พิมพ์หน้านี้ - -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ละอองฝน ที่ 15-06-2018 18:56:25

หัวข้อ: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-06-2018 18:56:25
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ 

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



*************************************************







สารบัญ


บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3846874#msg3846874)

บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3857800#msg3857800)

บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3858871#msg3858871)

บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3861448#msg3861448)

บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3862403#msg3862403)

บทที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3864644#msg3864644)

บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67534.msg3865797#msg3865797)





หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-06-2018 18:58:12








บทนำ









ตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการมา นี่เป็นครั้งแรกที่ร้าน ‘พี่รถกับข้าว’ ของวายุเกิดปัญหาวุ่นวายจนตารางเวลาในการส่งของให้ลูกค้าปั่นป่วนไปหมด และนั่นก็ทำให้เขาผันตัวเองจากหุ้นส่วนร้านมาควบหน้าที่พนักงานส่งเดลิเวอรี่จำเป็นอีกหนึ่งตำแหน่ง



“ไปถูกแน่นะพี่ลม”


“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ทางแค่นี้พี่ไม่หลงหรอกน่า อีกอย่างจีพีเอสก็มี เบอร์ลูกค้าก็มี นายนั่นแหละ อยู่เฝ้าร้านดีๆ นะแซม เดี๋ยวส่งของเสร็จจะพาคนมาช่วย”


“จริงสิเนอะ ผมลืมไปได้ไงว่าคุยอยู่กับคุณวายุ ผู้ที่หลงอยู่ในป่าแอมะซอนก็รอดออกมาได้”


“ไอ้เว่อ เลิกโม้แล้วไปเฝ้าหน้าร้านได้แล้ว ลูกค้ามาโน่นละเห็นไหม”



แซมมองตามนิ้วของเจ้านายไป พอเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาจริงๆ เขาก็รีบออกไปต้อนรับทันที “ครับๆ”



วายุเลิกยุ่งกับเด็กในร้าน แล้วหันมาตรวจเช็คของในตะกร้ากับลิสต์ที่ลูกค้าสั่งมาทางออนไลน์ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่ขาดอะไร เขาจึงลำเลียงตะกร้าทั้งหมดไปที่รถ



โชคดีที่ออเดอร์ในวันนี้เหลือตกค้างไม่มาก ซ้ำทุกเจ้ายังอยู่ในละแวกเดียวกัน ทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลา ซ้ำยังไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพอาหารสด



เมื่อจัดของเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางเสียที







++++++






วายุตระเวนส่งของให้ลูกค้าจนเกือบครบทุกเจ้า พร้อมทั้งมอบบัตรส่วนลดในการใช้จ่ายครั้งต่อไปให้แทนคำขอโทษส่งของให้ล่าช้า ลูกค้าที่ถูกปล่อยให้รอจึงค่อนข้างพอใจและไม่คอมเพลนเรื่องการบริการมากนัก



กระทั่งถึงที่สุดท้าย เป็นลูกค้าที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขา แต่ก่อนออกมา แซมบอกว่าได้ติดต่อไว้แล้ว และลูกค้าก็แจ้งว่าอยู่บ้าน พร้อมให้ส่งสินค้าได้ตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจมาตามรายละเอียดที่ให้ไว้



เขาจอดรถหน้าคอนโดหรูกลางกรุง แล้วลงจากรถพร้อมตะกร้าเครื่องปรุงรสและผักสดในมือ เขาไปติดต่อที่หน้าเคาน์เตอร์ตามรายละเอียดที่ลูกค้าแจ้งมา รอจนพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจสอบเรียบร้อย เขาจึงถูกปล่อยให้ขึ้นไปยังชั้นบนได้



ชั้น 17 ห้อง 1707



เลขสวยแฮะ…ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่ลิฟต์เคลื่อนไปด้วยความเร็ว เผลอแวบเดียวก็มาถึงชั้นที่ 17 แล้ว เขาเดินออกจากลิฟต์ ตรงไปตามทางเดินที่เปิดไฟสีนวลตา ก่อนหยุดหน้าห้องซึ่งเป็นที่หมาย



วายุเช็คเลขที่ห้องให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วจึงกดกริ่งเรียก



ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~



เสียงกริ่งที่เหมือนกับเสียงนาฬิกาบอกเวลาพักเที่ยงในโรงเรียนทำเอาวายุหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย ขณะที่รอยยิ้มยังไม่ลดเลือนไป อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังตึงคล้ายกับของอะไรสักอย่างตกอยู่หลังประตู



จังหวะที่เขาขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัย ประตูห้องก็เปิดผลัวะ แล้วใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากหลังบานประตู พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงสดใส



“มาแล้ว!~”



ชายหนุ่มคนนั้นถลาออกมาจากห้องในชุดเสื้อย้วยๆ กางเกงขาสั้นยืดๆ บนหัวติดกิ๊บรูปสับปะรดสองข้าง ดูแล้วไม่ใช่เพื่อเสริมความน่ารัก แต่เพื่อกันไม่ให้ผมยุ่งๆ นั่นปรกลงมาจนปิดแว่นตาทรงกลมมากกว่า



“ขอโทษที่ทำให้รอครับ พอดีเกิดเหตุขัดข้องกับพนักงานของเรานิดหน่อย ทางเรามี…” ยังไม่ทันได้พูดจบ ลูกค้าของวายุก็แทรกขึ้นมาทันที


“คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ถือ อย่างน้อยพี่รถกับข้าวก็เอากับข้าวมาส่งผมล่ะนะ ถ้าไม่มา ผมต้องกินข้าวคลุกน้ำปลาแน่ๆ”



ไม่ว่าเปล่า หนุ่มคนนั้นยังเข้ามาคว้ามือที่ถือตะกร้าขึ้นมาจับ วายุคิดว่าอีกฝ่ายคงตั้งใจจะเอาตะกร้ากับข้าวของตัวเองไปนั่นแหละ แค่ดันรวบมือของวายุไปด้วย
   


“เป็นหน้าที่ที่เราต้องส่งอยู่แล้วครับ ทางเรามีบัตรส่วนลด 25% แนบไปพร้อมกับใบเสร็จในตะกร้า ให้คุณลูกค้าใช้เป็นส่วนลดซื้อของในครั้งถัดไป แทนคำขอโทษน่ะครับ”
   

“โอ๊ะ! จริงหรือครับ” ลูกค้าของวายุตาเป็นประกาย แล้วดึงตะกร้ามาตรวจดู มือของพวกเขาจึงเลื่อนหลุดออกจากกัน “มีจริงด้วย! ขอบคุณนะครับ ไว้ผมจะใช้สั่งครั้งต่อไป--”
   

จ๊อก~~
   


ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูดไม่หยุด เสียงปริศนาที่น่าจะมาจากท้องของคุณลูกค้าก็ดังขึ้น แก้มย้วยๆ ที่ขยับไปขยับมาตอนพูดขึ้นสีแดงแปร๊ด ก่อนเจ้าตัวจะขยับแว่นพลางยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา
   

“อีกสามวันเจอกันนะครับ”
   


ว่าแล้วคุณลูกค้าก็ค่อยๆ กระดึ๊บถอยหลังเข้าไปในอาณาเขตของตัวเอง ก่อนปิดประตู ทิ้งให้วายุยืนงงอยู่ตรงนั้นไปหลายวินาที


เป็นลูกค้าที่แปลกชะมัด…วายุคิด ขณะกลับลงมาจากคอนโด
   


“อีกสามวันเจอกันนะครับ”
   


เสียงของลูกค้าคนนั้นดังขึ้นในหัว



วายุไม่รู้อีกสามวันข้างหน้า พนักงานส่งที่ป่วยกะทันหันจะออกจากโรงพยาบาลหรือยัง แน่นอนว่าเขาอยากให้งานกลับมาเป็นระบบเหมือนเดิม



แต่สมมติ…แค่สมมติเท่านั้น



ว่าหากพนักงานยังไม่หาย และเขาหาใครมาทำงานแทนไม่ได้ สามวันข้างหน้าก็จะได้เจอกับคุณลูกค้าที่ติดกิ๊บสับปะรดอีกสินะ



อีกสามวันงั้นหรือ…






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





วันนี้ได้ฤกษ์ดีมาลงนิยายเรื่องใหม่แล้ว
เรื่องนี้เป็นแนวใสๆ แทบจะไร้ดรามา
อ่านได้สบายๆ คลายเครียดค่ะ
พักจากที่ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องหนักๆ หน่อย
ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-06-2018 09:03:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-06-2018 17:36:18
 :mc4:  ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 17-06-2018 18:02:54
พี่รถกับข้าว  ชื่อร้านน่ารัก
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 17-06-2018 20:14:06
ติดตามนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-06-2018 01:56:11
ติดตามนะคะ เริ่มเรื่องได้น่ารักจังโดยเฉพาะคุณลูกค้า 55 กำลังหานิยายสบายๆอ่านเลยค่ะ
หลงไปอ่านนิยายปวดตับมานอยไปหลายวัน ต้องหาเรื่องสดใสชิวๆมาล้างความจำหน่อย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทนำ [15/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-06-2018 15:18:53
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 09-07-2018 05:44:06



บทที่ 1




   [03:49]


   รุ่งสางกำลังมาเยือนในอีกไม่ถึงสองชั่วโมง ทว่าภายในห้องพักบนคอนโดหรูของนักเขียนนิยายชื่อดังกลับยังมีเสียงพรมนิ้วบนคีย์บอร์ดรัวเร็วแข่งกับเสียงเข็มวินาทีไม่หยุดยั้ง ราวกับกลัวว่าหากหยุดพักสายตาแค่เดี๋ยวเดียว เขาจะไล่ตามเข็มวินาทีไม่ทัน


   กวี นั่งเอนหลังกับเบาะนุ่มนิ่มที่ถูกจัดตำแหน่งไว้อย่างดี สองขาเหยียดยาวสอดเข้าไปใต้โต๊ะญี่ปุ่นสูงพอดีตัว ดวงตาแดงก่ำใต้แว่นทรงกลมจ้องมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ไม่กระพริบ ริมปีปากอิ่มขยับพึมพำบางประโยคออกมาแทบไม่มีเสียง สมองคิดบทสนทนาและบทบรรยายให้สอดคล้องกับพล็อตอย่างละเอียดที่วางเอาไว้ก่อนหน้า โดยพยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้สติแตกจนพาให้เนื้อเรื่องมหากาพย์ไหลออกทะเล


   เขาจมดิ่งลงไปในเรื่องราวของผู้กล้าและจอมมารทั้งเจ็ด และรู้สึกอินกับฉากต่อสู้ของเรื่องจนเหมือนกำลังเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เสียเอง กระทั่งผ่านจุดพีคของตอนไปแล้ว จมูกรั้นจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจและปล่อยไหล่ตั้งตรงให้ลู่ลงอย่างผ่อนคลาย


จากนั้นจึงพาให้จังหวะของบทบรรยายไปหยุดลงที่ช่วงสุดท้ายของตอน เหมือนเครื่องบินค่อยๆ แลนดิ้งลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ
   

ครั้นเคาะเส้นปิดตอนจบจนเขียนบทสนทนาคุยกับคนอ่านตอนท้าย และไม่ลืมกดเซฟเสร็จเรียบร้อย กวีก็ทิ้งตัวลงกับเบาะนิ่มๆ ที่ใช้พยุงหลัง ก่อนผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง และส่งเสียงออกไปอย่างอ่อนแรง
   

“…เสร็จสักที”
   


หลังจากเค้นพลังกายและพลังสมองเขียนงานหามรุ่งหามค่ำมาสามวันติด ชายหนุ่มก็สามารถหายใจหายคออย่างโล่งอกไปได้อีกสองสามวันก่อนวงจรนรกจะวนกลับมาอีกครั้ง
   

ตอนนี้กวีทำงานหลักเป็นนักเขียนนิยายรายปักษ์ให้กับเว็บไซด์นิยายออนไลน์ชื่อดังเว็บไซด์หนึ่ง วงจรการทำงานของเขาจะเริ่มค่อยเป็นค่อยไปในอาทิตย์แรก แต่จะมาปั่นไฟแล่บในช่วงอาทิตย์หลัง


ความจริงก่อนหน้านี้กวีจะเขียนนิยายจนจบก่อนจึงเอามาทยอยลงเว็บไซด์สาธารณะให้คนได้อ่าน แต่หลังจากที่ทำงานกับทางเว็บไซด์ เขาก็เริ่มเขียนเรื่องยาวหลายภาคต่อ ดังนั้นมันจึงต้องเขียนไปลงไป ช่วงไหนที่ไม่มีงานเขียนอื่นๆ มาแทรกเขาก็จะมีสต็อกต้นฉบับไว้บ้าง แต่สักพักก็จะมีงานอื่นๆ มาช่วยลดทอนเวลาของต้นฉบับรายปักษ์เรื่องนี้ทุกที
   

ครืด ครืด ครืด~
   

เอนหลังได้ไม่นาน กวีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอยู่ไม่ไกลจากที่มือเอื้อมถึง เขาจึงคว้าเอาเครื่องมือสื่อสารนั่นมาถือไว้ และรับสายโดยไม่ต้องมองว่าคนปลายสายคือผู้ใด
   

[ไอ้ก้อน!]
   

ทันทีที่กดรับ เสียงของบก.ที่ดูแลต้นฉบับให้กวีก็แผดดังลั่น จนนักเขียนหนุ่มต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างเพราะกลัวหูดับไปเสียก่อน


“ครับพี่เจน” กวีตอบเนือยๆ


[ไม่ต้องมาทำเสียงเฉื่อยเลยนะ ทำไมเพิ่งรับสาย] เธอดุเขาคำหนึ่ง


“ผมก็รีบปั่นต้นฉบับอยู่ไงครับ พี่ก็รู้นี่นา”


ทุกครั้งที่กวีเขียนงาน เขาจะตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยอัตโนมัติ ทั้งที่โทรศัพท์หรือช่องทางติดต่อทางออนไลน์ก็ยังเปิดรับปรกติ ทว่านักเขียนหนุ่มจะไม่ตอบกลับมนุษย์หน้าไหนที่พยายามติดต่อเข้ามาเลย ซึ่งบก.ประจำตัวอย่างเจนก็รู้เรื่องนี้ดี ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งตั้งแต่กวีเริ่มเขียนนิยายรายสัปดาห์ให้กับทางเว็บไซด์


เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ พยายามปรับอารมณ์ให้สงบเพื่อรับมือกับนักเขียนสุดเฉื่อยของตัวเอง


[งานเสร็จหรือยัง] เจนเลิกบ่นแล้วพุ่งเข้าจู่โจมเป้าหมายทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
   

“เสร็จแล้วครับ ร้อนๆ เลย” กวีตอบคำที่คิดว่าเจนอยากได้ยินให้เธอชื่นใจ
   

[เสร็จแล้วก็ส่งมาเร็วเข้า จะรอให้ใครมาตัดริบบิ้นล่ะ]
   

ได้ยินเสียงของบก.ประจำตัวผ่อนคลายลง ชายหนุ่มก็อดหยอกไม่ได้


“ผมรอพี่ทวงไง”


[แหม~ กับเรื่องนี้ไม่ต้องทำตัวสม่ำเสมอทุกอาทิตย์ก็ได้ค่ะคุณก้อน เดี๋ยวก็ทำต้นฉบับไม่ทันกันพอดี อาทิตย์นี้ส่งช้าอีกแล้วนะ ถ้าต้องแก้เยอะจะทำไงฮึ ไม่ให้พี่ทวงสักอาทิตย์จะกินข้าวไม่อร่อยหรือไง]


“ไม่ได้พี่ เดี๋ยวหลุดคอนเซ็ปต์”


[แกนี่จริงๆ เล้ย] เธอว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะเร่งอีกครั้ง [เอ้า! เร็วเข้า ส่งมาสักที คนจะได้ไปหลับไปนอนบ้าง]
   

“ครับๆ รอแป๊บหนึ่ง”
   

กวีรับปาก ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมาจากกองเบาะนุ่มอย่างเกียจคร้าน เขากดส่งงานให้บก.ทางอีเมล์ รอครู่เดียวเธอก็ได้รับ


   [โอเค พี่ได้ไฟล์แล้ว]
   

“งั้นผมไปนอนแล้วนะครับ ตาจะปิดอยู่แล้ว”
   

[อืมๆ เดี๋ยวมีปัญหาอะไรพี่จะติดต่อไป บ่ายๆ ตื่นมารับโทรศัพท์ด้วยนะ อย่าให้ต้องไปหาถึงบ้านเข้าใจไหม]
   

“ครับๆ จะพยายาม แต่ถ้าผมไม่ตื่น ผมฝากพี่ซื้อหมูหยองมาให้ด้วยได้ไหม อยากกินข้าวต้มกุ๊ย”
   

[เดี๋ยวเถอะไอ้ก้อน! มีขาก็ลงไปซื้อเองสิ เลิกหมกอยู่แต่ในห้องได้แล้ว]
   

“โอเคๆ งั้นผมวางละนะ ง่วง~”
   

[อื้ม ไปนอนเถอะ]


เจนสั่งไว้แค่นั้น แล้วเธอก็วางสายไป แต่กวีจับได้ว่าตรงท้ายประโยคนั้นทอดเสียงอ่อนลง นั่นแสดงให้เห็นว่าเจนคงปรานีเขาอยู่บ้างหลังจากใช้งานหนักมาทั้งอาทิตย์
   

จากนั้นกวีก็ปิดคอมพิวเตอร์ ยกโต๊ะญี่ปุ่นออกไปให้พ้นตัวแบบส่งๆ ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเรียบร้อย ล้มตัวลงนอนบนกองเบาะและหมอนตรงนั้น พร้อมกับคว้าผ้าห่มขนนุ่มมาห่มเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนหลับไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกปิดสวิตซ์
   










   ติ้ง!


   กวีสะดุ้งตื่นเพราะเผลองีบหลับคาโต๊ะอาหารเมื่อได้ยินเสียงไมโครเวฟร้องเตือนตอนหมุนรอบครบ 30 วินาที เขาลุกจากเก้าอี้อย่างเกียจคร้านเพื่อหยิบนมจืดอุ่นๆ ออกมาเทใส่กาโนล่าก้นห่อ จากนั้นจึงเริ่มกินมื้อเช้าหกโมงครึ่ง


   ถูกแล้ว เวลานี้เพิ่งจะหกโมงครึ่ง…


   นั่นเท่ากับว่าชายหนุ่มเพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ!


   แต่แม้กวีจะง่วงเพราะอดนอนจนตาลึกโหลเพียงใด เขาก็ไม่อาจทนนอนได้จนถึงบ่ายเหมือนที่บอกบก.เจน เพราะท้องเจ้ากรรมดันร้องประท้วงไม่หยุด


   สุดท้ายความง่วงก็พ่ายให้ความหิว ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องลุกมาอุ่นนมกินกับกาโนล่าแบบนี้


   ครั้นจัดการมื้อเช้าเสร็จ เขาก็ทิ้งถ้วยไว้ในอ่างล้างจานแบบส่งๆ ก่อนกลับเข้าห้องนอนที่ไม่ได้นอนมาหลายคืน เพราะอาศัยงีบหลับในห้องทำงานแทน


   เขาเปิดเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิต่ำกว่ามาตรฐาน จากนั้นจึงแทรกตัวลงไปในกองหมอนนิ่มๆ บนเตียงแล้วห่มผ้า


กวีเป็นคนติดหมอนกับผ้านิ่มๆ มาก เขาชอบให้ร่างกายมีอะไรมารองรับทุกด้านเวลานอน เพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า แต่เนื่องจากรอบตัวมีผ้าห่มกับหมอนมากเกินไปทำให้ต้องปรับแอร์เย็นๆ จะได้ไม่ร้อนและสามารถนอนได้นานๆ
   

ซึ่งนั่นเป็นความชอบส่วนตัวที่ใครก็ตามที่มาค้างด้วยไม่เข้าใจ
   

พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนอีกครั้ง ทว่าก่อนมันจะหย่อนจนปิดสนิท ชายหนุ่มก็บังเอิญนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขาจะละเลยไม่ได้ ทำให้กวีต้องเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวมพร้อมกับโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมากดเข้าแอปพลิเคชันหนึ่ง
   

พี่รถกับข้าว
   

แอปพลิเคชันนี้ เป็นแอปพลิเคชันสำหรับแม่บ้านยุคใหม่ แม่บ้านที่ไม่มีเวลาพอจะออกไปจ่ายตลาดด้วยตนเอง โดยทางร้านจะมีข้าวของให้เลือกซื้อหลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องปรุงรส ไปจนถึงอาหารสด ซ้ำยังมีบริการส่งอีกด้วย
   

กวีเป็นคนทำงานที่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะเบื่อกับสภาพอากาศและการจราจร ซ้ำชายหนุ่มยังอาศัยอยู่คนเดียว ดังนั้นพอเจอเข้ากับตัวช่วยที่ทำให้ไม่ต้องนั่งรถไปจ่ายตลาด ชายหนุ่มก็กดโหลดแอปฯ และสมัครสมาชิกเพื่อลองใช้บริการทันที
   

ซึ่งร้านพี่รถกับข้าวก็ไม่ทำให้กวีต้องผิดหวัง
   

หลังจากทดลองสั่งมาครั้งหนึ่ง กวีก็ได้รับวัตถุดิบทำอาหารคุณภาพดี โดยที่ไม่ต้องออกไปเลือกซื้อเองให้เหนื่อย แถมยังมีเวลาปั่นต้นฉบับมากขึ้นเวลาเร่งรีบ


ทุกวันนี้พี่รถกับข้าวจึงเป็นแอปพลิเคชันที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของกวีไปแล้ว


ชายหนุ่มกดเลือกรายการอาหารที่คิดว่าจะทำตุนไว้ในสามวันนี้ กับพวกเครื่องปรุง นม ซีเรียล และขนมกระจุกกระจิกเล็กน้อยก่อนกดสั่งและจ่ายเงินผ่านบัตรเรียบร้อย เพราะเขาไม่ค่อยพกเงินสด


เมื่อทุกขั้นตอนเสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็ถอดแว่นเก็บแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง


คราวนี้ก็นอนได้อย่างสบายใจเสียที...
   

สบายใจกับผีน่ะสิ!
   

ยังหลับไปไม่ถึงสี่ชั่วโมง บก.คนดีของกวีก็โทรเข้ามาหา ก่อนเวลาที่เธอบอกเขาไว้ตั้งสามชั่วโมง!
   

กวีเกือบหลุดเสียงหงุดหงิดใส่เธอเสียแล้ว หากไม่ได้ยินข่าวดีที่เธอบอกล่ะก็...
   

เหตุที่เจนโทรมาก่อนกำหนด เพราะเธออยากแจ้งข่าวว่ารวมเรื่องสั้นที่เขาเขียนเมื่อเดือนที่แล้วและส่งไปให้พิจารณากำลังจะได้รับการตีพิมพ์ และรูปเล่มจะออกพร้อมการเปิดตัวสำนักพิมพ์ของทางเว็บไซด์
   

แต่เดิมเว็บไซด์ที่เขาลงนิยายออนไลน์จะมีแต่การขายงานเขียนให้ทางอ่านทางออนไลน์อย่างเดียว โดยมีระบบเหรียญให้คนอ่านซื้อเพื่อจ่ายตอนอ่านนิยายที่ต้องการ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางเว็บไซด์มีการทำหนังสือแบบรูปเล่มเพื่อจำหน่ายในกรณีพิเศษ เพราะนิยายเรื่องที่ว่าค่อนข้างเป็นที่สนใจมาก ซึ่งกระแสตอบรับก็ดีมาก จึงทำให้ทางผู้บริหารของเว็บไซด์มีโครงการเปิดตัวสำนักพิมพ์ เพื่อพิมพ์นิยายในเว็บไซด์ของตัวเอง
   

[เดี๋ยววันนี้พี่จะเอาสัญญาเข้าไปให้เราดูรายละเอียดก่อน หลังจากสัญญาเรียบร้อยเราค่อยคุยกันเรื่องรูปเล่มและการPR]
   

“PRหรือครับ” กวีขมวดคิ้ว “ปรกติก็โฆษณาในเว็บอยู่แล้วนี่ครับ”
   

[นั่นมันนิยายลงออนไลน์ แต่คราวนี้เห็นนายบอกว่าจะให้นักเขียนแจกลายเซ็นด้วย]
   

“แจกลายเซ็นเนี่ยนะพี่ ผมไม่ไปหรอกครับ”
   

[เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ นายเขาอยากให้เราดูเงื่อนไขก่อนนะ]
   

“แต่ผมไม่ชอบเจอคนเยอะๆ พี่ก็รู้”
   

กวีเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นมาตั้งแต่สมัยเรียน ที่ไม่ทำ ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือกลัวผู้คน แต่เพราะกวีขี้เกียจ


กิจกรรมที่ชายหนุ่มชอบ คือกิจกรรมที่ไม่ต้องออกแรงมาก ทำคนเดียวเงียบๆ ได้ เช่น การอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือดูการ์ตูนอยู่ที่บ้านเงียบๆ เพราะมันไม่ทำให้เขาเหนื่อย


ทว่าการเก็บตัวอยู่คนเดียวนานๆ ทำให้กวีไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเองอัธยาศัยดีพอตัว แต่เวลาที่ไปสังสรรค์พบปะกับเพื่อนร่วมรุ่นนานๆ ครั้ง หรือไปงานเลี้ยงสิ้นปีของทางเว็บไซด์ ชายหนุ่มกลับคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เหมือนกำลังคุยกันคนละภาษาอย่างไรอย่างนั้น


กวีจึงเริ่มขยาด และทำตัวไม่ถูกเวลาพบเจอคนมากๆ
   

[แต่นี่คนอ่านนะ ไม่รู้หรือไงว่าพวกเขาอยากเจอน้องวีจะตายไป]
   

ชายหนุ่มนิ่งไปเมื่อได้ยิน หากเรื่องนี้เป็นความต้องการของคนอ่าน เขาคงทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งถ้าบก.เจนกลับมาเรียกชื่อจริงของเขา แทนชื่อย่อๆ จากนามปากกาแล้วล่ะก็...


กวีจะรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธเธอได้แล้ว
   

“เอาไว้เราคุยเรื่องสัญญาให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกันครับ” กวีบอกอ้อมแอ้ม ไม่ได้ค้านอะไรอีก เจนจึงตอบรับเสียงหวาน
   

[โอเค เดี๋ยวเย็นนี้พี่เอาสัญญาเข้าไปให้ดูนะคะน้องวี]
   

“ไม่ต้องทำมาเรียกน้องกดดันเลยพี่เจน”
   

[ทำไมล่ะคะน้องวี]
   

“ผมขนลุก”
   

[ฮ่าๆๆๆ] เจนหัวเราะร่วน [โอเคๆ ฉันก็ขนลุกเหมือนกัน งั้นตกลงตามนี้นะ เย็นๆ เจอกันนะก้อน]
   

“ครับ”
   

[ว่าแต่แกจะยังเอาหมูหยองอยู่ไหม พี่จะได้ซื้อเข้าไปให้]
   

“ไม่ต้องแล้วครับ ผมสั่งซื้อแล้ว”
   

[นี่ร้านนั้นเขามีทุกอย่างเลยหรือไง]
   

“แทบทุกอย่างแหละครับ”
   

[แต่เรทราคาก็เอาเรื่องอยู่ไม่ใช่หรือ ฉันเห็นคนที่ออฟฟิศบ่นอยู่เพราะซื้อตามที่แกโฆษณาน่ะ]
   

“แต่ของเขามีคุณภาพนะพี่ ไม่ต้องไปหาซื้อเองด้วย เนื้อสัตว์กับผักก็เกรดดี ผมว่าก็สมราคาเค้านั่นแหละ”
   

[พอๆ ไม่ต้องมาอวยแล้ว ฉันไม่ซื้อตามหรอก เพราะถึงซื้อก็ไม่ได้ทำเองอยู่ดี ซื้อเค้ากินเหมือนเดิมง่ายกว่า]
   

“แต่กินอาหารแช่แข็งบ่อยๆ มันไม่มีประโยชน์นะ แถมไม่อร่อยด้วย”


เขาเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้กับทุกอย่าง ติดจะใช้ชีวิตแบบคนขี้เกียจขั้นสุดด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องกิน กวีก็อดเถียงไม่ได้ทุกที


[งั้นถ้าเป็นห่วงกัน เย็นนี้ทำกับข้าวเผื่อด้วยนะ จะทำข้าวต้มกุ๊ยใช่ไหม]


“ครับ”


[งั้นเดี๋ยวซื้อไชโป๊วผัดไข่ไปเผื่อ] เธอเอ่ยชื่อเมนูโปรดอีกอย่างของกวีออกมา ก่อนจะเอ่ยตัดบทเอาดื้อๆ [เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะก้อน คุณภาคเรียกอีกแล้ว ไม่รู้จะอะไรนักหนา]


“ครับๆ สู้ๆ นะพี่”


[อื้ม] ตอบรับเสร็จเจนก็วางสายไปทันที ดูท่าจะรีบมากจริงๆ


ตอนเริ่มคุยโทรศัพท์กับเจน กวียังรู้สึกงัวเงียไม่น้อย แต่พอได้ยินข่าวเรื่องงานเขียนจะได้ตีพิมพ์ ตาเขาก็สว่างขึ้นมาทันที จะให้กลับไปหลับตอนนี้ก็หลับไม่ลงเสียแล้ว เขาลุกขึ้นจากที่นอน ปัดกองหมอนและผ้าห่มไปรวมกันข้างหนึ่ง ไม่ลืมหยิบแว่นขึ้นสวมก่อนหย่อนขาลงจากเตียง


เขาหยิบกิ๊บติดผมที่เจนซื้อให้จากกล่องใส่หน้าห้องน้ำมาติดลวกๆ กันไม่ให้ผมเปียก ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ชายหนุ่มก็ออกมาที่ครัวเพื่อทำอาหารกลางวันง่ายๆ กิน


แต่กวีเพิ่งสังเกตว่าของสดในตู้ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ไข่ หรือต้นหอมผักชีก็ไม่มี เขาเหลือบมองนาฬิกา มันบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้ว


อีกเดี๋ยวพี่รถกับข้าวคงมา


ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น เขาจึงหันไปหุงข้าวเอาไว้รอ เพราะมีข้าวสารเหลืออยู่ กะว่าวันนี้มีเวลาว่าง จะทำอาหารใส่กล่องแช่ตู้เก็บไว้กินในวันถัดๆ ไปช่วงที่ไม่มีเวลาทำกับข้าว


นักเขียนหนุ่มวุ่นวายอยู่ในครัวพักหนึ่ง ก่อนเปิดสมุดจดสูตรอาหารที่เขียนเก็บไว้บนหลังตู้เย็นขึ้นดู เขาตั้งใจจะเลือกอาหารง่ายๆ สองสามอย่างที่สอดคล้องกับรายการของสดซึ่งสั่งไปเมื่อเช้ามาทำ ทว่ายังไม่ทันเลือกก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเสียก่อน


“สวัสดีครับ” เพราะเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ กวีจึงทักทายด้วยและน้ำเสียงคำสุภาพ


[สวัสดีครับ คุณกวีใช่ไหมครับ]


“ครับ” กวีตอบรับอีกฝ่ายที่ทำเสียงสุภาพไม่แพ้เขา


[ผมโทรมาจากร้านพี่รถกับข้าวนะครับ พอดีทางร้านมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย เราจึงจะแจ้งให้ทราบว่าวันนี้สินค้าที่สั่งอาจไปถึงล่าช้ากว่าที่แจ้งในทีแรก ไม่ทราบว่าคุณกวียังต้องการจะสั่งสินค้าอยู่ไหมครับ หรือจะยกเลิกออเดอร์ก่อน]


“เอ่อ…ผมไม่ยกเลิกครับ แต่ทางร้านจะมาส่งได้ประมาณกี่โมงครับ”


[จากคิวของคุณกวี น่าจะเป็นช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามครับ ไม่ทราบจะสะดวกไหมครับ]


“สะดวกครับ ผมอยู่บ้านทั้งวัน”


[โอเคครับ ทางร้านต้องขอโทษด้วยนะครับที่ล่าช้า แต่เราจะรักษาคุณภาพอาหารอย่างดีจนกว่าจะถึงมือคุณลูกค้า ขอบคุณที่ใช้บริการครับ]


นักเขียนหนุ่มคุยกับพนักงานอีกเล็กน้อยก่อนกดวางสาย แล้วไปเลือกเมนูที่จะทำอีกหน ตอนนี้เขาหิวนิดหน่อย แต่ยังพอทนได้ กวีจึงหันไปหาอะไรทำเพลินๆ


กระทั่งผ่านไปหลังจากนั้นเกือบสองช่วงโมง...


“เมื่อไหร่พี่รถกับข้าวจะมานะ” ชายหนุ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง ขณะที่เดินวนอยู่ในครัวเพื่อหาอะไรประทังความหิว


นี่นอกจากอาหารสดจะหมดเกลี้ยงแล้ว ทั้งนม ซีเรียล กาโนล่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือแม้แต่ผงโรยข้าวของญี่ปุ่นที่เขามีติดบ้านเสมอก็ยังหมด


อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้!


กวีคิดพลางเดินงุ่นง่านไปที่หม้อหุงข้าว


ข้าวสุกรอกับข้าวเป็นชั่วโมงแล้ว แต่พี่รถกับข้าวก็ยังไม่มา กวีหิวจนแสบไส้ไปหมด เพราะตั้งแต่เช้าเขากินไปแค่มื้อเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นแค่อาหารรองท้อง


ถ้าเรื่องอื่นกวีคงพอทนได้ แต่พอเป็นเรื่องกินเขาก็ชักอยากจะร้องไห้ขึ้นมา


ทำไมมันหิวอย่างนี้!!


ชายหนุ่มกรีดร้องในใจ และมองนาฬิกาอย่างสิ้นหวัง เขาคิดจะโทรสั่งอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ มากินประทังความหิว แต่มาคิดได้เอาตอนนี้ เขาก็ต้องนั่งรออีกอยู่ดี


กวีมองข้าวเม็ดสวยที่เรียงกันในหม้อสลับกับขวดน้ำปลาที่วางอยู่ใกล้ๆ ระหว่างอาหารอร่อยที่ต้องรอ กับอาหารประทังชีวิตกันหิวตายแบบไม่ต้องรอครู่เดียว นักเขียนหนุ่มก็ตัดสินใจ


เขาเปิดตู้เหนือหัวเอาถ้วยออกมาตักข้าว ก่อนจะหยิบน้ำปลาดีขึ้นเปิดฝาเหยาะ


“น่ากินจัง”


กวีเอ่ยออกมาอย่างเคลิบเคลิ้มทันทีที่ซอสสีจางหยดพรมลงบนข้าวขาว ฟิลเตอร์ของของหิวทำให้มองอะไรก็ดูน่ากินไปหมด จนไม่รู้ว่ากลิ่นข้าวหอมมะลิกับกลิ่นน้ำปลาหอมถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
   

ทว่าก่อนจะหยิบช้อนมาตักกิน เสียงกริ่งหน้าประตูห้องก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงท้องร้อง
   

ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~
   

เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นแค่จังหวะเดียว กวีก็วางช้อนกับถ้วยข้าวคลุกน้ำปลาในมือลง ก่อนจะรีบสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ประตูหน้า


ตึง!


กวีรีบจนเผลอเตะที่ใส่ร่มกลิ้งหลุนๆ หากมันก็ไม่อาจหยุดยั้งคนดีใจจนลิงโลดได้ นักเขียนหนุ่มเปิดประตูห้องดังผลัวะ ก่อนยื่นหน้าออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“มาแล้ว!~”


เขาเอ่ยเสียงสดใส ก่อนถลาออกจากห้องไปอย่างยินดี ลืมไปหมดสิ้นว่าก่อนเปิดประตูให้คนแปลกหน้า เขาควรส่องตาแมวดูก่อนว่าใครมา


พนักงานของร้านพี่รถกับข้าวคนนี้ไม่ใช่พนักงานคนเก่า ซ้ำยังแต่งตัวดีจนดูไม่เหมือนพนักงานส่งของ แต่กวีก็ไม่คิดสนใจ เพราะพอเขาเห็นตะกร้ากับข้าวของตัวเอง เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว


“ขอโทษที่ทำให้รอครับ พอดีเกิดเหตุขัดข้องกับพนักงานของเรานิดหน่อย ทางเรามี…” ยังไม่ทันที่พนักงานส่งคนใหม่พูดจบ กวีก็แทรกขึ้น


“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ถือ อย่างน้อยพี่รถกับข้าวก็เอาเสบียงมาส่งผมล่ะนะ ถ้าไม่มา ผมคงต้องกินข้าวคลุกน้ำปลาแน่ๆ”


คนหิวจนหน้ามืดบอกเรื่องน่าอายไปตามตรง


ไม่เพียงเท่านั้น นักเขียนหนุ่มยังเข้ามาคว้าหมับที่มือของพนักงานส่งซึ่งถือตะกร้าเอาไว้ ตั้งใจจะเอาตะกร้ากับข้าวของตัวเองไปถือ แต่พนักยังไม่ยอมปล่อยตะกร้าให้ กวีจึงรวบมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย
   

“เป็นหน้าที่ที่เราต้องส่งอยู่แล้วครับ ทางเรามีบัตรส่วนลด 25% แนบไปพร้อมกับใบเสร็จในตะกร้าให้คุณลูกค้าใช้เป็นส่วนลดซื้อของในครั้งถัดไป แทนคำขอโทษน่ะครับ”
   

“โอ๊ะ! จริงหรือครับ” คนฟังตาเป็นประกายก่อนดึงตะกร้ามาตรวจดู มือของพวกเขาจึงเลื่อนหลุดออกจากกัน “มีจริงด้วย! ขอบคุณนะครับ ไว้ผมจะใช้สั่งครั้งต่อไป--”
   

จ๊อก~~
   

ระหว่างที่กวีกำลังพูดไม่หยุด เสียงน้ำย่อยในกระเพาะของเขาก็ร้องเตือน แก้มย้วยๆ ที่ขยับไปขยับมาตอนพูดขึ้นสีแดงแปร๊ด ชายหนุ่มขยับแว่นพลางยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยแก้เก้อ
   

เพราะครานี้รู้สึกอายขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
   

“อีกสามวันเจอกันนะครับ”
   

พูดจบกวีก็ค่อยๆ กระดึ๊บถอยหลังเข้าไปในอาณาเขตของตัวเอง ก่อนปิดประตูห้องเขาเห็นพนักงานหน้าหล่อยืนยิ้มแหยๆ ท่าทางคงตกใจกับเสียงกระเพาะของเขาไม่น้อย
   

แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็คนมันหิวนี่นา!
   

กวีนึกแก้ตัวให้ตนเองในใจ ก่อนจะเลิกสนใจเรื่องน่าอายแล้วเอาตะกร้ากับข้าวเข้าไปในครัว
   

มื้ออาหารกันตายของกวีคือไข่ดาวสองฟองโปะข้าวสวยกับน้ำปลาที่เหยาะเอาไว้ก่อนหน้า หลังกินอิ่มจนท้องกลับมาป่องเหมือนเดิมแล้ว นักเขียนหนุ่มจึงเริ่มล้างจานและเก็บของที่สั่งซื้อมาเข้าที่
   

พอจัดของเสร็จกวีก็เริ่มทำอาหารที่ตั้งใจจะตุนเก็บไว้เป็นเสบียง
   

เขาทำอกไก่อบกับซอสบาบีคิว รวมทั้งอบผักต่างๆ อย่างพวกเบบี้แครอท กะหล่ำดาว บรอกโคลีอบในซอสเดียวกัน ปรุงรสง่ายๆ โรยพริกไทยกับออริกาโน่ เสร็จทุกขั้นตอนแล้วก็รอให้เย็นแล้วเก็บใส่กล่องเข้าตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินมื้อต่อๆ ไป


   แต่เย็นนี้อาหารของเขาจะพิเศษหน่อย เพราะเป็นอาหารที่อยากกินมาหลายวันตอนเขียนนิยาย ซ้ำยังมีบก.คนสวยมากินด้วย กวีจึงโชว์ฝีมือทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย
   

ชายหนุ่มเอาข้าวในหม้อมาต้มเป็นข้าวต้มกุ๊ย ระหว่างนั้นก็เริ่มทำผัดผักบุ้ง ทอดกุนเชียง และยำไข่ต้มเป็นอย่างสุดท้าย ถึงตอนนี้เขาก็หมดพลังพอดี
   

กวีทิ้งจานชามกองโตเอาไว้ในอ่างแล้วหนีไปอาบน้ำ อาบเสร็จก็เข้าไปนอนเปิดแอร์กลิ้งไปกลิ้งมาในห้องพร้อมกับเล่นทวิตเตอร์ไปด้วย
   

กวีตามข่าว ตามงานเขียนของเพื่อนนักเขียนไปเรื่อย ก่อนจะแจ้งข่าวกับคนอ่านว่าคืนพรุ่งนี้เขาจะลงนิยายตอนใหม่ ต่อจากนั้นชายหนุ่มก็อัพเดตชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ตามประสา
   

เขานึกถึงบัตรส่วนลดที่ได้มากับเหตุการณ์ในวันนี้ นักเขียนหนุ่มจึงถ่ายรูปลงทวิตเตอร์พร้อมกับแคปชั่น



   หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   วันนี้เพิ่งได้บัตรลดราคามาจาก #พี่รถกับข้าว
   ถึงจะส่งช้าแต่ให้อภัย เพราะบริการหลังจากขายเขาดีมากครับ
   อวยขนาดนี้ก็จ้างเป็นพรีเซนเตอร์เถอะ /ค่าตัวไม่แพง 555
   5:24 PM . 07 ก.ค.18



   พอกดส่งทวีตเสร็จก็เป็นจังหวะที่เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง กวีจึงเก็บมือถือลงก่อนออกไปต้อนรับบก.คนสนิท โดยไม่ทันเห็นว่าแอคเคาท์ร้านพี่รถกับข้าวกดปุ่มรูปหัวใจให้เขาเป็นคนแรก พร้อมกับตอบ



   พี่รถกับข้าว @Peerodkubkhao
   กำลังตอบกลับถึง @ROCK_01
ค่าตัวผมคงไม่มี แต่ถ้าส่งกับข้าวฟรีก็พอไหวครับ 555
   5:26 PM . 07 ก.ค.18






----------------------------------------------------------------------








มาต่อแล้วค่ะ
พาร์ทนี้เป็นของเจ้าก้อนที่จริงๆ ไม่ได้ชื่อก้อน 555
อาจจะเรื่อยๆ เปื่อยๆ นิดนึง แต่ไม่ดราม่านะคะ นี่แต่งเพราะต้องการจะฮีลหัวใจตัวเองค่ะ 555
ความตั้งใจคืออยากดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ตัดสลับระหว่างสองฝั่งค่ะ
ดังนั้นตอนหน้าจะเป็นพาร์ทของพี่ลมนะคะ
จะรีบมาต่อเร็วๆ ฝากเอ็นดูเจ้าหมูก้อนของฝนด้วยน้า ^^

เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2018 08:48:43
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 09-07-2018 13:42:49
น่ารักมากเลยค่ะ เอ็นดูน้องก้อนนนนน

หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 09-07-2018 14:23:50
อยากลองสั่่งพี่รถกับข้าวบ้าง แต่ทำไม่เป็น น้องก้อนพอจะทำเพื่อบ้างได้มั้ย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-07-2018 14:52:20
แอฟ พี่รถกับข้าว น่าใช้มากเลย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: praewypn ที่ 09-07-2018 15:05:26
เอ็นดูค่า งืออ  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 09-07-2018 15:27:30
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 09-07-2018 17:54:03
อยากใช้บริการพี่รถกับข้าวบ้างจังเลยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-07-2018 20:03:19
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-07-2018 21:43:06
ชื่อร้านน่ารัก พี่รถกับข้าวว หิวจังง  :ling1:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2018 00:07:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mookpichh ที่ 10-07-2018 16:34:14
น่ารัก น่ารัก น่ารักกกก มีแต่คำว่าน่ารักเต็มไปหมด :-[
ชื่อร้านตัลล้าคค อยากให้เจอกันอีกกก ฮืออ ปริ่ม :hao5:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 10-07-2018 20:14:03
มันมีแอปแบบนี้จริงๆไหมนะ รู้สึกว่าตอบโจทย์มาก ฮ่าๆๆๆๆ วิถีหมีจำศีล
เวลาสั่งอาหารเดลิเวอรี่ก็ชอบคิดเหมือนกันนะคะว่าจะมีคนส่งอาหารคนไหนจีบลูกค้าไหม
แบบเนียนๆ เบอร์โทรก็มีอ่ะ ไลน์ก็คงหาไม่ยาก
———————
ไปหาแอปมาแล้วววว ฮือออ ไปอยู่ไหนมานะทำไมไม่รู้ว่ามีแบบนี้  :hao7:
ขอบคุณเรื่องนี้นะคะที่ชี้ทางสว่าง ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 1 [09/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-07-2018 13:23:23
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 11-07-2018 18:07:48



บทที่ 2




   หลังจากเคลียร์ปัญหาติดขัดในการส่งสินค้าเรียบร้อย วายุก็กลับมาดูร้านพร้อมกับพาคนมาเสริมกำลังทัพอีกแรง เขาอยู่ดูแลร้านจนถึงสี่ทุ่มร้านพี่รถกับข้าวก็ได้เวลาปิดทำการ


ชายหนุ่มอยู่รอจนพนักงานปิดหน้าร้าน ก่อนหันมาสั่งงานพวกกะดึกที่รอรับของเข้าห้องแช่เย็น พอเสร็จสรรพจึงกลับไปพักผ่อนบ้าง


ร้านค้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนย่านเศรษฐกิจใจกลางกรุง เป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้น ชั้นที่หนึ่งเป็นหน้าร้านเปิดให้บริการลูกค้า ด้านหลังมีห้องเย็นเอาไว้เก็บรักษาอาหารสด ชั้นสองเป็นโกดังเก็บสินค้าทั่วไป ชั้นสามเป็นออฟฟิศของพนักงานจัดการรายการสั่งซื้อทางออนไลน์ และเป็นที่ตั้งของห้องพักพนักงานกะดึกด้วย


ส่วนชั้นสี่กับด่านฟ้าเป็นที่พักของวายุ


เมื่อก่อนวายุอาศัยอยู่กับครอบครัวที่บ้านใหญ่ แต่พอเริ่มทำกิจการของตัวเอง เขาก็ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี้แทบจะถาวรเพราะสะดวกในการดูแลร้านมากกว่า


พี่รถกับข้าว เป็นร้านที่เขาคิดขึ้นเอง และดูแลบริหารงานเองกับมือ เพียงแต่เงินที่ใช้ลงทุนเป็นเงินกงสีของครอบครัว ดังนั้นชื่อหุ้นส่วนจึงมีพี่ชายสองคนกับผู้เป็นพ่อของเขารวมอยู่ด้วย


วายุเปิดร้านพี่รถกับข้าวมาได้ปีกว่าแล้ว กิจการอาจไม่ได้ทำกำไรหลายเท่าเหมือนกิจการส่งออกของที่บ้านใหญ่ แต่มันก็ไปได้ดีในระดับไม่ขาดทุน ยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีกระแสปากต่อปากในโซเชียลจะทำให้ทางร้านมีลูกค้ามากขึ้น ยอดเมมเบอร์และการสั่งจองก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย


หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้วชายหนุ่มก็มาจัดการกับบัญชียอดค่าใช้จ่ายรายวันของร้าน กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนอนไม่ได้ เพราะต้องเช็คกระแสทางโซเชียลเสียก่อน


พี่รถกับข้าวมีเพจเฟซบุ๊ก ไลน์และทวิตเตอร์ออฟฟิเชียลของตัวเอง นอกเหนือไปจากเว็บไซด์ที่เปิดให้สั่งซื้อสินค้า ตามปรกติวายุจะมีทีมแอดมินในการดูแลระบบและคอยตอบคำถามลูกค้าอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเวลาว่าง เขาก็มักจะเข้ามาตอบคำถามลูกค้าเองบ้างเหมือนกัน


เพราะนอกจากจะได้ตรวจสอบการทำงานของทีมแอดมินแล้ว เขายังคอยสอดส่องเสียงคอมเพลนและชื่นชมจากลูกค้าเพื่อนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาร้านต่อไป


ครั้นตรวจดูอะไรต่ออะไรเรียบร้อย ชายหนุ่มก็นึกถึงลูกค้าคนหนึ่งที่เขาเมนชั่นไปพูดคุยเมื่อช่วงเย็น...


   หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   วันนี้เพิ่งได้บัตรลดราคามาจาก #พี่รถกับข้าว
   ถึงจะส่งช้าแต่ให้อภัย เพราะบริการหลังจากขายเขาดีมากครับ
   อวยขนาดนี้ก็จ้างเป็นพรีเซนเตอร์เถอะ /ค่าตัวไม่แพง 555
   5:24 PM . 07 ก.ค.18


   พี่รถกับข้าว @Peerodkubkhao
   กำลังตอบกลับถึง @ROCK_01
ค่าตัวผมคงไม่มี แต่ถ้าส่งกับข้าวฟรีก็พอไหวครับ 555
   5:26 PM . 07 ก.ค.18


   กล่องเมนชั่นของพี่รถกับข้าวไร้การตอบกลับอย่างที่วายุคาดหวังให้เป็น เขาจึงกดเข้าไปในแอคเคาท์ของคนคนนั้นเพื่อดูการเคลื่อนไหว


   แล้วก็เป็นไปตามคาด ทวิตล่าสุดของเจ้าของแอคเคาท์นั้นคือทวิตที่เขาเมนชั่นไปหา เป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้าทวิตเตอร์อีกหลังจากเมื่อเย็น


   วายุเดินไปเอนหลังบนที่นอน มือก็เลื่อนย้อนดูทวิตของคุณหินก้อนสุดท้ายไปด้วย


   คนคนนี้เป็นนักเขียนชื่อดัง มีคนติดตามมากเกือบแสนคน ข้อความที่เขาทวิตส่วนใหญ่จึงมีคนสนใจมากพอสมควร ยิ่งถ้าขุดให้ลึกลงไปอีก เขาพบว่าคนคนนี้เคยทวิตถึงร้านพี่รถกับข้าวมาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งก็ชื่นชมจนเหมือนจะเป็นการโฆษณาให้กลายๆ ด้วย


   บางทีกระแสปากต่อปากที่เกิดขึ้นในระยะหลังอาจมีส่วนมาจากการรีวิวของคนคนนี้ด้วย


   วายุยิ้มอย่างพอใจที่การบริการของเขาซื้อใจคนมีชื่อเสียงได้ ทว่าในขณะที่เลื่อนดูทวิตย้อนหลังของคุณหินก้อนสุดท้ายไปเรื่อยๆ เจ้าของร้านหนุ่มก็ไปสะดุดที่ข้อความหนึ่ง



หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   #จะเล่าเรื่องงานเขียนตามจำนวนรีทวิต
   ก่อนจะเขียนนิยายแฟนตาซี ผมเคยเขียนนิยายรักมาก่อน
แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าท่า หลังจากนั้นมาก็เลยลองเปลี่ยนแนว
ไม่รู้ในนี้มีใครเคยอ่านเรื่อง Best place กันไหม
   23:14 PM . 21 พ.ค.18



Best place งั้นหรือ…วายุขมวดคิ้วแน่น


ถ้าถามถึงผลงานแฟนตาซีชื่อดังของคุณหินก้อนสุดท้ายแล้วล่ะก็ วายุยอมรับว่าไม่เคยรู้จักสักเรื่อง แต่พอเห็นชื่อนิยาย Best place จากที่กำลังง่วงๆ ตาเขาก็ตื่นทันที


เพราะนิยายเรื่องนั้นเป็นนิยายเรื่องโปรดของเขายังไงล่ะ!


หากให้เท้าความ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน…


ตอนที่วายุกำลังจะเดินทางไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา เพื่อนสนิทในกลุ่มได้ให้หนังสือเป็นของขวัญแก่เขาเล่มหนึ่ง


นิยายที่ว่าเล่าถึงชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งออกเดินทางเพื่อตามหาสถานที่ที่เป็น Best place ของตัวเอง โดยระหว่างการเดินทางเขาก็ได้พบกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง คนที่ทำให้เขาพบกับสถานที่แห่งนั้น


ที่ที่เป็น Best place ของเขา
   

วายุจำได้ว่าเขานำหนังสือเล่มนั้นติดตัวไปอเมริกาด้วย แต่ไม่เคยอ่านมันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขารู้สึกเหนื่อยกับการเรียนและการปรับตัวในการใช้ชีวิตจนคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ไทย ชายหนุ่มจึงค้นของดูต่างหน้าพวกนั้นออกมาดู


แล้วในที่สุดวายุก็ได้อ่านมัน


“ชีวิตของผมคือการเดินทาง”


“เพราะแบบนี้คุณถึงวางแผนจะออกเดินทางอีกครั้งหรือ”


“อืม” เขาพยักหน้าสั้นๆ ก่อนจะหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ครั้งนี้...คุณไปกับผมนะ”
   

วายุจำไดอะล็อกนั้นได้แม่ยำ เพราะมันเป็นท่อนที่เขาชอบที่สุด


นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ช่วยให้เพิ่มกำลังใจให้เขายามเหนื่อยล้า ทว่าหลังอ่านจนจบ วายุกลับลืมความรู้สึกแย่ๆ ที่สะสมมาตลอดราวปลิดทิ้ง
   

ต่อมาไม่นาน พอเว้นว่างจากการเรียนและงานพิเศษแล้ว วายุก็เริ่มออกเดินทางตามหา Best place บ้าง เพราะเขาอยากรู้ว่าที่แบบนั้นมันมีหน้าตาอย่างไร และมันมีอยู่จริงไหม


แม้ผ่านไปสักพักเขาจะเข้าใจว่ามันคือนามธรรมอย่างหนึ่ง แต่วายุในเวลานั้นกลับกลายเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปเสียแล้ว


ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่นิยายเรื่อง Best place จะกลายเป็นนิยายในความทรงจำที่ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจทุกครั้งที่นึกถึง น่าเสียดายที่เขาทำหนังสือเล่มนั้นหายระหว่างเดินทางไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเขาหินในโคโรราโด ซ้ำกลับมาไทยก็ยังหาซื้อไม่ได้เพราะมันเลิกพิมพ์ไปแล้ว วายุจึงไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนั้นอีก


นี่ลูกค้าของเราเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนั้นหรือ


แค่คิดชายหนุ่มก็อดยิ้มออกมาอย่างปลื้มปริ่มไม่ได้


ทว่าพอมานึกๆ ดู ถ้าอ่านจากทวิตเตอร์ที่นักเขียนทวิตเมื่อช่วงเย็น แปลว่าคุณหินก้อนสุดท้ายจะต้องเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ได้รับของวันนี้


และเขาก็ได้พบกับเจ้าตัวแล้วด้วย


ทว่ามันก็ยังไม่อาจระบุตัวได้อยู่ดี เพราะลูกค้าที่สั่งของวันนี้มีตั้งหลายคน


มีใครที่ดูท่าทางเหมือนนักเขียนบ้างไหมนะ


เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวพยายามนึกหน้าลูกค้าที่เขาพบให้ออกว่ามีใครบ้าง แต่ภาพในหัวกลับดูเลือนราง เขาจำทุกคนได้แค่คร่าวๆ เท่านั้น


ยกเว้นอยู่คนเดียวที่นึกแล้วก็จำได้ทันที นั่นคือผู้ชายแก้มป่องที่แต่งตัวสบายๆ คนนั้น


คุณลูกค้ากิ๊บสัปปะรด!


แค่นึกหน้า วายุก็จำเสียงท้องร้องกับสัมผัสจากมือนิ่มๆ ที่เข้ามาจับเพื่อยื้อตะกร้าไปจากเขาได้แม่นยำ เขาไม่รู้ว่าลูกค้าคนนั้นจะใช่นักเขียนในดวงใจหรือเปล่า


เขาไม่รู้ว่าการคาดเดาของตนเองจะถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าได้พบกันอีกสักสองสามครั้ง วายุคิดว่าบางทีเขาอาจจะจับสังเกตได้


แต่ถ้าพนักงานที่ลาจะกลับมาทำงานได้ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ไปส่งของให้คุณกิ๊บสัปปะรดอีก เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้อำนาจบริหารจัดการซิกแซ็กนิดหน่อย ให้ได้เป็นคนส่งของให้ลูกค้าคนนั้นด้วยตัวเอง


บ้าน่า...จะทำอย่างนั้นได้ยังไง


แค่เรื่องของนักเขียนคนเดียว เขายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้เจอตามงานหนังสือหรืออีเว้นท์ต่างๆ เวลานี้ที่ร้านมีงานให้ต้องทำอีกมาก มิหนำซ้ำมันคงไม่ถูกต้องด้วย


วายุเตือนตัวเอง ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วพบว่าเวลานี้ดึกมากแล้ว ฉะนั้นเขาสมควรเข้านอนได้เสียที


ทว่าก่อนเคลิ้มหลับไป ภาพรอยยิ้มกว้างกับเสียงสดใสที่บอกว่า “อีกสามวันเจอกันนะครับ” ก็แทรกเข้ามาในห้วงความคิด


เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวจึงต้องรีบสะบัดไล่ความคิดแปลกๆ ไปจากสมองแล้วก็หลับไปในที่สุด










1707
   

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเลขที่ห้องตรงหน้าอยู่นาน ก่อนเจ้าของดวงตาคู่นี้จะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปกดกริ่ง


ในที่สุดเขาก็ใช้อำนาจเจ้าของร้านพาตัวเองมาอยู่ที่นี่จนได้ แม้ว่าพนักงานส่งของจะกลับมาทำงานตามปรกติแล้วก็ตาม


แล้ววันก่อนใครกันนะที่คิดว่าจะไม่ทำอย่างนี้...วายุนึกตำหนิตัวเองในใจ


ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องแพ้ให้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง


ใช่แล้ว...วายุบอกตัวเองว่าที่อุตส่าห์ลงทุนเอาสินค้าของลูกค้าคนนี้มาส่งเอง ก็เพราะเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช่นักเขียนคนดังที่เขียนนิยายเรื่องโปรดของตัวเองหรือเปล่า ไม่ได้เกี่ยวกับอาการแปลกๆ ที่เอาแต่นึกถึงหน้าและเสียงร่าเริงเหมือนดีใจยามที่เห็นเขาของคุณลูกค้าบ่อยๆ เลยสักนิด


ครั้นกดกริ่งได้ไม่นาน ประตูตรงหน้าก็เปิดออก โดยที่ครานี้ไม่มีเสียงตึงตังดังมาจากข้างใน


“พี่รถกับข้าวมาแล้ว!~”


ทันทีที่สบตากัน อีกฝ่ายก็ส่งเสียงสดใสพร้อมแนบรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์พุ่งเข้ากระแทกใจวายุเข้าอย่างจัง จนชายหนุ่มอดยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้


วันนี้คุณลูกค้าของวายุไม่ได้ติดกิ๊บรูปสัปปะรดแล้ว แต่ใส่ที่คาดผมแทน ทั้งหน้าตาก็ดูแจ่มใสกว่าที่เจอกันครั้งแรกมาก ทว่าเสื้อผ้าของเขายังเป็นเสื้อผ้าย้วยๆ ท่าทางเนื้อสัมผัสยามสวมใส่คงจะนิ่มสบายไม่น้อย


“วันนี้มาเร็วนะครับ” คุณลูกค้าว่า


“ระบบขนส่งของเราเข้าที่แล้วน่ะครับ ลำดับคิวการส่งจึงรันตามปรกติ” เจ้าของร้านที่จำแลงกายเป็นพนักงานส่งกล่าว


“ดีจัง” อีกฝ่ายตอบรับอย่างนั้นก่อนจ้องมาที่ตะกร้ากับข้าวตาเป็นประกาย วายุจึงยื่นตะกร้าอาหารนั้นให้เจ้าตัวไป


วันนี้มือของพวกเขาไม่ได้แตะกันเหมือนวันก่อน แต่วายุก็ไม่ได้คาดหวังให้มันเป็นเช่นนั้นหรอกนะ เพียงแต่ที่เขาเผลอจ้องลูกค้าของตัวเองนานกว่าปรกติ ก็เพราะกำลังสังเกตว่าอีกฝ่ายจะใช่นักเขียนคนดังจริงๆ หรือเปล่าเท่านั้น


และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องจับผิด


“เอ่อ...พี่รถกับข้าวมีอะไรหรือเปล่าครับ”


”ป่ะ...เปล่าครับ” คนที่ถูกเรียกว่าพี่รถกับข้าวปฏิเสธ ก่อนจะแสร้งทำเป็นเอ่ยถึงเรื่องอื่นกลบเกลื่อน “คือทางร้านแนบใบเสร็จการชำระลงในตะกร้าเรียบร้อยแล้วนะครับ และตอนนี้ร้านเรามีสะสมแต้มเพื่อของสะสมพรีเมี่ยมในทุกๆ ยอดการสั่งซื้อครบ 100 บาท โบรชัวร์ของพรีเมี่ยมก็แนบอยู่กับใบเสร็จด้วยครับ”


“อ้อ...มีโปรใหม่แบบนี้ด้วยหรือ” ดวงตากลมใสคู่นั้นมองตามที่วายุบอก พอเห็นโบรชัวร์ก็ยิ้มให้เขาอีกครั้ง “เห็นแล้วครับ ขอบคุณนะ”


”ทางเราต่างหากที่ต้องขอบคุณลูกค้าที่ใช้บริการครับ”


“อื้ม เอาไว้ผมจะรีวิวให้อีกนะครับ”


“รีวิว?”


“จะเรียกรีวิวไม่รู้ถูกไหม แค่ติดแท็กในทวิตเตอร์น่ะ” คนอัธยาศัยดีบอกแบบนั้น ก่อนจะตัดบทโดยที่วายุไม่ทันได้ถามต่อ “งั้นผมเข้าบ้านก่อน อีกสามวันเจอกันครับ”


พูดจบอีกฝ่ายก็หิ้วตะกร้าแล้วหายลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้วายุยืนอยู่กับข้อมูลใหม่ที่เขาอยากรู้นักอยากรู้หนา


สรุปคนที่ติดแท็กในทวิตเตอร์ก็คือลูกค้าคนนี้จริงๆ สินะ และนั่นก็แสดงว่าเขาคือนักเขียนนามปากกาหินก้อนสุดท้ายด้วย


เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มออกมาอย่างสมใจ ที่ได้รู้เรื่องที่อยากรู้แล้ว


ไม่เสียแรงที่เอาของมาส่งให้ด้วยตนเอง...เขาคิดพลางกลับลงมาจากคอนโด


กระทั่งเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่า ในเมื่อเขารู้สิ่งที่อยากรู้แล้ว ต่อไปเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาส่งของด้วยตนเองอีกต่อไปแล้ว


“อีกสามวันเจอกันครับ”


แม้เมื่อกี้คุณลูกค้าบอกแบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะมัวทำตัวเป็นเด็กๆ เล่นขายของเช่นนี้ ดังนั้นอีกสามวันข้างหน้าเขาตั้งปณิธานแล้วว่าต้องปล่อยให้การส่งสินค้าเป็นไปตามระบบเดิม จะไม่มีการใช้อำนาจของเจ้าของร้านในทางมิชอบแบบนี้อีก


พอย้ำกับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว วายุก็ขับรถกลับร้านทันที










ทว่า...


“พี่รถกับข้าวมาแล้ว!”


หรือจะเป็น...


“มาแล้วๆ”


และ


“วันนี้พี่รถกับข้าวมาเร็วอีกแล้วนะครับ!”


ไม่ว่าทางคุณลูกค้าคนพิเศษจะทักทายด้วยประโยคไหน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า วายุยังคงทำงานนอกเหนือหน้าที่เจ้าของร้านเหมือนเดิม


มิหนำซ้ำยังทำมากว่าสองอาทิตย์แล้วด้วย!


ที่เคยบอกตัวเองว่าไม่ควรทำแบบนี้ ที่คิดถึงความยุ่งยากและจรรยาบรรณของผู้ประกอบการ ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็พ่ายแพ้ให้กับประโยค...


“อีกสามวันเจอกันนะครับ”


และรอยยิ้มพิมพ์ใจของคุณลูกค้าคนพิเศษทุกที


ให้ตายเถอะ! ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้กันนะไอ้ลม


เจ้าของร้านหนุ่มสบถและก่นด่าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับไปทำอีหรอบเดิม เหมือนเช่นเวลานี้...


1707


วายุกลับมายืนอยู่หน้าห้องห้องเดิมอีกครั้ง ในมือถือตะกร้าวัตถุดิบในการทำอาหารไว้มั่น เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ปัดความคิดว้าวุ่นออกไปจากสมอง ก่อนกดกริ่งเรียกคุณลูกค้า


ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~


วายุขมวดคิ้วมุ่น เพราะยืนรออยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องจะออกมาเปิดพร้อมทักทายด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ เช่นทุกที เขาจึงจำใจกดกริ่งเรียกเป็นครั้งที่สอง


ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~


คราวนี้ไม่ต้องรอนานอย่างตอนแรก บานประตูก็ปลดล็อคและค่อยๆ แง้มออกมา


“มาแล้วหรือครับ พี่รถกับข้าว...”


เสียงอ่อนระโหยโรยแรงบวกกับขอบตาคล้ำๆ กับสภาพไม่สู้ดีของคุณลูกค้าทำให้วายุถึงกับยิ้มไม่ออก


“ครับ...พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”


อีกฝ่ายเดินเข้ามารับตะกร้าอาหารไปจากเข้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเหมือนทุกที ร่างกายโอนไปทางซ้ายที เอียงมาทางขวาที ดวงตาล่องลอยๆ ราวกับซากศพไร้วิญญาณ


“อีกสามวัน...” คุณลูกค้าพูดแค่นั้น ก่อนนิ่งงันไป


“คุณ...ไหวไหมครับ” คนตัวสูงกว่าถามด้วยความเป็นห่วง


“ไหวครับ...หวะ”
   

ตึง!!


เสียงตะกร้าอาหารหลุดมือกระแทกพื้นดังตึง ข้าวของข้างในหล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมด มันฝรั่งลูกงามกลิ้งหลุนๆ ไปไกลจนเกือบถึงหน้าลิฟต์ ส่วนเจ้าของตะกร้ายังไม่ทันล้มหน้าจูบพื้น ร่างทั้งร่างก็ถูกพนักงานส่งสิ้นค้าจากร้านพี่รถกับข้าวรับเอาไว้ทั้งตัว


“คุณ!”


วายุเขย่าร่างนุ่มนิ่มอย่างร้อนใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัวเลย เขามองข้าวของเกลื่อนพื้น ก่อนจะก้มมองเจ้าของแก้มกลมที่วางแหมะอยู่บนอกอีกครั้ง


อีกฝ่ายเป็นลม และต้องปฐมพยาบาลโดยด่วน


จะปล่อยคุณลูกค้าไว้แบบนี้ไม่ได้


ในสมองคิดประมวลผลฉับไว และแล้วเจ้าของร้านหนุ่มก็ตัดสินใจอุ้มร่างหมดสติของคุณลูกค้าขึ้น ก่อนพาเข้าไปในห้อง 1707







<><><><><><><><><><><><><><><><><><>





กับข้าวมาแล้วครับกับข้าวววว

เรื่องนี้ฝนจะเขียนสลับกันระหว่างสองคน ผลัดไปคนละตอน
ตอนหน้าเป็นตอนของเจ้าก้อนนะคะ
ส่วนแอปกับข้าวฝนไม่รู้ว่ามีไหม ไม่เคยหาเลยค่ะ
เคยเห็นแต่พวกสั่งอาหารแบบสำเร็จรูปเลย
เดี๋ยวต้องไปลองหาดูบ้างแล้ว
นี่คิดว่าถ้ามีแอปแบบนี้ก็น่าจะดี เพราะหลายครั้งก็ขี้เกียจออกจากบ้านไปจ่ายตลาดมากๆ 555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 11-07-2018 18:40:23
 แหมพี่ลมมมมม คุณนักเขียนเค้าน่ารักจนห้ามใจไม่ไหวล่ะซี่  :hao3:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 11-07-2018 18:45:34
อิหนูไหวม้ายยย สงสัยปั่นต้นฉบับไม่หลับไม่นอนเป็นลมไปซะแล้ว ดีที่พี่ลมมาพอดี ว่าแต่พี่ลมนี่ก็ได้โอกาสเข้าห้องนักเขียนที่ชอบเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-07-2018 20:04:12
พี่รถกับข้าววว  :o8:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 11-07-2018 20:45:28
น้องก้อนต้องโหมงานหนักแน่เลย  :m15:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 11-07-2018 21:39:49
เอาแต่ทำงานอีกแล้ว พี่รถกับข้าวรีบดูแลเลย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 11-07-2018 21:57:03
พี่รถกับข้าวมาแล้ววววว // พูดด้วยฟีลิ่งเดียวกับเจ้าก้อน ฮ่าๆๆๆ
หลังอ่านจบตอนแรกก็ไปหาแอปนั้นทันทีค่ะ มีหลายเจ้าทีเดียว ทำกันมาหลายปีแล้วด้วยค่ะ
หลังจากรู้จัก โหลดมาปุ๊ปก็ละลายทรัพย์ปั๊ปเลย ฮ่าๆๆๆ สบายยยย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 11-07-2018 22:05:36
พี่รถกับข้าวววววววว ชื่ออน่ารัก :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 2 [11/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-07-2018 16:14:53
เรื่องน่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-07-2018 16:10:42



บทที่ 3




   “ค่ำๆ วันนี้จะมีของเข้าไปส่ง พี่อาจจะกลับช้าหน่อย ช่วยเช็ครายการสินค้าให้ละเอียดด้วยนะ”


   ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น กวีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงคุ้นหูของใครบางคนดังไม่ไกลจากตัวเขาเท่าใดนัก ชั่วขณะหนึ่ง นักเขียนหนุ่มอยากรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใครและมาทำอะไรในห้องเขา แต่ทุกอย่างก็เงียบไปจนเข้าใจว่าตนเองคงกำลังฝัน


   กวีนอนหลับตานิ่งเพราะรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนเพลีย อยากหลับต่อเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าไม่นาน เสียงของคนคนนั้นก็ดังขึ้นอีกหน และครานี้เขาก็ทนหลับตาต่อไม่ไหว


   “ยังไงพี่ฝากดูร้านด้วยนะแซม”


   เปลือกตาสีอ่อนปรือขึ้นเชื่องช้า เขาจึงแสบตาเล็กน้อยเพราะยังไม่ชินกับแสง ครั้นปรับสายตาให้มองเห็นได้ปรกติแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องตัวเองสว่างไสวเพราะไฟดวงกลางถูกเปิดเอาไว้


กวีเบนสายตาไปทางที่มาของเสียงจึงพบร่างของใครคนหนึ่งยืนก้มหน้าจ้องมองเข้าด้วยสายตาคมกริบ คนถูกมองชะงักไปครู่หนึ่งด้วยนึกประหลาดใจว่าชายคนนี้มาอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเองได้อย่างไร เขาจึงหลับตาลงอีกครั้งพลางส่ายหัวไปมา พยายามเรียกสติจนผมสีปีกกากระจายเต็มหมอน จากนั้นจึงลืมตามองอีกครั้ง


หากคราวนี้คนแปลกหน้าไม่เพียงมองเฉยๆ แต่อีกฝ่ายกำลังยิ้มกว้างส่งมาให้เขาด้วย
   

“ฟื้นแล้วหรือครับ”
   

“…ครับ“ กวีตอบรับเสียงแหบแห้ง
   

“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” ฝ่ายนั้นถามต่อ
   

“มึนๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ” กวีว่า ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
   

“ไม่เป็นไรแน่นะครับ เวียนหัวไหม เอายาดมอีกหรือเปล่า”
   

“ยาดม?...”
   

เมื่อสังเกตดูดีๆ กวีก็ได้กลิ่นฉุนๆ ที่คาดว่าเป็นการบูรน้ำของพี่เจนซึ่งซื้อมาฝากจากอัมพวาแต่เขาไม่เคยแกะออกมาใช้ เนื่องจากแพคเกจมันสวย
   

“ผมเห็นมันวางอยู่ในตู้ปฐมพยาบาลก็เลยหยิบมาเปิดให้คุณดม ขอโทษที่ถือวิสาสะค้นของในห้องนะครับ” คนพูดว่าพลางยื่นขวดการบูรน้ำมาให้
   

“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของห้องรับขวดการบูรไว้แล้วดมนิดๆ พอเป็นพิธีพลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นสายตาของเขา เจ้าตัวจึงถามกลับ
   

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
   

“คือ...เอ่อ...ทำไมพี่รถกับข้าวถึงมาอยู่ในห้องของผมได้ล่ะครับ” กวีถามอ้อมแอ้ม


ตอนที่รู้สึกตัวเต็มที่ เขาพยายามคิดเหตุผลที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ดูแล้ว แต่ให้คิดอย่างไร กวีก็คิดไม่ออก ซ้ำยังจำอะไรไม่ได้เลย


ความทรงจำล่าสุดของเขาหยุดอยู่ที่ตัวเองเดินไปเปิดประตูรับของเท่านั้น
   

“จริงสิ ผมลืมบอกคุณไปเลย” พี่รถกับข้าวทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนเฉลย “คุณเป็นลมน่ะครับ ผมก็เลยพาคุณเข้ามาปฐมพยาบาลในห้อง”
   

“เป็นลม!” กวีถามย้ำด้วยความตกใจ
   

“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน “ตอนที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องหลังจากได้รับของแล้ว อยู่ๆ คุณลูกค้าก็ปล่อยตะกร้ากับข้าวตกพื้นแล้ววูบลงไปเลย”
   

“ผมทิ้งตะกร้ากับข้าวด้วยหรือ!!” คราวนี้กวีร้องดังกว่าเดิม
   

“ครับ”
   

“ตายล่ะ! ไข่ผมแตกหมดแล้วแน่เลย”
   

“หา?” พี่รถกับข้าวกระพริบตาปริบๆ กับประโยคนั้น ”เอ่อ...ไข่แตกไม่หมดครับนะ ผมช่วยดูให้แล้ว แตกไปแค่ใบเดียวเท่านั้น”


“แล้วกับข้าวอื่นๆ ล่ะครับ ตกพื้นไหม มีอะไรที่ผมต้องสั่งใหม่หรือเปล่า”


“ไม่มีครับ วัตถุดิบอื่นๆ อยู่ในบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยดี มีแค่มันฝรั่งที่กลิ้งหลุดออกมาจากถุงกระดาษสามสี่หัวเท่านั้น แต่มันคงไม่เปื้อนอะไรมาก ผมว่าล้างได้นะครับ”


เมื่อได้ยินพี่รถกับข้าวตอบอย่างละเอียด กวีจึงถอนหายใจอย่างคลายกังวล


“อ่า...จริงสินะ กล่องซับพอร์ตกับตะกร้าของร้านพี่รถกับข้าวค่อนข้างหนา”


“ครับ...หึๆ”


ได้ยินเสียงคล้ายคนหลุดหัวเราะ นักเขียนหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะเขายังไม่ได้ใส่แว่น จึงไม่แน่ใจว่าใบหน้าคมเข้มนั้นพยายามกลั้นยิ้มก่อนแสร้งเสมองไปรอบๆ ห้องหรือเปล่า


แต่ถ้าอีกฝ่ายจะหัวเราะแล้วอย่างไร


คิดให้ดีๆ เขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถามเรื่องไม่น่าถามเป็นอันดับแรกๆ แทนที่จะถามเรื่องอาการของตัวเองก่อน


พี่รถกับข้าวจะมองว่าเราเห็นแก่กินไหมนะ


กวีฉุกคิดในใจ ก่อนแสร้งกลบเกลื่อนด้วยคำถามเรื่องสุขภาพ


“เอ่อ...แล้วพี่รถกับข้าวพาผมเข้ามาได้ยังไงครับ”


“ผมอุ้มคุณเข้ามา” เขาตอบพลางเกาแก้มเก้อๆ


“อุ้มเนี่ยนะ!”


“ครับ...”


“...”


“คุณลูกค้าคงไม่ว่าใช่ไหม”


เขาถามเบาๆ ราวกับเด็กที่เพิ่งทำความผิดร้ายแรง กวีแทบอ้าปากค้างกับคำยืนยันที่ได้ยิน ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วรีบบอกปัด


“จะว่าได้ยังไงล่ะครับ แค่พี่รถกับข้าวไม่ปล่อยให้ผมนอนอยู่ข้างนอกก็ดีเท่าไหร่แล้ว นี่ยังอุ้มเข้ามานอนในห้อง เปิดแอร์ เปิดยาดมให้ดมอีก ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยครับ”


ถึงพี่รถกับข้าวจะรูปร่างกำยำสูงใหญ่ และเขาเองก็ไม่สูงนัก แต่กวีรู้ดีว่าตัวเองมีไขมันส่วนเกินค่อนข้างมาก ดังนั้นน้ำหนักคงไม่ใช่น้อยๆ เลย แถมอีกฝ่ายยังอุ้มเขาตั้งแต่หน้าประตูเข้ามาจนถึงในห้องนอน จัดท่าจัดทาง ดูแลราวกับเป็นญาติสนิทมิตรสหาย


แล้วแบบนี้ตัวปัญหาอย่างกวีจะไปว่าอะไรได้


“ถ้าคุณลูกค้าไม่ว่าที่ผมเข้ามาโดยพละการ ผมก็สบายใจครับ”


“ไม่ว่าครับไม่ว่า แถมต้องขอบคุณมากๆ ด้วยซ้ำ ผมล่ะเกรงใจจริงๆ ทำให้พี่รถกับข้าวต้องเดือดร้อนซะแล้ว” ประโยคหลังเจ้าของห้องบ่นตัวเองเบาๆ


“ไม่เดือดร้อนหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” พ่อคนดีว่าพร้อมกับแนบรอยยิ้มเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่งบนโลก


แหม...อยากให้สังคมเรามีคนดีๆ แบบนี้อยู่เยอะๆ จริงๆ กวีคิด


“เอ่อ...ถ้าคุณลูกค้าไม่เป็นไร---“


ครืด ครืด


ยังไม่ทันที่พี่รถกับข้าวจะพูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของกวีก็สั่นเตือน นักเขียนหนุ่มหันซ้ายหันขวา ก่อนะหยิบแว่นที่ถูกพับขาเก็บไว้อย่างเรียบร้อยมาสวมก่อน จึงพบว่าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองวางอยู่ใกล้ๆ กัน


“ครับพี่เจน”


[ก้อน! นั่นฟื้นแล้วใช่ไหม!!]


นางสาวเจนจิรา บก.คนดีคนเดียวของกวีแผดเสียงถามดังลั่น แต่น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนกวีหลุดยิ้มออกมาบางๆ


“ฟื้นแล้วครับ ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นอะไร” กวีสงสัย


[ก็คุณพนักงานร้านขายของที่แกสั่งบ่อยๆ น่ะสิ เขารับโทรศัพท์ตอนที่ฉันโทรไปเมื่อเที่ยง เขาบอกว่าแกเป็นลมหน้าห้อง ไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหม เป็นลมจริงๆ หรือแค่วูบหลับเหมือนทุกทีน่ะก้อน]


“คงวูบหลับเหมือนทุกทีน่ะครับ เพราะอดนอนมาเกือบสามวันแล้วนี่นา พี่ก็รู้นี่” กวีกล่าวสบายๆ แต่คำบอกเล่าของเขากลับทำให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องเผลอขมวดคิ้วฉับ


 “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก ผมโอเคมากแล้ว”


[แต่พี่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี นี่เพิ่งฟื้นใช่ไหม]


“ครับ เพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้เอง กำลังถามเรื่องราวจากพี่รถกับข้าวอยู่พอดี”


[นี่เกือบห้าชั่วโมงเลยนะก้อน จากที่พี่คุยกับคุณพนักงานคนนั้น แกหลับนานกว่าทุกที พี่ว่าไปหาหมอเถอะ เช็คสักหน่อยเพื่อความสบายใจ]


“แต่ผมขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องขึ้นรถวุ่นวายอีก นี่เย็นมากแล้ว รถคงติดหนักน่าดู วันศุกร์เสียด้วย ฝนตกอีกต่างหาก”


[ข้ออ้างเยอะนักนะ] เจนว่าอย่างรู้ทัน


“ผมเปล่าอ้างนะครับ”


[เอาเถอะๆ พี่ก็เข้าไปลากแกออกไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้เสียด้วย ที่กองกำลังยุ่งเลย]


“ก็แหงสิครับ วันนี้เดดไลน์นี่”


[นั่นน่ะสิ ทำยังไงดีล่ะ]


เสียงของเจนเต็มไปด้วยความกังวล เธออยากพานักเขียนในปกครองที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ไปโรงพยาบาลเสียตอนนี้แต่งานที่มีก็เลี่ยงหรือหยุดไว้ก่อนไม่ได้


“ไม่ต้องทำยังไงหรอกครับ ผมโอเค” กวีดักคออย่างรู้ทัน เขารู้ว่าเจนคงกำลังคิดมากเรื่องสุขภาพของเขาอยู่เป็นแน่ “เดี๋ยวผมจะหาข้าวกิน อาบน้ำ แล้วออกมากินวิตามินที่พี่ซื้อให้ คืนนี้จะนอนเร็วด้วย...โอเคไหม”


[อืม...] เจนช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมตกลง [เอางั้นก็ได้ คืนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ งานของก้อนที่จะลง พี่ลงให้เอง พักผ่อนเยอะๆ นะ]


“ขอบคุณครับ พี่เจนก็เหมือนกันนะ รีบทำงานแล้วก็รีบกลับบ้านล่ะ”


“รู้แล้วล่ะจ้ะ”


เมื่อล่ำลากันเรียบร้อย กวีก็กดวางสาย


นักเขียนหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่า ยามนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าหากนับดูดีๆ แปลว่าเขาเผลอวูบหลับไปนานพอดู


คิดได้ถึงตรงนี้ ดวงตากลมๆ ก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้างเตียง


“เอ่อ...พี่รถกับข้าวเฝ้าผมอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ”


“ใช่ครับ” คนตัวสูงตอบเรียบๆ


“แปลว่าไม่ได้ไปทำงานต่อสินะ...”


“ครับ”


“ขอโทษจริงๆ นะครับ” กวียกมือไหว้ปรกๆ “ผมทำให้คุณลำบาก แถมเสียงานเสียการด้วย”


“อย่าคิดมากเลยนะครับ” เขาว่า “ว่าแต่คุณเถอะครับ ไหวแน่หรือ อย่าหาว่าผมเสียมารยาทแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์เลยนะ แต่ผมเองก็คิดว่าคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ”


“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก เวลาปั่นต้นฉบับแล้วไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน พอทำงานเสร็จผมก็ชอบหลับแบบนี้ประจำ เหมือนที่เค้าเรียกว่าอะไรน้า...” คนพูดเอานิ้วเคาะริมฝีปากอิ่มอย่างใช้ความคิด “อ้อ! เครื่องดับครับ คล้ายๆ ชัตดาวน์น่ะ ผมชัตดาวน์แบบนี้ประจำแหละ”


“ฟังดูน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกนะครับ” คิ้วเข้มนั่นขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม


“ผมไม่เป็นไรจริงๆ” กวีเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง และพยายามปั้นหน้ายิ้มสดใส “เดี๋ยวได้พักผ่อนเพียงพอก็กลับมาสดชื่นเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ”


ครั้นเห็นคนตรงหน้านิ่งไปนิด กวีก็รีบรุกฆาตโดยการชวนเปลี่ยนเรื่อง


“ว่าแต่พี่รถกับข้าวต้องรีบกลับไหมครับ”


“ถ้าเกิดว่าคุณลูกค้าไม่เป็นไรแล้ว ผมกลับเลยก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวตอนโดนทักว่าตนเองอยู่นานเกินไปแล้ว


บางทีเจ้าของบ้านอาจจะอยากพักผ่อน


“ไม่ใช่นะครับ...ไม่ใช่” กวีรีบโบกมือเป็นพัลวัน เพราะมองปราดเดียวก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด “ผมไม่ได้ไล่พี่นะครับ”


“หืม?” เขาเลิกขมวดคิ้ว แล้วส่งเสียงคล้ายกำลังประหลาดใจ


“คือที่ผมอยากรู้ว่าพี่รถกับข้าวจะรีบกลับไหม เพราะผมอยากเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นการตอบแทนน่ะครับ แต่ถ้าพี่รีบ เอาไว้คราวหน้าก็ได้”


“ไม่รีบครับ” อีกฝ่ายตอบทันทีโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนจะอ้อมแอ้มแก้เก้อ “แต่คุณลูกค้าจะลำบากหรือเปล่า เพิ่งฟื้นด้วย”


“ไม่ครับ...ไม่ลำบาก เพราะยังไงผมก็ต้องทำกับข้าวกินเอง อีกอย่างผมเห็นว่าเย็นมากแล้วด้วย พี่รถกับข้าวเฝ้าผมตั้งแต่บ่ายโมงคงหิวแย่เลย อยู่ทานด้วยกันนะครับ”


ไม่ใช่แค่คำพูด แต่กวียังส่งสายตาปิ๊งๆ แบบที่บก.เจนแพ้ทางเป็นการคะยั้นคะยอ ทำให้ในที่สุด พี่รถกับข้าวของเขาก็ยอมพยักหน้าตกลง


“ถ้าอย่างนั้นพี่ออกไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนนะครับ ผมขอล้างหน้าล้างตาแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวจะตามออกไป”


“ครับ”เขารับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินออกจากห้องเพื่อให้เวลาเจ้าของบ้านได้จัดการธุระส่วนตัว


กวีม้วนผ้าห่มลวกๆ วางไว้บนกองหมอน แอบรู้สึกอายเล็กน้อยที่มีคนอื่นนอกจากพี่สาวคนสนิทได้เห็นสภาพห้องนอนรกๆ แบบนี้ โชคดีที่แม่บ้านเพิ่งมาเมื่อเช้า ทำให้ห้องอื่นๆ สะอาดเรียบร้อยดีไม่มีที่ติ


พอจัดการกับที่นอนเรียบร้อยแล้ว กวีก็ลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทว่ากางเกงเจ้ากรรมกลับค่อยๆ ไหลลงในทุกจังหวะการเดิน กางเกงตัวนี้ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ขอบยางจึงไม่ค่อยดีเท่าไร กวีต้องอาศัยเชือกรัดปมที่กางเกงให้แน่น เพราะมันใส่สบายจนเขาไม่อยากทิ้ง


ชายหนุ่มจึงต้องเอามือจับยางยืดๆ ที่เอวเอาไว้ให้มั่น จำได้ว่าตัวเองผูกปมมันแน่นมากแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเชือกรัดเอวคลายปมได้อย่างไร


ตอนที่หลับไปเขาเผลอดิ้นจนปมหลุดหรือเปล่านะ


ชายหนุ่มคิดไปเรื่อย จนกระทั่งตอนที่แก้ผ้าอาบน้ำ เขาจึงได้พบว่าไม่ใช่ปมเชือกหลุดเอง แต่เป็นฝีมือมนุษย์อีกคนที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน เพราะพอมาส่องกระจกเขาก็พบว่ากระดุมเสื้อเม็ดบนๆ ของตนเองถูกปลดเช่นกัน


กวีคิดว่าอีกฝ่ายคงทำไปเพราะช่วยปฐมพยาบาลให้ตอนเขาเป็นลม ถึงกระนั้นก็อดรู้สึกเขินนิดๆ ไม่ได้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาคลายปมเสื้อผ้า


น่าอายชะมัดเลย เรายิ่งเจ้าเนื้อเสียด้วยสิ


ชายหนุ่มโอดครวญในใจ ก่อนคิดขึ้นได้ว่าฝ่ายนั้นคงเห็นไปไม่เท่าไร


อีกอย่าง ถ้าเขาจะอาย ควรอายเรื่องที่ถูกอุ้มเข้ามามากกว่า เพราะนั่นน่ะ อีกฝ่ายจะสัมผัสความเจ้าเนื้อของเขาได้เต็มๆ


ระว่างคิดสะระตะไปเรื่อย นักเขียนหนุ่มก็อาบน้ำอาบท่าและรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าคนที่อยู่ในความคิดจะคอยนาน










   ตอนที่กวีก้าวเท้าเข้ามาในครัว เขาพบพี่รถกับข้าวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม อีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้ว่าเขาเข้ามาแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์และเงยหน้ามาถามยิ้มๆ


   “เสร็จแล้วหรือครับ รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างไหมครับ”


   “ครับ รู้สึกเหมือนเป็นปรกติแล้วล่ะ” กวีตอบแข็งขัน “เดี๋ยวพี่รถกับข้าวรอสักครู่นะครับ ผมขอเก็บกับข้าวก่อน จะได้เลือกว่าวันนี้ควรทำเมนูอะไรดี”


   “ครับ”


   “อ้อ!” เจ้าแก้มกลมส่งเสียงเล็กน้อย ก่อนถามเรื่องสำคัญ “มีอะไรที่พี่ทานไม่ได้หรือเปล่าครับ”


   “ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”


   พอได้ยิน กวีก็ยิ้มยินดีแล้วเริ่มลงมือเก็บของ หากชายหนุ่มกลับพบว่าพี่รถกับข้าวเก็บอาหารสดใส่ตู้เย็นให้เขาหมดแล้ว


   “ผมกลัวเนื้อเสียน่ะครับ ก็เลยเก็บให้แล้ว” อีกฝ่ายคล้ายจับตาดูความเคลื่อนไหวของกวีมาแต่แรก จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน


   “ขอบคุณนะครับ พี่รถกับข้าวใจดีจัง”


   “ผมไม่ได้ใจดีหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่”


   กวีลอบยิ้มคนเดียวเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น


   ทำตามหน้าที่หรือ


   ถ้าพี่รถกับข้าวทำตามหน้าที่จริงๆ เจ้าตัวคงกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่านี่ยังอยู่รอให้เขาฟื้น มิหนำซ้ำยังช่วยเก็บข้าวเก็บของให้กวีอีก


   ถ้าไม่เรียกใจดี จะให้เรียกอะไรกันล่ะ


   กวีพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองคิด กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่นั่งอยู่นานก็เริ่มกระสับกระส่าย ด้วยเห็นว่าเจ้าของห้องไม่ตอบอะไรกลับไป


   “เอ่อ...ว่าแต่คุณลูกค้ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ไม่ว่าเปล่า คนพูดยังลุกขึ้นจากเก้าอี้ มายืนข้างเคาท์เตอร์เพื่อดูว่าตัวเองพอช่วยอะไรได้บ้าง


   “ไม่มีหรอกครับ ผมทำอาหารง่ายๆ แค่สองอย่างเท่านั้นเอง”


   “แล้วไม่ต้องการลูกมือหรือครับ” คนอยากช่วยเสนอตัว


   “เอ่อ...” กวีเหลือบตามองคนข้างๆ อย่างช่างใจ “แต่พี่รถกับข้าวเป็นแขกแล้วนะครับตอนนี้ นั่งรอไม่ดีกว่าหรือ ถ้าให้พี่ช่วย ก็ไม่เรียกว่าทำเพื่อตอบแทนน่ะสิ”


   “เอาไว้คุณลูกค้าตอบแทนผมวันหลังก็ได้นะครับ วันนี้คุณไม่สบายอยู่ แถมตอนนี้ผมก็หิวไส้แทบขาดแล้ว” คนใจดีทำคิ้วตกและกุมท้องประกอบคำพูด แต่ดูก็รู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง


   “พี่ทำกับข้าวเป็นหรือครับ”


   “พอได้นิดหน่อยครับ แต่ถ้าแค่เป็นลูกมือล่ะก็ สบายมาก”


   “งั้นก็ได้ครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ด้วย”


   “ดีครับ” พี่รถกับข้าวว่า ก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้น “ไหนครับคุณลูกค้า ให้ผมช่วยอะไรบ้าง”


   “ก่อนอื่น...ช่วยเรียกผมว่ากวีหรือวีแทนได้ไหม เรียกคุณลูกค้าแล้วมันแปลกๆ น่ะครับ”


   “นั่นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณวีแล้วกัน”


“แค่วีก็ได้ครับ มีคุณนำหน้าแล้วไม่สนิทใจยังไงก็ไม่รู้”


“จะดีหรือครับ”


“ดีสิครับ นี่ไม่ใช่เวลางานของพี่สักหน่อย อีกอย่างพอพูดแบบเป็นทางการ ผมรู้สึกเกร็งๆ น่ะ ทำตัวไม่ค่อยถูกเลย”


พี่รถกับข้าวช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขของตัวเองเช่นกัน


“ถ้าไม่ใช่เวลางาน ให้ทำตัวตามสบายได้เลยใช่ไหมครับ”


“ใช่ครับ” กวีพยักหน้า พลางใช้มือดันแว่นไม่ให้ไหลลงไปที่ปลายจมูก


“ถ้าอย่างนั้นวีเองก็ต้องเรียกพี่ว่า พี่ลม แทนพี่รถกับข้าวด้วยนะครับ จะได้เท่าเทียม”
   

“ได้สิครับพี่ลม” นักเขียนหนุ่มตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายแอบบ่นเบาๆ “แต่ไม่ชินเลยนะครับ เรียกพี่รถกับข้าวมาตั้งนาน”
   

“หึๆ งั้นก็เรียกบ่อยๆ นะครับ จะได้ชิน”
   

“โอเคครับ” กวียิ้ม “งั้นเรามาเริ่มทำอาหารกันเลยดีไหม”
   

“เอาสิครับ...ไหนวีจะให้พี่ทำอะไรบ้าง”
   

“ช่วยล้างบรอกโคลี่ให้หน่อยนะครับ ผมจะผัดกับกุ้ง”
   

“ได้ครับ” วายุรับบรอกโคลี่มาล้างตามคำสั่ง “ว่าแต่วีจะทำเมนูอะไรบ้างหรือครับ เห็นเมื่อกี้บอกว่ามีสองอย่าง”
   

“อ้อ มีกุ้งผัดบรอกโคลี่กับปลาดอลลี่นึ่งซีอิ้วครับ”
   

“ฟังดูยากจัง”
   

“ไม่ยากหรอกครับ ใช้ไมโครเวฟนึ่ง” กวีบอกยิ้มๆ ก่อนหันไปจับหม้อหุงข้าว “งั้นเดี๋ยวผมหุงข้าวก่อนนะ”
   

“วีจัดการปลาดีกว่าครับ เสร็จตรงนี้พี่จะหุงให้เอง”
   

“อ่า...งั้นก็ได้ครับ ข้าวสารอยู่ในถังสีฟ้าซ้ายมือ ใส่ข้าวสักสองถ้วยพอเนอะ กินกันแค่สองคน”
   

“ครับ”
   

หนึ่งนักเขียนกับหนึ่งนักธุรกิจช่วยกันทำมื้อเย็นอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางกลิ่นอาหารและเสียงเครื่องดูดควันความสัมพันธ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดคิดกำลังก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว







--------------------------------------------------------------






มาต่อแล้วค่าาาา
จากพี่รถกับข้าว กลายเป็นพี่ลมแล้วนะ
ก้อนน้องของแม่ไวไฟมากเวอร์ 55555
ยังไงก็ฝากเอ็นดูคุณนักเขียน กับ คุณเจ้าของร้าน(ที่น้องยังเข้าใจว่าเป็นพนักงานส่ง)ด้วยนะคะ


เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^








หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 17-07-2018 17:06:38
พี่ลม น้องก้อน หวานไปน๊ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 17-07-2018 17:55:19
อยากไปกินด้วยคร่า ทำเผื่อเราด้วย
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-07-2018 19:04:02
พี่รถกับข้าวใจดีอ่า
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-07-2018 20:11:42
พี่ลมคนใจดี เฝ้าน้องตั้งห้าชั่วโมงแหน่ะ น้องก้อนก็น่ารัก เลี้ยงข้าวตอบแทนพี่อีก ช่วยกันทำกับข้าวด้วย :-[
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-07-2018 23:14:10
พี่ลมคนดี น้องวีน่ารัก
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 3 [17/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-07-2018 17:06:36
น่ารักดีนะ
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 19-07-2018 20:05:56
บทที่ 4



   “ผมไม่ได้ทำปลานึ่งซีอิ๊วนานแล้ว รสชาติพอกินได้ไหมครับ”


   เมื่อเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารเพื่อมองคนถาม วายุเห็นนัยน์ตาคู่ใสแจ๋วฉายแววคาดหวังแวบหนึ่ง เขาจึงเร่งเคี้ยวอาหารในปากและกลืนลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนตอบ


   “อร่อยมากครับ”


   “ไม่เค็มไปใช่ไหมครับ”


   “ไม่ครับ รสชาติพอดีแล้ว” วายุยืนยันอีกครั้ง


   ฟู่~


   ริมฝีปากสีมันแผล็บเป่าลมออกมาเบาๆ อย่างโล่งอกแล้วยกยิ้มกว้าง


   “ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะปรกติผมชอบทำกินเองบ่อยๆ แถมเมนูนี้ยังไม่เคยทำให้ใครกินเลย”


   เพราะคำพูดที่ฟังดูคล้ายกับว่าเขาพิเศษ ทำให้วายุหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ


ทั้งที่ในทีแรก เขาตั้งใจมาส่งของให้อีกฝ่ายตามปรกติ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยจนทำให้มีโอกาสช่วยทำอาหารและนั่งทานมื้อเย็นด้วยกันสองคนแบบนี้
   

วายุไม่ได้ดีใจที่อีกฝ่ายเกิดหมดสติกะทันหัน ออกจะเป็นห่วงเกินหน้าที่ด้วยซ้ำ หากเขาแค่คิดว่าในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีซ่อนอยู่ และจากที่ได้คุยกันหลายชั่วโมงทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่า...


นักเขียนชื่อดังคนนี้น่ารักกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
   

แม้เรื่องที่ถูกช่วยไว้จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่วายุมองว่านั่นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกส่วนคือกวีดูเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี และอัธยาศัยดีเอามากๆ มากจนเขานึกกลัวแทน
   

กลัวว่าจะมีใครมาหลอกเอาได้ง่ายๆ
   

คล้ายกับที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้...
   

แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาร้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวายุกำลังใช้ความอัธยาศัยดีและเหตุการณ์สุดวิสัย ฉวยโอกาสเข้าใกล้กวีมากขึ้นอีกก้าว
   

เพราะวายุรู้ตัวว่าเขากำลังถูกใจกวี
   

นาทีนี้เขาจะใช้แค่คำว่าถูกใจก่อน หากเป็นความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เขาคงต้องขอเวลาสังเกตตัวเองอีกสักระยะ ถ้าได้ใกล้ชิดกันมากกว่าฐานะพนักงานส่งของและลูกค้าตามปรกติทั่วไปแล้วล่ะก็


วายุคิดว่าอีกไม่นานคงรู้


“อิ่มแล้วหรือครับ” คนนั่งตรงข้ามถามขึ้นเมื่อเห็นวายุวางช้อน


“ครับ”


“พี่ลมกินน้อยจัง”


คำเรียกอย่างสนิทสนมพาลให้หัวใจไม่รักดีเต้นแรงกว่าปรกติเล็กน้อย วายุพยายามไม่ยิ้มมากเกินไป ก่อนจะรายงานสภาพของตัวเองในตอนนี้ตามตรง


“ไม่น้อยแล้วนะครับ พี่เติมไปตั้งสองหน แน่นท้องไปหมดแล้วครับ ถ้ากินเยอะกว่านี้คงขับรถกลับร้านไม่ไหว พุงติดพวงมาลัยพอดี”


“ฮ่าๆๆ...แค่กๆ” กวีหัวเราะเสียงใส ก่อนรีบดื่มน้ำเพราะข้าวติดคอ


“วี!”


วายุทำท่าจะลุกไปช่วยลูบหลัง แต่กวีโบกมือปฏิเสธ เขาจึงคอยช่วยรินน้ำแทน


“ผม...ไม่เป็นไรครับ” มือเล็กลูบอกแล้วบ่นตัวเองเบาๆ “รู้งี้น่าจะกลั้นหัวเราะไว้”


“พี่ทำอะไรให้ตลกกันครับ”


“เอ่อ....ก็ผมขำที่พี่บอกว่า ถ้ากินเยอะพุงจะติดพวงมาลัยน่ะสิ พี่ผอมขนาดนั้นจะมีพุงได้ยังไง เป็นผมก็ว่าไปอย่าง” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังดึงพุงย้วยๆ ผ่านเสื้อยืดของตัวเองประกอบคำพูด คราวนี้จึงเป็นวายุที่เผลอหลุดหัวเราะออกมาแทน


ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมถึงทำตัวเป็นธรรมชาติได้ขนาดนี้นะ


วายุนึกสงสัย ทว่าไม่ได้ถามออกไป


เขานั่งมองเจ้าของแก้มยุ้ยน่าหยิกจัดการกุ้งตัวสุดท้ายในจานยิ้มๆ ตั้งใจว่าถ้าอีกฝ่ายอิ่มแล้วจะอาสาล้างจานให้ ตอบแทนที่มีน้ำใจเลี้ยงอาหารเย็น


“อิ่มแล้วใช่ไหมครับ” พอกวีรวบช้อนแล้วดื่มน้ำ วายุจึงเอ่ยถาม


“ครับ”


“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยล้างจานให้นะ”


“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง” เจ้าบ้านปฏิเสธแข็งขัน


“ทำไมล่ะครับ”


“ผมจัดการเองครับ พี่ลมไม่ต้องล้างหรอกนะ กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ ผมรบกวนพี่มาทั้งวันแล้ว” เจ้าตัวบอกเหตุผล


“ไม่ได้สิ ตอนทำกับตอนกินเรายังช่วยกัน ตอนล้างพี่ก็อยากช่วย”


“แต่ผมเกรงใจ”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ พี่อยากช่วย” เมื่อเห็นวายุไม่ยอมง่ายๆ กวีก็นิ่งไป ก่อนจะก้มหน้าบ่นงึมงำ


“มันไม่ถูกต้องนี่นา พี่ช่วยผมเยอะแล้ว”


“แต่พี่--”


ยังไม่ทันที่วายุจะพูดจบ เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับช้อนตาใสๆ มองเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน


“เชื่อที่ผมพูดนะพี่ลม...นะครับ”


ตู้ม!!


คล้ายเสียงอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวของวายุอย่างรุนแรง ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทั้งที่คิดว่าวันนี้เห็นความน่ารักของกวีมากกว่าที่ควรเห็นแล้ว แต่คนคนนี้ยังมีดาเมจก๊อกสุดท้ายเพื่อโจมตีเขาอยู่อีก


ตาย...แบบนี้ตายแน่ๆ


เจ้าของร้านหนุ่มคิดพลางเสหลบตาใสๆ คู่นั้น แล้วว่าเสียงอ้อมแอ้ม


“ก็ได้ครับ เอาตามที่วีว่าก็ได้”


“เย้!” นักเขียนหนุ่มประกาศชัยชนะเสียงสดใส “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่หน้าห้องนะครับ”


“ครับๆ”


วายุลุกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินตามกวีออกไปที่หน้าประตูห้องเหมือนโดนป้ายยา กระทั่งเขามายืนตำแหน่งที่ยืนทุกครั้งยามมาส่งสินค้า นักเขียนแก้มยุ้ยจึงเอ่ยขึ้นก่อน


“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับสำหรับวันนี้ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงแย่”


“ไม่เป็นไรครับ” เขาเว้นวรรคไปนิดเพื่อตั้งสติ เพราะถูกส่งยิ้มหวานให้อีกแล้ว “ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารนะครับ”


“ครับ อีกสามวันเจอกันนะครับ”


“แล้วเจอกันครับ”


คราวนี้กวีไม่ได้หนีเข้าห้องเหมือนทุกที แต่อีกฝ่ายยืนคอยจนเขาเดินไปรอลิฟต์จึงถอยกลับเข้าห้องของตัวเองไป


วายุกลับลงมาที่รถอย่างรวดเร็ว เขายังรู้สึกเหมือนสติกลับมาไม่ครบเท่าไหร่ พอมองหน้าตัวเองผ่านกระจกส่องหลังแล้วก็ถึงกับต้องส่ายหัว


เขานี่ไม่ไหวจริงๆ วายุคิด


เพราะนอกจากจะถูกทำให้หวั่นไหวแล้ว วันนี้เขายังอู้งานอีกต่างหาก นี่ถ้ามีคนรู้ว่าเขาหายมาดูแลลูกค้าคนพิเศษกว่าครึ่งค่อนวัน วายุคงโดนล้อไปหลายวันแน่ๆ


“เฮ้อ~”


ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้ง พอเจอคนน่ารักเข้าหน่อยถึงกับไปไม่เป็น สงสัยว่าเขาคงห่างเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มานานเกินไป หัวใจเปลี่ยวเหงาจึงเต้นไม่เป็นจังหวะยามเจอคนถูกใจแบบนี้


แต่เขาจะหวั่นไหวง่ายๆ ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องดูไปนานๆ กว่านี้หน่อย


เมื่อควบคุมความรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวของตัวเองได้แล้ว ชายหนุ่มก็รวบรวมสติแล้วขับรถกลับร้าน









“ไปไหนมาทั้งวันครับ คุณวายุ~”


ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในร้าน เสียงกวนประสาทอันเป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนก็ลอยมาเข้าหูวายุพอดี ครั้นคนถูกแซวมองไปทางต้นเสียง เขาก็พบเพื่อสนิทที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสองอาทิตย์นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงิน ข้างๆ มีพนักงานคิดเงินทำหน้าเบื่อโลกอยู่


สงสัยจะโดนแกล้งมาสักพักแล้ว


เห็นดังนั้นเจ้านายที่แสนดีก็ดึงเพื่อนตัวเองออกมาห่างเคาน์เตอร์ ก่อนส่งสัญญาณให้พนักงานผู้น่าสงสาร
   

“พี่ฝากดูร้านหน่อยนะแซม เดี๋ยวขึ้นไปคุยธุระกับปั้นก่อน สักพักจะลงมาช่วยเก็บร้าน”
   

“ครับพี่ลม” แซมรับคำเสียงเรียบแต่สีหน้าดูโล่งใจกว่าตอนแรกมากๆ
   

“ขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่า เผื่อลูกค้าเข้า แกจะเกะกะเขาเปล่าๆ” เจ้าของร้านชักชวน และเพื่อนสนิทที่มารอนานแล้วก็ตอบรับโดยไม่อิดออด
   

“นำไปเลยครับคุณเพื่อน”
   

ทั้งสองเดินตามกันขึ้นไปบนชั้นสี่ ที่ซึ่งเป็นส่วนที่พักของวายุ เมื่อขึ้นไปถึง เจ้าของห้องก็เปิดให้เพื่อนเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะไม้ตรงระเบียง ก่อนแยกไปหยิบเบียร์จากตู้เย็นมาสองกระป๋องแล้วตามออกไปนั่งด้วย
   

เสียงรถราด้านนอกดังวุ่นวาย แสงไฟยามค่ำคืนวูบวาบสว่างไสว แต่เพราะตำแหน่งของร้านนี้ไม่มีตึกสูงบดบังทิศทางลม อากาศจึงค่อนข้างถ่ายเทสะดวก
   

วายุส่งเบียร์ให้เพื่อนกระป๋องหนึ่ง ก่อนหันมาเปิดของตัวเองแล้วกระดกดื่ม


“ไปไงมาไง แกถึงมาหาฉันได้น่ะปั้น” วายุเปิดประเด็น


“ฉันก็ขับรถมาสิ ถามแปลกๆ” ปริญยอกย้อน ก่อนจะถามกลับ “ว่าแต่แกเถอะ ไปไหนมา เห็นเด็กในร้านบอกว่าหายไปส่งของลูกค้าตั้งแต่เที่ยง”


“ก็ไปส่งของให้ลูกค้าไง” วายุย้อนกลับ


“ลูกค้าที่ไหนวะ กลับเอาป่านนี้”


“จะลูกค้าที่ไหนก็ช่างฉันเถอะน่า ว่าแต่แกมีธุระอะไรหรือเปล่า ปรกติไม่เข้ามาที่ร้านนี่”


ตามปรกติ หากพวกเขาจะนัดสังสรรค์กัน เพื่อนของวายุจะนัดเจอกันที่คลับประจำแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ยกเว้นแต่ว่า ถ้าเพื่อนคนไหนเดือดร้อน หรือไม่สบายใจอะไร พวกเขาก็จะไปมาหาสู่กันเป็นกรณีพิเศษ


“ไม่มีอะไรหรอก แค่เบื่อๆ ไอ้จักรก็ติดงานสัมมนาที่จอร์เจีย ส่วนแกก็หายหัวเป็นเดือนๆ ไม่คิดส่งข่าว ฉันก็ต้องมาดูสิว่าเพื่อนสนิทกำลังทำงาน หรือไปติดหนุ่มที่ไหนหรือเปล่า”


“...ไร้สาระน่า”


“ไร้สาระจริงหรือ แล้วทำไมต้องคิดนานก่อนตอบด้วยล่ะ เอ...ชักน่าสงสัยแฮะ” ปริญหรี่ตามองอย่างจับผิด


พวกเขาคบกันมานาน แม้จะมีช่วงที่ห่างกันไปบ้าง สุดท้ายเมื่อเรียนจบก็กลับมารวมตัวกันใหม่ ดังนั้นเมื่อเห็นเพื่อนที่มักพูดจาฉะฉานอย่างวายุทำท่าอึกอัก ปริญก็พอเดาได้ทันทีว่าเพื่อนต้องมีเรื่องปกปิด


“สงสัยอะไรเล่า วันๆ ฉันทำแต่งาน ไม่มีเวลาเยอะเหมือนแกหรอก” วายุว่า


“ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ โผล่มาเป็นตัวเป็นตนนะ”


“เป็นตัวเป็นตนที่ไหน แกก็คิดไปเรื่อย”


“โอเคๆ ฉันคิดเยอะเอง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันมารอแกที่ร้านตั้งแต่บ่ายสาม คุยกับเด็กแซมนั่นจนเด็กมันรำคาญจะแย่ แกก็ไม่มาสักที”


ปริญแสร้งทำตัวน่าสงสาร หวังให้เพื่อนรู้สึกผิด ทั้งที่ความจริงเจ้าตัวออกจะรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ ที่ได้แกล้งแหย่พนักงานประจำร้านของวายุ


“คราวหลังก็โทรหาฉันก่อนสิ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่มา”


“ฉันโทรไปแล้วนะ แต่แกปิดเครื่อง” ปริญงอแงไม่สมกับอายุและใบหน้าหล่อๆ ของตัวเองเลยสักนิด


“อ้าว...จริงหรือ”


คนถูกกล่าวควักโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดดูจึงพบว่าหน้าจอมืดสนิทเพราะแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง

“ว่าไง สรุปปิดเครื่องใช่ไหม”


“เปล่า แบตหมดน่ะ แกรอตรงนี้เดี๋ยว”


วายุลุกไปเสียบชาร์ตโทรศัพท์ในห้องแล้วเปิดเครื่องไว้เหมือนเดิม แต่ก่อนจะออกมาหาเพื่อนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็กดเข้าไปในแอปพิเคชันเจ้านกสีฟ้าอย่างอดไม่ได้ เพราะอยากรู้ความเคลื่อนไหวของใครคนนั้น


ขอดูสักหน่อยแล้วกัน



หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี 
   21:07 PM . 29 ก.ค.18
   


   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร แต่พออ่านถึงตรงนี้ วายุก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ว่าคนที่กล่าวถึงเป็นตัวเขา


   ชายหนุ่มหลุดยิ้มอีกครั้ง แล้วคราวนี้ก็หุบยิ้มไม่ได้เสียด้วย จนเพื่อนสนิทเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ตัวลอยอยู่


   ผลัวะ!


   กระทั่งถูกตบหลังเรียกสติแรงๆ วายุจึงหุบยิ้มได้


   “เป็นอะไรของแกวะลม เห็นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานแล้วนะ” ปริญถามด้วยความสงสัย ดวงตาไม่วายเหลือบมองหน้าจอมือถือเพื่อนอย่างใคร่รู้


   “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”


   “...” ปริญหรี่มองคนมีพิรุธด้วยสายตาจับผิด


   มันทำตัวแปลกๆ จริงๆ


ชายหนุ่มคิด ก่อนจะยื่นมือไปฉกมือถือเพื่อนมาถือไว้อย่างรวดเร็ว


“เฮ้ย! ทำอะไรของแกวะปั้น!”


“จับโกหกเพื่อนไงล่ะ”


“โกหกอะไรของแก เอามือถือฉันคืนมานะ”


“แกมันไม่เนียนไอ้ลม ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ จะโวยวายทำไม ให้ฉันดูแป๊บเดียว”


“ไม่ได้!”


“นั่นไง! ฉันถึงบอกว่าแกไม่เนียน” ว่าไปพลาง เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมให้เพื่อนแย่งมือถือคืนได้ง่ายๆ “แกต้องซ่อนใครไว้แน่ๆ”


“แกเป็นเมียฉันหรือไงห๊ะไอ้ปั้น ถึงได้มาจ้องจับผิด”


“อย่างแกฉันไม่เอาหรอก ของฉันต้องตัวเล็กๆ น่ารักเท่านั้นเว้ย! แล้วก็อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง” ปริญอาศัยจังหวะที่เพื่อนเผลอเลื่อนหน้าจอมือถือดูด้วยความไวแสง แล้วเขาก็เห็นทวิตของกวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ “อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี”


เขาอ่านข้อความนั้นออกมาเสียงดัง ใบหน้าอยากรู้อยากเห็นเปลี่ยนเป็นฉงนสนเท่ห์


“แอคคำคมหรือ”


“ห๊ะ?...แกว่าอะไรนะ” วายุงงงันไปชั่วครู่


“ฉันถามว่าแกติดตามพวกแอคเคาน์คำคมด้วยหรือไง ดูสิ มีกดเฟบไว้ด้วย”


ได้ยินเช่นนั้น วายุจึงเข้าใจว่า ปริญคงไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่แอคเคาน์คำคม


“เออ ฉันชอบอ่านน่ะ” ชายหนุ่มยอมรับส่งๆ ไปตามน้ำ ก่อนจะรีบยื่นโทรศัพท์กลับมาเสียบชาร์ตดังเดิม


“เพิ่งรู้ว่าแกชอบแบบนี้ เห็นปรกติเวลาไอ้จักรหรือฉันแชร์คำคมในเฟซบุ๊กทีไร ชอบเข้ามาด่าว่าไร้สาระทุกที”


“แล้วจะทำไม”


“ก็ไม่ทำไมหรอกครับคุณเพื่อน” ปริญว่า ก่อนเอ่ยด้วยความเสียดาย “เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกว่าแอบคุยกับใครอยู่จริงๆ เสียอีก”


“ไม่มีหรอกน่า ฉันทำงานตลอด ใครที่ไหนจะมาคุยด้วย” วายุบอกปัด แล้วเดินนำเพื่อนกลับออกไปที่โต๊ะริมระเบียง ขณะเดินก็เอ่ยถามถึงธุระสำคัญไปด้วย “ว่าแต่แกเถอะ ยังไม่บอกดีๆ เลยว่ามาที่นี่ทำไม มาฉุกละหุกแบบนี้ มีเรื่องอะไรอีกล่ะสิ”


“ก็...นิดหน่อย”


“มีอะไรก็ว่ามา”


“ฉันได้งานใหม่แล้วว่ะ”


“ที่ไหน”


“บริษัทxxx ที่ทำเว็บไซด์นิยายออนไลน์ดังๆ ตอนนี้ เขาให้ฉันไปร่วมทีมดูแลระบบ”


“งั้นก็ดีสิ มีอะไรให้แกต้องทำหน้าบูดอย่างนี้อีกล่ะ”


“ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าพศินเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่”


ครั้นได้ยินชื่อคนรักเก่าของปั้นที่เลิกกันไปได้หลายปี แต่เป็นคนที่ทำให้เพื่อนของเขาฝังใจจนยังไม่มีใครมาจนถึงทุกวันนี้ วายุก็ทำหน้าเครียดทันที


“ซวยชิบ”


“มีซวยกว่านั้นอีก”


“อะไร”


“ก็ฉันเพิ่งรู้มาว่า พศินเพิ่งมีแฟนใหม่ได้ปีกว่าๆ แถมเป็นนักเขียนดังในสังกัดอีกต่างหาก...”


เสียงการจราจรบนถนนดูจะดังขึ้นกว่าเมื่อครู่ เพราะทั้งสองต่างเงียบคล้ายจมอยู่ในความคิดของตัวเอง กระทั่งผ่านไปชั่วอึดใจ ที่ปรึกษาจำเป็นอย่างวายุจึงเอ่ยขึ้นก่อน


“แล้วแกจะเอาไง ลาออกไหม”


“...คงไม่ เพราะฉันไม่ได้คิดหรือโหยหาเขาขนาดนั้นแล้ว แค่รู้สึกทำตัวไม่ถูกเวลาเจอกันบ้างบางครั้งเท่านั้นเอง”


“ก็แล้วแต่แกตัดสินใจ แต่ถ้าไม่ไหวก็เลิก แล้วกลับไปทำงานกับพ่อแกซะ”


“เบื่อจะตาย ตาแก่ขี้บ่น” ปริญทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อนึกถึงเสียงบ่นของผู้เป็นพ่อ


“เขาก็บ่นเพราะเป็นห่วงนั้นแหละ ของแกยังดีที่มีแค่พ่อบ่น ของฉันทั้งบ้าน หูชาจะตายอยู่แล้ว”


“ฮ่าๆๆ เฮียกับป๊าแล้วก็ม๊าคงกลัวแกหนีไปเที่ยวรอบโลกอีกน่ะสิ ถึงควบคุมซะขนาดนี้”


“โถ่...ถ้าฉันจะไปใครก็ห้ามไม่อยู่หรอก” วายุว่า เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีใครห้ามเขาได้จริงๆ


“ทำเป็นพูดดี ถ้าถูกจับแต่งงานแบบเฮียๆ ของแกแล้วจะรู้สึก”


“เรื่องนี้ก็บังคับไม่ได้เหมือนกัน”


ส่วนเรื่องนี้ ที่บังคับไม่ได้ก็เพราะทางบ้านรู้หมดแล้วว่าเขาเป็นเกย์ และถ้าจะให้แต่งงาน ป๊ากับม๊าคงต้องไปทาบทามลูกชายเพื่อนมาให้แทนลูกสาว


แล้วเพื่อนคนจีนคนไหนของป๊าจะยอมยกลูกชายให้กัน


“เก่งจริงจริ้ง คุณวายุผู้ควบคุมได้ทุกอย่าง” ปริญประชด


“แน่นอน”


“หึ ฉันล่ะอยากให้แกเจอคนที่ทำให้แกควบคุมอะไรไม่ได้ คนที่ทำให้แกต้องหยุด หันซ้าย หันขวาแค่เขากระดิกนิ้ว”


“ไม่มีหรอก” วายุส่ายหัวราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ “คนที่ทำให้ฉันไม่เป็นตัวเองขนาดนั้นน่ะ”


“แล้วฉันจะคอยดู”


ถ้าแกจะเจอแล้วแกจะรู้ไอ้ลม...เดี๋ยวรู้เลย


วายุกระตุกยิ้มอย่างเหนือกว่าโดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกเพื่อนรักสาปแช่งในใจด้วยความหมั่นไส้ ทั้งยังเผลอลืมไปเสียสนิทว่า วันนี้เขาก็เพิ่งได้ใช้เวลากับใครคนหนึ่ง


คนที่ทำให้วายุควบคุมไม่ได้แม้แต่รอยยิ้มของตนเอง











-----------------------------------------------------------------------







เรื่องนี้ไม่ดราม่าจริงๆ แค่ตัวประกอบเยอะเฉยๆ ให้พอมีสีสัน /พูดดักไว้ก่อน 5555
ถามว่าสองคนทำไมดูสปาร์คกันเร็ว เพราะนี่อยากเขียนเรื่อราวระหว่างทางของความสัมพันธ์ด้วยค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ จะพยายามมาลงทุกวัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-07-2018 20:58:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 19-07-2018 21:27:41
พี่ลมนี่ก็พูดไป ใครน้าที่อ่านทวีตน้องก้อนแล้วหุบยิ้มไม่ลง
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ---Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง--- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 19-07-2018 22:45:36
น้องก้อนหายเร็วๆนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 20-07-2018 08:03:23
เรื่องนี้น่ารักมาก ติดตามค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-07-2018 08:25:54
 :L2: :pig4: :L1:

เหมือนได้กลิ่นม่าม่า ขอให้เป็นแค่มาม่าช้างน้อย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: มะลิมะลิ ที่ 20-07-2018 09:14:03
รอเลยค่ะ ไม่ชอบอ่านมาม่า สักเท่าไหร่ มีได้แค่พอกรุบกริบเนอะ

มานั่งรอตรงนี้แหละ  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-07-2018 23:58:27
อเรื่องนี้น่าอ่านมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-07-2018 01:02:58
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 21-07-2018 11:17:53
น่ารักกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 22-07-2018 13:49:29
เอ็นดูกิ๊บสับปะรด
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 4 [19/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-07-2018 23:19:32
อยากบีบน้องก้อนนนนน  :mew3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 24-07-2018 01:27:57








บทที่ 5







หลังจากพี่รถกลับข้าวกลับไปแล้ว กวีก็กลับมาที่ครัวขนาดเล็กของตัวเองอีกครั้ง อาหารวันนี้ไม่มีเหลือให้เก็บไว้อุ่นกินวันรุ่งขึ้น แต่พอมองไปที่อ่างล้างจาน ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย


ทำไมมันเยอะแบบนี้นะ


กวีได้แต่ทำหน้ามุ่ยเพราะอยากแช่จานชามไว้ไปล้างวันรุ่งขึ้น แต่วันนี้ของที่ทำมีหลายอย่างมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้จนเต็มอ่างข้ามคืนเศษอาหารคงส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั้งห้องเสียก่อน เขาจึงจำใจหยิบถุงมือยางมาสวม แล้วลงมือทำความสะอาดให้เรียบร้อย


กวีเป็นคนที่ชอบทำกับข้าวเองก็จริง แต่ถ้าเป็นงานบ้านอื่นๆ เขาไม่ชอบเลยสักอย่าง แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างล้างจานที่ตัวเองกินเสร็จจะเป็นสิ่งที่พอทำได้ แต่งานบ้านที่เหลือกวีอาศัยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดแทน ส่วนเสื้อผ้าก็ส่งร้านซักรีดทั้งหมดเหมือนกัน


สมัยเรียนกวีเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวอันประกอบด้วยแม่และพี่ชาย แม่ของเขาเป็นเหมือน super women ที่สามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านได้หมด ทั้งยังออกไปดูแลร้านอาหารเล็กๆ ของครอบครัวได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพึ่งพาลูกๆ เลย เธอบอกว่าเขากับพี่ชายมีหน้าที่เรียน ก็ตั้งใจเรียนให้ดี ไม่ต้องแย่งหน้าที่อื่นๆ ของเธอ


กวีรู้ว่าแม่พูดแบบนั้นเพราะแม่รักและหวังดีกับพวกเขา ไม่อยากให้ต้องลำบาก หากด้วยความเป็นเด็กดีแม้จะเกลียดงานบ้านมากแค่ไหน กวีก็ยังมีความคิดอยากจะช่วยงานบ้างเหมือนกัน เขาจึงเริ่มทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่แม่ไปขายอาหาร


ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือจานชามและแก้วน้ำแตกทุกวันที่เขาล้าง ชุดนักเรียนถูกสีตกใสเพราะตอนซักไม่ได้แยกผ้าสีออกก่อน เสื้อที่ต้องรีดก็มีรอยประทับของเตารีดหลายตัว ขนาดต้นไม้ที่แม่ฟูมฟักยังเฉาตายเพราะรดน้ำมากเกินไป


ในที่สุดแม่ก็ขอร้องให้กวีหยุดช่วย...และกวีก็คิดว่าตัวเองสมควรหยุดด้วยเช่นกัน


เขาตั้งใจเรียนเหมือนที่แม่บอก ไปเร็วกลับเร็วทุกวัน พอทำการบ้านหรืองานที่คั่งค้างเสร็จก็นอนอ่านหนังสือที่ชอบ วนๆ เวียนๆ อยู่ในห้องจนติดเป็นนิสัย ซ้ำยังมีเจ้าตัวขี้เกียจเกาะหนึบไม่ปล่อย


แต่ชีวิตของกวีก็ไม่ได้เดือดร้อน ทุกคนในบ้านก็แฮปปี้ดี ยิ่งพี่ชายเขาเรียนจบแล้วกลับมาช่วยแม่ทำกิจการที่ร้านอาหารต่อ ทุกอย่างก็ยิ่งดูดีขึ้น


จนกระทั่งกวีมาสะดุดเข้ากับจุดเปลี่ยนในชีวิต นั่นคือแม่กำลังจะแต่งงานใหม่


เวลานั้นกวีโตพอจะเข้าใจว่ามันคือความสุขในชีวิตของแม่ อีกอย่างพ่อก็เสียไปนานแล้ว แม่คงอยากมีเพื่อนคู่คิด เขาไม่ได้งอแงเลย แม้แม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับสามีชาวต่างชาติที่อเมริกาก็ตาม


แม้จะตกลงและเห็นว่าลูกชายโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว แม่ก็ต้องจัดการอะไรต่อมิอะไรอยู่นาน เพราะเป็นห่วงกลัวว่ากวีจะอยู่คนเดียวไม่ได้ พี่ชายของกวีไม่เท่าไหร่ แต่ตัวเขานี่สิที่แม่ติวเข้ม หัดให้ทำอะไรหลายๆ อย่างจนพอเอาตัวรอดได้ เธอจึงวางใจแล้วปล่อยลูกนกออกจากรัง


ตอนเด็กเป็นแบบไหน ตอนโตมาก็เป็นแบบนั้น หลังจากทำงานหาเงินเองได้กระทั่งมีเงินมากพอที่ตัวเองจะใช้ชีวิตแบบสุขสบาย ถ้าไม่ชอบทำความสะอาด แต่ก็ไม่อยากให้บ้านเลอะเทอะ ด้วยต้องอยู่ที่นี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คนขี้เกียจก็แค่ใช้เงินแก้ปัญหาไป


มีอย่างเดียวที่ใช้เงินแก้ไม่ได้คือกับข้าวรสมือแม่ จะให้นั่งรถไปกินที่ร้านพี่ชายทุกวันก็ไกลคนละฝั่งจังหวัด ดังนั้นชายหนุ่มที่มีอินเนอร์เด็กอ้วนอย่างเขาจึงต้องทำกับข้าวกินเอง โดยใช้สูตรของแม่ที่จดเอาไว้


มือก็ล้างจานไป ในหัวก็ภูมิใจในตัวเอง เดี๋ยวนี้เขาไม่ทำจานชามแตกเป็นว่าเล่นอีกแล้ว เพราะเข้าครัวมาหลายปี กับข้าวที่เมื่อก่อนทำตามสูตรก็ยังไม่อร่อย ตอนนี้มีคนชมตั้งสี่คน นั่นคือแม่ พ่อเลี้ยงฝรั่ง พี่ชายของเขา และบก.เจน


ไม่สิ...ตอนนี้เป็นห้าคน เพราะรวมถึงพี่รถกับข้าวด้วย


วันนี้เห็นพนักงานส่งผู้มีน้ำใจเติมข้าวถึงสองครั้ง หัวใจคนทำก็พองฟู


กวีเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ ว่านอกจากชอบกินแล้ว ยังชอบเห็นคนอื่นกินอาหารที่เขาทำด้วย เวลาว่างๆ จากการปั่นต้นฉบับ ชายหนุ่มจึงมั่นฝึกปรือฝีมือตัวเองบ่อยๆ เผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้ทำให้ชิม


เมื่อล้างจานเสร็จ กวีก็ล้างไม้ล้างมือแล้วเข้าไปเปิดไฟในห้องทำงาน


วันนี้เขาตั้งใจจะไม่เขียนต้นฉบับ เพราะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากพักผ่อนให้มากเหมือนที่สัญญากับพี่เจนไว้ แต่เพราะเมื่อบ่ายหลับยาวถึงเย็น เวลานี้จึงไม่ง่วงอย่างที่ควรเป็น


กวีจึงเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคู่ใจ เพราะอยากดูซีรี่ส์ที่ดูค้างไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้จบ แต่ก่อนดูซีรี่ส์เขาก็แวะไปเช็คฟีดแบ็คจากนิยายตอนใหม่ในเว็บและทวิตเตอร์เล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ


กระแสนิยายตอนนี้ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีเหมือนเดิม และมีนักอ่านหน้าใหม่เข้ามาคุยด้วยเล็กน้อย ครั้นตอบคำถามในกล่องเมนชั่นทวิตเตอร์หมด กวีก็อัพเดตชีวิตเหมือนทุกวัน คนอ่านจะได้รู้ว่าเขายังไม่หายไป


วันนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานเขียนให้พูดถึงมากนัก เพราะไม่ได้เขียนงานเลย นักเขียนหนุ่มนั่งนึกอยู่นานว่าจะทวิตอะไรดี กระทั่งภาพใบหน้าใจดีๆ ของใครคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในสมอง


หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี 
   21:07 PM . 29 ก.ค.18



มีคนส่งข้อความมาถามว่าคนใจดีที่กวีว่าคือใครกัน แม้แต่เพื่อนนักเขียนที่รู้จักก็ตั้งข้อสังเกตว่าเขากำลังจะมีความรักหรือเปล่า กวีต้องรีบแก้ความเข้าใจผิดอยู่เป็นนาน จนขี้เกียจพิมพ์โต้ตอบกับพวกขี้แซวแล้ว ชายหนุ่มจึงหนีไปดูซีรี่ส์อย่างที่ตั้งใจ


ซีรี่ส์ที่กวีดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหาร เขาดูเพลินจนจบตอนแล้วยังอินจนออกมาหาคลิปทำอาหารในชาแนลสอนทำอาหารดูต่อ เพราะนอกจากงานเขียน ซีรี่ส์ ก็มีเรื่องอาหารที่ดึงดูดเขาได้ขนาดนั้น


“น่ากินจัง”


เจ้าของแก้มกลมเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะมองแพนเค้กเนื้อฟูท่าทางนุ่มนิ่มราดด้วยน้ำผึ้งแวววาว ขั้นตอนการทำดูยุ่งยากกว่าแพนเค้กปรกตินิดหน่อย แต่ถ้าทำจริงๆ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรง


ลองทำดีไหมนะ...กวีคิด


ทว่ายิ่งคิด ท้องก็ยิ่งร้องดังโครกครากไปหมด ทั้งที่เมื่อหัวค่ำเขากินข้าวไปตั้งเยอะ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกหิวอีกได้ นี่คงเป็นเพราะคลิปสอนทำขนมพวกนี้ไม่ผิดแน่


กวีก็เหลือบมองนาฬิกา แล้วมองพุงย้วยๆ ใต้เสื้อหลวมๆ ของตัวเอง อยากกินก็อยากกิน แต่เขากำลังจะเข้านอนแล้ว กินอะไรก่อนนอนไม่ใช่เรื่องดี คิดได้ดังนั้นกวีก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟในห้องทำงานเพื่อกลับไปนอนในห้องนอน


ก่อนนอนก็ไม่ลืมแวะไปดื่มน้ำแก้วโตกันหิว และสำรวจวัตถุดิบที่มีด้วยตาเปล่าแบบลวกๆ เพราะตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้ ก่อนที่จะเริ่มปั่นต้นฉบับอีกครั้ง เขาจะต้องทำแพนเค้กฟูๆ กินให้ได้!







เช้าวันต่อมา


กวีตื่นเร็วกว่าปรกติ เพราะเมื่อคืนชายหนุ่มได้หลับเต็มอิ่ม เมื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย กวีก็เริ่มภารกิจในวันนี้ที่เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน


วันนี้จะทำแพนเค้กฟู!


กวีกดสั่งวัตถุดิบที่จะใช้ในการทำแพนเค้กจากแอปฯ พี่รถกับข้าวอย่างคล่องแคล่ว เพราะเขาจำได้ขึ้นใจว่าส่วนผสมของมันมีอะไรบ้าง พอสั่งเสร็จเขาก็เริ่มหาอาหารเช้าง่ายๆ รองท้อง และค้นครัวเตรียมอุปกรณ์เท่าที่มี


กวีพบว่าเขามีเครื่องไม้เครื่องมือพอจะทำได้ทุกอย่าง ขาดแค่เครื่องตีส่วนผสมที่เอาไว้ใช้ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูเท่านั้น เครื่องที่ว่าชายหนุ่มไม่เคยคิดซื้อไว้ เพราะมันไม่ได้จำเป็นเท่าไร เวลานี้จึงได้แต่ต้องหวังพึ่งพาตะกร้อตีไข่กับแรงแขนตัวเองเพียงอย่างเดียว


สั่งของไปไม่ถึงชั่วโมง เสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น นักเขียนหนุ่มรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูโดยไว เพราะหวังใจว่าอาจได้พบพนักงานส่งใจดี


ทว่าผิดคาด...พนักงานส่งคนนี้ ไม่ใช่พี่รถกับข้าวของกวี


กวีรับของเรียบร้อยก็หิ้วตะกร้ากลับเข้าห้อง ใจจริงอยากถามว่าพี่รถกับข้าวไปไหน ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนคนส่ง แต่พอนึกได้ว่าอาจจะเป็นวันหยุดของพี่เขา กวีจึงเลือกสงบปากสงบคำแทน


ระหว่างที่นักเขียนหนุ่มหอบเอาของมาวางไว้บนโต๊ะ และเริ่มวัดตวงส่วนผสม ในหัวก็พลันนึกคาดเดาสาเหตุที่ไม่ได้เจอคนใจดีในวันนี้ไปด้วย


บางทีอาจเป็นเพราะปรกติ กวีเลือกสั่งของทุกๆ สามวัน ดังนั้นจึงได้เจอกับพนักงานส่งคนเดิมตลอดสามอาทิตย์ แล้วเมื่อวานพี่รถกับข้าวเพิ่งมาส่งของให้เขา และวันนี้เป็นวันที่ไม่ได้อยู่ในรอบการสั่งปรกติ พี่เขาคงเวียนคิวไปส่งให้ลูกค้าที่อื่น


....เอ...หรือพี่เขาจะโดนว่าเรื่องลางานกะทันหันเมื่อวาน


คงไม่ใช่โดนไล่ออกไปแล้วหรอกนะ!!


ความคิดของคนมีจินตนาการสูงฟุ้งซ่านไปไกล เขาจึงไม่มีสมาธิพอแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันได้สักที จนกระทั่งไข่ใบที่สี่ กวีจึงหันมาเรียกสติของตัวเอง ด้วยไม่อยากเสียไข่ไปมากกว่านี้แล้ว


เพราะมีขั้นตอนที่เขาต้องระมัดระวัง ดังนั้นเมื่อผ่านไปพักใหญ่ แม้ใจจะยังกังวลกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นสาเหตุให้พี่รถกับข้าวเดือดร้อน ชายหนุ่มก็ต้องตั้งสมาธิอยู่กับการทำขนมตรงหน้า


จนในที่สุดแป้งแพนเค้กฟูถ้วยแรกก็เสร็จสมบูรณ์


เขาเปิดเตาแล้วตักแป้งใส่ลงไป ก่อนหน้านั้นไม่ลืมเอากระทะเช็ดน้ำมันด้วย พยายามทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ระหว่างที่รอแป้งแพนเค้กสุก ชายหนุ่มก็หันมาเตรียมผลไม้กับน้ำผึ้ง


ถึงตรงนี้กวีจึงเพิ่งรู้ว่าได้รับของจากร้านพี่รถกับข้าวไม่ครบ ชายหนุ่มจึงโทรกลับไปยังหมายเลขที่โทรมาคอนเฟิร์มการส่งรอบแรก เพื่อแจ้งว่าขาดน้ำผึ้งไปหนึ่งขวด


ทางร้านขออภัยในความผิดพลาด และยืนยันว่าจะมาส่งของให้ภายในวันนี้ กวีจึงรอคอยอีกครั้ง และระหว่างนั้นก็คอยดูแพนเค้กไปด้วย








   ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~


เสียงกริ่งดังขึ้นขณะที่เจ้าของห้องกำลังเคี้ยวแพนเค้กเสียจนแก้มตุ่ย เจ้าตัวรีบกลืนขนมหวานลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนเร่งฝีเท้าไปรับของที่หน้าประตู


“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”


เสียงและรอยยิ้มที่คุ้นเคยของพนักงานส่งคนนี้ทำให้กวีเบิกตาโต ก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงใสอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเสมอ


“พี่รถกับข้าวมาแล้ว!~”


“หึๆ พี่นึกว่าจะไม่ทักกันซะแล้วครับ” คนตรงหน้าเอ่ยยิ้มๆ


“พี่มาได้ยังไงครับ พนักงานก่อนหน้าไม่ใช่พี่รถกับข้าวนี่นา” กวีถามอย่างงุนงง นิ้วชี้ไปที่หมวกกันน็อคในอ้อมแขนของพี่รถกับข้าว


“พี่ขี่มอเตอร์ไซด์มา กลัวว่าจะรีบใช้ของน่ะครับ”


“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลยครับ” กวีว่าเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตสีเทาของฝ่ายตรงข้ามมีรอยชื้นของเหงื่อรำไร


“ต้องรีบสิครับ เพราะต้องเอาของมาส่งตามที่คุณลูกค้าแจ้งไงล่ะครับ” คนตัวโตยกโหลน้ำผึ้งที่เขาสั่งให้ดู ก่อนจะรีบของโทษขอโพย “ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทางร้านสะเพร่า ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน”


“ไม่เป็นไรครับ” กวีโบกมืออย่างไม่ถือสา


“ไม่ได้สิครับ เรื่องนี้ทางร้านผิดเต็มๆ เลย ยังไงก็ต้องขอโทษคุณลูกค้า”


“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมไม่ว่าอะไรสักหน่อย ดีเสียอีก มาส่งอีกรอบผมจะได้เจอพี่ไง”


คนพูดก็พูดไปด้วยความดีใจ เพราะจะได้เลิกกังวลว่าอีกฝ่ายจะโดนไล่ออกเพราะตัวเอง ส่วนคนฟังกลับนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่กวีฟังไม่ถนัด


“จะทำให้ใจเต้นไปถึงไหน”


“ว่าอะไรนะครับ” กวีเลิกคิ้วถาม


“ป่ะ..เปล่าครับคุณลูกค้า”


“คุณลูกค้าอะไรล่ะครับ ผมบอกแล้วไงว่าให้เรียกวีเฉยๆ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะฟ้องใครหรอกนะครับ”


“แต่เรายังเรียกพี่ว่า พี่รถกับข้าวอยู่เลยนี่ครับ ถ้าเปลี่ยนก็ต้องเท่าเทียมกันนะ” คนใจดีท้วงบ้าง หากน้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก


“โอ๊ะ! ผมลืมไปเลยครับ เรียกพี่รถกับข้าวจนชินน่ะ” คุณลูกค้าแก้ตัว ก่อนเปลี่ยนคำเรียกอีกครั้ง “พี่ลม พี่ลม พี่ลม คราวหลังจะไม่ลืมแล้วครับพี่ลม”


ครั้นพูดจบ คนถูกเรียกพี่ลมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทั้งยังทำสีหน้าประหลาดให้กวีนึกฉงน


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่ลม”


คนตัวสูงเอามือข้างหนึ่งกุมอกของตัวเองเบาๆ แล้วว่า “พี่เหมือนจะเป็นลมเลยครับ”


“ห๊า!” กวีตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง


โดยที่ยังไม่สังเกตสีหน้าว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีอาการเหมือนคนจะเป็นลมจริงๆ อย่างที่พูด คุณลูกค้าผู้หวังดีก็คว้ามือหนาเอาไว้ แล้วเอาแขนนั้นพาดบ่าตัวเอง ก่อนบังคับพยุงลากอีกฝ่ายเข้าห้อง


“อะไรกันครับวี...”


“เข้าไปนั่งพักก่อนนะครับ เดี๋ยวล้มแล้วผมอุ้มไม่ไหวหรอกนะ เข้าไปตอนมีสติอยู่บ้างนี่แหละ”


“หืม? วีหมายถึงอะไร“


“ก็พี่จะเป็นลมไงครับ ดูสิอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซด์มา อากาศก็ร้อน”


“...เดี๋ยววี---”


ยังไม่ทันรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร นักเขียนหนุ่มก็ทึกทักพาพี่รถกับข้าวเข้าบ้านตัวเองด้วยความเป็นห่วง


“อย่าเพิ่งพูดสิครับ” พลเมืองดีเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ก่อนทำปากจุ๊ๆ คล้ายกับผู้ใหญ่ดุเด็ก “ห้ามดื้อด้วย มาครับๆ เข้าไปนั่งพักก่อน”
   

“...ครับ” พี่รถกับข้าวของกวีตอบกลับมาแค่นั้น ก่อนทิ้งน้ำหนักตัวมาทางกวีมากกว่าเดิม
   

หนักชะมัดเลย
   

กวีคิดในใจ ทว่าไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เพราะขนาดเขาเนื้อเยอะแบบนี้ พี่รถกับข้าวยังอุ้มเข้าไปนอนในห้องได้ ดังนั้นถ้าหากพี่รถกับข้าวลำบาก กวีก็ควรแสดงน้ำใจบ้าง
   

วันนี้แหละ กวีจะดูแลพี่ลมเอง!







------------------------------------------------------------






แพนเค้กฟูมีสองพาร์ท พาร์ทก้อนคือใสๆ น้องช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ในส่วนของพาร์ทพี่ลมคนดี(ในความคิดก้อน)นั้น....
เอาไว้ตามต่อตอนหน้าเราไปหาเศษหาเลยกับเจ้าหมูก้อนไปพร้อมพี่ลมกันค่ะ 555555
แต่ฝนจะรีบลงนะคะ คือมันได้อ่านต่อกันน่าจะได้ฟีลมากกว่า

ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-07-2018 01:37:37
โถถถ น้องวีผู้ใสซื่อ น่าเอ็นดูจริงๆ :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-07-2018 01:42:51
 :z1: :z1: :z1:  วีเอ๊ยย พี่ลมจะช๊อตตายเพราะวีนั้นแระลูก คริคิร
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-07-2018 01:56:11
น่ารักดี
อ่านตอนดึก แอบอยากแพนเค้กมั่งอ่ะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 24-07-2018 02:05:46
อยากกินแพนเค้กด้วยคน  :impress3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-07-2018 03:51:44
ใครจะอิ่มกว่ากัน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 24-07-2018 04:09:48
ต้องให้น้องก้อนป้อนพลัง​ อ่านแล้วอยากให้มีแอปจริงๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 24-07-2018 07:15:44
น้องกวี๊น่ารักจังเลยลูก พี่ลมทำใจดีๆ เอาไว้นะคะ ความน่ารักทำให้เราวูบได้555555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-07-2018 14:32:59
โอ้ยยิ่งอ่านยิ่งอยากบีบเนื้อน้องงงงง เป็นลมไปพร้อมพี่ลมมมมม  :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-07-2018 15:20:36
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 24-07-2018 16:17:32
พี่ลมเนียนเลยน้ออออออ
น้องวีน่ารักกกก รอดูพี่ลมแทะโลมน้อง(ทางสายตา)ค่ะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-07-2018 23:47:41
น้องวีน่ารัก แต่พี่ลมชักจะเจ้าเล่ห์
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-07-2018 00:04:23
อ้อยกันไป อ่อยกันมา. 555
น่ารักดี,,,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 25-07-2018 19:31:31
น้องจะทันพี่ไหมเนี่ย ^^
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 5 [24/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-07-2018 03:39:46
กด +ให้เนอะ :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 26-07-2018 17:32:45


บทที่ 6





“อย่าเพิ่งพูดสิครับ” เสียงคนน่ารักปราม ก่อนริมฝีปากฉ่ำๆ คล้ายมีอะไรบางอย่างเคลือบเอาไว้จะทำท่าจุ๊ๆ แล้วเอ่ยอีกประโยค “ห้ามดื้อด้วย มาครับๆ เข้าไปนั่งพักก่อน”


   ห้ามดื้ออย่างนั้นหรือ...


   ได้ยินแบบนี้คนที่คิดจะดื้อ ก็หยุดคิดไปโดยปริยาย เขาทำตามคำพูดของคุณลูกค้าคนพิเศษอย่างว่าง่าย ด้วยการทิ้งน้ำหนักตัวให้คล้ายคนจะเป็นลมอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ ทำให้กวีต้องกระชับแขนและเอวของเขาให้แน่นขึ้นเพื่อยึดไม่ให้ร่างหนักๆ ไถลหล่นลงไปกองกับพื้นเสียก่อน


   กวีตัวไม่สูงนัก แต่รูปร่างก็ไม่ได้ผอมบาง มันออกจะ...เต็มไม้เต็มมือ ยามที่เขาเกาะเกี่ยวที่เอวหรือเบียดร่างกายเข้าใกล้ชิดอีกฝ่ายเพื่อความสมจริง


   วายุไม่ได้ตั้งใจ สาบานต่อหน้าขวดน้ำผึ้งในมือเลยว่าเขาไม่ได้คาดหวังให้เป็นเช่นนี้ แค่สถานการณ์มันพาพัดให้เขาต้องเล่นตามน้ำ


   ที่วายุพูดว่าเหมือนจะเป็นลม เนื่องจากใจเต้นแรงเพราะคนน่ารักจนหลุดปากไปเท่านั้นเอง


   เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอาเปรียบกวีจริงๆ นะ


   แต่ถ้าจะมองว่าเป็นผลพลอยได้ เขาก็คงเถียงไม่ได้หรอก


   ครั้นพากันทุลักทุเลมาถึงที่ห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องๆ กับห้องนอนที่เขาเข้าไปนั่งเฝ้าอีกฝ่ายคราวที่แล้ว อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาถามด้วยแววตาใสซื่อที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง


   “พี่ลมยืนไหวไหมครับ”


   “ไหวครับ”


   “งั้นยืนรอผมแป๊บนึงนะ”


   “ครับ” ครั้นวายุพยักหน้าให้ ร่างนุ่มนิ่มก็ผละออกไปทันที


   กวีรีบไปเก็บโต๊ะญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว แล้วจัดกองหมอนกระจัดกระจายบนพรมสีเหลืองนวลให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นจึงหันมาประคองวายุให้นั่งลงบนพรม เนื่องจากในห้องนี้ไม่มีโซฟา


   “ขอโทษนะครับ มันค่อนข้าง...รกไปหน่อย” แก้มกลมๆ ขึ้นสีเรื่อเล็กน้อย ดูท่าคงรู้สึกอายที่ถูกวายุรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวทั้งที่ยังไม่พร้อมรับแขก


   “ไม่เป็นไรครับ” วายุยิ้มอ่อน “ห้องพี่รกกว่านี้เยอะเลย”


   “จริงหรือครับ” กวียิ้มรับ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “พี่ลมรอตรงนี้ก่อนนะ ผมจะไปเอาน้ำกับยาดมมาให้”


   “ครับ”


   ได้ยินเสียงตอบรับแล้ว นักเขียนหนุ่มก็รีบวิ่งดุ๊กดิ๊กกลับออกไปข้างนอก ทิ้งให้คนป่วยไม่จริงมองตามหลังไปอย่างรู้สึกผิด


   ตั้งแต่จำความได้ วายุไม่เคยใช้เหตุผลข้างๆ คูๆ เข้าหาใครแบบนี้มาก่อน ยิ่งคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่มีทางไว้ใจและทำตัวสนิทสนมได้ง่ายๆ แน่


แม้จะเคยถูกใจใครมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยใช้ความถูกใจเพื่อเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้ ทั้งเรื่องส่งของให้ลูกค้าคนพิเศษด้วยตัวเอง ทั้งหนีงานมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วไหนจะรีบบึ่งมาทันทีที่รู้ว่ามีออเดอร์ตกค้างของนักเขียนดัง


พฤติกรรมไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยทำเพราะกวีเป็นคนแรก


สามอาทิตย์ที่ผ่านมามีสัญญาณหลายอย่างดังเตือนในหัวให้วายุรู้ตัว แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้าม ทำเหมือนตัวเองแค่ปลื้มเพราะอีกฝ่ายเป็นนักเขียนคนโปรด ก่อนจะรู้สึกประหลาดจนต้องกลับไปย้ำกับตัวเองว่าให้ระวังและหนักแน่นเข้าไว้


ประสบการณ์เรื่องความรักทำให้รู้ว่า การทำตามสัญชาตญาณโดยขาดการยับยั้งช่างใจให้ผลลัพธ์ที่น่ากลัวเสมอ


แต่ทั้งที่รู้ วายุก็อดไม่ได้อยู่ดี เพราะทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียงใสๆ และรอยยิ้มไม่มีพิษมีภัยนั่น มันชวนให้หัวใจเขาหวั่นไหวทุกที


ก็ใครใช้ให้วายุมีรสนิยมแบบนี้กันล่ะ


คนน่ารักที่เหมือนสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนุ่มนิ่มแบบนี้...โคตรแพ้ทางเลยให้ตาย


ชายหนุ่มเสยผมลวกเพราะรู้สึกวุ่นวายใจ เครื่องปรับอากาศไม่ทำให้เขารู้สึกเย็นใจลงเท่าไหร่ ทั้งที่รู้ว่าเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ทว่าเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี ควรเดินหน้าต่อไปแบบเนียนๆ หรือกลับไปคิดมาใหม่ว่าการหลงใครสักคนแค่รูปลักษณ์ผิวเผินมันดีจริงๆ หรือ


คิดไปคิดมา คนในห้วงคำนึงก็พลันกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับแก้วน้ำแดงชงพร้อมดื่ม และยาดมที่เขาเป็นคนแกะใช้เมื่อวาน


“ขอโทษนะครับ พอดีผมมัวแต่ชงน้ำแดงอยู่”


“ไม่เป็นไรครับ วีไม่ได้ไปนานหรอก”


“ว่าแต่พี่ลมเป็นยังไงบ้าง อึดอัดไหมครับ ร้อนอยู่ไหม ผมจะเร่งแอร์ให้นะ” นักเขียนหนุ่มถามกระตือรือร้น แล้วยื่นแก้วน้ำแดงเย็นเฉียบให้


“เท่านี้ก็เย็นแล้ว ขอบคุณนะครับ”


“ไม่เป็นไรครับ” กวียิ้ม แล้วหันมาเร่ง “ไม่ดื่มหรือครับพี่ลม”


“ดื่มสิครับ วีอุตส่าห์ชงให้พี่นี่” พอถูกกระตุ้น วายุจึงดื่มจนหมดแก้วทั้งที่เป็นมนุษย์ที่ไม่นิยมบริโภคน้ำตาลสักเท่าไหร่


ครั้นเห็นวายุดื่มแล้ว กวีก็ส่งยาดมให้ ก่อนจะยกน้ำแดงอีกแก้วกระดกพรวดๆ ไปครึ่งหนึ่ง ดูท่าคงอยากดื่มมากกว่าเขาเสียอีก พอดื่มเรียบร้อยเจ้าตัวก็ใช้หลังมือเช็ดปากลวกๆ แต่คงไม่รู้ว่าที่มุมปากสองข้างมีรอยน้ำแดงจากขอบแก้วประทับอยู่


“หึ---“


คนตัวโตกว่าหลุดหัวเราะ แต่เมื่อเห็นดวงตากลมๆ มองด้วยแววฉงน เขาก็จึงรีบทำหน้านิ่งกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะอย่างยากลำบาก หากคงไม่ทัน เพราะกระต่ายตื่นเสียแล้ว


“ขำอะไรครับพี่ลม”


“ปะ...เปล่าครับ” วายุแสร้งดมยาดมพลางปฏิเสธเพราะกลัวอีกฝ่ายอาย แต่กวีกลับไม่ยอมเชื่อ ดวงตากลมๆ นั่นหรี่ลงเล็กน้อยพยายามจับผิด “หึๆ”


“แหนะ! พี่หัวเราะอีกแล้ว มีอะไรกันแน่ครับ”


“มีนี่...” วายุใช้นิ้วชี้ที่ปากของตัวเองเป็นสัญญาณ แต่ดูเหมือนคนน่ารักจะไม่เข้าใจ


“อะไรครับ”


“น้ำแดงเปรอะแก้มน่ะครับ”


กวีทำตาโต แล้วรีบใช้มือปิดปากก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ระหว่างนั้นวายุได้ยินเสียงโหยหวน เหมือนยักษ์เลย~ ดังมาแว่วๆ ให้นึกขันอีกรอบ


นี่แหละ เขาแพ้อะไรแบบนี้แหละ...ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วลูบอกเบาๆ ให้ใจสงบ ก่อนดวงตาจะไปสะดุดที่โต๊ะญี่ปุ่นซึ่งกวียกหลบไปด้านข้างเมื่อครู่


ดวงตาคมมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยแผ่นเอกสารมากมาย ทั้งยังมีเครื่องเขียน คอมพิวเตอร์ ของกระจุกกระจิกหลายอย่าง รวมทั้งกิ๊บรูปสับปะรดที่เขาเห็นในครั้งแรกด้วย


จากโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มก็สอดส่ายสายตาอยากรู้อยากเห็นไปทั่วห้อง


ห้องห้องนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากนัก นอกจากโต๊ะญี่ปุ่น กองหมอน และชั้นหนังสือแบบบิวอินชิดริมผนังสามด้านสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ส่วนด้านหลังของเขาเป็นกระจกใสบานใหญ่ซึ่งมีผ้าม่านสีครีมรวบแขวนด้านข้าง


ถ้าจำไม่ผิด วายุรู้มาว่าคอนโดแห่งนี้ค่อนข้างมีราคาสูงพอสมควร และมองจากภายนอกก็พอรู้ว่าไม่ธรรมดา แต่นักเขียนดังกลับแต่งห้องนี้อย่างเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจำได้ว่าห้องนอนกับห้องครัวกับโต๊ะกินข้าวที่อยู่ด้านหน้าก็เป็นสไตล์เรียบๆ เช่นเดียวกัน


ทว่าพอนึกๆ แล้ว มันก็ดูเข้ากับเจ้าของห้องพอดิบพอดี เพราะไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้ง ตัวกวีเองก็ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องหรูหรา เจ้าตัวชอบสวมเสื้อผ้าปอนๆ จนคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กดูแลบ้านก็ได้


ถึงอย่างนั้น วายุกลับรู้สึกว่าความธรรมดาเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งอะไรเลยเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น


ยกเว้นเจ้ากิ๊บรูปสัปปะรดสีเหลืองอ๋อยนั่นที่วายุรู้สึกว่าผู้ชายธรรมดาคงไม่ใช้กัน…


“มาแล้วครับ!”


คนน่ารักส่งเสียงนำมาก่อนตัว ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ครั้นวายุหันไปมอง เขาก็พบใบหน้าแป้นแล้นกับกิ๊บตัวใหม่ไฉไลกว่า


กิ๊บรูปยีราฟหรือ...?


อยากรู้จริงว่ากวีไปสรรหาของประหลาดแบบนี้มาจากไหนเยอะแยะ


“พี่ลมครับ” ไม่ทันรู้ตัว เจ้าของห้องก็ขยับมาถึงตัวเขา แล้วทรุดนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง


“ครับ?”


“พี่จะนอนพักก่อนไหมครับ”


“นอนพักหรือ”


“ครับ” คนถามพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยตามความเข้าใจ “ก็วันนั้นที่ผมเป็นลมไป ผมยังนอนพักตั้งนาน พอตื่นมาก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยนะ” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยราวกับกำลังโฆษณาชวนเชื่อ


“งั้นหรือครับ”


“ครับ พี่จะนอนพักในห้องนี้ก็ได้”


“แล้ววีล่ะ”


ตอนที่ถาม คนถามก็หวังเล็กๆ ว่าเจ้าของห้องจะตอบกลับมาให้ชื่นใจว่า ผมจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ พี่ เหมือนที่พี่เฝ้าผมไงครับ
   

ทว่ากวีกลับ...
   “

ผมจะไปทำแพนเค้กต่อ”
   

“แพนเค้ก?”
   

“ครับ” คนน่ารักยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างใจดี “พี่นอนได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ขืนขี่รถกลับไปตอนนี้ ผมว่าไม่ไหวหรอกครับ”


   “เอ่อ...” วายุอึกอัก
   

เขาไม่ได้ลงทุนเล่นตามน้ำแล้วปล่อยให้ถูกลากเข้าห้องมาเพราะต้องการนอนเสียหน่อย! ที่วายุต้องการคืออยากใช้สถานการณ์นี้อยู่ใกล้ๆ เพื่อรู้จักกวีให้มากขึ้นกว่าเดิมต่างหาก
   

รู้จักให้มากขึ้นหรือ
   

เพื่ออะไร...และเพราะอะไรล่ะ


ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ที่ขมวดคิ้วไม่ใช่เพราะไม่พบคำตอบ แต่เขาต้องทำใจยอมรับคำตอบซึ่งผุดขึ้นมาทันทีที่นึกถึงคำถาม


เขาคงเริ่มชอบคนคนนี้เข้าให้แล้ว


ไม่ว่าเริ่มชอบได้อย่างไร และเพราะอะไรก็ตาม...ชอบก็คือชอบ แล้วเขาก็ไม่ควรปล่อยโอกาสอันมีค่าให้สูญเปล่า


“คือว่า...ความจริงพี่รู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ”
   

“รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือครับ”
   

“อืม...เพราะน้ำแดงของวี พี่ไม่อยากเป็นลมแล้ว”
   

“ไม่อยากเป็นลม” กวีทวนประโยคนั้นซ้ำคล้ายติดใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะเลิกสนใจแล้วถามต่อ “แล้วพี่ลมจะกลับเลยไหมครับ...”


“...” ใจวายุกระตุกวูบ หากยังไม่ทันนึกเสียดาย อีกฝ่ายก็สร้างตัวเลือกให้เขาอีกหนึ่ง


“หรือจะอยู่กินแพนเค้กฟูกับผมก่อน”


นั่นแหละที่เขาต้องการ!


ชายหนุ่มทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม “...ถ้าพี่อยู่ จะรบกวนไหมครับ”


“ไม่ครับ! อยู่ทานด้วยกันนะ ผมผสมแป้งไว้เยอะเลย” กวีตอบรับเริงร่า เพราะดีใจที่มีหนูทดลองชิมขนมที่เพิ่งลองทำเป็นครั้งแรก


“ถ้าอย่างนั้น...ขอรบกวนด้วยนะครับ”


“ครับ!"












นี่เป็นครั้งที่สอง ที่วายุได้ย่างเท้าเข้ามาในห้องของกวี


และก็เป็นครั้งที่สอง ที่ได้ช่วยกวีทำอาหารด้วย


“ที่ผมทำตอนแรกมันไม่ค่อยฟูเลยครับ สงสัยเพราะไข่ขาวตั้งยอดไม่ดีแน่ๆ”


“แล้วแบบไหนถึงจะพอดีครับ วีช่วยพี่ดูด้วยนะ” วายุที่ตอนแรกตามออกมานั่งเฉยๆ เวลานี้กลายเป็นลูกมือในครัวของกวีไปเสียแล้ว


ชายหนุ่มใช้ตะกร้อตีไข่ขาวกับน้ำตาลเร็วๆ อยู่หลายนาที จนมันค่อยๆ เปลี่ยนจากเมือกสีใสๆ มาเป็นฟองทีละน้อยๆ กระทั่งฟูขึ้นมาเป็นสีขาวคล้ายโฟม


“แบบนี้เกือบได้หรือยังครับ” วายุถาม


กวีละจากเขียงหั่นผลไม้แล้วยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ จนคนตีไข่ได้กลิ่นหอมจากเส้นผม ดวงตากลมมองไข่ในกะละมังครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพอใจ


“โอเคแล้วครับ พี่ตีเก่งจัง เผลอแป๊บเดียวไข่ตั้งยอดแล้ว”


“พี่ใช้แต่แรงเท่านั้นล่ะครับ” วายุถ่อมตน “พี่เอาวางไว้ตรงนี้เลยนะ”


“ครับ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง พี่ลมไปนั่งรอที่เก้าอี้นะ”


“ครับ”


สั่งแล้วกวีก็หันไปหั่นผลไม่ต่อ แล้วจึงกลับมาจัดการแป้ง วายุมองมือเล็กๆ ค่อยๆ แบ่งแป้งเป็นส่วนๆ เพื่อผสมรวมกับไข่ขาว มือเล็กจับไม้พายตะล่อมแป้งกับไข่ขาวเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง จนเหงื่อเม็ดใสผุดพรายเต็มปลายจมูก


เร็วเท่าความคิด คนที่นั่งมองก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ในมือดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาสองแผ่น ก่อนเดินไปหยุดข้างคุณนักเขียน


“วีครับ”


“ครับ?” กวีละสายตาจากกะละมังผสมแป้ง แล้วเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า


“อยู่นิ่งๆ นะ”


วายุเตือน ก่อนบรรจงเช็ดเหงื่อที่ปลายจมูกรั้นแผ่วเบา ดวงตากลมๆ คล้ายจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชวนให้คนรุกเข้าไปสงสัยว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจหรือเปล่า


ในขณะที่กำลังลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อ ใบหน้ากลมกลับยื่นเข้ามาใกล้ให้เขาช่วยเช็ดเหงื่อได้ถนัดยิ่งขึ้น ท่าทางที่ไร้การป้องกันตัวและเป็นธรรมชาติมากๆ ทำให้ฝ่ายที่ตกประหม่ากลายเป็นวายุเสียเอง


ชายหนุ่มรีบจัดการเจ้าเหงื่อเม็ดเล็กๆ พวกนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนถอยหลังมาก้าวหนึ่ง


“ส...เสร็จแล้วครับ”


“ขอบคุณครับ” กวียิ้มขอบคุณ “พี่ใจดีจัง”


อุก...


หมัดฮุกที่มองไม่เห็นตรงเข้ากระแทกใจวายุอีกรอบ คนตัวโตกว่าเกาแก้มตัวเองเก้อๆ วูบหนึ่งในหัวเผลอคิดเหลวไหลไปว่า เมื่อครู่เขามีเลือดซิบออกมาที่ริมฝีปากหรือเปล่านะ


แต่ความคิดเหลวไหลก็คือความคิดเหลวไหล เพราะหลังผ่านวินาทีชวนใจเต้นนั้นแล้ว กวีก็หันกลับไปตะล่อมแป้งตามเดิม


ใส่กระทะ และหยอดน้ำลงไปนิดหน่อยแล้วปิดฝา


“เสร็จแล้วหรือครับ”


“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วอธิบาย “จากนี้ก็รอให้ด้านนั้นสุก แล้วค่อยกลับอีกด้านลง แต่ไม่รู้คราวนี้มันจะฟูไหม หวังว่าจะไม่แฟ่บนะ”


“ต้องฟูสิ ก็วีบอกว่าไข่ขาวของเราตั้งยอดดีไม่ใช่หรือ”


“นั่นสิ ถ้ารอบนี้ยอมฟูเป็นแพนเค้กซูเฟล่ดีๆ ผมจะยกความดีความชอบให้พี่เลยครับ”


“หึๆ”


ระหว่างรอขนมได้ที ทั้งคู่ก็ยืนพิงเคาน์เตอร์เงียบๆ ข้างกัน ไม่ได้พูดคุยอะไร กระทั่งวายุนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยปากถาม


“วีครับ”


“ครับ?”


“วีเป็นนักเขียนใช่ไหม”


“เอ๊ะ? ผมเคยบอกพี่ลมไปแล้วหรือครับ”


“วีเคยบอกแค่เขียนต้นฉบับ พี่ก็เลยเดาเอาน่ะ”


“อ๋อ...ครับ ผมเป็นนักเขียน” กวีตอบตามตรง แต่ก็อดรู้สึกเขินๆ ไม่ได้ เพราะเขาไม่ค่อยบอกใครเกี่ยวกับงานของตัวเองสักเท่าไหร่


“เขียนแนวไหนหรือครับ”


“ตอนนี้เขียนพวกเรื่องสั้น กับนิยายแนวแฟนตาซีน่ะครับ ผมใช้นามปากกา หินก้อนสุดท้าย ไม่รู้พี่ลมเคยได้ยินไหม”


ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากวีคือนักเขียนคนนั้น แต่พอได้รู้จากปากเจ้าตัวอีกที วายุก็อดตื่นเต้นไม่ได้


กวีคือนักเขียนคนที่เขียนนิยายซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้เขาจริงๆ ด้วย


“เคยสิครับ นามปากกานี้ดังจะตาย พี่เห็นในโซเชียลบ่อยๆ”


“ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นหรอกครับ” คนน่ารักยิ้มเขิน ก่อนหันไปตักแพนเค้กซึ่งได้ที่ใส่จานพร้อมกับวางผลไม้สดและราดน้ำผึ้งด้านบนเป็นอย่างสุดท้าย


“เสร็จแล้วหรือครับ”


“เสร็จแล้วครับ ฟูดีกว่าที่ผมทำตอนแรกจริงๆ ด้วย” ดวงตาคู่ใสพราวระยับอย่างถูกใจ ก่อนหันมาเผื่อแผ่ความมีน้ำใจให้วายุ “เดี๋ยวผมตักให้นะ”


“พี่ขอน้ำผึ้งไม่เยอะนะครับ”


“พี่ลมไม่ชอบหวานหรือครับ”


“ทานได้ครับ แต่ไม่มากดีกว่า”


“โอเคครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”


กวีทิ้งขวดน้ำผึ้งว่างเปล่าอันเก่าทิ้ง ก่อนเปิดขวดใหม่ที่ร้านพี่รถกับข้าวเพิ่งเอามาส่งเมื่อครู่ แล้วตักราดให้วายุแค่ช้อนเดียว จากนั้นจึงยกทั้งสองจานมาที่โต๊ะ
   

ในที่สุดพวกเขาก็ได้มานั่งกินแพนเค้กซูเฟล่ด้วยกันเสียที


แม้จะบอกให้ใส่แต่น้อย ทว่าน้ำผึ้งก็ยังค่อนข้างหวานอยู่ดี กระนั้นวายุก็ยังกินจนหมดทั้งชิ้น เพราะพอเห็นคนตรงหน้าตักเข้าปากท่าทางน่าอร่อย เขาที่ไม่ชอบของหวานก็รู้สึกอร่อยขึ้นมาด้วย


ระหว่างที่กินจนเกือบหมดชิ้นที่สอง วายุจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าอะไรบางอย่างที่เคลือบริมฝีปากของกวีจนมันวาวในทีแรกคือน้ำผึ้งนี่เอง


คงจะหวานน่าดู...


ชายหนุ่มคิดขณะมองลิ้นเล็กเลียน้ำผึ้งที่ริมฝีปากตัวเอง


เห้ย! คิดอะไรอยู่น่ะเรา!


วายุสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดอกุศลออกไปจากสมองอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่กวีเองก็จัดการแพนเค้กจนหมดเกลี้ยง


“อิ่มมากเลย เย็นนี้คงกินข้าวเย็นไม่ได้แล้ว” คนน่ารักบ่นพลางลูบพุงกลมๆ ของตัวเอง ด้วยท่าทางมีความสุขที่ได้กินของอร่อยสมใจ


“พี่ก็คงเหมือนกัน”


“รสชาติพอไหวไหมครับ” เจ้าบ้านถามด้วยความใคร่รู้


“อร่อยมากเลยครับ ขนาดพี่ไม่ค่อยกินของหวานนะ” คนปากหวานเอ่ยชม


“จริงหรือครับ! ดีจัง~ เอาไว้วันหลังผมทำของหวานน้อยๆ ให้พี่กินอีกได้ไหม”


“คนทำให้ต้องขอด้วยหรือไงครับ พี่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอ”


“ก็เผื่อพี่ลมไม่อยากกินไงครับ”


“ถ้าวีชวน พี่ก็อยากกินหมดนั่นแหละครับ เอาไว้วี...ชวนพี่อีกนะ”


ที่บอกว่าอยากให้ชวน วายุหมายความตามนั้นจริงๆ เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่คิดชวนหรือคุยกับเขามากกว่านี้อีก เขาก็ไม่รู้จะเข้าหากวีโดยไม่ผ่านการส่งของได้ยังไง


ส่งของหรือ...


อยู่ๆ วายุก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่ามันจะได้ผลไหม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ลงมือทำอะไรเลย


“วี”


“ครับ?”


“ถ้าต่อไปทางร้านมีปัญหา อย่างส่งของไม่ครบตามออเดอร์หรืออะไร วีส่งข้อความมาให้พี่ในไลน์ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่จะจัดการให้เอง เพราะยังไงก็อยู่ร้านตลอดอยู่แล้ว”


“ไลน์หรือครับ ได้ครับ”


“งั้นพี่ขอไอดีไลน์วีได้ไหม พี่จะได้แอดไป”


“เอ๊ะ...แต่ผมแอดไลน์ของพี่รถกับข้าวไปแล้วนะครับ” กวีว่าพาซื่อ


“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ไลน์นั้น คือพี่หมายถึงไลน์ของพี่น่ะ” วายุบอก ในใจพาลตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย แต่กวีกลับทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย


“อ๋อ ไลน์ส่วนตัวพี่ลมหรือครับ ได้ๆ ไอดีผม Rxxxxxx”


วายุรีบกดตามและค้นหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบโปรไฟล์เป็นรูปแคคตัสน้อยๆ สามต้น เขาจึงหันหน้าจอให้นักเขียนหนุ่มดู


“นี่ใช่ไหมครับ”


“ใช่ครับ”


เมื่อได้รับคำยืนยัน วายุก็กดเพิ่มเพื่อนทันที


“ไว้มีปัญหาอะไร วีก็ส่งข้อความมาหาพี่นะ ไม่ต้องเกรงใจ”


“ครับ”


“หรือถ้าอยากชวนมาลองขนมสูตรใหม่ก็ไม่ต้องเกรงใจเหมือนกัน”


ได้ยินแบบนี้ กวีก็ยิ้มกว้าง “ได้สิครับ แต่ถ้าชวนแล้วต้องมานะ”


“อื้ม พี่จะมาให้ได้เลย”


วายุยิ้มรับอย่างยินดี เพราะแบบนี้เขาก็หาช่องทางอื่นคุยกับคนน่ารักได้มากขึ้นแล้ว


เท่านี้ก็เรียบร้อย








-------------------------------------------------------------





มีคนสงสัย ว่าทำไมดูสนิทกันง่ายจัง
ความจริงถ้าดูกันตามตรง ก็สนิทกันง่ายจริงๆ ง่ายกว่าทุกเรื่องที่เคยเขียน
แต่พื้นฐานของก้อนคือเป็นคนที่เฟรนลี่ ค่อนข้างเข้าถึงและเปิดใจรับคนที่เข้าหาแบบดีๆ ง่าย
ส่วนพี่รถกับข้าว ไม่มีอะไรอธิบายได้ดีไปกว่าถูกใจ และชอบน้องเค้า
ซึ่งเขาเป็นคนประเภทที่ชอบแล้วเข้าหา ไม่ใช่กระโดดหนีหรือแอบซ่อนไม่กล้าเจอหน้าน่ะค่ะ
ความสัมพันธ์ก็เลยดูไปเร็วแบบที่เห็น
แต่หลังจากชอบน้องเค้าแล้ว ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่พี่รถกับข้างต้องทำ
เพราะฉะนั้นเป็นกำลังใจให้พี่รถกับข้าวด้วยนะคะ ^^


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน้า เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-07-2018 18:35:34
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-07-2018 18:37:51
มีคนโดนล่อลวง
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 26-07-2018 18:45:21
น้ำผึ้งคงหวานสู้น้องก้อนไม่ได้  :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-07-2018 19:24:52
พี่ลมอย่างเนียน 555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 26-07-2018 20:06:02
พี่ลมล่อลวงน้อง!!!
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 6 [26/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-07-2018 10:09:57
พี่ลมเจ้าเล่ห์  :hao7:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-08-2018 15:24:20




บทที่ 7









“ก้อน!”

กวีได้ยินเสียงบ.ก.ประจำตัวดังขึ้นทีที่เขาก้าวขาลงจากรถแท็กซี่ เธอกระวีกระวาดเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมปิดประตูรถให้อย่างใจดี

“ขอบคุณครับพี่เจน แต่ไม่เห็นต้องออกมารับเลย ผมเข้าไปเองก็ได้ครับ”

“ก็เห็นไม่ได้มานานกลัวจะหลง ตอนนี้แผนกพี่ย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นสามแล้วด้วย เดี๋ยวเด็กอ้วนบางคนจะไปยืนป้ำๆ เป๋อๆ ที่ชั้นเก่าน่ะสิ” เธออธิบาย ก่อนจะจับข้อศอกกวีเบาๆ เพื่อพาชายหนุ่มเดินเข้าตึกสำนักงานไปด้วยกัน “เข้าข้างในเถอะ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”

“ครับ” กวีเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย เพราะไม่ถูกโรคกับอากาศร้อนๆ ยามเที่ยงเหมือนกัน

“ความจริงพี่ร้อนใจกลัวเรามาไม่ทัน ก็เลยลงมารอ โทรไปก็ไม่รับ รู้ไหมว่าเขาให้เลื่อนมาประชุมตอนบ่ายโมงแล้ว”

“จริงหรือพี่ ไหนว่าประชุมบ่ายโมงครึ่งไงครับ ดีนะที่ออกมาก่อน”

“เห็นพี่แววเลขาฯ ของคุณพศินบอกว่า วันนี้บอสจะพานักเขียนที่มาประชุมไปเลี้ยงมื้อเย็น เขาก็เลยอยากให้การประชุมเริ่มเร็ว จะได้จบเร็วๆ”

“เลี้ยงข้าวหรือครับ...ไม่ไปได้ไหมพี่เจน” กวีถาม แม้ความจริงจะอยากไปกินของอร่อยกับคนอื่นๆ ก็ตาม

“ได้ไงล่ะ คนอื่นเขาไปกันหมด”

“ผมยังปั่นต้นฉบับไม่ถึงไหนเลย จะถึงเดดไลน์อีกแล้วนะ”

“ไปแค่เดี๋ยวเดียว พอกินข้าวเสร็จพี่จะเรียกรถให้ ไม่ต้องไปต่อกับคนอื่นๆ เหมือนทุกทีก็ได้”

“แต่...”

“ไปเถอะ คราวนี้บอสเราเลี้ยงเชียวนะ แถมพี่ได้ยินมาว่าร้านที่เลือกยังมีเมนูเป็ดย่างน้ำแดงอร่อยสุดๆ วันก่อนบ่นอยากกินไม่ใช่หรือไง”

“เป็ดย่างน้ำแดงหรือครับ!”

แค่ได้ยินชื่อเมนูอาหารที่อยากกิน ดวงตากลมโตก็เปล่งประกายระยิบระยับจนเจนรู้ว่าตัวเองไม่ต้องลงแรงหว่านล้อมอีก เพราะเจ้าก้อนถูกซื้อด้วยเป็ดย่างน้ำแดงเรียบร้อยแล้ว

“อื้ม”

“งั้นผมไปก็ได้ครับ ไว้ค่อยกลับไปปั่นนิยายทีหลังก็ยังไม่สาย”

ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง แถมถ้าท้องกลมๆ ถูกบรรจุด้วยของอร่อย กองทัพของกวีก็ยิ่งแข็งแกร่ง! ...นักเขียนหนุ่มคิด

“มันต้องแบบนี้สิ ค่อยสมเป็นไอ้ก้อนของเจ๊หน่อย” เจนยิ้มร้าย ก่อนจะพาเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องประชุม



















เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุดเย็นเฉียบ กวีพบคุณพศิน นายใหญ่ของเว็บไซด์นั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่นั่งลดหลั่นลงมาทางด้านขวาเป็นของนักเขียนอีกสองท่านในสำนักพิมพ์ และพนักงานที่กวีไม่รู้จักอีกสามคน ส่วนด้านซ้ายที่ว่างเอาไว้ คาดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งของกวี หรือไม่ก็พี่เจน

สายตาทุกคู่มองมาที่กวีเป็นตาเดียว ชวนให้นักเขียนหนุ่มรู้สึกเกร็งๆ จนรอยยิ้มที่ส่งไปจืดเจื่อน

“ขอโทษที่ช้าครับ พอดีผมไม่ทราบว่าเลื่อนเวลาประชุมแล้ว” กวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งทื่ออย่างคนประหม่า การไม่ได้ออกมาเจอผู้คนบ่อยๆ ทำให้เขาทำตัวไม่ค่อยถูกจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับ ผมผิดเองที่เปลี่ยนเวลากะทันหัน วีมานั่งก่อนสิครับ เรายังไม่ทันได้เริ่มประชุมกันเลยครับ”

เป็นพศินที่เอ่ยขึ้นอย่างใจดี เขาผายมือไปตรงที่นั่งว่างด้านซ้าย น้ำเสียงและแววตาที่มองมาทำให้กวีหายใจหายคอโล่งขึ้นเล็กน้อย

ปรกติกวีไม่ค่อยได้เข้ามาที่สำนักงานของทางเว็บไซด์บ่อยนัก เพราะเขาส่งงานทางอีเมล์ มีแค่ตอนเช็นสัญญาหรือไม่ก็เวลามีงานเลี้ยงสิ้นปีเท่านั้นที่เจนจะดึงกวีออกจากถ้ำได้ เขาจึงไม่ค่อยสนิทกับใครนอกจากบ.ก.เจน

ทว่าพศิน บอสใหญ่ที่เจนมักบ่นว่าเขี้ยวลากดินบ้างล่ะ ดุจนลูกน้องไม่กล้าสบตาบ้างล่ะ กลับต้อนรับวีอย่างดี ซ้ำยังใจดีกับเขามากๆ อีกด้วย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่กวีสบายใจที่ได้ร่วมงานกับทางเว็บไซด์

ครั้นนั่งประจำที่และหยิบสมุดดินสอออกมาเตรียมจดเรียบร้อยแล้ว พศินจึงเริ่มการประชุม

“ในเมื่อมากันครบแล้ว ผมขอเริ่มการประชุมเลยนะครับ”

หัวข้อในการประชุมวันนี้ เป็นเรื่องที่ทางเว็บไซด์จะเปิดตัวสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง และนักเขียนที่มา เป็นนักเขียนที่ได้รับเลือกแล้วว่าจะได้ตีพิมพ์หนังสือเพื่อเปิดตัวเป็นครั้งแรก โดยในส่วนของสัญญาต่างๆ กวีอ่านและทำความเข้าใจตั้งแต่ที่เจนนำตัวอย่างสัญญาไปให้ดูแล้ว วันนี้เขาจึงมาเซ็นยอมรับ

ส่วนอีกเรื่องที่ต้องเรียกให้มาพร้อมกัน เป็นเรื่องงานเปิดตัวสำนักพิมพ์ โดยทางเว็บไซด์จะจัดงานเปิดตัวพร้อมกับแจกลายเซ็นนักเขียนเจ้าของหนังสือ พวกเขาจึงอยากตกลงทำความเข้าใจ และบอกขอบเขตงานที่นักเขียนต้องทำ

“นอกจากงานเปิดตัว เราจะมีการพูดคุยกันบนเวทีเล็กน้อยด้วยครับ” พศินว่า “ส่วนหัวข้อก็เกี่ยวกับนิยายของแต่ละท่าน ส่วนคำถามเดี๋ยวเราจะมีให้อ่านก่อน หลังจากนั้นค่อยแยกไปที่บูธแจกลายเซ็นให้กับนักอ่านตามเวลา”

“ตารางกิจกรรมอยู่ใต้เอกสารสัญญานะคะ แพรวสอดไว้ให้แล้ว” เลขาฯ ของพศินบอก “นักเขียนท่านไหนไม่ว่าง บอกแพรวได้นะคะ เราจะได้คุยกันว่าจะจัดสรรเวลาใหม่ยังไงดี”

กวีหยิบตารางกิจกรรมขึ้นดูผ่านๆ ในนั้นบอกว่าเขาจะเป็นสุดท้ายของการแจกลายเซ็น ส่วนงานบนเวทีมีตั้งแต่ช่วงสายๆ นั่นแปลว่ากวีต้องอยู่ที่งานตลอดทั้งวันทีเดียว

“วีมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

พศินเอ่ยถาม เพราะสังเกตเห็นนักเขียนในสังกัดตีหน้ายุ่งเล็กน้อย แม้สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้

“ไม่ครับ ไม่มีปัญหาอะไร” กวีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

เขาจะมีปัญหาอะไรได้ นอกจากขี้เกียจออกจากบ้านนานๆ เท่านั้นเอง แต่กวีรู้ว่านี่เป็นงานสำคัญ ดังนั้นจะงอแงหรือบอกปัดกับบ.ก.เจนเหมือนทุกทีไม่ได้

“ถ้าไม่สะดวกเวลาไหนก็บอกได้นะครับ” พศินว่า ก่อนจะหันไปหานักเขียนอีกสองคน “ทั้งสองท่านด้วยนะครับ”

“พี่ไม่มีปัญหาค่ะคุณพศิน”

“พี่ด้วยค่ะ” นักเขียนสาวสองคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จากนั้นก็มีการพูดคุยและตกลงกันเรื่องสัญญาอีกนิดหน่อย ก่อนจะเลิกการประชุมแต่เพียงเท่านี้

กวีเก็บสมุดจดงานกับสัญญาใส่กระเป๋า ในขณะที่คนอื่นๆ ทยอยกันออกจากห้องเพื่อเดินทางไปยังร้านที่คุณพศินจองเอาไว้

“กวี” เสียงของคนที่นั่งหัวโต๊ะเมื่อครู่เอ่ยเรียกเขาขณะเดินเข้ามาหา

“ครับ?”

ครั้นกวีเงยหน้ามอง อีกฝ่ายก็เผยยิ้มบาง แล้วว่า

“กวีมารถอะไรครับ เอารถส่วนตัวมาหรือเปล่า”

“ผมมาแท็กซี่ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบซื่อๆ

“งั้นเดี๋ยวนั่งรถผมไปที่ร้านด้วยกันไหมครับ จะได้ไม่ต้องลำบากออกไปหารถ”

ความจริงกวีก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ เพราะเขาใช้แอปฯ เรียกรถเอาได้ แค่ต้องคอยสักหน่อยเท่านั้น แต่ในเมื่อมีรถที่ไปโดยไม่ต้องรอ แถมไม่เสียเงินอีกต่างหาก มีหรือคนรักสบายจะอยากปฏิเสธ

“ถ้าไม่รบกวนคุณพศินมากไป...”

“ไม่รบกวนครับ” พศินยืนยันพร้อมกับส่งยิ้มใจดีให้

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะครับ” กวีว่า แต่บังเอิญนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงหันกลับมาหาบ.ก.ประจำตัวที่ยืนรอเงียบๆ อยู่ด้านหลัง “แล้วพี่เจนล่ะ”

“เอ่อ...พี่” เจนอึกอัก

เธอรู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่ตอนที่ประชุมเมื่อครู่...ไม่สิ ต้องบอกว่ารู้สึกแปลกมาพักใหญ่ๆ แล้วกับพฤติกรรมของเจ้านายผู้เงียบขรึมจริงจังกับทุกคน แต่ดันเลือกให้ความเอ็นดูเจ้าก้อนมากกว่านักเขียนคนอื่นๆ

จะบอกว่าเพราะกวีเด็กกว่าใครก็ไม่น่าใช่...มันดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่เจนยังไม่กล้าฟันธง ทั้งยังไม่กล้าเข้าไปขวางจนอาจกลายเป็นคนขัดแข้งขัดขาโดยไม่รู้ตัว

สุดท้ายแม้จะห่วงน้องชายคนสนิทเพียงใด เธอก็เลือกถอยมาดูเชิงก่อน

“เราไปกับคุณพศินเถอะ พี่มีอะไรต้องเคลียร์ก่อนนิดหน่อย ว่าจะตามไปที่หลัง” พอพูดจบ เจนเห็นมุมปากของพศินกระตุกยิ้มแวบเดียว ก่อนจะเรียบเฉยเหมือนเก่า

นั่นไง! แบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ

ต่อให้ไม่ใช่คนตาดี แต่มองอย่างไรก็ต้องเห็นเช่นที่เจนเห็น...ยกเว้นคนตาใสที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรตรงหน้าเธอนี่คนหนึ่ง

“ถึงเวลาเลิกงานแล้วนะครับ ไปกินด้วยกันก่อนค่อยกลับมาทำงานสิ ไหนเมื่อกี้บอกผมว่าร้านอร่อยไง” กวีท้วง เนื่องจากรู้ว่ามื้อนี้คงไม่ค่อยสนุกแน่ๆ ถ้าไม่มีเจนไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะกวีไม่สนิทกับคนอื่นๆ เท่าไร

“คือพี่...”

“ไปด้วยกันนี่แหละเจน งานน่ะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำก็ได้ ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่...ใช่ไหม”

“ไปพร้อมกันนะครับ ถึงพี่เจนจะทำล่วงเวลาทุกวัน แต่วันนี้โอกาสพิเศษ ไว้ค่อยกลับมาทำก็ได้ คุณพศินก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย ใช่ไหมครับ” หลังจากอ้อนบ.ก.เสร็จ คนไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็หันไปถามความเห็นคนที่ยืนหน้านิ่งที่ด้านหลัง

“ไม่ว่าครับ” พศินตอบยิ้มๆ ก่อนจะพูดกับเจน “ไปเถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

“...ค่ะ คุณพศิน” หญิงสาวรับคำเจื่อน เพราะเห็นว่ารอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก บัดนี้กลายเป็นยิ้มเย็นๆ ชวนให้ขนหัวลุกเสียแล้ว

เจนไม่ผิดนะคะคุณพศิน อย่ามองเจนแบบนั้น ต้องโทษไอ้ก้อนสิ!

หญิงสาวผู้โชคร้ายคร่ำครวญในใจ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายและนักเขียนในสังกัดออกไปยังรถคันหรูด้วยจิตใจห่อเหี่ยว























เมื่อมาเจอสภาพการจราจรแสนติดขัดในกรุงเทพ บวกกับเพลงคลาสสิคและแอร์เย็นๆ ในรถของพศิน คนที่อดนอนมาค่อนคืนก็เผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เจนนั่งตัวเกร็งอยู่เบาะเพียงลำพัง

จากการสังเกตดีๆ อีกครั้ง เจนคิดว่าเจ้านายของเธอต้องชอบกวีอย่างแน่นอน เพราะดูชายหนุ่มจะสนใจนักเขียนในความดูแลของเธอมากเกินกว่าปรกติ ซ้ำเจนยังเห็นว่าพศินลอบมองหน้ากวีตอนหลับอ้าปากคอพับด้วยสายตาเอ็นดูอยู่หลายครั้ง

ออร่าแปลกๆ นี้คงไม่ผิดจากที่เธอคิด แต่มันก็ชวนให้รู้สึกผิดคาดที่คนสุดเฮี้ยบจะหันมาชอบเด็กเฉื่อยๆ ยิ้มตาลอยไปวันๆ อย่างเจ้าก้อนได้ ก็ดูอย่างไรบุคลิกทั้งสองก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าพศินเป็นเกย์ แต่พอมองไปที่เจ้าก้อนของเธอ เจนก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี ไหนขาเมาท์เล่าว่าแฟนคนก่อนของคุณพศินหล่อวัวตายควายล้ม ทำไมเวลานี้ถึงเปลี่ยนรสนิยมเสียได้

ฝ่ารถติดมาสักพัก พวกเขาทั้งสามคนก็ถึงร้านที่หมายภัตตาคารอาหารจีนชื่อดัง ที่ซึ่งกวีตื่นมาเห็นแล้วเผลอทำตาโตเท่าไข่ห่านจนคนรอบข้างแอบยิ้มขำ

“ทำตาโตเชียวนะ” เจนกระซิบขณะพนักงานพาไปที่ห้องซึ่งถูกจองเอาไว้

“ผมไม่คิดว่าจะเป็นที่นี่” กวีตอบ

“กวีเคยมาหรือครับ”

“ไม่เคยครับ แต่ผมเคยอ่านรีวิวน่ะ เห็นเขาบอกอาหารจีนที่นี่อร่อยมากๆ ขอบคุณนะครับที่พามา”

“เห็นกวีชอบผมก็ดีใจ” พศินยิ้มกว้างอีกครั้ง ก่อนจะผ่ายมือให้นักเขียนดังเข้าไปก่อน “เชิญครับ ถ้าชอบอะไรก็สั่งได้เลยนะ ผมเลี้ยงเต็มที่ ถือเป็นค่าตอบแทนที่วันเปิดตัวกวีต้องมางานตั้งแต่เช้า”

“อ๋อ งี้นี่เอง แต่ผมกินเยอะซะด้วย คุณพศินอาจกระเป๋าแห้งได้เลยนะครับวันนี้” กวีหยอกอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี กำแพงที่ตั้งไว้บางๆ เวลาออกมาเจอคนไม่สนิทหายไปราวกับไม่เคยมี

“ไม่เป็นไรครับ ผมจ่ายไหว” หนุ่มสายเปย์ตัวจริงเอ่ยยิ้มๆ อย่างมีนัยยะ แต่คนเห็นแก่กินกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งยังเอ่ยชมเสียงสดใสเสียจนบ.ก.ประจำตัวลอบเบ้ปากหมั่นไส้

“คุณพศินใจดีจัง”

ไอ้เด็กเห็นแก่กิน!

เจนมองแล้วส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหันไปเห็นชายหนุ่มสุดหล่อคนหนึ่งยืนมองกวีและเจ้านายของเธอจากประตูห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ข้างๆ พอเขาหันมาสบตากับเธอเข้า ก็ยิ้มละลายโลกให้ก่อนเดินหลบฉากเข้าไปในห้องนั้น

“โอ้ย...คนอะไรหล่อเป็นบ้า” เจนเผลอหลุดปากออกมาเบาๆ ทว่าดันมีคนหูดีได้ยินเข้า

“มีอะไรครับพี่เจน” กวีละสายตาจากพศินเพื่อหันมาถาม

“เจอคนหน้าตาดียิ้มให้เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก เข้าไปข้างในเถอะ”

“ครับๆ” เมื่อรับคำแล้วทั้งหมดก็พากันทยอยเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวเพื่อสมทบกับนักเขียนและบ.ก.ประจำตัวคนอื่นๆ





















กวีคิดว่าตัวเองอาจจะเดินกลับออกไปไม่ไหวเสียแล้ว เพราะหลังอิ่มจากอาหารจีนระดับภัตตาคารที่คุณพศินพามาเลี้ยงรับรอง ชายหนุ่มก็อึดอัดจนคล้ายกับท้องจะระเบิด โชคดีที่วันนี้กวีสวมเสื้อฮู้ดตัวใหญ่โคร่ง ไม่เช่นนั้นพุงกลมๆ ที่เพิ่มขึ้นสองเท่าต้องดันเสื้อเด่น จนเห็นได้ชัดอย่างแน่นอน

“เป็นไง อิ่มไหมล่ะ” เจนกระซิบถามหลังจากเจ้านายผู้ที่ครอบครองบทสนทนาของกวีเกือบตลอดมื้ออาหารออกไปเข้าห้องน้ำ

“ผมไม่รู้จะเดินไปขึ้นรถไหวไหมเลยพี่เจน ท้องจะแตกอยู่แล้ว” กวีกระซิบด้วยความสัตย์จริง

“สมน้ำหน้า อยากตะกละดีนัก ใครใช้ให้กินเข้าไปขนาดนั้นล่ะ”

“ก็เป็ดย่างมันอร่อยนี่ ไหนจะ ปลาเก๋าราดเต้าเจี้ยวก็ดี หมูเส้นผัดเสฉวนกับซี่โครงหมูเต้าซี่ก็เด็ด ยิ่งซุปเยื่อไผ่จักรพรรดินะ คล่องคอมากๆ ไม่ได้หากินง่ายๆ นะพี่” เจ้าตัวร่ายชื่อเมนูสุดประทับตาออกมาด้วยตาเป็นประกาย ดูท่าหากยังไหว กวีต้องยังกินเข้าไปอีกแน่ๆ

“เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก ยิ่งนั่งแช่หน้าคอมทั้งวัน ไม่ชอบออกกำลังกายอยู่ด้วย กินเยอะๆ แบบนี้ พี่ว่าคราวหน้าไปฟิตเนสบ้างเถอะนะ”

“ไม่เอาล่ะครับ” พอได้ยินคำต้องห้ามอย่างฟิตเนส นักเขียนที่อยู่ในโอวาทของเจนเสมอก็ถึงกับส่ายหน้าหวือเป็นครั้งแรก

“พี่ไปเป็นเพื่อนก็ได้ ไม่ก็จ้างเทรนเนอร์มาที่คอนโด”

“ไม่เอานะพี่เจนคนดี” กวีหันมาเกาะแขน

“ทำไมล่ะ เพื่อสุขภาพของตัวเองนะก้อน”

“โธ่...ก็มันเหนื่อยนี่ครับ ร้อนด้วย เหงื่อออกเยอะ ผมไม่ชอบออกแรงนี่นา” คนถูกดุทำปากมุบมิบพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “เอาไว้จะกินผักเยอะๆ แทนก็ได้ครับ แต่พูดถึงผัก ผัดสารพัดผักเมื่อกี้ก็อร่อยสุดๆ เลย ผมอยากได้สูตรไปทำกินกับข้าวต้มกุ๊ยที่ห้องจัง”

สลดไม่เท่าไหร่ คนเห็นแก่กินก็กลับไปพูดเรื่องอาหารอีกครั้ง เจนถอนหายใจอย่างหนักอกเพราะจนด้วยคำพูด หลังจากนั้นพศินก็กลับเข้ามาพอดี เป็นอันว่าเรื่องลดน้ำหนักดูแลสุขภาพก็ต้องถูกปัดตกไป

“คุณพศินคิดเงินเลยก็ได้นะคะ พวกพี่ๆ อิ่มกันแล้วค่ะ” นักเขียนอาวุธโสที่สุดในทีมเอ่ยขึ้น

“ได้ครับ”

ผู้บริหารหนุ่มกดปุ่มเรียกพนักงานมาเช็คบิล พอเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็กล่าวคำลาพอเป็นพิธีและแยกย้ายกันกลับ เหลือแค่กวีที่ยืนรอเจนไปล้างมือในห้องน้ำ

“กวีจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” พศินถาม

“ครับ เดี๋ยวพี่เจนออกมาแล้วผมก็คงกลับเลย”

“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่คอนโด”

“ไม่เป็นไรครับคุณพศิน ผมนั่งรถกลับเองได้”

“แต่คอนโดคุณก็ไม่ไกลจากที่บริษัทเท่าไหร่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”

กวีปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินคำว่าไม่ไกลเท่าไหร่ แม้ด้วยระยะทางอาจจะไม่ไกลมาก แต่ถ้าให้ดูจากการจราจรแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเพราะตัวเองขนาดนั้น

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับจากที่นี่ผมนั่งรถไปเองสะดวกกว่า อีกอย่างเห็นเมื่อกี้พี่เจนบอกว่า เดี๋ยวต้องย้อนกลับออฟฟิศพร้อมคุณพศิน เพราะต้องจัดการต้นฉบับของพรุ่งนี้ให้เสร็จด้วยใช่ไหมครับ แบบนั้นยิ่งต้องเทียวไปเทียวมาเสียเวลาแน่ๆ ถ้าขับไปส่งผมอีก”

“แต่ผม...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค อยู่ดีๆ ก็มีเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งเอ่ยทักกวีจากทางด้านหลัง

“อ้าว! วี”

กวีหันกลับไปมองตามเสียง แล้วดวงตาคู่ใสก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปล่งเสียงแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า

“พี่ลม! มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“พี่มาทานข้าวกับที่บ้านครับ”

“ถึงว่า วันนี้แต่งตัวหล่อเชียวครับ” กวีใช้ดวงตากลมโตกวาดมองวายุตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพลักษณ์แปลกตาของพี่รถกับข้าวทำเอานักเขียนหนุ่มอดประหลาดใจไม่ได้

“ขอบคุณครับ” คนถูกชมยิ้มรับ ก่อนถามกลับ “แล้ววีล่ะครับ มาทำอะไรที่นี่”

“มาทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานครับ” พอนึกขึ้นได้ กวีจึงหันมาแนะนำ “พี่ลมครับ นี่คุณพศิน เจ้านายของผมเอง ส่วนคุณพศินครับ นี่พี่ลม เป็นเพื่อนสนิทของผม”

คำว่าเพื่อนสนิททำเอาเจ้าของตำแหน่งยิ้มรับหน้าบานจนกวีเผลอยิ้มตามไปด้วย ผิดกับใครอีกคน ผู้มีฐานะอยู่ในตำแหน่งเจ้านายที่เวลานี้หน้าบึ้งตึงลงอย่างที่กวีไม่เคยเห็นมาก่อน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณลม” พศินกล่าวทักทายเรียบๆ ผิดกับวายุที่เอ่ยประโยคชวนให้สงสัย

“ไม่ได้พบกันนาน ศินคงจำผมไม่ได้ ผมลมไงครับ เพื่อนสนิทปั้น”

“อ๋อ” พศินส่งเสียงออกมาแค่นั้น ก่อนเงียบและไม่เอ่ยคำใดออกมาอีกเลย

ถึงกวีจะไม่ค่อยได้อยู่กับสังคมคนหมู่มาก แต่เขาก็รู้ว่าบรรยากาศที่สองหนุ่มปล่อยออกมาในตอนนี้ ไม่ใช่บรรยากาศที่ดีอย่างแน่นอน มันคล้ายมีเรื่องอะไรสักอย่าง แต่กวีไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ซ้ำยังไม่อยากรู้อีกด้วย เพราะมองจากหน้าคุณพศินแล้ว ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องดี

ยืนเงียบในบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนสักพัก อยู่ๆ วายุก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

“ว่าแต่...วีกำลังจะกลับแล้วหรือเปล่าครับ”

“ครับพี่ลม”

“กลับยังไง เอารถมาหรือเปล่า”

“ไม่ครับ กลับรถแท็กซี่”

“งั้นกลับกับพี่ไหม พอดีพี่มีอะไรจะให้วีช่วยหน่อยน่ะ กำลังอยากหาเวลาไปเจออยู่พอดีเลย” พี่รถกับข้าวของกวีเอ่ยอย่างสนิทสนม

“ได้สิครับ พี่ลมจะให้วีช่วยอะไร บอกมาได้เลยนะ”

“ขอบคุณนะครับ” วายุยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่เข้าไปบอกพี่ชายก่อน”

“ครับ” กวีพยักหน้ารับ พอดีกับที่บ.ก.เจนออกมาจากห้องน้ำ เขาจึงเอ่ยลาหญิงสาว “พี่เจน เดี๋ยวผมกลับกับพี่ที่รู้จักนะครับ”

“พี่ที่ไหน”

“ก็ที่เคยคุยกับพี่เจนวันก่อนไง”

“หา?” หญิงสาวทำหน้างง แต่ยังไม่ทันอธิบาย วายุก็ออกมาจากห้องรับรองที่อยู่ข้างๆ เสียก่อน

“ไปกันครับวี”

“นี่ไงครับ พี่คนนี้” กวียิ้ม พลางชี้มือไปที่หน้าพ่อหนุ่มสุดหล่อซึ่งเจนได้พบตอนมาถึง ทว่าเจนกลับนึกไม่ออกว่าเคยคุยกับคนหน้าตาดีเช่นนี้ตอนไหน และนักเขียนในความดูแลของเธอก็ลืมบอกว่าเป็นการคุยโทรศัพท์กันตอนที่กวีเป็นลม

“กวีจะกลับกับเขาใช่ไหมครับ” พศินที่เงียบมาตลอดถามขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังถามด้วยเสียงราบเรียบและเย็นชามากๆ ด้วย

“ครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณพศินไง” กวีเอ่ยทางแก้ปัญหาที่คุยก่อนหน้าให้อีกฝ่ายฟัง “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับคุณพศิน ผมจะรีบปั่นต้นฉบับให้ตรงเวลา แล้ววันงานก็จะไปเช้าๆ ด้วยครับ”

กวีไม่มีอะไรจะตอบแทนกับผู้ชายที่พาเขามาทานอาหารอร่อยๆ ได้ นอกจากคำสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้กับทางเว็บไซด์ ซึ่งคำพูดซื่อๆ กับรอยยิ้มน่ารักๆ นั้นก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าของเว็บไซด์คลายลงไปกว่าครึ่ง

“ขอบคุณครับ”

“แล้วเจอกันวันงานครับ” กวีโบกมือ “ไปก่อนนะพี่เจน”

“ถึงห้องแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ” เธอสั่ง

“ครับ”

ล่ำลากันเรียบร้อยกวีก็เดินตามหลังวายุไปที่ลานจอดรถ ในตอนแรกพวกเขายังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะกวีรู้สึกว่าวายุคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซ้ำเขายังแน่นท้องจนแทบเดินไม่ไหว ใจจึงโฟกัสแต่เรื่องของตัวเอง

กระทั่งคนเดินนำพามาหยุดที่รถหรูแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ ตามท้องถนนคันหนึ่ง ดวงตากลมๆ ก็พลันเบิกกว้างขึ้นอีกเท่าตัว

“เป็นอะไรครับวี” คนถาม ถามขึ้นเพราะสังเกตเห็นกวีนิ่งไป

“นี่รถพี่หรือครับ”

“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“โห...รถสวยมากเลยครับ เป็นพนักงานส่งเงินเดือนเท่าไหร่กันครับ ผมอยากทำงานบ้าง”

“หืม? พนักงานส่งหรือ” คิ้วเข้มๆ ของวายุขมวดมุ่น กวีเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองพูดจาเหยียดหยามอาชีพคนส่งของจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้ดูถูกอาชีพหรือหาว่าพี่ไม่มีเงินนะ แค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ครับ”

วายุมองปฏิกิริยาร้อนรนของคนตรงหน้าแล้วยิ้มออกมาบางๆ

“พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยครับ ไม่ได้นึกว่าวีคิดอะไรแบบนั้นด้วย”

“อ้าว...แต่ผมเห็นพี่ขมวดคิ้ว” คนตัวเล็กกว่าบอกอ้อมแอ้ม

“พี่แค่กำลังคิดว่า วีจะพอมีเวลาวันละสองสามชั่วโมงไหมน่ะครับ”

“หื้ม? พี่ลมพูดเหมือนจะชวนผมไปขายตรงเลยครับ”

“ฮ่าๆ ๆ พี่ล้อเล่นน่ะ ขึ้นรถก่อนนะ เดี๋ยวพี่เอาอะไรให้ดู” ว่าแล้วเจ้าของรถก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ก่อนเปิดประตูข้างคนขับให้

กวีสอดตัวเข้าไปนั่ง เมื่อวายุบริการให้จนถึงขั้นปิดประตูเรียบร้อย กวีก็รีบคาดเข็มขัดเรียบร้อยรอระหว่างที่อีกฝ่ายเดินกลับมานั่งตำแหน่งคนขับ

“เมื่อกี้พี่ลมว่าจะเอาอะไรให้ดู...อะไรหรือครับ”

“รอเดี๋ยวนะ” เจ้าของรถหันกลับไปที่เบาะหลัง ก่อนหยิบถุงกระดาษถุงหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจึงส่งให้คนข้างๆ พร้อมกับสั่ง “เปิดดูสิครับ”

“...ครับ” กวีรับคำง่ายๆ แล้วจึงเปิดดูของปริศนา ในถุงกระดาษสีน้ำตาล เป็นของที่กวีคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ได้เห็นมันมาสักระยะแล้ว “นี่มัน...หนังสือที่ผมเขียนนี่”

“ใช่ครับ พี่เพิ่งไปหาซื้อมาวันนี้เอง เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีเรื่องแรกที่วีเขียนใช่ไหม”

“ครับ” กวีพยักหน้ารับเร็วๆ “แล้วพี่ลมรู้ได้ยังไง”

“พี่ไปหาข้อมูลมานิดหน่อย เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แถมมีเล่มเดียว ก็เลยหาซื้อมาอ่าน”

กวีมองหน้าคนพูด ก่อนจะมองสภาพหนังสือที่ดูคล้ายผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว เห็นดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็ทำตาโต

“นี่อย่าบอกนะครับ ว่าพี่ลมอ่านไปบ้างแล้ว”

“อืม พี่อ่านจบรวดเดียวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ” วายุยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อ “สนุกมากจนพี่วางไม่ลงเลยล่ะ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าแหนะ นี่พี่กดสั่งอีกเรื่องไปแล้ว เพราะสองสามวันนี้คงไม่มีเวลาไปร้านหนังสือเอง”

“...พี่ลม”

นักเขียนหนุ่มวางหนังสือไว้บนตัก ก่อนจะยกสองมือปิดหน้า ปิดบังรอยยิ้มที่กว้างเกินพอดีของตัวเอง หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจสุดๆ

“วี! เป็นอะไรครับ”

ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง กวีจึงเลื่อนมือลง แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ตาเป็นประกาย

“ผมเขินน่ะ หัวใจเต้นตึกตักๆ เหมือนถูกสารภาพรักเลยครับ”

“ห๊ะ!? สารภาพรักเนี่ยนะ”

“อื้ม” กวีพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงอธิบาย “ก็แบบ...พี่บอกว่าชอบหนังสือผมใช่ไหม แล้วผมเป็นคนเขียนไง ก็เลยรู้สึกดีใจมากๆ น่ะครับ”

“อ๋อ...” กวีเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายโล่งอก จากนั้นจึงว่า “เรานี่ก็ช่างเปรียบนะ พี่ตกใจหมดเลย”

“ฮ่าๆ แต่ดีใจจริงๆ นะครับ ปรกติไม่ค่อยมีใครมาพูดต่อหน้าจริงๆ จังๆ แบบนี้หรอก แถมเป็นคนรู้จักด้วย”

ตามปรกติกวีไม่ค่อยออกไปเจอใคร เขาจึงได้อ่านคอมเมนต์และบทวิจารณ์ต่างๆ ผ่านตัวหนังสือ ทั้งที่ตอนอ่านก็หัวใจพองฟูมากแล้ว แต่พอถูกบอกว่าชอบงานที่เขาเขียนต่อหน้า มันยิ่งหัวใจพองฟูมากขึ้นไปอีก รู้สึกเหมือนมีแรงกลับไปเขียนได้อีกสิบตอนรวดทีเดียว

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” วายุพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “แต่นิยายสนุกจริงๆ นะครับ ไม่ได้อวยกันเองนะ”

“ขอบคุณครับ” กวียิ้มรับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ว่าแต่พี่ลมจะให้ผมช่วยอะไรหรือครับ เมื่อกี้เหมือนพี่ยังไม่ได้บอก”

“อ๋อ...เอ่อ”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้ากวี ก่อนพี่รถกับข้าวของเขาจะเกาแก้มเบาๆ แล้วว่า

“พี่อยากให้วีช่วยเซ็นหนังสือให้หน่อยน่ะครับ”

“โอ้ย~ พี่ลม...” กวีรู้สึกว่าแก้มสองข้างของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด เขาทั้งเขินและประหม่าสุดๆ ไปเลย

“ไม่ได้หรือครับ”

“ดะ...ได้ครับๆ ผมจะเซ็นให้อย่างดี พี่จะเอาปากกาสีอะไร บอกได้เลยนะครับ” ในกระเป๋าดินสอของเขามีปากกาหลายสีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ขอแค่นักอ่านที่น่ารักบอกมาเท่านั้น

“ฮ่าๆ ๆ สีอะไรก็ได้ครับ วีเลือกเลย แต่ความจริงเอาไว้เล่มต่อๆ ไปค่อยคิดก็ได้นะ พี่จะเอามาให้เซ็นไม่ซ้ำสีเลยดีไหมครับ”

“ดีครับ ดีมากๆ ผมจะเซ็นให้ไม่ซ้ำสีสักเล่มเลยครับ” กวีเอ่ยคำสัญญา ก่อนจะรื้อกระเป๋าเพื่อหยิบปากกาสีม่วงออกมาเซ็นให้ด้วยความตั้งใจ ราวกับกำลังจะไปสอบเข้ามหาลัยฯ ก็ไม่ปาน

ความรู้สึกตอนที่เซ็นให้นักอ่านเป็นแบบนี้นี่เอง วายุเพิ่งทำให้กวีเข้าใจว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน ความกังวลที่มีเกี่ยวกับงานแจกลายเซ็นซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและกระตือรือร้น

แม้ไม่ได้พูดออกไป แต่นักเขียนหนุ่มอดรู้สึกขอบคุณคนข้างๆ ไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับไปตามหาหนังสือมาอ่าน ซ้ำยังตามมาเอ่ยชมให้เขาดีใจ

พี่รถกับข้าวเนี่ย...ใจดีที่สุดเลยน้า~









-----------------------------------------------------------------







กับข้าวมาแล้วค่ะ กับข้าววว

ตอนนี้เว้นห่างไปหน่อย ตอนต่อไปจะมาเร็วๆ

พี่รถกับข้าวทำคะแนนใหญ่แล้ว แถมมาถูกทางด้วย

คุณบอสขาสู้ไม่สู้ 55555

ยังยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าเจ็บปวดหัวใจจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องกลัวนะ

ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ เจอกันตอนหน้าค่าา



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 06-08-2018 16:44:38
เหมือนเกิดศึกชิงก้อนแบบย่อมๆ แต่พี่ลมนี่มาเหนือมาก ชนะขาดค่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 06-08-2018 19:01:44
พี่รถกับข้าวเจอคู่แข่งซะแล้ว สู้สู้นะ  :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-08-2018 20:10:30
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 06-08-2018 20:32:33
อยากออเดอร์ผู้ชายแบบพี่ลมหนึ่งรายการ ร้านไหนมีขายบ้างคะ พร้อมโอน 55555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 06-08-2018 22:24:21
เชียร์พี่ลมเต็มที่จ้า เสียใจด้วยนะบอส
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-08-2018 23:17:11
พี่ลมเข้าถูกจุดกว่านะคะคุณบอส  :hao7:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-08-2018 23:58:33
หวานละมุนเชียวววว,,,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 7 [6/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: มะลิมะลิ ที่ 07-08-2018 21:32:58
รอตอนต่อปายยยยยย :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 31-08-2018 10:57:36






บทที่ 8








             กิจวัตรของวายุในช่วงนี้ นอกจากเฝ้าร้าน เช็คของในสต็อก ตรวจสอบบัญชีร้าน และดูแลพนักงานแล้ว ชายหนุ่มยังเจียดเวลาว่างมานั่งอ่านนิยายเป็นเล่มจนพนักงานในร้านนึกสงสัย

“หนังสืออะไรน่ะพี่ลม ผมเห็นอ่านทุกวัน” แซมถามขึ้นในช่วงสายของวันหนึ่ง หลังจากส่งลูกค้าออกจากร้านเรียบร้อยแล้ว

“นิยาย” วายุตอบสั้นๆ

“พี่ติดนิยายด้วยหรือ” แซมถามต่อ

“อืม เพิ่งติดนี่แหละ”

“นิยายอะไรน่ะ”

“นิยายแนวแฟนตาซี สนใจอยากอ่านบ้างไหมล่ะ” วายุวางหนังสือไว้ที่ตัก ก่อนจะหันมาเชิญชวนพนักงานคนสนิทด้วยท่าทางจริงจัง

“ก็น่าสนนะ” แซมว่า เมื่อเหลือบเห็นปกและชื่อเรื่อง

“เอาไว้อ่านเสร็จแล้วจะให้ยืมแล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากคุยตกลงกันเรียบร้อย วายุก็สั่งให้แซมไปเติมของที่ชั้นด้านหน้าซึ่งแหว่งไปจากการหยิบของลูกค้าคนเมื่อครู่ ส่วนตนเองนั้นก็หันกลับมาพลิกนิยายหน้าที่ค้างไว้เพื่ออ่านต่อ

ในทีแรกวายุแค่ต้องการอ่านเพราะอยากรู้จัก อยากสัมผัสถึงตัวตนของกวีให้มากขึ้น แต่พออ่านจบไปเล่มหนึ่ง ชายหนุ่มกลับต้องหาเล่มอื่นๆ มาอ่านเพิ่มเติม จนคาดว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ เขาคงต้องไปอ่านทางออนไลน์ที่มีตอนใหม่ๆ อัพเดตแทน

วายุไม่แปลกใจเลยที่กวีจะมีแฟนคลับติดตามทางทวิตเตอร์มากขนาดนั้น เพราะนิยายของกวีสนุกและชวนติดตามทุกเรื่อง ขนาดคนที่ไม่ค่อยอ่านหนังสืออย่างเขายังติดงอมแงม

นอกจากเรื่องนิยายแล้ว เขายังได้สิทธิพิเศษเพิ่ม โดยการส่งข้อความโต้ตอบกับนักเขียนดังโดยตรง หากไม่ใช่คุยกันแค่เรื่องนิยาย เรื่องสัพเพเหระทั่วไปก็ยังอยู่ในบทสนทนา จนคล้ายกับว่าเวลานี้พวกเขาสนิทกันขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว

ชายหนุ่มนั่งอ่านนิยายอยู่สักพัก กระทั่งเหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง เขาจึงวางหนังสือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหากวี

WAYU : กินข้าวเที่ยงหรือยังครับ [12:02 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ยังเลยครับ [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมเพิ่งตื่น [12:03 อ่านแล้ว]

พอวายุกดข้อความส่งไปหา อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวอ่านข้อความที่ส่งกลับมาอย่างรวดเร็วพลางอมยิ้มบางๆ

WAYU : เมื่อคืนนอนดึก? [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เรียกว่านอนเช้าจะถูกกว่าครับ [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : ปั่นต้นฉบับหรือครับ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ครับ ใกล้เดตไลน์อีกแล้ว [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : ลำบากแย่เลยสินะ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ก็นิดหน่อย แต่ผมชินแล้วครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ว่าแต่พี่ลมพักกินข้าวหรือยังครับ หรือว่ากำลังส่งของ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : อยู่ที่ร้านน่ะ กำลังจะพักครับ [12:06 อ่านแล้ว]

WAYU : แต่ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวมาก [12:06 อ่านแล้ว]

หลังจากส่งข้อความไปแล้ว วายุก็ส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายน่ารักๆ ทำท่ากุมท้องด้วยความหิวโซไปให้กวี เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาหิวมากจริงๆ

ก้อนไงจะใครล่ะ : 55555555 [12:07 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : สติ๊กเกอร์พี่ลมน่ารักจัง [12:07 อ่านแล้ว]

WAYU : น่ารักเหมือนคนชมแหละครับ 555 [12:08 อ่านแล้ว]

ชายหนุ่มหยอดไปประโยคหนึ่ง ก่อนจะรอดูผลลัพธ์ด้วยใจระทึก ไม่รู้ว่าคราวนี้กวีจะอ่านแล้วเงียบเหมือนที่เขาหยอกไปคราวที่แล้วอีกหรือเปล่า

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอบคุณครับ 555 [12:09 อ่านแล้ว]

ผิดคาด...

เพราะคนน่ารักเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายอ้วนแบบเดียวกันกับของวายุ แต่เปลี่ยนเป็นถือป้ายขอบคุณมาให้

วายุยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้หน้าจอโทรศัพท์อยู่เดี๋ยวเดียว แล้วลูกค้าก็เข้าร้าน ชายหนุ่มจึงต้องพักการคุยกับคนน่าไว้เท่านี้ก่อน

WAYU : เที่ยงกว่าแล้ว ลุกขึ้นมากินข้าวนะครับ เดี๋ยวปวดท้อง [12:10 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ต้องไปทำงานแล้วหรือครับ [12:10 อ่านแล้ว]

อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างนกรู้ พานให้คนถูกถามยิ้มกว้างขึ้นอีก

WAYU : ครับ ลูกค้าเข้าร้านน่ะ [12:11 อ่านแล้ว]

WAYU : ว่าแต่รู้ได้ไง เก่งจัง [12:11 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมเดาเอา เพราะเห็นพี่ลมพูดเหมือนสั่งเสีย 555 [12:12 อ่านแล้ว]

WAYU : สั่งเสีย? [12:12 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : 555 ผมเปรียบเฉยๆ [12:13 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ไปรับลูกค้าเถอะครับ แล้วอย่าลืมหาข้าวเที่ยงกินด้วยนะ [12:13 อ่านแล้ว]

WAYU : อืม วีก็ด้วยนะครับ ^-^ [12:14 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอกลิ้งบนเตียงอีกเดี๋ยวแล้วจะไปครับ J [12:15 อ่านแล้ว]

ได้อ่านข้อความ ได้คิดภาพตามแล้ววายุก็นึกขำ กวีน่ารักและเป็นกันเองกับเขามาก แต่ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็สุภาพและขี้เกรงใจ นึกถึงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายยามที่รู้ว่าเขาดั้นด้นไปซ้อหนังสือมาอ่าน ทั้งยังเอาไปให้เซ็น วายุก็ยิ่งชอบใจ

วายุคิดว่าตนมาถูกทางแล้ว

แต่ดูเหมือนหลุมที่ตกลงไปในทีแรกก็ดูดให้ใจของเขาถลำลึกลงมากกว่าเดิมเช่นกัน

...ด้วยเหตุนี้เขาเองก็คงต้องพยายามมากขึ้นอีกหน่อย

พรุ่งนี้จะครบกำหนดสามวันแล้ว กวีน่าจะสั่งของมาเหมือนเดิม เอาไว้คืนนี้ยังพอมีเวลา เขาค่อยคิดหัวข้อที่จะเอาไปทำคะแนนกับอีกฝ่ายใหม่

วายุส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง ก่อนปรับสีหน้าเป็นร้อยยิ้มการค้า แล้วเข้าไปรับลูกค้าที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาสินค้าที่แผนกเครื่องปรุง

“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวยินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ...”

















สุดท้ายวายุก็ไม่ได้วางแผนการอะไรเพิ่ม เพราะเมื่อลองมานั่งคิดดูดีๆ เขาว่าวิธีเข้าหาจากงานที่อีกฝ่ายเขียนน่าจะเหมาะ และน่าจะพาให้บทสนทนาลื่นไหลเป็นธรรมชาติที่สุด

ซึ่งชายหนุ่มก็ต้องรับการยืนยันในทฤษฎีทันทีที่ไปถึงหน้าห้องกวี

“พี่ลมมาแล้ว!”

“ครับ พี่ลมมาส่งกับข้าวแล้วครับ”

คำทักทายที่พวกเขาปรับเปลี่ยนใหม่ชวนให้รู้สึกสนิทใจมากกว่าเดิม ทั้งระดับความกระตือรือร้นก็มากขึ้นตามไปด้วย

“ของครบนะครับ”

“ไม่มีขาดสักรายการเดียวครับ” วายุรายงาน กวีจึงก้าวออกจากเขตประตูห้องมารับตะกร้าอาหาร

วันนี้นักเขียนหนุ่มไม่ได้ติดกิ๊บ แต่คาดที่คาดผมเปิดหน้าผากรูปหัวใจ สวมชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นๆ เพิ่มเติมคือผ้ากันเปื้อนขนาดความยาวเกือบพอดีกับขอบล่างของกางเกง มันเป็นชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ ที่วายุเห็นกวีใส่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขากลับชอบกวีในลุคนี้มากกว่าชุดเป็นทางการที่อีกฝ่ายใส่ไปกินข้าวกับคนที่สำนักพิมพ์วันก่อนเสียอีก

กวียืนเช็คของคร่าวๆ พอเห็นว่าไม่น่าจะขาดตกรายการไหนอย่างที่วายุว่าจริงๆ ดวงตากลมจึงเงยขึ้นสบตากับวายุ

“ครบทุกรายการจริงๆ ครับ” เจ้าตัวว่า ก่อนจะถาม “ว่าแต่พี่ลมต้องรีบไปส่งของต่อหรือเปล่าครับ”

“วีมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“คือ...สมมติว่าถ้าพี่ไม่รีบ เข้าไปชิมเกี๊ยวคาโบนาร่าของผมไหมครับ”

แม้ดวงตากลมจะปิดซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ แต่คนช่างสังเกตก็ลอบสังเกตเห็น วายุประมวลผลรวดเร็ว แล้วจึงเอ่ยถาม

“เพิ่งเคยทำครั้งแรกหรือครับ”

“พี่ลมรู้ได้ไงน่ะ”

“พี่มีตาทิพย์” ชายหนุ่มว่าพลางขยิบตานิดๆ อย่างขี้เล่น ทำเอากวีเผลอหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ ครับๆ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรก ถ้าพี่ลมว่างและไม่รังเกียจล่ะก็...”

“พี่จะรังเกียจได้ไงล่ะ” คนที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบสวนทันที

แต่กวีก็ยังไม่มั่นใจ “ผมไม่ได้เบียดเบียนเวลางานของพี่นะครับ”

“ไม่ครับ พี่มีเวลาว่างสองสามชั่วโมงพอดี วีไม่ต้องกังวลนะ ความจริงควรเป็นพี่ต่างหาที่กังวลจริงไหม เพราะดอดเข้าบ้านลูกค้าอีกแล้ว”

“ผมเป็นคนชวนเอง พี่ลมไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเจ้านายพี่ว่า ผมจะเป็นคนยืนยันให้เอง”

“หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เจ้านายพี่ไม่ว่าหรอกครับ”

...เพราะพี่เป็นเจ้านายตัวเองนี่ครับ

ประโยคหลังวายุนึกกับตัวเอง แต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป

“ถ้างั้นก็เข้าบ้านกันครับ ผมห่อเกี๊ยวไว้แล้ว กำลังจะตั้งเตาลวกพอดีเลย” เจ้าบ้านเปิดประตู้กว้างเป็นกางเชื้อเชิญ

“งั้นพี่ไม่เกรงใจล่ะนะครับ”

“อื้ม” ใบหน้ากลมๆ พยักหงึกหงักอย่างน่ารัก

เห็นแก้มท่าทางนุ่มนิ่มนั่นแล้ววายุอยากจะยื่นมืดเข้าไปบีบเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นหูตะกร้ากับข้าวในมือกวีแทน

“มาครับ พี่ช่วยถือ”

“ไหนว่าจะไม่เกรงใจแล้วไงครับ” กวีหันมาหยอก

“เคยได้ยินไหมครับ เขาว่าเข้าบ้านท่านอย่านิ่งดูดาย พี่ปั้นวัวปั้นควายไม่เป็น ดังนั้นให้พี่ช่วยถือตะกร้าแทนนะครับ ส่วนวีเดินนำไปเลย”

“ก็ได้ครับ” กวียิ้มรับ ก่อนจะยอมปล่อยวายุทำตามใจและเดินนำเข้าไปในห้อง ก่อนจะคอยปิดประตูให้



เกี๊ยวคาโบนาร่าที่เจ้าบ้านบอกว่าเคยทำเป็นครั้งแรก รสชาติอร่อยถูกใจวายุเอามากๆ เขาเคยทานเกี๊ยวน้ำไส้หมู กุ้ง และอื่นๆ มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยลองที่ด้านในเป็นไส้ชีสและเครื่องปรุงที่ให้รสชาติเหมือนสปาร์เก็ตตี้คาโบนาร่าแบบนี้ มันให้รสสัมผัสและความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ซ้ำอร่อยและแปลกจนคิดว่าถ้าอยากกิน ชายหนุ่มคงไม่รู้จะไปหากินที่ไหน

“อร่อยมากเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าทำครั้งแรก”

“จริงหรือครับ” คนทำตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำชม

“อื้ม”

“ไม่เค็มไปใช่ไหมครับ ผมรู้สึกเหมือนตอนผสมไส้ ตัวเองใส่เกลือลงไปเยอะเลย”

“ไม่เค็มครับ กำลังดีเลยล่ะ” ว่าจบวายุก็ตักเกี๊ยวชิ้นโตเข้าปากอีกคำ

รสเค็มๆ มันๆ ของชีสกับความนุ่มนิ่มลื่นคอของแป้งเกี๊ยวและน้ำซุปใสผสานกันได้อย่างลงตัวไม่มีที่ติ ไหนจะกลิ่นหอมของเครื่องปรุงที่ลอยเตะจมูกนั่นอีก ความกังวลที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมอาหารเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อก็หายไปจากความคิดหมดสิ้น

“ดีใจจัง ความจริงผมว่ามันก็รสชาติใช้ได้นะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะดีพอไหม มีคนมาช่วยชิมให้แบบนี้ ค่อยมั่นใจหน่อย”

“มั่นใจได้เลยครับ อร่อยจริงๆ นี่ไม่รู้ว่าถ้าพี่อยากกินอีก พี่จะไปหากินจากที่ไหนได้นะเนี่ย”

“ถ้าอยากกินอีก ก็บอกผมสิครับ ผมจะทำให้พี่ลมกินเอง” กวีแทบตบอกเสนอตัว

“ได้หรือครับ” วายุถามย้ำ แต่พอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นไร เขาแค่อยากได้ยินอีกฝ่ายย้ำมั่นใจอีกครั้งเท่านั้น

“แน่นอนครับ เชื่อมือกวีได้เลย!”

แล้วก็อยากเห็นรอยยิ้มแป้นๆ ของคนน่ารักแบบนี้ด้วย...



หลังทานเสร็จวายุก็อาสาอยู่ช่วยล้างจานเหมือนทุกที และครั้งนี้กวีก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย เพราะวายุใช้วิธีชวนคุยให้อีกฝ่ายสนใจเรื่องอื่นจนลืมที่จะปฏิเสธ พอรู้ตัวอีกที มือใหญ่ก็จุ่มลงไปในอ่างล้างจานเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พวกเขาจึงได้แต่ยืนเบียดจนแขนชิดกันตรงหน้าอ่างและจานกองพะเนิน พลางพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ

ส่วนเรื่องที่ดึงความสนใจของกวีได้ก็หนีไม่พอเรื่องนิยายของเจ้าตัวนั่นแหละ

“พี่อ่านเล่มสี่จบแล้วหรือครับ”

“ใช่ครับ”

“อ่านเร็วมากๆ” คนตาโตอยู่แล้วทำตาโตขึ้นไปอีก

“ตอนนี้กำลังค้างเลยนะ”

“เอ่อ...จบตอนที่สมาคมแพงโกล่าบุกเข้าไปที่สมาพันธ์พอดีสินะครับ”

เรื่องราวในนิยายที่กวีเอ่ยถึง เป็นช่วงที่กลุ่มกิลด์ของตัวเองบุกเข้าไปโจมตีคนของทางการซึ่งถือเป็นตัวร้ายกลุ่มใหญ่ในเรื่อง

“ใช่ นี่พี่อ่านไปลุ้นไป พอฟิลด์พาคนในสมาคมเข้าไปได้ วีดันตัดจบซะงั้น พี่แทบทึ้งหัวเลยล่ะ”

“ฮ่าๆ ๆ” เห็นวายุทำท่าอยากจะทึ้งหัวจริงๆ กวีก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นครัว “ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

“ขนาดนั้นแหละ” วายุยืนยัน “นี่พี่ตัดสินใจจะไม่รอเล่มแล้วนะ ตั้งใจจะไปตะลุยอ่านในเว็บไซด์ที่วีลงต่อเลย เอาไว้เล่มออกมาค่อยซื้อเก็บทีหลัง”

“ถ้าพี่อยากได้เล่ม เดี๋ยวหนังสือออกเดือนหน้า พี่มาเอาที่ผมก็ได้นะครับ” นักเขียนดังว่า

“ไม่เอาหรอก พี่จะเพิ่มยอดขายให้วี ทางสำนักพิมพ์เขาจะได้พิมพ์เรื่องนี้ต่อเนื่องไปจนจบไงล่ะ พี่เคยเห็นข่าวที่ว่า นิยายเรื่องไหนทำยอดขายไม่ได้ ส่วนใหญ่จะถูกทิ้งกลางทางด้วยนะ พี่ไม่ยอมให้หนังสือวีเรื่องนี้ถูกทิ้งกลางทางแน่ ต้องสนับสนุนๆ”

ครั้นเห็นวายุเคราะห์และแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงจัง กวีก็ยิ้มออกมาจนเต็มแก้ม ในดวงตาคู่ใสไม่อาจปกปิดความปลื้มใจที่ซ่อนอยู่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆ เลย”

“ขอบคุณทำไมล่ะ สำหรับนักอ่านอย่างพี่นะ ขอแค่วีเขียนออกมาให้อ่านได้เรื่อยๆ และจบลงสวยๆ พี่ก็ดีใจแล้วล่ะ โอ้ย...พูดแล้วอยากอ่านต่อเลย”

ประโยคที่วายุเอ่ยออกมาทั้งหมด ไม่ได้เป็นแค่แผนการในการพิชิตใจคนน่ารักเท่านั้น แต่ทุกคำที่เอ่ยล้วนออกมาจากใจจริงๆ

“ผมจะตั้งใจเขียนนะครับ ต่อไปจะขยันมากๆ ไม่อู้แล้ว”

“พี่ไม่ได้กดดันนะ” วายุหยอก “แต่ถ้าอ่านทันในเว็บล่ะก็ พี่จะทวงตอนต่อไปทุกวันเลย”

“อ้าว...ไหนว่าไม่กดดัน”

“ไม่ได้กดดัน แค่ทวงเช้าทวงเย็นเฉยๆ”

“นั่นยิ่งกว่ากดดันอีกครับพี่โล้ม!!”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินกวีโหยหวน “ไม่รู้ล่ะ วีสัญญากับพี่แล้วว่าจะขยัน ห้ามผิดสัญญานะ”

“ผมแกล้งตายได้ไหม”

“ไม่ได้สิ ฮ่าๆ”

“พี่ลมเริ่มไม่ใจดีแล้ว”

พอได้ยินว่าจะถูกทวงนิยายเช้าเย็น ปากเล็กๆ ก็ยื่นออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะขมุบขมิบฟังไม่รู้ความ คล้ายอีกฝ่ายกำลังบ่นกับตัวเอง

“งั้นวีเป็นคนใจดีแทนได้ไหม นี่พี่เอาหนังสือมาให้เซ็นด้วยนะ อยู่ในรถเล่มนึงนะ”

“ไว้พี่จะกลับผมลงไปเซ็นให้ก็ได้ คราวนี้เอาปากกาสีครามนะครับ”

“ทำไมสีครามล่ะ”

“ก็ผมจะเซ็นให้เป็นสีรุ่งเลย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง”

“โห คิดมาดีๆ” วายุชม เพราะเขาเองก็คิดไม่ถึงตอนที่ได้ลายเซ็นสีม่วงคราวที่แล้ว

“อยู่แล้วล่ะ แล้วตอนนี้หนังสือผมกำลังจะมี 7 เล่มพอดีด้วย”

“แล้วถ้าเล่มที่ 8 วางขายทำไง”

“เอาไว้ตอนนั้นผมค่อยคิด ตอนนี้ผมต้องเอาเล่ม 7 ให้รอดก่อนครับ” พูดจบกวีก็คล้ายจะทำท่าปาดเหงื่อ

ดวงตาคมมองจานในมือที แอบลอบมองคนข้างกายที พลางอมยิ้มอย่างมีความสุข

มีความสุข...วายุไม่ได้รู้สึกมีความสุขอันเกิดจากคนอื่นซึ่งไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนเช่นนี้มานานแล้ว มันเป็นความรู้สึกง่ายๆ ที่เกิดจากการได้มองเห็น

เห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ แม้แต่เห็นเขาทำหน้าบู้บี้อย่างในตอนนี้...วายุก็มีความสุข

ไม่รู้ว่าอาการนี้จะเรียกว่าแค่หลงรักอย่างฉาบฉวย หรือตกหลุมรักจริงๆ วายุไม่อาจแยกประเภทหรือรู้ลึกได้ถึงความรู้สึกจริงๆ ขนาดนั้น

และเขาก็เลิกที่จะพยายามค้นหาคำตอบแล้ว

สิ่งที่วายุจะทำในตอนนี้ คือ ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ...แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

บางทีในวันใดวันหนึ่งหลังจากนี้เขาคงได้รู้

วายุมองกวีตั้งหน้าตั้งตาเช็ดจานให้แห้งด้วยผ้าขนหูผืนเล็ก มองแก้มใสๆ ของคนข้างกายขยับไปมาน้อยๆ ยามที่อีกฝ่ายฮัมเพลงเบาๆ

เวลานี้เขาต้องการแค่มองกวีให้นานขึ้นเท่านั้น แต่สักวัน อาจจะอีกไม่นานหลังจากวินาทีนี้ วายุมั่นใจว่า เขาจะได้รู้ชื่อเรียกของสิ่งที่กำลังเติบโตอยู่ในหัวใจของตนเองอย่างแน่นอน








--------------------------------------------------------------------








เรากลับมาแล้ว หลังจากหายไปจัดการตัวเองพักใหญ่

เรื่องนี้ไม่ยาวมากค่ะ ถ้าเทียบกับคุณคือความรัก

มีประมาณ 25 ตอนได้ ต่อไปจะพยายามลงให้อ่านต่อเนื่องนะคะ ^^



ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-08-2018 11:34:04
 :L2: :pig4:

ตวามชอบมีพลังจริงๆนะ ไปหานู่นทำนี่ เพื่อทำให้อีกคนมีความสุข
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 31-08-2018 11:44:17
พี่รถกับข้าวมาแล้ว
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 31-08-2018 12:26:23
หวานละมุนจัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-08-2018 13:25:33
หยอดอีกแล้วอีพี่วี
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-08-2018 13:42:25
  :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 31-08-2018 18:22:20
 :-[ :-[ พี่ลมนี่เวลาอยู่กับน้องก้อนละมุนคูณสิบ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-08-2018 19:58:38
อ่านแล้วหิวตามมมม อยากมีพี่รถกับข้าวเป็นของตัวเองบ้างค่าา  :hao5:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-08-2018 20:51:06
เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกค่ะพี่ลม นอกจากรักน้องก้อนจนหมดใจ อิอิ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-09-2018 00:10:33
หวานกันเชียว,,,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Bluedock ที่ 05-09-2018 07:34:52
มารอพี่รถกับข้าว :-[

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 08-09-2018 15:42:09








บทที่ 9









“พี่เจน!”



หลังจากยืนหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ ท่ามกลางพนักงานมากมายของทางเว็บไซด์ที่เดินกันขวักไขว่ ในที่สุดกวีก็พบกับบ.ก.ของตนเองเสียงที



“ทางนี้ๆ”



“ครับๆ มาแล้วครับ” เห็นเธอโบกมือไหวๆ ส่งสัญญาณโดยไม่สนสายตาใคร นักเขียนหนุ่มจึงต้องเร่งเดินเข้าไปหาเร็วรี่



“วันนี้มาเร็วนะ” เจนทัก “แถมยังแต่งตัวดีเชียว”



“วันนี้ผมตื่นเร็ว”



เมื่อคืนกวีเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน เนื่องจากเช้าวันนี้เป็นวันสำคัญ เขาอยากเตียมตัวเองให้พร้อมมากที่สุด ไม่อยากให้มีเรื่องฉุกละหุกอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตื่นสาย หรือหาเสื้อผ้าไม่เจอในช่วงเวลาเร่งรีบ กวีจึงจัดเสื้อผ้าตั้งแต่ก่อนเข้านอน ซ้ำตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ให้ตื่นในช่วงเวลาที่หากเป็นปรกติคงหลับอุตุอยู่



“นี่อย่าบอกนะว่าตื่นมาเตรียมแมชเสื้อผ้าตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่”



“เปล่าสักหน่อย ผมเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนต่างหาก เช้านี้ที่ตื่นเร็วเพราะตั้งใจว่าต้องสระผมก่อนมา” นอกจากสระผมแล้ว กวียังเซตผมนิดๆ ตามฝีมืองูๆ ปลาๆ ของตัวเองด้วย



“ทำไมล่ะ กลัวคนอ่านเหม็นหัวเน่าๆ หรือไงกัน”



“ก็ใช่น่ะสิครับ เจอคนอ่านทั้งที จะให้มาแบบหัวเหม็นๆ ได้ไง ต้องดูดีหน่อย”



เพราะกวีไม่อยากทำให้คนอ่านผิดหวังกับรูปลักษณ์ของเขา เรื่องแบบนี้จะว่าไม่สำคัญ แต่นักเขียนหนุ่มคิดว่าก็มีส่วนสำคัญอยู่เหมือนกัน



“คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่าซกให้มากนัก พี่สงสารแม่บ้าน”



“รู้แล้วล่ะครับ ความจริงผมก็ไม่ได้ซกมกขนาดนั้นเสียหน่อย พี่เจนพูดเกินไป” ชายหนุ่มค้อนให้บ.ก.คนสนิทน้อยๆ เธอจึงหัวเราะออกมา ก่อนจะชวนเข้างาน



“เอาเถอะๆ เข้าไปข้างในกันดีกว่า มีคนชะเง้อคอรออยู่นานสองนานแล้ว” เจนจิราอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก เพราะต้องทนเสียงถามของเจ้านายสุดเฮี๊ยบมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง



“กวีมาหรือยัง”



“กวีจะมากี่โมง”



กวี กวี กวี...



เจนจิราปวดหัวแต่เช้า เพราะคุณพศินเจ้านายเธอเป็นเอามากแล้วจริงๆ



“ใครครับ”



“เดี๋ยวก็รู้”



เห็นบ.ก.คนสนิทยิ้มแปลกๆ กวีก็อดเสียวสันหลังไม่ได้ แต่ในเมื่อเธอไม่ยอมบอก เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ เขาเดินตามเธอเข้าไปด้านในสถานที่จัดงานอย่างว่าง่าย ที่เห็นจากด้านหน้าว่าพนักงานวิ่งวุ่นกันเท่าไร ด้านในยิ่งวุ่นวายมากกว่านั้นหลายเท่า เพราะทุกคนรีบเร่งเตรียมความพร้อมให้สมบูรณ์พร้อมก่อนจะเปิดงาน



“นี่งานไปถึงไหนแล้วครับ”



“เตรียมงานกันเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้วล่ะ”



“ทุกคนดูรนๆ กันมากเลย” กวีพูดตามที่เห็น



“เรียกกระตือรือร้นดีกว่า” เจนว่าขำๆ ” ก็แบบนี้แหละ นายลงคุมด้วยตัวเองนี่นะ แต่จริงๆ ก็แทบไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว อีกเดี๋ยวถ้านักเขียนในเว็บไซด์เรามากันครบ นายคงเรียกประชุมทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ถึงจะปล่อยให้คนอ่านเข้ามาตรงช่วงเวลาที่เราประกาศเปิดงานพอดี”



“แล้วตอนนี้ผมต้องไปอยู่ไหนครับ”



กวีหันซ้ายหันขวามองเลิกลัก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวเกะกะ อยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนไปยืนรอของเวฟหน้าเคาน์เตอร์ที่ 7-11 อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่กวีไม่ชอบเลย



“ไปอยู่ที่ห้องรับรอง”



“มีห้องรับรองด้วยหรือครับ” กวีถามอย่างแปลกใจ



“ต้องมีสิ คุณพศินให้คนจัดไว้แล้ว เพราะช่วงเวลาที่นักเขียนผลัดกันแจกลายเซ็น นักเขียนท่านอื่นๆ จะได้มีที่รอคิว เราต้องอยู่ในนั้นแทบทั้งวันเลยล่ะ เพราะคิวแจกลายเซ็นลำดับสุดท้าย แต่ช่วงสายต้องขึ้นเวทีไปเปิดงานแล้วก็พูดคุยนิดหน่อย เหมือนในเอกสารที่เลขาฯ คุณพศินแจกวันนั้นแหละ อ่านรายละเอียดมาแล้วใช่ไหม” เจนจิราอธิบายขณะเดินไปส่งกวีที่ห้องรับรอง



“ครับ”



“รายละเอียดไม่ต่างจากตรงนั้นเท่าไหร่หรอก ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงคุณพศินจะบอกเองอีกที” หญิงสาวเว้นไปนิดตอนหยุดยืนหน้าห้องรับรอง จากนั้นจึงหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เราโอเคใช่ไหม เรื่องสัมภาษณ์บนเวที”



“ก็...ไม่โอเคก็ต้องโอเคแล้วล่ะครับ”



“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก ถึงมีเดียวคุณพศินที่อยู่บนเวทีน่าจะช่วยเอง”



“เรื่องกลัวน่ะผมไม่กลัว แค่ตื่นเต้น”



กวีไม่กังวลกับพวกคำถามต่างๆ เนื่องจากเขาเตรียมคำตอบมาตามสคริปที่ได้รับในวันประชุมแล้ว ทว่าเขาแค่ประหม่า เพราะรู้ว่าตนเองต้องตื่นคนแน่ๆ ด้วยไม่เคยออกมาทำอะไรต่อหน้าผู้คนมากๆ มาก่อน ขนาดตอนเด็กๆ ครูให้กวีนำสวดมนต์ กวียังไม่ยอมทำเลย นับประสาอะไรกับการสัมภาษณ์บนเวที ร้อยทั้งร้อยเขาต้องตื่นเต้นชัวร์ๆ อยู่แล้ว



“เอาน่า เดี๋ยวพอเริ่มผ่อนคลายก็ชินเองแหละ คนที่ดูเราก็มีแต่คนอ่านที่ชอบในผลงานเราทั้งนั้น คิดเสียว่าตอบคำถามคนอ่านในทวิตเตอร์ก็แล้วกันนะ” เจนปลอบ



แม้กวีจะรู้ว่ามันไม่มีทางเหมือนกัน ทว่าเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาก



“ขอบคุณครับพี่เจน”



ให้กำลังใจกันเรียบร้อย บ.ก.สาวก็เปิดประตูเข้าไปในห้องรับรอง โดยด้านมีนักเขียนรุ่นพี่ที่ต้องมาแจกลายเซ็นวันนี้เช่นกันนั่งอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน กวีทักทายกับเธอพอเป็นมารยาท ก่อนจะแยกมานั่งบนโซฟาอีกตัวซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก



รอกระทั่งใกล้ถึงเวลาเปิดงาน พศินก็เข้ามาในห้องรับรองพร้อมกับนักเขียนอีกคน เขาทักทายกวีตามปรกติ ก่อนจะเริ่มคุยรายละเอียดของงาน โชคดีที่ไม่มีแผนอะไรต้องเปลี่ยน กวีจึงพร้อมขึ้นไปบนเวทีโดยที่มีข้อมูลอยู่ในหัวเรียบร้อย



เมื่อถึงเวลา บ.ก.ของกวีก็เป็นตัวพานักเขียนทุกคนไปยังเวทีกลาง โดยมีการสัมภาษณ์ โฆษณาหนังสือ พร้อมทั้งเล่นเกมจนครบสิ้นกระบวนการ กวีจึงลงมาพักที่ห้องรับรองอีกครั้ง



เมื่อครู่ตอนอยู่บนเวที กวีมือเย็นเฉียบ แต่ก็สามารถควบคุมตนเองได้ดี ทั้งพิธีกรและนักเขียนรุ่นพี่มีส่วนช่วยเขามากเหมือนกัน คนอ่านเองก็ด้วย จากที่จินตนาการว่าตนเองต้องค่อนข้างกดดัน เพราะตอบช้า คิดนาน หรือพูดตะกุกตะกัก กวีกลับรู้สึกว่าบรรยากาศสบายๆ กว่าที่คิดมากทีเดียว



ชายหนุ่มนั่งเล่นรอเวลาพลางเช็คกระแสในโซเชียลเกี่ยวกับงาน หลายๆ อย่างเป็นไปได้ด้วยดี ดูท่าคนอ่านทั้งของเขาและของนักเขียนท่านอื่นค่อนข้างพอใจในรูปแบบของงาน เท่านี้กวีก็สบายใจแล้ว ที่เหลือก็อยู่ในส่วนแจกลายเซ็นช่วงท้ายก็เป็นอันจบ



ขณะที่กวีก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือ เสียงของพศินก็เรียกให้เขาเงยขึ้นมาสนใจ



“กวีครับ”



“ครับ? คุณพศิน”



“หิวหรือยังครับ” พศินเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม ทว่าสิ่งที่เรียกความสนใจของกวีได้คือประโยคที่อีกฝ่ายถามมากกว่า



“นิดหน่อยครับ” นักเขียนหนุ่มตอบ ที่แรกเขาก็ไม่รู้สึกหิว แต่พอถูกถามก็หิวขึ้นมาเลย สงสัยกว่าคงกำลังตื่นเต้นกับงาน



“ถ้าอย่างนั้นออกไปทานอาหารกลางวันด้วยกันนะครับ ข้างนอกจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว”



“ทานร่วมกันหรือครับ”



“คุณไม่สะดวกหรือเปล่า”



“อ้อ ไม่ครับๆ ผมสะดวก ไม่มีปัญหาอะไรเลย”



เพราะในกำหนดการเขียนแค่พักทานอาหารกลางวัน กวีจึงคิดว่าต่างคนต่างทาน ไม่ได้มีการเชิญให้ออกไปร่วมโต๊ะกับนักเขียนและพนักงานคนอื่นๆ ของเว็บไซด์



“ถ้าไม่สะดวก หรืออยากพัก ผมให้คนเอาอาหารมาตั้งโต๊ะให้ในนี้ได้นะครับ เดี๋ยวผมมาทานเป็นเพื่อน”



กวีรีบส่ายหน้าหวือด้วยความเกรงใจกับข้อเสนอของพศิน เพราะไม่อยากทำตัวเป็นภาระขนาดนั้น



“ไม่เป็นไรครับ ผมออกไปทานที่ห้องอาหารได้ จะได้คุยเรื่องงานกับคนอื่นๆ ด้วย”



“ครับ งั้นเราไปกันเถอะ” ว่าจบพศินก็เดินมาเปิดประตูให้ เพื่อรอเขาออกไปที่ห้องอาหารพร้อมกัน



“ขอบคุณครับ”



กวียิ้มรับและเดินคู่กับนายใหญ่ของบริษัทไปโดยไม่คิดอะไร ทว่าทันทีที่เข้าไปในห้องอาหาร กวีก็ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ คล้ายสงสัยและสนอกสนใจผสมกัน ดวงตากลมเหลือบมอพศิน ครั้นเห็นอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนหันมายิ้มให้อย่างใจดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กวีจึงผ่อนลมหายใจและคิดว่าคงไม่มีอะไรจริงๆ



เมื่อละสายตาจากรอยยิ้มของพศินแล้ว นักเขียนหนุ่มก็หันมาเห็นบ.ก.คนสนิทตักอาหารไป เม้าท์กับเพื่อร่วมงานไปอยู่ที่มุมหนึ่ง สองขาจึงรีบก้าวเข้าไปหา แล้วทักด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ



“พี่เจน”



“อ้าว! ก้อน หิวจนทนไม่ไหวเลยต้องออกมากินถึงนี่เลยหรือ นี่พี่กำลังจะตักอาหารไปให้พอดี”



“พี่เจนกำลังจะตักอาหารไปให้ผมหรือครับ”



“ใช่น่ะสิ ดูนี่ มีไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่เราชอบด้วยนะ”



คำพูดที่ตั้งใจตัดพ้อว่าบ.ก.คนดีทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวในห้องรับรองถูกกลืนลงคอไปทันที “ขอบคุณครับ”



“ไม่ต้องขอบคุณหรอก มาๆ มาช่วยพี่ถือหน่อย”



“เดี๋ยวผมถือให้เอง” พศินแทรกตัวออกมายืนบังกวีก่อนหยิบจานอาหารมาถือไว้



“คุณพศิน”



เจนจิราทำตาโตไม่ยอมปล่อยจาน กระทั่งเจ้านายกระแอมเรียกสติจึงยอมให้จานไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปแต่โดยดี



“กวีจะกินอะไรอีกไหม”



ที่ถาม เพราะพศินอยากอยู่ช่วยถือจานไป แต่กวีเองก็เกรงใจ ซ้ำยังอยากเลือกอีกหน่อย เพราะอาหารที่จัดเลี้ยงกลางวันมีตั้งหลายอย่าง เขาเพิ่งมายังดูไม่ครบเลย ชายหนุ่มจึงบอกปัด



“คุณพศินไปที่โต๊ะก่อนก็ได้ครับ ผมจะเดินดูก่อน”



“ถ้าอย่างนั้นผมไปรอที่โต๊ะ โต๊ะอยู่ตัวแรกนะครับกวี”



“ครับ”



กวีพยักหน้ารับง่ายๆ นาทีนี้เขาไม่สนใจอะไรแล้ว ดวงตาคู่ใสกวาดมองซุ้มอาหารละลานตา จนลืมสนใจสายตาคนรอบข้างไปหมด ทว่าเจนจิรากับเพื่อนร่วมงานอีกคนกลับนิ่งไปนิด หลายๆ คนที่ลอบสังเกตพวกเขาตั้งแต่เข้ามาในห้องอาหารเองก็เช่นกัน



จนกระทั่งพศินเดินไปแล้ว เจนจิราจึงหันมาจ้องเด็กในความดูแลของตัวเอง



“ก้อน”



“ครับพี่เจน”



“มาด้วยกันได้ยังไง”



“กับคุณพศินน่ะหรือครับ”



“อื้ม” หญิงสาวพยักหน้าแรงๆ



“ก็คุณพศินไปชวนที่ห้องรับรอง ให้ผมมากินข้าวด้วยกันที่นี้ เขาบอกว่าทุกคนรออยู่”



“รอหรือ...”



เจนจิราหันมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ยืนข้างๆ กัน ด้วยพวกเธอรู้ดีว่าสิ่งที่นายใหญ่ของพวกเธอทำนั้นมีความหมายมากกว่าชวนมาทานอาหารร่วมกันเฉยๆ ด้วยมื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ที่ใครจะตักอย่างไร ตักไปกินตรงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมานั่งที่ห้องอาหาร แล้วเธอที่เป็นคนดูแลกวีเองก็กำลังจะตักอาหารไปให้นักเขียนของตนเองเหมือนกัน เพราะรู้ว่ากวีไม่ชอบอยู่กับคนมากๆ



แต่คุณพศินยังชิงตัดหน้า มิหนำซ้ำยังพามาดูแลในที่ที่มีคนเยอะ เหมือนตั้งใจประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าความสัมพันธ์ของตนเองและกวีไม่ธรรมดา



เหมือนเปิดตัวกลายๆ



“เปิดตัวใช่ไม่ใช่” เพื่อนสาวของเจนจิราว่า เธอจึงตอบกลับด้วยคำถาม



“อาจจะแค่แสดงความเป็นเจ้าของหรือเปล่า”



“กั๊กไว้ก่อนน่ะหรือ”



“คิดว่าไงล่ะ”



“ชัวร์ๆ”



สองสาวพยักหน้าให้กันเงียบๆ ทว่าบุคคลที่สามซึ่งจับต้นชนปลายกับบทสนทนานั้นไม่ถูกได้แต่ยืนงง และเอ่ยถามพาซื่อ



“เปิดตัวอะไรกันครับ”



“ก็คุณพศิน--- “



“ไม่มีอะไร”



เพื่อนสาวของเจนจิราหุบปากฉับเมื่อถูกตัดบทและโดนสายตาดุๆ ของบ.ก.ของกวีตวัดมอง สุดท้ายกวีจึงไม่ทันได้รู้ว่าตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่



“พี่เจน...” กวีหรี่ตามอง



“ไม่มีอะไรหรอกน่า” เจนจิราคว้าแขนนักเขียนหนุ่ม ก่อนหันเหความสนใจด้วยการพาไปดูอาหารที่ทางบริษัทจัดเลี้ยงแทน “ไปดูของกินดีกว่า เดี๋ยวรอบบ่ายคิวเราเซ็นแล้วนี่ เลือกช้าระวังกินไม่ทันนะ”



“จริงด้วย” หญิงสาวตีได้ตรงจุด เพราะเมื่อได้ยินว่าจะกินไม่ทัน กวีก็ละความสนใจจากเรื่องลับๆ ที่ไม่มีใครอยากให้เขารู้ และหันไปสนใจอาหารหน้าตาน่าอร่อยแทน “งั้นเราไปดูอาหารกันครับ เดี๋ยวกินไม่ทัน”



กวีตักอาหารมาหลายอย่าง แต่ในปริมาณอย่างละไม่มาก เพราะเขากลัวว่าจะกินไม่หมดแล้วเสียของ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังใจดีตักมาเผื่อพศินที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะด้วย



ระหว่างที่ใครหลายคนเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของพศินที่มีต่อกวี นักเขียนหนุ่มก็มีความสุขกับมื้ออาหารจนไม่ให้ความสนใจอะไร กระทั่งกินเสร็จเขาก็ขอตัวกลับห้องรับรองเพื่อไปเตรียมตัว โดยมีพศินอาสาไปส่งที่ห้องเช่นเดิม ซึ่งอีกฝ่ายใช้ข้ออ้างไปทางเดียวกัน















เมื่อถึงเวลากวีก็ถูกพามานั่งยังที่ถูกจัดไว้ให้ เขาเห็นนักอ่านหลายคนถือหนังสือต่อแถวรออยู่ดูลายตาไปหมด พอได้มาอยู่ตรงจุดนี้ อยู่ๆ ความรู้สึกประหม่าก็พุ่งเข้าชนกวีอีกครั้ง



ชายหนุ่มสบตานักอ่านเพียงเล็กน้อยก็หรุบตาลง แสร้งมองหาปากกาสีในกระเป๋า ทั้งที่เลือกมาตั้งแต่บ้านแล้วว่าจะใช้แท่งไหน



แค่คนอ่านของเราก็มากันเยอะขนาดนี้เชียว...กวีคิด



เขายอมรับว่าดีใจมากที่มีคนสนับสนุน แต่ก็ตื่นเต้นเสียจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้เขาเย็นไปหมด หัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ กระทั่งพนักงานเริ่มปล่อยให้คนเข้ามา ชายหนุ่มจึงต้องเงยหน้าขึ้นทักทายกับนักอ่านคนสำคัญ



“สวัสดีครับ คุณก้อน”



เสียงคุ้นเคยทักทายด้วยชื่อเรียกที่นักอ่านใช้เรียกแทนนามปากกาเต็มของกวี พร้อมกับรอยยิ้มกว้างแสนคุ้นตาทำให้กวีต้องเบิกตากว้าง



!!



“พี่ลม!”



คนตัวสูงเลื่อนหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดมาตรงหน้า ก่อนจะเปิดให้นักเขียนดังเซ็น แต่กวีเหมือนหุ่นยนต์เครื่องค้างไปแล้วตั้งแต่มองเห็น วายุจึงเรียกเพื่อเตือนสติอีกคำ



“ช่วยเซ็นให้พี่หน่อยได้ไหม”



“อะ...ครับ ได้ครับ” กวีรีบตอบรับตะกุกตะกัก มือสั่นๆ จับปากกาเซ็นไปด้วย



“ยินดีด้วยนะครับ”



ครั้นเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ตรงหน้าของกวีก็มีช่อผลไม้...



ไม่ผิด มันคือช่อผลไม้จริงๆ เพราะแทนที่จะเป็นดอกไม้ ของแสดงความยินดีตรงหน้ากลับมีทั้งองุ่น แอปเปิ้ล เบอรี่ ทับทิม พีช และอื่นๆ จัดรวมช่อห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลดูสวยและน่ากิน



“ว้าว~ ขอบคุณครับพี่ลม!”



ดวงตาที่เคยฉายแววกังวลบัดนี้สว่างไสวราวกับดาวดวง กวีเอื้อมมือมารับและกอดช่อผลไม้ของตนเองไว้ ครู่เดียวพี่เจนก็มาช่วยถือออกไปวางที่ด้านข้างแทน



“ขอให้ขายดีติด Best seller เลยนะครับ แล้วพี่จะตามซื้อทุกเล่มเลย”



“ขอบคุณมากๆ ครับ ขอบคุณจริงๆ”



กวีไม่รู้ว่าตัวเองจะยิ้มกว้างกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร เพราะเวลานี้เขาฉีกยิ้มจนปวดแก้มไปหมด



“งั้น...เสร็จงานแล้วเราเจอกันนะครับ พี่ไม่รบกวนเวลาคนอื่นแล้ว” พี่รถกับข้าวของกวีชี้ไปที่ด้านหลังซึ่งมีนักอ่านต่อแถวรออยู่



เห็นดังนั้นกวีจึงจำใจพยักหน้ารับ “เสร็จแล้วผมจะส่งข้อความหาครับ”



“พี่จะรอนะ” วายุยิ้มหวานส่งมาให้ คล้ายกับกำลังรอคำนี้อยู่ กวีจึงพยักหน้ายืนยันแข็งขันจนผมที่ตั้งใจเซตปรกหน้าผาก



“ครับ”



“สู้ๆ นะครับ”



“ขอบคุณอีกครั้งครับ”



เรียบร้อยแล้ววายุก็รับหนังสือคืนและออกจากแถวมา กวีไม่รู้ว่าวายุนั่งรออยู่ตรงไหน เพราะออกจากรั้วกั้นไป อีกฝ่ายก็หายลับไปในฝูงชน



กวีไม่มีเวลามองชะเง้อหาพี่รถกับข้าวที่มาทำเซอร์ไพรส์เขานานนัก เพราะนักอ่านท่านอื่นก็ต่อแถวเข้ามาพูดคุยกับเขาเช่นกัน ทว่าในใจของกวีกลับยังเต้นแรงด้วยความรู้สึกยินดี



มันเป็นความรู้สึกยินดีคนละแบบกับที่เขามีต่อนักอ่านคนอื่นๆ แม้ว่าทุกคนจะสำคัญเท่ากันหมดเพราะช่วยสนับสนุนกวี แต่พอเป็นพี่รถกับข้าว ผู้ชายใจดีที่ขยันสร้างรอยยิ้มให้เขาคนนั้น



กวีรู้สึกว่าหัวใจได้สัมผัสกับคำว่า...พิเศษ



จังหวะที่กำลังก้มหน้าเซ็นให้กับนักอ่านคนแล้วคนเล่า ดวงตากลมก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองช่อผลไม้ที่ได้มาจากพี่รถกับข้าว บนนั้นมีการ์ดแผ่นเล็กเสียบเอาไว้พร้อมกับประโยคที่อีกฝ่ายบอกเขาก่อนจากไป



สู้ๆ นะครับ



ราวกับได้รับคำปลอบประโลม ราวกับมีคนบอกเขาว่าทำได้ และทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ดังนั้นตลอดงานแจกลายเซ็นของนายหินก้อนสุดท้าย กวีจึงไม่รู้สึกถึงความประหม่าอีกเลย...











--------------------------------------------------------------------------------------------









มาแล้วค่ะ!!

คุณพศินอุส่าห์ดูแลแทบตาย พี่รถกับข้าวมาคือน้องโดนรวบเข้าปากไปเลย

ก้อนลูก หนูจะใจง่ายให้พี่เค้าแบบนี้ไม่ได้นะลู๊กกกก 5555

ความสัมพันธ์เริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

/เร็วในที่นี้คือระยะเวลาในเรื่องนะคะ เพราะตอนนี้น้องกับพี่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองเดือนเอง 555

เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 08-09-2018 16:06:42
น้องก้อนไม่รู้ตัวว่าคุณพศินทำอะไร
แต่น้องก้อนรับรู้และรู้สึกว่าพี่รถกับข้าวทำอะไร
สู้ๆ นะพี่รถกับข้าว
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-09-2018 16:27:37
โหหห น้องก้อนฮอตจริงๆเลย ทั้งเจ้านายทั้งเจ้าของร้านตู้กับข้าว
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-09-2018 21:07:47
เหลวเป็นน้ำให้พี่ลมคนเดียววว  :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-09-2018 21:40:12
บอสมาช้าไปหน่อย แถมเจ้าก้อนของเราก็ไม่เก็ทในสิ่งที่แสดงออก เสียเวลาเปล่าจริง ๆ
ส่วนพี่ลมไม่พลาดที่จะทำคะแนนเลยสักรอบ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 09-09-2018 00:06:44
ขนาดยังไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไง แต่มารอคิวเซ็นลายเซ็นคิวแรกเลยนะพี่ลม  :laugh:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 09-09-2018 00:20:08
 น่าฉงฉานคุณพศินโน๊ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-09-2018 01:00:24
พี่รถกับข้าวมาถูกทางแล้วค่ะ ไอ้การที่เอาของกินมาแทนช่อดอกไม้นี่คงวางแผนมาแล้วใช่มั้ยว่าก้อนชอบกิน 55555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-09-2018 01:29:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-09-2018 02:25:26
คุณพศินเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของไม่ทันไร เจอพี่ลมเล่นใหญ่เลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 09-09-2018 13:18:52
น้องก้อนนี่เรื่องกินต้องมาก่อนเสมอ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-09-2018 00:11:30
บอสโดนตัดหน้า. 555,,,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 11-09-2018 01:48:08
ปล่อยบอสไปครับ ไม่ต้องสนใจ ฮ่าๆ
สนใจพี่ลมดีกว่านะครับน้องก้อน ^^
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 11-09-2018 09:51:33
คุณพศินเนี่ยไม่ได้เลย พี่ลมต้องทำ การแสดงความเป็นเจ้าของน้องก้อนบ้างแล้ววว  :laugh:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 11-09-2018 18:56:49
น้องก้อนน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-09-2018 10:49:39
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:


 o13
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tequila ที่ 20-09-2018 19:57:21
 :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: jaaswp ที่ 21-09-2018 07:24:25
ชูป้ายรอน้องก้อนทำไมน้องน่ารักขนาดนี้ลูกกกกก :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 22-09-2018 01:04:34
เอ็นดูความหลอกง่ายของเจ้าก้อน ใครเอาของกินมาล่อก็เขวไปกับเขาหมด 5555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 26-09-2018 21:23:13
น้องก้อนลู้กกกกกกกกกกก ขอออเดอร์พี่ลมหนึ่งทีค่ะ พี่คะ! หนูกินเก่งเหมือนกันค่ะ!
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 27-09-2018 00:40:41
ขอบคุณมากค่า น่ารักมากๆ น้องก้อนนนนน อยากกอดน้องเลยค่ะ5555 ขอบคุณมากค่า สนุกมากเลย น่ารักมากๆ :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 27-09-2018 12:14:43
น้องก้อนนี่น้องก้อนจริงๆ เอาของกินล่อไว้แน่นๆนะ เดี๋ยวใครมาขโมยไป
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: mafia ที่ 09-10-2018 01:26:17
มะ...  ไม่มาต่อแล้วเหรอคะ
คนเขียนหายไปไหนนนน

คิดถึงน้องก้อนกับพี่รถกับข้าว
 :o12:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 8 [31/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Raycira ที่ 09-10-2018 18:22:18
 o22 น่ารัก






บทที่ 8








             กิจวัตรของวายุในช่วงนี้ นอกจากเฝ้าร้าน เช็คของในสต็อก ตรวจสอบบัญชีร้าน และดูแลพนักงานแล้ว ชายหนุ่มยังเจียดเวลาว่างมานั่งอ่านนิยายเป็นเล่มจนพนักงานในร้านนึกสงสัย

“หนังสืออะไรน่ะพี่ลม ผมเห็นอ่านทุกวัน” แซมถามขึ้นในช่วงสายของวันหนึ่ง หลังจากส่งลูกค้าออกจากร้านเรียบร้อยแล้ว

“นิยาย” วายุตอบสั้นๆ

“พี่ติดนิยายด้วยหรือ” แซมถามต่อ

“อืม เพิ่งติดนี่แหละ”

“นิยายอะไรน่ะ”

“นิยายแนวแฟนตาซี สนใจอยากอ่านบ้างไหมล่ะ” วายุวางหนังสือไว้ที่ตัก ก่อนจะหันมาเชิญชวนพนักงานคนสนิทด้วยท่าทางจริงจัง

“ก็น่าสนนะ” แซมว่า เมื่อเหลือบเห็นปกและชื่อเรื่อง

“เอาไว้อ่านเสร็จแล้วจะให้ยืมแล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากคุยตกลงกันเรียบร้อย วายุก็สั่งให้แซมไปเติมของที่ชั้นด้านหน้าซึ่งแหว่งไปจากการหยิบของลูกค้าคนเมื่อครู่ ส่วนตนเองนั้นก็หันกลับมาพลิกนิยายหน้าที่ค้างไว้เพื่ออ่านต่อ

ในทีแรกวายุแค่ต้องการอ่านเพราะอยากรู้จัก อยากสัมผัสถึงตัวตนของกวีให้มากขึ้น แต่พออ่านจบไปเล่มหนึ่ง ชายหนุ่มกลับต้องหาเล่มอื่นๆ มาอ่านเพิ่มเติม จนคาดว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ เขาคงต้องไปอ่านทางออนไลน์ที่มีตอนใหม่ๆ อัพเดตแทน

วายุไม่แปลกใจเลยที่กวีจะมีแฟนคลับติดตามทางทวิตเตอร์มากขนาดนั้น เพราะนิยายของกวีสนุกและชวนติดตามทุกเรื่อง ขนาดคนที่ไม่ค่อยอ่านหนังสืออย่างเขายังติดงอมแงม

นอกจากเรื่องนิยายแล้ว เขายังได้สิทธิพิเศษเพิ่ม โดยการส่งข้อความโต้ตอบกับนักเขียนดังโดยตรง หากไม่ใช่คุยกันแค่เรื่องนิยาย เรื่องสัพเพเหระทั่วไปก็ยังอยู่ในบทสนทนา จนคล้ายกับว่าเวลานี้พวกเขาสนิทกันขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว

ชายหนุ่มนั่งอ่านนิยายอยู่สักพัก กระทั่งเหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง เขาจึงวางหนังสือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหากวี

WAYU : กินข้าวเที่ยงหรือยังครับ [12:02 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ยังเลยครับ [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมเพิ่งตื่น [12:03 อ่านแล้ว]

พอวายุกดข้อความส่งไปหา อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวอ่านข้อความที่ส่งกลับมาอย่างรวดเร็วพลางอมยิ้มบางๆ

WAYU : เมื่อคืนนอนดึก? [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เรียกว่านอนเช้าจะถูกกว่าครับ [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : ปั่นต้นฉบับหรือครับ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ครับ ใกล้เดตไลน์อีกแล้ว [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : ลำบากแย่เลยสินะ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ก็นิดหน่อย แต่ผมชินแล้วครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ว่าแต่พี่ลมพักกินข้าวหรือยังครับ หรือว่ากำลังส่งของ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : อยู่ที่ร้านน่ะ กำลังจะพักครับ [12:06 อ่านแล้ว]

WAYU : แต่ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวมาก [12:06 อ่านแล้ว]

หลังจากส่งข้อความไปแล้ว วายุก็ส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายน่ารักๆ ทำท่ากุมท้องด้วยความหิวโซไปให้กวี เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาหิวมากจริงๆ

ก้อนไงจะใครล่ะ : 55555555 [12:07 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : สติ๊กเกอร์พี่ลมน่ารักจัง [12:07 อ่านแล้ว]

WAYU : น่ารักเหมือนคนชมแหละครับ 555 [12:08 อ่านแล้ว]

ชายหนุ่มหยอดไปประโยคหนึ่ง ก่อนจะรอดูผลลัพธ์ด้วยใจระทึก ไม่รู้ว่าคราวนี้กวีจะอ่านแล้วเงียบเหมือนที่เขาหยอกไปคราวที่แล้วอีกหรือเปล่า

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอบคุณครับ 555 [12:09 อ่านแล้ว]

ผิดคาด...

เพราะคนน่ารักเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายอ้วนแบบเดียวกันกับของวายุ แต่เปลี่ยนเป็นถือป้ายขอบคุณมาให้

วายุยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้หน้าจอโทรศัพท์อยู่เดี๋ยวเดียว แล้วลูกค้าก็เข้าร้าน ชายหนุ่มจึงต้องพักการคุยกับคนน่าไว้เท่านี้ก่อน

WAYU : เที่ยงกว่าแล้ว ลุกขึ้นมากินข้าวนะครับ เดี๋ยวปวดท้อง [12:10 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ต้องไปทำงานแล้วหรือครับ [12:10 อ่านแล้ว]

อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างนกรู้ พานให้คนถูกถามยิ้มกว้างขึ้นอีก

WAYU : ครับ ลูกค้าเข้าร้านน่ะ [12:11 อ่านแล้ว]

WAYU : ว่าแต่รู้ได้ไง เก่งจัง [12:11 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมเดาเอา เพราะเห็นพี่ลมพูดเหมือนสั่งเสีย 555 [12:12 อ่านแล้ว]

WAYU : สั่งเสีย? [12:12 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : 555 ผมเปรียบเฉยๆ [12:13 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ไปรับลูกค้าเถอะครับ แล้วอย่าลืมหาข้าวเที่ยงกินด้วยนะ [12:13 อ่านแล้ว]

WAYU : อืม วีก็ด้วยนะครับ ^-^ [12:14 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอกลิ้งบนเตียงอีกเดี๋ยวแล้วจะไปครับ J [12:15 อ่านแล้ว]

ได้อ่านข้อความ ได้คิดภาพตามแล้ววายุก็นึกขำ กวีน่ารักและเป็นกันเองกับเขามาก แต่ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็สุภาพและขี้เกรงใจ นึกถึงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกายยามที่รู้ว่าเขาดั้นด้นไปซ้อหนังสือมาอ่าน ทั้งยังเอาไปให้เซ็น วายุก็ยิ่งชอบใจ

วายุคิดว่าตนมาถูกทางแล้ว

แต่ดูเหมือนหลุมที่ตกลงไปในทีแรกก็ดูดให้ใจของเขาถลำลึกลงมากกว่าเดิมเช่นกัน

...ด้วยเหตุนี้เขาเองก็คงต้องพยายามมากขึ้นอีกหน่อย

พรุ่งนี้จะครบกำหนดสามวันแล้ว กวีน่าจะสั่งของมาเหมือนเดิม เอาไว้คืนนี้ยังพอมีเวลา เขาค่อยคิดหัวข้อที่จะเอาไปทำคะแนนกับอีกฝ่ายใหม่

วายุส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง ก่อนปรับสีหน้าเป็นร้อยยิ้มการค้า แล้วเข้าไปรับลูกค้าที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาสินค้าที่แผนกเครื่องปรุง

“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวยินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ...”

















สุดท้ายวายุก็ไม่ได้วางแผนการอะไรเพิ่ม เพราะเมื่อลองมานั่งคิดดูดีๆ เขาว่าวิธีเข้าหาจากงานที่อีกฝ่ายเขียนน่าจะเหมาะ และน่าจะพาให้บทสนทนาลื่นไหลเป็นธรรมชาติที่สุด

ซึ่งชายหนุ่มก็ต้องรับการยืนยันในทฤษฎีทันทีที่ไปถึงหน้าห้องกวี

“พี่ลมมาแล้ว!”

“ครับ พี่ลมมาส่งกับข้าวแล้วครับ”

คำทักทายที่พวกเขาปรับเปลี่ยนใหม่ชวนให้รู้สึกสนิทใจมากกว่าเดิม ทั้งระดับความกระตือรือร้นก็มากขึ้นตามไปด้วย

“ของครบนะครับ”

“ไม่มีขาดสักรายการเดียวครับ” วายุรายงาน กวีจึงก้าวออกจากเขตประตูห้องมารับตะกร้าอาหาร

วันนี้นักเขียนหนุ่มไม่ได้ติดกิ๊บ แต่คาดที่คาดผมเปิดหน้าผากรูปหัวใจ สวมชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นๆ เพิ่มเติมคือผ้ากันเปื้อนขนาดความยาวเกือบพอดีกับขอบล่างของกางเกง มันเป็นชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ ที่วายุเห็นกวีใส่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขากลับชอบกวีในลุคนี้มากกว่าชุดเป็นทางการที่อีกฝ่ายใส่ไปกินข้าวกับคนที่สำนักพิมพ์วันก่อนเสียอีก

กวียืนเช็คของคร่าวๆ พอเห็นว่าไม่น่าจะขาดตกรายการไหนอย่างที่วายุว่าจริงๆ ดวงตากลมจึงเงยขึ้นสบตากับวายุ

“ครบทุกรายการจริงๆ ครับ” เจ้าตัวว่า ก่อนจะถาม “ว่าแต่พี่ลมต้องรีบไปส่งของต่อหรือเปล่าครับ”

“วีมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“คือ...สมมติว่าถ้าพี่ไม่รีบ เข้าไปชิมเกี๊ยวคาโบนาร่าของผมไหมครับ”

แม้ดวงตากลมจะปิดซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ แต่คนช่างสังเกตก็ลอบสังเกตเห็น วายุประมวลผลรวดเร็ว แล้วจึงเอ่ยถาม

“เพิ่งเคยทำครั้งแรกหรือครับ”

“พี่ลมรู้ได้ไงน่ะ”

“พี่มีตาทิพย์” ชายหนุ่มว่าพลางขยิบตานิดๆ อย่างขี้เล่น ทำเอากวีเผลอหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ ครับๆ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรก ถ้าพี่ลมว่างและไม่รังเกียจล่ะก็...”

“พี่จะรังเกียจได้ไงล่ะ” คนที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบสวนทันที

แต่กวีก็ยังไม่มั่นใจ “ผมไม่ได้เบียดเบียนเวลางานของพี่นะครับ”

“ไม่ครับ พี่มีเวลาว่างสองสามชั่วโมงพอดี วีไม่ต้องกังวลนะ ความจริงควรเป็นพี่ต่างหาที่กังวลจริงไหม เพราะดอดเข้าบ้านลูกค้าอีกแล้ว”

“ผมเป็นคนชวนเอง พี่ลมไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเจ้านายพี่ว่า ผมจะเป็นคนยืนยันให้เอง”

“หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างมีเลศนัย “เจ้านายพี่ไม่ว่าหรอกครับ”

...เพราะพี่เป็นเจ้านายตัวเองนี่ครับ

ประโยคหลังวายุนึกกับตัวเอง แต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป

“ถ้างั้นก็เข้าบ้านกันครับ ผมห่อเกี๊ยวไว้แล้ว กำลังจะตั้งเตาลวกพอดีเลย” เจ้าบ้านเปิดประตู้กว้างเป็นกางเชื้อเชิญ

“งั้นพี่ไม่เกรงใจล่ะนะครับ”

“อื้ม” ใบหน้ากลมๆ พยักหงึกหงักอย่างน่ารัก

เห็นแก้มท่าทางนุ่มนิ่มนั่นแล้ววายุอยากจะยื่นมืดเข้าไปบีบเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นหูตะกร้ากับข้าวในมือกวีแทน

“มาครับ พี่ช่วยถือ”

“ไหนว่าจะไม่เกรงใจแล้วไงครับ” กวีหันมาหยอก

“เคยได้ยินไหมครับ เขาว่าเข้าบ้านท่านอย่านิ่งดูดาย พี่ปั้นวัวปั้นควายไม่เป็น ดังนั้นให้พี่ช่วยถือตะกร้าแทนนะครับ ส่วนวีเดินนำไปเลย”

“ก็ได้ครับ” กวียิ้มรับ ก่อนจะยอมปล่อยวายุทำตามใจและเดินนำเข้าไปในห้อง ก่อนจะคอยปิดประตูให้



เกี๊ยวคาโบนาร่าที่เจ้าบ้านบอกว่าเคยทำเป็นครั้งแรก รสชาติอร่อยถูกใจวายุเอามากๆ เขาเคยทานเกี๊ยวน้ำไส้หมู กุ้ง และอื่นๆ มาหลายครั้ง แต่ไม่เคยลองที่ด้านในเป็นไส้ชีสและเครื่องปรุงที่ให้รสชาติเหมือนสปาร์เก็ตตี้คาโบนาร่าแบบนี้ มันให้รสสัมผัสและความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ซ้ำอร่อยและแปลกจนคิดว่าถ้าอยากกิน ชายหนุ่มคงไม่รู้จะไปหากินที่ไหน

“อร่อยมากเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าทำครั้งแรก”

“จริงหรือครับ” คนทำตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำชม

“อื้ม”

“ไม่เค็มไปใช่ไหมครับ ผมรู้สึกเหมือนตอนผสมไส้ ตัวเองใส่เกลือลงไปเยอะเลย”

“ไม่เค็มครับ กำลังดีเลยล่ะ” ว่าจบวายุก็ตักเกี๊ยวชิ้นโตเข้าปากอีกคำ

รสเค็มๆ มันๆ ของชีสกับความนุ่มนิ่มลื่นคอของแป้งเกี๊ยวและน้ำซุปใสผสานกันได้อย่างลงตัวไม่มีที่ติ ไหนจะกลิ่นหอมของเครื่องปรุงที่ลอยเตะจมูกนั่นอีก ความกังวลที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมอาหารเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อก็หายไปจากความคิดหมดสิ้น

“ดีใจจัง ความจริงผมว่ามันก็รสชาติใช้ได้นะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะดีพอไหม มีคนมาช่วยชิมให้แบบนี้ ค่อยมั่นใจหน่อย”

“มั่นใจได้เลยครับ อร่อยจริงๆ นี่ไม่รู้ว่าถ้าพี่อยากกินอีก พี่จะไปหากินจากที่ไหนได้นะเนี่ย”

“ถ้าอยากกินอีก ก็บอกผมสิครับ ผมจะทำให้พี่ลมกินเอง” กวีแทบตบอกเสนอตัว

“ได้หรือครับ” วายุถามย้ำ แต่พอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นไร เขาแค่อยากได้ยินอีกฝ่ายย้ำมั่นใจอีกครั้งเท่านั้น

“แน่นอนครับ เชื่อมือกวีได้เลย!”

แล้วก็อยากเห็นรอยยิ้มแป้นๆ ของคนน่ารักแบบนี้ด้วย...



หลังทานเสร็จวายุก็อาสาอยู่ช่วยล้างจานเหมือนทุกที และครั้งนี้กวีก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย เพราะวายุใช้วิธีชวนคุยให้อีกฝ่ายสนใจเรื่องอื่นจนลืมที่จะปฏิเสธ พอรู้ตัวอีกที มือใหญ่ก็จุ่มลงไปในอ่างล้างจานเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พวกเขาจึงได้แต่ยืนเบียดจนแขนชิดกันตรงหน้าอ่างและจานกองพะเนิน พลางพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ

ส่วนเรื่องที่ดึงความสนใจของกวีได้ก็หนีไม่พอเรื่องนิยายของเจ้าตัวนั่นแหละ

“พี่อ่านเล่มสี่จบแล้วหรือครับ”

“ใช่ครับ”

“อ่านเร็วมากๆ” คนตาโตอยู่แล้วทำตาโตขึ้นไปอีก

“ตอนนี้กำลังค้างเลยนะ”

“เอ่อ...จบตอนที่สมาคมแพงโกล่าบุกเข้าไปที่สมาพันธ์พอดีสินะครับ”

เรื่องราวในนิยายที่กวีเอ่ยถึง เป็นช่วงที่กลุ่มกิลด์ของตัวเองบุกเข้าไปโจมตีคนของทางการซึ่งถือเป็นตัวร้ายกลุ่มใหญ่ในเรื่อง

“ใช่ นี่พี่อ่านไปลุ้นไป พอฟิลด์พาคนในสมาคมเข้าไปได้ วีดันตัดจบซะงั้น พี่แทบทึ้งหัวเลยล่ะ”

“ฮ่าๆ ๆ” เห็นวายุทำท่าอยากจะทึ้งหัวจริงๆ กวีก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นครัว “ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

“ขนาดนั้นแหละ” วายุยืนยัน “นี่พี่ตัดสินใจจะไม่รอเล่มแล้วนะ ตั้งใจจะไปตะลุยอ่านในเว็บไซด์ที่วีลงต่อเลย เอาไว้เล่มออกมาค่อยซื้อเก็บทีหลัง”

“ถ้าพี่อยากได้เล่ม เดี๋ยวหนังสือออกเดือนหน้า พี่มาเอาที่ผมก็ได้นะครับ” นักเขียนดังว่า

“ไม่เอาหรอก พี่จะเพิ่มยอดขายให้วี ทางสำนักพิมพ์เขาจะได้พิมพ์เรื่องนี้ต่อเนื่องไปจนจบไงล่ะ พี่เคยเห็นข่าวที่ว่า นิยายเรื่องไหนทำยอดขายไม่ได้ ส่วนใหญ่จะถูกทิ้งกลางทางด้วยนะ พี่ไม่ยอมให้หนังสือวีเรื่องนี้ถูกทิ้งกลางทางแน่ ต้องสนับสนุนๆ”

ครั้นเห็นวายุเคราะห์และแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงจัง กวีก็ยิ้มออกมาจนเต็มแก้ม ในดวงตาคู่ใสไม่อาจปกปิดความปลื้มใจที่ซ่อนอยู่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆ เลย”

“ขอบคุณทำไมล่ะ สำหรับนักอ่านอย่างพี่นะ ขอแค่วีเขียนออกมาให้อ่านได้เรื่อยๆ และจบลงสวยๆ พี่ก็ดีใจแล้วล่ะ โอ้ย...พูดแล้วอยากอ่านต่อเลย”

ประโยคที่วายุเอ่ยออกมาทั้งหมด ไม่ได้เป็นแค่แผนการในการพิชิตใจคนน่ารักเท่านั้น แต่ทุกคำที่เอ่ยล้วนออกมาจากใจจริงๆ

“ผมจะตั้งใจเขียนนะครับ ต่อไปจะขยันมากๆ ไม่อู้แล้ว”

“พี่ไม่ได้กดดันนะ” วายุหยอก “แต่ถ้าอ่านทันในเว็บล่ะก็ พี่จะทวงตอนต่อไปทุกวันเลย”

“อ้าว...ไหนว่าไม่กดดัน”

“ไม่ได้กดดัน แค่ทวงเช้าทวงเย็นเฉยๆ”

“นั่นยิ่งกว่ากดดันอีกครับพี่โล้ม!!”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินกวีโหยหวน “ไม่รู้ล่ะ วีสัญญากับพี่แล้วว่าจะขยัน ห้ามผิดสัญญานะ”

“ผมแกล้งตายได้ไหม”

“ไม่ได้สิ ฮ่าๆ”

“พี่ลมเริ่มไม่ใจดีแล้ว”

พอได้ยินว่าจะถูกทวงนิยายเช้าเย็น ปากเล็กๆ ก็ยื่นออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะขมุบขมิบฟังไม่รู้ความ คล้ายอีกฝ่ายกำลังบ่นกับตัวเอง

“งั้นวีเป็นคนใจดีแทนได้ไหม นี่พี่เอาหนังสือมาให้เซ็นด้วยนะ อยู่ในรถเล่มนึงนะ”

“ไว้พี่จะกลับผมลงไปเซ็นให้ก็ได้ คราวนี้เอาปากกาสีครามนะครับ”

“ทำไมสีครามล่ะ”

“ก็ผมจะเซ็นให้เป็นสีรุ่งเลย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง”

“โห คิดมาดีๆ” วายุชม เพราะเขาเองก็คิดไม่ถึงตอนที่ได้ลายเซ็นสีม่วงคราวที่แล้ว

“อยู่แล้วล่ะ แล้วตอนนี้หนังสือผมกำลังจะมี 7 เล่มพอดีด้วย”

“แล้วถ้าเล่มที่ 8 วางขายทำไง”

“เอาไว้ตอนนั้นผมค่อยคิด ตอนนี้ผมต้องเอาเล่ม 7 ให้รอดก่อนครับ” พูดจบกวีก็คล้ายจะทำท่าปาดเหงื่อ

ดวงตาคมมองจานในมือที แอบลอบมองคนข้างกายที พลางอมยิ้มอย่างมีความสุข

มีความสุข...วายุไม่ได้รู้สึกมีความสุขอันเกิดจากคนอื่นซึ่งไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนเช่นนี้มานานแล้ว มันเป็นความรู้สึกง่ายๆ ที่เกิดจากการได้มองเห็น

เห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ แม้แต่เห็นเขาทำหน้าบู้บี้อย่างในตอนนี้...วายุก็มีความสุข

ไม่รู้ว่าอาการนี้จะเรียกว่าแค่หลงรักอย่างฉาบฉวย หรือตกหลุมรักจริงๆ วายุไม่อาจแยกประเภทหรือรู้ลึกได้ถึงความรู้สึกจริงๆ ขนาดนั้น

และเขาก็เลิกที่จะพยายามค้นหาคำตอบแล้ว

สิ่งที่วายุจะทำในตอนนี้ คือ ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ...แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

บางทีในวันใดวันหนึ่งหลังจากนี้เขาคงได้รู้

วายุมองกวีตั้งหน้าตั้งตาเช็ดจานให้แห้งด้วยผ้าขนหูผืนเล็ก มองแก้มใสๆ ของคนข้างกายขยับไปมาน้อยๆ ยามที่อีกฝ่ายฮัมเพลงเบาๆ

เวลานี้เขาต้องการแค่มองกวีให้นานขึ้นเท่านั้น แต่สักวัน อาจจะอีกไม่นานหลังจากวินาทีนี้ วายุมั่นใจว่า เขาจะได้รู้ชื่อเรียกของสิ่งที่กำลังเติบโตอยู่ในหัวใจของตนเองอย่างแน่นอน








--------------------------------------------------------------------








เรากลับมาแล้ว หลังจากหายไปจัดการตัวเองพักใหญ่

เรื่องนี้ไม่ยาวมากค่ะ ถ้าเทียบกับคุณคือความรัก

มีประมาณ 25 ตอนได้ ต่อไปจะพยายามลงให้อ่านต่อเนื่องนะคะ ^^



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 9 [08/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 11-10-2018 11:21:09
ชั้นเชิงต่างกันนะคะ คุณพศินต้องเรียนรู้อีกเยอะะะะะ55555 พี่ลมนี่คือความเรียบง่ายที่แทรกซึมจนคาดไม่ถึงเลย  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-10-2018 15:35:14







บทที่ 10








   หลังจากตามอ่านหนังสือของกวีมาพักใหญ่ วายุก็มักติดตามข่าวในเว็บไซด์ที่กวีลงนิยายเสมอ จนเขาเห็นข่าวที่ทางเว็บไซด์จะมีการจัดงานเปิดตัวสำนักพิมพ์ ซึ่งในงานมีหนังสือใหม่ๆ ของนักเขียนในสังกัดออกหลายเล่ม โดยวันงานจะกิจกรรมแจกลายเซ็น และหนึ่งในนั้นมีนาย หินก้อนสุดท้าย มาร่วมแจกลายเซ็นกับเขาด้วย


   วายุรีบเปิดดูปฏิทินและตารางงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว วันที่จัดงานนั้นเป็นวันเสาร์แรกของเดือนหน้า เขาไม่มีนัดติดต่อธุรกิจกับใครที่ไหนพอดี ส่วนงานดูแลร้านก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะเวลานี้วายุได้ผู้จัดการร้านคนใหม่มาช่วยแบ่งเบาภาระในร้านแล้ว ดังนั้นเจ้าของร้านหนุ่มจึงพอมีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้น


   ตอนแรกที่ตัดสินใจ วายุตั้งใจบอกกับนักเขียนหนุ่มว่าตนจะไปให้กำลังใจ แต่พอคิดไปคิดมา ชายหนุ่มก็นึกสนุก อยากรู้ว่าหากกวีเห็นเขาในวันนั้น เจ้าตัวจะทำหน้าอย่างไร จะประหลาดใจไหม


สุดท้าย ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน แม้ได้พบหน้ากันบ่อยครั้ง แต่วายุก็เลือกเก็บงำความลับสุดยอด ไม่แพร่งพราย เพราะอยากไปเซอร์ไพรส์กวี


   ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถึงปฏิกิริยาของกวีก็เป็นไปในทางที่วายุคาดเดา แต่มันก็มากกว่าที่เขาคิดถึง ใครจะรู้ว่าคุณนักเขียนทำตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน ยกยิ้มกว้างจนแก้มบุ๋ม และแสดงออกว่าดีใจที่เห็นวายุปรากฏตัวต่อหน้าขนาดนั้น นั่นทำให้หัวใจวายุพองโตพานยิ้มแก้มปริตามไปด้วย


   “ว้าว~ ขอบคุณครับพี่ลม!”


กวีเอ่ยขอบคุณ เมื่อวายุส่งช่อผลไม้ให้เจ้าตัว ตอนแรกวายุก็ตั้งใจจะหาซื้อช่อดอกไม้มาแสดงความยินดีตามปรกติ แต่พอเหลือบไปเห็นผลไม้นำเข้าที่เพิ่งมาส่งที่ร้าน ชายหนุ่มจึงหอบเอาไปให้ร้านดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ กันช่วยออกแบบและห่อเป็นช่อให้


ตอนที่เห็นนักเขียนหนุ่มรวบช่อผลไม้ไว้ในอ้อมกอด วายุคิดว่าแบบนี้เหมาะกับกวีมากกว่าช่อดอกไม้ธรรมดาเสียอีก


ดูสิ...แก้มกลมๆ สีเดียวกับลูกพีชญี่ปุ่นในช่อผลไม้ไม่มีผิด


ระหว่างการแจกลายเซ็น พวกเขาไม่ได้คุยกันมากนัก ด้วยระยะเวลากระชั้นชิด ทั้งยังมีแฟนนิยายของกวียืนต่อแถวยาวเหยียด วายุจึงต้องออกมาจากแถวอย่างแสนเสียดาย แต่ก็ถือว่าคุ้มที่ได้เห็นรอยยิ้มน่ารักๆ ของน้อง แม้ต้องแลกด้วยการรีบตื่นแต่ไก่โห่มารับบัตรคิวเป็นคนแรกก็ตาม ซ้ำนักเขียนดังยังกระตือรือร้นจะส่งข้อความหาเขาด้วย


“เสร็จแล้วผมจะส่งข้อความหาครับ”


วายุยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนผละออกไปนั่งรอยังเก้าอี้ที่ทางงานจัดไว้ให้ เพื่อรอให้ถึงเวลาเลิกงาน








กว่ากวีจะแจกลายเซ็นให้กับคนอ่านจนครบ เวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงค่ำ เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวนั่งรอนานจนเกือบเผลอหลับไป หากไม่มีใครเดินมาสะกิดจากทางด้านหลังเสียก่อน


“พี่ลม”


เสียงใสๆ อันเป็นเอกลักษณ์ช่วยให้เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที


“วี!...เสร็จงานแล้วหรือครับ”


“เรียบร้อยแล้วครับ” กวีพยักหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ขณะที่ผู้มาร่วมงานทยอยกลับ


“เหนื่อยไหม” วายุถาม


“ไม่เท่าไหร่ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบตามจริง แล้วจึงถามกลับ “พี่ลมล่ะครับ รอนานเลยใช่ไหม เบื่อแย่เลย”


“ไม่เบื่อหรอกครับ”


วายุพูดปดไปนิดหน่อย เพราะความจริงเขาค่อนข้างเบื่องานในช่วงหลังพอสมควร ด้วยไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำแล้ว ไอ้ครั้นจะนั่งมองกวีแจกลายเซ็นก็มองไม่ค่อยถนัดนัก เพราะบูทของหินก้อนสุดท้ายเนืองแน่นไปด้วยแฟนนิยายของเจ้าตัว


“งั้นหรือครับ ผมคิดว่าพี่ลมจะเบื่อซะอีก นี่คงมาตั้งแต่เช้าใช่ไหม พี่ถึงได้บัตรคิวแจกลายเซ็นใบแรก”


“ก็มาพร้อมๆ กับนักอ่านคนอื่นนั่นแหละครับ แต่พี่แค่โชคดีที่เดินมารับบัตรคิวเร็วเท่านั้นเอง”


ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่มองหน้าแล้วก็รู้ว่ากวีไม่เชื่อที่เขาพูด คนน่ารักยิ้มบางๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก จากนั้นจึงเอ่ย


“ขอบคุณนะครับที่มา ผมดีใจมากเลยตอนที่เห็นพี่”


เท่านี้ก็พอแล้ว พอและคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม…วายุบอกตัวเอง


“พี่ก็ดีใจที่ได้มา” พวกเขายิ้มให้กัน ราวกับในงานนี้มีเพียงเราสองครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเจ้าหน้าที่เก็บของจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว “ว่าแต่แฟนคลับวีเยอะมากเลยนะ”


“คงเป็นแฟนนิยายของนักเขียนท่านอื่นๆ ด้วยน่ะครับ” นักเขียนหนุ่มเอ่ยอย่างถ่อมตัว


“ไม่หรอก หลายๆ คนก็ตั้งใจมาหาวีนะ อย่างพี่นี่ไง”


กวียิ้มเขิน แล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ”


“เลิกขอบคุณพี่ได้แล้วครับ” คนตัวสูงกว่าถือวิสาสะลูบหัวน้องอย่างนึกเอ็นดู แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากวีอาจไม่ชอบ เขาก็รีบชักมือกลับทันที “ขอโทษนะ พี่ลืมตัวไปหน่อย”


ดวงตากลมมองอาการตื่นๆ ของวายุ ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลูบได้ ผมไม่ถือ”


“งั้นหรือครับ” ได้ยินน้องบอกแบบนั้น ร่างสูงก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วจึงชวนเปลี่ยนเรื่อง “นี่เสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วใช่ไหมครับ ไม่ต้องรอทำอะไรแล้วนะครับ”


“งานเสร็จหมดแล้วครับ เหลือแค่เข้าไปหยิบของที่นักอ่านเอามาให้ในห้องรับรอง แล้วก็ลาพี่บ.ก.เท่านั้น นี่ผมรีบออกมาหาพี่ก่อน เพราะกลัวพี่ลมจะรอนาน”


“ถ้าอย่างนั้น พี่เข้าไปช่วยถือของดีไหม เราจะได้ไปที่รถกันเลย”


“ไปที่รถหรือครับ?” กวีทำหน้างงงวยเล็กน้อย วายุจึงต้องรีบอธิบาย


“พี่ลืมบอกไป ความจริงพี่ไม่ได้มาเฉยๆ หรอกครับ แต่ตั้งใจว่าพอวีเสร็จงาน พี่จะชวนวีไปกินมื้อค่ำด้วยกัน...สนใจไหม” ชายหนุ่มเว้นไปนิด เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถามออกไปก่อน “เอ...หรือว่าวีต้องไปทานกับคนในสำนักพิมพ์หรือเปล่าครับ”


“ไม่ครับๆ ผมไม่ได้นัดใครไว้”


“ถ้างั้นก็ดีเลย” คนพูดยิ้มกว้าง “ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกับพี่นะครับ”


“เอ่อ...เกรงใจจังครับ” คนตรงหน้ามุ่นคิ้วน้อยๆ ทำท่าลังเล พานให้คนถามใจเสีย


“...วีจะไม่ไปหรือครับ”


“ไปสิครับ!” หง่อยได้นิดเดียว คนขี้แกล้งก็พลันยิ้มทะเล้น “พี่ลมชวนทั้งที ผมจะไม่ได้ได้ยังไง”


“แปลว่าเมื่อแกล้งพี่หรือครับ”


“เปล่าสักหน่อยครับ” คนน่ารักแก้ตัว


“หึๆ เอาเถอะ ไม่แกล้งก็ไม่แกล้ง ถ้าอย่างนั้นเราไปเก็บของกันเลยดีไหมครับ เผื่อร้านที่พี่จะพาไปคนเยอะ เดี๋ยวต้องรอนานนะ”


“ร้านอะไรกันครับ” พอหันมาพูดเรื่องกิน กวีก็ทำท่าสนอกสนใจทันที


“เอาไว้ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองครับ แต่รับรองว่าอร่อยแน่ๆ” คนชวนยิ้มยั่ว เอาคืนที่เมื่อกี้อีกฝ่ายแกล้งเขา


“โถ่...บอกหน่อยก็ไม่ได้หรือครับ”


“อื้ม”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปเก็บของกันเถอะ ผมหิวไส้แทบขาดอยู่แล้ว”


“หึๆ” วายุนึกขำ เพราะพอเป็นเรื่องอาหารทีไร ก็ทำให้กวีกระตือรือร้นได้เสมอ “ไปครับ นำพี่ไปเลย”


“ครับ” กวีรับคำเสียงใส จากนั้นจึงเดินนำเข้าไปในห้องรับรองสำหรับนักเขียนของสำนักพิมพ์ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน








หลังเก็บข้าวของเรียบร้อย วายก็เดินนำกวีไปที่รถ พวกเขาสองคนช่วยกันหอบหิ้วของขวัญจากนักอ่านมาเต็มสองมือ โดยมีบ.ก.เจนของกวีเดินตามมาส่งด้วย


เมื่อเสร็จจากการจัดเก็บของเข้ากระโปรงหลัง กวีก็หันไปลาบ.ก.คนสวยโดยมีวายุยืนอยู่ใกล้ๆ


“ผมไปนะครับพี่เจน”


“อื้ม ถึงห้องแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วยนะ”


“ครับ” กวีพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยถามเจนจิราอีกครั้ง “พี่เจนจะไม่กลับด้วยกันจริงๆ หรือครับ”


“ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่ต้องไปช่วยพวกนั้นเก็บข้าวของกลับออฟฟิศด้วย”


“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ ฝากลาคุณพศินด้วยครับ”


“ไปเถอะๆ” เจนพยักหน้าให้นักเขียนคนสนิท ก่อนจะหันมาพูดกับวายุ “ฝากเจ้าก้อนด้วยนะคะ”


“ครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ จากนั้นจึงพากันขึ้นรถและออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่เขาคุยไว้


โชคดีที่วันนี้การจราจรไม่หนาแน่นเท่าไร เพลงบนรถเล่นจบไม่กี่เพลงพวกเขาก็ถึงร้านอาหาร วายุวนรถหาที่จอดพักหนึ่ง พอจอดรถเรียบร้อยก็หันมาหาคนนั่งข้างๆ


“ถึงแล้วครับ”


“ร้านที่คนเยอะๆ นั่นหรือครับ”


“ใช่แล้วล่ะ ร้านนี้ดังมากเลยนะ อาหารก็อร่อยดี เจ้าของร้านเขาขายมาหลายสิบปีแล้ว ที่สำคัญอาหารเขาใช้วัตถุดิบโอเคเลย แถมใช้เตาถ่านประกอบอาหารด้วย” ชายหนุ่มโฆษณา


ร้านอาหารร้านนี้แม้ข้างนอกจะดูธรรมดา และค่าอาหารค่อนข้างสูงหน่อย แต่รสชาติใช้ได้ ทุกครั้งที่เพื่อนชาวต่างชาติของวายุมาเที่ยวเมืองไทย เขาต้องเป็นคนพาพวกนั้นมากินมื้อค่ำที่นี่ทุกครั้ง


“ว้าว! ใช้เตาถ่านหรือ น่าสนใจจัง”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยไหม พี่กลัวคนเยอะเดี๋ยวจะได้กินช้า”


“ครับ” กวีพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงรถตามวายุไป


ที่ที่พวกเขาจอดรถไว้อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารนัก พอล็อครถเรียบร้อยวายุจึงนำไปที่ร้าน ซึ่งเดินไม่ถึงห้านาทีทั้งสองก็มาหยุดที่ฝั่งตรงข้ามของร้านเตรียมข้ามถนนพอดี วายุก้มลงมองคนตัวเล็กหันซ้ายหันขวากะจังหวะข้ามถนนครู่หนึ่ง ก่อนตัดสิ้นใจชั่ววินาทีเพื่อคว้ามือเรียวของน้องไว้


“ไปครับ” เขาส่งสัญญาณบอกแล้วจูงมือกวีข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนโดยที่คนข้างกายไม่ทันได้ทักท้วง


ครั้นข้ามมาถึงหน้าร้านแล้ว วายุจึงปล่อยมือนิ่มคืน


“ขอโทษนะ พี่เห็นเราลังเลตอนจะข้ามถนน เพราะรถมันเยอะใช่ไหม พี่ก็เลย...”


“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”


นอกจากกวีจะไม่ว่าอะไรแล้ว อีกฝ่ายยังยิ้มแป้นอย่างที่วายุชอบให้แทนคำขอบคุณอีกต่างหาก วายุเกือบยกมือกุมหัวใจตัวเอง ติดที่น้องดันชี้ไม้ชี้มือพลางทำตาเปล่งประกาย


“โอ๊ะ! ที่แท้เป็นร้านเจ๊ไฝหรือพี่ลม!”


“ก็ใช่น่ะสิ ฮ่าๆ” เห็นคนตื่นเต้นเกินเหตุ วายุก็นึกขำ “เคยมากินแล้วหรือครับ”


“ไม่เคยครับ ผมเคยเห็นแต่ที่เขารีวิวกัน แต่อ่านเจอว่าเขาต้องต่อคิวนานมากไม่ใช่หรือพี่ลม แล้วพวกเรามาค่ำแบบนี้ วันนี้จะได้โต๊ะหรือเปล่า”


“พี่จองคิวไว้ก่อนแล้วน่ะครับ”


“จองคิว?”


“อื้ม” วายุพยักหน้ารับ “กลัวว่าถ้าพาวีมาแล้วไม่มีที่นั่ง เดี๋ยวจะเฟล ตอนที่รอวีแจกลายเซ็นพี่ก็เลยโทรมาจองคิวไว้ก่อน”


“โห...รอบคอบมากเลย” กวีเอ่ยอย่างนึกทึ่ง


“หึๆ...เรารีบเข้าไปในร้านดีกว่านะ อย่างที่บอกว่าเขาใช้เตาถ่าน เวลาสั่งทีต้องรอนานนิดหน่อย ยิ่งคนเยอะๆ แบบนี้ด้วย---” ยังไม่ทันพูดจบ คนชอบกินก็รีบแทรกเหมือนรู้ทัน


“งั้นเรารีบเข้าไปสั่งกันเถอะครับ อาหารจะได้มาเร็วๆ”


“โอเคครับ ไปหาที่นั่งกัน” 


เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสองก็เข้าไปติดต่อเรื่องคิวที่จองไว้ ไม่นานก็ได้โต๊ะนั่ง และสั่งอาหารไปสามสี่เมนู ซึ่งแต่ละเมนูก็เป็นที่ขึ้นชื่อของร้านทั้งนั้น ส่วนระหว่างที่รอ วายุก็คอยสั่งเกตคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย


กวีดูสนอกสนใจตัวร้านไม่น้อย ดวงตากมลใสของนักเขียนหนุ่มสอดส่องไปทั่วร้าน มีหลายครั้งที่เจ้าตัวหยุดมองที่การทำอาหารของแม่ครัวเพียงคนเดียวหน้าเตาถ่าน นานเข้าปากอิ่มก็เผลอทำขมุบขมิบคล้ายท่องอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง ชวนให้วายุนึกสงสัยนักว่ากวีกำลังพูดอะไร


“วี”


เมื่อดูเหมือนน้องจะสนใจอย่างอื่นจนลืมสนใจคนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงข้าม เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวจึงส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ


“ครับ?”


“ร้อนไหมครับ พี่เห็นเหงื่อเราออกเต็มเลย”


“นิดหน่อยครับ แต่ทนได้”


เพราะเหงื่อเม็ดใสที่เกาะพราวบนปลายจมูก ทำให้วายุรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดผิดที่พากวีมานั่งในร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอาหารแบบนี้ ทั้งที่ความจริงหากนับว่านี่คือ เดทแรก เขาก็ควรเลือกร้านที่ดีกว่านี้หน่อย เป็นเพราะวันก่อนเห็นกวีบ่นในทวิตเตอร์ว่าอยากกินไข่เจียวปูแท้ๆ จึงทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้


สงสัยจะพลาดแล้วเรา


พอผ่านไปอีกพักหนึ่ง อาหารก็ยังไม่ส่งมาถึงโต๊ะเสียที วายุก็ยิ่งกระวนกระวายใจ จึงได้ถามออกไปอีกครั้ง


“วีครับ”


“ครับ?”


“หิวไหม”


“ไม่เท่าไหร่ครับ” กวีตอบ ก่อนจะเสริม “แต่อยากกินเพราะกลิ่นอาหารมันลอยมาเตะจมูกนี่แหละ”


“โถ่...พี่ไม่น่าพามาร้านนี้เลย” วายุเผลอบ่นกับตัวเองเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นกวีก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนอยู่ดี


“อ้าว! ทำไมล่ะครับ”


“ก็มันทั้งร้อน แถมยังรอนาน”


...ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย


ทว่าสิ่งที่กวีพูดในประโยคต่อมากลับทำให้คนที่กำลังผิดหวังรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง


“ผมโอเคครับ พี่ลมอย่าคิดมากสิ พี่อุตส่าห์พาผมมานะ แถมวันนี้ยังไปรอทั้งวันด้วย” พูดเท่านั้นยังไม่พอ กวียังยกเหตุผลอื่นมายืนยันอีกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกแย่ที่มาร้านนี้กับวายุ “อีกอย่างนะ ผมเองก็อยากกินไข่เจียวปูพอดีเลย นี่ได้มาลองชิมถึงร้านดังที่ปรกติผมคงไม่นั่งรถมากิน แบบนี้น่ะดีจะตาย”


“วีกำลังพยายามรักษาน้ำใจพี่หรือเปล่า” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่วายุก็เริ่มยิ้มออกขึ้นมาแล้ว “นี่หิวจนไส้กิ่วหรือยังครับ ให้พี่สั่งหมูสะเต๊ะหน้าร้านมารองท้องก่อนดีไหม”


“ไม่ได้พูดเพราะรักษาน้ำใจนะครับ ผมโอเคจริงๆ” คนน่ารักยืนยันหนักแน่น “...แต่ถ้าพี่จะสั่งหมูสะเต๊ะจริงๆ ผมจะยิ่งโอเคมากๆ เลย”


“ฮ่าๆๆ” ทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง วายุก็หลุดหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นรอพี่เดี๋ยวเดียวนะครับ” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปส่งอาหารว่าง
   

รอไม่นานหมูสะเต๊ะหอมๆ พร้อมกับน้ำจิ้มและอาจาดรสเด็ดก็มาส่ง ครั้นเห็นอาหารวางอยู่ตรงหน้า ดวงตาของกวีก็เปล่งประกายขึ้นอีกเท่าตัว


   “น่ากินจัง”


   “รองท้องก่อนเนอะ อีกเดี๋ยวอาหารก็ได้แล้วล่ะ”


   “ขอบคุณครับ” กวีพยักหน้ารับ จากนั้นจึงลงมือทานท่าทางเอร็ดอร่อย


   แค่เห็นคนตรงหน้ากินท่าทางเอร็ดอร่อย วายุก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจแล้ว เขาเติ่มน้ำเปล่าให้กวีเพิ่ม ก่อนจะเท้าคางมองนักเขียนหนุ่มจัดการกับหมูสะเต๊ะไม้ใหญ่


   มองอยู่ได้ไม่นาน คนถูกมองก็ช้อนตาจ้องวายุกลับ


   “พี่ลม”


   “หืม?”


   “ไม่กินหรือครับ”


   “ไม่ล่ะ วีกินเถอะครับ พี่ยังไม่ค่อยหิวเลย”


   “ได้ไงครับ” กวีรีบเคี้ยวหมูในปากแล้วกลืนลงคอ ก่อนจะพูดต่อ “กินสักหน่อยสิ ให้ผมกินคนเดียวมันแปลกๆ นะ พี่อุตส่าห์ไปซื้อมาด้วย”


   “พี่ซื้อมาให้เราไงครับ”


   “กินเถอะ ผมกินเอาๆ พี่ไม่ยอมแตะเลย ผมชักเขินแล้วนะ”


   “พี่...”


   ยังไม่ทันปฏิเสธให้จบประโยค กวีก็ทำเรื่องที่วายุไม่ได้คาดคิดมาก่อน ด้วยการป้อนหมูสะเต๊ะชุ่มน้ำจิ้มหอมๆ มาถึงปากเขา


   “มาครับ ผมป้อน อ้าม~”


   “...” ชายหนุ่มมองริมฝีปากแดงๆ มันแผล่บอ้ากว้างคล้ายกดดันให้เขาอ้าปากรับชิ้นหมูเข้าปาก พอเลื่อนสายตาขึ้นอีกนิดก็ยิ่งถูกสายตาอ้อนๆ มองไม่ละสายตา


   ...หากหัวใจบินออกมาจากอกเพราะแพ้ความน่ารักของคนคนนี้ วายุคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย


   “เร็วครับ น้ำจิ้มจะหกแล้วนะ”


   “ครับๆ”


   สุดท้ายวายุก็ต้องอ้าปากรับหมูที่กวีป้อนให้โดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างคนละคำสลับกันไปจนหมดจาน และรอไม่นานหลังจากนั้น พนักงานเสิร์ฟก็ยกอาหารที่สั่งไว้มาวางเต็มโต๊ะ


   “โห...น่ากินมาก” เสียงใสของคนกินเก่งเอ่ยขึ้นหลังจากวายุตักไข่เจียวปูใส่จานให้


   “ลองชิมดูสิครับ ไม่ใช่แค่น่ากินหรอกนะ”


   “ครับ” กวีพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วตักไข่เจียวเข้าปาก “หื้ม...อร่อยด้วย เนื้อปูเต็มคำมากๆ เลย”


   “หึๆ ชอบใช่ไหมครับ”


   “ชอบครับ อร่อยมาก ไข่เจียวไม่อมน้ำมันเลย” พูดแล้วกวีก็ตักไข่เจียวเข้าปากอีกคำ


   “ถ้าชอบก็กินเยอะๆ  นะครับ กินกับปูผัดผงกะหรี่นี่ด้วย พี่ว่าเข้ากันสุดๆ เลย”


   “ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบรับอย่างกระตือรือร้น หากก็ยังไม่วายห่วงคนพามากิน “พี่ลมก็กินด้วยนะครับ อย่าตักให้แต่ผมสิ”


   “ครับๆ พี่ก็กินด้วยนี่ไง เราอยากลองราดหน้าทะเลของพี่ไหม อร่อยนะ เดี๋ยวพี่แบ่งใส่ถ้วยเล็กให้”


   “เอ่อ...เอาแค่คำเดียวพอนะครับ เดี๋ยวพี่ไม่อิ่ม”


   “หึๆ อิ่มสิครับ มาๆ เดี๋ยวพี่แบ่งให้” ว่าแล้ววายุก็จัดการแบ่งราดหน้าทะเลให้น้องลองชิม ทั้งยังตักกุ้งตัวใหญ่ในราดหน้าแบ่งให้อีกตัวด้วย


   เห็นกวีดูมีความสุขกับมื้ออาหาร วายุก็พลอยมีความสุขไปด้วย จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจพลาด เวลานี้เขาลืมคิดเรื่องนั้นไปแล้ว


   กระทั่งมื้ออาหารจบลง วายุก็เรียกคิดเงิน ก่อนพากวีออกจากร้าน


   ตอนที่มาถึงร้านฟ้าก็มืดแล้ว กว่าจะสั่งอาหาร กว่าจะได้กิน และกินเสร็จออกมา ถนนที่เคยมีรถวิ่งขวักไขว่ก็ดูบางตาลง วายุเดินข้างกันกับกวีไปตามทางเท้าช้าๆ ตาเหลือบมองคนข้างกายลูบพุงป่องเป็นระยะๆ


   “อิ่มไหมครับ อยากกินขนมหวานล้างปากไหม แถวนี้มีขนมหวานร้านอร่อยด้วยนะ ถ้าอยากกินพี่จะพาไป”


   “อยากกินจัง แต่คงไม่ไหวแล้วครับ นี่ผมรู้สึกเหมือนกระดุมกางเกงจะกระเด็นออกมาจากรังดุมอยู่แล้ว อิ่มสุดๆ เลยพี่”


   “อิ่มขนาดนั้นเลยหรือ”


   “ถ้าผมไม่อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมานะ จะเปิดพุงให้พี่ดูเลย”


   “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ พี่เชื่อแล้วว่าอิ่ม”


   “นี่ถ้ากลับไปบ้านคงยังนอนไม่ได้ อิ่มเกินไป เดี๋ยวกรดไหลย้อนจะกำเริบเอา”


   “เราเป็นกรดไหลย้อนบ่อยหรือวี”


   “ก็...บางครั้งครับ พอกินแล้วนอนอะไรแบบนี้ ท้องมันก็จะแสบๆ”


   “ไม่ดีเลยแบบนี้ พี่ชายพี่เคยเป็นหนักๆ ดูทรมานมากเลย”


   “ผมเป็นไม่หนักหรอกครับ แต่มันก็รู้สึกไม่ดีนั่นแหละเวลาเป็น”


   “งั้นไปเดินเล่นด้วยกันก่อนไหม ย่อยอาหารก่อนกลับ” วายุออกความคิด


   “เดินเล่นที่ไหนครับ”


   “สะพานพระราม 8 วีเคยไปไหม”


   “ไม่เคยลงเดินครับ เคยแต่นั่งรถผ่าน”


   “งั้นไปกัน เดินเล่นให้อาหารย่อย แล้วพี่จะพาไปส่งที่ห้อง ดีไหม”


   “ก็ได้ครับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย ไม่ร้อนแล้ว” กวียอมตกลง ก่อนไปเดินแยกไปขึ้นอีกฝั่งของคนขับ


   เมื่อขึ้นรถแล้ว วายุก็รีบสตาร์ทเครื่องและเร่งแอร์ให้น้อง “ไม่ชอบอากาศร้อนหรือครับ”


   “ไม่ค่อยครับ เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยออกไปไหนไง”


   “ชอบอยู่ห้องมากกว่า?”


   “ประมาณนั้นครับ”


   “เป็นคนติดบ้านนี่เอง”


   “เปล่านะ...ผมแค่จี้เกียจ”


   “ฮ่าๆๆ พูดตรงมาก”


   “ก็จริงๆ ผมขี้เกียจออกจากบ้านน่ะ ร้อนก็ร้อน รถก็ต้องหา”


   “ขับรถเองสิครับ จะได้ไม่ร้อนไง”


   “ผมขับรถไม่เป็นครับ แหะๆ” กวีว่า ก่อนจะเล่าต่อ “ความจริงแม่กับพี่ชายผมก็บอกให้ไปเรียน แต่ผมขี้เกียจ พอหลังๆ มาไม่ค่อยมีเวลาด้วย งานค่อนข้างชุก ก็เลยไม่ได้เรียกสักที แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ขับไปไหนอยู่แล้ว เรียกรถเอาก็สะดวกดีครับ”


   “เอาไว้ถ้าว่าง พี่สอนให้ก็ได้นะ วันสองวันก็เป็นแล้ว ขับรถน่ะ ไม่ยากหรอก”


   “ไม่ดีมั้งครับ ผมหัวช้า เดี๋ยวพี่จะหงุดหงิดเปล่าๆ”


   “ยังไม่ลอง จะรู้ได้ไง”


   “ฮือ...” คนงอแงไม่อยากเรียนขับรถเอาหัวไถกับเบาะจนวายุต้องหันมาช่วยคาดเข็มขัดให้


   “ไม่อยากเรียนหรือครับ”


   “ไม่ค่อยครับ” กวีพูดอ้อมแอ้ม


   “ขับรถเป็น จะได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนได้”


   “ผมไม่ค่อยชอบเดินทาง”


   “ทำไมล่ะ” วายุถามอย่างแปลกใจ เพราะไม่อยากเชื่อว่านักเขียนที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักและการเดินทางเป็นหนังสือเล่มแรก จะเอ่ยออกมาว่าไม่ชอบเดินทาง


   “ผม...ไม่ค่อยชอบน่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกครับ”


   “...งั้นหรือ ผิดกับพี่เลย พี่น่ะชอบเที่ยวมากๆ ได้ไปประเทศนั้นประเทศนี้ หรือสถานที่ใหม่ๆ เห็นอะไรสวยๆ แปลกๆ ดีออกนะ”


   ฟังวายุพูดแล้ว กวีก็เงียบลงคล้ายมีอะไรในใจ ผ่านไปพักหนึ่ง ขณะที่วายุออกรถแล้วขับไปยังสะพานพระราม 8 นักเขียนหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น


   “ตอนเด็กๆ ผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่เดินทางไปต่างประเทศ แล้วติดอยู่ที่สนามบินตั้งนาน จะกลับก็ไปได้ ไปต่อก็ไม่ได้...”


   “วีก็เลยกลัวหรือครับ”


   “อื้ม...” คนหน้ารักพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเกิดผมไปติดแบบนั้น ไม่รู้จะทำไงเลยนะครับพี่”


   “โถ่...วี มันแค่หนังครับ”


   “พี่ลมไม่เข้าใจหรอก พี่ต้องดูหนังเรื่องนั้นเอง” ปากอิ่มๆ นั่นเชิดขึ้นน้อยๆ มือสองข้างกอดอกเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เป็นท่าทางที่วายุไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันก็ดูน่าหมั่นเขี้ยวเสียจนคนขับรถอยากจอดแล้วฟัดให้หายพยศ


   “โอเคๆ พี่จะลองหาดู จะได้รู้ว่าน่ากลัวจริงไหม”


   “ดีครับ ไปหาดูนะ ชื่อเรื่อง---“ ยังไม่ทันได้บอกว่าหนังเรื่องนั้นมีชื่อว่าอะไร อยู่ๆ หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็พร่างพรมลงมาจากท้องฟ้า จากจะลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นทาง


   “อยู่ๆ ทำไมถึงตกนะ” วายุบ่นเบาๆ


   “นั่นสิครับ แบบนี้ก็อดไปเดินเล่นเลย น่าเสียดาย” นักเขียนหนุ่มบ่นงึมงำ


   วายุเองก็รู้สึกเสียดายไม่แพ้กันที่คืนพิเศษของเขาจะจบลงแค่ตรงนี้ เพียงแต่วายุไม่อยากแสดงออกมากนัก จึงได้แต่ทำใจยอมรับ เพราะในเมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ เขาจะทำอย่างไรได้


   “ตอนนี้ไปเดินไม่ได้แล้ว วีจะกลับเลยไหมครับ หรือจะไปหาร้านอื่นนั่งก่อน”


   “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เรากลับกันเลยดีกว่า รบกวนพี่ลมมากแล้วด้วย”


   “เอางั้นก็ได้ครับ” เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว วายุจึงเปลี่ยนเส้นทางและพานักเขียนคนดีกลับไปส่งบ้านตามที่ให้สัญญากับเจนจิราไว้






   ตอนมาถึงคอนโดวายุยังขึ้นไปส่งกวีถึงหน้าห้อง เขาอยากดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งยังอยากใช้เวลาด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย กระทั่งถึงหน้าห้อง ชายหนุ่มจึงหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เดินตามเจ้าของห้องเข้าไปข้างใน เพราะเวลารู้ว่าเวลาของตัวในคืนนี้หมดลงแล้ว


   แต่แทนที่กวีจะหันมาบอกลากันดีๆ เหมือนปรกติ เจ้าตัวกลับทำเรื่องที่วายุไม่คาดฝัน


“พี่ลมครับ”


“ครับ?”


“พี่อยากดูหนังไหมครับ”


   “ดูหนังหรือ”


   “อื้ม ที่เราคุยกันในรถไง ผมมีแผ่นอยู่นะ”


   “จะให้พี่ยืมหรือไงครับ” วายุยิ้มให้ความใจดีของกวี


ทว่า...


   “เปล่าครับ จะชวนมาดูด้วยกัน ผมเองก็อยากดูซ้ำพอดีเลย”


   “ตอนนี้หรือครับ”


   “อื้ม นี่ก็ยังไม่ดึกมากด้วย หรือว่าพี่ลมอยากพักแล้วครับ ถ้าอยากพัก ผมไม่รบกวน—“


   “พี่อยากดู!” วายุรีบตอบแบบไม่ต้องคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองตอบเร็วเกินไป จึงเอ่ยอ้าง “ถ้าไม่เป็นการรบกวนวีเกินไปน่ะนะครับ”


   “ไม่รบกวนหรอก ผมเป็นคนชวนนะ”


   “ถ้าอย่างนั้น...พี่ขอดูด้วยคนนะครับ”


   กวียิ้มหวานให้เขารอบที่ร้อยเห็นจะได้ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบข้างประตู แล้วทำท่าโค้งเหมือนบัตเลอร์ตัวน้อยๆ ไม่มีผิด


   “เชิญเข้ามาเลยครับ คุณวายุ”


   “หึๆ” วายุส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นประตูบานใหญ่จึงค่อยๆ ปิดลง ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากบางๆ ในหัวพลันคิดว่า...


   คืนนี้ยังอีกยาวไกลสินะ


         ...โชคเข้าข้างเขาแล้ว






-------------------------------------------------------------




ก้อน...แม่ว่า ในที่นี้มีคนอ้อยหนึ่งแอเรีย 5555555
หายหน้าไปนาน กลับมาทีก็พาลูกชายมาขายอ้อยเลยค่ะ
ตอนหน้าไม่ใช่ตอนของก้อนนะคะ
ตอนหน้าเป็นพาร์ทของพี่ลมอยู่ล่ะ
มารอดูว่าพี่แกจะถูกน้องป้ายน้ำมันพรายอีกหรือเปล่า---แค่กๆ 55555

แล้วเจอกันค่ะ

ปล.ขอโทษที่หายไปนานค่ะ ตอนหน้าจะมาเร็ว เกี่ยวก้อยสัญญา

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 15-10-2018 15:55:37
พี่ลมเจอน้องก้อนดาเมจไปหลายรอบ ฟินเลยนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2018 18:10:17
อยากบีบน้องตัวนุ่มมมม  :hao5:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-10-2018 20:57:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-10-2018 21:16:35
ดีมากเจ้าก้อน นี่มันปี2018แล้วนะ ชอบเขาเราก็ต้องอ่อย 5555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-10-2018 21:19:39
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 15-10-2018 21:57:58
พี่ลมหลอกเด็ก  :mew4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-10-2018 23:09:58
เจ้าก้อนทำเอาพี่วายุหลงจนฉุดไม่อยู่แล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-10-2018 10:19:52
น่ารักเลย วายุหลงหนักมากแล้ว
มีความลงทุนและทุ่มเทจริงจัง
ต้องรักขนาดไหน ไปต่อคิวได้คนแรก

วีเอ้ย ฮอตนะ ขนาดเก็บเนื้อเก็บตัวขนาดนี้
แล้วดูเปิดทางให้พี่เข้าหาไม่ได้รู้ตัวเลย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-10-2018 11:15:35
น้องงงงงงงงงงรู้ตัวมั้ยเนี่ย :kikkik:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Wharnnn ที่ 16-10-2018 14:09:43
ก้อนเอ้ยยยยยยยย  อยากบีบ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-10-2018 10:36:33
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-10-2018 13:58:27
 :man1:  อยากขย่ำขยี้
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-10-2018 15:27:19
รถขนอ้อยวิ่งเต็มถนนเลย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 17-10-2018 21:42:16
น้องก้อนนนน ไม่ทันพี่เขาเลยลูก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 18-10-2018 22:46:01
คือดีี ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Myseuntamin ที่ 08-11-2018 20:30:32
น้องงงงง หนีไปลูกกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 10 [15/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 09-11-2018 18:25:38
เนื้อเรื่องกับ ตัวละครน่ารักมากจ้า
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 11-11-2018 16:13:44








บทที่ 11








   
   “วีครับ”


   “ครับ! พี่ลม~”


   “พี่ว่าทาโร่ของวีน่าจะได้ที่แล้วนะ”


   “ครับๆ ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว จะออกไปดูเดี๋ยวนี้”


   หลังจากส่งเสียงเรียกแค่เดี๋ยวเดียว เจ้าของห้องที่ขอตัวเข้าไปอาบน้ำก็เดินผมเปียกออกมาจากห้องในสภาพสวมชุดพร้อมนอนตัวใหญ่โคร่ง เจ้าตัวคว้าถุงมือกันความร้อนตรงเคาน์เตอร์มาสวม ก่อนเปิดฝาไมโครเวฟแล้วประครองจานทาโร่กรอบออกมาวางบนโต๊ะ


วายุมองกวีก้มหน้างุดๆ ใช้ช้อนเขี่ยปลาเส้นอยู่เดี๋ยวเดียว อีกฝ่ายก็หันกลับมายิ้มกว้าง พลางเอ่ยชม


“กรอบทั่วกันหมดเลยครับ ไม่ไหม้ด้วย พี่ลมเก่งจัง ไหนบอกว่าทำครั้งแรก”


“เก่งอะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง”


วายุรู้ตัวว่าไม่เก่งพอให้ถูกชมกับเรื่องแค่นี้ แต่จะว่าก็ว่าเถอะ พอได้เขาได้ยินเสียงน้องชื่นชมพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ชายหนุ่มก็อดใจฟูไม่ได้


“เก่งแล้วครับ ผมทำครั้งผมทำไหม้หมดเลยนะ ฮ่าๆๆ” กวีว่าพลางตัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปหยิบจับเอาเครื่องดื่มใส่แก้วอย่างคล่องแคล้ว


“มาๆ ให้พี่ช่วยนะ”


“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจัดการเองได้ พี่ลมไปล้างหน้าล้างตาเถอะนะ เสร็จแล้วตามไปในห้องทำงานผมเลย เดี๋ยวผมเปิดหนังรอ”


ความจริงวายุอยากอยู่ช่วยเจ้าของบ้านก่อน แต่คิดๆ ดูแล้ว หากได้ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยก่อนไปนั่งดูหนังก็ดีเหมือนกัน เพราะวันนี้เขาเองก็อยู่นอกบ้านทั้งวัน


“งั้นพี่ขออนุญาตใช้ห้องน้ำนะครับ”


“ไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับ ใช้ได้เลย ผมเตรียมผ้าขนหนูให้พี่แล้วนะ สีฟ้าที่แขวนราวไม้ไว้” นักเขียนหนุ่มว่าพลางแอบหยิบเส้นทาโร่กรอบเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับ


“หิวหรือครับ”


“ไม่หิวหรอกครับ” กวีส่ายหน้า “แค่คิดว่าถ้าดูหนังแล้วไม่มีอะไรกินมันจะเหงาปากน่ะ แฮะๆ” คนชอบกินแก้ตัวเขินๆ แต่คนชอบมองกลับรู้สึกว่าจะทำหน้าแบบไหนน้องก็ยังน่ารักอยู่ดี


“งั้นคราวหน้าพี่จะเอาป๊อปคอนสำเร็จรูปมาให้วีติดครัวไว้นะ เวลาดูหนังจะได้เอาเข้าเวฟกินได้”


“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมสั่งที่ร้านพี่รถกับข้าวเอง” กวีรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เอาไว้เราค่อยคุยกันดีเนอะ พี่ลมไปล้างหน้าเถอะครับ ผมอยากเปิดหนังให้พี่ดูจะแย่แล้ว”


“หึๆ โอเคๆ พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” วายุรับคำก่อนเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ


ชายหนุ่มเดินผ่านห้องนอนไปยังห้องน้ำที่อยู่อีกฝั่ง เขาไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนที่เจ้าของบ้านตระเตรียมไว้ให้ติดมือมาด้วย เมื่อเข้ามาให้ห้องน้ำ สิ่งแรกที่สะดุดตาวายุมากที่สุดก็คือกล่องอะคริลิคใสที่มียางรัดผม กิ๊บติดผมสารพัดสีบรรจุอยู่จนแน่นกล่อง


ดูท่ากวีคงชอบกิ๊บพวกนี้มากจริงๆ...วายุคิด


   ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบกิ๊บรูปนกฟลามิงโก้ขึ้นมาดูตัวหนึ่ง เขาพลิกสำรวจมันไปมา ก่อนจะหลุดยิ้ม


ถึงแม้ว่ามันจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับเขา แต่ว่าถ้าเจ้ากิ๊บสีสันสดใสรูปทรงตลกๆ พวกนี้อยู่บนผมน้อง ชายหนุ่มก็คิดว่ามันเหมาะกับเจ้าตัวจริงๆ


   ยืนเพ้อนึกถึงความทรงจำแรกกับกิ๊บสัปปะรดเดี๋ยวเดียว ชายหนุ่มก็วางของคืนที่เก่า ก่อนจะหันมาล้างหน้าล้างตา เพราะเวลานี้เขาควรออกไปอยู่กับกวีข้างนอกนั่นมากกว่ามาย้อนระลึกถึงเรื่องในอดีต


   ล้างหน้าเรียบร้อยแล้ววายุก็แขวนผ้าไว้ที่เก่า ก่อนเดินกลับไปยังห้องครัว แต่ที่นั่นไร้เงาเจ้าของบ้านเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนทิศไปยังห้องทำงานที่อีกฝ่ายบอกก่อนหน้านี้แทน


   “เสร็จแล้วเหรอครับ” เสียงสดใสทักทายขึ้นทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ดูเหมือนกวีจะรอเขาอยู่ก่อนแล้ว


   “เรียบร้อยแล้วครับ” วายุยิ้มรับ


   “ถ้างั้นมานั่นนี่เร็วครับ ผมจัดที่นั่งให้พี่ลมแล้ว”


คนน่ารักตบปุๆ ที่เบาะข้างตัว ซึ่งถูกจัดเรียงด้วยเบาะและหมอนพิงหลังกองใหญ่ ด้านหน้าเป็นโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งบนนั้นมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เครื่องถ่ายโปรเจคเตอร์ จานของกินเล่นและเครื่องดื่ม


“มีเครื่องฉายหนังส่วนตัวด้วยเหรอ แบบนี้แสดงว่าชอบดูหนังมากแน่ๆ”


“ก็ชอบครับ แต่ขี้เกียจไปดูในโรง ผมก็เลยสั่งซื้อมาฉายเองซะเลย” กวียิ้มภูมิใจกับอาณาจักรของตัวเอง


“ดีจัง” วายุว่าก่อนเดินอ้อมโต๊ะญี่ปุ่นไปยังเบาะที่กวีจัดไว้ แล้วทรุดลงนั่งข้างๆ กัน “ว่าแต่เรานี่ไม่ชอบออกนอกบ้านจริงๆ ใช่ไหม”


“ครับ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”


“ทำไมล่ะ” วายุถามอีกครั้ง


“ผมเคยบอกไปแล้วไงครับว่าขี้เกียจ”


“แค่นั้นเองหรือ”


“ครับ” กวีพยักหน้า “ขี้เกียจออกไปหารถนั่ง ขี้เกียจขับรถด้วย”


“ขี้เกียจแบบนี้ ถ้ามีคนไปรับไปส่งประจำตัวน่าจะดีนะ”


“โห...ถึงผมจะได้เงินจากหนังสือมาบ้าง แต่ถ้าให้จ้างคนขับรถส่วนตัวก็ไม่ไหวหรอกครับ” เจ้าตัวว่า


“พี่หมายถึงมีแฟนคอยรับส่งอะไรแบบนี้” วายุเปลี่ยนประโยคเสียใหม่


“โห...พี่ลม ใครเขาจะมาเป็นแฟนผม ผมไม่ชอบเที่ยว ชอบอยู่กับบ้าน ทำแต่งานกับกับข้าว เป็นผู้ชายที่น่าเบื่อสุดๆ ผู้หญิงเขาไม่ชอบหรอกพี่”


“คิดไปเองน่ะสิ”


ใครจะไม่ชอบก็ช่างปะไร แต่พี่น่ะ หลงวีไปแล้วเต็มๆ...วายุคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป


“ไม่คิดไปเองหรอกครับ พี่ไม่ต้องพูดให้กำลังใจผมเลย อีกอย่างนะ ผมจะมีแฟนได้ไง แทบไม่ได้ออกไปเจอใครเลย เจอแต่หน้าจอคอมทุกวัน” นักเขียนคนดังอธิบายเสียยาวยืด ก่อนจะสบทบอีกประโยค “อีกอย่างผมคงดูแลใครไม่ไหวหรอกครับ”


“ทำไมล่ะ”


“แค่ตัวเองยังแทบไม่รอดเลย นี่โดนบก.บ่นตลอด ฮ่าๆๆ”


“งั้นก็ต้องมีคนคอยดูแลสิ”


ยิ่งพูด วายุก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาพูดเพื่อตัวเองมากขึ้นทุกที


“ไม่เอาหรอก ผมจะให้ใครดูแลฝ่ายเดียวได้ไง ไม่แฟร์เลย มีคนรักก็ต้องช่วยดูแลกันสิ”


“นั่นสินะ ถ้าได้ผลัดกันดูแลกัน พี่ว่าก็ดีนะ”


“ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนี้ผมถึงบอกไงว่าไม่น่ามีแฟนได้”


“เดี๋ยวถึงเวลาพี่ว่าวีก็ทำได้เองล่ะ กับเรื่องความรัก วีขี้เกียจไม่ได้หรอก”


“ก็จริง แต่เอาไว้จะมีค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้เรามาดูหนังดีกว่า พี่รอเดี๋ยวนะ ผมขอหรี่ไฟก่อน”


“โอเคครับ”


หัวข้อการมีแฟนของพวกเขาจึงถูกปัดตกไป ก่อนนักเขียนหนุ่มกดรีโมตเพื่อหรี่ไฟในห้อง จากนั้นจึงกดรีโมตอีกตัวเพื่อดึงฉากฉายหนังออกมาจากกำแพงด้านที่พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหา


ระหว่างที่กวีกำลังง่วนอยู่กับการจัดระบบต่างๆ วายุก็ชวนคุยอีกรอบ


   “ทุกทีเราทำงานตรงนี้ใช่ไหม”


   “ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า “นั่งทำกับญี่ปุ่นตัวนี้แหละ ถึงแม่จะบอกให้นั่งกับโต๊ะดีๆ ก็เถอะ แต่ผมชินกับแบบนี้”


   “ชอบนั่งพื้นหรือครับ”


   “ใช่ครับ ผมว่ามันสบายดีน่ะ แต่พี่ลมนั่งสะดวกหรือเปล่า เปลี่ยนเป็นนั่งโต๊ะก็ได้นะ ผมมีโต๊ะเก้าอีกสำรองพับเก็บไว้”


   ครั้นเห็นนักเขียนหนุ่มตั้งท่าจะลุก วายุจึงรีบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ก่อน


   “ไม่ต้องครับ พี่นั่งได้”


   “จริงหรือครับ ถ้าไม่สบาย ไม่ต้องเกรงใจนะ แม่กับพี่พัน...เอ่อ...พี่ชายผมน่ะ พวกเขาก็ไม่ขอบนั่งพื้นเหมือนกัน”


   “พี่นั่งได้จริงๆ ครับ แต่ที่ถามก็เพราะอยากรู้เฉยๆ” วายุตอบแข็งขัน ก่อนจะเสริม “พี่ว่าแบบนี้ก็สบายดีนะ ดูสิ มีทั้งเบาะทั้งหมอนพิงหลังรอบตัวเลย สบายกว่าไปดูในโรงหนังซะอีก เอนก็ได้ เหยียดขาก็ได้”


   “ใช่ไหมล่า~” พอวายุเห็นด้วยเข้าหน่อย คนชอบนั่งพื้นท่ามกลางกองหมอนก็รีบผสมโรง “ผมชอบนั่งเปื่อยๆ ทิ้งตัวอยู่บนนี้มากเลยเวลาดูหนัง สบายออกเนอะ”


   “ครับ พี่ก็คิดว่างั้น”


   ในความมืดสลัว วายุเห็นอีกฝ่ายยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ดวงตาคู่ใสเปล่งประกายแม้อยู่ในความมืด คล้ายดาวฤกษ์ที่สุกสว่างด้วยตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


   คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะพูดจะจาอะไรก็ชวนให้รู้สึกอยากมองไปเสียหมด...วายุได้แต่คิดแบบนั้นในใจซ้ำๆ ก่อนจะถูกเรียกสติเพราะหนังที่อีกฝ่ายเปิดฉายขึ้นบนจอแล้ว


   “หนังเก่าพอสมควรเลยนะ” วายุไม่เคยดู แต่มองจากภาพและนักแสดงนำที่โผล่ออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็เดาได้ไม่ยาก


   “เก่าครับ จำได้ว่าเคยดูตั้งแต่สมัยผมยังละอ่อน”


   “พูดเหมือนตอนนี้แก่อย่างนั้นแหละ”


   “ฮ่าๆ ก็เบญจเพสแล้วนี่ครับ” กวีว่าพลางกลั้วหัวเราะ


   “ยังไม่แก่หรอก พี่นี่สิ อีกไม่ถึงปีจะเลขสามแล้ว”


   หากมองจากหน้าตา วายุไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายอายุ 25 แล้ว เพราะกวียังดูเด็กและสดใสเอามากๆ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ความสดใสเหล่านี้เป็นที่บุคลิกของเจ้าตัว และคาดว่าถึงอีกฝ่ายจะอายุเข้าเลขสามเลขสี่ กวีก็คงจะสดใสไม่เปลี่ยนจากเดิมสักเท่าไหร่


   เงียบกันไปพักหนึ่ง ระหว่างที่หนังกำลังเริ่มเล่น อยู่ๆ คนข้างกายก็เอ่ยถามขึ้น


   “พี่ลมเกิดวันไหนครับ”


   “อยากรู้ไปทำไม”


   “ก็เมื่อกี้พี่บอกว่าใกล้เลขสามอีกไม่ถึงปี แปลว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิด ผมอยากรู้”


   “อืม...เอาไว้พี่จะบอก ตอนหนังจบนะ”


   “ครับ งั้นเรามาดูหนังกันเนอะ”


   “อื้ม” วายุพยักหน้ารับ ก่อนหันมาสนใจภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ตรงหน้า


   ด้วยรักและมิตรภาพ คือหนังคนติดในสนามบินที่กวีบอก ทีแรกวายุคิดว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหรือหนังที่น่ากลัวกว่านี้ จึงทำให้กวีกลัวที่จะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยหวั่นในอุบัติเหตุและเรื่องไม่ขาดฝัน


   ทว่าพอดูไปเรื่อยๆ หนังกลับไม่เฉียดใกล้สิ่งที่วายุคาดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรักและมิตรภาพกลับเป็นเรื่องราวโรแมนติกกที่ชวนให้รู้สึกอะไรหลายอย่างระหว่างที่ชม


   วายุดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของภาพยนตร์พักใหญ่ โดยลืมไปว่าใครอีกคนที่นั่งเคี้ยวขนมอยู่ใกล้ๆ เงียบเสียงไปนานมากแล้ว


   ก่อนจะคิดถึงคนนั่งข้างขึ้นมาได้ ก็เมื่อตอนที่รู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายทิ้งกายลงซบมาทั้งตัว


   วายุหันไปหาคนน่ารักทันทีที่ถูกพิงไหล่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกอดหมอนใบนิ่มแน่น ดวงตาหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ซ้ำยังปล่อยตัวทิ้งน้ำหนักมาทางเขา พร้อมกับเอาแก้มกลมๆ มาซบที่แขนกันอีก เมื่อมองเลยไปด้านข้าง เขาเห็นจานทาโร่กรอบกับแก้วน้ำส้มหมดเกลี้ยงวางคู่กัน


   “วีครับ” ชายหนุ่มลองเรียกดู เผื่อว่าน้องจะตื่นและลุกขึ้นมานอนดีๆ


   “...”


   แต่มันกลับได้ผลตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่ตื่นขึ้นมาขานรับเสียงใสแล้ว เจ้าตัวยังเอาแก้มถูแขนเขาเหมือนต้องการเสาะหาที่เหมาะๆ ในการนอน


   กินอิ่มแล้วนอนหลับเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด...เห็นแบบนั้นวายุก็หลุดยิ้มออกมาอีกหน


   แสงจากจอฉากหนังส่องวูบวาบทำให้เห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ถนัดนัก วายุจึงต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ อย่างใคร่รู้ว่าคนน่ารักหลับสนิทแค่ไหน


   แต่แทนที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายหลับสนิทหรือเปล่า จมูกของเขากลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่อาบน้ำจากตัวของกวีแทน มิหนำซ้ำพอสบเข้ากับแก้มนุ่มนิ่ม ใจที่คิดอกุศลยิ่งอยากลองดอมดมดูสักทีว่า...


นอกจากจะนิ่มแล้ว แก้มน้องจะหอมขนาดไหน


   ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่กล้าล่วงเกินอะไรไปมากกว่าการแอบมองและคิดไม่ดีในใจ เขาปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหมอนอิงอีกใบของกวีอยู่พักใหญ่ จนสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัวเหมือนนอนไม่สบาย เขาจึงตัดสินใจใช้มือประคองศีรษะทุยไปวางบนหมอน


   ระหว่างที่กำลังจะจัดท่าจัดทางให้น้องนอนดีๆ  จู่ๆ คนที่หลับตาก็ลืมตาและผุดลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


   “หนังยังไม่จบเหรอ”


“ครับ หนังยังไม่จบ”


“แต่วีง่วงแล้ว”


“งั้นให้พี่พานอนไหม”


“ไม่เอาครับ วีจะอยู่เป็นเพื่อนพี่ลมก่อน พี่ลมดูหนังให้จบนะ”


“แต่เราง่วงแล้วนะครับ”


“วีอยากดูหนังกับพี่ลม”


เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็กอดหมอนนิ่มและหลับไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม


“ฮ่าๆๆ”


วายุมองการกระทำนั้นและหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีอย่างที่ไหน ทั้งที่ง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว อีกฝ่ายควรต้องลุกขึ้นมาแล้วไล่เขากลับบ้านสิ ไม่ใช่บอกเขาดูหนังให้จบ ส่วนตัวเองก็นอนหลับสนิทโดยไร้การป้องกันแบบนี้


หากวายุเป็นคนชอบฉวยโอกาสกว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องคงไม่จบแค่เขาดูหนังและปล่อยกวีหลับอย่างเป็นสุขหรอกนะ...


คิดแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เขายังไม่ได้ปิดเครื่องฉายหนัง แต่ก็เลิกสนใจมันตั้งแต่กวีเอนมาซบไหล่แล้ว ชายหนุ่มหยิบแก้วน้ำของตัวเองที่วางบนโต๊ะหลบไปให้พ้นทาง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่น ทว่าหันหน้าไปทางกวี


ในมุมนี้ใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันมากกว่าทุกครั้ง แม้แสงจะน้อย แต่วายุก็สามารถเห็นรายละเอียดบนใบหน้าและแก้มยุ้ยๆ ของน้องได้ชัดเจน เว้นแค่ดวงตาใสซื่อคู่หนึ่งเท่านั้น


เขามองริมฝีปากล่างของน้องเปิดออกเล็กน้อยตอนหลับ มองจมูกเล็กๆ ปลายรั้นๆ เผลอทำฟุดฟิดๆ และขนตายาวจนเหมือนทาบไปกับแก้มสั่นระริกบางทีคล้ายร่างกายแสดงปฏิกิริยาแปลกๆ ยามนอน มองอย่างไรเขาก็คิดว่ากวีเป็นคนน่ารัก ยิ่งพอมองแก้มยุ้ยๆ ยิ่งเป็นจุดที่เขาชอบที่สุด


วายุนอนมองน้องอยู่แบบนั้นโดยไม่แตะต้อง นอนมองจนหนังเล่นจบและไฟจากเครื่องโปรเจคเตอร์ดับลง เป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของเขากับกวีในคืนนี้ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว


ชายหนุ่มจึงตัดใจละสายตามาจัดที่จัดทางข้างหลังให้เป็นที่นอนดีๆ ก่อนจับให้ร่างกายนุ่มนิ่มนอนเอนลงมา สุดท้ายก็ห่มผ้าและกระซิบที่ข้างหู


“หนังสนุกมาก ขอบคุณนะครับที่ชวนมาดูด้วยกัน...ฝันดีนะครับวี”










//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////









ก้อนกับพี่รถกับข้าวมาแล้ว
ฉากในตอนนี้เป็นฉากที่เราเอาไปวาดบนปกเล่ม 1 ด้วยล่ะ
ใครอยากเห็นหน้าเจ้าก้อนกับพี่รถกับข้าว เข้าไปส่องในเพจกับทวิตได้เลยนะคะ อิอิ
   เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 11-11-2018 16:27:47
น้องก้อนตอนหลับก็ยังน่ารัก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 11-11-2018 16:44:32
น่ารักจังเลยรู้กกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-11-2018 19:19:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-11-2018 21:36:15
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-11-2018 23:01:10
พี่รถกับข้าว อบอุ่นมากเลยค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-11-2018 00:13:48
พี่ลมมีความอดทนสูงมาก น้องน่ารังแกเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 11 [11/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 13-11-2018 22:34:03
เจ้าก้อนนุ่มนิ่ม  :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 12 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 14-11-2018 01:54:10







บทที่ 12







   เช้าวันนี้กวีตื่นขึ้นมาด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเพิ่งนาฬิกาปลุก เพราะเมื่อคืนได้หลับเต็มอิ่ม ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ความเหนื่อยล้าจากการออกไปทำงานข้างนอกตลอดทั้งวันจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง
   

เขาบิดขี้เกียจและนอนแช่อยู่บนที่นอนพักใหญ่ ภาพเหตุการณ์ก่อนเผลอหลับไปจึงแทรกเข้ามาในหัว

   พี่รถกับข้าว!
   
กวีลืมตาขึ้นและรีบดีดตัวผึ่งขึ้นนั่งหลังตรง เขากวาดมองไปรอบกายของตนเองจึงเห็นโต๊ะญี่ปุ่นถูกพับเก็บเรียบร้อย คอมพิวเตอร์ดโน๊ตบุ๊ค เครื่องฉายโปรเจคเตอร์และจอฉายก็ถูกเก็บเช่นเดียวกัน จานขนม แก้วน้ำหวานหายไป คาดว่าคงอยู่ในห้องครัว ส่วนตัวกวีก็นอนอยู่บนเบาะและกองหมอน โดยมีผ้าห่มผืนโปรดห่มคลุมไว้ให้อย่างดี

   พี่ลมไปไหนซะแล้ว...กวีคิด ก่อนตั้งสติและคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงกลับออกไปตั้งแต่เมื่อคืน

   นักเขียนหนุ่มขยี้หัวตัวเองเบาๆ พลางนึกโทษตัวเองเล็กน้อย ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนวายุมาดูหนังด้วยกันเพราะอยากตอบแทนที่พาไปเลี้ยงข้าวแถมยังไปหาถึงงานเปิดตัวหนังสือ แต่ตัวเองกลับหลับใส่อีกฝ่ายซะงั้น มิหนำซ้ำยังทิ้งให้พี่รถกับข้าวคนดีเก็บกวาดทุกอย่างให้อีก

   น่าอายชะมัดเลย

   ชายหนุ่มควานหาแว่นที่คาดว่าคงถูกวายุถูกเก็บไว้ให้อีกเช่นกันมาสวม ก่อนคว้าโทรศัพท์ซึ่งเสียบชาร์จแบตเตอรี่อยู่ข้างๆ กันมากดเข้าแอปพลิเคชันไลน์

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ลมครับ~~ [11:54 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : อยู่ไหมครับ [11:54 อ่านแล้ว]

กวีรออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมา

WAYU : ครับวี? [11:55 อ่านแล้ว]

WAYU : เรียกพี่มีอะไรเอ่ย [11:55 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เมื่อคืนพี่กลับไปกี่โมงครับ [11:55 อ่านแล้ว]

WAYU : เมื่อคืนเหรอ [11:56 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ครับ [11:56 อ่านแล้ว]

ข้อความขึ้นว่าถูกอ่านทันทีที่กวียืนยันคำถาม ทว่ารออยู่สักพักกวีก็ยังไม่ได้คำตอบ นักเขียนหนุ่มจึงชักไม่แน่ใจแล้วว่าพี่รถกับข้าวของเขากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ลมยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ [11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ถ้ายุ่งอยู่ ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ครับ[11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ผมแค่จะส่งข้อความมาขอโทษที่เผลอหลับแล้วทิ้งให้พี่เก็บของคนเดียว [11:59 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษนะครับ [12:00 อ่านแล้ว]

ขอโทษเรียบร้อยแล้ว กวีก็ไม่ลืมส่งสติ๊กเกอร์รูปหมูน้อยยกมือไหว้ปรกๆ ไปให้วายุด้วย อย่างน้อยพี่รถกับข้าวจะได้รู้ว่าเขาเสียใจจริงๆ

ทว่าหลังจากนั้นแค่ไม่ถึงวินาที ข้อความจากอีกฝ่ายก็เด้งกลับมายาวเหยียด

WAYU : พี่ไม่ได้โกรธเราสักหน่อย ไม่ต้องขอโทษเลยครับ [12:00 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่รู้ครับว่าวีเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กินอิ่มเรียบร้อยก็อยากพักผ่อน พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ [12:00 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษทำไมครับ พี่ลมไม่ผิดอะไรสักหน่อย [12:01 อ่านแล้ว]

WAYU : ไม่ผิดยังไง พี่นี่ตัวดีเลย แทนที่จะปล่อยให้เราพักผ่อน แต่เข้าไปรบกวนเพราะอยากจะดูหนังกับวีต่ออีก [12:01 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ก็ผมเป็นคนชวนนี่ครับ [12:02 อ่านแล้ว]

WAYU : แต่พี่ควรรู้นี่ครับ ว่าควรทำอะไรเวลาไหน [12:02 อ่านแล้ว]

กวีคิ้วย่นทันทีที่ได้อ่านข้อความ เพราะไม่รู้ว่าจากที่ตนเองอยากขอโทษอีกฝ่าย เหตุใดจึงกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาต่างขอโทษกันเองไปๆ มาๆ เสียได้

ก้อนไงจะใครล่ะ : ไม่เอาแล้วครับ ไม่ขอโทษแล้ว [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เอาเป็นว่าไม่ผิดทั้งคู่โอเคไหม [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอโทษกันไป ขอโทษกันมาแบบนี้ ผมชักไม่สบายใจแล้วนะ [12:03 อ่านแล้ว]

WAYU : โอเคๆ เอาตามที่วีว่าก็ได้ครับ [12:03 อ่านแล้ว]

วายุตกลงตามนั้น ก่อนกวีจะเห็นสติ๊กเกอร์แบบเดียวกัน แต่เป็นเจ้าหมูยิ้มหวานส่งมาให้

WAYU : ว่าแต่...วีเพิ่งตื่นหรือครับ [12:03 อ่านแล้ว]

WAYU : กินมื้อเที่ยงหรือยัง [12:03 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : เพิ่งตื่นครับ ยังไม่ได้กินอะไรเลย [12:04 อ่านแล้ว]

   กวีพิมพ์ตอบ ก่อนจะเสริมไปอีกประโยค

ก้อนไงจะใครล่ะ : พอพูดปุ๊บ ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลยครับ [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : ถ้าอย่างนั้นหาอะไรกินเสียนะครับ เที่ยงแล้ว เดี๋ยวปวดท้องนะ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : โอเคครับ [12:04 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : แล้วพี่ลมกินอะไรหรือยัง [12:04 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่ไม่มีข้าวกินหรอกครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : อ้าว! แล้วพี่ไม่หิวเหรอ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : หิวครับ [12:05 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : งั้นก็หาอะไรทานด้วยสิครับ [12:05 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่ไม่มีข้าว แต่พี่มีนี่แล้วล่ะ [12:06 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : มีอะไรครับ [12:06 อ่านแล้ว]

หลังจากถามไปครู่เดียว ฝ่ายตรงข้ามก็ส่งคลิปสั้นๆ ของเกี๊ยวทอดถาดใหญ่กลับมาให้ดู ดูท่าเกี๊ยวคงเพิ่งมาส่ง เพราะชิ้นที่วายุใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาให้ดูยังมองเห็นควันขาวๆ ลอยระอุขึ้นมาบางเบา ผนวกกับเนื้อหมูในแป้งบางกับซอสสูตรเฉพาะที่แทรกตัวอยู่ยังดูชุ่มฉ่ำ ทำเอาคนดูท้องร้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

จ๊อก!~

WAYU : เป็นไงครับ น่ากินไหม [12:07 อ่านแล้ว]

“น่ากินสุดๆ!” กวีหลุดปากตอบออกมาทันที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพิมพ์ข้อความคุยกัน ดังนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเสียงของเขา

ก้อนไงจะใครล่ะ : น่ากินมากๆๆๆ เลยครับ [12:08 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ทำน้ำย่อยในท้องผมไหลออกมาท่วมกระเพาะเลย [12:08 อ่านแล้ว]

WAYU : 555 อย่างนั้นก็ลุกไปหาอะไรทานได้แล้วครับ ส่วนเกี๊ยวนี่ เอาไว้เดี๋ยวพี่ค่อยซื้อไปฝากนะ [12:08 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะครับ [12:09 อ่านแล้ว]

วิญญาณเห็นแก่กินเข้าสิงทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะซื้อมาฝาก ความเกรงอกเกรงใจอะไรพวกนั้นกวีทิ้งไว้ข้างหลังตั้งแต่เห็นคลิปแล้ว

WAYU : ไม่คืนคำหรอก พี่เป็นคนรักษาสัญญานะ [12:09 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ถ้าอย่างนั้นผมจะรอนะ [12:09 อ่านแล้ว]

WAYU : อื้ม รับรองได้กินแน่ๆ [12:10 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขอบคุณครับ [12:10 อ่านแล้ว]

พิมพ์ขอบคุณไปเรียบร้อยแล้ว นักเขียนหนุ่มก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างหน้าและหามื้อเที่ยงทานบ้าง บทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจึงจบลงแค่นั้น







หลังจากงานเปิดตัวหนังสือ กวีก็ต้องรีบปั่นต้นฉบับรายสัปดาห์ของตัวเอง เพราะเขาใช้เวลางานทำภารกิจอื่นไปกว่าสามวันแล้ว

นักเขียนหนุ่มยังคงคร่ำเคร่งกับการพิมพ์นิยายเหมือนเก่า บก.ประจำตัวของเขาก็ยังโทรมาถามไถ่เกี่ยวกับความคืบหน้าให้รู้สึกกดดันเล่นเช่นเดิม

ทว่าคนที่หายไปจากสาระบบของกวีเลยก็คือพี่รถกับข้าว

ตั้งแต่เที่ยงวันที่คุยกันเรื่องเกี๊ยวซ่า เขาก็ไม่ได้คุยกับวายุอีกเลย มีแค่เย็นวันนั้นเขาส่งข้อความไปทักวายุก่อน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบกลับมา เวลานี้กล่องข้อความของพวกเขาจึงเงียบเหงาราวกับป่าช้า

ปรกติที่ผ่านมา กวีก็สามารถทำงานไป อยู่คนเดียวไปแบบนี้ได้ไม่มีปัญหา แต่พอเริ่มมีคนให้คุยทุกวัน เขาจึงรู้สึกไม่เคยชินกับการอยู่เงียบๆ คนเดียว

นักเขียนหนุ่มเพิ่งรู้ว่าการไม่มีคนส่งรูปดอกไม้สวัสดีตอนเช้า ทักมาถามเรื่องอาหารตอนเที่ยง หรือส่งสติ๊กเกอร์น้องหมูมาฝันดีก่อนนอน มันชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมาได้เหมือนกัน

เหงา...อย่างที่ไม่เคยเหงามานานแล้ว

ทั้งที่เขาไม่ได้คุยกับพี่ลมแค่สามวันครึ่งเท่านั้นเอง...กวีคิดระหว่างมองดูสมุดจดพล็อต พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไม่มีสมาธิเลย” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเอง

พอไม่มีสมาธิ เขาก็ไม่สามารถนั่งทำงานนานๆ ได้เช่นเก่า ด้วยสมองมันเอาแต่พะวงและคิดถึงเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย

“เอ...หรือจะเป็นเพราะเราหิว”

นักเขียนหนุ่มว่าเพราะก็เคยมีเหมือนกันที่เขาปล่อยให้ตัวเองหิวจนสุดท้ายร่างกายก็ประท้วงโดยการเกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือไม่ก็กระวนกระวายจนไม่มีสมาธิทำงาน

คิดได้แล้วกวีจึงกดเซฟงานเขียน ตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรกินระงับอารมณ์ แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็เข้าไปทวิตข้อความทางทวิตเตอร์แก้เบื่อก่อนข้อความหนึ่ง ก่อนกดพักหน้าจอโน๊ตบุ๊คแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเดินเข้าครัว


หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01

หิวตอนนี้ จะกินอะไรได้นอกจากมาม่าวนไป

   21:40 PM . 12 ก.ย.18


เมื่อเย็นกวีไม่ได้ทำอะไรทาน เขาตั้งใจจะเอาอาหารที่ทำตุนไว้ออกมาอุ่นกินง่ายๆ แต่พอเปิดตู้ไปเจอไก่อบกับผัก เขาก็รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาดื้อๆ บางทีอาจเป็นเพราะกินเมนูเดิมมาสองวันติดๆ กันแล้ว กวีขึ้นรู้สึกเบื่อขึ้นมา

ชายหนุ่มดันกล่องอาหารเข้าที่เหมือนเดิม ก่อนจะหยุดมองในตู้เย็นว่ามีอะไรพอทำกินได้บ้าง แต่มองแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะกินอะไรดี วัตถุดิบที่สั่งไว้ก็ร่อยหรอลง ด้วยพรุ่งนี้จะครบกำหนดสั่งกับข้าวใหม่แล้ว

“ทำอะไรกินดีน้อ...” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆ

ทว่าระหว่างที่กำลังตัดสินใจเลือกเมนูอาหาร เสียงกริ่งที่หน้าห้องก็เรียกความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น

ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~

กวีรีบปิดตู้เย็นแล้วเดินไปที่ประตู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว คนที่จะมาหาในเวลานี้ได้ นอกจากบก.เจน ก็คงจะมีพี่ชายของเขาเท่านั้น

แต่เมื่อกวีเปิดประตูออกไป เขากลับพบคนที่หายเงียบไปตลอดสามวันกำลังถือถุงใบใหญ่พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม

“พี่ลม!!~” นักเขียนหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ยังไม่นอนใช่ไหม”

“ยังครับ” กวีตอบ ก่อนถามกลับ “พี่ลมมาได้ไงเนี่ย”

“พี่ขับรถมอเตอร์ไซด์มาครับ”

“ไม่ใช่สิ” ได้ยินคำตอบราวกับกำลังกวนประสาทกัน กวีจึงรีบท้วง “หมายถึง ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมที่นี่ได้ครับ”

“อ้อ...ก็พี่เห็นว่ามีคนบ่นหิวในทวิตเตอร์ แถมพรุ่งนี้เป็นวันส่งกับข้าว พี่กลัวว่าเขาคนนั้นจะไม่มีอะไรกินจนต้องทนหิวไปทั้งคืน ก็เลยซื้อนี่มาฝาก”

คนใจดีว่าพลางชูถุงในมือขึ้นในระดับสายตา กวีจึงเห็นตัวหนังสือกับโลโก้ของร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังที่วายุกินเป็นมื้อเที่ยงเมื่อสามวันก่อนติดอยู่

“เกี๊ยวซ่าหรือครับ”

“อืม” วายุพยักหน้าทั้งที่รอยยิ้มยังไม่ลดเลือน “สนใจไหม”

โดยไม่ต้องคิด นักเขียนผู้หิวโหยก็ตอบออกไปอย่างเร็วรี่

“สนสิครับ!”

“หึๆๆ”

กวีไม่สนใจเสียงหัวเราะที่มีต่อปฏิกิริยาของตัวเอง เขารีบเบี่ยงตัวให้คนใจดีเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องครัวด้วยความรู้สึกร่าเริงที่สุด

ครั้นมาถึงครัวแล้ว กวีก็จังแจงขอเอาเกี๊ยวซ่าไปใส่จานให้พร้อมกับรินน้ำเย็นให้กวี ก่อนจะเอาทั้งหมดมาวางที่โต๊ะ

“ขอโทษนะที่พี่มาไม่ได้บอกก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ เพราะพี่ลมมีของฝาก”

“หึๆ” วายุสายหน้าขันๆ “หิวใช่ไหม กินได้เลยนะ นี่พี่ตั้งใจซื้อมาให้เรา”

“ทั้งถาดเลยเหรอครับ”

“อื้ม” วายุพยักหน้า

“โห...ได้ไงครับ ให้ผมกินคนเดียว เกรงใจตายเลย”

“เกรงใจทำไมล่ะ ก็พี่บอกแล้วว่าซื้อมาฝาก”

“นั่นแหละครับ ยิ่งต้องเกรงใจ อีกอย่างนะ ผมจะกินคนเดียวไม่หมดหรอก เดี๋ยวผมเอาตะเกียบให้” ว่าแล้วกวีจึงหยิบจานรองใบเล็กและตะเกียบให้กับวายุ “พี่ลมเองก็กินด้วยกันนะครับ”

อีกฝ่ายมองหน้ากวีนิ่งๆ ชั่วครู่หนึ่ง คล้ายมีอะไรบางอย่าง แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น วายุก็กลับมายิ้มใจดีเหมือนเดิม

“เอาสิครับ พวกเรากินด้วยกันก็ได้”

เกี๊ยวซ่าของวายุยังอุ่นอยู่ เหมือนกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งซื้อและรีบตรงมาที่คอนโดของกวีทีนทีอย่างไรอย่างนั้น พอกวีคีบเกี๊ยวเข้าปาก ความอร่อยก็แผ่ซ่านจนคนกินเผลออุทานออกมา

“อร่อยมาก~~”

“จากที่พี่เคยสั่ง เจ้านี้อร่อยที่สุดแล้ว”

“ผมเคยเห็น แต่ไม่เคยสั่งกินสักที ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก” เจ้าบ้านขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะคีบเกี๊ยวอีกชิ้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“ก็พี่สัญญาแล้วนี่ เมื่อวันก่อนน่ะ”

“อื้ม” กวีพยักหน้ารับ ครั้นกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่ในปากลงคอจนหมด เขาก็เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยและทำให้เขาว้าวุ่นมาหลายวัน “พี่ลมครับ”

“หืม?”

“พี่ลมไปไหนมาหรือครับ เห็นหายไปหลายวันเลย”

“อ้อ...พี่ไปหาป๊ากับม๊าที่เชียงราย พอดีต้องขับรถไปเอง แล้วที่โน้นก็มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย พี่ก็เลยไม่มีเวลาตอบข้อความ ขอโทษนะครับ”

“ไม่ต้องขอโทษสิครับ ก็พี่ยุ่งไม่ใช่หรือ อีกอย่างที่ผมถาม เพราะผม...เอ่อ...”

คำว่า คิดถึง เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด คนที่ชอบโพล่งอะไรต่ออะไรออกจากปากโดยไม่คิดอย่างกวีกลับหยุดชะงัก ก่อนนักเขียนหนุ่มจะทบทวนความรู้สึกในหัวของตัวเองอีกครั้ง

ที่เคยคิดว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนเพราะหิว บางทีอาจเป็นเพียงข้ออ้างไม่ให้ต้องคิดถึงคนตรงหน้ามากเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาดูดีๆ แล้ว กวีต้องยอมรับว่าตัวเองเหงาเพราะอยากมีวายุเป็นเพื่อนคุย อยากเจอวายุเหมือนเช่นยามนี้

ตลอดสามวันที่ผ่านมา...ความเหงาและความคิดถึงที่มีต่อพี่รถกับข้าวคือเรื่องจริง

เมื่อยอมรับความรู้สึกเหงาและคิดถึงที่มีต่อคนตรงหน้าได้ จู่ๆ กวีก็รู้สึกว่าใบหน้ามันร้อนขึ้นมาแปลกๆ

จะอายอะไรกันนะ พูดไปตรงๆ ว่าคิดถึงก็ไม่เห็นเป็นไร...ทั้งหมดนี้ กวีได้แค่คิด แต่ไม่กล้าพูดออกไปจริงๆ ด้วยความรู้สึกเขินอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เขาประหม่า

แต่ก่อนที่ความคิดฟุ้งซ่านจะเตลิดไปไกลกว่านี้ เสียงของคนตรงหน้าก็พาสติของเขากลับมาเสียก่อน

“วีครับ”

“คะ...ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...เปล่าครับ”

“ไม่ใช่อะไรหรอก พี่เห็นเราเงียบไปน่ะ นึกว่ามีอะไร”

“แฮร่ๆ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ พี่กินต่อเถอะนะ”

“อืม” วายุพยักหน้า แต่ก่อนจะเอาเกี๊ยวเข้าปากอีกชิ้น คนตรงหน้าก็รุกถามต่อ “แล้วสรุป เมื่อกี้วีจะพูดว่าอะไรต่อนะครับ”

“ผม...” กวีอึกอัก “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะบอกว่าที่ถามเพราะแปลกใจที่เห็นพี่ไม่ตอบไลน์ก็เท่านั้นน่ะครับ”

“อ๋อ” วายุพยักหน้าเข้าใจ แล้วจะเสริม “ก็อย่างที่บอกครับ พี่ขับรถทางไกลแล้วก็วุ่นๆ”

“แบบนี้นี่เอง” กวีพยักหน้ารับรู้ “ว่าแต่พี่ลมเพิ่งมาถึงหรือเปล่าครับ”

“อื้ม เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเย็น”

“โอ้โห...ความจริงพี่ลมเดินทางไปมาไกลๆ แบบนี้ ไม่เห็นต้องลำบากเอาเกี๊ยวมาให้ผมคืนนี้เลยนี่ครับ”

“ถ้าพี่ไม่เอามา เดี๋ยวนักเขียนคนโปรดของพี่ก็ไม่มีแรงเขียนต้นฉบับต่อน่ะสิ”

“มีสิครับ ของกินผมก็ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง”

“เอาเถอะ พี่ไม่ได้ลำบากจริงๆ” วายุพูดตัดบท “เพราะยังไงพี่ก็ต้องมาอยู่แล้ว”

“หืม? พี่ลมมีธุระแถวนี้หรือครับ” กวีเอนคอสงสัย

“เปล่า”

“แล้วยังไงกันครับ ที่บอกว่าต้องมา” นักเขียนหนุ่มถามต่อ

กวีเห็นวายุเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย...

“ที่ต้องมา เพราะพี่อยากมาเจอวีน่ะ ไม่ได้เจอหลายวัน ไม่ได้คุยกันเลยด้วย พี่ก็แค่...คิดถึง”

กวีพยายามมองว่าความคิดถึงที่เขามี เป็นเรื่องปรกติที่คนซึ่งสนิทสนมจะมีให้กันได้หากว่าต้องห่างหายกันไปหลายวัน แต่พอได้ยินว่าวายุเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน คิดถึงจนต้องมาหาพร้อมกับของฝากที่สัญญาเอาไว้เสียดึกดื่น หัวใจที่ถูกบังคับให้สงบลงในทีแรกก็กลับมาเต้นตูมตามอีกครั้ง

แย่แล้วเรา...แบบนี้แย่แน่ๆ








-------------------------------------------------------------------------------------------




เอาล่ะ ลูกเราเริ่มมีปฏิกิริยาแล้ว
ถ้าพี่รถกับข้าวรู้ว่าน้องเขิน ต้องวิ่งไปกรี๊ดอัดโอ่งแน่ๆ 555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามกันนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 12 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-11-2018 02:14:12
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนพี่ลมเอาของกินมาหลอกล่อเจ้าก้อนยังไงก็ไม่รู้ค่ะ  :laugh:
น้องเองก็เริ่มมีปฏิกิริยากับพี่ลมแล้ว แค่สามวันครึ่งเองนะเป็นถึงขนาดนี้ แบบนี้ก็พอลุ้นขึ้นแล้ว  :katai2-1:
ปิดท้ายเจ้าก้อนโดนพี่ลมแอทแทคไปอีกตู้ม ก้อนไม่บอกพี่ลมบอกเองเลย คิดถึงนะจ๊ะ คนอ่านฟินค่ะ :-[

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 12 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 14-11-2018 02:20:00
พี่ลมมาหาน้องทีไนมีแต่ของกินมาฝากจนน้องน่าจะกลิ้งได้แล้วนะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 14-11-2018 21:51:05





บทที่ 13










หลังจากหิ้วเกี๊ยวซ่าเจ้าอร่อยไปฝากกวีเมื่อคืนก่อน วายุรู้สึกว่าคนน่ารักทำตัวแปลกไป

ตอนแรกที่เขาไปส่งของให้ในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะเขาส่งของเสร็จก็ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วยเหมือนทุกที ด้วยกวีต้องรีบจัดการกับต้นฉบับรายสัปดาห์ที่ใกล้ถึงเดตไลน์เข้ามาทุกขณะ วายุจึงขอตัวกลับ ไม่อยู่กวนใจน้อง

ทว่าเมื่อกลับมาแล้ว จนกระทั่งผ่านมาสองวัน เขาก็ยังไม่ค่อยได้คุยกับกวีมากนัก คล้ายอีกฝ่ายยุ่งจนไม่มีเวลาตอบข้อความ ทั้งๆ ที่ต้นฉบับรายสัปดาห์ถูกปล่อยลงทางเว็บไซด์เรียบร้อย

ปรกติหลังจากลงต้นฉบับแล้ว กวีจะว่างและอยู่ได้สบายๆ สองสามวัน ก่อนกลับไปยุ่งอีกครั้ง แต่นี่น้องยังตอบข้อความน้อยเหมือนเก่า วายุจึงสังหรณ์ใจว่ากำลังมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น

หรือเรารุกไล่กวีมากเกินไปจนเขารำคาญกัน…วายุได้แค่คิดสงสัย แต่ไม่อาจล่วงรู้คำตอบได้เลย และยิ่งไม่รู้คำตอบ เขาก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น

ขออย่าให้วีนึกรำคาญพี่ขึ้นมาเลยนะ

เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวได้แต่ภาวนาเช่นนั้น เพราะเขาคงไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน หากอีกฝ่ายเบื่อหน่ายหรือรำคาญที่เขารุกเข้าหาเช่นนี้

ด้วยวายุรู้ว่าตัวเองถลำลึกไปกับรอยยิ้มของกวีเกินครึ่งใจแล้ว

ระหว่างที่วายุกำลังเหม่อลอยเพราะกังวลเรื่องของกวีอยู่นั้น เจ้าแซม พนักงานคนสนิทในร้านก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับสินค้าตัวหนึ่งที่บาร์โค๊ดมีปัญหา

แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร เจ้าของร้านคนดีก็ไม่ยอมตอบรับสักคำ

“พี่ลม”

“...”

“พี่ลม”

“...”

“พี่ลม! ได้ยินไหมครับ ฮัลโหลว! ~~”

ครั้นเรียกหลายครั้งแต่วายุกลับไม่รู้สึกตัว แซมจึงตะโกนเสียงดังพร้อมกับโบกมือไปมาผ่านใบหน้าหล่อเหลา ตอนนั้นเองวายุจึงหลุดจากภวังค์

“แซม? !”

“ก็ใช่น่ะสิครับ นี่แซมเอง”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“มีครับ” แซมพยักหน้า ก่อนจะยื่นสินค้าที่มีปัญหาให้ “พอดีบาร์โค๊ตน้ำพริกชุดนี้ซ้ำกับอีกของเจ้าหนึ่ง ผมว่าพนักงานสต็อกเมื่อวานน่าจะติดผิด ก็เลยเอามาให้พี่ดูว่าติดผิดจริงๆ หรือจะยกเลิกน้ำพริกกระปุกฟ้าแล้วใช้บาร์โค๊ดอันนี้แทนกันแน่”

“อ้อ...ไหนมาให้พี่ดูหน่อย” วายุปัดเรื่องวุ่นวายใจออกมาจากสมอง ก่อนรับสินค้าที่มีปัญหามาตรวจสอบ

“ผิดใช่ไหมครับ”

“อืม ติดผิดจริงๆ ยังไงพี่ฝากแซมจัดการเปลี่ยนให้ทีนะ ขึ้นไปเบิกบาร์โค๊ตที่ห้องพัสดุด้านบนได้เลย บอกดนัยก็ได้ว่าทำบาร์โค๊ดใหม่ให้หน่อย”

“โอเคครับพี่” แซมตอบรับแข็งขัน จากนั้นจึงรับสินค้ามาถือไว้เอง

ทว่าก่อนพนักงานหนุ่มจะเดินไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย เขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาเรียกเจ้านายด้วยความเป็นห่วง

“พี่ลมครับ”

“หืม? มีอะไรเหรอ”

“เอ่อ...อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ”

ครั้นเห็นแซมทำท่ากระอักกระอ่วน วายุจึงยิ้มให้บางๆ และอนุญาตให้ถามได้

“อืม ไม่ว่าหรอก มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

“คือผมเห็นพี่นั่งเหม่ออยู่ที่เคาน์เตอร์นั้นนานแล้วก็เลยเป็นห่วง ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจก็ระบายให้ผมฟังได้นะครับ” สีหน้าของพนักงานหนุ่มจริงจังเสียจนวายุนึกเอ็นดู

“ขอบใจมากนะแซม แต่กับเรื่องนี้พี่ไม่รู้จะเล่ายังไงเลย” เขาอายุมากกว่าแซมตั้งหลายปี ถ้าจะให้มานั่งปรึกษาเรื่องปัญหาหัวใจ วายุก็ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร

“หรือว่าเรื่องผลประกอบการไม่ดีครับ เอ...ถึงช่วงนี้คนจะเข้าหน้าร้านน้อย แต่ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้นมาไม่ใช่หรือครับ ผมว่าพี่อย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวเศรษฐกิจก็คงดีขึ้น”

เพราะแซมเห็นเมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้านายของตัวเองถูกเรียกตัวกลับไปเคลียร์ปัญหาเรื่องสินค้านำเข้าที่ติดอยู่หน้าด่านเชียงราย เขาเกรงว่าวายุจะถูกพ่อกับแม่เรียกไปว่าเรื่องผลประกอบการที่ไม่ได้ดีมากนัก หรือไม่ทางนั้นอาจอยากให้วายุกลับไปช่วยงานที่บ้านมากกว่า จึงเป็นเหตุให้วายุมานั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและซึมกะทืออยู่แบบนี้

“ไม่ใช่เรื่องทางร้านหรอกแซม เพราะยอดขายเราโอเคขึ้นพี่ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ที่คิดนี่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ของพี่น่ะ ถึงเล่าไปก็ไม่รู้จะช่วยกันได้ยังไง ต้องเป็นพี่ที่คิดแก้ปัญหาเองมากกว่า” วายุไขข้อข้องใจให้พนักงานคนสนิทได้รู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อ้อ...งั้นหรือครับ ผมก็คิดว่าเรื่องที่บ้านพี่เสียอีก”

“ไม่หรอก ป๊ากับม๊าพี่โอเคกับกิจการร้านพี่รถกับข้าวแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งคนมาช่วย”

“นั่นสินะครับ” เมื่อนึกนึกผู้จัดการร้านคนใหม่ที่วุ่นวายศึกษางานอยู่บนออฟฟิศชั้นสอง แซมก็พอเข้าใจ

“แต่ก็ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นเจ้านายผมนั่งเหม่อลอย ผมกลัวลูกค้าจะไม่กล้าเข้าร้าน”

“หึๆ จะยังไงก็เถอะ ขอบใจนายมาก” วายุยิ้ม ก่อนจะสั่ง “ไปๆ ไปจัดการเรื่องบาร์โค๊ดได้แล้ว อีกเดี๋ยวจะได้ลงมาช่วยพี่เฝ้าหน้าร้าน”

“อ้าว...พี่ลมจะไปไหนครับ”

“ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่เดี๋ยวเฮียดินจะเข้าร้าน พี่อยากให้เราลงมาช่วยดูลูกค้าแทนน่ะ”

ดิน หรือ พสุธา คือพี่ชายคนโตของกวีที่เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านพี่รถกับข้าว ตามปรกติพสุธาจะคอยช่วยพ่อและแม่ดูแลกิจการอาหารทะเลส่งออกที่บริษัทของครอบครัว แต่หลังจากวายุแยกมาเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยมีพ่อและพี่ชายเป็นหุ้นส่วน พสุธาก็มักจะเดินทางมาช่วยน้องชายตรวจดูกิจการทุกเดือน เผื่อว่าน้องชายมีปัญหาอะไร เขาที่มีประสบการณ์มากกว่าก็จะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที

“อ้อ...คุณดินจะมาหรือครับ ได้ครับๆ เดี๋ยวผมรีบจัดการบาร์โค๊ดให้เสร็จแล้วจะลงมาดูร้านให้” แซมรับคำและรีบขึ้นไปแก้ไขบาร์โค๊ดที่ติดผิด เพราะรู้ว่าคุณดิน พี่ชายของเจ้านายตัวเองเป็นคนค่อนข้างเฮี้ยบ

“ขอบใจมาก”

เมื่อแซมขึ้นไปจัดการปัญหาเกี่ยวกับสินค้าแล้ว ร้านพี่รถกับข้าวก็มีลูกค้าเข้ามาหลายราย ก่อนพสุธาเดินทางมาถึงร้านในช่วงบ่ายแก่













“สวัสดีครับเฮียดิน”

“อืม” พสุธารับไหว้น้อง ก่อนจะรับไหว้พนักงานที่ทำงานอยู่ตรงชั้นล่างทั้งหมด รวมถึงแซมด้วย

“เฮียมาช้านะเนี่ย”

“พอดีเฮียติดคุยกับลูกค้านิดหน่อย ที่ร้านเป็นไงบ้างลม”

ผู้เป็นน้องเคียงพี่ชายที่เดินตรวจสอบไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะพากันขึ้นไปเช็คบัญชีบนชั้นสอง พร้อมกับรายงานผลประกอบการรายเดือนคร่าวๆ

“ก็โอเคครับ ยอดออนไลน์เพิ่มขึ้น ยอดหน้าร้านก็ออกเรื่อยๆ”

“ทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเยอะเหรอ”

“พอสมควรครับ เรามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น สมาชิกเดิมก็สั่งประจำไม่ขาด บางคนมีตารางขอให้ส่งทุกวันก็มี”

“อืม...แบบนี้ก็ดีสิ” พสุธาเอ่ยชม “แกนี่เก่งนะเนี่ย เฮียไม่คิดเลยว่าขายออนไลน์จะเวิร์คขนาดนี้”

“ตอนแรกผมก็ไม่คิด” วายุบอกตามจริง

“แต่มันโอเคก็ดีแล้ว พาเฮียไปดูบัญชีหน่อย”

“ครับ”

พอไปถึงออฟฟิศบนชั้น วายุก็ให้พนักงานเอาบัญชีให้พี่ชายตรวจสอบดูตามปรกติ และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ

“ผมว่าจะลงงบ PR เพิ่มหน่อย นี่กำลังให้ฝ่ายการตลาดช่วยดูให้อยู่ เฮียคิดว่าไง” ชายหนุ่มเสนอ

“เอาตามที่เราว่านั่นแหละ ถ้ามีอะไรติดขัดก็ให้รีบบอก”

“ครับ”

“แต่ดูแล้วคงอยู่ตัวแล้วใช่ไหม ต่อไปเฮียอาจจะไม่ได้มาบ่อยๆ แล้วนะ เพราะงานที่บริษัทเราก็ยุ่งมาก”

“โอเคครับ ผมดูแลได้ ความจริงก็บอกเฮียตั้งแต่แรกแล้วนี่ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง” ความจริงชายหนุ่มเองก็อยากพิสูจน์ให้คนทางบ้านรู้ว่าถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว เขาก็ทำได้เช่นกัน

“ไม่ให้เป็นห่วงได้ไง ที่ผ่านมาแกเคยแตะงานค้าขายพวกนี้ที่ไหน แต่ทำได้ก็ดีแล้ว อีกหน่อย เฮียคงต้องให้แกไปช่วยในบริษัทบ้าง”

“แค่เฮียดินกับเฮียน้ำก็พอแล้วมั้ง” ลมพูดถึง น้ำ หรือ นที พี่ชายคนรองที่เป็นคนช่วยพสุธาดูแลกิจการที่บ้านอีกแรง

“พอที่ไหน ฉันสองคนจะตายอยู่แล้ว ดีที่แฟนตาน้ำเข้ามาช่วยด้วย ไม่งั้นก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน”

“แล้วแฟนเฮียล่ะ เมื่อไหร่จะแต่งเข้าบ้าน จะได้มาช่วยเฮียอีกแรงไง”

“แต่งอะไรเล่า เฮียเลิกไปแล้ว” ผู้เป็นพี่เล่าออกมาง่ายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่วายุรู้ ลึกๆ แล้วพสุธาคงเสียใจไม่น้อย

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะเฮียดิน เรื่องมันยังไงกัน ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ฉันเพิ่งเลิกกัน ยังไม่มีใครรู้หรอก”

“ถึงว่าสิ กลับไปบ้านเมื่อวันก่อน ม๊าถึงไม่ได้เล่าให้ฟัง แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“เขาอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันก็ปล่อยไป”

“แค่เรียนต่อต้องเลิกกันด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ เขาคงอยากอิสระ ไม่อย่างนั้นจะขอเลิกทำไม”

“แล้วเฮียโอเคหรือเปล่า”

“เลิกกับแฟนนะเว้ย ไม่มีใครโอเคหรอก แต่ให้ทำไงได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป”

“ถ้าเฮียมีไรให้ช่วยก็บอกผมนะ” เขารู้ว่าเรื่องของคนสองคน สุดท้ายก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะจัดการได้ แต่พอเห็นพี่ชายต้องเสียใจแล้วยังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งแบบนี้ วายุก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องมาคิดมากเป็นเพื่อนเฮียหรอก ตั้งใจทำงานให้ดี อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ ป๊ากับม๊าจะได้ไม่เวียนหัว”

“โถ่...เฮีย พูดอย่างกับผมเป็นเด็กไปได้”

“เมื่อปีก่อนแกยังวิ่งไปประเทศโน้นประเทศนี้ให้ตามหาแทบแย่ ไม่ให้เฮียเป็นห่วงยังไงไหว”

ในสายตาพี่ชาย วายุก็เป็นเหมือนลมดังชื่อ ลมที่พัดไปตรงนั้นที พัดไปตรงนี้ที ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกคนในครอบครัวจึงเป็นห่วงอนาคตน้องชายคนสุดท้องคนนี้ที่สุด แม้เวลานี้วายุจะหันกลับมาทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

“ถึงอยากหนีเที่ยวก็หนีไม่ได้หรอก ที่ร้านต้องมีคนดูแล ผมจะทิ้งยังไงครับ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าวายุยังโหยหาการเดินทาง แต่เขาก็โตพอที่จะหักห้ามใจและหันกลับมาสร้างตัวไม่ให้ครอบครัวเป็นกังวล ยิ่งยามนี้เขามีลูกน้องต้องดูแลหลายชีวิต จะทิ้งไปก็คงไม่ได้แล้ว

ที่สำคัญ การคลุกคลีอยู่ในร้านที่ตัวเองสร้างมาเป็นปี ความรักความผูกพันย่อมมีเป็นธรรมดา

“ถามแต่เรื่องเฮีย แล้วแกล่ะ มีแฟนหรือยัง ถ้ามีแล้วพาไปบ้านสิ ป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา พาไปให้เขาเห็นสักครั้ง ไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว”

อย่างที่ทุกคนรู้ว่าวายุรักชอบผู้ชาย ซ้ำที่บ้านของชายหนุ่มก็หัวสมัยใหม่พอที่จะเปิดกว้างและเข้าใจ แต่วายุก็ยังไม่เคยพาใครเข้าไปทำความรู้จักกับที่บ้านเลยสักครั้ง เพราะยังไม่มีใครที่ด้วยคบแล้วอยู่ยาวจนความสัมพันธ์จริงจังถึงขั้นนั้น

“ไม่ได้ปิดอะไรหรอกเฮีย แต่ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนน่ะสิ”

“แล้วทำไมไม่ลองมีให้เป็นตัวเป็นตนเล่า”

“ทำอย่างกับจะหาง่ายนักนี่เฮีย”

“แกไม่จริงจังกับใครมากกว่ามั้ง อาลม” คนเป็นพี่สัพยอก

พอพูดถึงเรื่องจริงจัง ภาพใบหน้าของคนติดกิ๊บสารพัดสีก็ผุดขึ้นมาในความคิด

“จริงจังสิ แต่ไม่รู้เขาจะกลัวหรือเปล่า”

“กลัวเหรอ...เอ่อ...เฮียก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเหมือนกับแบบเฮียไหม แต่คิดว่าถ้ารักหรือชอบคนที่เป็นแบบเดียวกัน มากกว่าผู้ชายที่เขาเป็นผู้ชายจริงๆ มันก็น่าจะดีกว่าหรือเปล่าอาลม”

“ผมเข้าใจที่เฮียพูดนะ แต่เรื่องความชอบน่ะ มันห้ามกันได้ที่ไหน”

ปรกติวายุก็มองหาแต่คนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเท่านั้น เพราะมันง่ายต่อความเข้าใจ ง่ายต่อการปรับจูนอะไรหลายๆ อย่าง แต่กับคนที่เขาถูกใจคนล่าสุด วายุใช้แต่ความรู้สึกนำทาง ซ้ำยังไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ทันอย่างทุกที

เขาถึงได้นั่งปวดหัวอยู่นี่ เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยคุยกันเหมือนวันก่อนๆ

“พูดเหมือนไปแอบชอบใคร”

“ก็ใช่น่ะสิ” วายุบอกตรงๆ “แต่ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้ เขาจะยอมรับหรือเปล่า ผมดูไม่ออกด้วยว่าเขาเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า”

“ก็ลองดูสักตั้งสิ แกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ครอบครัวหรือฐานะก็พอใช้ได้ ถ้าเขาชอบแบบเดียวกัน เขาก็คงตกลงใจด้วยกระมัง”

“ผมกลัวเขาเตลิดไป”

“ถ้าเขาไป นั่นก็แปลว่าเขาไม่ใช่ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะ เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าเอามาเสียไปกับคนที่ไม่อาจเป็นของเราได้เลยลม”

นอกจากจะเกิดความรู้สึกเห็นใจพี่ชายที่ต้องเลิกกับแฟนสาวซึ่งคบกับมาตั้งหกเจ็ดปีแล้ว วายุก็รู้สึกว่าคำพูดของพสุธาเข้ามาสะกิดในหัวใจของเขาอย่างจัง

ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ เขาก็จะออกห่างไป

แต่ถ้าคนคนนั้นคือคนที่ใช่...มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงดูไม่ใช่หรือ

“นิ่งไปเลยนะ คิดอะไรอยู่” เห็นน้องนิ่งไป คนเป็นพี่ก็รีบทัก เพราะกลัวจะพูดอะไรกระทบจิตใจจนน้องชายตัวดีเกิดติสท์แตกขึ้นมาอีก

“ก็คิดที่เฮียพูดนั่นแหละ”

“อย่าคิดนาน เผื่อมีใครมาตัดหน้าไปก่อน เดี๋ยวแกจะเสียใจ”

“นั่นสินะ...” วายุเห็นด้วย เพราะคนคนนั้นยิ่งน่ารักมากเสียด้วย เกิดถูกแย่งตัดหน้าไปก่อน เขาคงทนไม่ได้

“หึๆ ทำหน้าเอาจริงเชียวนะ”

“ก็เฮียอยากพูดปลุกใจผมทำไมล่ะ”

“แล้วได้ผลใช่ไหม”

“ยิ่งว่าได้อีกครับ”

“ฮ่าๆ ๆ ดีๆ ถ้าเกิดโชคดีเขาตกลงปลงใจกับแกจริงๆ อย่าลืมพามารู้จักเฮียคนแรกด้วยนะ”

“ทำไมต้องคนแรก”

“อ้าว! เฮียจะได้เอาไปอวดอาม๊าไงล่ะ ทางนั้นน่ะอยากให้แกมีครอบครัวจะแย่”

“หึๆ โอเค ถ้าเป็นไปอย่างที่เฮียพูดจริงๆ ผมจะเลี้ยงข้าวบนเหลาที่เฮียชอบให้อีกมื้อเลยเอ้า!”

“จำคำพูดของแกไว้นะอาลม แล้วเตรียมเงินไว้เยอะๆ ด้วย”

“ฮ่าๆ ๆ โอเค ผมไม่ลืมหรอก”

พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปตามประสาอีกเล็กน้อย ก่อนพสุธาจะขอตัวกลับก่อน เพราะเขามีงานที่ต้องสะสางอีกเป็นตั้ง













หลังจากลงไปส่งพี่ชายขับรถกลับแล้ว ก่อนกลับเข้าร้าน วายุก็พบกับเพื่อนสนิทที่หายหัวไปนานเป็นอาทิตย์ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าร้าน

“ไอ้ปั้น! พายุอะไรหอบมาวะเนี่ย”

“พายุโมโห!”

“หา? พายุโมโหอะไรของแก”

“ฉันมาเพราะจะเล่าให้แกฟังเนี่ยแหละ” ท่าทางปริญคงถูกพายุโมโหพัดถล่มเข้าจริงๆ เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ได้เอาเสียเลยในเวลานี้

“งั้นเข้าไปคุยกันข้างบนแล้วกัน”

“แกทำงานอยู่หรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร ฉันสั่งให้เด็กเฝ้าร้านแทนได้” วายุว่า ก่อนจะเดินเข้าร้านไปสั่งให้แซมดูหน้าร้านแทนตัวเอง และพาปริญขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุด

พอถึงที่หมายและประตูห้องปิดตามหลังปุ๊บ เสียงโอดครวญของเพื่อนสนิทวายุก็ดังขึ้นทันที

“ฉันรู้แล้วว่าใครเป็นแฟนใหม่พศิน”

“หืม? ใครล่ะ”

“นักเขียนในสังกัดเขานั่นไง คนที่ดังๆ หน่อย แกน่าจะรู้จัก เพราะฉันเห็นรูปกิจกรรมในบริษัทอาทิตย์ก่อน มีรูปแกไปขอลายเซ็นเขาด้วย!”

“ห๊า!! แกว่าไงนะ” เสียงดังลั่นที่วายุตะโกนใส่หน้าเพื่อน พร้อมกับท่าทางตกใจจนหน้าซีด ทำเอาปริญต้องขมวดคิ้วและเป็นฝ่ายระงับอารมณ์โกรธลงไปแทน

“ทำไมแกต้องตะโกนด้วย”

“ก็...ฉัน...ฉันตกใจ” วายุแทบพูดไม่เป็นคำ เพราะนักเขียนคนเดียวที่เขาไปขอลายเซ็นเมื่ออาทิตย์ก่อนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าก่อนสรุปอะไร วายุก็ตั้งสติและถามออกไปอีกครั้ง “แกว่าคนที่เป็นแฟนพศินคือนักเขียนที่ฉันไปขอลายเซ็นเหรอ”

“ใช่”

“แน่ใจหรือ”

“ยิ่งกว่าแน่ เขารู้กันทั้งบริษัทแล้ว วันนี้ฉันเห็นเขาเข้ามาเซ็นสัญญานิยายเรื่องใหม่ พศินแทบจะอุ้มเด็กอ้วนนั่นไปส่งที่รถ ประคบประหงมกันซะเหลือเกิน”

“อย่าว่าน้อง! น้องไม่ได้อ้วน”

“หา?” พอได้ยินเพื่อนหลุดปากปกป้องว่าที่ศัตรูของตัวเองออกไปแบบนั้น ปริญก็ถึงกับทำหน้าเหวอ “นี่แก...แกเข้าข้างนักเขียนในดวงใจขนาดนั้นเลยหรือไงไอ้ลม! เพื่อนแกโดนไอ้เด็กหน้ากลมคนนั้นแย่งแฟนนะเว้ย!”

“อะแฮ่ม...ฉันแค่จะบอกว่า อย่าว่าเขา ถ้าเรายังไม่แน่ใจอะไร” วายุเตือน ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ และพูดกับเพื่อนเสียใหม่ “อีกอย่าง ฉันไม่ได้เข้าข้าง แต่แกอาจเข้าใจผิดก็ได้”

“จะเข้าใจผิดได้ไง ฉันก็บอกอยู่นี่ว่าพศินแทบอุ้มเด็กนั่นขึ้นรถด้วยซ้ำ ก่อนหายออกไปด้วยกันทั้งบ่าย แกคิดดู คนบ้างานแบบพศินมีหรือจะโดดงานออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลอื่น แถมที่บริษัทก็พูดกันทุกคน”

“แล้วสมมติ ถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงๆ แกจะทำไงได้ ในเมื่อพศินเลิกกับแกไปแล้ว”

คำถามแทงใจเล่นงานเพื่อนสนิทของวายุจนล้มทั้งยืน ปริญทรุดตัวลงนั่งกับเตียงเพื่อนแล้วงุ้มตัวลงเอามือสองข้างค้ำศีรษะไว้ ท่าทางเหมือนคนแบกโลกไม่มีผิด

“ฉันก็...ทำยังไงไม่ได้ เพราะเลิกกันไปแล้ว แต่มันโมโหนี่ ไม่คิดว่าเขาจะชอบแบบน่ารักบ้องแบ๊วอย่างนั้น ถ้าเป็นแกก็ว่าไปอย่าง”

“เขาอาจมีดีกว่าแค่เรื่องหน้าตาน่ารักก็ได้”

“เนี่ย! ดูสิ ขนาดแกเป็นแค่แฟนหนังสือ แกยังเข้าข้างเด็กนั่นเลย ฉันสิ้นหวังแล้วว่ะ”

ระหว่างที่ปริญโอดครวญ วายุก็อยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าตอนนี้ตนเองก็แทบกระอักเลือดและเสียศูนย์ไม่แพ้กัน เพียงแค่ต้องเก็บอาการเอาไว้เท่านั้น

“เอาน่า ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็คงต้องมูฟออน”

“อืม...ก็คงต้องเป็นแบบนั้น เขาเลือกแล้วนี่นะ” ปริญว่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก

...วายุก็เช่นกัน

“ใช่ เขาเลือกแล้ว”

“วันนี้แกเลิกงานดึกไหมไอ้ลม”

“ก็ร้านปิดนั่นแหละ”

“กินเหล้ากันไหม” คนช้ำรักชวน

“ก็ได้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเอง”

“ดี ไม่เมาล้ม ไม่เลิกเว้ย!!!” ปริญตะโกนลั่น แต่ในใจคงเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย

วายุได้แต่มองเพื่อนเงียบๆ ก่อนปล่อยให้ปริญยึดห้องไว้เป็นที่พักใจชั่วคราว จากนั้นจึงขอตัวลงไปคุมร้านก่อนถึงเวลาปิด ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่าไม่แพ้กัน





ต่อด้านล่างค่ะ




หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 14-11-2018 21:51:45




บทที่ 13 ต่อ




คืนนั้นวายุกับปริญดื่มกันหนักมากจนเมาพับหลับไปทั้งคู่ พอเช้ามาต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

แม้เพื่อนกลับไปแล้ว แต่เรื่องที่เพื่อนนำมาเล่าให้ฟังยังติดอยู่ในหัวของวายุไปทั้งวัน ระหว่างทำงาน วายุคอยมองโทรศัพท์อยู่บ่อยครั้ง เวลานี้ข้อความที่ส่งไปหากวี เจ้าตัวก็ตอบหลับมาหมดแล้ว แต่วายุกลับไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร

หากเป็นก่อนวันที่เขาจะรู้ว่ากวีมีเจ้าของแล้ว วายุคงพยายามหาเรื่องชวนคุย หรือไม่ก็คงเปิดหาร้านอาหารอร่อยๆ เพื่อซื้อไปฝากเวลาที่อีกฝ่ายปั่นต้นฉบับจนหิวโซในยามค่ำคืน แต่ตอนนี้ วายุไม่รู้ว่าตัวควรคุยอะไรกับคุณลูกค้าคนพิเศษ

ถึงแม้ความผิดหวังจู่โจมหัวใจเขา ทว่าวันต่อมาที่มีออเดอร์จากกวี วายุกลับห้ามไม่ให้ตัวเองไปส่งของเหมือนทุกครั้งได้ ถึงคนคนนั้นจะมีเจ้าของ วายุก็ยังอยากเห็นหน้าคนน่ารักอยู่ดี

เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวหยิบตะกร้าของลูกค้าคนพิเศษไปที่รถ โดยไม่มีใครถามว่าตะกร้าที่เขาขับรถไปส่งด้วยตัวเองทุกๆ สามวันคือตะกร้าของใคร และคนคนนั้นเป็นอะไรกับเจ้านายตัวเอง

ครั้นเตรียมตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง วายุก็มุ่งหน้าไปยังคอนโดหรูที่เขาจำทางได้ขึ้นใจ

ขับรถฝ่าการจราจรคับคั่งไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงคอนโดของกวี วายุมาที่นี่จนผู้รับษาความปลอดภัยจำหน้าเขาได้ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังต้องวางบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนเหมือนเดิม

เสร็จจากชั้นล่างแล้วเจ้าของร้านพี่รถกับข้าวก็ค่อยๆ ก้าวไปขึ้นลิฟต์ และโดยสารไปจนถึงชั้นเป้าหมาย ระหว่างเดินออกมาจนกระทั่งหยุดหน้าห้อง ความรู้สึกมากมายเข้าจู่โจมชายหนุ่มจนเขาแทบหายใจไม่ออก

เรายังสมควรมาที่นี่อยู่อีกหรือ

ความคิดนี้แทรกเข้ามาในหัวของวายุทันทีก่อนเขากดออดหน้าห้อง เขาเคยคิดว่า หากเรื่องของตนเองกับกวีเป็นไปไม่ได้ หากเขาต้องผิดหวังไม่ว่ากรณีใดๆ เขาก็คงจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของกวีได้ เพราะน้องเป็นคนน่ารักน่าคบหา

ทว่านี่อาจจะเร็วเกินไป วายุรู้ตัวว่าข่าวเรื่องกวีมีคนรักแล้วทำเขาผิดหวังจนตั้งตัวไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมเจอเผชิญหน้า

อาการปอดแหกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตรงเข้าจู่โจมวายุอย่างจัง ชายหนุ่มเกือบหันหลังเดินจากมาเสียแล้ว ถ้าไม่มีใครบางคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน

“โอ๊ะ!”

คนที่วายุอยากหลบหน้าส่งเสียงอุทานออกมา พร้อมกับทำตาโตที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง เวลานี้จะหนีก็คงไม่ทันแล้ว วายุจึงได้แต่ปั้นหน้ายิ้มแล้วเอ่ยทักออกไปก่อน

“สวัสดีครับคุณลูกค้า พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”

“พี่ลม...”

“ใครน่ะก้อน” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้น ก่อนเธอจะเดินออกมาปรากฏตัวตรงหน้าวายุ “อ้าว! คุณลม”

“สวัสดีครับคุณเจน”

“สวัสดีค่ะ” เธอกวาดมองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถาม “มาส่งของเหรอคะ”

“ครับ” วายุพยักหน้า

“ดีเลยค่ะ นี่ครัวเจ้าก้อนกำลังร้างพอดี” เจนจิราคุยกับเขาด้วยท่าทางเป็นมิตร ก่อนจะหันไปหานักเขียนในความดูแลของตัวเอง “พี่ไปแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้เราคิดพล็อตได้ค่อยส่งข้อความมาหาพี่ก็แล้วกัน แล้วถ้าไม่ไหวก็โทรมาเลยนะ พี่จะพาไปโรงพยาบาล”

“รู้แล้วครับพี่เจน” กวีรับคำเธออย่างว่าง่าย ก่อนจะโบกมือบ้ายบายและยืนส่งจนหญิงสาวลงลิฟต์ไป จากนั้นจึงหันมาหาวายุบ้าง

แต่ก่อนที่กวีจะเอ่ยอะไรออกมา คนที่อยากหลบหน้าในทีแรกกลับลืมความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไปจนหมด เพราะมีเรื่องอื่นดึงความสนใจเขามากกว่า

“วีไม่สบายหรือครับ”

“อ่า...ครับ” คนหน้ารักพยักหน้าน้อย

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“เอ่อ...ผมเป็นไข้นิดหน่อย แต่เริ่มดีขึ้นแล้วล่ะ”

“เป็นมานานเท่าไหร่แล้วครับ” วายุรุกไล่ถามต่อ

“เพิ่งไข้ขึ้นเมื่อวานครับ พอดีเมื่อวันก่อนออกไปข้างนอกแล้วเจอฝน”

“ออกไปข้างนอก...”

“เข้าไปเซ็นสัญญาที่บริษัทน่ะครับ” กวีเล่า “พี่ลมเข้ามาข้างในก่อนใหม่ครับ เราจะได้เช็คของก่อน เดี๋ยวผมเอาน้ำให้พี่ดื่มด้วย ดูพี่สีหน้าไม่ดีเลย ขับรถมาอากาศร้อนๆ ใช่ไหม มานี่ครับ ผมถือตะกร้าเอง” ว่าแล้วกวีก็แย่งตะกร้ากับข้าวของตัวเองไปถือแทน

ทว่าความจริงแล้ววายุไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ที่สีหน้าเขาไม่ค่อยดี อาจเพราะก่อนหน้านี้เขากำลังคิดหนักเรื่องเจอมาเจอหน้ากวี กับคิดเป็นห่วงที่คนน่ารักไม่สบายต่างหาก

“พี่ไม่เป็นไร ของนี่พี่เช็คมาหมดแล้ว ไม่มีขาดสักรายการเดียว หรือถ้าวีมาดูแล้วของไม่ครบ พี่จะเอามาส่งให้เพิ่ม ตอนนี้เข้าห้องดีกว่านะ จะได้พักผ่อน”

“ขอบคุณครับ ผมโอเคขึ้นแล้ว มีพี่เจอซื้อยามาให้ แถมยังเฝ้าไข้ทั้งคืน”

ชายหนุ่มเกือบปล่อยทุกอย่างผ่านไปอยู่แล้ว หากไม่นึกเอะใจกับประโยคที่บอกว่าเจนเป็นคนมาเฝ้าไข้ตลอดทั้งคืน

“คุณเจนเป็นคนเฝ้าหรือ”

“ครับ”

ทำไมถึงเป็นเจนจิรากันล่ะ...

ก็ไหนเพื่อนสนิทของเขาบอกว่ากวีเป็นแฟนกับพศิน เขารู้จักพศินดีในระดับหนึ่ง คนคนนั้นน่ะ ถ้าคนรักเจ็บไข้ได้ป่วยล่ะก็ เจ้าตัวต้องวิ่งแจ้นมาดูแลอย่างแน่นอน เหมือนที่เคยดูแลกับปริญ

แต่นี่กวีกลับมีเจนจิราเป็นคนดูแล คงไม่ใช่ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอกนะ...

“พี่ลมครับ”

“ครับ?”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมนิ่งไป”

“คือพี่...”

ทีแรกวายุตั้งใจจะไม่พูดอะไร แต่คำพูดของพี่ชายเมื่อวันก่อนกลับแทรกเข้ามาในห้วงความคิด เขาจึงตัดสินใจถามเรื่องที่สงสัย

“ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“คือพี่อยากรู้อะไรบางอย่าง วีตอบพี่หน่อยได้ไหม”

กวีทำหน้าสงสัยระคนงงงวย แต่เจ้าตัวก็ยังเอ่ยอย่างใจดี

“ถามได้สิครับ ถ้าผมรู้คำตอบ ผมจะบอกพี่ทุกเรื่องเลย”

ได้ยินแบบนั้น วายุก็ใจชื้นขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะโพล่งออกไปตรงๆ

“วีมีแฟนหรือยังครับ”

“หา? มีแฟนเหรอ” กวีถามซ้ำราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองได้ยินคำถามของวายุถูกหรือไม่

“ใช่ วีมีแฟนหรือยัง”

“ยังไม่มีหรอกครับ ผมเนี่ยนะจะมีแฟน สภาพแบบนี้ ใครจะเอาผม คราวก่อนที่เราคุยกันผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ"

ถึงจะได้รับการยืนยันแล้ว วายุก็อดถามซ้ำไม่ได้ “ไม่มีจริงๆ นะครับ”

“ไม่มีจริงๆ ครับ ผมจะโกหกพี่ลมทำไมล่ะ”

ราวกับยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก รอยยิ้มที่พยายามฝืนในทีแรก ตอนนี้วายุไม่ต้องพยายามฝืนมันอีกต่อไปแล้ว เพราะเขายิ้มกว้างออกมาตามธรรมชาติจนปากแทบจะฉีกถึงหูด้วยความดีใจ

“ขอโทษที่ถามนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” กวียิ้มตอบ ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่พี่ลมถามทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“เพราะพี่อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว วีมีใครหรือเปล่า”

“แล้ว...พี่ลมอยากรู้ไปทำไม”

“วีดูไม่ออกหรือครับ”

“ดูไม่ออกอะไรครับ”

“ดูไม่ออกหรือครับว่าพี่...พี่ชอบเรา”

“ชอบผม?”

ทีแรกวายุไม่คิดจะพูด ไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่พอได้ยินว่าพศินไม่ใช่แฟนกวี ความรู้สึกฮึกเฮิมอย่างที่มีในวันที่พสุธาพูดปลุกใจก็กลับมา

ใช่แล้ว...เวลานี้เขาควรเดินหน้าเต็มกำลัง ก่อนจะมีคนชิงตัดหน้าไปเสีย อีกอย่าง ถ้าหากระหว่างเขากับกวีไม่มีโอกาสพัฒนาเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน ชายหนุ่มจะได้ตัดใจทีเดียว

“อืม...พี่ชอบวีครับ”

โผละ!!

เสียงตะกร้ากับข้าวหล่นลงตรงหน้าห้อง 1707 อีกครั้งในรอบสองเดือน วายุไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำ ผมของมันจะออกหัวหรือก้อย ยามนี้ ตอนที่เขามองหน้ากวี เขารู้เพียงแค่อย่างเดียว

กวีกำลังไข้ขึ้น...

เพราะน้องหน้าแดงก่ำไปถึงลำคอและใบหู ก่อนเจ้าตัวจะทรุดลงนั่งแหมะข้างๆ ตะกร้าที่ตัวเองปล่อยให้หล่นพื้น พร้อมทั้งเอามือขยุ้มอกเสื้อของตัวเอง วายุจึงรีบคุกเข้าลงไปประคอง เพราะกลัวว่าน้องจะเป็นอะไรไป

“วี! เป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรบอกพี่เร็ว!” คนที่เพิ่งสารภาพรักรีบถามอาการน้องอย่างร้อนรน

“...หัวใจผม...เต้นแรงเกินไป” กวีพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “ผมว่าผมต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ...พี่ลม”






----------------------------------------------------------------------------------------------------------





พี่ลมทำเด็กตกใจหมดแล้ว 

แบบนี้ต้องมารับผิดชอบน้องไปตลอดชีวิต อิอิ

เจอกันตอนหน้าค่ะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-11-2018 22:13:15
ขำวีกลายเป็นเด็กอ้วนหน้ากลมไปแล้ว 5555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 14-11-2018 22:17:36
เจอพี่ดินปลุกใจเข้าไป พี่ลมถึงกับรีบสารภาพรักเลยทีเดียว 55555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-11-2018 22:20:52
 :z1 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-11-2018 22:35:45
เจ้าก้อนโดนพี่ลมแอทแทคอีกแล้ว เขินหน้าแดงเลยลูก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-11-2018 22:52:36
ดีนะที่ถามออกไป อย่าคิดเองเออเองสิพี่ลม
ส่วนเจ้าก้อนทำใจดี ๆ ไว้
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 15-11-2018 00:44:22
พี่ลม น้องจะเป็นลมแล้ว  :mew4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 13 [14/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-11-2018 02:29:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฮียดินปลุกระดมได้ผล  อิอิ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-11-2018 17:57:31






บทที่ 14









“ดูไม่ออกหรือครับ ว่าพี่...พี่ชอบเรา”

“ชอบผม?”

“ครับ...พี่ชอบวี”



พี่ลมบอกว่า พี่ลมชอบเขา…

ซึ่งคำว่าชอบของวายุคงไม่ได้หมายถึงการชอบอย่างพี่น้อง ชอบอย่างเพื่อน หรือแม้แต่นักอ่านชื่นชอบนักเขียน เพราะสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาให้แสดงออกชัดเจนมากเกินไป ชัดเจนจนคนทึ่มๆ อย่างกวียังดูออก

และเพราะดูออก กวีถึงได้ช็อกจนทำอะไรแทบไม่ถูก ตอนที่ถามซ้ำและได้รับคำยืนยันจนแน่ใจ มือไม้ของเขาก็อ่อนปวกเปียกราวกับคนไม่มีแรง หูดับ ตาลาย ซ้ำยังรู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้า

ความจริงกวีอยากโทษว่าอาการทั้งหมดนี้เป็นเพราะพิษไข้เข้าจู่โจมกะทันหัน แต่เสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกจากอกกลับคัดค้านว่าไม่ใช่อาการจากพิษไข้

หากเป็นเพราะเขากำลังเขินจนตัวแทบระเบิดต่างหาก

อาการเขินมากเกินไปนั่นเล่นเอาพี่รถกับข้าวร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกไปตามๆ กัน ตอนที่กวีพูดไปว่า คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ อีกฝ่ายเกือบอุ้มกวีพาไปลงลิฟต์เสียแล้ว โชคดีที่กวีไหวตัวทันท่วงที เหตุการณ์ถูกสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตจึงไม่ไปจบที่โรงพยาบาล









“ทำใจดีๆ ไว้นะวี พี่จะพาไปโรงพยาบาล” เสียงพี่รถกับข้าวปลอบเขาอย่างร้อนรน ซึ่งในตอนนี้เองที่กวีรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าเขินอายก็เท่านั้น เขาจึงกระซิบบอกอีกฝ่ายที่ทั้งถูกอุ้มแนบอก

“พี่ลมครับ”

“ครับ?”

“ผมว่าผมไม่ไปแล้วดีกว่า”

“หื้ม?” คนคนนั้นงงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะสรุปเอาเอง “วีไม่ต้องเกรงใจพี่ พี่เอารถมา พี่ขับพาไปส่งได้”

“แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วครับ แค่...เอ่อ...แค่ตกใจมากเกินไปหน่อยเท่านั้น” ประโยคหลังกวีพูดเสียงเบาแทบจะกลายเป็นกระซิบ เพราะอายที่ตัวเองพูดอะไรโง่ๆ ออกไปตั้งแต่ทีแรก

“แค่ตกใจมากไปจริงหรือ” อีกฝ่ายหยุดเท้า ก่อนก้มหน้าลงมาใกล้เพื่อให้ฟังเสียงเขาได้ถนัด

“ครับ ผมแค่ตกใจที่อยู่ๆ พี่ก็มาบะ...บอกชอบ”

“...”

“เพราะงั้น พี่ปล่อยผมเข้าห้องนะ”

“ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว ให้พี่พาเข้าไปส่งข้างในดีกว่า”

“แล้วกับข้าวผมล่ะครับ” ถึงจะถูกทำให้อายขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่กวีไม่ลืมก็คืออาหารสดในตะกร้าของตัวเอง

“เดี๋ยวพี่ออกมาเก็บให้”

“แต่...”

“ไม่แต่ครับ ป่ะ...เข้าห้องก่อน ตัววีร้อนมากเลยรู้หรือเปล่า”

เพราะชายเสื้อของกวีเลิกขึ้นมาเล็กน้อยตอนถูกอุ้ม มือข้างหนึ่งของพี่รถกับข้าวที่ช้อนร่างเอาไว้จึงสัมผัสถูกเอวห่วงยางของกวีโดยตรง

แบบนี้มันน่าอายกว่าเดิมอีก...กวีได้แต่คร่ำครวญในใจ และปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่พี่รถกับข้าวสะดวก

พออุ้มกวีไปนอนที่ถึงเตียงเรียบร้อย พี่รถกับข้าวก็ช่วยเก็บตะกร้าวัตถุดิบเข้ามาให้เขา หลังจากนั้นจึงขอตัวกลับร้านไปทำงานต่อ









จากเหตุการณ์สารภาพรักในวันนั้นกระทั่งถึงวันนี้ เวลาผ่านมาสามวันแล้ว แต่ในหัวของกวียังคงคิดถึงเหตุการณ์นั้นไม่เลิกรา ทั้งน้ำเสียง และแววตาของวายุติดตรึงอยู่ในหัวของกวีไม่ไปไหน จนนักเขียนหนุ่มคิดงานต่อไม่ออก มันติดๆ ขัดๆ ไม่ลื่นไหล ซ้ำยังเอาไปปรึกษาใครก็ไม่ได้

ส่วนคนที่ทำให้เขาคิดมาก จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้คุยกันเลย มีแค่ข้อความที่วายุส่งมาในวันแรก บอกว่าขอโทษที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็อยากให้กวีลองเอาความรู้สึกของวายุไปพิจารณาดู หากต้องการตัดสินใจอย่างไร วายุก็จะเคารพการตัดสินใจของเขาทั้งหมด

“เฮ้อ~”

กวีถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนกดพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง และออกไปยืดเส้นยืดสายดูพืชอวบน้ำกับกระบองเพชรที่เลี้ยงไว้บนระเบียง

ง่วนอยู่กับต้นไม้สามสี่ต้นของตัวเองพักใหญ่ กวีก็กลับมานั่งกินมื้อบ่ายไป พร้อมกับเหลือบมองกล่องข้อความในมือถือที่เปิดค้างเอาไว้บ่อยครั้ง





WAYU : วีครับ [17:45 อ่านแล้ว]

WAYU : เรื่องวันนี้พี่ขอโทษนะ วีคงตกใจมากใช่ไหม พี่ไม่ได้ตั้งใจให้วีรู้สึกไม่ดี [17:45 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่ขอโทษที่รีบพูดออกไปแบบนั้น [17:46 อ่านแล้ว]

WAYU : ถ้าหากว่าวีไม่โอเคกับความรู้สึกของพี่ อย่าโกรธพี่เลยนะ ให้ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ [17:46 อ่านแล้ว]

WAYU : แต่ถ้าวีพอมีความรู้สึกดีๆ กับพี่บ้าง พี่ก็อยากให้วีพิจารณาดูนะครับ [17:47 อ่านแล้ว]

WAYU : ระหว่างนี้พี่จะไม่กวนใจ จะปล่อยให้วีมีเวลาคิด [17:47 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่จะรอคำตอบของวีนะครับ [17:49 อ่านแล้ว]





กวีไม่รู้ว่าเขาควรตอบพี่รถกับข้าวไปว่าอย่างไร แต่เขาแค่รู้ว่าทั้งคำพูดและข้อความที่ได้อ่าน ทำให้กวีไม่อาจสงบใจได้เลย

ควรตอบว่าอะไร

ควรตัดสินใจอย่างไร

หรือแม้แต่ควรจัดการกับความสับสนของตัวเองได้อย่างไร...กวีไม่รู้เลย

เขาไม่ได้โกรธที่ถูกสารภาพรัก ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยสักนิด แต่ในหัวก็ยังสับสัน ในเมื่อไม่โกรธ มันแสดงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับพี่รถกับข้าวกันล่ะ

ชอบเหมือนกัน หรือแค่รู้สึกดีที่มีเขาเป็นเพื่อนสนิทเพิ่มอีกคน

การรักหรือชอบใครอย่างคนรักเป็นอย่างไร กวีไม่เคยรู้จักมาก่อน มันจะใช่ความรู้สึกวุ่นวายใจและคิดไม่ตกอย่างตอนนี้หรือเปล่า

ใครกันจะช่วยตอบคำถามของเราได้

ในหัวกวีมีแต่คำถาม ทว่าไม่มีคำตอบ...

นักเขียนหนุ่มคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง ฝืนใจไม่เหลือบมองข้อความของวายุให้ปวดหัวอีกต่อไป แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกไปเก็บล้างจานชามที่กินไว้ โทรศัพท์ของกวีก็สั่นครืด เขาจึงวางจานลงและหันมากดรับโทรศัพท์แทน

“สวัสดีครับ”

[ก้อน นี่พี่เอง มาสวัสดีคงสวัสดีครับอะไรเล่า] เสียงคนปลายสายทำให้นักเขียนหนุ่มยิ้มออกได้เป็นครั้งแรกในรอบสามวัน

“พี่พัน!”

[ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรหรือเปล่า]

“ทำไมครับ”

[ก็เสียงเราเราดูดีใจแปลกๆ ที่พี่โทรมา]

“อ้อ...เพราะผมกำลังต้องการความช่วยเหลือพอดี”

[เรื่องอะไร ไปทำอะไรไว้] เสียงพี่ชายเพียงคนเดียวของกวีถามอย่างจับผิด

“ผมจะไปทำอะไรไว้เล่า แค่มีเรื่องปรึกษาเท่านั้นเอง”

[ปรึกษาเหรอ เรื่องอะไรล่ะ]

“คืออย่างนี้นะพี่พัน ผมอยากรู้ว่าเวลาเราชอบใครสักคนหนึ่ง เราจะรู้สึกยังไงเหรอ” เพราะพี่ชายของเขามีประสบการณ์ ดังนั้นกวีจึงติ๊ต่างว่าอีกฝ่ายต้องรู้

[หื้ม?] ประพันธ์ร้องออกมาด้วยความสงสัย [ถามทำไมน่ะ]

“ผมอยากรู้ พี่ก็บอกเถอะน่า ว่าตกลงมันรู้สึกยังไง”

[จะไปรู้เรอะ ถามอะไรแปลกๆ]

“ไม่รู้ได้ไง พี่พันคนกับแฟนมาเป็นสิบปีแล้วนะ พี่พันเคยมีความรัก พี่พันต้องรู้สิ”

[อย่างอแงน่า]

“นะๆ รู้ว่าให้พูดมันก็เขินๆ แต่วีต้องรู้เรื่องนี้จริงๆ”

[ไปแอบชอบใครเขาเข้าหรือไง]

“วีแค่อยากรู้ถึงได้ถามพี่พันไง” กวีอธิบายตามตรง “ถ้าไม่บอก วีจะคอลไปถามแม่แล้วนะ”

[พอเลยๆ ไม่ดูซะบ้างว่าตอนนี้ที่เมกากี่โมง โทรไปตอนนี้เขาก็หลับอยู่]

“ก็นั่นน่ะสิ เพราะงั้นพี่ถึงต้องอธิบายให้น้องฟังว่าการชอบใครสักคนมันรู้สึกยังไง”

[ถามจริงๆ นะเจ้าก้อน เราอยากรู้ไปทำไมน่ะ วันๆ กิน นอน เขียนนิยาย ทำเท่านี้ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรอก]

“ได้ไง วีอายุ 25 แล้วนะ กับแค่ความรักยังไม่รู้จัก วีจะ...เอ่อ...จะเขียนนิยายรักได้ไงเล่า” กวีไม่กล้าบอกพี่ว่าที่ต้องการรู้เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง นักเขียนหนุ่มจึงเฉไฉและโยนให้เป็นเรื่องงานเขียนแทน “นะครับ นะๆ บอกน้องหน่อย ถือว่าช่วยงานน้องไง”

[เฮ้อ...ยุ่งจริง] ประพันธ์ทำเสียงหงุดหงิดใจ เพราะไม่ค่อยอยากพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้เท่าไหร่ ด้วยมีนิสัยเป็นคนขี้อายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว [การรักใครสักคนน่ะ มันนิยามออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก ความรู้สึกของใครก็ของมัน]

“อ้าว...ไหงงั้น แล้วแบบนี้ผมจะรู้ได้ไง ว่าเรากำลังชอบหรือคิดกับใครสักคนแบบคนรักหรือเปล่า” ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด กวีก็ทำเสียงหงอย ร้อนถึงพี่ชายผู้หวงน้องเป็นที่สุดต้องเค้นคำตอบออกมาให้สักประโยคสองประโยค

[แต่ความจริงถ้าแค่ความรู้สึกชอบ เราก็น่าจะรู้จักไม่ใช่หรือไง ก็เหมือนก้อนชอบกินนั่นแหละ ไม่ว่าจะสีสวยหรือเพราะอร่อย ถ้าชอบก็อยากจะกินบ่อยๆ กินเยอะๆ]

“เอ...มันเหมือนกับชอบของกินเหรอครับ”

[ไม่เหมือน แต่คล้ายๆ กัน] ประพันธ์ว่า ก่อนจะอธิบาย [ก็สมมติว่าเราชอบใครสักคน ไม่ว่าเขาจะสวยหรือขี้เหร่ จะนิสัยดีหรือไม่ดี ไม่ว่าเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ขอแค่เราชอบ เราก็อยากอยู่กับเขา อยากเห็นหน้าเขา คิดถึงเขา พอได้พบ ได้อยู่ด้วยกัน เราก็มีความสุข]

“งั้นหรือครับ...” ได้ยินที่สิ่งที่พี่ชายบอก กวีก็เริ่มเอาคำบอกเล่านั้นมาเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพี่รถกับข้าว

คิดถึง อยากพบหน้า และมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน...ถ้ากวีรู้สึกทั้งหมดนี้กับวายุ ก็แปลว่ากวีชอบเขาเหมือนกันหรือ

[ความจริงมันก็มีมากกว่านี้ พวกดีใจ ประหม่า หรือหัวใจเต้นแรงเพราะเขา อาการพวกนี้ก็น่าจะบอกได้ ถ้าเราจะเขียนนิยายน่ะนะ ใส่ลงไปด้วยก็ดี]

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเพิ่มเติมจากตอนแรก กวีก็เงียบไปนาน

“แล้วถ้าหาก...คนที่ชอบเป็นเพศเดียวกันล่ะพี่พัน”

[จะเป็นไรไป ถ้าเรารักใคร เพศเดียวกันหรือคนละเพศก็ไม่เกี่ยวหรอก ความรู้สึกมันอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ]

ประพันธ์พูดออกมาง่ายๆ แต่ในหัวของกวีที่กำลังครุ่นคิดอะไรมากมาย รวมทั้งข้อสงสัยและความสับสนทั้งหมด มาถูกปลดล็อกในข้อสุดท้าย

“...เป็นงี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วครับ”

[จะเขียนนิยายวายเหรอ]

“หา? หมายถึงอะไรพี่พัน”

[เอ้า! ก็เห็นเราถามเรื่องความรักเพศเดียวกัน พี่ก็เลยสงสัย เห็นช่วงนี้นิยายแนวนี้กำลังดังด้วยนี่ มีซีร้งซีรี่ส์ด้วย แฟนพี่มันชอบดูนักแหละ]

“ฮ่าๆ ๆ เปล่าหรอกครับ ผมแค่ถามไว้เฉยๆ น่ะ” กวีแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

[อืมๆ ว่าแต่หมดเรื่องสงสัยแล้วใช่ไหม]

“ครับ พี่พันมีอะไรหรือเปล่า”

[มีสิ ก็ที่โทรมาหาเนี่ย เพราะจะชวนไปหาแม่ที่เมกาด้วยกัน สนใจไหม]

“เมื่อไหร่ครับ”

[คริสต์มาสนี้ พอดีพี่ว่าจะปิดร้านยาวไปถึงหลังปีใหม่เลย]

“ฮือ~ ไม่อยากนั่งเครื่องนานๆ เลย”

[แล้วจะให้แม่ถ่อสังขารมาหาเราที่ไทยทุกปีเลยหรือไง ไปหาเค้าที่โน้นบ้างสิ พ่อลูกชายคนโปรด]

“ก็ได้ครับ คริสต์มาสนี้ใช่ไหม ผมจะได้เคลียร์งานกับทางเว็บไซด์ไว้”

[อืม คริสต์มาสนี้แหละ เคลียร์ให้เรียบร้อยแล้วโทรมาบอกพี่ด้วยนะ จะได้จองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย เผื่อมีตั๋วโปรดีๆ]

“โอเคครับ ผมจะรีบเคลียร์กับบก.ให้เร็วที่สุด”

[ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่วางสายก่อนนะ มีลูกค้าเข้าร้าน]

“ได้ครับ แล้วผมจะโทรหา คิดถึงพี่พันนะ”

[อืม เหมือนกัน]

พอพูดจบ ประพันธ์ก็วางสายไป ทิ้งให้กวียืนยิ้มอยู่หน้าเคาน์เตอร์ล้างจานด้วยความรู้สึกสบายใจกว่าตอนแรกหลายเท่า

นักเขียนหนุ่มวางโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะหยิบจานมาล้างทำความสะอาด ในหัวก็คิดเรื่องที่พี่ชายบอก รวมกับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อวายุ ซึ่งเขาคิดอยู่เกือบค่อนคืนจนได้ข้อสรุป

ถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนที่พี่ชายของเขาบอก เวลานี้กวีก็พอจะรู้แล้วว่าตัวเองควรตอบคำถามของพี่รถกับข้าวว่ายังไง ที่เหลือก็มีแต่รอให้พวกเขาได้พบกันในวันพรุ่งนี้ วันที่ครบกำหนดที่ร้านพี่รถกับข้าวมาส่งของให้กวีอีกครั้งเท่านั้น

















แต่แล้วในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น นักเขียนหนุ่มก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะคนที่เอาอาหารมาส่งให้ไม่ใช่วายุอย่างที่กวีเฝ้ารอ

อารมณ์ตื่นเต้นที่มีมาตลอดคืนหายวับไปกับตา เหลือเพียงความรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก กวีหิ้วตะกร้าอาหารสดเข้ามาจัดเก็บในตู้เย็นด้วยความเซื่องซึม พอเก็บของเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มาดู

ที่แรกกวีเข้าใจว่าข้อความที่บอกว่าจะหยุดกวนใจเขาสักระยะ หมายถึงไม่ส่งข้อความมาหาเพียงอย่างเดียว แต่นี่แม้กระทั่งมาพบหน้ากันในเวลาปรกติวายุก็ยังไม่ยอมมา เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้ตอบคำถามนั้นเล่า

หากจะให้บอกในไลน์ กวีก็บอกได้ แต่เขารู้สึกว่าถ้อยความที่ต้องการจะบอกออกไปนั้นค่อนข้างสำคัญ เหมือนกันที่วายุสารภาพรักกับเขาต่อหน้า ดังนั้นเขาจึงอยากพูดต่อหน้าอีกฝ่ายมากว่า

ดวงตากลมกวาดมองข้อความในมือถือซ้ำรอบแล้วรอบเล่า เขาเดินวนไปมาอยู่ในครัว ห้องนอนและห้องทำงานอีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจ

...ถ้าหากพี่ลมไม่ยอมมา ผมไปหาพี่เองก็ได้

คิดได้ดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะเซิร์จหาข้อมูลว่าร้านพี่รถกับข้าวตั้งอยู่ที่ไหน ขั้นตอนสุดท้ายจึงเรียกให้รถแท็กซี่มารับและบอกเส้นทางตามนั้น













หลังจากออกเดินทางไม่ถึงยี่สิบนาที กวีก็มาถึงที่หมายในที่สุด เขาจ่ายเงินให้คนขับแท็กซี่ครบจำนวน ก่อนเดินลงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านสีสันสดใสซึ่งมีป้ายหน้าร้านใหญ่ๆ ติดเอาไว้ว่า

‘พี่รถกับข้าว’

ในทีแรกก่อนที่จะออกเดินทาง กวีคิดแต่ว่าตัวเองอยากตอบคำถามคนที่อยู่ในความคิดคำนึงให้เร็วที่สุด เพราะอยากให้เขารู้ความรู้สึกของตนเองเช่นกัน

ทว่าเมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ ที่ที่พวกเขาอยู่ห่างกันเพียงประตูร้านกั้นเอาไว้ หัวใจที่ควรจะเต้นเป็นจังหวะปรกติก็เริ่มทำงานหนักอีกครั้ง

เจ้าความประหม่าซึ่งซุกซ่อนอยู่ในทุกซอกหลืบของหัวใจเริ่มออกอาละวาด คนขี้ขลาดซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของผู้กล้าจึงกระโดดออกมาแทนที่

แต่ก่อนคำถามว่า ‘เรามาที่นี่ทำไม’ จะทำให้กวีแพนิกมากไปกว่านี้ คนที่กวีกำลังคิดถึงก็ผละจากเคาน์เตอร์มาที่ประตูหน้าร้าน จากนั้นเขาก็ดันประตูออกมา เหมือนเจาะผนังใสๆ ที่กั้นกลางระหว่างกวีและวายุให้สลายหายไป

“วี!”

“พี่ลม...”

“วีมาที่นี่ได้ไงครับ”

“คือผม...ผม...” นอกจากตัวประหม่าจะคอยกวนใจแล้ว เจ้าโรคติดอ่างก็เข้ามาเกาะหนึบอยู่ที่ปากของกวีอีกตัวหนึ่ง

“วีมาซื้อของหรือ”

“...เปล่าครับ” นักเขียนหนุ่มส่ายหน้าแรกจนแว่นเอียง

“ถ้าอย่างนั้น...วีมาหาพี่หรือครับ”

กวีละสายตาจากปลายเท้าของตัวเองขึ้นมองคนพูด ก่อนจะยิ้มแหยแล้วพยักหน้า

“ครับ...ผมมาหาพี่ลม”

“ถ้างั้นเข้ามาก่อนไหม”

กวีมองตามือที่ผายเข้าไปทางร้าน เขาเห็นพนักงานหลายคนแทบจะยืนเกาะกระจกดู ราวกับอยากรู้เสียเต็มประดาว่าเขาจะมาเพื่อพูดอะไรกับวายุ

“ผม....”

วายุมองตามสายตาของกวีเข้าไปที่ร้าน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ ราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่านักเขียนหนุ่มกำลังกังวลเรื่องอะไร

“งั้นเอาอย่างนี้ พี่จะพาไปที่ที่ไม่มีคน วีจะได้พูดธุระของวีสะดวก ดีไหมครับ”

“ดีครับ”

ครั้นกวีตอบรับ มือของเขาก็ถูกเติมเต็มด้วยมือของใครอีกคน ก่อนใครคนนี้จะออกแรงฉุดให้กวีเดินตามหลังไปด้วยกัน พวกเขาสองคนเดินผ่านโซนขายของด้านหน้า ไปจนถึงบันไดหลังร้าน ก่อนวายุจะพากวีขึ้นบันไดหลายต่อหลายชั้น เพื่อมาพบกับห้องนอนขนาดกะทัดรัดซึ่งอยู่ชั้นบนสุด

กวียืนหอบเพราะขึ้นบันไดสูงอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นวายุก็ปิดประตูลง ก่อนจะยืนกอดอกรอคอยให้เขาพูดสิ่งที่ต้องการ

เมื่อเลิกหอบแล้ว นักเขียนหนุ่มก็หันมามองหน้าเจ้าของห้องราวกับไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่พูดดี กระนั้น วายุก็เหมือนจะดูเขาออกจนทะลุปรุโปร่ง เพราะระหว่างที่กวีกำลังประหม่า อีกฝ่ายก็เกริ่นนำขึ้นมาก่อน

“วีครับ”

“ครับ”

“วีมาที่นี่ เพราะจะมาเพื่อให้คำตอบพี่หรือเปล่า”

“...” ดวงตากลมจ้องดูตาคู่คมชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นกวีจึงพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็พูดให้พี่ฟังสิครับ พี่รออยู่นะ”

สิ่งที่วายุบอก ฟังผ่านๆ อาจไม่มีอะไร แต่คำว่า รออยู่นะ ของอีกฝ่าย ทำให้กวีไม่กล้าที่จะปล่อยให้วายุต้องเสียเวลารอนานอีก

นักเขียนหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าที่หมดที่มี แล้วเปร่งถ้อยคำที่กลั่นกรองมาแล้วให้อีกฝ่ายฟัง

“ที่พี่ลมถามผม ผมได้คำตอบแล้วนะครับ”

“...”

“คือว่า...ผมคิดว่าตัวเองชอบพี่ลมเหมือนกัน” พอพูดประโยคที่ยากที่สุดออกไปแล้ว กวีก็นิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะอธิบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจมาหลายวัน “ผมไม่แน่ใจว่าคำว่าชอบที่ผมเข้าใจจะเหมือนกับคำว่าชอบของพี่ลมหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยชอบใครมาก่อน แต่ผมดีใจที่ได้เจอหน้าพี่ทุกๆ สามวัน คิดถึงเวลาพี่ไม่มาหาแล้วก็ไม่ยอมตอบข้อความกัน ที่สำคัญ...ผมใจเต้นทุกครั้งที่นึกถึงคำที่พี่บอกว่าชอบผม”

“...”

“แบบนี้เรียกว่าชอบเหมือนกันได้หรือเปล่าครับ”









-------------------------------------------------------------------------------------





มาค่ะ ผลัดกันแอทแทคหัวใจฝ่ายตรงข้าม

รอดูว่าตอนหน้าพี่ลมจะแแทแทคหัวใจเจ้าก้อนได้ยังไงอีก



ขอบคุณที่ตามอ่านน้า



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 15-11-2018 18:15:14
 :o8: :-[ :ling1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-11-2018 18:16:42
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-11-2018 19:08:04
พี่ประพันผู้ชี้โพรงให้กระรอก

ผู้เปิดประตูคำตอบให้น้องกวี

คริๆพีจะรู้ตัวใหมน๊า~~~~,
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-11-2018 19:46:36
ไหนๆก็เปิดใจกันแล้ว ตอนหน้าขอหวานๆนะจ๊ะคนเขียน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 15-11-2018 19:47:36
ว้ายยย น่ารักจังเลยรู้กกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-11-2018 20:05:48
ดีมากน้องก้อน
เขาไม่มาเราก็ไปหาถึงที่เลย
แมน แมนคบกันไปเลย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-11-2018 22:13:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวาย ๆ นุ้งก้อนรู้ใจเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้ว  ต้องขอบใจพี่พันเขานะ  ที่ให้ความกระจ่างและแสงสว่างแก่เจ้าก้อน  อิอิ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-11-2018 22:46:32
ใจตรงกันแล้ว ก้อนมาหาถึงที่เลย แต่นะมาบอกชอบพี่มันในห้องนอนเนี่ยะ ก้อนจะโดนกินมั้ย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 14 [15/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 16-11-2018 05:02:22
โถถถถถ ป่านนี้คนพี่โดนน้องก้อนแอทแทคไปแล้วจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-11-2018 13:07:09






บทที่ 15













“คือว่า...ผมคิดว่าตัวเองชอบพี่ลมเหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจ คำว่าชอบที่ผมเข้าใจจะเหมือนกับคำว่าชอบของพี่ลมหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยชอบใครมาก่อน แต่ผมดีใจที่ได้เจอหน้าพี่ทุกๆ สามวัน คิดถึงเวลาพี่ไม่มาหาแล้วก็ไม่ยอมตอบข้อความกัน ที่สำคัญ...ผมใจเต้นทุกครั้งที่นึกถึงคำที่พี่บอกว่าชอบผม”

“...”

“แบบนี้เรียกว่าชอบเหมือนกันได้หรือเปล่าครับ”

วายุแทบหยุดหายใจอยู่แล้วตอนที่น้องบอกว่าชอบเหมือนกัน แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายว่าชอบเหมือนกันของกวีเป็นอย่างไร เขาก็คล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะจริงๆ ก่อนความตกตะลึงนั้นจะเป็นเป็นดีใจจนหัวใจพองคับอก

นอกจากหัวใจจะพองโตเพราะคำว่าชอบของกวี วายุยังควบคุมสีหน้าไม่ได้อย่างเก่า เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงซี่แล้วหลุดหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอก

จากที่เครียดมาหลายวันเพราะเผลอหลุดปากบอกชอบอีกฝ่ายออกไปตามความรู้สึกและคำยุยงจากพี่ชาย ทำให้หลังจากที่วายุกลับมาที่ร้าน เขาก็แทบอยู่ไม่สุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ ด้วยกลัวกวีจะตีตัวออกห่างไป กลัวคำตอบไม่เป็นอย่างที่วาดหวัง

วายุไม่รู้ว่ากวีจะรู้สึกกับเขาแค่ไหน อีกฝ่ายอาจไม่ได้ยอมรับความรักของเพศเดียวกันก็ได้ ดังนั้นตลอดเวลาที่เขาบอกว่าจะให้เวลาน้องได้คิด วายุก็ใช้เวลาตรงนั้นในการทำใจด้วย เพราะรู้ดีว่าคงมีเปอร์เซ็นในการสมหวังกับความรักแทบไม่มี

แต่แล้วคนน่ารักก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้งด้วยการเดินทางมาหาวายุถึงที่ร้าน พร้อมกับสารภาพความนัยที่เขาไม่เคยฝันถึง

แล้วแบบนี้จะให้เขาควบคุมตัวเองได้อย่างไรไหว...

“พี่ลม”

“ครับ”

“หัวเราะทำไมครับ” กวีถามเสียงเบา แต่ดูจากคิ้วที่มุ่นขมวดนิดๆ นั่น อีกฝ่ายคงไม่ชอบใจอะไรสักอย่างเป็นแน่ “ไม่เชื่อที่ผมพูดเหรอ”

“เชื่อสิครับ!” วายุพยายามสงบสติอารมณ์ แม้จะยังหยุดยิ้มไม่ได้ก็ตาม ก่อนอธิบาย “พี่แค่ดีใจเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”

“ดีใจ? ...อ้อ...งั้นหรือครับ”

ครั้นรู้ว่าวายุคิดอย่างไร คิ้วที่ขมวดน้อยๆ ก็คลายปม ก่อนริมฝีปากที่วายุชอบแอบมองจะค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ารักจนเจ้าของร้านพี่รถกับข้าวอดใจไม่ไหว

“ก็ต้องดีใจสิครับ ในเมื่อวีบอกว่าชอบพี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ครับ ผมบอก”

“ใช่ไหมล่ะ ในเมื่อคนที่พี่ชอบ เขาชอบพี่เหมือนกัน แบบนี้วีจะไม่ให้พี่ดีใจได้ยังไง”

“อ่า...นั่นสินะครับ” นักเขียนคนเก่งของวายุยกมือขึ้นเกาแก้มอีกแล้ว ซ้ำครานี้แก้มกลมๆ นั่นยังแดงขึ้นมากกว่าเก่า

ปฏิกิริยาแบบนี้ แปลว่ากวีกำลังเขินเขาสินะ...ชายหนุ่มมองและจดจำทุกการกระทำ

“วี”

“ครับ?”

“ในเมื่อวีเองก็ชอบพี่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น เราเป็นแฟนกันไหม”

“หา!?”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้เตรียมใจว่าจะมาได้ยินประโยคนี้จากเขา กวีอ้างปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา วายุจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง

อย่างน้อยถ้าลองได้หว่านล้อม น้องอาจยอมตกลงก็เป็นได้ เพราะขนาดบอกว่าชอบ กวียังยอมรับความรู้สึกของเขาเลย

“ในเมื่อเราสองคนต่างก็รู้สึกดีต่อกัน พี่ว่าคงไม่เป็นไร”

“แต่...แต่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน” กวีละลักละล้ำบอก

“ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอไม่ใช่หรือครับ ก็เหมือนที่วีบอกพี่ว่าไม่เคยชอบใครมาก่อนไง”

“อ่า...นั่นสินะ” เมื่อเห็นคนน่ารักพยักหน้าเห็นด้วย วายุก็รีบตีเข้าตรงจุด

“ในเมื่อวีไม่เคยคบใครมาก่อน และพี่ก็อยากทำความรู้จักกับวีมากขึ้นในสถานะที่ต่างออกไป มันคงเป็นเรื่องดี ถ้าหากเราจะลองคบและศึกษากันเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง”

“พี่ลมคิดว่ามันจะดีเหรอ”

“ดีสิ คบกับวีมีอะไรที่ไม่ดีกัน”

“ผมมีข้อเสียตั้งมาก...” กวีบีบมือเข้าหากันแน่น และบอกว่าตัวเองมีข้อเสียด้วยท่าทางไม่มั่นใจ

“พี่เองก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสียหน่อย”

“แต่พี่ลมใจดี!” เจ้าตัวรีบเถียงทันควัน ก่อนจะหงอลงเพราะตัวเองพูดเสียงดังเกินไป “ขอโทษที่ตะโกนครับ แต่ผมแค่อยากบอกว่าพี่ลมใจดีเท่านั้น”

“วีก็น่ารักมากๆ เหมือนกัน”

“หืม? น่ารักหรือครับ”

“ใช่” วายุยืนยันแข็งขัน “ไม่ใช่แค่หน้าตาหรอกนะที่พี่พูดถึง แต่นิสัยของวีก็น่ารักมาก วีเป็นคนมีน้ำใจ อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี พอได้อยู่กับวีแล้ว...พี่มีความสุข”

“...” กวีนิ่งไป จากนั้นจึงตอบกลับมาเบาๆ “ผมก็ชอบอยู่กับพี่เหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้น...” วายุเว้นไปนิดเพื่อรวบรวมจริงใจทั้งหมดที่มี

“...”

“เป็นแฟนกับพี่นะครับกวี”

ตอนที่ถามออกไป วายุเองก็ตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด แต่เขามองไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้อีกเมื่อไหร่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องมั่นใจและเดินไปข้างหน้าแม้ว่าต้องพบกับอะไรก็ตาม

กวีมองตรงมาที่เขา ดวงตาคู่ใสนั่นดูสับสนชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่อีกฝ่ายส่งมาให้เขา

“...ครับ”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ไว้ใจพี่” วายุไม่อาจหุบยิ้มได้อีกต่อไป ความอึดอัดและความกลัวซึ่งเกาะกุมจิตใจถูกเป่าให้ปลิวไปกับสายลม ราวกับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยกังวลมาก่อน

“ผมอาจจะงงๆ ทึ่มๆ กับเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ต่อไปถ้าผมทำเรื่องที่คนเป็นแฟนไม่ควรทำใส่พี่ ฝากพี่ลมช่วยเตือนผมด้วยนะครับ”

คำพูดฝากตัวน่ารักๆ กับท่าทางเขินอายนั่นทำเอาวายุแทบจะยืนกุมหัวใจ และร้องตะโกนออกมาให้คนทั้งโลกรู้ว่าแฟนเขาน่ารักที่สุด แต่เขากลัวว่าอาการเสียจริตขนาดนั้นจะทำให้น้องตกใจจนนึกเปลี่ยนใจขึ้นมา วายุจึงได้แต่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่ที่เก่า

เขามองสบตากวีอยู่ครู่หนึ่ง วายุจึงเป็นผู้ทำลายความเงียบอีกครั้ง

“วีครับ”

“ครับ?”

“เราเป็นแฟนกันแล้ว ถ้าพี่จะกอดวีสักครั้งหนึ่ง วีจะว่าอะไรหรือเปล่า”

“หา? ...กอดเหรอ” ครั้นถูกเขาถาม น้องก็ทำหน้าเหรอหราน่าฟัดมากกว่าเดิม

“อื้ม” วายุพนักหน้ายืนยัน

“เอ่อ...”

“ได้ไหมครับ”

อีกฝ่ายยกมือขึ้นเกาแก้มแดงๆ พร้อมช้อนตามองมาที่วายุนิดหน่อย ก่อนหลุดตาลงแล้วพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกางแขนเล็กน้อยเป็นสัญญาณ

“ถ้าพี่ลมอยากกอด ก็น่าจะได้ครับ---”

วายุสาวเท้าเข้าไปหากวีตั้งแต่อีกฝ่ายผายมืออ้าออกราวกับเด็กที่พร้อมให้เขากอดอย่างเต็มใจแล้ว ดังนั้นตอนที่น้องพูดยังไม่ทันจบประโยคดี เขาก็รวบร่างนุ่มนิ่มเข้ามากอดเสียเต็มรัก และก้มกระซิบข้างหู

“ขอบคุณครับ”

“...ไม่เป็นไรครับ”

“แฟนพี่น่ารักที่สุด”

“...”

กวีไม่ตอบอะไร เพราะในทีแรกดูเหมือนกวีจะยังตื่นๆ กับการกระทำที่ไม่อาจหักห้ามใจได้ของวายุ แต่หลังจากนั้นคนน่ารักก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบ และวางหน้าผากซบกับอกของเขา

ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นตูมตามไม่รู้ของใครเป็นของใคร พวกเขายืนกอดกันเงียบๆ คล้ายต่างคนต่างส่งผ่านความรู้สึกมากมายซึ่งอัดแน่นอยู่ในใจให้แก่กัน

หลังจากสถานะเปลี่ยนไปแล้ว วายุก็ไม่มีเวลาอ้อยอิ่งซึมซับความสุขที่เกิดขึ้นในห้องเล็กๆ นานนัก เพราะเวลานี้เขาอยู่ในระหว่างเวลางาน ดังนั้นหลังจากยืนกอดกันกวีอยู่พักใหญ่ ที่หน้าประตูก็มีเสียงเคาะดัง พร้อมกับเสียงเรียกให้ลงไปดูงานข้างล่าง วายุจึงขอให้กวีรอเขาอยู่ในห้องไปก่อน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่ลมครับ รถส่งของที่พี่โทรตามมาแล้ว ช่วยลงมาดูหน่อยครับ”

“โอเค เดี๋ยวลงไป” ตอบพนักงานเรียบร้อย วายุก็หันมาบอกคนในอ้อมแขน “รอพี่เดี๋ยวเดียวได้ไหมครับ”

“เอ่อ...ถ้าพี่ลมไม่สะดวก ให้ผมกลับก่อนก็ได้นะ” กวีผละจากอ้อมกอด และถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เหมือนตั้งใจจะกลับออกไป

แต่เพราะวายุยังอยากใช้เวลาอยู่กับกวีต่อ เขาจึงขอร้องไว้

“พี่ขอจัดการงานเดี๋ยวเดียว แล้วพี่จะไปส่งนะครับ รอพี่ได้ไหม”

“รอได้ครับ”

“ถ้าเบื่อก็เปิดคอมเล่น หรือหาหนังสืออ่านรอก่อนนะครับ ในตู้เย็นนั่นมีน้ำหวานกับขนมด้วย วีหยิบกินได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่”

“ครับ”

ครั้นเห็นกวีพยักหน้ารับแล้ว วายุจึงตัดใจเดินออกมาจากห้อง เพราะต้องการทำงานให้เสร็จสิ้น เขาจะได้กลับขึ้นมาหาแฟนหมาดๆ เร็วๆ





















เมื่อจัดการงานในร้านเรียบร้อย วายุก็รีบบึ่งขึ้นมาที่ห้องตัวเองชั้นบนทันที พอเปิดประตูห้องเข้าไป แทนที่เขาจะเห็นกวีอยู่ในห้องอยู่ที่คิดไว้ น้องกลับหายไปไหนก็ไม่รู้ วายุจึงเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ก่อนจะเคาะเรียก

“วีครับ วีอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”

เมื่อลองเคาะและเรียกดูอีกหลายครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบ วายุจึงเบนเป้าหมายข้างนอก และก็เป็นอย่างที่คิด เพราะเขาเห็นคนน่ารักกำลังนั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ระเบียง วายุจึงเดินออกไปหา

“วี”

“อ้าว! พี่ลมมาแล้ว!” เจ้าตัวร้องทักวายุด้วยน้ำเสียงสดใส ราวกับเป็นคนละคนกับผู้ชายที่ถูกวายุขอเป็นแฟนเมื่อครู่

“ทำอะไรอยู่ครับ” วายุยิ้มตาม ก่อนจะทรุดลงนั่งหยองๆ ใกล้กับอีกฝ่าย

“กำลังดูพวกพืชอวบน้ำกับแคตตัสของพี่ลมอยู่ครับ”

“วีชอบหรือครับ”

“ครับ” กวีพยักหน้า “ที่บ้านผมก็มีอยู่สามต้น เพิ่งลองเริ่มเลี้ยงได้ไม่นาน เอาไว้พี่ลมไปบ้านผมอีกเมื่อไหร่ ผมจะแนะนำให้รู้จักกับมุงดาว ชาวเดอร์ แล้วก็ปานินี่นะครับ”

“พันธุ์อะไรน่ะ พี่ไม่เคยได้ยินเลย”

“ไม่ใช่ชื่อพันธุ์หรอกครับ ผมตั้งชื่อให้เค้าเองน่ะ จะได้จำง่ายหน่อย ตั้งเป็นชื่อตามตัวการ์ตูนที่ชอบดู พี่ลมคงไม่รู้จัก”

“หึๆ งี้นี่เอง”

วายุปล่อยให้กวีดูพืชอวบน้ำของเขาจนพอใจ ก่อนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นว่าก้อนเมฆที่บังดวงอาทิตย์เอาไว้เคลื่อนที่ไปหมดแล้ว แดดแรงๆ ตอนบ่ายโมงจึงสาดลงมาที่ระเบียง

“วีครับ”

“ครับ?” อีกฝ่ายขานรับ แต่ไม่ยอมหันหน้ามามองวายุ ทำเหมือนต้นไม้พวกนั้นน่าสนใจเสียเต็มประดา

“เข้าข้างในเถอะครับ แดดแรงแล้วนะ”

“แต่ผม...เอ่อ...ยังอยากดู”

“ยกถาดเข้ามาดูข้างในก็ได้ครับ พี่ไม่ว่าหรอก อีกอย่างเราหายไข้แล้วเหรอครับ” เขาจำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนกวีเป็นไข้จนหน้าแดงตัวร้อนราวกับไฟ

“หายดีแล้วครับ” กวีบอก

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่าตากแดดอย่างนั้นเลยนะ พี่เป็นห่วง กลัวไข้จะกลับอีก” ไม่ว่าเปล่าวายุยังถือวิสาสะปากเช็ดเหงื่อที่ข้างขมับของกวีออกให้

“...ก็ได้ครับ” กวีตอบรับอย่างว่าง่าย

“แล้วเราจะเอาต้นไหนไปดูครับ พี่ยกให้นะ”

“ไม่ต้องแล้วครับ พี่ลมมาแล้ว ผมไม่ต้องดูแล้วครับ”

ฮ้า~ แฟนเขาน่ารักอะไรอย่างนี้…วายุได้แต่หวีดร้องในใจ

“ถ้าอย่างนั้นวีหิวไหม”

“อืม...” กวีหยุดคิดนิดหน่อย จากนั้นจึงพยักหน้า “นิดหน่อยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวกันนะ พี่จะพาไปกินร้านอร่อย”

“แล้วพี่ลมไม่ทำงานเหรอครับ”

“งานส่วนของพี่ไม่มีอะไรแล้วครับ อีกอย่างตอนนี้ผู้จัดการร้านคนใหม่ของพี่ลงไปดูแลแทนแล้ว วีไม่ต้องห่วงนะ พี่มีเวลาโดดงานได้จนถึงเวลาปิดร้านเลย”

“เอ...ผู้จัดการร้านของพี่หรือครับ”

“ครับ”

“ร้านของพี่ลม?”

“ครับ” วายุพยักหน้ายอมรับ

“หา!?” กวีทำตาโต “นี่ร้านพี่รถกับข้าวเป็นร้านของพี่รถกับข้าวเหรอ”

“หืม? พี่ให้โอกาสเรียบเรียงคำพูดใหม่อีกรอบครับ” วายุยิ้มขำ

“ผมหมายถึง ร้านนี้เป็นร้านของพี่ลมหรือครับ”

“ครับ พี่รถกับข้าวเป็นร้านของพี่เอง”

“โอ้ย...ตายล่ะ นี่ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลย”

“เข้าใจผิดอะไรครับ หืม?”

“ก็ผมคิดว่าพี่ลมเป็นพนักงานส่งน่ะสิ คิดว่าทำพี่เสียเวลางานหลายครั้ง พี่จะโดนเจ้านายว่าบ้างไหมน้อ แต่จริงๆ พี่ดันเป็นเจ้าของร้านเสียเอง”

“ฮ่าๆ ๆ” เห็นน้องทำหน้ายู่ยี่ วายุก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะลูบหัวทุยอย่างนึกเอ็นดู “ต่อไปสงสัยอะไรก็ถามพี่นะ พี่จะเล่าให้ฟังทุกเรื่อง เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น ดีไหม”

“ดีครับ ผมเองก็จะ...เล่าเรื่องของตัวเองให้พี่ลมฟังเหมือนกัน” กวีพูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะปล่อยให้วายุจูงมือออกไปหาของอร่อยกิน ถือเป็นการฉลองมื้อแรกหลังจากเป็นแฟนกัน











-------------------------------------------------------------------------------------------------------






หูยยย ไวไฟเว่อ เป็นแฟนกันแล้วววว

แต่ต้องแอบกระซิบเจ้าก้อนว่า ไอ้ประโยค ต้องมีครั้งแรกเสมอเนี่ย ใช้ได้หลายโอกาสเน้อ

น้องต้องระวังตัวนะคะลูกกก 555555555



ขอบคุณที่ตามอ่านกันน้า



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: jaaswp ที่ 16-11-2018 14:37:47
น้องก้อนระวังคำว่าครั้งแรกของพี่ลมดีๆนะลูก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 16-11-2018 14:38:21
ดีใจที่เขาเป็นแฟนกันแล้ว
เจ้าก้อนตอนเอ๋อๆนี่น่ารักดีนะคะ เข้าใจความรู้สึกพี่ลมเลย :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 16-11-2018 15:06:39
รออะไรที่ต้องมีเป็นครั้งแรกค่ะ
แต่ไม่ครั้งแรกในเรื่องการทะเลาะหรือผิดใจกันนะคะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-11-2018 17:04:35
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-11-2018 19:14:07
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวาย ๆ เขาตกลงกันเป็นแฟนกันแล้วอ่ะ  งุย ๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-11-2018 22:31:04
แฟนกันๆๆๆหมาดๆ ไปฉลองความหวานกันที่ไหนดี
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 16-11-2018 22:57:28
น่ารักกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2018 23:07:49
โอ้ยย คิดจะสารภาพทีก็กระทันหันไปหมดพี่ลมมม น้องไม่ไหวแล้ววววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-11-2018 23:39:05
น้องว่าง่ายมากโดยเฉพาะเวลาชวนไปหาของอร่อยกิน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 17-11-2018 13:56:47
น้องน่ารัก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 17-11-2018 20:38:05
คู่นี้ทำไมมันน่ารักอย่างงี้พี่ลม&น้องวี
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-11-2018 11:06:39
น่ารัก แล้วแบบนี้ลมจะปล่อยให้คนอื่นได้ไง

ว้าววว ดีงาม วีถึงขั้นนอยด์ต้องตามมาให้คำตอบพี่
ลมก็เวิ่นไปหลายวัน ตอนนี้สมใจแล้ว
แถมได้ทั้งบอกชอบ ทั้งได้แฟน

วีจะไปอเมริกาอยู่ไหมล่ะแบบนี้ คิดถึงกันแย่
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-11-2018 19:40:57
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ClioNe ที่ 18-11-2018 20:45:45
 :L2: :L2: :o8:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 15 [16/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 19-11-2018 07:51:22
 :katai1: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 19-11-2018 15:53:15








บทที่ 16









กว่าสองเดือนที่ผ่านมาหลังจากกวีตกลงคบกับวายุ เขารู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่น้อย เพราะแต่ก่อนชีวิตของนักเขียนหนุ่มจะมีแต่วัฏจักรการปั่นต้นฉบับและคิดเรื่องเมนูอาหารวนเวียนไป ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก ทว่าเดี๋ยวนี้กวีรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำมากขึ้น ด้วยถูกชักชวนจากคนรักที่เป็นนักสรรหากิจกรรมของเขานั่นเอง

วายุเป็นคนที่ทำให้นักเขียนที่อยู่อย่างสล็อตต้องเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

อย่างเช่นวันนี้ หลังจากที่กวีเพิ่งส่งต้นฉบับรายสัปดาห์ไปเมื่อคืน พอตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ระเบียง

แม้นักเขียนหนุ่มจะพอเดาได้ว่าคนที่เข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ปล่อยตัวนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงนานนัก กวีสะบัดผ้าห่มไปกองทิ้งด้านข้าง ก่อนจะผุดลุกขึ้นมาและตรงไปแหวกผ้าม่านเอาหัวแนบกระจกมองคนที่กำลังง่วนอยู่กับพืชอวบน้ำสามสหายของเขา

เขาไม่รู้ว่าวายุขนอิฐมอญหกก้อนกับอุปกรณ์ทำสวนเข้ามาบนห้องได้อย่างไรโดยปราศจากเสียงรบกวน แต่กวีก็ไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ที่วายุทำได้ ด้วยรู้ว่าตัวเองคงหลับเป็นตายจากอาการอดนอน ซ้ำอีกฝ่ายก็มักทำเรื่องเหลือเชื่อให้เขาประหลาดใจได้ตลอดอยู่แล้ว

อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนกลางดึกที่กวีกำลังง่วนเกือบหลับไปกับแป้นคีย์บอร์ด อยู่ๆ วายุก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของกวีพร้อมกับน้ำรวมเบอรี่สกัดรสชาติจี๊ดจ๊าดที่ทำให้ดวงตาและร่างกายตื่นขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ หรือบางครั้งคนคนนั้นก็มาหาพร้อมกับแผ่นหนังเก่าที่เขากำลังอยากดูและป๊อปคอนรสชีสกับราคาเมลเหมือนในโรงหนังอย่างไรอย่างนั้น

คล้ายกับวายุรู้อยู่ใจเสมอว่าในเวลานั้นๆ กวีต้องการอะไร คนขี้เกียจที่ได้รับการเอาใจจึงยิ่งรู้สึกดีจนอยากให้คนพี่ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่กับตัวเองเสียเลย ติดแค่อีกฝ่ายเองต้องทำงานและดูแลร้านพี่รถกับข้าวเช่นกัน

มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ รู้ตัวอีกทีพี่รถกับข้าวก็เดินมาเคาะกระจกตรงหน้าเขา พร้อมกับส่งยิ้มหวานตามแบบฉบับของตัวเองมาให้

กวียิ้มตอบ ก่อนจะเลิกพิงกระจก และเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา

“ตื่นนานแล้วหรือครับ”

“เพิ่งตื่นครับ” กวีบอก “แล้วพี่ล่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”

“มาตั้งแต่บ่ายโมงแล้วครับ แต่พี่เห็นวีหลับ ไม่อยากปลุกน่ะ”

“ทำไมวันนี้อยู่นานได้ครับ”

เพราะปรกติวายุจะมาเขาตอนเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่กวีตื่นนอนแล้ว ส่วนวายุเองก็พักกลางวันพอดี พวกเขาจะอยู่กินข้าวและคุยเล่นกันพักหนึ่ง ตกบ่ายนิดๆ วายุก็จะขัยรถกลับไปเฝ้าร้านต่อ และกลับมาหาอีกครั้งตอนร้านปิด

“วันนี้ร้านปิดครับ”

“หื้ม? ทำไมถึงปิดล่ะครับ”

“วันนี้วันพ่อไงครับ พี่ตรวจดูรถส่งของเรียบร้อยแล้วก็มาจัดสวนที่บอกว่าจะจัดให้วันก่อนไง นี่เสร็จแล้วนะไปลองดูสิว่าชอบไหม”

“ครับ!” กวีสวมรองเท้านอกบ้านออกไปเดินชมสวนเล็กๆ บนระเบียงน้อย “ว่าแต่พี่ลมไม่ไปหาคุณพ่อหรือครับ”

“ไม่หรอก ป๊าพี่ไปไหว้พระที่พม่ากับม๊าน่ะ”

“อ๋อ” กวีพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดออกไปว่าตัวเองอยากไปไหว้พ่ออยู่เหมือนกัน

“แล้ววีล่ะ อยากไปวัดไหม”

“อืม...วันนี้จะเย็นแล้ว เอาไว้วันหลังก็ได้ครับ เพราะปรกติผมจะนัดไปกับพี่พัน แต่ปีนี้พี่พันคงไม่ว่าง ไม่เห็นโทรมาบอกก่อนเลย ผมก็ลืมด้วย”

กวีเคยเล่าให้วายุฟังว่าพ่อเสียแล้ว แต่ไม่เคยลงรายละเอียดให้ฟังว่าปรกติกวีไปหาพ่อบ่อยแค่ไหน และไปกับใครบ้าง

“อ้อ...แล้ววีโอเคไหม อยากไปหรือเปล่า” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ผมไม่เป็นไรครับ รอก่อนก็ได้ ไม่มีปัญหา” กวียิ้ม ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่สวนเล็กซึ่งวายุจัดได้อย่างน่ารักถูกใจสุดๆ ด้วยไม่อยากนึกถึงเรื่องเศร้าๆ

“เป็นไง ชอบไหม”

“ชอบครับ น่ารักมากๆ ๆ เลย แบบนี้ต้องหาทางมานั่งเขียนนิยายข้างนอกแล้วล่ะ”

“ถ้าเย็นๆ ก็พอได้นะ แต่กลางวันอย่างเลยครับ แดดมันร้อน”

“โอเคครับ” กวีพยักหน้า ในใจคิดว่าอยากได้โต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กๆ มาเพื่อสักชุด แต่ไม่ทันพูดออกไป แฟนหนุ่มของกวีเสนอ

“เดี๋ยวพี่หาโต๊ะกับเก้าอีกมาให้ดีไหม หรือเราจะไปเดินเลือกดูด้วยกันดี วีจะได้มีที่นั่งเขียนนิยาย ไม่ต้องยกโต๊ะญี่ปุ่นออกมาให้เกะกะ”

“ไปเลือกซื้อด้วยกันก็ได้ครับ”

“ตกลงตามนั้น แต่ว่าตอนนี้เข้าข้างในกันเถอะ แดดร้อนแล้ว”

“ครับ” กวีพยักหน้ารับก่อนเดินนำเข้ามา แต่ก่อนวายุเดินออกจากห้อง กวีก็หันมองปฏิทินแขวน แล้วบ่นพึมพำ “ผมไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ ว่าวันนี้วันพ่อ”

“ทำงานจนลืมวันลืมคืนเลยนะเรา” น้ำเสียงอบอุ่นมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ตรงเข้าลูบหัวเขาเบาๆ อย่างที่วายุชอบทำ

“ผมไม่ค่อยจำวันที่หรอกครับ จำแค่จะถึงวันอาทิตย์วันไหนเท่านั้นแหละ”

“หึๆ เพราะต้องปั่นต้นฉบับใช่ไหม”

“ถูกเผง”

“อย่าคิดถึงแต่เรื่องงานจนลืมสิ่งรอบข้างสิครับ”

“ก็...บางทีมันต้องรีบนี่ครับ”

“ถ้าไม่มัวท่องยูทูปหรือเล่นทวิตเตอร์กับคนอ่านเพลิน พี่ว่าวีพอมีเวลานะ”

กวีหรี่ตามมองคนรู้ทัน แล้วรีบแก้ตัว “ผมคลายเครียดนิดเดียวเอง ทำเป็นรู้ทัน”

“โอเคๆ แต่ก็อย่าเล่นเพลินมากเกินไปรู้ไหม ดูสิ ถึงเวลาต้องปั่นงานส่งทีไร ขอบตาคล้ำทุกที” จากที่ลูบผมกวีเล่น ตอนนี้วายุเปลี่ยนมาเป็นเกลี่ยไล้ใต้ตาคล้ำๆ ของเขาเบาๆ “ถ้าไม่สบายหรือเป็นลมอีกจะทำไงหืม?”

“ก็ให้พี่ลมคอยดูแลไงครับ” กวียิ้มทะเล้น “หรือว่าพี่ลมจะปล่อยผมเฉาตายในห้อง”

“ใครจะทำงั้นได้ล่ะ”

“ใจดีที่สุดเลย” นักเขียนหนุ่มว่าพลางเอาแก้มไถฝ่ามืออุ่น

กับผู้ชายคนนี้ แม้เพิ่งรู้จักและคบกันไม่นานเท่าไหร่ แต่กวีกลับรู้สึกไว้ใจและเชื่อมั่นว่าวายุทำดีต่อเขาด้วยใจจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือเข้ามาหวังอะไรสักอย่างแบบที่พี่ชายกับแม่ของกวีรู้ว่าพวกเขาคบกันแรกๆ

“อ้อนเก่ง” จากที่ลูบๆ แก้มเขาอยู่ คนรักของกวีก็เปลี่ยนเป็นบีบแก้มจนเนื้อส่วนเกินนั่นยืดออกมา

“พี่ลม~ อย่าดึงแก้มสิครับ! ~”

“ก็พี่หมั่นเขี้ยว” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็บีบๆ แก้มเขาครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้เนื้อยืดๆ นั่นเป็นอิสระ “หิวหรือยังครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“พี่ซื้อบะหมี่เกี๊ยวปูมาให้ ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วมากินด้วยกันนะ พี่จะอุ่นรอ”

“ไม่ต้องครับ พี่ลมนั่งรอเลย เดี๋ยวผมอุ่นให้เอง”

“เราไปจัดการธุระส่วนตัวเถอะ แค่อุ่นอาหารเอง ทำเกรงใจไปได้”

“ก็ได้ครับ” สุดท้ายกวีก็ตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป





















ตอนออกมาอีกครั้ง อาหารเย็นของเขาก็ถูกจัดใส่ถ้วยวางบนเรียบร้อย กวีแค่เดินไปนั่งเก้าอี้เท่านั้น เขาก็สามารถลงมือทานได้ทันที

“เดี๋ยวผมล้างจานเองนะ” นักเขียนหนุ่มว่า

“ไม่ให้พี่ช่วยเหรอ”

“ไม่ต้องเลยครับ พี่ลมก็ซื้อกับข้าวมาให้ผมแล้วไง"

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้รีบกินก่อนนะ เดี๋ยวซุปเย็นแล้วไม่อร่อย”

“ขอบคุณครับ”

พวกเขาทานมื้อเย็นง่ายๆ คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเหมือนทุกที พออิ่มดีแล้ว กวีก็เก็บชามไปล้างในอ่างล้างจานตามที่เสนอตัวไว้ตั้งแต่ทีแรก เขาคิดว่าตัวเองควรขยับตัวทำอะไรเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นคงอ้วนจนตัวระเบิดตายเป็นแน่

ระหว่างล้างจานอยู่ดีๆ จู่ๆ คนที่คิดว่ากำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะอาหารก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ และคว้าตัวกวีไปกอดจากทางด้านหลัง พร้อมกับวางคางบนไหล่

เดี๋ยวนี้พี่ลมไม่ต้องขอก่อนกอดอีกแล้ว

“จะเอาอะไรครับ”

“เปล่าครับ พี่แค่อยากกอดแฟนพี่เฉยๆ”

“...” กวีเอี้ยวตัวมองหน้าวายุเล็กน้อย พอสบเข้ากับสายตาวาววับแปลก นักเขียนหนุ่มจึงรีบหันกลับมาล้างจานต่อ

“มองทำไมครับ”

“มองเฉยๆ ครับ”

“อ้อ...นึกว่าจะห้ามไม่ให้กอด”

“...ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”

พอพูดจบประโยค มือแสนซุกซนของวายุก็เลื้อยมาลูบหน้าท้องกลมของกวี ก่อนเจ้ามือนั่นจะคว้าหมับเข้าที่ห่วงยางน้อยๆ และบีบเบาๆ

“เดียวมันบวมกว่าเดิมทำไง”

“ดีสิ พี่ชอบแบบนี้” พี่รถกับข้าวของกวีพูดเหมือนชื่นชอบเสียเต็มประดา แต่กวีก็ไม่สงสัยหรอก เพราะอีกฝ่ายก็ชอบดึงพุงเขาบ่อยๆ อยู่แล้ว

“ชอบของแปลกหรือไงครับ ใครๆ เขาไม่ชอบกันหรอกนะ”

“ไม่เห็นแปลกตรงไหน น่ารักดีออก พี่ชอบของพี่”

“อะไรก็น่ารักๆ มีพุงนี่เรียกว่าน่ารักเหรอครับ”

“อื้ม น่ารักที่สุดเลย ถ้าเป็นพุงของวี”

“แบบนี้แหละครับ เรียกว่าแปลก” กวีว่าพลางล้างจานต่อ

“แล้วถ้าพี่เป็นคนแปลกๆ วีจะยังชอบพี่ไหม” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เพราะกวีรู้สึกได้ว่าลมร้อนๆ ที่เป่ารดใบหูมันอยู่ใกล้กว่าเดิม

“พี่ลมถามอะไรเนี่ย” เพราะคำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยกับความรู้สึกวาบหวามเป็นพิเศษ ทำให้กวีต้องหันกลับมามองแฟนหนุ่มอีกรอบ

“ถามว่า ถ้าพี่เป็นคนแปลกๆ หรือคิดเรื่องแปลกๆ ในหัว วีจะยังชอบพี่อยู่หรือเปล่า”

“ก็ต้องชอบสิครับ” เขาตอบตามตรง

“ทำไมล่ะ”

“เพราะพี่ลมยังเป็นพี่ลมอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าความชอบของพี่ไม่ได้ทำให้ใครหรือแม้แต่ตัวของพี่เองเดือดร้อน ผมว่า...ก็ไม่เห็นเป็นไร”

“พูดแบบนี้มีแต่วีที่จะแย่นะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“ก็ต่อไปพี่จะทำอะไรแปลกๆ และวอแวกับเราไม่ไปไหนเลย ห้ามปฏิเสธแล้วก็บ่นว่ารำคาญด้วย”

“ฮ่ะๆ ๆ ทุกวันนี้พี่ลมก็วอแวกับผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ดูสิเนี่ย” กวีส่งสายตามาที่แขนของอีกฝ่ายซึ่งกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น

“อ้อ งี้แปลว่าอนุญาตมานานแล้วสิเนอะ”

“ก็...ไม่ได้ห้ามนี่ครับ” ประโยคนี้เขาพูดเสียงแผ่วลงกว่าเดิมเล็กน้อย

ทั้งที่กวีไม่คิดว่าตัวเองจะต้องอายอะไรแล้ว เพราะถูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงทุกวัน แต่พอต้องมาออกปากอนุญาตให้อีกฝ่ายทำตามใจเช่นนี้ ใบหน้ามันก็ชักจะร้อนๆ ขึ้นมา

“น่ารักที่สุด เจ้าก้อนตัวน้อยๆ ของพี่”

ไม่รู้คำอนุญาตอย่างเป็นทางการของเขาไปกระตุกต่อมไหนของพี่รถกับข้าวอีก เพราะเมื่ออีกฝ่ายได้ยิน ก็ยิ่งกอดแน่นและยิ่งเอาจมูกมาฟัดๆ แถวแก้มกับต้นคอจนกวีเกือบทำจานหลุดจากมือ

“พี่โล้ม!! ~ อย่าครับ ฮ่าๆ ๆ มันจั๊กจี้นะ!”

...แถมยังร้อนวูบวาบแปลกๆ ด้วย

“ก็วีอนุญาตแล้วไง”

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้สิ”

“ทำไมล่ะ”

“ผมล้างจานอยู่~”

“ฮ่าๆ ๆ โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว มาครับ พี่จะช่วยล้างเช็ดจานเก็บให้นะ”

พูดจบวายุก็ช่วยเช็ดและเก็บจานให้อย่างที่บอก พวกเขายืนเบียดกันหน้าหน้าเคาน์เตอร์เช็ดล้าง พูดคุยเรื่องไร้สาระกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่วายุกลับ แต่กวีกลับไม่ลืมความรู้สึกวาบหวามนั่นเลย

เราเป็นบ้าอะไรเนี่ย!

ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง เพราะใบหน้ามันคอยจะร้อนเมื่อคิดถึงสัมผัสเหล่านั้น

กวีพยายามสงบอารมณ์ ก่อนเดินไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตู เขารู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นเวลางานของตัวเองแต่อีกใจก็ยังอยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้หน่อย

แต่วายุไม่เคยยอมค้างคืนที่นี้เลยสักครั้ง แม้จะอยู่ด้วยกันดึกแค่ไหน กวีจึงจำใจให้อีกฝ่ายกลับเร็วอีกนิด ด้วยกลัวว่าดึกมากแล้วแต่เกิดอันตราย ส่วนเหตุผลที่ไม่ค้างนั้น...

“พี่จะรอให้วีพร้อมก่อน”

“พร้อมอะไรครับ”

“หึๆ เอาไว้ถึงเวลาที่พี่เห็นว่าเหมาะสม พี่จะบอกอีกทีนะ” วายุบอก ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กวีต้องกลับไปคิด “หรือถ้าวีเข้าใจว่ามีบางเรื่องที่แฟนเขาทำด้วยกันก่อนที่พี่จะบอก เราค่อยมาว่ากันอีกทีเนอะ”

กวีคิดปริศนาของวายุอยู่หลายวัน ค่อยๆ ไล่เรียงสิ่งที่คนรักต้องทำด้วยกันมีอะไรบ้าง จนไปถึงบางอ้อวันที่นั่งดูหนังด้วยกันแล้วเจอฉากร่วมรักของตัวเอก ตอนนั้นวายุหันมายิ้มให้เขานิดๆ แต่ไม่พูดอะไร ถึงอย่างนั้นกวีก็ไม่ได้ใสขนาดที่ไม่เข้าใจความหมาย

ตอนนี้กวีก็พอจะรู้แล้ว แต่แค่ไม่พูดออกไปเท่านั้น เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม...

ระหว่างที่เผลอเหม่อลอยไปนิด วายุก็หยุดหน้าประตูและหันมา “พี่กลับแล้วนะ”

“ขับรถดีๆ นะครับ”

“อื้ม” คนหน้าหล่อพยักหน้ารับ “เอาไว้พี่ถึงห้องแล้วจะส่งข้อความบอก เราก็อย่าอู้ล่ะ คิดนิยายตอนใหม่ไว้ได้แล้ว เผื่อเสร็จก่อนเสาร์อาทิตย์ พี่จะได้พาไปเที่ยว”

“ไปไหนครับ”

“ก็วีคิดถึงพ่อไม่ใช่หรือครับ พี่ก็เลยคิดว่าอยากชวนวีไปหาพ่อ”

“หืม? ...”

“พี่จะพาไปทำบุญ”

“เราจะไปทำบุญให้พ่อผมหรือครับ”

“ใช่แล้วล่ะ”

“...” กวีพูดไม่ออก

ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมดาและอีกฝ่ายก็พูดออกมาง่ายๆ แต่กวีกลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกินที่วายุคิดเผื่อให้เขาถึงขนาดนั้น

“ช่วงนี้ไม่ได้พาไปไหนเลย วันเสาร์นี้ร้านหยุดวันรัฐธรรมนูญอีก อยากไปไหม เสร็จแล้วจะพาไปหาของอร่อยกินด้วย”

“ไปครับ!”

ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อหรอก แต่ถ้าพูดเรื่องของอร่อย ถึงไม่ชอบออกจากบ้านขนาดไหน กวีก็ไม่กลัว แต่เพราะกวีตอบเร็วเกินไป พี่ลมของกวีจึงนึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาอีก

“เจ้าก้อนยุ้ย รีบตกลงเชียวนะ อยากกินขนมล่ะสิ” อีกฝ่ายว่าพลางบีบแก้มเบาๆ ไปครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเตรียมตัวลาจริงๆ “พี่ต้องไปแล้ว”

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

“อื้ม เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

กวีโบกมือลาคนรักหยอยๆ เขารอจนอีกฝ่ายเข้าลิฟต์ไปแล้วจึงเดินกลับเข้าห้องและตรงไปร่างงานเขียนเหมือนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะขยัน

ระหว่างเขียนในหัวก็นึกไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของตัวเองในช่วงนี้อีกครั้ง

ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปก็ใช่ว่าจะไม่ดี อันที่จริงมันดีมากเชียวล่ะ ชีวิตช่วงนี้ของกวีไม่เคยเงียบเหงา เพราะมีคนคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย และมีเพื่อให้คิดถึงเพิ่มขึ้นอีกคน

อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ จัง… เพราะถึงเวลาเขาจะได้ออกไปสร้างความทรงจำที่แปลกใหม่ให้ชีวิตพร้อมๆ กับคนรัก ชายหนุ่มคิดก่อนก้มหน้ามองกระดาษที่ว่างเปล่าของตัวเอง

“ต้องรีบทำงานแล้วสิ”










-------------------------------------------------------------------------







วันนี้เสนอตอน หนุบหนับกับพี่ลม 55555555

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณยังตามอ่านตอนต่อๆ ไปหลังจากนี้ 

พี่ลมจะเพิ่มโปรโมชั่นหนุมหนับเพิ่มเป็นสองเท่า

/ก้อนบอก แม่ครับ ทำไมลูกเปลืองตัวจังเลย

5555555555



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ค่ะ 

ฝนจะลงรัวๆ แล้วววว



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 19-11-2018 16:55:16
โอ๊ยยยย เบาหวานจะขึ้นมั้ยเนี่ย เขินจนตัวบิดแล้ว  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-11-2018 17:58:56
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 19-11-2018 18:23:54
เจ้าก้อนตัวน้อยๆ เจ้าก้อนยุ้ย
พี่ลมใช้สรรพนามแทนน้องได้น่ารักมุ้งมิ้งมาก งื้ออออ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 19-11-2018 20:02:09
ตอนนี้อ่านแล้วมันเขินๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-11-2018 20:45:43
อยากหนุบหนับน้องบ้างงงงงงงง
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-11-2018 20:56:45
พี่ลมกะจะขุนให้น้องอ้วนกลม
แล้วค่อยจะจับกินสินะ ร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-11-2018 21:35:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจ้าก้อนเนี่ย  เรื่องกินมาเป็นที่หนึ่ง  ไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-11-2018 05:58:52
55555 มีไม่อยากให้พี่กลับด้วย
แถมคิดถึงขั้นให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
บอกเลย พี่มาชัวร์ไม่ต้องห่วงเรื่องร้าน

วีเอ้ยย เรื่องกินขอให้บอก น้องไม่มีพลาด
ลมเอาใจใส่มาก ดูแลดีเวอร์ ทั่วถึงสามอวบด้วย
แหนะ มีกอด มีหอมนะ อีกไม่นาน คืบหน้าแน่

น่ารักมาก โมเมนท์แบบสบายๆ ไม่ได้หวาน แต่อบอวล
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 20-11-2018 17:05:45
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-11-2018 19:20:24
หมั่นเขี้ยวว อยากบีบพุงก้อนน  :z1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 16 [19/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-11-2018 22:46:17
อ่านแล้วแอบเขินเบาๆ พี่ลมไม่กล้าค้างเพราะกลัวอดใจไม่ไหวใช่ป่ะ :z1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 22-11-2018 19:18:13






บทที่ 17











ในที่สุดวันเสาร์ที่กวีรอก็มาเยือน เช้านี้พี่ลมมารับเขาแต่เช้า เพราะพวกเขาตกลงกันไว้ว่าจะไปใส่บาตรก่อนเข้าไปไหว้พ่อและทำความสะอาดโกฏิเก็บอัฐิ

วัดที่กวีไปทำบุญให้พ่ออยู่บนถนนบวรนิเวศ ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์เช่นนี้การจราจรไม่ติดขัดมากนัก แต่บริเวณหน้าวัดกลับคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาซื้อของทำบุญใส่บาตร ขณะรอพระ กวีได้ยินว่าเมื่อวานมีการอุปสมบทพระใหม่หลายรูป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้จึงมีคนมารอใส่บาตรมากกว่าทุกที

หลังพระออกบิณฑบาตแล้วกวีก็พาวายุหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าไปด้านในกำแพงวัด พวกเขาเดินเคียงกันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถึงจุดที่เก็บอัฐิของพ่อกวี

“นี่ครับ พ่อผม”

เมื่อกวีแนะนำ วายุก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะจ้องมองรูปซึ่งติดอยู่บนโกฏิพักใหญ่ จากนั้นอีกฝ่ายจึงหันมายิ้มให้เขา และเอ่ย

“หน้าวีคล้ายๆ คุณพ่อเลยนะ”

“ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น”

ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อใดที่ครอบครัวของกวีกลับไปพบปะญาติพี่น้องฝั่งพ่อ ทุกคนต่างก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากวีมีใบหน้าละม้ายคล้ายพ่อตอนหนุ่มๆ มาก

“แล้วพี่ชายวีล่ะ”

“พี่พันไม่เหมือนใครเลยครับ พี่พันเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง”

“จริงเหรอ!”

เห็นท่าทางวายุเชื่อเรื่องที่กวีล้อเล่นเสียสนิทใจ นักเขียนหนุ่มก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว

“ฮ่าๆ ๆ”

“หัวเราะทำไม อย่าบอกนะว่าเราหลอกพี่เล่น”

“หึๆ” กวีปาดน้ำที่หางตา แล้วเฉลยความจริง “ครับ ผมล้อเล่นเฉยๆ”

“เด็กไม่ดี” วายุคาดโทษ “ระวังให้ดี ถ้าเผลอเมื่อไหร่ พี่จะเอาคืน”

“โธ่...พี่ลมครับ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นสิ” คนขี้แกล้งเกาคางวายุเบาๆ เดี๋ยวเดียว นิ้วเรียวก็ถูกรวบเอาไว้ แล้วอีกฝ่ายก็กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“กลับบ้านไปโดนฟัดแน่”

“!!”

กวีทำตาโตก่อนกระโดดโหยงหนีคนขู่ จากนั้นจึงรีบหันไปจับไม้ปัดขนไก่ แล้วทำเฉไฉไปเรื่องอื่น

“เรามาทำความสะอาดกันเถอะครับ เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน”

“หึๆ” วายุหัวเราะในลำคอ “ก็ได้ครับ แต่พี่ไม่ลืมเรื่องเมื่อกี้หรอกนะ”

กวีไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่าอยู่เงียบๆ แล้วเรื่องจะจบเร็วที่สุด

...ก็พี่ลมน่ะขี้ลืมจะตาย ทำเป็นมาคาดโทษเขา แต่ความจริงตัวเองก็ชอบฟัด ชอบจั๊กจี้ให้เขาหัวเราะน้ำตาไหลอยู่เป็นประจำแท้ๆ

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไร้สาระได้นิดเดียว กวีก็ถูกความเศษใบไม้และฝุ่นละอองที่หน้าโกฏิของพ่อดึงความสนใจไปจนหมด เขาเอาไม้ปัดขนไก่มาปัดป้ายหินอ่อนอย่างที่เคยทำเสมอ ก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดป้ายสลักชื่อจนใสสะอาด

ทำความสะอาดเรียบร้อย ขั้นตอนสุดท้ายกวีก็เอาแจกันไปเปลี่ยนดอกไม้พร้อมวายุ จากนั้นพวกเขาจึงไหว้พ่อของนักเขียนหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมไปก่อนนะครับพ่อ เอาไว้วันหน้าจะมาหาใหม่ คราวนี้ผมจะลากพี่พันมาด้วย” กวีเอ่ยกับบิดาผู้ล่วงลับเบาๆ จากนั้นจึงหันมาพบกับวายุที่ยืนมองเขายิ้มๆ

“ถ้าพี่ชายวีไม่ว่าง ครั้งหน้าพี่จะมาด้วยใหม่ ดีไหม”

กวียิ้มเมื่อได้ยิน “ดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ”

“ครับ”

คนตรงหน้าส่งมือมาให้เขา กวีไม่ได้มองคนรอบข้าง เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจใครเลยจึงจะถูก เพราะชายหนุ่มเลือกยื่นมือออกไปหาวายุ ก่อนจะคว้าจับกันไว้มั่น

“หิวแล้วใช่หรือเปล่า” ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถด้วยกัน วายุก็เอ่ยถาม

“นิดหน่อยครับ”

“พี่ว่าไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง ตื่นมาออกแรงแต่เช้า แถมนี่ก็จะสิบโมงแล้วด้วย”

“หิวแบบพอทนได้ครับ ว่าแต่พี่ลมล่ะ หิวไหม”

“ก็หิวนะ เพราะเมื่อเช้าพี่ดื่มแต่กาแฟ ไม่ได้กินอย่างอื่นรองท้องมาก่อน”

“เป็นเพราะพี่ลมรีบออกมารับผมแน่เลยใช่ไหม” นักเขียนหนุ่มว่าอย่างรู้ทัน

“ใช่แค่ส่วนหนึ่ง”

“แล้วอีกส่วนล่ะครับ”

“พี่อยากกินข้าวพร้อมวีมากกว่า ก็เลยหิ้วท้องรอกินพร้อมกัน”

ทั้งที่รู้เต็มอกว่าอีกฝ่ายต้องทนหิวเพราะหิ้วท้องรอกินมื้อเช้าพร้อมเขา แต่กวีกลับห้ามให้ตัวเองยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของวายุ

“งั้นเรารีบไปที่ร้านกันนะ” กวีเอ่ย “ผมเองก็อยากกินพร้อมพี่เหมือนกัน”

“อื้ม”

พอพูดเสร็จก็ประจวบเหมาะกับที่พวกเขาเดินถึงรถพอดี กวีจึงช่วยวายุเก็บอุปการณ์ทำความสะอาดที่ขนมาจากบ้าน ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถโดยมีแฟนหนุ่มคนดีตามไปเป็นคนขับให้ ครั้นนั่งประจำที่ดีแล้ว วายุก็สตาร์ทเครื่องพร้อมพากวีเดินทางไปยังร้านที่เลือกไว้

















ร้านอาหารที่วายุพามาเป็นร้านอาหารไทยโบราณซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากโต๊ะที่พวกเขาจองไว้ สามารถมองเห็นสะพานพระราม 8 ที่วายุเคยเกือบพากวีเมื่อครั้งที่ไปกินข้าวร้านเจ๊ไฝ แต่บังเอิญว่าฝนตกเสียก่อนจึงพับโครงการไปอย่างน่าเสียดาย

“อยากกินอะไร วีสั่งได้เลยนะ”

“พี่ลมสิครับที่ต้องสั่ง ผมไม่เคยมากินข้าวที่นี่เลย ไม่รู้อะไรอร่อยบ้าง ให้พี่ลมเลือกให้ดีกว่า”

“เอางั้นหรือ”

“เอางั้นเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง”

“ถ้าอย่างนั้นพี่สั่งล่ะนะ แต่วีลองดูเมนูไปด้วย เผื่อมีอะไรที่อยากลองก็สั่งเสริมได้เลย”

“ตกลงตามนั้นครับ”

เมื่อตกลงกันได้แล้ววายุก็สั่งอาหารขึ้นชื่อของที่ร้านมาสองสามอย่าง มีไข่เจียวดอกโสน แสร้งว่า แกงรัญจวน ข้าวห่อใบบัว และมีอาหารเรียกน้ำย่อเป็นม้าฮ่อ

กวีมองรายการอาหารที่วายุสั่งเป็นข้าวเช้ารวมข้าวกลางวันแล้วก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก เพราะเห็นว่าอาหารมีหลายอย่างแล้ว ซ้ำพวกเขาพวกเขายังมากันแค่สองคน สั่งเยอะไปจะกินไม่หมดเอา

ระหว่างรออาหาร วายุก็ชวนกวีคุยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย ก่อนจะไปถึงเรื่องชวนเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันเป็นครั้งแรก

“วีอยากไปเที่ยวเชียงรายไหม”

“ทำไม่หรือครับ”

“บ้านป๊ากับม๊าพี่อยู่ที่นั่นด้วย เผื่อวีอยากไป พี่จะพาไปด้วยตอนวันหยุดปีใหม่” พูดถึงตรงนี้ วายุก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่วีมีงานต้องส่งหรือต้องเดินทางไปไหนหรือเปล่า”

“ผมนัดกับพี่พันไว้ว่าจะไปหาแม่ที่อเมริกาช่วงคริสต์มาสครับ”

“ลากยาวไปถึงปีใหม่หรือเปล่า”

“คิดว่าเป็นอย่างนั้นครับ เพราะไหนๆ ก็ได้ไปทั้งที คิดว่าพี่พันคงไม่กลับง่ายๆ แน่”

ทุกครั้งที่กวีเดินทางไปหาแม่ที่อเมริกา เขาก็มักจะอยู่นานเป็นสิบวันกว่าจะกลับ เพราะไหนๆ ก็เดินทางไปไกลถึงอีกซีกโลกแล้ว กวีก็อยากอยู่กับแม่ให้คุ้ม

“ว้า...น่าเสียดาย พี่คิดว่าวียังไม่มีนัดเสียอีก”

“พี่พันโทรมานัดได้สักพักแล้วครับ” กวีบอก “ผมก็เสียดายเหมือนกัน อดไปเที่ยวกับพี่ลมเลย”

คล้ายกับวายุเห็นว่ากวีทำหน้าหงอยๆ อีกฝ่ายจึงปั้นยิ้มให้และยืนยันว่าไม่เป็นไร พอได้เห็น กวีก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่รถกับข้าวดีกับเขามากเกินไปแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ นานๆ จะไปหาคุณแม่สักครั้ง เอาไว้กลับมาจากอเมริกาแล้ว เราค่อยหาวันว่างๆ ไปเที่ยวเชียงรายด้วยกัน”

“กลับมาจากเยี่ยมแม่แล้ว ผมจะเทคิวทั้งหมดให้พี่ลมคนเดียวเลย”

“แล้วเราจะยุ่งกับงานหรือเปล่า หรือเอาไปเขียนที่โน้นด้วย”

“ก็คงเอาไปเขียนด้วยครับถ้าเกิดไปหลายวัน แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้เขียนหรอก ทำนั่นทำนี่มากเกินไปก็หมดพลังแล้วล่ะ แถมไม่มีสมาธิด้วย”

“นั่นสินะ ไปเที่ยวทั้งทีต้องเที่ยวให้คุ้ม ต้องใช้เวลาอยู่กับคุณแม่มากๆ ให้หายคิดถึงด้วย” วายุเสริม ซึ่งก็ตรงกับความคิดของกวีพอดี

“ใช่ครับ ว่าแต่พี่ลมไปเยี่ยมป๊ากับม๊าที่เชียงรายบ่อยไหม”

“บ่อยอยู่นะ เพราะพี่ต้องไปทำงานด้วยบางที แต่หลายครั้งท่านก็ลงมาที่กรุงเทพฯ มาเยี่ยมลูกๆ บ้าง ไม่ก็มาช่วยเฮียดินดูแลงานน่ะ”

ก่อนหน้านี้วายุเคยเล่าให้กวีฟังว่าอีกฝ่ายมีพี่ชายอีกสองคน ชื่อดินกับน้ำ ครอบครัวทำงานเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกอาหารทะเล แต่พี่ลมของกวีค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น เพราะตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ไม่ยอมกลับมาช่วยงานที่บ้าน แต่หันไปทำรายการท่องเที่ยวกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันแทน

กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่พ่อกับแม่ขอร้องให้กลับมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไทย ลูกชายคนเล็กของบ้านจึงยอมทำตาม กระนั้น พี่ลมของกวีก็ริเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งก็คือร้านขายอาหารสดทางออนไลน์อย่างร้านพี่รถกับข้าวนั่นเอง

กวีแอบเห็นใจคนรักเหมือนกันที่ไม่ได้สานต่อสิ่งที่ตัวเองอยากทำกับเพื่อนๆ แต่พอคิดดูอีกที ใครจะว่ากวีเห็นแก่ตัวก็ได้ หากเขาก็คิดว่าดรแล้วที่พี่ลมกลับมาเปิดร้าน

ไม่อย่างนั้นกวีกับพี่ลมคงไม่ได้เจอกัน

เพราะกวีคิดไม่ออกว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์อย่างตัวเอง เช่นอยู่แต่บ้าน ไม่เที่ยว ไม่ชอบเดินทางไปไหน จะมีโอกาสได้พบเจอกับชายหนุ่มที่โลดแล่นไปมาไม่อยู่นิ่งราวกับสายลมได้อย่างไร

บางทีมันอาจเป็นโชคชะตา

...และโชคดีแล้วที่อะไรสักอย่างบันดาลให้เป็นอย่างนั้น

“อาหารมาแล้วล่ะ”

รออยู่ไม่นานอาหารที่สั่งก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ โดยเริ่มต้นที่ม้าฮ่อ

“เป็นไง อร่อยไหม” วายุถามเมื่อกวีจิ้มชิ้นแรกเข้าปาก

พอเคี้ยวและกลืนคำแรกลงไปแล้ว กวีจึงตอบ “อร่อยดีครับ สัปปะรดอมเปรี้ยวอมหวาน เข้ากับไส้ที่วางอยู่ข้างบน กินแล้วอยากอาหารเพิ่มเลยล่ะ”

“งั้นก็กินเล่นรองท้องไปก่อน เดี๋ยวค่อยลองชิมข้าวใบบัวกับแกงรัญจวนนะ พี่รับรองว่าอร่อยเข้ากันอย่าบอกใคร” อีกฝ่ายโฆษณาจนทำเอากวีแทบอดใจไม่ไหว

“พี่ลมทำผมอยากกินเลยเนี่ย”

“ฮ่าๆ รอแป๊บนึงสิครับ เดี๋ยวเขาก็มาเสิร์ฟ” อีกฝ่ายยิ้มเอ็นดู เหมือนมองเห็นกวีเป็นเด็กอ้วนผู้หิวโหย ก่อนจะส่ายสายตามองไปรอบๆ ร้าน “โชคดีที่เรามาตอนคนยังไม่เยอะ ไม่งั้นวีหิวแย่เลย”

“ปรกติร้านนี้คนเยอะเหรอครับ”

“ก็เยอะนะครับ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ แต่ก็นะ มันอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ยิ่งวันหยุดแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ่ายๆ คนคงมากันเต็มร้าน ข้าวเหนียวมะม่วงที่นี่อร่อยเสียด้วย”

“พี่ลมมาเจอร้านนี้ได้ไงกันนะ” นักเขียนหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะร้านนี้อยู่ลึกเข้ามาในซอยเล็กๆ ซึ่งถ้ามองผ่านๆ กวีก็ไม่คิดว่าด้านในจะมีร้านอาหารติดริมแม่น้ำอยู่ตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย

“ร้านนี้ค่อยข้างดังในหมู่ชาวต่างชาติน่ะครับ พี่รู้จักเพราะเคยเห็นในบล็อกของชาวต่างชาติและได้พาเพื่อนเข้ามาลองชิมนี่แหละ แล้วก็อร่อยสมชื่อจริงๆ พอกลับมาอยู่ไทยถาวรพี่ก็เลยได้มาบ่อยๆ”

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” กวีพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะวางส้อมในมือเมื่อจัดการม้าฮ่อชิ้นสุดท้ายแล้วเท้าคางมองคนรักรูปหล่อ “พี่รู้จักร้านอร่อยเยอะแยะแบบนี้ ต่อไปผมก็ไม่อดตายแล้ว”

“ไม่อดตายตั้งแต่ได้แฟนเป็นคนขายกับข้าวแล้วครับ” วายุบอกทั้งรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ นั่นสิเนอะ”

คุยเล่นกันอยู่ครู่เดียว อาหารจานอื่นๆ ก็ตามมาจนครบ กวีจึงหยุดพูดและลงมือกินตามที่วายุแนะนำ พอหมดอาหารคาว วายุก็สั่งข้าวเหนียวมะม่วงมาเป็นอาหารหวานตบท้าย พวกเขากินไป คุยไป ชมวิวริมฝั่งแม่น้ำไป กว่าจะอิ่มก็เที่ยงกว่าพอดี

วายุเสนอว่าจะพากวีไปเดินหลบร้อนที่พิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านนัก โดยนำรถไปจอดฝากไว้แถวๆ นั้น เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ก็จะออกมาไหว้พระวัดดัง และถ่ายรูปเล่นที่ใต้สะพานพระราม 8 ที่ที่ตั้งใจจะไปเมื่อครั้งก่อน



















จากเช้าถึงสาย จากสายถึงเย็นย่ำ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่พวกเขากำหนดไว้ทั้งหมด แต่มีแวะดื่มกาแฟที่ร้านเบเกอรี่ดังใกล้วัดโพธิ์ ทำให้กว่าจะออกไปถ่ายรูปเล่นที่สะพานก็ตกเย็นพอดี

ตอนแรกกวีคิดว่าวายุจะพาไปถ่ายรูปสะพานหรือท้องฟ้ายามเย็น แต่ไม่รู้ทำไปทำมา เหตุใดอีกฝ่ายกลับเอาแต่หันกล้องมาทางเขาและกดชัดเตอร์รัวๆ ไม่เลิกก็ไม่รู้

ตอนแรกกวีก็เขินและทำตัวไม่ถูกอยู่มาก เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกถ่ายรูปไปทุกอิริยาบถแบบนี้ แต่พอวายุบอกว่า

“ทำตัวตามสบายๆ ครับ ให้คิดว่าไม่ใช่กล้อง แต่เป็นพี่ที่มองผ่านเลนส์ไปหาวี กวีจึงคลายความรู้สึกประหม่าลงได้มาก

หลังจากถ่ายรูปจนพอใจ ดวงตะวันก็ใกล้จะลับขอบฟ้าลงทุกที วายุพากวีเดินเลียบริมแม่น้ำไปหาที่นั่งพักดูพระอาทิตย์ ก่อนจะเอารูปมาให้ดูว่ากวีชอบไหม

“พี่ชอบถ่ายรูปเหรอครับ”

“อืม...ก็คงใช่ครับ แต่พี่ไม่ได้นักถ่ายมืออาชีพอะไรหรอกนะ แค่อยากเก็บรูปไว้ดูว่าเคยไปไหนกับใครมาบ้างเท่านั้นเอง”

บร็็บร

“แบบนี้ก็แสดงว่าที่บ้านพี่ลมมีรูปที่ถ่ายสถานที่ต่างๆ เอาไว้เยอะเลยสิ”

“ก็เยอะอยู่นะ อยากดูไหม”

“อยากครับ”

“เอาไว้ไปดูที่ห้องพี่นะ”

“ครับ” กวีพยักหน้า ก่อนจะทอดสายตามองเรือขนสินค้าแล่นผ่านไปอย่างเชื่องช้า “ดีจังเลยนะครับ ผมชอบดูอะไรต่อมิอะไรในอินเตอร์เน็ตเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ไปหรอก ส่วนใหญ่จะติดขี้เกียจออกจากบ้าน”

“ถ้าได้เห็นของจริง วีจะมีแรงฮึดอยากออกจากบ้านนะ เพราะมันต่างจากสิ่งที่วีเห็นผ่านจอคอมพิวเตอร์เยอะเลยล่ะ ถึงการออกจากบ้านจะร้อน จะเหนื่อย แต่พี่ว่ามันคุ้มนะ แต่อันที่จริง พี่ว่าที่วีไม่ชอบไปเที่ยวไหน เพราะวีไม่มีเพื่อนไปมากกว่า”

“อืม...นั่นก็อาจจะส่วนหนึ่งครับ”

เพราะกวีเป็นพวก ไปแล้วกินให้อิ่มก็กลับมานอนตีพุงอยู่ที่บ้าน ไม่มีใครชักชวนให้ดูนั่นดูนี่หรือดื่มด่ำไปกับสิ่งรอบกาย เขาจึงรู้สึกเฉยชาและไม่กระตือรือร้นกับการออกไปไหนมาไหนเท่าไหร่

“แต่ตอนนี้วีมีพี่แล้วนะครับ”

“หืม?”

“ต่อไปพี่จะไปเป็นเพื่อนวีทุกทีเลย พาวีไปเห็นอะไรหลายๆ อย่าง วีจะได้มีไอเดียเขียนหนังสือได้เยอะๆ ไงครับ” คำเชิญชวนนี้ดูน่าสนใจจนกวีเองก็รู้สึกอยากไปขึ้นมาบ้างแล้ว

“พูดถึงไอเดียเขียนงาน ผมว่าก็เป็นความคิดที่ดีนะ”

“ใช่ไหมล่ะ พี่ว่าได้เห็นอะไรเยอะๆ วีต้องปรับใช้กับงานตัวเองได้แน่ๆ”

“แบบนี้เรียกว่าเที่ยวอย่างมีประโยชน์ได้เลยนะครับ”

“ใช่แล้วล่ะ แต่อันที่จริง พี่ก็หวังว่าวีจะได้เที่ยวอย่างมีความสุข แล้วก็...”

พออีกฝ่ายเว้นไป กวีจึงเร่งถาม

“แล้วก็อะไรครับ”

“แล้วก็อยากให้การเดินทางของเราเป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ ของวีด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นการเดินทางสั้นๆ ก็เถอะ”

ได้ยินสิ่งที่วายุวาดหวังไว้กวีก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความจริงคำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่กวีเพิ่งคิดได้ว่า ตลอดเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาเริ่มคบกัน หรือแม้แต่ตอนที่รู้จักกันแรกๆ วายุก็ขยันทำให้เขายิ้มได้เสมอ

“พี่ลมของผมเนี่ย นอกจะจากใจดีแล้ว ยังน่ารักที่สุดเลย”

“ถ้าน่ารัก แล้วรักพี่ไหมครับ”

ขณะกำลังอบอุ่นหัวใจกับสิ่งที่วายุทำให้อยู่ดีๆ ประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็ทำเอากวีต้องใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

“...ทำไมอยู่ๆ มาถามล่ะครับ”

“ก็พี่อยากรู้นี่ครับ” วายุยิ้ม

“...”

กวีหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ เขาเสมองออกไปที่ขอบฟ้าแก้เขิน เวลานี้ดวงอาทิตย์ลาลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความมืดโรยตัวเชื่องช้า แสงไฟสีนวลโดยรอบค่อยๆ ถูกเปิดขึ้นทีละดวง ทีละดวง

“...จู่ๆ จะถาม ก็ถามขึ้นมาดื้อๆ ได้เหรอครับ”

“ก็พี่อยากรู้นี่ครับ” ครั้นหันกลับมามองคนข้างกายอีกที เขาเห็นดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ “ถือว่าเป็นรางวัลที่พี่พาเที่ยวก็ได้”

“งั้นก็หลับตาก่อน แล้วผมจะให้รางวัล

“ถ้าหลับตา พี่ก็ไม่เห็นตอนวีพูดน่ะสิ”

“ไม่งั้นผมไม่พูดนะ”

เมื่อได้ยิน วายุก็ไม่อาจต่อรองได้อีกต่อไป เขาหลับตาลงตามคำสั่งของกวี และนั่งนิ่งราวรูปสลักเพื่อรอคอยคำตอบ

กวีจับตามองวายุอยู่สักพัก เขาปล่อยให้เสียงลมหวีดหวิวทำหน้าที่คั่นกลางระหว่างหัวใจที่เต้นดังจนปกปิดไม่ไหว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ขยับกายเข้าไปใกล้คนรักซึ่งนั่งหลับตาอยู่ที่เก่า

และแตะจมูกลงบนแก้มของวายุดังฟอด

อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาทันทีที่ถูกหอมแก้ม พี่ลมของเขาลืมตาและหันมามองหน้าท่าทางไม่เชื่อว่ากวีจะใจกล้าหอมแก้มตนเองก่อน

กวีเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงใจกล้าแบบนั้น แต่พอได้เห็นแก้มของพี่รถกับข้าวมีสีเลือดฝาดขึ้นมาระเรื่อๆ เหมือนกัน นักเขียนหนุ่มก็รู้สึกพอใจขึ้นมา

“ทำหน้าแบบนั้นทำไมครับ”

“ก็วี...วีหอมแก้มพี่นี่” วายุพูดอย่างติดขัด

“เป็นรางวัลของพี่ไงครับ” เว้นไปนิด กวีจึงเอ่ยทั้งที่ยังเขินด้วยน้ำเสียงทะเล้น “แบบนี้พี่พอโอเคไหม”

“โอเคครับ โอเคที่สุดเลยครับ”

...แลกกับความเขินนิดหน่อย ถ้าพี่ลมโอเค ผมก็โอเค







--------------------------------------------------------







หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 22-11-2018 19:21:13




บทที่ 18













“พี่ลม”

[วี วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะครับ]

“อ้อครับ...ว่าแต่ตอนนี้พี่ลมยุ่งอยู่หรือเปล่า”

[ไม่ยุ่งครับ คุยได้ พี่กำลังแต่งตัวจะลงไปเปิดร้าน วีมีอะไรหรือเปล่าวันนี้โทรหาพี่แต่เช้า]

“คือผมจะโทรมาบอกว่า ปีใหม่นี้ผมไม่ได้ไปอเมริกาแล้วนะครับ”

[อ้าว ทำไมล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ไหนเล่าให้พี่ฟังเร็ว]

ได้ยินเสียงที่ส่งผ่านความเป็นห่วงมาเต็มเปี่ยม กวีจึงต้องรีบเล่า ด้วยกลัวจะทำให้วายุเข้าใจผิดว่าที่บ้านของกวีกำลังมีปัญหา

“คือพอดีแม่กับเดวิดจะไปเที่ยวมัลดีฟกันน่ะครับ แล้วจะมาที่ไทยช่วงหลังปีใหม่ ผมก็เลยไม่ได้ไปแล้ว นี่พี่พันเพิ่งโทรมาบอกเมื่อเช้า ดีนะที่ยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินกัน”

[อ้อ อย่างนี้นี่เอง]

“แต่จริงๆ ที่โทรมา เพราะจะถามพี่ลมว่า พี่ลมยังจะไปเชียงรายอยู่ไหมครับ”

หลังจากที่กวีได้เดินทางไปเที่ยวตรงนั้นเที่ยวตรงนี้ในกรุงเทพฯ กับวายุหลายครั้ง นักเขียนหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดเกี่ยวกับการเดินทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกสนุกทุกครั้งที่มานั่งวางแผนกันว่าต่อไปจะลองไปกินร้านอาหารไหน หรือไปดูไปเห็นสิ่งใหม่ด้วยกันที่ไหนอีก ทำให้กวีรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ต้องปฏิเสธทริปไปเที่ยวบ้านคนรักที่เชียงราย

[ไปสิ วีอยากไปกับพี่ไหม]

“อยากไปครับ”

[ดีเลย ม๊าต้องดีใจแน่ๆ ที่พี่พาวีเข้าบ้าน]

“ทำไมล่ะพี่ลม”

[ก็พี่เล่าเรื่องวีให้ม๊าฟัง เขาก็เลยอยากเห็นวีจะแย่ นี่เมื่ออาทิตย์ก่อนเข้ามากรุงเทพฯ กับป๊า เขาเกือบบุกไปหาวีที่ห้องตอนเย็นพร้อมพี่แล้วนะ แต่พอดีต้องบินกลับเชียงรายกะทันหัน ก็เลยไม่ทันได้ไป]

“อ้อ...พี่ลมพูดแบบนี้ผมตื่นเต้นเลยครับ”

กวีไม่ค่อยได้เข้าหาผู้ใหญ่บ่อยนัก และเขาไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของคนรักเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินว่าฝั่งนั้นอยากเจอตัว จึงเป็นเรื่องปรกติที่กวีจะรู้สึกประหม่าและทำอะไรไม่ถูก

[ไม่ต้องกลัวนะ คนที่บ้านใจดีทุกคน โดยเฉพาะม๊ากับป๊า อีกอย่าง พี่เชื่อว่าถ้าเขาได้เจอวี เขาต้องชอบวีแน่ๆ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ทำไมพี่ลมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

[เพราะพี่รู้จักพวกเขาดีไงล่ะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวนะครับ]

เมื่อได้รับคำยืนยัน กวีก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“ครับ”

หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค กวีก็ปล่อยให้วายุไปเปิดร้าน ส่วนตัวเองก็โทรไปหาบก.คนสวยเพื่อคุยกันเรื่องคิวลงงานช่วงปีใหม่ให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง

[ความจริงพี่มีโปรเจคปีใหม่มาเสนอ]

“โปรเจคอะไรครับ”

[โปรเจคเรื่องสั้นวันปีใหม่ที่ทางเว็บไซด์จะให้นักเขียนลงพร้อมกันน่ะ]

“อ๋อ วันก่อนที่เข้าไปรับเช็ก คุณพศินเขาเล่าให้ฟังแล้วครับ”

[แล้วสนไหม]

“ก็สนอยู่นะ แต่ปีนี้คงไม่รับดีกว่าครับ”

[อ้าว! ทำไมล่ะ]

เจนจิราถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะปรกติกวีไม่เคยปฏิเสธงานของทางเว็บไซด์เลยสักครั้ง เพราะเจ้าก้อนเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่เขียนหนังสือเป็นงานประจำ

“พอดีผมต้องไปต่างจังหวัดน่ะครับ ที่โทรมาเพราะจะบอกว่าก่อนสิ้นปีจะส่งนิยายให้พี่เจนดูล่วงหน้าสองสามวัน เราจะได้แก้กันก่อนผมเดินทาง”

[ว้าว! ~ ขยันขนาดนั้นเชียว นี่เราจะไปเที่ยวไหนล่ะ]

“ไปเชียงรายครับ”

[คุณแม่มาช่วงคริสต์มาสเหรอ] บก.สาวถามด้วยความเคยชิน เพราะทุกๆ ปีแม่ของกวีจะมาหานักเขียนหนุ่มในช่วงนี้

“ไม่ใช่ครับ ไปกับพี่ลม”

[หืม? พี่ลม? ใช่คนที่มารับในงานแจกลายเซ็นนั่นหรือเปล่า]

“จำได้ด้วยเหรอครับ” แม้จะผ่านไปสักพัก แต่ความจำของเจนจิราก็ยังคงเป็นเลิศ

[จำได้สิ ว่าแต่เราไปกับเขาสองคนเหรอ]

“ครับ”

[แปลกแฮะ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยเห็นไปไหนมาไหนกับใครนอกจากพี่พันและคุณแม่]

“ช่วงนี้ผมก็ไปไหนมาไหนกับพี่ลมบ่อยนะ”

[ไม่ได้ไปคอนโดแกแค่แป๊บเดียว พี่มีอะไรต้องอัพเดตหรือเปล่า]

หญิงสาวตั้งข้อสังเกตตามที่สงสัย ซึ่งกวีก็ตัดสินใจยอมบอกออกไปตามตรง เพราะไม่รู้ว่าควรปิดบังพี่สาวคนสนิททำไม

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เอ่อ...แค่ผมเป็นแฟนกับพี่ลมแล้ว...เท่านั้นเอง”

[ห๊า!!! เป็นแฟนกันแล้ว!!]

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะพี่เจน หูจะแตกแล้ว” เพราะไม่รู้ว่าบก.คนสนิทจะตกใจถึงขนาดนั้น กวีจึงไม่ทันเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู

[ไม่ให้ตกใจได้ไง ก็แกเป็นแฟนพี่หล่อนั่นแล้ว แถม...แถมพี่เขาเป็นผู้ชายด้วยนะก้อน!]

“คนชอบกันไม่เกี่ยวกับเพศนี่ครับ” กวียืมคำพี่ชายมาใช้

[ฉันเข้าใจ...แต่ก็อดตกใจไม่ได้นี่ คนไร้สังคมแบบแก แต่มีแฟนก่อนฉัน คิดแล้วจะร้องไห้ ฮือ~]

“ตกลงพี่ตกใจที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย หรือตกใจเพราะผมมีแฟนก่อนพี่กันเนี่ย”

[ทั้งหมดนั่นแหละ!] เจนจิราตอบอย่างเกรี้ยวกราด

“ฮ่าๆ ๆ”

[ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะเลยนะ ฮือ~ น้องชายตัวกลมๆ ของฉันมีแฟนแล้ว ฉันยังซิงอยู่เลย] ยิ่งพูด เจนจิราก็ยิ่งอยากร้องไห้

“ผมก็ยังซิงนะครับ!”

[แต่คงอีกไม่นานหรอกใช่ไหมล่ะ จะไปค้างต่างจังหวัดด้วยกันแล้วนี่ เตรียมตัวเตรียมใจไปให้ดีๆ เถอะไอ้ก้อน ถุงยงถุงยางกับของที่ต้องใช้น่ะ อย่าให้ขาดสักอย่างเชียว]

“พี่เจ้น!! พูดอะไรของพี่กันเนี่ย เป็นผู้หญิงแท้ๆ นะครับ”

[แกจะบอกว่าฉันหน้าไม่อายงั้นสิ แต่ฉันพูดจริงนะ]

“รู้แล้วครับว่าพูดจริง ไม่ต้องยืนยันก็ได้น่า”

[ต้องย้ำให้จำไว้ แกจะรักจะชอบใครไม่ว่าหรอก แต่ต้องรู้จักเซฟตัวเองด้วย ยิ่งไม่เคยมีประสบการณ์ ต้องศึกษาเอาไว้บ้างรู้ไหม]

แม้จะเป็นเรื่องน่าอายแค่ไหน แต่เจนจิราก็ต้องพูด เพราะเห็นกวีเป็นน้องชายคนสำคัญ ดังนั้นเธอจึงอยากให้กวีระวังตัว ยิ่งคนที่ไม่เคยเปิดรับใครแบบกวีดันมาตกร่องปปล่องชิ้นกับพ่อหนุ่มหล่อที่เจอกันได้ไม่นาน เจนจิรายิ่งเป็นห่วงมากขึ้น

เพราะความหล่อน่ะ ไม่มีได้ช่วยให้แยกแยะคนดีและคนไม่ดีออกจากกันได้หรอกนะ...

และกวีเองก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่เจนจิรามอบให้ เขาจึงตอบแทนเธอด้วยการจำทุกอย่างใส่ใจ และขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ผมรู้แล้วครับ ผมจะระวังตัว ขอบคุณนะพี่เจน”

[อืม] เธอรับคำ ก่อนจะถามซ้ำ [แล้วตกลงไม่รับงานจริงๆ ใช่ไหม พี่จะได้บอกคุณพศินได้ถูก]

“ทำไมต้องบอกคุณพศินด้วยครับ”

[ก็เขาถามมา คงอยากรู้น่ะ อีกอย่าง คุณพศินชวนเรามากินเลี้ยงปีใหม่ที่สำนักพิมพ์ด้วยนะ]

“วันไหนครับ”

[วันที่ 29]

“อืม...ผมอาจจะต้องเดินทางเช้าวันที่ 30 เพราะงั้นคงไปไม่ได้ ยังไงฝากพี่เจนขอโทษคุณพศินด้วยนะ”

จากที่เคยคุยกันไว้คร่าวๆ วายุจะเดินทางออกจากรุงเทพฯ แต่เช้าวันที่ 30 ธันวาคม เพื่อไปถึงตอนเย็น วันที่ 31 ธันวาจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเพื่อเตรียมตัวเคาน์ดาวน์ทั้งวัน

[ก็ได้ พี่จะบอกคุณเขาให้หมด พร้อมกับเอาน้ำใบบัวบกไปให้อีกสองแก้วด้วย] ประโยคหลังเธอบ่นพึมพำกับตัวเองประโยคหลังเธอบ่นพึมพำกับตัวเอง และกวีก็ไม่สนใจฟังเท่าไหร่

นักเขียนและบก.พูดคุยกันเรื่องงานที่จะเอาลงก่อนปีใหม่ต่ออีกเล็กน้อย ก่อนกวีจะวางสายและเตรียมเขียนโครงอย่างละเอียดในตอนที่จะเขียนต่อไป

ช่วงนี้เขาต้องตั้งใจทำงานหน่อย จะได้ไปเที่ยวกับพี่ลมโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก























หลังจากโหมงานมากว่าสองอาทิตย์ ในที่สุดกวีก็มีสต็อกนิยายเผื่อไปถึงหลังปีใหม่กว่าสองตอน และสามารถไปเที่ยวได้โดยไม่มีภาระให้กังวล ติดแค่ว่าชายหนุ่มแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองดีๆ เลย ช่วงนี้คนตัวกลมจึงผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาก็คล้ำเป็นหมีแพนด้า เดือดร้อนวายุต้องคอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำไม่ขาด

“เราจะใส่ชุดไหนบ้าง ที่แขวนไว้ตรงนี้คือเอาไปหมดใช่ไหมครับ”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มถามขึ้นอย่างอ่อนโยน กวีที่นอนคว่ำหน้าหมดสภาพอยู่บนเตียงจึงปรือตามอง เขาเห็นวายุยืนถือเสื้อผ้าซึ่งตั้งใจจะเก็บพับใส่กระเป๋าไว้ในมือ กวีจึงต้องรีบลุกขึ้นมาแย่งไปเก็บแทน

“เดี๋ยวผมเก็บเองครับ”

“ไม่เป็นไร เรานอนเถอะ พี่ช่วยเก็บให้เอง”

“งั้นช่วยกันดีกว่านะครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ไง”

“มาสิ”

วายุยื่นเสื้อผ้าให้กวีถือ ส่วนตัวเองก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาให้จากใต้เตียง ทว่ากวีดันลืมไป ในกระเป๋าใบใหญ่มีของเครื่องมือป้องกันตัวที่จะให้วายุเห็นตอนนี้ไม่ได้

“เดี๋ยวครับพี่ลม!”

ทว่า...มันไม่ทันเสียแล้ว...

“นี่อะไรครับ”

ของสิ่งนั้น ของที่ไม่ตั้งใจให้วายุเห็น เวลานี้มันกลับเปิดเผยต่อสายตาแฟนหนุ่มของกวีเสียแล้ว…

“...เอ่อคือ”

“ถุงยางกับเจลหล่อลื่น?”

“ผม...เอ่อ...”

กวีได้แต่พูดไม่ออกอยู่ที่เก่า หรือจะสรุปง่ายๆ คือ เขาตัวแข็งจนกลายเป็นหินไปแล้ว...

กระทั่งคนที่จับกล่องถุงพลิกไปพลิกมาราวกับมันน่าสนใจนักหนาเงยหน้าขึ้นมาตาเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก กวีจึงเปลี่ยนจากก้อนหินระเหิดหายกลายเป็นไอ

“นี่ของวีใช่ไหมครับ”

“...ครับ” กวีตอบเบาราวกับกระซิบและก้มหน้าจนคางชิดอก เพราะไม่กล้าสู้สายตาของคนตรงหน้า

แต่คนที่ทำให้กวีอายกลับทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กัน ก่อนจะเอาเจลหล่อลื่นกับกล่องถุงยางอนามัยทั้ง 2 ขนาดลงกระเป๋า จากนั้นจึงค่อยๆ ถอดเสื้อจากไม้แขวนมาพับใส่ทับลงไปทีละชิ้น ทำราวกับไม่มีอะไรให้กวีต้องอาย

“ไม่ต้องเขินหรอกนะ พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“แต่...” กวีเงยหน้ามอง แต่พอเจอสายตาซึ่งคล้ายกับคอยจ้องมาที่เขาก่อนแล้ว คนใจกล้าก็ใจหดลงอีกรอบ

“แต่อะไรครับ”

“...แต่ผมก็ยังเขินอยู่ดี”

“หึๆ” วายุหัวเราะ แล้ววางเสื้อที่พับแล้วชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า ก่อนขยับเข้ามาชิดจนลมหายใจร้อนๆ เป่ารดขมับของกวี “ต่อไปจะมีเรื่องที่ทำให้วีต้องมากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะงั้น...นอกจากเตรียมตัวแล้ว วีต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ”

“พี่ลม!” กวีแหว

ตอนแรกเขาคิดไม่ออกว่าตัวเองจะเขินไปกว่านี้ได้อย่างไร แต่พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ กวีก็แทบอยู่ไม่ไหว อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเพราะเขินจะตายอยู่แล้ว

“หึๆ ก็พี่พูดจริงนี่”

“ก็รู้ว่าพูดจริง แต่ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ โถ่...ตัวผมร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มฟุบหน้าลงกับเข่าหนีอาย เขาคงต้องทำใจสักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นสู้หน้าวายุได้อีกหน ก็ใครใช้ให้โป๊ะแตกถูกจับได้ว่าเตรียมตัวไปเป็นของอีกฝ่ายพร้อมสรรพขนาดนี้เล่า

แต่ขณะที่กวีก้มหน้างุดๆ วงแขนแกร่งของคนข้างกายก็รวบเขาไปทั้งร่าง จนกวีย้ายไปกึ่งนั่งตักกว้างของวายุ ก่อนวายุจะหอมๆ ฟัดๆ ที่หัวเขาราวกับหมั่นเขี้ยวมันเสียเต็มประดา

กวีปล่อยให้ตัวเองถูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่พักใหญ่ โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาตอบโต้อะไรแม้แต่น้อย เดี๋ยวเดียววายุก็หยุดแกล้งและกอดเขาไว้เฉยๆ

“จะไม่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับพี่จริงๆ หรือครับ”

“ตอนนี้ไม่ครับ ผมยังไม่พร้อม”

“แต่พี่ไม่ล้อแล้วจริงๆ นะ”

“ขอผมทำใจก่อน” กวีตอบเสียงอู้อี้

“โอเคๆ งั้นพี่ไม่รบเร้าเราแล้ว แต่ขอกอดไว้แบบนี้นะ”

สิ่งที่ขอ หาใช่สิ่งที่ยากเกินจะให้ กวีจึงตอบตกลงไปส่งๆ

“...อื้ม”

“อ้อ แล้วก็นะ พี่มีเรื่องจะบอกเราล่ะ”

“อะไรครับ” กวีว่าอย่างรอคอยคำตอบ

“พี่จะบอกว่า ที่วีเตรียมตัวไว้น่ะ พี่ดีใจสุดๆ เลยนะ อันที่จริงก็ไม่ได้จะเร่งหรอก อยากรอให้พร้อมเหมือนที่เคยบอก ถ้าไปคราวนี้วีไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น พี่ก็จะไม่ทำ”

“...” กวีฟังเงียบๆ ไม่ได้ขอให้รอหรือบอกว่าตัวเองพร้อม

และดูเหมือนวายุเองก็ไม่ต้องการคำตอบจากกวีเช่นกัน สิ่งที่เขาต้องการคงมีแค่บอกเล่าเรื่องที่อยากพูดออกมาเท่านั้น

“แต่พี่ต้องขอโทษวีอย่างหนึ่ง”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องของที่วีซื้อมา พี่คงใช้ให้ไม่ได้”

กวีโตป่านนี้แล้ว เรื่องที่ต้องป้องกัน เขารู้โดยไม่ต้องมีคนคอยเตือนก็ได้ แต่การที่วายุบอกว่าจะไม่ใช้ แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ...กวีนึกสงสัย จึงค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากเข่า

“ทำไมล่ะครับ ของแบบนี้ต้องป้องกันนะ มันไม่ใช่เรื่องของความไม่ไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ”

“เดี๋ยวๆ พี่ว่าวีเข้าใจผิดแล้ว”

“หืม? เข้าใจผิดอะไรครับ”

“ก็เรื่องที่จะใช้หรือไม่ใช้ไง”

“แล้วพี่ลมจะพูดอะไรกันแน่”

“พี่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ใส่ แต่ที่ใช้ของวีไม่ได้ เพราะถุงที่วีซื้อมาเผื่อพี่...” วายุเว้นระยะ ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบชิดใบหูกวี “มันเล็กกว่าของพี่น่ะ พี่ใส่ไม่ได้”

พูดจบกวีก็เห็นคนรักของเขายิ้มมุมปาก ยิ้มอย่างที่ทำให้เขาต้องร้อนผ่านตั้งแต่ใบหน้าไปถึงใบหู

“ผมคุยกับพี่ไม่ได้แล้ว!!”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะร่วน

คนโกหก!! ไหนบอกจะไม่ล้อแล้วไงล่ะ

กวีได้แต่กรีดร้องในใจ และตั้งใจว่าจะไม่มองหน้าคนขี้แกล้งจนกว่าจะกินข้าวเย็น!








------------------------------------------------------------







ที่บอกว่าจะลงรัวๆ คือจะลงรัวๆ จริงๆ นะคะ

เตรียมตัวไว้ให้ดี 55555



ปล. ส่วนคำผิดฝนจะขอมาอีดิทฉบับบรีไรต์อีกครั้งนะคะ



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 22-11-2018 21:03:49
เจ้าก้อนพลาดตรงที่ไม่รู้ไซซ์พี่ลมสินะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-11-2018 21:10:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

เตรียมพร้อมกับการเสียตัวเสียซิงสุดขีด แต่ดันลืมศึกษาขนาดของสิ่งนั้น  จึงซื้อมาผิดไซส์  โถ ๆ น่าสงสารจัง เสียของเลย  อิอิ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-11-2018 21:34:28
อิจฉาน้องก้อน แฟนดูแลดีมากกกกก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-11-2018 22:36:36
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-11-2018 23:22:47
น้องก้อนนน หนูไม่กลัวเลยเหรอลูกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 22-11-2018 23:50:13
แค่อ่านยังเขินตามเจ้าก้อนเลย  :o8: :impress2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 17-18 [22/11/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-11-2018 11:35:18
อย่าแกล้งก้อนนนน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-11-2018 21:18:06







บทที่ 19









วันเดินทางวายุไปรับกวีที่บ้านและออกจากกรุงเทพฯ เช้าเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาตั้งใจขับรถไปจึงต้องรักษาเวลาสักหน่อยเพื่อจะได้ไปถึงเชียงใหม่ได้ค่ำนัก

ทีแรกวายุตั้งใจจะพากวีตรงไปเชียงรายเลย แต่พอได้ยินน้องบอกว่าไม่เคยไปเชียงใหม่เลยสักครั้ง ผู้ชายที่อยากรั้งตำแหน่งแฟนดีเด่นอย่างวายุจึงตัดสินใจค้างคืนที่เชียงใหม่วันที่สามสิบ ช่วงสายของวันที่สามสิบเอ็ดจะได้พาน้องตระเวนเที่ยวบางสถานที่ในเชียงใหม่ ก่อนขับรถมุ่งหน้าไปเคาน์ดาวน์ที่เชียงรายกับครอบครัว

“ได้เดินทางออกจากจังหวัดทั้งที เราต้องใช้เวลาให้คุ้ม” วายุบอกกับน้องแบบนั้น และกวีก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้าหงึกหงักอย่างน่ารักเหมือนเก่า

“เอาตามที่พี่ลมเห็นดีเลยครับ”

ยิ่งพอบอกทำตามที่เขาเห็นดี วายุก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ไกด์กิตติมศักดิ์อย่างสุดฝีมือให้น้องประทับใจ เผื่อว่าจะมีโอกาสได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันอีกบ่อยๆ

ก่อนเดินทางข้ามภาค วายุพกขนมและน้ำใส่ตะกร้าปิ๊กนิค หมอนรองหลัง เบาะรองคอ และผ้าห่มนิ่มๆ เอาไว้คลุมขาเผื่อแอร์หนาว หรือแม้กระทั่งเตรียมลิสต์เพลงสบายๆ เอาไว้ฟังระหว่างนั่งรถ เขาก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้กวีไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังดูร้านอาหารระหว่างทางเผื่อเวลากลางวันเอาไว้ด้วย

“พี่ลมเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ ทั้งที่ไม่ต้องทำขนาดนี้แท้ๆ” คนพูดว่าพลางมองดูขนมในตะกร้า

พอได้ยินคำชมกับสิ่งที่ทุ่มเทตั้งใจทำให้ คนทำก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม

“แล้ววีชอบไหมครับ”

“ชอบสิครับ ถูกเอาใจขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ”

“ถ้าชอบก็ดีแล้ว เอาไว้ค่อยรวมเป็นรางวัลใหญ่ให้พี่ทีเดียวเนอะ” เขาว่าพลางยิ้มอย่างมีเลศนัยส่งไปให้ และพอทำเช่นนั้น วายุก็ได้เห็นคนค้อนวงใหญ่

“นี่พี่ลมทำเพื่อหวังผลหรือครับ”

“แล้วเรายอมให้พี่หวังหรือเปล่าล่ะ”

วายุพูดทีเล่นทีจริง เพราะอยากแกล้งให้คนข้างๆ เขินเล่น ไม่ได้คาดหวังว่าน้องจะต้องตอบอะไร แต่กวีก็คือกวี คนที่ชอบทำให้เขาประหลาดใจและตกหลุมรักได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“...ก็อาจจะหวังได้อยู่มั้งครับ”

“ชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”

วายุยื่นมือข้างหนึ่งไปฉวยมือของกวีมากุมไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างนึกหมั่นเขี้ยว นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังขับรถ เขาจะจับเจ้าก้อนตัวน้อยมาฟัดให้หนำใจเชียว

“ทำอะไรครับ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย”

“ก็ทำให้พี่หมั่นเขี้ยวไง”

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พี่ลมเป็นไปเองต่างหาก” กวีตอบโต้ด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “เลิกหมั่นเขี้ยวผมก่อนนะตอนนี้”

“ถ้าอย่างนั้นพอถึงที่พัก พี่คิดใหม่ได้ใช่ไหม”

พอถูกหยอกไม่เลิก กวีก็ดึงมือกลับ แล้วเอามือไม้ซุกผ้าห่มของตัวเองแทน

“ไม่ต้องถามแล้ว! ~ ขับรถไปเลยนะครับ”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะร่วน เพราะกวีน่ารักน่าแกล้งแบบนี้ เขาถึงชอบแกล้งพูดแบบมีเลศนัยให้อีกฝ่ายเขินเล่นเพื่อดูปฏิกิริยาบ่อยๆ “โอเคครับ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว เราก็ง่วงก็นอนนะ เดี๋ยวถึงกำแพงเพชรพี่จะปลุกกินข้าวกลางวัน”

“ไม่เอาหรอกครับ ผมจะหลับแล้วปล่อยให้พี่ขับรถคนเดียวได้ไง”

“แต่เมื่อเช้าเราออกเช้ามากเลยนะ แน่ใจนะครับว่าวีไม่ง่วง”

“ไม่ง่วงครับ”

“โอเค งั้นนั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนพี่แล้วกันเนอะ”

“ครับ”















ทั้งที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พอเอาเข้าจริง เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงหลังจากที่พูด คนข้างๆ ก็นอนคอพับหลับไม่รู้สึกตัว ทิ้งให้วายุต้องขับรถคนเดียวไปจนเกือบถึงที่พักทานกลางวัน

แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดเคืองน้องสักนิด ด้วยรู้ว่ากวีต้องตื่นมารอเข้าเพื่อเดินทางแต่เช้า ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยปรกติของเจ้าตัว

อีกอย่าง การได้มองน้องนอนอ้าปากน้อยๆ เอาแก้มกลมวางแหมะกับหมอนก็น่ารักดีไม่หยอก

กระทั่งถึงกำแพงเพชร วายุก็ปลุกกวีให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตากินข้าว ร้านอาหารที่เขาเลือกเป็นร้านที่วายุเคยกินตอนขับรถผ่านและอร่อยจนต้องกลับมาแวะทุกครั้งที่เดินทาง

พอได้นอนหลับเต็มอิ่มและกินข้าวเติมพลัง กวีก็กลับมาสดใสอีกครั้ง การเดินทางในช่วงบ่ายจึงเต็มไปด้วยเสียงซักถามพูดคุยเจื้อยแจ้ว หรือบางครั้งที่คนน่ารักลืมตัว น้องก็จะร้องเพลงคลอไปกับเพลย์ลิสต์ที่วายุเปิด พานให้คนฟังมีกำลังใจในการขับรถไปตลอดทาง

ขับไปแวะไปอีกสามสี่ชั่วโมง ในที่สุดวายุก็พากวีมาถึงเชียงใหม่ พวกเขาตรงเข้าเช็คอินในโรงแรมที่จ้องเอาไว้ ก่อนจะออกมาหาของอร่อยกินเป็นมื้อเย็น

กินข้าวอิ่มดีแล้ว วายุก็พากวีไปขับรถเล่นรอบเมืองสักรอบ แต่การจารจรในเชียงใหม่ติดขัดไม่ต่างจากกรุงเทพฯ พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับโรงแรม และไปเที่ยววัดโบราณในตอนเช้าแทน

“วีอาบน้ำก่อนไหม” เห็นน้องดูเงียบๆ ไป วายุจึงเข้าใจว่ากวีเพลียจากการเดินทาง เขาจึงเสนอให้น้องอาบน้ำก่อนจะได้รีบพักผ่อน

“พี่ลมอาบก่อนเลยครับ ผมอาบน้ำนาน”

“อ้อ...เอางั้นก็ได้ครับ”

วายุทำตามที่น้องบอก ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ขับรถทั้งวันจะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่เพราะตื่นเต้นที่มากับคนรัก วายุจึงไม่รู้สึกล้าเท่าไหร่

อาบน้ำเรียบร้อยวายุก็สวมกางเกงนอนขายาวตัวเดียวออกมาจากห้องน้ำโดยไม่สวมเสื้อ พอกวีหันมาเห็นก็เบิกตากว้าง แล้วถือผ้าเช็ดตัวก้มหน้างุดๆ เข้าห้องน้ำ

“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”

“อื้ม”

ปรกติวายุจะแต่งตัวแบบนี้นอนเป็นประจำ เขาจึงลืมคิดไปว่าเมื่อได้มานอนกับคนอื่น จะต้องสวมให้มิดชิดกว่านี้ ดังนั้นเพื่อกันไม่น้องกระอักกระอ่วนใจ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ก็กระอักกระอ่วนจะแย่ วายุจึงต้องค้นเอาเสื้อยืดสักตัวออกมาสวมให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นเขาก็แบ่งฝั่งที่นอนบนเตียงคิงไซซ์ให้ชัดเจน ด้วยไม่อยากให้น้องคิดว่าตัวเองจ้องแต่จะเอาเปรียบกัน แม้จะรู้ว่ากวีคงเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้วจากเครื่องป้องกันที่เจ้าตัวแอบซื้อมาก็ตาม

ครั้นไม่มีอะไรให้ทำ วายุก็ล้มตัวนอนก่ายหน้าผากบนที่นอนนุ่ม เห็นทำนิ่งๆ แบบนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกประหม่า ทั้งที่คนมีประสบการณ์อย่างเขาควรทำใจให้นิ่งได้มากกว่านี้แท้ๆ

เป็นเพราะกวีคนเดียว...

เด็กคนนั้นทำให้เขาแปลกไปจากวายุคนเดิม เป็นวายุในแบบที่กระทั่งตัวเองก็ไม่คาดว่าจะเป็น

นอนคิดอะไรไปสะระตะพักใหญ่ น้องก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มได้แต่รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ออกมาเสียที จนตอนที่วายุเกือบเคลิ้มหลับ กวีถึงออกมาพร้อมกับชุดคลุมอาบน้ำ...

“รอนานไหมครับ”

กวีถาม แต่วายุกลับสนใจผมที่เปียกโชกของน้องมากกว่า เขาจึงเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากราวเพื่อเช็ดผมให้น้อง

“ไม่นานหรอก ว่าแต่ทำไมถึงปล่อยผมเปียกๆ ออกมาแบบนี้ล่ะครับ”

“อ้อ...ผมกะว่าจะออกมาเช็ดข้างนอกน่ะ”

“งั้นพี่เช็ดให้นะ มานั่งนี่สิ”

ว่าแล้วชายหนุ่มก็ดึงแขนกวีมานั่งบนเตียงด้วยกัน ก่อนจะขยับไปซ้อนหลังและช่วยซับน้ำออกจากเส้นผมให้กวีเบาๆ

ระหว่างที่ซับให้อยู่นั้น ดวงตาไม่รักดีก็ดันเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมอาบน้ำค่อยๆ ร่นลง เผยให้เห็นหลังคอที่มีผิวขาวเต่งตึงดูเนียนน่าสัมผัส ยิ่งตอนที่คนตรงหน้าขยับตัวเอนหลังมาให้เขาเช็ดผมได้ถนัด สาบเสื้อด้านหน้าก็ค่อยๆ แหวกจนเห็นจุดสีชมพูจางรำไร

วายุกลืนน้ำลายลงคอ พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตัวจนกวีสังเกตเห็น

ทว่าตอนที่วายุกำลังท่องยุบหนอพองหนอในใจอยู่นั้น มือของเขาก็ถูกมืออุ่นหยุดไว้ ก่อนคนน่าฟัดจะหันกลับมาเผชิญหน้า

“ไม่ต้องเช็ดแล้วก็ได้นะพี่ลม ผมว่ามันหมาดแล้วล่ะ”

“อ้อ...ครับๆ” ชายหนุ่มเก็บผ้าขนหนูผืนน้อยและถอยห่างจากน้องทันที “วีไปใส่เสื้อผ้านะ เดี๋ยวพี่จะคอยผิดไฟให้”

“หืม? ใส่เสื้อผ้าเหรอ”

“อื้ม” วายุพยักหน้า

“อ้าว...แล้วพี่ลม...เอ่อ...”

“ทำไมครับ” วายุถามด้วยความฉงน

“...คือ...พี่ลมไม่เอารางวัลจากผมแล้วหรือครับ”

“รางวัล? ...” วายุงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่กวีต้องการสื่อ “ห๊า!? วีหมายถึง...วีจะให้รางวัลอะไรพี่”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่คิดเลยว่ากวีจะเป็นคนเอ่ยปากถามเรื่องนี้ ทั้งที่เขาเองยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง

“ก็...ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ถ้าหากว่าพี่ลมไม่เข้าใจ...เอ่อ...โธ่เอ้ย ผมนี่บ้าจริงๆ”

คนน่ารักเคาะหัวตัวเองสองสามที ใบหน้าแดงก่ำไปถึงหู กวีคงเข้าใจว่าเขาไม่รู้ถึงความนัยที่น้องต้องการสื่อ นี่คนซื่อคงจะคิดเป็นจริงเป็นจังเรื่องรางวัลใหญ่ที่เอ่ยขอเมื่อกลางวัน ทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น

เขาไม่คาดหวังสักนิดว่ากวีจะยอมทำขนาดนี้

“โถ่...วี”

“พี่ลมไม่ต้องยิ้มแบบนั้นเลยครับ ผม...ผมเข้าใจผิดไปเอง” กวีโบกไม้โบกมือไม่อยู่สุข ท่าทางคงจะเขินมาก “เดี๋ยวผมขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ พี่ลมนอนได้เลย ผมจะปิดไฟเอง”

ว่าแล้วน้องก็หนีไปเข้าห้องน้ำ แต่กวีก้าวไม่ไวไปกว่าขายาวๆ ของวายุ เขารีบเอาไปกอดคนน่ารักจากด้านหลัง รวบกอดเอาไว้แน่นๆ พร้อมกับซบหน้าลงกับไหล่

“อย่าเพิ่งหนีสิครับ”

“...แต่ผมต้องแต่งตัว”

ได้ยินดังนั้นวายุก็ทำใจกล้า

“ไม่ต้องแต่งหรอก”

“แต่พี่ลม...เอ่อ...ไม่ต้องต้องการจริงๆ ใช่ไหมครับ พี่แค่พูดเล่นนี่”

“พี่แค่พูดเล่นก็จริง” วายุว่า ก่อนจะก้มลงจูบที่ไหล่ซึ่งโผล่พ้นเสื้อคลุมอาบน้ำและกระซิบ “แต่พี่ไม่ได้บอกว่าพี่ไม่ต้องการนี่ครับ”

“...พี่ลม”

กวีตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ แต่แป๊บเดียวก็ตัวอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เมื่อกวีค่อยๆ ไล่ขบตั้งแต่หัวไหล่ขึ้นมาถึงลำคอ ลากไล้มาที่ใบหูแดงก่ำ

“วียอมทำแบบนี้ ไม่กลัวหรือครับ ทำจริงๆ ครั้งแรกคงเจ็บอยู่เหมือนกันนะ”

เขาไม่อยากให้น้องร้องไห้หวาดกลัวหลังจากทำในสิ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ วายุอยากให้น้องพร้อม...พร้อมเพราะด้วยตัวเอง

“ผมพอรู้อยู่บ้างครับว่ามันต้องเจ็บ...แต่...ก็ไม่น่าเป็นไร ถ้าพี่ลมมีความสุข”

ได้ยินแบบนั้น วายุก็พลิกตัวกวีให้หันมาเผชิญหน้า พวกเขาจ้องตากันในความเงียบ ก่อนวายุจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด

“ต้องไม่ใช่แค่พี่ที่มีความสุขสิ วีต้องมีด้วย ถ้าวีต้องฝืนเพราะทำเพื่อพี่ แบบนั้นพี่ไม่เอาด้วยหรอกนะ” ถึงเขาจะอยากฟัดคนน่ารักใจจะขาด แต่วายุก็รักกวีจนไม่อยากให้น้องต้องฝืนใจขนาดนั้น

วายุหวังว่าเขาจะเป็นคนที่ทำให้กวีมีความสุขที่สุด...ความรักของวายุเป็นแบบนั้น

“พี่ลมครับ”

“ครับ”

“ผมเป็นผู้ชายเหมือนพี่นะ”

“อื้ม...” คนตัวสูงพยักหน้ารับ คล้ายอยากฟังว่ากวีจะบอกอะไร

“ถ้าพี่มีความต้องการ ผมเองก็มีเหมือนกัน...ผมอยากมีความสุขด้วยกันกับพี่....เอ่อ...ถึงแม้ว่ามันจะน่าอายอยู่บ้าง แล้วก็น่ากลัวหน่อยๆ ก็เถอะ”

พอได้ยินแบบนี้ วายุก็รู้ได้ทันที เขาลืมไปว่ากวีเป็นผู้ชายอายุ 25 แล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เหมือนความน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย พอคิดได้ถึงตรงนี้ เขาจึงเข้าใจทั้งหมดที่กวีต้องการจะบอก

“พี่ถามครั้งสุดท้าย”

“...?”

“วีแน่ใจนะครับ เพราะถ้าหลังจากนี้ไป พี่อาจจะหยุดตัวเองไม่ได้แล้วนะ”

“ครับ ถ้าพี่สัญญาว่าจะไม่รุนแรง ผมคิดว่า...คิดว่าน่าจะทนได้” พูดไปกวีก็หน้าแดงไป วายุจึงรู้ว่าน้องพยายามเต็มที่แล้วที่ทำใจกล้าบอกเรื่องนี้กับเขาตรงๆ

“ถ้าอย่างนั้น พี่ขอรับรางวัลของพี่แล้วนะครับ”

กวีเงียบไปนิดเมื่อได้ยิน แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ

“...ครับ”

เมื่อได้รับการยืนยันครั้งสุดท้าย วายุก็ช้อนตัวกวีขึ้นมาอุ้ม และพาคนรักที่น่ารักที่สุดไปที่เตียง...









--------------------------------------------------------------------------







จับมือกันละตัดเข้าโคมไฟ 5555555555555

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-11-2018 21:20:49
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-11-2018 21:21:02



บทที่ 20













หลังจากที่เขาค้นข้อมูลจากเว็บไซด์และดูคลิปร่วมเพศระหว่างชายรักชายมาสักระยะ กวีคิดว่าว่าเซ็กครั้งแรกต้องเจ็บปวดกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

ความสัมพันธ์ลึกซึ้งครั้งแรกถือว่าผ่านไปได้ด้วยดีทีเดียว แต่ทั้งหมดทั้งมวล กวีจะไม่รู้สึกดีได้เท่านี้เลย ถ้าวายุใจร้อน และเรียกร้องกับเขาจนไม่ยอมฟังเสียง

ทว่าวายุกลับทะนุถนอมกวีจนกลายเป็นบางช่วงบางตอน เป็นกวีเสียเองที่เป็นฝ่ายเรียกร้องให้คนรักรุนแรงมากกว่านี้…

พอตื่นเช้ามานักเขียนหนุ่มถึงได้นึกอายจนมุดอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมออกมา หากว่าไม่ต้องเดินทางไปเชียงรายต่อ กวีคงนอนแอบอยู่บนเตียงไปทั้งวัน

“วีครับ” หลังจากที่วายุตื่นแล้ว อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามานัวเนียเขา

“ครับ” กวีขานรับทั้งที่ยังมุดอยู่ในผ้า

“ลุกกันเถอะนะ เราต้องเดินทางต่อแล้ว นี่คงไม่ทันได้เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วล่ะ เพราะจะไปถึงเชียงรายเย็นเกินไป”

“ก็ได้ครับ” กวีตอบกลับอย่างว่าง่าย

“เด็กดี” วายอมหัวเขาไปที

“แต่พี่ลมไปอาบก่อนนะครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมค่อยอาบ”

“ได้ไง ต้องอาบด้วยกันสิ”

“ไม่เอาครับ ไม่เอา!” กวีปฏิเสธทันควัน

“ไม่ต้องอายนะ เมื่อคืนพี่เห็นหมดแล้ว วีน่ารักไปหมดทั้งตัว ไม่มีอะไรต้องอายหรอก”

“พี่โล้ม!!”

ตอนแรกก็ไม่อายเท่าไหร่ แต่พอวายุพูดเจียระไนหมดเปลือกขนาดนั้น กวีก็อายจนต้องมุดอยู่กับอกพี่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากันอีกเลย











หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย พวกเขาก็เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม วายุพากวีไปกินข้าวซอยเจ้าอร่อยร้านหนึ่ง ก่อนจะพากันเดินทางขึ้นเชียงรายเพราะกลัวจะช้าจนถูกแม่ของว่ายุบ่น

นั่งรถต่อมาสองชั่วโมงกว่า ในที่สุดกวีก็มาถึงบ้านของคนรัก

ลงรถปุ๊บ กวียังไม่ทันสวัสดีครบทุกคน แม่ของวายุก็เข้ามารับพวกเขาด้วยอ้อมกอดอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วกวีจึงค่อยหันไปเห็นครอบครัวทั้งหมดรวมทั้งพ่อของอีกฝ่ายยืนส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ด้วย

“มากันแล้ว แม่รออยู่ตั้งนาน” คุณนายวารีว่า ก่อนจะหันไปตำหนิลูกชาย “พาน้องไปเถลไถลที่ไหนมาฮึ ถึงบ้านเอาป่านนี้”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าเราแวะเชียงใหม่กัน” พี่ลมตอบแม่

“แทนที่จะพาน้องมาหาแม่ก่อน” เธอต่อว่าไม่จริงจังนัก ก่อนจะประคองเอวกวีเข้าบ้านราวกับสนิทกันมานาน “เข้าบ้านกันค่ะน้องวี แม่เตรียมกับข้าวอร่อยๆ ไว้เยอะแยะ พี่ลมบอกแม่ว่าของชอบน้องวีทั้งนั้น”

“ขอบคุณครับคุณป้า--- “ยังไม่ทันจบประโยค กวีก็ถูกขัดเสียก่อน

“แม่จ้ะ”

“ครับคุณแม่”

“ว่าง่ายเหมือนที่พี่เขาบอกเลย มาครับๆ แม่พาไปกินขนมนะลูก”

กวีงงงันกับสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่ง พอหันมามองหน้าแฟน วายุก็พยักหน้าให้ราวกับบอกให้เขาทำตามน้ำ กวีจึงตอบรับและเดินตามคุณนายวารีไป

“...ครับ”











งานเลี้ยงสิ้นปีของบ้านวายุ เป็นบรรยากาศแบบที่กวีไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เพราะนอกจากคนในครอบครัวจะสังสรรค์กันเองแล้ว พนักงานในบริษัทส่งออกข้ามประเทศของพ่อแม่วายุก็พาลูกเมียมาฉลองที่บ้านวายุด้วย

บรรยากาศครึกครื้นและทุกคนก็พูดคุยกันสนุกสนานเหมือนรู้จักกันมานาน แม้แต่กวีเองก็ถูกใครต่อใครทักทายอย่างเป็นมิตร มันทำให้เขาเข้าใจว่าเลี้ยงพนักงานอย่างครอบครัวเป็นอย่างไร

จวบจนถึงเวลาเคาน์ดาวน์ พี่ชายของวายุก็สั่งให้คนจุดพลุฉลองเพื่อก้าวสู่ปีใหม่ กวียืนดูพลุใต้ท้องฟ้าสีดำสนิท ข้างกายมีคนรักยืนกุมมือไม่ห่าง ความรู้สึกอบอุ่นจึงแทรกซึมจากเรียวมือที่กุมผ่านตรงไปถึงขั้วหัวใจ

“วี”

“ครับ”

“พี่ดีใจที่ปีนี้มีวีอยู่ข้างๆ นะครับ”

“ครับ” กวีตอบรับ ก่อนจะเอ่ยแทรกเสียงพลุ “ผมก็ดีใจเหมือนกัน”

“ไม่รู้ว่าสิ้นปีหน้าเราจะอยู่ที่ไหน แต่ปีหน้าเรามาเคาน์ดาวน์ด้วยกันอีกนะ”

นี่เป็นสัญญาแรกระหว่างพวกเขาสองคนหลังจากคบกัน...

“ครับ” กวีตอบรับอย่างยินดี เพราะเขาเองก็รู้สึกอยากเคาน์ดาวน์กับวายุในปีหน้าเหมือนกัน











หลังผ่านเทศกาลปีใหม่ไปแล้วกวีก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองที่คอนโดเหมือนเก่า นอกจากความสุขที่อบอวลอยู่ในหัวใจเต็มเปี่ยม งานซึ่งรอคอยเขาอยู่ก็มากมายพอๆ กัน เพราะปีใหม่กวีเคยให้สัญญากับพศินไว้ว่าจะเขียนหนังสือออกตอนมหากรรมงานหนังสือ ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องกลับมาวางแผนเขียนงานอย่างจริงจังควบคู่กับงานรายสัปดาห์ที่ต้องลงเว็บไซด์ด้วย

กระทั่งผ่านไปกว่าอาทิตย์ กวีรู้สึกว่างานที่เขาทำมีมันมากเกินไป มากจนกัดกินความคิดในสมอง ไม่ให้มีโอกาสคิดเรื่องอื่นเลย ยิ่งก่อนหน้านี้กวีใกล้ชิดกันกับวายุมาก ในหัวเขาจึงมีเรื่องของคนรักวนเวียนอยู่ในตลอด จนบางครั้งก็นึกอยากลดจำนวนงานลงบ้าง เพื่อจะได้ไปโฟกัสกับความสุขและความสัมพันธ์ใกล้ตัว

เมื่อถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ใกล้เทศกาลวาเลนไทน์เข้าไปทุกที บรรยากาศความรักอบอวลจนชายหนุ่มไม่เป็นอันทำงาน นักเขียนหนุ่มมีความคิดว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนสักที่พร้อมกับวายุ แต่งานของเขาก็เร่งๆ จะเข้าโรงพิมพ์จนไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรือตกลงกับคนรักเลย

จวบจนวันที่กวีได้มีโอกาสเข้าไปเซ็นสัญญาหนังสือเล่มที่กำลังเขียนในสำนักพิมพ์ กวีจึงตัดสินใจเอ่ยเรื่องดรอปงานกันบก.เจน

ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมา กลับเป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่จนต้องฉุกคิดอะไรบางอย่างจากพศิน ผู้ซึ่งบังเอิญผ่านมาได้ยินหนึ่งนักเขียนและหนึ่งบก.คุยกัน

“คุณจะลดก็ได้นะวี แต่ผมไม่อยากให้คุณทิ้งโอกาสไปเลย อย่าหาว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ แต่งานแบบคุณต้องอาศัยโอกาส และไม่ใช่ว่าโอกาสจะเข้ามาหาคุณง่ายๆ ดังนั้นผมอยากให้คุณฉวยมันเอาไว้ เพราะถ้าวันหนึ่งมันหายไป แม้อยากทำแค่ไหน คุณก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ส่วนเรื่องที่ควรสำคัญน้อยกว่าก็น่าจะชะลอไปก่อน”

เขาคล้ายโดนตอกหน้าว่าเห็นเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่างาน คล้ายถูกประณามว่ากำลังละทิ้งอาชีพเพียงเพราะมีความรักอย่างไรอย่างนั้น

การถูกตำหนิเหมือนว่าไม่รักในงานที่ทำ ทำให้เขารู้สึกแย่อย่างมาก สุดท้ายวันนั้นกวีก็ตกลงทำสัญญาเล่มนั้น และไม่ขอลดงานทางออนไลน์แต่อย่างใด

เมื่อกลับมาบ้านแล้ว กวีก็เริ่มต้นใหม่ เขาเขียนแผนการทำงานเรียบร้อยเหมือนที่เคยทำมาก่อน แต่แผนของเขาค่อนข้างเป๊ะ ด้วยชายหนุ่มต้องการทำงานของตัวเองให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีช่วงเวลาพักและอยู่กับวายุสักชั่วขณะหนึ่ง

ต้องกัดฟันทำให้ได้ จะได้มีเวลาให้เรื่องส่วนตัว

แต่กวีลืมไปว่ากับความสัมพันธ์ ใช่จะกำหนดตายตัวได้ เขาจะทำแต่งานๆ ไปเดือนหนึ่ง โดยไม่มีเวลาให้วายุเลย ส่วนวาเลนไทน์แรกก็ไม่ต้องพูดถึง กวีลืมมันไปเสียสนิท จนเมื่อวายุเอาช็อกโกแลตมาให้ในตอนเย็นนั่นแหละ นักเขียนหนุ่มจึงนึกออก

เรื่องนี้วายุเองก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เมื่อกวีอธิบายเหตุผล วายุก็ยื่นข้อเสนอว่าจะมาหากวีทุกวันเหมือนเดิม แต่ไม่เข้าไปรบกวนการทำงาน

“พี่ขอแค่ได้ดูแลเราเท่านั้น หาข้าวส่งน้ำให้ แล้วพี่ก็จะกลับ”

แต่วายุคงไม่รู้ การที่มีวายุวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กวีเองก็รวบรวมสมาธิไม่ได้เช่นกัน เขาอยากเล่นกับวายุ อยากคุย อยากให้กอด แต่ถ้าปล่อยตามใจแล้ว กวีก็จะไม่อาจทำตามตารางของตัวเองได้อีก

ในช่วงที่ความคิดตีรวนกันในหัว นักเขียนหนุ่มจึงค่อนข้างหงุดหงิดง่ายกว่าที่เคย จนบางครั้งก็เผลอทำพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด จนทำให้ความสัมพันธ์ที่เป็นไปในทิศทางที่ดีชะงักลง

จากที่อยากอยู่ด้วยกันมากขึ้น กลายเป็นฝ่ายผลักไสคนรักออกไปแทน

...และนั่นก็เป็นความผิดพลาดที่ทำให้กวีกลับมาเสียใจในภายหลัง









-------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-11-2018 21:23:33





บทที่ 21









“ผมอิ่มแล้วครับ”

ระหว่างที่กำลังนั่งทานอาหารมื้อดึกที่วายุเอามาฝากร้องด้วยกัน อยู่ๆ กวีวางช้อนลงดื้อๆ

“หืม? ทำไมอิ่มเร็วจัง”

“เดี๋ยวผมจะไปทำงานต่อแล้วครับ อังคารหน้าต้องส่งต้นฉบับ ไม่อย่างนั้นโรงพิมพ์จะพิมพ์ไม่ทันงานหนังสือ” คนน่ารักที่ช่วงนี้ดูซูบไปตอบ

“แต่วีเพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ ตั้งแต่เช้าก็กินไปแค่มื้อเดียวไม่ใช่หรือครับ แบบนี้ไม่ดีเลยนะวี จะเป็นโรคกระเพาะเอา กินอีกสักหน่อยสิ พี่เป็นห่วง”

“ไม่กินแล้วครับ นี่เลยเวลาพักแล้ว”

“วี...” วายุเอ่ยเสียงเครียด

“ครับ”

“พี่ว่าเราเคร่งครัดกับตัวเองเกินไปแล้วนะ ผ่อนปรนบ้างก็ได้”

“ไม่ได้ครับ ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น งานจะเสร็จไม่ทันเอา”

“แต่เขียนในภาวะกดดันและเครียดขนาดนี้ งานจะออกมาดีได้ยังไง” วายุแค่เป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของตัวเองทำให้ขีดความอดทนของกวีมาถึงขีดสุด

“พี่ลมจะไปรู้อะไร นี่งานผมนะ ทีงานของพี่ผมยังไม่ก้าวก่ายเลย” คนน่ารักของเขาเวลานี้ไม่น่ารักเสียแล้ว

“พี่ไม่ได้ว่าพี่รู้ดี แต่พี่แค่เป็นห่วง วีไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้วีดูเครียดแค่ไหน”

“ขอโทษความที่ผมอารมณ์ดีตลอดไม่ได้”

“วี...พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” คราวนี้คนอายุมากกว่าเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“แล้วพี่ลมหมายความว่าไงครับ ต้องให้ผมทำยังไงพี่และทุกๆ คนถึงพอใจ”

“วีไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนพอใจ วีแค่เป็นตัวของตัวเอง”

“ทุกวันนี้ผมก็เป็นตัวของตัวเองอยู่ครับ”

“ไม่ใช่ วีกำลังฝืนตัวเอง”

วายุรู้ว่ากวีที่เขารู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ และเขาก็รู้อีกว่าที่น้องเป็นแบบนี้เพราะเครียดจัดเรื่องงาน วายุอยากให้กวีทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างมีความสุข แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้คนน่ารักของเขาเปลี่ยนไป

กวีที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไปวันๆ ยังดีกว่ากวีที่ขยันแต่ไม่ผ่อนปรนให้ตัวเองจนหงุดหงิดง่ายเช่นนี้

วายุสงสารน้อง เขาคิดว่ากวีคงเครียดมากจริงๆ อยากจะจัดการทุกคนที่สั่งงานคนรักของเขาจนไม่เป็นอันคิดถึงเรื่องตัวเอง

ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปกอดกวีไว้ อยากกอดปลอบให้คลายเหนื่อย ให้อารมณ์สงบลง เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยน้องได้อย่างไรแล้ว

กวีปล่อยให้วายุกอดพักใหญ่ นักเขียนหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น พิงแก้มตอบๆ กับอกเขาและหลับตา อึดใจหนึ่งจึงค่อยๆ ผละจากอ้อมกอดและถอยหลังมาพูดกันดีๆ คล้ายชาร์ตแบตเตอรี่เต็มแล้ว

“พี่ลมครับ

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไร เพราะพี่ก็ไม่รู้จะช่วยวีได้ยังไงเหมือนกัน”

“เท่านี้ก็ดีแล้วครับ” กวีว่า

“วีต้องดูแลตัวเองบ้างนะ”

“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า

“อยากให้พี่ทำอะไรให้ไหม ถ้าพี่ทำได้พี่จะทำ”

“เอ่อ...” กวีทำท่าอึกอัก “ผม..”

“ว่ามาเถอะ อยากได้อะไรครับคนดี”

วายุพร้อมทำทุกอย่างเพื่อน้อง หากสิ่งนั้นเขาทำให้ได้ แต่วายุไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กวีขอจะทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจขนาดนี้

“ผมอยากให้เรา...ห่างกันสักพัก”

“หืม?”

“พี่ลมไม่ต้องมาหา ไม่ต้องมาดูแลผม”

“วี...พูดอะไรน่ะ”

“ผมขอโทษนะ แต่อยู่กับพี่ ผมไม่มีสมาธิทำงานเลย”

“...”

วายุถึงกับพูดไม่ออก ด้วยไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุให้น้องเครียดเพราะทำงานไม่ได้แบบนี้ ชายหนุ่มนิ่งงันไปนาน พยายามคิดถึงเหตุผลต่างๆ นาๆ มาเข้าข้างน้อง

แต่วายุต้องยอมรับ...เขาเองก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันที่กวีขอแบบนี้

กระนั้น ชายหนุ่มก็ใจกว้างพอจะถอย หากว่ามันคือสิ่งที่กวีต้องการ

“วีต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆ”

“...”

“อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าอดข้าว อย่าฝืนตัวเองจนไม่สบาย...เข้าใจหรือเปล่าครับ”

“...ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะตามใจวี” เขาทำใจแข็งพูดออกไป

“...”

“แล้วเจอกันครับ”

วายุบอกเท่านั้น ก่อนจะเดินออกจากคอนโดของคนรัก

เขาไม่รู้ว่าที่ว่าห่างกันสักพักต้องนานขนาดไหน เมื่อไหร่ที่กวีจะพร้อมกลับมาเจอเขา แล้วถ้ากวีชินหรือพอใจกับการที่ไม่มีวายุอยู่ข้างกายมากกว่า

วายุจะทำอย่างไร...

ทำได้แค่รอ

วายุให้คำตอบตัวเองได้เท่านี้ ก่อนจะหันหลังจากมาโดยไม่หันกลับไปมองให้เกิดลังเลใจอีก













หลังจากห่างกับกวีในวันนั้น วายุก็หันมาทำงานของตัวเองเช่นกัน แม้จะไม่เป็นอันทำอะไรก็ตาม

จนเข้าวันที่สาม ก่อนที่วายุจะฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงไปมากกว่าเดิม เพื่อนชาวต่างชาติที่เคยนัดกันเมื่อเดือนก่อนก็เดินทางมาหา พร้อมกับทวงสัญญาที่วายุเคยบอกว่าจะพาไปเที่ยวเวียดนาม

ในทีแรกวายุตั้งใจปฏิเสธเพราะไม่มีอารมณ์ทำอะไร แต่พอเพื่อนชักจูงว่าควรไปพักผ่อนหย่อนใจสมองจะได้ปลอดโปร่ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจฝากร้านไว้กับผู้จัดการร้านและพี่ชายสักสามสี่วัน โดยอ้างเหตุผลว่าสัญญากับเพื่อนชาวต่างชาติไว้แล้ว สุดท้ายพี่ชายของวายุจึงยอมให้ไป

เขาเดินทางทันทีโดยที่ไม่ได้ติดต่อกวี เพราะคิดว่าน้องคงยังไม่อยากให้รบกวน ซ้ำนี่เพิ่งผ่านมาแค่สามวันเท่านั้นที่พวกห่างกัน

บางทีอาจมีแค่เขาคนเดียวที่ฟุ้งซ่านก็เป็นได้

วายุได้แต่คิดไปเองคนเดียวและกดจองตั๋วเดินทางโดยไม่ลังเลอีก











หลังจากลงเครื่องมาเหยียบแผ่นดินเวียดนาม วายุก็เดินทางต่อไปที่ดาลัดและพักโรงแรมพร้อมกับจัดทริปพาเพื่อนกินเที่ยวอย่างที่เคยทำ เขาไปตรงนั้น ไปตรงนี้ ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ แต่ในใจก็ยังแอบคิดว่า

หากได้มาที่นี่กับกวี...คงดีไม่น้อย

ดูสิ ขนาดหนีมาไกลคนละประเทศ หัวใจก็ยังพะวงถึง เวลารักใครสักคน ความรู้สึกทั้งทุกขืและสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง

กระทั่งวันที่สาม ก่อนวันเดินทางกลับประเทศไทย วายุตั้งใจแล้วว่าจะกลับไปคุยและเคลียร์เรื่องหัวใจกับกวีให้รู้เรื่อง พวกเขาเพิ่งคบกันไม่นาน อาจมีเรื่องให้หมางใจกันบ้าง เรื่องที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ถ้าได้พูดคุยกันดีๆ และช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจที่กวีมีแล้วล่ะก็ วายุเชื่อว่าเรื่องราวต่างๆ จะคลี่คลายลงได้

ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างใจไปเสียหมด เพราะเย็นวันนั้น รถที่วายุจ้างให้พาเที่ยวไร่ดอกไฮเดรนเยียกลับประสบอุบัติเหตุตกเขา

...และสิ่งสุดท้ายที่วายุคิดถึง คือ ภาพใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ชายน่ารักที่ติดกิ๊บสับปะรดสีสดใส

“วี...พี่อยากเจอวีจังเลย”

ทั้งที่รู้ว่าน้องไม่มีวันได้ยิน แต่คนที่กำลังจะหมดสติก็เผลอเอ่ยฝากลมไป และหวังใจว่าหากได้ตื่นมาพบกวีอีกครั้งคงจะดี...







-----------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-11-2018 21:26:36



บทที่ 22











หลังจากโหมงานมากว่าอาทิตย์ กวีก็ทำงานเสร็จตรงตามเป้าหมาย เขาหลับเป็นตายไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ ก่อนจะตื่นขึ้นเพราะฝันร้าย กวีจึงรีบลุกขึ้นมามาอาบน้ำสระผม และหาอะไรใส่ท้อง ด้วยเมื่อวานก่อนส่งต้นฉบับ กวีแทบไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากนมกับขนมปังเก่าๆ

ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วที่กวีไม่เจอวายุ ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อกัน ช่วงแรกๆ กวียอมรับว่าคิดถึงจนแทบขาดใจ อยากตบปากตัวเองหลายๆ ครั้งที่พูดว่าขอห่างกันสักระยะ แต่กวีคิดว่าถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น เขาคงไม่อาจทำงานให้เสร็จได้ภายในอาทิตย์เดียวก่อนส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์

ช่วงวันหลังๆ แม้จะยังคิดถึง แต่กวีก็ไม่อาจหยุดเพื่อเหม่อลอยได้ ด้วยการงานบีบบังคับให้ต้องคิดและพิมพ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเวลานี้เขาทำสำเร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ทำงานจนเสร็จ และจะมีเวลาอยู่กับพี่ลมมากขึ้น

อีกความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาห่างกัน คือ กวีเข้าใจในสิ่งที่วายุพูดกับเขาวันนั้นแล้ว เข้าใจว่าตัวเองเครียดเกินไปเพราะรับงานจนล้นมือ และทั้งๆ ที่วายุเตือนด้วยความหวังดี กวีกลับตะแบงว่าเขารู้จักตัวเองดีที่สุด ไม่ฟัง ซ้ำไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด

ในวันนี้ที่กวีไม่มีงานค้างแล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะไปขอโทษวายุ พร้อมกับโทรไปบอกให้พี่เจนเพลาๆ โปรเจคใหม่ๆ ลง ด้วยกวีรู้แล้วว่าต้องบาลานซ์ชีวิตกับหน้าที่การงานอย่างไร

เมื่อเขากินอาหารจนอิ่มท้อง กวีก็ตัดสินใจเดินทางไปหาวายุที่ร้าน ความจริงเขาตั้งใจเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย แต่พอไปถึง กวีกลับเป็นฝ่ายถูกเซอร์ไพรส์เสียเอง

“พี่ลมประสบอุบัติเหตุครับ รักษาตัวอยู่ที่เวียดนาม เห็นคุณดินบอกว่าเป็นมาก ตอนนี้เลยยังพาคุณกลับมารักษาตัวที่ไทยไม่ได้เพราะเคลื่อนย้ายลำบาก”

“...พี่ลม”

กวีแทบเป็นเข่าทรุดเมื่อได้ยินแบบนั้น มือของนักเขียนหนุ่มสั่นพร่าไปหมด เสียงของเขาหายไปไม่อาจโต้ตอบอะไรได้สักคำ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นดันคล้ายกับเหตุการณ์ที่เขาสูญเสียพ่อไปเมื่อตอนเด็กๆ เหลือเกิน

มันคือความกลัวที่กวีไม่เคยเล่าให้ใครฟัง...

ตอนนั้นกวียังเด็กมาก แม่บอกว่าพ่อต้องไปทำงานต่อประเทศ ซึ่งพ่อก็เดินทางบ่อยๆ อยู่แล้ว ทว่าครั้งสุดท้ายที่พ่อออกเดินทาง พ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย และกวีมารู้ทีหลังว่าเขาได้สูญเสียคนที่รักที่สุดคนหนึ่งไปตลอดกาลแล้ว

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กวีไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เพราะติดมาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้น ชายหนุ่มจึงติดนิสัยขี้เกียจออกจากบ้าน เพราะอยู่บ้านแล้วสบายและปลอดภัยกว่า

“แล้วเจอกันครับ”

ประโยคสุดท้ายที่พี่ลมพูดกับเขา วันนี้มันย้อนกลับมาในห้วงความคิดของกวี ราวกับอีกฝ่ายกำลังกระซิบบอกอยู่ข้างหู

พี่ลมบอกว่าแล้วเจอกัน แต่ถ้าพี่ลมไม่กลับมาเจอกวีอีกเล่า...

ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาเอง เขาเป็นคนพูดว่าขอห่างกันสักพัก นั่นทำให้พี่ลมต้องไปเจอกับอุบัติเหตุ ทำให้พี่ลมต้องห่างกับเขาไปจริงๆ

“คุณวี...” เสียงของแซม พนักงานที่ร้านพี่รถกับข้าวซึ่งรู้จักกันดีกับกวีในระยะหลังมานี้ เอ่ยเรียกชื่อเขา

“ครับ”

“ไม่ต้องร้องไห้นะครับ พี่ลมเป็นคนดี พี่ลมต้องไม่เป็นไร”

เมื่อได้ยินแซมพูดว่าอย่าร้องไห้ กวีจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังร้องไห้อยู่ ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำตาของตัวเอง แม้มันไม่หยุดไหลง่ายๆ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และถามเรื่องที่ต้องรู้

“แซมครับ”

“ครับ”

“รู้ไหมว่าพี่ลมอยู่โรงพยาบาลอะไรในเวียดนาม”

“...” แซมนิ่งไปนิด ก่อนเข้าใจเรื่องต่อจากนี้ทันที “ไม่รู้ครับ แต่ผมรู้ว่าใครที่รู้เรื่องนี้”









นี่เป็นครั้งแรกที่กวีบินด่วนออกนอกประเทศเพียงลำพัง เขาฝากพี่เจนหาตั๋วเครื่องบินให้ ขณะที่ตัวเองก็โทรไปถามข้อมูลจากพี่ชายของวายุ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย กวีก็เตรียมเอกสารและเสื้อผ้าใส่เป้สองชุด เพื่อเดินทางไปหาคนรักทันที

ในที่ที่ไม่คุ้นเคย เจ้าหินก้อนน้อยค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ของมันราวปาฏิหาริย์ ก่อนจะเดินทางออกไปติดตามสายลมซึ่งอยู่ ณ ดินแดนไกลโพ้น

ก้อนหินเก็บงำความรู้สึกกลัวและประหม่าเอาไว้ เพราะรู้ว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเดินทางออกไปเผชิญโลกกว้าง นั่นคือ...

การที่สายลมพัดจากไปและไม่หวนกลับคืน











กวีนั่งเครื่องบินข้ามประเทศไม่นานก็มาถึงเวียดนาม จากนั้นเขาก็พยายามหารถเพื่อเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่พี่ชายของวายุบอกมา

จนเมื่อมาถึง กวีจึงเข้าไปติดต่อกับจุดประชาสัมพันธ์ของทางโรงพยาบาล เพราะกวีไม่สามารถติดต่อเข้าไปที่เบอร์ของพสุธาได้

สื่อสารกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ทราบว่าวายุพักรักษาตัวอยู่ที่ไหน กวีจึงเร่งขึ้นไปหาคนรัก

ทางเดินก่อนถึงห้องพักฟื้นของวายุดูเหมือนจะยาวไกลขึ้นทุกขณะ เพราะจู่ๆ ในหัวใจเขาก็มีความรู้สึกกลัวผุดขึ้นมา และทันทีที่มาถึงหน้าห้อง กวีก็ได้แต่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป

พี่ลมจะเป็นอะไรมากไหม จะฟื้นขึ้นมาฟังคำขอโทษของเขาได้หรือเปล่า กวีคิดฟุ้งซ่านไปหมด

ชายหนุ่มมองมือตัวเอง กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รออยู่ไม่นานนักประตูห้องพักก็ค่อยๆ เปิดออก และคนที่มาเผชิญหน้าก็คือ...พี่ลมของกวีนั่นเอง

“พี่ลม”

“วี!”

ดูท่าวายุคงตกใจไม่น้อย เพราะทันทีที่เห็นเขาอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างที่ได้ใส่เผือกขยี้ตาราวกับไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง

“มาได้ไงน่ะ”

“พี่น้ำบอกมาว่าพี่ลมอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ครับ ผมก็เลยให้พี่เจนจองตั๋วเครื่องบินแล้วเดินทางมานี่ทันที พี่ลมเป็นไงบ้างครับ..ฮึก..พี่ลมเจ็บไหม...ผม--”

ยิ่งพูด คำที่เอ่ยออกมาก็ยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ และพอรู้ตัวอีกที เขาก็ถูกอ้อมแขนที่แสนคุ้นเคยโอบล้อมให้กายแนบชิดเข้าไปซบอก

“ไม่ต้องร้องแล้ว พี่ไม่เป็นไร เจ็บแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง”

“ฮือ~ ผมขอโทษนะ....ฮึก ขอโทษที่พูดไม่ดี ขอโทษที่ไม่ฟังพี่ ฮือ...”

“โอ๋ๆ เจ้าก้อนยุ้ยของพี่ ไม่ร้องนะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่โกรธเราเลยด้วย ไม่ร้องๆ”

คงดูน่าประหลาดที่คนเจ็บต้องออกมายืนกอดปลอบคนสบายดีอยู่หน้าห้องพักฟื้น แต่กวีกลับไม่มีสติพอจะสนใจสายตาใครอีก

“แต่ผมก็ยังต้องขอโทษอยู่ดี” กวีเอาหน้าถูกกับอกเพื่อเช็ดน้ำตา มือสองข้างกอดเอวสอบไว้แน่น

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ วีคงเครียด แต่ต่อไปเรามาคุยกันดีๆ นะ”

“ครับ” กวีพยายามกลั้นสะอึก และรับปากอย่างว่าง่าย

“เราจะไม่ทะเลาะแล้วห่างกันแบบนี้อีก”

“ครับ ผมจะไม่ให้พี่ลมไปไหนอีกแล้ว”

“พี่เองก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน ถึงถูกไล่ก็ไม่ไปแล้วล่ะ”

“ผมไม่ไล่หรอก”

“ขอบคุณนะ” วายุว่า “ขอบคุณที่กลับมาให้พี่กอดอีกครั้ง...พี่รักวีนะ”

“ผมก็รักพี่ลมครับ รักมากๆ ๆ ๆ เลย”

แม้คำบอกรักที่เอ่ยจากปากของกวีครั้งแรกเต็มไปด้วยคราบน้ำ แต่มันก็เป็นคำรักที่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจของคนฟังจนวายุอยากขอบคุณโชคชะตาสักพันครั้งที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่









---------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-11-2018 21:34:51




บทส่งท้าย









“พี่ลม จะเป็นไทแล้วสิครับวันนี้” แซมเอ่ยแซวทันทีที่เห็นวายุเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมพสุธา

“อืม อึดอัดจะแย่แล้ว” วายุว่า

เขาขยาดเผือกที่ดามแขนมากๆ เผือกนี่มีข้อดีแค่อย่างเดียวคือตอนที่อยู่กับกวี เพราะเขาจะใช้มันเป็นเครื่องมือออเซาะ ออดอ้อนน้องได้เต็มที่

“แล้วนี่คุณวีไม่ไปโรงพยาบาลด้วยหรือครับ”

“ไม่หรอก วันนี้เขาต้องส่งต้นฉบับรายสัปดาห์น่ะ”

“อ้อ...ถ้างั้นพี่ลมคงไม่กลับร้านใช่ไหมคืนนี้” พนักงานคนสนิทว่าอย่างรู้ทัน

“ไม่กลับ ฝากปิดร้านด้วยนะ”

“ครับผม” แซมรับคำแล้วว่ายุจึงออกจาร้าน









วันนี้ชายหนุ่มถึงกำหนดถอดเฝือกออกและตรวจเช็คสภาพร่างกายว่ากระดูกประสานกันดีไหม โดยเขามีพี่ชายคนโตไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งผลการรักษาก็เป็นไปได้ด้วยดี แขนของเขากลับมาใช้งานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็น เหลือแค่ทำกายภาพบำบัดให้หากเป็นปรกติเท่านั้น

เมื่อโล่งใจเรื่องแขนแล้ว ชายหนุ่มก็ขอให้พี่ชายพาไปซื้อน้ำเต้าหู้นมสดที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดกวีนัก ก่อนจะขอให้ส่งเขาที่คอนโดของน้องเป็นที่สุดท้าย

เวลานี้ ยามที่เขาเดินเข้าไปที่คอนโดกวี เขาไม่ต้องรอให้ยามหน้าคอนโดตรวจบัตรอีกแล้ว เพราะวายุมาในฐานะคนรักของกวี

ชายหนุ่มทักทายยามคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินตัวปลิวโดยมีถุงนมสดติดมือไปขึ้นลิฟต์ด้วย ตั้งแต่เจ็บตัวจากเวียดนามวายุไม่ได้มาที่นี่นานเป็นเดือน เพราะหลังจากหมออนุญาตให้วายุเดินทางกลับได้ เขากับกวีและพสุธาก็เดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่ประเทศไทย และกวีก็แทบจะย้ายมาอยู่ที่ร้านพี่รถกับข้าวเป็นการถาวร

คนรักที่น่ารักของเขาอยากดูแลเขาด้วยตัวเอง กวีจึงต้องไปๆ มาๆ ระหว่างคอนโดและร้านพี่รถกับข้าวแทบจะทั้งอาทิตย์ จะมีแค่สองวันก่อนส่งต้นฉบับรายสัปดาห์เท่านั้นที่กวีต้องกลับไปอยู่คอนโดของตัวเอง

วายุรู้สึกว่าการทะเลาะและห่างกันคราวนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น แม้ว่ามันอาจจะมีที่ไม่มั่นคงบ้าง มีที่ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ใช้ประสบการณ์นั้นเป็นตัวอย่าง กล้าที่จะพูดคุย ฟังเสียงกันและกันมากยิ่งขึ้น

เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่ 17 วายุก็ออกไปตามทาง ไปหาประตูบานนั้นซึ่งด้านหลังมีคนที่เขาคิดถึงคอยอยู่

คิดๆ ดูแล้วก็น่าประหลาด แต่ก่อนวายุไม่เคยอยู่นิ่งเลย เขาชอบไปตรงนั้นตรงนี้ราวกับสายลม ไม่คิดว่าวันหนึ่งวายุจะมีที่ที่ทำให้เขาอยากกลับไปหามาที่สุด

ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักใจ เป็น Best place ของวายุ

นั่นคือที่ที่มีกวีอยู่...

ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 1707 ก่อนจะนึกพิเรนทร์โดยการแกล้งเซอร์ไพรส์ให้คนข้างในตกใจเล่น

ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~

กดกริ่งได้ครู่เดียว คนน่ารักในชุดนอนย้วยๆ ก็เดินมาเปิดประตู

กวียังคงเป็นกวีที่ไม่ยอมดูก่อนว่าใครมาหา วายุจึงเอ่ยทักทายด้วยคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยมานาน

“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”

พอคนน่ารักเปิดมาเห็นและได้ยินเสียงเขา เจ้าตัวก็ทำตาโตพร้อมกับร้องเรียกเสียงใสผิดกับหน้าตาสะโหลสะเหล่

“พี่ลม!”

“ครับ พี่เอง” วายุตอบรับ

“มาได้ไงครับเนี่ย”

น้องถามด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มจึงยกยิ้มกว้าง แล้วยกถุงนมสดร้อนๆ ให้อีกฝ่ายดู แม้ที่จริงต้องการให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาถอดเฝือกแล้วมากกว่า

“มาได้สิ ก็มีรักมาส่ง ไม่รู้ว่าจะมีใครรับบ้างไหม”

“ฮ่าๆ ๆ” กวีหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินมุขเสี่ยวๆ ของเขา “มีสิครับ ผมเป็นคนสั่งไปเอง”

“หึๆ” ครั้นถูกย้อน คนที่คิดจะมาแกล้งให้เขาอายก็หลุดหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็มาเซ็นรับและตรวจดูด้วยครับว่าของที่ส่งถูกต้องไหม”

เมื่อได้ยินกวีก็กระโดดออกมาเกาะแขนวายุและลูบเบาๆ ก่อนตอบ

“ครบถ้วนสมบูรณ์ดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากรับไว้ด้วยนะ”

“อื้ม” คนน่ารักพยักหน้าจนแว่นเอียง จากนั้นจึงพยุงเขาเข้าห้อง ราวกับว่าเขายังไม่หายเจ็บอย่างไรอย่างนั้น “เข้าบ้านกันนะครับพี่รถกับข้าว”

“ครับคุณก้อนยุ้ย”

ตอบรับแล้ววายุก็เดินเข้าไปในบ้านตามคำเชื้อเชิญ และประตูบานโตก็ค่อยๆ ปิดลง ทว่าเรื่องราวความรักระหว่างวายุและกวีจะยังดำเนินต่อไป...








THE END









--------------------------------------------------------------------------------------------------------------





ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ว

เรื่องนี้ความจริงไม่มีอะไรมากเลยค่ะ 

ฝนแค่นึกอยากเขียนเรื่องที่เป็นความรักง่ายๆ ของคนสองคน

แล้วอาชีพก็มาจากความขี้เกียจของตัวเอง ที่อยากมีรถส่งกับข้าวมาส่งที่บ้าน

คือบางครั้งไม่อยากออกจากบ้านอะไรแบบนี้ 

ไอเดียก็เลยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

ส่วนดราม่าในช่วงท้าย ก็เป็นดราม่ากรุบกริบที่ต้องมีบ้างให้พอหอมปากหอมคอ

ก็นะ...คนคบกันจะไม่ทะเลาะกันบ้างเลยก็คงแปลก

เขียนนิยายจบไปอีกเรื่องแล้ว ในใจก็แอบใจหาย แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่เป็นไปตามเป้าที่คิดไว้

หลังจากนี้ฝนอาจจะมีฉบับรีไรต์มาลงแก้บ้าง เพราะต้องตรวจทานทำเล่มเองด้วย

ถ้าใครคิดถึงก็กลับมาอ่านกันได้นะคะ

อีกอย่างหนึ่งฝนจะลงตอนพิเศษด้วย น่ารักๆ กรุบๆ กริบๆ 

คาดว่าคงไม่นานนี้จะปล่อยออกมาค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ

ฝนดีใจมากที่เปิดเข้ามาแล้วยังมีนักอ่านกลุ่มเล็กๆ ค่อยให้กำลังใจกัน

หวังว่าจะติดตามกันไปในทุกๆ เรื่องนี้



พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ



รัก   :กอด1: :กอด1: :กอด1:





ละอองฝน.



ปล. เรื่องนี้ฝนทำเล่มเองนะคะ ใครสนใจเข้าไปดูรายละเอียดในเพจละอองฝน หรือทวิตเตอร์ละอองฝนได้เลยน้า



หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-11-2018 22:02:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

จบแย้ว
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 23-11-2018 22:23:07
ดีใจกันพี่ลมและน้องก้อยด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-11-2018 22:52:48
จบซะแล้ว

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-11-2018 00:20:19
ขอบคุณที่ลงให้รวดเดียวจนจบเลยนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-11-2018 01:30:59
เอ็นดูน้องก้อนมากก เป็นนิยายที่อ่านแล้วยิ้มแย้มแจ่มใสมากค่ะ รักน้องมาก พี่ลมก็อบอุ่น  :hao5:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-11-2018 03:30:43
 :L1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-11-2018 08:50:04
เจ้าก้อนช่างร้าย อยากอยู่กับพี่ แต่ก็กดดันตัวเองจากคำคนอื่น
จนเกือบทำตัวเองเสียใจแล้วนะ แล้วกว่าจะรู้ตัวว่าทำไม่ดี
พี่ก็ไปเจ็บตัวซะไกล แต่ก็โชคดีที่ลมไม่เป็นอะไรมาก

เอ็นดูวี เหมือนเด็กน้อยเผชิญโลกกว้าง
และน้องก็ติดลมมาก จนอยากมีเวลาอยู่ด้วยกัน
ถ้าคุยกันแต่แรก คงไม่เป็นเรื่องแบบนี้
ลมใจเย็นพอดู เพราะรักหรอกเนาะ

น่ารักมากเลยค่ะ แล้วความเซี้ยวของเจ้าก้อนก็มาเหนือเสมอ
ทำลมไปต่อไม่เป็นหลายรอบ ทำให้เขินเองก็หลายครั้ง

ขอบคุณมากเลยนะคะ เรื่องสนุก น่ารัก น่าติดตาม
อ่านได้เรื่อยๆ เลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ
รออ่านตอนพิเศษจ้า
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 24-11-2018 09:54:01
อ่านรวดเดียวเลยยย

น้องก้อน น่ารักมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-11-2018 10:41:16
น่ารักจัง พี่ลมใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่มากเลย ถึงแม้ก้อนจะเครียดกับงานและเผลอพูดจาไม่น่ารักใส่พี่ลม แต่พี่ลมก็ไม่ตอกกลับด้วยการโมโหหรือใส่อารมณ์กับน้อง อยากได้แฟนแบบพี่ลมมม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 24-11-2018 15:14:10
พี่รถกับข้าวกับน้องก้อนย้วย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-11-2018 22:40:40
เป็นเรื่องราวที่น่ารักมากๆค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 24-11-2018 22:49:34
น้องก้อนน่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 25-11-2018 16:49:27
งืออออ สนุกมากเลยค่ะ น้องก้อนน่ารักมาก ๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 26-11-2018 13:40:45
น่ารักกกก อยากมีน้องก้อนเป็นของตัวเอง อ่านแล้วอยากบีบๆๆๆๆๆ 55555
พี่ลมก็อบอุ๊น อบอุ่น คอยดูแล เอาใจ ดีงามมากๆ เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-11-2018 15:01:54
ใจดีตลอดเลยน้าพี่ลม
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 26-11-2018 16:14:47
 :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-12-2018 10:55:55
เจ้าก้อนน่ารักกกกกกกกก

ผศิณเป็นไงบ้างนะอกแตกตายยัง?
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 01-12-2018 21:52:05
น่ารักค่ะ อ่านสบาย เพลินๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 02-12-2018 08:33:35
น้องก้อนเกือบไม่ได้เจอพี่ลมแล้วสิ มัวแต่ทำงาน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 06-12-2018 13:30:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 09-12-2018 11:43:32
ก้อนน่ารัก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 10-12-2018 00:37:39
น่ารัก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 10-12-2018 11:19:12
เป็นเรื่องที่น่ารักมาก ๆ เลยนะคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ นะคะ ฟิน~~~ละมุนมากค่ะ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 18-12-2018 23:35:55
น่ารักมากเลยค่ะเจ้าก้อนยุ้ย พี่รถกับข้าวด้วย
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 19-12-2018 14:34:28
น้องก้อนผู้น่ารัก..พี่ลมก็ช่างแสนดี  o13

ตกใจตอนท้ายที่มีดราม่า เพราะมุ้งมิ้งน่ารักกันมาทั้งเรื่อง..ใจหายเลย  :hao5:

ผ่านไปด้วยดี..จบปิ๊ง  :mc3:

  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 19-12-2018 16:33:34
ขอบคุณคนเขียนมาก น่ารักทั้งคู่เลย พี่ลมเอาใจใส่มาก น้องก็น่ารัก555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 21-12-2018 14:30:50
เนื้อเรื่องน่ารักดีค่า ชื่อเจ้าก้อนยุ้ยเหมือนกระต่ายหรือหนูแฮมเลย 55555
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 22-12-2018 00:03:11
เอ็นดูเจ้าก้อน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 22-12-2018 05:27:24
พี่ลมน้องก้อน
น่ารักสุดๆ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 22-12-2018 23:34:27
น่ารักมากเลย  :-[ ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- บทที่ 19-20-21-22-บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 29-12-2018 20:52:16
เนื่อเรื่องน่ารักมากเลย เจ้าก้อนนนน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 15-02-2019 17:22:46





วาเลนไทน์ 1











ดวงตาคู่ใสมองผ่านแว่นไปไล่มองคลิปวีดีโอในคอมพิวเตอร์ ผ่านไปครู่หนึ่งนักเขียนหนุ่มก็กดเมาส์หยุดคลิปเพื่อก้มลงมาเขียนรายละเอียดต่างๆ ลงในสมุดโน้ตบนตักเป็นระยะ ราวกับว่าเขากำลังย้อนวัยกลับไปเลกเชอร์ในชั้นเรียนมหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น

จวบจนเข็มนาฬิกาหมุนวนไปโดยไม่รู้ตัว ระหว่างที่กวีกำลังกำลังจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่นั้น เสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ก็ทำให้เขาต้องวางปากกา

เมื่อกวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าใครส่งข้อความมาหา

WAYU : วี [21:35 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่กำลังจะออกจากร้านแล้ว [21:35 อ่านแล้ว]

WAYU : อยากได้อะไรไหมครับ [21:35 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ไม่เอาครับ [21:37 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : พี่ลมเข้ามาเลย เดี๋ยวผมอุ่นกับข้าวรอ [21:37 อ่านแล้ว]

WAYU : โอเคครับ [21:38 อ่านแล้ว]

WAYU : พี่จะรีบเข้าไป [21:38 อ่านแล้ว]

ก้อนไงจะใครล่ะ : ขับรถดีๆ น้า [21:39 อ่านแล้ว]



กวีตอบกลับไปพร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์หมูขับรถไปให้ รอจนวายุอ่านและส่งสติ๊กเกอร์หมูยิ้มหวานกลับมา กวีจึงวางโทรศัพท์ และรีบกดพับหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลง และซ่อนสมุดเอาไว้ในกระเป๋าเอกสาร

นักเขียนหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมให้ความลับที่กำลังคิดจะทำเปิดเผยเด็ดขาด

ใช่แล้ว...เวลานี้กวีกำลังมีความลับ

โดยเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากคำพูดของเจนจิรา บ.ก.คนสนิทที่เพิ่งแวะมาหากวีเมื่อตอนกลางวัน...

“เบื่อจัง” เธอว่าขณะนั่งเขี่ยเส้นมาม่าผัดในจานที่กวีทำให้เป็นมื้อเที่ยง

“เบื่ออะไรครับ” นักเขียนหนุ่มเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมาถาม

“ไม่รู้สิ”

“เบื่องานหรือครับ”

“ก็ด้วย...แต่แบบว่า ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอก”

“แล้วเหตุผลหลักของพี่คืออะไรล่ะ”

“เหงาอ่ะ อยากมีแฟน”

“หา? !”

“ทำตาถลนทำไมเล่า แค่อยากมีแฟนเอง ไม่ได้หรือไง”

“...ได้สิครับ ผมแค่ตกใจเฉยๆ อยู่ก็พูดเรื่องแฟนขึ้นมา ทุกทีไม่เห็นเคยบ่นเหงาเลย”

“ฉันอายุเข้าเลขสามแล้วนะปีนี้ มันก็ต้องมีบ้างแหละ ยิ่งใกล้จะช่วงวาเลนไทน์อีกแล้วด้วย งานเขียนที่ดูอยู่ก็มีแต่นิยายรัก แบบนี้ไม่ให้เหงาไหวหรือ”

“โถ่...พี่เจน” กวีคราง รู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ถ้าเหงาก็มาหาผมก็ได้นี่ครับ มากินขนมด้วยกัน จะได้มีเพื่อนคุย”

“แหมๆ คุณก้อน ทำอย่างกับคุณมีเวลาว่างให้ฉันนักแหละ ไหนจะปั่นต้นฉบับ ไหนจะคอยเทคแคร์แฟนอีก” เจนจิราเอ่ยแซว “เอ๊ะ! หรือว่าให้คุณลมเขาเทคแคร์ก็ไม่รู้สิ เห็นเจอกันทีไรมีแต่หิ้วของกินมาฝาก”

“ก็พี่ลมเขาใจดีนี่ครับ”

“สายเปย์”

“ไม่ใช่สักหน่อย เขาแค่เป็นห่วงกลัวผมไม่ยอมทำกับข้าวดีๆ กินเพราะขี้เกียจเท่านั้นแหละ”

“โอ้ยๆ พอๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเหม็นความรัก” เจนจิราโวยวาย “ทำไมฉันไม่มีแบบนี้บ้างนะ ฮื้อ~”

“ก็พี่ทำแต่งานนี่ วันๆ ได้เจอใครที่ไหน นอกจากคุณพศิน นักเขียนในความดูและ กับพี่ที่โรงพิมพ์...” กวีชะงักไปนิด ก่อนจะทำท่าเหมือนคิดอะไรออก ทว่าในสายตาเจนจิรา แววตาแบบนี้ดูไม่น่าไว้ใจที่สุด

“มีอะไร”

“นี่ไงพี่เจน ผมคิดออกแล้วว่าพี่จะไปหาแฟนได้จากที่ไหน”

“ที่ไหน”

“ก็ที่โรงพิมพ์ไง!”

“บ้า!”

“ไม่บ้าหรอก พี่เคยบอกว่าทางนั้นเขาก็โสดเหมือนกันไม่ใช่หรือ แถมพี่ก็คุยกันบ่อยด้วย อยู่ด้วยกันทุกช่วงเวลา แม้ก่อนปีใหม่ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์”

“คุยกันเรื่องงานทั้งนั้นแหละ แถมอีตาบ้านั่นยังปากจัดจะตาย โสดยังไงก็ไม่เอาด้วยหรอก ฉันยอมนอนกอดโน้ตบุ๊กข้ามคืนวาเลนไทน์อย่างโดดเดี่ยวยังดีเสียกว่า”

“ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ก็ขนาดนั้นน่ะสิ! ลองให้แกไปดีลงานกับเขาดูสักทีนะ รับรองว่าวิ่งร้องไห้มาฟ้องคุณพศินแทบไม่ทัน”

“โห...ผมว่าพี่เจนก็พูดเกินไปนะเนี่ย”

“ลองดูไหมล่ะ”

“ไม่เอาดีกว่าครับ เกรงใจ แหะๆ” กวีหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนฉุกคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาได้ “พี่เจน”

“อะไรอีก”

“แล้วคุณพศินล่ะพี่ ทางนี้ก็ยังโสดไม่ใช่หรือ”

ครั้นได้ยินกวีเอ่ยประโยคนี้ บ.ก.คนดีของกวีก็แทบจะกรอกตาเป็นเลขแปด จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดชีวิต

“คุณพศินเป็นเกย์”

“ห๊า!!”

“ตกใจอะไรเล่า นี่แกไม่รู้หรือไง”

“ก็ไม่รู้น่ะสิครับ...ไม่รู้จริงๆ” สาบานให้ขนมหมดไปจากตู้เย็น กวีไม่เคยรู้มาก่อนว่าพศินเป็นเกย์

“เฮ้อ...ก้อนนะก้อน ป่านนี้คุณพศินร้องไห้แล้ว”

“ร้องไห้ทำไมครับ ร้องที่ผมรู้ว่าเขาเป็นเกย์หรือ”

เจนจิรามองหน้านักเขียนของตัวเองอย่างเอือมระอา และตัดสินใจว่าจะไม่เอ่ยเรื่องที่คุณพศินเคยจีบกวีให้เจ้าตัวฟัง เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าก้อนคงร้อง หา! ห๊า!! หา!!! อีกหลายรอบ

“...ช่างมันเถอะ เขาจะร้องไห้ทำไมก็เรื่องของเขา ว่าแต่วาเลนไทน์ปีนี้แกมีของขวัญอะไรให้แฟนหรือยัง” เธอเปลี่ยนเรื่อง

“ยังเลยครับ” กวีตอบตามตรง

“ไม่คิดจะทำอะไรให้เขาเลยหรือไง ไหนๆ เขาก็ดูแลแกมาทั้งปีเชียวนะ”

“ผมไม่รู้จะให้อะไรนี่”

“แล้วปีที่แล้วให้อะไรล่ะ”

“ไม่ได้ให้ครับ วาเลนไทน์ปีที่แล้วปั่นต้นฉบับงานหนังสือไง พี่เจนจำไม่ได้หรือ”

“อ๋อ...จำได้แล้ว” เจนพยักหน้ารับ ก่อนจะเสนอ “ความจริงน่าทำเซอร์ไพรส์อะไรให้เขาบ้างนะ แบบว่าเพิ่มสีสันให้ชีวิต เขาจะได้มีกำลังใจอยู่ดูแลแกต่อไปไงก้อน”

“พี่เจนพูดเหมือนพี่ลมป่วยใกล้ตายเลย” พูดจบกวีก็ถูกบ.ก.ดุเข้าให้คำหนึ่ง

“ปากเสีย!”

“โถ่...แค่ล้อเล่นครับ”

“ล้อเล่นไม่ได้นะ เรื่องแบบนี้” เธอยังขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าไม่พอใจ “แล้วเรื่องวาเลนไทน์น่ะ ฉันพูดจริงๆ นะ น่าจะทำอะไรให้เขาบ้าง จัดทริปเซอร์ไพรส์ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองก็ยังดี เห็นแกบอกเขาชอบเที่ยวไม่ใช่หรือ”

“ครับ...แต่ทุกทีพี่ลมจัดทริปน่ะ”

“นั่นไง คราวนี้แกก็เป็นคนจัดบ้างไงก้อน รับรองเซอร์ไพรส์แน่”

“แต่ผมไม่รู้จะเลือกที่ไหน พี่เขาน่าจะเคยไปมาหมดแล้วนะ”

“ที่ไหนก็จิ้มๆ เลือกไปเถอะ” เธอเอ่ยอย่างขัดใจ แต่ก็ยังแนะนำต่อ “จุดประสงค์คือได้ใช้เวลาร่วมกัน แบบโรแมนติกๆ โดยมีแกเป็นคนคิดทำอะไรให้บ้าง ฉันว่าเท่านั้นคุณลมคงดีใจตายแล้วล่ะ”

“พี่เจนว่าดีหรือ” สารภาพตรงนี้เลยว่า พอกวีได้ยินที่เจนจิราพูด เขาเองก็คล้อยตามไม่น้อย

“ดีสิ”

“งั้นผมจะลองคิดดูแล้วกัน”

“รีบคิดซะล่ะ จะได้จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินบลาๆ ใกล้วาเลนไทน์แล้วด้วย ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ทริปฟรุ้งฟริ้งๆ แบบนี้ฉันล่ะชอบนัก แต่ไม่มีโอกาสได้ไปกับใครสักที...เฮ้อ~”

“ขอบคุณครับพี่เจน” กวียกมือไหว้บ.ก.สาว เพราะเธอช่วยจุดประกายความคิดให้เขาได้ดีเหลือเกิน ทว่ายังไม่วายหยอกไปอีกประโยค “พี่เจนอาจได้ไปก็ได้นะ ถ้ายอมคุยกับพี่ชายในโรงพิมพ์ดีๆ”

“พ๊อ!! ไม่ต้องชงแล้ว เพราะชงยังไงก็ชงไม่ขึ้นโว้ย!!”













ความลับของกวีคือ เซอร์ไพรส์วายุในวันวาเลนไทน์

เพราะวาเลนไทน์ในปีแรกของพวกเขาไม่มีอะไรพิเศษ ซ้ำยังทะเลาะกันรุนแรง กวีจึงตั้งใจเอาทั้งหมดมาชดเชยในปีนี้

ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะจัดทริปพาวายุเที่ยวเหมือนที่เจนจิราเสนอ แต่เพราะความไม่พร้อมบวกกับระยะเวลาที่กระชั้นเข้ามา ทำให้คนที่ไม่เคยคิดอยากจะไปเที่ยวไหนต้องเปลี่ยนแผน

เหมือนที่บ.ก.ของเขาบอก จุดประสงค์ของวันแห่งความรัก คือ การได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน และสร้างความทรงจำดีๆ ให้กลับมายิ้มทุกครั้งที่คิดถึง เขาจึงปรับเปลี่ยนและทำอะไรในแบบของตัวเอง

โดยพื้นฐานกวีเป็นคนที่ชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ดังนั้นไอเดียที่ได้จึงมาจากข้อมูลที่เสิร์ชหา รวมเข้ากับความชอบส่วนตัวของเขา นั่นคือการทำอาหาร

เมื่อคิดทุกอย่างมาดีแล้ว กวีจึงตัดสินใจจัดปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้าน โดยจะต้องหาซื้ออุปกรณ์ตกแต่ง รวมทั้งคิดเมนูในปาร์ตี้ทั้งหมด และสิ่งที่เขาต้องหัดทำเป็นพิเศษ คือ ช็อกโกแลต

ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะซื้อช็อกโกแลตแบบสำเร็จรูปมาให้ แต่พอลองเปิดหาวิธีทำ กวีก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าได้ให้อะไรที่เป็นของทำเอง และได้เห็นว่าคนรับชื่นชอบ คงเป็นความรู้สึกดีไม่น้อย

กวีเรียนวิธีทำช็อกโกแลตในแบบต่างๆ ตามยูทูป ทั้งจดสูตร วัสดุ และเทคนิคต่างๆ เอาไว้ในสมุด ก่อนจะออกไปซื้อของทั้งหมดเพื่อกลับมาหัดทำ

เวลานี้สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การเรียนรู้และทดลอง แต่มันคือการออกไปซื้อของข้างนอกด้วยตัวเองต่างหาก!

เพราะวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในคราวนี้ กวีไม่สามารถสั่งซื้อในร้านพี่รถกับข้าวได้เหมือนเก่า ด้วยกลัวว่าเจ้าของร้านพี่รถกับข้าวจะระแคะระคายจนในที่สุดก็จับได้ขึ้นมา

ดังนั้นเพื่อความเซอร์ไพรส์ เขาจึงต้องกำหนดวันเพื่อจะได้ออกไปซื้อของแต่เช้า

ซึ่งวันที่ว่าก็คือพรุ่งนี้

นักเขียนหนุ่มทบทวนแผนการของตัวเองในใจ จากนั้นจึงเดินฮัมเพลงเบาๆ ออกไปอุ่นอาหารเย็นรอคนรักอย่างอารมณ์ดี

วันนี้เขาลองทำแกงมัสมั่นเนื้อเป็นครั้งแรก เพราะรู้มาจากคุณนายวารี ว่าวายุบ่นอยากกินแกงมัสมั่นเนื้อตอนที่โทรหาสองวันก่อน

เดี๋ยวนี้กวีสนิทกับครอบครัวของวายุมากกว่าเดิม เพราะระหว่างปีนี้เขาไปมาหาสู่กันบ่อย บางครั้งวายุก็เป็นคนพาเขาไปเชียงราย และหลายๆ ครั้งพ่อและแม่ของอีกฝ่ายก็ขึ้นมาเที่ยวกรุงเทพฯ นี่ยังไม่นับรวมที่คุณวารีชอบโทรหาเขาทุกๆ สองหรือสามวัน

แต่กวีก็คิดว่าเป็นแบบนี้ดีแล้ว ทั้งเขา วายุและครอบครัวของอีกฝ่ายจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จะมีก็แต่วายุที่ได้พบแม่ของเขาปีละครั้ง ส่วนพี่พันก็เจอกันนานๆ ที

หลังจากอุ่นข้าวอุ่นแกงได้ที่ กวีก็มองดูเวลาและคิดคำนวณในใจว่าอีกไม่นานคนรักของเขาคงมาถึง เห็นดังนั้นนักเขียนหนุ่มจึงเจียวไข่ใส่หมูสับเพิ่มอีกอย่าง

ครั้นเจียวไข่และตักแกงในถ้วยไปวางบนโต๊ะเรียบร้อย เสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้นพอดิบพอดี

กวีรีบเช็ดไม้เช็ดมือและวิ่งออกไปเปิดประตูทั้งผ้ากันเปื้อน ก่อนจะเปิดประตูต้อนรับคนรักที่ยืนรอพร้อมรอยยิ้มและ...ถุงขนม

“มาแล้ว!”

“ครับ พี่มาแล้ว” อีกฝ่ายยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าประตูมาดึงเขาไปหอมหัว “คิดถึงจัง”

“เพิ่งออกไปเมื่อเช้าเองครับ”

“ออกไปเมื่อเช้าก็คิดถึงได้” คนปากหวานว่า

“มาครับๆ ถอดรองเท้าเข้าบ้านก่อน ผมเอากับข้าวขึ้นโต๊ะเสร็จพอดี”

“วันนี้มีไข่เจียวหรือ”

“พี่ลมรู้ได้ไง นี่ผมเปิดเครื่องดูดควันแล้วนะ”

“พี่ได้กลิ่นจากหัวเราเมื่อกี้ไงครับ” เจ้าตัวเฉลย ก่อนจะยืนถุงขนมให้ “อ่ะ พี่ซื้อทาร์ตชีสมาฝาก เอาไว้กินหลังอาหาร”

“โห...ให้กินทาร์ตชีสหลังอาหารแบบนี้ พี่ลมกะขุนกันใช่ไหม” ถึงจะบ่น แต่กวีก็รับของฝากมาถือไว้อย่างทะนุถนอม

“ต้องขุนสิ เดี๋ยวผอมแล้วกอดไม่เต็มมือ” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับทำตาเจ้าเล่ห์ กวีจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และเดินนำเข้าไปในครัว



กวีคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่หัดทำมัสมั่นเนื้อตามที่แม่ของวายุบอก เพราะวันนี้พี่ลมของเขาดูเจริญอาหารเป็นพิเศษ จนถึงตอนนี้ก็ตักข้าวเพิ่มตั้งสองครั้ง พานให้คนทำยิ้มหน้าบาน

“อร่อยไหมครับ”

“อร่อยมากๆ” วายุเอ่ยชม ขณะช่วยล้างจานให้

“เอาไว้ผมจะทำให้กินอีกบ่อยๆ”

“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวหันมายิ้มให้เขา

“ไม่เป็นไรครับเห็นคนกินอร่อยผมก็ชื่นใจแล้ว”

“แต่วีเก่งจริงๆ นะ เพิ่งหัดทำครั้งแรกยังอร่อยขนาดนี้”

“พี่ลมชมเกินไปแล้ว”

“พี่พูดจริง นี่ทำเอาพี่ตบะแตกเพิ่มข้าวไปตั้งเยอะ สงสัยวันพรุ่งนี้ต้องลงไปวิ่งซะแล้ว”

“วิ่งที่ไหนครับ”

“ก็ฟิตเนสข้างล่างไง สนใจไปด้วยกันไหมล่ะ”

“นี่คืนนี้พี่ลมจะมาค้างกับผมอีกหรือครับ!”

“ทำไมครับ ไม่อยากให้พี่มานอนด้วยหรือ”

“เปล่าสักหน่อย” กวีรีบแย้งเพราะกลัวพี่เข้าใจผิด “ผมแค่ดีใจเท่านั้นเอง ก็เห็นปรกติพี่นอนนี่อาทิตย์ละวันสองวัน แต่อาทิตย์นี้นอนทุกวันเลย”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่คิดถึงวี...อีกอย่าง พอชวนไปนอนที่ห้องพี่ วีก็ไม่ค่อยไป”

“ผมชอบนอนบนกองหมอนที่คอนโดมากกว่านี่ครับ”

“อ๋อ...งี้นี่เอง งั้นเอาไว้พี่จะหาซื้อหมอนนิ่มๆ มากองบนเตียงที่ห้องบ้างดีกว่า”

เห็นคนรักทำหน้าเอาจริงเอาจังกับการซื้อหมอน กวีก็หลุดขำออกมาเบาๆ อันที่จริงเขาไม่ได้มีปัญหาหรืออึดอัดกับการไปนอนที่ร้านพี่รถกับข้าว เพียงแต่กวีขี้เกียจเดินทางไปๆ มาๆ กวีจึงใช้ความเอาแต่ใจที่มี เลือกฝังตัวอยู่ที่ฐานทัพของตัวเองแทน

หลังจากล้างจากเรียบร้อย กวีก็ถูกวายุไล่ต้อนให้ช่วยเข้าไปสระผม จนกลายเป็นว่าพวกเขาต้องอาบน้ำด้วยกัน และลากยาวไปทำอะไรๆ ต่อบนเตียง









หลังผ่านกิจกรรมเผาผลาญพลังงานไปแล้ว กวีก็ลมตัวลงซบบนอกแกร่งอย่างหมดแรง นักเขียนหนุ่มเกือบผล็อยหลับอยู่รอมร่อ แต่เสียงคนขี้รังแกก็เรียกสติเขาไว้ก่อน

“วีครับ”

“...ครับ” กวีตอบรับเสียงคางยาน

“จะหลับแล้วหรือ”

“ครับ”

“คืนนี้ให้พี่ปลุกทำงานไหม”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมว่าน่าจะลุกไม่ไหว” ก็วายุเล่นจับเขาออกกำลังกายใต้ผ้าห่มท่านั้นท่านี้ กวีคิดว่าที่เขาไม่สลบไปก่อนก็เก่งมาแล้ว

” หึๆ” อีกฝ่ายหัวเราะเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนดิสนี่ย์ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งคลึงสะโพกเขาเล่น “แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว คราวหลังลงไปออกกำลังกายกับพี่ดีกว่าจะได้ไม่หมดแรงง่ายๆ”

“ฮื้อ...พี่ลมอย่าแกล้งผมสิ”

“ฮ่าๆ ๆ โอเค ไม่แกล้งก็ได้ครับ” พอหัวเราะร่วนอย่างถูกใจที่แกล้งเขาได้ วายุก็พลิกกลับมาเป็นผู้ชายอบอุ่นอีกครั้ง “แต่วีครับ”

“ครับ”

“พี่อยากจะถามอะไรสักหน่อย”

“อะไรครับ”

“วันที่ 14 วีว่างไหม”

“14 ที่จะถึงนี้หรือครับ”

“อื้ม 14 กุมภาฯ น่ะ”

หลังได้ยินชัดว่าวายุพูดถึง 14 เดือนไหน กวีก็ตาตื่นขึ้นมาทันที เขาผงกหัวขึ้นมองหน้าคนถาม ก่อนจะเลือกที่จะถามกลับแทนให้คำตอบ

“ทำไมหรือครับ”

“พี่จะชวนไปกินข้าวนอกบ้านน่ะ พอดีเจอร้านดีๆ สนใจไหม”

ถ้าเป็นในยามปรกติกวีคงรีบตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด แต่ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้น

นักเขียนหนุ่มอึกๆ อักๆ อยู่ครู่หนึ่ง ใจก็ไม่อยากปฏิเสธ เพราะรู้ว่าที่พี่ชวนเนื่องจากเป็นวันพิเศษ แต่ถ้าเกิดเขาตอบตกลง แผนการที่วางไว้ว่าจะเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์คงมีอันต้องล้มไม่เป็นท่า

ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง สุดท้ายจึงเลือกที่จะเป็นคนทำเพื่อวายุบ้าง

...แต่ขั้นแรกเขาต้องโกหกให้แนบเนียนเสียก่อน

“ผมมีงานต้องทำน่ะครับ”

“หืม? มีงานหรือ”

“ครับ”

“ด่วนไหม”

“ก็ต้องรีบส่งเหมือนกัน นี่ก็เร่งทำแล้วนะ แต่มันคงไม่เสร็จ แล้ววันที่ 15 ต้องส่งพอดีด้วย”

เป็นครั้งแรกที่กวีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เขาก้มหน้าลงไม่มองตาวายุ เพราะกลัวจะถูกจับได้ และพยายามทำเสียงให้หงอยที่สุด

“อ๋อ วีลงนิยายรายปักษ์นี่เนอะ”

“...ครับ...น่าเสียดายจัง อดไปกินข้าวข้างนอกเลย”

แทนที่วายุจะต่อว่าที่กวีไม่มีเวลาให้ แต่อีกฝ่ายกลับปลอบใจเขาแทน กวีก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องต้องลงเอยแบบนี้ด้วยรู้นิสัยของพี่ดี

“ไม่เป็นไรนะ เอาไว้วีเสร็จงานเมื่อไหร่ พี่จะพาไปกิน ดีไหมครับ”

“ดีครับ” เขาเว้นไปนิด “พี่ลมไม่โกรธผมนะ”

“พี่จะโกรธวีได้ไงล่ะ อย่าคิดมากสิ” นอกจากน้ำเสียงอบอุ่นและเข้าอกเข้าใจแล้ว วายุยังก้มลงหอมบนกลุ่มผมเหมือนที่ชอบทำ และดึงเขาเข้าไปกอดแน่น “นอนนะครับ”

“ครับ”

“ฝันดีนะเจ้าก้อนยุ้ยของพี่”

“ฝันดีครับพี่ลม”

กวีแสร้งหลับตาลงก่อนพรูดลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีเหลือเกินที่พี่ลมของเขาไม่สงสัยสักนิด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างคงพังไม่เป็นท่า

นักเขียนหนุ่มนึกขอโทษคนรักในใจอีกครั้ง ก่อนปล่อยให้ตัวเองด่ำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด









----------------------------------------------------------------------





วาเลนไทน์มาช้าไปวันนึง

อย่าว่ากันน้า




ปล.ฝนมีเปิดขายรอบสต๊อกนะคะ เข้าไปดูรายละเอียดในเพจน้า



ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 15-02-2019 19:29:26
อยากได้ช็อกโกแลตจากน้องก้อนบ้าง  :L2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: blugar ที่ 15-02-2019 23:37:26
เอาใจช่วยน้อง ขอให้แผนไม่ล่มนะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-02-2019 23:44:31
 :hao3: รอดูๆ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 15-02-2019 23:57:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-02-2019 09:33:13
แผนเซอไพร์ของเจ้าก้อนจะสำเร็จมั้ยน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 20-02-2019 09:10:18
แผนเซอร์ไพรส์อะไรน้าาาา
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2019 02:30:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอตอนต่อไปของสเปฯ วันวาเลนไทน์อยู่นะคับ

อยากรู้ว่าสะใภ้นั้นจะสำเร็จหรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 01-03-2019 21:26:40
รอตอนพิเศษวาเรนไทน์ต่อไป อยุ่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 04-03-2019 16:14:55
เป็นนิยาย feel good จริงๆค่ะ น้องกัอนน่ารักกะพี่รถกับข้าวสายเปย์  :hao3:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 17-03-2019 07:33:32
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 20-03-2019 22:50:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 24-03-2019 16:22:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 03-04-2019 11:06:43






ตอนพิเศษ  วาเลนไทน์ 2









วันรุ่งขึ้นกวีตื่นเช้ากว่าปรกติ เพราะเขาต้องออกไปซื้อของมาทำอาหาร รวมทั้งจัดสถานที่ แต่เพราะต้องรอให้วายุออกจากคอนโดไปก่อน กวีจึงต้องแสร้งนอนงัวเงียอยู่บนเตียงให้เหมือนกับทุกๆ วัน ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงสงสัย

“วีครับ”

“ครับ” กวีลืมตาขึ้นมอง

“พี่จะไปร้านแล้วนะ”

“งั้นผมเดินไปส่งหน้าห้องนะ”

“ถ้าง่วงก็นอนต่อได้ พี่แค่จะบอกเฉยๆ”

“ไม่เป็นไรครับ” กวียื่นมือให้วายุฉุดขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตู

“พี่ไปก่อนนะ เจอกันเย็นนี้”

“ครับ”

กวีตอบรับเบาๆ ก่อนขยับแว่นให้เข้าที่ จากนั้นจึงเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มคนรัก

“อยากฟัดจังเลย” วายุพูดแบบนั้น ก่อนก้มลงฟัดแก้มเข้าทีหนึ่งแล้วออกจากบ้านไป ส่วนกวีก็ยืนโบกมือหยอยๆ ให้จนกว่าอีกฝ่ายจะเข้าลิฟต์จึงเป็นอันเสร็จพิธี

ครั้นเห็นวายุลับตาไปแล้ว กวีก็รีบวิ่งกลับเข้ามาในห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าคว้ากระเป๋าสตางค์และถุงผ้าลดโลกร้อนเพื่อออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน

นานมากแล้วที่กวีไม่ได้ออกมาจ่ายตลาดด้วยตนเอง เพราะเขาใช้บริการพี่รถกับข้าวตลอด นักเขียนหนุ่มเดินเข้าโซนนั้น เดินออกโซนนี้ กว่าจะได้วัสดุทำอาหารกับช็อกโกแลต เครื่องดื่ม รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งในงานปาร์ตี้ ก็ทำเอาเขาเข็นรถเข็นไป เข็นรถเข็นมาจนล้าไปหมด

พอจ่ายเงินเรียบร้อยกวีก็เรียกรถมารับกลับบ้าน เขามัวโอ้เอ้ไม่ได้ เพราะยังต้องทำอะไรๆ อีกหลายอย่าง

ก่อนอื่นคือต้องซ่อนอุปกรณ์ตกแต่งในงานปาร์ตี้ไว้ให้มิดชิด เพราะกลัวว่าคนรักจะมาเจอเข้า หลังจากนั้นจึงเริ่มหัดทำช็อกโกแลตตามสูตรที่เรียนมาจากอินเตอร์เน็ต

กวีหัดทำช็อกโกแลตอยู่หลายวัน สลับกับเร่งเขียนงานให้เสร็จก่อนวันที่ 13 เพราะเขาจะได้มีเวลาจัดงานปาร์ตี้และอยู่กับคนรักตลอดทั้งวันที่ 14











และแล้ววันแห่งความรักก็มาเยือน เมื่อคืนชายหนุ่มแทบไม่ได้นอน เพราะต้องเร่งเขียนนิยายให้จบ และส่งไปให้บ.ก.ตรวจตอนใกล้รุ่งสาง

โชคดีที่เมื่อวานวายุไม่ได้มาค้างที่คอนโด พอกวีนอนเอาแรงได้สองชั่วโมง นักเขียนหนุ่มจึงลุกขึ้นมาเริ่มจัดการกับงานปาร์ตี้ได้ทันที

เขาเริ่มจากทำช็อกโกแลตทิ้งไว้ เพราะต้องการให้มันเซ็ตตัวตามรูปแบบที่ต้องการ กวีเลือกทำดาร์กช็อกโกแลต เพราะรู้ว่าวายุไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่

เมื่อทำเสร็จแล้ว เขาก็หมักเนื้อไว้ เผื่อจะได้เอาไว้ทำสเต็กตอนเย็น จากนั้นจึงผละไปเก็บของในห้องทำงานและระเบียงด้านนอกให้พร้อมกับการตกแต่ง

กวีวางโปรแกรมไว้ว่าจะดินเนอร์กันที่ระเบียง พอกินมื้อค่ำเรียบร้อยก็เข้ามาดูหนังรักสักเรื่องด้วยกันในห้อง ตอนนั้นเขาค่อยเอาช็อกโกแลตที่ทำเองออกมา

ตลอดทั้งวันนักเขียนหนุ่มจึงหัวหมุนกับการจัดงานเพราะต้องทำทั้งหมดเพียงคนเดียว กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยคนที่ไม่ชอบออกแรงอย่างกวีก็หมดแรงจนอยากเอาหัวโหม่งหมอนและหลับไปเลย

กระนั้น กวีก็ทำไม่ได้ เพราะขั้นตอนสำคัญที่สุดคือการใช้เวลาทั้งหมดหลังจากนี้กับวายุ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมตัวรอให้คนรักกลับบ้าน

แต่กวีไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้ คนที่เขารอจะโทรมาบอกข่าวร้าย

[พี่อาจจะกลับดึก หรือไม่วันนี้คงไม่ได้ไปนอนด้วยนะครับวี]

“อ้าว! ทำไมล่ะครับ”

[วันนี้ที่ร้านยุ่งมากเลย คนสั่งของเยอะ คนเข้าหน้าร้านก็เยอะ แล้วค่ำๆ จะมีของมาส่งด้วย พนักงานไม่พอ พี่ก็เลยอาจต้องอยู่ช่วยทำสต็อก]

“อ่อ...งั้นหรือครับ”

แม้พยายามทำความเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่พอมองตรงไปยังนอกระเบียงที่มีโต๊ะดินเนอร์ตั้งอยู่ กวีก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

[ทำเสียงหงอยเชียว อยากให้พี่ไปหาหรือครับ]

“ครับ” กวีตอบโดยไม่ต้องคิด “อยากให้กลับมาเร็วๆ”

[พี่ขอโทษนะครับ]

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าพี่ลมมีงาน”

[พี่ก็ต้องขอโทษอยู่ดี---] ยังไม่ทันพูดจบ กวีก็ได้ยินเสียงใครสักคนเรียกวายุแทรกเข้ามาในสาย พี่รถกับข้าวของเขาจึงต้องหันมาตัดบท [พี่ต้องไปแล้วครับ]

“อ้อ งั้นไปทำงานเถอะครับ” นักเขียนหนุ่มว่า ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยประโยคสุดท้าย “...แต่สมมติว่าพี่จะไม่มาแล้ว ยังไงช่วยโทรมาบอกด้วยนะครับ”

วายุเงียบไปนิด ก่อนตอบตกลง

[ครับ ถ้ายังไงพี่จะโทรบอก]

เมื่อปลายสายตัดไปแล้ว กวีก็มองหน้าจอดำสนิทแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาเดินวนอยู่รอบโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมื้อค่ำชั่วครู่ เอามือเขี่ยโบว์บนกล่องช็อกโกแลต และถอนหายใจออกมาอีกรอบ

หวังว่าพี่ลมจะกลับมานะ

กวีสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ถูกอุ้มเข้าไปวางในห้องนอน เขายกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าที่อยู่ห่างแค่คืบ

“พี่ลม...กลับมาแล้วหรือครับ”

“อื้ม พี่กลับมาแล้ว”

“กี่โมงแล้วครับ”

“ห้าทุ่มกว่าครับ”

“โอ๊ะ!” กวีผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง “จะเที่ยงคืนแล้ว”

“ทำไมครับ เที่ยงคืนมีอะไร” วายุถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็จะเลยวันวาเลนไทน์แล้วน่ะสิครับ!”

“หื้ม? ...วีจำวันวาเลนไทน์ได้ด้วยหรือ”

“จำได้สิครับ” ว่าแล้วกวีก็ลุกขึ้นจากเตียง และคว้ามือวายุให้ออกมาด้วยกัน

“มีอะไรครับวี”

“เถอะน่า พี่ลมตามผมมาก่อน”

กวีพาวายุเข้าไปในห้องทำงานที่ถูกปิดไฟเอาไว้ เดินผ่านไปจนถึงระเบียงด้านนอก แสงไฟของกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืนทำให้วายุมองเห็นโต๊ะที่กวีจัดเอาไว้ในสวนเล็กบนระเบียงคร่าวๆ แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ถาม กวีก็ดันให้วายุนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งหนึ่ง

“นั่งรออยู่ตรงนี้นะครับ”

“นี่อะไรน่ะวี...”

“เดี๋ยวพี่ก็ก็รู้”

กวีเดินหายเข้าไปในห้องทำงานครู่หนึ่ง ไฟกระพริบเหมือนไฟปีใหม่ก็สว่างขึ้นทั่วทั้งระเบียง แล้วกวีจึงจะเดินออกมาพร้อมเครื่องดื่ม และช็อกโกแลตทำเอง

เขาจุดเทียนในครอบแก้วก่อน จากนั้นจึงยื่นแก้วเครื่องดื่มกับกล่องช็อกโกแลตให้วายุ

“ไวน์หรือ แล้วนี่อะไร”

“ครับ” คนน่ารักพยักหน้า “หรือพี่ลมอยากได้เครื่องดื่มแรงๆ กว่านี้ แต่ผมว่านี่เหมาะกับสเต็กมากกว่า”

“แบบไหนพี่ก็ชอบหมดเลย ว่าแต่นี่อะไร”

“ลองดูสิครับ ไม่รู้พี่จะชอบไหม ผมทำเองเลยนะ”

วายุไม่รอช้า เขาเปิดแกะโบว์และกล่องตรงหน้าออกดู จึงพบช็อกโกแลตรูปหัวใจเม็ดพอดีคำเรียงอยู่ในนั้นเป็นแถว เห็นแล้วอีกฝ่ายก็หยุดมองมันอยู่นาน แล้วเพื่อสูดหายใจลึก ก่อนถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“วีทำให้พี่หรือ”

“ถ้าไม่ใช่พี่ ผมจะทำให้ใครได้ล่ะครับ”

ได้ยินน้องบอกแบบนั้น วายุก็หยิบหัวใจสีน้ำตาลชิ้นหนึ่งเข้าปาก

“อร่อยมาก”

“จริงหรือครับ”

“จริงสิ ไม่หวานไป อร่อยสุดๆ เลย” เขาว่าแล้วหยิบกินอีกคำ

“ดีจังที่พี่ชอบ” กวียิ้มจนหน้าบาน เพราะเป็นปลื้มที่ของที่เขาตั้งใจทำถูกใจอีกฝ่าย “แต่ว่าก็ว่าเถอะ จัดปาร์ตี้นี่ไม่ง่ายเลยนะ ไหนจะต้องปิดบังพี่ลม--- โอ๊ะ! “

ยังไม่ทันพูดจบ นักเขียนหนุ่มก็ถูกฉุดให้นั่งลงบนตักของคนรัก ก่อนมือหนาจะช้อนคางขึ้นเพื่อประทับจุมพิตรสช็อกโกแลต

กวีไม่รู้ว่าจะถูกจูบกะทันหันเช่นนี้ ถึงอย่างนั้น แม้ทีแรกจะตกใจอยู่บ้าง พอหลังจากตั้งตัวได้ กวีจึงค่อยๆ เปิดปากรับและตอบกลับสัมผัสหวานล้ำระคนอบอุ่น

กระทั่งวายุจูบจนพอใจ ริมฝีปากของเขาจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

“พี่เซอร์ไพรส์มาก”

“ก็ผมอยากทำให้พี่เซอร์ไพรส์ไงล่ะ ดีนะที่พี่กลับมาทัน ไม่งั้นคงเฟลน่าดู”

“พี่ต้องกลับมาทันอยู่แล้ว”

“หืม?” กวีมองอย่างไม่เข้าใจ “ก็ไหนพี่บอกว่าอาจจะไม่กลับไงครับ”

“ไม่กลับได้ไง วาเลนไทน์ทั้งที ใครๆ ก็อยากอยู่กับแฟนทั้งนั้นแหละ”

“แต่พี่ลมบอกว่างานยุ่ง”

“ความจริงพี่โกหกน่ะ...”

“โกหก?”

“ขอโทษนะ แต่พี่จำเป็นจริงๆ”

“จำเป็นหรือครับ”

“อื้ม”

“จำเป็นอะไรถึงต้องโกหกด้วย ผมใจเสียไปหมดเลย”

“ใจเสียอะไร พี่เห็นเราหลับปุ๋ย”

“ก็ผมง่วงนี่นา ดีนะที่เอาอาหารเก็บหมดแล้ว ไม่งั้นพี่คงเห็นหมดพอดี”

“หึๆ แผนสูงจริงเลยตัวแค่นี้”

“แต่เดี๋ยวก่อนครับ พี่บอกก่อนว่าทำไมต้องโกหก”

“ที่พี่ต้องหลอก เพราะพี่ไปเอานี่มา” วายุผละแขนข้างหนึ่งที่กอดกวีไว้ เอื้อมมาหยิบถุงกำมะหยี่สีกรมท่าในกระเป๋าเสื้อ เขาส่งมันให้กวี ก่อนจะพยักเพยิดให้เปิดดู “ลองเปิดดูสิ”

กวีทำตามคำสั่ง โดยการรูดปากถุงใบน้อยนั้นออกกว้าง และล้วงนิ้วเข้าไปหยิบบางอย่างในนั้นออกมา

“กำไลหรือครับ”

“อืม”

เป็นกำลังสีเงินเรียบๆ แต่สะท้อนแสงวาววับที่ด้านในไม่มีชื่อ ไม่มีสัญลักษณ์ แต่สลักสลักคำว่า Best place

“ว้าว”

“ชอบไหม”

“ชอบครับ...แต่ไม่รู้จะใส่ได้หรือเปล่า ดูวงมันเล็กๆ นะ”

“งั้นมานี่ พี่จะใส่ให้” ว่าแล้ววายุก็หยิบกำไลไปจากมีกวี แล้วเปิดล็อคเพื่อสวมมันเข้ากับข้อมือ

กำไลวงน้อยที่กวีเห็น เวลานี้มันสวมเข้ากับข้อมือเขาได้พอดิบพอดี

“พอดีเลย”

“ก็พี่วัดไปแล้วนี่”

“วัดตอนไหนครับ”

“ตอนวีหลับ” วายุว่า “ที่มาช้าเพราะต้องขับรถไปเอามา แถมวันนี้ในเมืองรถติดมากด้วย”

“แต่พี่ลมบอกว่าจะไม่กลับด้วยนี่”

“พี่อยากเซอร์ไพรส์ไง แต่ดันกลายเป็นว่าถูกเซอร์ไพรส์เสียเอง ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณเหมือนกันครับ”

พวกเขาต้องตากัน ก่อนจูบบรรจงกันเบาๆ อีกหน คลอเคลียกันอยู่พักใหญ่ กวีจึงเป็นคนเอ่ย

“ผมว่าเราดินเนอร์กันดีไหมครับ ดึกแล้วนะ”

“งั้นพี่เข้าไปช่วย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำเอง”

“ให้พี่ช่วยเถอะ เราจะได้ประหยัดเวลา”

“พูดเหมือนพี่ลมจะรีบไปไหนงั้นแหละ”

“รีบสิ”

“หืม? ต้องไปไหนครับ”

“ไม่ได้ไปไหน แต่คืนนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะเลย”

“ทำอะไรครับ” กวีคิ้วกระตุก คล้ายจะรู้ได้ว่าอะไรที่ต้องทำคืออะไร

“ก็ฉลองวาเลนไทน์กับวีไงครับ”

“พี่ลมคิดทะลึ่งอีกแล้ว”

“พี่เปล่านะ พี่แค่จะชวนวีดูหนังสักเรื่องเฉยๆ วีนั่นแหละ คิดอะไร”

กวีอ้าปากค้าง ก่อนจะสบกับดวงตาเจ้าเล่ห์ของพี่ที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง

“พี่ลมแกล้งผม”

“หึๆ ...ไม่ได้แกล้งสักหน่อย แต่ถ้าวีเข้าใจแบบนั้น พี่ว่าเราเปลี่ยนเป็นทำตามที่วีเข้าใจก็ได้นะ พี่พร้อมเสมอ” คนพี่ยืดตัวขึ้นมากระซิบที่ใบหู และลูบไล้ช่วงเอวของกวีแผ่วเบา

“ผมว่าผมไปอุ่นสเต็กดีกว่า” ว่าแล้วนักเขียนหนุ่มก็ลุกขึ้นจากตัก ก่อนเดินหนีเข้าไปในครัว ร้อนถึงวายุต้องรีบวิ่งตามมาโอ๋ และอาสาช่วยยกอาหารทั้งหมดออกไปนั่งดินเนอร์ใต้แสงเทียนด้วยกัน

คืนนั้นพวกเขาได้ทานอาหารและดูหนังรักเหมือนที่กวีวางแผนไว้ แต่ยังไม่ทันดูจบ ต่างฝ่ายต่างนอนกอดกันหลับไปตรงหน้าจอ ทิ้งให้หนังดูคนแทน

เป็นอันว่ากวีจบวันวาเลนไทน์ง่ายๆ แต่มีความสุขที่สุดทั้งๆ แบบนั้น แต่กวีก็คิดเอาไว้แล้วว่า...

เอาไว้ปีหน้าเขาจะวางแผนใหม่









---------------------------------------------------------







ทุกคนนนนน

ฝนเข้าใจว่าตัวเองลงตอนพิเศษวาเลนไทน์หมดแล้ว แต่ยังค้างช่วงจบอยู่

เพิ่งมาเห็นเมื่อเช้าเพราะเข้ามาอ่านคอมเม้น 

แงงงงงงง ฝนขอโทษนะคะ -/\-





หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-04-2019 22:29:59
มาต่อแล้ววาเลนไทน์แสนหวาน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-04-2019 23:35:41
 :-[เจ้าก้อนนนนนนนนนนเอ็นดูหนักมากกก พี่ลมก็ดีมากควรมีผู้ชายแบบพี่ลมบนโลกเยอะๆดูแลดีมากกกกกก อิจฉาเจ้าก้อนที่มีพี่ลมและอิจฉาพี่ลมที่มีก้อนกลมไว้กอดเช่นกัน
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 04-04-2019 10:11:10
เจ้าก้อนกับพี่ลมน่ารัก
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 07-04-2019 12:08:02
มาต่อแล้วว หวานกันจริ๊งงง อิจฉาา  :give2:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: songsa1234 ที่ 07-04-2019 18:21:01
น่ารักมากกกกก คุณกวีน่ารักมากกก
ไม่แปลกใจทำไมพี่ลมถึงแอบชอบ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 10-07-2019 22:19:41
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ 
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: B2daEE ที่ 17-07-2019 17:27:08
ขอบคุณสำหรับความน่ารักของเจ้าก้อนยุ้ย และพี่โล้ม~~ นะคะ
อ่านแล้วมันละมุนหัวใจดีจัง ☺️
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 17-07-2019 22:43:54
น่ารักมากเลยค่ะ :hao5:
ขอบคุณมากเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-07-2019 09:38:54
น่ารักสุดใจขาดดิ้น ❤❤❤
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 15-10-2019 15:32:16
  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-10-2019 17:20:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 23-10-2019 21:27:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:28:26
 :pig4: