ลูกชุบของอัศวิน 2
“อ่ะนี่!” เจนที่ยิ้มอย่างสดใสดูไม่น่าไว้ใจเลยในตอนนี้
“อะไรครับ” อัศวินถามเมื่อเจนส่งถุงอะไรสักอย่างมาให้ พอเปิดดูก็พบว่าข้างในมีถุงคุ้กกี้ เจนเพิ่งอบเมื่อวาน แต่เอามาให้ทำไม? แถมผูกโบว์ซะเรียบร้อยแบบนี้
“เอาไปให้ลูกชุบที” ว่าแล้วเชียว! ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเอะอะอะไรก็ลูกชุบๆ ก็เข้าใจว่าคนโปรด แต่คนโปรดอันดับ 1 (น้องวิน) และอันดับ 2 (คุณป๋า) นั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆยังทำหน้าระรื่น ต้องมีคนขมวดคิ้วก่อนไปทำงานเสียแล้ว
“อะไรคือลูกชุบ!” นักรบที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ถึงกับชะงัก ก่อนจะหันมาถามเจ้าของคุ้กกี้
“ต้องพูดว่าใครต่างหาก ลูกชุบคือเด็กที่ทำงานที่เดียวกับน้องวิน น้องที่เจนรู้จักเอง”
“แล้วไปรู้จักกันได้ไง”นั่นไง คนโปรดเบอร์สองถึงกับทำเสียงห้วนๆ
“ก็ไปซื้อผักผลไม้ให้พ่อลูกจอมเรื่องมากกินเลยรู้จักไง น้องทำงานที่ซุปเปอร์ เจนเห็นขายเก่งเลยชวนมาขายให้สินค้าบริษัทคุณรบไง” แต่ไม่ได้บอกคุณรบนะ ระดับนี้จิกหัวใช้เลขาคุณรบได้เลย ทั้งเก่งและจะใหญ่กว่าประธานบริษัทแล้ว
“ผมต้องระวังตัวหรือเปล่า”ระวังอะไร?มือที่ 3 หรือการยึดอำนาจจากมือที่ 1 ล่ะ
“เฮ้อ…ลูกชุบนี่ตัวเท่าเมี่ยงจะไปกลัวอะไร” เป็นความจริงที่ว่าถ้าเจนกับลูกชุบอยู่ด้วยกันต้องอยู่ในห้องเก็บเสียงเท่านั้น อีกอย่างถ้าคุณนักรบคือแบบที่เจนชอบ ลักษณะของลูกชุบนั้นก็ไกลจากแบบที่เจนชอบในเชิงนั้นไปเลย อาจจะเรียกว่าเอ็นดูแบบที่เอ็นดูพระพายนั่นแหละ
“ก็แล้วไป” ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ เอ๊ะ…หรือเจนควรจะเดินควงลูกชุบแบบเปิดเผยดี ซึ่งนั่นไม่ดีแน่ๆ คุกอาจจะถามหาก็เป็นได้ ดูจากทรงหน้าแล้ว อาจจะรุ่นเดียวกับน้องวินหรืออ่อนกว่าด้วยซ้ำ จะว่าไป…เจนก็ไม่เคยถามประวัติความเป็นมาของน้องเลย เจอหน้ากันทีไร คุยแต่เรื่องของกินทุกที
ในที่สุดก็ได้เวลาส่งพ่อและลูกกบออกจากบ้าน วันนี้คุณรบบอกจะไปส่ง แต่เจ้าแสบบอกว่าจะนั่งรถไฟฟ้าต่อบีทีเอสเอง เผื่อเวลาไว้นานพอตัวเลย คนพ่อส่งถึงแค่รถไฟฟ้า เราไม่ได้พูดอะไรกันแต่รับรู้ได้ถึงความจริงจังในวันนี้ เป็นอีกวันที่ขึ้นรถไฟฟ้าและถ้าเวลาเหลือพอก็จะขึ้นรถเมล์แบบที่เมื่อวานเจนสอนเอาไว้ แต่ถ้าไม่มีก็เรียกแท็กซี่เอ้า
“น้องวีนนนนนนนน” แต่สงสัยได้ขึ้นรถเมล์แน่ๆวันนี้
คนตัวเล็กที่สดใสเปล่งปลั่งราวกับเมายาเสมอมานั้นเดินเข้ามาในโบกี้เดียวกับเขา มันเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของใครก็ไม่มีใครรู้ แต่วันนี้เช้าของเขาถูกเตรียมพร้อมทางความร่าเริงจากเจนมาก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องไม่เป็นอะไร
เราสองคนลงรถไฟและต่อรถเมล์อย่างที่ตั้งใจไว้ อัศวินเดินตามอีกฝ่ายเงียบๆแสร้งทำทุกอย่างให้ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่กำลังพยายามเก็บข้อมูลอยู่ ลูกชุบเป็นคนตัวเล็กเหมือนเจนเลย บุคลิกที่ร่าเริงนั้นดูจะมีมากกว่าเจนด้วยซ้ำ ยิ้มสวยเหมือนพี่พระพาย และมีความใจดีเผื่อแผ่แบบพระพายมากกว่าที่เจนเป็น เป็นความร่าเริงแต่มองโลกในแง่ดี
ว่าแต่สิ่งที่เขาควรจะสังเกตไม่ใช่ลูกชุบสิ! มันชักมากไปแล้วนะอัศวิน นายมาทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมไปข่มคุณป๋าอยู่ไม่ใช่หรือไง! อย่าให้อย่างอื่นมาดึงความสนใจอออกไปสิ ใช่! เขาต้องขึ้นรถเมล์สายนี้ แต่นี่มันไม่เหมือนสายที่นั่งเมื่อวานนี่ เมื่อวานเป็นรถไม่มีแอร์ วันนี้มีแอร์ อา…ประเทศไทยมีรถเมล์หลายประเภท และหลายสายอาจจะผ่านจุดหมายของเขาสินะ สงสัยต้องแอบหาข้อมูลหน่อยล่ะว่าสายไหนผ่านบ้างจะได้มาคนเดียวถูก!
แต่ขั้นตอนการจ่ายเงินก็คล้ายๆกัน ตรงนี้อัศวินสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว มีการถามค่าโดยสารจากกระเป๋ารถเมล์ก่อนจะยื่นแบงค์ 20 ให้ไป จากที่เจนเล่าให้ฟังคือรถเมล์มีหลายประเภท ค่าโดยสารก็ต่างกันไป บางคันเป็นแบบเหมาจ่าย บางคันเป็นแบบคิดตามระยะทาง เมื่อวานเราติวกันแล้ว วันนี้จึงไม่พลาด!
การทำงานในช่วงเช้านั้นสั้นๆ อัศวินเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดเชิญชวนให้ลูกค้ามาหยิบชิมบ้างแล้ว แต่มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จแบบที่ตั้งเป้าไว้ บางคนเดินมาหยิบและเดินจากไปไม่รอฟังเขาพูดต่อ ของชิมหมดเร็วขึ้นก็จริงๆแต่ยังไม่มีโอกาสได้แนะนำสินค้าดีๆเลย มีอะไรที่ทำผิดพลาดไปอีกงั้นเหรอ?
“ต้องยิ้มด้วยสิ” ยิ้ม!
“…” ยิ้ม..
“ยิ้มแบบนี้” และก็ยิ้มเต็มแก้มให้เขาดู เราพักเบรกกันแล้ว และก็มานั่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้อนๆเหมือนเดิม ในขณะที่รออาหาร เขาก็ทำใจกล้าถามรุ่นพี่ที่รู้จักเพียงแค่คนเดียวในที่แห่งนี้
“มันหงุดหงิด ใครจะไปยิ้มได้” เขาพูดออกไป
“ไม่เห็นยากเลย ง่ายนิดเดียวแบบนี้ไง” แล้วเจ้าของรอยยิ้มเต็มแก้มก็จัดการสาธิตกับใบหน้าของเขา ลูกชุบที่แนะนำตัวแค่ว่าตนชื่อชุบนั้นยื่นแขนออกไปหา ก่อนจะใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดยกมุมปากของเขา
“…” ช่วยดูหน้าด้วยว่านี่เล่นอยู่หรือเปล่า!
“แค่ยกมุมปากขึ้นไปก็ดูใจดีขึ้นแล้ว”เขาไม่ได้อยากดูใจดี…
ดังนั้นก็ช่วยเกรงใจกันบ้าง!
“อย่าทำตาแข็งแบบนั้นสิ คนอื่นกลัวหมด” แล้วลูกชุบไม่กลัวเลยหรือไง นี่ทำให้กลัวอยู่ทำไมยังไม่กลัวอีก ต้องให้ถลึงจนตาถลนออกมาเลยไหมถึงจะกลัวกันได้ คิดว่าเป็นคนโปรดของเจนแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ โลกมันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้นหรอก!
“เอามือออก” เขาสั่งพลางรวบมือของอีกฝ่ายออกไป และอีกจุดสังเกตุคือมือของลูกชุบเล็ก…และอุ่นนุ่มมาก
“ก็พี่ชุบอยากบอกน้องวินนี่ ว่าทำหน้าดุไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นะ ลูกค้าที่ไหนจะกล้ามาเข้าใกล้เราล่ะ”
“…”
“ยิ้มหน่อยสิ และพูดเพราะๆว่า ‘มีทบอลอร่อยๆครับ’ แบบนี้”ว่าไปพลางสาธิตด้วยการยื่นตะเกียบให้ อัศวินที่คิดตามก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าคนขายหน้าบึ่งแบบเขาก็คงไม่มีใครอยากซื้อ แต่ต้องโทษใครเล่าที่ทำให้หน้าเขาเป็นเช่นนี้ โทษคุณป๋าดีไหม เราก็หน้าคล้ายๆกัน รายนั้นก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรกับคนอื่นสักเท่าไหร่
เรากลับมาทำงานพร้อมคำถามเดิมว่างานนี้มันเหมาะกับเขาจริงๆไหม อัศวินค้นพบว่าการยิ้มกว้างๆทำให้ตัวเองดูหน้าตึงแปลกๆจึงไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขามีเพื่อนน้อย ในตอนเด็กๆพี่เจนเคยบอกว่าน้องวินยิ้มน่ารัก แต่เมื่อโตขึ้นโครงหน้าเริ่มเปลี่ยน รอยยิ้มก็อาจจะไม่ใช่อะไรที่เหมาะกับทุกช่วงวัยอีกต่อไป แถมอุปสัยก็เปลี่ยนตาม รอยยิ้มเป็นเรื่องที่ต้องสร้าง ไม่ใช่ความต้องการโดยแท้จริงอีกต่อไป
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“…” อัศวินที่กำลังแจกของชิมอยู่ทำสีหน้าไม่ถูก อยู่ๆคนที่ไม่ควรจะอยู่ในระบบชีวิตตอนนี้กลับมาโผล่ที่ตรงหน้า เพชรพิสุทธิ์เหมือนจะโผล่มาในยามที่ไม่ต้องการเสมอ แต่น้องวินเคยต้องการเขาด้วยหรือไง?
“ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวขายของไม่ออกนะครับคุณหนู” รู้ดีไปอีกว่าปัญหาที่กำลังขบคิดอยู่คืออะไร
“ลุงเพชรมาทำไมครับ”
“อาเพชรก็พอมั้งครับ” อายุก็น้อยกว่าทั้งคุณรบและเจน ถ้าหลานไม่หมั่นไส้บางทีก็ได้เป็นอาอยู่หรอก เขาพยายามจะเพิกเฉยต่อท่าทางตึงๆอารมณ์ไม่ดีของคนลูก เพราะชินกับท่าทางแบบนี้ที่มีเหมือนคนพ่อ ก่อนจะอธิบายต่อไป “คุณรบใช้มาสืบราชการลับนะครับ” ยังคงเป็นเลขาที่ใช้ได้คุ้มเช่นเคย โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ยิ่งดูเป็นความชำนาญเฉพาะทางที่ไหว้วานใครอื่นไม่ได้
“เรื่องลูกชุบใช่ไหม”
“โหหหหหห แสดงว่าคอนเนคปัญหาทางสุขภาพจิตได้กับคุณพ่อ” เรื่องเจนคือปัญหาหลักของเรา แต่เชื่อเถอะว่ากับลูกชุบนี่ไม่มีอะไรหรอก การเป็นคนโปรดนั้นมีหลากหลายความหมาย แต่เขามั่นใจว่าลูกชุบมาแย่งเจนไปไม่ได้หรอก ดีดทีเดียวก็กระเด็นแล้ว
“อยู่ตรงนั้นน่ะ แวะไปซื้อแอปเปิ้ลสิ” เขาตอบแบบปัดรำคาญ
“ไปมาล่ะครับ เลยแวะมาหา เห็นยืนหดหู่อยู่เลยเป็นห่วง”นี่เขาดูเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือนี่ อัศวินมองหน้าเลขาของคุณป๋าของเขาและก็นึกขึ้นได้ว่าคนปากแบบนี้อยู่รอดมาได้ไงตั้งหลายปี แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครโกรธคนๆนี้ได้เลย อย่างเต็มที่ก็แค่หมั่นไส้อะไรบางอย่างในตัวของเพชรพิสุทธิ์บางอย่างในตัวเขานั้นมันคืออะไรกันเหรอ?
ความกะล่อนไง…
“อาเพชร”
“ครับ” ในที่สุดก็เรียกอาสักที
“ตอนเย็นมารับผมที่รถไฟฟ้าทองหล่อหน่อยสิ”
“ก็ได้เหรอครับ?” บ้านนี้นี่ยังไง เป็นเลขาคุณรบคนเดียว พ่วงตำแหน่งทาสของเมียและสารถีให้ลูกชายด้วยเหรอ ได้เหรอ เอาจริงๆ
“ต้องได้ครับไม่งั้นพระพายรู้แน่ว่าวันนี้อาเพชรแวะมาเต๊าะเด็ก” พูดพลางพยักเพยิดไปที่ทางลูกชุบที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว จริงๆพระพายไม่ใช่คนงี่เง่าที่จะเชื่ออะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคุณหนูน้องวินพูดล่ะก็…อึก…น้ำลายแกลลอนนึงก็กลืนลงคอไม่พอหรอก ในที่สุดก็ต้องจำยอมไปรับทั้งๆที่วันนี้ไม่ได้เต๊าะใครจริงๆ(?)
ขากลับบ้าน เขาก็ยังไม่พอใจกับยอดขายที่สัมผัสได้ด้วยตัวเองเท่าไหร่ และเหมือนเดิมก็ยังกลับกับลูกชุบ ทั้งๆที่ให้อาเพชรมาอยู่รอรับที่นี่ไปเลยก็ได้ แต่ก็ไล่ให้ไปเจอแถวบ้าน มันเพราะอะไรกันนะ ต้องเป็นเพราะไม่อยากให้ลูกชุบรู้แน่ๆว่าเป็นลูกคุณหนู
“น้องวินทำดีแล้ว เชื่อสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว” นี่ก็ไม่ได้ขอคำปรึกษา ไม่ได้พูดด้วยเลยแล้วมาทำเป็นรู้ดี
“…” มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันย่ำอยู่กับที่ อัศวินเงียบและเสมองไปทางอื่น ถ้าไม่ใช่กับเจนก็ดูเหมือนจะมีความอดทนต่ำกับคนทั่วไปเสียหน่อยอยู่เหมือนกัน นี่แหละเหตุผลที่ไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน ไม่ชอบความวุ่นวาย
“อย่าทำหน้าเหมือนรำคาญขนาดนั้นสิ” อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบาก่อนที่จะถอยห่างออกไป เขากลับมามองที่ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวังนั่นอีกครั้ง ฉับพลันก็รู้สึกผิดขึ้นมา ก่อนจะคว้าฉุดให้เข้ามาหา แต่อย่างไร…มันก็ดูจะใกล้กว่าเดิม
“ไม่ได้รำคาญ แต่กำลังคิดอยู่”
“…”
“เอาขนมไปกินนะ” เขาเกือบลืมไปเสียแล้วว่าเจนฝากของมาให้ โชคดีที่ถือติดมือมาด้วย และเมื่อยื่นถุงขนมให้ ดวงตาของรุ่นพี่ตัวเล็กก็เป็นประกาย ให้ตายเหอะ แพ้จริงๆด้วย คนอะไรเศร้าไม่จริง น่าตีนัก!
“ให้พี่ชุบเหรอ?” ถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เดี๋ยวก็ไม่ให้เสียเลย!
“เจนฝากมาให้”
“พี่เจนฝากมาเหรอ!” ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นยิ่งเป็นประกายใหญ่ นั่นทำให้เขายิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก แค่พูดชื่อเจนก็ต้องดีใจขนาดนี้เลยเหรอนี่ เขาเริ่มรู้สึกหวงขึ้นมาหน่อยล่ะ หวงใคร…หวงเจน?
“อืม”
“พี่เจนฝากมาใช่ไหม พี่เจนใจดีจัง พี่เจนนะ พี่เจน นะ…อื้อ!!!” น่ารำคาญ ปิดปากไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอายุน้อยกว่าจริงๆ เพราะมือของเขาใหญ่พอที่จะปิดได้ทั้งหน้าของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ อัศวินตีหน้านิ่ง
“เงียบได้หรือยัง” เขาถาม ลูกชุบพยักหน้า และมันก็แค่นั้นเองที่ได้อิสระ ทว่าดวงตาแป๋วคู่นั้นก็ยังมองอยู่ มือที่ปิดปากอยู่จึงถูกเลื่อนมาปิดตาให้ซะจบๆ เป็นความเงียบที่เสียงดังจริงๆสำหรับดวงตาคู่นี้
“ปิดตาพี่ชุบทำไม?”
“บอกให้เงียบไง” เดี๋ยวก็ปิดปากด้วยซะเลย
“เดี๋ยวเลยบ้านพี่ชุบ” อีกคนว่าอย่างกระเง้ากระงอด
“อีกสถานีนึง” กลายเป็นว่าเขาจำได้ อัศวินแค่ความจำดีหรอก เขาไม่ได้ตั้งใจจำ
“อ้าว..งั้นก็ต้องลงแล้วสิ” ก็ใช่น่ะสิ “ยังไม่อยากลงเลย”
“ไม่อยากกลับบ้านหรือไง” เด็กนิสัยไม่ดี
“อืม…” ลูกชุบเพียงตอบรับสั้น ก่อนจะเอ่ยมาอีกคำ “ยังไม่อยากกลับเลย”
“…”
“น้องวิน?” เพราะความเงียบของรุ่นน้องตัวสูง ทำให้มือเล็กที่เขาเคยสัมผัสและรับรู้ถึงความนุ่มนิ่มถูกยกขึ้นมาสัมผัสข้อมือของเขา ไม่ได้เด็ดขาดจะเปิดตาให้อีกฝ่ายมองหน้าไม่ได้เด็ดขาด อัศวินคิดว่าเขาไม่เป็นตัวเองมากๆในตอนนี้
“อดทนหน่อย จะลงแล้ว” ยังไงลูกชุบก็ต้องกลับบ้าน ไม่งั้นมันเป็นอันตรายกับเขาจริงๆ ดวงตาคมจ้องมองไปยังด้านนอก ใกล้ได้เวลาแล้ว เขาเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ยังคงถูกปิดตา เห็นอีกฝ่ายทำจมูกฟุดฟิดเล็กน้อย ก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายไปยืนที่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงประกาศ แทนที่ลูกชุบจะรู้ตัวว่านี่มันได้เวลาที่จะต้องแยกจากกันแล้ว แต่บางสิ่งกลับดึงสติของตนไปเสียอย่างนั้น อะไรนะเหรอ…
กลิ่นของน้องวิน
“หอมจัง” อา….ให้ตายเหอะทำไมมันยังไม่ถึงสักทีนี่ อัศวินได้แต่งุ่นง่านอยู่ในใจ และทำไมจะต้องตัวเล็กพอดีกับตัวเขาได้ขนาดนี้ มองจากตรงนี้ก็เห็นกระหม่อมของอีกฝ่ายชัดจนขณะที่หันหลังให้กัน ถ้าหันหน้ามา…ริมฝีปากเจื้อยแจ้วนั่น…ต้องพอดีกับหัวใจแน่ และจู่ๆภาพประหลาดก็ซ้อนทับขึ้นมาให้หงุดหงิดอีกครั้ง พอดีกับที่ประตูกำลังเปิด โชคดีที่โบกี้นี้คนไม่เยอะ
“กลับดีๆนะ” เขากระซิบบอก ก่อนจะดันให้อีกคนออกไปจากรถไฟฟ้า ยังไม่ทันที่ลูกชุบหันมาบอกลา…
เขาก็เดินหนีไปนั่งตรงไหนสักแห่งเสียแล้ว…
“บ้ายบาย” แต่อัศวินก็ได้ยินเสียงของคนร่าเริงอยู่ดีทั้งๆที่หลบมาถอนหายใจคนเดียวแล้ว อยู่กับคนแบบลูกชุบทำหัวใจเต้นแรงเกินไป และนี่มันควบคุมยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขารู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเองก็ตอนที่ต้องรับมือกับคนๆนี้ และยังไม่มีวิธีแก้ไขให้ดีขึ้นแม้จะกลับไปวางแผนดีแค่ไหนก็ตาม นี่มันแค่วันที่ 2 ที่ได้รู้จักกันนะ ยังไม่เคยเจอใครที่มีอิทธิพลที่ทำให้รำคาญแต่แคร์ได้ขนาดนี้มาก่อนเลย และคนแบบนี้บนโลกมันมีอยู่เยอะไหม? ชักจะเหนื่อยแล้วนะ
เมื่อมาถึงสถานีทองหล่อ คนที่กลัวพระพายมากก็มารอรับตามที่ได้ตกลงไว้ แต่เราจะยังไม่ไปบ้านรัตนสกุลเลยทีเดียว เพราะนายน้อยได้สั่งให้คนขับรถพาไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เราสั่งน้ำมานั่งจิบและอยู่กับตัวเองกันสักพัก จนมีคนที่ทนไม่ไหว และนั่นคือคนที่ไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรก
“คุณหนูน้องวินครับ”
“ครับ”
“บอกอามาเถอะครับ” เพชรจะไม่ไหวแล้ว อยากรู้ด้วย กลัวด้วย ใจบางไปหมดแล้ว
“…”
“ใครทำให้เจ็บช้ำ หรือกลายเป็นเด็กมีปัญหายังไง บอกอาได้นะครับ”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ” เป็นอะไรกันไปหมดแล้วนะคนเรา จริงๆแล้วอัศวินไม่ได้เรียกคุณอาเลขามาเพื่อถกปัญหาชีวิตวัยรุ่นอันว้าวุ่นของเขาเสียหน่อย ที่เรียกมานี่เพราะเห็นว่ามีความสามารถเฉพาะทางต่างหาก และความสามารถที่ว่านั่นก็คือ…ความกะล่อนนั่นไง
จะบอกว่าอัศวินถอดแบบของคุณพ่อมาเลยมันก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าซึมซับมามากเลยคล้ายๆก็คงจะมากกว่า ทว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ การเลี้ยงดูน้องวินโดยเจน ไม่เหมือนกับคุณรบที่เติบโตมา ดังนั้นมันจึงมีหลายอย่างที่คนเป็นลูกจับไม่ได้ไล่ตามไม่ทันอยู่เยอะ ทว่าก็ไม่เคยคิดว่าตนอยากจะเหมือนพ่อ ในส่วนของเลขาพ่อนั้น…ก็ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะเหมือนมาก่อนเช่นกัน
“อา…จริงๆมันก็ไม่ใช่ความกะล่อนหรอกครับที่ทำให้อามีวันนี้ได้” แต่ถึงอย่างไรเพชรพิสุทธิ์ก็ดูภูมิใจในความดิ้นได้ของตัวเองและทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากตรงนี้ แต่ใช่ว่าเขาจะมีมันเป็นพิเศษอยู่คนเดียว คนบนโลกที่ฉลาดๆในการใช้ชีวิตหลายๆคนก็เป็นแบบเขาทั้งนั้น เป็นแบบไหนนะเหรอ…ก็มีสวิชท์ปรับโหมดสำหรับทุกสถานการณ์ไง
“…”
“คุณหนูต้องเข้าใจก่อนว่าคนเราจะตรงเป็นไม้บรรทัดไม่ได้ มันก็ต้องมีงอกันบ้าง” เพชรพิสุทธิ์พยายามอธิบาย เขาเข้าใจว่าน้องวินชอบที่จะเป็นตัวของตัวเองและเหนื่อยที่จะปั้นแต่ง แต่จะเอาแต่ใจถึงเพียงนั้นไม่ได้ โลกภายนอกไม่ใช่สถานที่ที่เราจะสามารถคัดเลือกคนให้เข้าและออกไปจากชีวิตได้อย่างง่ายดาย ในทุกช่วงเวลาและทุกโอกาส สิ่งที่ควรมีคือกาลเทศะ
“ผมแค่ไม่ชอบยิ้ม หรือทำหน้าตาเป็นมิตรมากเกินไป” เหมือนกับที่โรงเรียนนั่นแหละ เขาไม่ชอบให้คนมายุ่งวุ่นวายมากๆ การทำหน้าดุก็ช่วยได้ดีทีเดียวเลย
“แต่เราจำเป็นต้องเป็นมิตรเพื่อผลประโยชน์ของเราบ้าง”
“ไม่ใช่ว่าเราเป็นผลประโยชน์ของคนอื่นเหรอครับ”
“ไม่เสมอไปครับ บางทีคนอื่นก็เอื้อประโยชน์ให้เราได้ และบางทีเราก็แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน” เพชรยิ้มให้กับคำถามของคุณหนูผู้ที่แท้จริงไม่ได้เอาแต่ใจ หากแต่ด้อยประสบการณ์ “การมีมิตรย่อมดีกว่าศัตรู และบางทีการเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวก็อาจจะดีกว่าการมีมิตร” เขาไม่ลังเลเลยที่จะถ่ายทอด น้องวินถือเป็นเด็กที่ทุกคนเอ็นดู เขาถือเป็นคุณรบในเวอร์ชั่นที่น่ารักกว่า และเพราะทุกคนได้เห็นน้องในทุกช่วงเวลา ย่อมเกิดความรู้สึกผูกพัน
“แปลว่าผมต้องลองยิ้มโง่ๆแบบนั้นอะเหรอ”
“บางทีคนเราก็ต้องทำหน้าโง่ๆแบบนั้นครับ” เขายิ้ม “แม้แต่คุณรบก็ต้องยิ้มเวลามีคนจะเอาเงินมาให้เราเหมือนกัน” นี่ไม่ได้หลอกด่าว่าเขาโง่นะ แค่บอกว่ามีกาลเทศะ
“คุณป๋าก็เป็นเหรอ” แต่ดูเหมือนน้องวินจะให้ความสำคัญกับใจความอื่น จึงไม่ได้สังเกตความน่าอ่อนไหวในประโยคนัก สมกับเป็นลูก เมื่อพูดถึงคุณรบน้องวินก็ให้ความสนใจอย่างนี้แหละ คนอื่นอาจจะมองว่าน้องไม่ค่อยเคารพพ่อ แต่จริงๆแล้วไม่เลย หากตัดเรื่องชอบแกล้งกันไปบ้าง อัศวินถือเป็นคนๆหนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ เลยด้วยซ้ำ เล่นก็อปกันมาซะขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าพ่อมีมุมอื่นๆที่ตนไม่เคยรับรู้ก็ยิ่งสนใจ
ว่าแต่คนหน้าหยิ่งคนนั้นนะเหรอจะมีมุมแบบนั้น แน่นอนว่าเขามี ไม่งั้นนอกจากเมียจะหาเองไม่ได้แล้ว บริษัทก็คงจะดูแลไม่ได้เช่นกัน ในฐานะผู้บริหาร เขาสามารถเป็นได้ทั้งบุคคลที่หน้าเกรงขามและดูเป็นมิตรในยามที่จำเป็น เมื่อน้องวินที่เคยเห็นแต่ท่าทางกวนๆขรึมๆของคนพ่อได้ยินดังนั้น ความรู้สึกแง่ลบเกี่ยวกับการฝืนแสดงออกก็เป็นเรื่องที่แทบจะลืมไปเลย เพราะถ้านักรบทำได้ แล้วอัศวินทำไม่ได้ หมายความว่ารัตนสกุลจะสิ้นสุดที่รุ่นของนักรบเท่านั้นใช่ไหม ไม่ได้…มันต้องดีเท่า หรือดีกว่าเท่านั้น!
ใช้เวลาคุยกันไม่นาน อัศวินที่ต้องทำงานวันอาทิตย์อีกวัน จึงกลับบ้านมาหัดยิ้มให้ดูโง่ๆเหมือนที่ลูกชุบยิ้ม ยิ้มยังไงให้ดูซื่อใสน่าไว้ใจกันนะ ในเมื่อหน้าดุขนาดนี้ ไม่ได้ดูน่าเอ็นดูเท่าอีกคนเสียหน่อย แต่เดี๋ยวนะ…นี่คิดว่าคนที่อายุมากกว่าถึง 2 ปีดูน่าเอ็นดูอย่างนั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกับคลื่นสมองของตนกันนี่!
“น้องวิน” เสียงเรียกที่ดังจากที่ประตูทำให้เขาที่ยืนอยู่หน้ากระจก กำลังทำตัวแปลกๆอยู่ต้องหุบยิ้มฉับและหันไปมอง คาดว่าน่าจะเป็นพี่เจน แต่ไม่ใช่…เป็นแฟนของพี่เจนต่างหาก
“คุณป๋า” เมื่อกี๊นี้ไม่เห็นใช่ไหม?
“ทำอะไรอยู่” แล้วคนพ่อล่ะทำอะไรอยู่ อยู่ๆก็เข้ามาหากันแบบนี้ไม่ใช่นิสัยปกติเลย ถ้าไม่มาขิงใส่ว่าวันนี้ไปไหนทำอะไรมากับเจน นักรบก็ไม่ค่อยสร้างโมเมนท์พ่อลูกกันเสียเท่าไหร่
“กำลังหัดยิ้มอยู่ครับ” แต่เขาก็ตอบไปตรงๆเพราะคาดว่าเลขาของพ่อคงเพ็ดทูลไปหมดแล้ว และเขาคงเห็นยอดขายในรายงานของลูกที่ทำส่งไปด้วย 2 วันที่ผ่านมานี้ เรียกว่าขายได้น้อยเป็นประวัติการณ์ การจ้างพนักงานสาธิตของบริษัทได้เลย…
ทั้งๆที่สาขานั้นเป็นสาขาที่มียอดขายอาหารสดเยอะมากๆแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร แต่ยอดขายสินค้าใหม่ที่เปิดตัวได้ไม่กี่เดือนตัวนี้กับไม่กระเตื้อง เราเลี้ยงลูกเป็นไข่ในหินแบบนั้น เขาย่อมรู้ดีว่าทำไม แต่ไม่คิดว่าลูกจะเอาไปปรึกษาเลขาของเขา ซึ่งจริงๆเพชรก็ไม่ได้แย่หรอก คนๆนั้นก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ถ้าถามเรื่องงานก็ตอบได้อย่างมืออาชีพนั่นแหละ
แต่เขาแค่ไม่คิดว่าคนอย่างอัศวินจะวุ่นวายใจถึงเพียงนี้ นี่นักรบดูเหมือนคนคาดหวังในตัวลูกสูงไปเหรอ เจ้าลูกชายถึงได้กดดันตัวเอง ทว่ามันไม่แปลกหรอก อัศวินสำนึกตนในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของเขาได้ดี เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบจึงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวตระหนักถึงได้ดีที่สุด
“คุณป๋าว่ายิ้มแบบเจนนี่ยากไหม”
“….”
“เฮ้อ…ง่ายสินะ” อ่อนหัด น้องวินช่างอ่อนหัดจริงๆ เขายังเทียบเคียงคุณป๋าไม่ได้สินะ
“ถ้าคุณป๋าทำได้ น้องวินก็ชอบคุณป๋ามากกว่าเจนแล้วสิ” แต่ความจริงมันเป็นแบบนี้ อัศวินนี่หันขอแทบหลุดเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อ อย่างนี้ก็ได้เหรอแต่ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆนี่
ใครจะไปยิ้มโง่ๆแบบนั้นได้กัน!
“ฟ้องเจนแน่” ไอ้ลูกไม่รักดี! ให้มันได้อย่างนี้สิ
“หรือน้องวินยิ้มได้ ไหนยิ้มให้คุณป๋าดูสิ” แน่นอนว่าไม่ได้เหมือนกัน ไม่งั้นเราจะเกิดมาเป็นพ่อลูกกันเหรอ?
“เฮ้อ…” ก็ถ้าทำได้ คงไม่มีคนมานั่งเครียดแบบนี้ คุณป๋าหัวเราะเบาๆก่อนจะลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่วันนี้เกือบจะสูงเท่าเขา
เจ้าเด็กแก้มกลมที่พอเห็นก็วิ่งเข้าหา แต่พอเห็นเจนก็ทิ้งเขาไปอยู่ไหนแล้วนะ? ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มแล้ว ดีกรีความอ้อนก็ลดไปตามระยะเวลา แต่น้องวินไม่เคยไม่น่ารักในสายตาคนเป็นพ่อจริงๆ เราใช้ความเงียบคุยกัน ซึมซับบรรยากาศอยู่ประมาณสิบนาที จนกระทั่งลูกชายคนเดียวของเขาถามคำถามบางอย่างที่ไม่คิดว่าจะออกจากปากหนักๆนี่
“ตอนนี้คุณป๋าเจอเจนครั้งแรกรู้สึกยังไงเหรอ”
“ถามทำไมกันเนี่ย”
“ตอบสิ” เจ้าของคำถามขมวดคิ้วในยามที่ไม่ได้รับความร่วมมือ เอากับเด็กนี่สิ อยากจะรู้ให้ได้เลยใช่ไหม
“ไม่ชอบ”
“อ้าว”
“เจนไม่ได้ดูใจดีกับคุณป๋าเหมือนที่เจอน้องวินหรอกนะ รายนั้นตั้งป้อมกับทุกคน มีแค่น้องวินคนเดียวที่เขาเอ็นดูตั้งแต่แรกเห็น” ดูเหมือนว่าอัศวินจะหน้าแดงขึ้นมา เขามีโอกาสได้ดูรูปตัวเองสมัยเป็นเด็กๆบ่อย เพราะเจนชอบนั่งดูเลยได้อานิสงค์ และเจนมักจะชอบยิ้ม ชอบพูดเรื่องเก่าๆว่าน้องน่ารักยังไง ภาพเจนที่ดูรักและเอ็นดูกันมาก ช่างขัดกับสิ่งที่คนพ่อเล่ายิ่งนัก เจนที่ดูไม่เป็นมิตรเหรอ? ไม่เคยเห็นเลยแฮะ
เป็นความจริงที่ว่านักรบกับเจนไม่อาจจะชอบกันได้ในวินาทีแรกที่สบตา เพราะทั้งสองห่างไกลจากความเป็นมิตรต่อกัน ทว่าความเป็นไปได้ของความรักนั้นมีมาก เมื่อเคมีนั้นกลับเข้ากันได้ดีในเวลาต่อมา และตัวผสานเคมีเหล่านั้นก็คือเด็กหนุ่มในวันนี้ที่ตอนนั้นยังเป็นแค่ก้อนกลมๆยิ้มเห็นแต่เหงือกและพูดไม่รู้เรื่อง หากไม่มีน้องวิน นักรบเองก็ไม่คิดว่าเขากับเจนจะรักกันได้ ดังนั้นเด็กคนนี้จึงเปรียบเสมือนคนที่ทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ขึ้นมา
แล้วความรักมันเกิดขึ้นได้ยังไง จริงๆแล้วมันเริ่มขึ้นตอนไหนก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด ทว่าเขารู้สึกตัวได้ว่าชอบให้เจนอยู่ใกล้ๆ ชอบฟังเจนพูดชอบฟังเจนหัวเราะ และที่ชอบที่สุดคือการที่เจนยิ้มมาให้ นักรบยอมรับว่าเขาจะเย็นชาได้อีก แต่เพราะมันมีน้องวินอยู่ตรงกลางที่ดึงให้ต้องเฝ้ามองและระวังภัยจากคนแปลกหน้าที่ชื่อเจนรักษ์ ทำไปทำมา เขาก็มองเจนในอีกแบบไปแล้ว และนั่นคงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เรียนรู้กันในแง่มุมที่นอกเหนือจากความเย็นชา
“ยากจัง” และเมื่อถ่ายทอดให้น้องวินได้รู้ เด็กนี่ก็ยังไม่เข้าใจเสียทีเดียว อัศวินพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่เสมอมา ทั้งนี้อาจจะเพราะอยากจะเป็นให้ได้เหมือนพ่อไวๆหรือยังไง แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยม ยังมีอีกหลายมุมที่น่าเอ็นดูเหมือนวันก่อนๆนั้น
“แล้วอยู่ๆมาถามทำไมล่ะ ไปเจออะไรหรือไง”
“…”
“จริงเหรอเนี่ย”
“ไร้สาระ ไม่เจออะไรสักหน่อย” ปากหนัก เหมือนใครกันนะ เหมือนเจนแน่ๆ ไม่เห็นจะเหมือนเขาสักนิด
“งั้นก็ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปทำงานด้วย ถ้าทำไม่ไหวก็มาบอกจะได้ส่งไปเรียนทัน” นักรบขยี้ผมเจ้าลูกชายปากแข็งของเขาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของลูกไปยังห้องตัวเอง เรื่องไร้สาระงั้นเหรอ ให้มันจริงเหอะ จะบอกให้ว่าพ่อก็เคยคิดแบบนั้น แล้วมันเป็นไง ทุกวันนี้ก็ยังไม่หลุดจากหลุมแห่งความไร้สาระ โทษเจนคนเดียวเลย
ว่าแต่ทำไมอยู่ๆถึงถามเรื่องความรักล่ะ?
TALK
หนุ่มน้อยถามเรื่องความรักกับคุณป๋าไปทำไมกันนะ5555
ไม่ไปถามกับพี่ชุบอ่ะ555 เห็นคนชอบลูกชุบกันเราก็ดีใจค่ะ น้องวินนี่เป็นลูกของใครหลายคนๆ
เราก็แอบกลัวว่าคนจะหวงไม่ยกให้พี่ชุบ แต่เห็นคนชอบพี่ชุบงุ้นงี้ก็ดีใจ
ตอนนี้แววพระเอกยังมาไม่ครบ เราต้องให้น้องวินได้เติบโตนะคะ อาเพชรจะดูแลคุณหนูให้ทุกคนเอง วางใจได้
ขอพื้นที่ขายของหน่อย
ฝากตัวและใจให้สองเรื่องข้างล่างหน่อย
#อาทิตย์ศศิ อีกไม่นานจะจบแล้วคับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68747.msg3902764;topicseen#msg3902764#คู่กินคู่กัด เปิดมาตอนเดียว ช่วยคาดหวังในตัวน้องด้วยค่ะ555
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69337.0