บทที่ 10
หลังจากตามอ่านหนังสือของกวีมาพักใหญ่ วายุก็มักติดตามข่าวในเว็บไซด์ที่กวีลงนิยายเสมอ จนเขาเห็นข่าวที่ทางเว็บไซด์จะมีการจัดงานเปิดตัวสำนักพิมพ์ ซึ่งในงานมีหนังสือใหม่ๆ ของนักเขียนในสังกัดออกหลายเล่ม โดยวันงานจะกิจกรรมแจกลายเซ็น และหนึ่งในนั้นมีนาย หินก้อนสุดท้าย มาร่วมแจกลายเซ็นกับเขาด้วย
วายุรีบเปิดดูปฏิทินและตารางงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว วันที่จัดงานนั้นเป็นวันเสาร์แรกของเดือนหน้า เขาไม่มีนัดติดต่อธุรกิจกับใครที่ไหนพอดี ส่วนงานดูแลร้านก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะเวลานี้วายุได้ผู้จัดการร้านคนใหม่มาช่วยแบ่งเบาภาระในร้านแล้ว ดังนั้นเจ้าของร้านหนุ่มจึงพอมีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้น
ตอนแรกที่ตัดสินใจ วายุตั้งใจบอกกับนักเขียนหนุ่มว่าตนจะไปให้กำลังใจ แต่พอคิดไปคิดมา ชายหนุ่มก็นึกสนุก อยากรู้ว่าหากกวีเห็นเขาในวันนั้น เจ้าตัวจะทำหน้าอย่างไร จะประหลาดใจไหม
สุดท้าย ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน แม้ได้พบหน้ากันบ่อยครั้ง แต่วายุก็เลือกเก็บงำความลับสุดยอด ไม่แพร่งพราย เพราะอยากไปเซอร์ไพรส์กวี
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถึงปฏิกิริยาของกวีก็เป็นไปในทางที่วายุคาดเดา แต่มันก็มากกว่าที่เขาคิดถึง ใครจะรู้ว่าคุณนักเขียนทำตาโตเกือบเท่าไข่ห่าน ยกยิ้มกว้างจนแก้มบุ๋ม และแสดงออกว่าดีใจที่เห็นวายุปรากฏตัวต่อหน้าขนาดนั้น นั่นทำให้หัวใจวายุพองโตพานยิ้มแก้มปริตามไปด้วย
“ว้าว~ ขอบคุณครับพี่ลม!”
กวีเอ่ยขอบคุณ เมื่อวายุส่งช่อผลไม้ให้เจ้าตัว ตอนแรกวายุก็ตั้งใจจะหาซื้อช่อดอกไม้มาแสดงความยินดีตามปรกติ แต่พอเหลือบไปเห็นผลไม้นำเข้าที่เพิ่งมาส่งที่ร้าน ชายหนุ่มจึงหอบเอาไปให้ร้านดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ กันช่วยออกแบบและห่อเป็นช่อให้
ตอนที่เห็นนักเขียนหนุ่มรวบช่อผลไม้ไว้ในอ้อมกอด วายุคิดว่าแบบนี้เหมาะกับกวีมากกว่าช่อดอกไม้ธรรมดาเสียอีก
ดูสิ...แก้มกลมๆ สีเดียวกับลูกพีชญี่ปุ่นในช่อผลไม้ไม่มีผิด
ระหว่างการแจกลายเซ็น พวกเขาไม่ได้คุยกันมากนัก ด้วยระยะเวลากระชั้นชิด ทั้งยังมีแฟนนิยายของกวียืนต่อแถวยาวเหยียด วายุจึงต้องออกมาจากแถวอย่างแสนเสียดาย แต่ก็ถือว่าคุ้มที่ได้เห็นรอยยิ้มน่ารักๆ ของน้อง แม้ต้องแลกด้วยการรีบตื่นแต่ไก่โห่มารับบัตรคิวเป็นคนแรกก็ตาม ซ้ำนักเขียนดังยังกระตือรือร้นจะส่งข้อความหาเขาด้วย
“เสร็จแล้วผมจะส่งข้อความหาครับ”
วายุยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนผละออกไปนั่งรอยังเก้าอี้ที่ทางงานจัดไว้ให้ เพื่อรอให้ถึงเวลาเลิกงาน
กว่ากวีจะแจกลายเซ็นให้กับคนอ่านจนครบ เวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงค่ำ เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวนั่งรอนานจนเกือบเผลอหลับไป หากไม่มีใครเดินมาสะกิดจากทางด้านหลังเสียก่อน
“พี่ลม”
เสียงใสๆ อันเป็นเอกลักษณ์ช่วยให้เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที
“วี!...เสร็จงานแล้วหรือครับ”
“เรียบร้อยแล้วครับ” กวีพยักหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ขณะที่ผู้มาร่วมงานทยอยกลับ
“เหนื่อยไหม” วายุถาม
“ไม่เท่าไหร่ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบตามจริง แล้วจึงถามกลับ “พี่ลมล่ะครับ รอนานเลยใช่ไหม เบื่อแย่เลย”
“ไม่เบื่อหรอกครับ”
วายุพูดปดไปนิดหน่อย เพราะความจริงเขาค่อนข้างเบื่องานในช่วงหลังพอสมควร ด้วยไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำแล้ว ไอ้ครั้นจะนั่งมองกวีแจกลายเซ็นก็มองไม่ค่อยถนัดนัก เพราะบูทของหินก้อนสุดท้ายเนืองแน่นไปด้วยแฟนนิยายของเจ้าตัว
“งั้นหรือครับ ผมคิดว่าพี่ลมจะเบื่อซะอีก นี่คงมาตั้งแต่เช้าใช่ไหม พี่ถึงได้บัตรคิวแจกลายเซ็นใบแรก”
“ก็มาพร้อมๆ กับนักอ่านคนอื่นนั่นแหละครับ แต่พี่แค่โชคดีที่เดินมารับบัตรคิวเร็วเท่านั้นเอง”
ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่มองหน้าแล้วก็รู้ว่ากวีไม่เชื่อที่เขาพูด คนน่ารักยิ้มบางๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก จากนั้นจึงเอ่ย
“ขอบคุณนะครับที่มา ผมดีใจมากเลยตอนที่เห็นพี่”
เท่านี้ก็พอแล้ว พอและคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม…วายุบอกตัวเอง
“พี่ก็ดีใจที่ได้มา” พวกเขายิ้มให้กัน ราวกับในงานนี้มีเพียงเราสองครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเจ้าหน้าที่เก็บของจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว “ว่าแต่แฟนคลับวีเยอะมากเลยนะ”
“คงเป็นแฟนนิยายของนักเขียนท่านอื่นๆ ด้วยน่ะครับ” นักเขียนหนุ่มเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“ไม่หรอก หลายๆ คนก็ตั้งใจมาหาวีนะ อย่างพี่นี่ไง”
กวียิ้มเขิน แล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ”
“เลิกขอบคุณพี่ได้แล้วครับ” คนตัวสูงกว่าถือวิสาสะลูบหัวน้องอย่างนึกเอ็นดู แต่พอนึกขึ้นได้ว่ากวีอาจไม่ชอบ เขาก็รีบชักมือกลับทันที “ขอโทษนะ พี่ลืมตัวไปหน่อย”
ดวงตากลมมองอาการตื่นๆ ของวายุ ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลูบได้ ผมไม่ถือ”
“งั้นหรือครับ” ได้ยินน้องบอกแบบนั้น ร่างสูงก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วจึงชวนเปลี่ยนเรื่อง “นี่เสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วใช่ไหมครับ ไม่ต้องรอทำอะไรแล้วนะครับ”
“งานเสร็จหมดแล้วครับ เหลือแค่เข้าไปหยิบของที่นักอ่านเอามาให้ในห้องรับรอง แล้วก็ลาพี่บ.ก.เท่านั้น นี่ผมรีบออกมาหาพี่ก่อน เพราะกลัวพี่ลมจะรอนาน”
“ถ้าอย่างนั้น พี่เข้าไปช่วยถือของดีไหม เราจะได้ไปที่รถกันเลย”
“ไปที่รถหรือครับ?” กวีทำหน้างงงวยเล็กน้อย วายุจึงต้องรีบอธิบาย
“พี่ลืมบอกไป ความจริงพี่ไม่ได้มาเฉยๆ หรอกครับ แต่ตั้งใจว่าพอวีเสร็จงาน พี่จะชวนวีไปกินมื้อค่ำด้วยกัน...สนใจไหม” ชายหนุ่มเว้นไปนิด เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถามออกไปก่อน “เอ...หรือว่าวีต้องไปทานกับคนในสำนักพิมพ์หรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับๆ ผมไม่ได้นัดใครไว้”
“ถ้างั้นก็ดีเลย” คนพูดยิ้มกว้าง “ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกับพี่นะครับ”
“เอ่อ...เกรงใจจังครับ” คนตรงหน้ามุ่นคิ้วน้อยๆ ทำท่าลังเล พานให้คนถามใจเสีย
“...วีจะไม่ไปหรือครับ”
“ไปสิครับ!” หง่อยได้นิดเดียว คนขี้แกล้งก็พลันยิ้มทะเล้น “พี่ลมชวนทั้งที ผมจะไม่ได้ได้ยังไง”
“แปลว่าเมื่อแกล้งพี่หรือครับ”
“เปล่าสักหน่อยครับ” คนน่ารักแก้ตัว
“หึๆ เอาเถอะ ไม่แกล้งก็ไม่แกล้ง ถ้าอย่างนั้นเราไปเก็บของกันเลยดีไหมครับ เผื่อร้านที่พี่จะพาไปคนเยอะ เดี๋ยวต้องรอนานนะ”
“ร้านอะไรกันครับ” พอหันมาพูดเรื่องกิน กวีก็ทำท่าสนอกสนใจทันที
“เอาไว้ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองครับ แต่รับรองว่าอร่อยแน่ๆ” คนชวนยิ้มยั่ว เอาคืนที่เมื่อกี้อีกฝ่ายแกล้งเขา
“โถ่...บอกหน่อยก็ไม่ได้หรือครับ”
“อื้ม”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปเก็บของกันเถอะ ผมหิวไส้แทบขาดอยู่แล้ว”
“หึๆ” วายุนึกขำ เพราะพอเป็นเรื่องอาหารทีไร ก็ทำให้กวีกระตือรือร้นได้เสมอ “ไปครับ นำพี่ไปเลย”
“ครับ” กวีรับคำเสียงใส จากนั้นจึงเดินนำเข้าไปในห้องรับรองสำหรับนักเขียนของสำนักพิมพ์ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน
หลังเก็บข้าวของเรียบร้อย วายก็เดินนำกวีไปที่รถ พวกเขาสองคนช่วยกันหอบหิ้วของขวัญจากนักอ่านมาเต็มสองมือ โดยมีบ.ก.เจนของกวีเดินตามมาส่งด้วย
เมื่อเสร็จจากการจัดเก็บของเข้ากระโปรงหลัง กวีก็หันไปลาบ.ก.คนสวยโดยมีวายุยืนอยู่ใกล้ๆ
“ผมไปนะครับพี่เจน”
“อื้ม ถึงห้องแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วยนะ”
“ครับ” กวีพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะเอ่ยถามเจนจิราอีกครั้ง “พี่เจนจะไม่กลับด้วยกันจริงๆ หรือครับ”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่ต้องไปช่วยพวกนั้นเก็บข้าวของกลับออฟฟิศด้วย”
“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ ฝากลาคุณพศินด้วยครับ”
“ไปเถอะๆ” เจนพยักหน้าให้นักเขียนคนสนิท ก่อนจะหันมาพูดกับวายุ “ฝากเจ้าก้อนด้วยนะคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ จากนั้นจึงพากันขึ้นรถและออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่เขาคุยไว้
โชคดีที่วันนี้การจราจรไม่หนาแน่นเท่าไร เพลงบนรถเล่นจบไม่กี่เพลงพวกเขาก็ถึงร้านอาหาร วายุวนรถหาที่จอดพักหนึ่ง พอจอดรถเรียบร้อยก็หันมาหาคนนั่งข้างๆ
“ถึงแล้วครับ”
“ร้านที่คนเยอะๆ นั่นหรือครับ”
“ใช่แล้วล่ะ ร้านนี้ดังมากเลยนะ อาหารก็อร่อยดี เจ้าของร้านเขาขายมาหลายสิบปีแล้ว ที่สำคัญอาหารเขาใช้วัตถุดิบโอเคเลย แถมใช้เตาถ่านประกอบอาหารด้วย” ชายหนุ่มโฆษณา
ร้านอาหารร้านนี้แม้ข้างนอกจะดูธรรมดา และค่าอาหารค่อนข้างสูงหน่อย แต่รสชาติใช้ได้ ทุกครั้งที่เพื่อนชาวต่างชาติของวายุมาเที่ยวเมืองไทย เขาต้องเป็นคนพาพวกนั้นมากินมื้อค่ำที่นี่ทุกครั้ง
“ว้าว! ใช้เตาถ่านหรือ น่าสนใจจัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยไหม พี่กลัวคนเยอะเดี๋ยวจะได้กินช้า”
“ครับ” กวีพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงรถตามวายุไป
ที่ที่พวกเขาจอดรถไว้อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารนัก พอล็อครถเรียบร้อยวายุจึงนำไปที่ร้าน ซึ่งเดินไม่ถึงห้านาทีทั้งสองก็มาหยุดที่ฝั่งตรงข้ามของร้านเตรียมข้ามถนนพอดี วายุก้มลงมองคนตัวเล็กหันซ้ายหันขวากะจังหวะข้ามถนนครู่หนึ่ง ก่อนตัดสิ้นใจชั่ววินาทีเพื่อคว้ามือเรียวของน้องไว้
“ไปครับ” เขาส่งสัญญาณบอกแล้วจูงมือกวีข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนโดยที่คนข้างกายไม่ทันได้ทักท้วง
ครั้นข้ามมาถึงหน้าร้านแล้ว วายุจึงปล่อยมือนิ่มคืน
“ขอโทษนะ พี่เห็นเราลังเลตอนจะข้ามถนน เพราะรถมันเยอะใช่ไหม พี่ก็เลย...”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
นอกจากกวีจะไม่ว่าอะไรแล้ว อีกฝ่ายยังยิ้มแป้นอย่างที่วายุชอบให้แทนคำขอบคุณอีกต่างหาก วายุเกือบยกมือกุมหัวใจตัวเอง ติดที่น้องดันชี้ไม้ชี้มือพลางทำตาเปล่งประกาย
“โอ๊ะ! ที่แท้เป็นร้านเจ๊ไฝหรือพี่ลม!”
“ก็ใช่น่ะสิ ฮ่าๆ” เห็นคนตื่นเต้นเกินเหตุ วายุก็นึกขำ “เคยมากินแล้วหรือครับ”
“ไม่เคยครับ ผมเคยเห็นแต่ที่เขารีวิวกัน แต่อ่านเจอว่าเขาต้องต่อคิวนานมากไม่ใช่หรือพี่ลม แล้วพวกเรามาค่ำแบบนี้ วันนี้จะได้โต๊ะหรือเปล่า”
“พี่จองคิวไว้ก่อนแล้วน่ะครับ”
“จองคิว?”
“อื้ม” วายุพยักหน้ารับ “กลัวว่าถ้าพาวีมาแล้วไม่มีที่นั่ง เดี๋ยวจะเฟล ตอนที่รอวีแจกลายเซ็นพี่ก็เลยโทรมาจองคิวไว้ก่อน”
“โห...รอบคอบมากเลย” กวีเอ่ยอย่างนึกทึ่ง
“หึๆ...เรารีบเข้าไปในร้านดีกว่านะ อย่างที่บอกว่าเขาใช้เตาถ่าน เวลาสั่งทีต้องรอนานนิดหน่อย ยิ่งคนเยอะๆ แบบนี้ด้วย---” ยังไม่ทันพูดจบ คนชอบกินก็รีบแทรกเหมือนรู้ทัน
“งั้นเรารีบเข้าไปสั่งกันเถอะครับ อาหารจะได้มาเร็วๆ”
“โอเคครับ ไปหาที่นั่งกัน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสองก็เข้าไปติดต่อเรื่องคิวที่จองไว้ ไม่นานก็ได้โต๊ะนั่ง และสั่งอาหารไปสามสี่เมนู ซึ่งแต่ละเมนูก็เป็นที่ขึ้นชื่อของร้านทั้งนั้น ส่วนระหว่างที่รอ วายุก็คอยสั่งเกตคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย
กวีดูสนอกสนใจตัวร้านไม่น้อย ดวงตากมลใสของนักเขียนหนุ่มสอดส่องไปทั่วร้าน มีหลายครั้งที่เจ้าตัวหยุดมองที่การทำอาหารของแม่ครัวเพียงคนเดียวหน้าเตาถ่าน นานเข้าปากอิ่มก็เผลอทำขมุบขมิบคล้ายท่องอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง ชวนให้วายุนึกสงสัยนักว่ากวีกำลังพูดอะไร
“วี”
เมื่อดูเหมือนน้องจะสนใจอย่างอื่นจนลืมสนใจคนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงข้าม เจ้าของร้านพี่รถกับข้าวจึงส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ครับ?”
“ร้อนไหมครับ พี่เห็นเหงื่อเราออกเต็มเลย”
“นิดหน่อยครับ แต่ทนได้”
เพราะเหงื่อเม็ดใสที่เกาะพราวบนปลายจมูก ทำให้วายุรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดผิดที่พากวีมานั่งในร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอาหารแบบนี้ ทั้งที่ความจริงหากนับว่านี่คือ เดทแรก เขาก็ควรเลือกร้านที่ดีกว่านี้หน่อย เป็นเพราะวันก่อนเห็นกวีบ่นในทวิตเตอร์ว่าอยากกินไข่เจียวปูแท้ๆ จึงทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้
สงสัยจะพลาดแล้วเรา
พอผ่านไปอีกพักหนึ่ง อาหารก็ยังไม่ส่งมาถึงโต๊ะเสียที วายุก็ยิ่งกระวนกระวายใจ จึงได้ถามออกไปอีกครั้ง
“วีครับ”
“ครับ?”
“หิวไหม”
“ไม่เท่าไหร่ครับ” กวีตอบ ก่อนจะเสริม “แต่อยากกินเพราะกลิ่นอาหารมันลอยมาเตะจมูกนี่แหละ”
“โถ่...พี่ไม่น่าพามาร้านนี้เลย” วายุเผลอบ่นกับตัวเองเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นกวีก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนอยู่ดี
“อ้าว! ทำไมล่ะครับ”
“ก็มันทั้งร้อน แถมยังรอนาน”
...ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย
ทว่าสิ่งที่กวีพูดในประโยคต่อมากลับทำให้คนที่กำลังผิดหวังรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง
“ผมโอเคครับ พี่ลมอย่าคิดมากสิ พี่อุตส่าห์พาผมมานะ แถมวันนี้ยังไปรอทั้งวันด้วย” พูดเท่านั้นยังไม่พอ กวียังยกเหตุผลอื่นมายืนยันอีกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกแย่ที่มาร้านนี้กับวายุ “อีกอย่างนะ ผมเองก็อยากกินไข่เจียวปูพอดีเลย นี่ได้มาลองชิมถึงร้านดังที่ปรกติผมคงไม่นั่งรถมากิน แบบนี้น่ะดีจะตาย”
“วีกำลังพยายามรักษาน้ำใจพี่หรือเปล่า” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่วายุก็เริ่มยิ้มออกขึ้นมาแล้ว “นี่หิวจนไส้กิ่วหรือยังครับ ให้พี่สั่งหมูสะเต๊ะหน้าร้านมารองท้องก่อนดีไหม”
“ไม่ได้พูดเพราะรักษาน้ำใจนะครับ ผมโอเคจริงๆ” คนน่ารักยืนยันหนักแน่น “...แต่ถ้าพี่จะสั่งหมูสะเต๊ะจริงๆ ผมจะยิ่งโอเคมากๆ เลย”
“ฮ่าๆๆ” ทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง วายุก็หลุดหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นรอพี่เดี๋ยวเดียวนะครับ” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปส่งอาหารว่าง
รอไม่นานหมูสะเต๊ะหอมๆ พร้อมกับน้ำจิ้มและอาจาดรสเด็ดก็มาส่ง ครั้นเห็นอาหารวางอยู่ตรงหน้า ดวงตาของกวีก็เปล่งประกายขึ้นอีกเท่าตัว
“น่ากินจัง”
“รองท้องก่อนเนอะ อีกเดี๋ยวอาหารก็ได้แล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ” กวีพยักหน้ารับ จากนั้นจึงลงมือทานท่าทางเอร็ดอร่อย
แค่เห็นคนตรงหน้ากินท่าทางเอร็ดอร่อย วายุก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจแล้ว เขาเติ่มน้ำเปล่าให้กวีเพิ่ม ก่อนจะเท้าคางมองนักเขียนหนุ่มจัดการกับหมูสะเต๊ะไม้ใหญ่
มองอยู่ได้ไม่นาน คนถูกมองก็ช้อนตาจ้องวายุกลับ
“พี่ลม”
“หืม?”
“ไม่กินหรือครับ”
“ไม่ล่ะ วีกินเถอะครับ พี่ยังไม่ค่อยหิวเลย”
“ได้ไงครับ” กวีรีบเคี้ยวหมูในปากแล้วกลืนลงคอ ก่อนจะพูดต่อ “กินสักหน่อยสิ ให้ผมกินคนเดียวมันแปลกๆ นะ พี่อุตส่าห์ไปซื้อมาด้วย”
“พี่ซื้อมาให้เราไงครับ”
“กินเถอะ ผมกินเอาๆ พี่ไม่ยอมแตะเลย ผมชักเขินแล้วนะ”
“พี่...”
ยังไม่ทันปฏิเสธให้จบประโยค กวีก็ทำเรื่องที่วายุไม่ได้คาดคิดมาก่อน ด้วยการป้อนหมูสะเต๊ะชุ่มน้ำจิ้มหอมๆ มาถึงปากเขา
“มาครับ ผมป้อน อ้าม~”
“...” ชายหนุ่มมองริมฝีปากแดงๆ มันแผล่บอ้ากว้างคล้ายกดดันให้เขาอ้าปากรับชิ้นหมูเข้าปาก พอเลื่อนสายตาขึ้นอีกนิดก็ยิ่งถูกสายตาอ้อนๆ มองไม่ละสายตา
...หากหัวใจบินออกมาจากอกเพราะแพ้ความน่ารักของคนคนนี้ วายุคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
“เร็วครับ น้ำจิ้มจะหกแล้วนะ”
“ครับๆ”
สุดท้ายวายุก็ต้องอ้าปากรับหมูที่กวีป้อนให้โดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างคนละคำสลับกันไปจนหมดจาน และรอไม่นานหลังจากนั้น พนักงานเสิร์ฟก็ยกอาหารที่สั่งไว้มาวางเต็มโต๊ะ
“โห...น่ากินมาก” เสียงใสของคนกินเก่งเอ่ยขึ้นหลังจากวายุตักไข่เจียวปูใส่จานให้
“ลองชิมดูสิครับ ไม่ใช่แค่น่ากินหรอกนะ”
“ครับ” กวีพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วตักไข่เจียวเข้าปาก “หื้ม...อร่อยด้วย เนื้อปูเต็มคำมากๆ เลย”
“หึๆ ชอบใช่ไหมครับ”
“ชอบครับ อร่อยมาก ไข่เจียวไม่อมน้ำมันเลย” พูดแล้วกวีก็ตักไข่เจียวเข้าปากอีกคำ
“ถ้าชอบก็กินเยอะๆ นะครับ กินกับปูผัดผงกะหรี่นี่ด้วย พี่ว่าเข้ากันสุดๆ เลย”
“ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบรับอย่างกระตือรือร้น หากก็ยังไม่วายห่วงคนพามากิน “พี่ลมก็กินด้วยนะครับ อย่าตักให้แต่ผมสิ”
“ครับๆ พี่ก็กินด้วยนี่ไง เราอยากลองราดหน้าทะเลของพี่ไหม อร่อยนะ เดี๋ยวพี่แบ่งใส่ถ้วยเล็กให้”
“เอ่อ...เอาแค่คำเดียวพอนะครับ เดี๋ยวพี่ไม่อิ่ม”
“หึๆ อิ่มสิครับ มาๆ เดี๋ยวพี่แบ่งให้” ว่าแล้ววายุก็จัดการแบ่งราดหน้าทะเลให้น้องลองชิม ทั้งยังตักกุ้งตัวใหญ่ในราดหน้าแบ่งให้อีกตัวด้วย
เห็นกวีดูมีความสุขกับมื้ออาหาร วายุก็พลอยมีความสุขไปด้วย จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจพลาด เวลานี้เขาลืมคิดเรื่องนั้นไปแล้ว
กระทั่งมื้ออาหารจบลง วายุก็เรียกคิดเงิน ก่อนพากวีออกจากร้าน
ตอนที่มาถึงร้านฟ้าก็มืดแล้ว กว่าจะสั่งอาหาร กว่าจะได้กิน และกินเสร็จออกมา ถนนที่เคยมีรถวิ่งขวักไขว่ก็ดูบางตาลง วายุเดินข้างกันกับกวีไปตามทางเท้าช้าๆ ตาเหลือบมองคนข้างกายลูบพุงป่องเป็นระยะๆ
“อิ่มไหมครับ อยากกินขนมหวานล้างปากไหม แถวนี้มีขนมหวานร้านอร่อยด้วยนะ ถ้าอยากกินพี่จะพาไป”
“อยากกินจัง แต่คงไม่ไหวแล้วครับ นี่ผมรู้สึกเหมือนกระดุมกางเกงจะกระเด็นออกมาจากรังดุมอยู่แล้ว อิ่มสุดๆ เลยพี่”
“อิ่มขนาดนั้นเลยหรือ”
“ถ้าผมไม่อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมานะ จะเปิดพุงให้พี่ดูเลย”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ พี่เชื่อแล้วว่าอิ่ม”
“นี่ถ้ากลับไปบ้านคงยังนอนไม่ได้ อิ่มเกินไป เดี๋ยวกรดไหลย้อนจะกำเริบเอา”
“เราเป็นกรดไหลย้อนบ่อยหรือวี”
“ก็...บางครั้งครับ พอกินแล้วนอนอะไรแบบนี้ ท้องมันก็จะแสบๆ”
“ไม่ดีเลยแบบนี้ พี่ชายพี่เคยเป็นหนักๆ ดูทรมานมากเลย”
“ผมเป็นไม่หนักหรอกครับ แต่มันก็รู้สึกไม่ดีนั่นแหละเวลาเป็น”
“งั้นไปเดินเล่นด้วยกันก่อนไหม ย่อยอาหารก่อนกลับ” วายุออกความคิด
“เดินเล่นที่ไหนครับ”
“สะพานพระราม 8 วีเคยไปไหม”
“ไม่เคยลงเดินครับ เคยแต่นั่งรถผ่าน”
“งั้นไปกัน เดินเล่นให้อาหารย่อย แล้วพี่จะพาไปส่งที่ห้อง ดีไหม”
“ก็ได้ครับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย ไม่ร้อนแล้ว” กวียอมตกลง ก่อนไปเดินแยกไปขึ้นอีกฝั่งของคนขับ
เมื่อขึ้นรถแล้ว วายุก็รีบสตาร์ทเครื่องและเร่งแอร์ให้น้อง “ไม่ชอบอากาศร้อนหรือครับ”
“ไม่ค่อยครับ เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยออกไปไหนไง”
“ชอบอยู่ห้องมากกว่า?”
“ประมาณนั้นครับ”
“เป็นคนติดบ้านนี่เอง”
“เปล่านะ...ผมแค่จี้เกียจ”
“ฮ่าๆๆ พูดตรงมาก”
“ก็จริงๆ ผมขี้เกียจออกจากบ้านน่ะ ร้อนก็ร้อน รถก็ต้องหา”
“ขับรถเองสิครับ จะได้ไม่ร้อนไง”
“ผมขับรถไม่เป็นครับ แหะๆ” กวีว่า ก่อนจะเล่าต่อ “ความจริงแม่กับพี่ชายผมก็บอกให้ไปเรียน แต่ผมขี้เกียจ พอหลังๆ มาไม่ค่อยมีเวลาด้วย งานค่อนข้างชุก ก็เลยไม่ได้เรียกสักที แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้ขับไปไหนอยู่แล้ว เรียกรถเอาก็สะดวกดีครับ”
“เอาไว้ถ้าว่าง พี่สอนให้ก็ได้นะ วันสองวันก็เป็นแล้ว ขับรถน่ะ ไม่ยากหรอก”
“ไม่ดีมั้งครับ ผมหัวช้า เดี๋ยวพี่จะหงุดหงิดเปล่าๆ”
“ยังไม่ลอง จะรู้ได้ไง”
“ฮือ...” คนงอแงไม่อยากเรียนขับรถเอาหัวไถกับเบาะจนวายุต้องหันมาช่วยคาดเข็มขัดให้
“ไม่อยากเรียนหรือครับ”
“ไม่ค่อยครับ” กวีพูดอ้อมแอ้ม
“ขับรถเป็น จะได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนได้”
“ผมไม่ค่อยชอบเดินทาง”
“ทำไมล่ะ” วายุถามอย่างแปลกใจ เพราะไม่อยากเชื่อว่านักเขียนที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความรักและการเดินทางเป็นหนังสือเล่มแรก จะเอ่ยออกมาว่าไม่ชอบเดินทาง
“ผม...ไม่ค่อยชอบน่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกครับ”
“...งั้นหรือ ผิดกับพี่เลย พี่น่ะชอบเที่ยวมากๆ ได้ไปประเทศนั้นประเทศนี้ หรือสถานที่ใหม่ๆ เห็นอะไรสวยๆ แปลกๆ ดีออกนะ”
ฟังวายุพูดแล้ว กวีก็เงียบลงคล้ายมีอะไรในใจ ผ่านไปพักหนึ่ง ขณะที่วายุออกรถแล้วขับไปยังสะพานพระราม 8 นักเขียนหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนเด็กๆ ผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่เดินทางไปต่างประเทศ แล้วติดอยู่ที่สนามบินตั้งนาน จะกลับก็ไปได้ ไปต่อก็ไม่ได้...”
“วีก็เลยกลัวหรือครับ”
“อื้ม...” คนหน้ารักพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเกิดผมไปติดแบบนั้น ไม่รู้จะทำไงเลยนะครับพี่”
“โถ่...วี มันแค่หนังครับ”
“พี่ลมไม่เข้าใจหรอก พี่ต้องดูหนังเรื่องนั้นเอง” ปากอิ่มๆ นั่นเชิดขึ้นน้อยๆ มือสองข้างกอดอกเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เป็นท่าทางที่วายุไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันก็ดูน่าหมั่นเขี้ยวเสียจนคนขับรถอยากจอดแล้วฟัดให้หายพยศ
“โอเคๆ พี่จะลองหาดู จะได้รู้ว่าน่ากลัวจริงไหม”
“ดีครับ ไปหาดูนะ ชื่อเรื่อง---“ ยังไม่ทันได้บอกว่าหนังเรื่องนั้นมีชื่อว่าอะไร อยู่ๆ หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็พร่างพรมลงมาจากท้องฟ้า จากจะลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นทาง
“อยู่ๆ ทำไมถึงตกนะ” วายุบ่นเบาๆ
“นั่นสิครับ แบบนี้ก็อดไปเดินเล่นเลย น่าเสียดาย” นักเขียนหนุ่มบ่นงึมงำ
วายุเองก็รู้สึกเสียดายไม่แพ้กันที่คืนพิเศษของเขาจะจบลงแค่ตรงนี้ เพียงแต่วายุไม่อยากแสดงออกมากนัก จึงได้แต่ทำใจยอมรับ เพราะในเมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ เขาจะทำอย่างไรได้
“ตอนนี้ไปเดินไม่ได้แล้ว วีจะกลับเลยไหมครับ หรือจะไปหาร้านอื่นนั่งก่อน”
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เรากลับกันเลยดีกว่า รบกวนพี่ลมมากแล้วด้วย”
“เอางั้นก็ได้ครับ” เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว วายุจึงเปลี่ยนเส้นทางและพานักเขียนคนดีกลับไปส่งบ้านตามที่ให้สัญญากับเจนจิราไว้
ตอนมาถึงคอนโดวายุยังขึ้นไปส่งกวีถึงหน้าห้อง เขาอยากดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งยังอยากใช้เวลาด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย กระทั่งถึงหน้าห้อง ชายหนุ่มจึงหยุดอยู่แค่นั้น ไม่เดินตามเจ้าของห้องเข้าไปข้างใน เพราะเวลารู้ว่าเวลาของตัวในคืนนี้หมดลงแล้ว
แต่แทนที่กวีจะหันมาบอกลากันดีๆ เหมือนปรกติ เจ้าตัวกลับทำเรื่องที่วายุไม่คาดฝัน
“พี่ลมครับ”
“ครับ?”
“พี่อยากดูหนังไหมครับ”
“ดูหนังหรือ”
“อื้ม ที่เราคุยกันในรถไง ผมมีแผ่นอยู่นะ”
“จะให้พี่ยืมหรือไงครับ” วายุยิ้มให้ความใจดีของกวี
ทว่า...
“เปล่าครับ จะชวนมาดูด้วยกัน ผมเองก็อยากดูซ้ำพอดีเลย”
“ตอนนี้หรือครับ”
“อื้ม นี่ก็ยังไม่ดึกมากด้วย หรือว่าพี่ลมอยากพักแล้วครับ ถ้าอยากพัก ผมไม่รบกวน—“
“พี่อยากดู!” วายุรีบตอบแบบไม่ต้องคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองตอบเร็วเกินไป จึงเอ่ยอ้าง “ถ้าไม่เป็นการรบกวนวีเกินไปน่ะนะครับ”
“ไม่รบกวนหรอก ผมเป็นคนชวนนะ”
“ถ้าอย่างนั้น...พี่ขอดูด้วยคนนะครับ”
กวียิ้มหวานให้เขารอบที่ร้อยเห็นจะได้ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบข้างประตู แล้วทำท่าโค้งเหมือนบัตเลอร์ตัวน้อยๆ ไม่มีผิด
“เชิญเข้ามาเลยครับ คุณวายุ”
“หึๆ” วายุส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นประตูบานใหญ่จึงค่อยๆ ปิดลง ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากบางๆ ในหัวพลันคิดว่า...
คืนนี้ยังอีกยาวไกลสินะ
...โชคเข้าข้างเขาแล้ว-------------------------------------------------------------
ก้อน...แม่ว่า ในที่นี้มีคนอ้อยหนึ่งแอเรีย 5555555
หายหน้าไปนาน กลับมาทีก็พาลูกชายมาขายอ้อยเลยค่ะ
ตอนหน้าไม่ใช่ตอนของก้อนนะคะ
ตอนหน้าเป็นพาร์ทของพี่ลมอยู่ล่ะ
มารอดูว่าพี่แกจะถูกน้องป้ายน้ำมันพรายอีกหรือเปล่า---แค่กๆ 55555
แล้วเจอกันค่ะ
ปล.ขอโทษที่หายไปนานค่ะ ตอนหน้าจะมาเร็ว เกี่ยวก้อยสัญญา
ละอองฝน.