ชี้แจง** เรื่องนี้ใม่ใช่แนวผู้ใหญ่รักเด็กเล็กนะคะ แต่เป็นเรื่องที่เน้นความน่ารักของน้องบลู ความผูกพัน ดูแลกันและกันจนถึงวัยที่เหมาะสมจึงหันมามองกันในความสัมพันธ์แบบอื่น
และเพราะอย่างนั้น จึงตรงกับที่ทุกคนคาดเดากัน ^^ เรื่องนี้มีสองคู่นะคะ มีคู่รองของคุณอาคุณน้ามาให้ฟินกันกรุบกริบครึ่งแรกระหว่างอ่านความน่ารักของเด็กๆ ค่ะ พอเติบโตแล้วก็จะเขียนถึงความรักคู่หลักเต็มๆ หวังว่าจะชอบกันนะคะ ><
ตอนที่ 2 : คุณน้าปิงเสียงเคาะประตูดังเบาๆ ทำให้คีรินทร์ละสายตาจากเอกสารขึ้นไปมอง เขายังไม่ได้เปิดรับสมัครเลขา จึงไม่มีใครโทรเข้ามาแจ้งก่อน
“เข้ามา”
“ขอโทษครับ เห็นพี่นิ่มบอกว่าบลูอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มผมยาวก้าวเข้ามาในห้องด้วยชุดทำงานที่เหมือนอยู่คนละโลกกับเขา คีรินทร์ใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงทำงานสีเดียวกัน เข็ดขัดหนังสีดำหัวสีเงินเงาวาวกับรองเท้าหนังสีดำสนิท ขณะที่อีกฝ่ายมัดผมยาวลวกๆ ไว้ด้านหลังด้วยหนังยางมัดถุง เสื้อยืดตัวโคร่งดูย้วย กางเกงสีเข้มขาดเป็นรูกว้างมากตรงเข่า จนเขาสงสัยว่ามันเป็นแฟชั่นหรือมันขาดจริงแต่ไม่ยอมทิ้งกันแน่ ยังไม่นับรวมรองเท้าผ้าใบสีตุ่นที่เขาดูไม่ออกว่ามันคือสีกากีหรือสีครีมที่เก่าแล้ว
“ใช่ หลับอยู่” คีรินทร์มองไปทางโซฟาริมกระจกที่ลูกหมูปีนขึ้นไปนั่งดูวิวแล้วเผลอหลับไป เขาอุ้มเด็กชายลงนอนหนุนหมอน ห่มด้วยเสื้อสูทของตัวเอง “เมื่อกี้ผมเดินไปหาแต่เห็นคุณนิ่มบอกว่าไม่อยู่เลยฝากบอกแทน”
“ผมไปคุยกับฝ่ายการตลาดเรื่องงานของลูกค้าครับเลยไม่อยู่โต๊ะ”
“คุณนิ่มบอกผมแล้ว”
“ผมขออนุญาตพาหลานออกไป”
“เดี๋ยวสิ มานั่งนี่ก่อน” คีรินทร์ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ร่างผอมสูงมีสีหน้าอึดอัดแต่ก็เดินมานั่งลงโดยดี
“คุณคีรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“แค่จะถามว่าบลูหลับแบบนี้จะพาไปนอนตรงไหน” คีรินทร์สงสัยเพราะแผนกที่อีกฝ่ายทำงานอยู่ เฉพาะหัวหน้าเท่านั้นที่มีห้องทำงานส่วนตัว ที่เหลือทำงานร่วมกัน โดยแต่ละโต๊ะถูกกั้นด้วยแผ่นพาร์ติชันเพื่อให้มีสมาธิในการทำงาน
“ผมปูผ้าให้หลานอยู่ใต้โต๊ะครับ”
“ใต้โต๊ะ?” คีรินทร์ยกคิ้วขึ้นสูง เขาพยายามนึกภาพแต่นึกไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
“โต๊ะแผนกผมจะค่อนข้างกว้างมาก มันเป็นเซ็ตมาพร้อมกับพาร์ติชัน ไม่ใช่โต๊ะเป็นตัวๆ”
“ผมเคยเห็น”
“ขอโทษครับ” คนพูดหน้าเสีย เขาจึงยิ้มให้นิดหนึ่งเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้ตำหนิอะไร
“นั่นแหละครับ ผมเลยหาผ้านิ่มๆ มาปูตามความยาวของโต๊ะ มีของเล่น มีหนังสือภาพ มีหมอนเล็กๆ ให้ บลูจะได้มีอะไรทำ มีที่ให้นอนเล่น จะได้ไม่วิ่งไปกวนคนอื่นตอนทำงาน”
“อืม” คีรินทร์พยักหน้าเป็นระยะให้รู้ว่าตั้งใจฟังอยู่
“คือผม..” คนพูดมีสีหน้าอึดอัด “ผมทราบว่าถึงยังไงก็ยังรบกวนเพื่อนร่วมงานอยู่ดี ที่มีเด็กเล็กอยู่ในแผนก แต่ผมขอเวลาไม่นานครับ ผมกำลังหาโรงเรียนให้บลู จะรีบจัดการให้เร็วที่สุดครับ”
“ผมไม่ได้ว่าอะไร ถ้าพี่ดาวอนุญาตแล้วก็ตามนั้น”
“ขอบคุณครับ”
“งั้นก็กลับไปทำงานเถอะ”
“ครับ”
ร่างผอมลุกขึ้นยืน ทำท่าจะก้าวตรงไปที่โซฟา
“เดี๋ยว”
“ครับ?”
“ปล่อยบลูนอนที่นี่เถอะ ถ้าตื่นแล้วจะพาไปส่งให้”
“แต่”
“เด็กหลับอยู่ไม่ได้รบกวนผม ดีกว่าให้ไปนอนใต้โต๊ะ”
“...”
“ไปทำงานเถอะ ผมจะได้ทำงานเหมือนกัน”
“ครับ” ร่างผอมสูงค้อมศีรษะให้เขา หันไปมองหลานนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินออกไป คีรินทร์ละสายตาจากประตู หันกลับไปมองเด็กชายตัวอ้วนที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา รอยยิ้มจุดขึ้นที่ริมฝีปาก ดวงตาอ่อนโยน บลูเป็นเด็กน่ารัก ช่างเจรจา ไม่งอแง ง่วงก็หลับไปเอง เขาหลงรักเด็กน้อยเข้าเต็มเปา
• • • • • • • •
เด็กชายบลูตื่นขึ้นมาด้วยอาการงงๆ เขาลุกขึ้นนั่งมองไปรอบห้อง ริมฝีปากเบะออกเมื่อสิ่งที่เห็นไม่คุ้นตา จวบจนสายตาปะทะเข้ากับร่างสูง รอยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมาให้ทำให้เด็กชายบลูยิ้มได้ เขาเกือบลืมคุณอาแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอครับ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า”
“ม่ายง่วง” หนูน้อยส่งยิ้มอายๆ ไปให้คุณอารูปหล่อ
“เมื่อกี้คุณน้าของบลูแวะมาหา แต่อาเห็นว่ายังหลับอยู่เลยให้นอนไปก่อน”
“น้าปิง” หนูน้อยเกิดอาการนั่งไม่ติด “บูปายหาน้าปิง”
“ได้ครับ” คีรินทร์ลุกขึ้นยืน เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อคิดถึงอะไรบางอย่าง “บลูครับ หนูอยู่ในห้องนี้คนเดียวได้ไหม อาจะไปตามน้าปิงมาให้”
“นานเป่าคับ” หนูน้อยตาละห้อย เขาเคยชินกับการต้องรอเพราะยายกับน้าปิงต้องทำงาน แต่ในห้องนี้ไม่มีใครอยู่เลยเขาเลยกังวลนิดหน่อย
“แป๊บเดียวครับ นับหนึ่งยังไม่ทันถึงร้อยอาก็กลับมาแล้ว”
เด็กชายตัวกลมทำตาโตจนคีรินทร์แปลกใจ ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า โชคดีที่เด็กชายเฉลยให้ฟัง
“บูน้าบม่ายเป็น แต่บูเก่งน้า บูน้าบหนึ่งถึงชิบด้าย” หนูน้อยยิ้มแป้นทำหน้าภูมิใจ
“ฮ่าๆ ถึงชิบเลยเหรอครับ”
“บูน้าบด้ายจิงๆ” หนูน้อยชูนิ้วป้อมๆ ทั้งสิบขึ้นเตรียมนับอวดเต็มที่
“อาเชื่อแล้วครับ แต่เดี๋ยวอามาฟังนะขอไปเรียกน้าปิงก่อน”
“คับ” หนูน้อยเอามือลง
“พี่ดาวขอยืมตัวมาแป๊บหนึ่งครับ” คีรินทร์เคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปในห้องทำงานของพี่สะใภ้ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของเขา เป็นอย่างที่คาดเดาหลานชายกลับมานั่งดูทีวีในห้องแล้ว
“ได้สิ จะพาไปไหนจ๊ะ”
“จะให้ไปอยู่เป็นเพื่อนบลูในห้องทำงานผมครับ ผมมีอะไรจะคุยกับน้าของบลูหน่อย”
“หมายถึงปิงเหรอ” มารดาของระฟ้าขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ใช่ครับ”
“คีรินทร์มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมว่าจะคุยเรื่องที่เอาบลูมาเลี้ยงที่ทำงาน”
“พี่เป็นคนอนุญาตเองปิงไม่ได้มาขอ แต่เจ้าตัวมาลาออกบอกว่าจะออกไปทำงานฟรีแลนซ์แทน พี่ซักถึงรู้ว่าติดเรื่องหลาน พี่เลยเสนอให้พามาที่นี่ได้” พี่สะใภ้ของเขาออกโรงปกป้องชายหนุ่มร่างผอม
“เปล่าครับผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องนั้น แต่จะคุยว่าถ้าวันไหนเอามาให้พามาฝากไว้ที่ห้องทำงานผมแทน”
“จะไม่กวนคีรินทร์ทำงานเหรอจ๊ะ”
“ไม่เลยครับ หนูบลูน่ารักไม่ดื้อเลย”
“ดื้อจะตาย” เสียงค้านดังลอยมาจากหนุ่มน้อยบนโซฟา คีรินทร์หันไปมองหลานชาย
“จริงเหรอ ดื้อแล้วทำไมเรารับเลี้ยงให้น้าเขาล่ะ”
“...”
“หือ..มาช่วยเลี้ยงน้องเหรอลูก” น้ำเสียงมารดาตื่นเต้น
“ผมช่วยน้าปิงเฉยๆ ครับไม่ได้อยากเล่นด้วย”
“แม่ภูมิใจในตัวลูกชายจัง”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อยครับแม่” มาทำหน้ามุ่ย ถึงเขาจะอายุสิบเอ็ดขวบแต่ก็โตแล้ว แม่ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ
“งั้นก็ช่วยอาอีกที ไปดูน้องให้อาหน่อย”
“ตัวยุ่งจริงๆ เลย” คนบ่นทำหน้าเบื่อแต่กลับลุกจากโซฟาเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี โดยไม่ต้องให้เรียกซ้ำ
“ลูกใครเนี่ยโตแล้วท่ามากจริงๆ” เพียงดาวอดหมั่นไส้ลูกชายตัวเองไม่ได้
“เหมือนพี่ชายผมไหมครับ”
“แหม จะเหลือเหรอคีรินทร์”
“ฮ่าๆ”
“ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องปิง พี่เอ็นดูเด็กคนนี้ ไม่รู้สิถูกชะตามั้ง”
“ก็เรียบร้อยดีนะครับ”
“หึๆ คิดอย่างนั้นเหรอจ๊ะ” คีรินทร์มองหน้าพี่สะใภ้ ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงจ้ะ เดี๋ยวอยู่ๆ ไปคีรินทร์ก็รู้เอง จะไปหาปิงไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ”
“ครับพี่ดาว”
คีรินทร์เปิดประตูห้องทำงานของพี่สะใภ้ออกไป อดคิดถึงคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ ชักอยากรู้แล้วสิว่าตัวจริงของเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร
“ให้พาบลูไปเล่นที่ห้องคุณคีรินทร์เหรอครับ!”
“ใช่ ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณจริงๆ แต่ผมไม่กล้ารบกวน”
“ผมเป็นคนเอ่ยปากจะรบกวนอะไร”
“แต่..”
“เอาตามนี้เถอะ ตกลงไหม”
“ก็คุณเป็นเจ้านายผมนี่ครับ ผมจะปฏิเสธได้ยังไง”
“งั้นก็ลองตอบแบบเพื่อนดูสิ อยากตอบยังไงก็ตอบมา”
“ไม่ดีมั้งครับ” ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย มุมปากยกยิ้มขำ
“พูดมาเถอะ ผมไม่ใช่เจ้านายที่แยกแยะไม่เป็น อีกอย่างผมเป็นคนอนุญาตให้นายพูดเอง”
“แน่นะครับ”
“อืม”
ใบหน้าเรียวเอียงนิดๆ ดวงตาที่มองเขาเป็นประกาย “คิดยังไงถึงอยากเอาเหาใส่หัวครับ”
“อะไรนะ!”
“ถ้ามีเพื่อนคนไหนเสนอแบบนี้ ผมคงถามว่าอยู่ดีไม่ว่าดีเหรอถึงอยากหาเหามาใส่หัว ผมไม่ได้พูดกวนประสาทนะครับ แต่ถามแรงๆ เพราะอยากให้คิดดีๆ”
คีรินทร์ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าติดรอยยิ้มขำอึ้งๆ
“เห็นไหมครับ เดี๋ยวคุณก็หาว่าผมพูดไม่รู้จักเจ้านายลูกน้อง”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไร” คีรินทร์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พิงหลังกับผนังห้อง “ส่วนคำถามของคุณ ผมไม่เคยเป็นเหาเลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ดังนั้นผมยืนยันคำตอบเดิม”
“...”
“คิดให้ดีนะ หรือคุณอยากให้หลานโตใต้โต๊ะ”
ปิงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน สีหน้าคิดหนึ่ง เพียงครู่เดียวก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ คล้ายเจ้าตัวยอมจำนนต่อเหตุผลทั้งปวง “ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนด้วยนะครับ คงไม่นานผมพยายามเร่งหาที่เรียนอยู่ อยากเตรียมความพร้อมเรื่องภาษาอังกฤษให้บลูก่อนย้ายไปอยู่กับแม่”
“ได้สิ ผมชอบหลานของนาย เดี๋ยว!! ทำไมมองผมแบบนั้น ฮ่าๆ” คีรินทร์หัวเราะเสียงดัง เมื่อเห็นใบหน้าตกใจ บวกสายตาหวาดระแวงของปิง
“ผมไม่ใช่พวกชอบเด็กในทางแบบนั้นแค่นึกเอ็นดู ถูกชะตา ช่วยได้ก็ช่วยกันไป ถ้าคุณมีห้องส่วนตัวผมจะไม่ยุ่งแม้แต่นิดเดียว”
“ไล่พี่นิ่มออกเลยครับ”
“ปิงง” มีเสียงร้องดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยเสียงอุ๊บแล้วเงียบกริบ ผมเห็นรอยยิ้มขำจุดขึ้นที่ริมฝีปากของปิง เป็นรอยยิ้มของเด็กขี้เล่น
“พี่นิ่มเขาเป็นห่วงนะครับ” รอยยิ้มขำของปิงกว้างขึ้น จากที่พูดแสดงว่าเจ้าตัวรู้ว่าเจ้านายแอบฟังอยู่ใกล้ๆ
“หึๆ” ผมเริ่มเชื่อพี่ดาวแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กเรียบร้อย แต่เป็นเด็กที่น่าสนใจไม่น้อย
ในขณะเดียวกัน...
“มา~” เสียงเรียกดีใจของเจ้าตัวยุ่งดังลั่นห้อง นั่นยังน้อยกว่าแรงจากร่างกลมๆ ที่วิ่งเข้ามาโถมกอดเอวเขา
“หนัก”
เจ้าลูกหมูทำหน้ายู่ “เลาม่ายหนาก”
“ไม่หนักอะไรจะล้มอยู่แล้ว”
“มาม่ายเก่ง”
“เอ้า สองสามชั่วโมงก่อนยังชมว่าเขาเก่ง ตัวเองอ้วนเองมาโทษที่เขาบ่นได้ยังไง
“ไม่เก่งก็ไม่เก่ง งั้นไปล่ะ” มาทำท่าจะกลับออกไปนอกห้อง เจ้าตัวดีดึงเสื้อเขาไว้ เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาอ้อนๆ
“เลามีชอคแล็ตน้ามากินเป่า เด๋วแบ่งห้าย”
“หึๆ ใครเขาโดนหลอกง่ายเหมือนเราเจ้าตัวยุ่ง แค่มีชอคโกแล็ตก็ตามอาคีรินทร์มาต้อยๆ”
“อู้” ลูกหมูทำตาโต “อาลินลินหลอกเหยอ ม่ายดีฉิ”
มาหน้าเสีย เอาแล้วไงสงสัยเขาจะหาเรื่องให้คุณอาเสียแล้ว
“เปล่า อาคีรินทร์ไม่ได้หลอก”
ลูกหมูตัวยุ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาตาปริบๆ ราวกับต้องการถามว่าเขาจะเอาอย่างไรกันแน่
“เอาเป็นว่าไมได้หลอกก็แล้วกัน อีกอย่างอาชื่อคีรินทร์ไม่ใช่ลินลิน”
“คินลิน” ปากอิ่มๆ พยายามพูดตาม
“ช่างเถอะ อยากเรียกอะไรก็เรียก แล้วนี่เราทำอะไรอยู่”
“ดูๆ” ลูกหมูชี้ออกไปนอกกระจก
“ดูวิวอยู่เหรอ”
“ดูจิ๊บจิ๊บ”
มาพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็นั่งดูไป” มาจูงแขนเด็กชายไปที่โซฟา อุ้มขึ้นวางก่อนเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของอา นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่
เด็กชายบลูมองพี่ชายตัวโตตาละห้อย อีกฝ่ายจ้องจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ไม่หันมามองเขาเลย
“มาจ๋า~” หนูน้อยเรียกพีชายตัวโตเหมือนที่เคยเรียกน้าปิง
มาชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากันไม่แน่ใจว่าตัวเองหูเพี้ยนหรือเปล่า เขาหันไปมองเด็กชายตัวกลม เจอเข้ากับรอยยิ้มอ้อนๆ กับดวงตาใสซื่อ
มาจ๋า~ มาน้างโด้ยกาน”
เด็กชายระฟ้านั่งนิ่งก่อนถอนใจเฮือกใหญ่ ทำสีหน้าเหมือนรำคาญแต่ดันเผลอยิ้ม
“ไหน จะให้ดูอะไร” มานั่งลงบนโซฟา เด็กชายตัวอ้วนรีบปีนขึ้นมานั่งบนตัก ชี้ชวนให้เขามองออกไปนอกกระจก
“จิ๊บจิ๊บโบนต้นม้าย”
“อยากกินเหรอ”
เจ้าตัวกลมทำสีหน้าตกใจ เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา คิ้วเล็กๆ ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ทำตาดุๆ “เลาม่ายจายล้าย”
“งั้นไม่ต้องกินไก่ทอด” มางัดมุกเด็ดขึ้นมาพูด ทำสีหน้านิ่งๆ ไม่ให้หลุดหัวเราะ
“งืม งืม” เจ้าตัวอ้วนทำหน้าคิดหนัก “เลากินเป็นเพื่อนมาก๊ะด้าย”
“ฮ่าๆ” มาว่าจะไม่หัวเราะแล้วเชียว เด็กอ้วนเอ๊ยของกินมาก่อนตลอด หลอกง่ายชะมัด
“คิกคิก” เสียงหัวเราะที่พยายามเลียนแบบเขาดังขึ้น มาก้มลงมองใบหน้ากลม พออีกฝ่ายเห็นว่าเขามองก็รีบยิ้มประจบเอาใจ
เด็กชายระฟ้าเคยสงสัยมาตลอดว่าถ้ามีน้องจะเป็นยังไง ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว มันก็น่ารักหน่อยๆ แบบนี้นี่เอง
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin