-----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2  (อ่าน 60726 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องน่ารักจังเลย

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



บทที่ 3




   “ค่ำๆ วันนี้จะมีของเข้าไปส่ง พี่อาจจะกลับช้าหน่อย ช่วยเช็ครายการสินค้าให้ละเอียดด้วยนะ”


   ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น กวีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงคุ้นหูของใครบางคนดังไม่ไกลจากตัวเขาเท่าใดนัก ชั่วขณะหนึ่ง นักเขียนหนุ่มอยากรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใครและมาทำอะไรในห้องเขา แต่ทุกอย่างก็เงียบไปจนเข้าใจว่าตนเองคงกำลังฝัน


   กวีนอนหลับตานิ่งเพราะรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนเพลีย อยากหลับต่อเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าไม่นาน เสียงของคนคนนั้นก็ดังขึ้นอีกหน และครานี้เขาก็ทนหลับตาต่อไม่ไหว


   “ยังไงพี่ฝากดูร้านด้วยนะแซม”


   เปลือกตาสีอ่อนปรือขึ้นเชื่องช้า เขาจึงแสบตาเล็กน้อยเพราะยังไม่ชินกับแสง ครั้นปรับสายตาให้มองเห็นได้ปรกติแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องตัวเองสว่างไสวเพราะไฟดวงกลางถูกเปิดเอาไว้


กวีเบนสายตาไปทางที่มาของเสียงจึงพบร่างของใครคนหนึ่งยืนก้มหน้าจ้องมองเข้าด้วยสายตาคมกริบ คนถูกมองชะงักไปครู่หนึ่งด้วยนึกประหลาดใจว่าชายคนนี้มาอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเองได้อย่างไร เขาจึงหลับตาลงอีกครั้งพลางส่ายหัวไปมา พยายามเรียกสติจนผมสีปีกกากระจายเต็มหมอน จากนั้นจึงลืมตามองอีกครั้ง


หากคราวนี้คนแปลกหน้าไม่เพียงมองเฉยๆ แต่อีกฝ่ายกำลังยิ้มกว้างส่งมาให้เขาด้วย
   

“ฟื้นแล้วหรือครับ”
   

“…ครับ“ กวีตอบรับเสียงแหบแห้ง
   

“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” ฝ่ายนั้นถามต่อ
   

“มึนๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ” กวีว่า ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
   

“ไม่เป็นไรแน่นะครับ เวียนหัวไหม เอายาดมอีกหรือเปล่า”
   

“ยาดม?...”
   

เมื่อสังเกตดูดีๆ กวีก็ได้กลิ่นฉุนๆ ที่คาดว่าเป็นการบูรน้ำของพี่เจนซึ่งซื้อมาฝากจากอัมพวาแต่เขาไม่เคยแกะออกมาใช้ เนื่องจากแพคเกจมันสวย
   

“ผมเห็นมันวางอยู่ในตู้ปฐมพยาบาลก็เลยหยิบมาเปิดให้คุณดม ขอโทษที่ถือวิสาสะค้นของในห้องนะครับ” คนพูดว่าพลางยื่นขวดการบูรน้ำมาให้
   

“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของห้องรับขวดการบูรไว้แล้วดมนิดๆ พอเป็นพิธีพลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นสายตาของเขา เจ้าตัวจึงถามกลับ
   

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
   

“คือ...เอ่อ...ทำไมพี่รถกับข้าวถึงมาอยู่ในห้องของผมได้ล่ะครับ” กวีถามอ้อมแอ้ม


ตอนที่รู้สึกตัวเต็มที่ เขาพยายามคิดเหตุผลที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ดูแล้ว แต่ให้คิดอย่างไร กวีก็คิดไม่ออก ซ้ำยังจำอะไรไม่ได้เลย


ความทรงจำล่าสุดของเขาหยุดอยู่ที่ตัวเองเดินไปเปิดประตูรับของเท่านั้น
   

“จริงสิ ผมลืมบอกคุณไปเลย” พี่รถกับข้าวทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนเฉลย “คุณเป็นลมน่ะครับ ผมก็เลยพาคุณเข้ามาปฐมพยาบาลในห้อง”
   

“เป็นลม!” กวีถามย้ำด้วยความตกใจ
   

“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน “ตอนที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องหลังจากได้รับของแล้ว อยู่ๆ คุณลูกค้าก็ปล่อยตะกร้ากับข้าวตกพื้นแล้ววูบลงไปเลย”
   

“ผมทิ้งตะกร้ากับข้าวด้วยหรือ!!” คราวนี้กวีร้องดังกว่าเดิม
   

“ครับ”
   

“ตายล่ะ! ไข่ผมแตกหมดแล้วแน่เลย”
   

“หา?” พี่รถกับข้าวกระพริบตาปริบๆ กับประโยคนั้น ”เอ่อ...ไข่แตกไม่หมดครับนะ ผมช่วยดูให้แล้ว แตกไปแค่ใบเดียวเท่านั้น”


“แล้วกับข้าวอื่นๆ ล่ะครับ ตกพื้นไหม มีอะไรที่ผมต้องสั่งใหม่หรือเปล่า”


“ไม่มีครับ วัตถุดิบอื่นๆ อยู่ในบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยดี มีแค่มันฝรั่งที่กลิ้งหลุดออกมาจากถุงกระดาษสามสี่หัวเท่านั้น แต่มันคงไม่เปื้อนอะไรมาก ผมว่าล้างได้นะครับ”


เมื่อได้ยินพี่รถกับข้าวตอบอย่างละเอียด กวีจึงถอนหายใจอย่างคลายกังวล


“อ่า...จริงสินะ กล่องซับพอร์ตกับตะกร้าของร้านพี่รถกับข้าวค่อนข้างหนา”


“ครับ...หึๆ”


ได้ยินเสียงคล้ายคนหลุดหัวเราะ นักเขียนหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะเขายังไม่ได้ใส่แว่น จึงไม่แน่ใจว่าใบหน้าคมเข้มนั้นพยายามกลั้นยิ้มก่อนแสร้งเสมองไปรอบๆ ห้องหรือเปล่า


แต่ถ้าอีกฝ่ายจะหัวเราะแล้วอย่างไร


คิดให้ดีๆ เขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถามเรื่องไม่น่าถามเป็นอันดับแรกๆ แทนที่จะถามเรื่องอาการของตัวเองก่อน


พี่รถกับข้าวจะมองว่าเราเห็นแก่กินไหมนะ


กวีฉุกคิดในใจ ก่อนแสร้งกลบเกลื่อนด้วยคำถามเรื่องสุขภาพ


“เอ่อ...แล้วพี่รถกับข้าวพาผมเข้ามาได้ยังไงครับ”


“ผมอุ้มคุณเข้ามา” เขาตอบพลางเกาแก้มเก้อๆ


“อุ้มเนี่ยนะ!”


“ครับ...”


“...”


“คุณลูกค้าคงไม่ว่าใช่ไหม”


เขาถามเบาๆ ราวกับเด็กที่เพิ่งทำความผิดร้ายแรง กวีแทบอ้าปากค้างกับคำยืนยันที่ได้ยิน ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วรีบบอกปัด


“จะว่าได้ยังไงล่ะครับ แค่พี่รถกับข้าวไม่ปล่อยให้ผมนอนอยู่ข้างนอกก็ดีเท่าไหร่แล้ว นี่ยังอุ้มเข้ามานอนในห้อง เปิดแอร์ เปิดยาดมให้ดมอีก ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยครับ”


ถึงพี่รถกับข้าวจะรูปร่างกำยำสูงใหญ่ และเขาเองก็ไม่สูงนัก แต่กวีรู้ดีว่าตัวเองมีไขมันส่วนเกินค่อนข้างมาก ดังนั้นน้ำหนักคงไม่ใช่น้อยๆ เลย แถมอีกฝ่ายยังอุ้มเขาตั้งแต่หน้าประตูเข้ามาจนถึงในห้องนอน จัดท่าจัดทาง ดูแลราวกับเป็นญาติสนิทมิตรสหาย


แล้วแบบนี้ตัวปัญหาอย่างกวีจะไปว่าอะไรได้


“ถ้าคุณลูกค้าไม่ว่าที่ผมเข้ามาโดยพละการ ผมก็สบายใจครับ”


“ไม่ว่าครับไม่ว่า แถมต้องขอบคุณมากๆ ด้วยซ้ำ ผมล่ะเกรงใจจริงๆ ทำให้พี่รถกับข้าวต้องเดือดร้อนซะแล้ว” ประโยคหลังเจ้าของห้องบ่นตัวเองเบาๆ


“ไม่เดือดร้อนหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” พ่อคนดีว่าพร้อมกับแนบรอยยิ้มเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่งบนโลก


แหม...อยากให้สังคมเรามีคนดีๆ แบบนี้อยู่เยอะๆ จริงๆ กวีคิด


“เอ่อ...ถ้าคุณลูกค้าไม่เป็นไร---“


ครืด ครืด


ยังไม่ทันที่พี่รถกับข้าวจะพูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของกวีก็สั่นเตือน นักเขียนหนุ่มหันซ้ายหันขวา ก่อนะหยิบแว่นที่ถูกพับขาเก็บไว้อย่างเรียบร้อยมาสวมก่อน จึงพบว่าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองวางอยู่ใกล้ๆ กัน


“ครับพี่เจน”


[ก้อน! นั่นฟื้นแล้วใช่ไหม!!]


นางสาวเจนจิรา บก.คนดีคนเดียวของกวีแผดเสียงถามดังลั่น แต่น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนกวีหลุดยิ้มออกมาบางๆ


“ฟื้นแล้วครับ ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นอะไร” กวีสงสัย


[ก็คุณพนักงานร้านขายของที่แกสั่งบ่อยๆ น่ะสิ เขารับโทรศัพท์ตอนที่ฉันโทรไปเมื่อเที่ยง เขาบอกว่าแกเป็นลมหน้าห้อง ไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหม เป็นลมจริงๆ หรือแค่วูบหลับเหมือนทุกทีน่ะก้อน]


“คงวูบหลับเหมือนทุกทีน่ะครับ เพราะอดนอนมาเกือบสามวันแล้วนี่นา พี่ก็รู้นี่” กวีกล่าวสบายๆ แต่คำบอกเล่าของเขากลับทำให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องเผลอขมวดคิ้วฉับ


 “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก ผมโอเคมากแล้ว”


[แต่พี่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี นี่เพิ่งฟื้นใช่ไหม]


“ครับ เพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้เอง กำลังถามเรื่องราวจากพี่รถกับข้าวอยู่พอดี”


[นี่เกือบห้าชั่วโมงเลยนะก้อน จากที่พี่คุยกับคุณพนักงานคนนั้น แกหลับนานกว่าทุกที พี่ว่าไปหาหมอเถอะ เช็คสักหน่อยเพื่อความสบายใจ]


“แต่ผมขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องขึ้นรถวุ่นวายอีก นี่เย็นมากแล้ว รถคงติดหนักน่าดู วันศุกร์เสียด้วย ฝนตกอีกต่างหาก”


[ข้ออ้างเยอะนักนะ] เจนว่าอย่างรู้ทัน


“ผมเปล่าอ้างนะครับ”


[เอาเถอะๆ พี่ก็เข้าไปลากแกออกไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้เสียด้วย ที่กองกำลังยุ่งเลย]


“ก็แหงสิครับ วันนี้เดดไลน์นี่”


[นั่นน่ะสิ ทำยังไงดีล่ะ]


เสียงของเจนเต็มไปด้วยความกังวล เธออยากพานักเขียนในปกครองที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ไปโรงพยาบาลเสียตอนนี้แต่งานที่มีก็เลี่ยงหรือหยุดไว้ก่อนไม่ได้


“ไม่ต้องทำยังไงหรอกครับ ผมโอเค” กวีดักคออย่างรู้ทัน เขารู้ว่าเจนคงกำลังคิดมากเรื่องสุขภาพของเขาอยู่เป็นแน่ “เดี๋ยวผมจะหาข้าวกิน อาบน้ำ แล้วออกมากินวิตามินที่พี่ซื้อให้ คืนนี้จะนอนเร็วด้วย...โอเคไหม”


[อืม...] เจนช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมตกลง [เอางั้นก็ได้ คืนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ งานของก้อนที่จะลง พี่ลงให้เอง พักผ่อนเยอะๆ นะ]


“ขอบคุณครับ พี่เจนก็เหมือนกันนะ รีบทำงานแล้วก็รีบกลับบ้านล่ะ”


“รู้แล้วล่ะจ้ะ”


เมื่อล่ำลากันเรียบร้อย กวีก็กดวางสาย


นักเขียนหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่า ยามนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าหากนับดูดีๆ แปลว่าเขาเผลอวูบหลับไปนานพอดู


คิดได้ถึงตรงนี้ ดวงตากลมๆ ก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้างเตียง


“เอ่อ...พี่รถกับข้าวเฝ้าผมอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ”


“ใช่ครับ” คนตัวสูงตอบเรียบๆ


“แปลว่าไม่ได้ไปทำงานต่อสินะ...”


“ครับ”


“ขอโทษจริงๆ นะครับ” กวียกมือไหว้ปรกๆ “ผมทำให้คุณลำบาก แถมเสียงานเสียการด้วย”


“อย่าคิดมากเลยนะครับ” เขาว่า “ว่าแต่คุณเถอะครับ ไหวแน่หรือ อย่าหาว่าผมเสียมารยาทแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์เลยนะ แต่ผมเองก็คิดว่าคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ”


“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก เวลาปั่นต้นฉบับแล้วไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน พอทำงานเสร็จผมก็ชอบหลับแบบนี้ประจำ เหมือนที่เค้าเรียกว่าอะไรน้า...” คนพูดเอานิ้วเคาะริมฝีปากอิ่มอย่างใช้ความคิด “อ้อ! เครื่องดับครับ คล้ายๆ ชัตดาวน์น่ะ ผมชัตดาวน์แบบนี้ประจำแหละ”


“ฟังดูน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกนะครับ” คิ้วเข้มนั่นขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม


“ผมไม่เป็นไรจริงๆ” กวีเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง และพยายามปั้นหน้ายิ้มสดใส “เดี๋ยวได้พักผ่อนเพียงพอก็กลับมาสดชื่นเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ”


ครั้นเห็นคนตรงหน้านิ่งไปนิด กวีก็รีบรุกฆาตโดยการชวนเปลี่ยนเรื่อง


“ว่าแต่พี่รถกับข้าวต้องรีบกลับไหมครับ”


“ถ้าเกิดว่าคุณลูกค้าไม่เป็นไรแล้ว ผมกลับเลยก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวตอนโดนทักว่าตนเองอยู่นานเกินไปแล้ว


บางทีเจ้าของบ้านอาจจะอยากพักผ่อน


“ไม่ใช่นะครับ...ไม่ใช่” กวีรีบโบกมือเป็นพัลวัน เพราะมองปราดเดียวก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด “ผมไม่ได้ไล่พี่นะครับ”


“หืม?” เขาเลิกขมวดคิ้ว แล้วส่งเสียงคล้ายกำลังประหลาดใจ


“คือที่ผมอยากรู้ว่าพี่รถกับข้าวจะรีบกลับไหม เพราะผมอยากเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นการตอบแทนน่ะครับ แต่ถ้าพี่รีบ เอาไว้คราวหน้าก็ได้”


“ไม่รีบครับ” อีกฝ่ายตอบทันทีโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนจะอ้อมแอ้มแก้เก้อ “แต่คุณลูกค้าจะลำบากหรือเปล่า เพิ่งฟื้นด้วย”


“ไม่ครับ...ไม่ลำบาก เพราะยังไงผมก็ต้องทำกับข้าวกินเอง อีกอย่างผมเห็นว่าเย็นมากแล้วด้วย พี่รถกับข้าวเฝ้าผมตั้งแต่บ่ายโมงคงหิวแย่เลย อยู่ทานด้วยกันนะครับ”


ไม่ใช่แค่คำพูด แต่กวียังส่งสายตาปิ๊งๆ แบบที่บก.เจนแพ้ทางเป็นการคะยั้นคะยอ ทำให้ในที่สุด พี่รถกับข้าวของเขาก็ยอมพยักหน้าตกลง


“ถ้าอย่างนั้นพี่ออกไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนนะครับ ผมขอล้างหน้าล้างตาแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวจะตามออกไป”


“ครับ”เขารับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินออกจากห้องเพื่อให้เวลาเจ้าของบ้านได้จัดการธุระส่วนตัว


กวีม้วนผ้าห่มลวกๆ วางไว้บนกองหมอน แอบรู้สึกอายเล็กน้อยที่มีคนอื่นนอกจากพี่สาวคนสนิทได้เห็นสภาพห้องนอนรกๆ แบบนี้ โชคดีที่แม่บ้านเพิ่งมาเมื่อเช้า ทำให้ห้องอื่นๆ สะอาดเรียบร้อยดีไม่มีที่ติ


พอจัดการกับที่นอนเรียบร้อยแล้ว กวีก็ลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทว่ากางเกงเจ้ากรรมกลับค่อยๆ ไหลลงในทุกจังหวะการเดิน กางเกงตัวนี้ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ขอบยางจึงไม่ค่อยดีเท่าไร กวีต้องอาศัยเชือกรัดปมที่กางเกงให้แน่น เพราะมันใส่สบายจนเขาไม่อยากทิ้ง


ชายหนุ่มจึงต้องเอามือจับยางยืดๆ ที่เอวเอาไว้ให้มั่น จำได้ว่าตัวเองผูกปมมันแน่นมากแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเชือกรัดเอวคลายปมได้อย่างไร


ตอนที่หลับไปเขาเผลอดิ้นจนปมหลุดหรือเปล่านะ


ชายหนุ่มคิดไปเรื่อย จนกระทั่งตอนที่แก้ผ้าอาบน้ำ เขาจึงได้พบว่าไม่ใช่ปมเชือกหลุดเอง แต่เป็นฝีมือมนุษย์อีกคนที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน เพราะพอมาส่องกระจกเขาก็พบว่ากระดุมเสื้อเม็ดบนๆ ของตนเองถูกปลดเช่นกัน


กวีคิดว่าอีกฝ่ายคงทำไปเพราะช่วยปฐมพยาบาลให้ตอนเขาเป็นลม ถึงกระนั้นก็อดรู้สึกเขินนิดๆ ไม่ได้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาคลายปมเสื้อผ้า


น่าอายชะมัดเลย เรายิ่งเจ้าเนื้อเสียด้วยสิ


ชายหนุ่มโอดครวญในใจ ก่อนคิดขึ้นได้ว่าฝ่ายนั้นคงเห็นไปไม่เท่าไร


อีกอย่าง ถ้าเขาจะอาย ควรอายเรื่องที่ถูกอุ้มเข้ามามากกว่า เพราะนั่นน่ะ อีกฝ่ายจะสัมผัสความเจ้าเนื้อของเขาได้เต็มๆ


ระว่างคิดสะระตะไปเรื่อย นักเขียนหนุ่มก็อาบน้ำอาบท่าและรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าคนที่อยู่ในความคิดจะคอยนาน










   ตอนที่กวีก้าวเท้าเข้ามาในครัว เขาพบพี่รถกับข้าวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม อีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้ว่าเขาเข้ามาแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์และเงยหน้ามาถามยิ้มๆ


   “เสร็จแล้วหรือครับ รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างไหมครับ”


   “ครับ รู้สึกเหมือนเป็นปรกติแล้วล่ะ” กวีตอบแข็งขัน “เดี๋ยวพี่รถกับข้าวรอสักครู่นะครับ ผมขอเก็บกับข้าวก่อน จะได้เลือกว่าวันนี้ควรทำเมนูอะไรดี”


   “ครับ”


   “อ้อ!” เจ้าแก้มกลมส่งเสียงเล็กน้อย ก่อนถามเรื่องสำคัญ “มีอะไรที่พี่ทานไม่ได้หรือเปล่าครับ”


   “ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”


   พอได้ยิน กวีก็ยิ้มยินดีแล้วเริ่มลงมือเก็บของ หากชายหนุ่มกลับพบว่าพี่รถกับข้าวเก็บอาหารสดใส่ตู้เย็นให้เขาหมดแล้ว


   “ผมกลัวเนื้อเสียน่ะครับ ก็เลยเก็บให้แล้ว” อีกฝ่ายคล้ายจับตาดูความเคลื่อนไหวของกวีมาแต่แรก จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน


   “ขอบคุณนะครับ พี่รถกับข้าวใจดีจัง”


   “ผมไม่ได้ใจดีหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่”


   กวีลอบยิ้มคนเดียวเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น


   ทำตามหน้าที่หรือ


   ถ้าพี่รถกับข้าวทำตามหน้าที่จริงๆ เจ้าตัวคงกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่านี่ยังอยู่รอให้เขาฟื้น มิหนำซ้ำยังช่วยเก็บข้าวเก็บของให้กวีอีก


   ถ้าไม่เรียกใจดี จะให้เรียกอะไรกันล่ะ


   กวีพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองคิด กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่นั่งอยู่นานก็เริ่มกระสับกระส่าย ด้วยเห็นว่าเจ้าของห้องไม่ตอบอะไรกลับไป


   “เอ่อ...ว่าแต่คุณลูกค้ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ไม่ว่าเปล่า คนพูดยังลุกขึ้นจากเก้าอี้ มายืนข้างเคาท์เตอร์เพื่อดูว่าตัวเองพอช่วยอะไรได้บ้าง


   “ไม่มีหรอกครับ ผมทำอาหารง่ายๆ แค่สองอย่างเท่านั้นเอง”


   “แล้วไม่ต้องการลูกมือหรือครับ” คนอยากช่วยเสนอตัว


   “เอ่อ...” กวีเหลือบตามองคนข้างๆ อย่างช่างใจ “แต่พี่รถกับข้าวเป็นแขกแล้วนะครับตอนนี้ นั่งรอไม่ดีกว่าหรือ ถ้าให้พี่ช่วย ก็ไม่เรียกว่าทำเพื่อตอบแทนน่ะสิ”


   “เอาไว้คุณลูกค้าตอบแทนผมวันหลังก็ได้นะครับ วันนี้คุณไม่สบายอยู่ แถมตอนนี้ผมก็หิวไส้แทบขาดแล้ว” คนใจดีทำคิ้วตกและกุมท้องประกอบคำพูด แต่ดูก็รู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง


   “พี่ทำกับข้าวเป็นหรือครับ”


   “พอได้นิดหน่อยครับ แต่ถ้าแค่เป็นลูกมือล่ะก็ สบายมาก”


   “งั้นก็ได้ครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ด้วย”


   “ดีครับ” พี่รถกับข้าวว่า ก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้น “ไหนครับคุณลูกค้า ให้ผมช่วยอะไรบ้าง”


   “ก่อนอื่น...ช่วยเรียกผมว่ากวีหรือวีแทนได้ไหม เรียกคุณลูกค้าแล้วมันแปลกๆ น่ะครับ”


   “นั่นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณวีแล้วกัน”


“แค่วีก็ได้ครับ มีคุณนำหน้าแล้วไม่สนิทใจยังไงก็ไม่รู้”


“จะดีหรือครับ”


“ดีสิครับ นี่ไม่ใช่เวลางานของพี่สักหน่อย อีกอย่างพอพูดแบบเป็นทางการ ผมรู้สึกเกร็งๆ น่ะ ทำตัวไม่ค่อยถูกเลย”


พี่รถกับข้าวช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขของตัวเองเช่นกัน


“ถ้าไม่ใช่เวลางาน ให้ทำตัวตามสบายได้เลยใช่ไหมครับ”


“ใช่ครับ” กวีพยักหน้า พลางใช้มือดันแว่นไม่ให้ไหลลงไปที่ปลายจมูก


“ถ้าอย่างนั้นวีเองก็ต้องเรียกพี่ว่า พี่ลม แทนพี่รถกับข้าวด้วยนะครับ จะได้เท่าเทียม”
   

“ได้สิครับพี่ลม” นักเขียนหนุ่มตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายแอบบ่นเบาๆ “แต่ไม่ชินเลยนะครับ เรียกพี่รถกับข้าวมาตั้งนาน”
   

“หึๆ งั้นก็เรียกบ่อยๆ นะครับ จะได้ชิน”
   

“โอเคครับ” กวียิ้ม “งั้นเรามาเริ่มทำอาหารกันเลยดีไหม”
   

“เอาสิครับ...ไหนวีจะให้พี่ทำอะไรบ้าง”
   

“ช่วยล้างบรอกโคลี่ให้หน่อยนะครับ ผมจะผัดกับกุ้ง”
   

“ได้ครับ” วายุรับบรอกโคลี่มาล้างตามคำสั่ง “ว่าแต่วีจะทำเมนูอะไรบ้างหรือครับ เห็นเมื่อกี้บอกว่ามีสองอย่าง”
   

“อ้อ มีกุ้งผัดบรอกโคลี่กับปลาดอลลี่นึ่งซีอิ้วครับ”
   

“ฟังดูยากจัง”
   

“ไม่ยากหรอกครับ ใช้ไมโครเวฟนึ่ง” กวีบอกยิ้มๆ ก่อนหันไปจับหม้อหุงข้าว “งั้นเดี๋ยวผมหุงข้าวก่อนนะ”
   

“วีจัดการปลาดีกว่าครับ เสร็จตรงนี้พี่จะหุงให้เอง”
   

“อ่า...งั้นก็ได้ครับ ข้าวสารอยู่ในถังสีฟ้าซ้ายมือ ใส่ข้าวสักสองถ้วยพอเนอะ กินกันแค่สองคน”
   

“ครับ”
   

หนึ่งนักเขียนกับหนึ่งนักธุรกิจช่วยกันทำมื้อเย็นอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางกลิ่นอาหารและเสียงเครื่องดูดควันความสัมพันธ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดคิดกำลังก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว







--------------------------------------------------------------






มาต่อแล้วค่าาาา
จากพี่รถกับข้าว กลายเป็นพี่ลมแล้วนะ
ก้อนน้องของแม่ไวไฟมากเวอร์ 55555
ยังไงก็ฝากเอ็นดูคุณนักเขียน กับ คุณเจ้าของร้าน(ที่น้องยังเข้าใจว่าเป็นพนักงานส่ง)ด้วยนะคะ


เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^









ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
พี่ลม น้องก้อน หวานไปน๊ะ  :-[

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อยากไปกินด้วยคร่า ทำเผื่อเราด้วย

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่รถกับข้าวใจดีอ่า

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ลมคนใจดี เฝ้าน้องตั้งห้าชั่วโมงแหน่ะ น้องก้อนก็น่ารัก เลี้ยงข้าวตอบแทนพี่อีก ช่วยกันทำกับข้าวด้วย :-[

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่ลมคนดี น้องวีน่ารัก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น่ารักดีนะ

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
บทที่ 4



   “ผมไม่ได้ทำปลานึ่งซีอิ๊วนานแล้ว รสชาติพอกินได้ไหมครับ”


   เมื่อเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารเพื่อมองคนถาม วายุเห็นนัยน์ตาคู่ใสแจ๋วฉายแววคาดหวังแวบหนึ่ง เขาจึงเร่งเคี้ยวอาหารในปากและกลืนลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนตอบ


   “อร่อยมากครับ”


   “ไม่เค็มไปใช่ไหมครับ”


   “ไม่ครับ รสชาติพอดีแล้ว” วายุยืนยันอีกครั้ง


   ฟู่~


   ริมฝีปากสีมันแผล็บเป่าลมออกมาเบาๆ อย่างโล่งอกแล้วยกยิ้มกว้าง


   “ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะปรกติผมชอบทำกินเองบ่อยๆ แถมเมนูนี้ยังไม่เคยทำให้ใครกินเลย”


   เพราะคำพูดที่ฟังดูคล้ายกับว่าเขาพิเศษ ทำให้วายุหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ


ทั้งที่ในทีแรก เขาตั้งใจมาส่งของให้อีกฝ่ายตามปรกติ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยจนทำให้มีโอกาสช่วยทำอาหารและนั่งทานมื้อเย็นด้วยกันสองคนแบบนี้
   

วายุไม่ได้ดีใจที่อีกฝ่ายเกิดหมดสติกะทันหัน ออกจะเป็นห่วงเกินหน้าที่ด้วยซ้ำ หากเขาแค่คิดว่าในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีซ่อนอยู่ และจากที่ได้คุยกันหลายชั่วโมงทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่า...


นักเขียนชื่อดังคนนี้น่ารักกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
   

แม้เรื่องที่ถูกช่วยไว้จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่วายุมองว่านั่นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกส่วนคือกวีดูเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี และอัธยาศัยดีเอามากๆ มากจนเขานึกกลัวแทน
   

กลัวว่าจะมีใครมาหลอกเอาได้ง่ายๆ
   

คล้ายกับที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้...
   

แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาร้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวายุกำลังใช้ความอัธยาศัยดีและเหตุการณ์สุดวิสัย ฉวยโอกาสเข้าใกล้กวีมากขึ้นอีกก้าว
   

เพราะวายุรู้ตัวว่าเขากำลังถูกใจกวี
   

นาทีนี้เขาจะใช้แค่คำว่าถูกใจก่อน หากเป็นความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เขาคงต้องขอเวลาสังเกตตัวเองอีกสักระยะ ถ้าได้ใกล้ชิดกันมากกว่าฐานะพนักงานส่งของและลูกค้าตามปรกติทั่วไปแล้วล่ะก็


วายุคิดว่าอีกไม่นานคงรู้


“อิ่มแล้วหรือครับ” คนนั่งตรงข้ามถามขึ้นเมื่อเห็นวายุวางช้อน


“ครับ”


“พี่ลมกินน้อยจัง”


คำเรียกอย่างสนิทสนมพาลให้หัวใจไม่รักดีเต้นแรงกว่าปรกติเล็กน้อย วายุพยายามไม่ยิ้มมากเกินไป ก่อนจะรายงานสภาพของตัวเองในตอนนี้ตามตรง


“ไม่น้อยแล้วนะครับ พี่เติมไปตั้งสองหน แน่นท้องไปหมดแล้วครับ ถ้ากินเยอะกว่านี้คงขับรถกลับร้านไม่ไหว พุงติดพวงมาลัยพอดี”


“ฮ่าๆๆ...แค่กๆ” กวีหัวเราะเสียงใส ก่อนรีบดื่มน้ำเพราะข้าวติดคอ


“วี!”


วายุทำท่าจะลุกไปช่วยลูบหลัง แต่กวีโบกมือปฏิเสธ เขาจึงคอยช่วยรินน้ำแทน


“ผม...ไม่เป็นไรครับ” มือเล็กลูบอกแล้วบ่นตัวเองเบาๆ “รู้งี้น่าจะกลั้นหัวเราะไว้”


“พี่ทำอะไรให้ตลกกันครับ”


“เอ่อ....ก็ผมขำที่พี่บอกว่า ถ้ากินเยอะพุงจะติดพวงมาลัยน่ะสิ พี่ผอมขนาดนั้นจะมีพุงได้ยังไง เป็นผมก็ว่าไปอย่าง” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังดึงพุงย้วยๆ ผ่านเสื้อยืดของตัวเองประกอบคำพูด คราวนี้จึงเป็นวายุที่เผลอหลุดหัวเราะออกมาแทน


ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมถึงทำตัวเป็นธรรมชาติได้ขนาดนี้นะ


วายุนึกสงสัย ทว่าไม่ได้ถามออกไป


เขานั่งมองเจ้าของแก้มยุ้ยน่าหยิกจัดการกุ้งตัวสุดท้ายในจานยิ้มๆ ตั้งใจว่าถ้าอีกฝ่ายอิ่มแล้วจะอาสาล้างจานให้ ตอบแทนที่มีน้ำใจเลี้ยงอาหารเย็น


“อิ่มแล้วใช่ไหมครับ” พอกวีรวบช้อนแล้วดื่มน้ำ วายุจึงเอ่ยถาม


“ครับ”


“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยล้างจานให้นะ”


“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง” เจ้าบ้านปฏิเสธแข็งขัน


“ทำไมล่ะครับ”


“ผมจัดการเองครับ พี่ลมไม่ต้องล้างหรอกนะ กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ ผมรบกวนพี่มาทั้งวันแล้ว” เจ้าตัวบอกเหตุผล


“ไม่ได้สิ ตอนทำกับตอนกินเรายังช่วยกัน ตอนล้างพี่ก็อยากช่วย”


“แต่ผมเกรงใจ”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ พี่อยากช่วย” เมื่อเห็นวายุไม่ยอมง่ายๆ กวีก็นิ่งไป ก่อนจะก้มหน้าบ่นงึมงำ


“มันไม่ถูกต้องนี่นา พี่ช่วยผมเยอะแล้ว”


“แต่พี่--”


ยังไม่ทันที่วายุจะพูดจบ เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับช้อนตาใสๆ มองเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน


“เชื่อที่ผมพูดนะพี่ลม...นะครับ”


ตู้ม!!


คล้ายเสียงอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวของวายุอย่างรุนแรง ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทั้งที่คิดว่าวันนี้เห็นความน่ารักของกวีมากกว่าที่ควรเห็นแล้ว แต่คนคนนี้ยังมีดาเมจก๊อกสุดท้ายเพื่อโจมตีเขาอยู่อีก


ตาย...แบบนี้ตายแน่ๆ


เจ้าของร้านหนุ่มคิดพลางเสหลบตาใสๆ คู่นั้น แล้วว่าเสียงอ้อมแอ้ม


“ก็ได้ครับ เอาตามที่วีว่าก็ได้”


“เย้!” นักเขียนหนุ่มประกาศชัยชนะเสียงสดใส “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่หน้าห้องนะครับ”


“ครับๆ”


วายุลุกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินตามกวีออกไปที่หน้าประตูห้องเหมือนโดนป้ายยา กระทั่งเขามายืนตำแหน่งที่ยืนทุกครั้งยามมาส่งสินค้า นักเขียนแก้มยุ้ยจึงเอ่ยขึ้นก่อน


“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับสำหรับวันนี้ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงแย่”


“ไม่เป็นไรครับ” เขาเว้นวรรคไปนิดเพื่อตั้งสติ เพราะถูกส่งยิ้มหวานให้อีกแล้ว “ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารนะครับ”


“ครับ อีกสามวันเจอกันนะครับ”


“แล้วเจอกันครับ”


คราวนี้กวีไม่ได้หนีเข้าห้องเหมือนทุกที แต่อีกฝ่ายยืนคอยจนเขาเดินไปรอลิฟต์จึงถอยกลับเข้าห้องของตัวเองไป


วายุกลับลงมาที่รถอย่างรวดเร็ว เขายังรู้สึกเหมือนสติกลับมาไม่ครบเท่าไหร่ พอมองหน้าตัวเองผ่านกระจกส่องหลังแล้วก็ถึงกับต้องส่ายหัว


เขานี่ไม่ไหวจริงๆ วายุคิด


เพราะนอกจากจะถูกทำให้หวั่นไหวแล้ว วันนี้เขายังอู้งานอีกต่างหาก นี่ถ้ามีคนรู้ว่าเขาหายมาดูแลลูกค้าคนพิเศษกว่าครึ่งค่อนวัน วายุคงโดนล้อไปหลายวันแน่ๆ


“เฮ้อ~”


ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้ง พอเจอคนน่ารักเข้าหน่อยถึงกับไปไม่เป็น สงสัยว่าเขาคงห่างเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มานานเกินไป หัวใจเปลี่ยวเหงาจึงเต้นไม่เป็นจังหวะยามเจอคนถูกใจแบบนี้


แต่เขาจะหวั่นไหวง่ายๆ ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องดูไปนานๆ กว่านี้หน่อย


เมื่อควบคุมความรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวของตัวเองได้แล้ว ชายหนุ่มก็รวบรวมสติแล้วขับรถกลับร้าน









“ไปไหนมาทั้งวันครับ คุณวายุ~”


ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในร้าน เสียงกวนประสาทอันเป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนก็ลอยมาเข้าหูวายุพอดี ครั้นคนถูกแซวมองไปทางต้นเสียง เขาก็พบเพื่อสนิทที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบสองอาทิตย์นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงิน ข้างๆ มีพนักงานคิดเงินทำหน้าเบื่อโลกอยู่


สงสัยจะโดนแกล้งมาสักพักแล้ว


เห็นดังนั้นเจ้านายที่แสนดีก็ดึงเพื่อนตัวเองออกมาห่างเคาน์เตอร์ ก่อนส่งสัญญาณให้พนักงานผู้น่าสงสาร
   

“พี่ฝากดูร้านหน่อยนะแซม เดี๋ยวขึ้นไปคุยธุระกับปั้นก่อน สักพักจะลงมาช่วยเก็บร้าน”
   

“ครับพี่ลม” แซมรับคำเสียงเรียบแต่สีหน้าดูโล่งใจกว่าตอนแรกมากๆ
   

“ขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่า เผื่อลูกค้าเข้า แกจะเกะกะเขาเปล่าๆ” เจ้าของร้านชักชวน และเพื่อนสนิทที่มารอนานแล้วก็ตอบรับโดยไม่อิดออด
   

“นำไปเลยครับคุณเพื่อน”
   

ทั้งสองเดินตามกันขึ้นไปบนชั้นสี่ ที่ซึ่งเป็นส่วนที่พักของวายุ เมื่อขึ้นไปถึง เจ้าของห้องก็เปิดให้เพื่อนเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะไม้ตรงระเบียง ก่อนแยกไปหยิบเบียร์จากตู้เย็นมาสองกระป๋องแล้วตามออกไปนั่งด้วย
   

เสียงรถราด้านนอกดังวุ่นวาย แสงไฟยามค่ำคืนวูบวาบสว่างไสว แต่เพราะตำแหน่งของร้านนี้ไม่มีตึกสูงบดบังทิศทางลม อากาศจึงค่อนข้างถ่ายเทสะดวก
   

วายุส่งเบียร์ให้เพื่อนกระป๋องหนึ่ง ก่อนหันมาเปิดของตัวเองแล้วกระดกดื่ม


“ไปไงมาไง แกถึงมาหาฉันได้น่ะปั้น” วายุเปิดประเด็น


“ฉันก็ขับรถมาสิ ถามแปลกๆ” ปริญยอกย้อน ก่อนจะถามกลับ “ว่าแต่แกเถอะ ไปไหนมา เห็นเด็กในร้านบอกว่าหายไปส่งของลูกค้าตั้งแต่เที่ยง”


“ก็ไปส่งของให้ลูกค้าไง” วายุย้อนกลับ


“ลูกค้าที่ไหนวะ กลับเอาป่านนี้”


“จะลูกค้าที่ไหนก็ช่างฉันเถอะน่า ว่าแต่แกมีธุระอะไรหรือเปล่า ปรกติไม่เข้ามาที่ร้านนี่”


ตามปรกติ หากพวกเขาจะนัดสังสรรค์กัน เพื่อนของวายุจะนัดเจอกันที่คลับประจำแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ยกเว้นแต่ว่า ถ้าเพื่อนคนไหนเดือดร้อน หรือไม่สบายใจอะไร พวกเขาก็จะไปมาหาสู่กันเป็นกรณีพิเศษ


“ไม่มีอะไรหรอก แค่เบื่อๆ ไอ้จักรก็ติดงานสัมมนาที่จอร์เจีย ส่วนแกก็หายหัวเป็นเดือนๆ ไม่คิดส่งข่าว ฉันก็ต้องมาดูสิว่าเพื่อนสนิทกำลังทำงาน หรือไปติดหนุ่มที่ไหนหรือเปล่า”


“...ไร้สาระน่า”


“ไร้สาระจริงหรือ แล้วทำไมต้องคิดนานก่อนตอบด้วยล่ะ เอ...ชักน่าสงสัยแฮะ” ปริญหรี่ตามองอย่างจับผิด


พวกเขาคบกันมานาน แม้จะมีช่วงที่ห่างกันไปบ้าง สุดท้ายเมื่อเรียนจบก็กลับมารวมตัวกันใหม่ ดังนั้นเมื่อเห็นเพื่อนที่มักพูดจาฉะฉานอย่างวายุทำท่าอึกอัก ปริญก็พอเดาได้ทันทีว่าเพื่อนต้องมีเรื่องปกปิด


“สงสัยอะไรเล่า วันๆ ฉันทำแต่งาน ไม่มีเวลาเยอะเหมือนแกหรอก” วายุว่า


“ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ โผล่มาเป็นตัวเป็นตนนะ”


“เป็นตัวเป็นตนที่ไหน แกก็คิดไปเรื่อย”


“โอเคๆ ฉันคิดเยอะเอง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันมารอแกที่ร้านตั้งแต่บ่ายสาม คุยกับเด็กแซมนั่นจนเด็กมันรำคาญจะแย่ แกก็ไม่มาสักที”


ปริญแสร้งทำตัวน่าสงสาร หวังให้เพื่อนรู้สึกผิด ทั้งที่ความจริงเจ้าตัวออกจะรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ ที่ได้แกล้งแหย่พนักงานประจำร้านของวายุ


“คราวหลังก็โทรหาฉันก่อนสิ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่มา”


“ฉันโทรไปแล้วนะ แต่แกปิดเครื่อง” ปริญงอแงไม่สมกับอายุและใบหน้าหล่อๆ ของตัวเองเลยสักนิด


“อ้าว...จริงหรือ”


คนถูกกล่าวควักโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดดูจึงพบว่าหน้าจอมืดสนิทเพราะแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง

“ว่าไง สรุปปิดเครื่องใช่ไหม”


“เปล่า แบตหมดน่ะ แกรอตรงนี้เดี๋ยว”


วายุลุกไปเสียบชาร์ตโทรศัพท์ในห้องแล้วเปิดเครื่องไว้เหมือนเดิม แต่ก่อนจะออกมาหาเพื่อนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็กดเข้าไปในแอปพิเคชันเจ้านกสีฟ้าอย่างอดไม่ได้ เพราะอยากรู้ความเคลื่อนไหวของใครคนนั้น


ขอดูสักหน่อยแล้วกัน



หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี 
   21:07 PM . 29 ก.ค.18
   


   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร แต่พออ่านถึงตรงนี้ วายุก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ว่าคนที่กล่าวถึงเป็นตัวเขา


   ชายหนุ่มหลุดยิ้มอีกครั้ง แล้วคราวนี้ก็หุบยิ้มไม่ได้เสียด้วย จนเพื่อนสนิทเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ตัวลอยอยู่


   ผลัวะ!


   กระทั่งถูกตบหลังเรียกสติแรงๆ วายุจึงหุบยิ้มได้


   “เป็นอะไรของแกวะลม เห็นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานแล้วนะ” ปริญถามด้วยความสงสัย ดวงตาไม่วายเหลือบมองหน้าจอมือถือเพื่อนอย่างใคร่รู้


   “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”


   “...” ปริญหรี่มองคนมีพิรุธด้วยสายตาจับผิด


   มันทำตัวแปลกๆ จริงๆ


ชายหนุ่มคิด ก่อนจะยื่นมือไปฉกมือถือเพื่อนมาถือไว้อย่างรวดเร็ว


“เฮ้ย! ทำอะไรของแกวะปั้น!”


“จับโกหกเพื่อนไงล่ะ”


“โกหกอะไรของแก เอามือถือฉันคืนมานะ”


“แกมันไม่เนียนไอ้ลม ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ จะโวยวายทำไม ให้ฉันดูแป๊บเดียว”


“ไม่ได้!”


“นั่นไง! ฉันถึงบอกว่าแกไม่เนียน” ว่าไปพลาง เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมให้เพื่อนแย่งมือถือคืนได้ง่ายๆ “แกต้องซ่อนใครไว้แน่ๆ”


“แกเป็นเมียฉันหรือไงห๊ะไอ้ปั้น ถึงได้มาจ้องจับผิด”


“อย่างแกฉันไม่เอาหรอก ของฉันต้องตัวเล็กๆ น่ารักเท่านั้นเว้ย! แล้วก็อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง” ปริญอาศัยจังหวะที่เพื่อนเผลอเลื่อนหน้าจอมือถือดูด้วยความไวแสง แล้วเขาก็เห็นทวิตของกวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ “อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี”


เขาอ่านข้อความนั้นออกมาเสียงดัง ใบหน้าอยากรู้อยากเห็นเปลี่ยนเป็นฉงนสนเท่ห์


“แอคคำคมหรือ”


“ห๊ะ?...แกว่าอะไรนะ” วายุงงงันไปชั่วครู่


“ฉันถามว่าแกติดตามพวกแอคเคาน์คำคมด้วยหรือไง ดูสิ มีกดเฟบไว้ด้วย”


ได้ยินเช่นนั้น วายุจึงเข้าใจว่า ปริญคงไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่แอคเคาน์คำคม


“เออ ฉันชอบอ่านน่ะ” ชายหนุ่มยอมรับส่งๆ ไปตามน้ำ ก่อนจะรีบยื่นโทรศัพท์กลับมาเสียบชาร์ตดังเดิม


“เพิ่งรู้ว่าแกชอบแบบนี้ เห็นปรกติเวลาไอ้จักรหรือฉันแชร์คำคมในเฟซบุ๊กทีไร ชอบเข้ามาด่าว่าไร้สาระทุกที”


“แล้วจะทำไม”


“ก็ไม่ทำไมหรอกครับคุณเพื่อน” ปริญว่า ก่อนเอ่ยด้วยความเสียดาย “เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกว่าแอบคุยกับใครอยู่จริงๆ เสียอีก”


“ไม่มีหรอกน่า ฉันทำงานตลอด ใครที่ไหนจะมาคุยด้วย” วายุบอกปัด แล้วเดินนำเพื่อนกลับออกไปที่โต๊ะริมระเบียง ขณะเดินก็เอ่ยถามถึงธุระสำคัญไปด้วย “ว่าแต่แกเถอะ ยังไม่บอกดีๆ เลยว่ามาที่นี่ทำไม มาฉุกละหุกแบบนี้ มีเรื่องอะไรอีกล่ะสิ”


“ก็...นิดหน่อย”


“มีอะไรก็ว่ามา”


“ฉันได้งานใหม่แล้วว่ะ”


“ที่ไหน”


“บริษัทxxx ที่ทำเว็บไซด์นิยายออนไลน์ดังๆ ตอนนี้ เขาให้ฉันไปร่วมทีมดูแลระบบ”


“งั้นก็ดีสิ มีอะไรให้แกต้องทำหน้าบูดอย่างนี้อีกล่ะ”


“ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าพศินเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่”


ครั้นได้ยินชื่อคนรักเก่าของปั้นที่เลิกกันไปได้หลายปี แต่เป็นคนที่ทำให้เพื่อนของเขาฝังใจจนยังไม่มีใครมาจนถึงทุกวันนี้ วายุก็ทำหน้าเครียดทันที


“ซวยชิบ”


“มีซวยกว่านั้นอีก”


“อะไร”


“ก็ฉันเพิ่งรู้มาว่า พศินเพิ่งมีแฟนใหม่ได้ปีกว่าๆ แถมเป็นนักเขียนดังในสังกัดอีกต่างหาก...”


เสียงการจราจรบนถนนดูจะดังขึ้นกว่าเมื่อครู่ เพราะทั้งสองต่างเงียบคล้ายจมอยู่ในความคิดของตัวเอง กระทั่งผ่านไปชั่วอึดใจ ที่ปรึกษาจำเป็นอย่างวายุจึงเอ่ยขึ้นก่อน


“แล้วแกจะเอาไง ลาออกไหม”


“...คงไม่ เพราะฉันไม่ได้คิดหรือโหยหาเขาขนาดนั้นแล้ว แค่รู้สึกทำตัวไม่ถูกเวลาเจอกันบ้างบางครั้งเท่านั้นเอง”


“ก็แล้วแต่แกตัดสินใจ แต่ถ้าไม่ไหวก็เลิก แล้วกลับไปทำงานกับพ่อแกซะ”


“เบื่อจะตาย ตาแก่ขี้บ่น” ปริญทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อนึกถึงเสียงบ่นของผู้เป็นพ่อ


“เขาก็บ่นเพราะเป็นห่วงนั้นแหละ ของแกยังดีที่มีแค่พ่อบ่น ของฉันทั้งบ้าน หูชาจะตายอยู่แล้ว”


“ฮ่าๆๆ เฮียกับป๊าแล้วก็ม๊าคงกลัวแกหนีไปเที่ยวรอบโลกอีกน่ะสิ ถึงควบคุมซะขนาดนี้”


“โถ่...ถ้าฉันจะไปใครก็ห้ามไม่อยู่หรอก” วายุว่า เพราะที่ผ่านมาก็ไม่มีใครห้ามเขาได้จริงๆ


“ทำเป็นพูดดี ถ้าถูกจับแต่งงานแบบเฮียๆ ของแกแล้วจะรู้สึก”


“เรื่องนี้ก็บังคับไม่ได้เหมือนกัน”


ส่วนเรื่องนี้ ที่บังคับไม่ได้ก็เพราะทางบ้านรู้หมดแล้วว่าเขาเป็นเกย์ และถ้าจะให้แต่งงาน ป๊ากับม๊าคงต้องไปทาบทามลูกชายเพื่อนมาให้แทนลูกสาว


แล้วเพื่อนคนจีนคนไหนของป๊าจะยอมยกลูกชายให้กัน


“เก่งจริงจริ้ง คุณวายุผู้ควบคุมได้ทุกอย่าง” ปริญประชด


“แน่นอน”


“หึ ฉันล่ะอยากให้แกเจอคนที่ทำให้แกควบคุมอะไรไม่ได้ คนที่ทำให้แกต้องหยุด หันซ้าย หันขวาแค่เขากระดิกนิ้ว”


“ไม่มีหรอก” วายุส่ายหัวราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ “คนที่ทำให้ฉันไม่เป็นตัวเองขนาดนั้นน่ะ”


“แล้วฉันจะคอยดู”


ถ้าแกจะเจอแล้วแกจะรู้ไอ้ลม...เดี๋ยวรู้เลย


วายุกระตุกยิ้มอย่างเหนือกว่าโดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกเพื่อนรักสาปแช่งในใจด้วยความหมั่นไส้ ทั้งยังเผลอลืมไปเสียสนิทว่า วันนี้เขาก็เพิ่งได้ใช้เวลากับใครคนหนึ่ง


คนที่ทำให้วายุควบคุมไม่ได้แม้แต่รอยยิ้มของตนเอง











-----------------------------------------------------------------------







เรื่องนี้ไม่ดราม่าจริงๆ แค่ตัวประกอบเยอะเฉยๆ ให้พอมีสีสัน /พูดดักไว้ก่อน 5555
ถามว่าสองคนทำไมดูสปาร์คกันเร็ว เพราะนี่อยากเขียนเรื่อราวระหว่างทางของความสัมพันธ์ด้วยค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ จะพยายามมาลงทุกวัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^


ละอองฝน.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2018 15:22:50 โดย ละอองฝน »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ลมนี่ก็พูดไป ใครน้าที่อ่านทวีตน้องก้อนแล้วหุบยิ้มไม่ลง
 :-[ :-[

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
น้องก้อนหายเร็วๆนะ  :L2:

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เรื่องนี้น่ารักมาก ติดตามค่ะ :L2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4: :L1:

เหมือนได้กลิ่นม่าม่า ขอให้เป็นแค่มาม่าช้างน้อย

ออฟไลน์ มะลิมะลิ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอเลยค่ะ ไม่ชอบอ่านมาม่า สักเท่าไหร่ มีได้แค่พอกรุบกริบเนอะ

มานั่งรอตรงนี้แหละ  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
อเรื่องนี้น่าอ่านมากครับ,,,

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักกกกกกกกกก

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เอ็นดูกิ๊บสับปะรด

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อยากบีบน้องก้อนนนนน  :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








บทที่ 5







หลังจากพี่รถกลับข้าวกลับไปแล้ว กวีก็กลับมาที่ครัวขนาดเล็กของตัวเองอีกครั้ง อาหารวันนี้ไม่มีเหลือให้เก็บไว้อุ่นกินวันรุ่งขึ้น แต่พอมองไปที่อ่างล้างจาน ชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย


ทำไมมันเยอะแบบนี้นะ


กวีได้แต่ทำหน้ามุ่ยเพราะอยากแช่จานชามไว้ไปล้างวันรุ่งขึ้น แต่วันนี้ของที่ทำมีหลายอย่างมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้จนเต็มอ่างข้ามคืนเศษอาหารคงส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั้งห้องเสียก่อน เขาจึงจำใจหยิบถุงมือยางมาสวม แล้วลงมือทำความสะอาดให้เรียบร้อย


กวีเป็นคนที่ชอบทำกับข้าวเองก็จริง แต่ถ้าเป็นงานบ้านอื่นๆ เขาไม่ชอบเลยสักอย่าง แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างล้างจานที่ตัวเองกินเสร็จจะเป็นสิ่งที่พอทำได้ แต่งานบ้านที่เหลือกวีอาศัยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดแทน ส่วนเสื้อผ้าก็ส่งร้านซักรีดทั้งหมดเหมือนกัน


สมัยเรียนกวีเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวอันประกอบด้วยแม่และพี่ชาย แม่ของเขาเป็นเหมือน super women ที่สามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านได้หมด ทั้งยังออกไปดูแลร้านอาหารเล็กๆ ของครอบครัวได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพึ่งพาลูกๆ เลย เธอบอกว่าเขากับพี่ชายมีหน้าที่เรียน ก็ตั้งใจเรียนให้ดี ไม่ต้องแย่งหน้าที่อื่นๆ ของเธอ


กวีรู้ว่าแม่พูดแบบนั้นเพราะแม่รักและหวังดีกับพวกเขา ไม่อยากให้ต้องลำบาก หากด้วยความเป็นเด็กดีแม้จะเกลียดงานบ้านมากแค่ไหน กวีก็ยังมีความคิดอยากจะช่วยงานบ้างเหมือนกัน เขาจึงเริ่มทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่แม่ไปขายอาหาร


ทว่าผลลัพธ์ที่ได้คือจานชามและแก้วน้ำแตกทุกวันที่เขาล้าง ชุดนักเรียนถูกสีตกใสเพราะตอนซักไม่ได้แยกผ้าสีออกก่อน เสื้อที่ต้องรีดก็มีรอยประทับของเตารีดหลายตัว ขนาดต้นไม้ที่แม่ฟูมฟักยังเฉาตายเพราะรดน้ำมากเกินไป


ในที่สุดแม่ก็ขอร้องให้กวีหยุดช่วย...และกวีก็คิดว่าตัวเองสมควรหยุดด้วยเช่นกัน


เขาตั้งใจเรียนเหมือนที่แม่บอก ไปเร็วกลับเร็วทุกวัน พอทำการบ้านหรืองานที่คั่งค้างเสร็จก็นอนอ่านหนังสือที่ชอบ วนๆ เวียนๆ อยู่ในห้องจนติดเป็นนิสัย ซ้ำยังมีเจ้าตัวขี้เกียจเกาะหนึบไม่ปล่อย


แต่ชีวิตของกวีก็ไม่ได้เดือดร้อน ทุกคนในบ้านก็แฮปปี้ดี ยิ่งพี่ชายเขาเรียนจบแล้วกลับมาช่วยแม่ทำกิจการที่ร้านอาหารต่อ ทุกอย่างก็ยิ่งดูดีขึ้น


จนกระทั่งกวีมาสะดุดเข้ากับจุดเปลี่ยนในชีวิต นั่นคือแม่กำลังจะแต่งงานใหม่


เวลานั้นกวีโตพอจะเข้าใจว่ามันคือความสุขในชีวิตของแม่ อีกอย่างพ่อก็เสียไปนานแล้ว แม่คงอยากมีเพื่อนคู่คิด เขาไม่ได้งอแงเลย แม้แม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับสามีชาวต่างชาติที่อเมริกาก็ตาม


แม้จะตกลงและเห็นว่าลูกชายโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว แม่ก็ต้องจัดการอะไรต่อมิอะไรอยู่นาน เพราะเป็นห่วงกลัวว่ากวีจะอยู่คนเดียวไม่ได้ พี่ชายของกวีไม่เท่าไหร่ แต่ตัวเขานี่สิที่แม่ติวเข้ม หัดให้ทำอะไรหลายๆ อย่างจนพอเอาตัวรอดได้ เธอจึงวางใจแล้วปล่อยลูกนกออกจากรัง


ตอนเด็กเป็นแบบไหน ตอนโตมาก็เป็นแบบนั้น หลังจากทำงานหาเงินเองได้กระทั่งมีเงินมากพอที่ตัวเองจะใช้ชีวิตแบบสุขสบาย ถ้าไม่ชอบทำความสะอาด แต่ก็ไม่อยากให้บ้านเลอะเทอะ ด้วยต้องอยู่ที่นี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คนขี้เกียจก็แค่ใช้เงินแก้ปัญหาไป


มีอย่างเดียวที่ใช้เงินแก้ไม่ได้คือกับข้าวรสมือแม่ จะให้นั่งรถไปกินที่ร้านพี่ชายทุกวันก็ไกลคนละฝั่งจังหวัด ดังนั้นชายหนุ่มที่มีอินเนอร์เด็กอ้วนอย่างเขาจึงต้องทำกับข้าวกินเอง โดยใช้สูตรของแม่ที่จดเอาไว้


มือก็ล้างจานไป ในหัวก็ภูมิใจในตัวเอง เดี๋ยวนี้เขาไม่ทำจานชามแตกเป็นว่าเล่นอีกแล้ว เพราะเข้าครัวมาหลายปี กับข้าวที่เมื่อก่อนทำตามสูตรก็ยังไม่อร่อย ตอนนี้มีคนชมตั้งสี่คน นั่นคือแม่ พ่อเลี้ยงฝรั่ง พี่ชายของเขา และบก.เจน


ไม่สิ...ตอนนี้เป็นห้าคน เพราะรวมถึงพี่รถกับข้าวด้วย


วันนี้เห็นพนักงานส่งผู้มีน้ำใจเติมข้าวถึงสองครั้ง หัวใจคนทำก็พองฟู


กวีเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ ว่านอกจากชอบกินแล้ว ยังชอบเห็นคนอื่นกินอาหารที่เขาทำด้วย เวลาว่างๆ จากการปั่นต้นฉบับ ชายหนุ่มจึงมั่นฝึกปรือฝีมือตัวเองบ่อยๆ เผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้ทำให้ชิม


เมื่อล้างจานเสร็จ กวีก็ล้างไม้ล้างมือแล้วเข้าไปเปิดไฟในห้องทำงาน


วันนี้เขาตั้งใจจะไม่เขียนต้นฉบับ เพราะอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากพักผ่อนให้มากเหมือนที่สัญญากับพี่เจนไว้ แต่เพราะเมื่อบ่ายหลับยาวถึงเย็น เวลานี้จึงไม่ง่วงอย่างที่ควรเป็น


กวีจึงเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคู่ใจ เพราะอยากดูซีรี่ส์ที่ดูค้างไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้จบ แต่ก่อนดูซีรี่ส์เขาก็แวะไปเช็คฟีดแบ็คจากนิยายตอนใหม่ในเว็บและทวิตเตอร์เล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ


กระแสนิยายตอนนี้ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีเหมือนเดิม และมีนักอ่านหน้าใหม่เข้ามาคุยด้วยเล็กน้อย ครั้นตอบคำถามในกล่องเมนชั่นทวิตเตอร์หมด กวีก็อัพเดตชีวิตเหมือนทุกวัน คนอ่านจะได้รู้ว่าเขายังไม่หายไป


วันนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานเขียนให้พูดถึงมากนัก เพราะไม่ได้เขียนงานเลย นักเขียนหนุ่มนั่งนึกอยู่นานว่าจะทวิตอะไรดี กระทั่งภาพใบหน้าใจดีๆ ของใครคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในสมอง


หินก้อนสุดท้าย @ROCK_01
   อยากขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้เจอแต่คนใจดี 
   21:07 PM . 29 ก.ค.18



มีคนส่งข้อความมาถามว่าคนใจดีที่กวีว่าคือใครกัน แม้แต่เพื่อนนักเขียนที่รู้จักก็ตั้งข้อสังเกตว่าเขากำลังจะมีความรักหรือเปล่า กวีต้องรีบแก้ความเข้าใจผิดอยู่เป็นนาน จนขี้เกียจพิมพ์โต้ตอบกับพวกขี้แซวแล้ว ชายหนุ่มจึงหนีไปดูซีรี่ส์อย่างที่ตั้งใจ


ซีรี่ส์ที่กวีดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหาร เขาดูเพลินจนจบตอนแล้วยังอินจนออกมาหาคลิปทำอาหารในชาแนลสอนทำอาหารดูต่อ เพราะนอกจากงานเขียน ซีรี่ส์ ก็มีเรื่องอาหารที่ดึงดูดเขาได้ขนาดนั้น


“น่ากินจัง”


เจ้าของแก้มกลมเอ่ยออกมาเบาๆ ขณะมองแพนเค้กเนื้อฟูท่าทางนุ่มนิ่มราดด้วยน้ำผึ้งแวววาว ขั้นตอนการทำดูยุ่งยากกว่าแพนเค้กปรกตินิดหน่อย แต่ถ้าทำจริงๆ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรง


ลองทำดีไหมนะ...กวีคิด


ทว่ายิ่งคิด ท้องก็ยิ่งร้องดังโครกครากไปหมด ทั้งที่เมื่อหัวค่ำเขากินข้าวไปตั้งเยอะ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกหิวอีกได้ นี่คงเป็นเพราะคลิปสอนทำขนมพวกนี้ไม่ผิดแน่


กวีก็เหลือบมองนาฬิกา แล้วมองพุงย้วยๆ ใต้เสื้อหลวมๆ ของตัวเอง อยากกินก็อยากกิน แต่เขากำลังจะเข้านอนแล้ว กินอะไรก่อนนอนไม่ใช่เรื่องดี คิดได้ดังนั้นกวีก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟในห้องทำงานเพื่อกลับไปนอนในห้องนอน


ก่อนนอนก็ไม่ลืมแวะไปดื่มน้ำแก้วโตกันหิว และสำรวจวัตถุดิบที่มีด้วยตาเปล่าแบบลวกๆ เพราะตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้ ก่อนที่จะเริ่มปั่นต้นฉบับอีกครั้ง เขาจะต้องทำแพนเค้กฟูๆ กินให้ได้!







เช้าวันต่อมา


กวีตื่นเร็วกว่าปรกติ เพราะเมื่อคืนชายหนุ่มได้หลับเต็มอิ่ม เมื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย กวีก็เริ่มภารกิจในวันนี้ที่เขาหมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน


วันนี้จะทำแพนเค้กฟู!


กวีกดสั่งวัตถุดิบที่จะใช้ในการทำแพนเค้กจากแอปฯ พี่รถกับข้าวอย่างคล่องแคล่ว เพราะเขาจำได้ขึ้นใจว่าส่วนผสมของมันมีอะไรบ้าง พอสั่งเสร็จเขาก็เริ่มหาอาหารเช้าง่ายๆ รองท้อง และค้นครัวเตรียมอุปกรณ์เท่าที่มี


กวีพบว่าเขามีเครื่องไม้เครื่องมือพอจะทำได้ทุกอย่าง ขาดแค่เครื่องตีส่วนผสมที่เอาไว้ใช้ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูเท่านั้น เครื่องที่ว่าชายหนุ่มไม่เคยคิดซื้อไว้ เพราะมันไม่ได้จำเป็นเท่าไร เวลานี้จึงได้แต่ต้องหวังพึ่งพาตะกร้อตีไข่กับแรงแขนตัวเองเพียงอย่างเดียว


สั่งของไปไม่ถึงชั่วโมง เสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น นักเขียนหนุ่มรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูโดยไว เพราะหวังใจว่าอาจได้พบพนักงานส่งใจดี


ทว่าผิดคาด...พนักงานส่งคนนี้ ไม่ใช่พี่รถกับข้าวของกวี


กวีรับของเรียบร้อยก็หิ้วตะกร้ากลับเข้าห้อง ใจจริงอยากถามว่าพี่รถกับข้าวไปไหน ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนคนส่ง แต่พอนึกได้ว่าอาจจะเป็นวันหยุดของพี่เขา กวีจึงเลือกสงบปากสงบคำแทน


ระหว่างที่นักเขียนหนุ่มหอบเอาของมาวางไว้บนโต๊ะ และเริ่มวัดตวงส่วนผสม ในหัวก็พลันนึกคาดเดาสาเหตุที่ไม่ได้เจอคนใจดีในวันนี้ไปด้วย


บางทีอาจเป็นเพราะปรกติ กวีเลือกสั่งของทุกๆ สามวัน ดังนั้นจึงได้เจอกับพนักงานส่งคนเดิมตลอดสามอาทิตย์ แล้วเมื่อวานพี่รถกับข้าวเพิ่งมาส่งของให้เขา และวันนี้เป็นวันที่ไม่ได้อยู่ในรอบการสั่งปรกติ พี่เขาคงเวียนคิวไปส่งให้ลูกค้าที่อื่น


....เอ...หรือพี่เขาจะโดนว่าเรื่องลางานกะทันหันเมื่อวาน


คงไม่ใช่โดนไล่ออกไปแล้วหรอกนะ!!


ความคิดของคนมีจินตนาการสูงฟุ้งซ่านไปไกล เขาจึงไม่มีสมาธิพอแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันได้สักที จนกระทั่งไข่ใบที่สี่ กวีจึงหันมาเรียกสติของตัวเอง ด้วยไม่อยากเสียไข่ไปมากกว่านี้แล้ว


เพราะมีขั้นตอนที่เขาต้องระมัดระวัง ดังนั้นเมื่อผ่านไปพักใหญ่ แม้ใจจะยังกังวลกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นสาเหตุให้พี่รถกับข้าวเดือดร้อน ชายหนุ่มก็ต้องตั้งสมาธิอยู่กับการทำขนมตรงหน้า


จนในที่สุดแป้งแพนเค้กฟูถ้วยแรกก็เสร็จสมบูรณ์


เขาเปิดเตาแล้วตักแป้งใส่ลงไป ก่อนหน้านั้นไม่ลืมเอากระทะเช็ดน้ำมันด้วย พยายามทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ระหว่างที่รอแป้งแพนเค้กสุก ชายหนุ่มก็หันมาเตรียมผลไม้กับน้ำผึ้ง


ถึงตรงนี้กวีจึงเพิ่งรู้ว่าได้รับของจากร้านพี่รถกับข้าวไม่ครบ ชายหนุ่มจึงโทรกลับไปยังหมายเลขที่โทรมาคอนเฟิร์มการส่งรอบแรก เพื่อแจ้งว่าขาดน้ำผึ้งไปหนึ่งขวด


ทางร้านขออภัยในความผิดพลาด และยืนยันว่าจะมาส่งของให้ภายในวันนี้ กวีจึงรอคอยอีกครั้ง และระหว่างนั้นก็คอยดูแพนเค้กไปด้วย








   ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~


เสียงกริ่งดังขึ้นขณะที่เจ้าของห้องกำลังเคี้ยวแพนเค้กเสียจนแก้มตุ่ย เจ้าตัวรีบกลืนขนมหวานลงคออย่างรวดเร็ว ก่อนเร่งฝีเท้าไปรับของที่หน้าประตู


“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”


เสียงและรอยยิ้มที่คุ้นเคยของพนักงานส่งคนนี้ทำให้กวีเบิกตาโต ก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงใสอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเสมอ


“พี่รถกับข้าวมาแล้ว!~”


“หึๆ พี่นึกว่าจะไม่ทักกันซะแล้วครับ” คนตรงหน้าเอ่ยยิ้มๆ


“พี่มาได้ยังไงครับ พนักงานก่อนหน้าไม่ใช่พี่รถกับข้าวนี่นา” กวีถามอย่างงุนงง นิ้วชี้ไปที่หมวกกันน็อคในอ้อมแขนของพี่รถกับข้าว


“พี่ขี่มอเตอร์ไซด์มา กลัวว่าจะรีบใช้ของน่ะครับ”


“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลยครับ” กวีว่าเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตสีเทาของฝ่ายตรงข้ามมีรอยชื้นของเหงื่อรำไร


“ต้องรีบสิครับ เพราะต้องเอาของมาส่งตามที่คุณลูกค้าแจ้งไงล่ะครับ” คนตัวโตยกโหลน้ำผึ้งที่เขาสั่งให้ดู ก่อนจะรีบของโทษขอโพย “ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทางร้านสะเพร่า ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน”


“ไม่เป็นไรครับ” กวีโบกมืออย่างไม่ถือสา


“ไม่ได้สิครับ เรื่องนี้ทางร้านผิดเต็มๆ เลย ยังไงก็ต้องขอโทษคุณลูกค้า”


“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมไม่ว่าอะไรสักหน่อย ดีเสียอีก มาส่งอีกรอบผมจะได้เจอพี่ไง”


คนพูดก็พูดไปด้วยความดีใจ เพราะจะได้เลิกกังวลว่าอีกฝ่ายจะโดนไล่ออกเพราะตัวเอง ส่วนคนฟังกลับนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่กวีฟังไม่ถนัด


“จะทำให้ใจเต้นไปถึงไหน”


“ว่าอะไรนะครับ” กวีเลิกคิ้วถาม


“ป่ะ..เปล่าครับคุณลูกค้า”


“คุณลูกค้าอะไรล่ะครับ ผมบอกแล้วไงว่าให้เรียกวีเฉยๆ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะฟ้องใครหรอกนะครับ”


“แต่เรายังเรียกพี่ว่า พี่รถกับข้าวอยู่เลยนี่ครับ ถ้าเปลี่ยนก็ต้องเท่าเทียมกันนะ” คนใจดีท้วงบ้าง หากน้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก


“โอ๊ะ! ผมลืมไปเลยครับ เรียกพี่รถกับข้าวจนชินน่ะ” คุณลูกค้าแก้ตัว ก่อนเปลี่ยนคำเรียกอีกครั้ง “พี่ลม พี่ลม พี่ลม คราวหลังจะไม่ลืมแล้วครับพี่ลม”


ครั้นพูดจบ คนถูกเรียกพี่ลมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทั้งยังทำสีหน้าประหลาดให้กวีนึกฉงน


“เป็นอะไรหรือเปล่าครับพี่ลม”


คนตัวสูงเอามือข้างหนึ่งกุมอกของตัวเองเบาๆ แล้วว่า “พี่เหมือนจะเป็นลมเลยครับ”


“ห๊า!” กวีตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง


โดยที่ยังไม่สังเกตสีหน้าว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีอาการเหมือนคนจะเป็นลมจริงๆ อย่างที่พูด คุณลูกค้าผู้หวังดีก็คว้ามือหนาเอาไว้ แล้วเอาแขนนั้นพาดบ่าตัวเอง ก่อนบังคับพยุงลากอีกฝ่ายเข้าห้อง


“อะไรกันครับวี...”


“เข้าไปนั่งพักก่อนนะครับ เดี๋ยวล้มแล้วผมอุ้มไม่ไหวหรอกนะ เข้าไปตอนมีสติอยู่บ้างนี่แหละ”


“หืม? วีหมายถึงอะไร“


“ก็พี่จะเป็นลมไงครับ ดูสิอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซด์มา อากาศก็ร้อน”


“...เดี๋ยววี---”


ยังไม่ทันรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร นักเขียนหนุ่มก็ทึกทักพาพี่รถกับข้าวเข้าบ้านตัวเองด้วยความเป็นห่วง


“อย่าเพิ่งพูดสิครับ” พลเมืองดีเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ก่อนทำปากจุ๊ๆ คล้ายกับผู้ใหญ่ดุเด็ก “ห้ามดื้อด้วย มาครับๆ เข้าไปนั่งพักก่อน”
   

“...ครับ” พี่รถกับข้าวของกวีตอบกลับมาแค่นั้น ก่อนทิ้งน้ำหนักตัวมาทางกวีมากกว่าเดิม
   

หนักชะมัดเลย
   

กวีคิดในใจ ทว่าไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เพราะขนาดเขาเนื้อเยอะแบบนี้ พี่รถกับข้าวยังอุ้มเข้าไปนอนในห้องได้ ดังนั้นถ้าหากพี่รถกับข้าวลำบาก กวีก็ควรแสดงน้ำใจบ้าง
   

วันนี้แหละ กวีจะดูแลพี่ลมเอง!







------------------------------------------------------------






แพนเค้กฟูมีสองพาร์ท พาร์ทก้อนคือใสๆ น้องช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ในส่วนของพาร์ทพี่ลมคนดี(ในความคิดก้อน)นั้น....
เอาไว้ตามต่อตอนหน้าเราไปหาเศษหาเลยกับเจ้าหมูก้อนไปพร้อมพี่ลมกันค่ะ 555555
แต่ฝนจะรีบลงนะคะ คือมันได้อ่านต่อกันน่าจะได้ฟีลมากกว่า

ละอองฝน.


ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
โถถถ น้องวีผู้ใสซื่อ น่าเอ็นดูจริงๆ :-[

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :z1: :z1: :z1:  วีเอ๊ยย พี่ลมจะช๊อตตายเพราะวีนั้นแระลูก คริคิร

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
น่ารักดี
อ่านตอนดึก แอบอยากแพนเค้กมั่งอ่ะ

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
อยากกินแพนเค้กด้วยคน  :impress3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใครจะอิ่มกว่ากัน

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ต้องให้น้องก้อนป้อนพลัง​ อ่านแล้วอยากให้มีแอปจริงๆ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
น้องกวี๊น่ารักจังเลยลูก พี่ลมทำใจดีๆ เอาไว้นะคะ ความน่ารักทำให้เราวูบได้555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยยิ่งอ่านยิ่งอยากบีบเนื้อน้องงงงง เป็นลมไปพร้อมพี่ลมมมมม  :hao7: :hao6:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด