Ep.16 AGAIN
“พี่ว่า..พี่เป็นคนดูคนเก่งระดับหนึ่ง”
‘...’
“...แล้วพี่คิดว่า พี่ดูเราไม่ผิดไป เพราะเราพูดรู้เรื่องที่พี่พูด พี่ถึงเลือกที่จะให้มี ‘ครั้งต่อมา’ ได้ พี่อยากถามว่า ทั้งหมดในวันนั้นที่พี่บอกเราไป เราไม่เข้าใจเลยเหรอครับ?”
ผมค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ เน้นย้ำในทุกประโยคที่พูดกับแม็กซ์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นมากับเด็กที่เคยรับปากกับผมไว้ว่าจะป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่าย หลังจากผมพูดไปเสร็จก็เกิดเดดแอร์ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังไม่ตัดสาย ผมจึงยังถือสายรออีกฝ่ายพูดอยู่
‘...พี่...ไม่ไว้ใจแม็กซ์เหรอครับ?’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
“เดี๋ยวนะแม็กซ์ ตั้งสติก่อนแล้วเอาใหม่ ความไว้ใจเกี่ยวอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกัน ?” ผมตั้งคำถามให้อีกฝ่ายได้คิดตาม เจ้าแม็กซ์สะอึกเงียบไป ก่อนจะพูดต่อ
‘ก็..ก็ ถ้าพี่ไว้ใจผม คิดว่าผมไม่มีโรค ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องป้องกันก็ได้นี่ครับ’
“แม็กซ์ครับ...” ผมเรียกเขาเสียงหวาน ก่อนจะพูดประโยคต่อมา
“ถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันแค่โรคครับ ถุงยางอนามัยดูแลทุกอย่าง แม้กระทั่ง ‘ความสะอาด’ แม็กซ์คิดว่าแค่น้ำเปล่าสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรืออะไรที่ไม่พึงประสงค์ทางช่องทางของตัวเราเองได้เหรอครับ? อันนี้เรื่องแรกที่พี่จะพูด อีกเรื่องคือไว้ใจ ไม่ไว้ใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกันเลย คนเรามันพิสูจน์ความไว้ใจผ่านอะไรแบบนี้ได้เหรอครับ หนูจะบ้าไปแล้วเหรอที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่จับต้องไม่ได้แบบนี้” ผมร่ายยาว เว้นวรรคบางช่วงให้เขาฟังและคิดตามทัน
“....และส่วนสุดท้ายนะครับแม็กซ์ แม็กซ์กับพี่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือน แม็กซ์ไว้ใจพี่แค่ไหน แม็กซ์คิดว่าพี่เป็นคนที่น่าไว้วางใจเหรอครับ? สิ่งที่พี่พูดมาทั้งหมดพี่อาจจะแกล้งพูดเพื่อให้แม็กซ์คล้อยตามพี่ก็ได้ มันไม่มีหรอกครับ คนที่บอกว่าตัวเองชั่วแค่ไหนน่ะ ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูเป็นคนดีในสายตาของอีกฝ่ายทั้งนั้น”
‘...’
“เชื่อพี่เถอะครับ พี่ว่าพี่มองน้องพี่ไปไม่ผิดจากที่คิดแน่ ๆ แม็กซ์เป็นเด็กฉลาด..อย่าทำให้พี่ผิดหวังเลยครับ”
ผมกล่าวทุกคำออกมาด้วยเสียงหวานแต่เน้นย้ำทุกคำพูดเพื่อแสดงความจริงจังของตัวเอง แวบหนึ่งที่วูบวาบไปกับภาพในวันวานถูกขับไล่ออกไปด้วยมโนจิตส่วนตัวพร้อม ‘เหตุการณ์’ บางอย่างที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้ คนที่ระแวงระวังอยู่เสมอไม่ว่าคนที่เดินเข้ามาหาจะดูน่าไว้ใจ หรือไม่น่าไว้วางใจ ก็ตามแต่
‘แม็กซ์ขอโทษนะครับ’ ปลายสายว่าเสียงเบาหวิว ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะรีบปลอบอีกฝ่าย
“ไม่ต้องขอโทษพี่ก็ได้ครับ พี่ไม่ได้ว่าอะไร พี่แค่พูดคุยกับเรา อย่างตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง”
ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าเรา การตัดสินใจจะผิดพลาดไปสักหน่อยก็ไม่แปลกอะไร เพราะเคยผิดพลาดจากวัยเยาว์ ผมจึงเข้าใจว่าเวลามีผลแค่ไหนต่อการตัดสินใจในการกระทำของคนในแต่ละช่วงวัย เมื่อเราโตขึ้น ประสบการณ์จะไม่ได้ป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ประสบการณ์จะช่วยให้เราตัดสินใจลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดนั้น ๆ ขึ้นแทน เพราะแบบนั้นเอง ผมจึงไม่ได้รู้สึกว่าแม็กซ์ทำผิดหรืออะไรไป
‘คือ ...แม็กซ์ไปดูซีรีส์มา’ ปลายสายว่า ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับ
“ครับ แล้ว..?”
‘ก็ไม่แล้วยังไงหรอกครับพี่เสือ แต่มันก็แบบ... แม็กซ์ก็อยากทำ อยากมีตามซีรีส์บ้างไง’ เจ้าตัวว่าเสียงอุบอิบเหมือนเด็กที่กลัวพูดอะไรออกไปแล้วไม่ตรงใจ ที่ผู้ใหญ่อยากจะฟัง ผมถอนหายใจออก สูดลมหายใจเข้า มือข้างหนึ่งกด ๆ ขมับที่เริ่มปูดออกมาด้วยความเครียด
“แม็กซ์ครับ นั่นมันซีรีส์ ซีรีส์ที่ทำมาจากนิยาย นิยายที่แปลว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องสมมตินะครับ” ผมว่าอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึกว่าก่อนที่โชจะเอานิยายไปลงที่ไหน หรือถึงขั้นไปทำซีรีส์อะไรก็ตามแต่ สงสัยต้องตรวจตราอย่างละเอียดซะแล้วว่าจะสร้างค่านิยมหรือแนวคิดแปลก ๆ ให้กับเด็กที่ไหนรึเปล่า?
‘ก็รู้แหละว่ามันไม่จริง แต่บางทีดูแล้วเราก็แบบ อยากทำตามบ้างบางครั้งอ่ะครับ ...พี่เคยดูซีรีส์วายไหมครับ ?’ ท้ายประโยคเจ้าตัวถามผมกลับ
“ไม่เคยครับ” ผมว่า
‘เหรอ แย่จัง อยากรู้ว่าพี่คิดยังไงอ่ะกับซีรีส์ที่เขาดู ๆ กัน’ แม็กซ์ตอบ
ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ส่วนตัวแล้วถ้าอะไรที่ผมไม่รู้จริง ผมมักจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแสดงความคิดเห็นอะไร กรณีซีรีส์ก็เช่นกัน ในเมื่อผมไม่เคยดู ผมก็ไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ไว้ผมจะลองสอบถามไปกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างโชแทนแล้วกัน
‘แต่ว่า...เขาบอกว่าแบบไม่ป้องกันเสียวกว่า’ หลังจากเงียบไปสักแป๊บ ปลายสายว่าเสียงตุ่ย ๆ ต่อ ผมถอนหายใจเบาบางอีกครั้งก่อนจะถามกลับ
“เขานะใคร?”
‘ก็เขา...เขา’
“เขาไหน?” ผมถามจี้อีกครั้ง
‘ก็เขาบอกต่อ ๆ กันมาอ่ะครับ ขอโทษษษ อย่าดุแม็กซ์เลยนะ’ เจ้าตัวรีบพ่นคำขอโทษออกมารัว ๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยกับคำตอบนั้น
“โอเค แม็กซ์ครับ ฟังพี่พูดช้า ๆ ชัด ๆ นะครับ” ผมว่า ปลายสายเงียบกริบรอฟังผมพูด
“แม็กซ์ครับ พี่เห็นแม็กซ์เป็นน้องของพี่คนหนึ่ง พี่ถึงพูดอย่างตรงไปตรงมา พี่ไม่มีสิทธิ์ห้ามนะครับ ถ้าเราอยากจะไปทดลองหรือไปทำอะไรกับใครแบบที่เราต้องการ อันนั้นมันเป็นเรื่องของเรา พี่ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวอยู่แล้ว...” ผมว่า
‘พี่เสือ....’ เจ้าแม็กซ์เรียกเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนสุนัขที่กำลังหูลู่ตกเพราะโดนดุ แต่ผมยังพูดไม่จบ
“....แต่ถ้าอยากทำอะไรกับพี่ พี่บอกเลยว่าพี่คงเป็นคู่ทดลองให้เราไม่ได้ พี่ไม่เคย ไม่คิด และจะไม่มีวัน มีอะไรแบบไม่ป้องกันกับคนที่พี่คิดกับเขาแค่เป็น ‘คู่นอน’ แน่ ๆ ....แม็กซ์ครับ พี่เป็นแอคเค่อ แอคเค่อที่หมายถึงคนที่เล่นทวิตเตอร์เพื่อสำหรับนัดเยคนอื่น แม็กซ์เอาอะไรมาไว้ใจคนแบบพี่ และที่สำคัญนะครับ ตัวเลขล่าสุดตอนนี้คือ 1 ใน 3 ของเกย์ทั่วปริมณฑล มีเชื้อ HIV ทั้งแบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว แม็กซ์จะเสี่ยงจริง ๆ เหรอครับ เสี่ยงกับคนแบบพี่ เสี่ยงกับคนที่เห็นเราเป็นแค่น้องน่ะเหรอ?”
ประโยคที่ผมพูดออกไปอาจจะโหดร้ายและรุนแรงไปบางสำหรับความสัมพันธ์ประมาณนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่า ไม่มีอะไรจะรักษาสถานภาพและความสัมพันธ์ ได้เท่ากับการที่เราได้พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมากับคนที่เราห่วงใย
‘ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง’ เจ้าแม็กซ์ว่า ผมเงียบเพื่อรอฟังว่าตัวเองกำลังจะโดนด่ารึเปล่า
‘พี่น่ะ ทำให้ผมเชื่อได้สนิทใจจริง ๆ นะว่าพี่ปลอดภัย ว่าพี่เป็นห่วง มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าผมจะทำหรือทดลองอะไร ถ้าเป็นพี่ มันคงดี มันคงปลอดภัย ผมคิดแบบนั้นเลยถามออกไป แต่ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปเลยไม่เข้าใจในมุมของพี่ แม็กซ์ต้องขอโทษอีกครั้งจริง ๆ นะครับที่ทำตัวดื้อแบบนี้’ เจ้าแม็กซ์พูดต่อจนจบ
“พี่ขอบคุณนะครับ พี่ขอบคุณมาก ๆ ที่แม็กซ์เชื่อมั่นในตัวพี่ แต่เชื่อพี่เถอะครับ อะไรที่มีคุณค่ากับเรามาก ๆ จงรักษาและถนอมมันให้กับคนที่รู้จักคุณค่าของมัน” ผมย้ำอีกครั้งให้ทั้งตัวเขา ทั้งตัวผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในสถานะภาพไหนของกันและกัน
“แต่พี่บอกได้เลยว่าไม่ใช่พี่แน่ ๆ ” ผมปิดท้าย ปลายสายเงียบไปก่อนจะพูดออกมาด้วยโทนน้ำเสียงปกติ
‘ผมถามได้ไหมครับ พี่เสือเคยมีแฟนไหม? หรือคนที่รักมาก ๆ ก็ได้ครับ’ น้องแม็กซ์ถาม
“เคยสิครับ เคยมีทั้งสอบแบบ และก็เคยที่จะไม่มีทั้งสองแบบอีกต่อไปด้วย”
‘เหรอครับ? ....แล้วตอนพี่มีแฟน พี่รักแฟนพี่ไหมครับ?’ เจ้าตัวเล็กถามต่อ ผมอมยิ้มหยุดคิดไปสักครู่ ก่อนจะตอบ
“ถ้าไม่รู้สึกอะไร พี่คงไม่ให้สถานะที่ชัดเจนกับเขาไปตั้งแต่แรก” ผมว่า
‘แปลว่าถ้าพี่มีแฟนแล้ว พี่ก็จะไม่เป็นแอคเค่อ ไม่นัดใครแล้ว งั้นเหรอครับ?’ แม็กซ์ถามกลับทันควัน ผมขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“นี่ พี่มี sex กับใครต่อใครได้ เพราะพี่ไม่มี ‘พันธะ’ อะไรกับใครหรอกนะครับ แต่ถ้าพี่เลือกแล้วว่าจะมีแฟนพี่ก็ต้องหยุดสิครับ เพราะตัวพี่เองคงไม่โอเคเหมือนกัน ถ้าแฟนพี่จะไปมีอะไรกับใครทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นของกันและกัน และมันคือการให้เกียรติทั้งตัวเองและให้เกียรติอีกฝ่าย ถ้าเขาเป็นคน ๆ นั้นที่เราเลือกแล้ว เรามั่นใจแล้วว่าเขาใช่ แต่เรายังไม่ยอมหยุด พี่ว่าแบบนั้นมันเหมือนเราไม่เคารพการตัดสินใจของตัวเองไปหน่อย..”
ผมอธิบายตามความรู้สึกของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมคิดว่าการนอกใจจากพันธะที่ตัวเองเลือกไปมีใครอีกคน แม้จะเป็นแค่เรื่องบนเตียงเพียงชั่วข้ามคืนจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โอเค ผมอาจจะนอนกับใครก็ได้ แม้กระทั่งกับคนที่มีแฟนแล้ว
อ่า...กับคนที่มีแฟนแล้วงั้นเหรอ ผมเกือบลืมเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับตัวเองเหมือนกัน แต่นั่นหมายถึงกรณีที่ว่าเขาและคนในพันธะสัญญาของเขาเคลียร์กันไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่ไม่เคยนะครับ แต่เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ไอ้ ‘การมีเซ็กซ์กับแฟนคนอื่นโดยที่แฟนเขานั่งดูน่ะ’ อื้ม เอาเป็นว่าไว้ผมจะลองมาอธิบายให้ฟังอีกครั้งในโอกาสที่เหมาะสมแล้วกันนะ
...จะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจเหมือนกัน กับการที่ว่าถ้าคู่รักของเรายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราไปมีอะไรกับใครได้ แบบนี้ จะเรียกว่านอกใจได้ไหมเพราะอีกฝ่ายก็สมัครใจ แล้วคนที่ทำแบบนั้นได้จะต้องคิดแบบไหนยังไง ผมว่าเรื่องพวกนี้มีหลากหลายมุมมองจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดด้วยซ้ำ
ผมจดประเด็นที่ตัวเองก็ชักเริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว ใส่ลงในโทรศัพท์มือถือหน้าโน้ตสำหรับจดบันทึก แยกเป็นประเด็นที่ผมคิดว่าผมมีมุมมองยังไงบ้าง ในขณะที่อีกใจก็อยากฟังความคิดเห็นจากโช จะว่าไปแล้ว จดไปจดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมยังอยู่ในสายกับน้องแม็กซ์ !!!
โอ๊ย เพราะเจ้านากเผือกแท้ ๆ พออยู่ด้วยกันนาน ๆ เข้า ผมก็เผลอติดนิสัยแย่ ๆ กับการกลัวหลงลืมประเด็นสำคัญ ๆ ไปโดยปริยายจนต้องหัดบันทึกตามว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ สุดท้ายเลยกลายเป็นลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่
“โทษทีๆ แม็กซ์ยังอยู่ในสายไหมครับ?” ผมขอโทษน้องแก้เก้อ รู้สึกเขินที่ลืมไป
‘ยังอยู่ครับ แม็กซ์ก็งงเลย อยู่ดี ๆ พี่เงียบสายไป’ เจ้าเด็กน้อยตอบ ผมหัวเราะเสียงแห้งอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอามะเหงกเขกหัวตัวเองเป็นการลงโทษในความโก๊ะแตกครั้งนี้ น้อยครั้งจริง ๆ ที่ผมจะเสียลุคหรือหลุดมาด เพราะความลืมตัว (เรื่องนี้เองก็ต้องจดไว้คิดบัญชีกับเจ้าตัวแสบเหมือนกัน)
‘แล้ว สรุป...พี่จะยังมาหาแม็กซ์ไหมครับ? ’ น้องแม็กซ์ถาม
“ไปสิครับ พี่รับปากแล้วว่าจะไปก็คือไป แต่ก็อย่างที่พี่บอก Safe Sex เท่านั้นครับที่พี่โอเค” ผมว่าเสียงใส ย้ำจุดยืนของตัวเอง
‘โอเคเลยครับ แค่พี่มาหาผม ผมก็ดีใจมาก ๆ แล้วครับ’ เจ้าแม็กซ์ตอบรับเสียงหวาน ภาพในหัวของผมเหมือนเห็นชิบะตัวเล็ก ๆ ที่กำลังพยายามส่ายหางสั้นกุดไปมา
ผมกับน้องแม็กซ์คุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนเจ้าตัวจะขอตัวไปทำการบ้านต่อ ส่วนผมก็นั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ต่อไป อยู่ดี ๆ อะไรบางอย่างในตัวผมก็แหกปากร้องกระเจิง ผมสะดุ้งตัวหันซ้ายหันขวา มองรอบ ๆ พอสายตาปรับโฟกัสกับภาพระยะไกลถึง ‘ใคร’ บางคนได้ ผมก็เผลอลืมหายใจไปซะดื้อ ๆ แบบนั้น
ผมขาสั่น หอบหายใจหนักมากกว่าตอนที่เพิ่ง make love กับใครเสร็จ หัวใจเต้นระรัวจนผมอยากจะทุบให้มันหยุดเต้นไปซะตรงนั้น ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้น อยากจะหายตัวไปเลย และเหมือนทัศนียภาพของผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ หลังหยาดน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง ผมกัดฟันแน่น บอกกับตัวเองในใจว่าจะไม่ร้องไห้ออกมา แต่เหมือนร่างกายปฏิเสธคำสั่งจากสมอง
บางครั้งคนที่เราอยากเจอมากที่สุดในโลก ก็คือคน ๆ เดียวกันกับคนที่เราไม่อยากเจอมากที่สุดในโลก
เจ็บในอก มันแน่นไปหมด ผมแทบจะอาเจียนออกมาด้วยซ้ำ สมองประมวลผลแต่ภาพเก่า ๆ ที่ผม “เคย” ได้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ความรู้สึกหลายอย่างทะลักออกมาราวกับว่ามันเก็บซ่อนไว้ในใจเนิ่นนาน นานมากแล้วจริง ๆ ที่ผมพยายามเก็บทุกอย่างยัดลงกล่องแบล็คบ็อกซ์ใบเดิมที่ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า และมีร่องรอยมากกว่าเดิม พร้อมกับแกล้งทำเป็นลืมมันไปด้วยซ้ำ
...ลืมไปหมดแล้ว แม้กระทั่งใบหน้าที่เคยจ้องมองเพื่อรอว่าเมื่อไหร่ผมจะตื่นขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มของเขาในตอนเช้า
ใกล้มากขึ้น มากขึ้นทุกที ผมต้องหนี ผมต้องไปจากที่นี้ ผมคิดแบบนั้น แต่ร่างกายของผมไม่ทำตามคำสั่งเลย นิ้วมือนิ้วเท้าผมชาจนแทบขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้ามีใครที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ผมตอนนี้คงคิดว่าผมเสพยา ที่ผมกำลังอ้าปากด่าตัวเองว่าฟัคยูตลอดเวลา หลังจากรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
ผมเนี่ยนะ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้?
ผมคือไทเกอร์ ผมคือเสือน้อย ผมคือแอคเค่อ ผมคือคนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับใคร ไม่เคยคิด ไม่แม้แต่จะคิด ไม่มีทาง และไม่มีวันที่ผมจะหยุดลงที่ใคร มีแต่คนผิดปกติเท่านั้นแหละ ที่จะหลงรักกับคนที่ตัวเองนัดมาเพื่อมีเพศสัมพันธ์ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เชื่อมั่นในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นวกไปวนมา ก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืน
ถ้าใกล้มากเกินไปกว่านี้ ‘เขา’ ต้องสังเกตเห็นผมแล้วแน่ ๆ
ยังพอมีเวลา เขายังซื้อตั๋วและยืนคุยกับใครคนนั้นอยู่ ขอแค่ผมเดินเร็ว ๆ ผ่านประตูทางหนีไฟ เรื่องจะจบลงตรงนั้น ผมจะกลับบ้าน จะกลับไปลืมว่าเกิดอะไรขึ้นมาในวันนี้ ผมไม่เจอ ไม่เห็นใครทั้งนั้น แค่มาดูหนัง แต่ก็ไม่อยากดูแล้วเลยรีบกลับบ้าน ผมคิดแบบนั้นย้ำซ้ำ ๆ กับตัวเอง ขาทั้งสองข้างพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวเดินออกไปตามทางของตัวเอง
...ระหว่างผมและเขา เราไม่ควรมีภาพความทรงจำอะไรต่อกันอีกแล้ว
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองบังคับร่างกายได้แย่มากขนาดนี้ คนที่ถึงขนาดเพื่อนเคยบอกว่าให้เดินช้าลงกว่านี้หน่อยเพราะพวกเขาเดินตามผมไม่ทัน กลับเป็นคน ๆ เดียวกันกับคนที่เดินส่ายไปมาเหมือนคนเมาอย่างยากลำบากแบบนี้งั้นเหรอ? ผมแค่นเสียงหัวเราะ ตลกในความถือดีของตัวเองอย่างถึงที่สุด ผมพยายามปล่อยวางกับหยดน้ำตาที่คลอในเบ้า ในเมื่อควบคุมไม่ได้ก็เลือกที่จะปล่อยมันไปแบบนั้น
อีกแค่นิดเดียวผมก็จะเดินถึงบันไดหนีไฟแล้ว ด้วยระยะเท่านี้ต่อให้เขาหันมาเจอ ก็คงไม่เห็นแล้วว่าผมเป็นใคร
...หรือจริง ๆ แล้วเขาอาจจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยรู้จักกัน
เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าครั้งหนึ่งเคยนอนหนุนอกของผม ครั้งหนึ่งเขาเคยนอนกอดแล้วร้องเพลงรักอันแสนอบอุ่นให้ฟัง ครั้งหนึ่งเขาเคยตื่นมาจ้องหน้าผมเพื่อรอให้ผมตื่นมาเจอรอยยิ้มของเขาเป็นคนแรกของวัน เขาคงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยบีบยาสีฟันไว้ให้ผมทุกเช้าก่อนจะออกไปเข้าเวร
'พี่ชอบนอนกอดเรามากที่สุดเลยรู้ไหม เจ้า 'นักรบ' ของพี่'
เสียงเดิมที่เคยได้ยินย้อนกลับมาในหัวผมอีกครั้ง
ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีผมอยู่บนโลกใบนี้
...แต่หัวใจของผมไม่เคยลืมสักครั้งว่าผมเคยหลงรักใครคนหนึ่งสุดหัวใจ
เรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดไม่ใช่การที่ตัวเองยังไม่ลืมใครสักคน แต่เรื่องที่ผมรู้สึกแย่มากที่สุด คือการที่ใครสักคน หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าชีวิตของเขาเคยเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง
...เขาจะรู้ไหมนะ ว่านอกจากเขาแล้ว ‘แบล็คบ็อกซ์’ ของผม ไม่เคยถูกเปิดให้ใครได้เข้าไปสัมผัสกับร่องรอยบาดแผลข้างใน เขาจะรู้ไหมนะว่าผมยินดีแค่ไหนที่มีคนพยายามเปิดกล่อง ๆ นั้นออกมา เขาจะรู้ไหมนะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ผมใจเต้นทุกครั้งที่เราสัมผัสกัน เขาจะรู้ไหมนะ...เขาคือทุกสิ่งในชีวิตของผม
ฉับพลัน หัวใจผมกระตุกวูบถี่ ๆ อาการปวดที่ไม่ได้เจอมานานแล้วกำเริบอีกครั้ง ผมหอบหายใจหนัก แต่พยายามอย่างยิ่งในการทรงตัวให้เป็นปกติ บอกกับตัวเองว่า ขอแค่อีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวก็จะถึงบันไดหนีไฟแล้ว แค่อีกนิดเดียวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว ผมจะกลับไปนอน แล้วลืมไปแล้วว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย!!”
เสียงร้องแหบแห้งอย่างตกใจดังออกจากคนข้าง ๆ ในขณะที่ผมเกือบเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือคู่หนึ่งช่วยเป็นหลักค้ำพยุงให้ผมไม่เสียการทรงตัว ผมหันหน้าไปหาเขา แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรจะเป็นคนที่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ทำไมวันนี้ผมต้องเจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก(แล้ว)นะ....
“ไหวไหมคุณ?” เขาถามเสียงแหบ กลิ่นนิโคตินลอยมาเตะจมูกผมอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เวลามาใส่ใจ ผมแทบจะก้มหน้า ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนที่เห็นผมในมุมที่อ่อนแอมากขนาดนี้
“คุณจะไปไหน?” เขาถาม
“some where, not here” ผมตอบกลับเร็วปร๋อ เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ทั้ง ๆ ที่ตาสองข้างของเขาเหมือนกำลังจะปิดอยู่ตลอดเวลา
“งั้นไป ‘ที่ ๆ’ ของผมนะ” เขาว่า ฉับพลันเหมือนโลกของผมหมุนติ้ว รู้สึกตัวอีกทีเขาก็อุ้มผมลอยจากพื้น ผมเหวอจนลืมความรู้สึกแย่ ๆ ที่อัดแน่นในอกไปชั่วขณะ
“คุณ !!!” ผมเรียกเขาเสียงสั่น ผมไมได้น้ำหนักตัวน้อย ๆ เหมือนพวกตัวเอกในนิยายนะคุณ ที่ใครจะได้อุ้มง่าย ๆ เหมือนอุ้มคนไม่ได้กินข้าวแบบนั้น
“อย่าเพิ่งเรียกผม ถ้าคุณไม่อยากลงไปนอนกองกับพื้น ผมกำลังใช้สมาธิ” เขาว่าด้วยเสียงสั่นกว่า ใบหน้าเหมือนกำลังยกของหนัก ผมเงียบกริบไม่ทักอะไรอีก แต่หันหน้าเข้ามาซุกอกเขา เพราะตอนนี้ก็ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง โชคดีจริง ๆ ที่เปลี่ยนชุดจากยูนิฟอร์มของร้านที่ทำงานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะว่าผมไหม แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะปล่อยให้หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง
ผมไม่แน่ใจว่านานไหม แต่รู้สึกตัวอีกที เขาก็อุ้มผมลงตรงด้านหลังลานจอดรถยนต์ หลังจากค่อย ๆ ปล่อยให้ผมทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว เจ้าตัวก็นั่งลง หอบหายใจเหนื่อยอ่อนเหมือนวิ่งมาเป็นสิบ ๆ กิโล
“ผมว่า...คุณควรลดน้ำหนักบ้างนะ” เขาว่า ผมหันขวับตวัดสายตาไปมอง ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเข้ามาถูกจังหวะที่ผมต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ประโยคเมื่อกี้เขาจะได้สักตุ๊บสองตุ๊บเป็นรางวัล
“แต่ผมไม่ถือหรอกนะ เพราะผมเต็มใจจะช่วยคุณ ...เหมือนที่คุณเคยช่วยผม” อีกฝ่ายพูดจริงจัง เน้นย้ำทีละคำ พร้อมมองใบหน้าของผม
“....”
“นี่คุณ....” เขาเรียก พร้อมยันตัวลุกขึ้นยืนหลังจากหอบหายใจคลายความเหนื่อยจากการอุ้มผมเสร็จแล้ว ก่อนจะมายืนตรงหน้าผมใกล้ ๆ
“...อยู่กับผม คุณจะร้องไห้ก็ได้นะ”
จบคำพูดของเขา อีกฝ่ายก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เหมือนกันกับวันนั้นที่ดาดฟ้า ต่างกันที่ว่าสถานะของเราสองคนถูกสลับบทบาทกัน ผมซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา กลิ่นนิโคตินเหม็นคลุ้งจนผมขัดจมูกไปหมด แต่นั่นไม่สำคัญเลย ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วเพราะหยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
ในหัวของผมเบลอ สมองเหมือนชัตดาวน์ไปดื้อ ๆ
...ผมทำได้แค่เพียงยืนร้องไห้พร้อมกับให้อีกฝ่ายลูบหัวปลอบไปแบบนั้น