องไห้ไปหลายปี๊บ แต่สภาพหัวใจของผมไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย กลับกันบาดแผลในวันวานที่เก็บซ่อนไว้ ทะลักออกมาราวกับว่ารอวันนี้มานานแสนนาน

วันที่บาดแผลจะกลับมาชัดเจนอีกครั้งในหัวใจของผม

“ฟังเพลงไหม?” เจ้าตัวถามซื่อ ๆ วางกระเป๋าใบโตลงข้างตัว ก่อนจะหยิบลำโพงแบบบลูทูธออกมาวางไว้ข้าง ๆ ผมไม่ตอบอะไร แต่ทรุดตัวลงไปนั่งกับที่กันรถตก ส่วนเขานั่งงมกับลำโพง ก่อนจะสไลด์มือถือเตรียมเลือกบทเพลง ผมมองพื้น ฟังบทเพลงที่ขับขานออกมาจากลำโพงและจากปากคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม

 

ฟ้า ถ้าหากมีรัก

ฟ้า ถ้าฉันมีความรัก

ความงดงาม อยู่ชั่วพริบตา

ท้องฟ้า ช่วยนำพาฉันไป

ฉันที่ช่างฝัน หวานเหลือเกิน

รักที่หอมหวาน

เก็บดอกไม้ให้เธอ

เติมความรักให้กัน และนั่นคือของขวัญ

ที่เธอให้กับฉัน ...ก่อนจากฉันไป

 

ในที่แสนไกล เป็นเช่นไรหนอ

ถ้าฉันได้ไป อยู่ที่ตรงนั้น

เธอรู้บ้างไหม หัวใจของฉัน

...อยากจะหลุดพ้นจากเธอเสียที



ฟ้า ถ้าหากมีรัก

ฉันขอไม่รักใครอีกได้ไหม

เพราะว่าความรักทำให้เจ็บหัวใจ

เก็บดอกไม้ไว้ แทนใจของเธอ

 

เขาเป็นคนมีรสนิยมที่ดี ...ดีมาก ๆ ผมคิดแบบนั้นหลังจากฟังบทเพลงที่เขาเปิด ผมไม่เคยฟังมาก่อน แต่เนื้อเพลงและทวงทำนองกลับกรีดหัวใจผมออกเป็นริ้ว ๆ น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้า แต่ผมกลับกำลังจมลงไปอยู่กับเสียงเพลงหอมหวานที่กำลังบรรเลง และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวว่าผมกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี เขาค่อย ๆ กดหยุดเล่นเพลงก่อนจะหันมามองหน้าผม

“ชื่อเพลง เก็บดอกไม้ ของวง LANDOKMAI ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับคำสั้น ๆ ก่อนจะกล่าวชม

“เพราะดี” มันเพราะจนกรีดแทงหัวใจผมเลยแหละ

“ใช่ไหม? ผมชอบตรงเสียงแทงทะลุปอดขึ้นมาเนี่ยแหละ ถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกร้องเพลงมาหนัก ๆ เสียงนาสิกแบบนี้จะขึ้นยากมากเลยนะรู้ไหม” เขาว่าพลางอธิบาย ผมฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะตัวเองไม่ใช่คนในแวดวงนี้ รับรู้เพียงแต่ความงดงามของดนตรีนั้น มันไร้พรมแดนจริง ๆ

“คุณมีรสนิยมที่ดี” ผมชมเขาไปตรง ๆ

...และนั่นก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราเคยเจอกันมาที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา

คนแปลกหน้าคนนี้ ยิ้มจนตาหยี๋ก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบผม

“ผมเชื่อว่าเทสต์คุณต้องไม่ด้อยไปกว่าผมแน่ ๆ ไหนคุณลองแชร์ยูวลิสต์ของคุณหน่อย ผมอยากเข้าไปในดินแดนของคุณบ้าง” ไม่ว่าเปล่าเขาดันสมาร์ทโฟนของตัวเขาเองมาทางผม

ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นสร้อยไม้กางเขนตรงลำคอของเขาพร้อมกับรอยสักเป็นรูปตัวเลข  ‘24601’ บริเวณลำคอด้านขวาเยื้องไปทางด้านหลัง พร้อมกับรับมือถือของเขามา ผมนั่งปล่อยใจไปกับเสียงเพลงในหัว กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองจะเลือกเปิดเพลงอะไรออกมาให้เขาฟังดี  นิ้วมือของผมระรัวกับแป้นพิมพ์ ก่อนจะกดเปิดให้เพลงไหลออกมาจากลำโพง

 

I remember when I first noticed that you liked me back

We were sitting down in a restaurant waiting for the check

We had made love earlier that day with no strings attached

But I could tell that something had changed how you looked at me then

 

My loved, come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle

 

And on the Lower East Side, you're dancing with me now

And I'm taking pictures of you with flowers on the wall

Think I like you best when you're dressed in black from head to toe

Think I like you best when you're just with me and no one else

 

My loved, come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle

 

And I'm kissing you lying in my room

Holding you until you fall asleep

And it's just as good as I knew it would be

Stay with me, I don't want you to leave

 

.....,come right back

I've been waiting for you

To slip back in bed

When you light the candle



“เพลง K. ของวง Cigarettes After Sex” ผมว่า

“คุณแอบเปลี่ยนเนื้อ” เขาพูดตอบหลังปล่อยให้ผมร้องเพลงนั้นจนจบ

“ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าเราต้องร้องตามเนื้อเพลงทุกท่อน” ผมว่า

“แต่ผมชอบนะ อธิบายเรื่องราวระหว่างคุณกับ ‘เขา’ ได้ดีเลยทีเดียว” เขาแซะ พลางเอียงคอมองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าใช่ในแบบที่เขาคิดไหม และผมตอบคำถามนั้นไม่ได้นอกจากเฉหน้ามองไปทางอื่น เรานั่งเงียบ ๆ แบบนั้นไปอีกราวนาทีเศษโดยไม่ได้เปิดเพลงใด ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดต่อ

“คุณดูแตกสลาย”  เขาพูดต่อ มองหน้าผมแล้วขยับมานั่งข้าง ๆ กัน

“...”

“...ผมเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ เห็นคุณตอนแรกกำลังว่าจะเดินเข้าไปทักทาย หลังจากนั้น จู่ ๆ คุณก็สะดุ้งตัวหันซ้ายหันขวา แล้วเหมือนภาพคุณตัดไปเลย คุณดูไม่เป็นตัวคุณเอง เหมือนคุณควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น...ทั้งหมดนั้นเพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอ?” เขาถาม

“ผมอ่านง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับ

“ตรงกันข้าม เพราะคุณอ่านยากมากต่างหาก ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด คุณซ่อนอารมณ์ทั้งหมดภายใต้ใบหน้าที่ไม่แสดงออก บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ผมทำได้แค่เดาไปเรื่อย ๆ จนมีแค่ครั้งนี้ มีแค่ครั้งนี้ที่แววตาของคุณ ‘ซ่อน’ ความเจ็บปวดไว้ไม่มิดจนฉายออกมาผ่านแววตา” เขาว่าเสียงเรียบ หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน จุดแล้วสูบเข้าปอดช้า ๆ ก่อนจะปล่อยให้ควันสีเทาลอยเอื่อย ๆ อยู่แบบนั้น

“...”

“...แววตาคุณ กำลังขอความช่วยเหลือจากใครสักคน”

“อ่า...”

“ที่แย่ที่สุดคือ คุณไม่ได้ขอร้องผมหรือใคร คุณกำลังขอร้อง ‘เขา’ ต่างหาก”

เขาสูดควันพิษเข้าไปเฮือกใหญ่ พ่นลมหายใจออกมาราวกับกำลังหงุดหงิดกับอะไรบางอย่างที่เขาไม่ชอบใจมาก ๆ พอเสร็จแล้วก็หันหน้าไปด้านตรงกันข้ามกับผมแล้วพูดต่อ

“...น่าอิจฉาเขาชะมัดยาด”

ผมหันขวับไปมองหน้า เจ้าตัวมองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าวพิกลแต่ผมสับสนกับท่าทีที่เขากำลังแสดงออกมากกว่าจะทันขบคิดถึงประโยคทั้งหมดที่เขาพูดมา

“ทั้ง ๆ ที่หัวใจของคุณแตกสลายเพราะเขาขนาดนี้ แต่เขากลับไม่เคยเลือนหายไปจากใจของคุณจริง ๆ เลยสักครั้ง คุณแค่ลืม ...ไม่สิ คุณแค่พยายามแกล้งทำเป็นลืม พยายามที่จะไม่สนใจว่าในหัวใจของคุณยังเป็นของเขาทั้งใจ คุณแค่หลอกตัวเองว่าคุณลืมเขาไปได้แล้ว คุณโอเค ทุกอย่างปกติสุขดี....”

“...”

“...ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งหมดที่คุณคิดนั้น มันไม่ใช่”

ควันสีเทาลอยละล่องในอากาศรอบลานจอดรถ ผมเหม่อมองขึ้นไปข้างบนโดยไม่สามารถสนทนากับเขาได้ ไม่ใช่เพราะพูดไม่ออก แต่เพราะทั้งหมดที่เขาพูดมาคือเรื่องที่ผมไม่สามารถโกหกตัวเองได้จริง ๆ แค่สิ่งที่ผมตอบสนองต่อวันนี้ ก็พอบอกได้แล้วว่าระยะเวลาเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นไปจากเขาได้เลย

ผมยังรักเขาอยู่เสมอจริง ๆ สินะ....

“วันนี้คุณพูดมากจัง” ผมต่อว่าเขาเสียงสั่น และเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าพูดอะไรที่ยังไม่เหมาะสมจะพูดออกมา เจ้าตัวฮึดฮัดกับตัวเองก่อนจะบี้ก้นบุหรี่ทิ้งด้วยท่าทางที่อารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด

“ก็ไม่ได้อยากจะแซะหรอกนะ แต่คุณชอบตี๋ ๆ แบบนั้นเหรอ” เขาว่าพลางล้อเลียนผมด้วยการทำตาเหลือขีดเดียว ไม่พอ เจ้าตัวลงทุนหยิบแว่นตากรอบสีดำอันโต ๆ ขึ้นมาสวมใส่แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างกวนตีนจนถึงที่สุด สาบานได้ว่า ถ้าไม่ติดว่าหัวใจผมกำลังเศร้า จะประเคนหลาย ๆ เท้าให้เขาอย่างถึงใจแน่นอน ไอ้เหม่งเอ๊ย !!!

“มันพูดยากนะ เอาเข้าจริง ๆ ผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้อง ‘เขา’ ผมรู้แค่ว่าเขาทำให้ผมอยากมีชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ มันแปลกประหลาดนะที่เราอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้รักจึงเป็นรัก แต่เรากลับตอบได้ว่าทั้งหมดนั้น มันมาจากความรู้สึกข้างในของหัวใจผมจริง ๆ ” ผมว่า หงอยลงนิดหน่อยเลยก้มหน้าไปมองพื้นปูนอีกรอบ

“นั่นแหละ ‘ความรัก’ พลังงานประหลาดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี” เขาว่าตอบ ผมพยักหน้าขึ้นลงคอตกอย่างเห็นด้วยแบบปลง ๆ

ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก สมองกระเจิงไปด้วยข้อมูลทางอารมณ์หลากหลายที่ยังไม่ว่างจะจัดระเบียงความรู้สึกดังกล่าว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เวลาครึ่งปียังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรผมได้ การบังเอิญมาเจอกับเขาวันนี้เหมือนไล่ผมกลับไปนับหนึ่งใหม่ที่จุดสตาร์ทของความรู้สึก ผมหลุบตาลง ปล่อยความรู้สึกแย่ ๆ กระเจิงไปทั่วร่างกายและอากาศ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่คนข้าง ๆ บังเอิญเข้ามาช่วยผมไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

“คุณ” ผมทัก จากตอนแรกที่เขานั่งนิ่ง ๆ เขาก็หันมามองหน้าผมเหมือนถามว่ามีอะไรเหรอ

“ไปสักมาเหรอ?” ผมถาม พลางชี้ไปที่ต้นคอด้านขวาของเขา เจ้าตัวเหล่ตามองผมขึ้นลงก่อนจะพูดตอบ

“ตาไวนะเราอ่ะ เพิ่งไปสักมาเมื่อวันก่อนเอง” เขาตอบ ผมพยักหน้ารับคำ แม้จะยังสงสัยก็ตามว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเลข 24601 ด้วย แต่เหมือนเขาจะรู้ทันความคิดของผม เขาหันมามองหน้าก่อนจะอมยิ้มแล้วถาม

“อยากรู้เหรอว่าทำไม?” เจ้าตัวว่าอย่างหยอกล้อ พลางชี้ไปที่รอยสักดังกล่าว

“ก็อยากรู้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร” ผมว่า ไม่อยากเซ้าซี้ถามอะไรกับใคร ถ้าเขาอยากบอกเขาก็คงบอกออกมาเอง ปกติแล้วนิสัยผมไม่ชอบยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้วน่ะครับ และเหมือนเขาจะรู้ทันความคิดของผมเสมอ ๆ มือบาง ๆ นั้นยกขึ้นมาขยี้หัวผมจนแว่นแทบจะหลุดออกมา

“เพื่อนเล่นเหรอ?” ผมหันขวับไปดุ แต่อีกฝ่ายเหมือนกำลังขบขันกับแววตาของผมมากกว่า

“คุณอย่าทำสายตาแบบนั้นสิ”

“...”

“ผมกลัวตัวเองทำโคอาล่าตกใจจนตาย” เขาว่าพร้อมระเบิดหัวเราะในตอนท้ายสุด ผมหน้านิ่ว คิ้วขมวด เบะปากหันหนีไปกับคำหยอกล้อนั้น น้ำหนักผมตอนนี้ไม่ได้หนักขนาดจะเข้าขั้นอ้วนนะเว้ย เขาเรียกว่าคนตัวใหญ่นะ เข้าใจไหมว่าผมแค่ตัวใหญ่ แต่ไม่ได้อ้วน  ค่าดัชนีมวลร่างกายผมก็.. เกิน นิดหน่อยเอง

“โอ๋ ๆ ไม่แกล้งแล้ว ๆ .. คุณจบห้องศิลป์ภาษามารึเปล่า?” เขาถาม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“ผมจบวิทย์-คณิตฯ” ผมตอบ

“หน้าไม่ให้เนาะ” เขาว่า รอบนี้ผมไม่ตอบอะไรนอกจากยกนิ้วกลางชูให้เขาแทนคำตอบกลับ

“คุณเคยฟังโอเปร่าไหม?” เขาถาม และเป็นอีกครั้งที่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

 เขายักคิ้วก่อนจะยืนขึ้น สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วขันขานออกมาเป็นโอเปร่าลานจอดรถยนต์ที่ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว

 

Look down, look down

Don't look 'em in the eye

Look down, look down,

You're here until you die

Now prisoner 24601

Your time is up

And your parole's begun

You know what that means.

Yes, it means I'm free.


No!

Follow to the letter your itinerary

This badge of shame you'll show until you die

It warns you're a dangerous man

I stole a loaf of bread.

 

My sister's child was close to death

And we were starving.

 

You will starve again

Unless you learn the meaning of the law.


I know the meaning of those 19 years

A slave of the law

Five years for what you did

The rest because you tried to run

Yes, 24601.

 

My name is Jean Valjean

And I am Javert

Do not forget my name!

Do not forget me,

24601.



เขาหอบหายใจเข้าออกช้า ๆ  เหงื่อไหลออกจากขมับทั้งสองข้าง ผมขนลุกจนเผลอลืมตัวลุกขึ้นปรบมือรัวกับการแสดงโอเปร่าของเขาเมื่อตะกี้ ไม่อยากจะเชื่อ คนแบบเขา คนแบบหมอนี่เนี่ยนะ จะมีน้ำเสียงที่ไพเราะ และร้องเพลงโอเปร่าได้ลึกซึ้งมากขนาดนี้ ผมเช็ดน้ำตาที่ขอบหางตา ก่อนจะพูดกับเขา

“คุณร้องโอเปร่าได้ด้วยเหรอ?!” ผมถามด้วยความตื่นเต้น เขาอมยิ้มแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากทำหน้าสงบนิ่งตามเดิมแล้วทอดสายตาออกไปนอกลานจอดรถ บรรยากาศด้านล่างกำลังวุ่นวายด้วยรถนานาชนิดที่พยายามเคลื่อนตัวสัญจรกลับไปยังที่พักอาศัยของแต่ละคน

“...สักวัน”

“...”

“ถ้าผมมี ‘โอกาส’ ผมจะเล่าให้คุณฟัง ว่าทำไมถึงต้องเป็น ‘24601’” เขาว่า จุดบุหรี่อีกมวนขึ้นมาแล้วเสหน้าไปมองถนนอีกทาง

แม้เขาจะไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านั้น แต่ผมจับใจความสำคัญของเนื้อโอเปร่าทั้งหมดเมื่อตะกี้ได้ ผมทอดถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นั่นสินะ ความรู้สึกสับสนที่ว่า “เราเป็นใคร” กันแน่ ทั้งไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ากำลัง “โดนคุมขัง” ตลอดเวลาแบบนั้น....

....กรงของเขาขนาดไม่ได้เล็กไปมากกว่ากรงของผมเลยแม้แต่น้อย

เรายืนอยู่ข้างกันแบบนั้น คนหนึ่งเหม่อมองท้องฟ้า อีกคนมองลงไปพื้นดิน ระยะห่างระหว่างผมกับเขาเหมือนกลายเป็นศูนย์ แขนเสื้อของเราค่อย ๆ สัมผัสกัน อย่างช้าที่สุด ทั้งเขาและผมเราหันมาสบตากัน ใกล้ไปมากกว่าที่คิด มากจนรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าของเรามันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ใกล้จนลมหายใจร้อน ๆ ของอีกฝ่ายปะทะเข้าที่ใบหน้าผม ริมฝีปากแหบแห้งที่ผมเคยปฏิเสธไปในตอนนั้น

ตอนนี้ระยะห่างริมฝีปากของเรากำลังจะเป็นศูนย์ในไม่ช้า.....




Time talk : วันนี้มาดึกหน่อยนะครับ Happy Halloween นะครับ :]

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 22:02:44 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
«ตอบ #91 เมื่อ31-10-2018 23:40:23 »

ฮือออ ชอบเรื่องนี้มากเลย บรรยายได้ดีมากๆเลยค่ะ ทุกครั้งที่อ่านจะรู้สึกอินสุดๆเลย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
«ตอบ #92 เมื่อ01-11-2018 01:35:02 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
«ตอบ #93 เมื่อ06-11-2018 23:04:03 »



Ep.18 Home Alone [Part 1]




“….ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน คุณรู้ไหมว่าผมละสายตาไปจากคุณไม่ได้เลย”

ผมสะดุ้งตัวก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน สติสัมปชัญญะวิ่งกลับเข้าร่างได้ทันเวลา ผมเฉหน้าไปอีกทาง กลายเป็นวางคางไว้บนไหล่ของเขาแทนผ่านไปสักครู่เขาจึงพูดออกมา

“...ไม่ได้เหรอ?”

ผมไม่ได้มองหน้าเขา แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้ออกมาด้วยความยินดีแน่ ๆ ผมสับสน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเสียงของโชที่พุ่งเข้ามาในจิตใต้มโนสำนึกของผมเมื่อสักครู่คืออะไร ผมทำได้แค่เพียงยกแขนของตัวเองขึ้นกอดคนตรงหน้าแทน

“ขอบคุณนะ” ผมว่า แล้วกอดอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น หลีกเลี่ยงที่จะมองหน้าหรือตอบคำถามดังกล่าวที่เขาถามมา รอจนสักพักเห็นจะได้ เขาถึงได้ยกมือขึ้นมาโอบกอดผมไว้เช่นกัน

“อื้อ ขอบคุณเหมือนกันนะ” เขาว่า เรากอดกันแบบนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไออุ่นจากสัมผัสในตัวของเขาปลุกผมขึ้นมาจากฝันร้ายชั่วคราว มือสาก ๆ ลูบหัวของผมไปมาเหมือนเขากำลังปลอบเด็ก ๆ ชั่วระยะเวลาประมาณหนึ่งก่อนเราทั้งคู่จะถอนตัวออกมาจากอ้อมกอดของกันและกัน

“แล้วกลับยังไงเนี่ย?” ผมถาม ไม่มีกะจิตกะใจไปดูหนังแล้ว

“ขับรถน่ะ” เขาว่าง่าย ๆ พร้อมชี้ไปที่ซีดานคันเก่าที่ผมเคยนั่ง ผมพยักหน้าทำความเข้าใจ ดูนาฬิกา ก่อนจะบอกเขาไป

“ผมคงต้องกลับแล้ว”

“อื้ม”

“นี่คุณ....”

“....”

“กินข้าวเยอะ ๆ นะ หวังว่าถ้า ‘บังเอิญ’ เจอกันคราวหน้า คุณจะอ้วนมากกว่านี้” ผมว่าติดตลก ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกลา

เหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ผมไม่คิดว่าการให้คอนแท็กกับเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาดและระบุอะไรไม่ได้เลยระหว่างเราสองคน

เขาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะโบกมือลา แล้วส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง

....แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ใครก็ดูออกว่ามันเป็นยิ้มที่เศร้ามาก ๆ ก็ตาม

ผมพาตัวเองกลับที่พัก อาบน้ำชำระล้างทั้งสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนร่างกายและในหัวสมอง ถอนหายใจออกมาหลายครั้ง ปล่อยให้สายน้ำเย็น ๆ ไหลผ่านจนหัวสมองรู้สึกโล่งแล้วจึงออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัว จากนั้นก็เข้าไปเช็กทวิตเตอร์ DM ยังคงหนาแน่นเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไป คือความรู้สึกของผม

ผม...รู้สึกไม่อยากตอบ DM เหล่านั้นแบบแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่บางคนเราก็เคยมีอะไรกันมาแล้วครั้งสองครั้งด้วยซ้ำไป

ผมถอนหายใจอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ ช่วงนี้เหมือนสมองผมทื่อลง โง่งมงายจนตามไม่ทันว่าตัวเองรู้สึกหรือคิดอะไรกันอยู่กันแน่ ผมแก้ปัญหาด้วยการปล่อยทุกอย่างไว้แบบนั้นชั่วคราว คิดไม่ออกก็ไม่คิด ไม่สนใจจะเข้าไปโพสต์อะไรทั้งหรือรีทวิตให้ใครทั้งนั้น ผมปิดหน้าจอลงเงียบ ๆ แล้วกระโดดลงไปนอนบนเตียง

นี่ผม...กำลังเป็นอะไรกันแน่นะ

เช้าวันถัดมา ผมดำเนินกิจวัตรประจำวันทุกอย่างตามปกติ เช้าไปเรียน สายนั่งเม้าท์มอยท์กับเดอะแก๊ง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือวันนี้ผมจะได้เปลี่ยนที่นอนเป็นการชั่วคราวหนึ่งวัน

หลังจากเมื่อคืนผมกลับถึงห้อง น้องแม็กซ์ก็ไลน์ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมดูแล้วขมวดคิ้วหน่อย ๆ เพราะระยะทางจัดว่าค่อนข้างไกลจากที่พักของผมซะทีเดียว แต่ในเมื่อรับปากว่าจะไปหาแล้วก็ต้องไปหา ผมเก็บข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ (ในหลาย ๆ ความหมาย) ลงกระเป๋า ไม่ลืมแวะซื้อแปรงสีฟันหนึ่งอัน หลังจากนั้นก็พร้อมเดินทาง

ผมโดยสารรถตู้สองต่อ ต่อแรกจากในมอออกไปห้างสรรพสินค้า แล้วต่อไปอีกรอบเพื่อไปถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกแห่งฝั่งศาลายา พอรถไปถึงก็ต่อสองแถวไปลงแถวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มองซ้าย แลขวา เดินตามพิกัดโลเคชั่นไลน์ไปเรื่อย ๆ ก่อนจะถึงบ้านหลังหนึ่งตามที่อีกฝ่ายไลน์มาบอกทิ้งไว้

ผมกดโทรศัพท์โทรผ่านไลน์ไปหาเจ้าแม็กซ์ ไม่ถึงครึ่งนาทีอีกฝ่ายก็รับสาย

‘สวัสดีครับพี่เสือ’

“ครับ พี่อยู่หน้าบ้านแม็กซ์แล้วนะ”

‘จริงเหรอครับ?’ เสียงเจ้าตัวว่าอย่างตื่นเต้น ผมได้ยินเสียงวิ่งกุกกัก ๆ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะเปิดประตูด้านในโผล่หน้าออกมา

“พี่มาจริง ๆ ด้วย” น้องแม็กซ์ว่า ผมกดวางสายแล้วยิ้มให้เขา

“มาสิ รับปากไว้แล้วว่าจะมาก็ต้องมา”

“มาเพราะรับปากเหรอ นึกว่ามาเพราะอยากมาหาผมซะอีก” เขาว่าเสียงอ้อน เดี๋ยวเถอะ วันนี้จะไม่ได้นอนนะเราน่ะ อ้อนกันตั้งแต่หน้าประตูบ้านแบบนี้ ผมก็แพ้ทางหมดสิครับ

น้องแม็กซ์ยังอยู่ในชุดนักเรียนแต่ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง เขาเดินออกมาเปิดประตูนอกให้ผมเข้าไป ล็อกกลอน ก่อนจะเดินนำเข้าไปในตัวบ้านทาวน์เฮ้าท์ขนาดกลางหลังหนึ่งที่มีรถมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ จอดด้านข้าง ผมถอดรองเท้าผ้าใบวางไว้หน้าบ้านแล้วเดินตามหลังเขาเข้าไป ก่อนเจ้าตัวเล็ก จะปิดประตูหลังผมเดินเข้ามาเสร็จ

“คิดถึงพี่จัง” เจ้าตัวเล็กไม่ว่าเปล่า กอดผมเต็มรักพร้อมพูดไปด้วย

“พี่ก็คิดถึงเราครับ” ผมว่าพร้อมกอดเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้วางกระเป๋า เรายืนกอดกันแบบนั้นก่อนผมจะทำจมูกฟุดฟิดไปตามเสื้อผ้าของเขา

“ไปอาบน้ำกันก่อนไหม?” ผมชวน น้องแม็กซ์ย่นจมูกก่อนจะพูดตอบ

“แม็กซ์ชอบอาบน้ำก่อนจะนอนครับ ยังไม่อยากอาบตอนนี้เลย นี่ก็ยังไม่ได้ทำการบ้านเลยครับ” เจ้าตัวว่า ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะปลดกระเป๋าวางไว้บนโต๊ะโล่ง ๆ ตัวหนึ่ง

“ขึ้นไปห้องนอนกัน” เจ้าตัวว่าพร้อมก้าวนำ ผมเดินตามพร้อมมองข้างทางไปด้วย แม้จะมีขนาดกลางแต่พื้นที่ด้านในตัวบ้านกลับมีเนื้อที่ค่อนข้างเยอะ ข้าวของวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ริมผนังบ้านมีกรอบรูปครอบครัวหลายกรอบแขวนไว้ด้านบน รวมไปถึงกรอบรูปพระหลาย ๆ รูปพร้อมหิ้งพระด้านบน ทุกอย่างดูเรียบร้อยไปหมดจนเหมือนไม่มีคนอยู่ด้วยซ้ำ

น้องแม็กซ์พาผมเดินผ่านมาถึงสองห้อง ก่อนจะพบว่าห้องเขาอยู่ชั้นสองห้องในสุด พอเปิดประตูเข้าไปผมก็พบเจอกับโปสเตอร์นักร้องชาวเกาหลีหลายคน

“เป็นติ่งเหรอเรา” ผมทักแซว น้องแม็กซ์ยิ้มเขิน เกาหัวแล้วตอบกลับ

“ไม่ใช่เกาหลีนะ จีนต่างหาก”

“แปลกดี ลูกครึ่งแต่ชอบอะไรจีน ๆ ” ผมว่าตอบ

“ผมขอบอะไรตี๋ ๆ น่ะครับ แบบคนนี้” เขาว่าพร้อมชี้นิ้วไปที่โปสเตอร์ใบหนึ่งที่ติดไว้ “ว่าที่แฟนในอนาคตของผมเอง แฮ่” เจ้าตัวหยอกล้ออย่างขบขัน ผมหัวเราะไปกับมุกตลกนั้นก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง พอเห็นแบบนั้นเจ้าแม็กซ์เลยทิ้งตัวลงมานอนบ้างก่อนจะเอาหัวหนุนพุงของผมไว้

“ดีจังเลยที่พี่มาหาผม....”

“...”

“...ไม่งั้นผมคงต้องอยู่คนเดียวไปอีกนาน” เขาว่าเสียงเรียบ

ผมลูบหัวปลอบเจ้าแม็กซ์ สารภาพตามตรงว่าแม็กซ์ไม่ใช่เด็กคนแรกที่ผมรู้จัก ไปหา และปลอบใจเขาเงียบ ๆ แบบนี้ จริง ๆ ก่อนหน้านี้ก็มีน้องคนหนึ่งเหมือนกันที่ผมเคยคุย ๆ อยู่บ้าง แต่เราก็ห่างกันไปด้วยสาเหตุบางประการ แต่จุดเริ่มต้นก็คล้าย ๆ กับแม็กซ์ เด็กมัธยมปลายในครอบครัวคนชนชั้นกลางที่พ่อแม่มีปัญหากันเลยปล่อยลูกไว้ตามลำพัง

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

ไม่ว่าสังคมนั้นจะเป็นสังคมขนาดเล็กแค่ไหนก็ตามแต่ ขอแค่คนใน ‘สังคม’ พร้อมจะตอบรับเขาเข้าเป็น “สมาชิก” ในครอบครัว บางครั้งแล้วต่อให้รู้ว่าเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ดี แต่ขอแค่มีโอกาสได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ขอแค่มีโอกาสได้มีความสำคัญจากใครสักคน

....หรือแม้แต่มีมูลค่ากับใครสักคนในฐานะเซ็กซ์ทอยมีชีวิตก็ตามแต่

บางครั้งแล้วเด็กพวกนี้ก็เป็นแค่เด็ก ๆ ที่หลงกลอยู่ในวังวนของสังคมที่แหลกเหลว

พวกเขาเป็นแค่ “เหยื่อ” จากความไม่พร้อมของครอบครัว ๆ หนึ่ง เป็นเหยื่อจากสังคมแพ้แล้วคัดออกที่พยายามเขี่ยและจำกัดพวกที่แปลกแยกจากระบบก้มหน้าให้ออกไปเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าเพียงลำพัง

ผมถึงพูดเสมอตลอดระยะเวลาที่เรียนที่คณะของผม การเลี้ยงดูเด็กสักคนให้เติบโตขึ้นมาในสังคมไม่ใช่แค่มีเงินแล้วทุกสิ่งจะสมบูรณ์แบบ มากกว่าเงินทองที่ก็มีความสำคัญมาก ๆ ในการดูแลคน ๆ หนึ่ง อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือความรักของคนในครอบครัว

ผมดึงเจ้าแม็กซ์พลิกตัวหันมานอนซบอกผมแทน เจ้าตัวเล็กไม่ขัดขืน เขาขยับตัวขึ้นมากอดผมไว้แน่น เอาหน้าซบลงกับอกก่อนจะพูดเสียงอู้อี้

“ขอบคุณอีกครั้งที่มาหานะครับ”

ผมไม่ตอบอะไรกลับ นอกจากลูบหัวเขาเบา ๆ เข้าใจทุกความรู้สึกของคนวัยเยาว์กว่าที่กำลังนอนคว่ำหน้าซบอกผมอยู่ ผมรู้ด้วยซ้ำแม้กระทั่งว่าทำไมเขาถึงอยากให้ผมมาหา เพราะแบบนั้นแล้วจึงทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ คอยโอบกอด และให้กำลังใจเขา ในวันที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่ไหวแล้วกับความเดียวดาย

หลังจากนอนกอดกันสักพักน้องแม็กซ์ก็ถอนแขนออกไป ขอบตาแดงนิดหน่อยก่อนเจ้าตัวจะเช็ดลวก ๆ แล้วเดินขึ้นไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ผมอมยิ้ม แล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เขา

“พี่นอนเล่นก่อนก็ได้นะ หรือหิวไหม ในตู้เย็นผมมีของกินเยอะเลย ไปเอามาทานได้นะครับ” เขาว่าแบบนั้น เพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังแกล้งทำเป็นจดจ่อกับหนังสือตรงหน้าเพราะไม่อยากให้ผมมองตา ผมเลยก็ถอยให้เขาก้าวหนึ่งด้วยการตกลงว่าจะลงไปหาของกินข้างล่าง แล้วเอาน้ำแดงที่อยู่ในตู้มาฝากเขา

ผมก้าวเดินลงอย่างระมัดระวังกับบันไดไม้ในบ้าน เดินลงไปแล้ว เลี้ยวซ้ายตามทางที่น้องบอก พอผลักประตูไม้ที่เป็นตัวกั้นระหว่างห้องเข้าไป ก็เห็นตู้เย็นตั้งอยู่ ผมเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นออกก่อนจะผงะกับข้าวของที่อยู่ในตู้เย็น

เยอะ ...เยอะมาก ผมคะเนแล้วถ้าทานคนเดียวยังไงก็ไม่หมดแน่นอนภายในหนึ่งเดือนแน่นอน

ที่น่ากลุ้มใจคือทั้งหมดนั้นล้วนเป็นอาหารกล่องแช่แข็งที่ถามว่ามีคุณค่าทางอาหารไหม ใช่ มันมี แต่มันไม่เหมาะสมกับเด็กวัยที่กำลังเจริญเติบโต แบบเจ้าแม็กซ์เลยแม้แต่น้อย ผมสำรวจตั้งแต่ช่องฟิซ เห็นถุงถัวลันเตาแห้งสนิทค้างข้างใน พอไล่ชั้นมาก็เจอแต่ของแช่แข็งกับพวกของที่หมดอายุยาก ๆ เช่นพวกแยม พวกนมข้นต่าง  ๆ

พอละจากตู้เย็น ผมก็เดินสำรวจรอบ ๆ ครัว นอกจากถุงขยะสีดำสนิทใบโตสองใบที่ใส่กล่องข้าวแช่แข็งทานหมดแล้วผมไม่เห็นอะไรอื่นอีกเลย แต่ก็ยังมีอุปกรณ์เครื่องครัวข้าวของต่าง ๆ ให้สามารถใช้ได้ ผมเทสต์เตาแก๊สสองสามรอบ พบว่ายังมีแก๊สเหลือมากพอหากคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมาทานง่าย ๆ

เพราะแบบนั้นผมจึงหยิบไปแค่ของวางทานง่าย ๆ ไม่เปื้อนมือสองสามอย่างกับน้ำแดงขึ้นไปให้กับเจ้าของบ้าน ผมเดินเข้าไปในห้องแล้ววางของทั้งหมดไว้ข้าง ๆ เจ้าตัวที่กำลังขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือและทำโจทย์ตรงหน้า พอเขาเห็นผมก็ยิ้มออกมา ก่อนจะรับน้ำแดงยกขึ้นกระดกดื่มแล้วกล่าวว่า

“ชื่นใจจังครับ”

ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนจะนั่งข้างเขา

“แม็กซ์ครับ ปกติทานแต่ของแช่แข็งเหรอ?” ผมถาม เจ้าตัวหันมามองก่อนจะร้องอ๋อเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าผมถามเพราะไปเห็นของในตู้เย็นมา

“ใช่ครับ กินง่าย สะดวกดี อร่อยด้วยย” เจ้าตัวว่าน้ำเสียงทะเล้นลากยาว ผมบิดจมูกน้อย ๆ นั้นด้วยข้อหาหมั่นไส้ก่อนจะบอกความตั้งใจของตัวเองออกไป

“ทำกับข้าวกินกันไหม?” ผมว่า เจ้าแม็กซ์มันมองหน้าผมแล้วถาม

“พี่ทำกับข้าวเป็นเหรอครับ?”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับ อีกฝ่ายก็ส่งเสียงว้าวเหมือนไม่คาดคิด แหม เห็นแบบนี้ผมก็มีเสน่ห์ปลายจวักเป็นของตัวเองนะเว้ย

“มันจะไม่รบกวนเหรอครับ พี่เป็นแขกนะ” เขาว่า

“ใครบอกพี่เป็นแขก พี่เป็นคนไทยต่างหาก“ ผมหยอก เจ้าแม็กซ์เหล่ตามองผมแล้วพูดตอบ

“แม็กซ์จะบอกว่าถ้าแม็กซ์มีเงินแม็กซ์จะขอซื้อมุกนี้ไว้ แล้วพี่อย่าไปเล่นมุกแบบนี้กับใครอีกนะ”

“ร้ายนะเรา” ผมว่าผมขยี้หัวเขาด้วยความหมั่นไส้ เจ้าตัวร้องโอ๊ยแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะไหลตัวลงมากึ่งนั่งกึ่งนอนบนตักผม

“นี้ผมไมได้สนทนากับมนุษย์ในบ้านตัวเองนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย” เขาว่าพร้อมเอาจมูกดัน ๆ ขาผม

“ว่าแต่ใกล้เสร็จรึยังครับ พี่ว่าจะชวนเราออกไปซุปเปอร์มาเกตในห้างใกล้ ๆ แถวนี้” เพราะผมพูดแบบนั้น เจ้าตัวเลยหูตั้งขึ้นมา ก่อนจะยกมือว่า ขอเวลาสักครู่ แล้วเร่งจรดปลายปากกาเขียนอะไรลงไปในหน้าสมุดการบ้านของเขาอีกสักพัก ก่อนจะส่งเสียงไชโยออกมาหลังจากวางปากกาลง

“ไปซื้อของมาทำกับข้าวกัน” เจ้าตัวว่าเสียงใส วิ่งลิ่ว ๆ ไปเปิดตู้ซื้อผ้า ถ้าผมเปรียบโชว่าเหมือนเจ้าตัวนากเผือก น้องแม็กซ์สำหรับผมก็ไม่ต่างอะไรจากชิบะตัวเล็ก ๆ ซึ่งเจ้าชิบะตัวนี้กำลังดีใจเหมือนเจ้าของจะพาออกไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะอย่างไรอย่างนั้น

น้องแม็กซ์ถอดเสื้อนักเรียนพร้อมกางเกงออกเหลือแต่บ็อกเซอร์ข้าวหลามตัดสีเทา ผมผิวปากแซวความขาวเนียนของแผ่นหลังเจ้าตัวดีแล้วเดินไปลูบไหล่เขาเล่น

“พี่”เจ้าแม็กซ์เรียกผมเสียงเข้มทั้ง ๆ ที่ยังหันหลัง

“ครับ”

“อย่าลูบ...เดี๋ยวผม ‘ตื่น’”

ผมหลุดขำความไม่ประสีประสาของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะถอยหลังออกมาตามคำแนะนำนั้น เพราะถ้าน้องแม็กซ์น้อย ‘ตื่น’ เดี๋ยวเราสองคนจะได้ทานข้าวเย็นกันช้าเปล่า ๆ พอผมไม่แกล้งเขาก็จัดการตัวเองเรียบร้อยภายในห้านาที น้องแม็กซ์ใส่เสื้อคอปกสีดำแขนสั้นรูปมิกกี้เม้าส์พร้อมกางเกงยีนต์ขนาดพอดีตัว ก่อนจะเซ็ทผมนิดหน่อยเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแต่งตัวของเขา

พอแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถมอเตอร์ไซค์ และกระเป๋าเงิน น้องแม็กซ์ก็ปิดประตูเล็กก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูใหญ่ ในฐานะคนที่อาวุโสกว่า ผมจึงเป็นฝ่ายรับหน้าที่ในการเป็นสารถีครั้งนี้ พอเข็นออกมาได้น้องแม็กซ์ ก็ยื่นหมวกกันน็อคมาให้กับผม แต่เพราะมีอยู่ใบเดียวผมจึงปฏิเสธเพื่อให้เขาเป็นคนใส่แทน

“พี่ใส่เถอะ ถ้าพี่เป็นอะไรผมช่วยพี่ไม่ได้ แต่ถ้าผมเป็นอะไร พี่ช่วยหรือยกผมไหวแน่ ๆ  ...โอ๊ย” เจ้าตัวร้องโอ๊ย หลังเล่นมุกไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบตอนนี้ ผมยิ้มหัวเราะกับท่าทีทำเป็นเหมือนเจ็บมากของเจ้าเด็กน้อง ก่อนจะรับหมวกมาแล้วเอาไปใส่ไว้ที่หัวของเขา เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายจึงยืนดูผมสวมหมวกให้เขาเฉย ๆ

“ขอบคุณนะครับ” น้องแม็กซ์ว่าเสียงใส ผมยิ้มให้ ก่อนจะสตาร์ทแล้วให้ เจ้าตัวเล็กขึ้นซ้อนมาด้านหลัง พอขับมาได้ มือของน้องแม็กซ์จากจับเบาะก็เปลี่ยนมาเป็นกอดเอวของผมไว้หลวม ๆ แทน

“ไม่ว่าใช่ไหมครับ?” เจ้าตัวว่า ผมตะโกนโต้ลมกลับไป

“ไม่ว่า ๆ กอดแน่น ๆ ได้เลย”

ไม่แน่ใจว่าเพราะต้องการประชดผมรึเปล่า เจ้าแม็กซ์เลยกอดเอวผมซะแน่นจนไขมันรอบเอวผมรัดไปหมด เราสองคนสนทนาโต้กลับสายลมที่พัดผ่านระหว่างการเดินทาง น้องแม็กซ์บอกทางผมไปเรื่อย ๆ ก่อนเราจะมาถึงห้างสรรพสินค้าในย่านแถวนี้ในเวลาไม่นาน

ผมขับรถเข้าไปจอดในชั้น B ก่อนเราจะเดินทะลุประตูเข้ามาในห้าง เพราะตั้งใจว่าจะเดินไปเลือกซื้อพวกของสดกันก่อน เป้าหมายของเราจึงเป็นการเดินลงไปที่แผนกสินค้าสด จำพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักไม้ใบหญ้าพร้อมพวกเครื่องปรุงหรือของแห้งบางชนิดที่เกี่ยวกับการทำอาหาร

พอมาเดินข้าง ๆ กันแบบนี้แล้วต้องบอกว่าเจ้าแม็กซ์เองก็ดูฮอตไม่หยอกเลยครับ จากสายตาที่ทั้งมองมาโต้ง ๆ และแอบ ๆ มองมา ก็แน่ละ เด็กลูกครึ่งที่ทั้งสูงทั้งขาวเบอร์นี้ จะเป็นเป้าสายตาก็คงไม่แปลกอะไร และดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะน้องแม็กซ์ดูไม่ได้ซีเรียสอะไรจากสายตาที่มองเข้ามาเท่าไหร่

“โอ๊ย!!” และก็เป็นผมเองที่ร้องขึ้นครั้งแรกหลังฝ่ามือของเราบังเอิญชนกันและเกิดประจุไฟฟ้าสถิตเข้ามาทำงาน

“แม็กซ์แกล้งพี่” ผมแกล้งบ่น เจ้าแม็กซ์อ้าปากหัวเราะก่อนจะพูดหยอกกลับ

“ถ้าผมช็อตพี่ได้จริงนะ ผมไม่ช็อตแค่นั้นหรอก” เขาว่า

“โห้ย เจ้าเด็กใจร้าย...โอ๊ย!!” ผมร้องขึ้นมาอีกรอบหลังหลังมือของผมเผลอไปโดนแล้วช็อตอีกรอบ แต่รอบนี้เหมือนอีกฝ่ายจะโดนไฟช็อตเหมือนกัน เพราะแอบสะดุ้งกันไปคนละทิศคนละทาง เราร้องอู้ย กะนิดหน่อยแล้วเว้นระยะห่างขึ้นมาอีกนิดเพื่อป้องกันไฟช็อตแบบเมื่อสักครู่อีก เจ้าแม็กซ์หยิบมือถือขึ้นมา กดคลิก ๆ ไม่กี่ครั้งแล้วหันมามองหน้าผม

“พี่เสือ”

“ครับ ว่า?”

“เขาบอกว่าถ้าไม่อยากโดนไฟดูดให้จับมือกันเดินอ่ะครับ”

 ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยื่นมือถือมาให้ผมดูว่าเขาไม่ได้โมเมขึ้นมาเอง ผมรับมาอ่าน ก่อนจะขมวดคิ้วและเข้าใจแล้วว่าประจุในร่างกายคนเราไม่เท่ากันนี่เอง จึงทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นมาช็อตได้และถ้าจับมือกันเดินแบบที่เขาว่า มันจะทำให้ประจุในร่างกายของคนสองคนแลกเปลี่ยนกันไปมาและเท่ากันในที่สุด

“เอาสิ” ผมว่าพร้อมยื่นมือออกไปหาคนข้าง ๆ ไม่ใช่คนแรกของผมซะหน่อยที่จับมือกันเดินทั่วห้างนะ

แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นครั้งแรกของเจ้าเด็กข้าง ๆ ผม น้องแม็กซ์หน้าแดงแปร๊ดเหมือนใครเอามะเขือเทศทั้งสวนมาทาหน้าของน้องมัน ยิ่งเห็นแบบนั้น ผมยิ่งอยากแกล้ง ผมจับมือแล้วดึงเขาเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ

“เขินเหรอ?” ผมว่า เขาพยักหน้ารับคำ

“ผม...ไม่เคย” น้องแม็กซ์ว่าเสียงอ่อน หน้ายังแดงเหมือนเดิม

“ใครบอกไม่เคย วันนั้นกับพี่คืออะไร..อุ๊ก” ผมร้องจุกในตอนท้าย หลังอีกฝ่ายเขินจนทุบแขนผมแรง ๆ

“พี่บ้า พูดอะไรเนี่ย !!” เขาโพล่งเสียงสูงแล้วพยายามกดเสียงให้ต่ำลง เมื่อรู้ตัวว่าพูดเสียงดังไปหน่อย

ผมหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาที่เขาแสดงออกมา ก่อนจะผิวปากเป็นทำนองเพลงแล้วพาเขาเดินลงไปสู่ชั้นล่างต่อไป แม้เขาจะบอกว่าเขินอายมากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือแม็กซ์ดูเหมือนไม่อยากปล่อยมือออกไปจากผมเลย เสียงเพลงจากเสียงตามสายดังขึ้นไปทั่วขณะ เพลงข้าวแสนดีถูกเราร้องล้อเลียนอีกครั้งด้วยโน้ตสูงต่ำไม่เท่ากัน ก่อนเราจะเดินจับมือและหยอกล้อท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาจนถึงบริเวณชั้นล่าง....





Time talk : แฮ่ วันนี้มาดึกเหมือนเคยนะครับ ไหนมีใครคิดถึงความน่ารักและสดใสของน้องแม็กซ์ไหมครับ น้องยังอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่ ๆ เลยนะ เด็กอะไรก็ไม่รู้ เขินทีก็ลงไม้ลงมือที 55555555 ช่วงนี้ผมเหนื่อย ๆ ขออ้อนหน่อยนะครับ แง้ว ๆ /กลิ้งตัวไปมา

ฝากเอ็นดูน้อง ๆ หน่อยนะครับ

Ps. ///"แล้วผมล่ะ?" มนุษย์นากเอยด้วยเสียงแผ่วเบาจากด้านหลังของพ่อแมว

โอเค พ่อแมวต้องรีบหนีไปก่อนแล้วกันนะครับ ไปล่ะนะ เหมี๊ยว !!!

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 22:39:15 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
«ตอบ #94 เมื่อ07-11-2018 02:16:25 »

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
«ตอบ #95 เมื่อ07-11-2018 21:00:58 »

บางคนก็สามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้ทุกครั้งที่เจอ

ช่วงนี้พี่เสือฮ็อตนะเนี่ย

แม๊กซ์น่ารักจัง สงสารน้องที่ต้องกินแต่ข้าวกล่อง

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.18 Home Alone [Part 1] | P4 | 06/11/2561
«ตอบ #96 เมื่อ08-11-2018 22:32:28 »

 :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0



Ep.19 Home (not) Alone [Part 2]







“เอาไข่ 1 แผง” ผมว่า พลางชี้นิ้วบอกให้เจ้าชิบะตัวน้อยวิ่งดุ๊กดิก ๆ ไปเอาไข่มา 1 แผงตามที่ผมบอก

ตอนนี้เราเดินมาถึงชั้น B แล้ว และกำลังวนรถเข็นเลือกของกันในแผนกของสดของห้างแห่งนี้ ผมคะเนเมนูในใจแล้ว อยากทำต้มจืดหมูสับกับข้าวโพดทอดให้เจ้าหนูนี่ทาน ตอนนี้เราได้ข้าวโพดแล้ว ได้ไข่แล้ว ยังขาดเนื้อสัตว์อีกนิดหน่อย กับพวกเครื่องปรุงและเครื่องผสม เช่นแป้งสาลีสำหรับทำของทอด

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเจ้าเด็กน้อยดูจะยิ้มง่ายมากกว่าแค่การนั่งหงอยอยู่ในบ้านเฉย ๆ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะผมว่า ผมแอบถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียผมก็คงไม่ได้สามารถมาอยู่หรือดูแลเจ้าตัวเล็กได้บ่อย ๆ คงต้องหาวิธีการหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เขาเลิกจมกับปัญหาของตัวเอง

หลังจากเลือกซื้อของที่ต้องใช้ทั้งหมดเสร็จสิ้น ผมกับแม็กซ์ก็มาต่อแถวรอคิวชำระค่าสินค้า

“แล้วนี่ใกล้จะสอบรึยังนะ?” ผมถาม น้องแม็กซ์พยักหน้าพลางเปิดดูโทรศัพท์มือถือ ผมคิดว่าคงเป็นตารางส่วนตัวของเขา

“เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว พร้อมรึยัง?” ผมถาม น้องแม็กซ์หัวเราะแห้ง ๆ แล้วส่ายหน้า

“ผมยังอ่านได้ไม่ถึงไหนเลย” เขาว่า

“พี่จะบอกอะไรให้นะ โตแล้ว จัดลำดับความสำคัญดี ๆ เวลาทุกคนมีเท่ากันหมด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจัดลำดับความสำคัญให้กับอะไรบ้าง เรื่องสอบ เครียดได้ เกร็งได้ แต่ให้มองทุกอย่างเป็นเส้นกลาง ๆ หาทางเลือกเผื่อทางหนีไว้บ้าง หรือถ้ามันที่สุดจริง ๆ ว่าต้องเป็นมหาลัยนี้เท่านั้น ก็พยายามอ่านให้เต็มที่ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ทำต่อไปจนกว่าจะได้ในปีหน้า” ผมว่า

“แม็กซ์ก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าซิ่วคนเดียวก็คงแปลก ๆ พี่เสือว่าระหว่างซิ่วแล้วมาอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน กับเรียนปีหนึ่งไปด้วยแล้วอ่านหนังสือไปด้วย อันไหนโอฯ กว่ากันอ่ะ?” น้องแม็กซ์ถาม ผมนั่งคิดก่อนจะตอบ

“พี่ว่ามันต้องมองหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ถ้าน้องแม็กซ์พร้อม ครอบครัวพร้อมในการจะให้เราซิ่ว ออกมาอยู่บ้านก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะถ้าเราเรียนไปด้วย ไหนจะกิจกรรมปีหนึ่ง ไหนจะบรรยากาศต่าง ๆ มันจะทำให้เราหวั่นไหวจนเป้าหมายสั่นคลอนได้นะครับ” ผมแนะนำ เจ้าแม็กซ์ทำหน้าหงอยไปนิดหน่อยตอนผมพูดถึงคำว่า ‘ครอบครัว’

“2560 แล้ว พี่ว่าชื่อมหาวิทยาลัยยังสำคัญอยู่ไหมครับ?” เจ้าตัวเล็กถามต่อพลางดันรถเข็นไปข้างหน้า รออีกสองคิวก็จะถึงรอบชำระของเราแล้ว

“...เอาตามตรงก็ยังสำคัญ และจะยังสำคัญแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนมาถึงอุดมศึกษา  แต่เรื่องนี้ถ้าจะพูดแล้วคงต้องพูดกันยาวตั้งแต่เรื่องระดับรากฐานของการศึกษา ไปยังอำนาจการปกครองของภาครัฐ ฉะนั้นแล้ว ตอบแบบย่อ ๆ ก็อยากให้เราพยายามให้ดีที่สุดให้ถึงมหาวิทยาลัยที่โอเค ๆ อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อตัวแม็กซ์เองเวลาจบออกไปนั้นแหละครับ” ผมสรุปอีกครั้ง เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง ตอนนี้รอคิวอีกแค่คิวเดียวแล้ว

“เรียนที่ไหนก็ไม่เหมือนกันเนาะ” เจ้าแม็กซ์ว่า ย่นคิ้วขมวดนิด ๆ

“ถ้าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน แล้วเราจะพยายามดิ้นรนอ่านหนังสือกันไปทำไมละครับแม็กซ์ อีกอย่างนะ เอาแค่พูดกันตามหลักเป็นจริงก่อน คือแค่โครงสร้างหลักสูตรหรือตัวคณาจารย์ผู้สอนก็แตกต่างกันแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ว่าเรียนทีไหนก็เหมือนกัน พี่ว่าเขาหมายความว่าได้มีสถานะว่ากำลังเรียนเหมือน ๆ กัน แต่ไม่ได้บอกว่าคุณภาพเท่ากันนะ...” 

ผมสรุปอีกครั้งก่อนจะถึงคิวเราจ่ายเงินค่าสินค้า  น้องแม็กซ์กับผมช่วยกันยกเอาของในรถเข็นออกมาวางไว้บนตัวเค้าท์เตอร์ชำระสินค้า เบ็ดเสร็จรวมไปทั้งหมดจ่ายไป 400 กว่าบาท ก่อนเราสองคนจะช่วยกันหิ้วขึ้นไปบันไดเลื่อนเพื่ออกไปสู่ลานจอดรถจักรยานยนต์

“พี่เสือ เราแวะตรงโน้นแปปหนึ่งได้ไหม?” น้องแม็กซ์ถามระหว่างทางขึ้น ผมมองตามก่อนจะร้องอ๋อ วันนี้มีงาน Expo พวกสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ อะไรทำนองนี้มาเปิดบูธจำหน่ายน้อง ๆ สัตว์เลี้ยงหลากหลายชนิดที่ห้างสรรพสินค้านะครับ  ผมกับเจ้าแม็กซ์หิ้วของไปฝากไว้ที่ด้านหน้าบริเวณจุดรับฝากของทางเข้างาน ก่อนจะเดินเข้าไปชมสัตว์หลาย ๆ ชนิดที่เขานำมาจัดจำหน่าย

“ตัวนั้นแม็กซ์ว่าน่ารักดี” น้องแม็กซ์ว่า พลางชี้นิ้วไปที่แมวขนสั้น ๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นพันธ์อะไร เจ้าเหมียวตัวนั้นน้องอยู่ในกรง หันหน้ามามองพวกเรา ก่อนจะหันหน้าหนีกลับไปแบบไม่สนใจ

“ขนาดแมวยังเมิน” น้องแม็กซ์พลางหัวเราะแห้ง ๆ ไปกับผม

เราสองคนเดินวนเวียนไปงาน มีสุนัขขนาดเล็กพันธ์ต่าง ๆ มาจัดจำหน่าย พร้อมน้องแมว น้องกระต่าย และสัตว์เล็ก ๆ อีกสองสามชนิด พอวนจนครบเจ้าแม็กซ์ก็พูดกับผมว่า

“พี่เสือ พี่เสือว่าแม็กซ์ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวไหม?” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ทำไมถึงอยากเลี้ยงสัตว์ล่ะ?” ผมถามกลับ เจ้าตัวดีทำหน้าประมวลความคิดก่อนจะตอบกลับ

“ก็ เลี้ยงไว้แก้เหงาไง เพื่อนสนิทที่โรงเรียนแม็กซ์หลาย ๆ คนก็เลี้ยงพวกหมาพวกแมวพันธ์สวย ๆ นะ” ผมพยักหน้ารับคำตอบนั้น ก่อนจะหันไปถามเขา

“แล้วแม็กซ์คิดว่าตัวเองพร้อมจะรับผิดชอบทั้งชีวิตของพวกเขาไปตลอดชีวิตแล้วรึยังครับ?”

“...”

“ไม่รู้สิ จะคน หรือสัตว์พวกนี้ ลองได้มีชีวิตดูแล้ว เราก็ต้องทะนุถนอมพวกเขาไปตลอดอายุขัย พี่ก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน แต่การดูแลสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ มันไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจบนะ มันต้องมีทั้งเวลา มีทั้งความรักและการใส่ใจให้กับพวกเขา หมาแมวพวกนี้อาจจะเป็นพาร์ทหนึ่งในความสุขของเรา...." ผมว่า เว้นวรรคแล้วมองหน้าเด็กน้อยที่กำลังตั้งใจฟังผม

"แต่สำหรับพวกเขา เราเป็น ‘ทั้งหมด’ ของชีวิตพวกเขานะครับ”

ผมอธิบายต่ออีกครั้งหนึ่ง น้องแม็กซ์พยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ

“งั้นแม็กซ์ว่า แม็กซ์คงยังไม่เหมาะจะซื้อพวกเขาไปนะ แม็กซ์ว่าแม็กซ์คงยังไม่พร้อมจะดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่นะครับ” น้องแม็กซ์ว่า

“ดีแล้วครับ อย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้จักการเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองก่อนนะ” ผมพูดพร้อมยกมือขึ้นมาดึงแก้มย้วยๆ  นั้น อย่างหมั้นเขี้ยว ทำไมพระเจ้าถึงรักแกมากขนาดนี้ฮะเจ้าแม็กซ์  เจ้าแม็กซ์หัวเราะน้อย ๆ ก่อนเราจะเดินออกจากบูธขายสัตว์เลี้ยงแล้วมุ่งหน้าไปสู่ชั้นบนต่อ รอบนี้กลายเป็นผมบ้างที่ขอเขาแวะข้างทาง

“แม็กซ์ครับ แวะตรงนี้แปปนะ” ที่แท้วันนี้นอกจากโซนสัตว์เลี้ยงแล้วเขายังมีพวกต้นไม้ขนาดเล็กมาเปิดแผงขายด้วย เจ้าแม็กซ์พยักหน้าแล้วเดินผมตามมา ก่อนเราจะเดินวนดูแผงต้นไม้หลาย ๆ แผงที่มาเปิดบูธในวันนี้

“ตรงนั้นสวยดีนะพี่ว่า” ผมพูดพร้อมชี้ไปที่ต้นคลาสซูล่า  ต้นคลาสซูล่าเป็นต้นไม้ที่มีใบอวบ กลม ออกใบซ้อนกัน และมีขนาดเล็ก ออกดอกสีขาวและสีชมพู ผมเคยศึกษาต้นไม้ขนาดเล็กพวกนี้ผ่านตามาบ้าง

...เพราะเคยมีคนแนะนำผมว่า ถ้าเรายังเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตเช่นหมาแมวยังไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ลองหัดเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตที่ดูจะเลี้ยงดูง่ายกว่านั้นลงมาหน่อยเช่นต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ และต้นไม้ต้นแรกในชีวิตของผมก็คือต้นไม้อวบน้ำขนาดเล็กนั้นเอง

‘พี่ว่าสิ่งมีชีวิตมันช่วยเติมเต็มสิ่งมีชีวิตที่ 'ขาดชีวิตชีวา' ได้จริง ๆ นะ’

ผมชะงัก เหม่อมองต้นคลาสซูล่าอย่างเหม่อลอย ก่อนสติจะกลับมาเพราะน้องแม็กซ์สะกิด

“พี่เสือ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาถาม หลังจากผมหันกลับมามองเขา

“เปล่าครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบประโยคง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าโกหกออกไป เจ้าตัวเล็กพยักหน้าขึ้นลง จับต้นแขนผมแล้วว่าต่อ

“แต่ถ้าพี่เป็นอะไร ...เล่าให้ผมฟังได้นะครับ”

ผมยิ้มกว้างกับคำพูดดังกล่าวก่อนจะขยี้หัวเจ้าตัวดีเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจตัวเองก็มีปัญหาแท้ ๆ แต่ก็ยังใส่ใจคนอื่น ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดว่าตัวเองดูเด็กไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ แต่ต้นไม้ทุกต้นต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโต ปัญหาของเจ้าแม็กซ์ ไม่มีใครแก้ไขได้นอกจากตัวเขาเอง แม้กระทั้งผมเองก็ทำได้แค่ให้เขาได้โตไปในทางของเขาแค่นั้นเอง

“พี่ว่า ถ้าอยากเลี้ยงอะไรสักอย่าง ลองปลูกต้นไม้พวกนี้ดูก็ดีนะ” ผมแนะนำ เจ้าแม็กซ์พยักหน้าขึ้นลงถี่ ๆ เหมือนรับทราบก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ตัว

“อย่างน้อยจะได้มีอะไรทำเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วตบไหล่ให้กำลังใจเบา ๆ ก่อนเราจะเดินวนรอบ ๆ งานเพื่อดูว่ามีต้นไมต้นไหนไหมที่เขาอยากได้กลับไปเลี้ยงดูปูเสื่อ สุดท้ายแล้วน้องแม็กซ์ก็เรียกต้นกระบองเพชรแคระที่สามารถออกดอกได้ตามคำบอกเล่าของคนขาย หากแต่คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ เลยกว่าจะถึงวันนั้น

“แม็กซ์จะตั้งใจดูแลจนกว่ามันจะออกดอกครับ” เขาว่ากับผม ก่อนเราจะช่วยกันหิ้วของทั้งหมดกลับไปที่รถจักรยานยนต์พร้อมต้นกระบองเพชรแคระต้นนั้น น้องแม็กซ์กอดเอวผมแน่นเหมือนเคย ก่อนจะเอาจมูกถูไปมาจนผมจักจี้แล้วหัวเราะลั่นไปตลอดทาง ติดที่ว่าผมดันขับรถอยู่เลยเอาคืนไม่ได้

“ปิดประตูด้วยนะพี่เสือ !!!” พอถึงหน้าบ้านเจ้าตัวก็รีบโดดลงรถวิ่งหนีผมไป

“มานี้เลยนะ !!” ผมตะโกนหลงจอดรถมอไซต์ น้องแม็กซ์ไขกุญแจแล้ววิ่งตัวปลิวไปพร้อมกับถุงข้าวของทั้งหลายที่ซื้อมา พอปิดประตูหน้าบ้านเสร็จผมก็วิ่งตามเข้าไปในตัวบ้าน พอเห็นน้องแม็กซ์วางถุงของทั้งหมดบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยกล้ากอดเขาเต็มแรงจากด้านหลัง

“จับได้แล้ว!” ผมว่าพร้อมจักจี้เอาคืนไปมา น้องแม็กซ์ดิ้นไปมาในอ้อมกอด ก่อนเราทั้งคู่จะทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟาข้าง ๆ รู้ตัวอีกทีน้องแม็กซ์ก็หงายตัวมามองหน้าผมที่กำลังคร่อมเขาอยู่

“พี่...บ้า” เขาว่าพร้อมตีไหล่ผมเบา ๆ ผมอมยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นขยับหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ตัวเขาแทน เจ้าเด็กน้อยหน้าแดงเหมือนยังกะว่าเราไม่เคยได้กันมาก่อน ก่อนผมจะเว้นระยะห่างระหว่างเราเหลือแค่ไม่ถึงคืบ

“เมื่อกี้ว่าไงนะ” ผมถาม ตั้งใจให้ลมร้อน ๆ ปะทะกับใบหูของเขา

“ผมบอกว่า..พี่บ้า ชอบแกล้งผม” น้องแม็กซ์พูดเสียงเบาอู้อี้ออกมาจากในลำคอ ยิ่งเห็นแบบนั้นผมยิ่งแกล้ง ด้วยการลดระดับลงไปที่ต้นคอแล้วพูดกระซิบต่อ

“แบบนั้นเขายังไม่เรียกว่าแกล้ง ถ้าแกล้งจริง ๆ ต้องแบบนี้....” ไม่พูดเปล่า ลิ้นของผมแตะลงไปเบา ๆ ที่บริเวณหลังใบหู น้องแม็กซ์ครางฮื่อเสียงยาวก่อนจะทุบหลังผมดักแอ้กจนผมแกล้งกลิ้งทิ้งตัวลงไปกับพื้นด้านล่างแทน

“โอ๊ย” ผมแกล้งร้องเสียงดังอวดครวญ

“พี่เสือ แม็กซ์ขอโทษ แม็กซ์ตกใจ..พี่อ่ะ เล่นอะไรไม่รู้บ้า ๆ ” เจ้าตัวหน้าเสียรีบปลอบผมที่กลิ้งลงไปนอนกับพื้น ผมแกล้งเบะปากเบา ๆ แล้วพูดต่อ

“วันนั้นทำมากกว่านี้แท้ ๆ”

“พี่เสือ !!!” ยิ่งพูดน้องแม็กซ์ยิ่งหน้าแดง ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเขาแทน

“ก้มหน้าลงมา” ผมว่า น้องแม็กซ์ทำหน้างงจนผมต้องพูดเร็ว ๆ อีกรอบ

“พี่บอกให้ก้มหน้าลงมาไงครับแม็กซ์” พอผมดุนั้นแหละเจ้าตัวถึงได้ก้มหน้าลงมาแบบงง ๆ ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะ (เขย่งเท้าแล้ว)จูบลงเบา ๆ ที่หน้าผากของเขาก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นแล้วเกาหัวพูดเขิน ๆ

“...นี่ถ้าพี่สูงกว่าผมนะ ฉากเมื่อกี้คงโรแมนติกน่าดู”

“แม็กซ์ !!!” ผมเรียกน้องเสียงเข้มเป็นการถามว่าส่วนสูงพี่มันทำไมเหรอ? เจ้าแม็กซ์หัวเราะแห้ง ๆ แล้วรีบวิ่งไปหยิบข้าวของ

“ไปทำกับข้าวกัน นะๆๆๆๆ” เขาอ้อนเสียงหวาน ผมส่ายหน้าหัวเราะในความกะล่อน แจกมะเหงกเบา ๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะเดินพาเจ้าตัวดีเข้าครัวไปทำกับข้าว

เพราะอุปกรณ์พวกนี้ไม่ค่อยได้ผ่านการใช้งาน บางอย่างจึงต้องนำไปเช็ดล้างก่อนอีกรอบ ผมขัดกระทะ ส่วนน้องแม็กซ์ล้างน้ำเปล่า พอเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวครบแล้วเราก็เริ่มลงมือเตรียมวัตถุดิบในการประกอบการทำอาหาร ผมหั่นผักใบเขียวเป็นแว่น ๆ ก่อนส่งให้น้องแม็กซ์นำไปล้างน้ำเปล่ากับล้างน้ำเกลืออีกรอบเพื่อความสะอาด หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ พร้อมแกะข้าวโพดลงมาผสมกับแป้งสาลี่ พร้อมเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็จุดไฟ

ผมเริ่มจากการทำข้าวโพดทอดก่อน เพราะต้มจืดใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะสามารถทำสำเร็จ น้องแม็กซ์ปลีกตัวหลีกน้ำมันด้วยการยืนห่าง ๆ แล้วส่งกำลังใจให้แทน

“พี่เสือสู้ ๆ พี่เสือสู้ตาย” เจ้าตัวส่งเสียงเชียร์พร้อมยกดัมเบลที่มีในบ้านขึ้นลงไปด้วย

...แม็กซ์ครับ พี่แค่ทอดอาหาร ไม่ได้ไปออกรบนะลูกนะ

หลังจากทอดข้าวโพดเป็นแพ ๆ สำเร็จ ผมเอาขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันก่อนจะตั้งหม้อต้มน้ำ รอจนเดือดแล้วจึงค่อย ๆ ใส่วัตถุดิบลงไป เหมือน ๆ กับที่เคยทำอาหารกับใครสักคนในความทรงจำ ผมอมยิ้มไปแล้วหย่อนหมูเป็นชิ้น ๆ ลงไปในหม้อ หลังจากชิมแล้วว่ารสชาติน่าจะโอเค ผมก็ปิดฝาหม้อ ลงมันสุก ถึงค่อยปิดไฟลง

“สุดยอด พี่เสือทำอาหารคล่องแคล่วจัง” น้องแม็กซ์ชมเปราะ ผมหัวเราะนิด ๆ เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องทำอาหารเป็น

หลังจากเราช่วยกันทำอาหาร (หมายถึงผมทำอยู่คนเดียวและมีน้องแม็กซ์ยืนยกดัมเบลให้กำลังใจ...) เสร็จสิ้น ผมกับเจ้าแม็กซ์ก็ช่วยกันยกหม้อหุงข้าว หม้อแกงจืด และจานสองใบออกไปตั้งที่โต๊ะกลางบ้าน เปิดทีวีทิ้งไว้หนึ่งช่องแล้วตักข้าวสวยร้อน ๆ แบ่งกันคนละจาน

“ไม่ได้กินข้าวทำใหม่ ๆ เองแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย” เจ้าแม็กซ์ว่า ผมอมยิ้มแล้วขยี้หัวด้วยความเอ็นดู

“เอานี้ เรากำลังอยู่ในวัยกำลังโต กินเยอะ ๆ” ผมพูดพร้อมตักข้าวโพดทอดชิ้นใหญ่ให้

“ขอบคุณครับ พี่นี่ขุนแม็กซ์เก่งจริง ๆ เลย อ้วนขึ้นมาแล้วจะทำยังไงเนี่ย” เจ้าตัวว่าพร้อมจับพุงตัวเอง ผมเบะปาก คนที่มีดัมเบลติดบ้านแบบแกคงไม่อ้วนง่าย ๆ หรอกเจ้าแม็กซ์เอ๊ย !

“อ้วนก็ดีนะ น่ากอดดี”

“จริงเหรอครับ?”

“จริงสิ...” ผมยืนยันกับเจ้าชิบะตัวน้อยที่กำลังจะมีพุงโต ๆ  มโนภาพเห็นเขากำลังส่ายห่างสั้นกุดไปมา

“จะว่าไปแล้วแม็กซ์ถามได้ไหมครับ” เจ้าแม็กซ์ว่า ตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนก่อนจะพูด

“สเปคพี่เสือเนี่ย ระหว่าง ‘คู่นอน’ กับ ‘คนรัก’ แตกต่างจากกันมากน้อยแค่ไหนครับ?”

จบประโยคคำถามนั้นผมสำลักข้าวจนน้องแม็กซ์รีบเทน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมดื่ม พอผมกระดกเอาเศษอาหารผ่านหลอดลมไปได้ก็ตั้งสติสักแปปก่อนจะถามเขากลับ

“ทำไมอยู่ ๆ ถามเรื่องนี้ละครับ” ผมว่า

“ก็แม็กซ์สงสัยไง พี่เสือบอกว่าแม็กซ์เป็นน้องชายคนหนึ่งที่นอนกับพี่เสือได้ แม็กซ์ก็เลยอยากรู้ว่าอ้าว แล้วคนแบบไหนล่ะครับที่พี่เสืออยากได้เป็นแฟน” เขาถามเสียงซื่อ เอียงคอสงสัยเหมือนไม่ได้ตั้งใจถามออกมาแต่แววตาสื่อออกว่าผมอยากรู้จริง ๆ นะครับพี่ชาย

ผมนั่งคิดสักพักเพราะเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีใครถามผมมาก่อน

“สำหรับพี่นะเหรอ ก็พูดยากนะ ถ้าเอาจริง ๆ พี่ว่าพี่ก็คงชอบคนที่แบบ อายุมากกว่าพี่ โตกว่าพี่ และก็มีความเป็นผู้ใหญ่ละมั่ง ? อันนั้นน่าจะเป็นสเปค ส่วนคู่นอนพี่ไม่ค่อยเลือกมากนะ เพราะคู่นอนก็คือคู่นอน พี่เองก็ไม่ได้งานดีถึงขนาดชี้นิ้วเลือกได้ พี่ก็คงจะเลือกแค่แบบ ไม่ได้แย่จนเกินไปอะไรแบบนั้นอ่ะครับ” ผมให้ความเห็นในมุมมองส่วนตัว น้องแม็กซ์พยักหน้าอีกครั้งแล้วถามต่อ

“เห็นพี่บอกว่าชอบคนอายุมากกว่า แล้วคนอายุน้อยกว่าเคยอยู่ในสายตาพี่บ้างไหมครับ แบบ...พี่เคยมีแฟนอายุน้อยกว่าไหม?”

เป็นอีกครั้งที่ผมสะดุดกึกกับคำถามดังกล่าวที่น้องแม็กซ์ถามผมมา ผมมองจัองผ่านเข้าไปในดวงตาเล็ก ๆ ทั้งสองข้างนั้น สีหน้าลูกครึ่งของเขาไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แม้จะมีวูบหนึ่งที่เขาหวั่นไหวจนเฉหน้าไปทางอื่น

“พี่เสือ...” เขาเรียกผม สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ครับแม็กซ์ .. มีอะไรอยากบอกพี่รึเปล่า?” ผมถาม ใบหน้านั้นขมวดคิ้วเล็ก ๆ กรอกตาไปมา ก่อนจะส่ายหน้าให้กับผม

“ไม่มีอะไรครับพี่ แม็กซ์จะถามว่าทำไมพี่ทำกับข้าวอร่อยจังเลย” เจ้าตัวพูด พร้อมจิ้มข้าวโพดทอดเข้าปากแล้วเคี้ยวง้ำ ๆ เป็นเด็กน้อยอีกครั้ง ผมหัวเราะเบา ๆ แต่ในเมื่อเขาอยากเปลี่ยนเรื่องไม่กล่าวถึงข้อสงสัยบางอย่างที่ผมอยากจะถาม ผมก็ยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่เขาต้องการก็ได้

“พี่ทำอาหารทานเองบ่อย ๆ มันประหยัดนะ” ผมเล่าถึงเหตุผลที่ตัวเองทำอาหารเป็น น้องแม็กซ์พยักหน้าก่อนจะถามอะไรต่ออีกสองสามอย่าง เรานั่งคุยกันไป หัวเราะกันไป

...โดยที่บทสนทนาเกี่ยวกับแฟนเก่าที่อายุน้อยกว่าของผมไม่วนเวียนกลับมาที่โต๊ะอาหารอีกเลย 

หลังทานข้าวเย็นเสร็จ น้องแม็กซ์ยกหม้อต้มจืดที่ยังเหลือไปแช่ไว้ในตู้เย็น ส่วนข้าวโพดหมูสับทอดนั้นหมดเกลี้ยงตามที่เราคิด เราสองคนช่วยกันยกข้าวของจานชามทั้งหมดมาล้าง ก่อนจะเช็ดให้แห้งแล้วเอาเข้าตู้เก็บของต่อไป

“น้องแม็กซ์อยากไปอาบน้ำยังครับ?” ผมถาม หลังเห็นว่าเวลานี้ก็ดึกพอประมาณแล้ว เจ้าตัวดียิ้มแฉ่งก่อนจะหันมาพูดกับผมเสียงใส

“พี่จะอาบก่อนหรือผมอาบก่อน?” ผมยักคิ้วให้คำถามนั้นแล้วถามกลับแทน

“อาบพร้อมกันไม่ได้เหรอ?”

เจ้าแม็กซ์หน้าขึ้นสีเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าขึ้นลงเป็นอันตกลง ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปช่วยทำให้ตัวเขาเปลือยเปล่าไว ๆ หลังจากเตรียมผ้าเช็ดตัวสองผืนไว้ราวตากผ้าหน้าห้องน้ำผมกับน้องแม็กซ์ก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน



(เนื่องจากผิดกฎของทางเว็บไซต์ ขออนุญาตเจอกันในรวมเล่มแจ๊ คิคิ)



“พี่เสือคนหื่น !!!” เจ้าชิบะน้อยหน้าแดงหลังเราเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีที่ทำให้อีกคน ‘ตัวเบา’ ขึ้นมาได้ ผมกระดกนิ้วเรียกเขาเข้ามาหา เจ้าตัวทำหน้างอแต่ก็ยอมเดินลงมาหาแต่โดยดี

“ก้มหัวลงมาครับ พี่จะเช็ดหัวให้แห้งให้” ผมว่า แม้จะยันงอน ๆ ที่โดนผมแกล้งไปแต่เขาก็ก้มหัวลงมาแต่โดยดี

ผมค่อย ๆ บรรจงเช็ดศีรษะให้น้องแม็กซ์อย่างเบามือ พอเช็ดเสร็จจนแห้งเจ้าตัวก็ทิ้งหัวลงมาซบกับอกผม

“พี่เสือ แม็กซ์มีความสุขจังเลยครับ”

“เรามีความสุขพี่ก็ดีใจครับ” ผมตอบจากใจจริง ก่อนจะช่วยเจ้าเด็กโข่งสวมชุดนอนผ้าพลิ้ว แล้วแข่งกันล้มตัวนอนลงบนฟูก เจ้าแม็กซ์กับผมผลัดกันจักจี้อีกฝ่ายไปมา พอเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วผมเลยเดินไปปิดไฟก่อนจะล้มตัวนอนแล้วกอดเขาไว้หลวม  ๆ

“พี่เสือ...” น้องแม็กซ์หันหน้ามามองตาผมในความมืด

“ครับ?”

“ไม่ทำ ‘ต่อ’ จากเมื่อกี้เหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อกี้อีกฝ่ายออกอาการว่าเจ็บปวดจากการกระทำดังกล่าว ผมจึงชะงักแล้วเป็นฝ่ายทำให้เขาตัวเบาไปแทน

“พี่ไม่อยากทำเราเจ็บ” ผมว่า แต่ไม่ได้บอกเขาออกไปว่าผมหมายถึงทั้งทางตรงและทางอ้อม

“อ้าว ก็พี่...มาหาแม็กซ์เพราะอยากทำกับแม็กซ์ไม่ใช่เหรอครับ?” น้องแม็กซ์ถามเสียงด้วยน้ำเสียงงุงงง ผมยิ้มมุมปากออกมาแม้จะรู้ว่าเขาน่าจะมองไม่เห็นว่าผมกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน

“แม็กซ์ครับ...ไม่มีพี่ชายคนไหนอยากทิ้งน้องชายไว้บ้าน ‘คนเดียว’ หรอกนะครับ”

“...”

 

“พี่เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่าพรุ่งนี้พี่จะต้องกลับบ้านไป กลับไปที่ ๆ ของพี่ และในทุก ๆ วันแม็กซ์จะต้องทนอยู่กับตัวเองในบ้านหลังนี้ อาจจะเหงา อาจจะเปล่าเปลี่ยวไปบ้าง แต่เราล้วนเปลี่ยนความจริงใน ‘ตอนนี้’ ไม่ได้ ครอบครัวนะ บางครั้งแล้วเราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง ไม่ว่าครั้งหนึ่งมันจะเคยแตกสลายลงไปก็เถอะ”

“สำหรับพี่นะ จะเป็นพี่น้องที่ ‘มีอะไรกันได้’ หรือพี่น้องที่ ‘ไม่มีอะไรกัน’ เราก็ยังรู้จักกันเสมอ แม็กซ์ยังขอความช่วยเหลือพี่ได้ พี่ยังพูดคุยกับเราได้เหมือนเดิม พี่จะไม่หายไปไหนถ้าเราไม่เป็นฝ่ายหายไปจากพี่ก่อน”

“....”

“ถ้าอยากจะมี sex จงมีเพราะเราพึ่งปรารถนาที่จะมีความสุขกับใครอีกคน แต่อย่าใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อคลายความรู้สึกอะไรของตัวเองสักอย่าง หัวใจคนเราก็เหมือนร่างกายนั้นแหละ ตราบเท่าที่ร่างกายยังต้องการสารอาหาร หัวใจของเราก็คงต้องการการเติบเต็มบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่เราต้องมีสติ ต้องรู้ทันมัน ต้องรู้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องผิดชอบชั่วดีต่าง ๆ” ผมว่าต่อ

“ครับพี่...”

“พี่แค่อยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องยินยอมทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ใครสักคนมาอยู่กับเราแค่ในช่วงเวลา ๆ หนึ่งหรอก พี่รู้ พี่เข้าใจ การอยู่คนเดียวมันเจ็บปวดและทรมานแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วหนูจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวหนูเอง หนูจะเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไม่มีความสุข พี่เชื่อว่าหนูทำได้มากกว่าแค่หาคู่นอนชั่วคราวอย่างพี่หรือใคร ๆ มาปลอบใจในบางเวลาที่หนูเหงา...”

“พี่เสือ” น้องแม็กซ์เรียกผมด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ซบหน้าเข้ากับอก

“พี่รักหนูเสมอนะครับ ‘น้องชาย’ ของพี่” ผมพูดพร้อมกอดกระชับอีกฝ่ายมากขึ้น น้องแม็กซ์ร้องไห้ออกมาจนผมทำได้แค่ลูบหับปลอบใจเขาไปเรื่อย ๆ

ยิ่งมอง ยิ่งดู ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองในอดีต

ไม่มีใครหรอกที่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไปแม้กระทั้ง “ครอบครัว” และผมก็ไม่อาจสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในข้อนี้ได้ ผมทำได้แค่ให้กำลังใจ ให้ความอบอุ่นชั่วคราวแก่เขา เพราะงั้นแล้วในทุก ๆ เช้าวันต่อไป...

....ผมหวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขได้แม้จะต้องใช้ชีวิต “อยู่คนเดียว”




Time talk : ฉากในห้องน้ำมัน... ฟหกดเ่้าสสดสดส!!!!

เอาเป็นว่าอาจจะมี Part 19.5 ครับ แฮ่ แต่ผมกำลังลังเลใจเฉย ๆ ว่าจะเอาลงเว็บฯด้วยดีไหม หรือรอร่วมเล่มทีเดียวเลยดี แต่ส่วนตัวเป็นอีกฉาก NC ที่ผมมองว่าผมเขียนออกมาโอเคในแง่ของความไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย อ่านกี่รอบก็ยังรู้สึกว่าน่าจะเป็นฉาก NC ที่คนอ่านเรื่องนี้จะชอบและเข้าใจผมอยู่นะว่าทำไมผมถึงเขียนฉากนี้ประมาณนี้

ว่าแต่ว่า ทุกคนสบายดีไหมครับ? ขอโทษที่พาน้อง ๆ มาหาช้านะครับ เรื่อง 19.5 ขอดูอะไรอีกรอบก่อน แต่ถ้ายังไงเว็บเด็กดีคงไม่มี น่าจะต้องไปเจอที่อื่น ผมจะแจ้งอีกทีผ่านหน้าทวิตเตอร์ "พ่อแมวพุงโต" นะครับ

"ญี่ปุ่นไปง่ายกลับยากขนาดนั้นเลยเหรอ" เสียงบุคคลปริศนาที่หายตัวไปแล้วเกือบ 5 ตอนพูดขึ้นมา โอเค พ่อแมวต้องรีบวิ่งกลับเข้ารังแล้ว ไปก่อนแล้วนะครับเหมี๊ยว !!!

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
 :mew2: :mew2: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19.5 In the bathroom | P4 | 18/11/2561
«ตอบ #99 เมื่อ18-11-2018 22:44:04 »


Ep.19.5 In the bathroom


“มา พี่อาบให้” ผมบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อเจ้าเด็กน้อยตรงหน้ายังหน้าแดงเปร๊ดทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกันครั้งแรกสักหน่อย เจ้าแม็กซ์เอามือกุมแม็กซ์น้อยไว้ ก่อนจะขยับมาใกล้ ๆ แล้วให้ผมค่อย ๆ บรรจงอาบน้ำให้ทั่วร่างกาย มือข้างหนึ่งถือฟักบัว ส่วนมืออีกข้างผมก็ลูบไล้ไปตามร่างกายของเด็กม.ปลายวัย 18

“อ๊ะ...” เจ้าแม็กซ์ร้องออกมาหลังผมเลื่อนมือไปบีบแก้มก้นเขาเบา ๆ เมื่อลูบน้ำไปถึงบริเวณนั้น

ผมแขวนฟักบัวไว้ที่เดิม ก่อนจะค่อย ๆ บีบโฟมอาบน้ำลงใส่มือแล้วลูบจากบริเวณหัวไหล่ปลาร้าไปต้นคอ ก่อนจะย้อนกลับมาที่หน้าอก ไม่วายแอบหยอกเขาเบา ๆ ด้วยการเอานิดสะกิดที่หัวนมทั้งสองข้าง เจ้าแม็กซ์ร้องออกมาอีกคำสองคำ ก่อนผมจะกอดเขาจากทางด้านหลังแล้วสอดนิ้วเข้าไปที่ช่องทางตรงหน้าที่ละนิ้วอย่างช้า ๆ

“ถ้าเจ็บบอกพี่นะครับ” ผมว่า ค่อย ๆ ขยับนิ้วเข้าไปที่ละนิดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเจ็บมากเกินไป พร้อมกับมืออีกข้างที่ช่วยปรนเปรอความสุขให้อีกฝ่ายจากด้านหน้า นิ้วของผมสัมผัสได้ถึงสารคัดหลั่งเหลว ๆ ที่ค่อย ๆ หลั่งออกมา ผมขยับเอานิ้วชี้และนิ้วโป้งวนเขี่ยบริเวณปลายท่อปัสสาวะก่อนจะรูดขึ้นลงอย่างเบามือ

เสียงครางออกมาจากลำคออย่างแผ่วเบา แต่กลับดังไปทั่วทั้งห้องน้ำ ก่อนจะค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะการขยับมือของผมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตอนนี้นิ้วของผมเข้าไปเกือบสุดปลายนิ้วแล้ว พร้อมทั้งค่อย ๆ หมุนอย่างแผ่วเบาเผื่อเป็นการรีแลกซ์ให้กับอีกฝ่าย

“พะ..พี่เสือ พอก่อนครับ” น้องแม็กซ์ว่า ผมยิ้มแล้วค่อย ๆ ดึงนิ้วออกมา ไม่วายแอบกระทุ้งน้องเบา ๆ เป็นการแกล้ง เจ้าตัวหน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไงหันมาตีผมหนึ่งทีเบา ๆ ข้อหาแกล้งเขาก่อนจะก้มหน้ามองส่วนสงวนของผมที่แข็งโด่ออกมาเต็มที่ ผมเอาหลังพิงกำแพง แกล้งยกมือประสานไว้หลังท้ายทอย รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

“พี่อยากให้ผมทำให้ไหม?” เขาถามเสียงสั่น ๆ ผมอมยิ้มแล้วตอบกลับ

“แล้วแต่เราอยากทำให้พี่เลยครับ”

ผมว่าแบบนั้น ก่อนจะผิวปากเบา ๆ ก้มมองคนอายุน้อยกว่าทำท่าลังเลใจ นิ่งไปอึดใจ น้องแม็กซ์คุกเข่าลงตรงระหว่างขาของผม มือนุ่ม ๆ สองข้างค่อย ๆ จับลำทั้งลำรูดขึ้นลง ก่อนจะก้มหน้าเอาริมฝีปากครอบไว้บริเวณปลายหัว ผมหลับตา แหงนหน้าแล้วครางเบา ๆ เสริมบรรยากาศ ก่อนจะลูบหัวเขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบและให้กำลังใจ

อาจจะเพราะเลเวลไม่สูงมาก ยังมีบ้างที่ฟันน้องแม็กซ์จะครูดไปมาบริเวณส่วนปลายของผม แต่นั้นกับรู้สึกเสียวไปอีกแบบ ผมลืมตามองหน้าเจ้าเด็กที่กำลังพยายามทำให้ผมมีความสุขด้วยท่าทางไม่ประสีประสาก่อนจะสั่งเขาเป็นจังหวะ

“แม็กซ์ครับ มองหน้าพี่” ผมว่า พร้อมดึงแท่งของตัวเองออกมาจากปากเล็ก ๆ ของน้องแม็กซ์

“อ้าปากครับ...เอาลิ้นวนตรงหัวให้พี่หน่อยครับ”

ผมพูด พร้อมจับทั้งแท่งฟาดไปเบา ๆ บริเวณริมฝีปาก และแก้ม น้องแม็กซ์เหมือนรู้งานมากขึ้น หลับตาลงแล้วเอาหน้าถูไปมาจนทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำเหนียว ๆ ที่ไหลออกมาไม่หยุดของผม สายตาที่มองมาที่ผม เหมือนอ้อนวอนของร้องถึงบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านี้

ให้ตายเถอะเซ็กซี่เป็นบ้า โคตรอ้อน...เลย

ผมจับหัวน้องแม็กซ์ตั้งตรง ก่อนจะค่อย ๆ สอดเข้าไปในโพรงแก้มแล้วดันเข้าไปจนสุดทาง รับรู้ว่าอีกฝ่ายถึงขีดจำกัดตรงไหนก็เอาออกมาไม่ให้อีกฝ่ายสำลักคำ พออีกฝ่ายค่อย ๆ ชินกับจังหวะแล้วผมก็ค่อย ๆ โยกเอวแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ

ยอมรับเลยว่าโพรงปากของน้องแม็กซ์ให้ความรู้สึกที่สุดยอดมากจริง ๆ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเพลิงเผาใจมาก ๆ เวลาที่มีเด็กน้อยวัยละอ่อนกำลังพยายามปรนเปรอเรา ยิ่งเห็นท่าที่ตั้งใจนั้นอารมณ์ผมยิ่งพุ่งทะยานไปถึงขีดสุดด้านบน

“ให้พี่เสร็จก่อนเลยไหมครับ?”

ผมถามไปด้วยโยกตัวไปด้วย น้องแม็กซ์ผงกหัวรับทราบเพราะปากไม่ว่างตอบ ผมอารมณ์พุ่งพล่านจนเผลอกระแทกเข้าไปแรงกว่าปกติ ก่อนจะโยกเอวด้วยความถี่มากกว่าเดิม พอถึงจังหวะที่ผมข้ามไปยังอีกฟากฝั่งของความสุข ผมก็ดึงออกมาก่อนจะรูดขึ้นลงให้กระตุกออกมาเป็นสายน้ำเหนียว ๆ รดไปทั่วบริเวณใบหน้าของน้องแม็กซ์ตามที่อีกฝ่ายชอบให้ทำ

ผมรีบดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาจูบ รสน้ำคาวสัมผัสไปทั่วทั้งโพรงปาก น้องแม็กซ์ไม่ได้ลืมตาเพราะมีน้ำบางส่วนเปื้อนที่ดวงตาแต่หลับตาและตอบสนองกับผมอย่างถึงอารมณ์ ปลายลิ้นเล็ก ๆ แม้จะยังไม่คล่องแคล่วแต่ก็พยายามโต้ตอบอย่างสุดกำลัง ปากของผมกำลังรุกไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ มือข้างหนึ่งปรนเปรอด้านหน้าของอีกฝ่าย มือข้างหลังสอดใส่ลงไปด้วยจังหวะที่เร่งสุดขีดเพราะน้องแม็กซ์หอบหายใจหนักขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากโดนผมรุกไล่ได้ไม่ถึงห้านาทีน้องแม็กซ์ก็ครางหอบในลำคอตัวโยน ก่อนช่วงล่างจะกระตุกหลายครั้งรดตัวผมแล้วทำท่าจะทรุดตัวลงเพราะหมดแรงจนผมต้องพยุงตัวไว้ ผมเอื้อมตัวไปเปิดฟักบัว เปิดน้ำเย็น ๆ ชโลมล้างหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนเจ้าตัวจะลืมตาเงยหน้ามองผมแล้วบอกคำแรกออกมาว่า

“ไอ้พี่เสือคนหื่นกาม!!!”



time talk : ตอนนี้ทั้งตอนไม่สามารถลงหน้าเว็บเด็กดีได้นะครับ เพื่อน ๆ สามารถตามไปอ่านได้ตามลิงก์ที่แปะไว้หน้าทวิตเตอร์ของพ่อแมวพุงโตนะครับ แล้วกลับมาคอมเม้นท์กันที่หน้าเว็บนี้ได้เลยน้า ส่วนเพื่อน ๆ หน้าเว็บอื่น ๆ ก็ตามสบายเลยนะครับ

สำหรับตอนนี้ก็เสิร์ฟสั้น ๆ ว่าในห้องน้ำมันเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง ใบ้ให้นิดหนึ่งว่าในตอนนี้มันอะไรพิเศษ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวละครหลักทิ้งไว้ในฉากด้วยนะครับ แหะ ๆ แต่ค่อย ๆ เฉลยแล้วกันเนาะ เพราะมัน...... หึหึ :]

ตอนต่อไป ไม่ว่าใครก็หยุดการกลับมาของชายคนนี้ย์ไม่ด๊ายยยย

"จะมากเกินไปไหม ถ้าผมจะบอกว่าผมอยากกอดคุณ? "

อ่ะ ๆ ใครพูดไม่รู้ ไม่รู้ว่าใครพูด ไว้ไปลองตามอ่านกันในตอนถัดไปนะครับ :}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19.5 In the bathroom | P4 | 18/11/2561
« ตอบ #99 เมื่อ: 18-11-2018 22:44:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.19.5 In the bathroom | P4 | 18/11/2561
«ตอบ #100 เมื่อ18-11-2018 23:03:05 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
«ตอบ #101 เมื่อ01-12-2018 22:23:22 »


EP 01|12
 
สวัสดีครับ ผมชื่อแฮม ธีรเดช เลิศสุภาสิน หรือที่ทุกคนรู้จักผมจาก “เจ้าแฮม” ในเรื่อง #แอคเค่อของน้องแมว เมื่อ Ep.4 ที่ผ่านมา 

ผมได้สารภาพความจริงกับรุ่นพี่ที่สนิทกันไปว่าผมติดเชื้อ HIV

ผมอายุ 16 และผมไม่ใช่เด็กสิบหกคนเดียวในประเทศไทยที่ติดเชื้อ HIV

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ มีอยู่ราว 7.7 หมื่นคน

เรามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 15 คน

ใน 15 คนมีเยาวชนยังไม่บรรลุนิติภาวะราว 40% จากยอดทั้งหมด

สาเหตุของการติดเชื้อมีตั้งแต่การติดต่อจากแม่สู่ลูกไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ผมคือกลุ่มหลังที่ขาดสติในการหาความรู้ในการป้องกัน เกิดจากความไว้ใจ ความรักที่มากเกินไปจนบดบงความปลอดภัยที่ต้องมาก่อน

ผมอาย

ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

ผมหวาดกลัวสายตาของพวกเขา

สายตาที่มองเหมือนกับว่าผมเป็นพวกน่ารังเกียจ เป็นเชื้อโรค หรือเป็นบุคคลที่สังคมควรแบนออกไปจากวงสนทนา

ผมไม่กล้าก้าวออกจากห้อง ไม่กล้าสบตาใคร ไม่กล้าแม้กระทั้งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิท ในหัวของผมตะโกนไปด้วยคำว่าขอโทษเป็นล้าน ๆ ครั้งในความผิดพลาด ละอายต่อบาปที่เกิดขึ้น

จนกระทั้งเสียงของพวกเขาดังมาถึงผม...

"เธอแค่ป่วย เป็นเป็นแค่คนป่วยคนหนึ่ง เธอไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวหรืออายใคร เด็กน้อย พี่จะอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ"
“คนที่ควรละอายใจนะ คือคนที่คิดว่าเอาความลับของคนอื่นมาพูดแล้วมันจะเจ๋ง”
“ใช่ รักเห็นด้วยกับยม คนที่ควรละอายใจไม่ใช่เพื่อนเราสักหน่อย”
“แฮมจะเป็นอะไร แฮมก็ยังเป็นเพื่อนกับโตอยู่ดีนะครับ”

....
เพราะคำพูดของกลุ่มเพื่อนสนิทและพี่ชายที่ผมเชื่อมั่น ทำให้ผมกล้ายืนหยัดในตัวเองได้อีกครั้ง

ผมหันกลับมารักตัวเอง หันกลับมามองหน้าตัวเอง ผมกล้าสบตาตัวเองในกระจกอีกครั้ง

ผมเป็นแค่เด็กสิบหกที่ป่วยเป็นโรค HIV แค่นั้นเอง

วันที่1 ธันวาของทุกปีเป็นวันเอดส์โลก #WorldAIDSDay โดยได้มีคำขวัญประจำปีว่า

“Know Your Status ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ยุติเอดส์”

ผมเป็นแค่เด็ก 16 ธรรมดาคนหนึ่งที่ป่วย และหลายๆคนที่ป่วยก็เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนกันกับผม

เราเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้แตกต่างจากโรคอื่นๆเลย

hiv รู้เร็ว รักษาได้ :)

ผมโชคดีที่มีกลุ่มคนที่รักและเคารพในสิ่งที่ผมเป็น

แต่เด็ก ๆ ผู้ติดเชื้อ HIV อีกหลายคนไม่ได้รับโอกาสนั้น ๆ

สักวัน ค่านิยมของคนในสังคมจะเปลี่ยนแปลงได้

ตราบเท่าที่เราค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนความเชื่อ

HIV จะไม่กลายเป็นตราบาปที่คร่าชีวิตใครทั้งเป็นอีก

ผมเชื่อแบบนั้นเสมอ ในฐานะผู้ป่วยที่ได้ให้ “โอกาส” กับ "ตัวเอง" อีกครั้ง

เพราะการติดเชื้อ HIV นั้น ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ปกติ

ขอบคุณที่อ่านข้อความของผมมาจนถึงตรงนี้...


แฮม
ธีรเดช เลิศสุภาสิน

01/12 #WorldAIDSDay

Ps. แล้วเจอกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ครับ :) ใน #เมื่อศักดิ์ชัยตื่นเช้าขึ้นมาเจอลูกท่านประธานนอนเปลือยอยู่ข้างกาย
แค่แฮชแทกก็แซ่บแล้วป่ะ ?

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
«ตอบ #102 เมื่อ01-12-2018 22:29:53 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.01|12 | P4 | 01/12/2561
«ตอบ #103 เมื่อ01-12-2018 22:31:05 »

รับรู้และเคารพในชีวิตของคนอื่นน่าจะทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
«ตอบ #104 เมื่อ03-12-2018 21:28:39 »



Ep.20 HUG




ผมตื่นมาเช้าของอีกวันด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากคนที่นอนข้าง ๆ กัน เมื่อคืนหลังจากปลุกปลอบและรับฟังปัญหาจากบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เจ้าแม็กซ์ก็นอนกอดผมไว้แบบนั้น ไม่ถึงกับร้องไห้ แค่เสื้อกล้ามผมเปียกเป็นหย่อม ๆ เท่านั้นเอง และวันนี้อีกฝ่ายก็ยังต้องไปเรียน ดังนั้นแล้วผมจึงต้องปลุกเขาลุกออกไปอาบน้ำ

“แม็กซ์ครับ ตื่นเร็ว” ผมสะกิดเรียก

“ครับ ๆ ?” เจ้าแม็กซ์สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วมองหน้าผมด้วยความสงสัย และค่อย ๆ ร้องอ๋อออกมา

“ผมลืมไปว่าเมื่อคืนผมไม่ได้นอนคนเดียว”

ผมอมยิ้มกับประโยคนั้น เข้าใจได้ไม่ยากว่าที่ผ่านมาคงจะตื่นมาแล้วเห็นแต่ห้องโล่ง ๆ โดยปราศจากสิ่งมีชีวิตนอกจากตัวเอง พอเพิ่งตื่นใหม่ ๆ แล้วมาเจอผมเข้า เลยสับสนว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ประสบการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน สมัย ‘เกิดเรื่อง’ นั้นใหม่ ๆ

...จะสลับกันก็ตรงผมค้นพบว่าห้องของผมปราศจากสิ่งมีชีวิตหรือผู้คนอื่นนอกจากผมไปเสียแล้ว

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” น้องแม็กซ์ทัก ผมส่ายหน้าแล้วไล่อีกฝ่ายไปอาบน้ำ

“ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวสายนะ” ผมว่า

“แล้วพี่อ่ะ ไม่อาบน้ำเหรอครับ?” เจ้าตัวถามกลับ ผมจ้องตากับน้องแม็กซ์ก่อนจะร้องอ้อเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายบอก ผมทิ้งตัวลงไปขยี้หัวเจ้าคนเพิ่งตื่นนอนมาก็อยากทำเรื่องตัวเบาเลยด้วยความเอ็นดูก่อนจะมองนาฬิกา

“งั้นก็รีบ ๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ” ผมว่า ก่อนจะจูงมือเจ้าชิบะตัวน้อยไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ก่อนจะทำกิจกรรมผ่อนคลายยามเช้ากับเจ้าเด็กหื่นนี่อีกสักรอบ แล้วส่งเขาออกไปแต่งตัวหลังเสร็จสมความต้องการ ผมพอเข้าใจได้นะ วัยรุ่นช่วงมอปลายน่าจะเป็นช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงมากที่สุดแล้วนะครับ จะว่ามันคงเป็นผลมาจากฮอร์โมนก็น่าจะได้

หลังจากผมก้าวออกมาจากห้องน้ำ เจ้าแม็กซ์ก็แต่งชุดนักเรียนเสร็จแล้ว ชิบะตัวน้อยค่อย ๆ บรรจงนำต้นกระบองเพชรขนาดเล็กไปวางไว้ข้างหน้าต่าง มุมที่แสงแดดพอจะส่องลงมาโดนบ้างแต่ไม่เต็มแสงเท่าไหร่นัก

“ผมกะว่าถ้าเลี้ยงต้นกระบองเพชรออกดอกเมื่อได้เมื่อไหร่ ผมถึงจะค่อยซื้อสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงครับ” เจ้าแม็กซ์ว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเช็ดเนื้อ เช็ดตัว ก่อนจะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมกับขามาตอนเมื่อวาน

มองนาฬิกา เราทำเวลากันได้ดีมาก ๆ ตอนนี้เพิ่งราว ๆ เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น ผมนั่งยอง ๆ ใส่รองเท้าผ้าใบ ส่วนเจ้าแม็กซ์ใส่รองเท้าหนัง ก่อนจะหยิบกุญแจสตาร์ทมอเตอร์ไซค์

“เดี๋ยวแม็กซ์ไปส่งที่ท่ารถตู้” เขาบอก

เพราะโรงเรียนของแม็กซ์อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ผมเลยโอเคที่จะให้น้องเป็นคนขับรถไปส่ง พอจัดการทุกอย่าง ล็อกประตูลงกลอนเสร็จสิ้น ผมก็ขึ้นไปซ้อนท้ายก่อนจะจับเอวเข้าไว้หลวม ๆ

“โก” เจ้าแม็กซ์ว่า ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์ออกไป ผมตีหลังเขาเพี๊ยะหนึ่งหลังออกตัวแรงเกินเหตุ

“ค่อย ๆ ขับก็ได้แม็กซ์ พี่ไม่รีบ พี่ยังไม่อยากไปโลกหน้า” ผมบ่น เจ้าแม็กซ์หัวเราะชอบใจ เห็นได้ชัดเจนว่าเอาคืนผมจากเรื่องเมื่อวานชัด ๆ ผมเลยแอบมือปลาไหลเรื่อยไปจับในส่วนตรงกลางของเขา เท่านั้นแหละ รถมอเตอร์ไซค์ค่อย ๆ ชะลอด้วยความเร็วเท่าเดิม ก่อนเขาจะบ่นออกมา

“พี่อ่ะ แกล้งผม!” เจ้าตัวว่า เสียงงอแง ผมหัวเราะเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย

“ไม่แกล้งแล้ว ๆ ขอโทษ  ลืมไปว่าเด็ก ๆ เซนซิทีฟ” ผมว่า หัวเราะเบา  ๆ เมื่ออีกฝ่ายหน้าแดงมองหน้าผมผ่านกระจกข้าง

“อยากเห็นจัง” น้องแม็กซ์บุ้ยปากแล้วพูดออกมา

“เห็นอะไรครับ?” ผมถาม เจ้าตัวเงียบและกรอกไปมาก่อนจะพูด

“อยากเห็นว่าถ้าพี่มีแฟน ต้องเป็นคนประมาณไหนถึงจะสามารถคบพี่ได้”

ผมชะงักไปกับคำพูดนั้น ก่อนจะเกาหัวหัวเราะแก้เก้อเพราะไม่รู้จะตอบเขากลับว่าอะไรดี เอาเข้าจริง ๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนแบบไหนกันนะที่เหมาะสมจะเป็นแฟนกับผม ถ้าพูดในแง่ของคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตคนที่เป็นแฟนกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็เป็นแฟนกันแบบงง ๆ อึน ๆ ด้วยซ้ำ สถานะแฟนเป็นอะไรที่ดูห่างไกลคนแบบผมมาก ๆ

ก็เคยอยากมี แต่คนที่อยากมีด้วยเขาก็...

“ถึงแล้วครับ” เสียงของน้องแม็กซ์ดังขึ้นปลุกผมจากภวังค์ความคิด ผมก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อกสำรองคืนอีกฝ่ายพร้อมส่งยิ้มให้

“ขอบคุณนะครับ ไว้พี่มาหาใหม่นะ” ผมว่า

“ครับ แม็กซ์จะรอพี่มาหาแม็กซ์อีกนะ” น้องแม็กซ์ตอบกลับพร้อมลงมายืนข้าง ๆ ผม

“ก่อนพี่จะกลับไป แม็กซ์ขออะไรหน่อยได้ไหมครับ?” แม็กซ์ว่า พร้อมเกาหัวเขิน ๆ

“อะไรเหรอครับ?”

“พี่..ช่วยจูบหน้าผากให้กำลังใจแม็กซ์หน่อย จะได้ไหมครับ?”

เจ้าตัวว่าพร้อมย่อตัวลงมาหาผม ผมอมยิ้มและตอบรับคำขอนั้นด้วยการกระทำ เขย่าเท้านิดหน่อยก็จะจูบเบา ๆ เหนือระหว่างคิ้วทั้งสองข้างของเจ้าเด็กโตเกินวัยคนนี้ พร้อมทั้งขยี้หัวเขาเบา ๆ ไม่ให้เสียทรงที่เจ้าตัวอุตส่าห์เซ็ตมา

“ไม่ต้องห่วง ยังไงพี่จะแวะมาหาเราอีกแน่ ๆ ” ผมรับปากเขาพร้อมพยักหน้าให้สัญญา เจ้าแม็กซ์อมยิ้มก่อนสีหน้าจะค่อย ๆ สลดลงตามลำดับจนผมสงสัย

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมถาม

“พี่เสือ...พี่เกลียดคนโกหกมากไหม?”

เจ้าแม็กซ์ไม่ตอบคำถามของผมแต่ถามคำถามกลับมาแทน ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาแล้วตอบคำถามกลับไป

“ด้วยความสัตย์จริง พี่ก็ไม่ได้บอกทุกเรื่องที่เป็นเรื่องจริงให้ทุกคนรับรู้ แต่พี่ก็ไม่คิดว่าตัวเองชอบคนโกหกสักเท่าไหร่” ผมว่า

“ครับ” เจ้าแม็กซ์รับคำเสียงอ่อน แล้วเอามือลูบ ๆ จมูก

“มีอะไรรึเปล่าครับแม็กซ์?” ผมถาม ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีอะไรติดค้างในใจรึเปล่า

“ไม่มีครับ...ไม่มีอะไรครับพี่” เขาเงยหน้ามองผมแล้วตอบกลับมา กลายเป็นผมพยักหน้าอีกครั้งแล้วบีบมือเขาเบา ๆ

“ถ้ามีอะไรบอกพี่นะครับ ยังไงเราก็เป็นน้องพี่คนหนึ่งแล้ว ไม่ให้พี่เป็นห่วง ก็คงยากหน่อย” ผมกล่าวจากใจจริง น้องแม็กซ์ยิ้มรับแล้วขอบคุณกลับ

“ขอบคุณนะครับพี่เสือ ...เดี๋ยวแม็กซ์ไปโรงเรียนแล้วนะครับ ถ้ากลับถึงหอแล้วไลน์มาบอกแม็กซ์ด้วยนะครับ” เขาว่า ปรับสีหน้ากลับมาดูสดใสเหมือนเดิม ผมพยักหน้ายิ้มรับอีกครั้ง ยืนโบกมือลา ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับออกไป ปล่อยให้ผมยืนรอคิวขึ้นรถตู้ต่อไป

เรื่องอะไรกันนะที่น้องแม็กซ์ไม่ได้บอกผม?

ผมรับบัตรคิวและยืนต่อแถวรอคิวรถตู้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่แปลกเลยที่แถวจะยาวจนกลายเป็นหลายขดขนาดนี้ ผมเปิดอินเทอร์เน็ต ที่กดปิดสัญญาณไปช่วงระหว่างนอนหลับ ก่อนจะมองข้อความในไลน์หลายสิบข้อความที่เด้งขึ้นมา หนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่เจ้าตัวมัดมือชกนัดผมเอาไว้ดื้อ ๆ

‘โช นข.นิยาย’

ผมเมมชื่อไลน์จากสถานะที่ได้รู้จักกัน พอคิดไปคิดมาก็กดเปลี่ยนชื่อเขากลับมาเป็นชื่อไลน์เต็ม ๆ อีกครั้ง พอเปิดอินเทอร์เน็ตได้สักแป๊บ ข้อความจากไลน์อีกฝ่ายก็เด้งตอบมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังเปิดอ่านไลน์ของเขาอยู่

‘ผมกำลังจะขึ้นเครื่องกลับไปแล้วนะ’

นั่นคือข้อความเมื่อหลายชม.ก่อนหน้านั้น ยังไม่ทันจะพิมพ์อะไรตอบกลับไป ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ

‘ผมถึงไทยแล้วนะ’

‘ทำไมวันนี้ตื่นเร็วจัง’

ประโยคแรกตอบกลับมาหลังผมอ่านไลน์ ประโยคที่สองก็ตามกลับมาติด ๆ กันโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป

‘เมื่อคืนผมไม่ได้นอนที่หอ เลยตื่นเช้า เตรียมตัวกลับไปนอนที่หอ’ ผมว่า ไม่นานก็ขึ้นรีดจากอีกฝ่าย

‘ไปนอนไหนมาครับนั่น’ โชถามกลับมา

‘ปกติคนกลับมาจากนั่งเครื่องบินนาน ๆ เขาน่าจะเหนื่อยไม่ใช่เหรอครับ ทีงี้พิมพ์ซะคล่องเชียว ผมไปนอนห้องน้องชายมาครับ’ ผมว่าตอบกลับ พร้อมขยับตัวไปข้างหน้าหลังแถวขึ้นรถตู้สั้นลงอีกนิดหน่อย

‘ก็เหนื่อยจริง ๆ นั้นแหละ ว่าแต่ ผมโทรหาคุณตอนนี้ได้ไหม?’ เขาถามกลับมาพร้อมสติกเกอร์รูปไดโนเสาร์ยกหูโทรศัพท์ ผมหัวเราะชอบใจในความช่างซื้อสติกเกอร์มาสะสมของเขาก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่าโอเค พอกดขึ้นรีด ได้ไม่นานเขาก็กดคอลไลน์มาหา ผมกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงผ่านสายตอบกลับไปว่า

“ไงครับ”

‘สวัสดีครับ’ โชว่า ผมสังเกตได้ว่าน้ำเสียงเขาแอบเหนื่อยจริง ๆ

“เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม?” ผมทักถาม เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับ

‘ที่สุดครับ เหนื่อยมาก ไม่เคยประชุมมาราธอนนานขนาดนี้เลย ...กี่ชมวะแจ้?’ ปลายเสียงเหมือนหันไปถามคนข้าง ๆ

‘ถ้ารวมเวลาทั้งหมดก็ประมาณเกือบ 6-7 ชม.ที่มึงเข้าไปประชุมในห้องนั้น’ ปลายสายว่า ผมถอนหายใจแทนความยาวนานของการทำงาน

“บริษัทคุณกดขี่พนักงานจังให้ทำงานตั้งหลายชมติดต่อกัน ....น่าจะเอาหลักฐานไปฟ้องศาลปกครองนะว่าประธานบริษัทคุณใช้แรงงานเกินเหตุ” ผมว่า ปลายสายหลุดหัวเราะพรืดออกมาก่อนจะตอบผมกลับ

‘ปกติผมก็ฟ้องคนที่มีอำนาจเหนือท่านประธานประจำแหละครับ’ เขาว่าก่อนจะหัวเราะเบา ๆ

‘แล้ววันนี้คุณไม่มีเรียนเหรอ’เขาถามต่อ

“ใช่ครับ วันนี้ผมฟรีไทม์” ผมว่า

‘เหรอ งั้นเดี๋ยวผมไปหานะ สัก....แจ้ กูต้องเข้าบริษัทอีกป่ะ?’ โชตอบกลับแต่ยังไม่จบประโยคก็หันไปถามคนข้าง ๆ อีกครั้ง ผมเงียบรอให้พวกเขาคุยกันต่อ

‘ห่านจิก เข้าสิวะ มึงไม่เข้าท่านประธานบริษัทก็เล่นกูตาย’

‘เวอร์ เขาเอ็นดูมึงขนาดนี้ไม่ฆ่ามึงหรอก’

‘เหอะ เรื่องอะไรก็ได้ยกเว้นเรื่องลู...’

‘ไก่แจ้’

เสียงคนนั่งข้าง ๆ โชเหมือนจะชะงักไปเหมือนโชขึ้นเสียงสวนกลับไปก่อน

‘....เป็นอะไรของมึง ขัดกูพูดทำไม กูจะบอกว่าเรื่องอะไรท่านประธาน ก็โอเคหมดนั่นแหละ ยกเว้นเรื่อง ‘ลูกน้อง’ เอาเวลาทำงานของบริษัทไปทำอย่างอื่นซะหมด’

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนคนชื่อแจ้แอบเน้นคำน้ำเสียงตอนพูดคำว่าลูกน้อง

‘กูเกลียดมึง’

‘me too’

ผมหัวเราะเบา ๆ ให้กับความสัมพันธ์ของสองเพื่อนสนิท ดูจากทรงก็รู้ ว่าคงคบกันมายาวนานมาก ๆ ถึงสามารถจิกกัดกันได้ขนาดนี้ ถ้าให้เทียบกันแล้วคงสนิทกันมากเหมือนผมกับเจ้ามาร์

‘แล้วสรุปกูจะว่างหลังกี่โมง?’ โชถามอีกครั้ง

‘ก็ถ้าไม่เกิดปัญหาอะไรนอกเหนือความคาดหมาย ไม่เกิน 4 โมงเย็น’ อีกฝ่ายตอบกลับ

‘โอเคครับ จากบริษัทผมไปหาคุณก็น่าจะเกือบชั่วโมงกว่า ๆ ไม่น่าจะเกินสักหกโมงเย็น ไปทานข้าวกันนะ’ เขาว่า แล้วสรุปแบบรวบรัด

“คุณ เพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ? พักก่อนก็ได้นะครับไว้ค่อยมาหาผมก็ได้” ผมว่า ไม่อยากให้เขาลำบากโดยใช่เหตุ

‘ทีเร็กซ์ครับ’ โชว่า เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังออกอาการล้าอยู่บ้าง

“ครับว่าไง เรียกผมซะเต็มยศเชียว” ผมว่าติดตลก เจ้านากเผือกเงียบสายไปสักนิดก่อนจะถามผมกลับ

‘ทีเร็กซ์บอกผมว่า ถ้าผมอยากได้อะไร ให้ผมพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาใช่ไหมครับ?’

“ใช่ครับ” ผมว่าแบบนั้น นึกได้ถึงที่ตัวเองเคยบอกอีกฝ่ายไว้ตอนเขาอยู่ที่ญี่ปุ่น

‘งั้นโชอยากบอกว่าโชอยากจะไปหาทีเร็กซ์ครับ ทีเร็กซ์ให้โชไปหาได้ไหมครับ?’

ผมชะงักลงไปกึกหนึ่งหลังสัมผัสได้ถึงความจริงจังนั้น ถอนหายใจออกมาบางเบาเหมือนคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดอะไรทำนองนี้ออกมา

“ผมไม่ได้ไม่อยากให้คุณมาหาผม แต่ผมกลัวคุณจะเหนื่อยมากเกินไปเฉย ๆ แต่ถ้าคุณอยากมา คุณสะดวกที่จะมา ผมก็ยินดีที่จะให้คุณมาครับโช”

เพราะเขาจริงจังมา ผมจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเหมือนได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเหมือนกัน เราเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

‘โอเคครับ งั้นเลิกงานแล้วผมจะไปหาคุณนะ’

“ครับ ถึงแล้วก็โทรศัพท์มานะ ผมจะรอทานข้าวเย็นพร้อมคุณ” ผมว่า หัวเราะหน่อย ๆ กับน้ำเสียงท่าทางอารมณ์ดีของเขา

‘โอเคครับ งั้นเจอกันนะ’

“ครับ”

‘ทีครับ..’

“ครับว่า?”

‘จริง ๆ อยากบอกต่อหน้ามากกว่า’

“...”

‘แค่อยากบอกว่าคิดถึงนะครับ’

อีกแล้ว !!! พอทำอะไรแบบนี้เสร็จโชก็วางสายหนีผมไปอีกแล้ว ผมจิ๊ปากหงุดหงิดนิด ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ผมตอบกลับหรือตั้งสติทำอะไรเลย รู้สึกเหมือนชกผมเสร็จเขาก็วิ่งหนีหายไป พอเอาโทรศัพท์ออกมาดูก็เห็นอีกฝ่ายไลน์มาบอกว่า ‘ขอตัวนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวไปบริษัทแล้วคงยาวเลย’ พอเห็นแบบนั้นผมเลยไม่ได้โทรกลับไปหาเขาแต่หันไปคิดเรื่องอื่นแทน

จะมาคิดถึงผมทำไมกัน

“ไปลงไหนครับ?” คนจัดคิวรถตู้ถามเมื่อมาถึงคิวของผม

“ลงที่....ครับ”

“ครับ 45 บาทครับ” ผมรับคำพร้อมส่งเงินไปให้อีกฝ่าย

“น้องเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“ครับ?” ผมตอบกลับแบบงง ๆ เมื่อโดนทักแปลก ๆ  ผมเป็นอะไรเหรอ?

“เปล่า พี่เห็นน้องหน้าแดงมาก นึกว่าไม่สบายรึเปล่า”

จบคำของพี่เขา ผมก็พยักหน้าให้ก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถตู้ เดินเข้าไปนั่งด้านในริมสุด พร้อมงัดเอาหูฟังขึ้นมาเปิดเพลง ‘Cameo Lover’ ออกมาฟังแล้วเปิดเสียงให้ดังที่สุด กลบทุกความรู้สึกและสีหน้าที่ผมกำลังแสดงออก

ให้ตายเถอะ...ผมเขินเขาเหรอ?

หลังกลับมาจากนั่งรถตู้ ผมต่อรถกลับหอพัก ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปร้านข้างแกง สั่งราดกับข้าวสามอย่าง ก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ ให้หมด ๆ แล้วรีบขึ้นหอไปอาบน้ำนอนต่ออีกสักหน่อย อาจจะเพราะช่วงนี้ผมเจอเรื่องหนักเป็นพิเศษรึเปล่า ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนเพลียเป็นพิเศษ หรืออาจจะเพราะ  มีเรื่องให้คิดเยอะมากเกินไปหน่อย

พอตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับ ก็เช็กไลน์อีกรอบ โชก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ หรืออาจจะเพราะว่าเขากำลังยุ่งอยู่ก็เป็นได้ ผมเลยเลือก จะนั่งทำงานต่าง ๆ ทั้งตามข้อมูลการประสานงานขอทุนให้กับค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ตอนนี้อยู่ระหว่างการดึงพันธมิตรจากหลาย ๆ สถาบันเข้ามาข้องเกี่ยว

 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล่าวคือปกติแล้ว ในแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะจัดค่ายแยกกันเอง แยกใครแยกมันไม่เคยมีค่ายไหนที่รวบรวมเด็กจากหลากหลายมหาวิทยาลัยเข้ามาอยู่ด้วยกันมาได้ก่อน ดังนั้นรายละเอียดที่ต้องรับผิดชอบจึงตามมาด้วยเป็นเงาตามตัว ก็ไม่แปลกอะไร ต่อให้จุดประสงค์อยากทำเพื่อจิตสาธารณะ แต่เด็กทุกมหาวิทยาลัยก็ต้องการทำอะไรเพื่อเชิดชูแบรนด์ของตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ

รู้ตัวอีกทีก็ราว ๆ เกือบหกโมงเย็นกว่า ๆ แล้ว ผมเช็กไลน์อีกครั้งหนึ่ง ยังไม่ขึ้นรีด พอเห็นแบบนั้นก็ชักลังเลใจว่าจะลงไปทานข้าวก่อนดี หรือจะรอเขาต่อไป? นั่งคิดต่อไปไม่นานเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลาทุ่มกว่า ๆ เพราะปกติแล้วผมเป็นคนทำอะไรตามรูทีนที่ตัวเองตั้งไว้ ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะลงไปหาอะไรข้างล่างทานก่อน ถ้าโชมาถึงค่อยไปทานกับเขาอีกรอบก็ได้

สามทุ่มกว่าแล้ว ยังไรวี่แววของโช ผมเริ่มโกรธเขานิด ๆ เพราะตัวเองเป็นคนนัดเวลาแท้ ๆ นี่ถ้าผมยังนั่งรอเขา ไม่ได้แปลว่าผมต้องท้องกิ่วรอเขาหรอกเหรอ ?

‘ก๊อก ๆ’

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น ผมขมวดคิ้วหน่อย ๆ เดินไปส่องตาแมวก่อนจะเห็นคนที่ไม่ตอบไลน์ยืนอยู่อีกฟากฝั่งของประตูห้อง ผมขยับตัวออก เปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามาในห้อง ปากยังไม่ทันจะต่อว่าเขาว่าทำไมปล่อยให้ผมรอ ก็เป็นอีกฝ่ายที่หันมามองหน้าผมก่อนจะพูดเสียงเข้ม

“จะมากเกินไปไหม ถ้าผมอยากบอกว่าผมอยากกอดคุณ?”

เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า แต่สีหน้าโชดูไม่ดีเลย เขาดูเหนื่อยมากเกินกว่าจะมาสายด้วยเรื่องปกติ พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินเข้าไปหาเขา แล้วใช้การกระทำแทนคำตอบ

“กอดได้สิครับ...นี่ไงกอดแล้ว เห็นไหม?”

ผมว่า พร้อมกอดผู้ชายคนตรงหน้าแน่น ๆ

“ขอโทษนะครับที่มาสาย” เขาว่าเสียงเบาเหมือนหมดพลังงาน

“แต่คุณก็มาแล้วนะ”

“ทีเร็กซ์ครับ...” เขาเรียกเสียงเบาหวิว

“ครับ?”

“ขอโทษนะ แต่ผมขอกอดคุณแบบนี้ไปก่อนได้ไหม ผมเหนื่อยจังเลย”

“....”

“อยู่ต่อหน้าคุณ ผมไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่นใช่ไหม” เขาถาม ผมไม่เห็นหน้าเพราะอีกฝ่ายกอดผมอยู่แต่น้ำเสียงดูเหนื่อยเอามาก ๆ ตามที่เขาพูดมาเลย

“อื้อ...”

“...”

“อยู่กับผม อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ”

เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก แต่ดันตัวผมล้มลงไปนอนผมเตียง ก่อนจะกระโดดลงมานอนคร่อมทับผม....

 



Time Talk : นากเผือกศรี นี่เธอกลับมาถึงก็ขึ้นคร่อมผู้ชายเลยเหรอ !!! //ถือแส้

อยากบอกว่าขอโทษที่มาสาย ครั้งหน้าจะพยายามมาให้ไวกว่านี้ทั้งจำนวนวันและความยาวของแต่ละตอนนะครับ แหง่ม ๆ เขาอยากอวดหน้าปกแล้ว แต่หน้าปกเขาใส่อีสเตอร์ลงไปเยอะมาก ๆ จนเขารู้สึกว่าถ้าเอามาโชว์ตอนนี้ 'ทริก' สุดท้ายที่เขาจะเล่น ต้องมีคนเดาทางได้ก่อนแหง่ ๆ เพราะงั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้น จงอดทนนะครับ แต่เราชอบมาก ชอบมากจริง ๆ ในบรรดานิยายที่เคยตีพิมพ์มา นี่น่าจะเป็นหน้าปกที่เรารู้สึกว่าโคตรมีความเป็นเราสุด ๆ แล้ว

อ่ะ ๆ เกิดอะไรขึ้น โปรดติดตาม Ep. ถัดไปนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 23:51:57 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
«ตอบ #105 เมื่อ03-12-2018 21:59:32 »

ไหนว่าเหนื่อย ทำไมถึงมีแรงขึ้นคร่อมผู้ชายล่ะหาาาาา 555555

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
«ตอบ #106 เมื่อ03-12-2018 22:23:03 »

เดี๋ยว

อะไรคือนากมีแรงฟัดได้โนเสาร์?


น้องแม็กซ์ซ่อนอะไรไว้?

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.20 HUG | P4 | 03/12/2561
«ตอบ #107 เมื่อ03-12-2018 22:48:07 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.21 Second | P4 | 07/12/2561
«ตอบ #108 เมื่อ07-12-2018 20:28:05 »


Ep.21 Second




ผมตาโต ใจหายแวบ นึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรรึเปล่า แต่โชแค่เอาหัวมาหนุนที่อกของผมพร้อมพ่นลมหายใจร้อน ๆ ลงมารดบนร่างกายเท่านั้น

“เหน่ยยยยยยยยยย”

เขาพูดพร้อมเอาหน้าซุกอกผมไปมา

“....คุณว่าอะไรนะ” ผมถาม เมื่อกี้ฟังไม่ออกว่าเขาว่าอะไร เจ้านากเผือกเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะดึงแก้มหน่อย ๆ แล้วพูดตอบ

“ผมบอกว่าผมเหนื่อย แต่เพราะผมเหนื่อยผมเลยออกเสียงแค่ว่า ‘เหน่ย’ เท่านั้นเอง” เขาว่า พร้อมเอาหัวทับลงไปบนตัวผมอีกรอบ

พอเห็นคนที่ทำอะไรจริงจังเป็นการเป็นงานตลอดเวลามาอ้อนแบบนี้ ผมก็แอบเหวอไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมอ่อนไหวและผ่อนคลายได้ขนาดนี้  เพราะแบบนั้นผมเลยเลือกจะเอามือมาลูบหัวและสางผมให้เขาเบา ๆ เป็นการผ่อนคลายอีกฝ่าย มืออีกข้างผมก็นวดขมับทั้งสองข้างให้เขาเบา ๆ อีกฝ่ายครางหงิง ๆ ออกมาอย่างชอบใจ จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นนากเผือกหรือเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ กันแน่

“สบายจัง” โชว่า หลับตาพริ้ม

“แล้วเป็นอะไรครับเนี่ย? ไม่สิ คุณทานอะไรมารึยัง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบว่าเขาจัดการตัวเองมาเรียบร้อยแล้วก่อนมาหาผม

“ผมเหนื่อยกับที่ทำงานนะครับ ทะเลาะกับหัวหน้างานตัวเองนิดหน่อย” โชว่า

ผมพยักหน้ารับทราบแต่ไมได้กล่าวถามอะไรเพิ่มเติม จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ถ้าอีกฝ่ายอยากเล่า เขาจะเป็นฝ่ายเล่าให้คุณฟังโดยไม่จำเป็นต้องมีคำถามอะไร เขานอนหนุนผมแบบนั้นอีกสองนาทีกว่า ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง

“ผมรู้สึกว่าเราทะเลาะกันแบบเรื่องไม่เป็นเรื่องนะครับ  เหมือนผมโดนคาดหวัง โดนกดดัน แล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมต้องคาดหวังหรือกดดันอะไร ผมเยอะขนาดนี้ ผมก็พยายามทำอย่างเต็มที่ที่สุดในรูปแบบของผมแล้วเหมือนกันนะครับ” เขาพูดต่อ ผมลูบหัวเบา ๆ ให้กำลังใจเขา

“ปกติไม่ใช่เหรอครับ ยิ่งองค์กรทุ่มเทให้กับคุณมากเท่าไหร่ เขายิ่งคาดหวังในตัวคุณมากเท่านั้น เราต่างตอบแทนกันไปกันมานี่ครับ” ผมออกความเห็นเรียบ ๆ

“ผมก็รู้ รู้ด้วยว่าเขาค่อนข้างคาดหวังในตัวลูก...น้องแบบผม แต่ผมแค่แบบ....เฮ้อ ผมเหนื่อยครับ” เขาว่า พูดเว้นวรรคแปลก ๆ ไม่ทันจบประโยคก็ซุกหน้าลงไปกับท้องผมอีกรอบหนึ่ง ผมหัวเราะให้กับท่าทีดังกล่าวก่อนจะบอกกับเขาเบา ๆ

“คุณครับ ลุกก่อน ขยับมานอนดี ๆ มา” ผมว่า อยากให้เขาได้จัดท่าทางใหม่ก่อน

พอโชลุกขึ้น ผมเลยขยับเอาหัวชันกับผนังเตียงนอน ก่อนจะตบเบา ๆ ลงบนเตียงให้เขามานอนอีกข้าง โชเดินมาทิ้งตัวลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอาคางเกยไว้ต่ำกว่าระดับหน้าอกของผม พร้อมทั้งดึงแขนผมไปทับตัวเขาไว้เหมือนอ้อนขอให้กอด ดวงตาทั้งสองข้างมองสบตากับผมด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า พอเห็นแบบนั้นผมเลยจิ้ม ๆ แก้มไว้แล้วค่อย ๆ นวดขมับคลายเครียดให้เขาอีกครั้ง

“คุณควรหาเวลาไปพักผ่อนบ้าง” ผมว่า

“ผมจะพยายามนะครับ” เขาบอก สีหน้าดูดีขึ้นตามลำดับ

 เราปล่อยเวลาผ่านไปเงียบ ๆ แบบนั้น นอกจากช่วงคลายเครียดให้กันและกัน ทั้งผมและเขาเราไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ทั้งห้องเหลือเพียงเสียงเข็มนาฬิกาปลุกของผมที่ดังแก๊ก ๆ ไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของมัน พอผ่านไปสักครู่โชก็เป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขาขยับตัวขึ้นมาพิงผนังหัวเตียงนอนเหมือนกันกับผม ก่อนจะกระแอมไอเบา ๆ

“ขอบคุณนะครับ”

เขาว่า แม้จะหันหน้าไปอีกทางผมก็ยังเห็นอยู่ดีว่าใบหน้าของเขาเริ่มแดงมากขนาดไหน ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะเอามือไปขยี้จนทรงผมของเขาไม่เป็นทรงขึ้นมาทันที เจ้าตัวหันมาโวยวายผมผ่านสายตาบ่อย ๆ แต่ก็เงียบลงไม่ว่าอะไรอีกเมื่อผมส่งรอยยิ้มให้กับเขาไป

“ดีขึ้นแล้วนะ” ผมถาม

“มาก ๆ เหมือนชาร์ตแบตเต็มก้อนเลย” โชตอบติดตลก ก่อนเราทั้งคู่จะหัวเราะกันอีกระลอกแล้วเงียบลงไป เขาหันมาสบตากับผมแล้วพูดต่อ

“แล้วอยากคุยเรื่องอะไรก่อน?” เขาถาม

“เรื่องอะไรก่อนนะ มีเรื่องอะไรบ้าง ผมยังไม่รู้เลย” ผมตอบเสียงซื่อ แสดงสีหน้าเป็นเจ้าหนูจำไมไปอย่างแนบเนียน แต่คิดว่าคงเขามองออกนั่นแหละเพราะโชตีแขนของผมลงมาเบา ๆ

“เรื่องแรก ก็เรื่องงานไงครับ นิยายที่ผมเขียนนะ” เขาว่า เสียงสั่น  ๆ

“ครับ แล้วอีกเรื่อง”

“ก็เรื่อง...”

“เรื่อง?”

“คุณอย่าแกล้งผมได้ไหม รู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร” เขาเอ็ด ทำหน้าโกรธ แต่ผมตีความว่าเหมือนลูกนากเผือกแรกเกิดกำลังขออาหารมากกว่า

“เรื่องของคุณกับผม...คุณจะบอกผมแบบนั้นใช่ไหม?”

ผมถาม ชันตัวหันหน้ามาทางอีกฝ่าย

“ใช่ครับ เรื่องของเราสองคน ...ผมให้คุณเลือก เราจะเอาเรื่องไหนก่อนดี” โชโยนสิทธิ์ในการตัดสินใจกลับมาหาผม ผมขมวดคิ้วแล้วนิ่งคิดไปสักพัก นั่นสินะ จะว่าไปมันก็สำคัญทั้งสองเรื่องนั่นแหละ แต่เรื่องที่สองน่าจะยาวกว่าเรื่องแรก  ผมเลยตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเรื่องไหนก่อนดี

“ผมว่า เราเคลียร์ไปทีละเรื่องแล้วกันนะ เอาเรื่องงานก่อนครับ” ผมบอก โชพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเด้งตัวไปหยิบของในกระเป๋าที่อีกฝ่ายสะพายมา เขาหยิบไอแพดคู่ใจออกมาก่อนจะโดดลงมาบนเตียงกลิ้งมาชนกับผมแล้วทับแขนผมข้างหนึ่งต่างหมอนไปดื้อ ๆ พอเป็นแบบนั้นผมเลยขยับตัวไปคร่อมอีกฝ่ายจากด้านบนแล้วมองลงมาตามเขาบอก

“ก็คร่าว ๆ นะครับ ผมคิดว่าซีนเปิดเรื่องจะประมาณนี้ เอาอารมณ์คล้ายกับที่เราเจอกันในวันแรกวันนั้นเลยก็ได้” โชว่า พร้อมค่อย ๆ สไลด์ไฟล์เวิร์ดให้ผมอ่านตามทีละนิด ๆ

“คุณว่ามันจะไม่ดูแฟนตาซีไปใช่ไหมครับ แบบ อยู่ดี ๆ เราก็มาตกลงกันง่าย ๆ เพราะแค่คุณร้องขอนะเหรอ?” ผมถาม โชเอียงคอทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างก่อนจะพูดกับผมต่อ

“ใครสักคนเคยบอกผมไว้ บางครั้งแล้วนิยายหรือบทละครสมเหตุสมผลมากกว่าชีวิตคนจริง ๆ ที่เกิดขึ้นซะอีก เพราะในขณะที่เราต้องพยายามหาเหตุผลรองรับในทุก ๆ การกระทำหรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง แต่ในชีวิตจริง อะไรจะเกิดมันก็เกิดเลยนะครับ” โชตอบ

“อ่า” ผมรับทราบพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา ก็ไม่มีเหตุผลและไม่มีที่มาที่ไปอย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ

“เหมือนอย่างเวลาที่คนเราจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับใครสักคน มันแทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยนะ คุณรู้ไหม?”

 โชพูดตอบพร้อมมองมาทางผมด้วยสายตามีนัย  ผมหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะผลักหัวเขาเบา ๆ

“คุณนี่ หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วดูไม่ถนอมฟอร์มเลยนะ” ผมกัดเขาเบา ๆ อีกฝ่ายส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ

“ผมมีเหตุผลที่ไม่สามารถถนอมฟอร์มอะไรนั่นได้แล้วกันครับ” เขาว่า สีหน้าหนักแน่นขึ้นตามลำดับ

“ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลอะไร ผมจะรับฟังเมื่อมันถึงเวลาแล้วกันนะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนเราจะหันไปสนใจงานต่อ

“ในส่วนของตอนแรก ๆ ผมไม่มีติดขัดอะไรนะครับ แต่เห็นคุณบอกว่า อยากเขียนแนวเรียลไลฟ์ ผมก็เลยนึกว่าจะออกมาในแนวโดนบังคับข่มขู่มากกว่าในการขอความร่วมมือ แต่ขออีกนิดนะครับ ปกติเวลาพวกเรานัดกัน มันไม่มีกำหนดเวลาตายตัวหรอกนะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นกลางคืนด้วย กลางวันแสก ๆ ก็มีนะถ้ามีที่มีทาง” ผมแนะนำพร้อมชี้ไปในจุดที่ผมรู้สึกว่ายังไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่

“ทีแรกผมว่าจะให้ตัวละครที่เป็นนักเขียนแบล็คเมล์ตามที่คุณว่าและเอามาเป็นข้อต่อรอง แต่ไม่รู้สิ ผมมองว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้วในระยะยาว ตัวละครที่เป็นแอคเค่อในเรื่องจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ อารมณ์แบบ แค่ช่วยเพราะโดนบังคับ แต่ไม่ได้ทำเพราะความเต็มใจ” โชบอก

“เหมือนที่ผมเต็มใจบอกทุกอย่างนะเหรอ?” ผมถามกลับ เขายิ้มและพยักหน้าให้

“อาจจะดูแฟนตาซีไปในบางจังหวะ แต่สุดท้ายแล้วถ้ามันบรรลุวัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ทำให้เราเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ทำไมมันถึงจะทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะครับ ยังไงมันก็คือนิยาย เป็นโลกสมมติอีกใบที่เราจะทำอะไรก็ได้ อีกอย่างนะ เหตุผลที่ผมกล้าเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาก็อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นแค่นิยายเนี่ยแหละคุณ” เขาตอบผมกลับอีกครั้ง

“อ่า”

“เวลาคนอ่านนิยายเขาก็มองว่ามันคือนิยายนั่นแหละ ไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจริงไม่จริง หน้าที่ของคนเขียนคือการเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ส่วนคนอ่านเขาจะตีความไปในแนวทางไหน ผมว่าเราควรปล่อยเป็นพื้นที่ฟรีความคิดให้กับคนอ่านเขาได้ต่อยอดเอา แบบนั้นผมว่าน่าสนุกกว่าสำหรับผม” โชสรุป

“ถ้าคุณคิดว่าทำแบบนั้นแล้วโอเค ผมก็ไม่มีอะไรติดขัดครับ แค่ผมกลัวว่าเกิดเนื้อเรื่องมันดูจริงจังมากเกินไปแล้วจะมีคนมาอ่านไหมแค่นั้นเอง กลัวนิยายคุณขายไม่ออกนะเออ” ผมพูดติดตลก แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจริงจังและความปรารถนาดีจริง ๆ โชยิ้มกับความเป็นห่วงของผมก่อนเจ้าตัวจะพูดขึ้น

“ผมก็กลัว ...กังวลมาก ๆ ด้วย ก็อย่างที่ผมบอกไป ยอดขายน่ะคือผลตอบแทนจินตนาการและการกลั่นกรองที่คนเขียนสร้างขึ้นมาให้กับคนอ่าน  แต่สุดท้ายแล้วมันยังไม่ใช่ทั้งหมด ...ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมอยากได้กลับมา เป็นผลลัพธ์ย้อนกลับมาที่สังคม อาจจะดูเกินตัวมากไปหน่อย แต่เพราะคุณ ผมเลยอยากทำอะไรกลับคืนไปให้กับสังคมบ้าง”

“เพราะผม?”

“ใช่ เพราะคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากทำอะไรกลับคืนไปให้กับสังคมบ้าง นิยายเรื่องแอคเค่อเองก็เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็น เบสเซลล์เลอร์หรือทอฟออฟเดอะทาวน์หรอก ผมแค่หวังว่าใครสักคนจะอ่านมัน เข้าใจ รับฟัง และมองให้ลึกลงไปถึงปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น”

“เพราะสังคมไม่ใช่แค่เรื่องของคน ๆ เดียว / ...เพราะสังคมเป็นเรื่องของคนทุกคน”

และก็เป็นอีกครั้งที่ทั้งผมและโชพูดอะไรคล้าย ๆ กันออกมา ผมและเขา เราต่างอมยิ้มก่อนเขาจะดึงแก้มผมลงมาเล่นบ้างเป็นการเอาคืน

“เพราะแบบนี้ไงผมถึงชอบคุณ”

โชพูดออกมา พร้อมกับมองหน้าผม ไม่ได้หลบสายตา ไม่ได้เขินอายกับความรู้สึกของตัวเองที่กำลังสารภาพอะไรบางอย่างให้ผมฟัง เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังแสดงออกไปตรง ๆ กับความรู้สึกของตัวเอง

“ผมรู้”

“...และผมก็รู้ด้วยว่าคุณพยายามทำเป็นไม่รับรู้” เขาว่า ชันตัวขึ้นมานั่งครึ่งตัวอีกครั้ง พอเห็นเขาเริ่มจริงจังผมเลยชันตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ หันเข้าหาเข้าตรง ๆ

“และคุณรู้ไหมว่าเพราะอะไรผมถึงแกล้งทำเป็นไม่รับรู้” ผมถามต่อ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าตรึกตรองอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดออกมา

“น่าจะเพราะอะไรหรือเพราะใครสักคนมั้ง?” โชเดาได้แทบจะตรงเผง 100% แต่ผมยังแสดงสีหน้าเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรให้เขาเห็นเหมือนเดิม

“ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมอาจจะยังหยุดไม่เป็นก็ได้นะ” ผมแกล้งถาม ด้วยน้ำเสียงซีเรียส โชถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“จริง ๆ ...ก็มีคิดบ้าง แต่ผมก็แอบคิดวิธีการแก้ปัญหาไว้นิดหน่อย” โชว่า

“ยังไงครับ?”

“คืองี้...ผมไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้าแบบ เราคบกัน และคุณก็ยังเด็ก ผมเข้าใจว่าคุณก็ยังมีความต้องการ ยังอยากผจญภัยเจอคนนั้นคนนี้ ผมเลยอยากจะบอกว่า ผมโอเคนะ ถ้าเราจะเป็นแฟนกันแต่คุณจะไปมีอะไรกับคนอื่นได้” เขาพูดต่อ ผมตาโตก่อนจะตีแขนเขาดังเพี๊ยะ

“คุณพูดแบบนี้ คุณไม่ให้เกียรติผมเลยนะ!!!” ผมแอบฉุนจนเผลอขึ้นเสียงไปนิดหน่อย

“เดี๋ยวก่อนทีเร็กซ์ ฟังผมก่อนนะครับ..นะครับ ผมไม่ได้ว่าคุณจริง ๆ ” โชทำตาละห้อยก่อนจะดึงแขนผมไว้เบา ๆ ผมเลยนิ่งเงียบเพื่อรอฟังเขาพูดต่อ โชหลุบตาหลับลง ทำสมาธิ สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะลืมตามองผมด้วยแววตาแน่วแน่

“ผมชอบคุณ...”

“...”

“ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน ตั้งแต่ตอนที่แอบมองคุณในร้านอาหารวันนั้นรึเปล่า ตั้งแต่วันที่เห็นว่ารอยยิ้มของคุณสดใสมากแค่ไหนตอนได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ตั้งแต่เห็นว่าคุณเทคแคร์คนสำคัญของคุณและเป็นห่วงพวกเขามากแค่ไหน ตั้งแต่เห็นแล้วว่าคุณทำอะไรให้กับสังคมตั้งมากมายเท่าไหร่ ตั้งแต่เห็นว่าอยู่กับคุณแล้วผมมีความสุขมากเพียงใด”

“ผมชอบ..ทุกอย่างที่เป็นคุณ ผมถึงไม่ได้อยากเปลี่ยนคุณ  ผมแค่อยากให้คุณเป็นแค่คุณก็พอ ผมกลับไปถามตัวเองว่าผมรับได้ไหมกับสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ที่เป็นคุณ และต่อให้เป็นตัวคุณในอนาคตผมจะยังรับได้ไหม ผมไม่ได้คิดมาเล่น ๆ นะครับทีเร็กซ์ ผมโตแล้วนะ ถ้าจะชอบใครสักคน มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบหรอกนะครับ”

เขาย้ำทุกคำพูดของตัวเองด้วยแววตาที่มองมา และมือทั้งสองข้างที่กุมมือของผมไว้

“ผม...” ผมพูดค้างไว้ ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองควรตอบอะไรกลับไปดี น่าแปลกที่เวลาแบบนี้สัตว์ร้ายในตัวของผมกลับเงียบสงบลง ราวกับว่ามันพร้อมจะยอมรับทุก ๆ การตัดสินใจของตัวผมเอง

“ไม่ต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้นะครับ ผมแค่...ผมแค่ต้องการโอกาสเท่านั้นเอง” โชว่า ผมส่ายหน้าไปมาช้า ๆ จนเขาหน้าเสีย พอเห็นแบบนั้น ผมเลยดึงแก้มเขาเล่นก่อนจะพูดให้เขาคลายใจลง

“ผมยังไม่ได้ปฏิเสธคุณ นั้นคือเรื่องแรกที่คุณต้องรับรู้ก่อน ...” พอผมพูดแบบนี้ หูทั้งสองข้างของเขาก็ตั้งขึ้นมาราวกับเป็นคนละคนกับเจ้านากเผือกคอตกเมื่อกี้

“แต่ผม ...ไม่รู้สิโช ผมยังไม่แน่ใจเลย เรื่องทุกอย่างเหมือนมันเกิดขึ้นเร็วมาก ๆ เร็วมากจนความรู้สึกของผมตามไม่ทัน จริง ๆ แล้วเรายังรู้จักกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำไปนะครับ แล้วก็ ผมเองก็มีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้ คุณเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้บอกผม เราต่างคนต่างยังไม่รู้จักกันดีพอเลย” ผมว่า

ผมเข้าใจในสิ่งที่โชพูด แต่สิ่งที่ผมกังวลคือทั้งหมดนั้นมันจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือฉาบฉวยรึเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าเพราะโชไม่ได้เจอใครบ่อย ๆ พอมาเจอผมเขาเลยเห็นว่าทั้งหมดที่ผมเป็นคือสิ่งที่เขาชอบทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดก็ได้ เราอยู่ด้วยกันแล้วอาจจะทะเลาะกันจนมีเสียงหยาดน้ำตามากกว่ารอยยิ้ม มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ผมถึงอยากให้เขาค่อย ๆ ชะลอความรู้สึก ค่อย ๆ ชะลอความคาดหวังในตัวของผมเอง

...เหมือน ๆ กับที่ผมพยายามชะลอความคาดหวังในตัวของผมเองและความสัมพันธ์ครั้งนี้เช่นกัน

“ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นแฟนกันแล้วอนุญาตให้ผมไปมีอะไรกับใคร ..ผมขอเขกหัวคุณสักที” ไม่พูดเปล่า ผมแจกมะเหงกเบา ๆ เคาะลงตรงกลางหน้าผากให้อีกฝ่าย เป็นการแก้อาการหมั่นไส้ของตัวเองที่มีต่อเขา

“โอ๊ย ผมผิดอะไรละคุณ รู้ไหมว่าผมไปนั่งคิดนอนคิดมาหลายคืนเลยนะ ที่จะให้แฟนตัวเองมีน้อยได้เนี่ย” โชว่า

“ยัง !!!” ผมเบรก เดี๋ยวนี้เริ่มมีพัฒนาการแอบเคลมนะครับเจ้านากเผือกนับวันชักจะร้ายกาจขึ้นทุกที

“ยังก็ยัง แต่ผมก็พยายามคิดเผื่อคุณไง...ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมเข้าใจว่าคุณยังเด็ก คุณยังมีความต้องการในเรื่องอย่างว่า และอีกฝ่ายคุณเคยเป็นแอคเค่อมาก่อน จะแปลกอะไรถ้าจะมีคนติดคุณแจในด้านนี้ ที่ผมพูดคือผมไม่ได้ใจกว้าง แต่ผมมองว่าถ้าจะไปต่อกันได้เรื่องพวกนี้ก็ควรพูดคุยกันให้ละเอียดนะครับทีเร็กซ์” โชว่า ผมถอนหายใจผมยิ้มกับความคิดนั้นก่อนจะแชร์ความคิดจากฝั่งของตัวเองไปบ้าง

“ผมยังเด็ก ความต้องการทางเพศเยอะจริงไหม? ผมว่าคุณน่าจะรู้คำตอบทั้งหมดนั้นดี แต่เรื่องของเรื่อง ถ้าผมเลือกแล้วว่าจะมีแฟน ผมเลือกแล้วว่าจะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ผมจะนอกใจไปหาคนอื่นได้ยังไงละครับ?” ผมว่า อดไม่ได้ที่จะบี้จมูกเขาเล่นเป็นการหยอกล้ออีกฝ่าย

“โชครับ การที่เราตัดสินใจเลือกใครสักคนหนึ่งมาเป็นแฟนแล้ว เวลาที่เราซื่อสัตย์ต่อคนที่เรารัก เราไม่ได้ให้เกียรติแค่ตัวเขาเองนะครับ แต่เรากำลังให้เกียรติตัวเราเองด้วยเช่นกัน ในฐานะอีกครึ่งหนึ่งของความสัมพันธ์ของคนสองคน ผมน่ะ อารมณ์เยอะจริง แต่ไม่ได้แปลว่าผมอดทนหรืออดกั้นไม่ได้ถึงขนาดต้องไปทำอะไรกับคนอื่นไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังแฟนตัวเองนะครับ” โชพยักหน้ารับคำนั้น แต่สีหน้าก็แอบลำบากใจอยู่หน่อย ๆ ก่อนจะพูดต่อ

“จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่เพราะผมใจกว้างหรือเข้าใจคุณหรอกนะ แต่มันก็แบบ...แอบมีเหตุผลเล็ก ๆ อยู่อีกข้อเหมือนกันที่ทำให้ผมคิดว่าตัวผมเองน่าจะยอมรับได้ถ้าคุณจะไปมีอะไรกับใคร”

“เหตุผลนั้นคือ?” ผมถาม โชหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะพูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ

“ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนในชีวิต”

ผมหันขวับไปตามประโยคบอกเล่าที่เขาพูดออกมา อีกฝ่ายหน้าแดงแปร๊ดแล้วเอานิ้วมือเกาจมูกตัวเองหน่อย ๆ เป็นการแก้เขิน

“...แต่คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมเป็นรุก?” ผมถาม

“ใช่ และก็รู้ด้วยว่าของคุณมัน...มันใหญ่เกินไป ผมกลัวเจ็บ เอาตรง ๆ เลยครับ แค่นิ้วตัวเองผมยังไม่รู้สึกโอเคสักเท่าไหร่เลย ผมเลยไปนั่งคิดทบทวนไปมาว่าถ้าผมมอบให้คุณไม่ได้ ผมก็สมควรจะให้คุณได้รับมันจากคนอื่นไหมเท่านั้นเอง” โชตอบ ก่อนจะเอียงคอมาซบแขนผม

“แปลว่าคุณ 26 แล้วแต่ยังไม่เคยมีอะไรกับใครเลยงั้นเหรอครับ?” ผมเก็บข้อมูลต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงน้อย ๆ แต่ก็พูดเสริมต่อว่า

“นั่นหมายถึงกับผู้ชายนะ กับผู้หญิงผมก็เคยมาบ้าง คือรุ่นพี่ผมเขาเคยพาไปเที่ยวอ่างเหมือนกัน..ว่าแต่คุณถามทำไมวะเนี่ย? เลิกโฟกัสเรื่องนั้นได้ไหมครับ ผมเขิน!!!” เจ้านากเผือกพูดพร้อมออกอาการงอแงมือไม้อยู่ไม่สุขไปมา

“ไม่โฟกัสไม่ได้หรอก มันเรื่องสำคัญนะ” ผมเก็กขรึม ทำท่าจริงจังขึ้นมา เขาพยักหน้าเห็นด้วยขึ้นลงช้า ๆ

“ผมถึงได้บอกไงว่าเราถึงสมควรคุยกันให้มันชัดเจนไปเลยตั้งแต่เริ่มต้น” เขากล่าวซ้ำ

“ก็เพราะแบบนั้นแหละครับ ผมถึงได้บอกไง ว่าผมยินดีที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ผมก็อยากให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ให้เราได้ค่อย ๆ ลองเรียนรู้ทำความรู้จักกันไปเรื่อย ๆ เชื่อผมเถอะโช ถ้าผมใช่สำหรับคุณจริง ๆ ถ้าคุณใช่สำหรับผมจริง ๆ เราหนีกันไม่พ้นหรอกครับ” ผมว่าพลางถอนหายใจ

ผมยังหวาดกลัวกับอะไรหลาย ๆ อย่างมากมายอยู่ในใจ แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อยู่ดี...

...ภายใต้ความสิ้นหวังและการกักเก็บตัวมากมายในใจ ลึกลงไปข้างใน ผมยังรอใครบางคนดึงผมขึ้นมาจากใต้ปรภพแห่งความสิ้นหวัง

รอใครสักคนที่พร้อมจะโอบกอดบาดแผลของผม ใครบางคนที่พร้อมจะยอมรับ “ทั้งหมด” ของผมได้จริง ๆ

ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว

...ผมไม่อยากกลับไป “ที่นั่น” อีกแล้ว

“คุณ”

“ครับ?”

“แปลว่าคุณยังไม่เคยจูบกับใครที่เป็นผู้ชายใช่ไหมครับ?”

ถ้าในเมื่อคุณเดินเข้ามาหาผมลึกถึงใต้ใจกลางมหาสมุทรขนาดนี้...

“ก็...ใช่ครับ”

ผมขอร้องนะครับ

“งั้น..ลองจูบกับผมไหมครับ?”

...ช่วยดึงผมออกไปจากความสิ้นหวังนี้ที



Time talk : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ... ต้องบอกว่าตอนนี้เป็นตอนสิ้นสุดของเล่ม 1 นะครับ (350 หน้า อาจจะมีการเพิ่มหน้านะครับ แต่ไม่น่าจะลดไปมากกว่านี้แล้วละ) สำหรับผมแล้วมันคือช่วงรอยต่อจุดเริ่มต้นของตัวละครหลาย ๆ ตัวละคร ที่ปูเรื่องและบอกกล่าว พัฒนาความสัมพันธ์ผ่านกันไปกันมาตลอด หลังจากนี้ไป ทุกตัวละครจะต้องค่อย ๆ "เคลียร์" ปริศนาและแบล็กบ็อกซ์ของตัวเองไปเรื่อย ๆ ที่ละคน ที่ละคน

ผมย้ำเสมอ และจะย้ำไปตลอด จนกว่าจะถึง "จุดนั้น" ที่ผมเขียนไว้ มันเป็นจุดที่ยากลำบากใจมากจริง ๆ และเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่มาก ๆ ในชีวิตนักเขียนของผม แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจในทุก ๆ การกระทำของทุก ๆ ตัวละครที่ดำเนินอยู่ในเรื่อง

ชีวิตจริงอะไรเกิดขึ้นได้ฉันได้ แอคเค่อนั้นไซร้ก็เกิดขึ้นได้ฉะนั้น

โปรดระวัง :]

Ps. ผมอยากอวดหน้าปกแบบใจจะขาด ลงแดงจะตายแล้ว แต่หน้าปกผมซ่อนอีสเตอร์ไว้เยอะมาก จนคิดว่าหลาย ๆ คนต้องจับได้แน่ ๆ เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อดทนรอนะครับ อีกสักช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิดช่วงพีคไทม์ของเรื่อง น่าจะสามารถนำหน้าปกมาให้ดูกันได้แล้ว

จับมือไว้ แล้วไปด้วยกันจนสุดทางนะครับ ช่วงนี้อากาศแปรปรวน รักษาสุขภาพด้วยนะครับทุกคน !

ฝากเชียร์และให้กำลังใจน้อง ๆ กันด้วยนะครับ เย้  :L2:

Pss. ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้อ่านในเล้าเป็ด แต่หลาย ๆ ท่านหายหน้าหายตาไปเลยงับ ตกใจและใจหายมาก ๆ  ผมคิดถึงนะครับ ถ้าผมทำอะไรพลาดไปแวะมาบอกผมได้นะครับ ส่วนเรื่องคำผิดผมก็พยายามแก้ไขให้เรื่อย ๆ น้า อย่าเพิ่งทิ้งกันนะครับชาวเล้าเป็ด UU // อ้อนๆนะเหมียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 00:56:47 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.21 Second | P4 | 07/12/2561
«ตอบ #109 เมื่อ08-12-2018 02:03:54 »

 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.21 Second | P4 | 07/12/2561
« ตอบ #109 เมื่อ: 08-12-2018 02:03:54 »





ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
«ตอบ #110 เมื่อ19-12-2018 23:02:05 »



Ep.22 Return




ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทีละนิด สำรวจทั่วโพรงปากของอีกฝ่ายโดยชะลอความเร็วไม่ให้เคลื่อนไหวเร็วมากเกินไปจนเขาตามไม่ทัน ลมหายใจอุ่น ๆ ลดลงใบหน้าของกันและกัน พอเกี่ยวตวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่ายไปมากจนเขาเริ่มตามทันผมก็สปีดเร็วขึ้น ไม่ถึงห้านาทีโชก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปก่อนจะสูดลมหายใจดึงเอาอากาศเข้าไปในปอด

“เกินไป” เขายกหลังมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก ก่อนจะบอกผมหน้าอาย ๆ

“อะไรเกินไป?” ผมถามกลับ

“คุณจูบเก่งเกินไป” โชพูดพร้อมก้มหน้าลงมาซุกกับอกผม พอเห็นเขาอ้อนแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขยี้เส้นผมนุ่มนิ่มนั่นเล่น โชตอบรับด้วยการเอาหัวถูไถไปมากับหน้าอกผม ก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะให้กับเราทั้งคู่ออกมา

“คุณต้องหัดหายใจทางจมูกในระหว่างที่ตวัดลิ้นไปด้วยนะ” ผมแนะ โชตีแขนผมแรงดังป๊าบ

“คนบ้า” เขาว่าเบา ๆ เสหน้าไปทางอื่นแก้เขินอาย ผมค่อย ๆ ลูบหัวเขาเบา ๆ เป็นการระบายความรู้สึกให้อีกฝ่ายไปในตัวอีกทางหนึ่ง

“นี่คุณ” เขาเรียกผม

“ครับ?”

“ผมมีความสุขจังเลยครับ”

โชกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่หนักแน่น ผมพยักหน้าแล้วกล่าวสมทบ

“นานแล้วที่ผมไม่ได้จูบใคร แล้วไม่ทำต่อจนเสร็จ...คุณโชคดีนะ” ผมว่า เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดตอบโต้กลับคืนมา

“เสือร้ายจริง ๆ เลยคุณ”

ผมยืนยันคำพูดของเขาด้วยการกระทำ ชันตัวและก้มหน้าลงไปประกบปากกับเขาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ย้อนไปสิบห้านาทีที่แล้วตอนผมถามว่าอยากลองจูบกับผมไหม เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตกลง จนสุดท้ายแล้วเราค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าหากันนั่นแหละ และคุณรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามจูบใครโดยไม่ให้รู้สึกอะไรเกินเลยหรือต้องการในตัวอีกฝ่าย

โชเป็นมือใหม่ของการจูบ ยังไม่ต้องไปพูดเรื่องเซ็กซ์ครั้งแรก การเตรียมตัว หรือแม้กระทั่งวิธีการ make love ให้ผมหรอก เอาแค่จูบเนี่ยให้รอดก่อนเถอะครับ แรก ๆ เขายังกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้ลิ้นของผมไหลลื่นไปตามโพรงปากด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลา ตวัดเกี่ยวเลี้ยวลดไปตามทาง กว่าเขาจะยอมคลายฟันออก ให้ลิ้นของผมได้เข้าไปสัมผัสกับข้างในโพรงปากนุ่ม ๆ ของเขา

เราคงต้องเรียนรู้กันแหละกันไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ถึงจะสามารถตอบได้ว่าเรา “ใช่” ต่อกันและกันไหม

ทั้งผมและโช เรายังต้องการระยะเวลาในการจะผูกสัมพันธ์ ไม่ใช่ว่าผมอยากเล่นตัวหรืออะไรหรอกนะ แต่คนเราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นและผมจะระมัดระวังไม่ให้มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไวมากเกินไป จนหัวใจของเราสองคนวิ่งตามไม่ทัน ขอแค่ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้เราละเลียดและใช้เวลาไปกับมัน

...แล้วสักวัน หัวใจของเราสองคนจะตอบคำถามนั่นเองว่าเราจะเป็นยังไงกันต่อไป

ผมถอนจูบออกมาแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังหายใจไม่คล่องกับการจูบ เหงื่อเขาไหลออกมาข้าง ๆ ขมับนิดหน่อย ผมยื่นมือลงไปเช็ดก่อนจะกระซิบเบา ๆ ที่ข้างใบหู

“ขนาดจูบคุณยังไปไม่เป็นขนาดนี้เลย แล้วถ้าเรา make love กัน คุณคิดว่าคุณจะรอดไหมเนี่ย?” ผมแซว และรางวัลที่ได้รับก็คือแรงทุบหลังดังอั๊ก ผมร้องอู๊ย ก่อนจะแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงไปนอนทับอีกฝ่ายเอาไว้

“คุณ ขยับตัวออกไปนะ ไม่ใช่ตัวเบา ๆ ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงและท่าทีไม่จริงจังนัก ผมไม่ตอบอะไร แต่นอนหลับโดยพยายามเทน้ำหนักไม่ให้ลงไปกดทับตัวอีกฝ่าย สุดท้ายแขนทั้งสองข้างก็โอบกอดผมไว้จากด้านล่าง

“ผมเองก็มีความสุขมากเหมือนกันนะครับ...”

“...”

“ขอบคุณนะครับโช ..แต่ผมขอเวลาหน่อยนะครับ” ผมว่า กระซิบข้างหูเขา โชพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจในความลำบากใจของผม ก่อนเจ้าตัวจะกอดผมแน่นเข้าไปอีก

“ผมจะรอจนกว่าวันที่คุณจะเปิดหัวใจให้ผมครับ” โชพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมไม่ตอบอะไรอีกแต่พยายามซึมซับบรรยากาศอันมีความสุขเอาไว้ นานมากแล้วที่ห้องของผมไม่ได้อบอวลไปด้วยความรู้สึกของการสานสัมพันธ์ มากกว่าแค่การแลกเปลี่ยนความต้องการซึ่งกันและกันในช่วงข้ามคืน

เหมือนเขาทำให้ผมได้สัมผัสกับการมีชีวิต “อีกครั้ง” ในห้องนี้

“เรื่องอะไรที่มันต้องใช้เวลาก็ปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันแล้วกันนะครับ เออ โช ผมมีประเด็นอยากลองนำเสนอคุณด้วย” ผมว่า ควักมือถือออกมากด ๆ ดูที่ตัวเองจดบันทึกข้อมูลเอาไว้

“อะไรเหรอครับ?” เขาถาม ยกตัวขึ้นมาพิงผนังเตียง มองสิ่งที่ผมจดไว้ในโน้ตมือถือ

“ประเด็นเกี่ยวกับทวิตเตอร์แล้วก็สังคมที่มีความเกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับแอคเค่อนะครับ ผมว่าจะลองพูดให้คุณฟังดู แต่ไม่รู้หรอกนะว่าเอาประเด็นไหนไปใช้ได้ไม่ได้ยังไงบ้าง” ผมว่า ส่งให้เขาไปสไลด์ดูหัวข้อกับรายละเอียด และคำถามเล็ก ๆ ที่ผมตั้งข้อสงสัยเอาไว้

“นี่คุณจดทั้งหมดนี้ไว้ช่วงผมไม่อยู่เหรอ?” เขาสไลด์หน้าจอพลางถามไปด้วย

“ใช่ครับ”

“ละเอียดพอสมควรเลยครับ หลายประเด็นเองก็น่าสนใจด้วย” โชพูดพร้อมหันมายิ้มให้กับผม กว่าผมจะรู้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงอะไร ก็ตอนที่เขาพูดประโยคต่อไปนั่นแหละครับ

“ผมดีใจนะที่เห็นคุณใส่ใจกับผมขนาดนี้”

เขาว่ายิ้ม ๆ ผมเบะปากและแก้ต่างให้กับตัวเองทันที

“ใครบอกว่าผมใส่ใจคุณ ผมใส่ใจงานของคุณต่างหาก” โชไม่พูดอะไรต่อนอกจากบ่นอุบอิบนิดหน่อยว่าผมชอบรักษามาดมากเกินไป แต่ก็นั่นแหละครับ พอเป็นเรื่องงานปุ๊บเขาก็เข้าโหมดจริงจัง หยิบไอแพดของตัวเองออกมาคัดลอกประเด็นที่น่าสนใจจากผมไป ปากก็บ่นพึมพำไปด้วยว่าคิดไม่ถึง ๆ จนจดเสร็จนั่นแหละถึงได้หันมามองหน้าผมอีกรอบ

“น่าสนใจมากเลยครับ โดยเฉพาะประเด็นซีรีส์วาย ผมไม่เคยคิดในมุมนั้นมาก่อนเลยว่าเราควรระมัดระวังมากแค่ไหนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลียนแบบของผู้ชมทางบ้าน” เขาว่า

“ผมวิจารณ์ไม่ได้ เพราะผมไม่เคยดูซีรีส์วายสักตอน คุณลองเปิดให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?” ผมถาม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมอยากจะลองถกประเด็นนี้ดูสักครั้ง ก็ควรจะทดลองดูไปเลยจริงจัง เขาพยักหน้า ก่อนเราจะพลิกตัวกันลงไปนอนคว่ำแล้วตั้งหน้าจอไอแพดไว้ด้านหน้าเราสองคน โชคลิกเข้าไปที่คลังวิดีโอของตัวเอง ก่อนจะเลือกเปิดซีรีส์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้ผมดู

เราปล่อยให้ซีรีส์ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนจบตอน ก่อนทั้งผมและโชจะหันมามองหน้ากัน

“โชครับ”

“ครับ?”

“นั่นไม่ใช่งานที่คุณเคยทำใช่ไหม?” ผมถาม อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นการยืนยัน

“โล่งอก ผมจะได้วิจารณ์ได้สะดวกปาก” ผมว่า โชหัวเราะไปกับคำพูดของผมก่อนจะรอให้ผมพูดต่อ

“ก่อนอื่นคือเอาสำหรับคนที่ไม่เคยดูซีรีส์วายอะไรพวกนี้นะครับ อยากถามว่าเมื่อกี้นี้เรานับว่าเป็นการแสดงได้เหรอครับ? แข็งมาก ดูไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติเลย แล้วอะไรคือตอนแรกเปิดฉากมาเคลมตัวเองแมนมาก แต่จะมายืนจูบโชว์กันกลางโรงอาหาร และไหนจะตำแหน่งเดือน 4 ปีซ้อนนั่นคืออะไร มีมหาวิทยาลัยไหนให้ตำแหน่งซ้อนแบบนี้ด้วยเหรอครับ คือมันดูหลุดไปไกลจากสามัญสำนึกโลกที่ผมอยู่มากเลย ผมถึงถามก่อนไงว่าไม่ใช่งานคุณใช่ไหม ผมจะได้วิจารณ์ได้สะดวก” ผมร่ายยาว ยังงงบวกอึน ๆ ไม่หายกับซีรีส์ที่ตัวเองได้ดูไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“เอาทีละประเด็นนะครับ เรื่องแสดงแข็ง อันนี้ผมเห็นด้วยเลยครับ เพราะนักแสดงใหม่ยกเซ็ตเลยก็ว่าได้” โชพูด เว้นวรรคแล้วกล่าวต่อว่า

“ถามว่าทำไมต้องใช้นักแสดงใหม่ทั้งหมด ก็ต้องยอมรับก่อนว่าซีรีส์เพศทางเลือกยังไม่ได้เป็นที่นิยมหรือติดกระแสตลาดหลักมากขนาดนั้นนะครับ ก็เหมือนที่ทีเร็กซ์บอกนั่นแหละ ว่าคนไทยยังติดภาพลักษณ์ว่าเพศที่สามทุกคนต้องเป็นคนตลก ต้องสร้างเสียงหัวเราะ และยังไม่สามารถทำความเข้าใจในความแตกต่างของคนได้มากขนาดนั้น

พอตลาดมันยังไม่กว้าง นักลงทุนยังไม่ค่อยมีเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถขายโฆษณาได้ สปอนเซอร์ก็เลยมีน้อยตามไปด้วย เพราะงั้นในส่วนของนักแสดงก็ต้องอาศัยนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้มีผลงาน พอไม่มีผลงาน การเรียนแอคติ้งก็อาจจะไม่ได้มากพอให้เขาเข้าใจธรรมชาติของการแสดงที่ไม่แสดง เงินยังเป็นปัจจัยอีกปัจจัยสำคัญของความก้าวหน้าในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และแวดวงบันเทิงในบ้านเรา ต่อให้อยากสร้างงานอลังการแค่ไหน ถ้าไม่มีนายทุนมาลงทุน มันก็ทำได้แค่ตามมีตามเกิด พอตามมีตามเกิดก็ต้องไปคาดหวังจากพลังแฟนคลับของบทที่เอามาสร้าง

จึงเป็นที่มาว่า ทำไมฟีดแบคของนิยายเรื่องหนึ่งถึงสำคัญมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดคอมเม้นท์ ยอดวิว ยอดแฟนคลับ หรือแม้กระทั่งการรีวิวหรือบอกต่อในโลกออนไลน์ เพราะมันไม่ได้ส่งผลแค่กับจิตใจของคนเขียนคนเดียว แต่มันเกี่ยวพันถึงอนาคตของนิยายเรื่องนั้นทั้งหมดเลย อาทิ สมมติว่าถ้าสำนักพิมพ์จะเลือกนิยายสักเรื่องหนึ่งนำออกไปตีพิมพ์ ก็ต้องประเมินแล้วว่าเรื่องนี้พอจะขายได้แน่นอนใช่ไหม เพราะยอดพิมพ์ขั้นต่ำของแต่ละสำนักพิมพ์ส่วนมากก็จะเริ่มต้นกันที่พันเล่มขึ้นไปอยู่แล้ว และทั้งหมดนั่นจึงสอดคล้อง ส่งผลกระทบกันไปมา”

โชอธิบาย ผมพยักหน้ายอมรับและทำความเข้าใจได้ ถ้าเป็นนักแสดงหน้าใหม่ก็น่าจะเป็นพวกเด็กที่กำลังต้องการเส้นทางในการปูไปต่อวงการบันเทิงกระแสหลัก ก็อาจจะดีลง่ายมากกว่าการใช้ดาราและนักแสดงทั่วไปที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ในการทำงานอยู่แล้วมาเป็นนักแสดง พอเป็นแบบนั้น แอคติ้งเลยแข็งเป็นหินอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเวลาซ้อมก็คงน้อย หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้มีโค้ชที่เก่งมากขนาดควบคุมงานได้

“ในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็...คุณ นักเขียนนิยายวายส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงนะครับ อ่ะ ผมถามนะ คุณคิดว่าคุณเข้าใจผู้หญิงมากน้อยขนาดไหน?” โชถาม

“ถามว่าผมเข้าใจผู้หญิงไหม ก็เข้าใจได้ แต่คงไม่เข้าใจได้ทั้งหมด...อ๋อ ! ผมเข้าใจที่คุณจะบอกแล้ว” ผมว่า พร้อมทั้งดีดนิ้วเมื่อตัวเองคิดตามทันโชสำเร็จ อีกฝ่ายพยักหน้าและยิ้มให้กับผม

“นั่นแหละครับ เวลาผู้หญิงเขียนอะไรเกี่ยวกับผู้ชายในโหมดนิยายวายนะ ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับจินตนาการแล้วก็เบสออนสตอรี่ที่เจ้าตัวเคยผ่านมาใช่ไหมครับ เพราะแบบนั้นแหละครับที่ทำให้นิยายวายของผู้หญิงหลายคนกลายเป็นโลกในอุดมคติ เพราะเขาไม่ใช่เกย์ ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจและทัชได้ทั้งหมด 100 % ในกระบวนการความคิดของคนที่เป็นเกย์จริงๆ

ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เขาเขียนออกมาจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเขียนอะไรก็ได้ออกมาอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า มันส่งผลทั้งต่อค่านิยมของคนในสังคมและก็กระทบกลับออกมาหาคนที่เป็นเกย์จริง ๆ เหมือนที่เราเคยคุยกันนั่นแหละว่าทำไมรุกต้องแมน ห้ามออกสาว ทำไมรับต้องตัวเล็กน่ารัก

นิยายวายหลายเรื่องไม่ได้เขียนให้เกย์อ่านนะครับ เขาเขียนให้ผู้หญิงอ่าน ซึ่งนั่นแหละเราต้องยอมรับก่อนว่าในทางการตลาดแล้ว ผู้หญิงค่อนข้างมีกำลังจ่ายมากกว่าผู้ชาย และในเมื่อเขาเขียนมาให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก ถ้าเกย์แบบเราจะดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่จริงก็ไม่แปลกอะไรนี่ครับ มันแค่ไม่ตรงทาเก็ตเราเท่านั้นเอง ” โชว่า

“อ้าว แล้วแบบนี้แอคเค่อจะรอดไหมครับนั่น?” ผมเป็นห่วงกลาย ๆ เขาอมยิ้มอีกครั้งก่อนจะว่า

“ไม่มีใครรู้หรอกครับ ผมเชื่อว่าก่อน เจเคฯจะดัง เธอก็คงผ่านการพิสูจน์มามากมายกว่าที่สื่อจะได้รับรู้อีก แอคเค่อเองก็เหมือนกัน เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ นั่นแหละครับ อะไรที่ใหม่กับตลาดมาก ๆ มันก็มีแนวโน้มจะรอดยากในตอนนี้ แต่พอเวลาผ่านไป มันอาจจะกลายเป็นที่ยอมรับของใครหลาย ๆ คนก็ได้ ผมคิดแบบนั้นนะ”

พอเขาพูดแบบนั้นแล้วผมก็ไม่ขัดอะไรอีก ทำได้แค่บีบมือให้กำลังใจเขา จากทั้งหมดที่ได้เจอกันมา ผมเชื่อว่าแอคเค่อจะต้องออกมาเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคน ๆ หนึ่งได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแล้วปลายทางของนิยายเรื่องนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ก็อย่างที่โชว่าแหละครับ โชคชะตา วาสนา และคนอ่านจะเป็นคนให้คำตอบเราเอง

“ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่ผมสนใจ คือประเด็นเรื่องตัวละครเพศหญิงในซีรีส์วาย” โชพูดต่อ ผมพยักหน้าหงึก ๆ แล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

“จริง ๆ ตรงจุดนี้พูดไปแล้วมันก็เหมือนละครทั่วไปนะครับ มีพระนาง ตัวร้าย นางร้าย ในโลกของนิยายวายของใครหลาย ๆ คนก็เหมือนกัน มันเหมือนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้หญิงด้วยกันเองรับรู้นะครับว่าตัวละครเพศหญิงไม่ควรก้าวเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือถ้าเกี่ยวข้องก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ เพื่อนร่วมกลุ่ม ร่วมห้องต่าง ๆ

 กล่าวคือ ผมก็เคยทำสัมภาษณ์มานะ ว่าทำไมผู้หญิงหลายคนถึงชอบอ่านนิยายวาย ซึ่งคำตอบที่ได้สรุปรวบยอดเลยคือ ‘เขาได้กันเองเสียใจน้อยกว่าเขาไปได้กับใคร(ที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน)’ อารมณ์แบบถ้าเขาชอบกันเองยังไงเขาก็ไม่ชอบเราแน่ ๆ เราไม่ได้แพ้ใคร ประมาณนั้นครับ”

“ได้เหรอคุณ” ผมว่า

“ได้สิครับ ก็ได้ไปแล้วอ่ะ ฮ่าๆ” โชตอบ ผมพยักหน้าขึ้นลงตาม

“พอเป็นแบบนั้นปุ๊บ ถ้าผู้หญิงจะต้องเข้ามามีบทบาทในโลกของนิยายวาย ก็จะได้ตำแหน่งตัวร้าย ซึ่งตัวร้ายในนิยายวายยุคแรก ๆ ก็จะเป็นผู้หญิงขี้อิจฉา ขี้แพ้ ยิ่งเห็นว่าตัวเองแพ้ให้กับเพศตรงข้ามยิ่งวีนเหวี่ยง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของยุคแรกนะ พอหลายปีผ่านมาตัวละครในนิยายก็กลมกล่อมขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวคือในนิยายวายไม่ได้มีแค่เรื่องของผู้ชายกับผู้ชายรักกันอีกต่อไป มันเป็นการพัฒนาไปตามกาลเวลาน่ะครับ”

“ก็ชีวิตจริง สังคมเราไม่ได้มีแต่ผู้ชายหน้าตาดีห้อมล้อมอ่ะเนาะ” ผมว่า โชหัวเราะหน่อย ๆ ตาม

“พูดถึงพัฒนาการแล้ว เราก็ต้องยอมรับนะครับว่าถึงแม้ซีรีส์หลายเรื่องจะทำออกมาได้ไม่ถึงขนาดว่าขึ้นหิ้ง แต่มันก็เป็นการโอเพ่น เปิดประตูบ้านใหม่  ๆ ให้กับทั้งวงการนิยายวายและซีรีส์เพศทางเลือกนะครับ อย่างสมัยนี้สำนักพิมพ์หลายแห่งก็ต้องมียูนิตย่อยเป็นหมวดชายรักชายโดยเฉพาะ และซีรีส์วายเอง ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับสังคมทั้งกับตัวแฟนคลับและนักแสดงที่พอแสดงเรื่องหนึ่งปุ๊บก็แทบจะได้แฟนคลับที่คอยติดตามและสนับสนุน”

“เหมือนปรากฏการณ์คู่จิ้นอ่ะนะ?” ผมถาม โชพยักหน้า

“อันนี้ในส่วนตัวของผมนะ บางคู่ก็ทำหน้าตามที่ บางคู่ก็อาจจะคิดจริงจัง แต่ทั้งหมดนั่นมันเป็นเรื่องของเขานะครับ คำว่าคู่จิ้นก็บอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่าคู่จิ้น ไม่ใช่คู่เรียล แต่คู่จิ้นก็ก่อให้เกิดโมเม้นท์มากมายตามมาให้คนได้กรี๊ดกร๊าดกันไป ซึ่งคู่จิ้นเนี่ย ไม่ได้มีแค่เฉพาะชายชายนะครับ วงการฝั่งละคร ช่องยักษ์ใหญ่บางช่องเองก็เน้นขายดาราเป็นคู่ ๆ แบบนี้เหมือนกัน”

“แต่ก็แอบส่งผลเสียนะ” ผมว่า

“ยังไงครับ”

“คืองี้คุณ ผมเคยรู้จักเพื่อนผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนั้นมีสองคนเป็นรูมเมทกันและสนิทกันมาก ๆ แต่พอยุคคู่จิ้นมาถึง เขาสองคนก็โดนสาว ๆ ในมหาวิทยาลัยจิ้นกัน และไป ๆ มา ๆ ทั้งคู่ก็เลิกสนิทกันไปเลย เพราะต่างคน ต่างไม่อยากโดนกล่าวหาว่าเป็นเกย์ ผมว่านี่เป็นเส้นอีกเส้นที่ถ้าแฟนคลับไม่รู้ตัวว่ากำลังจะก้าวข้ามไปละเมิดใครก็คงแย่นะครับ”

“มันต้องหาความพอดีน่ะ คือผมก็ยังมองขอบเขตว่าการสนับสนุนให้ผู้ชายหน้าตาดี ๆ สองคนเป็นแฟนกันมันไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ก็ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม อย่างเรื่องที่ทีว่ามา ผมว่าคนเอาไปจิ้นก็เกินไป แต่ก็พูดยากอีกนั่นแหละว่าเพราะคนนอกถึงทำให้เพื่อนสนิทสองคนต้องแตกคอแยกย้ายกันไปเลยเหรอ” เขาทิ้งท้ายไว้

“ไม่รู้สิ ก็คงมีแค่เขาสองคนละมั้งที่รู้ว่าเหตุผลที่เลิกคบกันจริง ๆ เป็นเพราะอะไรกันแน่” ผมกล่าวสรุป เราเงียบกันไปก่อนผมจะตั้งประเด็นใหม่

“แล้วนี่คุณวางแผนจะเอานิยายไปลงเนื้อหาที่เว็บไซต์ไหนบ้างครับ?” ผมถาม โชนับนิ้วก่อนจะไล่ให้ฟัง

“ก็มีเล้าเป็ดแน่ ๆ ล่ะหนึ่ง เด็กดีสอง ธัญวลัยสาม ฟิคชันล็อกสี่ แล้วก็ รีดไรท์ห้า ส่วนที่เหลือผมอาจจะดูก่อนว่ากระแสไปได้ไกลมากน้อยแค่ไหน แล้วค่อยเอาไปลงในเว็บไซต์อื่น ๆ อีก” เขาว่า

“หื้ม มีหลายเว็บไซต์ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมถามต่อ

“ถ้าเมื่อก่อนก็มีไม่กี่เว็บหรอกครับ แต่ก็ปกติของธุรกิจ อะไรทำเงินได้ ก็มีคนมาลงทุนทำทั้งนั้นแหละครับ ที่ผมต้องลงหลายเว็บเพราะผมต้องกระจายความเสี่ยงด้วย และก็เป็นการพีอาร์ให้คนที่ไม่ได้เล่นในเว็บอื่น ๆ เห็นด้วย อาจจะยุ่งยากหน่อยตอนที่ต้องเอาไปลงหลาย ๆ เว็บ แต่เดี๋ยวผลลัพธ์มันออกมาก็คงตอบเราเองว่าคุ้มค่าไม่คุ้มค่า”

“จะว่าไปแล้วผมไม่เคยถามเลย คุณมีนิยายในดวงใจหรือมีนักเขียนที่ชอบไหมครับ?” เพราะประเด็นอื่น ๆ ดูจะเคลียร์ไปหมดแล้ว ผมถึงหันไปถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่มีสาระอะไรสักเท่าไหร่นัก

“มีนะ มีนิยายเรื่องหนึ่งที่มาก่อนกาลมาก ๆ และเป็นนิยายที่ผมชอบมากที่สุดแล้วไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน”

“นั่นคือเรื่อง?” ผมถาม อีกฝ่ายทำหน้าอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ

'หรือว่าความรัก' ของคุณฟิกครับ นั่นเป็นนิยายวายที่ดีที่สุดในใจผมตลอดกาล และอาจจะตลอดไปแล้วด้วย” เขาว่า ทำหน้าตาตื่นเต้นจนผมอินตามไปด้วย

“ชักอยากอ่านบ้างแล้วว่านิยายที่คุณว่ามาสนุกขนาดไหน” ผมหยอกเล่นนิด ๆ เขาย่นจมูกก่อนจะตอบกลับ

“อยากอ่านตอนนี้ก็หายากแล้วครับ หรือว่าความรักไม่มีรีปริ้นท์แล้ว แถมคนเขียนเองก็ไม่ทิ้งช่องทางไว้ให้ติดตามต่อ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่เขาหายไป แต่ผมก็เคารพในการตัดสินใจของเขานะ อ๋อ แล้วก็ ราคาหนังสือตอนนี้ พุ่งไปเกือบหมื่นกว่าบาทแล้วครับ” โชว่าตาใส ส่วนผมหันหน้าขวับไปหาเขา

“คุณว่าอะไรนะ?”

“ผมบอกว่านิยายชุดนั้นราคาพุ่งไปเกินหมื่นกว่าบาทแล้ว สำหรับคนที่อยากเก็บสะสม”

“ยอมรับนะว่าผมตกใจมาก ไม่คิดว่านิยายเรื่องหนึ่งจะสามารถมีราคาได้มากขนาดนี้” ผมว่า

“ราคาไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่มันเป็นมูลค่าทางจิตใจของแฟนคลับน่ะครับ คุณต้องเข้าใจ เมื่อก่อนไม่ได้มีสำนักพิมพ์มาอุ้มชูพวกเรามากขนาดนี้ ดังนั้นแล้วจะพิมพ์หนังสือขายได้ก็ต้องมียอดสั่งซื้อประมาณหนึ่งต่อครั้งถึงจะพิมพ์ขายได้ พอรวบรวมเปิดพรีออเดอร์ได้สักรอบแล้ว ถ้าไม่ใช่เจ้าที่ดังจริง ๆ ก็ยากครับที่จะรีปริ้นท์ได้หลายครั้ง” โชตอบ ผมพยักหน้ารับทราบและเข้าใจในข้อจำกัดของในอดีตที่ผ่านมา

“...แต่ถ้าคุณอยากอ่านจริง ๆ ผมเอามาให้ยืมอ่านก็ได้นะ”

“คุณมีเหรอ?” ผมถาม มองหน้าอีกฝ่าย โชพยักหน้าขึ้นลง

“ก็มันของสำคัญทางจิตใจนะครับ ชอบมากก็ต้องทุ่มทุนหน่อย ไปประมูลมาได้”

“ถ้ามันสำคัญมากก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมแค่สงสัยเฉย ๆ ว่าทำไมคุณถึงชอบขนาดนั้น” ผมว่า ชักเกรงใจอีกฝ่าย เพราะดูเป็นของที่มีความสำคัญต่อเขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ‘ของสำคัญ’ กับ ‘สิ่งสำคัญ’ อยู่ด้วยกันก็ถูกต้องแล้วนี่”

เป็นอีกครั้งที่โช ‘จีบ’ ผมอย่างตรงไปตรงมา ให้ตายสิ ถ้านี่เป็นในนิยายคงแปลก ๆ พิลึกที่คนเป็นรับหรือเป็นฝ่ายนางเอกเริ่มเป็นคนจีบก่อน แต่เพราะชีวิตจริงคนเราไม่ใช่นิยาย ก็ไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง ถ้าอีกฝ่ายจะรุกผมแบบนี้

“4 ทุ่มครึ่งกว่า ๆ แล้วนะครับ ไม่รีบกลับเหรอคุณ” ผมว่าแก้เขินพร้อมชี้ไปที่เข็มนาฬิกา อีกฝ่ายทำหน้าตาเหมือนเสียดาย บ่นพึมพำว่าเวลาเดินเร็วมากเกินไปจนผมอดขำไม่ได้

“นั่นสินะ ดึกแล้ว คุณควรได้พักผ่อน” พูดจบโชก็กลิ้งตัวลงไปจากเตียง ก่อนจะเก็บของลงกระเป๋าแล้วนั่งแหมะลงมากับเตียงอีกครั้งหนึ่ง ผมโอบกอดเขาไว้เบา ๆ ก่อนจะพูดปลอบ

“ไม่เป็นไรนะครับ อยากมาหาผมเมื่อไหร่ก็มาแล้วกันนะ ตอนคุณว่าง ๆ” เพราะสัญญาไปแบบนั้นอีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาได้ ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดีใจที่เขาเห็นผมเป็นคนสำคัญ แต่อีกใจก็หวาดกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นคนที่ทำให้รอยยิ้มนี้แตกสลายลงไปรึเปล่า

หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ผมเดินมาส่งเขาที่หน้าประตูเพราะอีกฝ่ายบอกว่าเขากลับเองได้ ไม่จำเป็นต้องลงไปส่งถึงข้างล่าง เราเดินมายืนอยู่ตรงหน้าประตูก่อนเขาจะกอดผมอีกครั้ง

“แล้วผมจะมาหาใหม่นะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้าและกอดตอบกลับไป

“ผมจะพยายามครับ” ผมรับปากและให้สัญญากับเขาไป โชรับรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่ผมต้องการคือเวลาในการจะค่อย ๆ อธิบาย “ทั้งหมด” ที่เกิดขึ้นกับผมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะบอกเล่าทั้งหมดให้เขาได้เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมผมถึงได้คุมขังตัวเองไว้อย่างแน่นหนาขนาดนั้น

“ผมไปแล้วนะ” เขาว่าก่อนจะโบกมือให้ผม และเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายปิดประตูลงจากฝั่งด้านใน เสียงฝีเท้าเดินไปห่างออกไปตามทางเรื่อย ๆ ผมคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะถึงประตูลิฟต์แล้ว

ไม่ใช่แค่คุณหรอกโช ...ผมเองก็คาดหวังไม่น้อยเหมือนกันว่าคุณจะใช่สำหรับผม

ผมถอนหายใจ กระโดดทิ้งตัวลงหมอนเน่า นอนกลิ้งหายใจฟึดฟัดไปมา ห้านาทีก่อน ผมยังไม่รู้สึกเหงาขนาดนี้เลย นี่แปลว่าผมเริ่มเสพติดอีกฝ่ายแล้วรึเปล่านะ?

‘ก๊อกๆ’

ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องเบา ๆ ก็ดังขึ้น สงสัยโชคงลืมของอะไรสักอย่างเอาไว้ ผมยิ้มแล้วรีบหมุนตัวลงไปเปิดประตูให้  อีกฝ่าย

“ไงคุณ ลืมอะไรเอาไ....”

....ไม่ใช่โช ผมนิ่งค้างไปทันทีที่สายตาปรับโฟกัสและจับภาพอีกฝ่ายได้ ผู้ชายตัวโต ๆ ตาตี๋พร้อมแว่นตาสีดำที่ยืนยิ้มอบอุ่นให้กับผมตรงหน้าไม่ใช่โช

“สวัสดีครับ...ทรอย”

ผู้ชายที่ผมอยากเจอมากที่สุดในโลกและไม่อยากเจอที่สุดในโลก ตอนนี้ เขากลับมาอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมเข่าอ่อน นึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรต่อดีเลยทำได้แค่ครางชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงต่ำ

“พี่พอร์ช”






Time talk : ขอโทษที่มาสายกว่าที่นัดไว้นะครับ แต่.... อุ๋ย เอาละตุ๋ย เห็นหลายคนอยากรู้จักคุณคนนี้มานานแล้ว เขามายืนตัวเป็น ๆ  ให้เห็นแล้วนะครับ คิคิ ข่าวดี !!! หน้าปกทั้งเล่มหนึ่งเล่มสองเสร็จแล้วเด้ออ เสร็จแบบคอมพลีทแล้ว ดีใจมาก ๆ เพราะออกมาตรงตามที่ต้องการและเข้ากับนิยายเรื่องนี้มาก ๆ แต่เราจะยั่วให้อยากและจากไปแบบนี้ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม อุอิ

เพื่อน ๆ สบายดีไหมครับ? พ่อแมวสบายดีนะครับ คิดถึงทุกคนเลย

ปีใหม่นี้ใครมีแพลนเดินทางไปไหน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับคนที่สำคัญและเป็นกำลังใจให้เราในทุก ๆ วันนะครับ สำหรับก่อนปีใหม่นี้ก็ขอสัญญาว่าจะลงเรื่องนี้ให้ถี่กว่าเดิม เพราะจบภาระหน้าปกแล้ว ผมคงสปีดตัวเองกลับมาได้ไวกว่านี้

ขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และเสียงตอบรับ พวกคุณทำให้ผมมีกำลังใจมากในทุก ๆ วันจริง ๆ ครับ

HNY ล่วงหน้านะครับ พรอันประเสริฐถ้ามีอยู่จริง ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง อยู่กับผมและน้อง ๆ ไปอีกนาน ๆ นะครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 01:22:24 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
«ตอบ #111 เมื่อ20-12-2018 01:04:31 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
«ตอบ #112 เมื่อ20-12-2018 21:30:28 »

มีการแก้ไขนะครับ ลองอ่านเพิ่มเติมได้นะ  :katai5:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
«ตอบ #113 เมื่อ21-12-2018 01:30:30 »

จริงหรือเล่น ที่ว่าหนังสือเรื่อง หรือว่าความรัก ชุดละหมื่น
ตกใจเลยนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.22 Return | P4 | 19/12/2561
«ตอบ #114 เมื่อ21-12-2018 12:09:55 »

ไปเที่ยวมา เลยหายตัวไปไม่ได้เม้น

โชรุกแรงนะคะ ขอให้สำเร็จผล อิอิ

พี่พอร์ชมาทำไม?

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.23 Me Before You [Part I]| P4 | 31/12/2561
«ตอบ #115 เมื่อ31-12-2018 21:48:02 »



Ep.23 Me Before You [Part I]




NO RAIN NO FLOWER.

เมื่อสายฝนพัดผ่านและจางหาย

...สิ่งที่หลงเหลือไว้นั้นคือปาฏิหาริย์ของความเจ็บปวด




 

1 ปีก่อนหน้านั้น

 

“บ้าเอ๊ย” ผมสบถเบา ๆ เดินหัวเสียออกมาจากบริเวณวงเวียนกลับรถหน้าทางเข้าพยาบาล ส่ายหน้าแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากับตัวเอง แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนเทกะทันหันจากคนที่นัดกันผ่านแอปพลิเคชัน แต่ถ้าจะเทกัน ช่วยเทกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ได้ไหม จะได้ไม่เป็นภาระผมต้องแต่งตัวออกมาจากหอพัก แม้มันจะใกล้โรงพยาบาลแห่งนี้ก็เถอะ

‘ครืนน’

เหมือนผมจะไม่ได้โชคร้ายเท่าไหร่ เพราะไม่นานโทรศัพท์ก็ส่งแจ้งเตือนว่ามีคนใหม่ ๆ ทักมา เขาไม่แสดงรูปใบหน้า มีแค่รูปหุ่นกับเสื้อกาวน์ ผมเบ้ปาก หวังว่าจะไม่ใช่เด็กในคณะใกล้ ๆ กัน แต่ก็ตอบแชทเขากลับไปอยู่ดี อีกฝ่ายพิมพ์บอกว่าเขากำลังลงจากเวรพอดี ผมเดาว่าเขาอาจจะเป็นพวกอินเทิร์น ในกรณีที่ไม่ได้ปลอมโปรไฟล์ล่ะนะ เพราะหมอปกติคงไม่ว่างมานั่งตอบแชทผมแบบนี้หรอก

เรานัดกันที่โรงอาหารด้านข้างโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าผมโดนเทจากที่คนอื่นนัดมาคงไม่เดินเข้ามาถึงด้านในนี้ ผมสั่งเครื่องดื่มเป็นนมสดร้อนนั่งรอเขา ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัวมองเด็กคณะวิทย์เคลื่อนตัวผ่านไปมาหลากหลายสาขา ปกติแล้วพวกเด็กสายสังคมแบบผมไม่ได้เดินมาแถวนี้นักหรอกนะ

“สวัสดีครับ”

10 นาที ไม่ช้าไม่เร็วกว่าที่เขาพิมพ์บอกไว้ในแชท ผู้ชายตัวโต ๆ สวมแว่นตาสีดำสนิทคนหนึ่งก็มานั่งตรงข้ามกับผม ผมมองหน้าเขาแล้วเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ทักผิดคนรึเปล่าครับ?” ผมแกล้งแหย่ อีกฝ่ายอมยิ้มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความเข้ามาในแชท และนั่นทำให้โทรศัพท์ของผมสั่นแจ้งเตือน เขามองแล้วอมยิ้มคล้ายกับว่าตัวเองกำลังได้รับชัยชนะ

“หรือให้ผมเปิดทวิตเตอร์คุณประกอบด้วยไหมครับ?” เขาว่า ผมขมวดคิ้วเหล่ตามองอีกฝ่ายหลังจบประโยคนั้น

“แชทถูกคน แต่ทวิตเตอร์ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?” ผมถามกลับ เพราะรูปโปรไฟล์ที่ผมใช้ในแอป ผมไม่เคยอัปโหลดลงในทวิตเตอร์ เขายักไหล่ไม่ตอบคำถามของผมแต่หันไปสนใจเรื่องอื่นแทน

“คุณทานอะไรมารึยัง?”

“ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว” ผมตอบกลับพลางเหล่มองเสื้อกาวน์ของเขาแล้วตั้งคำถามต่อ

 “ช่วงนี้คุณไม่รู้เหรอว่าเขากำลังตั้งคำถามนะ ว่าหมอใส่เสื้อกาวน์ลงมาเดินแบบนี้ มันจะติดเอาเชื้อโรคไปให้ผู้ป่วยในตึกรึเปล่า”

“ผมแต่งคอสเพลย์เฉย ๆ คุณไม่รู้เหรอ” เขาโกหกหน้าตาย ผมยักไหล่ ไม่สนใจ ยังไงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ว่าเขาจะยอมรับรึไม่ก็ตามแต่ใจ ผมไม่ใคร่อยากทราบเรื่องส่วนตัวของใครอยู่แล้ว

“ข้างบนมันไม่มีที่แขวนเสื้อกาวน์”

“ครับ?” ผมไม่เข้าใจ เขาอมยิ้มแล้วอธิบายต่อ

“ข้างบนตึก ในห้องพัก มันไม่มีที่แขวนเสื้อกาวน์ ปกติแล้วถ้ามีธุระอะไรต้องทำต่อแล้วต้องลงมาข้างล่าง ถ้าถอดออกจะวางไว้ตรงไหน วางไว้แล้วจะยับไหม ถ้ายับจะเป็นยังไงต่อ นั่นแหละสาเหตุที่บุคลากรในวิชาชีพบางส่วนถึงต้องสวมเสื้อกาวน์ลงมาด้วย แต่สบายใจเถอะ เดี๋ยวก็เอียนกันไปเอง ตอนทำงานจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครอยากใส่หรอก ถ้าไม่ได้ใส่เพราะต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับอีกฝ่ายที่มาใช้บริการน่ะคุณ

ส่วนเรื่องโรค ถ้าเอาตามที่ผมคิด มันไม่ได้มีผลมากขนาดนั้น  บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล และเข้าออกใกล้ชิดกับคนไข้ไม่ได้มีแค่พวกผม อีกอย่าง คุณคิดว่าเชื้อโรคข้างในข้างนอกแตกต่างกันมากขนาดไหนเชียว? แต่อย่าเอาไปบอกใครนะว่าผมพูดแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมไม่สนใจเสียงของประชาชนไปซะหมด”

เขาอธิบายยืดยาวแล้วตบท้ายด้วยการหัวเราะเสียงใส ผมพยักหน้าขึ้นลงรับทราบแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดแค่ว่ามันแปลกดีเหมือนกันที่ถ้ามันจะมีปัญหากับแค่เรื่องตรงนั้น ทำไมไม่จัดการปัญหาให้มันจบ ๆ ไป

เหมือนอ่านใจได้ เจ้าตี๋ตัวโตตรงหน้าผมพูดต่อ

“ผมแก้ปัญหาในส่วนที่ผมสามารถแก้ไขไปได้แล้ว อย่าสงสัยเลย” เขาว่าพลางยิ้มพราย ผมยักไหล่โกหกหน้าตายกลับ

“ใครบอกว่าผมสงสัย”

“แววตาคุณมันฟ้องว่าอยากได้คำตอบจากผม” เขาว่า

“คุณคิดไปเอง” ผมตอบกลับ

“ไม่เป็นไร ผมชอบคิดไปเอง สบายใจดี” เขาไม่ยอมแพ้ เรานั่งจ้องตากันสักพักก่อนเขาจะยื่นมือมาหาผม

“พอร์ช ...ผมชื่อพอร์ช ที่แปลความหมายได้ถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง ไปจนถึงชื่อเล่นของรถยนต์ชั้นยอดที่จัดจำหน่ายในประเทศไทย”

“ไททานิก” ผมโกหกอีกครั้งพร้อมยื่นมือขึ้นไปข้างหน้า

“โอเค ‘ไท’ ผมจะเรียกคุณตามนั้น ไม่ว่าชื่อจริง ๆ ของคุณจะชื่ออะไรก็ตามแต่” เขายิ้มพรายใส่ ดวงตาคู่ตี๋เหมือนกำลังฟ้องว่ารู้ทันทุกเรื่องที่ผมทำ เรากระชับมือก่อนจะยิ้มให้กัน

...นั่นคือครั้งแรกของผมที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้

“มีคนเคยบอกคุณไหมว่าคุณ ...สุดยอด” ผมว่า ปลายจมูกซุกไซร้ไปทั่วซอกคอของเขา ลิ้นตวัดลากผ่านเส้นเลือดปูดที่ขึ้นมาอย่างเด่นชัดบนต้นคออีกฝ่าย

เขายักคิ้วข้างเดียวอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะขยับเอวขึ้นลงจนผมถอนหายใจระบายความรู้สึกจากสัมผัสที่ตอบรับกับช่องทางของเขา

...ให้ตายเถอะ เขา on top เก่งเป็นบ้า ผมแทบจะพวยพุ่งไปถึงสวรรค์หลายรอบแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าผมเองก็เก่งมาก ๆ จนรู้จังหวะว่าจะทำยังไงให้ตัวเองแล่นไปตลอดรอดฝั่งโดยไม่ไปสวรรค์ก่อนอีกฝ่าย

“ต้องถามว่ามีใครบ้างที่ไม่เคยบอกกับผมแบบนั้น” เขาพูดพร้อมโยกตัวขึ้นลงอีกครั้ง กระชับการทรงตัวไว้ด้วยการเอามือสองข้างคล้องกับคอผม ก่อนจะนั่งยอง ๆ เป็นฐาน ผมตอบสนองด้วยการจับเอวและช่วยดันสวนทางกับเขาขึ้นไปอีกแรง ได้ผล อีกฝ่ายไม่รู้ว่าจุกหรือเสียวกันแน่แต่ครางออกมาเสียงหวานชะมัด

“คุณหลงตัวเอง”

“แต่ทุกคนก็หลงผมเหมือนที่ผมหลงตัวเอง”

“Not me” ผมว่า เขาไม่ตอบอะไรกลับแต่ส่ายเอวช้า ๆ แล้วกดขึ้นลงสุดเหมือนจะแกล้งผมแทน และนั่นเป็นการแกล้งที่ได้ผลมากซะด้วย

“ไอ้หมอ...เอ๊ย” ผมสบถหลังสิ้นสุดการกระทำของเขา พอร์ชหัวเราะชอบใจก่อนจะพลิกตัวผมให้ขึ้นมาเป็นฝ่ายคร่อมและเขานอนหงายลงไปแทน

“หมอก็คนเหมือนกันนะคุณ มีอารมณ์ มีความต้องการ มีรสนิยมในการมีเพศสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป ผมไม่ได้เป็นทิพย์” ไม่พูดเปล่า เขาเอานิ้วมาลูบบริเวณริมฝีปากผมเป็นการเชิญชวน ผมยักไหล่แล้วจับขาทั้งสองข้างเขาพาดอย่างแผ่วเบา แต่กลับสวนช่วงล่างอัดกระแทกเข้าไปแรง ๆ จนเขาร้องออกมา มือข้างหนึ่งกดหัวผมลงให้จูบปากกับเขา ส่วนอีกข้างก็บีบหัวไหล่ผมอย่างรุนแรงจนผมต้องระบายมันออกไปด้วยการเพิ่มแรงกับช่วงล่างมากขึ้น

“ถ้าเจ็บก็จิกเล็บลงไปที่หัวไหล่ได้เลยนะครับ” ผมว่าหลังถอนปลายลิ้นออกมาจากการบดปากจูบกับอีกฝ่าย

“....แต่ผมจะไม่ลดแรงกระแทกทั้งหมดที่ผมมีหรอกนะ”

ผมพูดต่ออีกครั้ง พร้อมแสดงให้เขาเห็นว่าผมทำจริงพูดจริงตามที่พูดออกมา พอร์ชครางออกมาเสียงดังกว่าเมื่อสักครู่จนผมต้องเอื้อมมือมาปิดปากเขาเอาไว้

“Quiet....plead”

ผมบอกอย่างใจเย็นเสียงต่ำรอดลำคอ เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบ ดวงตาตี๋เยิ้ม ๆ สองข้างจับจ้องมาที่ผม เหมือนรับรู้ว่าผมต้องการอะไร พอร์ชไม่ส่งเสียงออกมานอกลำคอเลยแม้แต่คำเดียว เขาพยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดรอดออกมาจากลำคอตามที่ผมบอกหรือสั่งก็ไม่ทราบแน่ชัด และนั่นยิ่งทำให้ผมชอบเขาเข้าไปใหญ่

เหมือนลืมตัว ผมยิ่งกระแทกรุนแรงมากขึ้น ยิ่งอยากรู้ว่าเขาจะหลุดออกมาสักคำไหม มันเหมือนผมสนุกที่ได้ “กระทำ” ความต้องการในใจของตัวเองกับอีกฝ่าย กว่าจะรู้ตัวผมก็เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้สัตว์ร้ายใต้จิตสำนึกครอบงำทุกอณูของห้วงความคิดและการกระทำของผม

...ก่อนผมจะหยุดการกระทำทั้งหมดลง หลังผมเห็นเขากำลังร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง

แววตาที่ยิ้มให้ผมในตอนแรกกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดออกมาจากข้างใน แต่เขาก็ยังไม่ร้องไห้ออกมาให้ผมได้รับรู้สักคำ เหมือนผมโดนน้ำเย็น ๆ สาดใส่หน้า ผมได้สติกลับคืนมาว่ากำลังทำอะไรลงไป ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเขา

“ผมขอโทษ ผม...ลืมตัว”

“ไม่เป็นไรครับ พี่แค่เจ็บนิดหน่อย แต่ส่งเสียงบอกไม่ได้ เราปิดปากพี่ไว้ซะแน่นเชียว” เขากระซิบตอบกลับ ตอนที่กำลังทำผมลืมตัวแม้กระทั่งว่ามืออีกข้างของผมปิดปากทั้งปากของเขาไว้ด้วยซ้ำ ผมถอนหายใจ ระบายความรู้สึกแย่ ๆ ที่ปะทุขึ้นมากลางอากาศ เตรียมจะดึงส่วนที่เชื่อมเราไว้ออกมา แต่เขาเป็นฝ่ายดึงรั้งตัวผมไว้

“ทำต่อเถอะ” เขาว่า ผมถอนหายใจแล้วตอบกลับ

“ผมกลัวทำพี่เจ็บ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น พี่แค่ตกใจนิดหน่อยด้วยที่เห็นเราทำหน้าแบบนั้น”

...ผมไม่อยากคิดเลยว่าหน้าแบบนั้นคือแบบไหน

“ทำต่อเถอะครับ ....นะ” พี่พอร์ชย้ำอีกครั้ง ก่อนเขาจะดึงผมลงไปจูบ ผมพยักหน้าตอบรับกับคำร้องขอนั้น ปลายนิ้วทั้งสองมือของเขาลูบไล้กับทุกส่วนบนใบหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับพี่อยากทำอะไรก็ทำได้” เขาว่าเสียงหวาน ผมพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจตามนั้น ก่อนจะเริ่มต้นทำต่อจากสิ่งที่เราค้างคาไว้เมื่อกี้

และผมก็ลืมคิดไปเลย ว่าตั้งแต่ตอนไหนกันที่ผมเรียกเขาโดยมีคำนำหน้าว่า ‘พี่’ ติดมาด้วย

หรือจริง ๆ แล้วผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมเคยตั้งกฎกับตัวเองไว้

...ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรกับคนที่เจอผ่านแอปพลิเคชัน

 

it’s supposed to clear up late.

เมื่อเมฆหมอกเคลื่อนย้ายคล้ายท้องฟ้ากลับมาแจ่มใส



พี่พอร์ชเป็นคนประเภทที่ผมไม่คุ้นเคยที่จะรับมือ เขาฉลาด ก็แน่ละ ถ้าไม่ฉลาดคงมาเป็นหมอไม่ได้ แต่เขามีวิธีการพรีเซนต์ความฉลาดของตัวเองได้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และเขาทำให้ผมรับรู้ได้ว่าตัวเขาเองฉลาดโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรง ๆ ด้วยซ้ำ

 ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ถามเรื่องส่วนตัว ไม่ยุ่งเวลาผมตอบแชทใคร ตอนเวลาเราอยู่ด้วยกันในห้อง และไม่สงสัยเวลาผมออกไปหาใคร ถามว่า เป็นความฉลาดยังไง ก็ต้องตอบว่าเป็นความฉลาดที่รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด

...และเขาก็ทำให้ผมรู้สึกยินดีกับการมีเขาอยู่ในชีวิตโดยไม่อึดอัด

เราคุยกันบ่อยมากขึ้น เจอกันถี่มากขึ้น และมีอะไรกันมากขึ้น หลากหลายสถานที่จนผมรู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กสิบหกที่กำลังใจแตกอีกครั้ง หลายครั้งเองผมก็คิดว่าเขาน่าจะรู้สึกเหมือนผมเหมือนกัน ยอมรับเลยว่าการมีเซ็กซ์กับเขาช่วยเติมเต็มความรู้สึกอะไรหลาย ๆ อย่างในร่างกายให้กับผมได้เป็นอย่างดี

แววตาที่เขามองตอบกลับผมมา มันเหมือนช่วยเติมเต็มความโหวงในจิตใจของผมไม่ให้กลับไปเป็นตัวผมในวันวานที่อะไรบางอย่าง “ขาด” หายไปจากภายในจิตใจ

ผมไม่ทันรู้ตัว เขาก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมแล้ว ชีวิตที่ล่องลอยคล้ายกับควันบุหรี่ ถูกโอบกอดและพัดเป่าด้วยสายลมที่อบอุ่นของเขา

วันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังสูบบุหรี่ จู่ ๆ เขาก็ถามผมเบา ๆ ว่า “ไม่อยากอยู่กับเขาไปนาน ๆ เหรอ?” ผมนิ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง รู้แต่ว่ามันเป็นประโยคที่เปลี่ยนคนสูบบุหรี่แบบผมไปตลอดกาล

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้อีกเลย

คงจะดีถ้าเรื่องทั้งหมดมันจบลงที่ตรงผมแค่เลิกสูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีในห้องของผมก็มีรองเท้าวิ่งคู่เก่งมาอีกคู่ ผมถูกลากไปออกกำลังกายโดยความไม่สมัครใจ อึดอัด แต่เขามีวิธีการปรนเปรอจนผมไม่สามารถปฏิเสธได้

จากวันผ่านเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์แปรเปลี่ยนเป็นเดือนและชีวิตผมก็กลับกลายเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมากกว่าก่อนจะเจอเขา

พี่พอร์ชบอกกับผมว่า ห้องของผม “ขาด” ความมีชีวิต ผมนั่งเงียบ มองหน้า นึกไม่ออกว่าควรตอบกลับเขาว่าอะไรดี ในที่สุดแล้วผมก็โดนลากไปหาสิ่งมีชีวิตบางอย่างเข้ามาไว้ที่ห้อง เราเลือกกันอยู่นาน เพราะผมกลัว ผมกลัวสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผมไม่ได้กลัวพวกมัน แต่ผมกลัวตัวเอง

ผมกลัวว่าผมจะมีความรับผิดชอบไม่มากพอต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้

เป็นอีกครั้งที่พี่พอร์ชชนะผม

ต้นพืชอวบน้ำต้นหนึ่งประดับอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงของผม มันเป็นพืชที่หน้าตาดูเด๋อด๋ามากที่สุดเท่าที่ผมจะเคยเห็นมา

พี่พอร์ชค่อย ๆ สอนให้ผมรู้จักการดูแล “สิ่งมีชีวิต” อย่างอื่น นอกจากความสัมพันธ์บางอย่างที่ผุพังลงไป ผมเริ่มนัดน้อยลง เริ่มคุยกับคนอื่นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้

ผมเริ่มกลับไปเป็นผมคนเดิมก่อน “แตกสลาย”

...และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง

วันที่ใครบางคน ดึงผมขึ้นมาจากกรงขังที่ใหญ่ที่สุดภายใต้ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของผม

จริง ๆ แล้วผมจำรายละเอียดอะไรแทบจะไม่ได้เลย ผมไปโรงพยาบาลที่ ๆ ผมเจอพี่พอร์ชครั้งแรก หลังทำธุระอะไรบางอย่างเสร็จ เดินออกมา และเจอกับพี่พอร์ชโดยบังเอิญ ก่อนวันนั้นเขาจะมาหาผม พร้อมอ้อมกอดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมคิดว่าเขาคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ไม่บังคับให้ผมพูด ‘เรื่องทั้งหมด’ ให้ฟัง ไม่แสดงความสงสาร ไม่บ่งบอกว่าต้องการทำกับผมเหมือนก่อนหน้าที่จะ “รู้เรื่องนั้น” พี่พอร์ชแค่กอดผม เรามีเซ็กซ์กันเหมือนปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือความอ่อนโยนในทุก ๆ สัมผัส  ที่ผมได้รับรู้ความอ่อนหวานจากการปลอบประโลมที่กระทำกับทั้งร่างกายและหัวใจของผม เหมือนกับว่าเขากำลังเติมหลาย ๆ สิ่งลงลึกเข้าไปในจิตใจ

ขั้นตอนแรกของการรักษาบาดแผล คือการดึงหนามหยอกอกที่ตำอยู่ในใจ

ผมค่อย ๆ เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาผ่านความรู้สึกมากมายที่จมอยู่ภายใน เล่าตั้งแต่สิ่งแรกที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าไปถึงความจริงที่เกิดขึ้นในขณะที่เรื่องทั้งหมดกำลังดำเนิน เล่าไปถึงการตัดสินใจของผมและคนอื่น ๆ ในเหตุการณ์นั้น เล่าไปถึงแม้กระทั่งว่าตอนนี้ผมกำลังเป็นอะไร และทำอะไร

พี่พอร์ชแค่โอบกอดผมไว้ พร้อมบอกกับผมว่าเขาจะร้องไห้แทนผมเอง

อะไรบางอย่างในใจของผมกำลังปะทุและเดือดพล่าน...

...เหมือนผมกลับไปมี “ความหวัง” ในเรื่องที่ผมเคย “สิ้นหวัง” ไปแล้ว

ความสัมพันธ์ ความรัก ผู้คน

ทั้งหมดนั้น ผมเคยมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้สาระที่จะกล่าวถึง ไร้สาระที่จะแคร์ ไร้สาระที่จะให้คุณค่า และไร้สาระที่จะสนใจ ผมปิดตัวเอง กักเก็บทุกอย่างไว้ ไม่มีใครที่เข้ามาหาเราโดยไม่หวังผลประโยชน์ แม้กระทั่งการคาดหวังว่าเราจะดีกับเขาก็เป็นผลประโยชน์ในรูปแบบหนึ่ง

ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่เกินกว่าผมจะควบคุมได้ แต่ในทางกลับกัน ผมชอบอะไรที่ควบคุมได้ ผมชอบอะไรที่ผมรู้ว่าต้องรับมือยังไง

ในที่สุดผมก็รู้ว่าผมต้องจัดการกับความชอบนั้นยังไง

ผมชอบที่จะไม่ “เริ่มต้น” เพราะมันจะไม่มี “จุดจบ” ให้ผมต้องเจ็บปวด

ไม่คาดหวัง ไม่เพ้อฝัน ไม่ยึดติดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความเป็นจริง

....เป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นกับการมีความสัมพันธ์ทางกายในชั่วข้ามคืนกับใครสักคน แต่เมื่อมีคนแรก มันจะมีคนที่สอง สาม สี่ และห้าตามมาเรื่อย ๆ คุณจะเริ่มรู้สึกเฉย ๆ กับคนที่คุณอาจจะเคยคลั่งไคล้อยากได้เขามาก่อน คุณจะเริ่มมองมนุษย์ทุกคนเท่า ๆ กัน ไม่ได้มองแค่หน้าตา แต่มองว่าจะเป็นใครก็เหมือน ๆ กันไปหมด

เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีดีชั่วเหมือนกันกับคุณ

และเมื่อคุณเริ่มชินชากับการมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้า คุณจะเฉย ๆ กับการทักคุยกันไม่ถึงห้านาทีและชวนกันไปทำกิจกรรมที่ห้องน้ำ หรือบนรถยนต์ในลานจอดรถ คุณจะไม่ได้แข็งตัวเพราะคุณต้องการมอบความรู้สึกบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย แต่คุณจะแข็งตัว เพราะต้องการแค่ปลดปล่อยห้วงอารมณ์บางอย่างออกไปจากภายในหัวใจ

คุณจะแค่รู้สึกเหมือนมันเป็นหน้าที่ ๆ คุณต้องทำ คุณจะยิ้ม หัวเราะ พูดน้อย ไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายไปมากกว่าแค่เขาทำความสะอาดมา และพร้อมให้คุณใช้เป็นเครื่องมือระบายความใคร่ไหม คุณจะไม่อยากรู้ ไม่อยากรับทราบ และไม่สงสัยว่าเขาไม่มีใครตามที่เขาบอกจริง ๆ หรือเขาแค่กำลังนอกกายใครสักคนด้วยการเอาตัวมาถวายคุณ

ตลกดีที่บางทีคนเราก็ไม่สามารถมอบ “คุณค่า” และ “มูลค่า” ให้กับตัวเราเองได้ด้วยตัวเอง เหมือนเราสูญเสีย เราเคว้งคว้าง มองเข้าไปในกระจก ก็สงสัยทุกครั้งว่าเรายังมีตัวตนอยู่จริงใช่ไหม เรายังเหลือความรู้สึกไว้นึกถึงใครสักคนรึเปล่า

เหมือนเราต้องการ ต้องการอะไรบางอย่างเข้ามาเติมเต็มในตัวเรา

ถึงขนาดว่าต้องการแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน

เพราะแค่ต้องการใครสักคน

ใครสักคนที่มองมาที่เรา ใครสักคนที่ “ทำเหมือนว่า” เขาต้องการเรา ใครสักคนที่โอบกอดเราไว้

ใครสักคนที่เป็นเครื่อง “ยืนยัน” ว่ามีคนที่ “ต้องการ” เราจริง ๆ

...แม้เพียงชั่วคราวก็ยอม





Time talk : สวัสดีครับ วันนี้มีหลายเรื่องอยากจะมาคุยกับทุกคน แต่ก่อนอื่น สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า 2562 นะครับ สำหรับใครที่อ่านถึงตรงนี้ ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะครับ ในปี 2019 ที่จะมาถึงนี้ พ่อแมวก็ขอให้ทุกๆคนได้มีความสุขกับทุกสิ่งที่ปรารถนา มีสุขภาพที่แข็งแรง มีโชคชะตาที่เหมาะสมในเส้นทางของคนแต่ละคน ปีนี้เราฝ่าฟันกันมาหนักหนามากจริงๆ ปีหน้าต้องดีมากกว่านี้แน่ๆเลยครับ อดทนไปด้วยกันนะครับ พ่อแมวก็จะอดทน และทำในสิ่งที่ต้องทำให้ได้ดีที่สุดครับ

รอติดตามกันให้ดี ๆ นะครับ และพรุ่งนี้เรามาเจอกันนะครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 13:36:52 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แ อ ค เ ค่ อ | | P4 | 01/01/62
«ตอบ #116 เมื่อ01-01-2019 22:39:28 »

ติดตามข่าวสารอัปเดตนิยายตอนใหม่ได้ทาง @พ่อแมวพุงโต https://twitter.com/chunkydadcat  ทั้งในทวิตเตอร์และหน้าแฟนเพจแล้วนะครับ ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 14:05:51 โดย $VAN$ »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
แ อ ค เ ค่ อ | P4 | 01/01/62
«ตอบ #117 เมื่อ01-01-2019 23:28:16 »

 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 14:07:07 โดย $VAN$ »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.23 ME BEFORE YOU [PART I] | P4 | 01/01/62
«ตอบ #118 เมื่อ04-01-2019 22:51:46 »

ยังคงซับซ้อนไม่เปลี่ยนแปลง

ชอบบบบบบ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
«ตอบ #119 เมื่อ12-01-2019 21:11:27 »



Ep.24 Me Before You [Part II]




the sun’s come out

...เมื่อคุณเดินเข้ามา โลกของผมก็พลันสว่างไสวราวกับว่า พระอาทิตย์จะคงอยู่ตลอดเวลาไม่จางหายไปไหน


 

ผมเลิกเล่นแอปพลิเคชันหาคู่นอนโดยอัตโนมัติ รวมไปถึงหยุดการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ทั้งหมด หรือ ถ้าเจาะจงลงไปมากกว่านั้น ผมเลิกสนใจทวิตเตอร์ไปแล้ว

ไม่มีมีคำขอร้อง ไม่มีคำบังคับ มีเพียงความสุขที่มอบให้กันในทุก ๆ ครั้งที่เราได้เจอหน้ากัน แค่เท่านั้นก็เป็นเหตุผลที่มากเพียงพอแล้วที่ผมพร้อมจะหยุดเพื่อใครสักคน

ผมยอมรับว่าอึดอัด จะว่าก็ว่า ผมไม่ชินกับการถูกผูกมัดโดยใครสักคน มันเป็นสถานการณ์ประหลาด หากคุณใช้ชีวิตคนเดียวมาสักพัก คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าการมีใครสักคนเข้ามาอยู่ในห้องของคุณ คือความขัดแย้งอย่างน่าแปลกประหลาดสำหรับคนที่ทำทุกอย่างตามลำพัง

หากแต่ในทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา คุณพบว่าแปรงสีฟันของคุณมียาสีฟันถูกบีบทิ้งเอาไว้ก่อนใครบางคนจะออกไปทำงาน

...สิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลต่อจิตใจใครบางคน

ผมอมยิ้ม เดินเข้าห้องน้ำ มองหน้าตัวเองในกระจก ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบที่พบว่าตัวเองยิ้มเก่งได้มากขนาดนี้ มากจนคนรอบ ๆ ตัวสัมผัสได้และเข้าถึงได้มากขึ้น เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในชีวิต หลายครั้งผมมักได้รับคำตอบว่าผม “มีชีวิต” มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

จะบอกว่าเขามอบ “ชีวิตใหม่” ให้กับผมก็คงใช่

แปลกประหลาด เขาไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้ดูดี ไม่ได้มีอะไรที่จะมาการันตีเลยว่าผมจะต้องชอบคนแบบนี้ คนที่ดีกว่านี้มาจีบผม ผมยังเฉย ๆ นับว่าแปลกประหลาดมาก ๆ ที่หัวใจของผมยอมที่จะให้ใครสักคนก้าวเข้ามาไกลมาก ๆ

ไกลเข้าไป ลึกจนถึงสุสานของความทรงจำ ที่ ๆ ผมฝัง “ฝันร้าย“ ไว้ภายใต้การหลงลืม

มีความสุขจนรู้สึกอยากจะลืมหายใจ น่าจะเป็นคำพูดที่นิยามผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด ผมถอดหน้ากากทุกใบทิ้งอย่างไม่ลังเล พร้อมและมั่นใจในตัวของเขา ลึก ๆ ในหัวใจอยากทะนุถนอมช่วงเวลาสำคัญนี้ให้ทอดยาวออกไปอีกนานแสนนาน

...น่าเสียดายที่ความสุขทุกชนิดล้วนมีอายุขัยที่สั้นเกินกว่าใครจะเข้าใจ

               

the sun’s just gone in

....แล้ววันหนึ่งแสงแดดและสายลมก็หายไป

 

ปกติแล้วหากเป็นในนิยายสักเรื่องหนึ่ง การจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นสักอย่างได้ มันต้องมีเหตุ มีผล มีการกระทำต่าง ๆ มารองรับไว้เพื่อ “ความสมจริง” ของเหตุการณ์นั้น ๆ เหมือนอย่างที่โชเคยบอกกับผมไว้ บางครั้งแล้วนิยาย “สมเหตุสมผล” มากกว่าชีวิตจริงของคนเราเสียอีก

เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ผมเจอ

ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลย นอกจากแค่ว่า ...

...ผม “ไม่ใช่”

มันเรียบง่ายเหมือนทุก ๆ วัน ผมตื่นนอนมาหลังเราสองคนไปเที่ยวกัน น่าแปลก วันนี้เขาไม่ตอบไลน์ผมทิ้งไว้เหมือนอย่างทุกวันที่ผ่านมา

อะไรบางอย่างในใจส่งเสียงตะโกนออกมาเบา ๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธความรู้สึกและลางสังหรณ์ที่ก่อตัวขึ้นในใจ เมฆหมอกบาง ๆ ปกคลุมจิตใจเอาไว้ แต่ผมพยายามมองโลกในแง่ดี คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงแค่ลืม หรือรีบไปทำงาน

ผมยิ้มให้กับตัวเองในกระจก บอกตัวเองให้เลิกคิดมาก พี่เขาคงยุ่ง และผมต้องออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง พอแต่งตัวเสร็จผมก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติ สูดลมหายเข้าปอดลึก ๆ คิดว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายคงติดต่อกลับมา

ตลอดทั้งวันพี่พอร์ชไม่ตอบและไม่อ่านไลน์ผม

เบอร์โทรศัพท์ที่มักจะติดต่อได้เสมอ...ไม่สามารถติดต่อได้เป็นครั้งแรก

ผมจิตตก แต่ไม่ได้เป็นบ้า และจะไม่เป็นบ้าใส่คนอื่นแค่เพียงเพราะความคิดของตัวเอง สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือการ “ไม่คิดไปเอง” ตราบเท่าที่ยังไม่ได้มีอะไรมายืนยันให้ผมมั่นใจแบบเป็นทางการว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ผมจะยังมั่นคง และจะยืนหยัดอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง

ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ เมื่อเดินทางมาถึงระยะทางและเวลาที่เหมาะสม เราจะพบ ‘จุดตัด’ คั่นกลางในความสัมพันธ์ ทางหนึ่งคือถ้าผ่านพ้นมันไปได้ เราจะมั่นคงต่อกันและกันมากขึ้น

...ส่วนอีกทาง เมื่อไม่สามารถไปกันต่อได้ ก็มีแต่ต้องลาจากกันไป

ผมนั่งนิ่ง ไม่หิวข้าว ไม่รับโทรศัพท์ และไม่ตอบไลน์ใครที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ว่าพี่พอร์ช

ผมกำลังรอให้ทุกอย่างชัดเจน

เหมือนพระเจ้ารับรู้คำอ้อนวอน...ไม่สิ ไม่ใช่พระเจ้าหรอก พระเจ้าคงไม่น่าจะใจร้ายกับใครสักคนได้มากขนาดนี้ หรือถ้าจะมีพระเจ้าจริง ๆ ก็คงจะเป็นพี่พอร์ชเองนั่นแหละที่เป็นพระเจ้าสำหรับผม

พี่พอร์ชโทรศัพท์มาหาผมในเวลาต่อมา

หลายคำพูด หลายประโยคถูกกล่าวออกมาจากปากเขา สมองของผมอื้ออึง น้ำหูน้ำตาไหลผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าอันไหนความจริง อันไหนความฝัน รู้สึกตัวอีกครั้งเราก็เดินลาจากกันมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีความขัดแย้ง

สิ่งที่เป็นตัวตัดสินมีแค่เพียง “ความไม่รัก” แล้วก็เท่านั้น

‘มันไม่ใช่ที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ที่ผ่านมาไม่มีความสุขแต่มันไม่ใช่...จริง ๆ ’

...น่าจะเป็นเศษเสี้ยวคำพูดสุดท้ายที่ผมจับใจความได้จากเขา

ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเคยมีประสบการณ์แบบผมไหม แต่เหมือนความทรงจำของผมหลังจากนั้นขาดหายไปห้วงหนึ่ง ผมจำได้แค่ว่ารู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่โรงพยาบาลในแผนกจิตเวช ชุดผู้ป่วยสีฟ้าที่เห็นตามในหนังในละครกลับมาอยู่บนตัวผม “อีกครั้ง”

 ผมคุ้นเคยกับมันอย่างประหลาด หรืออาจจะเพราะผมเคยใส่มันมามากกว่าหนึ่งครั้งรึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ

ทุกคืนในโรงพยาบาลผมจะเกิดภาพหลอน ผมมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร ใบหน้าที่นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก ก่อตัวพร้อม ๆ กับเงามืดที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร สุนัขป่า? หรืออะไรสักอย่าง เกินกว่าที่ผมจะสามารถอธิบายออกไปได้ รู้แค่ว่ามันค่อย ๆ ย้อมความรู้สึกของผมให้ดำมืดทีละนิด ๆ

ผมจมลงไปอยู่ภายใต้มหาสมุทรอีกครั้ง มันทั้งมืด ทั้งหนาว เหมือนแสงสว่างด้านบนค่อย ๆ ห่างผมออกไปเรื่อย ๆ อากาศรอบตัวน้อยลงทุกที ๆ ผมเหม่อมองตัวเองจมลงไปอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ฟองอากาศเล็ก ๆ ค่อย ๆ ลอยออกแล้วจางหายไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ บัดนั้นผมจึงได้เข้าใจ อะไรที่สามารถสร้างความสุขให้เราได้ ก็สร้างความทุกข์ให้เราได้เช่นกัน

วันผ่าน เวลาเปลี่ยน เปลือกนอกของผมค่อย ๆ ดีขึ้น ระบบความจำเหมือนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมได้รับกำลังใจจากเพื่อนสนิททุกคนที่มาเฝ้า โดยเฉพาะมาร์ที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ภายหลังให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนนำผมไปส่งแผนกจิตเวชเอง ผมไม่ได้มีอาการอยากฆ่าตัวตาย

แน่ละ มันไร้สาระเกินไปที่จะฆ่าตัวตายเพราะแค่จากการลา แต่สิ่งที่ทำก็คงไม่ต่างกัน เพราะผมนอนหลับไม่สนิท และไม่ทานอะไรไม่ลง เบลอถึงขั้นเกือบจะทานยานอนหลับเพื่อบรรเทาอาการลงไปทั้งกระปุก

เป็นเวลาหลายเดือนกว่าเปลือกนอกของผมจะกลับมามั่นคงอีกครั้งในลักษณะเดิม เป็นอีกครั้งที่ผมสัมผัสได้ ห้องแห่งความลับข้างในจิตใจของผมโดนปิดตายอีกครั้งและอาจจะโดนปิดตายตลอดไป บางสิ่งบางอย่างเฝ้ามันเอาไว้ด้วยความหวงแหน หวาดระแวง และพยายามไม่ให้ใครก็ตามแต่เข้าไปแตะต้องประตูบานนั้น

หรือจริง ๆ แล้ว ‘สิ่งนั้น’ อาจจะแค่พยายามปกป้องผม

ปกป้องไม่ให้จิตใจของผมต้องมาแหลกสลายแบบนี้อีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินลงไปส่งเขาที่หน้าหอพัก เราแยกกันตรงร้านอาหาร เขาเดินกลับไปบริเวณซอยหอพักของผมเอง ส่วนผมหันกลับไปมองไล่หลังเขาอีกครั้ง

คนเมื่อกี้ที่ผมเพิ่งมี sex ไปด้วย เขาชื่ออะไรนะ?

ผมส่ายหน้ากับตัวเอง จำไม่ได้ และก็คิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น พอคิดแบบนั้นได้ผมก็ยิ้มให้กับตัวเอง พวกเขาจะชื่ออะไรก็ไม่สำคัญหรอก

...ทุก ๆ คนก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ

ทั้งหมดนั่นคือเรื่องราวก่อนที่ผมจะพบเจอกับโช ผู้ชายที่ผมทั้งโกรธ ทั้งโมโห หวาดระแวง เอ็นดู รวมไปถึงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

เหมือนอยากจะก้าวเดินออกไป แต่ก็กลัว กลัวว่ามันจะเป็นแบบเดิม กลัวว่าลึก ๆ ลงไปแล้วผมจะโดนกดให้จมน้ำอีกครั้ง กลัวผมจะต้องกลับไปที่ ๆ เดิมที่เคยจากผม

ผมถึงพยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิเสธความรู้สึกทั้งหมดที่ก่อขึ้นมาในจิตใจ

...และตอนนี้เจ้าของความทรมานตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของผม ก็มายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้ว

“สบายดีไหมครับ?” เขาถาม น้ำเสียงยังเหมือนเดิม พูดจาสุภาพสดใส แต่ใบหน้าไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง และผมว่านั่นคงเป็นใบหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถปั้นแต่งให้ผมเห็นได้

ผมพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ริมฝีปากเริ่มสั่นนิด ๆ แต่ยังควบคุมสติไว้ได้ดีอยู่ สมองเริ่มขาวโพลนจนนึกไม่ออกว่าควรจะตอบอะไรเขากลับไปดี

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้...” เขาว่าต่อ

“....”

“พี่มาลา”

เรายืนมองหน้ากันด้วยความเงียบงัน ตลอดเวลา ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้แค่เพียงมองหน้าเขาและพยายามไม่ให้ตัวเองวิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยการปิดประตูใส่หน้ากัน เมื่ออีกฝ่ายเห็นผมไม่พูดอะไร เขาเลยขยายความขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นสิ่งที่เขาเคยบอกผมไว้ว่าจะทำ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนนี้

“พี่จะย้ายไปอยู่อเมริกาแล้วนะครับ”

เหมือนฟ้าผ่ากลางแจ้ง ใจของผมหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไปไกลจากผมมากถึงขนาดคนละทวีปกัน แต่คิดอีกอึดใจก็ไม่ต่างอะไรจากที่เป็นอยู่ เพราะตอนนี้ทั้งผมและเขา เหมือนเราเดินอยู่คนละจักรวาลกันด้วยซ้ำ...

“อ่า...”

“พี่มีเรื่องจะขอร้อง...”

“...”

“ได้โปรดช่วยโทษว่าทั้งหมดนั่นเป็นความผิดของพี่ได้ไหมครับ?”

“...”

“ได้โปรด...อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะครับ” เขาว่า ขยายความนัยช้า ๆ มองตาผมด้วยแววตารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด

ผมส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พูดสิ่งที่ควรจะพูดมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

“พี่พอร์ช ผมรักพี่นะครับ”

“....”

“...ตอนนี้ผมก็ยังคงรัก” ผมพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา เสียงหัวใจเต้นระรัวจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำพูด แต่ผมรู้ดี หลังจากนี้มันคงไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้มายืนอยู่ตรงหน้ากันอีกแล้ว

มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะสามารถพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปได้

“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคนผ่านเข้าออกในชีวิตทรอยนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีเลย ไม่มีคนไหนเลยที่ทำให้ทรอยรู้สึกว่าทั้งชีวิตของทรอยรอคอยเพื่อจะได้เจอเขา...นอกจากพี่”

“...”

“แต่ทรอยต้องไปต่อ”

ผมพูด ปล่อยให้หยาดน้ำตาชโลมออกมาเลอะใบหน้า หัวใจปวดร้าวไปหมด

“วันนั้น วันที่พี่เดินจากเราไป เราบอกพี่แล้ว เราบอกแล้วก่อนพี่จะไป พี่คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะไป พี่คิดถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม มันจะไม่มีการเดินย้อนกลับมาอีกครั้งแล้วนะ ระหว่างเรามันจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้อีกแล้วทรอยรักพี่นะ

แต่ทรอยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตกับคนที่กดหัวทรอยจมน้ำจนทุรนเจียนตายอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ พี่บอกว่าพี่คิดมาดีแล้ว ทรอยรู้ ทรอยเข้าใจ พี่ไม่ใช่คนที่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งเห็นความมั่นคงในการตัดสินใจของพี่ ทรอยยิ่งรักพี่

รักที่พี่ไม่ทำร้ายทรอยทางอ้อม รักที่พี่เลือกจะบอกการตรง ๆ ทรอยขอบคุณพี่จากใจจริง ๆ ทรอยรับรู้ว่าทั้งหมดนั้นคือความรัก ความปรารถนาดี และความจริงใจที่มีให้กันเป็นครั้งสุดท้ายในความรู้สึกของพี่ ดังนั้นแล้วทรอยจึงไม่คิดจะโกรธพี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าทรอยจะโกรธอะไรสักอย่าง คงโกรธตัวเองมากกว่าที่เกิดมาเป็นแบบนี้”

“....”

“จากนี้ต่อไป ทรอยเชื่อว่าสักวัน ทรอยจะสามารถเคารพการตัดสินใจของพี่ได้จากหัวใจของทรอยจริง ๆ พี่ไม่ผิดเลย พี่ไม่ผิดเลยที่ไม่ได้รักทรอย แต่มันคงไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่วันที่หัวใจของทรอยยังร้องไห้และกรีดร้องทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของเรา

....ไม่ใช่วันนี้จริง ๆ ที่ทรอยจะสามารถทำใจและก้าวข้ามผ่านมันไปได้”

ผมว่า เม้มปาก กัดฟัน ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในห้อง เปิดผ้าปูที่นอนขึ้น ดึงกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมา

“เราไม่อยากให้ของพวกนั้นอยู่ในห้องเราอีกแล้ว แต่เราก็ไม่มีความกล้าหาญมากพอจะเอามันไปทิ้ง” ผมว่า หลังยื่นข้าวของทุกอย่างที่บรรจุความทรงจำของเราสองคนเอาไว้

“ครับ” พี่พอร์ชรับคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตาเล็ก ๆ ไม่ต่างจากผม

“จากนี้ต่อไปขอให้พี่ดูแลตัวเองด้วย และก็...ดูแลเขาให้ดีด้วย หลังจากนี้ผมขอให้เราไม่ได้มาพบ มาเจอกันอีก ขอให้เรากลายเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านและขนานกันไปตลอดชีวิต ผมไม่ได้โกรธ ผมยังรักพี่เสมออย่างที่ผมบอก บนโลกใบนี้จะไม่มีใครรับรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนอีก

...เรื่องราวของเราสองคนที่เกิดขึ้น จะอยู่ในใจผมเสมอ และจะมีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่รับรู้และจดจำมันได้”

“พี่รู้ว่าพี่คงไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้อีก แต่ว่า ....ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” พี่พอร์ช พูดขึ้น

ผมใช้สองมือขยี้น้ำหูน้ำตา ก่อนจะกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายกับเขา

“โชคดีนะครับ... ‘พี่ชาย’”

....ก่อนผมจะปิดประตูใส่หน้าเขา และทรุดตัวลงไปแบบนั้น

ผมปล่อยตัวทิ้งอยู่หลังประตู ปล่อยเสียงร้องไห้โฮระบายหยาดน้ำตาทั้งหมดที่เก็บไว้ข้างใน ความทรงจำทั้งหมดผุดขึ้นมา หัวใจของผมเหมือนโดนกรีดด้วยมีดเล็ก ๆ

มองไม่เห็นบาดแผล แต่สัมผัสได้ถึงความเศร้าทุกอณูของความรู้สึก ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไม เพราะอะไร ทำไมถึงไม่ใช่ผม ทำไมผมถึงไม่ใช่ เสียงคำถามดังกึกก้องมากมายในใจ

...แต่ไม่มีเสียงคำตอบใดตอบกลับมา

ผมปล่อยตัวเองจมอยู่แบบนั้นเหมือนไร้สติ ภวังค์ของผมถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผมยันตัวกับพื้น ลุกขึ้นไปเอาโทรศัพท์กดรับสายโดยไม่ได้มองเบอร์เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครโทรมาหา

‘ผมถึงบ้านแล้วนะครับ’ ปลายสายกรอกเสียงมาด้วยความร่าเริง ผมยิ้ม ขอบน้ำตารื้นนิด ๆ เหมือนน้ำตามันจะไหลอีกครั้งหนึ่ง

“ครับ” ผมพยายามกั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกไป แต่ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับคน ๆนี้

‘คุณมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม?’ โชว่า น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมา

“.....”

‘.....’

“โชครับ” ผมว่า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ

‘ครับ’

“ผมยังรักเขาครับ”

ผมว่าเสียงสั่น มือกำโทรศัพท์แน่นจนกลัวว่ามันจะหักคามือด้วยซ้ำ ผมหลับตารอฟังเสียงตัดท้อ ความผิดหวัง หรือคำพูดมากมายอะไรก็ตามแต่ที่เขาอาจจะระบายออกมาให้ผมฟัง

แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่เป็นแบบที่ผมคิด

‘ครับ..แล้ว?’ โชถามเสียงเรียบ เหมือนผมบอกเขาว่าผมเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จ

“มันก็ไม่แล้วยังไง แต่แบบ คุณเข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า คือผมยังรักเขา...ผมหมายถึงคนก่อนหน้าคุณ” ผมขยายความต่อเพื่ออีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมายที่ผมกล่าว

‘ครับ ผมเข้าใจ ผมถึงถามต่อไงว่าแล้วยังไงต่อ คุณยังรักเขาแล้วมันจะเป็นปัญหายังไง?’ เขาตอบกลับ

 ผมสะอึกร้องโอ๊ยออกมา คน ๆ นี้บทจะดื้อทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ

“โอ๊ย ผมหมายถึงว่า แล้วผมยังรักเขาแบบนี้ คุณโอเคเหรอ คุณทำใจได้เหรอที่ผมยังรักใครอีกคน คุณไม่กลัวเหรอว่าสุดท้ายแล้วผมจะไม่ได้เลือกคุณ” ผมพูดตามตรง เขาเงียบไปนิดก่อนจะหัวเราะเสียงใสกลับมา

‘คุณรู้ไหม มีประโยคหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาจากคุณ คือ “อย่าคิดแทนอีกฝ่ายไปเอง” และนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้’ เขาว่า

“คุณคิดอะไร?” ผมตอบกลับ

“หน้าที่ของผมคือการทำให้คุณรักผม ส่วนหน้าที่ของคุณคือการตกหลุมรักผมก็พอ”

“คุณ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ” ผมว่าเสียงแข็ง

‘ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นกับคำว่ารักที่ผมพูดออกไปครับ’

“คุณแม่งดื้อ” ผมเริ่มโวยวาย ไม่ทันรู้ตัวว่าน้ำตาจางหายไปจากใบหน้าตอนไหน

‘คนแบบคุณกล้าว่าคนอื่นด้วยเหรอ?’ เขาสวนกลับ โอ๊ย เจ้านากเผือกนี่ !!!

“คุณ!!!” ผมเรียกเขาเสียงแข็ง อีกฝ่ายหัวเราะกลับมาที่ไล่ต้อนผมให้จนมุมได้

‘ผมมีเรื่องจะถามคุณ’ เขาว่าเสียงจริงจัง

“ครับ”

‘คุณยังรักเขา และคุณยังรอให้เขากลับมาหาไหมครับ?’

“ไม่ครับ ผมรักเขา แต่ผมต้องไปต่อ ผมยังรักเขาจริง ๆ แต่มันคนละเรื่องกับที่เขาทำให้ผมเจ็บ ผมไม่สามารถไปต่อกับเขาได้หรอกครับ” ผมรีบตอบกลับตามสิ่งที่ตัวเองคิด

‘งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ’ โชว่าต่อ

“คุณ ...ไม่กลัวจริง ๆ เหรอครับ?” ผมว่าต่อ

ไม่แน่ใจว่าเพราะยังเป็นช่วงเริ่มแรกที่จีบกันรึเปล่า เขาถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาทั้ง ๆ ที่ผมบอกไปตามตรงว่าผมยังรักใครอีกคน เขาไม่กลัวจริง ๆ เหรอว่าสุดท้ายปลายทางแล้วมันจะต้องเป็นเขาที่เจ็บปวด ไม่กลัวเหรอว่า ผมอาจจะปิดตัว ปิดใจลงไปอีกแล้ว หรือคุยกับเขาแค่แก้เหงา

‘ตั้งแต่ได้เจอคุณ โลกของผมอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปหมด นอกเหนือจากการอย่าคิดแทนอีกฝ่ายที่คุณสอนผมไปแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณสอนผมอีกฝ่าย คือเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวตนของคนที่เรารัก’

“....”

‘ผมไม่รู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมรึยัง แต่ผมรู้สึกแบบนั้นนะ...ผมรู้สึกว่าผม “รัก” คุณ’

“อ่า”

‘คุณ มนุษย์น่ะอายุขัยไม่ได้ยืนยาวเลยนะ ผมขอทำอะไรตรงไปตรงมาอย่างที่ใจผมรู้สึกก็พอแล้วกัน สุดท้ายแล้วเราไม่รู้อนาคต แต่ผมรู้แค่ว่า

ตอนนี้ เวลานี้ ผมยังจะยืนอยู่ตรงนี้ ผมยังจะเดินต่อไป ผมจะทำให้คุณรู้สึกให้ได้ว่าผมรักคุณจริง ๆ ดังนั้นแล้ว....’

“ครับ...”

‘ให้เวลาและหัวใจได้ทำหน้าที่ของมันก็พอครับ ผมจะยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ คุณเสมอ’ เขาว่า น้ำเสียงมั่นคง ไม่มีการหยอกล้อในคำพูดใด ๆ

“ขอบคุณนะครับ” ผมร้องไห้ออกมาอีกระลอก หยดน้ำตาเหมือนกัน แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างกันออกไป หัวใจของผมอบอุ่นเหมือนชโลมไปด้วยแสงอาทิตย์ตอนเช้า

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เขาพูดมันจะจริงทุกอย่างรึเปล่า

‘...’

“someday I'll love you”

แต่ตราบเท่าที่เขายังยืนข้าง ๆ ผม ผมขอแค่เพียงเวลา

‘ผมจะรอเสมอครับ’

แล้วสักวันหัวใจของผมคงจะบอกว่าผมรักคุณมากมายแค่ไหน...โช
 


 

 Time talk : ขอโทษด้วยที่มาสายนะครับ พอดีช่วงนี้ชีวิตข้างนอกหัวหมุนนิดหน่อยกับงานใหม่ที่ต้องทำ และงานเก่าที่ยังตามหลอกหลอนครับ ปีใหม่ผ่านมาแล้วเกือบ 10 กว่าวัน ชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ แฮปปี้ดีไหม? พ่อแมวไม่สบายรับต้นปีเลยครับ อากาศแปรปรวนมาก ๆ นี่ก็เพิ่งอัดยาแก้แพ้ไปครับ

ยังไงดูแลรักษาสุขภาพ อยู่นับถอยหลังด้วยกันหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมของเรื่องก็ค่อย ๆ ใกล้เฉลยไปที่ละปม ๆ แล้วเนาะ เหลืออีกแค่ไม่กี่ปมแล้วนะ อิอิ นับถอยหลังได้เลยครับ

แล้วเจอกันใหม่ครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 14:10:40 โดย พ่อแมวพุงโต »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด