[^._.^]ノ彡 Dear Mr.Lion #คุณสิงโตที่รัก Final Chapter [Update 18/10/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [^._.^]ノ彡 Dear Mr.Lion #คุณสิงโตที่รัก Final Chapter [Update 18/10/61]  (อ่าน 57683 ครั้ง)

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คุณสิงโตร้ายสมชื่อเลยนะครับเนี่ย ^^

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 20


อาสาสมัครกลุ่มของเรามาเจอกันช่วงบ่ายหลังกินอาหารกลางวัน ตารางครึ่งบ่ายวันนี้ยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เตรียมอาหารและเอาอาหารไปให้พวกสัตว์ป่า ผมว่าดีแล้วเพราะทุกคนดูท่าจะยังเพลียจากงานหนักเมื่อวาน ขนาดโซเฟียกับมาเรียนน่าที่ปกติจะร่าเริงแอคทีฟ วันนี้ยังดูซึมเซาไปนิดหนึ่ง

พอกลับจากให้อาหารสัตว์ เฮเลนกับสตีฟก็เรียกประชุมเพื่อบรีฟกิจกรรมวันพรุ่งนี้กับวันมะรืน ซึ่งจะเป็นการฝึกใช้ชีวิตในธรรมชาติ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่อง 2 วัน พวกเราต้องไปค้างแรมที่แคมป์ไซต์ซึ่งอยู่ห่างจากส่วนกลางออกไปคนละทิศกับหมู่บ้านอาสา ดังนั้นพรุ่งนี้ขอให้เตรียมของใช้ส่วนตัวสำหรับค้าง 1 คืนใส่เดย์แพ็คมาด้วย และคืนนี้ขอให้ทุกคนรีบเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้

ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ได้คอลหาที่บ้านมา 3-4 วันแล้ว พอกินอาหารเย็นเสร็จก็เลยบอกแมทว่า จะกลับไปเอาโทรศัพท์มือถือที่ห้อง แล้วกลับมาที่ส่วนกลางเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตสักหน่อย แมทบอกว่า เขาก็ว่าจะติดต่อที่บริษัทเรื่องงานเหมือนกัน เดี๋ยวจะเดินมากับผมด้วย

“แมททำงานด้านไหนหรือครับ”

ผมถามระหว่างที่เราเดินกลับไปที่ส่วนกลางด้วยกัน จะว่าไป อยู่ร่วมห้องกับคุณสิงโตมาเกือบสิบวัน ผมยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้เคธเท่านั้นเอง

“ฉันเป็น Software developer น่ะ”

แมทตอบ และพอเห็นผมเบิกตากว้าง เขาก็ดักคอเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไม่เชื่อละสิ”

“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรอกครับ แต่หน้าตาท่าทางแมทไม่บอกเลยว่า ทำงานด้านไอที” ผมยอมรับตามตรง ก็คุณพี่ตัวใหญ่หนา แถมผมยาว ไว้หนวดไว้เครารุงรังแบบนี้ นึกภาพเขาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ออกเลย “ผมนึกว่าคุณทำงานเอาท์ดอร์เสียอีก ถ้าบอกว่าเป็นวิศวกรโยธา หรือพวกธุรกิจสายสุขภาพยังน่าเชื่อกว่า”

“สภาพที่คีเห็นนี่เพราะฉันอยู่ฮาร์นาสมา 2 เดือนแล้วต่างหาก ตอนอยู่ออฟฟิศทำงาน ฉันก็ไม่โทรมขนาดนี้หรอกนะ” คุณสิงโตออกตัวพลางยกมือลูบเคราเขียวๆ ที่คางของตัวเองอย่างเก้อๆ

“แมทไม่ได้โทรมหรอกครับ แค่ดูเซอร์ๆ เอง”

ผมตอบเอาใจ แล้วถามไปอีกเรื่อง “บริษัทคุณใจดีจังนะครับ ให้ลาพักร้อนตั้ง 3 เดือนแน่ะ”

“ทางออฟฟิศโอเคเพราะตั้งแต่เริ่มงานมา ฉันไม่เคยลาพักร้อนเลยน่ะ จริงๆ ก็ได้วันลาแค่ 2 เดือน แต่พอดีฉันจะไปประจำที่บริษัทย่อยที่กำลังจะเปิดใหม่ ทางนั้นยังไม่เรียบร้อย มีช่วงว่างรอยต่ออยู่ ฉันเลยขอ Leave without pay เองอีกเดือนหนึ่ง ทำงานมาหลายปี อยากพักสมองบ้าง ก็เลยเลือกกลับมาฮาร์นาสนี่แหละ”

“คุณเลือกพักสมองแบบสุดขั้วจริงๆ ครับ”

คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมมาตลอด มาอยู่ในที่ที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตตั้ง 3 เดือน เรียกว่าหักดิบสุดๆ

พวกเราเดินมาถึงโซนส่วนกลางแล้วก็แยกกันไปคนละมุม ผมคอลหาที่บ้าน วันนี้เจ้เคธไม่อยู่ ไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ สมัยมัธยม ผมก็เลยคุยกับพ่อแม่ ทั้งป๊าทั้งม้าบ่นคิดถึงผมกันใหญ่ จนผมต้องปลอบว่า “คีมาอยู่นี่แค่เดือนเดียวเอง อีก 20 วันก็กลับบ้านแล้วครับ ตอนไปซัมเมอร์ที่อังกฤษกับออสเตรเลียอยู่นานกว่านี้อีกนะ”

พูดไปแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ ผมจะอยู่นามิเบียแค่ 1 เดือนเท่านั้น และนี่ก็ผ่านมาเกือบจะครึ่งทางแล้ว จะว่านานก็นาน เพราะผมได้ทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่างที่ไม่เคยทำ แต่จะว่าสั้นก็สั้นเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับบ้านแล้ว กลับไปเป็นคนเมือง เปิดเทอมรับชีวิตนิสิตปีสุดท้าย

...คิดแล้วก็ใจหายนิดๆ แฮะ


ผมวางสายจากที่บ้านแล้วก็เช็ก SNS ส่วนตัวนิดหนึ่ง มีไอดีที่ไม่คุ้นแอดไลน์มา ผมนึกขึ้นมาได้ว่า วันก่อนเจ้เคธบอกว่า บิว รุ่นน้องที่คณะโทรมาที่บ้าน ขอเบอร์ใหม่ผมเพื่อจะติดต่อถามเรื่องงานเหรัญญิกของกรรมการนิสิต นี่น้องแอดไลน์มาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ผมไม่ได้เปิดโทรศัพท์เช็ก ผมรีบรับแอดแล้วไลน์ไปหา

[บิว ว่าไง โทษทีนะ พี่เพิ่งได้เปิดโทรศัพท์เข้าเนต]

รออยู่ครู่หนึ่งก็มีข้อความกลับมา

[โอ้ย พี่คีรับแอดแล้ว หวัดดีค่า หนูนึกว่าจะติดต่อพี่ไม่ได้แล้วอ่ะ]

รุ่นน้องส่งสติ๊กเกอร์น้ำตานองหน้ามาให้รัวๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความต่อ

[นี่พี่อยู่เมืองนอกใช่ปะคะ พอดีหนูมีปัญหาเรื่องแผนงบพัสดุของปีหน้า อยากขอปรึกษาพี่คีหน่อย]

ผมพิมพ์ตอบไปว่า [ได้เลย จะถามทางนี้หรือใช้คอลคุยกันดี]

[อ่า...พอดีวันนี้หนูมาต่างจังหวัดกับที่บ้านอะค่ะ พรุ่งนี้ค่ำๆ พี่คีสะดวกปะคะ]

[พรุ่งนี้ไม่ได้อะบิว ที่ที่พี่อยู่ไม่มีไวไฟในห้องพัก ต้องมาใช้ที่ส่วนกลาง แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องออกไปข้างนอก]

รุ่นน้องผมหายไปอีก 2-3 นาที แล้วตอบกลับมา

[ถ้างั้นเป็นคืนวันมะรืนได้ไหมคะ เดี๋ยวนัดเวลากันแล้วหนูคอลไป]

ความจริงผมจะบอกบิวว่า ถ้ามีปัญหาเร่งด่วนก็โทรถามเพื่อนผมที่เป็นผู้ช่วยเหรัญญิกก็ได้ไม่ต้องรอผม แต่มาคิดดู ตอนนี้ทุกคนคงกำลังฝึกงาน ไม่ก็ยุ่งเรื่องเรียนซัมเมอร์ ไหนๆ ผมก็ต้องส่งต่องานให้น้อง ก็ควรจัดการเองให้เรียบร้อย ผมก็เลยตอบตกลงแล้วนัดเวลาคอลคุยกับบิว

กว่าจะคุยเสร็จก็เกือบสามทุ่มแล้ว ผมรีบเดินกลับที่พักกับแมทแล้วเข้านอนเร็ว เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปแคมป์ปิ้งอยู่กลางแจ้งทั้งวัน

.................................................................


เช้าวันต่อมา พวกเราก็สะพายเป้มารอที่ส่วนกลาง แล้วนั่งรถออกไปบริเวณใกล้ป่าเปิด เพื่อเรียนเรื่องเดินป่าและตามรอยสัตว์พื้นฐาน

สตีฟกับเฮเลนเชิญ เรย์ ไกด์ชาวนามิเบียซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาเป็นวิทยากรพิเศษ เรย์กับทีมของเขาเปิดคอร์สนำเที่ยวทะเลทรายคาลาฮารี เป็นทริปแบบสมบุกสมบัน ประเภทพานักท่องเที่ยวไปส่องสัตว์ แกะรอยอะไรแบบนั้น เขามาเป็นวิทยากรให้ทางฮาร์นาสเดือนละครั้ง ถือว่าเป็นการโฆษณาคอร์สของตัวเองไปในตัว เผื่อว่าอาสาสมัครที่ติดใจจะตามไปเที่ยวต่อ

แมทคงเคยเรียนกับเรย์ตั้งแต่ตอนมาฮาร์นาสครั้งก่อน คุณสิงโตทักทายไกด์ชาวพื้นเมืองอย่างสนิทสนม แถมยังช่วยตอบคำถามบางคำถามที่ผมกับเพื่อนๆ สงสัยได้

เรยสอนให้พวกเราแยกประเภทรอยเท้าสัตว์อย่างง่ายๆ ไล่ตั้งแต่รอยเท้าสัตว์ใหญ่อย่างช้าง, ควายป่า, กวาง, สัตว์นักล่าอย่างเสือและสิงโต ไปจนถึงสัตว์เล็กอย่างกระต่ายและพังพอน รอยเท้าสัตว์ใหญ่อย่างช้าง มักเป็นเส้นทางที่สัตว์เหล่านั้นใช้ประจำ เรียกว่า ด่านสัตว์ ซึ่งนอกจากจะเป็นทางไปหาแหล่งอาหารและแหล่งน้ำแล้วยังเป็นเส้นทางหลบหนีศัตรูด้วย

สิ่งสำคัญนอกจากแยกได้ว่ารอยเท้าที่เห็นเป็นของสัตว์ประเภทไหนแล้ว ยังต้องแยกให้ออกว่าเป็นรอยเก่าหรือใหม่ เพื่อดูว่าสัตว์ที่ทิ้งรอยไว้นี้อยู่ใกล้หรือไกลจากตัวเราแค่ไหน

“ถ้าเจอรอยเท้าสิงโตใหม่เอี่ยมชัดแจ๋ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ต้องรีบเผ่นไปขึ้นรถทันที”

เรย์พูดติดตลก ทุกคนหัวเราะกันครืน แต่ถ้าเจอแบบนั้นจริงก็คงขำไม่ออกเหมือนกัน



พวกเราเรียนเรื่องเดินป่าส่องสัตว์กันตลอดทั้งวัน ช่วงเที่ยงก็กินอาหารที่สต๊าฟเตรียมมาให้ข้างนอก ไม่ได้กลับไปกินที่ส่วนกลางเหมือนวันก่อนๆ พอบ่ายแก่ๆ จึงไปตั้งแคมป์

เฮเลนกับสตีฟพาพวกเราไปยังบริเวณแคมป์ไซต์ซึ่งอยู่เลยจากลอด์จที่ผมกับแมทพักออกไปหน่อย ตรงนี้เป็นพื้นที่ตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากไม่อยากจ่ายค่าพักที่ลอด์จก็สามารถมาเช่าพื้นกางเต็นท์ หรือนอนบนเต็นท์ติดหลังคาของรถแคมป์ปิ้ง ราคาถูกกว่าหลายเท่า แต่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไร เป็นแค่ลานดินรูปวงกลมปรับเรียบ ล้อมด้วยขอนไม้สำหรับนั่งรอบกองไฟ แล้วก็มีห้องน้ำห้องสุขาเล็กๆ สร้างเป็นเพิงขึ้นมาเท่านั้น

พอเดินไปถึงก็เห็นว่า ทางฮาร์นาสเตรียมเต็นท์กับอุปกรณ์พักแรมมาให้พร้อมแล้ว กลุ่มเรามีกัน 5 คน (รวมแมทด้วย) ได้เต็นท์ 2 หลัง หลังใหญ่กับหลังเล็ก โซเฟียกับมาเรียนน่าบอกให้พวกผู้ชายนอนเต็นท์หลังใหญ่ไปได้เลย

“ขนาดตัวพี่ยักษ์สองคนนั่น ขืนให้นอนเบียดกันในเต็นท์เล็กคงอึดอัดตาย” โซเฟียเอ่ยขำๆ

ผมกางเต็นท์และจุดไฟก่อกองไฟได้คล่องแคล่วจนพวกเพื่อนๆ แปลกใจกันใหญ่ พอถูกถาม ผมก็แกล้งทำท่าวางโต โอ่ไปว่า

“สมัยมัธยม ผมเป็นนายหมู่ลูกเสือนะ ขุดดินแบบเมื่อวานอาจจะไม่เก่ง แต่ถ้าเรื่องออกค่ายละสบายมาก”

แต่ดูเหมือนพวกคนฟังจะไม่ค่อยเก็ตเท่าไหร่ ลืมเลยไปว่าโรงเรียนในต่างประเทศไม่ได้บังคับเรียนลูกเสือเนตรนารีเหมือนเมืองไทย ผมเลยต้องมาอธิบายเรื่องวิชาลูกเสือให้พวกเขาฟังอีก

พอตั้งเต็นท์เสร็จ พวกเราก็ช่วยกันทำอาหารเย็นอย่างง่ายๆ กินอาหารเย็นแล้วก็พักผ่อนและผลัดกันไปใช้ห้องน้ำที่มีอยู่แค่ 3 ห้อง กว่าจะสะอาดเอี่ยมหมดทุกคนก็ฟ้ามืด ทำกิจกรรมรอบกองไฟได้พอดี

ความจริงกิจกรรมก็ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่ใช่การแสดงรอบกองไฟเหมือนเวลาผมไปออกค่ายลูกเสือสมัยเด็กๆ แค่ร้องเพลงสลับกับพูดคุย เฮเลนเห็นว่าอาสาสมัครกลุ่มนี้มีหลายเชื้อชาติ ก็เลยเสนอขออาสาสมัครเล่าเรื่องเล่าจากบ้านเกิด จะเป็นนิทานหรือตำนานก็ได้

หนุ่มออสซี่ที่มากัน 3 คนประเดิมเล่านิทานเรื่องงูใหญ่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภูเขาและธารน้ำในทวีปออสเตรเลีย ส่วนสาวญี่ปุ่นเป็นตัวแทนเล่านิทานเรื่องกลองกายสิทธิ์จากสวรรค์ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดปลาชนิดหนึ่งในทะเลสาบบิวะ

พอมาถึงร็อบ เขาออกตัวว่า คนอเมริกันไม่ค่อยรู้จักนิทานพื้นบ้าน แต่คนงานเก่าแก่ในฟาร์มของคุณพ่อเขามีเชื้อสายอินเดียนแดง เคยเล่านิทานเรื่องเด็กหนุ่มอินเดียนร่วมมือกับสัตว์ต่างๆ เพื่อขโมยไฟที่เทพแห่งไฟเก็บไว้ในดินแดนลับฟ้า เขายังพอจำได้ก็เลยเล่าให้พวกเราฟัง นิทานของร็อบสนุกทีเดียว ขนาดมาเรียนน่าที่หูไม่ได้ยิน อ่านภาษามือที่โซเฟียแปลแล้วยังยกนิ้วชม

ทีนี้ก็วนมาถึงผมที่เป็นคนไทยเพียงคนเดียว ระหว่างที่ฟังคนอื่น ผมก็พยายามคิดถึงนิทานไทยที่ตัวเองพอจำได้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ผมเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่โตมากับนิทานอีสป ซึ่งคนอื่นก็คงเคยได้ยินกันมาแล้ว จะเอามาเล่าก็รู้สึกขายหน้าในฐานะตัวแทนประเทศอยู่นิดหน่อย

สุดท้ายผมก็นึกถึงหนังเก่าที่เคยเอาดีวีดีมาดูกับเจ้เคธ หนังเรื่องนี้ก็สร้างจากตำนานพื้นบ้านของไทยนี่นา

“เล่าเรื่องผีได้ไหมครับ”

ผมโพล่งออกไป พวกคนฟังฮือฮาแล้วส่งเสียงเชียร์กันใหญ่ แต่ร็อบที่นั่งข้างผมชะงัก ท้วงว่า

“อ่า...เล่าเรื่องผีตอนกลางคืนจะดีเหรอครับ คี”

โซเฟียที่อยู่อีกด้านไม่ทันเห็นสีหน้าร็อบ ก็เลยเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงกระตือรือร้น “เอาๆ เล่าเรื่องผีก็เข้ากับบรรยากาศดีออก ฉันได้ยินมาว่า ผีเอเชียโดยเฉพาะผีไทยน่ากลัว มีหนังฮอลลีวูดที่รีเมคจากหนังผีไทยด้วยนี่นา คีเล่าเลยๆ”

ผมได้แรงยุก็ค่อยมั่นใจขึ้น ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องผีพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักกันดี

“เมื่อร้อยกว่าปีก่อน สมัยที่กรุงเทพเมืองหลวงของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง และต้นไม้หนาทึบ มีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน สามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาก

ทั้งสองแต่งงานอยู่ด้วยกันจนฝ่ายภรรยาตั้งครรภ์ ตัวสามีถูกหมายเรียกให้ไปเป็นทหาประจำการในเมือง ภรรยาที่ตั้งครรภ์จึงต้องอาศัยอยู่ลำพังจนครบกำหนดคลอด แต่โชคร้ายที่ลูกของนางไม่ยอมกลับหัว จึงไม่สามารถคลอดออกมาได้ จนสุดท้ายนางนากก็ทนเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง”

ระหว่างที่ผมเล่า ทุกคนพากันนิ่งฟัง ทำให้บรรยากาศสงัดเงียบ ได้ยินแต่เสียงแมลงกลางคืนกับเสียงฟืนในกองไฟที่แตกเปรี๊ยะ

“วันหนึ่ง สามีได้ปลดประจำการกลับบ้าน เขามาถึงบ้านในตอนกลางคืนจึงไม่พบชาวบ้านคนอื่น ภรรยาอุ้มลูกน้อยรอเขาอยู่ที่ท่าน้ำ ชายหนุ่มจึงอยู่กับลูกเมียอย่างมีความสุข แต่หลายวันเข้า เขาก็เริ่มแปลกใจว่า ทำไมชาวบ้านจึงหลบเลี่ยง ไม่ยอมผ่านเข้ามาในบริเวณบ้านของตน ซ้ำภรรยาสุดที่รักก็เหนี่ยวรั้งเขาไว้ไม่ยอมให้ออกไปไหน...”

ผมเล่าต่อไปเรื่อยๆ โดยนึกถึงหนังที่เคยดูเป็นหลัก พวกเพื่อนๆ อาสาสมัครก็เงียบฟังกันด้วยสีหน้าลุ้นสุดๆ มีเสียงเอฟเฟคอุทานเบาๆ เป็นระยะ จนกระทั่งผมเล่าจบตอนที่นางนากยอมตัดใจจากสามีแล้วจากไป ทุกคนค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ผีไทยแลนด์ ซึโก้ย! ”

หนุ่มญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เสวนากับผมเท่าไหร่ถึงกับยกนิ้วให้ หลังจากนั้นผมก็ได้รับเสียงปรบมือกราวใหญ่ พวกอาสาสมัครดูจะติดใจบรรยากาศการเล่าเรื่องผีรอบกองไฟแล้ว หลังจากนั้นเลยเริ่มเป็นมหกรรมการขุดเรื่องผีของแต่ละชาติมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนจิตแข็งกันน่าดู ไม่มีใครกลัวเลย จะมีก็แต่ร็อบที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ

ผมเห็นสีหน้าเขาดูไม่ดี เลยหันไปถาม “ร็อบเป็นอะไรรึเปล่าครับ ดูหน้าซีดๆ”

 “คี...ผมว่าผมไม่ไหวแล้วละ”

ชายหนุ่มผมบลอนด์หันมาตอบเสียงแผ่วโหย ผมรีบถามอย่างเป็นห่วง “ทำไมครับ คุณไม่สบายเหรอ”

ร็อบส่ายหน้า เอื้อมมือมาแตะหลังมือผม กระซิบสารภาพ “ผม...ไม่ค่อยถูกโรคกับเรื่องผีเท่าไหร่”

ผมกะพริบตาปริบ ตอนแรกคิดว่าเขาเล่นมุก แต่มือร็อบที่แตะมือผมเย็นเจี๊ยบเลย แถมหน้าเขาก็ซีดไป ดูท่าจะกลัวจริงจัง...หนุ่มอเมริกันกลัวผีเหรอเนี่ย ผมพยายามกลั้นยิ้ม ทั้งขำทั้งสงสาร จึงปลอบเขาไปว่า “ถ้าไม่ไหวก็ขอตัวไปนอนก่อนเถอะครับ พวกนั้นดูท่าจะติดลม ยังเล่ากันอีกหลายเรื่อง”

ร็อบส่ายหน้าดิก “ผมไม่กล้าเข้าไปนอนในเต็นท์คนเดียว” เขาบอกแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

ผมมองหนุ่มหล่อที่กลายสภาพเป็นเด็กงอแงด้วยแววตาสงสาร แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยด้วย เพราะผมเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องผีขึ้นมากลางวงรอบกองไฟ ผมก็เลยเสนอว่า “งั้นเดี๋ยวผมไปนอนในเต็นท์เป็นเพื่อนคุณนะครับ”

ร็อบพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางโล่งใจขึ้นมาหน่อย “แต้งกิ้วครับคี”

แมทนั่งคุยอยู่กับสตีฟที่อีกมุมหนึ่ง ผมลุกเดินไปบอกเขาว่าจะเข้านอนก่อน อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย “อ้าว คีง่วงแล้วหรือ เพิ่งจะสองทุ่มเอง”

“ผมยังไม่ง่วงหรอกครับ แต่...อ่า...ร็อบไม่ถูกโรคกับเรื่องผี ดูเหมือนจะทนฟังต่อไม่ไหวแล้วนะ” ผมบอกไปตามจริง

คุณสิงโตหันไปมองดูตัวต้นเหตุ พอเห็นใบหน้าซีดเผือดหมดลุคหนุ่มหล่อของรายนั้นแล้วก็พยักหน้า “ดูท่าจะไม่ไหวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคีก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเถอะ เดี๋ยวฉันคุยกับสตีฟเสร็จแล้วจะตามไปนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้า พาร็อบเดินไปที่เต็นท์ของพวกเรา ให้เขานอนด้านในสุดที่ไม่ติดประตูเต็นท์ แล้วชวนคุยเป็นเพื่อนอยู่นาน ร็อบหลับไปก่อน ส่วนผมเริ่มจะเคลิ้มๆ แมทก็มุดเข้าเต็นท์มา

ผมพลิกตัวไปถามเสียงงัวเงีย “ทุกคนไปนอนแล้วเหรอครับ”

“อืม” แมทตอบกลับ เอนหลังนอนข้างผมอย่างง่ายๆ

“ผมรู้สึกผิดจังที่เล่าเรื่องผี ทำร็อบกลัวเลย” ผมออกปากบ่น

แมทตอบกลับมาเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นกันดี จะว่าไป...ตอนเคธี่มาฮาร์นาส รายนั้นก็เล่าเรื่องผีให้เพื่อนฟังเหมือนกันนะ น่ากลัวกว่าของคีอีก เป็นผีที่มีแต่เครื่องในลอยไปลอยมา เรียกว่าอะไรนะ?”

“กระสือครับ” ผมตอบกลับ “เจ้เคธน่ะ คลังเรื่องผีเลยละ รายนั้นชอบดูหนังผี ดูคนเดียวไม่ได้ด้วย ต้องมาลากผมไปดูด้วยประจำ”

แมทหัวเราะออกมาเบาๆ “สมัยเรียนฉันก็ถูกเคธี่ลากไปดูหนังทริลเลอร์สยองๆ เป็นเพื่อนประจำเหมือนกัน”

คุณสิงโตเล่าเสียงเรียบเรื่อย แต่ผมที่ฟังอยู่กลับชะงักไปนิดหนึ่ง เจ้เคธเป็นสาวสังคมก็จริง แต่รายนั้นก็วางตัวมีระยะห่างกับพวกผู้ชาย จะไม่ไปดูหนังกับคนอื่นนอกจากคนที่บ้านหรือเพื่อนที่คุ้นเคยจริงๆ

...ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แมทกับพี่สาวผมคงสนิทกันมากจริงๆ นั่นแหละ



............................TBC....................................



ตอนนี้มาแบบยาวจุใจค่ะ เพราะสัปดาห์นี้น่าจะไม่มีคิวว่างให้จิ้มแล้ว คืนนี้เลยนอนดึกหน่อย เขียนให้จบตอน

รู้สึกว่า ช่วงนี้กลั่นแกล้งคุณจากัวร์เสียหลายรอบ ขอโทษนะร็อบ แต่ผู้ชายกลัวผีก็น่ารักดีออกนะ (ฮา)

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง


ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สงสารร็อบคงกลัวจริงๆ

ออฟไลน์ Kumamon_Kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

แง๊งงง คุณสิงโตต้องเดินหน้ามากกว่านี้นะคะ ก่อนที่น้องแมวน้อยจะเข้าผิดไปมากกว่านี้  :sad4: :sad4: :sad4: 

บรรยายได้เพลินมากค่ะ รอนะคะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุกมาก  ชอบบบบบบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

แมท น่าจะชอบคี มาก่อน
แบบเคยเห็นคีจากรูปที่แคทพกไป
แคทเลยให้คีไปจากพี่เมธ แล้วพบแมทที่นาบิเมีย ซะเลย

แมท คี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
สิงโตมันร้าย  :mew4:

ออฟไลน์ maxtorpis

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-4
ป๊าดชอบๆ

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 21

ด้วยความที่เมื่อคืนผมกับร็อบเข้านอนเร็วที่สุด เช้าวันต่อมาพวกเราจึงตื่นก่อนคนอื่นตั้งแต่ตอนรุ่งสาง ร็อบลุกออกไปจากเต็นท์ก่อนผมสักพัก ผมรู้สึกตัวตอนเขาขยับออกไปแต่ไม่ได้เรียกเพราะกลัวจะปลุกแมทที่ยังหลับอยู่ ผมรอจนร็อบออกไปแล้ว จึงค่อยขยับลุกไปหยิบแปรงสีฟันกับแก้วน้ำในเป้เดย์แพ็คอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง แต่คุณสิงโตนอนหูไวเลยรู้สึกตัวจนได้

“คีจะไปล้างหน้าหรือ” เขาพึมพำถาม

“ครับ” ผมตอบ

“หยิบแจ็กเกตไปด้วยนะ ตอนเช้ามืดน้ำค้างลง เฮเลนเตรียมนมกล่องกับขนมปังไว้ให้เป็นอาหารเช้า มีกาแฟสำเร็จรูปด้วย อยู่ในกล่องปิกนิกตรงลานกลาง บอกว่าใครหิวก็หยิบไปกินรองท้องก่อนได้ เดี๋ยวอีกสักพักฉันตามออกไป”

เขาบอกแล้วหลับตา คงจะอยากนอนต่อไปอีกหน่อย ผมจึงเดินข้ามขาเขาไปอย่างระมัดระวัง

ข้างนอกเต็นท์ยังสลัวๆ ท้องฟ้าเป็นสีครามอมชมพู ผมเดินออกไปล้างหน้าแปรงฟันที่เพิงห้องน้ำ เพิงนี้ภายนอกอาจจะดูไม่หรูหรา แต่ก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์ให้ใช้ ผมเลยไม่ต้องทรมานกับการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเจี๊ยบเหมือนออกมาจากตู้เย็น

ร็อบสวมชุดวอร์มแขนยาวยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ที่ลานกลาง พอผมเดินเข้าไปหา เขาก็หันมาทักทาย หน้าตาสดใสกว่าเมื่อคืนมาก “มอร์นิ่งครับ คี เมื่อคืนผมหมดสภาพเลย ขอโทษนะที่งอแงกวนให้ไปนอนเป็นเพื่อน คีเลยอดทำกิจกรรมรอบกองไฟต่อ” หนุ่มผมบลอนด์ขอโทษขอโพยพลางยิ้มแหย

ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ นอนเร็วก็ดีจะได้ตุนแรงไว้ วันนี้เราต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกทั้งวันนี่นา” โปรแกรมอาสาสมัครวันนี้เป็น Culture Day ทางฮาร์นาสจะพาพวกเราออกไปเยี่ยมหมู่บ้านชนเผ่าซาน ชนเผ่าพื้นเมืองของนามิเบีย ออกไปกันแต่เช้าแล้วก็กลับมาตอนเย็นๆ โน่น

ผมชวนร็อบไปเปิดกล่องปิกนิกเพื่อหาอาหารเช้ารองท้อง ระหว่างที่พวกเรานั่งกินอยู่ สต๊าฟพี่เลี้ยงก็ลุกจากเต็นท์เดินออกมาล้างหน้า พักหนึ่งแมทจึงเดินออกมาจากเต็นท์มา เขาโบกมือให้พวกผมก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ ร็อบมองตามหลังคุณสิงโตไปก่อนจะหันมาทางผม

“คีรู้จักกับแมทมาก่อนแล้วหรือครับ ดูสนิทกันดีจัง”

“ผมเพิ่งเจอแมทครั้งแรกตอนมาฮาร์นาสนี่แหละครับ แมทเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของพี่สาวผม เขาพักร้อนอยู่ฮาร์นาสตอนที่ผมจะมาที่นี่พอดี พี่สาวผมเลยฝากให้เขาช่วยเป็นธุระจัดการอะไรต่อมิอะไรให้” ผมอธิบายคร่าวๆ

ร็อบพยักหน้าหงึก ออกปากอย่างทึ่งๆ “โอ้โห เป็นเพื่อนสมัยเรียน ก็แปลว่าน่าจะรู้จักกันมาหลายปีแล้วสิครับ สนิทกันดีจัง อยู่กันคนละซีกโลก แต่ยัง keep connection กันอยู่ ผมกับพวกเพื่อนมหาวิทยาลัยเนี่ย แค่เรียนจบแล้วแยกกันไปอยู่คนละรัฐก็แทบไม่ได้คุยกันแล้ว มีแค่แวะมาคอมเมนท์ใน SNS บ้างเท่านั้น”

ผมนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับคุณสิงโตเมื่อคืนแล้วก็ยิ้มบาง

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่สาวผมไม่เคยพูดถึงแมทมาก่อน แต่ก็คงจะสนิทกันมากจริงๆ นั่นละครับ”




ฟ้าสว่างแล้ว อาสาสมัครที่เหลือทยอยลุกออกมาล้างหน้าล้างตาและกินอาหารเช้าง่ายๆ โซเฟียกับมาเรียนน่ามาเมาท์เรื่องผีที่ได้ฟังเมื่อคืนหลังจากผมเข้านอน (ร็อบเดินเลี่ยงไปคุยกับสต๊าฟอย่างจงใจหลบสุดฤทธิ์) หลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันเก็บเต็นท์ แล้วขึ้นรถบัสซึ่งจุคนได้ประมาณ 30 คน ขับออกไปจากฮาร์นาสเพื่อไปยังหมู่บ้านพื้นเมืองของชนเผ่าซานที่อยู่ในเขตเมืองโกเบบิส

ชนเผ่าซาน (San) หรือที่เรียกกันว่า บุชเมน (Bushmen) เป็นชนเผ่าทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ในเขตประเทศบอตสวานา, แองโกลา และนามิเบีย ชนเผ่านี้ยังชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บของป่า พวกเขาได้รับการระบุว่า เป็นชนเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดชนเผ่าหนึ่งในโลก

ตอนอยู่ในรถบัส อาสาสมัครคนอื่นฟังบรีพด้วยท่าทางปกติ มีแต่ผมที่ตื่นเต้นกว่าทุกคน เพราะก่อนมานามิเบีย พ่อผมเปิดดีวีดีหนังเรื่องโปรดที่เคยดูสมัยหนุ่มๆ ให้ดู เป็นหนังเรื่อง The Gods Must Be Crazy เคยเข้าฉายในเมืองไทยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มีชื่อไทยว่า เทวดาท่าจะบ๊องส์

หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกที่มีคนพื้นเมืองเผ่าซานของนามิเบีย ชื่อว่า นิเชา เป็นตัวเอก ป๊าบอกว่าดังมาก ถ้าถามคนที่อายุประมาณสามสิบปลายๆ เป็นต้นไปจะตอบว่ารู้จักกันแทบทุกคน แถมคุณนิเชายังเคยมาถ่ายโฆษณาสินค้าของไทยตัวหนึ่งด้วย ผมกับเจ้เคธดูดีวีดีที่ป๊าเปิดแล้วก็นั่งขำไม่หยุด หนังเก่าแต่มุกตลกยังสนุกชวนฮา คุณนิเชากับคนเผ่าซานในเรื่องน่ารัก วันนี้ได้มาเจอตัวจริง ผมเลยอดตื่นเต้นไม่ได้

สาวอังกฤษที่ดูเหมือนจะเป็นพวกนักอนุรักษ์หน่อยๆ ยกมือถามเฮเลนซึ่งกำลังบรีพอยู่ว่า

“ฉันอ่านข้อมูลมาว่า สต๊าฟพื้นเมืองก็ฮาร์นาสก็เป็นชาวเผ่าซานใช่ไหมคะ”

เฮเลนพยักหน้า “ใช่ค่ะ กว่า 90% ของลูกจ้างในฮาร์นาสของเรามาจากชุมชนชาวเผ่าซานซึ่งอยู่รอบๆ ฟาร์ม สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ชาวเผ่าหลายหมู่บ้านต้องละจากชีวิตแบบดั้งเดิม ออกมาทำงานรับจ้างหาเลี้ยงปากท้อง แต่การขาดโอกาสด้านการศึกษาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นแรงงานไร้ทักษะ และได้รับค่าจ้างต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศ”

สตีฟช่วยเสริมว่า นอกจากโครงการช่วยเหลือสัตว์ป่าแล้ว ที่ฮาร์นาสยังมีโครงการช่วยเหลือชนเผ่าซาน ทั้งจ้างให้ทำงานในฟาร์มและให้การศึกษากับพวกเด็กๆ ในฟาร์มมีศูนย์ดูแลเด็กอยู่ อาสาสมัครที่สนใจงานด้านสังคมสงเคราะห์สามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมสอนหนังสือเด็กๆ ชาวเผ่าซานได้ กำหนดระยะเวลา 2 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน

ผมคิดเองว่า คงคล้ายครูอาสาบนดอยที่เมืองไทย อาสาสมัครชาวอังกฤษกลุ่มนั้นดูสนใจมาก เห็นคุยกันว่า พอหมดโปรแกรม Exclusive Volunteer สองสัปดาห์แล้วอาจจะย้ายไปทำส่วนนั้นแทน


ส่วนกิจกรรมที่กลุ่มของเรามาทำวันนี้ คือการเรียนรู้วิถีชีวิตแบบชนพื้นเมืองในหมู่บ้านของชนเผ่าซานซึ่งจัดไว้รับนักท่องเที่ยว ถ้าบอกว่าเหมือนเป็นการจัดฉากก็ใช่ แต่ก็เป็นวิธีที่ทำให้ชาวเผ่ามีรายได้พอเลี้ยงชีพ และได้อนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ด้วย จะถูกหรือผิดก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง

หมู่บ้านของชนเผ่าซานที่พวกเราไปเยี่ยมชมเป็นกระท่อมทำด้วยหญ้าแห้ง ลักษณะเหมือนเต็นท์หลังใหญ่ๆ 4-5 หลัง มีคนอยู่สัก 20 คน ทั้งผู้ใหญ่ เด็กและคนแก่ พวกเขาแต่งกายด้วยชุดแบบพื้นเมืองซึ่งมักจะทำจากหนังสัตว์ ผู้ชายมีแค่หนังสัตว์พันเอวปิดส่วนหน้า ส่วนของผู้หญิงจะผูกหนังสัตว์ยาวลงมาคล้ายกระโปรง แต่ไม่สวมเสื้อ ส่วนเด็กเล็กๆ วิ่งกันตัวเปล่าไม่ใส่อะไรเลย ทุกคนผมสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ มีสร้อยลูกปัดสวมประดับที่คอ

พอนักท่องเที่ยวไปถึง พวกเขาก็จะออกมาต้อนรับด้วยการร้องเพลงและเต้นระบำ หลังจากนั้นสตีฟกับเฮเลนก็แบ่งพวกเราเป็นกลุ่มๆ สลับกันเรียนเรื่องต่างๆ ที่ชาวเผ่าจะเป็นผู้สอน ก็มีการแกะรอยสัตว์, หัดก่อไฟด้วยแท่งไม้, หัดยิงธนูแบบโบราณซึ่งเป็นธนูคันเล็กๆ ผมเอากล้องวิดีโอติดมาด้วย กะว่าจะถ่ายคลิปเก็บไปฝากเจ้เคธกับป๊า ไม่แน่ถ้าป๊าดูแล้วอาจจะสนใจ อยากมาเที่ยวนามิเบียตามรอยหนังเรื่องโปรดบ้างก็ได้

พวกเราอยู่ที่หมู่บ้านชนเผ่าซานจนกระทั่งบ่าย จึงนั่งรถต่อไปเที่ยวศูนย์วัฒนธรรม Tswana ซึ่งเป็นกึ่งๆ พิพิธภัณฑ์ บอกเล่าเรื่องราวของเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนใต้ ตั้งแต่บอตสซาวันนา, แอฟริกาใต้, ซิมบัคเว่ และนามิเบีย

โซเฟียกับมาเรียนน่าซึ่งไม่ใช่สายชื่นชอบแนววัฒนธรรมแอบเบื่อเล็กน้อย บ่นว่าให้ไปทำความสะอาดกรงชีต้ายังสนุกกว่า แต่ผมว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี วันนี้ผมนั่งรถบัสคู่กับร็อบ คุยกันติดลมเรื่องหนังที่ป๊าเปิดให้ดู แมทเห็นผมมีเพื่อนคุยแล้วก็เลยไปนั่งด้านหน้ากับพวกสต๊าฟ



พวกเรากลับมาถึงฮาร์นาสตอนเย็น กินอาหารแล้วก็แยกกันไปพักผ่อนตามปกติ วันนี้ทุกคนรีบกลับที่พักเพื่อไปอาบน้ำสระผม เมื่อวานตอนค้างเอาท์ดอร์แทบไม่มีใครอยากอาบน้ำเนื่องจากไม่สะดวกเท่าไร วันนี้ก็ออกไปลุยมาทั้งวัน ทั้งเหงื่อทั้งฝุ่นเต็มตัว ผมกับแมทเองก็กลับไปอาบน้ำที่ลอด์จ แต่พออาบน้ำเสร็จแล้วผมก็บอกแมทว่า ผมต้องไปที่ส่วนกลางอีกครั้ง เพราะต้องคุยโทรศัพท์กับรุ่นน้องที่นัดกันไว้ แมทจึงเดินออกมาเป็นเพื่อนเหมือนเคย

“จริงๆ คุณไม่ได้ต้องเดินไปเป็นเพื่อนผมก็ได้นะครับ ผมเดินไปกลับจนชิน ไม่ต้องห่วงหรอก คุณเหนื่อยแล้ว น่าจะพักผ่อน”

ผมบอกเขา แต่แมทกลับส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ได้ห่วงกลัวคีจะหลงหรอก แค่อยู่ในห้องคนเดียวก็เบื่อ ออกไปเดินเล่นคุยกันดีกว่า”

พวกผมเดินไปถึงส่วนกลางแล้ว ผมเปิดอินเทอร์เน็ต ไลน์บอกบิวว่าพร้อมแล้ว ให้คอลมาได้เลย รุ่นน้องผมอ่านแล้วแต่ตอบกลับมาแค่ว่า [OK] แล้วก็เงียบหายไป สงสัยว่าจะไปหาที่ที่จะโทรคุยสะดวก

ผมเห็นตรงที่นั่งเล่นส่วนกลางวันนี้คนค่อนข้างเยอะ เลยเดินออกมาตรงลานด้านหน้าซึ่งเป็นสนามหญ้าตัดเรียบ เหนือศีรษะฟ้ามืดแล้ว ดวงดาวเริ่มส่องแสง แมทออกมายืนดูดาวเป็นเพื่อน ผมนึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ก็เลยทักเขาไปว่า

“จริงสิ สองสามวันนี้ไม่เห็นคุณลิซ่าเลยนะครับ ไม่รู้ว่าออกไปทำงานตรงไหน”

แมทหน้าขรึมลงนิดหน่อย ตอนที่ตอบกลับมา “ลิซ่าก็คงทำงานอยู่ในฮาร์นาสที่แหละ แต่เขาคงไม่ได้แวะมาที่ส่วนกลาง อาจจะไม่สะดวกเจอหน้าฉัน”

“อ้าว” ผมอุทานออกมาอย่างแปลกใจ คุณลิซ่าเนี่ยเหรอจะไม่อยากเจอแมท เห็นก่อนหน้านี้ตามติดพี่ยักษ์แทบทุกฝีก้าว “ทำไมละครับ”

คุณสิงโตถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “วันก่อนที่ลิซ่าไม่สบาย แล้วฉันไปนั่งเฝ้าอยู่เป็นเพื่อน เธอมาบอกว่าชอบฉันน่ะ”

ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ในใจนึกว่า สาวผมบลอนด์คนนั้นก็กล้าพุ่งชนดีแฮะ “แล้วคุณตอบเธอไปว่ายังไงหรือครับ”

“ฉันปฏิเสธไปว่า คงตอบรับความรู้สึกเธอไม่ได้ เพราะฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

แมทตอบแล้วหมุนตัวหันมามองผม แต่จากมุมที่พวกเรายืนอยู่ ผมไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนนัก ผมฝืนยิ้มแล้วตอบเขาไปตามมารยาท “น่าเสียดายจัง คุณลิซ่าก็เป็นคนสวย แต่คนที่แมทชอบก็คงจะเป็นคนที่ดีมากๆ เหมือนกัน ไม่งั้นคุณคงไม่ชอบหรอก”

“อืม เป็นคนที่ดีมาก ร่าเริง สดใส อยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ”

แมทเอ่ยแล้วเดินเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว ผมกลืนน้ำลายลงคอ หันหน้าหลบสายตาเพราะไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าแปลกๆ ของตัวเองตอนนี้ งึมงำตอบเขาไปว่า “เหรอครับ....ฟังดูเป็นคนที่เหมาะกับคุณมากจริงๆ ไว้แนะนำให้ผมรู้จักบ้างนะ”

แมทขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยว่า

“คนนั้น...คีเองก็รู้จักนะ”

“เอ๋?” ความแปลกใจทำให้ผมเผลอหันไปมองหน้าคนพูดโดยอัตโนมัติ แล้วก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้ารกด้วยหนวดนั่น ดวงตาเรียวสวยของเขามีประกายลึกซึ้งบางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น

คนที่ผมก็รู้จัก...หรือว่าจะเป็น...?

แมทกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นเสียงก่อน ผมสะดุ้ง รีบละสายตาจากเขาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู “รุ่นน้องผมโทรมาแล้วครับ ขอเวลาแป๊บหนึ่งนะ” ผมบอกแล้วกดรับโทรศัพท์ ทั้งนึกโล่งใจและหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ ผมพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ แล้วเอ่ยทักคนทางปลายสาย

“ฮัลโหล บิว ว่าไง”

[คี นี่พี่เอง]

ผมชะงักกึก เสียงทุ้มที่ตอบกลับมานั้นไม่ใช่เสียงรุ่นน้องของผม แต่เป็นเสียงของใครอีกคนที่ไม่ได้ยินมาเป็นเดือน เสียงที่เคยทำให้ผมอมยิ้ม รู้สึกว่าโลกสดใสทุกครั้งที่เขาโทรมาหา เสียงของคนที่เคยทำให้ผมเจ็บปวดจนต้องข้ามน้ำข้ามทะเลหนีมาถึงที่นี่

ผมนิ่งอึ้งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็ได้แต่กระซิบเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วๆ

“พี่เมธ”


...........................TBC....................................


มาม่าร้อนๆ เสิร์ฟแล้วค่าาาา หลังจากที่ชิลมาเป็นสิบวัน ก็จะเริ่มมีช่วงหน่วงแล้วนะคะ มาเอาใจช่วยคุณสิงโตกับน้องคีแมวน้อยกันต่อนะคะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ว่าแล้วว่ารุ่นน้องต้องโดนวานให้ช่วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Kumamon_Kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำให้น้องเสียใจจนน้องหนีมาไกลขนาดนี้แล้วยังจะมาขัดคุณสิงโตอีกนะอิตาเมธเนี่ย ดูท่าแล้วมาม่าคงร้อนจนลวกปากเลยแน่ๆเลย แง๊งงงงงง   :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :o12:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ก็แอบเอะใจอยู่ว่ารุ่นนี้นี่ต้องรู้จักกับอิพี่เมธแน่เลย ฮึ่ยยยย
เอาใจช่วยทั้งคุณสิงโตและลูกแมวน้อยของเขา สู้ๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เฮ้อ.........ซื้อหวยทำไมไม่ถูก นึกแล้ว  :z3: :z3: :z3:
ว่าอีพี่เมธ ต้องมาทางเพื่อน ให้เพื่อนโทรหา
เพราะนางหาทางติดต่อมาตลอด  เหอะ.......
ทีไปจ้ำจี้กับรุ่นนัองทะลึ่งไม่คิดถึงใจคี
ตอนนี้มาคิดหาหอกอะไร  นอกใจคี ทำร้ายจิตใจคี
คี เทไอ้พี่เมธ ไปเล้ยยยย คนที่ไม่เห็นคุณค่าของคี    :m20: :laugh:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ว่าแล้ว มาไกลขนาดนี้ยังตามตื้อไม่เลิกอีก เดี๋ยวให้แมทจัดการซะเลยนี่

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 22

“พี่เมธ”

ใจผมกระตุกวูบ เกือบจะดึงโทรศัพท์ลงมาแล้วกดตัดสายโดยอัตโนมัติ แต่ปลายสายกลับเรียกไว้เสียก่อน

[คี! อย่าเพิ่งตัดสายนะ ได้โปรด...พี่ขอร้อง]

น้ำเสียงของพี่เมธทั้งร้อนรนและแผ่วโหย ผมไม่เคยได้ยินเขาทำเสียงแบบนี้มาก่อน สุดท้ายก็เลยได้แต่นิ่งอึ้ง ส่วนแมทขมวดคิ้วตั้งแต่ตอนได้ยินผมเรียกชื่อ พี่เมธ เขาเดินเข้ามาหา ถามหน้าเครียด แต่ลดเสียงลงเพื่อไม่ให้ดังเข้าไปในโทรศัพท์ “Are you ok? Do you want me to talk to him?”

“No, Thank you. I am ok” ผมฝืนยิ้มแล้วขยับปากตอบเขาไป “Just a minute” ผมบอกแล้วก็หมุนตัว เดินห่างออกมานิดหนึ่ง ถึงแมทจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาได้ยินบทสนทนา ไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าผมตอนนี้

[คีคุยกับใครน่ะ] พี่เมธถามมา

“เพื่อนเจ้เคธที่คีมาพักอยู่ด้วยครับ” ผมตอบไปสั้นๆ

[คิดอยู่เหมือนกันว่า คีคงไม่ได้ไปกับทัวร์ น่าจะไปพักกับเพื่อนไม่ก็ญาติ นี่ตกลงคีอยู่ประเทศไหนกันแน่ ทำไมถึงไม่ค่อยมีอินเทอร์เน็ต] พี่เมธถามต่อ ไม่ได้ฟังคาดคั้นหรือหงุดหงิดเหมือนจะเป็นห่วงมากกว่า แต่ผมกลับถอนใจเมื่อได้ยิน แล้วก็ตอกกลับเขาไปแบบติดจะเย็นชา

“คีไม่จำเป็นต้องตอบนะครับ”

พี่เมธนิ่งอึ้ง พึมพำว่า [พี่ขอโทษ...]

“พี่เมธมาใช้ไลน์บิวโทรหาคีได้ยังไง” ผมถามเรื่องที่สงสัยที่สุดก่อน ผมไม่เคยรู้ว่าก่อนว่า พี่เมธรู้จักรุ่นน้องคณะผมคนนี้ด้วย

[บิวเป็นน้องชมรมพี่]

“อ้อ...” ผมครางแล้วจึงพยักหน้า แค่นหัวเราะออกมาเมื่อข้อสงสัยกระจ่าง “บิวหลอกคีสินะ” ผมนึกตงิดใจอยู่แล้วว่าทำไมรุ่นน้องถึงได้อยากโทรศัพท์คุยกับผมถึงขนาดต้องไปขอเบอร์ไลน์จากเจ้เคธ ที่แท้ก็ช่วยออกหน้าให้พี่เมธ อย่างนี้เรื่องที่บอกจะปรึกษาก็คงเอามาบังหน้าเท่านั้น

[อย่าโกรธบิวเลย พี่เป็นคนไปขอร้องน้องเขาเอง] พี่เมธยอมรับอ่อยๆ [คีไม่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ พี่ไปบ้านคี แต่ทั้งป๊าม้าแล้วก็เจ้เคธ ไม่มีใครยอมบอกพี่ว่า คีไปไหน พี่เลยต้องขอร้องทุกคนที่จะช่วยได้]

ผมนึกถึงตอนวิดีโอคอลคุยกับครอบครัว ไม่มีใครบอกผมเลยว่าพี่เมธมาหา ทุกคนคงอยากจะให้ผมอยู่ฮาร์นาสอย่างสบายใจที่สุด นี่ถ้าเจ้เคธรู้ว่า เขาถึงกับใช้น้องคณะโทรมาหลอกเอาไลน์ผมไป พี่สาวผมต้องเม้งแตกแน่

“พี่เมธอย่าไปกวนบ้านคีเลยครับ แล้วก็ไม่ต้องไปขอร้องใครให้ช่วยด้วย คีว่าเราคุยกันจบแล้วตั้งแต่วันนั้...”

[พี่เลิกกับเกลแล้ว]

อดีตคนรักของผมเอ่ยแทรกขึ้นมา ผมชะงัก “เลิกหรือครับ?”

[ใช่ เลิก ไม่สิ พี่ไม่เคยคบกับเขาอยู่แล้ว พี่กับเขา...มันก็แค่ความพลั้งเผลอนะคี พี่ไม่เจอเขาอีกเลย ตั้งแต่วันที่คีมาเจอพวกเรา....]

มีอะไรกันบนเตียงของพี่เมธ เตียงซึ่งผมเป็นคนไปช่วยเขาเลือกเข้าคอนโด ผมต่อให้ในใจ แต่ไม่อยากพูดออกไปให้ฟังเหมือนคำประชด ผ่านมาเดือนกว่าแล้วหลังจากวันนั้น อารมณ์ของผมเย็นลงมาก ไม่ได้เจ็บหนักเหมือนก่อนบินมาฮาร์นาส ถึงเวลาที่ควรจะพูดกับพี่เมธรู้เรื่องเสียที

“มันไม่สำคัญหรอกว่า พี่เมธจะเลิกกับเขาแล้ว หรือว่าระหว่างพี่กับน้องรหัสของพี่เป็นความสัมพันธ์แบบไหน ประเด็นคือ พี่เมธนอกใจและโกหกคี แล้วคีก็ทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้”

พี่เมธยังคงย้ำ [พี่ขอโทษ เรื่องนั้นพี่ผิดจริงๆ พี่แค่...สับสน...พี่ไม่รู้จะบอกคียังไง]

เขาเอ่ยอย่างอึกอัก ส่วนผมนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบคำแต่ก็ไม่ได้กดวางสาย ผมคิดว่า ผมควรให้โอกาสเขาได้อธิบาย และให้โอกาสตัวเองได้รู้เหตุผล พี่เมธถอนใจแล้วเริ่มพูดต่อ

[พอทำงานแล้ว ทุกอย่างไม่เหมือนตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเลยคี ตอนนั้นพวกเรามีแต่เพื่อน อยู่ท่ามกลางคนที่เข้าใจและพร้อมจะยอมรับเราสองคน แต่พอมาทำงานในบริษัท ข้างในนั้นมีทั้งหัวหน้าหัวโบราณ คอยจับผิดชีวิตส่วนตัวของลูกน้อง แล้วก็พวกเพื่อนร่วมงานปากเปราะที่เห็นว่า การเป็นเกย์เป็นเรื่องน่ารังเกียจ น่าล้อเลียน...]

[พวกนั้นพูดจาดูถูกเกย์กับกะเทย พี่นั่งอยู่กลางวง ต้องหัวเราะเฮฮาไปกับพวกเขา แต่ในใจพี่กลัว...พี่ไม่กล้าบอกใครว่าพี่ก็เป็นเกย์ด้วยเหมือนกัน]

เสียงพี่เมธเหมือนจะร้องไห้ และผมก็ได้แต่นิ่งฟัง ผมไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานเขาเป็นแบบนี้ มิน่าตอนผมบอกว่า ผมทำเรื่องขอไปฝึกงานในบริษัทเขา พี่เมธถึงได้ดูอึกอักลำบากใจ เขาพยายามยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อให้ผมเปลี่ยนใจไปฝึกงานที่อื่น

[ตอนเทอมสอง คณะส่งเกลมาฝึกงานในบริษัทพี่ พี่ก็เทคแคร์เขาตามประสาพี่รหัสน้องรหัส พาไปกินข้าวกลางวัน ไปส่งบ้านหลังเลิกงาน จนวันหนึ่ง คนในออฟฟิศมาถามว่า ได้ยินว่าพี่เป็นเกย์ พี่มีแฟนเป็นผู้ชาย จริงหรือเปล่า พี่ตกใจไม่รู้จะตอบยังไง สุดท้ายเกลก็เข้ามาช่วย บอกพวกนั้นว่า พี่จะเป็นเกย์ได้ยังไง พี่เป็นแฟนเขาต่างหาก]

[พวกเราทำเป็นคบกันเพื่อหลอกคนในออฟฟิศ พี่พาเขาไปกินข้าว ไปดูหนัง แล้วสุดท้าย...มันก็เกินเลยไป]

ผมยิ้มฝืนออกมาครั้งหนึ่ง นึกไปก็น่าขำ เขากับน้องรหัสแกล้งคบกันเพื่อนกลบเกลื่อนเรื่องที่พี่เมธเป็นเกย์ แล้วเขาก็มาโกหกผมอีกต่อว่า ระหว่างเขากับน้องรหัสไม่มีอะไร คำโกหกซ้อนโกหก แล้วสุดท้าย คำโกหกเรื่องหนึ่งก็กลายเป็นความจริง

“จบแล้วใช่ไหมครับ” ผมถาม

[ยังไม่จบนะคี พี่เลิกกับเกลแล้ว พี่บอกทุกคนในออฟฟิศไปแล้วด้วยว่า พี่ไม่ได้คบกับเกล คีให้โอกาสพี่ได้ไหม พี่รักคี พี่ขาดคีไม่ได้ พี่สัญญาว่า พี่จะไม่ขี้ขลาดตาขาว จะไม่ปิดบังใครต่อใครอีกว่า เราเป็นอะไรกัน]

“โอกาสของพี่เมธหมดไปตั้งนานแล้วครับ”

ผมพูดแล้วถอนใจออกมาเบาๆ เอ่ยต่อด้วยเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเกล ถึงไม่มีเขาเข้ามาแทรก โอกาสของเราสองคนก็หมดไปตั้งแต่พี่ปิดบังคีเรื่องพี่มีปัญหาในออฟฟิศ พี่บอกว่าพี่รักคี แต่ความรักของพี่คงไม่มากพอที่พี่จะให้โอกาสคีเผชิญปัญหาพร้อมกับพี่ พี่ถึงเลือกจะปิดบังและโกหก...เลือกจะทิ้งคีไว้ข้างหลัง ”

ผมพยายามอธิบายอย่างใจเย็น “ถึงพี่เมธสัญญาว่าจะแก้ไขเรื่องทั้งหมด แต่ความเชื่อใจที่คีมีให้พี่ มันถูกทำลายไปหมดแล้ว คีไปต่อกับพี่ไม่ได้จริงๆ เราจบกันตรงนี้เถอะ”

พี่เมธเงียบไปนานจนผมเกือบจะคิดว่าเขาคงตัดสายไปแล้ว แต่เขากลับเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างวอนขอ

[พี่ขอโอกาสสุดท้ายได้ไหม ตอนคีกลับมา พี่ขอเจอคีสักครั้ง อย่างน้อย...ก็ให้เราได้คุยกันต่อหน้า]

“ไม่มีประโยชน์หรือครับ จะคุยต่อหน้าหรือคุยทางโทรศัพท์ คำตอบของคีก็จะเป็นคำตอบเดิม”

ผมถอนใจออกมา ก่อนจะตัดสินใจพบกันครึ่งทาง อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องร้อนรนจนไปรบกวนครอบครัวหรือคนรอบตัวผมอีก

“ถ้าพี่เมธคิดว่า คุยกันต่อหน้าแล้วจะเคลียร์กว่า ไว้คีกลับเมืองไทย เราค่อยนัดกันอีกทีก็แล้วกันนะครับ คงต้องเป็นตอนมหาวิทยาลัยเปิดเทอม คียังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ระหว่างนี้พี่เมธไม่ต้องหาทางติดต่อมาอีก คีจะบล็อกไอดีบิว แล้วก็จะไม่รับสายใครนอกจากคนที่บ้าน”

[ก็ได้...แค่คียอมให้พี่ไปเจอ พี่ก็จะไม่โทรกวนคีแล้ว คีพักผ่อนให้สบายใจ ดูแลตัวเองให้ดีๆ ละ]

พี่เมธตอบกลับมา ดูท่าทางโล่งใจขึ้นนิดหนึ่ง คงคิดว่ายังมีโอกาสคุยกับผมอีกครั้ง เขาย้ำก่อนจะตัดสาย

[พี่รักคีนะ]

ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วกดตัดสายโดยไม่ได้ตอบอะไรเขาไปแม้แต่คำเดียว หลังจากนั้นก็เดินกลับไปหาแมทซึ่งยืนหน้าเคร่งรออยู่ ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาคุณสิงโต ฝืนยิ้มแล้วบอกเขาว่า

“แมท ขอโทษที่ให้รอนะครับ กลับห้องกันเถอะ”
………………………………………………………..



ถึงพี่เมธจะรับปากแล้ว แต่ผมไม่อยากจะรู้สึกไม่ดีแบบเมื่อกี้อีก เลยขอเวลาแมทโทรหาเจ้เคธเพื่อย้ำว่า อย่าให้ไลน์กับเบอร์ใหม่ของผมกับใคร พี่สาวผมไม่รับสาย ผมจึงได้แต่ส่งไลน์ไปบอกก่อน เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่เรื่องถูกบิวหลอกจนถึงพี่เมธสัญญาว่าจะไม่โทรมา

[เขาบอกว่าจะไม่ไปกวนบ้านเราอีก แต่คีก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอย่างที่รับปากรึเปล่า เจ้สั่งคนงานไว้ว่าอย่าให้เขาเข้าบ้านดีกว่า ฝากบอกป๊าม้าด้วยว่า คีขอโทษที่เขาไปวุ่นวาย]

ผมกดส่งไลน์ไปแล้วก็ปิดโทรศัพท์ เพราะยังไงไปถึงลอด์จก็ใช้ไม่ได้ หลังจากนั้นจึงชวนแมทเดินกลับที่พัก


ผมเงียบไปตลอดทาง และแมทก็ไม่ได้ถามอะไรสักคำ จนเข้าห้องแล้วเขาถึงถามว่า ผมจะใช้ห้องน้ำก่อนหรือเปล่า ผมบอกไปว่า ขอนั่งคิดอะไรเงียบๆ สักครู่หนึ่ง ให้เขาอาบน้ำไปก่อนเลย คุณสิงโตรับคำแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงของตัวเอง พยายามทบทวนความรู้สึกสับสนปนเปในใจ

สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำให้ความโกรธเคืองซึ่งฝังแน่นอยู่ในใจผมลดลงมาก ตอนเห็นพี่เมธกับเกลนัวเนียกันอยู่บนเตียง ผมรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ และผิดหวัง ผมบอกเลิกเขาแล้วกลับมานอนร้องไห้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรักเขาอยู่ ผมถึงได้บินหนีมาเสียไกล เพราะกลัวว่าหากเจอหน้าพี่เมธ สุดท้ายตัวเองจะยอมยกโทษให้เขา

เมื่อผมมาอยู่ฮาร์นาส สิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ ผู้คนที่พบเจอ รวมถึงเวลาก็ช่วยเยียวยาให้ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นจางหายไป วันนี้หลังจากได้ฟังคำสารภาพของพี่เมธ ผมจึงพบว่า ตัวเองไม่รู้สึกโกรธหรือเจ็บปวดอีกแล้ว

สิ่งที่มาแทนที่คือความเศร้า... ผมรู้สึกเศร้ากับตัวเอง เศร้าแทนพี่เมธ และเศร้าแทนเกลด้วย

พอมาย้อนคิดถึงท่าทีของเกลตั้งแต่ตอนพวกผมเริ่มคบกัน ผมก็เดาได้ว่า เธอคงแอบชอบพี่รหัสตัวเองมานานแล้ว การที่เธอออกหน้ารับสมอ้างว่าเป็นแฟนเขา ตอนแรกเกลคงไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาส แต่น่าจะอยากช่วยพี่เมธจริงๆ ทั้งคู่ต้องแกล้งเป็นแฟนกัน สำหรับเธอมันคงเหมือนความฝัน หลังจากพวกเขาเกินเลยกันไปแล้ว เกลถึงได้พยายามจะแสดงออกให้ผมรู้ เธอพยายามยื้อแย่งอย่างสิ้นหวังเพื่อไม่ให้ฝันนั้นจบลง

ส่วนพี่เมธ ผมไม่คิดว่าเขาโกหกที่บอกว่ารักผม ตลอดเวลาที่คบกัน เขาดูแลผมอย่างดี และผมก็รู้ว่าเขาเองก็มีความสุข แต่ก็อย่างที่ผมบอกเขาไปนั่นแหละ ความรักของเขาไม่มากพอที่เขาจะพาผมก้าวไปด้วยกัน เมื่อถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างกดดัน เขาถึงได้ลังเลว่า ตัวเองเลือกเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า แล้วสุดท้ายความลังเลนั้นก็นำไปสู่การโกหก

ช่วงหลังก่อนผมจะรู้ความจริง พี่เมธดูเคร่งเครียดและเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา พอผมถาม เขาก็ยิ้มแล้วตอบว่า เครียดเรื่องงาน แต่ความจริงผมว่าเขาคงจะกลัว พี่เมธไม่ใช่คนเลวร้ายถึงขนาดภูมิใจที่ได้หลอกลวงคนรัก เขาคบผมกับเกลพร้อมกัน ต้องอยู่กับคำโกหกและความกลัวว่า ความจริงจะปรากฏขึ้นสักวัน สำหรับเขามันคงเหมือนการเดินบนเส้นเชือก

ผมเข้าใจพี่เมธ ผมเศร้าแทนเขา แต่ผมก็ไม่สามารถกลับไปรักเขาได้อีก

ทุกอย่างมันจบลงแล้ว...

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังมาจากทางด้านหลัง แมทเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก้มลงมองผมซึ่งยังนั่งอยู่ตรงขอบเตียง เขามองผมนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลจากดวงตา ร่วงตกลงมาบนแก้ม

มือใหญ่หยาบกร้านยื่นมาแตะไล้ ปัดเช็ดน้ำตาหยดนั้นให้ ใบหน้ารกด้วยหนวดคลี่ยิ้มอ่อนโยน ขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยปลอบ

“It’ s ok to cry.”

ประโยคนั้นราวกับคำอนุญาต ผมสูดลมหายใจแรงๆ เข้าครั้งหนึ่ง หยาดน้ำทะลักออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“อึก! ฮึก! ” ผมพยายามกัดฟันฝืนกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายผมก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น

แมทดึงตัวผมให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วกอดไว้แน่น สัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกายยิ่งทำให้ผมสะอื้นฮัก เบียดตัวสั่นเทาเข้าไปในอ้อมแขนนั้น ริมฝีปากของเขาแตะลงบนหน้าผาก ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะกระซิบแผ่วๆ

“Everything will be alright, baby. I’ ll always be with you.”



...........................TBC..............................



ตอนนี้มาสั้นๆ ก่อนนะคะ เราเข้าสู่ช่วงต้องปั่นงานแล้ว แต่คิดว่าทุกคนคงเป็นห่วงน้องคี เลยรีบจิ้มมาลงก่อน

สิ่งที่ยากสำหรับตอนนี้คือ คำขอโทษของพี่เมธ กับคำอธิบายของน้องคีค่ะ เราตั้งใจอยากให้ตัวพี่เมธก็ไม่ใช่คนเลวร้าย (ไม่อย่างนั้นน้องคีไม่น่าจะคบมาได้ตั้ง 3 ปึ แถมที่บ้านยังให้ผ่านด้วย) เพียงแต่เนื้อแท้ค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเจอปัญหาก็เลยโอนเอนไปมา สุดท้ายก็พังกันหมด

ส่วนคำอธิบายของน้องคี เราอยากให้น้องชัดเจนกับตัวเองเรื่องปัญหาที่หนีมาก่อนน่ะค่ะ เพราะลำพังเรื่องหัวใจวุ่นๆ ที่กำลังอีนุงตุงนังอยู่ที่ฮาร์นาสนี่ก็ลำบากแล้ว เอาใจช่วยน้องเหมียวกันด้วยนะคะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2018 14:00:04 โดย naoto »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบ อ่ะ ........... คี ตัดจบพี่เมธได้  :katai2-1:

แมท จะบอกชอบคี ถูกสายพี่เมธตัดหน้าซะนี่
ไม่เป็นไรนะ  แมท ยังได้ปลอบคี   :mew1:
ได้พูด  “Everything will be alright, baby.  I’ ll always be with you.”
I’ ll always be with you.” สารภาพรักกลายๆหรือเปล่า   :z3: :z3: :z3:
แมท  คี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เฮ้ออออ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะน้องคี โอ๋ๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออ สงสารพี่เมธอยู่นะ แต่ยังไงพี่สิงโตก็เป็นพระเอกนะจ๊ะเรื่องนี้อิอิ พี่เมธไว้เรื่องหน้าละกัน 55555

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คุณสิงโตกอดปลอบใจน้องแล้ว เดี๋ยวน้องก็ดีขึ้น

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ฝากฝังพี่แมทดูแลน้องคีให้ดีนะครับ ให้ดีกว่าคนก่อนหน้านี้ของน้อง ให้น้องได้พบคนดีๆ จะได้มีความสุขเสียที //สงสารน้อง :hao5:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เมธ อย่าแอบเป็นตัวร้ายละกัน

ออฟไลน์ Kumamon_Kung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอเคเข้าใจเมธละ แต่มันควรจะมีทางออกที่ดีกว่าการโกหกไม่ใช่หรอ แล้วน้องคีพูดถูกนะที่บอกว่า "ความรักของพี่คงไม่มากพอที่จะให้โอกาสผมเผชิญปัญหาไปพร้อมกับพี่" ดังนั้นมันก็ไม่แปลกที่ผลรับมันจะเป็นอย่างนี้อ่ะ เรียกว่าสมน้ำหน้าได้ป่ะ แล้วต่อให้น้องคีกลับไทยไปก็คงไม่ใจอ่อนง่ายๆแล้วล่ะ อันนี้ขอมโนว่าคุณสิงโตต้องตามน้องไปชัว  :z6: :z6: :z6: :z6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ naoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 23

ผมร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนแมทอย่างนั้นเนิ่นนาน อาจจะหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมง...ผมก็ไม่รู้ แมทประคองผมให้นั่งลงบนเตียง โอบแขนกอดผมไว้ไม่คลาย มือใหญ่ลูบหลังให้เป็นเชิงปลอบ ผมเอียงหน้าซบบ่าเขา พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

แมทยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาไปจากแก้มให้ ก่อนจะใช้สองมือประคองใบหน้าผมให้เงยขึ้นสบตาเขา ผมจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวคมวาวนั้นราวกับถูกสะกด เขามองผมแล้วกระซิบว่า

“ฉันไม่รู้ว่าแฟนเก่าคีพูดอะไร แต่คีมีค่าเกินกว่าที่จะต้องเสียใจเพราะผู้ชายคนนั้น”

ผมถอนสะอื้น แมทก้มหน้าลงมาหาขณะที่ผมหลับตาลง ริมฝีปากของเขาแตะแต้มลงบนปลายหางตาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลากไล้ลงมาตามผิวแก้ม สัมผัสของลมหายใจอุ่นที่เป่ารดริมฝีปากบ่งบอกว่า ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว

Rrrrrrrrrrr

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เราสองคนสะดุ้งเฮือกแล้วรีบผละออกจากกัน แมทปล่อยมือจากผม ขยับลุกจากเตียงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่วางอยู่บนโต๊ะ เขายกมืออีกข้างเสยผมที่ปรกหน้าผากพลางระบายลมหายใจยาว และถ้าผมมองไม่ผิด สีหน้าเขาดู...เคร่งเครียด คิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังโกรธหรือหงุดหงิดอะไรบางอย่าง

คุณสิงโตรับสายแล้วทักว่า “Hi Katie, yes, he is here.”

เขาฟังเสียงจากปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม ยื่นโทรศัพท์ให้แล้วบอกเสียงราบเรียบ “เคธี่โทรมา เธอเห็นข้อความของคีแล้วตกใจมาก พยายามโทรเข้าเครื่องคี แต่โทรไม่ติด”

“ผมนึกว่ากลับมาห้องแล้วไม่มีสัญญาณ เลยปิดเครื่องน่ะครับ”

ผมบอกแล้วรับโทรศัพท์มา พยายามทำท่าทางปกติทั้งที่ยังรู้สึกขัดเขินกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วกรอกเสียง “ฮัลโหล เจ้เคธ”

[คี! เจ้ลงไปดูหนังกับป้าม๊าที่ห้องข้างล่างแล้วลืมหยิบมือถือลงไป เลยเพิ่งเห็นไลน์ นี่ไอ้เชี่ยเมธมันโทรไปกวนคีเหรอ! หน็อย ใช้เด็กมาหลอกเอาเบอร์คีไปจนได้ ทุเรศที่สุด!]

เจ้เคธถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแกมเป็นห่วง พี่สาวผมเม้งแตกอย่างที่คิด แถมทำท่าจะบ่นยาวอีกหลายคำ แต่ผมเกรงใจแมทเพราะใช้โทรศัพท์เขา แถมกลัวว่าค่าโทรศัพท์ข้ามประเทศจะแพงเกินไป จึงตัดบทว่า “คีโอเค ไม่เป็นไรแล้วละ เจ้เคธ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่ำๆ คีคอลหาอีกทีได้ไหม คุยแบบนี้เปลืองค่าโทรศัพท์ตายเลย”

[แกก็ห่วงไม่เข้าเรื่อง แค่นี้ขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอกย่ะ เอาเถอะ ถ้าโอเคแล้วคืนนี้ก็รีบพักผ่อนซะ ถ้าไม่สบายใจขึ้นมาก็คุยกับแมทนะ รายนั้นเป็นที่ปรึกษาที่ดี]

พี่สาวผมแนะนำ ผมฟังเงียบๆ เหลือบมอง ‘ที่ปรึกษา’ ที่ยืนรออยู่แล้วก็รับคำ

“อืม เจ้ไม่ต้องห่วง จะคุยกับแมทไหม”

[ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้ค่อยคุย แกรีบเข้านอนเถอะ] เจ้เคธบอกแล้วก็วางสายไป

ผมส่งโทรศัพท์คืนให้แมท “เจ้เคธเป็นห่วงน่ะครับ เลยโทรมาถาม”

คุณสิงโตพยักหน้า “อืม เมื่อกี้ตอนรับสาย เคธี่บอกแล้วละ” เขายกมือมาทำท่าเหมือนจะลูบศีรษะผม แต่แล้วก็ชะงัก ดึงมือกลับไปก่อนจะบอกขรึมๆ “คีไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยเถอะ ตาแดงหมดแล้ว เสร็จแล้วจะได้เข้านอน”

“ครับ” ผมรับคำแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ

ผมวักน้ำล้างหน้าก่อนจะเงยขึ้นสบตาตัวเองในกระจก ตาช้ำไปหมดแล้ว ปลายจมูกก็แดงก่ำ สภาพดูไม่ได้สุดๆ พรุ่งนี้คงตาบวมปูดไปทำงานแน่ๆ

พอกลับมา แมทก็บอกให้รีบปิดไฟเข้านอน เขาไม่ได้คุยอะไรกับผมอีก ผมนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนัง พยายามข่มตาหลับ ผ่านไปพักใหญ่ตอนกำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงแมทขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เขายืดตัวมาดูผมนิดหนึ่ง ผมหลับตา พยายามผ่อนลมหายใจให้เหมือนกับหลับสนิทไปแล้ว เขาจึงค่อยถอยห่าง ดึงผ้าห่มที่ปลายเตียงมาคลี่คลุมตัวให้ แล้วจึงลุกจากเตียงไป

ผมได้ยินเสียงเขาคุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์

“อืม..หลับไปแล้ว นี่อุตส่าห์รอจนถึงตอนนี้เลยเหรอ? ที่เมืองไทยเกือบตีสามแล้วนะ”

เมืองไทย? แมทโทรคุยกับเจ้เคธสินะ

เมธเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าห่วงเลย คีนิสัยเหมือนเด็ก แต่ข้างในเข้มแข็งมาก ก็เหมือนเธอนั่นแหละ เขาผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่”

คนทางปลายสายพูดอะไรบางอย่าง แมทถอนใจเฮือก ก่อนจะหัวเราะเครียดๆ

“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัวหรอก ฉันสัญญาไว้แล้วนี่...ยังไม่ไว้ใจอีกหรือไง”

ทางนั้นตอบกลับมาอีก คราวนี้คงเป็นการตัดบท เพราะแมทตอบว่า “อืม ถ้างั้นไว้ค่อยคุยกัน ฉันจะดูแลคีอย่างดีที่สุด” เขาตัดสายแล้วจึงค่อยเดินกลับมา เอนหลังนอนบนเตียง สักพักก็มีเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ

แมทคงหลับไปแล้ว แต่ผมกลับยังตื่นอยู่อย่างนั้นอีกเกือบค่อนคืน

...................................................................



“Dios Mío! (My God! ) คี ไปทำอะไรมา ทำไมตาบวมแบบนี้ละ”

โซเฟียถึงกับอุทานเป็นภาษาสเปนเมื่อเห็นหน้าโทรมๆ ของผมในเช้าวันรุ่งขึ้น ตาผมบวมช้ำอย่างที่กลัว แถมขอบตายังคล้ำเหมือนหมีแพนด้าเพราะนอนไม่หลับ ผมยิ้มแหย เอ่ยเสียงแหบๆ “พอดีเมื่อคืนผมมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ผมบอกโซเฟียแล้วทำมือโอเคให้มาเรียนน่า รายหลังทำสีหน้าเป็นห่วง รีบส่งภาษามือให้ภรรยาตัวเองรัวเร็ว

“มาเรียนน่าถามว่า คีทะเลาะกับแมทหรือ” โซเฟียช่วยแปลให้

“เปล่าๆ ผมไม่ได้ทะเลาะกับแมท” ผมส่ายหน้าดิก แล้วจึงอธิบายไปตามจริง “พอดีแฟนเก่าผมโทรมาน่ะ ผมกำลังหลบหน้าเขาอยู่ แต่เขาก็ให้คนอื่นโทรไปขอไลน์ผมจากพี่สาว กว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็...”

ผมเล่าให้โซเฟียกับมาเรียนน่าฟังคร่าวๆ พอสองสาวรู้เรื่องแล้วก็พลอยเป็นเดือดเป็นแค้นเหมือนที่เจ้เคธเม้งแตกเมื่อคืนเปี๊ยบ โซเฟียพ่นลมหายใจพรืดอย่างหงุดหงิด “คนเลว! นอกใจแล้วมาอ้างว่าเผลอ โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง คีห้ามกลับไปคบกับคนแบบนั้นนะ! You are too good to be with him"

ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “รับทราบครับ คุณครู ผมบอกเลิกเขาไปแล้ว ไม่ต้องห่วง”

“ดีแล้ว” โซเฟียประคองใบหน้าผมขึ้นพลิกซ้ายพลิกขวา ส่ายหน้าพลางจุปากแล้วก็บ่น “ตาสวยๆ ของลูกแมวน้อยช้ำหมด พี่สาวมีอายเซรั่มของเอสเต้ติดกระเป๋ามาด้วย จะให้ยืมไปใช้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ตาช้ำเพราะร้องไห้หนักไปหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย” ผมตอบเธอไป นึกดีใจที่ความสดใสของสองสาวช่วยให้ความรู้สึกหม่นปนอึดอัดที่อยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อคืนคลายลงไปบ้าง

ผมตื่นตั้งแต่รุ่งสางเพื่อไปตรวจรั้วกั้น แมทเดินออกมาด้วยกันเหมือนทุกวัน คุณสิงโตดูเงียบขรึมไปนิดหนึ่งเหมือนมีเรื่องต้องคิด ผมเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับเขา เหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่เจ้เคธจะโทรมาทำให้บรรยากาศระหว่างเราสองคนกลายเป็นคลุมเครือ และผมก็ไม่รู้ว่าควรจะคลี่คลายมันอย่างไร

เช้านี้ร็อบมาสายกว่าโซเฟียกับมาเรียน่า แต่พอเขาเดินเข้ามาเห็นผม เจ้าตัวก็ออกปากทักทันทีเหมือนกัน

“มอร์นิ่งครับ ทุกคน...อ้าว คีไปทำอะไรมา ทำไมขอบตาคล้ำเหมือนอดนอนแบบนั้นละ”

“เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

ผมตอบร็อบไปสั้นๆ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะปิดบังอะไรเขาหรอก แค่ขี้เกียจเล่าเรื่องใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบ อีกอย่างร็อบไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์เหมือนที่โซเฟียกับมาเรียนน่ามองออกแต่แรก ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเขารู้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และตอนนี้ผมเหนื่อยใจมากอยู่แล้ว ไม่อยากเฟลเพิ่มถ้าเขาทำตัวห่างเหินไปอีกคน

แมทเดินเข้ามาเรียก “คี เฮเลนบอกว่าพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”

“ครับ” ผมรับคำแล้วหันมาชวนชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปกันเถอะครับ ร็อบ” ผมบอกแล้วก็เดินนำไปก่อน ไม่ได้รอโซเฟียกับมาเรียน่าหรือแมท ร็อบตามผมมา ใบหน้าหล่อๆ ขมวดคิ้วสงสัย ระหว่างที่เดินไปขึ้นรถ เขาจึงออกปากถามอย่างเป็นห่วง

“เช้านี้คีดูแปลกๆ นะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

ผมส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้ม อ้างเหตุผลไปเรื่อยเปื่อย “ไม่มีหรอกครับ แค่ง่วงเพราะนอนน้อยเท่านั้นเอง”

.................................................................



ธีมของกิจกรรมวันนี้ คือ Food Prep Day อาสาสมัครจะได้เรียนรู้เรื่องการเตรียมอาหารให้สัตว์ป่า นอกจากจะต้องเตรียมอาหารแล้วยังต้องทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารและอุปกรณ์ด้วย หน้าที่หลักจึงเป็นของอาสาสมัครเก่า

แมทอธิบายว่า เมื่อหมดโปรแกรม Exclusive 2 สัปดาห์แล้ว อาสาสมัครที่อยู่ต่อจะทำงานเป็นกะ วันละ 2 กะ เช้าและบ่าย ตอนประชุมทุกเช้า สต๊าฟของฮาร์นาสจะแบ่งหน้าที่ให้ ตั้งแต่เตรียมอาหาร ไปให้อาหาร ทำความสะอาดกรง และพาพวกสัตว์ไปเดินเล่น ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่บางคนก็อาจถูกเลือกให้ช่วยงานจุดใดจุดหนึ่ง เหมือนที่เขาไปช่วยเควินดูแลพวกสิงโตก่อนจะมาเป็นพี่เลี้ยงให้พวกเรา

ช่วงบ่ายวันนี้พวกเราจึงขลุกอยู่ในโรงเตรียมอาหารที่เมื่อวันก่อนเคยมาช่วยเตรียมอาหารไปเลี้ยงชีต้า วันก่อนแค่หั่นเนื้อสด แต่วันนี้ต้องเตรียมอาหารสำหรับสัตว์ทุกชนิดในฟาร์ม ตั้งแต่ผลไม้, เนื้อสัตว์, ไข่, เศษอาหาร, อาหารหนู และอาหารนก โซเฟียกับมาเรียนน่าโล่งใจเป็นพิเศษที่งานวันนี้ไม่ได้มีแค่หั่นเนื้อเปื้อนเลือด สองสาวรีบไปจับจองที่หน้าเขียงหั่นผักผลไม้ทันที ส่วนผมกับร็อบช่วยกันหั่นเนื้อประเภทขาม้า ขาแกะท่อนใหญ่ๆ

วันนี้ผมเกาะร็อบแจเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ชวนผมคุยเหมือนปกติ ไม่ได้มองอย่างเป็นห่วงเหมือนเพื่อนอีก 2 คน แล้วก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินเหมือนแมท รายหลังนี่ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรโล่งใจหรือไม่สบายใจกันแน่ ที่วันนี้เขาไม่ได้เข้ามาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ



ตกเย็นพวกเรากินอาหารแล้วก็แยกย้ายกลับที่พัก ผมบอกแมทว่าต้องโทรหาเจ้เคธตามที่สัญญาไว้เมื่อคืน เขาจึงรออยู่เป็นเพื่อน ผมใช้เวลาคุยไม่นานนัก เจ้เคธถามย้ำแค่ว่า ผมโอเคไหม แล้วก็เตือนซ้ำๆ ว่าอย่ายอมยกโทษแล้วไปคืนดีกับพี่เมธเด็ดขาด ท่าทางคงจะกลัวผมใจอ่อน

“เจ้ไม่ต้องห่วง คีบอกพี่เมธไปแล้วด้วยว่าคีกลับไปคบกับเขาอีกไม่ได้ ที่รับปากว่าจะเจอเขาตอนกลับเมืองไทย ก็แค่อยากเขาเลิกวุ่นวายไปก่อน เขาจะได้ไม่กวนใครให้มาช่วยอีก” ผมเอ่ยเสียงจริงจัง

[อย่างนี้สิถึงจะสมเป็นน้องชายฉัน] เจ้เคธทำเสียงปลื้มใจ [เจ้รู้ว่าแกฉลาด แกคิดได้อยู่แล้ว ขนาดแมทยังชมเลยว่า คีอาจจะดูนิสัยเหมือนเด็ก แต่ความจริงแล้วเข้มแข็งมาก]

….เหมือนเจ้เคธ ผมนึกต่อประโยคที่ได้ยินจากปากคุณสิงโตเมื่อคืน

พี่สาวผมย้ำอีก 2-3 คำ ก่อนจะตัดบทเตรียมวางสาย แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อว่า

[เออ ตั๋วเครื่องบินขากลับของแก เจ้จองเป็นแบบ Fully Flexible ให้ เปลี่ยนวันกลับได้นะ เผื่อแกออกจากฮาร์นาสแล้วจะอยากเที่ยวแถวๆ วินดฮุกต่ออีกสัก 3-4 วันก็ยังไหว]

“งั้นเลื่อนไฟลท์บินกลับก่อนกำหนดเดิมก็ได้เหมือนกันใช่ไหม”

ผมโพล่งถามออกไปแบบไม่แน่ใจ เจ้เคธหัวเราะแล้วบอกว่า [ได้สิ แต่ต้องโทรแจ้งล่วงหน้าหน่อย ทางสายการบินจะได้ล็อกที่นั่งไว้ให้ได้ อะไร? อยากกลับแล้วหรือ นึกว่าสนุกอยู่ที่โน่นจนลืมคิดถึงบ้านซะอีก]

พี่สาวผมออกปากแซว ผมก็เลยต้องตอบเลี่ยงไป

“แค่ถามไว้เผื่อๆ น่ะ”



พอวางสายจากเจ้เคธ ผมก็ชวนแมทเดินกลับลอด์จ พวกเราเดินกันไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงหน้าห้องพัก ผมกำลังจะไขกุญแจแต่ถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน “คี”

“ครับ” ผมชะงักนิดหนึ่ง หันกลับไปหา แต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขา 

“เรื่องเมื่อคืน ฉันขอโทษนะที่...เผลอทำแบบนั้น คีกำลังเสียใจ ฉันไม่ควรจะ...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”


เขากำลังจะพูดต่อ แต่ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยเสียงค่อนข้างดัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพยายามฝืนยิ้มให้เขาแล้วตัดบท “คุณไม่ได้ตั้งใจ ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ถือซะว่า มันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”

แมทขมวดคิ้วมุ่น ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก “คี...”

“ถ้าคุณจะไม่ว่าอะไร เราไม่คุยเรื่องนี้กันอีกได้ไหมครับ”

ผมขอร้องด้วยเสียงแผ่วโหย ผมไม่อยากได้ยินคำอธิบายที่เหลือแล้ว ผมกลัวว่ายิ่งฟัง ผมคงยิ่งรู้สึกแย่

คุณสิงโตชะงักไป ใบหน้ารกด้วยหนวดเหมือนมีแววเสียใจเจือปนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไป เหลือเพียงสีหน้าราบเรียบ แมทพยักหน้าขรึมๆ “เข้าใจแล้ว เราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบเขา แล้วก็ไขกุญแจเข้าห้อง

คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมนอนตะแคงหันเข้าหาฝาผนัง พยายามข่มตาหลับ แต่ก็หลับไม่ลงไปจนค่อนคืน



...........................TBC..............................



ตอนนี้เริ่มต้นด้วยความหวาน จบท้ายแบบขมปี๋ค่ะ ช่วงนี้จะเข้าสู่พาร์ทดราม่า เลยจะหนักหน่วงนิดนึงนะคะ น้องคีเพิ่งจะอกหักมา ยังหวั่นกลัวความรักอยู่ค่อนข้างมากค่ะ พอบวกกับความเข้าใจผิด เลยยิ่งปิดประตูหัวใจล็อคกลอนแน่นหนา ไม่อยากจะเจ็บอีก เอาใจช่วยคุณสิงโตกับน้องเหมียวกันด้วยนะคะ 

อย่างที่แจ้งไว้ท้ายตอนที่แล้วว่า ช่วงนี้เราติดภารกิจงานจ็อบแล้ว สัปดาห์หน้าอาจจะไม่ได้ลงตอนใหม่ (เพราะเป็นเดธไลน์ส่งงานพอดี) ต้องขออภัยที่ต้องให้ช่วยอดใจรอนิดหนึ่งนะคะ สัญญาว่าส่งงานครบแล้วจะรีบมาปั่นต่อเลยค่ะ 

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด