(Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END  (อ่าน 20511 ครั้ง)

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2019 12:33:49 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
ผมสูญเสียความต้องการอาหารไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รู้แค่ว่าตั้งแต่จำได้…ก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว


“ฉัน มึงไปต่อคิวร้านชานมร้านใหม่กับกูป่ะ”


“ร้านใหม่ที่แถวแม่งโคตรยาวอ่ะเหรอ ไม่ไปอ่ะ ชาไข่มุกที่ไหนก็เหมือนกันปะวะ”


“ไม่เหมือนดิวะ มึงนี่มันหยาบกร้านไม่ละเอียดอ่อนเหมือนหนังหน้าเอาเสียเลย”


“…”


“มึงต้องหัดละเมียดละไมลิ้มรสแบบผู้ดีบ้างสิเว้ย ไม่ใช่เอะอะอะไรพ่อก็จับยัดไปหมด ไอ้ฉันไอ้ช่างยัด!”


“ขอบคุณที่เดือดร้อนแทนกูนะ”


“มึงนี่มันไม่รู้ค่าของแพง”  คร้านจะเถียงกับแม่ง แล้วจะให้ไอ้ฉัน ‘ฉันชนก’ คนนี้รู้ค่าชานมไข่มุกแก้วเป็นร้อยของมันไปทำไม


ในเมื่อฉันนั้น…ดื่มกินอะไรก็ไม่เคยรู้รสเลย!?!!!


1
- - - - - -
รสชาติอร่อย…
มันเป็นอย่างไรกันเหรอ?
- - - - - -

ในที่สุดฉันก็ได้ไปยืนต่อแถวซื้อชานมไข่มุกราคาแพงนั่น ทว่าไม่ใช่กับเพื่อนคนเดียวกันที่เคยเรียกร้อง


แต่ก็ไม่ได้ซื้อติดมือมาด้วย นับได้ว่าคนอย่างฉันชนกนั้นสามารถยืนหนึ่งอยู่บนยอดภูผาแห่งกิเลสทางรสชาติมาได้ตลอดชีวิต และตำแหน่งนี้ไม่เคยสั่นคลอน ไม่ว่าจะเนื้อวากิวเกรดเอที่ทุกคนว่าดีจนไปถึงเนื้อแดดเดียวร้านข้างทางโคตรเหนียว ฉันชนกสามารถกินมันได้หมดโดยละแล้วซึ่งการแบ่งเกรดใดๆ โชคดีที่สวรรค์ยังไม่ตัดการรับกลิ่นของตนไป


“แล้วนี่จะกลับบ้านเลยปะ”  ‘สาริน’  ที่วันนี้มาเดินเที่ยวด้วยกันนั้นถามหลังจากที่ได้ชาไข่มุกที่อยากแสนอยากมาไว้ในมือ จะอะไรนักหนากับชาบ้าๆนี้นะ ทำไมใครๆก็อยากกิน เพื่อนเขาอีกคนที่หยาบคายหน่อยๆก็วอแวอยากจะกินเหมือนกัน


“กลับเลยดิ”


“เออก็ดี นี่ท้องเริ่มอืดแล้ว อยากกลับบ้าน” 


“เอาแล้วไง! ท้องไม่ย่อยนมแล้วยังจะดื้ออีก”


“เอ้ย! ก็นี่มันชาไข่มุกไหม ชาไงไม่ใช่นม” 


“ต้องเป็นคนแบบไหนที่จะเถียงตกคูได้แบบนี้ ชาไข่มุกที่สาจ๋าสั่งนี่ให้เดินกลับไปถามพนักงานไหมว่าเขาใส่นมวัวหรือนมควาย ทำไมกินแล้วโง่”  สารินที่มีอีกนามว่าสาจ๋าเบ้ปากใส่ แต่เถียงไม่ข้างไม่คูแล้ว ตกคูไปเลยดีกว่า คนเรานี่กินนมวัวแต่โง่เหมือนควายก็ได้เหรอ?!


“คุณฉันขา…ไม่ดุสิคะ”  พอสาจ๋าอยากจะเบี่ยงประเด็นก็ทำแบบนี้ทุกที สรรพนามที่เรียกฉันก็จะกลายเป็นคุณฉันและลงท้ายด้วยคะขาเสมอ


ไปจำมาจากไหนว่าคนฟังชื่นชอบนะฮึ!


“สา…”


“คุณฉันขา สาจ๋าผิดไปแล้ว ให้อภัยสาจ๋านะคะ แต่มันอร่อยอ่ะ สาอยากกินอีก”  แล้วยังมาทำหน้างีดๆใส่ คนที่ดุด่าไปจึงจำต้องถอนหายใจ ฉันชนกไม่เคยเปิดสงครามฝีปากกับสารินไปได้จนสุดเลยจริง เกรงว่าคนดื้อหน้ามึนแบบนี้ ต้องเป็นคนที่เทพกว่าจริงๆถึงจะเอาอยู่ แต่พูดเลยว่าคนแบบนั้นไม่มีอยู่ในโลกหรอก สาจ๋าปราบได้หมดจริงๆ ไม่เชื่อคอยดูสิ


“ถ้ายังงีดๆอยู่งี้ ไม่คุยแล้วนะเว้ย!”


“ไม่งีดๆใส่แล้วก็ได้ แล้วนี่กลับบ้านเลยปะ เหม็นขี้หน้าแล้ว ชิ่วๆ”  ฉันชนกมองเพื่อนของตนที่โบกมือไล่ด้วยหางตา วันนี้เขาสองคนมาใช้บัตรลดร้านอาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้แล้วก็เลยเถิดเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ด้วยความริษยาในตัวสาจ๋าอย่างเต็มขั้น ยามได้เห็นเพื่อนทำหน้าฟินตอนละเลียดไอติมและมาชิมชานมไข่มุกที่ไม่เคยกินไข่มุกหมดแก้วก็ได้แต่ทำหน้ารำคาญใส่ไป ทว่าเจ้าตัวไม่ยักกะสนใจรัศมีความหมั่นไส้นี้จริงๆ


เอาเถอะก็ไอ้สามันไม่รู้ไหมว่าลากใครมากินด้วย
อยากจะเอาแก้วชาไข่มุกคว่ำบนหัวทุยๆนั่นชะมัด!


แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำและแยกจากกันมา ฉันนั้นพบว่าฟ้าเริ่มจะมืดแล้วแม้ที่พักของเขาจะอยู่ไม่ไกลจากระยะที่เดินได้จากสถานีรถไฟฟ้า แต่เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้าที่กองอยู่เต็มตะกร้าเลย เพราะฉะนั้นตนจึงค่อนข้างจะรีบเร่งกลับไป ทว่าฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจนัก


ครืนนนนนนนนน!
เอาแล้วไง


“ว้อยยยยยย”  ฉันชนกไม่ได้จัดอยู่ในประเภทมนุษย์หยาบคายแม้จะมีเพื่อนที่หลากหลายมากมายอุปนิสัย แต่เอาเข้าจริงๆยามที่กำลังหงุดหงิดขั้นสุดก็ไม่สามารถคงตัวถือศีลต่อไปได้ คนตัวเล็กนั้นสบถออกมา จริงๆคอนโดก็ไม่ได้อยู่ไกลหรอก แต่เชื่อเหอะว่าขาสั้นๆแบบนี้…ยังไงก็ไม่ทัน


ซ่า…
นั่นไงรับรสไม่ได้ พยากรณ์อากาศก็แม่น กราบไอ้ฉันซะสิ!


ฉันชนกทึกทักไปเองว่าไม่มีใครในประเทศกรุงเทพมหานครนี้ที่ซวยเก่งเท่าตนอีกแล้ว และถ้าไม่ดื้อนั่งไถมือถือเล่นที่ชานชาลารถไฟฟ้าก่อน ก็จะไม่มีสภาพเป็นหมาหลบฝนหน้าเซเว่น เอ่อ…ไม่ใช่สิ ร้านกาแฟแบบนี้


ฉันนั้นมองไปรอบตัวและก็พบว่ามันไม่มีพื้นที่อื่นใดให้พึ่งพิงได้เลย ร้านกาแฟที่ตนมายืนหลบฝนหน้าร้านอยู่นี่ก็ติดป้าย ‘CLOSED’  ไว้เสียแล้ว ร้อยปีพันวันไม่เคยเห็นปิด มาปิดเอาตอนนี้เสียได้ ให้มันรู้ไปว่าจะมีใครซวยเก่งไปกว่าฉันชนกคนนี้ได้อีก


“หนาวอ่ะ”  พึมพำออกมาคนเดียวเพราะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใคร เสียงฟ้าผ่านั้นทำให้สะดุ้งโหยง แต่เชื่อเถิดว่ายังมีชาวประเทศกรุงเทพนี้อีกคนที่ซวยไม่น้อยกว่า


นั่นคือสาริน เจ้าเด็กนั้นกลัวเสียฟ้าผ่า ป่านนี้คงเสียจริตอยู่แถวๆพระโขนงเป็นที่น่าสงสารแก่ผู้พบเห็น


ตู้ดดดดดดดดด…


“คุณฉันนนนนนนนน”  น้ำเสียงที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นนั้นทำให้คนฟังรับรู้ได้ถึงจริตที่เสียไปและไม่อาจจะกลับคืนมาในระยะเวลาอันใกล้ ฉันชนกที่โทรไปหาด้วยเป็นห่วงนั้นทั้งสงสารแต่หมั่นไส้ก็ไม่น้อย จะว่าไปสาจ๋าของคุณฉันก็โตแล้ว แต่ทำไมยังกลัวกับเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้


หรือไปแอบโกหกอะไรแล้วเผลอสาบานให้ฟ้าผ่าไว้นะ?
เลยกลัวเป็นพวกมีชนักติดหลังอย่างนั้น


“คุณฉันมาหาสาจ๋าได้ไหม”


“ไม่ได้หรอกสาจ๋า นี่เราอยู่อารีย์แล้ว”


“เราก็เพิ่งถึงอ่อนนุชอ่ะ แต่ไม่ได้เอาร่มมา”


“เดินไปหลบในโลตัสก่อนสิ”


“ไม่เอา เดี๋ยวเราโดนเดลี่ควีนซื้อ”  หรือใครที่กระเพาะไม่ย่อยนมวัวจะไปซื้อเดลี่ควีนกันแน่! ฉันชนกถลึงตาใส่พื้นดิน คงหวังให้คนปลายสายรับรู้ถึงความระอาขั้นสุดนี่ แต่น่าเสียดายที่วิทยาการโลกเรายังไม่ไปถึงขั้นนั้น


“ไหนบอกปวดท้องไง”


“แต่เราไม่ได้กินเดลี่ควีนนานแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”  แต่แกเพิ่งโหมกินไอติมและชานมมา ต้องบ้าแค่ไหนที่จะทนสบายปากลำบากท้องแบบนี้


“สาจ๋า แกอยากให้แม่อุ้มไปส่งโรงบาลตอนฟ้าผ่าเหรอ”


“ไม่เอาฟ้าผ่า” และไม่ให้แม่อุ้มด้วย สาจ๋าโตแล้วและเป็นผู้ชายนะเว้ย!


“งั้นเข้าไปหลบฝนในโลตัส เดินไปสิงแถวสลัดบาร์ สูดกลิ่นผักเยอะๆแล้วไม่ต้องกินอะไรเลย”  เป็นคำแนะนำที่จัดได้ว่าดี เบี่ยงความสนใจทางการกินด้วยการให้สารินไปดมกลิ่นเหม็นเขียวของผักที่เกลียดไว้ แค่นี้พอไม่อยากกินอะไรก็ไม่หาเรื่องตายให้ตัวเองซ้ำๆซากๆ


ปลอบคนจนตัวเองเสียจริตตามแล้ว คุณฉันของสาจ๋าก็กดวางโทรศัพท์และยัดมันเข้ากระเป๋าด้วยกลัวว่ามันจะโดนละอองฝนที่ตกหนักขึ้น อีกนิดเดียวก็จะถึงคอนโดอยู่แล้ว แต่กลับมาติดแหง่กอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้เสียได้


ในปัจจุบันนี้ อารีย์ถือเป็นย่านฮอตฮิตของวัยรุ่นและคนทั่วไป โด่งดังไปด้วยร้านอาหารและร้านกาแฟมากมายที่เด่นเรื่องกิมมิคต่างๆกัน ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า ‘ป๊ะและคุณพ่อ’ คิดอย่างไรถึงได้มาซื้อคอนโดไว้ที่นี่ แต่ในตอนนี้ทางเลือกที่คู่ชีวิตซึ่งเป็นผู้ปกครองของฉันชนกทั้งสองเลือก ก็ถือว่าดีเยี่ยมเป็นที่สุด เพราะตอนนี้ห้องที่เขาอาศัยอยู่ คาดว่าราคาคงขึ้นไปเกือบจะเท่าตัวแล้วมั้ง


“คุณครับ”  ทว่าในขณะที่คิดอะไรเพลิน ใครบางคนก็ปลุกกันออกจากภวังค์ความคิด ฉันชนกที่กอดตัวเองด้วยรู้สึกหนาวนั้นค่อยๆหันหน้าของตนไปหาต้นเสียง


ตรวจพบผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากประตูกระจกนั่น…


“เอ่อ โทษทีครับ”  ว่ากันว่าใบหน้าคือปราการด่านแรกที่เราใช้มองใครสักคนที่เพิ่งเคยพบเจอ ลำดับต่อมาฉันชนกก็มองหาเหตุผลที่ทำให้เขาเรียกกัน ชายหนุ่มคนนี้เปิดประตูของร้านกาแฟออกมาเรียกหา ยามนี้คิดได้อย่างเดียวว่าตนอาจจะทำความลำบากให้เขาอยู่


ก็เล่นมายึดหน้าร้านเขาแล้วไหม ไอ้ฉันนี่ดูยังไงก็เกะกะนัก


“ไม่เป็นไรครับ ฝนคงจะตกอีกสักพัก ยังไงเข้ามาในร้านก่อนไหม”  อ้าว…ไม่ได้ปิดอยู่หรอกเหรอ  ฉันชนกถามแค่ตัวเอง ด้วยเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ของที่หลบฝนจึงไม่ได้เอ่ยถามคนที่คู่ควรออกไป เมื่อพาตัวเองมาอยู่ในร้านอย่างเด๋อๆด๋าๆก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจไปรอบตัว


อา...ชอบสีเขียวมิ้นท์นี่จัง


“เอ่อ ยังพอจะมีเครื่องดื่มอะไรให้ผมอุดหนุนอยู่ไหมครับ”  แขกที่เพิ่งได้รับเชิญเอ่ยถามออกไป เจ้าของใบหน้าที่ใครบางคนแอบมอบรางวัลคนหล่อให้ในใจนั้นหันมามอง เมื่อได้มองกันในพื้นราบก็พบได้ว่าเขานั้นสูงกว่าฉันชนกอยู่มาก แต่นั่นก็แหงล่ะ หมากระเป๋าแบบเขาและสารินนั้นอย่าได้ลืมตาอ้าปากเอาตัวเองมาเปรียบกับใครเลย ต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยขนาดนี้ สมควรจะสำนึกตนแหละดีแล้ว


ชายหนุ่มผู้อารีเหมือนกับชื่อสถานีรถไฟฟ้าใกล้เคียงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาล เขาน่าจะกำลังเก็บล้างอุปกรณ์ของร้านอยู่ ฉันไม่ได้ถามเพราะเกรงใจเพียงอย่างเดียว แต่เพราะวันนี้เขาไปกินทงคัตสึกับเจ้าสา และอากาศที่เพิ่งประสบมาก็หนาวเย็น จึงนึกอยากดื่มอะไรที่มันอุ่นๆ


“เผอิญว่าน้ำแข็งหมดแล้ว เอ่อถ้าเป็นอะไรร้อนๆก็ได้ครับ”


“ผมอยากดื่มอะไรร้อนๆพอดีเลยครับ”  ให้กินแต่น้ำอุ่นเปล่าๆยังได้ จะน้ำอะไรก็ไม่ต่างไงเล่า เรื่องเศร้าต้องขยี้ให้สุด!


“งั้นเชิญมาดูเมนูทางนี้ดีกว่าครับ”  พนักงานหนุ่มนั้นเชื้อเชิญให้แขกตัวน้อยเดินมายังหน้าเคาน์เตอร์เพื่อดูรายการเครื่องดื่มของทางร้าน ด้วยเพราะชื่อเรียกบางอย่างมันค่อนข้างจะยากสำหรับคนที่ไม่พิศวาสการนั่งชิลในร้านกาแฟไหนๆ ทำให้กว่าจะเข้าใจก็เอาเรื่องอยู่ โดยไม่รู้ตัว ฉันชนกเองก็ถูกจ้องมองอยู่เหมือนกัน


เอาเถอะ มองเก่งนี่ มองมามองกลับไม่โกง!


“ง่า…จริงๆเอาอะไรก็ได้ร้อนๆมาก็ได้ครับ”  ฉันยอมแพ้แล้ว อันนี้กับอันนั้นมันต่างกันยังไง คนแยกรสไม่ได้อ่านไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดีแล้วจะเสียเวลาอ่านทำความเข้าใจไปทำไม..อาจารย์ไม่ได้จะควิซสักหน่อย ขอแค่ไม่ใช่น้ำกรดก็พอแล้วจริงไหม


“ถ้างั้นรับเป็นชาคาโมมายล์ล่ะกันครับ วันนี้จะได้หลับสบาย”


“อะ เอ่อ..อันนั้นแหละครับ”  เพราะรับรสไม่ได้เลยไม่เคยใส่ใจถึงสุนทรียภาพของการดื่มกินสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าอะไรมีผลข้างเคียงหรือฤทธิ์ยังไงก็ไม่เคยรู้ เอาเป็นว่าไอ้ชาคาโมมายล์นี่มันไม่ได้ทำจากกัญชาก็แล้วกัน แต่ถึงแอบใส่ลงไปสักนิด ก็คงจะเมาทั้งๆที่ไม่รู้รสทั้งนั้น สำหรับฉันแล้ว…ใบชาผสมกัญชาก็คงไม่ต่างจากกลิ่นใบหญ้าผสมในน้ำเปล่าร้อนๆละมั้ง


ฉันคิดเช่นนั้น…


“อา…หอม”    แต่เจ้าตัวคนที่ไม่เคยมีสุนทรีย์ใดๆคงลืมไปว่าตนนั้นยังมีจมูกที่เป็นเลิศที่สุดในปฐพีอยู่ คนดื่มชาทั่วไปไม่ได้ดื่มเอารสเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว ฉันชนกไม่เคยรับทราบถึงข้อนี้เพราะนี่ก็คือครั้งแรกที่กินชาร้อนแบบ…ชาดีๆ กาเป็นร้อย และร้อยๆ ที่เคยกินก็มีแค่ชาในร้านอาหารข้าวมันไก่ข้างทางเท่านั้นแหละ


“ชาคาโมมายล์จะทำให้หลับสบาย ผมวางไว้ให้กับคุ้กกี้ชิ้นเล็กๆที่เป็นบริการจากทางร้านนะครับ”  พนักงานร้านผู้ใจดีนั้นเมื่อยกมาเสิร์ฟก็พบคุณลูกค้าผู้มากับฝนนั้นทำจมูกฟุดฟิด แทนที่เขาจะรู้สึกแปลกๆ กลับนึกเอ็นดูอย่างประหลาด แต่อย่างว่า…คนเราจะเอ็นดูคนประหลาดสักคนที่เพิ่งเคยเจอได้ คนๆนั้นก็ต้องมีใบหน้าที่น่าเอ็นดูเช่นกัน


“ขอบคุณมากครับ”  ฉันชนกนั้นหันไปขอบคุณและยกแก้วชาขึ้นมาดมให้ชื่นใจ อา…ต่อให้ไม่รับรู้รสอะไรแต่ก็ฟินได้บ้างแล้วชานี่น่ะดีกว่าชานมไข่มุกของสาจ๋าตั้งเยอะ!


แม้จะจิบไปแล้วไม่รับรู้รสอะไรอยู่ดี


“อืม..”  ใบหน้าที่แสร้งเหมือนพอใจนั้นก็ถูกฝึกมาอย่างดี แต่สำหรับฉันแล้วนี่มันน้ำเปล่าอุ่นๆชัดๆ อืม…ว่าคนอื่นกินไปได้ไงชานมไข่มุกแก้วล่ะร้อย ส่วนตัวเองมากินชาร้อนกาละร้อยกว่าบาทแต่รสชาติเหมือนน้ำเปล่าต้ม นอกจากร้อนและกลิ่นหอมแล้วก็ไม่มีอะไรเจือแฝง


ทีนี้ก็มากินคุ้กกี้ต่อ จริงๆตนก็ไม่ได้อยากกินขนมนัก แต่เขาอุตส่าห์เอามาให้แล้วจะให้ปฏิเสธก็กลัวจะเสียมารยาท แม้จริงๆมันก็เสียมารยาทอยู่แล้วที่มานั่งในร้านตอนปิด แต่เอาเถอะ ก็มานั่งแล้วนี่


กลิ่นคุ้กกี้หอมมันที่ฉันไม่มีวันรู้ว่ารสชาติของเป็นเช่นไรนั้นถูกนำเข้าไปเคี้ยวๆในปาก กินจนหมดตามศรัทธาและก็ตามด้วยชาร้อนเพื่อล้างคอ ดวงตาเรียวของแขกผู้มาเยือนนั้นจ้องมองไปที่ภายนอก ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ยิ่งเห็นยิ่งทำให้หดหู่ ซักผ้าไปก็ไม่มีทางจะได้ใส่พรุ่งนี้ งั้นซักแห้งไปเลยสิ จะได้ไม่เจอกับปัญหาอับชื้น!


“คุณลูกค้าครับ”  ทว่าในขณะที่กำลังคิดเรื่องกลิ่นของเสปรย์ที่จะเอามาฉีดพ่นผ้าที่ไม่ได้ซักของตนนั้น พนักงานหนุ่มผู้ใจดีก็ได้นำอาหารอีกจานมาวางให้


แน่นอนว่าฉันนั้นไม่ได้สั่ง…


“อันนี้เป็นเมนูที่กำลังลองทำอยู่ครับ”


“เอ่อ…”


“ถ้าไม่รบกวนพอจะวิจารณ์และให้ความเห็นหน่อยได้ไหมครับ” 


“จะดีเหรอครับ”  ไม่ดีแน่หากเป็นเช่นนี้ ความใจดีและความหล่อนั้นฉันชนกขอรับไว้แค่นั้นได้หรือไม่ แล้วคิดอย่างไรให้คนที่ไม่รู้จักเปรี้ยวเค็มเผ็ดหวานมาชิมอาหารให้กันละพ่อคุณ…


“ดีสิครับ หากเก็บข้อมูลครบถ้วนแล้วเราจะได้พิจารณาวางขาย หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปพอจะฝากไว้หน่อยได้ไหมครับ”  แววตาพราวระยับดูเป็นมิตรนั้นจะว่าใจดีก็ดีอยู่หรอก แต่มันก็กดดันกันไม่น้อย


เอาก็เอา! มโนเพิ่มเติมไปหน่อยและตอบเขาไปว่าอร่อยดีแล้ว ไม่ต้องไปให้ความเห็นเรื่องรสชาติอะไร คงไม่มีใครคาดหวังให้ชาวบ้านทุกคนมีสัญชาตญาณนักชิมตัวยง เอาเป็นว่าแค่ความเห็นของคนๆเดียวคงไม่ทำร้านเขาเจ๊งหรอก ฉันคิดเช่นนั้น ก่อนจะหยิบคลับแซนวิชหนึ่งในสี่ชิ้นเข้าปาก


อืม…


“อร่อยดีครับ”   ฉันตอบสั้นๆแม้จะไม่รับรู้รสอะไรเหมือนเคยก็ตาม


“งั้นเหรอครับ”


“อื้มผมว่าซอสมันเยอะไปหน่อยนะ”  อ่ะ! แถมความเห็นให้อีกอันก็ได้ แต่มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว เอาจริงๆไอ้ซอสหนืดๆนี่เป็นน้ำยาล้างห้องน้ำแบบไร้กลิ่นหรือเปล่า ฉันก็กินไปโง่ๆแบบง่ายๆจนหมดคำ


“ถ้างั้นลองชิมชิ้นนี้ดูสิครับ อันนั้นจะเป็นซอสอีกชนิด”  คนหล่อชักไม่หล่อเสียแล้วเมื่อเป็นคนหล่อที่วุ่นวาย ให้ตายเถอะ…สวรรค์จะคาดหวังให้คนที่ไม่มีความสุขในการกินต้องมากินอะไรนักหนา แต่เห็นแก่พระคุณที่ว่าให้หลบฝนหรอกนะ จะกินและมโนให้อีกชิ้นก็ได้ มือเล็กหยิบชิ้นที่เขาชี้ขึ้นมาใส่ปาก และคงเหมือนทุกครั้ง…


ก็แค่เคี้ยวและกลืน


“…”


แต่ครั้งนี้มัน….


“…….”  มันต่างออกไป


หวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ
เปรี้ยว…อาเป็นความเปรี้ยวของทั้งซอสที่มันๆและความเปรี้ยวของมะเขือเทศ
เผ็ดฉุนๆที่คาดว่ามาจากพริกไทย ฉันจำกลิ่นของมันได้
ขมนิดๆ อันนี้น่าจะเป็นรสชาติของผัก
 
 
“.......”
 
 
“เป็นไงบ้างครับ”
 
 
“.......”
 
 
“คุณครับ?”  เขาถาม แต่ฉันนั้นแน่นิ่งไม่ตอบอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาคงกำลังรอคำชมเชยจากปากลูกค้านิสัยเสียคนนี้ แต่จะให้ฉันทำไงดีล่ะ ในเมื่อสิ่งที่อยู่ในปากนั้นมันมากล้นกว่าที่จะให้พูดได้ในทันที
 
 
เพราะนี่คือครั้งแรก
 
 
“อร่อยครับ”   
 
 
“ขอบคุณครับ”
 
 
“อร่อย…จริงๆครับ”  ใช่แล้ว มันอร่อย ความรู้สึกนี่มันคือความอร่อยใช่ไหม ความรู้สึกที่เปี่ยมล้นแบบที่ทำให้น้ำตาเอ่อล้นออกมาคือความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยใช่ไหม?
 
 
“คุณร้องไห้”  หลังจากที่นั่งเงียบไปอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้สังเกตเห็น ว่าคำชมที่มาพร้อมกับน้ำตานั้นเป็นยังไง ชายหนุ่มยิ้มละไม เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดีแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ไม่ถามอะไรให้รู้สึกอึดอัด
 
 
“ขอบคุณครับ”  ฉันกล่าวออกไปพร้อมๆกับที่รับผ้าเช็ดหน้า ร่างสูงเพียงแค่ยิ้มรับทราบความซึ้งใจครั้งนี้ ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้ฉันได้กินแซนวิชอีกสองชิ้นที่อาจจะมีรสหรือไม่มี การเข้ามาในร้านแห่งนี้เพื่อเจอเขานั้นเหลือทิ้งไว้เพียง
 

อาหาร….ที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในชีวิต
 และวันนี้ก็เหมือนจะจบลงไปพร้อมกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆและแปรปรวนยิ่งกว่าวันไหนในชีวิตเช่นกัน

- - - - - -
เหมือนเหยื่อจะติดกับ
ด้วยเพียงแซนวิชเพียงคำเดียวเท่านั้น
- - - - - -


เจ้าของใบหน้าที่ใครบางคนนึกในใจว่าหล่อเหลาอย่างนั้นอย่างนี้ลอบยิ้มอยู่อีกมุม เขาแอบมองคนที่นั่งหันหลังให้เคาน์เตอร์ที่กำลังละเลียดชิมอาหารคาวที่เขาสุดจะภูมิใจนำเสนอกับชาที่เขาเลือกให้อย่างใส่ใจเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นที่เข้ามาเป็นลูกค้าในยามที่ร้านปิดอยู่ช่างน่าสนใจระคนแปลกประหลาด แต่ใช่ว่าบนโลกนี้คนที่ดูแปลกๆจะไม่มีอยู่เลย


‘ไพร์ม ภูวนัย’ เองก็นิยามตัวเองอยู่บ้างถึงคำว่าประหลาดแบบนั้น


เจ้าของร้านหนุ่มยืนมองร่างบางที่จากไป เขาต้อนรับลูกค้าบางคนดีเสมอไม่ใช่แค่เพราะร้าน ‘เพิ่งเปิด’ แต่เพราะ ‘ร้านเปิดแล้ว’ ต่างหาก ทว่ากับลูกค้าบางคนก็เป็นที่น่าจดจำยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะแซนวิชง่ายๆหรอก เพราะอะไรนะเหรอที่อยากทำให้การบริการนี้เป็นที่ประทับใจไม่มีวันลืม ไพร์มไม่ใช่คนที่มีตรรกะยากๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนอ่านกันออก ช่างน่าผิดหวังในตัวเองหรือเขาเหล่านั้นเสียหลือเกิน
 
 
ชายหนุ่มจ้องมองจานเปล่าที่วางไว้ในตอนที่ฝนหยุดตกและลูกค้าคนนั้นไม่อยู่อีกแล้ว ดูเหมือนของฟรีจะรสชาติดีกว่าชาราคาแพงที่เขาแนะนำไปให้ และคุ้กกี้ขายดีที่ทำเท่าไหร่ก็ขายหมดไม่เคยเหลือเสียอีก ควรจะน้อยใจดีไหมนะ?


แต่คนน้อยใจกลับส่ายหน้าและยิ้มไปพลาง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียใจ มนุษย์ทุกคนมีความชอบต่างกัน และนั่นคือเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล


บนโลกกลมๆที่จะว่ากว้างก็กว้างเพราะเราคงเดินไปทั่วๆไม่ได้ แต่จะว่าเล็กก็เล็ก เพราะเราสามารถข้ามไปที่อีกซีกโลกด้วยเวลาที่นับกันเป็นหน่วยวันและชั่วโมง ไม่รู้อะไรนำพาความสนใจให้แขกผู้มีชื่อเสียงเรียงนามที่เขาไม่รู้จักให้เข้ามา จริงๆไพร์มเองก็ไม่ได้คิดว่างานของตนจำเป็นต้องรู้จักชื่อลูกค้าทุกคน แม้แต่ลูกค้าที่แวะมาทุกวันในรอบอาทิตย์ เขายังไม่เคยนึกใส่ใจ รอยยิ้มที่มอบให้ก็เป็นธรรมเนียมค้าขายประจำตัว ทว่ากับบางคนที่เพิ่งเข้ามา ทำไมกันนะ....
 
 
ถึงไม่อยากให้ออกไปเสียอย่างนั้น



TALK
มาลงตอนแรกแบบเจิมไว้ก่อน
หวังว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้กันนะคับ
ปล เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากฟิคที่เคยแต่งเองอีกแล้ว
แต่ค่อนข้างต่างกันมากในหลายๆด้าน(คิดว่านะ)
อย่างน้อยอันนั้นก็เรื่องสั้นแต่อันนี้ก็ยาวกว่า5555
ปล คนแต่งมีซัมติงกับของกินมาก เรื่องกินเรื่องใหญ่ เราจึงเอามาเขียนนิยายจะได้ใหญ่พอกัน
วันนี้ลงสามเรื่องเลย ฝากทุกเรื่องเลยได้โม้ยยยยยยย
#คู่กินคู่กัด

 
 




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 13:50:50 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
2
- - - - - -
มัน…ไม่เหมือนจะเป็นแบบที่คุณทำเลยอ่ะ
(-_-)
- - - - - -

นี่ฉันห่วย หรือฉันห่วยกันแน่?


“ฮือออออออออ ป๊ะ น้องฉันทำผิดอะไร”  ในระหว่างที่ฟูมฟายโทรคุยกับคุณป๋าของตนนั้น ฉันชนกก็เหลือบตามองกองขยะอารมณ์ที่เคยเป็นขนมปังและผักสดต่างๆมาก่อน


“เราอาจจะต้องใช้ซอสสำเร็จแล้วล่ะน้องฉัน ป๊ะว่าทำเองไม่น่ารอด”


“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะสิ”


“อ้าว…แล้วมันยังไง”


“ก็มันไม่มีรสชาติอ่ะ”


“…”


“ป๊ะ บอกผมหน่อยว่าผมลืมใส่อะไร”  บางทีฉันก็จะเรียกตัวเองว่าน้องฉันเพราะ  ‘ป๊ะและคุณพ่อ’ จะเรียกกันว่าน้องฉัน แต่บางครั้งก็แทนตัวว่าผมบ้าง ก็แหงสิ…ไม่ใช่น้องฉันห้าขวบซะหน่อย จะให้แอ๊บแบ๊วมากมายน่าหมั่นไส้ก็เกรงใจอายุอยู่เหมือนกัน


“ป๊ะว่าน้องฉันลืมว่าตัวเองไม่รับรสนะลูก”  เออ ฉันก็ลืมไป…


ใช่เสียที่ไหนเล่า!


‘วธิน’ หรือคนที่ฉันชนกเรียกว่าพ่อและ ‘การันต์’ ที่น้องฉันเรียกว่าป๊ะนั้น ดูจากชื่อแล้วก็รู้ว่าเราสองคนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่มีคนไหนเลยที่เป็นคนคลอดเด็กคนนี้ขึ้นมา ด้วยความเป็นกำพร้าที่ถูกเลี้ยงมาในสถานรับเลี้ยงเด็กหลังจากที่ถูกพ่อหรือแม่พามาปล่อยทิ้งไว้ ตัวฉันเองและใครๆก็ไม่ทราบได้ว่าบิดามารดาที่แท้จริงคือใคร


วธินกับการันต์เป็นคู่รักเพศชายพวกเขาไม่ได้อุปการะน้องฉันโดยตรงหรอก ทว่าพี่สาวของวธินนั้นเป็นคนทำเรื่อง และหลังจากรับน้องฉันมาเลี้ยงได้ไม่นานเธอก็เสียไป เด็กคนนี้ที่ไม่มีญาติที่ไหนจึงถูกรับต่อมาให้วธินที่เป็นญาติสนิทของคุณแม่บุญธรรมที่จากไปได้ดูแลต่อ


พวกเขานั้นพยายามกันหลายครั้งแล้วที่จะรักษาโรคไม่รู้รสของฉันชนก แต่พาไปหาหมอที่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากอะไร บ้างก็ว่าเป็นกรรมพันธุ์ และบ้างก็ว่าเป็นเพราะความเครียด ซึ่งก็พอเข้าใจได้ น้องฉันไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะถูกเลี้ยงด้วยความรักมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความในส่วนลึกของเด็กคนนี้จะไม่ขาดอะไร และเรื่องของความรู้สึกที่เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงเสมอนี่


ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปกครองปัจจุบันจะหยั่งรู้ได้จริงๆ


และเป็นอีกครั้งที่การันต์ปลอบโยนน้องฉันไม่ให้น้อยใจในโชคชะตา พวกเขาไม่อาจจะช่วยรักษาโรคนี้ได้แต่ก็พยายามทดแทนให้ด้วยสิ่งอื่นเสมอ เราวางสายแยกกันไป แต่สิ่งหนึ่งก็ยังคาใจคนที่โทรมาอยู่ดี


ทำไมเมื่อวานรับรสได้
แต่วันนี้…ไม่ได้แล้วล่ะ


“เฮ้อ”  เพราะแซนด์วิชที่ได้กินเมื่อวานเป็นเหตุ ทำให้คนได้ลิ้มรสอยากจะกลับมาลองทำกินเองสักครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าอาการป่วยของตนได้หายลงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผลอะไร ยิ่งพยายามก็ยิ่งท้อใจจนพาลไปทำตัวน่ารำคาญใส่คนอื่นเสียได้


ก็ดูในคลิปสอนทำอาหารก็ไม่น่าจะยาก แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเขาใส่อะไรลงไปหนอ มันไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการรับรู้ของคนทั่วไป ฉันชนกยังอ่อนประสบการณ์ทางการชิมนัก จึงไม่อาจจะบอกได้ว่าที่กินไปเรียกว่าอร่อยหรือยัง แต่ว่าในด้านความรู้สึก นั่นคืออาหารจากแรกเลย…ที่อร่อยจนรู้สึกตื้นตันประทับใจ


จะถามดีไหมน้า…ฉันก็ลังเล
แต่ไปติดๆกันเขาจะมองว่าเราแปลกไหม…ฉันนั้นถามในใจ


“โอ้ย เบื่อ!”  ตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่างแล้วยังต้องมาชำระความกับซากขยะเหล่านี้อีก


แต่ก็ต้องทำไหม? ไม่ทำก็เน่าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่มีใครมาทำให้ด้วย เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีฉันชนกก็นึกอยากจะกลับบ้านไปให้บุพการีที่รับอุปการะกันเลี้ยงอีกสักครั้ง การย้ายออกมาอยู่คนเดียวเพราะบ้านไกลจากที่ทำงานนั้นบีบบังคับให้ต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่มันก็สมควรนั่นแหละ อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆแล้ว


จริงๆฉันนั้นมีความลับอยู่อย่างซึ่งไม่ได้บอกให้ใครรู้ เดิมทีชื่อของตนนั้นก็ไม่ใช่ ‘ฉันชนก’ หรอก เป็นแค่ ‘ไอ้จิ๋ว’แต่พอได้รับการอุปถัมภ์ต่อมาจนถึงมือของป๊ะและคุณพ่อ ไอ้จิ๋วที่ผอมกะหร่องในวันนั้นก็กลายเป็นน้องฉันของทุกคนในครอบครัว


ด้วยเพราะคู่รักแบบทั้งสองนั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจากรอบด้านจนกระทั่งมีวันนี้ ไอ้จิ๋วที่ดูจะโชคร้ายไปซะหมดจึงถูกตั้งชื่อใหม่ให้ ด้วยความอยากให้แกร่งให้เหมือนพวกเขาทั้งสอง ฉันชนกที่แปลว่าเหมือนผู้เป็นพ่อจึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อของเด็กกำพร้าที่จะเข้ามาเป็นลูกชายครอบครัว


สรุปโดยรวมคือฉันชนกเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับความรักมากมายจากบิดาและบิดา
จนบางทีอาจจะเรียกได้ว่าได้รับมากเกินไป…


แต่ก็ใช่ว่าฉันจะนิสัยเสียเอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้ มีหลายเรื่องที่ขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างเรื่องกินแล้วรับรสไม่ได้ก็เช่นกัน วธินกับการันต์นั้นก็พยายามแล้ว ฉันในวัยเด็กที่เห็นคนซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆของตนพยายามให้กันถึงเพียงนั้นก็ซาบซึ้งใจ จนตนเองต้องเป็นคนเอ่ยยอมแพ้เพราะแค่นั้นที่ได้รับมาก็มีค่ามากพอ ชีวิตจะขาดนิดขาดหน่อยไปบ้างก็ไม่อะไรหรอก


ได้ความรักความเอาใจใส่มาทดแทนก็เป็นสีสันชีวิตที่งดงาม


หลังจากกำจัดซากอาหารด้วยการกินบ้างและทิ้งบ้างให้เกษตรกรต้องร้องไห้ คนที่ผอมบางก็พาร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงของตนออกมาจากคอนโด วันนี้เป็นวันหยุด ก็เป็นไปได้ที่ว่าร้านนั้นจะคนเยอะและพนักงานร้านที่รู้ใจกันยิ่งกว่าที่ตัวเองรู้มาตลอดชีวิตก็คงจะยุ่งจนไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร


เดิมทีฉันนั้นตั้งใจว่าจะไม่ไปเพราะเขินแบบบอกไม่ถูก แต่ก็เปลี่ยนใจ พอกินอะไรไม่อร่อยก็ดึงสติขึ้นมาได้ว่าจะเขินทำไม  ไปซื้อของกินไม่ได้ไปจีบใครนี่หว่า!


นี่แหละหนา…บาปที่มาจากความตะกละ ก็เพิ่งมารู้จักก็ตอนอายุ 24 นี่แหละ


แต่ถึงจะทำใจกล้าท่องคำว่าไม่จีบๆซ้ำไปซ้ำมา แต่เอาเข้าจริงก็เดินวนจนจะทั่วซอยอารีย์แล้วก็ยังไม่มีความกล้าจะเข้าไป อยู่นานจนเริ่มจะตัดใจเดินเข้าไปพึ่งอาหารเซเว่นที่ไม่มีรสเหมือนเคย ฉันชนกถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินผ่านร้านนั้นที่เป็นจุดหมายราวกับว่าไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตามาก่อน


หมับ!


“…”


ตึกตัก ตึกตัก


“คุณฉันมาทำอะไรที่นี่อ่ะ”  ก็คือ…


“สาจ๋า?”  ที่เราใจเต้นตึกตักไปเมื่อครู่นั้นอ่ะ


ให้คิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นเถอะนะ!!!


“อ๋อ คอนโดอยู่แถวนี้นี่เนอะ”


“ใช่ๆๆ แล้วทำไมสามาอยู่ที่นี่อ่ะ บ้านอยู่ประชาชื่น หอพักอยู่อ่อนนุชไม่ใช่เหรอ”  พอดูท่าว่าความลับของตนจะไม่ถูกเปิดเผย แหงอยู่แล้ว นี่สาจ๋านะ สาที่โง่ๆไง ถ้าฉลาดไปก็ไม่คบด้วยหรอก เพราะโง่นี่แหละถึงเป็นเพื่อนกัน


“เออ..ก็ไม่อะไรหรอก ไปเก็บของย้ายเสร็จแล้วพี่ชายเราพามาที่นี่อ่ะ”


“พี่สนอะเหรอ”


“อืม บอกว่าเพื่อนทำร้านคาเฟ่เปิดใหม่ที่นี่เลยมาแวะอุดหนุนหน่อยอ่ะ ช่วยเจิมร้านให้ประมาณนั้น”


“แล้วไหนพี่สนอ่ะ”


“อยากเจอเหรอ ถ่านไฟเก่ามอดไม่จริงสินะ”


“ถ่านไฟเก่ามอดแล้ว แต่ไฟแค้นที่มีให้สาจ๋ายังคุกรุ่นเลย เจอพี่สนแล้วจะชวนคุยเรื่องโมเดลรถที่พังซะหน่อย”  เพียงเท่านั้นคู่กรณีตัวดีก็เริ่มโวยวาย


“แอ้ยยยยย ทำไมเป็นคนขี้ฟ้องอย่างนี้ เราแค่อยากให้คืนดีกันหรอก”


“อะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้นะโยม”  จริงๆกับสารินนั้นเราก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนต่อกันประมาณหนึ่ง


มันเริ่มจากการเป็นแฟนของพี่ชายเจ้าตัวแสบมาก่อนต่างหาก


“สา อ้าว…น้องฉัน”  ว่าแล้วคู่กรณีที่โมเดลรถพังก็เปิดประตูกระจกออกมาเรียกน้องชายที่เล่นตัวอยู่นานไม่ยอมเข้าไปเสียที และเขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้เจอกับแฟนเก่าที่ตอนนี้คือเพื่อนสนิทคนใหม่ของน้องชายเสียแล้ว


“หวัดดีครับพี่สน”


“ไม่เจอตั้งนาน สบายดีไหม”


“ก็สบายดีนะครับ”  อา…จะว่าไป


ก็สบายดีแต่มันก็อึดอัดนิดๆนะ


“เข้ามากินกาแฟหน่อยไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง”  ไม่น่าอึดอัดหรอก ก็แค่คนที่เคยรู้จักแต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนะ เพราะถ้ารักกันจริง ก็คงจำได้ว่าแฟนเก่าของตนไม่ดื่มกาแฟ


“ถ้ายังงั้นฉันจะสั่งแพงๆเลย”  มันเป็นภาวะที่จะเรียกว่าขมก็ไม่ใช่ ฉันเพียงแค่คิดว่าเข้าไปดื่มกินด้วยก็ดี อย่างน้อยจะได้พิสูจน์ตัวเองจริงๆว่าหมดใจแล้ว แต่โดยคิดไม่ถี่ถ้วนจึงไม่เคยรู้เลยว่าเป้าหมายที่แฝงเร้นนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม


ในที่สุดตัวเองก็พาตัวเองเข้าไปในร้านที่ตัดใจไปแบบงงๆ…


“…”   


“สั่งเลยคุณฉัน เอาให้พี่สนกระอักอ้วกไปเล้ย”  สาจ๋าที่ไม่รู้อะไรก็เอาแต่เชียร์ ส่วนฉันนะเหรอ คาดว่าตัวอยู่ใกล้ แต่ใจหลุดไปโน้นแล้ว


“เอ่อ…”


“หรือจะรับเป็นชุดแซนด์วิชแบบวันนั้นดีครับ”  น้ำเสียงละมุนของผู้ชายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นทำให้ลมหายใจติดขัด ที่คิดว่าเขาจำไม่ได้นั้นไม่จริงเลย เขาจำได้และจำได้อย่างละเอียดด้วย


“อ้าว ฉันเป็นลูกค้าประจำเหรอ”  ในความเป็นจริงคือเคยมาแค่ครั้งเดียว แต่ในสายตาคนนอกที่ควรจะเคยรู้ใจอย่างสนกลับคิดเช่นนั้น


“คงเป็นเรื่องต่อจากนี้สินะครับ”  ไม่รู้คำถามนี้คือคำถามที่เอาไว้ตอบคนถาม หรือเอาไว้ถามกลับให้คนที่ถูกสมอ้างว่าเป็นลูกค้าประจำกันแน่ ฉันชนกรู้สึกเหมือนคอตัวเองมันเหนียวเกินทน นี่ตนมาซื้อกาแฟหรือมาถูกสอบสวนกันเนี่ย!


“เอาแซนด์วิชแบบวันก่อนและก็ชามะนาวก็ได้ครับ”  หลังจากหาปากและสมองของตัวเองเจอก็สั่งออกไป เจ้าของคำถามไม่ค่อยกำกวมเท่าไหร่นั้นยิ้มรับในคำสั่งซื้อก่อนจะกดคิดเงิน


ฉันชนกไม่คิดว่าแซนด์วิชที่อยากกินมาตลอดจะมาอยู่ตรงหน้าตัวเองง่ายๆแบบนี้เลย คนจ่ายเงินนั้นหายไปยืนคุยกับพนักงานร้านคนนั้น ได้ความจากสารินว่าเขาเป็นเพื่อนในชมรมเดียวกันอะไรสักอย่าง และไม่ใช่พนักงานแต่เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้านที่เข้ามาวางระบบและอื่นๆ


ฉันชนกพยายามท่องเนื้อเพลงในหัวเพื่อไม่ให้ตนเองรับฟังเรื่องไร้สาระพวกนั้นจนเกินไป พลางหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน แต่ค้นพบว่าเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับเจ้าของร้านที่ตนไม่อยากฟัง นั้นไหลเข้าระบบความทรงจำของตัวเองหมดแล้ว ทำไมสมองมีระบบเซฟอัตโนมัตดีกว่าคอมที่ทำงานแบบนี้ล่ะ


เขาชื่อว่า ไพร์ม....ใช่ไหม


“ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนพี่สนเรียนมหาลัยนั่นแหละ”  ซึ่งตอนนั้นเราสองคนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ฉันยังไม่รู้จักสาเพราะยังอยู่ในระหว่างการตามจีบพี่สนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่าคนที่ตนเคยชอบมากๆจะมีเพื่อนชื่อไพร์มด้วย


ไหนว่าฉันชอบพี่สนมากๆมาก่อนยังไงเล่า?


“แต่แบบไม่ใช่เพื่อนมหาลัยหรอก น่าจะรู้จักกันที่อื่นมากกว่า”


“อา…”  ซึ่งนั่นทำให้ฉันรับรู้อยู่อย่างเกี่ยวกับคนๆนี้ หากเป็นคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ก็แปลว่าเป็นคนที่อยู่ในด้านที่พี่สนไม่อยากให้รู้ เป็นด้านที่ไม่ดีต่อเด็ก สตรี และคนชราสักเท่าไหร่ และนั่นหมายความว่า


คุณไพร์มอะไรนี่อันตรายไม่ใช่น้อย…


“คุณฉันๆ” 


“อะ เอ่อ โทษที”


“คิดอะไรอยู่วะ ไหวป่ะเนี่ย”  ฉันนั้นเผลอคิดนู่นนี่จนแทบไม่ได้สนใจเจ้าหมากระเป๋าตัวนี้เลย แต่นั่นแหละใครมันจะฟังทัน การฟังที่มีคุณภาพคือฟังไปคิดไปนั่นแหละ รู้ไว้ซะ!


“คิดไปเรื่อยแหละสา”


“จริงเหรอๆ แซนด์วิชอร่อยไหม เราขอคำหนึ่งได้ป่ะ”


“ไม่ได้!”


“คุณฉัน…”


“ล้อเล่นน้า”  เมื่อนึกได้ว่าตนนั้นเกรี้ยวกราดเกินไป ฉันก็กลบเกลื่อนด้วยมุกประจำกาย เจ้าตัวดีที่เห็นเพื่อนอนุญาตก็หยิบขึ้นมากินหน้าตาระรื่นและนั่นสร้างความคุกกรุ่นในใจโดยแท้


เดิมทีฉันชนกที่ไม่เคยมีความเจริญอาหารสามารถแบ่งปันทุกอย่างที่เข้าปากเคี้ยวและกลืนได้ให้ทั้งเด็ก สตรี และคนชรา รวมทั้งหมาจรจัดอย่างเอื้ออารี ทว่าวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว กิเลสดังกล่าวที่ไม่เคยมีมาตลอดชีวิตนั้นเหมือนพร้อมใจกันสะสมตัวมาเพื่อใช้วันนี้ ต่อมความริษยานั้นพากันทำให้วุ่นวายใจ ทว่าสีหน้ากลับยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติ


ไม่เคยเคืองสาจ๋าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เคืองยิ่งกว่าตอนที่สาจ๋าเดินมาบอกว่าพี่สนนอกใจ อย่าโง่คบต่อไปเลยเสียอีก!


“สา…ถ้าอยากกินก็สั่งมาใหม่สิ ไปแย่งฉันกินทำไม” ว่าแล้วพี่สนผู้ใจดีกับทุกคนแม้แต่แฟนเก่าก็เดินมาตักเตือน


“ก็สากินไม่หมด แย่งฉันกินดีกว่า”  ถ้าเป็นปกติจะจับป้อนเข้าปากเลย แต่นี่มันใช่ปกติที่ไหนกันเล่า


“ขอโทษฉันด้วยนะ น้องชายพี่วุ่นวายกับเราอีกแล้ว”  สนธยานั้นเอ่ยออกมา จริงๆเขาไม่ต้องเดินมาพูดนั่นนี่เลยก็ได้ กะแค่น้องชายคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่า ฉันย่อมรู้และรับมือสารินได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว จะว่าเพราะเขามีน้ำใจก็ได้


ถ้าแววตาของเขาไม่ส่อความนัยบางอย่างออกมา


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แต่ฉันนั้นไม่อยากจะสานความนัยนั้นๆให้ยืดยาว กับสนธยานั้นเรามีประวัติต่อกันมามากเกินพอ…พอจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาสอีกครั้งจะดีกว่า


การแสดงออกทางสีหน้าและคำพูดอาจจะไม่ชัดเจน แต่สนธยาก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับการ ‘อ่อย’ เหยื่อเก่าของตนสักเท่าไหร่ ฉันชนกที่เติบโตขึ้นนั้นดูมีเสน่ห์ ในวันวานนั้นออร่าของเจ้าตัวไม่ได้แรงเท่าวันนี้ แต่อดีตส่งผลถึงปัจจุบัน ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีแนวโน้มอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนน้องชายในตอนนี้ สนธยาก็ไม่ทู่ซี้แต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาเขาก็พาสารินกลับไปด้วย คาดว่าคงมีธุระที่ต้องไปทำต่อ เมื่อคนแย่งของกินไม่อยู่แล้ว ฉันก็คิดว่าจะสั่งมากินอีก


แต่เจ้าของรอยยิ้มน่าลุ่มหลงนั้นกลับเดินมาหากันพร้อมกับจานอาหารในมือ


“กินแต่แซนด์วิชน่าเบื่อแย่เลย ลองทานคาโบนาร่าดูไหมครับ”  แม้แววตาของเจ้าของบริการจะไม่ได้ถ่ายทอดชัดเจนถึงเจตนาว่าคล้ายกับอดีตแฟนเก่าคนนั้นไหม แต่ฉันก็คิดว่าเขาช่างรู้ใจทีเดียว ฉันเป็นคนกินง่ายเพราะไม่เคยรับรสอะไรได้ วันนี้ก็ยังกินง่าย เพราะคาดหวังไปหมดว่าอะไรที่เขายกมา มันต้องอร่อยเป็นแน่!


“ขอบคุณมากครับ”


“เห็นลูกค้าชอบ พ่อค้าก็ชื่นใจครับ”  เขายิ้มให้ ประกายวิบวับในตาทำให้สัญชาตญาณนักล่าของฉันชนกทำปฏิกิริยา และคาดว่ามันออกจะชัดเจน กับพ่อค้าคนนี้นี่…อะไรๆก็ควบคุมยากไปหมด


เดิมทีฉันชนกที่เป็นลูกที่น่ารักของป๊ะกับคุณพ่อนั้นไม่ใช่เด็กไม่ดีอย่างนั้นเลย แม้จะมีคิดไม่ดีอยู่บ้าง ทว่าการกระทำล้วนไม่เคยแสดงออกเกินหน้าเกินตา ถ้าป๊ะรู้ว่าลูกรักมองผู้ชายด้วยสายตากระหายเช่นนั้น มีหวังน้องฉันโดนตีตายแน่ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่ออยู่ฉันชนกก็คิดว่าคุณคนนั้นน่ากินกว่าคาโบนาร่าที่เขาทำเสียอีก


“อืม…อร่อย” เปลี่ยนใจแล้ว คาโบนาร่าน่าจะอร่อยกว่า


ทว่าแทนที่จะกินอย่างมูมมามเพื่อบรรเทาความต้องการที่มากมายก่อนหน้านี้ ฉันชนกกลับเลือกที่จะละเลียดกินช้าๆ เฝ้ามองความเป็นไปของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพื่อซื้อและกลับไป น่าแปลกที่ทั้งร้านมีเพียงตนที่นั่งอยู่


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคงรู้ว่าถูกมองอยู่จึงหันมาถาม ในตอนนี้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ได้แล้ว ฉันชนกจึงปั้นยิ้มที่คิดว่าน่ามองที่สุดออกไป


“รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยครับ ผมมานั่งนานแล้ว”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”


“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อกลับกันเหรอครับ”  หรือจริงๆแล้วฉันชนกก็ควรทำเช่นนั้น


“ครับ ปกติจะเป็นพนักงานออฟฟิศมาซื้อกลับไป วันหยุดอย่างนี้คนก็จะน้อยหน่อย”


“ร้านปิดวันไหนบ้างครับเนี่ย”


“ตอนนี้เปิดทุกวันครับ”


“เหนื่อยแย่เลย”


“ก็เฉพาะช่วงนี้ละครับ สักพักผมก็พักงานตรงนี้แล้ว”


อ้าว?!


“ต้องไปดูงานที่อื่นบ้างนะครับ ตรงนี้ผมแค่มาเริ่มให้ ช่วงสอนงานก็จะมาอยู่แบบนี้”


“ว้า…”  น่าเสียดาย


“ครับ?”


“อา…เปล่าหรอกครับ คือผมแค่เสียดาย นานๆที่จะได้กินอาหารถูกปาก”


“รู้สึกผิดนิดๆ แต่ว่าดีใจมากกว่าที่คุณลูกค้าชอบขนาดนี้”   ฉันเผลอหย่นจมูก และภาพปฏิกิริยาโต้ตอบของคุณลูกค้าก็ทำให้พ่อค้าหัวเราะออกมา เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เขินหน้าแดง ปกติก็ไม่ใช่คนหน้าบาง แต่กลับคนหล่อก็ไม่แน่


เผลอยอมรับกับตัวเองอีกแล้วว่าคิดไม่ดี


สุดท้ายแล้วก็ให้เขาช่วยแนะนำอาหารมาให้อีกอย่างและซื้อกลับบ้านมาสองกล่อง ที่คอนโดของฉันชนกมีเครื่องไมโครเวฟอยู่และเป็นสิ่งที่ได้ใช้บ่อยๆเพราะแม้จะรับรสไม่ได้แต่ก็รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นบูดและความเย็นของอาหารที่ถูกแช่เย็นไว้ จึงยังต้องมีเครื่องอุ่นทำความร้อนให้อาหารก่อนจะทานมันลงไป และอาหารสำหรับสองมื้อก็ถูกจัดใส่กล่องส่งมอบให้หลังจากชำระเงิน


“หวังว่าจะยังเทรนไม่เสร็จนะครับ ผมจะแวะมาบ่อยๆ”


“น่าเสียดายจังครับ คิดว่าอาทิตย์หน้าก็คงต้องไปแล้ว”  น่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายจริงๆ


จากนี้ไปฉันชนกคงต้องพยายามหักห้ามใจต่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกครั้ง


ร่างเล็กนั้นกลับมาที่ห้อง ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ไม่รู้ว่าอาหารจานหนึ่งมันดึงดูดให้คนเราอยู่ในร้านนั้นได้นานจนกระทั่งเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร จริงๆแล้วฉันชนกกินเสร็จนานแล้ว แต่หนังสือ มือถือ และขนมหวานต่างหลอกล่อใจให้นั่งต่อก่อนจะจากลาอย่างน่าเสียดาย


“นี่เอาไว้กินมื้อเช้า ส่วนนี้มื้อกลางวัน”  ฉันหยิบกล่องอาหารจากถุงพลาสติก ตั้งใจจะแช่ตู้เย็นเอาไว้ไม่ให้เสีย ทว่าแผ่นกระดาษบางๆเล็กๆใบหนึ่งก็หลุดล่วงลงมา สะดุดตาให้หยุดกระทำสิ่งที่ตั้งใจและหยิบมันขึ้นมาดู


เป็นนามบัตรของร้าน
และเฟซบุคแอคเคาท์หนึ่งที่ถูกเขียนด้วยปากกาเพิ่มมา


“เผื่อคุณลูกค้าสนใจอยากติดตามผลงาน…งั้นเหรอ” มันถูกเขียนไว้เช่นนั้นด้วย


พ่อค้นคนนั้นได้บอกกันอยู่ว่าเขามีหุ้นอยู่ในธุรกิจหลายๆอย่าง และมักไม่อยู่กับที่ใดที่หนึ่งนานนัก  การติดตามเพจของร้านจึงไม่อาจจะช่วยให้เจอเขาโดยง่าย แต่การติดตามเฟซส่วนตัว สามารถระบุจุดที่อยู่ได้ไม่ยาก


“คิดว่าเราสนใจขนาดนั้นเชียวเหรอ”  ฉันชนกเค้นเสียงถามกับหน้าบัตรราวกับจะส่งไปให้ยังเจ้าของ แต่ใบหน้ากับเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อคิดถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นของเจ้าตัว อยากกินก็อยากกินนะ แต่อายมากกว่า


ทว่าหลังจากค้นพบความสุขทางการกินครั้งหนึ่งก็พบว่าความเขินอายไม่ได้มีรสชาติที่อร่อยเท่าไหร่ หลังจากที่ไตร่ตรองดีแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงิน และเสิร์ชชื่อตามนามบัตรนั้น


‘Prime Phuwanai’


และอย่างที่พ่อค้าคนนั้นคาดไว้…
Chanchanok C. ได้ add friend


- - - - - -
อ่อยเก่งเหมือนที่ทำอาหารเก่งเลยอ่ะ
เอ๊ะ! ว่าแต่เขาอ่อยกันอยู่เหรอ?
- - - - - -


“บอสวันนี้อารมณ์ดีออกหน้าออกตานะครับ”  เด็กในร้านที่ดูจะใจกล้ากว่าคนอื่นๆนั้นกล้าทัก แต่เขาก็กล้ายอมรับเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาอารมณ์ดีที่หาลูกค้าประจำได้อีกราย


ที่มั่นใจว่าเหยื่อติดเบ็ดแล้วก็เพราะเห็นรีเควสเมื่อครู่นี้เลย


“ว่าแต่ลูกค้าที่บอสลงมือทำอาหารให้เองเมื่อครู่นี้…”


“ชู่ว…”  ไพร์มเลือกที่จะสั่งห้ามไม่ให้พูด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ แต่จะอย่างไรรอบตัวของเขาก็ไม่ค่อยมีคนปกติอยู่แล้ว


อย่างที่เขาได้บอกอีกคนไป ไพร์มนั้นอาจจะทำงานที่ร้านนี้ แต่ก็มีงานอื่นๆที่เขาต้องทำเช่นกัน ด้วยธุรกิจของที่บ้านและความสนใจที่หลากหลาย จึงไม่แปลกที่จะนำเอางานอดิเรกต่างๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยหรือสถานการณ์ เช่นการทำอาหารเป็นต้น


แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมลงครัวทำทุกจาน


แต่เพราะลูกค้าตัวน้อยแสดงใบหน้าอย่างนั้นมันเลยทำให้คนใจแข็งต้องอ่อนยวบ ในที่สุดครัวก็เรียกหาบอกกันว่าเลิกใจแข็งเสียที นายเอาไม่อยู่หรอก ยิ่งดวงตาวาววับที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงคู่นั้นมองมาอย่างอ้อนวอน มือไม้เขาก็สั่นไปหมด


“แม้แต่พี่เองก็ต้านทานไม่ไหวเหรอเนี่ย”  น้องคนหนึ่งนั้นนินทากันซึ่งๆหน้า แต่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความรู้สึก ไพร์มนั้นเจอะเจอคนมาหลายแบบ เขาถือเป็นตัวอย่างที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ ทว่าเจ้าของร่างเล็กซึ่งดูจะกลืนหายในฝูงคนกลับสะกดเขาได้


“ว่าแต่อาทิตย์หน้าพี่จะไปจริงๆแล้วเหรอครับ ผมยังอ่อนอยู่เลยพี่”  เด็กหนุ่มที่เขาจ้างให้มาดูแลร้านนั้นโอดครวญ แม้ว่าจะเจอลูกค้าที่ถูกใจแล้ว แต่การเดินทางของเขามันยังไม่จบสิ้น ภูวนัยยังต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ธุรกิจของเขาไปได้ดี และเหมือนว่าจะได้ดีในกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางมากๆเสียด้วย


“ไม่เสียดายลูกค้าคนเมื่อกี้เหรอพี่”  ก็ยังคงโน้มน้าวแต่เขากลับส่ายหน้า ตารางเวลาของสัปดาห์หน้าถูกกำหนดไว้แล้วและคงเลื่อนไม่ได้


“ถ้ามีเวลาจะเข้ามาดูล่ะกัน อย่าทำร้านนี้เจ๊งล่ะ” และเขาต้องมีเวลาแน่ เพราะคิดว่าตัวเองจะมาพักที่นี่บ่อยๆ


จริงๆแล้วภูวนัยผู้ชื่นชอบการลงทุนหลายๆแบบและมักประสบความสำเร็จกับการทำนายตลาดต่างๆล่วงหน้า แม้แต่ตลาดอสังหา เขาก็ได้ยื่นขาเข้าไปลองดูด้วยนิดหน่อย จึงมีคอนโดอยู่สองสามห้องที่ยังไม่ได้ปล่อยขายในละแวกนี้เหมือนกัน ว่าจะขายแล้วเชียวเพราะมีคนติดต่อบอกว่าสนใจมา แต่ว่านะ…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าตอนนี้…


เขาจะตอบรับคำขอเป็นเพื่อน ของคนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้
และสังเกตตลาดอารีย์ ว่า ‘น่าพอใจหรือไม่’ ไปก่อนแล้วกัน



TALK
มาเงียบๆแต่มานะจ๊ะเรื่องนี้ ._.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 13:50:07 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไพรม์นี่ไม่ธรรมดา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คุณไพรม์น่าจะร้ายไม่เบานะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
3
- - - - - -
ไม่รู้ว่ายุ่งจนไม่ได้กิน
กับกินแล้วไม่รู้รส อะไรคือความทุกข์กว่ากัน
(π π)
- - - - - -


“น้องฉันเอาอะไรปะ พี่ลงไปซื้อกาแฟแป๊ป”  มนุษย์รุ่นพี่ที่ทำงานท่านหนึ่งกล่าวไว้ แต่ฉันชนกคอทองแดงที่ฟาดกาแฟไปแล้วสามแก้วไม่รับรู้อะไรเธอจึงเลิกราไปและเดินไปหากาแฟกระป๋องแก้วที่ห้าให้ตัวเองต่ออย่างที่ตั้งใจ สัปดาห์นี้ช่างวุ่นวายสมกับเป็นสิ้นเดือนที่มนุษย์เงินเดือนจะสิ้นใจ


เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ฉันชนกคิดว่าตัวเองไม่ได้มีเวลาส่วนตัวเลย ต้องขอบคุณความชินชาด้านการกินที่ทำให้ไม่เรื่องมาก แต่ทั้งนั้นความสามารถด้านการรับรสก็ไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาทางการทำงานดีขึ้น หลุดจากตรงนี้ไปได้ ฉันสัญญาว่าจะนอนโง่ๆทั้งวัน ต่อให้เน่าคาเตียงก็จะไม่ฉุดตัวเองขึ้นมา


“กลับล้าวววววว!!!”  เป็นไทแล้ว!หลังจากส่งเมล์ฉบับนี้เสร็จ ฉันก็จะไม่ไว้หน้าใครอีกแล้ววววว


“ไอ้ฉันนนนน!!!!!”


“บายครับพี่ๆ”  ให้น้องกลับบ้านเถอะ น้องมีตัวเองที่ต้องกลับไปดูแลเหมือนกันนะ!


ใครว่าคนโสดไม่มีใครให้ต้องกลับไปหา อย่างน้อยก็ตัวเองไงที่ต้องกลับไปดูแลตัวเอง ฉันชนกนั้นไม่เคยโสดสนิทได้ขนาดนี้ ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยตนจัดได้ว่าเป็นอีกคนที่มีคนคุยด้วยไม่ขาดสาย แต่เพราะรสนิยมที่อธิบายไม่ได้ทำให้เลือกรับใครเข้ามายากจนได้ชื่อว่าเป็น ‘คุณฉันจอมเรื่องมาก’ แต่นั่นก็เป็นอดีตเสียแล้ว


เพราะปัจจุบันนี้แม้แต่มดสักตัวก็ไม่มีมาไต่แขน
เฮ้! ฉันมั่นใจว่าอาบน้ำทุกวันนะ แต่บางวันก็อาบแค่…หนึ่งครั้ง (._.)


“เหนื่อยจังโว้ย”  หลังจากพาร่างตัวเองกลับมาถึงคอนโด ฉันก็แทบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นลิฟท์ วันก่อนที่เจอพี่สนกับสาจ๋าก็มีโอกาสจะสานต่อกันอยู่หรอก แต่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ตนคิดได้ว่าอยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับใครบางคน พี่สนไม่ได้แย่ แต่ระบุไม่ได้ว่าเขาเจ้าชู้หรือไม่ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เราเลิกกันนะ


เพราะสาจ๋าใช่ไหม…


“เฮ้อ”  น่าแปลกที่ฉันชนกไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพราะเอ็นดูเพื่อนจนไม่อาจจะโกรธเคืองได้ หรือจริงๆแล้วพี่สนก็แค่ไม่ใช่จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องแคร์หรือเปล่า เรื่องมันจบมานานแล้ว ฉันไม่ได้นึกเสียดายอะไรเลย แต่ตอนนี้แค่อ่อนไหวนิดหน่อย และมันจะเป็นแค่ตอนนี้


ตอนที่ไม่มีคนดูแลในตอนที่เหนื่อย


“มาม่าก่อนนอนก็ดี” อวัยวะเดียวที่เคลื่อนไหวได้ดีแม้ยามเหนื่อยยากคือน้ำย่อย ขยันกัดกระเพาะนักเหนื่อยจนไม่มีแรงทำอะไรแล้วก็ยังกัดอยู่นั้น จะประท้วงไม่กินก็ไม่ได้ กัดหนักกว่าเดิม นี่น้ำย่อยหรือหมา กัดเก่ง…


ถึงจะเหนื่อยและพร้อมจะลงเตียง ทว่าก็รู้ตัวดีว่าตนนั้นเหนื่อยเกินกว่าจะข่มตาหลับ ลิฟท์ถูกเปิดออกแล้ว และร่างที่เหมือนจะไร้วิญญาณก็พาตัวเองกลับห้อง ทว่ากลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากห้องๆหนึ่งที่ถึงก่อนห้องตนก็ทำให้ชะงัก ที่คิดว่าจะกินมาม่าที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ยามนี้มีบางอย่างที่หอมกว่ามากลอยมา น้ำตาก็พาลจะไหลด้วยน้อยใจในชะตาชีวิต


กึก!


“หยา…”  ทว่าประตูห้องที่เปิดแง้มๆนั้นกลับเปิดกว้างออกมาโดยไม่ส่งสัญญาณบอก มนุษย์เงินเดือนที่ทำโอทีหนักมากจึงเหมือนถูกฉุดขึ้นลงราวกับนั่งรถไฟเหาะ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองกันไปมา


ค้นพบว่าเพียงเสี้ยววิก็ดึงดูดกันกว่าที่คิด


“คุณไพร์ม…”  ฉันหลุดออกมาก่อน ถือว่าแพ้เลยได้ไหม ปกติก็ไม่เคยเรียกเขาแบบนี้


“สวัสดีครับคุณฉัน”  เขาที่อยู่ในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาสั้นยิ้มให้ ฉันชนกนึกอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายในใจ ทำไมต้องมาเจอที่นี่ ตอนนี้ ในสภาพที่ไม่ต้องกัดลิ้นให้ตายก็เหมือนขึ้นอืดตายไปหลายวันแล้วด้วย!


เขากำลังจะเอาขยะลงไปทิ้ง ไม่รู้คิดยังไงถึงอยากเอาลงไปตอนค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้ ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับคนคุ้นหน้าที่มายืนเงียบๆดูไม่น่าไว้ใจแถวๆประตูห้อง พอเปิดออกมาดูและรู้ว่าใครก็พบว่า…ไม่ใช่คุณเขาหรอกที่ไม่น่าไว้ใจ เขาต่างหากที่ไม่น่าไว้ใจเสียยิ่งกว่า


“คุณไพร์ม…เอ่อ อยู่ที่นี่เหรอครับ”  ฉันไม่เคยเจอเขามาก่อน


“เพิ่งย้ายมาครับ” 


“บังเอิญจังนะครับ” มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือไพร์มนั้นมีเหตุผลให้ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่บ่อย และหนึ่งในวิธีเดินทางที่ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวคือรถไฟฟ้า เช่นนี้อารีย์ก็ถือว่าเป็นย่านที่น่าสนใจไม่น้อย


“คุณฉันเพิ่งเลิกงานเหรอครับ”  เขาซึ่งอยู่ในชุดที่สามารถกระโดดขึ้นเตียงได้ทันทีกำลังจ้องมองคนที่หากไม่อาบน้ำคงจะหลับไม่ลง ฉันชนกอยู่ในชุดทำงานเต็มคราบ ทว่าความเยินสิ้นเดือนทำให้เสื้อยับไปหน่อย เนคไทยานไปนิด และชายเสื้อเก็บเข้าในกางเกงไม่หมด พอถูกมองเช่นนี้…ก็รู้สึกหวั่นไหวประหนึ่งถูกตรวจระเบียบชุดสมัยเรียน


“แฮะๆ  สิ้นเดือนนะครับ”  สำหรับพนักงานแผนกการขายที่ต้องส่งยอด เตรียมการขายต้นเดือนหน้าที่ลูกค้าจะเรียกของรัวๆ สรุปสต็อค และอื่นๆ สิ้นเดือนถือว่าเป็นช่วงพีคที่สุดเท่าที่จะนึกออก เงินเดือนที่ได้มาก็ยังไม่มีเวลาว่างไปใช้ ขนาดจะหาของกินดีๆให้สมกับความเหนื่อยยาก สุดท้ายมีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องกลับมาพึ่งมาม่าคัพที่จิ๊กจากโต๊ะเจ้านาย


“ชอบกินมาม่ารสนี้เหรอครับ”


“แฮ่ ผมแค่หยิบติดมือมา เอาจริงๆก็ยังไม่เคยชิมเลยครับ”


“คุณฉันกินข้าวยังครับเนี่ย?”


“อา…นี่แหละครับข้าวผม”


“กินมาม่าดึกๆอย่างนี้จะไม่สบายท้องนะครับ”


“แฮะๆ ผมกินเอาความสบายใจครับ”  ฉันก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่เห็นอย่างนี้ก็ไม่ค่อยมีทางเลือกนักหรอก ไหนๆก็รับรสไม่ได้จะไปเรื่องมากทำไม โซเดียมแรงแค่ไหนก็ไม่สะเทือนใจกันสักนิดเลย


“ถ้างั้นไม่รังเกียจมานั่งกินซุปข้าวโพดที่ห้องก่อนไหมครับ”


“ครับ?”


“อา…แต่นี่ก็ดึกแล้ว คุณฉันคงอยากพักผ่อน เดี๋ยวผมตักใส่ถ้วยให้นะครับ”  เขาไม่รอให้ฉันชนกที่สมองเยินจนคิดอะไรไม่ออกได้ตอบออกมา ภูวนัยได้ทิ้งถุงขยะที่เป็นภารกิจหนึ่งเดียวของเขาไว้หน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูออกกว้างและเดินกลับเข้าไป  “คุณฉันรอสักครู่นะครับ”  และฉันที่ทั้งเกรงใจแต่ก็ตระกละก็เลยได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าห้องคนแปลกหน้า นี่ถ้าป๊ะรู้เข้า น้องฉันต้องโดนด่าจะหูอื้อไปสามวันแน่นอน


กลิ่นหอมๆที่ลอยมาทำให้ริมฝีปากกระตุกยิ้ม แค่คิดว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร หัวใจก็อิ่มฟูไปหมด ร่างสูงของคนที่วันนี้ดูสบายตาเป็นพิเศษนั้นเดินกลับมาหา ในมือของเขามีถ้วยซุปอุ่นๆที่ดูแล้วไม่น่าจะยกกลับไปเองได้หากอยู่ในสภาพหอบฟางเช่นนี้ ในที่สุดฉันชนกจึงไม่ได้เป็นคนถือมันกลับไป


แต่รบกวนให้ผู้มีพระคุณต่อชีวิตน้อยๆนี้ยกไปให้ที่ห้องอย่างนั้น


“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ ว่าแต่…ผมเรียกคุณไพร์มได้ใช่ไหม”  ฉันที่วางของลงกับพื้นนั้นค้นหากุญแจห้อง เพื่อไม่ให้ตนโชว์เด๋อจนเก้อจึงชวนคุยโดยไม่แม้แต่จะสบตา


“ได้สิครับ ผมยังเรียกว่าคุณฉันเลย”  เรามาถึงจุดที่เรียกชื่อเล่นกันโดยไม่ได้ขอได้อย่างไร ก็คงเพราะว่าเรากระโดดมาแอดเฟรนด์กันในเฟซก่อนที่จะเป็นเพื่อนกันจริงๆ ปกติโซเชี่ยลมีเดียของฉันก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมาย คนที่ได้เห็นว่าตนกำลังทำอะไรอยู่จึงมักเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่ใกล้ชิด แล้วนี่ทำไมใจง่ายแอดผู้ชายที่ไม่รู้จักไปก่อนอย่างนี้


ไม่แรดก็เห็นแก่กินนั่นแหละ พูดเลย…


“ขอบคุณคุณไพร์มมากนะครับ”  ฉันนั้นเอ่ยออกมา หลังจากที่ประหม่าจนคิดว่าได้ใช้เวลาหากุญแจห้องนานกว่าเดิมถึงสองเท่าตัวไปแล้ว


“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมทำไปฝากเพื่อนร่วมงานพรุ่งนี้ ยังเหลืออีกเยอะเลย ยังไงคุณฉันมาเคาะห้องตอนเช้าผมจะตักให้อีกนะ” 


“อา…ครับ”


“ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ”  ไพร์มนั้นส่งถ้วยซุปให้กันก่อนจะยิ้มให้ ทว่าฉันชนกผู้คิดมากกว่ามนุษย์คนอื่นทั่วไปกลับรั้งไว้


“เอ่อคุณไพร์มครับ”


“ครับ?”


“ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมเลี้ยงชากลับหน่อยนะครับ”  พูดอะไรของแกนะไอ้ฉัน แกจะเลี้ยงชาให้คนที่เปิดร้านกาแฟและขายชาเลี้ยงชีพอย่างนี้ไม่ได้นะ!


“อา…ครับ”


“เอ่อ แต่ถ้าคุณไพร์มไม่สะดวก”


“พูดอะไรอย่างนั้นกันครับ ผมต้องสะดวกอยู่แล้ว”


“ฮื้อออ…”  แต่ตอนนี้เจ้าของห้องชักไม่สะดวกซะแล้ว


“ถ้างั้นรบกวนคุณฉันหน่อยละกันนะครับ”  อย่างไรก็ตามฉันชนกเอ่ยชวนก็จริง


แต่ไม่ได้หมายความว่าให้มาวันนี้เสียหน่อย!


ทว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นก็ต้องชำระ โชคดีที่ช่วงนี้งานยุ่งมาก ฉันชนกเลยไม่มีแม้แต่เวลาจะทำห้องรก หลังจากเชิญแขกที่ยังให้ความรู้สึกแปลกหน้าต่อกันเข้ามา ฉันชนกก็เพิ่งทราบได้ว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้มันคือการอ่อย ป๊ะตีแน่ ไอ้น้องฉันเอ๋ย!


“คุณฉันมีชาหลายแบบนะครับ”  ส่วนใหญ่ก็เป็นชาซองยี่ห้อที่คุ้นเคยกันดี ที่ฉันชอบดื่มไม่ใช่เพราะอร่อย แต่เพราะมันหอมเลยคิดไปเองว่ามันคงอร่อย แต่จริงๆก็เคยได้ยินว่ามันไม่มีรสมีแค่กลิ่น ตอนหลังจึงยิ่งชอบเพราะการดื่มชาทำให้รู้สึกเท่าเทียมกับคนทั่วไป


เราคุยกันเกี่ยวกับพื้นที่แถวนี้ ภูวนัยนั้นย้ายมาอยู่ชั่วคราวเพราะบ้านเขาอยู่ไกลมาก ธุรกิจที่ขยายช่วงนี้อยู่ตามไลน์รถไฟฟ้า จะให้ฝ่ารถติดเข้ามาคาดว่างานคงไม่เดิน ฉันชนกเห็นด้วยกับการที่เขาย้ายมา ไม่ใช่เพราะว่าจะได้มีที่ฝากท้องแต่เพราะเห็นใจ


“ดีแล้วละครับที่ย้ายมา ถ้าร้านหนึ่งอยู่ที่แถวบางนา จะให้วิ่งมาสุขุมวิทและไปสาทร แล้วย้อนกลับมาที่อารีย์ ค่าทางด่วนคงแพงมาก”


“จริงๆขับรถนานๆผมเบื่อครับ”


“ดีแล้วครับ ต่อไปฉัน เอ้ย!ผมจะได้อุดหนุนสะดวก”  ฉันก็พูดไปงั้น แต่ลึกๆก็คาดหวังจนเนื้อเต้น


“จริงๆถ้าคุณฉันอยากกิน ผมก็ยินดีนะ คือผมทำอาหารกินเองอยู่แล้ว”


“ไม่ดีกว่า รบกวนคุณไพร์มแย่”


“ไม่เท่าไหร่เลยครับ ผมสิทำมาแล้วทิ้ง น่าเสียดาย แถมคุณฉันช่วยออกค่าวัตถุดิบอีก ผมว่าคุ้มนะ” ไพร์มนั้นดูออกว่าเหตุใดเหยื่อหารค่าข้าวของเขาจึงปฏิเสธ แล้วใครว่าจะให้ฟรีกันล่ะ ในเมื่อเราสามารถปัดเข้าไปสู่บทสนทนาที่ทำให้วินกันได้ทั้งสองฝ่าย


ขณะเดียวกันฉันชนกก็รู้สึกสบายใจที่จะขอกินฟรีง่ายขึ้น ในเมื่อหน้าที่การจัดการเรื่องวัตถุดิบเป็นของตน กินเยอะกินฟรีแค่ไหนก็สบายใจได้ แววตาที่เป็นประกายของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าของข้อเสนอยิ้มกริ่ม เขารีบปิดดีลลงในทันที


“คุณฉันบอกได้หมดครับว่าอยากกินอะไร ทำไม่เป็นก็จะลองทำให้ ผมชอบทดลองอะไรใหม่ๆอยู่แล้ว”


“ถ้างั้นรบกวนคุณไพร์มด้วยนะครับ” ภูวนัยมีความสามารถในการโน้มน้าวที่เก่งจนหาตัวจับได้ยาก นับประสาอะไรกับลูกไก่ที่เห็นแก่กินตัวเดียว เราพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยคำขอลา ในส่วนของฉันนั้นก็พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ที่รับรู้มีเพียงซุปข้าวโพดอร่อย


หลังจากแทบจะเลียถ้วยซุปจนหมด เจ้าตัวก็ไปจัดการตัวเองอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะกระโดดลงเตียงราวกับว่าโหยหามันมาทั้งชีวิต เพราะอาหารอุ่นๆที่ไม่หนักจนเกินไปช่วยเยียวยาความหิวของท้องไส้จึงทำให้หลับสบาย ทว่าในอีกห้องที่อยู่ถัดๆไปนั้นเอง…


“ไพร์ม”  เสียงของคนที่โทรมาหาไม่ได้มีวี่แววว่าจะง่วงหงาวหาวนอนแต่อย่างใดแม้นี่จะดึกมากแล้ว นอกจากนั้นเขายังได้ยินเสียนดนตรีดังลอดออกมา บ่งบอกสถานที่ที่ปลายสายอยู่


“ว่าไงวะจักร”


“มีคนบอกว่ามึงย้ายไปอยู่ห้องเท่ารูหนูที่อารีย์”


“อา…ข่าวไวจังนะ”


“คิดจะทำอะไรของมึงน่ะ”  นั่นสิ อะไรคือเหตุผลให้คนอย่างภูวนัยลงทุนย้ายออกจากรังลับมาอยู่ในสถานที่ที่วุ่นวายอย่างที่นั่น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่อย่างที่ดึงดูดกันได้ และนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจมากๆ  “ปกติแกไม่ได้สนใจจะลงมาทำด้วยตัวเอง แสดงว่าคราวนี้ต้องพิเศษมาก”


“พิเศษในรอบหลายสิบปีเชียวแหละ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”  ปลายสายชักรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย “ว่าแต่เป็นไทป์ไหนวะ”  เขาอยากรู้จนเนื้อเต้น


“หมายถึงอะไรที่ทำให้กูมาอยู่ที่นี่นะเหรอ”


“อย่าลีลา”  ท่ามากเหลือเกิน จักรภพนั้นทำเสียงเหนื่อยหน่าย ภูวนัยเพียงแค่หัวเราะออกมาน้อยๆ


“ผู้ล่า”


“หะ…”  จักรภพไม่เชื่อหู  “แค่ผู้ล่าเนี่ยนะ”


“ส่วนกูก็เหยื่อที่ถูกล่าไง”


“อะไรของมึง”  มีเหยื่อที่ไหนที่พยายามเอาตัวไปใกล้ผู้ถูกล่า แม้ภูวนัยไม่อธิบายต่อ เขาก็มองออกว่าผู้ล่าที่ว่านี้คงมีความพิเศษไม่ใช่น้อย แต่ถ้าเพื่อนไม่บอก เขาก็ไม่คิดจะซักถามต่อ เพราะอะไรนะเหรอ เพราะเขาเบื่อไอ้ขี้เต๊ะจุ๊ยนี่ไงล่ะ!


“เอาเป็นว่าตอนนี้ยังเป็นแค่สมมติฐาน”  และไพร์มเป็นนักวิจัยที่หากยังไม่มั่นใจก็จะไม่ถ่ายทอดไอเดียออกไปเพราะวันหนึ่งมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ อย่างว่า…ภูวนัยไม่ใช่ชื่อของคนที่อดทนกับอะไรนานๆ เว้นเสียแต่ว่าผลตอบแทนน่าพอใจ


หลังจากวางสาย เจ้าของร่างสูงก็เดินเข้าไปในห้องนอน เขาเปิดลิ้นชัก หยิบเอาอุปกรณ์ขนาดพกพาที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตออกมา วันนี้เลือดของเขามันมีปฏิกิริยาเป็นพิเศษ อาจจะเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมกับ ‘การเล่นไล่จับ’


ฉัน…ฉันชนก ที่แปลว่าเหมือนพ่อ…


“คุณนักล่าผู้น่าสงสาร”  เขายิ้มหยัน เลือดในกายเดือดผล่านทุกครั้งที่เห็น หากคนที่เขามองเป็นผู้ล่ารู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะคิดอย่างไร แต่สายไปแล้วเพราะดันมายอมคบค้าสมาคมกับ ‘มนุษย์ที่ไม่ปกติ’อย่างเขา


หากฉันชนกผู้นั้นจะมองกันเป็นของกินอันโอชะ ไพร์มที่ยืนนิ่งเป็นเป้าให้อีกคนเข้ามากัดกินนั้นก็คงยิ่งกว่ายินดี จะอธิบายอย่างไรดี แต่ว่าเขาไม่ใช่พวกมาโซคิสม์เช่นนั้นเลย


สปาเก็ตตี้มีทบอล อาหารหลอกเด็กมื้อเย็น…เขาคิดถึงเมนูสำหรับพรุ่งนี้ ทว่าดวงตากลับมองเลยไปยังผนังห้อง ไม่แม้แต่จะสนใจสายยางที่กำลังขนถ่ายเลือดออกไปใส่ในภาชนะบรรจุที่ถูกทำไว้เพื่อรักษาคุณภาพของของเหลวในร่างกาย ไพร์มไม่ต่างจากคนป่วย แต่เพราะการดูแลตัวเองอันดีเยี่ยม เขาจึงมีชีวิตยืนยาวกว่า ‘มนุษย์ปกติ’ ทั่วไปแต่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แบบไหน สถานะของเราก็คือผู้ถูกล่าอยู่ดี


ทว่าผู้ถูกล่า มักจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวเก่งเพื่อความอยู่รอดเสมอ
และในบางกรณีก็สามารถผลักดันตัวเองขึ้นไปสู่จุดที่เหนือกว่าห่วงโซ่อาหารทั้งปวงได้เช่นกัน


- - - - - -
ทำไมภาระที่ชื่อว่านอนโง่ๆทั้งวันมันทำยากจัง
(○-_-○)
- - - - - -


ฉันที่คิดว่าตนคงจะหลับสนิทจนสกิปเช้าวันเสาร์ไปตื่นอีกทีวันอาทิตย์กลับตื่นขึ้นในยามสาย…
ของวันเสาร์…ไม่ใช่วันอาทิตย์ที่ตั้งใจ


“ฮื้อออออออ”  ฉันจะนอน ฉันจะนอน วันที่ฉันจะงอแงโวยวายงี่เง่าหนึ่งวันเหมือนเพื่อนฉันที่ชื่อสา แต่ว่าทำไปก็ไม่มีใครเห็นใจเพราะไม่มีใครมาเห็น


คนตัวเล็กที่ตบตีกับหมอนข้างบนเตียงเพราะพยายามกลับไปหลับเท่าไหร่ก็ไม่ไป ที่เหลือทิ้งไว้คืออาการเพลียจัดแต่หลับไม่ได้ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายกาย เล่นมือถือจนผ่านไปเป็นชั่วโมงจึงมั่นใจว่าตนตื่นดีแล้วเลยลุกขึ้นมาจากกองผ้าเน่า เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นๆขึ้นมาดื่ม และก็คิดว่าถ้านอนโง่ๆไม่ได้ งั้นนั่งโง่ๆทั้งวันก็ได้วะ


ทว่าเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ทำให้คนนั่งโง่ต้องกลับมาใช้ความคิด ใครกันที่มาเคาะประตูห้องแบบนี้ในเช้าวันเสาร์ แต่คิดไปก็ไม่มีไอเดียอะไรดีๆ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน


“ครับ”  เพราะคิดให้ตายก็คิดไม่ออกจึงเลือกเดินไปเผชิญหน้า และก็พบว่าคนๆนี้เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ในชีวิตตอนนี้


“เพิ่งตื่นเหรอครับ”  ภูวนัยที่ดูสดชื่นสดใสแม้ว่าจะนอนดึกสักเท่าไหร่ทำให้ฉันที่อยู่ในชุดนอนเน่าๆนึกอย่างกลั้นหายใจตาย ทว่ายังไม่ทันตายเขาก็ปลุกกันด้วยซุปค้างคืนที่ถูกอุ่นมาให้อย่างดี  “ตามสัญญาครับ”  ใครไปสัญญากับคุณน่ะคนบ้า!ไม่มีใครแถวนี้เห็นแก่กินสักหน่อย


“ขอบคุณคุณไพร์มนะครับ”  มีแต่แมวเห็นแก่กิน เมี้ยววววววว


“ทานให้อร่อยนะครับ เดี๋ยวเจอกันมื้อเย็น”


“คร้าบบบบ”  ฉันชนกยิ้มหน้าทะเล้น ลืมความมึน เบลอและเพลียของตนไปจนหมด


ภูวนัยจากไปแล้ว เขาย้ายมาที่นี่ด้วยเหตุผลทางการทำงานจริงๆ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องออกไปจากห้องพักแต่เช้าในวันเสาร์ ทว่าในขณะที่ ‘แมว’ กำลังละเลียดซุปข้าวโพดที่อร่อยที่สุดในชีวิต สลับกับกินขนมปังปิ้งที่นอกจากจะหอมเนยแล้วยังให้รสที่เค็มมันกำลังดีอยู่นั้น ใครบางคนกำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล


ฉันชนกที่คิดอยู่ไม่กี่เรื่องต่อวันไม่มีทางคาดถึงได้ในเส้นทางที่ตนถูกใครบางคนเบี่ยงให้เดินมา มนุษย์ธรรมดาที่เป็นมาตลอดชีวิตคงไม่มีวันคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ไพร์มไม่ใช่คนที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตน้อยๆไปยังหนทางที่แสนน่าพิศวงแต่อย่างใด กลับกันเขาแค่…


พยายามดึงใครบางคนกลับไปยังเส้นทางนั้น
แบบที่มันควรจะเป็นต่างหาก



TALK
ในขณะที่น้องฉันสดใสดอกไม้บาน อีพี่ไพร์มก็ดูมีเลศนัยยังไงก็ไม่รู้นะคะ
สำหรับคนแต่งนิยายสายอวยอย่างเรา บอกตรงๆว่าก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่าหนทางที่พี่ไพร์มว่าจะเป็นยังไง
แต่เท่าที่เข้าใจคือมันจะธรรมดาไม่ได้แล้ววววววววววววววว
และเรามีเรื่องจะประกาศ ตอนนี้น้องฉันกับพี่ไพร์มจะได้รับดูแลกับสนพ.peachypie นะคะ
หวังว่าในอีกไม่นานเกินรอตอนต่อๆไปจะมาและเราจะเห็นรูปเล่มดีๆกันนะคะ








ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไพร์มย่อมาจากแวมไพร์มปะเนี่ย 5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คุณไพร์มไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เป็นแวมไพร์หรอ

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไพร์มร้ายอะ เอาของกินมาล่อน้องฉันตลอดเลย

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สับสนนิดนึงค่ะ ไพรม์ไม่ใช่คนปกติ แล้วเป็นอะไร
แวมไพร์หรอคะ มีถ่ายเลือดด้วย
ที่บอกว่าจะพาฉันกลับคืน คือฉันก็เป็นหรอ

ฉันเอ้ยย เป็นทั้งน้องฉันและฉันแบบร้ายๆ
มีความสับสนในตัวเอง 55555
เกิดจากอะไรที่ไม่รู้รสเลย แล้วทำไมไพรม์ทำให้ฉันถึงรู้

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ฉันไม่ได้เห็นแก่ผู้ชาย
ฉันแค่เห็นแก่กิน!
p(Ò ‸ Ó)q
- - - - - -

“เดี๋ยวนี้เสาร์อาทิตย์คุณฉันไม่ค่อยว่างเลยเนอะ”  สาจ๋าที่โทรไลน์มาหานั้นบ่นงั้นงี้ แหมมม…คนเราก็ต้องทำมาหากิน


“คุณฉันไม่ค่อยว่างอ่ะ”


“แล้วนี่อยู่ไหน เราได้ยินเสียงประกาศเหมือนอยู่ห้างเลยอ่ะ”


“ก็…อยู่ซุปเปอร์แถวบ้าน”


“ง่ะ คุณฉันเข้าซุปเปอร์ด้วยเหรอ?” 


“เฮ้ย! เข้าดิ ก็ต้องซื้อของใช้บ้าง”


“ฉันครับ หยิบเห็ดชิเมจิตรงนั้นให้หน่อย”  ทว่าเสียงที่พูดแทรกนี้ก็ทำให้สาที่โทรมาถึงกับหุบปากฉับ คนเรา…ไหนบอกมาซื้อของใช้


“เอ่อ สาจ๋างั้นแค่นี้ก่อนเนอะ”  มันมีพิรุธ เหมือนจะมีความผิด แม้ไม่เห็นหน้า แต่สาจ๋ากำลังหรี่ตาทำหน้าไม่ไว้วางใจอยู่ คุณฉันทำตัวแปลกๆนะเนี่ย!


ในส่วนของผู้ต้องสงสัยนั้นไม่อาจจะพูดออกมาชัดๆได้ว่าทำไมตนต้องทำตัวแปลกๆ อาจจะเพราะสาจ๋ามีรีแอคชั่นที่ใหญ่มากจนคิดว่าไม่สามารถรับมือไหวตอนนี้ที่มีใครบางคนเดินเข็นรถเข็นอยู่ข้างๆในซุปเปอร์แถวบ้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราออกมาด้วยกัน และไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกไม่ปกติต่อกัน แต่ก็ยังออกมาทั้งๆที่ไม่รู้อะไร


“คุณฉันอยากกินอะไรอีกไหมครับ”  คนบ้า…พูดเพราะทำไมนักหนา


“ฉันอยากใส่ข้าวโพดอ่อนด้วย”  แล้วนี่ทำไมต้องใจง่าย แล้วนี่ทำไม…


ถึงแทนตัวว่าฉันลงไป!!!


“งั้นหยิบเลยครับ ไพร์มใจดีอยู่แล้ว”  แค่นี้ไม่เห็นต้องแซวเลย!


อย่างที่บอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรก หลังจากที่เซ็นสัญญาผูกปิ่นโตกับเจ้าของห้องเกือบข้างๆ ชีวิตวันเสาร์ที่ปกติจะนั่งๆนอนๆโง่ๆทั้งวันก็เปลี่ยนไป…


มันเริ่มจากการที่เขาชวนไปกินที่ห้อง ฉันที่อิ่มฟรีก็เลยล้างจานให้ ทำไปทำมาก็ขยับมาเป็นผู้ช่วยทำครัว ไปๆมาๆเขาก็ยุ่งๆจนหวิดไม่ได้ทำข้าวกิน ฉันที่เห็นว่าตนยังไม่ได้หารเงินอะไรเลยอาสาไปซื้อวัตถุดิบมาให้ แต่พอช่วงมรสุมของคุณชายไพร์มผ่านไป เขาก็ติดสอยห้อยตามมาซื้อด้วย


ลำดับความใกล้ชิดก็ประมาณนี้แล…


วันนี้เราตกลงว่าจะกินชาบู แต่เพราะประสบการณ์กินชาบูที่ไหนก็ไร้รสของฉันชนก ภูวนัยจึงตัดสินใจทำมันด้วยตัวเองเราจึงมาเลือกซื้อวัตถุดิบ น่าแปลกที่หลายครั้งก็พยายามมองดูวิธีการหรือขั้นตอนต่างๆละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ดูพิเศษโดดเด่นอะไร น่าแปลกที่ทำไมอะไรๆก็อร่อยไปหมดเลยแค่ได้ชื่อว่าผ่านมือผู้ชายคนนี้


“ฉันล้างผักทีครับ”  นอกจากใจง่าย ใช้ทำอะไรก็ว่าง่ายไปอีก


กลายเป็นคนเห็นแก่กินแบบที่อะไรก็ฉุดไม่อยู่เสียแล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็มานั่งที่โต๊ะและคีบสิ่งที่น่าสนใจในหม้อมาไว้ในชามของตัวเอง แต่เดิมชุดจานชามของฉันก็เหมือนของเขา แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าของห้องมักหยิบจานรูปแอปเปิ้ลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางจานสีขาวใบอื่นมาให้ใช้


ก็เหมือนกับฉันที่ดูโดดเด่นท่ามกลางความแตกต่างอื่นๆห้องของภูวนัย


“คีบให้ครับ”


“ไม่กินได้ไหม”  หลังจากที่ได้ลิ้มรสที่แท้จริงของอาหารและวัตถุดิบแต่ละประเภท คนที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องรสชาติก็เริ่มจะเลือกกิน ผักก็อร่อยนะ แต่เนื้อสัตว์อร่อยกว่า ต่อจากนี้ว่าสาจ๋าไม่ได้แล้ว เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่าทำไมผักถึงไม่น่ากิน


“ไม่ได้ครับ คนทำเสียใจแย่”


“ก็ช่วยกันทำหรือเปล่าอ่ะ” 


“ได้ยินนะครับ”


“คุณไพร์ม…ใส่ผักมาให้เยอะแล้ว”


“ข้าวโพดอ่อนนี่ใครบอกอยากกินกันครับ”


“ก็มันไม่น่ากินแล้วอ่ะ”


“มีประโยชน์ต่อสุขภาพครับ กินนะ”  เมื่อพูดขนาดนี้ก็ต้องกินไหมล่ะ!


เคลียร์หม้อกันจนอิ่มหนำสำราญ ฉันชนกก็มาช่วยยืนล้างจานที่ซิงค์โดยมีเจ้าของห้องยืนช่วยล้างน้ำเปล่าอยู่ข้างๆ แม้จะบอกว่าตัวตนของตนดูแตกต่างในทีนี้ แต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกประหม่าที่ต้องมายืนในพื้นที่ที่มีแต่กลิ่นของเขาอบอวล ฉันนั้นจมูกดีมาก อาจจะเพราะตนใช้จมูกในการรับรสอาหารมาตลอด สกิลตรงนี้จึงดีเป็นพิเศษ


“ตั้งแต่คุณไพร์มมาอยู่ที่นี่ ผมก็น้ำหนักขึ้นมาสองโลแล้ว”


“ก็ดีครับ แต่ก่อนผมว่าผอมไป”  นี่เป็นแผนที่จะมาขุนกันให้อยากแล้วจากไปใช่ไหม!


“แต่ทำไมคุณไพร์มไม่เห็นจะอ้วนเลย ทั้งๆที่ฉันหลอกให้กินชาบูเป็นหม้อแล้วแท้ๆ”


“หลอกอะไร ผมกินเป็นแค่ 30% ส่วนคุณฉันเหมาไป 70% แล้วนะ” สรุปใครหลอกใครกันแน่


แต่ที่แน่ๆคือกินเสร็จแล้วคนใจง่ายก็ไม่ได้กลับห้องตัวเอง มีของคาวก็ต้องมีของหวาน และชีสเค้กน่ารับประทานก็ถูกเอามาหลอกล่ออยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่บรรยากาศในห้องที่ไม่ได้ต่างกันมากของห้องเราสองคนให้ความรู้สึกต่างกันสิ้นเชิง


สมกับเป็นผู้ชายที่ทำงานร้านกาแฟ ห้องของเขาดูสบายตาให้ความรู้สึกน่าจิบกาแฟอ่านหนังสือหรือทำงาน ฉันค่อยๆละเลียดกินชีสเค้กที่อร่อยไปพลางเล่นมือถือ ส่วนคนที่ขุนกันอยู่นั่นก็กำลังทำงานอยู่กับโน๊ตบุคของตัวเอง วันหยุดที่เหมือนไม่ได้หยุดของเขาแต่หยุดของเรานั้นดีจริงๆนะ


ว่าแต่ความสัมพันธ์ที่ว่ามันคืออะไรกันเนี่ย?


ฉันไม่เด็กขนาดจะไม่สังเกตท่าทีหรืออะไรก็ตามที่ผ่านมา คุณไพร์มอะไรนี่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องดีต่อกันแม้แต่น้อยเพราะเพื่อนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่เชิง เป็นแค่คนที่เคยเป็นลูกค้า ลำดับถัดมาก็มาอยู่อาศัยข้างห้อง แล้วมันเป็นอะไรกันล่ะ ทำไมตัวเลือกในหัวถึงได้บีบคั้นกันไปในทางนั้น….


เขาจีบกันอยู่เหรอ…


ดวงตากลมช้อนมองคนที่นั่งทำงานอย่างนึกสงสัย หากมันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วฉันรับได้ไหม คุณไพร์มอะไรนี่ก็หล่อน้อยที่ไหน ยิ่งเข้าใกล้ ฉันก็ยิ่งค้นพบเสน่ห์มากมาย ราวกับว่าเขามีเครื่องผลิตฟีโรโมนเป็นของตัวเองอย่างนั้น แต่เพราะข้อสงสัยที่ว่าเขาดูอันตรายก็ยังไม่หมดไป จากวันนั้นที่เจอพี่สนอยู่กับเขา และวันนี้ที่เราสนิทสนมกันมากขึ้น ความรู้สึกอันตรายไม่ได้หายไป เผลอๆมันอาจจะมากกว่าเดิม


แต่ขนาดฉันชนกมาทอดกายง่ายดายอยู่ในห้องของเขาตั้งนานสองนาน แทนที่จะรุกกันบ้าง ภูวนัยกลับทำตัวปกติ แต่มาคิดดูแล้วมีอะไรที่ปกติที่ไหน เห็นไหมว่าฉันเดินไปเดินมาห้องเขาได้โดยไม่มีแล้วซึ่งความเกรงใจ นี่แหละที่เรียกว่าความไม่ระมัดระวัง!


เดี๋ยวกลับห้องเลยดีกว่า…คิดเช่นนั้นก็ถือจานขนมที่กินหมดแล้วไปเก็บล้างในครัว โดยไม่ได้ขอหรือบอกกล่าวอะไร ฉันลุกขึ้นและเดินไปจัดการมันด้วยตนเอง เมื่อวางจานลงในซิงค์อ่างล้างจานแล้ว พลันสายตาก็หันไปเห็นขวดซอสถั่วเหลืองที่ปิดฝาไม่สนิท


อา…วันนี้เรากินชาบูกันก็เลยใช้หมักหมู จะว่าไปแล้วเครื่องปรุงพวกนี้มีขายในซุปเปอร์บางแห่งเท่านั้น ราคาของมันก็สูงกว่าปกติทั่วไป แต่ทว่ากลับขายดีจนสินค้าไม่พอต้องเติมสต็อคบ่อยๆ หรือว่านี่คือความลับความอร่อยของเขากันนะ นิ้วมือเล็กที่กดปิดมันไปแล้วกลับดีดให้ฝาเปิดอีกครั้ง ถึงช่วงนี้จะตะกละกว่าทั้งชีวิตที่เคยเป็นมา แต่การกินซอสถั่วเหลืองเปล่าๆก็ดูจะเกินไปหน่อย


“คุณฉันครับ”  เสียงเรียกที่ดังอยู่ไม่ไกลนั้นทำให้คนที่จะแอบกินซอสห้องคนอื่นต้องชะงัก ตัวซนหันไปยิ้มเผล่ก่อนจะรีบเก็บมันไว้ที่เดิม


“ผมเห็นเครื่องปรุงห้องคุณไพร์มน่าสนใจดี ว่าจะไปซื้อตาม”


“ผมรู้ว่าผมทำอาหารอร่อยนะ แต่คุณฉันไม่ต้องกินทุกอย่างแม้แต่ซอสเปล่าๆก็ได้”  เขายิ้มล้อเลียนและนั่นทำให้คนหน้าไม่อายต้องเขินจนแก้มแดง  “บอกมาแค่คำเดียวผมทำให้เลยครับ อยากกินอะไรล่ะเรา”


“ไม่กินแล้ว เห็นกระเพาะผมเป็นอะไรกัน”


“วันนี้ตอนเย็นว่าจะทำสปาเกตตี้คาโบนาร่าครับ”


“กิน กิน กิน!”  นั่นไง…


ภูวนัยคิดผิดที่ไหนกันเชียว…


ว่ากันว่าพวกของมีคมหรือว่าพวกเครื่องปรุงนี่ให้เก็บให้พ้นมือเด็ก ไพร์มที่ไม่เคยพาเด็กน้อยเข้าห้องก็ลืมไปว่ามีผู้ใหญ่อีกคนที่ซนเหมือนเด็กคนหนึ่งได้เข้ามาบ่อยๆ จริงๆแล้วเขาไม่ได้เคืองโกรธฉันชนกที่หยิบนั่นนี่หรือเดินไปไหนตามอำเภอใจ จริงๆแล้วเขาตั้งใจให้อีกฝ่ายสบายใจเช่นนี้ด้วยซ้ำ หากกลิ่นของเราไม่เข้ากัน ก็เป็นหน้าที่ของคนอยากเริ่มสัมพันธ์ในการทำให้มันกลมกลืนกันไม่ใช่เหรอ


แต่ความลับก็คือความลับ อะไรที่ได้ชื่อว่าความลับย่อมพูดไม่ได้อยู่แล้ว เสียงประตูห้องของภูวนัยถูกปิดไปสักพัก เขาหยิบเจ้าซอสเจ้าปัญหานั้นขึ้นมามอง อันนี้เป็นสูตร ‘เข้มข้น’ เสียด้วย


“วันหลังจะตีมือ”  ซนจริงๆผู้ใหญ่อะไรก็ไม่รู้ เขาคาดโทษในใจ ก่อนที่จะวางมันไว้ที่ตู้เก็บของเหนือหัว สงสัยต่อไปจะปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ช่วงนี้


ช่วงที่ยังเปิดเผยอะไรไม่ได้


- - - - - -
น้ำหนักขึ้นมา 4 โลแล้วตะหาก!
(꒪⌓꒪)
- - - - - -


ห่างกันสักพักเถอะนะคุณไพร์ม…
ไม่งั้นฉันชนกคนนี้ต้องกลิ้งไปทำงานแล้วล่ะ


แม้ว่าเดิมทีน้ำหนักตัวของฉันนั้นจะเข้าขั้นเฉียดต่ำกว่าเกณฑ์ ทว่าการที่มันขึ้นมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็น่าเป็นห่วงตัวเองไม่น้อย เพราะไม่ได้เจอกับป๊ะและพ่อนานๆ พอกลับไปเจอทั้งคู่ก็ถูกถาม…ว่าไปทำอะไรมาหน้าถึงได้กลมขนาดนี้


เพราะไม่เคยคิดว่าตนจะอ้วนมาก่อน ฉันชนกเลยไม่เคยมีมาตรการรับมือกับมันอย่างเด็ดขาด แต่จะให้ไปพูดกับคนใจดีที่ทำอาหารให้กินว่าพอแล้วอ้วนแล้วก็เกรงว่าจะไม่ดีเท่าไหร่ ฉันจึงถือโอกาสที่ไม่ได้กลับบ้านนานชิ่งภูวนัยเสียตอนนี้


ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เดินกลับแต่ต้องกลิ้งกลับจริงๆ


“แต่นี่ฉันไม่กินน้อยไปเหรอลูก”  การันต์ร้องถาม แค่เพียงทักว่าอ้วนหน่อยเดียว เจ้าแก้มกลมของพวกเขาก็แทบไม่แตะอะไร


“มันไม่มีรสชาติอะครับ”


“มันก็ไม่เคยมีอยู่แล้วเปล่าลูก”  อันนี้ก็ลืมไปว่าบุพการีทั้งสองไม่ทราบมาก่อนว่าตอนนี้ฉันได้เจอวิธีการแก้ปัญหากินไม่รับรส แต่จะเรียกว่าแก้ปัญหาก็ไม่ถูก เรียกว่าหาที่กินที่มีรสได้แล้วจะดีกว่า


แล้วเขาทำในสิ่งที่ใครๆก็ทำไม่ได้อย่างนั้นได้อย่างไรกันนะ ฉันชนกที่นั่งกัดหลอดพลาสติกฉุกคิด จริงๆก็คิดมาหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบเสียที เคยแม้แต่ถามเจ้าตัว เขาก็ทำแค่ยิ้มให้และบอกว่าความลับทางการค้า ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ฉันชนกได้เห็นซอสปรุงรสยี่ห้อหนึ่งวางอยู่ ซึ่งไม่ใช่ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมตามท้องตลาดนักเพราะหาซื้อได้ยาก แต่จะเพราะซอสขวดนั้นหรือเปล่าที่ทำให้อาหารอร่อยถึงเพียงนี้?


“ถ้าน้องฉันไม่กินแล้วก็มาช่วยคุณพ่อเอาของลงจากรถก่อนมา”  พอกำลังจะคิดอะไรดีๆออกก็มักมีเรื่องมาขัดกันเสมอ วธินกับการันต์เพิ่งไปซื้อของกลับมา ส่วนเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นตื่นมาพวกเขาก็กลับมาถึงบ้านพอดี ข้าวของท้ายรถเลยยังไม่ได้เอาลงมาจนถึงตอนนี้


“เอาอันนี้ไปไว้ในครัวทีครับ”  วธินนั้นยื่นถุงใส่พวกเครื่องครัวมาให้ เจ้าลูกชายจอมขี้เกียจจึงรับมาและเดินเอื่อยๆกลับไปหาการันต์ที่กำลังล้างจานอยู่


“น้องฉันเอาพวกมาม่าไปเก็บในตู้เลยครับ”


“ป๊ะกินด้วยเหรอครับ”


“พ่อเราน่ะสิ ที่กิน”  น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายนั้นดังออกมาจากคู่ชีวิตของวธิน สองคนนี้จะว่าต่างกันก็ต่างกันมาก แต่เป็นความต่างที่เข้ากันได้ดี พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานกว่าอายุของฉันชนก และคงจะอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆไม่แยกจากไปไหน เป็นความสัมพันธ์ที่ข้ามผ่านการเป็นคู่รักที่หวานชื่นไปแล้ว


ฉันชนกนั้นเอาของในถุงมาจัดเก็บให้ แม้จะถูกรบกวนให้จัดเก็บแค่พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เพราะไม่อยากให้การันต์ต้องเหนื่อยเกินไปจึงทำทุกอย่างให้ โชคดีที่การจัดวางข้าวของในบ้านยังเป็นแบบเดิม จึงไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ


“เอ๋? ป๊ะ…บ้านเรากินซอสยี่ห้อนี้ด้วยเหรอ”ฉันชนกที่เห็นขวดซอสไม่คุ้นตาในตู้ก็ให้ความสนใจ ปกติบ้านเราเป็นแฟนซอสฝาเขียวมาตั้งแต่จำความได้ แม้ไม่รับรู้รสอะไร แต่ฉันชนกก็ชอบเปิดฝาดมก่อนเหยาะใส่ไข่ดาวเพื่อเพิ่มความอยากอาหาร


“อ๋อ อันนั้นคุณป้าข้างบ้านให้มาลองชิมน่ะ แต่ป๊ะยังไม่ได้เปิดขวดเลยนะ”  ดูจากซีลที่ฝาขวดแล้วก็เหมือนจะยังไม่มีใครในบ้านที่ได้ลองชิมมาก่อน เจ้าของมือซนที่จำได้ว่าซอสยี่ห้อนี้คือยี่ห้อเดียวกันกับที่บ้านของบางคนจึงตัดสินใจแกะซีลพลาสติกและเปิดฝาออก กลิ่นของซอสถั่วเหลืองทั่วไปนั้นเตะจมูกเป็นอย่างแรก


“น้องฉันทำอะไรน่ะ”  วธินที่เพิ่งเข้ามาได้เห็นพอดี เขาประหลาดใจไม่น้อย


ที่ฉันชนกเหยาะซอสถั่วเหลืองใส่ปลายนิ้วก่อนจะเอาลิ้นแตะชิม


“น้องฉัน…” การันต์ที่ตกใจเสียงร้องถามของคู่ชีวิตก็หันมาเห็นพอดี เขาถึงกับพูดไม่ออกแม้ฉันชนกจะซนมากๆแต่เด็กคนนี้ไม่เคยแม้แต่จะสนใจพวกเครื่องปรุงอาหาร แววตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็นนั้นทำให้พวกเขาตกใจไม่ใช่น้อย บอกกันทีว่าน้องฉันยังคงกินไม่รู้รสอยู่!?


“…”


“เป็นอะไรไปครับลูก”


“แฮ่…ก็เหมือนกินน้ำเปล่าเลยครับ” เจ้าตัวดีที่ทำให้เหล่าคุณพ่อเป็นห่วงนั้นยิ้มเผล่ออกมา การันต์ถึงกับส่ายหน้า ส่วนวธินก็รีบปรี่เข้ามาดึงแก้มจอมแสบที่ริอาจจะแกล้งเหล่าคนแก่แบบพวกเขา


ใช้เวลากับครอบครัวกันจนได้เวลาพอสมควรแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องนอน ร่างเล็กของจอมแสบของบ้านนั้นทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มที่ป๊ะกับพ่อดูแลให้อย่างดี ยังมีกลิ่นหอมที่ตัวเองชื่นชอบอบอวล ทุกครั้งที่กลับมาบ้านก็รู้สึกเหมือนกลับมาเป็นเด็ก แม้ว่าจะอยู่ที่ไหนคนรอบข้างก็อายุเยอะกว่า แต่ว่าแบบนี้…รู้สึกเป็นตัวเองที่สุดแล้ว


แต่ไม่มีที่ไหนที่เป็นตัวเองได้เท่าตอนอยู่คนเดียวจริงๆ ฉันที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งวันในยามนี้กลับมีใบหน้านิ่งเฉย เหมือนกับว่าปริศนาที่สงสัยมาตลอดจะได้รับการตอบกลับถึงคำตอบในช่วงวันที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่คำตอบของปัญหาทั้งหมด แต่ก็เป็นคำตอบสำหรับปัญหาหนึ่งที่ครุ่นคิดถึงบ่อยๆในระหว่างนี้


ฉัน…รับรสชาติได้แม้ไม่ได้กินอาหารฝีมือของภูวนัย…


“เฮ้อ…”  ทั้งๆที่นี่คือข่าวดีในรอบหลายปีสำหรับชีวิตที่ไม่เคยเพียบพร้อม ตอนนั้นที่รับรู้ได้ถึงรสเค็มของซอส ทำไมฉันถึงไม่กู่ร้องดีใจออกมา แถมยังทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้บุพการีทั้งสองเห็น เพราะความกลัวบางอย่างที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจใช่ไหม


แล้วอะไรกันเล่าที่ตนนั้นหวาดระแวง


ในตอนเย็นของวันอาทิตย์ เป็นเวลาที่ฉันชนกขอตัวกลับไปที่คอนโด จริงๆจะกลับพรุ่งนี้ตอนเช้าก็ได้ แต่ถ้าออกจากที่นี่ตรงไปที่ทำงาน คาดว่าคงต้องตื่นเช้ามากแล้วตนก็ไม่ถนัดอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ เจ้าของร่างเล็กของเจ้าลูกชายนั้นยืนโบกมือให้ผู้เป็นพ่อที่มาส่ง วธินนั้นสั่งเสียเสียยืดยาว แต่นั่นแหละ ก็ใช่ว่าเราจะเจอกันบ่อยเท่าเดิม


ค่ำของวันอาทิตย์นั้นผู้คนไม่พลุกผล่าน ฉันชนกนั้นกินข้าวมาแล้ว ที่ต้องทำก็คือเก็บกวาดห้องนิดหน่อยและนอนพักผ่อน วันหยุดนั้นแสนสั้นแต่วันทำงานนั้นแสนยาว แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์เงินเดือนมาเป็นปีๆแล้วแต่ข้อเท็จจริงตรงนี้ก็ยังรับมือไม่ค่อยได้ ระหว่างคิดอะไรเพลินๆนั้นเองเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ลึกๆแล้วยังไม่พร้อมเจอที่สุดนั้นเปิดประตูห้องออกมา


“…”


“อ้าว…คุณฉัน”


“…”


“กลับมาแล้วเหรอครับ”  ให้ตายเหอะ ทำไมต้องเจอกันในตอนนี้ด้วย ฉันคิดว่าไม่พร้อมสักเท่าไหร่


“คุณไพร์ม”  ทว่าเสียงแหบแห้งนั้นก็ถูกเปล่งออกไป ไพร์มนั้นจ้องมองใบหน้าของคนที่มักจะวิ่งมาหาเหมือนลูกหมาอย่างไม่วางใจเท่าไหร่นัก หากมองไม่ผิด เขาพบว่าดวงตาคู่สวยนั้นเหมือนมีหยาดน้ำคลอ และในดวงตาคู่สวยที่สะท้อนภาพเรื่องราวต่างๆที่ตนเห็น แต่ไม่เคยสะท้อนเรื่องราวความเป็นจริงทั้งหมดนั้น…


มันกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีอื่นที่ทำให้ขนทั้งกายลุกชัน
สัญชาตญาณของนักล่ากับผู้ถูกล่ายามใกล้ชิดกันนั้นยากจะต้านทานไว้


“ชะ…ช่วยด้วย” และนี่คือคำบอกกล่าวสุดท้ายก่อนที่ภาพทั้งหมดจะเลือนหายไป พร้อมกับร่างที่กำลังจะไหลลงไปนอนกองกับพื้น


“…”  อันตรายจริงๆ เมื่อครู่นี้อันตรายเกินไป


สถานการณ์เมื่อครู่ อาจจะทำให้มีคนตายเกิดขึ้นได้เลย…


“อย่าซนอีกแล้วกันนะ” กะไว้แล้วว่าระยะอันตรายนี้ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย ไพร์มที่กำลังจะออกไปทำธุระข้างนอกนั้นเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนมาหลับคาอ้อมแขนเช่นนี้ก็เปลี่ยนใจ ดูเหมือนว่าที่เขาทำไปจะให้ผลสำเร็จเกินคาด แต่ผลที่ได้มาตอนนี้ยังเร็วไปกว่ากำหนดการ


ฉันชนกผู้น่าสงสารคงกำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ตรรกะอันดีที่ลูก ‘มนุษย์’ มีมาตลอดยี่สิบกว่าปีคงกำลังถูกท้าทายด้วยสัญชาตญาณที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ และถ้านับจากวันแรกที่เราเจอกันมันก็แสนสั้นเหลือเกิน ใช่…จากวันนั้นนั่นแหละ วันที่เขาได้หยิบยื่นแซนวิชหนึ่งจานพร้อมส่วนผสมพิเศษไปให้


“คงต้องขอเลื่อนนัดวันนี้” ภูวนัยที่พาเด็กน้อยเข้ามานอนในห้องของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วได้จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแจ้งความต้องการออกไป แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่ยอมปล่อยกันไปง่ายดายนัก


“ไม่ได้มีปัญหากับเหยื่อที่แกล่อลวงมาหรอกใช่ไหมวะ”


“เมื่อครู่เขาจะโผเข้ามาหากู”


“ทั้งตาฟ้าๆเลยเหรอ”


“ไม่ใช่สีฟ้า”


“อะไรนะ”


“เอาเป็นว่าวันนี้เลื่อนนัดกันไปก่อน แค่นี้ก่อนนะ”


“ไพร์ม มันอันตรายน…นะ…ติ้ด”   เขาเลือกที่จะไม่ฟังต่อเพราะถ้อยคำที่จะออกมาจากปากคู่สายเป็นสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้ว


เจ้าของห้องที่ได้พาบุคคลอันตรายต่อชีวิตเข้ามานอนนั้นย่อมรู้ดีว่าถ้าทุกอย่างเสียการควบคุมจะเป็นเช่นไร และเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะรับมือไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่เขาแค่นึกเสียดายหากจะจัดการขั้นเด็ดขาด เห็นอย่างนี้นอกจากไม่ใช่มาโซคิสม์ เขายังไม่อยากเป็นฆาตกรอีกด้วย


ไพร์มเป็นนักลงทุน และเขาก็ลงทุนกับหลายๆอย่าง
รวมถึงงานวิจัยผลิตภัณฑ์


ฉันชนกดูหลับสนิท เด็กคนนี้คงเหนื่อยมากกับความเปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก จิตใจ และร่างกาย ภูวนัยนั้นจ้องมองคนที่หลับอยู่อย่างสงบสุขด้วยสายตาคมกล้า ปลายนิ้วของเขาค่อยๆสัมผัสลงบนกลีบปากนุ่มนิ่มสีแดงช่ำ จริงๆเขาสังเกตมาสักพักแล้วว่าตอนที่ฉันกำลังกินอะไรที่ถูกใจมากๆ ดวงตาของเจ้าตัวจะวาววับเห็นเป็นประกายบางอย่างและนั่นคือสีดวงตาที่แท้จริง ทว่าเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นชัดๆนานๆแบบนั้น


สีม่วง…สีที่มีแค่ในตำรา


“พรุ่งนี้จะปวดเหงือกไหมนะ”  เขาเป็น ‘มนุษย์’ จึงไม่อาจจะเข้าใจกายภาพของเผ่าพันธุ์อื่นๆได้อย่างละเอียดแต่เมื่อเห็นฟันของเจ้าชายนิทราก็คิดขึ้นมาว่าคงจะเป็นเช่นนั้น


ทั้งๆที่การงอกของเขี้ยวไม่ได้เป็นหลักการเดียวกับฟันคุดเลยก็ตาม


“ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ”  การที่ภูวนัยทำทุกอย่างเพื่อเข้าใกล้เด็กคนนี้ที่ไม่รู้ว่าตนมีความพิเศษตรงไหน ในตอนแรกเขาตั้งใจให้มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ทว่าเมื่อได้เห็นดวงตาเป็นประกายยามที่เขาพยายามหลอกล่อ หรือตอนที่สบตากันด้วยดวงตาสีม่วงก่ำ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเป็นมาโซคิสม์จริงๆหรือไม่ แต่แค่คิดว่าอีกฝ่ายอยากกระโจนหาเขาแค่ไหน เขากลับอยากรวบร่างกายนั้นไว้ให้เร่งเข้าหาเช่นกัน


“อืม…”  รีมฝีปากแดงช่ำนี้ช่างเย้ายวนจนเกินจะห้ามใจไว้ เขาเคยพบคนที่เหมือนกับฉันชนกมานับไม่ถ้วน ร่วมหลับนอนมาไม่อาจจะนับครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่น่าลักหลับขนาดนี้  “คุณไพร์ม”


และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อีก ดวงตาที่ปรือมองเขานั้นค่อยๆปิดลงพร้อมๆกับตอนที่ถูกเขาปิดปากด้วยบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกัน เขาค่อยๆบดคลึงหนักเบาให้อีกฝ่ายได้ปรับตัวก่อนที่จะกดจูบลึกซึ้ง เรียวลิ้นที่หยอกล้อกันนั้นให้ความรู้สึกเสมือนจริง เท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หิวกระหายมากขึ้นจนต้องเรียกร้อง


“ไม่กัดปากครับ”  เขากระซิบบอกชิดริมฝีปากที่เจ้าตัวน้อยกำลังจะงับมันเมื่อเขาถอยห่าง ในฐานะผู้ล่า ฉันคนนี้นับว่าไม่ประสีประสาเอาเสียเลย และนั่นเปิดโอกาสให้คนเห็นแก่ได้เอาเปรียบ “แต่กัดตรงนี้แทนนะครับ”


สิ้นสุดคำบอกกล่าวเขาก็ดึงร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งคร่อมตัก มอบจูบที่ร้อนเร่าให้ไปพร้อมกับเค้นคลึงสะโพกนิ่มอย่างมันเขี้ยวก่อนจะผละออกมา น่าสงสารผู้ล่าที่ยังคิดว่าตัวเองอาจจะฝันอยู่ เขาเลียหยดน้ำที่ช่ำวาวตรงมุมปากให้อย่างใจดีก่อนที่จะกัดริมฝีปากล่างที่บวมเจ่อนั้นเพื่อส่งสัญญาณ


“อืมมมม”  เสียงครางต่ำอย่างสุขสมดังขึ้นเมื่อลมหายใจร้อนๆของเด็กน้อยรดอยู่บริเวณผิวเนื้อที่ต้นคอ เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน ต้องการสิ่งที่มีเพียงฉันชนกเท่านั้นที่ทำได้ ทว่านิสัยที่ไม่ใช่คนรักความรุนแรงได้หยุดความต้องการที่จะกระทำมากขึ้นของตนไว้ ภูวนัยเฝ้ารออย่างใจเย็น ทุกอย่างที่งดงามต้องใช้เวลา และเขาก็พึงใจมาก…


ในตอนที่เขี้ยวเล็กของแวมไพร์ผู้งดงามค่อยๆฝังลงที่ต้นคอ




Talk:
แต่แน่ววววววววววววววววววว เฉลยคือพี่ไพร์มไม่ใช่แวมไพร์เด้อค่ะ
แต่เป็นน้องฉันไงจะใครล่ะ
เราต้องขอโทษที่ปล่อยให้รอกันนะคะ ถ้าแต่งไปได้เยอะๆแล้วเตรียมใจไว้กับความมาถี่ได้เลย
ฝากติดตามติดแท้กติดนั่นติดนี่ด้วยนะคับ
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri







ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
5
- - - - - -
ฉันไม่กินยา
(π π)
- - - - - -


เป็นเวลานานสำหรับเกมจ้องตา แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้านทานอะไรไม่ไหวก็ตาม


“ฉันไม่กิน”  ฉันยื่นคำขาด


“ฉันต้องกินครับ”  เขายังคงยื่นน้ำเปล่าและยาเม็ดสีขาวมาให้ จริงๆฉันไม่ควรจะดื้อกับเรื่องนี้ ก็แค่พาราเม็ดเล็กๆจะไปกลัวอะไร กินไปก็ไม่รู้รสไม่ใช่เหรอ


ก็ใช่…แต่ตั้งแต่เจอภูวนัย ชีวิตที่ไม่มีรสชาติก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เมื่อวานตนนั้นรับรู้แม้แต่รสเค็มของซอสถั่วเหลือง แม้จะจางๆก็เถอะ แล้วนี่เป็นยาที่ยื่นจากมือเขามาให้มีหรือว่ามันจะไม่ขม แม้ว่ายังไม่คุ้นชินกับรสขมมากนัก แต่กลิ่นแป้งๆที่เหม็นๆนั่น มันก็ทำให้จินตนาการได้ว่ารสที่ออกมาคงไม่ดีเท่าไหร่ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ดื้อแพ่งตั้งแต่ตื่นมา


“คุณฉันครับ ป่วยแบ็บอยู่อย่างนี้ กะจะไม่หายให้ผมเลี้ยงไปตลอดชีวิตเลยเหรอครับ” 


“ใครพูดอย่างนั้นเล่า!”  เมื่อเจ้าของห้องและเจ้าของยานั้นยังกดดัน ฉันชนกก็ได้แต่ทำปากยื่นใส่


ก็ใครใช้ให้ทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนที่ตนป่วยเลยล่ะ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ป่วยนั้นไม่มีหรอก แน่นอนว่าสิทธิ์วันลาก็ไม่เคยได้ใช้และวันนี้พอตื่นมาสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกหลังจากลุกนั่งคือรับมือถือจากเขาและโทรไปลางาน!


“ลืมไปหรือเปล่าครับว่าเมื่อวานใครเป็นลม คุณฉันป่วยนะครับ”  อือ…ป่วยไม่รู้เรื่องเลย อยู่ๆก็มาหลับในห้องคนอื่นแบบนี้ ฉันชนกก็ไม่รู้สึกดีเท่าไหร่หรอก แม้ทุกอย่างที่อยู่ในห้องของชายหนุ่มคนนี้จะหอมน่านอนมากๆก็เถอะ


“ผมกลับไปนอนที่ห้องก็ได้”  จริงๆตื่นมาพอรู้ตัวว่านอนอยู่ห้องนี้ก็งอแงจะกลับห้องให้ได้ ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ไม่ยอมปล่อยไป ด้วยเพราะเป็นไข้จึงไม่ค่อยมีแรงเถียง และตอนนี้ก็เหมือนจะหน้ามืดอีกครั้งเพราะต้องมาเถียงเรื่องกินยา


“ได้กลับแน่ครับ แต่ขอให้ไข้ลดกว่านี้หน่อยนะ คุณฉันตัวร้อนมาก”  อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเหมือนกัน ถ้าป๊ะกับพ่อรู้เข้าต้องตกใจแน่ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆก็ป่วยได้นะ? “กินหน่อยนะครับ เดี๋ยวตอนบ่ายให้กินข้าวต้มฝีมือไพร์มนะ” กินก็ได้ เพราะรำคาญหรอก ไม่ได้เห็นแก่กิน…


คนตัวเล็กค่อยๆทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนุ่มหลังจากที่ทำใจอยู่นานกว่าจะยัดยาลงคอ โชคดีที่มันไม่มีรสอะไรเลย ถ้ารู้งี้ไม่น่าดื้อให้บางคนล้อเอาล้อเอา แต่เพราะไม่รู้รสจึงนำไปสู่ข้อสงสัยถัดๆไป เพราะเขาไม่ได้ผลิตยาขึ้นเองเหรอถึงได้ไม่มีรสแบบนี้ แต่ทำไมขนาดน้ำหวานสำเร็จรูปในตู้เย็นห้องนี้ยังมีรสหวานชื่นใจเลย แปลกจริงๆ


“ฉันไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ”  มือใหญ่นั้นลูบหัวทุยๆของคนที่นอนขมวดคิ้ว สัมผัสละมุนและคำปลอบโยนที่ไม่แน่ใจในความหมายนั้นเหมือนบทเพลงกล่อม ในที่สุดคนที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงปริศนาก็หลับลงไปราวถูกสะกด


และมีหรือที่คนเจ้าแผนการจะไม่รู้ว่าเหยื่อซึ่งเป็นผู้ล่าตัวน้อยคิดอะไรอยู่ แม้จะความรู้สึกช้าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึก การเข้าหาที่ดูง่ายดายหากแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแบบนั้น จะอย่างไรมันก็ไม่ได้แนบเนียนขนาดที่จะไม่เผลอสงสัยได้หรอก ภูวนัยรู้อยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้พยายามจะทำอะไรให้แนบเนียนกว่านี้ เพราะหวังผลอยู่


“ขอโทษนะครับ”  สำหรับ ‘ครั้งแรก’ ที่เขาทำเมื่อวานถือว่าฝืนไปไม่น้อย ไพร์มที่ดูจะสดใสมากกว่าทุกวันนั้นรู้สึกผิดแค่นิดเดียวกับสิ่งที่ทำไป แต่ถ้าให้เลือกระหว่างการใช้อุปกรณ์ในการถ่ายเลือดกับการถูกกัด ไม่มี ‘มนุษย์’ แบบเขาคนไหนชอบแบบแรกอยู่แล้ว


สำหรับ ‘แวมไพร์’ ที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งแต่ไม่อาจจะต้านทานความต้องการของสัญชาตญานนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนับได้ว่าฉันชนกถูกเอาเปรียบอย่างจัง ร่างกายจึงอ่อนแอลงไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่งเลย เจ้าตัวที่ไม่เคยรู้ตัวตนมาก่อนคงแปลกใจไม่น้อย แต่กินยาลงไปแล้วคงจะดีขึ้น เขาหวังว่าสายพันธุ์หายากที่มีดวงตาสีม่วงตนนี้จะรักษาไข้ได้ด้วยพาราเซตามอลเหมือนสายพันธุ์ทั่วไปที่กินยาแล้วหาย


หลังจากดื่มเลือดของมนุษย์


ในภาพฝันที่ได้เห็น…ฉันรู้สึกอึดอัดไปหมด อาจจะเพราะอาการป่วยที่ทำให้อ่อนเพลียถึงเพียงนี้ทำให้หลับลึก ทว่าในห้วงฝันนั้นตนเหมือนจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย บ้างฉุดกระชาก บ้างผลักไส บ้างดึงมากอดรัด หรือบ้าง…ฝังคมเขี้ยวของตนลงบนผิวเนื้อของคนอื่น


ทว่าความกดดันระลอกใหญ่ที่ถาโถมจากด้านหนึ่ง ฉันชนกที่เห็นไม่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สัญชาตญาณได้สั่งให้วิ่งหนีแม้ไร้ทิศทางไป ฉันนั้นวิ่งไม่หยุด ผ่านผู้คน ผ่านตึกแถวที่เงียบสงัด แล้วภาพก็ตัดมาที่ห้องกระจกหนึ่งที่ไม่สามารถหาทางไปต่อได้ ใบหน้าหวาดกลัวของตนที่สะท้อนออกมายิ่งทำให้หดหู่มากขึ้น ทว่าก็ดึงดูดให้เข้าหา ไม่ผิดแน่ ใบหน้านี้คือใบหน้าของฉันแน่ๆ แต่อะไรบางอย่างบอกกันว่านี่ไม่ใช่ตัวตนที่รู้จักทั้งหมด


“ไม่..”  ความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นภายในช่องปากทำให้ต้องส่องกระจกดู ภาพที่เห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกหวาดกลัว


ไม่ผิดแน่…ฟันของฉันกำลังงอก
งอกเหมือนผู้ชายคนนั้นที่กำลังกัดคนอื่นอยู่


“ไม่จริง”  ด้วยอารามตกใจทำให้หันหลังไปหมายจะหนี ทว่ายังไม่ทันได้ไปถึงไหน


หมับ!
ใครบางคนก็จับกันไว้เสียแล้ว


“คุณไพร์ม”  เป็นเขาไม่ผิดแน่ ทว่าภูวนัยที่มาปรากฏตัวตรงหน้ากลับไม่พูดอะไร แววตาของเขาไม่สื่อความหมาย มันเหมือนจะว่างเปล่า แต่ก็ดำมืดเกินกว่าจะพรรณา ทว่าแทนที่จะหวาดกลัวต่อการกระทำเหล่านั้น ฉันชนกที่จ้องตาไม่สื่อความนั้นกลับถูกดึงดูดลงไปในบ่อลึกที่มองไม่เห็น ลึกลงไป…ลึกลงไปอีก เมื่อได้สติอีกที…


ก็พบว่าตนได้กัดต้นคอของเขาแล้ว


“เฮือก!!!!!!!!!” 


“คุณฉัน!?”


“…”  นั่นมันคือฝันจริงๆ


และในที่สุดก็หาทางออกจากฝันนั้นได้แล้ว


“คุณไพร์ม”  นิ่งไปอยู่นานเพื่อเรียกสติ ฉันชนกที่เหงื่อชุ่มไปทั้งกายนั้นปรับสภาพสายตาและความคิด น่าแปลกที่ตื่นมาเจอเขา แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลกหรอก เพราะก่อนนอนก็เป็นเขาที่กล่อม เมื่อลำดับความคิดได้ก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ ทว่าอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็เรียกร้องกันให้มองหาความเป็นจริง


ต้นคอที่ถูกกัดนั่น…


“….”  ฉันไม่ได้กัด เพราะตรงนั้นไม่ได้มีรอยอะไรอยู่


“กินข้าวไหมครับ ผมกินแทนข้าวไม่ได้นะ”  คนที่ถูกจ้องเอ่ยออกมา ส่วนคนมองก็สะดุ้งโหยง นี่ฉันไปทำหน้าหิวใส่เขาเหรอ!


ภูวนัยไม่ได้แซวต่อเพราะลึกๆเขาเข้าใจธรรมชาติคนแบบเดียวกับ ‘ฉันชนก’ ดีอยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมารับมือกับคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร มันก็จะรับมือยากหน่อย กับคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร และรับรู้ว่าเราจะสามารถต่อรองผลประโยชน์ประเภทไหนได้ มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย ดังนั้นที่เขาทำอยู่นี่ เรียกว่าเบียดเบียนความเป็นส่วนตัวนัก


ดวงตากลมคู่นั้นก็เหมือนกัน แม้ว่าจะส่งสัญญาณเตือนว่าจ้องมองกันมากเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่หยุดด้วยคิดว่าเขาคงไม่รู้ ทว่าภูวนัยที่มีสัญชาตญาณดีกว่า ‘มนุษย์’ ทั่วไปย่อมรับรู้ถึงแววสงสัยและกังวลใจที่ส่งต่อมา น่าแปลกที่ปกติเขาต้องรำคาญใจไปแล้ว นี่นอกจากจะไม่เบื่อหน่ายอะไร ยังยินดีให้มองกันจนสึกหรอ หรือถ้าอยากกินก็ให้กินได้เช่นกัน


หาข้าวหายาให้กิน ก็เดินไปส่งที่ห้องแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ไกลจากห้องของเขาเลย ฉันชนกอาการดีขึ้นแล้วแม้ว่าตอนเช้าจะไข้ขึ้นสูงจนน่ากลัว สมกับที่มีสายเลือดอันทรงพลัง หายได้ในไม่ถึงวันถือว่าสายเลือดของเผ่าพันธุ์นั้นแข็งแกร่งไม่น้อย ไม่แน่ยาพาราเซตามอลนั้นอาจจะทำงานได้ดีกับภูมิในตัว แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความตั้งใจ แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย


ยิ่งความรู้สึกตอนที่ถูกกัด…นั้นดีไม่ใช่น้อยเลย


- - - - - -
ป่วยต่อเลยได้ไหม…อย่าปล่อยให้ตัว ‘ฉัน’ ไป
(○-_-○)
- - - - - -


“ถึงฉันจะป่วยแต่งานก็ยังต้องส่งนะ”  และนี่คือสิ่งที่แผนกบัญชีได้กล่าวไว้ โดยไม่เกรงใจสภาพที่มีหน้ากากอนามัยปิดไปครึ่งหน้านี้เลย

“แค่กๆ”  ฉันชนกที่พยายามเรียกร้องความสนใจนั้นไอออกมา แต่เหมือนว่าจะปลอมไปเลยไม่มีใครเชื่อใจเลย


ใครจะไปคิดว่าเพียงครึ่งวันสุขภาพของฉันก็ดีราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน มิหนำซ้ำหูตาก็ยังไวได้ยินอะไรชัดเจนไปหมด จนคนคิดว่าที่ลาไปนั้นไม่ใช่ป่วยแต่เพราะแฮงค์จากการดื่มมากกว่า ปัดโธ่…ฉันกินเป็นแต่ยาคูลท์ไหม! แต่การฟื้นตัวที่เร็วมากนั้นแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจ นี่มันไม่ใช่ผลข้างเคียงของพาราเซตามอลใช่ไหม?

ทว่าเพราะนี่คือการป่วยครั้งแรกในชีวิต ก็จะอินกับการใส่มาส์กป้องกันเชื้อนิดหน่อย ทว่าก็ใส่ๆถอดๆ เพราะมันหายใจไม่ออกนี่! ในประเทศไทยที่ร้อนชิบหายวายวอดเช่นนี้ จะให้ทรมานตัวเองด้วยการใส่ทั้งวันแบบนั้น ก็เกรงว่าจะได้โดนหามไปเข้าห้องพยาบาลอีกครั้งจนได้นะสิ!


“คุณฉันไม่สบายเหรอ”  สารินที่ไม่ได้ทำงานที่เดียวกันแต่ขยันมาหาเพื่อนกินข้าวเย็นด้วยนั้นถาม คงจะเห็นว่าฉันนั้นใส่หน้ากากทั้งที่ในใจบ่นร้อน แต่กระเป๋าตังค์บอกยังใส่ไม่คุ้มจึงยังใส่ต่อ


“อื้อ”


“ไม่เคยเห็นป่วยเลยอ่า เป็นหนักไหม”  คนชวนมากินข้าวเริ่มรู้สึกผิด แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า เพราะตอนนี้อาการที่ใกล้เคียงกว่าเป็นไข้คือไข้ใจเสียมากมากกว่า “วันหลังป่วยบอกเรานะ คุณฉันอยู่คอนโดคนเดียว”


“สาจ๋า…” เกือบจะซึ้งใจแล้วที่เพื่อนรักแสดงความห่วงใยถึงเพียงนี้ แต่อาการไข้ขึ้นไม่ธรรมดาแบบที่ประจักษ์ก็ทำให้รู้ว่าต่อให้ไม่มีใครก็ไม่ควรให้สามาดูแล ได้ป่วยหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะขนาดสุขภาพดียังปวดหัวกับพฤติกรรมที่เอ๋อเกินบรรยายเหล่านั้น ขนาดว่าตัวเองเด๋อเท่าฟ้าแล้ว ยังมีอีกคนบนโลกที่เหนือฟ้าได้อีกตรงนี้!


คุณไพร์มก็คุณไพร์มเถอะเขาต้องรับมือสารินไม่ได้แน่ๆ!


“…”


“เป็นอะไรเหรอคุณฉัน”


“เปล่า”  ก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่สงสัย…


ว่าเอะอะๆอะไรทำไมก็คุณไพร์ม!!!!!


“ถ้าคุณฉันไม่สบายอีกต้องบอกนะ”  บอกให้มาขูดหาเลขเหรอ!


“สาจ๋าไม่ต้องห่วงเราหรอก ไม่ต้องมาดูแลเราด้วย”  ถ้ามีแรงโทรศัพท์ได้คงโทรไปหาป๊ะแทน


“เปล่าใครบอกเราจะดู”  หืม???  “เราจะให้พี่สนไปดูตะหาก”


“…”


“แหมมมมม ฉันก็รู้นี่ว่าเราดูแลคนไม่เก่ง”  อันนั้นก็รู้ดีเลยล่ะ


“แต่ก็ไม่ต้องให้พี่สนมาก็ได้มั้ง”


“คุณฉัน…”


“สาจ๋าก็รู้ว่าเราเลิกกันมาแบบนานโคตรแล้วอ่ะ จะชิปอะไรอีก”  ชิปให้ชิปหายไปเลยใช่ไหม!


“แต่เราอยากให้พี่สน…ได้คุยกับฉันอีกนะ”


“สา…ไม่ดีกว่านะ” ฉันชนกก็ปฏิเสธชัดเจนมาตลอด แต่ปฏิเสธรุนแรงนั้นไม่เคยเลยเพราะไม่อยากจะทำให้เพื่อนหวาดกลัว กับเรื่องของพี่สนนั้นตนก็ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะไม่หวนคืน


ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่เข้าใจ


ความเบียดเสียดของรถไฟฟ้ายามค่ำคืนนั้นน่าหงุดหงิดพอๆกับความรู้สึกในตอนนี้ ฉันชนกที่ดีดไปดีดมาระหว่างความคิดที่ว่าควรจะสนิทสนมดีหรือถอยห่างดีนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร ยิ่งวันนั้นที่เป็นลมล้มตึ้งจนต้องนอนในห้องของเขา ตนก็ดันฝันแปลกๆอีกมากมาย อายุปูนนี้แล้วกับแค่จูบและสัมผัสก็ย่อมเคยผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่ควรจะเห็นภาพเหล่านั้นกับคุณไพร์มที่ยังไม่มั่นใจว่าเขาจีบเราอยู่หรือไม่เปล่าไม่ใช่เหรอ!?


ที่สำคัญคือในฝันก็เคลิ้มด้วยไง ใจไม่รักดีนี่!


วันก่อนไปงอแงอยู่ที่ห้องนั้นทั้งวัน ตอนนี้เลยไม่มีหน้าไปเจออีก คิดได้เช่นนั้นฉันชนกเลยแสดงความตั้งใจ กะว่าจะขึ้นลิฟท์และไปต่อบันไดหนีไฟอีกด้านจะได้ไม่ต้องผ่านห้องที่พอคิดถึงทีไรมักได้เจอทุกที ทว่า…


“เพิ่งกลับบ้านเหรอครับ”  ทั้งๆที่คำนวณไว้แล้วว่าดึกป่านนี้เขาคงอยู่ในห้อง แต่ในความเป็นจริงคือเรากลับมาถึงพร้อมกัน ภูวนัยในเสื้อเชิ้ตสีเทาพับศอกแบบนั้น…ว่าไหมว่ามันฮอตดีจังเลยนะ ว่าแต่นี่คงหมายถึงอากาศใช่ไหม ไม่ใช่ใครที่ทำให้ใจสั่น


เอาอีกแล้วไอ้ฉัน…แผนล้มไม่เป็นท่าเพราะว่าเราดันมากดลิฟท์ขึ้นห้องพร้อมกันเสียนี่! ดังนั้นตอนนี้ใจบางๆของคนที่คิดไม่ดีก็ร้อนเร่าจนรู้สึกไปเองว่าอากาศเมืองไทยมันแย่ยิ่งกว่าทุกวัน ระยะห่างที่ฉันนั้นพยายามรักษาไว้ ถูกใครบางคนมองออกในทันทีแค่เพียงเห็นใบหูแดงๆ


“คุณฉันยืนซะไกลเลย”  อากาศมันร้อนหรอก แล้วทำไมถึงเบียดเก่งนักล่ะ!


“เผอิญเหงื่อออกเยอะนะครับ”  ใส่ร้ายตัวเองเข้าไป เอาความตัวเหม็นเข้าฝังไว้ให้จมดินไปเลย


“ตัวก็ไม่เห็นเหม็นนี่ครับ”  ใบหน้าหล่อนั้นยื่นเข้ามาดมที่หัวไหล่ คนที่บอกว่าเหงื่อเยอะนั้นเอี้ยวตัวหลบแบบหักสุดตัว


“มันเหนอะหนะนี่ครับ”


“อากาศก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ หรือว่าคุณฉันจะไม่สบายอีกแล้ว”  จริงๆก็ว่าจะเล่นมุกนั้น แต่ว่าก็กลัวเขาจะเซ้าซี้ตามประสาคนใจดีที่ไม่ดีต่อใจ


“ผมไม่เป็นไรครับ สบายมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”


“ฉันครับ”  ฮื้ออออออ  “บอกไพร์มได้นะครับ” แงงงงงงงงงงงงง


บทสนทนานี้มันยาวนานแค่ไหนแล้วทำไมเราถึงไปไม่ถึงชั้นนั้นเสียที ฉันชนกที่แทบจะระเบิดตัวเองตายในลิฟท์นั้นมองไปที่การเคลื่อนไหวของตัวเลข และก็เพิ่งได้รู้ว่า ไม่ได้กดเลขชั้นอะไรเลยจ้า!


“ฮึ”  คนขี้แกล้ง! มองจากดาวอังคารมายังรู้เลยว่าเขาแกล้ง ภูวนัยนั้นหยุดการกระทำเหล่านั้นและหันไปสนใจด้านหน้า ส่วนคนที่อยากจะหลบหน้าก็เอาแต่จดจ่อกับเลขชั้นที่เคลื่อนไปเรื่อยๆหลังจากตั้งสติผนึกลมปราณกดปุ่มได้สักที



ติ๊ง!


“คุณไพร์ม!!” 


“คุณฉันโกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ?”  เขาก็แค่จิ้มที่เอวหน่อยเดียวเอง ทำไมถึงได้สะดุ้งใหญ่ขนาดนี้กันนะ


“…”  ก็ไม่ได้โกรธหรอก…แต่กระวนกระวายไม่รู้ว่าทำไม


“ถ้าผมทำอะไรให้คุณฉันไม่พอใจ…”


“เปล่าหรอกครับ”  ที่ไม่พอใจก็คือตัวเองมากกว่า


“ตกลงไม่โกรธผมเนอะ”


“อืม”


“ถ้างั้นกลับห้องกันเนอะ”  แล้วฉันก็ได้เรียนรู้อีกสิ่งคือลิฟท์เราค้างอยู่ที่ชั้นนี้สักพักแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครใช้ลิฟท์ตอนนี้ไม่งั้นคงได้ดีดขึ้นดีดลงกันอีกรอบ


ภูวนัยที่ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกขอแยกตัวเข้าห้องของตัวเองไป หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟา เปิดดูข้อความของคนรู้จักคนหนึ่งที่ส่งมาและก็ปิดมันไว้ อ่านแต่ไม่ตอบอะไรเพราะไม่ใช่อะไรที่อยากจะสนทนาด้วยตอนนี้


ภาพของแมวน้อยที่ดูตระหนกยามเห็นหน้าทำให้รู้สึกสงสาร จะว่าไพร์มมาดีก็ไม่ใช่ เขาเองก็คาดหวังบางอย่างในตัวของเด็กคนนั้นจึงเข้าหา และก็ได้มันมาแล้วอย่างหนึ่ง จูบลึกซึ้งระหว่างเราที่อีกคนไม่ได้ทวงถามอะไรทำให้นึกถึงความรู้สึกในตอนนั้นที่หวานหอมเกินบรรยาย


ทว่าเพราะรับเลือดที่เข้มข้นจากเขาไปมากเกินไป ทำให้ร่างกายที่ยังไม่ชินเกินจะต้านรับ หลังจากถอนริมฝีปากจากคอของเขาแล้ว ฉันชนกก็ฟุบลงกับไหล่และหมดสติไปในทันทีพร้อมกับไอร้อนที่ค่อยแผ่กำจาย


‘เป็นห่วง’ คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นและมันไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไพร์มให้แวมไพร์ดูดเลือด แต่ไม่มีแวมไพร์ที่ไหนไม่รู้ลิมิตของตัวเองและปล่อยให้สัญชาตญาณนำพาขนาดนี้ เขาก็ลืมคิดไปเสียสนิทว่าฉันอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ประวัติที่เขาหามาได้ เด็กคนนี้ไม่มีความข้องแวะกับตระกูลไหนๆเลย และนั่นอาจจะทำให้เรื่องง่ายๆก็ทำพลาดอย่างง่าย ฉันชนกไม่เคยถูกฝึกด้วยคนในเผ่าพันธุ์เดียวกัน


แน่นอนว่าคนของเขาหาข้อมูลของฉันชนกได้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า ทว่าข้อมูลของบิดามารดาที่แท้จริงกลับไม่มีอยู่ หลังจากได้รับการอุปถัมภ์ ครอบครัวที่ดูแลกันก็ไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์พิเศษ การันต์กับวธินเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้นการเลี้ยงดูแวมไพร์ตนนี้จึงไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป แล้วไหนจะท่าทางที่ได้กินอาหารที่ปรุงพิเศษนั่นอีก ทุกอย่างบ่งชี้ว่าฉันชนกไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาแบบที่ควรเป็น


และเมื่อได้รับเลือดด้วยวิธีการดั้งเดิมอย่างการกัดโดยตรงแบบนั้น จึงยากจะต้านทานสัญชาตญาณที่ไม่เคยถูกปลุกขึ้นมาไหวจนรับมันมากไป ร่างกายที่ยังไม่ชินจึงรับไม่ไหว แต่ต่อให้ชินแล้ว ปริมาณเดียวกันนั้นก็ยังถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ แม้แต่ไพร์มยังรู้สึกได้ถึง ‘ความเจือจาง’ ในร่างกาย แต่ก็บอกห้ามไม่ทันเสียแล้ว


เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องถึงเนื้อถึงตัวถึงเลือดมันเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แม้เป้าหมายที่ลากฉันชนกเข้ามา ก็ด้วยจุดประสงค์ทางการค้าที่อยากพัฒนาบางสิ่งบางอย่าง แต่ธรรมชาติระหว่างเผ่าพันธุ์ก็ทำให้เขาคาดหวังกับการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัวเช่นนี้เหมือนกัน


ทว่าแม้จะยื่นข้อเสนอที่วินวินต่อกันแค่ไหน คนที่ไม่เคยรับรู้ถึงธรรมชาติตรงนี้ก็จะไม่เข้าใจในเจตนา ฉันชนกเป็นแวมไพร์ที่มีลักษณะทางความคิดเหมือนมนุษย์จนเกินไป เขาอาจจะรับไม่ได้กับการแลกเปลี่ยน ‘แบบแวมไพร์ต่อมนุษย์สายพันธุ์ดั้งเดิม’ เช่นเมื่อวานที่เราทำต่อกัน


และเพราะเด็กคนนั้นมีความเป็นแวมไพร์น้อยขนาดนั้นไง…
เขาถึงรู้สึกผิด…ที่ทำลงไป แต่ยังไม่สามารถลดความสนใจลงได้เลย


ยิ่งหากเจ้าตัวพอจะจำได้ว่าทำอะไรกันลงไป คงยิ่งรู้สึกไม่ดีใหญ่ มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่นิยมสูบเลือดสูบเนื้อใครเสียด้วย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นโวยวายอะไรที่เขาจับไปจูบอย่างนั้น ต่อด้วยนั่งตักอย่างนี้ แถมยังเผลอมันเขี้ยวขยำบั้นท้ายไปเต็มกำมือ


หากเป็นเด็กคนที่เขารู้จัก เด็กคนนั้นย่อมโวยวายออกมาแล้ว แต่นี่ตื่นมาก็เห็นงอแงตามประสาคนป่วย จ้องคอที่ไม่เหลือรอยกัดก่อนจะถอนหายใจและยิ้มออกมา โดยปกติแวมไพร์ตอนได้ดูดเลือดนั้นจะเหมือนถูกครอบงำจนแยกอะไรไม่ค่อยออก ฉันเองก็คงไม่ต่างนัก อย่างมากก็แค่สงสัยว่านั่นฝันไปหรือเปล่า


“ครับพี่สน”  เขาหยุดคิดเรื่องของเด็กข้างห้องคนนั้นและรับสายจากคนที่โทรมาหา ถึงจะได้อ่านข้อความไปบ้างแต่ว่าภูวนัยไม่ได้ตอบอะไรไป หากไม่ได้คิดมากจนเกินไป คุณสนธยาผู้นี้ที่ซึ่งเคยเป็นคนรักของแวมไพร์ตัวน้อยของเขาคงจะโทรมาคุยเรื่องของแฟนเก่าเป็นแน่


“ไพร์มสะดวกไหม”


“คุยได้ครับ”


“ขอเข้าเรื่องเลยล่ะกัน เกี่ยวกับเรื่องของฉัน”  คิดไว้ไม่ผิดเลย  “ตอนนี้ไพร์มคบกับฉันอยู่เหรอ”


“อา…เปล่าหรอกครับ”


“แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีกับฉันใช่ไหม”


“…”


“ไพร์ม…ฉันเป็นเด็กดีมากๆ พี่ไม่อยากให้พาเขาเสีย มนุษย์เป็นอะไรที่เปราะบาง และไพร์มคงรู้แล้วว่าเขาถูกเลี้ยงมายังไง”


“อันนี้พี่สนเป็นห่วงในฐานะพี่ชายของเพื่อนหรือว่าอะไรกันครับ”


“…”


“ถึงแม้ทางผมกับฝั่งแวมไพร์จะมีข้อพิพาทกันมานานแต่ว่าคุณฉันไม่ได้เป็นแวมไพร์อย่างนั้นนี่ครับ”


“เอาเป็นว่าในบรรดาคนประเภทคุณ ไพร์มยังถือว่าไว้ใจได้อยู่ในความรู้สึกพี่”


“ครับ”


“แต่หวังว่าไพร์มจะไม่ล้ำเส้นนะ” หากเจ้าตัวรู้ว่าเข้าล้ำไปเส้นหนึ่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันหนอ เขาเหยียดยิ้มเมื่อคิดถึงตรงนี้


จริงๆก็ไม่ได้กลัวกับคำที่เหมือนจะข่มขู่กันของผู้ชายคนนี้สักนิด สนธยาคือคนที่เดินโฉบกันไปมาในสถานที่บางที่ มีความเกี่ยวข้องทางธุรกิจบางอย่างร่วม แต่ก็รู้จักกันแบบผิวเผินเต็มที ในประวัติของฉัน ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะตามตอแยผู้ชายคนนั้นมาก่อน แต่พอได้คบแล้วก็อยู่ด้วยกันได้ไม่นาน


“เหอะ”  ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ให้เดาว่าเป็นเพราะคนที่เพิ่งวางสายไปแน่ๆ สนธยาคาดหวังอะไรในตัวของฉันกัน ในวันนั้นที่ร้านของเขาก็เหมือนจะพยายามสนิทสนมกันอย่างออกนอกหน้า  แต่เพราะฉันนั้นพยายามตีตัวออกทางสายตา ภูวนัยก็เลยตัดสินใจจะเดินหน้าเพราะคิดว่าคนอย่างสนธยาคงไม่มีโอกาสได้กลับมาเข้าใกล้เหยื่อของเขาอีก


ภูวนัยไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่เขาแค่ขี้เกียจวุ่นวายกับคนที่ไม่ดีไม่ร้ายแบบสนธยา ทว่าเมื่อถลำลึกมาถึงตรงนี้ จะให้ถอยกลับก็ไม่ใช่อะไรที่นักธุรกิจจะยอม ในเมื่อสิ่งที่เขาทำไม่ได้ผิดต่อใคร แค่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ แต่นั่นมันก็หลังจากที่เขาได้โอกาสโน้มน้าวจิตใจของฉันชนกก่อน


อย่างไรก็ตามจะให้ใครอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขามีเด็กคนนั้นในกำมือ ดวงตาซึ่งเป็นสีหายากนั้นก็ชวนให้ครุ่นคิดถึงปริศนาในหลายๆข้อ  เขาเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติชาติพันธุ์แวมไพร์เสียด้วย หากความพยายามพัฒนาสินค้าบางประเภทของเขามันจะไปไกลกว่านั้นแล้วล่ะก็


บางทีก็ควรจะต้องสืบหาว่ากำลังดีลกับอะไรอยู่อย่างจริงจังเสียที





TALK
ท่องไว้ พี่ไพร์มเป็นพระเอก พี่ไพร์มเป็นพระเอก พี่ไพร์มเป็นพระเอก นะคะ
ถึงน้องฉันจะเห็นแก่กินและดูใช้ชีวิตวิ้งๆไปวันๆแต่น้องก็คิดเยอะอยู่นะคะ 
อย่างน้อยน้องก็คิดว่ายาไม่อร่อย ซึ่งคิดถูก เก่ง555
ชมเราหน่อย เรามาเร็วมากนะรอบนี้ ><
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri




















ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ที่แท้น้องฉันก็เป็นแวมไพร์นี่เอง แต่น้องน่ารักมากๆเลย

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
6
- - - - - -
ฉันมาง้อ
(-///-)
- - - - - -

คือเมื่อวานนี้ฉันทำตัวไม่ดี
วันนี้ก็เลยจะพยายามทำตัวเป็นคนใหม่!


เริ่มจากการตื่นเช้าอาบน้ำปะแป้งแต่งตัวเพราะเป็นวันทำงาน หยิบขวดน้ำผึ้งที่ป๊ะให้มาเมื่อวันหยุด ก่อนจะส่องกระจกทำหน้าขรึม หน้ายิ้ม และหน้านิ่งจนพอใจแล้วก็หยิบของเดินออกจากห้อง วันนี้ตื่นเช้ามากๆ คิดว่าคงไปถึงที่ทำงานเร็วมากด้วยเช่นกัน อย่างน้อยต้องมีสองชั่วโมงก่อนเข้างานล่ะ แต่ถึงจะเช้าแค่ไหน คุณไพร์มก็มักจะตื่นก่อนเสมอ


ฉันคิดเช่นนั้นจนกระทั่งประตูห้องที่ตัวเองเพิ่งโทรไปหาจะเปิดออกมา


“อะ…เอ่อ…คุณไพร์ม”


“ครับ…”  เขามาในสภาพที่ผมยุ่ง ชุดนอน ดูไม่พร้อมเหมือนทุกวัน แต่เชื่อเถอะว่าสภาพคุณไพร์มตอนนี้ยังดูดีกว่าฉันที่แต่งตัวพร้อมเหมือนจะไปงานเลี้ยงน้ำชา


“ผมขอโทษ นึกว่าคุณไพร์มจะตื่นแล้ว”  ก็ปกติเขาบอกว่าตื่นเวลานี้นี่


“อา…เมื่อวานผมทำงานดึกไปหน่อย”


“งั้นผมไม่รบกวนดีกว่า นี่ของฝากครับ”


“ของฝาก…เนื่องในวันอะไรครับ?”


“อา…ก็มากินฟรีตั้งหลายมื้อก็เลยถือของที่บ้านมาให้ อันนี้เป็นน้ำผึ้งป่านะครับ อร่อยมากๆเลย”  ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ตัวเองก็ไม่ได้มารู้รสอะไรไหม…


แต่จะพูดยังไงดีล่ะ หลังจากที่ป่วย ประสาทสัมผัสทางการรับรสก็เหมือนจะดีขึ้น แต่เรื่องนี้ฉันยังไม่ว่างไปปรึกษาแพทย์เลย มันออกจะแปลกสักหน่อย แต่หากว่าต่อไปจะต้องแลกด้วยการเป็นไข้และกินยาขม เรื่องที่กินข้าวอร่อยก็ไม่รู้จะคุ้มไหมเหมือนกัน ภูวนัยรับขวดน้ำผึ้งมาไว้ในมือ เขาดูจะโหลดช้านิดหน่อยระหว่างจ้องมอง ก่อนจะเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้น


“อา…ผมไม่”


“เข้ามาสิครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว”  อะนะ…ไหนๆก็ไหนๆ


ยังไงก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันระวังภัยไว้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!


และคนใจง่ายของปีนี้ก็เข้ามาอยู่ในห้องคนที่ตนเองก็ยอมรับว่าหวั่นไหวอยู่ ภูวนัยเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนฉันที่รู้ว่าไม่ควรรบกวนก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ว่าแต่ต้องใจดีขนาดนี้เลยเหรอ รอไม่นานคนที่อยู่ในห้วงความคิดก็เดินมาหา


“แพนเค้กนะครับ ทำแป็ปเดียว กินกับน้ำผึ้งได้ด้วย”


“รบกวนคุณไพร์มแย่ ต้มมาม่าให้ก็พอนะครับ”


“มาถึงห้องเจ้าของร้านอาหารมาบอกว่าจะกินมาม่า เดี๋ยวตีตายเลย”  แค่นี้ก็เขินจะตายอยู่แล้วไม่ต้องตีให้เปลืองแรงหรอก


แค่ทำหน้าหล่อใส่ ก็จะลงไปชักดิ้นชักงออยู่แล้ว…


ทว่าเขาก็ไม่ได้ให้กินแค่แป้งกับน้ำผึ้งแบบที่เกริ่นไว้ ไส้กรอกแบบโฮมเมดที่แอบไปทำไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ก็ถูกย่าง ไข่ดาวก็ถูกทอด รวมถึงสลัดเล็กๆน้อยๆซึ่งดูโดยรวมแล้วไม่ได้หนักจนเกินไป ฉันชนกมองมันตาไม่กระพริบ ถ้าเป็นฉันถูกปลุกขึ้นมา คงเอาแต่เมาขี้ตาจนครีเอทอะไรพวกนี้ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีไม่ได้แน่


“ทานสิครับอร่อยนะ”  เพราะเห็นบางคนเอาแต่มองคนทำเลยเร่งเร้า ฉันชนกเลยยื่นส้อมไปจิ้มไส้กรอกน่ากินนั่นเป็นอย่างแรก ส่วนคนทำก็ยังเดินไปรินน้ำผลไม้ให้ ดูแลดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


“ถ้าคุณฉันมาทานมื้อเช้าด้วยทุกวันจะซื้อนมมาติดตู้เย็นให้”


“ฉันไม่กิน” แย้งออกมาทั้งๆที่ยังเคี้ยวอยู่ ก็มันหยุดไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมไง


“ต้องกินครับ เดี๋ยวไม่โต”


“มันไม่โตไปกว่านี้แล้ว”


“เพราะคิดงี้เมื่อสิบปีก่อนมันถึงไม่โตแล้วไงครับ ต้องกินนะ อย่างน้อยแคลเซียมก็ดีกับกระดูก”


“ไม่ต้องหรอกคุณไพร์ม แค่นี้ก็ใช้หนี้ไม่ทันแล้ว” ที่ผ่านมาหลายสัปดาห์นั้น ฉันมักจะกวนเขามื้อเย็นและวันหยุด ถ้ามาทานมื้อเช้าอีก ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหนเพราะความเป็นภาระนี่



“ขายตู้เย็นที่ห้องแล้วเอาเงินมาให้ผมสิครับ ไหนๆก็แทบไม่ได้แช่อะไรอยู่แล้ว”  อันนั้นก็จริง ว่าแต่ไม่ได้ประชดกันอยู่ใช่ไหม  “ผมไม่ได้ว่านะ อยากให้มาเคลียร์ตู้เย็นนี้ให้เลยยุให้ขายของห้องคุณฉันไปต่างหาก”  จุดประสงค์ก็ชั่วไม่ได้ต่าง คนแบบไหนกันนะที่ทำให้ฉันชนกแอบหวั่นไหว หรือเพราะวันนี้นอนน้อยไปเลยดูร้ายกว่าทุกวัน


“ผมเอาไว้แช่น้ำอะ ชอบกินเย็นๆ” สุดท้ายก็ไม่ขาย ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ฉันคิดแบบนี้


“ถ้างั้นก็อย่าซื้ออะไรมาเก็บไว้เยอะ มาช่วยผมเคลียร์ตู้หน่อยนะครับ”  แต่ตู้เย็นของเขาของเยอะจริงอันนี้ไม่เถียงเลย และมีแต่ของที่ฉันชอบกินทั้งนั้น จนอยากเสนอแลกเปลี่ยนตู้เย็นกันมากกว่า แต่มาคิดดีๆแล้ว มีครัวเขาทั้งครัวก็ทำได้แค่มาม่าอยู่ดี


ได้เวลาต้องเดินทางจริงๆ หากช้ากว่านี้คาดว่าจากที่จะได้ไปถึงคนแรกของออฟฟิศ คงได้เป็นคนสุดท้ายแบบที่เลยเวลางานไปแล้วของออฟฟิศจริงๆ เพราะไม่ได้ล้างจานให้ กล่าวขอโทษขอโพยจนเจ้าของห้องรำคาญและก็ออกมา สภาพของภูวนัยที่เห็นวันนี้ไม่ค่อยดีเหมือนทุกวันนัก แต่รู้สึกชนะอยู่ไม่น้อย


ในส่วนของคนที่เพิ่งตื่นแต่มีกิจกรรมให้ทำแต่เช้านั้น เมื่อบางคนได้จากไปก็กลับมาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ทำให้นอนดึก หนังสือเล่มนั้นยังวางอยู่บนหัวเตียงในห้องนอน อ่านเพลินเสียจนเลยเวลานอนมามากแต่โชคดีที่วันนี้ไม่ได้กะจะไปไหนอยู่แล้ว ก็คงอ่านให้จบเผื่อว่าจะมีข้อมูลอะไรมากขึ้น


เกี่ยวกับแวมไพร์ตาสีม่วง…


มันมีบันทึกเอาไว้อยู่ ดังนั้นฉันชนกไม่ได้ถือเป็นสายพันธุ์ใหม่อย่างที่ตั้งสมมติฐานไว้ แต่เท่าที่เขาพบเจอหรือติดตามข่าวสารในระยะหลัง ดวงตาสีม่วงแบบนั้นไม่ใช่ที่หาพบได้ทั่วไปแน่ๆ และแวมไพร์ก็เป็นสายพันธุ์รักสงบจนเข้าขั้นปิดกั้นตัวเองในระดับหนึ่ง จะหาข้อมูลอะไรก็คงจะยากหน่อย กับคู่ค้าแม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ก็ต้องระวังคลื่นใต้น้ำ


ทว่าเพราะความแปลกใหม่ของสายพันธุ์นี้กับต้นตระกูลที่สืบทอดกันมายิ่งทำให้ฉันชนกดูเปราะบางแต่ก็น่าสนใจ เช่นนี้แล้วจะให้ปล่อยไปง่ายๆก็คงไม่ได้ ไพร์มคิดเช่นนั้นโดยไม่ได้สนใจเสียงยุบยิบอื่นใด ที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจต่อเรื่องต่างๆภายหลัง


- - - - - -
ฉันไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นเสียหน่อย…
(._.)
- - - - - -


ฉันเริ่ม…กินไม่รู้รสอีกแล้ว หรือเพราะสุขภาพดีมากๆเลยกินอาหารอย่างอื่นที่ไม่ได้ปรุงโดยเขาไม่รู้รสอีก แต่รู้รสบ้างไม่รู้บ้างแบบนี้ก็ดีกว่าไม่รู้รสเลย


“คุณฉันหยิบคะน้าด้วยครับ”


“ไม่กินได้ไหม”


“ผมกินครับ หยิบมานะ”  วันนี้เรามาที่ซุปเปอร์เพื่อซื้อของไปทำอาหารกินที่บ้านอีกแล้ว ที่บอกว่ากินรู้รสบ้างไม่รู้บ้าง ส่วนมากที่รู้ก็ตอนกินกับเขานั่นแหละ มือเล็กเอื้อมไปหยิบคะน้ามาใส่รถเข็นไว้ แม้จะแอบหวั่นๆลึกๆว่าคะน้าเยอะแบบนี้เขาได้ตักมาให้กินแน่ๆ แต่ตนก็จะทำหน้ามึนต่อไป


“ราดหน้าต้องใส่อะไรอีกบ้างอ่ะ”


“ข้าวโพดอ่อนก็ได้ครับ ฉันชอบใช่ไหม”  หลังจากที่อยากกิน แหยงที่จะกิน จนกลายเป็นกินได้และชอบมาก ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในสายตาของภูวนัยแล้วทั้งสิ้น เกี่ยวกับรสนิยมทางการกินที่เป็นความชอบของตนนี้ จะมีเขาเพียงคนเดียวที่รู้


และมันก็เหมือนจะทำให้รู้สึกว่าข้างในค่อยๆพองฟูขึ้นมา



“ซื้อครบแล้วเราไปจ่ายเงินกันครับ”  วันนี้ฉันชนกยืนยันขั้นเด็ดขาดว่าทุกอย่างที่อยู่ในรถเข็นตนต้องเป็นคนได้จ่าย แม้ว่าภูวนัยจะอ้างว่า น้ำส้มนี่ของเขา ทิชชู่นี่ของเขา น้ำยาล้างจานก็ของเขา แต่ปฏิเสธได้ไหมล่ะว่าฉันก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใช้งาน และเพราะจ้องหน้าหาเรื่องอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเลยอนุญาตให้ฉันได้ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ


“งั้นที่ซื้อกันรอบนี้ก็มาช่วยใช้ให้หมดด้วยนะครับ”  หากปกติมันก็ดูเหมือนคำประชดประชัน ทว่าใบหน้าที่ติดรอยยิ้ม และโทนเสียงที่ใช้ เราไม่อาจจะตีความได้ว่าเขาประชดกันได้หรอก แต่เขาพูดเพื่ออะไรนั้น ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน เอาเป็นว่าผลลัพท์คือเขิน เขินจนอยากจะเอาหัวโขกที่รูดบัตรเครดิตตายไปเลย


เราเดินเอาของมาเก็บที่รถ ราดหน้าที่ฉันอยากทานนักหนาคงเป็นมื้อเย็นในวันนี้ เพราะว่ากำลังจะหยุดยาว แต่ว่าป๊ะกับพ่อไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอยู่ทำให้ปิดปีใหม่รอบนี้ไม่มีที่ให้ไป ฉันไม่ได้ถามว่าคุณไพร์มเขาจะไปไหนไหม เพราะ ไม่ได้กะจะขอติดสอยห้อยตามไป แต่จะขอให้ช่วยทำอาหารหม้อใหญ่ๆ จะได้เก็บไว้กินนานๆ


“ฮึ่บ” หลังจากยกทุกอย่างใส่ท้ายรถ เราก็เตรียมจะเดินมานั่งด้านในเพื่อขับกลับบ้าน ทว่าความรู้สึกบางอย่างก็แล่นขึ้นมาจุกอก กดดันกันให้หันไปมองว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น


“คุณฉัน”  ภูวนัยที่เดินตามมานั้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังมองอะไรอยู่ก็มองตาม และเมื่อเห็นเขาก็รีบคว้ากันไว้ แม้ไม่อาจจะทราบได้ว่าสถานการณ์ที่พบเจออยู่นั้นอันตรายหรือไม่ แต่แวมไพร์กับสายพันธุ์ตรงหน้าก็ไม่ใช่ว่าญาติดีกันอยู่แล้ว


“คะ…คุณไพร์ม”  ฉันนั้นหันมามองหน้า ความเป็นไปได้ที่มีอยู่นี้ ทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่าจะหลุดพ้นจากกรงเล็บหรือคมเขี้ยวของมันไหว กับไพร์มน่ะไม่มีทางแน่ๆ แต่กับฉันนั้นมันมีโอกาส แค่ว่าโอกาสตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าฉันจะรู้หรือใช้มันได้ไหม


กรรรรรรรรรรรร!!!


“ฮื้อ!!!!!!”  ร่างสูงของเขาก้าวเข้ามาบดบังกันไว้ข้างหน้า ฉันชนกหลับตาปี๋ด้วยหวาดกลัวกับภาพที่เห็น ในเมืองแบบนี้ไม่น่าจะมี ‘หมาป่า’ อยู่ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่ระวังตัว


“ไปที่รถ!”  เขาสั่ง แต่ฉันได้แต่ส่ายหน้า ใจหนึ่งก็คิดว่าทิ้งเขาไว้ไม่ได้ อีกใจหนึ่งนั้นก็เพราะขาของตนยังขยับได้อยู่ไหม ทว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นตนก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ได้ยินเสียงคำรามและเสียงสบถวนไปจนรับรู้ได้ว่าภูวนัยนั้นเหวี่ยงหมาป่าตัวนั้นไปติดเสาต้นใหญ่อีกด้านหนึ่ง “ขึ้นรถ!”  เขาสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงก้องกังวานพร้อมกับฉุดลากให้ไปนั่งในรถ


ตึกตัก ตึกตัก…ตั้งแต่เกิดมา หัวใจของฉันไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้ มันเหมือนจะฉีกขาดจากภายใน และสิ่งที่ตนไม่เคยรับรู้ว่ามีอยู่ก็ดิ้นรนที่จะปลดปล่อยตัวเองออกมา


“ฮึก…” 


“ไม่ใช่ตอนนี้นะฉัน ผมขับรถอยู่”  เขาเร่งความเร็วจนฉันนึกกลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือกลิ่นคาวเลือดที่แขนซึ่งตนไม่กล้าหันไปมองว่ามันมีสภาพเช่นไร เพราะแค่ได้กลิ่นหัวใจยังกระตุกขนาดนี้ แล้วถ้ามองไปล่ะฉันจะรู้สึกเช่นไร หากเป็นในความคิดก็คงต้องหวั่นใจและหวาดกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรแน่ๆ ทว่าตอนนี้สิ่งที่ตนสะกดไว้มันกำลังผลักดันตัวเองออกมา


พร้อมกับการบอกรับเสียงดังว่ามันต้องการทุกหยาดหยดนั้นเป็นของตัวเอง…


“คุณ…ไพร์ม”


“ทนก่อนนะคนดี”  เขาเอ่ยบอก รับรู้ได้ถึงกลิ่นที่รุนแรงซึ่งออกมาจากตัวคนข้างๆชัดเจน เลือดของเขามันทำปฏิกิริยาไปกับสัญชาตญาณดิบในตัวของฉัน หากเป็นไปได้เขาอยากหยุดรถไว้และให้เด็กคนนั้นได้ชิมมันทั้งหมดในตอนนี้เลยเพราะนี่ก็เป็นความต้องการของเขาเช่นกัน


“ฉัน…ไม่ไหว ฮึก”


“งั้นเจ็บหน่อยนะครับ”  เขาพูดเช่นนั้นและฉันชนกที่สั่นสะท้านทั้งตัวก็ไม่ได้คิดตามว่าเขาจะทำอะไร ทว่าก็ยังพอมีสติรับรู้ว่าเขาเอื้อมหยิบบางอย่างที่ช่องเก็บของตรงประตูรถฝั่งตัวเอง ใช้ปากกัดปอกและดึงมันออกมาก่อนจะปักมันลงบนต้นแขนของฉัน ก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นเข้าสู่ผิวกายจนกระทั่ง….ฉันไม่รู้สึกอะไรอีกเลย


ทั้งความเป็นอยู่และความเป็นไป


ไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่คงเพียงพอกับการพักผ่อน ดวงตากลมโตที่มองอย่างเลื่อนลอยนั้นไม่ได้กระตือรือร้นที่จะค้นหาตัวตนหรือตัวใคร ผลข้างเคียงของยาที่ถูกฉีดเข้ามาผ่านผิวหนังนั้นยังทำให้ฉันเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองมาจนถึงตอนนี้ และเมื่อนึกได้ว่าตนเลื่อนลอยนานเกินไปแล้ว ฉันจึงค่อยๆพยายามคิดหาคำตอบ โดยเริ่มจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราว


ที่นี่ที่ไหน?  เมื่อคิดได้ว่ามันเกิดเรื่องราวน่าตื่นเต้นอย่างไรก่อนหมดสติไป ฉันชนกก็เริ่มหวาดกลัวต่อสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี่ แม้จะยังนอนนิ่งๆแต่สายตาก็เมียงมองไปรอบด้าน จนมั่นใจว่าตนไม่ได้ถูกพันธนาการแต่อย่างใด จึงค่อยๆลุกขึ้นและมองหาว่ามีอะไรอันตรายรออยู่หรือไม่


“คุณไพร์ม…” บุคคลสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนจะหลับลงไป เขาอยู่ไหน? เกิดอะไรกับเขาหรือไม่? ทุกอย่างที่เป็นคำถามที่ค้างคาใจล้วนเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกผิดทั้งๆที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ แค่ที่ปลอดภัยโดยไม่รู้ชะตากรรมของอีกฝ่าย ก็เพียงพอให้รู้สึกไม่ดีแล้ว


“ตื่นแล้วเหรอครับ”  เสียงที่คุ้นเคยนั้นดังขึ้นจากทางประตู ฉันชนกรีบหันไปหา ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเขานั้นปลอดภัย แต่ผ้าพันแผลที่พันไว้ที่ต้นแขน ก็ทำให้รอยยิ้มหายไปแทบจะในทันที


“แผล…”  เป็นไปได้ว่าตอนที่เขาเอาตัวเข้าบัง ภูวนัยอาจจะใช้แขนกันไม่ให้หมาป่าตัวนั้นพุ่งเข้ามากัดกันได้ และภาพที่เขาเหวี่ยงหมาป่าตนนั้นจนกระเด็นออกไปก็ยังคงสร้างความประหลาดใจ


“เป็นแผลนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงนะครับ”  พันซะทั้งแขนแบบนั้นใครจะเชื่อกันว่านิดหน่อย แถมเขายังขับรถพามาที่นี่ โดยที่ตนหลับไปอีก อย่างนี้จะไม่ให้รู้สึกอะไรได้อย่างไร


“ผมนอนไปกี่ชั่วโมงแล้ว”


“ประมาณสี่ชั่วโมงครับ ตื่นเร็วกว่าที่ผมคิดไว้อีก”  ยาที่เขาให้ไปน่าจะสะกดให้หลับได้ราวๆวันหนึ่งด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเชื้อสายที่ต้านทานได้มากกว่า ก็ย่อมเป็นเพราะความกังวล


“งั้นคุณไพร์มก็ยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลใช่ไหม งั้นไปกับฉันนะ!”  เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเช่นนี้เขาอาจจะยังไม่ได้ไปหาหมอ ฉันชนกที่ทั้งรู้สึกผิดและเป็นห่วงเขากว่าใครก็ลุกขึ้น ทว่าไม่รู้เพราะอะไรถึงปวดหัวจึงล้มลงไปนอนอีกครั้ง


“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปหาหมอหรอก”


“ต้องไป เดี๋ยวติดเชื้อ”


“ไม่หรอกครับ พักผ่อนเถอะนะ”  เขากำลังจะหยิบผ้าห่มมาห่มให้


“ฉันไม่นอน จะพาคุณไพร์มไปโรงพยาบาล”


“….”


“ไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ”  ทั้งแววตาที่มองมา ทั้งท่าทางที่แสดงออก มันทำให้ภูวนัยที่คิดว่าตนเองจะทิ้งเรื่องไว้นานกว่านี้ต้องมานั่งคิดใหม่ หรือบางทีเขาควรจะเริ่มอธิบายอะไรให้อีกคนรู้ แต่ถ้าอีกฝ่ายกังขากับผลประโยชน์ที่เขาแอบแฝงมาล่ะ ในช่วงที่เปราะบางแบบนี้ มันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ


“ฉันครับ ฟังผมนะ”  แต่ถ้าไม่พูด ฉันชนกก็น่าสงสารเกินไป สิ่งที่พบเจอวันนี้มันอันตรายมากๆ และเจ้าตัวควรได้รู้เพื่อระวังต่อไป โลกที่สงบสุขนั้นไม่มีอยู่จริง เบื้องหลังของมันคาวเลือดอยู่เสมอ  “ผมไม่ต้องไปหาหมอ หรือไปโรงพยาบาลที่ไหน เพราะไม่มีใครทำแผลให้ผมได้” 


“ทะ…ทำไม”


“ผมไม่ใช่คนทั่วไป หรือแม้แต่คนที่เป็นแบบฉันก็ไม่ใช่”  เขายกมือของฉันขึ้นมาและใช้นิ้วโป้งวนบนหลังมือให้เบาๆคล้ายจะทำให้ผ่อนคลาย


“หมายความว่ายังไงครับ”


“ถ้าผมอธิบายไปด้วยคำพูด ฉันคงไม่ยอมเชื่อแน่เลย”  และเขาก็ปล่อยให้ฉันได้สัมผัสกับแผลที่มีเลือดซึมออกมา และดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏแววที่เขาต้องการ ไพร์มรู้จักร่างกายของฉันดีกว่าฉันอีก


“ฉัน…กลัว” แต่บอกไม่ได้ว่ากลัวอะไร ราวกับว่าอะไรบางอย่างภายในได้ถูกกระตุ้นจนมันอยากจะออกมาอีกครั้ง ร่างกายเริ่มจะหนาวสั่นจนอยากเรียกร้องให้ตัวเองหลับใหล


“อย่ากลัวมันครับ”  เขาปลอบก่อนจะจับมือที่สัมผัสกับแผลของเขา “ปล่อยมันออกมาและก็ควบคุมมันดีๆครับ”  เขาบอกเช่นนั้น ปล่อยให้ฉันชนกได้หายใจเข้าออกเพื่อปรับสภาพสิ่งแปลกปลอมเพื่อให้มันหลอมรวมกับตัวตนไปทั่วร่าง จนเมื่อดวงตากลมโตช้อนมองกันอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นสีม่วงที่ดูสุกสกาวที่สุด “ผมอยากให้ฉันได้เป็นตัวเองที่สุด” สิ้นคำนั้นทุกๆอย่างก็เหมือนจะหยุดลง


ก่อนที่เขาจะค่อยๆรู้สึกถึงคมเขี้ยวที่ฝังกับลำคอ ค่อยๆกดลงไปเน้นๆย้ำๆแต่ให้ความรู้สึกนิ่มนวลไม่ได้ชวนอึดอัดแต่อย่างใด ฝ่ามือของเขาค่อยๆทาบลงกับเอวบาง ส่วนมืออีกข้างก็กดหลังคอให้ถลำลึกเข้ามาได้อีก สิ่งที่หมุนวนอยู่ในตัวของทั้งคู่กำลังพาให้ร่างกายผ่อนคลายและสุขสม โดยไม่รู้ตัว แผลที่แขนของเขาก็ค่อยๆแห้งจนกระทั่งผิวเนื้อกลับมาสมานอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นตรงนี้เลย


“พอก่อนครับฉัน มากไปเดี๋ยวจะไม่ดีนะ”  เขาบอกพลางขยับตัวให้อีกฝ่ายถอยออกมา และเด็กดีก็ยอมถอยออกอย่างที่กล่าวเตือน ในยามนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการมีสติรับรู้ และมันทำให้กระดากจนทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้รู้สึกดีอย่างไม่อาจจะหาอะไรเปรียบเทียบได้  “รู้สึกไม่ดีบ้างไหมครับ”  เขาถาม แต่ฉันชนกเพียงส่ายหน้า ในใจยังติดค้างเรื่องราวหลายอย่าง นี่ฉันเพิ่งกินเลือดไปเหรอ กินแบบสดๆเลยนะ แถมกัดจากคอคนอื่นด้วย!


“คุณไพร์มเจ็บไหม”  เมื่อระลึกได้ว่าขั้นตอนที่ผ่านมาเป็นเช่นไร ความสับสนและความกระดากอายก็ถูกหยุดไว้และหันมาสนใจคนที่บาดเจ็บอยู่ น่าแปลกว่าพอเงยหน้าขึ้นมาจะมองแผลที่ต้นคอของเขา ทว่ามันกลับไม่มีอยู่แล้ว


แต่เมื่อกี้ฉันกัดจนจมเขี้ยวเลยนี่


“ตรงนี้ก็หายแล้วเหมือนกัน”  ที่แขนของเขา เมื่อสักครู่มันรู้สึกยุบยิบแปลกๆแต่ไม่ถึงกลับทนไม่ได้ เขาให้ความสนใจกับความรู้สึกของคนที่ดูดเลือดกันมากกว่าจึงไม่ได้สนใจสภาพของตนเองเท่าไหร่จนกระทั่งตอนนี้ น่าประหลาดใจไม่น้อย แม้ว่าภูวนัยจะคุ้นเคยกับการรักษาตัวเองได้ แต่ไม่เคยเร็วถึงขั้นนี้มาก่อนเลย


“เป็นไปได้ไง”


“ผมเองก็งงเหมือนกัน”  เขาพึมพำออกมา ก่อนจะหันไปมองคนที่งงยิ่งกว่า “คุณฉันไม่เป็นไรนะครับ”


“ฉัน…”


“คุณฉันกลัวผมไหม”  ฉันส่ายหน้า


“คุณไพร์ม ฉันกินเลือดคุณไพร์ม”


“ส่วนผมก็อยากให้คุณฉันกินด้วย”


“แต่คุณไพร์มเจ็บ…”


“ผมไม่เจ็บหรอกครับ”   เขาปฏิเสธเสียงนุ่ม “ร่างกายของผมถูกสร้างมาให้ถูกกินเลือดอยู่แล้ว”


เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดใจกับฉันชนกในสิ่งที่เขาเป็น ภูวนัยย้ำว่าตนเป็นมนุษย์หากแต่เป็นมนุษย์สายพันธุ์หนึ่งที่มีความใกล้เคียงกับอมนุษย์ในความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป ทว่าพันธุกรรมบ่งชี้ว่าร่างกายของเขามีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าสายพันธุ์ไหนๆ เขาจึงจำกัดความพวกพ้องของตนไว้ว่าเป็นแค่มนุษย์ แต่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ซึ่งไม่ได้มีวิวัฒนาการตามแบบมนุษย์ปัจจุบันสักเท่าไหร่


ในอดีตที่โลกมีความหลากหลายกว่านี้ เขาถือเป็นหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดมาได้แต่ว่าก็ไม่ได้เหลือมากมาย เมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไปที่วิวัฒน์ตนเองจนอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ พวกของไพร์มเหมือนพวกโง่งมงายที่ยังไม่หยุดการฆ่าแกง แต่เพราะความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ในอนาคต หากไม่ขัดแย้ง ก็หาทางลงที่เหมาะสมไม่ได้ กว่าจะจบลง ชีวิตมากมายก็ถูกสังเวย


มนุษย์เช่นพวกเขานั้นเกิดมาด้วยมันสมองที่ปราดเปรื่องและร่างกายที่แข็งแรง หากแต่ว่าไม่มีอะไรจีรัง การไหลเวียนของเลือด หรือลักษณะของเลือดในร่างกายของเขานั้นมันเข้มข้นกว่ามนุษย์ทั่วไป หากไม่ได้รับการถ่ายเทออกจะทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงและตายอย่างง่ายดาย


ทว่าพระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไป ได้ให้กำเนิดสายพันธุ์หนึ่งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่แวมไพร์ในความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไปนั้นต่างจากความเป็นจริงเล็กน้อย แวมไพร์กล่าวว่าตนไม่ได้ทานเลือดเป็นอาหารหลัก แต่ทานเลือดเพื่อให้อรรถรสในการทานอาหารหลักได้ดีขึ้น


นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว แวมไพร์ที่ดูจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ก็มีจุดอ่อน เพราะโลกคือสถานที่ที่ซึ่งไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตจึงทำให้พวกเขาอ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อทว่าเลือดของมนุษย์ก็ช่วยเสริมภูมิบางอย่างที่ทำให้เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอเมื่อยามต้องแสงแดดมีภูมิขึ้นมาเทียบทัน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป


หากแวมไพร์ต้องการเลือดมนุษย์เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ต้องการให้แวมไพร์กัดกินเลือดของตนเพื่อหลีกหนีจากความตายอันแสนทรมานและช่วยเสริมสร้างภูมิในการรักษาภายใน เมื่อสองเผ่าพันธุ์มีผลประโยชน์ร่วมกันร่วมมือกันก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อธุรกิจตกลงไม่ตรงใจก็นำมาสู่ความขัดแย้ง


เพราะเรื่องมันซับซ้อน แม้จะพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าเพราะความที่มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่เกินไป ฉันจึงดูไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเชื่อว่าอีกคนกำลังทำความเข้าใจกันอยู่ ในความเงียบอันแสนอึดอัดนั้น คนที่เพิ่งรับรู้ก็นึกอยากอาเจียนแต่เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องจึงได้แต่นั่งทำหน้าว่างเปล่า


“ผมเป็นแวมไพร์” ก่อนจะเอ่ยประโยคนี้ซ้ำๆอย่างน่าสงสาร


“ครับ”


“ผมกินเลือดคนเป็นอาหาร”


“ตอนนี้ฉันกินข้าวเป็นอาหารครับ แต่กินเลือดเพื่อช่วยชูรสอาหาร”


“แต่ก็กินเลือดไหมเล่า!”  นี่มันเรื่องใหญ่มากๆนะ ช่วยให้เกียรติฉันที่ร้อยวันพันปีได้เครียดกับคนอื่นเขาบ้าง!


“กินครับ”  ไพร์มยิ้ม ถ้าโวยวายแบบนี้ ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่แล้ว  “ฉันกินไพร์มไปแล้ว” เขาจึงปล่อยหมัดแห่งความจริงเข้าไปตอกย้ำ เอาล่ะตอนนี้น่าห่วงแล้วแหละ


ฉันว่าฉันจะเพนโลมมมมมมมม


Talk:
หลังจากที่แต่งเรื่องนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่าถึงพี่ไพร์มจะดูร้าย แต่พี่เขาใจดีสมเป็นพระเอกฟีลกู้ดนะคะ
ช่วงนี้มาบ่อยหน่อยเน้อ
#คู่กินคู่กัด @reallyuri

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
มาบ่อยๆ เลยค่ะ วันละสองรอบก็ได้ค่ะ 5555

เอ็นดูฉันไม่เลิกเลยค่ะ โตมาแบบนี้ จะให้เปลี่ยนเลย
ก็ทำใจยากนะ แถมยังมาอยู่ในกลุ่มที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
ที่ไม่รู้รสเพราะยังไม่ถูกกระตุ้นด้วยเลือดหรอ
พอได้ลิ้มรสแล้ว อะไรก็อร่อยเนาะ แล้วที่ไม่รู้รสเป็นบางที
หรือเพราะติดรสมือคนทำกันแน่นะฉัน

ไพรม์เป็นมนุษย์พิเศษ คือต้องพิเศษมาก
ถึงขั้นรู้ว่าฉันเป็นใคร จะได้ประโยชน์อะไร
แต่ดูไพรม์ก็มีอาการของคนที่จะรัก ห่วงใย บ้างนะ

ชอบความคิดเป็นตุเป็นตะของฉัน บ้าบอในความคิดตัวเอง
ไม่ได้สายมโนนะ แต่สายคิดเองเขินเอง ทั้งที่บางทียังไม่มีอะไร




ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
7
- - - - - -
ฉันไม่กินแล้ว!!!
(+///+)
- - - - - -


ไม่ได้กินสักหน่อย เพ้อเจ้อ!!!


“คิดลึกเนอะคนเรา กินอะไรเนี่ย!”  จะกัดให้จมแขนเลยคนอะไรทะเล้นจริงๆ


ทว่าเรื่องเศร้าที่เพิ่งได้ฟังก็ยังตอกย้ำกันอยู่ ฉันเป็นแวมไพร์ เป็นแวมไพร์มาตลอดชีวิตแต่เพิ่งมารู้ตอนจะ 25 แล้ว มีใครให้เบญจเพสแรงกว่านี้อีกไหม


“คุณฉัน ออกมาจากผ้าห่มนะครับ”  หลังจากพยายามที่จะกัดแขนเขาและพบว่าตนเองงอกเขี้ยวได้จริง คนจิตตกก็เอาตัวเองไปซ่อนในผ้านวมผืนใหญ่


“ฮื้อออออ”


“มันไม่แย่หรอกครับ คุณฉันไมได้ไปฆ่าใครสักหน่อย”


“ทำไมฉันไม่ชอบกินเลือดหมูแต่ชอบกินเลือดคน”


“แวมไพร์ไม่กินต้มเลือดหมูเพราะชอบครับ แต่เขาชอบกินเลือดผมกัน คุณฉันออกมานะ”  เขาพยายามดึงผ้าห่ม แต่เหมือนจะเล่นด้วยมากกว่า


“ฉันจะกินต้มเลือดหมู”  เผื่อว่าจะชอบมากกว่าเลือดคน


“ไว้พรุ่งนี้เนอะ วันนี้กินราดหน้าก่อน ซื้อของมาแล้ว”


“ฮือออ ฉันไม่กินคะน้า” 


“หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว ไม่แข็งมากด้วย อร่อยนะต้องลอง”  นี่ก็ล่อลวงเก่ง   “ไปครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”


“แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ!” แล้วความเห็นแก่กินก็ชนะทุกอย่างแม้แต่ความเป็นความตาย ไพร์มที่กลั้นขำนั้นยิ่งทำให้ฉันหน้าบึ้งเข้าไปอีก แต่คนที่มั่นคงต่อมื้อเย็นวันนี้ก็ทำไม่สนใจเดินเชิดหน้าออกจากห้องไป ทั้งๆที่มาอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้รู้


“ห้องครัวอยู่ชั้นล่างครับ” เขาดึงเสื้อของคนที่มุ่งจะเดินไปทางขวาให้ย้อนมาทางด้านซ้าย ก็เสียหน้านิดหน่อย แต่หิวมากกว่า 


เส้นที่ถูกผัดเตรียมไว้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองชามรอเวลาให้ราดน้ำจากในหม้อลงไป ฉันชนกที่เหมือนจะรู้หน้าที่นั้นหยิบพวงเครื่องปรุงอันเล็กที่วางอยู่ตรงข้างๆชามราดหน้าไปวางบนโต๊ะทานข้าว  พอดีกับที่ไพร์มยกชามราดหน้ามาเสิร์ฟให้


“ฉันอยากลองปรุงราดหน้ามานานแล้ว!!”  เจ้าตัวถูมือไปมา หากเป็นพ่อครัวคนอื่นคงมีเคืองแล้วที่ตั้งใจแทบตาย สุดท้ายคนกินก็ปรุงทับ แต่ไม่ใช่กับเขาที่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรมาตลอด หากว่าเรื่องวันนี้มันหนักไป ความสุขเล็กๆเช่นการได้ลองใส่นั่นจับนี่ก็คุ้มหากจะช่วยคลายปัญหาในใจได้บ้าง


“แล้วที่ฉันเป็นแวมไพร์…มันเกี่ยวข้องกับการที่กินอะไรก็ไม่รู้รสหรือเปล่า” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดออกมาให้คนอื่นฟัง แม้แต่สารินก็ไม่เคยรู้ เพราะเมื่อครู่ได้ยินว่าแวมไพร์กินเลือดเพื่ออรรถรสทางการกินอาหารหลัก ก็เลยไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม ทว่าลึกๆก็ยังมีความหวังว่าตนจะยังไม่ใช่แวมไพร์อยู่ เมื่อกี้ที่ดูดเลือดเขาไปเพราะตื่นมาหิวจนหน้ามืดเท่านั้นเอง…


“ครับ เพราะจริงๆอาหารหลักของแวมไพร์ก็คือเลือดนั่นแหละ แต่แค่ไม่ยอมรับเพราะการกินเลือดมันดูป่าเถื่อน”  เอ๊ะ! อย่างงี้ก็ได้เหรอ แวมไพร์นี่ดูจะแมวเข้าไปทุกทีแล้วนะ แยกเขี้ยวฟ่อๆแต่ว่านิสัยมุ้งมิ้งสิ้นดี


“เพราะเลือดเป็นอาหารหลักเลยกินอาหารอย่างอื่นไม่รู้รสเหรอ ไม่แฟร์เลย”  เอายี่สิบสี่ปีของฉันชนกคืนมา แต่ถ้ารู้ว่าต้องกินเลือดก่อนถึงจะกินอาหารแบบมนุษย์ได้ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าตนจะกระเดือกลงหรือไม่


“ผมเลยวางยาคุณฉันด้วยการแอบเจาะเลือดตัวเองใส่แซนวิช แค่เพียงไม่กี่หยดก็ช่วยให้รับรสได้ดีขึ้นแล้วล่ะครับ”  นี่มันจอมวางแผนล่อลวงปั่นป่วนกันจริงๆนี่นา เช่นนี้ก็แสดงว่าเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าฉันเป็นอะไร คนเราจะมารู้จักกันดีกว่าตัวเองที่อยู่กับตัวเองมาทั้งชีวิตได้ไง ไม่แฟร์เลย!


“แล้วคุณไพร์มรู้ได้ไงครับ”


“สัญชาตญาณมั้งครับ ยิ่งเห็นคุณฉันกินคุ้กกี้ที่ผมภูมิใจนำเสนอมากๆด้วยหน้าตาเฉยเมย แซนวิชเศษผักกับเลือดหนึ่งหยดก็คุ้มที่จะพิสูจน์ครับ”  ฉันจำได้ว่าตนเองร้องไห้ให้กับแซนวิชเศษผักวันนั้นเลยนะ พูดมาได้ว่า ‘แค่’ เฮงซวย!


“แล้วที่วันนี้มีหมากัด ทำไมคุณไพร์มไม่ให้ผมยืนหน้าละครับ เป็นแวมไพร์ก็ต้องสู้ได้อยู่แล้ว”


“เก่งจังคนเรา เมื่อกี้ยังนอนคลุมโปงอยู่เลย สู้ได้ครับแต่ไม่ใช่ฉันในตอนนี้แน่ ถ้าส่งไปก็เหมือนให้ลูกแมวเพิ่งเกิดไปสู้กับหมาใหญ่นั่นแหละครับ รอเป็นแมวโตก่อนเนอะ ผมจะไม่ห้ามเลย”  ปากร้ายขึ้นทุกวันเลยผู้ชายคนนี้ ดูถูกกันเกินไปแล้ว เออ ดูได้ถูกต้องจริงๆ ถ้าเขาส่งไปคงได้โชว์ความสามารถวิ่งเปี้ยวไวๆให้เขาได้ชมเท่านั้นแหละ


“แต่แปลก หมาไม่เคยจะกัดผมมาก่อนเลยนะ แล้วทำไม..”


“นั่นไม่ใช่หมาครับ หมาป่า”


“นี่เราอยู่ในกรุงเทพนะ”


“หมาที่เกิดและโตในกรุงเทพก็เยอะนะครับ โดยเฉพาะหมาป่าที่แปลงร่างเป็นคนได้”


“หา?!”


“ทำเป็นไม่เคยเจอไปได้ เราน่ะเคยคบด้วยนะ”


“หะ หะ หะ!”


“ครับ วันก่อนแฟนเก่าคุณยังโทรมาขู่โฮ่งๆใส่ผมอยู่เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ หมาที่กัดเราวันนี้ไม่ใช่แฟนคุณหรอก เขาตัวใหญ่กว่านั้น”  เดี๋ยวนะ ค่อยๆพูดค่อยจาสิ นี่คือเราคิดไปเองว่าสาจ๋าเหมือนหมาน้อย แต่จริงๆมาจากครอบครัว…มนุษย์หมาป่าเหรอ


บอกทีว่านี่มีซ่อนกล้องอยู่!


“พอพูดถึงแฟนเก่าแล้วช็อคไปเลยเหรอครับ”  แถมยังลุกลี้ลุกลนมองเพดานห้องฝั่งนั้นทีฝั่งโน่นทีเหมือนหาอะไรอยู่


“อา…”  ทว่าที่คิดนี่เป็นเรื่องของสาทั้งนั้น แต่พอเขาทักที ฉันก็ลืมไปเลยว่าใครคนหนึ่งเคยเป็นแฟนเก่ามาก่อน ดีแท้ บรรพบุรุษต้องภูมิใจในฐานะที่มีลูกหลานใจกล้า อ่อยมนุษย์หมาป่าเป็นเกียรติแต่งวงศ์ตระกูล ว่าแต่แวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า…คงจะไม่ชอบขี้หน้ากันจริงๆเหมือนในหนังใช่ไหม


เอ้า! นี่ก็เชื่อคนง่าย ที่พูดมานี่มันเป็นความจริงทั้งหมดเลยเหรอ โกหกบ้างก็ได้!?


“เราอยู่ที่ไหนกันอะครับ”  หลังจากที่ช็อคขนานใหญ่กับเรื่องมากมายที่ได้รับฟัง ฉันก็กลับไปกินราดหน้าเพราะไม่อยากให้เส้นอืดอีกต่อไปพลางตักคะน้าในชามตัวเองไปใส่ให้อีกคนที่วอแวบอกอยากกินตั้งแต่ก่อนถูกหมากัด จนมาล้างจานให้ก็ค้นพบว่าตนลืมถามเรื่องสำคัญ!


“บ้านผมครับ”


“บ้าน? ที่คุณไพร์มไม่สะดวกไปทำงานอะเหรอครับ” 


“จริงๆก็ส่วนหนึ่งครับ แต่เอาส่วนใหญ่เลยคือไกลไปไม่สะดวกไปล่อลวงคุณฉัน ผมเลยย้ายไปอยู่ห้องนั้น”


“คงไม่ได้ไปตามสืบแล้วซื้อตามใช่ไหม”


“เปล่าครับ ผมมีห้องอยู่ที่นั่นพอดี” เผอิญรวยอยู่แล้วสินะ


“แล้วทำไมต้องตามมาละครับ!?” เนี่ยไง คำถามสำคัญสุด แต่เอาไว้ถามหลังสุด


“หาเพื่อนครับ ไม่มีแวมไพร์คบ”


“แล้วทำไมต้องคบอ่ะ ไหนบอกว่าญาติดีกันไม่ค่อยจะได้ไม่ใช่เหรอ”


“เพราะคุณฉันไม่ได้ถูกปลูกฝังให้มีความเชื่อแบบแวมไพร์”  เลยน่าจะเข้าหาได้ง่ายดายกว่า แต่ฉันว่ามันมีอะไรอยู่นะ


อะไรที่เขายังไม่ได้พูดออกมา…


“ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งกลับบ้านเลย”


“ทำไมอ่ะ”


“หมาป่าแปลงร่างกลางเมืองแบบนั้น ไม่คุณก็ผมละครับที่เป็นเป้าหมาย อย่าว่าแต่คุณกลับไม่ได้ ผมก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกันนะ”  ฉันหุบปากฉับ ก็จริง…


“แล้วเราจะได้กลับเมื่อไหร่”


“ไม่นานหรอกครับ กำลังดูอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังไงฉันอยู่ให้ผมเลี้ยงก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้จะทำต้มเลือดหมูให้กิน”  และเขาก็เดินจากไปไม่รอให้คนฟังต้องขว้างค้อนใส่ ไหนกันคุณไพร์มคนดี ที่เห็นยืนอยู่ข้างๆเมื่อกี้นี่มันปีศาจชัดๆ ฉันชนกกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปล้างจานต่อและครุ่นคิดถึงเมนูใหม่ที่น่าจะอร่อยกว่าต้มเลือดหมู 


“เป็นไงบ้าง”  หลังจากที่ตกลงกันดิบดีเรื่องการซ่อนตัวที่นี้ ฉันชนกที่ยังมึนๆก็ขอไปนอนหลับฝันอีกรอบเผื่อว่าตื่นมาจะพบว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาไม่ใช่แวมไพร์ ส่วนภูวนัยก็หันมาคุยธุระว่าด้วยเรื่องที่ฝากฝังไว้ตั้งแต่ตอนที่ทำให้เด็กบางคนหลับไปในรถ


“ไอ้ไพร์ม! ใครใช้ให้ซัดหมามันจนสลบอย่างนั้น!”


“แล้วมันตื่นหรือยัง”


“ตื่นแล้ว มีคนจ้างมาทำร้ายคนที่อยู่กับมึงจริงๆด้วย”


“สืบได้ไหมว่าเป็นใคร”


“ยากว่ะ โทรคุยและบอกจุดนัดรับเงินสดเท่านั้น มันเองก็ไม่รู้ว่าใคร แต่รู้ว่าให้ไปที่ไหนและคอยตามยังไงแค่นั้น”


“ไม่ใช่ว่าเรื่องที่กูเก็บแวมไพร์ไว้กับตัวรู้ถึงหูแวมไพร์ด้วยกันเหรอ”


“ถ้างั้นเขาให้มันมาทำร้ายเด็กคนนั้นทำไม ทำมึงดีกว่าไหม ไอ้หน้าเงิน!”  เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไม่มีสาระอะไรให้รีดไถแล้ว ภูวนัยจึงตัดสายไปเพื่อที่ว่าเพื่อนคนนี้จะรู้ว่ามันควรจะเอาเวลาก่นด่าเขาไปหาข้อมูลให้มากขึ้น


ยังคงไม่รู้ว่าใครหวังร้าย อาจจะเป็นแวมไพร์ หมาป่าหรือใครก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ ชีวิตของแวมไพร์ตัวน้อยไม่เคยเสี่ยงถึงขั้นนี้ จนกระทั่งเอาตัวเองเข้าไปพัวพัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้สูงว่าสาเหตุมาจากเขา


ภูวนัยรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะตกลงผลประโยชน์ทางธุรกิจกับแวมไพร์ได้ และเป็นมิตรที่ดีของพวกหมาป่า แต่ทั้งนั้นก็ไม่ได้มีความจริงใจต่อกันฉันเพื่อน ที่ยังอยู่กันอย่างสงบนี้ก็เพราะมีสัญญาสงบศึกที่ถูกทำมาเนิ่นนาน


ในยุคสมัยที่ผู้คนแข่งขันกันทางธุรกิจมากกว่าพละกำลัง ต้นตระกูลของภูวนัยได้คิดค้นวิธีที่จะถ่ายเลือดออกมาด้วยตัวเอง และมีการร่วมมือกับแวมไพร์ในการวิจัยสารที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างถูกกัดเพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดและภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับมนุษย์หลังจากนั้น การทดลองดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความขัดแย้ง และการปรองดองนั้นก็เหมือนจะเกิดขึ้นในระยะสั้น ก่อนจะแยกตัวจากกันเพื่อคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ทางธุรกิจเท่านั้น


แน่นอนว่าเลือดที่ถูกถ่ายออกมา ก็จำเป็นต่อเหล่าประชากรแวมไพร์ที่ต้องใช้มันในการสร้างภูมิให้ร่างกายสามารถอยู่ได้บนโลกเหมือนมนุษย์ ต้นตระกูลของเขาคิดค้นธุรกิจ ‘แปรรูปเลือด’ ขึ้นมาเป็นสินค้าชนิดต่างๆและเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่แวมไพร์มายาวนาน แม้จะเป็นตลาดเล็กๆและอยู่ใต้ดินเสียส่วนใหญ่ ทว่ากลับมีรากฐานที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะโค่นลงได้


จนกระทั่งเทคโนโลยีมันก้าวไกลออกไป


บริษัทของภูวนัยก็สามารถที่จะคิดค้นสารตัวเดียวกันกับที่มีในเลือดของตัวเองขึ้นได้โดยบังเอิญจากการวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าบางประเภท เรื่องนี้เหมือนจะเข้าหูพวกแวมไพร์ที่ก็คงอยากจะเป็นอิสระต่อกัน ทางนั้นจึงเริ่มมีการคิดค้นวิจัยสิ่งที่จะมาทดแทนเลือดของมนุษย์สายพันธุ์นี้ได้ และถ้ามันสำเร็จขึ้นมา ส่วนแบ่งทางการตลาดใหญ่คงจะหายไป หรือไม่… ก็คือหายไปหมดเลย เพราะยังไงแวมไพร์ก็คงไปซื้อของของแวมไพร์ด้วยกัน


กระนั้นก็มีแวมไพร์ไม่รู้เรื่องกับเขาอยู่คนเหมือนกันที่จูงมือมาก็ซื้อบื่อเดินตาม ไพร์มไม่คิดว่าเขาจะปิดบังฉันชนกตลอดเพียงแค่วันนี้ที่เจ้าตัวได้รู้ไปก็ใหญ่เกินกว่าใจจะรับไหวแล้ว เพราะฉะนั้นฤกษ์งามยามดีเมื่อไหร่ เขาจะอธิบายให้ฟังชัดๆ โน้มน้าวให้เข้าร่วมอย่างจริงใจ แต่ก็ไม่พ้นหวังจะใช้ผลประโยชน์จากทุกอย่างที่ฉันมีอยู่ดี


ทั้งสิ่งที่ร่างกายจะให้ได้ และจิตใจที่เห็นแก่มนุษย์มากกว่าเผ่าพันธุ์


ทั้งนี้ทั้งนั้นวันนี้ที่พูดไปไม่ได้โกหกเลย เขาไม่มีเพื่อนเป็นแวมไพร์จริงๆ เพราะไม่มีแวมไพร์คนไหนยอมคบอย่างจริงใจเพื่อให้กอบโกยผลประโยชน์สักคน…


แต่ถ้าคู่นอน ก็พอจะเรียกมาคุยด้วยได้บ้าง…


- - - - - -
ฉันไม่กินเลือดหมูได้ไหม เลือดใครก็ไม่กินได้หรือเปล่า…
(._.)
- - - - - -


“บ้าบอ”  ฉันที่ตื่นมาสักพักก็ค้นพบว่าฉากไม่เปลี่ยนจริงๆ ยิ่งนอนนิ่งๆนานขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำในความโง่เง่าของตนเอง


นี่เป็นวันที่สองของชีวิตแวมไพร์ ที่จริงๆแล้วเป็นมาตั้งแต่เกิดทว่าไม่เคยรู้ พ่อทั้งสองของฉันก็ไม่เคยบอก นั่นอาจจะเพราะพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำให้คือการเลี้ยงดูที่ยอดเยี่ยม จนเติบโตมาเป็นฉันทุกวันนี้ ทั้งนี้หากพวกเขารู้ว่ากำลังเอาลูกอะไรมาเลี้ยง…พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร


“…”  พวกเขาจะหวาดกลัวฉันไหม?


ความจริงในข้อนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนอีกหลายคน ก็ไม่รู้หรอกว่าอมนุษย์แบบฉันนั้นมีมากมายแค่ไหน แต่เดาว่ามันไม่ใช่อะไรที่เปิดตัวได้ เพราะไม่งั้นก็คงไม่ตกใจเมื่อได้ยินเรื่องราวแต่แรก ถ้าไม่ได้รับรู้อะไรก็คงจะดี อย่างน้อยวันนี้ฉันก็คงได้นอนโง่ๆ ไม่ต้องมาคิดอะไรซับซ้อนเพราะกลัวการมาถึงของปัญหาที่เกี่ยวข้องอย่างนั้น


ฉันอยากกลับบ้าน…
แต่ถ้ากลับบ้านแล้วต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่น่ากลัวพวกนั้น ฉันก็ไม่อยากกลับไปเลย


“คุณฉันครับ”  เสียงเรียกที่ประตูทำให้คนที่อยากจะหนีจากความจริง ยิ่งไปไม่พ้นจากมัน ฉันนั้นฮึดฮัดอยู่คนเดียวเล็กน้อย ก่อนจะดีดตัวไปเปิดประตูให้ ไม่น่ารักเลย นี่มันบ้านเขาแท้ๆ


“ครับ..”


“ผมเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน อาบน้ำนอนนะครับ”  ภูวนัยที่รับรู้ถึงความไม่สบายใจของแขกที่พามานั้นไม่ได้เซ้าซี้อะไร แต่คิดว่าอีกคนคงอยากอาบน้ำให้สบายตัว ซึ่งมันคงดีกว่าการนอนเฉยๆไม่ทำอะไรเลย


“ขอบคุณครับ”


“พรุ่งนี้เผอิญหาเลือดหมูไม่ได้ คุณฉันทานอย่างอื่นไปก่อนนะ”


“อะไรก็ได้ครับ จริงๆคุณไพร์มไม่ต้องลำบากหาอะไรยุ่งยากมาให้ก็ได้”


“ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่ครับ สนุกดี”


“….”


“แค่หยุดปีใหม่นี่ คุณฉันน้ำหนักขึ้นให้ผมสักโลสองโลก็คุ้มแล้วกับที่ทำไป ราตรีสวัสดิ์นะครับ”  เขาเอ่ยลาพร้อมกับที่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวทุยๆของคนคิดมาก ถ้าเป็นเขาก็คงจะกังวลใจไม่ต่างกัน เพราะเป็นตัวเองจึงกังวลไม่ใช่เหรอไง ฉันไม่ได้ผิดหรอก แต่ถ้าเปิดใจก็จะพบว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราก็สามารถทำมันให้เป็นเหมือนเดิมได้เช่นกัน


แค่เพิ่มออพชั่นบางอย่างที่เหมาะสมกับร่างกายเข้าไปเท่านั้น


ในตอนเช้าฉันชนกก็ยังดูซึมๆ ดวงตาที่ดูอ่อนล้านั้นเห็นได้ชัดว่าคงไม่ค่อยได้นอน ทั้งแปลกที่ ทั้งเครียด แวมไพร์ตัวน้อยช่างน่าสงสาร แต่ภูวนัยก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเอาตัวเข้าไปเอี่ยวด้วยมากแค่ไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปราะบาง หากทำมันด้วยความไม่ระมัดระวัง ก็เป็นไปได้ที่จะสูญเสียไป ใช่แล้ว…เขาไม่อาจจะเสียฉันชนกไปได้


“ไหวไหมครับ”  วันนี้แม้แต่ให้กินผักก็ยังว่าง่าย เมื่อวานที่เถียงกันได้ยาวๆก็คงเพราะยังคิดทุกอย่างไม่ทันสินะ ปล่อยไว้คืนเดียวฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้เลยเหรอนี่


“ผมอยากกลับบ้าน”


“ตอนนี้ยังไม่ได้ครับ”  เพราะยังไม่ได้รับการตอบกลับเรื่องผู้ไม่ประสงค์ดี  “โทรไปคุยกับคุณพ่อก่อนไหมครับ”


“ฉันกลัว….”  เพราะช่วงเวลาที่ตนยังไม่ได้รับการอุปการะ ความเหงาและเดียวดายที่ตนเคยรู้สึกนั้น มันก็นานมาแล้วที่ไม่ได้จมอยู่กับความรู้สึกอย่างนั้น กว่านานที่รู้สึกเหงา และใช้เวลาสักพักที่จะปรับตัวกับความรักและเคยชินกับมัน ในตอนนี้…ฉันต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าสเต็ปต่อๆไปจะได้ความรักดีๆกลับมาหรือไม่อย่างนั้นเหรอ


ฉันก็เหนื่อยเป็นนะ…


“คุณฉันว่าคุณพ่อทั้งสองคนรักคุณฉันมากไหม”  ฉันพยักหน้า  “แล้วอะไรทำให้คุณฉันคิดว่าพวกเขาจะไม่รักแล้วล่ะ”


“ฉันเป็นแวมไพร์”


“แล้วฉันเคยกัดพวกเขาสองคนหรือทำให้คนอื่นหวาดกลัวไหม”


“ไม่เคย แต่แวมไพร์มัน…”


“แวมไพร์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อนน่ากลัวหรอกนะครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น…คุณฉันคงไม่น่ารักขนาดนี้”


“ฮื้อออ” อย่าเพิ่งเต๊าะกันสิ


“กลับกัน แวมไพร์คือเผ่าพันธุ์ที่มีความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์โดยสันติ พวกเขาอยู่รอบๆตัวมากกว่าที่คุณฉันจะคาดคิด และคุณพ่อของคุณฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น คุณฉันรู้ดีอยู่แล้ว”  อันนั้นฉันก็รู้…ว่าตนถูกเลี้ยงมาโดยคนแบบไหน


“ฉันแค่อึดอัดที่จะพูดออกไป”  เพราะฉันไม่เคยโกหกใคร


“งั้นคุณฉันก็แค่ยังไม่ต้องพูดดีกว่าไหม” 


“แต่ฉันไม่อยากโกหก”


“การที่เราไม่พูดไม่ได้แปลว่าเราโกหกนะครับ เราแค่ปิดบังมันเอาไว้”


“ฉันไม่เคยมีความลับอะไร”


“งั้นฉันจะเปิดเผยเลยไหม ผมว่าเรียบเรียงให้ดีก่อนแล้วค่อยอธิบายก็ได้ คุณฉันเก่งออก คุณพ่อก็รักคุณฉันมากๆด้วย”  เพราะที่ผ่านมาฉันมักจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ประกอบกับที่เขาได้อ่านประวัติมา เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าครอบครัวของฉันชนกจะต้องรับได้ 


“ฉันรู้”


“หรือจะให้ผมไปหาคุณพ่อด้วยจะได้อธิบายให้ท่านสบายใจ”  ไพร์มคิดว่าปัญหาเดียวที่คนตัวเล็กจะเผชิญคือความห่วงใยของทางบ้านมากกว่า แต่อาการของฉันไม่ได้มีอะไรน่าห่วง และคงไม่มีวันเดินไปกัดคอใครสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะหิว ที่ฉันกัดคอเขา…นั่นก็เพราะเขาให้กัด


 และแวมไพร์…ก็ไม่กินเลือดของมนุษย์ปกติทั่วไป ส่วนมนุษย์สายพันธุ์แบบเขาส่วนใหญ่ก็มีวิธีรับมือได้ กับแวมไพร์ที่หิวกระหายอย่างไร้สติแบบนั้น


“ผมอยู่ข้างคุณฉันนะครับ”  รอยยิ้มที่ถูกส่งไปทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงมาก คาดว่าในชีวิตแวมไพร์สองวันมานี้มันเต้นแรงเป็นพิเศษ แรงจนต้องจิ้มแตงกวาขึ้นมากินแก้เขินก่อนจะเบ้หน้า เพราะแตงกวาไม่อร่อยอีกแล้ว


เป็นคนเศร้าที่เด๋อและเด๋อนี่มันลำบากเนอะ แต่ก็ยังหยุดเด๋อไม่ได้สักที


เขาทั้งโน้มน้าวให้เจ้าตัวดีขึ้นไปพักก่อนโดยให้ดื่มโกโก้ร้อนเพราะกินอาหารไปน้อยเกิน ดูจากสีหน้าก็คิดว่าน่าจะสบายใจขึ้นมาแล้ว แต่อีกสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยคือฉันชนกมีอิทธิพลทางความรู้สึกกับคนอย่างเขาได้มากขนาดนี้ ไพร์มมีหัวใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะให้ใครไว้เกลื่อนกลาด และครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครไว้เลย


แต่เหมือนจะไม่รักดีหยิบยื่นตัวเองไปหาอีกคนเสียแล้ว


แต่แรกที่เข้าหาทำตัวชิดใกล้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเกินกว่าผลประโยชน์ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้ ที่ป้อนของกินที่ตั้งใจทำให้เท่าไหร่ก็รับทั้งหมด ความน่าเอ็นดูและสดใส รวมถึงความจริงใจที่ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อยามอยู่ใกล้โดยไม่รู้ตัว เขาถลำลึกมากๆ จนส่วนเสี้ยวหนึ่งรู้สึกไม่ชอบใจแฟนเก่าคนนั้นที่โทรมาแสดงตัวห่วงใยออกหน้า


ทำไมเขาเป็นไปได้ถึงเพียงนั้นกันหนอ อาจจะเพราะภูวนัยนั้นถูกรายล้อมด้วยเครือญาติที่สนิทสนมกันเพราะธุรกิจของตระกูล มีการแบ่งการทำงานในแต่ละด้านตามที่แต่ละคนถนัดจนเรียกได้ว่าเราคือองค์กรที่มีความพร้อมด้านทีมเวิร์คสูงอย่างหาใครเหมือน หากเอ่ยชื่อบริษัทขึ้นมาก็คิดว่าคงติดหูคนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย


งานที่เขาดูให้กับตระกูลส่วนใหญ่จะเป็นการนำเลือดมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร และเพราะความสนใจอันหลากหลายเขาจึงมีธุรกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ ซึ่งก็ไม่ได้มีใครไม่พอใจอะไรตรงนั้น เพราะหลายๆคนก็มีธุรกิจที่ทั้งลับและไม่ลับ โดยพยายามไม่ก้าวก่ายกันให้เกิดความบาดหมางใจ


ทว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเหมือนจะเย็นชาเกินไป ภูวนัยไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร จนกระทั่งได้เจอกับฉันชนกคนนี้ ถึงจะบอกว่าเขาเข้าหาโดยเอาของกินเข้าล่อจนเจ้าตัวติดกับ แต่การทักทาย รอยยิ้ม ความห่วงใย ความเกรงใจ หรือแม้แต่ของฝากเล็กๆน้อยๆที่หามาให้ ก็ทำให้ได้สัมผัสถึงความจริงใจแบบที่มนุษย์ควรจะมี


ฉันชนกไม่เคยคิดอยากจะปีนเตียงเขา แม้ว่าเขาอาจจะยินดี
ฉันชนกไม่เคยปิดกั้นเขา และเพราะเขาอยากอยู่ใกล้
ฉันชนกไม่เคยไล่เขาไป แม้จะไม่มั่นใจในเจตนา


ที่สำคัญเขาชอบคนที่กินอาหารของเขาไปพร้อมๆกับใบหน้าที่มีความสุขแบบนั้น หยาดหยดน้ำตาของมื้อแรกที่ได้รับรสชาตินั้นยังคงตราตรึงในหัวใจ ฉันชนกได้ปลุกสัญชาตญาณนักล่าในผู้ถูกล่าไว้โดยที่ไม่มีใครรู้เนื้อรู้ตัว เราจะเห็นแววตาเป็นประกายทุกครั้งขณะที่แก้มกลมๆกำลังเคี้ยวๆอยู่ ฉันเป็นตัวอย่างที่เรียกได้ว่าน่าเอ็นดู จนอยากจับปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องแทนข้าว


คนแบบนี้….เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็น และเป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิด และเป็นคนแรกที่คิดว่าอ้วนกว่านี้ก็ได้…น่ารักดี


แต่ธุรกิจก็ยังต้องทำ เขาจึงหวังว่าเด็กน้อยจะเข้าใจกันว่าการที่คนเราจะถูกชะตาและคบหากันโดยมีผลประโยชน์ร่วมนั้น มันเป็นไปได้ หลายความสัมพันธ์ที่จบลงไม่ดีเพราะการให้และรับไม่สมดุลรวมถึงความไม่เข้าใจนั้นน่ากลัวว่าจะทำให้หวาดระแวง และภูวนัยไม่อาจจะเดาได้ว่าลึกๆภายในฉันชนกยินดีจะให้ความร่วมมือต่อกันไหม เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นแวมไพร์


แต่ถ้าเขาไม่ทำ…เผ่าพันธุ์ของเราก็อาจจะเผชิญกับความสูญสิ้นที่น่ากลัวอย่างนั้นก็เป็นได้




Talk:
จริงๆโทนเรื่องไพร์มฉันนั้นไม่ดราม่าแบบไม่ดราม่ามากๆค่ะ ง้อไม่ยาก น้องฉันค่อนข้างใจง่าย555
ตอนนี้เรามีเปิดอีกคู่ไว้ คิดว่าอ่านไพร์มฉันไปสักพักคงเปิดตัวในเรื่องนี้นั่นคือคู่พี่สนค่ะ
กับใครนั้นบางคนอาจจะรู้อยู่แล้ว555 โทนเรื่องของพี่สนอาจจะไม่ใสเท่าน้องฉันเพราะหลักๆมันมีปมให้ดราม่าเยอะอยู่
แต่ว่าก็ไม่แรงมากเท่าไหร่ค่ะ เรื่องนี้ยังไงก็เปนฟีลกู้กัดๆกินๆกันไป
หลายคนเคยคิดว่ามันจะเป็นเค้กเวิรส์ไหมซึ่งตอนนั้นไม่เฉลยแต่จริงๆมันมีพื้นฐานมาจากตรงนั้นแหละค่ะ
จริงๆคู่ไพร์มฉันเราเคยแต่งเป็นฟิคชั่นที่เป็นเรื่องสั้นและเอาเรื่องนั้นมาต่อยอดจนเป็นอันนี้
ส่วนคู่พี่สนนี่เพราะเป็นหมาป่าตามที่บอกไว้ในตอนนี้ ลองเดาดูสิคะว่าเป็นหมาป่าจะคล้ายกับเวิรส์ไหน ฮี่ๆ
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ จะรีบมาค่ะ สัญญา #คู่กินคู่กัด
Twitter @reallyuri







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2019 19:56:41 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 เอ็นดูน้องฉัน ค่อยๆเรียนรู้การเป็นแวมไพร์ไปนะลูก
แสดงว่าคู่ของพี่สนก็เป็นแนวโอเมกาเวิร์สใช่ไหมคะ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
8
- - - - - -
ฉัน…
- - - - - -


สายตาของผู้หญิงคนนั้นที่มองมา
ฉันไม่ชอบมันเลย…


เป็นเวลาหลายวันผ่านมาแล้วที่เจ้าของบ้านให้ฉันได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข ทว่าการที่กึ่งๆถูกตัดขาดจากโลกภายนอกก็น่าอึดอัดไม่น้อย หลายครั้งที่ฉันนึกอยากขอกลับห้อง แต่พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นก็ได้แต่หุบปากลงไป ไม่รู้ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้ทั้งๆที่เป็นความต้องการของตัวเอง


และในวันนี้เขาก็มีแขกมาหา ฉันนั้นไม่รู้ว่าทำไมดึกดื่นป่านนี้ยังมีคนต้องการจะคุยกัน เพราะตื่นมากลางดึก ฉันที่คอแห้งเลยตั้งใจจะลงมาหาน้ำดื่ม แต่พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นว่าห้องส่วนตัวของบางคนก็เปิดออกเหมือนกัน ทว่าคนที่ออกจากห้องนั้น



ไม่ใช่เจ้าของห้องที่ฉันรู้จัก


“สวัสดีค่ะ”  แววตาของเธอที่มองมาทำให้ฉันขนลุกอย่างประหลาด แต่นอกเหนือจากนั้น ภาพของเขาที่อยู่ในชุดที่ดูเหมือนชุดนอนที่ใส่ประจำ ก็ทำให้ฉันยิ่งขมวดคิ้ว คราวนี้ไม่ได้รู้สึกยุบยิบในใจ


แต่ทำไมมันถึงได้ปวดหน่วงได้ขนาดนี้


“ฉัน?”  ไพร์มเรียกหา เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าดูราวกับไม่ใช่คุณไพร์มจอมทะเล้นผู้ใจดีคนเดิม แววตาคู่นั้นเหมือนกำลังต่อว่ากันอยู่เลย แล้วฉันทำผิดอะไร?


“ฉันจะลงไปกินน้ำ”  ฉันไม่ได้ทำผิด เขานั่นแหละที่ทำอะไรอยู่!


“อุ้ย! งั้นขอลงไปคุยด้วยได้ไหมคะเนี่ย”  เธอคนนั้นแทรกมา


“พรีม…”  แต่ใครบางคนขัดขึ้นมาก่อน  “มันดึกแล้ว”  มันจะเช้าแล้วต่างหาก ฉันชนกเถียงในใจ


“อา...นั่นสิ งั้นพรีมกลับก่อน เอาไว้เจอกันนะคะคุณฉัน”  เธอมาอย่างว่องไว และจากไปทั้งอย่างนั้น ฉันชนกยืนนิ่ง ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้โบกมือลาแบบที่พึงกระทำ ใช่ว่าปกติจะเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ แต่กับเธอคนนั้น…ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม


“คุณฉันจะลงไปดื่มน้ำเหรอครับ”


“ไม่แล้ว”


“ลงไปดื่มเถอะครับ เดี๋ยวหลับไม่สบาย”  ว่าแล้วเขาก็เป็นฝ่ายจูงมือให้คนที่ดูจะไม่พอใจในอะไรบางอย่างให้เดินตามกันลงไป ฉันชนกจิ๊ปากอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขืนตัวไว้ ว่าแต่เขาว่าทำเหมือนไม่พอใจ ไอ้เราก็ไม่พอใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?


แล้วใครใช้ให้ตื่นมากลางดึกวันนี้ ถ้าเป็นวันอื่นจะไม่ว่าเลย แต่ดันเป็นวันที่เขามีแขกที่ไม่คาดหมายมาหา ความคิดที่ดูงี่เง่าเหล่านี้ได้ถูกความพยายามอันยิ่งยวดลบให้หายไป แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี ภูวนัยไม่ได้ชอบตัวเองที่อ่อนไหวขนาดนี้ แต่ว่ากับฉันชนก อะไรมันก็แปลกใหม่สำหรับเขาไปเสียหมด


“ค่อยๆกินครับ”  คนใจร้าย มองกันอย่างนั้นใครจะอยากค่อยๆจิบกันเล่า! ฉันที่อยากจะหนีจากสถานการณ์กดดันนั้นรีบกรอกน้ำลงคอโดยไม่กลัวสำลัก ก่อนจะเดินเชิดหนีขึ้นไปบนห้อง  ด้วยความคิดที่ว่าฉันไม่ผิด


ฉันผิดตรงไหนทำไมไม่เห็น!
เอ๊ะ! หรือว่าผิดทุกตรง

“ไปนอนก่อนนะครับ”  พูดจบก็ปิดประตูห้องโดยไม่สนใจอะไรต่อ เขาเพิ่งเคยเห็นฉันงอนขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อไพร์มไม่ใคร่จะอธิบายอะไรให้ดีๆ  ดูนาฬิกาอีกที นี่มันอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กดื้อจะนอนหลับได้ไหม ทว่ามันคงจะไม่สายเกินไป


ที่จะบอกว่า ‘ฝันดี’ ฝากลมพัดไปให้คนแสนงอนคนนั้น…


ฉันต้องกลับบ้าน….นี่คือความรู้สึกที่ต้องการจริงๆ ไม่ใช่เพราะงี่เง่าเห็นใครที่ตนไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกเจอ แต่ว่าฉันต้องการพื้นที่ของตัวเองจริงๆ แม้ว่าภูวนัยจะให้มาหนึ่งห้องใหญ่ แต่มันไม่ใช่ที่ของฉัน


และมันก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา!


“…”  และเมื่อสอบถามไป ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบอะไร เขานั่งเงียบ กอดอกทำหน้าขรึม “ยังไม่ได้ครับ”


“ฉันต้องกลับบ้าน มันจะเปิดทำงานแล้ว” ฉันมาอยู่ที่นี่หลายวัน ห้องหับเป็นยังไงก็ไม่รู้เลย แล้วนี่เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานแล้วด้วย


“ผมจะเร่งคนของผมให้ คุณฉันช่วยรออีกสักนิดเถอะครับ”


“แต่มันนานแล้วนะคุณไพร์ม”  ฉันอยากกลับบ้าน


“ครับ และคงต้องนานอีกสักนิดหนึ่งนะ”  และฉันรู้สึกยอมไม่ได้ ไม่มีครั้งไหนที่คนเรื่อยเฉื่อยคนนี้จะรู้สึกรับไม่ได้กับการถูกเอาใจที่เหมือนถูกเอาเปรียบแบบนี้ ทว่าไม่ว่าจะเพียรพูดหรือขอร้องแค่ไหนเขาก็เหมือนจะไม่ได้ฟังอะไรเลย สุดท้ายก็ยังคุยกันไม่เข้าใจ ฉันชนกที่ไปไหนไม่ได้จึงเลือกที่จะไปสงบสติในห้องนอนที่เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่ตนสามารถเข้าถึง


ภูวนัยนั้นเหมือนจะปวดหัวขึ้นมาเมื่อเจอกับเด็กบ้าเวอร์ชั่นดื้อรั้น เพราะความปลอดภัยหรอกจึงห้ามไม่ให้ออกไป แล้วทำไมต้องเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นด้วย ไพร์มนั้นเข้าใจว่าฉันนั้นห่วงงานที่กำลังจะต้องไปทำ แต่ชีวิตเจ้าตัวก็สำคัญจึงไม่อยากให้มองข้าม ทว่ายังคุยไม่รู้เรื่องเด็กดื้อก็หนีขึ้นห้องไปก่อน แสนงอนอะไรได้ขนาดนั้น เขานับคดีไม่ถูกแล้ว


ว่าแต่เรื่องที่พรีมมาอยู่ที่นี่ตอนกลางคืนมันถือเป็นคดีตรงไหน


“….”  เขาดูออกว่าฉันนั้นไม่ค่อยยอมรับพรีมเท่าไหร่ ทั้งๆที่ไม่เคยเจอะเจอกันมาก่อนแต่ก็แสดงท่าทางต่อต้านชัดเจน ภูวนัยคิดว่ามันเป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณ แต่แววตาของฉันที่ได้มองตลอดทั้งวัน มันทำให้เขาติดใจกับอะไรที่มากกว่า จะถามก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตัวก็ใช่ว่าจะยอมพูดดีๆด้วย แต่ไม่ถามก็ไม่มีวันเข้าใจ เขาทำตัวไม่ถูกแล้ว


ฉันที่ซื้อได้ด้วยของกิน ไม่เคยง้อยากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย!


ในส่วนของฉันที่หนีขึ้นมาบนห้องก็ได้แต่หงุดหงิดใจ ถามจริงว่าตนอยากกลับมากไหม ก็ตอบได้ว่ามาก แต่ถ้าถามอีกครั้งว่าระหว่างความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สิน ตนจะเลือกอะไร ฉันก็จะตอบโดยไม่ลังเลใจว่าต้องเป็นความปลอดภัยของตัวเองอยู่แล้ว!


แต่อย่างไรตนก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจนักที่อยู่ที่นี่ แต่พูดด้วยเท่าไหร่ก็เหมือนจะทะเลาะกันให้ได้แบบนั้น แล้วใครมันจะไปอยากคุยกับเขาต่อ ฉันก็ไม่ได้อยากทำตัวไม่น่ารักหรอก แต่น่ารักแล้วกลับบ้านไม่ได้ จะน่ารักไปทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไพร์มคนนั้น ช่างไม่เข้าใจความอึดอัดของฉันคนนี้เอาเสียเลย


“ป๊ะ”  และเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องของคนใจร้ายต่อไป คนใจไม่เย็นจึงกดคอลไลน์หาคนที่ควรจะเข้าใจ ทั้งๆที่จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ไม่ติดต่อไปก่อนแท้ๆ แต่ว่าป๊ะกับพ่อเที่ยวกันสนุกไม่ติดต่อมาหาลูกบ้างเลย อย่างนี้จะไม่ให้งอนอย่างไรไหว!


งอนทุกคนแต่ไม่มีใครง้อ งอนจนเหนื่อยแล้วเนี่ย!


“อ้าวน้องฉัน เป็นไงบ้างลูก”  น้องฉันอยากกลับบ้าน


“น้องฉันสบายดี กินอิ่มนอนหลับสบาย”


“แล้วนี่ไปเที่ยวมาเป็นไง พักผ่อนเยอะๆนะลูก”


“ฉันพักผ่อนเยอะแล้วแหละ”  นอนจนกลัวจะเดินไม่ได้แล้วเนี่ย


“แล้วกลับจากเที่ยวยังล่ะ”


“เดี๋ยวก็กลับแล้วครับ”


“ดีเลย ฉันอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวป๊ะให้พ่อจ่ายให้”  การันต์คือคนที่เรียกรอยยิ้มให้ฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วจริงๆ  เมื่อนึกถึงหน้าปุเลี่ยนๆของวธิน ฉันก็หลุดหัวเราะออกมา


เราคุยกันอีกไม่มาก คนขี้หวงที่ได้มาเที่ยวกับแฟนก็ตะโกนเสียงดังว่าจะพาป๊ะของฉันไปหาข้าวกินแล้ว แม้จะแกล้งงอนจนเรียกร้องเป็นชุดโมเดลกล่องใหม่ แต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังถูกตัดสายโดยคนที่คุณก็รู้ว่าใครไปด้วย ทว่าการคุยกับครอบครัวก็ทำให้สบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง จนคิดว่าตนก็คงจะเผชิญหน้ากับใครบางคนได้บ้างแล้ว


“คุณฉันครับ”  คิดถึงและดูเหมือนจะส่งถึงไปด้วย คนที่อยู่ในห้วงความคิดนั้นเรียกหาจากหน้าห้อง ฉันสะบัดหน้าไล่ความบ้าบอของตัวเองออกไป ใครคิดถึงกัน ไม่ได้คิดถึงสักนิดเดียว  “ลงมาทานข้าวเย็นได้แล้วนะ”  งั้นคิดถึงนิดหนึ่งก็ได้ ไหนๆก็หิวพอดี


จริงๆแล้วฉันไม่ควรไปทำตัวไม่น่ารักใส่เขาเลย ที่ไม่ได้กลับบ้าน นั่นก็เพราะคำอ้างเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่เหรอ คงเพราะคุยกับการันต์มากไป ตอนนี้เลยติดนิสัยที่จะพยายามมองโลกในแง่ดีไปด้วย


เรากลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งหลังจากที่หายไปนั่งงอนเสียตั้งนาน ทว่าใบหน้าของฉันชนกก็ยังนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นราวกับว่าที่อารมณ์ดีขึ้นเมื่อครู่ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาจริงๆ ภูวนัยไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นรอยยิ้มเป็นสิ่งแรกหลังจากได้เห็นหน้าอีกครั้ง ทว่าอย่างนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะส่วนหนึ่งที่เขารั้งไว้มันไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย


ผลประโยชน์ที่เป็นจุดประสงค์หลัก ก็ยังไม่เคยถูกนำมาพูดถึงเลยสักครั้งจนวันนี้


ไพร์มไม่เคยต้องรุกไล่ใครขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ชินเช่นกัน แต่เพราะฉันนั้นพิเศษกว่าใครเขาจึงคิดหมายที่จะทะนุถนอมน้ำใจให้ได้มากที่สุด ดวงตาสีม่วงอันเต็มไปด้วยเสน่ห์นั้น นอกจากจะคิดว่ามันน่าดึงดูดแล้ว มันยังเป็นการบ่งชี้ถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายาก และเพราะความยากนี้….จึงทำให้ฉันชนกอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของเขาไว้ได้


ด้วยความเป็นนักธุรกิจ ไพร์มนับว่าเห็นแก่ตัวนัก
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์…เขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึก


ภูวนัยไม่ได้ชวนคุยหรือพยายามผูกมิตร เขานิ่งเงียบทว่าก็ยังเอื้อเฟื้อต่อกันดี จนฉันคนนี้ได้ใจเสียไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นโต๊ะอาหารของเราจึงเต็มไปด้วยความเงียบแบบเย็นชา แบบที่ทั้งชีวิตฉันชนกก็ไม่เคยชาชิน ในตอนที่รวบช้อนส้อม ไพร์มนั้นไม่ลืมที่จะมอบรอยยิ้ม แต่เพราะไม่ได้มอบคำพูดอะไรมาให้ ฉันจึงไม่สบายใจ


และไพร์มก็ผิดเองที่ไม่อธิบายทุกอย่างไปเพราะคิดว่าทั้งตัวเขาและฉันยังไม่พร้อม กักขังแวมไพร์ไว้ในบ้านแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์เช่นเขาควรทำ แต่ไพร์มก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าควรจะเริ่มอย่างไรให้ฉันเข้าใจและยอมให้ความร่วมมือ เขาอาจจะดูเผด็จการไปบ้าง แต่นี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญแบบที่สามารถพลิกชะตาธุรกิจที่บ้าน หรือพลิกชะตาการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ได้เลย


จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกไป เขามองฉันหายเข้าไปในห้องเงียบๆจนลับตา นานกว่านี้คงไม่ดีแน่ เขาควรจะพูดมันเสียพรุ่งนี้เลย และถ้าหากฉันจะไม่ยอมหรืออย่างไร ก็คงต้องปล่อยให้พระเจ้าประทานพรให้เผ่าพันธุ์ของเขาอีกครั้ง เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งหนทางแก้ไขที่ชื่อว่า ‘แวมไพร์’ ให้กัน


ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลง เป็นอีกวันในบ้านหลังใหญ่นี้ เหลืออีกเพียงสองวันก็จะหมดหยุดยาว และฉันก็ไม่มั่นใจว่าตนจะได้ไปทำงานตามกำหนดการที่ควรจะเป็นหรือไม่ บางทีคงต้องคุยกับคนๆนั้นอย่างจริงจังเสียแล้ว ว่าฉันไม่ควรหยุดงานวันแรกที่คนเขาเปิดกัน ถ้าห่วงกันนัก…ก็มานั่งเฝ้าเลยไหมจะได้สบายใจ


ทว่าขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป ที่มุมหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าตรงไหนก็มีเสียงดังขึ้น กระนั้นคนขี้เซาที่ยังไม่หลับก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ บางทีลมอาจจะแรงพัดไปโดนอะไรก็เป็นได้ คิดไปได้อย่างไรนะ เสียงดังขนาดนั้นมันไม่มีทางจะเป็นเรื่องบังเอิญสักหน่อย


มันต้องมีคนจงใจทำอยู่แล้ว


“อึก”  สัมผัสที่บีบรัดตรงคอนั้นทำให้คนที่นอนอยู่รับรู้ได้ถึงความเป็นภัยที่แท้จริง ฉันชนกนั้นลืมตามองเจ้าของมือปริศนานั่น และรับรู้ว่าเธอคนนั้นกำลังนั่งคร่อมกัน
 

“สวัสดีค่ะ”  เป็นผู้หญิงคนนั้นที่ฉันไม่ชอบเลย


“คุ…คุณทำอะไรน่ะ แค่กๆ”  แรงบีบรัดที่เน้นหนักไปเรื่อยๆยิ่งทำให้อึดอัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจของผู้หญิงคนนี้ที่จะทำให้ฉันทรมาน


“แค่เป็นเด็กดีและยอมทำตามง่ายๆก็ไม่ต้องทรมานแล้ว”  กลิ่นฉุนของดอกไม้บางประเภทที่ออกมาจากตัวเธอทำให้ฉันนึกอยากอาเจียน แต่ร่างกายย้อนแย้งก็ทั้งต่อต้านและต้องการในคราเดียวกัน ฉันรู้ได้หลังจากวันนั้นที่ได้ดื่มเลือดของคนๆหนึ่งลงไป ความต้องการเช่นนี้คือกระหายใช่ไหม แต่น่าแปลกที่ทำไม…ร่างกายถึงไม่ยอมถลาเข้าไปขบกัด?



“ปะ…ปล่อยผม”


“เป็นแวมไพร์แต่ไม่มีแรงเลยเหรอไง ทำไมอ่อนแอขนาดนี้”  โทนเสียงและแววตาที่ดูเย็นชาทำให้ฉันนั้นขนลุกซู่ทว่าร่างกายกลับไม่ตอบสนองความต้องการเท่าไหร่ อยากจะผลักไสไปแค่ไหน ก็เหมือนว่าที่ลงแรงไปจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย


ฉันไม่กินเลือดคนนี้
ไม่กิน กินไม่ได้…ไม่กิน…


“เอาล่ะ รีบทำหน้าที่ของแกซะ”  เธอยื่นใบหน้าเข้ามา กลิ่นที่ว่านั้นยิ่งฉุนรุนแรง มันต่างจากกลิ่นที่ได้รับจากชายคนนั้นเหลือเกิน


ชายคนที่บอกว่าโลกภายนอกไม่ปลอดภัย
แต่ว่ากำลังมีคนคุกคามกันจากภายในที่ที่ซึ่งเขาให้ความมั่นใจมาตลอด…


“พรีม!”  ทว่าเพียงคิดถึง เขาก็มา มันเกือบจะสายไปแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่ยอมดูดเลือดเธอ แต่ต้องมีสักทางที่จะทรมานกันให้ทำดั่งใจได้ เจ้าของชื่อที่เข้ามาทำร้ายนั้นหันไปมองหน้าผู้บุกรุก เธอควรจะรู้อยู่แล้วว่าไพร์มต้องรู้ถึงการมาของเธอ ทว่าไม่มีครั้งไหน…


ที่ผู้ชายคนนี้จะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้


“โวยวายอะไรกันไพร์ม นายไม่เคยงกนี่”  ถึงไม่เรียกว่าเราแชร์แวมไพร์มด้วยกันเสมอ แต่ไพร์มไม่เคยว่าหากเธออยากได้ อันที่จริงเขาแค่ไม่เห็นความสำคัญอะไรกับการหวงไว้ และเพราะมันเป็นเรื่องสนุกๆที่ผ่านมาและผ่านไป จึงไม่เคยให้ความสำคัญอะไรมากมายเกินกว่าที่ควร


“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”  ภาพของฉันที่อยู่ใต้ร่างลูกพี่ลูกน้องสาวทำให้เขายิ่งเดือดดาล ฉันชนกยังไม่ถึงขีดสุดของสัญชาตญาณ และนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้


“อะไรกัน แค่นี้ก็ต้องหวงด้วย”  พรีมซึ่งไม่รู้อะไร ค่อยๆผละจากร่างของฉันที่นอนระนาบไปกับเตียง เธอขยับมานั่งข้างๆ ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มที่ไว้ใจไม่ได้


“ออกไปซะ”


“ทำไมฉันต้องออกไปด้วย!”  เพราะพื้นฐานนิสัยที่เอาแต่ใจและมีแต่คนชอบเอาใจทำให้พรีมอยากได้อะไรก็ต้องได้ ซึ่งปกติเธอก็ไม่ค่อยมาวอแวอะไรกับภูวนัยนักหรอก จะมีก็แค่ฉันชนกที่สะดุดตาและคิดว่าอยากจะได้ลิ้มลองความรู้สึกตอนถูกกัดจากแวมไพร์ตัวนี้สักครั้ง


เดิมทีที่เธอได้มาเหยียบที่นี่เพราะไพร์มใช้ให้ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งหาข่าวการลอบทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าธุระสำคัญอะไรทำให้คนๆนั้นยกความรับผิดชอบนั้นไปให้กับนังแม่มด จึงทำให้มีเรื่องให้ต้องมาหากันกลางดึกค่อนคืนแบบนั้น และการพบเจอที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นก็นำพาให้พรีมกลับมาที่นี่


เพื่อจะได้ทำเรื่องไม่ดีกับฉันชนกที่เขาทะนุถนอมสุดหัวใจ


“ปล่อย!”  เดิมทีเขาไม่ใช่คนที่ชอบตามใจพรีมอยู่แล้ว หากแต่เธอคงเข้าใจว่าเขายอมให้ได้ทุกอย่างจึงกำเริบแอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต และถ้ายังดื้อแพ่งเขาก็คงจะเอาไว้ไม่ได้อีก ภูวนัยสั่งให้ลูกน้องที่เพิ่งมาถึงไปจับกุมเธอเอาไว้เพื่อไปชำระความกันต่อ


ในส่วนผู้เคราะห์ร้ายที่ยังนอนนิ่งเหมือนไร้ชีวิตชีวา เขาก็ไม่ได้เพิกเฉยแต่อย่างใด ภูวนัยกำลังจะก้าวเข้าไปดูอาการของเด็กน้อยที่คงขวัญผวา แต่เผอิญว่าพรีมกลับโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง


“นายไม่ได้หอบเด็กคนนี้มากินเลือดไม่แบ่งใครอย่างเดียวใช่ไหม ไพร์ม!” 


“พอได้แล้ว”


“หรือนายจงใจจับเด็กคนนี้ทดลองยาที่ว่ากัน หึ! มิน่าล่ะ ถึงเลี้ยงแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนาดนี้ ปล่อยฉันสิ!” ผู้ก่อเหตุนั้นสาธยายความมายาวเหยียด และแต่ละคำตอกย้ำความรู้สึกกันมากมาย ฉันชนกนั้นรู้สึกเหมือนโลกของตัวเองหมุนคว้างตอนที่ตีความหมายของประโยคเหล่านั้นได้ และไม่นานจากนั้น


โลกทั้งใบก็เหมือนถล่มลงตรงหน้า


“คุณฉัน”


นี่มันอะไรกัน


“ผมขออธิบายได้ไหม”  มาอธิบายอะไรตอนนี้


ไม่รอตอนที่ทำให้ฉันตายไปก่อนหรือไง!


“ฉันอยากกลับบ้าน”


“…”


“ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะ”


“แต่ข้างนอก”


“เดี๋ยวฉันให้พี่สนมารับก็ได้”


“…”


“ไม่ได้เหรอ?” น้ำเสียงเว้าวอนนั้นเหมือนจะดับสิ้นซึ่งความหวังในการง้องอนหรือการอธิบายจากเขา ภูวนัยนิ่งไปครู่ใหญ่ ต่อให้เขาอยากให้ฉันชนกรั้งรออยู่ที่นี่แค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และเขาก็รู้สึกผิดนักที่เลินเล่อจนปล่อยให้พรีมเข้าถึงตัวฉันแบบนี้ เขามันไม่ชัดเจนเอง และวันนี้คงไม่ได้โอกาสในการทำให้มันชัดเจนอีกแล้ว


นอกเหนือจากความผิดต่อสิ่งที่ปิดบัง ยังมีความผิดเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ เขาเฝ้าบอกฉันเสมอว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย และทำไมถึงปล่อยให้ภายในเกิดเรื่องเช่นนี้ ภาพของแวมไพร์ตัวน้อยที่อยู่ใต้ร่างของพรีมที่กำลังคุกคามกันนั้นเล่นย้อนซ้ำๆ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าผู้ถูกกระทำจะขวัญหนีดีฝ่อถึงเพียงไหน ต่อให้เอาแต่ใจกว่านี้ ก็ไม่อาจจะมีแรงรั้งได้แล้ว ไพร์มนั้นเต็มไปด้วยความผิดพลาดมากมายเกินอภัยภายในวันเดียว


แต่เขาไม่ต้องการให้หมาป่าตนนั้นเป็นคนหยิบยื่นเกราะกำบังให้กับแวมไพร์ตัวน้อยผู้นี้เลย ภูวนัยนั้นหันไปสั่งบางอย่างกับลูกน้องเพื่ออำนวยความสะดวกให้ เขาแทบไม่หันกลับมามองหน้าของฉันชนก จริงๆแล้วหัวใจของเขามันเหมือนจะเต้นหน่วงตั้งแต่เข้ามา และเมื่อได้ยินชื่อของสนธยาเขาก็แทบจะอยากกระชากใครสักคนมาปิดปาก


“เดี๋ยวผมให้คนไปส่งนะ”  เขาพูดกับฉันไปเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้มแบบที่มี ไม่ได้เข้าใกล้เพราะกลัวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้


“ขอบคุณครับ” ทว่าก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่าฉันนั้นรู้สึกเช่นไรตอนที่รับทราบว่าใครบางคนกำลังหวังอะไรจากกัน


หากเด็กคนนี้จะโวยวายสักนิดว่าเขากำลังหลอกลวง บางทีไพร์มอาจจะใช้โอกาสนี้อธิบาย แต่ฉันนิ่ง ทำทุกอย่างที่ไม่ปกติให้ดูปกติ เช่นนี้แล้วเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าดึงดันพูดไป แล้วจะมีใครฟังกันหรือเปล่า หรือว่าเขาควรจะลองถามดู


“ผมขอคุยด้วยก่อนได้ไหม”


“….”


“นะครับคุณฉัน”


“ฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมฟัง”


“คุณฉัน….”


“ตอนนี้ฉันโกรธคุณไพรม์มาก แต่ก็อีกใจหนึ่งก็ค้านว่าคุณไพร์มไม่ผิดๆ”  โถ…เด็กน้อย  “ให้ฉันกลับไปนอนบ้านนะ แล้วเดี๋ยวถ้าฉันพร้อมเมื่อไหร่”


“คุณฉันจะมาฟังผมใช่ไหมครับ”


“อืม…ฉันคิดว่า”


“ผมคง…ยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม”  โอกาสอะไรกันที่เขาจะร้องขอ ในเมื่อวันนี้ถูกดิสเครดิตไปแบบนั้นยังคาดหวังอะไรได้อีก


“อย่าเพิ่งตามตอนนี้ได้ไหม”


“….”


“ฉันโกรธคุณไพร์มมากๆ มากจนอยากเดินไปกัดคอ แต่นึกขึ้นได้ว่าทำแบบนี้คุณไพร์มจะได้ใจ ฉันเลยจะ…ฮึ้ย ปล่อยฉันกลับบ้านก่อน!”  เขาจิตตก เขางุนงง และเขาเกือบจะขำขันให้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ เดิมทีภูวนัยก็ไม่ใช่คนใจดี แต่ลองเป็นคนใจร้ายที่ไหนได้มาเจอความเปราะบางแบบฟองสบู่สีสวยนี้ของฉันชนกไป เขาว่าถ้าไม่ปวดหัวก็ต้องมีตกหลุมรักเข้าแน่ๆ


ตก…หลุมรัก…เหรอ


- - - - - -
ฉันผิดหวัง
(._.)
- - - - - -


ก็ไม่รู้เทพเจ้านั้นเข้าข้างฉันชนกจริงๆหรือเปล่าที่ปล่อยให้กลับบ้านไปทั้งๆที่ยังหัวร้อน ฉันอาจจะดูขี้โวยวาย แต่ว่าพอเวลาที่ต้องโวยวายมันก็มักจะอึนๆเสียก่อนแบบนี้ ทำไปทำมาเลยนั่งเงียบขอกลับบ้านจนจวนเจียนจะบีบน้ำตาใส่ แต่สุดท้ายก็ระเบิดออกแบบบ๊องๆไป จนไม่มีอะไรน่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว!


ว่าแต่ที่ว่าทดลองยานั่นมันอะไรกัน ภาพของตนที่ถูกฉีดยาก่อนจะวิ่งไปรอบๆเหมือนแฮมสเตอร์ในกรงทำให้กลืนน้ำลายเอื๊อก หรือว่าเขากำลังอยากจะได้แวมไพร์มาฉีดสารซอมบี้ใส่ ไม่ได้นะ ฉันจะเป็นทั้งแวมไพร์และซอมบี้ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหดหู่ใจ จนรถออกตัวจากบ้านไปแล้วก็ยังสลัดตัวเองไม่ออกจากภวังค์นั้นๆ


ไม่ได้สิฉัน จริงๆแล้วเราต้องโกรธเพราะเขาหลอกเรามาขุนให้อ้วนและจับทดลองยาต่างหาก ฉันชนกมีดีอะไรเขาถึงจับกันมาแบบนี้ ถึงจะเกิดเรื่องร้ายๆจากผู้หญิงที่เข้ามาบีบคอกัน แต่ความหวาดกลัวตรงนั้นพลันหายวับเมื่อเรื่องราวบางอย่างถูกเปิดเผย ทว่าแทนที่จะซึมเศร้าแบบคนทั่วไป กลับกังวลใจถึงความหมายของคำว่าทดลองมากกว่า


น่าผิดหวังเสียจนตอนนี้ต้องสะกดจิตตัวเองว่าที่เกิดไปแล้วนั้นมันล้วนเลวร้ายไม่สมควรได้รับการอภัย จะได้โกรธภูวนัยได้แบบที่สมควร แต่ความพยายามนั้นล้มเหลว ช่างน่าท้อใจที่เกิดและโตมาได้ไร้สาระเกินอภัย จนไม่อาจจะโกรธใครแม้ตนดูมีแนวโน้มที่จะเป็นเหยื่อซึ่งถูกกระทำ


ฉันชนกย้อนหันไปมองด้านหลังที่ซึ่งบ้านหลังนั้นไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว คำอธิบายอะไรนั่น ฉันก็หวังอยากจะได้ยิน แต่ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็ท้วงกันว่ามันอาจจะอันตรายมากกว่าที่คาดไว้ก็เป็นได้ แต่คนแบบไพร์มนั้นเชื่อใจได้ใช่ไหม ถึงยังไงจากที่เราได้รู้จักกันมาสักพัก มันต้องมีบ้างนั่นแหละ


ที่ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา….


Talk:
สัญญาว่าพรุ่งนี้จะมาลงตอนต่อไป แน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่าน้องฉันอะไรนี่น้องไม่ค่อยดราม่าหรอก ชีวิตน้องคือไสยมาก บางทีพี่ไพร์มอาจจะคิดมากเกินไปเอง และพอจัดการกับปัญหานี้ของพี่ไพร์มได้ เราก็จะเปิดตัวคู่พี่สนแบบไม่สนใจใคร555
ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ เราจะพยายามมาช่วงกลางสัปดาห์ให้ได้บ่อยๆ
#คู่กินคู่กัด
@reallyuri

























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2019 15:27:51 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
9
- - - - - -
ฉันไม่ได้งอน
(-*-)
- - - - - -


หลังจากวันที่ได้กลับห้องสมใจอยาก
ฉันก็ไม่ได้เจอคุณไพร์มอีกเลย


“หิว”  แม้ว่าจะไปซื้อซอสถั่วเหลืองยี่ห้อนั้นมาไว้ติดห้อง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยชูรสให้ฉันชนกตามต้องการนัก คาดว่าถ้าไม่เพราะฉันทำอาหารได้ห่วย ก็คงเพราะร่างกายมันขาดเลือดมนุษย์เกินไป จึงทำให้รับรสได้น้อยลงแบบนี้ ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยชินชากับสภาพแบบนั้น แต่ว่าทำไมพอได้ลิ้มรสชาติที่แปลกใหม่ ใจมันก็ไม่หวนย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมอีกเลย


และเหมือนเดิม ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยโกรธใคร กับไพร์มที่น่าโกรธมากที่สุด ก็ไม่อาจจะทำใจให้โกรธได้ อาจจะเพราะใบหน้าของเขาที่แสดงออกว่าต้องการอธิบาย และแม้ตอนนั้นตนอยากจะพาตัวเองออกมาตั้งสติแค่ไหน แต่ลึกๆในใจก็พร้อมอยากจะฟัง ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนใจดีขนาดนั้น ทว่าโอกาสที่อยากจะหยิบยื่นให้


มันดันมีให้กับเขาก็เท่านั้นเอง…


แต่ฉันไม่กล้า แม้ว่าใจอยากจะเข้าหาแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น ตนก็ยังลังเลและหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย หากนี่เป็นอันตรายกับตัวเองขึ้นมาจริงๆ ความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็มีค่าเท่ากับชีวิต หากฉันนั้นตัวคนเดียวจะไม่เป็นไรเลย แต่เพราะครอบครัวที่สำคัญมากรู้เข้า พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร


“ไอ้ฉัน เหม่ออีกแล้วงานการนี่จะไปทำไหม”  พฤกษ์ที่เดินมาด้วยกันนั้นสังเกตเห็นหลายรอบแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ทัก เกิดอะไรขึ้นช่วงหยุดยาว ไอ้เด็กเด๋อนี่ไม่เคยสลดเป็นผักได้นานขนาดนี้


“พฤกษ์…ฉันอยากกลับบ้าน”


“ก็ลาดิ วันลาพักร้อนนี่ทะลุ40วันหรือยัง ลาไหม มึงไม่อยู่สักคนบริษัทก็ไม่ล่มจมนะเว้ย!”


“ฮื้ออออ แต่อยู่คนเดียวมันฟุ้งซ่าน”


“อยู่กับกู มึงก็ฟุ้งซ่านนะเอาดีๆ”


“ก็หน้าพฤกษ์มันขี้เหร่”


“เดี๋ยวกูยันตกตึก ไหนมันเป็นอะไรวะทำไมถึงซึมเป็นควายได้ขนาดนี้”


“…”


“อ้าว…ทีนี้ก็ไม่พูดอีก”


“เราว่าจะไปขอลางานศุกร์นี้และจันทร์หน้า”


“หะ!”


“ฝากงานด้วยนะ บัย!”  ไหนๆพฤกษ์ก็ชี้ทางสว่างที่ว่าฉันแทบไม่ได้ใช้วันลาจนเกรงว่าจะถูกตัดออกในปีนี้ แม้จะมีไม่ถึง 40 วันก็จริง แต่สิทธิ์ของฉัน ฉันต้องใช้!


ถึงไม่รู้ว่าหยุดแล้วจะได้ความสบายใจอะไรขึ้นมาหรือเปล่า แต่ฉันมีบ้านอยู่ และตอนนี้ตาแก่สองคนที่บ้านก็กลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คงพอจะมีเวลาให้ลูกที่น่ารักไปนอนออดอ้อนด้วยสักสองสามคืน เพราะเพิ่งหยุดยาวไป จึงทำให้ร่างกายเหมือนยังไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก


“อึก!”  ฉันที่เดินอย่างเหม่อลอยนั้นร้องออกมา เมื่อพบว่าใครบางคนได้เดินชนกันจนเกือบล้ม


“อะไรวะ”  พฤกษ์ที่เดินมาด้วยนั้นรับฉันเอาไว้ไม่งั้นคงได้ล้มจริงๆ ฉันไม่ค่อยได้กินข้าวช่วงนี้ น้ำหนักที่เคยมีเลยเหมือนจะค่อยๆหาย แต่จริงๆหากเอาตราชั่งมาวางไว้ เราก็จะได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือการคิดไปเอง


“คุณพลู”  พนักงานของอีกทีมหนึ่งที่เดินชนกันและไม่แม้แต่จะหันมามอง แน่นอนว่าคนๆนั้นไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนับวันเขาคนนั้นถึงแสดงออกว่าไม่ชอบขี้หน้ากันนัก แต่ก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ดลบันดาลให้เราไม่ต้องทำงานด้วยกัน ไม่เช่นนั้นคงอึดอัดแย่


“กูว่ามึงไปถามเขาไหมว่าทำไมนิสัยเลว”


“เขาคงถามกลับว่าทำไมเราถึงคบเพื่อนเลวๆเหมือนกัน เพราะงั้นปล่อยเขาไปเถอะ”  ฉันไม่ได้สนใจหรอก กับการที่คนๆนั้นจะหาเรื่องกันแบบนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้เลือดตกยางออก ฉันก็ขี้เกียจมานั่งสร้างเรื่องเพิ่มเติมให้ต้องมานั่งเรียนผูกเรียนแก้ เพราะที่ผูกไว้แล้ว…


ฉันยังหาทางแก้ไม่ได้เลย!


“อิจฉาคุณฉันจัง ลาหยุดได้ด้วย”  สาจ๋าที่วันนี้ลากกันมากินพาร์เฟต์ถึงพร้อมพงษ์นั้นบ่นไปพร้อมๆกับตักไอติมเข้าปาก มาคิดดูแล้วเพื่อนฝูงที่คบหาสนิทสนมในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่เลือดร้อนแบบพฤกษ์ ก็จะเอ๋อๆแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเคยพยายามแนะนำให้รู้จักกันแล้ว จบลงที่เปรี้ยง พฤกษ์แทบจะเอาหัวจุ่มใส่หม้อชาบู เพราะการมีฉันและสาในที่เดียวกัน บุคคลที่สามจะต้องปวดหัวมากๆ


“ตามกฎหมายป่ะสา บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะ”


“เราก็อยากลาบ้าง แต่วันลาปีนี้แทบไม่เหลือแล้ว”


“แล้วนี่มากินขนมไกลๆที่บ้านไม่ว่าเหรอ”


“เราโตแล้วนะ ให้อิสระกันบ้างเหอะ”  สารินก็มักจะบ่นเช่นนี้ และเป็นอย่างนั้นตามจริง ถ้าพวกเขาสิงเข้าไปในเงาของสาได้ เกรงว่าก็คงจะทำ และพวกเขาในที่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลย พอเลิกกับฉันก็ยิ่งออกตัวชัด


ว่าคนๆนั้นคิดอะไรกับน้องชายของตัวเอง….


“นี่เอาจริงๆ มากับฉันนี่พี่สนจะไม่ว่าเหรอ”


“พอเป็นเรื่องของฉัน พี่สนก็ไม่ว่าอะไรเลย บอกว่านั่งรถไฟฟ้าไปเองได้เลย”  พอไม่ใช่ฉัน เขามักจะไม่ให้ไปไหน อย่าว่าแต่เดินทางคนเดียวเลย ถ้าสิงได้คือสิงแล้ว


“แต่ว่าเขาก็จะอยู่รอรับใช่ไหม”


“ใช่ บอกว่าจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้า”  และก็บอกว่าต้องรับสายเขาตลอดเวลา มันจะอะไรนักหนา หวงมากหวงมายราวกับว่าเป็นคนสำคัญ ใช่ก็สำคัญแหละ


แต่ความสำคัญแบบนั้น สาเหมือนจะไม่ได้ต้องการ!


“ก็ลองเปิดใจดูไหม บางทีอะไรๆก็อาจจะไม่แย่หรอก”


“…”


“แบบใครจะไปรู้อะเนอะ โลกนี้อาจจะมีแวมไพร์ หมาป่า แถมตอนนี้คนรักเพศเดียวกันก็มีมากมาย” แต่คำว่าพี่น้องรักกัน ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ ถึงฉันเป็นลูกคนเดียว แต่แค่จินตนาการว่ากับพี่ชาย….ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะปิดกั้นเหมือนกันกับสารินหรือไม่


“เราไม่ได้เป็นสองอย่างแรกแบบที่ฉันพูดมาหรอกนะ” อ้าว… “เป็นสักอย่างหนึ่งก็ยังดีไม่น่าเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ” แล้วสาริน…


เป็นตัวอะไรกัน?!

- - - - - -
หรือนังคุณไพร์มมันโกหกฉัน
ヽ(#`Д´)ノ
- - - - - -


วันนี้…ทางเราจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว


หลังจากเป็นคนโทรไปหาสนธยาเองว่าไม่ต้องรอรับน้องกลับ ฉันชนกที่ประพฤติตัวไม่ต่างไปจากแม่ของสารินนั้นก็แทบจะอุ้มลูกกลับคอนโดตัวเอง มันใช้ได้ที่ไหนที่พูดให้อยากและจากไป แม้บางทีที่สาพูดออกไป จะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ตาม


คงเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อเนื่องมาจากไพร์มแน่ๆที่ทำให้ฉันอยากจะขุดทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ในทันทีแบบนี้


“สาไม่ได้เป็นหมาป่า”


“อื้อ”


“แม้ว่าสาจะเหมือนหมามากอ่ะนะ”  ว่าแล้วฉันก็หัวเราะกลบเกลื่อน นั่นสิ ใครจะเป็นหมาป่า บางทีที่ว่าฉันเป็นแวมไพร์ก็อาจจะเป็นเรื่องโกหกก็เป็นได้ แต่ถ้าอย่างนั้นภูวนัยคนนั้นก็หลอกลวงกันมากเกินไปแล้ว!


“เราไม่ใช่หมาป่า ไม่ใช่หมา และไม่ใช่แวมไพร์เหมือนฉันด้วย”


“ใครเป็นแวมไพร์!”


“…”  แววตาเย็นชาเพียงวูบหนึ่งของสานั้นเหมือนกับว่าที่ฉันโวยวายไปคือเรื่องงี่เง่า มันบ้าบอเกินไปแล้ว คนอย่างสาจ๋าจะมารู้ได้ไงว่าฉันเป็นแวมไพร์  ฉันยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ!  “พี่สนบอก ว่ามีแวมไพร์มาจีบ และสาก็ได้เจอฉัน”


“อ๋อ เหรอ”  ฉันชนกหัวเราะได้ฝืดเคือง ไม่ใช่ว่าสาที่รู้ แต่เป็นพี่สนที่บอก มันดูเมคเซนส์ขึ้นมาหน่อย แต่ว่าถ้าผู้ชายคนนั้นรู้ นั่นเท่ากับว่าเขา…อาจจะคิดไม่บริสุทธิ์ใจ


“ว่าแต่หมาป่ากับแวมไพร์นี่” 


“ไม่ถูกกัน พี่สนเคยพูดว่าฉันนั้นเป็นแวมไพร์ที่ถ้าไม่โง่มากก็บ้ามากที่มาจีบเขา”  โหหหห พูดงี้ก็ขึ้นดิครับ


“แล้วไอ้ชั่วนั่นก็อ่อยกลับนี่นะ มันจะมากไปแล้ว!”  งานนี้ต้องมีคนเลือดออกแล้วล่ะ นี่แวมไพร์นะ แวมไพร์ที่อันตรายๆไง


“แต่พี่สนเขาชอบฉันจริงๆนะ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นอ่ะ”  ทางนี้ก็อวยไส้แตกแหกฉีก มาถึงจุดนี้หากทำให้ฉันเย็นลงได้ ก็มีแค่คุณไพร์มแล้วแหละ


นั้นไงเอะอะนะคนเรา!


“แล้วถ้าพี่สนเป็นหมาป่า แล้วทำไมสาถึงบอกว่าตัวเองไม่หมา!”


“เราจะหมาได้ไง เราไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเขา”


“หะ!?”  งงในงง ที่เราคิดว่าเขามีความสัมพันธ์ผิดบาปมาตลอด คือจริงเขาไม่ได้คลานตามกันมาเหรอ ฉันงงได้ไหม เรียกคุณไพร์มมาอธิบายให้เข้าใจที


นี่ก็เลิกเอะอะได้แล้ว!


“เราถูกซื้อตัวมาอีกทีน่ะ”


“ซื้อ…เดี๋ยว! จากแวมไพร์ไปหมา ตอนนี้มาขบวนการค้ามนุษย์แล้วเหรอ?!”  บางทีฉันอาจจะต้องการคนที่อธิบายอะไรเก่งแบบคุณไพร์มจริงๆก็ได้ อันนี้ไม่ใช่เพราะคิดถึง แต่เพราะไม่เข้าใจ


“แม่เราขายเรามาอ่ะ จะเรียกว่าขบวนการค้ามนุษย์ก็ได้”  เป็นทั้งแม่คนและแม้ค้ามนุษย์ อย่างนี้มันแย่เกินไปแล้ว ว่าแต่คนที่เผชิญเรื่องราวเหล่านั้นและทำตัวเด๋อๆอารมณ์ดีได้แบบนี้ ฉันเริ่มไม่เข้าใจสาจริงๆแล้วสิ แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกันนี่ อย่างน้อยฉันก็คิดเช่นนั้น และเพราะเป็นเพื่อนกัน…จึงมีหน้าที่เชื่อใจเท่านั้นใช่ไหม?


“สา…เราขอโทษนะที่ไม่เคยเข้าใจเลย”


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก บ้านของพี่สนเขาดูแลเราดีกว่าแม่แท้ๆเราแหละ แต่ว่ามันก็มีอะไรต้องแลกเปลี่ยนกันบ้างนิดหน่อย”


“แลกเปลี่ยน?”


“ก็นะ….บนโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับแวมไพร์นี่เนอะ”  สารินยิ้ม แต่มันดูเศร้าและเหมือนจะไม่ใช่ตัวตนที่ใครคุ้นเคย “แม้แต่ผู้ชายที่ท้องได้ก็มีบัตรผ่านได้อาศัยอยู่บนโลกในซอกหลืบเหมือนกันนะ”  คำพูดจากคนที่ฉันคิดว่าดูสดใสยิ่งกว่าตนเอง ในวันนี้…ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ผ่านมามันเป็นความจริงกี่ส่วน


ฉันชนกค่อยๆเงยหน้าขึ้น แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ใช่ท้องฟ้าหากแต่เป็นหลอดไฟ ทว่าในเวิ้งความคิดอันกว้างไกลของตนนั้น มีเรื่องราวมากมายที่ได้ประสบพบพา จนถึงปัจจุบันที่ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ตนต้องเรียนรู้ แต่หลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นได้อีก เราจะรับมือมันไหวไหม


“เราไม่เป็นไร”  แต่เสียงที่ดูสดใสนั้นเรียกกันให้หันกลับไปมอง เพียงสารินที่ได้เปิดเผยความจริงในใจค้นพบได้ว่ามีใครบางคนที่ยอมรับและห่วงใยกัน เท่านี้ก็พอใจแล้ว และรอยยิ้มง่ายๆที่ไม่ได้มีค่าต้องจ่ายอะไรก็เรียกความสบายใจให้ฉัน เราจะมองโลกไปในแง่ดีด้วยกัน แม้คนทั้งโลกจะบอกว่านี่คือการหลอกตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ก็ตาม


ในตอนเช้าที่ฉันจะไปทำงาน ทางบ้านของสาก็ส่งราชรถมาเกย ทว่าฉันก็ไม่แน่ใจว่าราชรถที่ว่าคือถูกสั่งให้ส่งมา หรือจงใจส่งมากันแน่ แม้ว่าสารินจะเกริ่นๆออกมาแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ระบุอะไรว่าผู้ชายที่ท้องได้นั้นคือเจ้าตัวเอง แต่พูดมาซะขนาดนี้แล้วจะมาบอกว่าไม่ใช่ ฉันก็จะตะโกนแสกหน้าและด่าว่าให้เอาน้ำตาที่เสียไปคืนมา


การที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับการยอมรับนั้นมันหน้าเศร้าใจ แม้ว่าแวมไพร์นั้นจะถูกยอมรับหรือไม่ตนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เพื่อนพูดสั้นๆก็ทำให้คิดได้เองว่าพวกเขาต้องลำบากกันมากมาย ทว่าฉันในตอนนี้ช่วยใครไม่ได้ เพราะตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเท่าไหร่เลย


“อยากกินข้าวยำบิบิมบับ”  แต่การกินที่ไม่รู้รสก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการกินข้าวเปล่าเลย อาจจะเพราะเลือดที่ดื่มไปทั้งหมดช่วงหยุดยาวนั้นย่อยหมดแล้ว(?) ฉันชนกจึงทั้งเศร้าและอยากอาหารไปพร้อมๆกัน


หรือว่าจะกลับบ้านไปให้ป๊ะทำกับข้าวโดยใช้เครื่องปรุงยี่ห้อนั้นดี แม้มันจะไม่อร่อยเท่าที่คนๆนั้นทำให้ แต่ว่าก็ดีกว่าไม่ได้กินอะไรและเครียดกับเรื่องคนอื่นไปแบบนี้ ฉันชนกที่วนกลับมาใช้ชีวิตโหนรถไฟฟ้าไปทำงานและกลับมาโหนรถไฟฟ้ากลับบ้านนั้นนึกเบื่อหน่าย ไหนใครกันที่ขยันอยากจะออกมาทำงานตอนหยุดยาว


“อะ! ขอโทษครับ”  วันนี้รถไฟฟ้าคนแน่นกว่าทุกวัน และเพราะเอาแต่เหม่อเลยโดนคนที่ต้องลงสถานีนี้เบียดจนเดินเซไปเหยียบเท้าใครอีกคน ฉันเอ่ยขอโทษออกมาและคิดว่าตนควรเงยหน้าขึ้นไปจ้องตา เพื่อแสดงถึงความจริงใจ


“ไม่เป็นไรครับ”  และเขาก็ไม่ได้โกรธทั้งๆที่ฉันซุ่มซ่ามไปตั้งเท่าไหร่ จริงๆเรื่องที่เคยติดค้างกันไว้ไม่สามารถทำให้เขาแสดงความไม่พอใจกับอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆนี้ได้ อันที่จริงเขาควรจะดีใจที่ในที่สุดคนบางคนที่เอาแต่เหม่อลอยก็ได้รู้สักที


“คุณไพร์ม…” ว่าคนๆนี้เฝ้ามองและรอคอยอยู่ ไม่ใช่แค่สักพักหนึ่ง


แต่เป็นอาทิตย์มาแล้วหลังจากที่ปล่อยให้จากกันทั้งๆที่ไม่เข้าใจ


“ผมรอคุณฉันมาง้ออยู่นะ”  ง้ออะไร คนที่ควรจะงอนนี่มันยืนอยู่ตรงนี้ไหม ฉันชนกชักสีหน้าแต่เหมือนจะไม่สำเร็จเท่าไหร่จึงแก้เก้อด้วยการจัดรอยยิ้มให้ไป ก็หลายวันแล้วนะที่ไม่ได้เจอทั้งๆที่เอะอะนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง


ในที่สุดก็ได้เจอเสียที


- - - - - -
คุณไพร์ม…ทำข้าวให้กินหน่อยสิ
(._.)
- - - - - -

“ต้องซื้อของสดเข้าไปครับ ในตู้เย็นมันเน่าหมดแล้ว”  ไพร์มพูด โดยที่อีกคนไม่ได้เอ่ยขออะไรแต่เขาก็เห็นถึงลิ้นไก่ตอนยิ้มกว้างให้กันแล้ว ช่างเป็นความไม่บังเอิญที่โชคดีเสียจริงๆ


จะว่าเพราะไพร์มนั้นเสียดายของในตู้เย็นจนอยากแก้มือเลยมาดักรอพบก็ไม่ใช่ แต่ก็ยอมรับว่าเขาก็ขยันเอาของไปใส่เตรียมไว้เพื่อว่าใครบางคนจะกลับมาหากันอย่างที่บอก แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มาจนเกือบคิดไปว่าที่พูดบอกให้สบายใจ คือคำลวงที่จะทำให้หลุดพ้นจากอุ้งมือมาร


เขานี่นะเป็นมาร แค่กักขังหน่วงเหนี่ยวนิดหน่อย ไม่ชั่วร้ายถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง


ภูวนัยรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของฉันชนกดีเพราะเขาให้คนติดตามตลอด ก็พอรับรู้ว่ามีเหม่อลอยบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเหม่อลอยขนาดที่โดนชนจนกระเด็นแบบนี้ น่าห่วงเกินไป เก่งนักเรื่องที่ทำให้ต้องคอยห่วง ดูแลตัวเองดีๆยังทำไม่ได้เลย แล้วยังมีหน้ามาปีกกล้าขาแข็งขอกลับบ้านไปทำงานอีกนะคนเรา


“ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าจะไปกิน”


“ไม่กินก็ไม่กินครับ งั้นเราไม่ต้องทำอะไร”


“ได้ไงอ่ะ!”  นั่นไง ผิดจากที่คิดที่ไหน 


สุดท้ายแล้วคนขี้โวยวายก็เป็นฝ่ายต้องเดินตามเขามาในซุปเปอร์ ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ใช่ว่าเขาบังคับมาเสียที่ไหน ที่เดินตามหลังนั้นไม่ใช่อะไร เพราะมันสะดวกที่จะผลักให้เขาเดินไป และควบคุมกันไว้ ไม่ให้แอบวิ่งหนีกัน งานนี้ฉันต้องได้กินเท่านั้น เขาเห็นแววตามุ่งมั่นประมาณนี้


และเจ้าตัวก็เหมือนจะคิดมาแล้วว่าอยากกินอะไรด้วย เพราะพอเขาถามว่าจะให้ทำอะไร บิบิมบับก็ออกมาจากปากอย่างไวเหมือนไม่ได้คิดตอนนี้เลย ไพร์มรับคำเหล่านั้น หยิบจับวัตถุดิบใส่ตะกร้า เดินมาชำระเงินเสมือนจำยอม


เพราะเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำเสร็จง่ายๆจึงใช้เวลาอยู่พอสมควร และสมกับเป็นคนที่รู้ว่าถือแต้มต่อ ทั้งที่ปกติต้องโวยวายเรื่องที่เขาจ่ายเงินแล้ว แต่คราวนี้แม้แต่จะช่วย ก็ยังไม่เห็นจะเดินเข้ามาใกล้ครัวสักนิด สมกับเป็นแวมไพร์…เรื่องต่อรองทางธุรกิจของให้ไว้ใจได้จริงๆ


“ให้ผมคลุกให้เลยไหมครับ”


“รบกวนด้วยครับ” น่าหยิกให้เนื้อที่แก้มเกือบกลมหลุดติดมือมาจริงๆ


 “งั้นเดี๋ยวป้อนให้เลยไหมครับ”


“เป็นแวมไพร์ครับไม่ได้เป็นง่อย ทำเองได้นะ”  เถียงเก่ง ไม่เจอกันไม่กี่วัน เป็นฉันชนกที่อัพเลเวลความปากจัดมาแล้วด้วย 


ใช่เวลาไม่นาน แวมไพร์ที่เหมือนไม่ได้กินอาหารจริงๆมานานก็จัดการบิบิมบับคลุกแล้วนั่นจนหมด โชคดีที่เขากินมาแล้ว ไม่งั้นคิดว่าคงกินไม่ทันกันเป็นแน่ เขาเลื่อนแก้วน้ำไปให้ เด็กดีก็รับมาดื่มกินอย่างกระหาย วันนี้ดูเจริญอาหารกว่าทุกวันจริงๆ


น่าคิดว่าต่อแต่นี้พอกินอะไรไม่รู้รสก็จะนึกถึงเขา ว่าแล้วภูวนัยก็นึกภูมิใจในตนเองตรงข้อนี้เหมือนกัน


“อา…รสชาติพอกินได้นะ” 


“เดี๋ยวเถอะ”  ดูพูดเข้า ที่กินไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวนี่มันพอกินได้จริงๆเหรอคนเรา ในวินาทีนี้เขาคิดจะไปดึงแก้มจอมตะกละแล้วจริงๆ


รอยยิ้มแสบๆนั้นทำให้เขายิ้มตาม อย่างน้อยสำหรับเขาฉันชนกก็ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะหุบยิ้มและทำหน้าเรียบร้อยให้กัน


“ผมรอคำอธิบายของคุณไพร์มอยู่ครับ พร้อมแล้ว”  และตอนนี้หัวใจที่เคยเต้นระรัวก็สงบลงอย่างแปลกประหลาด ไพร์มที่นึกคิดมานานว่าเขาควรจะอธิบายอย่างไรดีก็ได้พูดออกไปอย่างลื่นไหล


จากที่เคยอธิบายให้ฉันชนกได้รู้ไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ หากตัดเรื่องธุรกิจออกไป สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวิจัยนั้นก็ถือว่าเป็นความพยายามในการตัดขาดความสัมพันธ์ ด้วยหมายจะพึ่งพาตนเองให้ได้มากขึ้น ฉันชนกฟังอย่างนิ่งสงบและพยายามคิดตาม


เพราะในอดีตที่ตกลงกันไม่ได้ระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ สภาพของพวกเราสองเผ่าพันธุ์นับว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนัก แม้ในปัจจุบันจะดีขึ้นแต่ความพยายามที่จะขาดออกจากกันก็มีอยู่เป็นระลอก ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเกลียดชังเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะความไม่แน่นอนของหลายๆเผ่าพันธุ์เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องคิดหาทางเพื่อความอยู่รอด


หากวันหนึ่งแวมไพร์สูญพันธุ์ไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆมันก็อันตรายเกินไปกับมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์ เราจะกลายเป็นสองเผ่าพันธุ์บนโลกที่ดับสูญในเวลาใกล้เคียงกัน และก่อนที่เหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้น ต้องมีใครสักคนทำอะไรสักอย่าง


“คุณไพร์มกำลังจะบอกว่าตัวเองทำเพื่อเผ่าพันธุ์เหรอครับ”  ดวงตาของฉันชนกเป็นประกาย


“ทำเพื่อเงินด้วยส่วนหนึ่งครับ ถ้ามีมนุษย์คนอื่นมาดีลกับคุณฉันให้มาบอกผมนะ”  ก็ต้องยอมรับว่าโลกที่เราอยู่แม้ว่ามนุษย์แบบพวกเขาจะไม่ได้มีเต็มโลก แต่ก็ใช่ว่าจะน้อยขนาดที่ไม่มีคู่แข่งทางธุรกิจ และคนที่คิดว่าปัญหานี้อาจจะสร้างโอกาสได้ก็ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะเจ้าของส่วนแบ่งทางการตลาดของเผ่าพันธุ์ที่เยอะที่สุด ก็ต้องพยายามตัดโอกาสคู่แข่งเป็นธรรมดา


“เกือบจะซึ้งแล้วเชียว”


“งั้นย้อนเทปกลับไปไหมครับ ใช่…ไพร์มทำเพื่อยับยั้งปัญหาการสูญพันธุ์”


“ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม”


“แต่การตัดสินใจของคุณฉันอาจจะช่วยให้มันทันได้นะครับ”


“….”


“ถ้าพวกผมเดินเข้าไปบอกแวมไพร์ที่รู้จักกัน แน่นอนว่าต้องได้ตีกันแน่ๆ”


“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน”


“เพราะฉันไม่รู้จักแวมไพร์พวกนั้น เลยฟ้องใครไม่ได้ว่าโดนผมเอาของกินมาหลอกอยู่”  ซึ่งนั่นคือความจริงที่…ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอม


“ถึงฉันจะฟ้องใครไม่ได้ แต่ฉันก็มีพ่อมีแม่นะ”  เรื่องนี้มันดูมีเลศนัยและเป็นเรื่องที่เหมือนจะใหญ่เกินตัวไป คงไม่มีใครเคยคิดว่าคนธรรมดาหนึ่งคนจะสามารถเป็นคนพิเศษคนหนึ่งที่สำคัญกับความเป็นอยู่ของเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าฉันที่เติบโตมาอย่างไร้สาระย่อมไม่เคยคิดอยู่แล้ว


ตอนนี้จึงยังตอบรับไม่ได้


“ถ้าคุณฉันอยากรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หรือว่าถ้าไม่อยากทำอะไรตรงไหนก็บอกได้นะ ผมไม่บังคับ”  จริงๆจะบังคับก็ได้ แต่เขาไม่อยากทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี ไพร์มทะนุถนอมเด็กคนนี้มากกว่าที่ใครจะคิดไว้นัก เพราะแม้แต่เขาก็ยังแปลกใจในความรู้สึกของตัวเอง


ช่วงที่ไม่ได้เจอเขาก็กระวนกระวาย กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้โอกาสกันจริงๆเหมือนที่กล่าวไว้ ในตอนนั้นไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกคาดหวังในตัวกันมากกว่าใคร หากเป็นคนอื่นเขามั่นใจว่าคงจะปล่อยไปแล้วหาเหยื่อรายใหม่มาใช้แทน เพราะฉันพิเศษเหรอเขาถึงอยากได้ตัวขนาดนี้ ทว่าเฝ้าถามตัวเองเท่าไหร่ เหตุผลที่ได้….ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ


“ทำไมต้องเป็นฉัน”


“เพราะฉันมีคนเดียว”


“หมายความว่าฉันคนเดียวที่ช่วยคุณไพร์มได้นะเหรอ” 


“ครับ” ไม่ใช่…บนโลกนี้อาจจะมีคนอื่นคนใดที่ช่วยเขาค้นคว้าหาหนทางพัฒนาการแก้ปัญหานั้นได้ แต่คนๆนั้นไม่ใช่ฉัน และต้องเป็นฉันเท่านั้นที่เติมเต็มบางสิ่งที่เขาอธิบายไม่ออกบอกไม่ถูก


“มีแค่ฉันจริงๆเหรอ คุณไพร์มได้หาคนอื่นหรือยัง”


“มีแค่ฉันจริงๆครับ”  เขาตัดโอกาสตัวเองในการหาคนอื่น ไม่ใช่ว่าทรัพยากรหรือต้นทุนมีไม่พอ แต่เขาแค่ต้องการแค่ฉันคนนี้เท่านั้น


“….”


“ผมต้องการแค่ฉันคนเดียว”  แต่ฉันไม่แน่ใจเลย เส้นทางนี้มันลึกลับเกินไป ทว่าอีกส่วนหนึ่งของจิตใจก็บอกว่าในความมืดที่อาจจะมองไม่เห็นทาง ยังมีคนที่เชี่ยวชาญพร้อมจะจับมือเดินพาไป ฉันจะได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้ และฉันจะได้เข้าใจในสิ่งที่ตนสนใจ


แต่ฉันก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี


“ฉันหิว”  งั้นไม่คิดมันแล้ว!


“เพิ่งกินไปนะครับ?”


“ไม่ได้หิวอย่างนั้น”  แล้วมันหิวยังไง  “ฉัน…แค่อยาก”  เพราะมันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว


“….”  เขาที่ไม่เข้าใจในตอนแรกเริ่มสนใจความต้องการที่ว่า เมื่อดวงตากลมใสนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง หัวใจของเขาก็เต้นระรัว มันเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกระคนยินดี


“ให้ฉัน…ดื่มเลือดคุณไพร์ม…ได้ไหม”  ในระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้เช่นนี้


ช่วยลองเปิดโอกาสให้ฉันได้อยู่ใกล้ได้ไหม
ไม่แน่ฉันอาจจะสนใจ…ก็ได้นะ





 Talk:
ตอนหน้าเปิดตัวสนสาแล้ว พี่ชายไม่สนิทแถมคิดไม่ซื่อต้องมา ตอนหน้าเราจะเริ่มพาย้อนอดีตไปดูว่าฉันกับสาเป็นเพื่อนกันได้ไง ตอนแต่งไปเราแอบไม่อยากยกสาให้พี่สนเหมือนกัน เพราะฉันสามันได้ว่ะ เออ555
#คู่กินคู่กัด
Twitter @reallyuri





























ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ฉันน่ารักเกินไปแล้ว โกรธจนอยากจะกัดคอแต่กลัวพี่ได้ใจ55555 พี่ไพร์มอธิบายน้องด้วยนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตัวละครทุกตัวนี่แฟนตาซีมากจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สาจ๋าเป็นโอเมก้าหรอ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
10
- - - - - -
ฉันไม่ได้ตะกละ
(-_-)
- - - - - -

เราสองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้น และฉันก็ตื่นเต้นมาก
หรือว่า…จะไม่ได้นะ


“คุณฉันอยากเหรอครับ”  เขาถาม เป็นครั้งแรกที่ฉันชนกร้องขอ และเพราะว่าเขานิ่งนานไป แววตานักล่าที่ควรระวังภัยเลยกลับกลายมาเป็นสีน้ำตาลอีกครั้ง


“อื้อ”  เด็กดี นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะพูด ทว่ามือที่ไวกว่าก็ได้ประคองใบหน้าเล็กให้แหงนมองกัน ด้วยความเผลอไผล นิ้วหัวแม่งโป้งของมือขวานั้นก็บดขยี้เรียวปากอิ่มสีแดงจนนึกอยากทำให้ช้ำ เขายังจำภาพที่ฉันผละออกมาจากลำคอของเขาได้ และก็หลงใหลริมฝีปากสีสดที่ยิ่งดูเอิบอิ่มเต่งตึงขึ้นมา


“ไหนขอดูฟันหน่อยสิครับ”  เขาค่อยขยับมุมปากของอีกฝ่ายด้วยปลายนิ้ว ซึ่งก็ได้ความร่วมมือกลับอย่างน่ารัก เขี้ยวงอกแล้ว เป็นเขี้ยวที่น่ารักจริงๆ  “ค่อยๆดูดอย่ารีบมากนะครับ เดี๋ยวจะเป็นลม”  เขาบอกห้าม แต่ในคำอนุญาตก็แทรกความห่วงใยเข้าไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพลันกลับเป็นสีม่วงอีกครั้ง และร่างบางก็คลี่ยิ้มดีใจ ทุกอย่างเกิดอย่างเชื่องช้าจนคนบางคนคิดว่าไม่ได้การเสียแล้ว


ในฐานะคนถูกกินต้องรีบร้อนหน่อย


“อ๊ะ!คุณไพร์ม”  เขาดึงฉันมากอดแนบชิดลำตัวไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาอยากแสดงออกถึงความสบายใจที่อยู่ในรูปแบบของอาการดีใจ


“ถ้าคุณฉันต้องการเมื่อไหร่ให้บอกผมได้เลย” เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้หัวใจของแวมไพร์เหมือนจะสั่นไหว ทว่าเมื่อเขาค่อยๆก้มหน้าลงมาให้


ฉันชนกก็รับรู้ว่าตนควรจะต้องทำอะไรต่อไป


คมเขี้ยวเล็กๆที่เขาบอกว่าน่ารักนั้นงอกยาวออกมา มันค่อยๆฝังตัวลงบนลำคอของร่างที่แนบชิด เขาคือชายหนุ่มร่างสูงสุขภาพดี กลิ่นกายที่ผสมกับกลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดนั้นช่างเป็นส่วนผสมที่พอดิบพอดี สร้างเสน่ห์ที่ยิ่งกว่าเย้ายวนทว่าติดตรึงใจให้หวนนึกถึง ไม่รู้เพราะการเป็นแวมไพร์ทำให้ฉันเซนซิทีฟกว่ามนุษย์ทั่วไปหรือไม่ ทว่าเมื่อได้โผเข้าใกล้เจ้าของกลิ่นนี้แล้ว


ร่างกายก็เหมือนได้จมอยู่ในกองหมอนที่บ้าน สร้างความสบายใจและสุขใจจนมิอาจจะบรรยาย

“อืม”  เสียงครางทุ้มจากคนที่ซึ่งกำลังถูกกระทำนั้นบ่งบอกว่าเขาก็พอใจเป็นอย่างมาก กลิ่นคาวเลือดที่ผสมกับกลิ่นของแวมไพร์ยามกระหายทำให้เขารู้สึกดี ไพร์มต้องการให้ฉันได้รับมันไปมากกว่านี้ แต่ก็ต้องดึงตัวเองกลับมาให้ไว เขาไม่อาจจะปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นไข้แบบนั้นได้อีกแล้ว


“ฉันยังได้อยู่” ทว่าคนตัวเล็กที่ถูกเรียกหากลับผละมาบอก หากเจ้าตัวคิดเช่นนี้เขาก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว


เราสองคนเหมือนจะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดให้ลงมานั่งบนโซฟาทั้งๆที่ร่างกายยังแนบชิด ฉันที่นั่งคร่อมเขาอยู่ฝังคมเขี้ยวลงบนลำคออีกครั้งและดูดเอาทุกหยาดหยดจากภายในที่ตนเพิ่งคุ้นเคยและค้นพบว่ารสชาติของมันชักลึกล้ำ ฉันหลงรักของเหลวที่เรียกว่าเลือดเสียแล้ว และดูเหมือนจะมีแค่เลือดของเขาคนนี้เท่านั้น


“ไม่ได้แล้วครับ มันนานแล้วนะ”  เขาเอ่ยทักก่อนจะผละตัวเองออกมาจากเจ้าเขี้ยวเล็กๆนั่น ก่อนจะยอมให้ร่างกายตัวเองเป็นที่พักพิงอีกครั้ง เพราะบางคนดื่มเลือดเยอะไปจนแทบไม่เหลือแรง


“ฮื้อออ”  เป็นเช่นนี้จริงๆ ดื่มมากไปจนร่างกายรับไม่ไหว ฉันชนกนั้นซุกใบหน้าบนไหล่ของเขาทั้งๆที่ร่างของเรายังคงตระกองกอดกันบนโซฟา สัมผัสที่วาบหวามเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ก่อนที่ฉันจะค่อยๆหลับตาลงด้วยต้องการพักฟื้นและปรับสภาพร่างกาย


“คนดี”  ตอนนี้ฉันชนกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กเล็กๆคนหนึ่ง คนที่โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนี้ และหลับลงไปอย่างที่คิดว่าไม่ต้องมีฝันดีอะไรอีกต่อไปแล้ว


เพราะที่ได้รับอยู่นี้ยิ่งกว่าฝันดีใดๆที่เคยฝันมา


ฉันตื่นขึ้นมาในตอนเกือบเช้าของอีกวัน และในห้องที่รู้กันว่าเป็นของใคร แต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นไข้หวัดให้ต้องลำบากใคร พอจะลุกขึ้นมาได้ ก็หมายจะกลับห้องนอนทว่าใครบางคนก็พลิกตัวมาหา ที่ข้างๆ ไพร์มตื่นขึ้นมาพอดีและจับได้คาหนังคาเขาว่าใครกำลังจะหนีไป


“นอนต่อเถอะครับ”


“ฉันกลับห้องก่อนดีกว่า ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”


“ผมเช็ดตัวให้แล้ว”


“ดูแลดีจัง” จริงๆก็พูดแก้เขินไป เพราะภาพที่ถูกเขาดูแลอย่างดีนั้นกำลังทำร้ายกันข้างในจนหัวใจวุ่นวายเต้นแรง


“ได้ดีกว่านี้อีกนะเนี่ย”  เขาขยิบตาให้ มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ถ้าฉันยอมเป็นคู่ค้าทางธุรกิจให้ ไม่ต้องเดาเลยว่าเท้าก็คงยืนไม่ติดพื้นอีกต่อไป ว่าแต่เมื่อวานนี้ที่บ่ายเบี่ยงตั้งนานจะยอมดีไหม


แต่ก็เห็นว่าหนทางปฏิเสธอะไร…ตนก็ไม่มีอยู่แล้วเช่นกัน



สน xสา


“แกจะร้องทำไมนักหนา!!!!!”  หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งตะคอกใส่ลูกน้อยที่กำลังร้องไห้โยเย เธอไม่เข้าใจเลยหรือไงว่าทำไมลูกจึงร้องไห้ เพราะเด็กคนนี้ไม่อยากจะถูกพรากไปอย่างไรเล่า


“แม่…แม่จ๋า”


“แกร้องไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาหรอกนะ ไอ้สา!ฉันรับเงินเขามาแล้ว”  ใช่แล้ว…นั่นคือเหตุการณ์ในวันที่สารินถูกขาย


และกำลังจะเดินทางไปบ้านธัมรงค์รัชต์


ตั้งแต่เกิดมา สารินตัวน้อยก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่ถึงไม่รัก ทว่าเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยนเช่นตน แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ค้นพบว่านอกจากแม่ โลกทั้งใบย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อยากจะอยู่ข้างๆตามสัญชาตญาณระวังภัย


แม่แค่ไม่ชอบกัน แต่ไม่ถึงกับจะฆ่าแกงกันเสียหน่อย


ทว่าวันนี้เด็กน้อยชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่แม่ไม่ฆ่าทั้งๆที่เราแทบจะไม่มีกิน นั่นก็เพราะเธอสามารถทำมาหากินจากการขายลูกชายคนนี้ได้ สารินที่เกิดมาเป็นเด็กชายต้องคำสาปไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่เดียวที่เหมือนจะยอมรับและก็ต้องการความสามารถที่หลายๆคนนึกรังเกียจเดียดฉันท์


ตอนนั้นเด็กน้อยไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย
และกลุ่มผู้ชายที่ท้องได้ก็ไม่ได้รับการยอมรับเรื่องเพศสภาพในสังคมทั่วไป


เราอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ที่ใช้กฎที่ควบคุมประชากรส่วนใหญ่ไม่ให้วุ่นวาย และบ้างก็ถูกกดขี่โดยที่ไม่มีสิทธิ์ออกมาเรียกร้องสิ่งใดเพื่อนป้องกันความวุ่นวายดังกล่าว ก็จะมีบ้างที่อยากออกมาเป็นปากเสียงให้กับเพื่อนพ้อง ทว่าเพราะไม่ได้รับความร่วมมือและไร้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงทำให้ความต้องการเหล่านั้นตกลงไป ทิ้งเหลือไว้เพียงความช้ำใจที่มนุษย์คนละพันธุ์เช่นพวกเขาต้องเผชิญ


“มาแล้วเหรอ”  เสียงของผู้เป็นใหญ่ในบ้านที่ก้องกังวานทำให้สารินที่เพิ่งเช็ดน้ำตาเม็ดสุดท้ายกลับมาน้ำตาคลออีกครั้ง เด็กน้อยตัวเล็กนิดเดียวที่เทียบไม่ได้กับเด็กวัยเดียวกันย่อมหวาดกลัวอยู่แล้ว


ยิ่งในตอนที่แม่ไม่อยู่ด้วยอีกต่อไป


“คุณกำลังทำให้เด็กกลัวนะคะ”  เสียงของ ‘แพรวรรณ ธัมรงค์รัชต์’ ที่สั่งห้ามก็ไม่ได้ทำให้สารินสบายใจ เด็กน้อยกลัวไปหมดว่าตนจะทำอะไรผิดจนไม่เป็นที่ยอมรับไปมากกว่านี้


“มันจะอะไรกันนักหนา”ชายคนนี้เอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ


“แพรบอกแล้วไงคะว่าเราจะเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นน้องของตาสน”


“ผมก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี” ‘วรวุฒิ ธัมรงค์รัชต์’ ที่คัดค้านมาตั้งแต่ต้นนั้นทำใบหน้าไม่พอใจ แต่เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นทำให้ใจของเขาปวดร้าวไปหมด เพราะผู้ชายคนนั้นคลอดสนธยาออกมาและตายจากไป ตราบาปในใจที่พวกเขาไม่มีวันชดใช้ได้ยังคงฝังลึกในความทรงจำ


“สารินลูก มาทางนี้สิจ้ะ”  เธอทำเป็นไม่สนใจเขาอีกต่อไป เพราะจะอย่างไรเราก็คุยกันแล้วว่าเราจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดี แม้ว่าปลายทางของชะตากรรมคือการเป็นเครื่องจักรผลิตทายาทให้กับตระกูลใหญ่อย่าง ‘เพย์ตัน’ แต่ในระหว่างนั้นเขาจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี เหมือนที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มที่ชื่อวารินที่เป็นผู้ให้กำเนิดลูกของพวกเราไม่เคยได้รับ


“หนู…หนู”  เด็กน้อยยังคงไม่เข้าใจ ทุกวันตนจะถูกกรอกหูใส่ว่าการถูกขายไปไม่ต่างจากการลงนรก บ้างกลายเป็นคนใช้ พอได้เติบใหญ่ก็กลายเป็นเมียบำเรอ พอให้กำเนิดทายาทของเผ่าพันธุ์ได้ก็จะหมดประโยชน์และพ้นสภาพกลายเป็นไท แล้วหลังจากนั้นไป ก็มักจะจบลงที่การเป็นโสเภณีใช้ร่างกายหาเงิน และถ้าท้อง คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็จะถูกขายให้กับตระกูลที่มีความต้องการทายาทที่แข็งแกร่ง


ทายาทมนุษย์หมาป่าที่แข็งแกร่งเหมือนอัลฟ่า


จริงๆสารินในวัย 8 ขวบไม่มีทางเข้าใจอะไรยากๆแบบนั้นหรอก ทว่าคนเล่าก็ทำให้มันดูสะเทือนใจจนเด็กน้อยคิดไปเองว่ามันต้องแย่แน่ๆ และก็เชื่อมั่นว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะแม่ของตน…ก็ให้กำเนิดลูกชายมาเพื่อขาย และดำรงชีพด้วยการเป็นโสเภณีในซ่องเก่าๆเหมือนกัน


และมันก็จะวนลูปอย่างนั้นเหมือนเป็นคำสาปของเผ่าพันธุ์


“มาเป็นลูกอีกคนของแม่นะ”  ทว่าหัวใจที่เหี่ยวเฉาก็กลับพลันเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ คำพูดที่แสนเบาแต่ทุ้มหนักเมื่อดังเข้าสู่หัวใจ เด็กน้อยที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นหรือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรักเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ทั้งๆที่ถ้าทำเช่นนี้คนเป็นแม่ต้องตะคอกกันแล้วแต่แพรวรรณกลับยิ้มให้ วรวุฒิแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและเดินหนีออกไป


และน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะยังของเด็กน้อยโอเมก้ากลายพันธุ์ก็ไหลออกมา


หลังจากที่เสียน้ำตาจนไข้ขึ้น สารินก็หลับไปในอ้อมแขนของคนเป็นแม่ที่ไม่รังเกียจเสื้อผ้าเก่าๆหัวยุ่งๆ รู้ตัวอีกทีก็ตื่นมาบนเตียงนอนนิ่มๆและชุดนอนใหม่ๆใต้ผ้าห่มหอมๆ แย่แล้ว!เผลอหลับไปตอนไหน เด็กหนุ่มคิดในใจและเริ่มจะกลัวว่าคุณแม่คนใหม่จะโกรธเคืองกัน ทว่ายังไม่ทันได้หาทางแก้ปัญหา ปัญหาที่ว่าก็เปิดประตูเข้ามา


“ตื่นแล้วเหรอน้องสา”  แพรวรรณนั้นกะไว้แล้วว่าเด็กคนนี้ต้องนอนนานๆแน่เพราะเขาดูเหนื่อยล้าอิดโรยขนาดนั้นเมื่อแรกเจอ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะไม่รบกวน และไปตาม ‘ลูกชาย’ ของเธอให้ได้มารู้จักกับน้อง


สนธยาในวัย 10 ปีนั้นจ้องมองเด็กตัวเล็กด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย


“สน…ต่อไปนี้น้องสาจะมาอยู่กับเรานะจ้ะ”


“สา?”  เขาหันมาสนใจเจ้าของชื่อ แม่บอกแล้วว่าจะพาน้องใหม่มาอยู่ด้วย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเด็กที่ผอมกะหร่องจนตาโตๆนั่นดูจะโปนออกมา


“สาจ๊ะ นี่พี่สนนะ” ตอนนั้นสามัวแต่มองเขาจนไม่ได้ทักทายออกไป และเชื่อไหม…


ว่าเขาก็ไม่ได้ยิ้มให้กันตั้งแต่แรกเจอ


เดิมทีสาไม่ใช่เด็กร่าเริงแต่เป็นเด็กที่ขี้อายและขี้กลัว สนธยานั้นโตกว่าไม่มาก แต่เขามีบุคลิกของความเป็นผู้นำสมกับที่จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านต่อจากคนเป็นพ่อ เราอาจจะไม่สามารถพูดได้ว่ามันคือความแตกต่างราวขาวกับดำ แต่สามารถเรียกได้ว่าเราคือสีดำ…ที่ไม่อาจจะผสมกลมเกลียวกันอย่างที่ควรเป็น


เด็กน้อยสนิทกับพี่เลี้ยงที่บ้านและคุณแม่ใหม่เพียงเท่านั้น แต่จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่เกิดมา ถึงแม้ว่าจะได้รับความรักความเอ็นดูในด้านต่างๆ แต่การปฏิบัติตนในครอบครัวใหญ่ก็ยังมีแบ่งข้าง หลายคนบ้างก็ไม่ได้ให้การยอมรับกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร เพราะสุดท้ายแล้วสาก็จะจบลงเหมือนกับคนที่ถูกซื้อมาทั่วๆไปเช่นกัน


ก็อาจจะโชคดีกว่าที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาและความรัก


ถึงได้ชื่อว่าน้องชาย ทว่าก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันขนาดนั้น สาก็พยายามจะไม่เข้าใกล้เขาให้เกิดความรำคาญ ตนนั้นอยู่อย่างเจียมตัว แม้ไม่รู้ความคิดของเขาว่าคิดต่อกันเช่นไร แต่แค่มีข้าวให้กิน มีสังคมให้อยู่ ส่วนเรื่องอนาคตจะเป็นเช่นไร สาก็แค่เผื่อใจไว้ และมีความสุขกับปัจจุบันเท่านั้น


ยิ่งเติบโต…สนธยาก็ยิ่งรูปงาม คำชมเชยมากมายดังเข้าหู และสารินที่มีศักดิ์เป็นน้องชายก็ไม่ได้นึกอิจฉาแต่อย่างใด แม้จะอยู่ห่างๆทว่าความชื่นชมในหัวใจกลับเพิ่มพูน อาจจะเพราะเขาได้ใช้ชีวิตแบบที่สารินไม่เคยนึกว่าตนจะเป็นได้ เมื่อได้มามองใกล้ๆก็ถูกตาต้องใจแต่ไม่อาจจะครอบครองหรือเป็นไปได้ตามนั้น


“น้องสาว่าพี่เขาเก่งไหมลูก”  คุณแม่ถาม วันนี้สนธยากลับมาพร้อมกับเกียรติบัตรสักอย่างที่สารินเข้าใจว่าต้องฉลาดมากๆถึงจะได้มา เขาไม่ได้พูดอะไร เอามาให้เพราะไม่รู้จะเก็บไว้ไหน ในระหว่างนี้ที่คนในครอบครัวกำลังพูดคุยกันก็นั่งจิบชาเงียบๆคนเดียวไป พยายามทำตัวให้กลมกลืนแต่แปลกแยกอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ


“พี่สนเก่งจังเลย”  ตอนนั้นสารินน่าจะอายุประมาณ 12 ปีได้ เด็กน้อยนั้นจ้องมองคนที่โตกว่าตาใส ดวงตาไม่สามารถปิดแววชมเชยไว้ จึงพยายามอย่างมากที่จะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวไปมากกว่านั้น


“แม่ภูมิใจในตัวสนมากๆนะลูก”  สารินเองก็ภูมิใจแทน  “แต่แม่ก็ภูมิใจในตัวสามากนะลูก” ทว่าเธอก็ไม่อยากให้เด็กที่รับมาเลี้ยงต้องน้อยใจ


“แต่สายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”


“ฮึๆ” 


“คุณก็…” คุณแม่นั้นหันมาดุว่าคุณพ่อที่หลุดหัวเราะ ทั้งนี้คุณวรวุฒิก็ไม่ได้เย็นชากับสาเหมือนที่เคยเป็นมาแล้ว อาจจะเพราะชินหูชินตาและพบว่าหลายปีที่ผ่านมาเด็กที่ชื่อสาไม่ได้ทำอะไรให้เขาขุ่นข้องหมองใจนัก บางทียังช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ได้จากธรรมชาติบางอย่างของเจ้าตัวด้วยซ้ำ


“ก็คุณตลกนี่ เด็กมันยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆก็ไปชมซะงั้น มันจะงงก็ไม่แปลก”  กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ดุกล่าวว่าสาอย่างนั้นเหรอ ประกายตาแห่งความหวังของสารินนั้นฉายชัด เด็กน้อยรู้สึกหัวใจเต้นแรง ดีใจอย่างแปลกๆทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าตนตีความอะไรออกมาได้บ้าง


“แต่สาทำให้แพรภูมิใจจริงๆค่ะ”  แม้ว่าลูกคนนี้จะไม่ได้เรียนเก่งหรือโดดเด่นตรงไหน กลับกัน…สารินพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่มีตัวตนเหนือใคร แต่ที่เธอภูมิใจคือจิตใจที่เอื้ออารีของเด็กคนนี้ คิดไม่ผิดจริงๆที่ว่าถ้าเลี้ยงดูด้วยความรัก เด็กก็จะมอบความรักกลับมาให้ตามที่สั่งสอน


“อ้าว พูดงี้ตาสนไม่น้อยใจแย่เหรอ พยายามแทบตาย”


“ไม่หรอกครับ”  สนธยาแย้งขึ้นมา  “น้องก็ทำได้ดีเหมือนกัน”  เขาแค่พูดตอบไปเท่านั้น แต่คนที่คิดว่าไม่เคยอยู่ในสายตาใครกลับรู้สึกมากกว่าไปถึงหัวใจ


และหลังจากนั้นก็เหมือนว่าสารินจะยิ่งเทิดทูนคนพี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ทำมันจนดูโจ่งแจ้ง ในโรงเรียนเดียวกันที่ตนไปเรียนด้วย ไม่มีสักครั้งที่จะบอกใครว่าเป็นน้องของเขา มิหนำซ้ำหากใครพูดจาชื่นชม ตนก็จะยิ้มดีใจราวกับว่าถูกชมเสียเอง สารินก็ยังคงไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชายคนนี้มากนัก นั่นเพราะบุคลิกส่วนตัวซึ่งทำให้รู้สึกว่าเข้าถึงได้ยาก แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นมาก คือการที่สนธยาไม่ได้เป็นแบบที่ปฏิบัติกับเรา เหมือนกับที่เขาปฏิบัติกับใคร


ที่โรงเรียน รอยยิ้มของเขาหาได้ง่ายดายมาก มันดูเกลื่อนกลาดแต่ก็ยังทรงอานุภาพที่ทำให้ใครๆต่างก็หลงใหล ทว่ากับสารินที่ชื่นชมเขาอยู่ในใจ กลับไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าการที่จะภูมิใจกับความเป็นที่นิยมนั้นๆ


“น้องสา วันนี้พี่สนเป็นไงบ้างคะ”


“เหมือนเดิมเลยครับ มีคนมาสารภาพรักอีกแล้ว แต่พี่เขาเหมือนจะปฏิเสธดีนะครับ สาได้ยินเพื่อนพูดมาอย่างนั้น”  ลำพังให้ไปดักฟังเหมือนคนอื่นก็ดูจะน่าชังเกินไป ยิ่งเป็นคนร่วมบ้านด้วยแล้ว สารินก็ไม่ได้อยากทำให้เขาไม่สบายใจถึงขั้นนั้นหรอก


ทว่าเขาก็มาได้ยินอยู่ดี…


“สน…”  คนเป็นแม่ที่บังเอิญเห็นลูกชายเดินเข้ามาขณะที่กำลังพูดคุยเรื่องของเจ้าตัวกับลูกชายอีกคน เธอเผลอเรียกชื่อ และนั่นทำให้คนที่กำลังพูดคุยชาไปทั่วร่าง


“ผมมาเอาของครับ”  เขาพูดแค่นั้น และไม่แม้แต่จะปรายตามองกันสักนิด มันทำให้ฉุกคิดได้ว่านี่เราไม่มีตัวตนในตอนนี้


หรือไม่เคยมีแม้ในตอนไหน…


สารินกับสนธยาก็ค่อยๆห่างกันไปอีก ด้วยตระหนักว่าเขารู้สึกไม่ดีที่ถูกเอาเรื่องราวส่วนตัวไปเผยแพร่ สารินจึงไม่คิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวหรือฟังเรื่องราวของเขาอีก กลายเป็นว่าตนค่อยๆตัดขาดกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังชื่นชมอยู่แต่ก็แทบจะไม่ได้รับรู้อะไร ทว่าเรื่องบางเรื่องก็ลอยมาเข้าหูจนได้


“ไอ้เหี้ยนั่นแย่งผู้หญิงมึงไปอีกแล้วเหรอ”  นั่นเป็นตอนที่สารินอายุ 15


และเขาก็แค่มากกว่า 3 ปี


“เอออะดิ ไอ้เหี้ยสนมันก็มั่วกับคนของคนอื่นไปทั่วนั่นแหละ”  สารินอยากจะค้านว่ามันไม่จริง ทว่าตนก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาหลังจากวันนั้นเท่าไหร่นัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินอะไรประมาณนี้ หัวใจจากสี่ในห้าส่วนก็เหมือนจะปักใจเชื่อคู่กรณีคนนั้นไปแล้ว เพราะช่วงหลังพฤติกรรมวัยเลือดร้อนของเขามันก็ชี้ชวนไปในทางนั้น


“จัดแม่งสักหน่อยไหม”


“เออกูก็ว่าต้องสักหน่อยล่ะ” แต่แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ แม้ว่าสนธยาจะทำผิดจริงๆ  แต่ใจของสามันก็เอนเอียงอยู่ดี


เพราะเหตุนี้นักเรียนฝั่งมัธยมต้นจึงฮึดเดินมาถึงฝั่งมัธยมปลายที่ซึ่งใครบางคนคงอยู่ที่นั่น สารินเดินถามคนนั้นคนนี้ว่าห้องเรียนของพี่อยู่ไหน จนในที่สุดก็มาถึงจนได้ และโชคดีที่ยังอยู่ในเวลาพักอยู่


“น้องม.ต้นมาหาใครอ่ะครับ”  นักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขายิ้มให้ตาวาว


“พี่สนอยู่ไหมครับ”


“ไอ้สน?”  ได้ยินเช่นนั้นสาจึงพยักหน้าให้  “ไอ้สน เด็กมึงมาหา!”  และน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ช่างต่างจากตอนแรกที่เอาไว้คุยกัน


สนธยาที่กำลังจะนอนกลางวันนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง เขาไม่เห็นผู้มาหา แต่ได้ยินว่าเป็นเด็กของเขาก็ไม่อยากจะขยับตัวเท่าไหร่ จึงจบลงด้วยการที่เขาไม่ขยับไปไหนอย่างนั้นนั่นแหละ


“ไอ้สนไม่อยากเจอว่ะน้อง งั้นมาเป็นเด็กพี่แทนไหม”


“เอ่อ…ผมไม่”


“ตื้อมันต่อไปมันก็ไม่เอาหรอก เชื่อพี่ พี่เห็นมาเยอะ”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นสารินก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก คนตัวเล็กก็ยังพยายามจะชะเง้อคอมองหา เผื่อว่าพี่เขาจะได้เห็นหน้ากัน ทั้งนี้ตนไม่อยากจะบอกใครว่าเป็นอะไรกับเขานัก เพราะมันจะทำให้คนขุดคุ้ยและอาจจะไม่ดีกับตัวของสนธยาเองก็เป็นได้ แต่กระนั้นคำว่า ‘เด็ก’ ที่คนนี้เรียกกัน ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความหมาย


“ผมขอเจอพี่เขาเถอะนะ”  สารินพยายามออดอ้อน แต่ลืมไปแล้วเหรอว่านี่ไม่ใช่คุณแม่ที่จะใช้สายตาแบบนี้เกลื่อนกลาดได้ทั่วไป


“เอ่อ…” คงไม่สำเร็จสินะ เพราะเขาอึ้งไป ตนจึงหลุบตาลงอย่างผิดหวังหลังจากที่ใช้มันช้อนมอง


“ผมแค่มีเรื่องจะมาบอกก็เท่านั้นเอง”  เสียงพึมพำอย่างหงอยเหงาเสียงเบานั้นล้วนจริงใจ คนฟังถึงกลับกลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะเปิดทางให้เข้าไปหา สารินเองก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จแบบนี้ ตนจึงฉีกยิ้มกว้างก่อนที่จะกล่าวขอบคุณด้วยความซึ้งใจจริงๆ


เมื่อมีคนเปิดทางให้เข้าไป ก็เป็นหน้าที่ของสองเท้าที่ต้องก้าวเข้าหา เครื่องแบบที่แตกต่างทำให้ทั้งชั้นเรียนนั้นหันมามอง บางคนจับกลุ่มกระซิบนินทา สาก็คิดว่าตัวเองควรจะมุ่งหน้าเข้าไปหาและบอกเขาถึงสิ่งที่รู้มาให้มันจบๆไป แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่มาหาเขาที่ห้องเรียนแบบนี้


ก่อนนี้ก็เคยเดินไปเรียกบ้างหรืออะไรบ้าง แต่ไม่ใช่ที่นี่และก็เพราะคุณแม่บอกหรือคนอื่นใช้ สาเป็นคนอ่อนน้อมใครใช้อะไรก็ไป จึงต้องไปเคาะประตูเรียกเขาบ้าง ทว่าหลังจากวันนั้นที่เรานินทาเขากัน แพรวรรณก็เลี่ยงที่จะไม่ใช้ให้สารินไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูกชายเธอคนนั้นอีกเลย


“พะ… พี่สน” สาเรียก แต่เขาเหมือนจะไม่ได้ยิน ทั้งนี้สนธยาเป็นคนหลับง่ายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดูเขาอาจจะหลับตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วเพราะเพื่อนของเขาเรียกให้เท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะลุกขึ้นมาหากันเลยสักนิด


ยืนเก้กังอยู่สักพักแต่นานในความรู้สึกนัก สารินจึงคิดทำบางอย่าง ยอมรับว่าประหม่าเพราะว่ารอบตัวมีแต่คนไม่รู้จัก แค่ต้องมาเผชิญหน้าก็กังวลจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ถ้าให้ตะโกนเรียกออกมา อาจจะได้ขวัญเสียเพราะทำเขาตกใจจนโกรธได้ สารินจึงค่อยๆย่อตัวนั่งลง


ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างใบหูซ้าย


“พี่สนครับ”  ช่วยตื่นทีเถิด สารินอาย และสวรรค์คงเมตตากันแล้วสักครั้ง เพราะเจ้าของชื่อที่เพียรเรียกหาเงยหน้าที่ซบลงกับท่อนแขนมามอง ดวงตาของเขาเปิดกว้างขึ้นมาอีกนิด แต่เรียวคิ้วขมวดจนชวนให้ใจฝ่อ


“สา…”  ทว่าเสียงเรียกชื่อกลับทำให้ใจสั่นไหว  “มาที่นี่ทำไม”  ก่อนจะรู้สึกเหมือนมันได้ร่วงหล่นลงมา เพราะคำว่ามา ‘ทำไม’



มันถูกตีความหมายไว้อย่างเย็นชา…



Talk:
อนุญาตให้ฟาดพี่สน /เพี้ยะๆ
ในนี้เรื่องของแต่ละเผ่าพันธุ์อาจจะอิงข้อมูลจากฉบับอื่นๆแต่เอามาดัดแปลงในแบบของเรานะคะ ในเรื่องนี้จะพูดว่าอัลฟ่าหรือโอเมก้าเลยมันก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นอัลฟ่ากับโอเมก้าที่มีวิวัฒนาการทางกายภาพบางอย่าง กรณีพี่สนกับน้องสาจะไม่มีการฮีท ไม่มีเรื่องคู่แห่งโชคชะตา ซึ่งมันอาจจะเหมือน mpreg ในสายตาบางคน แต่เราจะพูดสภาพสังคมและค่านิยมหลังจากการหายไปของสิ่งเหล่านั้นตามจินตนาการ แต่ก็จะไม่เน้นมากไปให้นิยายรักกลายเป็นนิยายการเมืองนะคะ555 หลักๆคือมีเรื่องของสภาพสังคมและความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว หากขาดตกบกพร่องยังไงก็ชี้แนะกันได้
แต่อย่าแรงมากนะ เจ็บหัวใจ ฮืออออ555
จริงๆมีแพลนอยากแต่งอีกหลายคู่แต่เดี๋ยวดูก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงไหน แต่งนำไปหลายตอนแล้วก็ยังไม่ได้ครองคู่กันดีๆเลยค่ะ 5555
คอมเมนท์ติดแท้กให้กำลังใจกันได้นะคะ #คู่กินคู่กัด
Twitter : @reallyuri
































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 19:38:51 โดย skylover☁ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด