บทที่ 29
สายวันต่อมา ผมกับแมทไปเยี่ยมร็อบที่โรงพยาบาล เจนกับคลอเดียโทรหาคุณลิซ่าตั้งแต่เช้า ถามว่าให้ไปช่วยผลัดเฝ้าร็อบไหม เธอจะได้กลับมาพักสักหน่อย แต่คุณลิซ่าบอกเพื่อนๆ ว่าไม่เป็นไร เตียงเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลพอนอนได้ ช่วยเอาเสื้อผ้าของเธอมาให้เปลี่ยนก็พอ ตอนเย็นหมอน่าจะอนุญาตให้ร็อบออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
ผมอาสาเอาเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวของสองพี่น้องไปให้ เจนกับคลอเดียจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะพักผ่อนอยู่ในเกสเฮาส์เงียบๆ ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหน ท่าทางสองสาวยังตกใจจากเรื่องเมื่อคืนอยู่ ผมจึงขับรถของร็อบไปทิ้งไว้ให้เขาที่โรงพยาบาล ส่วนแมทขับรถของเขาตามหลังมาอีกที
พวกเราเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องคนไข้ ร็อบกำลังนั่งดูโทรทัศน์ท่าทางเบื่อๆ พอเห็นพวกผมเดินเข้ามา เขาก็ทักทันที “คุยกันเข้าใจเรียบร้อย แฮปปี้เอนดิ้งแล้วสินะครับ เห็นแบบนี้ ผมเจ็บหัวใจจี๊ดเลยนะเนี่ย” ร็อบแซวพลางแกล้งยกมือขึ้นมากุมอกข้างซ้าย
“เอ๋?” ผมอุทานอย่างแปลกใจ กำลังถามว่า เขารู้ได้ยังไง แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ผมกับแมทจับมือกันอยู่ ความจริงคุณสิงโตดึงมือผมไปจับตั้งแต่ที่ลานจอดรถ แล้วก็เดินจูงมือผมมาถึงนี่ พอรู้ตัวผมก็ทำท่าจะปล่อยมือ แต่คุณลิซ่าซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาคนเฝ้าไข้บ่นออกมาดังๆ เสียก่อน
“ไม่ต้องปล่อยก็ได้ย่ะ ออร่าความรักแผ่กระจายขนาดนี้ ไม่จับมือกันก็ดูออก”เธอกลอกตาทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ แมทหัวเราะแล้วละมือ ยกแขนขึ้นมาโอบบ่าผมแทน “ขอบคุณคุณสองคนนะ ที่ช่วยดูแลคีระหว่างที่ไปเที่ยวนามิบ แล้วก็ขอบคุณมากๆ ที่เมื่อคืนคุณปกป้องเขา”
ประโยคหลังแมทหันไปเอ่ยขอบคุณร็อบอย่างจริงจัง ชายหนุ่มผมบลอนด์ยิ้มเนือย ตอบกลับมาว่า “เป็นเรื่องที่ผมต้องทำอยู่แล้วนี่ครับ คีเป็นเพื่อนผม” เขาหันมายิ้มให้ผม ดวงตายังมีแววเสียดายอยู่นิดหน่อย
“ส่วนของฉัน เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นช่วยแนะนำเพื่อนหล่อๆ รวยๆ ให้สัก 2-3 คนดีกว่าค่ะ” คุณลิซ่าเอ่ยแทรกบรรยากาศหม่นซึมของพี่ชาย แล้วเปลี่ยนประเด็น “นี่พวกคุณจะกลับฮาร์นาสกันวันนี้แล้วสินะ”
“ครับ เดี๋ยวเที่ยงก็คงต้องออกจากวินดฮุกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะถึงที่โน่นดึกเกินไป”
แมทตอบ ส่วนผมเดินไปใกล้เตียงคนเจ็บ ถามร็อบว่า “เป็นยังไงบ้างครับ มีปวดหัวหรือเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
ร็อบส่ายหน้า “ไม่ปวดหัวครับ มีตึงๆ แผลนิดหน่อย เมื่อเช้าคุณหมอเข้ามาตรวจบอกว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ เย็นนี้น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่พอกลับอเมริกาแล้ว ผมควรจะไปเช็กให้ละเอียดอีกที”
“ดีแล้วครับ” ผมยิ้มโล่งอก
พวกเรานั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่ใหญ่ แลกเบอร์โทรศัพท์ อีเมลและ SNS เอาไว้ติดต่อกันให้เรียบร้อย “ถ้าพวกคุณไปกรุงเทพต้องโทรหาผมนะ ผมจะพาทัวร์เอง ตอบแทนที่พวกคุณพาผมไปเที่ยวนามิบ” ผมย้ำร็อบและคุณลิซ่า
สองพี่น้องรับคำ แต่คนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะไปเที่ยวเมืองไทยมากกว่าคงเป็นคุณร็อบ เพราะคุณลิซ่าออกตัวว่าเธอกำลังจะสอบเข้าเรียนปริญญาโทสาขาสิ่งแวดล้อม กลับไปคงต้องวุ่นอยู่กับตำราไปอีกหลายเดือน ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมกับนึกแปลกใจ สาวสวยเปรี้ยวจัดคนนี้เป็นนักวิชาการแฮะ คนเราดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาล่ำลา ผมเข้าไปกอดร็อบก่อน แมทไม่ได้ว่าอะไร แต่มองพวกเราไม่ยอมละจนร็อบกลอกตาอย่างอ่อนใจปนขำ หลังจากนั้นผมก็ไปกอดลาคุณลิซ่า เธอกอดผมแล้วกระซิบเตือนหน้าตาเฉย
“ก่อนกลับอย่าลืมซื้อคอนดอมกับ lube (เจลหล่อลื่น) ไปด้วยนะ ที่ฮาร์นาสไม่มีขาย”
ผมอ้าปากหวอ ผละจากหญิงสาวแล้วดุเธอเบาๆ “คุณลิซ่า แนะนำอะไรครับเนี่ย! ” ผมเหลือบมองแมทกับร็อบ เห็นสองหนุ่มกำลังจับมือเชคแฮนด์กันไม่ทันได้สนใจพวกเรา ดีนะที่พวกนั้นไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร ไม่งั้นผมคงทำหน้าไม่ถูกยิ่งกว่านี้
“อ้าว ก็ของจำเป็นนี่นา หรือนายจะไม่ใช้? จะไม่...ลำบากแย่เหรอ?”
คุณลิซ่าลากเสียง แกล้งเหล่มองแมทด้วยสายตามีเลศนัย ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่เธอ ไม่ต่อประเด็นเพราะคุณสิงโตเดินเข้ามาหาพอดี เขาแตะบ่าผมแล้วบอกว่า “ไปเถอะ เดี๋ยวเราต้องกลับไปเช็กเอาท์ที่โรงแรม” ผมพยักหน้ารับ บอกลาสองพี่น้องแล้วออกจากห้องคนไข้
คุณลิซ่าเดินมาส่งพวกเราตรงหน้าประตู ไม่วายทำปากขมุบขมิบเตือนผมว่า อย่าลืมล่ะ ผมย่นจมูกใส่เธอไปอีกรอบแล้วเดินตามแมทออกไป
.........................................................
“คี!!! ”โซเฟียร้องเรียกผมเสียงดังลั่น เธอกับมาเรียนน่าผุดลุกจากโต๊ะในโรงอาหารส่วนกลาง วิ่งเข้ามากอดผม “โอ๊ย! คิดถึงๆ ๆ ๆ เป็นไงบ้าง เที่ยวทะเลทรายสนุกไหม” โซเฟียถามรัวเร็ว แล้วไม่รอฟังคำตอบ รีบประคองใบหน้าผมขึ้นมาพิจารณาซ้ายขวา
“หน้าตาสดใส ตาเป็นประกายแบบนี้ กลับมาเป็นลูกแมวน้อยตัวเดิมแล้วนี่นา อากาศแถวนามิบสดชื่น หรือที่วินดฮุกมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกันแน่น้า....” หญิงสาวคาดเดาแล้วเหล่มองไปทางแมท ส่วนมาเรียนน่ายกนิ้วหัวแม่มือให้คุณสิงโตทั้งสองข้าง เพื่อบอกว่า Good Job
“ก็มีนิดหน่อย” ผมยอมรับ ยิ้มเขิน แล้วดึงมือเธอออกจากแก้ม ท่าทางของสองสาวบอกชัดว่าคงรู้เรื่องผมกับแมทแล้ว
ทุกคนดูออกกันหมดเลยสินะ“ดีแล้วๆ” โซเฟียพยักหน้าหงึกหงัก แซวพวกผมต่อ “แบบนี้เวลาที่เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก็เป็นฮันนีมูนเลยสิ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า” ผมรีบออกตัว รอยยิ้มจางลงไปเมื่อนึกว่าเวลาที่ผมกับแมทจะอยู่ด้วยกันที่ฮาร์นาสเหลืออีกแค่ 7 วันเท่านั้น พอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกหงอยขึ้นมานิดหนึ่ง
ระหว่างที่ขับรถกลับจากวินดฮุก ผมกับแมทคุยเรื่องเก่าๆ เขาเล่าให้ผมฟังว่า เกือบจะมาเที่ยวเมืองไทยเพราะอยากเจอผมสักครั้ง แต่ผมชิงมีแฟนไปเสียก่อน เขาเฟลก็เลยยกเลิกทริปไป ผมฟังแล้วนึกเสียดาย แต่มาคิดอีกที ถ้าเขาไปเมืองไทยแล้วได้เจอผมตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ พวกเราอาจจะไม่ได้ลงเอยกันแบบนี้ก็ได้ แมทคงไปเที่ยวแค่ไม่กี่วันแล้วก็ต้องกลับอเมริกาไปเรียนปริญาโทต่อ ส่วนผมเพิ่งเรียนปีหนึ่ง ยังตื่นเต้นกับชีวิตในมหาวิทยาลัย ไม่น่าจะสนใจเพื่อนพี่สาวซึ่งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก
สำหรับพวกเราตอนนั้น ความรักทางไกลคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
...แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรอกผมระบายลมหายใจออกมาเบาๆ แมทบอกว่า พอกลับไปเขาต้องเตรียมตัวย้ายไปประจำที่สาขาย่อยของบริษัท กว่าจะลงตัวก็น่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน ช่วงแรกเขาคงยุ่งมากจนขยับตัวทำอะไรไม่ได้ “ถ้าขอวันลาได้เมื่อไหร่ ฉันจะรีบไปหาเธอที่เมืองไทยทันทีเลย” แมทละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย เอื้อมมาจับมือผมแล้วบีบแน่นแทนคำสัญญา
ผมบีบมือเขาตอบพร้อมกับรับคำหนักแน่น “ครับ ผมจะรอคุณ”
พวกเรากินอาหารเย็นกับโซเฟียและมาเรียนน่า ก่อนจะแยกย้ายกลับที่พัก สองสาวนัดแนะกับผมว่า พรุ่งนี้จะมาเจอกันตรงส่วนกลางตอนประชุมแบ่งงานช่วงเช้า ผมตอบรับอย่างกระตือรือร้น ไปเที่ยวทะเลทรายเสียหลายวัน คิดถึงพวกสัตว์ป่าทั้งหลายอยู่เหมือนกัน
ผมกับแมทเดินจูงมือกันกลับมาที่ลอด์จ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีซึ่งประดับด้วยดวงดาวพร่างพราว แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เคยสงสัยระหว่างพักอยู่ที่นามิบ เลยหันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ “ตอนผมไม่อยู่ คุณออกมานอนดูดาวบ้างไหมครับ”
คุณสิงโตส่ายหน้า “ไม่เลย พอเคยมีคีอยู่ดูดาวด้วยแล้ว ให้ฉันออกมาดูดาวคนเดียวก็เหงาเกินไปน่ะ” เขาบอกเสียงหงอยๆ
ผมฟังแล้วก็ยิ้ม ชวนว่า “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ลากที่นอนปิกนิกออกมาดูดาวกันไหมครับ”
“เอาไว้คืนพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้คีนั่งรถมาทั้งวัน คงเหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”
แมทเตือนตามประสาคนรอบคอบ พวกเราจึงกลับเข้าห้องพัก แมทให้ผมใช้ห้องน้ำก่อนเหมือนทุกที แต่ผมบอกว่า อยากจัดข้าวของสักหน่อย ให้เขาอาบน้ำไปก่อนได้เลย อีกฝ่ายรับคำแล้วจึงหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป
ผมรอจนเขาปิดประตูห้องน้ำแล้วจึงรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ มองของที่แอบซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตตรงปั๊มน้ำมันในตัวเมืองระหว่างแมทเติมน้ำมันรถ
ไม่ได้ซื้อมาเพราะถูกคุณลิซ่ายุหรอกนะ...แต่คิดดูแล้วมันก็จำเป็นจริงๆผมนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางคิดชั่งใจ จะเร็วไปหรือเปล่านะ? ตอนคบกับพี่เมธ กว่าผมจะยอมไปค้างที่คอนโดเขาก็หลังจากเราคบกันไปได้หลายเดือนแล้ว นี่ผมกับแมทเพิ่งตกลงคบกันเมื่อวานนี้เอง แต่แมทเป็นอเมริกันคงไม่ถือเรื่องเวลาหรอก อีกอย่าง...พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกแค่ 7 วัน แล้วก็จะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย
ผมคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบ
เมื่อคืนหลังจากแมทสารภาพรักและจูบผม เราสองคนก็นอนกอดกันแล้วผล็อยหลับไป เพราะทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจากการเดินทางและเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนไม่มีอารมณ์จะคิดเรื่องอื่น ส่วนวันนี้แมทก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรมากกว่าแค่จับมือกับโอบไหล่ผม
ถ้าผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาจะโอเคไหมนะเสียงประตูห้องน้ำเปิดทำให้ผมรีบปิดกระเป๋าเป้ แมทสวมเสื้อยืดกับกางเกงขายาวตัวนุ่มซึ่งเป็นชุดนอนประจำ ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมยาวๆ ของตนพลางเอ่ยเตือนว่า “คีรีบอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวดึกแล้วจะไม่สบาย”
“ครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบแล้วรีบหยิบชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำ
ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดทุกส่วน ก่อนจะมองตัวเองในกระจกเงา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินออกมา แมทนั่งอยู่บนเตียงฝั่งเขา คุณสิงโตเช็ดผมจนแห้งดีแล้วจึงกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้ “คีสระผมจริงๆ ด้วย มานี่สิ เดี๋ยวฉันเช็ดผมให้”
ผมพยักหน้ารับ เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคุณสิงโต ก้มหน้าลงเรียกเขาเสียงแผ่วๆ “แมทครับ”
“หืม?”
ผมกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจถามออกไปตรงๆ ว่า “คุณ...อยากกอดผมไหมครับ”
แมทชะงักไปนิดหนึ่ง เขาเงยหน้ามองผม พอเห็นว่าผมเสหลบสายตาเพราะความขัดเขิน คุณสิงโตก็เอื้อมมือมาดึงผมลงไปนั่งตักแล้วกอดไว้แน่น ก่อนจะระบายลมหายใจยาว “ฉันต้องการสุดหัวใจเลยละ เด็กน้อย แต่ตอนนี้ฉันทำไม่ได้”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา กะพริบตาปริบอย่างงุนงง “ทำไมละครับ”
แมทยิ้มอ่อนใจก่อนจะอธิบายเหตุผล “ฉันสัญญากับเคธี่เอาไว้น่ะ”
“สัญญา? คุณสัญญาอะไรไว้กับเจ้เคธครับ” ผมยิ่งงงขึ้นไปอีก
แมทถอนใจอีกรอบ ขยับให้ผมนั่งตักเขาให้ถนัดขึ้น แล้วจึงเริ่มเล่าว่า “ก่อนคีจะบินมาฮาร์นาส เคธี่ให้ฉันรับปากเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามฉันมีเซ็กกับคีเด็ดขาด แล้วถ้าทำได้...ก็ต้องช่วยเธอป้องกัน ไม่ให้คีเผลอไปมีอะไรกับใครที่นี่ด้วย”
ผมเบิกตากว้าง อ้าปากพะงาบๆ
“ทะ...ทำไมเจ้เคธให้คุณสัญญาแบบนี้ครับเนี่ย” นี่เจ้ไม่ไว้ใจน้องชายตัวเองเลยเหรอ ถึงขนาดให้แมทสัญญากันไว้ก่อนผมจะเจอหน้าเขา แค่นอนห้องเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นเตียงด้วยง่ายๆ ไม่เลือกนะ ผมนึกบ่นน้อยใจพี่สาวตัวเอง
“อย่างอนเคธี่เลย เธอห่วงคีเพราะตัวเองเคยมีประสบการณ์ตรงน่ะ เคธี่เคยอกหัก รู้ดีว่าช่วงเวลาแบบนี้จิตใจคนเราจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ อาจจะเผลอทำให้อะไรที่ต้องมาเสียใจภายหลัง” แมทโอบกอดผมเอาไว้หลอมๆ “เรื่องนี้ฉันขออนุญาตจากเคธี่แล้ว เธอโอเคที่จะให้ฉันเล่าให้คีฟัง คีจำได้ใช่ไหมว่า ตอนไปเรียนโทที่อเมริกา เคธี่เคยมีแฟนเป็นคนไทยด้วยกัน”
“จำได้ครับ เจ้เคธเคยส่งรูปมาให้ดู อวดใหญ่ว่า แฟนเก่งมาก เรียนด๊อกเตอร์อยู่” ผมขมวดคิ้ว นึกทบทวนความทรงจำ “ตอนหลังพอผู้ชายคนนั้นกลับเมืองไทยก็ค่อยๆ ห่างกันไป แต่เจ้เคธไม่ได้เล่ารายละเอียดนะครับ บอกแค่ว่าเลิกกันแล้วเฉยๆ ท่าทางไม่เสียใจอะไรมาก”
“เคธี่คงไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วงน่ะ ความจริงคู่นั้นไม่ได้เลิกกันด้วยดี แต่ผู้ชายคนนั้นหลอกเธอ”
ผมชะงักกึก “หลอกหรือครับ?”
“อืม เคธี่รักผู้ชายคนนั้นมาก คอยช่วยเหลือเขาทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเรียน คบกันจริงจังถึงขั้นคุยกันว่า พอเธอกลับเมืองไทยแล้วจะแต่งงานกันเลยละ แต่หลังจากหมอนั่นกลับเมืองไทยไปก่อน เขาก็ค่อยๆ ขาดการติดต่อ สุดท้ายก็เงียบหายเสียเฉยๆ
เคธี่เป็นห่วงมาก วานให้เพื่อนที่อยู่เมืองไทยช่วยตามหา จนกระทั่งรู้ความจริงว่า ผู้ชายคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ที่ผ่านมาเขาโกหกเธอทุกอย่างเพราะแค่หวังประโยชน์จากเธอเท่านั้น เคธี่เสียศูนย์ไปพักหนึ่ง เกือบต้องดร็อปเรียนเลยละ”
ผมกัดฟันกรอด
“ไอ้เลว! โธ่เอ๊ย...แล้วตอนนั้นเจ้เคธทำยังไงครับ ทำไมเจ้ไม่บอกผม ไม่บอกป๊ากับม้าล่ะ” ผมนึกถึงพี่สาวตัวเองที่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียวในต่างบ้านต่างเมืองแล้วก็ใจหาย
แมทถอนใจอีกเฮือก “ฉันเคยถามเธอเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ยอมบอกที่บ้าน เธอบอกว่าไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง นิสัยแบบนี้เหมือนคีเปี๊ยบเลยใช่ไหมล่ะ? แล้วดูเหมือนตอนนั้นบริษัทคุณพ่อคุณแม่คีกำลังวุ่นด้วยนี่นา ตอนใกล้ซัมเมอร์ ปี...น่ะ”
พอเขาบอกช่วงเวลามา ผมก็ทบทวนความทรงจำ แล้วพยักหน้า “ใช่ครับ ช่วงนั้นป๊าเพิ่งพิชโปรเจคใหญ่มาได้เงินลงทุนก้อนโต ป๊ากับม้ายุ่งมากกลับบ้านดึกทุกวันอยู่เป็นเดือน” ส่วนผมกำลังสนุกกับการทำกิจกรรมที่คณะ แถมมีพี่เมธคอยประกบอยู่ข้างตัวตลอด เลยแทบไม่รู้สึกเหงา
“ทำไมเจ้เคธถึงไม่ยอมพูดอะไรเลยนะ ถ้าพวกเรารู้ ไม่ยอมให้เธอต้องร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนั้นแน่” ผมออกปากอย่างเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยรู้ ไม่ได้ปลอบใจพี่สาวที่ผมรักที่สุดในวันที่เธอเศร้า
แมทจับมือผมไปกุมไว้เป็นเชิงปลอบใจแล้วจึงเล่าต่อ
“พวกเพื่อนๆ ก็เป็นห่วงเคธี่มากเหมือนกัน ต่อหน้าทุกคน เธอพยายามทำตัวร่าเริง แต่พวกเรารู้ดีว่า เธอแค่แกล้งทำเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นกังวล พวกเราก็เลยผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่อพาร์ตเมนท์ แต่ก็ยังไม่วายเกิดเรื่อง” คุณสิงโตถอนใจหนักๆ “คืนนั้นเคธี่โทรหาฉันตอนกลางดึก บอกว่ามีคนอยู่ในอพาร์ตเมนท์ของเธอ ขอให้ฉันรีบไปช่วยหน่อย”
“คนร้ายหรือครับ?” ผมอุทานอย่างตกใจ
“ไม่ใช่มิจฉาชีพหรอก แค่กุ๊ยธรรมดา เคธี่ไปผับคนเดียว เธอคงเหงา พอมีผู้ชายเข้ามาจีบก็กินเหล้ากับเขาจนเมา แล้วก็ชวนหมอนั่นกลับมาที่อพาร์ตเมนท์ แต่ระหว่างกำลังนัวเนียกัน เธอนึกถึงครอบครัวที่บ้าน เลยเปลี่ยนใจปฏิเสธ แต่หมอนั่นนึกว่าเธอเล่นตัวเลยรุกหนัก สุดท้ายเคธี่ต้องเอาของใกล้มือฟาดหัวหมอนั่นจนหัวแตก มันถึงได้เลือดขึ้นหน้า จะเข้ามาทำร้ายเธอ”
“แล้วเจ้เคธเป็นอะไรหรือเปล่า” หัวใจผมกระตุกวูบ นึกกลัวแทนพี่สาว แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาหลายปีแล้ว
“ไม่เป็นอะไรนอกจากตกใจ เธอสติดีมาก อาศัยจังหวะที่หมอนั่นกำลังมึน รีบคว้าโทรศัพท์มือถือ วิ่งหลบเข้าห้องน้ำแล้วล็อกกลอน แต่อพาร์ตเมนท์ก็เละไปครึ่งหนึ่ง จนฉันไปถึงทำท่าจะแจ้งความ หมอนั่นถึงได้ยอมออกไป”
“ค่อยยังชั่ว” ผมถอนใจเบาๆ
“หลังจากเรื่องคืนนั้น เคธี่ก็รู้ตัวว่า เธอจะจมปลักอยู่กับความเศร้าแบบนี้ไม่ได้แล้ว เธอกลับไปมุเรียน พอมีเวลาว่างก็หากิจกรรมอาสาสมัครหรืออะไรที่มีประโยชน์ทำ เคธี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตี ชวนเพื่อนๆ บินมาทำงานอาสาสมัครที่ฮาร์นาสตอนปิดเทอม หลังจากทำงานกลางแจ้งสมบุกสมบันได้สักเดือน เธอก็บอกฉันพร้อมกับรอยยิ้มสดใสว่า เธอลืมความเศร้าได้หมดแล้ว”
“มิน่า...ตอนผมอกหัก เจ้เคธถึงแนะนำให้ผมมาที่นี่” ผมเปรยขึ้นมา
“ทีนี้คีเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมเคธี่ถึงให้ฉันสัญญาแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจฉันกับคี แต่เธอไม่อยากให้คีพลาดพลั้งทำอะไรลงไปเพราะความเสียใจ เหมือนที่เธอเคยเกือบจะทำมาแล้ว ใช้เซ็กเพื่อเยียวยาความเจ็บปวดน่ะ มันไม่เวิร์คหรอก คืนนั้นที่เราเกือบจะจูบกัน ฉันถึงได้หงุดหงิดตัวเองมาที่ฉวยโอกาสตอนคีร้องไห้”
“เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้าหงึก แต่ก็อดงึมงำค้านขึ้นมาไม่ได้ว่า “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันสักหน่อยนะครับ ผมลืมเรื่องพี่เมธไปหมดเกลี้ยงแล้ว และเราก็ใจตรงกัน...”
แมทยกมือเชยคางผมขึ้น “ฉันรู้ แต่ฉันอยากทำตามสัญญานี้ให้ลุล่วงน่ะ เป็นคำสัญญากับเพื่อนสนิทที่วางใจให้ฉันดูแลน้องชายคนสำคัญของเธอ เด็กผู้ชายที่ฉันเฝ้ารอและตั้งใจจะทะนุถนอมเขาให้ดีที่สุด”
คุณสิงโตก้มลงมาแตะริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น ผมเอื้อมแขนขึ้นไปคล้องคอเขา เงยหน้ารับสัมผัสรุกเร้าอ่อนหวานนั้นอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดแมทก็ละริมฝีปากออก ใบหน้ารกด้วยหนวดก้มลงมองผมที่กำลังหอบหายใจด้วยสายตาเอ็นดู
“อดใจรอหน่อยนะ” เขาเย้าเสียงนุ่ม
ผมเบือนหน้าหลบสายตาคมวาวนั้น
จูบแบบนี้...แล้วบอกให้ผมอดใจหรือ? แกล้งกันนี่นา ผมนึกอยากแกล้งเขากลับบ้าง จึงพึมพำตอบว่า “โอเคครับ” ก่อนจะขยับยืดตัวขึ้น กดจูบลงบนสันกรามสากตรงส่วนที่ใกล้กับต้นคอของเขา ใช้ฟันขบเม้มเบาๆ ก่อนจะกระซิบว่า “คุณเองก็อดใจไปก่อนนะครับ”
แมทสะดุ้งนิดหนึ่ง เขาคำรามในคอแล้วกดผมลงกับที่นอน ซุกหน้าลงกับซอกคอผมพลางงึมงำว่า
“Baby, you ganna kill me”
ผมหัวเราะออกมาบ้างพร้อมกับเอื้อมแขนไปกอดตอบเขา พวกเรานอนกอดกันพลางคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ ผมหลับไปในอ้อมแขนคุณสิงโตอย่างสบายใจ อีกหนึ่งสัปดาห์ พวกเราต้องไปจากฮาร์นาส แต่เมื่อถึงตอนนั้น มันก็แค่การเริ่มนับเวลาถอยหลังเพื่อจะได้เจอกันอีกครั้งเท่านั้นเอง
ความรู้สึกชัดเจนของพวกเราชัดเจนแล้ว...ระยะทางหรือเวลาไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่หรอกน่า...........................TBC..............................
ตอนนี้มีฉากให้ใจเต้นด้วยนะคะ แต่เราตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มเขียนแล้วว่า ระหว่างที่อยู่ฮาร์นาส จะไม่ขยับความสัมพันธ์ของคุณสิงโตกับน้องเหมียวไปอีกขั้น เพราะอยากจะให้ทั้งคู่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เรียนรู้กันค่ะ คนอ่านช่วยอดใจรอไปพร้อมๆ กับคุณสิงโตนะคะ
น้องคีนี่ถึงจะซื่อๆ ก็มีแอบยั่วเหมือนกันน้า (FYI แต่น้องก็ไม่เวอร์จิ้นแล้วนะคะ คบกับพี่เมธมา 3 ปีก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปขึ้นหนึ่งนั่นแหละ) ฉากในตอนนี้เลยอยากให้เห็นมุมอื่นๆ ของน้องด้วยน่ะค่ะ
ตอนหน้าคงเป็นตอนจบแล้ว เราจะกลับเมืองไทยไปสะสางเรื่องที่ค้างคาใจทั้งหมด และรอดูว่า คุณสิงโตจะได้มาหาลูกแมวน้อยของเขาเมื่อไร อย่างไร ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามและขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคอมเมนท์นะคะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง