[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26178 ครั้ง)

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P6 |04/03/62
«ตอบ #150 เมื่อ04-03-2019 21:38:10 »

Ep.31 Buddy



โชคดีที่เขาเป็นคนพูดจารู้เรื่อง พอไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อแล้วเขาก็ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ แววตาทั้งสองข้างดูสงบนิ่ง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศ สูดเอาอากาศเหนือพื้นน้ำภายใต้ถ้ำมรกตไปพร้อม ๆ กับพยายามเก็บทุกช่วงเวลานี้ให้อยู่กับตัวเองไปนาน ๆ ผมว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่

จะว่ายังไงดี ก็ไม่ใช่ว่าผม ‘ไม่อยาก’ หรอกนะ แต่ผมเองก็มีหลาย ๆ  เรื่อง รบกวนภายในใจผมเหมือนกัน

‘โช’

ให้ตายเถอะ ถ้าภาพติดตาของผมกับพี่พอร์ชคือการที่ผมรู้สึกฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับเขา ภาพจำของผมกับโช ก็คงจะเป็นความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ยังไม่มีชื่อเรียก ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ทว่ามันกลับมีความสำคัญมาก ๆ กับความรู้สึกของผมประการหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาจากที่ไหนสักที

ความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ‘สิ่งที่ผิด’

ชั่วขณะนั้นเอง รอยยิ้มและสายตาที่มองผมผ่านการคอลวิดีโอไลน์ก็ย้อนกลับเข้ามาในสมองของผม เหตุผลบางอย่างที่ผมเลือกจะมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างเรือนราง ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาดื้อ ๆ เจ้าตัวโตโอบกอดผมไว้ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

“คิดมากอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ?” เขาถาม

เพราะถูกกอดจากด้านหลัง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากตอบโกหกอะไร ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการสารภาพว่าแอบคิดอะไรเยอะแยะตีกันในหัวจริง ๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะสามารถทำตัวเป็นคนอื่นได้ยังไงบ้าง

“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าคิดแล้วปวดหัววางมันลงสักแปปก็ได้” เขาว่า พูดจบก็กอดผมไว้แบบนั้น ผมยิ้มเย็น ๆ รู้สึกผิดกับเขา รู้สึกผิดกับโช และรู้สึกผิดกับตัวเอง

คำตอบที่เราถามตัวเราเองแล้วยังไม่ได้คำตอบ บางที่อาจจะเพราะมันยังไม่ถึงเวลาเฉลยรึเปล่า?

“คุณครับ”

“ครับ?” เขารับคำ ผมหันไปหาก็จะสบตามองกับเขา

“หลังจากนี้จะยังไงต่อ...ผมหมายถึง หลังจากนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?” ผมถาม จับหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแทนที่ค้ำยัน เขายิ้มเย็น ๆ ให้กับผม ส่ายหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่อย่างไร

“ผมยังไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับผม ผมขอให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มันให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ”

...นั้นอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ผมได้ ผมคิดแบบนั้น

เราเล่นน้ำกันอีกสักพักใหญ่ ๆ ตอนนี้สี่โมงกว่า ผมหิวมาก ๆ แล้วเลยชวนเขาขึ้นน้ำ เราสองคนเดินออกมาบริเวณภายนอกถ้ำ ก่อนจะหามุมเหมาะ ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมกันมา (จริง ๆ ต้องบอกว่าที่เขาเตรียมมาให้มากกว่า) พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็พาผมเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่พื้นไม่แฉะมาก

“อากาศยังกับเมื่อกี้ฝนไม่ได้ตกเลยเนาะ?” ผมว่า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็น เมฆโปร่งราวกกับว่าฝนตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนเป็นเรื่องโกหก

“ธรรมชาตินะ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนแปลงก็บ่อย ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก” เขาตอบประโยคบอกเล่าของผมด้วยประโยคบอกเล่า ผมเห็นด้วยกับเขานะ

“ก็เหมือนชีวิตละนะ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางวันก็มีฝนโปรยปราย แต่สุดท้ายเดี๋ยวท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง” ผมอธิบายในส่วนของความรู้สึกจากในหัว กลิ่นฝนอ่อน ๆ หลังหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นกบที่ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ครับ

เราเดินไปหยุดกันตรงบริเวณร้านขายของที่มีของที่ระลึกและอาหารขายนิดหน่อย ผมเลือกซื้อข้าวเหนียวไก่ชิ้นมาทาน ส่วนเขายัดกล้วยเข้าท้องสองลูกเป็นอันอิ่ม

“ไปไหว้พระกันไหมคุณ?” เขาถาม พร้อมชี้ไปทางบันไดทางขึ้น ผมสบตาเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด บันไดนี้น่าจะมีประมาณพันกว่าขั้น แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยขามาก ๆ แล้ว เหมือนจะรู้ทันความคิดของผม อีกฝ่ายพูดต่อโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น

“ถ้าไม่งั้นก็ซื้อของกินแล้วกลับห้องกัน” เขาว่า ผมยืนคิดสักครู่ ตอนนี้ เกือบ 4 โมงแล้ว กว่าจะกลับห้องเสร็จสรรพสรรพก็น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง คงเร็วเกินไปที่จะกลับไปในเวลานี้ ผมกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงชี้ไปทางบันไดทั้งหมด 1260 ขั้น

อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้ง ผมคิด





...........................




“พระเจ้...” ผมอุทานเสียงขาด ทิ้งตัวลงไปนอนหงายหน้ามองฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น หลังพาลากกายหยาบขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันไดได้ สาบานกับตัวเองได้เลย ผมจะไม่ใจอ่อนยอมขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ ถ้ายังไม่ผอมไปมากกว่านี้

เขายืมยิ้มมองผม ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ พอเห็นผมหายใจได้คล่องแล้วก็ส่งขวดน้ำเล็ก ๆ จากระเป๋าทั้งหมดที่เขาเลือกจะเอาสะพายเอง ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่มีเสียงจะพูด ก่อนจะรับน้ำมาแล้วค่อย ๆ กระดกจิบน้ำที่ละนิด ๆ เพื่อป้องกันอาการสำลักน้ำ

เพราะอยากทำเวลาไม่ให้กลับไปเตรียมตัวเก็บของช้าไปนัก คำนวณเวลาแล้ว ทั้งผมและเขา เราอยากใช้ระยะเวลาในการไปกลับไม่เกินชั่วโมงครึ่ง นั้นแปลว่าเรามีเวลาแค่ประมาณ 40 นาทีในการขึ้นมาให้ถึงด้านบนสุด ผมกับเขา เราเลยวิ่งแข่งกัน แรก ๆ ก็สนุกดี แถมยังต้องหลบหลักกลุ่มคนที่เดินสวนลงมา แต่หลัง ๆ ผมชักเมื่อย เลยได้แต่ปล่อยให้เขาแซงหน้าไป

หมอนี้อึดมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ในส่วนของกำลังขานั้นก็ชัดเจนแล้วว่าทนแค่ไหน ผมไม่กล้าถามว่าที่เขาอึดได้ขนาดนี้เพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า และก็นั่นแหละ เหมือนเขาจะอ่านความคิดของผมได้

“ผมไม่ได้ใช้ยา” เขาว่า

“ผมว่าจะถามมานานแล้ว คุณเลี้ยงลูกกรอกเหรอ ทำไมถึงเดาความคิดผมได้หมดเลย” ผมทักเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจที่ตัวเองอ่านออกสักเท่าไหร่

“เพราะผมรู้ใจคุณต่างหาก...”

“....”

“ผมรู้ว่าความคิดของคุณประมาณไหน คุณมองโลกยังไง อย่างตอนที่คุณมองมาที่ผม แววตาคุณสับสน มันไม่ใช่แววตาของความสับสนในความลังเลใจว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แต่มันเป็นแววตาที่สับสน ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่มาที่นี้กับผม คิดถูกไหมที่บอกกับใครอีกคนของคุณไปแบบนั้น และสุดท้ายแล้ว...คุณสับสนว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมเจ็บปวด”

“...”

“ผมจะเจ็บปวด...ไม่ว่าจะทำยังไงเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว มันต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากกลายเป็นคนที่สมหวังในท้ายที่สุด รสชาติของความผิดหวังนะมันขม เพราะคุณสัมผัสมันมา คุณถึงได้อ่อนโยนมากกว่าที่คุณคิด คุณพยายามช่วยผมถือแก้วที่แตกอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มองเห็นรอยร้าวบนแก้วใบนี้เต็มไปหมด”

“ครับ”

“ผมนะ...ไม่ต้องคิดมากนะ ผมนะพร้อมจะฟังทุกอย่าง ในเวลาที่คุณอยากจะบอกผม ”

เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมระหว่างเรา สายลมบนยอดเขาพัดปลิวไปมา เจ้าตัวโตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง  ๆ ผม ที่สุดแล้วเราพักกันเพียงแค่สิบห้านาทีก็ช่วยกันลุกขึ้นยืน ผมจับมือเขาไว้แน่น ๆ ก่อนจะพูดออกมาบางเบา

“ขอเวลาหน่อยนะครับ” มีเพียงแค่การพยักหน้าขึ้นลง ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขารับทราบแล้ว 

เราเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ  ลมเย็น ๆ ตีหน้าผมไปมา ผมสูดอากาศเข้าปอด ทอดสายตามองไปยังวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว มองไปไกลลิบ ๆ แอบเห็นทะเลเป็นริ้ว ๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ของผมหมดลงไปแล้วเลยไม่สามารถบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้ไว้ได้ ผมค่อย ๆ เดินดูสถาปัตยกรรม ถ้าตามคำบอกเล่า ชาวบ้านที่นี้เขาเชื่อกันว่าเมื่อก่อนมีเสืออยู่บนถ้ำจริง ๆ เลยนำมาตั้งเป็นวัดถ้ำเสือนั้นเอง

เดินวนกันอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมและเขาก็เดินไปหยุดที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

“ผมเป็นคริสต์” ผมออกตัว ผายมือให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปสักการะตามพื้นความเชื่อดังเดิมของเขาได้เลย เจ้าตัวรับทราบ เหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะจุดธูปแล้วหลับตา พนมมืองึมงำอะไรสักอย่างสองอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินไปปักธูปไว้ที่กระถาง เป็นอันเสร็จสิ้นการสักการะ ผมยกมืออธิษฐานเหนืออก ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา

“คุณขออะไรเหรอ?” ผมถาม เขายักคิ้วให้ผมแล้วตอบกลับมา

“คำอธิษฐานถ้าบอกไปก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิครับ” เขาว่า ผมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกับเหตุผลนั้น

“กลับกันเถอะครับ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินก้าวตามมา ผมสูดอากาศบนยอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันไดที่ละขั้น ๆ

ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนลงเราไม่ฝืนแรงโน้มถ่วงรึเปล่า ทำให้สบายกว่าขาขึ้นมาก ๆ ผมเหลือบมองเวลาแล้ว เราลงมาไวกันกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้าโมงเกือบจะครึ่ง พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็พักกันประมาณสิบนาที ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถยนต์ พอผมขึ้นไปนั่งได้อีกฝ่ายก็หันมาถามทันที่

“โอเครึเปล่าครับวันนี้?” เขาถาม สีหน้าเหมือนเด็กลุ้นว่าอาจารย์จะรีเจกหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองไหม

“โอเคสิครับ ได้ไปตั้งหลายที่ แถมผมยังไม่เคยไปด้วย แอบเมื่อยนิดหน่อยตอนขึ้นเขา แต่พอขึ้นไปถึงแล้ววิวก็สวยมาก ๆ แถมยังได้ไปเห็นอะไรอีกเยอะด้วย อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรีทั้งหมด คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว” ผมว่า แอบแซวความป๋าของเขาในตอนท้าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขับรถไวขึ้นจนผมประหลาดใจ

“คุณรีบไปไหนรึเปล่า?” ผมถาม เขาหัวเราะตอบกลับมาเบา ๆ

“รู้ด้วยเหรอครับ”

“ผมสังเกตเอา รู้สึกเหมือนคุณอยากรีบกลับที่พัก” ผมบอก เพราะตอนขามาเขาดูขับใจเย็นกว่านี้ แล้วก็ไม่เลาะเลี้ยวเก่งเท่าตอนนี้ เขาไม่ตอบผมแต่ขับรถเร็วขึ้นไปอีก ผมสบถออกมาเบา ๆ พร้อมตะโกนตอบกลับไป

“ชิบ ยังไงก็ตาม ผมขอนะ อย่าเกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ผมว่า เกาะผนังรถแน่น ยิ่งพอเห็นอาการที่กลัวของผม เขายิ่งเหมือนแกล้งกันด้วยการขับเร็วขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังดีที่เขาทำตามที่ผมขอ คือไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างรถเรากับรถคนอื่น ๆ ไม่ตัดกันมากเกินไป

ด้วยอิทธิฤทธิ์ตีนผี จากเดินที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับมาถึงที่พัก แค่ประมาณยี่สิบนาทีเศษ ๆ เขาก็พาผมกลับมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องรีบกลับมามากขนาดนี้ เขาก็ชี้ให้ผมหันหน้าออกไปดูทางทะเล ผมเงียบทันทีที่ได้เห็นมัน เข้าใจแล้วว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทันดูอะไร

“สวยใช่ไหมละ?” เขาถาม

ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองจ้องพระอาทิตย์ดวงโต ๆ กำลังตกลงไปในทะเล สาบานได้ ถ้าตอนนี้ผมกำลังหิว พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือไข่เป็ดทอดที่ไม่สุกและข้างในเต็มไปด้วยเนื้อไข่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานแบบสุกมาก สีส้มอมแดงตัดกับเฉดของท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีเขียวอ่อนปนน้ำเงิน 

มันสวยมากจนถ้าไม่เห็นกับตา ผมก็คิดว่ามันคงมีอยู่แค่ในนิยาย ในภาพซีจี

ที่สุดแล้วธรรมชาติก็ยังมีความงดงามมากมายในตัวมันเองเสมอ ๆ

รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ซ้อนกับนิ้วมือของผม ความรู้สึกอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนมากขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รอยยิ้มของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนส่งออกมาจากใจ แต่มีความเจ็บร้าวซ่อนอยู่ในแววตาทั้งสองข้าง ผมมองหน้าเข้า ก่อนจะคว้าคอขยับใบหน้าเข้ามากใกล้ ๆ

ริมฝีปากของเราชนกัน ผมสัมผัสได้ถึงความแตกกระด้างของเนื้อผิว ผมไม่สนใจค่อย ๆ สอดลิ้นเข้าไป เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตวัดลิ้นเกี่ยวกลับมา ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทั่วทั้งโพรงปาก สำรวจหาความหวานของรสจูบนี้

เพลง Rehab ดังขึ้นมาพอดี  ผมกดจูบกับเขากดไว้แบบนั้น จากจูบที่นุ่มนวลค่อย ๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามอากาศในปอดที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ฟันของเขาขบลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม ผมขบกับไป ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื้น ๆ ที่มาจากใบหน้าของเขา ปลายลิ้นของผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือด เราถอนจูบออกช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าผม

เขาสั่น ...สั่นไปหมดทั้งตัว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผ่านแว่นตาไม่ชัด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเลนส์ที่ไปมัวตอนไหนรึเปล่า

แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่

ผมมองไม่เห็นเขา เพราะน้ำตาของผมบดบังตัวเขาไว้

“คุณ...ร้องไห้ทำไม” ผมถามเสียงสั่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของตัวเองน้ำตาเต็มไปทั้งสองตา เขาเอื้อมมือสั่น ๆ ค่อย ๆ ซับน้ำตาให้กับผม ทั้ง ๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรกัน มือบาง ๆ คู่นั้นดึงผมเข้าไปซุกไว้ที่ตัว ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตามากมายที่ค่อย ๆ หยดลงมาโดนหัวของผม

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ” เขาพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเขา หัวใจของผมเองก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองเห็นสายตา ผมยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้น ผมเห็นความเจ็บปวด ผมเห็นความแหลกสลาย ผมเห็นว่าเขารับรู้ทุกความรู้สึกของผม เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...

...ตอนที่ผมมองหน้าพี่พอร์ช แล้วรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่ามาที่นี้เลย” ผมว่าเสียงสั่น หัวใจเจ็บที่กำลังรับรู้ว่าตัวเองทำร้ายและทำลายคนอีกคนมากมายขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแน่ ๆ ที่จะชวนผมมา ทั้ง ๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมได้ให้ใจใครไปอีกคนตั้งนานแล้ว และเป็นผมเอง เป็นผมเองที่ทำร้ายทุกคนมาตลอด

ผมมาหาเขา เพราะต้องการทดสอบโชว่าเขาจะคิดยังไง ว่าเขาจะหวงผมไหม ว่าความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมรึไม่ เพราะทั้งหมดนั้นผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ขอให้มันอยู่ในวันและเวลาที่เรายังไม่ได้ไปด้วยกันไกลมากไปกว่านี้ เพราะผมคิดแบบนั้น เพราะในใจลึก ๆ ของผมหวาดกลัวการเริ่มต้น

ขอแค่คำเดียวที่เขาพูดมา แค่สายตาที่ผิดหวังในตัวผมตอนที่ผมไปมีอะไรกับใคร

มันคงทำให้ผมตัดใจ คงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร ที่ต้องเดินจากผมมา

ลึก ๆ ข้างในแล้ว ผมขยะแขยงตัวเอง ผมรังเกียจตัวเองที่ทำแบบนี้ เพราะกลัวการเริ่มต้น ถึงไม่เริ่มใหม่กับใคร ต้องการแค่คนที่มานอนเป็นครั้งคราวไป ไม่คาดหวังอะไรนอกจากว่าอีกฝ่ายจะมีคุณค่ามากพอให้ผมรู้สึกอยากจะมีอะไรด้วย

เพราะกลัวมาตลอดว่าทุกคนจะเข้าหาด้วยเรื่องแค่นี้ เลยพยายามห้ามตัวเองไว้ไม่ให้คิดอะไรไปไกลมากกว่าแค่คืนหนึ่งคืนที่ผ่านมาและผ่านไป เพราะลึก ๆ ข้างในแล้วผมขยะแขยงตัวเอง ผมไม่อาจจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะต้องมีอะไรกับใครสักคน เพราะผมกลัว ผมไม่สามารถก้าวข้ามความหวาดกลัวได้

ผมกลัวหลงทางอีกครั้ง เหมือนที่ใครบางคนเคยพยายามนำทางผมและทุกอย่างก็แหลกสลายไปในท้ายที่สุด

ผมถึงทดสอบกับโชครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบว่าเขา..จะรังเกียจคนแบบผมไหม?

ในที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถมีอะไรกับใครคนอื่นได้นอกจากโช ไม่หรอก ผมมีได้ แต่ความรู้สึกที่ตามหลังมาเหมือนกับว่าผมกำลังทำผิดพลาด เหมือนกับว่าผมกำลังหักหลังเขา ผมกำลังหักหลังตัวผมเอง เหมือนที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสองคนนั้น ที่จริงแล้วถ้าผมจะหยุดผมก็คงทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเพื่อทดสอบเขา

...ผมเห็นแก่ตัวกับคนเหล่านี้มากมายเหลือเกิน

“ผมยินดี”

เขาพูดทั้งหยาดน้ำตา คล้ายอ้อมกอดให้ผมได้เห็นใบหน้าที่กำลังมองลงมา

“24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม คุณไม่ต้องเสียใจ คุณไม่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรเลยที่คุณได้ทำผิดพลาดไป ทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเสมอในท้ายที่สุด”

“....”

“พระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบนี้ จนกว่าสักวันโลกจะแตก ที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงไป สุดท้ายแล้วปลายทางของใครสักคนก็ต้องตัดผ่านกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ...ผมยินดี ผมยินดีมาก ๆ แล้วที่ได้มีคุณอยู่ในชีวิต แค่เท่านี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์เท่านี้มันจะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว”

“ครับ...”

“ดังนั้นแล้ว ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะครับ”

น่าเสียดาย ผมไม่สามารถทำตามที่เขาขอร้องได้เลยสักนิด

เหมือนหัวใจผมแตกสลาย น้ำตามากมายไหลออกมาไม่ต่างจากฝนเมื่อยามบ่าย



.....................




ผมร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที เราทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้า เปลือยกาย แล้วก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ผมเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่ไม่มีสติอยู่กับตัว ก้มหัวลงให้เขาสระผมให้ มือหยาบกระด้างค่อย ๆ ฟอกแชมพูให้ผม ก่อนจะเทสบู่เหลวลงมือแล้วไล่ไปทั่วร่างกายผมไม่แม้แต่จุดซ่อนเร้น ผมไม่หลบหนี ปล่อยเขากระทำตามใจกับร่างกายไปเรื่อย ๆ

ผมอยากให้เขามีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก

เขาไม่ได้ทำอะไรผมไปมากกว่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินมากไปกว่าแค่ต้องการชำระล้างร่างกายให้ผมเท่านั้นเอง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับเขา เจ้าตัวช่วยผมเช็ดศีรษะด้วยการเอาผ้ามาพัน ๆ แล้วถูให้จนแห้งสนิท พร้อมเสร็จหลังจากนั้นก็ทาแป้งเบา ๆ ให้ผม ยื่นชุดที่คิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใส่ว่าเขาไปหาไซซ์ผมมาได้ยังไงให้ใส่

เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะต้องขับรถกลับไปสนามบิน ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่นอนกอดเขาเงียบ ๆ เหมือนกันที่เขานอนกอดผม พยายามแล้ว แต่ที่สุดเราสองคนก็ยังนอนกอดกันร้องไห้แบบนั้น เขาเปิดเพลง ‘ฉันดีใจที่ได้พบเธอ’ ของ Whal & Dolph ก่อนเราจะนอนกอดกันร้องไห้ไปแบบนั้นจนหมดเวลา

หลังจากเช็กว่าไม่ลืมอะไรทิ้งไว้เป็นครั้งสุดท้าย ผมก็กดล็อกกุญแจที่พัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ หันไปมองหน้าเขา หันมามองเรา พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สองตาบวม ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำของตัวผมเอง

มันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากสำหรับผมจริง ๆ

ถึงเวลากลับ เรานั่งสายการบินเดิมที่นั่งมาเมื่อเช้า..จริง ๆ ผมต้องบอกว่าเมื่อคืนสินะ? ช่างเถอะ หัวของผมหมุนวนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว เรานั่งเงียบ ๆ เสียบหูฟังกันคนละข้างจนมาถึงกรุงเทพฯ ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนรถเมื่อเช้ายังอยู่รอเราสองคน เขาโค้งให้คนข้าง ๆ ตัวผมก่อนจะยื่นกุญเจรถพอร์ชคันเดิมให้กับเขา

ผมนั่งเงียบ ๆ เหม่อเห็นนาฬิกาเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว เวลา 24 ชม.ที่เกิดขึ้นกำลังจะจบลง ผมเหมือนคนเบลอยา เหมือนหลับแล้วฝันไป ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมากขนาดนี้ เขาขับขึ้นทางด่วน ถนนยามค่ำคืนค่อนข้างโล่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคืนวันเสาร์

เขาขับรถมาเรื่อย ๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว เวลาเองก็กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน น่าแปลกที่ผมกลับเริ่มสงบใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าในที่สุดแล้วผมก็เข้าใจตำแหน่งของใครอีกคนสักที

ความเจ็บปวดที่พี่พอร์ชมอบให้กับผม แม้มันจะเป็นบาดแผลที่ใหญ่และรุนแรง แต่อย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่แผลเรื้อรัง มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปต่อได้ง่ายมากขึ้น

การไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่ในรักครั้งเก่า ก็เป็นประตูอีกบานที่จะส่งเราไปเจอกับความรักครั้งใหม่ ๆ

เขาจอดรถเทียบในมหาวิทยาลัย มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีเศษ เราเงียบ ก่อนเขาจะเป็นคนพูดก่อน

“ไปเดินเล่นกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าและเดินลงไปจากรถ หยิบมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเพียงอย่างเดียว

เราเดินเงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมพูดทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดออกไปหมดแล้ว ผมว่าเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เลยปล่อยให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวได้ทำงานของมัน เสียงแมกไม้ เสียงรถยนต์ที่ดังเข้ามาจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาบางส่วนที่ยังคงค้างและหลงเหลืออยู่ในนี้

ยี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที...

“ส่งผมแค่ตรงนี้ก็พอครับ” ผมพูดออกมาเป็นครั้งแรก หันหน้าไปเจอกันกับเขา

“....”

“คุณครับ...”

“....”

“ได้โปรด...ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” ผมบอก พยายามไม่ให้ความรู้สึกขม ๆ ข้างในทะลักออกมาเป็นทะเลน้ำตา

เขาเงียบสงบกว่าที่ผมคิด ไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือแสดงอาการเสียใจ พยักหน้ารับคำและส่งรอยยิ้มให้กับผม

“ผมชื่อ‘หยก’”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ บ้าง

หยก ผลึกอัญมณีที่มีค่า สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวมัน

“ผมชื่อทรอย” ผมตอบกลับไป เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบอย่างสงบ

 เราเงียบและมองหน้ากัน เหมือนผมได้ยินเสียงเข็มวินาทีดังขึ้น เหลือบตามองหน้าปัดเป็นเวลา 00.00 นาฬิกา

“หยกครับ ทรอยต้องไปแล้วนะ”

“ครับ”

ผมเตรียมหัวจะหันหลังกลับมา แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน

“หยกจะจำชื่อทรอยไปชั่วชีวิตของหยกนะครับ”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับทราบ ทำสิ่งที่สมควรทำครั้งสุดท้ายด้วยการกอดอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาให้กับเขา ถึงที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าสักวันหยกจะเจอกับใครสักคนที่จะมอบความรักทั้งหมดให้กับเขาได้จริง ๆ

ผมหันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป ปราศจากเสียงเรียกรั้งใด ๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองไล่ตามผมจนสุดทาง แต่ผมไม่สามรถหันหลังกลับไปมองได้ ผมไม่สามารถหันกลับไปได้ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเต็มสองตาของผมแบบนี้ ผมไม่ใส่ใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาที่ผม พยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออกมาว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา

จนกระทั้งเดินมาถึงหน้าหอพัก แล้วพบว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนรออะไรบางอย่างที่หน้าประตู

บางอย่างที่ว่า...นั่นคือผม

“กลับมาแล้วเหรอครับ?” เขาว่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ใบหน้าอิดโรยอยู่ในชุดออฟฟิศที่มีเสื้อสูทตัวนอกพาดแขน แม้จะดูเหนื่อยล้าขนาดไหนแต่เขาก็ยังพยายามที่จะส่งยิ้มกลับมาให้ที่ผม

“หิวไหม...ทานอะไรมารึ...” โชพูดได้ไม่ทันขาดคำ ผมก็เขาไปกอดเขาไว้เต็มรัก

“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่กับผมตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”

ไม่ใช่คำขอร้อง แต่คือคำอ้อนวอน

....นานแล้วเหลือเกิน ที่ผมไม่ได้เจอใครสักคน ที่ทำให้ผมกล้ามากพอที่จะร้องไห้ให้เขาฟัง







 
Time talk : มาติดตามสี่ตอนที่เหลือกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ขอบคุณจริง ๆ เลยนะ ที่ยังอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ใกล้แล้วนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งรีบเดินจากกันไปไหนนะครับ :)


 

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #151 เมื่อ04-03-2019 21:42:05 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #152 เมื่อ04-03-2019 22:56:28 »

ซ้ำ 2 กระทู้ค่ะ

ออฟไลน์ Gnaap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #153 เมื่อ05-03-2019 23:19:30 »

 :sad4:
ดราม่า แงงงงง
ทรอยร้องไห้ยังมีโช
แล้วหยกล่ะ  :o12:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #154 เมื่อ06-03-2019 08:29:19 »

ทำไมเศร้างี้  :m15:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #155 เมื่อ06-03-2019 15:46:32 »

 o13 :really2:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
«ตอบ #156 เมื่อ09-03-2019 22:00:58 »

Ep.32 Connect



หลังจากกลับมาวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอ ‘หยก’ อีกเลย...

ผมตื่นมาในเช้าวันใหม่ พร้อม ๆ กับใครบางคนที่กอดผมตลอดทั้งคืน เป็นเช้าที่วุ่นวายพอสมควร อย่างน้อยที่สุดก็คนข้าง ๆ ตัวผมที่ได้แต่อาบน้ำจากห้องผม ก่อนจะรีบแต่งตัวไปทำงานชุดเดิม (โชบอกว่าเขาชอบใส่ชุดเดิมบ่อย ๆ คงไม่น่าจะมีใครจับได้ แต่ผมพนัน 20 เหรียญเลย ผมแอบเห็นนะว่าเขาฝากพี่แจ้ไปเอาชุดให้เขามาเปลี่ยนที่บริษัท)

จริง ๆ คืนนั้นผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ผมแค่..โหวง ๆ ?

ผมยังมีโช ยังมีคน ๆ นี้อยู่ข้าง ๆ ผม แล้วค่ำคืนนั้นหยกผ่านมันไปได้ยังไงนะ

ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เป็นห่วง ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะตั้งคำถามนี้ด้วยซ้ำ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ไอ้ความไม่เด็ดขาดของผมไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นเดือดเป็นร้อน และเป็นห่วงกันมากขนาดนี้ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเจ็บมากขนาดนี้ ผมจมกับความรู้สึกว่าผมกำลังทำร้ายคน ๆ หนึ่งไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยด้วยซ้ำ

ทุกความเจ็บปวดถ้าทำร้ายเราไม่ได้ จะทำให้เราเติบโตขึ้น

“คิดอะไรเหรอครับ?” โชถาม ผมนั่งพิงลำตัวเขาอยู่ ในมือก็ถือชีทสำหรับเตรียมสอบมิดเทอมที่จะมาถึง แม้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมายกับทั้งผมและเพื่อน ๆ  ในแก๊ง แต่นั่นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยนี้ครับ เรายังมีหน้าที่เป็นนักศึกษา และยังต้องผ่านนรกมิดเทอมไปให้ได้

“จะเอาที่ผมคิดจริง ๆ หรือจะให้ผมโกหกเพื่อความสบายใจ” ผมถาม

“เราก็รู้อยู่แล้วว่าพี่คิดอะไร” โชตอบ ผมหมั่นไส้จนถอดแว่นตาแล้วเอาหน้าซุกคอเขาเล่น และก็นั่นแหละครับ ผมโดนเข้าเต็ม ๆ ที่หลังหนึ่งตุบ

“โอ๊ย เจ็บนะครับ” ผมว่า แกล้งสำออยทำท่าเจ็บใส่เขา เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วบ่นพึมพำอะไรกับตัวเอง

“แล้วสรุปคิดอะไรอยู่ครับ พี่เห็นเราขมวดคิ้วตั้งนานสองนานแล้ว” เขาพูดต่อ

วันนี้วันเสาร์ ก็อย่างที่รู้กันว่าปกติแล้วผมจะต้องไปทำงานพิเศษ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แต่ในช่วงใกล้สอบผมจะขอที่ร้านหยุดทำงานเป็นกรณีพิเศษ จริง ๆ แล้วถ้าแค่ผมตัวคนเดียวน่ะ เงินจากทุนการศึกษาก็เพียงพอที่จะใช้อย่างประหยัด ๆ โดยไม่ต้องทำงานพิเศษ แต่ว่ามัน....

“อ้าว ถามแล้วเหม่อทิ้งกันแบบนี้ก็ได้เหรอ” โชสะกิดผมอีกครั้งด้วยการเอามือขยี้หัวผมเล่น ผมหลุดออกจาภวังค์แล้วหันไปตอบเขา

“ผมกำลังคิดหลายอย่างเลยครับ ทั้งเรื่องคุณ เรื่องผม เรื่องเขา เรื่องค่าย เรื่องสอบมิดเทอม เรื่องทำงานพิเศษ เรื่อง..”

“พอ ๆ คิดเยอะขนาดนั้น สมองคุณประกอบไปด้วยแผงวงจรไฟฟ้าสำหรับคอมพิวเตอร์เหรอครับ ใจเย็น ๆ  ค่อย ๆ คิดทีละเรื่องนะครับ” โชเบรกผม พร้อมเอานิ้วมานวดที่ขมับให้เบา ๆ สบายตัวจังเลย นี่แหละข้อดีของการคบคนอายุมากกว่า อาจจะเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาก่อน ก็เลยดูเหมือนว่าจะดูออกไปซะหมดเลยว่าผมต้องการหรือไม่ต้องการอะไร

คบคนอายุมากกว่า?

โอเค เอางี้ก่อน ทำความเข้าใจตรงกัน ผมกับโชเรายังไม่ได้ยืนยันสถานะอะไรกันทั้งนั้น นอกจากที่เราบอกว่าจะ ‘ลองคุย ๆ ’ กันดูก่อน อันนั้นคือตามรูปธรรมอย่างที่มันควรจะเป็น หรือจะเรียกว่าทางนิตินัยดีล่ะ? ในขณะที่ทางพฤติกรรมนั้น จะบอกว่ายังไม่คบกัน ทั้ง ๆ ที่เขามานอนค้างทุกคืนวันศุกร์ ใช้เวลาด้วยกันในเช้าวันเสาร์ ผมว่าผมสามารถบอกได้นะว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

ถ้าถามตัวผมเอง ผมมีความสุขนะ ผมแฮปปี้กับสิ่งที่เราทั้งคู่เป็นอยู่ในขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดแล้วโชก็ไม่ได้เข้าหาผมเพราะแค่วัตถุประสงค์เดียวคือเรื่องเซ็กซ์ และจะพูดก็พูดเถอะ น่าจะเข้าวีคที่สองที่สามแล้วมั้งที่โชมานอนกับผม

ใช่...ขีดเส้นใต้คำว่านอนให้ชัด ๆ ความหมายตรงตัวเลย นอนที่หมายถึงการให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อน ไม่ใช่เพศสัมพันธ์แต่อย่างไร

ไม่อยาก? ไม่ใช่หรอก คุณอย่ามองผมในแง่คนดีมากขนาดนั้น คุณไม่รู้หรอกว่าผมหลับลงไปด้วยอาการ ‘ตั้ง’ ทั้งตัว พร้อมตื่นขึ้นมาด้วยอาการ ‘ตั้ง’ ทั้งตัวมันทรมานยังไง แต่เพราะประโยคเดียวที่เขาพูดมานั่นแหละ ทำให้ผมยังไม่กล้าหรือไม่สามารถที่จะทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาได้มากนัก

‘พี่เป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ จะมาทำรุ่มร่ามกับพี่ไม่ได้’ เขาพูดพร้อมจูบที่หน้าผากผมเบาๆ เหมือนจะโรแมนติกมาก ถ้าไม่ติดว่าช่วงล่างผมกำลังแทงหน้าท้องเขาอยู่ แต่อีกฝ่ายแกล้งไม่สนใจและหลับไปเลยซะงั้น

ครับพี่ครับ เอาเป็นว่าผมได้แต่เกาหัวแกรก ๆ ตอนฟังประโยคนี้ครั้งแรก คืนนั้นผมได้แต่หลับตางง ๆ  และตั้งแต่ตอนนั้นมั้งที่อยู่ดี ๆ สรรพนามคุณ-ผม ก็แอบเปลี่ยนไปแทนตัวเองเป็น ‘พี่’ หรือ ‘เขา’ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ เขาก็คือเขานั่นแหละ จะเรียกแทนตัวเองกันว่ายังไง มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย

อ๋อ แต่อย่างน้อย ๆ โชก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรกับผมถึงขนาดว่าปล่อยให้ผมทรมานทั้ง ๆ ที่มีเขาหรอกนะครับ แต่เขาทำอะไรให้ผมบ้าง ตอนนี้ผมขออุบอิบไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

นี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้ ผมหมายถึง จริง ๆ แล้วผมรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมา ทั้งเรื่องสถานะของเราสองคนจากนี้ต่อไป รวมไปถึง ‘ครั้งแรก’ แบบเต็มรูปแบบระหว่างเราสองคนด้วย จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้มีเซ็กซ์มาสักพักใหญ่ ๆ แล้วนะเนี่ย ถ้าไม่นับช่วงที่ต้องเข้าโรงพยาบาลรอบก่อน นี่น่าจะนานที่สุดแล้วล่ะ ที่คนแบบผมจะว่าง

ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะครับ แต่แบบ เอาละ ผมจะลองอธิบายให้ฟังนะ สมมติว่าคุณวิ่งเป็นประจำเลย คุณวิ่งแทบจะทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คุณไม่ได้วิ่งเลย และอยู่ดี ๆ คุณก็หยุดวิ่ง แรก ๆ มันจะมีความไม่ชิน เหมือนกับว่ากิจวัตรประจำวันที่คุณคุ้นเคยมันขาดหายไป นั่นแหละครับ ความรู้สึกของผม

จริง ๆ แล้วจะบอกว่าผมติดเซ็กซ์ก็ได้นะ ก็แน่ล่ะ คนธรรมดาที่ไหนเขาจะมีเซ็กซ์แทบจะวันเว้นวันแบบผมเป็นเดือน ๆ ถูกไหม ตรงนี้เองผมก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและร่างกายได้เป็นอย่างดี อยากบอกว่าจริง ๆ แล้วช่วงเวลาที่โชไม่อยู่กับผม ผมมีโอกาสมากมายที่จะ ‘นอกกาย’ แบบที่เขาอนุญาตผมบ่อย ๆ

แต่ผมไม่ทำ

ไม่สิ ผมต้องบอกว่าผมทำไม่ได้มากกว่า มันก็มีแหละ บางวันที่ผมรู้สึกว่า ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการมัน และผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วย ว่าเขาอนุญาตแล้วงั้นผมก็ไม่ผิดอะไรสิ ซึ่งตามปกติ สมองส่วน ‘เหตุผล’ จะชนะ  ...แต่แปลกมาก หัวใจผมกับพ่ายแพ้ และยินยอมจะรักษาเรื่องที่รับปากไว้เป็นอย่างดี

ความรัก ทำให้เราอยากทำให้ใครสักคนหนึ่งมีความสุขตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

เท่านี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วมั้ง ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับเขากันแน่

“มีความสุขจังเลยครับ” ผมว่า พักสายตาจากชีทในมือแล้วเงยหน้าทับตัวเขาไว้

“หาเวลาว่างไปออกกำลังกายบ้างนะเรา” เขากึ่งบ่นยิ้ม ๆ ผมย่นจมูกพร้อมชี้ให้เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เป็นเชิงว่าจะให้ผมเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะคุณ เขาอมยิ้มแล้วตอบกลับมา

“จริง ๆ  พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้นานแล้ว พี่ว่าเราเลิกไปทำงานพิเศษก็ดีนะ จะได้มีเวลามาอ่านหนังสือ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นอีกหลาย ๆ อย่าง” โชพูด ผมขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ

“เรามีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง แค่ทุนที่ได้มันไม่พอนะคุณ” ผมตอบกลับด้วยเหตุผล อีกฝ่ายทำหน้าชั่งใจก่อนจะพูดตอบกลับมา

“คือ อย่าหาว่าพี่อย่างงั้นอย่างงี้เลยนะที แต่เอาเป็นว่าพี่จะช่วยเราเป็นรายเดื...”

“ผมขอทำงานแล้วกันนะครับ” ผมตัดบทเรียบ ๆ มองหน้าเขาเพื่อยืนยันการตัดสินใจของตัวเอง เขาถอนหายใจ บ่นกับตัวเองเบา ๆ ว่าก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผมยิ้มกว้าง เข้าใจในความหวังดีของเขา แต่ว่า ....

“ผมสัญญา ถ้าผม ‘ไม่ไหว’ จริง ๆ ผมจะบอกนะ โอเคไหม?” ผมว่า พยายามพูดให้เขาสบายใจ

“ก็รู้แหละว่าเราน่าจะไม่รับ แต่ว่าพี่ก็อยากบอกทีนะ ตอนนี้ทีไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวก็ได้นะครับ มีอะไรก็เล่า ก็บอกให้พี่ช่วยได้” โชบอกมาแบบนั้น ผมยิ้มและพยักหน้ารับ เข้าใจทุกอย่างที่เขาต้องการจะบอกผม ตอนนี้ผมเลยทำได้แค่กอดเขาไว้แน่น ๆ

“ขอเวลาให้ทีหน่อยนะครับ”

“ได้ไม่ได้ ก็ให้ไปจนหมดแล้วทั้งใจ” เขาว่า ผมแหวะเบาๆ  พอให้เขาได้งอนเล่น

ไม่ใช่ว่าผมหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ ถ้าสังเกตกันตั้งแต่แรก ๆ ก็จะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมงกขนาดไหน (และไอ้ความงกนั่นแหละที่ทำให้เราได้มารู้จักกัน) แต่ว่า เรื่องบางเรื่องผมอยากลองพยายามด้วยตัวผมเองอย่างสุดความสามารถก่อน ผมอยากทำให้ได้ด้วยตัวผมเองก่อน

เรื่องเงินน่ะ เป็นปัญหาอีกเรื่องที่เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้มันมาทำลายความสัมพันธ์ของผมกับคนที่ผมรู้สึกดีด้วย

ผมรู้ว่าโชหวังดีและไม่คิดอะไร แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าเขาจะไม่คิดอะไรแบบนี้ตลอดไปจริง ๆ ไหม ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว เราคาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ ครับ ในวันนี้มันอาจจะเป็นความรัก ความหวังดีที่อยากให้ผมสบายมากขึ้น อยากให้ผมเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ แต่ในวันข้างหน้า มันอาจจะกลายเป็นภาระผูกพัน ที่ทำให้ผมต้องอดทนและไม่สามารถตีจากเขาไปได้ก็ได้

ผมไม่อยากให้ตัวผมถูก ‘ผูกมัด’ ด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่ใจของผมต้องจำทน ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกชอบเขาในเร็ววันนี้หรืออะไรแบบนั้น แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด ตราบเท่าที่เรายังลืมตามาในเช้าวันใหม่ ไม่เพิ่มขึ้นก็ลดลง มันคือธรรมดาของความไม่แน่นอนจากมนุษย์ด้วยกัน

นอกจากนั้นแล้ว...ผมอยากยืนให้ได้ด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเองก่อน

“เอาแต่พูดเรื่องของผมอยู่นั่นแหละ ไหนพี่อ่ะ ไม่มีเรื่องอะไรอยากบอกเล่าให้ผมฟังบ้างเหรอ?” ผมว่า อ้อนเขาด้วยการเรียกว่า 'พี่' และเอาหัวถูแขนไปมาเป็นเด็ก ๆ ได้ผล เจ้าตัวยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ก่อนจะค่อย ๆ หุบยิ้มลง

“มีอะไรไม่โอเครึเปล่าครับ?” ผมถามต่อ เขาพยักหน้ารับ

“พี่ก็แอบเครียดเรื่องงานหน่อยน่ะ มันก็มีหลาย ๆ ปัญหาปะปนกันไป อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่พี่ไม่อยากเล่าให้เราฟัง แต่พี่ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนของความรู้สึกพี่ดี มันแค่แบบ...เครียด ๆ น่ะ” โชว่า ผมพยักหน้าเข้าใจ หลายครั้งผมก็มีเรื่องเครียด ๆ ที่บอกเล่าให้ใครฟังไม่ได้เหมือนกัน

ผมนวดหัวไหล่เขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าพร้อมเล่าให้ผมฟังเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็ได้นะ”

“แน่นอนครับ ถ้าพี่พร้อมจะเล่า พี่จะเล่าให้เราฟังแน่นอน” โชตอบกลับ

หลายครั้งแล้วในความเป็นห่วง เราก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นนิยามวิธีในการแก้ไขปัญหาส่วนตัวไว้ยังไงบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว ปัญหาหลายอย่างมันมีแค่เราที่ต้องแก้ไขและต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ด้วยตัวเราเอง คนที่เป็นห่วงเราก็ทำได้แค่ยืนข้าง ๆ และโอบกอดเราไว้

แล้วมันจะผ่านพ้นไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“จะเป็นยังไงต่อไปนะ ...อนาคต” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ ผมพลิกตัวลงมาจากพุงแล้วเอียงคอหันไปทางเขา

“หมายถึงอนาคตของพี่หรือผม?”

“พี่หมายถึง ‘อนาคตของเรา’ ต่างหาก” โชว่า

“แหวะ ชวนเลี่ยนมาก” ผมตอบกลับ แต่อีกฝ่ายทำตาจริงจังใส่ ไม่ได้ดุ แค่ยืนยันว่าเขาคิดเรื่องนี้จริง ๆ

“ถ้าถามผมเหรอ? เอาตรง ๆ ผมก็ยังไม่รู้เลย เคยมีคนบอกผมไว้ว่ามนุษย์เราไม่ต้องเก่งขนาดพยากรณ์ล่วงหน้าก็ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง การเตรียมพร้อมน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่ขอให้ตัวเราเองได้มีความสุขกับปัจจุบันก่อน เขาบอกว่าเขาไม่เก่งมาก แค่รอดไปในแต่ละวัน แค่วัน ๆ หนึ่งมีรอยยิ้มก็พอแล้ว” ผมตอบตามที่ตัวเองคิด

“พี่อยากเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง” เขาบอก ผมอมยิ้มแล้วบีบแก้มเขาเล่น

“แล้วตอนนี้พี่ไม่มีชื่อเสียงยังไงล่ะ” ผมว่าตอบ โชยิ้มเบาบาง ส่ายหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

เพราะรู้จักกันมาสักพัก เรื่องอะไรที่โชยังไม่อยากพูดต่อเขาจะเงียบไปดื้อ ๆ เฉย ๆ แบบนี้ ผมเลยไม่ถามอะไรให้เขารู้สึกไม่สบายใจเพิ่มเติม

“พี่พยายามเต็มที่แล้ว เพราะงั้น ผมจะไม่บอกว่าไม่ให้เสียใจนะ แต่ก็อยากให้พี่มองรอบ ๆ ดี ๆ ผิดหวังก็ไม่เป็นไร แต่ในความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันมีแต่ความผิดหวังเท่านั้นเต็มไปหมดรึเปล่า?” ผมพูดตอบ เดาได้ลาง ๆ ว่าเขาเครียดเรื่องอะไร แต่ไม่อยากถามต่อให้มันเป็นประเด็นขึ้นมา

“เพราะพยายามเต็มที่แล้วมันยังไม่ประสบผลสำเร็จต่างหาก มันถึงมีคำถามที่ตามมามากมายว่า แล้วต้องเท่าไหร่ล่ะ ต้องแค่ไหนถึงจะมากพอ ต้องเท่าไหร่ถึงจะคู่ควรให้เราประสบความสำเร็จ นั่นแหละที่พี่รู้สึกอยู่ตลอดเวลา แต่พี่ก็เข้าใจที่เราพูดนะ พี่ก็พยายาม แต่บางครั้งการทำใจน่ะมันยากกว่าที่คิด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ผมพยักหน้ารับทราบและยอมรับในสิ่งที่เขาพูด การทำใจไม่ให้รู้สึกมันไม่ง่ายเหมือนยังปากว่าจริง ๆ นั่นแหละ

เขานอนหมอบกับหมอนเงียบกันไปสักพัก ผมพลิกตัวลงไปกดเพลย์ลิสต์เพลงใหม่ที่ตัวเองชอบ ก่อนจะกระโดดมานอนข้าง ๆ เขา

“ผมอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์”

 ผมว่า เขาหันมาตั้งใจฟังที่ผมพูด ก่อนจะมองหน้าเหมือนให้ผมพูดต่อไป พอเห็นเขาเงียบไปแบบนั้นผมเลยถามกลับไปแทน

“ไม่ดีเหรอ?”

“ไม่มีอาชีพไหนไม่ดีหรอก แต่แค่นึกไม่ออกว่าทำไมเราถึงอยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์” โชว่า ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จริง ๆ แล้วนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอธิบายได้ แต่ยังไม่พร้อมจะอธิบาย  ผมยิ้มแห้ง ๆ ให้เขารับทราบแทนคำตอบ เจ้าตัวจิ๊ปากเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารัว ๆ ว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อความหมาย

“แล้วนอกเหนือจากนั้นล่ะ มีอะไรที่เราอยากทำอีกไหม” โชถาม ผมทำหน้าคิดไปมา

“นอกจากจะเป็นนักสังคมสงเคราะห์แล้ว ผมว่าผมอยากทำกิจการอะไรสักอย่างสองอย่าง อาจจะเป็นร้านอาหารง่าย ๆ ก็ได้ อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ จริง ๆ ผมแอบคิดมาแล้วล่ะ ผมอาจจะทำงานไม่ตรงสายที่ตัวเองเรียนสักเท่าไหร่ก็ได้ แต่ในที่สุดแล้วถ้าถามว่าอยากทำอะไร ใจผมก็คงยังตอบว่านักสังคมสงเคราะห์อยู่เสมอ

เพียงแต่ผมก็ต้องพยายามมองให้เห็นภาพรวมของความเป็นจริงของชีวิต ถ้าผมเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ ผมก็คงจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้ เพราะงั้นแล้วหนทางต่อจากนี้คงอีกไกล แต่ก็อยากให้มันเป็นเป้าหมายที่ผมจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปถึงมันขึ้นเรื่อย ๆ ก็พอนะครับ”  ผมว่า

“นั่นสินะ” โชพูด ทำหน้าเหมือนคิดได้

“บางทีพี่เองก็มัวแต่มองยอดเขาจนลืมระยะทางในการเดินไปถึง จริงอย่างที่เราว่าแหละ พี่ทุกข์เพราะมันไม่เป็นแบบที่พี่คาดหวังเอาไว้ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ความสิ้นหวังหรือไม่สมหวัง อย่างน้อยที่สุดในระหว่างทางพี่ก็ยังได้เจอคนที่เขาเข้าใจ และยอมรับผลงานของพี่จริง ๆ ” เขาว่า ยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“อาจจะต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของระยะเวลาและโชคชะตาแล้วล่ะครับ” ผมปลอบ โอบกอดเขาเบา ๆ เพราะเห็นแล้วว่าเขาพยายามมากแค่ไหนในการลงมือทำงานชิ้นนี้ เลยไม่รู้อีกว่าอยากให้เขาพยายามเพิ่มตรงไหน นอกจากอยากให้เขาใจเย็น ๆ อย่าหาว่าผมงมงายเลยนะ บางทีโชคชะตาและจังหวะเวลามันก็มีผลกับการทำงานชิ้น ๆ หนึ่งเหมือนกัน

“พี่ชอบบ้านสองชั้น” โชพูดขึ้นมาลอย ๆ  ก่อนจะพลิกตัวคว้าเอาไอแพดมาเปิดขึ้นแล้วเสิร์ชหารูปใน Pinterest พอเจอแบบที่ตัวเองถูกใจแล้วเขาก็เลื่อนมาให้ผมดู

“พี่ชอบหลังนี้ บ้านปูนเปลือยสวยดี รอบ ๆ ก็ดูไม่เกะกะ มีพื้นที่ในการจอดรถยนต์และพื้นที่ใช้สอยพอประมาณ อาจจะไว้เลี้ยงสัตว์สักตัวก็ได้ ....พี่ชอบแบบนี้ เราล่ะชอบแบบไหน?” เขาถาม ผมสไลด์แล้วพยายามเลือกหาบ้านแบบที่ตัวเองชอบ

“จริง ๆ ผมไม่มีแบบที่ชอบจริงจังในใจอะไรขนาดนั้น สำหรับผมที่พักอาศัยมันก็คือที่พักอาศัย ถ้าจะชอบก็คงชอบที่ได้เป็นเจ้าของมัน เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต” ผมพูดตามที่ตัวเองคิด แต่ก็เลือกบ้านในแบบที่ตัวเองชอบให้พี่เขาดูอยู่ดี

“ผมชอบหลังนี้ครับ” ผมว่าพร้อมอธิบายต่อ “ชอบบ้านโปร่ง ๆ สองชั้น ต้นไม้ในบ้านมีบ้างแต่ไม่ต้องเยอะ ผมขี้เกียจทำความสะอาดบ่อย ๆ นอกนั้นขอบก็เป็นกำแพงสำหรับระมัดระวังขโมยขโจรต่าง ๆ สีที่ชอบก็คงจะเป็น..สีคราม น้ำเงิน เขียวอ่อน ประมาณนี้มั้งครับ บ้านที่ผมอยากได้” ผมสรุป

“แต่ยังขาดอะไรไปบางอย่างนะในบ้านของเราทั้งคู่” พี่โชว่า ผมหันไปมองหน้าเหมือนจะถามว่าขาดอะไรเหรอ?

“บ้านของเราสองคนขาด ‘กันและกัน’ ยังไงล่ะ”

“แหวะ เลี่ยนมากครับ” ผมโต้กลับ จริง ๆ ผมก็เขินนะเวลาเขาเล่นมุกที่ดูจะไม่เข้ากับตัวเขาเองเลย แต่พยายามรักษาท่าทีไว้ ไม่ให้เขารู้ว่าผมเขิน

“พี่พูดจริงนะ”

“...”

“บ้านของพี่จะเป็นบ้านได้ยังไง ถ้าพี่ไม่มีเรามาอยู่ใน ‘ครอบครัว’ ของพี่”

ผมอมยิ้ม กระชับอ้อมกอดที่กอดเขาอยู่ให้แนบแน่นมากขึ้น มองผ่านเข้าไปในดวงตาคู่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างที่มองมาที่ผม ไม่คิดเลยว่าคนที่เคยเรียกกันไปกันมาว่าคุณ คนที่ผมเคยตั้งแง่กับเขาอย่างร้ายกาจ จะกลายเป็นคนที่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้กอดเขาไว้ได้เต็มแขนทั้งสองข้างขนาดนี้

“บ้านของผมถ้าไม่มีพี่...ก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกว่าบ้านได้ยังไง”

เหมือนกับรถยนต์ ที่ต้องมีล้อทั้งสองฝั่งถึงจะสามารถเคลื่อนตัวได้ ความสุขเองก็เช่นกัน เราคงไม่รู้ว่ามันมีมูลค่ามากแค่ไหน หากชีวิตเราไม่เคยผ่านความทุกข์มาก่อน

เรื่องที่เราสองคนคุยกันในวันนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไกลมาก ๆ และก็ไม่แน่ด้วยว่าเราจะเดินทางกันไปจนสุดทางรึเปล่า ไม่แน่ว่าจะได้ไปอยู่ในบ้านที่เราต่างคนต่างบอกว่าชอบมันไหม ไม่แน่ด้วยซ้ำว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้า เราจะยังรู้สึกว่าเรา ‘อยากเป็นครอบครัวเดียวกัน ’ เหมือนในตอนนี้ เวลานี้รึเปล่า

...แต่ที่ผมรับรู้คือ ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วในตอนนี้ก็พอแล้ว

‘ติ๊กต๊อก’

เสียงไลน์ของผมเด้งขึ้นมา ผมคลายอ้อมกอดจากเขาแล้วกลิ้งไปหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความ ที่แท้แล้วเป็นข้อความจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมนั่นเอง คืนวันพรุ่งนี้จะมีการจัดการงาน CSR จากบริษัทชั้นนำหลาย ๆ บริษัททั้งของภาครัฐ รัฐวิสาหะกิจ และภาคส่วนเอกชน พี่โต้งเลยอยากให้พวกผมส่งตัวแทนของรุ่นเราไปในงานนี้เพื่อนำเสนอผลงานของปีที่ผ่านมาและถ้าเป็นไปได้ก็ให้ลองเสนอโครงการในปีนี้เพื่ออาจจะได้งบประมาณมาเสริมงบของคณะ

ปกติแล้วงานสังคมพวกนี้ผมไม่ค่อยถนัดจะออกหน้าฉากเท่าไหร่ แต่ไอ้เต้ยหัวหน้าโครงการดังติดภารกิจคอขาดบาดตายที่ถึงขนาดเจ้าตัวไม่สามารถปลีกตัวมาได้จริง ๆ ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไรมันหรอก หน้าฉากมันแทบจะขายบ้านเอาทุนมาให้พวกผมแล้ว ดังนั้นถ้ามันจะติดธุระจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากว่ามันนัก

แน่นอน ปีหนึ่งก็ต้องส่งตัวแทนรุ่นคนอื่น ๆ ให้ไปร่วมงานอยู่ดี ตอนแรกทุกคนก็พร้อมใจจะส่ง(โยนงานไปให้)ส้มส้มไปรวมงาน แต่พอผมเห็นอีเมล์อีกฉบับที่ส่งมาที่อีเมลส่วนตัวของผมจากพี่มันนี่ ก็ทำให้ผมเนี่ยแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวไปร่วมงานในวันพรุ่งนี้

คุณเอกเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานที่จะไปร่วมในวันพรุ่งนี้ ผมอยากแก้ตัวใหม่ รอบนี้ผมทำการบ้านไปพร้อมแล้วสำหรับการให้คุณเอกประเมินโครงการที่จะทำเรื่องขออนุมัติงบประมาณทำค่ายประจำปีนี้ แม้จะส่งอีเมล์ไปหลายฉบับและได้รับฟีดแบคที่ดี แต่ผมก็อยากไปเจอกับพี่เขาด้วยตัวเองอีกสักครั้ง (ไม่นับรวมว่าผมจะได้ไปเจอพี่มันนี่ด้วยแหละ)

“พี่ครับ พรุ่งนี้เราไปทำธุระตอนกลางคืนนะ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับทราบแต่ไม่ถามอะไรต่อ เจ้าตัวสไลด์ดูปฏิทินของตัวเองบ้าง ก่อนจะอุทานบางเบา

“พี่เองคืนพรุ่งนี้ก็มีธุระเหมือนกันน่าจะไม่ได้มาค้าง ไว้พี่มาวันศุกร์หน้าแล้วกันนะ” พี่โชว่า

“โอเคครับ เอาที่พี่สะดวกนะ ไว้เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ครับ”

ผมบอก พร้อมกดล็อกหน้าจอและวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้แล้วพลิกตัวไปกอดเขาเหมือนเดิม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นแล้วผมจะขอมีความสุขกับปัจจุบันให้ถึงที่สุดก่อน

พรุ่งนี้ผมหวังว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ดีสำหรับผม..






Time Talk : อีกสามตอนสุดท้าย ^^ ขอบคุณเสมอที่เธอยังอยู่ข้าง ๆ กันนะครับ


ขอบคุณครับ หวังว่ามันจะเป็นสามตอนสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยครับ :]

UP date link 10/03/19


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 16:54:24 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
«ตอบ #157 เมื่อ09-03-2019 22:43:11 »

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
«ตอบ #158 เมื่อ10-03-2019 00:16:35 »

หวังให้หยกผ่านไปด้วยดีเหมือนกัน

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
«ตอบ #159 เมื่อ10-03-2019 13:43:28 »

 o13 :really2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
« ตอบ #159 เมื่อ: 10-03-2019 13:43:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.32 Connect | P6 |09/03/62
«ตอบ #160 เมื่อ15-03-2019 22:13:38 »

หายไปหลายวัน กลับมาอ่านจุใจเลย

ทุกอย่างอยู่ที่เลือกทำ ไม่รู้ว่าหยกไปพบเจออะไรมา ขอให้มีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นนะ

เอ๊ะ  ๆ ๆ เขาจะไปเจอกันที่ในงานไหมนะ อิอิ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
«ตอบ #161 เมื่อ16-03-2019 21:48:30 »



Ep.33 who are you?



เช้าวันต่อมา หลังจากที่โชกลับไปที่คอนโดของตัวเอง ผมก็มาที่มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้ จริง ๆ แล้วงานวันนี้ผมกะจะไปช่วง After party แต่ผมเองต้องมาเตรียมคุยรายละเอียดโครงการกับเพื่อน ๆ ที่เหลือก่อน เพื่อสรุปทิศทางโดยรวมว่าเราจะนำเสนอแผนการของบประมาณสนับสนุนไปในทิศทางใด

“สรุปแล้วติดต่อได้แค่หกมหาวิทยาลัยว่ะ” ไอ้ส้มส้มสรุป ผมพยักหน้ารับทราบ

“ไม่แปลกหรอก ปกติงานพวกนี้เขาแยกกันโดด ๆ นี่หว่า ไอ้จะมารวมกันแล้วทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่ใช่ทางมหาวิทยาลัยแต่ละฝ่ายโคฯงานกันโดยตรง มันก็ยากหมดแหละมึง เอาเท่าที่ทำได้ก็พอ แค่หกมหา’ลัยกูก็พอใจแล้ว เหลือแค่ว่าพอไปถึงตัวงานจริง ๆ จะมีกำลังคนมาสนับสนุนกันมากพอก็โอเค” ผมว่า เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พยักหน้ารับคำแล้วก้มหน้าสรุปข้อมูลในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบต่อไป

“ดาวตกบอกว่าเดี๋ยวเอาชุดที่จะให้มึงใส่ไปในงานนี้ตามมาให้ พอดีมันติดธุระอยู่” มาร์ว่าขึ้นมาลอย ๆ นี่ก็ถือเป็นน้ำใจจากเพื่อน ๆ ที่ผมมักได้รับสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุด ในฐานะตัวแทน ผมก็อยากไปในชุดที่เหมาะสมกับสถานภาพนะครับ

“ว่าแต่...มึงกับพี่เขาเป็นไงบ้างวะ?” เอาล่ะ เพื่อนรักชักเริ่มไม่รักผมแล้ว ทุกคนในวงสนทนาเหมือนพร้อมใจกันวางงานและเงยหน้าขึ้นมาโฟกัสที่ผม  กูขอถอนคำพูดว่ามึงเป็นเพื่อนที่ดีของกู ไอ้มาร์

“ก็..เรื่อย ๆ มั้ง?” ผมตอบ พูดได้เลยว่าตอบไม่เต็มปาก เพราะสถานะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่หว่า

“กับคนนี้มึงจริงจังใช่ไหม?” ไอ้ทิพย์ยิงคำถามตอบ ผมพยักหน้ายอมรับเงียบ ๆ

“เขาเป็นไงวะมาร์ เขาโอเคกับเพื่อนเราป่าว?”  พลอยหันไปถามเจ้ามาร์ มันทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วตอบกลับ

“เป็นไงเหรอ? ลักษณะทางกายภาพก็โอเคเลยมึง ตี๋ ๆ อ่ะ แต่ไม่ขาวมาก ผิวออกแทน ๆ แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ สูงกว่าเจ้านี่ แล้วก็ดูโตกว่า ทำงานแล้ว ที่สัมผัสได้แน่ ๆ คือรวย ส่วนเรื่อง Attitude กูให้ 8.5 เต็ม 10 เลย เสียดายวันนั้นเวลาน้อยไปหน่อยเลยยังคุยกันไม่จุใจ” เจ้ามาร์วิจารณ์ ผมทำปากเป็ดบึนปากออกมาเบา ๆ

“เจอกันครั้งเดียวรู้ได้ไงว่าเขารวย” ผมโยนคำถามกลับ เจ้ามาร์ยักคิ้วใส่แล้วตอบกลับ

“เจอ ‘เพื่อน’ ของ ‘ว่าที่แฟน’ ครั้งแรกก็พาเข้าร้านหรู แถมกุญแจรถนั่นก็ราคาแพง ไม่นับรวมความฉลาดในการตั้งคำถามและตามทันอีก เอาจริง ๆ ถ้ามึงไม่เอา กูเอานะ” มันว่า สายตาไม่น่าไว้วางใจ

“ไม่ให้” ผมรีบตอบกลับทันควัน

“คนนี้หวงด้วยว่ะ ฮิ้วววว” ไอ้ส้มส้มได้ทีชง

“กูไม่อยากจะพูด วันนั้นที่ร้านอาหารนะ กูแทบจะกลายเป็นอากาศธาตุ เขามองหน้ามองตากันซะกูรู้สึกผิดเลยที่เข้าไปเป็นส่วนเกิน” ไอ้มาร์ซ้ำ

“กูว่ากูชักเริ่มอยากเห็นหน้าพี่ตี๋ของมึงจริง ๆ  จัง ๆ แล้ว มีรูปไหมวะ?” ไอ้พลอยว่า ทั้งกลุ่มยกเว้นไอ้มาร์พยักหน้าต้องการเป็นเสียงเดียวกัน ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่าไม่มี

“ยังไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเหรอวะ” ไอ้ทิพย์พูด ผมเบ้ปาก ไอ้มาร์เอ็ดเบา ๆ

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ารอบที่แล้วเกิดอะไรขึ้น” มาร์ว่า

“กูขอโทษ” ไอ้ทิพย์พูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อนึกได้ว่าผมมีความหลังฝังใจอะไรกับรูปถ่าย

ใช่ครับ พี่พอร์ชไม่ชอบถ่ายรูป ในขณะที่ผมกลับชอบ เพราะผมอยากบันทึกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนสองคนเอาไว้ให้ยาวนาน และก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ ไฟล์ ‘ทุกอย่าง’ ถูกผมดีลีททิ้งไปในวันที่เขามาบอกลาผมก่อนไปอเมริกา

“แต่คนนั้นกับคนนี้ไม่ใช่คน ๆ เดียวกันนี่ มึงก็อย่าไปคิดมากล่ะที จริง ๆ จะคนไหนพวกกูก็พร้อมจะยินดีกับมึงทั้งนั้นแหละ แค่เห็นมึงยิ้มออกมาได้ สดชื่นขึ้น กูก็โอเคแล้ว” ส้มส้มว่า

“ใช่มะ กูไม่ได้คิดไปคนเดียวใช่ไหม? พักหลัง ๆ มากูรู้สึกว่ามึงนุ่มนิ่มขึ้นเยอะเลย” ไอ้พลอยว่า

“อะไรคือนุ่มนิ่ม ๆ ของมึงวะ?” ผมถามกลับ

“ก็ดูนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอ่ะ มึงยิ้มจริง แต่ตามึงไม่ยิ้ม เหมือนแบบ...ยิ้มการค้าอ่ะ? ยิ้มเพื่อให้เห็นว่ายิ้ม แต่ไม่ได้ ‘มีความสุข’ เลยยิ้มออกมา เวลาไปไหนมาไหนก็เหมือนจะพกเมฆพกฝนส่วนตัวของตัวเองไปด้วยตลอดเวลา” มันว่า ผมหันไปหาคนอื่น ๆ เพื่อเป็นเชิงถามว่าผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ

“แต่ตอนนี้นะ มึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาก เวลาตอบโทรศัพท์ก็ไม่ได้ตอบห้วน ๆ ไม่ได้ทำหน้าเบื่อโลกแต่ก็กด ๆ ตอบกลับไป แล้วดูบางเวลาก็อารมณ์ดีตอนมองโทรศัพท์ เนี่ย สิ่งที่พวกกูเห็นมาตลอด” ไอ้ทิพย์เสริมให้อีกครั้ง

“คุยอะไรกันวะพวกมึง?” บุคคลผู้มาสายปรากฏตัว ผมหันไปยิ้มให้ดาวตกที่ยื่นถุงเสื้อผ้ามาให้ผมพร้อม ๆ กับนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลืออยู่

“คุยเรื่องว่าที่ตัวจริงของคุณชายทียังไงล่ะ” ส้มส้มรีบตอบ ดาวตกหันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ก็ว่าอยู่ ทำไมช่วงนี้ถึงดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ”

“เห็นไหม ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด” ไอ้มาร์ได้ทีรีบย้ำ ผมกุมขมับกับการโดนรุมในครั้งนี้

แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ผมมีความสุขมากขึ้นจนคนรอบ ๆ ตัวผมสังเกตได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?

....หมายถึง เพราะแค่ผมมีเขาเข้ามาในชีวิต มีโชน่ะนะ?

“เห็นไหม มึงคิดจริงจังกับเขา ไม่งั้นมึงไม่เหม่อขนาดนี้หรอก” ไอ้มาร์สำทับอีกครั้งหลังผมเงียบลงเพราะต้องการใช้ความคิดในการทบทวนอะไรกับตัวเอง

“กูดูมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมถาม ทุกคนรอบวงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันอีกครั้ง

“กูไม่อยากพูดถึงให้มึงเสียใจนะ แต่แบบ กูสังเกตอ่ะ มึงยิ้มต่างจากช่วงก่อนหน้าหลังจบกับพี่พอร์ช คือหลังจากออกจากโรงพยาบาล มึงยิ้มนะ แต่มันยิ้มไม่จริงแบบที่ไอ้พลอยว่า ยิ้มเพราะอยากให้พวกกูสบายใจ ทุกคนดูออก แต่ไม่พูดอะไร เพราะรับรู้เสมอว่ามึงคิดยังไง รู้ว่ามึงไม่อยากให้พวกกูเป็นห่วงเลยพยายามแสดงความเข้มแข็งออกมา

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น มึงยิ้มแบบยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ถามทุกคนได้เลย มันรู้สึกได้จริง ๆ ว่าโลกของมึงดูสดใสมากขึ้นโดยที่มึงก็ไม่รู้ตัวเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกของการอยากจะเข้มแข็ง แต่เพราะมึงเข้มแข็งและต้องการปกป้องใครอีกคน มันเลยปลดปล่อยออกมาเป็นตัวมึงในตอนนี้” ไอ้ทิพย์ค่อย ๆ พูดช้า ๆ ชัด ๆ สรุปให้ผมฟัง

“รู้ไหมว่ากูโคตรมีความสุขเลยที่มีคนแบบพวกมึงมาเป็นเพื่อนกันเนี่ย” ผมว่า อยากกอดพวกมันทุกคน ทั้งอยากขอบคุณและขอโทษมาก ๆ ในการกระทำหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา

“ไม่เป็นไรหรอก คนเราผิดพลาดกันได้ ...หมายถึงพวกกูเนี่ย ผิดพลาดที่ไปคบมึง” ไอ้มาร์ว่า ทุกคนรอบโต๊ะหัวเราะ รวมทั้งหมดที่หัวเราะไปชูนิ้วกลางให้มันไป ผมปรบมือสองสามทีให้พวกมันสงบ ก่อนจะทวนแผนกันใหม่อีกครั้ง

ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมงในการปรับโครงสร้างของแผนการและภาคส่วนที่เราจะทำร่วมกันกับอีกหกมหาวิทยาลัยที่เหลือ ตรงส่วนนี้จะต้องมีการประชุมภายในกันอีกครั้งกับพวกพี่ปีโต สำหรับผมแล้วนี่ถือว่าเป็นทิศทางที่น่าพึงพอใจ อย่างน้อย  ๆ แผนการกระจายองค์ความรู้ไปสู่น้อง ๆ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง

ไม่มีการให้อะไรที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่าการให้ความรู้และการศึกษา จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีการศึกษาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่สุดแล้ว การศึกษาก็ยังเป็นประตูที่จะพาชีวิตไปสู่สถานภาพที่ดีกว่า อีกทั้งการให้ครั้งนี้ยังเป็นการให้ประโยชน์กับสังคมทั้งสังคมโดยตรง ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าบุคลากรที่สามารถก่อประโยชน์ให้สังคมต่อไปได้

หากโครงการนี้เริ่มต้นและค่อย ๆ ต่อยอดไปได้จริงในทุก ๆ ปี ผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด เราจะได้บุคลากรที่มีคุณภาพ และทำประโยชน์ให้แก่สังคมสืบต่อไป ค่อย ๆ ให้กันต่อเป็นทอด  ๆ ไป

ผมเชื่อว่าสักวัน สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน และเด็กหลาย ๆ คน คงจะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

หลังประชุมเสร็จ พวกผมทั้งกลุ่มเลือกจะไปทานชาบูกัน จะว่าไปแล้วตอนที่ได้กินข้าวพร้อมกันกับเพื่อนทุกคนในกลุ่มก็ถือว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เห็น ผมนั่งหัวเราะไปกับการจิกกัดกันระหว่างไอ้ส้มและไอ้มาร์โดยหนีไม่พ้นมุกการเมืองและมุกใต้สะดือที่ขนมาเรียกเสียงหัวเราะพร้อมทั้งการทั้งตบ ชง ขยี้มุกของเพื่อนที่เหลือ ทำให้วงทานข้าวของเราตลอดสองชั่วโมงเต็มไปด้วยหัวเราะ (ผมว่าผมหัวเราะจนน้ำตาเล็ดด้วยซ้ำ)

หลังกินเสร็จ ดาวตกอาสาขับรถพาผมกลับไปส่งที่ห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในค่ำคืนนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปเตรียมอ่านมิดเทอมพร้อมทั้งรับปากว่าจะทำโน้ตย่อเผื่อแผ่มาให้ผมที่เป็นตัวแทนไปทำงานรุ่นในครั้งนี้ และเพราะแยกกันมาสองคน ผมถึงได้มีโอกาสอัปเดตเรื่องราวที่เกิดขึ้นของดาวตกกับ ‘สิ่งนั้น’

หลายครั้ง หลายเรื่อง ประหลาดเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่ผมไม่คิดแบบนั้น จริง ๆ แล้วชีวิตมนุษย์เราประหลาดเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแล้วเรื่องที่ดาวตกเล่าให้ผมฟัง ผมคิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ ส่วนทำไมถึงเกิดขึ้นกับเขา เวลาคงจะพอช่วยตอบคำถามนี้ได้

ดาวตกกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและกำลังใจจากผม หน้าที่ของเพื่อนคือการยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อน ผมไม่รู้ว่าทำไมดาวตกถึงกล้าที่จะเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้ผมมากกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง แต่ถ้าจะให้เดา คงเพราะดาวตกคิดว่าผมน่าจะเป็นคนที่ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับอนุญาตล่ะมั้ง?

ตกเย็น ผมแต่งตัวตามชุดที่เพื่อนสนิทให้ยืมมา วันนี้ใส่เป็นชุดสูทนอก เสื้อคอปกสีขาวด้านใน กางเกงสแล็คสีน้ำเงินเข้ม พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้สีมันตัดกับสีผิวผมมากเกินไป เซทผมเล็กน้อย ตอนนี้ก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะไปงานในวันนี้ ยังไงซะผมกับพี่เขาก็เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ ในงาน แค่เดินตามอาจารย์เฉย ๆ สบายมาก

พี่โต้งขับรถมารับผมที่หน้าหอพร้อมอาจารย์อีกท่านที่เป็นตัวแทนคณะเรา ตามมารยาทแล้วผมเลยขึ้นไปนั่งตีคู่ด้านหน้าคู่กับพี่โต้งแทน และเปลี่ยนให้อาจารย์ท่านไปนั่งหลัง ผมจะได้รู้สึกสบายใจหน่อย ที่ไม่ใช่ตัวเองนั่งหลังคนเดียว อ.เปรมบอกกับพวกผมว่า วันนี้จะมีหลายบริษัทที่เป็นทั้งพันธมิตรทางการค้าและคู่แข่งมาเข้าร่วมในงานเดียวกัน หน้าที่ของเราสองคน คือการใช้จังหวะที่อาจารย์เปิดให้นำเสนอโครงการเพื่อหาทุนสนับสนุนงบประมาณ ไม่ว่าจะได้เพิ่มเติมหรือไม่ก็ตามแต่ นี่ก็ถือเป็นอีกโอกาสที่ดี ที่จะใช้ประชาสัมพันธ์โครงการที่เกิดขึ้นไปในตัว

หลังผ่านสภาพจราจรในเย็นวันอาทิตย์ได้ พวกเราทั้งสามคนมาถึงที่โรงแรมที่จัดงานประมาณเกือบทุ่มกว่า ๆ พี่โต้งจอดส่งอาจารย์เปรมที่หน้าทางขึ้น ก่อนผมกับพี่มันจะขับรถวนไปจอดอีกที่ แล้วเดินตามเข้าไปในงาน

ภายในงานเป็นบรรยากาศกึ่ง ๆ ปาร์ตี้ หลายคนมีเครื่องมือในมือพร้อมทั้งกิน ดื่ม และพูดคุยในบรรยากาศสบาย ๆ ผมกับพี่โต้งในตอนนี้มีหน้าที่เป็นเด็กแบกแฟ้มโครงการและเป็นแบล็คกราวน์เวลามีคนเข้ามาทักทายอาจารย์ของพวกเรา ยิ้ม ยกมือไหว้สวัสดีตอนที่มีโอกาส แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ลองเสนอโครงการของพวกเราดู

ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เสียงฮือฮาที่ด้านหลังของผมก็ดังขึ้นมา ที่แท้หนึ่งในคนที่ทำให้ผมอยากมางานก็มาถึง

คุณเอกก้าวเท้าเข้ามาในงานพร้อมรัศมีคนดังที่แท้จริง วันนั้นว่าหล่อแล้วนะ พอมาวันนี้แกใส่ชุดเต็มยศมาด้วย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูดีเป็นบ้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ชายของผมถึงมีแนวโน้มว่าจะชอบได้ง่าย ๆ ทั้งหล่อ รวย มีสมองในการทำงานครบองค์ประชุมขนาดนี้ ติดแค่เรื่อง ‘ข่าวลือ’ แปลก ๆ ช่วงแรก ๆ ที่พี่แกรับตำแหน่งมาก็เท่านั้น ถ้าไม่มีเรื่องนั้นทุกอย่างคงจัดอยู่ในหมวดหมู่เพอร์เฟคแมน ผู้ชายที่ห้ามพลาดเลยแหละครับ

“ไงเรา” พี่มันนี่ที่แยกตัวออกมาทางเข้าเดินมาถึงผม พอหันไปเห็นว่าอาจารย์ยังติดคุยอยู่กับแขกอีกท่าน ผมเลยถอยหลังออกมาแล้วยกมือสวัสดีพี่มันนี่

“สวัสดีครับพี่ วันนี้ก็ดูดีเหมือนเดิมนะ” ผมแซว แกยิ้มให้ก่อนจะชี้มาที่ปกเสื้อผม

“พี่ว่าจัดแบบนี้ดีกว่า...ดาวตกให้ยืมชุดมาใช่ไหม?” พี่มันนี่จัดปกเสื้อให้ผมพร้อมถาม ผมเกาหัวยิ้มเขิน ๆ แล้วพยักหน้า ชุดราคาแพงขนาดนี้ ตัวผมในตอนนี้คงหาซื้อเองไม่ได้หรอก

“เราเป็นไงบ้าง สบายดีนะ?” พี่เขาถาม ผมยิ้มแล้วบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลาย ๆ เรื่องให้ฟัง ถ้าจะมีใครสักคนที่ผมไว้วางใจว่าจะไม่ทำร้ายผม นอกจากเพื่อน ๆ ในโต๊ะวันนี้ ก็พี่ชายต่างสายเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ พี่มันนี่รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผม โช หยก และคนอื่น ๆ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลและการตัดสินใจของผม

“เจ้าเด็กน้อย” พอฟังจบเขาก็พูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะเอามือขยี้หัวผมเล็ก ๆ เป็นการแก้อาการหมั่นเขี้ยว

“หลาย ๆ เรื่องเราไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากไปกว่านั้น อย่าเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่าเสียใจกับสิ่งที่เราไม่ได้เลือก ถ้าปัจจุบันเรามีความสุขแล้วทุกอย่างคือจบ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากกว่าการตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเองเลย” พี่มันนี่ว่า ผมพยักหน้ารับคำ

“แล้วว่าแต่ว่าเจ้าแช..โชน่ะ ไม่ได้มากับเราเหรอ?” พี่มันนี่ถาม พร้อมทั้งมองไปรอบ ๆ ตัว ผมทำหน้างง ๆ พร้อมกับมองหน้ากลับไป พอเขาเห็นสีหน้าผม พี่มันนี่ก็เอามือเกาต้นคอและจิ๊ปากสบถเบา ๆ เป็นคำที่ผมไม่ได้ยิน

“วันนั้นพี่ยังไม่มีโอกาส และพี่ก็คิดว่ามันอาจจะละลาบละล้วงเรื่องของเรากับเขา เพราะพี่ไม่รู้สถานะของคนทั้งสองคน แต่จริง ๆ แล้วโชน่ะ...”

“คุยอะไรกันอยู่ครับ?” คุณเอกทัก พร้อมเดินมายืนข้าง ๆ พี่มันนี่

“คุณเอก สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็ยกมือรับอย่างผู้ใหญ่ใจดี

“โครงการที่เราอัปเดตรายละเอียดอันใหม่มาให้พี่ อ่านแล้วมีหลายจุดที่ถูกใจ แต่อีกหลาย ๆ  จุดพี่ก็ยังไม่เคลียร์เท่าไหร่นะครับ ตอนนี้พี่มีเวลาว่างให้เราประมาณ 15 นาที พร้อม พรีเซนต์ไหมเด็กน้อย?” พี่เอกว่าพร้อมยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา ผมอ้าปากเล็กน้อย บทจะเข้าถึงตัวก็ง่ายซะเหมือนฟ้าเต็มใจเลย

“ได้ครับพี่ ผมพร้อมครับ” ผมว่าพร้อมหันหลังกลับไปขอยืมแฟ้มมาจากพี่โต้ง พี่โต้งเข้าใจสถานการณ์ในพริบตา รีบส่งแฟ้มโครงการให้ผม พร้อมทั้งอธิบายให้อาจารย์ที่หันมามองเราสองคนพอดี พอส่งแฟ้มเสร็จอีกฝ่ายก็ยกนิ้วโป้งให้กับผม เป็นการส่งไม้ต่อให้เข้าไปนำเสนอแผนงานให้เต็มที่

“งั้นไปคุยกันตรงโต๊ะตรงนั้นเนาะ? มันนี่จะไปกับผมด้วยไหม?” พี่เอกหันไปถามพี่มันนี่ที่ทำสีหน้าไม่ถูก สุดท้ายพี่มันถอนหายใจเล็ก ๆ ยกมือขึ้นบอกปัด

“ช่างเถอะ ใครผูกก็ให้คนนั้นแก้ละกัน ผมไปหาอะไรกินก่อนแล้วกันนะครับ” พี่มันว่าง่าย ๆ ก่อนจะถอยหลังออกจากวงสนทนา ผมกับพี่เอกเดินไปหยุดตรงโต๊ะตัวยาวอีกตัว

“เอาล่ะ ไหนเรามีอะไรจะขายพี่ ขอเป็นในส่วนที่พี่ให้ไปทำการบ้านมาแล้วกันนะครับ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ พี่ยังจำให้ได้อยู่ แล้วก็ ยังไงมันนี่ก็ยังเป็น ‘คนของพี่’ ต่อให้เขาจะพูดเชียร์แต่ถ้าไม่ดีจริงพี่ก็คงไม่ร่วมลงทุนด้วยนะ” พี่เอกว่า ผมกลืนน้ำลายนิดหน่อย มาถึงก็ใส่ผมไปหนึ่งดอกเลยเหรอ ตาคนนี้นี่

“เริ่มจากตรงส่วนนี้ก่อนนะครับ ผมกลับไปพิจารณาแล้ว โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่เกินกว่าหนึ่งไตรมาสหรือหนึ่งเทอมจะทำสำเร็จครับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่สามารถเริ่มต้นได้ และนอกจากมหาวิทยาลัยของพวกผมแล้ว จะมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่สนใจและเตรียมที่จะเข้าร่วมการโคฯงานกับพวกผม ในส่วนตรงนี้ยังเป็นเรื่องของขั้นตอนการพิจารณาและการดำเนินเรื่องครับ” ผมอธิบายอย่างคล่องแคล่วพร้อมค่อย ๆ เปิดแฟ้มผลงานให้พี่มันดูไปด้วย

สิ่งหนึ่งที่พี่มันนี่สอนให้ผมสังเกตผู้คนเสมอ ๆ คือดวงตาของอีกฝ่าย ‘ร่างกายคนเรามันไม่เคยโกหก’ พี่มันนี่บอกกับผมไว้แบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นลักษณ์การเคลื่อนไหวดวงตา การจ้องมองอีกฝ่าย หรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการเคาะนิ้วกับโต๊ะหรืออื่น ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสัญลักษณ์การแฝงความหมายต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

คุณเอกเป็นผู้ชายที่ตาสวยและมีพลังมาก ๆ คนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน ถ้าเป็นคนที่คุมสติไม่อยู่อาจจะเผลอพูดจานอกเรื่องราวไปบ้าง ผมเองก็เกือบ ๆ ดีที่ว่าในใจผมมีใครอีกคนอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องหาใครเพิ่มเติมอีก พอพรีเซนท์เสร็จพี่มันก็ปรบมือให้ผมเบา ๆ

“ตั้งใจทำการบ้านมาเตรียมรูดทรัพย์พี่เต็มที่เลยนะเราน่ะ” คุณเอกว่า ผมหัวเราะแล้วเกาหัวเบา ๆ แก้เขิน ก็ตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ น่ะสิครับ

“เรื่องตัวโครงการ พี่ว่าค่อนข้างโอเค เราตอบคำถามที่พี่สงสัยหลายข้อได้ดี ส่วนข้อที่ยังตอบได้ไม่ชัดเจนก็ไว้เก็บเป็นการบ้านคราวหน้าไป ทำอย่างที่ทำวันนี้แหละ อะไรที่เรายังตอบไม่ได้ก็อย่าพยายามไปชูประเด็น ทุกครั้งเวลาทำอะไรเราไม่มีทางพร้อม 100 เปอร์เซ็นหรอก มันต้องมีบางส่วนที่เรายังไม่พร้อม ไม่มีคำตอบ หรือยังไม่แน่ใจในอะไรทั้งนั้น..” พี่เอกว่าช้า ๆ มองหน้าผม ถึงตรงนี้แหละที่ทำให้ผมมั่นใจว่าพี่มันมองผมด้วยแววตาเดียวกับพี่มันนี่ตอนเวลาสอนอะไรสักอย่างให้ผมฟัง

“ความไม่พร้อมอาจจะทำให้เราแสดงออกได้ไม่ชัดเจนไปบ้าง หรือแสดงออกแล้วคลาดเคลื่อน ปิดบัง หรืออาจจะอธิบายไม่ครบ แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ให้มองภาพรวมเป็นหลักนะครับ...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” พี่มันพูดสำทับ พอเห็นผมทำหน้างงแกก็เลยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

“จะว่าไปแล้ว พี่ถามหน่อยได้ไหม”

“ครับ?”

“ทำไมถึงอยากทำโครงการนี้ให้สำเร็จขนาดนั้น หมายถึง นอกจากได้เก็บเป็นแฟ้มพอร์ตผลงานแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่กระทบกับชีวิตของเราถึงขนาดอยากมอบให้กับคนอื่นขนาดนั้น” คุณเอกถาม ผมยิ้ม พยักหน้ารับคำถาม เป็นคำถามที่ผมมักจะโดนถามบ่อย ๆ หลังอีกฝ่ายสังเกตให้เห็นว่าผมจริงจังกับโครงการนี้มากแค่ไหน

“ไม่รู้สิ คำตอบของผมมันอาจจะโลกสวยไปหน่อยก็ได้...”

“ครับ”

“ผมก็แค่ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องเกิดมาเจอเรื่องแบบผมแค่นั้นเอง”

“เราหมายถึง...”

“อ๊ะ คุณเอกสวัสดีค่ะ” ในตอนที่คุณเอกจะพูดต่อก็มีเสียงเล็ก ๆ ใส ๆ เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ผมหันไปมองตามเสียงเรียกพี่เอกแล้วก็พบบุคคลอีกคนที่กำลังทำหน้าตกใจไม่แพ้กันไปกับผม

“คุณเอกคะ นี่คุณแชมป์ อิทธิพงศ์ รองประธานบริษัทสยามพัฒน์ ที่กำลังมีโครงการจะนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากญี่ปุ่น...”

หูของผมอื้อจนจับใจความท้ายประโยคนั้นไม่ได้ ใบหน้าที่เห็นกันอยู่ตรงนั้นคุ้นเคยจนผมไม่สามารถปฏิเสธว่าเป็นแค่คนหน้าคล้ายหรือใครคนอื่นไปได้

ผู้ชายตรงหน้าผมก็คือ อิทสึกิ ... ‘โช’

 

...........................

 

“ทีเร็กซ์ เดี๋ยว !! ฟังพี่ก่อน” เสียงผู้ชายคนนั้นตะโกนไล่ตามหลังผมมา

หลังผมได้สติชั่วครู่ ผมยกมือไหว้คุณเอกและขอตัวจากวงสนทนา พร้อมทั้งไม่ลืมรักษามารยาทด้วยการเดินไปบอกพี่โต้งและสวัสดีขอลาอาจารย์กลับที่พักไวกว่าที่คิด ผมรู้จักตัวเองดีมากพอ และผมรู้ว่าตอนนี้สติของผมเหลือไม่มากพอจะเสนอโครงการอะไรอีกแล้ว

“พี่ขอร้อง ฟังพี่ก่อนได้ไหม...” เขาตะโกนไล่ตามหลัง ตอนนี้ผมเดินมาถึงแถว ๆ  ลานกว้างเกือบจะถึงถนนใหญ่แล้ว ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้าเขา

“คุณแชมป์มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?” ผมหันไปถาม พยายามเป็นอย่างมากที่จะบังคับไม่ให้น้ำเสียงแสดงออกถึงความเสียใจที่รู้สึกไปหมดทั้งข้างใน

“พี่อธิบายได้” เขาว่า ยืนหอบที่วิ่งตามผมมาแต่ไกล

“....”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเรา พี่แค่...ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เล่าให้เราฟัง”

“ครับ...ไม่มีโอกาส เราคุยโทรศัพท์กันทุกวัน เราเจอหน้ากันแทบจะทุกอาทิตย์ ตลอดเกือบสองสามเดือนที่ผ่านมา นั่นไม่ทำให้พี่ไม่มีโอกาสได้บอกอะไรกับผมใช่ไหม...” ผมว่า เผลอหลุดเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ไปอีกแล้ว

“ที..พี่ขอโทษ อย่าเพิ่งร้องไห้ ฟังพี่ก่อนจะได้ไหม” เขาว่ามาแบบนั้น ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังร้องไห้ตอนไหน

“พี่รู้ไหม ตอนนี้เราไม่แน่ใจอะไรอีกแล้ว...”

“....”

“ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ใช่คนเดียวกับที่นอนกอดเราทุกคืนวันเสาร์อาทิตย์ไหม?”

“....”

“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา แม่งเป็นเรื่องจริงไหมวะ? หรือสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมอีกแล้วใช่ไหมที่เสียใจกับการเปิดใจให้ใครสักคนแล้วมันก็พังลงแบบนี้ พี่โกหกผมทำไมวะ พี่ทำไปเพื่ออะไรอ่ะ มันมีเหตุผลอะไรถึงต้องโกหกกันมากขนาดนี้” ผมระบายออกไปผ่านน้ำเสียง น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

สุดท้ายแล้วเขาก็หลอกผม เหมือนกับที่ใครหลายคนผ่านเข้ามาและเดินจากไป

...ไม่มีใครอยากจะเป็นครอบครัวกับเด็กแบบผมจริง ๆ

“พี่ขอโทษ พี่ยอมรับเอง พี่ผิดเองที่ไม่บอกเรา แต่พี่พยายามหาโอกาส แล้วพี่ก็รอเวลาที่จะบอก...”

“ตอนไหนล่ะพี่ เราต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ ถ้าวันนี้เราไม่ได้บังเอิญเจอกันที่นี่ เราจะต้องถูกหลอกไปอีกนานเท่าไหร่ พี่คิดว่าเราโง่มากใช่ไหม หรือพี่คิดว่าเราเป็นอะไร ทำไมพี่ถึงไม่บอกตรง ๆ แบบนั้นตั้งแต่แรก พี่กลัวอะไรเหรอ กลัวว่าประวัติเราจะทำให้รองประธานบริษัทแบบพี่เสียภาพลักษณ์ลงไปใช่ไหม หรือจริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้กลัวอะไรเลยนอกจากความจริง พี่ตอบเรามาสิ!!!” น้ำเสียงของผมแทบจะเปลี่ยนเป็นตะคอกด้วยซ้ำ

หัวใจข้างซ้ายของผมสูบฉีดเลือดออกมาไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อทุกส่วนแทบจะเกร็งไปทั้งตัว ผมปล่อยโฮออกมาพร้อม ๆ กับทุกความคิดในหัวที่ประดังขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาก็เหมือนคนอื่น ๆ เขาคือคนที่ไม่สามารถยอมรับอะไรในตัวผมได้ เขาถึงเป็นแค่โช เป็นแค่โชที่บอกกับผม

“พี่เลือกไม่ได้”

“พี่เลือกอะไรไม่ได้ พี่เลือกไม่ได้หรือพี่ไม่เลือก!!!”

“พี่เลือกไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยเลือกอะไรได้เองเลยสักครั้ง เพราะคำว่าลูก เพราะครอบครัว เพราะสายเลือด ทุกอย่างไม่เคยอยู่ในการคอนโทรลของพี่ การเรียน หน้าที่การงาน เพื่อนฝูง พี่ไม่เคยเลือกอะไรสักอย่างได้ เพราะพี่คือสมบัติของพวกเขา ทุกอย่างมันถูกเตรียมมาแบบนั้นหมดแล้ว พี่...พี่” เขาพยายามอธิบาย เสียงสั่นคลอนไม่แพ้ผม

“พี่ไม่ใช่เลือกไม่ได้ พี่แค่ไม่เลือก!!! พี่แค่เลือกว่าจะเป็นพี่ที่ยืนตรงหน้าผม”

“ใช่ ที่ผ่านมาพี่อาจจะเลือกไม่ได้ หรือพี่อาจจะไม่เลือกก็ได้ แต่ไม่ใช่กับเรา เพราะพี่เลือกเราแล้วต่างหาก พี่ถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะพี่อยากอธิบายให้เข้าใจ”

“ใช่..พี่เลือกแล้ว”

“...”

“...พี่เลือกจะโกหกผมตั้งแต่ต้น”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไงวะ พี่ต้องทำยังไงเหรอ ต้องเดินเข้าไปบอกว่า ‘สวัสดี ผมแชมป์ รองประธานบริษัท’ บลาๆๆๆ เหรอทีเร็กซ์ ไม่สิ ไม่ใช่หรอก เราอาจจะไม่ได้ชื่อนี้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่โกหก เราต่างก็โกหกตั้งแต่เริ่มต้นกันแล้ว” เขาตะคอกคืนกลับมา ผมยิ่งสะอื้นไม่หยุด ตั้งแต่รู้จักกัน ผมไม่เคยโดนเขาตะคอกใส่แบบนี้ด้วยซ้ำ

“ใช่ เราต่างโกหกปิดบังกันมาตั้งแต่ต้น แต่หลังจากนั้นมาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของผมมันคือ 'เรื่องจริง'” ผมว่า เม้มปากจนเจ็บไปหมด

“...”

“แต่ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่ผมรัก พี่คงไม่มีวันได้เห็นผมร้องไห้เพราะเสียใจมากขนาดนี้”

“ที พี่ขอโทษ พี่” เหมือนเขาจะรู้สึกตัวได้ว่าพูดอะไรกับผมออกมา อีกฝ่ายเริ่มร้องไห้ไม่ต่างจากผม

“...มันผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ”

“ที พี่ขอโทษจริง ๆ  ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหมครับ” เขาว่า พยายามพูดสุดเสียง ผมเม้มปากสนิทไว้แล้วพูดกลับไปเป็นคำสุดท้าย

อะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้ สิ่งนั้นล้วนมอบความทุกข์มากมายแสนสาหัสให้เราไม่ต่างกัน

“ผมว่า...เราหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ดีกว่า”

“ที เดี๋ยวก่อน!!!”

ผมได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้ายแบบนั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นรถแล้วบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับฟัง ผมขอโทษพี่คนขับที่อาจจะร้องไห้เสียงดังไปหน่อย โชคดีของผมที่พี่เขาเข้าใจ ไม่ว่าอะไร และเปิดเพลงเสียงดัง ๆ เพื่อให้กลบเสียงผมร้องไห้ตามคำขอร้องของผม

ถ้ารู้ว่ามันจะจบแบบนี้ตั้งแต่ต้น

...วันนั้นแล้วผมไม่น่ายอมให้พี่เข้ามาในหัวใจของผมเลย







TBC. ตอนนี้เปิดให้สั่งจองหนังสือแล้วนะครับ ปิดจองวันที่ 1 เมษายน 2562 ขอขอบคุณทุก ๆ การสนับสนุนครับ

รายละเอียดหนังสือและแบบฟอร์มสั่งของหนังสือ : >>> https://1th.me/ZBRt

ขอบคุณครับ


Time Talk : อีกสองตอนนะครับ มากอดกันให้แน่น ๆ นะครับสำหรับตอนถัดไปนั้นมันค่อนข้าง...โอ้ว

ขอบคุณครับ มาอยู่ด้วยกันก่อนนะครับ อีกไม่นานแล้วนะ ฮึ้บ ๆ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2019 00:57:12 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
«ตอบ #162 เมื่อ16-03-2019 22:59:27 »

น่าจะซื้อหวย.....

ฮึบ!

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
«ตอบ #163 เมื่อ16-03-2019 23:59:41 »

เศร้าเลย ในที่สุดเค้าก็เจอกัน
รอตอนต่อไปค่าา  :katai1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.33 Who are you? | P6 |16/03/62
«ตอบ #164 เมื่อ17-03-2019 02:08:46 »

 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
«ตอบ #165 เมื่อ18-03-2019 20:51:40 »

Ep.34 Goodbye



‘ทีเร็กซ์ เราอยู่ไหนครับ พี่โทรศัพท์หาไม่ติดเลย’

‘พี่ขอโทษที่พูดออกไปแบบนั้น พี่เห็นแก่ตัวเอง แต่ฟังพี่หน่อยได้ไหมครับ พี่...พี่ไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้’

‘สองวันแล้วนะครับ เพื่อน ๆ ทีก็ไม่เจอเรา พี่ขอร้อง แค่กลับมาก่อนได้ไหม พี่สัญญาจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเราเลย ขอแค่ติดต่อทุกคนกลับมาก่อน ขอแค่เรายังปลอดภัยก็พอ’

‘มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เราเกลียดพี่มากที่สุดในโลก แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ โทรศัพท์หรือส่งข้อความกลับมาหาพี่นะครับ พี่ขอโทษนะ แต่พี่จะรอให้เราให้โอกาสพี่จริงๆนะครับ’

‘สามวันแล้วนะครับที เราหายไปไหน กลับมาก่อนเถอะนะครับ...’

‘ไอ้เหี้ยที มึงหายไปไหน? เกิดอะไรขึ้นที่งาน ทำไมหายไปดื้อ ๆ แบบนี้อีกแล้ว ทุกคนเป็นห่วงมึงนะ รีบ ๆ กลับมาได้แล้วมึง’

‘ที แกหายไปไหนวะ? มีอะไรที่ฉันควรรู้หรือแกควรบอกฉันป่ะ? ไม่ตลกเลยนะเว้ย ได้สติแล้วโทรศัพท์กลับมาหาด้วย หรืออยู่ไหน แชร์โลเคชันมา จะไปรับ!!’

‘ทีเร็กซซซซซ์ ไอ้เจ้าไดโนเสาร์หนุ่ม แกไม่ได้แข็งแรงหรือตัวใหญ่ขนาดนั้น แกตัวเล็กมาก เล็กมากจนพวกฉันเป็นห่วง เมื่อวานไอ้พลอยมันทะเลาะกับผัวด้วย กลับมาหาเพื่อนได้แล้ว เพื่อนคิดถึง’

‘เมื่อวานกูทะเลาะกับผัว คิดถึงมึงชิบหายเลย สามวันแล้วนะเว้ย กูควรไปแจ้งความได้รึยังวะ? ’

‘ถ้าไม่รู้จะไปไหน มาหาเราได้นะ ,ดาวตก’

.....

‘...พวกมึง กูขอโทษ กูขออยู่คนเดียวสักพัก แล้วกูจะกลับไปนะ’

ผมกดส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่ม ไม่ได้เข้าไปดูอีกแล้วว่ามีใครอ่านไหม แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะทำอะไรสักอย่าง ผมยังไม่พร้อมกลับไปเจอใคร ผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมควรรู้สึกยังไง เสียงโทรศัพท์แทบจะดังขึ้นมาตอนเดียวกันกับที่ผมกดเปิดเครื่อง ผมแหงนหน้าออกจากหมอน กดดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาหา

“ฮัลโหล..”

‘ไอ้ทีเร็กซ์ ไอ้หน้าหมา มึงอยู่ไหน อยู่กับใคร ปลอดภัยดีรึเปล่า ทำไมเพิ่งส่งข้อความตอบกลับมา ทำไมไม่บอกพวกกูตั้งแต่วันนั้น แล้วนี่ทำอะไรอยู่ กินข้าวกินปลารึยัง เจ็บป่วยตรงไหนรึเปล่า’

“...”

‘อ้าว เงียบอีก’

‘..กูว่ามันเงียบเพราะมันนึกไม่ทันรึเปล่าว่าจะตอบคำถามไหนดีก่อน?’ อีกเสียงหนึ่งที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นไอ้ส้มพูดขึ้นมา

‘เออว่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ พร้อมให้พวกกูไปหักคอมึงรึยัง ข้อหาทำพวกกูประสาทเสียเนี่ย’ ไอ้มาร์ก็ยังคงพูดรัวต่อไม่ต่างจากตอนแรก ผมส่ายหน้าฝืนยิ้มเบา ๆ แล้วตอบกลับไป

“กูอยู่แถวนี้แหละ ไม่ไกลมากหรอก ปลอดภัยดี ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง แค่ร้องไห้จนหลับไป แล้วตื่นมาใหม่ ... ที่ไม่ได้ตอบข้อความไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่กูไม่มีตัวชาร์จแบต กูขอโทษนะ” ผมว่า ตอบพวกมันกลับไป

‘มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว และจะกลับมาหาพวกกูตอนไหน?’ อีกเสียงแทรกขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิดก็เสียงไอ้พลอย

“กูขอเวลาสักพัก ดีขึ้นเยอะแล้ว” ผมตอบกลับ เสียงมันถอนหายใจโล่งอกนิดหน่อย

‘มึง จริง ๆ เราก็เพิ่งรู้จักกันมาแค่ปีสองปี...’ ไอ้ทิพย์ว่า เว้นเสียงแล้วพูดต่อ

‘แต่นอกจากจะเป็นเพื่อนกันแล้ว ‘พวกกูทุกคน’ เห็นมึงเป็น ‘คนในครอบครัว’ นะ ... ขาดมึงไป ใครจะคอยห้ามไม่ให้ไอ้ส้มไอ้มาร์ตีกัน ไอ้พลอยก็ไม่มีคนให้คำปรึกษา กูก็ขาดคนแบ่งบุหรี่ไฟฟ้า ดาวตกเองก็มีหลายเรื่องอยากเล่าให้มึงฟัง กูเข้าใจเวลาที่อยากอยู่คนเดียว มึงอยู่คนเดียวได้ แต่มึงไม่ได้อยู่ ‘ตามลำพัง’ ...มึงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม? ’

‘กูเข้าใจที่มึงพูด แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมบทสวย ๆ ถึงไปอยู่กับมึงวะทิพย์ เป็นแค่ตัวประกอบแท้ ๆ ’ ไอ้มาร์ว่า

‘เอ๊ะ อีพวกนี้นี่ ก็พวกมึงมัวแต่พูดไร้สาระ เพื่อนมันจะรู้ไหมว่าเราคิดกันยังไง’ ไอ้ทิพย์จิ๊ปากโต้กลับ

‘ไม่ต้องสาระหรือไร้สาระก็ได้ กูเชื่อว่ากูดูคนไม่ผิด ทีเร็กซ์มันคงไม่โง่มากพอจะไม่เข้าใจหรอกว่ามีคนที่รักมันมากแค่ไหน แล้วก็คงไม่คิดโง่ ๆ  ด้วยว่าไม่มีใครต้องการมัน’ ฉึก เหมือนมีลูกธนูสักดอกพุ่งมาเสียบกลางใจผม ไอ้สัสมาร์!!!

‘เออ นั่นแหละ กูไม่ชอบอ้อมค้อม พวกมึงสำคัญกับกู ไม่มีมึงแล้วใครจะซื้อผ้าอนามัยให้กูในวันที่ไอ้พวกเหี้ยนี่ทิ้งกูแล้วไปดูหนังกัน’ ไอ้ทิพย์พูดต่อ

‘สรุปแล้วมึงยังแค้นพวกกูเรื่องนี้สินะ หน็อยแน่ นางอสรพิษ ที่แท้หาโอกาสปล่อยพิษอยู่สินะ’ ไอ้มาร์ไม่วายโต้กลับ

‘ทั้งสองคนใจเย็น ๆ ก่อนนะ ทีเร็กซ์ ถ้าโอเคแล้วก็รีบ ๆ กลับมานะ’ เสียงดาวตกดังขึ้นมาบ้าง ผมตอบกลับไปบางเบาว่าอืม ไม่รู้เหมือนกันว่าปัญหาส่วนตัวของเขาไปถึงไหนแล้ว ไหนจะชุดที่ผมยังไม่ได้คืนอีก

‘แล้วก็...กูไม่รู้ว่ามึงอยากรู้เรื่องนี้ไหมนะ’

“...”

‘คุณแชมป์ ...หมายถึงพี่โชของมึงน่ะ เขามาหามึงถึงที่คณะทั้งสามวันเลยนะ เขาก็ดูไม่ค่อยได้หลับได้นอนอ่ะมึง เห็นว่าต้องให้พี่อีกคนขับรถมารับมาส่ง ก็มาหาพวกกู ถามเรื่องมึง แล้วก็ฝากบอกมึงว่าให้สบายใจได้ ถ้ามึงจะกลับไป เขาจะยังไม่มาจนกว่ามึงจะขอให้มา เขาไม่อยากทำให้มึงไม่สบายใจ’

ส้มส้มว่า ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มันจะรู้จัก เพราะในแวดวงอุตสาหกรรมครัวเรือนของไอ้ส้ม ก็เป็นอีกเจ้าที่ทำเกี่ยวกับพวกเรื่องรถยนต์นำเข้าส่งออก ผมถอนหายใจแล้วตอบกลับพวกมันไปทุกคน

“กูขอ...อย่าเพิ่งบอกนะว่าติดต่อกูได้แล้ว กูขออยู่คนเดียวเงียบ ๆ สักแปปหนึ่ง ขอให้ใจกูได้พักผ่อนและปล่อยวางก่อน ส่วนหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ไว้ให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปนะ” ผมบอกกึ่งขอร้องพวกมันกลาย ๆ

‘พวกกูก็เอาที่มึงสะดวกใจทั้งนั้นแหละ ยังไงก็รอมึงอยู่ดีนะ รีบ ๆ กลับมาล่ะ ไอ้ลูกหมา’ ไอ้มาร์ว่า

‘การบ้านทนงศักดิ์ยากชิบหาย รีบ ๆ มา’ ไอ้ส้มพูดต่อ

‘กูไม่สามารถรับมือแฟนกูได้โดยปราศจากคำแนะนำจากมึงนะไอ้แว่นทั้งสอง’ ไอ้พลอยพูดบ้าง

‘กูรักมึงนะ’ ไอ้ทิพย์กล่าวสั้น ๆ

‘รีบกลับมานะ’ ดาวตกยังพูดอะไรเล็กน้อยเช่นเคย

“...กูก็รักพวกมึงทุกคน ขอโทษที่บางเวลากูก็เอาใจตัวเองชิบหายเลยเหมือนกันนะ” ผมว่า ไอ้ยินเสียงไอ้มาร์เหมือนประชดกลับว่า ‘ก็รู้ตัวนี่หว่า’ ผมอมยิ้มกับน้ำเสียงของทุกคนก่อนจะตอบกลับพวกมันกลับไปอีกครั้ง

“งั้นกูวางสายก่อนนะ” ผมบอก

‘เออ ๆ หาไรกินด้วยล่ะ พวกกูไปละ’ แล้วพวกมันก็วางสายไป

 “เพื่อนเราน่ารักดีนะ” เจ้าของห้องกล่าวเสียงยิ้ม ๆ ก่อนจะมาทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ ผม

“พี่กรก็พูดเป็นเล่นไป พวกมันเนี่ยนะน่ารัก... อ๋อ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ไปซื้อตัวชาร์จมาให้ เดี๋ยวผมโอนเงินให้นะครับพี่” ผมบอก พี่กรส่ายหน้าแล้วพูดต่อ

“พี่ยกให้ ของขวัญครบรอบสองเดือนที่เราได้เจอกัน ไม่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เรามานอนห้องพี่อีก” เขายิ้มแหย่ ผมส่ายหน้ากับความขี้เล่นของเขา

“แต่ถ้าแฟนพี่จะมาหาก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมกลับห้องให้ครับพี่” ผมว่า สายตาจริงจังว่าไม่อยากรบกวนเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่

สามวันก่อนนั้น หลังจากเกิดเหตุผมก็โบกรถแท็กซี่คันหนึ่งให้มาส่งที่แถวมหาวิทยาลัย จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ พี่กรโทรศัพท์มาหาผมพอดี แล้วก็เป็นพี่มันที่ให้ผมยืมห้องนอนตลอดสามวันที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นธุระออกไปซื้อตัวชาร์จโทรศัพท์ให้กับผม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือกันมากขนาดนี้ก็ได้

“ไม่ต้องห่วง พี่เขาไปต่างประเทศหลายวัน” พี่มันหัวเราะคิกคัก ผมอมยิ้มกับความขี้เล่นนี้แล้วพูดตอบกลับ

“ยังกับผมมาแอบเป็นชู้ชาวบ้านเลยแฮะ” ผมว่าเขิน ๆ พี่มันส่ายหน้ารัว ๆ

“จะเป็นชู้พี่ได้ยังไง เรามีอะไรกันครั้งล่าสุดก่อนพี่มีแฟนนี่” พี่กรว่า

ใช่ครับ สามวันที่ผ่านมานี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลยกับพี่มัน วันแรกมาถึงผมก็นอนพะงาบ ๆ ติดเตียง ร้องไห้ไม่มีเสียงกับตัวเอง ดีว่าอยากได้กินของร้อนง่าย ๆ ทำนองพวกโจ๊กสำเร็จรูป ข้าวต้มต่าง ๆ ถึงได้ดีมากขึ้นมาหน่อย พอเริ่มมีสติผมก็อยากจะติดต่อกับทุกคนแต่ก็พบว่าโทรศัพท์แบตเตอรี่หมด ไอ้จะกลับไปหอผมก็ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ พี่มันเลยออกไปเป็นธุระให้กับผม

“แล้วเป็นไงมั้งพี่ มีความสุขดีใช่ไหมพี่ครับ กับพี่เขาน่ะ?” ผมถาม พี่กรพยักหน้ารับแล้วยิ้มออกมา

“ก็ดีมาก ๆ เลยแหละ หลาย ๆ เรื่องเลย ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตก็คล้าย ๆ กัน หน้าที่การงานก็มั่นคงดูมีอนาคตดี แล้วก็ ....เรื่อง sex ก็เด็ดไม่แพ้น้องพี่คนนี้เลย” พี่เขาว่า ท้ายประโยคแอบหัวเราะคิกคักมองหน้าผม

“จริงเหรอ? มีคนเด็ดแบบผมด้วยเหรอ” ผมว่า แกล้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น

“พูดเป็นเล่นไป เขาใหญ่กว่าเธอนะ” พี่กรพูดต่อ

“จริงจังเหรอพี่?...โอ๊ย เขกหัวผมทำไม” ผมหันไปถามจริงจังก่อนจะโดนพี่กรเขกมะเหงกใส่เบาๆ  หนึ่งครั้ง

“โอ๊ย ไอ้เสือ ทีเรื่องนี้แหละจริงจังไม่ยอมแพ้เลยนะ...แต่ก็ใกล้ ๆ กันจริง ๆ นั่นแหละ อาจจะยาวกว่าหน่อยมั้ง? ของเธอมันไม่ค่อยยาวนี่” ปากว่าผมจริงจังกับเรื่องแบบนี้ แต่ตัวเองก็ยังพูดบรรยายอวดออกมาอยู่ดี ผมเบะปากมองบนใส่จนโดนพี่มันหยิกเอวเข้าให้อีกรอบ

“พี่อ่ะ รังแกคนอ่อนแอ” ผมว่า แกล้งทำหน้าตาน่าสงสาร พี่กรส่ายหน้าเบา ๆ

“มีอะไรกันมาจะกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว สีหน้า ท่าทาง การแสดงออกเราเป็นแบบไหน พี่ดูออกหมดนั่นแหละ” เขาบอกแบบนั้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ผมพลิกตัวหันไปเอาหน้าจ่อใกล้ ๆ

“มีแฟนแล้วแบบนี้ ผมก็มีอะไรกับพี่หรือมาห้องนี้แล้วไม่ได้แล้วสิ?” ผมตั้งคำถามพร้อมทำหน้าอ้อนที่สุดเท่าที่สภาพใบหน้าของผมจะเอื้ออำนวย พี่กรหัวเราะเบาๆ  ถอยหน้าออกไปแล้วขยี้หัวผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ที่จะมีอะไรกันไม่ได้แล้ว เพราะเราจะไม่ยอมมีอะไรกับพี่ต่างหาก”

“....”

“...เพราะพี่มั่นใจว่าเราเป็นคนแบบนี้ พี่ถึงกล้าให้เรามานอนที่ห้อง พี่ถึงกล้านอนข้าง ๆ เรา เพราะในสายตาเราพี่เป็นแค่พี่คนหนึ่ง และพี่จะไม่มีวันเป็นไปได้มากกว่านั้นในใจของเรา เป็นได้แค่คู่นอนคนหนึ่งเท่านั้นเอง” พี่กรว่า เงยหน้ามองเพดาน

“ทำไมพี่กรคิดแบบนั้นละครับ?” ผมถามต่อ

“เพราะเราไม่เคยมองเห็นพี่ในภาพอนาคตของเรายังไงล่ะ” พี่กรตอบคำถามของผม แต่ดันสร้างคำถามใหม่แทน

“ผมไม่เข้าใจ” ผมครางออกมาเสียงต่ำ พลิกตัวไปนอนคว่ำแทน

“งั้นพี่ถามหน่อย ทำไมที่ผ่านมาตลอดเวลา เราถึงไม่เคยอยากขอพี่เป็นแฟนล่ะ?” พี่กรถาม ผมทำหน้าตาโต ๆ ใส่แล้วบอกกับพี่มันกลับไป

“บ้าเหรอพี่ ผมไม่กล้าคาดหวังอะไรแบบนี้หรอก ก็พี่...”

“พี่ทำไม?”

“...ก็พี่ไม่น่าจะชอบผมไง” ผมว่าเสียงเบา

“แล้วถามพี่รึยัง” พี่กรตามต่อ

“พี่ ถ้าเอาจริงจังเลยนะ ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นกับใครเลย กับใครสักคนจริง ๆ ...หมายถึงผมในตอนนี้นะไม่ใช่เมื่อก่อน ผม.. ไม่รู้สิ ผมคิดว่าผมอาจจะเป็นคู่นอนที่ดี แต่ผมอาจจะไม่ใช่คนรักที่ดีของใครสักคน แล้วก็ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรที่จะทำให้ใครสักคนมาชอบผมได้ ผมเลยคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา...”

“พี่ชอบเรา”

“...”

“...หมายถึงก่อนหน้านี้ พี่ชอบเรา ชอบในความหมายว่าชอบจริง ๆ ไม่ใช่แค่เราหรอกนะที่ไม่ชอบให้ไลน์ใคร พี่เองก็เหมือนกัน หน้าที่การงาน ความรับผิดชอบ หน้าตาทางสังคม พี่คิดมาตลอดเลยนะ แต่ไม่รู้สิ เรามีบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้พี่อยากอยู่ด้วย จากที่คิดว่าเด็กคนนี้คงเป็นแค่คู่นอน แต่ใจพี่อยากให้เราไปไกลมากกว่านั้น” พี่กรพูดต่อ ตามองเพดานไม่ได้จับจ้องไปที่ใดที่หนึ่ง

“อ่า..”

“ในแววตาของเราปราศจากความรักให้กับใคร”

“...”

“มันเลยทำให้พี่ต้องถอยออกมา แล้วก็บอกกับตัวเองว่า นั่นแหละ พี่ไม่สามารถไปเป็นคนนั้นที่ยืนข้าง ๆ เราได้ พี่ไม่มีคุณสมบัติทำให้เรา ‘หลงรัก’ พี่ในรูปแบบนั้น เรามองพี่เป็นแค่พี่ เป็นแค่คนรู้จัก มากสุดก็แค่คู่นอน สายตาเรามันบอกกับพี่ว่าพี่ได้แค่นี้จริง ๆ ไม่สามารถไปกันได้ไกลมากกว่านี้” พี่กรพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วสอดแขนเข้ามากอดผม

“พอมาวันนี้พี่เลยดีใจ อย่างน้อยที่สุดพี่ก็เบาใจได้แล้วตอนที่เห็นเราร้องไห้” พี่กรพูด เว้นวรรคแล้วหอมที่หน้าผากของผม

“น้องพี่กำลังมีความรัก และใครสักคนเขาสามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงหนา ๆ มายืนข้างเราได้จริง ๆ ”

“พี่ดีใจเพราะเห็นผมร้องไห้เนี่ยนะ” ผมว่า ไม่เข้าใจที่พี่มันพูด

“พี่ดีใจที่เห็นใครสักคนมีผลต่อหัวใจเราได้แล้วต่างหาก น้ำตาพวกนั้นน่ะ มันไม่มีทางออกมาจากคนที่ไม่สำคัญในชีวิตเราหรอกนะ เราต่างร้องไห้เสียใจเพราะใครสักคนที่สำคัญมาก ๆ กับเราทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?” พี่กรว่า จ้องมองเข้ามาที่ตาทั้งสองข้างของผมที่กำลังปริ่ม ๆ ขึ้นมา

“ลองกลับกันนะ ถามว่าถ้าพี่บอกเราว่าพี่กำลังจะมีแฟนแล้ว เราจะมาที่นี่ไม่ได้แล้ว เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว กระทั่งอาจจะไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักกัน ถามว่าเราจะเสียใจไหม?” พี่กรถาม

“ต้องเสียใจสิครับ แต่อีกใจหนึ่งก็คงดีใจแหละที่พี่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน มีคนที่รักพี่” ผมตอบ

“นั่นแหละ คำตอบที่พี่ได้ยินจากความรู้สึกของเราตลอดเวลา คือความปรารถนาจากใจให้คนอื่นได้พบเจอกับความสุขในรูปแบบที่เขาควรจะได้รับ แต่ว่า...”

“ครับ?”

“ตัวเราเองล่ะครับ เราไม่เคยจะปรารถนาอยากให้ตัวเองได้มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันบ้างเหรอ..”

“...”

“ให้อภัยตัวเองบ้างนะครับ พี่อยากให้เราลองอนุญาตให้ตัวเราเองได้ ‘มีความสุข’ บ้างนะ”

น้ำตาผมไหลออกมาเป็นสายอีกครั้ง พี่กรกระชับกอดผมไว้หลวม ๆ พอให้ผมได้รับรู้ถึงสัมผัสความอบอุ่นจาก ‘พี่’ คนหนึ่งที่เขาจริงใจและอยากมอบมันให้กับผมจริง ๆ

“ตอนนี้พี่มีแฟนแล้ว พี่มีความสุขกับปัจจุบัน พี่มีความสุขกับการพยายามเดินตามหาอนาคต และพี่จะมีความสุขมาก ๆ ไปกว่านี้ ถ้าเห็นน้องพี่คนนี้เขามีความสุข ได้พบเจอกับคนที่รักเขาอย่างจริงใจ เหมือนที่พี่และคนอื่น ๆ มอบให้กับเราเสมอ ๆ นะครับ ลองให้อภัยในความผิดพลาดของตัวเองสักครั้ง ...ให้อภัยในความรัก”

“พี่บ้า..ผมร้องไห้อีกแล้วเนี่ย” ผมว่าพยายามเอาสองมือเช็ดน้ำตา พี่กรหัวเราะเบา ๆ แบบนั้น แต่ก็ยังกอดผมไว้หลวม ๆ ต่อไป

“นาน ๆ ทีจะได้แกล้งเราบ้าง ปกติแล้วมีแต่เราชอบแกล้งให้พี่เสียน้ำตา” พี่มันว่า

“ก็ถ้าไม่กดเอวเน้น ๆ แล้วมันจะถึงใจไหม!!!” ผมว่า

“พี่ยังไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักคำนะไอ้เสือ!!!” พี่กรตอบกลับเสียงสูงปรี๊ด

“มีอยู่เรื่องเดียวแหละที่ผมทำให้พี่เสียน้ำตาได้” ผมว่า เราสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเสียงใส ผมปวดหัวนิดหน่อยจากการเสียน้ำตามากเกินไป แต่หัวใจเริ่มฟื้นฟูขึ้นมานิดหนึ่งจากบรรยากาศความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นในห้องนี้

ผมเปลี่ยนอดีตไม่ได้

ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้วทั้งนั้น เราทำได้แค่ ‘ยอมรับ’ ‘เรียนรู้’ และ ‘ผ่านพ้น’ มันไป

ทำได้แค่ให้อภัยความโง่เขลาของเราในวันวาน

‘โฮ่ง’

“อ่ะ ชิกกี้ กระโดดขึ้นมาบนเตียงไม่ได้นะ” พี่กรหันไปเอ็ดกับเจ้าลูกปอม ๆ  ตัวน้อยที่ซื้อมาเลี้ยงในห้อง ผมอดหัวเราะไม่ได้ที่ได้ยินว่ามีคนตั้งชื่อหมาเป็นความหมายว่าไก่ เจ้าปอม ๆ ตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะวิ่งวนไปรอบ ๆ แล้วแทรกกลางระหว่างเราสองคนก่อนจะฟุบตัวลงมาอย่างรู้ความ

ผมหัวเราะให้กับความแสนรู้ของมัน ถอนหายใจ แล้วทิ้งตัวลงไปนอนสัมผัสความอบอุ่นจากทั้งอ้อมกอดของคนและสัตว์สี่เท้าตัวน้อยในห้อง อาจจะเพราะผมได้นอนน้อยเกินไป ตอนนี้ผมชักจะง่วงขึ้นมาเฉย ๆ ซะงั้น

โช...ไม่สิ ‘พี่แชมป์’

ผมควรทำยังไงกับความรู้สึกที่มีต่อคุณดีนะ?

 

................................

รุ่งขึ้นของเช้าหลังจากวันนั้น พี่กรขับรถไปส่งผมถึงหน้าหอพักนักศึกษา

“ขอบคุณนะครับพี่กร สำหรับทุก ๆ เรื่องเลย แล้วก็..โชคดีนะครับ” ผมว่า โบกมือให้กับพี่กร ตอนนี้ผมเป็นพี่น้องกับพี่เขาก็จริง แต่สำหรับคนที่มีแฟนแล้ว เราก็ไม่ควรไปยุ่งจุ้นจ้านโดยไม่จำเป็นใช่ไหมล่ะครับ? นั่นแหละ หลังจากนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ คงเป็นไปได้ยากที่เราจะเจอกันอีก

“พี่ก็ขอบคุณเราเองเหมือนกัน สำหรับทุกเรื่องเลย ไว้ว่าง ๆ เราไปกินข้าวกันตามประสาพี่น้องเนาะ?” พี่กรถาม ผมพยักหน้ายิ้มยินดี

“ผมจะรอครับพี่”

“งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“บายครับ” ผมว่า พร้อมโบกมือลา รอจนรถคันงามขับเคลื่อนไปไกล

หลังจากนี้เอง ผมก็ต้องพยายามที่จะใช้ชีวิตให้อยู่กับปัจจุบันเช่นเดียวกัน อาจจะเริ่มจากอะไรง่าย ๆ เช่นการไปขอโทษเพื่อนทั้งกลุ่มก่อน ที่เผลอทำให้ไม่สบายใจ ยังดีว่าวันนั้นผมยังมีสติเหลือมากพอจะสรุปแผนงานก่อนแบตโทรศัพท์จะหมด นับได้ว่าเสียใจแต่ยังรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจริง ๆ

พูดถึงเรื่องเสียใจแล้ว ใจผมยังแหว่ง ๆ อยู่เลยแหละ

ผมมองโทรศัพท์มือถือที่ยังมีสายเรียกเข้าและข้อความจากใครคนหนึ่งอีกมากมาย ยอมรับว่าผมไม่มีความกล้าหาญมากพอจะรับสายโทรศัพท์จากเขาในตอนนี้ และผมก็ไม่กล้ามากพอจะปิดเครื่องหรือตัดขาดการติดต่อจากเขาด้วยเหมือนกัน ใจผมยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง โกรธ โมโห เสียใจ? มันผสมปนเปจนกลายเป็นก้อนอะไรสักอย่างในอกที่ผมแยกไม่ออก

'พี่ยังรอเราโทรศัพท์กลับมาหาพี่เสมอนะครับ'

ผมพยายามใช้เหตุผลเข้าช่วยในการตัดสินใจ แต่หลายครั้งแล้วในเรื่องของความรู้สึก ผมไม่สามารถบังคับอะไรหัวใจตัวผมเองได้เลยจริง ๆ

ผมถอนหายใจ เลือกจะ ‘ช่างมัน’ ไปก่อน ผมยังมีหน้าที่อีกหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ และผมคิดว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม คำตอบที่ดีที่สุดจะปรากฏออกมาให้ผมได้เข้าใจว่าผมควรรับมือหรือตัดสินใจเรื่องแบบนี้ยังไงต่อไป ผมคงต้องปล่อยให้เวลาได้จัดการความรู้สึกให้กับตัวผมเองบ้าง

เป็นอีกวันที่ราบเรียบ ผมเดินเข้าไปหาทุกคน ตั้งใจไว้ว่าจะขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มันเป็นอีกวันที่สงบมาก ๆ อากาศเย็นกำลังดี มีลมพัดเบา ๆ พอให้รู้สึกชื่นใจ ผมเดินเข้าไปแล้วก็พบเพื่อนของผมทุกคนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นตามในแชทไลน์กลุ่มที่พวกมันคุยกัน แต่แปลกที่วันนี้ทุกคนกลับเลือกที่จะเงียบผิดปกติ

“มีอะไรที่กูควรต้องรู้ไหมวะ? ไอ้พลอยเลิกกับแฟนเหรอ” ผมนั่งลงแล้วหยอกไปหนึ่งมุก พลางมองหน้าเพื่อน ๆ ทีละคน มันคือสายตาของความอึดอัด ไอ้พลอยเม้มปากเกร็งจนผมกังวลตาม แม้กระทั่งไอ้มาร์ยังไม่มีรีแอคชันกับมุกของผม ผมนั่งหลังตรงแล้วหันไปหาคนที่ควรจะให้คำตอบผมได้มากที่สุด

“มาร์..เกิดอะไรขึ้น?” ผมถาม มันมองหน้าผมแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะส่งซองจดหมายสีขาวมาให้ผม

“เมื่อเช้านี้มีคุณป้าคนหนึ่งมาที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ฝากสิ่งนี้ไว้ให้กับมึง” มันบอก

ใจผมเต้นระรัวตั้งแต่เห็นตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล ‘ภัทรธิดาเวช’ ปรากฏอยู่ที่หน้าซองจดหมาย มือผมสั่น แต่นิ้วผมกลับพยายามคลี่จดหมายออกมาช้า ๆ เป็นกระดาษเอสี่ใบหนึ่งที่อยู่ในนั้น พร้อมกับลายมือที่ผมไม่คุ้นเคย...

‘สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์ จริง ๆ เรารู้จักชื่อกันอยู่แล้ว แต่ผมขอเรียกคุณแบบนี้แล้วกันนะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธผมกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบการไม่เรียกชื่อกันหรอกเนาะ’

หยกเหรอ?

ผมไล่สายตาอ่านตามปลายนิ้วก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่ออ่านบรรทัดต่อไป

‘ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะสารภาพกับคุณ .....ผมไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนะ’

 









Time Talk : ทุกการเดินทางไกลมีจุดจบเสมอ เราต่างเลือกหนทางที่เราเชื่อมั่นและก้าวเดินต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะพร้อมที่จะยอมรับทุก ๆ การตัดสินใจของคนทุกคน ไม่ว่าน้อง ๆ จะมีตัวตนจริง ๆ หรือเป็นเพียงแค่ตัวละครในนิยายเรื่องหนึ่งก็ตาม

รักทุกคนเสมอ และก็ยังรักตลอดไป

เจอกันตอนหน้ากับ Ep.35 'ความหมายของตัว T' ที่จะเป็นตอนจบของเรื่องราวตลอดสามสิบห้าตอนที่ผ่านมานะครับ

หนังสือยังมีให้จับจอง และเรายังต้องการการสนับสนุนทุกรูปแบบจากทุกคนนะครับ^^ > 1th.me/ZBRt 

ขอบคุณครับไว้เจอกันใหม่นะ

พ่อแมวพุงโต

18/03/19

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2019 22:37:34 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
«ตอบ #166 เมื่อ18-03-2019 21:23:25 »

 :mew6: :mew6: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.34 Goodbye |P6|18/03/62
«ตอบ #167 เมื่อ19-03-2019 13:58:34 »

 o13 :really2:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #168 เมื่อ20-03-2019 22:31:48 »



Ep.35 Meaning of “T”



“ครับ ถึงแล้วใช่ไหมครับ ...โอเคครับ ผมลงไปรับแปปหนึ่ง” ผมบอกกับปลายสาย ก่อนจะกดวางโทรศัพท์ สวมเสื้อยืดตัวบาง ๆ แบบที่ชอบใส่เวลาอยู่ห้องคนเดียว แล้วลงลิฟต์ไปชั้นล่างเพื่อไปเปิดประตูรับใครอีกคน ผมมองดูลิฟต์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเลขอย่างช้า ๆ

จริง ๆ ลิฟต์มันก็คงทำงานปกติของมัน แต่มันดันช้าเกินไปในความรู้สึกของผม

ลิฟต์เปิดประตูออกมา ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เต็มปอด เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับใครอีกคนที่ยอมมาหาตามสายโทรศัพท์ที่ผมโทรกลับไป

พี่แชมป์

เขายืนหันหลัง ยูนิฟอร์มตัวเองเหลือแค่เสื้อตัวใน ส่วนเสื้อสูทตัวนอกถูกถอดออกมาแขวนไว้กับมือ อาจจะเป็นระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน เกือบ ๆ จะแค่สัปดาห์เดียว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าแผ่นหลังของเขากว้างขึ้นมากเหลือเกิน

“สวัสดีครับ” ผมทัก เขาหันหลังมายิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผมยิ้มตอบอย่างไม่ฝืน ผายมือเชื้อเชิญเขาเดินเข้ามาข้างใน ปิดประตูหน้าหอพัก แล้วเดินตามผมมาเงียบ ๆ ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก เหมือนเขาเองก็คงสัมผัสได้เหมือนกันว่าผมอยากคุยทุกอย่างที่ห้องพัก

เหมือนเวลาเดินช้าลง ลิฟต์ช้าเกินไปจนกลายเป็นความเงียบพิกล

ผมเดินนำออกมาหลังลิฟต์เปิดอีกครั้ง เดินไปที่ห้องก่อนริมสุดก่อนจะบิดลูกบิดเดินเข้าไปข้างใน และกดล็อกลงกลอนหลังอีกฝ่ายเดินตามเข้ามาถึงแล้ว

“สบายดีนะครับ” เขาทักหลังเดินตามเข้ามา ผมกำลังทำท่าจะตอบแต่เขาก็ชิงพูดต่อก่อน

“จริง ๆ มันก็แค่ไม่กี่วันเอง แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่านานขนาดนั้นก็ไม่รู้” พี่โช..ไม่สิ พี่แชมป์พูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเห็นด้วยและชวนเขาออกไปยืนเล่นที่ริมระเบียง ก่อนจะค่อยเปิดปากถาม

“ผมไม่ได้จะแซะอะไรหรอกนะ แต่ผมควรเรียกพี่ว่าอะไรดี?” ผมว่า เขายิ้มแห้ง ๆ ให้กับผมแล้วพูดตอบ

“เรียกพี่โชหรือโชเฉย ๆ เหมือนเดิมก็ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับคำแล้วพูดต่อ

“โอเค ขอบคุณนะครับโช...พี่โช ที่มาหาผมวันนี้” ผมว่า เว้นวรรคแล้วมองหน้าเขาที่กำลังมองมา เหมือนรอฟังคำตัดสินอะไรสักอย่าง

“ผมไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ผมอยากเคลียร์เรื่องทั้งหมดกับพี่ครับ” ผมว่า เขากลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งแล้วพูดต่อ ไม่ทันสังเกตว่าผมเท้ากับระเบียงที่มีซองจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่บนนั้น เป็นจดหมายของหยก

...จดหมายลาฉบับสุดท้ายจากเขา

“หมายถึงเรื่องไหน?” พี่โชว่า ผมยิ้มแล้วตอบกลับไป

“เรื่องของเราน่ะครับ”

“อ่า” เขาอุทานรับคำ สีหน้ายิ้มขึ้นมาเหมือนเด็ก ๆ ที่ได้รับของเล่นชิ้นใหม่

“พี่จำเพื่อนที่ผมไปเที่ยวกับเขามาเมื่อก่อนหน้านี้ได้ไหมครับ” ผมถาม พี่โชพยักหน้ารับ ผมเหม่อมองท้องฟ้าแล้วส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เขาอ่านเงียบ ๆ พี่โชทำหน้างง ๆ นิดหน่อยแต่ก็ยินยอมรับไป ก่อนจะค่อย ๆ ไล่สายตาและเปลี่ยนสีหน้าไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้ายในใจความของจดหมาย

“เราโอเคไหมครับ?” เขาถามผม แตะที่ไหล่เบา ๆ แสดงออกชัดถึงการอยู่ข้าง ๆ ผมพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ผมไม่ร้องไห้หรอก ผมร้องไห้มามากพอแล้ว และผมจะเข้มแข็งให้มากพอกับทุกการสูญเสียที่จะค่อย ๆ เข้ามาหาผมเรื่อย ๆ ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง

“ผม...ไม่รู้สิ มันไม่เชิงไม่มีสัญญาณหรอก ตั้งแต่วันนั้นที่ผมถามเรื่อง ‘อนาคต’ ของตัวเขาเองแล้วเขาตอบคำถามผมไม่ได้ ผม ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าเขาอาจจะคิดอะไรแนว ๆ นี้ แต่ผมไม่กล้าเลยจริง ๆ ผมไม่มีความกล้าหาญมากพอจะบังคับให้เขาอยู่ต่อ”

“...”

“ผมรู้สึกผิด ลึก ๆ ข้างใน ที่ผมไม่ห้าม ไม่บอกกล่าว หรือไม่พยายามแม้แต่จะรั้งให้เขาอยู่ต่อไป แต่อีกใจผมกลับรู้สึกว่า ถ้าเป็นเขาเองก็คงทำแบบเดียวกัน คืออยู่ข้าง ๆ เขา เคารพการตัดสินใจของเขา มันต้องเสียใจอยู่แล้วเวลาใครสักคนจากเราไป ผมเสียใจ ผมสูญเสีย แต่ว่า ..ความรู้สึกของเขามันทรมานมากเกินกว่าที่ผมจะบังคับให้เขาทรมานกับความรู้สึกของตัวเองต่อไปกับโลกใบนี้ เขาแตกสลาย”

“ครับ พี่เข้าใจนะ” เขาพูด มือข้างหนึ่งโอบไหล่ผมไว้เป็นการปลอบใจ ผมพยักหน้ายิ้มรับมันแล้วพูดต่อ

“หลายคนอาจจะบอกว่าผมใจร้าย ทำไมปล่อยให้เขาตายลงไป ทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองน่าจะมีโอกาสช่วยเหลือให้เขามีชีวิตรอดอยู่ต่อไปแท้ ๆ แต่คนเราจะมีชีวิตรอดต่อไปเพื่ออะไร ถ้ามันหลงเหลือแต่เพียงร่างกาย แต่หัวใจและจิตวิญญาณของเราสลายหายไปนาน จนไม่เหลืออะไรที่มันจะรั้งเราไว้บนโลกใบนี้แล้ว ”

“ครับ”

“ผมยอมรับการตัดสินของเขา ผมเคารพการตัดสินใจของเขา แต่ถ้าเลือกได้ผมไม่อยากให้เขาตาย ...พี่โช ผมอยากให้เขามีความสุข แต่ผมไม่สามารถเป็นความสุขของเขาได้ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมเป็นความสุขให้ใครได้แม้กระทั่งตัวผมเอง” ผมว่า รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ขนาดคิดว่าทำใจมานานมากพอจะบอกลาและเคารพการตัดสินใจ

...แต่ความรู้สึกผิดข้างในบอกว่าผมอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขา ‘ตัดสินใจ’ ผมไม่สามารถปลดปล่อยมันลงได้จริง ๆ

“ได้สิ”

“...”

“เราคือความสุขของพี่ครับ”

พี่โชว่า ยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งที่ผมร้องไห้ มันออกจะดูแย่ไปสักหน่อยที่เขาต้องมาปลอบผม แต่จะเป็นไรไปล่ะ ผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ผมคงไม่สามารถที่จะเข้มแข็งได้ตลอดเวลาจริง ๆ หรอกนะ

“เรื่องของหยก ถ้าพี่พูดแบบเป็นกลางไม่อคติ เราอาจเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ที่ทำให้เขาตัดสินใจ แต่อย่าลืมเรื่องหนึ่งที่เราเคยพูดกับพี่ ‘ทุกการตัดสินใจสุดท้ายของเราอยู่ที่เรา’ นั่นแปลว่าต้องให้มีเหตุผลสนับสนุนหรือคัดค้านมากแค่ไหน คนที่เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำก็คือตัวเขาเอง ไม่มีใครจับมือบังคับเขาฆ่าตัวตายได้ และก็ไม่มีใครดึงเขาออกจากหลุมดำตรงนั้นได้ ถ้าเขาไม่กล้าที่จะก้าวข้ามมันออกมา ....เหมือนที่เรากล้าก้าวข้ามมาหาพี่” พี่โชว่า เขาค่อย ๆ พูดชัด ๆ ช้าๆ และมองหน้าผมไปด้วย

“ความตายมันเงียบมากเลยนะพี่..ผมกลัว” ผมว่า น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพังทลายลงไปตรงหน้า

หลังจากอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของหยก ความรู้สึกของผมสับสนสะเปะสะปะจนแทบไม่รู้ความ ผมไม่สามารถทำความเข้าใจกับตัวเองได้ว่าผมควรจะรู้สึกหรือทำยังไงดี ใจทั้งใจของผมมันเบาและโหวงไปหมด เหมือนผมสูญเสียคนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแต่เป็นคนสำคัญที่ผมอยากเห็นเขามีความสุข

หากสิ่งที่หยกเลือกคือหนทางที่จะทำให้เขามีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย ผมพร้อมจะยอมรับการตัดสินใจนั้น

...แต่การยอมรับได้ ไม่ได้แปลว่าผมไม่รู้สึกอะไร หยกมีสิทธิ์ที่จะเลือก ผมเองก็เหมือนกัน และผมก็เลือกแล้วว่าใจของผมมันเศร้า มันเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร สำหรับผมแล้ว หยกเป็นเหมือนอีกคนที่เข้าใจ ‘ใจ’ ของกันและกัน เราต่างมองเห็นเศษเสี้ยวความแตกสลายในแววตาของอีกฝ่าย

แต่มันไม่ใช่ความรัก หรือหากเป็นรัก มันไม่ใช่ความรักที่ผมเฝ้ามองและต้องประสงค์มันในฐานะ ‘คนรัก’

หลังจากอ่านจดหมายฉบับนั้น ผมถึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ผมรู้สึกเหมือนผมสูญเสียพี่ชาย ผมรู้สึกเหมือนผมสูญเสีย ‘ครอบครัว’ ไป ‘อีกครั้ง’

ความรู้สึกนี้มันลามมาถึงคนตรงหน้าผม ผมเกลียดตัวเอง ผมโกรธที่ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมต้องสูญเสียสักกี่ครั้งกัน ผมถึงจะกลัวความสูญเสียกับคนที่อยู่ข้าง ๆ คนที่สำคัญกับผมมาก ๆ และนั่นคือเขา

ผมกลัวสูญเสียพี่โช

ไม่ว่าคนตรงหน้าของผมจะชื่อโชหรือแชมป์ แต่ทั้งหมดนั่นเขาก็คือคน ๆ เดียวกันกับที่ทำให้ผมหลุดออกมาจากความรู้สึกตรงนั้น คนที่ใจทั้งใจของผมยอมรับและเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ

เหมือนเสียงกระซิบที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยิน ภายใต้ความรู้สึกของการไม่คิดอะไร ภายใต้การมองเห็นว่าคนทุกคนเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นแค่คู่นอนชั่วคราวของผม ผมปฏิเสธทุก ๆ เสียงคำอ้อนวอนจากความรู้สึกข้างในหัวใจลึก ๆ ข้างใน ภายใต้กรงขังขนาดมหึมา ผมตะโกนอ้อนวอนให้ใครสักคนหนึ่งมองลงมา และช่วยดึงผมขึ้นไปให้พ้นจากหลุมดำนี้ที

“เพราะกลัวการจากลา เราเลยกลัวการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนใช่ไหมครับ?”

พี่โชว่า เขาเดาได้ถูกถนัด ผมกลัวจริงๆ  ถ้าต้องเลือกระหว่างความสูญสึกว่าผมสูญเสียใครสักคนที่ผมให้ความสำคัญ ผมขอไม่เริ่มต้นมันตั้งแต่แรกดีกว่า ขอให้มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่วคราว เป็นแค่ใครสักคนหนึ่งให้พอหายเหงาในวันและเวลาที่ผมไม่อยากอยู่เพียงลำพัง เพราะคิดและใช้ชีวิตมาตลอด รู้ตัวอีกครั้งหัวใจของผมก็แทบจะจำแนกความรู้สึกไม่ได้แล้วว่าความรักคืออะไร และนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมเกือบพลาดคนที่รักผมมาตลอด

เขากอดผมไว้แบบนั้น จวบจนผมดีขึ้นมา เขาถึงค่อย ๆ เอ่ยปากเล่าบ้าง

“พี่ชื่อแชมป์ ลูกคนเดียวของที่บ้าน ทุกอย่างมันดูเหมือนจะสบาย ซึ่งพี่ก็ยอมรับว่าพี่สบายจริง ๆ พี่มีทุกอย่างที่พี่อยากได้ ตั้งแต่ของอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพวกของเล่น ไปจนถึงบ้าน รถ ที่ดิน ทรัพย์สิน เหมือนพี่มีพร้อมทุกอย่าง ทุกอย่างถูกปูมาตั้งแต่พี่เกิด ทุกอย่างถูกกำหนดให้ทั้งหมด มันคือสิ่งที่พ่อและแม่เห็นสมควรว่า ‘ดีที่สุด’ สำหรับพี่

ไม่ว่าจะโรงเรียน สายห้องที่เรียน เพื่อนในแวดวงสังคม คณะที่พี่ต้องเรียน งานที่พี่ต้องแข่งขัน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ครบ ทั้งหมดนั่นคือความโชคดีของพี่ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นและเตรียมพร้อมจะส่งต่อทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่กันและกัน แต่ในความพร้อมและ ‘ครบ’ ทั้งหมดที่พี่ได้รับ กลับมีบางสิ่งบางอย่าง ‘หาย’ ไป” พี่โชว่า มองท้องฟ้าแล้วพูดต่อ

“พี่ได้รับการยอมรับในการเป็นลูกของพ่อและแม่ที่เชื่อฟังพวกท่านมาโดยตลอด แต่ไม่เคยสักครั้งที่พี่จะได้รับการยอมรับในฐานะที่พี่เป็นตัวพี่เอง”

“....”

“เรียนเก่งเหรอ? อ่อ ก็บ้านนายรวยนี่ นายเรียนพิเศษ เรียนโรงเรียนดี ๆ มาตั้งแต่แรก พื้นฐานมันก็ต้องดีสิ เล่นกีฬาเก่งเหรอ ก็พ่อแม่นายรวย มีเวลาให้ฝึกซ้อมนี่ ไม่ว่าจะทำอะไรสำเร็จก็ตามแต่ มี ‘เงา’ ของพ่อกับแม่ติดตัวพี่มาเสมอ ตั้งแต่เด็กจนโต ยันพี่ทำงานเป็นถึงรองประธานบริษัท พี่พยายามพิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอด พยายามตั้งใจทำงาน พยายามเข้ากับคนทุกคนไม่แบ่งแยกชนชั้นว่าตัวเองเป็นนาย คนอื่นเป็นลูกน้อง พยายามทำให้มันเท่า ๆ กัน

แต่ไม่มีค่าเลย ทุกความสำเร็จของพี่ไม่มีใครมองเห็นส่วนผสมที่เรียกว่า ‘ความพยายามของตัวพี่เอง’ เลยแม้แต่น้อย  มันตลกร้ายจนพี่ถามกลับตัวเองว่า หรือพี่ผิดที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่วางแผนก่อนการมีบุตร พี่ผิดรึเปล่าที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีความพร้อม มีการสนับสนุนทุกอย่างที่พี่อยากทำให้กับพี่ แล้วทั้งหมดที่พี่ได้รับมาล่ะ

มันไม่มีสักอย่างเลยเหรอ? ไม่มีอะไรสักอย่างเลยจริง ๆ เหรอที่พี่สามารถภูมิใจได้ว่า มันคือความภาคภูมิใจของพี่ มันอาจจะดูเป็นปัญหาที่ดูไม่เหมือนปัญหา และนี่แหละที่ทำให้พี่ไม่สามารถบอกใครได้สักคนว่าพี่ทรมานมากแค่ไหนกับการที่ไม่สามารถภูมิใจอะไรได้เลยเพราะทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”

น้ำเสียงของพี่โชค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ผมค่อย ๆ ทำความเข้าใจคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ผมเริ่มมองเห็นเขาได้เต็มตามากกว่าที่ผ่านมาที่เหมือนเรายังรู้จักกันไม่มากพอ

“พี่ไม่ผิดอะไรที่เกิดมาโชคดีมีครอบครัวที่เตรียมพร้อมให้กับพี่ และพี่ก็ไม่ผิดอะไรที่อยากพิสูจน์ตัวเอง อยากขวนขวายหาความสำเร็จที่มันเป็นของตัวพี่เองจริง ๆ ผมเข้าใจที่พูดนะ เรื่องของฐานะน่ะ ที่สุดแล้วเราต่างมีความยากลำบาก และอุปสรรคในการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองทั้งนั้น” ผมว่า ไม่ได้พูดเอาใจเขา แต่ผมพูดเพราะมองเห็นมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังจมกับปัญหาที่ดูเหมือนจะไร้สาระในสายตาของคนอื่นอยู่

ผมไม่คิดว่าปัญหาของใครสักคนจะเป็นเรื่องไร้สาระ อยู่ที่ว่าเราเข้าใจหรือไม่เข้าใจมันก็เท่านั้น ในเรื่องของครอบครัวนั้น ผมเองก็มี ‘เรื่อง’ ที่จะต้องเล่าให้เขาฟังเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณเรานะที่เข้าใจพี่ นั่นแหละคือสาเหตุที่เราอาจจะสงสัยมาโดยตลอด ทำไมพี่ถึงจริงจังกับการเขียนนิยาย เพราะมันคือความภาคภูมิใจของพี่ มันคือชีวิตของพี่ คนที่เขาเข้ามาอ่าน เขาไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เป็นลูกใคร มีชีวิตแบบไหน หรืออะไรยังไง เขาสนใจแค่งานของพี่เท่านั้นเอง นี่ยิ่งทำให้พี่อยากพิสูจน์ตัวเอง ” พี่โชพูดต่อ ผมพยักหน้าเข้าใจ

“พี่แค่อยากภาคภูมิใจ อยากมีความสุขและประสบความสำเร็จในสิ่งที่พี่ ‘เลือกเอง’ บ้าง อย่างน้อยถ้ามันจะผิดพลาด ก็ขอให้พี่ได้ทดลองผิดพลาดด้วยตัวพี่เอง ให้พี่ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจถึงรสชาติของการได้รับการยอมรับจากทั้งหมดที่มาจากพี่เอง แค่พี่เองเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใคร

พี่เหนื่อย พี่ต้องสวมหน้ากากใบหนึ่งตลอดเวลา มันไม่ใช่ว่าพี่ต้องการจะหลอกลวงใครหรือไม่เป็นตัวเองหรอกนะ คนทุกคนเขาก็บอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง แต่พอเราเป็นตัวของตัวเอง เขาก็จะตั้งคำถามต่อว่าทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ และพี่สามารถทำแบบนั้นได้ ความพร้อมที่ติดตัวพี่มาจะก่อให้เกิดคำถามมากมาย

พี่อยากเป็นตัวเอง เลือกได้พี่ไม่ได้อยากสวมหน้ากากสักใบ แต่พี่ทำไม่ได้ โลกของความเป็นจริง สังคมปัจจุบัน หรือสถานะภาพของพี่ พี่มีหลายอย่างที่พี่ต้องรับผิดชอบ และพี่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ทั้งหน้าที่การงาน ฐานะหน้าตาทางแวดวงสังคม เกิดมาพร้อมทั้งหมดแต่ก็ต้องแบกรับทั้งหมดนั้นเช่นเดียวกัน คนนอกเขาเห็นแต่ด้านที่มันสว่าง เขาไม่เคยมารับรู้กับพี่หรอกว่าพี่ต้องแบกอะไรไว้มากแค่ไหน

ไม่มีใครสักคนเคยเข้าใจว่าพี่เหนื่อยแค่ไหนกับการเป็น ‘แชมป์’ ที่ดี เพราะถ้าพี่พูดว่าพี่เหนื่อย เขาก็จะตั้งคำถามต่อไปเรื่อย ๆ เกิดมาสบายขนาดนี้ยังเหนื่อยอีกเหรอ ไม่ต้องพยายามทำอะไรก็ได้มาทุกสิ่ง บลา ๆ ๆ ๆ แต่คนพวกนั้นไม่เคยถามพี่สักคำ ไม่เคยมีใครสักคนเข้ามาถามพี่ตรง ๆ ว่าพี่มีความสุขจริง ๆ เหรอกับความพร้อมที่เลือกไม่ได้”

เขาเว้นวรรคไป ก่อนจะปลดเนคไทลงมา ผมยิ้มและหันไปปลดให้มันหลวม ๆ เพื่อให้เขาหายใจหายคอได้สะดวก

“และทั้งหมดที่พี่แบกรับ ทำให้พี่ต้องปิดบังเรามาตั้งแต่ต้น พี่ขอโทษ พี่ยอมรับผิด อย่างที่พี่พูดไป ไม่ว่าใครจะใส่ปัจจัยอะไรลงมามากแค่ไหน สุดท้ายก็คือตัวพี่เองที่เลือกแคร์สถานะทางสังคม หรือแค่ภาพลักษณ์ของพ่อแม่จนระมัดระวังการเข้าหาคนอื่น การพูดจาหรือทำความรู้จักกับใครสักคนต้องมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ”

“โดยเฉพาะการเข้ามาเกี่ยวข้องกับแอคเค่อแบบผมใช่ไหม?” ผมถามต่อ เขาพยักหน้ายอมรับ

“พี่ก็เหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไปในสังคม พี่ก็มองเห็นแค่ด้านที่พี่เลือกจะมองเห็น แต่ก่อนที่พี่มอง พวกเธอก็แค่เด็กติดเซ็กซ์ หาคู่นอนไปวัน ๆ แล้วก็อื่น ๆ ทั้งหมดที่ความรู้สึกมันเป็นลบ จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังบอกไม่ได้หรอกนะว่าพี่ไม่มีไบแอสหรือมองพวกเขาเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็น ถ้ากับคนอื่นพี่ก็คงมี แต่เพราะพี่มีไบแอสนั่นแหละ พี่ถึงเลือกจะรู้สึกกับเราแตกต่างจากคนอื่น”

“ยังไงนะครับ?” ผมไม่เข้าใจ เขาหันมากอดแล้วจูบหน้าผากผมเบา ๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่ม

“ตอนเวลาเราถ่ายคลิปลงทวิตเตอร์ เราเปิดเผยเรือนร่างแต่เลือกที่จะสวมใส่หน้ากากปกปิดหน้าตา ในขณะที่พี่ปกปิดรูปร่างของพี่ด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แต่ใบหน้าก็พี่ก็ปกปิดด้วยหน้าการที่เรียกว่า ‘การวางตัวในสังคม’ คิดๆ  ดูแล้วเราแทบไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เราต่างสวมใส่หน้ากากคนละใบสองใบไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่

หน้ากากใบหนึ่งของเราที่สวมใส่ไว้คือการเป็นแอคเค่อ แต่อีกด้านของการเป็นแอคเค่อเราก็เป็นลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ๆ เป็นรุ่นพี่ที่ดีของรุ่นน้อง และเป็นอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะสวมใส่หน้ากากใบไหน ทั้งหมดนั่นมันก็คือ ‘เรา’ คือตัวเราเองที่เลือกว่าเราจะเป็นอะไรแบบไหนในสายตาใคร”

“เพราะเราต่างเป็นมนุษย์/เป็นคนเท่า ๆ กัน”

ผมกับพี่โชมองหน้ากันในประโยคที่พูดออกมาพร้อม ๆ กัน ผมหัวเราะให้กับความบังเอิญนี้ พลางนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เราเจอกัน ตอนนั้นผมกับเขา เราก็ใจตรงกันและพูดอะไรแบบนี้ออกมาพร้อม ๆ กัน

ผมไม่ได้บอกว่าการเป็นแอคเค่อเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มากพอ ๆ กับไม่ได้บอกว่าการเป็นแอคเค่อเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผิดหรือถูก คำตอบขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกจะตอบว่าอะไร มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง เหมือน ๆ กับการเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรเลยที่เหมาะกับคนทั้งโลกโดยปราศจากความแตกต่าง

และทั้งหมดนั่นแหละครับ คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่ทำให้โลกทั้งใบแตกต่างกันออกไป

“แต่พี่พูดผิดไปอย่างหนึ่งนะ” ผมบอก เขาเลิกคิ้วเชิงถามว่าอะไรเหรอ

"ต้องบอกว่าผม ‘เคยเป็น’ แอคเค่อหรอกนะ เพราะหลังจากวันนี้ไป เสือน้อยจะไม่มีตัวตนอยู่ในทวิตเตอร์อีกต่อไป ...ผมพอแล้วครับ ผมคงไม่แก้ตัวว่าที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่หรอก มันคือสิ่งที่ผมทำลงไปทั้งหมดจริง ๆ แต่จากตรงนี้ จากต่อแต่นี้ต่อไป...”

“...”

“ผมเลือกแล้วว่าผมจะเริ่มต้นใหม่กับพี่ครับ”

วินาทีที่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกไป เป็นวินาทีเดียวกับที่อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นมาตามลำดับ ผมรู้มาตลอดว่าในความรู้สึกที่มีให้กับผม มันคงมีความลังเล ความไม่แน่ใจ ความสับสนในอะไรหลาย ๆ  อย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากเขาเลย เพราะเราไม่เคยพูดกันอย่างตรงไปตรงมาถึงเราสองคน เรื่องราวมันถึงได้ลากยาวมาถึงตอนนี้

“รู้ไหมว่านั้นเป็นเรื่องที่พี่ดีใจมากที่สุดเลย” เขาว่า ผมยิ้มรับและพูดต่อ

“ผมอยากเริ่มต้นใหม่ครับพี่ ผมอยากให้เราเริ่มต้นใหม่จาก ‘ตัวตน’ ของเราจริง ๆ นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วที่ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง ...ผมคาดหวังกับพี่ได้ใช่ไหม?” ผมถาม เขาคงสังเกตเห็นแววตาอ่อนล้าของผม พี่โชส่ายหน้าแล้วลูบหัวผมเบา ๆ

“ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร พี่ยังอยู่ตรงนี้” เขาว่า ผมพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าออกหลายรอบ

แบล็คบ็อกซ์ที่ผมไม่เคยเปิดออกมาให้ใครรับฟังเลย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างมาร์หรือคนในกลุ่ม มันจะถูกผมรื้อค้นและขุดคุ้ยออกมาอีกครั้งที่นี่ เวลานี้

ในใจผมภาวนา หวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมต้องขุดมันออกมา เพื่อเริ่มต้นใหม่จริง ๆ จัง ๆ สักครั้งสักที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2019 20:42:07 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #169 เมื่อ20-03-2019 22:32:46 »

“ชื่อจริง ๆ ของผมคือทรอย”

ผมว่า หันไปมองหน้าเขา มือของผมสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมัน

“ครับ”

“ไม่ใช่ทรอยที่แปลว่าของเล่น ถ้าพูดให้สวยหรูแบบที่ ‘เขา’ พูดถึงมัน มันคือชื่อเมืองทรอย ...ทรอยในตำนานของพวกกรีก-โรมัน เมืองที่เกิดหายนะกับผู้คนเพราะความลุ่มหลงในอิสตรี ....แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันมาจากคำว่า soul-destroying ที่แปลว่าทำลายหัวใจมากกว่า”

“...”

“พ่อผม.. ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาไม่ได้รักใคร่หรือถูกคออะไรแม่ผมหรอก ปู่ของผมเป็นเพื่อนสนิทของตา น่าจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างกับเศรษฐกิจครอบครัวช่วงนั้นมั้ง? ผมก็ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงมากขนาดไหน แต่ก็ร้ายแรงมากถึงขนาดว่าแม่เขียนบันทึกถึงปู่ไว้ว่า ‘ปู่ขายแม่’ เพื่อให้มีเงินมารอดมาเลี้ยงครอบครัว”

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเล่าด้วยน้ำเสียงหรือท่าทีแบบไหน ทุกครั้งเวลาพูดถึงมัน ผมจะอึดอัด หายใจไม่ออก มันคือประสบการณ์การรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่คุณไม่สามารถหลีกหนีมันพ้นได้ ...ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณคือเรื่องจริง สัมผัสเดียวที่ผมสัมผัสได้คือมือของพี่โชที่จับผมไว้ไม่ปล่อย

“แม่น่ะ เขาเขียนไว้ว่า ‘รู้สึกเหมือนตัวเองโดนข่มขืนโดยคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีในทุก ๆ วัน’ ที่แย่ก็คือ แม่ไม่สามารถบอกเล่าหรือไปขอความช่วยเหลืออะไรจากใครได้ ก็แน่นอนล่ะ ‘เขา’ เป็นสามีถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาบอกว่าฉันโดนสามีของฉันข่มขืน...มันคงไม่มีใครรับฟัง”

“...”

“ผมเกิดขึ้นมาโดยปราศจากความรัก ตอนนั้นผมโตพอจะรับรู้ว่าท่าทีของพ่อที่มีต่อผม..มันไม่เหมือนกับเราเป็นพ่อลูกกัน ไม่นานหลังจากนั้น ผมน่าจะสักม.ต้นได้มั้ง...” ผมเว้นวรรค สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าและน้ำเสียง

“แม่ถูกกล่าวหาว่ามีชู้"

"ใช่ ‘เขา’ บอกว่าผม ‘ไม่ใช่ลูกเขา’ อาการป่วยทางจิตของแม่หลังจากคลอดผมแล้วยิ่งปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็หนักถึงขนาดที่ว่า แม่ไม่สามารถเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนได้สักคนเพราะอาการหวาดระแวงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต...ใช่ แม้กระทั่งผม แม่ก็จำไม่ได้”

ผมว่า กลืนก้อนเหนียว ๆ ลงคอ พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบเพราะความปวดร้าวที่เกิดขึ้น

“หลังจากนั้น ผมย้ายออกจากที่นั่นไปอยู่กับญาติชั่วคราว ส่วนแม่อยู่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นการถาวร แรก ๆ อาการมันก็เหมือนจะดีขึ้น มันก็มีบางครั้ง มีบางวันที่เขาจำได้ว่าผมคือใคร มีบางวันที่เขาเรียกผมว่า ‘ลูก’ และก็มีอีกหลาย ๆ วันที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง ..เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เขาหวาดระแวง กลัวว่าจะเข้าไปทำร้ายเขา” ผมว่า เสียงของผมสั่นและขาดหายไปเป็นช่วง ๆ

“ถ้าไม่ไหวไม่เป็นไรนะครับ พี่ไม่อยากให้เรารู้สึกเจ็บเพราะมัน” พี่โชบอกกับผมแบบนั้น ผมพยักหน้ารับทราบความปรารถนาดีจากเขาแต่ก็เลือกจะพูดต่อ

“ผมไม่รู้หรอกว่าผมเกิดมาทำไม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองมีคุณค่ากับใครไหม โลกนี้มันไม่แฟร์ มันไม่เคยแฟร์ มันจะต้องมีคำถามที่ไม่ว่าจะถามไปยังไงก็ไม่มีคำตอบต่อให้ผมจะตะโกนถามว่าทำให้ผมเกิดมาทำไม ผมไม่ได้อยากเกิดมาเจอเรื่องพวกนี้ ผมไม่ได้อยากเจ็บปวด ไม่ว่าผมจะตะโกนออกไปดังมากแค่ไหน เสียงของผมไม่เคยมีใครได้ยิน

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผมจะเกิดมาด้วยเหตุผลอะไร ผมเกิดมาแล้ว และเป็นผมที่เลือกจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยสองขาของตัวเอง เขาเป็นเพียงต้นกำเนิด แต่ปราศจากความสำคัญในชีวิตของผม สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะเป็นเซฟโซนของตัวเอง พยายามใช้ชีวิตบิด ๆ เบี้ยว ๆ ด้วยการทำให้มัน ‘ปกติ’ ทั้ง  ๆ ที่มันไม่ปกติ”

“พี่เข้าใจแล้วครับ” พี่โชว่า สองตาของเขาซึมออกมาด้วยน้ำตาเล็ก ๆ ผมยกมือขึ้นไปปลอบอีกฝ่ายบ้างทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ร้องไม่ต่างกัน

“ผมถึงไม่เคยใช้ชื่อจริง ๆ ของผมเลยสักครั้ง มันไม่ใช่แค่การปิดบังตัวตน แต่เพราะผมมองว่ามันคือสิ่งที่ผม ‘ไม่ได้เลือก‘ ผมเลือกไม่ได้ว่าผมจะเกิดหรือไม่เกิด เป็นพวกเขาที่เลือก เลือกให้ผมลืมตามาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ว่าบางครั้งแล้วครอบครัวไม่ได้หมายถึงความเป็นพ่อแม่ลูกเสมอไป”

“ครับ”

“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงการมีตัวตนและการคงอยู่ของผมอยู่ดี ผมใช้ชีวิตโดยหวังเพียงแต่ว่าอยากทำให้เด็กแบบผมมีหนทางให้เติบโตและเดินหน้าต่อให้มากที่สุด เราเจ็บปวด เราทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะ ผ่านมันไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่อยู่กับมันให้ได้ก็พอ” ผมว่า ในที่สุดผมก็เค้นรอยยิ้มของตัวเองออกมาจนได้ โชยิ้มตอบ เขาหยุดน้ำตาที่มันไหลออกมาแล้วกระชับกอดของเราให้แน่นมากขึ้น

“แต่รู้อะไรไหมครับ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ เราเป็นครอบครัวของพี่แล้วนะครับ”

“ผมรู้สิครับ ผมรู้แล้วว่าบางครั้งแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยใจออกจากอดีต แล้วเดินต่อไปกับอนาคตที่ผมยังมองไม่เห็นบ้าง ผมจะไม่กลัวแล้วกับการที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าเป็นไปได้..”

“ครับ?”

“ผมก็ไม่อยากให้พี่จากผมไปไหนนะ”

ผมว่า มองหน้า ‘ครอบครัว’ ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวผมเอง

“ไม่ไปไหนหรอก พี่มันคนหน้าทน ไล่ให้ตายยังไงพี่ก็จะไปหายไปจากเราอยู่ดี” เขาว่า โอบกอดผมด้วยอ้อมกอดพอดี ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้แน่นมากเกินไป หรือหลวมเกินไปจนผมไม่รู้สึกถึงมัน

ตอนนี้ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว สีของฟ้าอมส้มกำลังดี ข้างล่างผู้คนสัญจรผ่านไปมา ผมและเขาเราเป็นแค่ส่วนประกอบเล็ก ๆ ของโลกใบนี้เท่านั้นเอง

“งั้นเรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะครับ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาพยักหน้ารับแล้วพูดตอบกลับ

“พี่ชื่อแชมป์ อิทธิพงศ์ ครับ” พี่โช..ไม่สิ พี่แชมป์พูดขึ้นพร้อมมองหน้าผมแล้วดึงแก้มออกมาเบา ๆ ผมยิ้มจนแก้มปริ ยิ้มทั้งน้ำหูน้ำตาแล้วตอบเขากลับไป

“ผมเหรอ? ....ผมชื่อน้องทรอยครับพี่แชมป์”

 

 




สวัสดี

The End

"แด่ทุกความทุกข์ ความสุข ความรัก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และหยาดน้ำตาบนโลกใบนี้"





             Time talk : ขอบคุณจริง ๆ ที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงบรรทัดนี้ ผมไม่เคยขอร้องสักครั้ง แต่ก่อนเราจะพูดคุยกันยาวๆ  อีกครั้งใน Topic หน้าถึงที่มาที่ไปของนิยายเรื่องนี้ ผมขอนะครับ ผมขอสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากรับฟังเสียงของทุกคน ผมอยากได้รับมันจริง ๆ นะครับ

            แล้วพรุ่งนี้เรามาคุยกันใหม่นะครับ



           พ่อแมวพุงโต

           Ps.นิยายเรื่องนี้มีการรวมเล่มนะครับติดตามรายละเอียดได้ผ่านหน้าเฟสบุ้ค / ทวิตเตอร์ได้เลยนะครับ :L2:

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2019 20:52:40 โดย พ่อแมวพุงโต »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
« ตอบ #169 เมื่อ: 20-03-2019 22:32:46 »





ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #170 เมื่อ20-03-2019 23:10:17 »

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Arayajanm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #171 เมื่อ20-03-2019 23:59:33 »

ถึง พ่อแมวพุงโต

    ก่อนอื่น ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่อง แอคเค่อ และอัพจนจบให้เราอ่าน นิยายของคุณ มันทำให้หลงเข้าไปในเนื้อเรื่อง เหมือนเราเป็นบุคคลที่ 3 ที่เดินตามเนื้อเรื่องที่คุณแบ่งเป็นพาร์ทๆ ขอบความปูเรื่องตั้งแต่ต้น การให้ข้อมูลของเพศศึกษา จนกระทั่งการใช้ชีวิต กรรเลือกทางเดินชีวิต และแม้แต่การให้กำลัง มุมมองของคนหลายๆคน ในนิยายเรื่อง สุดท้าย ยันคำห่วงใยจากคนแต่งคนดี ที่มักทิ้งท้ายเสมอ    เราตอนนี้คิดแล้วว่าต้องมาจากเรื่องจริงหรือเปล่า ทำไมมันเสมือนจริงขนาดนี้ ดีเทลต่างๆ คือมันดีอ่ะ พ่อแมวคะ รู้ไหม นิยายบางเรื่อง คนอ่านอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้ามีคนอ่านที่เข้าใจและรับรู้การถ่ายทอดทุกๆอย่างจากนิยายของพ่อแมวได้ตรงตามที่คาดไว้ เราคิดว่า มัรคือความประสบความสำเร็จเลยนะ. มันมีหลายตอนที่เราร้องไห้ และมีหลายตอนที่เราปวดใจ
       เราไม่รู้ว่าต้องให้กำลังใจอะไรพ่อแมว แต่คุณทำดีที่สุดแล้ว นิยายเรื่องต่อไปเราจะติดตาม. พ่อแมวอาจมีโลกหลายใบที่เผชิญ และดำเนินไป แต่โลกใบนี้ ตรงนี้เราคิดว่าเราจะรอติดตามผลงานต่อไปนะ สู้ๆในทุกวัน สู้ๆในทุกๆการเริ่มต้นใหม่นะคะ



ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่อง “แ อ ค เ ค่ อ”    :3123:   :L2:
       รัก จาก แฟนคลับคุณ.  :L1:  :กอด1:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #172 เมื่อ21-03-2019 00:19:48 »

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
ชอบที่เนื้อหาค่อนข้างสอดแทรกการเสียดสีสังคม สนุกมากค่ะ
อยากอ่านตอนพิเศษจังค่ะ  :mew3: :hao6:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #173 เมื่อ22-03-2019 00:28:10 »

เรื่องของทรอยเยอะนะ แต่สรุปจบในบทเดียว

งงตรง ‘ปู่ขายแม่’  ทำไมถึงเป็นปู่ล่ะ 
คนที่ขายแม่ก็ต้องเป็น พ่อของแม่ คือ "ตา" สิ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #174 เมื่อ22-03-2019 12:00:47 »

 :pig4: เป็นนิยายที่ให้สาระกับเรา  :pig4:  :pig4: แล้วพี่แชมป์กับน้องทรอยก็ทำเราเสียน้ำตา

ออฟไลน์ Gnaap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #175 เมื่อ22-03-2019 19:30:56 »

รับรู้ได้ถึงความใส่ใจในการเขียน
ตัวเรื่องและการบรรยายค่อนข้างจะแตกต่างจากนิยายทั่วไป
นานๆทีจะมีแบบนี้ให้อ่าน
ขอบคุณนะคะ ชอบมากๆ ได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้เลย

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #176 เมื่อ23-03-2019 02:34:25 »

เราเรียงยาวๆไม่เป็น แต่เราชอบหยก รักในตัวตนของหยก และเสียใจที่ไม่เป็นหยก เราชอบเวลาทรอยอยู่กับหยกมากๆเลยนะ เราเสียน้ำตาให้แต่ฉากเธอเลยนะหยก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: [The End] Acker | Ep.35 Meaning of "T" |P6|20/03/62
«ตอบ #177 เมื่อ23-03-2019 19:03:15 »

 :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [The End] Acker | Thx&Apologize |P6|28/03/62
«ตอบ #178 เมื่อ28-03-2019 01:17:25 »



Thx&Apologize


พอถึงเวลาต้องเขียนจริง ๆ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะเขียนอะไรดี แต่คิดว่าเปิดมาแบบนี้สุดท้ายก็คงจบยาวอยู่ดี ถือว่ามันเป็นตอนที่เรามาเปิดอก พูดขึ้น ระบายความในใจผ่านกันและกันนะครับ อาจจะมีบางข้อความหรือหลายเนื้อหาที่มันไม่โอเคไปบ้าง ผมขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ก่อนเริ่มเลยแล้วกันนะครับ

แอคเค่อ เป็นนิยายที่มีเรื่องราววุ่นวายมากมายทั้งในโลกของนิยายและความเป็นจริงครับ จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากผมเนี้ยแหละ ผมเป็นมนุษย์ชายขอบ หมายถึง มนุษย์ที่ไม่ได้ตรงหรืออยู่ในบรรทัดฐานกระแสของสังคม ถ้าเอาให้ชัดก็คือเป็นพวกไม่ตรงจริต ไม่ใช่แบบที่มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบ แต่ผมก็มีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นที่ไม่ได้ไปรบกวนใคร ผมภูมิในใจตัวผมเอง

ใครสักคนเคยบอกผมไว้ว่า “ถ้าคุณอยากอ่านอะไรที่ยังไม่มีคนเขียน ,คุณต้องเป็นคนเขียนมันเองก่อน” ผมอ่านแล้วฮึกเหิม แล้วก็คิดแบบนั้นแหละครับ โมเดลแรกสุดในหัว ผมอยากเขียนนิยายที่ตัวหลักเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป เป็นมนุษย์กลม ๆ ที่มีทั้งส่วนที่คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ดี และก็มีส่วนที่คนอื่นมองไม่เห็นเหมือนกัน

ประกอบกับผมต้องทำเรื่องขอทุนการศึกษาสำหรับเทอมต่อไปครับ ใช่ครับ ผมยังเรียนไม่จบในระดับอุดมศึกษาเลย ตรงนี้หลายท่านคงพอทราบบ้าง หลายท่านก็อาจจะยังไม่ทราบ ก็ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ครับ ผมอยากรีบ ๆ เรียนให้จบเช่นกัน แต่น่าจะยากแล้วแหละในหลาย ๆ ความหมาย

ดังนั้นแล้ว ผมจึงอยาก “ทดลอง” ทดสอบด้วยตัวผมเองจริง ๆ ว่านิยายที่ไม่ใช่สายแมสจะขายได้ไหม โจทย์คือ ผลงานนิยายที่ ‘ส่งผลกระทบในทางบวก’ ต่อคนในสังคม (คนอ่าน) + ฟีดแบดนิยายทุกอย่าง ทั้งยอดไลก์ คอมเม้นท์ ยอดวิว ยอดเฟบฯ และยอดขาย ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อการพิจารณาทุนการศึกษาครับ

ช่วงแรก ๆ ผมคิดหนักมากว่าจะดีไซน์ตัวละครออกมายังไงให้สอดรับกับโจทย์ดี เพราะต้องทำให้มันออกมาขายได้ด้วยและต้องเป็นนิยาย ‘ที่ดี’ ในสายตาของคณะกรรมการผู้พิจารณาทุนการศึกษา concept ของเรื่องนี้จึงเป็น ‘pandora box’ ครับ

 “เราไม่มีทางรู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ในกล่อง ถ้าเราไม่เปิดมันออกมาดู”

จุดร่วมของทรอยและแชมป์ คือทั้งสองคนต่างมีหน้ากากกันคนละใบสองใบ เป็นตัวที่วางไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังออกมาเป็นลักษณะที่คนสองคนค่อย ๆ เรียนรู้กันและกัน ช่วงแรก ๆ เราเลยอาจไมได้เห็นโมเม้นท์อะไรมากนัก คือพอเรื่องมันดำเนินอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เราต้องเข้าใจก่อนว่าสองคนนี้ไม่ได้รู้จักกันผ่านคนอื่นทั่วไป

ทรอยก็สงสัยว่าแชมป์ไปเอารูปนั้นมาจากไหน (ซึ่งจะมีอธิบายในตอนพิเศษแยกต่างหาก) ส่วนแชมป์เองก็มีสถานะภาพทางสังคมที่ต้องรักษาไว้ จะเห็นได้ว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองมองว่าสำคัญสำหรับตัวเอง และไม่อาจปล่อยให้เสียมันไปได้ ทั้งสองคนต่างเว้นวรรคระยะห่างระห่างกันและกัน

สิ่งที่ทำให้ระยะห่างระห่างคนสองคนค่อย ๆ ลดลง คือการผ่านเรื่องอะไรบางอย่างด้วยกัน และเป็นการผ่านที่ทำให้ต่างคนต่างเห็นอีกฝ่ายมุมมองที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่ตั้งแง่เอาไว้ เรื่องราวจึงดำเนินอย่างช้า ๆ ไม่ได้หวือหวาหรือมีความรู้สึกเป็นบวกในทันที่ ณ เวลาที่ทั้งคู่เจอกัน

จุดพีคของเรื่องทั้งหมด คือปมที่ขมวดในใจ ทรอยเองก็ต้องก้าวเดินต่อไปครับ เขามีคำถามในใจเสมอว่ามันจะเจ็บอีกไหม เขากลัวการเริ่มต้นใหม่ ๆ มันคือบททดสอบของการดำเนิ

จริง ๆ ในช่วงสิบตอนแรกผมก็เห็นคอมเม้นท์แล้วละครับ ก็มีคนทักหลังไมค์มาบอกเหมือนกันนะ ว่าเขาดูไม่มีวี่แววที่จะรักกันได้เลย แต่ก็นั่นแหละครับ เราไม่รู้เลยจริง ๆ ว่ามีอะไรรอเราอยู่ในกล่องดำใบนั้น หากเราไม่คิดที่จะเปิดมันขึ้นมา ดังนั้นแล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากทั้งสองคนไม่กล้าก้าวออกมาจากโลกของตัวเขาเอง

ในส่วนของการเตรียมข้อมูล เค้าโครงเรื่อง ผมแบ่งเป็น ต้น กลาง ปลาย กำหนดเควสใหญ่ ๆ ว่าใครเป็นอะไรแบบไหนอย่างไรบ้าง แล้วค่อย ๆ เพิ่มคาแรคเตอร์ เพิ่มพัฒนาการทั้งในด้านความคิด อารมณ์ โดยที่ใส่ลงไปชัดมาก ๆ คือ ทรอยเป็นเด็กที่โดน “บังคับโต” ในขณะที่แชมป์จะเป็นผู้ใหญ่ที่ “รักษาภาพพจน์” เพราะเขาไม่ได้มองว่าเขาแบกรับแค่หน้าตาของตัวเอง แต่เขาแบกรับหน้าตาของครอบครัว หน้าตาของบริษัท และอื่น ๆ

ในส่วนสิบตอนแรก น่าจะสักประมาณตอนที่ 5-6 มั้งครับ ที่มีคนนำไปรีวิวให้ ขอบคุณมากๆนะครับ มันทำให้ผมมีกำลังใจมากๆ จากตอนแรกที่มันเงียบๆ มันก็เริ่มจะมีกระแสขึ้นมานิดหนึ่ง มีคนพูดถึงในแท็กบ้าง ทำให้ใจชื่นว่า เออ เรามาถูกทางแล้วเนาะ มีคนเขาชอบงานเขียนเราด้วยนะ

กระแสของแอคเค่อ ทรุดๆทรงๆเป็นพัก ๆ ช่วงก่อนเฉลยปมของพี่พอร์ช คนยังเยอะอยู่ ผมลงทั้งหมดห้าเว็บไซต์ เล้าเป็ดเป็นเว็บแรกที่อยู่ดี ๆ คนก็เงียบหายไป ถามว่าผมเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องตอบว่าไม่เลยครับ ผมไม่ร้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยกับงานชิ้นนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือมันเริ่มไปได้ไม่สวยเท่าไหร่แล้ว แต่เด็กดีก็ยังมียอดคอมเม้นท์สม่ำเสมอ

ผมทุ่มหมดหน้าตัก เพราะอยากให้งานชิ้นนี้ออกมาดีที่สุด ออกจากงานพิเศษมานั่งอ่าน นั่งศึกษาข้อมูล มาเขียน แก้ เขียน แก้ ทำแบบนั้นหลายรอบกว่าจะออกมาเป็นแต่ละตอน เพราะอยากให้มันไม่หนักไป ไม่เบาไป จนช่วงก่อนปีใหม่ ที่อยู่ดี ๆ กระแสของนิยายเรื่องนี้ก็เงียบไปเลย เงียบไปแบบคนคอมเม้นท์ประจำก็หายไป ขาจรก็ไม่ค่อยมีมา เป็นช่วงที่ผมเริ่มสุขภาพกายไม่ดีเพราะนั่งเก้าอี้นาน ๆ (ผมแทบจะหลับบนนี้แหละครับ) สุขภาพจิตก็ตกตาม ผมเศร้าและนั่งถามตัวเองว่าผมทำอะไรผิดลงไปรึเปล่า หรือมีส่วนไหนอีกไหมที่ผมสมควรปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเหมือนเดิม

ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย เพราะผมมองว่าถ้างานผมดีจริง คนคงบอกต่อ คนคงคอมเม้นท์บอกเราเอง แต่เพราะมันมีแต่ความเงียบ ผมนั่งนอยด์กับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วทุกอย่างมันก็ค่อย ๆ ล่มลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องทุนการศึกษาที่ผมคิดว่า โอเค ผมคงต้องตัดใจจากมันแล้วละ ปีการศึกษาหน้าผมต้องดรอปเรียน หรือไม่งั้นก็อาจจะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย

แม้กระทั่งตอนสุดท้าย เป็นตอนที่ผมรู้สึกว่า ผมอยากจะขอมันจริง ๆ นะ เพราะผมคิดว่า โอเค อาจจะมีคนตามอ่านมาเรื่อย ๆ แต่เขารอคอมเม้นท์รวดเดียวตอนจบหรืออะไรแบบนั้นแต่ก็นั่นแหละครับ...จริง ๆ มันอาจะไม่มีใครรอผมอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย แอคเค่อเองก็เช่นกัน ผมรักผลงานชิ้นนี้มาก มันเลยคำว่ากรีดเลือดออกมาเขียน ผมเตรียมข้อมูล ทำกรุ๊ปสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่าง ไปแม้กระทั่งสถานที่จริงเพื่อหาข้อมูลมาเขียนงาน  ผมทำไปเยอะมากกว่านั้นมาก ๆ มากจนรู้สึกว่าถ้าขายวิญญาณให้ซาตานได้ผมคงทำไปแล้ว

มันมีคำถามเสมอแหละครับ ว่าทำไม เพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบมันไม่ได้บอกเราไปซะหมดจริง ๆ ว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ประสบความสำเร็จ ผมเขียนผิดเยอะเหรอ โอเค ผมจ้างคนพรู๊ฟงาน ไม่ค่อยมีกระแสเหรอ โอเค ผมไปขอร้องให้พี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนช่วยรีวิว ออกแบบหน้าปก จัดเล่ม ทำของแถม คือพยายามทำทุกอย่างแต่เหมือนมันหลุดไปในหลุมดำ ทุกอย่างไม่เกิดอะไรขึ้นเลย

คำถามที่แย่ที่สุดที่ผมถามกับตัวเองคือ หรือว่าจริง ๆ แล้วผมอาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักเขียนรึเปล่า?

มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองแต่ไม่กล้าบอก เพราะมันเฟลไปหมด มันมีคืนหนึ่งที่ความพีคมันไล่ระดับสูงสุด ผมดาวน์จนพีคมากถึงขนาดวางแผนว่า “เห้ย เอางี้ เดี๋ยวเราทำงานชิ้นนี้เสร็จ เราจะฆ่าตัวตายและทิ้งจดหมายไว้ถึงงานของเรา” คือมันหนักถึงขนาดผมต้องดึงตัวเองกลับมาแล้วบอกตัวเองว่าใจเย็น ๆ ก่อน อาจจะเพราะผมไม่ได้มีคนสำคัญให้ต้องดูแลรักษา ความคิดมันเลยวูบหวาบได้ง่ายขนาดนั้น

มันอาจจะเป็นการล้มลงครั้งเดียว แต่สำหรับบางคน ล้มลงครั้งหนึ่งคือขาหัก และไม่สามารถกลับมายืนได้อีกต่อไป ผมอาจจะไม่ได้หนักถึงขนาดนั้น แต่ผมไม่เคยเหมือนกันที่ต้องนั่งเขียนงานไป ร้องไห้ไป ใจมันเป็นทุกข์จนผมทำอะไรไม่ได้เลย เป็นช่วงที่ผมหายไปหรือไม่อัปเดตนิยาย เพราะหายไปรักษาอาการเนี้ยแหละครับ

“ถ้าเราอยากอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วมันไม่มี,ให้เราเขียนมันขึ้นมา” ....บางทีเขาอาจจะลืมบอกไปว่าที่มันไม่มีเพราะมันขายไม่ได้ ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้วละครับ ใครจะทำงานที่ขายไม่ได้ออกมา สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำตามตลาด ตราบเท่าที่ท้องเรายังหิวและเรายังสังเคราะห์แสงไม่ได้ ผมหมดคำถามว่าทำไมนิยาย สื่อบันเทิง หรือหลาย ๆ อย่างในนี้มันถึงไม่สามารถไปข้างหน้าได้มากกว่านี้

ผมไม่โทษอะไรนอกจากตัวผมเองนะครับ ผมโทษอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ชีวิตมันคือการเดิมพันและเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ชีวิตผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากแบล็กบ็อกซ์ ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะลงท้ายแบบนี้ จนกว่าผมจะทำมันออกมาสำเร็จ และก็นั่นแหละครับ ตอนจบของเรื่องมันอาจจะไม่ใช่ซีนที่เราต้องการเสมอไป

ผมเชื่อว่านักเขียนทุกคน ก็อยากเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียน แต่ก็อยากขายออกได้เช่นเดียวกัน แอคเค่อเป็นนิยายที่พ่ายแพ้ในโลกของทุนนิยมครับ,ผมเองก็เช่นกัน ข้อดีข้อเดียวคือการทดสอบนี้จะดีดผมกลับไปเซฟโซน กลับไปอยู่ในจุดที่มองโลกในแง่ที่มันควรจะเป็นมากกว่าแง่บวกแบบนี้

ถ้ามีโอกาสและพร้อม เวลาเจอนิยายเรื่องไหนที่ถูกใจ ให้กำลังใจเขาเถอะนะครับ การต่อสู้กับตัวเองตามลำพังมันยากลำบากมากจริง ๆ เวลาที่ผมบอกว่าขอบคุณทุกคนนะครับ คือผมขอบคุณจริง ๆ จากใจ ที่คอมเม้นท์พวกนั้นช่วยดึงผมไว้จากเส้นบาง ๆ ที่กั่นไว้ระหว่างผมในตอนนี้กับผมที่ไม่กลับมาอีกแล้ว

มันเหมือนแค่นิดเดียว คือถ้าหลุดไปผมก็คงไปแล้ว ไม่มานั่งพิมพ์อะไรยืดยาวขนาดนี้

ฟีดแบดมีผลต่องานเขียนทั้งหมดครับ ยอดคอมเม้นท์ ยอดรีช ยอดเฟบฯ ทุกอย่างล้วนส่งผลต่อนิยานเรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งการรีวิว การแชร์ต่อ บอกกันแบบปากต่อปาก ทั้งหมดคือการให้กำลังใจและการสนับสนุนเขาในต้นทุนศูนย์บาทครับ และก็เป็นอีกโอกาสที่จะได้รับการทาบทามจากสนพ. เชื่อผมเถอะนะ ผมเคยนั่งอ่านคอมเม้นท์แล้วน้ำตาไหล มันดีใจออกมาจริง ๆ ที่มีคนเห็นคุณค่าในความพยายามของเรา

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับ ผมขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ที่อดทนกับผมและนิยายเรื่องนี้มามากขนาดนี้ ผมพูดเสมอว่าแอคเค่อไม่ใช่นิยายที่เป็นบรรทัดฐานให้กับใครหรืออะไร เราเป็นแค่นิยายเรื่องหนึ่งที่คนเขียนพยายามอย่างมากที่จะเขียนอะไรมากกว่าแต่ What it love?

ผมพยายามแล้ว แต่ผมคงพยายามไม่มากพอมันถึงเป็นแบบนี้

ผมอาจจะไม่พร้อมและเหมาะสมที่จะเป็นนักเขียนหรือคนทำงานสร้างสรรค์อะไรอีก ผมต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ว่าผมจะชอบมันหรือไม่ก็ตามแต่ 

ถ้าเจอนิยายที่คุณชอบ เพลงที่คุณถูกใจ หรืออะไรสักอย่างที่เป็นความสร้างสรรค์ที่คน ๆ หนึ่งพยายามทำออกมา ได้โปรดโอบกอดเขาไว้ด้วยความรักจากคุณสักนิดหนึ่งนะครับ

หวังว่าสักวันเราคงได้พบกันใหม่อีกครั้ง ผมต้องพยายามดึงตัวเองให้ออกมาจากหลุมอากาศให้ได้ก่อน ผมยังไม่สามารถหลุดพ้นสภาวะเขียนไปร้องไห้ไป กลัวไปได้ ผมคงต้องไปหาหมอ และพยายามรักษาให้อาการมันดีขึ้นกว่านี้ ในเร็ว ๆ นี้ ผมก็ยังรักการได้เขียนอะไรยาว ๆ เหมือนเดิม แต่มันคงไม่น่าจะใช่อีกแล้วในเร็ว ๆ นี้

...ที่ผ่านมาขอบคุณมากจริง ๆ นะครับที่เห็นคุณค่าของตัวผม เห็นมูลค่าของงานชิ้นนี้ ผมซาบซึ้งและสิ่งเหล่านั้นหล่อเลี้ยงให้ผมยังมีกำลังใจ มี passion ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปจริง ๆ ครับ

หลังจากนี้ไปคงไม่ต้องอดทนกับผมหรือนิยายเรื่องนี้แล้วนะครับ

ขอบคุณครับ

 

Unknow
28/03/2562


Ps.ในส่วนของหนังสือ ผมจะแจ้งอีเมล์ไปอัปเดตความคืบหน้าเสมอๆนะครับ ตอนนี้ผมได้คิวโรงพิมพ์แล้ว เหลือส่งต้นฉบับตามเววลานัดหมาย และจำทำการจัดส่งหนังสือต่อไปครับ / ขอบคุณมากๆที่สนับสนุนนะครับ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [The End] Acker | Update Acker Book I&II | Close Pre-order 5 Apri |P6|31/03/62
«ตอบ #179 เมื่อ31-03-2019 21:33:30 »



Pre-order Acker I&II | 5 วันสุดท้าย

รายละเอียด/ลิงก์สั่งจอง : เล้าเป็ดไม่ให้แนบลิงก์ รบกวนดูรายละเอียดได้ที่หน้าแฟนเพจ https://web.facebook.com/PotbellyDadcat นะครับ ขอบคุณครับ

รบกวนแชร์/รีทวิตโพสต์นี้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

ในส่วนของผู้ที่ได้ทำการสั่งจองและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว จะมี Email Update รูปภาพหน้าปก รูปภาพที่คั่น ระยะเวลาในการผลิต-กระบวนการจัดส่ง ส่งไปให้กับท่านตามอีเมล์ที่ได้แจ้งไว้นะครับ

*ในส่วนของที่คั่นหนังสือทั้ง 4 แบบ จะจัดส่งและแถมสำหรับผู้ที่สั่งจองและชำระก่อนหน้านี้นะครับ หากต้องการที่คั่นครบทั้ง 4 ลาย จะต้องทำการสั่งจองตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไปนะครับ ขอบคุณครับ

**ในส่วนของของแถมชิ้นสุดท้ายนั้น จะขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นในเดือนนั้น ๆ ผมคิดว่า (น่าจะ) สั่งตีพิมพ์กับทางโรงพิมพ์ฟา์สตบุ๊ค ที่คุยกันไว้อาจจะเป็นโปสการ์ดรูปภาพหน้าปกครับ รายละเอียดตรงนี้จะมีการคอนเฟิร์มอีกครั้งผ่าน Email เช่นกันครับ

ขอบคุณครับ ต้องขออนุญาตรบกวนด้วยนะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด