-----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2  (อ่าน 60812 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ดีมากเจ้าก้อน นี่มันปี2018แล้วนะ ชอบเขาเราก็ต้องอ่อย 5555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
พี่ลมหลอกเด็ก  :mew4:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
เจ้าก้อนทำเอาพี่วายุหลงจนฉุดไม่อยู่แล้ว :mew1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น่ารักเลย วายุหลงหนักมากแล้ว
มีความลงทุนและทุ่มเทจริงจัง
ต้องรักขนาดไหน ไปต่อคิวได้คนแรก

วีเอ้ย ฮอตนะ ขนาดเก็บเนื้อเก็บตัวขนาดนี้
แล้วดูเปิดทางให้พี่เข้าหาไม่ได้รู้ตัวเลย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น้องงงงงงงงงงรู้ตัวมั้ยเนี่ย :kikkik:

ออฟไลน์ Wharnnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ก้อนเอ้ยยยยยยยย  อยากบีบ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :man1:  อยากขย่ำขยี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
รถขนอ้อยวิ่งเต็มถนนเลย

ออฟไลน์ beerby-witch

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องก้อนนนน ไม่ทันพี่เขาเลยลูก  :katai2-1:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
คือดีี ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Myseuntamin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องงงงง หนีไปลูกกกกก

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เนื้อเรื่องกับ ตัวละครน่ารักมากจ้า

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








บทที่ 11








   
   “วีครับ”


   “ครับ! พี่ลม~”


   “พี่ว่าทาโร่ของวีน่าจะได้ที่แล้วนะ”


   “ครับๆ ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว จะออกไปดูเดี๋ยวนี้”


   หลังจากส่งเสียงเรียกแค่เดี๋ยวเดียว เจ้าของห้องที่ขอตัวเข้าไปอาบน้ำก็เดินผมเปียกออกมาจากห้องในสภาพสวมชุดพร้อมนอนตัวใหญ่โคร่ง เจ้าตัวคว้าถุงมือกันความร้อนตรงเคาน์เตอร์มาสวม ก่อนเปิดฝาไมโครเวฟแล้วประครองจานทาโร่กรอบออกมาวางบนโต๊ะ


วายุมองกวีก้มหน้างุดๆ ใช้ช้อนเขี่ยปลาเส้นอยู่เดี๋ยวเดียว อีกฝ่ายก็หันกลับมายิ้มกว้าง พลางเอ่ยชม


“กรอบทั่วกันหมดเลยครับ ไม่ไหม้ด้วย พี่ลมเก่งจัง ไหนบอกว่าทำครั้งแรก”


“เก่งอะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง”


วายุรู้ตัวว่าไม่เก่งพอให้ถูกชมกับเรื่องแค่นี้ แต่จะว่าก็ว่าเถอะ พอได้เขาได้ยินเสียงน้องชื่นชมพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ชายหนุ่มก็อดใจฟูไม่ได้


“เก่งแล้วครับ ผมทำครั้งผมทำไหม้หมดเลยนะ ฮ่าๆๆ” กวีว่าพลางตัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปหยิบจับเอาเครื่องดื่มใส่แก้วอย่างคล่องแคล้ว


“มาๆ ให้พี่ช่วยนะ”


“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจัดการเองได้ พี่ลมไปล้างหน้าล้างตาเถอะนะ เสร็จแล้วตามไปในห้องทำงานผมเลย เดี๋ยวผมเปิดหนังรอ”


ความจริงวายุอยากอยู่ช่วยเจ้าของบ้านก่อน แต่คิดๆ ดูแล้ว หากได้ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยก่อนไปนั่งดูหนังก็ดีเหมือนกัน เพราะวันนี้เขาเองก็อยู่นอกบ้านทั้งวัน


“งั้นพี่ขออนุญาตใช้ห้องน้ำนะครับ”


“ไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับ ใช้ได้เลย ผมเตรียมผ้าขนหนูให้พี่แล้วนะ สีฟ้าที่แขวนราวไม้ไว้” นักเขียนหนุ่มว่าพลางแอบหยิบเส้นทาโร่กรอบเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ


“หิวหรือครับ”


“ไม่หิวหรอกครับ” กวีส่ายหน้า “แค่คิดว่าถ้าดูหนังแล้วไม่มีอะไรกินมันจะเหงาปากน่ะ แฮะๆ” คนชอบกินแก้ตัวเขินๆ แต่คนชอบมองกลับรู้สึกว่าจะทำหน้าแบบไหนน้องก็ยังน่ารักอยู่ดี


“งั้นคราวหน้าพี่จะเอาป๊อปคอนสำเร็จรูปมาให้วีติดครัวไว้นะ เวลาดูหนังจะได้เอาเข้าเวฟกินได้”


“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมสั่งที่ร้านพี่รถกับข้าวเอง” กวีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เอาไว้เราค่อยคุยกันดีเนอะ พี่ลมไปล้างหน้าเถอะครับ ผมอยากเปิดหนังให้พี่ดูจะแย่แล้ว”


“หึๆ โอเคๆ พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” วายุรับคำก่อนเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ


ชายหนุ่มเดินผ่านห้องนอนไปยังห้องน้ำที่อยู่อีกฝั่ง เขาไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนที่เจ้าของบ้านตระเตรียมไว้ให้ติดมือมาด้วย เมื่อเข้ามาให้ห้องน้ำ สิ่งแรกที่สะดุดตาวายุมากที่สุดก็คือกล่องอะคริลิคใสที่มียางรัดผม กิ๊บติดผมสารพัดสีบรรจุอยู่จนแน่นกล่อง


ดูท่ากวีคงชอบกิ๊บพวกนี้มากจริงๆ...วายุคิด


   ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบกิ๊บรูปนกฟลามิงโก้ขึ้นมาดูตัวหนึ่ง เขาพลิกสำรวจมันไปมา ก่อนจะหลุดยิ้ม


ถึงแม้ว่ามันจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับเขา แต่ว่าถ้าเจ้ากิ๊บสีสันสดใสรูปทรงตลกๆ พวกนี้อยู่บนผมน้อง ชายหนุ่มก็คิดว่ามันเหมาะกับเจ้าตัวจริงๆ


   ยืนเพ้อนึกถึงความทรงจำแรกกับกิ๊บสัปปะรดเดี๋ยวเดียว ชายหนุ่มก็วางของคืนที่เก่า ก่อนจะหันมาล้างหน้าล้างตา เพราะเวลานี้เขาควรออกไปอยู่กับกวีข้างนอกนั่นมากกว่ามาย้อนระลึกถึงเรื่องในอดีต


   ล้างหน้าเรียบร้อยแล้ววายุก็แขวนผ้าไว้ที่เก่า ก่อนเดินกลับไปยังห้องครัว แต่ที่นั่นไร้เงาเจ้าของบ้านเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนทิศไปยังห้องทำงานที่อีกฝ่ายบอกก่อนหน้านี้แทน


   “เสร็จแล้วเหรอครับ” เสียงสดใสทักทายขึ้นทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ดูเหมือนกวีจะรอเขาอยู่ก่อนแล้ว


   “เรียบร้อยแล้วครับ” วายุยิ้มรับ


   “ถ้างั้นมานั่นนี่เร็วครับ ผมจัดที่นั่งให้พี่ลมแล้ว”


คนน่ารักตบปุๆ ที่เบาะข้างตัว ซึ่งถูกจัดเรียงด้วยเบาะและหมอนพิงหลังกองใหญ่ ด้านหน้าเป็นโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งบนนั้นมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เครื่องถ่ายโปรเจคเตอร์ จานของกินเล่นและเครื่องดื่ม


“มีเครื่องฉายหนังส่วนตัวด้วยเหรอ แบบนี้แสดงว่าชอบดูหนังมากแน่ๆ”


“ก็ชอบครับ แต่ขี้เกียจไปดูในโรง ผมก็เลยสั่งซื้อมาฉายเองซะเลย” กวียิ้มภูมิใจกับอาณาจักรของตัวเอง


“ดีจัง” วายุว่าก่อนเดินอ้อมโต๊ะญี่ปุ่นไปยังเบาะที่กวีจัดไว้ แล้วทรุดลงนั่งข้างๆ กัน “ว่าแต่เรานี่ไม่ชอบออกนอกบ้านจริงๆ ใช่ไหม”


“ครับ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”


“ทำไมล่ะ” วายุถามอีกครั้ง


“ผมเคยบอกไปแล้วไงครับว่าขี้เกียจ”


“แค่นั้นเองหรือ”


“ครับ” กวีพยักหน้า “ขี้เกียจออกไปหารถนั่ง ขี้เกียจขับรถด้วย”


“ขี้เกียจแบบนี้ ถ้ามีคนไปรับไปส่งประจำตัวน่าจะดีนะ”


“โห...ถึงผมจะได้เงินจากหนังสือมาบ้าง แต่ถ้าให้จ้างคนขับรถส่วนตัวก็ไม่ไหวหรอกครับ” เจ้าตัวว่า


“พี่หมายถึงมีแฟนคอยรับส่งอะไรแบบนี้” วายุเปลี่ยนประโยคเสียใหม่


“โห...พี่ลม ใครเขาจะมาเป็นแฟนผม ผมไม่ชอบเที่ยว ชอบอยู่กับบ้าน ทำแต่งานกับกับข้าว เป็นผู้ชายที่น่าเบื่อสุดๆ ผู้หญิงเขาไม่ชอบหรอกพี่”


“คิดไปเองน่ะสิ”


ใครจะไม่ชอบก็ช่างปะไร แต่พี่น่ะ หลงวีไปแล้วเต็มๆ...วายุคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป


“ไม่คิดไปเองหรอกครับ พี่ไม่ต้องพูดให้กำลังใจผมเลย อีกอย่างนะ ผมจะมีแฟนได้ไง แทบไม่ได้ออกไปเจอใครเลย เจอแต่หน้าจอคอมทุกวัน” นักเขียนคนดังอธิบายเสียยาวยืด ก่อนจะสบทบอีกประโยค “อีกอย่างผมคงดูแลใครไม่ไหวหรอกครับ”


“ทำไมล่ะ”


“แค่ตัวเองยังแทบไม่รอดเลย นี่โดนบก.บ่นตลอด ฮ่าๆๆ”


“งั้นก็ต้องมีคนคอยดูแลสิ”


ยิ่งพูด วายุก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาพูดเพื่อตัวเองมากขึ้นทุกที


“ไม่เอาหรอก ผมจะให้ใครดูแลฝ่ายเดียวได้ไง ไม่แฟร์เลย มีคนรักก็ต้องช่วยดูแลกันสิ”


“นั่นสินะ ถ้าได้ผลัดกันดูแลกัน พี่ว่าก็ดีนะ”


“ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนี้ผมถึงบอกไงว่าไม่น่ามีแฟนได้”


“เดี๋ยวถึงเวลาพี่ว่าวีก็ทำได้เองล่ะ กับเรื่องความรัก วีขี้เกียจไม่ได้หรอก”


“ก็จริง แต่เอาไว้จะมีค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้เรามาดูหนังดีกว่า พี่รอเดี๋ยวนะ ผมขอหรี่ไฟก่อน”


“โอเคครับ”


หัวข้อการมีแฟนของพวกเขาจึงถูกปัดตกไป ก่อนนักเขียนหนุ่มกดรีโมตเพื่อหรี่ไฟในห้อง จากนั้นจึงกดรีโมตอีกตัวเพื่อดึงฉากฉายหนังออกมาจากกำแพงด้านที่พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหา


ระหว่างที่กวีกำลังง่วนอยู่กับการจัดระบบต่างๆ วายุก็ชวนคุยอีกรอบ


   “ทุกทีเราทำงานตรงนี้ใช่ไหม”


   “ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า “นั่งทำกับญี่ปุ่นตัวนี้แหละ ถึงแม่จะบอกให้นั่งกับโต๊ะดีๆ ก็เถอะ แต่ผมชินกับแบบนี้”


   “ชอบนั่งพื้นหรือครับ”


   “ใช่ครับ ผมว่ามันสบายดีน่ะ แต่พี่ลมนั่งสะดวกหรือเปล่า เปลี่ยนเป็นนั่งโต๊ะก็ได้นะ ผมมีโต๊ะเก้าอีกสำรองพับเก็บไว้”


   ครั้นเห็นนักเขียนหนุ่มตั้งท่าจะลุก วายุจึงรีบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ก่อน


   “ไม่ต้องครับ พี่นั่งได้”


   “จริงหรือครับ ถ้าไม่สบาย ไม่ต้องเกรงใจนะ แม่กับพี่พัน...เอ่อ...พี่ชายผมน่ะ พวกเขาก็ไม่ขอบนั่งพื้นเหมือนกัน”


   “พี่นั่งได้จริงๆ ครับ แต่ที่ถามก็เพราะอยากรู้เฉยๆ” วายุตอบแข็งขัน ก่อนจะเสริม “พี่ว่าแบบนี้ก็สบายดีนะ ดูสิ มีทั้งเบาะทั้งหมอนพิงหลังรอบตัวเลย สบายกว่าไปดูในโรงหนังซะอีก เอนก็ได้ เหยียดขาก็ได้”


   “ใช่ไหมล่า~” พอวายุเห็นด้วยเข้าหน่อย คนชอบนั่งพื้นท่ามกลางกองหมอนก็รีบผสมโรง “ผมชอบนั่งเปื่อยๆ ทิ้งตัวอยู่บนนี้มากเลยเวลาดูหนัง สบายออกเนอะ”


   “ครับ พี่ก็คิดว่างั้น”


   ในความมืดสลัว วายุเห็นอีกฝ่ายยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ดวงตาคู่ใสเปล่งประกายแม้อยู่ในความมืด คล้ายดาวฤกษ์ที่สุกสว่างด้วยตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


   คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะพูดจะจาอะไรก็ชวนให้รู้สึกอยากมองไปเสียหมด...วายุได้แต่คิดแบบนั้นในใจซ้ำๆ ก่อนจะถูกเรียกสติเพราะหนังที่อีกฝ่ายเปิดฉายขึ้นบนจอแล้ว


   “หนังเก่าพอสมควรเลยนะ” วายุไม่เคยดู แต่มองจากภาพและนักแสดงนำที่โผล่ออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็เดาได้ไม่ยาก


   “เก่าครับ จำได้ว่าเคยดูตั้งแต่สมัยผมยังละอ่อน”


   “พูดเหมือนตอนนี้แก่อย่างนั้นแหละ”


   “ฮ่าๆ ก็เบญจเพสแล้วนี่ครับ” กวีว่าพลางกลั้วหัวเราะ


   “ยังไม่แก่หรอก พี่นี่สิ อีกไม่ถึงปีจะเลขสามแล้ว”


   หากมองจากหน้าตา วายุไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายอายุ 25 แล้ว เพราะกวียังดูเด็กและสดใสเอามากๆ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ความสดใสเหล่านี้เป็นที่บุคลิกของเจ้าตัว และคาดว่าถึงอีกฝ่ายจะอายุเข้าเลขสามเลขสี่ กวีก็คงจะสดใสไม่เปลี่ยนจากเดิมสักเท่าไหร่


   เงียบกันไปพักหนึ่ง ระหว่างที่หนังกำลังเริ่มเล่น อยู่ๆ คนข้างกายก็เอ่ยถามขึ้น


   “พี่ลมเกิดวันไหนครับ”


   “อยากรู้ไปทำไม”


   “ก็เมื่อกี้พี่บอกว่าใกล้เลขสามอีกไม่ถึงปี แปลว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิด ผมอยากรู้”


   “อืม...เอาไว้พี่จะบอก ตอนหนังจบนะ”


   “ครับ งั้นเรามาดูหนังกันเนอะ”


   “อื้ม” วายุพยักหน้ารับ ก่อนหันมาสนใจภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ตรงหน้า


   ด้วยรักและมิตรภาพ คือหนังคนติดในสนามบินที่กวีบอก ทีแรกวายุคิดว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหรือหนังที่น่ากลัวกว่านี้ จึงทำให้กวีกลัวที่จะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยหวั่นในอุบัติเหตุและเรื่องไม่ขาดฝัน


   ทว่าพอดูไปเรื่อยๆ หนังกลับไม่เฉียดใกล้สิ่งที่วายุคาดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรักและมิตรภาพกลับเป็นเรื่องราวโรแมนติกกที่ชวนให้รู้สึกอะไรหลายอย่างระหว่างที่ชม


   วายุดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของภาพยนตร์พักใหญ่ โดยลืมไปว่าใครอีกคนที่นั่งเคี้ยวขนมอยู่ใกล้ๆ เงียบเสียงไปนานมากแล้ว


   ก่อนจะคิดถึงคนนั่งข้างขึ้นมาได้ ก็เมื่อตอนที่รู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายทิ้งกายลงซบมาทั้งตัว


   วายุหันไปหาคนน่ารักทันทีที่ถูกพิงไหล่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกอดหมอนใบนิ่มแน่น ดวงตาหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ซ้ำยังปล่อยตัวทิ้งน้ำหนักมาทางเขา พร้อมกับเอาแก้มกลมๆ มาซบที่แขนกันอีก เมื่อมองเลยไปด้านข้าง เขาเห็นจานทาโร่กรอบกับแก้วน้ำส้มหมดเกลี้ยงวางคู่กัน


   “วีครับ” ชายหนุ่มลองเรียกดู เผื่อว่าน้องจะตื่นและลุกขึ้นมานอนดีๆ


   “...”


   แต่มันกลับได้ผลตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่ตื่นขึ้นมาขานรับเสียงใสแล้ว เจ้าตัวยังเอาแก้มถูแขนเขาเหมือนต้องการเสาะหาที่เหมาะๆ ในการนอน


   กินอิ่มแล้วนอนหลับเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด...เห็นแบบนั้นวายุก็หลุดยิ้มออกมาอีกหน


   แสงจากจอฉากหนังส่องวูบวาบทำให้เห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ถนัดนัก วายุจึงต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ อย่างใคร่รู้ว่าคนน่ารักหลับสนิทแค่ไหน


   แต่แทนที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายหลับสนิทหรือเปล่า จมูกของเขากลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่อาบน้ำจากตัวของกวีแทน มิหนำซ้ำพอสบเข้ากับแก้มนุ่มนิ่ม ใจที่คิดอกุศลยิ่งอยากลองดอมดมดูสักทีว่า...


นอกจากจะนิ่มแล้ว แก้มน้องจะหอมขนาดไหน


   ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่กล้าล่วงเกินอะไรไปมากกว่าการแอบมองและคิดไม่ดีในใจ เขาปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหมอนอิงอีกใบของกวีอยู่พักใหญ่ จนสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัวเหมือนนอนไม่สบาย เขาจึงตัดสินใจใช้มือประคองศีรษะทุยไปวางบนหมอน


   ระหว่างที่กำลังจะจัดท่าจัดทางให้น้องนอนดีๆ  จู่ๆ คนที่หลับตาก็ลืมตาและผุดลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


   “หนังยังไม่จบเหรอ”


“ครับ หนังยังไม่จบ”


“แต่วีง่วงแล้ว”


“งั้นให้พี่พานอนไหม”


“ไม่เอาครับ วีจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ลมก่อน พี่ลมดูหนังให้จบนะ”


“แต่เราง่วงแล้วนะครับ”


“วีอยากดูหนังกับพี่ลม”


เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็กอดหมอนนิ่มและหลับไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม


“ฮ่าๆๆ”


วายุมองการกระทำนั้นและหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีอย่างที่ไหน ทั้งที่ง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว อีกฝ่ายควรต้องลุกขึ้นมาแล้วไล่เขากลับบ้านสิ ไม่ใช่บอกเขาดูหนังให้จบ ส่วนตัวเองก็นอนหลับสนิทโดยไร้การป้องกันแบบนี้


หากวายุเป็นคนชอบฉวยโอกาสกว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องคงไม่จบแค่เขาดูหนังและปล่อยกวีหลับอย่างเป็นสุขหรอกนะ...


คิดแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เขายังไม่ได้ปิดเครื่องฉายหนัง แต่ก็เลิกสนใจมันตั้งแต่กวีเอนมาซบไหล่แล้ว ชายหนุ่มหยิบแก้วน้ำของตัวเองที่วางบนโต๊ะหลบไปให้พ้นทาง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่น ทว่าหันหน้าไปทางกวี


ในมุมนี้ใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันมากกว่าทุกครั้ง แม้แสงจะน้อย แต่วายุก็สามารถเห็นรายละเอียดบนใบหน้าและแก้มยุ้ยๆ ของน้องได้ชัดเจน เว้นแค่ดวงตาใสซื่อคู่หนึ่งเท่านั้น


เขามองริมฝีปากล่างของน้องเปิดออกเล็กน้อยตอนหลับ มองจมูกเล็กๆ ปลายรั้นๆ เผลอทำฟุดฟิดๆ และขนตายาวจนเหมือนทาบไปกับแก้มสั่นระริกบางทีคล้ายร่างกายแสดงปฏิกิริยาแปลกๆ ยามนอน มองอย่างไรเขาก็คิดว่ากวีเป็นคนน่ารัก ยิ่งพอมองแก้มยุ้ยๆ ยิ่งเป็นจุดที่เขาชอบที่สุด


วายุนอนมองน้องอยู่แบบนั้นโดยไม่แตะต้อง นอนมองจนหนังเล่นจบและไฟจากเครื่องโปรเจคเตอร์ดับลง เป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของเขากับกวีในคืนนี้ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว


ชายหนุ่มจึงตัดใจละสายตามาจัดที่จัดทางข้างหลังให้เป็นที่นอนดีๆ ก่อนจับให้ร่างกายนุ่มนิ่มนอนเอนลงมา สุดท้ายก็ห่มผ้าและกระซิบที่ข้างหู


“หนังสนุกมาก ขอบคุณนะครับที่ชวนมาดูด้วยกัน...ฝันดีนะครับวี”










//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////









ก้อนกับพี่รถกับข้าวมาแล้ว
ฉากในตอนนี้เป็นฉากที่เราเอาไปวาดบนปกเล่ม 1 ด้วยล่ะ
ใครอยากเห็นหน้าเจ้าก้อนกับพี่รถกับข้าว เข้าไปส่องในเพจกับทวิตได้เลยนะคะ อิอิ
   เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2018 11:37:42 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น้องก้อนตอนหลับก็ยังน่ารัก

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
น่ารักจังเลยรู้กกกกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่รถกับข้าว อบอุ่นมากเลยค่ะ  :o8:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่ลมมีความอดทนสูงมาก น้องน่ารังแกเป็นที่สุด

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เจ้าก้อนนุ่มนิ่ม  :-[

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ 12







   เช้าวันนี้กวีตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเพิ่งนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนได้หลับเต็มอิ่ม ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ความเหนื่อยล้าจากการออกไปทำงานข้างนอกตลอดทั้งวันจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง
   

เขาบิดขี้เกียจและนอนแช่อยู่บนที่นอนพักใหญ่ ภาพเหตุการณ์ก่อนเผลอหลับไปจึงแทรกเข้ามาในหัว

   พี่รถกับข้าว!
   
กวีลืมตาขึ้นและรีบดีดตัวผึ่งขึ้นนั่งหลังตรง เขากวาดมองไปรอบกายของตนเองจึงเห็นโต๊ะญี่ปุ่นถูกพับเก็บเรียบร้อย คอมพิวเตอร์ดโน๊ตบุ๊ค เครื่องฉายโปรเจคเตอร์และจอฉายก็ถูกเก็บเช่นเดียวกัน จานขนม แก้วน้ำหวานหายไป คาดว่าคงอยู่ในห้องครัว ส่วนตัวกวีก็นอนอยู่บนเบาะและกองหมอน โดยมีผ้าห่มผืนโปรดห่มคลุมไว้ให้อย่างดี

   พี่ลมไปไหนซะแล้ว...กวีคิด ก่อนตั้งสติและคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงกลับออกไปตั้งแต่เมื่อคืน

   นักเขียนหนุ่มขยี้หัวตัวเองเบาๆ พลางนึกโทษตัวเองเล็กน้อย ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนวายุมาดูหนังด้วยกันเพราะอยากตอบแทนที่พาไปเลี้ยงข้าวแถมยังไปหาถึงงานเปิดตัวหนังสือ แต่ตัวเองกลับหลับใส่อีกฝ่ายซะงั้น มิหนำซ้ำยังทิ้งให้พี่รถกับข้าวคนดีเก็บกวาดทุกอย่างให้อีก

   น่าอายชะมัดเลย

   ชายหนุ่มควานหาแว่นที่คาดว่าคงถูกวายุถูกเก็บไว้ให้อีกเช่นกันมาสวม ก่อนคว้าโทรศัพท์ซึ่งเสียบชาร์จแบตเตอรี่อยู่ข้างๆ กันมากดเข้าแอปพลิเคชันไลน์

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ลมครับ~~ [11:54 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : อยู่ไหมครับ [11:54 อ่านแล้ว]

กวีรออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมา

WAYU : ครับวี? [11:55 อ่านแล้ว]

WAYU : เรียกพี่มีอะไรเอ่ย [11:55 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เมื่อคืนพี่กลับไปกี่โมงครับ [11:55 อ่านแล้ว]

WAYU : เมื่อคืนเหรอ [11:56 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ครับ [11:56 อ่านแล้ว]

ข้อความขึ้นว่าถูกอ่านทันทีที่กวียืนยันคำถาม ทว่ารออยู่สักพักกวีก็ยังไม่ได้คำตอบ นักเขียนหนุ่มจึงชักไม่แน่ใจแล้วว่าพี่รถกับข้าวของเขากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ลมยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ [11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ถ้ายุ่งอยู่ ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ครับ[11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมแค่จะส่งข้อความมาขอโทษที่เผลอหลับแล้วทิ้งให้พี่เก็บของคนเดียว [11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษนะครับ [12:00 อ่านแล้ว]

ขอโทษเรียบร้อยแล้ว กวีก็ไม่ลืมส่งสติ๊กเกอร์รูปหมูน้อยยกมือไหว้ปรกๆ ไปให้วายุด้วย อย่างน้อยพี่รถกับข้าวจะได้รู้ว่าเขาเสียใจจริงๆ

ทว่าหลังจากนั้นแค่ไม่ถึงวินาที ข้อความจากอีกฝ่ายก็เด้งกลับมายาวเหยียด

WAYU : พี่ไม่ได้โกรธเราสักหน่อย ไม่ต้องขอโทษเลยครับ [12:00 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่รู้ครับว่าวีเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กินอิ่มเรียบร้อยก็อยากพักผ่อน พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ [12:00 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษทำไมครับ พี่ลมไม่ผิดอะไรสักหน่อย [12:01 อ่านแล้ว]

WAYU : ไม่ผิดยังไง พี่นี่ตัวดีเลย แทนที่จะปล่อยให้เราพักผ่อน แต่เข้าไปรบกวนเพราะอยากจะดูหนังกับวีต่ออีก [12:01 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ก็ผมเป็นคนชวนนี่ครับ [12:02 อ่านแล้ว]

WAYU : แต่พี่ควรรู้นี่ครับ ว่าควรทำอะไรเวลาไหน [12:02 อ่านแล้ว]

กวีคิ้วย่นทันทีที่ได้อ่านข้อความ เพราะไม่รู้ว่าจากที่ตนเองอยากขอโทษอีกฝ่าย เหตุใดจึงกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาต่างขอโทษกันเองไปๆ มาๆ เสียได้

ก้อนไงจะใครล่ะ : ไม่เอาแล้วครับ ไม่ขอโทษแล้ว [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เอาเป็นว่าไม่ผิดทั้งคู่โอเคไหม [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษกันไป ขอโทษกันมาแบบนี้ ผมชักไม่สบายใจแล้วนะ [12:03 อ่านแล้ว]

WAYU : โอเคๆ เอาตามที่วีว่าก็ได้ครับ [12:03 อ่านแล้ว]

วายุตกลงตามนั้น ก่อนกวีจะเห็นสติ๊กเกอร์แบบเดียวกัน แต่เป็นเจ้าหมูยิ้มหวานส่งมาให้

WAYU : ว่าแต่...วีเพิ่งตื่นหรือครับ [12:03 อ่านแล้ว]

WAYU : กินมื้อเที่ยงหรือยัง [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เพิ่งตื่นครับ ยังไม่ได้กินอะไรเลย [12:04 อ่านแล้ว]

   กวีพิมพ์ตอบ ก่อนจะเสริมไปอีกประโยค

ก้อนไงจะใครล่ะ : พอพูดปุ๊บ ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลยครับ [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : ถ้าอย่างนั้นหาอะไรกินเสียนะครับ เที่ยงแล้ว เดี๋ยวปวดท้องนะ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : โอเคครับ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : แล้วพี่ลมกินอะไรหรือยัง [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่ไม่มีข้าวกินหรอกครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : อ้าว! แล้วพี่ไม่หิวเหรอ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : หิวครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : งั้นก็หาอะไรทานด้วยสิครับ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่ไม่มีข้าว แต่พี่มีนี่แล้วล่ะ [12:06 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : มีอะไรครับ [12:06 อ่านแล้ว]

หลังจากถามไปครู่เดียว ฝ่ายตรงข้ามก็ส่งคลิปสั้นๆ ของเกี๊ยวทอดถาดใหญ่กลับมาให้ดู ดูท่าเกี๊ยวคงเพิ่งมาส่ง เพราะชิ้นที่วายุใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาให้ดูยังมองเห็นควันขาวๆ ลอยระอุขึ้นมาบางเบา ผนวกกับเนื้อหมูในแป้งบางกับซอสสูตรเฉพาะที่แทรกตัวอยู่ยังดูชุ่มฉ่ำ ทำเอาคนดูท้องร้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

จ๊อก!~

WAYU : เป็นไงครับ น่ากินไหม [12:07 อ่านแล้ว]

“น่ากินสุดๆ!” กวีหลุดปากตอบออกมาทันที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพิมพ์ข้อความคุยกัน ดังนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเสียงของเขา

ก้อนไงจะใครล่ะ : น่ากินมากๆๆๆ เลยครับ [12:08 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ทำน้ำย่อยในท้องผมไหลออกมาท่วมกระเพาะเลย [12:08 อ่านแล้ว]

WAYU : 555 อย่างนั้นก็ลุกไปหาอะไรทานได้แล้วครับ ส่วนเกี๊ยวนี่ เอาไว้เดี๋ยวพี่ค่อยซื้อไปฝากนะ [12:08 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะครับ [12:09 อ่านแล้ว]

วิญญาณเห็นแก่กินเข้าสิงทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะซื้อมาฝาก ความเกรงอกเกรงใจอะไรพวกนั้นกวีทิ้งไว้ข้างหลังตั้งแต่เห็นคลิปแล้ว

WAYU : ไม่คืนคำหรอก พี่เป็นคนรักษาสัญญานะ [12:09 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ถ้าอย่างนั้นผมจะรอนะ [12:09 อ่านแล้ว]

WAYU : อื้ม รับรองได้กินแน่ๆ [12:10 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอบคุณครับ [12:10 อ่านแล้ว]

พิมพ์ขอบคุณไปเรียบร้อยแล้ว นักเขียนหนุ่มก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างหน้าและหามื้อเที่ยงทานบ้าง บทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจึงจบลงแค่นั้น







หลังจากงานเปิดตัวหนังสือ กวีก็ต้องรีบปั่นต้นฉบับรายสัปดาห์ของตัวเอง เพราะเขาใช้เวลางานทำภารกิจอื่นไปกว่าสามวันแล้ว

นักเขียนหนุ่มยังคงคร่ำเคร่งกับการพิมพ์นิยายเหมือนเก่า บก.ประจำตัวของเขาก็ยังโทรมาถามไถ่เกี่ยวกับความคืบหน้าให้รู้สึกกดดันเล่นเช่นเดิม

ทว่าคนที่หายไปจากสาระบบของกวีเลยก็คือพี่รถกับข้าว

ตั้งแต่เที่ยงวันที่คุยกันเรื่องเกี๊ยวซ่า เขาก็ไม่ได้คุยกับวายุอีกเลย มีแค่เย็นวันนั้นเขาส่งข้อความไปทักวายุก่อน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบกลับมา เวลานี้กล่องข้อความของพวกเขาจึงเงียบเหงาราวกับป่าช้า

ปรกติที่ผ่านมา กวีก็สามารถทำงานไป อยู่คนเดียวไปแบบนี้ได้ไม่มีปัญหา แต่พอเริ่มมีคนให้คุยทุกวัน เขาจึงรู้สึกไม่เคยชินกับการอยู่เงียบๆ คนเดียว

นักเขียนหนุ่มเพิ่งรู้ว่าการไม่มีคนส่งรูปดอกไม้สวัสดีตอนเช้า ทักมาถามเรื่องอาหารตอนเที่ยง หรือส่งสติ๊กเกอร์น้องหมูมาฝันดีก่อนนอน มันชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมาได้เหมือนกัน

เหงา...อย่างที่ไม่เคยเหงามานานแล้ว

ทั้งที่เขาไม่ได้คุยกับพี่ลมแค่สามวันครึ่งเท่านั้นเอง...กวีคิดระหว่างมองดูสมุดจดพล็อต พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไม่มีสมาธิเลย” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเอง

พอไม่มีสมาธิ เขาก็ไม่สามารถนั่งทำงานนานๆ ได้เช่นเก่า ด้วยสมองมันเอาแต่พะวงและคิดถึงเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย

“เอ...หรือจะเป็นเพราะเราหิว”

นักเขียนหนุ่มว่าเพราะก็เคยมีเหมือนกันที่เขาปล่อยให้ตัวเองหิวจนสุดท้ายร่างกายก็ประท้วงโดยการเกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือไม่ก็กระวนกระวายจนไม่มีสมาธิทำงาน

คิดได้แล้วกวีจึงกดเซฟงานเขียน ตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรกินระงับอารมณ์ แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็เข้าไปทวิตข้อความทางทวิตเตอร์แก้เบื่อก่อนข้อความหนึ่ง ก่อนกดพักหน้าจอโน๊ตบุ๊คแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเดินเข้าครัว


หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01

หิวตอนนี้ จะกินอะไรได้นอกจากมาม่าวนไป

   21:40 PM . 12 ก.ย.18


เมื่อเย็นกวีไม่ได้ทำอะไรทาน เขาตั้งใจจะเอาอาหารที่ทำตุนไว้ออกมาอุ่นกินง่ายๆ แต่พอเปิดตู้ไปเจอไก่อบกับผัก เขาก็รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาดื้อๆ บางทีอาจเป็นเพราะกินเมนูเดิมมาสองวันติดๆ กันแล้ว กวีขึ้นรู้สึกเบื่อขึ้นมา

ชายหนุ่มดันกล่องอาหารเข้าที่เหมือนเดิม ก่อนจะหยุดมองในตู้เย็นว่ามีอะไรพอทำกินได้บ้าง แต่มองแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะกินอะไรดี วัตถุดิบที่สั่งไว้ก็ร่อยหรอลง ด้วยพรุ่งนี้จะครบกำหนดสั่งกับข้าวใหม่แล้ว

“ทำอะไรกินดีน้อ...” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆ

ทว่าระหว่างที่กำลังตัดสินใจเลือกเมนูอาหาร เสียงกริ่งที่หน้าห้องก็เรียกความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น

ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~

กวีรีบปิดตู้เย็นแล้วเดินไปที่ประตู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว คนที่จะมาหาในเวลานี้ได้ นอกจากบก.เจน ก็คงจะมีพี่ชายของเขาเท่านั้น

แต่เมื่อกวีเปิดประตูออกไป เขากลับพบคนที่หายเงียบไปตลอดสามวันกำลังถือถุงใบใหญ่พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม

“พี่ลม!!~” นักเขียนหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ยังไม่นอนใช่ไหม”

“ยังครับ” กวีตอบ ก่อนถามกลับ “พี่ลมมาได้ไงเนี่ย”

“พี่ขับรถมอเตอร์ไซด์มาครับ”

“ไม่ใช่สิ” ได้ยินคำตอบราวกับกำลังกวนประสาทกัน กวีจึงรีบท้วง “หมายถึง ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมที่นี่ได้ครับ”

“อ้อ...ก็พี่เห็นว่ามีคนบ่นหิวในทวิตเตอร์ แถมพรุ่งนี้เป็นวันส่งกับข้าว พี่กลัวว่าเขาคนนั้นจะไม่มีอะไรกินจนต้องทนหิวไปทั้งคืน ก็เลยซื้อนี่มาฝาก”

คนใจดีว่าพลางชูถุงในมือขึ้นในระดับสายตา กวีจึงเห็นตัวหนังสือกับโลโก้ของร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังที่วายุกินเป็นมื้อเที่ยงเมื่อสามวันก่อนติดอยู่

“เกี๊ยวซ่าหรือครับ”

“อืม” วายุพยักหน้าทั้งที่รอยยิ้มยังไม่ลดเลือน “สนใจไหม”

โดยไม่ต้องคิด นักเขียนผู้หิวโหยก็ตอบออกไปอย่างเร็วรี่

“สนสิครับ!”

“หึๆๆ”

กวีไม่สนใจเสียงหัวเราะที่มีต่อปฏิกิริยาของตัวเอง เขารีบเบี่ยงตัวให้คนใจดีเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องครัวด้วยความรู้สึกร่าเริงที่สุด

ครั้นมาถึงครัวแล้ว กวีก็จังแจงขอเอาเกี๊ยวซ่าไปใส่จานให้พร้อมกับรินน้ำเย็นให้กวี ก่อนจะเอาทั้งหมดมาวางที่โต๊ะ

“ขอโทษนะที่พี่มาไม่ได้บอกก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ เพราะพี่ลมมีของฝาก”

“หึๆ” วายุสายหน้าขันๆ “หิวใช่ไหม กินได้เลยนะ นี่พี่ตั้งใจซื้อมาให้เรา”

“ทั้งถาดเลยเหรอครับ”

“อื้ม” วายุพยักหน้า

“โห...ได้ไงครับ ให้ผมกินคนเดียว เกรงใจตายเลย”

“เกรงใจทำไมล่ะ ก็พี่บอกแล้วว่าซื้อมาฝาก”

“นั่นแหละครับ ยิ่งต้องเกรงใจ อีกอย่างนะ ผมจะกินคนเดียวไม่หมดหรอก เดี๋ยวผมเอาตะเกียบให้” ว่าแล้วกวีจึงหยิบจานรองใบเล็กและตะเกียบให้กับวายุ “พี่ลมเองก็กินด้วยกันนะครับ”

อีกฝ่ายมองหน้ากวีนิ่งๆ ชั่วครู่หนึ่ง คล้ายมีอะไรบางอย่าง แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น วายุก็กลับมายิ้มใจดีเหมือนเดิม

“เอาสิครับ พวกเรากินด้วยกันก็ได้”

เกี๊ยวซ่าของวายุยังอุ่นอยู่ เหมือนกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งซื้อและรีบตรงมาที่คอนโดของกวีทีนทีอย่างไรอย่างนั้น พอกวีคีบเกี๊ยวเข้าปาก ความอร่อยก็แผ่ซ่านจนคนกินเผลออุทานออกมา

“อร่อยมาก~~”

“จากที่พี่เคยสั่ง เจ้านี้อร่อยที่สุดแล้ว”

“ผมเคยเห็น แต่ไม่เคยสั่งกินสักที ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก” เจ้าบ้านขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะคีบเกี๊ยวอีกชิ้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“ก็พี่สัญญาแล้วนี่ เมื่อวันก่อนน่ะ”

“อื้ม” กวีพยักหน้ารับ ครั้นกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่ในปากลงคอจนหมด เขาก็เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยและทำให้เขาว้าวุ่นมาหลายวัน “พี่ลมครับ”

“หืม?”

“พี่ลมไปไหนมาหรือครับ เห็นหายไปหลายวันเลย”

“อ้อ...พี่ไปหาป๊ากับม๊าที่เชียงราย พอดีต้องขับรถไปเอง แล้วที่โน้นก็มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย พี่ก็เลยไม่มีเวลาตอบข้อความ ขอโทษนะครับ”

“ไม่ต้องขอโทษสิครับ ก็พี่ยุ่งไม่ใช่หรือ อีกอย่างที่ผมถาม เพราะผม...เอ่อ...”

คำว่า คิดถึง เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด คนที่ชอบโพล่งอะไรต่ออะไรออกจากปากโดยไม่คิดอย่างกวีกลับหยุดชะงัก ก่อนนักเขียนหนุ่มจะทบทวนความรู้สึกในหัวของตัวเองอีกครั้ง

ที่เคยคิดว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนเพราะหิว บางทีอาจเป็นเพียงข้ออ้างไม่ให้ต้องคิดถึงคนตรงหน้ามากเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาดูดีๆ แล้ว กวีต้องยอมรับว่าตัวเองเหงาเพราะอยากมีวายุเป็นเพื่อนคุย อยากเจอวายุเหมือนเช่นยามนี้

ตลอดสามวันที่ผ่านมา...ความเหงาและความคิดถึงที่มีต่อพี่รถกับข้าวคือเรื่องจริง

เมื่อยอมรับความรู้สึกเหงาและคิดถึงที่มีต่อคนตรงหน้าได้ จู่ๆ กวีก็รู้สึกว่าใบหน้ามันร้อนขึ้นมาแปลกๆ

จะอายอะไรกันนะ พูดไปตรงๆ ว่าคิดถึงก็ไม่เห็นเป็นไร...ทั้งหมดนี้ กวีได้แค่คิด แต่ไม่กล้าพูดออกไปจริงๆ ด้วยความรู้สึกเขินอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เขาประหม่า

แต่ก่อนที่ความคิดฟุ้งซ่านจะเตลิดไปไกลกว่านี้ เสียงของคนตรงหน้าก็พาสติของเขากลับมาเสียก่อน

“วีครับ”

“คะ...ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...เปล่าครับ”

“ไม่ใช่อะไรหรอก พี่เห็นเราเงียบไปน่ะ นึกว่ามีอะไร”

“แฮร่ๆ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ พี่กินต่อเถอะนะ”

“อืม” วายุพยักหน้า แต่ก่อนจะเอาเกี๊ยวเข้าปากอีกชิ้น คนตรงหน้าก็รุกถามต่อ “แล้วสรุป เมื่อกี้วีจะพูดว่าอะไรต่อนะครับ”

“ผม...” กวีอึกอัก “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะบอกว่าที่ถามเพราะแปลกใจที่เห็นพี่ไม่ตอบไลน์ก็เท่านั้นน่ะครับ”

“อ๋อ” วายุพยักหน้าเข้าใจ แล้วจะเสริม “ก็อย่างที่บอกครับ พี่ขับรถทางไกลแล้วก็วุ่นๆ”

“แบบนี้นี่เอง” กวีพยักหน้ารับรู้ “ว่าแต่พี่ลมเพิ่งมาถึงหรือเปล่าครับ”

“อื้ม เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเย็น”

“โอ้โห...ความจริงพี่ลมเดินทางไปมาไกลๆ แบบนี้ ไม่เห็นต้องลำบากเอาเกี๊ยวมาให้ผมคืนนี้เลยนี่ครับ”

“ถ้าพี่ไม่เอามา เดี๋ยวนักเขียนคนโปรดของพี่ก็ไม่มีแรงเขียนต้นฉบับต่อน่ะสิ”

“มีสิครับ ของกินผมก็ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง”

“เอาเถอะ พี่ไม่ได้ลำบากจริงๆ” วายุพูดตัดบท “เพราะยังไงพี่ก็ต้องมาอยู่แล้ว”

“หืม? พี่ลมมีธุระแถวนี้หรือครับ” กวีเอนคอสงสัย

“เปล่า”

“แล้วยังไงกันครับ ที่บอกว่าต้องมา” นักเขียนหนุ่มถามต่อ

กวีเห็นวายุเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย...

“ที่ต้องมา เพราะพี่อยากมาเจอวีน่ะ ไม่ได้เจอหลายวัน ไม่ได้คุยกันเลยด้วย พี่ก็แค่...คิดถึง”

กวีพยายามมองว่าความคิดถึงที่เขามี เป็นเรื่องปรกติที่คนซึ่งสนิทสนมจะมีให้กันได้หากว่าต้องห่างหายกันไปหลายวัน แต่พอได้ยินว่าวายุเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน คิดถึงจนต้องมาหาพร้อมกับของฝากที่สัญญาเอาไว้เสียดึกดื่น หัวใจที่ถูกบังคับให้สงบลงในทีแรกก็กลับมาเต้นตูมตามอีกครั้ง

แย่แล้วเรา...แบบนี้แย่แน่ๆ








-------------------------------------------------------------------------------------------




เอาล่ะ ลูกเราเริ่มมีปฏิกิริยาแล้ว
ถ้าพี่รถกับข้าวรู้ว่าน้องเขิน ต้องวิ่งไปกรี๊ดอัดโอ่งแน่ๆ 555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามกันนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ


ละอองฝน.

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพี่ลมเอาของกินมาหลอกล่อเจ้าก้อนยังไงก็ไม่รู้ค่ะ  :laugh:
น้องเองก็เริ่มมีปฏิกิริยากับพี่ลมแล้ว แค่สามวันครึ่งเองนะเป็นถึงขนาดนี้ แบบนี้ก็พอลุ้นขึ้นแล้ว  :katai2-1:
ปิดท้ายเจ้าก้อนโดนพี่ลมแอทแทคไปอีกตู้ม ก้อนไม่บอกพี่ลมบอกเองเลย คิดถึงนะจ๊ะ คนอ่านฟินค่ะ :-[

รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
พี่ลมมาหาน้องทีไนมีแต่ของกินมาฝากจนน้องน่าจะกลิ้งได้แล้วนะ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2





บทที่ 13










หลังจากหิ้วเกี๊ยวซ่าเจ้าอร่อยไปฝากกวีเมื่อคืนก่อน วายุรู้สึกว่าคนน่ารักทำตัวแปลกไป

ตอนแรกที่เขาไปส่งของให้ในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะเขาส่งของเสร็จก็ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยเหมือนทุกที ด้วยกวีต้องรีบจัดการกับต้นฉบับรายสัปดาห์ที่ใกล้ถึงเดตไลน์เข้ามาทุกขณะ วายุจึงขอตัวกลับ ไม่อยู่กวนใจน้อง

ทว่าเมื่อกลับมาแล้ว จนกระทั่งผ่านมาสองวัน เขาก็ยังไม่ค่อยได้คุยกับกวีมากนัก คล้ายอีกฝ่ายยุ่งจนไม่มีเวลาตอบข้อความ ทั้งๆ ที่ต้นฉบับรายสัปดาห์ถูกปล่อยลงทางเว็บไซด์เรียบร้อย

ปรกติหลังจากลงต้นฉบับแล้ว กวีจะว่างและอยู่ได้สบายๆ สองสามวัน ก่อนกลับไปยุ่งอีกครั้ง แต่นี่น้องยังตอบข้อความน้อยเหมือนเก่า วายุจึงสังหรณ์ใจว่ากำลังมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น

หรือเรารุกไล่กวีมากเกินไปจนเขารำคาญกัน…วายุได้แค่คิดสงสัย แต่ไม่อาจล่วงรู้คำตอบได้เลย และยิ่งไม่รู้คำตอบ เขาก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น

ขออย่าให้วีนึกรำคาญพี่ขึ้นมาเลยนะ

เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวได้แต่ภาวนาเช่นนั้น เพราะเขาคงไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน หากอีกฝ่ายเบื่อหน่ายหรือรำคาญที่เขารุกเข้าหาเช่นนี้

ด้วยวายุรู้ว่าตัวเองถลำลึกไปกับรอยยิ้มของกวีเกินครึ่งใจแล้ว

ระหว่างที่วายุกำลังเหม่อลอยเพราะกังวลเรื่องของกวีอยู่นั้น เจ้าแซม พนักงานคนสนิทในร้านก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับสินค้าตัวหนึ่งที่บาร์โค๊ดมีปัญหา

แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร เจ้าของร้านคนดีก็ไม่ยอมตอบรับสักคำ

“พี่ลม”

“...”

“พี่ลม”

“...”

“พี่ลม! ได้ยินไหมครับ ฮัลโหลว! ~~”

ครั้นเรียกหลายครั้งแต่วายุกลับไม่รู้สึกตัว แซมจึงตะโกนเสียงดังพร้อมกับโบกมือไปมาผ่านใบหน้าหล่อเหลา ตอนนั้นเองวายุจึงหลุดจากภวังค์

“แซม? !”

“ก็ใช่น่ะสิครับ นี่แซมเอง”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“มีครับ” แซมพยักหน้า ก่อนจะยื่นสินค้าที่มีปัญหาให้ “พอดีบาร์โค๊ตน้ำพริกชุดนี้ซ้ำกับอีกของเจ้าหนึ่ง ผมว่าพนักงานสต็อกเมื่อวานน่าจะติดผิด ก็เลยเอามาให้พี่ดูว่าติดผิดจริงๆ หรือจะยกเลิกน้ำพริกกระปุกฟ้าแล้วใช้บาร์โค๊ดอันนี้แทนกันแน่”

“อ้อ...ไหนมาให้พี่ดูหน่อย” วายุปัดเรื่องวุ่นวายใจออกมาจากสมอง ก่อนรับสินค้าที่มีปัญหามาตรวจสอบ

“ผิดใช่ไหมครับ”

“อืม ติดผิดจริงๆ ยังไงพี่ฝากแซมจัดการเปลี่ยนให้ทีนะ ขึ้นไปเบิกบาร์โค๊ตที่ห้องพัสดุด้านบนได้เลย บอกดนัยก็ได้ว่าทำบาร์โค๊ดใหม่ให้หน่อย”

“โอเคครับพี่” แซมตอบรับแข็งขัน จากนั้นจึงรับสินค้ามาถือไว้เอง

ทว่าก่อนพนักงานหนุ่มจะเดินไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย เขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาเรียกเจ้านายด้วยความเป็นห่วง

“พี่ลมครับ”

“หืม? มีอะไรเหรอ”

“เอ่อ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ”

ครั้นเห็นแซมทำท่ากระอักกระอ่วน วายุจึงยิ้มให้บางๆ และอนุญาตให้ถามได้

“อืม ไม่ว่าหรอก มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

“คือผมเห็นพี่นั่งเหม่ออยู่ที่เคาน์เตอร์นั้นนานแล้วก็เลยเป็นห่วง ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายให้ผมฟังได้นะครับ” สีหน้าของพนักงานหนุ่มจริงจังเสียจนวายุนึกเอ็นดู

“ขอบใจมากนะแซม แต่กับเรื่องนี้พี่ไม่รู้จะเล่ายังไงเลย” เขาอายุมากกว่าแซมตั้งหลายปี ถ้าจะให้มานั่งปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ วายุก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร

“หรือว่าเรื่องผลประกอบการไม่ดีครับ เอ...ถึงช่วงนี้คนจะเข้าหน้าร้านน้อย แต่ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ ผมว่าพี่อย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวเศรษฐกิจก็คงดีขึ้น”

เพราะแซมเห็นเมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้านายของตัวเองถูกเรียกตัวกลับไปเคลียร์ปัญหาเรื่องสินค้านำเข้าที่ติดอยู่หน้าด่านเชียงราย เขาเกรงว่าวายุจะถูกพ่อกับแม่เรียกไปว่าเรื่องผลประกอบการที่ไม่ได้ดีมากนัก หรือไม่ทางนั้นอาจอยากให้วายุกลับไปช่วยงานที่บ้านมากกว่า จึงเป็นเหตุให้วายุมานั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและซึมกะทืออยู่แบบนี้

“ไม่ใช่เรื่องทางร้านหรอกแซม เพราะยอดขายเราโอเคขึ้นพี่ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ที่คิดนี่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ของพี่น่ะ ถึงเล่าไปก็ไม่รู้จะช่วยกันได้ยังไง ต้องเป็นพี่ที่คิดแก้ปัญหาเองมากกว่า” วายุไขข้อข้องใจให้พนักงานคนสนิทได้รู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อ้อ...งั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าเรื่องที่บ้านพี่เสียอีก”

“ไม่หรอก ป๊ากับม๊าพี่โอเคกับกิจการร้านพี่รถกับข้าวแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งคนมาช่วย”

“นั่นสินะครับ” เมื่อนึกนึกผู้จัดการร้านคนใหม่ที่วุ่นวายศึกษางานอยู่บนออฟฟิศชั้นสอง แซมก็พอเข้าใจ

“แต่ก็ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นเจ้านายผมนั่งเหม่อลอย ผมกลัวลูกค้าจะไม่กล้าเข้าร้าน”

“หึๆ จะยังไงก็เถอะ ขอบใจนายมาก” วายุยิ้ม ก่อนจะสั่ง “ไปๆ ไปจัดการเรื่องบาร์โค๊ดได้แล้ว อีกเดี๋ยวจะได้ลงมาช่วยพี่เฝ้าหน้าร้าน”

“อ้าว...พี่ลมจะไปไหนครับ”

“ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่เดี๋ยวเฮียดินจะเข้าร้าน พี่อยากให้เราลงมาช่วยดูลูกค้าแทนน่ะ”

ดิน หรือ พสุธา คือพี่ชายคนโตของกวีที่เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านพี่รถกับข้าว ตามปรกติพสุธาจะคอยช่วยพ่อและแม่ดูแลกิจการอาหารทะเลส่งออกที่บริษัทของครอบครัว แต่หลังจากวายุแยกมาเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยมีพ่อและพี่ชายเป็นหุ้นส่วน พสุธาก็มักจะเดินทางมาช่วยน้องชายตรวจดูกิจการทุกเดือน เผื่อว่าน้องชายมีปัญหาอะไร เขาที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที

“อ้อ...คุณดินจะมาหรือครับ ได้ครับๆ เดี๋ยวผมรีบจัดการบาร์โค๊ดให้เสร็จแล้วจะลงมาดูร้านให้” แซมรับคำและรีบขึ้นไปแก้ไขบาร์โค๊ดที่ติดผิด เพราะรู้ว่าคุณดิน พี่ชายของเจ้านายตัวเองเป็นคนค่อนข้างเฮี้ยบ

“ขอบใจมาก”

เมื่อแซมขึ้นไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับสินค้าแล้ว ร้านพี่รถกับข้าวก็มีลูกค้าเข้ามาหลายราย ก่อนพสุธาเดินทางมาถึงร้านในช่วงบ่ายแก่













“สวัสดีครับเฮียดิน”

“อืม” พสุธารับไหว้น้อง ก่อนจะรับไหว้พนักงานที่ทำงานอยู่ตรงชั้นล่างทั้งหมด รวมถึงแซมด้วย

“เฮียมาช้านะเนี่ย”

“พอดีเฮียติดคุยกับลูกค้านิดหน่อย ที่ร้านเป็นไงบ้างลม”

ผู้เป็นน้องเคียงพี่ชายที่เดินตรวจสอบไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะพากันขึ้นไปเช็คบัญชีบนชั้นสอง พร้อมกับรายงานผลประกอบการรายเดือนคร่าวๆ

“ก็โอเคครับ ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้น ยอดหน้าร้านก็ออกเรื่อยๆ”

“ทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเยอะเหรอ”

“พอสมควรครับ เรามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น สมาชิกเดิมก็สั่งประจำไม่ขาด บางคนมีตารางขอให้ส่งทุกวันก็มี”

“อืม...แบบนี้ก็ดีสิ” พสุธาเอ่ยชม “แกนี่เก่งนะเนี่ย เฮียไม่คิดเลยว่าขายออนไลน์จะเวิร์คขนาดนี้”

“ตอนแรกผมก็ไม่คิด” วายุบอกตามจริง

“แต่มันโอเคก็ดีแล้ว พาเฮียไปดูบัญชีหน่อย”

“ครับ”

พอไปถึงออฟฟิศบนชั้น วายุก็ให้พนักงานเอาบัญชีให้พี่ชายตรวจสอบดูตามปรกติ และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ

“ผมว่าจะลงงบ PR เพิ่มหน่อย นี่กำลังให้ฝ่ายการตลาดช่วยดูให้อยู่ เฮียคิดว่าไง” ชายหนุ่มเสนอ

“เอาตามที่เราว่านั่นแหละ ถ้ามีอะไรติดขัดก็ให้รีบบอก”

“ครับ”

“แต่ดูแล้วคงอยู่ตัวแล้วใช่ไหม ต่อไปเฮียอาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แล้วนะ เพราะงานที่บริษัทเราก็ยุ่งมาก”

“โอเคครับ ผมดูแลได้ ความจริงก็บอกเฮียตั้งแต่แรกแล้วนี่ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง” ความจริงชายหนุ่มเองก็อยากพิสูจน์ให้คนทางบ้านรู้ว่าถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว เขาก็ทำได้เช่นกัน

“ไม่ให้เป็นห่วงได้ไง ที่ผ่านมาแกเคยแตะงานค้าขายพวกนี้ที่ไหน แต่ทำได้ก็ดีแล้ว อีกหน่อย เฮียคงต้องให้แกไปช่วยในบริษัทบ้าง”

“แค่เฮียดินกับเฮียน้ำก็พอแล้วมั้ง” ลมพูดถึง น้ำ หรือ นที พี่ชายคนรองที่เป็นคนช่วยพสุธาดูแลกิจการที่บ้านอีกแรง

“พอที่ไหน ฉันสองคนจะตายอยู่แล้ว ดีที่แฟนตาน้ำเข้ามาช่วยด้วย ไม่งั้นก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน”

“แล้วแฟนเฮียล่ะ เมื่อไหร่จะแต่งเข้าบ้าน จะได้มาช่วยเฮียอีกแรงไง”

“แต่งอะไรเล่า เฮียเลิกไปแล้ว” ผู้เป็นพี่เล่าออกมาง่ายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่วายุรู้ ลึกๆ แล้วพสุธาคงเสียใจไม่น้อย

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะเฮียดิน เรื่องมันยังไงกัน ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ฉันเพิ่งเลิกกัน ยังไม่มีใครรู้หรอก”

“ถึงว่าสิ กลับไปบ้านเมื่อวันก่อน ม๊าถึงไม่ได้เล่าให้ฟัง แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“เขาอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันก็ปล่อยไป”

“แค่เรียนต่อต้องเลิกกันด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ เขาคงอยากอิสระ ไม่อย่างนั้นจะขอเลิกทำไม”

“แล้วเฮียโอเคหรือเปล่า”

“เลิกกับแฟนนะเว้ย ไม่มีใครโอเคหรอก แต่ให้ทำไงได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป”

“ถ้าเฮียมีไรให้ช่วยก็บอกผมนะ” เขารู้ว่าเรื่องของคนสองคน สุดท้ายก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะจัดการได้ แต่พอเห็นพี่ชายต้องเสียใจแล้วยังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งแบบนี้ วายุก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องมาคิดมากเป็นเพื่อนเฮียหรอก ตั้งใจทำงานให้ดี อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ ป๊ากับม๊าจะได้ไม่เวียนหัว”

“โถ่...เฮีย พูดอย่างกับผมเป็นเด็กไปได้”

“เมื่อปีก่อนแกยังวิ่งไปประเทศโน้นประเทศนี้ให้ตามหาแทบแย่ ไม่ให้เฮียเป็นห่วงยังไงไหว”

ในสายตาพี่ชาย วายุก็เป็นเหมือนลมดังชื่อ ลมที่พัดไปตรงนั้นที พัดไปตรงนี้ที ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกคนในครอบครัวจึงเป็นห่วงอนาคตน้องชายคนสุดท้องคนนี้ที่สุด แม้เวลานี้วายุจะหันกลับมาทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

“ถึงอยากหนีเที่ยวก็หนีไม่ได้หรอก ที่ร้านต้องมีคนดูแล ผมจะทิ้งยังไงครับ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวายุยังโหยหาการเดินทาง แต่เขาก็โตพอที่จะหักห้ามใจและหันกลับมาสร้างตัวไม่ให้ครอบครัวเป็นกังวล ยิ่งยามนี้เขามีลูกน้องต้องดูแลหลายชีวิต จะทิ้งไปก็คงไม่ได้แล้ว

ที่สำคัญ การคลุกคลีอยู่ในร้านที่ตัวเองสร้างมาเป็นปี ความรักความผูกพันย่อมมีเป็นธรรมดา

“ถามแต่เรื่องเฮีย แล้วแกล่ะ มีแฟนหรือยัง ถ้ามีแล้วพาไปบ้านสิ ป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา พาไปให้เขาเห็นสักครั้ง ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว”

อย่างที่ทุกคนรู้ว่าวายุรักชอบผู้ชาย ซ้ำที่บ้านของชายหนุ่มก็หัวสมัยใหม่พอที่จะเปิดกว้างและเข้าใจ แต่วายุก็ยังไม่เคยพาใครเข้าไปทำความรู้จักกับที่บ้านเลยสักครั้ง เพราะยังไม่มีใครที่ด้วยคบแล้วอยู่ยาวจนความสัมพันธ์จริงจังถึงขั้นนั้น

“ไม่ได้ปิดอะไรหรอกเฮีย แต่ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนน่ะสิ”

“แล้วทำไมไม่ลองมีให้เป็นตัวเป็นตนเล่า”

“ทำอย่างกับจะหาง่ายนักนี่เฮีย”

“แกไม่จริงจังกับใครมากกว่ามั้ง อาลม” คนเป็นพี่สัพยอก

พอพูดถึงเรื่องจริงจัง ภาพใบหน้าของคนติดกิ๊บสารพัดสีก็ผุดขึ้นมาในความคิด

“จริงจังสิ แต่ไม่รู้เขาจะกลัวหรือเปล่า”

“กลัวเหรอ...เอ่อ...เฮียก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเหมือนกับแบบเฮียไหม แต่คิดว่าถ้ารักหรือชอบคนที่เป็นแบบเดียวกัน มากกว่าผู้ชายที่เขาเป็นผู้ชายจริงๆ มันก็น่าจะดีกว่าหรือเปล่าอาลม”

“ผมเข้าใจที่เฮียพูดนะ แต่เรื่องความชอบน่ะ มันห้ามกันได้ที่ไหน”

ปรกติวายุก็มองหาแต่คนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเท่านั้น เพราะมันง่ายต่อความเข้าใจ ง่ายต่อการปรับจูนอะไรหลายๆ อย่าง แต่กับคนที่เขาถูกใจคนล่าสุด วายุใช้แต่ความรู้สึกนำทาง ซ้ำยังไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ทันอย่างทุกที

เขาถึงได้นั่งปวดหัวอยู่นี่ เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยคุยกันเหมือนวันก่อนๆ

“พูดเหมือนไปแอบชอบใคร”

“ก็ใช่น่ะสิ” วายุบอกตรงๆ “แต่ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้ เขาจะยอมรับหรือเปล่า ผมดูไม่ออกด้วยว่าเขาเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า”

“ก็ลองดูสักตั้งสิ แกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ครอบครัวหรือฐานะก็พอใช้ได้ ถ้าเขาชอบแบบเดียวกัน เขาก็คงตกลงใจด้วยกระมัง”

“ผมกลัวเขาเตลิดไป”

“ถ้าเขาไป นั่นก็แปลว่าเขาไม่ใช่ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะ เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าเอามาเสียไปกับคนที่ไม่อาจเป็นของเราได้เลยลม”

นอกจากจะเกิดความรู้สึกเห็นใจพี่ชายที่ต้องเลิกกับแฟนสาวซึ่งคบกับมาตั้งหกเจ็ดปีแล้ว วายุก็รู้สึกว่าคำพูดของพสุธาเข้ามาสะกิดในหัวใจของเขาอย่างจัง

ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ เขาก็จะออกห่างไป

แต่ถ้าคนคนนั้นคือคนที่ใช่...มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงดูไม่ใช่หรือ

“นิ่งไปเลยนะ คิดอะไรอยู่” เห็นน้องนิ่งไป คนเป็นพี่ก็รีบทัก เพราะกลัวจะพูดอะไรกระทบจิตใจจนน้องชายตัวดีเกิดติสท์แตกขึ้นมาอีก

“ก็คิดที่เฮียพูดนั่นแหละ”

“อย่าคิดนาน เผื่อมีใครมาตัดหน้าไปก่อน เดี๋ยวแกจะเสียใจ”

“นั่นสินะ...” วายุเห็นด้วย เพราะคนคนนั้นยิ่งน่ารักมากเสียด้วย เกิดถูกแย่งตัดหน้าไปก่อน เขาคงทนไม่ได้

“หึๆ ทำหน้าเอาจริงเชียวนะ”

“ก็เฮียอยากพูดปลุกใจผมทำไมล่ะ”

“แล้วได้ผลใช่ไหม”

“ยิ่งว่าได้อีกครับ”

“ฮ่าๆ ๆ ดีๆ ถ้าเกิดโชคดีเขาตกลงปลงใจกับแกจริงๆ อย่าลืมพามารู้จักเฮียคนแรกด้วยนะ”

“ทำไมต้องคนแรก”

“อ้าว! เฮียจะได้เอาไปอวดอาม๊าไงล่ะ ทางนั้นน่ะอยากให้แกมีครอบครัวจะแย่”

“หึๆ โอเค ถ้าเป็นไปอย่างที่เฮียพูดจริงๆ ผมจะเลี้ยงข้าวบนเหลาที่เฮียชอบให้อีกมื้อเลยเอ้า!”

“จำคำพูดของแกไว้นะอาลม แล้วเตรียมเงินไว้เยอะๆ ด้วย”

“ฮ่าๆ ๆ โอเค ผมไม่ลืมหรอก”

พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปตามประสาอีกเล็กน้อย ก่อนพสุธาจะขอตัวกลับก่อน เพราะเขามีงานที่ต้องสะสางอีกเป็นตั้ง













หลังจากลงไปส่งพี่ชายขับรถกลับแล้ว ก่อนกลับเข้าร้าน วายุก็พบกับเพื่อนสนิทที่หายหัวไปนานเป็นอาทิตย์ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าร้าน

“ไอ้ปั้น! พายุอะไรหอบมาวะเนี่ย”

“พายุโมโห!”

“หา? พายุโมโหอะไรของแก”

“ฉันมาเพราะจะเล่าให้แกฟังเนี่ยแหละ” ท่าทางปริญคงถูกพายุโมโหพัดถล่มเข้าจริงๆ เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ได้เอาเสียเลยในเวลานี้

“งั้นเข้าไปคุยกันข้างบนแล้วกัน”

“แกทำงานอยู่หรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร ฉันสั่งให้เด็กเฝ้าร้านแทนได้” วายุว่า ก่อนจะเดินเข้าร้านไปสั่งให้แซมดูหน้าร้านแทนตัวเอง และพาปริญขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุด

พอถึงที่หมายและประตูห้องปิดตามหลังปุ๊บ เสียงโอดครวญของเพื่อนสนิทวายุก็ดังขึ้นทันที

“ฉันรู้แล้วว่าใครเป็นแฟนใหม่พศิน”

“หืม? ใครล่ะ”

“นักเขียนในสังกัดเขานั่นไง คนที่ดังๆ หน่อย แกน่าจะรู้จัก เพราะฉันเห็นรูปกิจกรรมในบริษัทอาทิตย์ก่อน มีรูปแกไปขอลายเซ็นเขาด้วย!”

“ห๊า!! แกว่าไงนะ” เสียงดังลั่นที่วายุตะโกนใส่หน้าเพื่อน พร้อมกับท่าทางตกใจจนหน้าซีด ทำเอาปริญต้องขมวดคิ้วและเป็นฝ่ายระงับอารมณ์โกรธลงไปแทน

“ทำไมแกต้องตะโกนด้วย”

“ก็...ฉัน...ฉันตกใจ” วายุแทบพูดไม่เป็นคำ เพราะนักเขียนคนเดียวที่เขาไปขอลายเซ็นเมื่ออาทิตย์ก่อนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าก่อนสรุปอะไร วายุก็ตั้งสติและถามออกไปอีกครั้ง “แกว่าคนที่เป็นแฟนพศินคือนักเขียนที่ฉันไปขอลายเซ็นเหรอ”

“ใช่”

“แน่ใจหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ เขารู้กันทั้งบริษัทแล้ว วันนี้ฉันเห็นเขาเข้ามาเซ็นสัญญานิยายเรื่องใหม่ พศินแทบจะอุ้มเด็กอ้วนนั่นไปส่งที่รถ ประคบประหงมกันซะเหลือเกิน”

“อย่าว่าน้อง! น้องไม่ได้อ้วน”

“หา?” พอได้ยินเพื่อนหลุดปากปกป้องว่าที่ศัตรูของตัวเองออกไปแบบนั้น ปริญก็ถึงกับทำหน้าเหวอ “นี่แก...แกเข้าข้างนักเขียนในดวงใจขนาดนั้นเลยหรือไงไอ้ลม! เพื่อนแกโดนไอ้เด็กหน้ากลมคนนั้นแย่งแฟนนะเว้ย!”

“อะแฮ่ม...ฉันแค่จะบอกว่า อย่าว่าเขา ถ้าเรายังไม่แน่ใจอะไร” วายุเตือน ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ และพูดกับเพื่อนเสียใหม่ “อีกอย่าง ฉันไม่ได้เข้าข้าง แต่แกอาจเข้าใจผิดก็ได้”

“จะเข้าใจผิดได้ไง ฉันก็บอกอยู่นี่ว่าพศินแทบอุ้มเด็กนั่นขึ้นรถด้วยซ้ำ ก่อนหายออกไปด้วยกันทั้งบ่าย แกคิดดู คนบ้างานแบบพศินมีหรือจะโดดงานออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลอื่น แถมที่บริษัทก็พูดกันทุกคน”

“แล้วสมมติ ถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงๆ แกจะทำไงได้ ในเมื่อพศินเลิกกับแกไปแล้ว”

คำถามแทงใจเล่นงานเพื่อนสนิทของวายุจนล้มทั้งยืน ปริญทรุดตัวลงนั่งกับเตียงเพื่อนแล้วงุ้มตัวลงเอามือสองข้างค้ำศีรษะไว้ ท่าทางเหมือนคนแบกโลกไม่มีผิด

“ฉันก็...ทำยังไงไม่ได้ เพราะเลิกกันไปแล้ว แต่มันโมโหนี่ ไม่คิดว่าเขาจะชอบแบบน่ารักบ้องแบ๊วอย่างนั้น ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอย่าง”

“เขาอาจมีดีกว่าแค่เรื่องหน้าตาน่ารักก็ได้”

“เนี่ย! ดูสิ ขนาดแกเป็นแค่แฟนหนังสือ แกยังเข้าข้างเด็กนั่นเลย ฉันสิ้นหวังแล้วว่ะ”

ระหว่างที่ปริญโอดครวญ วายุก็อยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าตอนนี้ตนเองก็แทบกระอักเลือดและเสียศูนย์ไม่แพ้กัน เพียงแค่ต้องเก็บอาการเอาไว้เท่านั้น

“เอาน่า ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็คงต้องมูฟออน”

“อืม...ก็คงต้องเป็นแบบนั้น เขาเลือกแล้วนี่นะ” ปริญว่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก

...วายุก็เช่นกัน

“ใช่ เขาเลือกแล้ว”

“วันนี้แกเลิกงานดึกไหมไอ้ลม”

“ก็ร้านปิดนั่นแหละ”

“กินเหล้ากันไหม” คนช้ำรักชวน

“ก็ได้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเอง”

“ดี ไม่เมาล้ม ไม่เลิกเว้ย!!!” ปริญตะโกนลั่น แต่ในใจคงเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย

วายุได้แต่มองเพื่อนเงียบๆ ก่อนปล่อยให้ปริญยึดห้องไว้เป็นที่พักใจชั่วคราว จากนั้นจึงขอตัวลงไปคุมร้านก่อนถึงเวลาปิด ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าไม่แพ้กัน





ต่อด้านล่างค่ะ





ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทที่ 13 ต่อ




คืนนั้นวายุกับปริญดื่มกันหนักมากจนเมาพับหลับไปทั้งคู่ พอเช้ามาต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

แม้เพื่อนกลับไปแล้ว แต่เรื่องที่เพื่อนนำมาเล่าให้ฟังยังติดอยู่ในหัวของวายุไปทั้งวัน ระหว่างทำงาน วายุคอยมองโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้ง เวลานี้ข้อความที่ส่งไปหากวี เจ้าตัวก็ตอบหลับมาหมดแล้ว แต่วายุกลับไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร

หากเป็นก่อนวันที่เขาจะรู้ว่ากวีมีเจ้าของแล้ว วายุคงพยายามหาเรื่องชวนคุย หรือไม่ก็คงเปิดหาร้านอาหารอร่อยๆ เพื่อซื้อไปฝากเวลาที่อีกฝ่ายปั่นต้นฉบับจนหิวโซในยามค่ำคืน แต่ตอนนี้ วายุไม่รู้ว่าตัวควรคุยอะไรกับคุณลูกค้าคนพิเศษ

ถึงแม้ความผิดหวังจู่โจมหัวใจเขา ทว่าวันต่อมาที่มีออเดอร์จากกวี วายุกลับห้ามไม่ให้ตัวเองไปส่งของเหมือนทุกครั้งได้ ถึงคนคนนั้นจะมีเจ้าของ วายุก็ยังอยากเห็นหน้าคนน่ารักอยู่ดี

เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวหยิบตะกร้าของลูกค้าคนพิเศษไปที่รถ โดยไม่มีใครถามว่าตะกร้าที่เขาขับรถไปส่งด้วยตัวเองทุกๆ สามวันคือตะกร้าของใคร และคนคนนั้นเป็นอะไรกับเจ้านายตัวเอง

ครั้นเตรียมตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง วายุก็มุ่งหน้าไปยังคอนโดหรูที่เขาจำทางได้ขึ้นใจ

ขับรถฝ่าการจราจรคับคั่งไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงคอนโดของกวี วายุมาที่นี่จนผู้รับษาความปลอดภัยจำหน้าเขาได้ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังต้องวางบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนเหมือนเดิม

เสร็จจากชั้นล่างแล้วเจ้าของร้านพี่รถกับข้าวก็ค่อยๆ ก้าวไปขึ้นลิฟต์ และโดยสารไปจนถึงชั้นเป้าหมาย ระหว่างเดินออกมาจนกระทั่งหยุดหน้าห้อง ความรู้สึกมากมายเข้าจู่โจมชายหนุ่มจนเขาแทบหายใจไม่ออก

เรายังสมควรมาที่นี่อยู่อีกหรือ

ความคิดนี้แทรกเข้ามาในหัวของวายุทันทีก่อนเขากดออดหน้าห้อง เขาเคยคิดว่า หากเรื่องของตนเองกับกวีเป็นไปไม่ได้ หากเขาต้องผิดหวังไม่ว่ากรณีใดๆ เขาก็คงจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของกวีได้ เพราะน้องเป็นคนน่ารักน่าคบหา

ทว่านี่อาจจะเร็วเกินไป วายุรู้ตัวว่าข่าวเรื่องกวีมีคนรักแล้วทำเขาผิดหวังจนตั้งตัวไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมเจอเผชิญหน้า

อาการปอดแหกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตรงเข้าจู่โจมวายุอย่างจัง ชายหนุ่มเกือบหันหลังเดินจากมาเสียแล้ว ถ้าไม่มีใครบางคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน

“โอ๊ะ!”

คนที่วายุอยากหลบหน้าส่งเสียงอุทานออกมา พร้อมกับทำตาโตที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง เวลานี้จะหนีก็คงไม่ทันแล้ว วายุจึงได้แต่ปั้นหน้ายิ้มแล้วเอ่ยทักออกไปก่อน

“สวัสดีครับคุณลูกค้า พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”

“พี่ลม...”

“ใครน่ะก้อน” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น ก่อนเธอจะเดินออกมาปรากฏตัวตรงหน้าวายุ “อ้าว! คุณลม”

“สวัสดีครับคุณเจน”

“สวัสดีค่ะ” เธอกวาดมองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถาม “มาส่งของเหรอคะ”

“ครับ” วายุพยักหน้า

“ดีเลยค่ะ นี่ครัวเจ้าก้อนกำลังร้างพอดี” เจนจิราคุยกับเขาด้วยท่าทางเป็นมิตร ก่อนจะหันไปหานักเขียนในความดูแลของตัวเอง “พี่ไปแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้เราคิดพล็อตได้ค่อยส่งข้อความมาหาพี่ก็แล้วกัน แล้วถ้าไม่ไหวก็โทรมาเลยนะ พี่จะพาไปโรงพยาบาล”

“รู้แล้วครับพี่เจน” กวีรับคำเธออย่างว่าง่าย ก่อนจะโบกมือบ้ายบายและยืนส่งจนหญิงสาวลงลิฟต์ไป จากนั้นจึงหันมาหาวายุบ้าง

แต่ก่อนที่กวีจะเอ่ยอะไรออกมา คนที่อยากหลบหน้าในทีแรกกลับลืมความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไปจนหมด เพราะมีเรื่องอื่นดึงความสนใจเขามากกว่า

“วีไม่สบายหรือครับ”

“อ่า...ครับ” คนหน้ารักพยักหน้าน้อย

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“เอ่อ...ผมเป็นไข้นิดหน่อย แต่เริ่มดีขึ้นแล้วล่ะ”

“เป็นมานานเท่าไหร่แล้วครับ” วายุรุกไล่ถามต่อ

“เพิ่งไข้ขึ้นเมื่อวานครับ พอดีเมื่อวันก่อนออกไปข้างนอกแล้วเจอฝน”

“ออกไปข้างนอก...”

“เข้าไปเซ็นสัญญาที่บริษัทน่ะครับ” กวีเล่า “พี่ลมเข้ามาข้างในก่อนใหม่ครับ เราจะได้เช็คของก่อน เดี๋ยวผมเอาน้ำให้พี่ดื่มด้วย ดูพี่สีหน้าไม่ดีเลย ขับรถมาอากาศร้อนๆ ใช่ไหม มานี่ครับ ผมถือตะกร้าเอง” ว่าแล้วกวีก็แย่งตะกร้ากับข้าวของตัวเองไปถือแทน

ทว่าความจริงแล้ววายุไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ที่สีหน้าเขาไม่ค่อยดี อาจเพราะก่อนหน้านี้เขากำลังคิดหนักเรื่องเจอมาเจอหน้ากวี กับคิดเป็นห่วงที่คนน่ารักไม่สบายต่างหาก

“พี่ไม่เป็นไร ของนี่พี่เช็คมาหมดแล้ว ไม่มีขาดสักรายการเดียว หรือถ้าวีมาดูแล้วของไม่ครบ พี่จะเอามาส่งให้เพิ่ม ตอนนี้เข้าห้องดีกว่านะ จะได้พักผ่อน”

“ขอบคุณครับ ผมโอเคขึ้นแล้ว มีพี่เจอซื้อยามาให้ แถมยังเฝ้าไข้ทั้งคืน”

ชายหนุ่มเกือบปล่อยทุกอย่างผ่านไปอยู่แล้ว หากไม่นึกเอะใจกับประโยคที่บอกว่าเจนเป็นคนมาเฝ้าไข้ตลอดทั้งคืน

“คุณเจนเป็นคนเฝ้าหรือ”

“ครับ”

ทำไมถึงเป็นเจนจิรากันล่ะ...

ก็ไหนเพื่อนสนิทของเขาบอกว่ากวีเป็นแฟนกับพศิน เขารู้จักพศินดีในระดับหนึ่ง คนคนนั้นน่ะ ถ้าคนรักเจ็บไข้ได้ป่วยล่ะก็ เจ้าตัวต้องวิ่งแจ้นมาดูแลอย่างแน่นอน เหมือนที่เคยดูแลกับปริญ

แต่นี่กวีกลับมีเจนจิราเป็นคนดูแล คงไม่ใช่ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอกนะ...

“พี่ลมครับ”

“ครับ?”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมนิ่งไป”

“คือพี่...”

ทีแรกวายุตั้งใจจะไม่พูดอะไร แต่คำพูดของพี่ชายเมื่อวันก่อนกลับแทรกเข้ามาในห้วงความคิด เขาจึงตัดสินใจถามเรื่องที่สงสัย

“ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“คือพี่อยากรู้อะไรบางอย่าง วีตอบพี่หน่อยได้ไหม”

กวีทำหน้าสงสัยระคนงงงวย แต่เจ้าตัวก็ยังเอ่ยอย่างใจดี

“ถามได้สิครับ ถ้าผมรู้คำตอบ ผมจะบอกพี่ทุกเรื่องเลย”

ได้ยินแบบนั้น วายุก็ใจชื้นขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะโพล่งออกไปตรงๆ

“วีมีแฟนหรือยังครับ”

“หา? มีแฟนเหรอ” กวีถามซ้ำราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองได้ยินคำถามของวายุถูกหรือไม่

“ใช่ วีมีแฟนหรือยัง”

“ยังไม่มีหรอกครับ ผมเนี่ยนะจะมีแฟน สภาพแบบนี้ ใครจะเอาผม คราวก่อนที่เราคุยกันผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ"

ถึงจะได้รับการยืนยันแล้ว วายุก็อดถามซ้ำไม่ได้ “ไม่มีจริงๆ นะครับ”

“ไม่มีจริงๆ ครับ ผมจะโกหกพี่ลมทำไมล่ะ”

ราวกับยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก รอยยิ้มที่พยายามฝืนในทีแรก ตอนนี้วายุไม่ต้องพยายามฝืนมันอีกต่อไปแล้ว เพราะเขายิ้มกว้างออกมาตามธรรมชาติจนปากแทบจะฉีกถึงหูด้วยความดีใจ

“ขอโทษที่ถามนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” กวียิ้มตอบ ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่พี่ลมถามทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“เพราะพี่อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว วีมีใครหรือเปล่า”

“แล้ว...พี่ลมอยากรู้ไปทำไม”

“วีดูไม่ออกหรือครับ”

“ดูไม่ออกอะไรครับ”

“ดูไม่ออกหรือครับว่าพี่...พี่ชอบเรา”

“ชอบผม?”

ทีแรกวายุไม่คิดจะพูด ไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่พอได้ยินว่าพศินไม่ใช่แฟนกวี ความรู้สึกฮึกเฮิมอย่างที่มีในวันที่พสุธาพูดปลุกใจก็กลับมา

ใช่แล้ว...เวลานี้เขาควรเดินหน้าเต็มกำลัง ก่อนจะมีคนชิงตัดหน้าไปเสีย อีกอย่าง ถ้าหากระหว่างเขากับกวีไม่มีโอกาสพัฒนาเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน ชายหนุ่มจะได้ตัดใจทีเดียว

“อืม...พี่ชอบวีครับ”

โผละ!!

เสียงตะกร้ากับข้าวหล่นลงตรงหน้าห้อง 1707 อีกครั้งในรอบสองเดือน วายุไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำ ผมของมันจะออกหัวหรือก้อย ยามนี้ ตอนที่เขามองหน้ากวี เขารู้เพียงแค่อย่างเดียว

กวีกำลังไข้ขึ้น...

เพราะน้องหน้าแดงก่ำไปถึงลำคอและใบหู ก่อนเจ้าตัวจะทรุดลงนั่งแหมะข้างๆ ตะกร้าที่ตัวเองปล่อยให้หล่นพื้น พร้อมทั้งเอามือขยุ้มอกเสื้อของตัวเอง วายุจึงรีบคุกเข้าลงไปประคอง เพราะกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรไป

“วี! เป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรบอกพี่เร็ว!” คนที่เพิ่งสารภาพรักรีบถามอาการน้องอย่างร้อนรน

“...หัวใจผม...เต้นแรงเกินไป” กวีพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “ผมว่าผมต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ...พี่ลม”






----------------------------------------------------------------------------------------------------------





พี่ลมทำเด็กตกใจหมดแล้ว 

แบบนี้ต้องมารับผิดชอบน้องไปตลอดชีวิต อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่ะ



ละอองฝน.

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ขำวีกลายเป็นเด็กอ้วนหน้ากลมไปแล้ว 5555

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
เจอพี่ดินปลุกใจเข้าไป พี่ลมถึงกับรีบสารภาพรักเลยทีเดียว 55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด