บทที่ 14
“ดูไม่ออกหรือครับ ว่าพี่...พี่ชอบเรา”
“ชอบผม?”
“ครับ...พี่ชอบวี”
พี่ลมบอกว่า พี่ลมชอบเขา…
ซึ่งคำว่าชอบของวายุคงไม่ได้หมายถึงการชอบอย่างพี่น้อง ชอบอย่างเพื่อน หรือแม้แต่นักอ่านชื่นชอบนักเขียน เพราะสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาให้แสดงออกชัดเจนมากเกินไป ชัดเจนจนคนทึ่มๆ อย่างกวียังดูออก
และเพราะดูออก กวีถึงได้ช็อกจนทำอะไรแทบไม่ถูก ตอนที่ถามซ้ำและได้รับคำยืนยันจนแน่ใจ มือไม้ของเขาก็อ่อนปวกเปียกราวกับคนไม่มีแรง หูดับ ตาลาย ซ้ำยังรู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้า
ความจริงกวีอยากโทษว่าอาการทั้งหมดนี้เป็นเพราะพิษไข้เข้าจู่โจมกะทันหัน แต่เสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกจากอกกลับคัดค้านว่าไม่ใช่อาการจากพิษไข้
หากเป็นเพราะเขากำลังเขินจนตัวแทบระเบิดต่างหาก
อาการเขินมากเกินไปนั่นเล่นเอาพี่รถกับข้าวร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกไปตามๆ กัน ตอนที่กวีพูดไปว่า คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ อีกฝ่ายเกือบอุ้มกวีพาไปลงลิฟต์เสียแล้ว โชคดีที่กวีไหวตัวทันท่วงที เหตุการณ์ถูกสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตจึงไม่ไปจบที่โรงพยาบาล
“ทำใจดีๆ ไว้นะวี พี่จะพาไปโรงพยาบาล” เสียงพี่รถกับข้าวปลอบเขาอย่างร้อนรน ซึ่งในตอนนี้เองที่กวีรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าเขินอายก็เท่านั้น เขาจึงกระซิบบอกอีกฝ่ายที่ทั้งถูกอุ้มแนบอก
“พี่ลมครับ”
“ครับ?”
“ผมว่าผมไม่ไปแล้วดีกว่า”
“หื้ม?” คนคนนั้นงงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะสรุปเอาเอง “วีไม่ต้องเกรงใจพี่ พี่เอารถมา พี่ขับพาไปส่งได้”
“แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วครับ แค่...เอ่อ...แค่ตกใจมากเกินไปหน่อยเท่านั้น” ประโยคหลังกวีพูดเสียงเบาแทบจะกลายเป็นกระซิบ เพราะอายที่ตัวเองพูดอะไรโง่ๆ ออกไปตั้งแต่ทีแรก
“แค่ตกใจมากไปจริงหรือ” อีกฝ่ายหยุดเท้า ก่อนก้มหน้าลงมาใกล้เพื่อให้ฟังเสียงเขาได้ถนัด
“ครับ ผมแค่ตกใจที่อยู่ๆ พี่ก็มาบะ...บอกชอบ”
“...”
“เพราะงั้น พี่ปล่อยผมเข้าห้องนะ”
“ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว ให้พี่พาเข้าไปส่งข้างในดีกว่า”
“แล้วกับข้าวผมล่ะครับ” ถึงจะถูกทำให้อายขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่กวีไม่ลืมก็คืออาหารสดในตะกร้าของตัวเอง
“เดี๋ยวพี่ออกมาเก็บให้”
“แต่...”
“ไม่แต่ครับ ป่ะ...เข้าห้องก่อน ตัววีร้อนมากเลยรู้หรือเปล่า”
เพราะชายเสื้อของกวีเลิกขึ้นมาเล็กน้อยตอนถูกอุ้ม มือข้างหนึ่งของพี่รถกับข้าวที่ช้อนร่างเอาไว้จึงสัมผัสถูกเอวห่วงยางของกวีโดยตรง
แบบนี้มันน่าอายกว่าเดิมอีก...กวีได้แต่คร่ำครวญในใจ และปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่พี่รถกับข้าวสะดวก
พออุ้มกวีไปนอนที่ถึงเตียงเรียบร้อย พี่รถกับข้าวก็ช่วยเก็บตะกร้าวัตถุดิบเข้ามาให้เขา หลังจากนั้นจึงขอตัวกลับร้านไปทำงานต่อ
จากเหตุการณ์สารภาพรักในวันนั้นกระทั่งถึงวันนี้ เวลาผ่านมาสามวันแล้ว แต่ในหัวของกวียังคงคิดถึงเหตุการณ์นั้นไม่เลิกรา ทั้งน้ำเสียง และแววตาของวายุติดตรึงอยู่ในหัวของกวีไม่ไปไหน จนนักเขียนหนุ่มคิดงานต่อไม่ออก มันติดๆ ขัดๆ ไม่ลื่นไหล ซ้ำยังเอาไปปรึกษาใครก็ไม่ได้
ส่วนคนที่ทำให้เขาคิดมาก จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้คุยกันเลย มีแค่ข้อความที่วายุส่งมาในวันแรก บอกว่าขอโทษที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็อยากให้กวีลองเอาความรู้สึกของวายุไปพิจารณาดู หากต้องการตัดสินใจอย่างไร วายุก็จะเคารพการตัดสินใจของเขาทั้งหมด
“เฮ้อ~”
กวีถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนกดพับหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง และออกไปยืดเส้นยืดสายดูพืชอวบน้ำกับกระบองเพชรที่เลี้ยงไว้บนระเบียง
ง่วนอยู่กับต้นไม้สามสี่ต้นของตัวเองพักใหญ่ กวีก็กลับมานั่งกินมื้อบ่ายไป พร้อมกับเหลือบมองกล่องข้อความในมือถือที่เปิดค้างเอาไว้บ่อยครั้ง
WAYU : วีครับ [17:45 อ่านแล้ว]
WAYU : เรื่องวันนี้พี่ขอโทษนะ วีคงตกใจมากใช่ไหม พี่ไม่ได้ตั้งใจให้วีรู้สึกไม่ดี [17:45 อ่านแล้ว]
WAYU : พี่ขอโทษที่รีบพูดออกไปแบบนั้น [17:46 อ่านแล้ว]
WAYU : ถ้าหากว่าวีไม่โอเคกับความรู้สึกของพี่ อย่าโกรธพี่เลยนะ ให้ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ [17:46 อ่านแล้ว]
WAYU : แต่ถ้าวีพอมีความรู้สึกดีๆ กับพี่บ้าง พี่ก็อยากให้วีพิจารณาดูนะครับ [17:47 อ่านแล้ว]
WAYU : ระหว่างนี้พี่จะไม่กวนใจ จะปล่อยให้วีมีเวลาคิด [17:47 อ่านแล้ว]
WAYU : พี่จะรอคำตอบของวีนะครับ [17:49 อ่านแล้ว]
กวีไม่รู้ว่าเขาควรตอบพี่รถกับข้าวไปว่าอย่างไร แต่เขาแค่รู้ว่าทั้งคำพูดและข้อความที่ได้อ่าน ทำให้กวีไม่อาจสงบใจได้เลย
ควรตอบว่าอะไร
ควรตัดสินใจอย่างไร
หรือแม้แต่ควรจัดการกับความสับสนของตัวเองได้อย่างไร...กวีไม่รู้เลย
เขาไม่ได้โกรธที่ถูกสารภาพรัก ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยสักนิด แต่ในหัวก็ยังสับสัน ในเมื่อไม่โกรธ มันแสดงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับพี่รถกับข้าวกันล่ะ
ชอบเหมือนกัน หรือแค่รู้สึกดีที่มีเขาเป็นเพื่อนสนิทเพิ่มอีกคน
การรักหรือชอบใครอย่างคนรักเป็นอย่างไร กวีไม่เคยรู้จักมาก่อน มันจะใช่ความรู้สึกวุ่นวายใจและคิดไม่ตกอย่างตอนนี้หรือเปล่า
ใครกันจะช่วยตอบคำถามของเราได้
ในหัวกวีมีแต่คำถาม ทว่าไม่มีคำตอบ...
นักเขียนหนุ่มคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง ฝืนใจไม่เหลือบมองข้อความของวายุให้ปวดหัวอีกต่อไป แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกไปเก็บล้างจานชามที่กินไว้ โทรศัพท์ของกวีก็สั่นครืด เขาจึงวางจานลงและหันมากดรับโทรศัพท์แทน
“สวัสดีครับ”
[ก้อน นี่พี่เอง มาสวัสดีคงสวัสดีครับอะไรเล่า] เสียงคนปลายสายทำให้นักเขียนหนุ่มยิ้มออกได้เป็นครั้งแรกในรอบสามวัน
“พี่พัน!”
[ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรหรือเปล่า]
“ทำไมครับ”
[ก็เสียงเราเราดูดีใจแปลกๆ ที่พี่โทรมา]
“อ้อ...เพราะผมกำลังต้องการความช่วยเหลือพอดี”
[เรื่องอะไร ไปทำอะไรไว้] เสียงพี่ชายเพียงคนเดียวของกวีถามอย่างจับผิด
“ผมจะไปทำอะไรไว้เล่า แค่มีเรื่องปรึกษาเท่านั้นเอง”
[ปรึกษาเหรอ เรื่องอะไรล่ะ]
“คืออย่างนี้นะพี่พัน ผมอยากรู้ว่าเวลาเราชอบใครสักคนหนึ่ง เราจะรู้สึกยังไงเหรอ” เพราะพี่ชายของเขามีประสบการณ์ ดังนั้นกวีจึงติ๊ต่างว่าอีกฝ่ายต้องรู้
[หื้ม?] ประพันธ์ร้องออกมาด้วยความสงสัย [ถามทำไมน่ะ]
“ผมอยากรู้ พี่ก็บอกเถอะน่า ว่าตกลงมันรู้สึกยังไง”
[จะไปรู้เรอะ ถามอะไรแปลกๆ]
“ไม่รู้ได้ไง พี่พันคนกับแฟนมาเป็นสิบปีแล้วนะ พี่พันเคยมีความรัก พี่พันต้องรู้สิ”
[อย่างอแงน่า]
“นะๆ รู้ว่าให้พูดมันก็เขินๆ แต่วีต้องรู้เรื่องนี้จริงๆ”
[ไปแอบชอบใครเขาเข้าหรือไง]
“วีแค่อยากรู้ถึงได้ถามพี่พันไง” กวีอธิบายตามตรง “ถ้าไม่บอก วีจะคอลไปถามแม่แล้วนะ”
[พอเลยๆ ไม่ดูซะบ้างว่าตอนนี้ที่เมกากี่โมง โทรไปตอนนี้เขาก็หลับอยู่]
“ก็นั่นน่ะสิ เพราะงั้นพี่ถึงต้องอธิบายให้น้องฟังว่าการชอบใครสักคนมันรู้สึกยังไง”
[ถามจริงๆ นะเจ้าก้อน เราอยากรู้ไปทำไมน่ะ วันๆ กิน นอน เขียนนิยาย ทำเท่านี้ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรอก]
“ได้ไง วีอายุ 25 แล้วนะ กับแค่ความรักยังไม่รู้จัก วีจะ...เอ่อ...จะเขียนนิยายรักได้ไงเล่า” กวีไม่กล้าบอกพี่ว่าที่ต้องการรู้เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง นักเขียนหนุ่มจึงเฉไฉและโยนให้เป็นเรื่องงานเขียนแทน “นะครับ นะๆ บอกน้องหน่อย ถือว่าช่วยงานน้องไง”
[เฮ้อ...ยุ่งจริง] ประพันธ์ทำเสียงหงุดหงิดใจ เพราะไม่ค่อยอยากพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้เท่าไหร่ ด้วยมีนิสัยเป็นคนขี้อายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว [การรักใครสักคนน่ะ มันนิยามออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก ความรู้สึกของใครก็ของมัน]
“อ้าว...ไหงงั้น แล้วแบบนี้ผมจะรู้ได้ไง ว่าเรากำลังชอบหรือคิดกับใครสักคนแบบคนรักหรือเปล่า” ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด กวีก็ทำเสียงหงอย ร้อนถึงพี่ชายผู้หวงน้องเป็นที่สุดต้องเค้นคำตอบออกมาให้สักประโยคสองประโยค
[แต่ความจริงถ้าแค่ความรู้สึกชอบ เราก็น่าจะรู้จักไม่ใช่หรือไง ก็เหมือนก้อนชอบกินนั่นแหละ ไม่ว่าจะสีสวยหรือเพราะอร่อย ถ้าชอบก็อยากจะกินบ่อยๆ กินเยอะๆ]
“เอ...มันเหมือนกับชอบของกินเหรอครับ”
[ไม่เหมือน แต่คล้ายๆ กัน] ประพันธ์ว่า ก่อนจะอธิบาย [ก็สมมติว่าเราชอบใครสักคน ไม่ว่าเขาจะสวยหรือขี้เหร่ จะนิสัยดีหรือไม่ดี ไม่ว่าเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ขอแค่เราชอบ เราก็อยากอยู่กับเขา อยากเห็นหน้าเขา คิดถึงเขา พอได้พบ ได้อยู่ด้วยกัน เราก็มีความสุข]
“งั้นหรือครับ...” ได้ยินที่สิ่งที่พี่ชายบอก กวีก็เริ่มเอาคำบอกเล่านั้นมาเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อพี่รถกับข้าว
คิดถึง อยากพบหน้า และมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน...ถ้ากวีรู้สึกทั้งหมดนี้กับวายุ ก็แปลว่ากวีชอบเขาเหมือนกันหรือ
[ความจริงมันก็มีมากกว่านี้ พวกดีใจ ประหม่า หรือหัวใจเต้นแรงเพราะเขา อาการพวกนี้ก็น่าจะบอกได้ ถ้าเราจะเขียนนิยายน่ะนะ ใส่ลงไปด้วยก็ดี]
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเพิ่มเติมจากตอนแรก กวีก็เงียบไปนาน
“แล้วถ้าหาก...คนที่ชอบเป็นเพศเดียวกันล่ะพี่พัน”
[จะเป็นไรไป ถ้าเรารักใคร เพศเดียวกันหรือคนละเพศก็ไม่เกี่ยวหรอก ความรู้สึกมันอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ]
ประพันธ์พูดออกมาง่ายๆ แต่ในหัวของกวีที่กำลังครุ่นคิดอะไรมากมาย รวมทั้งข้อสงสัยและความสับสนทั้งหมด มาถูกปลดล็อกในข้อสุดท้าย
“...เป็นงี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้วครับ”
[จะเขียนนิยายวายเหรอ]
“หา? หมายถึงอะไรพี่พัน”
[เอ้า! ก็เห็นเราถามเรื่องความรักเพศเดียวกัน พี่ก็เลยสงสัย เห็นช่วงนี้นิยายแนวนี้กำลังดังด้วยนี่ มีซีร้งซีรี่ส์ด้วย แฟนพี่มันชอบดูนักแหละ]
“ฮ่าๆ ๆ เปล่าหรอกครับ ผมแค่ถามไว้เฉยๆ น่ะ” กวีแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
[อืมๆ ว่าแต่หมดเรื่องสงสัยแล้วใช่ไหม]
“ครับ พี่พันมีอะไรหรือเปล่า”
[มีสิ ก็ที่โทรมาหาเนี่ย เพราะจะชวนไปหาแม่ที่เมกาด้วยกัน สนใจไหม]
“เมื่อไหร่ครับ”
[คริสต์มาสนี้ พอดีพี่ว่าจะปิดร้านยาวไปถึงหลังปีใหม่เลย]
“ฮือ~ ไม่อยากนั่งเครื่องนานๆ เลย”
[แล้วจะให้แม่ถ่อสังขารมาหาเราที่ไทยทุกปีเลยหรือไง ไปหาเค้าที่โน้นบ้างสิ พ่อลูกชายคนโปรด]
“ก็ได้ครับ คริสต์มาสนี้ใช่ไหม ผมจะได้เคลียร์งานกับทางเว็บไซด์ไว้”
[อืม คริสต์มาสนี้แหละ เคลียร์ให้เรียบร้อยแล้วโทรมาบอกพี่ด้วยนะ จะได้จองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย เผื่อมีตั๋วโปรดีๆ]
“โอเคครับ ผมจะรีบเคลียร์กับบก.ให้เร็วที่สุด”
[ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่วางสายก่อนนะ มีลูกค้าเข้าร้าน]
“ได้ครับ แล้วผมจะโทรหา คิดถึงพี่พันนะ”
[อืม เหมือนกัน]
พอพูดจบ ประพันธ์ก็วางสายไป ทิ้งให้กวียืนยิ้มอยู่หน้าเคาน์เตอร์ล้างจานด้วยความรู้สึกสบายใจกว่าตอนแรกหลายเท่า
นักเขียนหนุ่มวางโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะหยิบจานมาล้างทำความสะอาด ในหัวก็คิดเรื่องที่พี่ชายบอก รวมกับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อวายุ ซึ่งเขาคิดอยู่เกือบค่อนคืนจนได้ข้อสรุป
ถ้าทุกอย่างเป็นเหมือนที่พี่ชายของเขาบอก เวลานี้กวีก็พอจะรู้แล้วว่าตัวเองควรตอบคำถามของพี่รถกับข้าวว่ายังไง ที่เหลือก็มีแต่รอให้พวกเขาได้พบกันในวันพรุ่งนี้ วันที่ครบกำหนดที่ร้านพี่รถกับข้าวมาส่งของให้กวีอีกครั้งเท่านั้น
แต่แล้วในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น นักเขียนหนุ่มก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะคนที่เอาอาหารมาส่งให้ไม่ใช่วายุอย่างที่กวีเฝ้ารอ
อารมณ์ตื่นเต้นที่มีมาตลอดคืนหายวับไปกับตา เหลือเพียงความรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก กวีหิ้วตะกร้าอาหารสดเข้ามาจัดเก็บในตู้เย็นด้วยความเซื่องซึม พอเก็บของเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มาดู
ที่แรกกวีเข้าใจว่าข้อความที่บอกว่าจะหยุดกวนใจเขาสักระยะ หมายถึงไม่ส่งข้อความมาหาเพียงอย่างเดียว แต่นี่แม้กระทั่งมาพบหน้ากันในเวลาปรกติวายุก็ยังไม่ยอมมา เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้ตอบคำถามนั้นเล่า
หากจะให้บอกในไลน์ กวีก็บอกได้ แต่เขารู้สึกว่าถ้อยความที่ต้องการจะบอกออกไปนั้นค่อนข้างสำคัญ เหมือนกันที่วายุสารภาพรักกับเขาต่อหน้า ดังนั้นเขาจึงอยากพูดต่อหน้าอีกฝ่ายมากว่า
ดวงตากลมกวาดมองข้อความในมือถือซ้ำรอบแล้วรอบเล่า เขาเดินวนไปมาอยู่ในครัว ห้องนอนและห้องทำงานอีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจ
...ถ้าหากพี่ลมไม่ยอมมา ผมไปหาพี่เองก็ได้
คิดได้ดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะเซิร์จหาข้อมูลว่าร้านพี่รถกับข้าวตั้งอยู่ที่ไหน ขั้นตอนสุดท้ายจึงเรียกให้รถแท็กซี่มารับและบอกเส้นทางตามนั้น
หลังจากออกเดินทางไม่ถึงยี่สิบนาที กวีก็มาถึงที่หมายในที่สุด เขาจ่ายเงินให้คนขับแท็กซี่ครบจำนวน ก่อนเดินลงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านสีสันสดใสซึ่งมีป้ายหน้าร้านใหญ่ๆ ติดเอาไว้ว่า
‘พี่รถกับข้าว’
ในทีแรกก่อนที่จะออกเดินทาง กวีคิดแต่ว่าตัวเองอยากตอบคำถามคนที่อยู่ในความคิดคำนึงให้เร็วที่สุด เพราะอยากให้เขารู้ความรู้สึกของตนเองเช่นกัน
ทว่าเมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ ที่ที่พวกเขาอยู่ห่างกันเพียงประตูร้านกั้นเอาไว้ หัวใจที่ควรจะเต้นเป็นจังหวะปรกติก็เริ่มทำงานหนักอีกครั้ง
เจ้าความประหม่าซึ่งซุกซ่อนอยู่ในทุกซอกหลืบของหัวใจเริ่มออกอาละวาด คนขี้ขลาดซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของผู้กล้าจึงกระโดดออกมาแทนที่
แต่ก่อนคำถามว่า ‘เรามาที่นี่ทำไม’ จะทำให้กวีแพนิกมากไปกว่านี้ คนที่กวีกำลังคิดถึงก็ผละจากเคาน์เตอร์มาที่ประตูหน้าร้าน จากนั้นเขาก็ดันประตูออกมา เหมือนเจาะผนังใสๆ ที่กั้นกลางระหว่างกวีและวายุให้สลายหายไป
“วี!”
“พี่ลม...”
“วีมาที่นี่ได้ไงครับ”
“คือผม...ผม...” นอกจากตัวประหม่าจะคอยกวนใจแล้ว เจ้าโรคติดอ่างก็เข้ามาเกาะหนึบอยู่ที่ปากของกวีอีกตัวหนึ่ง
“วีมาซื้อของหรือ”
“...เปล่าครับ” นักเขียนหนุ่มส่ายหน้าแรกจนแว่นเอียง
“ถ้าอย่างนั้น...วีมาหาพี่หรือครับ”
กวีละสายตาจากปลายเท้าของตัวเองขึ้นมองคนพูด ก่อนจะยิ้มแหยแล้วพยักหน้า
“ครับ...ผมมาหาพี่ลม”
“ถ้างั้นเข้ามาก่อนไหม”
กวีมองตามือที่ผายเข้าไปทางร้าน เขาเห็นพนักงานหลายคนแทบจะยืนเกาะกระจกดู ราวกับอยากรู้เสียเต็มประดาว่าเขาจะมาเพื่อพูดอะไรกับวายุ
“ผม....”
วายุมองตามสายตาของกวีเข้าไปที่ร้าน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ ราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่านักเขียนหนุ่มกำลังกังวลเรื่องอะไร
“งั้นเอาอย่างนี้ พี่จะพาไปที่ที่ไม่มีคน วีจะได้พูดธุระของวีสะดวก ดีไหมครับ”
“ดีครับ”
ครั้นกวีตอบรับ มือของเขาก็ถูกเติมเต็มด้วยมือของใครอีกคน ก่อนใครคนนี้จะออกแรงฉุดให้กวีเดินตามหลังไปด้วยกัน พวกเขาสองคนเดินผ่านโซนขายของด้านหน้า ไปจนถึงบันไดหลังร้าน ก่อนวายุจะพากวีขึ้นบันไดหลายต่อหลายชั้น เพื่อมาพบกับห้องนอนขนาดกะทัดรัดซึ่งอยู่ชั้นบนสุด
กวียืนหอบเพราะขึ้นบันไดสูงอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นวายุก็ปิดประตูลง ก่อนจะยืนกอดอกรอคอยให้เขาพูดสิ่งที่ต้องการ
เมื่อเลิกหอบแล้ว นักเขียนหนุ่มก็หันมามองหน้าเจ้าของห้องราวกับไม่แน่ใจว่าควรพูดดีหรือไม่พูดดี กระนั้น วายุก็เหมือนจะดูเขาออกจนทะลุปรุโปร่ง เพราะระหว่างที่กวีกำลังประหม่า อีกฝ่ายก็เกริ่นนำขึ้นมาก่อน
“วีครับ”
“ครับ”
“วีมาที่นี่ เพราะจะมาเพื่อให้คำตอบพี่หรือเปล่า”
“...” ดวงตากลมจ้องดูตาคู่คมชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นกวีจึงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็พูดให้พี่ฟังสิครับ พี่รออยู่นะ”
สิ่งที่วายุบอก ฟังผ่านๆ อาจไม่มีอะไร แต่คำว่า รออยู่นะ ของอีกฝ่าย ทำให้กวีไม่กล้าที่จะปล่อยให้วายุต้องเสียเวลารอนานอีก
นักเขียนหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าที่หมดที่มี แล้วเปร่งถ้อยคำที่กลั่นกรองมาแล้วให้อีกฝ่ายฟัง
“ที่พี่ลมถามผม ผมได้คำตอบแล้วนะครับ”
“...”
“คือว่า...ผมคิดว่าตัวเองชอบพี่ลมเหมือนกัน” พอพูดประโยคที่ยากที่สุดออกไปแล้ว กวีก็นิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะอธิบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจมาหลายวัน “ผมไม่แน่ใจว่าคำว่าชอบที่ผมเข้าใจจะเหมือนกับคำว่าชอบของพี่ลมหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยชอบใครมาก่อน แต่ผมดีใจที่ได้เจอหน้าพี่ทุกๆ สามวัน คิดถึงเวลาพี่ไม่มาหาแล้วก็ไม่ยอมตอบข้อความกัน ที่สำคัญ...ผมใจเต้นทุกครั้งที่นึกถึงคำที่พี่บอกว่าชอบผม”
“...”
“แบบนี้เรียกว่าชอบเหมือนกันได้หรือเปล่าครับ”
-------------------------------------------------------------------------------------
มาค่ะ ผลัดกันแอทแทคหัวใจฝ่ายตรงข้าม
รอดูว่าตอนหน้าพี่ลมจะแแทแทคหัวใจเจ้าก้อนได้ยังไงอีก
ขอบคุณที่ตามอ่านน้า
ละอองฝน.