บทที่ 20
อาสาสมัครกลุ่มของเรามาเจอกันช่วงบ่ายหลังกินอาหารกลางวัน ตารางครึ่งบ่ายวันนี้ยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เตรียมอาหารและเอาอาหารไปให้พวกสัตว์ป่า ผมว่าดีแล้วเพราะทุกคนดูท่าจะยังเพลียจากงานหนักเมื่อวาน ขนาดโซเฟียกับมาเรียนน่าที่ปกติจะร่าเริงแอคทีฟ วันนี้ยังดูซึมเซาไปนิดหนึ่ง
พอกลับจากให้อาหารสัตว์ เฮเลนกับสตีฟก็เรียกประชุมเพื่อบรีฟกิจกรรมวันพรุ่งนี้กับวันมะรืน ซึ่งจะเป็นการฝึกใช้ชีวิตในธรรมชาติ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่อง 2 วัน พวกเราต้องไปค้างแรมที่แคมป์ไซต์ซึ่งอยู่ห่างจากส่วนกลางออกไปคนละทิศกับหมู่บ้านอาสา ดังนั้นพรุ่งนี้ขอให้เตรียมของใช้ส่วนตัวสำหรับค้าง 1 คืนใส่เดย์แพ็คมาด้วย และคืนนี้ขอให้ทุกคนรีบเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้
ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ได้คอลหาที่บ้านมา 3-4 วันแล้ว พอกินอาหารเย็นเสร็จก็เลยบอกแมทว่า จะกลับไปเอาโทรศัพท์มือถือที่ห้อง แล้วกลับมาที่ส่วนกลางเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตสักหน่อย แมทบอกว่า เขาก็ว่าจะติดต่อที่บริษัทเรื่องงานเหมือนกัน เดี๋ยวจะเดินมากับผมด้วย
“แมททำงานด้านไหนหรือครับ”
ผมถามระหว่างที่เราเดินกลับไปที่ส่วนกลางด้วยกัน จะว่าไป อยู่ร่วมห้องกับคุณสิงโตมาเกือบสิบวัน ผมยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้เคธเท่านั้นเอง
“ฉันเป็น Software developer น่ะ”
แมทตอบ และพอเห็นผมเบิกตากว้าง เขาก็ดักคอเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไม่เชื่อละสิ”
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรอกครับ แต่หน้าตาท่าทางแมทไม่บอกเลยว่า ทำงานด้านไอที” ผมยอมรับตามตรง ก็คุณพี่ตัวใหญ่หนา แถมผมยาว ไว้หนวดไว้เครารุงรังแบบนี้ นึกภาพเขาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ออกเลย “ผมนึกว่าคุณทำงานเอาท์ดอร์เสียอีก ถ้าบอกว่าเป็นวิศวกรโยธา หรือพวกธุรกิจสายสุขภาพยังน่าเชื่อกว่า”
“สภาพที่คีเห็นนี่เพราะฉันอยู่ฮาร์นาสมา 2 เดือนแล้วต่างหาก ตอนอยู่ออฟฟิศทำงาน ฉันก็ไม่โทรมขนาดนี้หรอกนะ” คุณสิงโตออกตัวพลางยกมือลูบเคราเขียวๆ ที่คางของตัวเองอย่างเก้อๆ
“แมทไม่ได้โทรมหรอกครับ แค่ดูเซอร์ๆ เอง”
ผมตอบเอาใจ แล้วถามไปอีกเรื่อง “บริษัทคุณใจดีจังนะครับ ให้ลาพักร้อนตั้ง 3 เดือนแน่ะ”
“ทางออฟฟิศโอเคเพราะตั้งแต่เริ่มงานมา ฉันไม่เคยลาพักร้อนเลยน่ะ จริงๆ ก็ได้วันลาแค่ 2 เดือน แต่พอดีฉันจะไปประจำที่บริษัทย่อยที่กำลังจะเปิดใหม่ ทางนั้นยังไม่เรียบร้อย มีช่วงว่างรอยต่ออยู่ ฉันเลยขอ Leave without pay เองอีกเดือนหนึ่ง ทำงานมาหลายปี อยากพักสมองบ้าง ก็เลยเลือกกลับมาฮาร์นาสนี่แหละ”
“คุณเลือกพักสมองแบบสุดขั้วจริงๆ ครับ”
คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมมาตลอด มาอยู่ในที่ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตตั้ง 3 เดือน เรียกว่าหักดิบสุดๆ
พวกเราเดินมาถึงโซนส่วนกลางแล้วก็แยกกันไปคนละมุม ผมคอลหาที่บ้าน วันนี้เจ้เคธไม่อยู่ ไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ สมัยมัธยม ผมก็เลยคุยกับพ่อแม่ ทั้งป๊าทั้งม้าบ่นคิดถึงผมกันใหญ่ จนผมต้องปลอบว่า “คีมาอยู่นี่แค่เดือนเดียวเอง อีก 20 วันก็กลับบ้านแล้วครับ ตอนไปซัมเมอร์ที่อังกฤษกับออสเตรเลียอยู่นานกว่านี้อีกนะ”
พูดไปแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ ผมจะอยู่นามิเบียแค่ 1 เดือนเท่านั้น และนี่ก็ผ่านมาเกือบจะครึ่งทางแล้ว จะว่านานก็นาน เพราะผมได้ทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่างที่ไม่เคยทำ แต่จะว่าสั้นก็สั้นเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับบ้านแล้ว กลับไปเป็นคนเมือง เปิดเทอมรับชีวิตนิสิตปีสุดท้าย
...คิดแล้วก็ใจหายนิดๆ แฮะ
ผมวางสายจากที่บ้านแล้วก็เช็ก SNS ส่วนตัวนิดหนึ่ง มีไอดีที่ไม่คุ้นแอดไลน์มา ผมนึกขึ้นมาได้ว่า วันก่อนเจ้เคธบอกว่า บิว รุ่นน้องที่คณะโทรมาที่บ้าน ขอเบอร์ใหม่ผมเพื่อจะติดต่อถามเรื่องงานเหรัญญิกของกรรมการนิสิต นี่น้องแอดไลน์มาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ผมไม่ได้เปิดโทรศัพท์เช็ก ผมรีบรับแอดแล้วไลน์ไปหา
[บิว ว่าไง โทษทีนะ พี่เพิ่งได้เปิดโทรศัพท์เข้าเนต]
รออยู่ครู่หนึ่งก็มีข้อความกลับมา
[โอ้ย พี่คีรับแอดแล้ว หวัดดีค่า หนูนึกว่าจะติดต่อพี่ไม่ได้แล้วอ่ะ]
รุ่นน้องส่งสติ๊กเกอร์น้ำตานองหน้ามาให้รัวๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความต่อ
[นี่พี่อยู่เมืองนอกใช่ปะคะ พอดีหนูมีปัญหาเรื่องแผนงบพัสดุของปีหน้า อยากขอปรึกษาพี่คีหน่อย]
ผมพิมพ์ตอบไปว่า [ได้เลย จะถามทางนี้หรือใช้คอลคุยกันดี]
[อ่า...พอดีวันนี้หนูมาต่างจังหวัดกับที่บ้านอะค่ะ พรุ่งนี้ค่ำๆ พี่คีสะดวกปะคะ]
[พรุ่งนี้ไม่ได้อะบิว ที่ที่พี่อยู่ไม่มีไวไฟในห้องพัก ต้องมาใช้ที่ส่วนกลาง แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องออกไปข้างนอก]
รุ่นน้องผมหายไปอีก 2-3 นาที แล้วตอบกลับมา
[ถ้างั้นเป็นคืนวันมะรืนได้ไหมคะ เดี๋ยวนัดเวลากันแล้วหนูคอลไป]
ความจริงผมจะบอกบิวว่า ถ้ามีปัญหาเร่งด่วนก็โทรถามเพื่อนผมที่เป็นผู้ช่วยเหรัญญิกก็ได้ไม่ต้องรอผม แต่มาคิดดู ตอนนี้ทุกคนคงกำลังฝึกงาน ไม่ก็ยุ่งเรื่องเรียนซัมเมอร์ ไหนๆ ผมก็ต้องส่งต่องานให้น้อง ก็ควรจัดการเองให้เรียบร้อย ผมก็เลยตอบตกลงแล้วนัดเวลาคอลคุยกับบิว
กว่าจะคุยเสร็จก็เกือบสามทุ่มแล้ว ผมรีบเดินกลับที่พักกับแมทแล้วเข้านอนเร็ว เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปแคมป์ปิ้งอยู่กลางแจ้งทั้งวัน
.................................................................
เช้าวันต่อมา พวกเราก็สะพายเป้มารอที่ส่วนกลาง แล้วนั่งรถออกไปบริเวณใกล้ป่าเปิด เพื่อเรียนเรื่องเดินป่าและตามรอยสัตว์พื้นฐาน
สตีฟกับเฮเลนเชิญ เรย์ ไกด์ชาวนามิเบียซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาเป็นวิทยากรพิเศษ เรย์กับทีมของเขาเปิดคอร์สนำเที่ยวทะเลทรายคาลาฮารี เป็นทริปแบบสมบุกสมบัน ประเภทพานักท่องเที่ยวไปส่องสัตว์ แกะรอยอะไรแบบนั้น เขามาเป็นวิทยากรให้ทางฮาร์นาสเดือนละครั้ง ถือว่าเป็นการโฆษณาคอร์สของตัวเองไปในตัว เผื่อว่าอาสาสมัครที่ติดใจจะตามไปเที่ยวต่อ
แมทคงเคยเรียนกับเรย์ตั้งแต่ตอนมาฮาร์นาสครั้งก่อน คุณสิงโตทักทายไกด์ชาวพื้นเมืองอย่างสนิทสนม แถมยังช่วยตอบคำถามบางคำถามที่ผมกับเพื่อนๆ สงสัยได้
เรยสอนให้พวกเราแยกประเภทรอยเท้าสัตว์อย่างง่ายๆ ไล่ตั้งแต่รอยเท้าสัตว์ใหญ่อย่างช้าง, ควายป่า, กวาง, สัตว์นักล่าอย่างเสือและสิงโต ไปจนถึงสัตว์เล็กอย่างกระต่ายและพังพอน รอยเท้าสัตว์ใหญ่อย่างช้าง มักเป็นเส้นทางที่สัตว์เหล่านั้นใช้ประจำ เรียกว่า ด่านสัตว์ ซึ่งนอกจากจะเป็นทางไปหาแหล่งอาหารและแหล่งน้ำแล้วยังเป็นเส้นทางหลบหนีศัตรูด้วย
สิ่งสำคัญนอกจากแยกได้ว่ารอยเท้าที่เห็นเป็นของสัตว์ประเภทไหนแล้ว ยังต้องแยกให้ออกว่าเป็นรอยเก่าหรือใหม่ เพื่อดูว่าสัตว์ที่ทิ้งรอยไว้นี้อยู่ใกล้หรือไกลจากตัวเราแค่ไหน
“ถ้าเจอรอยเท้าสิงโตใหม่เอี่ยมชัดแจ๋ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ต้องรีบเผ่นไปขึ้นรถทันที”
เรย์พูดติดตลก ทุกคนหัวเราะกันครืน แต่ถ้าเจอแบบนั้นจริงก็คงขำไม่ออกเหมือนกัน
พวกเราเรียนเรื่องเดินป่าส่องสัตว์กันตลอดทั้งวัน ช่วงเที่ยงก็กินอาหารที่สต๊าฟเตรียมมาให้ข้างนอก ไม่ได้กลับไปกินที่ส่วนกลางเหมือนวันก่อนๆ พอบ่ายแก่ๆ จึงไปตั้งแคมป์
เฮเลนกับสตีฟพาพวกเราไปยังบริเวณแคมป์ไซต์ซึ่งอยู่เลยจากลอด์จที่ผมกับแมทพักออกไปหน่อย ตรงนี้เป็นพื้นที่ตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากไม่อยากจ่ายค่าพักที่ลอด์จก็สามารถมาเช่าพื้นกางเต็นท์ หรือนอนบนเต็นท์ติดหลังคาของรถแคมป์ปิ้ง ราคาถูกกว่าหลายเท่า แต่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไร เป็นแค่ลานดินรูปวงกลมปรับเรียบ ล้อมด้วยขอนไม้สำหรับนั่งรอบกองไฟ แล้วก็มีห้องน้ำห้องสุขาเล็กๆ สร้างเป็นเพิงขึ้นมาเท่านั้น
พอเดินไปถึงก็เห็นว่า ทางฮาร์นาสเตรียมเต็นท์กับอุปกรณ์พักแรมมาให้พร้อมแล้ว กลุ่มเรามีกัน 5 คน (รวมแมทด้วย) ได้เต็นท์ 2 หลัง หลังใหญ่กับหลังเล็ก โซเฟียกับมาเรียนน่าบอกให้พวกผู้ชายนอนเต็นท์หลังใหญ่ไปได้เลย
“ขนาดตัวพี่ยักษ์สองคนนั่น ขืนให้นอนเบียดกันในเต็นท์เล็กคงอึดอัดตาย” โซเฟียเอ่ยขำๆ
ผมกางเต็นท์และจุดไฟก่อกองไฟได้คล่องแคล่วจนพวกเพื่อนๆ แปลกใจกันใหญ่ พอถูกถาม ผมก็แกล้งทำท่าวางโต โอ่ไปว่า
“สมัยมัธยม ผมเป็นนายหมู่ลูกเสือนะ ขุดดินแบบเมื่อวานอาจจะไม่เก่ง แต่ถ้าเรื่องออกค่ายละสบายมาก”
แต่ดูเหมือนพวกคนฟังจะไม่ค่อยเก็ตเท่าไหร่ ลืมเลยไปว่าโรงเรียนในต่างประเทศไม่ได้บังคับเรียนลูกเสือเนตรนารีเหมือนเมืองไทย ผมเลยต้องมาอธิบายเรื่องวิชาลูกเสือให้พวกเขาฟังอีก
พอตั้งเต็นท์เสร็จ พวกเราก็ช่วยกันทำอาหารเย็นอย่างง่ายๆ กินอาหารเย็นแล้วก็พักผ่อนและผลัดกันไปใช้ห้องน้ำที่มีอยู่แค่ 3 ห้อง กว่าจะสะอาดเอี่ยมหมดทุกคนก็ฟ้ามืด ทำกิจกรรมรอบกองไฟได้พอดี
ความจริงกิจกรรมก็ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่ใช่การแสดงรอบกองไฟเหมือนเวลาผมไปออกค่ายลูกเสือสมัยเด็กๆ แค่ร้องเพลงสลับกับพูดคุย เฮเลนเห็นว่าอาสาสมัครกลุ่มนี้มีหลายเชื้อชาติ ก็เลยเสนอขออาสาสมัครเล่าเรื่องเล่าจากบ้านเกิด จะเป็นนิทานหรือตำนานก็ได้
หนุ่มออสซี่ที่มากัน 3 คนประเดิมเล่านิทานเรื่องงูใหญ่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภูเขาและธารน้ำในทวีปออสเตรเลีย ส่วนสาวญี่ปุ่นเป็นตัวแทนเล่านิทานเรื่องกลองกายสิทธิ์จากสวรรค์ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดปลาชนิดหนึ่งในทะเลสาบบิวะ
พอมาถึงร็อบ เขาออกตัวว่า คนอเมริกันไม่ค่อยรู้จักนิทานพื้นบ้าน แต่คนงานเก่าแก่ในฟาร์มของคุณพ่อเขามีเชื้อสายอินเดียนแดง เคยเล่านิทานเรื่องเด็กหนุ่มอินเดียนร่วมมือกับสัตว์ต่างๆ เพื่อขโมยไฟที่เทพแห่งไฟเก็บไว้ในดินแดนลับฟ้า เขายังพอจำได้ก็เลยเล่าให้พวกเราฟัง นิทานของร็อบสนุกทีเดียว ขนาดมาเรียนน่าที่หูไม่ได้ยิน อ่านภาษามือที่โซเฟียแปลแล้วยังยกนิ้วชม
ทีนี้ก็วนมาถึงผมที่เป็นคนไทยเพียงคนเดียว ระหว่างที่ฟังคนอื่น ผมก็พยายามคิดถึงนิทานไทยที่ตัวเองพอจำได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ผมเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่โตมากับนิทานอีสป ซึ่งคนอื่นก็คงเคยได้ยินกันมาแล้ว จะเอามาเล่าก็รู้สึกขายหน้าในฐานะตัวแทนประเทศอยู่นิดหน่อย
สุดท้ายผมก็นึกถึงหนังเก่าที่เคยเอาดีวีดีมาดูกับเจ้เคธ หนังเรื่องนี้ก็สร้างจากตำนานพื้นบ้านของไทยนี่นา
“เล่าเรื่องผีได้ไหมครับ”ผมโพล่งออกไป พวกคนฟังฮือฮาแล้วส่งเสียงเชียร์กันใหญ่ แต่ร็อบที่นั่งข้างผมชะงัก ท้วงว่า
“อ่า...เล่าเรื่องผีตอนกลางคืนจะดีเหรอครับ คี”
โซเฟียที่อยู่อีกด้านไม่ทันเห็นสีหน้าร็อบ ก็เลยเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงกระตือรือร้น “เอาๆ เล่าเรื่องผีก็เข้ากับบรรยากาศดีออก ฉันได้ยินมาว่า ผีเอเชียโดยเฉพาะผีไทยน่ากลัว มีหนังฮอลลีวูดที่รีเมคจากหนังผีไทยด้วยนี่นา คีเล่าเลยๆ”
ผมได้แรงยุก็ค่อยมั่นใจขึ้น ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องผีพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักกันดี
“เมื่อร้อยกว่าปีก่อน สมัยที่กรุงเทพเมืองหลวงของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง และต้นไม้หนาทึบ มีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน สามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาก
ทั้งสองแต่งงานอยู่ด้วยกันจนฝ่ายภรรยาตั้งครรภ์ ตัวสามีถูกหมายเรียกให้ไปเป็นทหาประจำการในเมือง ภรรยาที่ตั้งครรภ์จึงต้องอาศัยอยู่ลำพังจนครบกำหนดคลอด แต่โชคร้ายที่ลูกของนางไม่ยอมกลับหัว จึงไม่สามารถคลอดออกมาได้ จนสุดท้ายนางนากก็ทนเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง”
ระหว่างที่ผมเล่า ทุกคนพากันนิ่งฟัง ทำให้บรรยากาศสงัดเงียบ ได้ยินแต่เสียงแมลงกลางคืนกับเสียงฟืนในกองไฟที่แตกเปรี๊ยะ
“วันหนึ่ง สามีได้ปลดประจำการกลับบ้าน เขามาถึงบ้านในตอนกลางคืนจึงไม่พบชาวบ้านคนอื่น ภรรยาอุ้มลูกน้อยรอเขาอยู่ที่ท่าน้ำ ชายหนุ่มจึงอยู่กับลูกเมียอย่างมีความสุข แต่หลายวันเข้า เขาก็เริ่มแปลกใจว่า ทำไมชาวบ้านจึงหลบเลี่ยง ไม่ยอมผ่านเข้ามาในบริเวณบ้านของตน ซ้ำภรรยาสุดที่รักก็เหนี่ยวรั้งเขาไว้ไม่ยอมให้ออกไปไหน...”
ผมเล่าต่อไปเรื่อยๆ โดยนึกถึงหนังที่เคยดูเป็นหลัก พวกเพื่อนๆ อาสาสมัครก็เงียบฟังกันด้วยสีหน้าลุ้นสุดๆ มีเสียงเอฟเฟคอุทานเบาๆ เป็นระยะ จนกระทั่งผมเล่าจบตอนที่นางนากยอมตัดใจจากสามีแล้วจากไป ทุกคนค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ผีไทยแลนด์ ซึโก้ย! ”หนุ่มญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เสวนากับผมเท่าไหร่ถึงกับยกนิ้วให้ หลังจากนั้นผมก็ได้รับเสียงปรบมือกราวใหญ่ พวกอาสาสมัครดูจะติดใจบรรยากาศการเล่าเรื่องผีรอบกองไฟแล้ว หลังจากนั้นเลยเริ่มเป็นมหกรรมการขุดเรื่องผีของแต่ละชาติมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนจิตแข็งกันน่าดู ไม่มีใครกลัวเลย จะมีก็แต่ร็อบที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ
ผมเห็นสีหน้าเขาดูไม่ดี เลยหันไปถาม “ร็อบเป็นอะไรรึเปล่าครับ ดูหน้าซีดๆ”
“คี...ผมว่าผมไม่ไหวแล้วละ”
ชายหนุ่มผมบลอนด์หันมาตอบเสียงแผ่วโหย ผมรีบถามอย่างเป็นห่วง “ทำไมครับ คุณไม่สบายเหรอ”
ร็อบส่ายหน้า เอื้อมมือมาแตะหลังมือผม กระซิบสารภาพ “ผม...ไม่ค่อยถูกโรคกับเรื่องผีเท่าไหร่”
ผมกะพริบตาปริบ ตอนแรกคิดว่าเขาเล่นมุก แต่มือร็อบที่แตะมือผมเย็นเจี๊ยบเลย แถมหน้าเขาก็ซีดไป ดูท่าจะกลัวจริงจัง...หนุ่มอเมริกันกลัวผีเหรอเนี่ย ผมพยายามกลั้นยิ้ม ทั้งขำทั้งสงสาร จึงปลอบเขาไปว่า “ถ้าไม่ไหวก็ขอตัวไปนอนก่อนเถอะครับ พวกนั้นดูท่าจะติดลม ยังเล่ากันอีกหลายเรื่อง”
ร็อบส่ายหน้าดิก “ผมไม่กล้าเข้าไปนอนในเต็นท์คนเดียว” เขาบอกแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ผมมองหนุ่มหล่อที่กลายสภาพเป็นเด็กงอแงด้วยแววตาสงสาร แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยด้วย เพราะผมเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องผีขึ้นมากลางวงรอบกองไฟ ผมก็เลยเสนอว่า “งั้นเดี๋ยวผมไปนอนในเต็นท์เป็นเพื่อนคุณนะครับ”
ร็อบพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางโล่งใจขึ้นมาหน่อย “แต้งกิ้วครับคี”
แมทนั่งคุยอยู่กับสตีฟที่อีกมุมหนึ่ง ผมลุกเดินไปบอกเขาว่าจะเข้านอนก่อน อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย “อ้าว คีง่วงแล้วหรือ เพิ่งจะสองทุ่มเอง”
“ผมยังไม่ง่วงหรอกครับ แต่...อ่า...ร็อบไม่ถูกโรคกับเรื่องผี ดูเหมือนจะทนฟังต่อไม่ไหวแล้วนะ” ผมบอกไปตามจริง
คุณสิงโตหันไปมองดูตัวต้นเหตุ พอเห็นใบหน้าซีดเผือดหมดลุคหนุ่มหล่อของรายนั้นแล้วก็พยักหน้า “ดูท่าจะไม่ไหวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคีก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเถอะ เดี๋ยวฉันคุยกับสตีฟเสร็จแล้วจะตามไปนะ”
“ครับ” ผมพยักหน้า พาร็อบเดินไปที่เต็นท์ของพวกเรา ให้เขานอนด้านในสุดที่ไม่ติดประตูเต็นท์ แล้วชวนคุยเป็นเพื่อนอยู่นาน ร็อบหลับไปก่อน ส่วนผมเริ่มจะเคลิ้มๆ แมทก็มุดเข้าเต็นท์มา
ผมพลิกตัวไปถามเสียงงัวเงีย “ทุกคนไปนอนแล้วเหรอครับ”
“อืม” แมทตอบกลับ เอนหลังนอนข้างผมอย่างง่ายๆ
“ผมรู้สึกผิดจังที่เล่าเรื่องผี ทำร็อบกลัวเลย” ผมออกปากบ่น
แมทตอบกลับมาเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นกันดี จะว่าไป...ตอนเคธี่มาฮาร์นาส รายนั้นก็เล่าเรื่องผีให้เพื่อนฟังเหมือนกันนะ น่ากลัวกว่าของคีอีก เป็นผีที่มีแต่เครื่องในลอยไปลอยมา เรียกว่าอะไรนะ?”
“กระสือครับ” ผมตอบกลับ “เจ้เคธน่ะ คลังเรื่องผีเลยละ รายนั้นชอบดูหนังผี ดูคนเดียวไม่ได้ด้วย ต้องมาลากผมไปดูด้วยประจำ”
แมทหัวเราะออกมาเบาๆ “สมัยเรียนฉันก็ถูกเคธี่ลากไปดูหนังทริลเลอร์สยองๆ เป็นเพื่อนประจำเหมือนกัน”
คุณสิงโตเล่าเสียงเรียบเรื่อย แต่ผมที่ฟังอยู่กลับชะงักไปนิดหนึ่ง เจ้เคธเป็นสาวสังคมก็จริง แต่รายนั้นก็วางตัวมีระยะห่างกับพวกผู้ชาย จะไม่ไปดูหนังกับคนอื่นนอกจากคนที่บ้านหรือเพื่อนที่คุ้นเคยจริงๆ
...ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แมทกับพี่สาวผมคงสนิทกันมากจริงๆ นั่นแหละ............................TBC....................................
ตอนนี้มาแบบยาวจุใจค่ะ เพราะสัปดาห์นี้น่าจะไม่มีคิวว่างให้จิ้มแล้ว คืนนี้เลยนอนดึกหน่อย เขียนให้จบตอน
รู้สึกว่า ช่วงนี้กลั่นแกล้งคุณจากัวร์เสียหลายรอบ ขอโทษนะร็อบ แต่ผู้ชายกลัวผีก็น่ารักดีออกนะ (ฮา)
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง