[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26025 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
«ตอบ #60 เมื่อ23-09-2018 23:24:33 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
«ตอบ #61 เมื่อ23-09-2018 23:38:51 »

อ๊ะๆๆๆ พี่มันนี่เหรอ

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
«ตอบ #62 เมื่อ24-09-2018 00:33:43 »

มันนี่ไหนนนน  :katai1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.11 Who? | P2 | 23/09/2561
«ตอบ #63 เมื่อ24-09-2018 11:25:35 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #64 เมื่อ01-10-2018 21:05:31 »



Ep.12 Mr.Money




“พี่มันนี่ !!! กลับมาไทยแล้วเหรอพี่” ผมพูดเร็วปร๋อ พร้อมรีบวิ่งเข้าไปกอดผู้ชายหน้าตาดีมากกกกกกที่ยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายหัวเราะ ชอบใจในความเป็นเด็กน้อยของผมก่อนจะลูบหัวแล้วตอบกลับ

“อืม พี่กลับมาแล้ว แล้วนี่มาทำอะไรเนี่ย?” พี่มันนี่ถาม พอตั้งสติได้มองไปด้านหลังผมก็เห็นพี่ผู้ชายอีกคนยืนอยู่ คำเดียวที่พุ่งเข้ามาในหัวเลยคือหล่อ หล่อมาก ๆ แต่เหมือนผมคุ้น ๆ หน้าเขาชอบกลแฮะ....

“มาทานข้าวกับเพื่อนครับ ... โช นี่พี่มันนี่ รุ่นพี่ของผมเอง” ผมว่า พลางแนะนำตัวให้กับคนร่วมโต๊ะ โชขมวดคิ้วบาง ๆ แล้วลุกยืนขึ้นทักทายพี่ของผม

“สวัสดีครับ ผมชื่อโชนะครับ” โชว่าพร้อมยื่นมือออกไปตรงหน้า

“คุณชื่อโช ?” พี่มันนี่ถาม แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปจับมือกับอีกฝ่าย

“รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ?” ผมถาม เมื่อเห็นรีแอคชันของทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าผมแปลก ๆ ไป แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเบาบางของโช ก่อนพี่มันนี่จะแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่สุดหล่อด้านหลัง

“คนนี้เป็นเจ้านายพี่ ชื่อพี่เอก” ผมพยักหน้าทำความเข้าใจก่อนจะหันไปไหว้อีกฝ่าย แต่น่าแปลกใจที่โฟกัสของพี่เอก เจ้านายของพี่ผมกลับไปอยู่ที่โช

“พี่เอกเป็นว่าที่ประธานบริษัทดิสโคเวอร์เรตที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองไง” พี่มันนี่กระซิบ ผมพยักหน้าขึ้นลงตาโต เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้น ๆ หน้าอีกฝ่าย พี่เอกกระซิบกระซาบอะไรกับพี่มันนี่สองสามคำก่อนจะละสายตาจากโช พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินเข้าไปจับมือกับอีกฝ่ายพร้อมบอกขอบคุณ

“คุณเอกครับ ผมชื่อทีเร็กซ์นะครับ เป็นรองประธานค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่เคยของบประมาณสนับสนุนจากบริษัทของคุณเอกไปเมื่อปีที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณมาก ๆ นะครับที่ให้การสนับสนุนค่ายอาสาของเรามาเป็นอย่างดี” ผมว่า พี่เอกทำหน้างงไปชั่วขณะก่อนจะฉีกยิ้มรักษามารยาทแม้ผมจะรู้ว่าเขาไม่มีทางจำผมได้ก็ตามแต่

“กิจกรรมเพื่อสังคมยังไงผมก็ต้องสนับสนุนแน่นอนครับ” คุณเอกตอบแบบกลาง ๆ รักษาทั้งภาพลักษณ์ของบริษัทและภาพลักษณ์ของตัวเอง ...และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมเล็งเอาไว้

“ใช่ครับ และในปีนี้เอง ทางคณะของผมและทางมหาวิทยาลัยก็ได้มีการวางแผนโครงการสำหรับการจัดค่ายอาสาพัฒนาชนบทอีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้จะเป็นการขยายขอบเขตการทำงานเพื่อสานต่อกิจกรรมจากปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนมากไปไหมครับ หากผมอยากขออนุญาตอธิบายตัวโครงการให้คุณเอกฟังสักครั้ง?” ผมฉีกยิ้มอย่างสุภาพพร้อมดันแว่นตาขึ้นในระดับสายตา อยู่ดี ๆ วันนี้โชคก็วิ่งเข้าหา !!!

กิจกรรมอาสาเพื่อสังคมนะ ปกติคณะของผมจัดทำกันทุกปีอยู่แล้ว แต่หลังจากการประกาศการออกจากระบบควบคุมของทางมหาวิทยาลัยทำให้งบประมาณสนับสนุนในหลาย ๆ ภาคส่วนร่อยหรอลงจนกระทบถึงกิจกรรมที่จัดทำกัน

ผมเป็นอีกคนที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับการเปิดรับกล่องบริจาคหรือการไปเล่นดนตรีเปิดในที่สาธารณะ เพราะหนึ่ง ปัญญาชนที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยจะไม่มีวิธีการให้การคิดหากิจกรรมที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้ดีกว่าแค่สันทนาการจริง ๆ น่ะเหรอ และสอง แม้จะบอกว่าเป็นกิจกรรมอาสา ได้บุญได้กุศล ผมก็คิดว่าคนที่นำเงินมาสมทบกับพวกเราควรได้อะไรที่จับต้องได้จริงมากกว่าแค่ความรู้สึกที่ได้ร่วมสนับสนุน

และนั่นคือสาเหตุที่ผมต้องการดึงบริษัทหลาย ๆ บริษัทมาร่วมเป็นแรงทุนในการทำกิจกรรมอาสาตรงนี้ ค่ายได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม บริษัทได้ทำกิจกรรม CSR เด็ก ๆ และชาวบ้านในพื้นที่ได้รับประโยชน์ ขอแค่ดีลนี้เป็นดีลที่ดีและแฟร์มากพอสำหรับทุกคน ทำไมเราจะไม่สามารถหาทุนมาสนับสนุนได้ล่ะครับ?

พี่มันนี่หัวเราะเบาบาง ผมแอบเห็นนะว่าเขายกนิ้วโป้งให้ผมด้วย แต่พอพี่เอกหันไปหา พี่มันนี่ก็เลยช่วยผมด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์แล้วกล่าวเรียบ ๆ

“คุณยังมีเวลาว่างอีกเกือบชั่วโมง และปีนี้ที่บริษัทยังไม่ได้ใช้งบประมาณ ในส่วนของการทำ PR และ CSR ลองฟังที่เด็กคนนี้ว่ามา ผมว่าก็ไม่น่าจะเสียเวลาสักเท่าไหร่นะครับ” ผมแทบจะหันกลับไปขอบคุณพี่มันนี่ แต่ทำได้แค่ทำหน้านิ่ง ๆ ภาวนาในใจให้พี่เอกยอมเสียสละเวลาสักนิดในการฟังแผนโครงการของพวกผม

“ตกลงครับ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วลองฟังกันดูสักครั้งก็ได้”

“แต่ร้านนี้น่าจะไม่สะดวกเท่าไหร่ ผมว่าเรามูฟไปที่อื่นกันดีกว่านะครับ” โชเสนอแนะเรียบ ๆ ผมเห็นพี่มันนี่กับพี่เอกหันไปมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าตกลง ก่อนพี่ทั้งสองคนจะขอตัวไปยืนรอหน้าร้าน ให้ผมกับโชจัดการธุระตรงนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน โชยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานนำไปรูดก่อนจะหันมาถามผมต่อ

“นี่คุณไปรู้จักกับ Mr.money ได้ยังไงน่ะคุณ?” โชถามระหว่างที่รอพนักงานนำใบสลิปมาให้เซ็น ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าโชจะรู้จักกับพี่มันนี่ในอีกฐานะหนึ่งด้วย

“คุณรู้จักเขา?” ผมถาม โชพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ

“เด็กอัจฉริยะแห่งวงการธุรกิจฟรีแลนซ์ ได้ยินมาว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ...ถ้านายจ้างมีเงินจ้างมากพออ่ะนะ” โชกล่าวประโยคหลังด้วยน้ำเสียงเบา ๆ  พร้อมทำหน้าสงสัยเต็มที่

“ที่คุณได้ยินมา ผมขอคอนเฟิร์มเลยว่าจริง ถ้าเงินถึง ...ไม่มีอะไรที่พี่ชายของผมคนนี้ทำไม่ได้” ผมตอบรับกลับเขาด้วยรอยยิ้ม ภูมิใจมากมายในตัวพี่ชาย ที่แม้ถึงเราจะไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ในทางพฤติกรรมแล้วเราเป็นมากกว่าพี่น้องด้วยซ้ำไป สำหรับผม พี่มันนี่เป็นมากกว่าแค่คนรู้จัก เขาคือยอดมนุษย์ที่ผมยังนึกไม่ออกว่ามีอะไรอีกมั่งที่เขาทำไม่ได้ (ถ้ามีเงินมากพอ ผมขอดอกจันทร์ไว้เลยสามร้อยล้านดอก) แม้กระทั่งวิกฤตหลาย ๆ อย่างในชีวิตของผม ที่ผ่านพ้นเป็นตัวเป็นตนได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากพี่มันนี่นั่นแหละครับถึงได้อยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้

“คุณสบายใจจริง ๆ เหรอที่คบกับคนที่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ในหัวน่ะ” เขาตั้งคำถาม ผมเอียงคอแล้วพูดตอบกลับ

“โช คุณใสซื่อเกินไปหรือไม่เข้าใจกันแน่ ผมขอยกคำพูดพี่มันนี่มาพูด เลยแล้วกัน โอเค ในมุมมองของสายตาคนอื่นทั่วไป พี่มันนี่อาจจะเป็นคนร้าย ๆ ขอแค่เงินถึงคุณก็ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็แฟร์ในความสัมพันธ์ของคนสองคนไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเรายังมีผลประโยชน์ต่อกันและกัน ก็ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าสักวันคนอีกคนจะตีจาก

ในทางกลับกัน ต่อให้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์หรือเงินทอง คุณมั่นใจได้ไงว่าเราจะสนิทชิดเชื้อหรือไม่หักหลังกันในภายภาคหน้าแค่เพราะเราไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องผลประโยชน์ และว่ากันตามจริง เราทุกคนต่างก็มีผลประโยชน์ต่อกันและกันไม่ทางใดทางหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ เราถึงมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างต่อกัน”

ผมว่า เรานิ่งไปก่อนผมจะพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของเขา

“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่เชื่อผมเถอะ พี่มันนี่นะ แม้เงินจะซื้อทุกอย่างได้ในชีวิตของพี่เขา แต่เงินไม่ใช่คำตอบที่พี่เขาอยากได้จากผมหรอก อยากให้คุณ สบายใจได้จริง ๆ ครับ” ผมยืนยันอีกครั้ง กับคำถามที่ผมก็เคยถามกับตัวเองมาก่อน ถ้ามีใครสักคนที่สังคมมองว่าเขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่เขาก็ประพฤติดีกับคุณ คุณจะเลือกอะไรระหว่างเชื่อในสิ่งที่สังคมเชื่อ หรือเชื่อในตัวเองอย่างมีสติ

แน่นอน ผมเลือกช้อยท์หลัง

“ถ้าคุณว่าแบบนั้น ผมก็สบายใจได้” เขาระบายลมหายใจออกมาพร้อมตอบกลับ ผมพยักหน้ายืนยันอีกครั้งให้เขาสบายใจ ก่อนเราจะเสร็จธุระ แล้วเดินออกไปสมทบพี่เขาที่หน้าร้าน

“คุณเอกครับ ยังไงเราก็ไม่รีบอยู่แล้ว ผมขอแวะร้านด้านล่างแป๊บหนึ่งนะครับ” พี่มันนี่ว่า พี่เอกแค่พยักหน้าตอบรับ ก่อนพี่มันนี่จะลากผมเดินนำไปข้างหน้าพร้อมปล่อยสองหนุ่มเดินตามหลังต้อย ๆ

“ไงเรา สบายดีไหม ? ได้ทาครีมกันแดดบ้างรึเปล่า” พี่มันนี่ว่า พร้อมจับแขนผมทั้งสองข้างพลิกดูไปมา

“สบายดีครับพี่ ส่วนกันแดด...แหะ ๆ” ผมพูดค้างพร้อมหัวเราะแก้เก้อ แล้วเกาหัว พี่มันนี่ขยี้หัวผมอีกครั้งก่อนจะลากเข้าร้านค้า แล้วซื้อสารพัดครีมกันแดด บำรุงผิว และมาร์กหน้าอีกจำนวนหนึ่งใส่ถุงก่อนจะยื่นให้ผม

“เอาไปใช้ พี่ให้” พี่มันนี่ว่าง่าย ๆ ผมยกมือขอบคุณในความหวังดีของพี่มันก่อนจะรับไว้

“อย่าลืมวางแผนเรื่องการไปดัดฟันด้วย รู้ไหม ไหนอ้าปากซิ” เขาบอก ผมทำตามแต่โดยดี พี่มันนี่ก้มหน้าลงมาดูช่องปากผมก่อนจะนับตัวเลขคร่าว ๆ

“ว่าง ๆ ไปถอนหรืออุดฟันที่โรงพยาบาลรัฐก่อนก็ได้ เรามีสิทธิประกันสังคมของพวกแรงงานใช่ไหม?” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่มันนี่เกาคางก่อนจะพูดต่อ

“ไปถอนฟันซี่ในสุดก่อนก็ยังดีเพราะมันผุจนเหลือแต่รากแล้ว แล้วค่อย ๆ ทยอยเคลียร์ช่องปากให้ครบด้วย หินปงหินปูนก็ไปขูด ๆ ซะ แล้วค่อยเก็บเงินไปทำฟันนะ”

“ครับ”  ผมหัวเราะเขิน ๆ ในความเป็นเด็กน้อยของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้า คนอีกคนที่ไว้วางใจได้เท่าเพื่อนสนิทคนหนึ่ง พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นสองหนุ่มยืนทำหน้าบูด ไม่พูดไม่จา แต่ก็แอบเห็นนะว่าเขาแอบคุยกันโดยมองมาที่ผมเป็นระยะ ๆ น่ะ นี่อย่าบอกนะว่าโชรู้จักกับคุณเอกด้วย ทำไมไม่เห็นเขาทักทายกันเลยล่ะ?

ผมตั้งข้อสงสัยในใจแต่ไม่ได้ถามอะไร หลังจากเสร็จธุระในการถูกอบรมทั้งเรื่องส่วนตัวและไม่ส่วนตัวจากพี่มันนี่ พร้อมทั้งวิธีการทาครีม การทานอาหาร การดูแลตัวเองในเวลาไม่นานแล้ว เราก็เดินมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่งในห้าง

“4 ที่ครับ” ผมบอกบริกร ด้วยความอาวุโสน้อยสุดในทั้งสี่คนที่เดินด้วยกันมา บริกรยิ้มต้อนรับก่อนจะนำพวกเราทั้ง 4 คนไปนั่งที่โซนหนึ่งในมุมร้าน ผมนั่งลงตรงข้ามพี่มันนี่ ก่อนที่สองหนุ่มจะนั่งตรงข้ามกัน ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกเหมือนเห็นตัวนากกับแมวน้ำกำลังนั่งจ้องหน้ากันอย่างบอกไม่ถูก

“เอาล่ะ ก่อนอื่นผมอยากให้ดูสไลด์นี้ครับ” ผมว่า พร้อมฟอร์เวิร์ดเมล์ไปที่ไลน์พี่มันนี่ ไม่ต้องบอกต่อพี่มันนี่ก็จัดแจงดึงเข้าไอแพดของตัวเองแล้วกางจอออกมาให้คุณเอกดูตาม

“อันนี้คือสรุปงบประมาณของโครงการเมื่อปีที่แล้วกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งการประเมินแผนงานล่วงหน้าของปีหน้าหรือก็คือปีนี้ครับ” ผมว่า ก่อนจะรอให้พี่มันนี่ช่วยไล่ลำดับไทม์ไลน์ให้คุณเอกดู เจ้าตัวรับไอแพด แล้วสไลด์หน้าดูไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมเดาว่าคงเป็นการอ่านแบบ skim คร่าว ๆ เพื่อรอให้ผมพูดต่อ

“จากที่สถิติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าค่ายอาสาพัฒนาชุมชนของมหาวิทยาลัยของเรา สามารถทำให้ชุมชนมีแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสมแก่เยาวชนในพื้นที่  และกระตุ้นให้เด็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยซัพพอร์ตให้พวกเขาเหล่านั้นมีองค์ความรู้ที่เท่าเทียมกันกับเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่เจริญแล้วในประเทศได้” ผมกล่าวสรุปโดยย่อ

“แล้ว?” คุณเอกตั้งคำถาม ผมสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะอธิบายในสิ่งที่พวกผมต้องการ

“แผนงานในปีนี้คือการต่อยอดจากแหล่งการเรียนรู้ดังกล่าว แม้จะมีองค์ความรู้ที่ดีแต่การเรียนรู้ผ่านหนังสือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับการเรียนการสอนโดยตรงกับมนุษย์ด้วยกัน โดยอาศัยงบประมาณการสนับสนุนจากทางบริษัทผู้สนับสนุนในการจัดจ้างนักศึกษาที่ต้องสอนพิเศษให้กับเด็ก ๆ  ผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้น โดยเล็งเห็นว่ามันสมควรเป็นโครงการระยะยาว ทั้งตัวมหาวิทยาลัยเองและตัวบริษัทครับ” ผมกล่าวต่อ คุณเอกกระแอมไออีกครั้งก่อนจะตั้งคำถาม

“ผมพอเข้าใจจุดประสงค์ของคุณนะ แต่คุณต้องไม่ลืมว่าบริษัทผม เป็นบริษัทธุรกิจของเอกชน ไม่ใช่องค์กรการกุศล” คุณเอกพูดพร้อมมองผมด้วยสายตาคมกริบ โชคเข้าข้างผมนิดหน่อยที่พี่มันนี่เอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างคุณเอกเบา ๆ

“คุณ ไม่ต้องกดดันเด็กมันมากขนาดนั้นก็ได้” พี่มันนี่ว่า คุณเอกยักไหล่ก่อนจะตอบกับผม

“ไม่นะ ผมไม่ได้กดดัน ผมพูดจริงจัง ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว แต่มันคือภาระผูกพันระยะยาวกับองค์ประกอบทุกองค์ประกอบที่จะดึงเข้ามาร่วมกันในงานนี้ คำถามของผมคือโจทย์ที่น้องจะต้องเอาไปปรึกษากับทีมและทางมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ว่ามันสามารถเป็นไปได้จริงแค่ไหน

ถ้าทำแล้วนักศึกษาที่จะคัดเลือกมาจะคัดเลือกมาแบบไหน จะมีตารางการสอนยังไง แล้วกลุ่มเด็ก ๆ ที่มาเรียนจะได้ประโยชน์อะไรกลับมา มีแบบประเมินหรือหลักประกันอะไรไหมว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาทั้งตนเองและพื้นที่ท้องถิ่นให้พัฒนายิ่งขึ้นไปได้จากการสนับสนุนของบริษัทและนักศึกษาแบบพวกคุณ

ตัวโครงการจะวาดภาพฝันสวยหรูขนาดไหน แต่หน้างานทุกงานย่อมมีปัญหาเป็นของมัน บริษัทของผมไม่ใช่องค์กรการกุศล เราบริจาคได้ เราทำ CSR ได้ แต่นั่นหมายความว่าบริษัทของเราต้องได้ประโยชน์จริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า ดีลที่ดีคือดีลที่ทุกฝ่ายได้ แต่ดีลที่ดีกว่าสำหรับนักธุรกิจคือดีลที่บริษัทลงทุนไปแล้วได้ประโยชน์อะไรกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม” พี่เอกกล่าวเสียงเรียบ เว้นวรรคให้ผมคิดตาม ซึ่งทั้งหมดนั้น มันไม่ได้ผิดเลย

สเกลโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มากๆ จริง ๆ ที่ผมตั้งใจเสนอกับทางมหาวิทยาลัย ผมเสียดายนิดหน่อยที่อาจจะไม่ได้งบประมาณสนับสนุน แต่อย่างน้อยก็ถือว่าสักครั้ง ผมมีโอกาสได้นำเสนอในสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำแล้ว พอเห็นผมทำสีหน้าแบบนั้นแล้ว

“....เพราะฉะนั้นแล้ว ไปประเมินความเสี่ยงทั้งหมดมา ผลดี ผลเสีย แนวทางการเป็นไปได้ที่จะคุยกับภาคเอกชนบริษัทอื่น ๆ ตลอดไปจนถึงการหาแนวร่วมจากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่น ทำสรุปมาให้ผมอ่านอย่างชัดเจน พร้อมสรุปงบประมาณที่คาดการณ์ว่าจำเป็นต้องใช้”

ผมตาโตขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดสุดท้าย นั่นหมายความว่างบประมาณที่ต้องการอาจจะยังมีความเป็นไปได้ แม้จะต้องทำการบ้านหนักเพื่อเสนออีกครั้งตามที่คุณเอกว่ามา แต่แค่โครงการนี้มีความเป็นไปได้ มันก็คุ้มค่าแล้วที่จะทุ่มเทกับมันสักตั้ง

“ขอบคุณครับคุณเอก ขอบคุณมาก ๆ ครับ” ผมว่าพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ คุณเอกอมยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ

“เห็นแก่ความตั้งใจของคุณ ผมจะไม่ถือสานะ ที่คุณถือโอกาสมัดมือชก ดึงผมมาคุยอย่างอุกอาจแบบนี้ แต่ทีหลังแล้วถ้าอยากจะดีลเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ จงใจเย็นและค่อย ๆ เข้าหาเหยื่อมากกว่านี้... ถ้าไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจหรือแนวร่วมภาคเอกชน คุณลองสอบถามคนที่อยู่ข้าง ๆ คุณก็ได้” พี่เอกว่า ผมหันไปมองหน้าโชที่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เจ้าตัวทำแค่ยักไหล่โดยไม่สนใจการพาดพิงดังกล่าว

ปรึกษาเรื่องธุรกิจกับนักเขียนเนี่ยนะครับคุณเอก?

“ยังไงผมต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณเอก ที่รับฟังและสนับสนุนโครงการของพวกผมมาโดยตลอด และขอโทษอีกครั้งนะครับหากกิริยาที่ผมแสดงออกในวันนี้อาจจะทำให้คุณเอกเกิดความไม่สบายใจหรือไม่พอใจ” ผมว่า พร้อมยกมือขอโทษอีกครั้ง คุณเอกยกมือรับไหว้ก่อนจะหันไปพูดกับพี่มันนี่

“คุณนี่เทรนด์รุ่นน้องออกมาเหมือนกัน พิมพ์เดียวกันเปี๊ยบเลยนะ” คุณเอกแซว พี่มันนี่ยิ้มก่อนจะหุบยิ้มเมื่อคุณเอกพูดประโยคถัดไป

“ทั้งฉลาด ทั้งกล้าบ้าบิ่น ทั้งเจ้าเล่ห์ รู้จักทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เหมือนกันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องไม่มีผิด..โอ๊ย!”

และรางวัลของคนขี้แซะ ก็เป็นศอกขาว ๆ ของพี่มันนี่ที่กระทุ้งเข้าที่สีข้างคุณเอกอีกครั้ง ผมอู้วเบา ๆ ในใจเมื่อคุณเอกเปลี่ยนสีหน้าแอบเจ็บแต่ไม่แสดงออก ส่วนคนข้าง ๆ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียแบบนั้น

“เอาล่ะ วันนี้ก็พอหอมปากหอมคอ นี่ก็เย็นแล้ว คงได้เวลากันแยกย้ายกันไปตามทาง ยังไงคุณทำรายละเอียดเสร็จหมดแล้วก็ส่งมาที่คุณเลขาของผมก็แล้วกันนะครับ” คุณเอกกล่าวสรุป

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

หลังจากนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในแวดวงข่าวสารบ้านเมือง เราก็เช็กบิลพร้อมเคลื่อนย้ายกันออกมาอยู่บริเวณหน้าร้าน พี่มันนี่กอดพร้อมลูบหัวผมขึ้นลงอีกครั้ง

“พี่ดีใจมาก ๆ นะที่เราโตขึ้นมาขนาดนี้ ทั้งสิ่งที่บอกพี่ไว้ว่าอยากจะทำ แล้วเราก็กำลังทำมันจริง ๆ  แต่อย่าลืมที่พี่บอก กลับไปบำรุงและดูแลตัวเองด้วย และจะดีมาก ๆ ถ้าเราสรุปให้พี่ได้สักทีว่าจะเริ่มทำการเคลียร์ช่องปากและจัดฟันตอนไหน” พี่มันนี่ว่า ผมพยักหน้าและกอดพี่มันนี่อีกครั้ง

“เอาล่ะ พี่กับคุณเอกต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว แล้วยังไงติดต่อมาที่อีเมล์พี่นะครับ” พี่มันนี่กล่าวสรุป ผมพยักหน้าก่อนจะยกมือไหว้คนทั้งสองคนซึ่งก่อนจะเดินจากไปก็ยังไม่วายหันหลังมามองหน้าโชอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำอะไรนอกจากทำตัวนิ่ง ๆ ราวกับว่าบทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพาดพิงอะไรถึงเขา

“คุณนี่รู้จักคนไปทั่วเลยนะ” โชว่า ผมหันไปเหล่ตามองก่อนจะพูดกับเขา

“จริง ๆ คนที่ควรพูดประโยคนั้นควรจะเป็นผมนะ” ผมหันไปมองหน้าเขาตรง ๆ แต่ไม่เอ่ยคำถามที่สงสัยออกไปในใจ และเหมือนโชจะมองออกว่าผมคิดอะไร เจ้าตัวเอามือมาตบหัวผมเบา ๆ ก่อนจะว่า

“ผมย่อยแล้ว ไปเดินคิโนะแล้วไปดูหนังกัน”

“คุณอยากได้หนังสือเหรอ?” ผมถาม

“เปล่า อยากไปดูต่างหากว่าหนังสือของผมขายได้ไหม” เขาตอบ ผมร้องอ๋อเที่ยวหนึ่งก่อนเราทั้งสองคนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปสู่ชั้นด้านบนก่อนโรงหนัง

โชดูจะไฮเปอร์เป็นพิเศษเมื่อเดินมาถึงร้านคิโนะ เจ้าตัวค่อย ๆ เดินด้อม ๆ มอง ๆ ก่อนจะผายมืออย่างภาคภูมิใจไปที่ชั้นหนังสือด้านหน้าที่จัดโชว์นิยาย

“เวลามาเห็นหนังสือที่ตัวเองเขียนอยู่ด้านบนชั้นวางขายเนี่ย มันดีจริง ๆ เลยเนาะ” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย และแอบเห็นประกายของความสนุกสนานภายในสายตาของเขา เมื่อรอไม่นานเท่าไหร่นักก็มีวัยรุ่นสองสามคนมามุงดูที่แผงชั้นหนังสือ ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงเนื้อหาและตัวละครอย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมหยิบหนังสือของโชติดมือไปด้วย 1 ชุด

“รู้สึกยังไงบ้างกับคำวิจารณ์” ผมถาม หลังลับสายตาเด็กกลุ่มนั้น

“ก็โอเค” โชว่า ตามองเด็กกลุ่มนั้นเดินไปจ่ายเงิน

“แม้มันจะเป็นคำวิจารณ์ที่รุนแรงไปนิดหนึ่งอ่ะนะ?” ผมถามจากบทสนทนาดังกล่าว โชยักไหล่ก่อนจะพูดตอบกลับมา

“สิทธิ์ของคนอ่านคือการวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนของคนเขียน สิทธิของคนเขียนคือการคัดกรองเอาสิ่งที่เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ มิใช่การด่าทอ มาใช้ในการนำมาปรับปรุงและพัฒนางาน สำหรับผมแล้ว ต่อให้เป็นคำต่อว่าหรือไม่พอใจ หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ผมก็สามารถรับฟังได้ ไม่ได้รู้สึกแย่ที่เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อในท้ายที่สุด” โชตอบผมกลับอีกครั้ง ก่อนเราจะเดินวน ๆ ดูหนังสือแปลออกใหม่ที่น่าสนใจหลาย ๆ เล่ม

ผมขอแยกไปเดินดูหมวดหมู่เกมออนไลน์ที่ออกใหม่ ส่วนโชเดินไปดูโซนหนังสือ หลังจากพยายามค้นหานิยายเกมออนไลน์ที่กำลังติดตามและค้นพบว่าไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่ ผมก็เตรียมหันหลังกลับเตรียมจะเดินไปหาโช ก่อนจะพบว่ามีร่างของใครบางคนขวางทางอยู่พร้อมกับกลิ่นฉุนบางอย่างที่ขึ้นจมูกทันทีที่ผมหันไปชนกับร่างของเขา

กลิ่นนิโคตินจัด ๆ ที่ผมเพิ่งเคยได้กลิ่นเมื่อไม่นานมานี้...

“สวัสดี คุณคนในโปสเตอร์”

เสียงแหบแห้งเหมือนคนร้องเพลงจนเสียงขาดกล่าวขึ้น หมอนั่นฉีกยิ้มให้ผมก่อนจะขยับตัวถอยห่างหลังจากผมหันไปชนเต็มอกของเขา ผมเงียบและใช้ความคิดพิจารณาเขาใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้เขาดูแต่งตัวเป็นผู้เป็นคนขึ้นจากวันนั้นที่เราเจอกัน ดวงตาสองข้างยังตาโบ๋เหมือนคนไม่ได้นอนตามเดิม แต่พออยู่กับทรงผมที่จัดทรงหน่อย ๆ แล้ว อดจะยอมรับไม่ได้เลยสักนิดว่าหมอนี่ควรจะเป็นสเป็คผู้หญิงบางกลุ่มที่ชอบผู้ชายแนวแบดบอย

แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกมาผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลังอีกครั้ง

“คุณมีหนังสือที่สนใจไหม” โชว่า ผมหันกลับไปมองเขาที่เดินมาหาก่อนจะตอบกลับ

“ไม่มีนะครับ” ผมว่า พลางหันกลับไปมองด้านหลัง

หมอนั่น..หายไปจากบริเวณนั้นแล้ว

“คุณมองหาใครเหรอครับ?” โชถาม หลังผมสอดสายตามองไปมาทั่วร้าน แต่ก็ยังไม่เห็นเขา ผมส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะยักไหล่ แล้วเดินไปใกล้ ๆ โช

“ผมว่าเราขึ้นไปที่โรงหนังเถอะครับ นี่ก็ใกล้เวลาที่รอบหนังจะเริ่มฉายแล้ว” ผมว่า

“โอเค ซื้อป็อปคอร์นด้วยเนาะ?” เขาถาม ผมพยักหน้าก่อนเราจะก้าวออกมาจากคิโนะ แล้วเตรียมก้าวขึ้นบันไดเลื่อน

“ผมชอบรสหวาน”

“งั้นเอาชีสกับหวานเนาะ ผมชอบชีส” เขาว่า ผมพยักหน้าไม่ขัดศรัทธา ก่อนที่เราจะคุยกันถึงตัวอย่างภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าไปดู พร้อมผลัดกันเล่นมุกในหนังภาคแรกที่เข้าโรงไปในปีที่แล้ว

ผมหันหลังหัวเราะ พิงที่จับบันไดเลื่อน ก่อนสายตาจะหันไปเห็นเขา

....เขาคนนั้นที่กำลังฉีกยิ้มให้ผมอย่างเศร้าสร้อย พร้อมคิ้วข้างหนึ่งที่ยักขึ้นในลักษณะกวนอย่างถึงที่สุด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 01:28:32 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #65 เมื่อ01-10-2018 22:28:26 »

 :L1: :กอด1:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #66 เมื่อ01-10-2018 22:48:23 »

พ่อหนุ่มยาสูบมีบทแล้ว  :-[

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #67 เมื่อ01-10-2018 23:58:29 »

ใครเอ่ย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #68 เมื่อ02-10-2018 00:22:19 »

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
«ตอบ #69 เมื่อ03-10-2018 01:03:54 »

เป็นนิยายที่อ่านแล้วได้มองอะไรๆในมุมใหม่ๆ o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.12 Mr.Money | P3 | 01/10/2561
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-10-2018 01:03:54 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.13 Problems of each Person




เช้าวันใหม่ของผมเริ่มต้นอีกครั้งหลังโชพาผมกลับมาส่งถึงหอพักอย่างปลอดภัย กว่าทุกอย่างจะจบลงก็ราว ๆ เกือบสามทุ่ม ผมอาบน้ำ ทำงานที่ค้างนิดหน่อย ก่อนจะหลับไปอย่างง่ายดาย เพราะนอนไว วันนี้เลยตื่นไวกว่าปกติ ผมฮัมเพลงแล้วก้าวเท้าลงจากรถราง พร้อมเดินฉับ ๆ  เข้าไปที่คณะ พลางมองหากลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง เอาล่ะ เช้านี้มันต้องเป็นเช้าที่สดใส

“แต่มึงก็ไม่ควรไปพูดใส่พลอยมันแบบนั้นป่ะวะ?” ผมก้าวเท้าถึงตอนที่ไอ้ส้มพูดพอดี

โอเค จากประโยคแรกที่ผมได้ยินหลังจากมาถึงวงสนทนา บ่งบอกให้ผมทราบว่าตอนนี้เกิดสถานการณ์ไม่ปกติขึ้น ผมมาทันพอจะเห็นไอ้พลอยเก็บข้าวของลุกเดินหนีออกจากกลุ่มไปเฉย ๆ พร้อมสีหน้าสำนึกผิดของเจ้ามาร์ที่คาดว่าน่าจะไปทำอะไรไว้ไม่ดีอีกแล้ว

“กูฝากกระเป๋าด้วย เดี๋ยวกูไปตามพลอยให้” ผมว่าง่าย ๆ เพื่อนทุกคน  พยักหน้าก่อนเจ้ามาร์จะโดนรุมประชาทัณฑ์ทางสายตาและวาจาต่อไป ผมเดินตามหลังพลอยไปไว ๆ ก่อนมันจะเดินไปหยุดตรงลานจอดรถยนต์ของคณะ

“มึงโอเคป่ะ?” ผมถาม มันส่ายหน้า แล้วทรุดตัวนั่งลงตรงที่กันรถตก

“แดกไหม?” ผมถามง่าย ๆ อีกครั้งพร้อมยื่นหมากฝรั่งไปให้ ไอ้พลอยรับไปแต่โดยดี ก่อนผมจะเขยิบไปนั่งข้าง ๆ มัน

“มันว่าอะไร? ” ผมถามต่อ พลอยนิ่งไปสักพัก ไม่ตอบคำถาม แต่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแทน

“สัส สูบไฟฟ้าดิ ไม่เอาอันนี้” ผมว่าพลางดึงบุหรี่มวนมาจากปากมัน มันจิ๊ปากมองจิกผมอย่างเอาเรื่อง แต่แน่นอนล่ะ ผมไม่โอเคกับการให้เพื่อนสูบบุหรี่เป็นมวนจริง ๆ ครับ พอเห็นผมไม่ยอมมันก็เลยควักที่ดูดบุหรี่ไฟฟ้าออกมานั่งสูบแทน พร้อมส่งให้ผม แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธมัน เรานั่งเงียบกันไปอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนมันจะเอนหัวลงมาซบเสื้อผม

“มึง”

“ว่า”

“ห้ามหัวเราะกูเด็ดขาด กูซีเรียส” มันว่า พลางเงยหัวแล้วมองตาผม

“เออ กูไม่หัวเราะปัญหาของเพื่อนหรอก” ผมว่า พลางมองตามันกลับ แววตามันสั่นระริกก่อนจะพูดออกมา

“เมื่อคืน..กูมีอะไรกับเป้” มันว่า ไอ้เป้คือแฟนมัน แต่ผมว่านั้นไม่น่าใช่ประเด็นซีเรียสเท่าไหร่ เพราะเพื่อนกลุ่มผมไม่น่าจะเขินอายกับแค่การมีเพศสัมพันธ์

“มันเสร็จไปสามน้ำ” ไอ้พลอยว่า เว้นวรรคอีกครั้งก่อนจะสูบบุหรี่เข้าไปเฮือกใหญ่ ๆ มองหน้าผมแล้วพูดต่อ

“แต่กูไม่เสร็จสักน้ำ”

“อ่า...” ผมครางรับ เข้าใจทันทีว่าปัญหาของมันคืออะไร

“กูหงุดหงิด แล้วเช้ามาไอ้มาร์แม่งก็ดันล้อกูถูกจุดพอดี มันถามกูว่า ‘เมื่อคืนผัวทำไม่เสร็จเหรอมึง?’ ซึ่งถ้าเป็นกูวันปกติก็คงแค่ปาเหี้ยอะไรใส่หน้าแม่ง แต่วันนี้มันดันล้อเรื่องจริงกูพอดี กูเลยแบบ...ขอโทษ” มันว่าพลางส่ายหน้าในตอนท้าย

“มึงจะขอโทษทำไม รอบนี้คนผิดคือไอ้มาร์ มันหยอกมึงแรงไป” ผมให้ความเห็นแบบเป็นกลาง

“ก็ถูก แต่กูก็ควรจะชินนิสัยเพื่อนไง ไม่ควรลุกออกมา” ไอ้พลอยว่า

“ไม่ ๆ กูไม่อยากให้มึงชินนิสัยกู” ไอ้มาร์เดินมาตอนไหนไม่รู้ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงตรงข้าง ๆ ไอ้พลอยแล้วพูดต่อ

“ฟังกูก่อน กูได้ยินแล้ว กูพูดก่อนเลยว่ากูขอโทษในความปากหมาของกู คือกูเข้าใจว่าเราสนิทกัน แต่บางทีกูก็ลืมคิดถึงใจมึง มองข้ามความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนไปเพราะแค่เราสนิทกัน กูไม่อยากให้มึงต้องเสียความรู้สึกแล้วเก็บไว้เพราะแค่ชิน เพราะแค่มันเป็นนิสัยกู อันไหนถ้ากูเหี้ย ด่ากู ให้กูปรับปรุงตัว แล้วให้อภัยกูนะ” มันว่า ไอ้พลอยพยักหน้ายิ้มหวานก่อนจะพูดต่อ

“เออ ก่อนให้อภัยขอด่ามึงก่อน อีสัส ผัวกูทำไม่เสร็จจริง ๆ เวรเอ๊ย” พลอยสบถแบบติดตลกก่อนพวกผมจะหัวเราะพร้อมกัน แล้วกลับมาซีเรียสกันอีกครั้ง

“เอางี้มึง กลับไปนั่งคุยกันที่โต๊ะก่อน ส่วนมึงไอ้มาร์ ข้อหาปากดี วันนี้มึงต้องไปซื้อน้ำให้เพื่อนทุกคน” ผมว่า ไอ้มาร์อ้าปากเหมือนจะถามว่าเกี่ยวอะไร แต่พลอยก็ชิงตอบก่อน

“กูเห็นด้วย ข้อหาทำร้ายจิตใจคนสวยแบบกู” พอโจทย์พูด ไอ้มาร์ก็เบะปากตกลงอย่างเสียไม่ได้ และเพราะมันง้อกันเสร็จแล้ว เราเลยมูฟกลับไปกันที่โต๊ะอีกครั้ง ก่อนทุกคนจะสงบนิ่งแล้วรอให้ไอ้พลอยพูดปัญหาของมัน

“เฮ้อ เมื่อคืนเป้มาหากู เรามีอะไรกัน....สัสอย่ามองหน้ากู กูรู้ว่ากำลังทำอะไร ป้องกันเสมอ ถุงยางติดห้องก็มี” ไอ้พลอยว่าหลังทุกคนทำหน้าสงสัยในดีเทล พอมันตอบแบบนั้นเพื่อน ๆ ก็พร้อมใจกันพยักหน้าให้มันเล่าต่อ

“ปัญหาคือ เป้มันเสร็จไวอ่ะ คือแง่หนึ่งกูก็ดีใจนะว่าแฟนกูไม่ได้ชำนาญอะไรมากเพราะก็เข้าใจว่ามันโฟกัสแต่เรื่องเรียน แต่อีกใจก็แบบ กูรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบ คือมันขึ้นสวรรค์ไปสามรอบ แต่กูอ่ะ? ทำไมกูถึงโดนปล่อยทิ้งไว้ทั้ง ๆ ที่มันเป็นกิจกรรมเป็นคู่วะ? แล้วกูพูดไม่ได้ด้วยนอกจากเล่าให้พวกมึงฟังเนี่ย” มันว่าพลางก้มหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะ

“อันนี้กูเข้าใจไอ้พลอย ปัญหาผัวเมียเนี่ยพูดยากมากที่สุดในโลกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องเสร็จไม่เสร็จ ผู้ชายมันเคยใส่ใจที่ไหนว่าเราถึงรึยัง มีแต่จะเอาตัวเองสบาย” ไอ้ส้มว่า

“มึง แต่กูขอพูดหน่อยได้ไหมอ่ะ ในฐานะความเป็นผู้ชายสักครึ่งหนึ่งของกูก็ได้” ดาวตกกระแอมตอบ ก่อนจะพูดต่อ

“คือกูก็เคยมีอะไรกับผู้หญิงไง แล้วทีนี้มึงต้องเข้าใจว่ากูไม่ใช่ผู้หญิง กูไม่รู้ว่า ‘ถึงแล้ว’ ของผู้หญิง มันคือตรงไหนนึกออกไหม? โอเคใช่ ผู้ชายหลาย ๆ คนอาจจะไม่สนใจ แต่ผู้หญิงเองในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ทำกิจกรรมด้วยกัน ก็ควรบอกกันแบบตรงไปตรงมาไหมว่าต้องการให้ทำอะไรบ้าง” ดาวตกว่า

“อันนี้เคสที่กูเคยเจอ ปกติแล้วรับก็เสร็จยากกว่ารุกเหมือนกัน รับหลาย ๆ คนก็ไม่ค่อยบอกนะว่าตัวเองเสร็จไม่เสร็จ บางคนเขาก็ไม่ได้อยากเสร็จอ่ะ เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เอาให้กูเสร็จก็พอ เพราะถ้าเขาเสร็จก่อนเขาจะไม่มีอารมณ์ให้สอดใส่ เพราะมันจะกลายเป็นเจ็บแทนไปเลย” ไอ้มาร์ออกความเห็น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนทั้งสองคน

“มึงว่ากูควรบอกเป้ถูกมะ?” ไอ้พลอยเงยหน้ากับโต๊ะถาม

“ควร” ทั้งโต๊ะประสานเสียงตอบ

“กูเข้าใจเรื่องความไม่คุ้นชินกับการต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นคุยเรื่องนี้ แต่ยังไงถ้าจะคบกันต่อเซ็กซ์มันก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตคู่อ่ะมึง มึงอาจจะอดทนไปได้ แต่มันจะอดทนไม่ได้ตลอดไง แล้วสุดท้ายพอมันสะสมขึ้นมา กลายเป็นระเบิดเวลา เกิดมึงทะเลาะกันปุ๊บ เท่านั้นแหละ มึงอาจจะเผลอพูดประเด็นนี้ก็ได้” ผมว่า ไม่อยากให้เพื่อนสร้างระเบิดเวลา

“แล้วจริง ๆ เป้มันก็ไม่ได้ผิดด้วย มันมีมึงเป็นแฟนคนแรก ทั้งชีวิตมัน อาจจะไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ได้ว่าผู้หญิงก็ต้องการไปถึงฝั่งฝันเหมือนกัน กูว่าถ้าไม่บอกมันก็ดูไม่แฟร์กับเป้อ่ะ เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำผิดอะไร ในเมื่อมันเป็นดีลของคนสองคนพวกมึงก็ควรจะคุยกันนะ” ทิพย์กล่าวสรุป ไอ้ส้มถอนหายใจออกมาอีกเฮือกแล้วพูดต่อ

“กูควรเริ่มต้นพูดยังไงดีวะ? เอาจริง ๆ แบบไม่เผาผัวตัวเองนะ มึงเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่ทำอะไรกันกูต้องเป็นคนสอนเป้มันใส่ถุงยาง แล้วตอนนั้นแม่งทำหน้าเหวอไปเลยว่าทำไมกูใส่เป็น กูก็เนียน ๆ แถไปว่าไปดูจากอินเตอร์เน็ตมา มันก็ดูเชื่อ ๆ แหละ แต่เอาจริง ๆ กูก็ไม่อยากโกหกมันว่ามันเป็นคนแรกของกูอ่ะ” พลอยว่า ผมพยักหน้าขึ้นลงเข้าใจเพื่อน

“เมื่อไหร่ที่นี่มันจะเท่าเทียมกันจริง ๆ ซะทีวะ การมีเซ็กซ์ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าป้องกันและดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ควรถูกมองด้วยสายตาที่ไม่โอเครึเปล่าวะ จะบอกว่าไม่ต้องไปแคร์สายตาใคร ก็กูยังเป็นมนุษย์อ่ะ ปลดปลงได้แค่บางเวลา ยังไม่ได้นิพพานนะเว้ย จะได้ไม่คิดอะไรกับคำพูดคน” ไอ้พลอยบ่นอีกระลอก เราทุกถอนหายใจออกมาปลดปลงพร้อมกันด้วยความเข้าใจเพื่อน

“จริง ๆ เรื่องนี้ก็ควรถูกพูดถึงนะ ในหลาย ๆ ความหมายเลย เวลาเจอ Topic อะไรเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์แล้วผู้หญิงเป็นคนพูดถึง หรือในแง่ของความไม่เวอร์จิ้นเนี่ย กูชอบเจอแต่คอมเม้นท์อะไรก็ไม่รู้ โคตรประเทศโลกที่สาม” ไอ้ทิพย์ว่า ทุกคนพยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยอีกครั้ง

“จุ๊ ๆ มึงอย่าพูดดังไป เดี๋ยวคณะข้าง ๆ เขาหาว่าเราเหยียดประเทศอีก” ไอ้มาร์ยกมือจุ๊ ๆ พวกเราทุกคนหัวเราะกันเบา ๆ อีกครั้งในความทะเล้นล้อเลียน ดราม่าของคณะข้าง ๆ คณะเรา

“เหยียดแป๊ะอะไร ในหนังสือเรียนก็เขียนอยู่ว่าประเทศโลกที่สาม คือประเทศที่กำลังพัฒนา ถ้าไม่พอใจที่มีคนบอกว่าประเทศตัวเองเป็นประเทศโลกที่สาม คุณต้องไปประท้วงหน้ากระทรวงศึกษาธิการที่ออกหนังสือเรียนมาอธิบายแล้วล่ะ ว่าประเทศโลกที่สามคือประเทศกำลังพัฒนา” พลอยตอบแทนเพื่อน ผมหัวเราะเมื่อมันบังเอิญเป็นเคสที่ผมคุยกับโชบนรถยนต์เมื่อวานเรื่องการคิดไปเองระหว่างการเหยียดไม่เหยียด

เออว่ะ โช ... ผมควรให้เขาเอาประเด็นเรื่องนี้ไปเขียนด้วยดีไหมนะ?

ผมคิดในใจแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แอบเรคคอร์ดไว้ว่ามันก็เป็นมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจดี จริง ๆ ประเด็นนี้ก็แอบน่าสนใจในอีกแง่มุมหนึ่งในความคิดของผมเหมือนกัน จะว่าไปแล้วตัวละครเพศหญิงในนิยายวายหลาย ๆ เรื่อง ก็ไม่ค่อยมีบทบาทจริง ๆ นั่นแหละ มากสุดก็โผล่ออกมาประกอบซีนให้โลกใบนี้รู้ ว่ายังมีผู้หญิงแท้ ๆ อยู่ หรือถ้ามีบทบาทส่วนใหญ่ก็จะได้รับตำแหน่งตัวละครโง่ ๆ น่ารำคาญไอ้ให้คนอ่านด่าทอเล่น ไม่ก็เป็นตัวละครที่อยากได้พระเอก(ที่เคยเคลมว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ) เรื่องเหล่านี้แล้วจะว่าไป มันก็แอบไม่ต่างอะไรจากนิยายทั่วไป แค่เปลี่ยน Position ของสองเพศเท่านั้นเอง น่าสนใจจริง ๆ แฮะ ว่ามันเกิดจากการทับทบของระบบที่กดขี่ทางเพศทุกวันนี้อยู่รึเปล่านะ? ผมเก็บคำถามไว้ในใจ เตรียมไว้คุยกับโชต่อไป

“กูไม่ขออะไรมาก เอาแค่เริ่มต้นก่อนเลย เลิกเอาเรื่องเซ็กซ์มาผูกมูลค่า วัดความเป็นแม่ของลูกให้ผู้หญิงก่อน แหม ‘ใครจะอยากได้ผู้หญิงที่เคยนอนกับใครเป็นว่าเล่นมาเป็นแม่ของลูก’ ถามผู้หญิงพวกนั้นรึยังว่าเขาจะเอาเธอรึเปล่าก่อนไหม” ไอ้พลอยว่า สงสัยเพื่อนผมเริ่มอิน

“มึงแอบเหยียดนะ แต่อันนี้กูเห็นด้วย ฮ่า ๆ” ไอ้ทิพย์ตอบ พยายามเบรกเพื่อนเบา ๆ

“ก็สังคมชายเป็นใหญ่อ่ะมึง โครงสร้างสังคมมันมาแบบนี้ ก็ต้องค่อย ๆ กะเทาะเปลือกกันไป มรดกวัฒนธรรม ‘ความดีสำเร็จรูป’ ที่สืบทอดกันมา มันแก้กันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่มันก็เริ่มต้นที่จุดเล็ก ๆ แบบพวกเราเนี่ยแหละ ในเมื่อเรามีความรู้ ความเข้าใจมากกว่าแล้ว จากนี้เราก็ต้องค่อย ๆ สื่อสารกับคนในสังคม ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงมันเท่าที่พวกเราจะทำได้” ผมว่า ดีจริง ๆ ที่เจอเพื่อนที่มีแนวคิดเปิดกว้างคล้าย ๆ กัน ทำให้เราต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้

“เอาล่ะ ๆ ก่อนจะไปไกลถึงค่านิยมของคนในสังคม ตอนนี้ต้องสรุปประเด็นให้เพื่อนก่อน พลอย มึงต้องลองหาจังหวะคุยกับเป้ดูว่ามึงไม่โอเคเท่าไหร่ แล้วลองค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนแก้ไขกันไป แรก ๆ อาจจะเคอะเขินบ้าง แต่กูเชื่อว่า คนเป็นแฟนกันมันต้องค่อย ๆ ปรับให้กันและกันได้อยู่แล้ว” ไอ้มาร์ว่า

“เรื่องเสร็จช้า เสร็จเร็ว กูพอมีทริก” ไอ้ส้มพูด เพื่อนทั้งกลุ่มหันไปมอง

“กูว่ามึงควรให้ไอ้เป้ฝึกกับ Sex toy” ไอ้ส้มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พอเห็นเพื่อนทั้งกลุ่มไม่เกทพอยท์ มันเลยขยายความต่อ

“คืองี้ ก็อย่างที่เพื่อนทุกคนบอก ไอ้เป้มันเป็นเด็กคงแก่เรียน มันไม่ประสีประสากับเรื่องอย่างว่าถูกไหม? เพราะงั้นแปลว่ามันไม่รู้จังหวะในการควบคุมไงว่าตัวเอง จะหลั่งตอนไหนไม่หลั่งตอนไหน ไม่เชื่อมึงถามไอ้มาร์ ไอ้ทีได้ มันสองตัวควบคุมจังหวะได้ถูกไหม?” ไอ้ส้มว่าพลางโยนคำถามมาให้ผม

“ถูกนะ กูควบคุมได้ว่าจะเสร็จตอนไหนไม่เสร็จตอนไหน” มาร์ว่า

“เซม กูเกทพอยท์ไอ้ส้มแล้ว คืองี้มึง พอมันชำนาญมากขึ้น มึงจะกะจังหวะผ่อนปรนหรือเร่งเครื่องได้เว้ย มันจะรู้ว่าช่วงไหนที่จะ ‘คูลดาวน์’ ให้จังหวะ มันทอดเวลาต่อไปได้ แต่เรื่องนี้มันต้องอาศัยคนที่คุ้นชินประมาณหนึ่งอะไรงี้ ถึงจะรู้ว่าตัวเองควรค่อย ๆ ชะลอหรือเบรกจังหวะไหน ...ถ้าให้กูเดานะ ไอ้เป้มันรัวทีเดียวจบเลยถูกไหม?” ผมหันไปถามไอ้พลอยต่อ มันพยักหน้าขึ้นลงคอนเฟิร์ม ไอ้มาร์ดีดนิ้วแล้วแนะนำเพิ่ม

“งั้นก็ควรหาแบบที่เสมือนของจริงเลย คือต้องมีระดับความอุ่นของการสอดใส่ด้วย เพราะไอ้เป้มันคงแบบ เคยใช้มาแต่มือตลอดชีวิตใช่ไหม ? ถ้าเป็นแบบนั้นพอเจอความต่างของอุณหภูมิระหว่างมือกับช่องทางของผู้หญิง ก็ไม่แปลกอะไร ถ้าร่างกายมันจะตื่นตัวหลั่งไว” ทุกคนเห็นด้วยอีกครั้ง

“สรุป ไปคุยกับไอ้เป้มันซะ แล้วจูงมือกันไปซื้อ sex toy ด้วยกัน ค่อย ๆ ช่วยกันแก้ปัญหาซะ” ไอ้มาร์สรุปลงท้าย พลอยพยักหน้ารับคำ

“กูรักพวกมึงจัง ถ้าไม่ได้มีเพื่อนแบบพวกมึง ปัญหาแบบกูเนี่ยจะเอาไปปรึกษาใครได้วะ?”

“พุททอล์กพุทโทรไงมึง” ไอ้มาร์กล่าว ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง

“สมมติพี่ต้นหอมรับสาย ‘สวัสดีค่ะ วันนี้น้องพะยอมมีปัญหาอะไรจะปรึกษาพวกพี่คะ?’ อีพลอยตอบ ‘พี่ค่ะ แฟนหนูเสร็จไวค่ะ แก้ปัญหายังไงดีคะ?’ อีเหี้ย กูรับรองเรตติ้งทะลุปรอท ฮ่า ๆ” ไอ้ส้มว่าพลางเลียนแบบสมมติ

“อันนี้ซื้อ ๆ ไว้อันไหนกูไม่อยากปรึกษาพวกมึงจะแอบโทรไปพุททอล์กพุทโทร” ไอ้พลอยว่า ก่อนพวกเราจะหมุนวนประเด็นไปเรื่องอื่น แต่ผมก็แอบจดรายละเอียดหลาย ๆ ส่วนไว้เผื่อว่าจะได้นำไปใช้ในการเป็นโจทย์ให้กับโชอีกครั้ง

ประเด็นที่พลอยพูดเรื่องสังคมแวดวงที่พูดถึงเรื่องนี้ได้ ผมว่าค่อนข้างเป็นประเด็นที่น่าสนใจและไม่ค่อยมีใครพูดถึงจริง ๆ นะครับ อย่างสมมติ ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเกิดมีปัญหาแบบเพื่อนผมขึ้นมา แต่ไม่ได้มีคนที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดอก คนที่สามารถแลกเปลี่ยนสนทนาได้ทั้งจากมุมมองผู้ชาย (ครึ่งหนึ่ง) ผู้หญิง และเพศกลาง ๆ อย่างเพศที่สาม ก็คงยากที่จะเริ่มต้นคิดว่าตัวเองควรแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไงดี

...ถ้าโชได้นำไปเขียนบอกเล่าต่อก็คงดี

“มึงเหม่ออะไรเนี่ย” ไอ้มาร์หันมาสะกิดผม ก่อนผมจะหันไปมองหน้ามัน

“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ?” ผมถาม

“นั่นไง มันไม่ได้ฟังกูพูดจริง ๆ กูถามว่าสรุปคืนนี้มึงจะไปแน่ ๆ ใช่ไหม ไอ้ดาวตกจะได้ไปรับมึง” มาร์ถาม ผมพยักหน้าขึ้นลง ทำอย่างกับว่ากูมีทางเลือกซะอย่างงั้นอ่ะ เล่นขู่ เล่นส่งรถมารับซะเบอร์นี้

“แต่มึงฟังกูนะที ถ้าเมื่อไหร่ที่มึงรู้สึกว่ามึงเหนื่อย มึงไม่ไหว มึงต้องให้พวกกูช่วยนะ” ไอ้ส้มหันมาพูดกับผมจริงจัง

“เออ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ กูรบกวนพวกมึงแน่ ๆ” ผมว่า รู้สึกหัวใจพองโตที่ผมมีคนที่พร้อมจะคอยช่วยเหลือในความยากลำบาก

“เอาล่ะ ก่อนจะสายไปมากกว่านี้ กูว่าขึ้นไปเม้าท์กันต่อบนห้องดีกว่าเดี๋ยวไปสาย วรเชษฐ์แดกหัวอีก” ไอ้มาร์พูด พร้อมลุกเดินนำเพื่อน ๆ ขึ้นไปบนห้องเตรียมรอเรียนคาบเช้าวันนี้

สรุปแล้ว ทุก ๆ เช้าของผม ก็ยังคงยิ้มได้เสมอถ้ามีพวกมัน..

 หลังจากเรียนเสร็จ ผมแยกย้ายกับเพื่อน ๆ ก่อนจะตรงไปร้านอาหารที่ตัวเองทำงาน ทักทายเพื่อนร่วมงานทุกคนก่อนจะพบว่าวันนี้มีเด็กใหม่เข้ามาคนหนึ่ง เขาแนะนำตัวกับผมง่าย ๆ ว่าชื่อ อเนก ผมยิ้มต้อนรับก่อนจะขอตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองในขณะที่เขาโดนจัดไปอยู่ในโซนครัวคอยล้างจาน

น่าแปลก อเนกหน้าตาไม่ได้แย่ ทำไมพี่เปิ้ลผู้จัดการร้านของผมถึงส่งแกไปล้างจานนะ?

แม้จะไม่ใช่วันหยุด แต่ลูกค้าวันนี้ก็ยังหนาหูหนาตา ผมกับเจ้าไอซ์เดินเสิร์ฟกันมือเป็นระวิงเพราะเด็กที่ร้านลาไปคนหนึ่ง และเพราะแบบนั้นเองอเนกถึงได้มีโอกาสมาช่วยพวกผมเสิร์ฟ ในช่วงที่ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จู่ ๆ เหมือนจะเกิดปัญหาอะไรสักอย่างในร้านนิดหน่อย รู้เรื่องอีกทีผมก็มาทราบทีหลังว่า เขามีปัญหากับลูกค้าโต๊ะหนึ่งของร้าน

“เฮ้อ เจ้าอเนกนี่ก็ไม่รู้ฝ่าย HR คัดเข้ามาในร้านได้ยังไง เตี้ยดำขนาดนั้นยังให้เอามาทำงานอีก” พี่เปิ้ลบ่นเบา ๆ ผมหันขวับไปมองอเนก เขาสูงไล่เลี่ยกับผม ไอ้คำว่าเตี้ยดำนั่นก็ดูจะห่างไกลจากตัวเขาไปเยอะ จากสายตาที่ผมมอง เหมือนเขารู้ตัวว่าผมมอง เขาหันมายิ้มให้ผมพร้อมตบบ่าผมเบา ๆ

“ถ้าเป็นคนจิตใจสะอาดแบบนาย ก็คงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามไปหมดนั่นแหละ” เขากระซิบบอกเบา ๆ แต่ผมไม่เข้าใจ อเนกยักไหล่และเดินไปล้างจานในครัวอีกครั้งเมื่อลูกค้าบางตาแล้ว

คงอีกนานเลยกว่าผมจะรู้ความจริงว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร....

เวลาผ่านไปจนเกือบสามทุ่มเศษ ผมสวัสดีทุกคนและขอตัวลากลับ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถบริเวณชั้นบนที่นัดกับดาวตกไว้ พอไปถึงก็เจอเพื่อนในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ดาวตกมองหน้าผมและถอนหายใจจนผมต้องยื่นมือ ไปขอกุญแจรถมาจากมัน เพราะกลัวว่าจะพากันไปไม่ถึงร้านซะเปล่า ๆ

พอขึ้นรถมาได้ ดาวตกก็เล่าสิ่งที่เขากำลังเจอในช่วงนี้ให้ฟัง ผมมองหน้าเพื่อนสลับกับถนนเป็นระยะ ๆ พูดหรือแสดงความคิดเห็นน้อยที่สุดเพื่อให้เขาได้ระบายความรู้สึกข้างในออกมาอย่างสุดหัวใจ ดาวตกร้องไห้หนักมากเหมือนไม่ใช่คนเดิมกับที่ผมเจอเมื่อเช้าหรือช่วงที่ผ่านมา ๆ และปัญหาที่เขาเจอก็ไม่ใช่ปัญหาที่ผมสามารถช่วยเขาแก้ไขได้

“กูเชื่อในสิ่งที่มึงพูด” ผมว่า มันหัวเราะแล้วร้องไห้อีกครั้ง

“มึงว่ากูไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมวะ เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ ใช่ไหมมึง?” มันถามทั้งน้ำตา ผมถอนหายใจเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะตอบกลับ

“โลกใบนี้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จะแปลกอะไรถ้าเนื้อคู่เราอาจจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น” ผมว่า มันยกมือขึ้นเช็ดน้ำหูน้ำตาก่อนจะขอบคุณผมอีกระลอก

“กูว่าวันอาทิตย์นี้กูจะไปหาหมอ”

“ให้กูไปด้วยไหม?” ผมอาสา มันส่ายหน้าแล้วบอกผม

“ไม่ต้องกลัว ถ้ากูไม่ไหวจริง ๆ กูจะรบกวนมึงแน่ ๆ” มันบอกผม ผมถอนหายใจออกมาแล้วมองหน้ามัน เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนที่ทำได้แค่นั่งดูผมร้องไห้ในวันนั้นแล้ว

ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องปลอบ ไม่ต้องเข้าข้าง และนั่งอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เราไม่ไหวก็พอ

แค่นั้นคงเพียงพอแล้วล่ะมั้งสำหรับความหมายของการเป็นเพื่อนกันของพวกผม....

วันศุกร์หรรษานรกแตกที่แท้จริง กว่าผมจะขับรถหอบเอาดาวตกมาถึงร้านก็ปาไปเกือบห้าทุ่มกว่า ๆ แล้ว ผมจอดรถแล้วหอบเอาเพื่อนไปนั่งโต๊ะที่พวกเราจองกันไว้ก่อนจะรอเจ้าภาพมาเปิดงาน รอไม่นานพี่โต้งเจ้าของวันเกิดก็เดินออกมาขอบคุณทุกคน พร้อมเปิดปาร์ตี้น้ำเมาที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้

ตอนแรกก็ไม่อยากมาหรอก แต่พอพี่โต้งมานั่งคุยถึงเรื่องค่ายที่ไปทำกันมาเท่านั้นแหละ ทุกคนเหมือนไม่ได้เจอกันมาสามชาติเศษ ขนสารพัดเรื่องราวปูมหลังมาเรียกเสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผมได้โอกาส แอบบอกถึงความคืบหน้าเรื่องการขอทุนสำหรับจัดโครงการในปีนี้ไป ทุกคนตื่นเต้นกับฟีดแบคที่ได้รับตอบกลับ เพราะกระจายงานเพื่อไปสรุปของผมเป็นสรุปที่ดีที่สุดที่จะเรียกทุนสมทบสำหรับภาคเอกชนหลายใหญ่อย่างคุณเอกได้

เป็นปาร์ตี้ที่สนุกกว่าที่คิด ผมคิดแบบนั้นเมื่อแต่ละคนเริ่มเมาจนรั่วได้ที่ อีส้มถอดรองเท้าส้นสูงก่อนจะขึ้นไปโยก ๆ บนโต๊ะ โดยมีพลอยและทิพย์ช่วยถ่ายคลิปแบล็คเมล์ให้ พนันว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะมีคนตื่นมากรี๊ดกับสตอรี่ไอจีเพื่อนรักทั้งสองของตัวเอง สู่สุคตินะไอ้ส้มเอ๊ย ส่วนไอ้มาร์นะเหรอ? เหอะ มันดีลหิ้วเด็กไปตั้งแต่พี่โต้งยังไม่ย้ายโต๊ะด้วยซ้ำ ดาวตกเองก็ดูจะลืมปัญหาส่วนตัวที่เล่าให้ผมฟังชั่วคราวหลังจากสนุกสนานกับงานปาร์ตี้

ผมหัวเราะและปล่อยตัวเองให้สนุกไปกับบรรยากาศ ก่อนจะขอค็อกเทลเบา ๆ สำหรับคนที่ต้องเป็นหน่วยซัพพอร์ตเพื่อนทั้งปาร์ตี้ แม้สองสาวจะไม่เมา แต่ตอนขากลับก็คงกลับพร้อม ๆ กันหมดอยู่ดี เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมจึงเลือกที่จะไม่เมา

พอเสียงเปิดเริ่มดังขึ้น ผมจึงหาทางปลีกวิเวกเตรียมขึ้นไปนั่งเล่นที่ชั้นดาดฟ้า ร้านของพี่โต้งผมเคยมาครั้งสองครั้ง จำได้ว่าข้างบนมีเสื่อให้นอนดูท้องฟ้า อากาศปลอดโปร่ง และที่สำคัญมันคงน่าจะสงบกว่าด้านล่างแน่ ๆ

ผมก้าวเท้าเดินขึ้นไปตามทางขึ้นบันได เดินวนไปจนสุดทางเดินก็พบกับประตูทางออกไปสู่ด้านนอกตัวตึก ผลักออกเบา ๆ แล้วก้าวเท้าข้ามไป ก่อนสายตาจะพบเจอร่าง ๆ หนึ่งนอนเอกเขนกอยู่บนเสื่อ พร้อมปลายนิ้วที่กำลังคีบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่ไม่ห่าง และต้องยอมรับว่าเขาหูดีมาก ๆ เพราะแค่ผมก้าวเท้าเข้าไปเบา ๆ หมอนี้ก็หันขวับมาหาผมด้วยใบหน้าดุ ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วทำหน้าอมยิ้มอีกครั้งเมื่อมองเห็นหน้าผมชัด ๆ

เขายันตัวลุกขึ้นมากึ่งนอนกึ่งนั้น ก่อนริมฝีปากแห้งนั้นจะค่อย ๆ เปิดออก

“สวัสดีคุณคนในโปสเตอร์...”

...ให้ตายเหอะ ผมเกลียดน้ำเสียงแหบแห้งของเขาชะมัดยาด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 01:52:58 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตัดฉึบเลย  :ling1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
บทสนทนาที่น่าสนใจเช่นเคย

ปล.  มีเสื้อให้นอนดูดาว > เสื่อ
ดาวตกกระแอ่ม > กระแอม

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z3: :z3: เจอกันอีกแล้ววววววว

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.14 Person in Poster




ผมเตรียมตัวจะหันหลังกลับเมื่อพบว่าดาดฟ้านี้ไม่ได้มีแค่เพียงผมเป็นมนุษย์คนเดียวบนนั้น แต่เสียงแหบแห้งนั้นก็รั้งผมไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ เดินหนีคนอื่นมันเสียมารยาทนะ” เขาว่า ผมหันไปสบตา เขาถอดหูฟังที่ซ่อนไว้ใต้หมวกฮู้ดออก ก่อนจะถลกมันไว้ด้านหลังอย่างลวก ๆ ผมเพิ่งสังเกตได้อีกครั้งว่าเขาไปตัดผมมาใหม่แล้ว ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะกว่าตอนนั้นแฮะ...

เพราะสายตาที่จ้องมองผมมาแบบนั้นแหละ ผมเลยเลือกที่จะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เขา

“ไม่ยักรู้ว่าคนในโปสเตอร์แบบคุณจะมาสถานที่แบบนี้ได้ด้วย” เขาว่า ผมหันไปทำตาขวางใส่ก่อนจะตอบ

“คุณ ผมเป็นแค่เด็กทุนฯ และบนโลกใบนี้ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามเด็กทุนเข้าร้านเหล้า” ผมว่า

“ครับ ๆ ๆ ๆ ผมขอโทษนะ” เขาว่าเสียงแหบ พอมานั่งข้าง ๆ กันแบบนี้ กลิ่นนิโคตินก็ลอยมาแตะจมูกผมอย่างง่ายดาย ให้ตายเถอะ หมอนี้สูบวันละกี่ซองกันแน่เนี่ย?

“สูบบุหรี่จัดขนาดนี้ ระวังจะอยู่ไม่ถึงสามสิบ” ผมว่า เขาอมยิ้มให้ผมแล้วพูดโต้กลับ

“ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ....”

“....” ผมเงียบ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความพิเคราะห์

“คนเราเลือกเกิดไม่ได้...เลือกตายก็เลือกไม่ได้ คุณว่าไหม?”  เขาถาม

“คุณได้กินยาที่หมอให้มาไหม?” ผมเดาสุ่ม เขาหันขวับหันมามองหน้าผมก่อนจะผิวปากล้อเลียน

“นอกจากเป็นเด็กทุนแล้วคุณเป็นหมอดูด้วยรึเปล่า? คุณรู้เหรอว่าผมเป็นอะไร” พอพูดจบก็เอนตัวลงไปนอนซะเฉย ๆ แบบนั้น ก่อนชี้ให้ผมมองไปบนท้องฟ้า

“นั่งแบบนั้นมันเมื่อยเกินไป นอนลงมาสิคุณ”

“ก็ถ้าเดาไม่ผิด คุณคงเป็นดีเพรสฯสินะ?” ผมว่าด้วยความไม่มั่นใจ เขาพยักหน้าขึ้นลงอย่างง่ายดายยอมรับในการสันนิษฐานของผม

“ดีเพรสชัน ไบโพลาร์ ดิสออร์เดอร์ โอซีดี .... ผมมีของแถมจากดีเพรสชันเยอะ” เขาว่าง่าย ๆ ผมล้มตัวลงไปนอนข้าง ๆ ก่อนจะมองท้องฟ้าที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากม่านหมอกที่ไม่มั่นใจนักว่านั่นคือหมอกหรือควันกันแน่

“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าคุณเป็นคนนิสัยดี”

“ยังไง”

“คุณไม่ขี้เสือก”

“ไม่หรอก บางทีผมอาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่ธุระอะไรของผมรึเปล่า”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณจะเลือกปฏิเสธคำขอร้องของผมผ่านทางสายตาเมื่อกี้ แล้วเดินหนีไปเลย คุณคงไม่น่ามานอนข้าง ๆ ผมแบบตอนนี้” เขาตีรวนกลับ ผมจิ๊ปากขัดใจแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป

“ขอบคุณนะ”

“อื้อ”

“คุณว่าคนเรามีความสุขยากไหม?” เขาถามเงียบ ๆ ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าด้านบน

“คนปกติก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นคนป่วยก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ผมตอบอย่างระมัดระวัง  หน้าที่ของคนที่อยู่อยู่ฝั่งฟากของความเป็นปกติ คือความเข้าใจ ส่วนหน้าที่ในการดูแลตัวเองต่อไปคือภาระที่คนป่วยต้องเป็นคนกระทำด้วยตัวเอง

“การเป็นคนปกติมันยากจังเลยเนาะ” เขาว่า บอกไม่ถูกว่าน้ำเสียงแสดงออกไปในทางทิศทางที่แสดงความดีใจหรือแสดงความเสียใจออกมา

“จะปกติหรือไม่ปกติ แค่เป็นมนุษย์ก็ยากทั้งหมดแหละคุณ” ผมตอบแบบกลาง ๆ อีกครั้ง เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะถามคำถามต่อไป

“ความสุขคืออะไร”

“ความสุขคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของคุณมีพลังเสริมที่ไม่มีในยามปกติ” ผมว่า เขาหันมายิ้มให้นิด ๆ

“ไม่น่าละผมถึงไม่มีความสุข”

“.....”

“ผมอยากมีความสุขจัง...”

“อื้ม”

“ผม...นอนไม่หลับ ท้องก็ไม่หิวอะไรเลย เหมือนร่างกายของผมต้องการแค่ผงน้ำแข็ง ผมเคยไม่ทานอะไรมาสามวัน แปลก ...ไม่ยักตาย แต่ขาดไอซ์แค่ไม่กี่วันกับทุรนทุรายจนแทบจะกลายเป็นบ้า” เขาว่า ผมทิ้งตัวลงไปนอนข้าง ๆ เขา

“จริง ๆ ผมว่าผมอาจจะไม่ได้เสพติดไอซ์” เขาบอก ดวงตาเหมือนกำลังคิดอะไรไปมาและหลุบต่ำลง

“ผมอาจจะเสพติดการหนีโลกของความเป็นจริงเข้าไปในโลกที่ทุกอย่างสมดังใจเนรมิตละมั้ง?” เขาว่าด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่กลับหัวเราะได้อย่างเบาบางราวกับเส้นเสียงขาดหายไปในอากาศ ผมหลับตาและหลุบลงทำสมาธิ นึกถึงเหตุการณ์ที่คลับคล้ายคลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นกับตัวเองสักครั้งในชีวิต...

“สิ่งใด...คือความจริง” ผมเปิดปากร้องเพลงเสียงเบาบาง เขาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้ผม



“เราต่างถูกทิ้งให้เป็นแค่เพียงตะกอนของเวลา

อดีตถูกสายลมใดนั้นพัดมา เธอจะรู้ว่ามันไม่เคยมีอยู่

ทุกสิ่งที่คิดว่ามันคือความสุข ปลุกเธอจากฝันกลางวันนั้นคือภาพลวงตา

การเติบโตของเธอนั้นเป็นเพียงแค่วันเวลา

จงเติบโตจากความฝันที่มันไม่มีทาง...จะเป็นจริง”




“จักวาลสมมติ เพลงของวง T_047” ผมกล่าวสั้น ๆ เขาพลิกตัวหันหน้ามาทางผม

“ร้องสิ”

“หื้ม?”

“ผมอยากให้คุณร้องต่อ” อีกฝ่ายว่า พร้อมยันตัวลุกขึ้นกึ่งนอนกึ่งนั่งหันมาทางผม ผมยักไหล่ ถอนลมหายใจ และเปิดปากอีกครั้งหนึ่ง



“ล๊า ลา ลา ภาวนาให้ฉันยังมีลมหายใจเดินทางต่อไปพบใครซักคน

ล๊า ลา ลา ให้เสียงเพลงนำพาล่องลอยไป ปล่อยหัวใจในสายธาร ที่คงไม่หวนคืนมา

สักวัน ฮู้ ฮู คงได้รู้ สิ่งที่เธอไม่เคยได้ดูมันจากควันที่ลอย

จะพาทุกเสียงที่เธอนั้นเคยได้เฝ้าคอย

แค่ในวันนี้ไม่มีหนทางจะพบเจอ

 

ล๊า ลา ลา ภาวนาให้ฉันยังมีลมหายใจเดินทางต่อไปพบใครซักคน

ล๊า ลา ลา ให้เสียงเพลงนำพาล่องลอยไป ปล่อยหัวใจในสายธาร ที่คงไม่หวนคืนมา

เธอยังเฝ้ารออยู่ ใช่ไหม

...เธอยังหายใจอยู่ ใช่ไหม”




ผมร้องพร้อมทิ้งโน้ตท่อนสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วปลาย พร้อมจบเนื้อ ผมก็สูดลมหายใจหนัก ๆ เข้าปอด เพราะปกติแล้วตัวเองไม่ได้จำเป็นต้องร้องเพลงอะไรแบบนี้บ่อย ๆ เขาหัวเราะด้วยแววตาเอ็นดูก่อนจะเอ็ดผม

“คุณอย่าใช้ลมจากปอดสิ ใช้ลมจากหน้าท้องแทน เสียงคุณจะนุ่มขึ้นแล้วคุณจะไม่เหนื่อยเท่านี้” เขาว่า ผมจิ๊ปากขัดใจกับคนที่สั่งให้คนอื่นร้องเพลงแล้วยังกล้าตำหนิอีก และเพราะสายตาของผมนั่นแหละที่มองเขาด้วยแววตาหาเรื่อง เจ้าตัวนั่งเหมือนนั่งสมาธิ ประสานมือไว้ตรงจุดกึ่งกลางและค่อย ๆ เปิดปากเปล่งเสียงออกมาด้วยเนื้อเพลงที่เป๊ะ ๆ เหมือนที่ผมร้องเมื่อตะกี้ แต่ถ้าพูดในแง่คุณภาพแล้ว ผมนึกว่าตัวเองกำลังนั่งฟังศิลปินสักคนร้องเพลงอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ผมปรบมือแปะ ๆ รัว ๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ อีกฝ่ายหันมาหาผมด้วยสายตาเหมือนไม่ได้ทำอะไรที่น่าสนใจเลย ราวกับว่าเขาแค่เพิ่งไปดื่มน้ำมาหยก ๆ เท่านั้นเอง

“คุณเคยฟังเพลงนี้มาเหรอ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ แล้วตอบกลับประโยคที่ทำให้ผมตกใจ

“ฟังจากคุณเมื่อสักครู่ไง” เขาว่า ผมทำหน้าเหวอก่อนจะชมเขาต่อ

“คุณเก่ง” ผมว่า แม้จะเป็นเนื้อร้องที่ไม่ได้ยาวนัก แต่การฟังแล้วจับจังหวะพร้อมทั้งเนื้อร้องได้ภายในครั้งเดียวนั้นไม่เรียกว่าเก่งแล้วจะเรียกอะไรได้อีก? 

อีกฝ่ายส่ายหน้าช้า ๆ ยิ้มให้ผมด้วยแววตาเลื่อนลอยอีกครั้ง

“ไม่เลย ในครอบครัวผม สิ่งที่ผมทำ คือสิ่งที่ทุก ๆ คนก็ทำได้ ใคร ๆ ก็ทำได้ นั่นแปลว่าผมไม่ได้เก่งอะไร” เขายักไหล่แล้วตอบ ทิ้งตัวลงไปนอนอีกครั้ง

“ผมไม่สนว่าคุณจะคิดว่าคุณเก่งไม่เก่ง แต่สำหรับผม ผมฟังแล้ว ผมรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด นอกจากความพยายาม คุณมีของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้คุณ” ผมว่า เขายิ้มทั้งหลับตากอดอกทั้งสองข้าง

“คุณอ่อนโยนจังเลย”

“ผมไม่ได้อ่อนโยนกับใครทั้งนั้น ผมแค่พูดออกไปตามเรื่องตามราว”

“ผมไม่สนว่าคุณจะอ่อนโยนจริง ๆ หรือไม่ได้อ่อนโยน แต่แค่ผมรู้สึกว่าคุณอ่อนโยนกับผมมาก ๆ มันก็มากพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” อีกฝ่ายว่าแกมย้อนผม แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาเปลี่ยนไป อย่างน้อย ๆ คำลงท้ายนั้นก็สุภาพมากกว่าประโยคปกติของเขาแล้วหลายเท่าตัว

เราทั้งคู่ปล่อยตัวเองไว้กับหมู่ดาวบนฟากฟ้าแบบนั้น มันเป็นความเงียบแบบที่ไม่อึดอัดสักนิด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เราก็เจอกันโดยบังเอิญถึงสามครั้งแล้ว และในแต่ละครั้งก็มันจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่คิดว่ามันควรจะเกิดขึ้นสักนิด ผมถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองฟ้า กำลังสงสัยว่าใครหรืออะไรบนนั้นกำลังอยากเล่นตลกอะไรกับผมอีกรึเปล่า

“คุณ” เขาเรียก พอผมหันไปมองก็พูดต่อ

“คุณกลัวความตายไหม?” เขาถาม ผมพยักหน้า

“กลัวสิ ไม่ว่าใครก็กลัวตายทั้งนั้น” ผมตอบ

“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้กลัวตายหรอก แค่มนุษย์กลัวความไม่รู้ เราไม่รู้ว่าเราตายแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราหลังจากนั้น และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราอยากทำก่อนจะตายเราได้ทำหมดจริง ๆ รึยัง ผมกลัวตาย เพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากผมตายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่างหาก...” ผมขยายความหมายในคำตอบของตัวเอง อีกฝ่ายยกแขนมาเกยหน้าผากไว้แล้วถามต่อ

“ในเมื่อเรารู้ว่าสักวันเราต้องตาย ทำไมเราถึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”

“ผมก็ไม่รู้” ผมตอบง่าย ๆ เว้นวรรคแล้วพูดต่อ

“...แต่ผมรู้แค่ว่าอย่างน้อยที่สุดความตายก็ไม่ใช่เรื่องแย่สักเท่าไหร่” เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจในคำตอบ ผมอมยิ้มแล้วอธิบายต่อในมุมมองของตัวเอง

“เพราะมีความตายชีวิตของคนเราจึงมีความหมายในการมีลมหายใจต่อไป....”

“ผมไม่เข้าใจ”

“คุณ ผมคิดแบบนี้นะ เวลาที่คนเราซื้อพลุดอกไม้ไฟมาจุดน่ะ เงินที่เราเสียไป เราไม่ได้เสียให้กับแค่ราคาต้นทุนการผลิตของพลุดอกไม้ไฟ แต่เราเสียเงินให้กับภาพความทรงจำของพลุดอกไม้ไฟที่มันจะสว่างไสวไปในความทรงจำของเราไปตลอดกาลต่างหาก...”

“เพราะมีการเกิด เพราะมีการดับ เพราะมีจุดเริ่มต้น เพราะมีจุดสิ้นสุด ชีวิตถึงมีความหมาย ความทรงจำจึงมีคุณค่าในตัวมันเอง มนุษย์เราจ่าย ‘ชีวิต’ ออกไป เพื่อสร้างสรรค์ความสวยงาม และสรรค์สร้างความเลวร้าย เมื่อมีคนที่คิดจะทำลายล้างก็มีคนที่คิดจะปกป้อง คือขาวและดำ คือความงดงามของหยินและหยาง ของโลกใบนี้” ผมร่ายยาว เขาผิวปากรับฟังอย่างตั้งใจ

“คิดดูนะ ถ้าโลกใบนี้ไม่มีความตาย มนุษย์คงดำรงชีวิตด้วยความเบื่อหน่ายไปวัน ๆ เพราะไม่มีจุดจบ ก็ไม่มีจุดหมาย ไม่มีปลายทางให้เดินตามหา เสมือนคนที่ลองทำมาจนหมดทุกอย่าง ทำมาจนไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ ผมไม่คิดว่าโลกใบนั้นจะเป็นโลกที่น่าอยู่นักหรอกนะ ในแง่ของความยากลำบากแล้ว การตายคือชนวนที่ทำให้คนเราดิ้นรน ทำในสิ่งที่ควรจะทำในเวลาที่ทำได้ แม้เข็มนาฬิกาของเราทุกคนจะเดินถอยย้อนกลับไปยังจุดจบเสมอนับตั้งแต่ตื่นลืมตาบนโลกใบนี้ แต่ว่า...”

“.....”

“ถ้าจะต้องตาย อย่างน้อยที่สุดแล้ว ผมจะฝากจารึกอะไรสักอย่าง ร่องรอยที่ยืนยันได้ว่าผมเคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ อาจจะฟังดูบ้า ๆ ไปบ้าง แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการตอบแทนให้กับโลกใบนี้ ตอบแทนให้กับทุกสิ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ มันบ้ามาก ๆ นะ แต่คุณรู้ไหม ผมไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อตัวผมเองเลยสักครั้ง”

ผมมองหน้า สบตากับเขา แล้วพูดคำนั้นออกมาจากหัวใจ

“...เพราะผมรู้สึกว่า ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนตลอดเวลา”

“ผมอยากเข็มแข็งให้ได้สักส่วนหนึ่งที่คุณทำให้ผมรู้สึก”

“ทำไมคุณต้องอยากเข็มแข็งแบบผม ในเมื่อเราแต่ละคนก็มีความเข้มแข็งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วคุณเป็นผมไม่ได้ คุณทำได้แค่เป็นตัวคุณเองเท่านั้น”  ผมว่า นั่งตัวตรงให้เขาซบมา ทุลักทุเลนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายมีส่วนสูงที่มากกว่าคุณ แต่ผมชินแล้วกับการที่อีกฝ่ายจะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างหรือดีกว่าผม

เพราะสุดท้ายแล้วเราต่างล้วนเป็นมนุษย์ที่กำลังแตกสลาย

“คุณครับ”

“ว่า?”

“ถ้าผมตายคุณจะร้องไห้ให้กับผมไหม?”

“ก็อาจจะร้องมั้ง?”

“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ?”

“ไม่รู้สิ ก็อาจจะร้องหรือไม่ร้องก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

“คุณ”

“ว่า?”

“ถ้าผมคิดจะฆ่าตัวตายคุณจะห้ามผมไหม?” เขาถาม ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะบอกกับเขา

“ผมอาจจะไม่เหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่ถ้าพูดกันตามตรง เราไม่รู้จักกันแม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ คุณและผม เราต่างเจอกันด้วยความบังเอิญ เป็นแค่การโคจรมาเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จนถึงตอนนี้ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมผมถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ คำถามของคุณตามหลักมนุษยธรรม ไม่มีใครอยากเห็นใครตายหรอก”

“ตามหลักมนุษยธรรมเป็นแบบนั้น แล้วตามหลักการของคุณล่ะ คุณคิดว่ายังไงกับการจะตายหรืออยากจะตายของผม” เขาถาม

“ผมมีสิทธิ์ห้ามคุณเหรอ?” ผมตอบและว่าต่อ

“เพราะความเศร้าเป็นสมบัติส่วนบุคคล คุณไม่สามารถแบ่งปัน หรือลดทอนความเศร้าอันนั้นได้ด้วยการแจกจ่ายให้กับใคร สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่ต้องรับ ‘ทั้งหมด’ นั่นก็คือตัวคุณเอง นั่นคือชีวิตของคุณ นั่นคือการตัดสินใจของคุณ นั่นคือทางเลือกของคุณ สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน....”

“.....”

“...ผมจะเคารพทุก ๆ การตัดสินใจของคน ๆ หนึ่งเสมอ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดี ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนไม่ดี แต่เพราะชีวิตนั้นเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของคุณ แล้วจะให้ผมเอาหลักเกณฑ์อะไรไปบอกว่าสิ่งที่คุณทำมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดหรือถูกต้อง ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคน ๆ นั้น ผมไม่ได้ร่วมรับความเจ็บปวดนั้นไปกับคุณ”

“หากพลุดอกไม้ไฟในชีวิตของคุณเบ่งบานและงดงามมากพอเท่าที่คุณจะพอใจแล้ว ต่อให้มันจะดับลงหรือแหลกสลายลงไป ขอให้รู้ไว้ว่าคุณจะไม่ตายไปจากความทรงจำของผมตลอดไป อย่างน้อยที่สุดผมจะยังจดจำคุณได้เสมอในฐานะที่ครั้งหนึ่งโลกหมุนวนผมมาเจอกับคุณ”

“เพราะงั้นแล้ว ... ถ้าเจ็บปวดก็จงร้องไห้เถอะนะ ผมจะอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ คุณเอง” ผมบอกกับเขาแบบนั้นพร้อมกอดคนข้าง ๆ ที่กำลังนั่งร้องไห้ข้าง ๆ ผมไว้แบบนั้น  ยินดีให้อีกฝ่ายซบอกของผมเป็นการหลบซ่อน และตัดขาดจากโลกใบนี้ชั่วคราว

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ตรงนี้...ผมจะอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะพอใจ”

มนุษย์เราคือสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและแปลกประหลาด

...เรามักใช้หัวใจพัง ๆ ของเราปลอบใจหัวใจพัง ๆ ของใครบางคน  ๆ เสมอ

ในอ้อมกอดของคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อของกันและกัน ผมทำได้แค่กอดและปลอบโยนเขาแบบนั้น จนกว่าเสียงร้องไห้ของเขา จะจางหายไปในอากาศ....


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 19:24:23 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เยี่ยมมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่อนโยนจริงๆ อยากมีคุณคนในโปสเตอร์เป็นของตัวเอง  :katai2-1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.15 Senior & Junior




คืนวันศุกร์ของผมจบลงไปพร้อมกับการปลอบประโลมคนแปลกหน้า แม้ความเศร้าไม่จางหาย แต่กาลเวลาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ผมทำได้เพียงปลอบคนที่ตัวโตกว่าผมมาก ๆ ไว้ในอ้อมกอด และปล่อยให้เขาร้องไห้จนหมดแรงจะร้อง นานเท่าไหร่ไม่รู้จนผมเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงผมที่นอนอยู่บนเสื่อ พร้อม ๆ กับเสื้อฮู้ดของใครบางคนที่ตั้งใจสวมไว้ให้ผมกันหนาว รู้สึกตัวอีกทีก็เจ้าดาวตกนั่นแหละครับที่ขึ้นมาเรียกผมจากบนดาดฟ้า

หมอกหรือควันล้วนไม่แน่ใจ แม้จะเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันกับผม เราล้วนแตกสลายในทุก ๆ ค่ำคืน ก่อนจะประกอบตัวใหม่อีกครั้งก่อนฟ้าสาง ผมรับรู้ ผมเข้าใจ แต่มนุษย์เราล้วนมีข้อจำกัด เราทำได้แค่ในสิ่งที่เราพอจะทำได้ก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วบาดแผลในใจของแต่ละคน

...มีเพียงแต่เจ้าตัวเองเท่านั้นที่จะรักษามันได้

อย่างที่ผมบอกไป ไม่ว่าใครก็แบ่งปันความเศร้าจากใครอีกคนไม่ได้ เราทำได้แค่เพียงประคับประคองและนั่งมองอีกฝ่ายแตกสลายลงไปช้า ๆ จนกว่าหัวใจของเขาจะฟื้นคืนกลับมา ผมหวังว่าพรุ่งนี้เช้าจะยังมาถึงสำหรับเขาเสมอ ๆ ....

หลังจากเป็นคนขับรถตระเวนพาทุกคนวนไปส่งกันจนครบ ในที่สุดก็ได้มติเป็นเอกฉันท์จากคนที่ยังพอมีสติอยู่คือผมและดาวตก เราหิ้วพวกมันทุกคนไปยัดรวมกันที่คอนโดของไอ้ส้ม (ซึ่งผมพนัน 10 เหรียญเลย พรุ่งนี้มันต้องตื่นมากรี๊ดร้องกับความชั่วร้ายในสตอรี่ไอจีของเพื่อน ๆ แน่นอน ลาก่อน   ไอ้ตุ๊ด)

เสร็จสิ้นทุกอย่างผมก็ขับรถไปส่งดาวตกเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะบอกลามันแล้วโบกรถมอเตอร์ไซค์กลับหอตัวเอง เป็นอันจบสิ้นแล้วคืนวันศุกร์อันแสนยาวนาน....

...................

เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นด้วยอาการเวียนหัวเล็กน้อย เพราะรู้ขีดจำกัดของตัวเองและดื่มไปน้อยมาก ๆ นอกจากอาการคัดจมูกเพราะตากอากาศหนาวบนดาดฟ้าแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ ผมเตรียมตัวไปทำงานอีกครั้งพร้อมเข้าทวิตเตอร์ที่อาทิตย์นี้ไม่ได้เข้าเลยสักครั้ง กดอ่านอินบ็อกซ์ ตอบข้อความที่ควรจะตอบ และบล็อกบางข้อความที่ไม่น่าสนทนา เสร็จสรรพหลังจากนั้นก็ล็อกเอ้าท์ แล้วเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อไปทำงานพิเศษในช่วงบ่ายต่อ

น่าแปลก เจ้านากเผือกเงียบหายไปเลยตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันศุกร์ แมสเสจสุดท้ายที่ผมได้รับจากเขาคือการส่งมาบอกว่าตัวเขาเองขับกลับ ถึงบ้านแล้วหลังขับรถมาส่งผมตอนที่เราดูหนังด้วยกันเสร็จ

น่าจะติดงานล่ะมั้ง? ผมคิดแบบนั้น  ...จริง ๆ แล้ว ผมค่อนข้างชินกับการหายไปของคนที่เคยอยู่ในชีวิตของผมบ่อย ๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไร ความสัมพันธ์พวกนี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระยะยาวอยู่แล้ว มันเหมือนแค่เชื้อเพลิงที่ติดขึ้นมา ลุกโชน และดับลงไปง่าย ๆ นั้นแหละครับ จะบอกว่าผมค่อนข้างชินแล้วก็ไม่แปลกอะไรนัก

‘ไลน์’

ผมหันขวับตามเสียงแจ้งเตือนที่ตั้งค่าไว้ในมือถือ ไลน์ของผมมีเสียงเด้งแจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา ก่อนจะกดอ่านแล้วพบว่าเป็นคนที่ผมกำลังนินทาเมื่อกี้นี้เอง

‘อยู่ซับโปโร อยากได้อะไรไหม?’

เขาพิมพ์มาสั้น ๆ  พร้อมส่งรูปตัวเองยักคิ้วข้างหนึ่งและชูสองนิ้วตรงถนนอะไรสักอย่างที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผมหัวเราะในกับอารมณ์ขันของเขาก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไป

‘ไปญี่ปุ่นไม่เห็นบอก’

‘ขอโทษที พอดีผมมีงานด่วนนิดหน่อยนะ’

‘จ้า พ่อนักธุรกิจพันล้าน’ ผมกัด

‘คุณรู้ ?’ เขาตอบกลับมา ผมเอียงคอมองข้อความก่อนจะตอบกลับ

‘รู้อะไรคุณ ผมงง?’ ผมถามเขากลับ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นมุกอะไรรึเปล่า

‘เปล่า ๆ ไม่มีอะไร แล้วคุณทำอะไรอยู่’

‘ผมกำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำไปทำงานพิเศษน่ะ’ ผมว่า

‘เหรอ ? ผมโทรไลน์หาแป๊บหนึ่งได้ไหม’ เขาตอบกลับ

หลังจากผมกดส่งสติกเกอร์เป็นรูปหมีโอเคไป รอไม่ถึงนาทีเขาก็โทรไลน์มาหา ผมกดรับสาย ก่อนจะกรอกเสียงลงไปหาคู่สนทนา

“สวัสดีครับ”

‘สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง’

“ผมสบายดี คุณละ เดินทางฉุกละหุกเตรียมตัวทันไหม”

‘ทันครับ ดีว่ามีคนช่วย ใช่ไหมไอ้แจ้’ เขาว่า ท้ายเสียงเหมือนหันไปคุยกับใครอีกคน

“ไปทำงานหรือไปเที่ยววะนั่น” ผมหยอกขำ ๆ เขาหัวเราะตอบกลับ ก่อนจะพูดต่อ

‘อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมซื้อไปฝาก’

“โอก้าโมโต้ 001” ผมหยอกเขาเล่น ปลายเสียงยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

‘ไซซ์ไร’

“56 ผมใส่ได้แค่ไซซ์เดียว” ผมว่า

‘ขิงเก่ง’ เขาตอบกลับ ผมได้ยินเสียงเหมือนคนข้าง ๆ เขาหัวเราะร่วนจนเจ้าตัวหันไปชู่วใส่

“ผมล้อเล่นนะคุณ ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากก็ได้ คุณไปทำงานไม่ใช่เหรอ”  ผมบอกอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นพูดจริงเรื่องของฝาก ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามแต่ ผมไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับเขาถึงขนาดจะฝากให้เขาซื้ออะไรมาฝากได้

‘ครับ แต่ยังไงก็เดี๋ยวจะหาอะไรไปฝากแล้วกันนะ’ เขาตอบกลับ

“อ่า ๆ แล้วนี้กลับวันไหนครับ?”  ผมถาม

‘น่าจะประมาณ.. ไม่พรุ่งนี้ก็อีกวันสองวันมั้งครับ..กลับวันไหนวะแจ้?’ ท้ายประโยคเหมือนหันไปถามคนข้าง ๆ เขาเงียบไปแป๊บ ก่อนอีกเสียงจะตอบกลับว่าช้าสุดกลับตอนมะรืน

‘ไม่น่าจะเกินมะรืนนี้ครับ’

“อ่าห๊ะ ยังไงก็เซฟทริปนะครับ” ผมอวยพร

‘ครับ ไว้กลับไปแล้วผมจะขอนัดหน่อยนะครับ’

“นัด?” ผมทวนคำพูดของเขา เจ้าตัวลากเสียงอ่ายาว ๆ ก่อนจะตอบ

‘ก็นัดสัมภาษณ์งานต่อนั่นแหละครับ ตอนนี้ข้อมูลเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผมว่าจะเอาไปอวดให้คุณดูว่าเนื้อหาประมาณนี้คุณโอเคไหมกับโครงเรื่องของผม’ เขาร่ายยาว

“จริง ๆ ผมยังไงก็ได้นะครับ เพราะยังไงมันก็เป็นนิยายของคุณนี่” ผมว่า เพราะคิดว่ามันเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขาที่จะขึ้นโครงเรื่องแบบไหนก็ได้ ขอแค่ข้อมูลมันถูกต้องก็พอแล้ว

‘มันไม่ใช่นิยายของผมคนเดียวซะหน่อย งานนี้ต้องบอกว่าเป็นนิยาย “ของเรา” ต่างหาก ถ้าไม่ได้ข้อมูลจากคุณ ผมเขียนไปก็คงคล้ายนั่งเทียนเขียน ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเห็นภาพเหมือนอย่างผมที่เขียนเพราะได้ข้อมูลมาจากคุณหรอก’

“คุณพูดแบบนี้กับคนทุกคนที่คุณไปขอข้อมูลจากเขามาเขียนรึเปล่า?” ผมตั้งคำถาม ปลายสายเงียบไปก่อนจะตอบกลับมา

‘ถ้าบอกว่าใช่ก็แปลว่าผมโกหก’

“โอเค งั้นช่วยโกหกให้ผมฟังหน่อยละกัน” ผมพูดติดตลก แต่ปลายสายเงียบไป

“โช เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

‘คุณ....’

“ครับ ...ผมทำไม?” ผมถาม

‘คุณมันเด็กบ้า’

“เอ้า .... เดี๋ยว ๆ เกิดอะไรขึ้นคุณ ทำไมอยู่ดี ๆ ว่าผมแบบนั้น” ผมถาม เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายว่าแบบว่าเล่น ๆ หยอกล้อหรือโกรธอะไรผมจริงจังรึเปล่า

‘เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย บ้าที่สุด ’ เขาไม่ตอบคำถาม แต่ว่าผมเพิ่ม จนผมได้แต่นั่งงงกับตัวเองเป็นไก่ตาแตกว่าตัวเองทำผิดอะไรลงไปรึเปล่า

“นี่ผมทำคุณโกรธรึเปล่า ซีเรียสนะ?” ผมถามเชิงซีเรียส อีกฝ่ายถอนหายใจเบาบางก่อนจะบอก

‘เปล่า คุณไม่ได้ทำผมโกรธ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่รู้จริง ๆ ’ เขาตอบ

“รู้ว่า?” ผมถาม

‘......’

“คุณ ถามจริง ๆ คุณโกรธผมรึเปล่า หรือผมทำอะไรผิดไหม? คุณบอกผมได้นะ แต่อย่าเงียบใส่ผม เพราะบางทีผมก็ไม่ได้มองออกไปหมดทุกอย่าง หรือเข้าใจทุกเรื่องราวได้ขนาดนั้น ถ้าคุณไม่พูด ผมอาจจะไม่มีวันรู้ไปตลอดเลยก็ได้นะ ว่าสิ่งที่คุณต้องการจากผมคืออะไร”

ผมบอกออกไป ไม่ใช่เฉพาะกับโช แต่กับมนุษย์ทุกคนที่เดินทางเข้ามาในชีวิตของผม ผมก็จะพูดประโยคเดียวกันทั้งหมด

“ต้องเข้าใจในความเป็นผมก่อน ผมเป็นคนไม่ชอบเดา และเกลียดการไม่พูดอะไรอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง ผมทราบดีว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถบอกเล่ากันได้โดยสะดวกใจนัก แต่อย่างน้อยที่สุดแล้ว อะไรที่ควรพูดตรง ๆ คุณก็ควรพูดกับผมตรง ๆ เพราะไม่งั้นแล้ว ผมจะไม่มีวันเข้าใจความคิดของคุณ ผมอ่านใจใครไม่ได้ และการคาดเดาว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเป็นเรื่องที่กินพลังงานและไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุด “

ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมามันยากกว่ากันตรงไหน

‘ผมไม่ได้โกรธคุณ และผมรู้แล้วว่าตัวผมควรทำยังไงต่อไป’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

“คุณจะทำอะไร?” ผมถาม

‘หลังกลับไทย ผมจะไปหาคุณ แล้วเราจะคุยเรื่องนี้กัน’

“เรื่องอะไร” ผมถาม ผมได้ยินเสียงโชสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะตอบออกมา

‘เรื่องของผม..กับคุณไง’

จบประโยคนั้น ผมเหมือนโดนชกจนติดสตั้น  ผมเงียบไปราว ๆ ห้าวินาทีก่อนอีกฝ่ายจะทักกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

‘...ฮัลโหล’

“ครับ...”

‘เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดอย่างชัดเจนใช่ไหม?’ เขาว่า

“อ่าห๊ะ”

‘ครับ ก็ตามนั้นแหละ ไว้กลับไทยแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน... แป๊บ ขออีกสามนาที’ เขาพูดเร็วปร๋อเหมือนกลัวผมแย่งพูด ปลายประโยคพูดเสียงเบาบาง ผมคิดว่าเขาน่าจะหันไปพูดกับคนข้าง ๆ ในประโยคหลังนั้น

“โอเคครับ”

‘โอเค เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อแล้ว ยังไงไว้จะทักไลน์หานะครับ’

“ครับ” ผมตอบกลับทั้ง ๆ ที่สมองยังมึน ๆ

‘คุณ’

“....”

‘ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ...ผมเป็นห่วง’

พอจบประโยคนั้น อีกฝ่ายก็ตัดประโยคไปเลย ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างกลางอากาศอยู่คนเดียว ไม่ทันแม้แต่จะตอบกลับหรือพูดอะไรด้วยซ้ำ ผมนิ่งอยู่แบบนั้นเกือบนาทีก่อนอีกฝ่ายจะส่งข้อความมาย้ำ

‘ไปทำงานแล้วนะ ไอ้อ้วน’

...เอาล่ะ ผมว่ามีคนอยากตายหลังกลับจากญี่ปุ่นแล้ว ผมส่ายหัวกับคนในโทรศัพท์ที่ทำเอาผมเปลี่ยนมู้ดไปมาไม่หยุด ไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองควรรู้สึกแบบไหนกับเขา ไม่ทันจะได้เขินก็กวนผมซะบ้าบอแบบนี้ สงสัยกลับจากญี่ปุ่น คงต้องมีคนโดนผมเอาคืนสักดอกอย่างแน่นอน

กระโดดเอาคางเกยหมอนเน่า ก่อนจะพิมพ์ตอบเขาว่า  ‘ครับ พ่อคนตาโต’ พร้อมสติกเกอร์รูปอาตี๋ตาเหลือขีดเดียวเป็นการล้อเลียนอีกฝ่ายกลับไป ไม่นานข้อความก็ขึ้น read ก่อนเขาจะบอกว่าต้องไปทำงานแล้วจริง ๆ เป็นอันจบบทสนทนาของคนที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาอยู่ในความคิด...

...อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาอยู่ในความคิด งั้นเหรอ?

นั่นสินะ จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนคุย คู่นอน หรือใครก็ตามแต่ ผมไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถาม ไม่กระทั่งแม้แต่จะใส่ใจด้วยซ้ำว่าใครจะยังอยู่ หรือจะไปจากชีวิตของผม แล้วทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าโชหายไปทั้ง ๆ ที่มันก็แค่วันสองวันเองที่เขาไม่ได้ตอบไลน์ผมอย่างที่เคย

ผมถอนหายใจออกมากับตัวเอง ทิ้งความรู้สึกทั้งหมดไว้เบื้องหลัง หลับตาพริ้มปล่อยให้หัวสมองโล่งจากความขัดแย้งในจิตใจที่กำลังประเดประดังเข้ามา วูบหนึ่งในหัวใจของผมพองโตอย่างบอกไม่ถูกกับอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายบอกใบ้ แต่วูบหนึ่งผมก็จิตใจของผมก็เงียบลงไปเมื่อ ‘กรง’ ขนาดมหึมาผุดขึ้นมาในหัวผมอีกครั้งหนึ่ง เสียงสัตว์ร้ายในหัวย่อตัวหมอบและครางหงิง ๆ ไปมา

...ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ผมควรจะทำยังไงดีกับความรู้สึกประหลาด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ผมจะมีได้จริง ๆ น่ะเหรอ? 

...ไอ้ความสัมพันธ์ที่ใครเขาเรียกกันว่า “ความรัก” น่ะ

 

........................................

 

หลังจากปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านสักพักใหญ่ ๆ ผมถีบตัวเองไปอาบน้ำ ก่อนจะแต่งตัวแล้วมาทำงาน เช่นเคยกับทุก ๆ วัน เจ้าไอซ์ นกน้อย และคนอื่น ๆ ก็มาทำงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผมทักทายเพื่อนใหม่ที่เริ่มจะคุ้นเคยกัน ก่อนพวกเราทั้งหมดจะช่วยกันทำงานต่อไป วันนี้ลูกค้าไม่เยอะมากเพราะเป็นช่วงเกือบจะปลายเดือนแล้ว ร้านจะแน่นอีกครั้งก็นั่นแหละครับ ช่วงเงินเดือนออก ชีวิตคนเราก็หมุนวนกับสามสิบวันที่ตังค์ออกเนี่ยแหละครับ

ทำงานจนเกือบสามทุ่มก็ได้เวลาเลิกงาน ผมแตะบัตรกดออกจากที่ทำงาน ฮัมเพลงบลา ๆ เพราะตัวเองมีแพลนจะขึ้นไปดูหนังหลังเลิกงาน ผมเดินไปซื้อตั๋วก่อนจะนั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ ตอนนั้นเองที่ไลน์ของผมเด้งขึ้นมา

‘สวัสดีครับพี่เสือ’

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำทักทายดังกล่าว ก่อนจะกดเข้าไปอ่าน แล้วร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ของเจ้าแม็กซ์

‘สวัสดีเด็กน้อย สบายดีไหม?’ ผมทักทายกลับ อีกฝ่ายอ่านแล้วนิ่งไปเฉย ๆ แบบนั้น สักพักข้อความใหม่ก็ส่งกลับคืนมาให้กับผม

‘สบายดีครับ พี่เสือว่างไหม ผมขอคุยกับพี่แป๊บหนึ่งได้ไหม’

‘ได้สิครับ’ ผมว่า หลังมองเวลาแล้วตัวเองเหลือเวลาอีกสักพักกว่าจะได้เข้าโรงภาพยนตร์ รอไม่นานน้องแม็กซ์ก็โทรไลน์เข้ามาหาผม พอกดรับสายก็ได้ยิน  อีกฝ่ายพูดตอบกลับมาก่อน

‘สวัสดีครับพี่ ขอโทษที่โทรศัพท์มารบกวนดึก ๆ นะครับ’ น้องแม็กซ์เปิดบทสนทนาด้วยการขอโทษขอโพย ผมหัวเราะในความใสซื่อก่อนจะตอบกลับกับเขา

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ดึกหรอกสามทุ่มเอง”

‘ครับพี่ แม็กซ์จะถามว่า วันจันทร์นี้พี่ว่างไหมครับ?’ ผมขมวดคิ้ว แต่ก็เปิดดูตารางนัดหมายของตัวเองแต่โดยดี

“ก็ว่างนะครับ ทำไมเหรอ?” ผมถาม เจ้าตัวเงียบไปนิดก่อนจะบอกกับผม

‘ถ้าสะดวก...พี่อยากมาหาแม็กซ์ไหม?’

ไม่ต้องคิดให้มากความ ผมก็เข้าใจนัยยะของคำว่า “มาหา” ของเจ้าแม็กซ์ คงไม่ใช่การไปหาเพื่อนอนกอดกันใส ๆ อย่างแน่นอน

“ถ้าหลังพี่เลิกเรียนก็ได้นะครับ พี่ไปหาได้ และเราสะดวกให้พี่ค้างไหมล่ะ หรือต้องกลับ?” ผมถาม

‘ค้างได้ครับพี่ บ้านแม็กซ์ว่าง พ่อแม่แม็กซ์ไม่ค่อยกลับ...ไม่สิ ไม่กลับมาบ้านมาเป็นเดือนแล้วครับ’ เขาว่าเสียงอ่อย ๆ ผมสะดุ้งตัวนิดหน่อยกับคำบอกเล่าลงท้ายของเจ้าแม็กซ์

“โอเคครับพี่ไปหาได้”

‘ได้ครับ เดี๋ยวแม็กซ์ส่งโลเคชั่นไปให้นะครับ’ เจ้าตัวว่าเสียงใส แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกถึงความไม่สดชื่นของปลายเสียงนั้น

‘พี่เสือครับ’

“ครับว่า?”

‘พี่ไว้ใจแม็กซ์ไหม?’ เขาถาม ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ก็ไว้ใจนะครับ ไม่งั้นคงไม่ไปหาหรอก” ผมตอบตามความรู้สึก ปกติแล้วผมไม่เคยนึกอยากจะออกจากห้องด้วยซ้ำไป แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ผมคิดว่า ผมอาจจะต้องไปหาเจ้าเด็กน้อยที่นับว่าเป็นรุ่นน้องของผมคนหนึ่งคนนี้ก่อนซะแล้ว

‘งั้น แม็กซ์ขออะไรพี่สักอย่างได้ไหมครับ?’

“ครับ?” ผมตอบกลับด้วยความสงสัย น้องแม็กซ์เงียบเหมือนเว้นวรรคไปสักพักเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง ผมเลยนิ่งรอให้อีกฝ่ายตอบกลับ ก่อนอีกฝ่ายจะพูดประโยคที่ทำให้ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นไปพักใหญ่ ๆ

‘พี่เสือครับ ถ้าแม็กซ์จะบอกว่า แม็กซ์อยากมีอะไรกับพี่แบบไม่ป้องกัน พี่จะโอเคไหมครับ?’

ให้ตายเถอะ เด็กม.ปลายลูกครึ่งวัยขบเผาะกำลังชวนผมทำเรื่องอย่างว่าแบบไม่ป้องกันเนี่ยนะ ผมเผลอกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงคืนนั้นกับเจ้าเด็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

“พี่ว่า....”

 



Time talk : อู้วววววววววววววววว ยังไงดีละที่นี้ ว่าแต่เพื่อน ๆ สบายดีนะครับ ตอนนี้พ่อแมวใกล้จะได้เอาหน้าปกมาให้ทุกคนได้ยลโฉมแล้วนะ นิยายเรื่องนี้ทำเป็น สองเล่ม ความยาวทั้งหมดประมาณ 750 หน้านะครับ ตอนพิเศษตอนนี้เหลืออีกสามตอนก็จะปิดเล่มแล้ว (ตอนพิเศษทั้งหมด 10 ตอน แฮะ ๆ)

อย่าลืมหยอดกระปุกนะพวกเธอว์ น่าจะเปิดจองประมาณกลางเดือนธันวาคมครับ

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ^^

ปล. เจอคำผิด สะกิดได้เลยนะครับ กำลังทยอยแก้ไขสิ่งที่พิมพ์ผิดพลาดไปครับ และก็ ในต้นฉบับที่นำไปพิมพ์จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดและจะมีเนื้อหาที่ครบถ้วนไม่ตกหล่นอย่างแน่นอนครับ เพราะมีการเพิ่มและลดทอนบางฉากไปเพื่อความสมบูรณ์ที่สุดในอรรถรสของการอ่านสำหรับนักอ่านทุกท่าน ยังไงฝากตัวอีกครั้งด้วยนะครับ

             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 21:13:54 โดย พ่อแมวพุงโต »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ใครๆก็รีกพี่เสือ เสน่ห์แรงจริงๆ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อื้อหือ กล้าเสี่ยงไปนะน้องงงงงงง

เสี่ยงตัวเอง เสี่ยงคนอื่น

พี่เสือมีความคิดมาก ๆ ชอบค่ะ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
«ตอบ #84 เมื่อ27-10-2018 22:42:49 »



Ep.16  AGAIN




“พี่ว่า..พี่เป็นคนดูคนเก่งระดับหนึ่ง”

‘...’

“...แล้วพี่คิดว่า พี่ดูเราไม่ผิดไป เพราะเราพูดรู้เรื่องที่พี่พูด พี่ถึงเลือกที่จะให้มี ‘ครั้งต่อมา’ ได้ พี่อยากถามว่า ทั้งหมดในวันนั้นที่พี่บอกเราไป เราไม่เข้าใจเลยเหรอครับ?”

ผมค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ เน้นย้ำในทุกประโยคที่พูดกับแม็กซ์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นมากับเด็กที่เคยรับปากกับผมไว้ว่าจะป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่าย หลังจากผมพูดไปเสร็จก็เกิดเดดแอร์ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังไม่ตัดสาย ผมจึงยังถือสายรออีกฝ่ายพูดอยู่

‘...พี่...ไม่ไว้ใจแม็กซ์เหรอครับ?’ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา

“เดี๋ยวนะแม็กซ์ ตั้งสติก่อนแล้วเอาใหม่ ความไว้ใจเกี่ยวอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกัน ?” ผมตั้งคำถามให้อีกฝ่ายได้คิดตาม เจ้าแม็กซ์สะอึกเงียบไป ก่อนจะพูดต่อ

‘ก็..ก็ ถ้าพี่ไว้ใจผม คิดว่าผมไม่มีโรค ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องป้องกันก็ได้นี่ครับ’

“แม็กซ์ครับ...” ผมเรียกเขาเสียงหวาน ก่อนจะพูดประโยคต่อมา

“ถุงยางอนามัยไม่ได้ป้องกันแค่โรคครับ ถุงยางอนามัยดูแลทุกอย่าง แม้กระทั่ง ‘ความสะอาด’ แม็กซ์คิดว่าแค่น้ำเปล่าสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรืออะไรที่ไม่พึงประสงค์ทางช่องทางของตัวเราเองได้เหรอครับ? อันนี้เรื่องแรกที่พี่จะพูด อีกเรื่องคือไว้ใจ ไม่ไว้ใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการป้องกันไม่ป้องกันเลย คนเรามันพิสูจน์ความไว้ใจผ่านอะไรแบบนี้ได้เหรอครับ หนูจะบ้าไปแล้วเหรอที่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรที่จับต้องไม่ได้แบบนี้” ผมร่ายยาว เว้นวรรคบางช่วงให้เขาฟังและคิดตามทัน

“....และส่วนสุดท้ายนะครับแม็กซ์ แม็กซ์กับพี่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือน แม็กซ์ไว้ใจพี่แค่ไหน แม็กซ์คิดว่าพี่เป็นคนที่น่าไว้วางใจเหรอครับ? สิ่งที่พี่พูดมาทั้งหมดพี่อาจจะแกล้งพูดเพื่อให้แม็กซ์คล้อยตามพี่ก็ได้ มันไม่มีหรอกครับ คนที่บอกว่าตัวเองชั่วแค่ไหนน่ะ ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูเป็นคนดีในสายตาของอีกฝ่ายทั้งนั้น”

‘...’

“เชื่อพี่เถอะครับ พี่ว่าพี่มองน้องพี่ไปไม่ผิดจากที่คิดแน่ ๆ แม็กซ์เป็นเด็กฉลาด..อย่าทำให้พี่ผิดหวังเลยครับ”

ผมกล่าวทุกคำออกมาด้วยเสียงหวานแต่เน้นย้ำทุกคำพูดเพื่อแสดงความจริงจังของตัวเอง แวบหนึ่งที่วูบวาบไปกับภาพในวันวานถูกขับไล่ออกไปด้วยมโนจิตส่วนตัวพร้อม ‘เหตุการณ์’ บางอย่างที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้  คนที่ระแวงระวังอยู่เสมอไม่ว่าคนที่เดินเข้ามาหาจะดูน่าไว้ใจ หรือไม่น่าไว้วางใจ ก็ตามแต่

‘แม็กซ์ขอโทษนะครับ’ ปลายสายว่าเสียงเบาหวิว ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะรีบปลอบอีกฝ่าย

“ไม่ต้องขอโทษพี่ก็ได้ครับ พี่ไม่ได้ว่าอะไร พี่แค่พูดคุยกับเรา อย่างตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง”

ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าเรา การตัดสินใจจะผิดพลาดไปสักหน่อยก็ไม่แปลกอะไร เพราะเคยผิดพลาดจากวัยเยาว์ ผมจึงเข้าใจว่าเวลามีผลแค่ไหนต่อการตัดสินใจในการกระทำของคนในแต่ละช่วงวัย เมื่อเราโตขึ้น ประสบการณ์จะไม่ได้ป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ประสบการณ์จะช่วยให้เราตัดสินใจลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดนั้น ๆ          ขึ้นแทน เพราะแบบนั้นเอง ผมจึงไม่ได้รู้สึกว่าแม็กซ์ทำผิดหรืออะไรไป

‘คือ ...แม็กซ์ไปดูซีรีส์มา’ ปลายสายว่า ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

“ครับ แล้ว..?”

‘ก็ไม่แล้วยังไงหรอกครับพี่เสือ แต่มันก็แบบ... แม็กซ์ก็อยากทำ อยากมีตามซีรีส์บ้างไง’ เจ้าตัวว่าเสียงอุบอิบเหมือนเด็กที่กลัวพูดอะไรออกไปแล้วไม่ตรงใจ ที่ผู้ใหญ่อยากจะฟัง ผมถอนหายใจออก สูดลมหายใจเข้า มือข้างหนึ่งกด ๆ ขมับที่เริ่มปูดออกมาด้วยความเครียด

“แม็กซ์ครับ นั่นมันซีรีส์ ซีรีส์ที่ทำมาจากนิยาย นิยายที่แปลว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องสมมตินะครับ” ผมว่าอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึกว่าก่อนที่โชจะเอานิยายไปลงที่ไหน หรือถึงขั้นไปทำซีรีส์อะไรก็ตามแต่ สงสัยต้องตรวจตราอย่างละเอียดซะแล้วว่าจะสร้างค่านิยมหรือแนวคิดแปลก ๆ ให้กับเด็กที่ไหนรึเปล่า?

‘ก็รู้แหละว่ามันไม่จริง แต่บางทีดูแล้วเราก็แบบ อยากทำตามบ้างบางครั้งอ่ะครับ ...พี่เคยดูซีรีส์วายไหมครับ ?’ ท้ายประโยคเจ้าตัวถามผมกลับ

“ไม่เคยครับ” ผมว่า

‘เหรอ แย่จัง อยากรู้ว่าพี่คิดยังไงอ่ะกับซีรีส์ที่เขาดู ๆ กัน’ แม็กซ์ตอบ

ผมเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ส่วนตัวแล้วถ้าอะไรที่ผมไม่รู้จริง ผมมักจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแสดงความคิดเห็นอะไร กรณีซีรีส์ก็เช่นกัน ในเมื่อผมไม่เคยดู ผมก็ไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ไว้ผมจะลองสอบถามไปกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างโชแทนแล้วกัน

‘แต่ว่า...เขาบอกว่าแบบไม่ป้องกันเสียวกว่า’ หลังจากเงียบไปสักแป๊บ ปลายสายว่าเสียงตุ่ย ๆ ต่อ ผมถอนหายใจเบาบางอีกครั้งก่อนจะถามกลับ

“เขานะใคร?”

‘ก็เขา...เขา’

“เขาไหน?” ผมถามจี้อีกครั้ง

‘ก็เขาบอกต่อ ๆ กันมาอ่ะครับ ขอโทษษษ อย่าดุแม็กซ์เลยนะ’ เจ้าตัวรีบพ่นคำขอโทษออกมารัว ๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยกับคำตอบนั้น

“โอเค แม็กซ์ครับ ฟังพี่พูดช้า ๆ ชัด ๆ นะครับ” ผมว่า ปลายสายเงียบกริบรอฟังผมพูด

“แม็กซ์ครับ พี่เห็นแม็กซ์เป็นน้องของพี่คนหนึ่ง พี่ถึงพูดอย่างตรงไปตรงมา พี่ไม่มีสิทธิ์ห้ามนะครับ ถ้าเราอยากจะไปทดลองหรือไปทำอะไรกับใครแบบที่เราต้องการ อันนั้นมันเป็นเรื่องของเรา พี่ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวอยู่แล้ว...” ผมว่า

‘พี่เสือ....’ เจ้าแม็กซ์เรียกเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนสุนัขที่กำลังหูลู่ตกเพราะโดนดุ แต่ผมยังพูดไม่จบ

“....แต่ถ้าอยากทำอะไรกับพี่ พี่บอกเลยว่าพี่คงเป็นคู่ทดลองให้เราไม่ได้ พี่ไม่เคย ไม่คิด และจะไม่มีวัน มีอะไรแบบไม่ป้องกันกับคนที่พี่คิดกับเขาแค่เป็น ‘คู่นอน’ แน่ ๆ  ....แม็กซ์ครับ พี่เป็นแอคเค่อ แอคเค่อที่หมายถึงคนที่เล่นทวิตเตอร์เพื่อสำหรับนัดเยคนอื่น แม็กซ์เอาอะไรมาไว้ใจคนแบบพี่ และที่สำคัญนะครับ ตัวเลขล่าสุดตอนนี้คือ 1 ใน 3 ของเกย์ทั่วปริมณฑล มีเชื้อ HIV ทั้งแบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว แม็กซ์จะเสี่ยงจริง ๆ เหรอครับ เสี่ยงกับคนแบบพี่ เสี่ยงกับคนที่เห็นเราเป็นแค่น้องน่ะเหรอ?”

ประโยคที่ผมพูดออกไปอาจจะโหดร้ายและรุนแรงไปบางสำหรับความสัมพันธ์ประมาณนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่า ไม่มีอะไรจะรักษาสถานภาพและความสัมพันธ์ ได้เท่ากับการที่เราได้พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมากับคนที่เราห่วงใย

‘ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง’ เจ้าแม็กซ์ว่า ผมเงียบเพื่อรอฟังว่าตัวเองกำลังจะโดนด่ารึเปล่า

‘พี่น่ะ ทำให้ผมเชื่อได้สนิทใจจริง ๆ นะว่าพี่ปลอดภัย ว่าพี่เป็นห่วง มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าผมจะทำหรือทดลองอะไร ถ้าเป็นพี่ มันคงดี มันคงปลอดภัย ผมคิดแบบนั้นเลยถามออกไป แต่ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปเลยไม่เข้าใจในมุมของพี่ แม็กซ์ต้องขอโทษอีกครั้งจริง ๆ นะครับที่ทำตัวดื้อแบบนี้’ เจ้าแม็กซ์พูดต่อจนจบ

“พี่ขอบคุณนะครับ พี่ขอบคุณมาก ๆ ที่แม็กซ์เชื่อมั่นในตัวพี่ แต่เชื่อพี่เถอะครับ อะไรที่มีคุณค่ากับเรามาก ๆ จงรักษาและถนอมมันให้กับคนที่รู้จักคุณค่าของมัน” ผมย้ำอีกครั้งให้ทั้งตัวเขา ทั้งตัวผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในสถานะภาพไหนของกันและกัน

“แต่พี่บอกได้เลยว่าไม่ใช่พี่แน่ ๆ ” ผมปิดท้าย ปลายสายเงียบไปก่อนจะพูดออกมาด้วยโทนน้ำเสียงปกติ

‘ผมถามได้ไหมครับ พี่เสือเคยมีแฟนไหม? หรือคนที่รักมาก ๆ ก็ได้ครับ’ น้องแม็กซ์ถาม

“เคยสิครับ เคยมีทั้งสอบแบบ และก็เคยที่จะไม่มีทั้งสองแบบอีกต่อไปด้วย”

‘เหรอครับ? ....แล้วตอนพี่มีแฟน พี่รักแฟนพี่ไหมครับ?’ เจ้าตัวเล็กถามต่อ ผมอมยิ้มหยุดคิดไปสักครู่ ก่อนจะตอบ

“ถ้าไม่รู้สึกอะไร พี่คงไม่ให้สถานะที่ชัดเจนกับเขาไปตั้งแต่แรก” ผมว่า

‘แปลว่าถ้าพี่มีแฟนแล้ว พี่ก็จะไม่เป็นแอคเค่อ ไม่นัดใครแล้ว งั้นเหรอครับ?’ แม็กซ์ถามกลับทันควัน ผมขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“นี่ พี่มี sex กับใครต่อใครได้ เพราะพี่ไม่มี ‘พันธะ’ อะไรกับใครหรอกนะครับ แต่ถ้าพี่เลือกแล้วว่าจะมีแฟนพี่ก็ต้องหยุดสิครับ เพราะตัวพี่เองคงไม่โอเคเหมือนกัน ถ้าแฟนพี่จะไปมีอะไรกับใครทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นของกันและกัน และมันคือการให้เกียรติทั้งตัวเองและให้เกียรติอีกฝ่าย ถ้าเขาเป็นคน ๆ นั้นที่เราเลือกแล้ว เรามั่นใจแล้วว่าเขาใช่ แต่เรายังไม่ยอมหยุด พี่ว่าแบบนั้นมันเหมือนเราไม่เคารพการตัดสินใจของตัวเองไปหน่อย..”

ผมอธิบายตามความรู้สึกของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมคิดว่าการนอกใจจากพันธะที่ตัวเองเลือกไปมีใครอีกคน แม้จะเป็นแค่เรื่องบนเตียงเพียงชั่วข้ามคืนจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โอเค ผมอาจจะนอนกับใครก็ได้ แม้กระทั่งกับคนที่มีแฟนแล้ว

อ่า...กับคนที่มีแฟนแล้วงั้นเหรอ ผมเกือบลืมเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งกับตัวเองเหมือนกัน แต่นั่นหมายถึงกรณีที่ว่าเขาและคนในพันธะสัญญาของเขาเคลียร์กันไปแล้วเรียบร้อย ไม่ใช่ไม่เคยนะครับ แต่เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ไอ้ ‘การมีเซ็กซ์กับแฟนคนอื่นโดยที่แฟนเขานั่งดูน่ะ’ อื้ม เอาเป็นว่าไว้ผมจะลองมาอธิบายให้ฟังอีกครั้งในโอกาสที่เหมาะสมแล้วกันนะ

...จะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจเหมือนกัน กับการที่ว่าถ้าคู่รักของเรายินยอมพร้อมใจที่จะให้เราไปมีอะไรกับใครได้ แบบนี้ จะเรียกว่านอกใจได้ไหมเพราะอีกฝ่ายก็สมัครใจ แล้วคนที่ทำแบบนั้นได้จะต้องคิดแบบไหนยังไง ผมว่าเรื่องพวกนี้มีหลากหลายมุมมองจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดด้วยซ้ำ

ผมจดประเด็นที่ตัวเองก็ชักเริ่มจะอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว ใส่ลงในโทรศัพท์มือถือหน้าโน้ตสำหรับจดบันทึก แยกเป็นประเด็นที่ผมคิดว่าผมมีมุมมองยังไงบ้าง ในขณะที่อีกใจก็อยากฟังความคิดเห็นจากโช จะว่าไปแล้ว จดไปจดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมยังอยู่ในสายกับน้องแม็กซ์ !!!

โอ๊ย เพราะเจ้านากเผือกแท้ ๆ พออยู่ด้วยกันนาน ๆ เข้า ผมก็เผลอติดนิสัยแย่ ๆ กับการกลัวหลงลืมประเด็นสำคัญ ๆ ไปโดยปริยายจนต้องหัดบันทึกตามว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ สุดท้ายเลยกลายเป็นลืมไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่

“โทษทีๆ  แม็กซ์ยังอยู่ในสายไหมครับ?” ผมขอโทษน้องแก้เก้อ รู้สึกเขินที่ลืมไป

‘ยังอยู่ครับ แม็กซ์ก็งงเลย อยู่ดี ๆ พี่เงียบสายไป’ เจ้าเด็กน้อยตอบ ผมหัวเราะเสียงแห้งอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอามะเหงกเขกหัวตัวเองเป็นการลงโทษในความโก๊ะแตกครั้งนี้ น้อยครั้งจริง ๆ ที่ผมจะเสียลุคหรือหลุดมาด เพราะความลืมตัว (เรื่องนี้เองก็ต้องจดไว้คิดบัญชีกับเจ้าตัวแสบเหมือนกัน)

‘แล้ว สรุป...พี่จะยังมาหาแม็กซ์ไหมครับ? ’ น้องแม็กซ์ถาม

“ไปสิครับ พี่รับปากแล้วว่าจะไปก็คือไป แต่ก็อย่างที่พี่บอก Safe Sex เท่านั้นครับที่พี่โอเค” ผมว่าเสียงใส ย้ำจุดยืนของตัวเอง

‘โอเคเลยครับ แค่พี่มาหาผม ผมก็ดีใจมาก ๆ แล้วครับ’ เจ้าแม็กซ์ตอบรับเสียงหวาน ภาพในหัวของผมเหมือนเห็นชิบะตัวเล็ก ๆ ที่กำลังพยายามส่ายหางสั้นกุดไปมา

ผมกับน้องแม็กซ์คุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนเจ้าตัวจะขอตัวไปทำการบ้านต่อ ส่วนผมก็นั่งรอเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ต่อไป อยู่ดี ๆ อะไรบางอย่างในตัวผมก็แหกปากร้องกระเจิง ผมสะดุ้งตัวหันซ้ายหันขวา มองรอบ ๆ พอสายตาปรับโฟกัสกับภาพระยะไกลถึง ‘ใคร’ บางคนได้ ผมก็เผลอลืมหายใจไปซะดื้อ ๆ แบบนั้น

ผมขาสั่น หอบหายใจหนักมากกว่าตอนที่เพิ่ง make love กับใครเสร็จ หัวใจเต้นระรัวจนผมอยากจะทุบให้มันหยุดเต้นไปซะตรงนั้น ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้น อยากจะหายตัวไปเลย และเหมือนทัศนียภาพของผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ หลังหยาดน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง ผมกัดฟันแน่น บอกกับตัวเองในใจว่าจะไม่ร้องไห้ออกมา แต่เหมือนร่างกายปฏิเสธคำสั่งจากสมอง

บางครั้งคนที่เราอยากเจอมากที่สุดในโลก ก็คือคน ๆ เดียวกันกับคนที่เราไม่อยากเจอมากที่สุดในโลก

เจ็บในอก มันแน่นไปหมด ผมแทบจะอาเจียนออกมาด้วยซ้ำ สมองประมวลผลแต่ภาพเก่า ๆ ที่ผม “เคย” ได้ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ความรู้สึกหลายอย่างทะลักออกมาราวกับว่ามันเก็บซ่อนไว้ในใจเนิ่นนาน นานมากแล้วจริง ๆ ที่ผมพยายามเก็บทุกอย่างยัดลงกล่องแบล็คบ็อกซ์ใบเดิมที่ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า และมีร่องรอยมากกว่าเดิม พร้อมกับแกล้งทำเป็นลืมมันไปด้วยซ้ำ

...ลืมไปหมดแล้ว แม้กระทั่งใบหน้าที่เคยจ้องมองเพื่อรอว่าเมื่อไหร่ผมจะตื่นขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มของเขาในตอนเช้า

ใกล้มากขึ้น มากขึ้นทุกที ผมต้องหนี ผมต้องไปจากที่นี้ ผมคิดแบบนั้น แต่ร่างกายของผมไม่ทำตามคำสั่งเลย นิ้วมือนิ้วเท้าผมชาจนแทบขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้ามีใครที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ผมตอนนี้คงคิดว่าผมเสพยา ที่ผมกำลังอ้าปากด่าตัวเองว่าฟัคยูตลอดเวลา หลังจากรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

ผมเนี่ยนะ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้?

ผมคือไทเกอร์ ผมคือเสือน้อย ผมคือแอคเค่อ ผมคือคนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับใคร ไม่เคยคิด ไม่แม้แต่จะคิด ไม่มีทาง และไม่มีวันที่ผมจะหยุดลงที่ใคร มีแต่คนผิดปกติเท่านั้นแหละ ที่จะหลงรักกับคนที่ตัวเองนัดมาเพื่อมีเพศสัมพันธ์ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เชื่อมั่นในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นวกไปวนมา ก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืน

ถ้าใกล้มากเกินไปกว่านี้ ‘เขา’ ต้องสังเกตเห็นผมแล้วแน่ ๆ

ยังพอมีเวลา เขายังซื้อตั๋วและยืนคุยกับใครคนนั้นอยู่ ขอแค่ผมเดินเร็ว ๆ ผ่านประตูทางหนีไฟ เรื่องจะจบลงตรงนั้น ผมจะกลับบ้าน จะกลับไปลืมว่าเกิดอะไรขึ้นมาในวันนี้ ผมไม่เจอ ไม่เห็นใครทั้งนั้น แค่มาดูหนัง แต่ก็ไม่อยากดูแล้วเลยรีบกลับบ้าน ผมคิดแบบนั้นย้ำซ้ำ ๆ กับตัวเอง ขาทั้งสองข้างพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวเดินออกไปตามทางของตัวเอง

...ระหว่างผมและเขา เราไม่ควรมีภาพความทรงจำอะไรต่อกันอีกแล้ว

ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองบังคับร่างกายได้แย่มากขนาดนี้ คนที่ถึงขนาดเพื่อนเคยบอกว่าให้เดินช้าลงกว่านี้หน่อยเพราะพวกเขาเดินตามผมไม่ทัน กลับเป็นคน ๆ เดียวกันกับคนที่เดินส่ายไปมาเหมือนคนเมาอย่างยากลำบากแบบนี้งั้นเหรอ? ผมแค่นเสียงหัวเราะ ตลกในความถือดีของตัวเองอย่างถึงที่สุด ผมพยายามปล่อยวางกับหยดน้ำตาที่คลอในเบ้า ในเมื่อควบคุมไม่ได้ก็เลือกที่จะปล่อยมันไปแบบนั้น

อีกแค่นิดเดียวผมก็จะเดินถึงบันไดหนีไฟแล้ว ด้วยระยะเท่านี้ต่อให้เขาหันมาเจอ ก็คงไม่เห็นแล้วว่าผมเป็นใคร

...หรือจริง ๆ แล้วเขาอาจจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยรู้จักกัน

เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าครั้งหนึ่งเคยนอนหนุนอกของผม ครั้งหนึ่งเขาเคยนอนกอดแล้วร้องเพลงรักอันแสนอบอุ่นให้ฟัง ครั้งหนึ่งเขาเคยตื่นมาจ้องหน้าผมเพื่อรอให้ผมตื่นมาเจอรอยยิ้มของเขาเป็นคนแรกของวัน เขาคงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยบีบยาสีฟันไว้ให้ผมทุกเช้าก่อนจะออกไปเข้าเวร

'พี่ชอบนอนกอดเรามากที่สุดเลยรู้ไหม เจ้า 'นักรบ' ของพี่'

เสียงเดิมที่เคยได้ยินย้อนกลับมาในหัวผมอีกครั้ง

ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีผมอยู่บนโลกใบนี้

...แต่หัวใจของผมไม่เคยลืมสักครั้งว่าผมเคยหลงรักใครคนหนึ่งสุดหัวใจ

เรื่องที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดไม่ใช่การที่ตัวเองยังไม่ลืมใครสักคน แต่เรื่องที่ผมรู้สึกแย่มากที่สุด คือการที่ใครสักคน หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าชีวิตของเขาเคยเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง

...เขาจะรู้ไหมนะ ว่านอกจากเขาแล้ว ‘แบล็คบ็อกซ์’ ของผม ไม่เคยถูกเปิดให้ใครได้เข้าไปสัมผัสกับร่องรอยบาดแผลข้างใน เขาจะรู้ไหมนะว่าผมยินดีแค่ไหนที่มีคนพยายามเปิดกล่อง ๆ นั้นออกมา เขาจะรู้ไหมนะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ผมใจเต้นทุกครั้งที่เราสัมผัสกัน เขาจะรู้ไหมนะ...เขาคือทุกสิ่งในชีวิตของผม

ฉับพลัน หัวใจผมกระตุกวูบถี่ ๆ อาการปวดที่ไม่ได้เจอมานานแล้วกำเริบอีกครั้ง ผมหอบหายใจหนัก แต่พยายามอย่างยิ่งในการทรงตัวให้เป็นปกติ บอกกับตัวเองว่า ขอแค่อีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวก็จะถึงบันไดหนีไฟแล้ว แค่อีกนิดเดียวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว ผมจะกลับไปนอน แล้วลืมไปแล้วว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น

“เฮ้ย!!”

เสียงร้องแหบแห้งอย่างตกใจดังออกจากคนข้าง ๆ ในขณะที่ผมเกือบเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือคู่หนึ่งช่วยเป็นหลักค้ำพยุงให้ผมไม่เสียการทรงตัว ผมหันหน้าไปหาเขา แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโคตรจะเป็นคนที่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ทำไมวันนี้ผมต้องเจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก(แล้ว)นะ....

“ไหวไหมคุณ?” เขาถามเสียงแหบ กลิ่นนิโคตินลอยมาเตะจมูกผมอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่เวลามาใส่ใจ ผมแทบจะก้มหน้า ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนที่เห็นผมในมุมที่อ่อนแอมากขนาดนี้

“คุณจะไปไหน?” เขาถาม

“some where, not here” ผมตอบกลับเร็วปร๋อ เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ทั้ง ๆ ที่ตาสองข้างของเขาเหมือนกำลังจะปิดอยู่ตลอดเวลา

“งั้นไป ‘ที่ ๆ’ ของผมนะ” เขาว่า ฉับพลันเหมือนโลกของผมหมุนติ้ว รู้สึกตัวอีกทีเขาก็อุ้มผมลอยจากพื้น ผมเหวอจนลืมความรู้สึกแย่ ๆ ที่อัดแน่นในอกไปชั่วขณะ

“คุณ !!!” ผมเรียกเขาเสียงสั่น ผมไมได้น้ำหนักตัวน้อย ๆ เหมือนพวกตัวเอกในนิยายนะคุณ ที่ใครจะได้อุ้มง่าย ๆ เหมือนอุ้มคนไม่ได้กินข้าวแบบนั้น

“อย่าเพิ่งเรียกผม ถ้าคุณไม่อยากลงไปนอนกองกับพื้น ผมกำลังใช้สมาธิ” เขาว่าด้วยเสียงสั่นกว่า ใบหน้าเหมือนกำลังยกของหนัก ผมเงียบกริบไม่ทักอะไรอีก แต่หันหน้าเข้ามาซุกอกเขา เพราะตอนนี้ก็ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง โชคดีจริง ๆ ที่เปลี่ยนชุดจากยูนิฟอร์มของร้านที่ทำงานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะว่าผมไหม แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะปล่อยให้หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง

ผมไม่แน่ใจว่านานไหม แต่รู้สึกตัวอีกที เขาก็อุ้มผมลงตรงด้านหลังลานจอดรถยนต์ หลังจากค่อย ๆ ปล่อยให้ผมทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว เจ้าตัวก็นั่งลง หอบหายใจเหนื่อยอ่อนเหมือนวิ่งมาเป็นสิบ ๆ กิโล

“ผมว่า...คุณควรลดน้ำหนักบ้างนะ” เขาว่า ผมหันขวับตวัดสายตาไปมอง ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเข้ามาถูกจังหวะที่ผมต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ประโยคเมื่อกี้เขาจะได้สักตุ๊บสองตุ๊บเป็นรางวัล

“แต่ผมไม่ถือหรอกนะ เพราะผมเต็มใจจะช่วยคุณ ...เหมือนที่คุณเคยช่วยผม” อีกฝ่ายพูดจริงจัง เน้นย้ำทีละคำ พร้อมมองใบหน้าของผม

“....”

“นี่คุณ....” เขาเรียก พร้อมยันตัวลุกขึ้นยืนหลังจากหอบหายใจคลายความเหนื่อยจากการอุ้มผมเสร็จแล้ว ก่อนจะมายืนตรงหน้าผมใกล้ ๆ

“...อยู่กับผม คุณจะร้องไห้ก็ได้นะ”

จบคำพูดของเขา อีกฝ่ายก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เหมือนกันกับวันนั้นที่ดาดฟ้า ต่างกันที่ว่าสถานะของเราสองคนถูกสลับบทบาทกัน ผมซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา กลิ่นนิโคตินเหม็นคลุ้งจนผมขัดจมูกไปหมด แต่นั่นไม่สำคัญเลย ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วเพราะหยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

ในหัวของผมเบลอ สมองเหมือนชัตดาวน์ไปดื้อ ๆ

...ผมทำได้แค่เพียงยืนร้องไห้พร้อมกับให้อีกฝ่ายลูบหัวปลอบไปแบบนั้น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 21:39:57 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
«ตอบ #85 เมื่อ27-10-2018 23:20:52 »

อดีตไปเจออะไรมาหนอ  :katai1:

ปล. ตรงนี้พิมพ์ตกนิดนึงครับ - “งั้นไป ‘ที่ ๆ’ ของนะ” เขาว่า

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
«ตอบ #86 เมื่อ28-10-2018 00:05:45 »

“แม็กซ์ครับ นั้นมันซีรีส์ ซีรีส์ที่ทำมาจากนิยาย นิยายที่แปลว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องแต่ง เรื่องสมมตินะครับ” ผมว่าอย่าง ช้าๆ ชัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึก

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.16 again| P3 | 27/10/2561
«ตอบ #87 เมื่อ28-10-2018 01:59:32 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
«ตอบ #88 เมื่อ31-10-2018 23:14:01 »


test

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.17 two four six zero one| P4 | 31/10/2561
«ตอบ #89 เมื่อ31-10-2018 23:14:34 »

test2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด